Tag : News

2400 ผลลัพธ์
แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2562

แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2562

ซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก เผยแนวโน้มปี 2562 ว่าตลาดอสังหาฯในกรุงเทพมหานครจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก ทั้งด้านการชะลอตัวของตลาดในหลายๆ ภาคอสังหาริมทรัพย์และซัพพลายใหม่จำนวนมากที่กำลังจะออกสู่ตลาด   การแข่งขันในการหาที่ดินแบบมีกรรมสิทธิ์ถาวรหรือฟรีโฮลด์ในทำเลที่หายากในย่านใจกลางเมืองยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง   อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดใหม่ๆ รวมถึงผังเมืองกรุงเทพฯ ใหม่ที่กำลังจะประกาศใช้ในปี 2563 นี้ จะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ต้องกลับมาประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง   กฎข้อบังคับใหม่และความไม่แน่นอน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงหลายประการด้วยกัน ทั้งมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เข้มงวดมากขึ้น  การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้  รวมถึงภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ และผังเมืองใหม่ของกรุงเทพฯ ที่   ผังเมืองใหม่ของกรุงเทพฯ และภาษีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ที่คาดว่าจะประกาศใช้ในปี 2563 ยังคงอยู่ขั้นตอนการวางแผนและยังไม่เสร็จสิ้น การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคาดว่าจะเกิดขึ้นในทำเลที่เป็นจุดเชื่อมต่อของเส้นทางรถไฟฟ้า   การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม 2562 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยเช่นกัน   ความท้าทายในตลาดส่งออกและการท่องเที่ยว ตลาดส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคธุรกิจสำคัญต่อการผลักดันเศรษฐกิจไทย จะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายหลายประการในปีนี้   ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่ยังไม่มีความแน่ชัดว่าจะส่งผลต่ออุตสาหกรรมส่งออกของไทยในด้านบวกหรือลบ รวมถึงการดึงดูดให้ชาวจีนกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยหลังเหตุการณ์เรือล่มในภูเก็ตก็ยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายที่สุดสำหรับภาคการท่องเที่ยว ทั้งนี้ ปริมาณนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีนจะเป็นตัวช่วยบ่งชี้ถึงทัศนคติของนักท่องเที่ยวจีนที่มีต่อไทย   ซีบีอาร์อีเชื่อว่าตลาดการท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ จะสามารถฟื้นคืนกลับสู่สภาวะเดิมได้อย่างรวดเร็วแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากปริมาณนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง ดังเช่นเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองหลายๆ ครั้งในอดีตที่ผ่านมา ที่สามารถฟื้นตัวกลับมาเข้มแข็งกว่าเดิม   เงินดาวน์ที่สูงขึ้นทำให้ตลาดที่พักอาศัยชะลอตัวลง ความต้องการจากนักเก็งกำไรและนักลงทุนที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าจะลดลง เนื่องจากราคาคอนโดมีเนียมที่สูงขึ้นจากต้นทุนที่ดิน อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และเงินดาวน์ที่เพิ่มมากขึ้นตามกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้การสร้างผลกำไรจากการปล่อยเช่าและการขายต่อคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างนั้นทำได้ยากขึ้น ตลาดจะกลับมาให้ความสำคัญกับผู้ที่ซื้อเพื่อพักอาศัยเองและการขายยูนิตที่เหลือขายในโครงการที่แล้วเสร็จ   จากความต้องการภายในประเทศที่ลดลงส่งผลให้ผู้พัฒนาโครงการหันไปโฟกัสที่ผู้ซื้อต่างชาติที่ใช้เงินทุนของตนเองในการซื้อคอนโดมิเนียม  แต่หากจะพึ่งพาการขายให้ผู้ซื้อต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ ก็อาจเกิดความไม่แน่นอนว่าผู้ซื้อต่างชาติเหล่านี้จะโอนกรรมสิทธิ์หรือไม่เมื่อโครงการแล้วเสร็จ รวมถึงผู้ที่จะพักอาศัยในยูนิตเหล่านั้นจะเป็นใคร นอกจากนี้ ผู้ซื้อต่างชาติยังมีความอ่อนไหวจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศของตนอีกด้วย   การแข่งขันสูงขึ้นในตลาดคอนโดมิเนียมระดับบน ในปีที่ผ่านมาผู้พัฒนาโครงการหลายรายได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในย่านใจกลางกรุงเทพฯ ด้วยราคาขายที่สูงกว่า 3 แสนบาทต่อตารางเมตร และดูเหมือนว่าราคาขาย 2.5 แสนบาทต่อตารางเมตรจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในตลาดจะมีทั้งโครงการที่ขายดีและไม่ดี  ขึ้นอยู่กับการวางตำแหน่งของสินค้าและราคาที่เหมาะสม การที่ตลาดนี้มีตัวเลือกมากมายในระดับราคานี้ ก็ย่อมทำให้ยอดขายโดย รวมในหลายโครงการชะลอตัว  รวมทั้งมีการลดราคายูนิตเหลือขายในโครงการที่แล้วเสร็จหลายแห่งเพื่อเคลียร์สินค้าที่มีอยู่ให้หมดไป   โครงการใหม่ไม่ได้แข่งขันกันด้วยราคาที่จับต้องได้เท่านั้น แต่ผู้พัฒนาโครงการต่างๆ พยายามหาจุดขายที่โดดเด่นเพื่อดึงดูดผู้ซื้อ ระบบบ้านอัจฉริยะ การจัดการปล่อยเช่า และการพัฒนาโครงการแบบมิกซ์ยูส เป็นตัวอย่างส่วนหนึ่งของจุดขายที่มีในตลาดปัจจุบัน ภายใต้สภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้ ซีบีอาร์อีเชื่อว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จจะไม่ใช่โครงการที่ได้รับการออกแบบหรือมีผังห้องที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่ต้องเป็นโครงการที่ตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตได้ตรงใจและอยู่ในราคาที่เหมาะสมด้วย   ซีบีอาร์อีเชื่อว่าปี 2562 จะเป็นโอกาสทองของกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่เองและลงทุนในระยะยาวเนื่องจากมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เข้มงวดขึ้น จะทำให้จำนวนผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ลดน้อยลง ในขณะที่ผู้พัฒนาจะต้องแข่งขันที่จะเร่งระบายสินค้าคงเหลือก่อนที่มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ ผู้ซื้ออาจสามารถซื้อโครงการที่ใกล้จะสร้างเสร็จในราคาที่เท่ากับตอนที่โครงการเปิดตัวได้    ความต้องการพื้นที่สำนักงานที่เปลี่ยนแปลงไป จากแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก ตลาดพื้นที่สำนักงานในกรุงเทพฯ เองก็ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสในเรื่องของพื้นที่ทำงานที่มีความคล่องตัว (Agile Workplace) และโคเวิร์กกิ้งสเปซ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเช่าพื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ พื้นที่สำนักงานใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะสร้างแรงกดดันให้กับอาคารสำนักงานเก่าให้มีการปรับปรุงและยกระดับเพื่อให้คงความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่กำลังเปลี่ยนไป   ในอีก 4 ปี กรุงเทพฯ จะมีการเปลี่ยนแปลงในตลาดอาคารสำนักงาน เนื่องจากพื้นที่ 2 ล้านตารางเมตรที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและการวางแผนจะเข้าสู่ตลาด ซีบีอาร์อีคาดว่าการใช้พื้นที่สำนักงานในกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ 2 แสนตารางเมตรต่อปี   การปรับตัวในตลาดค้าปลีก จากการที่ตลาดค้าปลีกทั่วโลกขยับไปสู่อี-คอมเมิร์ซและการซื้อขายออนไลน์มากขึ้น  ตลาดค้าปลีกในกรุงเทพฯ เองก็กำลังค่อยๆ เดินไปในทิศทางเดียวกัน ผู้ค้าปลีกที่มีหน้าร้านต่างคิดหากลยุทธ์ในการนำเสนอสิ่งที่การซื้อขายออนไลน์ไม่สามารถให้ได้ เช่น การสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในศูนย์การค้า หรือทำให้ร้านเป็น Retailtainment หรือการผสมผสานความบันเทิงกับการให้บริการเพื่อสร้างความแตกต่าง   ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่าตลาดค้าปลีกจะมีแนวโน้มที่ดีซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว อัตราการเช่าพื้นที่จะยังคงอยู่ในระดับที่สูง แต่พื้นที่ค้าปลีกใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นก็มีมาก ศูนย์การค้าที่มีผลประกอบการไม่ดีนักจะมีปัญหาในการรักษาและดึงดูดผู้เช่า ทั้งยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากอี-คอมเมิร์ซและและซัพพลายใหม่ในอนาคต  แต่ค่าเช่าจะยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลง   อีอีซี: แรงจูงใจในตลาดอุตสาหกรรม โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี จะมีความชัดเจนมากขึ้นในปีนี้เมื่อการประมูลโครงการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน (Transit Oriented Development - TOD) ตลอดเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่มุ่งหน้าสู่เขตอีอีซีนั้นสิ้นสุดลง ซีบีอาร์อีเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นตัวกระตุ้นให้ประเทศไทยได้รับความสนใจมากขึ้นจากผู้ผลิตและนักลงทุนต่างชาติเพื่อเข้ามาลงทุนในพื้นที่เขตอีอีซี นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการเสนอให้มีสิทธิพิเศษด้านการเงินและการยกเว้นภาษีในเขตปลอดอากรในนิคมอุตสาหกรรมให้แก่บริษัทผู้ผลิตต่างชาติอีกด้วย   ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าประเทศไทยได้รับประโยชน์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนหรือไม่  แต่ซีบีอาร์อีเห็นว่ามีบริษัทผู้ผลิตจากจีนบางแห่งสนใจที่จะย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยบริเวณเขตอีอีซี      การลงทุนชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยปรับขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี จาก 1.50% เป็น 1.75% เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2561 อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้ต้นทุนในการพัฒนาโครงการของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นเพิ่มขึ้น และยังทำให้ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศชะลอการซื้อออกไป ความต้องการในประเทศที่ลดลง ราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น และซัพพลายใหม่จำนวนมาก จะทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีความระมัดระวังมากขึ้นในการเปิดโครงการใหม่และการซื้อที่ดินในปี 2562   ที่ดินฟรีโฮลด์ในทำเลชั้นนำของกรุงเทพฯ จะยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมาก โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้า การที่แปลงที่ดินชั้นดีในย่านใจกลางธุรกิจหรือซีบีดีเหลือไม่มากนัก ส่งผลให้ราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นไปอีกจากสถิติราคาสูงสุดในปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่ดินบนถนนหลังสวนที่ราคา 3.1 ล้านบาทต่อตารางวา   ด้วยราคาที่ดินฟรีโฮลด์ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บวกกับการเริ่มชะลอตัวของตลาดคอนโดมิเนียม ทำให้ผู้ประกอบการหันมาพิจารณาที่ดินแบบเช่าระยะยาวมากขึ้น โดยมีการปรับแผนการลงทุน และกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่นๆ เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม และ เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องพัฒนาบนที่ดินแบบฟรีโฮลด์      
‘เอพี ไทยแลนด์’ เปิดตัว 3 ธุรกิจใหม่ เตรียมเปิด 39 โครงการ

‘เอพี ไทยแลนด์’ เปิดตัว 3 ธุรกิจใหม่ เตรียมเปิด 39 โครงการ

‘เอพี ไทยแลนด์’ ปิดปี ’61 คาดโตสวนกระแสกว่า 30% เติบโตเป็นประวัติการณ์ ขึ้นแท่นอันดับ 2 ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายได้สูงสุด ดินหน้าเต็มสูบ ชูวิสัยทัศน์และพันธกิจยิ่งใหญ่ พัฒนาระบบนิเวศใหม่ นำเทคโนโลยีเชื่อมโยงกับการใช้ชีวิตยุคใหม่ ทำวิสัยทัศน์ ‘มอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดให้คนในสังคม’   บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และนวัตกรรมการอยู่อาศัยของประเทศไทย ประกาศความสำเร็จคาดปิดปี 2561 ธุรกิจโดยรวมโตสวนกระแส 30% ขึ้นแท่นอันดับ 2 ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายได้สูงสุด เดินหน้าประกาศวิสัยทัศน์ครั้งใหญ่ นำองค์กรก้าวสู่ศักราชใหม่ที่มากกว่าธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการเป็นรายแรกที่ริเริ่มสร้างสรรค์โลกแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้แนวคิด ‘AP World, A New Vision of Quality of Life’ สร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีในวันข้างหน้า พร้อมเปิดตัว 3 ธุรกิจใหม่นอกธุรกิจอสังหาฯ อย่างสมภาคภูมิ ได้แก่ SEAC (เอสอีเอซี) VAARI (วาริ) และ CLAYMORE (เคลย์มอร์) มุ่งสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกและการเติบโตที่ยั่งยืน ตั้งเป้าภายในปี 2565 ทั้ง 3 ภาคธุรกิจใหม่จะมีส่วนช่วยผลักดันรายได้รวมของเอพีให้เติบโตแบบก้าวกระโดดแตะหลัก 60,000 ล้านบาท   นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า “ในปี 2561  ที่ผ่านมาธุรกิจโดยรวมของเอพี ไทยแลนด์เติบโตมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เราคาดการณ์ว่า ในปี 2561 บริษัทฯ จะสามารถสร้างรายได้รวมเติบโตขึ้นประมาณ 30% จากปีก่อนหน้า ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เอพี ไทยแลนด์ ขยับขึ้นเป็นอันดับ 2 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้สูงสุดของเมืองไทย การเติบโตแบบสวนกระแสของเอพีเป็นผลลัพธ์ของความสำเร็จในทุกธุรกิจที่เราดำเนินกิจการ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในสินค้าทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ต่างได้รับ    การตอบรับที่ดีจากตลาด สะท้อนได้ทั้งจากยอดขายและการโอนกรรมสิทธิ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี”   นอกจากนี้ ธุรกิจอื่นๆ ในเครือเอพี ทั้ง ธุรกิจ Property Agent ภายใต้ชื่อ ‘BC (บีซี)’ ที่ให้บริการรับฝากขาย ฝากเช่าอสังหาริมทรัพย์ทุกรูปแบบ และไม่ได้จำกัดอยู่ที่สินค้าของเอพีเพียงอย่างเดียว มีผลการดำเนินงานที่เติบโตแบบก้าวกระโดด มีอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อ-ขาย-เช่า ผ่าน บีซี รวมมูลค่าสูงกว่า 12,000 ล้านบาทก้าวขึ้นเป็น Property Agent อันดับ 1 ของประเทศอย่างเต็มภาคภูมิ และธุรกิจ Property Management ภายใต้ชื่อ ‘SMART (สมาร์ท)’ เป็นธุรกิจบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ส่งผลให้วันนี้ สมาร์ทได้รับความไว้วางใจให้เข้าบริหารจัดการคุณภาพชีวิตในโครงการต่างๆ ที่ไม่ใช่แต่เฉพาะเครือเอพีกว่า 55,000 ครอบครัว ในกว่า 200 โครงการ ซึ่งก้าวต่อไปทั้งสองบริษัท ‘บีซีและสมาร์ท’ จะยังคงเดินหน้าขยายขอบเขตการให้บริการเพื่อเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง   ทั้งนี้ ทั้ง 3 ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของเอพี ไทยแลนด์ในการเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของเมืองไทยที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการในทุกช่วงชีวิตของผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์และครบวงจรที่สุด (Space Expert for Living Satisfaction) ซึ่งก้าวต่อไปจากนี้ เอพี ไทยแลนด์จะไม่หยุดอยู่เพียงภาคธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่จะก้าวไปสู่ศักราชใหม่ ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘AP World, A New Vision of Quality of Life’ วิสัยทัศน์ในการสร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีในวันข้างหน้า ซึ่งจะสมบูรณ์ไปด้วยระบบนิเวศ (Eco System) ที่เอพีพัฒนาขึ้นอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อมุ่งสู่การเป็นรายแรกที่ริเริ่มสร้างสรรค์โลกแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี อีกทั้ง ยังเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน บริษัทฯ จึงพร้อมเปิดตัว 3 ภาคธุรกิจใหม่ (Disruptive Business) ได้แก่ 1) VAARI ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการบริหารจัดการคุณภาพชีวิต 2) CLAYMORE ดำเนินธุรกิจสร้างและผลักดันนวัตกรรมดีไซน์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบ และ 3) SEAC ดำเนินธุรกิจในการดิสรัปวิธีการเรียนรู้ของคนในองค์กรและคน ในสังคมด้วยกระบวนการใหม่ๆ  ผ่านความร่วมมือจากสถาบันระดับโลก   ทั้ง 3 ธุรกิจใหม่จะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยเสริมวิสัยทัศน์ในการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประสบความสำเร็จ เคียงคู่ไปกับ Core Business คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริษัทในเครือ ที่จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าภายในปี 2565 สามภาคธุรกิจใหม่นี้จะมีส่วนช่วยผลักดันรายได้รวมของเอพีให้เติบโตแบบก้าวกระโดดแตะหลัก 60,000 ล้านบาท      นายอนุพงษ์กล่าวว่า “หนทางในการไปถึงวิสัยทัศน์ในการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีนั้น มีความท้าทายหลัก   3 ประการที่เราจะต้องตระหนัก ต้องบริหารจัดการ และต้องเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม นั่นคือ 1. โลกที่กำลังดิสรัปและทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คำถาม คือ เราจะนำ Technology มาช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกิดขึ้นได้อย่างไร 2. เราจะรู้จักและพัฒนานวัตกรรมให้สอดคล้องและตอบรับกับความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบที่แตกต่างกันของคนในสังคมได้อย่างไร 3. เราจะพัฒนาความรู้ ความสามารถของ ‘คนในองค์กรและคนในสังคม’ ให้ก้าวทันกระแสดิสรัปชั่นได้อย่างไร ดังนั้นการขยายองค์กรสู่ 3 ภาคธุรกิจใหม่ล่าสุดของเรา จึงช่วยตอบโจทย์และเติมเต็มให้วิสัยทัศน์ในการมอบคุณภาพชีวิตแก่คนในสังคมให้เป็นผลสำเร็จ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเอพีแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”   บริษัทใหม่ทั้ง 3 มีลักษณะการดำเนินธุรกิจ และเป้าหมายสำคัญแตกต่างกัน ดังนี้ บริษัท วาริ จำกัด: ดำเนินธุรกิจสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการบริหารจัดการคุณภาพชีวิต (LIFE MANAGEMENT ECOSYSTEM) ที่จะมาจุดประกายคุณภาพชีวิตในวันข้างหน้าให้มีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์สังคมแห่งการอยู่อาศัยในอุดมคติให้เกิดขึ้น ลดทอนความซ้ำซ้อนที่เป็น Pain ของผู้อยู่อาศัยในวันนี้ และมอบประสบการณ์ใหม่ที่ยกระดับรูปแบบการดำเนินชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ผ่านนวัตกรรมดีไซน์ที่เข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ของคนในสังคม บริษัท เคลย์มอร์ จำกัด: ดำเนินธุรกิจการพัฒนานวัตกรรมดีไซน์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบของคนในสังคม ผ่านการสร้างทีมนวัตกรรมที่มีจิตวิญญาณในการเป็นผู้ประกอบการขึ้นภายในองค์กร มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการเป็น Innovation Lab สร้างนวัตกรรมโดยใช้กระบวนการ Stanford Design Thinking ต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เดิมไปสู่ธุรกิจใหม่ โดยมีเป้าหมายให้นวัตกรรมที่คิดค้น จับต้องได้ และใช้งานได้จริง SEAC (เอสอีเอซี): ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน ดำเนินธุรกิจในการดิสรัปวิธีการเรียนรู้ของคนในองค์กรและคนในสังคมด้วยกระบวนการใหม่ๆ มุ่งพัฒนาความพร้อม ความสามารถของคนให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในวันนี้และอนาคต โดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันระดับโลก อาทิ Stanford University ที่มีมุมมองในเรื่องการเรียนรู้ตรงกัน เพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถและกระบวนการคิดของผู้นำในเมืองไทยและระดับภูมิภาคให้มีศักยภาพทัดเทียมผู้นำระดับโลก   “การรุกขึ้นมาปรับวิสัยทัศน์ในครั้งนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับเปลี่ยนโฉมหน้าของเอพี ไทยแลนด์ ไปสู่การเป็นบริษัทที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมแทนที่จะเป็นเพียงผู้ส่งมอบที่อยู่อาศัยเพียงเท่านั้นซึ่งสุดท้ายแล้วนวัตกรรมหรือระบบนิเวศต่างๆ ที่ถูกพัฒนาจะเปิดกว้างให้บริการกับทุกคนไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นลูกค้าเอพีเท่านั้น โดยเราคาดหวังว่า ดอกผลที่เกิดขึ้นจากการขยายภาคธุรกิจ ภายใต้วิสัยทัศน์ AP World นี้ จะมีส่วนช่วยผลักดันรายได้รวมของเอพี ไทยแลนด์ให้เติบโตแบบดับเบิ้ล หรือตั้งเป้าสร้างรายได้รวมแตะหลัก 60,000 ล้านบาทภายในปี 2565” นายอนุพงษ์ กล่าว   นอกจากความสำเร็จด้านผลประกอบการณ์แล้ว ในปี 2561 ที่ผ่านมายังเป็นเกียรติยศของเอพี ไทยแลนด์ จากการคว้ารางวัลทรงเกียรติ ทั้งจากในประเทศและระดับนานาชาติ มาครองได้มากถึง 14 รางวัล อาทิ ‘บริษัทผู้ทรงอิทธิพลแห่งเอเชียประจำปี 2018’ จากเวที The Asia Corporate Excellence & Sustainability Awards (ACES) ประเทศสิงคโปร์, ‘ที่สุดของบริษัทพัฒนาคอนโดมิเนียมยอดเยี่ยมแห่งเอเชียประจำปี 2018’ จากเวที Property Guru Asia Property Awards 2018 และได้รับการจัดอันดับให้เป็น ‘The Most Admired Company 2018’ องค์กรพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ในใจผู้บริโภคประจำปี 2018 อีกด้วย      
SC ASSET   เปิดตัว “Mr. Holmes” หุ่นยนต์ตรวจการณ์สุดล้ำ

