Tag : News

2400 ผลลัพธ์
ออริจิ้น จัดเคมเปญใหม่  Q2 ให้ลูกค้าเว้นระยะผ่อนนาน 3 ปี

ออริจิ้น จัดเคมเปญใหม่  Q2 ให้ลูกค้าเว้นระยะผ่อนนาน 3 ปี

“ออริจิ้น” ขน 23 โครงการบ้าน-คอนโดฯ ลุยตลาดไตรมาส 2 จัดแคมเปญ “Keep Your Distance” ให้ลูกค้าเว้นระยะผ่อนนานสูงสุด 3 ปี ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน เครื่องใช้ไฟฟ้าสูงสุด 5 รายการ ฟรีค่าส่วนกลางสูงสุด 3 ปี และดอกเบี้ยสุดพิเศษจากธนาคารพันธมิตร พร้อมลุยออนไลน์ครบวงจร ด้ววยกลยุทธ์ “Always Online” สู้ภัย COVID-19   นายเกรียงไกร กรีบงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ในเครือบริษัท  ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI   เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2 นี้ บริษัทในเครือออริจิ้นได้นำโครงการต่างๆ รวม 23 โครงการ มาจัดแคมเปญ “Keep Your Distance” ให้ผู้บริโภคได้ “เว้นระยะผ่อน” เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงโครงการที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ด้านนายสิริพงศ์ ศรีสว่างวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด  กล่าวว่า บริษัทนำโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ระดับลักชัวรี่เข้าร่วมแคมเปญ Keep Your Distance 2 โครงการ ได้แก่ 1.ไนท์บริดจ์ ไพร์ม สาทร  และ 2.พาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงษ์  โดยลูกค้าจะได้รับสิทธิ์อยู่ฟรีนานสูงสุด 2 ปี ฟรีค่าส่วนกลางสูงสุด 3 ปี ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.99 ล้านบาท*   นอกจากนี้ ภายใต้สถานการณ์ COVID-19 เครือออริจิ้นยังได้อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค ที่สนใจโครงการด้วยกลยุทธ์ “Always Online” ให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ-ขายคอนโดมิเนียม 15 โครงการที่เข้าร่วมแคมเปญได้อย่างครบวงจร  ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยไม่จำเป็นต้องไปที่โครงการด้วยตัวเอง เริ่มต้นจากการเปิดช่องทางจอง 3 แพลทฟอร์ม ได้แก่ 1.LINE Official Account และ LINE My Shop ภายใต้ชื่อ @OriginProperty และ @PARKLUXURY 2.Official Store บน Lazada ภายใต้ชื่อ Origin Property และ 3.Official Store บน Shopee ภายใต้ชื่อ Origin Property พร้อมสิทธิ์จองคอนโดออนไลน์ในราคาเพียง 1,999 บาท และผู้ที่จอง 2 โครงการภายใต้พาร์ค ลักชัวรี่ผ่านช่องทางออนไลน์ จะได้รับบริการตรวจห้องและฆ่าเชื้อไวรัส COVID-19 ฟรีอีกด้วย   ขณะเดียวกัน ยังให้ลูกค้าสามารถยื่นทำสัญญา ตรวจรับมอบห้อง ทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ ผ่านช่องทางออนไลน์ได้เช่นกัน โดยยื่นเรื่องต่างๆ เข้ามาผ่านทาง LINE Official Account จากนั้นจะมีทีมงานบริการจัด-ส่งเอกสารต่างๆ ให้ถึงที่ มีบริการตรวจความเรียบร้อยของห้องและอัปเดตความคืบหน้าผ่านช่องทาง LINE และแอปพลิเคชั่น Origin Connect เช่นเดียวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องเดินทางไปกรมที่ดินด้วยตัวเอง วันนี้ทั้ง Mindset และ Customer Journey ของผู้บริโภคเกี่ยวกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์กำลังเปลี่ยนแปลงไป ชีวิตในช่วง COVID-19 และหลัง COVID-19 จะพึ่งพาแพลทฟอร์มออนไลน์มากขึ้นส่วนนางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด กล่าวว่า บริทาเนียได้นำโครงการบ้านจัดสรรเข้าร่วมแคมเปญ “Keep Your Distance” จำนวน 8 โครงการ  โดยกลุ่มบ้านจัดสรร มอบสิทธิ์อยู่ฟรีสูงสุด 2 ปี ฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอน นอกจากนี้ ในแต่ละโครงการยังมีสิทธิพิเศษเพิ่มเติมแตกต่างกันไป อาทิ ฟรีแอร์ทุกห้องนอน  ค่าจองเพียง 999 บาท และสามารถจองได้ที่สำนักงานขายโครงการ หรือใน Official Store บน Lazada ภายใต้ชื่อ Origin Property ขณะที่กลุ่มคอนโดมิเนียม สามารถจองได้ทั้งที่สำนักงานขายโครงการ หรือผ่าน Lazada, Shopee และ LINE Official Account ชื่อ @OriginProperty และ @PARKLUXURY ถึง 30 มิถุนายนนี้
อนันดาฯ ดิ้นสู่โควิด-19 ชูกลยุทธ์ใหม่ THE GAME CHANGER 

อนันดาฯ ดิ้นสู่โควิด-19 ชูกลยุทธ์ใหม่ THE GAME CHANGER 

“อนันดาฯ” ปรับกลยุทธ์สู้โควิด-19  ชู THE GAME CHANGER  บุกทุกแพลตฟอร์ม  พร้อมอัดโปรโมชั่นพิเศษกระตุ้นยอดขายผ่านแคมเปญ MOVE NOW  กับ 32 โครงการพร้อมอยู่ติดรถไฟฟ้า     นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  จากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ได้สร้างปรากฏการณ์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดอย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว ส่งผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าที่เปลี่ยนไป  ซึ่งไม่มีความแน่นอน ไม่สามารถคาดการณ์ได้ วันนี้วิกฤตไวรัสโควิด-19 คือสิ่งที่ดึงทุกอย่างจากอนาคตให้เข้ามาหาเราเร็วมากขึ้น เพราะทุกอย่างจากนี้จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งรูปแบบของการดำเนินธุรกิจ และการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคหลังจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 หมดไป บริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือกับวิกฤตดังกล่าวอยู่ตลอดเวลา  ด้วยการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ THE GAME CHANGER คือ แผนกลยุทธ์หลักทางธุรกิจที่พัฒนามาเพื่อให้สอดคล้องและตอบรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป มีความต้องการด้านบริการที่สะดวกสบาย เข้าถึงง่าย  สามารถตอบโจทย์ครบในทุกช่องทางและทุกรูปแบบ (CONVENIENCE) และที่สำคัญในเรื่องของความคุ้มค่า ตรงใจกับการใช้งานและความต้องการ (BEST DEAL) โดยหลักการของกลยุทธ์ THE GAME CHANGER ประกอบด้วยแกนสำคัญ 3 แกนคือ 1.ANANDA iSTORE   รูปแบบการขายออนไลน์ทั้ง 3 ช่องทาง ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยผ่านออนไลน์ทั้งโครงการบ้าน-คอนโดใกล้รถไฟฟ้า ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นกลยุทธ์การสร้างแพลตฟอร์มใหม่ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าผ่าน ONLINE CHANNEL ที่ง่ายต่อการใช้งานและตอบสนองความต้องการอย่างแท้จริง โดยเน้นการให้ข้อมูลของโครงการ ข้อเสนอสุดพิเศษ และช่องทางการชำระเงินที่ง่ายและมีความปลอดภัยรวมถึงการให้บริการอย่างใกล้ชิดแบบ 24 ชั่วโมง โดยผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่  1. ANANDA ONLINE BOOKING  2. FACEBOOK ANANDA DEVELOPMENT และ 3. LINE OA “CHAT & SHOP  2.CEO GO LIVE เป็นการสร้างความเชื่อมั่นและการให้ความไว้วางใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ แสดงจุดยืนความจริงใจให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าตั้งแต่วันแรกที่จองซื้อ จนกระทั้งถึงวันส่งมอบและย้ายเข้าอยู่ในโครงการ และเน้นย้ำว่าจะส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าจริงและไม่ทิ้งกัน ลูกค้าจะได้รับการดูแลด้วยความจริงใจจากบริษัทอย่างต่อเนื่อง  โดย CEO GO LIVE คือ การนำเสนอในรูปแบบใหม่โดยให้ CEO ได้ใกล้ชิดกับลูกบ้าน ลูกค้าและกลุ่มแฟนคลับอนันดาฯ มากยิ่งขึ้นโดย CEO จะมาช่วย Youtuber (ภาคจำเป็น) บนโลกออนไลน์ ทำกิจกรรมต่างๆ กับ CEO   3.REAL – TERTAINMENT (REAL ESTATE + ENTERTAINMENT) การขายแบบเดิมไม่สามารถตอบสนองลูกค้าได้อีกต่อไป บริษัทจึงสร้างและพัฒนาศักยภาพของทุกคนในองค์กรให้ “ขายได้ ขายเป็น” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้ทันที ปูพื้นฐานความเป็น DIGITAL SALES ให้กับทุกคนในองค์กรให้กลายเป็นนักขายสินค้าออนไลน์มืออาชีพ ขยายรูปแบบจากออนกราวด์สู่ออนไลน์ผ่านทุก Social  & Digital platform บนโลกออนไลน์ เช่น  Application ZOOM, LINE , TIK TOK  เป็นต้น   ล่าสุด อนันดาฯ เปิดตัวแคมเปญ “Ananda MOVE NOW!” กับ 32 โครงการพร้อมอยู่ ทั้งคอนโดใกล้รถไฟฟ้า บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์พร้อมอยู่ทุกยูนิตกับดีลพิเศษ* ภายใต้แบรนด์ คอนโดมีเนียม “แอชตัน” “ไอดีโอ คิว” “ไอดีโอ โมบิ” “ไอดีโอ” “เอลลิโอ” “ยูนิโอ” บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ “อาร์เทล” “แอริ” “เอโทล” “ยูนิโอ ทาวน์” และ “เออร์บานิโอ” ในราคาเริ่มต้น 1.29 – 39.9* พร้อมโปรโมชั่นจากแต่ละโครงการ อาทิ อยู่ฟรียาวๆ สูงสุด 2 ปี รับส่วนลดสูงสุด 3 ล้านบาท ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนฯ ฟรีค่าส่วนกลางสูงสุด 2 ปี (เงื่อนไขตามบริษัทฯ กำหนด)  ตั้งแต่วันนี้ – 15 พฤษภาคม  2563 นอกจากนี้ เพิ่มความมั่นใจในคุณภาพห้อง ด้วยการเพิ่มประกันห้องชุดเพิ่ม 1 ปี สำหรับโครงการ IDEO  และ IDEO MOBI ที่ร่วมรายการ      
แสนสิริ ผนึก พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ฝ่าวิกฤติ COVID-19

แสนสิริ ผนึก พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ฝ่าวิกฤติ COVID-19

“แสนสิริ” จับมือ “พลัส พร็อพเพอร์ตี้” เดินหน้าฝ่าวิกฤติ COVID-19 ประกาศนโยบาย “Sansiri Care…เพราะเราห่วงใย” ดูแลลูกบ้าน พันธมิตร และพนักงานกว่า 100,000 ครอบครัว ทั้งมาตาการเชิงรับและเชิงรุก     นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  แสนสิริ ได้ร่วมมือกับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศนโยบาย “Sansiri Care…เพราะเราห่วงใย” ครอบคลุมภาพรวมวงจรการดำเนินธุรกิจ (Business Ecosystem) ด้วยการนำแนวคิดวิธีการบริหารงานอย่างต่อเนื่อง (Business Continuity Plan – BCP) มาปรับใช้กับสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมยกระดับมาตรการทั้งแผนเชิงรุกและเชิงรับเพื่อรับมือสถานการณ์แพร่การระบาดที่เพิ่มขึ้นของเชื้อไวรัส COVID-19 ด้วยมาตรการเพื่อความปลอดภัยและอุ่นใจแบบเต็มขั้นแก่ครอบครัวแสนสิริ ผู้มีส่วนร่วมกับองค์กรในทุกระดับตั้งแต่ลูกบ้าน ลูกค้า พันธมิตร ตลอดจนคนงานก่อสร้าง แม่บ้าน และพนักงานรักษาความปลอดภัย แสนสิริและพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เรากำลังดูแลลูกบ้านจนถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยกว่าแสนครอบครัว  เพื่อให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตการอยู่อาศัยที่สะดวกสบาย  และปลอดภัยมากที่สุด ด้วย 3 มาตรการสูงสุดในการป้องกัน ดูแล และรับมือ ที่ครอบคลุมด้านความสะอาด การอำนวยความสะดวก และการเตรียมความพร้อม 3 มาตรการตั้งมือรับโควิด-19 สำหรับแผนเชิงรับ 3 มาตรการดูแลลูกค้า รับมือสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัส COVID- 19 ประกอบด้วย 1.มาตรการป้องกัน ยกระดับมาตรการทำความสะอาดและความปลอดภภัยแบบเต็มขึ้นสูงสุด โดยจัดทำแนวทางการปฏิบัติงาน (protocal) เพื่อควบคุมมาตรฐานและกำกับดูแลในทุกหน่วยงานและพื้นที่ปฏิบัติงาน -โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ร่วมมือกับพันธมิตรดูแลทั้งวิศวกรโครงการ คนงานก่อสร้าง ตั้งจุดคัดกรองวัดไข้ สวมหน้ากากตลอดเวลาปฏิบัติงาน พร้อมจัดเจลแอลกอฮอล์ -โครงการที่สร้างเสร็จพร้อมส่งมอบและโอนแก่ลูกค้า เช็ดและทำความสะอาดห้องและบ้านด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้ง อบโอโซนฆ่าเชื้อก่อนการตรวจรับมอบที่อยู่อาศัย พร้อมป้ายรับรองผ่านการฆ่าเชื้อเรียบร้อย  เพื่อมั่นใจ ปลอดภัยและอุ่นใจสูงสุด -โครงการที่มีลูกบ้านพักอาศัย ภายใต้การบริหารของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ สำนักงานขายทั่วประเทศ และ SIRI CAMPUS สำนักงานใหญ่ คัดกรองวัดไข้วัดอุณหภูมิลูกบ้านและพนักงานที่ให้บริการทุกคนเพื่อคัดกรองผู้ป่วย แจกหน้ากากอนามัย สวมหน้ากากตลอดเวลาที่ปฏิบัติงานและล้างมือก่อนการให้บริการทุกครั้ง พร้อมจัดเจลหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ทั้งในโครงการ -สำนักงานขาย พื้นที่ส่วนกลาง ทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง ทุก 1-2 ชั่วโมง ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อและอบโอโซนในโครงการ ตลอดจนป้อมรปภ. ห้องพักแม่บ้าน ห้องและบ้านตัวอย่าง พื้นที่ส่วนกลาง สำนักงานนิติ สำนักงานช่าง นอกจากนี้ สำหรับสำนักงานขาย ทำความสะอาดพื้นที่ตลอดชุดโต๊ะเก้าอี้ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้งที่มีลูกค้าเยี่ยมชมโครงการ เพื่อเตรียมรับลูกค้าใหม่ เสริฟน้ำขวดส่วนตัว และจัดแอลกอฮอลล์พกพาสำหรับพนักงานขาย เมื่อพาลูกค้าเยี่ยมชมโครงการ 2.มาตรการดูแล อำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตแก่ลูกบ้านกับ Sansiri Privilege ยกระดับการให้บริการตั้งแต่ บริการทำความสะอาด การดูแลสุขภาพ และความสะดวกในการสั่งสินค้า Delivery ของ Sansiri Family ใน Home Service Application Virtual Hospital บริการปรึกษาแพทย์แบบออนไลน์ฟรี จากโรงพยาบาลสมิติเวช พร้อมบริการส่งยาฟรีและส่วนลดค่ายา 20% ตลอดจนบริการฉีดพ่นฆ่าเชื้อในที่พักอาศัยพร้อมส่วนลด 5% และการจัดเตรียมตู้จำหน่ายสินค้าประจำแต่ละโครงการจำหน่ายเฉพาะสินค้าและของใช้จำเป็น เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวสาร เจลล้างมือ ปลากระป๋อง นม เป็นต้น 3.มาตรการรับมือ จัดมาตรการดูแลลูกค้าที่ต้องกักตัว 14 วันในที่พักอาศัยให้ใช้ชีวิตได้สะดวกปลอดภัย โดยไม่ต้องออกมาภายนอกที่พักอาศัยตลอดระยะเวลา เช่น จัดทำคู่มือ QR code  การดูแลตัวเองแก่ลูกบ้าน การอำนวยความสะดวกจัดส่งอาหาร การซื้อของจากซูเปอร์ หรือจัดส่งของอื่นๆไปยังหน้าห้องลูกบ้านแบบ Contactless Delivery 2 ช่วงเวลา เช้าและเย็น การจัดการเก็บขยะ วันละ 2 รอบ ให้กับลูกบ้านเพื่อลดอัตราความเสี่ยง   รวมถึง แจ้งเตือนลูกบ้านให้เข้ารับการตรวจหาเชื้ออีกครั้งหลังจากผ่านช่วงระยะเวลากักตัว 14 วัน อำนวยความสะดวกในทุกขั้นตอนหากต้องการพบแพทย์ ตั้งแต่การจัดการลิฟท์ และทำความสะอาดลิฟท์ทันทีหลังจากลูกบ้านใช้บริการ ตลอดจนอำนวยความสะดวกขนย้ายผู้ป่วยหากพบการติดเชื้อ 4 แผนเชิงรุกมาตรการดูแลลูกค้า นอกจากมาตรการเชิงรับ ที่แสนสิริและพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้วางมาตรการร่วมกันแล้ว ยังได้วางมาตรการเชิงรุกด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบ Omni-Channel ครบวงจร ตอบโจทย์ลูกค้าคนรุ่นใหม่ รวมถึงตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้สื่อบนหลากหลายแพลตฟอร์ม เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าเรียลดีมานด์รายใหม่ที่ยังรองรับในช่วงสภาวการณ์ COVID-19 รวมถึงช่วยเหลือลูกค้าให้ลูกค้ามีบ้านได้ง่ายขึ้นอีกด้วย บริษัทฯ ยังเตรียมความพร้อมให้แก่ลูกค้าด้วยมาตรการความปลอดภัยสุงสุดแก่ลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมโครงการและการขายที่สำนักงานขายในทุกวัน ด้วยมาตรการ Private Tour เยี่ยมชมโครงการ ไม่ปะปนกับลูกค้ารายอื่นโดยมีเว้นระยะห่างตามหลัก Social Distancing” สำหรับ 4 มาตรการเชิงรุกรับมือไวรัสโควิด -19  ได้แก่ 1.Multi-channel and Online Booking ซื้อขายครบในทุกช่องทาง ผ่าน Virtual Sales ช่องทางในการค้นหาข้อมูล ติดต่อสอบถามและเยี่ยมชมโครงการเสมือนลูกค้าได้ไปชมโครงการจริง อาทิ Sansiri LINE Official Account, Facebook @Sansiri PLC, เว็บไซต์ www.sansiri.com, และในช่องทางใหม่ “24 Hrs. Online Booking” พรีเซลแบบออนไลน์เรียลไทม์ 100%  ครั้งแรกในไทย 2.แสนสิริ ผ่อนให้ 24 เดือน  เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีบ้านง่าย ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนที่อยู่อาศัยได้นานตลอดระเวลา 2 ปี เพราะแสนสิริผ่อนให้ ทั้งต้น ทั้งดอก นานสูงสุด 24 เดือน (ตั้งแต่ 3   เม.ย. – 30 มิ.ย. 63) ครอบคลุมถึง 62 โครงการพร้อมอยู่ ทั่วประเทศ พร้อมฟรีค่าโอนและค่าจดจำนอง ฟรีค่าส่วนกลาง พร้อมโปรโมชั่นในทุกโครงการ อาทิ ฟรีค่าส่วนกลางนานสูงสุด 1 ปี พร้อมรับ Gift Voucher สูงสุด 100,000 บาท สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม และฟรีค่าส่วนกลางนาน 2 ปี สำหรับคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ 3.กู้ง่าย ได้บ้าน ผนึกพันธมิตรทางการเงินชั้นนำ ให้บริการคำปรึกษาด้านการเงิน  เพื่อให้ลูกค้ามีบ้านได้เป็นของตัวเองง่ายขึ้น ตลอดจนวางแผนทางการเงินในการซื้อบ้านและที่อยู่อาศัยภายใต้โครงการจากแสนสิริ ตั้งแต่การเตรียมข้อมูลเคล็ดลับด้านการเงิน ที่ครบทุกด้านการตัดสินใจ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเตรียมตัวได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ที่รวบรวมเอาอินไซต์ข้อมูลต่างๆ มาพัฒนาเพื่อดูแลอยู่เคียงข้างลูกค้าตั้งแต่วันแรกไปจนกระทั่งได้รับการอนุมัติการกู้จากธนาคาร 4.Private Tour มาตรการล่าสุดด้านความปลอดภัย สำหรับลูกค้าเข้าเยี่ยมชมโครงการแบบ By Appointment เยี่ยมชมโครงการที่สำนักงานขายดดยนัดหมายล่วงหน้า ยกระดับให้รัดกุมมากยิ่งขึ้นเพื่อความอุ่นใจและปลอดภัยสูงสุด โดยมีเว้นระยะห่างตามหลัก Social Distancing   ด้านการดูแลพนักงานของแสนสิริ และ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่ SIRI CAMPUS สำนักงานใหญ่ ได้มีการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อและอบโอโซน จุดคัดกรองวัดไข้ สวมหน้ากากตลอดเวลาที่ปฏิบัติงาน การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน Work from Home หรือ Work from Site ใกล้บ้าน สำหรับพนักงานที่มีความเสี่ยงจากการเดินทางสาธารณะ แบ่งช่วงเวลาการรับประมานอาหารเพื่อลดความหนาแน่น ตลอดจนช้อนและภาชนะแยกชุด   การจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจ (COVID-Info) เพื่อรับมือและให้คำปรึกษากับพนักงาน และพันธมิตรที่มีความกังวลอย่างทันท่วงที ตลอดจนการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจากโรงพยาบาลชั้นนำ พร้อมดูแลรักษาค่าพยาบาลให้ทั้งหมดหากพบพนักงานติดเชื้อ ให้กับพนักงานที่มีความเสี่ยง  และการจัดตั้ง Sansiri Care Relief Fund โดยเงินบริจาคจากคณะผู้บริหารเริ่มต้นที่ 5 ล้านบาท เพื่อการดูแลครอบครัวของพนักงานผู้ได้ผลกระทบจากการติดเชื้อไวรัส COVID-19 หรือตกงานเพราะผลกระทบจากเศรษฐกิจ  
อสังหาฯ ไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร?  หลังวิกฤตโควิด-19

