Tag : News

2376 ผลลัพธ์
“วัน แบงค็อก” เผยโฉมมาสเตอร์แพลน บิ๊กโปรเจ็กต์ 120,000 ล้าน

“วัน แบงค็อก” เผยโฉมมาสเตอร์แพลน บิ๊กโปรเจ็กต์ 120,000 ล้าน

วัน แบงค็อก (One Bangkok) ของตระกูล “สิริวัฒนภักดี” โปรเจ็กต์อสังหาริมทรัพย์ของเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย  ด้วยมูลค่าการลงทุนถึง 120,000 ล้านบาท  บนถนนพระราม 4 ที่มีนายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด เป็นผู้บริหาร ได้ฤกษ์เปิดตัวมาสเตอร์แพลนของโครงการครั้งแรกอย่างเป็นทางการต่อสาธารณะชนแล้ว จากก่อนหน้าที่ได้เปิดตัวโครงการ (ข่าวเปิดตัวโครงการ)  และเปิดตัวเชนโรงแรมลักชัวรี่อย่าง “เดอะ ริทซ์คาร์ลตัน"  ที่จะเข้ามาเปิดภายในโครงการ   นายปณต กล่าวว่า  วัน แบงค็อก จะสร้างนิยามใหม่และพลิกโฉมพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ในฐานะโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ความมุ่งมั่นของเราคือการเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ยึดหลักความยั่งยืน พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน และผสานเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอย่างสมบูรณ์ "เราเชื่อมั่นว่า วัน แบงค็อกจะมอบสิ่งที่คู่ควรกับกรุงเทพฯ พร้อมชูให้ประเทศไทยโดดเด่นเป็นสง่าในเวทีโลก และเติบโตในฐานะศูนย์กลางของประเทศอาเซียนต่อไป”   สำหรับโฉมหน้ามาสเตอร์แพลนของโครงการ วัน แบงค็อก ล้วนแต่ผสานความเป็นที่สุดไว้ด้วยกันมากมาย   -การเชื่อมต่อของ 4 บริเวณถึงกัน โดยมีใจกลางของโครงการอยู่ที่ Civic Plaza พื้นที่สันทนาการขนาด 10,000 ตารางเมตร รอบล้อมด้วยพื้นที่รีเทลและพื้นที่ไลฟ์สไตล์บริเวณส่วนล่างของตึก ส่วนพื้นที่สำนักงานและพื้นที่สำหรับที่อยู่อาศัยจะอยู่ส่วนบนของตึก   -ทางเข้าออกโครงการมี 6 จุด อยู่รอบโครงการ ไม่ว่าจะมาจากฝั่งถนนวิทยุ หรือถนนพระราม 4 รวมถึง ทางเชื่อมโดยตรงกับทางด่วนซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการอนุมัติ ที่สำคัญทางเข้าออกเชื่อมต่อโดยตรงกับชั้นใต้ดินซึ่งทำให้ถนนหลักภายในโครงการปลอดโปร่ง และปลอดภัยสำหรับคนเดินเท้า มีการออกแบบให้ถนทุกสายและทุกซอยเชื่อมต่อกัน   -ภายในโครงการ ประกอบด้วย อาคารสำนักงานเกรดเอ จำนวน 5 อาคาร มีพื้นที่รวมกันกว่า 500,000 ตารางเมตร รองรับพนักงานบุคลากรขององค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ ได้มากกว่า 50,000 คน ออกแบบตามมาตรฐาน LEED และ WELL ติดตั้งเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ   -มีพื้นที่รีเทล 4 โซน ที่มีความแตกต่างกันและเชื่อมต่อถึงกัน พร้อมด้วยร้านค้าและร้านอาหารรวมกันกว่า 450 ร้าน บนพื้นที่ 180,000 ตารางเมตร รังสรรค์ประสบการณ์รีเทลที่แปลกใหม่และแตกต่าง ภายในที่แห่งเดียว ถือเป็นครั้งแรกของกรุงเทพฯ     -พื้นที่ในโครงการยังมีโรงแรม 5 แห่งภายใน วัน แบงค็อก ทั้งหมดจะเป็นแบรนด์ใหม่สำหรับกรุงเทพฯ  ครอบคลุมตั้งแต่ระดับบูทีคโฮเทล โรงแรมเพื่อธุรกิจ ไปจนถึงระดับซูเปอร์ลักชัวรี่  รวมกว่า 1,100 ห้อง  โดยโรงแรมลักชัวรี่แห่งแรกคือ The Ritz-Carlton, Bangkok ที่จะพร้อมเปิดให้บริการในปี 2566   -มีพื้นที่ส่วนพักอาศัยระดับลักชัวรี่ 3 อาคาร ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทิศเหนือของโครงการ เพื่อความสงบและความเป็นส่วนตัวของผู้พักอาศัย เปิดรับวิวทั้งจากฝั่งถนนวิทยุและฝั่งสวนลุมพินี สามารถมองเห็นทิวทัศน์ธรรมชาติของสวนลุมพินี และวิวกรุงเทพฯ แบบพาโนรามาไร้สิ่งบดบัง ซึ่งที่พักอาศัยโครงการแรกจะตั้งอยู่เหนือโรงแรม The Ritz-Carlton, Bangkok  ประกอบด้วยห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหราขนาด 2-4 ห้องนอน จำนวน 110 ห้อง พื้นที่เริ่มต้นที่ 130 ตารางเมตร พร้อมเปิดตัวช่วงต้นปี 2563   -มีอาคารสูงสุดในประเทศไทย “Signature Tower” สูงกว่า 430 เมตร ซึ่งจะเป็น 1 ใน 10 ตึกที่สูงที่สุดของอาเซียน โดดเด่นเป็นสง่าเติมเต็มเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพฯ ภายในประกอบด้วยพื้นที่สำนักงานและโรงแรมหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ พร้อมมอบที่สุดแห่งประสบการณ์การชมวิวแบบพาโนราม่า สวยงามแบบ ไร้ขอบเขตจากยอดตึก   -พื้นที่สีเขียวมากถึง 50 ไร่ จากพื้นที่โครงการรวม 104 ไร่ ซึ่งได้รับการจัดสรรให้เป็นพื้นที่เปิดโล่งเพื่อให้ผู้คนได้มาใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น ซึ่งรวมถึง Civic Plaza ที่มีพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร สามารถเป็นศูนย์กลางการจัดงานแสดงระดับนานาชาติและงานเทศกาลต่างๆ ของไทยได้ และสวนรอบโครงการทั้งทางฝั่งถนนวิทยุและถนนพระราม 4 ที่กว้างกว่า 40 เมตร ร่มรื่นด้วยต้นไม้ เปรียบเป็นส่วนต่อขยายของสวนลุมพินี   -มีระบบโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางสุดล้ำสมัย ซึ่งนับเป็นแห่งแรกของประเทศไทยสำหรับโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยเอกชน ประกอบด้วยระบบทำความเย็น ระบบรักษาความปลอดภัยแบบรวมศูนย์ ระบบการจัดการน้ำและพลังงาน ควบคุมดูแลโดยศูนย์ข้อมูล (District Command Centre) และเซ็นเซอร์อันชาญฉลาดมากกว่า 250,000 ตัว ที่คอยบริหารจัดการทุกระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ   -โครงการให้ความสำคัญกับงานศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งพื้นที่ทั้งหมดในโครงการจะเชื่อมต่อถึงกันด้วยงานศิลปะตามแนวคิดพหุประสาทสัมผัส เพื่อให้ผู้มาเยือนสัมผัสกับศิลปะรอบตัว นอกจากนี้ ยังมีฮอลล์เอนกประสงค์สำหรับจัดการแสดง พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และงานศิลปะหลากหลายรูปแบบ รวมถึงกิจกรรมศิลปะวัฒนธรรมตลอดทั้งปี สำหรับควาบคืบหน้าของการก่อสร้าง  ได้มีการลงงานเสาเข็มของโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยโครงการพร้อมเปิดเฟสแรกในปี 2566 และก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2569
คำถามที่รอคำตอบ “ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย” ทำไมไม่ไปต่อ?

คำถามที่รอคำตอบ “ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย” ทำไมไม่ไปต่อ?

วันนี้ (30 กรกฎาคม 2562) ในโลกออนไลน์กลุ่มคนที่สนใจในข่าวสารวงการอสังหาริมทรัพย์ ต่างสงสัยและแปลกใจกับข่าวที่มีการแชร์ข้อมูลกันจำนวนมาก ถึงการยุติแผนการพัฒนาโครงการ “ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย” และมีการส่งจดหมายชี้แจงข้อเท็จจริงไปยังลูกค้าที่ซื้อมาก่อนหน้า  เพื่อเตรียมคืนเงินทั้งหมดให้กับลูกค้า เรียกว่า โครงการจะไม่ดำเนินการต่อตามแผนเดิมที่ได้วางไว้ ซึ่งสร้างความสงสัยและแปลกใจกับข่าวนี้เป็นอย่างมาก   เพราะก่อนหน้านี้บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2562 แจ้งข่าวการเปิดขาย “ไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย” ซึ่งเป็นโครงการแรกของปีนี้  ว่าได้รับผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถทำยอดพรีเซล ในระยะเวลา 4 วัน (วันที่ 23-26 พฤษภาคม 2562) ตั้งแต่ช่วงการจองผ่านช่องทางออนไลน์ “Ananda Online Booking” ผ่านทาง website www.ananda.co.th  รวมกับงาน Pre-Sales ในวันที่ 25-26 พฤษภาคม 2562 ที่สำนักงานขายโครงการไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย รวมทั้งสิ้นจำนวน 154 ยูนิต เป็นมูลค่าประมาณ 1,120 ล้านบาท หรือคิดเป็น 39% ของจำนวนที่เปิดขาย (เปิดขายพรีเซล เพียงอาคารเดียว คือ อาคารเอ ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 396 ยูนิต) ส่งจดหมายชี้แจง เหตุไม่ไปต่อ ช่วงเย็นของวันเดียวกัน ทางไอดีโอ ได้ส่ง Company Statement ชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเนื้อหาระบุว่า “ตามที่บริษัทได้มีการเปิดตัวพร้อมเปิดให้มีการจองซื้อห้องชุดในโครงการไอดีโอ คิว พหล–สะพานควายในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยโครงการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูง พร้อมความสะดวกสบายในการเดินทางซึ่งสามารถเลือกการเดินทางได้หลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการอยู่ติดกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควายเพียง 0 เมตรนั้น ทั้งนี้ เมื่อบริษัทได้เปิดให้มีการจองซื้อมาระยะหนึ่ง จึงได้ทราบว่ายังมีกลุ่มลูกค้าอีกเป็นจำนวนมากที่มีความสนใจและต้องการเข้าถึงโครงการดังกล่าวเช่นกัน บริษัทจึงเห็นสมควรให้มีการพิจารณาปรับรูปแบบและราคาของโครงการให้มีความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่มากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการอีกครั้งในช่วงต้นปี 2563"​   โดย Company Statement มีนาย สุเมธ รัตนศรีกูล กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจคอนโดมิเนียมแอชตัน ไอดีโอ คิว และ เอลลิโอ เป็นผู้ลงนามในหนังสือแจ้งดังกล่าว ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย โปรเจ็กต์ 10,000 ล้าน สำหรับโครงการ ไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย ตั้งอยู่ติดกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย (0 เมตร) บนที่ดินขนาดประมาณ 6 ไร่  มีจำนวนห้องพักอาศัยทั้งหมด 1,114 ห้อง มูลค่าโครงการประมาณ 10,000 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 5.5ล้านบาท  เป็นโครงการ High Rise สูง 39 ชั้น แบ่งเป็น 3 อาคาร อาคารเอ มีจำนวนห้อง 396 ห้อง อาคารบี มีจำนวนห้อง 287 ห้อง และอาคารซี มีจำนวนห้อง 431 ห้อง ทั้งยังมีร้านค้าปลีก 5 ร้าน จุดเด่นของโครงการ คือ ติดรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย โดยมีคอนเซ็ปต์ในการพัฒนามาจาก Urban - Human - Nature (เมือง - คน -ธรรมชาติ) Urban - คือการเชื่อมต่อ 0 เมตรจากรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย Human –  คือการเป็นโครงการที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายของผู้อยู่อาศัย โดยจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สิ่งอำนวยความสะดวกประจำโครงการ รูปลักษณ์โครงการ หรือสังคมของผู้พักอาศัย ที่มุ่งเน้นถึงสุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย Nature – คือการผสมผสานธรรมชาติเข้าไปในรูปลักษณ์การดีไซน์ของตัวตึก ข้อมูลโครงการ  โดยในช่วงที่เปิดลงทะเบียนเพื่อจองผ่านช่องทางออนไลน์ “Ananda Online Booking”  ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 13.00 น. ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษทั้งราคาพิเศษ และส่วนลดพิเศษ 10% จำวน 95 ยูนิต ที่นำมาเปิดขายออนไลน์ และได้จัดงาน Pre-Sales ในวันที่ 25-26 พฤษภาคม  2562 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 18.00 น  ที่สำนักงานขายโครงการไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย พร้อมรับส่วนลด 7%* (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) บทสรุปของ ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย คือ 1.การยุติการขาย 2.เตรียมปรับแบบใหม่ 3.ปรับราคาขายใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย 4.เตรียมเปิดตัวขายใหม่อีกครั้ง ในช่วงต้นปี 2563 5.คืนเงินให้กับลูกค้าที่ซื้อไปก่อนหน้าทั้งหมด   ส่วนคำถามและข้อสงสัยอื่นๆ ยังไม่ได้รับคำตอบจากบมจ.อนันดาฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยอดขายจริงว่าขายไปเท่าไรแล้ว ลูกค้าเก่าที่ยังสนใจจะซื้อโครงการในทำเลนี้ จะได้รับสิทธิประโยชน์อย่างไร รวมถึงเงินที่จ่ายไปแล้วได้รับดอกเบี้ยชดเชยเพิ่มเติมหรือไม่  ราคาขายใหม่จะถูกหรือแพงกว่าเดิม แบรนด์จะเปลี่ยนไปหรือไม่ และข้อสงสัยที่รอคำตอบจากฝ่ายบริหารของไอดีโอ โครงการ ไอดีโอ อื่นๆ ideo ข่าวอื่นๆ จาก ANANDA อนันดาฯ จับมือ ช้อปปี้ เปิดเกมรุกบุกตลาดอีคอมเมิร์ซกับดีลที่ดีที่สุด อนันดาฯ ยึดเบอร์ 1 คอนโดติดรถไฟฟ้า ลุยเปิด 38,000ล้าน อนันดาฯโชว์กำไรโต 61% แม้รายได้หดตัวเหตุเพราะเน้นโปรเจ็กต์ร่วมทุน
สรุปข่าวรอบสัปดาห์ วันที่ 22-28 กรกฎาคม 2562

