Tag : News

2376 ผลลัพธ์
ภาพหลุด  ของโครงการ  KARA Ari-Rama 6

ภาพหลุด ของโครงการ KARA Ari-Rama 6

ปล่อยมาเรียกน้ำย่อยกันอีกหนึ่งโครงการ กับลักซ์ชัวรีคอนโดมิเนียม แบรนด์ใหม่จากค่าย GRAND UNITY กับ KARA Ari - Rama 6 (คาร่า อารีย์–พระราม 6) เป็นการรุกตลาดระดับบนอย่างต่อเนื่องจริง ๆ ดูจากฟาซาดของตัวตึกจะแอบเห็นการเพิ่มเติมรายละเอียดความหรูหราขึ้นเรื่อย ๆ มาพร้อมทำเลศักยภาพ ย่านอารีย์-พระราม 6 แอบแว่วมาว่าโครงการนี้มีไม่กี่ยูนิตเท่านั้น บอกเลยว่าใครที่ชอบความไพรเวต ถือว่าตอบโจทย์สุด ๆ แถมเดินทางสะดวกสบายมาก ติดถนนใหญ่พระราม 6 และทางด่วนพิเศษศรีรัชอีกด้วย ถ้ามีอัพเดทความคืบหน้าแอดจะรีบนำข่าวมาบอกทันทีจ้า          
The Forestias by MQDC ผนึก “GMM Grammy” ลุย Music Platform

The Forestias by MQDC ผนึก “GMM Grammy” ลุย Music Platform

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ผู้ดำเนินกิจการพัฒนา ลงทุน และจัดการอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพ โดย คุณกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส โครงการ THE FORESTIAS  by MQDC–เดอะ ฟอเรสเทียส์ บาย เอ็มคิวดีซี โครงการอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่มุ่งมั่นนำเสนอโมเดลการใช้ชีวิตที่เข้ากับระบบนิเวศอันสมดุลเพื่อความสุขที่ยั่งยืนของทุกชีวิต  กล่าวว่า “ตามที่บริษัทฯ ได้วางแผนเพื่อดำเนินกลยุทธ์การตลาดควบคู่กับการสื่อสารประชาสัมพันธ์ “โครงการ THE FORESTIAS by MQDC – เดอะ ฟอเรสเทียส์ บาย เอ็มคิวดีซี” โดยนำเสนอเรื่องราวความสุขที่จะเกิดขึ้นในโครงการฯ ด้วยมุมมองใหม่ๆ ภายใต้คอนเซ็ปต์หลัก “Imagine Happiness” ล่าสุดเพิ่มกลยุทธ์ลุย Music Platform สร้างการรับรู้แบบวงกว้างโดยเฉพาะเรื่องความสุข ธรรมชาติ และครอบครัว โดยได้ร่วมงานเป็นครั้งแรกกับ “อะตอม ชนกันต์” นักร้องนักแต่งเพลงสุดฮอตแห่งค่ายไวท์มิวสิค (White Music) ในเครือจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ (GMM Grammy) สร้างปรากฎการณ์ความสุขผ่านเสียงเพลง ที่เริ่มต้นการแต่งเพลงด้วยนิยามความคิด “ความสุขที่แท้จริงของคุณคืออะไร” แล้วค้นหาจนได้คำตอบที่ว่า “ความสุขที่แท้จริงของเรา คงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายๆ ที่เราจะค้นหาคำตอบที่ดีที่สุด ตรงใจทุกคนที่สุด เพราะความสุขของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน มีความแตกต่าง และไม่เท่ากัน แต่มีอย่างหนึ่งที่แน่นอน นั้นคือ “ความสุข” ต้องส่งผลให้กับตัวเราเองทั้งร่างกาย จิตใจ ส่งผลต่อคนรอบข้าง และส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา เพราะนี่คือพื้นฐานของนิยาม ความสุขที่ยั่งยืน”  จนเป็นที่มาของเพลง “Feel Like Home” ซึ่งมีความสอดคล้องกับความคิดในการสร้างสรรค์โครงการ THE FORESTIAS by MQDC   ซึ่งเพลง “Feel Like Home” ได้ร่วมงานแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับแขกพิเศษมาร่วมฟีเจอริ่งให้เส้นเสียงหนาๆ ทุ้มๆ อย่าง บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองในการร่วมกันสร้างสรรค์ผลงาน รวมทั้งได้เชิญ กวิน อินทวงษ์ โปรดิวเซอร์ฝีมือดี มาร่วมเรียบเรียงและถ่ายทอดเนื้อหาของเพลงผ่านดนตรีเป็นสไตล์ป็อป (Pop) แต่มีกลิ่นอายของโซล (Seoul) ที่สื่อถึงความอบอุ่นของเนื้อหา และเสียงใสๆ ของเมโลดี้กีตาร์ที่เข้ามาเป็นเส้นเสียงหลักของเพลงนี้ ในด้านของเนื้อหาเพลงได้โฟกัสถึงเรื่องราวของคนๆ หนึ่งที่ชีวิตนี้โชคดีได้พบกับความรักเข้ามาเติมเต็มทุกช่วงชีวิต เป็นความรักที่แสนอบอุ่น เปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้ใหญ่ที่กว่าจะเติบโต ต้องผ่านแดดร้อน ลมและฝนมากี่ฤดูกาล ซึ่งความรักที่เติบโตขึ้นเหล่านี้ เปรียบเสมือนว่าเป็นบ้านหลังใหญ่ที่รายล้อมด้วยครอบครัวขนาดใหญ่ตั้งแต่ปูทวดไปจนถึงหลานหรือเหลน ทำให้ทุกพื้นที่แห่งนี้เป็นดั่งสวรรค์ของทุกคนที่มีความรัก เป็นพื้นที่ความสุขที่แท้จริง “You’re the one that makes me Feel Like Home”   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้สร้างสรรค์มุมมองความสุขผ่าน VDO story โดยได้ คุณดล ผดุงวิเชียร ผู้กำกับมากฝีมือที่เคยฝากผลงานมิวสิควิดีโอมากมาย อาทิ เพลง ชักดิ้น ชักงอ ศิลปิน พลอยชมพู / เพลง นิรันดร์ ศิลปิน บอดี้สแลม Feat. ปาล์มมี่ นอกจากนี้ ยังได้รับรางวัล Bad Award Thailand เพลง จริงใจไว้ก่อน ศิลปิน ใหม่ เจริญปุระ / MTV Asia Award เพลงจริงไม่กลัว ศิลปิน คริสติน่า อากีเลร่า และเพลง เสียใจได้ยินไหม ศิลปิน ใหม่ เจริญปุระ / Channel V Thailand Award เพลง Too Much So Much Very Much ศิลปิน เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ เป็นต้น มาร่วมกำกับและควบคุมการดำเนินเนื้อเรื่อง ซึ่งแบ่งเป็น 4 เรื่องราว ที่ถ่ายทอดในแต่ละมุมมองของสมาชิกในครอบครัว ตั้งแต่คุณทวดจนมาถึงรุ่นหลาน มาขยายออกมาให้น่าสนใจในรูปแบบใหม่ สอดคล้องกับเรื่องราวในมิวสิค วิดีโอ (Music VDO) ทุกตัวละครและเรื่องราวจะต้องเผชิญปัญหาและอุปสรรคในจังหวะชีวิตของแต่ละคน ซึ่งทุกครอบครัวมักจะต้องเคยเจอปัญหาเหล่านี้อยู่แล้ว ในเนื้อเรื่องจะค่อยๆ คลายให้เห็นว่าทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้ ด้วยความรัก ความผูกพัน และความเข้าใจของสมาชิกในครอบครัวทุกคน โดยทุกเรื่องราวแวดล้อมด้วยความสัมพันธ์ของครอบครัว ที่อยู่ร่วมกันท่ามกลาง คน สัตว์ และธรรมชาติ จนเกิดเป็นวงจรความสุขที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน โดยได้ใช้งบกว่า 20 ล้านบาท วางแผนการสื่อสารประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย เพราะเราเชื่อว่า “ความสุขที่เกิดจากการได้ฟังเพลง เป็นความสุขบริสุทธิ์เต็มเปี่ยมด้วยพลังบวก และเติมเต็มช่องว่างความสุขในใจคนได้อย่างรวดเร็ว” โดยได้ร่วมกับจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ (GMM Grammy) โปรโมทเพลงและมิวสิควิดีโอใหม่ “Feel Like Home” ผ่านรายการโทรทัศน์ในเครือจีเอ็มเอ็ม อาทิ ช่อง ONE และช่อง GMM25  สปอตวิทยุและดีเจแนะนำ Green Wave FM 106.5 MHz., Chill FM 89.0 MHz. และ EFM FM 94.0 MHz. แอฟพลิเคชั่น AtimeOnline มิวสิคเพจชั้นนำ และ YouTube GMM official และ White Music เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดการรับรู้เกี่ยวกับเนื้อหาของความสุขที่ส่งผ่านบทเพลง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” มากกว่า 10 ล้านครั้ง   รับชมมิวสิควิดีโอ MV เพลง “Feel Like Home” ได้ที่ Facebook fanpage/theforestias และ YouTube GMM official ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2562 เป็นต้นไป   สามารถติดตามข่าวสารและรายละเอียดเพิ่มเติม โครงการ THE FORESTIAS by MQDC – เดอะ ฟอเรสเทียส์ บาย เอ็มคิวดีซี ได้ที่ Website: www.theforestias.com Facebook: https://www.facebook.com/theforestias/ Instagram: https://www.instagram.com/theforestias/?hl=th Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCTEWOryir01jleAEbyQUZSA/featured        
เอพี ไทยแลนด์ รุกธุรกิจอสังหาฯ ปี 62 บุกทุกเซ็กเมนต์ ชูธุรกิจขาย-เช่า-บริหารจัดการ

เอพี ไทยแลนด์ รุกธุรกิจอสังหาฯ ปี 62 บุกทุกเซ็กเมนต์ ชูธุรกิจขาย-เช่า-บริหารจัดการ

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และนวัตกรรมการอยู่อาศัย ประกาศโตสวนกระแสกว่า 30% ด้วยสถิติการรับรู้รายได้ (รวม 100%JV) ปี 61 สูงเป็นประวัติการณ์กว่า 38,020 ล้านบาท รวมทั้งความสำเร็จสวนภาพรวมตลาดจากยอดขายรวม อยู่ที่ 41,298 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายถึง 104% พร้อมเดินหน้าประกาศแผนธุรกิจอสังหาฯ ปี 62 มุ่งสู่เป้ายอดขายที่ 41,800 ล้านบาท และเป้ารายได้รวมที่ 35,900 ล้านบาท (รวม 100%JV) ด้วยการรุกตลาดเปิดขายอสังหาริมทรัพย์ครบทั้ง 9 แบรนด์ในพอร์ทโฟลิโอ รวม 39 โครงการ มูลค่ารวม 56,800 ล้านบาท พร้อมต่อยอดความแข็งแกร่งของ BC และ SMART สู่การเป็นเบอร์ 1 ภายใต้วิสัยทัศน์ AP WORLD การสร้างสรรค์ โลกแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมนำพาเอพีก้าวเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่มีสินค้าและบริการคุณภาพครอบคลุมทุกความต้องการเชิงลึกของตลาดอย่างแท้จริง   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากวิสัยทัศน์ใหญ่ขององค์กร AP WORLD ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์โลกแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยการสร้างพิมพ์เขียวที่สมบูรณ์ไปด้วยระบบนิเวศ (Eco System) ที่เอพีพัฒนาขึ้น ผ่านการขยายขอบเขตธุรกิจไปสู่ธุรกิจนอกอสังหาริมทรัพย์แล้ว เอพียังเดินหน้าพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเราอย่างไม่หยุดยั้ง ปีนี้เอพีได้วางกลยุทธ์ในการดำเนินงาน 4 มิติหลัก เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ และความมั่นใจว่าสินค้า และบริการของเอพีจะตอกย้ำวิสัยทัศน์การส่งมอบโลกแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกิดขึ้นได้จริง”   กลยุทธ์ในการดำเนินงาน 4 มิติสู่ความสำเร็จของเอพี (ไทยแลนด์) ในปี 2562 ได้แก่ 1.เปิดตัวโครงการครบ 9 แบรนด์ ในทุกเซ็กเมนต์ ตอกย้ำความเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่มีสินค้าครอบคลุม ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยในปีนี้เอพีเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 39 โครงการ มูลค่ารวม 56,800 ล้านบาท เป็นคอนโด 5 โครงการ มูลค่า 22,400 ล้านบาท (เป็นคอนโดร่วมทุน 3 โครงการ มูลค่า 18,300 ล้านบาท) และแนวราบ 34 โครงการ มูลค่ารวม 34,400 ล้านบาท (แบ่งเป็นทาวน์โฮม 19 โครงการ มูลค่า 16,780ล้านบาท และบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 17,620 ล้านบาท   2.สร้างความแตกต่างด้วยสินค้าที่ตอบความต้องการของคนทุกช่วงชีวิต ด้วยเล็งเห็นถึงรูปแบบครอบครัว (Family Pattern) ที่มีความหลากหลาย และต่างไปจากเดิม เอพีจึงออกแบบและจัดวางพื้นที่ในตัวบ้าน และพื้นที่ส่วนกลางให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของครอบครัวคนรุ่นใหม่ รองรับการอยู่อาศัยของคนหลากหลายรุ่น ผ่าน 3 แนวคิดสำคัญในการออกแบบ ได้แก่ (1) SPACE TRANSFORMATION – ออกแบบให้พื้นที่ในทุกๆ ตารางนิ้วสอดคล้องกับการใช้งานจริงทั้งในวันนี้และในอนาคต (2) HUMAN CONNECTION – สร้างสรรค์ระบบนิเวศที่ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยทุกวัยเชื่อมต่อกันได้ในสังคมของเอพี และสังคมรอบข้างอย่างมีคุณภาพ และ (3) LIFE-LONG COMMUNITY – การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ช่วยยกระดับให้โครงการของเอพีมีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด และอำนวยความสะดวกเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตในการอยู่อาศัยของลูกบ้านในเครือ ได้อย่างยั่งยืน   3.ผสานกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท ยกระดับคุณภาพคอนโดมิเนียมในเครือเอพีอย่างต่อเนื่อง ด้วย ‘AI BIM’ (Artificial Intelligence Building Information Modeling) เทคโนโลยีการออกแบบงานก่อสร้างอาคารสูงอัจฉริยะ 7 มิติ ที่จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในทุกกระบวนการทำงาน และมีจุดเด่นในด้านการบริหารสิ่งอำนวยความสะดวกในที่พักอาศัย (Facility Management) หลังจากส่งมอบโครงการ โดยในปี 2562 นี้ เอพีได้นำเทคโนโลยี ‘AI BIM’ มาใช้แบบครบวงจรในการพัฒนาคอนโดฯ แบบ High-Rise ทุกโครงการ   4.ต่อยอดความแข็งแกร่งของ BC และ SMART ช่วยให้เอพีก้าวไปสู่การเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการอยู่อาศัยอย่างครบวงจร (Total Solution Community Developer) โดยในปีนี้ 'บีซี' (BC) ซึ่งเป็นบริษัท Property Agent อันดับ 1 ของไทย พร้อมรุกต่อในตลาดที่เป็นเมืองรองในต่างประเทศ อาทิ คุนหมิง หนานจิง ซีอานในจีน และโอซาก้า ฟุกุโอกะในญี่ปุ่น หลังประสบความสำเร็จในเมืองหลัก เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และอีกหลายเมืองในประเทศจีน และญี่ปุ่นมาแล้ว นอกจากนี้ 'สมาร์ท' (SMART) บริษัท Property Management เตรียมเปิดตัว SMART PLATFORM ที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตและประสบการณ์การอยู่อาศัยของกว่า 55,000 ครัวเรือน ในกว่า 200 โครงการ ที่ไม่ใช่เฉพาะในเครือของเอพี ภายในไตรมาส 3   นายวิทการ เปิดเผยแผนการพัฒนาคอนโดมิเนียมปี 2562 ว่า “เอพีมุ่งเน้นตอบสนองความต้องการของลูกค้าคนเมืองที่มองหาคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ ในราคาที่คุ้มค่าจับต้องได้ในทุกเซ็กเมนต์ โดยในปีนี้ เอพีเตรียมเปิดตัว 5 คอนโดมิเนียมใหม่ รวมมูลค่า 22,400 ล้านบาท ภายใต้ 4 แบรนด์ในเครือ ได้แก่  ASPIRE ใน 2 ทำเล ได้แก่ สุขุมวิท – อ่อนนุช และอโศก – รัชดา ที่เน้นเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่/คนทำงาน โดยมีโครงการร่วมทุนระหว่าง เอพีและมิตซูบิชิ เอสเตท เรสซิเดนซ์ (บริษัท ในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป - MECG) รวมทั้งสิ้น 3 โครงการ มูลค่า 18,300 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ THE ADDRESS,  RHYTHM, และ LIFE”   นายวิทการ กล่าวเสริมว่า “ไฮไลท์สำคัญของไตรมาสแรก คือ การเปิดตัว ‘RHYTHM เอกมัย เอสเตท’ คอนโดในกลุ่ม Upper High-End บนทำเลเอกมัยเชื่อมต่อทองหล่อ มูลค่าโครงการ 3,200 ล้านบาท จำนวน 303 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 6.5 ล้านบาท (เฉลี่ย 210,000 ล้านบาท / ตร.ม.) โดดเด่นด้วยการจัดวางโครงสร้างอาคารรูปแบบใหม่ เพื่อส่งมอบมิติใหม่ของการใช้ชีวิตแนวสูงที่ไม่ต่างจากการพักอาศัยในบ้าน พร้อมไฮไลท์การออกแบบ Multi-Storey & Floating Lobby 7 ชั้น ครั้งแรกในประเทศไทยที่เปิดมุมมองสู่ Outdoor Terrace การดีไซน์พื้นที่สีเขียวรวมต้นไม้ใหญ่เดิม และพื้นที่ส่วนกลางกว่า 4,800ตารางเมตรและครั้งแรกกับ Sky Villa ยูนิตพิเศษพร้อมทางเข้าผ่านสวนส่วนตัว โดยจะเปิดจองรอบพิเศษครั้งแรกที่งาน Vertical World ชั้น 1 แฟชั่นฮอลล์ สยามพารากอน วันที่ 21-24 มีนาคมนี้”   ด้านแผนพัฒนาโครงการแนวราบ นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจแนวราบ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปี 2561 ที่ผ่านมา สินค้าแนวราบของเอพี ได้รับการตอบรับที่ดีเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะสินค้าบ้านเดี่ยวของเรามีรายได้เติบโตขึ้นถึง 80% ในขณะเดียวกันสินค้าทาวน์โฮมแบรนด์ บ้านกลางเมือง ยังคงรักษาความเป็นเบอร์ 1 ไฮเอนด์ทาวน์โฮมในเมือง ที่สร้างมูลค่ายอดขายอันดับที่ 1 นั่นเป็นเพราะผลลัพธ์จากกระบวนการทำ Design Thinking อย่างต่อเนื่องตลอด 2-3 ปี เพื่อหาคำตอบที่แท้จริงของจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญว่า อะไรคือคุณภาพชีวิตที่คนไทยต้องการ โดยเราพบว่าที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่กว้างขวางเกินไป และไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกเปล่าประโยชน์ และไม่คุ้มค่า ฉะนั้น ‘ที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่’ อาจไม่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่คนไทยต้องการในทุกโลเคชั่น เราจึงมุ่งเน้นพัฒนาให้บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมทุกแบรนด์ในเครือเอพีมีแบบบ้านโมเดลใหม่ที่หลากหลาย รวมถึงการนำเสนอสเปซฟังก์ชั่นที่เอื้ออำนวยความสะดวกให้สามารถยืดหยุ่นต่อการใช้งานในวันนี้ และในอนาคต สามารถอยู่ได้อย่างยาวนาน”   “เพื่อรักษาความไว้วางใจและตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยอย่างถึงที่สุด เอพีจึงออกแบบบ้านให้สอดรับกับความต้องการเหล่านั้น เน้นการนำนวัตกรรมทางความคิดในการออกแบบที่อยู่อาศัย 3 ข้อมาใช้ให้เกิดเป็น ‘บ้านกลางเมืองและพลีโน่ โมเดลใหม่ปี 2019’ ที่โดดเด่นตั้งแต่การดีไซน์สถาปัตยกรรมที่แตกต่างกัน ตอบสนองความเป็นปัจเจกของแต่ละครอบครัว รวมทั้งการปรับพื้นที่ใช้สอยภายในใหม่ทั้งหมด ทั้งสเปซฟังก์ชั่นที่รองรับการอยู่ร่วมกันของครอบครัวใหญ่ 2-3 เจนเนอร์เรชั่น ทุกตารางนิ้วสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้แบบเต็มพื้นที่ จัดวางพื้นที่สีเขียวขนาดเล็กเข้าสู่ตัวบ้าน เพื่อเพิ่มความร่มรื่น โดยที่ผู้อยู่อาศัยไม่ต้องเสียเวลามากในการดูแล โฟกัสทำเลศักยภาพ ใจกลางเมือง พร้อมแพ็คเกจราคาขายที่จับต้องได้ โดยเตรียมเปิดตัว บ้านกลางเมือง ไฮเอนด์ทาวน์โฮม 3 ชั้น และพลีโน่ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม 2 ชั้น โมเดลใหม่ปี 2019 เร็วๆ นี้”นายภมร กล่าว   “และในส่วนของการเสริมแกร่งสินค้าบ้านเดี่ยวทุกแบรนด์ในเครือเอพี อาทิ THE PALAZZO, THE CITY และ CENTRO ตอกย้ำการเป็นตัวเลือกอันดับ 1 ในใจผู้บริโภค นอกจากการนำเสนอนวัตกรรมสเปซที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยในทุกความต้องการของทุกช่วงชีวิตแล้ว ในปีนี้เราได้นำร่องยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน (Infrasturcture) ในพื้นที่ส่วนกลาง โดยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ภายใต้คีย์สำคัญ คือ เน้นประโยชน์ ที่แท้จริงและการคืนกลับที่ยั่งยืนในการใช้ชีวิตของลูกบ้าน อาทิ เทคโนโลยี Solar Cell การผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ใช้ในพื้นที่ส่วนกลาง และ Water Recycle Systemระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อนำกลับมาใช้ในพื้นที่สวนของโครงการ เป็นต้น หรือการนำร่องใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างใหม่ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพของโครงการของเรา” นายภมร กล่าวเสริม   “ในปี 2562 นี้ เอพีพร้อมรุกตลาดแนวราบในทุกทำเล ภายใต้พันธกิจสำคัญในการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดให้กับลูกบ้านเอพีอย่างแท้จริง ด้วยแผนการพัฒนาโครงการใหม่ถึง 34 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 34,400 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 17,620 ล้านบาท ทาวน์โฮม 19 โครงการ มูลค่า 16,780 ล้านบาท ซึ่งการรุกตลาดแนวราบนั้นจะขยายทำเลให้ครอบคลุมทุกทำเล เช่น ย่านดอนเมือง วัชรพล พหลโยธิน สวนหลวง ราชพฤกษ์ บางใหญ่ สวนผัก อ่อนนุช พระราม 2 สายไหม เป็นต้น บนทำเลที่ติดถนนใหญ่และเป็น Multiple Connect ที่เชื่อมต่อทางลัด ทางด่วน หรือระบบขนส่งขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยด้วยการลดเวลาที่ใช้ไปกับการเดินทาง” นายภมร กล่าวสรุป   สรุปแผนการดำเนินงานธุรกิจอสังหาฯ ในปี 2562 เอพี เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 39 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 56,800 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 22,400 ล้านบาท แนวราบ 34 โครงการ มูลค่า 34,400 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายยอดขาย 41,800 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้รวม 35,900 ล้านบาท (100%JV) ในครึ่งปีแรกเอพีเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 21 โครงการ มูลค่า 30,440 ล้านบาท แนวราบ 17 โครงการ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 6 โครงการ และทาวน์โฮม 11 โครงการ มูลค่ารวม 16,840 ล้านบาท และ 4 คอนโดมิเนียมใหม่ ได้แก่ ASPIRE สุขุมวิท – อ่อนนุช มูลค่า 1,600 ล้านบาท  ASPIRE อโศก – รัชดา มูลค่า 2,500 ล้านบาท RHYTHM เอกมัย เอสเตท มูลค่า 3,200 ล้านบาท (โครงการร่วมทุน) และ LIFE สาทร SIERRA มูลค่าโครงการ 6,300 ล้านบาท (โครงการร่วมทุน)   ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้รวมโครงการร่วมทุน (Backlog) มูลค่ามากถึง 50,025 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 7,935 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียม (100%JV) มูลค่า 42,090 ล้านบาท (แบ่งเป็นคอนโดเอพี มูลค่า 2,310 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ทั้งหมดในปีนี้ และเป็นโครงการร่วมทุน มูลค่า 39,780 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในปี 2562 ประมาณ 7,569 ล้านบาท และที่เหลือจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566)      
อนันดาฯ จับมือ Shopee เปิดเกมรุก บุกตลาดอีคอมเมิร์ซรายแรก

