Tag : News

2400 ผลลัพธ์
“แสนสิริ” โชว์ความสำเร็จ ตอกย้ำผู้นำตลาดลักซ์ชัวรี่ ปิดการขาย “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า”

“แสนสิริ” โชว์ความสำเร็จ ตอกย้ำผู้นำตลาดลักซ์ชัวรี่ ปิดการขาย “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า”

“แสนสิริ” ตอกย้ำผู้นำตลาดอสังหาริมทัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของไทย ประกาศปิดการขาย “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” (THE MONUMENT SANAMPAO) ด้วยยอดขายกว่า 1,500 ลบ. จำนวน 86 ยูนิต ย้ำความสำเร็จแบรนด์ “เดอะ โมนูเมนต์” คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ที่รังสรรค์ขึ้นอย่างเข้าใจและตอบโจทย์ครอบครัวรุ่นใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘The Monument to Generations’ การส่งต่อทำเลคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองสูงถึง 70%  เผยปัจจัยหลัก ได่แก่ ทำเล ความเป็นส่วนตัว ดีไซน์ที่มีรสนิยม วัสดุคุณภาพระดับเวิลด์คลาส ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มลักซ์ชัวรี่ระดับบนอย่างแท้จริง พร้อมเตรียมเผยโฉมและโอนกรรมสิทธิ์ “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” โครงการล่าสุด ภายใต้บริษัทร่วมทุนกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มูลค่ากว่า 6,500 ล้านบาทกับแนวคิด “Luxury is Space” คอนโดมิเนียมลักซ์ชัวรี่สำหรับครอบครัวยุคใหม่ นิยามความหรูหราผ่านพื้นที่โอ่โถงที่ให้ประสบการณ์เสมือนบ้าน แลนด์มาร์คแห่งใหม่บนถนนเส้นหลักทองหล่อ ปัจจุบัน มียอดขายอยู่ที่ 40% หรือมูลค่า 2,600 ล้านบาท นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า “เดอะ โมนูเมนต์” ถืออีกหนึ่งแบรนด์คอนโดมิเนียม ในการรุกตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ของแสนสิริ พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด ‘The Monument to Generations’ การส่งต่อทำเลที่มีคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น และความภาคภูมิใจในกการอยู่อาศัย ควบคู่กับดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ และการคัดสรรวัสดุที่มีคุณภาพระดับเวิลด์คลาสโดยโครงการแรก “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” เปิดตัวในปี 2558 ในรูปแบบไฮไรซ์สูง 24 ชั้น ที่ให้ความเป็นส่วนตัวเพียง 86 ยูนิต บนทำเลสนามเป้า – พหลโยธิน ที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางการรวมตัวของวัฒนธรรมเก่า และความทันสมัย ที่ผสานอย่างลงตัว โดยปัจจุบัน สามารถปิดการขายโครงการ 100% ด้วยมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท เมื่อต้นปีนี้”   นายปิติ กล่าวต่อไปว่า “ปัจจัยสำเร็จที่โดดเด่น ส่งผลให้โครงการได้รับการตอบรับอย่างสูงสุดจากกลุ่มลูกค้า ได้แก่ ความคุ้มค่าของโครงการที่มูลค่าเพิ่มขึ้นเหนือกาลเวลา ทั้งคุณภาพและราคาที่ดีที่สุด ทำให้ “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” เป็นทรัพย์สินที่ควรค่าแก่การครอบครอง สามารถส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลานได้ ด้วยที่ตั้งโครงการอยู่ในทำเลศักยภาพสูง ติดริมถนนใหญ่ โซนเส้นถนนพหลโยธินตอนต้น ซึ่งปัจจุบันหาได้ยากมาก พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่อการใช้ชีวิตทุกมิติ เพียง 5 กม. ใกล้ทางด่วนทั้งขาเข้าและออกนอกเมือง โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองสูงถึง 70% และผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าด้วยสูงถึง 4-6% ต่อปี ซึ่งกลุ่มลูกค้าเช่า ได้แก่ กลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทย กลุ่มแพทย์ที่ทำงาน ในบริเวณนี้ กลุ่มลูกค้าโรงพยาบาลพญาไท เป็นต้น ทำให้ทำเลนี้ ไม่แตกต่างจากทำเลใจกลางเมืองสำคัญอื่นๆ ที่มีราคาสูงกว่า ทั้งนี้ ยังคงมีลูกค้าสนใจและมีความต้องการซื้อโครงการอย่างต่อเนื่อง พบว่ามีราคาซื้อต่อสูงขึ้นถึง 5% โครงการยังถือเป็นผลงานการออกแบบระดับมาสเตอร์พีซ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านงานสถาปัตยกรรมสไตล์โมเดิร์นร่วมสมัยที่คงความคลาสสิคเหนือกาลเวลา พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานวัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนทุกรายละเอียดที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีที่สุด ทั้งยังให้ความสำคัญกับ การจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ นอกจากล็อบบี้เลานจ์ บริเวณชั้นหนึ่งที่จัดเตรียมพื้นที่ไว้ให้ลูกบ้านรับรองแขกแล้ว ยังมีพื้นที่ส่วนกลางอื่นๆ อีกถึง 3 ชั้น คิดเป็นพื้นที่กว่า 20% ของพื้นที่ห้องชุดทั้งหมด ซึ่งส่วนกลางมีฟังก์ชั่นครบครัน ทั้งพื้นที่ออกกำลังกาย Panoramic Exercise Room และพื้นที่สังสรรค์ Social Lounge, Sky Pavilion, Libraryroom และ Tea Room เป็นต้น “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” นำเทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิตแบบ SMART LIVING มาช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิต โดยถือเป็นโครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในเอเชียที่มีหุ่นยนต์ส่งของให้บริการลูกบ้าน พร้อมระบบรองรับการใช้พลังงานทดแทนในอนาคตอย่าง EV charger station สำหรับรถยนต์ทุกรุ่น มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนกลาง และติดตั้งเครื่องรีไซเคิลขวดน้ำพลาสติก (PET Bottle Refun)     เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดปริมาณขยะพลาสติก และสุดท้ายโครงการนี้ยังมี บริการเพื่อการใช้ชีวิตเหนือระดับ อย่าง Building Manager และ Concierge Service ผู้ช่วยประจำโครงการ เช่น บริการซัก อบ รีด, บริการตรวจสอบดูแลและจัดการห้องชุด, บริการเรียกรถลีมูซีน, บริการแนะนำร้านซ่อมเสื้อผ้าและเครื่องหนัง เป็นต้น” “ด้วยความสำเร็จของแบรนด์ “เดอะ โมนูเมนต์” โครงการแรก จึงเป็นที่มาของการสานต่อสู่การพัฒนาโครงการ “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” โครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ที่กำหนดนิยามใหม่แห่งการอยู่อาศัยด้วยพื้นที่กว้างขวางภายใต้แนวคิด “Luxury is Space” โอ่โถงเสมือนอยู่บ้านเดี่ยว โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอาคารรูปทรง “Monolith” อันเป็นเอกลักษณ์ ที่จะกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในทองหล่อ และเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตสุดเอ็กซ์คลูซีฟสูงสุดเพียงชั้นละ 4 ห้อง รวม 127 ยูนิต บนที่ดินขนาด 2 ไร่ ติดถนนเส้นหลักของทองหล่อ อีกหนึ่งทำเลอันเป็นมรดกทรงคุณค่าที่มีศักยภาพสูงสุดอันดับต้นๆของกรุงเทพฯ ทั้งย่านที่พักอาศัยคุณภาพสูงมาตั้งแต่อดีต และแหล่งรวมร้านค้าชั้นนำ ร้านอาหารและ คอมมูนิตี้มอลล์ระดับไฮเอนด์มากมายโดยหลังจากเปิดพรีเซลไปเมื่อปี 2561 และได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม ด้วยยอดพรีเซลกว่า 40% พร้อมเตรียมเปิดเผยโฉม “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” ในเดือนมีนาคมปีนี้ ซึ่งเราคาดว่าจะได้รับการตอบรับในการโอนกรรมสิทธิ์อย่างเช่นเคย อีกแน่นอน” นายปิติ กล่าวสรุป      
เปิดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40

เปิดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40

ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี เปิดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 พร้อมย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคอสังหาฯ อย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการภาครัฐและเมกะโปรเจคมากมาย ขณะที่สามสมาคมผู้จัดงานมั่นใจตลาดอสังหาฯ ปี 62 จะเห็นยอดซื้อเพิ่มขึ้น   ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า “งานมหกรรมบ้านและคอนโดเป็นกิจกรรมที่มีความ สำคัญ ไม่ใช่เฉพาะแต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ นับเป็นงานแสดง สินค้าที่อยู่อาศัยใหญ่ที่สุด โดยมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งรายใหญ่ รายกลาง รายเล็ก พร้อมกันนำสินค้าหลาก หลายโครงการมาจัดแสดง เพื่อให้ผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปที่กำลังเลือกซื้อที่อยู่อาศัย โดยสามสมาคมผู้จัดงาน ได้แก่ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทย ได้ทำให้เรื่องที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องง่าย มาที่ เดียวจบทุกราคา ทุกประเภท ทุกทำเล ตรงกับความต้องการมากที่สุด นอกจากนี้ ผู้ซื้อยังจะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งจาก ผู้ประกอบการและแคมเปญกระตุ้นยอดขายจากผู้จัดงานอีกมากมาย”   “ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจอื่นๆ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ โดยเฉพาะโครงสร้างสาธารณูปโภคด้านการคมนาคมกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นสิ่งคู่กัน ตลอดมา พื้นที่ใดถนนตัดผ่านย่อมเกิดการขยายตัวสร้างความเจริญสู่ชุมชนใหม่ โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาประเทศไทย ให้ก้าวสู่การเป็นประเทศผู้มีรายได้สูง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายความเจริญไปทั่วประเทศ โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินการ ดังนั้น โครงการเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนของการพัฒนาประเทศ เนื่องจากการเกิด Smart City มีลักษณะความอัจฉริยะใน 7 ด้าน ซึ่งครอบคลุมทั้งด้าน เศรษฐกิจ การขนส่ง พลังงาน สิ่งแวดล้อม การดำรงชีพ พลเมือง และการบริหารงานภาครัฐ ในปีที่ผ่านมารัฐบาลได้เปิด โครงการนำร่องเมืองอัจฉริยะ 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น กรุงเทพฯ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา สำหรับปีนี้จะขยายแผนงานไปยัง 24 จังหวัด และคาดว่าภายในเวลา 5 ปีจะขยายไปทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันได้ทำการเปิด รับสมัครเมืองทั่วประเทศ เพื่อนำมาพัฒนาเป็น Smart City เมื่อผ่านเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด เมืองเหล่านั้นก็จะได้รับ ตราสัญลักษณ์ Smart City สามารถขอรับสิทธิส่งเสริมการลงทุน จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ได้”   “นอกจากนี้ ภายใต้แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย ตั้งแต่ปี 2558 – 2565 กระทรวงคมนาคม ยังมุ่งพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทุกโครงข่าย ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ให้เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อสร้างรากฐานความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในประเทศ รวมถึงการ สร้างสถานีขนส่ง หรือจุดเปลี่ยนถ่ายการเดินทางด้วยการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งมวลชน หรือ Transit Oriented Development เพื่อช่วยกระจายความเจริญไปยังภูมิภาคตามแนวสายทางการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะเอื้อให้เกิดการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชยกรรม แหล่งงาน และแหล่งที่อยู่อาศัย เป็นต้น”   “สำหรับในส่วนกรุงเทพมหานคร โครงการรถไฟฟ้าเฟส 1 จำนวน 10 สาย และพร้อมจะเปิดให้บริการครบทุกสายภายใน ระยะเวลา 5 - 6 ปี สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็นวันละราว 2.7 ล้านคน ขณะนี้กระทรวงคมนาคมได้เริ่มวางแผน งานพัฒนาเฟส 2 เพื่อขยายรัศมีโครงข่ายรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยเน้นไปที่พัฒนาสถานีเพื่อเชื่อมต่อการขนส่งทุกรูปแบบ ทั้งรถเมล์ เรือโดยสาร และท่าอากาศยาน และเชื่อว่ายังมีงานอีกมากมายที่จะดำเนินการต่อ เพื่อให้การพัฒนาประเทศ มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนสืบต่อไป” ดร.ไพรินทร์ กล่าว   ด้านนายณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 เปิดเผยว่า “ปี 2562 นี้ มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบอย่างมากกับตลาดอสังหาฯ ไทยอยู่หลายประการ อาทิ มาตรการควบคุมสินเชื่อบ้านแบบใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายนนี้ ทำให้ผู้ประกอบการต่างเร่งระบายสต๊อกสินค้าและออกโปรโมชั่นพิเศษมากมาย จึงเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มเรียลดีมานด์ที่จะได้เลือกซื้อสินค้าที่ต้องการพร้อมได้รับสิทธิพิเศษทั้งด้านส่วนลดราคาและของแถมมากมาย โดยคาดการณ์ว่าจะมียอดโอนกรรมสิทธิ์มูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท ส่วนปัจจัยด้านการเมือง ซึ่งหากรัฐบาลชุดใหม่มีเสถียรภาพ สถานการณ์ทางการเมืองนิ่ง เศรษฐกิจของประเทศก็น่าจะกลับมาฟื้นตัว และเชื่อว่าตลาดอสังหาฯ ในครึ่งปีหลังก็จะกลับมาคึกคักยิ่งขึ้น ทั้งยังต้องรอดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคอสังหาฯ”   “ทางคณะผู้จัดงานคาดการณ์ว่างานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 นี้ จะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี โดยมีผู้มาร่วมงานอยู่ที่เกือบ 1 แสนคน และมียอดจองและขายทั้งภายในงานและต่อเนื่องหลังงานรวมกว่า 6 พันล้านบาท สำหรับงานครั้งนี้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 150 ราย และมีโครงการมากกว่า 1,000 โครงการให้ลูกค้าได้เลือก”   “คณะกรรมการจัดงานได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ “7 Weeks 7 Flash Deal” เพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเรื่องเป็นอยู่เป็นเรื่องง่าย โดยแคมเปญนี้ได้เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ และจะสิ้นสุดในวันที่ 24 มีนาคม ซึ่ง เป็นวันสุดท้ายของการจัดงานฯ ลูกค้าที่ได้ลงทะเบียนออนไลน์หรือจองซื้อภายในงานจะได้รับสิทธิ์ลุ้นรับดีลพิเศษ 7 ดีล ตลอด 7 สัปดาห์ ได้แก่ ฟรีผ่อน 1 ปี ฟรีดาวน์ ฟรีโอน ฟรีค่าส่วนกลาง ฟรี   บิวท์อิน ฟรีเครื่องใช้ ไฟฟ้า และฟรีเฟอร์นิเจอร์ แต่ละดีลจะมีมูลค่าถึง 120,000 บาท นอกจากนี้ คณะกรรมการจัดงานยังได้ทำ HC SOLUTION เพื่อให้ลูกค้าสามารถตรวจหาข้อมูลโครงการที่สนใจจากระบบฐานข้อมูล ซึ่งรวบรวมข้อมูลทุกอย่างจากผู้ประกอการทุกรายที่ร่วมจัดแสดงสินค้าในครั้งนี้ ตั้งแต่ตำแหน่งที่ตั้งบูธภายในงาน ประเภทโครงการ ทำเล ราคา และโปรโมชั่นต่างๆ ไปจนถึงการคำนวณความสามารถในการขอสินเชื่อ ทั้งยังสามารถขอรับคำปรึกษาเรื่องการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินชั้นนำมากมาย ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษมากมายไว้ต้อนรับลูกค้าภายในบูธของแต่ละแบรนด์อีกด้วย” นายณพงศ์ กล่าว   งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 21 - 24 มีนาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บริเวณโซนซี ชั้น 1 ชั้น 2 และโซนเอเทรียม ผู้สนใจเข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียนออนไลน์ล่วงหน้าได้ทาง www.housecondoshow.com หรือติดตามรายละเอียดข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ทางเฟสบุ๊ค housecondoshow - งานมหกรรมบ้านและคอนโด, อินสตาแกรม housecondoshow  หรือช่องทางไลน์ @housecondoexpo เพื่อรับข้อมูลโครงการและโปรโมชั่นจากผู้ประกอบ การได้อย่างง่ายดายและสะดวกรวดเร็ว      
KUN decorate ฉลองครบรอบ 10 ปี อย่างอบอุ่น เปิดตัว “Join Collection”

KUN decorate ฉลองครบรอบ 10 ปี อย่างอบอุ่น เปิดตัว “Join Collection”

