Tag : News

2376 ผลลัพธ์
“โฮมโปร”เปิดสาขาใหม่ พร้อมสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งจาก Offline สู่ Online

“โฮมโปร”เปิดสาขาใหม่ พร้อมสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งจาก Offline สู่ Online

ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน มีวิถีชีวิตอยู่บนโลกออนไลน์ นับตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์เหมือนอวัยวะชิ้นสำคัญของร่างกายที่ขาดไม่ได้  การทำธุรกรรมต่างๆ มักจะทำผ่านโลกออนไลน์  การช้อปปิ้งก็เป็นหนึ่งเรื่องหลักในนั้นแล้ว  ผู้ประกอบการเจ้าของธุรกิจและสินค้า จึงต้องปรับตัวเองเข้าหาลูกค้า เสริมช่องทางการขายสินค้าผ่านทางออนไลน์  เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากที่สุด ถือเป็นการเติมเต็ม Customer Journey  แต่การเปิดสาขาใหม่ ก็ยังคงมีความสำคัญ และยังต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า และยังต้องผสานเชื่อมโยงการช้อปปิ้งระหว่าง Offline และ Online เข้าด้วยกันด้วย   ในธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ของตกแต่ง ซ่อมแซม และเฟอร์นิเจอร์  แม้ว่าสินค้าหลายรายการจะมีขนาดใหญ่ แต่การสั่งซื้อสินค้าในช่องทางออนไลน์  ก็นับว่าเป็นความจำเป็นที่จะต้องมีไว้บริการให้กับลูกค้า “โฮมโปร” หนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้างอุปกรณ์ตกแต่ง และซ่อมแซมบ้าน ก็เดินเกมการตลาดนี้ด้วยเช่นกัน กับการเปิดเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซมาก่อนหน้านี้ เพื่อเสริมกับการขายสินค้าในช่องทางร้านค้าด้วย   ไม่เพียงแต่การเปิดเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเพื่อขายสินค้าเท่านั้น  แต่โฮมโปรได้เริ่มนำเอาระบบ QR Code มาใช้แสดงรายละเอียดสินค้า ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของผลิตภัณฑ์ หรือราคาสินค้า ที่สำคัญ คือการเชื่อมโยงไปสู่เว็บไซต์ของโฮมโปรที่ให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ทันที ตอนนี้สินค้าภายในโฮมโปรกว่า 80% มีระบบ QR Code เรียบร้อยแล้ว   นอกจากนี้ โฮมโปรยังได้นำระบบดิจิทัล เข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาการเลือกซื้อสินค้า ที่มักจะพบว่าลูกค้านึกภาพไม่ออกว่า เมื่อเอาสินค้าไปใช้งานจริงกับบ้านของตนเองแล้วจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ด้วยการพัฒนาแอพพลิเคชั่น Fit Tile เพื่อใช้ในกลุ่นสินค้ากระเบื้อง เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกลายกระเบื้อง และเห็นภาพเสมือนจริง เมื่อนำไปใช้งานในพื้นที่ต่างๆ ของห้องได้ แถมยังสามารถคำนวณปริมาณการใช้ได้ด้วยว่า พื้นที่แต่ละห้องจะต้องใช้ปริมาณเท่าไร คำนวณราคาให้เสร็จสรรพ พร้อมกับการสั่งซื้อสินค้าได้ทันทีเมื่อพอใจกับลวดลายของกระเบื้องนั้น ถือเป็นการแก้ไขปัญหาการเลือกซื้อวัสดุ ที่เมื่อนำไปติดตั้งแล้วไม่เป็นไปตามที่ลูกค้าคิด รวมถึงการซื้อสินค้าไม่พอดีกับการใช้งานด้วย ลักษณะการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในด้านการออกแบบ และทำให้ลูกค้าเห็นภาพการใช้งานของวัสดุเสมือนจริงนั้น เริ่มต้นจากกลุ่มสินค้าสีก่อน ที่สามารถถ่ายภาพและเปลี่ยนสีของผนังได้ตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งแผนงานต่อไปโฮมโปรจะพัฒนารูปแบบการใช้งานในลักษณะดังกล่าวต่อไป กับสินค้ากลุ่มอื่นๆ ตามมาด้วย อาทิ กลุ่มผ้าม่าน เป็นต้น   สาขาใหม่ต้องให้อะไรที่มากกว่า   กลยุทธ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งของโฮมโปร คือ การปรับปรุงและขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ได้เปิดสาขาใหม่ที่ 83 "โฮมโปร จรัญสนิทวงศ์" บริเวณปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 18  ถือเป็นสาขาใหม่แห่งแรกของปี 2562 กับงบลงทุน 800 ล้านบาท จัดอยู่ในกลุ่มสาขาขนาดใหญ่กับพื้นที่ 8,400 ตารางเมตร   โดยแนวคิดในการพัฒนาสาขาใหม่  โฮมโปรจะเอาปัญหาที่เกิดขึ้นในสาขาเดิมมาพัฒนาและปรับปรุง เพื่อไม่ให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นกับสาขาใหม่ พร้อมสร้างประสบการณ์การซื้อสินค้าให้กับลูกค้าที่ดีมากขึ้น  อาทิ การจัดวางสินค้าไว้ไม่สูงมากเกิน จนลูกค้าไม่สามารถหยิบสินค้าลงมาจากชั้นวางได้ การจัดทำพื้นที่สาธิตสินค้า ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งเครื่องกรองน้ำ ให้ลูกค้าได้ทดลองดื่มน้ำจากเครื่องกรองในแต่ละรุ่น การสาธิตการใช้งานอุปกรณ์เครื่องครัว  การจัดพื้นที่สุขภัณฑ์ประเภทโถส้วม ให้ลูกค้าได้ทดลองนั่งจริง หรือการจัดพื้นที่แสดงการนำเอาอุปกรณ์ไปติดตั้งจริง  เพื่อทำให้ลูกค้าเห็นภาพชัดเจนว่าสินค้าเมื่อถูกนำไปติดตั้งแล้วจะมีหน้าตาอย่างไร  อย่างเช่น กลุ่มสินค้าวงกบ หน้าต่างและประตู เป็นต้น   นางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือโฮมโปร เล่าว่า การทำให้ลูกค้าเห็นภาพการใช้งานของสินค้า จะช่วยในการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ โฮมโปรยังมีสินค้าที่หลายคนไม่คิดว่าจะมีขาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักล้าง ที่เป็นของใช้ในบ้าน หรือแม้แต่ยางมะตอย เพื่อใช้ซ่อมแซมถนนหรือโรงรถในบ้านก็มีขาย  รวมถึงสินค้าสังฆภัณฑ์ก็มีขายเช่นกัน  เพราะโฮมโปรต้องการเป็น Total Home Solution ในการซื้อสินค้าให้นึกถึงโฮมโปร ซึ่งในบางสาขายังมีสินค้าผ้าอ้อมผู้ใหญ่ขายด้วย ปัจจุบันกลุ่มโฮมโปรมีสาขารวมทั้งสิ้น 108 สาขาทั้งในประเทศไทยและมาเลเซีย  ซึ่งภายในครึ่งปีหลังมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง  ทั้งในรูปแบบสแตนด์อะโลนที่ใช้งบลงทุนมากกว่า 500 ล้านบาท และสาขาขนาดเล็ก หรือ โฮมโปร เอส ที่ใช้งบลงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท โดยจะขยายในพื้นที่ของศูนย์การค้าหรือคอมมูนิตี้มอลล์เป็นหลัก   ไตรมาสแรก โกยรายได้กว่า 1.65 หมื่นล้าน   ส่วนผลประกอบการของโฮมโปร ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีรายได้รวม 16,553.01 ล้านบาท เติบโต 4.10% โดยมีรายได้จากการขาย 15,399.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.53% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของธุรกิจโฮมโปร และเมกา โฮม รวมถึงการเติบโตของยอดขายจากสาขาใหม่จากธุรกิจโฮมโปรที่เปิดให้บริการในปี 2561 นอกจากนี้ ยังมีรายได้ค่าเช่า และบริการอีกจำนวน 657.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  9.78% เป็นผลมาจากรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจากพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้ามาร์เกต วิลเลจ และรายได้จากค่าบริการ “Home Service” ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาสแรก บริษัททำได้มูลค่า 1,419.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.73% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน   นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ โฮมโปร กล่าวว่า บริษัท มีกำไรขั้นต้น 4,030.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.63% เมื่อเทียบกับปีก่อน  สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 25.89% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.17% โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และการเพิ่มอัตรากำไรของกลุ่มสินค้า Direct Sourcing รวมถึงการปรับปรุงแผนการจัดซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่องของธุรกิจโฮมโปร เมกา โฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย  ซึ่งมีอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้น
“สามย่านมิตรทาวน์” เปิดพื้นที่ 24 ชั่วโมง ให้คนกรุงใช้ชีวิตทั้งวันทั้งคืน “กิน ดื่ม ทำงาน และออกกำลังกาย”

“สามย่านมิตรทาวน์” เปิดพื้นที่ 24 ชั่วโมง ให้คนกรุงใช้ชีวิตทั้งวันทั้งคืน “กิน ดื่ม ทำงาน และออกกำลังกาย”

นับถอยหลังเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือน โครงการสามย่านมิตรทาวน์ บริเวณหัวมุมถนนพญาไท-พระราม 4 ของบริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือโกลเด้นแลนด์ จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว ในช่วงเดือนกันยายน 2562 ตอนนี้การก่อสร้างคืบหน้าไป 80% ซึ่งดำเนินการเป็นไปตามแผนที่ได้วางไว้   โครงการสามย่านมิตรทาวน์ มีมูลค่า 9,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 14 ไร่ มีพื้นที่ใช้สอยรวม 222,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นโซนที่อยู่อาศัย โซนอาคารสำนักงาน และโซนรีเทลหรือ Urban Life Library สูง 6 ชั้น พื้นที่ให้เช่ารวม 36,000 ตารางเมตร พัฒนาจากแนวคิดเรื่อง “การเรียนรู้ จะเกิดขึ้นได้ ถ้าทุกอย่างถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นมิตร” โดยออกแบบให้พื้นที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้ใช้งาน (Smart) และเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน (Friendly) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Urban Life Library” หรือ “คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้” รีเมคตำนานสามย่านบทใหม่ ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่จะเติมเต็ม Urban Life Library ของทุก ๆ คน   ความแตกต่างที่ชัดเจนของโครงการสามย่านมิตรทาวน์ กับพื้นที่ค้าปลีกในรัศมีที่ใกล้เคียงกัน คือ การเปิดพื้นที่ให้บริการแบบ 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับกับวิถีชีวิตของคนเมืองยุคใหม่ ที่ต้องการพื้นที่สำหรับการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการทำงาน การเรียนรู้ต่างๆ หรือเรื่องส่วนตัว   นางสาวธีรนันท์ กรศรีทิพา รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เล่าว่า ปัจจุบันไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่เปลี่ยนแปลงไป ไม่จำกัดเวลาการใช้ชีวิตทำงานเฉพาะช่วงเวลาตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น หรือการใช้บริการของศูนย์การค้าที่กำหนดปิด 22.00 น.เท่านั้น ทำให้ทางโครงการเปิดพื้นที่บริการแบบ 24 ชั่วโมง โดยมีสัดส่วน 4 ส่วนหลัก คือ ร้านอาหาร (Dinning) ร้านค้า (Shopping) ธุรกิจบริการ (Service) และพื้นที่รองรับไลฟสไตล์ (Space Service) ทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร สถาบันทางการเงิน บริการจัดส่งพัสดุ Co-working Space ร้านจำหน่ายสินค้าสไตล์ญี่ปุ่น และร้านบอร์ดเกม   โดยร้านค้าเปิดบริการแบบ 24 ชั่วโมงเป็นครั้งแรกที่สามย่านมิตรทาวน์ ได้แก่ ร้านสินค้าไลฟ์สไตล์มินิโซ (Miniso), ชาบูชิ (Shabushi), สเวนเซ่นส์ (Swensens), ก๋วยเตี๋ยวเรือพระนคร ไวท์ สตอรี่ (White Story) และมายด์ สเปซ โดย ซี อาเซียน (Mind Space by C Asean) ที่ให้บริการอาหารเครื่องดื่มพร้อมร้านหนังสือทั้งไทยและต่างประเทศ รวมทั้งมีร้านอาหารและเครื่องดื่มที่เปิดแบบ 24 ชั่วโมงอีกหลากหลายประเภท เช่น เคเอฟซี (KFC) เอ ราเมน (A Ramen) สตาร์คบัคส์ คอฟฟี่ (Starbucks Coffee) ร้านคาเฟ่อเมซอน (Cafe Amazon)   สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของพื้นที่ให้บริการ 24 จะเป็นกลุ่มคนวัยทำงานเริ่มต้น กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ผู้ที่ต้องการใช้พื้นที่ทำงาน หรือทำกิจกรรมต่างๆ นอกเวลาทำการปกติของพื้นที่ค้าปลีกทั่วไป โดยโซน “24 ชั่วโมง” จะมีพื้นที่ใน 4 ชั้นหลัก ได้แก่ ชั้น B1 ชั้น G ชั้น 1 และชั้น 2 ของโครงการมากกว่า 5,000 ตารางเมตร โดยขณะนี้สามารถปิดการขายพื้นที่ทั้งหมดมากกว่า 90% แล้ว และมั่นใจว่าจะปิดการขายได้ทั้งหมดเร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรสำคัญที่เข้าร่วมโครงการให้บริการ 24 ชั่วโมง ยังมีบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มบีเจซี ตัดสินใจนำเสนอสาขาซูเปอร์มาร์เก็ตรูปแบบใหม่และเป็นโมเดลที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงในแพลตฟอร์มใหม่ภายใต้ชื่อ “บิ๊กซี ฟู้ดเพลส”   นอกจากนี้ยังมีบริการส่งพัสดุด่วน Kerry Express บริการทางการเงิน ทั้งธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย SCB Express รวมถึงมี Co-learning Space ร้านบอร์ดเกมส์ยอดนิยมอย่าง เชลดอน (Sheldon) และ เซเลบริตี้ ฟิตเนส (Celebrity Fitness) ภายใต้กลุ่ม ฟิตเนส เฟิรส์ท ประเทศไทย ที่เตรียมเปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย   “การพัฒนาโซน 24 ชั่วโมง เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าที่แตกต่างจากในอดีต เราเชื่อมั่นว่า จำนวนของกลุ่มอาชีพอิสระที่มีเวลาการทำงานยืดหยุ่นจะเพิ่มมากขึ้น เราจึงต้องสร้างจุดขายใหม่ สร้างความแตกต่าง สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ สร้างไลฟ์สไตล์ที่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้ามาใช้ชีวิตที่หลากหลาย ซึ่ง บริษัทยังเตรียมกลยุทธ์การตลาด จัดอีเวนต์ในโซน “24 ชั่วโมง” อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งกิจกรรมช่วงเช้าตรู่ กลางวันและช่วงค่ำ รวมทั้งการจัดกิจกรรมช่วงเทศกาลสำคัญต่าง ๆ คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการประมาณ 10% ของกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการประมาณ 30,000 คนต่อวัน" นางสาวธีรนันท์ กล่าวในตอนท้าย    
เปิดรายได้-กำไร บิ๊กอสังหาฯ Q1/2562 ใคร? ท็อปฟอร์มสุด

เปิดรายได้-กำไร บิ๊กอสังหาฯ Q1/2562 ใคร? ท็อปฟอร์มสุด

การออกมาตรการ LTV  ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อสกัดกั้นนักเก็งกำไรและนักลงทุน และยังลดระดับความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียม ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายแห่กันเข้ามาในตลาดนี้อย่างมากมาย  และยังต่อเนื่องมาหลายปี  ซึ่งธปท. มีความกังวลว่าปัญหาฟองสบู่จะย้อนรอยกลับมาอีกครั้ง จึงต้องออกมาตรการ LTV ออกมาใช้ และมีกำหนดดีเดย์ใช้จริงในวันที่ 1เมษายน  2562 ที่ผ่านมา   และดูเหมือนว่ามาตรการจะทำงานได้เป็นอย่างดี  เพราะก่อนมาตรการจะมีผลบังคับใช้  บรรดาผู้ประกอบการก็ต่างอัดโปรโมชั่น และกระตุ้นยอดขายในช่วงไตรมาสแรก เพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งสินเชื่อ และสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ​โดยมีต้องมีกรอบเพดานวงเงินกู้ของ LTV มาเป็นตัวกำหนด   แม้ว่าผู้ประกอบการหลายรายจะยังปากแข็ง เห็นว่ามาตรการดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ  แต่ในใจลึกๆ ต่างก็รู้ดีว่า ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของคนจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะตลาดกลางลงมาระดับล่าง ที่สำคัญมีผลต่อจิตวิทยาของคนส่วนใหญ่แน่ๆ   ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ นอกจากจะเห็นสารพัดแคมเปญการตลาด ออกมากระตุ้นตลาดแล้ว ยังเห็นตัวเลขยอดโอนที่เพิ่มมากขึ้นด้วย ผู้ประกอบการหลายรายได้รับอานิสงค์จากมาตรการ ทำผลประกอบการได้ดีเกินกว่าที่คาดหมายกันไว้ด้วยซ้ำ   ภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯ จากบรรดาผู้ประกอบการที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 33 บริษัท ซึ่งเน้นการพัฒนาอสังหาฯ ประเภทที่อยู่อาศัย พบว่า ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา หรือตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม 2562 มีรายได้รวมกว่า 80,998.14 ล้านบาท (รายได้จากการขายและการพัฒนาอสังหาฯ​ ประเภทที่อยู่อาศัย ไม่รวมธุรกิจและรายได้อื่น เช่น โรงแรม ค่าบริหาร ค่าเช่า เป็นต้น) เติบโต 30.42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 62,105.02 ล้านบาท  บริษัทส่วนใหญ่ยังคงทำกำไรได้อย่างดี  โดยมีกำไรโดยรวมอยู่กว่า 13,774.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 134.76% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งมีกำไรรวมกว่า 5,867.54 ล้านบาท  สาเหตุสำคัญที่ปีนี้กำไรเติบโตกันอย่างมหาศาล ก็เพราะมีการโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้กันเป็นกอบเป็นกำ 5 บิ๊กอสังหาฯ รายได้อู้ฟู่ ส่วนบิ๊กอสังหาฯ ที่ยังคงทำรายได้นำโด่ง เป็นเจ้าตลาด 5 อันดับแรกในปีนี้ ได้แก่ บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)  (บมจ.) มีรายได้ระดับหมื่นล้านบาทเพียงเจ้าเดียว และยังครองความเป็นผู้นำเบอร์ 1 ของวงการอสังหาฯ เมืองไทย โดยมีรายได้ 11,969.0 ล้านบาท เติบโต 43.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อันดับ 2 คือ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ได้จากปีที่ผ่านมาอยู่ในอันดับที่ 3 มีรายได้ 7,503.6 ล้านบาท เติบโต 42.47% ส่วนอันดับ 3ของไตรมาสแรกปีนี้ คือ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ที่ขยับตำแหน่งขึ้นมาจากอันดับที่ 4 ของไตรมาสแรกปีที่ผ่านมา โดยมีรายได้ 6,252.56 ล้านบาท เติบโต 41% ส่วนอันดับ 4 ของปีนี้เป็นบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ตำแหน่งหล่นจากเคยเป็นเบอร์  2 มีรายได้ 5,698.25 ล้านบาท เติบโตลดลง 28.54%  และอันดับ5 ขยับตำแหน่งจากเบอร์ 6 ในปีที่ผ่านมาคือ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) โดยมีรายได้ 4,910.97 ล้านบาท เติบโต 29.16% หลังเบียดบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ให้ไปอยู่ในอันดับ 6 ของปีนี้แทน   แม้ว่าภาพรวมของผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะมีการสลับตำแหน่งกันไปมาบ้าง  แต่บิ๊กเพลย์เยอร์ของตลาดอสังหาฯ เมืองไทย ก็ยังคงเป็นรายใหญ่หน้าเดิมเหล่านี้อยู่นั่นเอง   5 เจ้าตลาดทำกำไรอีก 4 รายที่ยังขาดทุน นอกเหนือจากจะทำรายได้กันเป็นกอบเป็นกำแล้ว ในส่วนของกำไรก็ถือว่าแต่ละรายทำกันได้ไม่น้อย โดยบมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ทำกำไรได้ 1,825.80 ล้านบาท ดีที่สุดในตลาด รองลงมาเป็นบมจ.พฤกษาฯ ทำกำไรได้ 1,686.0 ล้านบาท บมจ.ศุภาลัย ทำกำไรได้ 1,527.36 ล้านบาท บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ ทำกำไรได้ 1,309.36 ล้านบาทและบมจ.เอพี (ไทยแลนด์) ทำกำไรได้ 1,077.63 ล้านบาท   แต่หากมาจัดอันดับอัตราการเติบโตของกำไร จะพบว่า 5 อันดับแรกของตลาดที่สร้างการเติบโตของกำไรได้มากที่สุด คือ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ กำไรโต 902.11% บมจ.เอเวอร์แลนด์เติบโต 695.2% บมจ.เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง กำไรโต 388.39% บมจ.มั่นคงเคหะการ กำไรโต 186.86%  และบมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เติบโต 185.7%   แม้ว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะทำกำไรกันได้มากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็ยังถือว่ามีกำไร จะมีก็เพียง 4 บริษัทเหล่านี้ที่พบว่ายังมีผลการดำเนินงานขาดทุนอยู่  ได้แก่ บมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น ​ขาดทุน 317 ล้านบาท  แต่ดีกว่าปีที่ผ่านมา เพราะช่วงเดียวกันของปีที่แล้วขาดทุนไปถึง4,086 ล้านบาท บมจ.ชาญอิสระ ดีเวล็อปเมนท์ ขาดทุน 82.10 ล้านบาท ซึ่งขาดทุนมากขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2561 มูลค่า 27 ล้านบาท บมจ.เอคิว เอสเตท ขาดทุนอยู่ 43.61 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำกำไร 22.55 ล้านบาท และบมจ.ปรีชา กรุ๊ป ขาดทุน 5.29 ล้านบาท ซึ่งขาดทุนต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาขาดทุน 7.62 ล้านบาท   นอกจากนี้ ยังพบว่ามี 2 บริษัทที่ถือว่าทำผลประกอบการได้ดี จากไตรมาสแรกปีที่แล้วขาดทุน พลิกกลับมาทำกำไรได้ในไตรมาสแรกของปีนี้ คือ บมจ.เอเวอร์แลนด์ จากขาดทุน 69.18 ล้านบาทในไตรมาสแรกปีที่แล้วมาเป็นกำไร 400.66 ล้านบาท ของไตรมาสแรกปีนี้  และบมจ.สัมมากร ที่ขาดทุนไป 11.93 ล้านบาท พลิกกลับมาทำกำไรได้ในช่วงเวลาเดียวกันของปีนี้ ด้วยอัตรากำไร 5.91 ล้านบาท    
รีวิวทาวน์โฮม รามอินทรา “บ้านกลางเมือง รามอินทรา” ความสมบูรณ์แบบของการอยู่อาศัย

