Tag : News

2376 ผลลัพธ์
คว้าโอกาสสุดท้าย! กู้เต็ม 100% ก่อนโดนมาตรการเข้มปีหน้า

คว้าโอกาสสุดท้าย! กู้เต็ม 100% ก่อนโดนมาตรการเข้มปีหน้า

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมี “บ้าน” เป็นของตัวเอง คือความฝันของทุกคน โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่ต้องการสร้างครอบครัว และขยายพื้นที่แห่งความสุขกับคนที่ตัวเองรัก หลายๆ คน อาจจะมีบ้านหลังแรกแล้ว ซึ่งคนรุ่นใหม่มักจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมซึ่งอยู่ในย่าน CBD ใกล้แหล่งงาน หรือตามแนวเส้นรถไฟฟ้า เน้นเรื่องความสะดวกสบายในการเดินทางเป็นหลัก แต่ถ้าในวันหนึ่งที่เราต้องการขยับขยายพื้นที่อยู่อาศัย “บ้านหลังที่ 2” อาจเป็นคำตอบสำหรับคนที่ต้องการสเปซที่มากขึ้น เพื่อรองรับสมาชิกครอบครัวที่เพิ่มขึ้น มีพื้นที่ให้เราทำกิจกรรมดีๆ ร่วมกับสมาชิกในครอบครัว และให้เราได้ออกแบบชีวิตตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง และที่สำคัญต้องอยู่ในทำเลที่เดินทางเข้าเมืองสะดวก ใกล้ทางด่วน และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตยุคใหม่เช่นเดียวกับการอยู่อาศัยในคอนโดในเมือง         ที่ผ่านมา การซื้อบ้านสักหลังอาจจะไม่ใช่เรื่องยาก เนื่องจากแบงก์ได้ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแนวราบถึง 95% ทำให้ผู้ซื้อวางเงินดาวน์เพียงแค่ 5% ของมูลค่าหลักทรัพย์ เช่น ถ้าคุณซื้อบ้านเดี่ยวราคา 5 ล้าน คุณวางเงินดาวน์เพียงแค่ 250,000 บาทเท่านั้น และยิ่งถ้าเป็นคุณซื้อบ้านจากดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ๆ ที่น่าเชื่อถือแบงก์อาจปล่อยกู้ถึง 100% โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินออมเลยก็ได้ แต่หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ได้ประกาศกฏเหล็ก “เกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่” โดยออกมาตรการ LTV (Loan to Value = อัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน) คุมเข้มการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์ เพื่อป้องกันการเกิดหนี้เสีย โดยมีผลบังคับใช้ 1 เมษายน 2562 ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวจะไม่กระทบคนที่กู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกที่ราคาต่ำกว่า 10 ล้าน เพราะว่ายังคงใช้ใช้เกณฑ์ LTV เดิม คือวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ 0-10% แต่กระทบคนที่ซื้อบ้านหลังที่ 2 ที่ยังผ่อนสัญญาแรกไม่หมด ซึ่งทำให้ผู้ซื้อต้องวางเงินดาวน์ถึง 20% ในการกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยจากเดิมที่คุณวางเงินดาวน์เพียงแค่ 250,000 บาท (5%) คุณจะต้องวางเงินดาวน์ถึง 1,000,000 บาท (20%) สำหรับการกู้ซื้อบ้านหลังละ 5 ล้าน!! สำหรับใครที่อยากซื้อบ้านหลังที่ 3 (แต่ยังผ่อนสัญญาที่ 1-2 ไม่หมด) ไม่ว่าราคาเท่าไหร่ก็ตาม จะต้องวางเงินดาวน์ 30%!!!   แน่นอนว่า มาตรการ LTV ใหม่นี้ทำให้ผู้ที่ต้องการจะซื้อบ้านต้องมีเงินออมก้อนใหญ่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนมีรายได้น้อย-ปานกลาง ซึ่งอาจจะมีฐานเงินเดือนอยู่ระหว่าง 15,000-30,000 บาท ลองคิดดูว่าคุณต้องใช้เวลานานแค่ไหน กว่าจะมีเงินออม 1,000,000 บาท สำหรับวางเงินดาวน์ มาตรการใหม่นี้จึงทำให้โอกาสที่คุณจะมีบ้านเป็นของตัวเองลดลง หรืออาจจะไม่มีโอกาสเลย!!! นอกจากนี้ เกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่ยังกำหนดให้มีการนับรวมสินเชื่อ Top-up รวมในวงเงินขอกู้สินเชื่อบ้านทุกประเภทที่อ้างอิงหลักประกันเดียวกันในวงเงินที่ขอกู้ เช่น สินเชื่อเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ เพื่อตกแต่งบ้าน ยกเว้นสินเชื่อเพื่อจ้ายเบี้ยประกันชีวิตผู้กู้ (MRTA) ประกันวินาศภัย และสินเชื่อที่ให้กับธุรกิจ SMEs       สำหรับใครที่กำลังวางแผนซื้อบ้านในอนาคต นี่คือโอกาสสุดท้ายที่คุณต้องเร่งตัดสินใจ ก่อนเจอมาตรการเข้มแบงก์ชาติปีหน้าจะเห็นได้ว่าช่วงนี้บรรดาผู้ประกอบการต่างพร้อมใจกันปล่อยของพร้อมโปรโมชั่นเด็ด แบบจัดเต็ม จัดหนักส่งท้ายปี   หนึ่งในแบรนด์บ้านคุณภาพที่น่าจับตามองในตอนนี้ คือ บริทาเนีย (Britania) จากบริษัท ออริจิ้น เฮาส์ จำกัด ในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการเปิดตัวโครงการแรก “บริทาเนีย ศรีนครินทร์” บ้านเดี่ยว-บ้านแฝดสไตล์อังกฤษ เมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งโครงการ SOLD OUT 90% โดยแบรนด์ “บริทาเนีย” เกาะทำเลที่มีการแข่งขันไม่สูงมาก แต่มีความต้องการอยู่อาศัยจริง (Real Demand) และมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง เดินทางสะดวก ใกล้ทางด่วนใกล้รถไฟฟ้า และรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย และกลางเดือนธันวาคม 61 นี้ ออริจิ้นมอบของขวัญสุดเซอร์ไพรส์ส่งท้ายปี เปิดจองบ้านบริทาเนีย “3 โครงการใหม่ บน 3 ทำเลที่ดีที่สุด” รอบพิเศษก่อนพรีเซลในราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 1.99 ล้าน*!!! มาพร้อม facilities ครบครัน ออกแบบอย่างทันสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุค 4.0 โดยการผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้าไปในที่อยู่อาศัยพร้อมบริการระดับโรงแรม มอบความสะดวกสบายให้กับชีวิตคุณ ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน ช่างซ่อมบำรุง บริการซักรีด หรือคนสวนโดดเด่นด้วยดีไซน์และเลย์เอาท์ที่ออกแบบอย่างแตกต่างให้ผู้อยู่อาศัยได้ดีไซน์ชีวิตตัวเองได้มากขึ้นบนพื้นฐานของความครบ สะดวกสบาย ตามไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และที่สำคัญมาพร้อม “ข้อเสนอที่ดีที่สุดแห่งปี” ที่คุณไม่ควรพลาด!!!     1. โครงการ บริทาเนีย เมกะทาวน์-บางนา (Mega Town Bangna) ทาวน์โฮม-บ้านซีรีย์ใหม่สไตล์อังกฤษ (บางนา-ตราด กม.5) ออกแบบภายใต้แนวคิด “Live Cheerful with Brit Charm”เชื่อมต่อถนนหลักหลายสาย อาทิ ถ.บางนา-ตราด, ถ.ศรีนครินทร์ และ ถ.เทพารักษ์ ใกล้เมกะบางนา ใกล้ทางด่วน ใกล้วงแหวนกาญจนาภิเษก ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง และสีเขียว เป็นโครงการขนาดใหญ่ มีสาธารณูปโภคครบครัน เปิดจองรอบพิเศษ: 15 ธ.ค. 61 ราคาเริ่มต้น : 2.29 ล้าน* (ทาวน์โฮม) | 4.7 ล้าน* (บ้านซีรีย์ใหม่) ลงทะเบียนรับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท คลิก http://bit.ly/2Eec5gT   2. โครงการ บริทาเนีย บางนา กม.12 (Britania Bangna KM.12) บ้านเดี่ยวติดถนนใหญ่ ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ใกล้ทางด่วน และใกล้รถไฟฟ้า เปิดจองรอบพิเศษ: 22 ธ.ค. 61 ราคาเริ่มต้น : 4.59 ล้าน ลงทะเบียนรับส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท คลิก http://bit.ly/2Pr9diF   3. โครงการ บริทาเนีย วงแหวน-หทัยราษฏร์ ทาวน์โฮม-บ้านซีรีย์ใหม่ ใกล้ 2 ทางด่วน และ 1 สถานีรถไฟฟ้า ออกแบบภายใต้แนวคิด “Live in Brit Style, Live Inspired” อยู่อย่างมีสไตล์ดีไซน์ที่เป็นคุณ ที่ผสมผสานความเป็น Modern British Luxury และ ความ Creative Living ได้อย่างลงตัว เปิดจองรอบพิเศษ: 22 – 23 ธ.ค. 61 ราคาเริ่มต้น: 1.99 ล้าน* (ทาวน์โฮม) | 3.99 ล้าน* (บ้านซีรีย์ใหม่) ลงทะเบียนรับส่วนลดสูงสุด 400,000 บาท คลิก http://bit.ly/2ROnR5n   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 020 300 000      
ช.การช่าง ใช้ “BIM” จำลองแบบก่อสร้างเสมือนจริง เพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบก่อสร้าง เดินหน้ายกระดับ “อินฟราเทค” ของประเทศไทย นำร่องโครงการแรก “รถไฟฟ้าสายสีส้ม”

ช.การช่าง ใช้ “BIM” จำลองแบบก่อสร้างเสมือนจริง เพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบก่อสร้าง เดินหน้ายกระดับ “อินฟราเทค” ของประเทศไทย นำร่องโครงการแรก “รถไฟฟ้าสายสีส้ม”

ในยุคที่ “ไทยแลนด์ 4.0” ถูกนำไปเป็นบริบทสำคัญในการนำ “เทคโนโลยี” เข้าไปเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนและปฏิรูปในทุกอุตสาหกรรรม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนพลิกโฉมอุตสาหกรรมในหลายวงการ เช่น การเงิน อสังหาริมทรัพย์ โทรคมนาคม ฯลฯ บางอุตสาหกรรมนั้นอยู่ในช่วงเริ่มต้นในการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาช่วยบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่นเดียวกันกับ “อุตสาหกรรมก่อสร้าง” ซึ่งในภาพรวมทั่วโลกนั้น ก็เป็นอุตสาหกรรมที่ยังมีโอกาสให้เทคโนโลยี-นวัตกรรมเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนอีกมาก ช.การช่าง ในฐานะผู้พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยได้เล็งเห็นโอกาสนี้ จึงนำเทคโนโลยีการออกแบบและก่อสร้างด้วยระบบ BIM (Building Information Modeling) หรือ ระบบการทำงานแบบจำลองสารสนเทศอาคาร ที่ช่วยออกแบบงานโครงสร้างและประสานการทำงานในส่วนต่างๆได้อย่างแม่นยำมาใช้ในโครงการ ทำให้การดำเนินงานก่อสร้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และลดต้นทุนในการดำเนินงาน โดยช.การช่าง ได้ประเดิมเทคโนโลยีนี้กับการก่อสร้าง “โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม” เป็นโครงการแรก ดร.สุภามาส ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในฐานะบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างและพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม (Engineer Expertise) เป็นแกนหลักของธุรกิจ ทำให้ในการทำงานแต่ละโครงการมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย เพื่อให้การบริหารและดำเนินการในส่วนต่างๆเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เราจึงทั้งสรรหาเทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรมที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาขั้นตอนการทำงานเหล่านี้อยู่เสมอ โดยก่อนหน้านี้ ช.การช่างประสบความสำเร็จจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี สปป.ลาว ที่ใช้คอนกรีตทั้งโครงการกว่า 4.3 ล้านลบ.ม.  โดยได้นำฝุ่นหินละเอียดจากการโม่หินเพื่อผลิตทรายซึ่งตามมาตรฐานทั่วไปนั้นต้องล้างทิ้งมาศึกษาและทดลองปรับส่วนผสมจนสามารถนำฝุ่นหินและทรายโม่มาใช้ทดแทนทรายแม่น้ำซึ่งมีปริมาณไม่เพียงพอได้  ทำให้ลดการใช้ทรายแม่น้ำลงได้ถึง 80% นอกจากนี้ยังลดการใช้น้ำ ลดมลภาวะจากการล้างฝุ่นหิน รวมถึงประหยัดพลังงานและเวลาในการเตรียมวัสดุจนได้รับรางวัล TCA Practice Award: Silver Medal จากสมาคมคอนกรีตแห่งประเทศไทย”   “เช่นเดียวกันกับการนำเทคโนโลยี  Building Information Modelling (BIM) หรือ ระบบการทำงานแบบจำลองสารสนเทศอาคารซึ่งช.การช่างได้เล็งเห็นประโยชน์ของระบบดังกล่าวกับงานก่อสร้างโครงการ ที่จะพลิกโฉมงานก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพในหลายๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแม่นยำในการออกแบบและการทำแบบจำลองก่อสร้างเสมือนจริงเพื่อประสานงานในส่วนต่างๆตั้งแต่ออกแบบจนถึงการก่อสร้าง  เราจึงได้เริ่มศึกษาข้อมูล และเตรียมงานตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2560 เพื่อนำมาใช้เป็นครั้งแรกกับการออกแบบก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม - ตะวันออก สัญญาที่ 1 (ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-รามคำแหง12) และ สัญญาที่ 2 (ช่วงรามคำแหง12 – หัวหมาก) จำนวน 3 สถานีจากทั้งหมด 7 สถานี เพื่อให้เจ้าของโครงการรวมไปถึงผู้โดยสารทุกท่านวางใจได้ว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มมีความมั่นคงปลอดภัยและจะแล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด”   สำหรับระบบ Building Information Modelling (BIM) เป็นการออกแบบอาคารหรือโครงสร้างด้วยแบบจำลอง 3 มิติ พร้อมกับมีข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องอยู่ภายใน เช่น ขนาด สเปคและราคาวัสดุ จำนวนการใช้งานจริง การทำงานจะสร้างแบบจำลองเสมือนจริงในคอมพิวเตอร์ โดยผู้ที่ออกแบบทุกฝ่าย ทั้งงานโครงสร้าง งานสถาปัตยกรรม งานระบบ สามารถทำงานบนโมเดลเดียวกันได้ ทำให้ประสานงานระหว่างทีมออกแบบและบริหารต้นทุนโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ นายวัชระ แสงหัตถวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานวิศวกรรม บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ผลักดันการใช้เทคโนโลยี BIM ในช.การช่าง กล่าวว่า “ในช่วง 4-5 ปีทีผ่านมา เทคโนโลยี BIM ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ออกแบบและจำลองอาคารสูง ส่วนอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานในเมืองไทย เพิ่งเริ่มมีการตื่นตัวใช้ BIM อย่างกว้างขวางในช่วง 1-2 ปีนี้ โดยสภาวิศวกร สภาสถาปนิก และวิศวกรรมสถานแห่งชาติ ได้เข้ามาให้การสนับสนุนด้วยการออก BIM Guide ฉบับแรกเพื่อเป็นคู่มือการใช้งานซอฟต์แวร์ดังกล่าวเมื่อปลายปี พ.ศ. 2560 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่วงการก่อสร้างไทยจะได้นำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างแพร่หลายในอนาคต”   การออกแบบโมเดล 3 มิติ มีความเที่ยงตรงและเห็นภาพโครงสร้างจริงรวมถึงปัญหาที่อาจจะเกิดในการก่อสร้างได้ชัดเจนมากกว่าทำงานด้วยแบบ 2 มิติแบบเดิมๆ ซึ่งต้องทำเป็นรูปด้าน รูปตัดประกอบกันหลายแผ่นจึงจะเห็นภาพ ในแบบ2มิติก็จะเป็นเพียงการเขียนชิ้นงานที่เป็นเส้น ไม่สัมพันธ์กัน ส่วนข้อมูลที่แสดงก็จะเป็นเพียงสี ความหนาเส้น เส้นประ หากต้องการแก้จุดใดจุดหนึ่ง จะต้องแก้แบบแผ่นอื่นๆที่ต่อเนื่องกันตามไปด้วย ทำให้การประสานงานจะมองเห็นเพียงส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานที่กำลังเขียนอยู่เท่านั้น ต่างจากการเขียนแบบด้วยโมเดล 3 มิติที่สามารถแก้จุดเดียวแล้วแบบแผ่นอื่นๆจะปรับแก้ตามอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถตรวจจับโครงสร้างที่ชนกัน (Clash Check) ระหว่างทีมเขียนแบบได้อีกด้วย ซึ่งทำให้ลดเวลาในการตรวจแบบลงมาก การประสานงานด้วยโมเดล 3 มิตินี้ มีความแม่นยำสูงตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบก่อนลงมือก่อสร้างจริง ทำให้ทุกฝ่ายออกแบบได้สอดคล้องกันและลดการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งหน้างาน ทั้งนี้ ภาพ 3 มิติยังทำให้ผู้ที่ไม่ชำนาญด้านการอ่านแบบ เช่น ผู้ปฏิบัติงานหน้างาน เจ้าของงาน สามารถมองเห็นภาพโครงการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น   “นอกเหนือจากการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินงานแล้วนั้น ช.การช่างก็มุ่งที่จะพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะด้านเทคโนโลยีไปพร้อมๆกัน โดยได้คัดเลือกวิศวกร สถาปนิก และช่างเขียนแบบที่มีความสามารถไปฝึกอบรมการใช้โปรแกรมกับสถาบันตัวแทน Autodesk เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและโครงการอื่นๆในอนาคต ทั้งยังได้ปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์พร้อมโครงข่ายการทำงานในฝ่ายวิศวกรรมเพื่อให้รองรับการทำงานด้วย BIM บนโครงการคอมพิวเตอร์ของบริษัท โดยในอนาคต ช.การช่าง ยังตั้งเป้าที่จะพัฒนาเทคโนโลยี BIM ให้สามารถวิเคราะห์การใช้พลังงาน และการบำรุงรักษาโครงสร้างส่วนต่างๆ (Facility Management) ของโครงการอีกด้วย” นายวัชระเสริม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณวัชระมีส่วนร่วมในการปรับเปลี่ยนทิศทางด้านเทคโนโลยีของ ช.การช่าง เมื่อย้อนกลับไปถึงช่วงเวลากว่า 3 ทศวรรษก่อน คุณวัชระถือเป็นผู้ผลักดันในการนำคอมพิวเตอร์เครื่องแรกเข้ามาใช้ในบริษัท ช.การช่าง โดยได้รับการสนับสนุนจากคุณปลิว ตรีวิศวเวทย์ ในการเริ่มใช้งานกับโครงการ “ในเวลานั้น คอมพิวเตอร์ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับเมืองไทย เครื่องหนึ่งจะมีมูลค่าหลายหมื่นบาท ถือว่ามีมูลค่าที่สูงมาก เราได้นำมาใช้กับระบบบัญชีและการจัดซื้อเป็นจุดประสงค์แรก ซึ่งเดิมทีมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน จำเป็นที่ต้องนำคอมพิวเตอร์เข้ามาจัดการระบบและย่นระยะเวลาการทำงานได้หลายเท่า การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ของช.การช่างในตอนนั้นจึงไม่ได้มองที่ความทันสมัย แต่เราคำนึงถึงประโยชน์ที่เทคโนโลยีที่เราจะนำมาใช้นั้นเหมาะสมกับงานแค่ไหน จะสร้างความคุ้มค่าทั้งในเชิงการทำงาน การบริหารเวลา และประสิทธิภาพของได้อย่างไรบ้าง ซึ่งถือเป็นแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีของช.การช่างในปัจจุบัน”   อย่างไรก็ตาม หัวเรือใหญ่แห่งสายงานวิศวกรรมของ ช.การช่าง มองว่า หัวใจสำคัญของการใช้เทคโนโลยีในองค์กรนั้นอยู่ที่ “คน” “การพัฒนาเทคโนโลยีขององค์กรนั้น ส่วนที่ท้าทายที่สุดไม่ได้อยู่ที่ตัวเทคโนโลยี เพราะผมเชื่อว่าเทคโนโลยีถูกสร้างมาเพื่อการใช้งานที่สะดวกและง่ายดาย แต่กลับอยู่ที่ ‘คน’ ซึ่งทัศนคติการเปิดใจและยอมรับที่จะเรียนรู้แนวทางการทำงานใหม่ๆจากเทคโนโลยีถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคนเรามักยึดถือความคุ้นชินกับแนวทางที่เคยทำมา เราจึงพยายามที่จะผลักดันให้บุคลากรทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ให้ตื่นตัวที่จะเรียนรู้และใช้เทคโนโลยีในการทำงาน ด้วยการชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับว่าคุ้มค่ามากแค่ไหน การก้าวไปข้างหน้าขององค์กรและเทคโนโลยี ผมจึงมองว่า ‘การเปิดใจเรียนรู้’ นี้แหละถือเป็นสิ่งสำคัญมาก” นายวัชระกล่าว      
CI กางแผนปี 62 รุกพัฒนาอสังหาฯ ไฮเอนด์ ทุ่ม 6 พันล้าน ผุด 6 โปรเจค เสริมทัพขยายธุรกิจ