KUN decorate โดย บริษัท คุณากิจอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ จำกัด ฉลองครบรอบ1 ทศวรรษแห่งการเป็นผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์อลูมิเนียมชั้นนำของประเทศไทย โดยจัดงาน 10th Anniversary of KUN decorate ในธีม“# I LOVE KUN” ซึ่งนำเสนอหลากหลายเหตุผลที่เฟอร์นิเจอร์อลูมิเนียมของ KUN decorate ได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากลูกค้ามาตลอดในระยะเวลา 10 ปี   ในโอกาสพิเศษนี้ KUN decorate ได้เปิดตัว “Join Collection” คอลเล็กชั่นใหม่ที่มีทั้งเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ซึ่งสื่อแนวคิด Craft design ที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาการที่ไม่มีที่สิ้นสุด ความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด และการเลือกใช้วัสดุระดับพรีเมียม อันล้วนเป็นเอกลักษณ์ของ KUN decorate   เฟอร์นิเจอร์คอลเล็กชั่นใหม่ “Join Collection” ประกอบด้วยเฟอร์นิเจอร์ และ ไลน์สินค้าใหม่คือไอเทมตกแต่งบ้าน ซึ่งมีโครงสร้างทำจากวัสดุอลูมิเนียมและส่วนประกอบที่ทำจากวัสดุไม้ เป็นผลงานการออกแบบของทีมนักออกแบบหน้าใหม่ไทย คือSYNONYMS ประกอบด้วยคุณวงศธร ชัยเชิดชูวงศ์ คุณสุภวัช ทองสว่าง และคุณพงษ์ศิริ ชูน้อย ซึ่งได้วิเคราะห์อัตลักษณ์ของแบรนด์ KUN decorate ตลอดทศวรรษ จากนั้นตีความและต่อยอด เพื่อให้เกิดการปรับใช้ในบริบทใหม่ โดยได้เลือกจับคู่อลูมิเนียมกับไม้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ไม่เคยมีมาก่อนในพอร์ตโฟลิโอ แต่เป็นการหยิบเอาเสียงของลูกค้ามาผสานเข้าไปในความเป็น KUN decorate จนทำให้เกิดการพัฒนาผลงานของแบรนด์ที่มีคุณค่ายิ่งขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ผลงานทุกชิ้นถูกผลิตขึ้นด้วยฝีมือช่างไทยอย่างพิถีพิถัน สะท้อนความใส่ใจของแบรนด์ KUN decorate ในทุกรายละเอียด ตามหลัก Craft design การผลิตชิ้นงานที่แสนปราณีตดั่งการสร้างสรรค์งานศิลปะ   คุณจุไรรัตน์ คุณาวิชยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ KUN decorate กล่าวว่า “นับตั้งแต่วันแรกแห่งการก่อตั้งแบรนด์ KUNdecorate   เรามุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ว่า เฟอร์นิเจอร์อลูมิเนียมโดยฝีมือคนไทยมีคุณภาพไม่แพ้ชาติใดในโลก และในวันนี้ที่ KUN decorate ครบรอบ 10 ปีบริบูรณ์ เราพูดได้อย่างมั่นใจว่า เราคือผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์อลูมิเนียมอันดับหนึ่งของประเทศไทย โดยเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากลูกค้าอย่างเสมอมา งานฉลองครบรอบ 1 ทศวรรษของ     แบรนด์ในธีม “ฉันรักคุณ/KUN” ในวันนี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะแสดงความขอบคุณต่อลูกค้าทุกท่านที่เลือก KUN decorate เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขา โดยเราขอสัญญาว่าจะเดินหน้าพัฒนาและสร้างสรรค์เฟอร์นิเจอร์อลูมิเนียมที่ดีที่สุด ทั้งในด้านคุณภาพ ดีไซน์ และฟังก์ชัน ที่คนไทยคู่ควรให้สมกับบทบาทผู้นำเฟอร์นิเจอร์อลูมิเนียมของไทยอย่างแท้จริง”   “Join Collection สะท้อนจุดยืนและเป้าหมายในอนาคตของ KUN decorate เราให้เกียรติคำแนะนำของลูกค้าและนำมาปรับใช้กับวิถีของแบรนด์ ทั้งในด้านองค์ประกอบของสินค้าและประเภทของสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้เรายังยึดมั่นที่จะร่วมมือกับดีไซเนอร์หน้าใหม่ของไทย   การจัดงานครบรอบ 10 ปีในครั้งนี้จึงเป็นมากกว่าการเฉลิมฉลองของแบรนด์ KUN decorateแต่เป็นการตอกย้ำบทบาทของ KUN decorate ที่ต้องการสนับสนุนนักออกแบบสัญชาติไทย ให้เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และต้องการเดินหน้าไปพร้อมกับผู้สนับสนุนทุกท่านที่ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของอนาคตที่แข็งแกร่งของ KUN decorate” คุณจุไรรัตน์ คุณาวิชยานนท์ กล่าวปิดท้าย   KUN decorate นั้นโดดเด่นในหลายประการ ได้แก่ (1) การควบคุมการผลิตเองในทุกขั้นตอน ทำให้พัฒนาชิ้นงานได้ตามดีไซน์อย่างปราณีต อีกทั้งดูแลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เกิด zero waste ได้ ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่มองหา Eco products (2) แนวคิด DUCF (Design, Unique, Compatible, Functional) ทำให้สร้างงานที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากกว่า (3) การพัฒนานวัตกรรมอยู่เสมอ ด้วยประสบการณ์ด้านการผลิตวัสดุโลหะมากว่า 50 ปี การผลิตสินค้าอลูมิเนียมจึงเป็นไปอย่างเชี่ยวชาญ โดดเด่นด้วยวัสดุคุณภาพ ทนทานแต่น้ำหนักเบา ซึ่งกลายเป็นสินค้าที่ใช้งานได้สะดวก ดูแลง่าย สวยและแปลกใหม่ (4) แนวคิด Craft design ซึ่งเปรียบสินค้าดั่งงานศิลป์ เราจึงตอบโจทย์งานดีไซน์คุณภาพระดับพรีเมียมจนได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรในตลาดยุโรปมาตลอดทศวรรษ และ (5) งานบริการ การดูแลซ่อมแซมสภาพสินค้าแก่ลูกค้าอย่างใส่ใจ   คุณเธียรชัย เตชวัฒนสุข เจ้าของโรงแรม X2 River Kwai Resort จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า “แบรนด์ KUN decorate คือตัวเลือกแรก เมื่อเรานึกถึงเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์สวย ที่คุ้มค่าแก่การลงทุน ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูดี มีความปราณีตและทันสมัย ความเบาที่มาพร้อมความแข็งแรงทนทาน อีกทั้งไม่เป็นสนิม คือเหตุผลที่ทำให้เราเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์จาก KUN decorate มาโดยตลอด การหยิบเอาอลูมิเนียมมาใช้สร้างงานศิลป์เพื่อการแต่งที่อยู่อาศัยของ KUN decorate ถือเป็นวิถีการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่นำกระแส เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นชินนักกับเฟอร์นิเจอร์ที่ทำด้วยวัสดุดังกล่าว ผมจึงภูมิใจมากที่โรงแรม X2 River Kwai Resort เป็นหนึ่งในกลุ่มแรกๆ ที่ค้นพบเฟอร์นิเจอร์ของ KUN decorate นอกจากนี้บริการซ่อมแซมสินค้าอย่างใส่ใจ และการเลือกใช้นักออกแบบและช่างไทย ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เรารักแบรนด์ KUN decorate อย่างไม่เปลี่ยนแปลง”   คุณกชพร จิตนันทกุล ผู้จัดการฝ่ายขาย บุญถาวร ไลฟ์สไตล์ เฟอร์นิเจอร์ กล่าวว่า “KUN decorate ถือเป็นแบรนด์ในพอล์ตโฟลิโอสินค้าตกแต่งบ้านที่บุญถาวรภูมิใจเป็นตัวแทนจำหน่าย ด้วยสีสันที่ต่างจากแบรนด์อื่น โดยปัจจุบันมีสินค้าจาก KUN decorate จำนวน 34 แบบวางจำหน่ายที่บุญถาวร 8 สาขาทั่วประเทศ สำหรับคอลเล็กชันใหม่ “Join Collection” KUN decorateทำให้เราเห็นว่า KUN decorate คือผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่เคยหยุดพัฒนาตนเอง การผสมผสานวัสดุอลูมิเนียมเข้ากับไม้ คือการสร้างสรรค์ที่แปลกใหม่แต่ลงตัว ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่โดดเด่นขึ้นมาจากสิ่งที่มีในตลาด โดยเฉพาะไอเทมกลิ่นอายสแกนดิเนเวียน ที่เหมาะกับการตกแต่งบ้านในหลากหลายสไตล์ การเพิ่มไลน์สินค้าของตกแต่งบ้านขึ้นมาก็ทำให้คนรักการแต่งบ้านสนุกกับแต่งเติมสถานที่ของตนให้อบอุ่นมีชีวิตชีวาได้มากขึ้น เชื่อได้ว่าคอลเล็กชั่นใหม่นี้จะเป็นที่นิยมอย่างแน่นอน”   ติดตามคอลเล็กชั่นใหม่ “Join Collection” ข่าวสารและโปรโมชั่นของ KUNdecorate ได้ที www.kundecorate.com,  www.facebook.com/KUNDECORATE   และ Instagram @kundecorate      
อีสเทอร์น สตาร์โชว์ผลประกอบการปี 2561 ยอดขายโต  3 เท่า

อีสเทอร์น สตาร์โชว์ผลประกอบการปี 2561 ยอดขายโต 3 เท่า

บมจ. อีสเทอร์น สตาร์ (ESTAR) เผยผลประกอบการปี 2561 กวาดยอดขายโต 3 เท่า ทะลุ 3 พันล้านบาท เติบโตทั้งในตลาดกรุงเทพและขึ้นแท่นเบอร์ 1 บ้านเดี่ยวตลาดระยอง พร้อมเผยแผนปี 2562 ฉลองครบรอบ 30 ปี เตรียมเปิดตัวแคมเปญ 3 DECADES OF LIVING PLEASURE 3 ทศวรรษของความสุขแห่งการใช้ชีวิต เดินหน้าลุยขยายธุรกิจเปิดตัวโครงการใหม่ 3-5 โครงการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท เน้นเรียลดีมานด์ให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้ามากขึ้น วางเป้ารายได้ 2562 ที่ 1,600 ล้านบาท และเป้ายอดขาย 2,000 ล้านบาท   ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) (ESTAR) เผยถึงผลประกอบการแผนดำเนินธุรกิจในปี 2561 ว่า จากความพยายามในการขยายธุรกิจในช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมาทำให้ล่าสุดบริษัทฯ ทำยอดขายไปรวมได้ถึง 3,037 ล้านบาท โดยเปิดโครงการคอนโดมิเนียม 8 ชั้น แห่งแรกของบริษัทคือ ควินทารา ทรีเฮาส์ สุขุมวิท 42 ที่ขายหมดภายใน 2.5 เดือน และโครงการบ้านเดี่ยวแนวคิดใหม่ เวลาน่า กอล์ฟเฮาส์ บ้านฉาง – ระยอง ที่ทำยอดขายไปแล้วกว่า 90 % ในเฟสแรก ซึ่งแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯยังคงเดินหน้ารักษาความสำเร็จเปิดโครงการต่อเนื่อง พร้อมทุ่มงบกว่า 2 พันล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินทั้งในกรุงเทพและระยองสำหรับพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย สำหรับในปี 2562 บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ อีก 3-5 โครงการ มูลค่ารวมมากกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งตั้งเป้ายอดขายที่ 2,500 ล้านบาท และยอดรายได้ที่ 1,600 ล้านบาท สำหรับโครงการที่จะเปิดขายในปีนี้ยังคงรักษาความโดดเด่นในเรื่องของการออกแบบ โดยกระจายโครงการในทำเลที่มีศักยภาพสูง อาทิ โครงการ “ESTARA HAVEN PATTANAKARN 20” ซึ่งล่าสุดได้เปิด Soft Launch ไปแล้วเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2562 และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี สามารถทำยอดขายได้กว่า 150 ล้านบาทในวันเปิดตัว ด้วยจุดเด่น คือ บ้านแฝด 3 ชั้นฟังก์ชั่นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ท่ามกลางธรรมชาติส่วนกลางขนาดใหญ่ ใจกลางพัฒนาการ ติดย่านธุรกิจ เพียง 10 นาทีสู่สุขุมวิท ทองหล่อ เอกมัย ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน และ รถไฟฟ้า 3 สาย เชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ราคาเริ่มที่ 12.69 ล้านบาท มีจำนวนทั้งสิ้น 152 หลัง มูลค่าโครงการ กว่า 1,500 ล้านบาท   นอกจากนี้ ในปี 2562 จะเป็นปีที่ทางบริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) (ESTAR) จะมีอายุครบรอบ 30 ปี จึงเตรียมจัดแคมเปญ 3 DECADES OF LIVING PLEASURE 3 ทศวรรษของความสุขแห่งการใช้ชีวิต ซึ่งจะเปิดเผยรายละเอียดให้ท่านสื่อมวลชนได้ทราบในโอกาสต่อไป ดร.ต่อศักดิ์ ยังได้กล่าวถึงภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ในปี 2562 ว่า คาดว่าจะมีแนวโน้มใกล้เคียงกับปี 2561 หรืออาจเติบโตเล็กน้อย โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเกิดขึ้นของรถไฟฟ้าสายต่างๆ และการลงทุนสร้างสาธารณูปโภคของภาครัฐ และเศรษฐกิจของประเทศที่ยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้น รวมทั้งการที่ครม.ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ. เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะช่วยหนุนการลงทุนในภาคตะวันออกให้ขยายตัวในระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินตามมามหาศาลเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในทันที ทั้งนี้ยังมีปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน การส่งออกที่ชะลอตัว ผลการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้ รวมทั้งปัจจัยราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนมาตรการคุมเข้มสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย (LTV) ที่ออกมาสกัดกั้นการซื้อเก็งกำไรตลาดคอนโดฯ ของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีนโยบายพัฒนาที่อยู่อาศัย สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ในระดับกลาง-บน ที่เน้นกลุ่มเรียลดีมานด์เป็นหลัก โดยจะมีการศึกษาตลาดและผู้บริโภคเชิงลึกในแต่ละทำเลที่จะดำเนินโครงการอย่างละเอียดไปพร้อมๆกันกับการนำเสนอสินค้าที่หลากหลายทั้งในด้านระดับราคา ทำเล และตัวสินค้าเอง ทำให้เชื่อมั่นว่าจะยังคงขยายธุรกิจได้ตามแผนที่วางไว้ต่อไป ดร.ต่อศักดิ์ กล่าว      
ความต้องการอสังหาริมทรัพย์ไทยจากจีนเพิ่มมากขึ้น

ความต้องการอสังหาริมทรัพย์ไทยจากจีนเพิ่มมากขึ้น

ซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก รายงานว่า จีนกำลังมีบทบาทมากขึ้นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย   ในด้านการท่องเที่ยว  นักท่องเที่ยวจีนเดินมาเข้ามายังประเทศไทยจำนวน 10.5 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว คิดเป็น 30% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด  ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 1,175% ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา   ในด้านการทำงาน ชาวจีนเป็นชาวต่างชาติที่ได้รับใบอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทยมากเป็นอันดับสองรองจากชาวญี่ปุ่น โดยชาวจีนที่ได้รับใบอนุญาตให้ทำงานในไทยนั้นเพิ่มขึ้นถึง 185.25% ในช่วงแปดปีที่ผ่านมา   ในด้านเศรษฐกิจ ปัจจุบันประเทศจีนเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของไทย และเมื่อปีที่แล้วจีนเป็นประเทศที่ลงทุนโดยตรง (FDI) ในประเทศไทยที่ใหญ่เป็นอันดับ 5   แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี เชื่อว่า ความสำคัญของจีนในฐานะแหล่งที่มาของความต้องการและการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะเพิ่มมากขึ้น  การเติบโตที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและเป็นที่คาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก  ทั้งนี้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะมีความผันผวน ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจของจีนและผลกระทบที่มีต่อกำลังซื้อของประชากร  รวมถึงทัศนคติของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีต่อประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยว   ในด้านการลงทุน ปัจจุบันการลงทุนของจีนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรมในไทยนั้นยังมีจำนวนจำกัด   แม้ว่าชาวจีนที่ได้รับในอนญาตให้ทำงานในประเทศไทยจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อตลาดที่พักอาศัยให้เช่าในย่านใจกลางธุรกิจหรือซีบีดีมากนัก เนื่องจากงบประมาณในการเช่าที่พักอาศัยของชาวจีนโดยทั่วไปแล้วนั้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าชาวญี่ปุ่น ชาวอเมริกัน และชาวยุโรป ซึ่งเป็นความต้องการหลักในการเช่าที่พักอาศัยใน ซีบีดี   ในตลาดคอนโดมิเนียม จำนวนผู้ซื้อชาวจีนได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้พัฒนาโครงการบางรายเผยว่ายอดขายคอนโดมิเนียมที่มาจากผู้ซื้อชาวต่างชาติสูงถึง 50% และส่วนใหญ่เป็นผู้ซื้อชาวจีน   นอกจากนี้ ยังรายงานอีกว่าคอนโดมิเนียมบางโครงการสามารถขายให้ผู้ซื้อชาวต่างชาติได้เต็มโควต้า 49% ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต   ผู้ซื้อชาวจีนในตลาดคอนโดมิเนียมของไทยที่เพิ่มขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากข้อจำกัดหรือภาษีที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับผู้ซื้อชาวต่างชาติในตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเทศอื่นๆ    สำหรับประเทศไทย ชาวต่างชาติได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับคนไทยในเรื่องภาษีจากการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ประเทศอื่น ผู้ซื้อชาวต่างชาติจะต้องจ่ายค่าภาษีอากรแสตมป์สูงกว่าผู้ซื้อในประเทศ   ซีบีอาร์อีมีความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมจากลูกค้าชาวจีน เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าผู้ซื้อบางรายอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้ในแง่ของค่าเช่าหรือกำไรจากการลงทุน   นอกจากนี้ มาตรการควบคุมเงินทุนของจีนที่จำกัดการนำเงินออกไปยังต่างประเทศเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับการที่ผู้ซื้อชาวต่างชาติไม่สามารถกู้ยืมเงินในประเทศไทยเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้นั้นอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการ   การลงทุนจากจีนในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมยังมีจำนวนจำกัด โดยนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาร่วมทุนในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ยังคงมาจากญี่ปุ่น   บริษัทจีนเป็นที่มาของความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดพื้นที่สำนักงานของกรุงเทพมหานคร  โดยธุรกรรมการเช่าพื้นที่สำนักงานที่ใหญ่ที่สุดหลายธุรกรรมในปีที่แล้วก็มาจากบริษัทด้านอี-คอมเมิร์ซของจีน  สำหรับการลงทุนจากจีนในการพัฒนาอาคารสำนักงานยังคงมีอยู่จำกัด โดยนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดคือไชน่า รีซอร์สเซส (China Resources) ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ร่วมทุนในโครงการออล ซีซั่นส์ เพลส บนถนนวิทยุ ที่มีมานานกว่า 30 ปี   นักท่องเที่ยวชาวจีนได้กลายเป็นความต้องการที่สำคัญของตลาดค้าปลีกทั้งในกรุงเทพฯ และแหล่งท่องเที่ยวหลัก แต่จนถึงปัจจุบัน การลงทุนจากนักลงทุนจีนในการพัฒนาพื้นที่ค้าปลีกในประเทศไทยยังมีไม่มากนัก    บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนอย่างอาลีบาบาและ JD.com เป็นบริษัทแนวหน้าในตลาดอี-คอมเมิร์ซของไทย ซึ่งแข่งขันโดยตรงกับร้านค้าที่มีหน้าร้านและศูนย์การค้า   เป็นระยะเวลาหลายปีที่ญี่ปุ่นครองความเป็นผู้นำในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เข้ามาสู่ภาคการผลิตของไทย แต่ในปัจจุบันมีหลายปัจจัยด้วยกันที่ช่วยให้การลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคการผลิตของไทยเพิ่มขึ้น ได้แก่ ต้นทุนด้านแรงงานของจีนที่เพิ่มขึ้น และมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาที่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ สำหรับสินค้านำเข้าที่มาจากจีน   ในไตรมาสที่ 4 ปี 2561  ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ของไทยหลายรายกล่าวว่าความต้องการซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงงานใหม่นั้นมาจากบริษัทของจีนมากที่สุด   นายเจมส์ พิทชอน หัวหน้าแผนกวิจัยและที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า “ประเทศจีนจะยังคงเป็นแหล่งที่มาของความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยที่เพิ่มขึ้น แต่ความต้องการนั้นอาจผันผวนตามความเชื่อมั่นและมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภาคธุรกิจ    นอกจากนี้ การลงทุนโดยตรงจากจีนในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านการร่วมทุนก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน”   ประเทศจีนนับเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก   ข้อมูลจากแผนกวิจัยของซีบีอาร์อีแสดงให้เห็นว่าการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์จากจีนเพิ่มขึ้นจาก 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (256,000 ล้านบาท) ในปี 2556 เป็นเกือบ 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.12 ล้านล้านบาท) ในปี 2560   แต่แนวโน้มนี้จะชะลอตัวลงในระยะสั้นจากการที่รัฐบาลจีนจำกัดการลงทุนในต่างประเทศและการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ     จีนยังคงเป็นแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และการชะลอตัวของการลงทุนก็มีแนวโน้มที่จะเป็นจุดเริ่มต้นมากกว่าที่จะเป็นจุดจบของการลงทุนที่มาจากจีนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ      
ทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝดระดับบน อีกหนึ่งทางเลือกของคนกรุงเทพฯ

ทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝดระดับบน อีกหนึ่งทางเลือกของคนกรุงเทพฯ