อนันดาฯ จับมือ Shopee เปิดเกมรุก บุกตลาดอีคอมเมิร์ซรายแรก

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำการพัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าของไทย มุ่งพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมืองในยุคดิจิทัล จับมือ Shopee (ช้อปปี้) ผู้นำแพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน เปิดประสบการณ์ใหม่แก่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยด้วยการจองคอนโดใกล้รถไฟฟ้าและบ้านทำเลศักยภาพ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ของ Shopee กับ 12 โครงการ ภายใต้แบรนด์คุณภาพ ไอดีโอ โมบิ  ไอดีโอ /เอลลิโอ / อาร์เด้น และ เอโทล พร้อมโปรโมชั่นที่ดีที่สุด รับส่วนลดสูงสุด 1,900,000 บาท สำหรับลูกค้าที่ซื้อผ่าน Shopee เท่านั้น หวังตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่ซื้อขายบนออนไลน์มากขึ้น   คุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจุบันต้องยอมรับว่าพฤติกรรมของคนไทย โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen C นั้นต่างเติบโตมาพร้อมกับโลกดิจิทัล เรียกได้ว่าอยากรู้ข้อมูลหรือซื้ออะไรก็สามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการผ่านโลกออนไลน์ได้ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้เมื่อพฤติกรรมของคนไทยหันมาซื้อสินค้าบนออนไลน์มากขึ้น จึงทำให้ตลาดอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) เติบโตขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องปรับตัวเพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป บริษัทฯ จึงเล็งเห็นโอกาสในการตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมืองในยุคดิจิทัลด้วยความเข้าใจและเข้าถึงทุกความต้องการ และตอกย้ำความเป็นผู้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ โดยจับมือกับ Shopee (ช้อปปี้) ผู้นำแพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน เปิดประสบการณ์ใหม่ให้แก่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยการนำเสนอคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่บนตลาดอีคอมเมิร์ซเป็นรายแรก ผ่านแอพพลิเคชั่นและเว็บไซต์ Shopee ซึ่งเป็นการขยายช่องทางการเข้าถึงลูกค้าให้ครอบคลุมและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ในยุคดิจิทัลมากยิ่งขึ้น   ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นมิติใหม่ของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยเพราะเป็นการผสานความแข็งแกร่งของทั้งสองพันธมิตรยักษ์ใหญ่จากสองธุรกิจเข้าด้วยกัน เป็นการต่อยอดธุรกิจของสองพันธมิตรเพื่อนำเสนอโซลูชั่นและบริการที่ครบวงจรเพิ่มเติมให้กับกลุ่มลูกค้าของทั้งสองบริษัทได้มากที่สุด ทั้งนี้ บริษัทฯได้คัดสรรโครงการคอนโดมิเนียม พร้อมอยู่ใกล้รถไฟฟ้า และบ้านพร้อมอยู่ บนทำเลศักยภาพสูงในกรุงเทพฯ  มานำเสนอกว่า 12 โครงการ ภายใต้แบรนด์ ไอดีโอ โมบิ / ไอดีโอ / เอลลิโอ / อาร์เด้น และ เอโทล ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งทุกครั้งของการเปิดตัวโครงการใหม่ ได้แก่ 1.โครงการไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 66  2.โครงการไอดีโอ โมบิ อโศก 3. โครงการไอดีโอ โมบิ บางซื่อ-แกรนด์อินเตอร์เชนจ์ 4. โครงการไอดีโอ โมบิ วงศ์สว่าง-อินเตอร์เชนจ์ 5. โครงการไอดีโอ สุขุมวิท 93  6. โครงการไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่  7. โครงการไอดีโอ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์  8. โครงการไอดีโอ โอทู  9. โครงการเอลลิโอ เดล มอสส์  10.โครงการเอโทล วงแหวน-ลำลูกกา 11.โครงการเอโทล บาหลีบีช อ่อนนุช – ลาดกระบัง และ 12. โครงการอาร์เด้น พัฒนาการ นอกจากนี้ยังมอบโปรโมชั่นและดีลที่ดีที่สุด!! Ananda Deals Day 3-10 มี.ค.นี้ เท่านั้น สำหรับลูกค้าที่จองคอนโดและบ้านพร้อมอยู่ ผ่านแอพพลิเคชั่นและเว็บไซต์ Shopee เท่านั้น รับสิทธิ์จองเริ่มต้นเพียง 5,000 บาท รับส่วนลดสูงสุด 1,900,000 บาท รับ Shopee Coin 3,000 coins/ยูนิต พร้อมรับสิทธิ์ผ่อน 0 บาท อยู่ฟรีสองปี* (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)   คุณอากาธา โซห์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสต้อนรับ อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ในฐานะแบรนด์อสังหาริมทรัพย์เจ้าแรกบนช้อปปี้ มอลล์ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ช้อปปี้สามารถเข้าถึงสิทธิ์ในการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ได้ผ่านทางแพลทฟอร์มอีคอมเมิรซ์ของเรา ด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย เรามีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนแบรนด์ต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงแบรนด์ในกลุ่มธุรกิจออฟไลน์ดั้งเดิม เพื่อต่อยอดธุรกิจในช่องทางออนไลน์ ต่อจากนี้ไปเราจะยังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับ อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เพื่อนำเสนอดีลเอ็กซ์คลูซีฟและกิจกรรมพิเศษ ในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย”   สำหรับขั้นตอนการเข้าไปเลือกซื้อคอนโดมิเนียมและบ้านพร้อมอยู่ จากอนันดาฯ ผ่าน Shopee เพียง 3 ขั้นตอนง่ายๆ คือ 1. เลือกยูนิต ที่สนใจผ่าน Ananda Development Shopee Mall ได้ทั้ง website และ application Shopee 2. กรอกข้อมูลส่วนตัวและเลือกช่องทางการชำระเงิน  และ 3. รับอีเมลล์ยืนยันการจอง   Shopee (ช้อปปี้) ผู้นำแพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน เป็นแพลทฟอร์มที่ออกแบบขึ้นเพื่อชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยระบบการชำระเงิน และการสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ ทำให้การช้อปปิ้งออนไลน์กลายเป็นเรื่องสะดวก ปลอดภัย และไร้ความยุ่งยาก สามารถตอบสนองทุกความต้องการของผู้ใช้ทุกกลุ่ม ปัจจุบัน ช้อปปี้เข้าถึงผู้ใช้งาน ทั่วประเทศไทยด้วยยอดดาวน์โหลดมากกว่า 29 ล้านครั้ง “บริษัทฯ มั่นใจว่าความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และผลักดันให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยเติบโตขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ และถือเป็นอีกก้าวสำคัญของวงการอสังหาริมทรัพย์ในการเดินหน้าเข้าสู่โลกยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ และไลฟ์สไตล์ของลูกค้าอย่างเข้าใจและเข้าถึงครอบคลุมทุกช่องทาง” คุณชานนท์กล่าว   พบดีลและโปรโมชั่นสุดพิเศษได้ผ่านทางร้านค้าออฟฟิเชียลของอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ บนช้อปปี้ มอลล์ที่ https://shopee.co.th/ananda_development_official. ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ananda.co.th      
“Elevated Returns” เป็นเจ้าภาพจัดงาน “ดีเอส ซัมมิท 2019 – ไทยแลนด์” พลิกโฉมวงการอสังหาฯไทย

“Elevated Returns” เป็นเจ้าภาพจัดงาน “ดีเอส ซัมมิท 2019 – ไทยแลนด์” พลิกโฉมวงการอสังหาฯไทย

“Elevated Returns” (ER) บริษัทจัดการสินทรัพย์ชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญด้านการแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลจากนิวยอร์ก ร่วมมือกับ บริษัท หลักทรัพย์ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน)  (Seamico) และ Tezos เตรียมจัดงาน “ดีเอส ซัมมิท 2019 – ไทยแลนด์” งานประชุมบล็อกเชนครั้งแรกของประเทศไทยที่ชูประเด็นหลักทรัพย์ดิจิทัลเป็นวาระสำคัญ ด้วยเป้าหมายในการพาผู้นำในอุตสาหกรรมบล็อกเชน บุคลากรภาครัฐและเอกชน นวัตกร และนักลงทุนรวมกว่า 300 คนมาร่วมพูดคุยและสร้างโอกาสในการเติบโตด้านบล็อกเชนและหลักทรัพย์ดิจิทัลร่วมกันในประเทศไทย ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคมนี้ที่กรุงเทพฯ หลังจาก ER ประสบความสำเร็จในการขายโทเคนของโรงแรม The St. Regis Aspen Resort บริษัทฯ เตรียมพลิกวงการอสังหาริมทรัพย์ด้วยการเปิดขายหุ้นแบบดิจิทัลในรูปแบบของโทเคน ตั้งเป้าทำยอดขายทั่วโลก 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเป็นยอดขายโทเคนในไทย 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนี้   นายสเตฟาน เดอ เบตส์ ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของ ER กล่าวว่า “การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นโทเคน (Tokenization) คือกระบวนการที่ใช้แปลงสินทรัพย์ เช่น อสังหาริมทรัพย์ งานศิลปะ และหุ้น ให้กลายเป็นสัญญาดิจิทัลในรูปของหลักทรัพย์โทเคนที่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้บนบล็อกเชน นี่คือสิ่งที่เรามุ่งมั่นที่จะทำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก สำหรับประเทศไทย เราเตรียมเข้ามาดำเนินธุรกิจในลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน แต่ก่อนจะถึงตรงนั้น เราต้องการสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการแปลงสินทรัพย์ที่มีอยู่จริงให้เป็นโทเคนบนบล็อกเชน (Asset Tokenization) และประโยชน์ของหลักทรัพย์ดิจิทัล (Digital Securities) ให้กับตลาดก่อน จึงเป็นที่มาของการที่เราร่วมกับ Seamico และ Tezosเพื่อจัดงาน ‘ดีเอส ซัมมิท 2019 – ไทยแลนด์’ โดยชูประเด็นหลักทรัพย์ดิจิทัลเป็นวาระสำคัญ ซึ่งถือว่าเป็นการจัดงานในลักษณะนี้ครั้งแรกในประเทศไทย”   สำหรับแผนการขยายธุรกิจมายังประเทศไทย ER ได้ประกาศเข้าซื้อหุ้นจำนวน 21% ของ Seamico ทำให้ ERกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายสำคัญของSeamico ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงของการขอใบอนุญาตและหารือถึงช่องทางการตลาดทั้งในประเทศไทยและประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย ER มุ่งมั่นที่จะพลิกวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยผ่านการระดมทุนด้วยโทเคน หลังประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมมาแล้วในสหรัฐอเมริกา   “การซื้อขายหลักทรัพย์ในรูปของโทเคนเป็นสิ่งที่พูดถึงกันมากในช่วง 2-3 ปีมานี้ ซึ่งผมเองมองว่าการแปลงสินทรัพย์ทางการเงินให้เป็นโทเคนจะเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปี 2562 และในอนาคตต่อไป  หลังจากที่เราประสบความสำเร็จในการแปลงสินทรัพย์ของโรงแรม The St. Regis Aspen Resort ให้เป็นโทเคนมาแล้ว เรามุ่งหวังที่จะขยายธุรกิจไปทั่วโลก ซึ่งเราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะทำยอดขายทั่วโลก 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเป็นยอดขายโทเคนในไทย 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปีนี้” นายสเตฟาน เดอ เบตส์ กล่าวเพิ่มเติม   ER สามารถระดมทุนเป็นเงิน 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการขายโทเคน Aspen Digital ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยของโรงแรม The St. Regis Aspen Resort ได้ ถือเป็นความสำเร็จครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของการแปลงสินทรัพย์ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ การเปิดขายหลักทรัพย์ด้วยวิธีการนี้ถือเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญสำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพราะวิธีการนี้เปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วไปสามารถซื้อและขายอสังหาริมทรัพย์ได้ทุกเวลาที่ต้องการ โดยเฉพาะการที่นักลงทุนสามารถขายได้ก่อนที่อสังหาริมทรัพย์นั้นๆ จะเปลี่ยนเจ้าของกระบวนการซื้อขายหลักทรัพย์ในลักษณะนี้ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดที่โดยทั่วไปแล้วอยู่ไกลเกินความสามารถที่จะเข้าถึง ทั้งยังเป็นการเปิดช่องทางใหม่ในการระดมเงินทุนผ่านหลักทรัพย์ดิจิทัลด้วย   “การนำสินทรัพย์มาแปลงเป็นโทเคนคือกระบวนการที่จะช่วยมอบอิสรภาพในการลงทุนให้กับนักลงทุน เพราะเราไม่จำเป็นต้องมีคนกลางในการซื้อขายหลักทรัพย์อีกต่อไป” นายสเตฟาน เดอ เบตส์ กล่าว “นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นให้กับผู้ขายด้วย หากเทียบกับวิธีการซื้อขายหลักทรัพย์แบบเดิม เพราะเราสามารถลดค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้กับคนกลางได้ และหากโทเคนมีสภาพคล่องที่ดีก็สามารถเพิ่มมูลค่าสูงขึ้นได้”   “ดีเอส ซัมมิท 2019–ไทยแลนด์”  คืองานประชุมบล็อกเชนที่ชูประเด็นหลักทรัพย์ดิจิทัลและหลักทรัพย์โทเคนเป็นวาระสำคัญครั้งแรกในประเทศไทย โดยภายในงานนี้มีวิทยากรชั้นนำมากกว่า 15 ท่าน รวมทั้งนายสเตฟาน เดอ เบตส์ ได้ร่วมนำเสนอมุมมองที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างครอบคลุมรวมถึงโครงสร้างกฏเกณฑ์ที่จะบังคับใช้กับหลักทรัพย์ดิจิทัลและมาตรฐานในการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเคนในอนาคต   งานประชุมครั้งนี้ถือเป็นการรวมตัวครั้งสำคัญของผู้เชี่ยวชาญในแวดวงที่เกี่ยวข้อง ทั้งยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับบุคลากรชั้นนำจากทั่วโลกและในประเทศไทยกว่า 300 คนจากหลากหลายธุรกิจ ทั้งธุรกิจหลักทรัพย์ การธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และการจัดการสินทรัพย์ ที่จะมารวมตัวเพื่อพูดคุยและสร้างเครือข่ายร่วมกัน    
BMAM Expo Asia 2019 ผุดคอนเซ็ปต์ใหม่ รับตลาดอาคารอัจฉริยะโต