อสังหาฯ ไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร? หลังวิกฤตโควิด-19

เน็กซัส ชี้โควิด-19 สร้าง Covid Shock จุดเปลี่ยนอสังหาฯ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแบบพลิกฝ่ามือ ทุกคนถูก Fast Forward เข้าสู่โลกอนาคตเพียงพริบตา ปีนี้ซัพพลายเก่าจะถูกเร่งขาย ในขณะที่ซัพพลายใหม่  จะเข้าสู่ตลาดไม่เกิน 30,000 ยูนิต   ถือเป็นโอกาสทองของคนเงินเย็นที่พร้อมช้อนซื้อสินค้าดีราคาประหยัด  ส่งสัญญาณไปยังภาครัฐช่วยพิจารณามาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ทั้งมาตรการการโอน ผ่อนปรนภาษีธุรกิจเฉพาะ และ LTV พร้อมเสนอผ่อนปรนกฎการถือครองกรรมสิทธิ์ ชาวต่างชาติเพื่อช่วยดีเวลลอปเปอร์ไทย   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด  ประเมินสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์หลังวิกฤตโควิด-19  ว่า ในช่วงปีนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการระบายสต๊อกเก่า ข้อมูลจากเน็กซัสพบว่าซัพพลายของคอนโดมิเนียมคงค้างในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปลายปี 2562 มีประมาณ 60,000 ยูนิต คาดว่าในปีนี้ตลาดจะสามารถดูดซับไปได้ประมาณ 80% โดยเราจะเริ่มเห็นการลดราคาจากดีเวลลอปเปอร์ ซึ่งราคาที่ลดลงจะอยู่ในเรทเหมาะสมและค่อนข้างดี เป็นระดับราคาที่ดีเวลลอปเปอร์ยอมรับได้และคุ้มค่าที่จะซื้อในฝั่งผู้บริโภค   คาดการณ์ว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่จะกลับมาได้รับความสนใจเร็วที่สุดหลังวิกฤติโควิด-19 คือ คอนโดฯ​ ราคาไม่เกิน 4 ล้านบาท เพราะเป็นระดับราคาที่คนกรุงเทพฯ​ ส่วนใหญ่รับได้ และเป็นเรียลดีมานด์ที่ต้องการอยู่อาศัยเลย ส่วนอีกตลาดที่จะฟื้นตัวเร็ว คือ สินค้าในระดับลักซ์ชัวรี ที่ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะมีเงินลดลง แต่ยังมีกำลังซื้อมากพอที่จะจ่ายได้ โดยตัวผู้บริโภคเองจะเลือกซื้อสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ของตัวเอง และมีฟังก์ชั่นที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ เช่น การปรับให้มีห้องทำงานที่เหมาะกับการทำงานที่บ้านได้ เป็นต้น อสังหาฯ ไทยหลังวิกฤตโควิด-19     หากประเมินภาพเชิงลบที่สุด คือ หากวิกฤติโควิด-19 ยังดำเนินต่อไปและไม่สามารถลดปริมาณผู้ติดเชื้อได้ ผู้ประกอบการภาคเอกชนจะอยู่ได้ยาวที่สุดอีกเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น และจะเป็นงานหนักสำหรับดีเวลลอปเปอร์ เพราะเมื่อภาคธุรกิจขาดสภาพคล่อง จะเริ่มเห็นแนวโน้มการปิดตัวลงของผู้ประกอบการจำนวนมาก ทำให้เม็ดเงิน ในกระเป๋าของผู้บริโภคลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจชะลอการซื้อ จะกระทบต่อตลาด อสังหาริมทรัพย์มากขึ้นตามไปด้วย   หากประเมินในภาพบวกเพิ่มขึ้น คือ หากเราสามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้  และจำนวนผู้ติดเชื้อค่อยๆ ลดลงจนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ประเมินว่าในช่วงไตรมาส 2 นี้ ตลาดก็อาจจะ ยังไม่สดใสนัก แต่จะเห็นแนวโน้มที่จะค่อยๆ ดีขึ้นตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มปรับตัว กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้บ้าง แต่จะเห็นว่าทุกอย่างจะกลับมาดีขึ้นอย่างจริงจังในไตรมาส 3 โดยผู้ประกอบการ หลายรายจะเริ่มกลับมามีกิจกรรมทางการตลาด เพราะอย่างไรก็ตามธุรกิจต้องดำเนินไป   ไตรมาสที่4 จะดีที่สุด และคาดว่าจะเป็นไตรมาสที่รัฐบาลหันกลับมาพิจารณาให้ความสำคัญกับภาคอสังหาฯ โดยมีมาตรการช่วยเหลือ และผ่อนปรนต่างๆ ออกมาเพื่อสนับสนุนให้อสังหาฯ ยังคงเดินต่อไปได้ ในไตรมาส 4 หากภาครัฐออกมาตรการเพื่อสนับสนุนภาคอสังหาฯ  จะเห็นตลาดรีบาวด์กลับมาอย่างชัดเจน  ไม่ว่าจะเป็น มาตรการลดค่าโอน ที่ขยายให้ครอบคลุมทั้งตลาดอสังหาฯ การยืดหยุ่นภาษีธุรกิจเฉพาะ การผ่อนปรนมาตรการ LTV รวมถึงการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินของชาวต่างชาติ โดยอาจปรับให้สามารถซื้อที่ดินหรือบ้านในโครงการจัดสรรที่พัฒนาเพื่อที่อยู่อาศัยได้ ซึ่งกำลังซื้อจากต่างชาติจะช่วยให้ตลาดอสังหาฯ ไทยกลับมาได้เร็วมากยิ่งขึ้น เทรนด์การอยู่อาศัยในปี 2564   เนื่องจากปีนี้ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งระบายสต๊อกเก่า ดังนั้นจะส่งผลให้ซัพพลายใหม่ที่จะออกมา น่าจะไม่เกิน 30,000 ยูนิต จากปกติในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ จะมีซัพพลายใหม่ออกมาเฉลี่ยปีละ 52,000 ยูนิต และเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 11%ทุกปี ซึ่งผลจาก Covid Shock ในครั้งนี้ส่งผลให้ยอดสะสมของคอนโดฯ จะลดลง ถือเป็นการปรับฐานใหม่อีกครั้งสำหรับอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ   การปรับฐานในครั้งนี้  ไม่เพียงแค่เรื่องจำนวนคอนโดฯ เท่านั้น แต่ยังปรับไปถึงเรื่องการเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานในคอนโดฯ หรือบ้านด้วย เพราะการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไป ทำให้การออกแบบที่อยู่อาศัยต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ อาทิ การเริ่มคุ้นชินกับการทำงานที่บ้าน ดังนั้นดีเวลลอปเปอร์จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเรื่องฟังก์ชั่นภายในบ้านหรือคอนโดฯ เช่น ให้ความสำคัญกับห้องทำงานมากพอกับห้องนอน เป็นต้น   ในส่วนกลางที่เคยให้ความสำคัญกับการมี Co-working space หรือ Co-kitchen แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้คนเรามีระยะห่างมากขึ้น มีความนิ่ง อยู่กับตัวเอง และรักความสะอาดมากกว่าเดิม ดังนั้นสินค้าใหม่ของดีเวลลอปเปอร์ที่จะผลิตออกมา จะชูจุดขายเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว เช่น ห้องครัว หรือห้องทำงาน แบบรองรับคนเพียงคนเดียวจะเป็นรูปแบบที่ถูกได้รับความสำคัญมากอย่างยิ่ง เพราะคนใช้ชีวิตกับตัวเองมากขึ้น รวมถึงการให้น้ำหนักไปกับ Living Room หรือห้องทำงานมากกว่าห้องนอน เพราะเมื่อคนทำงานอยู่ที่บ้าน มักใช้เวลาในห้องเหล่านี้มากกว่าห้องนอน โดยคาดว่าจะเห็นสินค้าใหม่ๆ รูปแบบนี้ออกมาจากดีเวลลอปเปอร์ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ตลาดรีเทล-อาคารสำนักงานกระทบหนัก กลุ่มรีเทลเป็นอีกกลุ่มสำคัญที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ผู้เช่าที่เคยเช่าพื้นที่ขายของในห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน หรือแม้แต่คอมมูนิตี้มอลล์ต่างๆ จะเริ่มคุ้นชินกับการขายของผ่านออนไลน์ ดังนั้น ต่อจากนี้ไปหน้าร้านจะถูกลดบทบาทความสำคัญลง ผู้เช่าคุ้นชินกับการขายของผ่านโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้น มีทักษะด้านออนไลน์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การมีหน้าร้านหรือการเช่าพื้นที่ขนาดใหญ่จะถูกลดทอนขนาดการเช่าลง แต่เน้นเรื่องการให้บริการออนไลน์ และการส่งเดลิเวอรี่หรือให้ลูกค้าไปรับสินค้าที่หน้าร้านแทนมากยิ่งขึ้น   ทำให้กลุ่มธุรกิจส่วนนี้ ต้องวางแผนการปรับตัวอย่างมากเพื่อให้พื้นที่เช่ายังคงเป็นที่ต้องการอยู่ ร้านค้าจะเป็นดิสเพลย์ที่ให้ประสบการณ์หลังจากศึกษาข้อมูลออนไลน์ หรือเข้ามาเพื่อรับบริการหลังการขายต่างๆ มากกว่า การตกแต่งภายในของพื้นที่อาจมีความจำเป็นน้อยลง นอกจากนี้พื้นที่ค้าปลีกอาจมี Stand alone เพื่อบริการเดลิเวอรี่มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้างสรรพสินค้าใหญ่อีกต่อไป   สำหรับตลาดอาคารสำนักงานนั้น เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากปีที่ผ่านมาและอีก 2 ปีข้างหน้า ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ จะมีซัพพลายใหม่ออกมาอีกนับเป็นล้านตารางเมตร จากอาคารที่กำลังก่อสร้าง กว่า 40 อาคาร พื้นที่ประมาณ 1.61 ล้านตารางเมตร และจะแล้วเสร็จพร้อมกันในปี 2564 - 2566 แต่พฤติกรรมของคนได้ถูกปรับเปลี่ยนไปแล้ว เพราะการทำงานที่บ้านเริ่มได้รับการยอมรับ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดเทรนด์ต่อไป แม้ว่าเหตุการณ์โควิดจะผ่านไปแล้วก็ตาม ส่งผลให้บริษัทต้องการพื้นที่ออฟฟิศลดลง ทั้งจำนวนที่นั่ง โต๊ะทำงาน และห้องประชุม และจะส่งผลกระทบต่อเจ้าของอาคารอย่างชัดเจน เทรนด์ที่เปลี่ยนไปเหล่านี้ล้วนเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่  เทรนด์ใหม่ที่ออกมาท้าทายโลกของเราอย่าง Fast Forward แบบที่เราเองก็ไม่นึกมาก่อน ผู้ประกอบการต้องเตรียมความพร้อมที่จะรับมือและต้องปรับตัว อาทิเช่น 1.Facilities ปรับปรุงระบบ Facilities ของอาคารให้สามารถสนับสนุนการทำงาน  ข้ามไปข้ามมาระหว่างที่อาคารสำนักงาน (Head Office) กับการทำงานนอกสถานที่ (Home) โดย Facilities ที่สำคัญ ได้แก่ ระบบทางด้าน IT ที่จะต้องมีความพร้อมในขั้นสูงสุด และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนระบบให้ได้อย่างรวดเร็วตามกระแสการใช้งาน 2.Flexibility เนื่องจากเทรนด์สมัยใหม่ ผู้เช่าหลายๆ รายต้องการความยืดหยุ่นในการใช้พื้นที่ ปรับลด-เพิ่ม ได้ตามความต้องการ ผู้ประกอบการที่เข้าใจในรูปแบบของผู้เช่า อาจจะต้องปรับรูปแบบของสัญญาเช่าและพื้นที่เช่าให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น 3.Fair Price จากการที่ Supply & Demand กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ ในขณะที่ Supply กำลังจะมีคู่แข่งเข้ามาในตลาดที่มากขึ้น ทางด้าน Demand ก็กำลังจะเปลี่ยนรูปแบบของความต้องการ แน่นอนเลยคือตลาด จะพบกับการแข่งขันที่ดุเดือด สิ่งที่จะเห็นได้คือ สงครามราคา ดังนั้นผู้ประกอบการที่ปรับตัวและพร้อมที่จะแข่งขัน ในเรื่องราคาและบริการได้ก่อนผู้ประกอบการรายอื่น ก็จะสามารถผ่านช่วงเวลาท้าทายช่วงนี้ไปได้อย่างไม่ลำบาก  
โกลเด้นแลนด์ กระจายความเสี่ยงธุรกิจ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 กวาดรายได้กว่า 3,500 ล้านบาท

โกลเด้นแลนด์ กระจายความเสี่ยงธุรกิจ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 กวาดรายได้กว่า 3,500 ล้านบาท

โกลเด้นแลนด์ ปิดยอดธุรกิจในช่วง 3 เดือนแรก ยังทำได้ 3,500 ล้านบาท  ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา  จากการปรับกลยุทธ์รับมือสถานการณ์โควิด-19 ทั้งเปลี่ยนรูปแบบการขายไปสู่ออนไลน์ และเพิ่มมาตรการดูแลลูกค้า คู่ค้า พันธมิตร และการกระจายความเสี่ยงธุรกิจ ทั้งพอร์ตที่อยู่อาศัยและรีเทล    นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ว่า สามารถทำยอดรับรู้รายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 – 31 มีนาคม 2563 เป็นจำนวน 3,500 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยเป็นผลจากการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19  รวมถึงการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ   “บริษัทฯ มีการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ โดยแบ่งรายได้ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ โครงการแนวราบ มีโครงการทาวน์โฮม นีโอโฮม และบ้านเดี่ยว ซึ่งเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนระยะสั้น สร้างรายได้ทันที และโครงการเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีรายได้จากค่าเช่า ได้แก่ อาคารสำนักงาน  และรีเทล เป็นการลงทุนเพื่อผลตอบแทนระยะยาว ส่งผลให้บริษัทฯ มีความยืดหยุ่นของรายได้ ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงกับธุรกิจแทบทุกด้าน"   สำหรับกลยุทธ์การสร้างพอร์ตธุรกิจหลากหลายรูปแบบ การกระจายความเสี่ยงพิสูจน์แล้วว่า ช่วยให้องค์กรผ่านพ้นในทุกวิกฤตได้  ซึ่งในสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน บริษัทฯ ยังได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในแต่ละด้านเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนี้ กลยุทธ์ด้านโครงการแนวราบ เนื่องจากความเข้มข้นของสถานการณ์ทำให้ลูกค้าเข้าชมโครงการได้ลำบากมากขึ้น ทางบริษัทฯ จึงได้ปรับรูปแบบการขายไปสู่ออนไลน์มากขึ้นเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น อีกทั้งยังลดขั้นตอนเอกสาร และอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าไม่ต้องเข้ามาที่โครงการ สำหรับการก่อสร้างยังคงดำเนินการต่อ เนื่องจากบริษัทฯ มี Backlog รอโอนที่สะสมมาตั้งแต่ปี 2562 และนับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่โครงการจะได้ปรับปรุงบ้านของลูกบ้าน และส่วนกลางของโครงการให้มีสภาพที่ดียิ่งขึ้น สิ่งที่น่าสนใจท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ คือ ลูกค้ามีความสนใจโครงการแนวราบมากขึ้น สังเกตจากปริมาณลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาที่โครงการยังมีอย่างต่อเนื่อง และเป็นลูกค้าที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริง กลยุทธ์ด้านโครงการเชิงพาณิชย์ สำหรับศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ บริษัทฯ มีมาตรการในการช่วยเหลือผู้เช่า โดยการไม่เก็บค่าเช่า และค่าส่วนกลาง 100% สำหรับร้านค้าที่ต้องปิดให้บริการตามคำสั่งภาครัฐ และลดค่าเช่า 50% สำหรับร้านค้าที่ยังเปิดให้บริการ นอกจากนี้ยังช่วยเหลือผู้เช่าส่วนอาคารสำนักงานทั้งอาคารปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ สาทรสแควร์  เอฟวายไอ เซ็นเตอร์ และมิตรทาวน์ออฟฟิศทาวเวอร์ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อเป็นส่วนช่วยให้พันธมิตร ร้านค้า และผู้เช่า ทุกรายสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน กลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการ การบริหารค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม และการจัดการกระแสเงินสดอย่างรอบคอบ เป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการในขณะนี้ และทำให้เรามั่นใจว่า บริษัทฯ สามารถดำเนินธุรกิจผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปได้ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือ การดูแลพนักงานไม่ให้ได้รับผลกระทบทางด้านการเงิน  และดูแลความปลอดภัยของพนักงานเป็นสำคัญ อาทิ การแจกหน้ากากอนามัย และผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ ฯลฯ พร้อมยกระดับระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ด้วยนโยบายการทำงานจากบ้าน (Work from home) โดยทางบริษัทฯ ได้สนับสนุนด้านอุปกรณ์ และเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ และยังกระตุ้นให้พนักงานฝึกอบรมเพื่อการพัฒนาตัวเองทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง”   “วิกฤติโควิด-19 นี้เราต้องมีสติในการรับมือกับปัญหา ในทุกวิกฤตมีโอกาสเสมอ เป็นโอกาสให้ได้เรียนรู้ วิกฤตครั้งนี้ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะจบลงเมื่อไร เราต้องดูแลพนักงาน และพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเป็นกำลังสำคัญให้ธุรกิจของเราผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ อย่าปล่อยให้วิกฤตผ่านไปโดยไร้ค่า เรียนรู้ จดจำ และทุกคนต้องเชื่อมั่น และร่วมมือกันปรับตัวให้ทัน โกลเด้นแลนด์ขอเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายผ่านพ้นวิกฤติได้ในที่สุด”
มองแนวโน้มตลาดอสังหาฯ EEC ในสถานการณ์โควิด-19 ปี 2563