เน็กซัส เผยผลการสำรวจตลาดทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศยังคงได้รับความนิยมจากผู้ซื้อที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีอายุประมาณ 30-40 ปีที่ต้องการขยายครอบครัวแต่มีงบประมาณจำกัด ประกอบกับราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นต้นทุนที่ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เลือกที่จะพัฒนารูปแบบโครงการที่มีพื้นที่ขายมากที่สุด ซึ่งหากที่ดินไม่สามารถพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมได้แล้วการพัฒนาโครงการทาวน์โฮมหรือบ้านแฝดจึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ   ในส่วนของโฮมออฟฟิศ เป็นอีกรูปแบบการพัฒนาโครงการที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ ต้องการซื้อเพื่อทำเป็นออฟฟิศในทำเลที่สามารถเดินทางได้สะดวกแทนการเช่าพื้นที่ออฟฟิศในเขตใจกลางเมืองที่มีราคาแพง และยังสามารถจัดสรรพื้นที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นการแบ่งพื้นที่ชั้นบนสุดไว้เพื่อพักอาศัย หรือการปล่อยเช่าพื้นที่ในชั้นล่างเพื่อการพาณิชย์ เป็นต้น   ในปี 2559 – ไตรมาส 1 ปี 2562 ตลาดทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด ที่มีระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ มีอุปทานรวมทั้งสิ้น 1,119 ยูนิต แบ่งเป็นระดับราคา 10-20 ล้านบาทคิดเป็น 62% ของจำนวนทั้งหมด รองลงมาเป็นระดับราคา 20-30 ล้านบาท,มากกว่า 40 ล้านบาท และ 30-40 ล้านบาทคิดเป็น 29%, 6% และ 3% ตามลำดับ จากภาวะชะลอตัวของตลาดคอนโดมิเนียม ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หันมาพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น อีกทั้งการพัฒนาแนวราบยังใช้ต้นทุนในการพัฒนาน้อยกว่าคอนโดมิเนียม ทำให้มีความเสี่ยงทางการเงินน้อยกว่า รวมทั้งกลุ่มของผู้ซื้อยังเป็นกลุ่มผู้ที่ซื้อเพื่ออยู่จริง (Real Demand) ต่างกับตลาดคอนโดมิเนียมที่มีการเก็งกำไรในสัดส่วนที่สูง ส่งผลให้ตลาดทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี2561 โดยเท่ากับ 104%    “ทาวน์โฮมหรูทำเลใจกลางเมืองยังคงได้รับความนิยม” เห็นได้จากอัตราการขาย (Sold rate) ของทั้งตลาดอยู่ที่ 54% โดยทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด ระดับราคาที่มีอัตราการขายสูงอันดับ 1 คือกลุ่มระดับราคา 40 ล้านบาทขึ้นไป มีอัตราการขาย 71% เนื่องจากมีจำนวนอุปทานค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับระดับราคาอื่น โครงการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในโซนวัฒนา-คลองเตย โดยเฉพาะตามแนวถนนสุขุมวิท รองลงมาเป็นโซนสาทร-บางรัก ซึ่งเป็นย่านที่อยู่ใจกลางเมือง อันดับ 2 เป็นกลุ่มที่มีระดับราคา 20-30 ล้านบาท มีอัตราการขาย 61% ซึ่งเป็นโครงการที่ตั้งอยู่ถัดจากเขตใจกลางกรุงเทพมหานคร ได้แก่ โซนพญาไท-รัชดาภิเษก, โซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง, โซนลาดพร้าว-วังทองหลาง และโซนยานนาวา–บางคอแหลม-คลองสาน อันดับ 3 เป็นกลุ่มที่มีระดับราคา 10-20 ล้านบาท มีอัตราการขาย 46% ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในโซนยานนาวา–บางคอแหลม-คลองสาน, โซนพญาไท-รัชดาภิเษก, โซนสาทร-บางรัก และโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง   ส่วนกลุ่มระดับราคาที่มีอัตราการขายต่ำสุดเป็นกลุ่มที่มีระดับราคา 30-40 ล้านบาท มีอัตราการขาย 39% โครงการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง, โซนพญาไท-รัชดาภิเษก และโซนวัฒนา-คลองเตย       หากวิเคราะห์เป็นรายทำเลโซนรอบใจกลางเมืองยังเติบโตได้ดี จากผลการวิจัยของ เน็กซัส พบว่า อัตราการขาย (Sold rate) ของทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด โดยเฉลี่ยเท่ากับ 1.49 ยูนิตต่อเดือน โดยหากพิจารณาตามทำเลพบว่าโครงการที่อยู่ในโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง มีอัตราการขายสูงที่สุดในตลาดเท่ากับ 4.15 ยูนิตต่อเดือน โดยระดับราคาที่ส่งผลให้ทำเลดังกล่าวมีอัตราการขายสูงคือระดับราคา 10-20ล้านบาท มีอัตราการขาย 6.12  ยูนิตต่อเดือน อันดับ 2 ได้แก่โซนยานนาวา-บางคอแหลม-คลองสาน มีอัตราการขาย 1.61 ยูนิตต่อเดือน โดยระดับราคาที่มีอัตราการขายสูงที่สุดคือระดับราคา 20-30 ล้านบาท อันดับ 3 ได้แก่โซนพญาไท-รัชดาภิเษก มีอัตราการขาย 0.92 ยูนิตต่อเดือน โดยระดับราคาที่มีอัตราการขายสูงที่สุดคือระดับราคา 20-30 ล้านบาท   หากพิจารณาอัตราการขายของทั้งตลาดแยกตามระดับราคา พบว่าระดับราคา 10-20 ล้านบาท มีอัตราการขายสูงที่สุดเมื่อเทียบกับระดับราคาอื่น โดยมีอัตราการขายเท่ากับ 2.47 ยูนิตต่อเดือน รองลงมาเป็นระดับราคา 20-30 ล้านบาท มีอัตราการขายเท่ากับ 1.02 ยูนิตต่อเดือน สอดคล้องกับจำนวนอุปทานของระดับราคา 10-20 ล้านบาท  ที่มีสัดส่วนสูงที่สุดในตลาดและระดับราคา 20-30 ล้านบาทรองลงมา   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทเน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวเสริมว่า “ดีไซน์และคุณภาพวัสดุมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากวัตถุประสงค์ของลูกค้าที่ต้องการซื้อทาวน์โฮมและบ้านแฝด คือต้องการพื้นที่ใช้สอยภายในตัวบ้านที่มากขึ้นสำหรับการสร้างหรือขยายครอบครัว หรือมีครอบครัวแล้วแต่ต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและใช้ชีวิตในบ้านได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น แต่โครงการทาวน์โฮมที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้มีจุดเด่นในเรื่องขนาดของพื้นที่ใช้สอย โดยจากผลการสำรวจพบว่าจุดเด่นของโครงการทาวน์โฮมที่ประสบความสำเร็จ โดยสามารถทำอัตราการขายสูง ประกอบไปด้วยจุดเด่น 3 ประการคือ 1. การออกแบบภายนอกที่สวยงามทันสมัยและโดดเด่น 2. การออกแบบฟังก์ชันการใช้งานภายในบ้านให้สามารถใช้พื้นที่ได้เต็มประสิทธิภาพ ขนาดกะทัดรัดแต่สามารถใช้งานได้จริงและปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานได้ 3. วัสดุภายในบ้านที่มีคุณภาพหรือใช้แบรนด์ที่มีชื่อเสียง”   ในขณะที่โครงการโฮมออฟฟิศ ลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันในแต่ละทำเล โดยหากเป็นโซนลาดพร้าว-วังทองหลาง ลูกค้าส่วนใหญ่ทำเป็นออฟฟิศโดยแบ่งชั้นบนสุดเพื่อพักอาศัยเพียงชั้นเดียว ลูกค้าที่ตั้งใจซื้อเพื่ออยู่อาศัยทุกชั้นมีจำนวนน้อย กลุ่มลูกค้าหลักเป็นธุรกิจประเภทสุขภาพ/ความงาม ต่างกับโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง ที่ลูกค้าซื้อโฮมออฟฟิศเพื่อทำเป็นที่พักอาศัยเนื่องจากทำเลโดยรอบโครงการเป็นย่านพักอาศัย ทำเลจึงเหมาะต่อการอยู่อาศัยมากกว่าการทำเป็นออฟฟิศ   โครงการโฮมออฟฟิศที่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย จึงต้องมีจุดเด่นในเรื่องฟังก์ชันการใช้งานภายในบ้าน ซึ่งได้แก่ การปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้อย่างอิสระตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย, จำนวนพื้นที่ใช้สอยและจำนวนที่จอดรถที่เพียงพอ และการมีลิฟต์หรือห้องน้ำทุกชั้นเพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลาย เป็นต้น   โครงการขนาดเล็ก VS โครงการขนาดใหญ่ ปัจจุบันที่ดินเปล่าในกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะทำเลที่สามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกและมีสภาพแวดล้อมรอบโครงการที่น่าอยู่หายากมากขึ้นและมีราคาสูง การพัฒนาโครงการแนวราบขนาดใหญ่จึงมีความเป็นไปได้ยาก จึงมีหลายโครงการที่พัฒนาในรูปแบบของโครงการขนาดเล็ก มีจำนวนยูนิตไม่มากนัก แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีผู้พัฒนารายใหญ่สนใจโครงการขนาดใหญ่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบและตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองเช่นกัน สำหรับโครงการขนาดเล็กก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ มีข้อดีของการพัฒนาโครงการขนาดเล็กซึ่งได้แก่ ทำเลดี โดยจากการสำรวจพบว่ามีโครงการขนาดเล็กหลายโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ใกล้กับทางด่วนที่สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองได้อย่างสะดวก หรือใกล้กับรถไฟฟ้า BTS / MRT ซึ่งเป็นทำเลที่หาได้ยากในปัจจุบัน การปรับเปลี่ยนฟังก์ชันภายในบ้านได้ตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยโครงการขนาดเล็กมักมีความยืดหยุ่นในเรื่องการออกแบบและการก่อสร้าง ผู้ซื้อสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันภายในบ้านได้ในช่วงก่อนหรือระหว่างการก่อสร้าง จำนวนยูนิตน้อย ซึ่งเหมาะสมสำหรับคนที่ต้องการความเงียบสงบและเป็นส่วนตัว และป้องกันปัญหาการอยู่ร่วมกันของลูกบ้าน นอกจากนี้การไม่มีส่วนกลาง จึงไม่ต้องเสียค่าส่วนกลางโครงการ เป็นต้น   ในส่วนของโครงการขนาดใหญ่ (หรือโครงการที่ต้องยื่นขออนุญาตจัดสรรทั่วไป) ยังคงได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ ซึ่งมีข้อดีที่แตกต่างจากโครงการขนาดเล็กโดยมีข้อดีคือ ส่วนกลางขนาดใหญ่ เช่น สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส และสโมสร เป็นต้น มีระบบการดูแลความปลอดภัยและการดูแลความเรียบร้อยของโครงการที่ได้มาตรฐาน ความเชื่อมั่นในงานก่อสร้าง การก่อสร้างบ้านแบบเดียวกันจำนวนหลายๆ หลัง ทำให้ช่างก่อสร้างของโครงการเกิดความคุ้นเคยในงานก่อสร้างมากกว่าโครงการขนาดเล็กที่มีไม่กี่หลัง ราคาถูกกว่าโครงการขนาดเล็ก เนื่องจากการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยถูกลง และการอยู่อาศัยร่วมกันหลายๆครอบครัว ทำให้เกิดสังคมภายในโครงการ       รูปแบบทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝดในแต่ละทำเล การพัฒนาโครงการทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด ในแต่ละทำเลมีความแตกต่างกัน โดยหากเป็นทำเลใจกลางเมืองจะเป็นการพัฒนาโครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดเพื่ออยู่อาศัยทั้งหมด ซึ่งได้แก่โซนสาทร-บางรัก และโซนวัฒนา-คลองเตย โครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดใจกลางเมืองมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้มีขนาดใหญ่ ซึ่งโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 450 ตารางเมตร และราคาเฉลี่ยต่อยูนิตประมาณ 50 ล้านบาท แม้ว่าการออกแบบพื้นที่ใช้สอยจำนวนมากจะทำให้ราคาต่อยูนิตสูงตามไปด้วย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าทาวน์โฮมและบ้านแฝดทำเลใจกลางเมืองก็ยังได้รับความนิยม   โครงการในทำเลรอบใจกลางเมือง มีการพัฒนาโครงการทั้งทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และบ้านแฝด โดยหากเป็นทาวน์โฮมโดยเฉลี่ยมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยประมาณ 300 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยประมาณ 19 ล้านบาท  บ้านแฝดมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยประมาณ 395 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยประมาณ 24 ล้านบาท และโฮมออฟฟิศ มีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยประมาณ 460 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยประมาณ 29 ล้านบาท   โครงการที่เปิดใหม่ในปี 2562 มีหลายโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่แตกต่างจากโครงการที่ผ่านมา เช่น บางโครงการเป็นสัญญาเช่าระยะยาวแต่อยู่ในทำเลที่ดีและเป็นแหล่งพักอาศัยของคนกลุ่มที่มีรายได้สูง เป็นต้น   นางนลินรัตน์ กล่าวสรุปว่า “ตลาดทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ-บ้านแฝด ระดับบน ในเขตกรุงเทพมหานครมีการแข่งขันมากขึ้น แต่ละโครงการจึงพยายามสร้างจุดขายโดยเน้นไปที่การออกแบบโครงการภายนอกและฟังก์ชันการใช้งานภายใน เพื่อให้แตกต่างจากโครงการคู่แข่ง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดประสบความสำเร็จ สอดคล้องกับโครงการโฮมออฟฟิศที่ต้องมีการออกแบบพื้นที่ให้สามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลาย   โซนใจกลางเมืองยังคงมีอัตราการขายสูงและมีอุปทานต่ำ ส่วนโซนที่อยู่รอบใจกลางเมืองยังคงมีการเติบโตได้ดี โดยสังเกตจากอัตราการขายที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดโดยเฉพาะในโซนพระโขนง-สวนหลวง-แบริ่ง   ตลาดทาวน์โฮมที่มีทำเลที่ตั้งที่ดี มีแนวโน้มที่จะเป็นโครงการขนาดเล็กหรือโครงการที่ไม่ต้องขออนุญาตจัดสรรมากขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดในด้านที่ดินที่หายากและมีต้นทุนที่ดินที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและผู้ซื้อสามารถซื้อทาวน์โฮมได้ในทำเลที่ตั้งที่น่าอยู่และสามารถปรับเปลี่ยนแบบบ้านได้ตามความต้องการ”      
SC  ASSET แนะนำฟีเจอร์ใหม่  “Rue Jai Subscription”  ผนึกพันธมิตรสำหรับช่วยเรื่องบ้าน

SC ASSET แนะนำฟีเจอร์ใหม่ “Rue Jai Subscription” ผนึกพันธมิตรสำหรับช่วยเรื่องบ้าน

SC  ASSET แนะนำฟีเจอร์ใหม่  “Rue Jai Subscription”  ผนึกพันธมิตรสำหรับช่วยเรื่องบ้าน จัดการเรื่องชีวิต สร้างทุกเช้าที่ดีเพื่อลูกค้า   สองผู้บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำสู่การเป็นผู้นำ Living Solutions Provider  นางสาวสุดารัตน์ เจริญเกตุมงคล Head  of Customers Management and  SD  กับ นายดิเรก  ตยาคี  Head  of Living Solutions  ร่วมแนะนำฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด “Rue Jai Subscription” บนแอปพลิเคชัน ด้วยการจับมือกับพันธมิตรหลากหลายเพื่อช่วยเรื่องบ้าน จัดการเรื่องชีวิต และอำนวยความสะดวกลูกค้า ให้งานบ้านเป็นเรื่องง่ายขึ้น โดยสามารถเรียกใช้งานได้เพียงปลายนิ้ว ในรูปแบบแพคเกจรายเดือน  แพคเกจบ้านเริ่ม 2,990 บาท/เดือน และ แพคเกจคอนโดฯ เริ่ม 990 บาท/เดือน  ด้วยบริการต่างๆ สำหรับการอยู่อาศัย ได้แก่  ทั้งบริการงานแม่บ้าน (Fixzy) ,บริการกำจัดไรฝุ่นที่นอน (De Hygienique Thailand Healthy Sleep & Living)  ,  บริการล้างรถเดลิเวอรี่  (Instawash) รวมถึง บริการทำความสะอาดบ้านระดับพรีเมี่ยม  ( Dusit on Demand by Dusit Thani Bangkok) และบริการอื่นๆ ในอนาคต ที่ไม่ได้จากัดแค่เรื่องที่อยู่อาศัยเท่านั้น สำหรับสมาชิก SC Family  สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Baan Rue Jai Application ได้แล้ววันนี้ทั้งในระบบ iOS และ Android ที่  http://bit.ly/2Y3r6tn  หรือ  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 1749      
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ลุยจัด “MEET & MINGLE” งานสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงครั้งยิ่งใหญ่

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ลุยจัด “MEET & MINGLE” งานสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงครั้งยิ่งใหญ่

คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกในประเทศไทยที่สร้างสรรค์คอนโดมิเนียมคุณภาพระดับไฮเอนด์ในคอนเซ็ปต์ Pet-Friendly Residences คอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้ ยังคงมุ่งหน้าสานต่อจุดแข็งอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสร้าง Pet Friendly Community จากความเข้าใจในกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างดี เตรียมจัด “MEET & MINGLE” งานสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงสุดยิ่งใหญ่แห่งปี เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ในทุกๆ ด้านสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงให้การเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงตัวโปรดในคอนโดมิเนียมเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น   ภายในงานประกอบด้วย 4 โซน และกิจกรรมที่น่าสนใจ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Major Petscape” ได้แก่ Pet Health               รับบริการตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยง ฟรี! จากโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ Pet Games               เพลิดเพลินกับเกมส์สนุกๆ ที่จะให้น้องหมาและน้องแมวฟินสุดๆ และรับของรางวัลมากมาย รวมมูลค่ากว่า  30,000 บาท Pet Workshops      ฟรี! Workshop อาทิ Marbling Art เพ้นท์กระเป๋าผ้าแฮนเมดไม่ซ้ำใคร และ Dog Studio ถ่ายภาพสวยๆ กับน้องหมาสุดเลิฟ Pet Charity               ร่วมสมทบทุนบริจาคให้กับมูลนิธิ The Voice Foundation ช่วยเหลือสัตว์ที่ยากไร้   นอกจากนี้ยังมี ไฮไลต์ในงานที่เหล่าคนรักสัตว์ห้ามพลาด! กับกิจกรรมเอาใจคนรักสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ การประกวดชุดแฟนซี พร้อมแฟชั่นโชว์ของน้องหมาเซเลบริตี้ที่มาร่วมสนุกในงาน รวมถึงเต็มอิ่มกับการช้อปปิ้ง เลือกซื้อสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงจากแบรนด์ชั้นนำ ซึ่งมีเฉพาะงานนี้งานเดียวเท่านั้น อาทิ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับอาหารสัตว์, อาหารเสริม และเสื้อผ้าเครื่องประดับ เป็นต้น พร้อมกิจกรรมน่าสนใจอีกมากมายให้กลุ่มผู้รักสัตว์เลี้ยงได้มาเปิดประสบการณ์ใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน   พาน้องหมาและน้องแมวคู่ใจ มาร่วมเดินเที่ยวได้ฟรี! ในงาน “MEET & MINGLE” ซึ่งจะจัดมอบความสุขให้แก่ลูกบ้านเมเจอร์ฯ ตลอดทั้งปี เริ่มโครงการแรกที่ “อกัสตัน สุขุมวิท 22” (Aguston Sukhumvit 22) ในวันเสาร์ที่ 30 มีนาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 14.00 – 17.00 น. คาดว่างานนี้จะสามารถขยายฐานกลุ่ม Pet-Friendly Residence คนรักสัตว์เลี้ยงของเมเจอร์เพิ่มขึ้นกว่า 30%   สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Major Development Contact Center โทร. 02-116-1111 หรือ www.mde.co.th      
แคปปิตอล จีฯ ปักหมุด “โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9”  คอนโดฯใหม่รับรถไฟฟ้าสายสีส้ม

แคปปิตอล จีฯ ปักหมุด “โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9” คอนโดฯใหม่รับรถไฟฟ้าสายสีส้ม