BMAM Expo Asia 2019 ผุดคอนเซ็ปต์ใหม่ รับตลาดอาคารอัจฉริยะโต

บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด จัดงาน BMAM Expo Asia 2019 งานแสดงสินค้าและการประชุมสัมมนาระดับนานาชาติ ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร โรงงาน และอสังหาริมทรัพย์แห่งเอเชีย ครั้งที่ 12 ชูคอนเซ็ปต์ The Building and FM Expo โดยรวบรวมสินค้า และเทคโนโลยีกว่า 150 แบรนด์ จากกลุ่มบริหารทรัพยากรอาคาร อาคารเขียว และระบบอาคารอัจฉริยะ มาจัดแสดงในระหว่างวันที่ 27–29 มิถุนายน 2562 ณ อาคาร 6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี คาดมีผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการอาคาร และผู้ซื้อจากทั่วภูมิภาคเข้าชมงานกว่า 4,000 รายตลอด 3 วันจัดงาน   ประกาศความร่วมมือร่วมจัดงานกับงาน K-Fire Safety Bangkok 2019 BMAM Expo Asia 2019 ประกาศความร่วมมือกับงาน K-Fire and Safety Bangkok 2019 (“K-Fire”) งานแสดงสินค้าระดับนานาชาติด้านอัคคีภัย และความปลอดภัยจากประเทศเกาหลีใต้ ที่จะนำทัพผู้ประกอบการกว่า 30 บริษัท มาจัดแสดงสินค้าร่วมกันในงาน BMAM Expo เสริมให้งานดังกล่าวเป็นเวทีรวบรวมโซลูชั่นด้านการบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร, การป้องกันอัคคีภัย และ ความปลอดภัย ที่ครบวงจรที่สุด พร้อมทั้งสำนักงานส่งเสริมการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศของเกาหลี (KOTRA) ได้นำผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจซื้อกว่า 100 รายจาก 10 ประเทศ มาร่วมเจรจาธุรกิจภายในงาน   อัตราการเติบโตในอุตสาหกรรม ธุรกิจด้านโซลูชั่นการบริหารจัดการทรัพยากรอาคารอัตโนมัติในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคมีแนวโน้มเติบโตอย่างมาก โดยคาดว่าในระหว่างปี พ.ศ. 2560 – 2565 โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 4.7 % คิดเป็นมูลค่ากว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ* การนำระบบการบริหารจัดการทรัพยากรอาคารอัตโนมัติมาใช้ในส่วนงานการบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร ถือได้ว่าเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการเพิ่มศักยภาพให้ตลาดการบริหารทรัพยากรอาคารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค   นายอยุธพร บูรณกุล นายกสมาคม วิชาชีพการบริหารจัดการอาคาร กล่าวว่า “งาน Facility Management (FM) ไม่ใด้เป็นเพียงแค่งานหลังบ้าน หากแต่เป็นงานที่สามารถกำหนดยุทธศาสตร์ให้กับองค์กรผ่านการบริหารจัดการทรัพยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพและบริหารต้นทุนได้ง่ายขึ้น” มร.ลอย จุน ฮาว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า “ในยุคปัจจุบันอาคารอัจริยะเป็นที่กล่าวถึงเป็นอย่างมากในกลุ่มผู้บริหารจัดการทรัพยากรอาคารทั่ว โลก ซึ่งการนำโซลูชั่นการบริหารจัดการทรัพยากรอาคารอัติโนมัติเข้ามาใช้ เช่น ระบบรักษาความปลอดภัย, ระบบปรับอากาศ, ระบบควบคุมไฟ และระบบเตือนอัคคีภัยจะช่วย ยกระดับให้การบริหารจัดการทรัพยากรอาคารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วยการควบคุมระบบต่างๆ ในจุดเดียว ซึ่งงาน BMAM Expo เป็นอีกช่องทางที่เปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน FM ได้สัมผัสเทคโนโลยี และโซลูชั่นใหม่ๆ ที่จะมาผลิกโฉมอุตสาหกรรมการบริหารจัดการอาคารในอนาคต   อนึ่ง BMAM Expo Asia 2019 ได้รวบรวมผู้ประกอบการจากกว่า 150 บริษัทและแบรนด์จากทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย มาจัดแสดงสินค้าครอบคลุม 3 กลุ่มคือ 1. Facility management products and services ระบบและเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร วัดสุก่อสร้าง การทำความสะอาด ระบบรักษาความปลอดภัย ระบบการเตือนภัย ระบบปรับอากาศ และการบำรุงรักษาอาคาร 2. Green FM ระบบจัดการของเสีย ระบบจัดการน้ำ และพลังงานทดแทน 3. Smart building solutions ระบบบริหารจัดการและควบคุมอาคารอัตโนมัติระบบควบคุมการเฝ้าระวังภัย ระบบการจัดการพลังงานอุปกรณ์อัจฉริยะและไอโอที ระบบบริหารงานสำหรับนิติบุคคลอาคารชุด   ภายในงานยังมีกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบธุรกิจด้านการบริหารจัดการอาคาร อาทิ Business Matching โปรแกรมการจับคู่เจรจาธุรกิจที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมแสดงสินค้า สามารถเข้าสู่ระบบการจับคู่นัดหมายเจรจากับผู้ซื้อที่ทางผู้จัดงานได้เรียนเชิญมาร่วมชมงาน และยังมี Building  FM Conference อัพเดทความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ๆจากเหล่ากูรูด้านการบริหารจัดการอาคาร   วิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะ และ การบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร และเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการก่อนถึงงาน BMAM Expo Asia 2019 ในเดือน มิถุนายน ผู้จัดงานฯจึงได้จัดให้มีงาน “Technological Revolution for Smart buildings and Facilities Management” เพื่ออัพเดทข้อมูลเกี่ยวกับ วิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะโดยผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมจากสำนักงานส่งเสริมเศรษกิจดิจิทัล, กรมโยธาธิการและผังเมือง, สมาคมอสังหาริมทรัพแห่งประเทศไทย และสมาคมวิชาชีพการบริหารทรัพยากรอาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทราบถึงแนวโน้มอุตสาหกรรม และเตรียมรับมือกับการทำธุรกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรอาคารที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ ณ โรงแรม เอส31 สุขุมวิท กรุงเทพฯ ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.bmamexpoasia.com          
“อะคาร่า-เอ็มเพอเร่อร์” เฟ้นหานักออกแบบบ้านซีซั่น 2

“อะคาร่า-เอ็มเพอเร่อร์” เฟ้นหานักออกแบบบ้านซีซั่น 2

นับว่ากระแสตอบรับดีเกินคาด หลังจาก บริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ จำกัด ผู้นำรับสร้างและตกแต่งบ้านระดับไฮเอนด์ ได้จัดงานประกวดออกแบบบ้านเพื่อฉลองครบรอบ 30 ปีของบริษัทฯ ไปเมื่อปีที่แล้ว ล่าสุด  อะคาร่า (Acara) รับสร้างบ้านโมเดิร์น ลักชัวรี่ ในเครือฯ ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ (The Emperor House) เตรียมสานต่อเฟ้นหานักออกแบบรุ่นใหม่อีกครั้ง พร้อมจัดสัมมนาการออกแบบบ้าน “The PHENOMENON 2” ปรากฏการณ์บ้านลักชัวรี่สำหรับคนรุ่นใหม่ ในวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 2562 เวลา 13.30-16.00 น. ณ Meeting Room 1-2 ศูนย์ประชุมแห่งชาติ  สิริกิตติ์   โดยเชิญชวนนิสิต นักศึกษา และนักออกแบบรุ่นใหม่ มาร่วมแชร์ไอเดีย และประกวดออกแบบบ้าน The PHENOMENON 2” ปรากฏการณ์บ้านลักชัวรี่สำหรับคนรุ่นใหม่ เพื่อชิงรางวัลเงินสดมูลค่ารวมกว่า 300,000 บาท ภายใต้คอนเซปต์ “URBAN  |  NATURE  |  LUXURY”  ซึ่งปีนี้ได้รับเกียรติจากสถาปนิกชั้นนำร่วมพูดคุยในหัวข้อต่างๆ อาทิ ม.ล.วรุตม์ วรวรรณ (Vin Varavarn Architects) หัวข้อ 'MINDSET TOWARD THE NEW LUXURY’ ความลักชัวรี่ที่เปลี่ยนไปในโลกอนาคต, คุณจูน เซคิโน (JUN SEKINO Architect and Design) หัวข้อ 'THE EXPERIENCE of THE NEW LUXURY' ประสบการณ์ใหม่ในความลักชัวรี่ และ คุณอดุลย์  แก้วดี (KOPFUN CO., LTD) หัวข้อ 'THE URBAN LUXURY HOUSE' บริบทที่เปลี่ยนไปของบ้านใหญ่ในเมือง   หากคุณอยากหาประสบการณ์และคอมเมนต์เจ๋งๆ จากดีไซเนอร์รับประเทศ ห้ามพลาด! เตรียมส่งผลงาน โดยรับทราบกติกาและรายละเอียดงานพร้อมกัน ในวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 2562 เวลา 13.30-16.00  น. ณ Meeting Room 1-2 ศูนย์ประชุมแห่งชาติ  สิริกิตติ์ ..ด่วน! ที่นั่งมีจำนวนจำกัด สามารถสำรองที่นั่งผ่านช่องทาง Line : @ACARA หรือโทร 086-889-9224 (ไม่มีค่าใช้จ่าย)      
“KAVE TOWN” คอนโดมิเนียมขนาดใหญ่สุดฮิป  พลิกโฉมสู่อาณาจักร  แห่งที่อยู่อาศัยตอบโจทย์ชีวิตคนรุ่นใหม่ย่านรังสิต

“KAVE TOWN” คอนโดมิเนียมขนาดใหญ่สุดฮิป พลิกโฉมสู่อาณาจักร แห่งที่อยู่อาศัยตอบโจทย์ชีวิตคนรุ่นใหม่ย่านรังสิต

แอสเซทไวส์ ต่อยอดความสำเร็จภายใต้แบรนด์ “เคฟ” (KAVE) รุกเปิดตัว “เคฟทาวน์” (KAVE TOWN) 2 เฟสแรก ได้แก่ โครงการเคฟ ทาวน์ ชิฟ (KAVE TOWN Shift) และ เคฟ ทาวน์ สเปซ (KAVE TOWN Space) ด้วยมูลค่าโครงการรวมถึง 4,000 ล้านบาท จำนวนกว่า 2,000 ยูนิต แบบ Fully Furnished บนทำเลศักยภาพย่านรังสิต โดยห่างจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เพียง 170 เมตรเท่านั้น ชูจุดเด่นด้านดีไซน์ที่ออกแบบมาเพื่อคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ จัดเต็มด้วยพื้นที่ส่วนกลาง และสิ่งอำนวยความสะดวกมากถึง 20 โซน ที่ผ่านการคิดและคัดสรรมาเป็นพิเศษ พร้อมมั่นใจด้วยการรักษาความปลอดภัย ถึง 5 ขั้นตอน ทั้งยังเติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ด้วยคอมมูนิตี้มอลล์ด้านหน้าโครงการ ในราคาเริ่มต้น เพียง 1.49 ล้านบาท โดยพร้อมเปิดขายพรีเซลล์ในวันที่ 2–3 มีนาคม ศกนี้   นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ เพื่อจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตที่ดี ภายใต้แนวคิด “ความสุข ที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” (We Build Happiness) เปิดเผยว่า “หลังจากที่ ‘เคฟ คอนโด’ (KAVE Condo) ซึ่งเป็นโครงการแรกในย่านรังสิต ภายใต้แบรนด์ “เคฟ” (KAVE) ประสบความสำเร็จจากการได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าจนสามารถปิดการขายได้ภายในเวลา 1 เดือน ด้วยปัจจัยด้านทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพ สะดวกในการเดินทาง ประกอบกับการดีไซน์พื้นที่ที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะนักศึกษาในพื้นที่มาแล้วเมื่อเดือนกันยายน ปีที่ผ่านมา ล่าสุด โครงการเคฟ คอนโด ยังได้รับรางวัลโครงการคุณภาพในกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับเอเชีย แปซิฟิก จากเวที Asia Pacific Property Awards 2019 - 2020 ซึ่งเป็นเวทีที่ได้รับการยอมรับในวงการอสังหาริมทรัพย์อย่างกว้างขวาง ซึ่งสร้างความภาคภูมิใจให้แก่บริษัทฯ เป็นอย่างมาก วันนี้เราจึงเดินหน้าเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 2 เฟสภายใต้แบรนด์เคฟ (KAVE) ที่มีชื่อว่า โครงการเคฟ ทาวน์ ชิฟ (KAVE TOWN Shift) และโครงการเคฟ ทาวน์ สเปซ (KAVE TOWN Space) บนทำเลใกล้เคียงเดิม ใกล้ ม.กรุงเทพ รังสิต แต่มาพร้อมด้วยคุณภาพ ความยิ่งใหญ่ และความพิเศษต่าง ๆ ที่เตรียมไว้มอบให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น และมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าทั้งเก่า และใหม่อย่างแน่นอน”   “โครงการเคฟ ทาวน์ ชิฟ (KAVE TOWN Shift) และโครงการเคฟทาวน์ สเปซ (KAVE TOWN Space) เป็นโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคฟ (KAVE) ที่มีมูลค่าโครงการรวมขณะนี้ สูงถึง 4,000 ล้านบาท ที่พร้อมเปิดตัวในปี 2562 ตามแผนที่ประกาศไว้ ซึ่งถือเป็นแบรนด์ใหญ่ของแอสเซทไวส์ และมีขนาดใหญ่ที่สุดในทำเลใกล้ ม. กรุงเทพเช่นกัน ซึ่งได้รับการออกแบบเป็นคอนโดมิเนียมแบบโลวไรส์ สูง 8 ชั้น 4 อาคาร โดยมีจำนวนยูนิต รวม 2 เฟสกว่า 2,000 ยูนิต แบบ Fully Furnished บนพื้นที่เฟสละ 9 ไร่ (รวมทั้งสิ้น 18 ไร่) ตั้งอยู่ติดถนนพหลโยธิน- รังสิตฝั่งเดียวกับ ม.กรุงเทพ โดยห่างกันเพียง 170 เมตรเท่านั้น ทั้งยังถือเป็นทำเลศักยภาพ ที่สามารถเชื่อมต่อสู่ ใจกลางเมืองและออกนอกเมืองได้สะดวกสบาย ใกล้ทางด่วนอุดรรัถยา ดอนเมืองโทลล์เวย์ อีกทั้งยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต) ที่จะเปิดใช้ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเป็นสายที่วิ่งผ่านท่าอากาศยานดอนเมือง ทำให้สามารถเดินทางสู่สนามบินได้อย่างคล่องตัว และยังรายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญ ทั้งศูนย์การค้า สถานศึกษา สถานที่อำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต, Zpell, เมเจอร์ ซีเนเพล็กซ์, เทสโก้โลตัส, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เป็นต้น”   โดยทั้ง 2 เฟส ได้รับการออกแบบและสร้างสรรค์ผ่านการศึกษาความต้องการของกลุ่มลูกค้าตัวจริง และข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ ภายใต้แนวคิด “Built For Evolution of Young” เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ทุกแนวคิดการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ ตัวอาคารจึงได้รับการออกแบบทางสถาปัตยกรรมในสไตล์โมเดิร์น มีความทันสมัย ตกแต่งภายนอกให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่าง ในขณะที่ภายในห้องพักอาศัย ยังได้นำไลฟ์สไตล์แนวคิด การใช้ชีวิต มาตกแต่งและออกแบบให้เข้ากับบุคลิกของคนรุ่นใหม่ ซึ่งมาพร้อมเฟอร์นิเจอร์บิลท์อินที่ใส่ใจทุกรายละเอียดด้วยการเลือกใช้วัสดุคุณภาพออกแบบห้องพักที่คำนึงถึงฟังก์ชั่นการใช้งานและประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่า   ในด้านความสะดวกสบาย “เคฟ ทาวน์” (KAVE TOWN) ยังรายล้อมไปด้วยร้านค้า เช่น แมคโดนัลด์ เปิด 24 ชม. รวมถึงไฮไลท์พิเศษอย่างคอมมูนิตี้ มอลล์ที่วางแผนตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการ เพื่อตอบโจทย์ ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของผู้อยู่อาศัยมากที่สุด ภายในโครงการยังพร้อมสรรพไปด้วยพื้นที่ส่วนกลาง และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันจัดเตรียมไว้มากถึง 20 โซน ไม่ว่าจะเป็น Pool in the Park สระว่ายน้ำในสวนสวย Sky Pool, Panorama View สระว่ายน้ำบนดาดฟ้าที่สามารถชมวิวได้ 360 องศา, KAVE Pavilion มุมพักผ่อนที่สามารถมองเห็นวิวสระว่ายน้ำอย่างชัดเจน, Library House สำหรับความเงียบสงบเป็นส่วนตัวสำหรับทำงาน อ่านหนังสือ, Co - Working, Lobby พื้นที่สำหรับนั่งทำงาน และยกระดับด้วย Meeting Room & Co Creation Space พื้นที่สำหรับประชุม ทำงาน และสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ มาพร้อมโซนความสนุก อย่าง Theater Deck, Fun Space,  VR Game, Creative  Entertain Lounge และฟิตแอนด์เฟิร์มเอาใจสายออกกำลังด้วยโซนออกกำลังกาย ต่างๆ อาทิ The Gym, Sky Fitness, Yoga Cover Studio เป็นต้น มาพร้อมที่จอดรถถึง 46 % ทั้งยังยกระดับความปลอดภัยด้วยระบบรักษาความปลอดภัย ถึง 5 ขั้นตอน ที่สามารถมั่นใจในคุณภาพการอยู่อาศัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ   “โครงการเคฟ ทาวน์ ชิฟ (KAVE TOWN Shift) และเคฟ ทาวน์ สเปซ (KAVE TOWN Space) เป็นโครงการที่เรามั่นใจในศักยภาพ ทั้งคุณภาพโครงการ การออกแบบ และพื้นที่ส่วนกลางที่พร้อมสรรพ รวมถึงการตั้งอยู่บนทำเลพื้นที่ที่มีดีมานด์สูง ทั้งใกล้กับมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นแคมปัสหลักที่มีขนาดใหญ่ ถึง 3 แห่ง ผนวกกับความต้องการอยู่อาศัยของพนักงาน ในบริษัทขนาดใหญ่ นิคมอุตสาหกรรม หรือสนามบินดอนเมือง พร้อมกับการมาถึงของสาธารณูปโภค และแหล่งงานใหญ่ ๆ อย่างต่อเนื่อง จึงมีความคุ้มค่าทั้งกับอยู่เอง หรือลงทุน ซึ่งที่ผ่านมามีอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Yield) อยู่ที่ 8-10 % จากสถิติที่เปิดขาย KAVE Condo หรือราคาเฉลี่ยในการปล่อยเช่าที่ 10,000–17,000 บาท/เดือน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ดีมาก” นายกรมเชษฐ์ กล่าวเสริม   ทั้งนี้ โครงการ โครงการเคฟ ทาวน์ (KAVE Town) ประกอบด้วยห้องชุดขนาดต่าง ๆ ได้แก่ ห้อง One Bedroom ขนาดพื้นที่ประมาณ 24.22 ตร.ม. ห้อง One Bedroom Exclusive ขนาดพื้นที่ประมาณ 27.26 ตร.ม. ห้อง One Bedroom Extra ขนาดพื้นที่ประมาณ 24.50 ตร.ม. และห้อง One Bedroom Plus ขนาด 38.43 ตร.ม. โดยจะเริ่มการก่อสร้างมีนาคม 2562 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2020   ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนรับส่วนลดสูงสุดถึง 100,000 บาทได้ที่ www.assetwise.co.th พร้อมเปิดขายพรีเซลล์ในวันที่ 2-3 มีนาคม ศกนี้ ณ เซลล์ แกลเลอรี่ เคฟ ทาวน์ ถนนพหลโยธิน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 02-168-0000        
สโคป บริษัทรูปแบบใหม่ เชี่ยวชาญการสร้างที่อยู่อาศัยระดับอินเตอร์เนชั่นแนลพรีเมี่ยมโดยเฉพาะ