CI กางแผนปี 62 รุกพัฒนาอสังหาฯ ไฮเอนด์ ทุ่ม 6 พันล้าน ผุด 6 โปรเจค เสริมทัพขยายธุรกิจ

ชาญอิสสระ เผยแผนขับเคลื่อนธุรกิจปี 62 ผุด 6 โปรเจค มูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท ทั้งส่วนต่อขยายโรงแรม บาบา บีช คลับ, วาเคชั่น คลับ สร้างทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่รักการท่องเที่ยวกับที่พักระดับไฮเอนด์ เดินหน้าผุดโครงการใหม่คอนโดหรูย่านสาทร เตรียมนำ  บาบา บีช คลับ หัวหิน เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมศรีพันวา (“กองรีท”) มูลค่าไม่เกิน 550 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าลุยโครงการร่วมพัฒนาและบริหารโรงแรม เสริมทัพการเติบโต   นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่าการแข่งขันด้านการตลาดอาจจะมีความคึกคักลดลงเมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยกระทบจากภาคการท่องเที่ยวที่ตัวเลขตกลงในช่วง 2- 3 เดือนมาแล้ว ส่งผลให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวของประเทศลดลงตามไป ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการท่องเที่ยวจากภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ รวมถึงกรุงเทพฯ ที่มีอัตราจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้สภาพหมุนเวียนทางการเงินลดลง ประกอบกับนโยบายสงครามการเงินระหว่างจีนกับสหรัฐฯซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการค้าที่จะมีการวางกฎเกณฑ์เรื่องของการนำเงินออกนอกประเทศมากขึ้น   “ปกติ 2-3 ปีที่แล้วมีการซื้อขายกับชาวจีนเยอะ ชาวจีนมาซื้อคอนโดเมืองไทยค่อนข้างมาก ตอนนี้ลดน้อยลง ซึ่งก็เป็นปัจจัยที่เห็นได้ชัดว่า ในช่วงปลายปีนี้ตลาดอสังหาฯ อาจจะไม่ได้คึกคักมาก สำหรับกำลังการซื้ออสังหาฯ ที่ผ่านมา มีทั้งชาวไทย และต่างชาติ โดยในส่วนของชาวจีนก็ถือเป็นสัดส่วนที่ช่วยดึงกำลังซื้อได้พอสมควรในการเข้ามาจับจ่ายใช้สอย โครงการหลายๆ โครงการอาจจะมีผลเยอะ จากเหตุการณ์สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่ต้องมีการคุมเข้มเรื่องการเอาเงินออกจากประเทศจีน มันก็มีผลส่วนหนึ่งต่อสภาพการหมุนเวียนทางการเงิน ขณะเดียวกันในส่วนของบ้านเราเองมาตรการคุมเข้มของแบงก์ชาติในการปล่อยสินเชื่อ ก็จะมีผลกระทบต่อโครงการที่อยู่ในระดับล่าง-ระดับกลางที่อาจจะได้รับการอนุมัติการกู้จากแบงก์ที่ยากขึ้น โดยในส่วนของการดำเนินธุรกิจของชาญอิสสระ ในช่วงที่ผ่านมา เรามีการทำการตลาดเพื่อระบายสต็อกสินค้าในกลุ่มระดับกลาง-ล่าง มาตลอดทั้งปี อีกทั้งโครงการต่างๆ ของบริษัทเน้นสินค้าระดับไฮเอนด์ จึงส่งผลให้มาตรการดังกล่าวของแบงก์ชาติที่ออกมาไม่ได้มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจมากนัก” นายสงกรานต์ กล่าว   สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 62 บริษัทเตรียมทุ่มงบประมาณกว่า 6 พันล้านบาท ในการพัฒนาโครงการใหม่ และโครงการส่วนต่อขยาย ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียมหรูย่านถนนจันทร์ - สาทร มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท, ส่วนต่อขยายโรงแรมบาบา บีช คลับ หัวหิน เมนโฮเทล อาคารสูง 12 ชั้น จำนวน 50 ห้อง มูลค่าโครงการ 1.5 พันล้านบาท, โครงการบ้านพักตากอากาศ พูลวิลล่า 7 หลัง   ภายในโครงการทิวทะเลเอสเตท มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท, วาเคชั่น คลับ อาคารสูง 10 ชั้น 80 ยูนิต ภายในโครงการทิวทะเลเอสเตท มูลค่าโครงการ 1.5. พันล้านบาท รวมไปถึงส่วนต่อขยายของโรงแรม ศรีพันวา ภูเก็ต คอนเวนชั่นฮอลล์ขนาดจุ 400 คน พร้อมห้องพักแบบพูลสวีท จำนวน 20 ห้อง มูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท และโครงการบ้านพักตากอากาศ พูลวิลล่าอีกจำนวน 4 หลัง มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท   “ทั้ง 6 โปรเจค ถือเป็นโครงการที่จะมาช่วยเติมเต็ม และรองรับการขยายธุรกิจของบริษัทในอนาคต โดยเฉพาะในส่วนของการพัฒนาส่วนต่อขยายของโรงแรมไม่ว่าจะเป็นโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต โรงแรมบาบาบีช คลับ หัวหิน โรงแรมบาบา บีช คลับ ภูเก็ต รวมถึงโครงการวาเคชั่นคลับ ซึ่งถือเป็นแนวคิดใหม่ในการพัฒนาที่พักตากอากาศสำหรับกลุ่มคนที่สนใจเป็นเจ้าของห้องพักในงบประมาณที่ไม่ถึงหนึ่งล้านบาท แต่ได้พักในอาคารที่มีการออกแบบและบริการระดับโรงแรม 5 ดาว” นายสงกรานต์ กล่าว   นอกจากนี้ในส่วนของความคืบหน้างานที่ปรึกษา และบริหารงานโรงแรมที่ไฮหนาน มณฑล ยูนนานประเทศจีน กับกลุ่มจุนฟาเรียลเอสเตท มีมูลค่าโครงการกว่า 18,000 ล้านบาท ปัจจุบันก่อสร้างไปแล้วกว่า 40 % ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนตุลาคม ปี 2562  ซึ่งที่ผ่านมาเราได้รับรายได้จากค่าที่ปรึกษาและจะได้บริหารงานโรงแรม ซึ่งจะเป็นรายได้ระยะยาวให้กับบริษัทต่อไปด้วย และเมื่อไม่นานมานี้กลุ่มจุนฟาก็ได้เชิญทีมพัฒนาโครงการของชาญอิสสระเข้าไปดูพื้นที่และศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโรงแรมต่อที่ สิบสองปันนา ประเทศจีน เพื่อลงทุนพัฒนาในปีหน้าอีกด้วย ด้านนายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจในส่วนของโครงการทิวทะเลเอสเตท โครงการ Mixed Use เต็มรูปแบบแห่งแรกในหัวหิน ด้วยคอนเซปต์โครงการบ้านพักตากอากาศแบบครบวงจร ที่มีทั้ง คอนโดมิเนียม โรงแรม พูลวิลล่า ร้านอาหาร รวมถึงพื้นที่รองรับการจัดกิจกรรม อีเว้นท์ และงานสันทนาการต่างๆ ปัจจุบันมีโครงการแล้วเสร็จรวม 4 โครงการ ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม ได้แก่ โครงการบ้านทิวทะเล อความารีน (Aquamarine), โครงการบ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ (Blue Sapphire), โครงการบลู (Blu) นอกจากนี้ยังมีโครงการ Baba Beach Club Hotel & Residences Hua Hin และ “บ้านโชค” ซึ่งเป็นบ้านพักตากอากาศเก่าแก่ของตระกูลโชควัฒนา ในสไตล์หัวหินโคโลเนียล ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างดี ประกอบกับเราได้มีการทำกิจกรรมทางการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นยอดขายมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีอีกด้วย   “จากกระแสตอบรับของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาพัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย, จีน,  อเมริกา, ไต้หวัน, สหราชอาณาจักร, เกาหลี, ฮ่องกง, แคนาดา, รัสเซีย, สวิตเซอร์แลนด์ ทำให้ในปีหน้าเราเตรียมที่จะทุ่มงบประมาณในการสร้างส่วนต่อขยายของโรงแรมเพื่อเป็นการรองรับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมตึกสูง (Main Hotel) ซึ่งเป็นอาคารสูง 12 ชั้น จำนวน 50 ห้อง ที่มาพร้อมห้องบอลรูม ขนาดใหญ่, บ้านพักตากอากาศ พูลวิลล่า จำนวน 7 หลัง 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ รวมถึงวาเคชั่นคลับ  อาคารสูง 10 ชั้น จำนวน  80 ยูนิต ” นายดิฐวัฒน์ กล่าว   สำหรับโครงการส่วนต่อขยายในส่วนของพูลวิลล่า (บาบา บีช คลับ เรสซิเดนซ์ เฟส 2) สุดหรู จำนวน 7 ยูนิต ออกแบบดีไซน์ในสไตล์นีโอโคโลเนียลโดย บริษัท ฮาบิต้า จำกัด ประกอบด้วยวิลล่า 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 167.50 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้น 31.9 ล้าน มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท โดยมีทีมงานบริหารจากโรงแรมศรีพันวา เข้ามาช่วยบริหารจัดการด้านการลงทุนปล่อยเช่าให้กับลูกค้าอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้าง นอกจากนี้ในส่วนของการพัฒนาโปรเจคที่เรียกว่าวาเคชั่นคลับ เป็นอาคารสูง 10 ชั้น 80 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1.5 พันล้านบาท ถือเป็นโปรเจคใหม่ที่น่าสนใจสำหรับการสร้างประสบการณ์การวางโปรแกรมการพักผ่อนสำหรับนักเดินทางยุคใหม่ อีกทั้งยังเป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ ของการพัฒนาที่พักตากอากาศ สำหรับกลุ่มคนที่สนใจเป็นเจ้าของในงบประมาณที่ไม่ถึง 1 ล้านบาท แต่ได้พักในอาคารที่บริการระดับโรงแรม 5 ดาว โดยในระยะเริ่มต้นจะนำโรงแรมในเครือไม่ว่าจะเป็นโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต, โรงแรม บาบา บีช คลับ ภูเก็ต และ โรงแรม บาบา บีช คลับหัวหิน  เข้าร่วมนำร่องก่อน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2562 นอกจากนี้ในปีหน้าเราได้เจรจากับพันธมิตรในการพัฒนาปั้มน้ำมัน และแหล่งช้อปปิ้ง บริเวณด้านหน้าโครงการ ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 20 ไร่ โดยจะแบ่งพื้นที่ดังกล่าวออกมาจำนวน 6 ไร่ ในการพัฒนาเติมเต็มรูปแบบความเป็นโครงการ Mixed Use ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ขณะที่นายวรสิทธิ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีพันวา แมเนจเมนท์ จำกัด  เปิดเผยถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจโรงแรมที่ผ่านมายังได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีปัจจัยด้านการท่องเที่ยว และการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจากเหตุการณ์ต่างๆ เข้ามากระทบ แต่ภาพรวมของอุตสาหกรรมโรงแรมก็ยังเติบโตได้ดี โดยในส่วนของอัตราการเข้าพักอาจจะมีการปรับตัวลดลงไปบ้าง แต่ในด้านของการเข้าใช้บริการของร้านอาหาร การใช้สถานที่จัดงาน ยังได้รับการตอบรับที่ดีโดยตลอดทั้งปีที่ผ่านมา มีกิจกรรมอีเว้นทั้งหมด 87 งาน   ทั้งนี้จากภาพรวมการเติบโตของการจัดกิจกรรมอีเว้นท์ ในปีหน้าเราเตรียมพัฒนาส่วนต่อขยายในโครงการโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต ในรูปแบบคอนเวนชั่นฮอลล์ เพื่อให้เป็นแหล่งรองรับการจัดกิจกรรม อีเว้นท์ ได้มากถึง 400 คน พร้อมพัฒนาห้องพักในรูปแบบของพูลสวีทเพิ่มอีกจำนวน 20 ห้อง เพื่อรองรับกลุ่มผู้เข้ามาร่วมกิจกรรมอีเว้นท์ได้มีที่พักผ่อน มูลค่าโครงการรวม 1 พันล้านบาท   อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังได้พัฒนาพูลวิลล่าโซนใหม่ ดีไซน์ในสไตล์ทรอปิคอลคอนเทมโพรารี่ ออกแบบโดยบริษัท แฮบบิต้า จำกัด  ผู้ออกแบบโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต ประกอบด้วยพูลวิลล่า 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ จำนวน 4 หลัง พื้นที่ใช้สอย 150 ตารางเมตร และพื้นที่ส่วนกลางอีกกว่า 1,000 ตารางเมตร มีสระว่ายน้ำและพูลบาร์ มูลค่าโครงการรวม 200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปลายปี 2562   นอกจากนี้ในปีปลาย 2561 เราเตรียมนำโรงแรม บาบา บีช คลับ หัวหิน เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา หรือกองทรัสต์ SRIPANWA มูลค่าไม่เกิน 550 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอมติจากผู้ถือหน่วยลงทุน ที่จะมีการประชุมในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ โดยหากผู้ถือหน่วยมีมติเห็นชอบการเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมในครั้งนี้จะส่งผลให้ขนาดมูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์โตขึ้นจากเดิมที่ประมาณ 3,700 ล้านบาท เป็นมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท        
‘จระเข้’ เปิดโกดังใหม่ ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมวัสดุเพื่อที่อยู่อาศัย พร้อมการันตีมาตรฐานและคุณภาพด้วย มอก. คุณภาพชั้นสูงในกลุ่มกาวซีเมนต์จระเข้เงิน

