Tag : News

2376 ผลลัพธ์
ผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยภาคใต้ และภาคตะวันตก ครึ่งหลังปี 2561

ผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยภาคใต้ และภาคตะวันตก ครึ่งหลังปี 2561

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้จัดทำรายงานสรุปผลการสำรวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2561 ภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต ภาคตะวันตก ได้แก่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดเพชรบุรี โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 ยูนิต   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่า โครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดภูเก็ต มีจำนวน 210 โครงการ มียูนิตในผังของทุกโครงการรวมกัน 30,416 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 176,366 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 7,698 ยูนิต (25.3 % ของยูนิตในผังโครงการทั้งหมด) คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 41,925 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 84 โครงการ มีจำนวนยูนิต 12,682 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 56,417 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 3,513 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 15,096 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 87 โครงการ มีจำนวนหน่วย 17,025 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 85,239 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 4,029 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 20,608 ล้านบาท และมีโครงการวิลล่าจำนวน 39 โครงการ มียูนิตในผังจำนวน 709 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 34,710 ล้านบาท หน่วยเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 156 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 6,220 ล้านบาท   ทั้งนี้ หน่วยเหลือขายโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด จำนวน 7,542 หน่วย เป็นอาคารชุดมากที่สุด 53.4% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3–5  ล้านบาท รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์ ร้อยละ 21.5 ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 2-3 ล้านบาท เป็นบ้านแฝด 12.7% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3–5 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 10.7% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 5–7.5 ล้านบาท ที่เหลือเป็นอาคารพาณิชย์และที่ดินเปล่า ตามลำดับ   ทำเลบ้านจัดสรรในจังหวัดภูเก็ตที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อหน่วยทั้งหมดในโครงการได้แก่ 1)ทำเลฉลอง-วิชิต ขายได้ 89.3% มูลค่าขายได้ 10,865 ล้านบาท 2)ทำเลหาดบางเทา-หาดสุรินทร์ ขายได้ 89.3%  มูลค่าที่ขายได้ 1,681 ล้านบาท 3)ทำเลตลาดใหญ่-ตลาดเหนือ ขายได้ 80.2%  มูลค่าที่ขายได้ 481 ล้านบาท 4)ทำเลในเมืองกะทู้ ขายได้ 78.1% มูลค่าที่ขายได้ 3,415 ล้านบาท 5)ทำเลหาดกะรน-หาดกะตะ ขายได้ 75.0% มูลค่าที่ขายได้ 160 ล้านบาท   ส่วนทำเลคอนโดมิเนียมในจังหวัดภูเก็ตที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อยูนิตทั้งหมดในโครงการ ได้แก่ 1)ทำเลตลาดใหญ่-ตลาดเหนือ ขายได้ 96.1% มูลค่าที่ขายได้ 3,674 ล้านบาท 2)ทำเลหาดป่าตอง ขายได้ 85.1% มูลค่าที่ขายได้ 4,548 ล้านบาท 3)ทำเลหาดในยาง-หาดไม้ขาว ขายได้ 84.1% มูลค่าที่ขายได้ 6,268 ล้านบาท 4) ทำเลหาดราไวย์ ขายได้ 81.7% มูลค่าที่ขายได้ 9,117 ล้านบาท 5)ทำเลหาดกะรน-หาดกะตะ ขายได้ 80.7% มูลค่าที่ขายได้ 10,908 ล้านบาท   โครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีจำนวน 108 โครงการ มีหน่วยในผังของทุกโครงการรวมกัน8,555 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 43,458 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 2,266 หน่วย (26.5% ของยูนิตในผังโครงการทั้งหมด) คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 12,096 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 83 โครงการ มีจำนวนยูนิต 4,345 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 18,470 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 1,724 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 7,591 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนยีมจำนวน 17 โครงการ มีจำนวนยูนิต  4,021 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 18,808 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 485 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 2,657 ล้านบาท และมีโครงการวิลล่าจำนวน 8 โครงการ มียูนิตในผังจำนวน 189 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 6,180 ล้านบาท ยูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 57 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 1,848 ล้านบาท   ทั้งนี้ยูนิตเหลือขายโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุดจำนวน 2,209 ยูนิต เป็นบ้านเดี่ยวมากที่สุด 50.9% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 2–3 ล้านบาท รองลงมาเป็นอาคารชุด 22.0% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา  2–3 ล้านบาท เป็นบ้านแฝด 11.8% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 2–3 ล้านบาท เป็นทาวน์เฮ้าส์ 10.0% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 1–1.5 ล้านบาท ที่เหลือเป็นที่ดินเปล่าและอาคารพาณิชย์ ตามลำดับ   ทำเลบ้านจัดสรรในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ขายดี โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อหน่วยทั้งหมดในโครงการ ทำเลเขาตะเกียบ ขายได้ 67.9% มูลค่าขายได้ 1,982 ล้านบาท  ทำเลทับใต้ ขายได้ 64.4% มูลค่าที่ขายได้ 3,213 ล้านบาท ทำเลปราณบุรี ขายได้ 60.2% มูลค่าที่ขายได้ 1,233 ล้านบาท  ทำเลเขาหินเหล็กไฟ ขายได้ 56.8% มูลค่าที่ขายได้ 3,821 ล้านบาท และ ทำเลหัวหิน ขายได้ 51.3% มูลค่าที่ขายได้ 630 ล้านบาท ตามลำดับ   ส่วนทำเลคอนโดมิเนียมในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ขายดี โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อหน่วยทั้งหมดในโครงการ ทำเลหัวหิน ขายได้ 93.4% มูลค่าที่ขายได้ 7,183 ล้านบาท ทำเลเขาตะเกียบ ขายได้ 82.1% มูลค่าที่ขายได้ 6,945 ล้านบาท  ทำเลปราณบุรี ขายได้ 81.8% มูลค่าที่ขายได้ 1,596 ล้านบาท  และทำเลเขาหินเหล็กไฟ ขายได้ 74.4% มูลค่าที่ขายได้ 427 ล้านบาท ตามลำดับ   โครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดเพชรบุรีมีจำนวน 63 โครงการ มียูนิตในผังของทุกโครงการรวมกัน 14,418 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 59,985 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 3,101 ยูนิต (21.5% ของยูนิตในผังโครงการทั้งหมด) คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 11,604 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 46 โครงการ มีจำนวนหน่วย 2,733 ยูนิต   มูลค่าโครงการรวม 13,838 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 990 หน่วย คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 4,101 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 14 โครงการ มีจำนวนยูนิต 11,631 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 43,967 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 2,105 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 7,244 ล้านบาท และมีโครงการวิลล่าจำนวน 3 โครงการ มียูนิตในผังจำนวน 54 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 2,180 ล้านบาท ยูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 6 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 260 ล้านบาท   ทั้งนี้ ยูนิตเหลือขายโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมจำนวน 3,095 ยูนิต เป็นคอนโดมิเนียมมากที่สุด 68.0% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3-5  ล้านบาท รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว 23.1% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 2–3 ล้านบาท เป็นที่ดินเปล่า 4.1% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 1–1.5 ล้านบาท เป็นทาวน์เฮ้าส์ 3.2% ส่วนใหญ่เป็นอยู่ในระดับราคา 5 – 7.5  ล้านบาท ที่เหลือเป็นบ้านแฝด และอาคารพาณิชย์ ตามลำดับ   ทำเลบ้านจัดสรรในจังหวัดเพชรบุรีที่ขายดี โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อหน่วยทั้งหมดในโครงการ ทำเลหาดเจ้าสำราญ ขายได้ 77.7%  มูลค่าขายได้ 239 ล้านบาท  ทำเลชะอำตอนเหนือ ขายได้ 71.1% มูลค่าที่ขายได้ 4,686 ล้านบาท  ทำเลในเมืองเพชรบุรี ขายได้ 66.3% มูลค่าที่ขายได้ 1,061 ล้านบาท  และทำเลชะอำตอนใต้ ขายได้ 55.6% มูลค่าที่ขายได้ 3,752 ล้านบาท ตามลำดับ   ส่วนทำเลคอนโดมิเนียมในจังหวัดเพชรบุรีที่ขายดี โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อหน่วยทั้งหมดในโครงการ ทำเลชะอำตอนใต้ ขายได้ 88.1% มูลค่าที่ขายได้ 6,718 ล้านบาท ทำเลชะอำตอนเหนือ ขายได้ 81.5% มูลค่าที่ขายได้ 29,956 ล้านบาท และทำเลในเมืองเพชรบุรี ขายได้ 52.1% มูลค่าที่ขายได้ 50 ล้านบาท ตามลำดับ      
“มั่นคง” รีเฟชรแบรนด์เพื่อความอยู่รอด  เพราะไม่อยากเป็นเหมือน “ฟิล์มโกดัก”

“มั่นคง” รีเฟชรแบรนด์เพื่อความอยู่รอด เพราะไม่อยากเป็นเหมือน “ฟิล์มโกดัก”

โจทย์การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องยึดเป็นแกนหลัก คือ ต้องสามารถตอบความต้องของลูกค้าให้ได้  จากพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป  เพราะถูกเทคโนโลยีเข้ามา Disrupt จนทำให้ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่ว่าจะสะดวกสบายจากเทคโนโลยี ใช้แค่นิ้วมือจิ้มๆ ก็ทำธุรกรรมต่างๆ ได้สบายบนโทรศัพท์มือถือ หรือการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและความบันเทิงสารพัด ทำได้ไม่แตกต่างกัน ผู้ประกอบการทั้งหลายจึงต้องก้าวให้ทันกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป   ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  ขายบ้านขายคอนโดมิเนียม ก็ถูกเทคโนโลยีเข้ามา Disrupt ไม่ต่างจากธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการเข้าถึงข้อมูล และการเปรียบเทียบสินค้า เดี๋ยวนี้ลูกค้าศึกษาข้อมูล เปรียบเทียบราคาของโครงการที่สนใจก่อนจะไปเยี่ยมชมห้องตัวอย่างจริง แต่โครงการอสังหาฯ ที่จะถูกนำมาเปรียบเทียบ หรือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ลูกค้าพิจารณา คงต้องกลับมาที่เรื่องของ Brand ว่าอยู่ในใจลูกค้ามากน้อยแค่ไหน   สำหรับแบรนด์มั่นคง หรือ บริษัท มั่นคง เคหะการ จำกัด (มหาชน) (MK) ได้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเช่นกัน และมองว่านี่คือโจทย์สำคัญทางการตลาดที่จะต้องก้าวตามให้ทัน เพราะหากไม่ปรับเปลี่ยนตัวเอง คงไม่สามารถเป็นหนึ่งแบรนด์ในใจที่ลูกค้าจะถึงได้ เนื่องจากปัจจุบันฐานลูกค้าหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ล้วนแต่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองแล้ว และมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น หากไม่สร้างฐานลูกค้าใหม่และสร้างแบรนด์ของตัวเอง ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มคนรุ่นใหม่ องค์กรที่อยู่มากว่า 60 ปีอาจจะหายออกไปจากตลาดได้เช่นกัน   รีเฟรชแบรนด์ใหม่เอาใจ Gen Y   ช่วง 4 ปีก่อนหน้านี้ MK มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์  โดยเจ้าของเดิมตระกูล “ตั้งมติธรรม” ขายธุรกิจให้กับ “สุเทพ วงศ์วรเศรษฐ”  ในบริษัท แคสเซิล พีค ดีเวลลอปเม้นท์ส จำกัด และบริษัท ซีพีดี โฮ ลดิ้ง จำกัด หลังจากนั้นกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในก็เกิดขึ้น อาทิ กระบวนการบริหารงานภายใน การทำให้คนในองค์กรมองธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน การปรับเปลี่ยนโลโก้ และการสร้างการรับรู้ให้กับลูกค้า รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลาย   หลังจากที่กระบวนการบริหารงานภายในเริ่มเข้าที่เข้าทางในระยะ 2 ปีแรก สิ่งที่ MK เดินหน้าเปลี่ยนแปลงตัวเองต่อไป คือ การสร้าง Brand Positioning ของตัวเองใหม่ ด้วยการหยิบเอาเทรนด์ของโลกในเรื่อง Well-Being เข้าใช้เป็นแกนหลักในการพัฒนาโครงการ ถือเป็นแนวทางการรีเฟรชแบรนด์ให้ตอบสนองกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าปัจจุบัน ที่ฐานหลักคือ กลุ่ม Gen Y หรือกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 20-37 ปี และตอบสนองกับเทรนด์ของโลกซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่อง Well-Being   “ยอดขายที่อยู่อาศัยของบริษัทยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่เมื่อความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป ถ้าไม่ทำอะไรเลยเราจะถอยหลัง ถ้าไม่มีสินค้าตอบโจทย์ เราจะหายไป เราไม่อยากเป็นเหมือนฟิล์มโกดัก” นางสาวดุษฎี ตันเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ไม่เพียงเท่านั้นคนในยุคปัจจุบันหาข้อมูลโดยทำ Desktop Research หรือการค้นหาข้อมูลจากโลกออนไลน์ ก่อนการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า หาก MK ไม่ทำการเปลี่ยนแปลงอะไร ก็จะไม่ได้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของลูกค้า การรีเฟรชแบรนด์จึงจะเป็นหนึ่งในการสร้างการับรู้ และมุ่งหวังว่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกของลูกค้า ​เพราะหากเปรียบเทียบจุดแข็งในการพัฒนาธุรกิจ ไม่ว่าเป็นเรื่องของทำเลที่ตั้งและราคา โครงการของ MK ถือว่าสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการในตลาดได้   “การเปลี่ยนแปลงจะทำให้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของลูกค้า การไม่ทำจะไม่อยู่ในทางเลือกของลูกค้าเลย” Well-Being ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน   การรีเฟชรแบรนด์ของ MK ไม่ใช่แค่การทำตลาดดิจิทัล ที่ยังคงใช้เป็นหลัก เพราะเข้าถึงกลุ่มลูกค้า Gen Y ได้ดีที่สุด แต่ยังเสริมด้วยสื่อเดิมอย่างป้ายโฆษณาในพื้นที่ และการทำตลาดรูปแบบอื่นๆ ด้วย แต่สิ่งที่แบรนด์ MK ให้ความสำคัญ  ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นส่วนสำคัญเพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ (Brand essence) คือ การนำเอาแนวคิดของ Well-being เข้ามาพัฒนาโครงการ ตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา โดยครอบคลุมในเรื่องหลักสำคัญ อาทิ การพัฒนาโครงการ มีการจัดวางการวาง Layout บ้านให้หันไปทิศเหนืใต้ การวางผังโครงการจะจัดวางตัวบ้านให้สอดคล้องกับลมประจำถิ่น โดยแบ่งแปลงบ้านให้ไปทางทิศเหนือ-ใต้ ซึ่งทำให้บ้านถ่ายเทอากาศได้ดี และยังรับแสงน้อย การจัดให้มีห้องพยาบาลกล้วยน้ำไท เพื่อให้บริการลูกบ้าน บริเวณคลับเฮ้าส์โครงการ พร้อมแพ็คเกจดูแลสุขภาพ เป็นต้น   การใช้วัสดุที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม (ECO-FRIENDLY MATERIALS) เช่น โถสุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ หลอดไฟฟ้า LED ซึ่งเป็นหลอดประหยัดพลังงาน  ประตูหน้าต่าง ชนิด UPVC ซึ่งมีคุณสมบัติลดการถ่ายเทความร้อนได้ดี  สีที่มีคุณสมบัติไร้สารตะกั่วและโลหะหนัก  เป็นต้น   จัดพื้นที่ปลูกผักสวนครัว บริเวณพื้นที่สวนหย่อมหรือพื้นที่ว่างของโครงการ สร้างความสัมพันธ์และสุขภาพที่ดี การจัดกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ (CUSTOMER RELATIONSHIP MANAGEMENT) เช่น โครงการ  Know your Neigbours เชิญชวนให้ลูกบ้านนำอาหารจานเด็ดที่ชื่นชอบมาร่วมแบ่งปันเพื่อนบ้านภายในงาน  กิจกรรม workshop ส่งเสริมสุขภาพ สอนทำอาหารเพื่อสุขภาพ พร้อมสอนเรื่องหลักโภคชนาการ โยคะ การนวดแก้อาการออฟฟิศซินโดรม และการส่งเสริมความรู้ผ่านบทความเนื้อหาสาระเกี่ยวกับ Well-being ในด้านต่างๆ ให้แก่ลูกบ้านได้อ่าน “มั่นคง ให้ความสนใจในเรื่องสุขภาวะที่ดีแบบ 360 องศา เป็นสิ่งที่คิดมาจากเทรนด์ของโลก มาจากคนยุคปัจจุบันไม่ได้ทำงานหาเงินใช้ชีวิตไปวันๆ เห็นได้จากการเติบโตของเรื่องเวลเนส การเติบโตของเอ็นไทเอจจิ้ง เวลเนสเรียลเอสเตท เวลเนสทัวร์ลิซึม เป็นการรีแบรนด์จากการขายฟังก์ชั่นและโปรโมชั่น หรือขายความคุ้มค่าคุ้มราคา มาสู่การมีสุขภาวะที่ดีแบบยั่งยืน ตามเทรนด์ของโลก เพราะคนไม่ใช่แค่หาซื้อบ้านปกติ โครงการแรกที่นำเอาแนวคิดสุขภาวะที่ดีเข้าไปพัฒนาอย่างชัดเจน คือ โครงการชวนชื่นไพร์มวิลล์กรุงเทพ – ปทุมธานี”  
เปิดแผน จุสก์ เฟอร์นิเจอร์จากเดนมาร์ก จิ๊กซอว์เสริมรายได้บุญถาวร 3 ปีหวังยอดขาย 1,000 ล้าน

เปิดแผน จุสก์ เฟอร์นิเจอร์จากเดนมาร์ก จิ๊กซอว์เสริมรายได้บุญถาวร 3 ปีหวังยอดขาย 1,000 ล้าน

ตลาดค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน  ตอนนี้แข่งขันกันรุนแรงเหลือเกิน เพราะแบรนด์ต่างชาติก็รุกทำตลาดอย่างหนัก แบรนด์ไทยเจ้าถิ่นก็ต้องตั้งรับ เตรียมกลยุทธ์ออกมาสู้ ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงหน้าฝนที่ถือเป็น “โลว์ซีซั่น” ของหลายๆ ธุรกิจด้วย ทำให้เราเห็นการแข่งขันทั้งด้านราคาและโปรโมชั่นกันมากมาย   แม้ว่าตลาดค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน การแข่งขันจะรุนแรง แต่ก็มีผู้เล่นหน้าใหม่ที่กระโดดเข้ามาทำตลาดเมื่อมีโอกาส อย่างล่าสุด แบรนด์จุสก์ (JYSK) จากประเทศเดนมาร์ก ซึ่งกลุ่มบุญถาวร เป็นผู้ซื้อแฟรนไชส์เข้ามาเปิดธุรกิจในบ้านเรา โดยเหตุผลสำคัญของการนำเอาแบรนด์จุสก์เข้ามาทำตลาดนั้น คือ การเติมเต็มธุรกิจ จำหน่ายวัสดุก่อสร้างและซ่อมแซม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มบุญถาวร เพราะแต่เดิมยังขาดสินค้าในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ทำให้ลูกค้าของกลุ่มบุญถาวร ต้องไปซื้อสินค้ากับเจ้าอื่น ถือว่าเป็นการสูญเสียโอกาสในการสร้างรายเพิ่ม ส่วนสาเหตุที่เลือกแบรนด์จุสก์เข้ามาทำตลาดนั้น เป็นเพราะชื่อเสียงของแบรนด์ที่ถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก เป็นผู้ประกอบการธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งรายใหญ่ มีสาขาทั่วโลกกว่า 2,700 สาขา ครอบคลุมถึง 50 ประเทศ โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่ 51 ที่มีแบรนด์จุสก์เข้ามาทำตลาด ขณะเดียวกันสไตล์เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านมีรูปแบบสไตล์สแกนดิเนเวีย ซึ่งถือว่าเป็นสไตล์สากลได้รับความนิยมทั่วโลก เฟอร์นิเจอร์ใส่ความมินิมัลลิสต์ โทนสีธรรมชาติทำให้สามารถใช้งานได้กับบ้านทุกแบบ ที่สำคัญราคาสินค้าผู้บริโภคสามารถเอื้อมถึงได้ แม้ว่าสินค้าจะนำเข้ามาประเทศเดนมาร์กทั้งหมด   นายคมสัน บพิตรพิทักษ์​ ผู้จัดการทั่วไป จุสก์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้ตั้งเป้าหมายการดำเนินธุรกิจภายในระยะ 3 ปีจะสร้างยอดขายให้ได้ 1,000 ล้านบาท โดยมีกลยุทธ์สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการขยายสาขายอย่างต่อเนื่อง เฉพาะในปีนี้จะเปิดสาขาให้ครบ 10 สาขาจากปัจจุบันมี 6 สาขา และภายในระยะ 3 ปีจะมีสาขาครอบคลุม ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด 30-40 สาขา ใช้งบการลงทุน 10 ล้านบาทสำหรับสาขาขนาดเล็ก ซึ่งมีพื้นที่ 400-500 ตารางเมตร และการขยายร้านขนาดใหญ่ พื้นที่มากกว่า 1,300 ตารางเมตร ด้วยงบลงทุน 20 ล้านบาทต่อสาขา   “ร้านจุสก์จะขยายไปพร้อมร้านบุญถาวรด้วยหากมีพื้นที่ เป็นการเสริมตลาดซึ่งกันและกัน ปัจจุบันบุญถาวรมี 16  สาขา”   นอกจากการขยายสาขาเพิ่มแล้ว กลยุทธ์สำคัญที่ถือเป็นจุดแข็งของแบรนด์จุสก์ คือ สินค้านำเข้าจากต่างประเทศ 100% โดยมีราคาที่ผู้บริโภคสามารถซื้อได้ มีกลุ่มสินค้าให้เลือกกว่า 3,000 รายการ การจัดโปรโมชั่น และการบริการหลังการขาย  ซึ่งในช่วงปีแรกบริษัทจะเน้นการสร้างแบรนด์และสร้างการรับรู้ผ่านสื่อออนไลน์ โดยเตรียมงบประมาณการทำตลาดไว้ 3-5% ของยอดขาย นายคมสัน กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า แม้ว่าปัจจุบันภาวะตลาดจะแข่งขันสูง แต่ตลาดมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งแบรนด์จุสก์ถือเป็นหนึ่งทางเลือกในการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภค และถือเป็นการตอบโจทย์ความต้องการสินค้าของลูกค้าบุญถาวร  ทำให้บริการลูกค้าได้ครบวงจร  เพราะที่ผ่านมาลูกค้าบุญถาวร จะซื้อเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านจากผู้ประกอบการรายอื่น   “ความท้าทายในการทำตลาด คือ ต้องทำให้คนรู้จักแบรนด์ ถ้าคนรู้จักจะตัดสินใจซื้อได้ง่าย เพราะเป็นของดีมีคุณภาพและราคาเข้าถึงได้ง่าย”
ล็อกซเล่ย์ ส่ง “LET care” บุกตลาดรักษาความปลอดภัย บ้าน-ออฟฟิศ-ร้านทอง