SC ASSET เปิดตัว “Mr. Holmes” หุ่นยนต์ตรวจการณ์สุดล้ำ

SC ASSET เปิดตัว “Mr. Holmes” หุ่นยนต์ตรวจการณ์สุดล้ำ โมเดลต้นแบบด้านความปลอดภัยแห่งแรกในไทย  เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งอนาคตอย่างสมบูรณ์แบบ   นอกจากการพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้การมุ่งสู่เป็นผู้นำ Living Solutions Provider ด้วยคุณภาพสินค้าและบริการชั้นนำ SC ยังมุ่งตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลด้วยหัวใจสำคัญของการดูแลลูกค้า ด้านมาตรการความปลอดภัย 24 ชม. ทั้งในรั้วและนอกรั้วโครงการ โดยล่าสุดได้นำ “Mr. Holmes” หุ่นยนต์ตรวจการณ์จากประเทศสิงคโปร์ นำร่องปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยภายในโครงการ “เดอะ เนเบอร์ฮูด บางกะดี” เพื่อเป็นโมเดลต้นแบบสำหรับการยกระดับด้านความปลอดภัยต่อไปในอนาคต   ด้วยนโยบายด้านความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับลูกค้าของ SC โดย นายพิษณุ เดชสง หัวหน้าสายงานต้นทุนและนวัตกรรมการก่อสร้าง บริษัท เอสซี แอสเสท  คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เพื่อมุ่งยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยไปอีกขั้น จึงได้นำนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์จากสิงคโปร์ โดยใช้ชื่อว่า “Mr. Holmes” หุ่นยนต์ตรวจการณ์เคลื่อนที่อัตโนมัติ มาใช้ตรวจการในพื้นที่บริเวณโดยรอบนำร่องที่โครงการเดอะ เนเบอร์ฮูด บางกะดี เป็นแห่งแรก เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยซึ่งคนไม่สามารถทำได้ตลอด 24 ชม.”   ทั้งนี้ปัจจุบันที่เดอะ เนเบอร์ฮูด บางกะดี มีโครงการเพื่อขาย 2 โครงการ ได้แก่  โครงการบ้านเดี่ยว “เวนิว ติวานนท์-รังสิต” และโครงการทาวน์โฮม “เวิร์ฟ ติวานนท์-รังสิต พร้อมกับการดูแลระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. เข้า-ออกโครงการผ่านระบบ Access Card ที่มีความปลอดภัยจาก Double Gate System ภายในโครงการยังมีการติดตั้ง CCTV ครอบคลุมทั้งโครงการ โดย SC ยังมี Security Management System นโยบายฝึกอบรมและสุ่มตรวจสอบสำหรับการทำงานของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพื่อพัฒนามาตรฐานด้านความปลอดภัย ควบคุมให้เป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนดไว้   โดยแนวทางการทำงานของหุ่นยนต์ตรวจการณ์ “Mr. Holmes” ปลอดภัยไปกับรู้ใจ เมื่อพบสิ่งผิดปกติระบบจะส่งสัญญาณไปที่ป้อมรปภ. เพื่อแจ้งเหตุการณ์ได้ในทันที ด้วยระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางอัตโนมัติ ได้อย่างชาญฉลาด ผ่านการส่งข้อมูลด้วย Wi-Fi และ 4G LTE มุมมอง 360 องศา  มีกล้อง Live Streaming รูปแบบ Real-time ที่แสดงผลเป็นภาพ 360 องศา ด้วยกล้องจำนวน 4 ตัว สามารถจดจำภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว พร้อมบันทึกข้อมูลที่แม่นยำ ด้วยนวัตกรรมเซนเซอร์จับสิ่งผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็น บุคคล กระเป๋า ยานพาหนะ และ ทะเบียนรถยนต์   “Mr. Holmes” หุ่นยนต์ตรวจการณ์ที่เป็นไฮไลท์สำหรับโครงการ “เดอะ เนเบอร์ฮูด บางกะดี” เป็นนวัตกรรมสุดล้ำจาก OTSAW บริษัทพัฒนาหุ่นยนต์ชั้นนำระดับโลก ประเทศสิงคโปร์ พัฒนาหุ่นยนต์อัจฉริยะ O-R3 ลาดตระเวนรักษาความปลอดภัย (Outdoor Autonomous Security Robot) เพื่อยกระดับประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้อยู่อาศัยแห่งแรกในไทย โดยอนาคต SC มีแผนความร่วมมือที่จะพัฒนาความสามารถของ “Mr. Holmes” ให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับโครงการเดอะ เนเบอร์ฮูด บางกะดี ต่อไป   สามารถชมประสิทธิภาพของหุ่นยนต์ตรวจการณ์ “Mr. Holmes” ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=qPWSgt3Ps7c   และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของโครงการได้ที่: www.scasset.com/TheNeighbourhood          
อนันดาฯ เปิดแผนปี 62

อนันดาฯ เปิดแผนปี 62

คุณชานนท์ เรืองกฤตยา (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ประกาศความสำเร็จปี 2561 มียอดโอนเป็นสถิติสูงสุดถึง 33,000 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 120 จากปีก่อน โดยในปี 2562 ยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์พัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าร่วมกับยักษ์ใหญ่อสังหาของญี่ปุ่นอย่างมิตซุย ฟูโดซัง อย่างต่อเนื่อง มีแผนเปิดโครงการใหม่ จำนวน 10 โครงการ มูลค่ากว่า 38,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 42 โดยแบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 8 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซัง 7 โครงการ และโครงการแนวราบ 2 โครงการ พร้อมมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งของกลุ่มกว่า 13,000 ล้านบาท เพื่อต่อยอดทางธุรกิจ และขยายไปสู่ธุรกิจ Recurring Income ในอนาคตต่อไป ณ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้      
รีจัส เดินหน้าขยายความสำเร็จเปิดสาขาที่ 21 ณ สิงห์ คอมเพล็กซ์

รีจัส เดินหน้าขยายความสำเร็จเปิดสาขาที่ 21 ณ สิงห์ คอมเพล็กซ์

รีจัส เดินหน้าขยายความสำเร็จเปิดสาขาที่ 21 ณ สิงห์ คอมเพล็กซ์ ใจกลางเมืองย่านธุรกิจแห่งใหม่ ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำด้านการให้บริการพื้นที่ทำงานอันยืดหยุ่นและเปี่ยมด้วยนวัตกรรม   รีจัส (Regus) ผู้นำด้านการให้บริการพื้นที่สำนักงานระดับโลก ประกาศเปิดตัวสาขาใหม่ล่าสุดบนพื้นที่ชั้น 30 อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ สำนักงานเกรดเอสุดทันสมัยแห่งใหม่ โดยสาขาใหม่แห่งนี้นับเป็นสาขาที่ 21 ในประเทศไทยที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ใจกลางเมืองห่างจากรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีเพชรบุรีและรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์สถานีมักกะสันเพียงไม่กี่ก้าว     รีจัส สาขาใหม่ตั้งอยู่บนชั้น 30 อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ที่มีพื้นที่บริการครอบคลุมกว่า 1,134 ตารางฟุต โดยแบ่งเป็นพื้นที่สำนักงานทั้งหมด 73 ห้อง พื้นที่ทำงานกว่า 200 ที่นั่ง และห้องประชุม 2 ห้อง เพื่อรองรับความต้องการขององค์กรธุรกิจและบุคคลทั่วไปที่มองหาพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้อย่างไม่มีที่ใดให้บริการมาก่อน พร้อมดื่มด่ำกับวิวถนนอโศกมนตรีและถนนเพชรบุรีใจกลางกรุงเทพฯ อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับออฟฟิศพร้อมใช้งาน ระบบอินเตอร์เน็ตรองรับการใช้งานทางธุรกิจและบริการโทรศัพท์ รวมถึงห้องครัว บริการทำความสะอาดและพนักงานต้อนรับตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากในการทำงาน และสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานมากยิ่งขึ้น   นอกจากนี้ รีจัสยังนำเสนอบริการเหนือระดับมากกว่าการเป็นเพียงพื้นที่การทำงานแบบเดิมๆ เช่น บริการออฟฟิศเสมือนจริง พร้อมที่อยู่สำหรับส่งเอกสารบนทำเลย่านธุรกิจใจกลางเมือง ตลอดจนบริการให้ความช่วยเหลือผู้ใช้บริการที่ต้องการโยกย้ายพื้นที่ทำงานจากสาขาหนึ่งมายังอีกสาขาหนึ่งของรีจัสที่มีสาขาให้บริการทั่วกรุงเทพฯ รีจัสมีเครือข่ายสำนักงานให้เช่า พื้นที่การทำงานและพื้นที่จัดประชุมสำหรับให้บริการจำนวนถึง 3,300 แห่ง ใน 110 ประเทศทั่วโลก     คุณโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ รีจัส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี เผยว่า “การเปิดตัวรีจัสสาขาที่ 21 ณ อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ เพื่อตอกย้ำว่าย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่นี้ยังคงเป็นทำเลธุรกิจที่ดึงดูดความสนใจทั้งคนไทยและคนต่างชาติ พื้นที่ย่านอโศก-เพชรบุรีเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มวิชาชีพสายงานต่างๆ และคนทำงานยุคดิจิทัลแบบไร้ออฟฟิศที่ต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่การงานในเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว สาขาใหม่นี้สะดวกมากสำหรับเหล่าสตาร์ทอัพ บริษัทขนาดเล็กและกลาง รวมถึงองค์กรขนาดใหญ่และฟรีแลนซ์ต่างๆ ด้วยพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้ สะดวกสบาย ตลอดจนรองรับการทำงานยุคดิจิทัลเป็นอย่างดี”   “การเปิดสาขาใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจของรีจัสในการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่มีศักยภาพ รวมทั้งตอบสนองความต้องการพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศไทย ดังนั้น เราจึงพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงและมอบประสบการณ์การทำงานที่สะดวกสบายและยืดหยุ่นได้ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการเกิดความคิดสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้นในการทำงาน” คุณโนเอล โค้ก กล่าวเสริม     สิงห์ คอมเพล็กซ์ คือ อาคารมิกซ์ยูสชั้นนำแห่งใหม่เกรดเอ สูง 42 ชั้น ที่รายล้อมไปด้วยสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากมายด้วยทำเลที่ตั้งนำเสนอที่สุดแห่งความสะดวกสบายสำหรับผู้เช่าและผู้มาเยือนไล่เรียงตั้งแต่โรงแรมระดับห้าดาวไปจนถึงศูนย์การประชุมระดับโลก ศูนย์การค้าระดับพรีเมี่ยมไปจนถึงตลาดนัด และร้านค้าชุมชน อาคารแห่งนี้จึงสะท้อนการใช้ชีวิตแบบคนเมืองในเมืองที่มีพลวัตสูงได้เป็นอย่างดี   สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ รีจัส ณ สิงห์ คอมเพล็กซ์หรือสนใจเยี่ยมชมพื้นที่สำนักงานให้เช่า สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.regus.co.th          
พฤกษา เตรียมโอนคอนโด “เดอะทรี” 4 โครงการ พร้อมเปิดชม “เดอะทรี สุขุมวิท 71 เอกมัย”

พฤกษา เตรียมโอนคอนโด “เดอะทรี” 4 โครงการ พร้อมเปิดชม “เดอะทรี สุขุมวิท 71 เอกมัย”

พฤกษา เตรียมโอนคอนโดมิเนียมเดอะทรี 4 ทำเล ในปี 2562  มูลค่าเกือบ 5 พันล้าน ลุยเปิดโครงการใหม่ พร้อม เปิดชมห้องจริง วิวจริง “เดอะทรี สุขุมวิท 71 เอกมัย” ทำเลใกล้ใจกลางเมือง สูง 33 ชั้น ชูไฮไลท์จุดชมวิว “Observation Deck” ระเบียงแก้วกลางอากาศ เตรียมส่งมอบลูกค้าเดือนกุมภาพันธ์นี้   นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท - แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ ในปี 2562 บริษัทมีคอนโดมิเนียมในกลุ่มธุรกิจแวลูแบรนด์ “เดอะทรี” ที่เตรียมพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าจำนวน 4 โครงการได้แก่ เดอะทรี สุขุมวิท 71 เอกมัย, เดอะทรี จรัญสนิทวงศ์ 30, เดอะทรี ลาดพร้าว 15 และ เดอะทรี ดินแดง ราชปรารภ มูลค่า 4,816 ล้านบาท  โดยแบรนด์เดอะทรี เป็นคอนโดมิเนียมระดับราคา 2-5 ล้านบาท เน้นทำเลที่อยู่ในเมือง ใกล้รถไฟฟ้า  ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมการอยู่อาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้มากกว่าคอนโดในระดับราคาเดียวกัน  ซึ่งมีการทำการตลาดรูปแบบใหม่ (New Marketing Approach) และเพิ่มช่องการทางขายด้วยการเปิดให้จองออนไลน์ (Online Booking)  สอดรับกับยุคดิจิทัล ซึ่งนำมาใช้กับโครงการเดอะทรี ดินแดง ราชปรารถ เป็นโครงการแรกและสามารถปิดการขายได้ในเพียง 10 นาที  โดยคอนโดมิเนียมเดอะทรีทุกโครงการที่เปิดขายได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าตั้งแต่ในช่วงเปิดพรีเซล ปัจจุบันสามารถปิดการขายได้เกือบ 100% ทุกโครงการแล้ว  ด้านแผนการเปิดคอนโดมิเนียมของกลุ่มธุรกิจพฤกษาแวลูในปีนี้ มีการเตรียมที่ดินเพื่อพัฒนาไว้แล้วในหลายทำเล และเพื่อเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแบบใหม่ (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ในปีนี้ จึงปรับโครงการเป็นคอนโดมิเนียมที่มีรอบธุรกิจ 1-2 ปี เพื่อยืดระยะเวลาผ่อนดาวน์ให้มากขึ้น”   นายธิติพัฒน์ อดิลักษณ์ธราดล กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม 1 บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ได้เตรียมส่งมอบโครงการ “เดอะทรี สุขุมวิท 71-เอกมัย” คอนโดมิเนียมสูง 33 ชั้น พื้นที่โครงการกว่า 3 ไร่  จำนวน 886 ยูนิต  มูลค่าโครงการรวม 2,600 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ 100%  จุดเด่นโครงการอยู่ที่ทำเลซึ่งอยู่ในแหล่งชุมชน ใกล้ใจกลางเมือง สามารถเชื่อมต่อไปย่านใจกลางธุรกิจอโศกหรือสุขุมวิทได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS สถานีพระโขนง ใกล้แอร์พอร์ตลิ้งค์สถานีรามคำแหงเพียง 300 เมตร นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากถึง 3 โซน ที่ดีไซน์มาเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าครบทุกมิติการใช้ชีวิต และสามารถใช้งานได้จริงทุกฟังก์ชั่น โดยไฮไลท์ของโครงการคือจุดชมวิว “Observation Deck”ที่เป็นระเบียงแก้วกลางอากาศ และมีพื้นกระจกใสบนชั้นดาดฟ้า ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแห่งแรกของพฤกษาที่สามารถชมวิวเมืองได้ถึง 720 องศา โดยลูกค้าที่สนใจสามารถแวะชมโครงการ ห้องจริง วิวจริงได้แล้วตั้งแต่วันนี้”              
แสนสิริประกาศวิสัยทัศน์ FOR GREATER WELL-BEING กำหนดทิศทางอสังหาฯยุคใหม่ ยืนหนึ่งผู้นำด้านการออกแบบและสร้างนวัตกรรม

แสนสิริประกาศวิสัยทัศน์ FOR GREATER WELL-BEING กำหนดทิศทางอสังหาฯยุคใหม่ ยืนหนึ่งผู้นำด้านการออกแบบและสร้างนวัตกรรม

