Tag : News

2376 ผลลัพธ์
อนันดาฯ ยึดเบอร์ 1 คอนโดติดรถไฟฟ้า ลุยเปิด 38,000ล้าน

อนันดาฯ ยึดเบอร์ 1 คอนโดติดรถไฟฟ้า ลุยเปิด 38,000ล้าน

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าย้ำมั่นใจความสำเร็จที่ผ่านมาจากกลยุทธ์ที่ดำเนินมาถูกต้องของบริษัทมุ่งตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองได้อย่างลงตัวที่สุด ด้วยประสบการณ์พร้อมความเชี่ยวชาญตลอด 20 ปีที่ผ่านมาภายใต้แนวคิด Urban Living Solutions เน้นศักยภาพการเติบโตของบริษัทในอนาคตแบบมั่นคงและยั่งยืนพร้อมความแข็งแกร่งทางการเงินและการสนับสนุนอย่างดีจากพันธมิตรชั้นนำมิตซุย ฟูโดซัง ประกาศแผนธุรกิจปี 2562 เติบโตต่อเนื่องพร้อมความระมัดระวัง เดินหน้าเปิด 10 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 38,000 ล้านบาท เน้นทำเลติดรถไฟฟ้าที่ยังมีศักยภาพขยายตัวได้อีกมาก   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทอนันดาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายครองตำแหน่งผู้นำในการพัฒนาที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้าจากวิสัยทัศน์ที่คิดและทำเป็นรายแรกของเมืองไทยพร้อมเป็นองค์กรที่พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง รวมทั้งมีการเตรียมความพร้อมและความยืดหยุ่นในการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสมเพื่อสามารถขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จแบบแข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป ซึ่งจากความสำเร็จที่ผ่านมานั้น บริษัทมั่นใจว่ากลยุทธ์ที่ได้ดำเนินมาโดยตลอดเป็นสิ่งที่ถูกต้องโดยการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพบนทำเลศักยภาพสูงติดรถไฟฟ้า สามารถตอบสนองความต้องการของคนเมืองยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างฯ มาปรับใช้ในโครงการเพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้นในราคาที่สมเหตุผลและสามารถจับต้องได้ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังโดยการวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบตลอดเวลาพร้อมกระแสเงินสดในมือกว่า 13,000 ล้านบาทซึ่งสามารถนำไปลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องต่อไปในอนาคต   ซึ่งในปี 2562 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์พัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าโดยเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น  ซึ่งยังคงได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างบริษัท มิตซุย  ฟูโดซัง  จำกัดเป็นอย่างดีตั้งแต่เริ่มร่วมทุนในปี 2013–จนถึงปัจจุบันทำให้บริษัทเป็นอันดับหนึ่งที่มีมูลค่าการร่วมทุนสูงที่สุดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยนอกจากนี้ ยังมีแผนในการกระจายช่องทางรายได้โดยการเพิ่มพอร์ตจากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Recurring Income) โดยอนันดาฯมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจและเป็นการลงทุนที่มีรายได้ต่อเนื่องในระยะยาวจึงได้มีการเริ่มดำเนินโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ที่เป็นการจับมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่างดิ แอสคอทท์ ลิมิเต็ดซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ระดับลักชัวรี่ชั้นนำของโลกโดยมีรางวัลจำนวนมากการันตีโดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ 5 โครงการ ได้แก่ Somerset Rama 9, Ascott Embassy Sathorn, AscottThonglor, LYF Sukhumvit 8 และ โครงการล่าสุด อยู่ระหว่างดำเนินโครงการ ณ ชายหาดพัทยากลาง   “นอกจากนี้ในส่วนของกระแสเงินสดของบริษัทยังมีความแข็งแกร่งโดยมีนโยบายในการรักษาระดับเงินสดของกลุ่มรวมทั้งบริษัทร่วมทุนไว้ในระดับสูงกว่า 13,000 ล้านบาท ทั้งยังได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายสามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ และถึงแม้ว่าบริษัทจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังคงรักษาวินัยทางการเงินอย่างเข้มงวด โดยสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนไว้ภายใต้เป้าหมายที่ 1:1”   ในปี 2561 บริษัทฯมีโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้น 5 โครงการ มูลค่ารวม 23,000 ล้านบาท คือ ไอดีโอ สาทร-วงเวียนใหญ่ ไอดีโอรัชดา-สุทธิสาร เอลลิโอ สาทร-วุฒากาศ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสพอยท์ และโครงการคอนโดมิเนียมย่านสะพานควาย ทั้งยังร่วมพัฒนาโครงการร่วมกับมิตซุย ฟูโดซัง โดยการลงทุนในธุรกิจเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ 4 โครงการดังกล่าวมูลค่าการลงทุนทั้งหมด 10,000 ล้านบาท   บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้น ด้วยมูลค่าโครงการร่วมทุนเกินกว่า 157,600 ล้านบาท ในปี 2562 จากปี 61 ที่มีมูลค่า 128,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถรักษาตำแหน่งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าโครงการร่วมทุนสูงที่สุดในประเทศ   บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการทำสถิติยอดขายใหม่ (นิวไฮ) การขายไปยังต่างประเทศจากโครงการใหม่และโครงการที่เปิดขายไปก่อนหน้า โดยมียอดขายถึง 10,000 ล้านบาท ในปี 2561 ซึ่งเติบโตขึ้นร้อยละ 4 จากปีก่อน   ในปี 2561 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จสูงเกินคาดจากแผนการดำเนินงานที่ตั้งไว้ โดยนับว่าเป็นปีที่บริษัทสามารถสร้างสถิติใหม่ในส่วนของยอดโอนเป็นสถิติสูงสุดถึง 33,000 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 120 จากปีก่อนหน้าและมียอดโอนในส่วนของลูกค้าต่างชาติที่สามารถทำสถิติสูงสุดเช่นกันที่ 6,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 300 จากปีก่อนหน้าในส่วนของแบ็คล็อค ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 41,000 ล้านบาทเพื่อรองรับการเติบโตของยอดโอนของบริษัทในระยะ 3 ปีข้างหน้าโดยปกติอัตราการขายคอนโดมิเนียมของบริษัทมีมากกว่า 90% ของสต๊อกซึ่งมีการขายภายในระยะเวลา 3 ปีนับตั้งแต่การเปิดตัวโครงการ สอดคล้องกับในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้เกือบ 70% ของสต็อกประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม และโครงการแนวราบกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะขายเพื่อรองรับและรักษาอัตราการเติบโตของธุรกิจ     บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 2562 จำนวน 10 โครงการ มูลค่ากว่า 38,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 42 โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 8โครงการ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซัง 7 โครงการ และโครงการแนวราบ 2 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ14 อยู่ที่ 36,000 ล้านบาท จาก 31,500 ล้านบาท ในปีก่อน และตั้งเป้ายอดโอนเติบโตที่ร้อยละ 9 จากปีก่อนอยู่ที่ 36,000 ล้านบาท โดยในปี 2562 บริษัทฯ คาดว่ามีคอนโดมิเนียมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอน 10 โครงการเพิ่มเติมจากในปี 2561 ซึ่งมีคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอนกว่า 10 โครงการ   ในปีนี้บริษัทได้กำหนดทิศทางกลยุทธ์การตลาด โดยให้ความสำคัญกับ 3 สิ่งที่สำคัญ ได้แก่   1.กลยุทธ์การบริหารจัดการโครงสร้าง และมาตรฐานของแต่ละแบรนด์สินค้า เพื่อให้มีจุดยืนที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละเซ็กเม้นท์ได้อย่างเหมาะสม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ รูปแบบการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย ที่มีความแตกต่างในด้านความสนใจ รสนิยม และ กำลังซื้อ ครอบคลุมตั้งแต่โครงการระดับพรีเมี่ยมจนถึงโครงการที่ราคาคุ้มค่า จับต้องได้ และตอบโจทย์ทุกด้านในการใช้ชีวิต Ashton (Accessible Luxury Condominium) แบรนด์ Top-Tier ของอนันดา ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์สุนทรียะของการอยู่อาศัย ใส่ใจในทุกรายละเอียด บนทำเลที่ดีที่สุด (Prime area) ของกรุงเทพ IDEO Q ( Premium Condominium ) โดดเด่นกับดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยโลเคชั่นใจกลางเมือง สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มองหาที่อยู่อาศัยที่สะท้อนถึงความสำเร็จและความก้าวหน้าในชีวิต IDEO MOBI (Innovative Condominium) คอนโดที่เน้นการนำนวัตกรรมมาใช้ในการออกแบบ ให้มี Function การอยู่อาศัยที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น IDEO ( Mass Transit Condominium ) ที่อยู่อาศัยบนทำเลติดรถไฟฟ้า ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์พื้นที่ชีวิตที่ต้องการความสะดวก และสามารถใช้ชีวิตเต็มที่ในทุกด้าน Live-Work-Play ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Elio (Value Condominium) คอนโดที่คุ้มค่า ราคาจับต้องได้ มีพื้นที่ส่วนกลางที่โดดเด่น เหมาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ และกำลังมองหาที่อยู่อาศัยเพื่อเริ่มต้นการใช้ชีวิต เช่นเดียวกันกับ Housing Brand Portfolios ที่มีการวางรากฐานของแบรนด์เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าตั้งแต่ระดับพรีเมี่ยมจนถึงโครงการที่ราคาคุ้มค่า ภายใต้แบรนด์ Artale (บ้านเดี่ยวหรู ใจกลางเมือง) , Airi (บ้านเดี่ยวสมัยใหม่ สไตล์มินิมอล) , Arden (ทาวน์โฮมดีไซน์โดดเด่น ทำเลเมือง) และ Atoll (บ้านเดี่ยวสำหรับครอบครัวรุ่นใหม่)  เพื่อตอบโจทย์ความเป็น Urban Living Solutions ได้อย่างดีที่สุด   2.ขับเคลื่อนองค์กรและกลยุทธ์การตลาดด้วยแนวทางดิจิทัลเต็มรูปแบบ เชื่อมโยงสินค้าเข้าสู่ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด พร้อมมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับกลุ่มลูกค้าในช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะช่องทางดิจิทัลที่ในปัจจุบันสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างใกล้ชิด รวมทั้งยกระดับการทำการตลาดดิจิทัลไปสู่อีกขั้นภายใต้ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับชั้นนำ   3.กลยุทธ์การเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ จะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าระดับกลางจนถึงพรีเมี่ยมภายใต้แบรนด์ ไอดีโอ, ไอดีโอ คิว และ แอชตัน ซึ่งโครงการที่นำมาเปิดขายในปีนี้ ทางบริษัทฯ มั่นใจว่า จะได้รับการตอบรับที่ดีเหมือนอย่างเช่นเคย และยังมีโครงการที่มีมูลค่าโครงการสูงสุดเท่าที่อนันดาฯ เคยพัฒนามา   สำหรับโครงการที่เป็นไฮไลท์ในปีนี้ ได้แก่ โครงการ ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย ตั้งอยู่ติดกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย (0 เมตร) บนที่ดินขนาดประมาณ 5 ไร่  มีจำนวนห้องพักอาศัยทั้งหมด 1,114 ห้อง มูลค่าโครงการประมาณ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 อาคาร อาคารเอ มีจำนวนห้อง 396 ห้อง อาคารบี มีจำนวนห้อง 287 ห้อง และอาคารซี มีจำนวนห้อง 431 ห้อง ทั้งยังมีร้านค้าปลีก 5 ร้าน จุดเด่นของโครงการ คือ ติดรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย โดยมีคอนเซ็ปต์ในการพัฒนามาจาก Urban -Human- Nature (เมือง-คน-ธรรมชาติ) Urban-คือการเชื่อมต่อ 0 เมตรจากรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีสะพานควาย Human– คือการเป็นโครงการที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายของผู้อยู่อาศัย โดยจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สิ่งอำนวยความสะดวกประจำโครงการ, รูปลักษณ์โครงการ หรือ สังคมของผู้พักอาศัย ที่มุ่งเน้นถึงสุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย Nature–คือการผสมผสานธรรมชาติเข้าไปในรูปลักษณ์การดีไซน์ของตัวตึก โดยโครงการจะเปิด Presales กลางปีนี้ และ โครงการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นต์ ณ ชายหาดพัทยากลางบนที่ดินขนาดประมาณ 4 ไร่ มีจำนวนห้องพัก 324 ห้อง มูลค่าโครงการเกือบ 2,000 ล้านบาท    
คอนโดมิเนียมสิทธิการเช่าระยะยาว ทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคใจกลางเมือง

คอนโดมิเนียมสิทธิการเช่าระยะยาว ทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคใจกลางเมือง

เน็กซัส เผยผลการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) ปัจจุบันมีจำนวนไม่ถึง 1% ของจำนวนคอนโดมิเนียมที่ในตลาดกรุงเทพฯ ซึ่งส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่บริเวณใจกลางเมือง บนทำเลที่มีศักยภาพสูง หรือบริเวณที่ไม่สามารถหาซื้อที่ดินแบบซื้อขาดได้  และที่ดินลักษณะนี้เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่จะเป็นของหน่วยงานรัฐ และสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ จะมีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เป็นที่ดินของเอกชน โดยทำเลหลักของคอนโดเหล่านี้ คือ ย่านราชดำริ หลังสวน พระราม 4   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (Mrs.Nalinrat Chareonsuphong, Managing Director of Nexus Property Marketing Company Limited) เผยว่า สำหรับ อุปทานของคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวใจกลางกรุงเทพฯ นั้น มีทั้งสิ้น 4,500 หน่วย จาก 22 โครงการ โดยพบว่ามากกว่า 67% ตั้งอยู่บริเวณหลังสวน และราชดำริ ถ้าจะวิเคราะห์ถึงอุปทานคอนโดมิเนียมใหม่ที่เปิดขายในช่วง 2-3  ปีที่ผ่านมานั้น จะพบว่าเป็นโครงการบนทำเลพิเศษที่มีศักยภาพสูงมาก และมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโครงการในเครือของสินธร เรสซิเดนซ์ โครงการ ไอแอมไชน่าทาวน์ บริเวณเยาวราช หรือแม้แต่ โฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเดนซ์ บริเวณริมแม่น้ำ   ด้านราคาคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวนั้น มีความแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ทำเลที่ตั้ง ปืที่ก่อสร้าง และคุณภาพโครงการ พบว่าหลายโครงการในกลุ่ม ซูเปอร์ ลักชัวรี่ มักใช้เครือโรงแรม 5 ดาวเข้ามาบริหาร หรือมีส่วนควบที่เป็นโรงแรมหรือเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์เกรดเอพ่วงอยู่ด้วย เพื่อเพิ่มมูลค่าและดึงดูดผู้ซื้อชาวต่างชาติให้สนใจเข้ามาซื้อโครงการมากขึ้น  โดยหลักการแล้วคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว จะมีระยะเวลาการเช่า 30 ปี ราคาซื้อขายสิทธิมือสองอาจจะลดลงเมื่อจำนวนปีที่เหลือถือครองลดลง แต่ในความเป็นจริง มีคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิเช่าระยะยาวในหลายโครงการ ราคาก็ไม่ได้ปรับตัวลดลงตามปีที่เหลืออยู่ แต่กลับเพิ่มขึ้น เนื่องจากคุณภาพของห้องชุดที่ดี มีการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องจากเจ้าของโครงการ ผู้ซื้อยังมีความต้องการคอนโดในทำเล นั้นๆ อยู่ และยิ่งไปกว่านั้น เราพบว่าราคาของคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว มักจะปรับตัวสูงขึ้น ถึงแม้อายุการเช่าน้อยลง และอาจจะทำราคาได้ดีกว่าคอนโดฟรีโฮลด์ที่ขายอยู่ในตลาดอีกด้วย ซึ่งส่งผลทำให้ผลตอบแทนต่อปีจากการลงทุนในคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว อยู่ในอัตรา 7-10% ซึ่งมากกว่าคอนโดฟรีโฮลด์ในทำเลเดียวกัน     นางนลินรัตน์ ยังกล่าวต่อว่า ความน่าสนใจของคอนโดมิเนียมแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวในอนาคตจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นที่ดินใจกลางเมืองที่มีราคาสูงขึ้นและหายากขึ้น  ทำให้เจ้าของที่ดินเอกชนสนใจที่จะปล่อยที่ดินให้เช่าระยะยาวมากกว่าขายที่ดินทั้งผืน ในขณะที่ภาครัฐเองก็มีที่ดินให้เช่าอย่างต่อเนื่อง ในด้านของราคา พบว่าโดยทั่วไปคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว จะมีราคาขายถูกกว่าคอนโดขายขาด(Freehold) อย่างน้อย 30-40% ทำให้ผู้ซื้อสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ทำเลที่ตั้งของคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนโดที่อยู่ในระดับ ซูเปอร์ ลักชัวรี่ เป็นทำเลที่มีความพรีเมี่ยมมาก เช่น หลังสวนหรือราชดำริ ยังคงได้รับการตอบรับอย่างต่อเนื่องจากผู้ซื้อ  และเมื่อวิเคราะห์ถึง แพลตฟอร์มการใช้ชีวิต ของคนกรุงเทพยุคมิลเลนเนียม ที่ต้องการความสะดวกสบาย เดินทางสะดวก และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบในอนาคตก็สามารถย้ายที่อยู่ไปอยู่บ้านเดี่ยวได้เมื่ออยู่ในวัยทำงานที่อายุมากขึ้น การซื้อคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวจึงเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจสำหรับคนกลุ่มนี้ และด้วยสภาพสังคมไทยในปัจจุบันที่เรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ กลุ่มนี้เป็นอีกกลุ่มสำคัญที่จะให้ความสนใจกับที่อยู่อาศัยในแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว เนื่องจากคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ยังทำงาน และมีอำนาจการจับจ่ายสูง เพราะเมื่อพิจารณาองค์ประกอบโดยรวมแล้ว การซื้อคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาวนั้นคุ้มค่ากว่า เพราะพื้นฐานความต้องการของคนกลุ่มนี้ต้องการความปลอดภัยในการใช้ชีวิต ต้องการอยู่ในทำเลที่สะดวกสบาย และความสามารถในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้โดยง่าย โดยเน็กซัสคาดว่าในอนาคต เราอาจจะเห็นคอนโดสำหรับผู้สูงอายุที่เป็นแบบให้เช่าระยะยาวนี้มากขึ้น   สำหรับในมุมมอง ตลาดลงทุน โดยปกติแล้วคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว จะมีเงื่อนไขการจ่ายเงินจอง และทำสัญญามากกว่าคอนโดแบบขายขาดโดยอยู่ที่ประมาณ 30% ธนาคารก็จะปล่อยกู้ในวงเงิน 70% ที่เหลือ ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวหากเปรียบเทียบกับนโยบายใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ในกรณีที่ซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 หรือหลังที่ 3  ส่งผลให้คอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว ไม่ได้เสียเปรียบคอนโดฟรีโฮลด์ในแง่เม็ดเงินลงทุนเบื้องต้นอีกต่อไป สำหรับ ผลตอบแทนจากการลงทุน  คอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว โดยทั่วไปจะให้ผลตอบแทนต่อปีสูงกว่า เนื่องจากราคาขายต่ำกว่าและส่วนใหญ่จะอยู่ในทำเลที่มีความต้องการเช่าสูง นอกจากนี้เงินที่ประหยัดได้จากการซื้อคอนโดที่ถูกกว่าสามารถนำไปลงทุนอย่างอื่นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ ขนาดห้องที่เหมาะสม และรูปแบบที่ตอบสนองความต้องการของตลาดในแต่ละทำเล  จะเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้คอนโดปล่อยเช่าได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สุดท้าย ตลาดต่างชาติ ก็น่าจะมีอนาคตดีสำหรับคอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว ด้วยปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความคุ้นเคยของต่างชาติ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ของการอยู่คอนโดประเภทนี้ ความง่ายในการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์คอนโดแบบให้สิทธิการเช่าระยะยาว รวมถึงเงื่อนไขในการซื้อต่างๆ เช่น ไม่จำเป็นต้องโอนเงินจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสำหรับชาวจีน ที่การโอนเงินออกมาซื้อคอนโดเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก เป็นต้น    
ทำไม “ออลล์ อินสไปร์” จึงเป็น “Employer of Choice” บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วย

ทำไม “ออลล์ อินสไปร์” จึงเป็น “Employer of Choice” บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วย