รีวิวทาวน์โฮม รามอินทรา “บ้านกลางเมือง รามอินทรา” ความสมบูรณ์แบบของการอยู่อาศัย

Feel @ Ramintra ถ้าจะหาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัวสักหลัง สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือการเดินทางไปไหนมาไหนได้ สะดวกสบายที่สุด ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นทางด่วน และรถไฟฟ้าใช่ไหมคะ? ทางด่วนใกล้บ้านเราเชื่อมต่อเข้าไปถึงในเมือง เพื่อความสะดวกเวลาทำงาน หรือไปสนามบิน ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดได้ง่าย ยิ่งถ้ามีรถไฟฟ้าผ่านด้วยแล้วล่ะก็ จะยิ่งทำให้มีตัวเลือกในการเดินทางที่ดีเพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรากำลังพูดถึงโซนรามอินทราค่ะ เพราะสามารถใช้ ทางด่วนฉลองรัช หรือกาญจนาภิเษกได้ง่าย ในอนาคตก็กำลังจะมีรถไฟฟ้าสายสีชมพู แคราย - มีนบุรี ผ่านตลอดทั้งถนน โดยตอนนี้กำลังก่อสร้างไปแล้วคาดว่าจะเปิดให้บริการประมาณปี 2564 จะมีอะไรสะดวกสบายไปกว่านี้ล่ะคะ Fine @ Facility    สิ่งอำนวยความสะดวกก็สำคัญไม่แพ้การเดินทาง เพราะก็คงไม่มีใครอยากฝ่ารถติดขับรถออกไปไกลๆ เสียเวลาเป็นวัน เพียงเพื่อไปหาซื้อของต่างๆ หรือหาอาหารรับประทานซักมื้อ ซึ่งในโซนรามอินทราเองก็มีความสะดวกมากพอ และมีห้างร้านให้เลือกหลากหลาย ตามแต่ความต้องการ จะมีอะไรน่าสนใจบ้างลองตามไปชมด้วยกันค่ะ   Fashion Island และ The Promenade Fashion Island และ The Promenade อยู่ติดกันเลยค่ะ เดินเชื่อมต่อกันได้เลย เป็นห้างสรรพสินค้าที่ครองความนิยม อย่างไม่เสื่อมคลายของชาวรามอินทรา ไม่ใช่แค่มีทุกอย่างครบครันในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต  ร้านค้า-บริการ ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ ฟิตเนส นอกจากนั้นยังขยันมี Event หมุนเวียนกันมาชวนให้เดินเล่นอยู่ตลอด ซึ่งบริเวณด้านหน้าก็จะคึกคักเกือบจะตลอดเวลาเลยค่ะ มีรถสาธารณะอยู่หลากหลายเส้นทาง หรือใครที่ใช้รถยนต์ ก็สะดวกมาก เพราะสามารถเข้าสู่ถ.กาญจนาภิเษก ได้ใกล้นิดเดียว หรือจะเลือกไปทางถ.รัชดา-รามอินทรา เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเดินทางแห่งหนึ่งของโซนนี้เลยค่ะ   CentralPlaza Ramindra เป็นห้างสรรพสินค้าอีกแห่งที่น่าสนใจในย่านนี้ค่ะ ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์ก็การันตีอยู่แล้ว ประกอบกับทำเลที่อยู่ใกล้กับ วงเวียนหลักสี่ ซึ่งในอนาคตอีกไม่กี่ปีก็จะกลายเป็นอีกจุด Interchange สำคัญ ระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (ส่วนต่อขยาย) กับสายสีชมพูแคราย - มีนบุรี และจะเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางจากชานเมืองเข้าสู่ตัวเมืองได้ง่ายมากขึ้น     Ease Park คอมมูนิตี้มอลล์ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับใครที่แค่อยากจะซื้อของในซุปเปอร์มาร์เกต หาอะไรทาน หรือแค่ Drive thru มารับกาแฟไปดื่ม ไม่ต้องเสียเวลาวนหาที่จอดรถนานๆ ไม่ต้องเปลืองเวลาเดินให้เมื่อย Ease Park จึงเป็นอีก หนึ่งคำตอบที่ดีของคนในย่านนี้ค่ะ   Cr.ภาพจาก FB:ตลาดนัดเลียบด่วนรามอินทรา ตลาดนัดเลียบด่วนรามอินทรา เปลี่ยนบรรยากาศมาเดิน Night Market บนพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ เรียกได้ว่าเป็นตลาดนัดช่วงกลางคืน ตั้งแต่ยุคแรก ของบ้านเราที่มีมาหลายปี มีผู้คนมาเดินจับจ่ายใช้สอยเยอะแทบทุกวัน เพราะเป็นแหล่งชอปสุดชิว มีสินค้าหลากหลาย เต็มไปด้วยของกินอร่อยๆ เพียบ เปิดทุกวันตั้งแต่ช่วงเย็นเดินกันจนเมื่อยยาวไปถึงตีสอง นอกจากนี้ที่ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม หรือเรียกกัน ติดปากว่าเลียบด่วนรามอินทราแห่งนี้ ยังเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร บรรยากาศดี คอมมูนิตี้ ห้างสรรพสินค้า อีกมากมาย หลายแห่ง แต่ก็ไม่แปลกนะคะที่ได้รับความนิยมกันมากขนาดนี้ เพราะเป็นถนนที่มีทางด่วนฉลองรัชพาดผ่านตลอดทั้งสาย การเดินทางก็ทั้งง่ายทั้งสะดวกขึ้นอีกเยอะ   Cr.ภาพจาก FB:Siamparkcity สวนสยามทะเล-กรุงเทพฯ Cr.ภาพจาก FB:Safari World Fun @ สวนสยาม และซาฟารีเวิลด์ ลองนึกดูนะคะ ในกรุงเทพฯ จะมีสักกี่แห่งที่มีแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนไม่ไกลจากบ้านเรา ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ส่วนมากก็จะนึกอะไรไม่ออกเลยนอกจากไปเดินห้าง แต่ถ้าลองเปลี่ยนบรรยากาศไปเล่นสวนน้ำ สนุกกับเครื่องเล่น หรือโชว์ของเหล่าสัตว์แสนรู้ อย่างสวนสยาม และซาฟารีเวิลด์แล้วล่ะก็รับรองว่าจะได้อีกบรรยากาศในการพักผ่อน หย่อนใจชิวๆ แบบที่ตัวเมืองกรุงเทพฯ ชั้นในไม่มีอย่างนี้แน่นอนค่ะ ยิ่งหากครอบครัวไหนมีลูกหลานแล้วล่ะก็ พาออกไปเรียนรู้นอกห้องเรียนด้วยตัวเอง แถมยังใกล้บ้านก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีอีกรูปแบบหนึ่งนะคะ   ทาวน์โฮม รามอินทรา "บ้านกลางเมือง รามอินทรา" ทาวน์โฮมโมเดลใหม่ล่าสุด Luxurious Master Bedroom Multi-Functional Room 3 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องอเนกประสงค์ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 145 ตารางเมตร ขนาดที่ดินเริ่มต้น 18 ตร.วา ฟังก์ชั่นตอบสนองความเป็นส่วนตัว ด้วยพื้นที่ชั้น 3 ที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้เต็มพื้นที่ ภายในโครงการได้ความเงียบสงบภายในโครงการบนพื้นที่กว่า 23 ไร่ ซึ่งจะมีสวนสาธารณะ และสวนหย่อมกระจายอยู่ในโครงการรวมแล้วกว่า 1 ไร่ พร้อมมีสโมสรส่วนกลางที่มีทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส อุ่นใจด้วยระบบรักษาความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง, ระบบ Katsan และ กล้อง CCTV ตรงทางเข้า–ออกโครงการ     บ้านกลางเมือง รามอินทรา ตั้งอยู่ภายในซ.กาญจนาภิเษก 6/1 ท่ามกลางทำเลที่ตั้งแวดล้อมไปด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ใกล้ทางด่วน 2 สาย ทั้งถ.กาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก) ซึ่งจะไปเชื่อมต่อกับมอเตอร์เวย์ได้ และทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ (จตุโชติ) ที่จะพาเข้าสู่ย่านใจกลางเมืองได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นพระราม 9 เอกมัย ทองหล่อ และถนนสุขุมวิท โดยเส้นทางหลักที่ใช้เดินทางเข้าสู่ตัวโครงการ คือ ถ.คู้บอน แล้ววิ่งเส้นคู่ขนานกาญจนาภิเษก เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ ซ.กาญจนาภิเษก 6/1 ที่สำคัญค่ะ ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีคู้บอน อยู่ตรงปากทางเข้าถ.คู้บอนพอดี ก็จะยิ่งทำให้มีทางเลือกในการเดินทางได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น   พาชมทาวน์โฮม รามอินทรา "บ้านกลางเมือง รามอินทรา" เมื่อเข้ามาในซ.กาญจนาภิเษก 6/1 ก็จะพบว่าทางเข้าโครงการบ้านกลางเมือง รามอินทรา จะอยู่ติดกับโครงการ Pleno รามอินทรา โดยจะมี Main Gate ที่พร้อมด้วยระบบรักษาความปลอดภัย ทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. กล้อง CCTV ซึ่งสามารถเข้าไปชมบ้านตัวอย่างและส่วนกลางจริงภายในโครงการกันได้แล้วค่ะ    ก่อนอื่นเราจะพาไปชม Club House สีขาวโดดเด่นท่ามกลางบรรยากาศของสวนสีเขียว ใช้เส้นสายโค้งมนส่งไปถึงลายฉลุบนตัวอาคาร ซึ่งเมื่อไรที่กระทบกับแสงอาทิตย์ก็จะเกิดเป็น Shadow&Shade ผสานกันระหว่างสวนธรรมชาติกับสถาปัตยกรรมกลางโครงการ เมื่อก้าวเข้าสู่ตัว Club House ชั้นล่าง เราจะถูกต้อนรับด้วยเสียงของน้ำจาก SALT SYSTEM SWIMMING POOL ริมสระใต้ร่มเงาของอาคารมี Sunbed ให้ได้นอนพักอย่างผ่อนคลาย ส่วนใครที่ชอบออกกำลังกายแบบ ACTIVE ขึ้นมาอีกก็จะมีห้องฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ เพดานสูงบวกกับกระจก Full Height ล้อมรอบให้ได้ชมวิวธรรมชาติภายนอกไปด้วยอยู่ที่ชั้น 2      ได้เวลาเข้าไปชมทาวน์โฮมตัวอย่างกันแล้วค่ะ โดยตัวทาวน์โฮมจริงที่ลูกบ้านจะได้นั้นมีกันสาดบริเวณลานจอดรถหน้าบ้านแบบพับเก็บได้ ชุดสุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำทุกห้อง ปั๊มน้ำ แทงค์น้ำ และเครื่องปรับอากาศ Daikin พร้อมติดตั้งมาให้ พื้นปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ ผนังฉาบเรียบทาสีขาว โดยหน้าบ้านจะสามารถจอดรถยนต์ได้ 2 คัน มีเฉลียงหน้าบ้านสำหรับวางรองเท้า และใช้ประตูทางเข้าหลักเป็นกระจกบานเลื่อนพร้อมระบบ Double Lock    เข้าสู่ชั้นแรกในตัวทาวน์โฮมจะพบกับพื้นที่กว้างๆ สำหรับจัดเป็น Living Room และเชื่อมต่อลึกเข้าไปด้านในก็สามารถทำเป็น Kitchen Room ลักษณะแบบครัวเปิด พร้อมพื้นที่วางโต๊ะทานอาหารขนาด 4-6 ที่นั่งได้สบายๆ โดยจะมี Powder Room ที่ใช้ประตูเลื่อนบานทึบอยู่ระหว่าง Living Room กับ Kitchen Room เหมาะสำหรับใช้เพื่อรับแขก จึงไม่จำเป็นต้องมีส่วนเปียกค่ะ ซึ่งห้องน้ำทุกห้องจะมีหน้าต่างกระจกฝ้าบานกระทุ้งด้านบนเหนือศรีษะด้านในสุดของห้อง เพื่อเพิ่มแสงเข้ามาภายใน และยังช่วยให้เปิดระบายความอับชื้นได้ดีอีกด้วย              ด้านในสุดของชั้นแรกนี้จะมีประตูกระจกบานเลื่อนกั้นก่อนออกไปทางหลังบ้าน แต่หากเป็นที่ดินแปลงมุมก็จะได้ประตูกระจกด้านข้างเพิ่มอีก ช่วยให้ออกไปยังพื้นที่ข้างบ้านได้สะดวกขึ้น และยังช่วยเพิ่มแสงธรรมชาติเข้าสู่ด้านในให้ดูโปร่งยิ่งขึ้นด้วยนะคะ โดยสำหรับบ้านตัวอย่างหลังนี้พื้นที่บริเวณหลังบ้านจะถูกจัดให้เป็น Glass House ในบรรยากาศนั่งจิบชาท่ามกลางสวนส่วนตัวในบ้าน ก็เป็นอีกไอเดียแต่งทาวน์โฮมที่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ทีเดียวค่ะ   ขึ้นมาบนชั้น 2 กันบ้างค่ะ ตัวพื้นจะปูด้วยลามิเนต ซึ่งประกอบไปด้วยห้องนอน 2 ห้อง แยกเป็นฝั่งทางหน้าบ้านกับทางหลังบ้าน ส่วนบริเวณตรงกลางจะเป็นห้องน้ำค่ะ ก่อนอื่นเข้าไปชมที่ห้องนอนแรกทางฝั่งหลังบ้านกันก่อนค่ะ จะเป็นห้องที่มีหน้าต่างกระจกบานเลื่อนอยู่กลางห้อง มีมุมสำหรับ Built in ตู้เสื้อผ้าได้พอดี พื้นที่ภายในห้องสามารถวางเตียงขนาด 3.5-5 ฟุตได้ พร้อมกับโต๊ะเครื่องแป้งหรือโต๊ะทำงาน ถือว่าเป็นห้องนอนขนาดเริ่มต้นของบ้านที่ได้ขนาดกำลังดีเลยค่ะ   ห้องน้ำจะแยกส่วนเปียก-แห้ง ออกจากกัน โดยจะใช้สุขภัณฑ์จาก American Standard ครบชุดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอ่างล้างหน้าแบบแขวนผนัง ก๊อกน้ำ โถสุขภัณฑ์ แกนใส่ทิชชู่ สายชำระ ฝักบัว และยังมีกระจกเงาติดตั้งมาให้ด้วย พื้นและผนังห้องน้ำปูด้วยกระเบื้องเซรามิคแบบที่เห็นนี้เลยค่ะ   ห้องนอนที่ 2 ฝั่งหน้าบ้านจะได้ระเบียงส่วนตัวเพิ่มขึ้นมา โดยกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน ส่วนระเบียงจะกั้นด้วยราวกันตกเป็นเหล็กโปร่ง   ขึ้นมาชั้นบนสุดของบ้านค่ะ ซึ่งที่ชั้น 3 นี้จะมีทั้งห้องอเนกประสงค์ เป็นพื้นที่เปิดโล่งอยู่ด้านนอกใกล้กับบันได ห้องน้ำ และ Master Bedroom เป็นชั้นที่เหมาะสำหรับคุณพ่อ-คุณแม่ ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวขึ้นมาอีกหน่อย เพราะห้องอเนกประสงค์สามารถดัดแปลงได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่นแยกออกมาจากชั้นล่าง ห้องทำงาน ฯลฯ ซึ่งจะได้ความโปร่ง ไม่ดูทึบจนเกินไป   สำหรับห้องน้ำของชั้น 3 จะออกแบบมาให้เป็นประตูแบบ Double Access เชื่อมต่อระหว่างห้องอเนกประสงค์ด้านนอก กับส่วน Walk In Closet  ภายในห้อง Master Bedroom ส่วนสุขภัณฑ์ในห้องน้ำทางโครงกรจะติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานค่ะ ทั้งอ่างล้างหน้าแบบแขวนผนัง เสริมตู้เก็บของไว้ด้านล่าง โถสุขภัณฑ์ สายชำระ แกนใส่ทิชชู่ ส่วนเปียกด้านในสุดก็ติดตั้งฝักบัวเอาไว้ พร้อมกระจกเงาบานใหญ่ตลอดแนวผนังส่วนแห้ง    สุดท้ายที่ Master Bedroom ของจะมีส่วน Walk In Closet เชื่อมต่อกับห้องน้ำ มีพื้นที่สามารถ Built in ตู้เสื้อผ้าได้มากขึ้นตลอดแนวผนัง และมีระเบียงส่วนตัวออกไปยังฝั่งหน้าบ้าน โดยจะกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน ราวกันตกเหล็กโปร่งแบบเดียวกันกับระเบียงชั้น 2 ถือเป็นชั้นที่ได้ความสะดวกสบายที่สุดค่ะ    รามอินทราเป็นย่านเดียวที่ให้ความรู้สึกครบทั้ง Feel Fun Fine มีสีสันหลากหลายครบครันสำหรับทุกคนในครอบครัว เฉกเช่นเดียวกันกับ “บ้านกลางเมือง รามอินทรา” ที่มีพื้นที่สามารถรองรับทุกคนในครอบครัวได้ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน สวนสาธารณะ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ทุกสิ่งก็พร้อมสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ในราคาเริ่มต้นเพียง 3.79 ล้านบาท   เปิดจองโซนใหม่ หน้าคลับเฮ้าส์ #เป็นเจ้าของบ้านได้ง่าย ผ่อนล้านละ 1,000 บาท* ส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท* ฟรี เครื่องปรับอากาศ* และค่าจดจำนองการโอน* ภายใน 30มิถุนายน 62 นี้เท่านั้น (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) รายละเอียดโครงการทาวน์โฮม รามอินทรา "บ้านกลางเมือง รามอินทรา" บ้านกลางเมือง รามอินทรา โครงการอื่นๆ จาก AP (Thailand) บ้านกลางเมือง บางนา-วงแหวน Pleno รามอินทรา บางชัน สเตชั่น Pleno ราชพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ  
เน็กซัสเผย 7 ประเด็นอสังหาฯ Q1 + แนวโน้มธุรกิจหลังการเลือกตั้ง