แสนสิริประกาศวิสัยทัศน์ FOR GREATER WELL-BEING กำหนดทิศทางอสังหาฯยุคใหม่ ยืนหนึ่งผู้นำด้านการออกแบบและสร้างนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย รับกระแสผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพ-สิ่งแวดล้อม เตรียมเปิดตัว “Dust-free House” บ้านปลอดฝุ่นครั้งแรกของเมืองไทยปีนี้ พร้อมวางแผนเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนด้วยยอดขาย 3 ปีรวมกว่า 160,000 ล้านบาท   บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ประกาศให้ปี 2561 เป็นปีแห่งความสำเร็จสูงสุด #SansiriBestYearEver ด้วยยอดขายสูงสุดในรอบ 34 ปี 48,500 ล้านบาทโตขึ้น 25% และยอดขายต่างชาติอันดับหนึ่งของประเทศ 14,000 ล้านบาท สูงขึ้น 51% พร้อมเดินหน้าวิสัยทัศน์ For Greater Well-being สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตลอดปี 2562ต่อยอดกลยุทธ์ Green & Well-being สู่ทุกโครงการใหม่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยทุกมิติ ประกาศมาตรการต่อสู้มลภาวะและฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างจริงจัง ด้วยการเปิดตัว “Dust-free House” บ้านปลอดฝุ่นครั้งแรกในประเทศในปีนี้ ตอกย้ำภาพลักษณ์ของแสนสิริในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม พร้อมเคาะแผนเปิดตัว 28 โครงการใหม่รวมมูลค่ากว่า 46,600 ล้านบาท ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ภายใต้คุณภาพระดับ Best in Class ทุกประเภท ทุกระดับราคา ควบคู่กับการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ระบุดีมานด์ที่อยู่อาศัยปีนี้ยังมีแต่ลูกค้าจะเลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้มากขึ้น ซึ่งแสนสิริมั่นใจว่าจะมีลูกค้าใหม่ที่เป็น Real-demand มาซื้อโครงการแสนสิริมากขึ้น เหตุเชื่อมั่นในคุณภาพและการดูแล หลังเข้าอยู่อาศัย พร้อมวางเป้าเติบโตแบบยั่งยืนด้วยยอดพรีเซลรวม 3 ปี (2561 – 2564) ทะลุเป้า 1.6 แสนล้าน   นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “ปี 2561 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ถือว่าดีที่สุดของในการดำเนินธุรกิจของแสนสิริมาตลอด 34 ปีที่ผ่านมาหรือ Sansiri Best Year Ever จากความสำเร็จรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดกว่า  65,200 ล้านบาทจาก 25 โครงการ ยอดพรีเซลปี 2561 กว่า 48,500 ล้านบาทสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยเติบโตกว่าปี 2560 ที่อยู่ที่ 38,500 ล้านบาทถึง 25% รวมถึงยอดขายต่างชาติกว่า 14,000 ล้านบาทเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาถึง 51% หรือเติบโตกว่า 5 ปีก่อนถึง 10 เท่า ซึ่งแสนสิริครองอันดับหนึ่งยอดขายต่างชาติสูงสุดมาต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันแสนสิริยังมียอด Backlog รวมกว่า 63,500 ล้านบาทที่จะช่วยการันตียอดรับรู้รายได้อันแข็งแกร่งในอีก 3 ปีข้างหน้า”   ปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้เราสามารถบรรลุเป้าหมาย Sansiri Best Year Ever ในปี 2561 คือการตอบรับที่ดีของลูกค้าในทุกประเภทที่อยู่อาศัยและทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านเดี่ยวเติบโตขึ้นถึง 34 % กลุ่มทาวน์เฮาส์เติบโต 77% และกลุ่มคอนโดมิเนียมเติบโตกว่า 20% ทั้งนี้ โครงการที่ได้รับการตอบรับดีเกินเป้าหมายเมื่อปีที่ผ่านมา อาทิ บ้านแสนสิริที่กวาดยอดขายไปกว่า 75%ของมูลค่าโครงการทั้งหมดภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือนซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ซัวรี่ของเมืองไทย การเปิดตัวคอนโดมิเนียมไลฟ์สไตล์เพื่อคนรุ่นใหม่อย่าง XT ที่มูลค่าการเปิดตัว 3 โครงการรวมกว่า 21,000 ล้านบาทแต่ก็สามารถขายได้ถึง 12,000 ล้านบาทภายใน 3 เดือน รวมทั้งทาวน์เฮ้าส์แบรนด์ใหม่ “สิริ เพลส” ที่ยอดขายดีจนสามารถดันยอดขายทาวน์เฮ้าส์ให้โตขึ้นกว่าปี 2559 ได้ถึง 3 เท่า ขณะที่ยอดขายจากตลาดต่างจังหวัดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จของปีที่ผ่านมาด้วยยอดขายถึง 12,000 ล้านบาทหรือคิดเป็น 25% ของยอดขายรวมทั้งหมด เติบโตขึ้นกว่าปีก่อนถึง 51%   คุณวันจักร์กล่าวต่อว่า “ในปี 2562 นี้ แสนสิริมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 28 โครงการรวมมูลค่ากว่า 46,600 ล้านบาท ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 12 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 22,400 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 9 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 18,700 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ 7 โครงการรวมมูลค่า 5,500 ล้านบาท ซึ่งมุ่งเน้นเปิดตัวโครงการระดับกลาง (Medium Segment)และระดับราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น (Affordable Segment) โดยคิดเป็นสัดส่วนรวม 96% ของมูลค่าการเปิดตัวโครงการทั้งหมด พร้อมตั้งเป้าพรีเซลปีนี้ไว้ที่ 36,000 ล้านบาทและเป้าโอนรวมที่ 32,000 ล้านบาท รวมทั้งวางเป้าหมายระยะยาว 3 ปี ในการสร้างยอดพรีเซลรวมกว่า 160,000 ล้านบาทระหว่างปี 2562-2564”   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 ยังคงเติบโตแต่อาจจะชะลอตัวบ้างในส่วนของการซื้อเพื่อลงทุนของลูกค้าคนไทย แต่อย่างไรก็ตาม แสนสิริเชื่อว่าการซื้อเพื่ออยู่เองจะยังคงโตในระดับเดียวกับปีก่อน ทั้งนี้ จากการแข่งขันด้านราคาและการพัฒนาโครงการของทุกผู้ประกอบการในปีนี้ ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ซึ่งแสนสิริเชื่อมั่นว่าปี 2562 นี้จะเป็นปีที่ได้เปรียบทางธุรกิจของบริษัท เพราะลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่เองจะเลือกแบรนด์ใหญ่ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพและบริการหลังการขายมากกว่าแบรนด์เล็กเพราะเป็นการซื้อเพื่ออยู่เองในระยะยาว นอกจากนั้น แสนสิริเชื่อมั่นว่ายอดโอนโครงการของแสนสิริในปีนี้จะเป็นไปได้ดีตามเป้าเพราะมียอดพรีเซลที่รอการรับรู้รายได้ในระดับสูงจากลูกค้าที่มีคุณภาพและกำลังซื้อจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าชาวจีนและชาวต่างชาติ ที่วางเงินดาวน์สูงและเชื่อมั่นในศักยภาพการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อผลตอบแทนระยะยาว”   คุณอุทัย กล่าวต่อถึงกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจปี 2562 ว่า แสนสิริให้ความสำคัญและลงลึกในทุกรายละเอียด  ของความต้องการของผู้บริโภคเพื่อเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตของลูกค้าเสมอมา โดยปีนี้แสนสิริมองเห็นเทรนด์และความต้องการในการอยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไปของคนยุคปัจจุบันที่มีความตื่นตัวในเรื่องการดูแลสุขภาพและปัญหาสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น จึงวางวิสัยทัศน์ For Greater Well-being เพื่อต่อยอด 2 แนวคิด Green & Well-being มาประยุกต์ใช้กับทุกโครงการใหม่ของแสนสิริ นำร่องด้วยโครงการเศรษฐสิริ ทวีวัฒนา บ้านเดี่ยวภายใต้คอนเซปต์ Well-being โครงการแรกของแสนสิริที่จะเปิดตัวในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ รวมทั้งเตรียมเปิดขายอย่างเป็นทางการ Wellness Residence คอนโดมิเนียมสำหรับคนรักสุขภาพแห่งแรกของไทยบนทำเลศักยภาพกรุงเทพกรีฑา ที่จะเปิดมิติใหม่แห่งการอยู่อาศัยที่สามารถดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ตลอดจนจะรุกแบรนด์บุราสิริมากขึ้นด้วย เพราะเล็งเห็นดีมานด์คนในกรุงเทพที่อยากได้บ้านสไตล์รีสอร์ตเพื่อเติมเต็มสุขภาพกายและสุขภาพใจ นอกจากนั้น แสนสิริยังวางแผนที่จะสร้างปรากฎการณ์ใหม่แก่วงการอสังหาฯด้วยการเปิดตัว “บ้านปลอดฝุ่น” หรือ Dust-free House ครั้งแรกของเมืองไทยภายในปีนี้และประกาศนโยบายรับผิดชอบต่อสังคมอย่างจริงจังผ่านการลดการใช้พลังงานและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมโลกในทุกขั้นตอน   ด้านการพัฒนาโครงการใหม่ในปี้นี้จะมุ่งเน้นกลยุทธ์ Diversification ที่จะนำเสนอหลากหลายประเภทโครงการที่อยู่อาศัยมากขึ้น ครอบคลุมในทุกระดับราคาและทุกทำเลทั่วประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีสัดส่วนการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เพิ่มมากขึ้นใน    ปีนี้เพื่อรองรับดีมานด์การอยู่อาศัยเอง นำโดยแบรนด์เศรษฐสิริที่เป็นบ้านเดี่ยวตอบโจทย์ลูกค้าระดับบนที่ต้องการบ้านขนาดใหญ่เพื่อครอบครัวขยาย และแบรนด์สิริ เพลสทาวน์เฮ้าส์สำหรับผู้ที่อยากมีบ้านหลังแรกในราคาที่จับต้องได้แต่ยังได้ส่วนกลางมาตรฐานแสนสิริและฟังก์ชั่นการใช้งานบ้านที่ให้มากกว่าทาวน์เฮ้าส์โดยทั่วไป ขณะที่คอนโดมิเนียมก็จะมีการเปิดตัวโครงการในทุกระดับราคาและหลายทำเลเช่นกัน   คุณอุทัย กล่าวต่อว่า “แสนสิริยังมุ่งมั่นที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ทั้งในประเทศและในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถครองใจลูกค้าต่างชาติได้ในทุกเซกเมนต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ โดยปีนี้เราเปิด SIRI HOUSE  ที่สิงคโปร์และที่เมืองไทยด้วยหวังเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการถ่ายทอดประสบการณ์                การใช้ชีวิตแบบแสนสิริให้ลูกค้าได้สัมผัส ตลอดจนเราจะสร้างความแข็งแรงให้กับโครงการปัจจุบันด้วยการเปิดตัว Sansiri Club Collection ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มโครงการที่เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ และ Sansiri Luxury Collection การรวมกลุ่มโครงการระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างเอกลักษณ์ในการสื่อสารการตลาดผ่านวิธีการและแคมเปญที่เหมาะสมกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละกลุ่มมากยิ่งขึ้น   นอกจากนั้น ในปีนี้แสนสิริจะเดินหน้านำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในพัฒนาการดำเนินธุรกิจให้มากขึ้นเพื่อความสะดวกสบายของลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำนวัตกรรมมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาความปลอดภัยในการอยู่อาศัยก็เป็นอีกจุดแข็งของแบรนด์ที่แสนสิริต้องการที่จะเน้นย้ำ ในปีนี้เช่นกันเพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภค นอกจากนั้น แสนสิริจะรุก ในการสร้างองค์กรที่มีความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนด้วยการนำการทำงานแบบ Agile มาใช้สนับสนุนการทำงานของคนรุ่นใหม่ให้มีประสิทธิภาพ  รวมทั้งสานต่อ Sansiri Green Mission ตลอดจนการช่วยเหลือเด็กไทยและต่างชาติอย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรม Social Change และการเป็น UNICEF’s Selected Partner องค์กรแรกและองค์กรเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   “แสนสิริเชื่อมั่นว่าแนวคิด For Greater Well-being ที่แสนสิริมุ่งมั่นในการมอบรูปแบบและนวัตกรรมการอยู่อาศัยที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในปี 2562 นี้ จะสร้างความโดดเด่นและแตกต่างให้กับแบรนด์แสนสิริในฐานะบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าใจความต้องการผู้บริโภคในทุกยุคทุกสมัยอย่างแท้จริง ตลอดจนเป็นผู้เซตมาตรฐานการพัฒนาที่อยู่อาศัยของประเทศไทยเพื่อคุณภาพการชีวิตที่ดีขึ้นของลูกค้าและเพื่อโลกที่ดีขึ้นของเราได้” คุณอุทัย กล่าวสรุป          
“ยูนิเวนเจอร์” เผยผลประกอบการ ประจำปี’61 รายได้รวม 20,994 ล้านบาท

“ยูนิเวนเจอร์” เผยผลประกอบการ ประจำปี’61 รายได้รวม 20,994 ล้านบาท

บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV เผยภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2561 (ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2560 ถึง 30 กันยายน 2561) โดยมียอดรายได้รวม 20,994 ล้านบาท เติบโต 16% จากช่วงเดียวกันของปี 2560 มีผลกำไรสุทธิส่วนของบริษัทอยู่ที่ 1,006 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้หลักในปี 2562 (ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2561 ถึง 30 กันยายน 2562) กว่า 25,800 ล้านบาท และมีแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้กว่า 31 โครงการ พร้อมรุกเสริมความแข็งแกร่งธุรกิจ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน   นายวรวรรต ศรีสอ้าน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ประจำปี 2561 ว่าบริษัทฯ มีรายได้รวม 20,994 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 16,812 ล้านบาท ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า และโรงแรม 1,688 ล้านบาท ธุรกิจอื่น (รวมธุรกิจสังกะสีออกไซด์) 2,373 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ 121 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัท 1,006 ล้านบาท “ในปีงบประมาณ 2561 รายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายทั้งในแนวราบและแนวสูงซึ่งอยู่ในธุรกิจการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 14,053 ล้านบาท โดยมาจากโครงการของกลุ่มแผ่นดินทอง จำนวน 38 โครงการ และรายได้จากโครงการแนวสูง 2,759 ล้านบาท จาก 8 โครงการของ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY   นอกจากนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) รวมทั้งสิ้น 10,200 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 7,000 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 3,200 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปี 2562 จำนวน 9,700 ล้านบาท (จากโครงการแนวราบ 7,000 และโครงการแนวสูง 2,700) หรือคิดเป็น 45% ของเป้ารายได้อสังหาริมทรัพย์เพื่อขายปี 2562 ที่ 21,400 ล้านบาท ในปี 2562 บริษัทฯ วางแผนเปิดโครงการแนวราบใหม่จำนวนกว่า 25 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 28,600 ล้านบาท และโครงการแนวสูงใหม่ จำนวน 6 โครงการ มูลค่าโครงการไม่น้อยกว่า 9,600 ล้านบาท” นายวรวรรต กล่าว   นายวรวรรต กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีงบประมาณ 2562 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้หลักอยู่ที่ 25,800 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายคิดเป็นสัดส่วนประมา ณ 83% ทั้งนี้มาจากโครงการแนวราบประมาณ 70% และมาจากโครงการแนวสูงประมาณ 13% รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าและโรงแรมประมาณ 7% ธุรกิจอื่นๆ (รวมธุรกิจสังกะสีออกไซด์) ประมาณ 10%” ล่าสุด จากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2562 ได้มีมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ UV และ GOLD อนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มเติม ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท (UV 2,000 ล้านบาท และ GOLD 3,000 ล้านบาท)   ทั้งนี้ ในปี 2562 บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งตลอดทั้งภาพรวม เพื่อประสิทธิภาพและความพร้อมในการขับเคลื่อนองค์กร เพื่อการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกัน (Towards Sustainable Growth) โดยเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการตามกลยุทธ์หลัก 3 ปี ที่เราให้ความสำคัญ (Core Strategy 2018 - 2020) ทั้ง 5 ส่วน ให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น การ “Optimization” ความหลากหลายที่เรามี เพื่อสร้างประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น ล่าสุด ธุรกิจสังกะสีออกไซด์ มีการเติบโตถึง 30 % จากปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นการเติบโตที่ดีที่สุด และขณะนี้มีกำลังการผลิต (capacity) เต็มจำนวน พร้อมกับวางแผนในการเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่ยังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น “Diversification” ไปที่โครงการรูปแบบใหม่ ๆ นอกเหนือจากบ้านเดี่ยวหรือคอนโดมิเนียม อย่างเช่นล่าสุด บริษัทฯ ได้ลงทุนในการพัฒนาโครงการประเภทโรงแรม ณ จังหวัดบุรีรัมย์ ภายใต้ชื่อ Modena อีกทั้งยัง Diversified ต่อไปอีกในเรื่องของการทำ Service ต่าง ๆ นอกเหนือจากสินค้าเพื่อขายหรือเช่า เช่น การมีบริษัทมืออาชีพในการบริหารจัดการสินทรัพย์ หรือจัดการอสังหาริมทรัพย์ การมี โบรคเกอร์ในการดูแลการปล่อยเช่าหรือการสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงการบริการที่ครอบคลุมทั้งในช่วงการเตรียมการ และระหว่างการก่อสร้างเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการมองทั้ง “Supply Chain” เพื่อต่อยอดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรและการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งวิเคราะห์และมองหาโอกาสที่ใช่ตลอดทั้งระยะทาง บนพื้นฐานสำคัญของ Entry Point และExit Point ที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับ “Synergy” ธุรกิจที่ครอบคลุมในด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่น งานที่บริษัท ฟอร์เวิร์ด ซิสเต็ม และ บริษัท อะเฮดออล จำกัด (AHEADALL COMPANY LIMITED) ที่ขายงานระบบเข้าโครงการรวมถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “Opportunistic Investment” การขับเคลื่อนโอกาส (Opportunity) และพร้อมที่จะรองรับโอกาสใหม่ๆ ที่เห็นเป็นรูปธรรม อาทิ การเข้าลงทุนใน บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ซึ่งเป็นธุรกิจบริหารโครงการ บริหารการก่อสร้าง รวมถึงออกแบบสถาปัตยกรรมโครงสร้าง โดยมีภาพรวมผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องในเชิงของการรับรู้รายได้ ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ต่อปี   “นอกจากการเติบโตในแง่ตัวเลขผลประกอบการ เรายังมุ่งหวังที่จะเพิ่มการบริหารงานให้แข็งแกร่ง พร้อมกับให้ความสำคัญในการจัดการในทุก ๆ ด้าน รวมถึงการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความโปร่งใส หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี และความรับผิดชอบที่มีต่อผู้มีส่วนได้เสีย สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการยืนยันในคุณภาพจากหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยในรอบบัญชีปี 2561 บริษัทปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจอย่าเคร่งครัดรวมถึงได้นำหลักการกำกับกิจการที่ดีสำหรับบริษัทจดทะเบียนปี 2560 (Corporate Governance Code : CG Code) ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับธุรกิจและบริบทของกลุ่มบริษัทอย่างเหมาะสม โดยบริษัทได้ดำเนินการทบทวนและปรับปรุงกฎบัตร นโยบาย จรรยาบรรณทางธุรกิจ ตลอดจนดำเนินการต่างๆ ให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของ CG Code และหลักเกณฑ์ตามโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies : CGR) ส่งผลให้บริษัทได้รับผลการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน ประจำปี 2561 ในระดับ “ดีเลิศ” ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 และได้รับผลการประเมินคุณภาพการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 จำนวน 99 คะแนน   นอกจากนี้ ล่าสุด บริษัทฯ ยังได้ประกาศเจตนารมณ์เข้าร่วมต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นในโครงการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต โดยมีเป้าหมายยื่นขอการรับรองเป็นสมาชิกแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริตจากคณะกรรมการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริตให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนดต่อไป ซึ่งจากภาพรวมในการพัฒนาดังกล่าวทั้งหมด เชื่อมั่นว่าเราจะก้าวสู่ครบรอบ 40 ปีในการดำเนินธุรกิจ ในปี 2563 นี้ ด้วยความแข็งแกร่งและยั่งยืน” นายวรวรรต กล่าวในตอนท้าย          
พราวฯดันหัวหิน “สปอร์ต เดสทิเนชั่น” ปี 62 ทุ่มงบกว่า100 ล้านจัดอีเอ้นท์ใหญ่

พราวฯดันหัวหิน “สปอร์ต เดสทิเนชั่น” ปี 62 ทุ่มงบกว่า100 ล้านจัดอีเอ้นท์ใหญ่

“พราว เรียลเอสเตท” ทุ่มงบการตลาดกว่า 100 ล้านบาท จัดอีเว้นท์กีฬาระดับอินเตอร์ฯ ตลอดทั้งปี หวังดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก สานแผนดันหัวหินเป็น “สปอร์ต เดสทิเนชั่น” ล่าสุดจับมือธนาคารไทยพาณิชย์ ปรับปรุง SCB Center Court ภายใน ทรู อารีน่า หัวหิน ยกระดับเป็นสนามเทนนิสที่มีมาตรฐานสากล พร้อมประเดิมรายการแรกกับการแข่งขันเทนนิสหญิงของโลก ระหว่าง 28 มกราคม–3กุมภาพันธ์ 2562  นี้   พราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ เปิดเผยว่า พราว เรียลเอสเตท จะเดินหน้าแผนการผลักดันหัวหินให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (สปอร์ต เดสทิเนชั่น) อย่างจริงจัง โดยในปีนี้จะใช้งบการตลาดมากกว่า 100 ล้านบาท เน้นจัดกิจกรรมระดับอินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อให้เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามา โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าหัวหินมากกว่าปีก่อน 12% ซึ่งตลาดจีนยังคงมาแรงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น   กิจกรรมที่จัดขึ้นจะมีทั้งรายการแข่งขันกีฬาระดับโลก เช่น งานโปโล  ASIAN BEACH POLO 2019, Golf Tournament, งานวิ่งมาราธอน  HUAHIN GRAND MARATHON, งานปั่นจักรยาน BIKE & SHOOT 2019  และงานอีเว้นท์ด้านไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ล่าสุด ประเดิมเปิดสนาม SCB Center Court กับการกลับมาของรายการแข่งขันเทนนิสหญิงของโลก “ดับเบิลยูทีเอ อินเตอร์เนชั่นแนล ซีรีส์ ทัวร์นาเมนต์” รายการ “โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2019 พรีเซนเต็ด บาย อีเอ” ชิงเงินรางวัลรวมกว่า  250,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8 ล้านบาท โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มกราคม-3 กุมภาพันธ์ 2562   “ปัจจุบันเราใช้กีฬาเป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาหัวหิน เพราะมองว่ากีฬาไม่ใช่แค่กระแสที่มาในระยะสั้นเท่านั้น แต่กีฬาจะอยู่กับคนทุกยุคทุกสมัย สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย เช่นฟุตบอล และเทนนิส ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลายกลุ่ม รวมทั้งกีฬาโปโล ก็จะเข้าถึงกลุ่มคนในอีกกลุ่มหนึ่ง โดยงานต่างๆ ที่จัดจะอยู่ในพื้นที่ของ พราว เรียลเอสเตท เช่น ทรู อารีน่า หัวหิน, สวนน้ำ วานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล, โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลหัวหิน รีสอร์ท, ฯลฯ เป็นต้น” คุณพราวพุธ กล่าว   ฯพณฯ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาการจัดการแข่งขันเทนนิสหญิง “โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2019 พรีเซนเตด็ บาย อีเอ”  กล่าวว่าปัจจุบันการแข่งขันกีฬาถือเป็นแรงขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย และส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม มีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติสนใจ และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ มาสู่หัวหิน การได้จัดการแข่งขันทัวร์นาเมนต์สำคัญระดับโลกอย่างการแข่งขันเทนนิสหญิง  “โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2019 พรีเซนเตด็ บาย อีเอ” ไม่เพียงช่วยสร้างรายได้สู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศจากการหลั่งไหลเข้ามาของผู้ร่วมงาน คณะผู้จัดการ และผู้เข้าชมการแข่งขันเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศได้อย่างมหาศาลจากการได้แพร่ภาพสถานที่ท่องเที่ยวผ่านรายการแข่งขันกีฬาไปทั่วโลก     ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการแข่งขันกีฬาระดับโลกที่จะทยอยเข้ามา พราว เรียล เอสเตท ผู้บริหารโครงการ ทรู อารีน่า หัวหิน จึงได้จับมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ปรับปรุงสนามจัดการแข่งขัน SCB Centre Court โดยเพิ่มอัฒจรรย์ผู้ชมสำหรับเซ็นเตอร์คอร์ต ซึ่งต้องให้ได้มาตรฐานระดับสากล สามารถจุได้ถึง 2,500 ที่นั่ง ออกแบบหลังคาให้เป็นรูปหน้าจั่วแบบสถาปัตยกรรมแบบไทยเพื่อให้คงเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้ พร้อมด้วยหลังคาผ้าใบสลับซ้อนเป็นสีขาวโปร่งทำให้สามารถระบายความร้อนได้ดี ซึ่งใช้งบประมาณในการปรับปรุงครั้งนี้กว่า 20 ล้านบาท   “หลังจากจบการแข่งขัน โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2019 พรีเซนเต็ด บาย อีเอ แล้วสนาม SCB Centre Court  จะใช้ในการแข่งขันเทนนิสในรายการอื่นๆ ต่อไป จึงคาดว่าสนามแห่งนี้จะเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามามากขึ้นด้วย” นายสุวัจน์กล่าวเพิ่มเติม   นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่สนามเทนนิสมีระบบ ELC (Electronic line calling) เพื่อย้อนดูภาพการตกของลูกเทนนิสในสนาม ในจังหวะที่บางครั้งสายตาของมนุษย์ไม่สามารถมองได้ทัน พร้อมไฟส่องสว่างที่คอร์ตเทนนิสที่ออกแบบมาพิเศษเงาไม่บังผู้ตีในตอนกลางคืน  นอกจากนี้ยังมีส่วนของห้องใต้อัฒจรรรย์ ซึ่งเป็นห้องนักกีฬา และห้องอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับผู้มาใช้สนาม   ด้านนายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “สนาม SCB Centre Court แห่งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันวงการกีฬาเทนนิสไทย สร้างนักเทนนิสรุ่นใหม่ให้ก้าวไกลไปอีกระดับ และไทยพาณิชย์พร้อมจะสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาทุกคน และหวังว่าเราจะได้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์ปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ให้กับวงการกีฬาไทยด้วยกันอีกในอนาคต”        
ออริจิ้นฯ เตรียมเปิด “Knightsbridge สุขุมวิท-เทพารักษ์” รับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง

ออริจิ้นฯ เตรียมเปิด “Knightsbridge สุขุมวิท-เทพารักษ์” รับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง

การลงทุนโครงข่ายระบบรถไฟฟ้า และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-บางกะปิ-สำโรง) ระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) เป็นอีกโครงการที่มาเติมเต็มโครงข่ายขนส่งมวลชน กรุงเทพฯโซนตะวันออก เป็นเส้นทางเชื่อมกรุงเทพฯตอนบนกับตอนล่าง นับตั้งแต่ถนนลาดพร้าว บางกะปิ ศรีนครินทร์ และเทพารักษ์  เมื่อบวกกับปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ เช่น ชุมชนขยายตัวและศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่เป็นตัวเพิ่มศักยภาพที่น่าสนใจ ทำให้ตลอดแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่มีระยะทาง 30.4 กม. รวม 23 สถานี นายกฯพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานพิธีกดปุ่มสร้างปลายเดือนสิงหาคม 2561 มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จเปิดให้บริการปี 2564 คาดการณ์จะมีผู้โดยสารให้บริการประมาณ 220,000 คน-เที่ยวต่อวัน ส่งผลเกิดการลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยคึกคัก   “ไนท์บริดจ์ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ” (Knightsbridge Sukhumvit-Theparak) คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด!!  ที่ บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เจ้าของโครงการยืนยันว่าเป็นโครงการบนถนนเทพารักษ์ ทำเลศักยภาพที่พร้อมเจิดจรัส เพียง 0 เมตรจากสถานี MRT ทิพวัล และเชื่อมต่อกับสถานี Interchange สำโรง (สายสีเขียวสุขุมวิท) เพียง 1 สถานี เชื่อมต่อถนนเส้นหลักถึง 2 เส้นทั้งสุขุมวิทและศรีนครินทร์     โครงการ “ไนท์บริดจ์ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ” ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 1ไร่ พัฒนาเป็นอาคารสูง 35 ชั้น 1อาคาร จำนวน 474 ยูนิต และ 1Shop  มีห้องให้เลือกตั้งแต่ขนาดพื้นที่ 23 - 55 ตารางเมตร(ตร.ม.) ราคาขายเฉลี่ยที่ 90,000 บาทต่อตร.ม.  มูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,490 ล้านบาท มีที่จอดรถ Auto Parking 49% กำหนดเริ่มก่อสร้าง ปี 2562 คาดแล้วเสร็จในปี 2564  (อาคารจะสร้างเสร็จพร้อมรถไฟฟ้าเปิดใช้งาน) โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะเป็นกลุ่มพนักงานบริษัทแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และ โซนเทพารักษ์,บางนา,บางพลี,สมุทรปราการ เจาะกลุ่มคนที่มีระดับรายได้ 35,000 บาทต่อเดือนโดยประมาณ   โครงการดังกล่าวออกแบบโดยบริษัท โบว์มอนท์ พาร์ทเนอร์ส จำกัดหนึ่งในผู้ออกแบบที่อยู่อาศัยที่มีความคิดสร้างสรรค์ และมีผลงานมากมายเป็นที่ยอมรับและรู้จักกันดีในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์ของบริษัทผู้ออกแบบผสานกับความเป็นผู้เชี่ยวชาญมีฐานข้อมูลด้านการตลาดของ ออริจิ้น ฯ จึงสร้างความโดดเด่นในโครงการทุกพื้นที่การอยู่อาศัยรวมถึงพื้นที่ส่วนกลางที่โดดเด่น ชั้นบนสุด Rooftop Facility สวนชั้นดาดฟ้า พร้อมจุดชมวิวได้รอบทิศ 360 องศา อีกทั้งยังตอกย้ำจุดเด่นแบรนด์ Knightsbridgeให้แตกต่างจากโครงการการอื่นในย่านเดียวกันนั่นคือ จะเน้นไปที่ความพรีเมี่ยมของทำเล จำนวนยูนิตไม่มากนัก และรวมไปถึงความเป็นส่วนตัวในการใช้พื้นที่ส่วนกลางได้เต็มอิ่มในราคาที่จับต้องได้  มีระบบรักษาความปลอดภัย กล้องวงจรปิด CCTV 24 ชั่วโมง ปัจจุบันเปิดรับลงทะเบียนสำหรับรับข่าวสารข้อมูลโครงการแล้วที่ www.origin.co.th หรือ http://www.origin.co.th/register/knightsbridge-sukhumvit-thepharak หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 020-300-000     นอกจากนี้ยังมีอีก 5 ปัจจัยสำคัญที่นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ กรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท ออริจิ้น ฯ บอกว่าเป็นเหตุผลที่บริษัทฯเลือกลงทุนพัฒนาโครงการ “ไนท์บริดจ์ สุขุมวิท-เทพารักษ์” บนถนนเทพารักษ์ที่มีความโดดเด่นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต นั่นคือ   โครงการอยู่ติดกบรถไฟฟ้าสถานีเทพารักษ์ 0 เมตรและเชื่อมต่อกับ interchange สายสีเขียว สถานีสำโรง ซึ่งมีโครงสร้างและแนวโน้ม ในการรับผลประโยชน์จากการพัฒนาของที่ดินได้ทั้งสองสาย ถนนเส้นนี้เป็น 1 ใน ถนนเพียง 3 สายบนแนวรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทที่เป็นถนน 4 เลน และ มีรถไฟฟ้าตัดผ่านกลางซอย ทำเลเทพารักษ์อยู่เชื่อมต่อ ถนน เส้นหลักถึง 2 เส้น (สุขุมวิท และ ศรีนครินทร์) รวมไปถึงตัวโครงการที่ตั้งอยู่บนถนนหลัก (8 เลน) ที่สามารถรองรับการพัฒนาของที่ดินรวมไปถึงการลงทุนต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ การขยายตัวของทำเลสุขุมวิท ลูกค้าต่างชาติทั้งเอเซียและยุโรปมีความต้องการห้องพักอาศัยในเมืองใกล้แนวรถไฟฟ้าในทำเลเที่เดินทาง สะดวกและอุดมสมบูรณ์ในราคาค่าเช่าที่ถูกลงพร้อมกับการขยายตัวของแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสีเหลืองที่เชื่อมต่อจุด Interchangeบางนา-สุวรรณภูมิ มีการเจริญเติบโตในด้านการลงทุนต่างๆ ทั้งที่พักอาศัย,Community Mall,โรงแรม และ โรงเรียนนานาชาติ   ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้งโครงการที่อุดมไปด้วยห้างสรรพสินค้าและ Avenue ชั้นนำ พร้อมความสะดวกสบายในการเดินทางบนถนนเทพารักษ์ที่เป้นถนนที่มีความกว้างถึง 8 เลนเชื่อมกับถนนหลัก 2 เส้นทางทั้งสุขุมวิทและศรีนครินทร์ สะดวกสาบายกับการเดินทางด้วยรถยนต์ใกล้ทางด่วนและวงแหวนอุตสาหกรรม จะช่วยทำให้ชีวิตกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในพื้นที่...ที่ต้องการใช้ชีวิตส่วนตัวที่จะได้รับผลประโยชน์จากการมาของรถไฟฟ้าทั้งสายสีเหลืองและสายสีเขียวในแง่ของการเจริญเติบโตของที่ดิน และโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆในอนาต   บริษัทฯมั่นใจว่า โครงการ “ไนท์บริดจ์ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ” จะเป็นที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในละแวกนั้นๆที่ต้องการแยกครองครัว หรือใช้ชีวิตส่วนตัว อยากมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อจะได้ไม่ต้องเช่าที่อยู่อาศัย และเห็นความสำคัญของรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่จะสร้างเสร็จในปี 2564 และจากข้อมูลที่ได้จากการสำรวจพบว่า มีกลุ่มคนที่เดิมมีบ้านอยู่บริเวณเทพารักษ์ สำโรง ปู่เจ้าสมิงพราย ที่ต้องการแยกครอบครัว แต่ไม่มีเงินมากพอจะซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบ จึงเลือกซื้อคอนโดฯแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่อยู่ใกล้บ้านเดิมของตนเอง              
อนันดาฯ ยึดเบอร์ 1 คอนโดติดรถไฟฟ้า ลุยเปิด 38,000ล้าน

อนันดาฯ ยึดเบอร์ 1 คอนโดติดรถไฟฟ้า ลุยเปิด 38,000ล้าน

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าย้ำมั่นใจความสำเร็จที่ผ่านมาจากกลยุทธ์ที่ดำเนินมาถูกต้องของบริษัทมุ่งตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองได้อย่างลงตัวที่สุด ด้วยประสบการณ์พร้อมความเชี่ยวชาญตลอด 20 ปีที่ผ่านมาภายใต้แนวคิด Urban Living Solutions เน้นศักยภาพการเติบโตของบริษัทในอนาคตแบบมั่นคงและยั่งยืนพร้อมความแข็งแกร่งทางการเงินและการสนับสนุนอย่างดีจากพันธมิตรชั้นนำมิตซุย ฟูโดซัง ประกาศแผนธุรกิจปี 2562 เติบโตต่อเนื่องพร้อมความระมัดระวัง เดินหน้าเปิด 10 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 38,000 ล้านบาท เน้นทำเลติดรถไฟฟ้าที่ยังมีศักยภาพขยายตัวได้อีกมาก   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทอนันดาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายครองตำแหน่งผู้นำในการพัฒนาที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้าจากวิสัยทัศน์ที่คิดและทำเป็นรายแรกของเมืองไทยพร้อมเป็นองค์กรที่พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง รวมทั้งมีการเตรียมความพร้อมและความยืดหยุ่นในการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสมเพื่อสามารถขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จแบบแข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป ซึ่งจากความสำเร็จที่ผ่านมานั้น บริษัทมั่นใจว่ากลยุทธ์ที่ได้ดำเนินมาโดยตลอดเป็นสิ่งที่ถูกต้องโดยการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพบนทำเลศักยภาพสูงติดรถไฟฟ้า สามารถตอบสนองความต้องการของคนเมืองยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างฯ มาปรับใช้ในโครงการเพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้นในราคาที่สมเหตุผลและสามารถจับต้องได้ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังโดยการวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบตลอดเวลาพร้อมกระแสเงินสดในมือกว่า 13,000 ล้านบาทซึ่งสามารถนำไปลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องต่อไปในอนาคต   ซึ่งในปี 2562 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์พัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าโดยเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น  ซึ่งยังคงได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างบริษัท มิตซุย  ฟูโดซัง  จำกัดเป็นอย่างดีตั้งแต่เริ่มร่วมทุนในปี 2013–จนถึงปัจจุบันทำให้บริษัทเป็นอันดับหนึ่งที่มีมูลค่าการร่วมทุนสูงที่สุดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยนอกจากนี้ ยังมีแผนในการกระจายช่องทางรายได้โดยการเพิ่มพอร์ตจากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Recurring Income) โดยอนันดาฯมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจและเป็นการลงทุนที่มีรายได้ต่อเนื่องในระยะยาวจึงได้มีการเริ่มดำเนินโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ที่เป็นการจับมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่างดิ แอสคอทท์ ลิมิเต็ดซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ระดับลักชัวรี่ชั้นนำของโลกโดยมีรางวัลจำนวนมากการันตีโดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ 5 โครงการ ได้แก่ Somerset Rama 9, Ascott Embassy Sathorn, AscottThonglor, LYF Sukhumvit 8 และ โครงการล่าสุด อยู่ระหว่างดำเนินโครงการ ณ ชายหาดพัทยากลาง   “นอกจากนี้ในส่วนของกระแสเงินสดของบริษัทยังมีความแข็งแกร่งโดยมีนโยบายในการรักษาระดับเงินสดของกลุ่มรวมทั้งบริษัทร่วมทุนไว้ในระดับสูงกว่า 13,000 ล้านบาท ทั้งยังได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายสามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ และถึงแม้ว่าบริษัทจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังคงรักษาวินัยทางการเงินอย่างเข้มงวด โดยสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนไว้ภายใต้เป้าหมายที่ 1:1”   ในปี 2561 บริษัทฯมีโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้น 5 โครงการ มูลค่ารวม 23,000 ล้านบาท คือ ไอดีโอ สาทร-วงเวียนใหญ่ ไอดีโอรัชดา-สุทธิสาร เอลลิโอ สาทร-วุฒากาศ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสพอยท์ และโครงการคอนโดมิเนียมย่านสะพานควาย ทั้งยังร่วมพัฒนาโครงการร่วมกับมิตซุย ฟูโดซัง โดยการลงทุนในธุรกิจเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ 4 โครงการดังกล่าวมูลค่าการลงทุนทั้งหมด 10,000 ล้านบาท   บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้น ด้วยมูลค่าโครงการร่วมทุนเกินกว่า 157,600 ล้านบาท ในปี 2562 จากปี 61 ที่มีมูลค่า 128,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถรักษาตำแหน่งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าโครงการร่วมทุนสูงที่สุดในประเทศ   บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการทำสถิติยอดขายใหม่ (นิวไฮ) การขายไปยังต่างประเทศจากโครงการใหม่และโครงการที่เปิดขายไปก่อนหน้า โดยมียอดขายถึง 10,000 ล้านบาท ในปี 2561 ซึ่งเติบโตขึ้นร้อยละ 4 จากปีก่อน   ในปี 2561 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จสูงเกินคาดจากแผนการดำเนินงานที่ตั้งไว้ โดยนับว่าเป็นปีที่บริษัทสามารถสร้างสถิติใหม่ในส่วนของยอดโอนเป็นสถิติสูงสุดถึง 33,000 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 120 จากปีก่อนหน้าและมียอดโอนในส่วนของลูกค้าต่างชาติที่สามารถทำสถิติสูงสุดเช่นกันที่ 6,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 300 จากปีก่อนหน้าในส่วนของแบ็คล็อค ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 41,000 ล้านบาทเพื่อรองรับการเติบโตของยอดโอนของบริษัทในระยะ 3 ปีข้างหน้าโดยปกติอัตราการขายคอนโดมิเนียมของบริษัทมีมากกว่า 90% ของสต๊อกซึ่งมีการขายภายในระยะเวลา 3 ปีนับตั้งแต่การเปิดตัวโครงการ สอดคล้องกับในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้เกือบ 70% ของสต็อกประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม และโครงการแนวราบกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะขายเพื่อรองรับและรักษาอัตราการเติบโตของธุรกิจ     บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 2562 จำนวน 10 โครงการ มูลค่ากว่า 38,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 42 โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 8โครงการ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซัง 7 โครงการ และโครงการแนวราบ 2 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ14 อยู่ที่ 36,000 ล้านบาท จาก 31,500 ล้านบาท ในปีก่อน และตั้งเป้ายอดโอนเติบโตที่ร้อยละ 9 จากปีก่อนอยู่ที่ 36,000 ล้านบาท โดยในปี 2562 บริษัทฯ คาดว่ามีคอนโดมิเนียมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอน 10 โครงการเพิ่มเติมจากในปี 2561 ซึ่งมีคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอนกว่า 10 โครงการ   ในปีนี้บริษัทได้กำหนดทิศทางกลยุทธ์การตลาด โดยให้ความสำคัญกับ 3 สิ่งที่สำคัญ ได้แก่   1.กลยุทธ์การบริหารจัดการโครงสร้าง และมาตรฐานของแต่ละแบรนด์สินค้า เพื่อให้มีจุดยืนที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละเซ็กเม้นท์ได้อย่างเหมาะสม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ รูปแบบการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย ที่มีความแตกต่างในด้านความสนใจ รสนิยม และ กำลังซื้อ ครอบคลุมตั้งแต่โครงการระดับพรีเมี่ยมจนถึงโครงการที่ราคาคุ้มค่า จับต้องได้ และตอบโจทย์ทุกด้านในการใช้ชีวิต Ashton (Accessible Luxury Condominium) แบรนด์ Top-Tier ของอนันดา ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์สุนทรียะของการอยู่อาศัย ใส่ใจในทุกรายละเอียด บนทำเลที่ดีที่สุด (Prime area) ของกรุงเทพ IDEO Q ( Premium Condominium ) โดดเด่นกับดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยโลเคชั่นใจกลางเมือง สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มองหาที่อยู่อาศัยที่สะท้อนถึงความสำเร็จและความก้าวหน้าในชีวิต IDEO MOBI (Innovative Condominium) คอนโดที่เน้นการนำนวัตกรรมมาใช้ในการออกแบบ ให้มี Function การอยู่อาศัยที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น IDEO ( Mass Transit Condominium ) ที่อยู่อาศัยบนทำเลติดรถไฟฟ้า ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์พื้นที่ชีวิตที่ต้องการความสะดวก และสามารถใช้ชีวิตเต็มที่ในทุกด้าน Live-Work-Play ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Elio (Value Condominium) คอนโดที่คุ้มค่า ราคาจับต้องได้ มีพื้นที่ส่วนกลางที่โดดเด่น เหมาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ และกำลังมองหาที่อยู่อาศัยเพื่อเริ่มต้นการใช้ชีวิต เช่นเดียวกันกับ Housing Brand Portfolios ที่มีการวางรากฐานของแบรนด์เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าตั้งแต่ระดับพรีเมี่ยมจนถึงโครงการที่ราคาคุ้มค่า ภายใต้แบรนด์ Artale (บ้านเดี่ยวหรู ใจกลางเมือง) , Airi (บ้านเดี่ยวสมัยใหม่ สไตล์มินิมอล) , Arden (ทาวน์โฮมดีไซน์โดดเด่น ทำเลเมือง) และ Atoll (บ้านเดี่ยวสำหรับครอบครัวรุ่นใหม่)  เพื่อตอบโจทย์ความเป็น Urban Living Solutions ได้อย่างดีที่สุด   2.ขับเคลื่อนองค์กรและกลยุทธ์การตลาดด้วยแนวทางดิจิทัลเต็มรูปแบบ เชื่อมโยงสินค้าเข้าสู่ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด พร้อมมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับกลุ่มลูกค้าในช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะช่องทางดิจิทัลที่ในปัจจุบันสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างใกล้ชิด รวมทั้งยกระดับการทำการตลาดดิจิทัลไปสู่อีกขั้นภายใต้ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับชั้นนำ   3.กลยุทธ์การเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ จะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าระดับกลางจนถึงพรีเมี่ยมภายใต้แบรนด์ ไอดีโอ, ไอดีโอ คิว และ แอชตัน ซึ่งโครงการที่นำมาเปิดขายในปีนี้ ทางบริษัทฯ มั่นใจว่า จะได้รับการตอบรับที่ดีเหมือนอย่างเช่นเคย และยังมีโครงการที่มีมูลค่าโครงการสูงสุดเท่าที่อนันดาฯ เคยพัฒนามา   สำหรับโครงการที่เป็นไฮไลท์ในปีนี้ ได้แก่ โครงการ ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย ตั้งอยู่ติดกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย (0 เมตร) บนที่ดินขนาดประมาณ 5 ไร่  มีจำนวนห้องพักอาศัยทั้งหมด 1,114 ห้อง มูลค่าโครงการประมาณ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 อาคาร อาคารเอ มีจำนวนห้อง 396 ห้อง อาคารบี มีจำนวนห้อง 287 ห้อง และอาคารซี มีจำนวนห้อง 431 ห้อง ทั้งยังมีร้านค้าปลีก 5 ร้าน จุดเด่นของโครงการ คือ ติดรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย โดยมีคอนเซ็ปต์ในการพัฒนามาจาก Urban -Human- Nature (เมือง-คน-ธรรมชาติ) Urban-คือการเชื่อมต่อ 0 เมตรจากรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีสะพานควาย Human– คือการเป็นโครงการที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายของผู้อยู่อาศัย โดยจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สิ่งอำนวยความสะดวกประจำโครงการ, รูปลักษณ์โครงการ หรือ สังคมของผู้พักอาศัย ที่มุ่งเน้นถึงสุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย Nature–คือการผสมผสานธรรมชาติเข้าไปในรูปลักษณ์การดีไซน์ของตัวตึก โดยโครงการจะเปิด Presales กลางปีนี้ และ โครงการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นต์ ณ ชายหาดพัทยากลางบนที่ดินขนาดประมาณ 4 ไร่ มีจำนวนห้องพัก 324 ห้อง มูลค่าโครงการเกือบ 2,000 ล้านบาท    
คอนโดมิเนียมสิทธิการเช่าระยะยาว ทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคใจกลางเมือง

คอนโดมิเนียมสิทธิการเช่าระยะยาว ทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคใจกลางเมือง

เน็กซัส เผยผลการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) ปัจจุบันมีจำนวนไม่ถึง 1% ของจำนวนคอนโดมิเนียมที่ในตลาดกรุงเทพฯ ซึ่งส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่บริเวณใจกลางเมือง บนทำเลที่มีศักยภาพสูง หรือบริเวณที่ไม่สามารถหาซื้อที่ดินแบบซื้อขาดได้  และที่ดินลักษณะนี้เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่จะเป็นของหน่วยงานรัฐ และสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ จะมีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เป็นที่ดินของเอกชน โดยทำเลหลักของคอนโดเหล่านี้ คือ ย่านราชดำริ หลังสวน พระราม 4   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (Mrs.Nalinrat Chareonsuphong, Managing Director of Nexus Property Marketing Company Limited) เผยว่า สำหรับ อุปทานของคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวใจกลางกรุงเทพฯ นั้น มีทั้งสิ้น 4,500 หน่วย จาก 22 โครงการ โดยพบว่ามากกว่า 67% ตั้งอยู่บริเวณหลังสวน และราชดำริ ถ้าจะวิเคราะห์ถึงอุปทานคอนโดมิเนียมใหม่ที่เปิดขายในช่วง 2-3  ปีที่ผ่านมานั้น จะพบว่าเป็นโครงการบนทำเลพิเศษที่มีศักยภาพสูงมาก และมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโครงการในเครือของสินธร เรสซิเดนซ์ โครงการ ไอแอมไชน่าทาวน์ บริเวณเยาวราช หรือแม้แต่ โฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเดนซ์ บริเวณริมแม่น้ำ   ด้านราคาคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวนั้น มีความแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ทำเลที่ตั้ง ปืที่ก่อสร้าง และคุณภาพโครงการ พบว่าหลายโครงการในกลุ่ม ซูเปอร์ ลักชัวรี่ มักใช้เครือโรงแรม 5 ดาวเข้ามาบริหาร หรือมีส่วนควบที่เป็นโรงแรมหรือเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์เกรดเอพ่วงอยู่ด้วย เพื่อเพิ่มมูลค่าและดึงดูดผู้ซื้อชาวต่างชาติให้สนใจเข้ามาซื้อโครงการมากขึ้น  โดยหลักการแล้วคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว จะมีระยะเวลาการเช่า 30 ปี ราคาซื้อขายสิทธิมือสองอาจจะลดลงเมื่อจำนวนปีที่เหลือถือครองลดลง แต่ในความเป็นจริง มีคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิเช่าระยะยาวในหลายโครงการ ราคาก็ไม่ได้ปรับตัวลดลงตามปีที่เหลืออยู่ แต่กลับเพิ่มขึ้น เนื่องจากคุณภาพของห้องชุดที่ดี มีการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องจากเจ้าของโครงการ ผู้ซื้อยังมีความต้องการคอนโดในทำเล นั้นๆ อยู่ และยิ่งไปกว่านั้น เราพบว่าราคาของคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว มักจะปรับตัวสูงขึ้น ถึงแม้อายุการเช่าน้อยลง และอาจจะทำราคาได้ดีกว่าคอนโดฟรีโฮลด์ที่ขายอยู่ในตลาดอีกด้วย ซึ่งส่งผลทำให้ผลตอบแทนต่อปีจากการลงทุนในคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว อยู่ในอัตรา 7-10% ซึ่งมากกว่าคอนโดฟรีโฮลด์ในทำเลเดียวกัน     นางนลินรัตน์ ยังกล่าวต่อว่า ความน่าสนใจของคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวในอนาคตจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นที่ดินใจกลางเมืองที่มีราคาสูงขึ้นและหายากขึ้น  ทำให้เจ้าของที่ดินเอกชนสนใจที่จะปล่อยที่ดินให้เช่าระยะยาวมากกว่าขายที่ดินทั้งผืน ในขณะที่ภาครัฐเองก็มีที่ดินให้เช่าอย่างต่อเนื่อง ในด้านของราคา พบว่าโดยทั่วไปคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว จะมีราคาขายถูกกว่าคอนโดขายขาด(Freehold) อย่างน้อย 30-40% ทำให้ผู้ซื้อสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ทำเลที่ตั้งของคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนโดที่อยู่ในระดับ ซูเปอร์ ลักชัวรี่ เป็นทำเลที่มีความพรีเมี่ยมมาก เช่น หลังสวนหรือราชดำริ ยังคงได้รับการตอบรับอย่างต่อเนื่องจากผู้ซื้อ  และเมื่อวิเคราะห์ถึง แพลตฟอร์มการใช้ชีวิต ของคนกรุงเทพยุคมิลเลนเนียม ที่ต้องการความสะดวกสบาย เดินทางสะดวก และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบในอนาคตก็สามารถย้ายที่อยู่ไปอยู่บ้านเดี่ยวได้เมื่ออยู่ในวัยทำงานที่อายุมากขึ้น การซื้อคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวจึงเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจสำหรับคนกลุ่มนี้ และด้วยสภาพสังคมไทยในปัจจุบันที่เรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ กลุ่มนี้เป็นอีกกลุ่มสำคัญที่จะให้ความสนใจกับที่อยู่อาศัยในแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว เนื่องจากคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ยังทำงาน และมีอำนาจการจับจ่ายสูง เพราะเมื่อพิจารณาองค์ประกอบโดยรวมแล้ว การซื้อคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวนั้นคุ้มค่ากว่า เพราะพื้นฐานความต้องการของคนกลุ่มนี้ต้องการความปลอดภัยในการใช้ชีวิต ต้องการอยู่ในทำเลที่สะดวกสบาย และความสามารถในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้โดยง่าย โดยเน็กซัสคาดว่าในอนาคต เราอาจจะเห็นคอนโดสำหรับผู้สูงอายุที่เป็นแบบให้เช่าระยะยาวนี้มากขึ้น   สำหรับในมุมมอง ตลาดลงทุน โดยปกติแล้วคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว จะมีเงื่อนไขการจ่ายเงินจอง และทำสัญญามากกว่าคอนโดแบบขายขาดโดยอยู่ที่ประมาณ 30% ธนาคารก็จะปล่อยกู้ในวงเงิน 70% ที่เหลือ ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวหากเปรียบเทียบกับนโยบายใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ในกรณีที่ซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 หรือหลังที่ 3  ส่งผลให้คอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว ไม่ได้เสียเปรียบคอนโดฟรีโฮลด์ในแง่เม็ดเงินลงทุนเบื้องต้นอีกต่อไป สำหรับ ผลตอบแทนจากการลงทุน  คอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว โดยทั่วไปจะให้ผลตอบแทนต่อปีสูงกว่า เนื่องจากราคาขายต่ำกว่าและส่วนใหญ่จะอยู่ในทำเลที่มีความต้องการเช่าสูง นอกจากนี้เงินที่ประหยัดได้จากการซื้อคอนโดที่ถูกกว่าสามารถนำไปลงทุนอย่างอื่นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ ขนาดห้องที่เหมาะสม และรูปแบบที่ตอบสนองความต้องการของตลาดในแต่ละทำเล  จะเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้คอนโดปล่อยเช่าได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สุดท้าย ตลาดต่างชาติ ก็น่าจะมีอนาคตดีสำหรับคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว ด้วยปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความคุ้นเคยของต่างชาติ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ของการอยู่คอนโดประเภทนี้ ความง่ายในการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์คอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว รวมถึงเงื่อนไขในการซื้อต่างๆ เช่น ไม่จำเป็นต้องโอนเงินจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสำหรับชาวจีน ที่การโอนเงินออกมาซื้อคอนโดเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก เป็นต้น    
ทำไม “ออลล์ อินสไปร์” จึงเป็น “Employer of Choice” บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วย

ทำไม “ออลล์ อินสไปร์” จึงเป็น “Employer of Choice” บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วย

การก้าวข้ามจากการเป็นแค่ “สถานที่ทำงาน” มาสู่ “บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วย” ทำให้ ออลล์ อินสไปร์ฯ ก้าวขึ้นสู่ บริษัทผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูง ด้วยความตั้งใจที่จะส่งมอบสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า เพื่อตอบโจทย์รูปแบบการดำรงชีวิตทุกความต้องการของลูกค้าและเป็น “Class of Living ชีวิตที่มีระดับ คือชีวิตที่คุณเลือกเอง” ในแบบฉบับของคนรุ่นใหม่ได้อย่างครบถ้วน   การก้าวสู่ปีที่ 6 ในการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ ออลล์ อินสไปร์ฯ ก้าวกระโดดอย่างมั่นคงและเติบโต ด้วยเหตุผลทางธุรกิจที่โดดเด่นในข้อที่ว่า ออลล์ อินสไปร์ฯ มีเป้าหมายอย่างเด่นชัดในการเลือกที่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์บนพื้นที่ในรัศมีสถานีขนส่งมวลชนระบบรางและทำเลที่มีศักยภาพสูง รวมไปถึงการพัฒนาและออกแบบโครงการที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้อยู่อาศัยใช้ชีวิตได้จริง บทพิสูจน์อันแข็งแกร่งของกลยุทธ์นี้ดูได้จากการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ ดิ เอ็กเซล, ไรส์ และ อิมเพรสชั่น ที่เปิดขายเมื่อไรก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเสมอ “นอกจากกลยุทธ์หลักในการเดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องแล้ว กลยุทธ์ในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรบุคคลก็สำคัญเช่นกัน” นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ให้เหตุผลว่า “ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หนึ่งในการแข่งขันที่ยั่งยืนคือ การให้ความสำคัญกับบุคลากร การรักษาและพัฒนาความสามารถ พร้อมทั้งดึงศักยภาพในตัวของบุคลากรออกมาให้เหมาะสมกับคนกับงานที่เขาได้รับมอบหมาย พนักงานจะรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าในองค์กร  เรามีการจัดเทรนนิ่งเพื่อเพิ่มทักษะในด้านต่างๆ ของพนักงานอย่างสม่ำเสมอ”       การสร้างความภูมิใจและความผูกพันกับองค์กร จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างองค์กรกับพนักงานให้มีความภักดีต่อองค์กร ออลล์ อินสไปร์ฯ จะมีวัฒนธรรมองค์กรในรูปแบบของการทำงานที่ช่วยเหลือกัน ทำให้พนักงานมุ่งมั่นและทุ่มเทสติปัญญา อีกทั้งบรรยากาศในที่ทำงานที่เราตั้งใจให้ออฟฟิศแห่งนี้เป็นเสมือนบ้านที่ 2 ของพวกเขา ผู้บริหารของออลล์ อินสไปร์ฯ เชื่อว่า “สภาพแวดล้อมที่ดีจะส่งผลให้พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์และมีความสุข พร้อมที่จะถ่ายทอดสิ่งดีๆ ลงไปในผลงานที่ทำ ดังนั้นจะเห็นว่า ที่แห่งนี้มีพื้นที่ที่เป็น Co - Working Space ที่สามารถนั่งทำงานตรงไหนก็ได้ โดยได้จัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกและสันทนาการ อาทิ ไอศครีม โต๊ะพลู ห้องโทรศัพท์ ในห้องแบบส่วนตัวที่นี่ก็มี ห้องประชุมหลากหลายขนาดให้เลือกใช้ ซึ่งเราให้พนักงานมีส่วนร่วมตั้งชื่อห้องประชุมด้วย แม้แต่การมี Napping Room ให้หลับพักผ่อนสายตาในยามอ่อนล้า พนักงานทุกคนมีสิทธิ์ใช้อย่างเท่าเทียมกัน”  การให้รางวัล (Reward) ก็เป็นแรงจูงใจให้พนักงานทำงานให้กับองค์กรอย่างเต็มกำลังความสามารถ พนักงานเกิดแรงกระตุ้นทางบวกในการทำงาน อย่างทุกๆ ปีบริษัทจัดงานเลี้ยงประจำปี เพื่อเป็นการขอบคุณพนักงานสำหรับการทุ่มเททำงานเพื่อบริษัทมาตลอดปี โดยภายในงานนอกจากมีของรางวัลมากมาย แต่ปีนี้พิเศษกว่าทุกๆ ปี เพราะบริษัทจัดคอนเสิร์ตแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะพนักงานของออลล์ อินสไปร์ฯ ได้สนุกกับศิลปินที่ได้ชื่อว่าเป็นตำนานนักร้องตัวพ่อ อย่าง เจ เจตริน มาเอาใจพนักงานชาว ออลล์ อินสไปร์ฯ กันเลยทีเดียว       นอกจากนี้ การที่จะก้าวสู่ “บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วย” ยังต้องคำนึงถึง “ความสำเร็จหรือเป้าหมายที่องค์กรตั้งไว้” องค์กรและพนักงานมีส่วนร่วมในการตั้งวัตถุประสงค์ที่อยากทำให้สำเร็จหรือเป้าหมายที่อยากเดินทางไปให้ถึง และตัวชี้วัดที่จะบอกเราว่าเดินทางไปสู่เป้าหมายนั้นอย่างไร คือการตั้งเป้าหมายให้แต่ละคน โดยเป้าหมายของทุกๆ คนสอดคล้องกันทั้งองค์กร เพื่อผลักดันองค์กรให้บรรลุเป้าหมายในภาพรวมได้ นายธนากรกล่าวเสริมว่า การลงทุนตั้งแต่การสรรหา การเสนอโอกาสที่ดีในการทำงานและการรักษาบุคลากร การทำให้พนักงานอยู่กับองค์กรไปนานๆ โดยมีการวัดความพึงพอใจและรับฟังความคิดเห็นของพนักงานเพื่อนำมาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง”        นี่จึงเป็นอีกบทเรียนทางการตลาดของการดำเนินธุรกิจของ บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ไม่แปลกใจเลยว่า การวางโรดแมปตลอดระยะเวลา 3 ปีมานี้ สู่การเป็น “Employer of Choice” หรือองค์กรในฝันที่คนอยากทำงานด้วย การตั้งเป้าที่จะเป็นองค์กรที่นิสิตนักศึกษา หรือผู้กำลังหางานนึกถึงเป็นอันดับแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ ใกล้จะเป็นความจริงในอนาคตอันใกล้นี้
HQ เปิดตัวพื้นที่ทำงานสำหรับคนยุคใหม่แห่งแรกในไทย ณ อาคาร เอสพีอี ทาวเวอร์ พหลโยธิน

HQ เปิดตัวพื้นที่ทำงานสำหรับคนยุคใหม่แห่งแรกในไทย ณ อาคาร เอสพีอี ทาวเวอร์ พหลโยธิน

HQ เปิดตัวครั้งแรกเพื่อตอบโจทย์พื้นที่การทำงานที่ยืดหยุ่นได้และมีความสำคัญสำหรับเหล่าคนทำงาน ฟรีแลนซ์ และธุรกิจขนาดเล็กในประเทศไทย   HQ ผู้ให้บริการเช่าพื้นที่สำนักงานชั้นนำภายใต้เครือ IWG ผู้นำธุรกิจให้บริการเช่าพื้นที่สำนักงานระดับโลกและผู้ดำเนินการบริหารบริษัทพื้นที่ทำงานชั้นนำทั่วโลก ได้แก่ รีจัส และสเปซเซส เปิดตัวสาขาแรกในประเทศไทย ณ อาคาร เอสพีอี ทาวเวอร์ ถนนพหลโยธิน พื้นที่ทำงานแห่งใหม่นี้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสนามเป้าและห่างจากสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ พญาไท เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น   HQ มีเป้าหมายในการนำเสนอพื้นที่ทำงานสำหรับมืออาชีพและฟรีแลนซ์ในกรุงเทพฯ ด้วยสถานที่ที่เอื้ออำนวยต่อการทำงานและส่งมอบคุณค่าที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจ โดยสาขาแรกนี้ตั้งอยู่บนชั้น 10 ของอาคารเอสพีอี ทาวเวอร์ แบ่งเป็นพื้นที่สำนักงาน 910 ตารางเมตร ประกอบไปด้วยห้องทำงาน 60 ห้อง พื้นที่ทำงาน 188 ที่นั่ง และห้องประชุม 2 ห้อง มาพร้อมกับทางออกของการทำงานที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการการใช้พื้นที่ทำงานทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นโคเวิร์คกิ้ง เลานจ์ ออฟฟิศส่วนตัว และห้องประชุม   คุณโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ HQ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ความสำเร็จของสเปซเซสและรีจัสในประเทศไทยได้ปูทางให้เราเปิดตัว HQ สาขาแรกในกรุงเทพฯ สาขาใหม่นี้ซึ่งตอบโจทย์พื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้และมีความสำคัญสำหรับเหล่าคนทำงาน ฟรีแลนซ์ และธุรกิจขนาดเล็กในประเทศไทยเรามั่นใจว่า แบรนด์ HQ จะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์เวิร์คสเปซระดับโลกที่ตอบสนองความต้องการพื้นที่ทำงานในกรุงเทพฯได้เป็นอย่างดี”   เอชคิวนำเสนอคอนเซ็ปต์หลัก 3 คอนเซ็ปต์ ได้แก่ ออกแบบมาเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ – HQ ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในการดำเนินธุรกิจและทำงานชิ้นสำคัญ โดยปราศจากการรบกวน ความยุ่งยาก ปัญหาเรื่องเทคโนโลยี และราคาที่ไม่แพงเกินไป พื้นที่ทำงานสำหรับทุกคน – HQ ออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับทุกคนตั้งแต่องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ไปจนถึงฟรีแลนซ์ต่างๆ แม้ว่าลูกค้าจะต้องการพื้นที่ทำงานสำหรับ 1 คน หรือ 1,000 คน เวิร์คสเปซแห่งนี้นำเสนอเงื่อนไขการใช้งานต่างๆ ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้และมีราคาที่เหมาะสมเพื่อให้ทุกคนมาใช้บริการได้ ง่ายต่อการใช้งาน – HQ มีแอพพลิเคชั่นที่ลูกค้าสามารถจองห้องประชุมหรือจองพื้นที่ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน ง่ายๆ เพียงปลายนิ้ว   “HQ เล็งเห็นว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่กำลังขยายตัวด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้นของคนทำงานยุคใหม่แบบไร้ออฟฟิศขณะเดียวกันบริษัทเองก็ได้รับผลดีจากความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น ลดค่าใช้จ่ายการเช่าสถานที่ ตลอดจนเพิ่มความสุขในการทำงานให้แก่พนักงาน HQ มีวิสัยทัศน์ที่จะนำข้อดีเหล่านี้มาใช้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจทุกขนาดและทุกขั้นตอน ยกตัวอย่างเช่น ฟรีแลนซ์และเจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องการย้ายที่นั่งทำงานจากห้องนั่งเล่นหรือร้านกาแฟแถวบ้านมาเป็นสถานที่ทำงานที่สะท้อนความเป็นมืออาชีพ HQ นำเสนอความต้องการพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนให้การทำงานประสบผลสำเร็จและได้ผลงานที่มีคุณภาพ ตลอดจนส่งมอบคุณค่าที่ช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้น” คุณโนเอล กล่าวเพิ่มเติม          
“พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” ประกาศแผนปี 62 เดินหน้ากลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม

“พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” ประกาศแผนปี 62 เดินหน้ากลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม

“พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” เดินหน้ากลยุทธ์การพัฒนาโครงการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน ต่อยอดการดำเนินงานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน เพื่อส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้อยู่อาศัย ด้านทิศทางธุรกิจปี 2562 วางเป้าขายของกลุ่มบริษัทที่ 21,600 ล้าน เปิดโครงการใหม่รวม 20 โครงการ มูลค่า 38,400 ล้าน    นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ และ นางสาวศิริรัตน์ วงศ์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการเงิน บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) แถลงถึงแผนธุรกิจของกลุ่มบริษัท โดยกลยุทธ์ในปีนี้จะเดินหน้าต่อยอดการพัฒนาโครงการที่คำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีอย่างยั่งยืนและการอนุรักษ์พลังงานอย่างจริงจัง เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ของการอยู่อาศัย เริ่มตั้งแต่การเปิดตัวโครงการบ้านนวัตกรรมภายใต้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้างไปจนถึงการอยู่อาศัยได้อย่างสบาย และปลอดภัยจากปัญหามลพิษ โดยความร่วมมือกับ เซกิซุย เคมิคอล ประเทศญี่ปุ่น บริษัทยังได้ร่วมกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านพลังงาน ในการนำเทคโนโลยีด้าน Smart Energy ได้แก่ EV Wall Charger (เป็นผลิตภัณฑ์ที่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR และ ปตท.ได้ร่วมกันพัฒนาขึ้น โดยเข้ามาเป็นมาตรฐานใหม่ในกลุ่มบ้านระดับไฮเอนด์ และรองรับมาตรฐาน EV Ready ในบ้านระดับทั่วไป) และอยู่ในระหว่างการพัฒนาโครงการและหารือกับปตท. ในการนำเทคโนโลยีการจัดการพลังงาน (Smart energy monitoring and management) โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และพลังงานหมุนเวียน เช่น Solar PV เพื่อนำมาให้บริการในโครงการของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เป็นครั้งแรกในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย   บริษัทยังจะมีแนวทางการดำเนินงานที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การเดินหน้าต่อเนื่อง สร้างพื้นที่ทะเลสาบ อีก 3 แห่ง รวมเป็นพื้นที่ 183 ไร่ เพื่อช่วยลดอุณหภูมิในโครงการ มีแผนเพิ่มพื้นที่สีเขียวในโครงการ โดยเพิ่มต้นไม้เพื่อช่วยฟอกอากาศ การจัดการขยะภายในโครงการ โดยเพิ่มจำนวนบ้านที่ก่อสร้างด้วยระบบพรีแฟบ เป็น 80% ของจำนวนบ้านทั้งหมด หรือ 2,000 หลังในปีนี้ เพื่อลดปัญหาเศษวัสดุที่เกิดจากงานก่อสร้าง มีการติดตั้งเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในโครงการ ด้านประหยัดพลังงาน มีแนวคิดอาคารประหยัดพลังงาน โดยติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ทั้งคลับเฮ้าส์และสำนักงานขาย ผลิตไฟฟ้าจากแสง อาทิตย์เพื่อนำมาใช้ในอาคาร และเปลี่ยนหลอดไฟทั้งหมดเป็นหลอดประหยัดไฟรวมทั้งติดตั้งโคมไฟถนนอัจฉริยะที่ทำงานอัตโนมัติ มีกล้อง CCTV ใช้พลังงานจากโซล่าเซล     สำหรับแผนงานในส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปีนี้กลุ่มบริษัทตั้งเป้าขาย 21,600 ล้านบาท ประกอบด้วย เป้าขายของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 20,500 ล้านบาท จากโครงการแนวราบ 12,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 7,000ล้านบาท และคอนโดประเทศญี่ปุ่น 1,500 ล้านบาท สำหรับเป้าขาย แกรนด์ แอสเสทฯ ตั้งไว้ที่ 1,100 ล้านบาท การเปิดโครงการใหม่ ปีนี้ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มีแผนเปิด 17 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท เป็นแนวราบ 16 โครงการ 18,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ 2,000 ล้านบาท ขณะที่แกรนด์ แอสเสทฯ มีแผนเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่า 18,300 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท และโครงการวิลล่าจังหวัดระยอง มูลค่า 2,300 ล้านบาท   นอกเหนือจากการเปิดตัวโครงการบ้านนวตกรรมระบบโมดูลาร์ ภายใต้ความร่วมมือกับ เซกิซุย เคมิคอล ในเดือนมีนาคมนี้ พร้อมกันใน 4 ทำเล ได้แก่ กรุงเทพกรีฑา, รามคำแหง, แจ้งวัฒนะ และรัตนาธิเบศร์ รวมมูลค่า 2,200 ล้านบาท ในไตรมาส 4 บริษัทยังจะมีการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวไฮเอนด์ภายใต้ความร่วมมือกับ ฮ่องกง แลนด์ ทำเลแจ้งวัฒนะ มูลค่า 10,000 ล้านบาท และ ทำเลบางนามูลค่า 5,000 ล้านบาท ด้านโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้ความร่วมมือกับ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี ได้แก่ โครงการไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ คอนโดมิเนียมไฮเอนด์ มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท กำหนดเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ และมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถนนเจริญนคร มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2562 อีกด้วย   สำหรับประมาณการรายได้ของกลุ่มบริษัทปีนี้ ตั้งไว้ที่ 27,555 ล้านบาท ประกอบด้วยรายได้ของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 20,000 ล้านบาท รายได้ของ แกรนด์ แอสเสทฯ 1,100 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจโรงแรม 4,500 ล้านบาท รายได้จากการขายที่ดิน 1,740 ล้านบาท และจากธุรกิจให้เช่าอีก 215 ล้านบาท โดยมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าซึ่งปีนี้ กลุ่มบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ถึง 32.29% หรือ6,813 ล้านบาท ในส่วนของธุรกิจโรงแรมของกลุ่มบริษัท ปีนี้ประมาณการรายได้จากธุรกิจโรงแรมจะเพิ่มขึ้นจากโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ซึ่งได้รับผลจากการเปิดตัวของไอคอนสยาม นอกจากนี้ ยังจะเพิ่มขึ้นจากการเปิดตัวโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท อย่างเป็นทางการของในเดือนมีนาคมนี้ พร้อมทั้งยังมีการเปิดบริการห้องอาหารรูฟท็อป และเน้นธุรกิจ MICE เพื่อเพิ่มรายได้ในส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม      
“Chapter Thonglor 25” คอนโดใหม่ใจกลางทองหล่อ จากพฤกษา