การก้าวข้ามจากการเป็นแค่ “สถานที่ทำงาน” มาสู่ “บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วย” ทำให้ ออลล์ อินสไปร์ฯ ก้าวขึ้นสู่ บริษัทผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูง ด้วยความตั้งใจที่จะส่งมอบสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า เพื่อตอบโจทย์รูปแบบการดำรงชีวิตทุกความต้องการของลูกค้าและเป็น “Class of Living ชีวิตที่มีระดับ คือชีวิตที่คุณเลือกเอง” ในแบบฉบับของคนรุ่นใหม่ได้อย่างครบถ้วน   การก้าวสู่ปีที่ 6 ในการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ ออลล์ อินสไปร์ฯ ก้าวกระโดดอย่างมั่นคงและเติบโต ด้วยเหตุผลทางธุรกิจที่โดดเด่นในข้อที่ว่า ออลล์ อินสไปร์ฯ มีเป้าหมายอย่างเด่นชัดในการเลือกที่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์บนพื้นที่ในรัศมีสถานีขนส่งมวลชนระบบรางและทำเลที่มีศักยภาพสูง รวมไปถึงการพัฒนาและออกแบบโครงการที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้อยู่อาศัยใช้ชีวิตได้จริง บทพิสูจน์อันแข็งแกร่งของกลยุทธ์นี้ดูได้จากการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ ดิ เอ็กเซล, ไรส์ และ อิมเพรสชั่น ที่เปิดขายเมื่อไรก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเสมอ “นอกจากกลยุทธ์หลักในการเดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องแล้ว กลยุทธ์ในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรบุคคลก็สำคัญเช่นกัน” นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ให้เหตุผลว่า “ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หนึ่งในการแข่งขันที่ยั่งยืนคือ การให้ความสำคัญกับบุคลากร การรักษาและพัฒนาความสามารถ พร้อมทั้งดึงศักยภาพในตัวของบุคลากรออกมาให้เหมาะสมกับคนกับงานที่เขาได้รับมอบหมาย พนักงานจะรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าในองค์กร  เรามีการจัดเทรนนิ่งเพื่อเพิ่มทักษะในด้านต่างๆ ของพนักงานอย่างสม่ำเสมอ”       การสร้างความภูมิใจและความผูกพันกับองค์กร จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างองค์กรกับพนักงานให้มีความภักดีต่อองค์กร ออลล์ อินสไปร์ฯ จะมีวัฒนธรรมองค์กรในรูปแบบของการทำงานที่ช่วยเหลือกัน ทำให้พนักงานมุ่งมั่นและทุ่มเทสติปัญญา อีกทั้งบรรยากาศในที่ทำงานที่เราตั้งใจให้ออฟฟิศแห่งนี้เป็นเสมือนบ้านที่ 2 ของพวกเขา ผู้บริหารของออลล์ อินสไปร์ฯ เชื่อว่า “สภาพแวดล้อมที่ดีจะส่งผลให้พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์และมีความสุข พร้อมที่จะถ่ายทอดสิ่งดีๆ ลงไปในผลงานที่ทำ ดังนั้นจะเห็นว่า ที่แห่งนี้มีพื้นที่ที่เป็น Co - Working Space ที่สามารถนั่งทำงานตรงไหนก็ได้ โดยได้จัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกและสันทนาการ อาทิ ไอศครีม โต๊ะพลู ห้องโทรศัพท์ ในห้องแบบส่วนตัวที่นี่ก็มี ห้องประชุมหลากหลายขนาดให้เลือกใช้ ซึ่งเราให้พนักงานมีส่วนร่วมตั้งชื่อห้องประชุมด้วย แม้แต่การมี Napping Room ให้หลับพักผ่อนสายตาในยามอ่อนล้า พนักงานทุกคนมีสิทธิ์ใช้อย่างเท่าเทียมกัน”  การให้รางวัล (Reward) ก็เป็นแรงจูงใจให้พนักงานทำงานให้กับองค์กรอย่างเต็มกำลังความสามารถ พนักงานเกิดแรงกระตุ้นทางบวกในการทำงาน อย่างทุกๆ ปีบริษัทจัดงานเลี้ยงประจำปี เพื่อเป็นการขอบคุณพนักงานสำหรับการทุ่มเททำงานเพื่อบริษัทมาตลอดปี โดยภายในงานนอกจากมีของรางวัลมากมาย แต่ปีนี้พิเศษกว่าทุกๆ ปี เพราะบริษัทจัดคอนเสิร์ตแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะพนักงานของออลล์ อินสไปร์ฯ ได้สนุกกับศิลปินที่ได้ชื่อว่าเป็นตำนานนักร้องตัวพ่อ อย่าง เจ เจตริน มาเอาใจพนักงานชาว ออลล์ อินสไปร์ฯ กันเลยทีเดียว       นอกจากนี้ การที่จะก้าวสู่ “บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วย” ยังต้องคำนึงถึง “ความสำเร็จหรือเป้าหมายที่องค์กรตั้งไว้” องค์กรและพนักงานมีส่วนร่วมในการตั้งวัตถุประสงค์ที่อยากทำให้สำเร็จหรือเป้าหมายที่อยากเดินทางไปให้ถึง และตัวชี้วัดที่จะบอกเราว่าเดินทางไปสู่เป้าหมายนั้นอย่างไร คือการตั้งเป้าหมายให้แต่ละคน โดยเป้าหมายของทุกๆ คนสอดคล้องกันทั้งองค์กร เพื่อผลักดันองค์กรให้บรรลุเป้าหมายในภาพรวมได้ นายธนากรกล่าวเสริมว่า การลงทุนตั้งแต่การสรรหา การเสนอโอกาสที่ดีในการทำงานและการรักษาบุคลากร การทำให้พนักงานอยู่กับองค์กรไปนานๆ โดยมีการวัดความพึงพอใจและรับฟังความคิดเห็นของพนักงานเพื่อนำมาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง”        นี่จึงเป็นอีกบทเรียนทางการตลาดของการดำเนินธุรกิจของ บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ไม่แปลกใจเลยว่า การวางโรดแมปตลอดระยะเวลา 3 ปีมานี้ สู่การเป็น “Employer of Choice” หรือองค์กรในฝันที่คนอยากทำงานด้วย การตั้งเป้าที่จะเป็นองค์กรที่นิสิตนักศึกษา หรือผู้กำลังหางานนึกถึงเป็นอันดับแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ ใกล้จะเป็นความจริงในอนาคตอันใกล้นี้
HQ เปิดตัวพื้นที่ทำงานสำหรับคนยุคใหม่แห่งแรกในไทย ณ อาคาร เอสพีอี ทาวเวอร์ พหลโยธิน

HQ เปิดตัวพื้นที่ทำงานสำหรับคนยุคใหม่แห่งแรกในไทย ณ อาคาร เอสพีอี ทาวเวอร์ พหลโยธิน

HQ เปิดตัวครั้งแรกเพื่อตอบโจทย์พื้นที่การทำงานที่ยืดหยุ่นได้และมีความสำคัญสำหรับเหล่าคนทำงาน ฟรีแลนซ์ และธุรกิจขนาดเล็กในประเทศไทย   HQ ผู้ให้บริการเช่าพื้นที่สำนักงานชั้นนำภายใต้เครือ IWG ผู้นำธุรกิจให้บริการเช่าพื้นที่สำนักงานระดับโลกและผู้ดำเนินการบริหารบริษัทพื้นที่ทำงานชั้นนำทั่วโลก ได้แก่ รีจัส และสเปซเซส เปิดตัวสาขาแรกในประเทศไทย ณ อาคาร เอสพีอี ทาวเวอร์ ถนนพหลโยธิน พื้นที่ทำงานแห่งใหม่นี้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสนามเป้าและห่างจากสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ พญาไท เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น   HQ มีเป้าหมายในการนำเสนอพื้นที่ทำงานสำหรับมืออาชีพและฟรีแลนซ์ในกรุงเทพฯ ด้วยสถานที่ที่เอื้ออำนวยต่อการทำงานและส่งมอบคุณค่าที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจ โดยสาขาแรกนี้ตั้งอยู่บนชั้น 10 ของอาคารเอสพีอี ทาวเวอร์ แบ่งเป็นพื้นที่สำนักงาน 910 ตารางเมตร ประกอบไปด้วยห้องทำงาน 60 ห้อง พื้นที่ทำงาน 188 ที่นั่ง และห้องประชุม 2 ห้อง มาพร้อมกับทางออกของการทำงานที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการการใช้พื้นที่ทำงานทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นโคเวิร์คกิ้ง เลานจ์ ออฟฟิศส่วนตัว และห้องประชุม   คุณโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ HQ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ความสำเร็จของสเปซเซสและรีจัสในประเทศไทยได้ปูทางให้เราเปิดตัว HQ สาขาแรกในกรุงเทพฯ สาขาใหม่นี้ซึ่งตอบโจทย์พื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้และมีความสำคัญสำหรับเหล่าคนทำงาน ฟรีแลนซ์ และธุรกิจขนาดเล็กในประเทศไทยเรามั่นใจว่า แบรนด์ HQ จะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์เวิร์คสเปซระดับโลกที่ตอบสนองความต้องการพื้นที่ทำงานในกรุงเทพฯได้เป็นอย่างดี”   เอชคิวนำเสนอคอนเซ็ปต์หลัก 3 คอนเซ็ปต์ ได้แก่ ออกแบบมาเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ – HQ ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในการดำเนินธุรกิจและทำงานชิ้นสำคัญ โดยปราศจากการรบกวน ความยุ่งยาก ปัญหาเรื่องเทคโนโลยี และราคาที่ไม่แพงเกินไป พื้นที่ทำงานสำหรับทุกคน – HQ ออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับทุกคนตั้งแต่องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ไปจนถึงฟรีแลนซ์ต่างๆ แม้ว่าลูกค้าจะต้องการพื้นที่ทำงานสำหรับ 1 คน หรือ 1,000 คน เวิร์คสเปซแห่งนี้นำเสนอเงื่อนไขการใช้งานต่างๆ ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้และมีราคาที่เหมาะสมเพื่อให้ทุกคนมาใช้บริการได้ ง่ายต่อการใช้งาน – HQ มีแอพพลิเคชั่นที่ลูกค้าสามารถจองห้องประชุมหรือจองพื้นที่ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน ง่ายๆ เพียงปลายนิ้ว   “HQ เล็งเห็นว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่กำลังขยายตัวด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้นของคนทำงานยุคใหม่แบบไร้ออฟฟิศขณะเดียวกันบริษัทเองก็ได้รับผลดีจากความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น ลดค่าใช้จ่ายการเช่าสถานที่ ตลอดจนเพิ่มความสุขในการทำงานให้แก่พนักงาน HQ มีวิสัยทัศน์ที่จะนำข้อดีเหล่านี้มาใช้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจทุกขนาดและทุกขั้นตอน ยกตัวอย่างเช่น ฟรีแลนซ์และเจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องการย้ายที่นั่งทำงานจากห้องนั่งเล่นหรือร้านกาแฟแถวบ้านมาเป็นสถานที่ทำงานที่สะท้อนความเป็นมืออาชีพ HQ นำเสนอความต้องการพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนให้การทำงานประสบผลสำเร็จและได้ผลงานที่มีคุณภาพ ตลอดจนส่งมอบคุณค่าที่ช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้น” คุณโนเอล กล่าวเพิ่มเติม          
“พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” ประกาศแผนปี 62 เดินหน้ากลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม

“พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” ประกาศแผนปี 62 เดินหน้ากลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม

“พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” เดินหน้ากลยุทธ์การพัฒนาโครงการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน ต่อยอดการดำเนินงานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน เพื่อส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้อยู่อาศัย ด้านทิศทางธุรกิจปี 2562 วางเป้าขายของกลุ่มบริษัทที่ 21,600 ล้าน เปิดโครงการใหม่รวม 20 โครงการ มูลค่า 38,400 ล้าน    นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ และ นางสาวศิริรัตน์ วงศ์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการเงิน บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) แถลงถึงแผนธุรกิจของกลุ่มบริษัท โดยกลยุทธ์ในปีนี้จะเดินหน้าต่อยอดการพัฒนาโครงการที่คำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีอย่างยั่งยืนและการอนุรักษ์พลังงานอย่างจริงจัง เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ของการอยู่อาศัย เริ่มตั้งแต่การเปิดตัวโครงการบ้านนวัตกรรมภายใต้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้างไปจนถึงการอยู่อาศัยได้อย่างสบาย และปลอดภัยจากปัญหามลพิษ โดยความร่วมมือกับ เซกิซุย เคมิคอล ประเทศญี่ปุ่น บริษัทยังได้ร่วมกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านพลังงาน ในการนำเทคโนโลยีด้าน Smart Energy ได้แก่ EV Wall Charger (เป็นผลิตภัณฑ์ที่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR และ ปตท.ได้ร่วมกันพัฒนาขึ้น โดยเข้ามาเป็นมาตรฐานใหม่ในกลุ่มบ้านระดับไฮเอนด์ และรองรับมาตรฐาน EV Ready ในบ้านระดับทั่วไป) และอยู่ในระหว่างการพัฒนาโครงการและหารือกับปตท. ในการนำเทคโนโลยีการจัดการพลังงาน (Smart energy monitoring and management) โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และพลังงานหมุนเวียน เช่น Solar PV เพื่อนำมาให้บริการในโครงการของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เป็นครั้งแรกในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย   บริษัทยังจะมีแนวทางการดำเนินงานที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การเดินหน้าต่อเนื่อง สร้างพื้นที่ทะเลสาบ อีก 3 แห่ง รวมเป็นพื้นที่ 183 ไร่ เพื่อช่วยลดอุณหภูมิในโครงการ มีแผนเพิ่มพื้นที่สีเขียวในโครงการ โดยเพิ่มต้นไม้เพื่อช่วยฟอกอากาศ การจัดการขยะภายในโครงการ โดยเพิ่มจำนวนบ้านที่ก่อสร้างด้วยระบบพรีแฟบ เป็น 80% ของจำนวนบ้านทั้งหมด หรือ 2,000 หลังในปีนี้ เพื่อลดปัญหาเศษวัสดุที่เกิดจากงานก่อสร้าง มีการติดตั้งเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในโครงการ ด้านประหยัดพลังงาน มีแนวคิดอาคารประหยัดพลังงาน โดยติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ทั้งคลับเฮ้าส์และสำนักงานขาย ผลิตไฟฟ้าจากแสง อาทิตย์เพื่อนำมาใช้ในอาคาร และเปลี่ยนหลอดไฟทั้งหมดเป็นหลอดประหยัดไฟรวมทั้งติดตั้งโคมไฟถนนอัจฉริยะที่ทำงานอัตโนมัติ มีกล้อง CCTV ใช้พลังงานจากโซล่าเซล     สำหรับแผนงานในส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปีนี้กลุ่มบริษัทตั้งเป้าขาย 21,600 ล้านบาท ประกอบด้วย เป้าขายของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 20,500 ล้านบาท จากโครงการแนวราบ 12,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 7,000ล้านบาท และคอนโดประเทศญี่ปุ่น 1,500 ล้านบาท สำหรับเป้าขาย แกรนด์ แอสเสทฯ ตั้งไว้ที่ 1,100 ล้านบาท การเปิดโครงการใหม่ ปีนี้ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มีแผนเปิด 17 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท เป็นแนวราบ 16 โครงการ 18,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ 2,000 ล้านบาท ขณะที่แกรนด์ แอสเสทฯ มีแผนเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่า 18,300 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท และโครงการวิลล่าจังหวัดระยอง มูลค่า 2,300 ล้านบาท   นอกเหนือจากการเปิดตัวโครงการบ้านนวตกรรมระบบโมดูลาร์ ภายใต้ความร่วมมือกับ เซกิซุย เคมิคอล ในเดือนมีนาคมนี้ พร้อมกันใน 4 ทำเล ได้แก่ กรุงเทพกรีฑา, รามคำแหง, แจ้งวัฒนะ และรัตนาธิเบศร์ รวมมูลค่า 2,200 ล้านบาท ในไตรมาส 4 บริษัทยังจะมีการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวไฮเอนด์ภายใต้ความร่วมมือกับ ฮ่องกง แลนด์ ทำเลแจ้งวัฒนะ มูลค่า 10,000 ล้านบาท และ ทำเลบางนามูลค่า 5,000 ล้านบาท ด้านโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้ความร่วมมือกับ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี ได้แก่ โครงการไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ คอนโดมิเนียมไฮเอนด์ มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท กำหนดเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ และมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถนนเจริญนคร มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2562 อีกด้วย   สำหรับประมาณการรายได้ของกลุ่มบริษัทปีนี้ ตั้งไว้ที่ 27,555 ล้านบาท ประกอบด้วยรายได้ของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 20,000 ล้านบาท รายได้ของ แกรนด์ แอสเสทฯ 1,100 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจโรงแรม 4,500 ล้านบาท รายได้จากการขายที่ดิน 1,740 ล้านบาท และจากธุรกิจให้เช่าอีก 215 ล้านบาท โดยมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าซึ่งปีนี้ กลุ่มบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ถึง 32.29% หรือ6,813 ล้านบาท ในส่วนของธุรกิจโรงแรมของกลุ่มบริษัท ปีนี้ประมาณการรายได้จากธุรกิจโรงแรมจะเพิ่มขึ้นจากโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ซึ่งได้รับผลจากการเปิดตัวของไอคอนสยาม นอกจากนี้ ยังจะเพิ่มขึ้นจากการเปิดตัวโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท อย่างเป็นทางการของในเดือนมีนาคมนี้ พร้อมทั้งยังมีการเปิดบริการห้องอาหารรูฟท็อป และเน้นธุรกิจ MICE เพื่อเพิ่มรายได้ในส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม      
“Chapter Thonglor 25” คอนโดใหม่ใจกลางทองหล่อ จากพฤกษา

“Chapter Thonglor 25” คอนโดใหม่ใจกลางทองหล่อ จากพฤกษา

พฤกษา เตรียมเปิดตัวคอนโดพรีเมียมใจกลางทองหล่อภายใต้แบรนด์ “Chapter Thonglor 25” ชูคอนเซ็ปต์ Curated Thonglor Living ที่จะมาสร้างประสบการณ์ในการอยู่อาศัยแห่งใหม่ในย่านทองหล่อ จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยากอยู่ทำเลใจกลางเมืองในราคาที่เอื้อมถึงง่ายๆ โครงการออกแบบให้ดูเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยงานดีไซน์ที่ทันสมัย โดดเด่นมีสไตล์ไม่เหมือนใคร จัดเต็มด้วยเฟอร์นิเจอร์ครบชุด ในราคาเริ่มต้น 4.9 ลบ. เฉลี่ย 160,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งเป็นราคาที่ดีที่สุดและหาไม่ได้อีกแล้วในย่านทองหล่อ   นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท - พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ใจกลางทองหล่อ “Chapter Thonglor 25” ซึ่งเป็นโครงการ   พรีเมียมโครงการแรกของพฤกษาในปีนี้ โดยในย่านทองหล่อเรียกได้ว่าเป็นทำเลลักษ์ชัวรี่อันดับต้นๆ ของกรุงเทพฯ แวดล้อมไปด้วยแหล่งแฮงค์เอ้าท์ทั้งกลางวันกลางคืน และเป็นย่านไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัย เพียบพร้อมไปด้วยร้านอาหารชื่อดัง ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลชั้นนำ และในอนาคตยังมีอีกหลายธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นในย่านนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ที่ดินมีราคาเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี     Chapter Thonglor 25 คอนโด Low – Rise ระดับไฮเอนด์แต่งครบ สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 288 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,820 ล้านบาท ชูคอนเซปต์ Curated Thonglor Living ที่พร้อมจะมาสร้างประสบการณ์ในการอยู่อาศัยในย่านทองหล่อ ตอบรับไลฟ์สไตล์ของคนเมือง โดดเด่นมีสไตล์ไม่เหมือนใครด้วยการเลือกใช้สี Copper และสี Pastel จัดเต็มด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครันพร้อมบริการตลอด 24 ชม. อาทิ The Chapter Hall, Co-function Space, Co-living Garden, The Sunset Deck, Co-Creating Deck, The Social Club, White Marble Pool, Steam & Suana และ Fitness มีแบบห้องพักให้เลือก 3 แบบ คือ แบบ Studio ขนาด 28.91 – 29.30 ตร.ม, แบบ 1 Bedroom ขนาด 34.62 – 61.85 ตร.ม และแบบ 2 Bedroom ขนาด 57.63 – 61.17 ตร.ม ทุกยูนิตจะเน้นพื้นที่เก็บของใช้และเสื้อผ้าที่กว้างเป็นพิเศษ และบางยูนิตมีฟังก์ชั่นพิเศษเอาใจสาวๆ ด้วย Walk-in Closet ราคาพร้อมตกแต่งเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 160,000 บาท/ตรม. ซึ่งราคานี้เมื่อเทียบกับทำเล สิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียบพร้อม สเปคมาตรฐานที่หรูหรา และมาพร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบชุดถือว่ามีความคุ้มค่าอย่างมาก ในราคาที่หาไม่ได้อีกแล้วในย่านทองหล่อ   โครงการตั้งอยู่ในซอยทองหล่อ 25 เดินทางสะดวกสบายด้วย BTS เพียง 1 สถานี ถึงเอ็มโพเรียมและเอ็มควอเทียร์ เพียง 5 นาทีถึง BTS ทองหล่อ สามารถเข้า-ออกได้หลากหลายเส้นทางไม่ว่าเชื่อมต่อไปยังทองหล่อเส้นหลักหรือสุขุมวิท 49 และสุขุมวิท 39 แวดล้อมไปด้วยคอมมูนิตี้มอลล์อย่าง 72 Courtyard, The Commons, Seen Space, J Avenue ร้านอาหารชื่อดัง สถานศึกษานานาชาติ และโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลคามิลเลียน และไลฟ์สไตล์ระดับไฮเอนด์ในทำเลใจกลางทองหล่อ แต่ยังมีความเงียบสงบและเป็นส่วนตัวที่หาได้ยากมากในย่านนี้ เตรียมเปิด Open House 2 - 3 ก.พ. นี้ ลงทะเบียนรับส่วนลดสูงสุด 100,000 บาท สนใจสามารถเข้าเยี่ยมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ที่สำนักงาน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1739 หรือhttps://chapter.pruksa.com/22379/thonglor-25        
ควอตโตร ดีไซน์ ครบรอบ 12 ปี ชูกลยุทธ์การบริการรูปแบบครบวงจร 360 องศา