เน็กซัสเผย 7 ประเด็นอสังหาฯ Q1 + แนวโน้มธุรกิจหลังการเลือกตั้ง

แม้ตอนนี้ประเทศไทยยังไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศ แต่ก็ถือว่าการเมืองไทยมีความชัดเจนขึ้นระดับหนึ่ง เพราะได้จัดให้มีการเลือกตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประเด็นเรื่องการเมือง ต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของคนไทยทั้งประเทศ  เพราะการเมืองมีความเชื่อมโยงไปในทุกเรื่อง ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ การเมืองไทยก็ส่งผลทั้งกลุ่มผู้ประกอบการ ที่จะพัฒนาโครงการออกมาขาย และผู้บริโภคที่จะตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย   ขณะที่ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ก็มีข่าวยังมีข่าวมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  ซึ่งเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่1 เมษายน 2562 เป็นต้น ไป ก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญมีผลต่อภาพรวมของตลาดอสังหาฯ  บ้านเรา ว่าจะไปในทิศทางไหน จะดีหรือจะร้าย? โดยเฉพาะถ้าหากมีรัฐบาลชุดใหม่ออกมาแล้ว จะมีมาตรการอะไรออกมาช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโต โดยใช้ธุรกิจอสังหาฯ เป็นตัวกระตุ้นเหมือนในอดีตที่ผ่านมาหรือไม่ ก็ยังเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองด้วยเช่นกัน   ล่าสุด นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด หรือ “เน็กซัส” ได้เปิดออกมาเผยผลวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาสแรกที่ผ่านมา พบว่า ยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น พร้อมกับประเมินแนวโน้มของตลาดหลังจากที่ประเทศไทยได้จัดการเลือกตั้ง  ในช่วงที่ผ่านมา  โดยมี 7 ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้น   1.คอนโดฯ เปิดใหม่ลด 20% ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ คอนโดมิเนียมเปิดใหม่เข้าสู่ตลาดมีจำนวนทั้งสิ้น 11,300 หน่วย จาก 30 โครงการ  เป็นปริมาณคอนโดฯ​ ที่เปิดตัวเข้าสู่ตลาดลดลงประมาณ 20%เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว แม้ว่าจะเปิดน้อยลง แต่ผู้ประกอบการก็ยังขายได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการขายก็ยังอยู่ในอัตรา 60%   2.โซนยอดฮิตเปิดตัวมากที่สุด ทำเลที่เปิดตัวคอนโดฯ มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.โซนพระโขนง สวนหลวง แบริ่ง  จำนวน ​2,400 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 21% 2.โซนพญาไท รัชดาภิเษก จำนวน  1,938  ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 17% 3.โซนลาดพร้าว วังทองหลาง จำนวน 1,580 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 14%     3.ซิตี้คอนโดเปิดเยอะสุด ภาพรวมของการเปิดตัวในไตรมาสแรก จะพบว่าคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวเป็นกลุ่มซิตี้คอนโดฯ  ที่มีราคาต่อตารางเมตรไม่เกิน 75,000 บาท และ ตลาดกลาง หรือ mid market ที่มีราคาต่อตารางเมตรไม่เกิน 100,000 บาทรวมกันมากถึง 75% ของจำนวนหน่วยที่เปิดใหม่ทั้งหมด หรือมีจำนวนประมาณ 8,500 ยูนิต แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของผู้ประกอบการ ในการพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงมากขึ้น   4.ดีเวลลอปเปอร์หน้าใหม่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ฝั่งผู้ประกอบการยังคงมีความเชื่อมั่นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เห็นได้จากจำนวนผู้ประกอบการหน้าใหม่ ซึ่งบางรายเป็นรายเล็กๆ เข้ามาพัฒนาโครงการเป็นครั้งแรก รวมถึงผู้ประกอบการที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ก็พัฒนาโครงการเพิ่มขึ้น จากปกติมีสัดส่วน 30% เพิ่มขึ้นเป็น 47%     5.ราคาคอนโดฯ ลดลง 1% การเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของคอนโดฯ​ ที่เน้นไปตลาดกลางมากขึ้น  ส่งผลให้คอนโดฯ​ ที่อยู่ในตลาดกรุงเทพฯ มีราคาเฉลี่ยปรับตัวลงเล็กน้อยประมาณ 1%อยู่ที่ 139,400 บาทต่อตารางเมตร เมื่อเทียบกับปลายปีที่แล้วอยู่ที่ 140,600 บาทต่อตารางเมตร  ซึ่งราคาเฉลี่ยของคอนโดฯ ในทุกๆ ทำเลได้มีการปรับตัวลงเล็กน้อยเช่นเดียวกัน  แต่ถือว่าไม่ได้ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อ ภาพรวมราคาของตลาด  เพราะคอนโดฯ ที่เปิดใหม่อยู่ในทำเลที่ไกลออกไปเท่านั้น   6.การเมืองไม่กระทบตลาดคอนโดฯ แม้ว่าตอนนี้ยังจะไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ออกมาบริหารประเทศ แต่ปัญหาการเมืองก็ไม่ได้ส่งผลต่อตลาดคอนโดฯ​โดยเฉพาะในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของราคา  สิ่งที่จะมีผลต่อตลาดคอนโดฯ นั้น จะเป็นเรื่องนโยบายของรัฐบาลที่จะออกมากระตุ้นตลาดคอนโดฯ มากกว่า  โดยเฉพาะตลาดคอนโดฯ​ มือสอง  ยิ่งถ้ามีมาตรการประเภทลดภาษี หรือค่าธรรมเนียมต่างๆ จะทำให้เกิดดีมานด์เพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งถ้ามีมาตรการต่างๆ ออกมากระตุ้นตลาดจริง ตลาดคอนโดฯ น่าจะมีดีมานด์ไปถึง 60,000-70,000ยูนิต จากสถานการณ์ปกติที่คาดว่าจะมีดีมานด์มาซื้อคอนโดฯ ประมาณ 50,000 ยูนิต   7.ต่างชาติเชื่อมั่นอสังหาฯ หลังไทยมีเลือกตั้ง หลังจากประเทศไทยจัดให้มีการเลือกตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ถือเป็นสัญญาณบวกที่ดี ต่อกลุ่มนักลงทุนต่างชาติเกิดความเชื่อมั่นต่อตลาดอสังหาฯ ในไทยมากขึ้น  ต่อไปนี้คงมีเข้ามาลงทุนมากขึ้นเช่นกัน แต่แนวโน้มการลงทุนของกลุ่มนักลงทุนต่งชาติ  น่าจะเป็นตลาดในกลุ่มราคาที่จับต้องได้มากขึ้น  ไม่จำกัดเฉพาะตลาดไฮเอนด์เท่านั้น   “ทิศทางธุรกิจอสังหาฯ หลังการเลือกตั้ง  การพัฒนาสินค้าใหม่เทรนด์ยังคงเป็นตลาดกลุ่มซิตี้คอนโด และตลาดกลางมากขึ้น แต่ยังคงเห็นคอนโดฯ  ในตลาดไฮเอนด์และลักซูรี่ที่น่าสนใจ เกิดขึ้นอีกหลายโครงการ จากผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ที่ได้ซื้อที่ดินไปแล้วตั้งแต่ช่วงปีที่แล้วสินค้าในกลุ่มนี้คงน่าสนใจในแง่การพัฒนาความหรูหราแนวใหม่ที่ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ลักซูรี่ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยจะมุ่งเน้นประสบการณ์และเทคโนโลยีมากขึ้น  ปีนี้ประเมินว่าราคาเฉลี่ยคอนโดฯ  ในตลาดปรับตัวสูงขึ้นไม่น่าจะเกิน 5-6% จากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ มาตรการ LTV ตลาดหลักที่มีความต้องการแท้จริงเป็นกลุ่มตลาดซิตี้คอนโดฯ”      
สมาคมสถาปนิกสยามฯ ผนึกนีโอ ยกระดับงานสถาปนิก’62 สู่ระดับอาเซียน

สมาคมสถาปนิกสยามฯ ผนึกนีโอ ยกระดับงานสถาปนิก’62 สู่ระดับอาเซียน

สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ และบริษัทเอ็น.ซี.ซี.เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด ประกาศความพร้อมในการยกระดับงานสถาปนิก’62 ให้เป็นงานยิ่งใหญ่ระดับอาเซียน โดยงานนี้ผู้ประกอบการจาก 850 บริษัทชั้นนำเตรียมนำสินค้าหลายพันเเบรนด์จาก 40 ประเทศทั่วโลก มาร่วมแสดงศักยภาพ โชว์สินค้า บริการและเทคโนโลยีด้านสถาปัตยกรรมและวัสดุก่อสร้าง ระหว่างวันที่ 30 เมษายน - 5 พฤษภาคมนี้ ที่อิมแพ็คเมืองทองธานี   ดร.อัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ กล่าวว่า “งานสถาปนิก เป็นงานจัดแสดงสถาปัตยกรรมวัสดุและเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน จัดขึ้นเพื่อแสดงศักยภาพและนำเสนอผลงานความก้าวหน้าทางสถาปัตยกรรม อีกทั้งยังต้องการสร้างความตระหนักรู้ถึงบทบาทวิชาชีพสถาปนิกที่มีต่อสัง คมให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งงานนี้ไม่ได้จัดขึ้นเพื่อคนในวิชาชีพสถาปนิกเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไปที่สนใจด้านงานออกเเบบเเละการก่อสร้าง สำหรับงานในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 33 ภายใต้แนวคิด “กรีน อยู่ ดี : Living Green” เพื่อนำเสนอแนวทางการออกแบบสถาปัตยกรรม นวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง ตลอดจนการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยสมาคมฯ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เปิดงานสถาปนิก’62 ในวันอังคารที่ 30 เมษายน 2562”   ดร. อัจฉราวรรณ จุฑารัตน์ ประธานการจัดงานสถาปนิก’62 กล่าวว่า “งานสถาปนิก’62 นอกจากจะมีการแสดงสินค้าจากหลายประเทศที่พร้อมนำเสนอนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างใหม่ๆ ที่น่าสนใจแล้ว ยังมีนิทรรศการหลัก (Thematic Exhibitions) ของสมาคมสถาปนิกสยามฯ ที่โชว์นวัตกรรมวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาผนวกกับเทคโนโลยี เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับบริบทในปัจจุบัน ซึ่งผู้เข้าชมงานจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ ‘สีเขียว’ (Green Experience) อย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการนำวัสดุต่างๆ ไปใช้ต่อหลังจบงาน” “ในงานทุกท่านจะได้พบกับกิจกรรมประกวดออกแบบระดับนานาชาติ “ASA International Design Competition 2019” โจทย์การออกแบบของปีนี้คือ Uncanny Sustainability เพื่อค้นหาไอเดียการสร้างสรรค์งานออกแบบที่ยั่งยืนและแตกต่างจากรูปแบบเดิม ซึ่งจะมีสถาปนิกที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาเป็นกรรมการตัดสินด้วย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม “ASA Forum 2019” งานสัมมนาสถาปัตยกรรมระดับนานาชาติ มีสถาปนิกที่มีชื่อเสียงมาร่วมบรรยายบนเวที   นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด กล่าวว่า “ธุรกิจงานแสดงสินค้ามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยในประเทศไทยเมื่อปีที่ผ่านมางานเอ็กซิบิชั่นสามารถสร้างรายได้กว่า 200,000 ล้านบาท โดยมีผู้ร่วมชมงานกว่า 30 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นชาวต่างชาติมากกว่า 1 ล้านคน คาดว่าอุตสาหกรรม MICE ของไทยจะเติบโตราว 6-10% ในปี 2562” “สำหรับการเตรียมความพร้อมในการจัดงานสถาปนิก’62 มีผู้ประกอบการชั้นนำทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศกว่า 850 บริษัท และยังมี 16 พาวิลเลี่ยนจากต่างประเทศมาจัดแสดงในงาน ประกอบด้วย ออสเตรเลีย จีน เยอรมนี ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน ตุรกี อังกฤษ อเมริกา และเวียดนาม คาดว่าในงานจะมีการจับคู่เจรจาธุรกิจมากกว่า 400 นัดหมาย โดยนีโอได้เชิญบริษัทที่อยู่ในวงการสถาปัตยกรรมและการก่อสร้างจากทั่ว ภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอย่าง CLMV มาร่วมชมงาน ซึ่งคาดว่าจะเกิดมูลค่าการซื้อขายภายในงานกว่า 10,000 ล้านบาท” นายศักดิ์ชัย กล่าวเสริม   ทางด้าน นายอาจิณเวท วงศ์ทอง ผู้จัดการโครงการอาวุโส บริษัทเอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด กล่าวว่า “ตลาดการก่อสร้างของอาเซียนมีการเติบโตเฉลี่ย 5.2% ในปี 2559-2563 และคาดการณ์ว่าภายใน 5 ปีนี้จะมีการมูลค่าการลงทุนด้านการก่อสร้างสูงถึง 2.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้างของไทยในปี 2561 มีการเติบโตราว 5% และคาดว่าจะเติบโตเพิ่มมากขึ้น 7-9% ในระหว่างปี 2561-2563” “ในปีนี้เราจัดงานสถาปนิกในธีม Green Living เพื่อเชิญชวนทุกคนมาร่วมชมผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งเเวดล้อม ซึ่งปัจจุบันตลาดอาคารเขียวกำลังเป็นที่น่าจับตามอง โดยมีภาพรวมของทั่วโลกเติบโตอยู่ที่ 13% ต่อปี ต่อเนื่องไปถึงปี 2563 ส่วนประเทศไทยมีการเติบโตจากเดิมที่มีจำนวนอาคารเขียวเพียง 55 อาคาร เป็น 240 อาคารในปีที่ผ่านมาและปีนี้คาดการณ์ว่าจะสูงถึง 252 อาคาร” นายอาจิณเวท กล่าวเสริม   ทั้งนี้ ในงานสถาปนิก’62 ผู้ประกอบการต่างได้เตรียมสินค้าไฮไลท์มาจัดแสดง อาทิ บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด นำเสนอเทคโนโลยี IoT ที่มาผนวกกับระบบของสินค้าต่าง ๆ ภายในบ้าน เพื่อให้ผู้บริโภคสะดวกสบาย มีอิสระ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขภายใต้ Platform ที่เรียกว่า "Smart Living Solution” บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัดนำสี GColor by Graphenstone ซึ่งเป็นสีจากธรรมชาติที่ทาได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ที่ได้รับการันตีจาก Cradle to Cradle มาตรฐานระดับสูงที่มอบให้กับผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมครบวงจร ปลอดภัยยามใช้งาน และช่วยลดโลกร้อน รวมถึงย่อยสลายแล้วไม่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม บริษัท ธรรมสรณ์ จำกัด นำเสนอถังเก็บน้ำคู่ปั๊มน้ำ นวัตกรรมใหม่ที่ช่วยประหยัดพื้นที่ใช้สอย มุ่งสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและใส่ใจสิ่งแวดล้อม เป็นการออกแบบที่มีความลงตัวอย่างเป็นเอกลักษณ์ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน)สาธิตนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สีนาโน ซึ่งได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายครัวเรือนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับธีมงาน Green Concept บริษัท โมเก้น (ประเทศไทย) จำกัด เสนอสุขภัณฑ์และเฟอร์นิเจอร์ห้องน้ำ ที่นำธรรมชาติมาผนวกเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ พร้อมทั้งใช้วิธีผสมผสานกลิ่นอายด้วยการเลือกใช้กลุ่มสีและลวดลายที่มีแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัดนำสินค้านวัตกรรมมาจัดแสดงมากมาย อาทิ ชุดล็อคประตูระบบดิจิทัลที่สะดวกในการใช้งานและเพิ่มความปลอดภัย, ระบบควบคุมแสงสว่างอัจฉริยะ และบานเลื่อนภายนอกอาคารที่ช่วยป้องกันแสงแดด ช่วยลดอุณหภูมิความร้อนในอาคาร เป็นต้น   นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ ลามิเนตโปร่งแสง โดย AICA จากญี่ปุ่น, บีช พูล! นำนวัตกรรมการสร้างสระว่ายน้ำ จำลองชายหาดและทะเลมาอยู่ในบ้าน, กระจก HALIO จาก AGC ควบคุมความเข้มผ่านมือถือได้ เป็นต้น   สำหรับงานสถาปนิก’62 “กรีน อยู่ ดี : Living Green” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 เมษายน -  5 พฤษภาคม 2562 ณ ชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้า อิมแพ็ค เมืองทองธานี ผู้สนใจลงทะเบียนเข้าชมงานได้ที่www.asa.or.th/architectexpo Facebook : ASA CREW      
ฮาบิแทท กรุ๊ป เปิดตัวคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทแห่งใหม่  “รามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา”

ฮาบิแทท กรุ๊ป เปิดตัวคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทแห่งใหม่ “รามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา”

ฮาบิแทท กรุ๊ป ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมเพื่อการลงทุนของไทยทำพิธีลงนามเซ็นสัญญากับ วินด์ดัม โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ทส์ ในการบริหารจัดการโครงการคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทแห่งใหม่ในพัทยาของฮาบิแทท กรุ๊ป ภายใต้แบรนด์ชั้นนำอย่าง “รามาด้า บาย วินด์ดัม” โดย วินด์ดัม โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ทส์ เป็นกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการโรงแรมกว่า 9,200 แห่ง ใน 80 ประเทศทั่วโลก   บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เป็นบริษัทผู้มีประสบการณ์พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนมากกว่า 7 ปี รวม 10 โครงการ มั่นใจศักยภาพเมืองพัทยา เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ “รามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา” คอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทหรูระดับ 5 ดาว ทำเลพัทยาเหนือ มูลค่า 1,500 ล้านบาท โดยเจาะกลุ่มทั้งลูกค้าคนไทยและต่างชาติ ราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท พร้อมชูการันตีผลตอบแทน 6% นาน 3 ปี   นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า “แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในประเทศไทยยังแข็งแกร่งและเติบโตได้ดี โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ในทำเลแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่าง เมืองพัทยา ซึ่งฮาบิแทท กรุ๊ป มีความมั่นใจในศักยภาพและยังคงลงทุนพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยโครงการใหม่ล่าสุด รามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา เป็นโครงการคอนโดมิเนียมลักชัวรี่โลว์ไรซ์สไตล์รีสอร์ททำเลพัทยาเหนือ”   โครงการรามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่ ทำเลพัทยาเหนือใกล้กับหาดวงศ์อมาตย์เพียง 1.4 กิโลเมตร และใกล้กับห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา เพียง 500 เมตร พัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมลักชัวรี่โลว์ไรซ์สูง 8 ชั้นจำนวน 2 อาคาร รวมจำนวน 339 ยูนิต ตกแต่งครบพร้อมเฟอร์นิเจอร์ มีห้องพักให้เลือก 3 แบบ ขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 29-55 ตร.ม. ประกอบด้วย แบบดีลักซ์ ขนาดพื้นที่ 29 ตร.ม. จำนวน 314 ยูนิต หรือคิดเป็น 92% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด, แบบจูเนียร์ สวีท ขนาดพื้นที่ 42 ตร.ม. จำนวน 19 ยูนิตหรือคิดเป็น 6% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด และแบบห้องสวีท มีขนาดพื้นที่ 55 ตร.ม.มีเพียง 6 ยูนิตเท่านั้น ราคายูนิตเริ่มต้นที่ 3.9 ล้านบาท หรือ ราคาเฉลี่ยที่ 140,000 บาทต่อ ตร.ม.   มิสเตอร์เดวิด เรย์ รองประธาน ฝ่ายพัฒนาโครงการ วินด์ดัม โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ทส์ กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ได้ร่วมทำงานกับหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยอย่าง บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป ในการเปิดตัวแบรนด์รามาด้า บาย วินด์ดัม ในพัทยา โครงการรีสอร์ทหรูพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการชั้นเลิศจะสร้างประสบการณ์สุดพิเศษให้กับผู้เข้าพักได้เป็นอย่างดีที่สุด”   โครงการรามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เป็นจุดหมายใหม่ของการพักผ่อนอย่างแท้จริง ตามคอนเซ็ปต์ “Make Irresistible Relaxation Alive” เพื่อสร้างบรรยากาศและให้ความรู้สึกผ่อนคลายแก่ผู้เข้าพักประกอบด้วย สระว่ายน้ำและน้ำตกที่เชื่อมต่อกัน พื้นที่สีเขียวธรรมชาติ Great Lawn ที่สามารถใช้เวลาพักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นและสงบ เติมเต็มความสนุกบนพื้นที่ Kid’s Zone และ Tree house พื้นที่แห่งความสุขสำหรับทุกคนในครอบครัว นอกจากนั้นห้องและอุปกรณ์ออกกำลังกาย Fitness Centre and Changing Room เพื่อให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรง อีกทั้ง ทางโครงการยังได้มอบการบริการจัดการห้องพักให้อย่างครบครันในรูปแบบ Resort House Keeping โดยผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพ มีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง กล้องวงจรปิดในพื้นที่ส่วนรวม ประตูรักษาความปลอดภัย และระบบคีย์การ์ดควบคุมการเข้าออก   โดยความคืบหน้าของโครงการปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการตรวจสอบรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติและเริ่มก่อสร้างภายในไตรมาส 4 ปี 2562 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จช่วงไตรมาส 4 ปี 2564   “พัทยา นับเป็นทำเลที่มีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเป็นแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลยอดนิยมที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาเดินทางเพียง 90 นาที นับเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสำคัญ นอกจากจะยังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวจีนแล้ว ยังมีชาวญี่ปุ่น ไต้หวัน และฮ่องกง ประกอบกับมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี), การพัฒนาขยายสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินพาณิชย์ และโครงการลงทุนรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระหว่างสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอู่ตะเภา ตอกย้ำการลงทุนระยะยาวของภาคตะวันออก และยังเป็นการยกระดับเมืองพัทยาในฐานะแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกอีกด้วย” นายชนินทร์ กล่าวเพิ่มเติม   โครงการรามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อการลงทุนอย่างแท้จริง โดยฮาบิแทท กรุ๊ป นำเสนอโครงการที่มีรูปแบบการบริหารจัดการโดยแบรนด์โรงแรมระดับ 5 ดาว เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนต่อเนื่องนาน 30 ปี พร้อมการันตีผลตอบแทนที่ 6% เป็นระยะเวลานาน 3 ปี หลังจากนั้นจะเป็นการแบ่งผลกำไรระหว่างผู้ซื้อ 70% และผู้พัฒนาโครงการ 30% นอกจากนี้ เจ้าของห้องยังสามารถเข้าพักฟรีได้ 14 วันต่อปี   สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและข้อมูลโครงการต่างๆ ของ ฮาบิแทท กรุ๊ป ได้ที่ เว็ปไซต์ www.habitatgroup.co.th หรือ โทร. 02-168-8266 หรือ 081-451-0002      
‘เอพี ไทยแลนด์’ สุดยอดแบรนด์ครองใจมหาชน บริษัทอันดับ 1 ที่คนไทยเชื่อถือที่สุด