“พระราม 9- รามคำแหง” นับวันจะยิ่งฉายภาพ “ทำเลทอง” เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม(ตะวันออก)ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) รวมระยะทาง 22.57 กม.มีจำนวนสถานีรถไฟฟ้าแบบใต้ดิน จำนวน 10 สถานี และแบบยกระดับ จำนวน 7 สถานีที่ความก้าวหน้าของงานก่อสร้างอยู่ที่ 27 % ณ สิ้นเดือนมกราคม 2561 มีกำหนดเปิดบริการในปี 2566 รวมถึงการลงทุนรีโนเวทเดอะมอลล์ รามคำแหง 2 (ฝั่งมุ่งหน้ามาแยกพระราม 9-รามคำแหง) ของบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ที่อยู่ระหว่างปรับโฉมใหม่ ให้กลายเป็น “มิกซ์ยูส คอมเพล็กซ์” รับรถไฟฟ้าสายสีส้ม บนที่ดินกว่า 30 ไร่ และคาดว่าจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 2-3 ปี ยิ่งเป็นตัวผลักดันให้รามคำแหง และพื้นที่ใกล้เคียงเป็นทำเลที่ร้อนแรงเป็นอย่างมากขึ้น   นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งขนาดกลาง –ใหญ่ได้แห่ชิงพื้นที่เปิดโครงการใหม่เพิ่มดีกรีความร้อนแรงให้กับทำเล “พระราม9 – รามคำแหง” โดยหนึ่งในผู้ประกอบการที่ปักหมุดผุดโครงการคอนโดมิเนียมนั่นก็คือ บริษัท แคปปิตอล จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (Capital G Development Co. Ltd.) ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท มีนบุรีซีเมนต์ไทย จำกัด ที่ล่าสุดได้เปิดตัว “โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9” บนพื้นที่โครงการ 3-3-24 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม Low Rise สูง 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 536 ยูนิต แบ่งเป็น อาคาร A จำนวน 105 ยูนิต ,อาคาร B จำนวน 216 ยูนิต และ อาคาร C จำนวน 215 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2564 เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อและความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โครงการได้ออกแบบให้มีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 22-44 ตารางเมตร (ตร.ม.) แบ่งเป็น Units Type ดังนี้   - Studio suite ขนาดพื้นที่ 22 ตารางเมตร จำนวน 145 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 27% - 1 Bedroom Exclusive ขนาดพื้นที่ 27 ตารางเมตร จำนวน 56 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 10%   - 1 Bedroom Exclusive ขนาดพื้นที่ 29 ตารางเมตร จำนวน 258 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 48 % - 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ 35 ตารางเมตร จำนวน 49 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 9 % - 2 Bedroom ขนาดพื้นที่ 44 ตารางเมตร จำนวน 28 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 5 %   นายชัยรัตน์ พิรุฬหพัสต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า “โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9” เป็นคอนโดฯ สไตล์ “Modern Luxury Resort” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Sense of Nature.. Life is Signature : ออกแบบชีวิต ..ใกล้ชิดธรรมชาติ” โครงการเน้นพื้นที่ส่วนตัวที่เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์คนเมือง ผสมผสานการออกแบบที่ทันสมัย รู้ใจคนรุ่นใหม่ สอดคล้องไปกับพื้นที่สีเขียวให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แม้อยู่กลางใจเมืองเหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ Work Hard Play Hard ที่มีความเป็นตัวเอง อายุประมาณ 28-40 ปี ระดับรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาทต่อเดือน   จุดเด่นของโครงการนอกจากเน้นพื้นที่สีเขียวมากเป็นพิเศษแล้ว “โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9” ยังตั้งอยู่ Prime Location สามารถเดินทางเข้า-ออกได้ 2 เส้นทาง ทั้ง ถ.พระราม 9 (แยกซ. 39) และ ถ.รามคำแหง ซ.12 โครงการห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีส้มสถานีรามคำแหง 12 เพียง 150 ม. เท่านั้น นอกจากนี้“โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9” ยังใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ใกล้ Airport Link ทางด่วนศรีรัช และทางด่วนฉลองรัช โดยที่ตั้งโครงการยังสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD: Central Business District) ได้หลายเส้นทางไม่ว่า ถนนพระราม 9 ทองหล่อ พัฒนาการและถนนรัชดาภิเษก อีกทั้งยังเดินทางสะดวกสบายด้วยรถยนต์สาธารณะและ ทางเรือ(ท่าเดอะมอลล์รามฯ) รายล้อมด้วยแหล่งสาธารณูปโภค มหาวิทยาลัยชั้นนำ โรงพยาบาล และ ใกล้แหล่ง Lifestyle Shopping Mall และ Cafe สุดชิค! มากมาย อาทิ เดอะ มอลล์ รามคำแหง, เดอะมอลล์บางกะปิ, บิ๊กซี, เดอะไนท์ พระราม 9 และ ฟู๊ดส์แลนด์ รามคำแหง เป็นต้น   นายชัยรัตน์ ยังกล่าวด้วยว่า “โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9” ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบ Function ให้ลักษณะเป็นห้องหน้ากว้าง โดดเด่นด้วยครัวไทยแยกสัดส่วนใช้งานได้จริง ขายแบบ Fully Furnished ตอบโจทย์การใช้ชีวิต พร้อมกับ Facilities ที่จัดเต็ม อาทิ Relaxing Swimming Pool, Greenery Garden ,The GYM, Multi-Purpose Area , Duplex Lobby Lounge, Co-Working Space, Private Lobby Lounge , Private Meeting Area & Mini Theater ,Fitness , Sky Garden และ Carwash zone ฯลฯ   ด้วยศักยภาพของทำเลและโปรดักส์ดีไซน์ที่ใส่ใจทุกรายละเอียดรวมถึงส่วนกลางจัดเต็มเพื่อในวันนี้และความยั่งยืนในอนาคต เรียกได้ว่า รองรับทุกไลฟ์สไตล์ตอบโจทย์ทั้งคนสายชิลล์และคนที่เน้นกิจกรรม พร้อมเปิดให้จองและชมห้องตัวอย่างได้ทุกวัน ณ สำนักงานขาย โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9 เปิดรอบVIP Day วันที่ 30 มีนาคม 2562 รับส่วนลด 200,000 บาท   ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าชมห้องตัวอย่าง ที่ http://www.cg.co.th/monterama9 โทร. : 099-164- 6888 หรือ Line ID : @MonteRama9          
แสนสิริ ชูนวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่นครั้งแรกในไทย ประเดิมโครงการแรก “เศรษฐสิริ ทวีวัฒนา”

แสนสิริ ชูนวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่นครั้งแรกในไทย ประเดิมโครงการแรก “เศรษฐสิริ ทวีวัฒนา”

แสนสิริเดินเกมส์ต่อยอดที่อยู่อาศัยแนวราบ หลังโกยยอดขาย 18,800 ล้านบาทเติบโตขึ้นถึง 40% ในปีที่ผ่านมา ชูแนวราบหัวหอกสำคัญในการรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริในปี 2562 วางแผนขยายการเติบโตส่วนแบ่ง ทางการตลาดให้กับธุรกิจที่อยู่อาศัยแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง เคาะแผนเปิดตัว 16 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 24,200 ล้านบาท ครอบคลุมทุกเซกเมนต์และระดับราคาทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองชั้นนำ เตรียมเปิดตัว Tiger Lane ในระดับ S Segment และตอกย้ำความสำเร็จในกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับกลางบน ด้วยแบรนด์เศรษฐสิริและบุราสิริ พร้อมนำแบรนด์ระดับราคาที่เข้าถึงง่ายมาเปิดขายในสัดส่วน ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ แบรนด์สราญสิริ – คณาสิริ – อณาสิริ รวมถึงทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ สิริ เพลส ต่อยอดความสำเร็จจากปีที่ผ่านมา ตั้งเป้าพิชิตยอดพรีเซลกว่า 14,400 ล้านบาทในปีนี้ พร้อมทั้งรุกต่อยอดวิสัยทัศน์ “SANSIRI FOR GREATER WELL-BEING” เปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการแรกของปี “เศรษฐสิริ ทวีวัฒนา” มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท จัดเต็มแนวคิดเต็มรูปแบบ ชูนวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่น “Dust free House” ครั้งแรกในไทย รับมือปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกบ้านในทุกมิติ   พร้อมชูจุดเด่นด้านการออกแบบภายใต้แนวคิด “ชีวิตสุนทรีย์ มีดีเทล” นำแรงบันดาลใจจากกล้วยไม้ สะท้อนความภาคภูมิใจของผู้อยู่อาศัย ผ่านดีไซน์อย่างพิถีพิถันในทุกรายละเอียดควบคู่กับการนำเสนอนวัตกรรม และการออกแบบฟังก์ชันการใช้งานเพื่อเติมเต็มประสบการณ์ในการอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ   นายสมเกียรติ หงษ์ทรัพย์ภิญโญ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จ ก้าวสู่ปีแห่งที่สุดในทุกด้านตามเป้าหมายที่วางไว้ #SansiriBestYearEver จากยอดขายรวมที่สามารถทำได้ถึง 48,500 ล้านบาท นับว่าสูงที่สุดในรอบ 34 ปี ความสำเร็จมาจากการที่ลูกค้าให้การตอบรับที่ดี โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบที่เปิดตัว มียอดขาย 18,800 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 40% โดยทาวน์เฮาส์ที่เติบโตขึ้นถึง 75% จากการชูจุดขายฉีกตลาดในความโดดเด่นของทาวน์เฮาส์คุณภาพ ในระดับ Best in Class ตอบรับเทรนด์การอยู่อาศัยคนรุ่นใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ขยายทุกความชอบ ให้เป็นไปได้ รวมถึงบ้านเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จในทุกแบรนด์และเติบโตขึ้น 35% ทุกโครงการได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด   “ในปี 2562 นี้แสนสิริมีแผนพัฒนาโครงการใหม่ทั้งสิ้น 28 โครงการ มูลค่ารวม 46,600 ล้านบาท โดยจะเน้นเปิดตัวโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างสมดุลย์ของพอร์ตโฟลิโอและตอบรับความต้องการของตลาดบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนพัฒนาโครงการแนวราบ จำนวน 16 โครงการ มูลค่ากว่า 24,200 ล้านบาท ครอบคลุมทุกเซกเมนต์และระดับราคา ได้แก่ การเตรียมเปิดตัวโครงการ Tiger Lane ในระดับ S Segment โครงการบ้านเดี่ยวในระดับกลางบน อาทิ แบรนด์เศรษฐสิริและบุราสิริ นอกจากนี้ยังเปิดตัวโครงการในระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่ายในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ แบรนด์สราญสิริ – คณาสิริ – อณาสิริ รวมถึงทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ สิริ เพลส เพื่อเต็มเติมพอร์ตโฟลิโอที่อยู่อาศัยแนวราบของแสนสิริให้ครอบคลุมความต้องการกลุ่มลูกค้า ทุกเซกเมนต์ ทุกระดับราคา และขยายการเติบโตของส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับธุรกิจที่อยู่อาศัยแนวราบของบริษัท โดยโครงการใหม่ของแสนสิริที่จะเข้าสู่ตลาดในปี 2562 จะมีการพัฒนาให้สอดคล้องกับเทรนด์ด้านที่อยู่อาศัย ในปัจจุบัน และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เช่นกลุ่มครอบครัวที่มีผู้สูงอายุและเด็กกลุ่มผู้รักสุขภาพ และกลุ่มผู้ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” นายสมเกียรติ กล่าว   โครงการ ‘เศรษฐสิริ ทวีวัฒนา’ มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท บ้านเดี่ยวโครงการแรกภายใต้แนวคิด “Sansiri For Greater Well-Being” ซึ่งนับเป็นหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้ ด้วยการมุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมควบคู่ไปกับการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของลูกบ้าน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในทุกองค์ประกอบผ่านแนวคิดหลักทั้ง 3 ด้านได้แก่ Physical (สบายกาย), Mental (สบายใจ) และ Social Wellbeing (ความสัมพันธ์ที่ดีกับสังคมเพื่อนบ้าน) โดยนำนวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่น (Dust-Free House) มาใช้ในโครงการบ้านเดี่ยวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อรับมือกับวิกฤตฝุ่นควันที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่ในปัจจุบันและเทรนด์ของผู้คนที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โดยเทคโนโลยีนี้สามารถกรองฝุ่นละอองได้ขนาดเล็กถึง 0.1 ไมครอนรวมทั้งกรองกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ เกสรดอกไม้ ไรฝุ่น จุลินทรีย์ในอากาศ และเชื้อราได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ในห้องปลอดเชื้อในโรงพยาบาล ลูกบ้านจึงมั่นใจได้ว่าอากาศในบ้านของโครงการจะสะอาด ปราศจากฝุ่นละออง ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังได้นำนวัตกรรมบ้านเย็น Cooliving Designed Home มาช่วยให้ทุกมุมของบ้านปลอดโปร่งและเพิ่มการหมุนเวียนของอากาศภายในบ้านรวมถึง Universal Design ที่ออกแบบสำหรับครอบครัวในทุกเจเนอเรชันทั้งในบ้านและพื้นที่ส่วนกลาง นอกจากนี้ยังส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตของครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจธรรมชาติด้วยการมอบ Food Waste Machine ให้ลูกบ้านในช่วงเปิดขายโครงการตามแนวคิดการดำเนินธุรกิจ Sansiri Green Mission อีกด้วย” นายสมเกียรติ กล่าวเสริม   โครงการ “เศรษฐสิริ ทวีวัฒนา” โครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนที่ดิน 100 ตร.วา ขึ้นไป ในระดับราคา15-20 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเลที่เชื่อมต่อไปยังตัวเมืองกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง สามารถเดินทางเข้าเมืองโดยใช้ทางพิเศษ ศรีรัชวงแหวนรอบนอกหรือ ทางยกระดับบรมราชชนนี มีโครงข่ายคมนาคมที่สะดวก รวมถึงส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่กำหนดเปิดใช้งานในปี 2562 และสายสีแดงอ่อนซึ่งกำหนดเปิดใช้งานในปี 2565 นอกจากนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลพุทธมณฑล และแหล่งไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่รองรับการใช้ชีวิตของครอบครัวยุคใหม่ ตอบรับความต้องการบ้านเดี่ยวระดับราคา 10.00 – 19.99 ล้านบาทในทำเลทวีวัฒนาที่มียอดขายได้เฉลี่ยรวมถึง 84% ขณะที่ปัจจุบันเหลือยูนิตขายในตลาดน้อยลง จึงนับเป็นโอกาสที่แสนสิริจะพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวที่สามารถตอบรับความต้อง การของลูกค้าในทุกด้านอย่างครอบคลุมโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มมากขึ้นหรือต้องการแยกครอบครัวในพื้นที่ใกล้เคียงเขตทวีวัฒนา โดยหลังจากเปิดขายโครงการเฟสแรกในช่วงที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับที่ดีโดยมียอดขายไปแล้ว 12 ยูนิตภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือนซึ่งนับเป็นการตอบรับที่ดีในกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับราคา 15 – 20 ล้านบาท   สำหรับแนวคิดการพัฒนาโครงการนำแรงบันดาลใจจากพืชเศรษฐกิจที่ขึ้นชื่อของเขตทวีวัฒนาอย่างกล้วยไม้มาใช้ในการสร้างสรรค์งานดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะทั้งภายในตัวบ้านและพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความภาคภูมิและสง่างามให้แก่ผู้อยู่อาศัย ทั้งยังเป็นส่วนตัวอย่างสูงสุดด้วยสังคมคุณภาพเพียง 133 ยูนิตที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งในบ้านและในพื้นที่ส่วนกลาง รายล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่ จากพืชพันธุ์นานาชนิดเปิดโอกาสให้ลูกบ้านทุกคนได้ดื่มด่ำสุนทรียะท่ามกลางธรรมชาติในส่วนของฟังก์ชันการใช้งานภายในตัวบ้านที่ถูกจัดสรรอย่างลงตัวเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของคนทุกเจเนอเรชันในครอบครัว อาทิ Triple Master Bedroom ห้องนอนขนาดใหญ่ 3 ห้องพร้อมห้องน้ำในตัว,Enclosed Balcony พื้นที่เอนกประสงค์กึ่งเอาท์ดอร์ ที่ขยายจากห้องนอนให้เป็นมุมโปรดสะท้อนตัวตนของผู้ใช้งาน, Garden Access Bedroom ห้องนอนใกล้ชิดธรรมชาติบริเวณชั้นล่างที่รองรับการใช้งานของผู้สูงอายุ, My Pavilion เรือนรับรองเชื่อมกับตัวบ้านที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ได้ตามต้อง การ และ Universal Design for 3 Generations การออกแบบบ้านที่คำนึงถึงผู้อยู่อาศัยทุกวัย พร้อมระบบHome Automation ที่สามารถสั่ง เปิด-ปิด ไฟและแอร์ได้จากมือถือผ่าน Sansiri Home Service Application และมาตรฐานความปลอดภัยภายใต้ Sansiri Security Inspection ที่ช่วยให้ลูกบ้านอุ่นใจ และสะดวกสบายยิ่งขึ้น”   “บริษัทคาดว่าการพัฒนาโครงการ“เศรษฐสิริ ทวีวัฒนา” ภายใต้แนวคิด Sansiri For Greater Well-being จะสามารถสร้างยอดขายให้กับโครงการได้กว่า 30% มูลค่ารวม 640 ล้านบาทภายในปลายปีนี้ ผลักดันให้แสนสิริบรรลุเป้าหมายในการสร้างยอดขายในกลุ่มธุรกิจแนวราบ 14,400 ล้านบาทตามที่ตั้งไว้” นายสมเกียรติกล่าวสรุป สัมผัสชีวิตสุนทรีย์ มีดีเทล ได้แล้ววันนี้ ที่โครงการ “เศรษฐสิริ ทวีวัฒนา” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการฯ กรุณาติดต่อทาง โทร. 1685 หรือทาง www.sansiri.com        
ออริจิ้น ส่งโปรฯ “ลดด่วน ขบวนสุดท้าย” ปักหมุดในงาน มหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่40

ออริจิ้น ส่งโปรฯ “ลดด่วน ขบวนสุดท้าย” ปักหมุดในงาน มหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่40

ด่วนมาก!! เลือกคอนโดที่ใช่ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนมาตรการคุมสินเชื่อจะบังคับใช้ในวันที่ 1 เม.ย.นี้ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ใจดีส่งโปรฯ ORIGIN LAST CHANCE !! ลดด่วน ขบวนสุดท้ายราคาเริ่มต้นเพียง 1.39 ล้านบาท* ในงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่40 ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 21 - วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2562 เวลา 10.00 - 20.00 น. บูธ G 85 – G 102  ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายในงานพบโปรโมชั่นสุดพิเศษ รับสิทธิ์ ผ่อน 0% นาน 3 ปี* กู้เต็ม 100% และฟรีทุกค่าใช้จ่าย* รวมส่วนลดสูงสุดมูลค่ากว่า 500,000 บาท ห้ามพลาดโปรดีๆ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/orilastchance ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2562 นี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 020 300000 หรือที่ LINE @originproperty    
ACARA BY EMPEROR รับสร้างบ้านดีไซน์ทันสมัย เตรียมจัดโปรแรง 3 เด้ง!

ACARA BY EMPEROR รับสร้างบ้านดีไซน์ทันสมัย เตรียมจัดโปรแรง 3 เด้ง!

สร้างบ้านทั้งทีต้องเลือกบริษัทที่ดี ด้วยมาตรฐานที่ดีที่สุด‼ อะคาร่า (ACARA) รับสร้างบ้านโมเดิร์น ลักชัวรี่ ภายใต้ บริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ จำกัด ที่การันตีด้วยมาตรฐานการก่อสร้างที่เหนือกว่า รับรองมาตรฐาน ISO 9001:2015 มาพร้อมผลงานสร้างบ้านหรูกว่า 30 ปี งานนี้เลยเตรียมจัดโปรโมชั่นหนักถึง 3 ต่อ!!  ไม่ว่าจะเป็น ต่อที่ 1 ลดค่าจองแบบ 20 % ต่อที่ 2 ส่วนลดเงินสดสูงสุด 295,000 และ ต่อที่3 เลือกรับของแถมอีก 300,000 บาท เมื่อจองสร้างบ้านภายใน  “งานรับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2019” พบกันที่บูธ A-21 ระหว่างวันที่ 21-24 มีนาคม 2562 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ห้องเพลนนารี ฮอลล์ 1-2 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์     สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 081-376-4999, ID Line : @ACARA และ Facebook : Acara.Official      
‘เอพี ไทยแลนด์’ สานต่อวิสัยทัศน์ ‘AP WORLD’ เปิดตัวแนวคิด ‘PROJECT GROW’

‘เอพี ไทยแลนด์’ สานต่อวิสัยทัศน์ ‘AP WORLD’ เปิดตัวแนวคิด ‘PROJECT GROW’