ควอตโตร ดีไซน์ ครบรอบ 12 ปี ชูกลยุทธ์การบริการรูปแบบครบวงจร 360 องศา

ควอตโตร ดีไซน์ ครบรอบ 12 ปี ลุยลูกค้าโครงการที่อยู่อาศัยเต็มสูบ ชูกลยุทธ์การบริการรูปแบบครบวงจร 360 องศา หนุนยอดโตทะลุ 50%   บริษัท ควอตโตร ดีไซน์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านระดับพรีเมียม เตรียมเสริมความแข็งแกร่ง ลุยกลุ่มลูกค้าโครงการบิ๊กสเกล ชูความเป็นวันสต็อปเซอร์วิส เลือกควอตโตรที่เดียวจบ ครบตอบได้ทุกความต้องการ ดันรายได้เติบโต 50%   นางพราวพรรณ เลาหพงศ์ชนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอตโตร ดีไซน์ จำกัด ผู้ดำเนินธุกิจนำเข้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านระดับลักชัวรี่ เปิดเผยว่า บริษัท ควอตโตร ดีไซน์ จำกัด ดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลา 12 ปี โดยในเวลานั้นเริ่มมองเห็นช่องว่างของตลาดที่ยังไม่มีคนรับตกแต่งหรือจัดบ้านตัวอย่างเดิมจะมีแค่ผู้ที่ออกแบบเท่านั้น แต่ไม่ได้ผลิต หรือจัดหาสินค้าให้ บริษัทจึงได้เปิดให้บริการตกแต่งแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์, ของประดับตกแต่ง หรือแม้กระทั่งการทำสไตล์ลิ่ง ขณะเดียวกันเพื่อทำให้ควอตโตรเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น จึงได้เปิดร้านเฟอร์นิเจอร์ควอตโตร ดีไซน์ เพื่อเสริมงานโครงการและหน้าร้าน ที่เริ่มจากการขายของตกแต่งก่อน จนขยายไลน์สินค้าที่หลากหลาย อาทิ เฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่ง ไฟ พรม จะเห็นได้ว่าในพื้นที่หนึ่งของห้องหรือที่พัก บริษัทสามารถซัพพลายได้หมด อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีเอ็กคลูซีฟแบรนด์ด้วยกัน 4 แบรนด์ ประกอบด้วย   1.ไอค์โฮล์ท (EICHHOLTZ) อยู่ในตลาดลักชัวรี่ นำเข้าจากเนเธอร์แลนด์ โดยแบรนด์ดังกล่าวมีสินค้ามากกว่า 4,000 รายการครอบคลุมทุกหมวด   2. พริสมิค แอนด์ บริล (PRIZMIC & BRILL) ที่เกิดขึ้นพร้อมกับควอตโตรเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผลิตในประเทศฟิลิปปินส์ เน้นงานหนัง มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร นับว่าเป็นแบรนด์ขายดีที่สุด   3. เคเนท โคบุนพวย (KENNETH COBONPUE) เป็นสินค้าเอาท์ดอร์มาจากฟิลิปปินส์ และ   4. อินดัสเทรีย เอดิชั่น (INDUSTRIA EDITION) อีกหนึ่งแบรนด์สัญชาติฟิลิปปินส์ เน้นงานโลหะที่ออกแบบอย่างสร้างสรรค์ ด้วยความสวยงามของยุคโมเดิร์น และแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ และปัจจุบันบริษัทมีร้านจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน “ควอตโตร ดีไซน์” อยู่ 2 สาขา ได้แก่ สาขาทองหล่อ ขนาดพื้นที่ 300 ตารางเมตร และสาขาภูเก็ต ขนาดพื้นที่ 800 ตารางเมตร เพราะมองเห็นว่าตลาดภูเก็ต มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ มาเลเซีย ยุโรป ขณะเดียวกันภูเก็ตยังไม่มีร้านเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นมัลติแบรนด์ จึงได้เลือกทำเลดังกล่าวเพื่อตอบสนองความต้องการคนในจังหวัดภูเก็ต หรือผู้อยู่อาศัยในจังหวัดใกล้เคียง และชาวต่างชาติ     “สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ บริษัทจะเพิ่มสินค้าและเพิ่มกลยุทธ์การบริการ รูปแบบครบวงจร 360 องศา เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังจากที่ผ่านมาบริษัทจะเน้นรับตกแต่งบ้านตัวอย่างควบคู่ไปกับการมีร้านจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์จากต่างประเทศส่งผลให้สร้างการเติบโตที่ดีมาตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยปีละ 35%”   “และในช่วงที่ผ่านมาสัดส่วนลูกค้าค้าปลีกคิดเป็น 50% และกลุ่มลูกค้าโครงการอีก 50% แต่หลังจากได้ขยายงานในส่วนของโครงการที่อยู่อาศัยมากขึ้นแล้ว ทำให้สัดส่วนกลุ่มดังกล่าวเพิ่มเป็น 60% ที่เหลืออีก 40% มาจากหน้าร้านค้าปลีก ซึ่งบริษัทฯ มีแนวทางสร้างธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการขยายขอบเขตการให้บริการแก่ลูกค้ามากขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของกลุ่มลูกค้าโครงการที่อยู่อาศัยและธุรกิจโรงแรมที่จะสามารถนำเสนอสินค้าให้กับโครงการระดับ 200 ห้องขึ้นไปได้มากขึ้น จากก่อนหน้าให้บริการกลุ่มโครงการได้เพียงระดับหลักสิบห้อง เนื่องด้วยความสัมพันธ์อันดีกับผู้ผลิตทั้งในทวีปเอเชียและยุโรป ทำให้มีความคุ้นเคยกับโรงงานผู้ผลิตมากพอสมควร จากการดำเนินธุรกิจมา 12 ปี จึงได้ร่วมมือกับโรงงานบางแห่งเพื่อขยายการผลิต อาทิ จีน อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโรงงานขนาดใหญ่ และควบคุมการผลิตแบบมาตรฐานยุโรป จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ทำให้สามารถผลิตสินค้าในสเกลที่มากขึ้น รองรับลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ และทำราคาที่กลุ่มดังกล่าวเข้าถึงได้อีกด้วย”   หลังจากที่บริษัทได้จับมือกับพาร์ทเนอร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศ เพื่อบุกตลาดลูกค้าโครงการที่อยู่อาศัยมากขึ้นแล้ว มีเป้าหมายว่าในปี 2562-2563 จะเติบโตมากขึ้นเป็น 50% มีผลมาจากการได้เซ็นสัญญากับโครงการระดับ 100 กว่ายูนิตขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ที่เซ็นสัญญาไปแล้วประมาณ 270 ยูนิต และอีกโครงการจำนวน 70 ห้องและ 105 ห้องทำเสร็จไปแล้ว สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้ามีความไว้วางใจการให้บริการของควอตโตรเป็นอย่างมาก หากลูกค้าอยากได้ผู้ที่ตอบโจทย์แบบวันสต็อปเซอร์วิส ไม่ว่าจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยว บ้านส่วนตัว โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ที่ต้องการประหยัดเวลา บวกกับได้รับสินค้าระดับลักชัวรี่ในราคาจับต้องได้ อยากให้ทุกคนนึกถึงควอตโตร ดีไซน์ที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านั้น นางพราวพรรณ กล่าว   “สำหรับจุดเด่นของ “ควอตโตร ดีไซน์” จากความเป็นมืออาชีพด้านการจัดสรรสินค้าทั่วทุกมุมโลก ซึ่งผลิตภัณฑ์มีความโดดเด่น มีเอกลักษณ์ และนำเสนอการตกแต่งที่ไม่ซ้ำใครในตลาดเมืองไทย ทำให้บริษัทจะกลายเป็น วันสต็อปเซอร์วิสนับตั้งแต่จัดหาสินค้าตามความต้องการ ออกแบบ ติดตั้ง ตกแต่งรับเหมาก่อสร้างครอบคลุมไปยังการบริการก่อนและหลังการขาย ทั้งยังเป็นเป็นตัวกลางขับเคลื่อนให้กลุ่มลูกค้าโครงการ สามารถกระชับเวลาการทำงานได้มากขึ้นด้วย เนื่องจากบริษัทให้บริการครบวงจรหรือวันสต็อปเซอร์วิส จึงสามารถดูแลลูกค้าได้ที่เดียวจบ ครบครัน นับเป็นผลดีต่อผู้พัฒนาโครงการที่ปิดการขายได้ง่ายและเร็วขึ้นด้วยศักยภาพที่มีของบริษัท ทั้งในส่วนของบุคคลากรทุกแผนก การออกแบบ ฟาซิลิตี้คอนโทรล การตรวจสอบคุณภาพสินค้า”   “ขณะเดียวกันในส่วนของหน้าร้านค้าปลีกจะมีบริการเข้าไปเพิ่ม ไม่ใช่แค่เข้ามาเลือกสินค้าเท่านั้น แต่ยังมีบริการครบวงจรที่จำนำเสนอกับลูกค้าเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ ตกแต่ง และก่อสร้าง ทั้งยังร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในการจำหน่ายและออกแบบตู้เสื้อผ้า ชุดครัว ซึ่งได้เริ่มมาเป็นระยะเวลา 2 ปี มีผลตอบรับจากลูกค้าดีมาก โดยการทำตลาดในส่วนของสาขาจะเน้นโซเชียลมีเดียมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปจะลงทุนด้านการตลาดถึง 15% ทุกปี โดยจะเน้นทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งมากขึ้น เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน”   สำหรับความพิเศษในโอกาสครบรอบ 12 ปี ได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษมอบให้แก่คุณลูกค้า อาทิ แคมเปญ “12 YEARS ANNIVERSARY - 12 SURPRISE GIFTS – 12 MONTHS” และแคมเปญ “MAKE OVER YOUR PLACE WITH QUATTRO DESIGN“ นางพราวพรรณ กล่าวทิ้งท้าย พบกับ “ควอตโตร ดีไซน์” ทั้ง 2 สาขา ได้แก่ สาขาทองหล่อ โทร.02 712 7806 และสาขาภูเก็ต โทร. 076-325-141 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.Quattro-design.com IG : @quattro_design
“โฮมโปร” โชว์ศักยภาพรับปี 62 โตอย่างยั่งยืน

“โฮมโปร” โชว์ศักยภาพรับปี 62 โตอย่างยั่งยืน

ทิศทางตลาดเปลี่ยน คนต้องเปลี่ยน กับ 3 คำ “ปรับตัว เปลี่ยนแปลง แข็งขัน” นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” กล่าวให้กำลังใจกับพนักงานโฮมโปร และบริษัทในเครือช่วงปีใหม่ 2562 แถมโชว์ฟอร์มสุดเจ๋ง ตลอด 23 ปี เติบโตอย่างยั่งยืน มีกำไรเฉลี่ย 29% ต่อปี ด้วยความภาคภูมิใจในการคว้ารางวัลระดับโลก DJSI (Dow Jones Sustainability Index) ในกลุ่ม Emerging Market 2 ปีซ้อน แถมตีปีก ทริสฯ ยกระดับเรตติ้งจากเดิม A+ เป็น AA- พร้อมเปิดภารกิจปี 62 มุ่งเน้นเรื่อง Customer Centric สร้างความประทับใจ และความพึงพอใจให้กับลูกค้า เสริมสินค้าใหม่เอาใจทุกไลฟ์สไตล์ เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ รองรับการเติบโตลูกค้าเฉพาะกลุ่ม (Commercial) พร้อมพัฒนาช่องทางการจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ ให้เข้าถึงลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านหลากหลายช่องทางการสื่อสาร สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในการตัดสินใจซื้อสินค้าได้ทุกช่องทาง (Omni-Channel) ตอกย้ำผู้นำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องบ้านครบวงจรตัวจริง   นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ“โฮมโปร”  เปิดเผยว่า ตลอดปี 2561 พนักงานทุกคนของโฮมโปร ได้ทำงานด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท อย่างเต็มกำลังความสามารถ ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น บริหารการใช้สินทรัพย์ได้คุ้มค่า รวมถึงบริหารอัตรากำไร หรือ GP ได้สูงขึ้น ทำให้ภาพรวมของบริษัทมีกำไรเติบโตอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เติบโตไปพร้อมกับการดำเนินธุรกิจด้วยหลักบรรษัทภิบาล สร้างความโปร่งใส มีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับรางวัล “องค์กรที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยื่น” (Outstanding Sustainability Awards) และรางวัล “บริษัทที่ดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน” DJSI (Dow Jones Sustainability Index) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และอื่นๆ อีก ซึ่งเรายังยึดถือเป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจต่อไป   “สำหรับโฮมโปรแล้ว การเริ่มปีใหม่ครั้งนี้มีความท้าทายหลายอย่างให้บริษัทฯ เราคอยมองหาอะไรใหม่ๆ ให้พนักงาน และลูกค้าของเราอยู่เสมอ การเปลี่ยนแปลงแรกในปี 2562 คือเรื่อง  ยูนิฟอร์มของพนักงานโฮมโปร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะช่วยให้พนักงานรู้สึกถึงการเริ่มต้นที่แปลกใหม่ สดใสกว่าเดิม และยังสามารถดึงเอาความรู้สึกถึงความตั้งใจ กระตือรือร้น รวมถึงความใส่ใจที่มีต่อลูกค้าสอดแทรกเข้าไปด้วย ที่สำคัญยูนิฟอร์มเป็นชุดที่ใช้กันในทุกระดับ ไม่มีการแบ่งแยกตำแหน่งใดๆ ปัจจัยเล็กๆ นี้จะคอยบอกให้พนักงานทุกคนรับรู้ว่า องค์กรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และจะคอยดูแลเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน พร้อมมีนโยบายกระตุ้นพนักงาน ให้รู้จักการ “ปรับตัว เปลี่ยนแปลง อย่างแข็งขัน”ภายในปี 2562 นี้ เรายังคงเดินหน้าไปพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังเข้ามา และในปีนี้เราพร้อมเดินหน้าโปรโมท Home Service App ที่มีการปรับเวอร์ชั่นใหม่เรียบร้อยแล้ว พร้อมรองรับการให้บริการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น   นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปว่า โฮมโปรยังมุ่งเน้นจุดยืนการเป็นผู้นำด้าน Home Solution and Living Experience ในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการเน้นย้ำเรื่องสินค้าใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ทุกไลฟ์สไตล์ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ และคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าได้อย่างคุ้มค่า คุ้มราคา ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญต่อการพัฒนาพันธมิตรทางธุรกิจ ในการพัฒนารูปแบบนวัตกรรมของสินค้า และบริการ ตลอดจนให้ความสำคัญ เรื่องความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ทั้งห่วงโซ่อุปทานอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่กระบวนการผลิต ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ตลอดจนถึงการส่งมอบสินค้า และบริการที่ดีให้กับลูกค้า เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตราฐาน และปลอดภัย   ปัจจุบันโฮมโปรมีสินค้าตกแต่งบ้านที่พร้อมอัพเดทเทรนด์ใหม่ตลอดปี และยังสร้าง QR Code ติดที่ป้ายราคา เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า ตลอดจนคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ECO Choice 6 กลุ่มสินค้า ได้แก่ กลุ่มสินค้าปลอดภัย ยอดจำหน่าย 36.6 ล้านชิ้น กลุ่มสินค้าประหยัดพลังงาน ยอดจำหน่าย 3.1 ล้านชิ้น กลุ่มสินค้าลดก๊าซเรือนกระจก ยอดจำหน่าย 3.5 ล้านชิ้น กลุ่มสินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยอดจำหน่าย 0.9 ล้านชิ้น กลุ่มสินค้าประหยัดน้ำ ยอดจำหน่าย 1.4 ล้านชิ้น กลุ่มสินค้ารักษาป่าไม้ ยอดจำหน่าย 46,384 ชิ้น โดยสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของยอดขาย รวมถึงการพัฒนาสินค้าของกลุ่มลูกค้าผู้สูงวัย เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แน่นอนว่าแนวทางหลักของโฮมโปรคือ การเสริมสินค้าเรื่องบ้านที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม Segment ได้อย่างแท้จริง นอกจากสินค้าเพื่อกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปแล้ว โฮมโปรยังได้รองรับการเติบโตของกลุ่มลูกค้าเฉพาะทาง Commercial สินค้าที่ขายเฉพาะกลุ่ม เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ๆ เพิ่มความน่าสนใจ พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าไปด้วย ตัวอย่างเช่น สินค้าประเภทเครื่องนอนสำหรับลูกค้ากลุ่มโรงแรม และรีสอร์ท, เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งหลากสไตล์ สำหรับร้านอาหาร และร้านกาแฟ รวมไปถึงกลุ่มโครงการด้านอสังหาฯ บริษัทก็มีสินค้าอย่างกระเบื้อง สุขภัณฑ์ คอยรองรับการเติบโตของลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ ตลอดจนส่งมอบบริการเหนือระดับ เพื่อเชื่อมต่อประสบการณ์เรื่องบ้านที่สุดแสนประทับใจ กับทีมช่างมืออาชีพจากโฮมโปร ผู้ชำนาญการที่มีความรู้ในงาน ปรับปรุงบ้านที่มีบริการครบวงจร ตรวจสุขภาพบ้าน ตรวจสอบการทำงานของระบบภายในบ้านต่างๆ  ออกแบบ 3 D Design บริการติดตั้ง ตกแต่ง ซ่อมแซม ตรวจเช็ค และบำรุงรักษา เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า พร้อมทั้งสามารถควบคุมงบประมาณ และเวลาได้ตามต้องการ   ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย (E- Commerce) เราได้พัฒนาขีดความสามารถของเทคโนโลยีที่เข้ามา Disruption สู่ Omni Channel เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce พร้อมช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้า และบริการของโฮมโปรได้ง่ายขึ้น เติมเต็มปัจจัยด้านความสะดวกสบายได้อย่างตรงจุด ให้ลูกค้าช้อปได้แบบสบายๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ สะดวกทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งบริการจัดส่ง ติดตั้ง และรับประกันคุณภาพภายใต้มาตราฐานโฮมโปร และยังเสริมด้วยการวางมาตรฐานด้านระบบ Supply Chain ทั้งการจัดหาสินค้า การสั่งซื้อสินค้า การกระจายสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดเก็บสินค้า ด้วยการนำหุ่นยนต์มาใช้ในศูนย์กระจายสินค้า DC (Distribution Center) เรียกว่าระบบ ASRS โดยใช้หุ่นยนต์ในการจัดเก็บ และกระจายสินค้า เพื่อความรวดเร็วในการจ่ายสินค้าได้ 24 ชั่วโมง ช่วยเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บสินค้า มีความทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจว่าสินค้าทุกชิ้นมีจำนวนเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าอย่างแน่นอน   โฮมโปรเดินทางมายาวนานถึง 23 ปีแล้ว และในปีนี้ถือเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้านที่สูงขึ้นทั้งเทคโนโลยี เศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลกระทบในการดำเนินงานทุกภาคส่วนในองค์กร  ซึ่งต้องยอมรับ และปรับตัวตั้งแต่ต้นปี ในวันแรกที่เราเริ่มเปลี่ยนแปลงอาจจะไม่สมบูรณ์ แต่เราต้องแข็งขันกับสิ่งเหล่านี้ เพื่อปรับให้มันสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นเราต้องยึดมั่น ตั้งมั่น กับ 3 สิ่งนี้ คือ ปรับตัว ยอมรับการปรับตัว เปลี่ยนแปลง เราต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ตอบโจทย์ลูกค้า และแข็งขัน อย่างเอาจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเราทำ 3 สิ่งนี้ให้สำเร็จได้ องค์กรครอบครัว โฮมโปร จะก้าวต่อไปแบบกราฟขึ้นตลอดยาวนาน นายคุณวุฒิ กล่าวปิดท้าย        
“ฮาบิแทท กรุ๊ป” สวนกระแสปั้นธุรกิจโต รุกเปิดโครงการเท่าตัวมูลค่า 8,000 ลบ. เพิ่มพอร์ตเช่าเสริมแกร่ง

“ฮาบิแทท กรุ๊ป” สวนกระแสปั้นธุรกิจโต รุกเปิดโครงการเท่าตัวมูลค่า 8,000 ลบ. เพิ่มพอร์ตเช่าเสริมแกร่ง