‘จระเข้’ เปิดโกดังใหม่ ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมวัสดุเพื่อที่อยู่อาศัย พร้อมการันตีมาตรฐานและคุณภาพด้วย มอก. คุณภาพชั้นสูงในกลุ่มกาวซีเมนต์จระเข้เงิน

จระเข้พร้อมก้าวสู่ผู้นำด้านวัสดุก่อสร้าง เปิดโกดังใหม่รองรับการขยายกำลังการกระจายสินค้า พร้อมเสริมทัพด้วยนวัตกรรมวัสดุเพื่อที่อยู่อาศัย การันตีตรามอก.(คุณภาพขั้นสูง) ในกลุ่มกาวซีเมนต์จระเข้เงินเป็นกลุ่มแรกในไทย นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2561 ที่ผ่านมา แบรนด์จระเข้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการดำเนินธุรกิจภายใต้ 2 แบรนด์หลักคือ จระเข้ และ ชาละวัน โดยได้ขับเคลื่อนธุรกิจผ่านแผนและกลยุทธ์ทางการตลาดคือ การโฟกัสกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก จัดกิจกรรมเชิงรุกให้เข้าถึงและเกิดการมีส่วนร่วมโดยเฉพาะการได้ใช้ผลิตภัณฑ์จริง ทำให้ในปีที่ผ่านมาจระเข้นั้น มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ดี จากมูลค่าตลาดรวมทั้งหมดของอุตสาหกรรมและกลุ่มธุรกิจบ้านและการก่อสร้าง พร้อมด้วยรางวัลการันตีคุณภาพมากมาย อย่างเช่น ได้รับการรับรองมาตรฐาน มอก.2703-2559 ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกาวซีเมนต์ เป็นกลุ่มแรกในไทยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา และล่าสุดได้รับการรับรองมาตรฐานมอก. 2703-2559 คุณภาพชั้นสูง ในสินค้ากาวซีเมนต์จระเข้เงิน จากกระทรวงอุตสาหกรรม ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดกาวซีเมนต์ทั้งด้านยอดขายอันดับหนึ่งและการมีมาตรฐานรองรับ โดยมาตรฐานมอก. 2703-2559 คุณภาพชั้นสูง เพิ่งมีเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และจระเข้ถือเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับมาตรฐานการันตีดังกล่าว ด้วยคุณสมบัติเด่นคือให้การยึดเกาะสูงสำหรับงานปูกระเบื้องขนาดใหญ่ ทั้งงานภายนอกและภายในอาคาร โดยไม่ต้องแช่กระเบื้องในน้ำก่อนการปู ปูผนังหินอ่อน แกรนิต โดยไม่ต้องใช้ตะขอยึด และสามารถปูทับพื้นเดิมได้ สำหรับงานภายในอาคารได้ จากความสำเร็จดังกล่าว เพื่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อที่มีต่อสินค้าในเครือจระเข้ ทางจระเข้จึงได้ขยายกำลังการกระจายสินค้าตามความต้องการของลูกค้าที่ส่งถึงแบรนด์ที่มากขึ้น ด้วยการสร้างโกดังแห่งใหม่ (warehouse) บนพื้นที่ 4,500 ตรม.และออกแบบพิเศษเป็นแนวตั้งเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่เก็บสินค้าได้มากพอต่อการสั่งซื้อที่เพิ่มมากขึ้น ทุกอุปกรณ์ได้รับการออกแบบในแนวสูงเพื่อรองรับการใช้งานในโกดังใหม่แห่งนี้ เช่น Folk Lift ที่สูงเป็นพิเศษ และติดกล้องถ่ายภาพเพื่อให้เห็นภาพเมื่อหยิบสินค้าจากชั้นวางสูง และการบรรทุกสินค้าเข้ารถบรรทุกจะมีเครนพิเศษที่เรียกว่า "Folk-Crane" ซึ่งเป็นเครนรางที่มีแท่นวางเพื่อยกพาเลท เพื่อลดระยะเวลาในการรอสินค้าจัดส่ง และป้องกันของขาดตลาด ทั้งในประเทศ และการส่งออกไปต่างประเทศ โดยโกดังแห่งใหม่นี้ อยู่ในเขตพื้นที่ อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรีและจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปลายปี 2561 นี้ นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า จระเข้มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่ดีที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมของวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างเพื่อต่อยอดให้คนไทย มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อเป็นการตอบแทนความไว้วางใจ และเชื่อมั่นของคนไทยที่มีต่อแบรนด์มาอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าด้วยกลยุทธ์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพของจระเข้อย่างไม่หยุดนิ่งเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างรอบด้าน จะทำให้จระเข้ไปถึงจุดที่จะเติบโตมากขึ้นตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน          
เอสซี แอสเสทฯ เปิดจองครั้งแรก บ้านเดี่ยวและโฮม ออฟฟิศ โครงการใหม่ 2 ทำเล พร้อมรับสิทธิพิเศษ 15-16 ธ.ค.นี้

เอสซี แอสเสทฯ เปิดจองครั้งแรก บ้านเดี่ยวและโฮม ออฟฟิศ โครงการใหม่ 2 ทำเล พร้อมรับสิทธิพิเศษ 15-16 ธ.ค.นี้

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ขอแนะนำ 2 โครงการใหม่ บ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์น โครงการ VENUE (เวนิว) พระราม9 และ โฮม ออฟฟิศ โครงการ WORKPLACE (เวิร์คเพลส)  เพชรเกษม 81-2 เปิดจองพร้อมกันครั้งแรก พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย 15-16 ธ.ค.นี้ โครงการ  VENUE (เวนิว) พระราม 9  บนพื้นที่โครงการกว่า 34 ไร่   จำนวน 143 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท  บ้านเดี่ยว 2 ชั้นสไตล์ Modern  ด้วยแนวคิด Organic Living ซึ่งออกแบบภายในและภายนอกอย่างมีเอกลักษณ์  โดยพื้นที่ใช้สอยใช้งานได้จริง และตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ เพิ่มบรรยากาศแห่งการพักผ่อน ด้วยฟังก์ชั่นที่ลงตัว ราคา 6-10 ล้านบาท มีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ ได้แก่   1.HAZEL  : พื้นที่ใช้สอย 163 ตร.ม. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ , Living Area , Dining Area , Kitchen ,และ 2 ที่จอดรถ 2.ROWAN : พื้นที่ใช้สอย 213 ตร.ม.  4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ , Living Area , Dining Area , Kitchen , Family Area , และ 2 ที่จอดรถ 3.WILLOW : พื้นที่ใช้สอย 234 ตร.ม.  4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ , Foyer , Living Area , Dining Area , Kitchen , Family Area , และ 2 ที่จอดรถ โครงการ VENUE (เวนิว) พระราม 9 ตั้งอยู่ทำเลศักยภาพ ติดถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก และถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า (กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่) เชื่อมต่อทุกการเดินทาง ใกล้ย่าน NEW CBD พระราม 9 ใกล้ทุกความสะดวกสบาย รายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ใกล้สถาบันการศึกษา และใกล้ศูนย์การแพทย์ ผ่อนคลายไปกับ Clubhouse ขนาดใหญ่ที่ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมสระว่ายน้ำระบบเกลือ, ฟิตเนส, สวนส่วนกลางขนาดใหญ่, Kid’s Club เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวได้พักผ่อนและออกกำลังไปด้วยกัน สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.063-197-4666 หรือ Line : @vnpr9  ลงทะเบียนรับสิทธิ์ : http://bit.ly/2NMobyJ ส่วนอีกโครงการคือ WORKPLACE  (เวิร์คเพลส)  เพชรเกษม 81-2 โฮมออฟฟิศ 4 ชั้น สไตล์ Loft   พื้นที่โครงการกว่า 11 ไร่ จำนวน 112 ยูนิต   มูลค่าโครงการ 630 ล้านบาท  ด้วยที่สุดของทำเลย่านเพชรเกษม ตั้งอยู่ห่างถนนเพชรเกษม เพียง 1.2 กิโลเมตร โครงการติดถนนใหญ่ ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน(โครงการในอนาคต) รายล้อมด้วย Community Mall และ สถานศึกษาชั้นนำมากมาย พร้อมการเดินทางที่สะดวกสบายทั้งรถยนต์ส่วนตัว หรือ รถประจำทาง พร้อมเชื่อมต่อถนนเส้นหลักหลายสายทั้งเข้าเมือง และ ออกเมือง ได้แก่ ถนนเพชรเกษม,ถนนเอกชัย,ถนนพุทธสาคร,ถนนพุทธมณฑลสาย 3-4 และ ถนนกาญจนาภิเษก ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 163 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท  พร้อมสิทธิพิเศษในวันงาน ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษมูลค่า 100,000 บาท* ได้ที่ www.scasset.com รายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 080-604-5660 หรือ Line@ : @wpp81-2          
“ยูนิเวนเจอร์” เผยผลประกอบการ ประจำปี’61 รายได้รวมกว่า 20,900 ล้านบาท มั่นใจปี’62 โตต่อเนื่อง

“ยูนิเวนเจอร์” เผยผลประกอบการ ประจำปี’61 รายได้รวมกว่า 20,900 ล้านบาท มั่นใจปี’62 โตต่อเนื่อง

บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV เผยภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2561 (ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2560 ถึง 30 กันยายน 2561) โดยมียอดรายได้รวม 20,994 ล้านบาท เติบโต 16% จากช่วงเดียวกันของปี 2560 มีผลกำไรสุทธิส่วนของบริษัทอยู่ที่ 1,006 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้หลักในปี 2562 (ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2561 ถึง 30 กันยายน 2562) กว่า 25,800  ล้านบาท และมีแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้กว่า 30 โครงการ   นายวรวรรต ศรีสอ้าน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ประจำปี 2561 ว่าบริษัทฯ มีรายได้รวม 20,994 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 16,812 ล้านบาท คิดเป็น 80% ของรายได้รวม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าและโรงแรม 1,687 ล้านบาท ธุรกิจอื่น (รวมธุรกิจสังกะสีออกไซด์) 2,494 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัท 1,006 ล้านบาท   “ในปี 2561 รายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายทั้งจากบ้านและคอนโดซึ่งอยู่ในธุรกิจการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แบ่งเป็นรายได้จาก 14,053 ล้านบาท และรายได้จากคอนโด 2,759 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) รวมทั้งสิ้น 10,050 ล้านบาท มากจากบ้าน 7,200 ล้านบาท และจากคอนโด 2,850 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปี 2562 9,800 ล้านบาท คิดเป็น 45% ของเป้ารายได้ปี 2562   อนึ่งในปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายบ้าน 14,053 ล้านบาท โดยมาจากโครงการของกลุ่มแผ่นดินทอง จำนวน 38 โครงการ และในปี 2562 บริษัทฯ วางแผนเปิดโครงการแนวราบใหม่จำนวนกว่า 25 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 28,600 ล้านบาท   ในส่วนคอนโด บริษัทฯ มีรายได้ปี 2561  2,759 ล้านบาท จาก 8 โครงการ ของ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY และในปี 2562 บริษัทฯ วางแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการไม่น้อยกว่า 9,000 ล้านบาท   “สำหรับทิศทางและแผนการดำเนินธุรกิจภาพรวมในปี 2562 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้หลักกว่า 25,800 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 83% ทั้งนี้มาจากบ้านประมาณ 69% และมาจากคอนโด 13% รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าและโรงแรมประมาณ 7% ธุรกิจอื่นๆ (รวมธรุกิจสังกะสีออกไซด์) ประมาณ 10%” นายวรวรรต กล่าวในตอนท้าย        
อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ เล็งเห็นศักยภาพทำเลย่านเจริญกรุง-สาทร เติบโต เปิดตัว อัลติจูด ซิมโฟนี มูลค่าโครงการ 980 ล้านบาท

อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ เล็งเห็นศักยภาพทำเลย่านเจริญกรุง-สาทร เติบโต เปิดตัว อัลติจูด ซิมโฟนี มูลค่าโครงการ 980 ล้านบาท

อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ เล็งเห็นศักยภาพทำเลย่านเจริญกรุง-สาทร เปิดโครงการ อัลติจูด ซิมโฟนี บนทำเลเด่น เจริญกรุง-สาทร มูลค่าโครงการกว่า 980 ล้านบาท เป็นโครงการ Luxury riverside condominium ใน CBD โครงการเดียวที่เปิดตัวในรอบ 2 ปี เชื่อมั่นทำเลมีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะเป็นย่านธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพ เป็น World Destination ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาจากทั่วโลก ทำให้การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ย่านนี้เป็นระดับลักซ์ชัวรี่ ตอบโจทย์กำลังซื้อที่ยังคงมีความหนาแน่น นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์  ‘ALTITUDE’ เปิดเผยว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาถือเป็นความท้าทายสำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แม้อัตราการขยายตัวปีที่ผ่านมายังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในสินค้าบางประเภท (Segment) โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมต้องยอมรับว่าจำนวนยูนิตใหม่ (Supply) มากกว่าความต้องการซื้อ (Demand) โดยปัจจุบันมีจำนวนยูนิตใหม่เข้ามาประมาณ 170,000 ยูนิต และมีอัตราการขายได้ 75% ต่อจำนวนยูนิตออกใหม่ทั้งหมด ดังนั้นจึงเป็นโจทย์สำคัญให้ อัลติจูด ต้องพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพ ทั้งการเลือกทำเล การออกแบบ และพัฒนาสินค้า ให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย ที่ได้ศึกษามาแล้วในแต่ละโครงการ เช่นเดียวกันกับโครงการ อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญนคร-สาทร ที่เปิดตัวซึ่งเป็นโครงการ Luxury riverside condominium ใน CBD โครงการเดียวที่เปิดตัวในรอบ 2 ปี โดยมูลค่าโครงการ 980 ล้านบาท “ระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา เจริญกรุง-สาทร มีพัฒนาการการเติบโตของพื้นที่ที่ชัดเจน และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ โดยเฉพาะโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นระดับ 5 ดาว โครงการคอนโดมิเนียมมีราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรสูงกว่า 200,000 บาท การคัดสรรทำเลและตัวโครงการ อัลติจูด ซิมโฟนี จึงตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยมากๆ ใกล้โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอร์รี่เพียง 400 เมตร โดยโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ 369 ตารางวา เดินทางสะดวกทั้งทางถนนเจริญกรุงและถนนจันทน์ และไม่ไกลกันมากกับห้างไอคอนสยาม แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของเมืองไทย” นายขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย กรรมการบริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครยังขยายตัวได้อีก ตามการขยายตัวของแนวรถไฟฟ้า ซึ่งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโดมิเนียม โดยแต่ละSegment ทำเลที่อยู่อาศัยจะแตกต่างกัน ตามวัตถุประสงค์ของผู้ซื้อ ในส่วนของคอนโดมิเนียมกลางใจเมือง โครงการที่ใกล้รถไฟฟ้าจะเป็นอีกแม่เหล็กที่ดึงดูดผู้ซื้อ แต่ทั้งนี้โครงการที่ใกล้แหล่งที่เรียน หรือสาธารณูปโภคอื่นๆก็เป็นปัจจัยสำคัญ โดยในย่านเจริญกรุงสาทร ถือเป็นทำเลที่มีการขยายตัวสูงมากระยะหลายปีที่ผ่านมาราคาที่ดินปรับสูงขึ้นเฉลี่ย 8% เนื่องจากที่ดินบริเวณนี้หาไม่ได้ง่าย การเติบโตของชุมชนสูง และเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ดังนั้น Supply ยังมีไม่มากในขณะที่ Demand ยังมีล้น   อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง-สาทร จึงเป็นที่สุดแห่งทำเลใจกลางย่านเจริญกรุง-สาทร โดยมีการออกแบบในสไตล์โคโลเนียล คอนเทมโพรารี่ สะท้อนรสนิยมและความภาคภูมิใจ ผ่านการเลือกสรรที่บ่งบอกถึงตัวตน สุนทรียะแห่งการอยู่อาศัย มีพื้นที่เพื่อการใช้เวลาอันมีค่าร่วมกับครอบครัวและเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของชีวิตในเมือง ราคาห้อง เริ่มต้น 4.9 ล้านบาท – 29 ล้านบาท โครงการเริ่มก่อสร้าง ไตรมาส 4 ปี 2561 และคาดว่าแล้วเสร็จทั้งโครงการในไตรมาส 4 ปี 2563 สำหรับโครงการ อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง สาทร ตั้งอยู่บนถนนจันทน์ 44 เนื้อที่ 369 ตารางวา จำนวน 99 ยูนิต 1 อาคาร 21 ชั้น และชั้นใต้ดิน 4 ชั้น มีรูปแบบขนาดของห้อง 6 ขนาด ราคาเริ่มต้น 4.9-29 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยโครงการ 170,000 บาทต่อตารางเมตร  ราคาตลาด 200,000 บาทต่อตารางเมตร โดยรูปแบบ A ขนาด 1 ห้องนอน เริ่มต้นที่  30.01-30.10  ตารางเมตร  รูปแบบ B ขนาด 1 ห้องนอน เริ่มต้นที่  39.35 ตารางเมตร รูปแบบ C ขนาด 2 ห้องนอน เริ่มต้นที่   61.90-73.66 ตารางเมตร  รูปแบบ Loft 42.17-125.55 ตารางเมตร รูปแบบ Duplex  95.62 ตารางเมตร และห้อง Penthouse 104.24-147.95 ตารางเมตร โครงการออกแบบในสไตล์โคโลเนียล คอนเทมโพรารี่ (Colonial Contemporary Design) มีสิ่งอำนวยความสะดวกล็อบบี้ที่โอ่โถง ห้องเด็ก สระว่ายน้ำแบบชมวิว 360 องศา ที่ชั้น 18 และ ห้องฟิตเนสบนชั้น 21 ห้องสกายเล้าจ์บน Roof floor ซึ่งสามารถมองเห็นวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาที่สวยงาม และโครงการจัดให้มีพื้นที่จอดรถสูงถึง 83% พร้อมบริการ Door Man และ Valet service โครงการตั้งอยู่ในซอยจันทน์ 44 เข้าซอยมาเพียงแค่ 60 เมตร  ใกล้ถนนเส้นหลักอย่าง ถนนเจริญกรุง, ถนนเจริญราษฎร์, ถนนพระราม 3 และถนนสาทร ใกล้ทางพิเศษศรีรัช ด่านถนนจันทน์ เพียง 2 นาที มีเส้นทางลัดให้ได้ใช้หลายทาง รวมถึงเป็นโครงการที่ใกล้กับรถไฟฟ้าถึง 2 สถานี นั่นก็คือรถไฟฟ้า BTS สุรศักดิ์ และ BTS สะพานตากสิน อยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก แหล่งงาน โรงเรียน โรงพยาบาลและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โดยห่างจากโรงเรียนนานาชาติ โชรส์เบอรี่ เพียง 400 เมตร  รร.กรุงเทพคริสเตียน และ รร.อัสสัมชัญ บางรัก รวมถึงเป็นโครงการที่ใกล้กับ Asiatique The Riverfront แหล่งท่องเที่ยวบนถนนเจริญกรุง และ Four Seasons Hotel Bangkok โรงแรมระดับ 5 ดาว ในระยะที่สามารถเดินเท้าไปได้ และยังไม่ไกลจากห้างที่เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพ การเดินทางจากโครงการจึงเชื่อมต่อโดยการโดยสารรถ เรือ รถไฟฟ้า ไปยังจุดต่างๆ โดยง่าย ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.altitudesymphony.com หรือโทรติดต่อได้ที่เบอร์ 0952478999 ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป      
Money Expo Year-End 2018 เงินสะพัดกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท แบงก์ทุ่มโปรโมชั่นแรงงานสุดท้ายแห่งปี แห่วางแผนลงทุนส่วนบุคคลสร้างเงินล้าน

Money Expo Year-End 2018 เงินสะพัดกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท แบงก์ทุ่มโปรโมชั่นแรงงานสุดท้ายแห่งปี แห่วางแผนลงทุนส่วนบุคคลสร้างเงินล้าน

งานมหกรรมการเงินส่งท้ายปี ครั้งที่ 2 Money Expo Year-End 2018 แบงก์แข่งโปรโมชั่นพิเศษส่งท้ายปีดันยอดเงินสะพัดในงานกว่า 18,500 ล้านบาทสินเชื่อบ้านยอดฮิตกว่า 12,500 ล้านบาท เจ้าของธุรกิจขอกู้สินเชื่อ SMEs กว่า 3,000 ล้านบาท แห่ฝากเงิน/ซื้อประกันชีวิตกว่า 1,650 ล้านบาท ประชาชนสนใจปรึกษาเรื่องวางแผนการเงิน/การลงทุนสร้างความมั่งคั่งระยะยาว นางสาวภาคนี วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงานร่วม งานมหกรรมการเงินส่งท้ายปี ครั้งที่ 2 Money Expo Year-End 2018 ที่ วารสารการเงินธนาคาร จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน-2 ธันวาคม 2561 ภายใต้แนวคิด “Wealth Transformation มิติใหม่แห่งความมั่งคั่ง” เปิดเผยว่า มีประชาชนในฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานครรวมถึงจังหวัดใกล้เคียง เช่น สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา และชลบุรีเดินทางมาใช้บริการทางการเงินและการลงทุนอย่างคึกคักตั้งแต่วันแรก เนื่องจากมีโปรโมชั่นพิเศษที่ธนาคารและสถาบันการเงินนำมาแข่งขันกันอย่างดุเดือดภายในงาน ทำให้การจัดงานรวม 3 วันมียอดธุรกรรมทางการเงินการลงทุนรวมกว่า 18,500 ล้านบาท จากผู้สมัครใช้บริการภายในงานกว่า 28,300 ราย และมียอดผู้เข้าชมงานประมาณ 150,000 คน นางสางภาคนีกล่าวว่า โปรโมชั่นของงาน Money Expo Year-End 2018 เป็นโปรโมชั่นพิเศษที่ธนาคารและสถาบันการเงินนำมาแข่งขันกันเป็นงานสุดท้ายของปีนี้ โดยเฉพาะโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านที่แข่งกันเสนอดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ เช่น ธนาคารออมสิน คิดอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา0.50% 6 เดือนแรก ธนาคารกสิกรไทย 0.60% นาน 8 เดือนธนาคารกรุงไทย 3.37% 2 ปีแรก ธนาคารกรุงเทพอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีต่ำสุด 3.38%   รวมทั้ง โปรโมชั่นรีไฟแนนซ์บ้านมือสองและบ้านใหม่ของธนาคารแห่งประเทศจีน คิดอัตราดอกเบี้ยบ้านและวงเงินกู้เพิ่ม 0% นาน 6 เดือน เฉลี่ยอัตราดอกเบี้ย3 ปี 3% ฟรีค่าประเมิน ยกเว้นค่าจดจำนองสูงสุด   2 แสนบาท และไม่มีเงื่อนไขต้องสมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA) สำหรับผู้ประกอบการก็มีโปรโมชั่นสินเชื่อเอสเอ็มอี/สตาร์ตอัพ อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี และให้วงเงินกู้สูงสุดถึง 100 ล้านบาท มีระยะเวลาผ่อนชำระนานสูงสุดถึง10 ปี ส่วนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ใช้ระบบบัญชีเดียวจะได้รับอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษเพียง 1% ต่อปีเท่านั้น ด้านผลิตภัณฑ์การออมและการลงทุนก็มีโปรโมชั่นพิเศษมานำเสนอในงาน เช่น ธนาคารออมสินมีโปรโมชั่นเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 105 วัน อัตราดอกเบี้ย Step up สูงสุด 9% ต่อปีทำให้มีประชาชนมาเข้าคิวตั้งแต่เช้าทุกวัน, เงินฝากประจำ 18 เดือนของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.8%  ต่อปี, เงินฝากปลอดภาษี 24 เดือนของธนาคารกรุงศรี อัตราดอกเบี้ย 2.3% ต่อปี และเงินฝาก ME by TMB อัตราดอกเบี้ย 1.7% ต่อปี นอกจากนี้ ธนาคารออมสินยังมาเปิดขาย “สลากออมสินดับเบิลเปย์” ในงานเป็นที่แรก โดยเป็นสลากออมสินพิเศษ 5 ปี จำหน่ายหน่วยละ 100 บาท รวม 600 ล้านหน่วย ลุ้นรางวัลพิเศษรถเบนซ์ รถยนต์ รถกระบะ และรางวัลอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 28 ล้านบาท   ส่วนผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตก็เสนอโปรโมชั่นพิเศษเช่นเดียวกัน เช่น ซื้อประกันชีวิตแจกนาฬิกา Patek Philippe, นาฬิกา ROLEX, กระเป๋า Chanel ทองคำแท่งหนัก 10 บาท สร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท, iPad Proแถมมี Cashback คืนให้ทันทีที่ชำระเบี้ย พร้อมลุ้นรางวัลรถยนต์โตโยต้า อัลทิส นางสาวภาคนีกล่าวว่า นอกจากโปรโมชั่นพิเศษภายในงานแล้ว ยังมีบริการให้คำปรึกษาวางแผนการออมการลงทุนซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก เช่นธนาคารกรุงศรีอยุธยามีบริการ Krungsri Plan Your Money ให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคลในรูปแบบใหม่ภายใต้แนวคิด “แพลนดี ชีวิตสบาย จัดการเงิน ให้รวยได้ ง่ายนิดเดียว” ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้ลูกค้าวางแผนทางการเงินได้ง่ายขึ้นและไปถึงเป้าหมายได้เร็วยิ่งกว่าเดิมทั้งในเรื่องการออมเงิน การลงทุน และการใช้จ่าย รวมถึงการบริหารสินเชื่อ ธนาคารกรุงเทพชูไฮไลต์ ‘B-Advice’ บริการออกแบบการเงินเพื่อคนรุ่นใหม่ซึ่งลูกค้าที่สนใจสามารถเข้ามาขอรับคำแนะนำวางแผนการเงินและการลงทุนได้ฟรีจาก “ที่ปรึกษาทางการเงิน” ที่มีคุณวุฒิวิชาชีพด้านวางแผนทางการเงิน โดยใช้หลักการออกแบบพอร์ตลงทุนแบบ Efficient Frontier ที่เป็นรูปแบบการจัดพอร์ตที่มีประสิทธิภาพสูงในทุกระดับความเสี่ยง รวมถึงมีสินทรัพย์ทางการเงินและการลงทุนรูปแบบต่างๆ ให้เลือกลงทุนลงทุนตามเป้าหมายทางการเงินที่ต้องการ   ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย นำบริการจาก CitiGold มาช่วยจัดพอร์ตการลงทุนด้วยบริการแบบเปิดกว้าง (Open Architecture) ผ่านกองทุนจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนพันธมิตรชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ และธนาคารกสิกรไทยนำผู้เชี่ยวชาญจาก K-Expert มาให้คำปรึกษาทางการเงิน ทั้งคำแนะนำเรื่องการออมการลงทุน ตลอดจนการวางแผนรับวัยเกษียณ เพื่อให้วางแผนทางการเงินได้อย่างเหมาะสม สำหรับยอดธุรกรรมที่เกิดขึ้นในงาน Money Expo Year-End 2018 นางสาวภาคนีเปิดเผยว่า สินเชื่อบ้านและรีไฟแนนซ์บ้านยังฮิตติดอันดับ 1 มีผู้สมัครใช้บริการเป็นวงเงินกว่า 12,500 ล้านบาท อันดับ 2 สินเชื่อ SMEs รวมวงเงินกว่า 3,000 ล้านบาท อันดับ 3 กรมธรรม์ประกันชีวิตประกันภัยและแบงก์แอสชัวรันส์ มียอดทุนประกันรวมกันกว่า 940 ล้านบาท อันดับ 4 เงินฝากและสลากออมทรัพย์รวมวงเงินกว่า 710 ล้านบาท อันดับ 5 สินเชื่อบุคคลมีผู้สมัครกว่า 3,000 ราย วงเงินกว่า 420 ล้านบาท   นอกจากนี้ ยังมีผู้สนใจลงทุนในกองทุนรวมรวมมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท และสมัครบัตรเครดิตกว่า 4,700 ราย วงเงินกว่า 240 ล้านบาท          
“ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” แอคทีฟแบบชีวิตติดเมือง สุขเต็มที่กับความเป็นส่วนตัว จาก “ณวรางค์ แอสเซท”

“ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” แอคทีฟแบบชีวิตติดเมือง สุขเต็มที่กับความเป็นส่วนตัว จาก “ณวรางค์ แอสเซท”

อารีย์-พหลโยธิน เป็นย่านชุมชนเก่าแก่ที่เหล่าดีเวลลอปเปอร์ต่างลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมกันอย่างคึกคัก ขณะที่ปัจจุบันย่านนี้กำลังจะก้าวขึ้นเป็น New CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ  บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด มองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของชุมชนที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างวิถีชีวิตกับความทันสมัยอันเป็นสเน่ห์ของย่านนี้ จึงได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ ณ วีรา พหลฯ-อารีย์ ที่กำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของทำเล ที่รายล้อมด้วยอาคารสำนักงานขนาดใหญ่กว่า 10 อาคาร สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า เพราะอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าสถานีอารีย์เพียง 850 เมตร หรือหากจะเดินทางด้วยรถยนต์ก็สะดวกรวดเร็วไม่แพ้กัน เนื่องจากที่ตั้งโครงการสามารถเดินทางทะลุไปยังซอยต่างๆ ได้มากมาย อาทิ ซอยสายลม ซอยอินทรามระ เป็นต้น ณ วีรา พหลฯ-อารีย์ มูลค่าโครงการ 240 ล้านบาท มีจำนวนห้องชุด 78 ยูนิต ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ วัยทำงานที่ต้องการความเป็นส่วนตัวหลังเลิกงานอย่างแท้จริง เป็นอาคาร 8 ชั้น 1 อาคาร มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกหลัก อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส Co-working space  ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.เพียง 110,000 บาท/ตร.ม. สำหรับโครงการ ณ วีรา พหลฯ-อารีย์ เป็นโครงการที่ บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด ต้องการเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ วัยทำงานที่มีไลฟ์สไตล์เป็นของตัวเอง ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่ต้องการอาศัยเอง ชื่นชอบการใช้ชีวิตอิสระ แต่ก็ไม่ได้ละเลยในเรื่องของรายละเอียดการใช้ชีวิตและการวางแผนอนาคตให้กับตัวเอง อีกทั้งยังต้องการความสะดวกสบายสูง เพียงไม่กี่ก้าวคุณก็จะได้พบกับความแอคทีฟแบบชีวิตคนเมือง ที่สนุกสนานและไม่หยุดนิ่ง ที่แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ทั้ง ห้างสรรพสินค้า, ร้านอาหาร, คาเฟ่นั่งทำงาน, และโรงพยาบาล ด้วยการเดินทางที่ง่ายในระยะเดินเท้าถึงได้อย่างสบายหรือด้วยรถไฟฟ้าที่ใช้เวลาไม่นาน ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่สมบูรณ์ได้อย่างลงตัวทีเดียว   อาคารถูกออกแบบเป็นพิเศษให้ผู้อยู่อาศัยมีความเป็นส่วนตัว สงบและพักผ่อนได้เต็มที่ในทุกวัน ด้วยยูนิตจำกัดเพียง 78 ยูนิต ด้วยโถงทางเดินแบบ Single Corridor ที่โถงทางเดินหน้าห้องมีแค่ฝั่งเดียว ทำให้ผู้อยู่อาศัยไม่ต้องเปิดประตูมาพบกับฝั่งตรงข้าม และคนเดินผ่านไปมาน้อย เพิ่มความสงบและเป็นส่วนตัว ซึ่งถือว่าเป็นจุดสำคัญที่ผู้อยู่อาศัยคอนโดคำนึงถึงและมีเพียงไม่กี่คอนโดเท่านั้นที่ออกแบบมารองรับ ภายในโครงการประกอบด้วยห้องพักแบบ 1 ห้องนอน และ 1 ห้องนอนพิเศษ ขนาดตั้งแต่ 23.13-33.55 ตร.ม. ตกแต่งไว้อย่างครบถ้วนแบบ Fully Furnished ฟังก์ชั่นห้องให้สามารถใช้สอยได้เต็มพื้นที่ แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน ทั้งเคาท์เตอร์ครัว มุมพักผ่อน ห้องนอน หรือสามารถปรับแต่งพื้นที่ให้เหมาะกับการใช้ตามแบบที่ชอบได้ดั่งใจ เช่นส่วนพักผ่อนส่วนตัวยามเช้า, ส่วนทำงานออนไลน์, สวนสำหรับปลูกต้นไม้ โดยเชื่อว่าความร่ำรวยในเรื่องของการใช้ชีวิตนั้น ส่วนหนึ่งมาจากคุณภาพและสัดส่วนพื้นที่ที่สัมพันธ์กันกับลักษณะการใช้ชีวิตของแต่ละคน ที่สร้างขึ้นมาได้ตามใจต้องการ โครงการ ณ วีรา  พร้อมชมห้องตัวอย่างวันนี้ ณ Sales Gallery ชั้น 1  อาคาร ESV Tower   พหลโยธิน ปากซอย 9 และ เปิด Pre-sale ในวันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม 2561 เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส1/2562 และก่อสร้างเสร็จในช่วงไตรมาส 1/2563 โดยผู้สนใจสามารถเข้าดูรายละเอียดโครงการได้ที่ www.navarangasset.com หรือ โทร 085-368-2222                  
“แสนสิริ” ประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ โกยยอดขาย “XT” แบรนด์ใหม่ 3 โครงการรวด ทะลุเป้าพุ่ง 12,000 ลบ. สูงสุดในประวัติศาสตร์  ปลื้ม! โครงการไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่แบรนด์แรกในไทย ฉีกทุกกฏการอยู่อาศัย โดนใจมิลเลนเนียล

