Tag : News

2400 ผลลัพธ์
Krungthai Compass มองตลาดอสังหาฯ 62 “บ้านแฝด” ตลาดที่เติบโตสวนกระแสปัจจัยลบ กับ 4 เหตุผลที่คนเลือกซื้อ

Krungthai Compass มองตลาดอสังหาฯ 62 “บ้านแฝด” ตลาดที่เติบโตสวนกระแสปัจจัยลบ กับ 4 เหตุผลที่คนเลือกซื้อ

ปีนี้ดูเหมือนว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์เจอมรสุมหลายเรื่อง ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ส่งผลทำให้คนส่วนใหญ่ชะลอการซื้อที่อยู่อาศัย เพราะต้องใช้เงินเยอะ ยังมีเรื่องของการออกมาตรการสกัดนักเก็งกำไร หรือนักลงทุน อย่างมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2562 ที่ผ่านมา ก็น่าจะเป็นผลทำให้ตลาดอสังหาฯ ปีนี้ชะลอตัวลง แต่จะมากน้อยแค่ไหนคงต้องรอให้สิ้นสุดปีนี้ไปก่อน   แต่หากมาดูสถานการณ์ปัจจุบันภายหลังจากใช้มาตรการ LTV ไปแล้ว ว่ามีผลเป็นอย่างไรบ้างนั้น ก็น่าจะประเมินภาพรวมตลอดทั้งปีของตลาดอสังหาฯ 2562 ได้ไม่ยากนัก  ซึ่งเรื่องนี้ ทางสำนักวิจัย Krungthai Compass ธนาคารกรุงไทย ได้รายงานผลการวิจัยตลาดอสังหาฯ​ หลังใช้มาตรการ LTV  เอาไว้ เพื่อฉายภาพให้เห็นถึงทิศทางของธุรกิจในปีนี้   โดยดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สำนักวิจัย Krungthai Compass ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า หลังเกณฑ์การใช้มาตรการ  LTV พบว่ามูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑลในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม มีมูลค่า 67,300 ล้านบาท ติดลบ 16% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา แบ่งเป็น คอนโดฯ มูลค่า 29,800 ล้านบาท ติดลบ 27% และที่อยู่อาศัยแนวราบมูลค่า  37,500 ล้านบาท ติดลบ 4%   ขณะที่ช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าการโอนอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ​ และปริมณฑล ยังเติบโตในอัตรา 5% มีมูลค่า 200,200 ล้านบาท ตลาดคอนโดฯ ติดลบ 2% มีมูลค่า  87,500 ล้านบาท แต่แนวราบเติบโต 11%  มีมูลค่า 112,700 ล้านบาท ซึ่งสถานการณ์แบบนี้ก็เป็นไปตามที่หลายฝ่ายประเมินเอาไว้ และสอดคล้องกับตัวเลขของธปท. ที่ออกมาระบุถึงการขอวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในสัญญาที่ 2 สำหรับคอนโดฯ ลดลง 25% แต่ถ้าเป็นตลาดแนวราบยังโต 3%  เป็นเพราะตลาดบ้านแนวราบเป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงมากกว่า    “มาตรการที่ออกมาก็ได้ดั่งใจแบงก์ชาติ เพราะกู้ซื้อบ้านสัญญา 1 โต แต่กดดีมานด์สัญญา 2 เพราะความกลัวว่าสัญญา 2 จะทำให้ราคาเติบโตเร็วเกินไป ก่อหนี้ครัวเรือนสูงเกินไป”   ส่วนยอดขายหรือพรีเซลล์ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มียูนิตเปิดขายใหม่ราว 51,500 ยูนิต แบ่งเป็นคอนโดฯ33,000 ยูนิต และแนวราบ 18,500 ยูนิต  โดยคอนโดฯ สามารถขายได้ 11,850 ยูนิต คิดเป็น 36% ของยูนิตเปิดใหม่ ขณะที่แนวราบสามารถขายได้ราว 3,300 ยูนิต คิดเป็น 18% ของยูนิตเปิดใหม่   โดยในภาพรวมปีนี้สำนักวิจัย Krungthai Compass  ประเมินว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑล จะมีมูลค่า 510,000 ล้านบาท หดตัว 10% ซึ่งที่อยู่อาศัยแนวราบหดตัว 4% ขณะที่คอนโดมิเนียมมีโอกาสติดลบ 20%   บ้านแฝด โตสวนตลาดติดลบ   ท่ามกลางภาวะตลาดอสังหาฯ ที่ชะลอตัว ยอดขายหรือ พรีเซลล์ลดต่ำ ซึ่งตลาดคอนโดฯ พรีเซลล์ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมามียอดลดลง 30% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมียอดพรีเซลล์ 68% ขณะที่แนวราบพรีเซลล์ก็ลดลง ด้วยเช่นกันจาก 35% มาเป็น 17% ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แต่ตลาดที่ถือว่าเป็น “พระเอก” ทำผลงานออกมาโดดเด่นในปีนี้ คือ กลุ่มบ้านแฝด เพราะมีตัวเลขเติบโตสวนตลาดที่อยู่อาศัยอื่นๆ   ช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา มีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแฝดเติบโต  9% สูงกว่าตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวม 2 เท่า บ้านแฝด จึงมีส่วนช่วยพยุงตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบไว้ไม่ให้ลดลงมาก โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้รับความนิยมมากขึ้น มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแฝดเติบโต 30%  ขณะที่ทาวเฮ้าส์ขยายตัว 7% บ้านเดี่ยวและตึกแถวอยู่ในภาวะหดตัว     ปัจจุบันบ้านแฝดมีมูลค่าการโอนสัดส่วน 8% จากภาพรวมของตลาดบ้านแนวราบ ที่คาดว่าปีนี้น่าจะเพิ่มสัดส่วนขึ้นเป็น 9% ส่วนบ้านเดี่ยวมีสัดส่วน 45% และทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วน 37% ซึ่งทั้งสองประเภทอยู่ในอัตราใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่กลุ่มอาคารพาณิชย์หรือตึกแถว สัดส่วนโอนกรรมสิทธิ์ลดลงเหลือ 10% จากปีที่แล้วมี 11% 4 เหตุผลคนเลือกซื้อ “บ้านแฝด”   สิ่งที่ทำให้บ้านแฝดได้รับความนิยมจากลูกค้า น่าจะมาจากการตอบโจทย์ความต้องการของการอยู่อาศัยได้มากขึ้น ท่ามกลางภาวะตลาดที่นับวันมีแต่ราคาปรับตัวสูงขึ้น   สำหรับเหตุผลที่คนเลือกซื้อบ้านแฝดเพื่ออยู่อาศัยมากขึ้นนั้น มาจาก 4 เหตุผลสำคัญ คือ   1.ถูกกว่าบ้านเดี่ยวแต่ฟังก์ชั่นแทบไม่ต่าง   เมื่อพิจารณาจากฟังก์ชั่นและราคา บ้านแฝดคุ้มค่าในราคาที่จับต้องได้ง่ายกว่าบ้านเดี่ยว  ราคาบ้านแฝดเริ่มต้นเฉลี่ย 2.5 ล้านบาท ส่วนบ้านเดี่ยวและคอนโดฯ​ เริ่มต้น 4.2 ล้านบาท ขณะที่ฟังก์ชั่นของบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดแทบไม่ต่างกัน เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีการออกแบบและก่อสร้างทำให้ฟังก์ชั่นบ้านไม่แตกต่างกันแล้ว แถมบ้านแฝดมีหน้าตาคล้ายบ้านเดี่ยวมากขึ้น จากเดิมก่อสร้างบ้านให้มีผนังติดกัน ตามข้อกฎหมายก็เปลี่ยนมาใช้เป็นโครงสร้างใต้ดินติดกันแทน     2.ใช้เงินดาวน์น้อยกว่าคอนโดฯ เมื่อราคาบ้านถูกกว่า ทำให้การดาวน์บ้านก็ต่ำลงด้วย ระยะเวลาการเก็บเงินเพื่อดาวน์บ้านก็น้อยลง เมื่อเทียบกับบ้านเดี่ยวและคอนโดฯ  บ้านแฝดใช้ระยะเวลาน้อยกว่าถึง 3 เท่า     3.อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากรถไฟฟ้า ในราคาที่คุ้มค่า ด้วยการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าออกไปมากขึ้น ทำให้การพัฒนาโครงการตามแนวรถไฟฟ้ามีมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในรูปแบบของการพัฒนาก็ต้องมี “บ้านแฝด”     4.ตัวเลือกที่มีมากและคุณภาพที่ดีขึ้น   ปัจจุบันบ้านแฝดมีตัวเลือกที่มากขึ้นและคุณภาพที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่หันมาพัฒนาบ้านแฝดมากขึ้น เพราะในต้นทุนที่ดินเท่ากัน การพัฒนาบ้านแฝดเมื่อเทียบกับบ้านเดี่ยวแล้ว จะได้ความคุ้มค่าของโครงการมากกว่า ที่ผ่านมาดีเวลลอปเปอร์มีการพัฒนาบ้านแฝดปีละ 3,500-4,000 ยูนิตต่อปี ปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 6,500-7,500 ยูนิต หรือขยายตัวเฉลี่ยปีละ 18%   10 ทำเลทอง บ้านแฝด   ด้านนายกณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ ผู้ร่วมทำงานวิจัย เปิดเผยว่า บ้านแฝดราคา 3-5 ล้านบาท มียูนิตพร้อมขายมากที่สุด โดยมีจำนวนพร้อมขายมากถึง  12,000 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 60% ขณะที่ราคา 2-3 ล้านบาท มีสัดส่วน 20% และราคา 5-10 ล้านบาท มีสัดส่วน 14% ตามลำดับ ซึ่งการเลือกซื้อบ้านแฝดควรเลือกที่อยู่ในพื้นที่ที่มีแนวโน้มจะเป็นพื้นที่ศักยภาพ ที่ราคาขายต่อของบ้านในอนาคตจะไม่ถูกกดดัน จากการให้ส่วนลดหรือการจัด Marketing Campaign เพื่อระบายสต๊อก ซึ่งสะท้อนจากการมียูนิตเหลือขายต่ำและใช้ระยะเวลาค่อนข้างสั้นในการขายหมด   สำหรับพื้นที่ศักยภาพสำหรับการซื้อบ้านแฝด ประเมินว่ามี 10 ทำเลที่มีความโดดเด่นเหนือพื้นที่อื่นๆ โดยแบ่งตามระดับราคา     กลุ่มราคา 2-3 ล้านบาท มี 2 ทำเล ได้แก่ พื้นที่พระราม 2-เพชรเกษม ย่านเอกชัย-บางบอน และพื้นที่มีนบุรี-สุวินทวงศ์ ย่านนิมิตรใหม่ กลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท มี 4 ทำเลได้แก่ พื้นที่ติวานนท์ ย่านติวานนท์-นวลฉวี พื้นที่มีนบุรี-สุวินทวงศ์ ย่านหทัยราษฎร์ และหนองจอก พื้นที่พระราม 2-เพชรเกษม ย่านวงแหวน-เพชรเกษม และพระราม 2 กม.1-10 และพื้นที่กรุงเทพฯตะวันออก ย่านลาดกระบัง กลุ่มราคา 5-10 ล้านบาท มี 4 ทำเลได้แก่  พื้นที่รังสิต-ปทุมธานี ย่านคลอง 1-7 พื้นที่รัชดา-ลาดพร้าว ย่านโชคชัย 4  พื้นที่พระราม 2-เพชรเกษม ย่านวงแหวน-เพชรเกษม และพื้นที่ติวานนท์ ย่านสรงประภา  
สมาคมรับสร้างบ้าน จัดงานกระตุ้นธุรกิจ จับมือ 6 แบงก์ให้กู้ 130%

สมาคมรับสร้างบ้าน จัดงานกระตุ้นธุรกิจ จับมือ 6 แบงก์ให้กู้ 130%

สมาคมรับสร้างบ้าน เตรียมจัดงานกระตุ้นธุรกิจครึ่งปีหลังให้เติบโต 5-8% คาดยอดขายไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้าน จัดพร้อมงานสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ผนึก 6 แบงก์ให้วงเงินกู้สร้างบ้านได้ 130%   นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association)  เปิดเผยว่า ได้เตรียมจัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ  Home Builder Expo 2019 ขึ้นในระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม – 1 กันยายน 2562 ที่อิมแพค ฮอลล์ 6 เมืองทองธานี เพื่อกระตุ้นตลาดรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีหลังให้เติบโต ซึ่งคาดว่าปีนี้ภาพรวมธุรกิจจะเติบโตในอัตรา 5-8% จากปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวม 12,500 ล้านบาท สำหรับยอดขายของสมาชิกสมาคม เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมามีมูลค่ายอดขายรวม 12,000 ล้านบาท  แต่หากประเมินมูลค่าธุรกิจรับสร้างบ้านโดยรวม คาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า 120,000 ล้านบาท   สำหรับภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ถือว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีปัญหาและปัจจัยลบหลายเรื่อง แต่ด้วยศักยภาพของเศรษฐกิจภายในประเทศ และความสงบทางการเมืองภายหลังจากการเลือกตั้ง จึงทำให้ตลาดรับสร้างบ้านไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ผู้บริโภคยังคงสร้างบ้านอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มระดับราคา 5-7 ล้านบาท และกลุ่มระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป  ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจากเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ   “ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในปีนี้ น่าจะได้รับผลดีเพิ่มขึ้น หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคที่กำลังคิดจะปลูกสร้างบ้านมากยิ่งขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาโดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 1 พบว่าการขยายตัวของตลาดยังมีอย่างต่อเนื่อง แต่ในไตรมาสที่ 2 ตลาดมีการชะลอตัวลงบ้างตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และภาวะของเศรษฐกิจโลก แต่ผลจากที่ไตรมาสที่ 1 ที่ตลาดขยายตัวและมียอดขายที่ค่อนข้างดี ทำให้ภาพรวมในครึ่งปีแรกไม่มีผลกระทบมากนัก”     โดยการจัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ  Home Builder Expo 2019 ในปีนี้จะขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ตารางเมตร จากปีก่อนหน้าใช้พื้นที่จัดงาน 4,000 ตารางเมตร เนื่องจากย้ายสถานที่จัดงานไปยังเมืองทองธานี    โดยภายในงาน จะเป็นการรวบรวมบริษัทรับสร้างบ้านระดับชั้นนำมาไว้ในงาน พร้อมด้วยแบบบ้านจากบริษัทต่าง ๆ มากกว่า 1,000 แบบ และภายในงานยังมีบ้านในทุกระดับราคาให้ผู้บริโภคได้เลือก ตั้งแต่ 1 – 100 ล้านบาทขึ้นไป และยังมีผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน  โดยในปีนี้ทางสมาคมฯ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของนวัตกรรมใหม่  ๆ  และการให้ความใส่ใจในด้านของสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ทางสมาคมฯ คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายในงานได้กว่า 3,000 ล้านบาท   การจัดงานในครั้งนี้ ทางสมาคมฯ  ยังได้จัดงานพร้อมกันกับงาน  NPA Grand Sale and Home Loan 2019 ซึ่งเป็นงานที่รวมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยไว้มากที่สุดจากธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ พร้อมด้วยสินทรัพย์รอการขายหรือ NPA ซึ่งผู้ที่สนใจปลูกสร้างบ้านสามารถที่จะขอสินเชื่อภายใต้เงื่อนไขพิเศษได้อีกด้วย โดยวงเงินสินเชื่อสำหรับผู้สร้างบ้านบนที่ดินปลอดภาระหนี้ สามารถขอวงเงินกู้ได้สูงถึง 130% จาก 6 ธนาคารที่เข้าร่วมงาน ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย ธ.กรุงเทพ ธ.กรุงไทย ธ.ไทยพาณิชย์ ธ.กรุงไทย และธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือผู้ที่สนใจหาที่ดินเปล่าเพื่อปลูกสร้างบ้านก็สามารถเข้ามาเดินชมงานได้ด้วยเช่นกัน
6 ไฮไลท์ “เซ็นทารา เรสซิเดนซ์ฯ” โรงแรมน้องใหม่ในศรีราชา