มองแนวโน้มตลาดอสังหาฯ EEC ในสถานการณ์โควิด-19 ปี 2563

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปีนี้  ได้ส่งผลกระทบไปยังทุกภาคส่วน ทั้งวิถีชีวิตของประชาชน และธุรกิจต่างๆ ซึ่งในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น ก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   ล่าสุด ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ดำเนินการรวบรวมและวิเคราะห์สถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด “โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” หรือ EEC ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ปี 2562 และประเมินแนวโน้มภาพรวมปี 2563 ตามปัจจัยประกอบต่างๆ ที่เกิดขึ้นว่าจะมีแนวโน้มและทิศทางเป็นเช่นไร ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า  ภาพรวมในปี 2562 สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด “โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” หรือ EEC ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ในด้านอุปทานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2561 ทั้งการขออนุญาตจัดสรรที่ดิน และการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร    แต่ในด้านอุปสงค์การโอนกรรมสิทธิ์มีจำนวนยูนิตลดลงเล็กน้อย แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2561 แสดงให้เห็นว่าที่อยู่อาศัยที่โอนในปี 2562 มีราคาเฉลี่ยต่อยูนิตสูงกว่าปี 2561 และเป็นที่สังเกตว่า ในพื้นที่อำเภอสัตหีบ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลประกาศให้เป็น “เมืองการบินภาคตะวันออก” มีผู้ประกอบการให้ความสนใจลงทุกพัฒนาโครงการอาคารชุดเพิ่มมากขึ้น ปี 63 อสังหาฯ หดตัวตามเศรษฐกิจ-พิษโควิด   สำหรับในปี 2563 ตลาดที่อยู่อาศัยจะมีปัจจัยลบรุมเร้ามากกว่าปัจจัยบวก สาเหตุจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 และภาวะภัยแล้งรุนแรง มีผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศหดตัว ส่งผลให้มีการเลิกจ้างแรงงานจำนวนมาก และรายได้ของเกษตรกรลดลง กระทบกับกำลังซื้อที่อยู่อาศัยในวงกว้าง แม้ว่าในปีนี้จะมีปัจจัยบวกในด้านอัตราดอกเบี้ยขาลง ราคาน้ำมันลดลง มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่มีผลไปถึงสิ้นปี 2563 และมีการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ตาม   ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ จึงคาดการณ์ว่า ในปี 2563 ตลาดที่อยู่อาศัยจะมีการหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ทั้งในด้านอุปทานและอุปสงค์ โดยในด้านอุปทานการขออนุญาตจัดสรรที่ดินคาดว่าจะหดตัว 17.8% และการออกใบอนุญาตก่อสร้างคาดว่าจะหดตัว 15.3% เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยอาคารชุดจะหดตัวมากกว่าที่อยู่อาศัยแนวราบ ส่วนในด้านอุปสงค์การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยคาดว่าจำนวนยูนิตจะหดตัว 11.9% และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์จะหดตัว 21.5% จัดสรรใหม่ปี 62 มีกว่า 2 หมื่นยูนิต ภาพรวมในปี 2562 ทั้งปี มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยใน EEC จำนวน 175 โครงการ 21,814 ยูนิต  จำนวนโครงการเพิ่มขึ้น 2.9% และจำนวนยูนิต เพิ่มขึ้น 22.6%  เมื่อเทียบกับปี 2561 โดยใบอนุญาตจัดสรรที่ดินส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮ้าส์มากที่สุด จำนวน 14,066 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 64.5% ของจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 3,978 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 18.2% และบ้านแฝดจำนวน 3,461 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 15.9% เป็น อาคารพาณิชย์จำนวน 218 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 1.0% และที่เหลือเป็นที่ดินจัดสรร ตามลำดับ เมื่อพิจารณารายจังหวัดในพื้นที่ EEC ในปี 2562 จังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุด ได้แก่ 1.จังหวัดระยอง มีสัดส่วน 44.5% ของการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอปลวกแดงอำเภอนิคมพัฒนาและอำเภอเมืองระยอง 2.จังหวัดชลบุรี มีสัดส่วน 44.4% ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอศรีราชา อำเภอนิคมเมืองชลบุรี และอำเภอพานทอง ตามลำดับ 3.จังหวัดฉะเชิงเทรา มีสัดส่วน 11.1% ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอบางปะกงอำเภอเมืองฉะเชิงเทราและอำเภอแปลงยาวตามลำดับ   สำหรับแนวโน้มการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินใน 3 จังหวัดEEC ในปี 2563 ศูนย์ข้อมูลฯ คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 17,938 ยูนิต ลดลงจากปี 2562 17.8% โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ประมาณ 16,145-16,938 ยูนิตและลดลงจากปี 2562 ระหว่าง -26.0% ถึง -9.5% ใบอนุญาตสร้างคอนโดฯ พุ่ง 151.6% ภาพรวมในปี 2562 ทั้งปีมีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย มีจำนวนประมาณ 41,949 ยูนิต เพิ่มขึ้น 35.0% เมื่อเทียบกับปี 2561 แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ จำนวน 29,845 ยูนิต เพิ่มขึ้น 14.3% และอาคารชุด จำนวน 11,649 ยูนิต เพิ่มขึ้นมากถึง 151.6%   เมื่อพิจารณารายจังหวัดในพื้นที่ EEC ในปี 2562 จังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยมากที่สุด ได้แก่ 1.จังหวัดชลบุรี มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประมาณ 26,527 ยูนิตคิดเป็นสัดส่วน  63.9% ของการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 17,803 ยูนิต และอาคารชุดจำนวน 8,724 ยูนิตส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอศรีราชา อำเภอเมืองชลบุรี และอำเภอสัตหีบ ตามลำดับ 2.จังหวัดระยอง มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างประมาณ 10,378 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 25.0% โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 7,480 ยูนิต และอาคารชุดจำนวน 2,898 ยูนิต ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองระยอง อำเภอปลวกแดง และอำเภอแกลง ตามลำดับ 3.จังหวัดฉะเชิงเทรา มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างประมาณ 4,590 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 11.1% โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 4,562 ยูนิต และอาคารชุดจำนวน 28 ยูนิต ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา อำเภอแปลงยาว และอำเภอพนมสารคาม   สำหรับแนวโน้มการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด EEC ปี 2563 ศูนย์ข้อมูลฯ คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 35,166 ยูนิต ลดลง 15.3% โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ประมาณ 31,649 -37,275 ยูนิตและขยายตัวลดลงระหว่าง  23.7% ถึง 10.2% เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งมีจำนวน 41,494 ยูนิต โดยคาดว่าจะมีการขออนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยอาคารชุดลดลง 43.7% และที่อยู่อาศัยแนวราบคาดว่าจะลดลง 4.1% จำนวนโอนลดแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น ภาพรวมในปี 2562 ทั้งปี มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย มีจำนวน 50,675 ยูนิต และมีมูลค่า 99,905 ล้านบาท ซึ่งจำนวนยูนิตลดลงเล็กน้อย 0.3%  แต่มูลค่าเพิ่มขึ้น 5.9% เมื่อเทียบกับปี 2561 ซึ่งมีจำนวน 50,825 ยูนิต และมูล่า 94,377 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ จำนวน 36,718 ยูนิต มีมูลค่า 69,316 ล้านบาท และอาคารชุด จำนวน13,957 ยูนิตมีมูลค่า 30,589 ล้านบาท   เมื่อพิจารณารายจังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบมากที่สุด ได้แก่ 1.จังหวัดชลบุรีมีจำนวน 21,888 ยูนิต และมีมูลค่า 45,010 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอศรีราชา บางละมุง และเมืองชลบุรี) 2.จังหวัดระยองมีจำนวน 10,967 ยูนิต และมีมูลค่า 17,381 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองระยอง อำเภอปลวกแดง และบ้านฉาง) 3.จังหวัดฉะเชิงเทรามีจำนวน 3,863 ยูนิต และมีมูลค่า 6,924 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา บางปะกง และบ้านโพธิ์)   ส่วนจังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยอาคารชุดมากที่สุด ได้แก่ 1.จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 12,705 ยูนิต และมีมูลค่า 29,096 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอบางละมุง ศรีราชา และสัตหีบ) 2.จังหวัดระยอง มีจำนวน 711 ยูนิต และมีมูลค่า 963 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองระยอง แกลง และปลวกแดง) 3.จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวน 541ยูนิต และมีมูลค่า 530 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา บ้านโพธิ์ และบางปะกง) ทั้งนี้ ในปี 2562 การโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่ (หรือบ้านที่โอนจากนิติบุคคล) มีจำนวน 28,817 ยูนิต และโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสอง (บ้านที่โอนจากบุคคลธรรมดา) มีจำนวน 21,858 ยูนิต ทำให้สัดส่วนจำนวนยูนิตโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่ต่อบ้านมือสองในปี 2562 เท่ากับ 57: 43 ขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านสร้างใหม่ต่อบ้านมือสองมีสัดส่วน 64: 36 สำหรับแนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด EEC ในปี 2563 ศูนย์ข้อมูลฯ  คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ  44,657 ยูนิตลดลง 11.9%  จากปี 2562โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ประมาณ  40,191 - 49,123 ยูนิต และมีมูลค่า 78,443 ล้านบาท ลดลง 21.5% จากปี 2562 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ประมาณ  70,599 - 86,288 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2562
มั่นคง เดินแผนธุรกิจ 5 ปี รักษาธุรกิจให้โตในภาวะผลกระทบ  Covid-19

มั่นคง เดินแผนธุรกิจ 5 ปี รักษาธุรกิจให้โตในภาวะผลกระทบ Covid-19

มั่นคงเคหะการ เดินหน้าตามแผนธุรกิจ 5 ปี เน้นปรับตัวและรูปแบบการดำเนินงาน รับมือผลกระทบ ไวรัสโควิด-19  ดึงเทคโนโลยีออนไลน์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคปัจจุบัน   แจงไตรมาสแรกของปี 2563 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย สามารถทำยอดขายได้กว่า 500 ล้านบาท ในขณะที่ยอดจอง Pre-Approve และ Backlog เพิ่มขึ้นถึง 80% ด้านธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการ ยังคงมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง  สิ้นปี 2562  รายได้เพิ่มขึ้น 30% เตรียมขายทรัพย์สินกว่า 2,000 ล้านบาท เข้ากองทรัสต์ เพื่อการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงิน นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการจำกัด (มหาชน)  หรือ MK  เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของทุกภาคธุรกิจ ในส่วนของบริษัทได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่มากนัก  เนื่องจากได้เตรียมพร้อมรับมือ และปรับเปลี่ยนแผนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การปรับการทำงานของทีมงาน​ การปรับการขายที่ดึงเอาเทคโนโลยี  Virtual Tour 360 องศา มาใช้  ให้ลูกค้าชมบ้านเสมือนจริงแม้ไม่ได้เดินทางมาที่โครงการ  และยังสามารถเลือกเป็นเจ้าของผ่านช่องทาง Line ได้อีกด้วย   นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าของบริษัท ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และกว่า 70% เป็นลูกค้าไม่ติดภาระสัญญากู้เงินที่อยู่อาศัย ประกอบกับสินค้าของบริษัทอยู่ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท จึงทำให้ได้รับผลกระทบ   ไม่มากหนัก ยิ่งไปกว่านั้นยังออกโปรโมชั่นต่างๆ ที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น ทำให้บริษัทฯ ยังสามารถ   ทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง   "ในไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 500 ล้านบาท ซึ่งหากนับรวมยอดจอง Pre-Approve และ Backlog แล้ว สามารถทำยอดขายคิดเป็น 35% ของเป้าตลอดทั้งปี 2563 และช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทมียอดจอง Pre-Approve และ Backlog  ประมาณ  90 ล้านบาทต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 80%" ส่วนภาพรวมธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการในปี 2562 มีรายได้รวม 530 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปี 2561 เป็นผลจากความแข็งแกร่งของแผนธุรกิจ 5 ปี  ที่มุ่งสร้างสมดุลรายได้เพื่อความมั่นคง  นับว่าเป็นแผนการดำเนินงานของบริษัทซึ่งดำเนินมาถูกทางแล้ว  แม้ในภาพรวมของการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย  จะชะลอตัวไปบ้างด้วยปัจจัยต่างๆ แต่ด้วยแผนธุรกิจของบริษัท ทำให้เรามีรายได้จากธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการ หรือธุรกิจรายได้ประจำเข้ามาเสริมและช่วยรักษาสมดุล   สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน ที่บริหารงานโดย บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด  ยังคงทำผลงานได้ดี ในปี 2562 ที่ผ่านมามีผู้เช่าแล้วกว่า 90% ของพื้นที่เช่า, ธุรกิจโครงการ พาร์ค คอร์ท (Park Court) สุขุมวิท 77 คอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนต์ระดับลักซ์ชัวรี่ไฮเอนด์ให้เช่า ยังสามารถรักษาอัตราเช่าให้อยู่ที่ 80% ของจำนวนห้องเช่าทั้งหมด, ธุรกิจสนามกอล์ฟ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรีคลับ, ธุรกิจบริการด้านดูแลจัดการบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดย บริษัท ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด รวมไปถึงธุรกิจโครงการสถานพยาบาล สถานฟื้นฟู และเวชศาสตร์ชะลอวัย (Wellness Center) ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโต และมีแผนจะเปิดตัวช่วงปลายปี 2563   ในส่วนของหุ้นกู้และตั๋วแลกเงินที่จะครบกำหนดในช่วงปีนี้ บริษัทได้มีการเตรียมแผนการเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้ระดมออกหุ้นกู้ 3 ปี 11 เดือน เป็นจำนวนเงิน 1,565 ล้านบาท  อีกทั้งได้มีการขายทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในแผนพัฒนาในอนาคตอันใกล้เป็นจำนวนเงินกว่า 2,600 ล้านบาทในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากนี้ยังมีทรัพย์สินที่ไม่มีภาระผูกพันอีกมากกว่า 2,500 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ มีความยืดหยุ่นเพื่อใช้เป็นช่องทางในการเสริมสภาพคล่อง สำหรับปีนี้ได้เตรียมที่จะขายทรัพย์สินในส่วนของโรงงานและคลังสินค้าให้เช่ากว่า 130,000 ตารางเมตร มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท เข้ากองทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์  โดยทาง กลต.ได้อนุมัติให้จัดตั้งบริษัทจัดการกองทรัสต์ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และคาดว่ากองทรัสต์จะเสนอขายต่อประชาชนได้ในไตรมาส 3 นี้  ทั้งนี้เมื่อปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (Interest bearing debt ratio) ให้ยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดย ณ สิ้นปี มีสัดส่วนเท่ากับ 1.3 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม   ในปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ท้าทายด้วยปัจจัยหลายๆ ด้าน ทั้งปัจจัยจากไวรัสโควิด-19 และสภาวะเศษฐกิจทั้งหลาย แต่บริษัทยังคงเดินหน้าสานต่อนโยบายสร้างความสมดุลของรายได้  ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายและธุรกิจที่สร้างรายได้  อย่างสม่ำเสมอทั้งเช่าและการบริการ และมุ่งมองหาโอกาสในการพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพ เพื่อขยายในส่วนของธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ ตามแผนการดำเนินธุรกิจ 5 ปี พร้อมขยับสัดส่วนกำไรของทั้ง 2 ฝั่งให้อยู่ที่  50:50 ภายใน ปี 2564 เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นคงให้บริษัทฯ ตามแผนที่วางไว้
5 ไอเดียจัดพื้นที่ทำงาน Work From Home สไตล์ “อิเกีย”

5 ไอเดียจัดพื้นที่ทำงาน Work From Home สไตล์ “อิเกีย”

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่หลายๆ คน ปรับเข้าสู่โหมด Work From Home รวมถึงการรณรงค์ให้ Stay At Home และ Social Distancing เพื่อความปลอดภัย และลดความเสี่ยงจากการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ยิ่งตอนนี้  มีประกาศเคอร์ฟิวด้วย อาจจะทำให้หลายบริษัทและออฟฟิศหลายแห่ง คงให้พนักงานอยู่บ้าน เพื่อทำงานจากที่บ้านกันมากขึ้น   แต่การทำงานที่บ้าน หลายคนอาจจะขาดแรงจูงใจ หรือไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงาน เพราะอยู่บ้านจะมีสิ่งยั่วใจให้ต้องเสียสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นที่นอนนุ่มๆ อาหารอร่อยๆ ที่สั่งมาตุนไว้ หรืออาจจะเป็นซีรีย์เรื่องโปรด ที่เฝ้ารอดู   เพื่อให้การทำงานที่บ้าน หรือ Work Form Home มีประสิทธิภาพเหมือนกับทำงงานที่ออฟฟิศ  ทาง “อิเกีย”  ได้นำเสนอไอเดียการจัดพื้นที่ในบ้าน ให้เป็นมุมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ตามสไตล์และพื้นที่ในบ้าน เพื่อจะได้ Work From Home กันอย่างมีความสุข และมีประสิทธิภาพ   สิ่งที่สำคัญในการทำงานที่บ้านอย่างมีประสิทธิภาพและดีต่อสุขภาพของเราในระยะยาวนั้น เริ่มจาก 1.การจัดตำแหน่งและลักษณะท่านั่งในการทำงานที่เหมาะสม เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงการเกิด office syndrome ซึ่งคำแนะนำในการจัดวางโต๊ะทำงานที่ถูกต้องมีดังนี้ -ตำแหน่งการวางแขนและพนักพิงหลังมีส่วนสำคัญในการรองรับสรีระขณะนั่งทำงาน จึงควรปรับพนักเก้าอี้ทำงานให้ตรง เลือกเก้าอี้ที่นั่งแล้วสบายและรองรับกระดูกสันหลัง โดยให้ที่วางแขนอยู่ในระนาบเดียวกับขอบโต๊ะ หรือใกล้เคียงมากที่สุด เพื่อให้สามารถวางมือและข้อมือลงไปตรงๆ โดยไม่รู้สึกเมื่อยช่วงไหล่ -เมื่อนั่งลงแล้วต้นขาควรจะขนานกับพื้นและวางเท้าบนพื้นได้พอดี หากความสูงของเก้าอี้ไม่ได้ระดับและเท้าลอย ควรใช้ที่วางเท้ามาช่วยรองรับ -หน้าจอคอมพิวเตอร์ควรอยู่ห่างจากตัวหนึ่งช่วงแขน ขอบบนของหน้าจอควรอยู่ระดับสายตาพอดีหรือต่ำกว่าระดับสายตาเล็กน้อย และวางคีย์บอร์ดให้ตรงกับหน้าจอ   เมื่อรู้หลักการจัดวางเฟอร์นิเจอร์และคอมพิวเตอร์แล้ว มาพบกับไอเดียเนรมิตมุมทำงานในฝันให้มีความสุขกับการทำงานยิ่งขึ้นกว่าเดิม   2.เลือกโทนสี Monochrome เรื่องของสีใครว่าไม่มีผลต่ออารมณ์และความรู้สึก สีมีส่วนสำคัญอย่างมาก เพราะสีแต่ละสีต่างให้ผู้ที่พบเห็น มีอารมณ์และความรู้สึกแตกต่างกันไป  หากนำเอาสีมาใช้เป็นกับมุมทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ หรือสิ่งต่างๆ รอบตัว หากเลือกได้ถูกต้อง ก็จะช่วยเสริมทำให้การทำงานได้อย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย   ตัวอย่างเช่น สีขาวและดำ ยังคงเป็นโทนสีคลาสสิก ที่ทำให้มุมทำงานมีความเป็นมืออาชีพ และให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับที่สำนักงาน และยังเป็นระเบียบสะอาดตาอีกด้วย หรือหากตกแต่งห้องในโทนสีเย็นๆ สีหม่นที่ให้ความรู้สึกสบายตา จะช่วยให้มีสมาธิในการทำงานยิ่งขึ้นได้เช่นกัน  3.จัดระเบียบมุมทำงาน การมีโต๊ะทำงาน ที่เป็นระเบียบ ช่วยทำให้การทำงานมีสมาธิ และยังสามารถหาสิ่งของ อุปกรณ์สำนักงานต่างๆ ที่ต้องใช้ได้ง่าย การทำให้โต๊ะทำงานมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยจึงเป็นสิ่งจำเป็น  หากมีอุปกรณ์สำนักงานเยอะ หรือกองเอกสารจำนวนมาก  ลองจัดหาอุปกรณ์จัดเก็บ เข้ามาช่วยจัดการให้ทุกอย่างเป็นระเบียบ ประเภทกล่องเก็บของ หรือชั้นจัดเก็บสิ่งของแบบติดผนัง ช่วยให้มุมทำงานมีความเรียบร้อย เติมความคิดสร้างสรรค์ในการตกแต่งมุมทำงาน   การตกแต่งหรือเลือกใช้อุปกรณ์ช่วยจัดระเบียบ  ยังสามารถบ่งบอกความเป็นตัวตน หรือบอกสไตล์ของคนทำงานได้ด้วย เพราะเดี๋ยวนี้อุปกรณ์ต่างๆ มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งวัสดุที่นำมาใช้ รวมถึงสีสันต่างๆ ก็มีให้เลือกมากมาย   ตัวอย่าง ห้องทำงานพนักงานสายไอที สำหรับคนทำงานในสายงานที่ต้องใช้อุปกรณ์หลายอย่าง เช่น งานสายช่างภาพ นักออกแบบ ควรมีพื้นที่ให้กับอุปกรณ์ต่างๆ และไม่วางของตกแต่งอื่นๆ มาปะปนกัน ลองหาโต๊ะหน้ากว้างเพื่อจัดวางอุปกรณ์หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ต้องใช้เพิ่มเติม และควรจัดมุมเสียบปลั๊กอุปกรณ์ต่างๆ ให้เป็นระเบียบ    4.มุมสร้างแรงบันดาลใจ สำหรับสายงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์เป็นพิเศษ  ลองนำสิ่งต่างๆ รอบตัวที่เป็นแรงบันดาลใจ หรือสิ่งที่เห็นแล้วมีความสุขมาใส่กรอบแล้วตกแต่งผนัง อาจเติมโคมไฟเพื่อกระตุ้นความคิด รวมถึงอาจเลือกใช้โต๊ะไม้เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย ก็เป็นไอเดียที่ทำได้ไม่ยาก   หรือแม้พนักงานสายอาชีพทั่วไป ก็สามารถหาของที่ชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นของสะสม หรือของที่เห็นแล้วมีความสุขนำมาตกแต่ง ประดับโต๊ะทำงาน เพื่อให้หลังจากเคร่งเครียดอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์  หรือกองเอกสารต่างๆ จำนวนมากแล้ว หันไปมองหรือเห็นสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ นอกจากจะเป็นการพักสายตาแล้ว ยังช่วยให้เกิดความสุขกับสิ่งของที่รักได้อีกด้วย  5.เลือกวิวที่เหมาะ เวลาทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ หรือการต้องอ่านเอกสารกองโต เราจำเป็นต้องพักสายตา เพื่อดูแลสุขภาพดวงตา และยังทำให้ไม่เหนื่อยล้าจากการทำงานด้วย  ดังนั้น การเลือกมุมทำงาน หากเป็นไปได้ควรเลือกอยู่ในมุมที่ใกล้กับวิวนอกห้องบ้าง เพื่อให้เห็นบรรยากาศของภายนอก อาจจะมองเห็นต้นไม้สีเขียว หรือวิวเมืองทั่วไป   การจัดโต๊ะทำงานใกล้หน้าต่างที่เห็นทิวทัศน์ภายนอก จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยหรือมองข้าม แต่ก็ต้องมั่นใจว่าแสงแดดช่วงเที่ยงและบ่ายจะไม่กระทบสายตาของคุณโดยตรง ควรเลือกมุมที่หันหลังหรือหันข้างให้แสง หรือหากอยู่ในคอนโดฯ ลองเลือกจัดมุมทำงานที่ข้างหน้าต่างหรือใกล้ระเบียงห้อง ให้ความรู้สึกที่ปลอดโปร่งความคิดแล่นเร็วสามารถทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างได้ เพราะจะดีทั้งสุขภาพดวงตา และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้มากขึ้น   อีกสิ่งที่ไม่ควรละเลย คือ การใกล้ชิดธรรมชาติด้วยสีเขียว การตกแต่งมุมทำงานด้วยไม้ประดับที่ดูแลง่าย และเป็นเครื่องกรองอากาศแบบธรรมชาติไปในตัว อาทิ ลิ้นมังกร พลูด่าง ว่านหางจระเข้ เดหลี สับปะรดสี กล้วยไม้ จั๋ง และเฟิร์น เป็นต้น ทั้งยังเอาไว้พักสายตามามองสีเขียว เมื่อเริ่มรู้สึกตึงเครียดจากการทำงาน นี่คงเป็น 5 Tips ง่ายๆ ทำได้ไม่ยาก แถมยังสร้างบรรยากาศ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับพนักงานออฟฟิศ และผู้ที่ต้อง Work From Home ในช่วงบรรยากาศเคอร์ฟิว และโลกภายนอกยังเต็มไปด้วยไวรัสโควิด-19 เป็นกำลังใจให้กับทุกคนผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” เราจะรอดไปด้วยกัน    
บทวิเคราะห์ ไวรัส “โควิด-19” กับก้าวย่างที่ไม่ง่ายของอสังหาฯไทย