สโคป บริษัทรูปแบบใหม่ เชี่ยวชาญการสร้างที่อยู่อาศัยระดับอินเตอร์เนชั่นแนลพรีเมี่ยมโดยเฉพาะ

สโคป จับลูกค้ากลุ่มใหม่ซึ่งเป็นนักท่องโลกที่ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพสูงสุดในทุกมิติของการออกแบบ ไม่ใช่เพียงแค่ใช้วัสดุที่ดูหรูหรา   ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งคร่ำหวอดในวงการมาอย่างยาวนาน และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังโครงการที่พักอาศัยชื่อดังในประเทศไทยมากมาย ประกาศตั้ง “สโคป” บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยที่มา Disrupt วงการ ฉีกแบบแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยแบบเดิมที่เคยมีมา ด้วยการมุ่งเน้นเรื่องการออกแบบและก่อสร้างที่อยู่อาศัยคุณภาพพรีเมี่ยมมาตรฐานระดับโลกโดยเฉพาะ   สโคปจะเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยโครงการแรกในเดือนมิถุนายน 2562 และจะเปิดตัวอีกสองโครงการในอีก 12 เดือนถัดไป คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกันทั้งสิ้น 11,200 ล้านบาท   การก่อตั้งบริษัทสโคปเป็นการบุกเบิกกลุ่มลูกค้าใหม่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยของประเทศไทยที่มีการแข่งขันกันอย่างสูง โดยสโคปจะเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รูปแบบใหม่ ที่มีการจัดโครงสร้างองค์กรแบบพิเศษซึ่งแตกต่างไปจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป ทั้งนี้เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีความต้องการต่างไปจากเดิม   นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโคป จำกัด กล่าวว่า “สโคปเป็น บริษัทที่เชี่ยวชาญโดยเฉพาะเจาะจงในเรื่องการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้กับกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนที่เติบโตในยุคอินเตอร์เน็ต ยุคที่เราสามารถเห็นและเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เป็นสุดยอดบนโลกใบนี้ได้อย่างง่ายดายผ่านทางเว็บไซต์ หรือเป็นกลุ่มคนที่เดินทางมามาก และได้เห็นมาหมด เป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการแต่สิ่งที่ดีที่สุด เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีรสนิยมดีระดับมาตรฐานสากล และเป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีดีไซน์และคุณภาพการก่อสร้างในมาตรฐานระดับเดียวกันกับที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพดีที่สุดในนิวยอร์คหรือลอนดอน”   นายยงยุทธ กล่าวว่า มาตรฐานและความคาดหวังของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นการเปิดโอกาสทางการตลาดให้กับ Disruptor ที่เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเฉพาะทาง    นายยงยุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ไม่ว่าจะสร้างบ้าน รถยนต์ หรือทำกระเป๋าถือก็ตาม หากเป็นกลุ่มคุณภาพระดับสูงสุด จะต้องมีรูปแบบองค์กรและรูปแบบทางธุรกิจแตกต่างไปจากองค์กรแบบเดิมทั่วไปที่ทำงานตอบสนองหลายกลุ่มหลายระดับ จึงจะสามารถส่งมอบมาตรฐานระดับสูงสุดได้”   “วิธีการคิดคำนวณต้นทุนต้องแตกต่าง แนวคิดของแผนกจัดซื้อก็ต้องแตกต่าง เช่นเดียวกับระยะเวลาในการออกแบบและแนวคิดในการพัฒนาโครงการ เครือข่ายซัพพลายเออร์และคุณสมบัติของผู้รับเหมา รวมทั้งการฝึกอบรมพนักงานให้ใช้เวลาและใส่ใจกับทุกรายละเอียด และไม่ยอมรับกับความไม่สมบูรณ์แบบใดๆ ก็ตาม ก็จะต้องแตกต่างไปจากเดิมด้วย” นายยงยุทธ กล่าว   “เรากำลังบุกเบิกเปิดตลาดใหม่สำหรับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเฉพาะทาง เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพมาตรฐานสูงสุดระดับสากล โดยอาศัยรูปแบบการทำธุรกิจ ที่ไม่เหมือนใคร มีโครงสร้างองค์กรที่แตกต่างไปจากแบบแผนเดิมในบริษัททั่วไป ทั้งนี้ ก็เพื่อให้สามารถยกระดับมาตรฐานของการพัฒนาที่อยู่อาศัยในประเทศไทยให้สูงยิ่งขึ้น และมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น” นายยงยุทธ กล่าว   “ทุกวันนี้ ผู้บริโภคเปลี่ยนไป ลูกค้ากลุ่มใหม่นี้ไม่ได้มองความหรูหราว่าเป็นเรื่องของการใช้วัสดุแพงๆ เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ลูกค้ากลุ่มนี้จะมองว่าความหรูหราเป็นเรื่อง ‘คุณภาพของกระบวนการความคิด’ ที่ใส่เข้าไปในขั้นตอนการออกแบบที่ยอดเยี่ยม และการเลือกใช้วัสดุระดับพรีเมี่ยมอย่างเหมาะสม สำหรับผู้บริโภคกลุ่มนี้ ความหรูหราจึงไม่ได้หมายถึงก๊อกน้ำทองคำ หรือที่จับประตูทองคำ แต่สิ่งที่พวกเขามองหาคือสุดยอดดีไซน์ ความเรียบง่ายที่โอ่โถงสะอาดตา ประโยชน์ใช้สอย รสนิยมที่ดี และการใส่ใจในทุกรายละเอียดอย่างสูงสุด เพื่อมุ่งให้เป็นบ้านที่ทำให้ทุกวันของผู้อยู่อาศัยมีความสุขมากขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่สโคปทุ่มงบประมาณไปที่เรื่องการออกแบบจนมากกว่าเป็นเท่าตัว หากเปรียบเทียบกับสัดส่วนงบประมาณสำหรับงานออกแบบที่บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ทั่วไปในวงการ จัดสรรไว้สำหรับแต่ละโครงการ”   นายยงยุทธ กล่าวว่า สโคปได้จับมือกับที่ปรึกษาที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งมาจากทั้งโคเปนเฮเกน นิวยอร์ค ลอนดอน และมิลาน เป็นต้น   “ที่สโคป ทุกแผนกจะต้องมานั่งทำงานด้วยกันเพื่อระดมความคิดหาวิธีการที่ดีที่สุดร่วมกัน แทนที่จะให้หลายๆ แผนกต่างคนต่างทำงานแยกกัน ซึ่งรวมถึงแม้แต่ซีอีโอของบริษัท ก็นั่งร่วมประชุมวางผังและออกแบบด้วย และที่สโคป ทีมงานจะทำงานออกมาทีละหนึ่งโครงการเท่านั้น เพื่อให้สามารถทุ่มเทเวลาและความใส่ใจทั้งหมดให้กับทุกรายละเอียดของโครงการนั้นได้อย่างเต็มที่ แทนที่จะทำหลายๆ โครงการพร้อมกัน” นายยงยุทธ กล่าว   นอกจากนี้ สโคปยังมีความมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่บริหารอาคารที่บริษัทสร้างขึ้น ให้ยาวนานเป็น 10 ปี   “เราจะให้บริการเรื่องบริหารอาคาร โดยจัดสรรหน่วยงานภายในของบริษัทสโคปเองเป็นผู้ทำหน้าที่ดังกล่าว แทนที่จะใช้วิธีการตั้งบริษัทแยกออกมาใหม่ที่มุ่งหวังผลกำไรให้เป็นผู้ทำหน้าที่นั้น เหมือนอย่างในรูปแบบธุรกิจปกติทั่วไป เพราะเราเชื่อว่าการตั้งโครงสร้างแบบที่เรากำลังทำอยู่นี้ ทำให้เราสามารถส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตระดับอินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมี่ยม ได้ดีกว่า” นายยงยุทธ กล่าว   นายยงยุทธประเมินว่า “มีความต้องการคอนโดมิเนียมมาตรฐาน ‘อินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมี่ยม’ ประมาณ 6,500 ยูนิตต่อปี ในทุกระดับราคา ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 90,000 ล้านบาท ทั้งนี้สำหรับบริษัทสโคป คาดการณ์ว่าลูกค้าของสโคปจะเป็นคนไทยรุ่นใหม่ผู้มีฐานะและรสนิยมที่เป็นอินเตอร์เนชั่นแนล ประมาณ 80% และเป็นชาวต่างชาติผู้มองหาที่พักอาศัยคุณภาพระดับอินเตอร์เนชั่นแนลที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ ประมาณ 20%”   นายยงยุทธคาดการณ์ว่า ตลาดคอนโดมิเนียมคุณภาพระดับสูงสุดในประเทศไทย จะมีมูลค่าถึงประมาณ 78,500 ล้านบาท ในปี 2562 และ “ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ราคาคอนโดมิเนียมระดับคุณภาพสูงสุดในทำเลที่ดีที่สุดในเขตกรุงเทพฯ น่าจะสูงถึง 800,000 บาทต่อตารางเมตร”   นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีประสบการณ์และเป็นที่ยอมรับสูงสุดในวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ผู้มีแนวคิดที่มีอิทธิพลต่อนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยมากมาย เป็นผู้บริหารโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลากหลายระดับและหลากหลายประเภทกว่า 90 โครงการ รวมทั้งเคยเป็นหุ้นส่วนและที่ปรึกษาบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แถวหน้าของเมืองไทย อาทิ แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น บมจ. เอสซี แอสเสท บมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ และ บมจ. พฤกษา   นายยงยุทธก่อตั้งบริษัทสโคปขึ้นมา โดยได้รับการสนับสนุนจาก บมจ. เอสซี แอสเสท ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์จดทะเบียนที่ใหญ่ที่สุดห้าอันดับแรกของประเทศไทย มาร่วมก่อตั้งบริษัทสโคป “เพื่อให้ สโคปมีความมั่นคงทางการเงินสูงสุดสำหรับการทำโครงการที่ดีที่สุดออกมาเสมอ”   “เอสซี แอสเสท กับผมมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน เราจึงจับมือกันก่อตั้งบริษัทสโคปขึ้น” นายยงยุทธ กล่าว   โครงการแรกของสโคปจะสร้างขึ้นบนที่ดินทำเลทองใจกลางเมืองขนาด 2 ไร่บนถนนหลังสวน ซึ่งมูลค่าที่ดินในปัจจุบันสูงกว่า 3 ล้านบาทต่อตารางวา โดยมีมูลค่ารวมของโครงการอยู่ที่ 7,800 ล้านบาท และก่อนสิ้นปี 2563 สโคปมีแผนจะเปิดตัวอีก 2 โครงการที่ย่านทองหล่อและถนนสุขุมวิท      
“นิวาติ ทองหล่อ 23” อาณาจักรแห่งความลักชัวรี่ สงบ ปลอดภัย ใจกลางเมือง

“นิวาติ ทองหล่อ 23” อาณาจักรแห่งความลักชัวรี่ สงบ ปลอดภัย ใจกลางเมือง

การครอบครองคอนโดสักห้อง นอกเหนือจากทำเลที่ “ชอบ” และโปรดักส์ที่ “ใช่” แล้ว ที่สำคัญเรื่องคุณภาพต้องเหมาะสมกับราคาควบคู่กับการบริการจะต้องเป็นที่พึงพอใจ บริษัท เซวาส พรอพเพอตี้ส์ จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างไทยและฮ่องกง ได้พัฒนาคอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักชัวรี่ โครงการ “นิวาติ” (NIVATI) ทองหล่อ 23 อีกหนึ่งคอนโดหรู ที่มีไอเดียการดีไซน์และการเลือกของตกแต่งที่เป็น โมเดิร์นลักชัวรี่ ใส่ใจทุกรายละเอียด มาพร้อมฟังก์ชันใช้สอยที่กว้างขวางและวัสดุคุณภาพระดับโลก ภายใต้คอนเซ็ปต์ Elegant Classic Contemporary เป็นเสน่ห์ของโครงการที่ถูกถ่ายทอดผ่านดีไซน์ที่เข้าใจและเข้าถึงผู้ชื่นชอบการตกแต่งสไตล์ตะวันตก   แม้ภาพรวมของทองหล่อจะขึ้นชื่อว่าเป็นย่านที่พลุกพล่าน และวุ่นวาย แต่โครงการ Nivati คำนึงถึงเรื่องความสงบและความเป็นส่วนตัวในการใช้ชีวิต จึงเลือกพัฒนาอยู่บนทำเลที่ตอบโจทย์เรื่อง Privacy เพิ่มความสุขและสงบ ขณะเดียวกัน ยังสามารถเดินทางไปยังแหล่งไลฟ์สไตล์และแหล่งแฮงเอาท์ทั้ง Day Life และ Night Life เช่น Emquatier, J-Avenue โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ รพ.สมิติเวช ได้ไม่ยาก โครงการยังตอบโจทย์เรื่อง Exclusivity ด้วยจำนวนยูนิตในโครงการเพียง 52 ยูนิต บนพื้นที่ 7 ชั้น ผ่านวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากแบรนด์ชั้นนำ 100% เป็นโครงการที่เหมาะกับการลงทุนระยะยาว เพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 ใจกลางเมืองให้กับลูกหลานและยังคาดหวังกำไรส่วนต่างจากการขายต่อได้ในอนาคต โครงการยังใส่ใจเรื่องความกว้างใหญ่ของห้องพักทุกแบบ ทำให้ทุกห้องตั้งแต่ขนาด 1-3 ห้องนอน มีสเปซกว้างขวางกว่าโครงการต่างๆ บนทำเลเดียวกัน ห้องนั่งเล่นและ Master Bedroom มีสเปซกว้างขวางสำหรับทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูง เติมเต็มความรู้สึก Luxury ในการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง   โครงการ Nivati บนพื้นที่ดินขนาด 1-1-34 ไร่ ใจกลางทองหล่อ ได้รับการเนรมิตให้เป็นโครงการระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ มูลค่าโครงการกว่า 1,600  ล้านบาท โก้หรูไปกับฟาซาดที่โดดเด่นเรื่องดีไซน์สไตล์ "Timeless classicism of the architecture" สถาปัตยกรรมคลาสสิกร่วมสมัย ให้ความรู้สึกสวยงามเหนือกาลเวลา ให้ความหรูหรา มีระดับการตกแต่งทั้งภายนอกและภายใน สะท้อนให้เห็นการทำงานแบบศิลปะขั้นสูงโดยในทุกหน้าต่าง ทุกบานประตู ใช้วัสดุ  กรุผนังภายนอกอาคารด้วย Limestone โทนสีครีม เป็นสีสะท้อนความคลาสสิก ร่วมสมัย ให้ความรู้สึกหรูหรา อบอุ่น น่าอยู่อาศัย เป็น ‘บ้าน’ ที่ผู้อาศัยสามารถผ่อนคลายและชาร์จพลังเพื่อออกไปสู่โลกของการทำงาน และใช้ชีวิตได้อย่างมีพลังเต็มเปี่ยม   ขณะที่ส่วนกลางนั้นครบถ้วนทั้งฟังก์ชันการใช้งาน และความสวยงามในการใช้ชีวิต อาทิ ล็อบบี้หรู, Business Lounge, Swimming Pool, Fitness, ที่จอดรถใต้ดินแบบ Automatic Underground Car Parking ถึง 78 คัน หรือ 150% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด และการรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนสเปควัสดุที่คัดสรรมาให้นั้นล้วนเป็นวัสดุอิมพอร์ตระดับไฮเอนด์ อาทิ ชุดครัวจากพอเกนโพล (Poggenpohl) ชุดเครื่องครัวแบรนด์ชั้นนำของโลกที่มีประสบการณ์และประวัติมายาวนานนับร้อยปี เคียงคู่มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์และสุขภัณฑ์แบรนด์ดัง อย่าง Siemens, Dornbracht, Blanco และ Villeroy & Boch แบรนด์คุณภาพเยี่ยมจากเยอรมัน พร้อมก๊อกน้ำและอุปกรณ์ภายในห้องน้ำ ดีไซน์สวยงามและคุณภาพสูงจากแบรนด์ Gessi ซึ่งนำเข้าจากประเทศอิตาลี เป็นต้น   แบบห้องมีให้เลือกตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน เริ่มจากแบบ 1 Bedroom ขนาดพื้นที่เริ่มต้น 77.2 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ 20 ล้านบาท แบบ 2 Bedroomเริ่มต้นที่ 104.4 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ 26 ล้านบาท แบบ 3 Bedroom ขนาด 178.9 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ 44 ล้านบาท และ Duplex 1-2 Bedroomขนาด 110-190 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ 31 ล้านบาท   ทุกห้องตกแต่งแบบ Fully Fitted และพิเศษสำหรับช่วงเปิดชมห้องตัวอย่างครั้งแรก มีโปรโมชั่น Fully Furnished Package ให้กับลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมโครงการและตัดสินใจจอง ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2562 และโครงการมีแนวโน้มจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ช่วงเดือนกันยายน 2562   สำหรับห้องตัวอย่างได้ถูกเปิดให้ชมอย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 จำนวน 2 ห้องด้วยกัน เริ่มที่ห้อง แบบ 2 Bedroom Plus พื้นที่ใช้สอย 130.7 ตร.ม. ที่โดดเด่นด้วยการตกแต่งสไตล์เฟมินีน เหมาะสำหรับหนุ่มสาววัยทำงานหรือครอบครัวที่ชอบความเรียบหรูมีระดับ ตกแต่งด้วยวัสดุสีทองเมทัลลิกและไฟ warm white ทั่วทั้งห้องเพื่อเน้นบรรยากาศผ่อนคลายและอบอุ่น พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยคอนโดในเมืองด้วย walk in closet ที่กว้างขวางเป็นสัดส่วน รวมถึงห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น และห้องครัว ขนาดใหญ่ให้อารมณ์เหมือนอยู่บ้าน ซึ่งไม่ว่าใครได้มาเห็นเป็นต้องหลงเสน่ห์ทุกราย   อีกหนึ่งห้องที่เนรมิตมาสำหรับบิซิเนสแมนและครอบครัวขนาดเล็กที่สร้างความต่างแบบมีสไตล์ คือ Duplex 1 Bedroom ขนาด 125.4 ตร.ม.ด้วยการตกแต่งในแบบเรียบง่าย เน้นบรรยากาศการอยู่อาศัยจริงและการใช้พื้นที่ใช้สอยให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพิ่มความหรูหราน่าครอบครอง ด้วยการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวที่มีผิวสัมผัสชั้นเลิศ อยู่แล้วสบายผ่อนคลาย โดยจะเลือกใช้สีเทา น้ำตาล ให้ความรู้สึกถึงความเนี้ยบ ความซอฟท์ในแบบธรรมชาติ ชูความโดดเด่นของวัสดุพื้นผิวและชุดครัวคุณภาพสูงตามมาตรฐานของโครงการนิวาติ   ผู้สนใจหรือต้องการชมห้องตัวอย่างจริง สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  www.nivaticondo.com หรือ โทร. 095-914-9888 เปิดให้ชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00 – 18.00 น.      
SC ASSET เผยโฉมที่สุดของ Luxury Privacy Clubhouse ด้วยแรงบันดาลใจจากเวนิส โครงการ แกรนด์ บางกอก  บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย

SC ASSET เผยโฉมที่สุดของ Luxury Privacy Clubhouse ด้วยแรงบันดาลใจจากเวนิส โครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย

เอสซี แอสเสท ขอแนะนำ โครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย แรงบันดาลใจจากเวนิสคฤหาสน์หรู ชั้นสไตล์ Modern Venice ที่สุดของ Luxury Privacy Clubhouse จากแรงบันดาลใจสถาปัตยกรรมเวนิส มอบพื้นที่พักผ่อนขนาดใหญ่ในบรรยากาศของวันพักร้อนที่เหนือระดับ ตั้งแต่สระว่ายน้ำในร่มระบบเกลือขนาด Half Olympic 28 เมตร ที่สามารถเชื่อมสู่สวนส่วนกลางขนาด กว่า 1 ไร่ พร้อมฟิตเนสขนาดใหญ่ อยู่บนชั้น 2 ของสโมสร ห้องซาวน่าส่วนตัวแยกชายหญิง สนามเด็กเล่น และ Pavilion ส่วนกลางพักผ่อนขนาดใหญ่ 75 ตารางเมตร ที่เหมาะสำหรับให้ทุกกิจกรรมวันพักผ่อนมาบรรจบในที่เดียว   แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย บนพื้นที่ 25 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอย เริ่มต้น 443-563 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 25-40 ล้านบาท พร้อม Facility ที่ครบครัน และนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุ Eldercare Solution by SC ASSET ให้คุณได้ใช้ชีวิตท่ามกลางสังคมส่วนตัว เอกสิทธิ์เพียง 48 ครอบครัว ภายใต้ระบบความปลอดภัย Triple Security System  แยกสัดส่วนอย่างเป็นส่วนตัวระหว่าง Guest Area และ Residential Area เข้าออกโครงการด้วยระบบ Easy Pass ทําเลศักยภาพในย่านรามอินทรา เดินทางสู่ใจกลางเมืองด้วยทางด่วนศรีรัชและทางด่วนรามอินทรา-อาจนรงค์ ใกล้วงแหวนกาญจนาภิเษก นอกจากนี้ยังมีอีกหลากหลายเส้นทางถนนสายหลักที่สามารถเชื่อมสู่ย่านสําคัญ เช่น ถ.รามอินทรา ถ.ลาดพร้าว ถ.รามคําแหง ถ.เสรีไทยไปมีนบุรี หรือ มอเตอร์เวย์   สนใจเยี่ยมชมโครงการสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานขายโครงการโทร.1749 หรือ www.scasset.com / www.facebook/scasset/          
“เนอวานา ไดอิ” สร้างปรากฏการใหม่ “Living Revolution” มุ่งสร้างความแตกต่างและพลิกโฉมการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่

“เนอวานา ไดอิ” สร้างปรากฏการใหม่ “Living Revolution” มุ่งสร้างความแตกต่างและพลิกโฉมการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่

“เนอวานา ไดอิ” เดินหน้าสร้างปรากฏการใหม่ Living Revolution ในการเป็นผู้นำด้านดีไซน์บ้านสไตล์ Natural Modern เพื่อสร้างความแตกต่างและนำนวัตกรรมการอยู่อาศัยในรูปแบบใหม่และทันสมัยมาพัฒนาโครงการคุณภาพที่สมบูรณ์แบบเพื่อคนรุ่นใหม่ พร้อมตั้งเป้ายอดขาย Presale เติบโตกว่า 100% เป็น 5,400 ล้านบาท ในปี 2019   นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เนอวานา ไดอิ (เนอวานา) เปิดเผยว่า แนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2019 ไม่ได้สดใสมากนัก เพราะมีปัจจัยลบมากระทบตลาดโดยรวมหลายอย่าง อาทิ เช่น อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มขยับตัวสูงขึ้น กฎระเบียบในการปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เข้มงวดขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศไทย ก็ยังไม่ได้มีการขยายตัวในอัตราที่สูง แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในระดับบน เป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ราคาแพง ยังคงมีความต้องการจากผู้บริโภคอยู่และยังสามารถเติบโตได้ในอัตราที่ดี   เนอวานา ไดอิ ได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในตลาดระดับบนมาเป็นเวลากว่า 15 ปี จึงเข้าใจถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในตลาดนี้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบบ้าน ไลฟ์สไตล์และความต้องการเรื่องการอยู่อาศัยของผู้ซื้อบ้านที่เป็นคนรุ่นใหม่ ดังนั้น บริษัทฯ ได้เห็นโอกาสในการพัฒนารูปแบบของการอยู่อาศัยในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้อย่างครบถ้วน   ในปีนี้ เนอวานา ไดอิ พร้อมเดินหน้ากับแนวคิดใหม่ Living Revolution เพื่อพลิกโฉมการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และสร้างสวรรค์รูปแบบการอยู่อาศัยแบบใหม่ ที่มุ่งเน้นเรื่องดีไซน์ของบ้านแบบใหม่ที่มีความแตกต่างจากบ้านทั่ว ๆ ไป มีการนำนวัตกรรมเข้ามาผสมผสานเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืน โดยบริษัทฯจะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม ภายใต้แนวคิดใหม่ในปี 2019 นี้ จำนวนทั้งสิ้น 11 โครงการ   “เนอวานา พัฒนาแนวคิด Living Revolution ขึ้นมา เพื่อปฏิวัติการอยู่อาศัยแบบเดิมๆ โดยสร้างที่อยู่อาศัยที่มีการออกแบบในสไตล์โมเดิร์นและนำนวัตกรรมอันทันสมัยมาใช้ในการออกแบบการอยู่อาศัย ทำให้บ้านอยู่สบายขึ้นบ้านของเนอวานาจึงสวยงามยาวนาน และมีฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบสนองทุกคนในครอบครัว ที่จะใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบในชุมชนของเนอวานา” นายศรศักดิ์ กล่าว   แนวคิดที่จะพลิกโฉมการสร้างรูปแบบการอยู่อาศัยในแบบฉบับของเนอวานา ภายใต้คอนเซปต์ Living Revolution ที่มีองค์ประกอบหลัก 2 ส่วน ดังนี้   1) Modern Living Design บ้านสไตล์ Natural Modern รุ่นใหม่ของเนอวานาถูกออกแบบให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง ตั้งแต่การเลือกทำเลโครงการที่ติดถนนใหญ่ อยู่ในเมือง ทำให้ลูกค้ามีความสะดวกสบายในการเดินทาง (Life Connectivity) แบบบ้านที่ถูกออกแบบมาให้มีไสตล์ทันสมัยอยู่ได้ยาวนาน (Timeless Design) และอยู่ร่วมกันอย่างสบายในหลาย Generation เน้นในเรื่องการนำธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแสงและลมธรรมชาติ เข้ามาใช้ในตัวบ้านให้มากที่สุด นอกจากนี้การออกแบบบ้าน ยังคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญของบ้านเนอวานา   2) Modern Living Innovation บ้านทุกหลังได้รับการออกแบบให้พร้อมกับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ในสภาพแว ดล้อมปัจจุบัน โดยมีองค์ประกอบหลัก ดังนี้   - Convenience Lifestyle บ้านทุกหลังของเนอวานาจะมี Internet ความเร็วสูงเข้าถึงทุกจุดภายในบ้าน สามารถทำให้เราเชื่อมโยงกับโลกอินเตอร์เน็ตได้ตลอดเวลา อุปกรณ์ต่างๆ สามารถเชื่อมต่อเข้ากับ Wi-Fi และมีการออกแบบจัดวางได้อย่างลงตัว มีระบบเสียงรอบบ้านที่ออกแบบให้เชื่อมต่อเข้ากับ Smartphone เพื่อความบันเทิงทุกที่ในบ้าน และยังสามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบ Smart TV เพื่อความบันเทิงอย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย นอกจากนี้โครงการเนอวานายังออกแบบระบบ Work from Home เพื่อให้สามารถทำงานจากบ้านได้อย่างสะดวกสบาย - Eco & Health Concern เนอวานา ให้ความสนใจกับการดูแลสุขภาพและการอยู่อาศัย (Well Being Living) ในบ้านของเนอวานา มีระบบ Air Control System ในการปรับสภาพอากาศภายในบ้านให้สมดุลตลอดเวลา ลดเรื่องฝุ่นละอองภูมิแพ้ในบ้านและมีระบบหมุนเวียนอากาศที่ไม่ดีออกไปด้านนอก วางระบบกรองน้ำประปาทีจะนำมาใช้ในบ้าน นอกจากนี้เนอวานายังให้ความสำคัญในการใช้พลังงานธรรมชาติ มีการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้กับพื้นที่ส่วนกลาง เป็นการประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายในการดูแลส่วนกลางในระยะยาว - Security for Life ความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญโครงการของเนอวานามีการออกแบบแบ่งโซน Public, Semi-Public และ Private Space ไว้อย่างสมบูรณ์แบบภายในบ้านทุกหลังมีการวางระบบความปลอดภัยจากผู้เชี่ยวชาญและเชื่อมต่อเข้ากับระบบ Home Automation ในการควบคุมการทำงานทั้งหมดภายใต้ Nirvana App Service เพียงตัวเดียว - Privileges for Family ครอบครัวของเนอวานาจะได้รับสิทธิประโยชน์และประสบการณ์ในการอยู่อาศัยมากมาย เช่น บริการNirvana Living Service ที่เปรียบเสมือนการมี Concierge ส่วนตัวคอยให้บริการในการดูแลบ้าน ไม่ว่าจะเป็น การทำความสะอาด ซักรีด และร้านอาหาร นอกจากนี้ยังมีสิทธิประโยชน์ในเรื่องของการท่องเที่ยวและสันทนาการต่างๆ   นายรณชัย ไตรยสุนันท์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาโครงการแนวสูงและออกแบบ บมจ.เนอวานา ไดอิ กล่าวว่า เนอวานา มีแนวความคิดในการออกแบบบ้านที่คำนึงถึงการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ที่สอดคล้อง กับธรรมชาติ (Natural Modern) โดยออกแบบบ้านให้มีรูปทรง L Shape และ C Shape ที่สร้างให้เกิด Inner Court กลางบ้าน ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้มีพื้นที่สวนภายในบ้าน และสร้างความเป็นส่วนตัวของพื้นที่ในบ้านและนอกบ้าน นอกจากนี้ การออกแบบบ้านยังคำนึงถึงทิศทางของแดดและลม โดยการออกแบบช่องเปิดรับแสงและลมที่เหมาะสม   บริษัทฯ จะนำรูปแบบการอยู่อาศัยแนวใหม่นี้ไปพัฒนา โครงการเนอวานา เมืองใหม่ (Nirvana Township) บนถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ เพื่อพัฒนาชุมชนที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ที่มีองค์ประกอบสำคัญอื่น ๆ มาสนับสนุนให้เป็นคอมมิวนีตี้รูปแบบใหม่ที่มีพร้อมทุกอย่าง เพื่อตอบสนองการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่   นายจิรเดช นุตสถิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ. เนอวานา ไดอิ กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะลงทุน 17,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการใหม่จำนวนทั้งสิ้น 11 โครงการในปี 2019 นี้ ประกอบไปด้วยโครงการบ้านเดี่ยว 7 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ และตั้งเป้ายอดขาย Presale ปี 2019 เติบโตกว่า 100% จาก 2,600 ล้านบาท ในปี 2018   “ปีนี้ จะเป็นปีที่เนอวานา มีการเติบโตทางธุรกิจอย่างมาก เพราะเรามีวิสัยทัศน์และเป้าหมายในการดำเนินงานที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เราสร้างความแตกต่างเพื่อให้ธุรกิจของเราเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว”        
เน็กซัสชี้ ปี 2019 คือ ปีแห่งการก้าวกระโดดของธุรกิจ Co- Working Office

เน็กซัสชี้ ปี 2019 คือ ปีแห่งการก้าวกระโดดของธุรกิจ Co- Working Office

เมื่อคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญขององค์กรต่างๆ จึงทำให้รูปแบบของการทำงานในปัจจุบันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เห็นได้จากการที่ธุรกิจให้เช่าพื้นที่ทำงานร่วม หรือ Co-working Office เริ่มเป็นที่นิยม และขยายตัวอย่างรวดเร็วในหลายประเทศทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยนั้น ธุรกิจให้เช่า Co-working Office เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงซึ่งเมื่อผนวกกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของบริษัทสตาร์ทอัพในปัจจุบันที่มีมากกว่า 10,000 ราย คิดเป็นมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ยิ่งส่งผลให้ธุรกิจให้เช่า Co-working Office ยิ่งเป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้น   นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ เผยว่า “ปัจจุบันธุรกิจให้เช่า Co-working Office กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก พบว่าในปี 2018 ตลาด Co-working Office มีการเปิดให้บริการเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา (2017) ถึง 51% บนพื้นที่กว่า 100,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็น 2.6% ของพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานแบบดั้งเดิม คาดว่าในปี 2019 จะมีผู้ประกอบการหลายรายที่ พร้อมขยายพื้นที่ให้บริการอีกกว่า 30,000 ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 40% โดยปัจจุบัน มีบริษัทที่เซ็นสัญญาการเช่าพื้นที่แห่งใหม่แล้วอย่างน้อย 3 ราย บนขนาดพื้นที่ประมาณ 4,000 – 8,000 ตารางเมตร   ด้านราคาค่าเช่า จากการสำรวจของเน็กซัสพบว่า อัตราค่าบริการรายเดือนของ Co-working Office อยู่ที่ประมาณ 10,000 บาทต่อคนต่อเดือน โดยปัจจุบันมี Co-working Office มากถึง 70 แห่งทั่วกรุงเทพ จากผู้ประกอบการประมาณ 30 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการชาวต่างชาติ โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ คือ รีจัส (Regus) นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ต่างชาติที่พร้อมจะขยายพื้นที่ให้บริการ Co-working Office เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก เช่น วีเวิร์ค จัสโค และสเปสเซส เป็นต้น ซึ่งผู้ประกอบการกลุ่มนี้มักจะมองหาพื้นที่เช่าในอาคารสำนักงานเกรดเอ บนทำเลศักยภาพ เดินทางเข้าถึงสะดวก ตามแนวรถไฟฟ้าบนดิน และรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยขนาดพื้นที่ที่ต้องการ คือ ประมาณ 2,000-4,000 ตร.ม. หรืออาจมากถึง 8,000 ตร.ม. ในบางอาคาร “อาคารสำนักงานให้เช่าตามแนวรถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดินได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการธุรกิจให้เช่าพื้นที่ทำงานร่วมเป็นอย่างมาก โดยมีการขอเช่าพื้นที่ในอาคารเดียวกว่า 7,000-8,000 ตร.ม.” นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ กล่าว   จากการวิจัยของเน็กซัส พบว่าเหตุที่ Co-working Office เป็นที่นิยมมากขึ้นเนื่องจาก เป็นรูปแบบบริการที่ทันสมัยเข้าใจไลฟ์สไตล์ของพนักงานในยุคมิลเลนเนียมที่ต้องการความคล่องตัว มีบรรยากาศการทำงานที่ผ่อนคลาย ทั้งยังสามารถทำสัญญาเช่าระยะสั้นได้ ซึ่งเหมาะกับบริษัทสตาร์ทอัพที่ต้องการปรับเปลี่ยนขนาดของพื้นที่ หรือจำนวนพนักงานอย่างรวดเร็ว ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้เช่าที่เคยเกิดขึ้นจากการเช่าสำนักงานแบบเดิม เช่น ค่าตกแต่งสำนักงาน ค่าเฟอร์นิเจอร์ ค่าบริหารจัดการ ค่าส่วนกลาง ค่าทำความสะอาด เป็นต้น ซึ่งข้อดีที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ Co-working Office มักจะมีอยู่หลายสาขาไว้ให้บริการ ดังนั้น สมาชิกจึงมีความสะดวกสบายต่อการเลือกใช้บริการในสาขาที่ตนเองต้องการ เป็นเหตุให้ Co-working Office จึงกลายเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจของผู้เช่า   “ในอนาคตอันใกล้คาดว่ามีผู้ประกอบการอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการพัฒนาโครงการในรูปแบบของ Co-working Office โดยอาจเป็นในรูปแบบของการร่วมมือกันระหว่างเจ้าของอาคารกับผู้ประกอบการ Co-working Office หรือ เจ้าของอาคารที่หันมาเป็นผู้ประกอบการเอง และด้วยการทำ Co-working Office นั้น ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งข้อดี คือ Co-working Office จะช่วยเข้ามาช่วยลดอัตราว่างของพื้นที่ในอาคารให้น้อยลงนอกจากนี้ ยังสามารถสร้างจุดแข็งและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้เช่า รวมไปถึงเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการอีกด้วย โดยในอนาคตมีแนวโน้มว่าอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอในกรุงเทพฯ จะมีพื้นที่สำหรับรองรับ Co-working Office ประมาณ 10% ในทุกๆอาคาร” นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กล่าวสรุป    
เปิดตัวคอนโด ดิ เอส อโศก ‘Live Highest, Live Finest’ สิงห์ เอสเตท