‘เอพี ไทยแลนด์’ สุดยอดแบรนด์ครองใจมหาชน บริษัทอันดับ 1 ที่คนไทยเชื่อถือที่สุด

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และนวัตกรรมการอยู่อาศัย ครองตำแหน่งองค์กรและแบรนด์อันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคไทยให้ความชื่นชมและเชื่อถือมากที่สุด ในหมวดอสังหาริมทรัพย์ จากผลการสำรวจเพื่อเฟ้นหา ‘สุดยอดแบรนด์ครองใจมหาชนปี 2019 (Thailand’s Most Admired Brand 2019)’ รางวัลการันตีแรกในปี 2019 ที่นำไปสู่เป้าหมายหลัก ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘AP WORLD’ ผู้สร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี มีสินค้าและบริการคุณภาพครอบคลุมทุกความต้องการเชิงลึกของตลาดอย่างแท้จริง ผ่านกระบวนการทำความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า“รางวัลสุดยอดแบรนด์ครองใจมหาชนปี 2019 (Thailand’s Most Admired Brand 2019) ที่ทางเอพี ไทยแลนด์ได้รับจากงานวิจัยโดยนิตยสารแบรนด์เอจนั้น ถือว่าสะท้อนภาพความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคคนไทยมีต่อสินค้าและบริการในเครือเอพี ไทยแลนด์ได้อย่างชัดเจน ซึ่งจากผลวิจัย 3 อันดับแรกที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ของคนไทยนั้น ประกอบด้วยระบบการรักษาความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการ และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ซึ่งเอพี ไทยแลนด์ได้รับการโหวตจากผู้บริโภคให้เป็นอันดับ 1 ใน 3 ประเด็นที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในยุคปัจจุบัน นับเป็นความสำเร็จต่อเนื่องจากการเป็น ‘องค์กรพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อันดับ 1 ในใจผู้บริโภคประจำปี 2018 (The Most Admired Company 2018)’ เมื่อปลายปีที่แล้ว โดยเราเชื่อว่าความสำเร็จของ เอพี ไทยแลนด์เกิดจากการเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งประกอบกับการนำประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 27 ปี มาคิดวิเคราะห์ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นทั้งในด้านนวัตกรรม การออกแบบ แผนพัฒนาโครงการ กระบวนการทำงาน ตลอดจนการดูแลหลังการขาย โดยมีเป้าหมายให้ลูกบ้านในเครือเอพีรู้สึกว่าเขาไม่ได้เพียงซื้อบ้าน แต่ทุกคนในครอบครัวได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีจากเอพี”   “กระบวนการที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติของการอยู่อาศัย ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคำว่า คุณภาพชีวิต ทุกคนตีความในมุมมองที่แตกต่างกัน อีกทั้งมิติของคำว่าคุณภาพชีวิตยังสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับความสำคัญที่คนในสังคมคำนึงถึง อย่างเช่น วันนี้เรื่อง PM 2.5 กลายเป็นส่วนหนึ่งของคุณภาพชีวิตไปแล้ว ซึ่งเมื่อปีที่แล้วเราอาจจะยังไม่รู้เลยว่า PM 2.5 คืออะไร และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตเพียงใด ดังนั้น คำตอบในเรื่องคุณภาพชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ตามบริบททางสังคมที่เราอยู่ เพราะฉะนั้นกระบวนการค้นหาความต้องการแฝง หรือ Unmet Need จึงมีความสำคัญมากต่อการพัฒนานวัตกรรมที่นำมาสู่พิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีในที่สุด” นายวิทการ กล่าว   ทั้งนี้ จากการขยายวิสัยทัศน์ไปสู่การเป็นองค์กรที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนในสังคม ภายใต้แนวคิด AP WORLD, A Vision for Quality of Life นั้น ถือเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับเอพี ไทยแลนด์ อีกทั้งยังเอื้อต่อการเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างที่มากขึ้น ผ่านการดำเนินธุรกิจในเครือ 6 รูปแบบ  1) ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สําหรับคนเมือง คลอบคลุมสินค้าทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดและทาวน์โฮม ราคาเริ่ม 2 ล้านจนถึง 50 ล้านขึ้นไป 2) ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ให้บริการคลอบคลุม ทั้งการรับฝากขาย ฝากเช่า ทั้งในและต่างประเทศ 3) ธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ดูแลคุณภาพชีวิตในโครงการต่างๆ ทั้งที่อยู่ในเครือเอพีและบริษัทอื่นๆ รวมถึงอีก 3 ธุรกิจใหม่ที่ได้จัดตั้งขึ้น 4) ธุรกิจสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการบริหารจัดการคุณภาพชีวิต ลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินชีวิตมอบประสบการณ์ใหม่ 5) ธุรกิจการพัฒนานวัตกรรมดีไซน์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบของคนในสังคม 6) ธุรกิจการศึกษาดิสรัปวิธีการเรียนรู้ของคนในองค์กรและคนในสังคมด้วยกระบวนการใหม่ๆ ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจากวิสัยทัศน์ที่มุ่งสร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อทุกคนในสังคม ประสานกับความแข็งแกร่งในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการขยายไปยังธุรกิจใหม่ๆ จะต่อยอดให้เอพี ไทยแลนด์ยังคงเป็นองค์กรและแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคไทยต่อไป   “เอพีผสานนวัตกรรมเข้าไปในทุกๆ กระบวนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไปจนถึงวิธีคิดของคนในองค์กรในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะทำให้ทุกคนในสังคมได้ประโยชน์สูงสุด เราใส่ใจในทุกขั้นตอน ด้วยเหตุนี้แบรนด์ของเอพีจึงได้รับรางวัล ‘สุดยอดแบรนด์ครองใจมหาชนปี 2019 (Thailand’s Most Admired Brand 2019)’ โดยนิตยสารแบรนด์เอจ แบรนด์อันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคไทยให้ความชื่นชมและเชื่อถือมากที่สุด ซึ่งเอพี (ไทยแลนด์) ยังคงเดินหน้า และไม่หยุดยั้งในการศึกษาค้นคว้า เพื่อส่งมอบนวัตกรรมรูปแบบใหม่ที่จะสร้างความแตกต่าง ทั้งด้านคุณภาพ ความสะดวกสบาย ความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต พร้อมก้าวสู่เป้าหมายสูงสุด นั่นคือการสร้าง ‘AP WORLD’ พิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี ให้เกิดขึ้นอย่างทั่วถึงในสังคม” นายวิทการ กล่าวสรุป    
มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 ปิดฉาก ผลสำรวจชี้ยอดซื้อหลักมาจากกลุ่มเรียลดีมานด์ ไร้ผลกระทบจากมาตรการของธปท.

มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 ปิดฉาก ผลสำรวจชี้ยอดซื้อหลักมาจากกลุ่มเรียลดีมานด์ ไร้ผลกระทบจากมาตรการของธปท.

ผลสำรวจหลังจบงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 ชี้ความต้องการที่อยู่อาศัยจากกลุ่มเรียลดีมานด์ยังอยู่ในระดับสูง สินค้าประเภท คอนโดมิเนียมยังคงครองความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง   นายณพงศ์ ปริพนธ์พจน์พิสุทธิ์ ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 เปิดเผยถึงผลสำรวจหลังการจัดงานฯ ตลอด 4 วัน ตั้งแต่ 21-24 มีนาคม ซึ่งวันสุดท้ายตรงกับเลือกตั้ง แต่ยังมีลูกค้าเข้ามาชมงานและเลือกซื้อที่อยู่อาศัย เมื่อเทียบกับการจัดงานครั้งที่ 39 มีสัดส่วนผู้ลงทะเบียนและเข้าชมงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.84 ส่วนยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.58  โดยมียอดจองซื้อที่อยู่อาศัยภายในงานแยกประเภทโครงการดังนี้ คอนโดมิเนียม คิดเป็น 52.20% รองลงมาเป็น บ้านเดี่ยว คิดเป็น 16.87% และ ทาวน์เฮ้าส์คิดเป็น 10.71% ที่เหลือเป็นสินค้าประเภทที่ดินเปล่าและอื่นๆ 9.31%  นอกจากนี้ ยังมีลูกค้าขอสินเชื่อภายในงานกว่า 10,000 ล้านบาท   “ผลสำรวจปรากฏว่ามีผู้ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในงานประมาณ 80% ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และอีก 20 % ซื้อเพื่อการลงทุน ซึ่งมองว่ามาตรการคุมสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อมากนัก ทั้งนี้เนื่องจากมาตรการดังกล่าว เน้นไปที่บ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาท และบ้านหลังที่ 2  จึงไม่ใช่ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคกลุ่มนี้ สำหรับผู้เข้าชมงานกว่า 61.01 % เป็นผู้เข้าชมงานมหกรรมฯ เป็นครั้งแรก และอีกประมาณ 38.99% เป็นผู้ที่เคยมางานแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง โดยผู้เข้าชมงานกว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Y ในช่วงอายุ 21-30 ปี 33.15% รองลงมาจะอยู่ในช่วงอายุ 31-40 ปี คิดเป็น 30.50% และ 15.45% เป็นกลุ่ม Gen X ในช่วงอายุ 41-50 ปี ส่วนผลสำรวจด้านรายได้ส่วนตัวต่อเดือนชี้ว่าผู้เดินงาน 34.09% มีรายได้อยู่ไม่เกิน 30,000 บาท และ 29.50% มีรายได้ ระหว่าง 30,000 - 50,000 บาท ส่วนที่มีรายได้เกิน 50,000 บาท จะอยู่ที่ 11.55%”   “ด้านระยะเวลาที่ต้องการซื้อในอนาคต 1-2 ปี จะอยู่ที่ 24.91% ขณะที่ระยะเวลา 6-12 เดือน อยู่ที่ 16.37% และระยะเวลา 1-3  เดือน อยู่ที่ 15.57% ส่วนด้านงบประมาณในการซื้อที่อยู่อาศัยแต่ละประเภทระบุว่าผู้เข้าชมงาน 30.73% ต้องการที่อยู่อาศัยระดับ ราคา 2-3 ล้านบาท และ 23.99% ต้องการระดับ 1-2 ล้านบาท และอีก 18.31% ต้องการราคา 3-4 ล้านบาท มีเพียง 5.07% ที่สนใจที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท”   สำหรับงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 41 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 กันยายน 2562 ณ พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน โดยมีนายชูรัชฏ์ ชาครกุล สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เป็นประธานในการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 41      
“แกรนด์ ยูนิตี้” ลุยย่านพระราม 6 เตรียมเปิดรอบพิเศษ แนะนำคอนโดหรูสุดไพรเวทก่อนใคร กับโครงการ คาร่า อารีย์ – พระราม 6 (KARA Ari – Rama 6)

“แกรนด์ ยูนิตี้” ลุยย่านพระราม 6 เตรียมเปิดรอบพิเศษ แนะนำคอนโดหรูสุดไพรเวทก่อนใคร กับโครงการ คาร่า อารีย์ – พระราม 6 (KARA Ari – Rama 6)

แกรนด์ ยูนิตี้ เตรียมจัดรอบพิเศษสำหรับลูกค้าที่สนใจ โครงการคอนโดมิเนียมล่าสุด “คาร่า อารีย์–พระราม 6” (KARA Ari-Rama 6) คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี บนทำเลศักยภาพย่านอารีย์-พระราม 6 ใกล้แหล่งรวมไลฟ์สไตล์ แหล่งงาน สะดวกสบายในการเดินทางด้วยทางด่วนพิเศษศรีรัช ในราคาเริ่มต้น 11.5 ล้านบาท สัมผัสก่อนใคร 30–31 มีนาคมนี้ พร้อมเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 300,000 บาท ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป   นายปัฐวิน วงศ์เสถียร ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาดและการขาย บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คอนโดมิเนียมคุณภาพ ในเครือบริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV เปิดเผยว่า แกรนด์ ยูนิตี้ เตรียมจัดงาน Soft Opening โครงการ “คาร่า อารีย์ – พระราม 6” (KARA Ari - Rama 6) เพื่อแนะนำลักซ์ชัวรีคอนโดมิเนียม แบรนด์ใหม่ล่าสุดกับลูกค้าที่แจ้งความสนใจเยี่ยมชม ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดย “คาร่า อารีย์ – พระราม 6” เป็นคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรซ์ 8 ชั้น ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบความเป็นส่วนตัว เนื่องจากโครงการมีเพียง 28 ยูนิต ตั้งอยู่ติดถนนพระราม 6 ซึ่งถือเป็นทำเลที่เชื่อมระหว่างย่านอารีย์กับพระราม 6 ที่มีทั้งแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ และแหล่งงานที่สำคัญพร้อมทั้งสะดวกสบายในทุกการเดินทาง เนื่องจากใกล้จุดเชื่อมต่อทางด่วนพิเศษศรีรัช พร้อมด้วยความสะดวกสบาย เช่น ที่จอดรถถึง 100% พร้อมระบบ Auto Parking ทำให้หมดกังวลเรื่องการวนหาที่จอดรถ ถือเป็นคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยที่ใช้ชีวิตเป็นตัวของตัวเองได้อย่างแท้จริง ในราคาเริ่มต้น 11.5 ล้านบาท   ทั้งนี้ โครงการ “คาร่า อารีย์ – พระราม 6” (KARA Ari - Rama 6) มีกำหนดจัดงาน Soft Opening ระหว่างวันที่ 30 – 31 มีนาคมนี้ ณ สำนักงานขายบริเวณชั้น 2 ภายในโครงการอารีย์ การ์เด้น ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียน พร้อมรับส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 300,000 บาท ได้แล้ววันนี้ที่ www.grandunity.co.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 652 4000 หรือ www.facebook.com/GrandUnityDevelopment      
SC ASSSET  ชูแนวคิด Circular Living ชวนลูกค้าร่วมเรียนรู้ในงาน “#BeRightBack ยิ่งแยกทิ้ง ยิ่งยั่งยืน”

SC ASSSET ชูแนวคิด Circular Living ชวนลูกค้าร่วมเรียนรู้ในงาน “#BeRightBack ยิ่งแยกทิ้ง ยิ่งยั่งยืน”

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดย นางสาวสุดารัตน์ เจริญเกตุมงคล หัวหน้าสายงานบริหารลูกค้าและการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ #BeRightBack ยิ่งแยกทิ้ง ยิ่งยั่งยืน ชวนครอบครัว SC FAMILY เป็นส่วนหนึ่งของการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก  โดยให้ทุกคนมาทำความรู้จักกับขยะที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน รวมถึงการคัดแยกขยะ และการสร้างวงจรชีวิตใหม่ของผลิตภัณฑ์พลาสติกให้สามารถหมุนเวียนอยู่ในระบบการผลิต และการบริโภคให้นานที่สุด ภายใต้แนวคิด Circular Living ทำให้เกิดชุมชนสร้างสรรค์ และเป็นมิตรไปกับสิ่งแวดล้อมพร้อมๆ กัน โดยมีคุณนุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา มาร่วมพูดคุยภายในงาน  นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีตามแนวคิด Lively Neighbourhood กับนิทรรศการทำไมต้องแยกขยะ, กิจกรรม แยกขยะทำไม? แยกแล้วไปไหน? (ขยะแปลงร่าง) และ Refill Station ที่ทุกคนสามารถนำขวดน้ำใช้แล้ว มาเติมผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติกลับไปใช้ที่บ้าน รวมทั้ง กิจกรรมDIY ทำจานสีจากฝาพลาสติก เรียนรู้การทำสีน้ำออแกนิกส์ และการทำกระถางต้นไม้จากถุงพลาสติก ณ โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด พระราม9- ศรีนครินทร์ เมื่อวันก่อน  #SCASSETisQuality  #LivingSolutionsProvider    
รีวิวบ้าน “nirvana beyond อุดรธานี” ชีวิตเหนือระดับ กับบ้านดีไซน์ใหม่ล่าสุด

รีวิวบ้าน “nirvana beyond อุดรธานี” ชีวิตเหนือระดับ กับบ้านดีไซน์ใหม่ล่าสุด

หลายครั้งของทีม Reviewyourliving พาไปชมโครงการบ้านในกรุงเทพฯ รวมถึงปริมณฑล แต่คราวนี้เราจะพาขึ้นไปยังแดนอีสาน ณ เมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเศรษฐกิจดีที่สุดติดอันดับประเทศ แล้วจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ทำไม Nirvana Daii จึงได้มีความสนใจทำเลแห่งนี้ ลองไปทำความรู้จักพร้อมๆ กันค่ะ   อุดรธานี เป็นจังหวัดที่มีเศรษฐกิจดีที่สุดติดอันดับต้นของประเทศไทย ไม่ว่าจะด้วยเพราะด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การค้าขายกับประเทศลาวที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งมีระยะห่างจากเมืองหลวงเวียงจันทร์ เพียง 70 กิโลเมตรเท่านั้น จึงทำให้มีธุรกิจเกิดขึ้นมากมายเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดความเจริญอย่างมาก จนกลายเป็นหนึ่งในหัวเมืองใหญ่ของบ้านเราแบบในปัจจุบัน   นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดใหญ่หลายแห่ง รองรับทุกไลฟ์สไตล์ความเป็นอยู่ของชาวอุดรฯ เช่น สนามบินนานาชาติอุดรฯ ที่มีเที่ยวบินต่อวันสูงสุดในภาคอีสาน, หนองประจักษ์ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองที่กลายเป็นจุดเช็คอินสุดฮิป หรือจะเป็นแหล่งช้อปปิ้งอย่างเซ็นทรัลพลาซ่า, UD Town, ไนท์พลาซ่า, พรีเมี่ยมเอาท์เล็ท ฯลฯ เมืองอุดรฯ จึงประกอบไปด้วยทั้งคนท้องถิ่นเดิมที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ด้วยความรักในบ้านเกิด คนต่างถิ่นที่เข้ามาประกอบกิจการธุรกิจของตัวเองหรือมาติดต่อค้าขายกัน นักเรียน นักศึกษาเข้ามาเรียนในเมืองใหญ่แห่งนี้ และนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาอยู่ตลอดทั้งปี ทำให้อุดรธานีเต็มไปด้วยชีวิตชีวาจากผู้คนอันหลากหลาย เมื่อมีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ย่อมมีโครงการที่อยู่อาศัยตามมารองรับความเป็นอยู่ให้ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีตามไปด้วย     Nirvana BEYOND อุดรธานี ไม่บ่อยนักที่จะมี Developer ระดับคุณภาพจากกรุงเทพฯ มาเปิดมุมมองการใช้ชีวิตให้เหนือระดับยิ่งกว่าที่เคย โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวดีไซน์สไตล์ Modern เรียบง่ายแต่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ผสมผสานนวัตกรรมใหม่ๆ มีฟังก์ชั่นการอยู่อาศัยสำหรับทุกคนในครอบครัวให้สะดวกสบายมากกว่าเดิม     บ้านเดี่ยวที่เหนือกว่า...ในทุกมุมมอง ด้วยซีรีส์ใหม่ล่าสุดจาก Nirvana ที่เพิ่งเกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งจะเน้นที่องค์ประกอบหลัก 2 ข้อ นั่นคือ   Modern Living Design บ้านที่มาในรูปแบบ Timeless Design ให้ดูทันสมัยอยู่เสมอด้วยรูปทรงที่บิดมุมของบ้าน เพื่อเปิดมุมมองใหม่ของการอยู่อาศัย ทำให้สามารถจับวางทิศทางตัวบ้านให้รับลมและแสงธรรมชาติเข้ามาใช้ในตัวบ้านมากที่สุด และยังทำให้มี Inner Court กลางบ้าน สิ่งสำคัญคือจะเกิดความเป็นส่วนตัวทั้งภายในบ้านแล้วนอกบ้าน ซึ่ง Nirvana Daii ให้ความสำคัญมาตลอด และยังใส่ใจใช้วัสดุระดับ Premium ส่งผลให้เกิด Space เหนือกว่าแบบเดิมๆ ที่เคยมีมา     Modern Living Innovation ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องของงานดีไซน์เท่านั้นที่จะทำให้มีชีวิตอันสมบูรณ์แบบเกิดขึ้นมาได้ เพราะยุคนี้ก็ต้องมีนวัตกรรมเข้ามาทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบ Home Automation ระบบ Air Control System ระบบ Wi-Fi ความเร็วสูงทุกจุดภายในบ้าน ระบบเสียงรอบบ้านเชื่อมต่อกับ Smartphone ฯลฯ        สำหรับโครงการ Nirvana BEYOND อุดรธานี เป็นบ้านเดี่ยวบนถนนเพาะนิยม ทำเลติดกับหนองประจักษ์ ซึ่งเปรียบเสมือนโอเอซิสใจกลางเมืองที่รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลักหลายแห่ง ถือเป็นสุดยอดทำเลศักยภาพที่ดีที่สุดของจังหวัดอุดรธานี ด้วยพื้นที่ทั้งหมด 10-0-88.3 ไร่ แต่มีเพียง 40 ยูนิตเท่านั้น โดยมีแบบบ้านให้เลือก 3 Type 3 Design     SPACE บ้านเดี่ยว 3 ชั้น ขนาดที่ดินเริ่มต้น 57 ตร.ม. พื้นที่ใช้สอย 300 ตร.ม. 3 Bedrooms 3 Bathrooms 1 Living Room 1 Powder Room 1 Maid Room 2 Parking Lots MIND บ้านเดี่ยว 3 ชั้น ขนาดที่ดินเริ่มต้น 60 ตร.ม. พื้นที่ใช้สอย 370 ตร.ม. 4 Bedrooms 4 Bathrooms 1 Living Room 1 Maid Room 3 Parking Lots LUXE บ้านเดี่ยว 3 ชั้น ขนาดที่ดินเริ่มต้น 76 ตร.ม. พื้นที่ใช้สอย 470 ตร.ม.   4 Bedrooms 4 Bathrooms 1 Living Room 1 Powder Room 1 Maid Room 3 Parking Lots   BEYOND FACILITIES Residence Lounge & Beyond  Clubhouse, Panoramic View Fitness, Infinity Edge Swimming Pool & Kid Pool, Oasis Garden, Kid’s Playground, 24 Hrs. Securities & CCTV, Bluetooth Access, WIFI Village, Underground Electric   ความพิเศษทั้งหมดนี้ มีเพียง 40 ครอบครัวเท่านั้นที่จะได้ร่วมใช้ชีวิตแบบ BEYOND บนทำเลที่ดีที่สุดของอุดรธานี ในราคาเริ่มต้น 25-60 ล้านบาท   EXCLUSIVE BOOKING วันที่ 30 มี.ค. นี้ ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน พร้อมรับข้อเสนอพิเศษสุด >>  nirvana.bz/BY-UDON-RVYL รายละเอียดเพิ่มเติมโครงการ nirvana beyond อุดรธานี Nirvana BEYOND Udon thani  โครงการอื่นๆ จาก Nirvana Daii Nirvana @WORK Nirvana DEFINE Srinakarin-Rama9 Nirvana BEYOND Rama9-Krungthepkreetha 
‘ลลิล พร็อพเพอร์ตี้’ ปลุกตลาดอสังหาฯ ก่อนจบไตรมาสแรก อัดแคมเปญสุดปัง “พรรคนี้ ผ่อนน้อยยย”