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แถวหน้าและผู้นำด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่อยู่อาศัย สานต่อวิสัยทัศน์ ‘AP WORLD’ ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์โลกแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างพิมพ์เขียวใหม่ให้กับเมืองที่สมบูรณ์ไปด้วยระบบนิเวศ (Eco System) ล่าสุดเปิดตัวแนวคิด ‘PROJECT GROW’ ปรัชญาแห่งการสร้างมาสเตอร์แพลนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ผ่านการออกแบบที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่มีสุขภาพกายและใจที่ดี การพัฒนาพื้นที่สีเขียว การรักษาสิ่งแวดล้อม และการเอื้อประโยชน์สู่สังคมรอบข้างอย่างสูงสุด นำร่องแนวคิดการพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเมืองด้วยการอนุรักษ์ต้นไม้เก่าอายุกว่า 50 ปีบนที่ดินพัฒนาโครงการ ‘RHYTHM EKKAMAI ESTATE’ เพื่อเติมเต็มคุณภาพชีวิตให้กับชุมชนและสังคมเมือง เพราะต้นไม้เปรียบเสมือนประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตที่เป็นตัวแทนความทรงจำที่ดี และความผูกพันกับคนในชุมชน พร้อมจับมือพันธมิตรกลุ่มบิ๊กทรีส์ และเครือข่าย ต้นไม้ในเมืองต่อยอดจุดประกายความตระหนักและให้ความรู้ในการดูแลต้นไม้แก่คนรุ่นใหม่ ในงาน ‘AP GROW DAY’ 30 มีนาคมนี้ที่สวนรถไฟ   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ต้นไม้ที่มีประสิทธิภาพในการผลิตออกซิเจนลดอุณหภูมิ และฟอกอากาศได้ดีจะมีรูปทรงของต้นที่แผ่ร่มเงาในพื้นที่บริเวณกว้าง และมีใบเล็กละเอียด จึงไม่น่าแปลกใจที่ต้นจามจุรีจะได้รับการจัดอันดับให้เป็นต้นไม้ที่ให้ประโยชน์ในด้านสิ่งแวดล้อมมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ในการอนุรักษ์ต้นไม้ประวัติศาสตร์ทั้ง 3 ต้นในที่ดินโครงการ RHYTHM EKKAMAI ESTATE ถือว่าเป็นความท้าทาย เพราะการเคลื่อนย้ายต้นไม้ใหญ่ ไปพร้อมๆ กับการจัดสรรพื้นที่ในโครงการให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มพื้นที่ และต้องทำอย่างถูกวิธี เพื่อให้ต้นไม้ทุกต้นรอด และสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน”   “จากวิสัยทัศน์ ‘AP WORLD’ ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์โลกแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านการสร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีในวันข้างหน้าที่สมบูรณ์ ไปด้วยระบบนิเวศ (Eco System) นั้น ในส่วนของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สิ่งที่เอพีดำเนินงานยังคงเกี่ยว เนื่องต่อการพัฒนาเมือง และคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยอย่างมาก เราจึงไม่สามารถให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องของการออกแบบก่อสร้างเพียงอย่างเดียว ‘PROJECT GROW’ จึงถือเป็นปรัชญาที่ทีมเอพีจะนำมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างมาสเตอร์แพลนในการอยู่อาศัยที่มีคุณภาพ เคียงคู่ไปกับการออกแบบพื้นที่ภายในโครงการ การให้ความสำคัญกับวิธีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับเมือง   การเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสภาพแวดล้อม ตลอดจนการร่วมสร้างสังคมให้ตระหนักรู้ โดยเริ่มต้นจากเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด ซึ่งสำหรับเอพีแล้วเริ่มต้นด้วยการอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ที่ต้องทำควบคู่ไปกับรายละเอียดอื่นๆ ในการพัฒนาโครงการ สำหรับคอนโดมิเนียม RHYTHM EKKAMAI ESTATE ที่เป็นโครงการนำร่องภายใต้แนวคิด ‘PROJECT GROW’ ปรัชญาแห่งการสร้างมาสเตอร์แพลนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนนั้น เอพีมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะรักษาให้ต้นจามจุรีใหญ่ทั้ง 3 ต้น อยู่คู่กับชุมชนย่านเอกมัยตราบนานเท่านาน ในขณะเดียวกัน เรายังคงมองถึงการจัดสรรให้พื้นที่ทุกตารางนิ้วภายในโครงการสามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุด เราจึงตัดสินใจย้ายต้นจามจุรี ที่แต่ละต้นมีขนาดสูงประมาณ 20 เมตร หรือเท่าตึกสูง 8 ชั้น โดยมีคุณธราดล ทันด่วน หรือครูต้อรุกขกรผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาต้นไม้ใหญ่ในงานภูมิทัศน์เมืองมาเป็นที่ปรึกษาและดูแลการย้ายต้นไม้ในครั้งนี้ให้สำเร็จและเติบโตต่อไป” นายวิทการกล่าว   “ถ้าเราดูจากภายนอกเราก็เห็นว่าต้นไม้น่าจะมีสุขภาพดี แต่เมื่อทีมรุกขกรได้ขุดลงไป กลับพบปัญหาเกี่ยวกับรากที่ติดอยู่กับแผ่นปูนใต้ดินทำให้ทีมงานต้องแก้ปัญหาเรื่องรากก่อนเริ่มเคลื่อนย้ายไปปลูกในตำแหน่งใหม่ที่วางไว้ ส่วนอีกต้นหนึ่งพบปัญหาลำต้นเอียงก็ต้องปรับลำต้นให้ตรง เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับสิ่งปลูกสร้างในอนาคต ความเชี่ยวชาญและความเป็นมืออาชีพของทุกๆ ฝ่ายจะช่วยสานต่อให้ความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์โลกแห่งคุณภาพชีวิต ที่ดีให้กับสังคมเมืองภายใต้วิสัยทัศน์ใหญ่ ‘AP WORLD’ ประสบความสำเร็จได้ในเร็ววัน” คุณวิทการ กล่าวสรุป   ล่าสุดเอพี ไทยแลนด์ เตรียมต่อยอด จัดงาน ‘AP GROW DAY’ เพื่อจุดประกายให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญในการอนุรักษ์ต้นไม้ และสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง มุ่งให้คนกับต้นไม้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยจับมือกับภาครัฐ, กลุ่มบิ๊กทรีส์, เครือข่ายต้นไม้ในเมือง เพื่อขยายแนวร่วมรักษ์ต้นไม้ ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ได้แก่ ภารกิจพลิกฟื้นคืนพื้นที่สีเขียวให้กับเมืองร่วมกับ ‘แพตตี้ - อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา’ ดารานักแสดงคนดัง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ครั้งแรกกับการเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจศึกษาธรรมชาติในมุมมองที่สูงกว่า 25 เมตร กับกิจกรรม Tree Climbing ปีนต้นไม้ใต้ร่มเงาจามจุรียักษ์อายุกว่า 50 ปี และกิจกรรม Zip Line ผจญภัยผ่านต้นไม้ใหญ่นานาพันธ์กับความยาวกว่า 50 เมตร รวมถึงการให้ความรู้เรื่องต้นไม้ การตรวจสุขภาพต้นไม้ จากรุกขกรมืออาชีพ ปิดท้ายกิจกรรมด้วยการรับฟังดนตรีในสวนกับ บอย ตรัย ภูมิรัตน และรับพันธุ์ไม้พิเศษกลับบ้าน งาน ‘AP GROW DAY’ จะจัดขึ้นในวันที่ 30 มีนาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 12.00 น. – 18.00 น. ที่สวนรถไฟ กรุงเทพฯ โดยผู้สนใจสามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ ที่ www.APprojectgrow.com (รับจำนวนจำกัด)          
แอสเซทไวส์ รุกเจาะทำเลทองย่านแจ้งวัฒนะ เปิดตัว “แอทโมซ  แจ้งวัฒนะ”

แอสเซทไวส์ รุกเจาะทำเลทองย่านแจ้งวัฒนะ เปิดตัว “แอทโมซ แจ้งวัฒนะ”

“แอสเซทไวส์” รุกเจาะทำเลทองย่านแจ้งวัฒนะ เปิดโครงการ “แอทโมซ แจ้งวัฒนะ” คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สไตล์รีสอร์ท จำนวน 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 625 ยูนิต แบบ Fully Furnished ที่มีเอกลักษณ์ พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยสอดรับกับไลฟ์สไตล์ทุกยูนิต พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลายครบครันถึง 3 ชั้น ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 1,100 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพแจ้งวัฒนะ  -เลียบคลองประปา ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.29 ล้านบาท โดยพร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้   นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัย เพื่อการใช้ชีวิตที่ดี ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” (We Build Happiness) เปิดเผยว่า “หลังจากที่บริษัทฯ ได้ขยายศักยภาพของการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่อย่างโครงการเคฟทาวน์ และได้รับความสนใจจากการเปิดพรีเซลล์ไปเมื่อไม่นานมานี้ บริษัทฯ ยังคงศึกษา และมองเห็นความต้องการที่ต่อเนื่องของลูกค้าอีกกลุ่ม นั่นคือกลุ่มคนทำงานในย่านแจ้งวัฒนะ ล่าสุด บริษัทฯ จึงได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์แอทโมซเพิ่มอีกหนึ่งโครงการ ได้แก่ “แอทโมซ แจ้งวัฒนะ” (Atmoz Chaengwattana) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนเลียบคลองประปาใกล้สี่แยกคลองประปาตัดกับถนนแจ้งวัฒนะ โดยถือว่าเป็นทำเลที่มีการเติบโตของภาคธุรกิจ และการขยายตัวของการอยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นที่สำคัญของพื้นที่ คือความสะดวกสบายในการเดินทางทั้งเข้าสู่ใจกลางเมือง หรือเดินทางเชื่อมต่อกับพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุม โดยมีถนนเส้นหลักอย่างถนนแจ้งวัฒนะที่สามารถเชื่อมตรงเข้าสู่เมือง พร้อมกันนั้นยังมีจุดขึ้นลงทางด่วนแจ้งวัฒนะ และศรีสมาน หรือแผนการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพูของรัฐในอนาคต ซึ่งโครงการ “แอทโมซ แจ้งวัฒนะ” จะตั้งอยู่ใกล้กับสถานีแจ้งวัฒนะ 14 และสถานีศรีรัช อีกด้วย”   “แอทโมซ” (Atmoz) เป็นหนึ่งในแบรนด์คอนโดมิเนียมของบริษัทฯ ที่ประสบความสำเร็จ จากการเน้นเลือกทำเลที่มีศักยภาพสะดวกสบายในการเดินทาง รวมถึงการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้ามาโดยตลอด อาทิ แอทโมซ ลาดพร้าว 71 ซึ่งขณะนี้มียอดขายแล้วกว่า 70 % และจะก่อสร้างเสร็จตรงตามที่กำหนดไว้ในเดือน พ.ค นี้อย่างแน่นอน ในขณะที่แอทโมซ รัชดา – ห้วยขวาง ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ยังสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 40 % ทีเดียว สำหรับทำเลย่านแจ้งวัฒนะ มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้พักอาศัยในพื้นที่ ทำให้ทำเลแจ้งวัฒนะ กลายเป็นทำเลเด่นที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นออฟฟิศสำนักงานทั้งหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ อย่าง “ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ” บริษัทเอกชนต่าง ๆ และสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล ซึ่งถ้ามองในมุมตลาดการเช่าคอนโดมิเนียมในโซนของแจ้งวัฒนะเอง ยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่มากสำหรับการอยู่อาศัย เนื่องจากอยู่ในแหล่งงานที่มีดีมานต์สูง โดยมีราคาขายเฉลี่ยที่ 63,000 บาท ต่อตารางเมตร ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่น่าสนใจมาก และคาดว่าเมื่อรถไฟฟ้าสายสีชมพูก่อสร้างเสร็จจะทำให้ได้รับอัตราผลตอบแทนที่ดี จึงถือว่าย่านแจ้งวัฒนะจะสร้างความคึกคักในตลาดอสังหาฯ อย่างต่อเนื่อง” นายกรมเชษฐ์ กล่าวเสริม   แอทโมซ แจ้งวัฒนะ” (Atmoz Chaengwattana) ได้รับการออกแบบด้วยแนวคิด Futuristic Design ที่มีความอบอุ่น ผ่อนคลาย และมีสไตล์ พร้อมการเลือกสรรเฟอร์นิเจอร์แบบ Fully Furnished ที่มีเอกลักษณ์ โดยเน้นคำนึงถึงฟังก์ชั่นการใช้งานที่คุ้มค่า พร้อมมอบเทคโนโลยีเพื่อสอดรับกับไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยในทุกยูนิต อาทิ Bluetooth Sound System ที่ไม่ว่าจะอยู่บริเวณไหนของห้องก็สามารถเพลิดเพลินกับการฟังเพลงได้ทุกที่, Thermostat ระบบระบายความร้อนภายในห้อง, Rescue Alarm ระบบแจ้งเตือนอุบัติเหตุภายในห้องพัก และ LED Lighting Motion Sensor เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวติดตั้งที่ปลายเตียง ช่วยเปิด – ปิดไฟอัตโนมัติ   นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบโครงการครบครันถึง 3 ชั้น ที่ออกแบบทุกรายละเอียดให้การพักผ่อนไม่ธรรมดา และไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิม โดยได้รับการออกแบบได้โดดเด่นทั้งภายในและภายนอกอาคาร ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยน รองรับกิจกรรมของลูกบ้านได้ 24 ชม. ไม่ว่าจะเป็น SECRET GARDEN พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ใจกลางโครงการ มาพร้อมกับ THE OASIS POOL สระว่ายน้ำท่ามกลางสวนขนาดใหญ่ WATERFALL KIDS POOL สระว่ายน้ำเด็กพร้อมม่านน้ำตก TASTY2PARTY SPACE เพิ่มพื้นที่ให้กับงานปาร์ตี้พิเศษของ ทุกคน LIFEBRARY สำหรับความเป็นส่วนตัวกับการอ่านหนังสือเล่มโปรด CO-CREATIVE SPACE พื้นที่สำหรับนั่งทำงาน และยกระดับด้วย ADAPTABLE MEETING ROOM ห้องประชุมที่สามารถปรับโต๊ะได้ตามจำนวน ที่ต้องการ O2 JOGGING TRACK พื้นที่ออกกำลังกายเพื่อเปิดรับออกซิเจนในสวนได้ทุกวัน เป็นต้น และมั่นใจในระบบรักษาความปลอดภัยได้ตลอด 24 ชั่วโมง   “แอทโมซ แจ้งวัฒนะ” (Atmoz Chaengwattana) เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ จำนวน 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 625 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 1,100 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการกว่า 4 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนเลียบคลองประปา ใกล้สี่แยกคลองประปาตัดกับถนนแจ้งวัฒนะ ประกอบด้วยห้องชุด 4 แบบ ได้แก่ ห้อง Studio ขนาดพื้นที่ 20.10 – 21.56 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ประมาณ 22.98 – 25.89 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Exclusive ขนาดพื้นที่ประมาณ 29.04 – 30.38 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ประมาณ 33.12 – 34.99 ตร. พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ รร.เซนต์ฟรังซิสเซเวียร์, มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, โรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ, รพ.เวิลด์เมดิคอลเซ็นเตอร์, อิมแพค เมืองทองธานี, เซ็นทรัลพลาซ่า แจ้งวัฒนะ, โลตัส แจ้งวัฒนะ, ดิ อเวนิว แจ้งวัฒนะ เป็นต้น ในราคาเริ่มต้นที่ 1.29 ล้านบาท โดยเริ่มก่อสร้างในเดือนมีนาคม 2562 และคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2563   ผู้สนใจ สามารถเยี่ยมชมห้องตัวอย่าง ณ เซลส์ แกลเลอรี่ แอทโมซ แจ้งวัฒนะ ถนนเลียบคลองประปา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-168-0000 หรือ www.assetwise.co.th        
“อะคาร่า-เอ็มเพอเร่อร์” ซีซั่น 2 เชิญชวนประกวดแบบบ้าน “The PHENOMENON 2” ชิงเงินรางวัลกว่า 3 แสนบาท

“อะคาร่า-เอ็มเพอเร่อร์” ซีซั่น 2 เชิญชวนประกวดแบบบ้าน “The PHENOMENON 2” ชิงเงินรางวัลกว่า 3 แสนบาท