บทวิเคราะห์ ไวรัส “โควิด-19” กับก้าวย่างที่ไม่ง่ายของอสังหาฯไทย

สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หรือ ไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลอย่างมากต่อทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ทั้งนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นภาคเศรษฐกิจหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก คำถามที่อยู่ในใจของเรา คือ “แล้วภาคอสังหาริมทรัพย์จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร”   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า  คำถามนี้เป็นคำถามที่ไม่มีใครทราบคำตอบที่แน่นอน แต่ในเบื้องต้นลองมาพิจารณาข้อมูลล่าสุด ของศูนย์ข้อมูลฯ  กัน เนื่องจากจะเป็นโจทย์ที่สำคัญในการขับเคลื่อนภาคอสังหาฯ ด้านที่อยู่อาศัยในปี 2563 ยอดขายใหม่ลดฮวบ ! 30% จากข้อมูลการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยจาก 26 จังหวัดหลักทั่วประเทศ  ของศูนย์ข้อมูลฯ ที่สรุปตัวเลขเบื้องต้นออกมา พบว่า “ยอดขายได้ใหม่” ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 ขายได้ประมาณ 54,000 ยูนิต ลดลงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ  30% และยังพบว่ามีการปรับตัวลดลงของ “อัตราการดูดซับ” เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  โดยลดลงเหลือ 2.54% จาก 4.11% ในปีก่อน ภาวะเช่นนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่า สถานการณ์ด้านการขายอสังหาฯ ด้านที่อยู่อาศัยครึ่งหลังของปี 2562 มีการชะลอตัวที่ชัดเจน หลังจากที่มีการใช้มาตรการตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 ก็มีภาวะที่ชะลอตัวเช่นกัน  ส่งผลให้สถาบันการเงินมีการเข้มงวด การพิจารณาการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น   ประเด็นที่มีการจับตามองของทุกภาคส่วนคือ ปริมาณที่อยู่อาศัยเหลือขาย โดยผลการสำรวจพบว่า “ยูนิตที่อยู่อาศัยเหลือขาย” ทั่วประเทศ ณ สิ้นปี 2562 มีประมาณ 300,000 ยูนิต ซึ่งมีจำนวนยูนิตเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนประมาณ 10% ทั้งที่การเปิดตัวของโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2562 ลดลงกว่าปีก่อนหน้าถึงประมาณ 20% นับว่าเพิ่มมากกว่าที่ศูนย์ข้อมูลฯ ได้คาดไว้ ซึ่งประเด็นสำคัญคงเป็นผลมาจากภาวการณ์ของตลาดดังเช่นที่กล่าวมาข้างต้น   หากพิจารณาแยกสถานะของการก่อสร้างของที่อยู่อาศัยเหลือขาย พบว่ามี “ยูนิตเหลือขายที่สร้างเสร็จแล้ว” ประมาณ 68,000 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนประมาณ 12% แต่หากมองแยกประเภทที่อยู่อาศัยจะเห็นได้ว่ามี “อาคารชุด (คอนโดมิเนียม) เหลือขายที่สร้างเสร็จแล้ว” เพียงประมาณ 30,000 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนเพียง 2% ซึ่ง 2 ใน 3 อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล จึงอาจกล่าวได้ว่าไม่ผิดปกติอะไร โดยอาคารชุดที่สร้างเสร็จเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากโครงการที่ทยอยก่อสร้างเสร็จตามแผน   ดังนั้น จึงอาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ยูนิตเหลือขายที่สร้างเสร็จแล้ว ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นบ้านแนวราบ โดยจำนวนรวม 38,000 ยูนิต มีการเพิ่มสูงกว่าปีก่อนถึง 21% ตามกระแสของการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันที่ผู้ประกอบการทุกค่ายมุ่งไปสู่ Real Demand กันเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับตัวเลขนี้ในการวางแผนทางธุรกิจอย่างมาก เพราะจะกระทบต่อสภาพคล่องและต้นทุนในการประการ   อย่างไรก็ตาม เรายังต้องให้ความสำคัญกับ “ยูนิตเหลือขายที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง” อีกประมาณ 98,000 ยูนิต ที่เป็นอาคารชุดประมาณ 47,000 ยูนิต ซึ่งประมาณ 3 ใน 4 อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล  และบ้านแนวราบประมาณ 51,000 ยูนิต ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยยูนิตเหลือขายเหล่านี้อยู่กำลังก่อสร้าง และกำลังจะเสร็จในอีก 1 – 2 ปีข้างหน้า ซึ่งผู้ประกอบการต้องทำการขายให้ได้ก่อนที่จะก่อสร้างเสร็จ และนี่คืออีกหนึ่งภาระที่หนักอึ้งของผู้ประกอบการภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน ที่มีสถานการณ์โรคระบาด และภาวะเศรษฐกิจที่กำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ยอดโอนทั่วประเทศขยายตัว 2.7% ในภาวะที่ดูเหมือนว่าการขายในตลาดที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน  ยังดูซบเซาลงอย่างมาก แต่ยังมีสัญญานที่ดีในเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ จะเห็นได้ว่าในปี 2562 ตัวเลขยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศยังคงขยายตัวอยู่ประมาณ 2.7% และมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์กลับสูงถึง 4.3% โดยเป็นการขยายตัวของยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์จากบ้านแนวราบถึง 4.4% ส่วนอาคารชุดแทบจะไม่ลดลงเลย คือลดลงเพียง 0.6% เท่านั้น สำหรับยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในเดือนมกราคม 2563 ก็ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ซึ่งมียอดลดลงเพียง 0.5% เท่านั้น แต่มีมูลค่าสูงขึ้น 3.9% โดยยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านแนวราบขยายตัว2.8% แต่ยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดมีการเคลื่อนไหวลดลง  6.9% ซึ่งส่วนใหญ่ลดลงจากการโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติเนื่องจากภาวะโรคระบาดไวรัส COVID-19 สิ่งนี้ได้สะท้อนให้เห็นได้ว่า การโอนกรรมสิทธิ์ของคนในประเทศของเรายังแข็งแรง และจะเป็นแรงขับเคลื่อนภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยต่อไป   สำหรับสถานการณ์โอนกรรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ  ในภาพรวมทั้งปี 2563 ซึ่งได้รับผลกระทบที่รุนแรง จากไวรัส COVID-19 และส่งผลรุนแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ อาจส่งผลให้ภาพรวมยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ลดลงในช่วงประมาณ 333,000 – 312,000 ยูนิต หรือลดลง 11.1% ถึง 16.7% และมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ลดลงในช่วงประมาณ 755,000 – 726,000 ล้านบาท หรือลดลง 13.8% ถึง 17.1% ซึ่งจะมียูนิต ที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อนหน้า แม้ว่ายังคงมีนโยบายกระตุ้นภาคอสังหาฯ ในการลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าจดจำนองให้เหลือประเภทละ 0.01% อยู่ถึงปลายปี   อย่างไรก็ตาม จากแนวทางเชิงนโยบายของรัฐบาล ที่จะใช้ภาคอสังหาฯ เป็นเครื่องจักรสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว เนื่องจากสามารถสร้างการจ้างงานได้จำนวนมากแล้ว ทำให้เชื่อว่า รัฐบาลจะออกนโยบายและมาตรการใหม่ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา หลังจากภาวการณ์แพร่ระบาดในภาวะวิกฤต  ในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน 2563 ได้ผ่านไป แนะรัฐกระตุ้น Real Demands ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลฯ ขอสนับสนุนนโยบายต่างๆ ที่ผ่านมาของรัฐบาล และขอเสนอเป็นแนวทางเพื่อพิจารณาเพิ่มเติมในการเสริมสร้างให้ภาคอสังหาฯ  กลับมาแข็งแรง โดยมีความเห็นว่าการสร้าง Demand ใหม่ๆ เข้ามาหนุนเสริมตลาดเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยส่งเสริมให้กลุ่มที่มีกำลังซื้อและมีเงินเก็บ นำเงินออกมาลงทุนในการซื้อที่อยู่อาศัย ในภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำมากในปัจจุบัน  พร้อมไปกับการเสริมสร้างแรงจูงใจและความมั่นใจให้กับ Real Demands เข้ามาซื้อที่อยู่อีกครั้งหนึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อเป็นการระบาย Supply ส่วนเกินออกไปได้เร็วขึ้น   การกระตุ้นให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยชาวไทย โดยพิจารณาพิจารณาเลื่อนการใช้มาตรการ  Macroprudential และสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้ของประชาชนให้ง่ายขึ้น นับเป็นปัจจัยสำคัญ และสำหรับกลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติ อาจพิจารณาเร่งการโอนกรรมสิทธิ์ โดยใช้มาตรการจูงใจในด้านวีซ่าเพื่อการอยู่อาศัย และการลดค่าธรรมเนียมบางประการในช่วงสั้นๆ ประกอบกัน การย่างเท้าเพื่อก้าวเดินหน้าแต่ละก้าวของภาคอสังหาริมทรัพย์ในวันนี้นับเป็นเรื่องที่ยาก แต่เมื่อย่างก้าวแรกไปให้ได้แล้ว ก้าวต่อไปจะง่ายขึ้น เนื่องจากโมเมนตั้มของระบบเศรษฐกิจจะผลักผลักดันให้การขับเคลื่อนไปได้อย่างลื่นไหลได้อย่างดี ขอให้กำลังใจต่อผู้ประกอบการอวังหาริมทรัพย์ทุกบริษัท และขอให้มีความอดทนและรอบคอบกับสถานการณ์เช่นนี้ แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน  
เดินหน้าเปิด “ดอง ดอง ดองกิ” สาขา 2 ตามแผน ใหญ่สุดในไทย-ไม่หวั่นไวรัสโควิด-19

เดินหน้าเปิด “ดอง ดอง ดองกิ” สาขา 2 ตามแผน ใหญ่สุดในไทย-ไม่หวั่นไวรัสโควิด-19

ดองกิ เปิดสาขา 2  เป็นสาขาแฟลกซิพ พร้อมขนทัพสินค้าอุปโภคบริโภคกว่า 13,000 รายการ ให้คนไทยได้ช้อป เดินวางมาตรการ “สะอาด ปลอดภัย มั่นใจได้”  รับมือไวรัสโควิด-19   นาย ชิมานุกิ โยซูเกะ ประธานกรรมการ บริษัท ดองกิ ทองหล่อ จำกัด เปิดเผยว่า ได้เปิดให้บริการดอง ดอง ดองกิ เดอะ มาร์เก็ต (DON DON DONKI The Market)  ที่สาขา THe market bangkok ถือเป็นสาขาที่ 2 ที่เปิดให้บริการในประเทศไทย โดยเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา  ถือเป็นสาขาแฟลกซิพขนาดใหญ่ในประเทศไทย (THE BIGGEST FLAGSHIP STORE IN THAILAND)  บนเนื้อที่ประมาณ 4,000 ตารางเมตร โดยมีสินค้าอุปโภคบริโภควางจำหน่ายกว่า 13,000 รายการ โดยบริษัทได้ดำเนินการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคมาล่วงหน้าหลายเดือน เพื่อเตรียมเปิดให้บริการ ดอง ดอง ดองกิ เดอะ มาร์เก็ต ตามแผนงานภายในไตรมาสแรกของปีนี้  ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัส covid-19 จนกระทั่งรัฐบาลได้ประกาศมาตรการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ขึ้น   ทางบริษัทฯ จึงได้ปรึกษาคณะทำงานร่วมกันแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ ทางบริษัทฯ จึงเห็นพ้องต้องกันว่า พร้อมขอประกาศยืนยันที่จะเปิดให้บริการ “ดอง ดอง ดองกิ สาขาเดอะ มาร์เก็ต” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการกระจายสินค้าถึงมือผู้บริโภค ด้วยความพร้อมด้านการจัดจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็น อาหารสด เนื้อสัตว์ ผักผลไม้ อาหารญี่ปุ่นปรุงสำเร็จแบบ Take away อาหารแห้ง อาหารสำเร็จรูป ของใช้เพื่อรักษาความสะอาดต่างๆ รวมถึงสินค้าเบ็ดเตล็ดต่างๆ โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น   นอกจากนี้ยังเปิด SHOP IN SHOP แบรนด์ “โจเนทซึ คาคาคุ” แห่งแรกในประเทศไทย จำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าเบ็ดเตล็ดที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตภายใต้การควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานโดย กลุ่มบริษัท PPIH ซึ่งเป็นบริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่น สำหรับการเปิดให้บริการ ดอง ดอง ดองกิ เดอะ มาร์เก็ต ภายใต้สถานการณ์ป้องกันการแพร่ระบาดไวรัส COVID-19 ที่ทางรัฐบาลได้ประกาศไปนั้น ทางบริษัทได้ยึดแนวทางตามประกาศของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด และเพื่อเป็นการป้องกันสูงสุดให้กับลูกค้าและพนักงานทุกคน จึงเพิ่มมาตรการพิเศษ ได้แก่ 1.จำกัดทางเข้าออกของลูกค้าให้เหลือเพียงประตูเดียว 2.ตรวจวัดอุณหภูมิลูกค้าและพนักงานทุกคนบริเวณทางเข้า-ออก 3.จำกัดจำนวนลูกค้าในการเข้าซื้อแต่ละรอบตามความเหมาะสม 4.จัดเตรียมจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ 5.เช็ดทำความสะอาดตะกร้าสินค้า แคชเชียร์ จุดบริการอาหาร ตลอดจนบริเวณจุดสัมผัสสาธารณะ พื้นทางเดิน ด้วยน้ำยา  ฆ่าเชื้ออย่างสม่ำเสมอ 6.พนักงานผู้ให้บริการทุกคนต้องได้รับการตรวจสุขภาพ ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา สำหรับผู้ประกอบอาหารจะต้องสวมถุงมือและล้างมืออย่างสม่ำเสมอด้วย 7.ให้พนักงานล้างมือทุกครั้งก่อนและหลังสัมผัสอุปกรณ์สิ่งของ เครื่องใช้ ที่มีผู้สัมผัสจำนวนมาก 8.จำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จสำหรับนำไปบริโภคที่อื่น (Take away) เท่านั้น  
เปิดแผนธุรกิจ ไรมอน แลนด์ ลุยตลาดเชิงรุก สู้วิกฤตโควิด-19

เปิดแผนธุรกิจ ไรมอน แลนด์ ลุยตลาดเชิงรุก สู้วิกฤตโควิด-19

ไรมอน แลนด์ กางแผนธุรกิจปี 63 ปฏิวัติโครงสร้างธุรกิจ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ทำการตลาดเชิงรุก เน้นอสังหาฯ เพื่อการลงทุน ในคอนโดฯ ปล่อยเช่าเป็นเซอร์วิส อพาร์ตเม้นท์ และจับตลาดคอนโดฯ ระดับลักซ์ชัวรี่ พร้อมเพิ่มรายได้จากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม    นายไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว  และตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2563 มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบในทางลบ  ในระยะสั้นถึงระยะกลาง ซึ่งแผนธุรกิจในปีนี้ บริษัทจะปรับกลยุทธ์ในการรับมือกับผลกระทบของไวรัสโควิด-19โดยไม่เน้นการกระจายการลงทุน  ขณะเดียวกันได้เน้นให้ความสำคัญในการดูแลพนักงาน นักลงทุน และลูกค้า ควบคู่ไปด้วย   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปีนี้จะมีปัจจัยลบมากมาย แต่ยังมีปัจจัยบวกให้เห็นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอัตราดอกเบี้ยต่ำ และมีแนวโน้มลดดลง  มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของรัฐบาล การผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งอาจเป็นปีที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนที่มีความพร้อม. และเน้นการลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว  เพราะเป็นโอกาสดีที่จะได้ลงทุนในอสังหาฯ ที่ถูกลง มีโอกาสรับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ทั้งในแง่ของการเพิ่มขึ้นของราคาในอนาคต ตลอดจนรายได้จากให้เช่า แผน ไรมอนแลนด์ เน้นทำตลาดเชิงรุก โดยกลยุทธ์การทำธุรกิจของบริษัทในปีนี้ มุ่งเน้นการทำตลาดเชิงรุก (Strategic Marketing) สร้างโอกาสการเติบโตในธุรกิจหลัก  โดยบริษัทออกโปรดักส์ สำหรับการลงทุนในคอนโดฯ​เพื่อปล่อยเช่า ในโครงการคอนโดฯ ระดับลักซ์ชัวรี่ บนทำเลใจกลางเมือง อาทิ เดอะ ลอฟท์ อโศก (The Lofts Asoke) เดอะ ดิโพลแมท 39 (The Diplomat 39) และ  เดอะ ดิโพลแมท สาทร (The Diplomat Sathorn) ภายใต้การบริหารงานจาก Klapsons The River Residences Bangkok  และบริษัท อสังหา เรียลตี้ บริษัทย่อยของ RML ขณะเดียวกัน บริษัทวางแผนส่งเสริมการขายผ่านช่องทาง Online ด้วยกลยุทธ์ O2O (Online to Offline) เพื่อให้ลูกค้าสามารถรับชมโครงการระดับลักซ์ชัวรี่ผ่านระบบ Online ก่อนตัดสินใจเข้าชมโครงการจริง เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อและเข้าถึงลูกค้าโดยตรง และในช่วงสถานการณ์ปัจจุบัน. ยังเป็นช่องทางที่สามารถสร้างความปลอดภัยด้านสุขภาพให้กับลูกค้าอีกด้วย ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลักดันยอดขายโครงการได้เพิ่มมากขึ้น โควิด-19 พ่นพิษ เลื่อนเปิดโรงแรมครึ่งปีหลัง สำหรับแผนการเปิดโครงการใหม่  บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการคอนโดฯ ระดับลักซ์ชัวรี่  1โครงการ บนถนนสุขุมวิท ซอย 38  โดยเป็นการร่วมทุนกับโตเกียว ทาเทโมโนะ (Tokyo Tatemono) ซึ่งเป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่และก่อตั้งมาอย่างยาวนานในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งโครงการดังกล่าว ถือเป็นโครงการที่ 3 ในการร่วมทุนกับโตเกียว ทาเทโมโนะ   ด้านธุรกิจสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ประกอบด้วย ธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจโรงแรม ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 บริษัทจึงเลื่อนเปิดตัวโรงแรม HOTEL KITCH จากเดิมในเดือนเมษายน 2563 เป็นช่วงครึ่งปีหลังแทน โดยโรงแรมHOTEL KITCH เป็นคอนเซ็ปต์ใหม่และบริหารโรงแรมด้วยตนเอง จำนวน 72 ห้อง และมีแผนจะเปิดตัวโรงแรมใหม่อีก 1 แห่ง ตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิท จำนวน 300 ห้อง เน้นคอนเซ็ปต์ที่ทันสมัยโดยการใช้เทคโนโลยีมานำเสนอ เล็งจับมือพันธมิตร ลุยธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ( Food & Beverage ) เพื่อจัดการความเสี่ยงของธุรกิจ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการวางแผนในการวางกลยุทธ์ใหม่ของร้านอาหารบ้านหญิง และกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจ F&B ซึ่งหากมีรายละเอียดแผนงานที่แน่ชัดจะแจ้งให้ทราบในลำดับต่อไป ขณะที่ตัวเลขยอดขายรอโอน (Backlog) ของบริษัททั้งหมด ณ สิ้นปี 2562 มีมูลค่ารวม 8,010.5 ล้านบาท   ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป ขณะที่ในปีนี้ยอดโอนส่วนใหญ่มาจากโครงการ The Lofts Silom ที่คาดว่าลูกค้าจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ต้นปี ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 80%  บริษัทจะยังลงทุนในการทำกลยุทธ์ทางการตลาดในการสร้างแบรนด์ ไรมอน แลนด์ ในฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ   บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ นักลงทุน และลูกค้าของเรา ให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปพร้อม ๆ กัน  
แสนสิริ ทำยอดขายไตรมาสแรก 11,000 ล้าน เดินหน้าบุกทำตลาดออนไลน์ต่อ