สรุปข่าวรอบสัปดาห์ วันที่ 22-28 กรกฎาคม 2562

  MQDC ดึง “นาย ณภัทร” เป็น Brand Ambassador นายอัษฎา แก้วเขียว ประธานผู้อำนวยการ-วิสซ์ดอม บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC)  เปิดเผยว่า ได้เปิดตัว Whizdom Brand Ambassador  “น้องนาย- ณภัทร เสียงสมบุญ” จากก่อนหน้านี้  มี Brand Ambassador มาแล้ว 2 ท่าน คือ คุณญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ และคุณหมาก-ปริญ สุภารัตน์ ซึ่งทั้งสองท่านเป็นตัวแทนที่แสดงถึงไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ในด้านนวัตกรรม (Innovative Lifestyle) ต่างๆ ที่ทำให้ชีวิตสุขสบายขึ้น รวมถึงการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์วิสซ์ดอม (Whizdom) คือคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ชื่นชอบนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย และยังใส่ใจในด้านสังคมแห่งการเรียนรู้และแบ่งปัน  ​   “ฮาบิแทท กรุ๊ป” ร่วมทุน “ลิสต์ กรุ๊ป” ญี่ปุ่น นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ได้ร่วมทุนกับ “ลิสต์ กรุ๊ป” (List Group) ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น ในการพัฒนา 2 โครงการ คอนโดมิเนียมลักชัวรีโลว์ไรซ์ใจกลาง CBD มูลค่ารวมกว่า 2,800 ล้านบาท  ได้แก่ โครงการ “วาลเด้น ทองหล่อ 8” ภายใต้ บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป ลิสต์ จำกัด  และ โครงการ “วาลเด้น ทองหล่อ 13” พัฒนาภายใต้บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป ลิสต์ 2 จำกัด  ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นแบ่งเป็น ฮาบิแทท กรุ๊ป ถือหุ้น 62% และลิสต์ กรุ๊ป ถือหุ้น 38% ถือเป็นการสร้างการเติบโตของธุรกิจของ ฮาบิแทท กรุ๊ป อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเป็นการขยายธุรกิจต่อยอดความสำเร็จจากการไปเปิดตลาดจีน และฮ่องกง   “ซังเคียวโฮม” ปั้นคอนโดมิเนียมลักชัวรี “SYMYS Sukhumvit 61”    นางโสภิดา โองาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซันเคียว โฮม (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมโครงการที่ 3 และเป็นโครงการร่วมทุนโครงการที่ 2 กับบริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ เคฮัง กรุ๊ป ที่มีประวัติมายาวนานกว่า 100 ปี เจ้าของรถไฟฟ้าสายเคฮังเชื่อมโยงโอซาก้า-เกียวโต และอีกหลากหลายธุรกิจในแถบคันไซ โดยใช้ชื่อโครงการซิมมิส สุขุมวิท 61 (SYMYS Sukhumvit 61) เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ 7 ชั้น มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท  ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 1 ไร่  ในซอยสุขุมวิท 61 ประกอบด้วยอาคารสูง 7 ชั้น จำนวน 1 อาคาร ยูนิตพักอาศัยแบบ 1-2 ห้องนอน ขนาด 33-88 ตารางเมตร จำนวน 109 ยูนิต มีชั้นใต้ดิน 3 ชั้นสำหรับที่จอดรถระบบ Auto Parking แบรนด์คุณภาพจากญี่ปุ่นราว 113% ของจำนวนยูนิต  หรือกว่า 120 ช่องจอด ยูนิตพักอาศัยประเภท 1 ห้องนอน ราคาเริ่มต้นที่ 7.5 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 220,000-240,000 แสนบาทต่อตารางเมตร   “ออริจิ้น-พรีโม” จับมือ DWG ยกระดับแบรนด์สู่สากล นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับ บริษัท ดีดับเบิลยูจี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DWG Thailand ผู้บริหารงานขายอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรชั้นนำจากสิงคโปร์ ให้เป็นตัวแทนขายโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ต่างๆ ของบริษัทฯ ในตลาดต่างประเทศ  เบื้องต้นจะนำโครงการของออริจิ้นไปบริหารการขายอย่างน้อย 10 ชาติทั่วโลก ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย เมียนมา อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น และดูไบ  คาดว่าจะทำยอดขายได้ประมาณ​4,000 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติ 5,600 ล้านบาทในปีนี้ คิดเป็นสัด 20% เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้าที่มีสัดส่วน 16% ของยอดขายรวม และในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายไว้  28,000 ล้านบาท (อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติม)   ALL เปิดโปรเจ็กต์ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว-สุทธิสาร นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวโครงการ ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว – สุทธิสาร  มีมูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท บนพื้นที่ดินขนาด 3 ไร่ ตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 62 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีโชคชัย 4 เพียง 550 เมตร ซึ่งในอนาคตอันใกล้ เป็นโครงการคอนโดฯ​8 ชั้น 2 อาคาร  มีจำนวน 420 ยูนิต  ขนาดตั้งแต่ 1 ห้องนอน 24.50 – 30.10 ตารางเมตร ไปจนถึง 1 ห้องนอน พลัส ขนาด 34.70 ตารางเมตร  ทุกห้องมาพร้อมกับเครื่องปรับอากาศและเฟอร์นิเจอร์ครบครัน (Fully Furnished) สิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการ โดยโครงการได้รับการอนุมัติ EIA Approved เป็นที่เรียบร้อย (อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติม)   เจ.เอส.พี. กางแผนเปิดโปรเจ็กต์ใหม่  นายสงกรานต์ แสงอร่ามรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาดและการขาย บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  แนวทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 นี้ ได้วางแผนพัฒนาโครงการแนวราบ ประเภทบ้านแฝดก่อน 1 โครงการ ทำเลย่านบางบัวทอง มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท และต้นปี 2563 เตรียมเปิดแนวราบเพิ่มอีก 7 โครงการ มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท  และได้วางแผนต่อยอดพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งระดับกลาง-ล่าง พร้อมกับรีแบรนด์ปรับโฉม เจ.เอส.พี. ใหม่ ภายใต้แนวความคิด “มอบความสุขและบริการที่ดีแก่ลูกค้า” อีกทั้งมีการพัฒนาสินค้าให้มีความทันสมัยมากขึ้น โดยตั้งเป้าจับกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงานใหม่ ในช่วงระหว่างอายุ 30-40 ปี พร้อมตั้งเป้าภายใน 3 ปี สามารถทำยอดขายรวมแตะ 19,000 ล้านบาท (อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติม)   ดูโฮม เปิดสาขา Dohome To GO 90 สาขา นายอดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน)   เปิดเผยถึง  ได้ขยายสาขา Dohome To GO  ในรูปแบบที่เป็นสาขาขนาดเล็ก พื้นที่ประมาณ 300-1,000 ตารางเมตร โดยจะเปิดให้บริการในพื้นที่ห้างสรรพสินค้า  หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภครายย่อยใจกลางเมือง ตั้งเป้าการตั้งสาขาในปีนี้ 10 สาขาโดยเปิดไปแล้ว 2 สาขา คือ แม็คโคร สาขาจรัญสนิทวงศ์ และแม็คโคร สาขาสาทร และวางแผน การขยายสาขา Dohome To GO ให้ได้ 90 สาขา ภายในปี 2564 เพื่อรองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต มีจำนวนครอบครัวขนาดเล็กเพิ่มขึ้น และตอบโจทย์ความต้องการและความสะดวกสบาย ของผู้บริโภคใจกลางเมือง  ในการจัดหาวัสดุอุปกรณ์เรื่องบ้าน  ที่สามารถดูแลซ่อมแซม ด้วยตนเองได้ในเบื้องต้น (อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติม)   I’m Chinatown เปิดเดย์สปาระดับพรีเมี่ยม นางสาวรวิสรา เลิศปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอแอมไชน่าทาวน์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการเล็ทส์ รีแลกซ์ สปา (Let’s Relax Spa) บูติคเดย์สปาระดับ 4 ดาว เนื่องในโอกาสที่ Let’s Relax Spa  ได้เข้าเปิดสาขาที่ 20 ในโครงการ I’m Chinatown โครงการมิกซ์ยูสที่ใหญ่สุดของย่านเยาวราช โดย Let’s Relax Spa จะเป็นสปาระดับพรีเมี่ยมแห่งแรกและใหญ่ที่สุดของไชน่าทาวน์ ขนาด 500 ตารางเมตร บนชั้น 3 ของส่วน ศูนย์การค้า มีจำนวน 30 เตียง แบ่งออกเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนนวดเท้า นวดไทย และนวดน้ำมัน  ซึ่งจะเปิดให้ บริการตั้งแต่ 10.00 ถึงเที่ยงคืน เพื่อรองรับกลุ่มนักเที่ยวชาวจีน ไต้หวัน และฮ่องกง เป็นหลัก พร้อมกลุ่มเจ้าของ ธุรกิจในย่านเยาวราชและนักท่องเที่ยวชาวไทย   SAM กวาดยอดประมูลร่วม 300 ล้านบาท นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผยว่า SAM จัดประมูลทรัพย์สิน NPA เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีนักลงทุนให้ความสนใจยื่นซองประมูลทรัพย์สินมูลค่ารวมประมาณ 300 ล้านบาท  อาทิ  อาคารสำนักงาน เนื้อที่กว่า 6 ไร่  เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ  ที่ดินเปล่า เนื้อที่กว่า 40 ไร่ ในจ.พระนครศรีอยุธยา  เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งานเศษ ใน จ.ลำปาง และเนื้อที่ 2 งานเศษ ใน จ.เชียงใหม่ สำหรับการจัดงานประมูลครั้งต่อไป ในวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562 ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ    
“ออริจิ้น-พรีโม” จับมือ DWG เจาะลูกค้าต่างชาติทั่วโลก ดันยอด 5,600 ล้าน

“ออริจิ้น-พรีโม” จับมือ DWG เจาะลูกค้าต่างชาติทั่วโลก ดันยอด 5,600 ล้าน

“ออริจิ้น” จับมือ “DWG Thailand” ขนโปรเจ็กต์คอนโดฯ​ เจาะตลาด 10 ชาติทั่วโลก ดันเป้ายอดขาย 5,600 ล้าน ชู 3 กลยุทธ์สวนกระแสตลาดชะลอตัว มั่นใจไทยยังเป็นจุดหมายของต่างชาติทั้งพักอาศัยและท่องเที่ยว   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับบริษัท ดีดับเบิลยูจี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DWG Thailand ผู้บริหารงานขายอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรชั้นนำจากสิงคโปร์ ให้เป็นตัวแทนขายโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ต่างๆ ของบริษัทฯ ในตลาดต่างประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากปัจจุบัน 16% เป็น 20% หรือมียอดขายประมาณ 5,600 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายรวมในปีนี้ 28,000 ล้านบาท โดยคาดว่ายอดขายจาก DWG Thailand จะทำได้ 4,000 ล้านบาท ส่วนอีก 1,600 ล้านบาทจะมาจากเอเย่นต์รายอื่นๆ ที่เป็นตัวแทนให้กับบริษัท   การที่บริษัทเลือกให้ DWG Thailand เป็นตัวแทนขายโครงการของบริษัทนั้น เป็นเพราะDWG Thailand ถือเป็นเอเย่นต์ชั้นนำในประเทศสิงคโปร์ มีเครือข่ายในประเทศมากกว่า 4,000 แห่ง โดยศักยภาพการทำตลาดสามารถขายโครงการคอนโดฯ ในประเทศไทยได้กว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ DWG Thailand ยังมีนโยบายการออกไปทำตลาดในต่างประเทศ ทั้งในเอเชีย อาทิ ไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น กัมพูชา และในยุโรป เช่น อังกฤษ  ซึ่ง DWG Thailand จะนำโครงการของออริจิ้นไปบริหารการขายอย่างน้อย 10 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย เมียนมา อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น และดูไบ   “ปัจจุบันตลาดคอนโดฯ ของไทยมีลูกค้าต่างชาติเข้ามาซื้อ คิดเป็นสัดส่วน 25% ของตลาดรวม  ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังมียอดขายต่างชาติเพียง 16% จึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ปัจจุบันบริษัทมีโครงการอยู่ระหว่างการขาย 30 โครงการ”    อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดอสังหาฯ​ ที่จับตลาดต่างชาติในปีนี้จะชะลอตัว จากมาตรการ LTV  ออกมาสกัดนักเก็งกำไร โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีน แต่ยังมีกลุ่มชาวต่างชาติจากประเทศอื่นๆ ที่ให้ความสนใจอสังหาฯ ในประเทศทไทย ไม่ว่าจะเป็นจากประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMV รวมถึงชาวต่างชาติอื่นๆ ในเอเชีย ซึ่งประเทศไทยยังได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ ในการเข้ามาพักอาศัยและการท่องเที่ยว รวมถึงเป็นประเทศที่ยังมีการเข้ามาลงทุนในอสังหาฯ อย่างต่อเนื่องด้วย  โดยประเทศไทยถือว่าติดอันดับ 9 สำหรับที่พักหลังเกษียณของชาวต่างชาติ เนื่องจากมีต้นทุนค่าครองชีพต่ำ ไลฟ์สไตล์หลากหลาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ   นายพีระพงค์ กล่าวอีกว่า ได้วาง 3 กลยุทธ์ในการทำตลาดและสร้างการเติบโตกับการจับตลาดลูกค้าต่างชาติ ได้แก่ 1.กลยุทธ์​ B2B การทำตลาดผ่านเอเย่นต์ในแต่ละประเทศ 2.การมองหาพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น DWG ในการช่วยทำตลาด 3.การให้บริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ภายใต้บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด  ซึ่งภาพรวมตลาดผู้ซื้อชาวต่างชาติในปี 2561 ที่ผ่านมาคาดว่ามูลค่า  92,000 ล้านบาท ส่วนปีนี้คาดว่าตลาดจะมีมูลค่ารวมประมาณ 100,000 ล้านบาท   ด้านนายธนา ต่อสหะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ในเครือออริจิ้น กล่าวว่า หลังจากบริษัทได้ตกลงความร่วมมือกับ DWG Thailand ในการดูแลงานบริการหลังการขาย 3 ด้าน ให้แก่ลูกค้าชาวต่างชาติทั้งหมดของ DWG Thailand ได้แก่ 1.บริการรับฝากขายต่อและปล่อยเช่า (Resale & Leasing Services) 2.บริการตกแต่งห้องพัก (Decoration Services) 3.บริการดูแลด้านความสะอาดภายในห้องพัก (Cleaning Services) ล่าสุด บริษัทเตรียมเข้าพบปะกับเครือข่ายตัวแทนขายของ DWG Thailand ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ เพื่อนำเสนอบริการหลังการขายที่ได้คุณภาพและมาตรฐานของบริษัท แก่ลูกค้าชาวต่างชาติทั้งหมดในเครือข่ายของ DWG ที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ส่วนนายเดนก้า วี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดีดับเบิลยูจี (DWG) กล่าวว่า DWG Thailand จะนำโครงการของออริจิ้นภายใต้ 2 แบรนด์หลัก ได้แก่ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) และดิ ออริจิ้น (The Origin) ไปขายในตลาดต่างประเทศทั้ง 10 ชาติ โดยจะมุ่งเน้นการนำเสนอจุดขายของแบรนด์ให้เป็นที่จดจำและไว้วางใจ มากกว่าการนำเสนอจุดขายเป็นรายโครงการ เพื่อสร้างโอกาสของแบรนด์ในฐานะ “อินเตอร์แบรนด์” ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน”   “ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในหลายประเทศทั่วโลกมีราคาสูงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะสามารถเข้าถึงได้ ทำให้หลายประเทศยังคงมองหาโอกาสการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ทั้งเพื่อการอยู่อาศัยในช่วงหลังเกษียณและการลงทุน   ปล่อยเช่า โดยไทยยังถือเป็นประเทศเป้าหมายสำคัญที่ชาวต่างชาติยังคงให้ความสนใจการซื้อที่อยู่อาศัยในหลากหลายเซ็กเมนท์ และคอนโดมิเนียมของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทั้ง 2 แบรนด์ ล้วนตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ  มีคุณภาพ ฟังก์ชั่น การออกแบบ สิ่งอำนวยความสะดวก ที่ได้มาตรฐานพร้อมตอบโจทย์ผู้บริโภคระดับสากล” นายเดนก้า กล่าว   สำหรับ DWG หรือ Dennis Wee Group เป็นผู้ประกอบธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของสิงคโปร์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2536 ณ ประเทศสิงคโปร์ ภายใต้ชื่อ Dennis Wee Realty ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น DWG อย่างเป็นทางการในปี 2551 ปัจจุบัน มีเครือข่ายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ในกว่า 10 ประเทศทั่วโลก มีโครงการที่เป็นตัวแทนขายรวมกันทั่วโลก ขณะนี้กว่า 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 9,000 ล้านบาท    
ออลล์ อินสไปร์ฯ เปิด “ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว-สุธิสาร” 1,200 ล้าน จับตลาดคนรุ่นใหม่

ออลล์ อินสไปร์ฯ เปิด “ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว-สุธิสาร” 1,200 ล้าน จับตลาดคนรุ่นใหม่

ออลล์ อินสไปร์ฯ  เปิดตัวคอนโดใหม่ “โครงการ ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว – สุทธิสาร” 1,200 ล้าน  จับตลาดคนรุ่นใหม่ รับการเติบโตของชุมชน แหล่งทำงาน และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง มั่นใจสิ้นปีทำยอดรับรู้รายได้เป็นไปตามเป้า 4,500 ล้าน   นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL เปิดเผยว่า ได้ปิดตัวโครงการ ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว – สุทธิสาร  ตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 62 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีโชคชัย 4 เพียง 550 เมตร บนพื้นที่ดินขนาด 3 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ (Low Rise) 8 ชั้น 2 อาคาร มีจำนวน 420 ยูนิต  โดยมีขนาดห้องชุดเริ่มตั้งแต่ 1 ห้องนอน 24.50 – 30.10 ตารางเมตรไปจนถึง 1 ห้องนอน พลัส ขนาด 34.70 ตารางเมตร โดยตั้งเป้าหมายยอดขาย 70% ในช่วง 3 เดือนแรก  ซึ่งปัจจุบันมีผู้สนใจลงทะเบียนแล้วประมาณ 4,000 ราย ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ 7,300 ล้านบาท มีเป้าหมายรายได้ในปีนี้  4,500 ล้านบาท ซึ่งจะมีโครงการแล้วเสร็จพร้อมรับรู้รายได้ 3 โครงการ ได้แก่ เดอะวิชั่น ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว 71 และอิมเพรสชั่น ภูเก็ต รวมมูลค่า 5,000 ล้านบาท และวางเป้าหมายยอดขายในปีนี้ 7,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทมียอดขาย ประมาณ 4,000 ล้านบาท   นายธนากร  กล่าวอีกว่า  ในส่วนการดำเนินงานของ ALL หลังจากนำธุรกิจเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai และประกาศเป้าหมายสู่การเป็น Top 10 อสังหาฯ แถวหน้าของไทยภายใน 5 ปี บริษัทมีความพร้อมในการพัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพในพื้นที่ศักยภาพ โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณใกล้แนวระบบขนส่งมวลชนหลักของกรุงเทพฯ อย่าง BTS และ MRT เพื่อการเดินทางที่สะดวกสบาย ใกล้แหล่งชุมชน และสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของกลุ่มคนในสังคมเมือง โดย ออลล์ อินสไปร์ฯ วาง Positioning คอนโดมิเนียมแบรนด์ The Excel กลุ่มแบรนด์นี้จะเป็นคอนโด Low Rise ใกล้แนวรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นจุดขายหลักของ ALL ซึ่งแบรนด์ ดิ เอ็กเซล วางราคาขายอยู่ที่ประมาณ 1.5 - 3 ล้านบาท จับกลุ่มคนในวัยทำงาน อาศัยอยู่ใจกลางเมืองและสะดวกในการเดินทาง   ทั้งนี้ จากการสำรวจ ราคาที่ดินในโซนลาดพร้าว – สุทธิสาร โดยเฉพาะบริเวณถนนสายหลักและพื้นที่ใกล้เคียงทำเลโชคชัย 4 – เดอะมอลล์ บางกะปิ มีอัตราการเติบโตจาก 100,000 บาทต่อต่อตารางวาเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 – 400,000 แสนบาทต่อตารางวา  ขณะที่กำไรจากการขายต่อ (Capital Gain) ของคอนโด Low Rise ในย่านลาดพร้าวอยู่ที่ 3.6% ต่อปี โดยกลุ่มที่มีผลตอบแทนสูงคือ โซนลาดพร้าว – โชคชัย 4 อยู่ที่ 4.2% ต่อปี ซึ่งเป็นทำเลที่ผู้คนนิยมอยู่อาศัยหนาแน่นในอัตรา 90 – 95% เป็นผู้อยู่อาศัยเอง 65% เป็นผู้เช่า 25% ขณะที่กำไรต่อการปล่อยเช่า (Gross Rental Yield) ในย่านนี้ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ ด้วยผลตอบแทนอยู่ที่ 6% ต่อปี เนื่องจากในทำเลดังกล่าว ถือเป็นไพร์มโลเคชั่นในอันดับต้นๆ สำหรับที่อยู่อาศัย เพราะการเดินทางที่สะดวก เชื่อมต่อถนนสายสำคัญหลายสาย และแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ แหล่งจับจ่ายใช้สอย ร้านอาหาร สถานที่พบปะสังสรรค์ ฯลฯ ย่านนี้จึงเป็นย่านอยู่อาศัยแหล่งสำคัญของกรุงเทพฯ และศูนย์กลางคมนาคม ส่งผลให้ราคาที่ดินโซน และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน จึงเป็นทำเลที่ตอบโจทย์วิถีการดำรงชีวิตในทุกๆ ด้าน   จากการสำรวจพบว่า โซนนี้มีที่อยู่อาศัยให้เลือกมากมาย ทั้งโฮมออฟฟิศและคอนโดโลว์ไรส์ เหมาะสำหรับกลุ่มคนวัยทำงานรุ่นใหม่ ธุรกิจสตาร์ทอัพ นักลงทุน กลุ่มอาชีพอิสระ กลุ่มอาชีพสร้างสรรค์ เช่น โปรดักชั่น เฮ้าส์ สตูดิโอต่างๆ สายงานครีเอทีฟ งานอาร์ต งานด้านสื่อดิจิทัล ด้วยไลฟ์สไตล์ของกลุ่มนี้ที่ต้องการความยืดหยุ่นด้านเวลา ต้องการมีอิสระทางการเงิน วางแผนการใช้ชีวิตอย่างสมดุล (Work - Life Balance) คนกลุ่มนี้มักเลือกที่อยู่อาศัยไม่ไกลจากถนนใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้า มี Facilities ครบครัน เช่น ฟิตเนส สระว่ายน้ำ Co - Working Space ฯลฯ   สำหรับคอนโด Low Rise นับเป็นคอนโดที่กลุ่มคนวัยทำงานสามารถเป็นเจ้าของได้ กลุ่มคนในวัยทำงานส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Double Income, No Kids หรือ DINKs ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ที่มีชีวิตคู่ แต่ปัจจุบันยังไม่มีลูก เนื่องจากมีความพึงพอใจในการใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองเป็น ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีอัตราการขยายตัวมากขึ้นในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้องการใช้ชีวิตอยู่แบบครอบครัวเดี่ยวที่ยังไม่อยากขยาย ต้องการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีในราคาที่เอื้อมถึง มีรายได้ประจำเฉลี่ยประมาณ 25,000 – 50,000 บาทขึ้นไปต่อเดือน ซึ่งข้อดีของกลุ่มนี้ คือ สามารถกู้ร่วมได้ ทำให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ได้ง่าย ยอดการปฏิเสธสินเชื่อจึงอยู่ในระดับต่ำ    
แสนสิริเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ไม่เกิน 4,000 ล้าน เสริมแกร่งธุรกิจ [PR News]

แสนสิริเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ไม่เกิน 4,000 ล้าน เสริมแกร่งธุรกิจ [PR News]

แสนสิริเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ อายุ 3 ปี 10 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.90% ต่อปี (จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้) มูลค่ารวมไม่เกิน 4,000 ล้านบาท นำเงินทุนเสริมแกร่งรับแผนการเติบโตของธุรกิจครึ่งหลังปี 2562 เผยมี Presale Backlog รองรับการเติบโตจนถึงปี 2565 แล้วถึง 57,200 ล้านบาทแข็งแกร่งทุกสภาวะการณ์ ผนึก 4 สถาบัน จำหน่าย   นายวันจักร์  บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมเสนอขายหุ้นกู้มูลค่ารวมไม่เกิน 4,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจตามแผนที่วางไว้ในช่วงครึ่งหลังปี 2562 นอกเหนือไปจากการพึ่งพาวงเงินกู้จากธนาคาร โดยส่วนหนึ่งจะชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนกรกฎาคมนี้จำนวน 1,000 ล้านบาท และเดือนตุลาคมปีนี้ จำนวน 1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทสำหรับเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ For Greater Well-Being สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตลอดปี 2562 ต่อยอดกลยุทธ์ Green & Well-Being สู่ทุกโครงการใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในทุกมิติ ตอกย้ำภาพลักษณ์ของบริษัทในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม เพื่อการอยู่อาศัยที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม   “บริษัทเตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 3 ปี 10 เดือน มูลค่าหุ้นกู้รวม 3,500 ล้านบาท  และมีหุ้นกู้สำรองสำหรับเสนอขายเพิ่มเติมไม่เกิน 500 ล้าน ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.90% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุของหุ้นกู้ ราคาเสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาทและทวีคูณของ 100,000 บาทให้กับผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน ระหว่างวันที่ 30 – 31 กรกฎาคม และ 1 สิงหาคม 2562 โดยแต่งตั้งให้ 4 สถาบันการเงินชั้นนำ ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพฯ และธนาคารกรุงไทย เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย” นายวันจักร์ กล่าว   สำหรับหุ้นกู้ที่บริษัทนำเสนอในครั้งล่าสุดนี้ นับว่าให้อัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจ และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการออม โดยมีผลตอบแทนที่ดี และมีความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับ BBB+ ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2562 จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ซึ่งนับเป็น Investment Grade ที่น่าลงทุน ขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้ง ยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ BBB+ เช่นเดียวกัน อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย รวมทั้งสถานะการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยผลการดำเนินงานล่าสุด ในไตรมาส 1 ปี 2562 บริษัทมีรายได้รวม 6,638 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 27% จากช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า   โดยรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ โครงการ    บ้านแสนสิริ พัฒนาการ, โครงการเศรษฐสิริ พหล – วัชรพล, โครงการบุราสิริ ปัญญาอินทรา, โครงการบุราสิริ ราชพฤกษ์-345 และโครงการ สราญสิริ เกาะแก้ว ภูเก็ต นอกจากนี้บริษัทยังมีความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่แข็งแกร่งเป็นสำคัญ รวมถึงยอดขายที่รอการส่งมอบ ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 2565 แล้วถึง 57,200 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายรอรับรู้รายได้ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ถึง 20,000 ล้านบาท   “บริษัทวางแผนออกหุ้นกู้ที่เหมาะสมเพื่อช่วยสร้างเสถียรภาพด้านการบริหารต้นทุนทางการเงินและดอกเบี้ยอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ การนำเสนอหุ้นกู้ของบริษัทในครั้งนี้ เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนต่อเนื่องหลังจากที่บริษัทประสบความสำเร็จจากการเสนอขายหุ้นกู้มาแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา” นายวันจักร์ กล่าวสรุป
เปิดเส้นทาง “ดูโฮม” ธุรกิจวัสดุก่อสร้างภูธรสู่ “มหานคร” กรุงเทพฯ

เปิดเส้นทาง “ดูโฮม” ธุรกิจวัสดุก่อสร้างภูธรสู่ “มหานคร” กรุงเทพฯ

นับวันความเจริญเติบโตของเมือง ก็ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ การเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สารพัดโครงการ ไม่เฉพาะแต่ที่อยู่อาศัยเท่านั้น การขยายตัวของเมืองเช่นนี้ เป็นผลบวกต่อธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ตกแต่งและซ่อมแซม ให้เติบโตขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ประเมินว่าในปีที่ผ่านมาจะมีมูลค่าสูงถึง 500,000 ล้านบาท เติบโตกว่า 5% ส่วนในปีนี้ประเมินว่าน่าจะเติบโตได้ถึง 10% สาเหตุสำคัญเกิดจากการขยายธุรกิจ การขยายสาขา การเพิ่มจำนวนสินค้าของบรรดาผู้ประกอบการในตลาด โดยเฉพาะกลุ่มโมเดิร์นเทรด ที่มีผู้เล่นหลักอยู่ 5 รายใหญ่ ได้แก่ โฮมโปร โกลบอลเฮ้าส์ ไทวัสดุ ดูโฮม และเมกาโฮม ซึ่งมีรายได้รวมกันมากกว่า 120,000 ล้านบาท   โดยความเคลื่อนไหวในวงการค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ตกแต่งและซ่อมแซมล่าสุด คือ “ดูโฮม” ประกาศแผนธุรกิจ 3 ปี เพื่อรุกตลาดด้วยการขยายสาขาไซส์เล็กจำนวนมาก พร้อมกับเตรียมตัวระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์   “ดูโฮม” ธุรกิจภูธรสู่ “มหานคร” กรุงเทพฯ   กว่าจะเป็นบริษัทมหาชนในวันนี้ จุดเริ่มต้นของ “ดูโฮม” เกิดขึ้นในปี 2526 ภายใต้การบริหารงานของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ.อุบลวัสดุ เพื่อจำหน่ายสินค้ากลุ่มเหล็ก วัสดุมงหลังคา ไม้อัด และสินค้าวัสดุก่อสร้าง ก่อนจะจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นเป็นบริษัท อุบลวัสดุ จำกัด ในปี 2536 เพื่อประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร ภายใต้ชื่อ “อุบลวัสดุ”   ธุรกิจของอุบลวัสดุ เริ่มเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงขยายสาขาออกนอกพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ในปี 2550 กับสาขาที่ 2 ในจังหวัดนครราชสีมา พร้อมกับใช้ชื่อทางการค้าใหม่ว่า “ดูโฮม ในเครือบริษัท อุบลวัสดุ จำกัด" เมื่อมีสาขาที่ 2 บริษัทก็ขยายสาขาต่อไปตามอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นทุกปี จนถึงปัจจุบันมีสาขาเปิดให้บริการ 9 สาขา ในภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ กรุงเทพฯ​ และปริมณฑล พร้อมกับลงทุนจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าอีก 1 แห่ง ในช่วงปี 2558 ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ดูโฮม จำกัด ก่อนจะแปรสภาพจากบริษัทจำกัด เป็นบริษัทมหาชนในวันที่ 24 พฤษภาคม 2561   แผนธุรกิจ 3 ปีเปิดเพิ่ม90 + 7  สาขา     ตามแผนธุรกิจในระยะ 3 ปีนับจากนี้ หรือภายในปี 2564 จะขยายสาขาเพิ่มอีก 97 แห่ง จากปัจจุบันมีสาขาแล้ว 9 แห่ง ซึ่งเป็นรูปแบบสาขาขนาดใหญ่ หรือ ไซส์แอล (L) โดยมีพื้นที่ขายและคลังสินค้า 35,000-65,000 ตารางเมตร  เป็นสาขาภายใต้แนวคิด “ครบ ถูก ดี..ที่ดูโฮม” มีจำนวนสินค้ากว่า 135,000 รายการ ใช้งบลงทุนประมาณ​ 250-300 ล้านบาทต่อสาขา ภายในสิ้นปีนี้จะมีสาขาเพิ่มอีก 1 แห่งในย่านเพชรเกษม  และบริษัทวางเป้าหมายรายได้เมื่อเปิดดำเนินการครบ 3 ปี สาขาละ 1,000-1,200 ล้านบาท   นอกจากนี้ ยังวางแผนขยายสาขาในรูปแบบไซส์เล็ก ภายใต้ชื่อ ดูโฮม ทู โก (Dohome To Go) พื้นที่ประมาณ 300-1,000 ตารางเมตร  โดยจะเปิดให้บริการในพื้นที่ชุมชนหนาแน่น  ใช้งบลงทุนประมาณ 6,000 บาทต่อตารางเมตร หรือไม่เกินสาขาละ 2 ล้านบาท มีสินค้าจำหน่ายประมาณ 10,000 รายการ โดยจะเน้นสินค้าในกลุ่มซ่อมแซมและตกแต่งบ้านเป็นส่วนใหญ่  โดยวางแผนเปิดในปีนี้ 10 สาขา ปีหน้า 30 สาขา และปีต่อไปอีก 30 สาขารวม 90 สาขา   นายภูธดา ธีรเวชชการ รองผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME เปิดเผยว่า การขยายสาขาดูโฮม ทู โก เป็นเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป มีการซ่อมแซมบ้านด้วยตนเอง หรือกลุ่ม DIY เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากช่างซ่อมแซมต่างๆ หาได้ยาก จึงถือเป็นตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น จึงได้ขยายสาขาในไซส์ขนาดเล็ก  โดยจะขยายไปในทำเลของไฮเปอร์มาร์เก็ต ทั้ง แม็คโคร บิ๊กซี และโลตัส ที่มีสาขารวมกันกว่า 400-500 แห่งในกรุงเทพฯ​ และปริมณฑล เพื่อให้ลูกค้าสะดวกต่อการมาซื้อสินค้า นอกจากการจัดจำหน่ายสินค้าผ่านร้านค้าสาขาต่างๆ ของบริษัท ดูโฮม ยังเปิดช่องทางการจำหน่ายแบบออนไลน์  ภายใต้ชื่อ Dohome Shop Online ผ่านทางเว็บไซต์ของดูโฮม นอกจากนี้ยังสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่าน Line@ และระบบคอลเซ็นเตอร์   สำหรับผลประกอบการของบริษัทย้อนหลัง 3 ปีที่ผ่านมา  บริษัทมีรายได้รวม 18,692.07 ล้านบาท ในปี 2559 มีรายได้รวม 18,664.21 ล้านบาท ในปี 2560 และมีรายได้รวม 18,535.17 ล้านบาท ในปี 2561 โดยคาดว่าปีนี้จะสามารถสร้างการเติบโตได้มากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้รวมกว่า 4,980.24 ล้านบาท   ส่วนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO)  บริษัทจะเสนอขายจำนวน 465,040,000 หุ้น กำหนดราคาเสนอขายที่ 7.80 บาทต่อหุ้น พร้อมกับกำหนดระยะเวลาจองซื้อระหว่างวันที่ 25-26 และ 30-31 กรกฎาคม 2562 โดยคาดว่าจะเข้าซื้อขายวันแรกไนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 6 สิงหาคม 2562  ซึ่งจะนำเงินที่ได้จากการขาย IPO ไปใช้ลงทุนขยายสาขา ไปใช้เพื่อรองรับการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของบริษัท ชำระเงินกู้สถาบันการเงินและภาระหนี้อื่นๆ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน      
เปิดประสบการณ์ช้อปปิ้งในยุค 4.0 กับ “แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์” แห่งแรกของไทย

เปิดประสบการณ์ช้อปปิ้งในยุค 4.0 กับ “แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์” แห่งแรกของไทย

ในยุคดิจิทัล 4.0 ที่ทุกวันนี้ผู้บริโภคนำเอาดิจิทัลเข้ามาอยู่ในวิถีชีวิต ทำอะไรก็ผ่านสมาร์ทโฟน เพื่อทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ว่าจะติดต่อสื่อสารหรือจับจ่ายใช้สอย ทำได้ง่ายแค่นิ้วสัมผัสหน้าจอ ส่งผลให้บรรดาผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมของคนยุคนี้ที่เปลี่ยนแปลงไป “แม็คโคร” แม้จะเป็นธุรกิจค้าส่ง ซึ่งทำการค้ากับบรรดาพ่อค้าแม่ค้า เจ้าของธุรกิจร้านค้า หรือผู้ประกอบการต่างๆ ก็ต้องปรับตัวด้วยเช่นกัน เพราะกลุ่มผู้ประกอกบการไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ต่างก็นำเอาระบบดิจิทัลเข้ามาเป็นตัวช่วยด้วยกันทั้งนั้น ที่สำคัญผู้ประกอบการเหล่านี้ก็ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว ในการซื้อสินค้าไม่ว่าจะมาช้อปปิ้งที่สาขาหรือจะสั่งซื้อทางออนไลน์ก็ตาม บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดตัว "แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์" แห่งแรก สาขาลาดกระบัง ต้นแบบห้างค้าส่งอัจฉริยะ โมเดลฟูดเซอร์วิส นำปัญญาประดิษฐ์(AI) เชื่อมต่อพนักงาน+คู่ค้า+ลูกค้า ด้วยงบลงทุน 200 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล 26 ล้านบาท  พัฒนาสโตร์ขนาดพื้นที่รวม 6,700 ตารางเมตร มีพื้นที่ขาย 1,900 ตารางเมตร ซึ่งเติมเต็มด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยีและดิจิทัล เป้าหมายของขยายสาขาดิจิทัล สโตร์ “แม็คโคร” ต้องารสร้างผลสัมฤทธิ์ 4 ด้าน ทั้งประสิทธิภาพการทำงาน การบริการที่ดีขึ้น ประหยัดพลังงาน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เสริมประสิทธิภาพลดปัญหาสต็อกขาด คิวยาว ควบคุมคุณภาพสินค้าได้ดีขึ้น สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้ประกอบการยุคใหม่ โดยการนำเอาเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตออฟธิงค์ (IoT) มาใช้ นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์  เป็นร้านค้าแบบฟูดเซอร์วิส ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาต่อยอด ทำให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจ 4 ด้าน นั่นคือ บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพของการบริหารจัดการในสาขา ประหยัดพลังงานในระยะยาว และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างประสบการณ์ความพึงพอใจรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้าผู้ประกอบการยุคดิจิทัล ให้สะดวก รวดเร็ว และแม่นยำ “แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์ สาขาลดกระบัง ออกแบบและวางระบบด้วยการนำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อบริหารจัดการภายในร้าน และการให้บริการต่างๆ ตั้งแต่จุดรับชำระเงิน ชั้นวางสินค้า การบริหารจัดการสินค้าคงคลังทั้งหน้าร้านและหลังร้าน การตรวจเช็คสินค้าราคา การสั่งสินค้าผ่าน  อีคอมเมิร์ซ  การใช้ไฟฟ้าและการประหยัดพลังงานภายในสาขา ฯลฯ  โดยติดตามผ่านการแสดงหน้าจอบนแผงตรวจสอบและควบคุมการปฏิบัติงาน” นางศิริพร กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาจะพบว่าปัญหากลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ เข้ามาซื้อสินค้าแล้วได้สินค้าไม่ครบ รวมถึงใช้เวลานานในการชำระเงิน เนื่องจากมีผู้เข้ามาซื้อสินค้าจำนวนมาก ต้องต่อแถวเพื่อชำระเงินเป็นเวลานาน อุปกรณ์เทคโนโลยีและดิจิทัลที่นำเข้ามาจะช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านั้น  โดยคาดหวังว่าจะช่วยทำให้แม็คโครมียอดขายเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับสาขาปกติ เพราะการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการขายและบริการ จะลดโอกาสการขาดสต็อก และลดการสูญเสียโอกาสในการขาย ขน 23 อุปกรณ์ดิจิทัลรองรับลูกค้า 4.0 แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์ สาขาลาดกระบัง ได้นำเอาอุปกรณ์เทคโนโลยีและดิจิทัล มาใช้เสริมสร้างประสบการณ์ซื้อสินค้า ของลูกค้าในยุค 4.0 และเพิ่มประสิทธิภาพต่างๆ มากถึง 23 อุปกรณ์ นับตั้งแต่ทางเข้าห้างไปจนถึงขันตอนการจ่ายเงิน อาทิ สื่อโฆษณาดิจิทัล มีทั้งจอแอลอีดี ซึ่งใช้แทนสื่อโฆษณาในรูปแบบเดิมที่เป็นกระดาษ เพื่อเป็นสื่อโฆษณาบอกข้อมูลโปรโมชั่นสินค้า  และข้อมูลต่างๆ  ป้ายโปรโมชั่นอัจฉริยะ  บอกทั้งราคา สแกนได้ทั้งคิวอาร์โค้ทตรวจสอบย้อนกลับ แทรกหนังโฆษณา โดยมีป้ายโฆษณาดิจิทัลในจุดสำคัญๆ  ตั้งแต่ทางเข้าห้างไปจนถึงจุดชำระเงิน ป้ายราคาอัจฉริยะ ESL (Electronic Shelf Label) ถูกนำมาใช้แทนป้ายรูปแบบกระดาษที่เคยใช้มาตลอด 30 ปี โดยจะมีการติดตั้งป้ายกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ LED หลากหลายขนาด จำนวนกว่า 8,000 ชิ้น ซึ่งมีข้อดี คือ สามารถเปลี่ยนแปลงราคาได้ภายใน 40 วินาที จากการควบคุมสั่งงานผ่านของส่วนกลาง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้า หรือจัดทำราคาโปรโมชั่น จากเดิมต้องให้พนักงานเดินเปลี่ยนป้ายราคาตามจุดต่างจำหน่ายสินค้านับ 1,000 จุด  นอกจากนี้ ป้ายอัจฉริยะยังเชื่อมโยงข้อมูลของสินค้า รายละเอียดต่างๆ กล้อง AI อัจฉริยะ สำหรับการตรวจสอบปริมาณสินค้าบนชั้นวาง เมื่อสินค้าถูกจำหน่ายออกไป พนักงานจะเข้ามาเติมสินค้าบนชั้นได้ทันที  โดยกล้องสามารถกำหนดเวลาการตรวจสอบข้อมูลสินค้าได้ทั้งแบบเรียลไทม์หรือตั้งเวลา เพื่อแจ้งเตือนการเติมสินค้าได้ทันความต้องการ เบื้องต้นมีการติดตั้งกล้องจำนวน 25 ตัวในแผนกสินค้าที่ขายดี ครอบคลุมพื้นที่ขายประมาณ 20% คิว บัสเตอร์ (Queue Buster) เข้ามาช่วยทำให้การชำระเงินสะดวกรวดเร็ว  เพราะจะมีพนักงานที่ติดเครื่องหมาย Q Buster ไว้ที่แขนเสื้อ มาช่วยสแกนบาร์โค้ดของสินค้า พร้อมบันทึกรายการสินค้าลงในหมายเลขบัตรสมาชิก หากเห็นแถวชำระเงินต่อกันยาว เมื่อถึงคิวชำระเงินแคชเชียร์เพียงสแกนบัตรสมาชิกก็คิดเงินได้ทันที เครื่องคิดเงินสองหน้าจอ (Double Screen Cashier) แสดงรายการสินค้าที่ถูกสแกนไปพร้อมๆ กับพนักงานแคชเชียร์ จะได้ทำการตรวจเช็คความถูกต้องไปพร้อมกัน  พร้อมกับมีช่องแสดง QR code สำหรับชำระเงิน ชำระเงินด้วยการสแกน QR Code (QR payment)  ก้าวสู่สังคมไร้เงินสดไปกับการชำระเงินด้วยการสแกน QR Code เพื่อชำระเงิน ง่าย สะดวก รวดเร็ว และแม่นยำ หน้าจอ Eco-Friendly แจ้งสถานะการใช้พลังงานจากโซล่า พาเนล บนหลังคา รวมถึงบอกจำนวนการใช้พลังงานแต่ละจุด  อาทิ เครื่องทำความเย็น หลอดไฟ  เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการใช้กระแสไฟเกินค่ามาตรฐาน (FTE)  ทำให้บริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นสาขาที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 798,000 กิโลกรัมต่อปีของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า แอลอีดี อีคอมเมิร์ซ เมื่อลูกค้าต้องการซื้อสินค้าที่มีขายบนระบบออนไลน์ (makroclick)  สาขานี้มีจอแอลอีดี อีคอมเมิร์ซ ดิจิทัลคีออสหน้าทางเข้า แสดงรายการ - สั่งสินค้าที่ไม่มีในสาขาผ่านระบบ e-commerce ได้เลย Picking Solution ระบบการส่งของที่รวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะซื้อสินค้าที่สาขา หรือโทรศัพท์สั่งผ่าน makroclick พนักงานจะรับคำสั่งซื้อผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า Handheld  จากนั้นจะไปจัดของตามรายการ ง่าย ประหยัดเวลา และรักษ์โลก วิธีนี้ลดใบคำสั่งซื้อที่เป็นกระดาษได้ถึง 600,000 แผ่นต่อปี หรือลดการตัดต้นไม้ได้ถึง 300 ต้นต่อปี แผงพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Panel) 800 ตารางเมตร ที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึงมาใช้งานได้ถึง 35% ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าในแต่ละเดือน หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 150,000 บาท ที่ช่วยลดค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนกว่า 500,000 ตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าแม็คโคร  ตุ๊กตุ๊กพลังงานไฟฟ้า ส่งเสริมการขนส่งแบบประหยัดพลังงาน พร้อมติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ขนาดพอเหมาะเพื่อนำพลังงานมาใช้ในห้องควบคุมอุณหภูมิ สำหรับส่งสินค้าในบริเวณใกล้เคียง จัดส่งได้ทั้งอาหารสด สินค้าอุปโภคและบริโภค รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ระยะทาง 100 กิโลเมตรเมื่อชาร์ตไฟฟ้า 1 คืน  การส่งสินค้าด้วยรถตุ๊กตุ๊กช่วยทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสินค้าถูกลงเหลือเพียงกิโลเมตรละ 40 สตางค์  ทำให้สามารถเข้ามาตอบสนองการจัดส่งสินค้าในรูปแบบเดลิเวอรี่ได้ภายใน 1 วัน (Sam Day) จากเดิมการจัดส่งสินค้าต้องใช้ระยะเวลา 1 วัน จุดชาร์ตไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า บริเวณลานจอดรถเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อประหยัดพลังงานมากขึ้น ระบบทำความเย็นอัจฉริยะ(Water Loop Heat Exchange)  ลดการใช้พลังงานจากระบบทำความเย็นขนาดใหญ่ ด้วยการกระจายการทำงานเป็นชุดอิสระ ควบคุม และสั่งการผ่านระบบส่วนกลางที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านแท็บเลท ทำให้การปฏิบัติงานของพนักงานเป็นไปด้วยความสะดวก และแม่นยำมากยิ่งขึ้น  
CI ขน 12 โครงการจัด “กรี๊ดเดย์ Great Deal”กระตุ้นตลาดอสังหาฯ [PR News]