ล็อกซเล่ย์ ส่ง “LET care” บุกตลาดรักษาความปลอดภัย บ้าน-ออฟฟิศ-ร้านทอง

การพักอาศัยอยู่ในบ้าน นอกจากบ้านจะตอบโจทย์เรื่องของความสะดวกสบายแล้ว เดี๋ยวนี้ผู้ประกอบการยังได้ใส่ฟังก์ชั่นพิเศษ เพื่อคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดีอีกหลายอย่างภายในบ้าน อาทิ ระบบระบายอากาศ เพื่อให้บ้านปลอดโปร่ง เย็นสบาย ระบบแสงจากธรรมชาติเข้าสู่ตัวบ้าน ระบบการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การนำระบบ IoT เข้ามาพัฒนาให้บ้านเป็น Smart Home เป็นต้น แต่ไม่ว่าบ้านจะมีฟังก์ชั่นพิเศษอะไรก็ตาม หากผู้อยู่อาศัยไม่มีความปลอดภัยจากการโจรกรรม หรือบรรดามิจฉาชีพ ฟังก์ชั่นของบ้านที่ดีแค่ไหนก็คงไม่มีประโยชน์   “ระบบรักษาความปลอดภัย” จึงเป็นอีกหัวใจสำคัญของการอยู่อาศัย ที่ให้ทั้งความ “อุ่นใจ” และ “สบายใจ” ทั้งในขณะที่พักอาศัยอยู่ในบ้านหรือออกไปทำงานนอกบ้าน ซึ่งระบบความปลอดภัยพื้นฐานที่ผู้ประกอบการมักจะนำเอามาใส่ไว้ในโครงการ  คือ ระบบรปภ. ระบบกล้องวงจรปิด และสมาร์ทคีย์การ์ด แต่ในยุคปัจจุบันคงไม่เพียงพอ  เพราะเจ้าของบ้านต้องการความสบายใจมากกว่านั้น  ทางเลือกของเจ้าของบ้านจึงต้องหาอุปกรณ์  และระบบรักษาความปลอดภัยมาติดตั้งไว้ในบ้านของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นระบบกล้องวงจรปิด  เพื่อเพิ่มความมั่นใจมากขึ้นแม้ว่าจะไม่ได้พักอาศัยอยู่ภายในบ้านก็ตาม ​ ธุรกิจกล้องวงจรปิดและระบบรักษาความปลอดภัยในบ้าน จึงเป็นหนึ่งทางเลือกที่เจ้าของบ้านหลายราย เลือกจะนำเอามาใช้สร้างความอุ่นใจ  และปกป้องบ้านของตัวเอง รวมถึงใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ด้วย เช่น การเฝ้าดูผู้สูงอายุภายในบ้าน เพราะเดี๋ยวนี้ระบบกล้องวงจรปิด สามารถจะมอนิเตอร์ดูภาพของกล้องได้แบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ไม่ว่าเจ้าของบ้านจะอยู่ที่ใดบนโลกนี้ ก็สามารถตรวจดูบ้านของตนเองได้ ขอเพียงแต่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตกับโทรศัพท์มือถือเท่านั้นก็พอ  ส่งผลให้ตลาดอุปกรณ์กล้องวงจรปิดเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีผู้ประกอบการเข้ามาจับตลาดนี้เพิ่มมากขึ้น   ว่าที่ร้อยตรีนำพล ใคร้วานิช  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ  บริษัท ล็อกซเล่ย์ อีโวลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด ในกลุ่มล็อกซเล่ย์  เปิดเผยว่า แต่ละปีตลาดระบบและอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยน่าจะเติบโตประมาณ 5% เพราะปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยมากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์มีความทันสมัย เป็นระบบ IoT ที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกันทำให้เกิดความสะดวกสบายในการใช้งาน ขณะเดียวกันดีเวลลอปเปอร์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้นำระบบรักษาความปลอดภัยเข้ามาติดตั้งภายในโครงการ และใช้เป็นจุดขายของโครงการด้วย   “ปัจจุบันบ้านระดับ 3-5 ล้านบาท หันมาให้ความสนใจในการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยสำเร็จรูปมากขึ้น เพราะต้องการความสะดวกสบายในการควบคุมและดูแล”   สำหรับแผนธุรกิจของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังนี้  ได้เตรียมขยายตลาดระบบรักษาความปลอดภัย LET care จับตลาดกลุ่มลูกค้าทั่วไป หรือ B2C จากที่ผ่านมามุ่งจับตลาดลูกค้า B2B เป็นหลัก เช่น ร้านวัตสัน และธนาคารฮ่องกง รวมถึงกลุ่มลูกค้าโครงการขนาดใหญ่และหน่วยงานภาครัฐ โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่บริษัทจะขยายตลาด คือ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์  ร้านทอง สำนักงาน และลูกค้าทั่วไปที่ต้องการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย โดยแนวทางการทำตลาดจะใช้สื่อออนไลน์เพื่อสร้างการรับรู้ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการใช้ตัวแทนจำหน่ายและทีมขายของบริษัทในการทำตลาด โดยคาดว่าในปีแรกจะมียอดขาย LET care ประมาณ​ 200 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนประมาณ​ 20% จากยอดขายรวมของทั้งบริษัท 1,000 ล้านบาท ​   โดยชุดระบบรักษาความปลอดภัย LET care  วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 29,900 บาท ​โดยยังได้ร่วมมือกับบริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) มอบกรมธรรม์ให้สูงสุด 1 ล้านบาท ระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปีด้วย ภายในชุดรักษาความปลอดภัยจะประกอบด้วย กล้องวงจรปิด IP CCTV กล่องควบคุมสัญญาณ เซ็นเซอร์ประตู หน้าต่าง เซ็นเซอร์จับการเคลื่อนไหว ระบบควบคุมไฟฟ้า สัญญาณเตือนภัย และรีโมทคอนโทรล ซึ่งจะมี Application LET care ในการแจ้งเตือนผู้บุกรุกหรือดูไลฟ์วิดีโอผ่านสมาร์ทโฟน การตรวจจับความผิดปกติทั้งความร้อน อุณหภูมิ กลุ่มควันภายในบ้าน รวมถึงสามารถควบคุมแสงสว่าง เปิด/ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในพื้นที่อยู่อาศัย พร้อมส่งสัญญาณแจ้งเตือนหน่วยงานฉุกเฉินที่เกี่ยวข้อง อาทิ แจ้งสถานีตำรวจหากมีผู้บุกรุก แจ้งทีมแพทย์ฉุกเฉินหากเกิดอุบัติเหตุกับผู้พักอาศัย ผสานกับการให้บริการของทีมตรวจสอบความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงผ่าน CCC (Command Control Communication)   นอกจากนี้ บริษัทยังมีแพลทฟอร์มเป็นของตนเอง มีชื่อว่า บียอน แพลทฟอร์ม (Beyond Platform) ซึ่งร่วมมือกับ บริษัทบราเซ็นท์ ประเทศสิงคโปร์ ในการพัฒนาแพลทฟอร์มอัจฉริยะด้านรักษาความปลอดภัย ผ่านบิ๊กดาต้าและการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาผสานเข้ากับ กล้องโทรทัศน์วงจรปิด โดรน-อากาศยานไร้คนขับ ระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับต่างๆ ในระดับเมือง จังหวัด และภูมิภาค บริหารจัดการแบบศูนย์รวมผ่านห้องปฏิบัติการ Single Command Control Center ภายใต้คอนเซ็ปต์ 3P : Predict, Prepare, Prevent และ 1M : Manage โดยบริการบริษัทประกอบด้วย 4 กลุ่มงานเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย ซึ่งสามารถออกแบบและให้บริการได้ตามความต้องการของลูกค้า ทั้งในด้านอุปกรณ์ เทคโนโลยี ระบบงานและงบประมาณ  ได้แก่ 1.กลุ่มงานระบบเทคโนโลยีความมั่นคงเพื่อความปลอดภัยระดับเมืองและเขตชุมชนขนาดใหญ่ (Public Safety) 2.กลุ่มงานเทคโนโลยีไร้มนุษย์ควบคุมและระบบบริหารจัดการล้ำอนาคต (Beyond Platform & Unmanned Security)  3.กลุ่มงานเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อระบบท่าอากาศยาน (Airport Technology) และ 4.กลุ่มงานเทคโนโลยีขั้นสูง (Special Technology)   สำหรับผลงานที่บริษัทดำเนินการติดตั้งและส่งมอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ระบบบูรณาการรักษาความปลอดภัยของตำรวจภูธรภาค 5 เฟสหนึ่ง ครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือ 4 จังหวัด จากทั้งหมด 8 จังหวัด เป็นต้น ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามอาชญากรรมต่างๆ ได้ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที นอกจากนี้ยังมีที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (สถานีขนส่งหมอชิต) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานหาดใหญ่  
ได้เวลา MK เปิด 4 โปรเจ็กต์ใหม่ครึ่งปีหลัง พร้อมแผนเติมพอร์ตรายได้ประจำ 50%

ได้เวลา MK เปิด 4 โปรเจ็กต์ใหม่ครึ่งปีหลัง พร้อมแผนเติมพอร์ตรายได้ประจำ 50%

หลังจากช่วงครึ่งปีแรก ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายราย ต้องกังวลต่อมาตรการควบคุมสินเชื่อ หรือ มาตรการ LTV ทำให้ไม่กล้าเปิดตัวโครงการใหม่กันมากนัก เพราะยังไม่รู้อารมณ์ของลูกค้าว่าจะเป็นอย่างไร แต่จากการดูสถานการณ์โดยรวมของปัจจุบันและแนวโน้มครึ่งปีหลังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมากนัก หลายๆ รายจึงเริ่มประกาศความชัดเจนของแผนธุรกิจในครึ่งปีหลังจะพัฒนาโครงการอะไรออกมาบ้าง ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ MK หรือ มั่นคงเคหะการ ที่เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่า 4,560 ล้านบาท แถมยังเตรียมเปิดโปรเจ็กต์ใหม่แนวเวลเนสอีกหนึ่งโปรเจ็กต์ด้วย   นางสาวดุษฎี ตันเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK  เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่รวม 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,560 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการทาวน์โฮม ระดับราคา 2-3 ล้านบาท จำนวน 3 โครงการ ในทำเลบางนา บางบัวทอง และชัยพฤกษ์ และโครงการบ้านแฝด 1 โครงการ ระดับราคา 3-4 ล้านบาท ในทำเลบางนา ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีที่ดินรอการพัฒนาในโซนบางนาประมาณ​ 200 ไร่สามารถพัฒนาโครงการได้ 3-4 โครงการ และที่ดินในย่านปทุมธานีอีก 200-300 ไร่   นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมงบลงทุนอีก 1,600 ล้านบาท สำหรับการจัดซื้อที่ดิน เพื่อนำมาใช้พัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องด้วย  และบริษัทเตรียมขยายธุรกิจให้เช่าและการบริการ โดยมีแผนพัฒนาโครงการบางกอกฟรีเทรดโซนโรงงานและคลังสินค้าเพื่อเช่า เพิ่มขึ้นเป็น 173,500 ตารางเมตร  และโครงการ พาร์ค คอร์ท สุขุมวิท 77 ซึ่งเป็นรูปแบบคอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนต์ให้เช่า  วางแผนให้เช่า 100% ได้ภายในปีนี้   นางสาวดุษฎี กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันบริษัทยังวางแผนสร้างรายได้ประจำให้เพิ่มมากขึ้น โดยวางเป้าหมายจะมีรายได้ประจำในสัดส่วน 50% จากปัจจุบันมีสัดส่วน 25% ภายในระยะ 2 ปีข้างหน้า หรือปี 2564 ซึ่งรายได้ประจำจะมาจากธุรกิจสนามกอล์ฟ คลังสินค้า และธุรกิจให้เช่า  นอกจากนี้ ยังจะขยายธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งธุรกิจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับธุรกิจเวลเนสหรือเวลบีอิ้ง เนื่องจากเป็นเทรนด์ของโลกและสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรอีก 2 รายโปรเจ็กต์ดังกล่าวคาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าในช่วงปลายปีนี้จะเปิดตัวโครงการได้ สำหรับภาพรวมธุรกิจของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรก ยังสามารถสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมาย ซึ่งผลประกอบการในไตรมาสแรก ธุรกิจอสังหาฯ พัฒนาเพื่อขายบริษัทเติบโตถึง 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา คาดว่าเป็นผลจากการทำตลาดของผู้ประกอบการต่างๆ ในธุรกิจ ทำให้ผลประกอบการเติบโตได้ดี ส่วนผลประกอบการในภาพรวมบริษัทสามารถสร้างการเติบโตได้ดีถึง 40% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับปรุงธุรกิจสนามกอล์ฟ ทำให้มีรายได้เติบโตเพิ่มมากขึ้น ขณะที่แนวโน้มธุรกิจอสังหาฯ​ ในช่วงครึ่งปีหลัง อาจจะมีความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ จึงต้องติดภาวะเศรษฐกิจว่าจะเป็นอย่างไร   ปัจจุบัน บริษัท มีโครงการแนวราบทั้งหมด 12 โครงการ แบ่งเป็น ทาวน์โฮม 4 โครงการ ได้แก่ ชวนชื่น ทาวน์ รังสิต-คลอง 1, ชวนชื่น ทาวน์ ราชพฤกษ์-345, ชวนชื่น ทาวน์ กาญจนา-บางใหญ่, ชวนชื่นทาวน์ แก้วอินทร์-บางใหญ่, บ้านแฝด 3 โครงการ ได้แก่ ชวนชื่น โมดัส วิภาวดี, ชวนชื่น พาร์ค กาญจนา-บางใหญ่, ชวนชื่น พาร์ค อ่อนนุช-วงแหวน และ บ้านเดี่ยว 5 โครงการ ได้แก่ ชวนชื่น ไพร์ม วิลล่า กรุงเทพ-ปทุมธานี,  ชวนชื่น ซิตี้ ไพร์มพาร์ค วัชรพล, ชวนชื่น ซิตี้ เบลล์พาร์ค วัชรพล, ชวนชื่น ซิตี้ นอร์ทวิลล์-วัชรพล และ ชวนชื่น ซิตี้ วัชรพล-รามอินทรา  
เปิดแผน CCP ปี 62 ลุยตลาดพรีคาสท์-งานภาครัฐ สร้างรายได้ 2,500 ล้าน

เปิดแผน CCP ปี 62 ลุยตลาดพรีคาสท์-งานภาครัฐ สร้างรายได้ 2,500 ล้าน

แม้ว่าปีนี้ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์จะส่งสัญญาณชะลอตัว การก่อสร้างก็อาจจะไม่ได้เติบโตหวือหวา แต่ก็ยังมีปริมาณความต้องการที่อยู่อาศัยอยู่  ทำให้ตลาดวัสดุก่อสร้างยังคงเติบโตไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดอสังหาฯ  แต่สำหรับงานก่อสร้างโครงการใหญ่ ที่เป็นระดับเมกะโปรเจ็กจ์  ก็มีออกมาต่อเนื่อง ถือเป็นผลดีกับผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างรายใหญ่  ที่มีโอกาสเข้าไปรับงาน และสร้างการเติบโต  ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ CCP หรือ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) ภายหลังจากได้ปรับโครงสร้างธุรกิจของตัวเอง ในปีที่ผ่านมา ปีนี้ทิศทางการดำเนินธุรกิจก็เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งวางแผนจะมุ่งจับตลาดภาครัฐ พร้อมกับเน้นผลิตภัณฑ์พรีคาสท์มากขึ้น เป็นไปตามไลฟ์สไตล์และความต้องการใช้งานของลูกค้ายุคปัจจุบัน   นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่บริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจ  ด้วยการขายแพล้นปูน หรือ โรงงานผลิตคอนกรีตผสมเสร็จ ให้กับบริษัท ปูซีเมนต์เอเชีย จำกัด (มหาชน) ในช่วงไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา ด้วยมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท  ทำให้ปัจจุบันบริษัทไม่ต้องมีภาระและต้นทุนในด้านการบริหารจัดการ และยังส่งผลทำให้การบริหารงานขายเกิดความคล่องตัวมากขึ้น เพราะบริษัทมีพื้นที่ขายสินค้าได้ครอบคลุมพื้นที่เกือบทุกจังหวัดในภาคอีสาน จากก่อนหน้านี้มีพื้นที่ขายหลักอยู่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และปราจีนบุรี   “การขายแพล้นปูนออกไป ทำให้โอเวอร์เฮดลดลง 3-4 ล้านบาทต่อเดือน และสามารถขายสินค้าไปได้ไกลถึงพื้นที่อีสาน ทำให้ยอดขายสูงขึ้น”   สำหรับแผนธุรกิจของ CCP ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป (พรีคาสท์) สเปคพิเศษ  เพื่อรองรับการใช้งานได้หลากหลายและตอบสนองความต้องการของลูกค้า  ทั้งด้านงานโครงสร้างพื้นฐาน งาน Landscape  อาทิ ท่อคอนกรีตขนาดใหญ่พิเศษ แผงกั้นคอนกรีต เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ทั่วประเทศ อีกทั้งเพิ่มความสามารถในการทำกำไร พร้อมปรับปรุงเครื่องจักรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเน้นการเข้ารับงานภาครัฐ ในส่วนโครงการลงทุนขนาดใหญ่เมกะโปรเจ็กต์ งานกรมทางหลวง และเดินหน้าติดตามโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง อาทิ ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด โครงการสนามบินอู่ตะเภา   นายอาทิตย์ กล่าวอีกว่า ความต้องการผลิตภัณฑ์คอนกรีตในช่วงครึ่งปีหลังแนวโน้มดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่จะเดินหน้าลงทุน ทยอยดำเนินงานก่อสร้างต่อเนื่องในงานโครงสร้างพื้นฐานโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อาทิ ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรม  อีกทั้งโครงการของหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ต่างๆ ที่มีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง อาทิ งานถนน ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน ยังคงรอความชัดเจนหลังการจัดตั้งรัฐบาล คาดว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนหรือผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์กลับมาลงทุนอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลังนี้   ส่วนงานเอกชน มุ่งเน้นเข้ารับงานนิคมอุตสาหกรรม ที่ทยอยดำเนินงานก่อสร้างต่อเนื่อง ขณะที่ภาพรวมการเติบโตของกลุ่มผู้ประกอบการรับเหมา และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายย่อย ขยายตัวค่อนข้างน้อย แต่ก็ยังมีกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางกลุ่มที่ยังคงมีการขยายงาน อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเน้นเรื่องการพัฒนาสินค้ากลุ่ม Precast อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น ในช่วงที่ผ่านมามีการแนะนำผลิตภัณฑ์กับลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีและเริ่มมีคำสั่งซื้อทยอยเข้ามา     “นโยบายหลักของเรานับจากนี้ จะขายคอนกรีตได้ทั่วประเทศ โดยติดต่อแพล้นปูนในพื้นที่ในการผลิตปูนสำเร็จให้ โดยรายได้ในปี้จะมาจากคอนกรีตผสมเสร็จ 20% หรือประมาณ​ 25,000 คิวต่อเดือน จากเมื่อก่อนมีสัดส่วน 1 ใน 3 ของรายได้ และที่เหลืออีก 80% จะเป็นผลิตภัณฑ์พรีแคส”   ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog)  ประมาณ 2,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน  แบ่งเป็นการรับรู้รายได้ภายในปีนี้ 60% โดยบริษัทจะทยอยประมูลงานเข้ามาเพิ่มอีกในอนาคต เพื่อรักษาระดับ Backlog ไว้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท ขณะที่การเติบโตปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ประมาณ 2,500 ล้านบาท สัดส่วนรายได้มาจากงานภาครัฐ 80% และภาคเอกชน 20%      
เปิดตัว “ALTITUDE UNICORN Sathorn-Tha Phra” ติด BTS ตลาดพลู คอนโดร่วมทุนระหว่างอัลติจูดและครีทกรุ๊ป 