“ฮาบิแทท กรุ๊ป” เปิดแผนธุรกิจปี 2562 เร่งขับเคลื่อนแผนสร้างการเติบโตต่อเนื่อง ลุยเปิดโครงการใหม่ในกรุงเทพฯและพัทยาเพิ่มขึ้นเท่าตัว รวมมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท สวนกระแสตลาดอสังหาฯ ย้ำมั่นใจตลาดคอนโดมิเนียมโลไรส์ระดับบน ในทำเลศักยภาพโซนซีบีดีกรุงเทพฯ และพัทยา ความต้องการยังเติบโตดี พร้อมเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจ เพิ่มพอร์ตรายได้ประจำ เปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่ง  รุกขยายฐานลูกค้าต่างประเทศมากขึ้น เปิดตลาดใหม่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ อินเดีย และตะวันออกกลาง จากเดิมเน้นเจาะแค่ตลาดจีน ฮ่องกง หวังกระจายความเสี่ยง   นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อการลงทุนของไทย เปิดเผยว่า แม้ปัจจัยภายนอก ทั้งความผันผวนจากเศรษฐกิจโลก ทั้งในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ราคาพลังงาน และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา-จีน ตลอดจนความไม่แน่นอนทางการเมือง การปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้หลายบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีการปรับลดเป้าหมาย และมีการระมัดระวังในการลงทุนซื้อที่ดินมากขึ้น แต่ ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังคงมีความมั่นใจกำลังซื้อของลูกค้าของบริษัทฯ ในกลุ่มระดับบนว่ายังคงดีอยู่   ดังนั้นในปี 2562 บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าเป็นปีแห่งการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแผนการขยายการพัฒนาโครงการที่มากขึ้น โดยเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 5โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งยังคงเน้นการลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์บนทำเลศักยภาพตามกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ คือ กรุงเทพฯ โซนธุรกิจ (CBD) ตามแนวรถไฟฟ้า ได้แก่ ทองหล่อ, พร้อมพงษ์ และอโศก อีกทั้งทำเลในเมืองพัทยา โดยในปีนี้ตั้งเป้าหมายยอดขายที่ 3,000 ล้านบาท เติบโต 50% จากยอดขายใน 2561 อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท   “ในปีนี้บริษัทยังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ เห็นได้จากการลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จะเปิดตัวเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งในแง่จำนวนโครงการและมูลค่าการลงทุนที่สูงขึ้นกว่าปี 2561 ขณะเดียวกัน ในปีนี้ยังจะเน้นการกระจายความเสี่ยงด้วยการขยายฐานกลุ่มลูกค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น และแผนการขยายพอร์ตรายได้ประจำให้กับบริษัท” นายชนินทร์ กล่าว   การเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ แบ่งออกเป็น กรุงเทพฯ จำนวน 3 โครงการ ภายใต้ “แบรนด์วาลเด้น” ที่มีคอนเซ็ปต์เป็นคอนโดมิเนียมลักชัวรี่โลว์ไรส์บนทำเลซีบีดีทั้งหมด มูลค่ารวมประมาณ 3,500 ล้านบาท และพัทยาอีก 2 โครงการ ซึ่งจะเป็นโครงการในแบบ Lifestyle Investment โดยยังคงคอนเซ็ปต์ดึงแบรนด์โรงแรมชั้นนำของโลกเข้ามาบริหาร มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งโครงการแรกอยู่ในโซนพัทยาเหนือ คาดว่าจะเปิดตัวพร้อมขายได้อย่างเป็นทางการในไตรมาสแรกปี 2562 ส่วนอีกโครงการเป็นคอนโดมิเนียมโซนหาดนาจอมเทียน บนพื้นที่บีชฟร้อนท์ 8 ไร่ อยู่ระหว่างการออกแบบ และคาดว่าจะเปิดตัวได้กลางปี 2562 โดยสำหรับตลาดพัทยาจะมีการทำโครงการที่ใหญ่ขึ้น และมีจำนวนยูนิตเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับดีมานต์ที่มีอย่างต่อเนื่อง และในปีที่ผ่านมาฮาบิแทททำการปิดการขายโครงการในพัทยาได้ทั้งหมด   ทั้งนี้ มองว่าตลาดคอนโดมิเนียมระดับบนยังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นสินค้าที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และกลุ่มนักลงทุนทั้งที่เป็นคนไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะทำเลศักยภาพในการพัฒนาค่อนข้างจำกัดแต่เป็นที่ต้องการสูง ตรงกับกลยุทธ์ของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการบนทำเลศักยภาพอยู่แล้ว เช่นในกรุงเทพฯ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ทำให้สามารถทำราคาขายที่จับต้องได้และเป็นที่ต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รวมทั้งเมืองพัทยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการขยายตัวได้ดีจากทิศทางการท่องเที่ยว และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC     “จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ฮาบิแทท กรุ๊ป สามารถเดินหน้าตามแผนสร้างการเติบโต ด้วยการขยายการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว และมองทิศทางอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้เติบโตเป็นบวกได้ โดยแรงหนุนจากการโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ อย่างต่อเนื่อง  ประกอบกับการลงทุนภาคเอกชนด้านต่างๆ ยังคงเพิ่มขึ้นจากการส่งเสริมการลงทุนโดยเฉพาะในพื้นที่ EEC  อย่างไรก็ดี สินค้าของบริษัทต้องสามารถแข่งขันได้ด้วย คือต้องมีความโดดเด่นด้านดีไซน์ เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด” นายชนินทร์ กล่าว   นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า ด้านการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจนั้น ฮาบิแทท กรุ๊ป มุ่งกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าเป้าหมายให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยมองหาโอกาสในตลาดใหม่ ๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากกลุ่มลูกค้าคนไทย จีนและฮ่องกง ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่บริษัทฯ มีความใกล้ชิดอยู่แล้ว  จะรุกขยายไปเปิดตลาดใหม่ๆ เช่น กลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง และในเอเชียอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ และอินเดีย โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายมาจากกลุ่มผู้ซื้อต่างชาติ 600 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของยอดขายรวม และคาดว่ายอดขายจากกลุ่มนี้จะเติบโตเพิ่มเป็น 40% ของยอดขายรวม   นอกจากนี้ ในปี 2562 บริษัทยังมีเป้าหมายขยายพอร์ตรายได้ประจำ (recurring income) ของบริษัทให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 10%  และตั้งเป้าภายใน 3 ปี สัดส่วนรายได้ประจำเพิ่มเป็น 30 % เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านรายได้และสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ โดยปัจจุบันมีโรงแรมเปิดบริการแล้ว 2 แห่ง ที่พัทยา คือ The Ville Jomtien (เดอะ วิลล์ จอมเทียน) และ X2 Vibe Pattaya Sephere (ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์) โดยมี ฮาบิแทท ฮอสพิทอลลิตี้ (Habitat Hospitality) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเป็นผู้บริหารจัดการในด้านนี้ ซึ่งในปีนี้ จะเปิดตัวโรงแรมในพัทยาเพิ่มเติมขึ้นอีกจำนวน 2 แห่ง คือ X2 Pattaya Oceanphere (ครอสทู พัทยา โอเชียนเฟียร์) จะเปิดให้บริการในไตรมาส 2 และ Best Western Premier Bayphere Pattaya (เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา) ซึ่งจะเปิดให้บริการในไตรมาส 3 ของปีนี้   “สิ่งสำคัญการเติบโตอย่างมั่นคงแข็งแกร่ง ด้วยการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่ทุกอย่างต้องตัดสินใจบนฐานข้อมูลและทำในสิ่งที่เรามีความเชี่ยวชาญ และการเดินหน้าเปิดตัวโครงการที่มากขึ้นในปีนี้เป็นการตอกย้ำการเติบโตที่เป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งของฮาบิแทท กรุ๊ป” นายชนินทร์กล่าวทิ้งท้าย        
MQDC x THE FORESTIAS ช่วยชีวิตต้นไม้กว่า 500 ต้น สร้างกำแพงธรรมชาติดักฝุ่น PM 2.5

MQDC x THE FORESTIAS ช่วยชีวิตต้นไม้กว่า 500 ต้น สร้างกำแพงธรรมชาติดักฝุ่น PM 2.5

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ผู้ดำเนินกิจการพัฒนา ลงทุน และจัดการอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพ โครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ สรุปความสำเร็จแคมเปญ “Forest Rescue – ฟอเรส เรสคิว” ปฏิบัติการกู้ชีพต้นไม้รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติมากกว่า 10 ล้านคน โดยลงพื้นที่ช่วยต้นไม้ขนาดใหญ่ได้กว่า 500 ต้น พร้อมย้ายสู่บ้านหลังใหม่ภายในโครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ บนพื้นที่ที่จัดสรรให้ 3 ไร่ หรือ  4,800 ตารางเมตร ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในกำแพงธรรมชาติที่สามารถดักฝุ่น PM 2.5 มากถึง 700 กิโลกรัมต่อปี   นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า “ที่ผ่านมา โปรเจกต์แฟลกชิพ “THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” ซึ่งเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์โครงการแรกที่มุ่งมั่นนำเสนอโมเดลการใช้ชีวิตที่เข้ากับระบบนิเวศอันสมดุลเพื่อความสุขที่ยั่งยืน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” ความสุขในการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติระบบนิเวศขนาดใหญ่ นำเสนอแคมเปญ“Forest Rescue – ฟอเรส เรสคิว” ปฏิบัติการกู้ชีพต้นไม้รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติและต้นไม้ใหญ่ในเมือง ควบคู่กับการจัดตั้งทีมปฏิบัติการ หรือ Forest Rescue Team กระจายตัวลงพื้นที่เพื่อสำรวจ บำบัด และให้ความช่วยเหลือในการขนย้ายต้นไม้จากแหล่งพื้นที่เดิมที่ไม่เหมาะสมไปยังบ้านหลังใหม่ที่มีระบบนิเวศขนาดใหญ่ ภายในโครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ บนพื้นที่ที่จัดสรรในการรองรับประมาณ 3 ไร่ หรือ 4,800 ตารางเมตร”   ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้สร้างการรับรู้และตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติให้กับกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้มากกว่า 10 ล้านคน ปัจจุบัน ทีมงานได้วิเคราะห์และประเมินข้อมูลของต้นไม้ที่ถูกนำเสนอเรื่องราวความช่วยเหลือกว่า 500 ต้น สำหรับต้นไม้ที่ได้ให้การช่วยเหลือ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่มีอายุเฉลี่ย 5-10 ปีขึ้นไป อาทิ ต้นจามจุรี ต้นก้ามปู ต้นพญาสัตบรรณ ต้นหูกระจง ต้นมะขาม ต้นมะม่วง เป็นต้น ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ให้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อมนุษย์และสัตว์ มีคุณสมบัติในการดูดซับก๊าซที่เป็นพิษต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อม เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ เป็นต้น พร้อมทั้งสามารถสร้างก๊าซออกซิเจนกลับคืนได้ถึง100 – 125 ล้านลิตรต่อปี (ค่าเฉลี่ยต้นไม้ 1 ต้น สามารถผลิตก๊าซออกซิเจนได้ 200,000 – 250,000 ลิตรต่อปี) เท่ากับรองรับความต้องการก๊าซออกซิเจนของมนุษย์ได้ถึง 1,000 คนต่อปี หรือดักจับอนุภาคฝุ่นละออง ควัน และไอพิษต่างๆ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพได้ถึง 700 กิโลกรัมต่อปี (ค่าเฉลี่ยต้นไม้ 1 ต้น ดักจับอนุภาคฝุ่นได้ 1.4 กิโลกรัมต่อปี) สอดคล้องกับงานวิจัยโดยหน่วยงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า “บริเวณพื้นที่ต้นไม้ใหญ่ที่ทีมวิจัยออกสำรวจพบว่าอนุภาคฝุ่นละอองลดลงประมาณ 7 – 24% และบริเวณนั้นมีอุณหภูมิเฉลี่ยลดลง เป็นผลมาจากการคายน้ำของต้นไม้แสดงให้เห็นว่าต้นไม้สามารถช่วยแก้ปัญหาหมอกควันในเมืองได้จริง” นอกจากนี้ ในเมื่อปี ค.ศ. 2017 ยังมีรายงานที่เผยแพร่ลงในวารสาร Atmospheric Environment ชี้ว่า “ต้นไม้ใหญ่ช่วยดูดซับมลพิษแค่ในพื้นที่เปิดโล่ง แต่สำหรับในเมือง “พุ่มไม้” เหมาะที่สุดในการดักจับฝุ่นควันที่ส่วนใหญ่แล้วมาจากท่อไอเสียรถยนต์ เนื่องจากบางครั้งต้นไม้ใหญ่ก็สูงเกินไปที่จะจัดการกับมลพิษบนท้องถนน”   ทั้งนี้ ต้นไม้ทุกต้นจะได้รับการดูแลจนกลับมาเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรง พร้อมเป็นต้นไม้พี่เลี้ยงให้กับต้นกล้าที่โครงการปลูกด้วยเมล็ด รวมทั้งสิ้นมากกว่า 30,000ต้น ภายใต้ทฤษฎีการปลูกป่าเชิงนิเวศแบบยั่งยืน หรือ Eco-Forest ทำให้เกิดระบบนิเวศที่หลากหลายครอบคลุมพื้นที่ของผืนป่าสาธารณะ “Forest at THE FORESTIAS – ฟอเรส แอท เดอะ ฟอเรสเทียส์” จำนวนทั้งสิ้น 30 ไร่ หรือ 48,000 ตารางเมตร โดยเมื่อโครงการเสร็จสิ้นแล้วจะเปิดบางส่วนเป็นพื้นที่สาธารณะเพื่อให้ประชาชนเข้าชม พักผ่อน หรือศึกษาระบบนิเวศธรรมชาติโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณก๊าซอ๊อกซิเจนในอากาศได้สูงถึง6,000 – 7,500 ล้านลิตรต่อปี ดักจับฝุ่นได้มากถึง 420,000 กิโลกรัมต่อปี และทำให้อุณหภูมิในบริเวณพื้นที่มีอุณหภูมิลดลงประมาณ 2-4 องศาเซลเซียส      
SAM ประเดิมจัดประมูลทรัพย์สิน NPA นัดแรกของปี

SAM ประเดิมจัดประมูลทรัพย์สิน NPA นัดแรกของปี

SAM ประเดิมจัดประมูลทรัพย์สิน NPA นัดแรกของปี ฤกษ์ดี 8 ก.พ. 62 ดึงลูกค้าซื้ออสังหาฯ มือสอง เพื่อการลงทุนและอยู่อาศัย   SAM  เปิดโอกาสลูกค้าและผู้สนใจอสังหาริมทรัพย์มือสอง คัดทรัพย์สินรอการขาย (NPA)  ทำเลเด่นทั้งในเขตกรุงเทพ ปริมณฑลและต่างจังหวัด มูลค่ารวมกว่า 1.1 พันล้านบาท จัดประมูลรอบแรกของปี 62 นัดลูกค้าเข้ายื่นซองประมูล  8 กุมภาพันธ์ ศกนี้   นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM  เปิดเผยว่า SAM คัดทรัพย์สินNPA ทำเลโดดเด่นทั้งในเขตกรุงเทพ ปริมณฑลและต่างจังหวัดหลายร้อยรายการ มูลค่ารวมกว่า 1,100 ล้านบาทออกประมูลครั้งแรกของปี  พร้อมนัดลูกค้ายื่นซอง ในวันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ตั้งแต่เวลา 9.00-12.00 น. ณ ห้องกรุงเทพ 1-4 ชั้น M โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ  โดยมีตัวอย่างทรัพย์ที่น่าสนใจสำหรับลูกค้าที่กำลังมองหาช่องทางการลงทุนต่อยอดสร้างธุรกิจ อาทิ ที่ดิน 8 ไร่ครึ่ง พร้อมอาคารพักอาศัย 252 ห้อง ทำเลทองของธุรกิจโรงแรม  โรงพยาบาล ในพื้นที่ EEC ใกล้นิคมมาบตาพุต จ.ระยอง เพียง 10 นาที ราคาขายขั้นต่ำ 128.39 ล้านบาท ที่ดินเปล่า เนื้อที่เกือบ 100 ไร่ ริม ถ.ประชาร่วมใจ เขตมีนบุรี ติดถนน 4 เลน การคมนาคมสะดวก ทำเลทองของการพัฒนาโครงการในอนาคต เพียง 15 นาที จากรถไฟฟ้าสายสีส้มและสีชมพู สถานีมีนบุรี ราคาขายขั้นต่ำ 169.19 ล้านบาท อาคารพาณิชย์ขนาด 23 ตร.ว. ติด ถ.เจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กทม. ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีวัดมังกร  ราคาขายขั้นต่ำ 35.49 ล้านบาท ที่ดินเปล่า เนื้อที่ 23 ไร่เศษ ติดถ.ไมตรีจิต เขตมีนบุรี กทม. ราคาขายขั้นต่ำ 36.29 ล้านบาท ที่ดินเปล่า เนื้อที่ 129 ไร่เศษ ติดถ.สายโพนทอง-เสลภูมิ อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ราคาขายขั้นต่ำ 52.59 ล้านบาท   ส่วนทรัพย์เด่นสำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ  อาทิ  บ้านเดี่ยวโครงการลดาวัลย์ เนื้อที่ 117 ตร.ว. ถ.บรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน ราคาขายขั้นต่ำ 6.59 ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์หลังหัวมุม ในโครงการ เดอะคอนเนค 20 เนื้อที่ 71 ตร.ว. เขตสายไหม ราคาขายขั้นต่ำ 4.09 ล้านบาท ห้องชุดพักอาศัย โครงการ ลา วี ออง โรสเพลส เนื้อที่ 182 ตร.ม. ทำเลใจกลางเมือง ซ.สุขุมวิท 31 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสถานีทองหล่อ ราคาขายขั้นต่ำ 18.79 ล้านบาท  ผู้สนใจเข้าร่วมประมูล ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า เริ่มวันนี้-7 กุมภาพันธ์ 2562 ที่สำนักงานใหญ่ของ SAM อาคาร ซัน ทาวเวอร์ส บี ชั้น 24 ถ.วิภาวดีรังสิต ใกล้ 5 แยกลาดพร้าว หรือที่สำนักงานสาขาทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น พิษณุโลก และสุราษฎร์ธานี ผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02-686-1888 หรือดูรายละเอียดทรัพย์สินได้ที่เว็บไซต์  www.sam.or.th และแอปพลิเคชันSAM NPA ทั้งระบบ Android และ IOS  รวมทั้งอีกหลากหลายช่องทางบนออนไลน์ เพื่อติดตามข้อมูลข่าวสารดีๆ จาก SAM  ทั้ง Line  โดยแอด ID Line @Samline  สานฝันต่อยอดสินทรัพย์กับ SAM บน Facebook  และ SAM Property บน YouTube”      
EMC ได้เฮ! คว้าประมูล “โครงการบ้านไทยประชารัฐ”

EMC ได้เฮ! คว้าประมูล “โครงการบ้านไทยประชารัฐ”

EMC เฮสนั่น! ประกาศชนะประมูล “โครงการบ้านไทยประชารัฐ” จ.เชียงใหม่ โครงการที่อยู่อาศัยตามนโยบายรัฐบาล มูลค่า 822 ล้านบาท “รัฐชัย ภิชยภูมิ” บอสใหญ่ เป็นปลื้ม ลั่นดันผลงานโตก้าวกระโดดในปี 62 ขณะที่งวดปี 61 มีแนวโน้มตัวเลขสวย รับอานิสงส์ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์สดใส ระบุตัวเลขกำไรสุทธิจะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นและหนุนให้บริษัทฯ ได้รับการปลดเครื่องหมาย C เร็วๆ นี้   นายรัฐชัย ภิชยภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) หรือ EMC เปิดเผยว่า กิจการร่วมค้าที่จัดตั้งขึ้นโดย EMC ถือหุ้น 51% และ บริษัท เชียงใหม่รายวัน จำกัด ถือหุ้น 49% เป็นผู้ชนะประมูลงาน “โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ” มูลค่า 822 ล้านบาท โดยโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ เป็นโครงการที่อยู่อาศัยตามนโยบายของรัฐบาล ในที่ดินราชพัสดุ ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ประมาณ 15 ไร่  ซึ่งกิจการร่วมค้าดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างตามแผนงานที่วางไว้ และสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของ EMC เติบโตแบบก้าวกระโดดได้ในปี 2562   “กิจการร่วมค้าที่เราร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจจัดตั้งขึ้น สามารถชนะประมูลโครงการบ้านคนไทยประชารัฐในครั้งนี้ เมื่อรวมกับผลการดำเนินงานของ EMC โดยปกติแล้ว จะผลักดันให้ผลการดำเนินงานโดยรวมเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดในปี 2562 ขณะที่ปี 2561 มีแนวโน้มว่าจะประกาศตัวเลขที่มีกำไร จากปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ” นายรัฐชัย กล่าว   นายรัฐชัย กล่าวต่อว่า สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2561 ที่จะสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2561 นั้น มีลุ้นที่จะพลิกเป็นกำไรสุทธิ จากปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงาน 673.76 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของ EMC เริ่มมีกำไรสุทธิตั้งแต่ไตรมาส 2/2561 ต่อเนื่องมายังไตรมาส 3/2561 และมีแนวโน้มว่าจะดีต่อเนื่องถึงไตรมาส 4/2561 เช่นเดียวกัน ซึ่งผลการดำเนินงานโดยรวมในงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 ปรากฏว่า EMC มีกำไรสุทธิ 71.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110.77% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 664.27 ล้านบาท   อย่างไรก็ตาม EMC ยังเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ๆ ให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในส่วนของการพัฒนาโครงการของ EMC ปัจจุบัน เช่น งานโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน ของกรุงเทพมหานคร มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมย่านทองหล่อ มูลค่าโครงการกว่า 900 ล้านบาท รวมทั้งการเพิ่มช่องทางการประมูลงานก่อสร้าง ทั้งงานภาครัฐและภาคเอกชน, การจัดหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อก่อสร้างโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์, มุ่งเน้นบริหารจัดการและบริหารพื้นที่เช่าและที่พักอาศัย โครงการมหาชัยและโครงการสเตชั่นวัน รวมทั้งการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในทุกๆ ด้าน จนสามารถสร้างผลกำไรได้ดีขึ้น ทำให้มั่นใจว่าจะทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มที่จะได้รับการถอนเครื่องหมาย C เร็วๆ นี้          
ออริจิ้น ฉลองครบรอบ 10 ปี เปิดตัว “The Origin” คอนโดแบรนด์ใหม่ ดึง “ซันนี่” เป็น Brand Ambassador

ออริจิ้น ฉลองครบรอบ 10 ปี เปิดตัว “The Origin” คอนโดแบรนด์ใหม่ ดึง “ซันนี่” เป็น Brand Ambassador