CI ขน 12 โครงการจัด “กรี๊ดเดย์ Great Deal”กระตุ้นตลาดอสังหาฯ [PR News]

ชาญอิสสระ เตรียมจัดงานใหญ่ ขน 12 โครงการในเครือจัด Charn Issara Day แคมเปญ “กรี๊ดเดย์ Great Deal” อัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม กระตุ้นตลาดครึ่งปีหลัง   นายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัทชาญอิสสระ ดีเวล็อป  เมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมการขายและสร้างความคึกคักให้กับแวดวงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมหนุนผู้ที่ต้องการมองหาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพในราคาพิเศษ และผู้ที่มองหาสถานที่พักผ่อนตากอากาศในราคาสุดคุ้ม บริษัทฯ จึงตรียมจัดแคมเปญกระตุ้นการตลาดภายใต้แคมเปญ Charn Issara Day “กรี๊ดเดย์ Great Deal”  ขน 12 โครงการในเครือ ร่วมจัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม มูลค่าสูงสุดถึง 10 ล้านบาท ทั้งในส่วนของบ้านเดี่ยวสุดหรู บ้านพักตากอากาศ คอนโดมิเนียม และโรงแรม เพื่อกระตุ้นยอดขาย และเพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่ให้การตอบรับโครงการในเครือชาญอิสสระด้วยดีเสมอมา   สำหรับโครงการที่นำมาร่วมจัดแคมเปญ Charn Issara Day “กรี๊ดเดย์ Great Deal” ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยวสุดหรูระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ ใจกลางเมือง อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9  มีเพียง 20 หลัง ราคาเริ่มต้น 100 ล้านบาท  โครงการบ้านเดี่ยวสุดหรูบนทำเลย่านบางนา บ้านอิสสระ บางนา มีจำนวน 44 หลังราคาเริ่มต้น 38 ล้านบาทโครงการบ้านสีตวัน ปากช่อง – เขาใหญ่  โครงการบ้านพักตากอากาศ  ราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท   ขณะที่ในส่วนของคอนโดมิเนียมได้นำ โครงการ อิสสระ คอลเลคชั่น สาทร โลว์ไรส์  คอนโดมิเนียม ระดับลักชัวรี่ จำนวน 33 ยูนิต เข้าร่วมโปรโมชั่นส่งเสริมการขายในครั้งนี้ด้วย ในราคาเริ่มต้นที่ 18.9 ล้านบาท และได้นำเอาโครงการคอนโดมิเนียมต่างจังหวัดภายใต้อาณาจักรทิวทะเลเอสเตท ชะอำ-หัวหิน มาร่วมแคมเปญด้วย  โดยโครงการที่นำมาร่วมจัดแคมเปญในครั้งนี้ ได้แก่ โครงการบ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ (Blue Sapphire) โลว์ไรส์ และไฮไรส์ คอนโดมิเนียม 4 ชั้น 2 อาคาร และ 15 ชั้น 1 อาคาร พร้อมทั้ง Clubhouse อยู่หน้าหาด จำนวน 421 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.XX ล้านบาท  โครงการบลู (Blu) ไฮไรส์ คอนโดมิเนียม วิวทะเล สูง 21 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 491 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.XX ล้านบาท  ในส่วนของ Baba Beach Club Residences Phase 2   จำนวนเพียง 7 หลัง ในราคาเริ่มต้น 33.9 ล้านบาท มาจัดโปรโมชั่นส่วนลดสูงสุด1 ล้านบาท พร้อม Fully Furnished   นอกจากนี้ยังมีโครงการคอนโดมิเนียม ดิ อิสสระ เชียงใหม่ โลว์ไรส์ คอนโดมิเนี่ยม 7 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 265 ยูนิต ที่ออกแบบในสไตล์รีสอร์ท ราคาเริ่มต้น 2.85 ล้านบาท ส่วนของโรงแรมในเครืออย่าง Sri Panwa Phuket จัดโปรโมชั่นสุดคุ้ม ลดราคาห้องพักสูงสุดถึง 60% พร้อมข้อเสนอของแถมให้ได้เลือกอีกมากมาย  ด้านโรงแรม Baba Beach Club Phuket ชูโปรโมชั่นแพคเกจราคาห้องพัก 1 คืน เริ่มต้นที่ 5,500 บาท จากราคาปกติ 16,478 บาท ขณะที่แพคเกจราคาห้องพัก 2 คืน เริ่มต้นที่ 12,600 บาท จากราคาปกติ 32,956 บาท ​  โรงแรม Baba Beach Club Hua Hin รับโปรโมชั่นพิเศษ Super-Hot Deal​ ด้วย​ราคาเริ่มต้น​ 7,500​ บาทต่อคืน​ (จากราคาปกติ​ 18,800บาท) ขณะที่โปรโมชั่นพัก​ 2​ คืนขึ้นไป​ รับทันที​ ชุดอาฟเตอร์นูนที​ และสิทธิพิเศษ​อื่นๆ   สำหรับโครงการ Baba Beach Club Residences Phuket บ้านพักตากอากาศสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ในราคาเริ่มต้น 29 ล้านบาท จัดโปรโมชั่นมอบส่วนลดสูงสุด 5 ล้านบาท พร้อมการันตีมอบผลตอบแทนจากการบริหารจัดการด้านการลงทุนโดยทีมงานศรีพันวาสูงถึง 5% ใน 3 ปีแรก พร้อมรับแพคเกจที่พัก​สุดหรู โรงแรม Baba Beach Club Phuket 3​ วัน​ 2 คืน​ รวมตั๋วเครื่องบินไปกลับ​ พร้อมรถรับส่งจากสนามบิน​ ​   โดบลูกค้าที่ลงทะเบียนออนไลน์ร่วมงาน Charn Issara Day “กรี๊ดเดย์ Great Deal” รับส่วนลดเพิ่มสูงสุดอีก 100,000 บาท และสำหรับลูกค้าที่ถือบัตร Charn Issara Menber Card เพียงแสดงบัตรภายในงานรับส่วนลดเพิ่มทันทีอีก 10,000 บาท โดยส่วนลด โปรโมชั่นต่างๆ ของแต่ละโครงการเป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด โดยจะจัดงานขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2562 ชั้น 10 อาคารชาญอิสสระ ทาวเวอร์ 2 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ  
เจ.เอส.พี. ล้างภาพ “สำเพ็ง” สู่ Top5 ผู้นำพัฒนาตลาดบ้านแนวราบ

เจ.เอส.พี. ล้างภาพ “สำเพ็ง” สู่ Top5 ผู้นำพัฒนาตลาดบ้านแนวราบ

ช่วงเดือนมีนาคม 2561 ที่ผ่านมา ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของบริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)  ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ โครงการสร้างชื่อและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง น่าจะเป็นโครงการสำเพ็ง 2 เพราะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ จากนายทะนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ได้ขายหุ้นทั้งหมดให้แก่ นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล หลังจากนั้นได้มีการปรับการบริหารงาน โดยนายลิขิต เข้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารแทน  และล่าสุดในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทเสริมทีมบริหารงานภายใน ด้วยการเสริมทีมบริหารการตลาดมาจากบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือ PS และทีมการเงินจากบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CI เพื่อสร้างให้ธุรกิจมีการเติบโตอีกครั้ง จากก่อนหน้าที่บริษัทชะลอการพัฒนาโครงการ และการทำตลาดในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้านี้   นายสงกรานต์ แสงอร่ามรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาดและการขาย บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)  หนึ่งในทีมผู้บริหารชุดใหม่ ที่เข้ามาบริหารงานเพื่อสร้างการเติบโต เปิดเผยว่า  โจทย์สำคัญที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้มอบหมายให้กับทีมบริหารชุดใหม่ ในช่วงปีแรกมี 2 เรื่องสำคัญ คือ การระบายสต็อกสินค้าเดิม และการปรับภาพลักษณ์ สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก เพื่อผลักดันให้บริษัทเติบโตต่อไปในอนาคต   “ซีอีโอเป็นนักลงทุนที่มองหาโอกาสจากธุรกิจ ที่สามารถสร้างการเติบโตและมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ก่อนจะเข้ามาลงทุนได้ทำการศึกษาบริษัทมาเป็นอย่างดี เห็นว่ามีรายได้ 3,000-4,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2559-2560 หากสามารถพัฒนาโครงการต่อเนื่อง รายได้ก็น่าจะเติบโตต่อเนื่อง และบริษัทยังมีจุดแข็งจาการมีที่ดินสะสมไว้จำนวนมาก ซึ่งมีต้นทุนราคาที่ดินต่ำ หลายแปลงราคาที่ซื้อมาถูกกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับราคาซื้อขายในปัจจุบัน”   เดินหน้าละบายสต็อกเสริมเงินทุนหมุนเวียน   แม้ว่าก่อนหน้านี้บริษัทจะไม่ได้พัฒนาโครงการใหม่ออกมา แต่โครงการเดิมที่พัฒนาไว้แล้ว ยังมีสินค้ารอการขายอยู่จำนวนหนึ่ง ที่ผู้บริหารชุดปัจจุบันจะต้องเร่งระบายสต็อก เพื่อสร้างรายได้มาเป็นเงินทุนในการพัฒนาโครงการต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท จำนวน 900 ยูนิต ในโครงการไมอามี่ บางปู และโครงการ J Condo สาทร-กัลปพฤกษ์ ที่ยังเหลือขายอีก 600 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปี 2563     สำหรับกลยุทธ์การขาย จะเน้นการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ เนื่องจากมองว่าสินค้ามีทั้งคุณภาพและราคาที่คุ้มค่า  เพราะเป็นต้นทุนเดิมตั้งแต่เริ่มการพัฒนาเมื่อช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และบริษัทไม่ได้ทำการปรับราคาเพิ่มขึ้น จึงทำให้มีความสามารถในการแข่งขัน ปัจจุบันยดขายจึงเพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนหน้า โดยมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 300  ล้านบาท จากก่อนหน้ามียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 100 ล้านบาท  โดยบริษัทวางแผนใช้งบประมาณในการตลาดประมาณ​10-20 ล้านบาท   ปั้นโปรเจ็ตก์สร้างยอดปีละ 6,000 ล้าน ขึ้นท็อป5   เป้าหมายสำคัญในระยะ 2-3 ปีนับจากนี้ เจ.เอส.พี.ฯ ต้องการก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 5 ของผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการแนวราบระดับราคา 2-3 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่มีความต้องการอย่างแท้จริง มีขนาดตลาดใหญ่ และเป็นตลาดของคนส่วนใหญ่ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัย จุดแข็งของการจะผลักดันไปสู่เป้าหมายดังกล่าว คือ การมีที่ดินเปล่าสะสมไว้ถึง 10 แปลง อยู่ในโลเกชั่นติดถนน ที่สำคัญต้นทุนที่ดินต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง คิดเป็นมูลค่าทางบัญชีกว่า 2,500 ล้านบาท จึงมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาสินค้าออกมาขายในราคาดังกล่าว ซึ่งคาดว่าแต่ละปีจะมีการพัฒนาโครงการออกมาขาย คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 6,000-10,000 ล้านบาท เพื่อสร้างยอดขายได้มากกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันผู้นำอันดับ 5 ในโครงการแนวราบมียอดขายอยู่ระดับ 6,000 ล้านบาท หากบริษัทสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า ก็จะเข้าอยู่ใน Top 5 ดังกล่าวได้   สำหรับการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 นี้ ได้วางแผนพัฒนาโครงการแนวราบ ประเภทบ้านแฝด 1 โครงการ ทำเลย่านบางบัวทอง มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท  ส่วนในปี 2563 เตรียมเปิดแนวราบเพิ่มอีก 7 โครงการ ได้แก่ ทำเลโครงการบางพระ, โครงการแพรกษา, โครงการบางใหญ่จำนวน 2 โครงการ, โครงการบางใหญ่ (2), โครงการติวานนท์, และโครงการบางบัวทอง ซึ่งมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท  ซึ่งปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ 4,068 ล้านบาท ยอดโอนกรรมสิทธิ์ 3,215 ล้นบาท ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ 600 ล้านบาท  ส่วนปี 2563 วางเป้ารายได้รวมกว่า 4,500 ล้านบาท โดยหวังว่าในอนาคตแต่ละปีบริษัทจะเติบโตประมาณ 15%   รีแบรนด์ล้างภาพ “สำเพ็ง2” สู่ความเป็นโมเดิร์น   นอกเหนือจากการปรับโครงสร้างการบริหารภายใน ด้วยการเสิรมทีมบริหารการตลาดมาจากบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือPS และทีมการเงินจากบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือCI เข้ามาแล้ว  ภารกิจสำคัญของบริษัท คือ การปรับภาพลักษณ์ให้บริษัทมีความทันสมัย เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในการจับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน อายุระหว่าง 30-40 ปี เนื่องจากการรับรู้ของคนส่วนใหญ่จะรู้จักโครงการสำเพ็ง 2 มากกว่าจะรู้จัก บริษัท เจ.เอส.พี.ฯ  ประมาณเดือนกันยายนที่จะถึงจึงได้เตรียมวางแผนปรับภาพลักษณ์องค์กรใหม่หมด ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ สินค้าที่จะมีแบบบ้านใหม่ การบริการ และทัชพอยท์ต่างๆ   “คนยังไม่ค่อยรู้จักบริษัท จะรู้จักแต่โครงการสำเพ็ง 2 บริษัทจึงต้องปรับภาพลักษณ์ใหม่ ใส่ความโมเดิร์น การเสริมการบริการ ปรับแบรนด์วิชั่นใหม่ เราไม่ได้ขายบ้านแต่เราขายความสุข จึงต้องมีการเสริมทั้งบริการและคุณภาพสินค้า รวมถึงองค์ประกอบต่างๆ โดยรวม และจะขยับการพัฒนาโครงการในตลาดพรีเมียมเพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่ในตลาดแมสเป็นหลัก คือ การพัฒนาโครงการบ้านแฝดในระดับ 7-8 ล้านบาท ในย่านบางใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทพัฒนาบ้านออกขายแพงสุดราคาหลังละ 6 ล้านบาทเท่านั้น”   สิ่งต่างๆ ที่ทีมผู้บริหารใหม่ต้องทำนับจากนี้ คงถือว่าเป็นความท้าทายในการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยเฉพาะการทำให้ทีมงานบริษัทคิดและเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งในอนาคตยังมีเป้าหมายสำคัญต้องบรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทำยอดขายรวม 19,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งต้องรอดูผลงานของทีมผู้บริหารชุดนี้ว่าจะทำได้ตามที่หวังไว้หรือไม่  
LPN สร้างชุมชนต้นแบบประหยัดพลังงาน ชูแนวคิด Eco Design [PR News]