“แสนสิริ” ประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ โกยยอดขาย “XT” แบรนด์ใหม่ 3 โครงการรวด ทะลุเป้าพุ่ง 12,000 ลบ. สูงสุดในประวัติศาสตร์ ปลื้ม! โครงการไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่แบรนด์แรกในไทย ฉีกทุกกฏการอยู่อาศัย โดนใจมิลเลนเนียล

“แสนสิริ” เขย่าวงการอสังหาฯ ประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ “XT New Lifestyle Condominium” ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมแห่งแรกในไทยกับคอนเซปท์ที่ฉีกทุกกฏการอยู่อาศัย กวาดยอดขายทะลุเป้า 12,000 ลบ. สูงสุดในประวัติการณ์ คิดเป็น 75% ของจำนวนยูนิตที่เปิดขาย ภายในเวลาเพียง 3 เดือนกับ 3 ทำเลศักยภาพ XT เอกมัย XT ห้วยขวาง และ XT พญาไท ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ตอกย้ำความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์และเข้าใจไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่สะท้อนตัวตนของชาวมิลเลนเนียลอย่างแท้จริง การปั้นแบรนด์ใหม่ที่แข็งแกร่งด้วยแนวคิดฉีกกรอบ “Extend Your Style” เผย 3 ปัจจัยหลักการซื้อ รูปแบบห้องที่เลือกเองได้ Co-Sharing Space พื้นที่ส่วนกลางที่แชร์ร่วมกันระหว่างโครงการครบครันด้วยเทคโนโลยี ทำเลและราคาที่คุ้มค่าตอบโจทย์การอยู่อาศัยและลงทุน นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบริหารกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “โครงการ XT New Lifestyle Condominium นับว่าเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่แบรนด์แรกของแสนสิริ ที่มีความท้าทายในการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่และมิลเลนเนียล โดยมีมูลค่ารวมโครงการสูงสุดในประวัติศาสตร์ของแสนสิริด้วยมูลค่าถึง 21,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าการเปิดตัวแบรนด์ใหม่และโครงการในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเกินเป้าที่คาดหวังไว้จากการเปิดขายพร้อมกันรวด 3 โครงการ ทุบสถิติยอดขายทะลุถึง 12,000 ล้านบาท คิดเป็น 75% ของจำนวนยูนิตที่เปิดขาย ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายตั้งไว้ที่ 10,000 ล้านบาท ตอกย้ำความสำเร็จของการพัฒนาโครงการและสร้างแบรนด์ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมแห่งแรกในไทยเพื่อคนรุ่นใหม่และมิลเลนเนียลอย่างแท้จริง” “ปัจจัยความสำเร็จในครั้งนี้ เกิดจากการพัฒนาแบรนด์ที่แข็งแกร่งของ XT ภายใต้แนวคิด “Extend Your Style” ซึ่งเป็นจุดเด่นของโครงการที่ฉีกกฏเกณฑ์ของการอยู่อาศัยเดิมๆ จากการเป็นไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมใหม่แห่งแรกในไทยที่ผู้ซื้อสามารถเลือกออกแบบเลย์เอาท์ห้องและปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสไตล์การใช้ชีวิต พื้นที่ส่วนกลางที่พัฒนาจากแนวคิด Co-Sharing Space ที่สามารถแชร์ร่วมกันระหว่างโครงการ XT ที่ครบครันด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็น Flexible Furniture และ Sansiri Home Service Application ฯลฯ ตลอดจนศักยภาพทำเลโครงการและราคาที่คุ้มค่าของทั้ง 3 แห่ง ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านการอยู่อาศัยและลงทุนอย่างแท้จริง ด้วยจุดเด่นที่แตกต่างกันใน 3 ทำเลโครงการ  ไม่ว่าจะเป็น XT เอกมัย ศูนย์กลางของไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตใจกลางเมืองของคนยุคใหม่ ดีไซน์ของโครงการที่โดดเด่นทันสมัย และด้วยราคาที่ดินที่ถีบตัวขึ้นในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งผลตอบแทนการลงทุนสูงจากการปล่อยเช่า เนื่องจากเป็นโลเคชั่นที่มีดีมานด์สูงจากการเช่าของลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะ ชาวญี่ปุ่น ส่วน XT ห้วยขวาง ทำเลศักยภาพสูงที่อยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจใหม่หรือ CBD ของกรุงเทพฯ  ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ทีห้วยขวางเพียง 70 เมตร พร้อมด้วยพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกจัดเต็มในพื้นที่กว่า 4 ไร่ ซึ่งหาไม่ได้จากโครงการอื่นๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง ขณะที่ XT พญาไท ตั้งอยู่บนทำเลใจกลางเมืองที่เดินทางสะดวกสบายในราคาที่ไม่สูงเกินเอื้อม พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการบนพื้นที่รวมถึงกว่า 6,000 ตารางเมตร” นายปิติ กล่าว นอกจากนี้ แสนสิริ ยังสร้างมิติใหม่ด้วยการมอบไลฟ์สไตล์พริวิเล็จหรือ ‘XT Experience’ ที่สร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยในแบบฉบับ XT ให้กับลูกบ้านตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าอยู่อาศัย ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นจากแนวคิดหลักของโครงการและพฤติกรรมของคุนรุ่นใหม่ คือ ต้องการสิ่งที่ได้รับการออกแบบพิเศษเฉพาะบุคคล (Customized) โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มสิทธิประโยชน์หลัก ได้แก่ Dining สำหรับลูกบ้าน XT ที่ชื่นชอบในการทานอาหาร, Travel สำหรับลูกบ้านที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว, Activity สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทำกิจกรรมสุดแอคทีฟ และ Leisure สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผ่อนคลาย ตลอดจน Co-Sharing Space  ในสำนักงานขายด้วยแนวคิดใหม่ที่เปิดให้ลูกบ้านและคนทั่วไปได้มาใช้สถานที่ส่วนได้จริงเพื่อร่วมแบ่งปันหรือหาไอเดียใหม่ๆในการทำงาน ตลอดจนเป็นแหล่งพบปะพูดคุยงาน โดยมีบริการเครื่องดื่มและบริการ Wi-fi ฟรี อีกด้วย   ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมเซลล์ แกลอรี่ ที่ผสานเอาบรรยากาศคาเฟ่สุดฮิปและ Co-sharing space เข้าด้วยกัน ของทั้ง 3 โครงการ XT เอกมัย XT ห้วยขวาง และ XT พญาไท  ได้แล้ววันนี้ พร้อมรับบริการ เครื่องดื่มและ Wi-fi ฟรี! โดยสามารถร่วมทำแบบทดสอบ XT Personality Test ค้นหาคาแรกเตอร์ที่ตอบโจทย์อิสระการเลือกรูปแบบห้องเฉพาะบุคคล ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.sansiri.com/xt          
สิริ เวนเจอร์ส เผยแผนลงทุนใน 2 สตาร์ทอัพและกองทุนยักษ์จากอเมริกาส่งท้ายปี 61 เตรียมประกาศ “SIRI VENTURES Private PropTech Sandbox” แผนต่อยอดนวัตกรรมสำหรับการพักอาศัยเพื่อลูกบ้านแสนสิริในปี 2562

สิริ เวนเจอร์ส เผยแผนลงทุนใน 2 สตาร์ทอัพและกองทุนยักษ์จากอเมริกาส่งท้ายปี 61 เตรียมประกาศ “SIRI VENTURES Private PropTech Sandbox” แผนต่อยอดนวัตกรรมสำหรับการพักอาศัยเพื่อลูกบ้านแสนสิริในปี 2562

สิริ เวนเจอร์ส สรุปผลการดำเนินธุรกิจในปี 2561 เผยแผนลงทุน Fifthwall กองทุนยักษ์จากอเมริกาและ 2 สตาร์ทอัพที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง Techmetics-Neuron ส่งท้ายไตรมาส 4 หนุนภาพรวมการลงทุนกว่า 300 ล้านตลอดปี แย้มแผนปี 2562 เตรียมประกาศ “SIRI VENTURES Private PropTech Sandbox” เป็น PropTech รายแรกในไทยที่ใช้โมเดลนี้ต่อยอดนวัตกรรมสำหรับการพักอาศัยเพื่อลูกบ้านแสนสิริ จ่อลงทุนใหม่ 600 ล้านบาท ขยับสเกลการลงทุนสู่สตาร์ทอัพซีรีส์เอขึ้นไป นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด (SIRI VENTURES) บริษัทร่วมทุนในรูปแบบ CVC เพื่อวิจัยและลงทุนด้าน PropTech อย่างครบวงจร    เต็มรูปแบบรายแรกของไทย ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานในปี 2562 บริษัทได้เตรียมประกาศ “SIRI VENTURES Private PropTech Sandbox” หรือ พื้นที่ประมวลผลเสมือนจริงของเหล่าสตาร์ทอัพโดย สิริ เวนเจอร์ส จะนับเป็น PropTech รายแรกในไทยที่นำโมเดลนี้เข้ามาใช้ต่อยอดนวัตกรรมสำหรับการพักอาศัยเพื่อลูกบ้านแสนสิริ หลังจากความสำเร็จในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาของ สิริ เวนเจอร์ส ภาพรวมการลงทุนตลอดทั้งปี 2561 ทั้งรูปแบบการลงทุนโดยตรงในสตาร์ทอัพ การลงทุนผ่านกองทุน และการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับหน่วยงานต่างๆ มูลค่าการลงทุนรวมมากกว่า 300 ล้านบาท นับเป็นบันไดก้าวสำคัญในการต่อยอดให้เกิดนวัตกรรมและ PropTech ใหม่ๆ ในไทยอย่างเป็นรูปธรรม เผยนวัตกรรมในที่อยู่อาศัยจากการลงทุนในสตาร์ทอัพปี 2561 ทั้งนี้ บริษัทได้เริ่มนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมของสตาร์ทอัพรายต่างๆ ที่ได้เข้าลงทุน นำร่องใช้กับโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ อาทิ Semtive สตาร์ทอัพที่อยู่ระหว่างพัฒนากังหันลมพลังงานไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัย, การนำนวัตกรรมของ Astralink สตาร์ทอัพด้าน Construction Tech ผู้พัฒนาเทคโนโลยีแอพพลิเคชันสำหรับตรวจสอบงานก่อสร้าง 3 มิติแบบเรียลไทม์ มาควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง โดยอยู่ระหว่างการทดสอบใช้งานในหลายโครงการของแสนสิริ, การเตรียมเปิดตัว แสนสิริ โฮม เซอร์วิส แอพพลิเคชัน ให้ก้าวสู่อีกขั้นกับการพัฒนา AI ให้โต้ตอบได้ทันที รองรับโลกขยับ             สู่ยุค “สั่งการด้วยเสียง” ด้วย AI แบบ Human-like เต็มรูปแบบ ซึ่งพัฒนาโดย Onion Shack สตาร์ทอัพผู้พัฒนาการสนทนาด้วยเสียงผ่านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ AppySphere สตาร์ทอัพผู้พัฒนาระบบ Home Automation, Farmshelf สตาร์ทอัพด้าน Living Tech จากสหรัฐอเมริกาที่พัฒนาการปลูกผักอัจฉริยะภายในที่พักอาศัย รวมถึงการเริ่มนำ e-Scooter จาก Neuron สตาร์ทอัพสัญชาติสิงคโปร์มาทดลองใช้ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทยเป็นครั้งแรก ชู Startup Ecosystem พาสตาร์ทอัพไทยสู่ ซิลิคอน วัลเลย์ เวทีสตาร์ทอัพระดับโลก นอกจากนี้บริษัทยังสามารถช่วยส่งเสริมระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ (Startup Ecosystem) ให้เติบโต ทั้งการจับมือกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีในไทยและระดับโลกรวม 12 ราย โดยในปีนี้ สิริ เวนเจอร์ส ได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งมากมาย อาทิ Startup Thailand, Microsoft Thailand, dtac accelerate, Hubba Thailand และ Unicef ซึ่งแสนสิรินับเป็นองค์กรแรกในประเทศไทยที่ได้รับเลือกให้เป็น UNICEF’s Selected Partner นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรทั้งที่เป็น Accelerator มหาวิทยาลัย และองค์กรรัฐ ที่มีส่วนผลักดันการเติบโตของสตาร์ทอัพอีกมากมาย รวมถึงการร่วมจัดงาน        ที่สนับสนุนองค์ความรู้ ติดอาวุธให้แก่คนในอีโคซิสเท็ม เช่น Techsauce Global Summit 2018, Startup Thailand 2018 การพาสตาร์ทอัพไทยไปสู่เวทีสตาร์ทอัพระดับโลกอย่าง ซิลิคอน วัลเลย์ การจัดงานแฮกกาธอน เพื่อให้สตาร์ทอัพได้โชว์ผลงาน ซึ่งรวมถึงงานแฮกกาธอนที่บริษัทจะร่วมกับ Google Developer Thailand ในวันที่ 15-16 ธ.ค.นี้ด้วย   จับมือ Startup Platform ใหญ่ในจีน “China Renaissance” สร้างเครือข่ายสตาร์ทอัพในจีน นอกจากการลงทุนในสตาร์ทอัพแล้ว สิริ เวนเจอร์ส ยังได้ร่วมมือกับ Startup Platform ระดับโลก อาทิ “Plug and Play” จากซิลิคอน วัลเล่ย์ส สหรัฐอเมริกา และ “SOSA” จากอิสราเอล ซึ่งทั้งสองเป็นเครือข่ายของสตาร์ทอัพเกือบหมื่นรายจากทั่วโลก รวมถึงล่าสุดในความร่วมมือกับ “China Renaissance” ในการลงทุนในกองทุน “Hua Xing” กองทุนใหญ่ในประเทศจีนที่มีเครือข่ายสตาร์ทอัพในระดับยูนิคอร์นในเครือข่ายอยู่มากกว่า 20 สตาร์ทอัพ ที่จะช่วยเชื่อมโยง สิริ เวนเจอร์ส ให้พบกับสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการพัฒนานวัตกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยในประเทศจีนได้รวดเร็วและมากขึ้น ลงทุนกองทุนยักษ์จากอเมริกา และ 2 สตาร์ทอัพ ส่งท้ายปี 61  "ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทยังได้เข้าลงทุน Fifth Wall กองทุนยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกาที่มุ่งลงทุนในเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกที่จะช่วย สิริ เวนเจอร์ส ค้นหาสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการพัฒนานวัตกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยได้กว้างขวางและรวดเร็วขึ้น รวมถึงการลงทุนเพิ่มเติมในอีก 2 สตาร์ทอัพที่น่าสนใจ ได้แก่ การเข้าถือหุ้นใน Techmetics ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพหนึ่งในสองผู้พัฒนาหุ่นยนต์ให้บริการ (Deliverly Robot) ในโลกจากประเทศสิงคโปร์ โดยที่ผ่านมาแสนสิริได้นำ “แสนดี” เข้ามาใช้ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทยเป็นครั้งแรก ในโครงการ เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า นอกจากในประเทศไทย Deliverly Robot ซึ่งพัฒนาโดย Techmetics ยังมีแนวโน้มได้รับการตอบรับที่ดีจากทั่วโลก ณ ปัจจุบัน Techmetics ได้ขยายการเปิดสาขาเพิ่มเติมใน ซิลิคอน วัลเล่ย์ สหรัฐอเมริกา และพัฒนา Deliverly Robot เพื่อนำไปใช้ในโรงแรมชั้นนำ อาทิ แมริออท ซิลิคอน วัลเล่ย์, โยเทล นิวยอร์คและไมอามี่ โรงพยาบาลในออสเตรเลียและไต้หวัน รวมทั้งปีหน้ามีแผนการขยายสาขาการพัฒนาไปยังแคนาดาและยุโรป นอกจากนี้บริษัทยังลงทุนใน Neuron สตาร์ทอัพสัญชาติสิงคโปร์ผู้พัฒนา e-Scooter เพื่อนำมาใช้ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทยเป็นครั้งแรก โดยอยู่ระหว่างการทดลองใช้ที่ฮาบิโตะ ใน T77 และโครงการภายใต้แบรนด์ ดีคอนโด ที่เชียงใหม่”นายจิรพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติม สำหรับปี 2562 บริษัทเตรียมลงทุนในมูลค่ารวม  600 ล้านบาท ในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ลงทุนไปแล้วมาต่อยอด เช่น การพัฒนายกระดับ แสนดี หุ่นยนต์ให้บริการของแสนสิริที่จะสามารถให้บริการได้มากกว่าการช่วยส่งพัสดุ การลงทุนใหม่ในสตาร์ทอัพและ Venture Capital ที่จะขยับสเกลการลงทุนในสตาร์ทอัพในระดับซีรี่ส์เอขึ้นไป การสนับสนุนระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพ จะเริ่มขยายตลาดการสนับสนุนสตาร์ทอัพและเทคโนโลยีสู่ระดับเอเชียมากขึ้นจากในปีนี้ ซึ่งเน้นสนับสนุนในประเทศไทยเป็นหลัก และการวิจัยและพัฒนา (Lab & Development) จะยังคงเดินหน้าพัฒนางานวิจัยร่วมกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในทั้ง 4 ด้านภายใต้แผนการดำเนินงานของ สิริ เวนเจอร์ส ในปี 2562 จะครอบคลุมความต้องการของลูกค้าแสนสิริได้ในทุกด้าน รวมถึงยังยกระดับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยผ่านการสร้างระบบนิเวศเพื่อการพัฒนาด้าน PropTech และ Living Tech ที่ยั่งยืน          
‘ไอคอนสยาม’ จัดงาน “แบงค็อก อิลลูมิเนชั่น แอท ไอคอนสยาม” อลังการขบวนต้นคริสต์มาสเอกลักษณ์ไทย ตระการตากับฟลอร์แมปปิ้งสุดล้ำ ครั้งแรกในประเทศไทยยิ่งใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