แสนสิริ ทำยอดขายไตรมาสแรก 11,000 ล้าน เดินหน้าบุกทำตลาดออนไลน์ต่อ

แสนสิริโชว์ยอดขายไตรมาสแรก ทำยอดพุ่ง 11,000 ล้าน  คิดเป็น 40%  ของเป้ารวมทั้งปี 63   ประกาศลุยต่อไตรมาส 2 ขนอสังหาฯ พร้อมอยู่ทำตลาด และขายผ่านทุกช่องทาง     นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขายไตรมาสแรกของปี 2563 ได้สูงถึง 11,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นยอดขายที่สูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้ และคิดเป็นการสร้างยอดขายได้ถึง 40% จากเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่วางไว้ 29,000 ล้านบาท เป็นการสร้างยอดขายที่ประสบความสำเร็จและรวดเร็วได้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้  รวมทั้งยังเติบโตขึ้นเกือบ 70% จากช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ความสำเร็จของยอดขายดังกล่าว เป็นผลมาจากแสนสิริเป็น “แบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน” ที่ได้รับรางวัลผู้นำแบรนด์อสังหาฯ ทรงพลังที่สุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากผลการวิจัยเชิงลึกของ Terra BKK นอกจากนี้ ยังรวมถึงการบริการ ทั้งในส่วนของ Sansiri Service ที่ให้บริการทั้งก่อนและหลังการขาย  LIV-24  การบริการที่ดูแลความปลอดภัยส่งตรงจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง มาตรฐานแสนสิริ พร้อมเจ้าหน้าที่พร้อมดูแลทุกจุดในโครงการ  การให้สิทธิพิเศษจากแสนสิริ แฟมิลี่  รวมถึงภาพรวมดีมานต์ที่อยู่อาศัยที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง   ขณะเดียวกัน บริษัทยังประสบความสำเร็จ จากการนำเสนอขายหุ้นกู้มูลค่า 4,000 ล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้มีสภาพคล่องที่สูงจากการนำเงินทุนที่ได้มาพัฒนาโครงการใหม่อย่างมีประสิทธิภาพและขยายการลงทุนได้อย่างเต็มที่  รวมถึงบริษัทยังมี Presale Backlog ที่พร้อมเป็นยอดขายที่สำคัญให้กับแสนสิริในปีนี้และรองรับการเติบโตระยะยาวใน 4 ปี อีกถึง 49,100 ล้านบาท   สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาส 2 บริษัทยังมีโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมเข้าอยู่ในทุกรูปแบบ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม มิกซ์โปรดักส์ และคอนโดมิเนียม ที่ครอบคลุมในทุกระดับราคา เริ่มตั้นตั้งแต่ 990,000 บาท ขณะเดียวกันยังได้เตรียมพร้อม และมีมาตรการป้องกัน เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าในการเข้ามาใน Sale Gallery ของแสนสิริ   ส่วนในไตรมาสที่ 2 บริษัทได้เตรียมเปิดตัวแคมเปญใหม่  ที่จะช่วยกระตุ้นตลาดและตอบรับกลุ่มลูกค้าได้ดีเช่นเดียวกับไตรมาสแรก รวมถึงการรุกการขายในทุกช่องทาง โดยได้เตรียมต่อยอด “24 Hrs. Pre-Sale Online Booking” พรีเซลแบบออนไลน์เรียลไทม์ 100%  ครั้งแรกในไทย ที่ประสบความสำเร็จจากการนำร่องเปิดขายที่โครงการ เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค ในสัปดาห์ที่ผ่านมา   โดยลูกค้าสามารถเลือกซื้อโครงการคุณภาพพร้อมอยู่ด้วยตนเอง ผ่านช่องทางออนไลน์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง สะดวก ง่าย ปลอดภัย และคุ้มค่า ด้วยระบบติดต่อและรับคำปรึกษาจากที่ปรึกษาการขาย Online Agent ผ่าน Live Chat หรือ VDO Call รวมถึงเจ้าหน้าที่คอยดูแลและให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโครงการ ระบบธุรกรรมการเงิน ที่สามารถชำระเงินจองผ่านบัตรเครดิตที่มีความปลอดภัยสูง โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม   แสนสิริ ยังขนทัพโครงการพร้อมอยู่อีก 10 โครงการ ใน 10 สุดยอดทำเล ให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อและชมโครงการได้ทาง Sansiri 24 Online Booking พร้อมโปรโมชั่นพิเศษลุ้นรับส่วนลดสูงสุดถึง 1 ล้านบาท โดยแสนสิริ ได้เริ่มนำเอาเทคโนโลยีออนไลน์  เข้ามาทำการตลาดเพื่ออำนวยความสะดวก และตอบโจทย์พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกค้า ในปี 2552  ซึ่งเริ่มนำ Digital Sales Kit มาใช้  รวมถึงพัฒนา Home Service Application ขึ้น และยังขยายฐานการตลาดเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ สู่แพลตฟอร์มอื่น โดยร่วมกับลาซาด้าเปิด “แสนสิริ ออฟฟิเชียล สโตร์ บน LazMall” ที่ปัจจุบันสร้างยอดขายแล้วกว่า 100 ล้านบาท   ก่อนหน้านี้ แสนสิริ ได้เปิดบริการ Online Booking สำหรับลูกค้าที่สนใจจองโครงการเป็นรอบพิเศษที่ทำควบคู่กับกลยุทธ์การตลาดโปรโมชั่นและราคาที่ดึงดูดเปิดการขายผ่านช่องทางออนไลน์มาแล้วหลายโครงการ อาทิ kawa HAUS, oka HAUS, EDGE Central Pattaya และ THE BASE Phetkasem โดยทุกโครงการมียอดจองมากกว่า 90% ของจำนวนที่เปิดจอง   สำหรับแนวทางการเตรียมความพร้อมรับมือ Covid-19 บริษัทโดยได้ผนึก พลัส พร็อพเพอร์ตี้  วางมาตรการเน้นย้ำความปลอดภัยและสุขอนามัยของลูกบ้าน ลูกค้า พนักงานและพันธมิตร ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญ โดยชูแนวทาง “Sansiri Care เพราะเราห่วงใย” เตรียมความพร้อมในการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยยกระดับ 3 มาตรการแบบเต็มขั้น ได้แก่   -มาตรการการป้องกัน การดูแล และการรับมือ ครอบคลุมทั้งในด้านความสะอาด -การอำนวยความสะดวกและเตรียมพร้อมรับมือ -การจัดตั้งทีมงานศึกษาและติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิด  
พฤกษาปรับกลยุทธ์การขายสู้โควิด-19 ลุยทุกช่องทางออนไลน์  พร้อมอัดแคมเปญพิเศษดันยอดขาย

พฤกษาปรับกลยุทธ์การขายสู้โควิด-19 ลุยทุกช่องทางออนไลน์ พร้อมอัดแคมเปญพิเศษดันยอดขาย

พฤกษา ลุยตลาดออนไลน์ สู้โควิด-19 ที่ทวีความรุแรง พร้อมจับตาสถานสถานการณ์รายววัน เดินหน้าอัดสารพัดแคมเปญและโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย    นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีความรุนแรงขึ้น ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นรายวัน บริษัทฯ จึงได้เร่งปรับกลยุทธ์การขายโดยเน้นในทุกช่องทางออนไลน์ และมีการจัดแคมเปญพิเศษเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ และเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของลูกค้าในช่วงนี้   ไม่ว่าจะเป็น   -Online Booking กดจองซื้อบ้านได้ง่ายๆ ตลอด 24 ชม. ผ่าน pruksa.com ที่มีการคัดยูนิตสวย ทั้งทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว คอนโด หลายหลายทำเล ในราคาและเงื่อนไขสุดพิเศษ (Hot Deals) โดยลูกค้าสามารถจองโครงการ และชำระเงินด้วยบัตรเครดิตผ่านระบบ Online ได้ทันที   -จัดแคมเปญพิเศษร่วมกับ Shopee เพียงซื้อ Voucher สำหรับจองโครงการพลัมคอนโด พหลโยธิน 89  ในราคา 4,000 บาท จะได้รับส่วนลดราคาห้อง  10% สำหรับยูนิตที่ร่วมรายการ โดยสามารถซื้อ Voucher ได้ตั้งแต่วันนี้  - 30 เมษายน  2563  พิเศษ !! รับเพิ่มทองคำมูลค่าสูงสุด 2 บาท เพียงโอนในภายใน 31 พฤษภาคม 2563   -ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมโครงการผ่าน Facebook Live : Pruksa family club ที่เสมือนชมโครงการด้วยตนเอง และสามารถจองผ่านช่องทางออนไลน์ได้เช่นกัน   -เพิ่มช่องทางการขายผ่านแอพลิเคชั่น Line พร้อมทีมเซลล์คอยซัพพอร์ตผ่าน Live เมื่อต้องการชมห้องตัวอย่างจริง   -บริการผ่อนดาวน์ชำระค่างวดบ้านผ่าน The Living App โดยสามารถเช็คจำนวนงวดผ่อนชำระคงเหลือ พร้อมรับใบเสร็จผ่าน App ได้ทันที     สำหรับลูกค้าที่สนใจเข้าชมโครงการที่สำนักงานขายด้วยตนเอง ยังสามารถเข้าชมโครงการได้ตามตามเวลาทำการปกติ จนกว่าจะมีคำสั่งการเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาล โดยบริษัทฯ มีมาตรการรับมือกับไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มข้น โดยคำนึงถึงสุขอนามัยของลูกค้าและพนักงานเป็นสำคัญ   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีบริการให้คำปรึกษาในด้านของการขอสินเชื่อรวมถึงการวางแผนทางการเงินเพื่อให้ลูกค้าทุกคนสามารถมีบ้านได้ในช่วงสถานการณ์นี้  ลูกค้าสามารถนัดหมายเข้าเยี่ยมชมโครงการและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่าน Contact Center โทร. 1739 หรือ ผ่าน www.pruksa.com ได้ตลอด 24 ช.ม.  
เมื่อ Work From Home อาจไม่เวิร์คกับบางคน :  วิเคราะห์ผลกระทบจากการเว้นระยะห่างทางสังคม

เมื่อ Work From Home อาจไม่เวิร์คกับบางคน :  วิเคราะห์ผลกระทบจากการเว้นระยะห่างทางสังคม

  ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างพยายามใช้มาตรการหลายๆ อย่างในการระงับ การแพร่ระบาดของผู้ติดเชื้อ กลยุทธ์หลักอย่างหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ คือ การเว้น ระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)   (เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2020 ทาง WHO ได้แนะนำให้ใช้คำว่า Physical Distancing แทนคำว่า Social Distancing เพราะมีคามหมายตรงตัวมากกว่า แต่เนื่องจากเราอาจคุ้นเคยกับคำว่า Social Distancing ในช่ววงที่ผ่านมามากกว่า ในบทคามนี้จึงขอใช้คำว่า Social Distancing  และการเว้นระยะห่างทางสังคมก่อน) สถานบริการ สถานศึกษาหลายๆ แห่ง ปิดตัวชั่วคราว เอกชนหลายแห่งก็เริ่มให้มีการทำงานที่บ้าน (Work From Home)   การลดการพบปะและทำงานที่บ้าน ดูจะไม่ได้เป็นเรื่องแย่สำหรับใครหลาย คน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนและธุรกิจจำนวนมาก ที่ไม่สามารถทำงานที่บ้านได้ ในบทความนี้เราได้ทำการวิเคราะห์ว่า ผู้ได้รับผลกระทบเป็นใครบ้าง โดยในส่วน แรกของบทความจะอธิบายเกี่ยวกับการเว้นระยะห่างทางสังคมโดยสังเขป และแสดงให้เห็นถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยใช้เหตุการณ์ SARS ที่ฮ่องกงและ 9/11 ที่สหรัฐฯ เป็นกรณีศึกษา Social Distancing คืออะไร และทำไมถึงจำเป็นในเวลานี้? Social Distancing หรือ การเว้นระยะห่างทางสังคม คือ มาตรการสาธารณสุข เพื่อยับยั้งการแพร่โรคระบาดไปยังผู้คนจำนวนมาก เช่น การปิดโรงเรียน ยกเลิก กิจกรรมการรวมตัว ยกเลิกขนส่งสาธารณะ หรือการให้ทำงานที่บ้าน เป็นต้น และถือว่าเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่หลายๆประเทศนำมาใช้ในการยับยั้งการแพร่ระบาด ของโควิด-19 ในปัจจุบัน   บทความจาก Washington Post (จากบทความ Why outbreaks like coronavirus spread exponentially, and how to “flatten the curve”) ได้แสดงให้เห็นว่า หากทุกคนมีการเว้น ระยะห่างทางสังคม ลดการพบปะกัน ก็จะทำให้การแพร่ระบาดช้าลง จนอยู่ในระดับที่ ทรัพยากรทางการแพทย์สามารถรักษาผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ได้ทันการ (Curve สีฟ้าในรูปที่ 1) ในขณะที่หากไม่มีการเว้นระยะห่างทางสังคม ผู้ติดเชื้อจะเพิ่มเร็วจนทรัพยากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ (Curve สีแดงในรูปที่ 1) ซึ่งเป็นวิกฤติที่ กำลังเกิดขึ้นในอิตาลีขณะนี้ บทเรียนจาก SARS และ 9/11 : เมื่อคนกลัว และเว้นระยะห่างทางสังคม จะมีผลกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจ? แม้ว่าการเว้นระยะห่างทางสังคมมีความสำคัญมากในขณะนี้ แต่ก็มีต้นทุนทาง เศรษฐกิจที่สูงเช่นกัน ซึ่งเราเคยเห็นผลกระทบดังกล่าวจากเหตุการณ์ SARS และ 9/11 มาแล้ว   ในกรณีของ SARS ในฮ่องกงเมื่อปี 2003 อาจไม่แปลกใจนักที่ธุรกิจสายการ บิน และการท่องเที่ยว ซึ่งพึ่งพิงกำลังซื้อจากต่างชาติเป็นหลักจะได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ดี เราพบว่าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรองลงมา คือ ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจ ค้าปลีก ซึ่งนอกจากจะได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงแล้ว ยังได้รับ ผลกระทบจากการการจับจ่ายใช้สอยของคนในพื้นที่ที่ลดลงอีกด้วย   ในเรื่องนี้ มีงานวิจัย (งานวิจัยเรื่อง Economic Impact of SARS : The Case of Homg Kong)  ชี้ว่าการระบาดของ SARS ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความ กลัวที่จะติดโรค จนคนส่วนใหญ่เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกบ้าน ส่งผลต่อเนื่องให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง และความกลัวดังกล่าวส่งผลกระทบต่อ เศรษฐกิจได้มากกว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการระบาดของ SARS เสียอีก   Olga Jonas นักวิชาการอาวุโสจาก Harvard Global Health Institute ได้ กล่าวว่า “80% ของผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของ SARS มีสาเหตุ มาจากความกลัวที่ส่งผลให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่พยายามป้องกันไม่ให้ตนเองติดโรค เช่น การพยายามอยู่แต่ในบ้าน จนทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักลง” (กล่าวในรายการ The Indicator From Planet Money ตอน Economic Fear Factor)   อีกหนึ่งตัวอย่างที่ดี เมื่อคนมีความกลัวจนไม่อยากมีส่วนร่วมในกิจกรรมทาง เศรษฐกิจ คือเหตุการณ์ 9/11 ที่สหรัฐฯ ซึ่งการโจมตีตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ใน มหานครนิวยอร์ก ไม่เพียงส่งผลต่อธุรกิจที่ตั้งอยู่บริเวณดังกล่าว แต่ยังส่งผลกระทบ ทางจิตใจต่อผู้บริโภคให้เกิดความกลัวจนไม่กล้าที่จะออกไปจับจ่ายใช้สอยนอกบ้าน สะท้อนได้จาก Consumer Confidence Index ของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่ปรับตัว ลงอย่างเห็นได้ชัดในเวลานั้น   ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่หดตัว นำไปสู่การบริโภคที่ลดลง ทำให้หลายๆ ธุรกิจ ประสบปัญหา มีงานวิจัย (เรื่อง 9/11 and the New York City economy : A borough-by-borough analysis) ระบุว่า ธุรกิจในนิวยอร์กมีการเลิกจ้างกว่า 430,000 ตำแหน่ง หลังเกิดเหตุการณ์ 9/11 ทั้งนี้ หากไม่นับธุรกิจสายการบินที่ได้รับผล โดยตรงจากเหตุก่อการร้าย กลุ่มอาชีพที่ถูกเลิกจ้างมากที่สุด คือ บริกร พนักงานททำความสะอาด พนักงานขายตามร้านค้าปลีก พนักงานจัดเตรียมอาหาร และแคชเชียร์ ซึ่งล้วนแต่เป็นกลุ่มคนมีรายได้น้อย และเกี่ยวพันโดยตรงกับธุรกิจโรงแรมและ ร้านอาหาร และธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ที่ได้รับผลกระทบจากความกลัวที่จะออกมาทำ กิจกรรมนอกบ้านของผู้บริโภค เหตุการณ์ SARS และ 9/11 ที่ยกตัวอย่างขึ้นมาต่างแสดงว่าเมื่อผู้บริโภคเกิด ความ “กลัว” จนไม่อยากออกจากบ้าน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมไม่น้อย ในกรุงเทพฯ เมื่อการเว้นระยะห่างทางสังคมเข้มข้นขึ้น ใครจะได้รับผลกระทบมากที่สุด? ในขณะนี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ เราคาดว่า หากการระบาดเข้าสู่ระยะที่ 3 กรุงเทพฯ จะเป็นพื้นที่แรกๆ ที่การเว้นระยะห่างทาง สังคมจะถูกใช้อย่างเข้มข้นขึ้น ซึ่งในส่วนนี้เราจะวิเคราะห์ว่าใครจะได้รับผลกระทบจาก เรื่องนี้บ้าง Work From Home กระทบรายได้ของลูกจ้างหรือไม่? กลุ่มลูกจ้างในระบบ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือน หรือลูกจ้างรายวัน ซึ่งมี ประมาณ 3.3 ล้านคน จากแรงงานกว่า 5.3 ล้านคนในกรุงเทพฯ  ดูจะเป็น กลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เนื่องจาก ตามกฎหมาย นายจ้างยังต้องจ่ายค่าจ้าง ให้อยู่ อย่างไรก็ดี ลูกจ้างก็มีโอกาสถูกขอให้ลดค่าแรงชั่วคราวบ้าง หรือลูกจ้างบาง กลุ่มที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างอุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาจ มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการถูกเลิกจ้าง หากสถานประกอบการหยุดดำเนินกิจการ แล้วคนกลุ่มใดจะได้รับผลกระทบโดยตรง? เราคาดว่าจะมีกลุ่มคนทำงานกว่า 2 ล้านคนที่มีโอกาสได้รับผลกระทบจากการ เว้นระยะห่างทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกจ้างนอกระบบ กว่า 3 แสนคน ซึ่งมักไม่มี การทำสัญญาจ้างที่แน่ชัด และเสี่ยงต่อการถูกพักงานแบบไม่ได้ค่าจ้างในช่วงนี้ ยกตัวอย่างเช่น กรรมกรก่อสร้าง พนักงานเสิร์ฟ คนโบกรถ สาวเชียร์เบียร์ เป็นต้น นอกจากกลุ่มแรงงานนอกระบบแล้ว คนกลุ่มใหญ่ที่จะได้รับผลกระทบ คือ ผู้ประกอบ ธุรกิจแบบไม่มีลูกจ้างและฟรีแลนซ์ ผู้ประกอบธุรกิจที่มีลูกจ้าง และผู้ช่วยธุรกิจ ครอบครัวแบบไม่ได้ค่าจ้าง ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 1.7 ล้าน คิดเป็น 29% ของคนท างาน ทั้งหมดในกรุงเทพฯ   เหตุที่ผู้ประกอบธุรกิจมีโอกาสสูงที่จะได้รับผลกระทบ เพราะลักษณะของ การทำธุรกิจต้องมีการพบปะในการให้บริการ เช่น ขายสินค้า ขายอาหาร รับจ้างขับรถ เสริมสวย ฯลฯ ซึ่งเมื่อผู้คนไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน ไม่ว่าจะมาจากการทำงานที่บ้าน หรือไม่กล้าออกจากบ้านก็ตาม ย่อมกระทบต่อรายได้ของคนกลุ่มนี้ ซึ่งเราเห็นได้จาก การที่ธุรกิจค้าปลีกจำนวนมากในฮ่องกงประสบปัญหาในช่วง SARS และในนิวยอร์ก ประสบปัญหาในช่วง 9/11 เมื่อประชากรเลือกที่จะไม่ออกจากบ้าน เป็นต้น   สำหรับกลุ่มนายจ้าง ที่มีกว่า 2 แสนคน ถือว่าเป็นกลุ่มที่อาจประสบปัญหาหนี้สิน ที่สูงขึ้นมากในระยะนี้ เนื่องจากมีรายได้ที่ลดลง แต่ยังคงมีค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าเช่า สถานที่ เงินเดือนลูกจ้าง เป็นต้น อย่างไรก็ดี ยังถือว่าเป็นกลุ่มที่สามารถเข้าถึง บริการทางการเงิน และความช่วยเหลือจากภาครัฐได้อยู่บ้าง   ในขณะที่ ผู้ประกอบธุรกิจแบบไม่มีลูกจ้าง และฟรีแลนซ์ คือกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดที่มี โอกาสได้รับผลกระทบ โดยคนกลุ่มนี้มีจำนวนกว่า 1 ล้านคน โดยส่วนใหญ่ ประมาณ 76% ท าอาชีพขายสินค้า ขายอาหาร ขับรถแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ตลอดจน ประกอบอาชีพช่างทำผม ช่างเสริมสวย ผู้ประกอบการธุรกิจแบบไม่มีลูกจ้างและฟรีแลน์ ยังเป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่สูง โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อครัวเรือนที่ 9,500 บาท ซึ่งน้อยกว่ากลุ่มลูกจ้างประจำซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อครัวเรือนที่ 12,500 บาท นอกจากนี้ ยังเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางทางการเงินสูงกว่าค่าเฉลี่ย โดยมีค่าใช้จ่ายในการจ่ายหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio : DSR) ที่ระดับ 33% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่มีระดับเพียง 26%   โดยเราพบว่าผู้ประกอบการธุรกิจแบบไม่มีลูกจ้างกว่า 60% มีหนี้สินเพื่อการบริโภค และมีปริมาณ 40% ที่มีหนี้สินที่กู้มาเพื่อการประกอบธุรกิจ และหากการที่คนกลุ่มนี้ เสียรายได้จากการเว้นระยะห่างทางสังคมที่เข้มข้นขึ้น ก็ยิ่งจะทำให้มีปัญหาด้านการเงินและหนี้สินมากยิ่งขึ้น มาตรการอะไร ที่พอจะช่วยให้เราผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันได้? ในขณะนี้รัฐบาลหลายๆ ประเทศรวมถึงไทย พยายามใช้มาตรการต่างๆ ในการพยุงเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น การลดดอกเบี้ยของเฟด (Fed) หรือความพยายาม ของทรัมป์ในการให้สภาคองเกรสอนุมัติเงินให้เปล่าแก่ครัวเรือน และให้เงินกู้ ดอกเบี้ยต่ำแก่ธุรกิจ เป็นต้น   ในการสัมภาษณ์ผ่าน NationalPublicRatio (NPR) นักเศรษฐศาสตร์ ช์ั้นนำหลายท่าน (กล่าวในรายการ The Indicator From Planet Money ตอน Medicine For The Economy) มีความเห็นต่อแนวทางของทรัมป์ ว่าการแจกเช็คให้แก่ครัวเรือนใน เวลานี้ อาจไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก เนื่องจากหากคนยังกังวลต่อการติดเชื้ออยู่ ก็จะไม่ออกไปทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจอยู่ดี สิ่งที่สำคัญในช่วงนี้ดูจะเป็น มาตรการที่ช่วยประคองให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถอยู่รอดในวิกฤตินี้ไปได้ อย่างเช่น การอัดฉีดเงินกู้ ดอกเบี้ยต่าให้ธุรกิจขนาดเล็ก เป็นต้น   Pierre Gourinchas  (กล่าวในรายการ The Indicator From Planet Money ตอน The Sudden Stop) นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย UC Berkeley กล่าวว่า หากเราต้องการให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ผู้เล่นต่างๆ ใน ระบบจะต้องถูกพยุงให้อยู่รอดได้เพราะหากผู้เล่นสำคัญในระบบตายไปเสียแล้วอาจไม่ เร็วนักที่จะสร้างขึ้นใหม่ และแม้เมื่อการแพร่ระบาดของไวรัสผ่านไปแล้ว เศรษฐกิจก็ อาจกลับมาฟื้น ตัวได้ไม่เร็วนัก   สำหรับในกรณีของประเทศไทย แม้ว่าในขณะนี้ทั้งภาครัฐ  และเอกชนต่างๆ จะมี มาตรการช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กกันบ้างแล้ว แต่สิ่งที่ท้าทายพิ่มเติม คือ การ ช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการแบบไม่มีลูกจ้าง ตลอดจนฟรีแลนซ์ซึ่งมีจำนวนมาก  มักอยู่นอกระบบและมีความหลากหลายทางอาชีพสูง การใช้มาตรการแบบ One-Size- Fit-All อาจจะไม่ได้ผลมากนัก การช่วยเหลือที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มอาชีพ จึงมีความจำเป็นมากขึ้น เพื่อให้คนกลุ่มนี้สามารถผ่านพ้น และเป็นกาลังในการ ฟื้นตัวของเศรษฐกิจเมื่อการระบาดของโรคผ่านพ้นไปแล้วได้   CR : Thaipublica , KrungthaiCOMPASS  
เปิดข้อมูลโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ ปี 2562  จีนยังครองแชมป์เบอร์ 1