ออริจิ้น ฉลองครบรอบ 10 ปี เปิดตัว “The Origin” คอนโดแบรนด์ใหม่เจาะ New Gen ชู Empathy ตอบโจทย์ลูกค้า พร้อมดึง “ซันนี่” เป็น Brand Ambassador   ออริจิ้น ปรับเซ็กเมนต์ธุรกิจสอดรับตลาดอสังหาฯปี 62 พร้อมเปิดตัวแบรนด์ “The Origin” ลุยตลาดคอนโด เพิ่มโอกาสเจาะกลุ่มวัยรุ่น-สะท้อนความเป็นตัวตน ชูแนวทาง “Empathy” ทุกกลุ่มธุรกิจ หนุน Smart Products และ Excellent Services สร้างมาตรฐานเหนือระดับดึงดูดใจลูกค้า ดึง “ซันนี่” นั่งแท่น Brand Ambassador คนใหม่ กระตุ้นการจดจำพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน ปี 62 จ่อเปิดโครงการอสังหาฯเพื่อขายกว่า 26,000 ล้านบาท เตรียมเปิดให้บริการโรงแรม 2 แห่งปลายปีนี้ มั่นใจโกยยอดขายทั้งปีกว่า 28,000 ล้านบาท และรายได้อีกกว่า 19,000 ล้านบาท   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการปรับแผนธุรกิจให้สอดรับกับแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในปี 2562 ทำให้โครงการเปิดใหม่ในปีนี้จะประกอบด้วย 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1.พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) แบรนด์คอนโดมิเนียม เจาะกลุ่ม Young Rich & Success อายุ 30-45 ปี ที่ชื่นชอบ lifestyle และ lifestage ในทำเล CBD และ New CBD ราคาขายประมาณ 4-6 ล้านบาทต่อยูนิต 2.ดิ ออริจิ้น (The Origin) แบรนด์คอนโดมิเนียม เจาะกลุ่มลูกค้าNew Gen วัยเริ่มต้นทำงาน (First Jobber and First Home Buyer) อายุประมาณ 24-28 ปีที่มีแนวคิด Smart Finance เปลี่ยนค่าเช่าเป็นทรัพย์สิน ซื้อคอนโดตามแนวรถไฟฟ้า ในย่านส่วนต่อขยายธุรกิจ (EBD) ราคาขายประมาณ 1.6-2.4 ล้านบาท และ 3.บริทาเนีย (Britania) แบรนด์โครงการแนวราบทั้งทาวน์โฮม บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว ที่มี Smart Design เจาะกลุ่มวัยเริ่มต้นครอบครัว อายุ 28-45 ปี ในระดับราคา 2.5-6 ล้านบาท   “จากความโดดเด่นในการวิจัยการตลาด และความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาสินค้าและบริการ บริษัทมั่นใจว่า Brand Segmentation ที่มีความชัดเจน และ Price Point ที่แม่นยำในลูกค้าเป้าหมายแต่ละกลุ่ม จะทำให้บริษัทสามารถตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะมีการปรับตัวครั้งใหญ่จาก Macro Prudential Policy ของธนาคารแห่งประเทศไทย” นายพีระพงศ์ กล่าว   ทั้งนี้ จุดแข็งสำคัญที่ทำให้บริษัทมัดใจผู้บริโภคได้คือเรื่องความเข้าใจลูกค้า (Empathy) ทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทต่างตระหนักถึงความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มเป็นอย่างดี ส่งผลให้บริษัทจะต่อยอดเรื่อง Empathy ผ่าน 2 เรื่องได้แก่ 1.Smart Products พัฒนาสินค้าทุกประเภทให้มีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น ประกอบกับนำ Smart Technology เข้ามาช่วยเติมเต็ม 2.Excellenct Services มอบบริการเหนือระดับที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้ายุคใหม่ พร้อมปลูกฝังจิตสำนึกพนักงานทุกคนในด้านการบริการแบบนึกถึงใจเขาใจเรา     นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ปีนี้บริษัทยังสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง กับการเปิดตัว Brand Ambassador คนใหม่ คือซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ซุปตาร์แถวหน้าของเมืองไทยที่มี Character ความเป็น Romantic Comedy มาช่วยสะท้อนถึงบุคลิกแบรนด์ต่างๆ ในเครือออริจิ้น ขณะเดียวกัน จะตอกย้ำภาพเรื่อง Empathy ให้ผู้บริโภคได้เห็นทั้งเรื่อง Smart Products และ Excellent Services ชัดเจนมากขึ้น โดยจะมีโฆษณาตัวแรกขึ้นในวันที่ 1ก.พ.นี้   สำหรับผลประกอบการในปี 2561 ถือว่าเป็นไปได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถสร้างยอดขายรวมได้มากกว่า 27,500 ล้านบาท ส่วนปี 2562 นั้น บริษัทตั้งเป้าจะเปิดโครงการอสังหาฯเพื่อขาย มูลค่าโครงการรวมกว่า 26,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น 3 โครงการในทำเลราชเทวี พระราม 4 และอีก 1 โครงการในย่าน New CBD มูลค่ารวมประมาณ 9,000 ล้านบาท 2.แบรนด์ดิ ออริจิ้น 7 โครงการในย่านยอดนิยมสำหรับ New Gen ได้แก่ สุขุมวิท รัชดา ลาดพร้าว รามคำแหง และรามอินทรา มูลค่ารวมประมาณ 9,000 ล้านบาท 3.โครงการมิกซ์ยูสใหม่ Origin District Rayong มูลค่า 2,000 ล้านบาท และ4.แบรนด์บริทาเนีย 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 6,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายจากทั้งโครงการเก่าและใหม่รวมกันไว้ที่ 28,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน จะเปิดตัวโรงแรมใหม่ทั้งสิ้น 2 โครงการ ทำให้ปีนี้ทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทจะมีการเติบโตและรายได้ที่หลากหลายมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 19,000 ล้านบาท   ด้านนางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด บริษัทที่ดูแลธุรกิจโครงการแนวราบในเครือออริจิ้น กล่าวว่า จากเดิมที่เป็นกลุ่มธุรกิจย่อยของเครือในปีที่ผ่านมา มาปีนี้บริษัทพร้อมขับเคลื่อนนำโครงการแนวราบแบรนด์บริทาเนียขึ้นมาเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจหลักของออริจิ้น โดยโฆษณาชิ้นแรกที่มี Brand Ambassador มาแสดงนั้นจะช่วยสะท้อนภาพลักษณ์ที่แตกต่างของแบรนด์บริทาเนียให้อยู่ในการรับรู้ของผู้บริโภค รวมถึงเป็นการเปิดตัวแบรนด์บริทาเนียสู่ตลาดแนวราบ และส่งเสริมให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดต่อไป   “Empathy ในธุรกิจโครงการแนวราบของออริจิ้นนั้น ได้ส่งมอบทั้ง Smart Products และ Excellent Services ในทำเลที่ติดเส้นทางคมนาคมหลัก เดินทางเข้าเมืองได้สะดวกและอยู่ใกล้แหล่งงานที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะกรุงเทพฯโซนตะวันออก บางนา และ EEC จากความประทับใจของลูกค้า พิสูจน์ความสำเร็จได้จากยอดขาย Pre-event ในช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมา กับ 3 โครงการใหม่ คือ บริทาเนีย เมกะทาวน์ บางนา, บริทาเนีย บางนา กม. 12, และ บริทาเนีย วงแหวน-หทัยราษฎร์ ซึ่งเรามียอดขายมากถึง 1,000 ล้านบาทภายในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในการขายบ้านจัดสรรแบบPresale” นางศุภลักษณ์ กล่าว   ด้านนางกมลวรรณ วิปุลากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด บริษัทที่ดูแลธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนในเครือออริจิ้น กล่าวว่า ปี 2562 เป็นปีที่เห็นความสำเร็จของแผนการขยายงานอย่างชัดเจน โดยการก่อสร้างโรงแรมทั้ง 5 แห่งที่ประกาศเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ถือว่าเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโรงแรม Staybridge Suites Bangkok Thonglor และโรงแรม Holiday Inn & Suites Sriracha ที่ก่อสร้างได้เร็วกว่าแผน และคาดว่าน่าจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ และทยอยสร้างรายได้กลับเข้าสู่บริษัท อีกทั้งปี 2562 นี้ บริษัทมีแผนจะเปิดตัว 2 โครงการใหม่ ทั้งโรงแรมในกรุงเทพฯ และมิกซ์ยูสครบวงจรแห่งใหม่ในจังหวัดระยอง ที่จะมีการเติบโตสูงจากการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและ Smart Park ในมาบตาพุด ที่จะเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของ EEC   “ความต้องการเข้าพักของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายที่สำคัญของโลกทั้งในแง่การท่องเที่ยวและการทำธุรกิจ จากความเข้าใจธุรกิจ ความเข้าใจความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย และความร่วมมือกับเชนผู้บริหารระดับโลก ทำให้เราสามารถรังสรรค์ Smart Products และมั่นใจในการส่งมอบ Excellent Services ให้แก่ลูกค้าของเรา” นางกมลวรรณ กล่าว   นายธนา ต่อสหะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด บริษัทที่ดูแลธุรกิจบริการในเครือออริจิ้น กล่าวว่า พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จะถือเป็นกลุ่มธุรกิจสำคัญของออริจิ้นที่นำเรื่อง Excellent Services และ Smart Brokerage มาส่งมอบให้แก่ลูกค้าทุกกลุ่ม เช่น ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย ด้วยวิสัยทัศน์ของเครือไม่ได้เพียงต้องการขายสินค้าแล้วจากไป แต่ต้องการส่งมอบการอยู่อาศัยและประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า   “Insight ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน คือเติบโตมาจากครอบครัวที่ได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี มีคนคอยทำทุกอย่างให้ เมื่อมาอยู่คอนโดหรือบ้านจัดสรรยุคใหม่ จึงต้องการบริการต่างๆ ในทุกช่วงเวลาของการใช้ชีวิต บริการ Fully Services ครบวงจรในการใช้ชีวิตของพรีโม จึงเป็น Excellent Services ที่เติมเต็มความสุขของการอยู่อาศัย” นายธนา กล่าว   ทั้งนี้ พรีโม มีบริการ After Sales Service ครบวงจร ผ่านบริษัทย่อย 6 บริษัท ส่งมอบ Excellent Services ที่ได้รับการการันตีโดยมาตรฐาน ISO 9001 ทั้งด้าน Property Management และด้าน Home Service เป็นรายแรกของไทย ให้แก่ผู้อยู่อาศัยตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นลูกบ้านออริจิ้น พรีโมยังมี Service Application ผ่านแอปพลิเคชั่น BUTLER รวบรวมทุกงานบริการเอาไว้อย่างครบวงจร และในปี 2562 พรีโมไม่ได้มีเป้าหมายเพียงส่งมอบบริการสุดพิเศษนี้ให้เฉพาะลูกบ้านออริจิ้น แต่ยังเปิดกว้างการขยาย Excellent Services เข้าไปช่วยดูแลลูกค้าในโครงการที่อยู่อาศัยทุกแบรนด์ทุกประเภท เพื่อเป็น Living Partner ส่งมอบความสุขให้แก่ทุกคน   สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 51 โครงการ เช่น แบรนด์ PARK ORIGIN, KnightsBridge, Notting Hill, Kensington และ Britania รวมมูลค่าโครงการกว่า 84,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร        
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยทุบสถิติโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในกรุงเทพฯ  สูงสุดในรอบ 10 ปี

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยทุบสถิติโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในกรุงเทพฯ สูงสุดในรอบ 10 ปี

นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมกรุงเทพมหานครในปี 2561 ทุบสถิติการเปิดตัวโครงการใหม่สูงสุดในรอบ 10 ปี โดยมีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดรวมทั้งสิ้นประมาณ 65,000 หน่วย ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 11% ส่งผลให้อุปทานสะสมของคอนโดมิเนียมเฉพาะในกรุงเทพมหานครตั้งแต่ปี 2552 – 2561 อยู่ที่ประมาณ 500,000 หน่วย ทั้งนี้จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยอสังหาริมทรัพย์ ไนท์แฟรงค์ฯ พบว่าไตรมาส 3/2561 มีการเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดคือ 25,000 หน่วย ในขณะที่ไตรมาสสุดท้ายของปีมีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดประมาณ 17,000 หน่วย โดยเปิดตัวหนาแน่นในเขตชานเมืองโดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวและสายสีน้ำเงิน ซึ่งอุปทานใหม่ในพื้นที่ดังกล่าวคิดเป็น 57% ของหน่วยเปิดใหม่ทั้งหมดในไตรมาส 4/2561 เมื่อมองภาพรวมทั้งปี พบว่าเขตชานเมืองโดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายแทบทุกสายยังคงเป็นพื้นที่ที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สัดส่วนของอุปทานใหม่ใน CBD และพื้นที่รอบ CBD อยู่ที่ 18% และ 33% ตามลำดับ ส่วนทำเลเด่นที่ผู้ประกอบการสนใจเป็นพิเศษในปี 2561 ได้แก่ ถ.สุขุมวิทตั้งแต่ช่วงอโศก–เอกมัย ถ.พหลโยธินตามแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย (หมอชิต-คูคต) พระราม 9–รัชดาภิเษก ลาดพร้าว–รามคำแหง และจรัญสนิทวงศ์–เพชรเกษม   อุปทานของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปี 2553 - 2561   อุปทานของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ แบ่งตามโซน ปี 2561   ด้านยอดขาย พบว่ายอดขายเฉลี่ยของโครงการเปิดใหม่ในกรุงเทพมหานครตลอดปี 2561อยู่ที่ประมาณ 55% โดยคอนโดขายดีส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ CBD และโซนรอบ CBD มียอดขายประมาณ 51% และ 64% ตามลำดับ ในขณะที่คอนโดเปิดใหม่ย่านชานเมืองมียอดขายประมาณ 50% ซึ่งถือว่าไปได้ดีเมื่อเทียบกับอุปทานใหม่จำนวนมากที่เข้าสู่ตลาดในพื้นที่นี้ ส่วนทำเลที่ได้รับความนิยมสูงจากผู้ซื้อได้แก่ สุขุมวิทตอนกลาง (อโศก–อ่อนนุช) สุขุมวิทตอนปลาย (อุดมสุข–แบริ่ง) พระราม 9-รัชดาภิเษก พหลโยธิน (จตุจักร–พหลโยธิน 52) และธนบุรี ขณะที่ภาพรวมด้านราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรของยูนิตเปิดใหม่ปี 2561 อยู่ที่ 150,641 บาท ปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้า 6% โดยราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรของคอนโดใหม่ในเขต CBD และพื้นที่รอบ CBD อยู่ที่ 250,000 บาท และ 120,000 บาท ลดลง 8% และ 7% ตามลำดับเมื่อเทียบกับปี 2560 อย่างไรก็ตาม ราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรของยูนิตเปิดใหม่ย่านชานเมืองมีแนวโน้มขยับขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2561 อยู่ที่ 85,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 3%, 13% และ 20% จากปี 2560, 2559 และ 2558 ตามลำดับ   อุปทานสะสม อุปสงค์สะสม และอัตราการขายสะสม คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปี 2553 - 2561     ราคาเสนอขายของคอนโดมิเนียมใหม่ในกรุงเทพฯ ปี 2553 – 2561   สำหรับแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 คาดว่าจะชะลอตัวจากสถานการณ์ตลาดโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นนโยบายกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย การปรับตัวขึ้นของดอกเบี้ยนโยบายภายในประเทศ และภาวะเศรษฐกิจโลกซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อจากต่างประเทศ ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยอสังหาริมทรัพย์ ไนท์แฟรงค์ฯคาดว่าไตรมาสแรกของปีนี้ ราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากปีที่แล้ว ด้วยแรงหนุนจากการเปิดตัวของโครงการในหลายทำเลทั้งใน CBD และพื้นที่รอบ CBD นอกจากนี้ใน Q1/2562 อัตราการโอนกรรมสิทธิ์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากผู้ซื้อต้องการโอนให้เสร็จก่อนนโยบายกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะถูกบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2562 นี้        
เอสซีจี เซรามิกส์ แถลงผลประกอบการไตรมาส 4 และปี 2561

เอสซีจี เซรามิกส์ แถลงผลประกอบการไตรมาส 4 และปี 2561

เอสซีจี เซรามิกส์ แถลงผลประกอบการไตรมาส 4 และปี 2561 เน้นกลยุทธ์แบรนด์สินค้า เพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมบุกขยายตลาดต่างประเทศ   ผลประกอบการไตรมาส 4 และผลประกอบการปี 2561 ของ เอสซีจี เซรามิกส์ รายได้และกำไรลดลงเนื่องจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรงและต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น เร่งสร้างความแข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์การบริหารแบรนด์สินค้า ชูกระเบื้อง 3 แบรนด์หลัก คอตโต้ คัมพานา และโสสุโก้ ลงตลาดครบทุกช่องทางเจาะทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมบุกขยายตลาดในกลุ่มประเทศ CLM   นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์ “คอตโต้” (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และ คัมพานา (CAMPANA)   เปิดเผยว่า   งบการเงินรวมก่อนสอบทานของ COTTO ในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 2,713 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง ร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน โดยมีกำไร 66 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 49 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 160 จากไตรมาสก่อน   สำหรับผลประกอบการในปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 11,557 ล้านบาท ลดลงจากปี 2560 ร้อยละ 11 มีกำไรสุทธิรวมจำนวน 10 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 566 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสำคัญจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรง ต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นและค่าใช้จ่ายที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น ค่าใช้จ่ายสำหรับแผนการออกจากงานด้วยความเห็นชอบร่วมกัน ค่าที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบการจัดการและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท   ในปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการส่งออก 2,534 ล้านบาท และรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียน 1,833 ล้านบาท โดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 มีรายได้จากการส่งออก 527 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20 ของยอดขายรวม ลดลงร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีปริมาณขายในภูมิภาคอาเซียนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17 ของปริมาณขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 4  จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับสินทรัพย์รวมของ COTTO ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 มีมูลค่า 11,725 ล้านบาท   นายนำพล กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าไตรมาสที่ผ่านมาตลาดจะเติบโตขึ้น 1% จากราคาเกษตรที่สูงขึ้นและสัญญาณการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงแต่เมื่อมองในภาพรวมของทั้งปีจะเห็นว่าตลาดยังคงชะลอตัวอยู่ -2% ประกอบกับปัจจัยลบที่สำคัญคือต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้ผลประกอบการของ COTTO ในไตรมาส 4 และโดยรวมปี 2561 มีรายได้ลดลง”   ดังนั้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ในปีนี้ บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การบริหารแบรนด์สินค้าควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐานและบริการของสินค้าทุกแบรนด์เพื่อให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านดีไซน์ ความสวยงาม คุณภาพสินค้าและบริการที่เหนือกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าทั้งจากในและต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าที่มุ่งแข่งขันเรื่องราคาเป็นหลัก   ปัจจุบันสินค้ากระเบื้องเซรามิกของบริษัทมี 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ คอตโต้ คัมพานา และโสสุโก้ โดยแบ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีไลฟสไตล์แตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ   คอตโต้ (COTTO) มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรม และความล้ำสมัยมีความสวยงามที่แตกต่างโดดเด่น เลือกสินค้าเพื่อสะท้อนตัวตนของผู้ใช้งาน คัมพานา (CAMPANA) เน้นความเรียบง่ายให้อารมณ์อบอุ่น และสวยงามแบบธรรมชาติ โสสุโก้ (SOSUCO) นำเสนอลวดลายที่มีความหลากหลายสำหรับพื้นที่ใช้สอยโดยทั่วไป เหมาะกับ     กลุ่มลูกค้าที่ชอบความสะดวกสบายและสินค้าที่ใช้งานง่าย   ในส่วนของการขยายตลาดในต่างประเทศ นายนำพล เปิดเผยว่า บริษัทให้ความสำคัญกับกลุ่มประเทศ CLM หรือ กัมพูชา ลาว และพม่า โดยจะเน้นการวางรากฐานและระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างฐานลูกค้าและเครือข่ายการจัดจำหน่ายเพื่อเพื่อความแข็งแกร่งของการขยายตลาดไปยังต่างประเทศด้วย   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนงานที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มช่องทางการขายเพื่อให้ครอบคลุมและเข้าถึงลูกค้าทุกระดับ โดยมีแผนงานเพิ่มสาขาพื้นที่ขาย “คลังเซรามิค” ในจุดที่ช่องทางจัดจำหน่ายในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมเป็น 100 สาขาภายใน 5 ปี เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ชอบความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าและต้องการสินค้าที่หลากหลายใช้งานง่าย ปัจจุบัน “คลังเซรามิค” มีสาขาที่เปิดให้บริการแล้วรวม 25 สาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ มีพื้นที่การขายเฉลี่ยของแต่ละสาขามากกว่า 1,200 ตารางเมตร ทำให้บริษัทฯ มีช่องทางจำหน่ายสินค้าครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพิ่มเติมจากการขายสินค้าผ่านผู้แทนจำหน่าย โมเดิร์นเทรด และ Flagship Store ที่  คอตโต้ สตูดิโอ   เอสซีจี เอ็กซ์พีเรียนซ์ และ VOA Space ที่ จ.ขอนแก่น   “ในส่วนของการบริหารต้นทุน บริษัทฯ มีแผนงานเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการผลิต โดยส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทดแทนเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานในโรงงาน ควบคู่ไปกับการปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดการใช้พลังงานด้วย บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถปรับตัวรับมือกับสถานการณ์การแข่งขันรุนแรงในประเทศและสามารถรักษาความแข็งแกร่งของการดำเนินธุรกิจในประเทศไว้ได้เนื่องจากเรามีการเตรียมความพร้อมในทุกด้าน ทั้งแผนงานระยะสั้นเพื่อรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงแผนงานระยะยาวเพื่อมุ่งสร้างความแข็งแกร่งและหาแนวทางการเติบโตให้กับธุรกิจด้วย” นายนำพล กล่าวสรุป   สำหรับภาพรวมตลาดในปี 2562 มีปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซรามิก ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทยที่อาจทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของนักลงทุนภายในประเทศ   อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าในปี 2562 เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาจากการลงทุนของภาครัฐและเอกชนที่สูงขึ้น จึงทำให้ความต้องการใช้สินค้ากระเบื้องเซรามิกมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย โดยมีปัจจัยบวกที่เป็นโอกาสดีของธุรกิจวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะกลุ่มกระเบื้องปูพื้นและบุผนังจากโครงการ Mixed use หรือ การก่อสร้างเพื่อการพาณิชยกรรมภายใต้แนวคิดการรวมกันของกลุ่มผู้อยู่อาศัยและกลุ่มการค้าเพื่อการพาณิชย์ที่มีโครงการที่มูลค่าสูงกว่า 4 แสนล้านบาทซึ่งได้เริ่มทยอยก่อสร้างในพื้นที่กรุงเทพมหานครและมีแนวโน้มที่จะขยายตัวออกไปยังพื้นที่ในเมืองอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ รวมทั้งนโยบายภาครัฐที่ต้องการสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองโดยการปล่อยสินเชื่อผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ให้แก่ผู้ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ตลอดจนการปล่อยสินเชื่อพัฒนาโครงการให้แก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อก่อสร้างบ้าน รวมถึงโครงข่ายคมนาคมรถไฟฟ้าและมอเตอร์เวย์ที่ทำให้การเดินทางออกสู่ชานเมืองและต่างจังหวัดสะดวกขึ้นยังช่วยสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์พื้นที่ชานเมือง ปริมณฑลและจังหวัดทางตะวันออก   บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าปัจจัยบวกเหล่านี้จะส่งผลให้ภาพรวมของตลาดวัสดุก่อสร้างในปี 2562  มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น        
สมาคมสถาปนิกสยามฯ จัดงานสถาปนิก’62 ภายใต้แนวคิด  “กรีน อยู่ ดี : Living Green”

สมาคมสถาปนิกสยามฯ จัดงานสถาปนิก’62 ภายใต้แนวคิด “กรีน อยู่ ดี : Living Green”