“Chapter Thonglor 25” คอนโดใหม่ใจกลางทองหล่อ จากพฤกษา

พฤกษา เตรียมเปิดตัวคอนโดพรีเมียมใจกลางทองหล่อภายใต้แบรนด์ “Chapter Thonglor 25” ชูคอนเซ็ปต์ Curated Thonglor Living ที่จะมาสร้างประสบการณ์ในการอยู่อาศัยแห่งใหม่ในย่านทองหล่อ จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยากอยู่ทำเลใจกลางเมืองในราคาที่เอื้อมถึงง่ายๆ โครงการออกแบบให้ดูเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยงานดีไซน์ที่ทันสมัย โดดเด่นมีสไตล์ไม่เหมือนใคร จัดเต็มด้วยเฟอร์นิเจอร์ครบชุด ในราคาเริ่มต้น 4.9 ลบ. เฉลี่ย 160,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งเป็นราคาที่ดีที่สุดและหาไม่ได้อีกแล้วในย่านทองหล่อ   นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท - พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ใจกลางทองหล่อ “Chapter Thonglor 25” ซึ่งเป็นโครงการ   พรีเมียมโครงการแรกของพฤกษาในปีนี้ โดยในย่านทองหล่อเรียกได้ว่าเป็นทำเลลักษ์ชัวรี่อันดับต้นๆ ของกรุงเทพฯ แวดล้อมไปด้วยแหล่งแฮงค์เอ้าท์ทั้งกลางวันกลางคืน และเป็นย่านไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัย เพียบพร้อมไปด้วยร้านอาหารชื่อดัง ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลชั้นนำ และในอนาคตยังมีอีกหลายธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นในย่านนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ที่ดินมีราคาเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี     Chapter Thonglor 25 คอนโด Low – Rise ระดับไฮเอนด์แต่งครบ สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 288 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,820 ล้านบาท ชูคอนเซปต์ Curated Thonglor Living ที่พร้อมจะมาสร้างประสบการณ์ในการอยู่อาศัยในย่านทองหล่อ ตอบรับไลฟ์สไตล์ของคนเมือง โดดเด่นมีสไตล์ไม่เหมือนใครด้วยการเลือกใช้สี Copper และสี Pastel จัดเต็มด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครันพร้อมบริการตลอด 24 ชม. อาทิ The Chapter Hall, Co-function Space, Co-living Garden, The Sunset Deck, Co-Creating Deck, The Social Club, White Marble Pool, Steam & Suana และ Fitness มีแบบห้องพักให้เลือก 3 แบบ คือ แบบ Studio ขนาด 28.91 – 29.30 ตร.ม, แบบ 1 Bedroom ขนาด 34.62 – 61.85 ตร.ม และแบบ 2 Bedroom ขนาด 57.63 – 61.17 ตร.ม ทุกยูนิตจะเน้นพื้นที่เก็บของใช้และเสื้อผ้าที่กว้างเป็นพิเศษ และบางยูนิตมีฟังก์ชั่นพิเศษเอาใจสาวๆ ด้วย Walk-in Closet ราคาพร้อมตกแต่งเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 160,000 บาท/ตรม. ซึ่งราคานี้เมื่อเทียบกับทำเล สิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียบพร้อม สเปคมาตรฐานที่หรูหรา และมาพร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบชุดถือว่ามีความคุ้มค่าอย่างมาก ในราคาที่หาไม่ได้อีกแล้วในย่านทองหล่อ   โครงการตั้งอยู่ในซอยทองหล่อ 25 เดินทางสะดวกสบายด้วย BTS เพียง 1 สถานี ถึงเอ็มโพเรียมและเอ็มควอเทียร์ เพียง 5 นาทีถึง BTS ทองหล่อ สามารถเข้า-ออกได้หลากหลายเส้นทางไม่ว่าเชื่อมต่อไปยังทองหล่อเส้นหลักหรือสุขุมวิท 49 และสุขุมวิท 39 แวดล้อมไปด้วยคอมมูนิตี้มอลล์อย่าง 72 Courtyard, The Commons, Seen Space, J Avenue ร้านอาหารชื่อดัง สถานศึกษานานาชาติ และโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลคามิลเลียน และไลฟ์สไตล์ระดับไฮเอนด์ในทำเลใจกลางทองหล่อ แต่ยังมีความเงียบสงบและเป็นส่วนตัวที่หาได้ยากมากในย่านนี้ เตรียมเปิด Open House 2 - 3 ก.พ. นี้ ลงทะเบียนรับส่วนลดสูงสุด 100,000 บาท สนใจสามารถเข้าเยี่ยมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ที่สำนักงาน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1739 หรือhttps://chapter.pruksa.com/22379/thonglor-25        
ควอตโตร ดีไซน์ ครบรอบ 12 ปี ชูกลยุทธ์การบริการรูปแบบครบวงจร 360 องศา

ควอตโตร ดีไซน์ ครบรอบ 12 ปี ชูกลยุทธ์การบริการรูปแบบครบวงจร 360 องศา

ควอตโตร ดีไซน์ ครบรอบ 12 ปี ลุยลูกค้าโครงการที่อยู่อาศัยเต็มสูบ ชูกลยุทธ์การบริการรูปแบบครบวงจร 360 องศา หนุนยอดโตทะลุ 50%   บริษัท ควอตโตร ดีไซน์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านระดับพรีเมียม เตรียมเสริมความแข็งแกร่ง ลุยกลุ่มลูกค้าโครงการบิ๊กสเกล ชูความเป็นวันสต็อปเซอร์วิส เลือกควอตโตรที่เดียวจบ ครบตอบได้ทุกความต้องการ ดันรายได้เติบโต 50%   นางพราวพรรณ เลาหพงศ์ชนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอตโตร ดีไซน์ จำกัด ผู้ดำเนินธุกิจนำเข้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านระดับลักชัวรี่ เปิดเผยว่า บริษัท ควอตโตร ดีไซน์ จำกัด ดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลา 12 ปี โดยในเวลานั้นเริ่มมองเห็นช่องว่างของตลาดที่ยังไม่มีคนรับตกแต่งหรือจัดบ้านตัวอย่างเดิมจะมีแค่ผู้ที่ออกแบบเท่านั้น แต่ไม่ได้ผลิต หรือจัดหาสินค้าให้ บริษัทจึงได้เปิดให้บริการตกแต่งแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์, ของประดับตกแต่ง หรือแม้กระทั่งการทำสไตล์ลิ่ง ขณะเดียวกันเพื่อทำให้ควอตโตรเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น จึงได้เปิดร้านเฟอร์นิเจอร์ควอตโตร ดีไซน์ เพื่อเสริมงานโครงการและหน้าร้าน ที่เริ่มจากการขายของตกแต่งก่อน จนขยายไลน์สินค้าที่หลากหลาย อาทิ เฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่ง ไฟ พรม จะเห็นได้ว่าในพื้นที่หนึ่งของห้องหรือที่พัก บริษัทสามารถซัพพลายได้หมด อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีเอ็กคลูซีฟแบรนด์ด้วยกัน 4 แบรนด์ ประกอบด้วย   1.ไอค์โฮล์ท (EICHHOLTZ) อยู่ในตลาดลักชัวรี่ นำเข้าจากเนเธอร์แลนด์ โดยแบรนด์ดังกล่าวมีสินค้ามากกว่า 4,000 รายการครอบคลุมทุกหมวด   2. พริสมิค แอนด์ บริล (PRIZMIC & BRILL) ที่เกิดขึ้นพร้อมกับควอตโตรเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผลิตในประเทศฟิลิปปินส์ เน้นงานหนัง มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร นับว่าเป็นแบรนด์ขายดีที่สุด   3. เคเนท โคบุนพวย (KENNETH COBONPUE) เป็นสินค้าเอาท์ดอร์มาจากฟิลิปปินส์ และ   4. อินดัสเทรีย เอดิชั่น (INDUSTRIA EDITION) อีกหนึ่งแบรนด์สัญชาติฟิลิปปินส์ เน้นงานโลหะที่ออกแบบอย่างสร้างสรรค์ ด้วยความสวยงามของยุคโมเดิร์น และแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ และปัจจุบันบริษัทมีร้านจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน “ควอตโตร ดีไซน์” อยู่ 2 สาขา ได้แก่ สาขาทองหล่อ ขนาดพื้นที่ 300 ตารางเมตร และสาขาภูเก็ต ขนาดพื้นที่ 800 ตารางเมตร เพราะมองเห็นว่าตลาดภูเก็ต มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ มาเลเซีย ยุโรป ขณะเดียวกันภูเก็ตยังไม่มีร้านเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นมัลติแบรนด์ จึงได้เลือกทำเลดังกล่าวเพื่อตอบสนองความต้องการคนในจังหวัดภูเก็ต หรือผู้อยู่อาศัยในจังหวัดใกล้เคียง และชาวต่างชาติ     “สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ บริษัทจะเพิ่มสินค้าและเพิ่มกลยุทธ์การบริการ รูปแบบครบวงจร 360 องศา เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังจากที่ผ่านมาบริษัทจะเน้นรับตกแต่งบ้านตัวอย่างควบคู่ไปกับการมีร้านจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์จากต่างประเทศส่งผลให้สร้างการเติบโตที่ดีมาตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยปีละ 35%”   “และในช่วงที่ผ่านมาสัดส่วนลูกค้าค้าปลีกคิดเป็น 50% และกลุ่มลูกค้าโครงการอีก 50% แต่หลังจากได้ขยายงานในส่วนของโครงการที่อยู่อาศัยมากขึ้นแล้ว ทำให้สัดส่วนกลุ่มดังกล่าวเพิ่มเป็น 60% ที่เหลืออีก 40% มาจากหน้าร้านค้าปลีก ซึ่งบริษัทฯ มีแนวทางสร้างธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการขยายขอบเขตการให้บริการแก่ลูกค้ามากขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของกลุ่มลูกค้าโครงการที่อยู่อาศัยและธุรกิจโรงแรมที่จะสามารถนำเสนอสินค้าให้กับโครงการระดับ 200 ห้องขึ้นไปได้มากขึ้น จากก่อนหน้าให้บริการกลุ่มโครงการได้เพียงระดับหลักสิบห้อง เนื่องด้วยความสัมพันธ์อันดีกับผู้ผลิตทั้งในทวีปเอเชียและยุโรป ทำให้มีความคุ้นเคยกับโรงงานผู้ผลิตมากพอสมควร จากการดำเนินธุรกิจมา 12 ปี จึงได้ร่วมมือกับโรงงานบางแห่งเพื่อขยายการผลิต อาทิ จีน อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโรงงานขนาดใหญ่ และควบคุมการผลิตแบบมาตรฐานยุโรป จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ทำให้สามารถผลิตสินค้าในสเกลที่มากขึ้น รองรับลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ และทำราคาที่กลุ่มดังกล่าวเข้าถึงได้อีกด้วย”   หลังจากที่บริษัทได้จับมือกับพาร์ทเนอร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศ เพื่อบุกตลาดลูกค้าโครงการที่อยู่อาศัยมากขึ้นแล้ว มีเป้าหมายว่าในปี 2562-2563 จะเติบโตมากขึ้นเป็น 50% มีผลมาจากการได้เซ็นสัญญากับโครงการระดับ 100 กว่ายูนิตขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ที่เซ็นสัญญาไปแล้วประมาณ 270 ยูนิต และอีกโครงการจำนวน 70 ห้องและ 105 ห้องทำเสร็จไปแล้ว สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้ามีความไว้วางใจการให้บริการของควอตโตรเป็นอย่างมาก หากลูกค้าอยากได้ผู้ที่ตอบโจทย์แบบวันสต็อปเซอร์วิส ไม่ว่าจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยว บ้านส่วนตัว โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ที่ต้องการประหยัดเวลา บวกกับได้รับสินค้าระดับลักชัวรี่ในราคาจับต้องได้ อยากให้ทุกคนนึกถึงควอตโตร ดีไซน์ที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านั้น นางพราวพรรณ กล่าว   “สำหรับจุดเด่นของ “ควอตโตร ดีไซน์” จากความเป็นมืออาชีพด้านการจัดสรรสินค้าทั่วทุกมุมโลก ซึ่งผลิตภัณฑ์มีความโดดเด่น มีเอกลักษณ์ และนำเสนอการตกแต่งที่ไม่ซ้ำใครในตลาดเมืองไทย ทำให้บริษัทจะกลายเป็น วันสต็อปเซอร์วิสนับตั้งแต่จัดหาสินค้าตามความต้องการ ออกแบบ ติดตั้ง ตกแต่งรับเหมาก่อสร้างครอบคลุมไปยังการบริการก่อนและหลังการขาย ทั้งยังเป็นเป็นตัวกลางขับเคลื่อนให้กลุ่มลูกค้าโครงการ สามารถกระชับเวลาการทำงานได้มากขึ้นด้วย เนื่องจากบริษัทให้บริการครบวงจรหรือวันสต็อปเซอร์วิส จึงสามารถดูแลลูกค้าได้ที่เดียวจบ ครบครัน นับเป็นผลดีต่อผู้พัฒนาโครงการที่ปิดการขายได้ง่ายและเร็วขึ้นด้วยศักยภาพที่มีของบริษัท ทั้งในส่วนของบุคคลากรทุกแผนก การออกแบบ ฟาซิลิตี้คอนโทรล การตรวจสอบคุณภาพสินค้า”   “ขณะเดียวกันในส่วนของหน้าร้านค้าปลีกจะมีบริการเข้าไปเพิ่ม ไม่ใช่แค่เข้ามาเลือกสินค้าเท่านั้น แต่ยังมีบริการครบวงจรที่จำนำเสนอกับลูกค้าเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ ตกแต่ง และก่อสร้าง ทั้งยังร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในการจำหน่ายและออกแบบตู้เสื้อผ้า ชุดครัว ซึ่งได้เริ่มมาเป็นระยะเวลา 2 ปี มีผลตอบรับจากลูกค้าดีมาก โดยการทำตลาดในส่วนของสาขาจะเน้นโซเชียลมีเดียมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปจะลงทุนด้านการตลาดถึง 15% ทุกปี โดยจะเน้นทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งมากขึ้น เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน”   สำหรับความพิเศษในโอกาสครบรอบ 12 ปี ได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษมอบให้แก่คุณลูกค้า อาทิ แคมเปญ “12 YEARS ANNIVERSARY - 12 SURPRISE GIFTS – 12 MONTHS” และแคมเปญ “MAKE OVER YOUR PLACE WITH QUATTRO DESIGN“ นางพราวพรรณ กล่าวทิ้งท้าย พบกับ “ควอตโตร ดีไซน์” ทั้ง 2 สาขา ได้แก่ สาขาทองหล่อ โทร.02 712 7806 และสาขาภูเก็ต โทร. 076-325-141 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.Quattro-design.com IG : @quattro_design
“โฮมโปร” โชว์ศักยภาพรับปี 62 โตอย่างยั่งยืน

“โฮมโปร” โชว์ศักยภาพรับปี 62 โตอย่างยั่งยืน

ทิศทางตลาดเปลี่ยน คนต้องเปลี่ยน กับ 3 คำ “ปรับตัว เปลี่ยนแปลง แข็งขัน” นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” กล่าวให้กำลังใจกับพนักงานโฮมโปร และบริษัทในเครือช่วงปีใหม่ 2562 แถมโชว์ฟอร์มสุดเจ๋ง ตลอด 23 ปี เติบโตอย่างยั่งยืน มีกำไรเฉลี่ย 29% ต่อปี ด้วยความภาคภูมิใจในการคว้ารางวัลระดับโลก DJSI (Dow Jones Sustainability Index) ในกลุ่ม Emerging Market 2 ปีซ้อน แถมตีปีก ทริสฯ ยกระดับเรตติ้งจากเดิม A+ เป็น AA- พร้อมเปิดภารกิจปี 62 มุ่งเน้นเรื่อง Customer Centric สร้างความประทับใจ และความพึงพอใจให้กับลูกค้า เสริมสินค้าใหม่เอาใจทุกไลฟ์สไตล์ เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ รองรับการเติบโตลูกค้าเฉพาะกลุ่ม (Commercial) พร้อมพัฒนาช่องทางการจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ ให้เข้าถึงลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านหลากหลายช่องทางการสื่อสาร สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในการตัดสินใจซื้อสินค้าได้ทุกช่องทาง (Omni-Channel) ตอกย้ำผู้นำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องบ้านครบวงจรตัวจริง   นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ“โฮมโปร”  เปิดเผยว่า ตลอดปี 2561 พนักงานทุกคนของโฮมโปร ได้ทำงานด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท อย่างเต็มกำลังความสามารถ ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น บริหารการใช้สินทรัพย์ได้คุ้มค่า รวมถึงบริหารอัตรากำไร หรือ GP ได้สูงขึ้น ทำให้ภาพรวมของบริษัทมีกำไรเติบโตอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เติบโตไปพร้อมกับการดำเนินธุรกิจด้วยหลักบรรษัทภิบาล สร้างความโปร่งใส มีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับรางวัล “องค์กรที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยื่น” (Outstanding Sustainability Awards) และรางวัล “บริษัทที่ดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน” DJSI (Dow Jones Sustainability Index) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และอื่นๆ อีก ซึ่งเรายังยึดถือเป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจต่อไป   “สำหรับโฮมโปรแล้ว การเริ่มปีใหม่ครั้งนี้มีความท้าทายหลายอย่างให้บริษัทฯ เราคอยมองหาอะไรใหม่ๆ ให้พนักงาน และลูกค้าของเราอยู่เสมอ การเปลี่ยนแปลงแรกในปี 2562 คือเรื่อง  ยูนิฟอร์มของพนักงานโฮมโปร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะช่วยให้พนักงานรู้สึกถึงการเริ่มต้นที่แปลกใหม่ สดใสกว่าเดิม และยังสามารถดึงเอาความรู้สึกถึงความตั้งใจ กระตือรือร้น รวมถึงความใส่ใจที่มีต่อลูกค้าสอดแทรกเข้าไปด้วย ที่สำคัญยูนิฟอร์มเป็นชุดที่ใช้กันในทุกระดับ ไม่มีการแบ่งแยกตำแหน่งใดๆ ปัจจัยเล็กๆ นี้จะคอยบอกให้พนักงานทุกคนรับรู้ว่า องค์กรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และจะคอยดูแลเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน พร้อมมีนโยบายกระตุ้นพนักงาน ให้รู้จักการ “ปรับตัว เปลี่ยนแปลง อย่างแข็งขัน”ภายในปี 2562 นี้ เรายังคงเดินหน้าไปพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังเข้ามา และในปีนี้เราพร้อมเดินหน้าโปรโมท Home Service App ที่มีการปรับเวอร์ชั่นใหม่เรียบร้อยแล้ว พร้อมรองรับการให้บริการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น   นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปว่า โฮมโปรยังมุ่งเน้นจุดยืนการเป็นผู้นำด้าน Home Solution and Living Experience ในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการเน้นย้ำเรื่องสินค้าใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ทุกไลฟ์สไตล์ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ และคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าได้อย่างคุ้มค่า คุ้มราคา ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญต่อการพัฒนาพันธมิตรทางธุรกิจ ในการพัฒนารูปแบบนวัตกรรมของสินค้า และบริการ ตลอดจนให้ความสำคัญ เรื่องความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ทั้งห่วงโซ่อุปทานอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่กระบวนการผลิต ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ตลอดจนถึงการส่งมอบสินค้า และบริการที่ดีให้กับลูกค้า เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตราฐาน และปลอดภัย   ปัจจุบันโฮมโปรมีสินค้าตกแต่งบ้านที่พร้อมอัพเดทเทรนด์ใหม่ตลอดปี และยังสร้าง QR Code ติดที่ป้ายราคา เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า ตลอดจนคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ECO Choice 6 กลุ่มสินค้า ได้แก่ กลุ่มสินค้าปลอดภัย ยอดจำหน่าย 36.6 ล้านชิ้น กลุ่มสินค้าประหยัดพลังงาน ยอดจำหน่าย 3.1 ล้านชิ้น กลุ่มสินค้าลดก๊าซเรือนกระจก ยอดจำหน่าย 3.5 ล้านชิ้น กลุ่มสินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยอดจำหน่าย 0.9 ล้านชิ้น กลุ่มสินค้าประหยัดน้ำ ยอดจำหน่าย 1.4 ล้านชิ้น กลุ่มสินค้ารักษาป่าไม้ ยอดจำหน่าย 46,384 ชิ้น โดยสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของยอดขาย รวมถึงการพัฒนาสินค้าของกลุ่มลูกค้าผู้สูงวัย เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แน่นอนว่าแนวทางหลักของโฮมโปรคือ การเสริมสินค้าเรื่องบ้านที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม Segment ได้อย่างแท้จริง นอกจากสินค้าเพื่อกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปแล้ว โฮมโปรยังได้รองรับการเติบโตของกลุ่มลูกค้าเฉพาะทาง Commercial สินค้าที่ขายเฉพาะกลุ่ม เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ๆ เพิ่มความน่าสนใจ พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าไปด้วย ตัวอย่างเช่น สินค้าประเภทเครื่องนอนสำหรับลูกค้ากลุ่มโรงแรม และรีสอร์ท, เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งหลากสไตล์ สำหรับร้านอาหาร และร้านกาแฟ รวมไปถึงกลุ่มโครงการด้านอสังหาฯ บริษัทก็มีสินค้าอย่างกระเบื้อง สุขภัณฑ์ คอยรองรับการเติบโตของลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ ตลอดจนส่งมอบบริการเหนือระดับ เพื่อเชื่อมต่อประสบการณ์เรื่องบ้านที่สุดแสนประทับใจ กับทีมช่างมืออาชีพจากโฮมโปร ผู้ชำนาญการที่มีความรู้ในงาน ปรับปรุงบ้านที่มีบริการครบวงจร ตรวจสุขภาพบ้าน ตรวจสอบการทำงานของระบบภายในบ้านต่างๆ  ออกแบบ 3 D Design บริการติดตั้ง ตกแต่ง ซ่อมแซม ตรวจเช็ค และบำรุงรักษา เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า พร้อมทั้งสามารถควบคุมงบประมาณ และเวลาได้ตามต้องการ   ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย (E- Commerce) เราได้พัฒนาขีดความสามารถของเทคโนโลยีที่เข้ามา Disruption สู่ Omni Channel เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce พร้อมช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้า และบริการของโฮมโปรได้ง่ายขึ้น เติมเต็มปัจจัยด้านความสะดวกสบายได้อย่างตรงจุด ให้ลูกค้าช้อปได้แบบสบายๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ สะดวกทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งบริการจัดส่ง ติดตั้ง และรับประกันคุณภาพภายใต้มาตราฐานโฮมโปร และยังเสริมด้วยการวางมาตรฐานด้านระบบ Supply Chain ทั้งการจัดหาสินค้า การสั่งซื้อสินค้า การกระจายสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดเก็บสินค้า ด้วยการนำหุ่นยนต์มาใช้ในศูนย์กระจายสินค้า DC (Distribution Center) เรียกว่าระบบ ASRS โดยใช้หุ่นยนต์ในการจัดเก็บ และกระจายสินค้า เพื่อความรวดเร็วในการจ่ายสินค้าได้ 24 ชั่วโมง ช่วยเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บสินค้า มีความทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจว่าสินค้าทุกชิ้นมีจำนวนเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าอย่างแน่นอน   โฮมโปรเดินทางมายาวนานถึง 23 ปีแล้ว และในปีนี้ถือเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้านที่สูงขึ้นทั้งเทคโนโลยี เศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลกระทบในการดำเนินงานทุกภาคส่วนในองค์กร  ซึ่งต้องยอมรับ และปรับตัวตั้งแต่ต้นปี ในวันแรกที่เราเริ่มเปลี่ยนแปลงอาจจะไม่สมบูรณ์ แต่เราต้องแข็งขันกับสิ่งเหล่านี้ เพื่อปรับให้มันสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นเราต้องยึดมั่น ตั้งมั่น กับ 3 สิ่งนี้ คือ ปรับตัว ยอมรับการปรับตัว เปลี่ยนแปลง เราต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ตอบโจทย์ลูกค้า และแข็งขัน อย่างเอาจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเราทำ 3 สิ่งนี้ให้สำเร็จได้ องค์กรครอบครัว โฮมโปร จะก้าวต่อไปแบบกราฟขึ้นตลอดยาวนาน นายคุณวุฒิ กล่าวปิดท้าย        
“ฮาบิแทท กรุ๊ป” สวนกระแสปั้นธุรกิจโต รุกเปิดโครงการเท่าตัวมูลค่า 8,000 ลบ. เพิ่มพอร์ตเช่าเสริมแกร่ง