เปิดข้อมูลโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ ปี 2562 จีนยังครองแชมป์เบอร์ 1

คนต่างด้าวโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด ปี 2562 มูลค่ารวมกว่า 16% ของตลาดรวม  ชาวจีน เป็นสัญชาติที่มีสัดส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด 55.4%    ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า นอกจากกลุ่มลูกค้าคนไทยซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักแล้ว ชาวต่างชาติก็เป็นกลุ่มลูกค้าสำคัญ  ที่ได้เข้ามามีส่วนทำให้ตลาดอสังหาฯ เมืองไทยเจริญเติบโต โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม เพราะกฎหมายไทยสามารถให้ลูกค้าชาวต่างชาติ  ถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดได้มากถึง 49% แต่ช่วงปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าตลาดลูกค้าชาวต่างชาติ  เริ่มชะลอตัวลงจากมาตรการ LTV  ส่งผลให้ยอดขายใหม่ในตลาดกลุ่มลูกค้าต่างชาติต่อตลาดคอนโดฯ ลงลงตามไปด้วย   ส่วนการซื้อคอนโดฯ ไปก่อนหน้านี้ ปีที่ผ่านมาก็ถึงเวลาที่จะต้องโอนกรรมสิทธิ์  เพราะโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมเข้าอยู่ ซึ่งปีที่ผ่านมากลุ่มลูกค้าต่างชาติ  มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ มากน้อยแค่ไหนนั้น  ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้จัดทำรายงานมานำเสนอ เพื่อให้เห็นว่ามาตรการที่ออกมา ได้ส่งผลต่อตลาดอสังหาฯ มากน้อยแค่ไหน และบรรดาลูกค้าต่างชาติมีความเชื่อมั่นอย่างไรบ้าง   สำหรับภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของลูกค้าต่างชาติในปี 2562 พบว่า ตลอดปีที่ผ่านมามีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างด้าวทั่วประเทศ จำนวน 13,232 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 10.5% เมื่อเทียบกับจำนวนห้องชุดที่โอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์  52,070 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน​ 16.4%  และมีจำนวนพื้นที่ห้องชุด 521,725 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน 12.0%   หากเปรียบเทียบกับปี 2561 พบว่า ปี 2562 ต่างชาติมีจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดลดลง 9.9%  มูลค่าลดลง 12.0%  พื้นที่ห้องชุดลดลง 13.4% โดยห้องชุดที่ชาวต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2562 มีมูลค่าเฉลี่ยต่อยูนิต 3.94 ล้านบาท และพื้นที่เฉลี่ยต่อยูนิต 39.4 ตารางเมตร     กรุงเทพฯ เมืองที่ชาวจีนซื้อคอนโดฯ มากสุด จังหวัดที่คนต่างชาติซื้อห้องชุดมากที่สุด จะอยู่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และในจังหวัดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งชาวจีน เป็นสัญชาติที่มีสัดส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั่วประเทศมากที่สุดในปี 2562 โดยมีสัดส่วนถึง 55.4% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั้งหมดทั่วประเทศ มีมูลค่า 52,070 ล้านบาท รองลงมาเป็นรัสเซีย มีสัดส่วน  4.6% สหราชอาณาจักร มีสัดส่วน  3.1% ญี่ปุ่นมีสัดส่วน 3.0%  และฝรั่งเศส มีสัดส่วน 2%   ในปี 2562 จังหวัดที่มีจำนวนยูนิตที่ชาวต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.กรุงเทพฯ จำนวน 5,481 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 41.4% ของยูนิตทั้งหมด 2.ชลบุรี จำนวน 4,740 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 35.8% 3.สมุทรปราการ จำนวน 1,104 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 8.3% 4.เชียงใหม่ จำนวน 729 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 5.5% 5.ภูเก็ต จำนวน 519 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 3.9%   เมื่อเทียบกับปี 2561 จังหวัดที่มีจำนวนยูนิตที่คนต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์ลดลง ได้แก่ กรุงเทพฯ โดยลดลง 22.6%  ชลบุรี ลดลง 2.1% และเชียงใหม่ ลดลง 37.3% ตามลำดับ ส่วนในจังหวัดสมุทรปราการและภูเก็ต มีจำนวนยูนิตเพิ่มขึ้น 83.4% และ 7.5% ตามลำดับ   จังหวัดที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติสูงสุด 5 อันดับแรก คือ 1.กรุงเทพฯ  มีมูลค่า 31,628 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 60.7% ของจำนวนมูลค่าทั้งหมด 2.ชลบุรี มีมูลค่า 12,202 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 23.4% 3.ภูเก็ต มีมูลค่า 2,596 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.0% 4.สมุทรปราการ มีมูลค่า 2,489 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.8% 5.เชียงใหม่ มีมูลค่า 1,683 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.2%   เมื่อเทียบกับปี 2561 จังหวัดที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ลดลง ได้แก่ กรุงเทพฯ ลดลง 19.4% ชลบุรี ลดลง 0.9% และเชียงใหม่ ลดลง 43.9% ตามลำดับ ส่วนในจังหวัดภูเก็ตและสมุทรปราการ มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น 8.2% และ 113.5% ตามลำดับ   จังหวัดที่มีพื้นที่การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติสูงสุด 5 อันดับแรก คือ 1.กรุงเทพฯ มีพื้นที่  224,280 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน 43.0% ของจำนวนพื้นที่ทั้งหมด 2.ชลบุรี มีพื้นที่ 178,515 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน 34.2% 3.เชียงใหม่ มีพื้นที่ 33,117 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน 6.3% 4.สมุทรปราการ มีพื้นที่ 32,900 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน 6.3% 5.ภูเก็ต มีพื้นที่ 27,287 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน 5.2% เมื่อเทียบกับปี 2561 จังหวัดที่มีพื้นที่การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติลดลง ได้แก่ กรุงเทพฯ ลดลง 25.6% ชลบุรี ลดลง 3.5% และเชียงใหม่ ลดลง 35.5% ตามลำดับ ส่วนในจังหวัดสมุทรปราการ และภูเก็ต มีจำนวนพื้นที่เพิ่มขึ้น 78.0% และ 7.4% ตามลำดับ   เมื่อพิจารณาจังหวัดที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติสูงสุดในปี 2562 จะพบว่า -กรุงเทพฯ มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดในเขตห้วยขวาง วัฒนา คลองเตย พระโขนง และคลองสาน ตามลำดับ -ชลบุรี มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดในอำเภอบางละมุง สัตหีบ และศรีราชา ตามลำดับ โดยกว่า 88.5% จะอยู่ในอำเภอบางละมุง -ภูเก็ต มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดในอำเภอถลาง กะทู้ และเมืองภูเก็ต ตามลำดับ -สมุทรปราการ มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดในอำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นส่วนใหญ่ โดยมีสัดส่วนสูงถึง 96.6% -เชียงใหม่ มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดในอำเภอเมืองเชียงใหม่ เป็นส่วนใหญ่ โดยมีสัดส่วนสูงถึง 92.0% รองลงมาคือ แม่ริม สัดส่วน 5.0% จีนครองแชมป์โอนคอนโดฯ มากสุด ในปี 2562 จีน เป็นสัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากที่สุด ทั้งจำนวนยูนิต มูลค่า และพื้นที่ห้องชุด โดยมีการโอนมากถึง 7,506 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 56.7% ของห้องชุดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์โดยชาวต่างชาติทั้งหมด มีมูลค่า 28,860 ล้านบาท  คิดเป็นสัดส่วน 55.4% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์โดยชาวต่างชาติทั้งหมด  และพื้นที่ห้องชุด 254,546 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน  48.8% ของพื้นที่การโอนห้องชุดโดยชาวต่างชาติทั้งหมด   ชาวต่างชาติที่มีการรับโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุดรองลงมา ได้แก่ สัญชาติรัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ตามลำดับ  พื้นที่เฉลี่ยต่อหน่วย ในกลุ่มสัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด  ซึ่งมีพื้นที่เฉลี่ยต่อยูนิตมากที่สุด 5 อันดับแรกในปี 2562 ได้แก่ จีน รัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น  โดยเฉพาะชาวสหราชอาณาจักร มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดขนาดพื้นที่เฉลี่ยต่อยูนิตใหญ่ที่สุด 51.1 ตารางเมตร ส่วนจีนมีขนาดพื้นที่เฉลี่ยต่อยูนิตต่ำสุดคือ 33.9 ตารางเมตร แสดงให้เห็นว่าแม้ชาวจีนจะซื้อห้องชุดมากที่สุด แต่เป็นการซื้อห้องขนาดเล็ก มูลค่าเฉลี่ยต่อหน่วย ญี่ปุ่นมีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในราคาเฉลี่ยต่อยูนิตสูงสุดคือ 4.2 ล้านบาท ในขณะที่รัสเซียมีราคาเฉลี่ยต่อยูนิตต่ำสุดคือ 3.0 ล้านบาท  ซึ่งการที่ชาวญี่ปุ่นซื้อห้องชุดในราคาเฉลี่ยต่อยูนิตแพงที่สุด มีความเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะ ชาวญี่ปุ่นมักจะเลือกพักอาศัยอยู่ในทำเลสุขุมวิทตอนต้น เช่น นานา ซึ่งเป็นย่านใจกลางธุรกิจซึ่งราคาคอนโดฯ จะแพงกว่าในทำเลอื่นๆ มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดแยกรายจังหวัด เมื่อพิจารณาสัญชาติที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดสูงสุด แยกตามจังหวัด ในปี 2562 พบว่า กรุงเทพฯ ชาวจีนเป็นสัญชาติที่โอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด จำนวน 19,784 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 62.6% ของมูลค่าการโอนในจังหวัด แต่มูลค่าลดลงจากปี 2561  5.0%  รองลงมาเป็น มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และไต้หวันซึ่ง 4 สัญชาตินี้มีสัดส่วนการโอนรวมกันเพียง 11.6% และมีเพียงมาเลเซียที่มีมูลค่าการโอนเพิ่มขึ้นจากปี 2561 แต่อีก 3 สัญชาติมีมูลค่าการโอนลดลง ชลบุรี   ชาวจีน ยังเป็นสัญชาติที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากที่สุดถึง 5,255 ล้านบาท  สัดส่วน  43.1% เพิ่มขึ้นจากปี 2561  5.0%  รองลงมาคือ รัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น โดย 4 สัญชาตินี้มีสัดส่วนรวมกัน 25.2% และรัสเซียเป็นสัญชาติเดียวที่มีมูลค่าการโอนลดลงจากปี 2561 ภูเก็ต  รัสเซียเป็นสัญชาติที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากที่สุด 831 ล้านบาท (สัดส่วน 32.0%) เพิ่มขึ้นจากปี 2561 27.7% รองลงมาคือ จีน สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา ซึ่ง 4 สัญชาตินี้มีสัดส่วนรวมกัน 30.3% โดยสหรัฐอเมริกาเป็นสัญชาติเดียวที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเพิ่มขึ้นจากปี 2561 สมุทรปราการ ชาวจีนมากที่สุด จำนวน 1,980 ล้านบาท (สัดส่วน 79.6%) เพิ่มขึ้นจากปี 2561 130.4% รองลงมาเป็น ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสหราชอาณาจักร ซึ่งทั้ง 4 สัญชาติ มีสัดส่วนรวมกันเพียง 14.0%  โดยทั้ง 4 สัญชาติมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเพิ่มขึ้นจากปี 2561 เชียงใหม่ ชาวจีน เป็นสัญชาติที่มีมูลค่าการโอนมากที่สุด 1,111 ล้านบาท (สัดส่วน 66.0%) ลดลงจากปี 2561  46.4% รองลงมาเป็น เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา ซึ่งทั้ง 4 สัญชาติ มีสัดส่วนรวมกัน 17.9% โดยฝรั่งเศส เป็นสัญชาติเดียวที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ต่างชาติโอนคอนโดฯ ราคา 2.01-3 ล้านเยอะสุด  ในปี 2562 จำนวนยูนิตห้องชุดที่โอนกรรมสิทธิ์ให้คนต่างด้าวมากที่สุด จะอยู่ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มีจำนวน 3,657 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 27.6% ของจำนวนยูนิตที่โอนทั้งหมด 13,232 ยูนิต โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2561  20.8% ซึ่งเป็นระดับราคาเดียวที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนในระดับราคาอื่น ๆ มีการปรับตัวลดลงทั้งหมด ระดับราคาที่มีจำนวนยูนิตโอนรองลงมาคือ 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 3,162 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน​ 23.9% ส่วนระดับราคาที่มีจำนวนหน่วยน้อยที่สุดคือ 7.51 – 10.00 ล้านบาท มีจำนวน 499 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 3.8%   มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างด้าว ในปี 2562 มีสัดส่วนสูงสุดอยู่ในระดับราคา มากกว่า 10 ล้านบาท โดยมีมูลค่า 13,424 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 25.8% ของมูลค่าที่โอนทั้งหมด 52,070 ล้านบาท รองลงมาคือระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีมูลค่า 12,128 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 23.3% ส่วนระดับราคาที่มีสัดส่วนมูลค่าน้อยที่สุดคือไม่เกิน1 ล้านบาท มีมูลค่า 701 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.3% ทั้งนี้ ในทุกระดับราคามีการปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปี 2561 ยกเว้นระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.2%    
ORI กวาดยอดขายกว่า 4,500 ล. พร้อมออก 3 มาตรการรับมือโควิด-19

ORI กวาดยอดขายกว่า 4,500 ล. พร้อมออก 3 มาตรการรับมือโควิด-19

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้”  คาดปิดยอดขายไตรมาสแรกได้มากกว่า 4,500 ล้าน สวนกระแสปัจจัยลบ ไวรัส COVID-19 พร้อมเดินหน้า 3 มาตรการเข้าสู้ มั่นใจทำผลงานทั้งปีได้ตามเป้าหมาย 21,500 ล้าน   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า สถานการณ์ของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทุกกลุ่มในปีนี้ ถือเป็นสถานการณ์แห่งความท้าทาย เนื่องจากมีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยากอย่าง COVID-19 เข้ามากระทบ อย่างไรก็ดี ยอดขายของบริษัทตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 24 มีนาคม 2563 ยังถือว่าเป็นไปได้อย่างยอดเยี่ยมภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว  โดยมียอดขายประมาณ  4,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 21% ของเป้ายอดขายทั้งปี 2563   ทั้งนี้ ยอดขายดังกล่าวแบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม ทั้งโครงการที่เพิ่งเปิดขายเมื่อปี 2562 และโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Ready to move) รวมกว่า 3,000 ล้านบาท และจากกลุ่มธุรกิจบ้านจัดสรร อีกกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกระแสตอบรับที่ดีของโครงการเปิดตัวใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการบริทาเนีย สายไหม และโครงการแกรนด์บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา “เราได้ทำแผนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หรือ Business Continuity Plan มาตั้งแต่ต้นปี พยายามทำการบ้านอย่างหนักมากในช่วงก่อนหน้านี้ เพื่อให้ผู้บริโภคยังคงมั่นใจ ไว้ใจ เข้าใจ และสามารถเข้าถึงโครงการของเราได้อย่างปลอดภัย ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งผ่านมาตรการการจัดการ COVID-19 อย่างเข้มงวดในบริเวณสำนักงานขาย ตลอดจนการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ทำให้เรายังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค”     นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ปี 2563 ถือเป็นปีแห่งความท้าทาย โดยเฉพาะจากเรื่อง COVID-19 ที่สถานการณ์ยังมีความเปลี่ยนแปลงและมีมาตรการใหม่ๆ จากภาครัฐออกมาอย่างต่อเนื่อง บริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว จึงได้จัดประชุมผู้บริหารอยู่เป็นประจำ เพื่อให้สามารถออกมาตรการใหม่ๆ ได้อย่างทันท่วงที และในช่วงเวลานี้ บริษัทตระหนักดีว่าทุกภาคส่วนจำเป็นต้องมีความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) ซึ่งกันและกัน   เพื่อให้ผ่านสถานการณ์อันยากลำบากไปได้ จึงพิจารณามาตรการใหม่ๆ เพื่อคน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.มาตรการเพื่อผู้บริโภค ทั้งเพื่อกลุ่มที่กำลังพิจารณาจะซื้อโครงการของออริจิ้น และกลุ่มที่ปัจจุบันเป็นลูกบ้านออริจิ้นแล้ว 2.มาตรการเพื่อพนักงาน โดยมีมาตรการที่ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว เช่น การเปิดให้พนักงานบางส่วนที่ไม่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับลูกค้าโดยตรง สามารถ Work From Home ได้ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา 3.มาตรการเชิงธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการธุรกิจ เดินหน้าจับมือพันธมิตรใหม่ๆ ในรูปแบบ Open Platform เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้บริโภค พร้อมทั้งพิจารณาปรับปรุงแผนให้ธุรกิจยังคงสามารถขับเคลื่อนไปได้ภายใต้ทุกสถานการณ์ โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นมาตรการใหม่ๆ ในทั้ง 3 ด้านดังกล่าว ออกมาอย่างต่อเนื่องในเดือน เมษายนนี้   สำหรับปี 2563 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยเปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการในช่วงไตรมาส 1 คือ โครงการ บริทาเนีย สายไหม มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท และ โครงการ แกรนด์ บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท   “ตามปกติแล้ว ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คือช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 เราจึงเชื่อมั่นว่า ด้วยยอดขายที่สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยมในไตรมาส 1 ประกอบกับยอดขายในไตรมาส 3 และ 4 ซึ่งสถานการณ์น่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว เราจะยังสามารถทำยอดขายได้ 21,500 ล้านบาทตามเป้า”    
AWC ปิดโรงแรม 5 แห่งในกรุงเทพฯ ออกกฎห้ามพนักงาน 2,000 คนเดินทาง

AWC ปิดโรงแรม 5 แห่งในกรุงเทพฯ ออกกฎห้ามพนักงาน 2,000 คนเดินทาง

AWC เดินหน้ามาตรการลดความเสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อ COVID-19 ประกาศปิดบริการโรงแรมในเครือ 5 แห่งในกรุงเทพฯ เป็นการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม – 15 เมษายน 63 เพื่อลดการเดินทางของพนักงานจำนวนกว่า 2,000 คน รวมถึงลดการรวมตัวของกลุ่มคนจำนวนมาก   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า AWC ได้ประกาศปิดการให้บริการโรงแรมในเครือ 5 แห่งในกรุงเทพฯ เป็นการชั่วคราว ประกอบด้วยโรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค โรงแรมดับเบิ้ลทรี บาย ฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ โรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพฯ โรงแรมดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ และโรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์   เพื่อดูแลพนักงานทั้งหมดของโรงแรมทั้ง 5 แห่งที่ปิดให้บริการชั่วคราว ซึ่งมีจำนวนกว่า 2,000 คนนั้น พนักงานทั้งหมดจะยังคงได้รับค่าจ้าง เงินเดือน และสวัสดิการพนักงานตามปกติในระหว่างการหยุดงาน โดยบริษัทฯ มีข้อกำหนดให้พนักงานทั้งหมดพักอยู่ที่บ้าน เลี่ยงเดินทางเคลื่อนย้ายไปยังจังหวัดอื่นๆ โดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามนโยบายของภาครัฐ พร้อมทั้งมีการจัดแผนปรับปรุง รวมทั้งการทำความสะอาดใหญ่ทั่วทั้งบริเวณ (Big Cleaning) ในทั้ง 5 โรงแรมระหว่างปิดดำเนินการ เพื่อเพิ่มความมั่นใจด้านสุขอนามัยให้กับแขกผู้เข้าพัก พนักงาน ผู้มาติดต่อ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด หลังกลับมาเปิดให้บริการตามปกติอีกครั้ง   “เรามีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ และมีความตั้งใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการการควบคุมลดการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก เว้นระยะห่างทางสังคม และลดการเดินทาง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และเพื่อการดูแลพนักงานกว่าหลายพันคนในเครือของ AWC”   ทั้งนี้ AWC จะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมเสมอที่จะกำหนดแนวทาง มาตรการ และนโยบายในการดำเนินการต่าง ๆ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแล ให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตลอดให้ความร่วมมือกับภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ อย่างเต็มกำลัง เพื่อร่วมฝ่าฟันและผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกันได้อย่างดีที่สุด  
โฮมโปร เปิด SHOP4YOU ลดความเสี่ยงลูกค้าเจอโควิด-19