เปิดตัวคอนโด ดิ เอส อโศก ‘Live Highest, Live Finest’ สิงห์ เอสเตท

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำการเป็น Premier Lifestyle Developer เปิดตัว‘ดิ เอส อโศก’ ภายใต้คอนเซปต์ ‘Live Highest, Live Finest’ คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีโครงการแรกที่สร้างเสร็จและพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้า ใส่ใจและพิถีพิถันทุกรายละเอียดในการดูแลลูกบ้านด้วยบริษัท เอส คลาส แมเนจเม้นท์ จำกัด บริษัทที่รับผิดชอบดูแลด้านพร็อพเพอร์ตี้แมเนจเม้นท์ของ สิงห์ เอสเตท เผยปัจจุบันมียอดโอนแล้วกว่า 1,550 ล้านบาท นอกจากนี้เตรียมจัดงาน Grand Opening เพื่อปิดยอดขายยูนิตล็อตสุดท้าย ในวันที่ 9-10 มีนาคม 2562 ด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษ แพคเกจเฟอร์นิเจอร์พร้อมสิทธิพิเศษอื่นๆ มากมายภายในงาน คาดปิดการขายทั้งหมดได้ภายในกลางปีนี้   นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บมจ. สิงห์ เอสเตท เผยว่า โครงการดิ เอส อโศก (THE ESSE ASOKE) นับเป็นคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีที่มีการสร้างเสร็จพร้อมส่งมอบและ ทำการเปิดตัวโครงการแรกของทาง สิงห์ เอสเตท ซึ่งจะเป็นโครงการที่สะท้อนให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของการเป็น พรีเมียร์ ไลฟ์สไตล์ ดีเวลลอปเปอร์ (Premier Lifestyle Developer) โดยเรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตในระดับพรีเมียมและได้สัมผัสถึงความเป็นครอบครัวสิงห์ เอสเตท ซึ่งตอกย้ำความตั้งใจในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับลูกค้า “ดิ เอส อโศก ได้รับการออกแบบให้เป็นคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ความต้องการของ คนเมือง ด้วยคอนเซปต์ ‘Live Highest, Live Finest’ หรือ ‘ที่สุด...ทุกการใช้ชีวิต’ โดยการออกแบบเน้นความเรียบหรู ผสานกับความเป็น Modern Contemporary ตัวอาคารมีทั้งหมด 55 ชั้น และเป็นอาคารที่อยู่อาศัยสูงที่สุดในย่านอโศก กับจำนวนห้องพัก 419 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 แบบ ประกอบด้วย 1Bedroom, 2Bedroom และห้อง Penthouse เน้นความเป็นส่วนตัว ด้วยการออกแบบจัดวางผังอาคารแบบไม่มีห้องตรงข้าม (Single Corridor) ทำให้มีจำนวนห้องพักต่อชั้นสูงสุดเพียง 12 ห้องเท่านั้น นอกจากนั้นยังมีพื้นที่สีเขียวส่วนกลางรวมกว่า 1 ไร่ โดยเฉพาะ “ดิ เอส คอร์ท” สวนด้านหน้าโครงการมีพื้นที่ถึง 1,000 ตารางเมตร ทำให้ผู้อยู่อาศัยไม่เพียงแต่ได้รับความเป็นส่วนตัวแต่ยังได้ความสดชื่นร่มรื่นและสบายตาในทุกจังหวะการใช้ชีวิตที่ “ดิ เอส อโศก” พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทางโครงการเตรียมไว้อย่างครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำลอยฟ้าบนชั้น 33 ให้ทุกท่านชมวิวความสวยงามของกรุงเทพมหานคร และออกกำลังกายในฟิตเนสระดับพรีเมียม, สำหรับท่านที่ชื่นชอบกีฬากอล์ฟสามารถฝึกซ้อมวงสวิงที่ห้อง Golf Simulator, พร้อมพักผ่อนยามเย็นที่สวนชั้น 10 และสกาย เลาจ์ ที่ชั้น 43 ที่ประกอบไปด้วยมุมสังสรรค์ ห้องประชุม และห้องสมุด”   นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า สำหรับโครงการนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมากตั้งแต่วันที่เริ่ม pre sales ในช่วงปลายปี 2558 ทำให้เรามียอดขายไปแล้วกว่า 90% โดยโครงการได้เริ่มทำการโอนให้กับลูกค้าตั้งแต่ปลายปี 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ทำการโอนไปแล้วกว่า 1,550 ล้านบาท หรือ 38% โดยคาดว่าจะโอนแล้วเสร็จทั้งหมดภายในไตรมาส 2 ปีนี้และทางโครงการได้เตรียมโปรโมชั่นสุดพิเศษไว้สำหรับห้องส่วนที่ยังไม่ได้ขายอีกประมาณ 10% ด้วยแพคเกจเฟอร์นิเจอร์มูลค่า 500,000 บาท และยังมี voucher มูลค่า 100,000 บาท ในงาน Grand Opening ในวันที่ 9-10 มีนาคม 2562 นี้อีกด้วย   สิงห์ เอสเตท มุ่งมั่นในการเป็น Premier Lifestyle Developer โดยพัฒนาโครงการที่พักอาศัยภายใต้แบรนด์ ดิ เอส (THE ESSE) ให้เป็น Leading Premium Brand ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ชีวิตที่ครบครันอย่างพิถีพิถันและมุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้กับลูกบ้านครอบครัว สิงห์ เอสเตท อีกด้วย อีกทั้งได้จัดทำ แอพลิเคชั่น S Life ขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆ โดยบริการ S Life เปรียบเหมือนศูนย์รวมกิจกรรมข้อมูลข่าวสาร โปรโมชั่น และ สิทธิพิเศษต่างๆ สำหรับลูกบ้านโดยเฉพาะ   นอกจากนี้อีกหนึ่งส่วนสำคัญ คือ สิงห์ เอสเตท ได้จัดตั้งบริษัท เอส คลาส แมเนจเม้นท์ จำกัด (S KLAS Management Company Limited) ขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการ โครงการอสังหาริมทรัพย์ของ สิงห์ เอสเตท ที่พร้อมให้บริการลูกบ้านอย่างครบวงจร ทั้งเรื่อง การจัดการนิติบุคคล, การแจ้งซ่อม, การจองสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และแนะนำข้อมูลสถานที่ใกล้เคียงที่สำคัญ รวมถึงบริการคอนเซียร์จเซอร์วิส (Concierge Service) ที่มีทีมงานบริการลูกบ้าน ซึ่งมีประสบการณ์ระดับสากล ด้วยมาตรฐานการบริการเหนือระดับ ทำให้ S KLAS Management สามารถดูแลโครงการทั้งหมด ให้อยู่ในระดับ Best in Class อีกทั้งยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการในอนาคต   “วันนี้สิงห์ เอสเตท พร้อมแล้วที่จะส่งมอบประสบการณ์แบบ Best in class ที่พิถีพิถัน ใส่ใจในรายละเอียด ให้กับทุกท่าน ตอกย้ำภาพการเป็น Premier Lifestyle Developer ซึ่งมุ่งมั่นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และดีที่สุดสำหรับลูกบ้านครอบครัว สิงห์ เอสเตท” นายณัฐวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย      
โนเบิล ประกาศเงินปันผล 6.9 บาทต่อหุ้น ผลจากการประกอบการที่แข็งแกร่ง

โนเบิล ประกาศเงินปันผล 6.9 บาทต่อหุ้น ผลจากการประกอบการที่แข็งแกร่ง

คณะกรรมการบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลพิเศษระหว่างกาลประจำไตรมาสที่สาม ปี 2561 ในอัตรา 6.9 บาทต่อหุ้น ซึ่งการปันผลดังกล่าวนับได้ว่า เป็นเงินปันผลในอัตราสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ มา ทั้งนี้เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของคณะกรรมการบริษัทฯ ที่จะสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น และสร้างความมั่นใจในกระแสเงินสดในอนาคตของบริษัทฯ   “การอนุมัติจ่ายเงินปันผลครั้งนี้ บริษัทฯ มีสองวัตถุประสงค์ กล่าวคือ ประการแรกบริษัทฯ ต้องการที่จะตอบแทนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ เนื่องจากในช่วงระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสะสมต่อกำไรสุทธิเพียง 16% เมื่อเทียบกับการจ่ายเงินปันผลในอุตสาหกรรมที่อยู่ในอัตราประมาณ 48% ทำให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ได้รับผลตอบแทนที่ค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และอีกประการหนึ่งคือ การที่บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการสร้างยอดขายเพื่อรับรู้รายได้ในอนาคตเมื่อสิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2561 เป็นจำนวนถึง 16,800 ล้านบาทและยอดขายดังกล่าวจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 เป็นต้นไป” กล่าวโดยนาย แฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง รองประธานกรรมการ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม   นายแฟรงค์ยังกล่าวต่อไปอีกว่า “การอนุมัติการจ่ายเงินปันผลครั้งนี้ยังได้แสดงถึงเจตนารมณ์ของคณะกรรมการบริษัทฯ และผู้บริหารที่จะสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องต่อไปในอนาคต โดยที่การจ่ายเงินปันผลครั้งนี้เป็นการจ่ายเงินปันผลที่เกิดขึ้นจากกระแสเงินสดจากการดำเนินการของบริษัทฯ มิได้เกิดจากการออกตราสารหนี้ หรือ สร้างหนี้เพิ่มแต่ประการใด อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ ส่วนของทุนของบริษัทฯ (Net Interest Bearing Debt to Equity Ratio) มีค่าต่ำกว่า 2.5 เท่า (ซึ่งเป็นค่าที่บริษัทฯ ได้มีการตกลงในการรักษาสัดส่วนหนี้สินทางการเงินต่อทุน ระหว่างผู้ถือหุ้นกู้ และเจ้าหนี้สถาบันการเงิน กับบริษัทฯ) โดยที่บริษัทฯ คาดการณ์ต่อไปว่าภายในสิ้นปี 2562 อัตราส่วนดังกล่าวจะมีแนวโน้มที่จะลดลงอยู่ที่ระดับประมาณ 2.1 เท่า   นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 บริษัทฯ ได้วางแผนลงทุนจัดหาซื้อที่ดินใหม่เพื่อพัฒนาโครงการเป็นจำนวน 2.5 พันล้านบาท อีกทั้งบริษัทฯ มีสินค้าคงเหลือที่เกิดจาก โครงการที่สร้างเสร็จแล้ว และ โครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการอีกจำนวนหนึ่งอีกด้วย นอกจากนี้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2562 บริษัทฯ ยังมียอดขายที่น่าพอใจจากตลาดต่างประเทศ ดังนั้น บริษัทฯ จึงไม่มีความกังวลใด ๆ กับการบริหารกระแสเงินสด รวมถึงผลประกอบการของทางบริษัทฯ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”   ราคาหลักทรัพย์ NOBLE ณ สิ้นวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562 มีค่าเท่ากับ 20.00 บาท เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 1.50 บาท เทียบเป็น 8.11%   บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมใหม่ และสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของการอยู่อาศัย เพื่อตอบสนองความต้องการ พร้อมนำคุณภาพที่ดีกว่ามาสู่ลูกค้า บริษัทฯ ประกอบธุรกิจประเภทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทที่อยู่อาศัย ซึ่งมีทั้งรูปแบบของบ้านเดี่ยว อาคารชุดพักอาศัยทั้งเชิงราบและตึกสูง   ณ เดือน พฤศจิกายน 2561 บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการแล้วรวมทั้งสิ้น 46 โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่พัฒนาและเปิดการขายก่อนปี 2545 จำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,800 ล้านบาท และโครงการที่เปิดการขายตั้งแต่ปี 2545 ถึงปี 2561 มีจำนวน 38 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 81,700 ล้านบาท      
ธนาฮาบิแทต ปิ่นเกล้า-สิรินธร ปลื้ม กระแสตอบรับดี

ธนาฮาบิแทต ปิ่นเกล้า-สิรินธร ปลื้ม กระแสตอบรับดี

บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ขอขอบคุณทุกการตอบรับจากลูกค้าที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่แวะเยี่ยมชมโครงการธนาฮาบิแทต ปิ่นเกล้า-สิรินธร บ้านเดี่ยวหรูเหนือระดับ เพียงหนึ่งเดียว...สไตล์ Double Courtyard ที่สุดของการอยู่อาศัยท่ามกลางธรรมชาติ ที่สวยงาม ร่มรื่นและอบอุ่นอย่างมีระดับ ส่วนตัวที่สุด เอกสิทธิ์เพียง 95 ครอบครัว เริ่มเพียง 9.9-15 ล้านบาท* กับแบบบ้านที่ได้รับการออกแบบใหม่ไม่เหมือนที่ไหนมาก่อนสร้างความexclusive ด้วยการโอบล้อมด้วยธรรมชาติ   เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก กับสโมสร สระว่ายน้ำ พร้อม Fitness ให้คุณดื่มด่ำกับการพักผ่อน กลางธรรมชาติ อย่างเต็มที่  ใกล้ทุกสิ่งอำนวยความสะดวก เพียง 15 นาที ถึงจตุจักร 5 นาที ถึงทางด่วนศรีรัช, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, ถนนราชพฤกษ์ เชื่อมต่อสู่สาทร และรถไฟฟ้าสายสีแดงในอนาคตอันใกล้   เอาใจลูกค้าต่อเนื่องพิเศษสุด! เมื่อเยี่ยมชมโครงการ รับทันที Lucky อั่งเปา ส่วนลดเงินสดสูงสุด 1,000,000 บาท* พิเศษยิ่งขึ้น เมื่อจองบ้านภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ทุกๆ 1 ล้านบาท รับทองคำน้ำหนัก 1 บาท* สูงสุดถึง 15 บาทมูลค่ากว่า 300,000 บาท และสำหรับลูกค้าลงทะเบียนออนไลน์เข้าเยี่ยมชม รับสตาร์บัคส์ หรือบัตรรับประทานอาหารในเครือ Zen Group มูลค่า 1,000 บาท โอกาสสุดท้าย รีบจองและทำสัญญา ก่อนมาตรการ โทร 020058888 กด 1 หรือ www.thanasiri.com   หมายเหตุ : *จองพร้อมทำสัญญา ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 และต้องโอนกรรมสิทธิ์ภายในเดือนมีนาคม 2562* (ทั้งนี้ เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนดบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า/โปรโมชั่นนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชั่นอื่นๆได้)        
ตลาดรับสร้างบ้านปี 2562 กำลังซื้อยังหนาแน่น ตั้งเป้ามูลค่าตลาดรวมโต 5-8%

ตลาดรับสร้างบ้านปี 2562 กำลังซื้อยังหนาแน่น ตั้งเป้ามูลค่าตลาดรวมโต 5-8%

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน มั่นใจตลาดรับสร้างบ้านเติบโตต่อเนื่อง หลังพบกำลังซื้อปีนี้ยังหนาแน่น เศรษฐกิจของประเทศยังคงมีเสถียรภาพ ตั้งเป้ามูลค่าตลาดรวมเพิ่มอีก 5-8% หรือ 12,500 -13,000 ล้านบาท พร้อมลุยจัดงาน รับสร้างบ้านและวัสดุ  21-24 มีนาคมนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์   ระดมบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำและผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง  กระตุ้นยอดขายไตรมาสแรก คาดยอดขายในงานไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท   นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builders Association: HBA) เปิดเผยว่า ตลาดรับสร้างบ้านปี 2561 มีมูลค่าตลาดรวมที่ 12,000 ล้าบาท เติบโตขึ้นจากปี 2560 ที่มีมูลค่าตลาดรวมราว 11,000 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าในปี 2562 คาดว่ามูลค่าตลาดรวมทั้งหมดน่าจะเติบโตขึ้นอีก 5-8% หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดรวมราว 12,500–13,000 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขการเติบโตดังกล่าวทางสมาคมฯ ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพึงพอใจ ถึงแม้ว่าจะมีการเติบโตไม่สูงมาก แต่มีความมั่นคงและมีทิศทางที่สามารถเติบโตขึ้นไปได้เรื่อย ๆ เนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในการปลูกสร้างบ้านกับบริษัทรับสร้างบ้านมากขึ้น ขณะเดียวกันตัวเลขภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจของประเทศยังคงมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพอีกด้วย   ก่อนหน้านี้ ทางสมาคมฯ ได้มีการทำสำรวจและวิจัยผู้บริโภคที่มาชมงาน รับสร้างบ้านและวัสดุ เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่กว่า 60% มีแผนที่จะปลูกสร้างบ้านในปีนี้ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 1 เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคในธุรกิจรับสร้างบ้านจะใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจปลูกสร้างบ้านประมาณ 3 เดือนถึง 1 ปี   “เราดูตัวเลขมูลค่าตลาดรวมมาโดยตลอด ตัวเลขใน 3 ปีที่ผ่านมาแนวโน้มยังคงมีทิศทางที่เติบโตได้ต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในการหันมาใช้บริษัทรับสร้างบ้านในการปลูกสร้างบ้านเพิ่มมากขึ้นด้วย ขณะเดียวกัน บริษัทรับสร้างบ้านหลายแห่ง มีการเร่งทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งในไตรมาสที่ 1 คาดว่าจะมีผู้บริโภคที่ตัดสินใจจะปลูกสร้างบ้านเป็นจำนวนมากโดยคาดว่าบ้านระดับราคา 2-5 ล้านบาทยังเป็นกลุ่มหลักของตลาด” นางศิริพร กล่าว   นางศิริพร กล่าวต่อไปว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายในช่วงไตรมาสที่ 1 สมาคมฯ จะมีการจัดงาน รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Material Focus 2019 ภายใต้คอนเซ็ปต์ ให้การสร้างบ้านเป็นเรื่อยง่ายง่าย ระหว่างวันที่ 21-24 มีนาคม 2562 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยภายในงานจะเป็นการรวบรวมบริษัทรับสร้างบ้าน   ซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านเข้ามาร่วมออกงาน พร้อมด้วยแบบบ้านใหม่ล่าสุด และโปรโมชั่นสุดพิเศษ พร้อมด้วย กลุ่มผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างชั้นนำที่จะนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาแสดงในงาน นอกจากนี้ทางสมาคมฯ ยังได้จัดพื้นที่ นวัตกรรมวัสดุก่อสร้างรักษ์โลก  เพื่อนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายของสมาคมฯ ที่มุ่งรณรงค์ในกลุ่มสมาชิกให้ความสำคัญในเรื่องของการก่อสร้างที่เน้นดูแลสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปด้วย โดยผู้ที่จองปลูกสร้างบ้านภายในงานนอกจากจะได้รับโปรโมชันพิเศษจากบริษัทรับสร้างบ้านที่มาแสดงภายในงานแล้ว ยังมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลทองคำมูลค่า 100,000 บาทด้วย ผู้ที่สนใจเข้าชมงานสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://www.hba-th.org   สำหรับงาน รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials 20219 ในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายภายในงานประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับการจัดงานในปีที่แล้ว ขณะที่คาดว่าหลังการจัดงานจะมีผู้ที่ตัดสินใจปลูกสร้างบ้านคิดเป็นมูลค่ารวมอีกประมาณ 1,000 ล้านบาท
“อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์”  ประกาศเดินหน้างดใช้ถุงพลาสติกทุกวันที่ 4, 14 และ 24

“อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” ประกาศเดินหน้างดใช้ถุงพลาสติกทุกวันที่ 4, 14 และ 24

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (Index Living Mall) ในฐานะผู้นำค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน และของใช้ในบ้าน รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำของไทย ประกาศเจตนารมณ์เดินหน้าร่วมเป็นหนึ่งในองค์กรที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมุ่งรณรงค์ “ประกาศงดใช้ถุงพลาสติก” ลดและเลิกการใช้ถุงพลาสติกอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านทุกสาขาของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ทั่วประเทศ ในทุกวันที่ 4 ของเดือน พร้อมเตรียมแผนขยายวันเพิ่มเป็น 3 วันต่อเดือน ได้แก่ ทุกวันที่ 4, 14 และ 24 ตั้งแต่มีนาคมศกนี้เป็นต้นไป มั่นใจลูกค้าสมาชิกที่ถือบัตร JOY Card ตอบรับดี!!     นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์  เผยว่า “จากความสำเร็จเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันปลอดถุงพลาสติกสากล ที่บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรม “ถือถุงผ้าบอกลาโลกร้อน” ขึ้น รวมถึงเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม วันสิ่งแวดล้อมไทยที่ผ่านมา ที่ได้เริ่มรณรงค์ “ประกาศงดใช้ถุงพลาสติก” ลดและเลิกการใช้ถุงพลาสติกอย่างจริงจังในระยะยาว ทำให้ปัจจุบันในแต่ละเดือนได้ลดจำนวนการใช้ถุงพลาสติกลงได้มากถึง 10,000 ใบ ทั้งนี้ ทั้งปีคาดว่าบริษัทฯ จะสามารถช่วยลดการใช้ถุงพลาติกได้ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 320,000 ใบอย่างแน่นอน”   อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ถือเป็นผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน และของใช้ในบ้าน รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำ ประเภทค้าปลีกรายแรกในไทยที่ประกาศการงดให้ถุงหูหิ้วพลาสติกสำหรับใส่สินค้าพร้อมกัน ทุกสาขา โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า และเพื่อรณรงค์ให้ลูกค้าที่เป็นสมาชิกหันมางดใช้ถุงพลาสติกมากขึ้น อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ได้สร้างแรงจูงใจให้กับลูกค้าสมาชิกที่ถือบัตร JOY Card เมื่อช้อปปิ้งของตกแต่งบ้านและของใช้ในบ้าน 200 บาทขึ้นไปที่สาขา พร้อมงดรับถุงพลาสติก ทุกวันที่ 4, 14 และ 24 ของทุกเดือนจะได้รับคะแนนเพิ่มจากเดิมอีก 100 คะแนนทันทีเป็นการตอบแทน ขณะที่ลูกค้าที่ไม่รับถุงพลาสติกสามารถนำคะแนนจากบัตรสมาชิก JOY Card ไปแลกเป็นส่วนลดและสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย “ที่ผ่านมาลูกค้าตอบรับและร่วมมือไม่รับถุงพลาสติกมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดสืบเนื่องจากผลความตื่นตัวที่ทุกประเทศทั่วโลกหันมาใส่ใจเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นนั่นเอง” นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กล่าวปิดท้าย      
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จัดกิจกรรม “A Little Magic of  Sharing” แบ่งปันสิ่งของเติมเต็มความสุขให้น้องๆ มูลนิธิกระจกเงา

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จัดกิจกรรม “A Little Magic of Sharing” แบ่งปันสิ่งของเติมเต็มความสุขให้น้องๆ มูลนิธิกระจกเงา

บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรม “A Little Magic of Sharing” ร่วมสร้างฝัน แบ่งปันความสุข โดยได้รวบรวมสิ่งของบริจาค ได้แก่ ของเล่น อุปกรณ์การเรียน และหนังสือสำหรับเด็กสภาพดี จากลูกบ้านเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ผู้เช่าอาคาร เมเจอร์ ทาวเวอร์ ทองหล่อ พนักงานเมเจอร์ฯ และบุคคลทั่วไป มอบเป็นของขวัญให้แก่น้องๆ มูลนิธิกระจกเงา เพื่อส่งเสริมโอกาสทางการเรียนรู้ให้แก่เยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ โดยมี คุณตวงพร บุณยะสาระนันท์ (ซ้าย) ผู้อำนวยการสายงานการตลาด บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทน ส่งมอบให้แก่ คุณชุตินาถ กาญจนกุล (ขวา) ผู้จัดการมูลนิธิกระจกเงา ณ มูลนิธิกระจกเงา ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวนับเป็นกิจกรรมที่เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ร่วมแรงร่วมใจจัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือสังคม โดยจะยังคงมุ่งมั่นสานต่อกิจกรรมเพื่อสังคมให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมต่อไป      
มั่นคงฯ เผยปี’ 61 กางแผนเตรียมเปิด 4 โครงการ

มั่นคงฯ เผยปี’ 61 กางแผนเตรียมเปิด 4 โครงการ

บมจ.มั่นคงเคหะการ (MK) ประกาศผลดำเนินงานปี 2561 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561) มีรายได้รวม 4,546.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.37% เมื่อเทียบจากปี 2560 และมีผลกำไรสุทธิ 305.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  31.16% โดยคิดเป็นกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.31 บาท พร้อมเผยปีนี้วางเปิดตัว 4 โครงการ ชูแนวคิด Well-Being เพื่อผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้น มูลค่ารวม 4,560 ล้านบาท เตรียมงบซื้อที่ดินเพิ่มอีก 1,600 ล้านบาท ย้ำเดินหน้าดำเนินธุรกิจอสังหาเพื่อเช่าและการบริการ อย่างต่อเนื่อง หวังปี 2564 ดันสัดส่วนกำไรเป็น 50/50 เพื่อการเติบโตของบริษัทอย่างมั่นคงและยั่งยืน   นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ ประธานกรรมการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย เพื่อเช่าและเพื่อการบริการ เผยภาพรวมธุรกิจตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2562 จะเติบโตจากปีที่ผ่านมาแบบค่อยเป็นค่อยไป (Slightly growth) เนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมาดีเวลลอปเปอร์มีการพัฒนาสินค้าออกมาเป็นจำนวนมาก จึงส่งผลให้สินค้าที่มีอยู่ในตลาดต้องค่อยๆ รอการระบายออก (Absorb) ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องของฟองสบู่ แต่เป็นเรื่องของดีมานด์ (Demand) กับซัพพลาย (Supply) ที่ถือเป็นเรื่องปกติ รวมถึงมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ LTV ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายนนี้ นับเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อ โดยในส่วนของ มั่นคงฯ ค่อนข้างมีผลกระทบน้อย เนื่องด้วยกลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มลูกค้าบ้านหลังแรกที่ซื้อไว้เพื่ออยู่อาศัยเอง (Real demand)   “การเติบโตของบริษัทฯ ในปีนี้ยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดี ผนวกกับงานด้านการพัฒนาโครงการเพื่อเช่าและเพื่อการบริการที่สร้างรายได้หมุนเวียนระยะยาวนั้นเป็นไปตามแผนที่ได้วางเอาไว้ จึงยิ่งส่งผลให้เราสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันจากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันต่างหันมาให้ความสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพตัวเองกันมากขึ้น (Wellness) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะเข้ามาช่วยดูแลสุขภาพในทุกๆด้าน เน้นการใช้ชีวิตในแบบสุขภาวะที่ดี (Well-Being) คือ การสร้างคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีระหว่างสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นหัวใจสำคัญที่เรานำมาเป็นโจทย์ในการพัฒนาสินค้าและบริการตลอดมาเพื่อส่งมอบให้แก่ผู้บริโภค”   โดยปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 4,546.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,482.31 ล้านบาท หรือ 48.37% คิดเป็นกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.31 บาท สามารถแบ่งเป็นรายละเอียดได้ดังนี้ รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 4,152.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,387.60 ล้านบาท หรือคิดเป็น 50.18% ในขณะที่ยอดรายได้รับรู้จากการให้เช่าและบริการ ในปี 2561 มีทั้งสิ้น 252.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.24 ล้านบาท หรือ 28.71% ส่วนรายได้จากการให้บริการของสนามกอล์ฟ109.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.98 ล้านบาท หรือ 34.4%   สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการในปี 2562 บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถ ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตของผู้พักอาศัยทั้งเพื่อขาย เพื่อเช่าและการบริการอย่างต่อเนื่อง ตามแผนธุรกิจ 5 ปีที่ได้วางไว้ โดยเตรียมเปิดตัวโครงการเพื่อขายใหม่จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ บ้านเดี่ยว 1โครงการ บ้านแฝด 1 โครงการ และทาวน์โฮม 2 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 4,560 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพ ภายใต้แนวคิด “การใช้ชีวิตในแบบสุขภาวะที่ดี หรือ Well-Being” เน้นการออกแบบโดยคำนึงถึงสุขภาวะที่ดีของผู้อยู่อาศัย ใส่ใจตั้งแต่การวางผังโครงการให้สอดคล้องกับทิศทางลม เพื่อช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงาน การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมการนำนวัตกรรมบ้านเย็นด้วยระบบ Air Flow มาใช้ ตลอดจนการวางฟังก์ชั่นที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในกลุ่มคนทุกวัยเป็นสำคัญ เพื่อให้ทุกพื้นเป็นพื้นที่แห่งความสุขที่ทุกคนได้อยู่ร่วมกัน       ด้านธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการนั้น นายสุเทพ กล่าวต่อไปว่าในปี 2562 บริษัทฯ เตรียมรุกตลาดธุรกิจเช่าและการบริการ โดยมีแผนพัฒนาโครงการบางกอกฟรีเทรดโซนโรงงานและคลังสินค้าเพื่อเช่า ที่บริหารงานโดย บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เพิ่มขึ้นเป็น 173,500ตารางเมตร ส่วน โครงการ พาร์ค คอร์ท (Park Court) สุขุมวิท 77 คอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนต์ระดับลักซ์ชัวรี่ไฮเอนด์ ที่สามารถขายและปล่อยเช่าได้แล้วเกือบ 50% ตั้งเป้าปล่อยเช่าเต็มพื้นที่ 100% ได้ภายในปี 2562 ขณะเดียวกัน ธุรกิจ สนามกอล์ฟ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรีคลับ ที่หลังจากได้มีการปรับเปลี่ยนรูปโฉมใหม่เมื่อปีที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบที่ดีจากลูกค้าทั้งจากชาวไทยและชาวต่างประเทศคาดการณ์ปีนี้รายได้โตขึ้น 10% ด้านบริษัท ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด  ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านดูแลจัดการบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ พร้อมรับบริหารโครงการเพิ่ม 10 โครงการ ตั้งเป้ารายได้โตขึ้น 70% จากปี 2561   “ปีนี้เราเดินหน้าสานต่อนโยบายสร้างความสมดุลของรายได้ธุรกิจเพื่อขายและธุรกิจที่สร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอทั้งเช่าและการบริการมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งมองหาโอกาสในการพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่ดีเพิ่มขึ้น เพื่อขยายในส่วนของธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ตามแผนการดำเนินธุรกิจ 5 ปีที่ได้วางไว้ พร้อมขยับสัดส่วนกำไรของทั้ง 2 ฝั่งให้อยู่ที่ 50/50 ภายในปี 2564 เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นคงให้บริษัทฯ มากยิ่งขึ้น” นายสุเทพ กล่าวสรุป      
พฤกษาโชว์ผลงานปี 61 สร้างยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 25 ปี

พฤกษาโชว์ผลงานปี 61 สร้างยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 25 ปี

พฤกษาผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาฯ โชว์ผลประกอบการปี 61 ทำผลงานนิวไฮเรคดอร์ดสร้างยอดขาย 51,101 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 25 ปี มีรายได้ 44,901 ล้านบาท และกำไร 6,022 ล้านบาท เตรียมเดินหน้าชูแผนกลยุทธ์ รักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ด้วย Portfolio ที่แข็งแกร่ง ชูนวัตกรรมเทคโนโลยี INNO-TECH ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พร้อมเปิดตัว The Living Application ที่ทำให้ทุกเรื่องบ้าน ครบ จบในแอปเดียวตลอดจนใส่ใจในเรื่องของคุณภาพเป็นเลิศและบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ   นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานในปี 2561 บริษัทฯ สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยม โดยทำยอดขายได้สูงถึง 51,101 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 25 ปี นับจากก่อตั้งพฤกษา เติบโตเพิ่มขึ้น 7.5% จากปี 2560 ที่มียอดขายรวม 47,535 ล้านบาท มีรายได้อยู่ที่ 44,901 ล้านบาท เติบโต 2.2% จากปี 2560 ที่มีรายได้ 43,935 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,022 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 10.4% จากปี 2560 ที่มีกำไรอยู่ที่ 5,456 ล้านบาท   ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี 2562 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันที่เข้มข้นในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตขึ้นเล็กน้อยที่ประมาณ 5% โดยในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 54,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 5.7% เป้ารายได้ 47,000 ล้านบาท เติบโต 4.7% โดยมาจากแผนการเปิดโครงการใหม่ จำนวน 55 โครงการ มูลค่า 68,100 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ ยังมียอดขายที่รอรับรู้ราย ณ สิ้นปี 2561 ที่ 33,233 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดที่สูงสุดเท่าที่ผ่านมา และเป็นยอดขายรอรับรู้รายได้ในปี 2562 อยู่ที่ 21,638 ล้านบาท   สำหรับแผนกลยุทธ์หลักในปี 62 บริษัทฯ มุ่งเน้นรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนปรับ Portfolio ของกลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มระดับกลางบนเพิ่มมากขึ้น และขยายโครงการใหม่ไปยังจังหวัดที่มีศักยภาพ อาทิ ขอนแก่น ระยอง สระบุรี และนครปฐม พร้อมรักษาฐานลูกค้าเดิมในตลาดแวลู โดยในปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการไฮไลท์หลายโครงการ อาทิ โครงการบ้านเดี่ยวสำหรับกลุ่มตลาดบนกับแบรนด์ The Palm รวมถึงมีการนำแบรนด์ IVY กลับมาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์มากขึ้น และรุกตลาดพรีเมียมเพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำตลาดโดยเตรียมเปิดตัวแบรนด์ “Chapter” ซึ่งเป็นแบรนด์น้องใหม่ของพฤกษา เพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าในระดับราคา 5 – 10 ล้านบาท ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย   ทั้งนี้พฤกษาได้ต่อยอดความสำเร็จ ขับเคลื่อนองค์กรผ่าน Digital Transformation เดินหน้าด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี INNO -TECH เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุด ด้วยการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาปรับใช้ในทุกกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่การนำ Big Data ที่มีอยู่มาวิเคราะห์พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเพื่อนำมาใช้พัฒนาในด้านต่างๆ อาทิ การนำข้อมูลมาพัฒนาด้าน Product and Innovation Design สำหรับที่อยู่อาศัยเพื่อสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ตรงกับความต้อง การมากขึ้น การทำการตลาดที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในทุก Customer Journey ได้เฉพาะเจาะจง รวมไปถึงการพัฒนาด้านการบริการด้วยการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อมอบความสะดวกสบายแก่ลูกบ้านในการอยู่อาศัยแบบครบวงจรอย่าง The Living Application ที่ทำให้ทุกเรื่องบ้าน ครบ จบ ในแอปเดียว ตั้งแต่เริ่มค้นหาบ้าน ข่าวสารและโปรโมชั่น ไปจนถึงการตรวจรับบ้านและเข้าอยู่อาศัย ได้แก่ การชำระค่าผ่อนดาวน์ รวมไปถึงระบบ Smart Home (สั่งการเปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านผ่านมือถือ), Smart Facilities (จองพื้นที่ส่วนกลาง), Mail Parcel แจ้งเตือนรับจดหมายหรือพัสดุ และในแอปพลิเคชันยังมีข้อมูลสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Pruksa Member และบริการต่างๆ จากผู้ช่วยอัจฉริยะ อาทิ บริการทำความสะอาด ล้างแอร์ รับ-ส่งพัสดุ งานช่าง เป็นต้น สำหรับลูกค้าพฤกษาสามารถดาวน์โหลดผ่าน Play Store และ App Store ได้แล้ววันนี้   นอกเหนือจากแผนกลยุทธ์ตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในเรื่องของคุณภาพเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่พฤกษายังคงมุ่งเน้นใส่ใจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแผนรุกธุรกิจเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ มากยิ่งขึ้น” นางสุพัตรา กล่าว    
“โตโต้” เดินเครื่องโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ในไทย โชว์เทคโนโลยีตอกย้ำผู้นำสุขภัณฑ์ระดับไฮเอนด์