เปิดตัว “ALTITUDE UNICORN Sathorn-Tha Phra” ติด BTS ตลาดพลู คอนโดร่วมทุนระหว่างอัลติจูดและครีทกรุ๊ป 

ถือเป็นครั้งแรกของทั้ง อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ ที่ประกาศร่วมทุนกับครีท กรุ๊ป (Creed Group) พันธมิตรใหม่จากญี่ปุ่น ซึ่งหันมาลงทุนในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ประเดิมด้วยโครงการคอนโดมิเนียมที่มุ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มมิลเลนเนียลและนักธุรกิจรุ่นใหม่ “ALTITUDE UNICORN Sathorn-Tha Phra” (อัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร-ท่าพระ) ติด BTS ตลาดพลู มูลค่า 2,400 ล้านบาท     นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาโครงการของอัลติจูดว่า เรามักเลือกทำเลที่ดี ซึ่งยังมีช่องว่างของตลาด เพื่อพัฒนาสินค้าให้มีความคุ้มค่าแก่ลูกค้า หนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด คือ การทำงานร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในวงการอสังหาริมทรัพย์ในเวทีระดับโลกอย่าง ครีท กรุ๊ป (Creed Group) ซึ่งมาร่วมทุน (Joint Venture Agreement) โดยจัดตั้งบริษัทร่วมทุนคือ บริษัท อัลติจูด ครีท ตลาดพลู จำกัด โดยอัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ถือหุ้น 51%  และ ครีท กรุ๊ป ถือหุ้น 49% นำร่องพัฒนาโครงการแรกคือ “ALTITUDE UNICORN Sathorn-Tha Phra” (อัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร-ท่าพระ)        “การพัฒนา Product ในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่เรื่องของคุณภาพวัสดุ หรืองานดีไซน์เท่านั้น แต่กลายเป็นเรื่องของการที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้ แม้ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ จะมี Supply ค่อนข้างมาก แต่เราเชื่อในการพัฒนาสินค้าที่ดี โดนใจลูกค้า”    การทำงานร่วมกันครั้งนี้ เชื่อว่าจะเป็นการเปิดมิติการลงทุน และการขยายธุรกิจต่อไปในอนาคตทั้งการเพิ่มมูลค่าให้กับการพัฒนาโครงการอสังหาฯของบริษัทเอง และการผลักดันรายได้และกำไรให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต    มิสเตอร์โตชิฮิโกะ มูเนโยชิ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ ครีท กรุ๊ป เปิดเผยถึงการหันมาลงทุนในประเทศไทยว่า ครีท กรุ๊ป (Creed Group) บริษัทที่มากประสบการณ์การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์จากญี่ปุ่น และพัฒนาผลงานที่เติบโตอย่างมากตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมาทั้งในญี่ปุ่น และภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ มาเลเซีย กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา อินโดนีเซีย สปป.ลาว และบังคลาเทศ นับเป็นมูลค่าการพัฒนาโครงการรวม (GDV) แล้วกว่า 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้ง ยังมีแนวทางขยายการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง โดยมองว่า  ประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการเติบโตค่อนข้างสูง โดยเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในการร่วมทนุครั้งนี้เรามีความเชื่อมั่นว่าตัวโครงการมีความแตกต่างจากที่อื่น และจะมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิสัยทัศน์การบริหารที่ดี กว้างไกล เราจะได้เห็นการพัฒนาเปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อยๆ     นายขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวถึงรายละเอียดโครงการว่า คำว่า UNICORN มาจากคำเรียก Startup ที่ประสบความสำเร็จ ด้วยแนวคิดการพัฒนาโครงการที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยของกลุ่มมิลเลนเนียล ในเซ็กเมนต์ระดับ Medium Class ที่ต้องการประสบความสำเร็จในทั้งชีวิตส่วนตัวและธุรกิจตามที่ตนเองต้องการ โดย ALTITUDE UNICORN Sathorn-Tha Phra จะสามารถลดต้นทุนในธุรกิจของตัวเอง แต่มีไลฟ์สไตล์ที่ดีได้      โครงการ “ALTITUDE UNICORN Sathorn-Tha Phra” (อัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร-ท่าพระ) เป็นโครงการ High Rise 34 ชั้น อยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ตลาดพลู โดยจะมีการสร้างสะพานที่เชื่อมติดกับสถานีรถไฟฟ้าตลาดพลู ห่างเพียง 0 เมตร บนที่ดินกว่า 2 ไร่  จำนวน 711 ยูนิต ขนาดห้องมี 4 รูปแบบด้วยกัน  ได้แก่ One Bedroom เนื้อที่ 23.64 – 34.56 ตร.ม., One Bedroom Plusเนื้อที่ 36.98 – 45.18 ตร.ม. Loft One Plus One Bedroom เนื้อที่ 39.08 - 69.28  ตร.ม.    เน้นความทันสมัยและความสะดวกสบายครบครัน ประกอบด้วย พื้นที่ส่วนกลาง (Hard Facility)  Intimate Lobby, Reception & Service Bar, Co-working Space, Co-kitchen, Fitness และ Grand Swimming Pool ที่แตกต่างกว่านั้นเป็นพื้นที่ Reception & Service Bar ออกแบบตกแต่งร้านโดยฟาลาเบลล่า (Fallabella) ร้านอาหารกึ่งผับชื่อดัง ให้เป็นที่นัดพบและลิ้มรสกาแฟด้วยรูปแบบ Coffee Corner ในตอนกลางวัน แล้วเปลี่ยนเป็นบาร์ยามค่ำคืน ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 2.19 ล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 3 ปี 2562 และคาดการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ปี 2564 และเตรียมเปิด Pre Sale วันที่ 21 ก.ค. นี้                
สำรวจตลาดอสังหาฯ​ “พิษณุโลก-ตาก” ดีเวลลอปเปอร์ผุดโครงการที่อยู่อาศัยกว่า 1.9 หมื่นล้าน

สำรวจตลาดอสังหาฯ​ “พิษณุโลก-ตาก” ดีเวลลอปเปอร์ผุดโครงการที่อยู่อาศัยกว่า 1.9 หมื่นล้าน

จังหวัดพิษณุโลกและตาก ถือเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ ไม่แพ้จังหวัดใหญ่ๆ หลายจังหวัด เห็นได้จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและความเจริญของเมือง ซึ่งส่งผลให้เกิดความต้องการในที่อยู่อาศัยตามมา แม้ว่าอาจจะไม่คึกคักมากนักแต่ก็เติบโตด้วยดี แต่จะขยายตัวได้แค่ไหน คงต้องดูจากปริมาณโครงการและการซื้อขาย  ซึ่งที่ผ่านมาศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้จัดทำรายงานการสำรวจสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วงครึ่งปีหลังที่ผ่านมา พบว่า  มีโครงการที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายจำนวน 92 โครงการ มียูนิตในผังโครงการรวมทั้งสิ้น 6,857 ยูนิต มีมูลค่าโครงการรวม 19,125 ล้าน   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า  ที่อยู่อาศัยซึ่งอยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2561 ของพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก  และจังหวัดตาก โดยนับเฉพาะโครงการที่มียูนิตเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 ยูนิตนั้น มีจำนวน 92 โครงการ มียูนิตในผังโครงการรวมทั้งสิ้น 6,857 ยูนิต มีมูลค่าโครงการรวม 19,125 ล้านบาท  แบ่งเป็น โครงการบ้านจัดสรร 79 โครงการ มียูนิตในผังจำนวน 4,674 ยูนิต มีมูลค่าโครงการรวม 15,579 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 13 โครงการ มียูนิตในผังจำนวน 2,183 ยูนิต มีมูลค่าโครงการรวม 3,546 ล้านบาท     โดยจากการสำรวจในช่วงครึ่งหลังปี 2561 พบว่า มียูนิตเหลือขายจำนวน 2,459 ยูนิต หรือคิดเป็น 35.9% ของยูนิตในผังโครงการทั้งหมด โดยโครงการบ้านจัดสรรมียูนิตเหลือขายจำนวน 1,886 ยูนิต หรือ 40.4% ของยูนิตในผังโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมด ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมมียูนิตเหลือขายจำนวน 573 ยูนิต หรือ 26.2% ของยูนิตในผังโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดพิษณุโลกนั้น  พบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายจำนวน 70  โครงการ มียูนิตในผังของทุกโครงการรวมกัน 5,504 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 15,798 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายในตลาด 2,049 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 5,936 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 63 โครงการ มีจำนวนยูนิต 4,109 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 13,598 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายในตลาด 1,624 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 5,306 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 7 โครงการ มีจำนวนยูนิต 1,395 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 2,200 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายในตลาด 425 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 631 ล้านบาท   ทั้งนี้ ยูนิตในผังโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม จำนวน 5,504 ยูนิต เป็นบ้านเดี่ยวมากที่สุด 52.0% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3 - 5  ล้านบาท รองลงมาเป็นคอนโดมิเนียม 25.3% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 1.5 - 2 ล้านบาท อาคารพาณิชย์ 9.6% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3 - 5  ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์  8.4% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3 – 5 ล้านบาท ที่เหลือบ้านแฝดและเป็นที่ดินเปล่า ตามลำดับ   สำหรับทำเลบ้านจัดสรรขายดีในจังหวัดพิษณุโลก 5 อันดับแรก โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อยูนิตทั้งหมดในโครงการ ได้แก่ 1.ทำเลแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก (มิตรภาพ) ขายได้  76.6% มูลค่าขายได้ 1,916 ล้านบาท  2.ทำเลบึงพระ ขายได้  66.0%  มูลค่าที่ขายได้ 68 ล้านบาท 3.ทำเลวัดจันทร์ ขายได้  64.7 มูลค่าที่ขายได้ 960 ล้านบาท 4.ทำเลแม่น้ำน่านฝั่งตะวันตก (ทะเลแก้ว) ขายได้  62.4% มูลค่าที่ขายได้ 1,442 ล้านบาท  และ 5.ทำเลในเมือง ขายได้ 61.3% มูลค่าที่ขายได้ 501 ล้านบาท   ส่วนทำเลคอนโดมิเนียมขายดีในจังหวัดพิษณุโลก โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อยูนิตทั้งหมดในโครงการ ได้แก่ 1. ทำเล ม.นเรศวร ขายได้ 76.5% มูลค่าที่ขายได้ 267 ล้านบาท  2.ทำเลในเมือง ขายได้ 73.7% มูลค่าที่ขายได้ 1,262 ล้านบาท และ 3.ทำเลแม่น้ำน่านฝั่งตะวันตก (ทะเลแก้ว) ขายได้  32.5% มูลค่าที่ขายได้ 40 ล้านบาท  ล้านบาท สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดตาก พบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขาย จำนวน 22 โครงการ มียูนิตในผังของทุกโครงการรวมกัน 1,353 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 3,328 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายในตลาด 410 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 1,183 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 16 โครงการ มีจำนวนยูนิต 565 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 1,981 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายในตลาด 262 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 932 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 6 โครงการ มีจำนวนยูนิต  788 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 1,347 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายในตลาด 148 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 250  ล้านบาท   โดย ยูนิตในผังโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมจำนวน 1,353 ยูนิต เป็นคอนโดมิเนียมมากที่สุด 58.2% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 1.5 – 2   ล้านบาท รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว 31.4% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา  2 – 3  ล้านบาท  เป็นอาคารพาณิชย์ 6.9%  ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 5 – 7.5 ล้านบาท เป็นทาวน์เฮ้าส์  3.5% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3 – 5  ล้านบาท ตามลำดับ   สำหรับทำเลบ้านจัดสรรขายดีในจังหวัดตาก โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อยูนิตทั้งหมดในโครงการ และเรียงลำดับจากสัดส่วนที่ขายได้มากที่สุด ได้แก่ ทำเลแม่สอด ขายได้  54.0% มูลค่าขายได้ 908 ล้านบาท  ทำเลในเมือง ขายได้ 51.9% มูลค่าที่ขายได้ 141 ล้านบาท  ตามลำดับ ส่วนทำเลคอนโดมิเนียมขายดีในจังหวัดตาก  คือ ทำเลแม่สอด ขายได้ 81.2%  มูลค่าที่ขายได้ 1,096 ล้านบาท    
5 เหตุผล “โกลเด้นแลนด์” ปักหมุดเชียงรายปั้น โกลเด้น เอ็มไพร์ 2,600 ล้าน

5 เหตุผล “โกลเด้นแลนด์” ปักหมุดเชียงรายปั้น โกลเด้น เอ็มไพร์ 2,600 ล้าน

แนวคิดในการพัฒนาโครงการรูปแบบอาณาจักร หรือ GOLDEN EMPIRE (โกลเด้น เอ็มไพร์) ของโกลเด้นแลนด์  คือ การนำเอาโครงการบ้านหลากหลาย ทั้งทาวน์โฮม นีโอโฮม และบ้านเดี่ยว มาอยู่ในทำเลเดียวกัน เป็นโมเดลสร้างความผลสำเร็จได้อย่างดีให้กับบริษัท ไม่ว่าจะเป็นโครงการในย่านเกษตรนวมินทร์ สาทร และบางแค ทำให้โมเดลนี้ถูกนำเอาไปพัฒนาต่อในพื้นที่ต่างจังหวัด อย่างเช่นเชียงราย โดยพัฒนาโครงการ โกลเด้น เอ็มไพร์ เชียงราย มูลค่า 2,600 ล้านและเพียงแค่นำร่องเปิดโครงการแรกเมื่อวันที่ 22-23 มิถุนายนที่ผ่านมา กับโครงการ โกลเด้น ทาวน์ เชียงราย-บิ๊กซีแยกสนามบิน ทาวน์โฮม 2 ชั้น สไตล์อังกฤษ รูปแบบเดียวกับที่ได้รับความนิยมจากกรุงเทพฯ  ทำให้ โกลเด้น ทาวน์ สามารถสร้างยอดขายได้รวม 500 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่คาดไว้   นายอภิชาติ เฮงวาณิชย์ กรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาโครงการต่างจังหวัดและโครงการพิเศษ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์  เปิดเผยว่า ความสำเร็จของคอนเซ็ปต์ “โกลเด้น เอ็มไพร์” คงมาจากความแตกต่างจากการพัฒนาโครงการอื่น เช่น​ การพัฒนาภายใต้แนวคิด English Elegance รูปแบบสไตล์อังกฤษ ที่มีความหรูหรา แต่ยังมีความเป็นธรรมชาติ มีคลับเฮาส์ขนาดใหญ่  พร้อมด้วยทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งแรกในเชียงราย สระว่ายน้ำ สนามเทนนิส สวนพักผ่อนกว่า 20 ไร่ และเป็นโครงการแรกในเชียงรายที่ติดถนนใหญ่และติด บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ พร้อมทางเข้าออกจากในโครงการ ได้ถึง 2 ทาง คือถนนพหลโยธินและ ถนนสนามบิน ถือว่าตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่สะดวกสบายได้อย่างตรงจุด     5 เหตุผล ปักหมุดเชียงรายปั้นโปรเจ็กต์ 2,600 ล้าน   จังหวัดเชียงราย แม้ว่าจะเป็นหนึ่งจังหวัดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ แต่หากเทียบกับจังหวัดเชียงใหม่แล้วอาจจะยังเป็นรอง ดีเวลลอปเปอร์ส่วนใหญ่มุ่งเข้าไปพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดเชียงใหม่มากกว่า (อ่านเพิ่มเติม...ดีเวลลอปเปอร์ปั้นโปรเจ็กต์อสังหาฯ​ในเชียงใหม่-เชียงราย) เพราะถือว่าจังหวัดเชียงใหม่มีเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่คักคักกว่า แต่เหตุผลอะไรที่ทำให้ “โกลเด้นแลนด์” เข้าไปปักหมุดพัฒนาโครงการในจังหวัดเชียงราย และนี่คงคือ 5 เหตุผลสำคัญ   1.จังหวัดเชียงรายถือเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจการค้า กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา และสปป. ลาว 2.ทำรายได้จากการท่องเที่ยวปีที่ผ่านมาได้กว่า 28,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น10% จากปีก่อน แม้จังหวัดเชียงรายจะเป็นเมืองรอง ด้านการท่องเที่ยว แต่ก็ถือว่าเป็นเมืองรองที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวมากที่สุดในประเทศไทย 3.เป็นเมืองการศึกษานานาชาติ เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง 4.มีความพร้อมในด้านของระบบการคมนาคมขนส่ง และโครงการพื้นฐานที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 5.ตลาดอสังหาฯ แม้จะเติบโตไม่หวือหวา แต่โครงการแนวราบเป็นกลุ่มที่ขายดีที่สุด มีความต้องการอยู่สูง แต่ยังขาดสินค้าที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด   นายอภิชาติ  กล่าวอีกว่า จากการสำรวจ เชียงรายเป็นเมืองที่ไม่ได้หวือหวา โครงการแนวราบมีอัตราขายเฉลี่ยเพียงประมาณ 25 ยูนิตต่อเดือน โดยมีบ้านกลุ่มระดับราคา 2 ล้านบาท เป็นกลุ่มที่ขายดีที่สุด ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในจังหวัดเชียงรายปี 2561 มีเพียง 4,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 12.6% สะท้อนถึงความต้องการที่อยู่อาศัยในเชียงรายที่เพิ่มขึ้นในทุกปี บริษัท มองว่าความต้องการของตลาดยังมีอยู่ แต่ขาดสินค้าที่ดี ที่ตอบโจทย์ของลูกค้า   “ลูกค้าของโกลเด้นแลนด์ ส่วนใหญ่จะเป็นคนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีประชากรแฝงน้อย จึงเป็นลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง การที่บริษัทเปิดโครงการ โกลเด้น ทาวน์ ซึ่งเป็น ทาวน์โฮม 2 ชั้น ในระดับราคา ประมาณ 1.7-2.5 ล้านบาท ในอาณาจักรบ้านล้อมทะเลสาบที่หรูหรา จึงเป็นจุดที่สร้างความสนใจให้กับลูกค้า และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี”   สำหรับโครงการ โกลเด้น ทาวน์ เชียงราย-บิ๊กซีแยกสนามบิน  ตั้งอยู่ในทำเลติดถนนพหลโยธิน (ซุปเปอร์ไฮเวย์) เชื่อมต่อสนามบินเชียงราย  แม่ฟ้าหลวง เพียง 2.5 กิโลเมตร มุ่งสู่ใจกลางเมืองเพียง 10 นาที พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ บิ๊กซี เชียงราย 2, แม็คโคร เซ็นทรัล เชียงราย โรงเรียนอนุบาลเชียงราย โรงเรียนเชียงราย อินเตอร์เนชั่นแนล  โรงเรียนเทศบาล 6 ศูนย์ราชการ และ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ศรีบุรินทร์ เป็นต้น   โครงการมีขนาดพื้นที่รวมประมาณ 33 ไร่ จำนวน 353 หลัง ราคาประมาณ 1.7-2.5 ล้านบาท  มีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ ที่มาพร้อม ห้องรับแขก ห้องรับประทานอาหาร และนวัตกรรมครัวไทย 1.Preston (เพรสตัน) 117 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พร้อมฟังก์ชั่นพิเศษ ห้องพระ 2.Chester (เชสเตอร์) 103 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ และ 3.Saint James (เซ็นต์เจมส์) 96 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ    
MQDC เปิดแบรนด์ใหม่ “มัลเบอร์รี่” เพื่อตอบโจทย์เทรนด์การอยู่อาศัยแห่งอนาคต?

MQDC เปิดแบรนด์ใหม่ “มัลเบอร์รี่” เพื่อตอบโจทย์เทรนด์การอยู่อาศัยแห่งอนาคต?