อะคาร่า (ACARA) รับสร้างบ้านโมเดิร์น ลักชัวรี่ ภายใต้ บริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ จำกัด โดย สุรัตน์ชัย  กึงฮะกิจ ประธานกรรมการบริหาร จัดสัมมนาหัวข้อ “The PHENOMENON 2” ปรากฏการณ์บ้านลักชัวรี่สำหรับคนรุ่นใหม่ พร้อมเชิญสถาปนิก-ดีไซเนอร์ชื่อดัง ม.ล.วรุตม์ วรวรรณ, จูน เซคิโน และ อดุลย์ แก้วดี มาร่วมแชร์ประสบการณ์การออกแบบบ้านลักชัวรี่ ให้เหล่านิสิต นักศึกษา และนักออกแบบรุ่นใหม่ ได้ปิ๊งไอเดียเจ๋งๆ ครีเอทเป็นผลงานส่งประกวดออกแบบบ้าน ภายใต้คอนเซปต์ “ URBAN  |  NATURE  |  LUXURY ” ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 300,000 บาท พร้อมโอกาสในการร่วมงานกับอะคาร่า ซึ่งงานสัมมนาจัดขึ้น ณ ห้อง Meeting Room 1-2 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 2562   นายสุรัตน์ชัย เผยว่า อะคาร่า มาจากคำว่า อัคร ที่แปลว่า ความเป็นเลิศ และที่โลโก้จะเห็นว่ามีรูป A 3 ตัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึง ดีเยี่ยมที่สุด นั่นหมายถึงการสร้างที่อยู่อาศัยที่ดีมีมาตรฐานที่สุด ซึ่งสมัยก่อนความต้องการบ้านหรูหรา จะมาจากครอบครัวใหญ่ แต่ในปัจจุบันเมื่อไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไป กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูงที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ ถึง 30 ปี ต้องการความคล่องตัว และรวดเร็ว มีความคิดความต้องการเป็นของตัวเองสูง ขนาดของตัวบ้านที่มีขนาดเล็กลง อยู่ใจกลางเมือง ตอบสนองเทคโนโลยีต่างๆในยุคดิจิทัล มีความทันสมัยมากขึ้น ฯลฯ แบรนด์อะคาร่า จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการมีบ้านลักชัวรี่สำหรับคนรุ่นใหม่นี้ แต่ยังคงมาตรฐานการก่อสร้างสูงสุด ด้วย Core Business เดียวกันกับเอ็มเพอเร่อร์ ดังนั้นทุกคนสามารถที่จะเข้ามารับบริการสร้างบ้านลักชัวรี่ที่ตอบสนองความต้องการได้หลากหลายมากขึ้น ในเวลาที่รวดเร็วขึ้น โดยที่ยังเน้นในเรื่องมาตรฐานการก่อสร้างสูงสุดที่เมืองไทยมีสำหรับไฮคลาสเรสซิเดนท์   และถ้าหากได้ติดตามข่าวสารของเอ็มเพอเร่อร์มาอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่า จากความสำเร็จในการประกวดโครงการ “The PHENOMENON 1”ที่ผ่านมาในปีที่แล้ว เราได้รับผลงานออกแบบที่น่าสนใจมากมาย จึงทำให้เกิดการจัดงานต่อเนื่องในปีนี้ กับโครงการ “The PHENOMENON 2” โดยครั้งนี้เรามีโจทย์ใหม่ ที่จะให้นิสิต นักศึกษา และนักออกแบบรุ่นใหม่ ได้ร่วมเสนอไอเดียเพื่อออกแบบบ้านลักชัวรี่ในแบบที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ขึ้นอีกครั้ง   นายสุรัตน์ชัย กล่าวอีกว่า ดิ เอ็มเพอร์เร่อร์ เฮ้าส์ ทำธุรกิจมากกว่า 30 ปี ผ่านประสบการณ์ในการออกแบบก่อสร้างบ้านระดับสูงมายาวนานและได้พัฒนารูปแบบ กระบวนการ และที่สำคัญคือเทคนิคการก่อสร้างที่เป็นมาตรฐานสูงสุดของการรับสร้างบ้านอย่างเป็นรูปธรรม คือ ได้ผ่านมาตรฐานISO 9000:2015 เรื่องการให้บริการ ออกแบบ ก่อสร้าง และตกแต่งภายใน ที่พักอาศัยระดับสูงแบบบูรณาการ (INTERGRATED HOME DESIGN, CONSTRUCTION AND INTERIOR DECORATION SERVICES FOR HIGH CLASS RESIDENCE) และใช้มาตรฐานนี้กับบ้านทุกหลังรวมทั้งบ้านที่ก่อสร้างภายใต้แบรนด์อะคาร่า   ทั้งนี้ ภายในงานเสวนา วิทยากรทั้ง 3 ท่าน ซึ่งเป็นสถาปนิกและนักออกแบบชื่อดัง ได้เล่าประสบการณ์ในการออกแบบบ้านลักชัวรี่ ในบรรยากาศที่ได้มีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ของบุคคลผู้อยู่ในวงการออกแบบบ้าน สถาปนิก นิสิต นักศึกษา และนักออกแบบรุ่นใหม่ และผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน   โดย มล.วรุตม์ วรวรรณ (M.L. Varudh Varavarn) จาก Vin Varavarn Architects สัมมนาในหัวข้อ ‘IDEAS of THE NEW LUXURY' ไอเดียใหม่ในบ้านลักชัวรี่ ได้แชร์ประสบการณ์ในการออกแบบ “บ้านที่ไม่สมบูรณ์แบบ” โดยเริ่มจากการตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่าอะไรคือลักชัวรี่ หรือความหรูหราของตัวเรา เพราะแต่ละคนต่างมีมุมมองที่แตกต่างกัน และนำมุมมองนั้นมาเลือกใช้ในงานให้เหมาะสม อาทิ ความไม่สมบูรณ์แบบของวัสดุ แต่เมื่อออกแบบให้ลงตัวด้วยมุมมองใหม่ ก็อาจจะสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่สวยงามได้ หรือการออกแบบความหรูหราที่สะท้อนความสวยงามของธรรมชาติ โดยให้สถาปัตยกรรมที่เรียบง่าย เป็นสื่อกลางในการให้ผู้คนได้รับความรู้สึกผ่านการรับรู้ประสบการณ์ความหรูหราจากธรรมชาติ   “ผมมองว่าความหรูหราไม่ได้มีอะไรตายตัว ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเรา ที่เราชอบ อยู่ในสไตล์แบบนี้ สเปซแบบนี้  มีความสุขความสบายใจ ก็เป็นความหรูหราในแบบที่คุณเป็นตัวของตัวเอง”   นายอดุลย์ แก้วดี (Mr. Adul Kaewdee) จาก บริษัท กอรปฝัน จำกัด (KOPFUN CO., LTD) สัมมนาในหัวข้อ ‘THE URBAN LUXURY HOUSE’ บริบทที่เปลี่ยนไปของบ้านใหญ่ในเมือง โดยนำผลงานการออกแบบบ้านลักชัวรี่ในเมืองและในสถานที่ต่างๆ ที่แม้อาจไม่ใช่ใจกลางเมือง แต่เกิดจากการมองหาจากความลงตัวจากแนวคิดที่เกิดขึ้นระหว่างความต้องการของเจ้าของและธรรมชาติโดยรอบของพื้นที่ สิ่งที่เราสนใจ และเป็นแรงผลักดันสำหรับแนวความคิดการออกแบบ หลักๆ มีอยู่ 3 อย่าง คือ 1. สิ่งแวดล้อม 2. สถาปัตยกรรม และ 3. คน  ที่เราสนใจสภาพแวดล้อมเพราะ การปลูกอะไรลงไปในที่ดินสักอย่างหนึ่ง สิ่งที่อยู่ในไซต์นั้นสำคัญทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแดด ลม ฝน เป็นสิ่งที่ไม่ต้องซื้อ และถ้าสามารถออกแบบโดยนำสิ่งแวดล้อมมาใช้ได้ นั่นก็คือสิ่งที่ดี ทำอย่างไรจึงจะให้งานสถาปัตยกรรมที่เราสร้างสามารถเกิดขึ้นในพื้นที่ตรงนั้นเลย   ในปัจจุบัน คนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเร็วตั้งแต่อายุยังน้อย ไลฟ์สไตล์ก็จะแตกต่างไปจากคนรุ่นก่อนพอสมควร เมื่อก่อนการจะมีบ้านแต่ละหลังได้นั้น อาจหมายถึงการเก็บเงินมาทั้งชีวิตและมีบ้านที่สะท้อนเอกลักษณ์ของตัวเขาเอง แต่เดี๋ยวนี้คนอาจไม่ได้มีบ้านเพียงหลังเดียว และบ้านลักชัวรี่ของคนรุ่นใหม่แต่ละหลังก็อาจจะมีวัตถุประสงค์ในการอยู่อาศัยที่แตกต่างไป ความต้องการในบ้านแต่ละหลังจึงไม่เหมือนกัน และจะเห็นได้ว่าขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่คนต้องการ และหลายๆ อย่างที่เป็นองค์ประกอบ บ้านจะอยู่กลางเมืองหรือที่ไหนไม่สำคัญเท่ากับการที่นักออกแบบเสนออะไร   “และผมคิดว่า การทำบ้าน เป็นการร่วมมือกันของทั้งเจ้าของบ้าน ผู้ออกแบบ และคนสำคัญคือผู้รับเหมา ที่ทั้งสามส่วนนี้ต้องให้ใจ และใช้ใจช่วยกันสร้าง เพื่อให้ได้งานที่ออกมาในระดับที่ทุกคนพอใจ”   นายจูน เซคิโน (JUN SEKINO) จาก JUN SEKINO Architect and Design สัมมนาในหัวข้อ ‘THE EXPERIENCE of THE NEW LUXURY’ประสบการณ์ใหม่ในความลักชัวรี่ ได้นำผลงานการออกแบบลักชัวรี่ที่เกิดจากวัสดุที่หลากหลาย อาทิ ปูน อิฐ เหล็ก ที่บางคนอาจจะคิดว่าวัสดุเหล่านี้จะสร้างความลักชัวรี่อย่างไร   เมื่อก่อนอาจจะมองว่า ลักชัวรี่คือรูปแบบ แต่ตอนนี้ผมมองว่า เป็นเรื่องของความต้องการของแต่ละคน ผมขอใช้คำว่า meaning ของ material ในการออกแบบให้เกิดขึ้น การรับรู้ในเรื่องของลักชัวรี่อาจเป็นเรื่องของประสบการณ์ในการรับรู้มากกว่า ในอดีตเราอาจจะทำงานที่เริ่มด้วยการทำแปลนก่อน แต่ผมไม่เป็นอย่างนั้น ผมชอบคิดว่าเราจะเห็นอะไรในงานก่อน   “สิ่งที่หรูหราอาจไม่ต้องพยายามหา แต่เป็นการใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นวัสดุอะไร และนำสิ่งเหล่านั้นมาทำให้เกิดผลงานที่เรียบง่าย แต่ให้ความหรูหราขึ้นได้ จากความรู้สึกและประสบการณ์ที่ได้สัมผัส”   นอกจากนี้ นายยศวัฒน์ เศรษฐบรมศักดิ์ (แชมป์) นักศึกษาชั้นปีที่ 3 อินทีเรียดีไซน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ที่สนใจและมาเข้าร่วมงานสัมมนา พร้อมเผยถึงแนวคิดใหม่ที่ได้จากงานครั้งนี้ว่า “รู้สึกว่าได้มุมมองใหม่ในการคิดประเด็นของโจทย์ และคิดว่าอาจจะส่งงานเข้าประกวด ซึ่งอาจจะส่งในนามของกลุ่ม ตอนนี้อาจจะยังไม่แน่ใจว่าได้ไอเดียพร้อมที่จะเข้าประกวดหรือยัง แต่คิดว่าน่าจะเน้นเรื่องของการใช้ฟังก์ชันและสเปซที่จะมาเพิ่มมูลค่าให้เกิดความลักชัวรี่”   ด้าน นางสาวอนินทิตา แวอาแซ (เดียร์) นักศึกษาชั้นปีที่ 3 อินทีเรียดีไซน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เผยว่า “ได้แรงบันดาลใจ และได้มุมมองใหม่ๆ ที่จะสามารถนำมาปรับใช้กับแนวคิดในการประกวดและในการเรียนด้วยค่ะ ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะส่งผลงานแบบเดี่ยวหรือกลุ่ม และยังไม่แน่ใจว่าจะใช้ไอเดียไหนในการออกแบบ แต่ก็คิดเอาไว้ว่าน่าจะเป็นแนวทางในการเพิ่มมูลค่าของวัสดุหรืออะไรสักอย่างที่จะสามารถนำมาใช้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้แค่ความหรูหราอย่างเดียว อยากที่จะทำให้เป็นการเพิ่มมูลค่าให้ materials”   การประกวด “The PHENOMENON 2 - ปรากฏการณ์บ้านลักชัวรี่สำหรับคนรุ่นใหม่” มีโจทย์ให้ออกแบบ “บ้าน” ที่สร้างปรากฏการณ์ ในการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ สะท้อนไลฟ์สไตล์ที่ใหม่ไม่เหมือนใคร ตอบโจทย์ความลักชัวรี่ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน โดยมี ขอบข่ายในการออกแบบดังนี้   1. การออกแบบวางผัง Master Plan โดยสามารถเลือกพื้นที่ตั้ง และขนาดพื้นที่ดินได้   2. การออกแบบสถาปัตยกรรม The PHENOMENON   3. การออกแบบและตกแต่งภายใน The PHENOMENON   URBAN - LUXURY บ้านสำหรับคนรุ่นใหม่ในเมือง ให้ออกแบบ “บ้าน” ที่สร้างปรากฏการณ์ในการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ สะท้อนไลฟ์สไตล์ความความลักชัวรี่ที่เปลี่ยนไปในเมือง โดยออกแบบวางผังMaster Plan บนพื้นที่ดินในเมือง ขนาด 200 ตร.วา (800 ตร.ม.) 20.00 ม. X 40.00 ม. (สามารถกำหนดที่ตั้ง และสภาพแวดล้อมเองได้) พื้นที่ใช้สอยภายในตัวบ้าน 500-1,000 ตร.ม.   NATURE - LUXURY บ้านตากอากาศชิดธรรมชาติชานเมือง ให้ออกแบบ “บ้าน” ที่สร้างปรากฏการณ์ ในการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการอยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติ สะท้อนไลฟ์สไตล์ความความลักชัวรี่ที่เปลี่ยนไปในบ้านชานเมือง โดยออกแบบวางผัง Master Plan บนพื้นที่ดินชานเมือง ขนาด 400 ตร.วา (1,600 ตร.ม.) 40.00 ม. x 40.00 ม. (สามารถกำหนดที่ตั้งและสภาพแวดล้อมเองได้) พื้นที่ใช้สอย ภายในตัวบ้าน 500-1,000 ตร.ม.   เงินรางวัล จะแบ่งเป็น 11 รางวัล ได้แก่ รางวัลที่ 1           :                       120,000 บาท รางวัลที่ 2           :                       60,000 บาท รางวัลที่ 3           :                       30,000 บาท รางวัลชมเชย (2 รางวัล) :             15,000 บาท เข้ารอบสุดท้าย (5 รางวัล) :            10,000 บาท Popular Vote :                           20,000 บาท   วันเวลาตัดสิน วันตัดสินรอบแรก : วันเสาร์ที่ 25 พ.ค. 2562 (10.00 - 12.00 น.) ณ บ. ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ วันรับบรีฟเพิ่มเติมพร้อมชมงานจริง : วันเสาร์ 1 มิ.ย. 2562 (10.00 - 12.00 น.) ณ หน่วยงาน บ. ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ วันตัดสินประกวดแบบ + popular Vote : วันเสาร์ที่ 15 มิ.ย. 2562 (13.00 - 16.00 น.) ณ ห้องอเนกประสงค์ (ชั้น1)  หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถสมัครและส่งผลงานเป็นเพลทขนาด A1 จำนวน 2 แผ่น (ติดลงบนแผ่น Future Board) และไรท์ผลงานเป็นไฟล์ภาพใส่ใน CD แนบเพลท  พร้อมกรอกรายละเอียดใบสมัครให้สมบูรณ์ (ไม่เสียค่าสมัคร) ภายในวันพุธที่ 22 พ.ค. 2562 โดยส่งผลงานมาที่ ฝ่ายการตลาด บริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ จำกัด 288/77 ถนนพหลโยธิน อนุสาวรีย์บางเขน กรุงเทพฯ 10220 สอบถามเพิ่มเติมผ่านช่องทางEmail : mkt@enperorhouse.com, Line : @ACARA, โทร. 086-889-9224 และ FACEBOOK : ACARA.official      
โนเบิล เกเบิล คันโซ วัชรพล จัดหนัก อยู่ฟรี 3 ปี* ทุกหลัง

โนเบิล เกเบิล คันโซ วัชรพล จัดหนัก อยู่ฟรี 3 ปี* ทุกหลัง

บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ส่งแคมเปญสุดพิเศษ เพิ่มอรรถรสแห่งความคุ้มด้วยโปรโมชั่น อยู่ฟรี 3 ปี* ทุกหลัง ฟรีค่าส่วนกลางและเงินกองทุนรวมมูลค่ากว่า 2.9 ล้านบาท* กับโครงการ โนเบิล เกเบิล คันโซ วัชรพล (Noble Gable Kanso Watcharapol) บ้านพร้อมอยู่ในราคาเริ่มต้นเพียง 5 ล้านบาท*   โนเบิล เกเบิล คันโซ วัชรพล (Noble Gable Kanso Watcharapol) โครงการบ้านพร้อมอยู่ กับออกแบบภายใต้คอนเซปต์ “คิดอย่างเซน อยู่อย่างเซน” ผสานงานออกแบบสถาปัตยกรรมสะท้อนถึงวิถีการใช้ชีวิตในแบบญี่ปุ่น สร้างสรรค์องค์ประกอบที่เป็นอัตลักษณ์แฝงสุนทรียะของธรรมชาติไว้ในทุกรายละเอียด ให้คุณปล่อยชีวิตให้เป็นอิสระในพื้นที่ส่วนตัวผสานความเรียบง่ายเข้ากับทุกมุมของบ้านอย่างลงตัว   สัมผัสความสุขแบบวิถีเซน พร้อมรับข้อเสนอรวมมูลค่าสูงสุด 2.9 ล้านบาท* ได้ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคมนี้ 2562 จำนวนจำกัด* ณ โครงการ Noble Gable Watcharapol ระหว่างซอยเพิ่มสิน 21 และ 23 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่โทร. 02–251–9955 หรือ www.noblehome.com      
พฤกษา เปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ “Chapter Thonglor 25” ลูกค้าให้การตอบรับล้นหลาม

พฤกษา เปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ “Chapter Thonglor 25” ลูกค้าให้การตอบรับล้นหลาม

พฤกษาเปิดตัวคอนโดพรีเมียมแบรนด์ใหม่ “Chapter” จับกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ โดยเปิดตัวที่แรก ในทำเลทองหล่อลูกค้าให้การตอบรับเข้าเยี่ยมชมโครงการอย่างล้นหลาม เกิดเป็นกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์สนั่นโลกออนไลน์ ด้วยการสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงบรรยากาศและไลฟ์สไตล์ของการอยู่อาศัยจริง พร้อมเปิดตัว Chapter café สุดชิค ที่ Sales Gallery โครงการ ร่วมสัมผัสความชิคที่ไม่เหมือนใครได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. นี้   นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท - พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “หลังจากที่บริษัทฯ ได้เปิดตัวคอนโดพรีเมียมแบรนด์น้องใหม่ Chapter เพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าระดับราคา 5 - 10 ล้านบาท ให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนท์ โดยส่งโครงการ “Chapter Thonglor 25” เป็นโครงการแรก ซึ่งลูกค้าให้การตอบรับเข้าเยี่ยมชมโครงการกันอย่างคับคั่ง จนเกิดกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์ในโลกออนไลน์ จากกลยุทธ์ในการทำการตลาดรูปแบบใหม่ โดยการสร้างประสบการณ์แห่งการอยู่อาศัย ให้ลูกค้าได้เข้ามาสัมผัสถึงไลฟ์สไตล์และบรรยากาศจริงของการอยู่อาศัยในโครงการ พร้อมเปิดตัว CHAPTER CAFÉ จับมือกับร้านกาแฟชื่อดังอย่าง Pacamara มาสร้างเป็นคาเฟ่สุดชิคไว้ที่ Sales Gallery ซึ่งถูกออกแบบไว้เป็นพื้นที่เปิดสำหรับนั่งเล่น ชมวิวสวน พร้อมมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร   นอกจากนี้แล้วบริษัทฯ ได้สร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ Chapter Thonglor 25 ภายใต้คอนเซ็ปต์ของโครงการ “Curated Thonglor Living” ร่วมมือกับ Illustrator ชื่อดัง คุณก้อง – กันตภน ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านงานศิลปะ Wrap สติ๊กเกอร์ ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ด้วยการตกแต่งภายในขบวนไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท ที่สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยของคนเมือง อาทิ คนดื่มกาแฟ เดินช็อปปิ้ง ถ่ายรูป เพื่อจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยากอยู่ทำเลใจกลางเมืองในราคาที่เอื้อมถึงง่ายๆ   Chapter Thonglor 25 คอนโด Low – Rise ระดับไฮเอนด์ สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 288 ยูนิต แต่งครบด้วยเฟอร์นิเจอร์ครบชุด จัดเต็มด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครันพร้อมบริการตลอด 24 ชม. อาทิ The Chapter Hall, Co-function Space, Co-living Garden, The Sunset Deck, Co-Creating Deck, The Social Club, White Marble Pool, Steam & Suana และ Fitness มีแบบห้องพักให้เลือกตั้งแต่ขนาด 28.91 - 61.17 ตร.ม ทุกยูนิตจะเน้นพื้นที่เก็บของใช้และเสื้อผ้าที่กว้างเป็นพิเศษ และบางยูนิตมีฟังก์ชั่นพิเศษเอาใจสาวๆ ด้วย Walk-in Closet ราคาพร้อมตกแต่งเริ่มต้น 5.3 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 160,000 บาท/ตรม. ในราคาที่หาไม่ได้อีกแล้วในย่านทองหล่อ มาร่วมสัมผัสกับบรรยากาศสุดชิคได้แล้วตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. นี้ ที่ Sales Gallery โครงการ Chapter Thonglor 25 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1739 หรือ https://chapter.pruksa.com/22379/thonglor-25          
โอกาสดีๆมาถึงแล้ว!!  เอสซี แอสเสทฯ เปิด Open House   ในงาน SC Wants you 2019

โอกาสดีๆมาถึงแล้ว!! เอสซี แอสเสทฯ เปิด Open House ในงาน SC Wants you 2019

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยฝ่ายทรัพยากรบุคคลเปิดบ้านต้อนรับอีกครั้งในงาน “SC Wants you 2019” สมัครพร้อมสัมภาษณ์ทันที! 23 มี.ค.นี้   เวลา 9.00-17.00 น. เพื่อร่วมเป็นหนี่งในทีมงานคุณภาพกับ Culture ใหม่ #SKYDIVE  ภายใต้บรรยากาศHappy Workplace และ Rue Jai Living Solutions ทั้งวันหยุดพิเศษในเดือนเกิดพร้อม Birthday Gift , Happy Free Meal พร้อมสวัสดิการและกิจกรรมดีๆ อีกมากมาย   ด้วยจำนวนตำแหน่งงานมากกว่า 100 ตำแหน่ง  ลงทะเบียนล่วงหน้าและเตรียมเอกสารให้ครบ พบกันที่ชั้น 14 อาคารชินวัตร 3 ถ.วิภาวดีรังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 02-949-2543, 02-949-2387  หรือที่ https://bit.ly/2Tnevlb      
“ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี่ คลับ (ชวนชื่น)  ปทุมธานี”  สนามกอล์ฟที่เหล่านักกอล์ฟต้องมาเยือน

“ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี่ คลับ (ชวนชื่น) ปทุมธานี” สนามกอล์ฟที่เหล่านักกอล์ฟต้องมาเยือน