‘ไอคอนสยาม’ จัดงาน “แบงค็อก อิลลูมิเนชั่น แอท ไอคอนสยาม” อลังการขบวนต้นคริสต์มาสเอกลักษณ์ไทย ตระการตากับฟลอร์แมปปิ้งสุดล้ำ ครั้งแรกในประเทศไทยยิ่งใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

‘ไอคอนสยาม’ อภิมหาโครงการเมืองแห่งการใช้ชีวิตสู่โลกอนาคต สัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของไทยริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จัดงาน “Bangkok Illumination at ICONSIAM” (แบงค็อก อิลลูมิเนชั่น แอท ไอคอนสยาม) ตั้งแต่วันนี้-31 มกราคม 2562 ณ ไอคอนสยาม ถนนเจริญนคร เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการจัดงานด้านศิลปะของไทยให้ปรากฏแก่สายตาของนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ นางชฎาทิพ จูตระกูล กรรมการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า “บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด ร่วมกับ บริษัท ดิ ไอคอนสยาม เรสซิเดนซ์ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด พร้อมด้วย บริษัท ดิ ไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์ เรสซิเดนซ์ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด และ ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ร่วมกันจัดงาน “Bangkok Illumination at ICONSIAM” (แบงค็อก อิลลูมิเนชั่น แอท ไอคอนสยาม) ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการจัดแสดงงานด้านศิลปะร่วมสมัยที่ผสมผสานงานออกแบบลวดลายศิลปะไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติเข้าด้วยกัน  รวมทั้งเผยแพร่ศิลปะวัฒนธรรมอันโดดเด่นของประเทศไทยในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างแพร่หลายในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ นอกจากนั้นยังเป็นการตอกย้ำสถานภาพของกรุงเทพฯ ในฐานะจุดหมายปลายทาง ที่เป็น ‘สุดยอดของโลก’ แห่งหนึ่ง ด้วยการนำเสนอปรากฏการณ์ที่เป็น ‘ครั้งแรกในโลก’ และ ‘ครั้งแรกในประเทศไทย’ มาไว้ด้วยกัน ไอคอนสยาม แลนมาร์คแห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เปิดเมืองต้อนรับผู้มาเยือนทุกท่านให้มาร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุข โดยท่านจะได้พบกับขบวนต้นคริสต์มาสที่ยาวที่สุด ความยาวกว่า 400 เมตร ตกแต่งประดับไฟสุดตระการตา โดดเด่นด้วยการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ผ่านแรงบันดาลใจจากเรื่องราวที่เป็นอัตลักษณ์ของไทย ด้วยการนำ “ดอกบัว” สัญลักษณ์แห่งชีวิต มาตีความแทนการสักการะขอพรจากแม่น้ำ เพื่อการเริ่มต้นของความสุข อีกทั้งนำ “บายศรีสู่ขวัญ” แทนการส่งมอบของขวัญแก่ทุกชีวิตเพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง พร้อมตื่นตาตื่นใจไปกับกิจกรรมการฉายภาพผนวกระบบแสงไฮเทคอันสดใสสุดอัศจรรย์ (Interactive Multimedia Mapping) หรือที่เรียกว่า Floor Mapping  ชื่อชุด ‘Magic Carpet Bangkok’ by Miguel Chevalier & Software Cyrille Henry & Antoine Villeret  ถือเป็นผลงานศิลปะขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ มิเกล เชอวาลิเยร์  ศิลปินชื่อก้องโลกชาวฝรั่งเศสเคยสร้างสรรค์มาในชีวิต  พรมวิเศษสุดมหัศจรรย์ผืนนี้เกิดจากแสงหลากสีที่จะโลดแล่นไปบนพื้นขนาดใหญ่ซึ่งผสมผสานเรื่องราวการออกแบบลวดลายศิลปะไทยและเอกลักษณ์ของชาติเข้าด้วยกัน  ในรูปแบบอินเตอร์แอคทีฟที่เชิญชวนให้ผู้ชมก้าวข้ามขอบเขตของความเป็นจริงเข้าสู่โลกเสมือนจริง ผลงานสร้างสรรค์โดยมิเกล เชอวาลิเยร์ (Miguel Chevalier) ศิลปินชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียงระดับโลกในฐานะหนึ่งในผู้บุกเบิกศิลปะดิจิทัลและศิลปะเสมือนจริง ร่วมชมการฉายภาพผนวกระบบแสงไฮเทคอันสดใสสุดอัศจรรย์ที่จะจัดแสดง ระหว่างวันนี้-27 ธันวาคม 2561 และวันที่ 5-31 มกราคม 2562 นอกจากนั้นทุกเสาร์อาทิตย์ตลอดระยะเวลา 8 สัปดาห์ ท่านจะได้รับชมการแสดงสุดพิเศษที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมามอบสีสันแห่งความสุข โดยแบ่งเป็น 2 รอบ คือ เวลา 18.00 น. และ 20.00  น. ตลอดเดือนธันวาคม พบกับการแสดงร่วมสมัย  ในชุด “สายน้ำ หลอมรวม”  ยิ่งไปกว่านั้นในวันที่ 25 ธันวาคม พบไฮไลท์พิเศษต้อนรับวันคริสต์มาส  ร่วมตื่นตาตื่นใจไปกับเหล่าซานต้าและซานตี้ที่พร้อมใจกันมาส่งมอบความสุข และดื่มด่ำไปกับเพลงฮิตประจำเทศกาลที่ขับกล่อมโดยคณะนักร้องประสานเสียง และตลอดเดือนมกราคม เพลิดเพลินไปกับขบวนกลองสีสันสดใสตีประสานจังหวะเร้าใจ ในคอนเซ็ป “The colorful rhythm” และในวันที่ 12 มกราคม คุณหนูๆ ต้องห้ามพลาดขบวนแห่งความสุขที่จะรอมอบของขวัญเพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลวันเด็ก  
คิง ไว กรุ๊ป เชื่อมั่นตลาดไทย เดินหน้าเปิดคอนโดฯ หรูแห่งแรก “S61 SUKHUMVIT BY KWG” บนทำเลสงบเงียบ ใจกลางเอกมัย มูลค่าโครงการกว่า 1,500 ลบ. ในราคาเริ่มต้น 7.69 ลบ.

คิง ไว กรุ๊ป เชื่อมั่นตลาดไทย เดินหน้าเปิดคอนโดฯ หรูแห่งแรก “S61 SUKHUMVIT BY KWG” บนทำเลสงบเงียบ ใจกลางเอกมัย มูลค่าโครงการกว่า 1,500 ลบ. ในราคาเริ่มต้น 7.69 ลบ.

จากความสำเร็จในการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว วิลล่า อะคาเดีย ศรีนครินทร์ คิง ไว กรุ๊ป ยักษ์ใหญ่อสังหาจากฮ่องกง เชื่อมั่นศักยภาพของตลาดอสังหาฯ เมืองไทย เดินหน้าเปิดโครงการคอนโดมิเนียมหรู Low Rise  แห่งแรก “S61 SUKHUMVIT BY KWG” Luxury Condominium ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านเอกมัย แต่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว พร้อมนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เริ่มต้นยูนิตละ 7.69 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 1,500 ล้านบาท คาดปิดการขายภายในปี 2562 นายเฮนรี ชาน รองประธานกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “KWG” เปิดเผยต่อสื่อมวลชนในโอกาสแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “S61 SUKHUMVIT BY KWG” อย่างเป็นทางการ ณ สำนักงานขายโครงการบนถนนพระราม 4 ว่า King Wai Group (KWG) เป็นกลุ่มบริษัทจากฮ่องกงที่มีฐานอยู่ในจีน ทางกลุ่มมีธุรกิจหลากหลาย ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจการเงิน และธุรกิจค้าปลีกข้ามพรมแดน โดยมีโครงการ IMX (International Merchandise Exhibition and Exchange Center) หรือศูนย์จัดแสดงสินค้าครบวงจร รองรับโอกาสในการขยายตลาดนำเข้าสินค้าไปยังประเทศจีน ทางกลุ่มได้พัฒนาธุรกิจดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบ ตามโมเดล “Store-Warehouse-Exhibition-Customer” โดยมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างช่องทางออนไลน์-ออฟไลน์ จากทั้งในและต่างประเทศ คิง ไว กรุ๊ป มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญที่สั่งสมชื่อเสียงในธุรกิจมายาวนานกว่า 30 ปีในประเทศจีนและฮ่องกง โดยเริ่มขยายธุรกิจออกนอกประเทศหลังการปรับใช้นโยบาย “Belt and Road Initiative” (BRI) ของรัฐบาลจีน ทางกลุ่มเล็งเห็นว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว อีกทั้งยังเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศที่พร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางและประตูสู่การทำธุรกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต ชื่อ คิง ไว กรุ๊ป อาจยังไม่คุ้นกับคนไทยมากนักในวันนี้ แต่ถ้าเอ่ยถึงโครงการระดับเมกะโปรเจคที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด โครงการ "King Wai City Oasis" ซึ่งตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้และเทียนจินมีพื้นที่ใช้สอยรวมกันมากกว่า 1.8 ล้านตารางเมตร และได้รับการรับรองจากศูนย์พิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กระทรวงปกป้องสิ่งแวดล้อม แห่งชาติจีน ให้เป็น "ที่อยู่อาศัยที่เป็นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม" และ "อาคาร Low-Carbon Building" นอกจากนี้ ยังมีโครงการ Bauhinia Valley ในเขตเป่าซาน มหานครเซี่ยงไฮ้ อันเป็นผลงานชิ้นเอกของ คิง ไว กรุ๊ป ในด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ มุ่งเน้นการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม นวัตกรรมและเทคโนโลยี เชื่อมโยงแบรนด์ระดับโลกสร้างฐานอุตสาหกรรมของอนาคต ในส่วนของภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีที่ผ่านมาจะเติบโตไม่มากนัก แต่เศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังคงมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากรัฐบาลมีโครงการมากมายสนับสนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ระบบขนส่งมวลชนที่ทำให้การคมนาคมสะดวกขึ้น หรือแพลตฟอร์มต่างๆของภาครัฐเพื่อสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจ ทางเราคิดว่า ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลและจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยนี้ จะส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเราสามารถเติบโตไปได้ดี โดยเฉพาะแผนการขยายเมืองของไทย และกลยุทธ์การสร้างไทยให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใน ASEAN จะส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโต ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ไม่ได้มีเพียงคนไทยเท่านั้นที่ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่มีนักลงทุนต่างชาติมากมายโดยเฉพาะจีน ที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจคอนโดมิเนียมไทย คิง ไว กรุ๊ป เองถนัดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แต่เรามีคติสำคัญคือ “เราไม่ใช่แค่สร้างสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น แต่เราสร้างสังคมที่มีคุณภาพด้วย” ดังนั้น โครงการของเราจะเน้นที่คุณภาพที่สมราคา เลือกทำเลที่เหมาะกับการทำโครงการ วางแผนการทำธุรกิจอย่างรัดกุมและแสวงพันธมิตรทางธุรกิจที่เหมาะสม เราจึงมั่นใจว่า การขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มในไทยจะได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนทั้งในไทยและต่างชาติ “แม้ว่าบริษัท คิง ไว กรุ๊ป จะเข้ามาในเมืองไทยได้ไม่นาน แต่เราก็ได้มีการสร้างพื้นฐานที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ คิง ไว กรุ๊ป ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีโดยเราได้มีการขายโครงการ “วิลล่า อะคาเดีย ศรีนครินทร์” ไปจนหมดโครงการแล้ว และ พื้นที่ของอาคารจูเวลเลอรี่เซ็นเตอร์ที่ คิง ไว กรุ๊ป เป็นเจ้าของร่วมก็ได้รับการปล่อยเช่าไปร้อยละ 90 แล้ว ตอนนี้ คิง ไว กรุ๊ป กำลังมุ่งมั่นที่จะขยายฐานธุรกิจทางด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยโครงการ S61 SUKHUMVIT BY KWG  ที่เรากำลังจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ธันวาคม 2561 จะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแห่งแรกของเราในเมืองไทย กลุ่มลูกค้าหลักของเราคือ กลุ่มลูกค้าที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ใจกลางกรุงเทพแต่ก็ต้องการมีพื้นที่เงียบสงบส่วนตัว กลยุทธ์ที่เราจะจับกลุ่มลูกค้าดังกล่าวคือการมีทำเลที่ตั้ง การออกแบบดีไซน์ และเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้า  มูลค่าโครงการกว่า 1,500 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายปิดการขายภายในปี 2562” โครงการ S61 SUKHUMVIT BY KWG  เป็นคอนโดมิเนียมหรูแบบ Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร บนเนื้อที่  1-1-98 ไร่ เป็นส่วนตัวสูงสุดด้วยจำนวนยูนิตเพียง 126 ยูนิต หรือ 9 ยูนิตต่อชั้นเท่านั้น ด้วยพื้นที่อยู่อาศัยกว้างขวางเริ่มต้น 40-160 ตารางเมตร โดยมีแบบห้องให้เลือก 4 แบบ ได้แก่ 1-Bedroom ขนาด  40-46 ตารางเมตร 2-Bedrooms ขนาด  56-70 ตารางเมตร 3-Bedrooms ขนาด  79–95 ตารางเมตร และ Penthouse  ขนาด 135–160 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นต่อหน่วยที่ 192,000 บาท/ตารางเมตรโดยประมาณ ในราคาเริ่มต้นที่ 7.69-10 ล้านบาท Fully-Furnished ตกแต่งครบด้วยเฟอร์นิเจอร์และวัสดุระดับพรีเมียม มอบทุกองค์ประกอบชีวิตที่เหนือกว่า ด้วย Timeless ดีไซน์ที่สะท้อนความหรูหรา มาพร้อมความสะดวกสบายครบครัน สะท้อนความหรูหราสง่างาม ด้วยดีไซน์ Facade ที่พิถีพิถัน จากการเลือกใช้กระจก EURO Grey ที่โดดเด่นเรื่องความปลอดภัย แข็งแรงทนทาน ช่วยดูดซับความร้อน และลดเสียงรบกวนจากภายนอกอย่างมีประสิทธิภาพ ติดตั้งแผง Solar Panel เพื่อช่วยผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับใช้ในพื้นที่ส่วนกลางและทางเดินภายในอาคารจากพลังงานธรรมชาติช่วยสะท้อนแนวคิดของความใส่ใจสังคมส่วนรวม นวัตกรรมล้ำสมัยเพื่อความสะดวกสบายของชีวิตเมือง ด้วย Automatic Car Parking ระบบจอดรถอัตโนมัติช่วยประหยัดเวลา เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่และความปลอดภัย มอบชีวิตที่สะดวกสบายอย่างแท้จริง ทำชีวิตให้เป็นเรื่องง่ายแค่ปลายนิ้ว ด้วยการนำ Smart Home Technology เทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้ในการควบคุมการเปิดปิดไฟ และการตั้งอุณหภูมิภายในห้อง ผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือ  Security System เพื่อความปลอดภัยและอุ่นใจสูงสุดของผู้อยู่อาศัย ด้วย Digital Door Lock ที่ให้คุณสะดวกสบายโดยการเข้าออกยูนิตด้วยรหัสส่วนตัว และการใช้ระบบ Key Card Access สำหรับทางเข้าหน้าโครงการ และบริเวณที่จอดรถอัตโนมัติ สำหรับผู้สนใจสามารถลงทะเบียนรับข้อเสนอพิเศษรับส่วนลดสูงสุด 400,000 บาท* และ iPhone Xs* และข้อมูลโครงการเพิ่มเติมได้ที่คลิก www.s61condo-kwg.com (*ตามเงื่อนไขของบริษัท) “คิง ไว กรุ๊ป มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย โดยใช้ความเชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อยกระดับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทยไปอีกขั้นหนึ่ง และทำเลทองหล่อ-เอกมัยเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในปัจจุบัน โดยในปี 2561 มีจำนวนโครงการที่เปิดขายทั้งโครงการ High Rise และ Low Rise พื้นที่ของโครงการที่เป็นคู่แข่งส่วนใหญ่จะอยู่บนถนนทองหล่อและเอกมัยเป็นหลัก ด้วยจำนวนโครงการที่เปิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ย่อมทำให้ลูกค้ามีข้อเปรียบเทียบมากมาย จึงส่งผลกระทบต่อระยะเวลาการตัดสินใจของลูกค้าที่จะใช้เวลานานขึ้น แต่ทั้งนี้เรามีความมั่นใจว่า ลักษณะการออกแบบโครงการ S61 SUKHUMVIT BY KWG  คอนโดมิเนียมหรู ที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อให้คุณอิ่มเอมกับ Urban Lifestyle และการใช้ชีวิตเหนือระดับบนทำเลที่สงบเงียบ เป็นส่วนตัว ขณะเดียวกันทำเลที่ตั้งของโครงการก็มีศักยภาพสูงสุดเนื่องจากอยู่ใจกลางเอกมัยที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่ง Lifestyle ที่น่าอยู่ที่สุดของกรุงเทพฯ และจำนวนยูนิตที่น้อยเพียง 126 ยูนิต ทำให้โครงการ “S61 SUKHUMVIT BY KWG” จะเป็นโครงการหนึ่งในใจของลูกค้าอย่างแน่นอน” นายเฮนรี ชาน กล่าวปิดท้าย        
เสนา ขานรับนโยบายพลังงานสะอาด  หนุนโซลาร์ทุกโครงการ  ช่วยลูกบ้านลดค่าไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าเป็นผู้นำพลังงานสะอาด 100%