ปัจจุบันคนไทยมีอายุยืนยาวขึ้น จากการดูแลสุขภาพตัวเอง และวิวัฒนาการทางการแพทย์ ทำให้จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น  สังคมไทยจึงกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ  แต่ละครอบครัวจะมีคนถึง 3 Gen ทั้งเจนเนอเรชั่น “ปู่ย่า ตายาย” “พ่อแม่” และ “ลูกหลาน” แต่ด้วยข้อจำกัดของที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน ทั้งด้านรูปแบบของที่พักอาศัย ทำเลที่ตั้ง และราคา ส่งผลทำให้คนทั้ง 3 Gen ไม่สามารถพักอยู่อาศัยร่วมกันได้ในบ้านหลังเดียวกัน  แม้ว่าจะมีความต้องการพักอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างมากก็ตาม   MQDC หรือ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้มองเห็นเทรนด์และแนวโน้มในอนาคต ถึงความต้องการในการอยู่อาศัยร่วมกันของคนหลาย Gen จากผลงานวิจัยหลายแห่งทั่วโลก พบว่า ปัจจุบันคนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันน้อยลง ทำให้คนต้องการพักอยู่อาศัยร่วมกันหลายวัย จึงได้เปิดตัวแบรนด์ มัลเบอร์รี่ โกรฟ (MULBERRY GROVE) เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งรูปแบบคอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยวในรูปแบบวิลล่า เพื่อรองรับกับการอยู่อาศัยของคนหลายช่วงวัย ภายใต้แนวคิด “สานความสุข ให้ทุกเจเนอเรชั่น” (NURTURING INTERGENERATION HAPPINESS)   ที่มาของแบรนด์มัลเบอร์รี่ โกลฟ เกิดจากการศึกษางานวิจัยต่างๆ ทั่วโลก อาทิ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งทำวิจัยมานานนับ 80 ปี ถึงการพักอาศัยอยู่ร่วมกันของคนหลาย Gen ส่งผลให้คนมีอายุยืนยาวและมีความสุขมากขึ้น  นอกจากนี้ จากการร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล ทำงานวิจัยกับการอยู่ร่วมกันของคนหลาย Gen กับกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ซึ่งมีรายได้มาก 100,000 บาทต่อครอบครัว พบว่า คนส่วนใหญ่ถึง 70.8% ต้องการอยู่อาศัยด้วยกันกับคนหลายวัย กลุ่มคนเหล่านี้มีฐานรายได้มากกว่า 300,000 บาทต่อครอบครัว   นายรุ่งโรจน์ จงศุจิพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส MQDC เปิดเผยว่า จากการทำวิจัย พบว่าคนต้องการมีความสุขในการอาศัยอยู่ร่วมกันกับคนหลายวัย เพราะผลวิจัยทั่วโลกพบว่าปัจจุบันคนมีปฏิสัมพันธ์น้อยลง  ข้อดีของการอยู่ร่วมกัน หากเป็นผู้สูงอายุจะมีอายุยืนยาวขึ้น  จากการมีปฏิสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ขณะที่เด็กทำให้เกิดการเรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนในสังคม   “เทรนด์สำคัญในระดับโลก หรือ Global Trend พบว่าการที่คนมีปัญหาเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกหลายรุ่น นำไปสู่ปัญหาต่างๆ ทั้งในครอบครัวและสังคม ทำให้เรามีความสุขน้อยลง”   ชู 4 จุดเด่นเพื่อคนทุก Gen   สำหรับแบรนด์ มัลเบอร์รี่ โกรฟ  คือแบรนด์ที่อยู่อาศัยระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ เรสซิเดนซ์ ที่มีทั้งแนวราบและแนวสูง หรือ มัลติ-แพลตฟอร์ม แห่งแรกของเมืองไทย ที่จะตอบโจทย์ครอบครัวในทุกรูปแบบ ซึ่งมีหัวใจหลักคือการเอื้อให้เกิดการใช้เวลาร่วมกันระหว่างสมาชิกหลายรุ่นในครอบครัว ผ่านการออกแบบที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนแต่ละเจเนอเรชั่นในครอบครัว  โดยมีจุดเด่นที่สำคัญ 4 ด้าน ได้แก่   1.“Designed for Intergenerational Harmony” ที่อยู่อาศัยที่ออกแบบเพื่อการอยู่อาศัยแบบครอบครัว Intergeneration ครั้งแรกของที่อยู่อาศัยที่ออกแบบภายใต้แนวคิดอันเกิดจากการสนับสนุนให้เกิดการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัว เพื่อสร้างช่วงเวลาแห่งความสุข โดยคิดผ่านการกระบวนการออกแบบจริงร่วมกับครอบครัวและนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาสร้างที่อยู่อาศัยให้กับครอบครัวแบบ Intergeneration พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการที่จะตอบสนองความต้องการของสมาชิกในครอบครัวทุกช่วงวัย   2.“Caring Community” ชุมชนการอยู่อาศัยแบบ Intergeneration ที่มีความอบอุ่น สร้างสายสัมพันธ์และเกื้อกูลกันทั้งในครอบครัวและชุมชน “มัลเบอร์รี่ โกรฟ” ออกแบบพื้นที่ให้ทุกคนในครอบครัวและชุมชนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน รวมถึงสามารถจัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้ เพื่อให้คนในครอบครัวที่ต่างช่วงอายุได้พัฒนาความคิดและจิตใจ ทั้งยังได้แลกเปลี่ยนความคิดอันจะก่อให้เกิดไอเดียการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ รวมถึงได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อนำมาซึ่งความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นจนเกิดเป็นความสุขทั้งในครอบครัวและชุมชนแห่ง Intergeneration   3.“Value Creation Neighborhood” การสร้างคุณค่าให้กับครอบครัวหลากหลายช่วงวัยและชุมชน โดยการอยู่อาศัยร่วมกันแบบ Intergeneration จะเป็นการเชื่อมโยงคุณค่าแห่งวัฒนธรรมการอยู่อาศัยของไทยในอดีตที่อยู่กันแบบครอบครัวใหญ่และมีความกตัญญูเกื้อกูลต่อกัน เข้ากับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งสังคมผู้มีอายุยืน (Aging Society) และการขยายของสังคมเมือง (Urbanization) ผ่านการออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์ครอบครัวหลายช่วงวัย สร้างคุณค่าในด้านเศรษฐกิจและด้านจิตใจให้กับทั้งครอบครัวและสังคม   4.“5 Dimensional Well-Being” ส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของครอบครัวให้ดีขึ้นในทุกมิติ นำไปสู่ความสุขอย่างยั่งยืน ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งสังคมที่อยู่อาศัยที่คำนึงถึงความสุขอย่างยั่งยืนนั้น จะสนับสนุนความสัมพันธ์ของสังคมกับธรรมชาติ เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ชุมชนเพื่อนบ้าน รวมไปถึงสังคมและธรรมชาติให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทันสมัย เลือกใช้วัสดุที่ปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทั้งต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม มีการออกแบบให้เหมาะสมกับทุกคนและทุกช่วงวัย (Universal Design) ให้ทุกเจเนอเรชั่น สามารถใช้พื้นที่แห่งความสุขร่วมกันได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ นำมาสู่การรับประกันของโครงการที่นานถึง 30 ปี     เตรียมเปิด 3 โปรเจ็กต์ 19,900 ล้าน   สำหรับในปีแรกนี้บริษัทเตรียมเปิดตัว 3 โครงการ มูลค่ารวม 19,900 ล้านบาท ใน 2 ทำเล ได้แก่  โครงการ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ สุขุมวิท” (MULBERRY GROVE Sukhumvit) ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท เพียง 250 เมตร จากรถไฟฟ้า BTS เอกมัย ซึ่งผ่านการเลือกสรรและวิเคราะห์ทำเลว่ามีองค์ประกอบในด้านต่าง ๆ ที่สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของสมาชิกในครอบครัวหลากหลายช่วงวัยได้เป็นอย่างดี โดยเป็นโครงการแบบ High Rise สูง 37 ชั้น จำนวน 286 ยูนิต และมีกำหนดเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้   ส่วนอีก 2 โครงการ จะพัฒนาภายในพื้นที่โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้แก่  โครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ จำนวน 283 ยูนิต โดยจะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้  และโครงการบ้านเดี่ยวในลักษณะ Cluster Villa ใน จำนวน 37 ยูนิต โดยจะเปิดตัวในช่วงปลายปีเช่นกัน  ซึ่งบริษัทวางเป้าหมายว่าในปีแรกจะสามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ​  5,000-6,000 ล้านบาท   ขณะที่ปีหน้าได้วางเป้าหมายการพัฒนาโครงการใหม่อีก 2 โครงการด้วย ซึ่งการเลือกทำเลที่ตั้งโครงการ จะต้องตอบโจทย์กับคนทุกเจเนอเรชั่น โดยจะต้องอยู่ใกล้โรงพยาบาลและสวนสาธารณะ สำหรับกลุ่มคนรุ่นปู่ย่า ตายายใกล้กับโรงเรียน สำหรับกลุ่มคนรุ่นลูกหลาน และใกล้ที่ทำงานหรือเดินทางสะดวก ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ใกล้รถไฟฟ้าหรือทางด่วน เพื่อรองรับกลุ่มคนพ่อแม่  
ธุรกิจโรงแรมสดใส 7 โรงแรมกลุ่มเพอร์เฟค คาดเติบโต 20%

ธุรกิจโรงแรมสดใส 7 โรงแรมกลุ่มเพอร์เฟค คาดเติบโต 20%

กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เผยพอร์ตโรงแรมกลุ่มเพอร์เฟค รวม 7 แห่ง เติบโตได้ดี คาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 4,200 ล้าน คิดเป็น 20% ของรายได้รวม เพราะอานิสงส์จากท่องเที่ยวเติบโต เผยแผนใน 2 ปีหน้า ตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจโรงแรมเพิ่มเป็น 5,300 ล้าน   นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เผยเกี่ยวกับธุรกิจด้านโรงแรมของกลุ่มบริษัทว่า เนื่องจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่ยังคงเติบโต มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพ ความหลากหลายของทรัพยากรท่องเที่ยว โอกาสทางการท่องเที่ยว และด้านที่ตั้งซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงทำให้ธุรกิจโรงแรมของบริษัทในปีนี้มีแนวโน้มของผลประกอบการเติบโตอย่างโดดเด่น โดยคาดว่าจะมีรายได้ 4,200 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 44% จากปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นรายได้จากโรงแรมในประเทศ ภายใต้บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) จำนวน 3,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,739 ล้านบาทในปีก่อน และอีก 1,200 ล้านบาท มาจากโรงแรมต่างประเทศ ซึ่งปีที่ผ่านมาทำได้ 1,175 ล้านบาท โดยรายได้จากธุรกิจโรงแรมจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของรายได้รวมของบริษัท เทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งคิดเป็น 14.8%  นอกจากนี้กลุ่มบริษัทยังตั้งเป้าจะเพิ่มรายได้จากธุรกิจโรงแรมในปี 2564 เป็น 5,300 ล้านบาท   ลูกค้าโรงแรมของกลุ่มบริษัท 5 อันดับแรกเป็นชาวต่างประเทศ ได้แก่ จีนซึ่งเป็นกลุ่มท่องเที่ยว รองลงมาเป็นญี่ปุ่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจ สหรัฐอเมริกาเป็นกลุ่มประชุม อินเดียที่นิยมมาจัดงานแต่งงาน และชาวเกาหลี ซึ่งเป็นทั้งกลุ่มธุรกิจและท่องเที่ยวในสัดส่วนเท่าๆ กัน   “ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ธุรกิจโรงแรมของกลุ่มบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดี โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพ ที่มีการเปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ ไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพ สุขุมวิท มีการเปิดรูฟท็อปบาร์ มีอัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้น และมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องเพิ่มขึ้น บวกกับการปรับกลยุทธ์มาขยายฐานลูกค้ากลุ่มไมซ์ (MICE) หรือกลุ่มธุรกิจและการประชุมมากขึ้น ซึ่งโรงแรมของเรามีความพร้อมสำหรับการจัดประชุมอยู่แล้ว ทั้งในด้านทำเลที่ตั้งและสถานที่จัดประชุม ทำให้สัดส่วนระหว่างลูกค้ากลุ่มธุรกิจและกลุ่มท่องเที่ยว เพิ่มเป็น 55:45 ช่วยเพิ่มรายได้ในส่วนของอาหารและเครื่องดื่มให้กับโรงแรม โดยนักเดินทางกลุ่มไมซ์ยังมีแนวโน้มการเติบโตได้อีกมาก”   ปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีโรงแรมทั้งหมด 7 แห่ง รวม 2,077 ห้องพัก บริหารงานโดยกลุ่มแมริออท และไฮแอท เป็นโรงแรมในประเทศ 5 แห่ง รวม 1,655 ห้องพัก ได้แก่ เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท, รอยัล ออคิด เชอราตัน, ไฮแอท รีเจนซี่  กรุงเทพ สุขุมวิท, เชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา และ เชอราตัน หัวหิน ปราณบุรี วิลล่า ส่วนโรงแรมต่างประเทศ มี 2 แห่ง รวม 422 ห้องพัก คือ เชอราตัน ฮอกไกโด คิโรโระ รีสอร์ท และ เดอะ คิโรโระ อะ ทรีบิวต์ พอร์ตโฟลิโอ ฮอกไกโด นอกจากนี้ ยังเดินหน้าสร้างโรงแรมแห่งใหม่บริเวณหาดแม่พิมพ์จังหวัดระยอง ในแบบมิกซ์ยูสประกอบด้วยโรงแรมขนาด 201 ห้องพัก คอนโดมิเนียม และพูลวิลล่า    
เปิดแผน “สิงห์ เอสเตท” ลุย 3 ธุรกิจ เดินหน้าสู่ “โกลบอล​ โฮลดิ้ง คัมปานี”

เปิดแผน “สิงห์ เอสเตท” ลุย 3 ธุรกิจ เดินหน้าสู่ “โกลบอล​ โฮลดิ้ง คัมปานี”

เป้าหมายการเติบโตสำคัญของ “สิงห์ เอสเตท” หรือ บริษัทสิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) คือ การสร้างตัวเลขรายได้ให้ถึง 20,000 ล้านบาท ภายในปี 2563 ด้วยโครงสร้างธุรกิจ ที่แข็งแกร่ง กับ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก  และธุรกิจที่พักอาศัย  แต่สำคัญกว่าตัวเลขรายได้ คือ การก้าวไปสู่การเป็นองค์กรระดับ “โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี”  โดยมีความท้าทายที่เป็นโจทย์ยาก คือ เติบโตด้วยความยั่งยืน   และแม้ว่าวันนี้หากดูพอร์ตฟอลิโอธุรกิจ จะเห็นการไปปักหมุดทำธุรกิจแล้วในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศอังกฤษ  มัลดีฟส์  ฟิจิ และมอริเชียส  ถือเป็นการประกาศความพร้อมสำคัญ และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพฝีมือการบริหารงานของกลุ่มคนไทย แต่อาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับ “สิงห์ เอสเตท” ในการก้าวไปสู่เป้าหมาย ยังคงต้องเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องไปในอีกหลายประเทศที่มีศักยภาพ  เพื่อสร้างการเติบโตแบบ “มั่นคง” และ “ยั่งยืน” นั่นเอง   เล็ง “เมียนมา-เวียดนาม” ขยายอสังหาฯ   นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” เปิดเผยว่า บริษัทได้รับการติดต่อจากนักธุรกิจชาวเมียนมา เพื่อให้เข้าไปร่วมทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศเมียนมา หลังจากเขาได้เห็นโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ โครงการมิกซ์ยูสระดับลักชัวรี่ บริเวณแยกเพชรบุรี-อโศก โดยนักธุรกิจดังกล่าวเป็นเจ้าของเหมืองหยกและทับทิมขนาดใหญ่ในเมียนมา มีที่ดินจำนวนมากกระจายอยู่ในหลายเมือง   อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นยังเป็นเพียงการเจรจาพูดคุย  ยังไม่ได้ทำการศึกษาในรายละเอียด แต่บริษัทก็มีความสนใจจะเข้าไปพัฒนาโครงการในเมียนมาด้วยเช่นกัน  เนื่องจากเป็นประเทศที่มีแรงงานจำนวนมาก มีทรัพยากรธรรมชาติ และมีการขยายโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งหากเข้าไปพัฒนาจะจับตลาดพรีเมียมเป็นหลัก นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสนใจในการขยายตลาดไปยังหลายประเทศในภูมิภาคที่มีศักยภาพ เช่น เวียดนาม เนื่องจากเป็นไปตามยุทธศาสตร์ของบริษัท ในการกระจายความเสี่ยงจากตลาดอสังหาฯ ภายในประเทศ และเป็นการก้าวไปสู่เป้าหมายการเป็น "โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี” (Global Holding Company) ด้วย   "ปัจจุบัน สิงห์ เอสเตท มีการทำธุรกิจด้านการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจที่พักอาศัย โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะนำบริษัทก้าวสู่การเป็น โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี ผ่านกลยุทธ์การขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ การสร้างแบรนด์ในระดับพรีเมียม การปรับองค์กรให้มีความคล่องตัว ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อส่งมอบคุณค่าที่ดีให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม"   เตรียมหมื่นล้านลุยธุรกิจ สำหรับแผนธุรกิจในปี 2562 บริษัทได้วางงบลงทุนไว้ 8,000-10,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ รูปแบบต่างๆ โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ ซอยรางน้ำ มูลค่า 4,500 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 3 การก่อสร้างอาคารสำนักงาน Oasis บนถนนวิภาวดี-รังสิต  ส่วนธุรกิจโรงแรมปัจจุบันสิงห์มีเปิดให้บริการ 37 แห่ง ใน 5 ประเทศ จำนวน 4,271 ห้อง โดยจะเปิดให้บริการอีก 2 แห่ง ในโครงการ CROSSROADS สาธารณรัฐมัลดีฟส์ รวม 376 ห้อง จากแผนดังกล่าวนี้จะทำให้ สิงห์ เอสเตท ก้าวขึ้นเป็น “โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี” อย่างสมบูรณ์แบบในปีนี้   ส่วนโครงการเดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น THE ESSE ASOKE ซึ่งมีการทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ส่วนโครงการ THE ESSE @SINGHA COMPLEX จะมีการโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบห้องให้ลูกค้าในไตรมาส 3 ปีนี้ นอกจากนี้บริษัทยังมีโครงการอื่นๆ ที่ทยอยรับรู้รายได้อีกอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ส่วนใหญ่ในปี 2562 และที่เหลือในปี 2563   “ถึงแม้ว่าตลาดอสังหาฯ จะมีการปรับตัวจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ อาทิ เช่น เศรษฐกิจที่ชะลอตัว และนโยบายกำกับดูแลสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อบ้าน แต่ สิงห์ เอสเตท ยังคงเดินหน้าลงทุนและพัฒนาโครงการตามแผนที่วางไว้ โดยมีความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ พร้อมรับความท้าทายของตลาดอสังหาฯ นอกจากนี้บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวอีกด้วย” เดินหน้าเป้าหมายรายได้ 20,000 ล้าน   สำหรับผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสแรกของปี 2562 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท สูงขึ้นมากกว่า 160% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  และมีกำไรสุทธิ 293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว   โดยปี 2562 ยังคงเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวรายได้จากการลงทุนในกิจการกลุ่มเอาท์ริกเกอร์ ที่มีโรงแรม 6 แห่ง และอาคารสำนักงานสิงห์ คอมเพล็กซ์ (The Office at SINGHA COMPLEX) ที่แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย และเริ่มรับรู้รายได้จาก โครงการ CROSSROADS สาธารณรัฐมัลดีฟส์  นอกจากนี้ สิงห์ เอสเตท ยังมีแผนนำธุรกิจโรงแรมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยช่วงปลายปีนี้ โดยใช้ชื่อ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน)       โดยแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 และช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการรับรู้รายได้ของการโอนกรรมสิทธิ์โครงการ The Esse Asoke  โครงการ The Esse at Singha Complex  และการรับรู้รายได้ของอาคารสำนักงานสิงห์ คอมเพล็กซ์  หากเป็นไปตามแผนธุรกิจ และไม่มีอะไรผิดพลาด ในปีนี้ก็มีสิทธิ์ลุ้นว่าบริษัทอาจจะมีรายได้ถึง 20,000 ล้านบาท เร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ว่าจะทำรายได้ดังกล่าวในปี 2563  ซึ่งเป็นผลจากทุกธุรกิจมีการเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่เป้าหมายที่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่นั้น  ต้องรอลุ้นกันอีกทีในช่วงปลายปีนี้
มีทุนแค่ 2 ล้าน ก็ลงทุนอสังหาฯ​ในอังกฤษได้