โฮมโปร เปิด SHOP4YOU ลดความเสี่ยงลูกค้าเจอโควิด-19

โฮมโปร เดินหน้ารุกช้อปออนไลน์ เปิดบริการใหม่ SHOP4YOU ช้อปปิ้งได้ 24 ชั่วโมง ผ่านไลน์ หลังปิดสาขาในกรุงเทพฯ -ปริมณฑล เชียงใหม่ และนครราชสีมา เพิ่มความสะดวกให้ลูกค้า และลดเสี่ยงลูกค้าเจอไวรัสโควิด-19   ตามประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร และทางกระทรวงมหาดไทย ให้ปิดห้างสรรพสินค้าชั่วคราวเป็นระยะเวลา 22 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม ถึงวันที่ 12 เมษายน 2563 โฮมโปร จึงขอแจ้งปิดดำเนินการสาขาชั่วคราว ในเขตพื้นกรุงเทพมหานคร รวมถึงจังหวัดปริมณฑล ได้แก่  จังหวัดนนทบุรี  สมุทรปราการ  สมุทรสาคร ปทุมธานี  และนครปฐม   นอกจากนี้ ตามประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดเชียงใหม่ ให้ปิดห้างสรรพสินค้าชั่วคราวเพื่อยับยั้งเชื้อไวรัส โควิด-19 เป็นระยะเวลา 22 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม ถึงวันที่ 12 เมษายน2563 โฮมโปร จึงขอแจ้งปิดดำเนินการสาขาชั่วคราว เพิ่มเติม ในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดนครราชสีมาด้วย เพื่อให้เป็นไปตามประกาศและความปลอดภัยของประชาชน ขณะเดียวกัน ได้เพิ่มการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ใหม่ SHOP4YOU เพียงเพิ่มเพื่อนใน Line @Homepro หรือ โทร 1284 “ทักมาเราช้อปให้” แค่นี้ง่ายๆ เหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัว ในการช้อปสินค้าเรื่องบ้านผ่านช่องทางออนไลน์ของโฮมโปร ทั้งยังช่วยเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคมเป็นต้นไป  จากก่อนหน้าที่เปิดให้บริการช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของโฮมโปร   นางสาวศิริวรรณ เปี่ยมเศรษฐสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ "โฮมโปร" เปิดเผยว่า เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า ให้ห่างไกลจากไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้การใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไปอย่างมาก จนทำให้ยอดขายสินค้าของ โฮมโปรผ่านช่องทาง “ออนไลน์” เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และช่องทางซื้อสินค้าออนไลน์กลายเป็นทางออกสำหรับการซื้อสินค้าทั้งของจำเป็นในชีวิตประจำวัน   นอกจากนี้ลูกค้าสามารถเลือก บริการส่งฟรีทั่วไทย และบริการส่งภายในวัน หรือ Same Day Delivery รวมถึงบริการด้าน Home Service ติดตั้งฟรี เปลี่ยนคืนสินค้า ซ่อมสินค้า เปิดบริการตามปกติที่การันตีด้วยทีมช่างมืออาชีพ พร้อมทั้งให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้า ผ่านออนไลน์  www.homepro.co.th ได้ 24 ชั่วโมง อีกด้วย  
กทม.ปิดชั่วคราว 26 สถานที่เสี่ยงไวรัสโควิด-19 นาน 22วัน

กทม.ปิดชั่วคราว 26 สถานที่เสี่ยงไวรัสโควิด-19 นาน 22วัน

ผลการประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 หารือมาตรการเพิ่มเติมเพื่อหยุดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 เนื่องจากสถานการณ์การระบาดมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง   เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 มีนาคม 2563 ซึ่งจัดขึ้นที่ห้องประชุม ชั้น 8 อาคารธานีนพรัตน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 เขตดินแดง  โดยมีพล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุม ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการฯ มีมติสั่งปิดสถานประกอบการเป็นการชั่วคราว   โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 35 (1) แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ให้ยกเลิกประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว ลงวันที่ 17 มีนาคม 2563 และให้ปิดสถานที่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม ถึง 12 เมษายน 2563   สถานที่ปิดมีดังต่อไปนี้   1.ร้านอาหาร (ให้เปิดเฉพาะการจำหน่ายอาหารเพื่อนำกลับไปบริโภคที่อื่น และร้านอาหารในโรงแรมที่ให้บริการเฉพาะผู้ที่พักอาศัยในโรงแรม) 2.ห้างสรรพสินค้า เว้นแต่ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยา หรือสินค้าเบ็ดเตล็ดที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ร้านอาหาร (ให้เปิดเฉพาะการจำหน่ายอาหารเพื่อนำกลับไปบริโภคที่อื่น) 3.พื้นที่นั่งหรือยืนรับประทานอาหารในร้านสะดวกซื้อ 4.ตลาดและตลาดนัด (เปิดเฉพาะการจำหน่ายอาหารสด อาหารแห้ง อาหารปรุงสำเร็จ เพื่อนำกลับไปบริโภคที่อื่น อาหารสัตว์ ร้านขายยา และสินค้าเบ็ดเตล็ดที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต) 5.ร้านเสริมสวย แต่งผมหรือตัดผม 6.สถานที่บริการสักผิวหนัง หรือเจาะส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย 7.สถานที่เล่นสเกต หรือโรเลอร์เบลด หรือการเล่นอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 8.สวนสนุก สถานที่เล่นโบว์ลิ่ง หรือตู้เกม 9.ร้านเกม และร้านอินเทอร์เน็ต 10.สนามกอล์ฟ หรือสนามฝึกซ้อมกอล์ฟ 11.สระว่ายน้ำ หรือกิจการอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 12.สนามชนไก่ ละสนามซ้อมชนไก่ 13.ศูนย์พระเครื่อง พระบูชา และสนามพระเครื่อง พระบูชา 14.ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม และสถานที่จัดนิทรรศการ 15.สถานศึกษาทุกระดับ และสถาบันกวดวิชา 16.สถานที่ให้บริการควบคุมน้ำหนัก คลินิกความงาม และสถานเสริมความงาม 17.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (ร้านสปา ร้านนวดเพื่อสุขภาพ ร้านนวดเพื่อเสริมความงาม) 18.สถานที่ให้บริการสปา อาบน้ำ ตัดขน รับเลี้ยงหรือรับฝากสัตว์ 19.สถานประกอบกิจการอาบ อบ นวด 20.สถานประกอบกิจการอาบน้ำ อบไอน้ำ อบสมุนไพร 21.โรงมหรสพ (โรงภาพยนตร์ โรงละคร โรงมหรสพ) 22.สถานที่ออกกำลังกาย 23.สถานบริการและสถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการ 24.สนามมวย โรงเรียนสอนมวย 25.สนามกีฬา 26.สนามม้า    
พีดีเฮ้าส์ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 เน้นสื่อออนไลน์ พร้อมปรับแผนตามสถานการณ์

พีดีเฮ้าส์ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 เน้นสื่อออนไลน์ พร้อมปรับแผนตามสถานการณ์

โควิด-19 ฉุดเศรษฐกิจทั่วโลกทรุด หลายภาคธุรกิจชะงักงัน ไม่เว้นรับสร้างบ้านที่อาจได้รับผลกระทบหากสถานการณ์ของโควิด-19 ยืดเยื้อ พีดีเฮ้าส์เผยยอดจองสร้างบ้านในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา ยังคงเป็นไปตามแผนโดยกวาดยอดจองเกือบ 200 ล้านบาท เล็งจัดงาน "รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์แฟร์ ครั้งที่ 1" เอาใจผู้บริโภค   นายพิศาล  ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด ภายใต้แบรนด์ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ (PD House)  เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์ของไวรัสโควิด -19 จะส่งผลกระทบต่อหลายธุรกิจเป็นวงกว้าง หลายธุรกิจเกิดการชะงักงันหรือหนักสุดอาจถึงขั้นหยุดดำเนินการ แต่ในส่วนของธุรกิจรับสร้างบ้านเอง แม้ภาพรวมอาจได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากลูกค้ามีการวางแผนปลูกสร้างบ้านไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่หากสถานการณ์ของไวรัสโควิด -19 ยืดเยื้อก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบรุนแรงครั้งนี้อย่างแน่นอน   สำหรับพีดีเฮ้าส์เอง ในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2563) ยอดขายรวมถือว่าสวนกระแสปัจจัยลบรอบด้าน เพราะมียอดจองแล้วเกือบ 200 ล้านบาท หรือจำนวนเกือบ 50 หน่วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูกค้ามีการวางแผนออมเงินสำหรับปลูกสร้างบ้านไว้แล้ว จึงพร้อมที่จะใช้จ่ายเงินกับเรื่องที่อยู่อาศัย โดยมิได้กังวลกับปัจจัยภายนอก รวมถึงผู้บริโภคเองต้องการปลูกสร้างบ้านกับบริษัทรับสร้างบ้านมืออาชีพ มีผลงานคุณภาพมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ โดยเฉพาะลูกค้าจากต่างจังหวัด ได้หันมาใช้บริการกับบริษัทรับสร้างบ้านมากขึ้น ซึ่งพีดีเฮ้าส์เองมีสาขารองรับอยู่ทั่วทุกภูมิภาคอยู่แล้ว ทำให้ตัวเลขยอดจองของบริษัทขยายตัวและสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดในพื้นที่ต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในครึ่งปีแรกนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดจองสร้างบ้านไว้ 400-500 ล้านบาท   อย่างไรก็ตามในปี 2563 นี้พีดีเฮ้าส์เองยังคงจับตามองดูสถานการณ์ของเศรษฐกิจภายในประเทศและการระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้ก็คงต้องมีการปรับแผนรับมือให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยในช่วงปลายไตรมาสแรกต่อเนื่องต้นไตรมาส 2 ปีนี้ พีดีเฮ้าส์จะเน้นเรื่องของข้อมูลข่าวสารที่ส่งตรงถึงลูกค้าผ่านการโฆษณาและประชาสัมพันธ์  สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียในหลาย ๆ ช่องทาง อาทิ Google Facebook Instagram Twitter ฯลฯ และเน้นให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ   นอกจากนี้ ยังเพิ่มความต่อเนื่องในเรื่องกิจกรรมทางการตลาด โดยเตรียมจัดงาน "รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์แฟร์ ครั้งที่1"  ขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 18 - 31 มีนาคม 2563 นี้ เพื่อตอบรับมาตรการลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่มีความต้องการปลูกสร้างบ้านหลังใหม่ ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยบริษัทจะจัดงานพร้อมกัน ณ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ทั้ง 24 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการสร้างบ้านมากกว่า 50 จังหวัด   ด้านนางสาวถิรพร สุวรรณสุต กรรมการบริหารสายงานการตลาด บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้บริหารสิทธิ์แฟรนไชส์ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า  จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บริษัท จึงต้องปรับกิจกรรมทางการตลาดให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่อความสะดวกของผู้บริโภคโดยเน้นใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย (Social Media) หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ควบคู่ไปกับการจัดอีเว้นท์พร้อมกันทุกสาขาของศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ในทุกภูมิภาค   โดยล่าสุดได้จัดแคมเปญ "มีนาต้องมีโปร@รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์แฟร์" หรือ PD House on Sale@ PD House Fair ยกทัพแบบบ้านสวยในฝันและแบบบ้านขายดี รวมทั้งแบบบ้านซีรีย์ใหม่ Modern Mediterranean และ Modern Farmhouse Style รวมกว่า 200 แบบ ซึ่งแคมเปญนี้จะมอบรับส่วนลดเงินสดสูงสุด 1,000,000 บาท, ฟรี! Voucher แทนเงินสดค่าออกแบบตกแต่งภายในสูงสุด 200,000 บาท, ฟรี! เครื่องปรับอากาศทั้งหลัง มูลค่าสูงสุด 100,000 บาท, พร้อมอัพเกรดวัสดุคุณภาพ เราจัดให้แบบไม่ต้องขอ สำหรับลูกค้าที่จองปลูกสร้างบ้านกับศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 มีนาคมนี้ โดยคาดการณ์จะมียอดจองรวมจากแคมเปญนี้ 100-150 ล้านบาท
อัพเดท ความคืบหน้า “สถานีกลางบางซื่อ” ได้ใช้แน่ต้นปี 64

อัพเดท ความคืบหน้า “สถานีกลางบางซื่อ” ได้ใช้แน่ต้นปี 64

การรถไฟแห่งประเทศไทย พาสื่อมวลชนลงพื้นที่ ดูความคืบหน้าโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต  หรือ สถานีกลางบางซื่อ (Grand Station)  ซึ่งโปรเจ็กต์นี้จะกลายเป็นศูนย์กลางการเดินทางด้วยระบบรางแห่งใหม่ของประเทศในอนาคต  ที่มีกำหนดจะเปิดทดลองให้บริการครั้งแรก ในช่วงปี 2564 ที่จะถึงนี้แน่นอน ศูนย์รวมการคมนาคมระบบราง สถานีกลางบางซื่อ วางแผนพัฒนาให้เป็นสถานีรถไฟหลักของประเทศไทย เพื่อจะใช้แทนสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง)  ซึ่งเป็นสถานีรถไฟต้นทางของรถไฟทางไกล และรถไฟฟ้าความเร็วสูง ที่วิ่งออกไปภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ รวมถึงยังเป็นสถานีศูนย์กลางของรถไฟฟ้าสายสีแดง ทั้งสายสีแดงเข้มและสีแดงอ่อน เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ  สถานีกลางบางซื่อจะไม่เป็นเพียงสถานีรถไฟหลักแห่งใหม่ของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นจะสถานีรถไฟใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโครงการเริ่มต้นก่อสร้างตั้งแต่ ปี 2556 และมีกำหนดเปิดใช้งานในปี 2564  ขนาดของสถานีมีความยาว 596.6 เมตร ความกว้าง 244 เมตร ความสูง 43 เมตร พื้นที่ใช้สอยรวม 274,192 ตารางเมตร ตัวอาคารหลักมีพื้นที่ทั้งหมด 4 ชั้น ประกอบด้วย   ชั้นใต้ดิน เป็นพื้นที่จอดรถ 72,542 ตารางเมตรที่จะรองรับได้ทั้งหมด  1,624 คัน ชั้นที่ 1 เป็นพื้นที่สำหรับห้องจำหน่ายตั๋วโดยสาร ชั้นที่ 2 เป็นชั้นชานชาลาสำหรับรถไฟที่ใช้รางขนาด 1.00 เมตร ประกอบด้วยรถไฟทางไกล 8 ชานชาลา และ รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง 4 ชานชาลา ชั้นที่ 3 เป็นชั้นชานชาลาสำหรับรถไฟที่ใช้รางขนาด 1.435 เมตร ประกอบด้วย รถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) และรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน 2 ชานชาลา รถไฟฟ้าความเร็วสูงสายเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 6 ชานชาลา รถไฟฟ้าความเร็วสูงสายใต้ จำนวน 4 ชานชาลา รวมทั้งสิ้น 12 ชานชาลา งานก่อสร้างคืบหน้ากว่า 98% สำหรับความคืบหน้าด้านการก่อสร้าง ขณะนี้สถานีกลางบางซื่อมีความคืบหน้าในการก่อสร้างถึง 98 %  โดยงานก่อสร้างได้แบ่งออกเป็น 3 สัญญา ซึ่งแต่ละสัญญามีความก้าวหน้า ดังนี้ สัญญาที่ 1 งานโยธาสำหรับสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง ประกอบด้วย สถานีกลางบางซื่อ และสถานีจตุจักร ทางรถไฟยกระดับ จาก กม.6+000 ถึง กม.12+201.700 ศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าชานเมือง ศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟทางไกล ย่านจอดรถไฟ และอาคารอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการควบคุมการเดินรถ ตลอดจนถนน สะพานยกระดับเข้า-ออกสถานี และระบบระบายน้ำ ซึ่งมีความคืบหน้าคิดเป็น 98.62 % สัญญาที่ 2 เป็นงานโยธาสำหรับทางรถไฟ ช่วงบางซื่อ-รังสิต ประกอบด้วย สถานี 8 สถานี ทางรถไฟยกระดับและทางรถไฟระดับดิน ถนนเลียบทางรถไฟ สะพานกลับรถ สะพานข้ามทางรถไฟ และระบบระบายน้ำ ซึ่งการก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์แล้ว สัญญาที่ 3 งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมจัดหาตู้รถไฟ สำหรับช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน มีความก้าวหน้าของงานที่ดำเนินการแล้วเสร็จคิดเป็น 73.53% ชงของบ 3,000 ล. ตั้งบริษัทเดินรถสายสีแดง สำหรับการจัดตั้งบริษัทเดินรถไฟชานเมืองสายสีแดง จะมีการขออนุมัติเงินกู้วงเงิน 3,000 ล้านบาทจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อใช้เป็นทุนจดทะเบียนบริษัทและจัดสรรบุคลากร ในช่วงแรก 773 อัตรา โดยมาจากการโอนย้ายพนักงานจาก บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด พนักงานจากการรถไฟแห่งประเทศไทย และเปิดรับสมัครพนักงานใหม่ ส่วนทางเลือกในการบริหารสถานี รฟท. มีแนวทางเลือกอยู่หลากหลายแนวทาง เช่น รฟท. ดำเนินการบริหารงานสถานีด้วยตนเองทั้งหมด จัดตั้งบริษัทลูกให้ดำเนินการแทน เชิญชวนเอกชนร่วมลงทุน จัดจ้างเอกชนเข้ามาบริหาร หรือให้สิทธิ์เอกชนเป็นผู้ดำเนินการและจ่ายผลตอบแทน เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาทางเลือกที่สอดคล้องและเหมาะสมที่สุด   ส่วนสถานีรถไฟหัวลำโพง จะยกเลิกการใช้งาน แต่เปลี่ยนมาเป็นการลดบทบาทลง เนื่องจากไม่สามารถทำตามแผนเดิมได้  เพราะโครงการทั้งหมดล่าช้า  ในระยะแรกจะย้ายเฉพาะรถขบวนทางไกลมาที่สถานีกลางบางซื่อก่อน คงเหลือขบวนระยะใกล้ทิศทางตะวันออกไว้   แต่ด้วยปัจจุบันรถขบวนทางไกล เป็นรถไฟดีเซลใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง สภาพรถเก่า โดยเฉพาะหัวจักรใช้งานมากว่า 20 ปี มีเสียงดังและกลิ่นของเครื่องปั่นไฟและไอร้อนจากตู้โดยสารปรับอากาศ ทางคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. ชุดเดิม จึงเห็นว่าหากนำรถขบวนทางไกลดังกล่าวขึ้นไปอยู่ชั้น 2 ของสถานีกลางบางซื้อที่เป็นระบบปิดจะเป็นมลพิษในอาคาร จึงมีมติไม่ให้นำขึ้นชั้น 2  โดยให้สร้างสถานีชั่วคราว วงเงิน 300 ล้านบาท จะตั้งอยู่ด้านหลังสถานีกลางบางซื่อ บริเวณสถานีรถไฟบางซื่อ และสถานีบางซื่อ 2 ในปัจจุบัน  เพื่อรองรับรถไฟกลุ่มนี้ประมาณ 5 ปี   นอกจากนี้ รฟท.จะจัดหารถไฟใหม่ ซึ่งเป็นระบบไฟฟ้า 184 คัน เพื่อนำมาทดแทน และสามารถขึ้นไปให้บริการที่ชั้น 2 ได้โดยเร็วที่สุด ส่วนสายสีแดงได้รับรถมาแล้ว 5 ขบวน ประกอบด้วย 1 ขบวน 6 ตู้ 2 ชุด และ 2ขบวน 4 ตู้ 3 ชุด ส่วนที่เหลืออีก 20 ขบวน 106 ตู้ จะทยอยเดินทางมาถึงประเทศไทยภายในเดือน มิถุนายนนี้ รถไฟสายสีแดง และรถไฟสีแดงรุ่นใหม่จากจีน ที่สามารถขึ้นชานชาลาชั้น 2 ได้ ประมาณ 30-40 ขบวนจากทั้งหมด130 ขบวน คาดผู้ใช้ทะลุ 2 แสนคน สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2564 โดยคาดการณ์ผู้โดยสารที่ใช้บริการสถานีกลางบางซื่อในปี 2564 จำนวน 208,000 คน-เที่ยว/วัน และเพิ่มเป็น 396,000 คน-เที่ยว/วัน ในปี 2575เมื่อทั้งระบบแล้วเสร็จ ซึ่งจะส่งผลให้สถานีกลางบางซื่อกลายเป็นศูนย์กลางการเดินทางด้วยระบบรางแห่งใหม่ของประเทศ รวมทั้งเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกี่ยวกับรถไฟฟ้า Update รถไฟฟ้า ปี 2563 รถไฟฟ้าสายสีส้ม สายแห่งการเชื่อมต่อกรุงเทพฯ เปิดทดลองวิ่งแล้ว BTS สถานีห้าแยกลาดพร้าว-สถานี ม.เกษตร
ดีเวลลอปเปอร์ ต้องรอด!! ออกมาตรการสู้ไวรัสโควิด-19