เสนา ขานรับนโยบายพลังงานสะอาด หนุนโซลาร์ทุกโครงการ ช่วยลูกบ้านลดค่าไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าเป็นผู้นำพลังงานสะอาด 100%

เสนา หนุนแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีมุ่งลดการใช้พลังงานไฟฟ้า หันมาเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกในชีวิตประจำวันมากขึ้น เดินหน้าติดตั้งโซลาร์เซลล์ในทุกโครงการ หวังช่วยลูกค้าบริหารค่าไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยนวัตกรรม “โซลาร์ สเกล อัพ” สามารถคำนวณค่าไฟได้ก่อน รองรับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกและไลฟ์สไตล์คนไทย ที่เริ่มหันมาใส่ใจพลังงานสะอาด ลดภาวะโลกร้อน พร้อมตอกย้ำตั้งเป้าเป็นผู้นำพลังงานสะอาด 100%   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้ดำเนินโครงการหมู่บ้านใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) เต็มรูปแบบรายแรกของไทย เปิดเผยว่า จากนโยบายที่รัฐบาลส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ และไลฟ์ไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามเทรนด์ การผลิตรถยนต์ในอนาคต ทำให้คาดการณ์ว่า ความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) ในระยะ 5 ปีข้างหน้า จะมีแนวโน้มของการขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งตรงกับแผนดำเนินงานของเสนา ในเรื่องการหันมาให้ความสำคัญของการประหยัดพลังงาน เป็นนโยบายหลักที่จะทำให้ “บ้านทุกหลัง” ของเสนา ใช้พลังงานสะอาดโดยใช้ “โซลาร์เซลล์” ซึ่งในปัจจุบัน เสนา ได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) และ เครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า (EV Charger ) ภายใต้ชื่อ EV ready รองรับยานยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทั้งแบบไฮบริด และ ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) รวมถึงยานยนต์ไฟฟ้าชนิดแบตเตอรี่ (BEV) ให้กับลูกค้า โดยตั้งเป้าจะติดตั้งให้ได้ทุกโครงการ     ทั้งนี้ การส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนดังกล่าวเป็นไปตามทิศทางของโลกที่ให้ความสำคัญต่อพลังงานสีเขียว พึ่งพาพลังงานทดแทนมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า เทรนด์การใช้ชีวิตที่จะเกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด ได้รับการตอบรับจากทุกภาคธุรกิจ ที่จะเข้ามานำเสนอนวัตกรรมรองรับรูปแบบการใช้พลังงานสะอาดที่เปลี่ยนแปลงไป สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจแนว Go Green ของเสนา นอกจากการติดตั้งแผง Solar Cell เพื่อผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน(โซลาร์รูฟท็อป) แล้ว ยังนำนวัตกรรม “โซลาร์ สเกล อัพ (Solar Scale Up)” ที่ช่วยให้ลูกบ้านสามารถปรับ-เพิ่มจำนวนแผง Solar Cell ได้ตามลักษณะการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อีกทั้งยังสามารถเลือกช่วงเวลาของการใช้ไฟฟ้า ได้ตามพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยในบ้าน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยประหยัดค่าไฟ และตอบโจทย์พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัย เพื่อให้ลูกบ้านสามารถบริหารค่าไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น   จากแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของกระทรวงพลังงาน ระบุว่า ในปัจจุบันกระแสไฟฟ้ายังคงเป็นทางเลือกหลักที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้ โดยมีอัตราการใช้งานสูงถึง 42% และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเป็น 47% ในปี 2578 เนื่องจากปัจจัยการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม การเพิ่มขึ้นของประชากร การปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้น ทำให้มีการใช้พลังงานไฟฟ้าในชีวิตประจำวันมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการด้านต่างๆของมนุษย์ นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เริ่มหันมาสนใจใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า แทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันแบบเดิม ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้สัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงขึ้น     “เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มหันมาสนใจการใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น ทำให้เสนาโซลาร์ วางเป้าหมายการเติบโตในแต่ละปี เฉลี่ย 5-10 % โดยในปี 2561 บริษัทตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 480 ล้านบาท และในปี 2562 คาดว่าจะมีรายได้ 500 ล้านบาท และในปี 2563 คาดว่าจะมีรายได้ 520 ล้านบาท” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว     สำหรับโครงการที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) และสถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charger Station) ภายในโครงการของเสนา ทั้งแนวราบ และคอนโดมิเนียม เพื่อบริการให้กับลูกบ้าน ได้แก่ เสนาพาร์คแกรนด์ รามอินทรา, เสนาพาร์ควิลล์ รามอินทรา – วงแหวน, เสนาวิลล์ ศาลายา, เสนาอเวนิว บางกะดี – ติวานนท์ ,เสนาช็อปเฮ้าส์ พหลโยธิน – คูคต, เสนาช็อปเฮ้าส์ลำลูกกา – คลองสอง, เสนาช็อปเฮ้าส์ บางแค – เทอดไท และคอนโดมิเนียม ได้แก่ นิช โมโน สุขุมวิท 50, นิช โมโน พีค บางนา, และมีเป้าหมายที่จะขยายให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อให้ครอบคลุมการบริการมากขึ้น สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ 1775 หรือ sena.co.th
การเคหะฯ คิกออฟ “โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1”  พร้อมเปิดจอง 30 พ.ย.- 6 ธ.ค.นี้ พร้อมโปรฟรีโอนฯ ราคาเริ่มต้น 2.33 ล้านบาท

การเคหะฯ คิกออฟ “โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1” พร้อมเปิดจอง 30 พ.ย.- 6 ธ.ค.นี้ พร้อมโปรฟรีโอนฯ ราคาเริ่มต้น 2.33 ล้านบาท

การเคหะฯ เดินหน้าเปิดตัว “โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1” ทันที หลังครม.มีมติเห็นชอบ โครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ชูแนวคิดงานออกแบบ Universal Design รองรับการอยู่อาศัยเพื่อผู้สูงวัย เปิดจองวันที่ 30 พฤศจิกายน - 6 ธันวาคมนี้ ที่ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต แถมโปรโมชั่นฟรีโอนกรรมสิทธิ์ ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.33 ล้านบาท เท่านั้น   ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) กล่าวว่า หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ดำเนินการจัดทำโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา การเคหะฯในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบ ก็ได้ดำเนินการตามแผนงานทันที โดยนำร่องโครงการแรกคือ โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1 ขนาดที่ดิน 39.59 ไร่ จำนวน 192 หน่วย     ‘ทั้งนี้ ตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) การเคหะฯ มีเป้าหมายจัดทำโครงการ Senior Complex จำนวน 3,000 หน่วย โดยเบื้องต้นในปี 2561-2562 จะดำเนินการจัดสร้างทั้งหมด 360 หน่วย ประเดิมโครงการแรกในปี 2561 คือ โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1 จำนวน 192 หน่วย คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างประมาณเดือนมีนาคม 2562 และพร้อมเข้าอยู่ภายในปี 2563 สำหรับในปี 2562 จะจัดทำโครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 2 อีกจำนวน 168 หน่วย ซึ่งปัจจุบันโครงการที่คลองหลวง 2 อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อเสนอขอความเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะสามารถนำเสนอ ครม.ได้ภายในต้นปีหน้า สำหรับโครงการในระยะต่อ ๆ ไป ก็อาจจะต้องมีการวิเคราะห์และสำรวจความเหมาะสมก่อน ซึ่งก็จะพยายามกระจายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่” ดร.ธัชพลฯ กล่าว     โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1 ตั้งอยู่ริมถนนเลียบคลอง 4 ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ประกอบด้วย บ้าน 3 แบบ 1. แฝดชั้นเดียว (Type A) ขนาดที่ดิน 38 ตารางวา จำนวน 76 หน่วย พื้นที่ใช้สอย 78 ตารางเมตร 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 2. บ้านแฝด 2 ชั้น (Type B) ขนาดที่ดิน 39 ตารารางวา จำนวน 68 หน่วย พื้นที่ใช้สอย 110 ตารางเมตร 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ 3. บ้านแฝด 2 ชั้น (Type C) ขนาดที่ดิน 42.50 ตารางวา จำนวน 48 หน่วย พื้นที่ใช้สอย 120 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ     สำหรับความโดดเด่นของโครงการนี้อยู่ที่การออกแบบในลักษณะ Universal Design เพื่อให้เหมาะกับการใช้ชีวิตของผู้สูงวัย ตลอดจนคนทุกช่วงวัยที่อาศัยอยู่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น การทำทางลาดชัน เพื่อให้เดินขึ้น-ลงบ้านได้สะดวก ติดตั้งสวิตซ์สูงจากพื้นไม่เกิน 90 เซ็นติเมตร ติดตั้งปลั๊กไฟสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 45 เซ็นติเมตร เพื่อความสะดวกในการใช้งานของผู้ที่ต้องนั่งรถเข็น พื้นต่างระดับไม่เกิน 2 - 2.5 เซ็นติเมตร สำหรับในห้องน้ำได้มีการติดตั้งฝักบัวแบบปรับระดับ ติดตั้งราวจับสแตนเลส เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงวัยในการช่วยพยุงตัว เป็นต้น     นอกจากนี้ ภายในโครงการยังพรั่งพร้อมไปด้วยระบบสาธารณูปโภคระดับมาตรฐานเทียบเท่าโครงการที่พัฒนาโดยบริษัทเอกชน อาทิ อาคารสันทนาการพร้อมสระว่ายน้ำ ห้องปฐมพยาบาล ห้องฟิตเนส ระบบ CCTV บริเวณทางเข้าโครงการและภายในโครงการ รั้วรอบโครงการสูง 2 เมตร พร้อมรั้วโปร่งต่อเพิ่มอีก 1 เมตร เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ถนนเมนกว้าง 16 และ 12 เมตร ถนนในซอยกว้าง 10 เมตร การออกแบบผังบริเวณโครงการและอาคารยังได้นำแนวคิดเกณฑ์ประเมินชุมชนน่าอยู่น่าสบายอย่างยั่งยืนหรือ Eco Village มาเป็นแนวคิดหลักในการออกแบบ ที่สำคัญโครงการนี้ยัง ผ่านเกณฑ์บ้านประหยัดพลังงานเบอร์ 5 ของ กฟผ.ในส่วนของศักยภาพทำเลที่ตั้งโครงการ พบว่า แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ดรีมเวิล์ด โรงพยาบาล สถานศึกษา เป็นต้น     สำหรับผู้ที่สนใจจับจองเป็นเจ้าของโครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1 สามารถเข้ามาจองได้ภายในงานเปิดตัว “โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1” ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน - 6 ธันวาคม 2561 โดยผู้ที่จองภายในงานจะได้รับโปรโมชั่นฟรีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 09 1047 1276 หรือ Call Center 1615
เมื่อวงการธุรกิจที่อยู่อาศัย กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป โดยเน้นดีไซน์และฟังก์ชั่นที่ตอบสนองความต้องการในแบบ Personalization โดยประมวลผลจาก Big Data

เมื่อวงการธุรกิจที่อยู่อาศัย กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป โดยเน้นดีไซน์และฟังก์ชั่นที่ตอบสนองความต้องการในแบบ Personalization โดยประมวลผลจาก Big Data