สมาคมสถาปนิกสยามฯ และ บริษัท เอ็น.ซี.ซี.เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด แถลงข่าวการจัดงานสถาปนิก ’62 (Architect’19) “กรีน อยู่ ดี : Living Green” ซึ่งจะจัดระหว่างวันที่ 30 เมษายน - 5 พฤษภาคม 2562 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี บนพื้นที่กว่า 60,000 ตารางเมตร   นายอัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “งานสถาปนิก เป็นงานจัดแสดงสถาปัตยกรรม วัสดุและเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ริเริ่มโดย สมาคมสถาปนิกสยามฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 การจัดงานครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 33 จุดประสงค์ของการจัดงาน เพื่อแสดงศักยภาพ และนำเสนอผลงานความก้าวหน้าทางสถาปัตยกรรม สร้างความตระหนักรู้ถึงบทบาทวิชาชีพสถาปนิกที่มีต่อสังคม ผ่านนิทรรศการและกิจกรรมมากมายของสมาคมฯ จัดมาอย่างต่อเนื่อง กว่าสามทศวรรษ  มีผู้ชมงานกว่า 4 แสนคนในปีที่ผ่านมา   งานสถาปนิก นำเสนอวัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับงานสถาปัตยกรรม การออกแบบตกแต่งภายในและภูมิสถาปัตยกรรม นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการและกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย การอบรมสัมมนา ระดับนานาชาติ ตลอดจนบริการต่างๆ ที่ทางสมาคมสถาปนิกสยามฯ ได้เตรียมไว้ให้กับสมาชิก และประชาชนทั่วไป   ในการจัดงานในแต่ละปี ทางสมาคมฯ ได้กำหนดแนวคิด (concept) ที่แตกต่างกันออกไป เพื่อต้องการให้สะท้อนถึงกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกในขณะนั้น ซึ่งแนวคิดในการจัดงานปีนี้คือ “กรีน อยู่ ดี : Living Green” นำเสนอการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการออกแบบเพื่อวิถีชีวิตที่ยั่งยืน     ในงานแถลงข่าว ดร.อัจฉราวรรณ จุฑารัตน์ ประธานจัดงานสถาปนิก ’62 กล่าวถึงการจัดงานในปีนี้ว่า “ปัญหาความเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ภาวะโลกร้อน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของคนทุกคนบนโลก เป็นปัญหาสำคัญที่คนในทุกสาขาอาชีพต้องให้ความสำคัญร่วมหาทางออกอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาชีพสถาปนิก ที่การทำงานส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เมืองและชุมชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตั้งแต่ออกแบบ การเลือกใช้วัสดุ วิธีการก่อสร้าง ฯลฯ งานสถาปนิก’62 “กรีน อยู่ ดี : Living Green” นำเสนอแนวคิดการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรม และงานออกแบบที่ยั่งยืน นวัตกรรมวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการนำภูมิปัญญาท้องถิ่น มาผนวกกับเทคโนโลยี เพื่อสร้างโซลูชั่นที่เหมาะสมกับบริบทในปัจจุบัน ผ่านการจัดแสดงในรูปแบบนิทรรศการและกิจกรรมให้ความรู้มากมาย   นับเป็นครั้งแรกของงานสถาปนิกที่จะสร้าง “ประสบการณ์สีเขียว” (Green Experience) ให้กับผู้ชม ด้วยแนวคิดการออกแบบเพื่อความยั่งยืนในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในการก่อสร้างนิทรรศการต่างๆ การออกแบบแสงภายในพื้นที่การจัดแสดงที่เหมาะสมเพื่อลดการใช้พลังงาน  แนวคิดการลดขั้นตอนการใช้กระดาษในการทำงานระหว่างผู้จัดงานและผู้แสดงงาน ระบบการจัดการกับขยะที่เกิดขึ้นภายในงาน และการนำวัสดุที่เกิดขึ้นจากการจัดงานไปใช้ใหม่หลังจบงาน”   งานสถาปนิก’62 มีพื้นที่กว่า 60,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือส่วนผู้แสดงสินค้า ที่รวมแบรนด์ชั้นนำทั่วโลกกว่า 850 ราย และ ส่วนพื้นที่กิจกรรมของสมาคมสถาปนิกฯ ซึ่งประกอบไปด้วยนิทรรศการธีมงาน (Thematic Exhibitions) และพื้นที่กิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ :   นิทรรศการ “Green Building Showcase” แนวคิดการออกแบบอาคารสีเขียวจากนักออกแบบชั้นนำ ของเอเชีย นิทรรศการ “ภูมิปัญญาจาก 3 ภูมิภาคสู่ปัจจุบัน” นำเสนอนวัตกรรมท้องถิ่นที่อาจเป็นคำตอบ ของการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนในอนาคต นิทรรศการ “Go Zero Waste ชีวิตใหม่ ไร้ขยะ” นิทรรศการ “Innovative Green Products” รวมวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   นิทรรศการกิจกรรมประกวดงานออกแบบระดับนานาชาติ ASA International Design Competition 2019 เวทีสำคัญสำหรับสถาปนิกรุ่นใหม่ ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 280,000 บาท โจทย์การออกแบบของปีนี้คือ Uncanny Sustainability ค้นหาไอเดียการสร้างสรรค์งานออกแบบที่ยั่งยืนและแตกต่างจากรูปแบบเดิมๆ งานนี้เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจทั่วไปจากทั่วโลกร่วมส่งผลงาน ไม่ได้จำกัดแค่สถาปนิกเท่านั้น นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมสันทนาการที่ให้ความเพลิดเพลินสำหรับประชาชนทั่วไป เวิร์กช็อปให้ความรู้ภาคปฏิบัติ, เวทีกลาง พื้นที่สาธารณะสำหรับพักผ่อน ให้ผู้ชมงานได้สนุกสนานกับการแสดงและกิจกรรมน่าสนใจที่หมุนเวียนไปตลอดการจัดงาน, “หมอบ้านอาษา” ที่ตอบปัญหาสารพัดเรื่องบ้านและการออกแบบให้แก่ประชาชนทั่วไป   อีกหนึ่งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้คือ  “ASA Forum 2019” งานสัมมนาสถาปัตยกรรมระดับนานาชาติ  โดยปีนี้มีสถาปนิกและนักออกแบบที่มีชื่อเสียงมาร่วมบรรยายบนเวทีอย่างคับคั่ง อาทิ Atelier Ten สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอาคารชั้นสูงจากนิวยอร์ก, สถาปนิกจากบริษัท Foster + Partners, Eco Architect, S/T/U/do เป็นต้น   การจัดงานสถาปนิก’62 ครั้งนี้ ได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) สถานเอกอัครราชทูตออสเตรีย สถาบันอาคารเขียวไทย และองค์กรเอกชนที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดยั่งยืนอีกหลายราย เป็นการจัดงานแสดงด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ครบวงจร และใหญ่ที่สุดในภูมิภาค คาดว่าจะดึงดูดผู้ชมมากกว่าปีที่ผ่านมาไม่น้อยกว่าร้อยละ 25    นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด หรือนีโอ ผู้บริหารงานสถาปนิก’62 เปิดเผยความคืบหน้าการจัดงานฯ ล่าสุด ในสองส่วนหลัก หนึ่ง คือ การบริหารพื้นที่จัดแสดงสินค้า ซึ่งในปีนี้จัดอย่างยิ่งใหญ่บนพื้นที่ 60,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับผู้ร่วมแสดงสินค้า (Exhibitors) จากทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เช่น อเมริกา เยอรมนี อิตาลี ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง รวมทั้งประเทศสมาชิกอาเซียน และโดยเฉพาะ CLMV ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่นีโอให้ความสำคัญ รวมกว่า 850 บริษัทชั้นนำทั่วโลก โดยขณะนี้มีอัตราการจองพื้นที่จัดแสดงสินค้าแล้ว กว่าร้อยละ 80 ผู้ประกอบการรายใหญ่จากทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ตอบรับเข้าร่วมแสดงสินค้าแล้ว เช่น Jarakae, L & E (Lighting and Equipment), Modernform, Hafale, Cannon, Misubishi Electric, BOSCH, 3M, Modern Glass และอีกมากมาย   ด้านที่สอง คือ การอำนวยความสะดวกเพื่อเอื้อต่อการขยายธุรกิจของผู้ร่วมแสดงสินค้า เพื่อให้งานสถาปนิก’ 62 เป็นเวทีสำคัญสำหรับผู้ร่วมแสดงสินค้าที่จะได้มีโอกาสเปิดตลาดสู่อาเซียน จากความร่วมมือขององค์กรภาครัฐและเอกชน ที่จะมาร่วมกันสนับสนุนให้งานสถาปนิกเติบโตเป็นหนึ่งในงานแสดงสินค้าที่สำคัญที่สุดในแวดวงสินค้าวัสดุก่อสร้างเพื่อสถาปัตยกรรมระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นเวทีสำคัญและใหญ่ที่สุดในการนำเข้าเทคโนโลยีสินค้าและนวัตกรรมใหม่ๆ จากทั่วโลกมาสู่อาเซียน และเป็นเวทีนี้ยังเป็นเวทีที่จัดแสดงสินค้า made in Thailand & ASEAN ที่จะส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นๆนอกภูมิภาค โดยนีโอได้จัดเตรียมบริการในด้านต่างๆ เพื่อรองรับผู้แสดงสินค้าที่จะเข้าร่วมเจรจาจับคู่ทางธุรกิจต่อธุรกิจ (บีทูบี) อาทิ การเรียนเชิญผู้ซื้อมาจากต่างประเทศ เช่น กลุ่มสมาคมที่เกี่ยวข้องกับด้านสถาปนิก หรือกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับด้านอสังหาริมทรัพย์ “จากชื่อเสียงของงานสถาปนิกที่มีประวัติยาวนานกว่า 30 ปี และประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญของนีโอที่ได้จัดงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศมาเป็นเวลานาน ได้สร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างดี โดยนีโอได้ใช้กลยุทธ์การสร้างเครือข่ายพันธมิตรต่างๆ เพื่อดึงดูดให้ผู้ร่วมแสดงสินค้าและผู้ชมงานมาร่วมงาน ซึ่งในส่วนของผู้ชมงาน คาดว่าจะมีมากกว่า 5 แสนคน” นายศักดิ์ชัยกล่าว   งานสถาปนิก’62 “กรีน อยู่ ดี : Living Green” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 เมษายน -  5 พฤษภาคม 2562 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้า อิมแพ็ค เมืองทองธานี   ลงทะเบียนเข้าชมงาน www.asa.or.th/architectexpo Facebook : ASAArchitectExposition รายละเอียดกิจกรรมประกวดออกแบบ ASA International Design Competition ดูเพิ่มเติมได้ที่ www.asacompetition.com            
SC ตั้งเป้าปี 62 เติบโต 40% เตรียมเปิด 12 โครงการใหม่

SC ตั้งเป้าปี 62 เติบโต 40% เตรียมเปิด 12 โครงการใหม่

SC ตั้งเป้าเติบโตทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรสุทธิ มุ่งยอดขายเติบโตมากกว่า 40% ในปี 62 และรายได้ 19,000 ลบ.  เตรียมเปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่า 22,700 ลบ. เผย “โครงการ SCOPE หลังสวน” เปิดขายปีนี้   นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยแผนธุรกิจว่า “ในปี 2562 SC มุ่งเติบโตทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรสุทธิ โดยตั้งเป้ายอดขาย 22,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 40% เทียบกับปีที่ผ่านมา และรายได้ 19,000 ล้านบาท ”   โดยยอดขายทั้งปีของ SC จะมาจากโครงการเพื่อขายทั้งหมดรวม 58 โครงการ มูลค่ารวม 62,700 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการต่อเนื่อง 46 โครงการ มูลค่า 40,000 ล้านบาท และ โครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่า 22,700 ล้านบาท   โครงการใหม่แบ่งเป็น 8 โครงการแนวราบ มูลค่ารวม 6,500 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านเดี่ยว ระดับราคา 4-50 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ เพฟ, เวนิว, บางกอก บูเลอวาร์ด และ เดอะเจนทริ พร้อมบ้านและทาวน์โฮม 2-5 ล้านบาท มีแบรนด์ วี คอมพาวด์ กับ เวิร์ฟ โดยทุกโครงการอยู่ในทำเลศักยภาพ ได้แก่ พระราม 5 , วิภาวดี , รังสิต , บางนา และ ลาดพร้าว-เสรีไทย เป็นต้น   ส่วนโครงการแนวสูงจะรุกเปิดทำเลใจกลางกรุงเทพฯ รวม 4 โครงการใหม่ มูลค่า 16,200 ล้านบาท โดย SC เปิด 2 โครงการ และ SCOPE จำนวน 2 โครงการ   คอนโดฯ ที่ SC เปิดใหม่ 2 โครงการ มูลค่า 6,000 ล้านบาท ได้แก่ 1. โครงการ The Crest ทำเล Prime ที่สุดของย่านห้าแยกลาดพร้าว ตั้งอยู่ใกล้ศูนย์รวมคมนาคมแห่งอนาคต โดยใกล้กับ Interchange Station กับ BTS ห้าแยกลาดพร้าว และเพียง 75 เมตร จาก MRT พหลโยธิน พื้นที่ขนาดกว่า 1.3 ไร่ มูลค่า 3,500 ล้านบาท อีกทั้งแวดล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าว ยูเนียนมอลล์ ที่สำคัญ คือ ใกล้สวนจตุจักร และสวนรถไฟ ที่ได้วิวสวนพื้นที่กว่า 700 ไร่  โดยพัฒนาภายใต้บริษัท เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน จำกัด (SC NNR1 Co.,Ltd.) บริษัทร่วมทุนระหว่าง SC กับ Nishitetsu Group ยักษ์ใหญ่และผู้นำในภูมิภาคคิวชู 2. โครงการ The Crest ทำเลสุขุมวิท 23 ย่านใจกลางธุรกิจสำคัญซึ่งผสมผสานความสะดวกสบายใจกลางเมือง ทั้งอยู่ใกล้กับ Interchange Station สถานีอโศก และสุขุมวิท บนพื้นที่กว่า 1.5 ไร่ มูลค่า 2,500 ล้านบาท โดยความพิเศษของทำเลนั้น เป็นจุดเชื่อมต่อพื้นที่ lifestyle ใกล้แหล่งท่องเที่ยวและชอปปิ้ง ในย่านทองหล่อ พร้อมพงษ์ และอโศก   สำหรับบริษัท สโคป จำกัด ซึ่งมีนายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ เป็น CEO บริหารอยู่ ปีนี้จะเปิด คอนโดฯ ใหม่ 2 โครงการ มูลค่า 10,200 ล้านบาท ได้แก่ 1. โครงการ SCOPE หลังสวน บนพื้นที่ประมาณ 2.02 ไร่ มูลค่าโครงการ 7,800 ล้านบาท   2. โครงการ SCOPE ทองหล่อ บนพื้นที่ประมาณ 1.01 ไร่ มูลค่า 2,400 ล้านบาท   โดยสรุปโครงการเพื่อขายทั้งหมด 58 โครงการ แบ่งสัดส่วนแนวราบ : แนวสูง คือ 60:40 ในส่วนแนวราบมี stock พร้อมโอน 3,000 ล้านบาท และ stock จากแนวสูงพร้อมโอน 6 โครงการ 8,400ล้านบาท ได้แก่ โครงการ SALADAENG ONE (ศาลาแดง วัน), BEATNIQ (บีทนิค) สุขุมวิท, CHAMBERS CHER (แชมเบอร์ส เฌอ) รัชดา-รามอินทรา  และ CHAMBERS CHAAN (แชมเบอร์ส ชาน) ลาดพร้าว-วังหิน เป็นต้น พร้อมกับอีก 2 โครงการใหม่สร้างเสร็จพร้อมโอนเพิ่มในปีนี้ คือ   1. โครงการ 28 CHIDLOM (ทเวนติ้เอท ชิดลม)   2. โครงการ CENTRIC RATCHAYOTHIN (เซ็นทริค รัชโยธิน)                
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ชี้ปี’62 ตลาดอาคารสำนักงานมาแรง

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ชี้ปี’62 ตลาดอาคารสำนักงานมาแรง

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้ปี’62 ตลาดอาคารสำนักงานมาแรง จับตาทำเล “พระราม 9-รามคำแหง” บูม อัตราการเช่าสูงถึงกว่า 90% เตรียมผุดมิกซ์ยูส “เมเจอร์ ทาวเวอร์ พระราม 9-รามคำแหง” มูลค่า 2,100 ล้านบาท   เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้ปี’62 ตลาดอาคารสำนักงานมาแรง ระบุทำเล “พระราม 9-รามคำแหง” น่าจับตามอง ชี้อัตราการเช่าสูงกว่า 90% และมีราคาค่าเช่าพุ่งถึง 7% ต่อปี เตรียมผุดอาคารสำนักงานแบรนด์ “เมเจอร์ ทาวเวอร์” ภายใต้ชื่อ “เมเจอร์ ทาวเวอร์ พระราม 9-รามคำแหง” มิกซ์ยูสรูปแบบใหม่ มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท ใกล้แอร์พอร์ตลิงค์ สถานีรามคำแหง เพียง 600 เมตร และรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ที่จะเปิดให้บริการในปี’66 เพียง 300 เมตร คาดอนาคตตลาดอาคารสำนักงานเติบโตต่อเนื่อง อีก 5 ปี จ่อเข้าตลาดอีกกว่า 766,000 ตร.ม.   คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2562 ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่ามีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของอัตราราคาค่าเช่าและพื้นที่ให้เช่า เนื่องจากความความต้องการยังมีสูงแต่ซัพพลายมีจำกัด โดยปัจจุบันตลาดอาคารสำนักงานไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในเฉพาะโซนซีบีดีเหมือนที่ผ่านมา เริ่มขยับขยายออกไปจากรอบนอกสีลม, สาทร, สุขุมวิทชั้นใน เนื่องจากมีการขยายเมือง และการเกิดขึ้นของสาธารณูปโภคและคมนาคมหลากหลายรูปแบบ   สำหรับทำเลที่น่าจับตามอง คือ ทำเลพระราม 9-รามคำแหง เนื่องจากมีความต้องการอาคารสำนักงานสูงมาก โดยมีอัตราการเช่าสูงถึง 90% ขณะที่อัตราราคาค่าเช่าของอาคารสำนักงานที่เปิดใหม่ในทำเลนี้สูงขึ้นต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงปีละ 7% ทั้งนี้ทำเลพระราม 9-รามคำแหง เป็นทำเลศักยภาพแห่งใหม่ ใกล้ตัวเมืองและเป็นเขตรอยต่อของย่านธุรกิจ อย่างย่านรัชดา ทองหล่อและสุขุมวิท อีกทั้งยังเดินทางสะดวก ใกล้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์, มอเตอร์เวย์, ทางด่วนฉลองรัช และทางด่วนศรีรัช รวมถึงยังใกล้โรงพยาบาลชั้นนำอย่าง โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์, โรงพยาบาลรามคำแหง และสถานศึกษาสำคัญ เช่น มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, มหาวิทยาลัยรามคำแหงและมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด รวมทั้งยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต ในอีก 2-3 ปี จะมีการเปิดตัวมิกซ์ยูส คอมเพล็กซ์ ที่รีโนเวทจากศูนย์การค้าเดอะมอลล์ รามคำแหง ซึ่งจะทำให้ทำเลนี้คึกคักเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังจะมีการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าถึง 3 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง และรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน บางซื่อ-หัวหมาก ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2563 และรถไฟฟ้าสายสีส้ม  ตลิ่งชัน-มีนบุรี คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2566 โดยเมื่อโครงการรถไฟฟ้าทั้ง 3 สายเสร็จแล้วคาดว่าจะเข้ามาเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับทำเลนี้เป็นอย่างมาก     คุณเพชรลดา กล่าวว่า “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เล็งเห็นศักยภาพของทำเลพระราม 9-รามคำแหง จึงได้เตรียมพัฒนาอาคารสำนักงานเกรดเอแบรนด์ เมเจอร์ ทาวเวอร์ ภายใต้ชื่อ “เมเจอร์ ทาวเวอร์ พระราม 9-รามคำแหง” มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท โดยเป็นโครงการมิกส์ยูส (Mixed-use) รูปแบบใหม่ ประกอบด้วยอาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม และร้านค้า  มีพื้นที่ประมาณ 25,000 ตร.ม. ใกล้แอร์พอร์ตลิงค์ สถานีรามคำแหง เพียงแค่ 600 เมตร รวมทั้งยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เพียง 300 เมตร ซึ่งพัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Boutique Art Gallery’ โดยตั้งใจรังสรรค์ออกแบบเพื่อให้เป็นออฟฟิศในฝันของคนรุ่นใหม่ที่ตอบโจทย์การทำงานอย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกับโครงการแรก “เมเจอร์ ทาวเวอร์ ทองหล่อ” บนทองหล่อ ซอย 10 ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก มีอัตราการเช่าเต็ม 100%”   ทั้งนี้ สำหรับแนวโน้มตลาดอาคารสำนักงาน คาดว่าในปี 5 ปีข้างหน้า จะมีซัพพลายสูงขึ้นมาก โดยมีพื้นที่อาคารสำนักงานใหม่ให้เช่าเพิ่มขึ้นประมาณ 766,000 ตร.ม. ขณะที่เทรนด์ตลาดอาคารสำนักงาน โครงการมิกซ์ยูสกำลังมีความต้องการเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นอสังหาฯ รูปแบบใหม่ที่รวมโครงการที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม หรือแม้แต่ความบันเทิงเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะในย่านศูนย์กลางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นทางเลือกใหม่ให้กับกลุ่มผู้อยู่อาศัยที่ต้องการความสะดวกสบายเป็นหลัก          
ไทยพุ่งอันดับหนึ่งอสังหาฯ ยอดนิยมของผู้ซื้อชาวจีน