6 ไฮไลท์ “เซ็นทารา เรสซิเดนซ์ฯ” โรงแรมน้องใหม่ในศรีราชา

พูดถึงจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวในจังหวัดชลบุรี  ทุกคนคงนึกถึงสถานที่เดียวกัน คือ “พัทยา” เพราะเรียกได้ว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีความหลากหลาย และครบทุกความต้องการของนักท่องเที่ยว แต่ละปีจึงมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันเข้าไปเที่ยวที่พัทยากันไม่ขาดสาย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวกันได้ตลอดทั้งปีเลย  ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่มาจังหวัดชลบุรีซึ่งก็หมายความรวมถึงเมืองพัทยามีมากถึง 16 ล้านคนต่อปีเลยทีเดียว  ความสำคัญของจังหวัดชลบุรียังมีในเรื่องเศรษฐกิจอีกด้วย  เพราะรัฐบาลคาดหวังว่าจังหวัดชลบุรีจะสามารถสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตได้ถึง 5% จากเศรษฐกิจของประเทศที่เติบโตในอัตรา 3-4% เท่านั้น  ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าการจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ ภาคการท่องเที่ยวมีส่วนสำคัญเอามากๆ   เมื่อจังหวัดชลบุรีมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศอย่างนี้  รัฐบาลจึงพยายามผลักดันและกระตุ้นให้จังหวัดชลบุรีมีการเติบโตไปในทุกๆ เรื่อง และหาแม่เหล็กด้านการท่องเที่ยวเข้ามาดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกระจายแหล่งท่องเที่ยวไปยังพื้นที่อื่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัวอยู่แต่เฉพาะเมืองพัทยาเท่านั้น  หนึ่งในนั้น คือ อำเภอศรีราชา ที่ตอนนี้ถูกวางโพสิชั่นนิ่งให้เป็นเมือง “ดิจิทัล พาร์ค ไทยแลนด์” ซึ่งอนาคตคาดว่าจะมีโฉมหน้าไม่ต่างจากฮ่องกง   อำเภอศรีราชา ในอดีตที่ผ่านมาแม้เป็นเมืองทางผ่าน  เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมุ่งหน้าไปเมืองพัทยา หรือไม่ก็จังหวัดระยองเลย แต่ก็อาจจะมีแวะพักเที่ยวบ้างตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เช่น สวนเสือศรีราชา ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวชาวจีน แม้ว่าจะไม่ใช่แหล่งพักค้างคืนหลักของนักท่องเที่ยว แต่ต้องยอมรับว่าอำเภอศรีราชาได้รับการขนานนามว่า “ลิตเติ้ล โอซาก้า” หรือ “ลิตเติ้ล เจแปนนิส” เพราะที่นี่เป็นแหล่งรวมของบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น  ซึ่งมาตั้งฐานการผลิตสินค้าอยู่เป็นจำนวนมาก พนักงานและผู้บริหารชาวญี่ปุ่นจึงอยู่กันอย่างหนาแน่น  ในอดีตมีมากถึง 15,000 ครอบครัว หากนับสมาชิกในครอบครัวคราวๆ สักครอบครัวละ 3 คน ก็มีจำนวนชาวญี่ปุ่นถึง 45,000 คนเลยทีเดียว แม้ว่าปัจจุบันจะมีแรงงานชาวญี่ปุ่นถูกส่งกลับประเทศไปบ้าง  จนตัวเลขแรงงานญี่ปุ่นอยู่ประมาณ​10,000 ครอบครัว แต่ก็ถือว่าเป็นจำนวนที่มากพอสมควร   ชาวญี่ปุ่นที่มีอยู่ในอำเภอศรีราชาจำนวนมากเช่นนี้ ทำให้ดีเวลลอปเปอร์มองเห็นเป็นโอกาสทางการตลาด พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยของแรงงานเหล่านี้ แต่ไม่เพียงการเติบโตของตลาดคอนโดฯ เท่านั้น  กลุ่มโรงแรมก็เติบโตตามมาด้วย เพราะอำเภอศรีราชากำลังขยายตัว และเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจ เพราะเมืองพัทยาหรือชลบุรีไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรือคอนโดฯ ตลาด​เริ่มจะแน่นแล้ว ดีเวลลอปเปอร์จึงต้องมองหาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ แน่นอนอำเภอศรีราชานี่แหละเป็นที่หมายสำคัญ  ซึ่งอนาคตจะมีการเปิดตัวโรงแรมใหญ่ๆ เกิดขึ้นอีกหลายแห่ง     ล่าสุด โรงแรม“เซ็นทารา เรสซิเดนซ์และสวีท ศรีราชา” ในเครือเซ็นทารา ได้เปิดตัวโรงแรมแห่งแรกของเซ็นทาราในอำเภอศรีราชา ด้วยโรงแรมระดับ 4 ดาว จำนวน 145 ห้อง บนเนื้อที่รวม 4 ไร่ ติดริมทะเล ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งเดียวในปัจจุบันของอำเภอศรีราชาที่ติดทะเล  ซึ่งถือเป็นไฮไลท์สำคัญของโรงแรมแห่งนี้เลยทีเดียว   โรงแรมเซ็นทารา เรสซิเดนซ์และสวีท ศรีราชา ยังมี 6 ไฮไลท์และจุดเด่น สำหรับการเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว   1.ทำเลที่ตั้ง ติดชายหาดศรีราชา นับเป็นจุดต้นทางสำหรับการท่องเที่ยวในบริเวณใกล้เคียง อาทิ ตัวเมืองพัทยาที่อยู่ห่างไปเพียง 40 นาทีโดยรถยนต์ หรือแหล่งรวมสนามกอล์ฟชั้นนำของประเทศที่ตั้งอยู่รายรอบพื้นที่ รวมทั้งชายหาดอันมีชื่อเสียง อาทิ ชายหาดบางแสนและอ่างเก็บน้ำบางพระ ก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมด้วยการเดินทางโดยรถยนต์ หากเดินทางจากกรุงเทพฯ มายังโรงแรมใช้ระยะเวลาประมาณ 90 นาทีเท่านั้น   2.การออกแบบให้ทันสมัยมีบรรยากาศผ่อนคลายเป็นส่วนตัว สามารถมองเห็นวิวและเดินถึงชายหาดเลียบท้องทะเลอ่าวไทยตอนบนได้เพียงไม่กี่ก้าว ซึ่งโรงแรมเซ็นทารา เรสซิเดนซ์และสวีท ศรีราชา ได้รับการออกแบบมาให้โดดเด่นด้วยโทนสีขาวสว่างตา ผสานเข้ากับสีฟ้าครามอันสดใส ทำให้นึกถึงประกายและสีสันของน้ำทะเลในอำเภอศรีราชาของอ่าวไทย ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหมู่บ้านประมงที่มีวิถีชีวิตในแบบดั้งเดิม ปัจจุบันยังมีชาวบ้านบางส่วนทำประมงแบบดั้งเดิมให้เห็นด้วย   3.มีห้องพักหลากหลายรูปแบบไว้คอยบริการ -ห้องพักประเภทซูพีเรีย ดีลักซ์ และดีลักซ์ซีวิว ที่เหมาะสำหรับแขกผู้เข้าพักจำนวนไม่เกินสองท่าน -ห้องพักประเภทแฟมิลี่ เรสซิเดนซ์ และห้องสวีทแบบสองห้องนอน ที่สามารถรองรับครอบครัวใหญ่ที่มีขนาดสี่ถึงห้าคน รวมทั้งแขกผู้เข้าพักระยะยาว เพราะมีพื้นที่ใช้สอยภายในห้องที่กว้างขวางถึง 64 ตารางเซนติเมตร ภายในห้องพักประเภทเรสซิเดนซ์นั้น มีทั้งอุปกรณ์เครื่องครัว และเตียงสองชั้นสำหรับเด็ก   ห้องพักทุกห้องในโรงแรมแห่งนี้ จะมีพื้นที่ระเบียง พร้อมบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง และสมาร์ททีวีภายในห้อง เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์และมอบความสะดวกสบายแก่แขกผู้เข้าพักทุกคน   4.การบริการอาหารและเครื่องดื่มที่หลากหลาย โดยมีการนำเสนอตัวเลือกอาหารและเครื่องดื่มอย่างหลากหลายทั้งกลางวันและกลางคืน รวมทั้งบริการอาหารเสิร์ฟถึงภายในห้องพัก -ห้องอาหาร “อูมิ” ซึ่งอยู่บริเวณชั้นดาดฟ้าของโรงแรม ที่นำเสนอทั้งเมนูอาหารญี่ปุ่นสูตรต้นตำรับ อาทิ ราเมนและเทปันยากิ รวมถึงเมนูทั้งไทยและยุโรป   -ร้าน “ซิงก์” คาเฟ่ ในบริเวณล็อบบี้ของโรงแรม ที่มีเมนูเครื่องดื่มยอดนิยมอย่างชานมไข่มุกและชาเขียวมัทฉะพร้อมเสิร์ฟตลอดวัน ทั้งยังมีเมนูเครื่องดื่มร้อน ขนมอบและเบเกอรี่ต่างๆ ให้เลือกลิ้มลองได้อย่างเต็มอิ่ม คาเฟ่ซิงก์แห่งนี้ ถือเป็นมุมแห่งการพักผ่อน นั่งชิลล์ หรือเพลิดเพลินไปกับเมนูมื้อกลางวันที่หลากหลาย อาทิ แซนด์วิช ขนมขบเคี้ยว หรือเมนูสลัดผักสดเพื่อสุขภาพให้เลือกสรร   -ทรอปิคาน่า พูล บาร์ ที่ตั้งอยู่ข้างริมสระน้ำใกล้กับ “สกายบาร์” ที่สามารถเลือกอร่อยกับเมนูอาหารว่าง เครื่องดื่ม และค็อกเทล   5.พื้นที่รองรับการจัดงานอีเวนท์และสัมมนา โดยภายในโรงแรมเซ็นทารา เรสซิเดนซ์และสวีท ศรีราชา ยังเหมาะที่จะเป็นสถานที่ในการจัดงานของลูกค้ากลุ่มองค์กร เพราะมีพื้นที่อเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการใช้งานและแผนผังงานได้หลากหลายรูปแบบ อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจากเซ็นทาราคอยดูแลให้คำปรึกษา เพื่อให้การจัดงาน   6.พื้นที่รองรับกิจกรรมสำหรับครอบครัว ภายในโรงแรมมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำกลางแจ้ง สระว่ายน้ำเด็ก และสวนน้ำสำหรับเด็ก มีพื้นที่สำหรับเด็ก และ E-Zone บริการสปา ออนเซ็น และร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก   ดร. ณัฏฐ์ศรัย ชัยจินดารัตน์ กรรมการบริษัทสไมล์ คอนโด (2011) จำกัด ในฐานะเจ้าของโรงแรม เปิดเผยว่า ได้ลงทุนมูลค่า 500 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาโรงแรมแห่งนี้ ต่อจากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่เดียวกัน โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักของโรงแรมเป็นชาวไทยและนักท่องท่องเที่ยว ซึ่งต้องการพักผ่อนและท่องเที่ยวในอำเภอศรีราชา คาดว่าภายในระยะ 3 ปีจะถึงจุดคุ้มทุน จากปกติการลงทุนโรงแรมจะใช้ระยะเวลา 7 ปี เนื่องจากมองว่าศักยภาพแข็งแกร่งของแบรนด์เซ็นทารา และทำเลที่ตั้ง รวมถึงการทำตลาดต่างๆ ซึ่งโรงแรมได้เริ่มต้นเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา มีลูกค้าให้การตอบรับมีอัตราการเข้าพักมากถึง 30%   แผนในอนาคตบริษัทยังเตรียมลงทุนพัฒนาโรงแรมแห่งที่ 2 ในอำเภอศรีราชา ขนาด 121 ห้อง ใช้งบลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท ในอีก 3 ปีข้างหน้า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับกลุ่มเซ็นทารา เพื่อนำแบรนด์เข้ามาบริหาร   “ปัจจุบันศรีราชาเริ่มมีปริมาณโรงแรมจำนวนมากกว่า 10,000 ห้อง และจะมีเชนโรงแรมใหญ่ไม่ว่าจะเป็นโนโวเทลและฮอลิเดย์อินท์เข้ามาเปิดบริการ แสดงให้เห็นว่าตลาดศรีราชามีศักยภาพ แต่อาจจะต้องรอระยะเวลาอีก 3-4 ปีเพื่อให้ดีมานด์และซัพพลายสอดคล้องกัน แต่ถือว่าเป็นตลาดมีอนาคตเพราะจมีการลงทุนจากภาครัฐเข้ามาอีกมาก ทำให้เอกชนกล้าลงทุนเพราะเชื่อในนโยบายของภาครัฐ”  
[PR News] โกลเด้นแลนด์ เปิดอาณาจักร GOLDEN EMPIRE แจ้งวัฒนะขายหมดภายใน 2 วัน

[PR News] โกลเด้นแลนด์ เปิดอาณาจักร GOLDEN EMPIRE แจ้งวัฒนะขายหมดภายใน 2 วัน

โกลเด้นแลนด์ ลุยเปิดอาณาจักร GOLDEN EMPIRE  ล่าสุดเปิดโซนแจ้งวัฒนะ มูลค่าโครงการรวมกว่า 4,000 ล้านบาท  กวาดยอดขายหมดทั้งโครงการภายใน 2 วันแรกที่เปิดจอง มูลค่ากว่า 732 ล้านบาท   นายภวรัญชน์ อุดมศิริ กรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาโครงการทาวน์โฮม และนีโอโฮม บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า ได้เปิดโครงการโกลเด้น นีโอ แจ้งวัฒนะ-เมืองทอง เป็นบ้านนีโอ โฮม เนื้อที่ประมาณ 31 ไร่ จำนวน 156 หลัง มูลค่า กว่า 1,200 ล้านบาท  มียอดขายใน 2 วันแรกที่เปิดจอง ถึง 650 ล้านบาท ต่อมาได้เปิดโครงการที่ 2 โกลเด้น ซิตี้ แจ้งวัฒนะ-เมืองทอง เป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น และ 3 ชั้น บนเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ จำนวน 167 หลัง มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท เปิดจองครั้งแรกเมื่อวันที่ 3-4 สิงหาคมที่ผ่านมา สร้างปรากฏการณ์ขายหมดทั้งโครงการอีกครั้ง ด้วยยอดขายรวม 732 ล้านบาท     โดยโครงการ โกลเด้น นีโอ แจ้งวัฒนะ-เมืองทอง มีแบบบ้าน 2 แบบ คือ แบบลอนดอน (London) มีพื้นที่ใช้สอยรวม 161 ตารางเมตร ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ห้องรับแขกบน ห้องพระ Glass house Laundry ห้องรับประทานอาหาร และนวัตกรรมครัวไทยสมัยใหม่ และที่จอดรถ 2 คัน  แบบเซฟฟิลด์ (Sheffield) มีพื้นที่ใช้สอยรวม 136 ตารางเมตร ประกอบไปด้วย 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ห้องรับประทานอาหาร และนวัตกรรมครัวไทยสมัยใหม่ และที่จอดรถ 2 คัน   ส่วนโครงการ โกลเด้น ซิตี้ แจ้งวัฒนะ-เมืองทอง มีแบบบ้าน 4 แบบ ที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่น GOLDEN KITCHEN นวัตกรรมครัวไทย และมีห้องนอนชั้นล่างทุกแบบ ได้แก่ แบบแมนเชสเตอร์ (Manchester) ทาวน์โฮม 3 ชั้น มีพื้นที่ช้สอย 168 ตารางเมตร ประกอบไปด้วย 5 ห้องนอน  4 ห้องน้ำ ห้องนอนแกรนด์ สวีท ห้องซักตากรีด ห้องรับแขก ห้องรับประทานอาหาร และที่จอดรถ 2 คัน แบบPreston (เพรสตัน) ทาวน์โฮม 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 117 ตารางเมตร ประกอบไปด้วย 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ  ฟังก์ชันพิเศษห้องพระ ห้องรับแขก และห้องรับประทานอาหาร และที่จอดรถ 2 คัน แบบเชสเตอร์ (Chester) ทาวน์โฮม 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 103 ตารางเมตร ประกอบไปด้วย 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ห้องรับแขก ห้องรับประทานอาหาร และที่จอดรถ 1 คัน และแบบเซนต์เจมส์ (Saint James) ทาวน์โฮม 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 96 ตารางเมตร ประกอบไปด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ     ห้องรับประทานอาหาร ห้องรับแขก และที่จอดรถ 1 คัน     นายภวรัญชน์  กล่าวอีกว่า  ความสำเร็จของอาณาจักร โกลเด้น เอ็มไพร์ (Golden Empire) เป็นการนำโมเดลการพัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบอาณาจักร คือ มีโครงการบ้านหลากหลาย ทั้งทาวน์โฮม นีโอโฮม และบ้านเดี่ยว มาอยู่ในทำเลเดียวกัน ผลตอบรับอย่างดีที่ผ่านมาทั้ง โกลเด้น เอ็มไพร์ สาทร, โกลเด้น เอ็มไพร์ บางแค และโกลเด้น เอ็มไพร์ เชียงราย ทำให้ชื่อ โกลเด้น เอ็มไพร์ ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า ว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพ มีแบบบ้านและฟังก์ชั่นที่ครบครัน และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง      
Home Automation จุดขายใหม่คอนโดฯ​ ชีวาทัย เกษตร-นวมินทร์

Home Automation จุดขายใหม่คอนโดฯ​ ชีวาทัย เกษตร-นวมินทร์

“ชีวาทัย” เปิดโครงการชีวาทัย เกษตร-นวมินทร์ จับมือกับ COMMAX โชว์เทคโนโลยี Home Automation พร้อมฟังก์ชันอำนวยความสะดวกผ่านมือถือ จับตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Y   เพราะไลฟ์สไตล์ของคนยุคนี้ มีมือถือเป็นเหมือนอวัยวะอีกชิ้นของร่างกายที่ขาดไม่ได้ ตั้งแต่ตื่นจะเข้านอน ต้องมีมือถือติดตัว ทำอะไรก็ต้องผ่านมือถือนี่แหละ และนับวันมือถือก็จะเข้ามาช่วยให้การใช้ชีวิตเราง่ายมากขึ้นเรื่อยๆ   อย่างล่าสุด บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) ได้จับมือกับบริษัท COMMAX Company Limited นำเทคโนโลยี Home Automation เข้ามาติดตั้งภายในโครงการ  ซึ่งจะทำให้ผู้อยู่อาศัยสามารถสั่งงานอุปกรณ์ภายในห้องและในโครงการได้โดยผ่านมือถือ เป็นการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน     นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA  เปิดเผยว่า  บริษัทได้เปิดตัวโครงการชีวาทัย เกษตร-นวมินทร์ บนพื้นที่กว่า 5​ ไร่ เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 25 ชั้น มีจำนวนห้อง 649 ยูนิต พร้อมร้านค้า 5 ร้านในโครงการ มีที่จอดรถอยู่ที่ 49% ของโครงการ  ราคาขายเริ่มต้น 2.10 ล้านบาท หรือมีราคาเฉลี่ย 95,000 บาทต่อตารางเมตรโดยกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่  Generation Y อายุ 25-40 ปี   “เราเน้นขายไลฟ์สไตล์ จึงมีการนำเอาระบบ Home Automation เข้ามาใช้ในโครงการ ถือเป็นจุดขายใหม่ของโครงการ ไม่ใช่แค่ทำเลที่ตั้งหรือสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการเท่านั้น”   โดยโครงการชีวาทัย เกษตร-นวมินทร์ ถือเป็นโครงการแรกๆ ที่มีระบบ Home Automation แบบครบตั้งแต่จุดเข้าพื้นที่โครงการจนถึงการใช้งานภายในห้องพัก ซึ่งนอกจากโครงการนี้บริษัทยังวางแผนนำระบบ Home Automation เข้าติดตั้งภายในโครงการชีวาทัย ปิ่นเกล้า ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้อีกด้วย โดยโครงการในอนาคตจะมีการพัฒนาระบบ Home Automation ให้ทันสมัยเพิ่มมากขึ้น เช่น การสั่งงานด้วยเสียง การสแกนใบหน้า หรือการสแกนด้วยนิ้วมือ   มาดูกันว่าระบบ Home Automation ที่นำมาติดตั้งภายในโครงการ ซึ่งจะช่วยให้ชีวิตคนอยู่อาศัยในโครงการดีขึ้นอย่างไรบ้าง -การเข้าออกโครงการ ตั้งแต่ทางเข้าโครงการ ล็อบบี้ และห้องพัก สั่งงานด้วยโทรศัพท์มือถือ -การใช้ลิฟท์โดยสาร สามารถใช้มือถือสั่งงานขึ้นไปยังชั้นที่พักได้ ด้วยระบบบลูทูธ -การเปิด-ปิด หลอดไฟ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้อง แอร์ ที่นอกจากเปิด-ปิด ยังสามารถตั้งอุณหภูมิได้ จะสั่งแบบแยกอุปกรณ์ หรือจะสั่งปิดทั้งห้องก็ได้ -มีระบบการเชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิดพื้นที่ส่วนกลางต่างๆ เพื่อตรวจสอบจำนวนผู้ใช้บริการของสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ และการสั่งอนุญาตให้กับผู้มาติดต่อเข้าโครงการหรือไม่ได้ด้วย -สามารถติดต่อสื่อสารระหว่างห้องชุดอื่นได้ -มีปุ่มฉุกเฉิน ติดต่อกับเจ้าหน้าที่โครงการ เมื่อมีเหตุฉุกเฉิน โดยการทำงานของระบบ Home Automation จะผ่านแอพพลิเคชั่น “CHIWATHAI” ที่ COMMAX พัฒนามาให้กับโครงการของชีวาทัย ซึ่งเป็นการทำงานผ่านสัญญาณบลูทูธ     สำหรับบริษัท COMMAX Company Limited ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญ และผู้นำทางด้านระบบ Intercom, Video Phone, Smart Home System (IoT) ของโลก  โดยบริษัทได้มีการเปิดมามากกว่า 50 ปี และมีตัวแทนจำหน่ายสินค้ามากกว่า 120 ประเทศทั่วโลก และ COMMAX ยังมีโรงงานผู้ผลิต Technology and Knowledge เป็นของตัวเอง ทำให้สามารถพัฒนาสินค้าทั้ง Hardware and Software ได้ตามความต้องการของลูกค้าบริษัท พร้อมทั้งยังได้มีรางวัลต่างๆ มากมาย ได้แก่ Reddot Design Award, iF Design Award, Good Design Award, IDEA Design Award   อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการอีกมากมาย ได้แก่ Stylish Lobby, Sky Infinity Edge Pool, Serene Garden, Private Vertical Garden, Active Studio, Inspirational Library,Co-Learning& Co-Working Hub, Lifestyle Shop, Home Automation และ Shuttle Service  รวมทั้งยังมีระบบรักษาความปลอดภัย ได้แก่ ระบบคีย์การ์ดบริเวณทางเข้าอาคาร, ระบบกล้อง CCTV พร้อมพนักงานรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง  
สิริ เวนเจอร์ส ผนึก สวทช. โชว์ 3 นวัตกรรมใหม่แห่งอนาคต รถยนต์ไร้คนขับ-โดรนเดลิเวอร์รี่-ระบบเซนเซอร์รักษาความปลอดภัยด้วยเสียง

สิริ เวนเจอร์ส ผนึก สวทช. โชว์ 3 นวัตกรรมใหม่แห่งอนาคต รถยนต์ไร้คนขับ-โดรนเดลิเวอร์รี่-ระบบเซนเซอร์รักษาความปลอดภัยด้วยเสียง

สิริ เวนเจอร์ส เปิดตัว 3 นวัตกรรมใหม่ จาก 3 สตาร์อัพแห่งอนาคต รถยนต์ไร้คนขับ โดรนเดลิเวอร์รี่ และระบบเซนเซอร์รักษาความปลอดภัยด้วยเสียง ภายใต้แผน SIRI VENTURES Private PropTech Sandbox เริ่มทดลองใช้จริงไตรมาส 4 ภายในโครงการ T77 พร้อมลงทุนช่วงครึ่งปีหลังกับสตาร์ทอัพ 4 ด้าน รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 600 ล้านบาท   นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด (SIRI VENTURES) เปิดเผยเกี่ยวกับนวัตกรรมเหล่านี้ว่า หลังจากเมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้ประกาศแผนการจัดพื้นที่เฉพาะสำหรับทดสอบ พัฒนา และประมวลเสมือนจริงของเหล่าสตาร์ทอัพ เพื่อต่อยอดนวัตกรรมสำหรับการพักอาศัยสำหรับลูกบ้านแสนสิริ ภายใต้ชื่อ “SIRI VENTURES Private PropTech Sandbox” ล่าสุดก็ได้ร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ 3 สตาร์ทอัพ 3 นวัตกรรม ที่จะมาเริ่มทดลองใช้จริงในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ภายในโครงการ T77 ดังนี้    1.รถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Car) ภายใต้ความร่วมมือกับ AIROVR สตาร์ทอัพสัญชาติไทย ผู้พัฒนาระบบในการขนส่งผู้โดยสารจากโครงการไปยังรถไฟฟ้า และขนส่งจากรถไฟฟ้ากลับมายังโครงการ ร่วมกับ สวทช. เข้ามาช่วยพัฒนาระบบ Drive-by-Wire การบูรณาการเซนเซอร์สำหรับรถยนต์ไร้คนขับ ระบบบ่งชี้ตำแหน่งและการนำทาง ระบบควบคุมและสั่งการ และ แผนที่ 3D ความละเอียดสูง โดยมีการคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นหัวใจสำคัญ เช่น การควบคุมความเร็ว เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารได้รับอันตรายหากเกิดอุบัติเหตุ   ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวถึงนวัตกรรมรถยนต์ไร้คนขับว่า นอกจากเรื่องของแพลตฟอี์มเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาแล้ว ยังมีในแง่ของความร่วมมือกับกระทรวงคมนาคม เพื่อผลักดันนโยบายและกฎระเบียบต่างๆ ในการสนับสนุนและเตรียมความพร้อมประเทศไทยต่อการเข้ามาของเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับในอนาคตอันใกล้นี้ อีกทั้งเรายังได้เตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เช่น ศูนย์เฉพาะทางด้านระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ (Focused Center on Rail and Modern Transport) ศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าและศูนย์ทดสอบรถยนต์ไร้คนขับที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) เป็นต้น   2.โดรน เดลิเวอรี่ (Drone Delivery) ภายใต้ความร่วมมือกับ Fling สตาร์ทอัพผู้พัฒนาโดรนสัญชาติไทย โดยจะนำโดรนมาใช้ทดลองส่งสินค้าจาก Habito Mall ไปยังโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริในพื้นที่โครงการ T77 ภายในเวลาเพียง 45 วินาที คาดว่าจะเริ่มทดลองบินจริงประมาณไตรมาสแรกของปี 2020    3.การดูแลรักษาความปลอดภัย (Security) ภายใต้ความร่วมมือกับ SoundEye สตาร์ทอัพผู้พัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมเทคโนโลยีเรียนรู้เสียงต่างๆ เพื่ออาคารอัจฉริยะ (Smart Building) รายแรกของโลก ที่ผ่านมา ไมโครโฟนเซนเซอร์ของ SoundEye ได้เข้าไปมีส่วนช่วยตรวจจับเสียงผิดปกติจากการวิเคาระห์เสียง Deep Learning อาทิ เสียงร้องขอความช่วยเหลือ เสียงน้ำรั่วซึม เสียงปืน ในอาคารประเภทต่าง ๆ มาแล้วหลายแห่งในสิงคโปร์ รวมถึงในสนามบินชางฮี โดยจะเริ่มทดลองในพื้นที่โครงการ T77 ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งถือเป็นการทดลองใช้ระบบของ SoundEye ครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัยซึ่งจับสามารถเสียงภาษาไทยได้อีกด้วย    ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาถือว่าบริษัทมีความคืบหน้าอย่างมากในหลายด้าน โดยฉพาะการขยายความร่วมมือไปยังสตาร์ทอัพทั่วโลก อาทิ ด้านการลงทุน (Investment) ได้สตาร์ทอัพ Semtive ผู้พัฒนากังหันลมพลังงานไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัยได้เริ่มทยอยส่งมอบกังหันลมสำหรับใช้ในครัวเรือนมาให้กับบริษัทแล้ว Neuron สตาร์ทอัพสัญชาติสิงคโปร์ ผู้ผลิต e-Scooter เริ่มมีให้บริการแล้วในโครงการดีคอนโด พิงค์ และขยายการให้บริการไปในพื้นที่พร้อมพงษ์-อ่อนนุช ตลอดจนในพื้นที่รอบตัวเมืองเชียงใหม่ และสตาร์ทอัพ OnionShack ได้พัฒนา “น้องแสนรู้” หุ่นยนต์พนักงานคนใหม่ของแสนสิริ ปัจจุบันคอยให้บริการอยู่ที่ The Cloud ชั้น 3 สยามพารากอน ด้านระบบนิเวศสตาร์ทอัพและพันธมิตร (Ecosystem Partners) ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) สถานที่กำเนิดเหล่าสตาร์ทอัพมากมาย พาสตาร์ทอัพที่โดดเด่นของไทยไปร่วมโชว์เคสและขึ้นพูดบนเวทีระดับภูมิภาค ช่วยส่งเสริมระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทยด้าน PropTech และ LivingTech และ ด้านการวิจัยและพัฒนา (Lab Development) มุ่งเน้นการเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยผ่านฟังก์ชั่นใน Sansiri Home Service Application (HSA) เป็นต้น    สำหรับครึ่งปีหลังนี้บริษัทยังมีแผนจะลงทุนในสตาร์ทอัพใน 4 ด้าน ภายใต้งบลงทุน 600 ล้านบาท ได้แก่ 1.เทคโนโลยีด้านการก่อสร้าง (ConsTech) ในสัดส่วน 20% ของงบลงทุนมุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ช่วยควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง (QC) 2.เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Sustainablity) ในสัดส่วน 30% มุ่งเน้นด้านการใช้ทรัพยากรอย่างฉลาดและการกำจัดของเสียที่มีประสิทธิภาพ 3.เทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ (PropTech) ในสัดส่วน 20% มุ่งเน้นด้านรูปแบบการใช้ชีวิตแบบใหม่และ Tokenization และ 4.เทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยและสุขภาพ (LivingTech HealthTech) ในสัดส่วน 30% มุ่งเน้นด้านความปลอดภัย ความสะดวกสบาย โดยเฉพาะเรื่องการใช้เสียง ปัจจุบันมีสตาร์ทอัพหลายรายที่ผ่านการพิจารณามาถึงขั้นทดสอบความเป็นไปได้ (Proof of Concept)      
เปิดกลยุทธ์ จาร์ตัน รุกตลาด “บ้านอัจฉริยะ” สู่การเป็น Digital Company