มีทุนแค่ 2 ล้าน ก็ลงทุนอสังหาฯ​ในอังกฤษได้

การซื้อโครงการคอนโดมิเนียม นอกจากอยู่อาศัยเองแล้ว ส่วนหนึ่งก็ยังเป็นการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ซื้อได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจซื้อเพื่อลงทุนโดยตรง หรือผลประโยชน์ทางอ้อมจากการปรับขึ้นของราคาคอนโดฯ ก็ตาม ที่ทำให้ผู้ซื้อได้มูลค่าเพิ่มมากขึ้น​ การเข้ามาลงทุนในตลาดคอนโดฯ​ หลายปีที่ผ่านมาจึงคึกคักพอสมควร เพราะถือเป็นช่วงเวลาที่มีการเติบโตสูง จึงเห็นมีกลุ่มนักลงทุนเข้ามาในตลาดจำนวนมาก ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนจากการปล่อยเช่า หรือการลงทุนจากการขายต่อแล้วได้ส่วนต่างของราคา   แต่โอกาสการลงทุนในคอนโดฯ ไม่ใช่มีเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์  ในเมืองไทยเท่านั้น ตลาดต่างประเทศหลายแห่งก็เป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับการเข้าไปลงทุน ที่เริ่มเป็นที่นิยมของกลุ่มคนไทยเพิ่มมากขึ้น  คงเป็นตลาดอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ เห็นได้จากเริ่มมีตัวแทนหรือเอเยนซี่ เอาโครงการหลากหลายประเภทเข้ามานำเสนอให้คนไทยได้เข้าไปจับจองเป็นเจ้าของและลงทุน   นางสาวดาว ไวรักษ์สัตว์ ผู้อำนวยการภูมิภาคสหราชอาณาจักร บริษัท พี เอ็น เอ็น แค็ปปิตอล จำกัด (PNN) เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ เป็นตลาดที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เพราะเป็นตลาดที่อยู่ตัวแล้ว มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และมีผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก นอกจากนี้ กฎหมายของประเทศอังกฤษเปิดโอกาสให้ต่างชาติถือครองอสังหาฯ ได้อย่างถูกต้อง 100%  มีการจัดการที่โปร่งใส ที่สำคัญผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง “ปลายปีแล้วบริษัทได้เริ่มนำโครงการ ELIZABETH มาแนะนำในตลาดไทย ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีมีคนไทยซื้อ 6 ยูนิต คนเอเชียซื้อ 4 ยูนิต รวมมูลค่าประมาณ​100 ล้านบาท และมีลูกค้าติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง”   ลงทุน 2 ล้านได้ผลตอบแทนสูงสุด 10%   ในปีนี้บริษัทจึงได้นำโครงการอสังหาฯ​ ในประเทศอังกฤษเข้ามาแนะนำให้คนไทยได้มีโอกาสเข้าไปลงทุนเพิ่ม โดยมีอสังหาฯ ประเภทอื่นนอกจากโครงการคอนโดฯ ด้วย ทั้งหุ้นกู้ อพาร์ตเม้นท์  ที่พักนักศึกษา  และโรงแรม มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2 ล้านบาท ไปจนถึง 100 ล้านบาท  เป็นโครงการที่อยู่ในเมืองที่กำลังเติบโตและมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ  มีผลตอบแทนการลงทุนอยู่ในระดับ 6.5%-10% ต่อปี  ได้แก่ 1.โครงการ Elizabeth Tower คอนโดหรู 52 ชั้น ตั้งอยู่ในเมืองแมนเชสเตอร์ มีระดับราคาเริ่มต้นยูนิตละ 2 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณปีละ ​7% หรือ มูลค่าอสังหาฯ ที่เพิ่มขึ้น 20-25%   2.โครงการ Vita Cardiff ที่พักนักศึกษาที่ถือได้ว่ามีอัตราการจองล่วงหน้าเป็นอันดับต้นๆของอังกฤษ ซึ่งผู้ประกอบการพัฒนาโครงการที่พักนักศึกษามาแล้วกว่า 20 แห่ง และจะเลือกพัฒนาในพื้นที่มีนักศึกษาอยู่หนาแน่นไม่ต่ำกว่า 30,000 คน โครงการสามารถขายต่อได้ง่ายและได้กำไรในอัตรา 10% และโครงการยังการันตรีผลตอบแทนในอัตรา 6.5% ในระยะ 3 ปี สำหรับกลุ่มนักลงทุน และหากซื้อยกชั้นผลตอบแทนจะได้รับผลตอบแทนการลงทุน 7% ซึ่งราคาขายยูนิตละ 5-6 ล้านบาท ส่วนค่าเช่าสำหรับนักศึกษาจะอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน   3.โครงการ Moseley Garden คอนโดหรูกลางใจเมืองเบอร์มิงแฮม ที่กำลังได้รับการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางทางการเงิน   4.โครงการ No7. by La Tour โรงแรมติดชายหาด ในเมือง Black Pool เมืองตากอากาศตอนกลางถึงตอนเหนือของอังกฤษ โครงการนี้สามารถลงทุนโดยได้รับโฉนดห้อง มีผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ​10% ต่อปี ผู้ซื้อสามารถขายคืนให้กับดีเวลลอปเปอร์ได้เมื่อถืออายุครบ 5 ปี   5.โครงการ Bolton Studio, Kensington Chelsea, London อพาร์ทเม้นท์ตกแต่งเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ใน Residential Zone เป็นสถานที่น่าอยู่ในลำดับต้น ๆ ของลอนดอน เหมาะสำหรับการซื้อเพื่อให้บุตรหลานเข้าเรียนต่อที่อิมพีเรียล คอลเลจ หรือการปล่อยเช่า หุ้นกู้อีกทางเลือกลงทุนระยะสั้นเพียง 1 ปี   นอกจากการลงทุนในอสังหาฯ ประเภทต่างๆ แล้ว ในประเทศอังกฤษ นักลงทุนยังสามารถลงทุนในรูปแบบหุ้นกู้กับดีเวลลอปเปอร์ได้ด้วย โดยจะได้รับผลตอบแทน 12-15% อายุสัญญา 1 ปี การที่ดีเวลลอปเปอร์มีการออกหุ้นกู้นั้น เป็นกระบวนการกู้เงินกับสถาบันการเงิน และการขอใบอนุญาตพัฒนาโครงการมีขั้นตอนล่าช้า และต้องเสียค่าธรรมเนียมหลายอย่าง  ทำให้เกิดความไม่คล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ  จึงหันมาออกหุ้นกู้โดยตรง ซึ่งบริษัทมีหุ้นกู้จากดีเวลลอปเปอร์ที่พัฒนาโครงการ 3 รูปแบบ ได้แก่ พัฒนาโรงแรม สนามบิน และระดมเงินเพื่อซื้อที่ดิน   โดยบริษัทเตรียมจัดสัมมนา “The UK Property” Investment Seminar 2019 หัวข้อ “ลงทุนต่างประเทศให้ผลตอบแทนไม่ต่างจากการลงทุนในไทย…จริงหรือ?” และ “ลงทุนเมืองอะไร และควรลงทุนแบบไหน ถึงได้ผลตอบแทนคุ้มค่า...มากที่สุด” พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับเอเจนซี่และนักลงทุน ในวันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน 2562  โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท ซึ่งปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถทำยอดขายได้ 300-500 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการอสังหาฯ​ ที่นำเข้ามาขาย 1,500 ล้านบาท    
3 เหตุผลสำคัญที่ “อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น

3 เหตุผลสำคัญที่ “อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น

สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ดูแล้วไม่ได้คึกคักเหมือนหลายปีที่ผ่านมา เพราะมีมาตรการ LTV มาลดระดับความร้อนแรงของกลุ่มนักเก็งกำไรและกลุ่มนักลงทุน แถมสภาพเศรษฐกิจก็ยังไม่ได้ฟื้นตัวดีขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อย่างกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน  ก็เลยออกอาการชะลอตัวตามไปด้วย  ทำให้ช่วงนี้ได้เห็นการทำตลาดสารพัดรูปแบบ และการจัดโปรโมชั่น “ลด แลก แจก แถม” ออกมากันทุกค่าย  เพราะต้องกระตุ้นยอดขายกันหน่อย ไม่เช่นนั้นยอดขายจะไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางกันไว้   นอกจากความเคลื่อนไหวในเรื่องสงครามโปรโมชั่นแล้ว  เห็นกันถี่ยิบแทบทุกเดือนแล้ว ความเคลื่อนไหวสำคัญของตลาดเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านที่สำคัญ คือ กลุ่มอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อนำเงินมาขยายธุรกิจและเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ให้สามารถแข่งขันได้กับเพื่อนๆ ในสงครามการค้า ที่มีทั้งแบรนด์ไทยและต่างชาติแข่งขันกันอย่างสนุกสนาน   หลังจาก บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ  ILM ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ล่าสุด ก.ล.ต.ได้อนุมัติให้สเนอขายหุ้นกับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก ซึ่งคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในไตรมาส 3 ของปี 2562 นี้ 3 เหตุผลระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ปัจจุบันบริษัท มีทุนจดทะเบียน 2,525 ล้านบาท เป็นหุ้นสามัญจำนวน 505 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (PAR) หุ้นละ 5 บาท เป็นทุนชำระแล้วจำนวน 2,000 ล้านบาท เป็นหุ้นสามัญจำนวน 400 ล้านหุ้น ซึ่งเตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 105 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 20.79% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท โดยวัตถุประสงค์ของการระดมทุนครั้งนี้ จะนำไปใช้ใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.ขยายธุรกิจของบริษัท ผ่านการลงทุนในรูปแบบต่างๆ  2.ชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงิน เช่น เงินกู้ยืมระยะสั้น สำหรับการจ่ายเงินปันผล 1,200 ล้นาบาท ให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)  และ 3.ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน   นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ ILM เปิดเผยว่า การเข้าระดมทุนครั้งนี้ เพื่อเสริมศักยภาพและขีดความสามารถการแข่งขันธุรกิจร้านค้าปลีกของแต่งบ้าน ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่  ผ่านร้านค้าปลีกทั้ง 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1.Index Living Mall 2. Trend Design 3. Winner และ 4. Younique ที่มีสินค้าครอบคลุมตั้งแต่ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ของใช้ภายในบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำหลากหลายแบรนด์ ทำให้สามารถตอบสนองกลุ่มลูกค้าได้ทุกไลฟ์สไตล์   เปิด 3 สาขา Index Living Mall      บริษัทมีแผนขยายสาขาเพิ่ม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคให้ได้มากขึ้น รองรับกับการขยายตัวของเมืองต่างๆ โดยจะเลือกทำเลที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ มีศักยภาพในการเติบโต และยังไม่มีร้านค้าของบริษัทตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง พื้นที่ดังกล่าวจะต้องมีประชากรหนาแน่นและมีศักยภาพในการซื้อสินค้า รวมถึงมีความสะดวกสบายในการเดินทางและสามารถเข้าถึงร้านค้าของบริษัทได้ง่าย   ปัจจุบันบริษัทมี Index Living Mall และ Index Furniture Center จำนวน 36 แห่ง  มีแผนขยายสาขาของร้านค้า Index Living Mall เพิ่ม 2-3 สาขาต่อปี ภายในปี 2562 – 2563  มีแผนเปิดร้าน Index Living Mall จำนวน 3 สาขา ได้แก่   1.สาขาจันทบุรี มีพื้นที่ขายประมาณ 3,500 ตารางเมตร ใช้เงินลงทุนประมาณ 160 ล้านบาท และคาดว่าจะเปิดบริการได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2562 2.สาขาสุขาภิบาล 3 ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างดำเนินการออกแบบรูปแบบโครงการ โดยโครงการดังกล่าวจะมีพื้นที่ขายประมาณ 3,500 ตารางเมตร และคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 160 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเปิดบริการได้ภายในเดือนธันวาคม 2563 3.สาขารามอินทรา โครงการดังกล่าวจะมีพื้นที่ขายและพื้นที่ให้เช่าประมาณ 9,200 ตารางเมตร คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท และเปิดบริการได้ภายในเดือนตุลาคม 2563 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบรูปแบบโครงการ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยจะคำนึงถึงศักยภาพและการเติบโตของพื้นที่ดังกล่าวเป็นหลัก เดินหน้าขยาย Younique+Winner เพิ่ม   ในปี 2560 บริษัทได้เปิดตัวบริการ “Younique Customized Furniture 4.0” ซึ่งเป็นบริการเฟอร์นิเจอร์สั่งตัดรูปแบบใหม่ที่ลูกค้าสามารถปรับแต่งขนาดและดีไซน์ได้เองตามความต้องการ และลูกค้าสามารถปรับขนาดของเฟอร์นิเจอร์สั่งตัดดังกล่าวได้อย่างอิสระ โดยในปี 2562 มีแผนขยาย Younique เพิ่มเติมในสาขาร้าน Index Living Mall โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 60 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ทั้งหมดภายในเดือนธันวาคม 2562   นอกจากนี้ ยังแผนขยายร้าน “Winner Furniture Center”  ที่จะจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ WINNER ซึ่งบริษัทดำเนินการและบริการเอง เป็นแบรนด์จับตลาดแมสเป็นหลัก ใน 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.รูปแบบ Compact ที่มีพื้นที่ประมาณ 1,050 ตารางเมตร และใช้เงินลงทุนประมาณ 25 ล้านบาทต่อสาขา   2.รูปแบบ Standard ที่มีพื้นที่ประมาณ 1,411 ตารางเมตร และใช้เงินลงทุนประมาณ 33 ล้านบาทต่อสาขา และ  3.รูปแบบ Extra ที่มีพื้นที่ประมาณ 1,700 ตารางเมตร และใช้เงินลงทุนประมาณ 35 ล้านบาทต่อสาขา   ในปีนี้บริษัทจะเปิดทั้งหมด 2 สาขา และคาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งหมดประมาณ 60 ล้านบาท โดยจะเปิดร้านค้าเฟอร์นิเจอร์ขนาดเล็กสาขาแรกที่จังหวัดราชบุรี ในรูปแบบ Standard ซึ่งคาดว่าจะมีพื้นที่ขายประมาณ 1,500 ตารางเมตร ปัจจุบันได้จัดหาและลงนามสัญญาเช่าที่ดินสำหรับร้านดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างออกแบบรูปแบบโครงการ โดยจะสามารถเปิดบริการได้ภายในเดือนสิงหาคม 2562   ลุยโปรเจ็กต์ “โซลาร์รูฟท็อป” ลดค่าไฟฟ้า   ในปี 2561  กลุ่มบริษัท ได้ทดลองติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) เพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งได้เริ่มติดตั้งที่โรงงานและร้านค้า Index Living Mall จำนวน 4 สาขา ผลปรากฎว่าทั้งโรงงานและร้านค้าทั้ง 4 สาขา มีค่าไฟฟ้าลดลง ในปีนี้บริษัทจึงมีแผนขยายการลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อป ที่ร้าน Index Living Mall อีกจำนวน 6 สาขา  คาดว่าใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท   ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต ด้วยการนำเครื่องจักรที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมาใช้มากขึ้น และเน้นการผลิตแบบอัตโนมัติ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มมาตรฐาน และความแม่นยำในการผลิตสินค้า ลดความผิดพลาดจากพนักงานในกระบวนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งรับรองการผลิตสินค้า Younique ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนทั้งหมดประมาณ 223 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทได้ซื้อเครื่องจักรและเริ่มติดตั้งแล้วบางส่วน ซึ่งคาดว่าทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2562 ในปีนี้บริษัทยังมีแผนการลงทุนในโครงการย่อย ๆ อื่น โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งหมดประมาณ 213 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการปรับปรุงอาคารของร้านค้า Index Living Mall และอาคารสำนักงานใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 98 ล้านบาท 2. โครงการลงทุนทางด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับการซื้อโปรแกรมและอัพเกรดโปรแกรม ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 80 ล้านบาท 3. โครงการปรับปรุงพื้นอาคารและซื้อชั้นวางสินค้าของศูนย์กระจายสินค้าเอกชัย และซื้อสินทรัพย์อื่นๆ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 18 ล้านบาท และ 4. โครงการซื้อรถยนต์และรถบรรทุกส่งสินค้าใหม่ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 17 ล้านบาท   3 ปีรายได้โตเฉลี่ย 1.2%    สำหรับผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา  มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 2,299 ล้านบาท ลดลง 1.15% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 2,326 ล้านบาท ส่วนปี 2561 บริษัทมีรายได้ รวมที่ 9,767 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 431 ล้านล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น ที่ 44% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิที่ 4.4%  ส่วนผลประกอบการในช่วงปี 2559-2561 ที่ผ่านมา บริษัทเติบโตเฉลี่ย 1.20% ต่อปี โดยในปี 2559 มีรายได้รวม 8,954.90 ล้านบาท  ปี 2560 มีรายได้รวม 8,908.30 ล้านบาท และปี 2561 มีรายได้รวม 9,174.20 ล้านบาท  
“ออริจิ้น” เตรียมส่งแบรนด์คอนโดฯ น้องใหม่ “ดิ ออริจิ้น” เจาะตลาด First Jobber

“ออริจิ้น” เตรียมส่งแบรนด์คอนโดฯ น้องใหม่ “ดิ ออริจิ้น” เจาะตลาด First Jobber

“ออริจิ้น” เตรียมส่งแบรนด์คอนโดน้องใหม่ “ดิ ออริจิ้น” เจาะตลาด First Jobber และ First Condo Buyer 6 โครงการ 6 ทำเล ทั่วกรุงเทพฯ ประเดิมโปรเจ็กต์แรก “The Origin Ram 209 Interchange” มูลค่า 1,900 ล้านบาท เชื่อมรถไฟฟ้าสายสีส้ม-ชมพู ชิมลาง เปิดพรีเซลราคาเริ่มต้น 1.29 ล้าน   นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 บริษัทจะส่งแบรนด์คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “ดิ ออริจิ้น” (The Origin) กระจายบุกไปยังทำเลต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯถึง 6 โครงการ 6 ทำเล ได้แก่ สุขุมวิท รัชดา ลาดพร้าว รามอินทรา รามคำแหง พหลโยธิน เน้นเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) อายุประมาณ 23-28 ปี และกลุ่มที่กำลังต้องการซื้อคอนโดมิเนียมเป็นทรัพย์สินอย่างแรก (First Condo Buyer) “แบรนด์น้องใหม่ บริษัทพัฒนา ให้เป็น Smart Product และมี Service Excellence ที่สามารถตอบโจทย์และแก้ Pain Point ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีฟังก์ชั่นต่างๆ ภายในห้อง มีพื้นที่ส่วนกลางที่อำนวยความสะดวกให้กับทุกช่วงเวลาของการใช้ชีวิต ในราคาที่เข้าถึงได้ โดยเราจะเปิดตัวแคมเปญสะท้อนทั้งความเป็นตัวตนของแบรนด์และฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์คนยุคปัจจุบันในช่วง กลางเดือนกรกฎาคมนี้” นายอภิสิทธิ์ กล่าว   โดยในช่วงปลายเดือนมิถุนายน นี้ บริษัทจะเปิดตัวโครงการภายใต้แบรนด์ดิ ออริจิ้น นำร่องก่อน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการ ดิ ออริจิ้น ราม 209 อินเตอร์เชนจ์ (The Origin Ram 209 Interchange) มูลค่าโครงการประมาณ 1,900 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่สูงที่สุดในย่านมีนบุรี ด้วยความสูง 109 เมตร ทำให้เห็นวิวได้รอบทิศทาง ใกล้โรงเรียนชั้นนำและศูนย์การค้าขนาดใหญ่จำนวนมาก พร้อมเปิดพรีเซล 29 มิถุนายนนี้ ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 1.29 ล้านบาท   “ย่านรามคำแหง-มีนบุรี เป็นย่านที่มีความต้องการอยู่อาศัยจริง และถือเป็นทำเลแห่งอนาคต เพราะกำลังจะมีรถไฟฟ้าถึง 2 สายเชื่อมเข้าไปสู่แหล่งงานสำคัญอย่างอโศก-พระราม 9 และดอนเมือง-แจ้งวัฒนะ มีร้านอาหาร มีแหล่งช้อปปิ้ง มีโรงพยาบาล อำนวยความสะดวกมากมาย ขณะที่มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่สะสมยังไม่มากนัก จึงเป็นสาเหตุให้เราเลือกนำร่องแบรนด์ใหม่ด้วยทำเลนี้” นายอภิสิทธิ์ กล่าว สำหรับโครงการดิ ออริจิ้น ราม 209 อินเตอร์เชนจ์ ตั้งอยู่บนถนนรามคำแหง ติดสถานีอินเตอร์เชนจ์มีนบุรีเชื่อมรถไฟฟ้า 2 สาย ได้แก่ สายสีส้มตะวันออกและสายสีชมพู บนพื้นที่ขนาดประมาณ 4 ไร่ 87 ตารางวา ประกอบด้วยอาคารสูง 31 ชั้น จำนวน 1 อาคาร และอาคารจอดรถ 8 ชั้นอีก 1 อาคาร ภายในโครงการประกอบด้วยพื้นที่สีเขียวถึง 3,000 ตารางเมตร  พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวนมากที่สุดในย่านและตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ถึง 17 อย่าง อาทิ จ๊อกกิ้งแทร็ก, Street Basketball, Sky garden, Sky Lounge, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ, Theatre Room, Game Room, Private Party Room, Co-working Space   ขณะที่ห้องพักอาศัย ประกอบด้วยห้องพักขนาดตั้งแต่ 22-34 ตารางเมตร  ตกแต่งแบบ Fully-fitted พร้อมระบบ Home Automation อำนวยความสะดวกในชีวิตได้จากปลายนิ้ว คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4 ของปีนี้และแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปี 2564  
ซีคอน โฮม ล้างภาพ “เชย-ช้า-จุกจิก” วางเป้าหมายอีก 2 ปีทำยอดขาย 2,000 ล้าน