LPN สร้างชุมชนต้นแบบประหยัดพลังงาน ชูแนวคิด Eco Design [PR News]

คงปฎิเสธไม่ได้ว่า "ชุมชนน่าอยู่" เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ส่งให้ทุกโครงการที่บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)(LPN) พัฒนาขึ้น ได้รับการตอบรับที่ดี ส่วนหนึ่งมาจากแนวคิดการพัฒนาโครงการด้วยการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชนภายใต้วัฒนธรรม “ร่วมใจ ห่วงใย แบ่งปัน” ที่มุ่งสร้างความสุขที่แท้จริงของการอยู่อาศัยให้กับสมาชิกลุมพินีมาโดยตลอด   นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านกลยุทธ์ LPN เปิดเผยว่า ได้นำเอาแนวทาง Eco Design มาใช้ในการออกแบบพัฒนาโครงการ ลุมพินี เพลส พระราม 9-รัชดา ภายใต้แนวคิด “LPN GREEN” โดยมีการวางผังโครงการให้สอดคล้องกับมาตรฐานอาคารเขียว (Green Building) ของ LEED โดยเน้นถึงจิตสำนึกของความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม (CESR) เพื่อสร้างความสุขให้กับผู้พักอาศัยอย่างยั่งยืน     โดยอาคารแห่งนี้ยังมีความโดดเด่นด้านการออกแบบอาคารที่วางในตำแหน่งทิศเหนือและทิศใต้ มีการใช้กระจก 2 ชั้น เพื่อป้องกันความร้อน และละอองฝุ่นจากภายนอกเข้าภายในอาคาร รวมถึงสามารถลดอุณหภูมิภายในอาคารได้ถึง 2-3 องศา มีพื้นที่สีเขียวเกินกว่าที่ทางกฎหมายกำหนด ต้นไม้ที่ปลูกเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่คัดเลือกมาให้เหมาะกับพื้นที่โครงการ ดูแลง่าย ใช้น้ำไม่มาก แต่สามารถให้ความร่มเย็น และคายออกซิเจนได้จำนวนมาก ส่วนปุ๋ยที่ใช้ก็เป็นปุ๋ยอินทรีย์ ไม่มีสารเคมี ช่วยให้ผู้พักอาศัยมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี   “30 ปีแล้วที่ LPN สร้างชุมชนน่าอยู่ให้เกิดขึ้นในทุกโครงการที่เราพัฒนา เพราะเชื่อว่าจะส่งเสริมให้สังคมดี คุณภาพชีวิตผู้พักอาศัยดี รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่ดี นอกจากนั้นยังช่วยสร้างจิตสำนึกของการอยู่ร่วมกัน ซึ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน” โครงการลุมพินี เพลส พระราม 9-รัชดา แห่งนี้ ยังเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างความสำเร็จของ "ชุมชนน่าอยู่" ที่คณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดและเจ้าของร่วมได้ร่วมมือร่วมใจกันสร้างสรรค์โครงการที่ดี กับแนวคิดการประหยัดค่าไฟฟ้า โดยในช่วงแรกได้ใช้วิธีเปลี่ยนหลอดไฟเป็นหลอด LED แต่กลับลดค่าไฟฟ้าได้เพียงแค่ 10% เท่านั้น ต่อมาจึงใช้วิธีเปิดไฟทางเดินดวงเว้นดวงในเวลาหลัง 22.00 น. แต่ค่าไฟฟ้าก็ยังลดลงไม่มาก จึงทำการติดตั้งโซลาร์ เซลล์  โดยเมื่อนำไฟฟ้าจากโซลาร์ เซลล์ไปใช้งานได้เต็มที่ 100% จะช่วยลดค่าไฟฟ้าได้สูงสุด 13,600 หน่วยต่อเดือน คิดเป็นค่าไฟฟ้า 57,500 บาทต่อเดือน     นอกจากติดตั้งโซลาร์ เซลล์แล้ว ทางโครงการยังต่อยอดสนับสนุนเรื่องลดโลกร้อน ด้วยการติดตั้ง EV charger แบบชาร์จเร็ว ใช้งบลงทุนประมาณ 100,000 บาท เพื่อสนับสนุนให้ผู้พักอาศัยหันมาใช้รถพลังงานไฟฟ้าแทนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงรองรับรถพลังงานที่มีแนวโน้มจะมีผู้ใช้มากขึ้น ซึ่งขณะนี้ในโครงการมีเจ้าของร่วมใช้รถพลังงานไฟฟ้า 2 คัน และเชื่อว่า เมื่อในโครงการมี  EV charger จะทำให้ลูกบ้านตัดสินใจใช้รถพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น    
จิณณ์ เวลบีอิ้งฯ วางเป้าหมายกวาดรายได้ขายห้องให้ผู้สูงอายุ 1,000 ล้าน

จิณณ์ เวลบีอิ้งฯ วางเป้าหมายกวาดรายได้ขายห้องให้ผู้สูงอายุ 1,000 ล้าน

จิณณ์ เวลบีอิ้งฯ เฟสแรก สร้างเสร็จพร้อมโอน รับลูกค้าสูงวัย  ตั้งเป้าสิ้นปีโกยรายได้ 1,000 ล้าน เปิดบิสซิเนสโมเดลใหม่ ‘Assisted Living’ ห้องพักให้เช่าพร้อมบริการครบวงจร พร้อมอัดโปรโมชั่นลดราคาค่าบริการ 50%   นพ. ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ รองประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดเผย ถึงความคืบหน้าการพัฒนาโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ (Jin Wellbeing County) รังสิต  ว่า ขณะนี้ในส่วนของอาคาร จิณณ์ เรสซิเดนซ์ ที่พักอาศัยโลว์ไรส์ 7 ชั้น รวม 5 อาคาร แบ่งเป็น คลัสเตอร์ 1 จำนวน 2 อาคาร และคลัสเตอร์ 2 จำนวน 3 อาคาร รวมทั้งหมด 494 ยูนิต  ได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารพักอาศัยแล้วเสร็จ 100% พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ได้ทั้ง 5 อาคาร ซึ่งเป็นเฟสแรก โดยหากมียอดขาย 300-400 ยูนิต จะดำเนินการก่อสร้างในเฟส 2 อีก 800 ยูนิต ส่วนโรงพยาบาลธนบุรีบูรณา (Thonburi Burana Hospital) ขนาด 51 เตียง เป็นโรงพยาบาลที่เน้นรักษาพยาบาลเฉพาะทางผู้สูงอายุแบบองค์รวมครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทย เน้นการป้องกัน การสร้างเสริมสุขภาพ และฟื้นฟูด้วยบริการ Wellness,  Fitness  คาดว่าพร้อมเปิดบริการปลายไตรมาส 3 นี้ และสถาบัน จิณณ์ เวลเนส เซ็นเตอร์ (Jin Wellness Institute)  ซึ่งดำเนินธุรกิจให้บริการดูแลสุขภาพสุขภาพ  ช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน  แก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการและบุคคลภายนอก ขณะนี้ดำเนินการก่อสร้างแล้ว 96% ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้   นพ.ธนาธิป กล่าวอีกว่า ปัจจุบันอาคารพักอาศัยมียอดขายแล้ว 146 ยูนิต ในจำนวนนี้มียอดโอนกรรมสิทธิ์แล้ว 83 ยูนิต และมีแบ็กล็อก (ยอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์) อีก 63 ยูนิต โดยตั้งเป้าถึงสิ้นปีนี้จะมียอดโอนกรรมสิทธิ์ 200 ยูนิต ซึ่งมีราคาเฉลี่ยห้องละ 5 ล้านบาท รวมมีมูลค่า 1,000 ล้านบาท และล่าสุดโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ส่วนพักอาศัย ได้เปิดตัวบิสซิเนสโมเดลใหม่ ‘Assisted Living’ จำนวน 40 ยูนิต แบบตกแต่งพร้อมเข้าอยู่ได้ทันที เพื่อให้เช่าแก่ผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลแบบพิเศษตลอด 24 ชั่วโมง โดยบุคลากรที่เชี่ยวชาญการดูแลผู้สูงอายุ พร้อมมีแพทย์ตรวจเยี่ยมประจำโครงการ กิจกรรมฟื้นฟูสุขภาพรอบด้านที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้สูงวัยมีสังคม พัฒนาการด้านอารมณ์ สมองและความจำ ป้องกันโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ รวมถึงการกระตุ้นฟื้นฟู กล้ามเนื้อให้แข็งแรงในผู้สูงวัย  พร้อมบริการอื่นๆ อาทิ อาหารวันละ 3 มื้อ อาหารว่างวันละ 2 มื้อ บริการทำความสะอาดห้องพัก ซัก-รีดเดือนละ 50 ชิ้น บริการ Concierge  ฟรีไวไฟและค่าไฟฟ้า-ประปา นอกจากนี้ ได้จัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายเพื่อให้เช่าแบบ Assisted Living ถึงสิ้นปีนี้ โดยห้องแบบ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 43-46 ตารางเมตร คิดค่าเช่าพิเศษเดือนละ 45,000 บาท จากปกติ 90,000 บาท และแบบ 1 ห้องนอนพร้อมห้องอเนกประสงค์ ขนาดพื้นที่ 63-66 ตารางเมตร  คิดค่าเช่าพิเศษเดือนละ 55,000 บาท จากปกติ 105,000 แสนบาท โดยต้องทำสัญญาขั้นต่ำ 12 เดือน   ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลก อาทิ ไทย เกาหลีใต้ สิงคโปร์ จีน ญี่ปุ่น อเมริกา แถบยุโรป ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ที่มีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 10% หรืออายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปเกินกว่า 7% ของประชากรทั้งหมด โดยในประเทศไทยคาดว่าภายในกว่า 10 ปีข้างหน้าจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ (Super - Aged Society) ที่มีสัดส่วนประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปเกินกว่า 20% และมีแนวโน้มเป็นโรคความจำเสื่อมเพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีบริการด้านสุขภาพอย่างครบวงจร โดยนำหลักโภชนาการและการออกกำลังกายรูปแบบใหม่มาให้บริการแก่ผู้อยู่อาศัย    
เนอวานา จับมือ คริสตี้ส์ ขายโครงการ “Banyan Tree Residence Riverside Bangkok” ให้กลุ่มเอ-ลิสต์ทั่วโลก 

เนอวานา จับมือ คริสตี้ส์ ขายโครงการ “Banyan Tree Residence Riverside Bangkok” ให้กลุ่มเอ-ลิสต์ทั่วโลก 

บริษัทเนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) จับมือกับ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท ทำการตลาดและขายโครงการ “Banyan Tree Residence Riverside Bangkok” ให้กับลูกค้าระดับเอ-ลิสต์จากทั่วโลกของคริสตี้ส์ มั่นใจคุณภาพโครงการทั้งในแง่ของการอยู่อาศัย การลงทุน ผสมผสานกับงานศิลปะควบคู่กัน     นายกฤษณัน กฤตเมธภีมเดช รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจองค์กร บริษัทเนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า การทำการตลาดของโครงการ Banyan Tree Residence Riverside Bangkok ผ่านบริษัทริชมอนส์ ลักชัวรี่ เรียลเอสเตท ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของคริสตี้ส์ในประเทศไทย จะเป็นการจับกลุ่มลูกค้าระดับเอ-ลิสต์จากทั่วโลกของคริสตี้ส์ที่สนใจในที่อยู่อาศัย ซึ่ง ปัจจุบันโครงการ Banyan Tree Residence Riverside Bangkok ขายไปแล้วประมาณ 60%  นายทิม สเคพวิงตัน กรรมการผู้จัดการ บริษัทริชมอนส์ ลักชัวรี่ เรียลเอสเตท กล่าวว่า โครงการ Banyan Tree Residence Riverside Bangkok นับเป็นโครงการแรกในประเทศไทยที่ได้รับการคัดสรรมาเพื่อลูกค้าของคริสตี้ส์ที่มีอยู่ทั่วโลก โดยมีความมั่นใจในคุณภาพและความหรูหราของโครงการ สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการระดับโรงแรม 5 ดาว ตามมาตรฐานของบันยันทรี ซึ่งบริเวณริมน้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพ นับเป็นย่านพักอาศัยที่หลายคนใฝ่ฝันในไลฟ์สไตล์ที่ดี และยังมีมูลค่าที่น่าสนใจกับการลงทุน      ในวันเสาร์ ที่ 3 สิงหาคม 2562  จะมีการจัดงานฉลองเปิดตัวเพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ร่วมสัมผัสประสบการณ์ “Top of Life Experience” ซึ่งประกอบไปด้วย Top of Life Collection ของสะสมล้ำค่าที่ควรจะต้องครอบครอง อาทิ Top of Living กับ “Chao Phraya Suite” ห้องสวีทวิวโค้งน้ำ 270 องศา ที่เห็นวิวเมืองแห่งอารยธรรมริมโค้งน้ำ ที่สวยที่สุด, Top of River กับ เรือ Yacht สุดหรูที่จอดอยู่ที่ Private Jetty ของโครงการ, Top of Car กับ Luxury Car เช่น ROLLS-ROYCE & ASTON MARTIN บนที่จอดรถกว่า 200% ของโครงการ รวมถึง Top of Lifestyle นาฬิกาและกระเป๋าที่เป็น Rare Collection อีกทั้งในงานจะมีข้อเสนอที่พิเศษที่สุด “Banyan Tree Ready to Live In Package” ให้ลูกค้าได้ใช้ชีวิตอย่างเหนือระดับได้ทุกวัน พร้อมบรรยากาศแห่งการพักผ่อนใจกลางเมือง ทั้งนี้ลูกค้าสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ www.banyantreeresidencesriversidebangkok.com หรือ โทร 1787  
สรุปข่าวรอบสัปดาห์ 15-21 กรกฎาคม 2562

สรุปข่าวรอบสัปดาห์ 15-21 กรกฎาคม 2562

เอช เอสเตท เปิดโปรเจ็กต์ Arti Sukhumvit 71 นายณัฐพล จินตนา กรรมการบริหาร บริษัท เอซ เอสเตท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ได้เปิดขายโครงการ ‘Arti Sukhumvit 71’ เป็นคอนโดมิเนียมแบบ High rise ติดถนนสุขุมวิท 71 ความสูง 21 ชั้น จำนวนเพียง 115 ยูนิต   มีขนาดห้อง Studio, ห้อง 1 bedroom และ Loft ที่ให้พื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น รวมถึงแบบ 2 ห้องนอน และ Penthouse ขนาดกว่า 100 ตร.ม. รองรับลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ เป็นคอนโดที่เหมาะกับคนอายุ 28-40 ปี หรือกลุ่ม Young Adult ราคาเริ่ม 2.69  ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 525 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 4 ปี 2562 และมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี ไตรมาสที่ 4 ปี 2564 โดยมีบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดและการขาย   ออริจิ้น จับมือวิทยาลัยดุสิต เพิ่มทักษะแม่บ้าน นายธนา ต่อสหะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า  ได้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากวิทยาลัยดุสิตธานี จัดการอบรมหลักสูตร “ทักษะการทำความสะอาด และการบริการมาตรฐานโรงแรม 5 ดาว” เพื่อพัฒนาทักษะ ความรู้และเพิ่มศักยภาพให้กับทีมพนักงานทำความสะอาดหรือทีมแม่บ้าน ให้สามารถปฏิบัติงานเป็นไปตามมาตรฐานโรงแรมระดับ 5 ดาว  ซึ่งบริษัทยังมีแผนงานฝึกอบรมในหลักสูตรด้านการสื่อสารและการสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า ให้กับพนักงานในส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับงานดูแลและบริการลูกค้าตลอดปี 2562  เพื่อนำร่องเพื่อนำไปสู่ความเป็นเลิศในด้านงานบริการอย่างครบวงจร  (Service Excellence) ของบริษัทต่อไป   เคาะราคา IPO อินเด็กซ์ฯ 22 บาท นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM เปิดเผยว่า หลังจากสำรวจความต้องการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO)  จากนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมาพบว่า ได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม โดยนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองซื้อหุ้น IPO ของ ILM มากกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรรไว้ให้แก่นักลงทุนสถาบันถึง 8 เท่า ที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 22 บาท ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจและโอกาสการเติบโตที่ดีในอนาคต ดังนั้นจึงกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ราคาหุ้นละ 22 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขาย เตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 17 – 19 กรกฎาคมนี้ และคาดว่าจะนำหุ้น ILM เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 26 กรกฎาคมนี้   รีจัส เปิดขายแฟรนไชส์ co-working space นาย แมทธิว เจมส์ เคนลีย์ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจสัมพันธ์ของ IWG เปิดเผยว่า รีจัส (Regus) ผู้ให้บริการพื้นที่สำนักงาน หรือ เวิร์คสเปซ ระดับโลก ประกาศเปิดธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศไทย ในงาน Thailand Franchise & Business Opportunities 2019 (TFBO) ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคที่ผ่านมา โดยงานนี้เป็นครั้งแรกที่ รีจัส เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการธุรกิจแฟรนไชส์ สามารถเข้าถึงโมเดลการทำธุรกิจการให้บริการเวิร์คสเปซ ที่กำลังเติบโตอยู่ในปัจจุบันได้เป็นครั้งแรก และธุรกิจนี้จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการขยายเครือข่ายรีจัสในระดับโลกอีกด้วย   โฮมโปรจัดงานแฟร์ พร้อมโปรสูงสุด 70% นางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปสายสื่อสารการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” เปิดเผยว่า ได้จัดงานโฮมโปรแฟร์ ขึ้เป็นครั้งที่ 4 ภายใต้คอนเซปต์ ช้อป ชิม ชิลล์ ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2562 -29 กรกฎาคม 2562 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีโปรโมชั่นสุดโดน ลดราคาสูงสุด 70% และมีการจัดพื้นที่ไลฟ์สไตล์โซน ‘ช้อป กิน ถิ่นสยาม’ ที่ขนขบวนสุดยอดอาหารร้านดังมามากกว่า 150 ร้านค้าทั่วไทย โดยตั้งเป้ายอดขายกว่า 550 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 11 วันของการจัดงาน   สเปซเซส จับมือ ฟิตเนส 24 เซเว่น ให้สิทธิพิเศษสมาชิก นายธารนที อัญญโพธิ์, ผู้ประสานงานฝ่ายขาย สเปซเซส เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับ “ฟิตเนส 24 เซเว่น” (Fitness24Seven)  เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิก สเปซเซส  โดยสามารถเข้าคลาสเรียนออกกำลังกายฟรี พร้อมได้รับส่วนลดพิเศษสำหรับสมาชิกเข้าใช้บริการที่ ฟิตเนส 24 เซเว่นได้ทุกสาขา 7 วันต่อสัปดาห์ ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับฟิตเนส 24 เซเว่น หนึ่งในผู้นำด้านฟิตเนสจากประเทศสวีเดน  ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2546 ที่ประเทศสวีเดนเป็นที่แรก ปัจจุบันมีสาขากว่า 230 แห่งทั่วโลกที่เปิดให้บริการ ไม่วาจะเป็นประเทศฟินแลนด์ นอร์เวย์ โปแลนด์ โคลอมเบีย และไทย และมีแผนขยายไปยังประเทศอื่น ๆ อีกในอนาคต  
Land and Houses คว้ารางวัล บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2562