เปิดกลยุทธ์ จาร์ตัน รุกตลาด “บ้านอัจฉริยะ” สู่การเป็น Digital Company

ตั้งแต่เทคโนโลยีเข้ามา Disrupt วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในยุคปัจจุบัน ก็ทำให้การอยู่อาศัยในแต่ละวันสะดวกสบายมากขึ้น จากอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ ส่งผลให้ไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างมาก และนับวันความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกมาเติมเต็มชีวิตก็มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  นี่ก็เป็นแรงผลักดันทำให้ผู้ประกอบการผลิตสินค้าและบริการต่างต้องปรับตัว หันมาพัฒนาสินค้าและบริการใส่เทคโนโลยีเข้าไป เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิตอลนี้ด้วย   “จาร์ตัน กรุ๊ป” หนึ่งในผู้ผลิตและติดตั้งระบบ สำหรับใช้ภายในบ้านและอาคาร ก็ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคด้วยเช่นกัน หลังดำเนินธุรกิจมานานกว่า 40 ปี ด้วยการพัฒนาและนำเอาระบบ SMART HOME SOLUTION หรือระบบบ้านอัจฉริยะ เข้ามาทำตลาด เจาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยตามบ้านเรือนทั่วไป เพราะเป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโตและมีความต้องการใช้งานของคนยุคปัจจุบันเพิ่มมากขึ้น   นายธีธัช จึงกานต์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท จาร์ตัน กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาได้เริ่มวางแผนและพัฒนาสินค้าซึ่งเป็นดิจิทัล ซึ่งปีที่ผ่านมาเริ่มเปิดตัวระบบ SMART HOME SOLUTION เข้ามาทำตลาดอย่างจริงจัง ตามเทรนด์ของตลาด จากอดีตเมื่อ 10 ปีที่แล้วเริ่มต้นจากการผลิตดิจิทัลดอร์ล็อก เป็นสินค้าชิ้นแรกออกจำหน่าย ปัจจุบันมีสินค้ากลุ่ม SMART HOME SOLUTION กว่า 40 รายการ     “บริษัทได้ศึกษาตลาดมากว่า 5 ปี ซึ่งปีนี้รุกตลาดอย่างจริงจัง เพราะคนเริ่มให้การยอมรับกับสินค้า เพราะให้ประโยชน์กับเขาได้มากกว่าการแค่ควบคุมอุปกรณ์ในบ้านเท่านั้น ที่สำคัญคนให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัย และคำนึงถึงเรื่องการประหยัดพลังงาน”    ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการติดต่อกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ 8-9 รายในการนำเอาระบบ SMART HOME SOLUTION เข้าไปติดตั้งในโครงการ  ซึ่งแต่ละโปรเจ็กต์จะมีจำนวนที่อยู่อาศัยตั้งแต่ 100-300 ยูนิต นอกจากนี้ ยังเจรจากับมหาวิทยาลัยอีก 3-4 แห่งสำหรับนำเอาระบบ SMART HOME SOLUTION เข้าไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถาบันการศึกษาด้วย รวมถึงยังสามารถปรับใช้ได้กับกลุ่มธุรกิจโรงแรมด้วย  เช่น ระบบการบริหารห้องพัก โดยการเช็คอินห้องพัก และกุญแจดิจิทัล  เป็นต้น   นายธีธัช กล่าวอีกว่า  บริษัทถือเป็นแบรนด์สินค้าไทยที่ช่วงเริ่มต้นธุรกิจ 30 ปีแรกเป็นยุค 3.0 ต่อมาพัฒนาเป็นยุค 4.0 ในช่วง 10 ปีหลัง โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ การมุ่งไปสู่การเป็น “Digital Company” ซึ่งภายในปี 2022 ต้องการให้แบรนด์จาร์ตันเป็น Top of mind ของผู้บริโภค และวางแผนนำบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง   “ในอีก 3-5 ปีบริษัทน่าจะมียอดขายใกล้ 1,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่า 25% ทุกปี จากก่อนหน้านี้เติบโต 5-7%”   ปัจจุบันแบรนด์จาร์ตัน ทำตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยส่งออกไปทำตลาดใน 17 ประเทศทั่วโลก ด้วยสัดส่วนยอดขายประมาณ 30-40% ส่วนตลาดในประเทศกลุ่มลูกค้ามีทั้งภาคราชการและหน่วยงานสำคัญๆ สัดส่วนประมาณ 60% ที่เหลือเป็นภาคเอกชน   สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดของบริษัทในปีนี้เพื่อสร้างการเติบโตให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ คือ 1.การเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าสำหรับผู้บริโภคทั่วไปซื้อไปใช้งานได้ ซึ่งสินค้าจะมีราคาจำหน่ายถูกกว่าแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศประมาณ​ 30% 2.การจัดทำโชว์รูม Experience Center เพื่อใช้แสดงและสาธิตการใช้งานสินค้า บริเวณถนนพระราม 3 บนเนื้อที่ 200 ตารางเมตร 3.การเพิ่มช่องทางตลาดออนไลน์ในเว็บไซต์ ลาซาด้า ช้อปปี้ และเจดีดอทคอม โดยเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป   สำหรับ ผลิตภัณฑ์ ของ ระบบบ้านและอาคารอัจฉริยะ 5 หมวด ประกอบด้วย 1.ระบบบริหารลานจอดรถ (JARTON Carpark) 2.ระบบควบคุมการเข้าออก (JARTON Access และ JARTON Lock) 3.ระบบกล้องวงจรปิดสำหรับอาคารขนาดใหญ่ (JARTON CCTV) 4.ระบบกุญแจโรงแรม (JARTON Hotel)  และ 5.ระบบ Wi-Fi Smart Home (JARTON Home) ที่แบ่งสินค้าออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มรักษาความปลอดภัย อาทิ  กุญแจดิจิตอล กล้องวงจรปิด สัญญาณกันขโมย ฯลฯ กลุ่มอำนวยความสะดวก  อาทิ  สวิตทช์ไฟอัจฉริยะ กล่องควบคุมรีโมท ฯลฯ กลุ่มสุขภาพ  อาทิ  เครื่องฟอกอากาศ หุ่นยนต์ดูดฝุ่น ฯลฯ กลุ่มไลฟ์สไตล์  อาทิ  เครื่องอโรมาพร้อมลำโพง กระจกอัจฉริยะ ฯลฯ  
[PR News] ผู้บริโภคอยากรู้ราคาบ้านเดี่ยวตัวเองมากสุด

[PR News] ผู้บริโภคอยากรู้ราคาบ้านเดี่ยวตัวเองมากสุด

ผู้บริโภคยุคใหม่สนใจเช็คราคาบ้านตัวเองมากที่สุด  คนอยากรู้ราคาบ้านเดี่ยวมาเป็นอันดับ 1  บาเนียเดินหน้าอัพเกรดระบบประมาณราคาบ้านอัตโนมัติ หลังมีผู้ใช้เช็คราคากว่า 13,000 ล้านบาท มุ่งสู่การทำงานแบบเรียลไทม์     นางสาวอัญชนา วัลลิภากร ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บาเนีย (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทได้เปิดให้บริการระบบการประมาณราคาบ้านอัจฉริยะภายใต้ชื่อ Bestimate มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 บริษัทได้ปรับระบบใหม่อีกครั้งเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพื่อให้การใช้งานง่ายขึ้น พัฒนาความแม่นยำของ Bestimate Model และระยะเวลาการทำงานตอบกลับให้เร็วขึ้น โดยมีเป้าหมายสู่การประมาณราคาแบบเรียลไทม์และในอนาคตจะมีการเปิด Feature ใหม่ๆ มีระบบเปรียบเทียบข้อมูล การอัพเกรด Algorithm พัฒนาฐานข้อมูล ต่อยอด Bestimate เพื่อตอบโจทย์การประมาณราคาที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ให้กว้างขึ้น   โดยที่ผ่านมา มีผู้ใช้บริการประมาณราคาด้วยระบบ Bestimate แล้วกว่า 3,000 ราย มีมูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการรู้ราคาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันมีสัดส่วน 29% ต้องการทราบราคาเพื่อการขายคิดเป็น 14% ต้องการขอสินเชื่อ 10% ต้องการทราบราคาเพื่อใช้ประกอบการลงทุน 5% ต้องการทราบราคาเพื่อซื้อ 2% ขณะที่ 40% ไม่ได้ระบุวัตถุประสงค์ของการใช้บริการ ส่วนที่อยู่อาศัยที่นำมาประมาณราคาเป็นบ้านเดี่ยว 45% คอนโดมิเนียม 28% และทาวน์เฮาส์ 27% ราคาที่นำประมาณราคาสูงสุดเป็นคอนโดมิเนียมราคา 50 ล้านบาท โดยราคาประมาณการส่วนใหญ่หรือคิดเป็น 53% ต่ำกว่าราคาที่เจ้าของคาดหวังไว้ อีก 33% สูงกว่าราคาที่คาดหวัง และ 14% ประมาณราคาไม่ได้เนื่องจากข้อมูลไม่สมบูรณ์   สำหรับมูลค่าประมาณการบ้านที่ได้จาก Bestimate จะคำนวณโดยใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยวิธีแบบจำลองทางสถิติระดับสูง ซึ่ง Bestimate จะวิเคราะห์ราคาจากข้อมูลคุณสมบัติ คุณลักษณะและข้อมูลเชิงพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับบ้าน ด้วยฐานข้อมูล Big data อสังหาริมทรัพย์ที่รวบรวมมาอย่างเป็นระบบของ Baania ทำงานร่วมกับนักประเมินอาชีพทำให้ราคาที่วิเคราะห์ได้มีความน่าเชื่อถือ สามารถใช้อ้างอิงได้และยังช่วยขจัดความกังวลเรื่องการใช้ดุลยพินิจซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้การประเมินมูลค่าทรัพย์สินไทยก้าวหน้าสู่ระดับสากล โดยในช่วงเริ่มต้น Bestimate ได้ให้บริการในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นการทดสอบโมเดลก่อนที่จะให้บริการอย่างเต็มรูปแบบในกรุงเทพฯและปริมณฑล และได้ขยายการให้บริการครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของไทยในปัจจุบัน  
สรุปข่าวรอบสัปดาห์ 29 กรกฎาคม – 4 สิงหาคม2562

สรุปข่าวรอบสัปดาห์ 29 กรกฎาคม – 4 สิงหาคม2562

รอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวความเคลื่อนไหวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ที่น่าจับตา และติดตามหลายประเด็นที่น่าสนใจมากมาย เป็นความเคลื่อนไหวทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ และรายเล็ก ทุกคนต่างขยับกันทำกิจกรรมการตลาดกันหลายกิจกรรม   “วัน แบงค็อก” เผยโฉมมาสเตอร์แพลน บิ๊กโปรเจ็กต์ 120,000 ล้าน  โปรเจ็กต์การลงทุนภาคเอกชนใหญ่สุดในเวลานี้ คงไม่มีใครเทียบได้กับ “วัน แบงค็อก” (One Bangkok) ของกลุ่มทีซีซี ภายใต้การบริหารงานของตระกูล “สิริวัฒนภักดี” ด้วยมูลค่าลงทุนถึง 120,000 ล้านบาท บนถนนวิทยุ-พระราม 4 กับโครงการมิกซ์ยูสขนาดมหึมา ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัว “มาสเตอร์แพลน” ออกมาอวดโฉมให้เห็นหน้าตาโครงการว่าแต่ละจุดจะมีอะไรยังไงกันบ้าง ถือเป็นความคืบหน้าการดำเนินงานและเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ เพื่อให้โปรเจ็กต์เสร็จสมบูรณ์ในปี 2569   นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด เปิดเผยว่า วัน แบงค็อก จะสร้างนิยามใหม่และพลิกโฉมพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ในฐานะโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ภายในโครงการจะประกอบด้วย -พื้นที่อาคาร สำนักงานเกรดเอ จำนวน 5 อาคาร มีพื้นที่รวมกันกว่า 500,000 ตารางเมตร -การเชื่อมต่อของ 4 บริเวณถึงกัน โดยมีใจกลางของโครงการอยู่ที่ Civic Plaza พื้นที่สันทนาการขนาด 10,000 ตารางเมตร -ทางเข้าออกโครงการมี 6 จุด อยู่รอบโครงการ -มีพื้นที่รีเทล 4 โซน มีร้านค้าและร้านอาหารรวมกันกว่า 450 ร้าน บนพื้นที่ 180,000 ตารางเมตร -โรงแรม 5 แห่ง ตั้งแต่ระดับบูทีคโฮเทล โรงแรมเพื่อธุรกิจ ไปจนถึงระดับซูเปอร์ลักชัวรี่  รวมกว่า 1,100 ห้อง -มีพื้นที่ส่วนพักอาศัยระดับลักชัวรี่ 3 อาคาร  โครงการแรกจะตั้งอยู่เหนือโรงแรม The Ritz-Carlton, Bangkok  จำนวน 110 ห้อง พื้นที่เริ่มต้นที่ 130 ตารางเมตร พร้อมเปิดตัวช่วงต้นปี พ.ศ. 2563 -มีอาคารสูงสุดในประเทศไทย “Signature Tower” สูงกว่า 430 เมตร ซึ่งจะเป็น 1 ใน 10 ตึกที่สูงที่สุดของอาเซียน -พื้นที่สีเขียวมากถึง 50 ไร่ จากพื้นที่โครงการรวม 104 ไร่ -มีระบบโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางสุดล้ำสมัย -มีฮอลล์เอนกประสงค์สำหรับจัดการแสดง พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และงานศิลปะหลากหลายรูปแบบ (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   หั่นราคา ไอดีโอ คิว พหลฯ เหลือตารางเมตรละ 149,000 บาท   หลังเป็นกระแสข่าวในโลกออนไลน์เมื่อปลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้  กับโปรเจ็กต์ ไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย ว่าจะหยุดการขาย พร้อมเตรียมปรับแบรนด์และราคาขายใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ล่าสุด อนันดาฯ ก็ประกาศออกมาแล้วว่าจะหั่นราคาขายลงมาเหลือ 149,000 บาทต่อตารางเมตร เปลี่ยนแบรนด์ใหม่ และเตรียมเปิดขายใหม่อีกครั้งในช่วงปลายปีนี้   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  ตามที่บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัว โครงการไอดีโอ คิว พหลฯ – สะพานควาย พร้อมเปิดให้มีการจองซื้อห้องชุด ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น  ซึ่งเมื่อได้เปิดให้มีการจองซื้อมาระยะหนึ่งจึงได้ทราบว่ายังมีกลุ่มลูกค้าอีกเป็นจำนวนมากกว่า 3 เท่า ที่มีความสนใจและต้องการเข้าถึงโครงการดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ พิจารณาและปรับรูปแบบโครงการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและสภาวะตลาด ซึ่งบริษัท เห็นสมควรให้มีการพิจารณาปรับรูปแบบของโครงการดังกล่าว โดยนำเทคโนโลยีการก่อสร้าง BIM และเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทันสมัยอื่นๆ มาพัฒนาโครงการเพื่อให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยร่วมกับ Strategic Partner ทั้งหมด โดยคาดว่าจะสามารถนำเสนอราคาขายในราคาเริ่มต้นใหม่ได้ที่ 149,000 บาทต่อตารางเมตร และบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในวงกว้างที่มีความต้องการคอนโดติดรถไฟฟ้า 0 เมตร โดยจะมีการเปิด Soft Opening สำหรับโครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ใหม่ปลายปีนี้ (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   เกษร พร็อพเพอร์ตี้ กวาดยอดขาย "เทลล่า ทองหล่อ" 90% นายฟ้าฟื้น เต็มบุญเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกษร พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าของโครงการเทลล่า ทองหล่อ (TELA Thonglor) คอนโดมิเนียมซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ มูลค่า 4,100 ล้านบาท ได้ดำเนินก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้ และพร้อมส่งมอบห้องชุดพักอาศัยได้ตั้งแต่กลางปี 2562 เป็นต้นไป ขณะที่ยอดขาย สามารถปิดการขายได้แล้วกว่า 90 % ซึ่งสวนกระแสกับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในปีนี้ “แนวโน้มของตลาดโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรีนั้น มองว่ายังคงเติบโตไปได้ดี ถึงแม้จะไม่หวือหวานักหากเทียบกับตลาดอื่นๆ ซึ่งมีความต้องการซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ซัพพลายในตลาดก็มีจำนวนไม่มากนัก เนื่องจากโครงการใหม่เกิดขึ้นในแต่ละปีไม่มาก ประกอบกับการดำเนินกลยุทธ์ที่ถูกต้องตลอดมาของบริษัท” นายฟ้าฟื้น กล่าว สำหรับกลยุทธ์ โค้งสุดท้ายก่อนปิดการขายโครงการภายในปีนี้  บริษัทได้จับมือร่วมกับ DM HOME ผู้นำเข้าแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำจากทั่วโลก ร่วมรังสรรค์การออกแบบตกแต่งห้องพร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบชุด (Fully Furnished) 3 แบบ 3 สไตล์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Master of Style” - CANVAS of Unearthed Beauty” สำหรับแบบห้อง Legacy Suite ห้องชุด 3 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 201 ตารางเมตร ซึ่งเป็นห้องซิกเนเจอร์ของโครงการ สำหรับโครงการเทลล่า ทองหล่อ ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 1 - 3 - 63 ไร่ ใจกลางทองหล่อ  เป็นอาคารสูง 32 ชั้น 1 อาคาร พร้อมที่จอดรถชั้นใต้ดิน 2 ชั้น จำนวนห้องรวม 84 ยูนิต มีราคาขายเริ่มต้นที่ 330,000 บาทต่อตารางเมตร   ALL กวาดยอดดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว ฯ  กว่า 850 ล้านบาท นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (ALL) เปิดเผยว่า หลังจากได้เปิดพรีเซลล์โครงการ ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว – สุทธิสาร  เมื่อสุดสัปดาห์วันที่ 3 – 4 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา ด้วยการจัดโปรโมชั่น Pre – Sale ทุกชั้นราคาเดียว มีกลุ่มลูกค้าให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเพียงแค่วันเดียวลูกค้าแห่จองกวาดยอดขายแล้วกว่า 850 ล้านบาท หรือคิดเป็นกว่า70 % ของมูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท นับเป็นสัญญาณที่ดี แสดงให้เห็นว่า ALL ได้พัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่ม Real Demand อย่างแท้จริง   โดยโครงการ ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว – สุทธิสาร  เป็นคอนโดมิเนียมเอาใจกลุ่ม DINKs (Double Income, No Kids) ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ที่มีชีวิตคู่แต่ (ยัง) ไม่มีลูก ภายใต้คอนเซปต์ “แรงบันดาลใจเกิดได้ทุกตารางเมตร : Inspiration is All Around” บนทำเลสุดฮอตย่านลาดพร้าว ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีโชคชัย 4 เพียง 550 เมตร เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น 2 อาคาร มีขนาดตั้งแต่ 1 ห้องนอน 24.50 – 30.10 ตารางเมตร และ 1 ห้องนอน พลัส ขนาด 34.70 ตารางเมตร (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   เปิดโลก AP WOLD เพื่อพิมพ์เขียวคุณภาพชีวิต   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและสร้างสรรค์ เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า ได้จัดงาน AP WORLD ระหว่างวันที่ 1-7 สิงหาคม 2562 ที่ลานพาร์ค พารากอน เพื่อต้องการสร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี  โดยจัดแสดงงานภายใต้ 3 ปรัชญาสำคัญ คือ GROW การสร้างพื้นฐาน รวมถึงพัฒนาพื้นที่สีเขียว รักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนอย่างมีความสุขทั้งกายและใจ อย่างการร่มมือกับกลุ่มบิ๊กทรีส์ และเครือข่ายต้นไม้ในเมือง ออกแบบหลักสูตรพิเศษในการบริการจัดการต้นไม้ในโครงการที่พักอาศัย FLOW ความสบายใจในการอยู่อาศัย ด้วยความปลอดภัยที่คุ้มครองทุกชีวิตในครอบครัว โดยการนำนวัตกรรม KATSAN ผู้ค้มกันส่วนตัวอัจริยะตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงการออกแบบพื้นที่เพื่อการใช้ชีวิต และ JOY การอยู่อาศัยอย่างอุ่นใจท่ามกลางความปลอดภัยในชีวิต ผ่านนวัตกรรมการบริการ เพื่อสร้างระบบนิเวศแห่งสังคมคุณภาพ โดยมีการร่วมมือกับ HAY แบรนด์เฟอร์นิเจอร์จากเดนมาร์ก มาสร้างประสบการณ์แห่งการแบ่งปันภายใต้คอนเซ็ปต์ Sharing Community ในโครงการของเอพี (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   การกลับมาอีกครั้ง ของ “คาเฟ่ ยอดนักสืบจิ๋ว โคนัน”   หลังประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากแฟนๆ อะนิเมชั่น เมื่อปีก่อน “คาเฟ่ ยอดนักสืบจิ๋ว โคนัน ปี 2019” (Detective Conan Cafe 2019) ได้กลับมาสร้างสีสัน ณ ร้าน เบค อะ วิช (Bake A Wish) ร้านเบเกอรี่สไตล์ญี่ปุ่นอันดับ 1 ในประเทศไทย สาขาสยามเซนเตอร์ อีกครั้ง โดยจะเปิดให้บริการ ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม - 15 กันยายน 2562 นี้ เป็นระยะเวลา 46 วัน โดยมาในคอนเซ็ปต์ภาพยนตร์ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน เดอะมูฟวี่ 23 ตอน: ศึกชิงอัญมณีสีคราม (Detective Conan The Movie 23: The Fist of Blue Sapphire) ที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์อย่างเป็นทางการในไทยเร็วๆ นี้   นางนิกันติ์ ปรัชญาศิลปวุฒิ เจ้าของกิจการ Bake A Wish กล่าวว่า “Bake A Wish พร้อมเอาใจคนรักเบเกอรี่สไตล์ญี่ปุ่น  ด้วยสูตรขนมส่งตรงจากเมืองโกเบ ด้วยความอร่อยแบบโฮมเมดที่สดใหม่วันต่อวัน ซึ่งทุกเมนูใหม่ของยอดนักสืบจิ๋ว โคนัน ในครั้งนี้    ได้ถูกรังสรรค์ให้ผสมผสานระหว่างวัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย กับวัฒนธรรมป๊อปอะนิเมะของญี่ปุ่นอย่างกลมกล่อมที่สุด       และอีกครั้งที่ Bake A Wish ได้จับมือร่วมกับ PARCO (สิงคโปร์) ให้เป็นผู้พัฒนาคอนเซ็ปต์ และดำเนินการรังสรรค์เมนูต่างๆ ตามธีมยอดนักสืบจิ๋ว โคนัน” (อ่านข่าวเพิ่มเติม)
“โฮมโปร” โกยกำไรและรายได้ครึ่งปีแรก โตสวนกระแสเศรษฐกิจซบ [PR News]