ซีคอน โฮม ล้างภาพ “เชย-ช้า-จุกจิก” วางเป้าหมายอีก 2 ปีทำยอดขาย 2,000 ล้าน

ในแต่ละปีการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเมินมูลค่ามีกว่า 600,000 ล้านบาท  เป็นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม หรือทาวน์โฮม คาดว่ามีมูลค่ากว่า 450,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นมูลค่าของตลาดรับสร้างบ้านที่คาดว่าจะมีประมาณ​ 150,000 ล้านบาท ซึ่งตลาดรับสร้างบ้านที่เป็นผู้ประกอบการอยู่ในสมาคมหลัก 2 สมาคม ได้แก่ สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน และสมาคมไทยรับสร้างบ้าน มีตัวเลขผลประกอบการรวมๆ กันปีละกว่า 20,000 ล้านบาทเท่านั้น  ที่เหลือเป็นกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย ผู้รับเหมาอิสระ หรือช่างฝีมือทั่วไปที่รับงานตามต่างจังหวัด โอกาสทางการตลาดของธุรกิจรับสร้างบ้านจึงยังมีอีกมหาศาล  ที่จะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมุมมองของ “มนู ตระกูลวัฒนะกิจ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน โฮม จำกัด  เห็นว่าธุรกิจรับสร้างบ้านสามารถเติบโตได้มากกว่านี้ถึง 5 เท่า  เพราะปัจจุบันบริษัทในธุรกิจรับสร้างบ้านยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่บริษัทเองแม้จะดำเนินธุรกิจมายาวนานถึง 58 ปี แต่ผลประกอบการยังอยู่ในระดับ 1,300 ล้านบาทในปีที่ผ่านมาเท่านั้น  ภายหลังจากได้เข้ามาบริหารงาน จึงวางเป้าหมายว่าภายในอีก 2 ปีข้างหน้า  จะต้องทำให้ซีคอน โฮม เติบโตทำยอดขายได้ถึง 2,000 ล้านบาท  ส่วนปีนี้ได้วางเป้าหมายยอดขายไว้ 1,600 ล้านบาท เฉพาะ 5 เดือนแรกสามารถทำยอดขายได้ 950 ล้านบาทแล้ว สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท เพื่อไปสู่เป้าหมายยอดขาย 2,000 ล้านบาท ภายในระยะ 2 ปีนับจากนี้  คือ รีแบรนด์ ปรับพอร์ต+รุกการตลาดเพิ่ม ก่อนหน้านี้ บริษัทมีแบรนด์ทำตลาดด้วยกัน 3 แบรนด์ ได้แก่  1.แบรนด์ซีคอน​ โฮม จับตลาดรับสร้างบ้านราคาสูงตั้งแต่ 18,000-20,000 บาทต่อตารางเมตร 2.แบรนด์คอมแพค โฮม จับตลาดรับสร้างบ้านราคาระดับปานกลาง ราคา 15,000-18,000 บาทต่อตารางเมตร และ 3.แบรนด์บัดเจด โฮม จับตลาดรับสร้างบ้านระดับราคาต่ำ 12,000-15,000 บาทต่อตารางเมตร แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังจดจำแบรนด์ซีคอน โฮมได้ดีกว่า แม้จะมาใช้บริการแบรนด์คอมแพค โฮม หรือแบรนด์บัดเจท โฮม ก็มักจะพูดเสมอว่าใช้บริการของแบรนด์ซีคอน โฮม บริษัทจึงทำการยกเลิกการทำตลาดและให้บริการกับ 2 แบรนด์ดังกล่าวตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แต่ยังคงมีบ้านระดับราคาต่ำและปานกลางให้บริการลูกค้าเหมือนเดิม นอกจากนี้ ยังเตรียมรีแบรนด์และปรับภาพลักษณ์โลโก้ใหม่ของแบรนด์ซีคอนโฮมในช่วงปลายปีนี้ด้วย  โดยบริษัทจะยึดหลักหรือแนวคิดในการดำเนินธุรกิจในการให้บริการของลูกค้า คือ  ความคงทนแข็งแรง การควบคุมระยะเวลาก่อสร้างได้ตามกำหนด และการควบคุมงบประมาณไม่ให้บานปลาย  ขณะที่แนวทางการทำตลาดจะรุกหนักเพิ่มมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการสื่อสารและการสร้างแบรนด์ การจัดโปรโมชั่น การขยายสาขาเพิ่ม และการทำตลาดออนไลน์ผ่านสื่อดิจิทัล และโซเชียลมีเดียต่างๆ การนำเอาดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อการขายแทนการพิมพ์โบชัวร์ เป็นต้น ซึ่งบริษัทได้วางแผนใช้งบประมาณด้านการตลาดไว้ 3% ของยอดขาย จากก่อนหน้านี้ที่ใช้งบประมาณไม่ถึง 3%   จัดระเบียบหลังบ้าน แก้ 3 คีย์เวิร์ด “เชย-ช้า-จุกจิก”   ภายหลังจากที่ “มนู ตระกูลวัฒนะกิจ” เข้ามาทำงาน 3 เดือน ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “กอบชัย ซอโสตถิกุล” ประธานกรรมการบริหารซีคอนกรุ๊ป ถึงการทำงานที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไรบ้างนั้น  สิ่งที่เขาตอบกลับไป คือ การค้นพบ 3 คีย์เวิร์ดสำคัญภายใน “ซีคอนโฮม” ที่ควรจะปรับปรุงแก้ไข คือ “เชย ช้า และจุ๊กจิก” เชย คือ รูปแบบของบ้านที่นำออกมาให้ลูกค้าได้เลือก ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดระยเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะ 10 ปีหรือ 20 ปีเป็นมาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น  ช้า คือ การดำเนินธุรกิจมีกระบวนการ ขั้นตอน ที่ล่าช้า ไม่ต่างไปจากระเบียบขั้นตอนของทางราชการ จุกจิก คือ ขาดระบบการบริหารจัดการที่ชัดเจน เวลามีปัญหาเกิดขึ้นก็แก้ไขเฉพาะหน้า ไม่ได้ถูกวางระบบให้ชัดเจน เช่น การเก็บเงินลูกค้าเพิ่ม เมื่อเกิดปัญหาการขนส่งวัสดุก่อสร้างเข้าไปในซอยเล็กๆ เพราะต้องเปลี่ยนรถให้เล็กลง หรือการจะต้องเจอกับปัญหาฝนตกที่ทำให้งานล่าช้า ซึ่งกระบวนการต่างๆ เหล่านี้เป็นปัญหาจุกจิกที่ไม่ได้รับการบริหารจัดการให้ดี ทั้งๆ ที่รู้ว่าปัญหาจะเกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว เป็นต้น เพียงระยะเวลา 1 ปี 3 ปัญหาสำคัญดังกล่าว ก็ถูกจัดการแก้ไขให้แล้วเสร็จ  ปัญหาเรื่อง “เชย” ได้ทำการพัฒนาแบบบ้านใหม่ออกมา 12 แบบ  ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน และแต่ละกลุ่มเป้าหมาย “ช้า”  จากกระบวนการขั้นตอนของการบริการลูกค้า ที่อดีตนับตั้งแต่วันที่เซ็นสัญญากับลูกค้าจนส่งมอบบ้าน ใช้ระยะเวลาถึง 18 เดือน ปัจจุบันได้ลดขั้นตอนต่างๆ ให้เร็วขึ้นเหลือเพียง 12 เดือน หรืออย่างน้อยลดความล่าช้าในการส่งมอบบ้านให้ลูกค้าลง 2-3 เดือนต่อหลัง “จุกจิก” ได้ลดขั้นตอนและปัญหาต่างๆ ไม่ให้เกิดขึ้น โดยเมื่อตกลงกับลูกค้าไว้ตั้งแต่ต้นอย่างไรก็จะเป็นไปตามนั้น ไม่มีการเก็บเพิ่มเงินกับลูกค้าระหว่างการก่อสร้าง    
ดีเวลลอปเปอร์ ปั้นโปรเจ็กต์อสังหาฯ ในเชียงใหม่-เชียงราย มูลค่ากว่า 1.17 แสนล้าน

ดีเวลลอปเปอร์ ปั้นโปรเจ็กต์อสังหาฯ ในเชียงใหม่-เชียงราย มูลค่ากว่า 1.17 แสนล้าน

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้จัดทำรายงานสรุปผลการสำรวจ โครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2561 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย โดยนับเฉพาะโครงการที่มียูนิตเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 ยูนิต จากการสำรวจพบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายจำนวน 257 โครงการ มียูนิตในผังโครงการรวมทั้งสิ้น 32,075 ยูนิต มีมูลค่าโครงการรวม 117,859 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรร 203 โครงการ มียูนิตในผังจำนวน 23,470 ยูนิต มีมูลค่าโครงการรวม 87,143 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 50 โครงการ มียูนิตในผังจำนวน 8,539 ยูนิต มีมูลค่าโครงการรวม 28,840 ล้านบาท และโครงการวิลล่า 4 โครงการ มียูนิตในผังจำนวน 66 ยูนิต มีมูลค่าโครงการรวม 1,875 ล้านบาท ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า จากการสำรวจในช่วงครึ่งหลังปี 2561 ในพื้นที่สำรวจจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย มียูนิตเหลือขายจำนวน 10,762 ยูนิต หรือ 33.6% ของยูนิตในผังโครงการทั้งหมด โดยโครงการบ้านจัดสรรมียูนิตเหลือขายจำนวน 8,221 ยูนิต หรือ 35.0% ของยูนิตในผังโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมด โครงการอาคารชุดมียูนิตเหลือขายจำนวน 2,524 ยูนิต หรือ 29.6% ของยูนิตในผังโครงการอาคารชุดทั้งหมด และโครงการวิลล่ามียูนิตเหลือขายจำนวน 17 ยูนิต หรือ 25.8% ของยูนิตในผังโครงการวิลล่าทั้งหมด โครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวน 222 โครงการ มียูนิตในผังของทุกโครงการรวมกัน 28,552 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 106,882 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 9,459 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 36,528 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 169 โครงการ มีจำนวนยูนิต 20,295 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 76,776 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 6,981 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 27,406 ล้านบาท โครงการอาคารชุด จำนวน 49 โครงการ มีจำนวนยูนิต 8,191 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 28,231 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 2,461 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 8,665 ล้านบาท และมีโครงการวิลล่า จำนวน 4 โครงการ มียูนิตในผังจำนวน 66 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 1,875 ล้านบาท ยูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 17 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 458 ล้านบาท ทั้งนี้ ยูนิตในผังโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด จำนวน 28,486 ยูนิต เป็นบ้านเดี่ยวมากที่สุด 43.9% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3 - 5 ล้านบาท รองลงมาเป็นอาคารชุด2 8.8% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 2 - 3 ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์ 14.1 ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 2 - 3 ล้านบาท บ้านแฝด 6.4% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 2 - 3 ล้านบาท ที่เหลือเป็นที่ดินเปล่าและอาคารพาณิชย์ ตามลำดับ ทำเลบ้านจัดสรรในจังหวัดเชียงใหม่ที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อยูนิตทั้งหมดในโครงการ ได้แก่ 1. ทำเลหางดงตอนบน ขายได้ 82.1% มูลค่าขายได้ 4,489 ล้านบาท 2.ทำเลท่ารั้ว-ดอยสะเก็ด ขายได้ร้ 81.6% มูลค่าที่ขายได้ 2,697 ล้านบาท 3.ทำเลในเมือง ขายได้ 78.3% มูลค่าที่ขายได้ 2,338 ล้านบาท 4.ทำเลแม่ริม ขายได้ 74.4% มูลค่าที่ขายได้ 2,793 ล้านบาท และ 5.ทำเลสารภี ขายได้ 72.% มูลค่าที่ขายได้ 6,226 ล้านบาท ส่วนทำเลอาคารชุดในจังหวัดเชียงใหม่ที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อยูนิตทั้งหมดในโครงการ ได้แก่ 1.ทำเลในเมือง ขายได้ 85.8% มูลค่าที่ขายได้ 8,429 ล้านบาท 2.ทำเล ม.พายัพ ขายได้ร้ 81.7% มูลค่าที่ขายได้ 4,351 ล้านบาท 3.ทำเลสันทราย ขายได้ 71.1% มูลค่าที่ขายได้ 2,100 ล้านบาท 4.ทำเลแม่ริม ขายได้ 61.3% มูลค่าที่ขายได้ 334 ล้านบาท และ 5.ทำเลหางดงตอนบน ขายได้ 57.4% มูลค่าที่ขายได้ 4,239 ล้านบาท   โครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดเชียงราย มีจำนวน 35 โครงการ มียูนิตในผังของทุกโครงการรวมกัน 3,523 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 10,976 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 1,303 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 4,596 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 34 โครงการ มีจำนวนยูนิต 3,175 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 10,367 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 1,240 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 4,476 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด จำนวน 1 โครงการ มีจำนวนยูนิต 348 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 609 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 63 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 120 ล้านบาท ทั้งนี้ ยูนิตในผังโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุดจำนวน 3,523 ยูนิต เป็นบ้านเดี่ยวมากที่สุด 41.5% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3 – 5 ล้านบาท รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์ 17.1% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 1 – 1.5 ล้านบาท เป็นอาคารพาณิชย์ 16.3% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3 - 5 ล้านบาท เป็นที่ดินเปล่า 11.0% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 2 - 3 ล้านบาท เป็นอาคารชุด 9.9% ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 1.5 – 2 ล้านบาท ที่เหลือเป็นบ้านแฝด ตามลำดับ สำหรับทำเลบ้านจัดสรรในจังหวัดเชียงรายที่ขายดี โดยดูจากสัดส่วนที่ขายได้ต่อยูนิตทั้งหมดในโครงการ และเรียงลำดับจากสัดส่วนที่ขายได้มากที่สุด ได้แก่ 1.ทำเลแม่สาย ขายได้ 86.4% มูลค่าขายได้ 221 ล้านบาท 2.ทำเลเชียงแสน ขายได้ 74.1% มูลค่าที่ขายได้ 240 ล้านบาท 3.ทำเลสนามบิน-ม.แม่ฟ้าหลวง ขายได้ 72.3% มูลค่าที่ขายได้ 2,174 ล้านบาท และ 4.ทำเลในเมืองเชียงราย ขายได้ 51.5% มูลค่าที่ขายได้ 3,255 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนทำเลอาคารชุดทำเลสนามบิน-ม.แม่ฟ้าหลวง ขายได้ 81.9% มูลค่าที่ขายได้ 489 ล้านบาท
แสนสิริ เปิดตัวแพลตฟอร์มดิจิทัลเอาใจลูกบ้านรุ่นใหม่ “3D Living” แต่งบ้านง่ายแค่ปลายนิ้ว

แสนสิริ เปิดตัวแพลตฟอร์มดิจิทัลเอาใจลูกบ้านรุ่นใหม่ “3D Living” แต่งบ้านง่ายแค่ปลายนิ้ว

แสนสิริ เดินหน้าการบริการลูกบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ได้ทำการรีแบรนด์ “Sansiri Family” แพลตฟอร์มดิจิทัลที่ดูสดใส ทันสมัย อบอุ่น เข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อการอยู่อาศัยครบวงจรที่ออกแบบมาตอบโจทย์ทุกความต้องการของครอบครัวแสนสิริ ภายใต้แนวคิด “ONE-OF-A-KIND Experiential Living Journey” เพราะเชื่อว่าการบริการหลังการขายคือปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ก่อนซื้อบ้านของคนรุ่นใหม่ โดยล่าสุดเปิดตัว “3D Living” บริการตกแต่งภายในแบบ 3 มิติและสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์ได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว เริ่มเพียง 34,000 บาท “Garden Design” บริการออกแบบสวน และ “Fresh Start” บริการอาหารและพริวิเลจเอาใจคนรักสุขภาพ ตั้งเป้าขยายฐานSansiri Family โตขึ้นถึงกว่า 120,000 รายหรือคิดเป็น 50% จากปีที่ผ่านมา   นางกมลวรรณ ประสิทธิ์วุฒิเวชช์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกลยุทธ์ด้านการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ว่า ปัจจุบันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่เพียงแค่แข่งขันกันด้านการสร้างยอดขายเพียงเท่านั้น แต่ การช่วงชิงสัดส่วนทางการตลาดด้วยการบริการ (Service) กลายเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เราจึงผลักดันกลยุทธ์ด้านบริการตามแนวคิด “บ้านที่ได้มากกว่าบ้าน” เพื่อการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่ก้าวแรกตลอดจน ก่อนอยู่อาศัยและหลังอยู่อาศัย ซึ่งหัวใจสำคัญที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับกลยุทธ์ด้านการบริการของแสนสิรินี้ มี Sansiri Family แพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็นศูนย์กลางในการดูแลลูกบ้านของแสนสิริอย่างครบวงจร ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่เป็นลูกบ้านของแสนสิริซึ่งมีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมมอบเอกสิทธ์เหนือระดับในรูปแบบของพริวิเล็จอีกมากมาย อาทิ บริการขนย้าย (Moving Service) บริการทำความสะอาด (Cleaning Service) และบริการด้านการออกแบบตกแต่ง (Design Service) โดยร่วมกับพันธมิตรชั้นนำและระดับโลกกว่า 250 ราย     เปิดตัวบริการล่าสุด “3D Living” ซึ่งเป็นการจับมือกับHomeprise (โฮมไพรส์) แพลตฟอร์มด้านการออกแบบตกแต่งภายใน ชื่อดังของไทย โดยลูกบ้านสามารถออกแบบตกแต่งที่อยู่อาศัยตามรูปแบบและขนาดจริงของโครงการแสนสิริ แล้วเลือกวางเฟอร์นิเจอร์ผ่านโปรแกรม 3D Living บนหน้าเว็บไซต์ https://family.sansiri.com/ เพื่อให้เห็นขนาดห้องจริงเมื่อวางเฟอร์นิเจอร์ลงไปแล้ว และยังสามารถกดสั่งซื้อได้เลย ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 34,000 บาท ตกแต่งไม่เกิน 30 วันนับจากวันที่ลูกค้าชำระเงิน และยังเป็นการรวบรวม “Designer Hub” ดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ที่มีคุณภาพมาร่วมให้บริการในการออกแบบตกแต่งที่อยู่อาศัย รวมถึงเลือกสรรสไตล์การตกแต่งห้องจากดีไซน์สำเร็จโดยนักออกแบบมืออาชีพที่มีกว่าหลายร้อยดีไซน์   นอกจากนี้ยังมีแคมเปญภายใต้ฟังก์ชั่น Easy Living อย่าง “Let’s go green” ที่นำเสนอบริการ Garden Design ที่จะช่วยออกแบบ ตกแต่ง และดูแลรักษาสวนแบบครบวงจรรวมถึงแคมเปญ “Fresh Start” บริการอาหารเอาใจคนรักสุขภาพ นอกจากนี้ สำหรับลูกบ้านที่ชื่นชอบการสังสรรค์แสนสิริ ยังได้นำเสนอบริการ “Party Celebration” รวบรวมพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยทำให้ทุกการจัดปาร์ตี้หรือเลี้ยงสังสรรค์ที่บ้านในทุกโอกาสสำคัญเป็นเรื่องง่าย ตลอดจนไลฟ์สไตล์พริวิเล็จมากมาย     ในปี 2561 มีกลุ่มลูกค้า Sansiri Family เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน (มิ.ย.2562) Sansiri Priority ซึ่งเป็นกลุ่มฐานลูกค้าที่มีศักยภาพสูง ทั้งลูกค้าผู้อยู่อาศัยและ นักลงทุน เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยจำนวนสมาชิกกว่า 250 ราย รวมมูลค่าพอร์ตโฟลิโอกว่า 35,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 50% และคาดว่าจะเติบโตขึ้นถึง 120,000 รายภายในปี 2562    
“ซีแพนแนล” รับผลบวกมาตรการ LTVหลังดีเวลลอปเปอร์ หันมาขยายตลาดบ้านแนวราบ