สนามกอล์ฟ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ พัฒนาขึ้นโดย บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย เพื่อเช่า และเพื่อการบริการ ที่มีความเชี่ยวชาญ การันตีด้วยประสบการณ์ยาวนานมากว่า 60 ปี มากกว่า 60 โครงการ   ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ ใช้งบในการพัฒนาโครงการไปกว่า 160 ล้านบาท เพื่อให้เป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิตที่มีความครบครัน สามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ตลอดจนการแข่งขันทัวร์นาเมนต์, งานเลี้ยงสังสรรค์ และงานสัมมนา ภายใต้บรรยากาศสบายๆ ที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติเนื้อที่กว่า 400 ไร่ ด้วยทำเลที่โดดเด่นและมีศักยภาพบนถนนกรุงเทพ – ปทุมธานี สะดวกสบายต่อการเดินทาง  ใช้เวลาเพียง 15 นาทีจากจุดขึ้น – ลงทางด่วนศรีสมาน ทั้งยังสามารถเชื่อมต่อเส้นทางเข้าเมืองได้หลากหลายเส้นทาง อาทิ ถนนกรุงเทพ - ปทุมธานี,ถนนกาญจนาภิเษก, ถนนชัยพฤกษ์ และถนนราชพฤกษ์ ช่วยให้นักกอล์ฟสามารถมาออกรอบและกลับไปทำงานต่อได้     พื้นที่โครงการทั้งหมดถูกจัดสรรแบ่งสัดส่วนออกเป็นพื้นที่สนามกอล์ฟขนาดมาตรฐาน 18 หลุม พาร์ 72  มีเลย์เอ้าท์ ที่หลากหลาย ท้าทายความสามารถของนักกอล์ฟด้วยอุปสรรคน้ำเกือบทุกหลุม กรีนสปีดเร็ว ประกอบกับแฟร์เวย์ ที่ไม่เรียบแบน มีเนินสลับไปมา ทำให้เล่นสนุก ไม่ยากและง่ายจนเกินไป สำหรับหลุมเด่นประจำสนามแห่งนี้ (Signature Hole) ได้แก่ หลุมที่ 18 พาร์ 5 ซึ่งเป็นหลุมจบที่ท้าทาย ด้วยอุปสรรคของน้ำและบังเกอร์กลางแฟร์เวย์ดักอยู่ถึง 4 บ่อ อีกทั้งกรีนที่มีความลาดเอียงเข้าหาน้ำ เรียกว่าเป็นหลุมเสน่ห์ที่ทำให้เหล่านักกอล์ฟมีความรู้สึกอยากกลับมาเล่นใหม่อีกครั้ง และที่พลาดไม่ได้กับ Recommended Hole หลุมแนะนำ ซึ่งบรรดาเหล่านักกอล์ฟต้องมาพิชิตให้ได้ คือ บริเวณหลุม 9 พาร์ 5 เป็นหลุมพาร์ 5 ที่มีระยะค่อนข้างสั้นแต่ตีสนุกและท้าทาย ด้วยทิศทางถูกบังคับให้ไดร์ฟผ่านอุปสรรคน้ำ โดยลูกยังต้องให้อยู่ในแฟร์เวย์ ซึ่งต้องอาศัยเทคนิคและประสบการณ์ ประกอบกับการคำนวณทิศทางลมให้ดี หากวางตำแหน่งดีๆ ก็สามารถออนกรีนได้ แถมมีโอกาสพัตเบอร์ดี้ถือเป็นหลุมโบนัสได้อีกด้วย นอกจากนี้หากมองไปรอบๆ สนาม ถูกตกแต่งอย่างร่มรื่น สวยงาม ด้วยพันธุ์ไม้หลากหลายสายพันธุ์ อาทิ ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ที่จะผลิใบสวยงามในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – เดือนมีนาคมของทุกปี เพื่อต้อนรับผู้มาเยือนให้ได้เก็บภาพประทับใจ   อีกหนึ่งความโดดเด่นของสนาม  ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ แห่งนี้ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ “คลับเฮาส์และสปอร์ทคลับ” ที่มีพื้นที่รวมกว่า5,000 ตารางเมตร ออกแบบโดย บริษัท ดีดับเบิ้ลยูพี ซิตี้สเปซ จำกัด (DWP| design worldwide partnership) บริษัทชั้นนำด้านงานตกแต่งภายในและสถาปัตยกรรม ตัวอาคารถูกออกแบบให้เป็นอาคารชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น มีโถงทางเข้าที่โล่งและโปร่งสามารถมองเห็นวิวสนามกอล์ฟได้อย่างชัดเจน อีกทั้งพื้นที่ดังกล่าว ยังเตรียมไว้เพื่อรับรองการจัดกิจกรรมและงานสังสรรค์ต่างๆ ภายในตัวอาคารได้รับการออกแบบและตกแต่งอย่างพิถีพิถัน เน้นสีเอิร์ทโทน ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและอบอุ่นท่ามกลางธรรมชาติ มีสิ่งอำนายความสะดวกครบครัน เมื่อเดินเข้ามาบริเวณโถงกลางทางฝั่งซ้ายจะพบกับ ห้องอาหาร (Restaurant) ที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม เน้นความโปร่ง โล่ง สบายตา ให้ผู้ใช้บริการได้เพลิดเพลินกับมื้ออาหารสุดอร่อย พร้อมบรรยากาศสุดพิเศษที่รายล้อมไปด้วยวิวธรรมชาติอันสวยงามของสนามกอล์ฟ ซึ่งห้องอาหารมีให้บริการทั้งเครื่องดื่ม อาหารคาว อาหารหวาน หลากหลายสัญชาติ ไม่ว่าจะเป็น ไทย จีน ญี่ปุ่น หรือยุโรป และพลาดไม่ได้กับอาหารจานพิเศษประจำสนาม (Recommended Dishes) อาทิ แกงคั่วหอยขม  แกงปูใบชะพู ซึ่งเป็นสูตรพิเศษที่ดึงเอาเอกลักษณ์ความหอมของพริกแกงภาคใต้ผสมผสานกับพริกแกงภาคกลางที่ให้มี รสละมุมอย่างลงตัว เป็นต้น สำหรับทางฝั่งขวา ห้องแรกจะเป็น ห้องเอนกประสงค์ (Pavilion Rooms) ที่รองรับการจัดสัมมนาต่างๆ ถัดมาจะเป็น ห้องล็อกเกอร์ (Locker rooms) ที่มีพื้นที่และห้องอาบน้ำอันกว้างขวาง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการอย่างครบครัน โดยแบ่งสัดส่วนเป็นห้องอาบน้ำ จำนวน 24 ห้องแยกให้บริการชาย – หญิง   มีอ่างจากุซซี่ (Jacuzzi) ให้บริการจำนวน 7 ห้อง, ตู้ล็อกเกอร์ VIP จำนวน 265 ล็อกเกอร์ ที่ออกแบบให้มีลักษณะทรงยาวเป็นพิเศษ นอกจากนี้บริเวณห้องล็อกเกอร์หญิงยังมีบริการห้องแต่งตัวพิเศษไว้รองรับอีกด้วย ต่อมาเป็น ร้านค้าขายสินค้า (Pro Shop) ที่นอกจากมีสินค้าแบรนด์ดัง อาทิ Nike Titleist FootJoy เป็นต้น ให้เลือกหลากหลายแล้ว ยังมีสินค้าโลโก้สนามที่ออกแบบมาพิเศษสำหรับเป็นของที่ระลึกจากทางสนามให้เหล่าบรรดานักกอล์ฟได้เลือกซื้ออีกด้วย ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ถัดจากตัวอาคารของคลับเฮ้าส์มาอีกนิดก็จะเจอกับ สปอร์ต คลับ (Sports Clubs)  ที่สร้างขึ้นเพื่อเอาใจคนรักสุขภาพทั้งลูกบ้านและลูกค้า ด้วยสระว่ายน้ำและห้องฟิตเนสสระดับพรีเมียมครบวงจร พร้อมเครื่องออกกำลังกายที่ครบครัน ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญจาก Fit-D Fitness ที่คอยให้บริการเทรนเนอร์ส่วนตัวแบบมืออาชีพ รวมถึงห้องคลาสออกกำลังกายที่ออกแบบให้เป็นกระจก มีกิจกรรมมากมายที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ทั้ง โยคะ, แอโรบิค, แอโร บ็อกซิ่ง, ซุมบ้า นอกจากได้สุขภาพทางกายแล้วยังได้ความสุนทรีย์ทางจิตใจกับทัศนียภาพอันสวยงามของวิวสนามกอล์ฟอีกด้วย  ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ เปิดให้บริการทุกวันจันทร์ – วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 6.00 - 17.30 น. ห้องอาหารปิดเวลา 21.00 น. ส่วนวันเสาร์ –  วันอาทิตย์ และวันหยุดนขัตฤกษ์ เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 5.30 - 17.30 น. ห้องอาหารปิดเวลา 21.00 น โดยอัตราค่าบริการ กรีนฟี (Green Fee) วันจันทร์ – วันศุกร์ ราคา 1,600 บาท, วันเสาร์ – วันอาทิตย์ และวันหยุดนขัตฤกษ์ ก่อนเวลา 12.00 น. ราคา 2,200 บาท และหลังเวลา 12.00 น. ราคา 1,700 บาท อัตราค่าบริการแคดดี้ (Caddy) ราคา 350 บาท, อัตราค่าบริการรถกอล์ฟ ราคา 700 บาท (นั่งเดี่ยว) พิเศษ!! สำหรับวันจันทร์ – วันศุกร์ Early bird ช่วงเวลา 6.00 - 7.00 น. กรีนฟี 1,000 บาท, Morning smile ช่วงเวลา 7.00 - 9.00 น. กรีนฟี 1,200 บาท, Golf package 2,350 บาท ติดต่อสอบถามหรือจองสนามได้ที่ โทร.0-2598-2839, 0-2598-2699   สำหรับ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ บริษัทฯ  มุ่งหวังให้สนามกอล์ฟแห่งนี้เป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิตในด้านสันทนาการที่มีความครบครัน ตลอดจนตอบโจทย์ลูกค้าที่มาใช้บริการ รวมถึงให้เป็นสถานที่ที่ทุกคนสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน อาทิ ออกรอบตีกอล์ฟ เล่นกีฬา ออกกำลังกาย หรือพักผ่อน และรับประทานอาหารภายใต้บรรยากาศสบายๆ ที่แวดล้อมด้วยวิวของสนามกอล์ฟที่สวยงาม สร้างให้พื้นที่ตรงนี้ เป็นพื้นที่แห่งความสุขที่เราได้อยู่ร่วมกัน      
ออลล์ อินสไปร์ กางแผนธุรกิจปี 62 ประกาศเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ

ออลล์ อินสไปร์ กางแผนธุรกิจปี 62 ประกาศเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ

แกรนด์ ยูนิตี้ กางแผนธุรกิจปี 2562 เร่งตอกย้ำความสำเร็จแนวคิด “Simply Makes Sense. : ใช้ชีวิต…บนเหตุผลของคุณ” ชูการออกแบบและเลือกสรรวัสดุสำหรับการอยู่อาศัยบนพื้นฐานการใช้งานจริง พร้อมทำเลศักยภาพ ผ่านหลากหลายแบรนด์ใหม่หลังปรับกลยุทธ์นี้ตั้งแต่ปี 2561 พบผู้บริโภคเข้าใจสิ่งที่นำเสนอหนุนแบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น พร้อมเดินหน้าเปิดตัว 6 โครงการใหม่ หลากหลายเซกเมนต์ ตลอดทั้งปี มูลค่ารวมกว่า 9,600 ล้านบาท นายวรวรรต ศรีสอ้าน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คอนโดมิเนียมคุณภาพ ในเครือบริษัทยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV เปิดเผยว่า ในปี 2562 นี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าธุรกิจโดยเน้นต่อยอดความสำเร็จของแนวคิด Simply Makes Sense. : ใช้ชีวิต…บนเหตุผลของคุณ ซึ่งเปิดตัวในปีที่ผ่านมาแล้วได้ผลสำเร็จ เป็นอย่างดี โดยจากการสำรวจผลตอบรับหลังออกแนวคิดไป ผู้บริโภคที่ตอบแบบสำรวจรับรู้ในแบรนด์ของแกรนด์ ยูนิตี้เพิ่มขึ้น และยังรับรู้สิ่งที่ต้องการสื่อภายใต้แนวคิด เช่น การออกแบบที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตให้เป็นคอนโดที่ ผู้อยู่อาศัยใช้ชีวิตได้สะดวกสบายตามเหตุผลของตัวเอง สำหรับปีนี้ บริษัทฯ จะยังคงนำเสนอแนวคิดดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง พร้อมเพิ่มความมั่นใจถึงคุณภาพ และการตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างแท้จริง ชูจุดเด่นด้านทำเล การออกแบบ รวมถึงการเลือกใช้วัสดุที่ให้ความสำคัญกับการมอบอุปกรณ์มาตรฐานที่มีคุณภาพในทุก ๆ โครงการดังเช่นที่ผ่านมา   เพื่อแสดงถึงความใส่ใจในการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น การติดตั้ง Tempered Glass หรือกระจกนิรภัยทั้งโครงการเพื่อมอบความรู้สึกปลอดภัยให้ผู้อยู่อาศัย และการติดตั้ง W/C Pod หรือ ห้องน้ำสำเร็จรูป เพื่อการดูแล และซ่อมแซมได้ง่าย ตลอดจนการให้พื้นที่สีเขียวในทุก ๆ โครงการ เพื่อการใช้ชีวิตในเมืองร่วมกับธรรมชาติได้อย่าง มีคุณภาพสูงสุด “ปีที่ผ่านมา แกรนด์ ยูนิตี้ ได้ปรับกลยุทธ์ พัฒนาเอกลักษณ์แบรนด์ให้ชัดเจนขึ้น ผ่านแนวคิด Simply Makes Sense. : ใช้ชีวิต…บนเหตุผลของคุณ และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีด้านการรับรู้ ปีนี้บริษัทฯ จึงเดินหน้าแนวคิดนี้ต่อ ตอกย้ำให้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการเป็นคอนโดมิเนียมที่สะดวกสบาย ผู้อยู่อาศัยใช้ชีวิตเป็นตัวของตัวเองได้ตามไลฟ์สไตล์ที่มีในพื้นที่ส่วนตัวใจบนทำเลศักยภาพของกรุงเทพฯ ที่เราเลือกสรรแล้ว”   ทั้งนี้ นายวรวรรต กล่าวเพิ่มเติมว่า แกรนด์ ยูนิตี้ ให้ความสำคัญกับการเพิ่มความแข็งแกร่งของธุรกิจ ในภาพรวม เพื่อการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน (Towards Sustainable Growth) จึงเดินหน้าธุรกิจให้เป็นไปตามกลยุทธ์ 3 ปีให้มีความชัดเจนขึ้น ตามทิศทางของบริษัทแม่อย่าง บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV ใน 5 ด้าน ไม่ว่าจะเป็น Optimization, Diversification, Supply Chain, Synergy, Opportunistic Investment ซึ่งมั่นใจว่าจะสร้างการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านผลการดำเนินการ รวมถึงการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างแน่นอน ในขณะที่ นายปัฐวิน วงศ์เสถียร ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาดและการขาย บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY เปิดเผยว่า นอกจากการสร้างแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง แกรนด์ ยูนิตี้ ยังคงเดินหน้าในการเปิดตัวโครงการคุณภาพใหม่ ๆ เช่นกัน   โดยในปี2562 มีแผนเปิดโครงการใหม่ จำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 9,600 ล้านบาท ซึ่งโครงการไฮไลท์ของปี ได้แก่ อนิล สาทร 12 (ANIL Sathorn 12) โครงการคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury โครงการแรกจากแกรนด์ ยูนิตี้ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านสาทร ติดสถานี BTS สายสีเขียว สถานีศึกษาวิทยา เป็นอาคาร 42 ชั้น จำนวน 222 ยูนิต มาพร้อมการออกแบบ และการเลือกใช้วัสดุระดับพรีเมี่ยมในทุกๆ รายละเอียด และเป็นโครงการที่พักอาศัย แห่งแรกของไทยที่มีการยื่นขอ WELL Multifamily Precertification ตามมาตรฐาน WELL Building Standard จาก IWBI หรือ International WELL Building Institute ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมาตรฐานที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พักอาศัยให้ได้อยู่ในสิ่ง แวดล้อมภายในอาคารที่ดีต่อสุขภาพในระดับเดียวกับอาคารที่พักอาศัยชั้นนำระดับโลก ถือได้ว่าเป็นการกำหนดนิยามใหม่ของที่พักอาศัยในระดับบน แบบที่เรากล้าเรียกว่า Luxury Redefined “นอกจากนี้ เรายังได้สานต่อความสำเร็จภายใต้แบรนด์ “เซียล่า” (CIELA) ที่ได้รับการตอบรับที่ดีในปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเปิดตัวพร้อมกัน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ เซียล่า จรัญฯ 13 สเตชั่น (CIELA Charan 13 Station) คอนโดมิเนียมไฮไรส์ จำนวน 1 อาคาร 20 ชั้น 360 ยูนิต ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพบนถนนจรัญสนิทวงศ์ ติดสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสถานีจรัญฯ 13 แบบ “0 เมตร” ในขณะที่ เซียล่า เจริญนคร (CIELA Charoen Nakhon) จะเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน105 ยูนิต ตั้งอยู่บนถนนสมเด็จเจ้าพระยา ใกล้รถไฟฟ้าสายสีทอง ที่สามารถเชื่อมต่อกับทั้งสายสีเขียว และสายสีม่วงในอนาคต ตัวโครงการตั้งอยู่ในย่านแหล่งชุมชนเก่าที่มีเสน่ห์ มีความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะด้านอาหารการกิน อีกทั้งยังใกล้กับแลนด์มาร์คของฝั่งธน อย่าง ไอคอน สยาม ซึ่งเซียล่าทั้ง 2 โครงการใหม่จะมาพร้อมการออกแบบพื้นที่ภายในโครงการเพื่อการอยู่อาศัยที่สะดวกสบาย และครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก   อีกโครงการที่มีมูลค่าสูงที่สุดจากแกรนด์ ยูนิตี้ ในปีนี้ ได้แก่ เดนิม จตุจักร (DENIM Jatujak) คอนโดมิเนียมรูปแบบไฮไรส์ จำนวน 4 อาคารรวม 1,813 ยูนิต ตั้งอยู่ซอยพหลโยธิน 18/3 สะดวกสบายในการเดินทาง ด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้ทั้ง BTS สายสีเขียว เเละ MRT สายสีน้ำเงิน อีกทั้งยังรายล้อมไปด้วยแหล่ง ช้อปปิ้ง, ร้านอาหาร, คาเฟ่ และบริษัทชั้นนำต่าง ๆ นับว่าเป็นทำเลที่เติมเต็มให้ชีวิตมีความสมบูรณ์แบบในการ พักอาศัย และใช้ชีวิตสำหรับคนรุ่นใหม่ และอีกหนึ่งโครงการ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพย่านอารีย์ - พระราม 6 ได้แก่ โครงการ คาร่า อารีย์ - พระราม 6 (KARA Ari - Rama 6) คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี แบบโลว์ไรซ์ 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร เพียง 28 ยูนิต ใกล้ทางด่วนพิเศษศรีรัช ที่ทำให้สะดวกสบายในทุกการเดินทาง มาพร้อมยูนิตใหญ่ และที่จอดรถ 100% ปิดท้ายด้วยโครงการพิเศษ เดอะ ไพรเวท เรสซิเด้นซ์ ราชดำริ (The Private Residence Rajdamri) คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี แบบโลว์ไรส์ จำนวน 8 ชั้น 29 ยูนิต ที่ตั้งอยู่บนทำเลใจกลางเมืองอย่างถนนสารสิน ห่างจาก BTS สถานีราชดำริ 500 เมตร ที่สำคัญคือเป็นที่ Free Hold ที่หายากมาก ๆ แล้วในทำเลย่านนี้ โดยเป็น ยูนิตขนาดใหญ่ มาพร้อมบรรยากาศเงียบสงบ เพียงข้ามถนนสารสินก็สามารถไปพักผ่อนที่สวนลุมพินี และอยู่กลาง CBD ที่ล้อมรอบด้วยอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และเมกะโปรเจ็คสำคัญๆ ของกรุงเทพฯ” นายปัฐวิน กล่าวในตอนท้าย    
“แกรนด์ ยูนิตี้” เผยแผนปี’62 ย้ำต่อเนื่องแนวคิด “Simply Makes  Sense.”

“แกรนด์ ยูนิตี้” เผยแผนปี’62 ย้ำต่อเนื่องแนวคิด “Simply Makes Sense.”