“โตโต้” เดินเครื่องโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ในไทย โชว์เทคโนโลยีตอกย้ำผู้นำสุขภัณฑ์ระดับไฮเอนด์

“โตโต้” อวดโฉมโรงงานผลิตสุขภัณฑ์แห่งที่ 2 จังหวัดสระบุรี หลังทุ่มงบลงทุนกว่า 2,800 ล้านบาท รองรับยอดผลิตปีละ 420,000 ชิ้น ชูเทคโนโลยีอัตโนมัติที่แม่นยำ มีประสิทธิภาพสูง และ Greenovation ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมรุกเปิดตัวสุขภัณฑ์อัจฉริยะสุดหรู NEOREST Series ใหม่ 3 รุ่น และฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET+ อีก 4 รุ่น ปฏิวัติวงการสุขภัณฑ์ด้วยฟังก์ชันการใช้งานสุดล้ำ ตอกย้ำผู้นำสุขภัณฑ์ระดับไฮเอนด์อันดับ 1 ที่ผสานดีไซน์และนวัตกรรมระดับโลกไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัวและสมบูรณ์แบบที่สุด   นายฮิโรยูกิ ซูซูกิ (Mr.Hiroyuki Suzuki) ประธานบริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์ที่มีความล้ำสมัยทั้งการดีไซน์รูปลักษณ์และเทคโนโลยีระดับโลกที่ผสานเข้ากันอย่างลงตัว ภายใต้แบรนด์ “โตโต้” (TOTO) เปิดเผยว่า “โตโต้” เป็นผู้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านสุขภัณฑ์ยาวนานกว่า 100 ปี และยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ ต้องการสร้างโรงงานผลิตสุขภัณฑ์โตโต้ แห่งที่ 2 ที่จังหวัดสระบุรี โดยใช้งบลงทุนกว่า 2,800 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตสำหรับตลาดในประเทศ ภูมิภาคเอเชีย และสหรัฐอเมริกา เนื่องจากประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการกระจายสินค้าระดับโลก โดยโรงงานดังกล่าวจะผลิตสุขภัณฑ์เป็นหลัก และบางส่วนจะมีการประกอบฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET เพื่อรองรับตลาดไฮเอนด์ด้วย โรงงานแห่งที่ 2 นี้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2560 และจะเริ่มเดินเครื่องผลิตตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2562โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะผลิตตลอด 24 ชั่วโมง ต่อ 6 วัน ต่อสัปดาห์ ประเมินกำลังการผลิตประมาณ 420,000 ชิ้นต่อปี   สำหรับโรงงานผลิตสุขภัณฑ์โตโต้ แห่งที่ 2 มีพื้นที่ประมาณ 68,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่บริเวณด้านข้างโรงงานแห่งแรก ที่อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี โดยนำเทคโนโลยีเครื่องจักรอัตโนมัติมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตสุขภัณฑ์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย มีความแม่นยำและประสิทธิภาพสูง เช่น แม่พิมพ์ความดันสูงแบบอัตโนมัติซึ่งรับประกันคุณภาพการขึ้นรูปชิ้นงานที่มีเสถียรภาพกว่าวิธีการขึ้นรูปที่ใช้ในอดีต และ โครงสร้างสายผลิตที่มุ่งเน้นด้านคุณภาพด้วยการแยกประเภทตามสายงานผลิตซึ่งทำให้การทำงานง่ายขึ้น   ทั้งนี้ มุ่งหวังให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตสินค้าโตโต้ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน สินค้าที่ผลิตได้จะต้องเป็นที่ยอมรับทั้งคุณภาพและมาตรฐานทุกระดับ รวมทั้งต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานระดับโลก และสำคัญที่สุดคือมาตรฐานของโตโต้ กรุ๊ป ที่เข้มงวดกว่ามาตรฐานใดๆ ในโลก ภายใต้การควบคุมและตรวจสอบที่เข้มข้นที่สุด โดยสินค้าที่ออกจากโรงงานจะต้องได้รับการตรวจสอบแบบ100% ทุกชิ้นงาน   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมด้วยนโยบายนวัตกรรมสีเขียว (Greenovation) ตามวิสัยทัศน์การดูแลสิ่งแวดล้อมโลกของโตโต้ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น อาทิ นำน้ำทิ้งกลับมาใช้ใหม่โดยมุ่งเน้นให้น้ำเสียที่ปล่อยออกภายนอกโรงงานเป็นศูนย์, การประหยัดทรัพยากรน้ำผ่านผลิตภัณฑ์ของโตโต้, ติดตั้งระบบไฟ LED แบบเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวเพื่อประหยัดพลังงาน, อุโมงค์เตาเผาแบบใหม่ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้นและสามารถผลิตสินค้าได้ในปริมาณมากยิ่งขึ้น, เพิ่มอัตราการเผาไหม้ที่ห้องอบแห้งด้วยการใช้ความร้อนคงเหลือจากเตาเผา รวมไปถึงท่อบำบัดก๊าซบริเวณจุดที่ติดตั้งเตาเผา ซึ่งประเทศไทยไม่มีกฎหมายบังคับให้ใช้ท่อบำบัดก๊าซในลักษณะนี้ แต่เป็นการติดตั้งตามนโยบายและมาตรฐานของโตโต้ กรุ๊ป สิ่งเหล่านี้คือเรื่องที่ยืนยันว่าบริษัทโตโต้ยังคงมุ่งมั่นในการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลและรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน   นายทาคายะสุ ชิมาดะ (Mr.Takayasu Shimada) รองกรรมการผู้จัดการบริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าปฏิวัติวงการสุขภัณฑ์ด้วยฟังก์ชันการใช้งานสุดล้ำที่ผสานดีไซน์และนวัตกรรมระดับโลกไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัวและสมบูรณ์แบบที่สุด พร้อมเปิดตัว NEOREST Series สุขภัณฑ์อัจฉริยะด้วยดีไซน์สุดหรู พร้อมนวัตกรรมล้ำสมัยทางเทคโนโลยีที่เพิ่มความสะดวกสบายสูงสุดให้กับผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ “โตโต้” เพื่อรองรับตลาดในประเทศไทยพร้อมกันถึง 3 รุ่น ประกอบด้วย 1.NEOREST AH ฝาปิดที่ได้รับการออกแบบเป็นเส้นตรง แนบสนิทไปกับโถสุขภัณฑ์ เข้ากันได้ดีกับพื้นที่สไตล์โมเดิร์น ยกระดับด้วยสัมผัสแห่งความหรูหราและประณีต 2.NEOREST RH รูปทรงโค้งมน ให้ความรู้สึกสุขุมนุ่มนวล กลมกลืนเข้ากันได้ดีกับทุกพื้นที่ และ 3.NEOREST DH ดีไซน์แบบเรียบง่าย (Minimalist) ดึงดูดความสนใจได้อย่างชาญฉลาด ด้วยขนาดที่เหมาะเจาะลงตัว สามารถเข้ากันได้กับห้องน้ำในทุกรูปแบบ โดยผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 รุ่น มีคุณสมบัติที่โดดเด่นในด้านของระบบชำระล้างแบบ TORNADO FLUSH ทำความสะอาดได้อย่างหมดจดรอบทิศทางแบบ 360 องศา แม้ใช้น้ำในปริมาณน้อย ดีไซน์โถสุขภัณฑ์แบบไร้ขอบ เคลือบด้วยสารเคลือบเซรามิกแบบพิเศษอย่างสาร CEFIONTECT ช่วยลดการเกาะติดของคราบสกปรกและง่ายต่อการทำความสะอาด เพิ่มความมั่นใจในความสะอาดอีกขั้นด้วย EWATER+ น้ำที่มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย สำหรับทำความสะอาดก้านฉีดชำระและโถสุขภัณฑ์โดยไม่ใช้สารเคมี ฝารองนั่งเปิด-ปิดอัตโนมัติ ไฟส่องสว่าง และระบบชำระล้างอัตโนมัติ ควบคุมการทำงานเพียงปลายนิ้วสัมผัสด้วยรีโมทคอนโทรล   นอกจากนี้ ยังเปิดตัว WASHLET+ ฝารองนั่งอัตโนมัติรุ่นใหม่ทั้ง 4 รุ่น ที่มาพร้อมระบบชำระล้างอัตโนมัติ ประกอบด้วย รุ่น CW923UW8, รุ่น CW188UW8, รุ่น CW887UW8 และ รุ่น CW889UW8 ที่มุ่งเน้นทั้งในเรื่องของการดีไซน์และตอบโจทย์การใช้งานด้วยการออกแบบให้ท่อและสายน้ำดีต่างๆ ถูกซ่อนไว้ภายใต้รูปทรงที่โค้งมน โดยพัฒนาจากความต้องการของผู้ใช้งานด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด สามารถตอบโจทย์ความต้องการทุกด้าน เพื่อความสะดวกสบายเหนือระดับกับฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ อาทิ ก้านฉีดชำระล้างในตัว ระบบฟอกอากาศ ระบบเป่าแห้ง ระบบปรับอุณหภูมิฝารองนั่ง ให้อยู่ในสภาพอุ่นสบายตลอดการใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกสบายและความสะอาดสูงสุด   “โตโต้ยังคงมองเห็นศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจในประเทศไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2561 โตโต้ กรุ๊ป มียอดขายรวมทุกผลิตภัณฑ์ คิดเป็นมูลค่า 1.74 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายภายในประเทศญี่ปุ่น 1.25 แสนล้านบาท ยอดขายต่างประเทศ 4 หมื่นล้านบาท และธุรกิจโมเดลใหม่ 8 พันล้านบาท ส่วนในปี 2562 ตั้งเป้าผลประกอบการโตโต้ (ประเทศไทย) เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2561” นายฮิโรยูกิ กล่าวในตอนท้าย      
แมริออท บอนวอย ฉลองโปรแกรมเดินทางใหม่ และสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในเอเชียแปซิฟิก

แมริออท บอนวอย ฉลองโปรแกรมเดินทางใหม่ และสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในเอเชียแปซิฟิก

แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนลแนะนำสิทธิประโยชน์ใหม่ในเอเชียแปซิฟิกสุดเอกซ์คลูซีฟเฉพาะสำหรับสมาชิก แมริออท บอนวอย (Marriott Bonvoy) แบรนด์ใหม่ที่มาแทนโปรแกรมรอยัลตี้เดิมทั้ง แมริออท รีวอร์ดส (Marriott Rewards), เดอะ ริตซ์-คาร์ลตัน รีวอร์ดส (The Ritz-Carlton Rewards) และสตาร์วูด พรีเฟอร์ เกสต์ (Starwood Preferred Guest หรือ SPG) ได้เปิดตัวไปเมื่อต้นปีนี้ ด้วยความเชื่อว่า การเดินทางท่องเที่ยวช่วยรังสรรค์คุณค่าให้แก่โลกของเรา แมริออท บอนวอยให้สมาชิกเข้าถึงโรงแรมต่างๆ ภายใต้พอร์ตโฟลิโอของเครือแมริออท  อินเตอร์เนชั่นแนล ในกว่า 130 ประเทศและเขตต่างๆ ทั่วโลก และเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจให้สมาชิกเดินทางท่องไปตามใจปรารถนา   สมาชิกของแมริออท บอนวอย จะได้รับสิทธิประโยชน์จากการรับประทานอาหารมื้อพิเศษ รวมถึงใช้บริการ สปาทั้งขณะอยู่บ้านและขณะเดินทาง ยิ่งไปกว่านั้น สมาชิกยังได้รับคะแนนสะสมแม้จะไม่ได้เข้าพักค้างคืน จึงเปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถใช้คะแนนสะสมไปกับกิจกรรมที่ตนชื่นชอบมากที่สุด โดยมีรางวัลใหม่เพิ่มเติมในแพล็ตฟอร์มแมริออท บอนวอย โมเม้นต์ส (Moments.MarriottBonoy.com) อาทิ ประสบการณ์ระดับวีไอพีที่คอนเสิร์ตมารูน ไฟฟ์ (Maroon 5) ทั่งเจ็ดคอนเสิร์ตในโตเกียว โซล มะนิลา เกาสง มาเก๊า สิงคโปร์ และกรุงเทพฯ โดยจะได้มีโอกาสพบปะสมาชิกของวงอย่างใกล้ชิดใน 3 เมือง   “การเปิดตัวแมริออท บอนวอยเป็นก้าวสำคัญของบริษัทและเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มอบสิทธิประโยชน์สุดเอกซ์คลูซีพต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิกเพื่อเติมเต็มความฝันให้กับสมาชิกของเรา” เป็กกี้ ฟาง โร ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการขายและการตลาดประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าว “เรามุ่งมั่นสร้างสรรค์โปรแกรมแมริออท บอนวอยให้ดียิ่งขึ้นด้วยการมอบสิ่งที่สมาชิกชื่นชอบทั้งระหว่างการเดินทางและแม้ขณะอยู่บ้าน ซึ่งสมาชิกสามารถแบ่งปันประสบการณ์เหล่านั้นกับเพื่อนหรือครอบครัวได้”   สิทธิประโยชน์แมริออท บอนวอย ร้านอาหารและบาร์ – ดื่มด่ำกับอาหารและเครื่องดื่มพร้อมรับคะแนนสะสม สมาชิกของแมริออท บอนวอยจะได้รับสิทธิพิเศษด้านอาหารและเครื่องดื่มตลอดทั้งปีที่ร้านอาหารและบาร์กว่า 28,000 แห่ง ในเอเชียแปซิฟิกที่เข้าร่วมรายการ นับเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สมาชิกสามารถรับคะแนนสะสมได้ โดยไม่ต้องเข้าพัก แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนลมอบส่วนลดอาหารและเครื่องดื่ม 10% สำหรับสมาชิกทั่วไป และสมาชิกระดับซิลเวอร์ เอลิท (Silver Elite) ส่วนลด 15% สำหรับสมาชิกระดับโกลด์ เอลิท (Gold Elite) และส่วนลด 20% สำหรับสมาชิกระดับแพลตตินัม เอลิท (Platinum Elite) สมาชิกไทเทเนียม เอลิท (Titanium Elite) และแอมบาสซาเดอร์ เอลิท (Ambassador Elite) ด้วยยอดการใช้จ่ายขั้นต่ำที่ 10 ดอลล่าร์ ก็มีสิทธิได้รับคะแนนสูงสุด 10 คะแนน ต่อการใช้จ่าย 1 ดอลล่าร์ ที่โรงแรมแมริออท บอนวอยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก   สิทธิประโยชน์แมริออท บอนวอย สำหรับเด็กๆ - สนุกยิ่งขึ้นสำหรับครอบครัว ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคมนี้เป็นต้นไป แมริออท บอนวอยจะให้สิทธิประโยชน์มากยิ่งขึ้นสำหรับสมาชิกที่มาเป็นครอบครัวพร้อมเด็กๆ และเข้าพักในโรงแรมและรีสอร์ทที่เข้าร่วมโครงการ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษต่างๆ ดังนี้: สำหรับผู้เข้าพักผู้ใหญ่ใช้จ่ายหนึ่งท่าน ตั้งแต่ระดับโกลด์ เอลิท (Gold Elite) ลงมาที่มีเด็กอายุ 6 ปีหรือต่ำกว่าจะได้รับอาหารเช้าฟรี และหากเด็กอายุระหว่าง 7-12 ปีจะได้รับส่วนลด 50% สมาชิกตั้งแต่ระดับแพลตตินัม เอลิท (Platinum Elite) ขึ้นไป ที่มาพร้อมเด็กอายุ 12 ปีหรือต่ำกว่าจะได้รับอาหารเช้าฟรี นอกจากนี้เด็กๆ ของสมาชิกทุกท่านจะได้เพลิดเพลินกับไอศกรีมฟรีระหว่างการเข้าพัก เพราะสิทธิประโยชน์เหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อตอบแทนสมาชิกและครอบครัวของพวกเขาสำหรับการเลือกเข้าพักที่แมริออท ซึ่งช่วยให้การเดินทางและการท่องเที่ยวสนุกมากยิ่งขึ้น   สิทธิประโยชน์แมริออท บอนวอย สปา – ผ่อนคลายพร้อมรับคะแนนสะสม นอกจากนี้ สมาชิกยังสามารถรับสิทธิประโยชน์เหนือใครไปกับโปรแกรมแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล สปา โดยสมาชิกที่ไม่ได้เข้าพักจะได้รับคะแนนสะสมสูงสุดถึง 10 คะแนนจากการใช้จ่ายทุก 1 ดอลล่าร์เมื่อใช้บริการสปากว่า 210 แห่งในเอเชียแปซิฟิกที่เข้าร่วมรายการ สมาชิกยังจะได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ เพิ่มเติม โดยสมาชิกระดับโกลด์ เอลิท (Gold Elite) ขึ้นไปจะได้รับบริการพิเศษเพิ่มเติมสำหรับการทำทรีตเมนต์แต่ละรายการ   เปิดประตูสู่จุดหมายปลายทางอันน่าตื่นใจในเอเชียแปซิฟิก ด้วยโรงแรมและรีสอร์ตกว่า 710 แห่งใน 23 ประเทศและเขตต่างๆ ในภูมิภาคนี้ แมริออท บอนวอยช่วยให้สมาชิกค้นพบจุดหมายปลายทางที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในเอเชียแปซิฟิก พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมายผ่านแพลตฟอร์มสิทธิประโยชน์ใหม่ของแมริออท บอนวอย จากวีดีโอจำนวนมากที่ถ่ายทำโดยนักท่องเที่ยวเอง สมาชิกจึงสามารถเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ไม่เหมือนใครในการเดินทางครั้งต่อไป   สำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็กและกำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนในเขตร้อน เชอราตัน มัลดีฟส์ ฟูล มูน รีสอร์ต แอนด์ สปา (Sheraton Maldives Full Moon Resort & Spa) ตั้งอยู่ใกล้กับสนามบินและนำเสนอประสบการณ์ล่องเรือชมโลมายามอาทิตย์อัศดงที่มิอาจลืมเลือน สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยใต้น้ำ ดับเบิลยู มัลดีฟส์ (W Maldives) พร้อมแนวปะการังที่สวยงามจนลืมหายใจคือจุดหมายที่ไม่ควรพลาด นักเดินทางทุกคนจะได้พบกับประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่าฝ่าดงดิบของลังกาวีหรือดำน้ำชมปะการังใต้ท้องทะเลสีเทอควอยซ์ของมัลดีฟส์   แมริออท บอนวอย ช่วยให้การสะสมคะแนนและแลกรับรางวัลเป็นเรื่องง่าย สมาชิกสามารถรับสิทธิประโยชน์จากประสบการณ์เดินทางท่องเที่ยวที่ครอบคลุมมากกว่าแค่การเข้าพักในโรงแรม   อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของแมริออท บอนวอย และจุดหมายปลายทางต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิกได้ที่ MarriottBonvoyAsia.com