‘ลลิล พร็อพเพอร์ตี้’ ปลุกตลาดอสังหาฯ ก่อนจบไตรมาสแรก อัดแคมเปญสุดปัง “พรรคนี้ ผ่อนน้อยยย”

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ปลุกตลาดอสังหาฯ ก่อนจบไตรมาสแรก อัดแคมเปญสุดปัง “พรรคนี้ ผ่อนน้อยยย” พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษ ช่วยผ่อนนาน 10 เดือน ขนทัพบ้านเดี่ยว บ้านแนวคิดใหม่ ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียมคับคุณภาพหลากหลายทำเล ในราคาเริ่มต้นเพียง 1 ล้านกว่า – 12 ล้านบาท ร่วมงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 ระหว่างวันที่ 21 – 24 มีนาคม ศกนี้ ที่บูธ G 215 – 226 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  มั่นใจกระแสตอบรับดี ลูกค้าเร่งตัดสินใจซื้อก่อนมาตรการรัฐบังคับใช้ 1 เมษายน ศกนี้   นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยถึงแคมเปญ “พรรคนี้ ผ่อนน้อยยย” ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 ว่า “บริษัทฯ ปล่อยโปรโมชั่นสุดพิเศษเอาใจลูกค้าอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการยกขบวนโครงการคุณภาพ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแนวคิดใหม่ ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ใจกลางทำเลยุทธศาสตร์ทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด อาทิ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และนครราชสีมา รวมกว่า 40 โครงการ มาไว้ที่บูธลลิล พร็อพเพอร์ตี้ บูธ G 215 - 226 ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 พร้อมเสิร์ฟสุดยอดโปรโมชั่น ได้แก่ ต่อที่ 1 ช่วยผ่อนนาน 10 เดือน และฟรี! เงินทำสัญญา 0 บาท ฟรี! ทุกค่าใช้จ่าย อาทิ ค่าโอน ค่าส่วนกลาง ค่ามิเตอร์น้ำ - ไฟ เป็นต้น หรือต่อที่ 2 เลือกรับ Samsung S10 เอาใจลูกค้าในงานโดยเฉพาะตลอด 4 วัน ระหว่างวันที่ 21 – 24 มีนาคม ศกนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เท่านั้น   แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ต้นปี 2562 โดยรวมยังคงมีการเติบโต โดยมีปัจจัยสนับสนุน อาทิ ภาพรวมของเศรษฐกิจโดยรวมยังขยายตัวได้ดี ยังเป็นปัจจัยเร่งการตัดสินใจซื้อของกลุ่มลูกค้า การจัดแคมเปญ “พรรคนี้ผ่อนน้อย” จึงนับเป็นทางเลือกให้ผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยใหม่ที่มีคุณภาพ ด้วยโครงการบ้านที่หลากหลายกับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในรูปแบบบ้านเดี่ยว บ้านแนวคิดใหม่ หรือบ้านแฝด ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม บนทำเลศักยภาพ 5 มุมเมืองในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดในเขตระเบียงเศรษฐกิจที่เป็นตลาดงาน ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุด ในราคาเริ่มต้นเพียง 1 ล้านกว่า มั่นใจว่าแคมเปญนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ประเดิมต้นปีก่อนปิดไตรมาสแรกได้อย่างแน่นอน” นายชูรัชฏ์กล่าว   ทั้งนี้ ลูกค้าที่เข้าชมบูธของ ลลิล พร้อพเพอร์ตี้ จะได้สัมผัสรูปแบบบูธที่จัดเต็มด้วยโครงการคุณภาพ ให้เลือกสรรมากมายภายในงาน การเปิดพรีเซลล์โครงการใหม่ล่าสุด มหานครแห่งใหม่ใจกลางพุทธมณฑลสาย 4 “ลลิล ทาวน์ ไลโอ บลิสซ์ เพชรเกษม – พุทธมณฑล สาย 4” บ้านและทาวน์โฮมฟังก์ชั่นครบตอบทุกโจทย์ความสมบูรณ์แบบแห่งการใช้ชีวิต ขนาด 4 ห้องนอน พร้อมโมเดิร์นคลับเฮ้าส์ ราคาเริ่มต้น 1 ล้านกว่าบาท ตลอดจนโครงการคุณภาพอีกมากมายกว่า 40 โครงการ เลือกบ้านที่ใช่ ในทำเลที่ถูกใจ กับ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี ที่บูธ G 215 - 226 ในงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 40 ระหว่างวันที่ 21 - 24 มีนาคม ศกนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ /// โทร Call Center 1778 หรือ www.lalinproperty.com * เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด      
HBA เปิดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2019”

HBA เปิดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2019”

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ลุยจัดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2019” งานเดียวที่รวบรวมบริษัทชั้นนำกว่า 30 บริษัทรับสร้างบ้านมืออาชีพ ชูแบบบ้านสวยสุดสร้างสรรค์ทุกฟังก์ชั่นการใช้สอยครบทุกงบประมาณที่ต้องการ “ให้การสร้างบ้านเป็นเรื่องง่ายง่าย” ระหว่างวันที่ 21-24 มีนาคม 2562  ณ ห้องเพลนารี ฮอลล์ 1-2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์   สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builders Association: HBA) ได้เปิดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2019” โดยได้รับเกียรติจากนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน มีนางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมฯ พร้อมด้วยกรรมการบริหารสมาคมฯ ให้การต้อนรับ และร่วมในพิธีเปิด   นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builders Association: HBA) เปิดเผยว่า การจัดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2019” เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการตลาดให้กับสมาชิกของสมาคมฯ ภายในงานมีการนำเสนอแบบบ้านใหม่ล่าสุดพร้อมทั้งโปรโมชั่นของบริษัทรับสร้างบ้าน นอกจากนี้ผู้จองปลูกสร้างบ้านภายในงาน ยังมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลทองคำมูลค่า 100,000 บาทด้วย ผู้ที่สนใจเข้าชมงานสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://www.hba-th.   การจัดงาน“รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2019” ในปีนี้จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “ให้การสร้างบ้านเป็นเรื่องง่ายง่าย”  ระหว่างวันที่ 21-24 มีนาคม 2562 ณ ห้องเพลนารี ฮอลล์ 1-2ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยภายในงานบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกสมาคมฯ กว่า 30 บริษัท รวมทั้งพันธมิตรกลุ่มผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างที่จะนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาแสดงในงานในครั้งนี้ด้วย   ทั้งนี้สมาคมฯ คาดว่าจะมียอดขายภายในงานประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับการจัดงานในปีที่แล้ว และคาดว่าหลังการจัดงานจะมีผู้ที่ตัดสินใจปลูกสร้างบ้านคิดเป็นมูลค่ารวมอีกประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งบ้านระดับราคา 2-5 ล้านบาท ยังเป็นกลุ่มหลักของตลาดรับสร้างบ้านโดยรวม   สำหรับมูลค่าตลาดรวมรับสร้างบ้านในปี 2562 มูลค่าตลาดรวมทั้งหมดน่าจะอยู่ราว 12,500 – 13,000 ล้านบาทเติบโตขึ้น 5-8% จากปี 2561 ที่มีมูลค่าตลาดรวมที่ 12,000 ล้าบาท   “กิจกรรมที่สมาคมฯ จัดขึ้นนี้นอกจากจะช่วยกระตุ้นภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านให้มีความคึกคักในช่วงครึ่งแรกของปีแล้ว ในเชิงกลยุทธ์ของสมาคมฯ ยังเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสมาชิก และเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ รวมถึงส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง”นางศิริพรกล่าวทิ้งท้าย      
“แสนสิริ” โชว์ความสำเร็จ ตอกย้ำผู้นำตลาดลักซ์ชัวรี่ ปิดการขาย “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า”

“แสนสิริ” โชว์ความสำเร็จ ตอกย้ำผู้นำตลาดลักซ์ชัวรี่ ปิดการขาย “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า”

“แสนสิริ” ตอกย้ำผู้นำตลาดอสังหาริมทัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของไทย ประกาศปิดการขาย “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” (THE MONUMENT SANAMPAO) ด้วยยอดขายกว่า 1,500 ลบ. จำนวน 86 ยูนิต ย้ำความสำเร็จแบรนด์ “เดอะ โมนูเมนต์” คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ที่รังสรรค์ขึ้นอย่างเข้าใจและตอบโจทย์ครอบครัวรุ่นใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘The Monument to Generations’ การส่งต่อทำเลคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองสูงถึง 70%  เผยปัจจัยหลัก ได่แก่ ทำเล ความเป็นส่วนตัว ดีไซน์ที่มีรสนิยม วัสดุคุณภาพระดับเวิลด์คลาส ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มลักซ์ชัวรี่ระดับบนอย่างแท้จริง พร้อมเตรียมเผยโฉมและโอนกรรมสิทธิ์ “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” โครงการล่าสุด ภายใต้บริษัทร่วมทุนกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มูลค่ากว่า 6,500 ล้านบาทกับแนวคิด “Luxury is Space” คอนโดมิเนียมลักซ์ชัวรี่สำหรับครอบครัวยุคใหม่ นิยามความหรูหราผ่านพื้นที่โอ่โถงที่ให้ประสบการณ์เสมือนบ้าน แลนด์มาร์คแห่งใหม่บนถนนเส้นหลักทองหล่อ ปัจจุบัน มียอดขายอยู่ที่ 40% หรือมูลค่า 2,600 ล้านบาท นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า “เดอะ โมนูเมนต์” ถืออีกหนึ่งแบรนด์คอนโดมิเนียม ในการรุกตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ของแสนสิริ พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด ‘The Monument to Generations’ การส่งต่อทำเลที่มีคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น และความภาคภูมิใจในกการอยู่อาศัย ควบคู่กับดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ และการคัดสรรวัสดุที่มีคุณภาพระดับเวิลด์คลาสโดยโครงการแรก “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” เปิดตัวในปี 2558 ในรูปแบบไฮไรซ์สูง 24 ชั้น ที่ให้ความเป็นส่วนตัวเพียง 86 ยูนิต บนทำเลสนามเป้า – พหลโยธิน ที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางการรวมตัวของวัฒนธรรมเก่า และความทันสมัย ที่ผสานอย่างลงตัว โดยปัจจุบัน สามารถปิดการขายโครงการ 100% ด้วยมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท เมื่อต้นปีนี้”   นายปิติ กล่าวต่อไปว่า “ปัจจัยสำเร็จที่โดดเด่น ส่งผลให้โครงการได้รับการตอบรับอย่างสูงสุดจากกลุ่มลูกค้า ได้แก่ ความคุ้มค่าของโครงการที่มูลค่าเพิ่มขึ้นเหนือกาลเวลา ทั้งคุณภาพและราคาที่ดีที่สุด ทำให้ “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” เป็นทรัพย์สินที่ควรค่าแก่การครอบครอง สามารถส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลานได้ ด้วยที่ตั้งโครงการอยู่ในทำเลศักยภาพสูง ติดริมถนนใหญ่ โซนเส้นถนนพหลโยธินตอนต้น ซึ่งปัจจุบันหาได้ยากมาก พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่อการใช้ชีวิตทุกมิติ เพียง 5 กม. ใกล้ทางด่วนทั้งขาเข้าและออกนอกเมือง โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองสูงถึง 70% และผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าด้วยสูงถึง 4-6% ต่อปี ซึ่งกลุ่มลูกค้าเช่า ได้แก่ กลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทย กลุ่มแพทย์ที่ทำงาน ในบริเวณนี้ กลุ่มลูกค้าโรงพยาบาลพญาไท เป็นต้น ทำให้ทำเลนี้ ไม่แตกต่างจากทำเลใจกลางเมืองสำคัญอื่นๆ ที่มีราคาสูงกว่า ทั้งนี้ ยังคงมีลูกค้าสนใจและมีความต้องการซื้อโครงการอย่างต่อเนื่อง พบว่ามีราคาซื้อต่อสูงขึ้นถึง 5% โครงการยังถือเป็นผลงานการออกแบบระดับมาสเตอร์พีซ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านงานสถาปัตยกรรมสไตล์โมเดิร์นร่วมสมัยที่คงความคลาสสิคเหนือกาลเวลา พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานวัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนทุกรายละเอียดที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีที่สุด ทั้งยังให้ความสำคัญกับ การจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ นอกจากล็อบบี้เลานจ์ บริเวณชั้นหนึ่งที่จัดเตรียมพื้นที่ไว้ให้ลูกบ้านรับรองแขกแล้ว ยังมีพื้นที่ส่วนกลางอื่นๆ อีกถึง 3 ชั้น คิดเป็นพื้นที่กว่า 20% ของพื้นที่ห้องชุดทั้งหมด ซึ่งส่วนกลางมีฟังก์ชั่นครบครัน ทั้งพื้นที่ออกกำลังกาย Panoramic Exercise Room และพื้นที่สังสรรค์ Social Lounge, Sky Pavilion, Libraryroom และ Tea Room เป็นต้น “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” นำเทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิตแบบ SMART LIVING มาช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิต โดยถือเป็นโครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในเอเชียที่มีหุ่นยนต์ส่งของให้บริการลูกบ้าน พร้อมระบบรองรับการใช้พลังงานทดแทนในอนาคตอย่าง EV charger station สำหรับรถยนต์ทุกรุ่น มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนกลาง และติดตั้งเครื่องรีไซเคิลขวดน้ำพลาสติก (PET Bottle Refun)     เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดปริมาณขยะพลาสติก และสุดท้ายโครงการนี้ยังมี บริการเพื่อการใช้ชีวิตเหนือระดับ อย่าง Building Manager และ Concierge Service ผู้ช่วยประจำโครงการ เช่น บริการซัก อบ รีด, บริการตรวจสอบดูแลและจัดการห้องชุด, บริการเรียกรถลีมูซีน, บริการแนะนำร้านซ่อมเสื้อผ้าและเครื่องหนัง เป็นต้น” “ด้วยความสำเร็จของแบรนด์ “เดอะ โมนูเมนต์” โครงการแรก จึงเป็นที่มาของการสานต่อสู่การพัฒนาโครงการ “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” โครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ที่กำหนดนิยามใหม่แห่งการอยู่อาศัยด้วยพื้นที่กว้างขวางภายใต้แนวคิด “Luxury is Space” โอ่โถงเสมือนอยู่บ้านเดี่ยว โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอาคารรูปทรง “Monolith” อันเป็นเอกลักษณ์ ที่จะกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในทองหล่อ และเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตสุดเอ็กซ์คลูซีฟสูงสุดเพียงชั้นละ 4 ห้อง รวม 127 ยูนิต บนที่ดินขนาด 2 ไร่ ติดถนนเส้นหลักของทองหล่อ อีกหนึ่งทำเลอันเป็นมรดกทรงคุณค่าที่มีศักยภาพสูงสุดอันดับต้นๆของกรุงเทพฯ ทั้งย่านที่พักอาศัยคุณภาพสูงมาตั้งแต่อดีต และแหล่งรวมร้านค้าชั้นนำ ร้านอาหารและ คอมมูนิตี้มอลล์ระดับไฮเอนด์มากมายโดยหลังจากเปิดพรีเซลไปเมื่อปี 2561 และได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม ด้วยยอดพรีเซลกว่า 40% พร้อมเตรียมเปิดเผยโฉม “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” ในเดือนมีนาคมปีนี้ ซึ่งเราคาดว่าจะได้รับการตอบรับในการโอนกรรมสิทธิ์อย่างเช่นเคย อีกแน่นอน” นายปิติ กล่าวสรุป      
เปิดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40

เปิดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40

ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี เปิดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 พร้อมย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคอสังหาฯ อย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการภาครัฐและเมกะโปรเจคมากมาย ขณะที่สามสมาคมผู้จัดงานมั่นใจตลาดอสังหาฯ ปี 62 จะเห็นยอดซื้อเพิ่มขึ้น   ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า “งานมหกรรมบ้านและคอนโดเป็นกิจกรรมที่มีความ สำคัญ ไม่ใช่เฉพาะแต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ นับเป็นงานแสดง สินค้าที่อยู่อาศัยใหญ่ที่สุด โดยมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งรายใหญ่ รายกลาง รายเล็ก พร้อมกันนำสินค้าหลาก หลายโครงการมาจัดแสดง เพื่อให้ผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปที่กำลังเลือกซื้อที่อยู่อาศัย โดยสามสมาคมผู้จัดงาน ได้แก่ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทย ได้ทำให้เรื่องที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องง่าย มาที่ เดียวจบทุกราคา ทุกประเภท ทุกทำเล ตรงกับความต้องการมากที่สุด นอกจากนี้ ผู้ซื้อยังจะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งจาก ผู้ประกอบการและแคมเปญกระตุ้นยอดขายจากผู้จัดงานอีกมากมาย”   “ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจอื่นๆ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ โดยเฉพาะโครงสร้างสาธารณูปโภคด้านการคมนาคมกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นสิ่งคู่กัน ตลอดมา พื้นที่ใดถนนตัดผ่านย่อมเกิดการขยายตัวสร้างความเจริญสู่ชุมชนใหม่ โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาประเทศไทย ให้ก้าวสู่การเป็นประเทศผู้มีรายได้สูง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายความเจริญไปทั่วประเทศ โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินการ ดังนั้น โครงการเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนของการพัฒนาประเทศ เนื่องจากการเกิด Smart City มีลักษณะความอัจฉริยะใน 7 ด้าน ซึ่งครอบคลุมทั้งด้าน เศรษฐกิจ การขนส่ง พลังงาน สิ่งแวดล้อม การดำรงชีพ พลเมือง และการบริหารงานภาครัฐ ในปีที่ผ่านมารัฐบาลได้เปิด โครงการนำร่องเมืองอัจฉริยะ 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น กรุงเทพฯ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา สำหรับปีนี้จะขยายแผนงานไปยัง 24 จังหวัด และคาดว่าภายในเวลา 5 ปีจะขยายไปทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันได้ทำการเปิด รับสมัครเมืองทั่วประเทศ เพื่อนำมาพัฒนาเป็น Smart City เมื่อผ่านเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด เมืองเหล่านั้นก็จะได้รับ ตราสัญลักษณ์ Smart City สามารถขอรับสิทธิส่งเสริมการลงทุน จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ได้”   “นอกจากนี้ ภายใต้แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย ตั้งแต่ปี 2558 – 2565 กระทรวงคมนาคม ยังมุ่งพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทุกโครงข่าย ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ให้เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อสร้างรากฐานความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในประเทศ รวมถึงการ สร้างสถานีขนส่ง หรือจุดเปลี่ยนถ่ายการเดินทางด้วยการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งมวลชน หรือ Transit Oriented Development เพื่อช่วยกระจายความเจริญไปยังภูมิภาคตามแนวสายทางการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะเอื้อให้เกิดการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชยกรรม แหล่งงาน และแหล่งที่อยู่อาศัย เป็นต้น”   “สำหรับในส่วนกรุงเทพมหานคร โครงการรถไฟฟ้าเฟส 1 จำนวน 10 สาย และพร้อมจะเปิดให้บริการครบทุกสายภายใน ระยะเวลา 5 - 6 ปี สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็นวันละราว 2.7 ล้านคน ขณะนี้กระทรวงคมนาคมได้เริ่มวางแผน งานพัฒนาเฟส 2 เพื่อขยายรัศมีโครงข่ายรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยเน้นไปที่พัฒนาสถานีเพื่อเชื่อมต่อการขนส่งทุกรูปแบบ ทั้งรถเมล์ เรือโดยสาร และท่าอากาศยาน และเชื่อว่ายังมีงานอีกมากมายที่จะดำเนินการต่อ เพื่อให้การพัฒนาประเทศ มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนสืบต่อไป” ดร.ไพรินทร์ กล่าว   ด้านนายณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 เปิดเผยว่า “ปี 2562 นี้ มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบอย่างมากกับตลาดอสังหาฯ ไทยอยู่หลายประการ อาทิ มาตรการควบคุมสินเชื่อบ้านแบบใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายนนี้ ทำให้ผู้ประกอบการต่างเร่งระบายสต๊อกสินค้าและออกโปรโมชั่นพิเศษมากมาย จึงเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มเรียลดีมานด์ที่จะได้เลือกซื้อสินค้าที่ต้องการพร้อมได้รับสิทธิพิเศษทั้งด้านส่วนลดราคาและของแถมมากมาย โดยคาดการณ์ว่าจะมียอดโอนกรรมสิทธิ์มูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท ส่วนปัจจัยด้านการเมือง ซึ่งหากรัฐบาลชุดใหม่มีเสถียรภาพ สถานการณ์ทางการเมืองนิ่ง เศรษฐกิจของประเทศก็น่าจะกลับมาฟื้นตัว และเชื่อว่าตลาดอสังหาฯ ในครึ่งปีหลังก็จะกลับมาคึกคักยิ่งขึ้น ทั้งยังต้องรอดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคอสังหาฯ”   “ทางคณะผู้จัดงานคาดการณ์ว่างานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 นี้ จะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี โดยมีผู้มาร่วมงานอยู่ที่เกือบ 1 แสนคน และมียอดจองและขายทั้งภายในงานและต่อเนื่องหลังงานรวมกว่า 6 พันล้านบาท สำหรับงานครั้งนี้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 150 ราย และมีโครงการมากกว่า 1,000 โครงการให้ลูกค้าได้เลือก”   “คณะกรรมการจัดงานได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ “7 Weeks 7 Flash Deal” เพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเรื่องเป็นอยู่เป็นเรื่องง่าย โดยแคมเปญนี้ได้เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ และจะสิ้นสุดในวันที่ 24 มีนาคม ซึ่ง เป็นวันสุดท้ายของการจัดงานฯ ลูกค้าที่ได้ลงทะเบียนออนไลน์หรือจองซื้อภายในงานจะได้รับสิทธิ์ลุ้นรับดีลพิเศษ 7 ดีล ตลอด 7 สัปดาห์ ได้แก่ ฟรีผ่อน 1 ปี ฟรีดาวน์ ฟรีโอน ฟรีค่าส่วนกลาง ฟรี   บิวท์อิน ฟรีเครื่องใช้ ไฟฟ้า และฟรีเฟอร์นิเจอร์ แต่ละดีลจะมีมูลค่าถึง 120,000 บาท นอกจากนี้ คณะกรรมการจัดงานยังได้ทำ HC SOLUTION เพื่อให้ลูกค้าสามารถตรวจหาข้อมูลโครงการที่สนใจจากระบบฐานข้อมูล ซึ่งรวบรวมข้อมูลทุกอย่างจากผู้ประกอการทุกรายที่ร่วมจัดแสดงสินค้าในครั้งนี้ ตั้งแต่ตำแหน่งที่ตั้งบูธภายในงาน ประเภทโครงการ ทำเล ราคา และโปรโมชั่นต่างๆ ไปจนถึงการคำนวณความสามารถในการขอสินเชื่อ ทั้งยังสามารถขอรับคำปรึกษาเรื่องการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินชั้นนำมากมาย ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษมากมายไว้ต้อนรับลูกค้าภายในบูธของแต่ละแบรนด์อีกด้วย” นายณพงศ์ กล่าว   งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 21 - 24 มีนาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บริเวณโซนซี ชั้น 1 ชั้น 2 และโซนเอเทรียม ผู้สนใจเข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียนออนไลน์ล่วงหน้าได้ทาง www.housecondoshow.com หรือติดตามรายละเอียดข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ทางเฟสบุ๊ค housecondoshow - งานมหกรรมบ้านและคอนโด, อินสตาแกรม housecondoshow  หรือช่องทางไลน์ @housecondoexpo เพื่อรับข้อมูลโครงการและโปรโมชั่นจากผู้ประกอบ การได้อย่างง่ายดายและสะดวกรวดเร็ว      
KUN decorate ฉลองครบรอบ 10 ปี อย่างอบอุ่น เปิดตัว “Join Collection”