“ซีแพนแนล” รับผลบวกมาตรการ LTVหลังดีเวลลอปเปอร์ หันมาขยายตลาดบ้านแนวราบ

การออกมาตรการ LTV หรือ อัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ลดระดับความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการสกัดกลุ่มนักลงทุนและเก็งกำไร ในตลาดคอนโดมิเนียม ผู้ประกอบการหลายรายต่างก็ส่งเสียงไปในทิศทางเดียวกันว่า ทำให้ภาพรวมตลาดชะลอตัวลง ลูกค้าซื้อที่อยู่อาศัยได้ยากขึ้น เพราะต้องหาเงินมาดาวน์บ้านเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ก็ไม่ใช่ผู้ประกอบการในวงการอสังหาฯ ทุกราย ที่ได้รับผลกระทบในเชิงลบ ยังมีคนในวงการบางรายที่ได้รับผลบวกจากมาตรการ  อย่างเช่นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายผนังคอนกรีตสำเร็จรูป หรือระบบพรีคาสท์ เพราะลูกค้าตลาดบ้านแนวราบขยายตัวเพิ่มมากขึ้น   นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผนังคอนกรีตสำเร็จรูป เปิดเผยว่า จากการออกมาตรการ LTV ในปีนี้ ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ประเภทโครงการแนวราบ มีอัตราการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดเจน เพราะผู้ประกอบการปรับตัว หันมาพัฒนาโครงการแนวราบกันจำนวนมากขึ้น  เนื่องจากเป็นตลาดเรียลดีมานด์ นอกจากนี้ ยังพบว่าแผนขยายเส้นทางรถไฟฟ้าที่มีความชัดเจน และออกมาจำนวนมากนั้น  ส่งผลดีต่อโครงการอสังหาฯ  แนวราบ โดยเชื่อว่าจะทำให้ตลาดบ้านแนวราบเติบโตต่อเนื่องถึง 10 ปี     “ตลาดบ้านแนวราบเมื่อ 4-5 ปีก่อนหน้า ไม่เติบโตชัดเจนขนาดนี้ สาเหตุเป็นเพราะมาตรการ LTV และผังเส้นทางรถไฟฟ้า ที่ทำให้คนไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในเมืองเท่านั้น”   ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าโครงการคอนโดฯ​ ประมาณ​ 5% เท่านั้น จากช่วงเริ่มต้นธุรกิจใน 2ปีแรกมีสัดส่วนลูกค้าโครงการคอนฯ ประมาณ 20% ซึ่งบริษัทมีลูกค้าอยู่ประมาณ 15 ราย มียอดขายรอรับรู้รายได้ หรือ Backlog มูลค่า 500 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2563   นายชาคริต กล่าวอีกว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าอีก 4-5 ราย ซึ่งมีมูลค่างานเฉลี่ย 100-200 ล้านบาท โดยหากได้ลูกค้าดังกล่าวเพิ่มจะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทอีกจำนวนมาก จากปีนี้ที่คาดว่าจะสร้างรายได้ 318-330 ล้านบาท หรือเติบโต 30-40% จากปีที่ผ่านมารับรู้รายได้มูลค่า 240ล้านบาท   “ถ้าลูกค้าที่อยู่ระหว่างการเจรจาเข้ามา จะเป็นรายได้พิเศษเพิ่ม ซึ่งปีหน้าจะทำให้บริษัทเติบโต 70-80%”   สำหรับภาพรวมธุรกิจระบบพรีคาสท์  ปัจจุบันมีคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 70,000- 1 แสนล้านบาท จากมูลค่าการก่อสร้างโครงการอสังหาฯ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีมูลค่ากว่า 3.7 แสนล้านบาท  ซึ่งยังถือว่าปริมาณการใช้ระบบพรีคาสท์ในการก่อสร้างยังอยู่ในอัตราที่ไม่สูง  เมื่อเทียบกับในกลุ่มประเทศยุโรปที่ใช้กว่า 70-80%ของการก่อสร้าง   ส่วนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจปีนี้ บริษัทยังคงเน้นการรักษาฐานลูกค้าเดิม และทำตลาดแนะนำผลิตภัณฑ์กับลูกค้ารายใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และกลุ่มโครงการก่อสร้างงานภาครัฐ
“เสี่ยเจริญ” จัดพอร์ตธุรกิจอสังหาฯ ส่ง AWC เข้าตลาด ลบภาพธุรกิจครอบครัวสู่มาตรฐานมืออาชีพ

“เสี่ยเจริญ” จัดพอร์ตธุรกิจอสังหาฯ ส่ง AWC เข้าตลาด ลบภาพธุรกิจครอบครัวสู่มาตรฐานมืออาชีพ

“เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี” มีธุรกิจในมือมากมายที่สร้างความร่ำรวย และมีมูลค่ามหาศาล  หนึ่งในนั้น คือ กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม  ซึ่งมีทั้งกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และนอนแอลกอฮอล์  แต่อีกหนึ่งจิ๊กซอร์สำคัญขนาดใหญ่  ที่มาต่อเติมความมั่งคั่งของตระกูล  คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่เรียกได้ว่ามีอยู่ในมือครบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม สำนักงานให้เช่า ศูนย์การค้า นิคมอุตสาหกรรม ศูนย์ประชุม สนามกอล์ฟ และโครงการที่อยู่อาศัยทุกรูปแบบ  ซึ่งกระจายอยู่ทุกมุมเมืองทั่วประเทศ นี่ยังไม่นับที่ดินเปล่าในพอร์ตอีกมหาศาลไม่รู้กี่แสนไร่   ทั้งขนาดความใหญ่และจำนวนธุรกิจที่มีมากมายมหาศาลของตระกูลสิริวัฒนภักดี  การสร้างการเติบโตและความยั่งยืน โจทย์สำคัญที่ “เสี่ยเจริญ” มอบหมายให้ทายาทที่ดูแลธุรกิจอสังหาฯ  คือ การสร้างมาตรฐานการบริหารงานแบบมืออาชีพ และไม่ยึดติดกับความเป็นธุรกิจครอบครัว นอกจากนี้ ยังต้องการให้ทายาทแต่ละคนดูแลรับผิดชอบธุรกิจอสังหาฯ ในแต่ละประเภทอย่างชัดเจน โดยไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกัน  แนวทางหนึ่งที่ถูกหยิบมาใช้ คือ การนำเอาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  และการจัดกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ แต่ละประเภท ให้อยู่ภายใต้การบริหารงานของแต่ละบริษัทอย่างชัดเจน   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ  AWC บุตรสาวคนที่ 2 ของเสี่ยเจริญ  เปิดเผยว่า ได้นำบริษัทยื่นแบบไฟลิ่งแก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา เพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เนื่องจากต้องการระดมทุน นำเงินมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ สร้างการเติบโตให้กับบริษัท  ชำระหนี้ การสร้างคุณค่าให้กับองค์กรและชุมชน   “การเข้าตลาดฯ เป็นการสร้างมาตรฐานและความยั่งยืน  ผู้บริหารและพนักงานจะอยู่ในระบบธรรมาภิบาล  ซึ่งดีกว่าอยู่ในระบบครอบครัว เป็นการสร้างมาตรฐานความเป็นมืออาชีพ”   สำหรับ AWC จะมุ่งเน้นการพัฒนาและลงทุนในอสังหาฯ ในประเทศไทย เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรแบ่งเป็น 2 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ซึ่งบริหารงานโดยผู้บริหารโรงแรมที่มีชื่อเสียงภายใต้แบรนด์ชั้นนำที่มีคุณภาพและเป็นที่รู้จักระดับสากล อาทิ แมริออท, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล, โอกุระ, บันยันทรี, ฮิลตัน และเชอราตัน และกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail and Commercial Building)   “คุณเจริญ อยากทำให้ธุรกิจครอบครัวสู่ระบบมาตรฐาน ไม่อยากให้ลูกหลานไปยึดติดกับธุรกิจครอบครัว”   นางวัลลภา ยังกล่าวย้ำอีกว่า การยื่นไฟลิ่งของบริษัทครั้งนี้  ถือเป็นการจัดพอร์ตและภาพธุรกิจอสังหาฯ ของ AWC ให้มีความชัดเจน โดยจะเน้นเฉพาะธุรกิจโรงแรมและบริการ  กับธุรกิจอสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์​  โดยไม่มีธุรกิจอสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัย (Residential) ส่วนบริษัทอสังหาฯ ในกลุ่มทีซีซี ใครมีความรับผิดชอบในส่วนไหนก็ดูแลธุรกิจนั้นไป ถือเป็นการสร้างความชัดเจนในพอร์ตธุรกิจอสังหาฯ   ขนอสังหาฯ ทำเงินเข้าพอร์ต โครงการอสังหาฯ ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของ AWC ถูกคัดสรรและพิจารณาว่าเป็นโครงการคุณภาพ สามารถสร้างรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งปัจจุบันและในอนาคต โดยกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ มีแบรนด์ที่บริหารอยู่ 15 แบรนด์  อาทิ แมริออท,อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล, โอกุระ, บันยันทรี, ฮิลตัน และเชอราตัน ซึ่งมีโรงแรมดำเนินการอยู่ปัจจุบัน 10 แห่ง จำนวน 3,432 ห้อง อยู่ระหว่างการปรับปรุงและพัฒนาอีก 5 แห่ง จำนวน 1,528 ห้อง นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการทำสัญญาซื้อกิจการโรงแรมใหม่อีก 12 แห่ง เป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 4 แห่ง และอยู่ระหว่างการพัฒนาหรือมีแผนพัฒนาอีก 8 แห่ง ซึ่งจะทำให้ภายในระยะ 5 ปี AWC จะมีโรงแรมบริหารรวม 8,000 ห้อง จากปัจจุบันมีอยู่ 4,960 ห้อง   ส่วนโรงแรมทั้ง 12 แห่งที่คาดว่าจะเข้ามาอยู่ในพอร์ตธุรกิจ ได้แก่ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส กรุงเทพ สาทร, โรงแรม แบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์, โรงแรม ภูเก็ต แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา, ในยางบีช, แกรนด์โซเล่, โครงการหัวหิน บีชฟรอนท์, อิมพีเรียลแม่ปิง, โรงแรมบันยันทรี จอมเทียน พัทยา, พัทยา มิกซ์ยูส รีเทล แอนด์ โฮเทล ดีเวลล็อปเมนต์, โรงแรมเจริญกรุง 93, โรงแรม อีสต์ เอเชีย และ พรพิงค์ ทาวเวอร์   สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของธุรกิจโรงแรมที่ AWC จะมีด้วยกัน 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มตลาด MICE กลุ่มพักผ่อน กลุ่มครอบครัว และกลุ่มนักธุรกิจ โดยมีกลยุทธ์สำคัญ คือ การใช้เครือข่ายพันธมิตรโรงแรมภายใต้แบรนด์โรงแรมชั้นนำ ที่ช่วยทำให้ AWC   ออกแบบและพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ และการมีเครือข่ายสมาชิกกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก   ส่วนกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์ มี 2 กลุ่มบริหารงานอยู่ ได้แก่ 1.อสังหาฯ เพื่อประกอบกิจการการค้า (Retail and Wholesale) ได้แก่ สถานที่ท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้ชอปปิงมอลล์ คอมมูนิตี้ มาร์เก็ต และอสังหาฯ เพื่อประกอบกิจการการค้าส่ง โดยอสังหาฯ เพื่อประกอบกิจการการค้ามีโครงการที่มีชื่อเสียงคือ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ โครงการเกทเวย์ แอท บางซื่อ โครงการพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ประตูน้ำ และโครงการตะวันนา บางกะปิ   ปัจจุบันบริษัทมีโครงการเปิดำเนินการแล้ว 8 แห่ง และอยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 2 แห่ง ได้แก่ โครงการคอมมูนิตี้มาร์เก็ตบางกะปิ และโครงการเออีซี เทรด เซ็นเตอร์ ซึ่งโครงการทั้งหมดมีพื้นที่เช่ารวมกว่า 3.4 แสนตารางเมตร 2.อาคารสำนักงาน (Office) ที่บริษัทเป็นเจ้าของอยู่อีก 4 แห่ง ได้แก่ อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ อาคารแอทธินี ทาวเวอร์ อาคาร 208 วายเลสโร้ด  และอาคารอินเตอร์ลิงค์ ทาวเวอร์  โดยมีพื้นที่เช่ารวมกว่า 2.7 แสนตารางเมตร   3ปี รายได้โตเฉลี่ย 15% สำหรับผลประกอบการของ  AWC มีรายได้รวมในปี 2561 มูลค่า 12,415.64 ล้านบาท (เฉพาะธุรกิจหลักมีรายได้กว่า 10,998.64 ล้านบาท)  โดยสัดส่วน 60% รายได้จากธุรกิจโรงแรมและบริการ ส่วนอีก 40% เป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 489.04 ล้านบาท   ส่วนปี 2560 มีรายได้รวม 11,207.55 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,372.07 ล้านบาท และปี 2559 มีรายได้รวม 9,411.25 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2,890.73 ล้านบาท ซึ่งหากมองย้อนหลังกลับไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รายได้ของ AWC มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 15%   ขณะที่แนวทางสร้างการเติบโตของ AWC จะใช้กลยุทธ์หลัก ได้แก่ -การขยายความเป็นผู้นำในโครงการหลักที่ดำเนินการอยู่ ด้วยการจับตลาดกลุ่มกลางถึงบนเป็นทั้งในและต่างประเทศ -การสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ด้วยโครงการไพร์มโลเกชั่น และโครงการในลักษณะฟรีโฮล์ -โครงการที่พัฒนาต้องสามารถแข่งขันได้ระดับโลกได้ -การสร้างทีมงานและบุคลากรให้แข็งแกร่ง   ส่วนแผนการลงทุนภายหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น  บริษัทยังไม่มีแผนที่ชัดเจน แต่ยังคงวางนโยบายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่เหมือนกับที่ผ่านมา ขณะเดียวกันยังเตรียมคัดโครงการอสังหาฯ ในตระกูลสิริวัฒนภักดี ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มทีซีซี โดยจะเลือกโครงการมีคุณภาพและสามารถสร้างการเติบโตได้เข้ามาในพอร์ตเพิ่มมากขึ้น และเป็นโครงการประเภทโรงแรมหรืออสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์   “เราลงทุนขนาดใหญ่และจะลงทุนขนาดใหญ่ต่อเนื่อง  เพราะประเทศไทยยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ภาคการท่องเที่ยวยังคงเติบโต  ในอนาคตจะคัดอสังหาฯ ที่อยู่ในไพร์มโลเกชั่นเข้ามา หรือโครงการในกลุ่มทีซีซีที่พร้อมให้ผลตอบแทนเข้ามาในพอร์ต”  
ธนชาตประกันภัย เปิดตัว 3 ประกันภัยที่อยู่อาศัย แห่งแรกที่ซื้อได้จากเคาน์เตอร์เซอร์วิช เพียง 555 บาท/ปี

ธนชาตประกันภัย เปิดตัว 3 ประกันภัยที่อยู่อาศัย แห่งแรกที่ซื้อได้จากเคาน์เตอร์เซอร์วิช เพียง 555 บาท/ปี

ธนชาตประกันภัยหลังจากประสบความสำเร็จจากประกันภัยรถยนต์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องมาแล้ว ก็เริ่มรุกตลาดประกันภัยที่อยู่อาศัย เปิดตัว 3 ผลิตภัณฑ์ใหม่เจาะกลุ่มทั้งบ้านรายย่อย ทรัพย์สินในบ้าน และคอนโดฯ พร้อมสร้างความตระหนักถึงความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และการเข้าถึงได้ง่าย โดยเป็นรายแรกและรายเดียวในขณะนี้ที่สามารถซื้อได้จากเคาน์เตอร์เซอร์วิชในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น (7-Eleven) ทุกสาขาทั่วประเทศ วางเป้าเฉพาะประกันภัยที่อยู่อาศัยปีแรก 200 ล้านบาท   นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงประกันภัยที่อยู่อาศัยว่าจากสถิติพบว่าที่อยู่อาศัยในประเทศไทยมีประกันภัยมีไม่ถึง 20% เท่านั้น ขณะที่บ้านที่ไม่มีกรมธรรม์ประกันภัยมากถึง 80% หรือกว่า 20 ล้านหลัง ประกอบกับภัยพิบัติทางธรมชาติที่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหนจนทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายคิดเป็นมูลค่ามหาศาลจุดนี้ทำให้ธนชาตประกันภัยตระหนักถึงความสำคัญ จึงเดินหน้าขยายธุรกิจสู่ตลาดประกันภัยที่อยู่อาศัย โดยมุ่งเน้นแบ่งเบาภาระและลดความเสี่ยงให้กับผู้บริโภค ทั้งยังนับเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดและสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจของธนชาตประกันภัย ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านประกันภัยที่ครบวงจรอย่างแท้จริง   กลยุทธ์หลัก 4 ด้าน ที่ธนชาตประกันภัยวางไว้เป็นเครื่องมือสำคัญ ดังนี้การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งมีความแตกต่างกันของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ด้านนวัตกรรมการบริการ การเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น และด้านการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยจะเริ่มปรับเปลี่ยนสัดส่วนประกันภัยกลุ่มที่ไม่ใช่รถยนต์ (Non-Motor Insurance) จาก 15% เป็น 20% ภายใน 3 ปี และตั้งเป้าเบี้ยรับรวมจากประกันภัยในกลุ่มที่อยู่อาศัย ปี 2562 ซึ่งเป็นปีแรกของการบุกตลาดที่ประมาณ 200 ล้านบาท   นายคงศักดิ์ หาญแสวงสิน Chief Insurance Product Officer บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง 3 ผลิตภัณฑ์ใหม่ของกลุ่มประกันที่อยู่อาศัยว่า ผลิตภัณฑ์และบริการกลุ่มประกันที่อยู่อาศัยนี้เกิดขึ้นเพื่อข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มที่มีความต้องการที่แตกต่างหลากหลายได้อย่างครบถ้วนได้แก่   ประกันภัยบ้าน ธนชาต บ้านสุขใจ 555 ประกันภัยบ้านสำหรับรายย่อย (Micro Insurance)ระยะเวลาการคุ้มครอง 1 ปี ราคา 555 บาท/ปี เฉลี่ย 1.52 บาท/วัน ซึ่งการคุ้มครองจะครอบคลุมทั้งสิ่งปลูกสร้าง ทรัพย์สินภายในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงคุ้มครองการเสียชีวิตให้กับเจ้าของบ้านและสมาชิกหากเกิดเหตุไฟไหม้หรือโจรกรรมสูงสุด 200,000 บาท และยังมีค่าเช่าที่พักชั่วคราวหากเกิดความเสียหายของบ้านจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้เป็นเงิน 300 บาท/วัน สูงสุดไม่เกิน 30 วัน โดยเป็นประกันภัยที่อยู่อาศัยแรกที่สามารถเดินไปเคาน์เตอร์เซอร์วิชในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น (7-Eleven) พร้อมยื่นบัตรประชาชนแล้วซื้อได้เลย โดยไม่ต้องตรวจบ้าน ซึ่งมีการคุ้มครองสูงสุดแบ่งตามประเภทของบ้าน ดังนี้ บ้านคอนกรีต 400,000 บาท, บ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ 200,000 บาท, บ้านไม้ 130,000 บาท และห้องแถวไม้ 65,000 บาท สำหรับ ประกันภัยบ้าน ธนชาต บ้านสุขใจ 555 จะเริ่มเปิดขายวันที่ 24 มิ.ย. 62   ประกันภัยบ้าน ธนชาต บ้านอุ่นใจครบ สำหรับลูกค้าใหม่ที่ขอกู้สินเชื่อบ้าน โดยสามารถซื้อผ่านธนาคารธนชาตไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ทาวน์เฮ้าส์ คอนโด ระยะเวลาการคุ้มครองสูงสุด 5 ปี การคุ้มครองครอบคลุมทุกภัยพิบัติธรรมชาติสำหรับทรัพย์สินภายในบ้าน คุ้มครองทรัพย์สินจากการโจรกรรม คุ้มครองความเสียหายของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกิดจากการลัดวงจร คุ้มครองการเสียชีวิตให้กับเจ้าของบ้านและสมาชิกหากเกิดเหตุไฟไหม้หรือโจรกรรม  และการคุ้มครองสูงสุดจะอยู่ที่ 300,000 500,000 จนถึง 1,000,000 บาท   ประกันภัยบ้าน ธนชาต My Condo สำหรับกลุ่มลูกค้าที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมโดยเฉพาะ ระยะเวลาการคุ้มครอง 1 ปี จำหน่ายผ่านบริษัทนายหน้า (โบรกเกอร์) ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี เพราะมีบริการ Home Assistance ช่วยเหลือตลอด 24ชั่วโมง เช่น บริการแม่บ้าน, ล้างแอร์ ฯลฯ คุ้มครองเมืองเกิดปัญหาที่ชาวคอนโดฯ มักเจออยู่เป็นประจำอย่างท่อน้ำรั่วซึม หรือจากห้องอื่นมาห้องเราจนฝ้าพังเสียหายคุ้มครองทรัพย์สินจากการโจรกรรม คุ้มครองความเสียหายของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกิดจากการลัดวงจร คุ้มครองการเสียชีวิตให้กับเจ้าของบ้านและสมาชิกหากเกิดเหตุไฟไหม้หรือโจรกรรม และได้ค่าเช่าที่พักชั่วคราวระหว่างซ่อมแซมหรือเสียหายจนไม่สามารถอาศัยได้ สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท และการคุ้มครองสูงสุดจะอยู่ที่ 300,000 จนถึง 1,000,000 บาท จะเริ่มเปิดขายเดือนกรกฎาคม 62   ประกันภัยที่อยู่อาศัยทั้ง 3 กรมธรรม์แต่ละตัวมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป แต่จะครอบคลุมทุกการอยู่อาศัย สามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านช่องทางการซื้อหลายรูปแบบ ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการทำประกันให้ง่ายดายยิ่งขึ้น รวมไปถึงบริการหลังการขายที่น่าเชื่อถือและพึ่งพาได้ สามารถเคลมสะดวกและรวดเร็วขึ้นจนเชื่อมั่นว่าจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี    
ถอดกลยุทธ์ “4+3” สูตร ความสำเร็จ “พฤกษา” ผู้นำตลาดทาวน์เฮาส์ พร้อมลุยต่อพื้นที่ EEC 

ถอดกลยุทธ์ “4+3” สูตร ความสำเร็จ “พฤกษา” ผู้นำตลาดทาวน์เฮาส์ พร้อมลุยต่อพื้นที่ EEC 