ไทยพุ่งอันดับหนึ่งอสังหาฯ ยอดนิยมของผู้ซื้อชาวจีน

Juwai.com (จูเหว่ย) เว็บไซต์ซื้อ-ขายอสังหาฯอันดับหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากชาวจีนเผยข้อมูลปี61 อสังหาฯไทยขึ้นแท่นได้รับความนิยมจากชาวจีนเป็นอันดับ1 และเป็นอันดับ4 ที่จีนเข้ามาลงทุน คิดเป็นมูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกรุงเทพฯยังมีพื้นที่น่าลงทุนอันดับแรก  ระบุเมกะโปรเจกต์ภาครัฐที่มีต่อเนื่องสร้างความเชื่อมั่นศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาว  ด้านผู้บริหารTeC ชี้เหตุผลดึงจีนลงทุนในไทย ช่วยดันGDPโต และศึกษาโนว์ฮาวพัฒนาประเทศ ขณะที่นักวิจัยตลาดอสังหาฯเผยพฤติกรรมการคนจีนเปลี่ยนจากการทำตลาดหลายช่องทาง ส่งผลกระจายซื้อได้หลายทำเล   นางแคร์รี่ ลอร์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการบริษัท Juwai.com เปิดเผยว่าข้อมูลจาก Juwai.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์อันดับหนึ่งสำหรับชาวจีนในการค้นหาอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศซึ่งเข้าถึงผู้บริโภคประมาณ 3.1 ล้านคนต่อเดือน มีจำนวนประกาศขายอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 2 ล้านประกาศ  รองรับการใช้งานกว่า 90 ประเทศ  และจากข้อมูลในปี 2559-2560 พบว่าประเทศไทยได้ถูกจัดอันดับความนิยมในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของชาวจีน จากลำดับ 6 ในปี 2559 ลำดับ 3 ในปี 2560 และในปี 2561ที่ผ่านมา พบว่าเป็นครั้งแรกที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยได้รับความสนใจ จากผู้ซื้อชาวจีนเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ1 รองลงมาเป็นชาวออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แคนนาดา อังกฤษ มาเลเซีย นิวซีแลนด์ กรีซ ญี่ปุ่น และเยอรมนี ตามลำดับ     จากข้อมูลล่าสุดของปี 2561 ยังพบว่าประเทศที่ชาวจีน เข้าไปลงทุนมากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา คิดเป็นมูลค่า 30.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือฮ่องกง มูลค่า 16.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, ออสเตรเลีย มูลค่า 14.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, ไทยมูลค่า2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมาเลเซีย มูลค่า 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ     ทั้งนี้ จากข้อมูล Juwai.com พบว่าในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนจากประเทศจีนและฮ่องกงได้มีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยจำนวน 15,000 ยูนิต เป็นสัดส่วนถือครองตัวเลขกว่าครึ่งหนึ่งของนักลงทุนชาวต่างชาติทั้งหมดที่ลงทุนในประเทศไทย หากประเมินจากตัวเลขการซื้อ ชาวจีนและฮ่องกงจะเฉลี่ยราคาห้องละ 5 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าลงทุนรวมการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยรวมในปี 2561 เป็นมูลค่า 75,000 ล้านบาท สำหรับพื้นที่นักลงทุนชาวจีนให้ความสนใจในประเทศไทยที่จะลงทุนลำดับ 1 คือ กรุงเทพ รองลงมาคือ เชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต และสัตหีบ   “เราไม่เคยเห็นความต้องการของผู้ซื้อชาวจีนต่ออสังหาริมทรัพย์ไทยสูงขนาดนี้มาก่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ อีกทั้งมีวิสัยทัศน์ด้านการลงทุนและเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี ประกอบกับปัจจัยอื่นที่เป็นตัวผลักดันให้ผู้ซื้อชาวจีนที่กำลังมองหาทำเลในต่างประเทศ ให้ความสนใจประเทศไทยในเรื่องราคาที่หลากหลายเมื่อเทียบเท่ากับประเทศอื่น ประกอบกับกฎระเบียบอันเคร่งครัดของกรุงปักกิ่ง และขาดความหลากหลายในโอกาสการลงทุนภายในประเทศจีน”นางแคร์รี่ กล่าวในที่สุด   ด้านนางสาวกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกลเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร,Thailand e-Business Center (TeC) Project collaboration with Alibaba Business School เลขาธิการสมาคมดิจิทัลไทย MD บริษัท จอยฟูลเนส จำกัด กล่าวว่า หากสามารถดำเนินธุรกิจในประเทศจีนให้ประสบผลสำเร็จได้ จะเป็นใบเบิกในการดำเนินธุรกิจของตัวผู้ประกอบการเอง และเหตุผลทำไมต้องเป็นประเทศจีน มาจากคำว่า China  C คือ Chance หากย้อนไปอดีตจีนจะเป็นประเทศที่ไม่น่าไป ล้าหลัง เป็นประเทศที่ Copycat และมีมลพิษทางอากาศ แต่ช่วงเวลา10 ปีที่ผ่านมามีการพัฒนาหลายด้าน ปัจจุบันจีนเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แรงงาน และมลพิษลดลงด้วยนวัตกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์  H คือ Huge จีนเป็นประเทศแผ่นดินใหญ่และมีจำนวนประชากรมาก ทำให้กำลังการซื้อและการขายมีมาก ทำให้เป็นเป้าหมายของอุตสาหกรรม I คือ Internet ระบบอินเตอร์เน็ตมีการใช้งานจำนวน 731 ล้านคน และใช้ซื้อของออนไลน์จำนวน 448 ล้านคน  มูลค่ารวมการบริโภค 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีมูลค่าซื้อขายออนไลน์ 759,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ N คือ Network ได้พัฒนาระบบต่างๆ รวมถึงระบบการค้าในรูปแบบ e-Commerce เพื่อให้ประชากรได้ใช้งานอย่างหลากหลายและเข้าถึงสินค้าอย่างรวดเร็ว สำหรับแพลตฟอร์มที่นิยมใช้ในการสั่งซื้อของคือ Taobao มีจำนวนผู้ใช้งาน 450 ล้านคน รองลงมา JD.com มีผู้ใช้งาน 850 ล้านคน และ Kaola มีผู้ใช้งาน 25 ล้านคน รวมทั้งการจ่ายเงินผ่านระบบ E-payment ใน Alipay มีผู้ใช้งาน 350ล้านคน  WeChat Pay มีผู้ใช้งาน 850 ล้านคน ยังครอบคลุมไปถึงการขนส่งสินค้าผ่านบริษัทต่างๆ จะเห็นได้ชัดว่า เครือข่ายของการซื้อขายของธุรกิจในจีนเต็มวงจรและมีกลุ่มผู้ใช้งาน และผู้ให้บริการเป็นจำนวนมาก A คือ Advertising & Affiliate นอกจากการเจริญเติบโตในประเทศตัวเองแล้ว จีนยังผลักดันธุรกิจของตนกระจายไปยังประเทศต่างๆ โดยการเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในแต่และประเทศ ส่งเสริมและช่วยเหลือทางธุรกิจ และเทคโนโลยี อาทิ การเข้ามาของ Alibaba ในประเทศไทย   ปริมาณสินค้าทั้งหมดของทุกแพลตฟอร์มมีจำนวน 314,300 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 23.8% จากปีที่แล้ว Tmall  68% ของส่วนแบ่งการตลาด แต่แพลตฟอร์มอื่น ๆ กำลังกินส่วนแบ่งการตลาด แพลตฟอร์มใหม่ในการเข้าร่วมความนิยม e-Commerce นี้คือ Pinduoduo โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 3.0%  ผู้เล่นรายใหญ่อันดับสองของ JD.COM ก็มีปีที่ทำลายสถิติเช่นกัน GMV สูงถึง 159.8 พันล้านหยวน เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด 17.3%   “นี่คือเหตุผลทั้งหมดที่ไทยควรผลักดันให้ทำธุรกิจในประเทศจีน สิ่งที่ไทยจะได้รับประโยชน์ในเรื่องของการ ผลักดัน GDP ของประเทศไทย และ เรื่องของการลดต้นทุนในการผลิตสินค้าแต่ได้คุณภาพที่ดีขึ้น อีกทั้งยังได้โอกาสในศึกษาเทคโนโลยีจากจีนเพื่อนำมาพัฒนาประเทศไทยต่อไป   โดย TeC สามารถให้การปรึกษาในการทำธุรกิจที่จีน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นการทำเอกสาร รวมถึงวิธีการทำธุรกิจในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากจากชาวจีน และหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คงไม่มีใครไม่รู้จัก Wechat ที่ยอดผู้ใช้ในปัจจุบันถือว่ามีอัตราการเติบโตก้าวกระโดดไปอย่างมาก จาก ปี 2554 ที่มีผู้ใช้งานเพียง 50 ล้านคน และในปี 2560 มีสูงถึง 963 ล้านคน โดยใช้ระยะเวลาแค่ 6 ปีเท่านั้น” นางสาวกุลธิรัตน์ กล่าว     ขณะที่นายสุรเชษฐ  กองชีพ นักวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์  กล่าวว่าก่อนหน้านี้ผู้ซื้อชาวจีนอาจจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยกระจายไปตามทำเลที่คุ้นเคย หรือว่าตามทำเลที่มีคนจีนอาศัยอยู่มาก เช่น รัชดาภิเษก ซึ่งไม่ไกลจากสถานฑูตจีน รวมไปถึงพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าMRT  ที่สามารถทำให้เดินทางได้สะดวก แต่ในระยะหลังพบว่าการเลือกทำเลในการซื้อคอนโดมิเนียมของคนจีนเปลี่ยนไป โดยเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจหรือปัจจัยที่เข้ามาเพิ่มความน่าสนใจให้นักลงทุนชาวจีน อาทิ   1) ผู้ประกอบการที่มีการประชาสัมพันธ์เข้าถึงนักลงทุนชาวจีนโดยตรงมากขึ้น ส่งผลให้หลายโครงการที่อยู่นอกพื้นที่ที่ชาวจีนเคยสนใจได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนชาวจีนมากขึ้น    2) นายหน้าทั้งไทยและจีนที่มีการนำหลายโครงการไปเสนอขายทั้งในประเทศไทยและที่ประเทศจีนโดยตรง สร้างความรู้จักและคุ้นเคยทำเลอื่นๆ ให้กับนักลงทุนชาวจีนมากขึ้น   3) ผู้ประกอบการชาวจีนมีส่วนในการผลักดันหลายๆ พื้นที่ให้เป็นที่รู้จักของคนจีนด้วยเช่นกัน   4) ระบบออนไลน์ที่แข็งแกร่งของประเทศจีนเป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มการรับรู้ให้กับผู้ซื้อชาวจีนโดยตรง เนื่องจากสามารถค้นหาหรือทำความรู้จักแต่ละทำเลของกรุงเทพฯ ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงมีหลายเว็บไซต์ของนายหน้าอสังหาฯทั้งไทยและจีนที่ให้ความรู้เรื่องของภาวะการณ์ของตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันในแต่ละทำเล หรือเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหรือเป็นประโยชน์ต่อการซื้อ-ขายคอนโดมิเนียมในประเทศไทย   ดังนั้น ทำให้ในอนาคตเชื่อได้เลยว่าผู้ซื้อคนจีนจะกระจายไปทุกพื้นที่ ทุกทำเลของกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ในจังหวัดท่องเที่ยว ไม่ใช่เพียงพัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย หัวหิน กระบี่ เท่านั้น คาดการณ์ทำเลใหม่ในอนาคตอาจจะไปถึงหัวเมืองรองของแต่ละภูมิภาคก็เป็นไปได้                                                                                                                                                                                                   “การขยายตัวของกลุ่มผู้ซื้อชาวจีนในอนาคตอาจจะมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเป็นตัวแปร เช่น สงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา ที่อาจจะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจประเทศจีน การลดลงของค่าเงินหยวน มาตรการการควบคุมของรัฐบาลจีน และความเข้มงวดของรัฐบาลไทย เป็นต้น แต่สุดท้ายแล้วคนจีนจะยังคงสนใจมาเที่ยวประเทศไทยและซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจุบันนี้อาจจะมีปัญหาติดขัดบ้างจากทั้งฝั่งไทยเองและฝั่งประเทศจีน”นายสุรเชษฐ กล่าวในที่สุด      
ตลาดคอนโดมิเนียมมือสองในกรุงเทพฯ โตต่อเนื่อง

ตลาดคอนโดมิเนียมมือสองในกรุงเทพฯ โตต่อเนื่อง

เนื่องจากราคาคอนโดมิเนียมใหม่ๆ ในย่านใจกลางกรุงเทพมหานครยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ซื้อจำนวนมากจึงหันมาให้ความสนใจคอนโดมิเนียมมือสองแทนการซื้อคอนโดมิเนียมในโครงการใหม่   ซีบีอาร์อี ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ เห็นถึงความต้องการนี้ที่เพิ่มมากขึ้นในตลาดคอนโดมิเนียมมือสองตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2561 เพราะราคาคอนโดมิเนียมมือสองมักจะถูกกว่าคอนโดมิเนียมในโครงการที่เปิดตัวใหม่ และผู้ซื้อจะได้ห้องที่มีขนาดใหญ่กว่าในราคาที่เอื้อมถึง   ทั้งนี้ คอนโดมิเนียมมือสองมีด้วยกันสองประเภท ได้แก่ คอนโดมิเนียมที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างซึ่งนักลงทุนต้องการขายต่อหรือรีเซลส์ก่อนที่จะมีการโอนกรรมสิทธิ์เมื่อโครงการแล้วเสร็จ และคอนโดมิเนียมที่แล้วเสร็จและพร้อมเข้าอยู่ซึ่งผู้ซื้อได้รับการโอนกรรมสิทธิ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว   จากการสำรวจโดยแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี พบว่า ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2561 มีคอนโดมิเนียมที่การก่อสร้างแล้วเสร็จในย่านใจกรุงเทพฯ จำนวนทั้งสิ้น 145,350 ยูนิต มีราคาอยู่ระหว่าง 55,000 – 350,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นอยู่กับระดับ อายุของอาคาร และการบำรุงรักษาอาคาร  โดยคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ที่เปิดตัวใหม่ในย่านใจกลางกรุงเทพฯ ปัจจุบันมีราคาขายตั้งแต่ 300,000 ถึง 600,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งโดยทั่วไปจะมีขนาดห้องเล็กกว่าคอนโดมิเนียมในโครงการเก่าที่การก่อสร้างแล้วเสร็จ   นางสาวพรพิมล พึ่งเขื่อนขันธ์ ผู้อำนวยการ แผนกซื้อขายที่พักอาศัยรายย่อย ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า ตลาดคอนโดมิเนียมที่ขายต่อก่อนการก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นตลาดที่มีความคึกคักมากในช่วงแรกหลังจากการเปิดตัวโครงการหากโครงการนั้นสามารถขายได้หมดทุกยูนิต   ส่วนในระหว่างการก่อสร้าง การขายต่อห้องชุดที่ยังไม่แล้วเสร็จมีแนวโน้มที่จะลดลงและจะกลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อการก่อสร้างโครงการใกล้เสร็จสมบูรณ์   สำหรับการชำระเงินต่อก่อนการก่อสร้างแล้วเสร็จนั้น ผู้ซื้อชำระเงินให้แก่ผู้ขายตามจำนวนเงินที่ได้ชำระไปแล้วให้กับผู้พัฒนาโครงการพร้อมกับกำไรของผู้ขาย จากนั้นสัญญาจะซื้อจะขายฉบับเดิมจะถูกเปลี่ยนเป็นชื่อผู้ซื้อรายใหม่ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบชำระเงินที่เหลือทั้งหมดให้แก่ผู้พัฒนาโครงการ   สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ที่อยู่ในย่านใจกลางธุรกิจหรือซีบีดีนั้น ส่วนใหญ่ผู้พัฒนาโครงการจะกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินดังนี้ ชำระเงิน 10%เมื่อลงนามในสัญญาจะซื้อจะขาย  ชำระเงิน 10-20% ในช่วงระยะเวลาการก่อสร้าง และชำระเงินที่เหลือทั้งหมดในวันโอนกรรมสิทธิ์เมื่อเสร็จสิ้นการก่อสร้าง  จำนวนเงินที่ผู้ซื้อใหม่ยังคงต้องจ่ายให้กับผู้พัฒนาโครงการขึ้นอยู่กับจำนวนเงินดาวน์รายเดือนที่ยังเหลืออยู่ก่อนที่การโอนกรรมสิทธิ์   สิ่งสำคัญที่จะต้องทราบก็คือ ผู้พัฒนาโครงการจะต้องลงนามในข้อตกลงการโอนสิทธิ์ เช่นเดียวกับผู้ขายและผู้ซื้อเพื่อให้การโอนสิทธิ์ในสัญญาจะซื้อจะขายนั้นถูกต้องโดยสมบูรณ์ สิ่งสำคัญที่ผู้ซื้อควรพิจารณา คือ ชื่อเสียงของผู้พัฒนาโครงการ และประวัติการทำงานที่ผ่านมาว่าสามารถส่งมอบโครงการได้ตามคุณภาพที่ระบุไว้ในเอกสารประกอบการขายหรือไม่   ส่วนโครงการที่การก่อสร้างแล้วเสร็จนั้น  ขั้นตอนการขายคือการทำสัญญาจะซื้อจะขายตามมาตรฐาน ซึ่งโดยปกติแล้ว จะต้องวางเงินมัดจำเท่ากับร้อยละสิบของราคาขาย และโอนกรรมสิทธิ์ ณ กรมที่ดินภายใน 30 – 60 วันหลังจากลงนามในสัญญาจะซื้อจะขาย  โดยยอดคงเหลือทั้งหมดจะต้องชำระให้กับผู้ขาย ณ กรมที่ดินในวันโอนกรรมสิทธิ์   ข้อควรพิจารณาที่สำคัญสำหรับผู้ซื้อคอนโดมิเนียมในอาคารเก่าคือ คุณภาพของการก่อสร้างและการบำรุงรักษาอาคารดีเพียงใด รวมทั้งสถานะการเงินในปัจจุบันของนิติบุคคลอาคารชุดซึ่งแต่งตั้งโดยเจ้าของร่วมทั้งหมด มีหน้าที่บริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลางของอาคารและการบำรุงรักษาอาคาร   นับตั้งแต่ที่มีการออกพระราชบัญญัติอาคารชุดในปี 2522 ผู้ซื้อชาวไทยส่วนใหญ่นิยมโครงการใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อคอนโดมิเนียมที่การก่อสรางยังไม่แล้วเสร็จจากผู้พัฒนาโครงการ หรือการซื้อห้องชุดจากนักลงทุนก่อนที่อาคารจะสร้างเสร็จสมบูรณ์  มากกว่าซื้อโครงการมือสองที่แล้วเสร็จ   “ความแตกต่างในด้านราคาของคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวใหม่และคอนโดมิเนียมที่เก่ากว่าและแล้วเสร็จเริ่มมีมากขึ้นจนทำให้ผู้ซื้อที่ต้องการเข้าพักอาศัยเองมองหาคอนโดมิเนียมในอาคารที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะคอนโดมิเนียมรุ่นใหม่ๆ มีราคาสูงเกินกว่างบประมาณที่ผู้ซื้อชาวไทยส่วนใหญ่มี   ผู้ซื้อค่อยๆ ลดอคติที่มีต่อคอนโดมิเนียมที่มีผู้อื่นเป็นเจ้าของมาก่อนเพื่อแลกกับการได้ห้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้นภายใต้งบประมาณเดิมที่มีอยู่” นางสาวพรพิมลกล่าวเพิ่มเติม   ในด้านคุณภาพโครงการนั้นมีด้วยกันหลากหลายระดับ บางโครงการมีคุณภาพดีเหมือนโครงการใหม่ ในขณะที่บางโครงการสร้างขึ้นอย่างไม่มีคุณภาพและ/หรือไม่มีการบริหารอาคารที่ดี  ผู้ซื้อที่เลือกโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันควรทำการตรวจสอบในด้านคุณภาพการก่อสร้าง สภาพการบำรุงรักษาอาคาร รวมถึงทำความเข้าใจสถานะทางการเงินของสำนักงานนิติบุคคลของอาคาร เพื่อให้ทราบว่าอาคารจะได้รับการบำรุงรักษาที่ดีและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคตหรือไม่          
แสนสิริ ผนึกธนาคารออมสิน เปิดตัว “HomeForLife” สินเชื่อที่อยู่อาศัยแห่งปี 2019