KUN decorate ฉลองครบรอบ 10 ปี อย่างอบอุ่น เปิดตัว “Join Collection”

KUN decorate โดย บริษัท คุณากิจอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ จำกัด ฉลองครบรอบ1 ทศวรรษแห่งการเป็นผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์อลูมิเนียมชั้นนำของประเทศไทย โดยจัดงาน 10th Anniversary of KUN decorate ในธีม“# I LOVE KUN” ซึ่งนำเสนอหลากหลายเหตุผลที่เฟอร์นิเจอร์อลูมิเนียมของ KUN decorate ได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากลูกค้ามาตลอดในระยะเวลา 10 ปี   ในโอกาสพิเศษนี้ KUN decorate ได้เปิดตัว “Join Collection” คอลเล็กชั่นใหม่ที่มีทั้งเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ซึ่งสื่อแนวคิด Craft design ที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาการที่ไม่มีที่สิ้นสุด ความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด และการเลือกใช้วัสดุระดับพรีเมียม อันล้วนเป็นเอกลักษณ์ของ KUN decorate   เฟอร์นิเจอร์คอลเล็กชั่นใหม่ “Join Collection” ประกอบด้วยเฟอร์นิเจอร์ และ ไลน์สินค้าใหม่คือไอเทมตกแต่งบ้าน ซึ่งมีโครงสร้างทำจากวัสดุอลูมิเนียมและส่วนประกอบที่ทำจากวัสดุไม้ เป็นผลงานการออกแบบของทีมนักออกแบบหน้าใหม่ไทย คือSYNONYMS ประกอบด้วยคุณวงศธร ชัยเชิดชูวงศ์ คุณสุภวัช ทองสว่าง และคุณพงษ์ศิริ ชูน้อย ซึ่งได้วิเคราะห์อัตลักษณ์ของแบรนด์ KUN decorate ตลอดทศวรรษ จากนั้นตีความและต่อยอด เพื่อให้เกิดการปรับใช้ในบริบทใหม่ โดยได้เลือกจับคู่อลูมิเนียมกับไม้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ไม่เคยมีมาก่อนในพอร์ตโฟลิโอ แต่เป็นการหยิบเอาเสียงของลูกค้ามาผสานเข้าไปในความเป็น KUN decorate จนทำให้เกิดการพัฒนาผลงานของแบรนด์ที่มีคุณค่ายิ่งขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ผลงานทุกชิ้นถูกผลิตขึ้นด้วยฝีมือช่างไทยอย่างพิถีพิถัน สะท้อนความใส่ใจของแบรนด์ KUN decorate ในทุกรายละเอียด ตามหลัก Craft design การผลิตชิ้นงานที่แสนปราณีตดั่งการสร้างสรรค์งานศิลปะ   คุณจุไรรัตน์ คุณาวิชยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ KUN decorate กล่าวว่า “นับตั้งแต่วันแรกแห่งการก่อตั้งแบรนด์ KUNdecorate   เรามุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ว่า เฟอร์นิเจอร์อลูมิเนียมโดยฝีมือคนไทยมีคุณภาพไม่แพ้ชาติใดในโลก และในวันนี้ที่ KUN decorate ครบรอบ 10 ปีบริบูรณ์ เราพูดได้อย่างมั่นใจว่า เราคือผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์อลูมิเนียมอันดับหนึ่งของประเทศไทย โดยเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากลูกค้าอย่างเสมอมา งานฉลองครบรอบ 1 ทศวรรษของ     แบรนด์ในธีม “ฉันรักคุณ/KUN” ในวันนี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะแสดงความขอบคุณต่อลูกค้าทุกท่านที่เลือก KUN decorate เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขา โดยเราขอสัญญาว่าจะเดินหน้าพัฒนาและสร้างสรรค์เฟอร์นิเจอร์อลูมิเนียมที่ดีที่สุด ทั้งในด้านคุณภาพ ดีไซน์ และฟังก์ชัน ที่คนไทยคู่ควรให้สมกับบทบาทผู้นำเฟอร์นิเจอร์อลูมิเนียมของไทยอย่างแท้จริง”   “Join Collection สะท้อนจุดยืนและเป้าหมายในอนาคตของ KUN decorate เราให้เกียรติคำแนะนำของลูกค้าและนำมาปรับใช้กับวิถีของแบรนด์ ทั้งในด้านองค์ประกอบของสินค้าและประเภทของสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้เรายังยึดมั่นที่จะร่วมมือกับดีไซเนอร์หน้าใหม่ของไทย   การจัดงานครบรอบ 10 ปีในครั้งนี้จึงเป็นมากกว่าการเฉลิมฉลองของแบรนด์ KUN decorateแต่เป็นการตอกย้ำบทบาทของ KUN decorate ที่ต้องการสนับสนุนนักออกแบบสัญชาติไทย ให้เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และต้องการเดินหน้าไปพร้อมกับผู้สนับสนุนทุกท่านที่ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของอนาคตที่แข็งแกร่งของ KUN decorate” คุณจุไรรัตน์ คุณาวิชยานนท์ กล่าวปิดท้าย   KUN decorate นั้นโดดเด่นในหลายประการ ได้แก่ (1) การควบคุมการผลิตเองในทุกขั้นตอน ทำให้พัฒนาชิ้นงานได้ตามดีไซน์อย่างปราณีต อีกทั้งดูแลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เกิด zero waste ได้ ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่มองหา Eco products (2) แนวคิด DUCF (Design, Unique, Compatible, Functional) ทำให้สร้างงานที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากกว่า (3) การพัฒนานวัตกรรมอยู่เสมอ ด้วยประสบการณ์ด้านการผลิตวัสดุโลหะมากว่า 50 ปี การผลิตสินค้าอลูมิเนียมจึงเป็นไปอย่างเชี่ยวชาญ โดดเด่นด้วยวัสดุคุณภาพ ทนทานแต่น้ำหนักเบา ซึ่งกลายเป็นสินค้าที่ใช้งานได้สะดวก ดูแลง่าย สวยและแปลกใหม่ (4) แนวคิด Craft design ซึ่งเปรียบสินค้าดั่งงานศิลป์ เราจึงตอบโจทย์งานดีไซน์คุณภาพระดับพรีเมียมจนได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรในตลาดยุโรปมาตลอดทศวรรษ และ (5) งานบริการ การดูแลซ่อมแซมสภาพสินค้าแก่ลูกค้าอย่างใส่ใจ   คุณเธียรชัย เตชวัฒนสุข เจ้าของโรงแรม X2 River Kwai Resort จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า “แบรนด์ KUN decorate คือตัวเลือกแรก เมื่อเรานึกถึงเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์สวย ที่คุ้มค่าแก่การลงทุน ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูดี มีความปราณีตและทันสมัย ความเบาที่มาพร้อมความแข็งแรงทนทาน อีกทั้งไม่เป็นสนิม คือเหตุผลที่ทำให้เราเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์จาก KUN decorate มาโดยตลอด การหยิบเอาอลูมิเนียมมาใช้สร้างงานศิลป์เพื่อการแต่งที่อยู่อาศัยของ KUN decorate ถือเป็นวิถีการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่นำกระแส เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นชินนักกับเฟอร์นิเจอร์ที่ทำด้วยวัสดุดังกล่าว ผมจึงภูมิใจมากที่โรงแรม X2 River Kwai Resort เป็นหนึ่งในกลุ่มแรกๆ ที่ค้นพบเฟอร์นิเจอร์ของ KUN decorate นอกจากนี้บริการซ่อมแซมสินค้าอย่างใส่ใจ และการเลือกใช้นักออกแบบและช่างไทย ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เรารักแบรนด์ KUN decorate อย่างไม่เปลี่ยนแปลง”   คุณกชพร จิตนันทกุล ผู้จัดการฝ่ายขาย บุญถาวร ไลฟ์สไตล์ เฟอร์นิเจอร์ กล่าวว่า “KUN decorate ถือเป็นแบรนด์ในพอล์ตโฟลิโอสินค้าตกแต่งบ้านที่บุญถาวรภูมิใจเป็นตัวแทนจำหน่าย ด้วยสีสันที่ต่างจากแบรนด์อื่น โดยปัจจุบันมีสินค้าจาก KUN decorate จำนวน 34 แบบวางจำหน่ายที่บุญถาวร 8 สาขาทั่วประเทศ สำหรับคอลเล็กชันใหม่ “Join Collection” KUN decorateทำให้เราเห็นว่า KUN decorate คือผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่เคยหยุดพัฒนาตนเอง การผสมผสานวัสดุอลูมิเนียมเข้ากับไม้ คือการสร้างสรรค์ที่แปลกใหม่แต่ลงตัว ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่โดดเด่นขึ้นมาจากสิ่งที่มีในตลาด โดยเฉพาะไอเทมกลิ่นอายสแกนดิเนเวียน ที่เหมาะกับการตกแต่งบ้านในหลากหลายสไตล์ การเพิ่มไลน์สินค้าของตกแต่งบ้านขึ้นมาก็ทำให้คนรักการแต่งบ้านสนุกกับแต่งเติมสถานที่ของตนให้อบอุ่นมีชีวิตชีวาได้มากขึ้น เชื่อได้ว่าคอลเล็กชั่นใหม่นี้จะเป็นที่นิยมอย่างแน่นอน”   ติดตามคอลเล็กชั่นใหม่ “Join Collection” ข่าวสารและโปรโมชั่นของ KUNdecorate ได้ที www.kundecorate.com,  www.facebook.com/KUNDECORATE   และ Instagram @kundecorate      
อีสเทอร์น สตาร์โชว์ผลประกอบการปี 2561 ยอดขายโต  3 เท่า

อีสเทอร์น สตาร์โชว์ผลประกอบการปี 2561 ยอดขายโต 3 เท่า

บมจ. อีสเทอร์น สตาร์ (ESTAR) เผยผลประกอบการปี 2561 กวาดยอดขายโต 3 เท่า ทะลุ 3 พันล้านบาท เติบโตทั้งในตลาดกรุงเทพและขึ้นแท่นเบอร์ 1 บ้านเดี่ยวตลาดระยอง พร้อมเผยแผนปี 2562 ฉลองครบรอบ 30 ปี เตรียมเปิดตัวแคมเปญ 3 DECADES OF LIVING PLEASURE 3 ทศวรรษของความสุขแห่งการใช้ชีวิต เดินหน้าลุยขยายธุรกิจเปิดตัวโครงการใหม่ 3-5 โครงการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท เน้นเรียลดีมานด์ให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้ามากขึ้น วางเป้ารายได้ 2562 ที่ 1,600 ล้านบาท และเป้ายอดขาย 2,000 ล้านบาท   ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) (ESTAR) เผยถึงผลประกอบการแผนดำเนินธุรกิจในปี 2561 ว่า จากความพยายามในการขยายธุรกิจในช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมาทำให้ล่าสุดบริษัทฯ ทำยอดขายไปรวมได้ถึง 3,037 ล้านบาท โดยเปิดโครงการคอนโดมิเนียม 8 ชั้น แห่งแรกของบริษัทคือ ควินทารา ทรีเฮาส์ สุขุมวิท 42 ที่ขายหมดภายใน 2.5 เดือน และโครงการบ้านเดี่ยวแนวคิดใหม่ เวลาน่า กอล์ฟเฮาส์ บ้านฉาง – ระยอง ที่ทำยอดขายไปแล้วกว่า 90 % ในเฟสแรก ซึ่งแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯยังคงเดินหน้ารักษาความสำเร็จเปิดโครงการต่อเนื่อง พร้อมทุ่มงบกว่า 2 พันล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินทั้งในกรุงเทพและระยองสำหรับพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย สำหรับในปี 2562 บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ อีก 3-5 โครงการ มูลค่ารวมมากกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งตั้งเป้ายอดขายที่ 2,500 ล้านบาท และยอดรายได้ที่ 1,600 ล้านบาท สำหรับโครงการที่จะเปิดขายในปีนี้ยังคงรักษาความโดดเด่นในเรื่องของการออกแบบ โดยกระจายโครงการในทำเลที่มีศักยภาพสูง อาทิ โครงการ “ESTARA HAVEN PATTANAKARN 20” ซึ่งล่าสุดได้เปิด Soft Launch ไปแล้วเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2562 และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี สามารถทำยอดขายได้กว่า 150 ล้านบาทในวันเปิดตัว ด้วยจุดเด่น คือ บ้านแฝด 3 ชั้นฟังก์ชั่นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ท่ามกลางธรรมชาติส่วนกลางขนาดใหญ่ ใจกลางพัฒนาการ ติดย่านธุรกิจ เพียง 10 นาทีสู่สุขุมวิท ทองหล่อ เอกมัย ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน และ รถไฟฟ้า 3 สาย เชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ราคาเริ่มที่ 12.69 ล้านบาท มีจำนวนทั้งสิ้น 152 หลัง มูลค่าโครงการ กว่า 1,500 ล้านบาท   นอกจากนี้ ในปี 2562 จะเป็นปีที่ทางบริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) (ESTAR) จะมีอายุครบรอบ 30 ปี จึงเตรียมจัดแคมเปญ 3 DECADES OF LIVING PLEASURE 3 ทศวรรษของความสุขแห่งการใช้ชีวิต ซึ่งจะเปิดเผยรายละเอียดให้ท่านสื่อมวลชนได้ทราบในโอกาสต่อไป ดร.ต่อศักดิ์ ยังได้กล่าวถึงภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ในปี 2562 ว่า คาดว่าจะมีแนวโน้มใกล้เคียงกับปี 2561 หรืออาจเติบโตเล็กน้อย โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเกิดขึ้นของรถไฟฟ้าสายต่างๆ และการลงทุนสร้างสาธารณูปโภคของภาครัฐ และเศรษฐกิจของประเทศที่ยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้น รวมทั้งการที่ครม.ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ. เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะช่วยหนุนการลงทุนในภาคตะวันออกให้ขยายตัวในระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินตามมามหาศาลเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในทันที ทั้งนี้ยังมีปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน การส่งออกที่ชะลอตัว ผลการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้ รวมทั้งปัจจัยราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนมาตรการคุมเข้มสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย (LTV) ที่ออกมาสกัดกั้นการซื้อเก็งกำไรตลาดคอนโดฯ ของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีนโยบายพัฒนาที่อยู่อาศัย สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ในระดับกลาง-บน ที่เน้นกลุ่มเรียลดีมานด์เป็นหลัก โดยจะมีการศึกษาตลาดและผู้บริโภคเชิงลึกในแต่ละทำเลที่จะดำเนินโครงการอย่างละเอียดไปพร้อมๆกันกับการนำเสนอสินค้าที่หลากหลายทั้งในด้านระดับราคา ทำเล และตัวสินค้าเอง ทำให้เชื่อมั่นว่าจะยังคงขยายธุรกิจได้ตามแผนที่วางไว้ต่อไป ดร.ต่อศักดิ์ กล่าว      
ความต้องการอสังหาริมทรัพย์ไทยจากจีนเพิ่มมากขึ้น