Land and Houses คว้ารางวัล บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2562

คุณอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการผู้จัดการ บ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนบริษัทฯ รับรางวัลเกียรติยศ บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2562 กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง จากดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งให้เกียรติเป็นประธานมอบรางวัลในงาน MONEY & BANKING AWARDS 2019 จัดขึ้นโดยวารสารการเงินธนาคาร โดยมี คุณสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานบรรณาธิการ วารสารการเงินธนาคาร ร่วมในพิธีมอบรางวัล โดยรางวัลบริษัทยอดเยี่ยมแห่งปีนั้นพิจารณาจากผลประกอบการในปี 2561 ของบริษัทจดทะเบียนใน แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม   รางวัลเกียรติยศ MONEY & BANKING AWARDS 2019 นี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 12 เพื่อยกย่องผู้บริหาร ธนาคาร สถาบันการเงิน และบริษัทจดทะเบียนที่มีผลงานยอดเยี่ยม โดยรางวัลบริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2562 แบ่งตามกลุ่มอุตสาหกรรม 8 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มทรัพยากร กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มบริการ ซึ่งมี 9 บริษัทที่ได้รับรางวัล โดยนำผลประกอบการในปี 2561 ของบริษัทจดทะเบียนในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมมาพิจารณาจัดอันดับ  
“ฮาบิแทท” รุกอสังหาฯ เพื่อการลงทุน รับตลาดท่องเที่ยวพัทยาโต

“ฮาบิแทท” รุกอสังหาฯ เพื่อการลงทุน รับตลาดท่องเที่ยวพัทยาโต

ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ที่มีผลกระทบจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการคุมเข้มการปล่อยสินค้า การกำหนดมาตรการกำหนดวงเงินสินเชื่อต่อหลักประกัน (LTV) ภาวะเศรษฐกิจ ปัญหาค่าเงินบาท ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์  ไม่เฉพาะกลุ่มคนไทยเท่านั้น แต่รวมถึงกลุ่มนักลงทุนต่างชาติก็เช่นกัน  ต่างก็ชะลอตัวและเฝ้ามองดูความชัดเจนของภาพรวมเศรษฐกิจและปัญหาต่างๆ ด้วย  แต่ในการดำเนินธุรกิจผู้ประกอบการยังต้องเดินหน้าสร้างการเติบโต  ทำให้ต้องมองหาโอกาสทางการตลาด และกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ เพื่อเข้ามาให้ธุรกิจยังคงเดินหน้าต่อไปได้   นายชนินทร์ วานิชวงศ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาฯ ที่จับกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่หวือหวาเท่ากับตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม โดยเฉพาะตลาดในพัทยาที่ถือว่าภาวการณ์ท่องเที่ยวยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักมากที่สุดในประเทศกว่า 87% ทำให้บริษัทจึงมีแผนขยายการลงทุนธุรกิจอสังหาฯ จับกลุ่มนักท่องเที่ยว ทั้งรูปแบบของโรงแรมและวิลล่า ด้วยรูปแบบธุรกิจการลงทุนเพื่อปล่อยเช่าให้กับนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง   โดยล่าสุด บริษัทได้เปิดขายโครงการรามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา โครงการคอนโดมิเนียม 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 339 ยูนิต มูลค่า 1,500 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท ในรูปแบบคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ต 5 ดาว ตั้งอยู่ในพื้นที่พัทยาเหนือ บนพื้นที่ 3 ไร่ ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสสุดท้ายปี 2564 โดยบริษัทจะให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุน 6% ใน 3 ปีแรก หลังจากนั้นจะเป็นการแบ่งกำไรให้นักลงทุน 70% จากอัตรากำไรต่อปี และเจ้าของห้องสามารถเข้าพักห้องได้ 4 วันต่อปี โดยจะเป็ดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 20-21 ก.ค.นี้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โครงการ ครอสทู พัทยา โอเชียนเฟียร์  โครงการในรูปแบบลักชัวรีพูลวิลล่ารีสอร์ต จำนวน 59 หลัง มูลค่า 800 ล้านบาท บริเวณ ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ที่ก่อนหน้าได้เปิดขายและมียอดขายแล้วกว่า 80% หรือ 45 ยูนิต  ปัจจุบันให้บริการอย่างไม่เป็นทางการแล้ว และจะเปิดบริการแบบเต็มรูปแบบภายในปลายเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งโครงการนี้บริษัทผลตอบแทนจากการลงทุน 6% ช่วง 3 ปีแรก โดยมีราคาวิลล่าเริ่มต้น 14.9 ล้านบาท หลังจากนั้นจะเป็นการแบ่งกำไรจากผลประกอบกร   “ตลาดคอนโดฯ พัทยา ถ้าราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทยังไปได้เรื่อยๆ ถ้ามีจุดขายที่ดี มีแบรนด์ มี Investment Program โดยเฉพาะอสังหาฯ ด้านการท่องเที่ยวเพื่อปล่อยเช่า”     สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวในพัทยามีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวของประเทศในอัตรา 5-7% ทุกปี ขณะเดียวกันพัทยายังได้รับอานิสงค์จากการพัฒนาสาธารณูปโภค และโคงการอีอีซี ที่จะทำให้เกิดระบบคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงกับกรุงเทพฯ  ทำให้การเดินทางสะดวกรวดเร็วในระยะ 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นคนในท้องถิ่น หรือนักท่องเที่ยว สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและพักผ่อนได้มากขึ้นด้วย นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า ในปีหน้าบริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในพัทยาอีก 1 โครงการ ส่วนพื้นที่กรุงเทพฯ​ ในปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 1 โครงการ โดยเป็นโครงการในรูปแบบที่บริษัทยังไม่เคยดำเนินธุรกิจมาก่อน และจะมีพันธมิตรต่างชาติเข้ามาร่วททุนพัฒนาด้วย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
4 เหตุผลที่ “ออริจิ้น” เปิดแบรนด์ใหม่จับตลาด Gen Z

4 เหตุผลที่ “ออริจิ้น” เปิดแบรนด์ใหม่จับตลาด Gen Z

คีย์ซัคเซสของ “ออริจิ้น” หรือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (ORI) ภายใต้การบริหารงานของ “พีระพงศ์ จรูญเอก”  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมานั้น คือเรื่องความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า รวมถึงพนักงานและพันธมิตรทางธุรกิจ ที่ร่วมกันพัฒนาธุรกิจได้ตอบโจทย์  ตรงใจกลุ่มลูกค้าต่างๆ ในช่วงแรกๆ ออริจิ้นมุ่งจับตลาดระดับกลางไปจนถึงบน ภายใต้แบรนด์คอนโดมิเนียมหลัก ได้แก่ แบรนด์ Kensington จับตลาดระดับกลาง แบรนด์ Notting Hill จับตลาดระดับกลาง-กลางบน แบรนด์ Knightsbridge จับตลาดกลาง-บน และแบรนด์ Park จับตลาดบน  แบรนด์โครงการแนวราบ ใช้แบรนด์ Britania ที่จับตลาดระดับบน   แต่ดูเหมือนว่าการทำธุรกิจในปี 2562 โจทย์ทางการตลาดได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นผลกระทบจากมาตรการสินเชื่อต่อหลักประกัน (LTV) สงครามการค้าโลกระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน  ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมทั้งในและต่างประเทศ สัญญาณเชิงลบเหล่านี้ทางออริจิ้นมองเห็นมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2561 แล้ว และวางแผนปรับตัวกับการมองหาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ เพื่อเข้ามาเสริมกับกลุ่มตลาดเดิมที่น่าจะได้รับผลกระทบ  โดยสิ่งที่ออริจิ้นได้เตรียมแผนไว้ คือ การเปิดตัวแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ “ดิ ออริจิ้น” (The Origin)  ซึ่งจับตลาดกลุ่มเป้าหมาย First Jobber หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน     4 เหตุผลทำไมต้อง First Jobber?   1.กลุ่ม First Jobber ถือเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 23-28 ปี หรือ กลุ่ม Gen Z ซึ่งมีไลฟ์สไตล์เป็นของตนเอง โดยเฉพาะเรื่องการใช้ชีวิต ที่นิยมอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม และชอบเดินทางด้วยรถสาธารณะหรือรถไฟฟ้า กลุ่มคนเหล่านี้ไม่นิยมซื้อรถ เพราะนอกจากจะเป็นภาระแล้วยังไม่สะดวกต่อการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ  การอยู่อาศัยในคอนโดฯ  ทำเลใกล้รถไฟฟ้าหรือระบบขนส่งมวลชลที่สะดวก จึงเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ของคนกลุ่มนี้   2.กลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน จะไม่มีภาระจากหนี้สิ้นหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มมากนัก โดยเฉพาะเป็นกลุ่มคนที่เติบโตมาในยุคปัจจุบันที่ธนาคารและสถาบันการเงิน เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อสาธารณูปโภค ทำให้ไม่มีภาระหนี้สินจากสิ่งต่างๆ เหล่านั้น  นอกจากไม่มีหนี้สินมากเท่ากับกลุ่มคน Gen อื่นๆ แล้ว กลุ่ม Gen Z ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ยังจะมีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงานและรายได้ที่จะเพิ่มขึ้น ทำให้มีความสามารถในการซื้อคอนโดฯ เพื่ออยู่อาศัยไม่ได้มากขึ้นด้วย   3.ขณะที่หากมองภาพรวมการแข่งขันของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ จะพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ มุ่งเน้นการปรับพอร์ตธุรกิจของตนเอง โดยไปจับตลาดบ้านแนวราบมากขึ้น ด้วยความกังวลผลกระทบต่อมาตรการ LTV ที่บังคับใช้ และมองว่าตลาดบ้านแนวราบเป็นตลาดเรียลดีมานด์ที่แท้จริง ซึ่งเมื่อผู้ประกอบการหลายรายหันไปในตลาดบ้านแนวราบ เชื่อว่าการแข่งขันก็ต้องรุนแรงตามไปด้วย ออริจิ้นจึงเลือกมาจับตลาดคอนโดฯ ในกลุ่มเป้าหมายใหม่ดีกว่า   4.ภาวะตลาดโดยรวมที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดระดับกลางถึงบน จากผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ภาพรวมตลาดอสังหาฯ​ ชะลอตัวลง 5-10% ซึ่งในปีนี้ออริจิ้นมุ่งเน้นจับตลาดล่าง ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ และตลาดระดับบนที่ถือว่ายังมีกำลังซื้อสูง ทำให้ยอดขายยังคงเติบโตได้โดยมียอดขายเฉลี่ย 70% ในทุกโครงการที่เปิดตัว ขณะที่ภาพรวมตลาดมียอดขายเฉลี่ย 40% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งมียอดขายเฉลี่ย 50%     เทคโนโลยี+บริการ ตอบโจทย์ Gen Z   เมื่อออริจิ้น เลือกกลุ่มเป้าหมายหลักทำตลาด คือ Gen Z  ซึ่งมองว่าเป็นตลาดมีโอกาสในปีนี้ และยังต่อเนื่องไปได้นับ 10 ปี จากไลฟ์สไตล์และเทรนด์การใช้ชีวิตของคนกลุ่มนี้  โจทย์ต่อมาที่ออริจิ้นทำคือ การพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของคน Gen Z   -เลือกทำเลเส้นทางรถไฟฟ้า ในราคาที่เอื้อมถึง   แผนการเปิดตัวแบรนด์ดิ ออริจิ้นจะยึดทำเลแนวรถไฟฟ้าทุกเส้นทาง  ในปีแรกเปิดตัวด้วยกัน 6 โครงการ ในทำเลสุขุมวิท รัชดา ลาดพร้าว รามอินทรา รามคำแหง และพหลโยธิน รวมมูลค่ากว่า 7,700 ล้านบาท  ซึ่งมีระดับราคาขายเฉลี่ย 70,000 บาทต่อตารางเมตร หรือราคาเฉลี่ย 1.2-1.5 ล้านบาท  ถือว่าเหมาะสมกับกำลังซื้อกลุ่ม Gen Z ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,000 บาท เป็นกลุ่มซึ่งเดิมต้องเสียค่าเช่าห้อง ประมาณ 6,000 บาทต่อเดือนอยู่แล้ว   “ปัจจุบันราคาคอนโดฯ ตามรถไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท เราทำราคาประมาณ​ล้านต้นๆ หรือ 1.29 ล้านบาท เป็นราคาย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อน ทั้งที่ต้นทุนที่ดินไม่ได้ต่างจากคู่แข่ง แต่เราซื้อตรงจากเจ้าของที่ดินและควบคุมต้นทุนการก่อสร้างได้ดี ปัจจุบันราคา 1.2-1.5 ล้านบาทตามแนวรถไฟฟ้าแทบไม่เห็น ถือเป็นบลูโอเชียนของเรา ทุกคนมาดู เห็นเราทำได้ดีเชื่อว่าก็คงทำตาม”   -4 ฟังก์ชั่นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ Gen Z   แบรนด์ดิ ออริจิ้น เกิดจากความเข้าใจในลูกค้า รู้ว่าสิ่งใดที่ควรจะทำ และทำในสิ่งที่ตรงใจลูกค้า  การพัฒนาโครงการคอนโดฯ ภายใต้แบรนด์ดิ ออริจิ้น จึงเต็มไปด้วยเทคโนโลยีและบริการหลังการขายที่ตอบโจทย์ เพราะข้อมูลอินไซต์ของกลุ่ม Gen Z นั้น เป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับความสะดวกสบาย แต่การใช้ชีวิตมีแนวทางและความคิดเป็นของตนเอง เห็นได้จากเทรนด์การออกมาประกอบอาชีพอิสระ หรือการเป็นเจ้าของกิจการต่างๆ เช่นการขายสินค้าออนไลน์ เป็นต้น     โครงการของดิ ออริจิ้น จึงออกแบบ 4 ฟังก์ชั่นและสิ่งอำนวยความสะดวก ตอบโจทย์กับกลุ่มคน Gen Z ได้แก่ 1.Smart Closet ออกแบบทุกพื้นที่ในห้องให้สามารถเก็บของได้เพิ่มขึ้น 2.Hotel Services on Demand เชื่อมโยงบริการช่างและพนักงานทำความสะอาด มาตรฐานระดับโรงแรม 3. 24hr Co-working Space ตอบโจทย์การทำงาน 24 ชั่วโมง ด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการทำงาน และ4.Private Party Room พื้นที่ปาร์ตี้แบบเก็บเสียง และการปรับฟังก์ชั่นการใช้งานได้หลายรูปแบบ   นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดทำภาพยนตร์โฆษณาจำนวน 5 เรื่อง ได้แก่ ภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง  “ชีวิตจริง101” ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความจริง สะท้อนความเข้าใจต่อชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ต้องเผชิญเรื่องราวต่างๆ และต้องเริ่มรับผิดชอบตัวเอง และภาพยนตร์โฆษณาอีก 4 เรื่อง สะท้อนถึงฟังก์ชั่นและสิ่งอำนวยความสะดวกโดดเด่นที่จะมีอยู่ในโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ ออริจิ้น ทุกโครงการ โดยได้ “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์”  มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ภาพยนตร์โฆษณา 4 เรื่องหลัง   ในปีแรกนี้คาดว่าดิ ออริจิ้นจะทำยอดขายให้กับบริษัทได้ประมาณ​ 5,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 20% และในอนาคตอีก 4-5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 40-50% ด้วย  
ผลสำรวจที่อยู่อาศัยโคราช มีมูลค่ากว่า 7.7 หมื่นล้าน