แกรนด์ ยูนิตี้ กางแผนธุรกิจปี 2562 เร่งตอกย้ำความสำเร็จแนวคิด “Simply Makes Sense. : ใช้ชีวิต…บนเหตุผลของคุณ” ชูการออกแบบและเลือกสรรวัสดุสำหรับการอยู่อาศัยบนพื้นฐานการใช้งานจริง พร้อมทำเลศักยภาพ ผ่านหลากหลายแบรนด์ใหม่ หลังปรับกลยุทธ์นี้ตั้งแต่ปี 2561 พบผู้บริโภคเข้าใจสิ่งที่นำเสนอหนุนแบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น พร้อมเดินหน้าเปิดตัว 6 โครงการใหม่ หลากหลายเซกเมนต์ ตลอดทั้งปี มูลค่ารวมกว่า 9,600 ล้านบาท   นายวรวรรต ศรีสอ้าน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คอนโดมิเนียมคุณภาพ ในเครือบริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV เปิดเผยว่า ในปี 2562 นี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าธุรกิจโดยเน้นต่อยอดความสำเร็จของแนวคิด Simply Makes Sense. : ใช้ชีวิต…บนเหตุผลของคุณ ซึ่งเปิดตัวในปีที่ผ่านมาแล้วได้ผลสำเร็จ เป็นอย่างดี โดยจากการสำรวจผลตอบรับหลังออกแนวคิดไป ผู้บริโภคที่ตอบแบบสำรวจรับรู้ในแบรนด์ของแกรนด์ ยูนิตี้เพิ่มขึ้น และยังรับรู้สิ่งที่ต้องการสื่อภายใต้แนวคิด เช่น การออกแบบที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตให้เป็นคอนโดที่ผู้อยู่อาศัยใช้ชีวิตได้สะดวกสบายตามเหตุผลของตัวเอง   สำหรับปีนี้ บริษัทฯ จะยังคงนำเสนอแนวคิดดังกล่าวอย่างต่อเนื่องพร้อมเพิ่มความมั่นใจถึงคุณภาพ และการตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างแท้จริง ชูจุดเด่นด้านทำเลการออกแบบ รวมถึงการเลือกใช้วัสดุที่ให้ความสำคัญกับการมอบอุปกรณ์มาตรฐานที่มีคุณภาพในทุก ๆ โครงการดังเช่นที่ผ่านมาเพื่อแสดงถึงความใส่ใจในการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น การติดตั้ง Tempered Glass หรือกระจกนิรภัยทั้งโครงการเพื่อมอบความรู้สึกปลอดภัยให้ผู้อยู่อาศัย และการติดตั้ง W/C Pod หรือ ห้องน้ำสำเร็จรูป เพื่อการดูแล และซ่อมแซมได้ง่าย ตลอดจนการให้พื้นที่สีเขียวในทุก ๆ โครงการ เพื่อการใช้ชีวิตในเมืองร่วมกับธรรมชาติได้อย่าง มีคุณภาพสูงสุด   “ปีที่ผ่านมา แกรนด์ ยูนิตี้ ได้ปรับกลยุทธ์พัฒนาเอกลักษณ์แบรนด์ให้ชัดเจนขึ้น ผ่านแนวคิด Simply Makes Sense. : ใช้ชีวิต…บนเหตุผลของคุณ และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีด้านการรับรู้ ปีนี้บริษัทฯจึงเดินหน้าแนวคิดนี้ต่อ ตอกย้ำให้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการเป็นคอนโดมิเนียมที่สะดวกสบาย ผู้อยู่อาศัยใช้ชีวิตเป็นตัวของตัวเองได้ตามไลฟ์สไตล์ที่มีในพื้นที่ส่วนตัวใจบนทำเลศักยภาพของกรุงเทพฯ ที่เราเลือกสรรแล้ว”   ทั้งนี้ นายวรวรรต กล่าวเพิ่มเติมว่า แกรนด์ ยูนิตี้ ให้ความสำคัญกับการเพิ่มความแข็งแกร่งของธุรกิจ ในภาพรวม เพื่อการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน (Towards Sustainable Growth) จึงเดินหน้าธุรกิจให้เป็นไปตามกลยุทธ์ 3 ปีให้มีความชัดเจนขึ้น ตามทิศทางของบริษัทแม่อย่าง บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV ใน 5 ด้าน ไม่ว่าจะเป็น Optimization, Diversification, Supply Chain, Synergy, Opportunistic Investment ซึ่งมั่นใจว่าจะสร้างการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านผลการดำเนินการรวมถึงการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างแน่นอน   ในขณะที่ นายปัฐวิน วงศ์เสถียร ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาดและการขาย บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY เปิดเผยว่านอกจากการสร้างแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง แกรนด์ ยูนิตี้ ยังคงเดินหน้าในการเปิดตัวโครงการคุณภาพใหม่ ๆ เช่นกัน โดยในปี2562 มีแผนเปิดโครงการใหม่ จำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 9,600 ล้านบาท ซึ่งโครงการไฮไลท์ของปี ได้แก่ อนิล สาทร 12 (ANIL Sathorn 12) โครงการคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury โครงการแรกจากแกรนด์ ยูนิตี้ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านสาทร ติดสถานี BTS สายสีเขียว สถานีศึกษาวิทยา เป็นอาคาร 42 ชั้น จำนวน 222 ยูนิต มาพร้อมการออกแบบ และการเลือกใช้วัสดุระดับพรีเมี่ยมในทุกๆ รายละเอียด และเป็นโครงการที่พักอาศัย แห่งแรกของไทยที่มีการยื่นขอ WELL Multifamily Precertification ตามมาตรฐาน WELL Building Standard จาก IWBI หรือ International WELL Building Institute ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมาตรฐานที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พักอาศัยให้ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมภายในอาคารที่ดีต่อสุขภาพในระดับเดียวกับอาคารที่พักอาศัยชั้นนำระดับโลก ถือได้ว่าเป็นการกำหนดนิยามใหม่ของที่พักอาศัยในระดับบนแบบที่เรากล้าเรียกว่า Luxury Redefined   “นอกจากนี้ เรายังได้สานต่อความสำเร็จภายใต้แบรนด์ “เซียล่า” (CIELA) ที่ได้รับการตอบรับที่ดีในปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเปิดตัวพร้อมกัน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ เซียล่า จรัญฯ 13 สเตชั่น (CIELA Charan 13 Station) คอนโดมิเนียมไฮไรส์ จำนวน 1 อาคาร 20 ชั้น 360 ยูนิต ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพบนถนนจรัญสนิทวงศ์ ติดสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีจรัญฯ 13 แบบ “0 เมตร” ในขณะที่ เซียล่า เจริญนคร (CIELA Charoen Nakhon) จะเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน105 ยูนิต ตั้งอยู่บนถนนสมเด็จเจ้าพระยา ใกล้รถไฟฟ้าสายสีทอง ที่สามารถเชื่อมต่อกับทั้งสายสีเขียว และสายสีม่วงในอนาคต ตัวโครงการตั้งอยู่ในย่านแหล่งชุมชนเก่าที่มีเสน่ห์ มีความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะด้านอาหารการกินอีกทั้งยังใกล้กับแลนด์มาร์คของฝั่งธน อย่าง ไอคอน สยาม ซึ่งเซียล่าทั้ง 2 โครงการใหม่จะมาพร้อมการออกแบบพื้นที่ภายในโครงการเพื่อการอยู่อาศัยที่ สะดวกสบาย และครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก   อีกโครงการที่มีมูลค่าสูงที่สุดจากแกรนด์ ยูนิตี้ ในปีนี้ ได้แก่ เดนิม จตุจักร (DENIM Jatujak) คอนโดมิเนียมรูปแบบไฮไรส์ จำนวน 4 อาคาร รวม 1,813 ยูนิต ตั้งอยู่ซอยพหลโยธิน 18/3 สะดวกสบายในการเดินทาง ด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้ทั้ง BTS สายสีเขียว เเละ MRT สายสีน้ำเงิน อีกทั้งยังรายล้อมไปด้วยแหล่ง ช้อปปิ้ง, ร้านอาหาร, คาเฟ่ และบริษัทชั้นนำต่างๆ นับว่าเป็นทำเลที่เติมเต็มให้ชีวิตมีความสมบูรณ์แบบในการ พักอาศัย และใช้ชีวิตสำหรับคนรุ่นใหม่   และอีกหนึ่งโครงการ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพย่านอารีย์ - พระราม 6 ได้แก่ โครงการ คาร่า อารีย์ - พระราม 6 (KARA Ari - Rama 6) คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี แบบโลว์ไรซ์ 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร เพียง 28 ยูนิต ใกล้ทางด่วนพิเศษศรีรัช ที่ทำให้สะดวกสบายในทุกการเดินทางมาพร้อมยูนิตใหญ่ และที่จอดรถ 100%   ปิดท้ายด้วยโครงการพิเศษ เดอะ ไพรเวท เรสซิเด้นซ์ ราชดำริ (The Private Residence Rajdamri) คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี แบบโลว์ไรส์ จำนวน 8 ชั้น 29 ยูนิต ที่ตั้งอยู่บนทำเลใจกลางเมืองอย่างถนนสารสิน ห่างจาก BTS สถานีราชดำริ 500 เมตร ที่สำคัญคือเป็นที่ Free Hold ที่หายากมาก ๆ แล้วในทำเลย่านนี้ โดยเป็น ยูนิตขนาดใหญ่ มาพร้อมบรรยากาศเงียบสงบ เพียงข้ามถนนสารสินก็สามารถไปพักผ่อนที่สวนลุมพินี และอยู่กลาง CBD ที่ล้อมรอบด้วยอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และเมกะโปรเจ็คสำคัญๆ ของกรุงเทพฯ” นายปัฐวิน กล่าวในตอนท้าย    
V Property “ปลดล็อก 3 ทำเลใจกลางเมือง” เอาใจ Exclusive Lifestyle ใจกลางสุขุมวิท

V Property “ปลดล็อก 3 ทำเลใจกลางเมือง” เอาใจ Exclusive Lifestyle ใจกลางสุขุมวิท

V Property Development - ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าใจกลางเมือง และพร้อมตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนเมืองโดยเฉพาะ ล่าสุด ผู้บริหาร คุณพรชัย เลิศอนันตโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บ. วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ ส่งแคมเปญ “ปลดล็อก 3 ทำเลใจกลางเมือง” มาเอาใจผู้ที่กำลังมองหาคอนโดทำเลใจกลางสุขุมวิทโดยเฉพาะ กับคอนโด 3 โครงการใหม่แนวรถไฟฟ้าฟ้า 3 สถานี ได้แก่ทองหล่อ - พระโขนง - อ่อนนุช ราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 - 6.49 ล้านบาท พร้อมส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท     ซึ่งทำเลทองหล่อได้ถูก”ปลดล็อก-กู้100%*” ด้วยโครงการ V TARA สุขุมวิท 36 คอนโดใหม่ แต่งครบพร้อมอยู่ ใกล้ BTS ทองหล่อ โอนก่อนมาตรการรัฐ กู้ได้100%* ฟรีทุกค่าใช้จ่าย ณ วันโอน* 2 ห้องนอน เริ่ม 5.89 ล้านบาท   ทำเลติดรถไฟฟ้าสถานีพระโขนงเองก็ “ปลดล็อก-ราคาเดียว*” ห้องชั้นสูงวิวสวย ราคาพิเศษกับโครงการ VERTIER สุขุมวิท คอนโดใหม่มีความเป็นส่วนตัวสูงด้วยจำนวนเพียง 10 ยูนิตต่อชั้น พร้อมมอบ Exclusive Lifestyle ใกล้เอกมัย-ทองหล่อ ปลดล็อกยูนิตชั้นพิเศษ วิวเมืองชั้นสูง ราคาเดียว* 6.49 ล้านบาท   และสุดท้ายอ่อนนุช ทำเลสุดฮิตที่ได้ถูก “ปลดล็อก-เฟสใหม่” ด้วยคอนโดสุดชิคกับโครงการ  IKON สุขุมวิท77 คอนโดใหม่ แต่งครบ ติดห้าง ส่วนกลาง 24 ช.ม. ใกล้บีทีเอส อ่อนนุช ปลดล็อกเฟสใหม่ผ่อน 2,999 บาท/เดือน* เริ่ม 1.89 ล้านบาท   พร้อมพบกับสิทธิพิเศษมากมายที่จะมาทำให้อะดรีนาลีนพลุ่งพล่านจนกระเป๋าตังค์คุณสั่น ห้ามพลาดตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 มีนาคมนี้ เท่านั้น แล้วพบกันที่ Sales Gallery ทั้ง 3 โครงการ สอบถามเพิ่มเติมโทร. 1298   ใกล้ BTS ทองหล่อ    V TARA สุขุมวิท คอนโดแต่งครบพร้อมอยู่ โอนก่อนมาตรการรัฐ กู้ได้100%* ฟรีทุกค่าใช้จ่าย ณ วันโอน* 2 ห้องนอน เริ่ม 5.89 ล้านบาท วันนี้-31 มี.ค. เท่านั้น พบกันที่ Sales Gallery สอบถามเพิ่มเติมโทร. 1298 คลิกชมรายละเอียดโครงการเพิ่มได้ที่  http://bit.ly/2Jdajka     ติด BTS พระโขนง VERTIER สุขุมวิท คอนโดใหม่ทำเลใกล้เอกมัย-ทองหล่อ ปลดล็อกยูนิตชั้นพิเศษ วิวเมืองชั้นสูงราคาเดียว* 6.49 ล้านบาท วันนี้-31 มี.ค. เท่านั้น พบกันที่ Sales Gallery สอบถามเพิ่มเติมโทร. 1298 คลิกชมรายละเอียดโครงการเพิ่มได้ที่  http://bit.ly/2Jjv6Cu   ใกล้ BTS อ่อนนุช IKON สุขุมวิท77 คอนโดใหม่ แต่งครบ...สุด Chic!! ใกล้ บีทีเอส อ่อนนุช ปลดล็อกเฟสใหม่ติดห้าง  ผ่อน 2,999 บาท/เดือน* เริ่ม 1.89 ล้านบาท วันนี้-31 มี.ค. เท่านั้น พบกันที่ Sales Gallery สอบถามเพิ่มเติมโทร. 1298 คลิกชมรายละเอียดโครงการเพิ่มได้ที่ http://bit.ly/2JnRefp    
นับถอยหลังเปิดตัว “ครอสโร้ดส์” เกาะสวรรค์กลางทะเลมัลดีฟส์ กลางปี 2562

นับถอยหลังเปิดตัว “ครอสโร้ดส์” เกาะสวรรค์กลางทะเลมัลดีฟส์ กลางปี 2562

สิงห์ เอสเตท นับถอยหลังเตรียมตัวเปิดเฟสแรกของโครงการ “ครอสโร้ดส์” จุดหมายปลายทางสำหรับการพักผ่อนและสันทนาการครบวงจรแห่งแรกในมัลดีฟส์กลางปี 2562 ณ เอ็มบูดู ลากูน เตรียมพบกับการเปิดตัวโรงแรมชั้นนำถึง 2 แห่ง ได้แก่ ซาย ลากูน มัลดีฟส์ คูริโอ คอลเล็กชั่น บาย ฮิลตัน (SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton) และโรงแรมฮาร์ด ร็อค โฮเทล มัลดีฟส์ (Hard Rock Hotel Maldives) รวมทั้งพื้นที่สำหรับความบันเทิงและร้านค้าปลีกขนาด 11,000 ตารางเมตร ภายใต้ชื่อ “เดอะ มารีน่า แอท ครอสโรดส์” (The Marina @ CROSSROADS) ชูทัพร้านค้าปลีกและร้านอาหารที่มีสไตล์ รวมทั้งร้านที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างฮาร์ด ร็อค คาเฟ่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มครอบครัว เพื่อนฝูง นักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์หรือนักธุรกิจ ก็สามารถค้นพบประสบการณ์การท่องเที่ยวมัลดีฟส์รูปแบบใหม่ได้ที่ครอสโร้ดส์ สำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว ครอสโร้ดส์พร้อมนำเสนอกิจกรรมและสิ่งที่น่าสนใจหลากหลายรูปแบบ เอาใจสมาชิกทุกคนในครอบครัว อาทิ Maldives Discovery Centre ศูนย์เรียนรู้เชิงวัฒนธรรมที่มีดีไซน์สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ ภายในจัดมีการแสดงวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น และโซนให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการอนุรักษ์ทางทะเล พร้อมตื่นตาตื่นใจไปกับโซนจัดแสดงเส้นทางเดินปะการังแบบเสมือนจริง และโซนเล่นเกมให้ความรู้ทางทะเลแบบอินเตอร์แอคทีฟสำหรับเด็ก นอกจากนั้นสำหรับผู้ที่สนใจการอนุรักษ์ปะการังและสิ่งมีชีวิตทางทะเล ครอสโร้ดส์ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์อนุรักษ์สิ่งมีชีวิตในทะเล Marine Discovery Centre ซึ่งภายในมีห้องทดลองชีววิทยาทางทะเล และกิจกรรมทางน้ำเชิงอนุรักษ์ต่างๆ อาทิ การดำน้ำลึก การดำน้ำผิวน้ำ (สนอร์เกิลลิ่ง) การปลูกปะการัง การปล่อยปลาการ์ตูน และการอนุบาลปะการังในทะเล ยิ่งไปกว่านั้น การเปิดตัวโครงการในกลางปีนี้ จะมีการเปิดศูนย์ประชุม CROSSROADS Event Hall ซึ่งสามารถรองรับผู้เข้าร่วมประชุมได้ถึง 460 คน ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการประชุมระดับเวิร์ลคลาส รวมทั้งบริการจัดเลี้ยง เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเพื่อธุรกิจอีกด้วย อีกไม่นานเกินรอ ครอสโร้ดส์จะเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวมัลดีฟส์ในรูปแบบใหม่ให้แก่ผู้มาเยือน พร้อมรับบทบาทสำคัญในการสร้างนิยามใหม่ของประสบการณ์การท่องเที่ยวในมัลดีฟส์      
โอกาสพิเศษสุด “The Legend by Boathouse Hua Hin” จัดโปรฯ 2 ห้องนอน เริ่ม 5.29 ล้าน

โอกาสพิเศษสุด “The Legend by Boathouse Hua Hin” จัดโปรฯ 2 ห้องนอน เริ่ม 5.29 ล้าน

ซัมเมอร์นี้ เข้าสู่ฤดูกาลขายคอนโดมิเนียมตากอากาศเจ้าใหญ่โครงการติดทะเล อาคารชุด  The Legend by Boathouse Hua Hin (อาคารชุด เดอะ เลจเจ้นท์ บาย โบ๊ทเฮ้าส์หัวหิน) เตรียมปล่อยโปรโมชั่นรับหน้าร้อน “สองห้องนอน” และ “บ้านแฝดติดสระ เฟสใหม่” ในราคาที่เอื้อมถึง เอาใจลูกค้ายุคใหม่ที่ต้อง Smart Investment มากขึ้น เผยไฮไลท์ห้องตัวอย่าง ใหม่สไตล์ Natural Fulfill เอาไว้ในงานอินทีเรีย และโปรโมชั่นลดสะใจ ห้องชุดขนาดสองห้องนอน เริ่มต้น 5.29 ล้านบาท และ บ้านแฝดติดสระ 45 ตรว.เพียง 6.89 ล้านบาท เฉพาะช่วงไฮซีซั่นนี้เท่านั้น   คุณประไพสิทธิ์ ตัณฑ์เกยูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท โบ๊ทเฮ้าส์หัวหิน จำกัด เปิดเผยว่า The Legend  เป็นอาคารชุดตึกที่ 4 ตามแผนพัฒนาภายในโครงการขนาดใหญ่ของ Boathouse Hua Hin พิกัด อยู่ตรงช่วงโค้งก่อนเข้าอุโมงค์ลอดใต้รันเวย์สนามบินหัวหิน และมีถนนแยกลงมาที่โครงการอีกที ทำเลตรงนี้สุดเขตชะอำ เริ่มต้นหัวหิน มีเนื้อที่ประมาณ 80 ไร่ ประกอบไปด้วย บ้านเดี่ยว, บ้านแฝด, ทาวน์โฮม และ คอนโดมิเนียม มีจุดเด่นตรง ติดหาดที่ไม่มีถนนเลียบหาดจึงเหมือนมีชายหาดส่วนตัว ไปโดยปริยาย สร้างเสร็จไปแล้ว 4 ตึก ปัจจุบันอยู่ในช่วง Resale โดยตัวอาคารหลังใหม่  “เดอะเลจเจ้นท์” จุดเด่นเป็น Private Beach วิวทะเลเต็มตาจากห้องนอนพร้อมจุดขาย ให้มากกว่า อยู่แล้วคุ้มค่า น่าลงทุน จากปัจจัย   1.  Single Loaded Corridor   พื้นที่ทางเดินโล่ง โปร่งกว้าง 2. สระว่ายน้ำรายล้อมทั้งโครงการฯ 3.พื้นที่ส่วนกลางสาธารณูปโภค, สระว่ายน้ำ และสวนเขียวขจี 50% ของพื้นที่โครงการ   ล่าสุดทางโครงการฯ ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษรับซัมเมอร์ โปรโมชั่นลดสะใจ ห้องชุดขนาดสองห้องนอน เริ่มต้น 5.29 และ บ้านแฝดติดสระ 45 ตรว.เพียง 6.89 ล้านบาท นับว่า คุ้มค่า น่าลงทุน เพราะปัจจุบันจะหาคอนโดตากอากาศขนาดใหญ่ วิวทะเล ระบบบริหารจัดการส่วนกลางได้มาตรฐาน ค่อนข้างน้อย และที่ผ่านมาปัจจัยทางเศรษฐกิจส่งผลให้ราคาไม่ปรับตัวสูงมากนัก แต่ในระยะยาวคอนโดฯ วิวทะเล มีหน้าหาดส่วนตัว มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นแน่นอน ทั้งนี้ปัจจุบันราคาขายเฉลี่ยของโครงการฯ อยู่ที่ 90,000 บาท (เทียบกับราคาตลาดหรือคอนโดมีเนียมเกิดใหม่อยู่ที่ 110,000 บาท ถือได้ว่าถูกกว่า 20 เปอร์เซนต์)   สำหรับ The Legend by Boathouse Hua Hin (เดอะ เลจเจ้นท์ บาย โบ๊ทเฮ้าส์หัวหิน) มีจำนวนห้องชุด 159 ยูนิต และมีที่จอดรถ 83 คัน  แบ่งเป็นห้องชุดขนาด 1 ห้องนอน 46 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน เริ่มต้น 49-102 ตารางเมตร, 3 ห้องนอน เริ่มต้น 120-131 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 3.29 ล้านบาท (สำหรับ 1 นอน) จุดขายเป็นโครงการขนาดใหญ่   สาธารณูปโภคครบครัน สร้างเสร็จแล้ว และสัมผัสได้จริง จัดเต็มพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้านเป็นสวนสวย สระว่ายน้ำบริการสาธารณะถึง  50  เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ดินทั้งหมด   สระว่ายน้ำให้เลือกทั้งแบบอินฟินีตี้พูล และ Mega Swimming Free-Form Pool  ขนาด 15,000 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าที่ทุ่มลงไปกว่า 500 ล้านบาท ปัจจุบันครองแชมป์คอนโดฯ ตากอากาศของหัวหินที่ให้ส่วนกลางเยอะมากที่สุดเมื่อเทียบกับจำนวนยูนิต   สนใจโครงการฯ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 032-442570-2 หรือ 086 366 3371-2 หรือ http://www.boathouse-huahin.com/the_legend/