ความต้องการอสังหาริมทรัพย์ไทยจากจีนเพิ่มมากขึ้น

ซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก รายงานว่า จีนกำลังมีบทบาทมากขึ้นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย   ในด้านการท่องเที่ยว  นักท่องเที่ยวจีนเดินมาเข้ามายังประเทศไทยจำนวน 10.5 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว คิดเป็น 30% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด  ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 1,175% ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา   ในด้านการทำงาน ชาวจีนเป็นชาวต่างชาติที่ได้รับใบอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทยมากเป็นอันดับสองรองจากชาวญี่ปุ่น โดยชาวจีนที่ได้รับใบอนุญาตให้ทำงานในไทยนั้นเพิ่มขึ้นถึง 185.25% ในช่วงแปดปีที่ผ่านมา   ในด้านเศรษฐกิจ ปัจจุบันประเทศจีนเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของไทย และเมื่อปีที่แล้วจีนเป็นประเทศที่ลงทุนโดยตรง (FDI) ในประเทศไทยที่ใหญ่เป็นอันดับ 5   แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี เชื่อว่า ความสำคัญของจีนในฐานะแหล่งที่มาของความต้องการและการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะเพิ่มมากขึ้น  การเติบโตที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและเป็นที่คาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก  ทั้งนี้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะมีความผันผวน ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจของจีนและผลกระทบที่มีต่อกำลังซื้อของประชากร  รวมถึงทัศนคติของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีต่อประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยว   ในด้านการลงทุน ปัจจุบันการลงทุนของจีนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรมในไทยนั้นยังมีจำนวนจำกัด   แม้ว่าชาวจีนที่ได้รับในอนญาตให้ทำงานในประเทศไทยจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อตลาดที่พักอาศัยให้เช่าในย่านใจกลางธุรกิจหรือซีบีดีมากนัก เนื่องจากงบประมาณในการเช่าที่พักอาศัยของชาวจีนโดยทั่วไปแล้วนั้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าชาวญี่ปุ่น ชาวอเมริกัน และชาวยุโรป ซึ่งเป็นความต้องการหลักในการเช่าที่พักอาศัยใน ซีบีดี   ในตลาดคอนโดมิเนียม จำนวนผู้ซื้อชาวจีนได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้พัฒนาโครงการบางรายเผยว่ายอดขายคอนโดมิเนียมที่มาจากผู้ซื้อชาวต่างชาติสูงถึง 50% และส่วนใหญ่เป็นผู้ซื้อชาวจีน   นอกจากนี้ ยังรายงานอีกว่าคอนโดมิเนียมบางโครงการสามารถขายให้ผู้ซื้อชาวต่างชาติได้เต็มโควต้า 49% ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต   ผู้ซื้อชาวจีนในตลาดคอนโดมิเนียมของไทยที่เพิ่มขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากข้อจำกัดหรือภาษีที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับผู้ซื้อชาวต่างชาติในตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเทศอื่นๆ    สำหรับประเทศไทย ชาวต่างชาติได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับคนไทยในเรื่องภาษีจากการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ประเทศอื่น ผู้ซื้อชาวต่างชาติจะต้องจ่ายค่าภาษีอากรแสตมป์สูงกว่าผู้ซื้อในประเทศ   ซีบีอาร์อีมีความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมจากลูกค้าชาวจีน เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าผู้ซื้อบางรายอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้ในแง่ของค่าเช่าหรือกำไรจากการลงทุน   นอกจากนี้ มาตรการควบคุมเงินทุนของจีนที่จำกัดการนำเงินออกไปยังต่างประเทศเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับการที่ผู้ซื้อชาวต่างชาติไม่สามารถกู้ยืมเงินในประเทศไทยเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้นั้นอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการ   การลงทุนจากจีนในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมยังมีจำนวนจำกัด โดยนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาร่วมทุนในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ยังคงมาจากญี่ปุ่น   บริษัทจีนเป็นที่มาของความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดพื้นที่สำนักงานของกรุงเทพมหานคร  โดยธุรกรรมการเช่าพื้นที่สำนักงานที่ใหญ่ที่สุดหลายธุรกรรมในปีที่แล้วก็มาจากบริษัทด้านอี-คอมเมิร์ซของจีน  สำหรับการลงทุนจากจีนในการพัฒนาอาคารสำนักงานยังคงมีอยู่จำกัด โดยนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดคือไชน่า รีซอร์สเซส (China Resources) ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ร่วมทุนในโครงการออล ซีซั่นส์ เพลส บนถนนวิทยุ ที่มีมานานกว่า 30 ปี   นักท่องเที่ยวชาวจีนได้กลายเป็นความต้องการที่สำคัญของตลาดค้าปลีกทั้งในกรุงเทพฯ และแหล่งท่องเที่ยวหลัก แต่จนถึงปัจจุบัน การลงทุนจากนักลงทุนจีนในการพัฒนาพื้นที่ค้าปลีกในประเทศไทยยังมีไม่มากนัก    บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนอย่างอาลีบาบาและ JD.com เป็นบริษัทแนวหน้าในตลาดอี-คอมเมิร์ซของไทย ซึ่งแข่งขันโดยตรงกับร้านค้าที่มีหน้าร้านและศูนย์การค้า   เป็นระยะเวลาหลายปีที่ญี่ปุ่นครองความเป็นผู้นำในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เข้ามาสู่ภาคการผลิตของไทย แต่ในปัจจุบันมีหลายปัจจัยด้วยกันที่ช่วยให้การลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคการผลิตของไทยเพิ่มขึ้น ได้แก่ ต้นทุนด้านแรงงานของจีนที่เพิ่มขึ้น และมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาที่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ สำหรับสินค้านำเข้าที่มาจากจีน   ในไตรมาสที่ 4 ปี 2561  ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ของไทยหลายรายกล่าวว่าความต้องการซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงงานใหม่นั้นมาจากบริษัทของจีนมากที่สุด   นายเจมส์ พิทชอน หัวหน้าแผนกวิจัยและที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า “ประเทศจีนจะยังคงเป็นแหล่งที่มาของความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยที่เพิ่มขึ้น แต่ความต้องการนั้นอาจผันผวนตามความเชื่อมั่นและมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภาคธุรกิจ    นอกจากนี้ การลงทุนโดยตรงจากจีนในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านการร่วมทุนก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน”   ประเทศจีนนับเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก   ข้อมูลจากแผนกวิจัยของซีบีอาร์อีแสดงให้เห็นว่าการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์จากจีนเพิ่มขึ้นจาก 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (256,000 ล้านบาท) ในปี 2556 เป็นเกือบ 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.12 ล้านล้านบาท) ในปี 2560   แต่แนวโน้มนี้จะชะลอตัวลงในระยะสั้นจากการที่รัฐบาลจีนจำกัดการลงทุนในต่างประเทศและการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ     จีนยังคงเป็นแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และการชะลอตัวของการลงทุนก็มีแนวโน้มที่จะเป็นจุดเริ่มต้นมากกว่าที่จะเป็นจุดจบของการลงทุนที่มาจากจีนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ      
ทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝดระดับบน อีกหนึ่งทางเลือกของคนกรุงเทพฯ

ทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝดระดับบน อีกหนึ่งทางเลือกของคนกรุงเทพฯ

เน็กซัส เผยผลการสำรวจตลาดทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศยังคงได้รับความนิยมจากผู้ซื้อที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีอายุประมาณ 30-40 ปีที่ต้องการขยายครอบครัวแต่มีงบประมาณจำกัด ประกอบกับราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นต้นทุนที่ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เลือกที่จะพัฒนารูปแบบโครงการที่มีพื้นที่ขายมากที่สุด ซึ่งหากที่ดินไม่สามารถพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมได้แล้วการพัฒนาโครงการทาวน์โฮมหรือบ้านแฝดจึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ   ในส่วนของโฮมออฟฟิศ เป็นอีกรูปแบบการพัฒนาโครงการที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ ต้องการซื้อเพื่อทำเป็นออฟฟิศในทำเลที่สามารถเดินทางได้สะดวกแทนการเช่าพื้นที่ออฟฟิศในเขตใจกลางเมืองที่มีราคาแพง และยังสามารถจัดสรรพื้นที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นการแบ่งพื้นที่ชั้นบนสุดไว้เพื่อพักอาศัย หรือการปล่อยเช่าพื้นที่ในชั้นล่างเพื่อการพาณิชย์ เป็นต้น   ในปี 2559 – ไตรมาส 1 ปี 2562 ตลาดทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด ที่มีระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ มีอุปทานรวมทั้งสิ้น 1,119 ยูนิต แบ่งเป็นระดับราคา 10-20 ล้านบาทคิดเป็น 62% ของจำนวนทั้งหมด รองลงมาเป็นระดับราคา 20-30 ล้านบาท,มากกว่า 40 ล้านบาท และ 30-40 ล้านบาทคิดเป็น 29%, 6% และ 3% ตามลำดับ จากภาวะชะลอตัวของตลาดคอนโดมิเนียม ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หันมาพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น อีกทั้งการพัฒนาแนวราบยังใช้ต้นทุนในการพัฒนาน้อยกว่าคอนโดมิเนียม ทำให้มีความเสี่ยงทางการเงินน้อยกว่า รวมทั้งกลุ่มของผู้ซื้อยังเป็นกลุ่มผู้ที่ซื้อเพื่ออยู่จริง (Real Demand) ต่างกับตลาดคอนโดมิเนียมที่มีการเก็งกำไรในสัดส่วนที่สูง ส่งผลให้ตลาดทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี2561 โดยเท่ากับ 104%    “ทาวน์โฮมหรูทำเลใจกลางเมืองยังคงได้รับความนิยม” เห็นได้จากอัตราการขาย (Sold rate) ของทั้งตลาดอยู่ที่ 54% โดยทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด ระดับราคาที่มีอัตราการขายสูงอันดับ 1 คือกลุ่มระดับราคา 40 ล้านบาทขึ้นไป มีอัตราการขาย 71% เนื่องจากมีจำนวนอุปทานค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับระดับราคาอื่น โครงการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในโซนวัฒนา-คลองเตย โดยเฉพาะตามแนวถนนสุขุมวิท รองลงมาเป็นโซนสาทร-บางรัก ซึ่งเป็นย่านที่อยู่ใจกลางเมือง อันดับ 2 เป็นกลุ่มที่มีระดับราคา 20-30 ล้านบาท มีอัตราการขาย 61% ซึ่งเป็นโครงการที่ตั้งอยู่ถัดจากเขตใจกลางกรุงเทพมหานคร ได้แก่ โซนพญาไท-รัชดาภิเษก, โซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง, โซนลาดพร้าว-วังทองหลาง และโซนยานนาวา–บางคอแหลม-คลองสาน อันดับ 3 เป็นกลุ่มที่มีระดับราคา 10-20 ล้านบาท มีอัตราการขาย 46% ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในโซนยานนาวา–บางคอแหลม-คลองสาน, โซนพญาไท-รัชดาภิเษก, โซนสาทร-บางรัก และโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง   ส่วนกลุ่มระดับราคาที่มีอัตราการขายต่ำสุดเป็นกลุ่มที่มีระดับราคา 30-40 ล้านบาท มีอัตราการขาย 39% โครงการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง, โซนพญาไท-รัชดาภิเษก และโซนวัฒนา-คลองเตย       หากวิเคราะห์เป็นรายทำเลโซนรอบใจกลางเมืองยังเติบโตได้ดี จากผลการวิจัยของ เน็กซัส พบว่า อัตราการขาย (Sold rate) ของทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด โดยเฉลี่ยเท่ากับ 1.49 ยูนิตต่อเดือน โดยหากพิจารณาตามทำเลพบว่าโครงการที่อยู่ในโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง มีอัตราการขายสูงที่สุดในตลาดเท่ากับ 4.15 ยูนิตต่อเดือน โดยระดับราคาที่ส่งผลให้ทำเลดังกล่าวมีอัตราการขายสูงคือระดับราคา 10-20ล้านบาท มีอัตราการขาย 6.12  ยูนิตต่อเดือน อันดับ 2 ได้แก่โซนยานนาวา-บางคอแหลม-คลองสาน มีอัตราการขาย 1.61 ยูนิตต่อเดือน โดยระดับราคาที่มีอัตราการขายสูงที่สุดคือระดับราคา 20-30 ล้านบาท อันดับ 3 ได้แก่โซนพญาไท-รัชดาภิเษก มีอัตราการขาย 0.92 ยูนิตต่อเดือน โดยระดับราคาที่มีอัตราการขายสูงที่สุดคือระดับราคา 20-30 ล้านบาท   หากพิจารณาอัตราการขายของทั้งตลาดแยกตามระดับราคา พบว่าระดับราคา 10-20 ล้านบาท มีอัตราการขายสูงที่สุดเมื่อเทียบกับระดับราคาอื่น โดยมีอัตราการขายเท่ากับ 2.47 ยูนิตต่อเดือน รองลงมาเป็นระดับราคา 20-30 ล้านบาท มีอัตราการขายเท่ากับ 1.02 ยูนิตต่อเดือน สอดคล้องกับจำนวนอุปทานของระดับราคา 10-20 ล้านบาท  ที่มีสัดส่วนสูงที่สุดในตลาดและระดับราคา 20-30 ล้านบาทรองลงมา   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทเน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวเสริมว่า “ดีไซน์และคุณภาพวัสดุมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากวัตถุประสงค์ของลูกค้าที่ต้องการซื้อทาวน์โฮมและบ้านแฝด คือต้องการพื้นที่ใช้สอยภายในตัวบ้านที่มากขึ้นสำหรับการสร้างหรือขยายครอบครัว หรือมีครอบครัวแล้วแต่ต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและใช้ชีวิตในบ้านได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น แต่โครงการทาวน์โฮมที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้มีจุดเด่นในเรื่องขนาดของพื้นที่ใช้สอย โดยจากผลการสำรวจพบว่าจุดเด่นของโครงการทาวน์โฮมที่ประสบความสำเร็จ โดยสามารถทำอัตราการขายสูง ประกอบไปด้วยจุดเด่น 3 ประการคือ 1. การออกแบบภายนอกที่สวยงามทันสมัยและโดดเด่น 2. การออกแบบฟังก์ชันการใช้งานภายในบ้านให้สามารถใช้พื้นที่ได้เต็มประสิทธิภาพ ขนาดกะทัดรัดแต่สามารถใช้งานได้จริงและปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานได้ 3. วัสดุภายในบ้านที่มีคุณภาพหรือใช้แบรนด์ที่มีชื่อเสียง”   ในขณะที่โครงการโฮมออฟฟิศ ลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันในแต่ละทำเล โดยหากเป็นโซนลาดพร้าว-วังทองหลาง ลูกค้าส่วนใหญ่ทำเป็นออฟฟิศโดยแบ่งชั้นบนสุดเพื่อพักอาศัยเพียงชั้นเดียว ลูกค้าที่ตั้งใจซื้อเพื่ออยู่อาศัยทุกชั้นมีจำนวนน้อย กลุ่มลูกค้าหลักเป็นธุรกิจประเภทสุขภาพ/ความงาม ต่างกับโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง ที่ลูกค้าซื้อโฮมออฟฟิศเพื่อทำเป็นที่พักอาศัยเนื่องจากทำเลโดยรอบโครงการเป็นย่านพักอาศัย ทำเลจึงเหมาะต่อการอยู่อาศัยมากกว่าการทำเป็นออฟฟิศ   โครงการโฮมออฟฟิศที่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย จึงต้องมีจุดเด่นในเรื่องฟังก์ชันการใช้งานภายในบ้าน ซึ่งได้แก่ การปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้อย่างอิสระตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย, จำนวนพื้นที่ใช้สอยและจำนวนที่จอดรถที่เพียงพอ และการมีลิฟต์หรือห้องน้ำทุกชั้นเพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลาย เป็นต้น   โครงการขนาดเล็ก VS โครงการขนาดใหญ่ ปัจจุบันที่ดินเปล่าในกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะทำเลที่สามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกและมีสภาพแวดล้อมรอบโครงการที่น่าอยู่หายากมากขึ้นและมีราคาสูง การพัฒนาโครงการแนวราบขนาดใหญ่จึงมีความเป็นไปได้ยาก จึงมีหลายโครงการที่พัฒนาในรูปแบบของโครงการขนาดเล็ก มีจำนวนยูนิตไม่มากนัก แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีผู้พัฒนารายใหญ่สนใจโครงการขนาดใหญ่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบและตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองเช่นกัน สำหรับโครงการขนาดเล็กก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ มีข้อดีของการพัฒนาโครงการขนาดเล็กซึ่งได้แก่ ทำเลดี โดยจากการสำรวจพบว่ามีโครงการขนาดเล็กหลายโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ใกล้กับทางด่วนที่สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองได้อย่างสะดวก หรือใกล้กับรถไฟฟ้า BTS / MRT ซึ่งเป็นทำเลที่หาได้ยากในปัจจุบัน การปรับเปลี่ยนฟังก์ชันภายในบ้านได้ตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยโครงการขนาดเล็กมักมีความยืดหยุ่นในเรื่องการออกแบบและการก่อสร้าง ผู้ซื้อสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันภายในบ้านได้ในช่วงก่อนหรือระหว่างการก่อสร้าง จำนวนยูนิตน้อย ซึ่งเหมาะสมสำหรับคนที่ต้องการความเงียบสงบและเป็นส่วนตัว และป้องกันปัญหาการอยู่ร่วมกันของลูกบ้าน นอกจากนี้การไม่มีส่วนกลาง จึงไม่ต้องเสียค่าส่วนกลางโครงการ เป็นต้น   ในส่วนของโครงการขนาดใหญ่ (หรือโครงการที่ต้องยื่นขออนุญาตจัดสรรทั่วไป) ยังคงได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ ซึ่งมีข้อดีที่แตกต่างจากโครงการขนาดเล็กโดยมีข้อดีคือ ส่วนกลางขนาดใหญ่ เช่น สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส และสโมสร เป็นต้น มีระบบการดูแลความปลอดภัยและการดูแลความเรียบร้อยของโครงการที่ได้มาตรฐาน ความเชื่อมั่นในงานก่อสร้าง การก่อสร้างบ้านแบบเดียวกันจำนวนหลายๆ หลัง ทำให้ช่างก่อสร้างของโครงการเกิดความคุ้นเคยในงานก่อสร้างมากกว่าโครงการขนาดเล็กที่มีไม่กี่หลัง ราคาถูกกว่าโครงการขนาดเล็ก เนื่องจากการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยถูกลง และการอยู่อาศัยร่วมกันหลายๆครอบครัว ทำให้เกิดสังคมภายในโครงการ       รูปแบบทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝดในแต่ละทำเล การพัฒนาโครงการทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด ในแต่ละทำเลมีความแตกต่างกัน โดยหากเป็นทำเลใจกลางเมืองจะเป็นการพัฒนาโครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดเพื่ออยู่อาศัยทั้งหมด ซึ่งได้แก่โซนสาทร-บางรัก และโซนวัฒนา-คลองเตย โครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดใจกลางเมืองมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้มีขนาดใหญ่ ซึ่งโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 450 ตารางเมตร และราคาเฉลี่ยต่อยูนิตประมาณ 50 ล้านบาท แม้ว่าการออกแบบพื้นที่ใช้สอยจำนวนมากจะทำให้ราคาต่อยูนิตสูงตามไปด้วย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าทาวน์โฮมและบ้านแฝดทำเลใจกลางเมืองก็ยังได้รับความนิยม   โครงการในทำเลรอบใจกลางเมือง มีการพัฒนาโครงการทั้งทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และบ้านแฝด โดยหากเป็นทาวน์โฮมโดยเฉลี่ยมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยประมาณ 300 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยประมาณ 19 ล้านบาท  บ้านแฝดมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยประมาณ 395 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยประมาณ 24 ล้านบาท และโฮมออฟฟิศ มีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยประมาณ 460 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยประมาณ 29 ล้านบาท   โครงการที่เปิดใหม่ในปี 2562 มีหลายโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่แตกต่างจากโครงการที่ผ่านมา เช่น บางโครงการเป็นสัญญาเช่าระยะยาวแต่อยู่ในทำเลที่ดีและเป็นแหล่งพักอาศัยของคนกลุ่มที่มีรายได้สูง เป็นต้น   นางนลินรัตน์ กล่าวสรุปว่า “ตลาดทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด ระดับบน ในเขตกรุงเทพมหานครมีการแข่งขันมากขึ้น แต่ละโครงการจึงพยายามสร้างจุดขายโดยเน้นไปที่การออกแบบโครงการภายนอกและฟังก์ชันการใช้งานภายใน เพื่อให้แตกต่างจากโครงการคู่แข่ง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดประสบความสำเร็จ สอดคล้องกับโครงการโฮมออฟฟิศที่ต้องมีการออกแบบพื้นที่ให้สามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลาย   โซนใจกลางเมืองยังคงมีอัตราการขายสูงและมีอุปทานต่ำ ส่วนโซนที่อยู่รอบใจกลางเมืองยังคงมีการเติบโตได้ดี โดยสังเกตจากอัตราการขายที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดโดยเฉพาะในโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง   ตลาดทาวน์โฮมที่มีทำเลที่ตั้งที่ดี มีแนวโน้มที่จะเป็นโครงการขนาดเล็กหรือโครงการที่ไม่ต้องขออนุญาตจัดสรรมากขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดในด้านที่ดินที่หายากและมีต้นทุนที่ดินที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและผู้ซื้อสามารถซื้อทาวน์โฮมได้ในทำเลที่ตั้งที่น่าอยู่และสามารถปรับเปลี่ยนแบบบ้านได้ตามความต้องการ”      
SC  ASSET แนะนำฟีเจอร์ใหม่  “Rue Jai Subscription”  ผนึกพันธมิตรสำหรับช่วยเรื่องบ้าน

SC ASSET แนะนำฟีเจอร์ใหม่ “Rue Jai Subscription” ผนึกพันธมิตรสำหรับช่วยเรื่องบ้าน

SC  ASSET แนะนำฟีเจอร์ใหม่  “Rue Jai Subscription”  ผนึกพันธมิตรสำหรับช่วยเรื่องบ้าน จัดการเรื่องชีวิต สร้างทุกเช้าที่ดีเพื่อลูกค้า   สองผู้บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำสู่การเป็นผู้นำ Living Solutions Provider  นางสาวสุดารัตน์ เจริญเกตุมงคล Head  of Customers Management and  SD  กับ นายดิเรก  ตยาคี  Head  of Living Solutions  ร่วมแนะนำฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด “Rue Jai Subscription” บนแอปพลิเคชัน ด้วยการจับมือกับพันธมิตรหลากหลายเพื่อช่วยเรื่องบ้าน จัดการเรื่องชีวิต และอำนวยความสะดวกลูกค้า ให้งานบ้านเป็นเรื่องง่ายขึ้น โดยสามารถเรียกใช้งานได้เพียงปลายนิ้ว ในรูปแบบแพคเกจรายเดือน  แพคเกจบ้านเริ่ม 2,990 บาท/เดือน และ แพคเกจคอนโดฯ เริ่ม 990 บาท/เดือน  ด้วยบริการต่างๆ สำหรับการอยู่อาศัย ได้แก่  ทั้งบริการงานแม่บ้าน (Fixzy) ,บริการกำจัดไรฝุ่นที่นอน (De Hygienique Thailand Healthy Sleep & Living)  ,  บริการล้างรถเดลิเวอรี่  (Instawash) รวมถึง บริการทำความสะอาดบ้านระดับพรีเมี่ยม  ( Dusit on Demand by Dusit Thani Bangkok) และบริการอื่นๆ ในอนาคต ที่ไม่ได้จากัดแค่เรื่องที่อยู่อาศัยเท่านั้น สำหรับสมาชิก SC Family  สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Baan Rue Jai Application ได้แล้ววันนี้ทั้งในระบบ iOS และ Android ที่  http://bit.ly/2Y3r6tn  หรือ  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 1749      
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ลุยจัด “MEET & MINGLE” งานสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงครั้งยิ่งใหญ่