ดีเวลลอปเปอร์ ต้องรอด!! ออกมาตรการสู้ไวรัสโควิด-19

ตอนนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขยายวงกว้างมากขึ้น แถมจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ไม่รุนแรงเหมือนหลายประเทศ แต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลง และไม่รู้จะจบเมื่อไรด้วย   ไม่เพียงแต่ไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนโดยทั่วไป แต่ยังได้กระทบไปถึงธุรกิจต่างๆ แทบจะทุกธุรกิจไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ทำให้เจ้าของกิจการพยายามหาหนทาง เพื่อที่จะอยู่รอดให้ได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน   สำหรับแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการโดนผลกระทบมาต่อเนื่อง จากมาตรการ LTV ปัญหาค่าเงินบาท ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อหดหาย ซ้ำร้ายปีนี้มาเจอกับไวรัสโควิด-19 เป็นแรงหนุนเพิ่มปัญหาให้หนักเข้าไปอีก แต่ผู้ประกอบการต่างพยายามดิ้นรน หาหนทางรอดเพื่อสู้กับปัญหา หลายรายยังมองว่าทุกวิกฤติมีโอกาส หากมีกำลังใจและต่อสู้กับปัญหาอย่างเต็มที่ มาดูกันว่าตอนนี้ผู้ประกอบการอสังหาฯ  ใช้อะไรในการสู้กับวิกฤตครั้งนี้บ้าง เพอร์เฟค จับมือ วิริยะ มอบประกันโควิด-19    พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มอบประกันคุ้มครองไวรัสโคโรนา โดย วิริยะประกันภัย สำหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านและทาวน์โฮม รวมถึง ลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมทุกโครงการ ภายในเดือนเมษายนนี้ นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มอบความคุ้มครองให้แก่ลูกค้าของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ด้วยแผนประกันโควิดชีลด์  ติดปุ๊ปรับปั๊ป เมื่อตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 รับเงินก้อนทันที 100,000 บาท หากนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลจากโควิด-19 มีค่าชดเชยรายวัน วันละ 300 บาท สูงสุด 14 วัน พร้อมคุ้มครองการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุอีก 100,000 บาท   โดยลูกค้าที่ซื้อบ้านและทาวน์โฮมที่โอนกรรมสิทธิ์ภายในเดือนเมษายนนี้ จะได้รับความคุ้มครองดังกล่าว เป็นระยะเวลา 1 ปี  เพื่อให้ความอุ่นใจในช่วงที่โควิด-19 มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว  นอกจากนี้ ลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมโครงการของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ทุกโครงการ ภายในเดือนเมษายนนี้ จะได้รับสิทธิ์ความคุ้มครองนาน 30 วัน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หากตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 รับทันที 30,000 บาท พร้อมค่าชดเชยรายวันกรณีนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลและประกันชีวิตด้วยเช่นกัน เป็นการส่งมอบความห่วงใยแก่ลูกค้าที่มีความกังวลเรื่องการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ LPN ให้พนักงาน Work from Home LPN ออกนโยบาย Work from Home ลดความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หลังพบอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะที่ผ่านมา เตรียมแผนรับมือและจัดตั้งทีมเฉพาะกิจ ให้พนักงานสามารถทำงานที่บ้านได้อย่างราบรื่น เน้นย้ำเรื่องการสื่อสารในภาวะวิกฤต ต้องรวดเร็วและถูกต้อง   นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า  จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดทั่วโลกและมีอัตราการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศไทยในระยะเวลาที่ผ่านมา LPN ได้ติดตามและเฝ้าดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด และเตรียมมาตรการ Work from Home เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานที่บ้าน เป็นการลดความแออัดและลดโอกาสในการแพร่เชื้อ   โดยบริษัทได้ประกาศคิกออฟมาตรการดังกล่าว เริ่มต้นวันแรกในวันที่ 17 มีนาคม 2563 ซึ่งได้ลดสัดส่วนจำนวนพนักงานประจำสำนักงานใหญ่ให้เหลือ 50% สลับกับพนักงานที่ทำงานที่บ้าน โดยบริษัทได้เตรียมพร้อมในแง่ระบบการทำงาน มีการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อความคล่องตัวในการสื่อสารและการประชุมร่วมกัน รวมถึงสนับสนุนอุปกรณ์การทำงาน เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในส่วนของสำนักงานขายและนิติบุคคลตามโครงการต่างๆ ยังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ โดยมีแผนรองรับหากเกิดภาวะฉุกเฉิน   มาตรการ Work from Home 50% ในครั้งนี้ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมของบริษัท หากประเทศไทยเข้าสู่ภาวะติดเชื้อโควิด-19 ระยะ 3 และจำเป็นต้องปิดสำนักงานทั้งหมด เพื่อให้ลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่า LPN จะยังคงดำเนินงานได้แบบไม่มีสะดุด จะยังคงให้บริการลูกค้าอย่างสมบูรณ์ที่สุด   ในส่วนของการดูแลพนักงานนั้น นอกเหนือจากนโยบาย Work from Home ที่ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของพนักงานแล้ว LPN ยังได้ยกเลิกระบบสแกนนิ้วที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ รวมถึงได้ทำการพ่นยาฆ่าเชื้อที่สำนักงานใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีระบบเฝ้าระวังและติดตามพร้อมให้การดูแลหากพนักงานติดเชื้อโควิด-19 และมีการซื้อประกันโควิด-19 ให้กับกลุ่มพนักงานผู้ปฏิบัติงานประจำโครงการต่างๆ อีกด้วย   ที่ผ่านมา บริษัทได้เชิญวิทยากรจากกรมคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข มาจัดอบรมแก่พนักงานและบริษัทในเครือ ในการดูแลตัวเอง และแนวทางการปฏิบัติหากเกิดกรณีพนักงานหรือเจ้าของร่วมในโครงการต่างๆ ติดเชื้อโควิด-19 จึงถือว่า LPN มีการเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ต่อสถานการณ์ขณะนี้ แสนสิริ ขายคอนโดฯ ออนไลน์ รับดีมานด์ลูกค้าช่วง COVID-19 แสนสิริ เปิดขายคอนโดฯ ออนไลน์ ผ่าน “Sansiri 24 Online Booking” รับไลฟ์สไตล์ลูกค้าในยุคดิจิทัล และดีมานด์ลูกค้าไม่ออกจากบ้านช่วง COVID-19 ขน 10 โปรเจ็กต์ 70 ยูนิตจัดราคาพิเศษ   นายปิติ จารุกำจร รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบริหารกลยุทธ์โครงการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้รุกตลาดผ่านกลยุทธ์การขายและบริการออนไลน์ “Sansiri 24 Online Booking” เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ลูกค้าในยุคดิจิทัล ตอบโจทย์ดีมานด์ในตลาดที่ยังมีอยู่สูง ซึ่งต้องการซื้อที่อยู่อาศัยพร้อมเข้าอยู่ได้ทันที ผ่านช่องทางการตลาดออนไลน์ที่อำนวยความสะสวกให้กับลูกค้าได้ซื้อคอนโดฯพร้อมอยู่ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องออกจากบ้าน   รวมถึงเพิ่มโอกาสรองรับดีมานด์ลูกค้าช่วง COVID-19 อีกด้วย ซึ่งบริษัทยังจัดโปรโมชั่นราคาพิเศษ  ให้ลูกค้าเลือกซื้อยูนิตที่ชอบ และชมโครงการได้เสมือนกับมาที่โครงการ โดยมีเจ้าหน้าฝ่ายขายติดต่อกลับทันที เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกหลังการจอง โดยมีโครงการของแสนสิริเข้ารวม 10 โครงการ จำนวน 70 ยูนิตพิเศษ ซึ่งลูกค้าสามารถซื้อคอนโดฯ ได้ง่าย ทุกที่ตลอด 24 ชั่วโมง   “แสนสิริ ยังมีบริการ Sansiri Service เพื่อมอบประสบการณ์ดีที่แตกต่างแก่ลูกค้า โดยพร้อมดูแลตลอดทุกช่วงการอยู่อาศัย ที่ทำให้บ้านได้มากกว่าบ้าน ตั้งแต่บริการโอน ดูแลบริหารโครงการโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ อุ่นใจมากกว่าด้วยบริการ LIV-24 ปลอดภัย 24 ชม. บริการ Move-In Experience เตรียมความพร้อมก่อนการเข้าอยู่อาศัยอย่างครบวงจรผ่าน และไลฟ์สไตล์พริวิเล็จมากมายจากแสนสิริ แฟมิลี่”  “อัลติจูด แจกประกันลูกค้าเยี่ยมชมโครงการ  “อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์” รับมือไวรัสโควิด-19 เตรียมแจกประกันภัย สำหรับผู้เข้าชมโครงการ   นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ ‘ALTITUDE’ เปิดเผยว่า ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้แม้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัว และจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่กระทบกับทั้งประเทศไทยและทั่วโลก บริษัทฯ ได้ตระหนักและคำนึงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีการปรับตัวในการดำเนินธุรกิจมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา   โดยให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน จึงได้ซื้อประกันภัยโควิด-19 มอบให้กับพนักงาน และผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการของอัลติจูด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยผู้ต้องการเข้าชมโครงการต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของบริษัท www.altiude.co.th เค.อี. เน้นความสะอาดสูงสุด รับมือโควิด-19 เค.อี.แลนด์ เน้นความสะอาดสูงสุด รับมือไวรัสโควิด-19 พร้อมออก 7 มาตรการให้พนักงานปฎิบัติ พร้อมเฝ้าระวัง-ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด    นางศุภานวิต เอี่ยมสกุลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เค.อี. และผู้บริหารกองทรัสต์ BKER เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมมาตรการรับมือไวรัสโควิด-19 เพื่อสุขภาพและความปลอดภัย ของร้านค้า ผู้เช่า ลูกค้าที่มาใช้บริการศูนย์การค้า คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (ซีดีซี)  เดอะ คริสตัล (เอกมัย-รามอินทรา, ราชพฤกษ์, ชัยพฤกษ์) เพลินนารี่ มอลล์, เดอะซีน (ทาวน์อินทาวน์)  อมอรินี่, แอมพาร์ค (จุฬา)  สัมมากร (รามคำแหง, ราชพฤกษ์, รังสิต) และพนักงานทุกคน   โดยออกประกาศมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยกำชับทุกหน่วยงานให้เข้มงวดและดำเนินมาตรการป้องกันสูงสุด ทั้งการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการควบคุม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขและราชกิจจานุเบกษา ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (Coronavirus Disease 2019 : COVID-19) เป็นโรคติดต่ออันตราย   สำหรับมาตรการการดูแลความสะอาดของสถานที่อย่างต่อเนื่อง มีดังนี้ 1.การฉีดพ่นทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและการเช็ดทำความสะอาดบริเวณพื้นที่ส่วนกลาง 2.ให้บริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือในจุดต่างๆ บริเวณทางเข้า-ออกหน้าลิฟท์ บันไดเลื่อน ห้องน้ำ โดยเติมแอลกอฮอล์ไม่ให้ขาด 3.เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดจุดสัมผัสต่างๆ ในพื้นที่ที่ใช้ร่วมกัน เช่น ปุ่มลิฟท์โดยสาร ราวบันไดเลื่อน 4.ทำความสะอาดห้องน้ำด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น ก๊อกน้ำ ชักโครก สายฉีดชำระ ทุกครึ่งชั่วโมง 5.จัดเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดภายในห้องน้ำส่วนกลางให้มีเพียงพอ 6.กำหนดให้พนักงาน ร้านค้าผู้เช่า สวมหน้ากากอนามัย และหากพบมีอาการป่วย ไอ เป็นไข้ ให้หยุดปฏิบัติงานทันที โดยให้พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และรักษาจนกว่าจะหาย หรือกรณีเดินทางกลับจากต่างประเทศจะให้หยุดงานเพื่อเฝ้าระวัง 14 วัน 7.กรณีฉุกเฉินหรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์และขอความร่วมมือจากร้านค้าผู้เช่า โดยการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันเชื้อไวรัสดังกล่าว โดยร่วมกับทุกร้านค้าทำความสะอาดพื้นที่ภายในร้าน (Big Cleaning) เพื่อสร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ และพนักงานของร้านค้าผู้เช่าด้วย   ทั้งนี้ บริษัทฯ จะติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมในการเสริมมาตรการต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับร้านค้าผู้เช่า ลูกค้าที่มาใช้บริการ และพนักงานทุกคนอย่างดีที่สุด เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปพร้อมกัน
เปิดแผน AWC รับมือโควิด-19  ซื้อประกันแจกพนักงาน-ลดค่าเช่าให้ร้านค้า50%

เปิดแผน AWC รับมือโควิด-19 ซื้อประกันแจกพนักงาน-ลดค่าเช่าให้ร้านค้า50%

AWC ช่วยเหลือลูกค้าและพนักงาน ลดค่าเช่าให้ผู้เช่าทุกโครงการโปรเจ็กต์รีเทล  50% ทุกโครงการรีเทล พร้อมขยายเวลารับส่งมอบงานลูกค้า และจัดทำประกันที่ดีที่สุดให้พนักงานทุกคน รับมือผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในประเทศไทย   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทย ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้น บริษัทจึงได้ยกระดับมาตรการต่าง ๆ สำหรับการดำเนินงานในกลุ่มธุรกิจทั้งหมดของ AWC ทั้งด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย ความช่วยเหลือในการแบ่งเบาภาระของคู่ค้า ผู้เช่าในโครงการต่าง ๆ การปรับแนวทางในการดำเนินธุรกิจ การเพิ่มสวัสดิการคุ้มครองพนักงานของทั้งบริษัทเองและธุรกิจในกลุ่ม รวมถึงการสื่อสารทั้งระดับภายในและกับภายนอกองค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พนักงาน พันธมิตรทางธุรกิจของเราทั้งผู้เช่า คู่ค้า ลูกค้า ชุมชนและสังคมในองค์รวม ผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกันอย่างดีที่สุด   โดยการยกระดับมาตรการรับมือสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ซื้อประกันคุ้มครองพนักงานกว่า 6,000 คน ในด้านทรัพยากรบุคคล   AWC ได้จัดทำประกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยเลือกแผนประกันที่ดีที่สุดให้กับพนักงานทั้งหมดกว่า 6,000 คน ทั้งส่วนของบริษัทเองและพนักงานโรงแรมทั้งหมดในกลุ่ม AWC และพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในโครงการต่าง ๆ ของ AWC เพิ่มเติมจากสวัสดิการปกติ เพื่อดูแลพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งยังกำหนดให้พนักงานปฏิบัติงานจากที่บ้านโดยพิจารณาสถานการณ์เป็นรายสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2563 ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมจากการคาดการณ์ล่วงหน้าของ AWC   ขอให้พนักงานงดการเดินทางต่างประเทศ หากมีความจำเป็นให้แจ้งผู้บังคับบัญชาพิจารณาเป็นรายกรณี รวมถึงหลีกเลี่ยงการประชุมสัมมนาภายนอกและสถานที่ชุมชนหนาแน่น และงดรับนัดหมายประชุมและการพบปะโดยตรงกับบุคคลภายนอก โดยให้ใช้ช่องทางการสื่อสารผ่านระบบสารสนเทศต่าง ๆ และหากมีอาการป่วยให้รีบพบแพทย์และแจ้งผู้บังคับบัญชาทราบทันที ลดค่าเช่าให้ร้านค้า 50% ผู้เช่าในโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า (Retail and Wholesale)  AWC พิจารณามอบส่วนลดค่าเช่ารายเดือนเพิ่มขึ้นเป็น 50% ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2563 จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2563 ให้กับผู้เช่าทุกราย ในทุกโครงการ เพื่อเป็นการดูแลพันธมิตรของเราให้ก้าวข้ามผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน จากมาตรการเข้มงวดเพิ่มเติมจากทางภาครัฐในการปิดสถานบริการ และงดจัดกิจกรรมที่มีคนจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้ AWC จะพิจารณาแนวทางความช่วยเหลือตามความเหมาะสมของสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และจะร่วมยืนหยัดรับมือทุกปัญหาเพื่อให้ผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกันอย่างดีที่สุด ผู้เช่าอาคารสำนักงาน (Office) AWC ยินดีที่จะมอบส่วนลด 20% สำหรับผู้เช่าปัจจุบันและพันธมิตรทางธุรกิจที่มองหาสำนักงานสำรองในโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ของ AWC ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศไทย และมีมาตรการเข้มงวดด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยอย่างต่อเนื่อง พันธมิตรและคู่ค้าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการ AWC ได้ขยายเวลารับส่งมอบงานให้แก่พันธมิตรและคู่ค้าทุกรายที่ได้รับผลกระทบด้านห่วงโซ่อุปทานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดย AWC ยังคงเดินหน้าตามแผนระยะยาวในการสร้างเสริมศักยภาพของโครงการปัจจุบันและพัฒนาโครงการใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดนิ่งตามแผนยุทธศาสตร์การเติบโตของ AWC รวมถึงวางแผนรองรับทางธุรกิจ (Business Continuity Plan) รวมถึงการจัดหาสำนักงานสำรองสำหรับตำแหน่งงานที่สำคัญ ให้พร้อมรับมือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ด้วยการติดต่อสื่อสาร ประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตร และคู่ค้า พันธมิตรกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) AWC ร่วมกับพันธมิตรเครือโรงแรมระดับโลกทั้ง 6 รายได้แก่ แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์, ฮิลตัน, อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป, บันยันทรี, มีเลีย และโอกุระ ดำเนินมาตรการด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อดูแลความปลอดภัยเรื่องสุขอนามัยภายในโครงการ ควบคู่กับสร้างความเชื่อมั่นให้กับแขกผู้เข้าพักและใช้บริการในโรงแรม โดยได้ออกมาตรการที่เหมาะสมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งการยกเว้นค่าธรรมเนียมในการยกเลิกเข้าพักในโรงแรมและการเลื่อนการจัดประชุมสัมมนา อีกทั้งการจัดแผนโปรแกรมทำความสะอาดใหญ่ทั่วทั้งบริเวณ (Big Cleaning) ในทุกโครงการเพิ่มเติมจากแผนการทำความสะอาดตามปกติ กลุ่มลูกค้า AWC ได้ยกระดับมาตรการด้านสุขอนามัยเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายของเชื้อโรคไวรัสโควิด-19 และสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับพนักงาน พันธมิตรทางธุรกิจ ผู้เช่า ผู้เช่าพื้นที่ ลูกค้า และผู้ที่มาติดต่อกับโรงแรม ร้านค้าปลีก และศูนย์การค้าต่าง ๆ ทั่วประเทศที่อยู่ภายใต้การดูแล   AWC ได้ดำเนินมาตรการทั่วไปภายในอาคาร   โดยทำความสะอาดพื้นที่ต่าง ๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ และพ่นสเปรย์น้ำยาฆ่าเชื้อในลิฟต์โดยสารทุก ๆ 30 นาที ติดตั้งเจลทำความสะอาดมือที่บริเวณทางเข้าและในพื้นที่ที่มีการสัญจรคับคั่งของอาคาร แจ้งให้ลูกค้า ผู้มาติดต่อ และพนักงานของหน่วยงานต่าง ๆ ล้างมือบ่อย ๆ บริการเจลทำความสะอาดมือ สบู่ และกระดาษชำระให้พร้อมใช้ในห้องน้ำเสมอ และจัดทำป้ายมาตรการการดูแลและสัญลักษณ์แจ้งจุดที่ให้บริการเจลทำความสะอาดมือได้โดยสะดวก   เพิ่มเติมมาตรการในจัดให้มีการทำความสะอาดครั้งใหญ่ (Big cleaning) ในทุกโครงการ ทุก 30 วัน วัดอุณหภูมิผู้เข้าอาคาร/โครงการทุกคน และจุดคัดกรองในทางเข้าออกของทุกโครงการ รวมทั้งสุ่มขอเปิดเผยข้อมูลเดินทาง การพบปะผู้คนจากเขตติดโรคติดต่ออันตรายกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามประกาศกระทรวง ข้อมูลการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของคนในครอบครัว และข้อมูลการพบปะผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในช่วง 14 วันที่ผ่านมา รวมทั้งประสานและขอความร่วมมือกับผู้เช่าในการกำหนดมาตรการภายในของหน่วยงานของผู้เช่าเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)  กลุ่มผู้ถือหุ้น AWC ยังคงเดินหน้าตามกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างเต็มที่ มุ่งเน้นการลงทุนที่หลากหลายและสมดุลเชิงธุรกิจ (Balance and Diversified Portfolio) จึงทำให้ AWC สามารถบริหารความเสี่ยงจากการผันผวนและการเปลี่ยนแปลงของตลาดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อการท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรม  โดย AWC ยังคงมีกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานที่ไม่ได้รับผลกระทบ ซึ่งสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง และดำเนินธุรกิจได้ตามแผนงานที่วางไว้อย่างเข้มงวดให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ด้านสังคมและชุมชน AWC จะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ อย่างอย่างเต็มกำลัง เพือกำหนดแนวทาง มาตรการ และนโยบายในการดำเนินการต่าง ๆ ให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแล ให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ไปได้อย่างดีที่สุด AWC ตระหนักดีว่าสถานการณ์เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เราพร้อมที่จะดูแลผู้มีส่วนได้เสียของเราในทุกมิติ เพื่อร่วมฝ่าฟันและผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกันได้อย่างดีที่สุด