ผลสำรวจที่อยู่อาศัยโคราช มีมูลค่ากว่า 7.7 หมื่นล้าน

จังหวัดนครราชสีมา ถือเป็นหนึ่งจังหวัดสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากผู้ประกอบการส่วนกลางเข้าไปเป็นจำนวนมาก กลายเป็นหนึ่งจังหวัดสำหรับที่พักอาศัยของคนกรุงเทพฯ  โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 ไม่แพ้หลายจังหวัดทางชายทะเล ล่าสุด ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์  ได้จัดทำรายงานผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดนครราชสีมา  ซึ่งครอบคลุม 2 อำเภอสำคัญ ได้แก่ อำเภอเมืองนคราชสีมาและอำเภอปากช่อง   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ศูนย์ข้อมูลฯ​ ได้จัดทำรายงานสรุปผลการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดนครราชสีมา ที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2561 ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเมืองนครราชสีมา และอำเภอปากช่องมีจำนวน 139  โครงการ มียูนิตในผังของทุกโครงการรวมกัน 16,882 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 77,338 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 6,939 ยูนิต หรือ  41.1% ของยูนิตในผังโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 32,840 ล้านบาท จำนวนโครงการทั้งหมด แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 97 โครงการ มีจำนวนยูนิต 11,789 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 47,016 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 4,775 ยูนิต หรือ 40.5% ของยูนิตในผังโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมด  คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 19,220 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 28 โครงการ มีจำนวนยูนิต 4,562 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 15,812 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 1,881 ยูนิต หรือ 41.2% ของยูนิตในผังโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 5,707 ล้านบาท และมีโครงการวิลล่า จำนวน 14 โครงการ มียูนิตในผังจำนวน 531 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 14,510 ล้านบาท ยูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 283 ยูนิต หรือ53.3% ของยูนิตในผังโครงการวิลล่าทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 7,913 ล้านบาท สำหรับ ยูนิตในผังโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม จำนวน 6,656 ยูนิต เป็นบ้านเดี่ยวมากที่สุด  52.3% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3 - 5  ล้านบาท รองลงมาเป็นคอนโดมิเนียม  28.3% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 1.5 - 2 ล้านบาท เป็นที่ดินเปล่า  7.1% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3 - 5 ล้านบาท เป็นทาว์เฮ้าส์  4.9% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 2 - 3 ล้านบาท ที่เหลือเป็นอาคารพาณิชย์และบ้านแฝด ตามลำดับ ส่วนทำเลบ้านจัดสรรในจังหวัดนครราชสีมาที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อยูนิตทั้งหมดในโครงการ ได้แก่ 1.ทำเลหัวทะเล ขายได้ 76.9% มูลค่าขายได้ 5,563 ล้านบาท  2.ทำเลในเมือง ขายได้ 69.4% มูลค่าที่ขายได้ 5,442 ล้านบาท 3.ทำเลสุรนารี-ปักธงชัย ขายได้ 64.7% มูลค่าที่ขายได้ 3,380 ล้านบาท 4.ทำเลบ้านใหม่-โคกกรวด ขายได้ 60.1% มูลค่าที่ขายได้ 6,667 ล้านบาท  และ 5.ทำเลกลางดง ขายได้ 57.8%มูลค่าที่ขายได้ 1,022 ล้านบาท ขณะที่ทำเลคอนโดมิเนียมในจังหวัดนครราชสีมาที่ขายดีมากที่สุด  โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อยูนิตทั้งหมดในโครงการ ได้แก่  1.ทำเลนิคมลำตะคอง ขายได้ 87.4% มูลค่าที่ขายได้ 543 ล้านบาท  2.ทำเลเขาใหญ่ ขายได้ 73.9% มูลค่าที่ขายได้ 7,100 ล้านบาท  3.ทำเลบ้านใหม่-โคกกรวด ขายได้ 58.2% มูลค่าที่ขายได้ 383 ล้านบาท 4.ทำเลกลางดง ขายได้ 45.8% มูลค่าที่ขายได้ 717 ล้านบาท และ 5.ทำเลในเมือง ขายได้ 42.5% มูลค่าที่ขายได้ 1,362 ล้านบาท  
SIRI ผนึก 3 พันธมิตร สานต่อ Green Mission ผลิตชุดเฟอร์นิเจอร์จากขวดพลากสติก

SIRI ผนึก 3 พันธมิตร สานต่อ Green Mission ผลิตชุดเฟอร์นิเจอร์จากขวดพลากสติก

หนึ่งในภารกิจสำคัญของ SIRI หรือบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เรื่อง Green Mission คือ การลดปริมาณขยะ หรือ  Waste Management ทั้งในพื้นที่โครงการก่อสร้าง และภายในโครงการที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นการคัดแยกขยะ หรือการลดปริมาณวัสดุที่จะก่อให้เกิดขยะ   ไม่เพียงแต่เรื่องของการลดปริมาณขยะเท่านั้น แต่แสนสิริพยายามต่อยอดแนวความคิดของ Green Mission ไปสู่เรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะการนำเอาขยะมารีไซเคิล และสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้น ด้วยการพัฒนาเป็นสินค้าใหม่ ตามแนวคิด Upcycling  ซึ่งล่าสุดได้จับมือกับ 3 พันธมิตร ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC แบรนด์พาซาญ่า (PASAYA) และเอสบี เฟอร์นิเจอร์ ร่วมกันผลิตเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน เพื่อนำมาใช้ภายในโครงการของแสนสิริ   ความร่วมมือกันดังกล่าว เบื้องต้นจะมีการผลิตชุดเฟอร์นิเจอร์  ได้แก่ โซฟา ปลอกหมอนอิง และผ้าม่าน จากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งเป็นเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงเส้นใยธรรมชาติ ซึ่งนำเอาขวดพลาสติกใส (PET) ที่ไม่ใช้งานแล้วมาเป็นวัตถุดิบผลิตเส้นด้าย ทำให้มีคุณสมบัติกันน้ำ น้ำมันซึม ป้องกันฝุ่นฝังในตัวผ้า ซึ่งชุดเฟอร์นิเจอร์ดังกล่าวจะถูกนำเอามาใช้ในห้องตัวอย่างของโครงการแสนสิริกว่า 30 โครงการ นายอุทัย อุทัยแสนสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ แสนสิริ เปิดเผยว่า  นอกจากการนำเอาชุดเฟอร์นิเจอร์ดังกล่าวมาใช้ภายห้องตัวอย่างภายในโครงการของบริษัทแล้ว ยังวางแผนจะผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายให้กับลูกบ้านของแสนสิริที่สนใจนำเอาเฟอร์นิเจอร์ไปใช้  ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา  แต่เบื้องต้นราคาสินค้าจะสูงกว่าปกติทั่วไป  เนื่องจากต้นทุนวัสดุสำหรับการผลิตสินค้าสูงกว่าวัสดุทั่วไป 10-20%   สำหรับรายละเอียดสินค้าที่ผลิตร่วมกัน ประกอบด้วย โซฟารุ่น Sofa Maoro Limited จากขวดพลาสติกเหลือใช้กว่า 500 ขวด ถูกนำมาแปรรูปเป็นเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล เพื่อนำมาใช้เป็นเส้นยืนในการผลิตผ้าบุโซฟา โดย PASAYA เป็นสีเทา BELUGA เพิ่มความเรียบหรู คลาสสิก สามารถเข้ากับการตกแต่งได้เกือบทุกรูปแบบ และนำมาตกแต่งโซฟารักษ์โลก SB Furniture เพิ่มความโดดเด่นของรูปทรงที่มีเส้นสายสไตล์โมเดิร์นที่เฉียบขาด   ผ้าม่าน PASAYA รุ่น JUPITER ผ้าม่านรักษ์โลกที่ออกแบบและผลิตขึ้นด้วยเทคนิคเฉพาะตัวของ PASAYA โดยนำเส้นด้ายพอลิเอสเตอร์รีไซเคิลจากขวดพลาสติก PET มาถักทอเป็นเส้นยืนในการผลิตผ้าม่านด้วยลวดลายพิเศษรุ่น JUPITER ในโทนสีเทา-น้ำตาล แบบ Shadow ที่สร้างความรู้สึกถึงผิวสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ สร้างบรรยากาศให้กับห้องได้อย่างลงตัว ช่วยลดปริมาณขวดพลาสติกบนโลกได้มากกว่า 500 ขวด   ปลอกหมอนอิงรุ่น TETRA ขนาด 18 นิ้ว จาก PASAYA  ปลอกหมอนอิงสีขาว-ดำ BLACK WHITE ขนาด 18 นิ้ว แปรรูปจากขวดพลาสติกเหลือใช้ 12 ขวดต่อปลอกหมอน 1 ใบ กลายเป็นเส้นด้ายพอลิเอสเตอร์รีไซเคิล ที่นำมาใช้เป็นเส้นยืนในการถักทอผ้าตกแต่งบ้าน ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการสร้างสรรค์ลายผ้าและตัดเย็บอย่างประณีตโดย PASAYA เมื่อจับคู่กับโซฟา MAORO ยิ่งช่วยเพิ่มดีเทลให้ชุดโซฟาที่เรียบหรูดูไม่ธรรมดาอีกต่อไป     ปลอกหมอนอิงรุ่น REPP ขนาด 15 นิ้ว จาก PASAYA   ที่มาพร้อมสีสันสดใสอย่างสีเหลือง LEMON CHROME และสีแดง MANDARIN RED ที่จะช่วยสร้างคอนทราสต์ให้การตกแต่งบ้านดูสนุกสนานมากยิ่งขึ้น โดยเส้นยืนของผ้าผลิตขึ้นจากเส้นด้ายพอลิเอสเตอร์รีไซเคิลที่สามารถช่วยลดปริมาณพลาสติกบนโลกได้ถึง 8 ขวดต่อปลอกหมอน 1 ใบ
เปิดแผน “บีไอดับบลิว” รุกตลาดผ้าม่านม้วน 2,000 ล้าน

เปิดแผน “บีไอดับบลิว” รุกตลาดผ้าม่านม้วน 2,000 ล้าน

แม้ว่าประเทศไทยจะมีฤดูหนาว ฤดูฝน และฤดูร้อน แต่ด้วยสภาพอากาศเมืองไทยส่วนใหญ่จะเผชิญกับอุณหภูมิที่ร้อนเสียเป็นส่วนใหญ่  แนวทางในการอยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นที่พักหรือสำนักงาน จึงมุ่งเน้นที่จะรักษาอุณหภูมิภายในห้องไม่ให้ร้อน การเปิดเครื่องปรับอากาศถือเป็นทางเลือกอันดับแรกๆ แต่ขณะเดียวกันการป้องกันไม่ให้อุณภูมิหรือแสงแดดส่งความร้อนเข้ามาในตัวห้อง ก็เป็นวิธีที่ถูกนำมาใช้ควบคู่กันด้วย วัสดุที่ถูกนึกถึงอันดับแรกๆ จึงเป็นผ้าม่าน เพื่อป้องกันไม่ให้แสงแดดและอุณหภูมิเข้ามาภายในห้อง ธุรกิจผ้าม่านจึงเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของที่อยู่อาศัยหรือสำนักงานก็ตาม   โอกาสทางการตลาดดังกล่าวทำให้ “บีไอดับบลิว” ผู้ผลิตและนำเข้าผ้าม่านและอุปกรณ์  วางแผนธุรกิจเพื่อรองรับกับการเติบโตดังกล่าว โดยได้ลงทุน 40 ล้านบาท เพื่อขยายโรงงานผลิตผ้าม่านม้วนและมู่ลี่ไม้ เป็นโรงงานแห่งที่ 2  บนเนื้อที่ 15 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้  โดยสินค้าจะผลิตภายใต้แบรนด์ BIW ซึ่งจะใช้วัสดุทั้งไม้และหนังมาผลิตเป็นสินค้า เพื่อสร้างความแตกต่างจากท้องตลาด     นายสิริชัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บีไอดับบลิว เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดผ้าม่านโดยรวมมีผู้ประกอบการกว่า 8,000 ร้านค้า แต่หากเป็นสินค้าที่มีแบรนด์จะมีกว่า 20 แบรนด์ซึ่งทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ถือเป็นผู้เล่นหลักจะมีประมาณ ​6 ราย ซึ่งครองส่วนแบ่งกว่า 80% จากมูลค่าตลาดรวมกว่า  20,000 ล้านบาท  โดยที่ผ่านมาตลาดอยู่ในภาวะทรงตัว  แต่ตลาดที่เติบโตได้ดี คือ กลุ่มผ้าม่านม่วนซึ่งมีมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งปีที่ผ่านมาเติบโตกว่า 140% เป็นเพราะผู้บริโภคเริ่มหันมาให้ความสนใจติดตั้งผ้าม่านม้วนมากขึ้น ประกอบกับการพัฒนาสินค้าที่มีคุณสมบัติและดีไซน์ที่ดีขึ้น   โดยปัจจุบันบริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายและทำตลาดสินค้ากลุ่มผ้าม่านม้วน  ภายใต้แบรนด์คูลิส (Coulisse) จากประเทศเนเธอร์แลนด์มาต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี  ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี  เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีจุดเด่น 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ดีไซน์ที่เชื่อมโยงกับเทรนด์แฟชั่น อาทิ การนำเอาแรงบันดาลใจจากการแสดงแฟชั่นของแบรนด์คริสเตียนดิออร์ และแอร์เมสมาดีไซน์ผ้าม่าน ทั้งสีและลวดลาย  2.ใช้วัสดุเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การนำเอาขวด PET มาช้เป็นส่วนผสมในวัสดุ  และ 3.ใช้เทคโนโลยีเข้ามาร่วมในการใช้งาน อาทิ การใช้ระบบแอพพลิเคชั่นควบคุมการเปิด-ปิดผ้าม่าน  เป็นต้น   “ผ้าม่านม้วนได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะผู้ผลิตพัฒนาวัสดุที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น วัสดุทนไฟ ป้องกันเชื้อรา ไม่มีสารพิษ  และลดอุณหภูมิได้ดี เป็นต้น และพัฒนาดีไซน์ที่ทันสมัยมากขึ้น”   โดยแนวทางการทำตลาดบริษัทจะมุ่งเน้นการสื่อสารและสร้างการรับรู้ในแบรนด์สินค้าและข้อมูลผลิตภัณฑ์ ผ่านตัวแทนร้านค้ากว่า 1,000 รายทั่วประเทศ คาดว่าปีนี้จะทำยอดขายได้ 140 ล้านบาท ส่วนทั้งกลุ่มบริษัทที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าม่านและอุปกรณ์ภายใต้แบรนด์อื่นด้วยนั้น คาดว่าในปีนี้จะทำยอดขายได้ 240-300 ล้านบาท          
เปิดข้อมูลดัชนีราคาบ้าน-คอนโดฯ Q2/2562

เปิดข้อมูลดัชนีราคาบ้าน-คอนโดฯ Q2/2562

หลังจากมาตรการควบคุมสินเชื่อบ้าน หรือ LTV เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นไปตามที่หลายฝ่ายประเมินไว้ ว่าจะชะลอตัวลงเพราะผู้บริโภคยังกังวลใจต่อผลกระทบของมาตรการดังกล่าว  ทำให้ผู้ประกอบการต้องออกแคมเปญการตลาดมากระตุ้นยอดขาย แต่แม้ว่าภาพรวมตลาดอสังหาฯ จะไม่ได้เฟื่องฟูเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ราคาอสังหาฯ ก็มีอัตราการเพิ่มขึ้น จากหลายๆ ปัจจัย โดยเฉพาะเรื่องของราคาต้นทุนที่ดิน ซึ่งล่าสุด ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ออกรายงาน ดัชนีราคาอสังหาฯ ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ราคาบ้านใหม่ขยับ 2.8% โดยดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่อยู่ระหว่างการขาย ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มีค่าดัชนี 125.9 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 2.8% จากช่วงเดียวกันของปี 2561 แต่ถ้าเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2562 มีค่าดัชนีเพิ่มขึ้น 0.6%   ในเขตกรุงเทพฯ มีค่าดัชนีราคาบ้านจัดสรรเท่ากับ 125.0 จุด เพิ่มขึ้น  2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า  ส่วนในพื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีราคาบ้านจัดสรรเท่ากับ 126.5 จุด เพิ่มขึ้น  2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า   สำหรับดัชนีราคาบ้านเดี่ยว ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2562 มีค่าดัชนีเท่ากับ 123.7 จุด เพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวมีค่าดัชนีเท่ากับ 123.0 จุด เพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า  ส่วนพื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 123.9 จุด เพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น  0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า   ส่วนดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.3 จุด เพิ่มขึ้น  3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.8 จุด เพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า  และในพื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์เท่ากับ 129.8 จุด เพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากที่บรรยากาศการซื้อขายอสังหาฯ ในภาพรวมได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรการ LTV ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค  ส่งผลให้ผู้ประกอบการกระตุ้นตลาดด้วยแคมเปญโปรโมชั่นต่างๆ ซึ่งแคมเปญกระตุ้นยอดขายของโครงการบ้านจัดสรรใหม่  มากที่สุดอันดับ 1 คือ การให้ของแถม 52.4% เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ำ แท้งก์น้ำ ฯลฯ รองลงมาเป็นการช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง สัดส่วน 41.4% ส่วนอันดับ 3 เป็นการให้ส่วนลดเงินสด 6.3% ขณะที่ในไตรมาส 1 ปี 2562 รายการส่งเสริมการขาย ซึ่งถูกนำมาใช้กระตุ้นตลาดมากที่สุด คือ  การช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง สัดส่วน 45.6% อันดับ 2 เป็นการให้ของแถม 36.0% และอันดับ 3 เป็นการให้ส่วนลดเงินสด 18.4%   คอนโดฯ ปรับราคาขึ้น 8.2%   สำหรับที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม พบว่าในช่วงไตรมาส 2 ปี 2562 ที่ผ่านมา มีดัชนีราคาห้องชุดคอนโดฯ ใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยมีสาเหตุมาจากแนวโน้มปริมาณห้องชุดใหม่คงเหลือขายในตลาดที่เพิ่มขึ้น และอัตราดูดซับ (อัตราการขาย) ที่ลดลง   รวมทั้ง ช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้เริ่มบังคับใช้มาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย (Macroprudential)  ทำให้ผู้ซื้อชะลอการตัดสินใจ  ด้านผู้ประกอบการก็กระตุ้นตลาดและการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ด้วยการเพิ่มรายการส่งเสริมการขายในไตรมาส 2 มากขึ้น ทำให้ดัชนีราคาห้องชุดในไตรมาส 2 จึงมีค่าดัชนีเท่ากับ 150.5 จุด (ปี 2555 = 100.0) เพิ่มขึ้น 8.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า   ถ้าดูเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ จะพบว่าดัชนีราคาห้องชุดคอนโดฯ มีค่าเท่ากับ 151.9 จุด เพิ่มขึ้น 9.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนในพื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีห้องชุดคอนโดฯ เท่ากับ 143.7 จุด เพิ่มขึ้น 4.7%  เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า อย่างที่รู้กันว่า ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ เพราะการบังคับใช้มาตรการ LTV เริ่มต้นในไตรมาส 2  ผู้ประกอบการจึงต้องอัดแคมเปญการตลาดกระตุ้นยอดขายกัน  โดยพบว่า รายการส่งเสริมการขายในไตรมาสนี้ มากเป็นอันดับ 1 ถึง 59.7% คือ  ของแถม เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ อันดับ 2  เป็นส่วนลดเงินสด 27.0% และอันดับ 3 จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ 13.3%  ขณะที่ในไตรมาสแรก รายการส่งเสริมการขาย ที่ทำกันมากสุดเป็นการให้ส่วนลดเงินสด 46.2% อันดับ 2 เป็นการ ให้ของแถม 38.5% และอันดับ 3 เป็นการช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ 15.4%   สำหรับทำเลโครงการคอนโดฯ สร้างใหม่ ที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2562 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  ได้แก่ 1.พญาไท-ราชเทวี ปรับเพิ่มขึ้น 20.2% 2.บางซื่อ-ดุสิต ปรับเพิ่มขึ้น 19.2%  3.สุขุมวิทตอนปลาย ปรับเพิ่มขึ้น 16.2% 4.สุขุมวิทตอนต้น ปรับเพิ่มขึ้น 13.4% และ 5.ชานเมืองฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ ปรับเพิ่มขึ้น 10.0%                
ตลาดรับสร้างบ้านครึ่งหลังปี 62 ยังมีโอกาสบนความเสี่ยง