“โฮมโปร” โกยกำไรและรายได้ครึ่งปีแรก โตสวนกระแสเศรษฐกิจซบ [PR News]

“โฮมโปร” อวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2562 มีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 2,946.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 385.43 ล้านบาท หรือ 15.05% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวม 34,118.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,753.37 ล้านบาท หรือ 5.42% แม้แนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจขยายตัวลดลง     นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร”  เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย สำหรับ 6 เดือนแรกของปีนี้ ว่า  บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิ 2,946.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 385.43 ล้านบาท หรือ 15.05% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวม  34,118.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,753.37 ล้านบาท หรือ 5.42% ซึ่งประกอบไปด้วย รายได้จากการขาย 31,826.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,506.91 ล้านบาท หรือ 4.97% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของธุรกิจโฮมโปร และเมกา โฮม รวมถึงการเติบโตของยอดขายจากสาขาใหม่จากธุรกิจโฮมโปร   บริษัทฯ มีรายได้ค่าเช่าและบริการ 1,285.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 135.15 ล้านบาท หรือ 11.75% เป็นผลมาจากรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจากพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้ามาร์เกต วิลเลจ และพื้นที่ให้เช่าของสาขาโฮมโปร และรายได้จากค่าบริการ “Home Service” และรายได้อื่นอีก 1,006.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111.31 ล้านบาท หรือ 12.43% โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้ส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้า ดอกเบี้ยรับ และรายได้เบ็ดเตล็ด   บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น จำนวน 8,371.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 496.51 ล้านบาท หรือ 6.31% เมื่อเทียบกับปีก่อน  สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 25.97% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.30% โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และการเพิ่มอัตรากำไรของกลุ่มสินค้า Direct Sourcing รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพวางแผนการจัดซื้อสินค้าของธุรกิจโฮมโปร เมกา โฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย   “เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ปี 2562 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากการที่ภาคการส่งออกที่ลดลงโดยได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ลดลงทั่วโลก ส่งผลให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจชะลอตัวลงใน ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ โดยภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่น้อยลง รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ลดลง แม้การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องแต่ยังได้รับแรงกัดดันจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงรวมถึงราคาสินค้าการเกษตรที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ”นายคุณวุฒิ กล่าวและว่า   ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาสนี้ยังคงเป็นไปตามแผนงานที่ได้วางไว้ แม้บางสาขาในกรุงเทพฯ ยังได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างระบบขนส่งสาธารณะก็ตาม อย่างไรก็ตามจากสภาพอากาศที่ร้อนต่อเนื่องในช่วงเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม โดยในหลายพื้นที่มีอุณหภูมิสูงกว่าปกติเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มียอดขายจากสินค้ากลุ่มเครื่องทำความเย็นที่สูงกว่าปกติ เช่น เครื่องปรับอากาศ พัดลม ทั้งนี้บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการจัดกิจกรรมโฮมโปร แฟร์ (HomePro Fair) ในจังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่นและสงขลา (หาดใหญ่)   นายคุณวุฒิ กล่าวสรุปในตอนท้ายว่า สำหรับการเติบโตของบริษัทย่อย ธุรกิจ “เมกา โฮม” มีแนวโน้มการปรับตัวของยอดขายที่ดีขึ้น ส่วนธุรกิจโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย ยอดขายยังคงไม่เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้โดยมีปัจจัยหลักเป็นความเชื่อมั่นของผู้บริโภค อย่างไรก็ตามบริษัทย่อยมีประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานต่างๆ ผ่านการปรับปรุงด้านอัตราการทำกำไรขั้นต้น และการบริหารค่าใช้จ่าย โดยการขยายสาขาในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ได้มีการขยายสาขาใหม่ 1 แห่ง ที่ โฮมโปร สาขาจรัญสนิทวงศ์ ซึ่งเปิดในเดือน พฤษภาคม ส่งผลให้บริษัทฯ มีสาขา ณ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 บริษัทฯ มีสาขาโฮมโปร 83 สาขา และโฮมโปรเอส 8 สาขา เมกา โฮม 12 สาขา และ โฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย 6 สาขา  
หั่นราคา ไอดีโอ คิว พหลฯ เหลือ 1.49 แสนต่อตร.ม. เตรียมขายใหม่ปลายปี

หั่นราคา ไอดีโอ คิว พหลฯ เหลือ 1.49 แสนต่อตร.ม. เตรียมขายใหม่ปลายปี

“ชานนท์” ออกโรงแจง ปรับรูปแบบและพัฒนาสินค้าโครงการ “ไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย” เตรียมใช้แบรนด์ใหม่แทน พร้อมเคาะราคาถูกลงกว่าเดิมเหลือตารางเมตรละ 149,000 บาท  เดินหน้านำเทคโนโลยี BIM มาใช้ในการก่อสร้าง ปลายปีนี้ Soft Opening ขายใหม่อีกครั้ง   หลังจากมีการข่าวการยุติการขายโครงการไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย ของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (อ่านข่าวเพิ่มเติม) ก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุผลที่บริษัทต้องการปรับรูปแบบโครงการ และราคาขายให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการโครงการในย่านสะพานควาย ล่าสุด ได้มีการออกมาชี้แจงออกมาจากนายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  แล้วว่า จะทำการปรับราคาขายใหม่ในราคา 149,000 บาทต่อตารางเมตร และจะทำการ Soft Opening  โครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ใหม่ปลายปีนี้   โดยนายชานนท์  กล่าวว่า  ตามที่บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัว โครงการไอดีโอ คิว พหลฯ – สะพานควาย พร้อมเปิดให้มีการจองซื้อห้องชุด ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น  ซึ่งเมื่อได้เปิดให้มีการจองซื้อมาระยะหนึ่งจึงได้ทราบว่ายังมีกลุ่มลูกค้าอีกเป็นจำนวนมากกว่า 3 เท่า ที่มีความสนใจและต้องการเข้าถึงโครงการดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ พิจารณาและปรับรูปแบบโครงการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและสภาวะตลาด ทั้งนี้ บริษัทฯ เห็นสมควรให้มีการพิจารณาปรับรูปแบบของโครงการดังกล่าว โดยนำเทคโนโลยีการก่อสร้าง BIM และเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทันสมัยอื่นๆ มาพัฒนาโครงการเพื่อให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยร่วมกับ Strategic Partner ทั้งหมด โดยคาดว่าจะสามารถนำเสนอราคาขายในราคาเริ่มต้นใหม่ได้ที่ 149,000 บาทต่อตารางเมตร (จากเดิมราคาเปิดตัวเริ่มต้น189,000 บาทต่อตารางเมตร) และบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในวงกว้างที่มีความต้องการคอนโดติดรถไฟฟ้า 0 เมตร โดยจะมีการเปิด Soft Opening สำหรับโครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ใหม่ปลายปีนี้     นายชานนท์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เพื่อเป็นการตอบแทนลูกค้าที่ได้มอบความไว้วางใจจองซื้อโครงการไอดีโอ คิว พหลฯ - สะพานควาย บริษัทฯ จึงมอบสิทธิพิเศษให้แก่ท่านลูกค้าในการจองซื้อห้องชุดในโครงการที่มีการปรับรูปแบบแล้วเป็นกลุ่มแรกพร้อมสิทธิพิเศษเพิ่มเติม ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพบนทำเลศักยภาพเพื่อตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองดังเช่นที่ผ่านมา   นอกจากการออกข่าวประชาสัมพันธ์ชี้แจงข้อมูลแล้ว  นายชานนท์ ยังได้อัดคลิปวิดีโอ แจ้งปรับรูปแบบและพัฒนาสินค้าใหม่ สำหรับโครงการ “ไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย” ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้   “สวัสดีครับ ผมชานนท์ เรืองกฤตยา ซีอีโอ อนันดา ดีเวลลอปเมน์  วันนี้อยากจะมาแชร์เรื่องเชนจ์ การปรับตัวเป็นองค์กรที่ปรับตัวเคลื่อนไหวตามยุคสมัยได้เร็วขั้น มันมีความหมายอย่างไร เราจะเห็นว่าการตลาดยุคนี้เป็นยุคดิสรับชั่น จะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ  การมีบิสิเนส โมเดลใหม่ๆ เปลี่ยน พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนเจเนอเรชั่นกี่เจเนออยู่ในตลาดพร้อมๆ กัน   การทำงานของเรา การทำการตลาด หรือออกโปรดักส์ใหม่ๆ มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในยุคเชนจ์ ออกาไนซ์เซชั่นยิ่งใหญ่ บริษัทยิ่งใหญ่ ที่มีคนเป็นพันคนเหมือนอนันดา หรือเป็นแบงก์มีหลายหมื่นคน  มันยากมากที่จะปรับตัว เราจะเห็นว่าการปรับตัว มันเกี่ยวกับ ความสามัคคี มันไม่สามัคคีในองค์กรตนเอง อนันดาอย่างเช่น เราพันกว่าคน แต่เรามีผู้รับเหมา มีสตาทิจิก  มีกี่รายละครับ ผู้รับเหมา พวกดีไซน์เนอร์  กว่าจะสร้างตึกได้หนึ่งตึกนะ มีซับคอนทรัคเตอร์​ มีดีไซน์เนอร์​ ถึงผู้รับเหมาทั้งหลาย เวนเดอร์ ประมาณ 40 บริษัท 40 บริษัทที่มันเคลื่อนไหวที เหมือนเรือไททานิกที่ต้องเลี้ยว   แต่ผมค่อนค้างภูมิใจมากเลย ในเคสอันหนึ่งไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย เราลอนซ์ไป เราฟังลูกค้า ฟีดแบ็คกลับมา ลูกค้าบอกว่า คุณโก้  ถ้าราคาย่อมเยามากขึ้น ไม่ต้องสเป็คสูงก็ได้นะ เราจะได้ซื้อ ชวนคนอื่นมาซื้อได้มากกว่านี้นะ เพราะโลเกชั่นคุณ 0 เมตรอยู่แล้ว โลเคชั่นไม่มีใครเด้าท์ (Doubt) อนันดา แต่ตอนนี้เรากลับมามอง ธุรกิจของเรา เวลาสร้างตึก สร้างทีเป็นพันล้านหมื่นล้าน สองสามปีกว่าจะสร้างเสร็จ มันปรับตัวยากนะ ธุรกิจแบบนี้  มีดีไซนเนอร์ มีโน้นนี่ มีคอราบอเรเตอร์​ 40 บริษัท อยู่ๆ จะมาเลี้ยวขวาเลี้ยวซ้ายทันที มันไม่ได้   แต่เราเป็นเคสสตาร์ทดี้หนึ่ง  เราทำออกาไนเซชั่นอนันดามาตลอดเวลา มันเกี่ยวกับเชนจ์  คัลเจอร์ของอนันดา มันแฟลต แบนแต้ดแต๋ เลย เราไม่ได้ต้องการเป็นลีดด้วยหนึ่งคอมแมน หนึ่งคอนโทรล ทุกคนสามารถปรับตัวของตัวเองได้ ในทีมของเราเห็นในเคสสตาร์ดี้นี้เลยว่า ทุกอย่างเทคโนโลยีบิม ผู้รับเหมาะและผู้ออกแบบ ใช้กันหมดแล้ว  เข้าใจคอส เข้าใจราคาได้เร็วมาก  เอาของ เอาสิ่งที่ลูกค้าต้องการแปลเป็นดิจิทัลได้เร็วมาก  แล้วเห็นไหมละครับ ว่า ราคาของเราก็ย่อมเยามากขึ้น คิดว่าเราน่าจะออกประมาณ แสนสี่เก้านะครับ  แสนสี่เก้าราคาก็ลงมาพอสมควรในยุคนี้นะครับ   การปรับตัวที่คัลเจอน์เนี่ย ไม่ใช่ คัลเจอร์อนันดาอย่างเดียว  คัลเจอร์ทั้งซัพพลายเชน และแวลูเชน ทั้งหมด สิ่งเกิดขึ้น มันเป็นตัวอย่างนะครับ ที่เราอนันดาเอง   เวลาไปพูดเรื่องดิสรับชั่น ช่วยบริษัท ช่วยโค้ชชิ้ง ทีมบริหารอื่นก็จะพูดเรื่องนี้ตลอด ว่าสิ่งที่เราต้องปรับคือตัวเราเอง องค์กรเราเอง เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยี เข้าใจลูกค้าได้แม่นขึ้น   ก็ฝากพี่ๆ น้องๆ ที่เป็นแฟนคลับอนันดา แล้วใครที่สนใจเรื่องดิจรับกับเชนจ์ ก็เอาสิ่งที่เราเรียนรู้ อนันดาเรียนรู้ เราก็จะแชร์กันตลอดเวลาครับ   ขอบคุณมากครับ” ทั้งหมดเป็นถ้อยคำแถลงของ นายชานนท์ ซีอีโอของอนันดาฯ ที่ออกมาเพื่ออธิบายถึงสาเหตุของการยุติการขายโครงการไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย ซึ่งปลายนี้คงจะเห็นความชัดเจนว่า โครงการนี้จะเดินหน้าต่ออย่างไร และลูกค้าทั้งหลายจะยังให้การตอบรับกับโปรเจ็กต์นี้มากน้อยแค่ไหน  
AP WORLD  เปิดโลกแห่งอนาคตเพื่อคุณภาพชีวิต พร้อมเปิดตัว 6 โครงการใหม่ 

AP WORLD  เปิดโลกแห่งอนาคตเพื่อคุณภาพชีวิต พร้อมเปิดตัว 6 โครงการใหม่ 

เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป จัดงาน AP WORLD ชวนคนรุ่นใหม่มาร่วมสัมผัสโลกแห่งอุดมคติ เดินหน้าสร้างมาตรฐานการใช้ชีวิตในบริบทใหม่ของโลกอนาคต ผ่าน 3 ปรัชญา GROW-FLOW-JOY พร้อมเปิดตัว 6 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท พร้อมโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะในงานเท่านั้น   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและสร้างสรรค์ เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป กล่าวถึงการจัดงาน AP WORLD ในครั้งนี้ว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของเอพี ที่ต้องการสร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี จึงได้จัดงานในครั้งนี้ขึ้น ภายใต้ 3 ปรัชญาสำคัญ คือ GROW การสร้างพื้นฐาน รวมถึงพัฒนาพื้นที่สีเขียว รักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนอย่างมีความสุขทั้งกายและใจ อย่างการร่มมือกับกลุ่มบิ๊กทรีส์ และเครือข่ายต้นไม้ในเมือง ออกแบบหลักสูตรพิเศษในการบริการจัดการต้นไม้ในโครงการที่พักอาศัย FLOW ความสบายใจในการอยู่อาศัย ด้วยความปลอดภัยที่คุ้มครองทุกชีวิตในครอบครัว โดยการนำนวัตกรรม KATSAN ผู้ค้มกันส่วนตัวอัจริยะตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงการออกแบบพื้นที่เพื่อการใช้ชีวิต และ JOY การอยู่อาศัยอย่างอุ่นใจท่ามกลางความปลอดภัยในชีวิต ผ่านนวัตกรรมการบริการ เพื่อสร้างระบบนิเวศแห่งสังคมคุณภาพ โดยมีการร่วมมือกับ HAY แบรนด์เฟอร์นิเจอร์จากเดนมาร์ก มาสรา้งประสบการณ์แห่งการแบ่งปันภายใต้คอนเซ็ปต์ Sharing Community ในโครงการของเอพี    สำหรับ AP WORLD PAVILION อันโดดเด่นกลางลานพาร์ค พารากอน ถูกออกแบบโดย นายเท็ตสึโอะ คนโดะ  สถาปนิกชื่อดังจากญี่ปุ่น ผู็ที่มีแนวคิดโดดเด่นในเรื่องของการให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตของมนุษย์ เชื่อมโยงสถาปัตยกรรมเข้ากับสิ่งรอบตัวอย่างรอบด้านไม่ว่าจะเป็นภูมิอากาศ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม    นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจแนวราบ เผยถึง 6 โครงการใหม่ที่ยกมาเปิดตัวพร้อมจัดโปรโมชั่นภายในงานว่า ทั้ง 6 โครงการมีทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม โดยไฮไลท์จะอยู่ที่การเปิดตัวแบรนด์ใหม่ THE SONNE ศรีนครินทร์-บางนา มูลค่า 630 ล้านบาท 56 ยูนิต โครงการต้นแบบ Luxury Duplex Home ผสมผสานระหว่างบ้านเดี่ยวกับทาวน์โฮมอย่างลงตัว ซึ่งมาในรูปแบบบ้าน 3 ชั้น ขนาดที่ดิน 40-71 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยสูงสุด 249 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ราคาเริ่มต้น 12-15 ล้านบาท    LINE สาทร เซียร์รา มูลค่า 6,300 ล้านบาท 1,971 ยูนิต 40 ชั้น เน้นพื้นที่ธรรมชาติกว่า 5 ไร่ สระว่ายน้ำยาวกว่า 100 เมตร 150 เมตรจากบีทีเอสตลาดพลู 100 เมตร จากบีอาร์ทีราชพฤกษ์ โปรโมชั่นเปิดขายชั้น 8 ครั้งแรกภายในงาน เพราะเป็นชั้นสวยที่สุด ที่เปิดหน้าต่างแล้วเห็นวิวสวน เหมือนอยู่บ้านแนวราบ ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท    THE CITY เอกมัย-ลาดพร้าว บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 67 ยูนิต จองภายในงานรับส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท ราคาเริ่มต้น 19.9-35 ล้านบาท    CENTRO สะพานเจษฎาบดินทร์ บ้านเดี่ยวสำหรับครอบครัวใหม่ จองในงานรับส่วนลดสูงสุด 400,00 บาท ราคาเริ่มต้น 6.99-8.99 ล้านบาท   GRANDE PLENO ราชพฤกษ์ จองในงานรับส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท ราคาเริ่มต้น 6.05 ล้านบาท    THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี คอนโดมิเนียม 50 ชั้น เปิด 7 ยูนิตพิเศษ ขนาด 1-2 ห้องนอน ราคาพิเศษสุด    ตลอด 7 วันของการจัดงาน AP WORLD ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย รวมถึงการนำเสนอนวัตกรรมบริการ และบริการเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีกับ 5 ธุรกิจในเครือเอพี กรุ๊ป ได้แก่ BC, Smart, SEAC, Vaari และ Claymore เพื่อก้าวไปสู่โลกในอุดมคติแห่งการอยู่อาศัย ที่ทุกๆ พื้นที่ผ่านกระบวนการดีไซน์ที่ต้องทำความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ผนวกกับนวัตกรรมสมัยใหม่ ไปจนถึงสังคมแห่งการแบ่งปัน เพื่อมอบมาตรฐานใหม่ของคุณภาพชีวิตให้กับคนในสังคม   งาน AP WORLD จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1-7 สิงหาคม 2562  ที่ลานพาร์ค พารากอน  
โอเชี่ยน ทุ่มจัดงาน “โอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์” กระตุ้นท่องเที่ยวตะวันออก