“ฮาบิแทท กรุ๊ป” สวนกระแสปั้นธุรกิจโต รุกเปิดโครงการเท่าตัวมูลค่า 8,000 ลบ. เพิ่มพอร์ตเช่าเสริมแกร่ง

“ฮาบิแทท กรุ๊ป” เปิดแผนธุรกิจปี 2562 เร่งขับเคลื่อนแผนสร้างการเติบโตต่อเนื่อง ลุยเปิดโครงการใหม่ในกรุงเทพฯและพัทยาเพิ่มขึ้นเท่าตัว รวมมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท สวนกระแสตลาดอสังหาฯ ย้ำมั่นใจตลาดคอนโดมิเนียมโลไรส์ระดับบน ในทำเลศักยภาพโซนซีบีดีกรุงเทพฯ และพัทยา ความต้องการยังเติบโตดี พร้อมเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจ เพิ่มพอร์ตรายได้ประจำ เปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่ง  รุกขยายฐานลูกค้าต่างประเทศมากขึ้น เปิดตลาดใหม่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ อินเดีย และตะวันออกกลาง จากเดิมเน้นเจาะแค่ตลาดจีน ฮ่องกง หวังกระจายความเสี่ยง   นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อการลงทุนของไทย เปิดเผยว่า แม้ปัจจัยภายนอก ทั้งความผันผวนจากเศรษฐกิจโลก ทั้งในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ราคาพลังงาน และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา-จีน ตลอดจนความไม่แน่นอนทางการเมือง การปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้หลายบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีการปรับลดเป้าหมาย และมีการระมัดระวังในการลงทุนซื้อที่ดินมากขึ้น แต่ ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังคงมีความมั่นใจกำลังซื้อของลูกค้าของบริษัทฯ ในกลุ่มระดับบนว่ายังคงดีอยู่   ดังนั้นในปี 2562 บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าเป็นปีแห่งการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแผนการขยายการพัฒนาโครงการที่มากขึ้น โดยเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 5โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งยังคงเน้นการลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์บนทำเลศักยภาพตามกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ คือ กรุงเทพฯ โซนธุรกิจ (CBD) ตามแนวรถไฟฟ้า ได้แก่ ทองหล่อ, พร้อมพงษ์ และอโศก อีกทั้งทำเลในเมืองพัทยา โดยในปีนี้ตั้งเป้าหมายยอดขายที่ 3,000 ล้านบาท เติบโต 50% จากยอดขายใน 2561 อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท   “ในปีนี้บริษัทยังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ เห็นได้จากการลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จะเปิดตัวเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งในแง่จำนวนโครงการและมูลค่าการลงทุนที่สูงขึ้นกว่าปี 2561 ขณะเดียวกัน ในปีนี้ยังจะเน้นการกระจายความเสี่ยงด้วยการขยายฐานกลุ่มลูกค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น และแผนการขยายพอร์ตรายได้ประจำให้กับบริษัท” นายชนินทร์ กล่าว   การเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ แบ่งออกเป็น กรุงเทพฯ จำนวน 3 โครงการ ภายใต้ “แบรนด์วาลเด้น” ที่มีคอนเซ็ปต์เป็นคอนโดมิเนียมลักชัวรี่โลว์ไรส์บนทำเลซีบีดีทั้งหมด มูลค่ารวมประมาณ 3,500 ล้านบาท และพัทยาอีก 2 โครงการ ซึ่งจะเป็นโครงการในแบบ Lifestyle Investment โดยยังคงคอนเซ็ปต์ดึงแบรนด์โรงแรมชั้นนำของโลกเข้ามาบริหาร มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งโครงการแรกอยู่ในโซนพัทยาเหนือ คาดว่าจะเปิดตัวพร้อมขายได้อย่างเป็นทางการในไตรมาสแรกปี 2562 ส่วนอีกโครงการเป็นคอนโดมิเนียมโซนหาดนาจอมเทียน บนพื้นที่บีชฟร้อนท์ 8 ไร่ อยู่ระหว่างการออกแบบ และคาดว่าจะเปิดตัวได้กลางปี 2562 โดยสำหรับตลาดพัทยาจะมีการทำโครงการที่ใหญ่ขึ้น และมีจำนวนยูนิตเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับดีมานต์ที่มีอย่างต่อเนื่อง และในปีที่ผ่านมาฮาบิแทททำการปิดการขายโครงการในพัทยาได้ทั้งหมด   ทั้งนี้ มองว่าตลาดคอนโดมิเนียมระดับบนยังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นสินค้าที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และกลุ่มนักลงทุนทั้งที่เป็นคนไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะทำเลศักยภาพในการพัฒนาค่อนข้างจำกัดแต่เป็นที่ต้องการสูง ตรงกับกลยุทธ์ของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการบนทำเลศักยภาพอยู่แล้ว เช่นในกรุงเทพฯ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ทำให้สามารถทำราคาขายที่จับต้องได้และเป็นที่ต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รวมทั้งเมืองพัทยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการขยายตัวได้ดีจากทิศทางการท่องเที่ยว และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC     “จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ฮาบิแทท กรุ๊ป สามารถเดินหน้าตามแผนสร้างการเติบโต ด้วยการขยายการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว และมองทิศทางอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้เติบโตเป็นบวกได้ โดยแรงหนุนจากการโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ อย่างต่อเนื่อง  ประกอบกับการลงทุนภาคเอกชนด้านต่างๆ ยังคงเพิ่มขึ้นจากการส่งเสริมการลงทุนโดยเฉพาะในพื้นที่ EEC  อย่างไรก็ดี สินค้าของบริษัทต้องสามารถแข่งขันได้ด้วย คือต้องมีความโดดเด่นด้านดีไซน์ เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด” นายชนินทร์ กล่าว   นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า ด้านการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจนั้น ฮาบิแทท กรุ๊ป มุ่งกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าเป้าหมายให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยมองหาโอกาสในตลาดใหม่ ๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากกลุ่มลูกค้าคนไทย จีนและฮ่องกง ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่บริษัทฯ มีความใกล้ชิดอยู่แล้ว  จะรุกขยายไปเปิดตลาดใหม่ๆ เช่น กลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง และในเอเชียอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ และอินเดีย โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายมาจากกลุ่มผู้ซื้อต่างชาติ 600 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของยอดขายรวม และคาดว่ายอดขายจากกลุ่มนี้จะเติบโตเพิ่มเป็น 40% ของยอดขายรวม   นอกจากนี้ ในปี 2562 บริษัทยังมีเป้าหมายขยายพอร์ตรายได้ประจำ (recurring income) ของบริษัทให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 10%  และตั้งเป้าภายใน 3 ปี สัดส่วนรายได้ประจำเพิ่มเป็น 30 % เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านรายได้และสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ โดยปัจจุบันมีโรงแรมเปิดบริการแล้ว 2 แห่ง ที่พัทยา คือ The Ville Jomtien (เดอะ วิลล์ จอมเทียน) และ X2 Vibe Pattaya Sephere (ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์) โดยมี ฮาบิแทท ฮอสพิทอลลิตี้ (Habitat Hospitality) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเป็นผู้บริหารจัดการในด้านนี้ ซึ่งในปีนี้ จะเปิดตัวโรงแรมในพัทยาเพิ่มเติมขึ้นอีกจำนวน 2 แห่ง คือ X2 Pattaya Oceanphere (ครอสทู พัทยา โอเชียนเฟียร์) จะเปิดให้บริการในไตรมาส 2 และ Best Western Premier Bayphere Pattaya (เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา) ซึ่งจะเปิดให้บริการในไตรมาส 3 ของปีนี้   “สิ่งสำคัญการเติบโตอย่างมั่นคงแข็งแกร่ง ด้วยการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่ทุกอย่างต้องตัดสินใจบนฐานข้อมูลและทำในสิ่งที่เรามีความเชี่ยวชาญ และการเดินหน้าเปิดตัวโครงการที่มากขึ้นในปีนี้เป็นการตอกย้ำการเติบโตที่เป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งของฮาบิแทท กรุ๊ป” นายชนินทร์กล่าวทิ้งท้าย        
MQDC x THE FORESTIAS ช่วยชีวิตต้นไม้กว่า 500 ต้น สร้างกำแพงธรรมชาติดักฝุ่น PM 2.5

MQDC x THE FORESTIAS ช่วยชีวิตต้นไม้กว่า 500 ต้น สร้างกำแพงธรรมชาติดักฝุ่น PM 2.5

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ผู้ดำเนินกิจการพัฒนา ลงทุน และจัดการอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพ โครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ สรุปความสำเร็จแคมเปญ “Forest Rescue – ฟอเรส เรสคิว” ปฏิบัติการกู้ชีพต้นไม้รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติมากกว่า 10 ล้านคน โดยลงพื้นที่ช่วยต้นไม้ขนาดใหญ่ได้กว่า 500 ต้น พร้อมย้ายสู่บ้านหลังใหม่ภายในโครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ บนพื้นที่ที่จัดสรรให้ 3 ไร่ หรือ  4,800 ตารางเมตร ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในกำแพงธรรมชาติที่สามารถดักฝุ่น PM 2.5 มากถึง 700 กิโลกรัมต่อปี   นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า “ที่ผ่านมา โปรเจกต์แฟลกชิพ “THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” ซึ่งเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์โครงการแรกที่มุ่งมั่นนำเสนอโมเดลการใช้ชีวิตที่เข้ากับระบบนิเวศอันสมดุลเพื่อความสุขที่ยั่งยืน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” ความสุขในการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติระบบนิเวศขนาดใหญ่ นำเสนอแคมเปญ“Forest Rescue – ฟอเรส เรสคิว” ปฏิบัติการกู้ชีพต้นไม้รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติและต้นไม้ใหญ่ในเมือง ควบคู่กับการจัดตั้งทีมปฏิบัติการ หรือ Forest Rescue Team กระจายตัวลงพื้นที่เพื่อสำรวจ บำบัด และให้ความช่วยเหลือในการขนย้ายต้นไม้จากแหล่งพื้นที่เดิมที่ไม่เหมาะสมไปยังบ้านหลังใหม่ที่มีระบบนิเวศขนาดใหญ่ ภายในโครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ บนพื้นที่ที่จัดสรรในการรองรับประมาณ 3 ไร่ หรือ 4,800 ตารางเมตร”   ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้สร้างการรับรู้และตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติให้กับกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้มากกว่า 10 ล้านคน ปัจจุบัน ทีมงานได้วิเคราะห์และประเมินข้อมูลของต้นไม้ที่ถูกนำเสนอเรื่องราวความช่วยเหลือกว่า 500 ต้น สำหรับต้นไม้ที่ได้ให้การช่วยเหลือ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่มีอายุเฉลี่ย 5-10 ปีขึ้นไป อาทิ ต้นจามจุรี ต้นก้ามปู ต้นพญาสัตบรรณ ต้นหูกระจง ต้นมะขาม ต้นมะม่วง เป็นต้น ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ให้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อมนุษย์และสัตว์ มีคุณสมบัติในการดูดซับก๊าซที่เป็นพิษต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อม เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ เป็นต้น พร้อมทั้งสามารถสร้างก๊าซออกซิเจนกลับคืนได้ถึง100 – 125 ล้านลิตรต่อปี (ค่าเฉลี่ยต้นไม้ 1 ต้น สามารถผลิตก๊าซออกซิเจนได้ 200,000 – 250,000 ลิตรต่อปี) เท่ากับรองรับความต้องการก๊าซออกซิเจนของมนุษย์ได้ถึง 1,000 คนต่อปี หรือดักจับอนุภาคฝุ่นละออง ควัน และไอพิษต่างๆ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพได้ถึง 700 กิโลกรัมต่อปี (ค่าเฉลี่ยต้นไม้ 1 ต้น ดักจับอนุภาคฝุ่นได้ 1.4 กิโลกรัมต่อปี) สอดคล้องกับงานวิจัยโดยหน่วยงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า “บริเวณพื้นที่ต้นไม้ใหญ่ที่ทีมวิจัยออกสำรวจพบว่าอนุภาคฝุ่นละอองลดลงประมาณ 7 – 24% และบริเวณนั้นมีอุณหภูมิเฉลี่ยลดลง เป็นผลมาจากการคายน้ำของต้นไม้แสดงให้เห็นว่าต้นไม้สามารถช่วยแก้ปัญหาหมอกควันในเมืองได้จริง” นอกจากนี้ ในเมื่อปี ค.ศ. 2017 ยังมีรายงานที่เผยแพร่ลงในวารสาร Atmospheric Environment ชี้ว่า “ต้นไม้ใหญ่ช่วยดูดซับมลพิษแค่ในพื้นที่เปิดโล่ง แต่สำหรับในเมือง “พุ่มไม้” เหมาะที่สุดในการดักจับฝุ่นควันที่ส่วนใหญ่แล้วมาจากท่อไอเสียรถยนต์ เนื่องจากบางครั้งต้นไม้ใหญ่ก็สูงเกินไปที่จะจัดการกับมลพิษบนท้องถนน”   ทั้งนี้ ต้นไม้ทุกต้นจะได้รับการดูแลจนกลับมาเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรง พร้อมเป็นต้นไม้พี่เลี้ยงให้กับต้นกล้าที่โครงการปลูกด้วยเมล็ด รวมทั้งสิ้นมากกว่า 30,000ต้น ภายใต้ทฤษฎีการปลูกป่าเชิงนิเวศแบบยั่งยืน หรือ Eco-Forest ทำให้เกิดระบบนิเวศที่หลากหลายครอบคลุมพื้นที่ของผืนป่าสาธารณะ “Forest at THE FORESTIAS – ฟอเรส แอท เดอะ ฟอเรสเทียส์” จำนวนทั้งสิ้น 30 ไร่ หรือ 48,000 ตารางเมตร โดยเมื่อโครงการเสร็จสิ้นแล้วจะเปิดบางส่วนเป็นพื้นที่สาธารณะเพื่อให้ประชาชนเข้าชม พักผ่อน หรือศึกษาระบบนิเวศธรรมชาติโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณก๊าซอ๊อกซิเจนในอากาศได้สูงถึง6,000 – 7,500 ล้านลิตรต่อปี ดักจับฝุ่นได้มากถึง 420,000 กิโลกรัมต่อปี และทำให้อุณหภูมิในบริเวณพื้นที่มีอุณหภูมิลดลงประมาณ 2-4 องศาเซลเซียส      
SAM ประเดิมจัดประมูลทรัพย์สิน NPA นัดแรกของปี

SAM ประเดิมจัดประมูลทรัพย์สิน NPA นัดแรกของปี

SAM ประเดิมจัดประมูลทรัพย์สิน NPA นัดแรกของปี ฤกษ์ดี 8 ก.พ. 62 ดึงลูกค้าซื้ออสังหาฯ มือสอง เพื่อการลงทุนและอยู่อาศัย   SAM  เปิดโอกาสลูกค้าและผู้สนใจอสังหาริมทรัพย์มือสอง คัดทรัพย์สินรอการขาย (NPA)  ทำเลเด่นทั้งในเขตกรุงเทพ ปริมณฑลและต่างจังหวัด มูลค่ารวมกว่า 1.1 พันล้านบาท จัดประมูลรอบแรกของปี 62 นัดลูกค้าเข้ายื่นซองประมูล  8 กุมภาพันธ์ ศกนี้   นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM  เปิดเผยว่า SAM คัดทรัพย์สินNPA ทำเลโดดเด่นทั้งในเขตกรุงเทพ ปริมณฑลและต่างจังหวัดหลายร้อยรายการ มูลค่ารวมกว่า 1,100 ล้านบาทออกประมูลครั้งแรกของปี  พร้อมนัดลูกค้ายื่นซอง ในวันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ตั้งแต่เวลา 9.00-12.00 น. ณ ห้องกรุงเทพ 1-4 ชั้น M โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ  โดยมีตัวอย่างทรัพย์ที่น่าสนใจสำหรับลูกค้าที่กำลังมองหาช่องทางการลงทุนต่อยอดสร้างธุรกิจ อาทิ ที่ดิน 8 ไร่ครึ่ง พร้อมอาคารพักอาศัย 252 ห้อง ทำเลทองของธุรกิจโรงแรม  โรงพยาบาล ในพื้นที่ EEC ใกล้นิคมมาบตาพุต จ.ระยอง เพียง 10 นาที ราคาขายขั้นต่ำ 128.39 ล้านบาท ที่ดินเปล่า เนื้อที่เกือบ 100 ไร่ ริม ถ.ประชาร่วมใจ เขตมีนบุรี ติดถนน 4 เลน การคมนาคมสะดวก ทำเลทองของการพัฒนาโครงการในอนาคต เพียง 15 นาที จากรถไฟฟ้าสายสีส้มและสีชมพู สถานีมีนบุรี ราคาขายขั้นต่ำ 169.19 ล้านบาท อาคารพาณิชย์ขนาด 23 ตร.ว. ติด ถ.เจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กทม. ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีวัดมังกร  ราคาขายขั้นต่ำ 35.49 ล้านบาท ที่ดินเปล่า เนื้อที่ 23 ไร่เศษ ติดถ.ไมตรีจิต เขตมีนบุรี กทม. ราคาขายขั้นต่ำ 36.29 ล้านบาท ที่ดินเปล่า เนื้อที่ 129 ไร่เศษ ติดถ.สายโพนทอง-เสลภูมิ อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ราคาขายขั้นต่ำ 52.59 ล้านบาท   ส่วนทรัพย์เด่นสำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ  อาทิ  บ้านเดี่ยวโครงการลดาวัลย์ เนื้อที่ 117 ตร.ว. ถ.บรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน ราคาขายขั้นต่ำ 6.59 ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์หลังหัวมุม ในโครงการ เดอะคอนเนค 20 เนื้อที่ 71 ตร.ว. เขตสายไหม ราคาขายขั้นต่ำ 4.09 ล้านบาท ห้องชุดพักอาศัย โครงการ ลา วี ออง โรสเพลส เนื้อที่ 182 ตร.ม. ทำเลใจกลางเมือง ซ.สุขุมวิท 31 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสถานีทองหล่อ ราคาขายขั้นต่ำ 18.79 ล้านบาท  ผู้สนใจเข้าร่วมประมูล ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า เริ่มวันนี้-7 กุมภาพันธ์ 2562 ที่สำนักงานใหญ่ของ SAM อาคาร ซัน ทาวเวอร์ส บี ชั้น 24 ถ.วิภาวดีรังสิต ใกล้ 5 แยกลาดพร้าว หรือที่สำนักงานสาขาทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น พิษณุโลก และสุราษฎร์ธานี ผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02-686-1888 หรือดูรายละเอียดทรัพย์สินได้ที่เว็บไซต์  www.sam.or.th และแอปพลิเคชันSAM NPA ทั้งระบบ Android และ IOS  รวมทั้งอีกหลากหลายช่องทางบนออนไลน์ เพื่อติดตามข้อมูลข่าวสารดีๆ จาก SAM  ทั้ง Line  โดยแอด ID Line @Samline  สานฝันต่อยอดสินทรัพย์กับ SAM บน Facebook  และ SAM Property บน YouTube”      
EMC ได้เฮ! คว้าประมูล “โครงการบ้านไทยประชารัฐ”