ตัวเลขยอดพรีเซลล์ 400 ล้านบาท จากการเปิดขายเพียง 2 วัน สำหรับโครงการในต่างจังหวัด ถือเป็นตัวเลขไม่ธรรมดาเลยสำหรับแบรนด์พฤกษา ที่ได้เปิดขายโครงการ “พฤกษา อเวนิว หนองมน-ชลบุรี” ท่ามกลางมาตรการควกบคุมวงเงินสินเชื่อต่อหลักประกัน หรือ LTV ที่ถูกนำมาใช้สกัดกลุ่มนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรเป็นหลัก แต่ต้องยอมรับว่าเรียลดีมานด์บางกลุ่มก็ได้รับผลกระทบด้วย เพราะทำให้การเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น   นายธีรเดช เกิดสำอางค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า พฤกษาเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มทาวนเฮ้าส์หรือทาวน์โฮม นับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจ โดยเป็นผลจากการวาง 4 กลยุทธ์หลักในการพัฒนาโครงการ ได้แก่   1.Defend Cor Business การรักษาฐานกลุ่มตลาดหลัก กลุ่มบ้านราคากลางลงล่าง ในระดับราคา 1.5-2 ล้านบาทและราคา 2-3 ล้านบาท ด้วยการพัฒนาโครงการออกมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจบันมี 70โครงการที่ดำเนินการขาย และเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ 12 โครงการ  ภายใต้แบรนด์บ้านบพฤกษา และพฤกษาวิลล์   2.Expand to Market Middle-Hight การขยายตลาดไปยังกลุ่มบ้านระดับกลางขึ้นบน ในกลุ่มบ้านระดับราคา 3-5 ล้านบาท ราคา 5-7 ล้านบาท และราคา 7-10 ล้านบาท ซึ่งมีโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการ 30 โครงการ และเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ 9 โครงการ ภายใต้แบรนด์เดอะ คอนเนค และ พาทิโอ   3.Expand to New Potential Market การขยายตลาดสู่จังหวัดที่มีศักยภาพ เช่น จังหวัดชลบุรี ภูเก็ต และเชียงใหม่ ปัจจุบันพฤกษามีโครงการในต่างจังหวัดที่เปิดการขายอยู่ 15 โครงการ และเปิดใหม่ในปีนี้อีก 7 โครงการ   4.New Marketing Approach การทำตลาดด้วยวิธีการใหม่ๆ เช่น การตลาดดิจิทัล การใช้ออนไลน์ การใช้ดาต้าเบสมาวิเคราะห์กลุ่มลูกค้า   “เรามีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและมองทำเลที่ถูกต้อง ด้วยการใช้ข้อมูลและการวิจัย มีฐานข้อมูลจากการทำธุรกิจมากว่า 25 ปี สามารถนำเอาโปรดักส์ไปแมทกับทำเล ราคา และกลุ่มเป้าหมาย”   3 กลยุทธ์ปักหมุดพื้นที่ EEC  ปัจจุบันพฤกษาออกไปทำตลาดในพื้นที่ต่างจังหวัดหลายแห่ง ซึ่งหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการขยายตลาดในต่างจังหวัด จะใช้ 2 หลักเกณฑ์ในการคัดเลือก คือ ต้องเป็นเมืองท่องเที่ยว และต้องเป็นเมืองที่มีอุตสาหกรรม เพราะ 2 หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะบ่งบอกได้ถึง ปริมาณกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีมากเพียงพอต่อการพัฒนาโครงการออกมาขาย ซึ่งพื้นที่ 3 จังหวัดหลักๆ ที่พฤกษาพัฒนาโครงการมากที่สุด ได้แก่ 1.พื้นที่ 3 จังหวัดเขต EEC หรือ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ พิเศษภาคตะวันออก  ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา   มีจำนวน8 โครงการ มูลค่า 6,400 ล้านบาท แต่หากนับรวมโครงการที่ปิดการขายไปแล้วอีก 5 โครงการ พื้นที่ EEC จะมีโครงการที่พัฒนาโดยรวมแล้ว 12,000 ล้านบาทเลยทีเดียว  2.จังหวัดภูเก็ต มีจำนวนโครงการ 6-7 โครงการมูลค่า 22,000 ล้านบาท 3.จังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวน 3-4โครงการ มูลค่า 17,000 ล้านบาท   นายธีรเดช กล่าวว่า สาเหตุที่พฤกษาให้ความสนใจกับตลาดพื้นที่ EEC เพราะ ปัจจุบันมีขนาดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ ด้วยมูลค่าถึง 72,000 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าตลาดขั้นต่ำที่พฤกษาใช้เป็นเกณฑ์ในการออกไปทำตลาด คือ มูลค่า 5,000 ล้านบาท สำคัญสุด คือ นโยบายส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่แห่งนี้ ที่รัฐบาลหนุนอย่างเต็มที่  นั่นหมายความว่า 3 จังหวัดดังกล่าวจะกลายเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญอันดับต้นๆ ของประเทศ ที่จะมีทั้งจำนวนประชากรที่เข้ามาพักอาศัย และสภาพเศรษฐกิจที่หมุนเวียน แม้ว่าปัจจุบันการพัฒนาต่างๆ จะยังไม่สมบูรณ์ แต่พฤกษาก็เลือกเข้ามาปักหมุดโครงการก่อน เพื่อสร้างแบรนด์และช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดก่อนเป็นเจ้าแรกๆ   การเปิดตัวโครงการล่าสุด โครงการ “พฤกษา อเวนิว หนองมน-ชลบุรี” ที่ทำยอดขายพรีเซลล์ 400 ล้านบาทในระยะเวลา 2 วัน จึงเป็นดัชนีสำคัญที่พฤกษามองว่าจะประสบความสำเร็จ กับการทำตลาดในพื้นที่ EEC แห่งนี้ ในต้นปีหน้าจึงเตรียมเปิดโครงการขายต่อเนื่อง ทั้งจังหวัดระยองอีก 2โครงการ และในพัทยา จังหวัดชลบุรี อีก 1 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งหมด 1,960 ล้านบาท โดยยังคงคอนเซ็ปต์เป็นโครงการ “อเวนิว” ที่มี 2 โครงการบ้านเดี่ยว และโครงการทาวน์โฮมรวมอยู่ด้วยกัน ถือเป็นการ “กินรวบ” ครบทุกเซ็กเมนต์ในพื้นที่เดียวกัน      
เปิดตัวเต็มรูปแบบ NocNoc.com แพลตฟอร์มตลาดออนไลน์วัสดุและสินค้าตกแต่งบ้านครบวงจรที่สุดในไทย

เปิดตัวเต็มรูปแบบ NocNoc.com แพลตฟอร์มตลาดออนไลน์วัสดุและสินค้าตกแต่งบ้านครบวงจรที่สุดในไทย

บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด ผู้พัฒนา NocNoc.com เปิดตัวแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ที่รวบรวมวัสดุ และสินค้าตกแต่งบ้านพร้อมด้วยบริการที่ครบวงจรที่สุดในไทยอย่างเป็นทางการ รายแรกที่รวบรวมร้านค้าและผู้ให้บริการทั่วประเทศ การรันตีราคาถูกที่สุด ตอบโจทย์ผู้ซื้อในยุค 4.0 พร้อมเตรียมขยายการบริการสู่ภูมิภาคอาเซียนในอีก 3 ปีข้างหน้า     นางชลลักษณ์ มหาสุวีระชัย ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด ผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม NocNoc.com กล่าวว่า แรกเริ่มเกิดขึ้นจากการมองเห็นถึงปัญหา (Pain Point) ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านหรือรีโนเวทบ้าน-คอนโด มักต้องพบเจอปัญหายุ่งยากหลายอย่าง ตั้งแต่ไม่รู้จะต้องเริ่มต้นอย่างไร เลือกอย่างไร สอบถามใคร หรือสื่อสารออกมาให้ช่างเข้าใจถึงความต้องการได้อย่างไร เหล่านี้เป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนทั่วไป แต่ NocNoc.com จะทำให้เป็นเรื่องง่ายและครบวงจรในที่เดียว   “ด้วยประสบการณ์ทำงานคว่ำหวอดอยู่ในวงการสร้างบ้าน วัสดุก่อสร้างมากว่า 20 ปี จึงมองเห็นเรื่องของเทคโนโลยีที่สร้างความเปลี่ยนแปลงมากมาย แพลตฟอร์มมาร์เกตเพลสนี้จึงเกิดขึ้น เพื่อตอบโจทย์ทั้งทางธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภค”   NocNoc.com คือ แพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ที่รวบรวมวัสดุและสินค้าตกแต่งบ้านพร้อมด้วยบริการที่ครบวงจรที่สุดในไทย รวบรวมสินค้าและบริการไว้อย่างหลากหลาย ซึ่งแบ่งเป็น 3 หมวดหมู่สินค้าหลัก ได้แก่   Flooring รวบรวมสินค้ากระเบื้องเซรามิก กระเบื้องยาง พื้นไวนิล พื้นลามิเนต ฯลฯ   Wall กระเบื้องตกแต่งผนัง ผ้าม่าน-มู่ลี่ วอลเปเปอร์ และ   Furniture เช่น โต๊ะ เก้าอี้ โซฟา เป็นต้น   ทั้งนี้ยังทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมต่อผู้ซื้อ-ผู้ขาย-ช่างติดตั้งผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถเปรียบเทียบราคาจากหลายร้าน การันตีราคาถูกที่สุด รวมไปถึงบริการขอสินค้าตัวอย่างได้ฟรีก่อนตัดสินใจซื้อ ตลอดจนบริการหาช่างมืออาชีพที่พร้อมให้บริการใกล้บ้าน โดยตัวเว็บไซต์เน้นการใช้งานที่ง่าย เพื่อลดขั้นตอนการหาข้อมูลสินค้า และการชำระเงิน ซึ่งนับว่าตอบโจทย์ผู้ใช้งานยุคดิจิทัลได้อย่างแตกต่างและสมบูรณ์แบบรายแรกในไทย     ขณะเดียวกันผู้ขายก็สามารถเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น รวมถึงได้เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าและวิเคราะห์ประสิทธิภาพด้านการขายผ่านระบบ analytical tools ซึ่งเป็นเครื่องมือหลังบ้านที่ NocNoc.com พัฒนาขึ้นสำหรับผู้ขายโดยเฉพาะ และช่างก็สามารถสร้างโอกาสในการได้รับงานอย่างสม่ำเสมอ     นายเจฟฟ์ บูธ ผู้ร่วมก่อตั้งและคณะกรรมการบริหาร บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด กล่าวว่า นับจากวันที่เริ่มให้ใช้บริการ NocNoc.com เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับเกินกว่าที่คาดเอาไว้ เนื่องจากมีผู้เข้าใช้งานกว่า 120,000 ครั้ง/เดือน เฉลี่ยตัวเลขเติบโตขึ้น 3 เท่าในแต่ละเดือน ผู้ซื้อส่วนใหญ่กว่า 80% จะซื้อเลือกสินค้าพร้อมบริการติดตั้ง โดยนิยมเลือกซื้อไม้พื้นลามิเนตหรือกระเบื้องยาง, มีผู้ขายเข้าร่วมกว่า 120 ราย รวมสินค้ากว่า 10,000 รายการ ตลอดจนมีทีมช่างมืออาชีพที่พร้อมให้บริการติดตั้ง อาทิ ติดตั้งพื้น, ผ้าม่าน และวอลเปเปอร์   ปัจจุบันมีการให้บริการครอบคลุมหลายพื้นที่ เช่น กรุงเทพฯและปริมณฑล, เชียงใหม่, พิษณุโลก, นครราชสีมา, ขอนแก่น, นครศรีธรรมราช และ ภูเก็ต เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันกระจายการให้บริการมากถึง 35 จังหวัด และมีแผนขยายอย่างต่อเนื่องให้ครอบคลุมทั้งประเทศ ภายในปี 2019   “คาดว่าภายในปี 2019 จะมีผู้เข้าใช้บริการ NocNoc.com เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในจำนวน 1,000,000 ครั้ง/เดือน รวมถึงมีจำนวนผู้ขายกว่า 200 ราย จำนวนสินค้ากว่า 50,000 SKUs โดยจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มสินค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์มากขึ้นและประเภทสินค้าอื่น ๆ ตามลำดับ ตลอดจนการรวบรวมช่างมืออาชีพให้ครอบคลุมทั่วประเทศ​ พร้อมขยายการให้บริการไปยังภูมิภาคอาเซียน​ภายในระยะเวลา 3 ปี”  
เปิดกลยุทธ์ “วนชัยกรุ๊ป” สู่รายได้ 20,000 ล้าน หลังหนีสงครามการค้าโลกหันมาบุกตลาดในประเทศ

เปิดกลยุทธ์ “วนชัยกรุ๊ป” สู่รายได้ 20,000 ล้าน หลังหนีสงครามการค้าโลกหันมาบุกตลาดในประเทศ

สงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับจีนที่เกิดขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมกับประเทศอื่นๆ ที่ทำมาค้าขายอยู่บนเวทีการค้าโลก  เพราะทั้ง 2 ประเทศมหาอำนาจ  มีทั้งขนาดเศรษฐกิจและขนาดของตลาดที่ใหญ่  จึงมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก   หลายบริษัทที่ทำธุรกิจโดยพึ่งพากับตลาดต่างประเทศ หรือการส่งออกเป็นหลัก ช่วงที่ผ่านมาจึงได้รับผลกระทบกับยอดขายและรายได้ ซึ่งไม่เติบโตอย่างที่คาดหวัง เพราะสภาพเศรษฐกิจโลกไม่ได้สดใสอย่างที่คิด ผู้ประกอบการเริ่มมองหาโอกาสทางการตลาด  เพื่อลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ  ไม่ว่าจะเป็นการมองหาตลาดใหม่ พัฒนาสินค้าให้ดีขึ้น ลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ โดยหันมาหากลุ่มลูกค้าในประเทศแทน   "วนชัยกรุ๊ป" หนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจแผ่นไม้ทดแทนธรรมชาติ ก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีรายได้หลักมาจากตลาดต่างประเทศ และต้องเจอกับผลกระทบจากสงครามการค้า ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน ทำให้รายได้และการเติบโตของบริษัทผันผวนตามไปด้วย  ช่วงปี 2561 ที่ผ่านมาจึงเริ่มวางแผนและปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจกันใหม่ ด้วยการปรับโครงสร้างธุรกิจ ตามแผนธุรกิจในระยะ 5 ปี (2561-2565)  เพื่อสร้างรายได้ 20,000 ล้านบาท โดยจะเพิ่มบทบาทและความสำคัญของตลาดในประเทศ  รวมถึงการขยายไปยังธุรกิจพลังงานเพิ่มมากขึ้น   นายวรรธนะ เจริญนวรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (VNG) เปิดเผยว่า ในช่วงเวลา 4- 5 ปีนี้  ผลการดำเนินงานของบริษัทมีทั้งกำไรมากที่สุดและในบางปีก็ขาดทุนมากที่สุด เป็นผลกระทบโดยตรงจากความผันผวนของตลาดคอมโมดิตี้ส์โลก เศรษฐกิจโลกอาจจะมีความผันผวนมากกว่านี้ในอนาคต ทำให้เรามีความจำเป็นต้องปรับโมเดลธุรกิจใหม่ ลดความเชื่อมโยงกับตลาดคอมโมดิตี้ส์ของโลก แต่จะพัฒนาให้ขายสินค้าในตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น วางเป้าโกยรายได้ในประเทศหมื่นล้าน   แผนธุรกิจสำคัญของ “วนชัยกรุ๊ป” ภายหลังจากปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ คือ การสร้างรายได้ภายในประเทศให้ขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งรายได้หลัก หรือมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ​ 20-25%  เป็นการลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดต่างประเทศเพียงอย่างเดียว ซึ่งหากสำเร็จตามแผนภายในปี 2565 จะสร้างรายได้ภายในประเทศ 10,000 ล้านบาท   ไม่เพียงแต่รายได้ในภาพรวมที่เติบโตเพิ่มมากขึ้น แต่ในด้านผลกำไรก็ถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่บริษัทต้องการให้กลับมาอยู่ในอัตราที่สูงเท่าเดิม  เพราะปัจจุบันถือว่าอัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit) ของบริษัทเหลือเพียง 10% จากก่อนหน้านี้มีประมาณ 25% ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลก  และต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาวัตถุดิบอย่างไม้ยางพารา ที่ปรับราคาสูงขึ้น ซึ่งหากเป็นไปตามแผนธุรกิจอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะได้เห็น 25% ภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า   ผนึก “ไดนาสตี้" ลุยค้าปลีก กลยุทธ์ที่จะสร้างรายได้ 10,000 ล้านบาท คือ การบุกตลาดรีเทลภายในประเทศ  ซึ่งบริษัทได้วางแนวทางการตลาดที่สำคัญไว้ ดังนี้    1.การพัฒนาสินค้าใหม่ แต่เดิมบริษัทมุ่งเน้นการขายวัตถุดิบ เพื่อใช้สำหรับการผลิตเฟอร์นิเจอร์  และลูกค้าหลักในตลาดต่างประเทศ การหันมาบุกตลาดภายในประเทศ จึงจะพัฒนาสินค้าสำเร็จรูปออกขายให้มากขึ้น โดยมีครบตั้งแต่พื้นจนถึงฝ้าเพดาน อาทิ ไม้พื้นสำเร็จรูป ไม้ตกแต่งผนัง ประตูแบบต่างๆ เป็นต้น  รวมถึงผลิภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ ไม้อัดเกล็ดเรียงชิ้น หรือ OSB (Oriented Strand Board) และแผ่นปิดไม้วีเนียร์   2.การพัฒนาช่องทางจำหน่าย บริษัทได้จัดตั้งบริษัท วนชัย วู้ดสมิธ จำกัด เพื่อพัฒนาตลาดการค้าปลีก ด้วยการเปิดร้านจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ “วู้ดสมิตร” (Woodsmith) ซึ่งล่าสุดได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับ กลุ่มไดนาสตี้  เปิดพื้นที่ขายสินค้าภายในร้านไดนาสตี้  ขนาด 1,000 ตารางเมตร วางแผนขยายร้านให้ครบ 20 แห่งภายในปีนี้ จากปัจจุบันมีสาขาแล้ว 8 แห่ง และจะขยายให้ครบ100 แห่งภายในปี 2566 ซึ่่งในปีแรกคาดว่าจะทำยอดขายได้ 300 ล้านบาท และมียอดขาย 4,000 ล้านบาทในปี 2564   นอกจากช่องทางค้าปลีกแล้ว  บริษัทยังเตรียมพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าออนไลน์ เพื่อรองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบัน และกลุ่มลูกค้าที่ต้องการได้รับความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มช่าง และผู้รับเหมาที่รู้จักผลิตภัณฑ์แล้ว โดยคาดว่าภายในปี 2464 จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ และคาดว่าจะทำรายได้ 20-30%   3.การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ บริษัทได้ลงทุนจัดตั้งบริษัท วนชัย โลจิสติกส์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา ตามมติที่ประชุมกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อรองรับกับการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า โดยเฉพาะการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ เนื่องจากปัจจุบันการจัดส่งสินค้ายังใช้บริการของผู้ประกอบการอื่นซึ่งมีต้นทุนสูง   นอกจากนี้ ยังได้เตรียมลงทุนศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) 10 แห่ง  แต่ละแห่งจะมีขนาดพื้นที่ 5,000-8,000 ตารางเมตร  เพื่อเป็นจุดกระจายสินค้าไปยังสาขาต่างๆ ของร้านวู้ดสมิตร การจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าในแต่ละพื้นที่ และบางแห่งอาจจะใช้เป็นโชว์รูมแสดงสินค้าด้วย   4.การทำตลาดและสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์ เมื่อกลับมาบุกตลาดค้าปลีกในประเทศ บริษัทจึงต้องสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น แม้ว่าภาพลักษณ์แบรนด์จะเป็นที่ยอมรับว่าเป็นสินค้าคุณภาพ แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักผลิตภัณฑ์ของบริษัทมากนัก ซึ่งนอกจากการสื่อสารและสร้างแบรนด์แล้ว  สิ่งที่บริษัทจะทำ คือ การสร้างการรับรู้ในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มช่าง กลุ่มผู้รับเหมา และสถาปนิก เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ แผน 5 ปีเตรียมเงินลงทุนกว่าหมื่นล้าน  โดยตามแผนระยะ 5 ปี บริษัทได้เตรียมงบประมาณการลงทุนไว้กว่า 10,670 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจด้านต่างๆ แบ่งเป็น 1.โรงงานไฟฟ้าชีวมวล 4 โรง มูลค่า 2,400 ล้านบาท 2.พลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Solar Roof 3 แห่ง มูลค่า 600 ล้านบาท 3.โรงงานผลิต OSB จังหวัดสุราษฎร์ธานี แห่งแรก มูลค่า 2,300 ล้านบาท และโรงงานที่ 2 มูลค่า 3,000 ล้านบาท 4.โรงงานแผ่นปิดไม้วีเนียร์ แห่งแรก มูลค่า 300 ล้าบาท และโรงงานที่ 2 มูลค่า 1,000 ล้านบาท 5.ศูนย์กระจายสินค้า มูลค่า 1,000 ล้านบาท 6.ระบบโลจิสติกส์ มูลค่า 70 ล้านบาท