โอเชี่ยน ทุ่มจัดงาน “โอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์” กระตุ้นท่องเที่ยวตะวันออก

หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกนั่นคือชายฝั่งทะเลของประเทศไทย โดยเฉพาะเมืองชายฝั่งทะเลทางภาคตะวันออกที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างพัทยา ที่แม้จะถูกผลกระทบจากปัจจัยรอบด้าน แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเงียบเหงามากนัก ซึ่งปัจจุบันเกิดกระแสความนิยมในการล่องเรือยอช์ทเพิ่มมากขึ้น ทาง โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จึงได้เตรียมจัด “โอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์” งานแสดงเรือยอช์ทนานาชาติระดับเอเชีย ระหว่าง 21-24 พฤศจิกายน 2562 นี้ ณ โอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ท คลับ พัทยา ท่าจอดเรือที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หวังกระตุ้นธุรกิจและตลาดท่องเที่ยวทางทะเล   มิสเตอร์สก็อต ฟินสเตน ผู้จัดการท่าเรือ โอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ท คลับ กล่าวว่า เทรนด์การท่องเที่ยวของกลุ่ม Young Asians เปลี่ยนไปจากที่เคยกลัวแดด ไม่กล้าออกไปเที่ยวกลางแจ้งมากนัก แต่ปัจจุบันมักชอบเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในแบบ Luxury มากขึ้น ทำให้การล่องเรือยอช์ทได้รับความนิยมมากขึ้น ประกอบกับ มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวสูง ไม่ว่าจะเป็นด้านโรงแรม อาหาร สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ การเดินทางจากกรุงเทพฯ ที่สะดวกสบาย ซึ่งในอนาคตหากรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่เชื่อมต่อ 3 สนามบิน รวมถึงสนามบินอู่ตะเภาเปิดให้บริการอย่างสมบูรณ์แล้ว ก็คาดว่าจะยิ่งทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวโซน EEC จะยิ่งเติบโดเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด   ปี 2018 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาพัทยาประมาณ 14.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7-10%/ปี โดย 5 อันดับชาติที่เข้ามามากที่สุดคือ จีน, รัสเซีย, เกาหลี, อินเดีย และเยอรมัน ตามลำดับ ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเช่าเรือที่โอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ท คลับ พัทยา มากที่สุดคือชาวจีน เกาหลี และคนไทย ซึ่ง 60% เป็นชาวจีนกลุ่ม Millennials ที่ต้องการประสบการณ์พิเศษ ทำให้ภาพรวมในครึ่งปีแรกเติบโตไป 2% ซึ่งมีจำนวน 1,000 คน/วัน รายได้เฉลี่ยแล้วประมาณ 3,000 บาท/คน และคาดว่าทั้งปีจะโตที่ประมาณ 5-10%    สำหรับโอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ท คลับ พัทยา ถือเป็น World Class Marina ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถรองรับเรือได้ถึง 560 ลำ แบ่งเป็นจอดในน้ำ 450 ลำ และจอดพักบนบกอีก 110 ลำ มีเรือที่ให้เช่า 67 ลำ โดยเป็นเรือของคนไทยที่ทำธุรกิจปล่อยเช่าและมีไว้ส่วนตัวรวมแล้วประมาณ 45% เติบโตขึ้นจากเมื่อ 5 ปีที่แล้ว 10%    นายณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้จัดงาน “โอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์” เปิดเผยว่า โอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์ นับได้ว่าเป็นหนึ่งในซิกเนเจอร์อีเว้นท์ที่กระตุ้นการท่องเที่ยวทางทะเลของภาคตะวันออก จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2555 และจัดต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2561 ที่ผ่านมามีผู้เข้าเยี่ยมชมงานทั้งชาวไทยและต่างชาติกว่า 6,000 คน ซึ่งเพิ่มขึ้น 5% จากปี 2560 และโดยภาพรวมแล้วตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีที่ผ่านมามีจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมงานเพิ่มขึ้นกว่า 183% ซึ่งผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่เป็นคนไทยประมาณ 70%    สำหรับงานที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ทุ่มทุนกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งจะมี Exhibitors กว่า 100 บูธ มีการจัดแสดงเรือยอช์ทแบรนด์ชั้นนำจากทั่วโลกกว่า 40 ลำ พร้อมด้วยการจัดแสดงสินค้าและการบริการด้านไลฟ์สไตล์และการท่องเที่ยวทางทะเล สินค้าเทคโนโลยี อสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยม รถยนต์หรู และอีกมากมาย นอกจากนั้น ยังมีการสาธิตกีฬาทางน้ำ ตลอดการจัดงานทั้ง 4 วัน รวมถึงกิจกรรมประสบการณ์ล่องเรือยอช์ทฟรี บริการล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกดิน (sunset cruises), แฟชั่นโชว์ และพบกับป๊อบอัพร้านอาหารชั้นนำ บริการอาหารและเครื่องดื่มตลอดงาน พร้อมด้วยกิจกรรมพิเศษสำหรับครอบครัวโดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 6,000 คน    งานโอเชี่ยน มารีน่า พัทยา โบ๊ท โชว์ ครั้งที่ 8 เตรียมจัดขึ้นระหว่าง 21-24 พฤศจิกายน 2562 นี้ ณ โอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ท คลับ พัทยา จ. ชลบุรี ผู้สนใจเข้าร่วมชมงานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม เว็บไซต์ www.oceanmarinapattayaboatshow.com หรือ เฟสบุ๊ค www.facebook.com/oceanmarinapattayaboatshow        
“วัน แบงค็อก” เผยโฉมมาสเตอร์แพลน บิ๊กโปรเจ็กต์ 120,000 ล้าน

“วัน แบงค็อก” เผยโฉมมาสเตอร์แพลน บิ๊กโปรเจ็กต์ 120,000 ล้าน

วัน แบงค็อก (One Bangkok) ของตระกูล “สิริวัฒนภักดี” โปรเจ็กต์อสังหาริมทรัพย์ของเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย  ด้วยมูลค่าการลงทุนถึง 120,000 ล้านบาท  บนถนนพระราม 4 ที่มีนายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด เป็นผู้บริหาร ได้ฤกษ์เปิดตัวมาสเตอร์แพลนของโครงการครั้งแรกอย่างเป็นทางการต่อสาธารณะชนแล้ว จากก่อนหน้าที่ได้เปิดตัวโครงการ (ข่าวเปิดตัวโครงการ)  และเปิดตัวเชนโรงแรมลักชัวรี่อย่าง “เดอะ ริทซ์คาร์ลตัน"  ที่จะเข้ามาเปิดภายในโครงการ   นายปณต กล่าวว่า  วัน แบงค็อก จะสร้างนิยามใหม่และพลิกโฉมพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ในฐานะโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ความมุ่งมั่นของเราคือการเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ยึดหลักความยั่งยืน พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน และผสานเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอย่างสมบูรณ์ "เราเชื่อมั่นว่า วัน แบงค็อกจะมอบสิ่งที่คู่ควรกับกรุงเทพฯ พร้อมชูให้ประเทศไทยโดดเด่นเป็นสง่าในเวทีโลก และเติบโตในฐานะศูนย์กลางของประเทศอาเซียนต่อไป”   สำหรับโฉมหน้ามาสเตอร์แพลนของโครงการ วัน แบงค็อก ล้วนแต่ผสานความเป็นที่สุดไว้ด้วยกันมากมาย   -การเชื่อมต่อของ 4 บริเวณถึงกัน โดยมีใจกลางของโครงการอยู่ที่ Civic Plaza พื้นที่สันทนาการขนาด 10,000 ตารางเมตร รอบล้อมด้วยพื้นที่รีเทลและพื้นที่ไลฟ์สไตล์บริเวณส่วนล่างของตึก ส่วนพื้นที่สำนักงานและพื้นที่สำหรับที่อยู่อาศัยจะอยู่ส่วนบนของตึก   -ทางเข้าออกโครงการมี 6 จุด อยู่รอบโครงการ ไม่ว่าจะมาจากฝั่งถนนวิทยุ หรือถนนพระราม 4 รวมถึง ทางเชื่อมโดยตรงกับทางด่วนซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการอนุมัติ ที่สำคัญทางเข้าออกเชื่อมต่อโดยตรงกับชั้นใต้ดินซึ่งทำให้ถนนหลักภายในโครงการปลอดโปร่ง และปลอดภัยสำหรับคนเดินเท้า มีการออกแบบให้ถนทุกสายและทุกซอยเชื่อมต่อกัน   -ภายในโครงการ ประกอบด้วย อาคารสำนักงานเกรดเอ จำนวน 5 อาคาร มีพื้นที่รวมกันกว่า 500,000 ตารางเมตร รองรับพนักงานบุคลากรขององค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ ได้มากกว่า 50,000 คน ออกแบบตามมาตรฐาน LEED และ WELL ติดตั้งเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ   -มีพื้นที่รีเทล 4 โซน ที่มีความแตกต่างกันและเชื่อมต่อถึงกัน พร้อมด้วยร้านค้าและร้านอาหารรวมกันกว่า 450 ร้าน บนพื้นที่ 180,000 ตารางเมตร รังสรรค์ประสบการณ์รีเทลที่แปลกใหม่และแตกต่าง ภายในที่แห่งเดียว ถือเป็นครั้งแรกของกรุงเทพฯ     -พื้นที่ในโครงการยังมีโรงแรม 5 แห่งภายใน วัน แบงค็อก ทั้งหมดจะเป็นแบรนด์ใหม่สำหรับกรุงเทพฯ  ครอบคลุมตั้งแต่ระดับบูทีคโฮเทล โรงแรมเพื่อธุรกิจ ไปจนถึงระดับซูเปอร์ลักชัวรี่  รวมกว่า 1,100 ห้อง  โดยโรงแรมลักชัวรี่แห่งแรกคือ The Ritz-Carlton, Bangkok ที่จะพร้อมเปิดให้บริการในปี 2566   -มีพื้นที่ส่วนพักอาศัยระดับลักชัวรี่ 3 อาคาร ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทิศเหนือของโครงการ เพื่อความสงบและความเป็นส่วนตัวของผู้พักอาศัย เปิดรับวิวทั้งจากฝั่งถนนวิทยุและฝั่งสวนลุมพินี สามารถมองเห็นทิวทัศน์ธรรมชาติของสวนลุมพินี และวิวกรุงเทพฯ แบบพาโนรามาไร้สิ่งบดบัง ซึ่งที่พักอาศัยโครงการแรกจะตั้งอยู่เหนือโรงแรม The Ritz-Carlton, Bangkok  ประกอบด้วยห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหราขนาด 2-4 ห้องนอน จำนวน 110 ห้อง พื้นที่เริ่มต้นที่ 130 ตารางเมตร พร้อมเปิดตัวช่วงต้นปี 2563   -มีอาคารสูงสุดในประเทศไทย “Signature Tower” สูงกว่า 430 เมตร ซึ่งจะเป็น 1 ใน 10 ตึกที่สูงที่สุดของอาเซียน โดดเด่นเป็นสง่าเติมเต็มเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพฯ ภายในประกอบด้วยพื้นที่สำนักงานและโรงแรมหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ พร้อมมอบที่สุดแห่งประสบการณ์การชมวิวแบบพาโนราม่า สวยงามแบบ ไร้ขอบเขตจากยอดตึก   -พื้นที่สีเขียวมากถึง 50 ไร่ จากพื้นที่โครงการรวม 104 ไร่ ซึ่งได้รับการจัดสรรให้เป็นพื้นที่เปิดโล่งเพื่อให้ผู้คนได้มาใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น ซึ่งรวมถึง Civic Plaza ที่มีพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร สามารถเป็นศูนย์กลางการจัดงานแสดงระดับนานาชาติและงานเทศกาลต่างๆ ของไทยได้ และสวนรอบโครงการทั้งทางฝั่งถนนวิทยุและถนนพระราม 4 ที่กว้างกว่า 40 เมตร ร่มรื่นด้วยต้นไม้ เปรียบเป็นส่วนต่อขยายของสวนลุมพินี   -มีระบบโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางสุดล้ำสมัย ซึ่งนับเป็นแห่งแรกของประเทศไทยสำหรับโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยเอกชน ประกอบด้วยระบบทำความเย็น ระบบรักษาความปลอดภัยแบบรวมศูนย์ ระบบการจัดการน้ำและพลังงาน ควบคุมดูแลโดยศูนย์ข้อมูล (District Command Centre) และเซ็นเซอร์อันชาญฉลาดมากกว่า 250,000 ตัว ที่คอยบริหารจัดการทุกระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ   -โครงการให้ความสำคัญกับงานศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งพื้นที่ทั้งหมดในโครงการจะเชื่อมต่อถึงกันด้วยงานศิลปะตามแนวคิดพหุประสาทสัมผัส เพื่อให้ผู้มาเยือนสัมผัสกับศิลปะรอบตัว นอกจากนี้ ยังมีฮอลล์เอนกประสงค์สำหรับจัดการแสดง พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และงานศิลปะหลากหลายรูปแบบ รวมถึงกิจกรรมศิลปะวัฒนธรรมตลอดทั้งปี สำหรับควาบคืบหน้าของการก่อสร้าง  ได้มีการลงงานเสาเข็มของโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยโครงการพร้อมเปิดเฟสแรกในปี 2566 และก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2569
คำถามที่รอคำตอบ “ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย” ทำไมไม่ไปต่อ?

คำถามที่รอคำตอบ “ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย” ทำไมไม่ไปต่อ?

วันนี้ (30 กรกฎาคม 2562) ในโลกออนไลน์กลุ่มคนที่สนใจในข่าวสารวงการอสังหาริมทรัพย์ ต่างสงสัยและแปลกใจกับข่าวที่มีการแชร์ข้อมูลกันจำนวนมาก ถึงการยุติแผนการพัฒนาโครงการ “ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย” และมีการส่งจดหมายชี้แจงข้อเท็จจริงไปยังลูกค้าที่ซื้อมาก่อนหน้า  เพื่อเตรียมคืนเงินทั้งหมดให้กับลูกค้า เรียกว่า โครงการจะไม่ดำเนินการต่อตามแผนเดิมที่ได้วางไว้ ซึ่งสร้างความสงสัยและแปลกใจกับข่าวนี้เป็นอย่างมาก   เพราะก่อนหน้านี้บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2562 แจ้งข่าวการเปิดขาย “ไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย” ซึ่งเป็นโครงการแรกของปีนี้  ว่าได้รับผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถทำยอดพรีเซล ในระยะเวลา 4 วัน (วันที่ 23-26 พฤษภาคม 2562) ตั้งแต่ช่วงการจองผ่านช่องทางออนไลน์ “Ananda Online Booking” ผ่านทาง website www.ananda.co.th  รวมกับงาน Pre-Sales ในวันที่ 25-26 พฤษภาคม 2562 ที่สำนักงานขายโครงการไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย รวมทั้งสิ้นจำนวน 154 ยูนิต เป็นมูลค่าประมาณ 1,120 ล้านบาท หรือคิดเป็น 39% ของจำนวนที่เปิดขาย (เปิดขายพรีเซล เพียงอาคารเดียว คือ อาคารเอ ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 396 ยูนิต) ส่งจดหมายชี้แจง เหตุไม่ไปต่อ ช่วงเย็นของวันเดียวกัน ทางไอดีโอ ได้ส่ง Company Statement ชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเนื้อหาระบุว่า “ตามที่บริษัทได้มีการเปิดตัวพร้อมเปิดให้มีการจองซื้อห้องชุดในโครงการไอดีโอ คิว พหล–สะพานควายในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยโครงการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูง พร้อมความสะดวกสบายในการเดินทางซึ่งสามารถเลือกการเดินทางได้หลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการอยู่ติดกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควายเพียง 0 เมตรนั้น ทั้งนี้ เมื่อบริษัทได้เปิดให้มีการจองซื้อมาระยะหนึ่ง จึงได้ทราบว่ายังมีกลุ่มลูกค้าอีกเป็นจำนวนมากที่มีความสนใจและต้องการเข้าถึงโครงการดังกล่าวเช่นกัน บริษัทจึงเห็นสมควรให้มีการพิจารณาปรับรูปแบบและราคาของโครงการให้มีความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่มากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการอีกครั้งในช่วงต้นปี 2563"​   โดย Company Statement มีนาย สุเมธ รัตนศรีกูล กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจคอนโดมิเนียมแอชตัน ไอดีโอ คิว และ เอลลิโอ เป็นผู้ลงนามในหนังสือแจ้งดังกล่าว ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย โปรเจ็กต์ 10,000 ล้าน สำหรับโครงการ ไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย ตั้งอยู่ติดกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย (0 เมตร) บนที่ดินขนาดประมาณ 6 ไร่  มีจำนวนห้องพักอาศัยทั้งหมด 1,114 ห้อง มูลค่าโครงการประมาณ 10,000 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 5.5ล้านบาท  เป็นโครงการ High Rise สูง 39 ชั้น แบ่งเป็น 3 อาคาร อาคารเอ มีจำนวนห้อง 396 ห้อง อาคารบี มีจำนวนห้อง 287 ห้อง และอาคารซี มีจำนวนห้อง 431 ห้อง ทั้งยังมีร้านค้าปลีก 5 ร้าน จุดเด่นของโครงการ คือ ติดรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย โดยมีคอนเซ็ปต์ในการพัฒนามาจาก Urban - Human - Nature (เมือง - คน -ธรรมชาติ) Urban - คือการเชื่อมต่อ 0 เมตรจากรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย Human –  คือการเป็นโครงการที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายของผู้อยู่อาศัย โดยจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สิ่งอำนวยความสะดวกประจำโครงการ รูปลักษณ์โครงการ หรือสังคมของผู้พักอาศัย ที่มุ่งเน้นถึงสุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย Nature – คือการผสมผสานธรรมชาติเข้าไปในรูปลักษณ์การดีไซน์ของตัวตึก ข้อมูลโครงการ  โดยในช่วงที่เปิดลงทะเบียนเพื่อจองผ่านช่องทางออนไลน์ “Ananda Online Booking”  ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 13.00 น. ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษทั้งราคาพิเศษ และส่วนลดพิเศษ 10% จำวน 95 ยูนิต ที่นำมาเปิดขายออนไลน์ และได้จัดงาน Pre-Sales ในวันที่ 25-26 พฤษภาคม  2562 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 18.00 น  ที่สำนักงานขายโครงการไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย พร้อมรับส่วนลด 7%* (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) บทสรุปของ ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย คือ 1.การยุติการขาย 2.เตรียมปรับแบบใหม่ 3.ปรับราคาขายใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย 4.เตรียมเปิดตัวขายใหม่อีกครั้ง ในช่วงต้นปี 2563 5.คืนเงินให้กับลูกค้าที่ซื้อไปก่อนหน้าทั้งหมด   ส่วนคำถามและข้อสงสัยอื่นๆ ยังไม่ได้รับคำตอบจากบมจ.อนันดาฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยอดขายจริงว่าขายไปเท่าไรแล้ว ลูกค้าเก่าที่ยังสนใจจะซื้อโครงการในทำเลนี้ จะได้รับสิทธิประโยชน์อย่างไร รวมถึงเงินที่จ่ายไปแล้วได้รับดอกเบี้ยชดเชยเพิ่มเติมหรือไม่  ราคาขายใหม่จะถูกหรือแพงกว่าเดิม แบรนด์จะเปลี่ยนไปหรือไม่ และข้อสงสัยที่รอคำตอบจากฝ่ายบริหารของไอดีโอ โครงการ ไอดีโอ อื่นๆ ideo ข่าวอื่นๆ จาก ANANDA อนันดาฯ จับมือ ช้อปปี้ เปิดเกมรุกบุกตลาดอีคอมเมิร์ซกับดีลที่ดีที่สุด อนันดาฯ ยึดเบอร์ 1 คอนโดติดรถไฟฟ้า ลุยเปิด 38,000ล้าน อนันดาฯโชว์กำไรโต 61% แม้รายได้หดตัวเหตุเพราะเน้นโปรเจ็กต์ร่วมทุน
สรุปข่าวรอบสัปดาห์ วันที่ 22-28 กรกฎาคม 2562