EMC ได้เฮ! คว้าประมูล “โครงการบ้านไทยประชารัฐ”

EMC เฮสนั่น! ประกาศชนะประมูล “โครงการบ้านไทยประชารัฐ” จ.เชียงใหม่ โครงการที่อยู่อาศัยตามนโยบายรัฐบาล มูลค่า 822 ล้านบาท “รัฐชัย ภิชยภูมิ” บอสใหญ่ เป็นปลื้ม ลั่นดันผลงานโตก้าวกระโดดในปี 62 ขณะที่งวดปี 61 มีแนวโน้มตัวเลขสวย รับอานิสงส์ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์สดใส ระบุตัวเลขกำไรสุทธิจะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นและหนุนให้บริษัทฯ ได้รับการปลดเครื่องหมาย C เร็วๆ นี้   นายรัฐชัย ภิชยภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) หรือ EMC เปิดเผยว่า กิจการร่วมค้าที่จัดตั้งขึ้นโดย EMC ถือหุ้น 51% และ บริษัท เชียงใหม่รายวัน จำกัด ถือหุ้น 49% เป็นผู้ชนะประมูลงาน “โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ” มูลค่า 822 ล้านบาท โดยโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ เป็นโครงการที่อยู่อาศัยตามนโยบายของรัฐบาล ในที่ดินราชพัสดุ ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ประมาณ 15 ไร่  ซึ่งกิจการร่วมค้าดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างตามแผนงานที่วางไว้ และสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของ EMC เติบโตแบบก้าวกระโดดได้ในปี 2562   “กิจการร่วมค้าที่เราร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจจัดตั้งขึ้น สามารถชนะประมูลโครงการบ้านคนไทยประชารัฐในครั้งนี้ เมื่อรวมกับผลการดำเนินงานของ EMC โดยปกติแล้ว จะผลักดันให้ผลการดำเนินงานโดยรวมเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดในปี 2562 ขณะที่ปี 2561 มีแนวโน้มว่าจะประกาศตัวเลขที่มีกำไร จากปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ” นายรัฐชัย กล่าว   นายรัฐชัย กล่าวต่อว่า สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2561 ที่จะสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2561 นั้น มีลุ้นที่จะพลิกเป็นกำไรสุทธิ จากปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงาน 673.76 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของ EMC เริ่มมีกำไรสุทธิตั้งแต่ไตรมาส 2/2561 ต่อเนื่องมายังไตรมาส 3/2561 และมีแนวโน้มว่าจะดีต่อเนื่องถึงไตรมาส 4/2561 เช่นเดียวกัน ซึ่งผลการดำเนินงานโดยรวมในงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 ปรากฏว่า EMC มีกำไรสุทธิ 71.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110.77% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 664.27 ล้านบาท   อย่างไรก็ตาม EMC ยังเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ๆ ให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในส่วนของการพัฒนาโครงการของ EMC ปัจจุบัน เช่น งานโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน ของกรุงเทพมหานคร มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมย่านทองหล่อ มูลค่าโครงการกว่า 900 ล้านบาท รวมทั้งการเพิ่มช่องทางการประมูลงานก่อสร้าง ทั้งงานภาครัฐและภาคเอกชน, การจัดหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อก่อสร้างโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์, มุ่งเน้นบริหารจัดการและบริหารพื้นที่เช่าและที่พักอาศัย โครงการมหาชัยและโครงการสเตชั่นวัน รวมทั้งการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในทุกๆ ด้าน จนสามารถสร้างผลกำไรได้ดีขึ้น ทำให้มั่นใจว่าจะทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มที่จะได้รับการถอนเครื่องหมาย C เร็วๆ นี้          
ออริจิ้น ฉลองครบรอบ 10 ปี เปิดตัว “The Origin” คอนโดแบรนด์ใหม่ ดึง “ซันนี่” เป็น Brand Ambassador

ออริจิ้น ฉลองครบรอบ 10 ปี เปิดตัว “The Origin” คอนโดแบรนด์ใหม่ ดึง “ซันนี่” เป็น Brand Ambassador

ออริจิ้น ฉลองครบรอบ 10 ปี เปิดตัว “The Origin” คอนโดแบรนด์ใหม่เจาะ New Gen ชู Empathy ตอบโจทย์ลูกค้า พร้อมดึง “ซันนี่” เป็น Brand Ambassador   ออริจิ้น ปรับเซ็กเมนต์ธุรกิจสอดรับตลาดอสังหาฯปี 62 พร้อมเปิดตัวแบรนด์ “The Origin” ลุยตลาดคอนโด เพิ่มโอกาสเจาะกลุ่มวัยรุ่น-สะท้อนความเป็นตัวตน ชูแนวทาง “Empathy” ทุกกลุ่มธุรกิจ หนุน Smart Products และ Excellent Services สร้างมาตรฐานเหนือระดับดึงดูดใจลูกค้า ดึง “ซันนี่” นั่งแท่น Brand Ambassador คนใหม่ กระตุ้นการจดจำพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน ปี 62 จ่อเปิดโครงการอสังหาฯเพื่อขายกว่า 26,000 ล้านบาท เตรียมเปิดให้บริการโรงแรม 2 แห่งปลายปีนี้ มั่นใจโกยยอดขายทั้งปีกว่า 28,000 ล้านบาท และรายได้อีกกว่า 19,000 ล้านบาท   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการปรับแผนธุรกิจให้สอดรับกับแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในปี 2562 ทำให้โครงการเปิดใหม่ในปีนี้จะประกอบด้วย 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1.พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) แบรนด์คอนโดมิเนียม เจาะกลุ่ม Young Rich & Success อายุ 30-45 ปี ที่ชื่นชอบ lifestyle และ lifestage ในทำเล CBD และ New CBD ราคาขายประมาณ 4-6 ล้านบาทต่อยูนิต 2.ดิ ออริจิ้น (The Origin) แบรนด์คอนโดมิเนียม เจาะกลุ่มลูกค้าNew Gen วัยเริ่มต้นทำงาน (First Jobber and First Home Buyer) อายุประมาณ 24-28 ปีที่มีแนวคิด Smart Finance เปลี่ยนค่าเช่าเป็นทรัพย์สิน ซื้อคอนโดตามแนวรถไฟฟ้า ในย่านส่วนต่อขยายธุรกิจ (EBD) ราคาขายประมาณ 1.6-2.4 ล้านบาท และ 3.บริทาเนีย (Britania) แบรนด์โครงการแนวราบทั้งทาวน์โฮม บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว ที่มี Smart Design เจาะกลุ่มวัยเริ่มต้นครอบครัว อายุ 28-45 ปี ในระดับราคา 2.5-6 ล้านบาท   “จากความโดดเด่นในการวิจัยการตลาด และความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาสินค้าและบริการ บริษัทมั่นใจว่า Brand Segmentation ที่มีความชัดเจน และ Price Point ที่แม่นยำในลูกค้าเป้าหมายแต่ละกลุ่ม จะทำให้บริษัทสามารถตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะมีการปรับตัวครั้งใหญ่จาก Macro Prudential Policy ของธนาคารแห่งประเทศไทย” นายพีระพงศ์ กล่าว   ทั้งนี้ จุดแข็งสำคัญที่ทำให้บริษัทมัดใจผู้บริโภคได้คือเรื่องความเข้าใจลูกค้า (Empathy) ทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทต่างตระหนักถึงความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มเป็นอย่างดี ส่งผลให้บริษัทจะต่อยอดเรื่อง Empathy ผ่าน 2 เรื่องได้แก่ 1.Smart Products พัฒนาสินค้าทุกประเภทให้มีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น ประกอบกับนำ Smart Technology เข้ามาช่วยเติมเต็ม 2.Excellenct Services มอบบริการเหนือระดับที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้ายุคใหม่ พร้อมปลูกฝังจิตสำนึกพนักงานทุกคนในด้านการบริการแบบนึกถึงใจเขาใจเรา     นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ปีนี้บริษัทยังสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง กับการเปิดตัว Brand Ambassador คนใหม่ คือซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ซุปตาร์แถวหน้าของเมืองไทยที่มี Character ความเป็น Romantic Comedy มาช่วยสะท้อนถึงบุคลิกแบรนด์ต่างๆ ในเครือออริจิ้น ขณะเดียวกัน จะตอกย้ำภาพเรื่อง Empathy ให้ผู้บริโภคได้เห็นทั้งเรื่อง Smart Products และ Excellent Services ชัดเจนมากขึ้น โดยจะมีโฆษณาตัวแรกขึ้นในวันที่ 1ก.พ.นี้   สำหรับผลประกอบการในปี 2561 ถือว่าเป็นไปได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถสร้างยอดขายรวมได้มากกว่า 27,500 ล้านบาท ส่วนปี 2562 นั้น บริษัทตั้งเป้าจะเปิดโครงการอสังหาฯเพื่อขาย มูลค่าโครงการรวมกว่า 26,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น 3 โครงการในทำเลราชเทวี พระราม 4 และอีก 1 โครงการในย่าน New CBD มูลค่ารวมประมาณ 9,000 ล้านบาท 2.แบรนด์ดิ ออริจิ้น 7 โครงการในย่านยอดนิยมสำหรับ New Gen ได้แก่ สุขุมวิท รัชดา ลาดพร้าว รามคำแหง และรามอินทรา มูลค่ารวมประมาณ 9,000 ล้านบาท 3.โครงการมิกซ์ยูสใหม่ Origin District Rayong มูลค่า 2,000 ล้านบาท และ4.แบรนด์บริทาเนีย 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 6,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายจากทั้งโครงการเก่าและใหม่รวมกันไว้ที่ 28,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน จะเปิดตัวโรงแรมใหม่ทั้งสิ้น 2 โครงการ ทำให้ปีนี้ทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทจะมีการเติบโตและรายได้ที่หลากหลายมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 19,000 ล้านบาท   ด้านนางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด บริษัทที่ดูแลธุรกิจโครงการแนวราบในเครือออริจิ้น กล่าวว่า จากเดิมที่เป็นกลุ่มธุรกิจย่อยของเครือในปีที่ผ่านมา มาปีนี้บริษัทพร้อมขับเคลื่อนนำโครงการแนวราบแบรนด์บริทาเนียขึ้นมาเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจหลักของออริจิ้น โดยโฆษณาชิ้นแรกที่มี Brand Ambassador มาแสดงนั้นจะช่วยสะท้อนภาพลักษณ์ที่แตกต่างของแบรนด์บริทาเนียให้อยู่ในการรับรู้ของผู้บริโภค รวมถึงเป็นการเปิดตัวแบรนด์บริทาเนียสู่ตลาดแนวราบ และส่งเสริมให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดต่อไป   “Empathy ในธุรกิจโครงการแนวราบของออริจิ้นนั้น ได้ส่งมอบทั้ง Smart Products และ Excellent Services ในทำเลที่ติดเส้นทางคมนาคมหลัก เดินทางเข้าเมืองได้สะดวกและอยู่ใกล้แหล่งงานที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะกรุงเทพฯโซนตะวันออก บางนา และ EEC จากความประทับใจของลูกค้า พิสูจน์ความสำเร็จได้จากยอดขาย Pre-event ในช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมา กับ 3 โครงการใหม่ คือ บริทาเนีย เมกะทาวน์ บางนา, บริทาเนีย บางนา กม. 12, และ บริทาเนีย วงแหวน-หทัยราษฎร์ ซึ่งเรามียอดขายมากถึง 1,000 ล้านบาทภายในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในการขายบ้านจัดสรรแบบPresale” นางศุภลักษณ์ กล่าว   ด้านนางกมลวรรณ วิปุลากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด บริษัทที่ดูแลธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนในเครือออริจิ้น กล่าวว่า ปี 2562 เป็นปีที่เห็นความสำเร็จของแผนการขยายงานอย่างชัดเจน โดยการก่อสร้างโรงแรมทั้ง 5 แห่งที่ประกาศเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ถือว่าเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโรงแรม Staybridge Suites Bangkok Thonglor และโรงแรม Holiday Inn & Suites Sriracha ที่ก่อสร้างได้เร็วกว่าแผน และคาดว่าน่าจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ และทยอยสร้างรายได้กลับเข้าสู่บริษัท อีกทั้งปี 2562 นี้ บริษัทมีแผนจะเปิดตัว 2 โครงการใหม่ ทั้งโรงแรมในกรุงเทพฯ และมิกซ์ยูสครบวงจรแห่งใหม่ในจังหวัดระยอง ที่จะมีการเติบโตสูงจากการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและ Smart Park ในมาบตาพุด ที่จะเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของ EEC   “ความต้องการเข้าพักของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายที่สำคัญของโลกทั้งในแง่การท่องเที่ยวและการทำธุรกิจ จากความเข้าใจธุรกิจ ความเข้าใจความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย และความร่วมมือกับเชนผู้บริหารระดับโลก ทำให้เราสามารถรังสรรค์ Smart Products และมั่นใจในการส่งมอบ Excellent Services ให้แก่ลูกค้าของเรา” นางกมลวรรณ กล่าว   นายธนา ต่อสหะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด บริษัทที่ดูแลธุรกิจบริการในเครือออริจิ้น กล่าวว่า พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จะถือเป็นกลุ่มธุรกิจสำคัญของออริจิ้นที่นำเรื่อง Excellent Services และ Smart Brokerage มาส่งมอบให้แก่ลูกค้าทุกกลุ่ม เช่น ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย ด้วยวิสัยทัศน์ของเครือไม่ได้เพียงต้องการขายสินค้าแล้วจากไป แต่ต้องการส่งมอบการอยู่อาศัยและประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า   “Insight ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน คือเติบโตมาจากครอบครัวที่ได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี มีคนคอยทำทุกอย่างให้ เมื่อมาอยู่คอนโดหรือบ้านจัดสรรยุคใหม่ จึงต้องการบริการต่างๆ ในทุกช่วงเวลาของการใช้ชีวิต บริการ Fully Services ครบวงจรในการใช้ชีวิตของพรีโม จึงเป็น Excellent Services ที่เติมเต็มความสุขของการอยู่อาศัย” นายธนา กล่าว   ทั้งนี้ พรีโม มีบริการ After Sales Service ครบวงจร ผ่านบริษัทย่อย 6 บริษัท ส่งมอบ Excellent Services ที่ได้รับการการันตีโดยมาตรฐาน ISO 9001 ทั้งด้าน Property Management และด้าน Home Service เป็นรายแรกของไทย ให้แก่ผู้อยู่อาศัยตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นลูกบ้านออริจิ้น พรีโมยังมี Service Application ผ่านแอปพลิเคชั่น BUTLER รวบรวมทุกงานบริการเอาไว้อย่างครบวงจร และในปี 2562 พรีโมไม่ได้มีเป้าหมายเพียงส่งมอบบริการสุดพิเศษนี้ให้เฉพาะลูกบ้านออริจิ้น แต่ยังเปิดกว้างการขยาย Excellent Services เข้าไปช่วยดูแลลูกค้าในโครงการที่อยู่อาศัยทุกแบรนด์ทุกประเภท เพื่อเป็น Living Partner ส่งมอบความสุขให้แก่ทุกคน   สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 51 โครงการ เช่น แบรนด์ PARK ORIGIN, KnightsBridge, Notting Hill, Kensington และ Britania รวมมูลค่าโครงการกว่า 84,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร        
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยทุบสถิติโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในกรุงเทพฯ  สูงสุดในรอบ 10 ปี

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยทุบสถิติโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในกรุงเทพฯ สูงสุดในรอบ 10 ปี

นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมกรุงเทพมหานครในปี 2561 ทุบสถิติการเปิดตัวโครงการใหม่สูงสุดในรอบ 10 ปี โดยมีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดรวมทั้งสิ้นประมาณ 65,000 หน่วย ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 11% ส่งผลให้อุปทานสะสมของคอนโดมิเนียมเฉพาะในกรุงเทพมหานครตั้งแต่ปี 2552 – 2561 อยู่ที่ประมาณ 500,000 หน่วย ทั้งนี้จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยอสังหาริมทรัพย์ ไนท์แฟรงค์ฯ พบว่าไตรมาส 3/2561 มีการเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดคือ 25,000 หน่วย ในขณะที่ไตรมาสสุดท้ายของปีมีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดประมาณ 17,000 หน่วย โดยเปิดตัวหนาแน่นในเขตชานเมืองโดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวและสายสีน้ำเงิน ซึ่งอุปทานใหม่ในพื้นที่ดังกล่าวคิดเป็น 57% ของหน่วยเปิดใหม่ทั้งหมดในไตรมาส 4/2561 เมื่อมองภาพรวมทั้งปี พบว่าเขตชานเมืองโดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายแทบทุกสายยังคงเป็นพื้นที่ที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สัดส่วนของอุปทานใหม่ใน CBD และพื้นที่รอบ CBD อยู่ที่ 18% และ 33% ตามลำดับ ส่วนทำเลเด่นที่ผู้ประกอบการสนใจเป็นพิเศษในปี 2561 ได้แก่ ถ.สุขุมวิทตั้งแต่ช่วงอโศก–เอกมัย ถ.พหลโยธินตามแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย (หมอชิต-คูคต) พระราม 9–รัชดาภิเษก ลาดพร้าว–รามคำแหง และจรัญสนิทวงศ์–เพชรเกษม   อุปทานของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปี 2553 - 2561   อุปทานของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ แบ่งตามโซน ปี 2561   ด้านยอดขาย พบว่ายอดขายเฉลี่ยของโครงการเปิดใหม่ในกรุงเทพมหานครตลอดปี 2561อยู่ที่ประมาณ 55% โดยคอนโดขายดีส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ CBD และโซนรอบ CBD มียอดขายประมาณ 51% และ 64% ตามลำดับ ในขณะที่คอนโดเปิดใหม่ย่านชานเมืองมียอดขายประมาณ 50% ซึ่งถือว่าไปได้ดีเมื่อเทียบกับอุปทานใหม่จำนวนมากที่เข้าสู่ตลาดในพื้นที่นี้ ส่วนทำเลที่ได้รับความนิยมสูงจากผู้ซื้อได้แก่ สุขุมวิทตอนกลาง (อโศก–อ่อนนุช) สุขุมวิทตอนปลาย (อุดมสุข–แบริ่ง) พระราม 9-รัชดาภิเษก พหลโยธิน (จตุจักร–พหลโยธิน 52) และธนบุรี ขณะที่ภาพรวมด้านราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรของยูนิตเปิดใหม่ปี 2561 อยู่ที่ 150,641 บาท ปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้า 6% โดยราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรของคอนโดใหม่ในเขต CBD และพื้นที่รอบ CBD อยู่ที่ 250,000 บาท และ 120,000 บาท ลดลง 8% และ 7% ตามลำดับเมื่อเทียบกับปี 2560 อย่างไรก็ตาม ราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรของยูนิตเปิดใหม่ย่านชานเมืองมีแนวโน้มขยับขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2561 อยู่ที่ 85,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 3%, 13% และ 20% จากปี 2560, 2559 และ 2558 ตามลำดับ   อุปทานสะสม อุปสงค์สะสม และอัตราการขายสะสม คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปี 2553 - 2561     ราคาเสนอขายของคอนโดมิเนียมใหม่ในกรุงเทพฯ ปี 2553 – 2561   สำหรับแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 คาดว่าจะชะลอตัวจากสถานการณ์ตลาดโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นนโยบายกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย การปรับตัวขึ้นของดอกเบี้ยนโยบายภายในประเทศ และภาวะเศรษฐกิจโลกซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อจากต่างประเทศ ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยอสังหาริมทรัพย์ ไนท์แฟรงค์ฯคาดว่าไตรมาสแรกของปีนี้ ราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากปีที่แล้ว ด้วยแรงหนุนจากการเปิดตัวของโครงการในหลายทำเลทั้งใน CBD และพื้นที่รอบ CBD นอกจากนี้ใน Q1/2562 อัตราการโอนกรรมสิทธิ์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากผู้ซื้อต้องการโอนให้เสร็จก่อนนโยบายกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะถูกบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2562 นี้