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ลุยจัด “MEET & MINGLE” งานสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงครั้งยิ่งใหญ่

คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกในประเทศไทยที่สร้างสรรค์คอนโดมิเนียมคุณภาพระดับไฮเอนด์ในคอนเซ็ปต์ Pet-Friendly Residences คอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้ ยังคงมุ่งหน้าสานต่อจุดแข็งอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสร้าง Pet Friendly Community จากความเข้าใจในกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างดี เตรียมจัด “MEET & MINGLE” งานสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงสุดยิ่งใหญ่แห่งปี เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ในทุกๆ ด้านสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงให้การเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงตัวโปรดในคอนโดมิเนียมเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น   ภายในงานประกอบด้วย 4 โซน และกิจกรรมที่น่าสนใจ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Major Petscape” ได้แก่ Pet Health               รับบริการตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยง ฟรี! จากโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ Pet Games               เพลิดเพลินกับเกมส์สนุกๆ ที่จะให้น้องหมาและน้องแมวฟินสุดๆ และรับของรางวัลมากมาย รวมมูลค่ากว่า  30,000 บาท Pet Workshops      ฟรี! Workshop อาทิ Marbling Art เพ้นท์กระเป๋าผ้าแฮนเมดไม่ซ้ำใคร และ Dog Studio ถ่ายภาพสวยๆ กับน้องหมาสุดเลิฟ Pet Charity               ร่วมสมทบทุนบริจาคให้กับมูลนิธิ The Voice Foundation ช่วยเหลือสัตว์ที่ยากไร้   นอกจากนี้ยังมี ไฮไลต์ในงานที่เหล่าคนรักสัตว์ห้ามพลาด! กับกิจกรรมเอาใจคนรักสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ การประกวดชุดแฟนซี พร้อมแฟชั่นโชว์ของน้องหมาเซเลบริตี้ที่มาร่วมสนุกในงาน รวมถึงเต็มอิ่มกับการช้อปปิ้ง เลือกซื้อสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงจากแบรนด์ชั้นนำ ซึ่งมีเฉพาะงานนี้งานเดียวเท่านั้น อาทิ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับอาหารสัตว์, อาหารเสริม และเสื้อผ้าเครื่องประดับ เป็นต้น พร้อมกิจกรรมน่าสนใจอีกมากมายให้กลุ่มผู้รักสัตว์เลี้ยงได้มาเปิดประสบการณ์ใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน   พาน้องหมาและน้องแมวคู่ใจ มาร่วมเดินเที่ยวได้ฟรี! ในงาน “MEET & MINGLE” ซึ่งจะจัดมอบความสุขให้แก่ลูกบ้านเมเจอร์ฯ ตลอดทั้งปี เริ่มโครงการแรกที่ “อกัสตัน สุขุมวิท 22” (Aguston Sukhumvit 22) ในวันเสาร์ที่ 30 มีนาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 14.00 – 17.00 น. คาดว่างานนี้จะสามารถขยายฐานกลุ่ม Pet-Friendly Residence คนรักสัตว์เลี้ยงของเมเจอร์เพิ่มขึ้นกว่า 30%   สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Major Development Contact Center โทร. 02-116-1111 หรือ www.mde.co.th      
แคปปิตอล จีฯ ปักหมุด “โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9”  คอนโดฯใหม่รับรถไฟฟ้าสายสีส้ม

แคปปิตอล จีฯ ปักหมุด “โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9” คอนโดฯใหม่รับรถไฟฟ้าสายสีส้ม

“พระราม 9- รามคำแหง” นับวันจะยิ่งฉายภาพ “ทำเลทอง” เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม(ตะวันออก)ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) รวมระยะทาง 22.57 กม.มีจำนวนสถานีรถไฟฟ้าแบบใต้ดิน จำนวน 10 สถานี และแบบยกระดับ จำนวน 7 สถานีที่ความก้าวหน้าของงานก่อสร้างอยู่ที่ 27 % ณ สิ้นเดือนมกราคม 2561 มีกำหนดเปิดบริการในปี 2566 รวมถึงการลงทุนรีโนเวทเดอะมอลล์ รามคำแหง 2 (ฝั่งมุ่งหน้ามาแยกพระราม 9-รามคำแหง) ของบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ที่อยู่ระหว่างปรับโฉมใหม่ ให้กลายเป็น “มิกซ์ยูส คอมเพล็กซ์” รับรถไฟฟ้าสายสีส้ม บนที่ดินกว่า 30 ไร่ และคาดว่าจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 2-3 ปี ยิ่งเป็นตัวผลักดันให้รามคำแหง และพื้นที่ใกล้เคียงเป็นทำเลที่ร้อนแรงเป็นอย่างมากขึ้น   นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งขนาดกลาง –ใหญ่ได้แห่ชิงพื้นที่เปิดโครงการใหม่เพิ่มดีกรีความร้อนแรงให้กับทำเล “พระราม9 – รามคำแหง” โดยหนึ่งในผู้ประกอบการที่ปักหมุดผุดโครงการคอนโดมิเนียมนั่นก็คือ บริษัท แคปปิตอล จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (Capital G Development Co. Ltd.) ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท มีนบุรีซีเมนต์ไทย จำกัด ที่ล่าสุดได้เปิดตัว “โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9” บนพื้นที่โครงการ 3-3-24 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม Low Rise สูง 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 536 ยูนิต แบ่งเป็น อาคาร A จำนวน 105 ยูนิต ,อาคาร B จำนวน 216 ยูนิต และ อาคาร C จำนวน 215 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2564 เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อและความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โครงการได้ออกแบบให้มีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 22-44 ตารางเมตร (ตร.ม.) แบ่งเป็น Units Type ดังนี้   - Studio suite ขนาดพื้นที่ 22 ตารางเมตร จำนวน 145 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 27% - 1 Bedroom Exclusive ขนาดพื้นที่ 27 ตารางเมตร จำนวน 56 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 10%   - 1 Bedroom Exclusive ขนาดพื้นที่ 29 ตารางเมตร จำนวน 258 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 48 % - 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ 35 ตารางเมตร จำนวน 49 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 9 % - 2 Bedroom ขนาดพื้นที่ 44 ตารางเมตร จำนวน 28 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 5 %   นายชัยรัตน์ พิรุฬหพัสต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า “โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9” เป็นคอนโดฯ สไตล์ “Modern Luxury Resort” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Sense of Nature.. Life is Signature : ออกแบบชีวิต ..ใกล้ชิดธรรมชาติ” โครงการเน้นพื้นที่ส่วนตัวที่เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์คนเมือง ผสมผสานการออกแบบที่ทันสมัย รู้ใจคนรุ่นใหม่ สอดคล้องไปกับพื้นที่สีเขียวให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แม้อยู่กลางใจเมืองเหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ Work Hard Play Hard ที่มีความเป็นตัวเอง อายุประมาณ 28-40 ปี ระดับรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาทต่อเดือน   จุดเด่นของโครงการนอกจากเน้นพื้นที่สีเขียวมากเป็นพิเศษแล้ว “โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9” ยังตั้งอยู่ Prime Location สามารถเดินทางเข้า-ออกได้ 2 เส้นทาง ทั้ง ถ.พระราม 9 (แยกซ. 39) และ ถ.รามคำแหง ซ.12 โครงการห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีส้มสถานีรามคำแหง 12 เพียง 150 ม. เท่านั้น นอกจากนี้“โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9” ยังใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ใกล้ Airport Link ทางด่วนศรีรัช และทางด่วนฉลองรัช โดยที่ตั้งโครงการยังสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD: Central Business District) ได้หลายเส้นทางไม่ว่า ถนนพระราม 9 ทองหล่อ พัฒนาการและถนนรัชดาภิเษก อีกทั้งยังเดินทางสะดวกสบายด้วยรถยนต์สาธารณะและ ทางเรือ(ท่าเดอะมอลล์รามฯ) รายล้อมด้วยแหล่งสาธารณูปโภค มหาวิทยาลัยชั้นนำ โรงพยาบาล และ ใกล้แหล่ง Lifestyle Shopping Mall และ Cafe สุดชิค! มากมาย อาทิ เดอะ มอลล์ รามคำแหง, เดอะมอลล์บางกะปิ, บิ๊กซี, เดอะไนท์ พระราม 9 และ ฟู๊ดส์แลนด์ รามคำแหง เป็นต้น   นายชัยรัตน์ ยังกล่าวด้วยว่า “โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9” ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบ Function ให้ลักษณะเป็นห้องหน้ากว้าง โดดเด่นด้วยครัวไทยแยกสัดส่วนใช้งานได้จริง ขายแบบ Fully Furnished ตอบโจทย์การใช้ชีวิต พร้อมกับ Facilities ที่จัดเต็ม อาทิ Relaxing Swimming Pool, Greenery Garden ,The GYM, Multi-Purpose Area , Duplex Lobby Lounge, Co-Working Space, Private Lobby Lounge , Private Meeting Area & Mini Theater ,Fitness , Sky Garden และ Carwash zone ฯลฯ   ด้วยศักยภาพของทำเลและโปรดักส์ดีไซน์ที่ใส่ใจทุกรายละเอียดรวมถึงส่วนกลางจัดเต็มเพื่อในวันนี้และความยั่งยืนในอนาคต เรียกได้ว่า รองรับทุกไลฟ์สไตล์ตอบโจทย์ทั้งคนสายชิลล์และคนที่เน้นกิจกรรม พร้อมเปิดให้จองและชมห้องตัวอย่างได้ทุกวัน ณ สำนักงานขาย โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9 เปิดรอบVIP Day วันที่ 30 มีนาคม 2562 รับส่วนลด 200,000 บาท   ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าชมห้องตัวอย่าง ที่ http://www.cg.co.th/monterama9 โทร. : 099-164- 6888 หรือ Line ID : @MonteRama9          
แสนสิริ ชูนวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่นครั้งแรกในไทย ประเดิมโครงการแรก “เศรษฐสิริ ทวีวัฒนา”

แสนสิริ ชูนวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่นครั้งแรกในไทย ประเดิมโครงการแรก “เศรษฐสิริ ทวีวัฒนา”

แสนสิริเดินเกมส์ต่อยอดที่อยู่อาศัยแนวราบ หลังโกยยอดขาย 18,800 ล้านบาทเติบโตขึ้นถึง 40% ในปีที่ผ่านมา ชูแนวราบหัวหอกสำคัญในการรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริในปี 2562 วางแผนขยายการเติบโตส่วนแบ่ง ทางการตลาดให้กับธุรกิจที่อยู่อาศัยแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง เคาะแผนเปิดตัว 16 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 24,200 ล้านบาท ครอบคลุมทุกเซกเมนต์และระดับราคาทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองชั้นนำ เตรียมเปิดตัว Tiger Lane ในระดับ S Segment และตอกย้ำความสำเร็จในกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับกลางบน ด้วยแบรนด์เศรษฐสิริและบุราสิริ พร้อมนำแบรนด์ระดับราคาที่เข้าถึงง่ายมาเปิดขายในสัดส่วน ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ แบรนด์สราญสิริ – คณาสิริ – อณาสิริ รวมถึงทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ สิริ เพลส ต่อยอดความสำเร็จจากปีที่ผ่านมา ตั้งเป้าพิชิตยอดพรีเซลกว่า 14,400 ล้านบาทในปีนี้ พร้อมทั้งรุกต่อยอดวิสัยทัศน์ “SANSIRI FOR GREATER WELL-BEING” เปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการแรกของปี “เศรษฐสิริ ทวีวัฒนา” มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท จัดเต็มแนวคิดเต็มรูปแบบ ชูนวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่น “Dust free House” ครั้งแรกในไทย รับมือปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกบ้านในทุกมิติ   พร้อมชูจุดเด่นด้านการออกแบบภายใต้แนวคิด “ชีวิตสุนทรีย์ มีดีเทล” นำแรงบันดาลใจจากกล้วยไม้ สะท้อนความภาคภูมิใจของผู้อยู่อาศัย ผ่านดีไซน์อย่างพิถีพิถันในทุกรายละเอียดควบคู่กับการนำเสนอนวัตกรรม และการออกแบบฟังก์ชันการใช้งานเพื่อเติมเต็มประสบการณ์ในการอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ   นายสมเกียรติ หงษ์ทรัพย์ภิญโญ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จ ก้าวสู่ปีแห่งที่สุดในทุกด้านตามเป้าหมายที่วางไว้ #SansiriBestYearEver จากยอดขายรวมที่สามารถทำได้ถึง 48,500 ล้านบาท นับว่าสูงที่สุดในรอบ 34 ปี ความสำเร็จมาจากการที่ลูกค้าให้การตอบรับที่ดี โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบที่เปิดตัว มียอดขาย 18,800 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 40% โดยทาวน์เฮาส์ที่เติบโตขึ้นถึง 75% จากการชูจุดขายฉีกตลาดในความโดดเด่นของทาวน์เฮาส์คุณภาพ ในระดับ Best in Class ตอบรับเทรนด์การอยู่อาศัยคนรุ่นใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ขยายทุกความชอบ ให้เป็นไปได้ รวมถึงบ้านเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จในทุกแบรนด์และเติบโตขึ้น 35% ทุกโครงการได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด   “ในปี 2562 นี้แสนสิริมีแผนพัฒนาโครงการใหม่ทั้งสิ้น 28 โครงการ มูลค่ารวม 46,600 ล้านบาท โดยจะเน้นเปิดตัวโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างสมดุลย์ของพอร์ตโฟลิโอและตอบรับความต้องการของตลาดบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนพัฒนาโครงการแนวราบ จำนวน 16 โครงการ มูลค่ากว่า 24,200 ล้านบาท ครอบคลุมทุกเซกเมนต์และระดับราคา ได้แก่ การเตรียมเปิดตัวโครงการ Tiger Lane ในระดับ S Segment โครงการบ้านเดี่ยวในระดับกลางบน อาทิ แบรนด์เศรษฐสิริและบุราสิริ นอกจากนี้ยังเปิดตัวโครงการในระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่ายในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ แบรนด์สราญสิริ – คณาสิริ – อณาสิริ รวมถึงทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ สิริ เพลส เพื่อเต็มเติมพอร์ตโฟลิโอที่อยู่อาศัยแนวราบของแสนสิริให้ครอบคลุมความต้องการกลุ่มลูกค้า ทุกเซกเมนต์ ทุกระดับราคา และขยายการเติบโตของส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับธุรกิจที่อยู่อาศัยแนวราบของบริษัท โดยโครงการใหม่ของแสนสิริที่จะเข้าสู่ตลาดในปี 2562 จะมีการพัฒนาให้สอดคล้องกับเทรนด์ด้านที่อยู่อาศัย ในปัจจุบัน และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เช่นกลุ่มครอบครัวที่มีผู้สูงอายุและเด็กกลุ่มผู้รักสุขภาพ และกลุ่มผู้ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” นายสมเกียรติ กล่าว   โครงการ ‘เศรษฐสิริ ทวีวัฒนา’ มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท บ้านเดี่ยวโครงการแรกภายใต้แนวคิด “Sansiri For Greater Well-Being” ซึ่งนับเป็นหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้ ด้วยการมุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมควบคู่ไปกับการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของลูกบ้าน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในทุกองค์ประกอบผ่านแนวคิดหลักทั้ง 3 ด้านได้แก่ Physical (สบายกาย), Mental (สบายใจ) และ Social Wellbeing (ความสัมพันธ์ที่ดีกับสังคมเพื่อนบ้าน) โดยนำนวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่น (Dust-Free House) มาใช้ในโครงการบ้านเดี่ยวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อรับมือกับวิกฤตฝุ่นควันที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่ในปัจจุบันและเทรนด์ของผู้คนที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โดยเทคโนโลยีนี้สามารถกรองฝุ่นละอองได้ขนาดเล็กถึง 0.1 ไมครอนรวมทั้งกรองกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ เกสรดอกไม้ ไรฝุ่น จุลินทรีย์ในอากาศ และเชื้อราได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ในห้องปลอดเชื้อในโรงพยาบาล ลูกบ้านจึงมั่นใจได้ว่าอากาศในบ้านของโครงการจะสะอาด ปราศจากฝุ่นละออง ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังได้นำนวัตกรรมบ้านเย็น Cooliving Designed Home มาช่วยให้ทุกมุมของบ้านปลอดโปร่งและเพิ่มการหมุนเวียนของอากาศภายในบ้านรวมถึง Universal Design ที่ออกแบบสำหรับครอบครัวในทุกเจเนอเรชันทั้งในบ้านและพื้นที่ส่วนกลาง นอกจากนี้ยังส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตของครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจธรรมชาติด้วยการมอบ Food Waste Machine ให้ลูกบ้านในช่วงเปิดขายโครงการตามแนวคิดการดำเนินธุรกิจ Sansiri Green Mission อีกด้วย” นายสมเกียรติ กล่าวเสริม   โครงการ “เศรษฐสิริ ทวีวัฒนา” โครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนที่ดิน 100 ตร.วา ขึ้นไป ในระดับราคา15-20 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเลที่เชื่อมต่อไปยังตัวเมืองกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง สามารถเดินทางเข้าเมืองโดยใช้ทางพิเศษ ศรีรัชวงแหวนรอบนอกหรือ ทางยกระดับบรมราชชนนี มีโครงข่ายคมนาคมที่สะดวก รวมถึงส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่กำหนดเปิดใช้งานในปี 2562 และสายสีแดงอ่อนซึ่งกำหนดเปิดใช้งานในปี 2565 นอกจากนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลพุทธมณฑล และแหล่งไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่รองรับการใช้ชีวิตของครอบครัวยุคใหม่ ตอบรับความต้องการบ้านเดี่ยวระดับราคา 10.00 – 19.99 ล้านบาทในทำเลทวีวัฒนาที่มียอดขายได้เฉลี่ยรวมถึง 84% ขณะที่ปัจจุบันเหลือยูนิตขายในตลาดน้อยลง จึงนับเป็นโอกาสที่แสนสิริจะพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวที่สามารถตอบรับความต้อง การของลูกค้าในทุกด้านอย่างครอบคลุมโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มมากขึ้นหรือต้องการแยกครอบครัวในพื้นที่ใกล้เคียงเขตทวีวัฒนา โดยหลังจากเปิดขายโครงการเฟสแรกในช่วงที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับที่ดีโดยมียอดขายไปแล้ว 12 ยูนิตภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือนซึ่งนับเป็นการตอบรับที่ดีในกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับราคา 15 – 20 ล้านบาท   สำหรับแนวคิดการพัฒนาโครงการนำแรงบันดาลใจจากพืชเศรษฐกิจที่ขึ้นชื่อของเขตทวีวัฒนาอย่างกล้วยไม้มาใช้ในการสร้างสรรค์งานดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะทั้งภายในตัวบ้านและพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความภาคภูมิและสง่างามให้แก่ผู้อยู่อาศัย ทั้งยังเป็นส่วนตัวอย่างสูงสุดด้วยสังคมคุณภาพเพียง 133 ยูนิตที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งในบ้านและในพื้นที่ส่วนกลาง รายล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่ จากพืชพันธุ์นานาชนิดเปิดโอกาสให้ลูกบ้านทุกคนได้ดื่มด่ำสุนทรียะท่ามกลางธรรมชาติในส่วนของฟังก์ชันการใช้งานภายในตัวบ้านที่ถูกจัดสรรอย่างลงตัวเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของคนทุกเจเนอเรชันในครอบครัว อาทิ Triple Master Bedroom ห้องนอนขนาดใหญ่ 3 ห้องพร้อมห้องน้ำในตัว,Enclosed Balcony พื้นที่เอนกประสงค์กึ่งเอาท์ดอร์ ที่ขยายจากห้องนอนให้เป็นมุมโปรดสะท้อนตัวตนของผู้ใช้งาน, Garden Access Bedroom ห้องนอนใกล้ชิดธรรมชาติบริเวณชั้นล่างที่รองรับการใช้งานของผู้สูงอายุ, My Pavilion เรือนรับรองเชื่อมกับตัวบ้านที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ได้ตามต้อง การ และ Universal Design for 3 Generations การออกแบบบ้านที่คำนึงถึงผู้อยู่อาศัยทุกวัย พร้อมระบบHome Automation ที่สามารถสั่ง เปิด-ปิด ไฟและแอร์ได้จากมือถือผ่าน Sansiri Home Service Application และมาตรฐานความปลอดภัยภายใต้ Sansiri Security Inspection ที่ช่วยให้ลูกบ้านอุ่นใจ และสะดวกสบายยิ่งขึ้น”   “บริษัทคาดว่าการพัฒนาโครงการ“เศรษฐสิริ ทวีวัฒนา” ภายใต้แนวคิด Sansiri For Greater Well-being จะสามารถสร้างยอดขายให้กับโครงการได้กว่า 30% มูลค่ารวม 640 ล้านบาทภายในปลายปีนี้ ผลักดันให้แสนสิริบรรลุเป้าหมายในการสร้างยอดขายในกลุ่มธุรกิจแนวราบ 14,400 ล้านบาทตามที่ตั้งไว้” นายสมเกียรติกล่าวสรุป สัมผัสชีวิตสุนทรีย์ มีดีเทล ได้แล้ววันนี้ ที่โครงการ “เศรษฐสิริ ทวีวัฒนา” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการฯ กรุณาติดต่อทาง โทร. 1685 หรือทาง www.sansiri.com