สรุปข่าวรอบสัปดาห์ วันที่ 22-28 กรกฎาคม 2562

  MQDC ดึง “นาย ณภัทร” เป็น Brand Ambassador นายอัษฎา แก้วเขียว ประธานผู้อำนวยการ-วิสซ์ดอม บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC)  เปิดเผยว่า ได้เปิดตัว Whizdom Brand Ambassador  “น้องนาย- ณภัทร เสียงสมบุญ” จากก่อนหน้านี้  มี Brand Ambassador มาแล้ว 2 ท่าน คือ คุณญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ และคุณหมาก-ปริญ สุภารัตน์ ซึ่งทั้งสองท่านเป็นตัวแทนที่แสดงถึงไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ในด้านนวัตกรรม (Innovative Lifestyle) ต่างๆ ที่ทำให้ชีวิตสุขสบายขึ้น รวมถึงการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์วิสซ์ดอม (Whizdom) คือคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ชื่นชอบนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย และยังใส่ใจในด้านสังคมแห่งการเรียนรู้และแบ่งปัน  ​   “ฮาบิแทท กรุ๊ป” ร่วมทุน “ลิสต์ กรุ๊ป” ญี่ปุ่น นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ได้ร่วมทุนกับ “ลิสต์ กรุ๊ป” (List Group) ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น ในการพัฒนา 2 โครงการ คอนโดมิเนียมลักชัวรีโลว์ไรซ์ใจกลาง CBD มูลค่ารวมกว่า 2,800 ล้านบาท  ได้แก่ โครงการ “วาลเด้น ทองหล่อ 8” ภายใต้ บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป ลิสต์ จำกัด  และ โครงการ “วาลเด้น ทองหล่อ 13” พัฒนาภายใต้บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป ลิสต์ 2 จำกัด  ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นแบ่งเป็น ฮาบิแทท กรุ๊ป ถือหุ้น 62% และลิสต์ กรุ๊ป ถือหุ้น 38% ถือเป็นการสร้างการเติบโตของธุรกิจของ ฮาบิแทท กรุ๊ป อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเป็นการขยายธุรกิจต่อยอดความสำเร็จจากการไปเปิดตลาดจีน และฮ่องกง   “ซังเคียวโฮม” ปั้นคอนโดมิเนียมลักชัวรี “SYMYS Sukhumvit 61”    นางโสภิดา โองาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซันเคียว โฮม (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมโครงการที่ 3 และเป็นโครงการร่วมทุนโครงการที่ 2 กับบริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ เคฮัง กรุ๊ป ที่มีประวัติมายาวนานกว่า 100 ปี เจ้าของรถไฟฟ้าสายเคฮังเชื่อมโยงโอซาก้า-เกียวโต และอีกหลากหลายธุรกิจในแถบคันไซ โดยใช้ชื่อโครงการซิมมิส สุขุมวิท 61 (SYMYS Sukhumvit 61) เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ 7 ชั้น มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท  ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 1 ไร่  ในซอยสุขุมวิท 61 ประกอบด้วยอาคารสูง 7 ชั้น จำนวน 1 อาคาร ยูนิตพักอาศัยแบบ 1-2 ห้องนอน ขนาด 33-88 ตารางเมตร จำนวน 109 ยูนิต มีชั้นใต้ดิน 3 ชั้นสำหรับที่จอดรถระบบ Auto Parking แบรนด์คุณภาพจากญี่ปุ่นราว 113% ของจำนวนยูนิต  หรือกว่า 120 ช่องจอด ยูนิตพักอาศัยประเภท 1 ห้องนอน ราคาเริ่มต้นที่ 7.5 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 220,000-240,000 แสนบาทต่อตารางเมตร   “ออริจิ้น-พรีโม” จับมือ DWG ยกระดับแบรนด์สู่สากล นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับ บริษัท ดีดับเบิลยูจี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DWG Thailand ผู้บริหารงานขายอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรชั้นนำจากสิงคโปร์ ให้เป็นตัวแทนขายโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ต่างๆ ของบริษัทฯ ในตลาดต่างประเทศ  เบื้องต้นจะนำโครงการของออริจิ้นไปบริหารการขายอย่างน้อย 10 ชาติทั่วโลก ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย เมียนมา อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น และดูไบ  คาดว่าจะทำยอดขายได้ประมาณ​4,000 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติ 5,600 ล้านบาทในปีนี้ คิดเป็นสัด 20% เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้าที่มีสัดส่วน 16% ของยอดขายรวม และในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายไว้  28,000 ล้านบาท (อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติม)   ALL เปิดโปรเจ็กต์ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว-สุทธิสาร นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวโครงการ ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว – สุทธิสาร  มีมูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท บนพื้นที่ดินขนาด 3 ไร่ ตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 62 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีโชคชัย 4 เพียง 550 เมตร ซึ่งในอนาคตอันใกล้ เป็นโครงการคอนโดฯ​8 ชั้น 2 อาคาร  มีจำนวน 420 ยูนิต  ขนาดตั้งแต่ 1 ห้องนอน 24.50 – 30.10 ตารางเมตร ไปจนถึง 1 ห้องนอน พลัส ขนาด 34.70 ตารางเมตร  ทุกห้องมาพร้อมกับเครื่องปรับอากาศและเฟอร์นิเจอร์ครบครัน (Fully Furnished) สิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการ โดยโครงการได้รับการอนุมัติ EIA Approved เป็นที่เรียบร้อย (อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติม)   เจ.เอส.พี. กางแผนเปิดโปรเจ็กต์ใหม่  นายสงกรานต์ แสงอร่ามรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาดและการขาย บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  แนวทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 นี้ ได้วางแผนพัฒนาโครงการแนวราบ ประเภทบ้านแฝดก่อน 1 โครงการ ทำเลย่านบางบัวทอง มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท และต้นปี 2563 เตรียมเปิดแนวราบเพิ่มอีก 7 โครงการ มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท  และได้วางแผนต่อยอดพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งระดับกลาง-ล่าง พร้อมกับรีแบรนด์ปรับโฉม เจ.เอส.พี. ใหม่ ภายใต้แนวความคิด “มอบความสุขและบริการที่ดีแก่ลูกค้า” อีกทั้งมีการพัฒนาสินค้าให้มีความทันสมัยมากขึ้น โดยตั้งเป้าจับกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงานใหม่ ในช่วงระหว่างอายุ 30-40 ปี พร้อมตั้งเป้าภายใน 3 ปี สามารถทำยอดขายรวมแตะ 19,000 ล้านบาท (อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติม)   ดูโฮม เปิดสาขา Dohome To GO 90 สาขา นายอดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน)   เปิดเผยถึง  ได้ขยายสาขา Dohome To GO  ในรูปแบบที่เป็นสาขาขนาดเล็ก พื้นที่ประมาณ 300-1,000 ตารางเมตร โดยจะเปิดให้บริการในพื้นที่ห้างสรรพสินค้า  หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภครายย่อยใจกลางเมือง ตั้งเป้าการตั้งสาขาในปีนี้ 10 สาขาโดยเปิดไปแล้ว 2 สาขา คือ แม็คโคร สาขาจรัญสนิทวงศ์ และแม็คโคร สาขาสาทร และวางแผน การขยายสาขา Dohome To GO ให้ได้ 90 สาขา ภายในปี 2564 เพื่อรองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต มีจำนวนครอบครัวขนาดเล็กเพิ่มขึ้น และตอบโจทย์ความต้องการและความสะดวกสบาย ของผู้บริโภคใจกลางเมือง  ในการจัดหาวัสดุอุปกรณ์เรื่องบ้าน  ที่สามารถดูแลซ่อมแซม ด้วยตนเองได้ในเบื้องต้น (อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติม)   I’m Chinatown เปิดเดย์สปาระดับพรีเมี่ยม นางสาวรวิสรา เลิศปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอแอมไชน่าทาวน์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการเล็ทส์ รีแลกซ์ สปา (Let’s Relax Spa) บูติคเดย์สปาระดับ 4 ดาว เนื่องในโอกาสที่ Let’s Relax Spa  ได้เข้าเปิดสาขาที่ 20 ในโครงการ I’m Chinatown โครงการมิกซ์ยูสที่ใหญ่สุดของย่านเยาวราช โดย Let’s Relax Spa จะเป็นสปาระดับพรีเมี่ยมแห่งแรกและใหญ่ที่สุดของไชน่าทาวน์ ขนาด 500 ตารางเมตร บนชั้น 3 ของส่วน ศูนย์การค้า มีจำนวน 30 เตียง แบ่งออกเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนนวดเท้า นวดไทย และนวดน้ำมัน  ซึ่งจะเปิดให้ บริการตั้งแต่ 10.00 ถึงเที่ยงคืน เพื่อรองรับกลุ่มนักเที่ยวชาวจีน ไต้หวัน และฮ่องกง เป็นหลัก พร้อมกลุ่มเจ้าของ ธุรกิจในย่านเยาวราชและนักท่องเที่ยวชาวไทย   SAM กวาดยอดประมูลร่วม 300 ล้านบาท นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผยว่า SAM จัดประมูลทรัพย์สิน NPA เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีนักลงทุนให้ความสนใจยื่นซองประมูลทรัพย์สินมูลค่ารวมประมาณ 300 ล้านบาท  อาทิ  อาคารสำนักงาน เนื้อที่กว่า 6 ไร่  เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ  ที่ดินเปล่า เนื้อที่กว่า 40 ไร่ ในจ.พระนครศรีอยุธยา  เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งานเศษ ใน จ.ลำปาง และเนื้อที่ 2 งานเศษ ใน จ.เชียงใหม่ สำหรับการจัดงานประมูลครั้งต่อไป ในวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562 ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ    
“ออริจิ้น-พรีโม” จับมือ DWG เจาะลูกค้าต่างชาติทั่วโลก ดันยอด 5,600 ล้าน

“ออริจิ้น-พรีโม” จับมือ DWG เจาะลูกค้าต่างชาติทั่วโลก ดันยอด 5,600 ล้าน

“ออริจิ้น” จับมือ “DWG Thailand” ขนโปรเจ็กต์คอนโดฯ​ เจาะตลาด 10 ชาติทั่วโลก ดันเป้ายอดขาย 5,600 ล้าน ชู 3 กลยุทธ์สวนกระแสตลาดชะลอตัว มั่นใจไทยยังเป็นจุดหมายของต่างชาติทั้งพักอาศัยและท่องเที่ยว   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับบริษัท ดีดับเบิลยูจี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DWG Thailand ผู้บริหารงานขายอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรชั้นนำจากสิงคโปร์ ให้เป็นตัวแทนขายโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ต่างๆ ของบริษัทฯ ในตลาดต่างประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากปัจจุบัน 16% เป็น 20% หรือมียอดขายประมาณ 5,600 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายรวมในปีนี้ 28,000 ล้านบาท โดยคาดว่ายอดขายจาก DWG Thailand จะทำได้ 4,000 ล้านบาท ส่วนอีก 1,600 ล้านบาทจะมาจากเอเย่นต์รายอื่นๆ ที่เป็นตัวแทนให้กับบริษัท   การที่บริษัทเลือกให้ DWG Thailand เป็นตัวแทนขายโครงการของบริษัทนั้น เป็นเพราะDWG Thailand ถือเป็นเอเย่นต์ชั้นนำในประเทศสิงคโปร์ มีเครือข่ายในประเทศมากกว่า 4,000 แห่ง โดยศักยภาพการทำตลาดสามารถขายโครงการคอนโดฯ ในประเทศไทยได้กว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ DWG Thailand ยังมีนโยบายการออกไปทำตลาดในต่างประเทศ ทั้งในเอเชีย อาทิ ไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น กัมพูชา และในยุโรป เช่น อังกฤษ  ซึ่ง DWG Thailand จะนำโครงการของออริจิ้นไปบริหารการขายอย่างน้อย 10 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย เมียนมา อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น และดูไบ   “ปัจจุบันตลาดคอนโดฯ ของไทยมีลูกค้าต่างชาติเข้ามาซื้อ คิดเป็นสัดส่วน 25% ของตลาดรวม  ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังมียอดขายต่างชาติเพียง 16% จึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ปัจจุบันบริษัทมีโครงการอยู่ระหว่างการขาย 30 โครงการ”    อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดอสังหาฯ​ ที่จับตลาดต่างชาติในปีนี้จะชะลอตัว จากมาตรการ LTV  ออกมาสกัดนักเก็งกำไร โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีน แต่ยังมีกลุ่มชาวต่างชาติจากประเทศอื่นๆ ที่ให้ความสนใจอสังหาฯ ในประเทศทไทย ไม่ว่าจะเป็นจากประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMV รวมถึงชาวต่างชาติอื่นๆ ในเอเชีย ซึ่งประเทศไทยยังได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ ในการเข้ามาพักอาศัยและการท่องเที่ยว รวมถึงเป็นประเทศที่ยังมีการเข้ามาลงทุนในอสังหาฯ อย่างต่อเนื่องด้วย  โดยประเทศไทยถือว่าติดอันดับ 9 สำหรับที่พักหลังเกษียณของชาวต่างชาติ เนื่องจากมีต้นทุนค่าครองชีพต่ำ ไลฟ์สไตล์หลากหลาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ   นายพีระพงค์ กล่าวอีกว่า ได้วาง 3 กลยุทธ์ในการทำตลาดและสร้างการเติบโตกับการจับตลาดลูกค้าต่างชาติ ได้แก่ 1.กลยุทธ์​ B2B การทำตลาดผ่านเอเย่นต์ในแต่ละประเทศ 2.การมองหาพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น DWG ในการช่วยทำตลาด 3.การให้บริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ภายใต้บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด  ซึ่งภาพรวมตลาดผู้ซื้อชาวต่างชาติในปี 2561 ที่ผ่านมาคาดว่ามูลค่า  92,000 ล้านบาท ส่วนปีนี้คาดว่าตลาดจะมีมูลค่ารวมประมาณ 100,000 ล้านบาท   ด้านนายธนา ต่อสหะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ในเครือออริจิ้น กล่าวว่า หลังจากบริษัทได้ตกลงความร่วมมือกับ DWG Thailand ในการดูแลงานบริการหลังการขาย 3 ด้าน ให้แก่ลูกค้าชาวต่างชาติทั้งหมดของ DWG Thailand ได้แก่ 1.บริการรับฝากขายต่อและปล่อยเช่า (Resale & Leasing Services) 2.บริการตกแต่งห้องพัก (Decoration Services) 3.บริการดูแลด้านความสะอาดภายในห้องพัก (Cleaning Services) ล่าสุด บริษัทเตรียมเข้าพบปะกับเครือข่ายตัวแทนขายของ DWG Thailand ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ เพื่อนำเสนอบริการหลังการขายที่ได้คุณภาพและมาตรฐานของบริษัท แก่ลูกค้าชาวต่างชาติทั้งหมดในเครือข่ายของ DWG ที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ส่วนนายเดนก้า วี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดีดับเบิลยูจี (DWG) กล่าวว่า DWG Thailand จะนำโครงการของออริจิ้นภายใต้ 2 แบรนด์หลัก ได้แก่ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) และดิ ออริจิ้น (The Origin) ไปขายในตลาดต่างประเทศทั้ง 10 ชาติ โดยจะมุ่งเน้นการนำเสนอจุดขายของแบรนด์ให้เป็นที่จดจำและไว้วางใจ มากกว่าการนำเสนอจุดขายเป็นรายโครงการ เพื่อสร้างโอกาสของแบรนด์ในฐานะ “อินเตอร์แบรนด์” ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน”   “ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในหลายประเทศทั่วโลกมีราคาสูงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะสามารถเข้าถึงได้ ทำให้หลายประเทศยังคงมองหาโอกาสการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ทั้งเพื่อการอยู่อาศัยในช่วงหลังเกษียณและการลงทุน   ปล่อยเช่า โดยไทยยังถือเป็นประเทศเป้าหมายสำคัญที่ชาวต่างชาติยังคงให้ความสนใจการซื้อที่อยู่อาศัยในหลากหลายเซ็กเมนท์ และคอนโดมิเนียมของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทั้ง 2 แบรนด์ ล้วนตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ  มีคุณภาพ ฟังก์ชั่น การออกแบบ สิ่งอำนวยความสะดวก ที่ได้มาตรฐานพร้อมตอบโจทย์ผู้บริโภคระดับสากล” นายเดนก้า กล่าว   สำหรับ DWG หรือ Dennis Wee Group เป็นผู้ประกอบธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของสิงคโปร์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2536 ณ ประเทศสิงคโปร์ ภายใต้ชื่อ Dennis Wee Realty ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น DWG อย่างเป็นทางการในปี 2551 ปัจจุบัน มีเครือข่ายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ในกว่า 10 ประเทศทั่วโลก มีโครงการที่เป็นตัวแทนขายรวมกันทั่วโลก ขณะนี้กว่า 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 9,000 ล้านบาท    
ออลล์ อินสไปร์ฯ เปิด “ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว-สุธิสาร” 1,200 ล้าน จับตลาดคนรุ่นใหม่

ออลล์ อินสไปร์ฯ เปิด “ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว-สุธิสาร” 1,200 ล้าน จับตลาดคนรุ่นใหม่

ออลล์ อินสไปร์ฯ  เปิดตัวคอนโดใหม่ “โครงการ ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว – สุทธิสาร” 1,200 ล้าน  จับตลาดคนรุ่นใหม่ รับการเติบโตของชุมชน แหล่งทำงาน และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง มั่นใจสิ้นปีทำยอดรับรู้รายได้เป็นไปตามเป้า 4,500 ล้าน   นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL เปิดเผยว่า ได้ปิดตัวโครงการ ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว – สุทธิสาร  ตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 62 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีโชคชัย 4 เพียง 550 เมตร บนพื้นที่ดินขนาด 3 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ (Low Rise) 8 ชั้น 2 อาคาร มีจำนวน 420 ยูนิต  โดยมีขนาดห้องชุดเริ่มตั้งแต่ 1 ห้องนอน 24.50 – 30.10 ตารางเมตรไปจนถึง 1 ห้องนอน พลัส ขนาด 34.70 ตารางเมตร โดยตั้งเป้าหมายยอดขาย 70% ในช่วง 3 เดือนแรก  ซึ่งปัจจุบันมีผู้สนใจลงทะเบียนแล้วประมาณ 4,000 ราย ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ 7,300 ล้านบาท มีเป้าหมายรายได้ในปีนี้  4,500 ล้านบาท ซึ่งจะมีโครงการแล้วเสร็จพร้อมรับรู้รายได้ 3 โครงการ ได้แก่ เดอะวิชั่น ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว 71 และอิมเพรสชั่น ภูเก็ต รวมมูลค่า 5,000 ล้านบาท และวางเป้าหมายยอดขายในปีนี้ 7,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทมียอดขาย ประมาณ 4,000 ล้านบาท   นายธนากร  กล่าวอีกว่า  ในส่วนการดำเนินงานของ ALL หลังจากนำธุรกิจเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai และประกาศเป้าหมายสู่การเป็น Top 10 อสังหาฯ แถวหน้าของไทยภายใน 5 ปี บริษัทมีความพร้อมในการพัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพในพื้นที่ศักยภาพ โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณใกล้แนวระบบขนส่งมวลชนหลักของกรุงเทพฯ อย่าง BTS และ MRT เพื่อการเดินทางที่สะดวกสบาย ใกล้แหล่งชุมชน และสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของกลุ่มคนในสังคมเมือง โดย ออลล์ อินสไปร์ฯ วาง Positioning คอนโดมิเนียมแบรนด์ The Excel กลุ่มแบรนด์นี้จะเป็นคอนโด Low Rise ใกล้แนวรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นจุดขายหลักของ ALL ซึ่งแบรนด์ ดิ เอ็กเซล วางราคาขายอยู่ที่ประมาณ 1.5 - 3 ล้านบาท จับกลุ่มคนในวัยทำงาน อาศัยอยู่ใจกลางเมืองและสะดวกในการเดินทาง   ทั้งนี้ จากการสำรวจ ราคาที่ดินในโซนลาดพร้าว – สุทธิสาร โดยเฉพาะบริเวณถนนสายหลักและพื้นที่ใกล้เคียงทำเลโชคชัย 4 – เดอะมอลล์ บางกะปิ มีอัตราการเติบโตจาก 100,000 บาทต่อต่อตารางวาเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 – 400,000 แสนบาทต่อตารางวา  ขณะที่กำไรจากการขายต่อ (Capital Gain) ของคอนโด Low Rise ในย่านลาดพร้าวอยู่ที่ 3.6% ต่อปี โดยกลุ่มที่มีผลตอบแทนสูงคือ โซนลาดพร้าว – โชคชัย 4 อยู่ที่ 4.2% ต่อปี ซึ่งเป็นทำเลที่ผู้คนนิยมอยู่อาศัยหนาแน่นในอัตรา 90 – 95% เป็นผู้อยู่อาศัยเอง 65% เป็นผู้เช่า 25% ขณะที่กำไรต่อการปล่อยเช่า (Gross Rental Yield) ในย่านนี้ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ ด้วยผลตอบแทนอยู่ที่ 6% ต่อปี เนื่องจากในทำเลดังกล่าว ถือเป็นไพร์มโลเคชั่นในอันดับต้นๆ สำหรับที่อยู่อาศัย เพราะการเดินทางที่สะดวก เชื่อมต่อถนนสายสำคัญหลายสาย และแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ แหล่งจับจ่ายใช้สอย ร้านอาหาร สถานที่พบปะสังสรรค์ ฯลฯ ย่านนี้จึงเป็นย่านอยู่อาศัยแหล่งสำคัญของกรุงเทพฯ และศูนย์กลางคมนาคม ส่งผลให้ราคาที่ดินโซน และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน จึงเป็นทำเลที่ตอบโจทย์วิถีการดำรงชีวิตในทุกๆ ด้าน   จากการสำรวจพบว่า โซนนี้มีที่อยู่อาศัยให้เลือกมากมาย ทั้งโฮมออฟฟิศและคอนโดโลว์ไรส์ เหมาะสำหรับกลุ่มคนวัยทำงานรุ่นใหม่ ธุรกิจสตาร์ทอัพ นักลงทุน กลุ่มอาชีพอิสระ กลุ่มอาชีพสร้างสรรค์ เช่น โปรดักชั่น เฮ้าส์ สตูดิโอต่างๆ สายงานครีเอทีฟ งานอาร์ต งานด้านสื่อดิจิทัล ด้วยไลฟ์สไตล์ของกลุ่มนี้ที่ต้องการความยืดหยุ่นด้านเวลา ต้องการมีอิสระทางการเงิน วางแผนการใช้ชีวิตอย่างสมดุล (Work - Life Balance) คนกลุ่มนี้มักเลือกที่อยู่อาศัยไม่ไกลจากถนนใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้า มี Facilities ครบครัน เช่น ฟิตเนส สระว่ายน้ำ Co - Working Space ฯลฯ   สำหรับคอนโด Low Rise นับเป็นคอนโดที่กลุ่มคนวัยทำงานสามารถเป็นเจ้าของได้ กลุ่มคนในวัยทำงานส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Double Income, No Kids หรือ DINKs ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ที่มีชีวิตคู่ แต่ปัจจุบันยังไม่มีลูก เนื่องจากมีความพึงพอใจในการใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองเป็น ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีอัตราการขยายตัวมากขึ้นในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้องการใช้ชีวิตอยู่แบบครอบครัวเดี่ยวที่ยังไม่อยากขยาย ต้องการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีในราคาที่เอื้อมถึง มีรายได้ประจำเฉลี่ยประมาณ 25,000 – 50,000 บาทขึ้นไปต่อเดือน ซึ่งข้อดีของกลุ่มนี้ คือ สามารถกู้ร่วมได้ ทำให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ได้ง่าย ยอดการปฏิเสธสินเชื่อจึงอยู่ในระดับต่ำ    
แสนสิริเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ไม่เกิน 4,000 ล้าน เสริมแกร่งธุรกิจ [PR News]

แสนสิริเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ไม่เกิน 4,000 ล้าน เสริมแกร่งธุรกิจ [PR News]

แสนสิริเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ อายุ 3 ปี 10 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.90% ต่อปี (จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้) มูลค่ารวมไม่เกิน 4,000 ล้านบาท นำเงินทุนเสริมแกร่งรับแผนการเติบโตของธุรกิจครึ่งหลังปี 2562 เผยมี Presale Backlog รองรับการเติบโตจนถึงปี 2565 แล้วถึง 57,200 ล้านบาทแข็งแกร่งทุกสภาวะการณ์ ผนึก 4 สถาบัน จำหน่าย   นายวันจักร์  บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมเสนอขายหุ้นกู้มูลค่ารวมไม่เกิน 4,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจตามแผนที่วางไว้ในช่วงครึ่งหลังปี 2562 นอกเหนือไปจากการพึ่งพาวงเงินกู้จากธนาคาร โดยส่วนหนึ่งจะชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนกรกฎาคมนี้จำนวน 1,000 ล้านบาท และเดือนตุลาคมปีนี้ จำนวน 1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทสำหรับเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ For Greater Well-Being สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตลอดปี 2562 ต่อยอดกลยุทธ์ Green & Well-Being สู่ทุกโครงการใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในทุกมิติ ตอกย้ำภาพลักษณ์ของบริษัทในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม เพื่อการอยู่อาศัยที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม   “บริษัทเตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 3 ปี 10 เดือน มูลค่าหุ้นกู้รวม 3,500 ล้านบาท  และมีหุ้นกู้สำรองสำหรับเสนอขายเพิ่มเติมไม่เกิน 500 ล้าน ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.90% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุของหุ้นกู้ ราคาเสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาทและทวีคูณของ 100,000 บาทให้กับผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน ระหว่างวันที่ 30 – 31 กรกฎาคม และ 1 สิงหาคม 2562 โดยแต่งตั้งให้ 4 สถาบันการเงินชั้นนำ ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพฯ และธนาคารกรุงไทย เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย” นายวันจักร์ กล่าว   สำหรับหุ้นกู้ที่บริษัทนำเสนอในครั้งล่าสุดนี้ นับว่าให้อัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจ และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการออม โดยมีผลตอบแทนที่ดี และมีความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับ BBB+ ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2562 จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ซึ่งนับเป็น Investment Grade ที่น่าลงทุน ขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้ง ยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ BBB+ เช่นเดียวกัน อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย รวมทั้งสถานะการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยผลการดำเนินงานล่าสุด ในไตรมาส 1 ปี 2562 บริษัทมีรายได้รวม 6,638 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 27% จากช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า   โดยรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ โครงการ    บ้านแสนสิริ พัฒนาการ, โครงการเศรษฐสิริ พหล – วัชรพล, โครงการบุราสิริ ปัญญาอินทรา, โครงการบุราสิริ ราชพฤกษ์-345 และโครงการ สราญสิริ เกาะแก้ว ภูเก็ต นอกจากนี้บริษัทยังมีความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่แข็งแกร่งเป็นสำคัญ รวมถึงยอดขายที่รอการส่งมอบ ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 2565 แล้วถึง 57,200 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายรอรับรู้รายได้ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ถึง 20,000 ล้านบาท   “บริษัทวางแผนออกหุ้นกู้ที่เหมาะสมเพื่อช่วยสร้างเสถียรภาพด้านการบริหารต้นทุนทางการเงินและดอกเบี้ยอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ การนำเสนอหุ้นกู้ของบริษัทในครั้งนี้ เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนต่อเนื่องหลังจากที่บริษัทประสบความสำเร็จจากการเสนอขายหุ้นกู้มาแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา” นายวันจักร์ กล่าวสรุป
เปิดเส้นทาง “ดูโฮม” ธุรกิจวัสดุก่อสร้างภูธรสู่ “มหานคร” กรุงเทพฯ

เปิดเส้นทาง “ดูโฮม” ธุรกิจวัสดุก่อสร้างภูธรสู่ “มหานคร” กรุงเทพฯ

นับวันความเจริญเติบโตของเมือง ก็ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ การเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สารพัดโครงการ ไม่เฉพาะแต่ที่อยู่อาศัยเท่านั้น การขยายตัวของเมืองเช่นนี้ เป็นผลบวกต่อธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ตกแต่งและซ่อมแซม ให้เติบโตขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ประเมินว่าในปีที่ผ่านมาจะมีมูลค่าสูงถึง 500,000 ล้านบาท เติบโตกว่า 5% ส่วนในปีนี้ประเมินว่าน่าจะเติบโตได้ถึง 10% สาเหตุสำคัญเกิดจากการขยายธุรกิจ การขยายสาขา การเพิ่มจำนวนสินค้าของบรรดาผู้ประกอบการในตลาด โดยเฉพาะกลุ่มโมเดิร์นเทรด ที่มีผู้เล่นหลักอยู่ 5 รายใหญ่ ได้แก่ โฮมโปร โกลบอลเฮ้าส์ ไทวัสดุ ดูโฮม และเมกาโฮม ซึ่งมีรายได้รวมกันมากกว่า 120,000 ล้านบาท   โดยความเคลื่อนไหวในวงการค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ตกแต่งและซ่อมแซมล่าสุด คือ “ดูโฮม” ประกาศแผนธุรกิจ 3 ปี เพื่อรุกตลาดด้วยการขยายสาขาไซส์เล็กจำนวนมาก พร้อมกับเตรียมตัวระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์   “ดูโฮม” ธุรกิจภูธรสู่ “มหานคร” กรุงเทพฯ   กว่าจะเป็นบริษัทมหาชนในวันนี้ จุดเริ่มต้นของ “ดูโฮม” เกิดขึ้นในปี 2526 ภายใต้การบริหารงานของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ.อุบลวัสดุ เพื่อจำหน่ายสินค้ากลุ่มเหล็ก วัสดุมงหลังคา ไม้อัด และสินค้าวัสดุก่อสร้าง ก่อนจะจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นเป็นบริษัท อุบลวัสดุ จำกัด ในปี 2536 เพื่อประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร ภายใต้ชื่อ “อุบลวัสดุ”   ธุรกิจของอุบลวัสดุ เริ่มเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงขยายสาขาออกนอกพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ในปี 2550 กับสาขาที่ 2 ในจังหวัดนครราชสีมา พร้อมกับใช้ชื่อทางการค้าใหม่ว่า “ดูโฮม ในเครือบริษัท อุบลวัสดุ จำกัด" เมื่อมีสาขาที่ 2 บริษัทก็ขยายสาขาต่อไปตามอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นทุกปี จนถึงปัจจุบันมีสาขาเปิดให้บริการ 9 สาขา ในภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ กรุงเทพฯ​ และปริมณฑล พร้อมกับลงทุนจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าอีก 1 แห่ง ในช่วงปี 2558 ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ดูโฮม จำกัด ก่อนจะแปรสภาพจากบริษัทจำกัด เป็นบริษัทมหาชนในวันที่ 24 พฤษภาคม 2561   แผนธุรกิจ 3 ปีเปิดเพิ่ม90 + 7  สาขา     ตามแผนธุรกิจในระยะ 3 ปีนับจากนี้ หรือภายในปี 2564 จะขยายสาขาเพิ่มอีก 97 แห่ง จากปัจจุบันมีสาขาแล้ว 9 แห่ง ซึ่งเป็นรูปแบบสาขาขนาดใหญ่ หรือ ไซส์แอล (L) โดยมีพื้นที่ขายและคลังสินค้า 35,000-65,000 ตารางเมตร  เป็นสาขาภายใต้แนวคิด “ครบ ถูก ดี..ที่ดูโฮม” มีจำนวนสินค้ากว่า 135,000 รายการ ใช้งบลงทุนประมาณ​ 250-300 ล้านบาทต่อสาขา ภายในสิ้นปีนี้จะมีสาขาเพิ่มอีก 1 แห่งในย่านเพชรเกษม  และบริษัทวางเป้าหมายรายได้เมื่อเปิดดำเนินการครบ 3 ปี สาขาละ 1,000-1,200 ล้านบาท   นอกจากนี้ ยังวางแผนขยายสาขาในรูปแบบไซส์เล็ก ภายใต้ชื่อ ดูโฮม ทู โก (Dohome To Go) พื้นที่ประมาณ 300-1,000 ตารางเมตร  โดยจะเปิดให้บริการในพื้นที่ชุมชนหนาแน่น  ใช้งบลงทุนประมาณ 6,000 บาทต่อตารางเมตร หรือไม่เกินสาขาละ 2 ล้านบาท มีสินค้าจำหน่ายประมาณ 10,000 รายการ โดยจะเน้นสินค้าในกลุ่มซ่อมแซมและตกแต่งบ้านเป็นส่วนใหญ่  โดยวางแผนเปิดในปีนี้ 10 สาขา ปีหน้า 30 สาขา และปีต่อไปอีก 30 สาขารวม 90 สาขา   นายภูธดา ธีรเวชชการ รองผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME เปิดเผยว่า การขยายสาขาดูโฮม ทู โก เป็นเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป มีการซ่อมแซมบ้านด้วยตนเอง หรือกลุ่ม DIY เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากช่างซ่อมแซมต่างๆ หาได้ยาก จึงถือเป็นตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น จึงได้ขยายสาขาในไซส์ขนาดเล็ก  โดยจะขยายไปในทำเลของไฮเปอร์มาร์เก็ต ทั้ง แม็คโคร บิ๊กซี และโลตัส ที่มีสาขารวมกันกว่า 400-500 แห่งในกรุงเทพฯ​ และปริมณฑล เพื่อให้ลูกค้าสะดวกต่อการมาซื้อสินค้า นอกจากการจัดจำหน่ายสินค้าผ่านร้านค้าสาขาต่างๆ ของบริษัท ดูโฮม ยังเปิดช่องทางการจำหน่ายแบบออนไลน์  ภายใต้ชื่อ Dohome Shop Online ผ่านทางเว็บไซต์ของดูโฮม นอกจากนี้ยังสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่าน Line@ และระบบคอลเซ็นเตอร์   สำหรับผลประกอบการของบริษัทย้อนหลัง 3 ปีที่ผ่านมา  บริษัทมีรายได้รวม 18,692.07 ล้านบาท ในปี 2559 มีรายได้รวม 18,664.21 ล้านบาท ในปี 2560 และมีรายได้รวม 18,535.17 ล้านบาท ในปี 2561 โดยคาดว่าปีนี้จะสามารถสร้างการเติบโตได้มากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้รวมกว่า 4,980.24 ล้านบาท   ส่วนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO)  บริษัทจะเสนอขายจำนวน 465,040,000 หุ้น กำหนดราคาเสนอขายที่ 7.80 บาทต่อหุ้น พร้อมกับกำหนดระยะเวลาจองซื้อระหว่างวันที่ 25-26 และ 30-31 กรกฎาคม 2562 โดยคาดว่าจะเข้าซื้อขายวันแรกไนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 6 สิงหาคม 2562  ซึ่งจะนำเงินที่ได้จากการขาย IPO ไปใช้ลงทุนขยายสาขา ไปใช้เพื่อรองรับการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของบริษัท ชำระเงินกู้สถาบันการเงินและภาระหนี้อื่นๆ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน      
เปิดประสบการณ์ช้อปปิ้งในยุค 4.0 กับ “แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์” แห่งแรกของไทย

เปิดประสบการณ์ช้อปปิ้งในยุค 4.0 กับ “แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์” แห่งแรกของไทย

ในยุคดิจิทัล 4.0 ที่ทุกวันนี้ผู้บริโภคนำเอาดิจิทัลเข้ามาอยู่ในวิถีชีวิต ทำอะไรก็ผ่านสมาร์ทโฟน เพื่อทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ว่าจะติดต่อสื่อสารหรือจับจ่ายใช้สอย ทำได้ง่ายแค่นิ้วสัมผัสหน้าจอ ส่งผลให้บรรดาผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมของคนยุคนี้ที่เปลี่ยนแปลงไป “แม็คโคร” แม้จะเป็นธุรกิจค้าส่ง ซึ่งทำการค้ากับบรรดาพ่อค้าแม่ค้า เจ้าของธุรกิจร้านค้า หรือผู้ประกอบการต่างๆ ก็ต้องปรับตัวด้วยเช่นกัน เพราะกลุ่มผู้ประกอกบการไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ต่างก็นำเอาระบบดิจิทัลเข้ามาเป็นตัวช่วยด้วยกันทั้งนั้น ที่สำคัญผู้ประกอบการเหล่านี้ก็ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว ในการซื้อสินค้าไม่ว่าจะมาช้อปปิ้งที่สาขาหรือจะสั่งซื้อทางออนไลน์ก็ตาม บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดตัว "แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์" แห่งแรก สาขาลาดกระบัง ต้นแบบห้างค้าส่งอัจฉริยะ โมเดลฟูดเซอร์วิส นำปัญญาประดิษฐ์(AI) เชื่อมต่อพนักงาน+คู่ค้า+ลูกค้า ด้วยงบลงทุน 200 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล 26 ล้านบาท  พัฒนาสโตร์ขนาดพื้นที่รวม 6,700 ตารางเมตร มีพื้นที่ขาย 1,900 ตารางเมตร ซึ่งเติมเต็มด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยีและดิจิทัล เป้าหมายของขยายสาขาดิจิทัล สโตร์ “แม็คโคร” ต้องารสร้างผลสัมฤทธิ์ 4 ด้าน ทั้งประสิทธิภาพการทำงาน การบริการที่ดีขึ้น ประหยัดพลังงาน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เสริมประสิทธิภาพลดปัญหาสต็อกขาด คิวยาว ควบคุมคุณภาพสินค้าได้ดีขึ้น สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้ประกอบการยุคใหม่ โดยการนำเอาเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตออฟธิงค์ (IoT) มาใช้ นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์  เป็นร้านค้าแบบฟูดเซอร์วิส ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาต่อยอด ทำให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจ 4 ด้าน นั่นคือ บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพของการบริหารจัดการในสาขา ประหยัดพลังงานในระยะยาว และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างประสบการณ์ความพึงพอใจรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้าผู้ประกอบการยุคดิจิทัล ให้สะดวก รวดเร็ว และแม่นยำ “แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์ สาขาลดกระบัง ออกแบบและวางระบบด้วยการนำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อบริหารจัดการภายในร้าน และการให้บริการต่างๆ ตั้งแต่จุดรับชำระเงิน ชั้นวางสินค้า การบริหารจัดการสินค้าคงคลังทั้งหน้าร้านและหลังร้าน การตรวจเช็คสินค้าราคา การสั่งสินค้าผ่าน  อีคอมเมิร์ซ  การใช้ไฟฟ้าและการประหยัดพลังงานภายในสาขา ฯลฯ  โดยติดตามผ่านการแสดงหน้าจอบนแผงตรวจสอบและควบคุมการปฏิบัติงาน” นางศิริพร กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาจะพบว่าปัญหากลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ เข้ามาซื้อสินค้าแล้วได้สินค้าไม่ครบ รวมถึงใช้เวลานานในการชำระเงิน เนื่องจากมีผู้เข้ามาซื้อสินค้าจำนวนมาก ต้องต่อแถวเพื่อชำระเงินเป็นเวลานาน อุปกรณ์เทคโนโลยีและดิจิทัลที่นำเข้ามาจะช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านั้น  โดยคาดหวังว่าจะช่วยทำให้แม็คโครมียอดขายเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับสาขาปกติ เพราะการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการขายและบริการ จะลดโอกาสการขาดสต็อก และลดการสูญเสียโอกาสในการขาย ขน 23 อุปกรณ์ดิจิทัลรองรับลูกค้า 4.0 แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์ สาขาลาดกระบัง ได้นำเอาอุปกรณ์เทคโนโลยีและดิจิทัล มาใช้เสริมสร้างประสบการณ์ซื้อสินค้า ของลูกค้าในยุค 4.0 และเพิ่มประสิทธิภาพต่างๆ มากถึง 23 อุปกรณ์ นับตั้งแต่ทางเข้าห้างไปจนถึงขันตอนการจ่ายเงิน อาทิ สื่อโฆษณาดิจิทัล มีทั้งจอแอลอีดี ซึ่งใช้แทนสื่อโฆษณาในรูปแบบเดิมที่เป็นกระดาษ เพื่อเป็นสื่อโฆษณาบอกข้อมูลโปรโมชั่นสินค้า  และข้อมูลต่างๆ  ป้ายโปรโมชั่นอัจฉริยะ  บอกทั้งราคา สแกนได้ทั้งคิวอาร์โค้ทตรวจสอบย้อนกลับ แทรกหนังโฆษณา โดยมีป้ายโฆษณาดิจิทัลในจุดสำคัญๆ  ตั้งแต่ทางเข้าห้างไปจนถึงจุดชำระเงิน ป้ายราคาอัจฉริยะ ESL (Electronic Shelf Label) ถูกนำมาใช้แทนป้ายรูปแบบกระดาษที่เคยใช้มาตลอด 30 ปี โดยจะมีการติดตั้งป้ายกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ LED หลากหลายขนาด จำนวนกว่า 8,000 ชิ้น ซึ่งมีข้อดี คือ สามารถเปลี่ยนแปลงราคาได้ภายใน 40 วินาที จากการควบคุมสั่งงานผ่านของส่วนกลาง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้า หรือจัดทำราคาโปรโมชั่น จากเดิมต้องให้พนักงานเดินเปลี่ยนป้ายราคาตามจุดต่างจำหน่ายสินค้านับ 1,000 จุด  นอกจากนี้ ป้ายอัจฉริยะยังเชื่อมโยงข้อมูลของสินค้า รายละเอียดต่างๆ กล้อง AI อัจฉริยะ สำหรับการตรวจสอบปริมาณสินค้าบนชั้นวาง เมื่อสินค้าถูกจำหน่ายออกไป พนักงานจะเข้ามาเติมสินค้าบนชั้นได้ทันที  โดยกล้องสามารถกำหนดเวลาการตรวจสอบข้อมูลสินค้าได้ทั้งแบบเรียลไทม์หรือตั้งเวลา เพื่อแจ้งเตือนการเติมสินค้าได้ทันความต้องการ เบื้องต้นมีการติดตั้งกล้องจำนวน 25 ตัวในแผนกสินค้าที่ขายดี ครอบคลุมพื้นที่ขายประมาณ 20% คิว บัสเตอร์ (Queue Buster) เข้ามาช่วยทำให้การชำระเงินสะดวกรวดเร็ว  เพราะจะมีพนักงานที่ติดเครื่องหมาย Q Buster ไว้ที่แขนเสื้อ มาช่วยสแกนบาร์โค้ดของสินค้า พร้อมบันทึกรายการสินค้าลงในหมายเลขบัตรสมาชิก หากเห็นแถวชำระเงินต่อกันยาว เมื่อถึงคิวชำระเงินแคชเชียร์เพียงสแกนบัตรสมาชิกก็คิดเงินได้ทันที เครื่องคิดเงินสองหน้าจอ (Double Screen Cashier) แสดงรายการสินค้าที่ถูกสแกนไปพร้อมๆ กับพนักงานแคชเชียร์ จะได้ทำการตรวจเช็คความถูกต้องไปพร้อมกัน  พร้อมกับมีช่องแสดง QR code สำหรับชำระเงิน ชำระเงินด้วยการสแกน QR Code (QR payment)  ก้าวสู่สังคมไร้เงินสดไปกับการชำระเงินด้วยการสแกน QR Code เพื่อชำระเงิน ง่าย สะดวก รวดเร็ว และแม่นยำ หน้าจอ Eco-Friendly แจ้งสถานะการใช้พลังงานจากโซล่า พาเนล บนหลังคา รวมถึงบอกจำนวนการใช้พลังงานแต่ละจุด  อาทิ เครื่องทำความเย็น หลอดไฟ  เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการใช้กระแสไฟเกินค่ามาตรฐาน (FTE)  ทำให้บริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นสาขาที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 798,000 กิโลกรัมต่อปีของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า แอลอีดี อีคอมเมิร์ซ เมื่อลูกค้าต้องการซื้อสินค้าที่มีขายบนระบบออนไลน์ (makroclick)  สาขานี้มีจอแอลอีดี อีคอมเมิร์ซ ดิจิทัลคีออสหน้าทางเข้า แสดงรายการ - สั่งสินค้าที่ไม่มีในสาขาผ่านระบบ e-commerce ได้เลย Picking Solution ระบบการส่งของที่รวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะซื้อสินค้าที่สาขา หรือโทรศัพท์สั่งผ่าน makroclick พนักงานจะรับคำสั่งซื้อผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า Handheld  จากนั้นจะไปจัดของตามรายการ ง่าย ประหยัดเวลา และรักษ์โลก วิธีนี้ลดใบคำสั่งซื้อที่เป็นกระดาษได้ถึง 600,000 แผ่นต่อปี หรือลดการตัดต้นไม้ได้ถึง 300 ต้นต่อปี แผงพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Panel) 800 ตารางเมตร ที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึงมาใช้งานได้ถึง 35% ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าในแต่ละเดือน หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 150,000 บาท ที่ช่วยลดค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนกว่า 500,000 ตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าแม็คโคร  ตุ๊กตุ๊กพลังงานไฟฟ้า ส่งเสริมการขนส่งแบบประหยัดพลังงาน พร้อมติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ขนาดพอเหมาะเพื่อนำพลังงานมาใช้ในห้องควบคุมอุณหภูมิ สำหรับส่งสินค้าในบริเวณใกล้เคียง จัดส่งได้ทั้งอาหารสด สินค้าอุปโภคและบริโภค รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ระยะทาง 100 กิโลเมตรเมื่อชาร์ตไฟฟ้า 1 คืน  การส่งสินค้าด้วยรถตุ๊กตุ๊กช่วยทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสินค้าถูกลงเหลือเพียงกิโลเมตรละ 40 สตางค์  ทำให้สามารถเข้ามาตอบสนองการจัดส่งสินค้าในรูปแบบเดลิเวอรี่ได้ภายใน 1 วัน (Sam Day) จากเดิมการจัดส่งสินค้าต้องใช้ระยะเวลา 1 วัน จุดชาร์ตไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า บริเวณลานจอดรถเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อประหยัดพลังงานมากขึ้น ระบบทำความเย็นอัจฉริยะ(Water Loop Heat Exchange)  ลดการใช้พลังงานจากระบบทำความเย็นขนาดใหญ่ ด้วยการกระจายการทำงานเป็นชุดอิสระ ควบคุม และสั่งการผ่านระบบส่วนกลางที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านแท็บเลท ทำให้การปฏิบัติงานของพนักงานเป็นไปด้วยความสะดวก และแม่นยำมากยิ่งขึ้น  
CI ขน 12 โครงการจัด “กรี๊ดเดย์ Great Deal”กระตุ้นตลาดอสังหาฯ [PR News]