ตลาดรับสร้างบ้านครึ่งหลังปี 62 ยังมีโอกาสบนความเสี่ยง

ตลาดรับสร้างบ้าน อีกหนึ่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่าจะไม่ได้มีขนาดตลาดใหญ่ เท่ากับการพัฒนาโครงการออกขายในลักษณะโครงการบ้านจัดสรรหรือคอนโดมิเนียม แต่ต้องยอมรับว่าผู้บริโภคส่วนหนึ่งก็ยังคงใช้บริการ และมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปลูกบ้านบนที่ดินเดิม ซึ่งได้พักอาศัยอยู่ในทำเลเดิม และยังได้บ้านในแบบที่ตรงความต้องการของตนเองมากที่สุด   สมาคมไทยรับสร้างบ้าน หนึ่งในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้าน ได้ออกมารายงานสถานการณ์ของตลาดรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา พร้อมกับประเมินทิศทางต่อไปในช่วงครึ่งปีหลังว่าจะไปในทิศทางใด   รับสร้างบ้านครึ่งหลังเจอทั้งโอกาส-ความเสี่ยง   นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Builders Association) ได้ประเมินแนวโน้มและทิศทางตลาดรับสร้างบ้านในครึ่งปีหลัง ว่ามีทั้งโอกาสสร้างการเติบโต แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ที่ต้องลุ้นและติดตามว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะเป็นไปในทิศทางใด ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรติดตามและเฝ้าระวัง พร้อมเร่งหาทางปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น   อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคยังมีมากพอ โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการเลือกสร้างบ้าน กับผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญและน่าเชื่อถือ  สามารถให้บริการและตอบสนองได้ตรงตามความต้องการ ทั้งการให้บริการสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด ที่สำคัญคือ ราคาสมเหตุสมผลหรือราคากับคุณภาพสอดคล้องกัน   ส่วนการแข่งขันของตลาดรับสร้างบ้านประเมินว่าจะกลับมาแข่งขันกันดุเดือดอีกครั้ง โดยมีกลุ่มผู้นำตลาดที่สร้างบ้านด้วยระบบสำเร็จรูป ได้แก่ กลุ่มซีคอนโฮม เอสซีจีไฮม์ พีดีเฮ้าส์ ฯลฯ ซึ่งยังต้องการขยายกำลังการผลิตและแชร์ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มนี้สามารถสร้างบ้านได้รวดเร็ว ควบคุมคุณภาพได้แม่นยำกว่า และใช้แรงงานคนจำนวนน้อย จึงมีความได้เปรียบผู้ประกอบการทั่ว ๆ ไป ที่ประสบปัญหาแรงงานขาดแคลนและมีข้อจำกัดอื่น ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตลาดของตัวเอง   ทั้งนี้ ทางสมาคมได้ปรับลดมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านบ้านลงเล็กน้อย จากเดิม 16,000-17,000 ล้านบาท มาอยู่ที่ 14,000-16,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทย  และกำลังซื้อเชื่อมั่นผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีแรก  ประกอบกับในครึ่งปีหลังภาคธุรกิจมีแนวโน้มชะลอการลงทุน และผู้ประกอบการรายเดิมหลายรายเลิกกิจการ ส่วนช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมาสมาคมฯ ประเมินว่ากลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านมูลค่าตลาดประมาณ 7,000 ล้านบาท   บทสรุปครึ่งปีแรกตลาดชะลอตัว   ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562  ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทย แนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินไว้ โดยการส่งออกสินค้าขยายตัวชะลอลงกว่าที่ประเมินไว้มาก ตามภาวะเศรษฐกิจคู่ค้าและปริมาณการค้าโลกที่ชะลอลง จากสภาวะการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้นของสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีน ในส่วนของภาคธุรกิจท่องเที่ยวไทย พบว่าขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้เช่นกัน รวมทั้งการลงทุนภาคเอกชนแนวโน้มขยายตัวชะลอลง รายได้และการจ้างงานที่มีสัญญาณชะลอลงในภาคการผลิตเพื่อส่งออก และหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับที่สูง สำหรับภาพรวมธุรกิจสร้างบ้านเริ่มชะลอตัวลง  เป็นไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจประเทศ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2 พบว่า การลงทุนเรื่องบ้านหรือที่อยู่อาศัยหลังใหม่ของผู้บริโภคชะลอตัวชัดเจน หากเปรียบเทียบกับสองไตรมาสก่อนหน้านี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อมั่นและกำลังซื้อผู้บริโภคปรับตัวลดลง ตามทิศทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน  และแม้ว่าความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคมีแนวโน้มชะลอตัว  ภาวะการแข่งขันของผู้ประกอบการ กลับแข่งขันกันไม่รุนแรงเหมือนเช่นก่อนหน้านี้  โดยสมาคมฯ ประเมินว่าเป็นผลมาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1.จำนวนผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในธุรกิจรับสร้างบ้านลดลง 2.ปัญหาขาดแคลนแรงงานและต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นตลอดเวลา 3.แรงกดดันจากผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าและบริการคุณภาพสูง ซึ่งจำนวนผู้ประกอบการที่ลดลงหรือหายออกไปจากธุรกิจนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่เรื่องขาดแคลนแรงงานยังคงเป็นปัญหาอมตะที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ต้องแบกรับความเสี่ยงสูงมาก ขณะเดียวกันการตอบสนองความต้องการผู้บริโภคก็มีแรงกดดันสูง หากคุณภาพสินค้าและบริการไม่เป็นที่พึงพอใจ ทำให้ผู้ประกอบการต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น ในยุคสังคมออนไลน์ปัจจุบัน   แต่แม้ว่าภาวะการแข่งขันจะไม่รุนแรง แต่ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านชั้นนำ ยังคงมีการจัดกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยหันมาเลือกใช้การตลาดในรูปแบบของอีเว้นท์มาร์เก็ตติ้ง เช่น การออกบูธงานแสดงสินค้า ออกบูธตามห้างสรรพสินค้าชานเมือง และใช้สื่อโซเชียลมีเดียควบคู่กัน ในขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก โดยเฉพาะที่แข่งขันอยู่ในต่างจังหวัดจะใช้สื่อโซเชียลมีเดียทำตลาดเป็นหลัก เพราะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าและเลือกสื่อสารเฉพาะกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ให้บริการได้ นอกจากนี้  ทางสมาคมยังได้รวบรวมข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค ในช่วงปี 2561 และช่วงครึ่งแรกปี 2562 ที่ผ่านมา พบว่า  ผู้บริโภคที่ใช้บริการสร้างบ้านกับสมาชิกสมาคม ต้องการกู้เงินหรือขอสินเชื่อปลูกสร้างบ้าน มีสัดส่วนสูงถึง 44% และ 41% ตามลำดับ จากปกติมีสัดส่วนขอสินเชื่อปลูกสร้างบ้านไม่เกิน 30-36% ถือเป็นสัดส่วนการขอสินเชื่อปลูกสร้างบ้านที่สูงที่สุดในรอบ 6 ปีของกลุ่มสมาชิกสมาคม และจากจำนวนผู้ขอสินเชื่อทั้งหมด 82% เลือกจะปลูกสร้างบ้านในต่างจังหวัด ที่เหลืออีก 18% ปลูกสร้างในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวอาจมีนัยสำคัญ ในแง่การปรับตัวของผู้ประกอบการและธุรกิจรับสร้างบ้าน ในการขยายสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจและตลาดรับสร้างบ้านในครึ่งปีหลัง มีความเสี่ยงและโอกาสพอ ๆ กัน    
ไอริส กรุ๊ป เปิดตัวโครงการ IDEN Sukhumvit 101 จ่อเปิดอีก 2 โครงการครึ่งปีหลัง

ไอริส กรุ๊ป เปิดตัวโครงการ IDEN Sukhumvit 101 จ่อเปิดอีก 2 โครงการครึ่งปีหลัง

ไอริส กรุ๊ป เปิดแผนช่วงครึ่งปีหลัง จ่อเปิดอีก 2 โครงการแนวราบกลางเมือง รวมมูลค่า 2,300  ล้านบาท จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อ ล่าสุดเปิดตัวโครงการ IDEN Sukhumvit 101 บ้านแฝดภายในซอยสุขุมวิท 101 ชูการออกแบบฟังก์ชั่นคู่กับงานดีไซน์ เตรียมเปิดจองในวันที่ 6-7 กรกฎาคม 2562 ราคาเริ่มต้น 24 ล้านบาท สิทธิพิเศษ ! สำหรับผู้จองและโอนกรรมสิทธิ์เข้ามาในช่วงเวลานี้ รับ Porsche Macan ทันที เฉพาะ 16 หลังแรกเท่านั้น  นายกิตติพงษ์  สุมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไอริส กรุ๊ป จำกัด  กล่าวถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังว่า ในส่วนของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นภาครัฐก็ได้ออกมาตรการด้านภาษี เพื่อส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ซึ่งแม้จะจำกัดอยู่ในกลุ่มตลาดระดับกลาง-ล่าง แต่ก็ช่วยสร้างบรรยากาศตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมให้ดีขึ้น แม้ที่ผ่านมาจะยังทรงตัวอยู่ ด้านหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยด้วยการกำหนดวงเงินสินเชื่อต่อหลักประกัน หรือ LTV ( Loan-to-Value : LTV) ต้องยอมรับว่าได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวม และคงต้องใช้เวลาสักระยะในการปรับตัว    ไอริส กรุ๊ป  ดำเนินการตามแผนการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบค่อยเป็นค่อยไป ขนาดโครงการไม่ใหญ่ เน้นการเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง ปีนี้วางเป้าลดลง 25% จากปีที่แล้ว เพราะเรื่องของตลาดอสังหาฯ ที่ซบเซาลง และคาดว่าในครึ่งปีหลังนี้จะยังทรงตัวต่อไป โดยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ ซึ่งคาดว่าจะเป็นโครงการแนวราบทำเลกลางเมือง ไม่ไกลจากรถไฟฟ้ามากนัก และยังคงจับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง รวมมูลค่า 2,300  ล้านบาท และยังตั้งเป้าภายในปี 64 เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์      เปิดตัว IDEN Sukhumvit 101 บ้านแฝด Modern Luxury 3.5 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 286.62 ตร.ม. (ไม่รวมดาดฟ้า) พื้นที่บ้าน 35.2 ตร.วา 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ (ไม่รวมห้อง Maid)  พื้นที่จอดรถสูงสุด 3 คัน ตั้งอยู่ภายในซอยสุขุมวิท 101 ซึ่งปากซอยเป็นรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีปุณณวิถี ทั้งหมด 42 ยูนิต พื้นที่ประมาณ 6 ไร่ ได้พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่เทียบเท่าบ้านเดี่ยว แต่มีความเป็นส่วนตัวสูงกว่าทาวน์โฮม ขนาด จับกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ระดับเอลิสต์ ที่มองหาที่พักอาศัยที่มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่เพียงพอสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกหลายคน        IDEN ย่อมาจากคำว่า IDENTITY หมายถึง บ้านที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ของนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ ฉลาดเลือกในสิ่งที่ดีที่สุด และมีรสนิยมที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร   IDEN Sukhumvit 101 ให้ความสำคัญการออกแบบ Function ใช้สอยควบคู่ไปกับการ Design ตัวอย่างเช่น การออกแบบให้ห้อง Master Bedroom เป็นสไตล์ Penthouse แบบโรงแรมหรู มี Walk-in closet และห้องน้ำพร้อมอ่างจากุซซี่ ทุกห้องนอน เป็นห้องขนาน Full sized พร้อมห้องน้ำในตัว พื้นที่ Living area โปร่งสบายด้วยเพดานสูงถึง 6 เมตร พร้อมระเบียงพักผ่อนขนาดใหญ่ที่สามารถจัดเป็น Vertical garden ได้ พื้นที่ Dining room และแพนทรี่ มีการติดตั้ง Lift อาริทโก้ นำเข้าจากสวีเดน ราคา 2.2 ล้านบาท ได้รับรางวัลการออกแบบยอดเยี่ยม Red Dot Product Award 2017 รองรับสำหรับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุด้วยระบบ Home Automation พร้อม สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ อาทิ  Boutique Clubhouse สระว่ายน้ำ ระบบเกลือ สามารถปรับอุณหภูมิเป็นน้ำอุ่นได้ในช่วงฤดูหนาว พร้อม Automatic Sliding Sunroof หลังคาบนสระว่ายน้ำ เปิด-ปิดอัตโนมัติไว้สำหรับเวลาแดดจัด เป็นต้น    เริ่มเปิดให้จองเฟสแรก จำนวน 16 หลังแรก พร้อมโอนและเข้าอยู่ในช่วงปลายปี 2562 ส่วนเฟสที่สองคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2563   เปิดให้จองรอบพิเศษ โครงการ IDEN Sukhumvit 101 ในวันที่ 6-7 กรกฎาคม 2562 ราคาเริ่มต้น 24 ล้านบาท สิทธิพิเศษ ! สำหรับผู้จองและโอนกรรมสิทธิ์เข้ามาในช่วงเวลานี้ รับ Porsche Macan ทันที เฉพาะ 16 หลังแรกเท่านั้น        
เปิดทำเลฮอต !! คอนโดฯ ที่จะออกสู่ตลาดกว่า 20,000 ยูนิตในไตรมาส 3

เปิดทำเลฮอต !! คอนโดฯ ที่จะออกสู่ตลาดกว่า 20,000 ยูนิตในไตรมาส 3

หลังการประเทศไทยได้ผ่านการเลือกตั้งและมีงานสำคัญในประเทศเป็นที่เรียบร้อย สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีความคึกคักเพิ่มมากขึ้น  เห็นได้จากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เริ่มขยับตัว  เตรียมเปิดโครงการใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ได้เตรียมแผนการพัฒนาตั้งแต่ปีที่แล้ว ​ส่วนบริษัทขนาดกลางก็ยังคงมุ่งหน้าเปิดโครงการใหม่เพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ครึ่งปีแรกตลาดมีการชะลอตัวจากนโยบาย LTV และกำลังซื้อจากต่างชาติที่ลดลงบางส่วน   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยถึง  แนวโน้มการเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 3 ว่า จะมีออกมาอย่างต่อเนื่องหลายโครงการ  โดยเฉพาะผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์มีมากกว่า 14,000 ยูนิต ใน 44 โครงการ และหากรวมคอนโดมิเนียมจากผู้ประกอบการรายย่อยที่ประกาศตัวว่า จะเปิดขายในครึ่งปีหลังด้วยแล้ว น่าจะมีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นในตลาดอีกไม่ต่ำกว่า 52 โครงการ มากกว่า 20,000 ยูนิตี ทำเลที่คอนโดมิเนียมใหม่จะเปิดมากกว่าครึ่งเป็นทำเลใจกลางเมือง โดยเฉพาะทำเลสามย่าน พญาไท ราชเทวี  รวมไปถึงทำเลสุขุมวิท ทองหล่อ และหลังสวน   จากการเปิดตัวในทำเลใจกลางเมืองดังกล่าว ส่งผลให้แนวโน้มราคาคอนโดมิเนียมเหล่านี้  ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้วอีกพอสมควร คาดว่าไม่ต่ำกว่า 10% เพราะเป็นทำเลที่ค่อนข้างดีมาก เป็นที่ดินแปลงหายาก ซึ่งส่วนใหญ่ซื้อมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยคอนโดมิเนียมในตลาดกลางเมืองนั้น มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน คือ คนระดับบนที่ต้องการสินค้าระดับพรีเมี่ยมเท่านั้น ข้อดีของตลาดกลุ่มนี้ คือ หากสินค้าตรงกับความต้องการ การตัดสินใจก็ไม่มีปัญหาเรื่องราคาเข้ามาเป็นปัจจัย แต่ทั้งนี้กลุ่มนี้ก็มีอยู่จำกัด สำหรับทำเลรองที่ได้รับความสนใจในช่วงนี้ คือ ทำเลติดริมแม่น้ำ เนื่องจากรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่ใกล้เปิดดำเนินการแล้ว และสายสีทองที่ก่อสร้างอย่างรวดเร็ว   สำหรับแนวคิดใหม่ๆ และสิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการที่ตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจนกลายเป็นเรื่องที่ผู้พัฒนาต้องให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายโครงการขายวิวแม่น้ำ ห้องเพดานสูง จอดรถเพียงพอ มีพื้นที่ทำงานส่วนกลาง แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าจะถามถึงความต้องการในอนาคต ยังมีคอนโดมิเนียมสำหรับผู้สูงอายุที่เข้าถึงความต้องการของคนกลุ่มนี้จริง ๆ ที่เป็นตลาดที่น่าสนใจและน่าจับตามองมาก ที่ผ่านมามีผู้พัฒนาโครงการน้อยมากที่พัฒนาสินค้าสำหรับคนกลุ่มนี้ ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อจริง ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และเข้าใจถึงความต้องการในระยะยาวของตนเองมากที่สุด หรือคอนโดสำหรับคนเลี้ยงสัตว์ ที่ให้ความสำคัญของการใช้ชีวิต และคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงใกล้เคียงกับคุณภาพของเจ้าของห้องเอง   นางนลินรัตน์  กล่าวอีกว่า ส่วนในไตรมาส 2 ที่ผ่านมามีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ 12,300 ยูนิต จาก 30 โครงการ โดยมีโครงการในระดับลักซูรี่และ ซูเปอร์ลักซูรี่ในทำเลซูเปอร์ไพรม์เกิดใหม่หลายโครงการ โดยเฉพาะทำเลสาทร วิทยุ และหลังสวน โดยโครงการเหล่านี้ พยายามขายทำเลที่หายากและหาจุดขายที่แตกต่าง เพื่อดึงดูดลูกค้าในกลุ่มลักซูรี่และซูเปอร์ลักซูรี่เข้ามาซื้อโครงการตนเอง ทั้งนี้ ภาพรวมคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในครึ่งปีแรก 2562 มีจำนวนทั้งสิ้น 23,600 ยูนิต ใกล้เคียงกับตัวเลขครึ่งปีแรก 2561   ส่วนนโยบายรัฐบาลเท่าที่ผ่านมา การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองสำหรับบ้านการเคหะแห่งชาติเหลือ 0.01%สำหรับบ้านราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทนั้น สามารถช่วยผู้บริโภคได้ในวงกว้าง แต่ยังไม่น่าจะกระตุ้นตลาดได้อย่างชัดเจน เนื่องจากสินค้าระดับราคานี้ ถึงแม้จะมีจำนวนยูนิตมาก แต่ยอดขายรวมยังคงไม่สูงมาก หากต้องการให้เห็นผลชัดเจนขึ้น ควรปรับให้อยู่ในระดับ 5 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย การกระตุ้นควรเป็นมาตรการที่เห็นผลทั้งในวงกว้างและกลุ่มคนที่ทั่วถึงมากขึ้น   “การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่เร็วขึ้นน่าจะช่วยให้การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจเป็นไปได้เร็วกว่านี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็จะได้รับผลดีจากนโยบายกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่น่าจะเกิดขึ้นด้วย”