แสนสิริ ผนึกธนาคารออมสิน เปิดตัว “HomeForLife” สินเชื่อที่อยู่อาศัยแห่งปี 2019

แสนสิริ ผนึกธนาคารออมสิน ฉีกกรอบทุกนวัตกรรมสินเชื่อที่อยู่อาศัย เปิดตัว “HomeForLife” สินเชื่อที่อยู่อาศัยแห่งปี 2019 ครั้งแรกในไทยที่ผสาน 2 จุดเด่น ได้บ้านพร้อมการวางแผนการเงินในแพคเกจเดียว   แสนสิริ จับมือธนาคารออมสิน เปิดตัว “HomeForLife” นวัตกรรมสินเชื่อที่อยู่อาศัยของ ปี 2019 ครั้งแรกในไทยที่ผสานจุดเด่น กู้ง่าย-ผ่อนสบาย-มีรายได้หลังเกษียณได้บ้านพร้อมการวางแผนการเงินในแพคเกจเดียว ตอบโจทย์ลูกค้า Smart Consumer ซึ่งต้องวางแผนทางการเงินที่มั่นคงสำหรับทุกช่วงชีวิต ตั้งเป้าลูกค้าแสนสิริใช้บริการสินเชื่อจากธนาคารออมสินมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 50%   นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ถึงแม้ว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบรอบด้าน อย่างไรก็ตามที่อยู่อาศัยยังคงเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญและยังคงมีความต้องการอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ซึ่งต้องการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพทั้งด้านการออกแบบที่สวยงาม ฟังก์ชั่นที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้งานจริง และบริการที่ช่วยสนับสนุนการอยู่อาศัยซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างลงตัว ซึ่งตรงกับแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และแนวทางการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ ทั้งการพัฒนาโครงการคุณภาพ ควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบันที่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต และรูปแบบสังคมที่เปลี่ยนไป เพื่อมุ่งเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยให้กับลูกค้าอย่างสมบูรณ์แบบ (complete your living experience) ทำให้แสนสิริมีความเชื่อมั่นว่าปีนี้จะเป็นอีกปีที่ดีในการเติบโตของบริษัทอย่างยั่งยืน   ล่าสุดบริษัทได้มองเห็นเทรนด์ที่น่าสนใจในเรื่องของการวางแผนทางการเงินเพื่อความมั่นคงในระยะยาวจากการประเมินของมูลนิธิสถานบันวิจัยและพัฒนา ผู้สูงอายุที่ระบุว่ากลุ่มคนอายุ 25-55 ปี ให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินให้เพียงพอสำหรับการเกษียณอายุในอนาคตถึง 55% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะในกลุ่ม Smart Consumer หันมาวางแผนการเงินระยาวอย่างชาญฉลาดกันมากขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายในการมีอิสระทางการเงินได้เร็วยิ่งขึ้น     ด้วยความเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคกลุ่ม Smart Consumer ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ควบคู่กับการมีอิสระทางการเงินหลังเกษียณ ทำให้บริษัทได้ร่วมกับธนาคารออมสินในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อ “HomeForLife” ซึ่งนับเป็นนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ที่มีจุดเด่นจากการผสมผสานระหว่างสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบปกติ และ Reverse Mortgage ที่จะช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในทุกช่วงชีวิตโดยภายหลังอายุ 60 ปีลูกค้าสามารถนำที่อยู่อาศัยที่มีกรรมสิทธิ์และปลอดภาระหนี้วางเป็นหลักประกันกับธนาคารออมสินเพื่อเปลี่ยนเป็นรายได้ โดยเลือกรับเป็นรายเดือน หรือก้อนใหญ่ โดยผู้กู้ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยนั้นตลอดช่วงชีวิต ซึ่งเป็นการวางแผนชีวิตเพื่ออนาคตระยะยาวและสร้างความมั่นคงทางการเงินได้อย่างลงตัว   “แสนสิริเชื่อมั่นว่าจุดเด่นของสินเชื่อ “HomeForLife” จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเซกเมนต์ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาตั้งแต่ 1-20 ล้านบาท ทำให้ลูกค้าในทุกช่วงวัยสามารถตัดสินใจซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น ด้วยภาระการผ่อนชำระที่สบายกว่าเดิม ทั้งยังสามารถใช้เป็นแหล่งสร้างรายได้ไปได้ตลอดชีวิต ตั้งเป้าลูกค้าแสนสิริใช้บริการสินเชื่อจากธนาคารออมสินมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 50% ภายในระยะเวลาหนึ่งปีจากการเปิดตัวสินเชื่อนี้ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าจากปัจจัยสนับสนุนของการเปิดตัวสินเชื่อ “HomeForLife” ในช่วงนี้ จะช่วยสนับสนุนการขายในแคมเปญ “โปรหมดเปลือก” ซึ่งนำเสนอโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียมและทาวน์เฮาส์ พร้อมอยู่กว่า 30 โครงการทั่วประเทศ มอบข้อเสนอสุดพิเศษครอบคลุมโครงการที่อยู่อาศัยทุกเซ็กต์เม้นต์ ตั้งแต่วันนี้จนถึง 15 มีนาคม 2562  โดยยังได้เตรียมจัดงานขายภายใต้แคมเปญ “โปรหมดเปลือก” สำหรับลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ ในวันที่ 8 -10 กุมภาพันธ์ 2562 นี้ที่แฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอนอีกด้วย ผู้ที่สนใจ “HomeForLife” นวัตกรรมสินเชื่อที่อยู่อาศัย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในวันงาน     นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน กล่าวว่า “สินเชื่อ “HomeForLife” นับเป็นนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันครั้งแรกระหว่างผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงินที่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคที่ฉลาดวางแผนทางการเงิน ซึ่งโดยปกติเงื่อนไขของสินเชื่อแบบ Reverse Mortgage จะปล่อยกู้ให้กับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งจะนำที่อยู่อาศัยที่ตนมีกรรมสิทธิ์ และปลอดภาระหนี้มาเปลี่ยนเป็นรายได้ในการดำรงชีพทั้งแบบเงินก้อนและรายเดือนแต่สำหรับแพคเกจสินเชื่อ “HomeForLife” นับเป็นการสร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญให้กับการตัดสินใจกู้เงิน   เพื่อซื้อที่พักอาศัยของคนไทยให้ล้ำหน้าขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการนำ Reverse Mortgage มาผสมผสานสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบปกติ สำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการของแสนสิริทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียมด้วยอัตราการผ่อนชำระที่ต่ำกว่าปกติ เมื่อผู้กู้มีอายุครบ 60 ปี และที่อยู่อาศัยนั้นปลอดภาระหนี้แล้ว ธนาคารออมสินจะประเมินมูลค่าที่อยู่อาศัยจริง ณ ขณะนั้นเพื่อกำหนดวงเงินสินเชื่อแบบย้อนกลับ โดยผู้กู้สามารถเลือกรับเป็นเงินก้อนหรือเงินงวดรายเดือนและหากผู้กู้อายุครบ 60 แล้วแต่สถานะที่อยู่อาศัยยังไม่ปลอดภาระหนี้ยังสามารถขอเบิกเงินสินเชื่อแบบ Reverse Mortgage งวดแรกในอัตรา 10% เพื่อนำมาโปะปิดภาระหนี้ของที่อยู่อาศัยที่ยังเหลืออยู่ได้อีกด้วย โดยสินเชื่อ “HomeForLife เหมาะสำหรับลูกค้าทุกวัยด้วยระยะผ่อนชำระที่นาน ทำให้ผู้กู้สามารถรับรายได้จากเงินกู้นานสูงสุดจนถึงอายุ 85 ปี (โดยกำหนดระยะเวลาของการกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยตามปกติสูงสุดถึง 30 ปี และกำหนดระยะเวลาของการกู้แบบย้อนกลับแบบ Reverse Mortgage สูงสุดถึง 25 ปี) เมื่อครบกำหนดสัญญาแล้วหากผู้กู้ยังมีชีวิตอยู่ ธนาคารจะหยุดจ่ายเงินกู้ โดยผู้กู้ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยนั้นตลอดชีวิต หรือทำเรื่องกู้เพิ่มเติม หากผู้กู้เสียชีวิต ทายาทของผู้กู้สามารถไถ่ถอนที่อยู่อาศัยนั้นได้ ภายใต้เงื่อนไขการเจรจากับธนาคาร”   “สำหรับประโยชน์ที่ชัดเจนสำหรับผู้กู้คือ สามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของตัวเองได้ง่ายขึ้น พร้อม ๆ ไปกับการสร้างความมั่นคงในทุกช่วงวัยของชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบและไร้กังวล ด้วยอัตราการผ่อนชำระที่ต่ำกว่าปกติ ผ่อนสบายขึ้น ลดภาระในช่วงวัยทำงานและช่วงชีวิตที่กำลังสร้างครอบครัว ทำให้ผู้กู้สามารถมีวงเงินกู้ที่มากขึ้น สามารถเลือกขยายงบประมาณได้ตรงกับความต้องการในการซื้อที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นเปิดโอกาสให้ผู้กู้หรือทายาทไถ่ถอนที่อยู่อาศัยนั้นได้ในทุกๆช่วงสัญญา ขณะเดียวกันก็เป็นการเตรียมตัวสร้างความมั่นคงทางการเงินหลังเกษียณ ด้วยรายได้ที่จะช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตและเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจนถึงอายุ 85 ปี ซึ่งเป็นการเสริมสร้างหลักประกันให้ชีวิตแก่ประชาชน และบรรเทาภาระงบประมาณภาครัฐด้านสวัสดิการชราภาพ”   “โดยธนาคารออมสินคาดว่านวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่นี้จะกลายเป็นทางเลือกใหม่และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภควัยทำงานในยุคปัจจุบันวางแผนทางการเพื่ออนาคตในระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ธนาคารเองก็สามารถตัดสินใจปล่อยกู้ได้ง่ายขึ้นด้วยหลักประกันที่มั่นคง และสร้างโอกาสให้ธนาคารสามารถนำสินเชื่อแบบ Reverse Mortgage และสินเชื่อต่าง ๆ ของธนาคารเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น” นายชาติชายกล่าว   แสนสิริ มอบสิทธิการเลือกใช้สินเชื่อ“HomeForLife”สำหรับลูกค้าที่ซื้อโครงการแสนสิริทุกโครงการได้แล้ววันนี้ โดยผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.02-299-8000 ต่อ 211170-72            
‘อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง-สาทร’ เปิดให้ชมห้องตัวอย่างแล้ว

‘อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง-สาทร’ เปิดให้ชมห้องตัวอย่างแล้ว

‘อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง-สาทร’ โครงการคอนโดมิเนียม Luxury Riverview Condominium ใน CBD ที่สุดแห่งทำเลใจกลางย่านเจริญกรุงโดยบริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ ที่โครงการ อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง สาทร บนถนนจันทน์ 44 ซึ่งโครงการออกแบบใน สไตล์โคโลเนียล คอนเทมโพรารี่ (Colonial Contemporary Design)  สะท้อนรสนิยมและความภาคภูมิใจ ผ่านการเลือกสรรที่บ่งบอกถึงตัวตน สุนทรียะแห่งการอยู่อาศัย บนพื้นที่เพื่อการใช้เวลาอันมีค่าร่วมกับครอบครัวและเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของชีวิตในเมือง   โครงการ ‘อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง-สาทร’  ใกล้ถนนเส้นหลักอย่าง ถนนเจริญกรุง, ถนนเจริญราษฎร์, ถนนพระราม 3 และถนนสาทร ใกล้ทางพิเศษศรีรัช ด่านถนนจันทน์ เพียง 2 นาที มีเส้นทางลัดให้ได้ใช้หลายทาง รวมถึงเป็นโครงการที่ใกล้กับรถไฟฟ้าถึง 2 สถานี นั่นก็คือรถไฟฟ้า BTS สุรศักดิ์ และ BTS สะพานตากสิน อยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก แหล่งงาน โรงเรียน โรงพยาบาลและห้างสรรพสินค้าขาดใหญ่ โดยห่างจากโรงเรียนนานาชาติ โชรส์เบอรี่ เพียง 400 เมตร รร.กรุงเทพคริสเตียน และ รร.อัสสัมชัญ บางรัก รวมถึงเป็นโครงการที่ใกล้กับ Asiatique The Riverfront แหล่งท่องเที่ยวบนถนนเจริญกรุง และ Four Seasons Hotel Bangkok โรงแรมระดับ 5 ดาว ในระยะที่สามารถเดินเท้าไปได้   โครงการ อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง-สาทร ตั้งอยู่บนถนนจันทน์ 44 แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม เนื้อที่ 369 ตารางวา มี Triple facilities ส่วนกลางถึง 3 ชั้น โดยมีจำนวนเพียง 99 ยูนิต 1 อาคาร 21 ชั้น พร้อมสวนบนชั้นดาดฟ้า และที่จอดรถแบบระบบอัตโนมัติ ในชั้นใต้ดิน 4 ชั้น พร้อมชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ รายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์  https://altitudesymphony.com สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 095 247 8999          
“อัสทราลพูล” ประกาศขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งตลาดสระว่ายน้ำ

“อัสทราลพูล” ประกาศขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งตลาดสระว่ายน้ำ

บริษัท อัสทราลพูล ประเทศไทย หนึ่งในเครือบริษัทฟลุยดรา ผู้นำทาง ด้านนวัตกรรมอุปกรณ์สระว่ายน้ำระดับโลกจากประเทศสเปน ประกาศขึ้นแท่นผู้นำในอุตสาหกรรมสระว่ายน้ำ หลังจากควบรวมกิจการกับโซดิแอค ทำให้มีไลน์สินค้าและนวัตกรรมเพิ่มขึ้นในทุกประเภทรวม 75,000 รายการ มีวิศวกรและผู้เชียวชาญกว่า 5,500 คนที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 49 ปี มีสำนักงานทั่วโลกรวมกันกว่า 46 ประเทศทั่วโลก สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่บาร์เซโลน่า   มูลค่าตลาดของธุรกิจสระว่ายน้ำทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 7.1 พันล้านยูโร (2.8 แสนล้านบาทไทย) โดยภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรปรวมกันมีสัดส่วนสูงถึง 79% และบริษัทฟลุยดรามีส่วนแบ่งทางการตลาด 18% หากแบ่งตามประเภทของสระว่ายน้ำทั่วโลก สัดส่วนของสระว่ายน้ำตามบ้าน (residential pool) จะอยู่ที่ 76% ในขณะที่สระว่ายน้ำเชิงพาณิชย์จะอยู่ที่ 24% แต่สำหรับแถบเอเชียจะตรงกันข้าม สระว่ายน้ำเชิงพาณิชย์จะมีสัดส่วนที่สูงกว่า ในขณะที่ประเทศไทยสัดส่วนจะประมาณครึ่งต่อครึ่งระหว่างสระส่วนตัวกับสระเชิงพาณิชย์   สำหรับการคาดการณ์การเติบโตของตลาดนี้ทั่วโลกโดยเฉลี่ย (ระหว่างปี 2014-2017) อยู่ที่ 4-6% แต่ตลาดในเอเชียจะเติบโตเป็นเลขสองหลัก เนื่องจากตลาดนี้การเติบโตจะขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศและการเป็นเมืองท่องเที่ยว โดยแบ่งเป็น - การสร้างสระใหม่ 1-1.5% - การซ่อมสระเก่า 1.5-2% - สระที่มีฟีจเจอร์และนวัตกรรมใหม่ๆ 1.5-2.5%     บริษัทฟลุยดรามีวิศวกร R&D มากกว่า 200 คน มีนวัตกรรมสิทธิบัตรมากกว่า 1,100 สิทธิบัตร รายการสินค้าทั้งหมดมากกว่า 75,000 รายการ ครอบคลุมทุกองค์ประกอบของสระว่ายน้ำ และมีนโยบายการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมทั้งการคิดค้นนวัตกรรมที่ลดการใช้พลังงานเพื่อความยั่งยืน หรือ Green Energy   ลูกค้าในประเทศไทย อาทิ โรงแรม Angsana Lagula ภูเก็ต สวนน้ำ Cartoon Network พัทยา (ระบบหมุนเวียนน้ำ) Virgin Active Fitness Center (เอ็มควอเทียร์) สวนน้ำ Santorini Park หัวหิน โรงแรม Banyan Tree ภูเก็ต Movenpick พัทยา โรงแรม Veeranda Resort หัวหิน ฯลฯ   สำหรับประเทศไทยมีดีลเลอร์ 2-3 รายในแต่ละภูมิภาค ซึ่งดีลเลอร์จะดูแลลูกค้าสำหรับบริการหลังการขายเช่นกัน ส่วนในปีหน้าการทำการตลาดจะเน้นไปในการสร้างแบรนด์ เช่น การจัดทำ Display Kiosk ให้กับดีลเลอร์   การออกงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสถาปนิก การทำ Product Training การทำการตลาดโซเชียลมีเดีย (SEO, YouTuber, Tutorial VDO, Line, FB) กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้แก่ โรงแรมและรีสอร์ท สปอร์ตเซ็นเตอร์และฟิตเนสเซ็นเตอร์ สระว่ายน้ำสำหรับการแข่งขัน กลุ่มบริษัทก่อสร้าง และผู้รับเหมาวางระบบไฟฟ้า ประปา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโปรเจกต์ เทิร์นคีย์ ได้แก่โรงแรม Imperial Boat House สมุย Virgin Active Whizdom 101 ฯลฯ โดยจะเน้นโปรเจกต์ขนาดใหญ่ ตั้งเป้าปีหน้าโตสองหลัก เพราะเชื่อมั่นในทีมงาน สินค้า และตลาดประเทศไทยมีการเติบโตของนักท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์            
เปิดตัวโรงแรมสุดหรู 5 ดาว “โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา”

เปิดตัวโรงแรมสุดหรู 5 ดาว “โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา”

เปิดตัวสุดยิ่งใหญ่!  “โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา” โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว–แลนด์มาร์คใหม่ใจกลางเมืองศรีราชา   “โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา” โรงแรมหรูที่ได้รับการดีไซน์ภายใต้คอนเซ็ปต์  “Modern Oriental Style” พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ  ชูจุดเด่นโรงแรมที่สูงที่สุด! บนทำเลที่ดีที่สุด! รายล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย มีห้องพักหลากหลายให้เลือก ทั้งวิวเมือง–วิวภูเขา–วิวทะเลอ่าวไทย และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น สระว่ายน้ำที่ยาวถึง 25 เมตรในบรรยากาศสวยที่สุดในศรีราชา พร้อมพาโนรามาวิวที่มองเห็นทะเลแบบเต็มๆ ห้องเกมส์ ห้องคาราโอเกะ ห้องเด็กเล่น ห้องออกกำลังกาย ห้องสมุด และบ่อน้ำร้อนออนเซ็นต้นตำรับแท้ๆ จากญี่ปุ่นรายแรกในศรีราชา  ผู้เข้าพักจะได้สัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟด้วยมาตรฐานบริการระดับโลก   นายปริญญา เธียรวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี.เอ็ม.พี.ซี. จำกัด (VMPC) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่อขายและให้เช่า ในฐานะผู้พัฒนาโรงแรม “โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา” (Oakwood Hotel & Residence Sri Racha) เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในระดับจังหวัดของรัฐบาล ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการขยายตัวของเมืองอย่างต่อเนื่อง เป็นศูนย์กลางการลงทุน เศรษฐกิจ การศึกษา และการท่องเที่ยวทั้งของชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานเป็นจำนวนมาก ประกอบกับรัฐบาลกำลังเร่งผลักดันโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ระยอง และชลบุรี เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ในระยะยาว   ในปี 2558 บริษัทฯ ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโอ๊ควู๊ด  โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา โรงแรมระดับ 5 ดาวสูง 48 ชั้น บนเนื้อที่ 12 ไร่ ใจกลางอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Modern Oriental Style”  เริ่มเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการตั้งแต่ปลายปี 2560 ด้วยมาตรฐานบริการจาก “Oakwood” ซึ่งเป็นเชนโรงแรมระดับโลกและได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนผู้เข้าพักมากที่สุดในพื้นที่ศรีราชา ปัจจุบัน โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์บนทำเลที่ดีที่สุดและเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางศรีราชา และเปิดตัวอย่างเป็นทางการ (Grand Opening) ในวันที่ 19 มกราคม 2562 พร้อมให้บริการเต็มรูปแบบ ด้วยห้องพักรวมทั้งสิ้น จำนวน 458 ห้อง รวมถึงห้องประชุม สัมมนา และจัดเลี้ยงต่างๆ จำนวน 6 ห้องที่สามารถรองรับคนได้ถึง 700 ท่าน พร้อมอาคารจอดรถมากถึง 400 คัน     “นอกจากความโดดเด่นของโอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองแล้ว ยังแวดล้อมด้วยนิคมอุตสาหกรรม เช่น นิคมอุตสาหกรรมท่าเรือแหลมฉบัง และอยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวมากมาย เช่น เกาะลอยศรีราชาที่สามารถเดินเท้าจากโรงแรมไปได้ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนเสือศรีราชา สวนสุขภาพเทศบาลเมืองศรีราชาซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังของโรงแรม และเจพาร์คศรีราชาซึ่งเป็นคอมมูนิตี้มอลล์สไตล์ญี่ปุ่น นอกจากนี้โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา ยังได้รับการออกแบบโดยเล็งเห็นถึงความสำคัญของผู้สูงวัยและสิทธิของผู้ใช้รถเข็น ล่าสุดได้รับรางวัลโรงแรมที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล นอกจากนี้ยังมีสระว่ายน้ำ Infinity Pool บรรยากาศซีวิว (Sea View) แบบพาโนรามาที่มีความยาวถึง 25 เมตรสามารถมองเห็นวิวทะเลและพระอาทิตย์ตกในช่วงเย็นได้อย่างชัดเจน รวมถึงบ่อน้ำร้อนออนเซ็น (Real Onsen) ต้นตำรับแท้ๆ จากญี่ปุ่นซึ่งน้ำออนเซ็นจะเป็นแบบ Silk Bath เพื่อให้ผู้เข้าพักได้สัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนที่เพิ่มความสดชื่นและผ่อนคลาย ห้องออกกำลังกายขนาดใหญ่ที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย  ห้องเด็กเล่นที่ออกแบบอย่างพิถีพิถันและปลอดภัยสำหรับเด็กๆ  ห้องคาราโอเกะ และมุมถ่ายรูปสวยๆ อีกมากมาย รวมถึง Atara Mall คอมมูนิตี้มอลล์ด้านหน้าโรงแรมที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง พร้อมรองรับทุกไลฟ์สไตล์การพักผ่อน” นายปริญญา กล่าว   ด้าน นายดีน ชไรเบอร์ (Mr.Dean Schreiber) กรรมการผู้จัดการ โอ๊ควู๊ด เอเชียแปซิฟิค กล่าวว่า รู้สึกตื่นเต้นและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ VMPC ภายใต้การบริหารงานของคุณปริญญา เธียรวร ในการก่อสร้างโครงการก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ โดยได้รับความไว้วางใจและการสนับสนุนที่ดีจากคุณปริญญาเสมอมา โดยโอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา ยังเป็นโครงการที่ทำให้แบรนด์ Oakwood กลายเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยในเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 5 เดือนเท่านั้น นับตั้งแต่วันที่โรงแรมเริ่มเปิดให้บริการช่วง Soft Opening เมื่อปลายปี 2560 โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา ได้ขึ้นแท่นโรงแรมอันดับหนึ่งที่มีผู้แนะนำให้เข้าพักมากที่สุดในศรีราชาจาก TripAdvisor นอกจากนี้โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา ยังได้รับรางวัลระดับนานาชาติอีกหลายรางวัล เช่น รางวัลชนะเลิศ Best Serviced Apartment และ Best MICE Venue จากเวที  HRM Asia Reader’s Choice Awards 2018 ณ ประเทศสิงคโปร์  และล่าสุดกับรับรางวัลโรงแรมที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล ในงาน Thailand Friendly Design Expo 2018 : มหกรรมอารยสถาปัตย์และนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพ การให้ความสำคัญสูงสุดในการทำให้ผู้เข้าพักรู้สึกเป็นมิตร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและบริการที่แสนประทับใจด้วยมาตรฐานบริการระดับโลกที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างสมบูรณ์แบบ   นางสาวลีน่า อับดุลลาห์ (Ms.Lina Abdullah) ผู้จัดการทั่วไป โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา กล่าวว่า  ความสำเร็จและรางวัลทั้งหมดของเรา ในช่วงระยะเวลาเพียงหนึ่งปีของการดำเนินงาน ต้องขอขอบคุณการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากพันธมิตรทางธุรกิจ และด้วยความทุ่มเทและตั้งใจในการทำงานของพนักงานผู้อยู่เบื้อหลังความสำเร็จนี้ทุกคน     สำหรับผู้สนใจสามารถแวะเวียนไปเยี่ยมชมและสัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่  “โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา” โรงแรมระดับ 5 ดาว บนทำเลที่ดีที่สุดใจกลางเมืองศรีราชา หรือติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่โทรศัพท์ 038 327 999  หรือคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.facebook.com/OakwoodSriRacha/