CI ขน 12 โครงการจัด “กรี๊ดเดย์ Great Deal”กระตุ้นตลาดอสังหาฯ [PR News]

ชาญอิสสระ เตรียมจัดงานใหญ่ ขน 12 โครงการในเครือจัด Charn Issara Day แคมเปญ “กรี๊ดเดย์ Great Deal” อัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม กระตุ้นตลาดครึ่งปีหลัง   นายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัทชาญอิสสระ ดีเวล็อป  เมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมการขายและสร้างความคึกคักให้กับแวดวงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมหนุนผู้ที่ต้องการมองหาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพในราคาพิเศษ และผู้ที่มองหาสถานที่พักผ่อนตากอากาศในราคาสุดคุ้ม บริษัทฯ จึงตรียมจัดแคมเปญกระตุ้นการตลาดภายใต้แคมเปญ Charn Issara Day “กรี๊ดเดย์ Great Deal”  ขน 12 โครงการในเครือ ร่วมจัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม มูลค่าสูงสุดถึง 10 ล้านบาท ทั้งในส่วนของบ้านเดี่ยวสุดหรู บ้านพักตากอากาศ คอนโดมิเนียม และโรงแรม เพื่อกระตุ้นยอดขาย และเพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่ให้การตอบรับโครงการในเครือชาญอิสสระด้วยดีเสมอมา   สำหรับโครงการที่นำมาร่วมจัดแคมเปญ Charn Issara Day “กรี๊ดเดย์ Great Deal” ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยวสุดหรูระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ ใจกลางเมือง อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9  มีเพียง 20 หลัง ราคาเริ่มต้น 100 ล้านบาท  โครงการบ้านเดี่ยวสุดหรูบนทำเลย่านบางนา บ้านอิสสระ บางนา มีจำนวน 44 หลังราคาเริ่มต้น 38 ล้านบาทโครงการบ้านสีตวัน ปากช่อง – เขาใหญ่  โครงการบ้านพักตากอากาศ  ราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท   ขณะที่ในส่วนของคอนโดมิเนียมได้นำ โครงการ อิสสระ คอลเลคชั่น สาทร โลว์ไรส์  คอนโดมิเนียม ระดับลักชัวรี่ จำนวน 33 ยูนิต เข้าร่วมโปรโมชั่นส่งเสริมการขายในครั้งนี้ด้วย ในราคาเริ่มต้นที่ 18.9 ล้านบาท และได้นำเอาโครงการคอนโดมิเนียมต่างจังหวัดภายใต้อาณาจักรทิวทะเลเอสเตท ชะอำ-หัวหิน มาร่วมแคมเปญด้วย  โดยโครงการที่นำมาร่วมจัดแคมเปญในครั้งนี้ ได้แก่ โครงการบ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ (Blue Sapphire) โลว์ไรส์ และไฮไรส์ คอนโดมิเนียม 4 ชั้น 2 อาคาร และ 15 ชั้น 1 อาคาร พร้อมทั้ง Clubhouse อยู่หน้าหาด จำนวน 421 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.XX ล้านบาท  โครงการบลู (Blu) ไฮไรส์ คอนโดมิเนียม วิวทะเล สูง 21 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 491 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.XX ล้านบาท  ในส่วนของ Baba Beach Club Residences Phase 2   จำนวนเพียง 7 หลัง ในราคาเริ่มต้น 33.9 ล้านบาท มาจัดโปรโมชั่นส่วนลดสูงสุด1 ล้านบาท พร้อม Fully Furnished   นอกจากนี้ยังมีโครงการคอนโดมิเนียม ดิ อิสสระ เชียงใหม่ โลว์ไรส์ คอนโดมิเนี่ยม 7 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 265 ยูนิต ที่ออกแบบในสไตล์รีสอร์ท ราคาเริ่มต้น 2.85 ล้านบาท ส่วนของโรงแรมในเครืออย่าง Sri Panwa Phuket จัดโปรโมชั่นสุดคุ้ม ลดราคาห้องพักสูงสุดถึง 60% พร้อมข้อเสนอของแถมให้ได้เลือกอีกมากมาย  ด้านโรงแรม Baba Beach Club Phuket ชูโปรโมชั่นแพคเกจราคาห้องพัก 1 คืน เริ่มต้นที่ 5,500 บาท จากราคาปกติ 16,478 บาท ขณะที่แพคเกจราคาห้องพัก 2 คืน เริ่มต้นที่ 12,600 บาท จากราคาปกติ 32,956 บาท ​  โรงแรม Baba Beach Club Hua Hin รับโปรโมชั่นพิเศษ Super-Hot Deal​ ด้วย​ราคาเริ่มต้น​ 7,500​ บาทต่อคืน​ (จากราคาปกติ​ 18,800บาท) ขณะที่โปรโมชั่นพัก​ 2​ คืนขึ้นไป​ รับทันที​ ชุดอาฟเตอร์นูนที​ และสิทธิพิเศษ​อื่นๆ   สำหรับโครงการ Baba Beach Club Residences Phuket บ้านพักตากอากาศสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ในราคาเริ่มต้น 29 ล้านบาท จัดโปรโมชั่นมอบส่วนลดสูงสุด 5 ล้านบาท พร้อมการันตีมอบผลตอบแทนจากการบริหารจัดการด้านการลงทุนโดยทีมงานศรีพันวาสูงถึง 5% ใน 3 ปีแรก พร้อมรับแพคเกจที่พัก​สุดหรู โรงแรม Baba Beach Club Phuket 3​ วัน​ 2 คืน​ รวมตั๋วเครื่องบินไปกลับ​ พร้อมรถรับส่งจากสนามบิน​ ​   โดบลูกค้าที่ลงทะเบียนออนไลน์ร่วมงาน Charn Issara Day “กรี๊ดเดย์ Great Deal” รับส่วนลดเพิ่มสูงสุดอีก 100,000 บาท และสำหรับลูกค้าที่ถือบัตร Charn Issara Menber Card เพียงแสดงบัตรภายในงานรับส่วนลดเพิ่มทันทีอีก 10,000 บาท โดยส่วนลด โปรโมชั่นต่างๆ ของแต่ละโครงการเป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด โดยจะจัดงานขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2562 ชั้น 10 อาคารชาญอิสสระ ทาวเวอร์ 2 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ  
เจ.เอส.พี. ล้างภาพ “สำเพ็ง” สู่ Top5 ผู้นำพัฒนาตลาดบ้านแนวราบ

เจ.เอส.พี. ล้างภาพ “สำเพ็ง” สู่ Top5 ผู้นำพัฒนาตลาดบ้านแนวราบ

ช่วงเดือนมีนาคม 2561 ที่ผ่านมา ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของบริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)  ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ โครงการสร้างชื่อและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง น่าจะเป็นโครงการสำเพ็ง 2 เพราะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ จากนายทะนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ได้ขายหุ้นทั้งหมดให้แก่ นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล หลังจากนั้นได้มีการปรับการบริหารงาน โดยนายลิขิต เข้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารแทน  และล่าสุดในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทเสริมทีมบริหารงานภายใน ด้วยการเสริมทีมบริหารการตลาดมาจากบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือ PS และทีมการเงินจากบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CI เพื่อสร้างให้ธุรกิจมีการเติบโตอีกครั้ง จากก่อนหน้าที่บริษัทชะลอการพัฒนาโครงการ และการทำตลาดในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้านี้   นายสงกรานต์ แสงอร่ามรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาดและการขาย บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)  หนึ่งในทีมผู้บริหารชุดใหม่ ที่เข้ามาบริหารงานเพื่อสร้างการเติบโต เปิดเผยว่า  โจทย์สำคัญที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้มอบหมายให้กับทีมบริหารชุดใหม่ ในช่วงปีแรกมี 2 เรื่องสำคัญ คือ การระบายสต็อกสินค้าเดิม และการปรับภาพลักษณ์ สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก เพื่อผลักดันให้บริษัทเติบโตต่อไปในอนาคต   “ซีอีโอเป็นนักลงทุนที่มองหาโอกาสจากธุรกิจ ที่สามารถสร้างการเติบโตและมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ก่อนจะเข้ามาลงทุนได้ทำการศึกษาบริษัทมาเป็นอย่างดี เห็นว่ามีรายได้ 3,000-4,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2559-2560 หากสามารถพัฒนาโครงการต่อเนื่อง รายได้ก็น่าจะเติบโตต่อเนื่อง และบริษัทยังมีจุดแข็งจาการมีที่ดินสะสมไว้จำนวนมาก ซึ่งมีต้นทุนราคาที่ดินต่ำ หลายแปลงราคาที่ซื้อมาถูกกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับราคาซื้อขายในปัจจุบัน”   เดินหน้าละบายสต็อกเสริมเงินทุนหมุนเวียน   แม้ว่าก่อนหน้านี้บริษัทจะไม่ได้พัฒนาโครงการใหม่ออกมา แต่โครงการเดิมที่พัฒนาไว้แล้ว ยังมีสินค้ารอการขายอยู่จำนวนหนึ่ง ที่ผู้บริหารชุดปัจจุบันจะต้องเร่งระบายสต็อก เพื่อสร้างรายได้มาเป็นเงินทุนในการพัฒนาโครงการต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท จำนวน 900 ยูนิต ในโครงการไมอามี่ บางปู และโครงการ J Condo สาทร-กัลปพฤกษ์ ที่ยังเหลือขายอีก 600 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปี 2563     สำหรับกลยุทธ์การขาย จะเน้นการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ เนื่องจากมองว่าสินค้ามีทั้งคุณภาพและราคาที่คุ้มค่า  เพราะเป็นต้นทุนเดิมตั้งแต่เริ่มการพัฒนาเมื่อช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และบริษัทไม่ได้ทำการปรับราคาเพิ่มขึ้น จึงทำให้มีความสามารถในการแข่งขัน ปัจจุบันยดขายจึงเพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนหน้า โดยมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 300  ล้านบาท จากก่อนหน้ามียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 100 ล้านบาท  โดยบริษัทวางแผนใช้งบประมาณในการตลาดประมาณ​10-20 ล้านบาท   ปั้นโปรเจ็ตก์สร้างยอดปีละ 6,000 ล้าน ขึ้นท็อป5   เป้าหมายสำคัญในระยะ 2-3 ปีนับจากนี้ เจ.เอส.พี.ฯ ต้องการก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 5 ของผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการแนวราบระดับราคา 2-3 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่มีความต้องการอย่างแท้จริง มีขนาดตลาดใหญ่ และเป็นตลาดของคนส่วนใหญ่ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัย จุดแข็งของการจะผลักดันไปสู่เป้าหมายดังกล่าว คือ การมีที่ดินเปล่าสะสมไว้ถึง 10 แปลง อยู่ในโลเกชั่นติดถนน ที่สำคัญต้นทุนที่ดินต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง คิดเป็นมูลค่าทางบัญชีกว่า 2,500 ล้านบาท จึงมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาสินค้าออกมาขายในราคาดังกล่าว ซึ่งคาดว่าแต่ละปีจะมีการพัฒนาโครงการออกมาขาย คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 6,000-10,000 ล้านบาท เพื่อสร้างยอดขายได้มากกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันผู้นำอันดับ 5 ในโครงการแนวราบมียอดขายอยู่ระดับ 6,000 ล้านบาท หากบริษัทสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า ก็จะเข้าอยู่ใน Top 5 ดังกล่าวได้   สำหรับการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 นี้ ได้วางแผนพัฒนาโครงการแนวราบ ประเภทบ้านแฝด 1 โครงการ ทำเลย่านบางบัวทอง มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท  ส่วนในปี 2563 เตรียมเปิดแนวราบเพิ่มอีก 7 โครงการ ได้แก่ ทำเลโครงการบางพระ, โครงการแพรกษา, โครงการบางใหญ่จำนวน 2 โครงการ, โครงการบางใหญ่ (2), โครงการติวานนท์, และโครงการบางบัวทอง ซึ่งมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท  ซึ่งปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ 4,068 ล้านบาท ยอดโอนกรรมสิทธิ์ 3,215 ล้นบาท ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ 600 ล้านบาท  ส่วนปี 2563 วางเป้ารายได้รวมกว่า 4,500 ล้านบาท โดยหวังว่าในอนาคตแต่ละปีบริษัทจะเติบโตประมาณ 15%   รีแบรนด์ล้างภาพ “สำเพ็ง2” สู่ความเป็นโมเดิร์น   นอกเหนือจากการปรับโครงสร้างการบริหารภายใน ด้วยการเสิรมทีมบริหารการตลาดมาจากบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือPS และทีมการเงินจากบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือCI เข้ามาแล้ว  ภารกิจสำคัญของบริษัท คือ การปรับภาพลักษณ์ให้บริษัทมีความทันสมัย เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในการจับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน อายุระหว่าง 30-40 ปี เนื่องจากการรับรู้ของคนส่วนใหญ่จะรู้จักโครงการสำเพ็ง 2 มากกว่าจะรู้จัก บริษัท เจ.เอส.พี.ฯ  ประมาณเดือนกันยายนที่จะถึงจึงได้เตรียมวางแผนปรับภาพลักษณ์องค์กรใหม่หมด ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ สินค้าที่จะมีแบบบ้านใหม่ การบริการ และทัชพอยท์ต่างๆ   “คนยังไม่ค่อยรู้จักบริษัท จะรู้จักแต่โครงการสำเพ็ง 2 บริษัทจึงต้องปรับภาพลักษณ์ใหม่ ใส่ความโมเดิร์น การเสริมการบริการ ปรับแบรนด์วิชั่นใหม่ เราไม่ได้ขายบ้านแต่เราขายความสุข จึงต้องมีการเสริมทั้งบริการและคุณภาพสินค้า รวมถึงองค์ประกอบต่างๆ โดยรวม และจะขยับการพัฒนาโครงการในตลาดพรีเมียมเพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่ในตลาดแมสเป็นหลัก คือ การพัฒนาโครงการบ้านแฝดในระดับ 7-8 ล้านบาท ในย่านบางใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทพัฒนาบ้านออกขายแพงสุดราคาหลังละ 6 ล้านบาทเท่านั้น”   สิ่งต่างๆ ที่ทีมผู้บริหารใหม่ต้องทำนับจากนี้ คงถือว่าเป็นความท้าทายในการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยเฉพาะการทำให้ทีมงานบริษัทคิดและเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งในอนาคตยังมีเป้าหมายสำคัญต้องบรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทำยอดขายรวม 19,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งต้องรอดูผลงานของทีมผู้บริหารชุดนี้ว่าจะทำได้ตามที่หวังไว้หรือไม่  
LPN สร้างชุมชนต้นแบบประหยัดพลังงาน ชูแนวคิด Eco Design [PR News]

LPN สร้างชุมชนต้นแบบประหยัดพลังงาน ชูแนวคิด Eco Design [PR News]

คงปฎิเสธไม่ได้ว่า "ชุมชนน่าอยู่" เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ส่งให้ทุกโครงการที่บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)(LPN) พัฒนาขึ้น ได้รับการตอบรับที่ดี ส่วนหนึ่งมาจากแนวคิดการพัฒนาโครงการด้วยการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชนภายใต้วัฒนธรรม “ร่วมใจ ห่วงใย แบ่งปัน” ที่มุ่งสร้างความสุขที่แท้จริงของการอยู่อาศัยให้กับสมาชิกลุมพินีมาโดยตลอด   นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านกลยุทธ์ LPN เปิดเผยว่า ได้นำเอาแนวทาง Eco Design มาใช้ในการออกแบบพัฒนาโครงการ ลุมพินี เพลส พระราม 9-รัชดา ภายใต้แนวคิด “LPN GREEN” โดยมีการวางผังโครงการให้สอดคล้องกับมาตรฐานอาคารเขียว (Green Building) ของ LEED โดยเน้นถึงจิตสำนึกของความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม (CESR) เพื่อสร้างความสุขให้กับผู้พักอาศัยอย่างยั่งยืน     โดยอาคารแห่งนี้ยังมีความโดดเด่นด้านการออกแบบอาคารที่วางในตำแหน่งทิศเหนือและทิศใต้ มีการใช้กระจก 2 ชั้น เพื่อป้องกันความร้อน และละอองฝุ่นจากภายนอกเข้าภายในอาคาร รวมถึงสามารถลดอุณหภูมิภายในอาคารได้ถึง 2-3 องศา มีพื้นที่สีเขียวเกินกว่าที่ทางกฎหมายกำหนด ต้นไม้ที่ปลูกเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่คัดเลือกมาให้เหมาะกับพื้นที่โครงการ ดูแลง่าย ใช้น้ำไม่มาก แต่สามารถให้ความร่มเย็น และคายออกซิเจนได้จำนวนมาก ส่วนปุ๋ยที่ใช้ก็เป็นปุ๋ยอินทรีย์ ไม่มีสารเคมี ช่วยให้ผู้พักอาศัยมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี   “30 ปีแล้วที่ LPN สร้างชุมชนน่าอยู่ให้เกิดขึ้นในทุกโครงการที่เราพัฒนา เพราะเชื่อว่าจะส่งเสริมให้สังคมดี คุณภาพชีวิตผู้พักอาศัยดี รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่ดี นอกจากนั้นยังช่วยสร้างจิตสำนึกของการอยู่ร่วมกัน ซึ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน” โครงการลุมพินี เพลส พระราม 9-รัชดา แห่งนี้ ยังเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างความสำเร็จของ "ชุมชนน่าอยู่" ที่คณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดและเจ้าของร่วมได้ร่วมมือร่วมใจกันสร้างสรรค์โครงการที่ดี กับแนวคิดการประหยัดค่าไฟฟ้า โดยในช่วงแรกได้ใช้วิธีเปลี่ยนหลอดไฟเป็นหลอด LED แต่กลับลดค่าไฟฟ้าได้เพียงแค่ 10% เท่านั้น ต่อมาจึงใช้วิธีเปิดไฟทางเดินดวงเว้นดวงในเวลาหลัง 22.00 น. แต่ค่าไฟฟ้าก็ยังลดลงไม่มาก จึงทำการติดตั้งโซลาร์ เซลล์  โดยเมื่อนำไฟฟ้าจากโซลาร์ เซลล์ไปใช้งานได้เต็มที่ 100% จะช่วยลดค่าไฟฟ้าได้สูงสุด 13,600 หน่วยต่อเดือน คิดเป็นค่าไฟฟ้า 57,500 บาทต่อเดือน     นอกจากติดตั้งโซลาร์ เซลล์แล้ว ทางโครงการยังต่อยอดสนับสนุนเรื่องลดโลกร้อน ด้วยการติดตั้ง EV charger แบบชาร์จเร็ว ใช้งบลงทุนประมาณ 100,000 บาท เพื่อสนับสนุนให้ผู้พักอาศัยหันมาใช้รถพลังงานไฟฟ้าแทนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงรองรับรถพลังงานที่มีแนวโน้มจะมีผู้ใช้มากขึ้น ซึ่งขณะนี้ในโครงการมีเจ้าของร่วมใช้รถพลังงานไฟฟ้า 2 คัน และเชื่อว่า เมื่อในโครงการมี  EV charger จะทำให้ลูกบ้านตัดสินใจใช้รถพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น