เมื่อโลกเปลี่ยนผันไปตามเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง ส่งผลให้พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคมีช่องทางในการหาข้อมูลสินค้าและบริการอย่างง่ายดายผ่านสื่อออนไลน์เพียงปลายนิ้ว พร้อมคาดหวังบริการที่ตรงใจมากขึ้นจากธุรกิจต่างๆ เหล่านี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Business Model ของธุรกิจต่างๆ จะถูก Disrupt จากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ธุรกิจต่างๆจึงควรต้องเร่งสร้างการ Service ในมิติใหม่ ให้สอดคล้องกับความต้องการอันแท้จริงของลูกค้าได้โชคดีที่ในยุคปัจจุบัน ธุรกิจไม่ต้องมานั่งคาดเดาความต้องการของลูกค้าเหมือนที่เคยทำมาอีกแล้ว เพราะด้วยการมาถึงของ Big Data ที่รวบรวมข้อมูลมหาศาลของผู้บริโภคอย่างละเอียดผ่านอุปกรณ์อัจฉริยะและเครื่องมือสื่อสารอันทันสมัย ทำให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ และสร้างสรรค์บริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ารายบุคคลได้ หรือแบบที่เรียกว่า Personalization นั่นเอง ในวงการธุรกิจที่อยู่อาศัย แบบบ้านสำเร็จรูปซึ่งมีหน้าตาหมือนกันทั่วไป อาจไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคแล้ว เนื่องจากปัจจุบัน ผู้บริโภคต้องการบ้านที่สะท้อนความเป็นตัวเองและไม่เหมือนใครมากขึ้น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงจำเป็นต้องนำเสนอ Design และฟังก์ชั่นการใช้งานที่เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายรายบุคคล ในแบบ Personalization มากขึ้นเพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด ศูนย์รับสร้างบ้าน แลนดี้ โฮม จึงมุ่งพัฒนาการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการ ของลูกค้าในยุคปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญในการสร้างประสบกาณ์ที่ดีผ่าน Consumer Journey ในทุกจุด Touch Point พร้อมเชื่อมโยงและบูรณาการฐานข้อมูล ในทุกภาคส่วนเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึง ผ่านระบบ Cloud Service ในการนำเสนอบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ตรงใจ ในแบบ Personalization แลนดี้ โฮม มุ่งมั่นในการสร้างบ้านในฝันของลูกค้า ผ่านแนวคิด “ Always Ahead”  โดยแลนดี้ โฮม มีความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า พร้อมพัฒนาระบบการก่อสร้าง ตลอดจนการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งาน ที่คำนึงถึงการอำนวยความสะดวกการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยทั้งในปัจจุบัน และอนาคตเพื่อให้ลูกค้าได้บ้าน ที่ดีที่สุด ตามไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันไปของแต่ละครอบครัวแลนดี้ โฮม ได้พัฒนาระบบการจัดการภายใน พร้อมลงทุนงบประมาณกับระบบการจัดการ CRM ที่ทันสมัย นำมาซึ่งความเข้าใจในทุกความแตกต่างของลูกค้าแต่ละคน ถือเป็นการปรับเปลี่ยนจากการออกแบบบ้านในแบบ Customization ที่เดิมทีลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนแบบบ้าน หรือต้องการให้ออกแบบบ้านใหม่ได้ตามความต้องการ แต่ในปัจจุบัน การออกแบบบ้านแบบ Personalizationจะตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธภาพมากกว่าเดิม เพราะสามารถออกแบบบ้านได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ทันทีโดยแทบจะไม่ต้องมีการปรับแบบสิ่งเหล่านี้ ล้วนเน้นย้ำจุดแข็งของความเป็น Trend Setter ในการออกแบบบ้านของแลนดี้ โฮม ได้เป็นอย่างดี โดยในปัจจุบัน แลนดี้ โฮม มีแบบบ้านมาตรฐานให้ลูกค้าเลือกมากกว่า 200 แบบ"และในอนาคต แลนดี้ โฮมพร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์รับสร้างบ้านที่พร้อมตอบสนองความต้องการของผู้คนในยุค 4.0 และเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยกลยุทธ์ดังต่อไปนี้   1.Personalized Approach สื่อสารข้อมูล การสร้างบ้านที่มีประโยชน์ ตามความสนใจของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในแต่ละกลุ่ม จากการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งระบบ CRM หรือจากการวิเคราะห์พฤติกรรมการเยี่ยมชมแบบบ้านผ่านเว็ปไซต์ co.th โดยประมวลผล พร้อมส่งข้อมูลที่ลูกค้าสนใจ  เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสถึงความพิเศษสุดในทุกจุดการบริการ   2.Big Data Analysis เพิ่มประสิทธิภาพในการรับรู้ความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างและหลากหลาย พร้อมเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น โดยการวิเคราะห์ข้อมูล Big Data ประมวลผลผ่านซอฟต์แวร์ CRM ระดับโลก ด้วยระบบ Cloud Service ให้ทุกส่วนในด้านงานบริการ เข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น พร้อมการเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็ว เพื่อปรับปรุงการบริการ และรูปแบบการสื่อสารระหว่างลูกค้าและองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ   3.Landy Home Planner แอพลิเคชั่นอัจฉริยะที่จะอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถให้เข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้สถาปนิก และที่ปรึกษางานขาย สามารถนำเสนอข้อมูลการปลูกสร้างบ้าน ให้แก่ลูกค้าได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นสไตล์แบบบ้านที่ลูกค้าสนใจ, สเปควัสดุ ,โปรแกรมคำนวณพื้นที่ใช้สอย ตลอดจนงบประมาณการปลูกสร้าง พร้อมการบันทึกข้อมูลลูกค้าแบบ Real Time เพื่อเก็บรวบรวมรายละเอียดที่เคยคุยกันไว้อย่างมีระบบ   4.Landy Work Flow System การบริหารจัดการการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน ของส่วนงานต่างๆ ภายในองค์กร ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งสามารถควบคุมงานก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดโดยมีการบริหารจัดการการทำงานของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยส่วนงานขาย, งานออกแบบ, งานก่อสร้าง ตลอดจนส่วนบริการหลังการขาย ซึ่งลูกค้าสามารถตรวจสอบ และทราบถึงขั้นตอนการทำงานได้อย่างชัดเจน หากเกิดความล่าช้าในจุดใด ก็สามารถทราบได้ทันทีถึงสาเหตุ ทำให้แก้ไขปัญหารวดเร็ว  ช่วยลดต้นทุนและความสูญเสียทางด้านทรัพยากรต่างๆได้อย่างดี นางสาวภัทรา มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและออกแบบผลิตภัณฑ์ บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ แลนดี้ โฮม ให้ความสำคัญด้านงานสถาปัตยกรรมการออกแบบ, การบริการ ตลอดจนนวัตกรรมและขั้นตอนการก่อสร้างที่ทันสมัย เพื่อให้ลูกค้าได้บ้าน ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยแห่งอนาคต เราเข้าใจ ในทุกความต้องการที่แตกต่างกัน ของแต่ละครอบครัว ทั้งจำนวนสมาชิก หรือไลฟสไตล์การใช้ชีวิต ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อพัฒนาแบบบ้านที่ไม่ใช่แค่ความสวยงาม หากแต่ต้องตอบสนองทุกความต้องการ ในแบบ Personalization” และที่กล่าวมา ก็คือการพัฒนาการบริการอย่างไม่หยุดยั้งจากแลนดี้ โฮม เพื่อคงความเป็นศูนย์รับสร้างบ้านอันดับ 1 ของประเทศไทย และมุ่งสู่การเป็นผู้นำนวัตกรรมแห่งการอยู่อาศัยแห่งอนาคตในยุค Thailand 4.0 รู้จัก แลนดี้ โฮม มากขึ้นได้ที่ www.landyhome.co.th หรือ www.facebook.com/landyhomeonline          
SAM โชว์ผลงาน Q3 ไปได้สวย หลังรุกประมูลซื้อหนี้แบงก์กวาด NPL เข้าพอร์ตกว่าหมื่นล้านบาท ยอดจำหน่ายทรัพย์ NPA สูงเฉียด 2.5 พันล้าน ผุดโครงการพิเศษช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

SAM โชว์ผลงาน Q3 ไปได้สวย หลังรุกประมูลซื้อหนี้แบงก์กวาด NPL เข้าพอร์ตกว่าหมื่นล้านบาท ยอดจำหน่ายทรัพย์ NPA สูงเฉียด 2.5 พันล้าน ผุดโครงการพิเศษช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผย “ผลการดำเนินงานของ SAM ณ สิ้นสุดไตรมาส 3 ปี 2561 ผลการดำเนินงานโดยรวมเป็นไปตามเป้าหมาย โดย SAM ได้รับชำระเงินสด รวมจำนวนทั้งสิ้น 6,998.77 ล้านบาท หรือร้อยละ 82.23 ของเป้าหมาย ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 9 เดือนที่ตั้งไว้ ปัจจุบัน SAM มีสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPL) ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการมูลค่ารวมทั้งสิ้น 343,162.21 ล้านบาท และทรัพย์สินรอการขาย (NPA) 22,008.41 ล้านบาท เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่องค์กรตามแผนระยะยาว SAM ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่บริหารจัดการหนี้เสียของประเทศ และเป็นเครื่องมือของภาครัฐในการดูดซับ NPL จากระบบสถาบันการเงิน จึงมีการวางกลยุทธ์เพิ่มขนาดพอร์ต NPL โดยเข้าร่วมประมูลซื้อจากสถาบันการเงินต่างๆ ที่ประกาศขายในตลาดมาอย่างต่อเนื่อง และสามารถชนะการประมูล คิดเป็นภาระหนี้รวม 10,086.85 ล้านบาท หรือร้อยละ 50.09 ของเป้าหมายที่กำหนดในปี 2561   ด้านการบริหารจัดการ NPA สามารถจำหน่ายทรัพย์สินได้เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น  2,482.39 ล้านบาท  นับว่า SAM ประสบความสำเร็จสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าค่าเฉลี่ย 4 ปีย้อนหลัง (ปี 2557-2560) ทั้งนี้เป็นผลมาจากการวางแผนกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งโปรโมชั่นส่งเสริมการขายที่ตอบโจทย์และโดนใจลูกค้า มีการจัดกิจกรรมการขายและลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องตลอดปี ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างทั่วถึงและตรงกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ SAM ในพอร์ตส่วนใหญ่เป็นทรัพย์มีศักยภาพสูงและตั้งอยู่ในทำเลดี โดยเฉพาะในทำเลที่สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาโครงการของภาครัฐ   ด้านการบริหารจัดการ NPL มุ่งเน้นการให้โอกาสและคำปรึกษาแก่ลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ให้สามารถกลับไปดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพได้ตามปกติ ในช่วงที่ผ่านมา SAM ได้จัดโครงการพิเศษและกิจกรรมการตลาดเชิงรุก อาทิ โครงการลดหนี้มีสุข สามารถช่วยเหลือลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้รายย่อยบรรลุข้อตกลงได้รวดเร็วยิ่งขึ้น คิดเป็นมูลหนี้รวมมากกว่า 200 ล้านบาท รวมทั้งการจัดกิจกรรมเปิดบ้านทำงานวันหยุด และการเดินสายลงพื้นที่พบปะลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ทั่วประเทศ   สำหรับโครงการคลินิกแก้หนี้ ภายหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับหลักเกณฑ์ใหม่เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้มากยิ่งขึ้น ทำให้ปัจจุบันมีลูกค้าลงนามในสัญญากับโครงการคลินิกแก้หนี้คิดเป็นมูลหนี้เงินต้นสะสมรวมประมาณ 224 ล้านบาท หรือร้อยละ 51.57 ของเป้าหมาย และมีลูกค้าส่วนหนึ่งสามารถชำระหนี้ได้สำเร็จตามแผนของโครงการแล้ว นอกจากนี้  SAM ยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่ไม่สะดวกเข้ามาติดต่อในวันทำการ โดยเพิ่มการให้บริการในวันเสาร์ ครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ครั้งที่ 2 ในเดือนสิงหาคม และครั้งที่ 3 ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ณ สำนักงานคลินิกแก้หนี้ ชั้น 12 อาคารเล้าเป้งง้วน ถ.วิภาวดีรังสิต เขตจตุจักร รวมทั้งจัดกิจกรรมเดินสายให้ความรู้ทางการเงินแก่ลูกหนี้และผู้ที่สนใจ เพื่อสร้างวินัยทางการเงินและปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายและการออม ในฐานะที่เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของรัฐที่สนับสนุนนโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนของประเทศอย่างยั่งยืน”          
AIS Fibre จับมือโนเกียเปิดตัวบริการ Mesh Wi-Fi สำหรับใช้ในบ้าน เป็นรายแรกในประเทศไทย

AIS Fibre จับมือโนเกียเปิดตัวบริการ Mesh Wi-Fi สำหรับใช้ในบ้าน เป็นรายแรกในประเทศไทย

AIS Fibre ผู้นำอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ความเร็วสูงของไทย จับมือโนเกีย พัฒนาบริการบรอดแบนด์ความเร็วสูงระดับพรีเมี่ยมรูปแบบใหม่แก่ลูกค้า AIS Fibre ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสัญญาณ Wi-Fi broadband ได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุดทั่วทุกมุมของบ้าน  ลูกค้าของ AIS Fibre จะได้รับสิทธิ์ในการซื้อ Nokia WiFi Beacon 3 แบบ duo-pack ในราคาพิเศษ ซึ่งเมื่อการติดตั้งเรียบร้อยเครือข่าย Wi-Fi แบบ mesh จะมีสัญญาณกระจายทั่วทั้งบริเวณบ้าน (whole-home) อย่างรวดเร็ว เป็นการเพิ่มพื้นที่ครอบคลุมและเสริมประสิทธิภาพของบรอดแบนด์ความเร็วสูงมาก (ultra-broadband) ได้อย่างมีนัยสำคัญ   ประสิทธิภาพของเครือข่าย Wi-Fi ที่ครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณบ้านมักจะได้รับผลกระทบเช่นความเร็วที่ลดลงหรือสัญญาณไม่เสถียร จากจำนวนของอุปกรณ์เชื่อมต่อที่เครือข่ายดังกล่าวต้องบริหารจัดการและสัญญาณรบกวนที่อาจเกิดจากเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เตาไมโครเวฟ หรือเครือข่าย Wi-Fi จากที่อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียง การทำให้บ้านของลูกค้ามีสัญญาณ Wi-Fi ครอบคลุมเพียงพอเป็นเรื่องที่ท้าทายและในหลายกรณีจะต้องมีการติดตั้ง access point หลายจุดเพื่อลดจุดอับสัญญาณ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากสัญญาณขาดหายเนื่องจากมีผนังภายในกั้นหรือสัญญาณรบกวน โซลูชั่น Wi-Fi ของ Nokia ซึ่งได้รับรางวัลการออกแบบยอดเยี่ยมจาก iF Design Foundation ช่วยขจัดปัญหาของเครือข่ายเหล่านี้ที่พบโดยทั่วไปตามบ้านพักอาศัยและช่วยให้ลูกค้าของ AIS Fibre ได้ใช้เครือข่าย Wi-Fi แบบ mesh ที่เต็มประสิทธิภาพอย่างแท้จริง อีกทั้งยังติดตั้งง่าย ให้สัญญาณครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณบ้านและมีคุณสมบัติรองรับบรอดแบนด์ความเร็วสูงมากได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้ Nokia WiFi Beacon 3 ถูกออกแบบมาให้สามารถตรวจจับแหล่งที่มาของสัญญาณรบกวนทั้งที่เป็นสัญญาณ Wi-Fi และไม่ใช่ Wi-Fi ได้ถึง 100% จากนั้นจึงทำการเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับช่องสัญญาณที่แรงที่สุดโดยอัตโนมัติเพื่อให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าเชื่อมต่อได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์และฟังก์ชั่นการวิเคราะห์ข้อมูลที่มากับ Nokia WiFi Beacon 3 ยังสามารถแก้ไขปัญหาได้เองโดยอัตโนมัติ ลดความจำเป็นที่ลูกค้าต้องจัดการเครือข่ายด้วยตนเองเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ส่งผลให้ลูกค้ามีประสบการณ์ในการใช้ Wi-Fi ในบ้านที่ดียิ่งขึ้น   หลังจากลูกค้า AIS Fibre ได้รับอุปกรณ์ Nokia WiFi Beacon 3 ลูกค้าสามารถทำการติดตั้งเองได้อย่างรวดเร็ว เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นลงบนมือถือและทำตามขั้นตอนการตั้งค่าที่แนะนำ เมื่อการติดตั้งเสร็จ ลูกค้าสามารถใช้แอปพลิเคชั่นบนมือถือเพื่อดูการแสดงข้อมูลภาพซึ่งแสดงความครอบคลุมของสัญญาณ  (heat map) เพื่อระบุและจัดการจุดอับสัญญาณได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถระบุจุดที่เหมาะสมสำหรับการเพิ่ม access point เพื่ออุดช่องว่างความครอบคลุมของสัญญาณ นอกจากนี้ ลูกค้าสามารถเข้าถึงรายการอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อและสร้างเครือข่ายแยกสำหรับผู้มาเยือน (guest networks) และตั้งค่าความปลอดภัยตามที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว มร.เบนวา เฟลเทน หัวหน้าเจ้าหน้าที่วิจัย ของ Diffraction Analysis กล่าวว่า “ผู้ให้บริการ บรอดแบรนด์ส่วนมากจะไม่ได้ให้บริการหรือจัดการเครือข่าย Wi-Fi ในบ้านของลูกค้า ทำให้ในหลายกรณีสมรรถภาพของบรอดแบนด์ความเร็วสูงที่ส่งมาถึงบ้าน อาจจะถูกลดทอนลงจากสัญญาณรบกวนต่างๆ ที่เกิดกับเครือข่าย Wi-Fi  โซลูชั่น Wi-Fi ของ Nokia ทำให้ผู้ใช้บริการมีประสบการณ์ Wi-Fi ที่ดีขึ้นโดยการสร้าง mesh network ที่กำจัดจุดอับพร้อมเพิ่มประสิทธิภาพอย่างไร้รอยต่อ ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้บรอดแบนด์ความเร็วสูงมากจากทุกมุมของบ้านไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์ใดก็ตาม”   นายศรัณย์ ผโลประการ ผู้อำนวยการธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบนด์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า "AIS Fibre ในฐานะผู้นำนวัตกรรมอินเทอร์เน็ต บรอดแบนด์ความเร็วสูงของประเทศ ที่มุ่งมั่นคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีที่แตกต่างและนำเทรนด์ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้อุตสาหกรรมเน็ตบ้านมาอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นผู้บุกเบิกการให้บริการอินเทอร์เน็ต ไฟเบอร์ออปติกแท้รายแรกของไทย รวมถึงให้บริการ Dual Band Router เป็นรายแรกเช่นกัน เพื่อส่งมอบบริการเน็ตบ้านที่คุณภาพดีที่สุดเสมอ ล่าสุด AIS Fibre ตอกย้ำความเป็น Innovative Leader อีกครั้ง ด้วยการจับมือกับพันธมิตรระดับโลก Nokia ทำงานร่วมกันในเชิงลึก เพื่อศึกษาและทดสอบอุปกรณ์ Mesh WiFi สำหรับตลาดในเมืองไทย เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าไปอีกขั้น โดยร่วมกันเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่แบบเอ็กซ์คลูซีฟ เป็นรายแรกของโลกกับ “Nokia WiFi Beacon 3” อุปกรณ์เสริมเราเตอร์ระดับพรีเมี่ยม เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้า ทำให้การเชื่อมต่อราบรื่น ครอบคลุมทุกพื้นที่ในบ้าน” มร.เฟเดอริโก้ กิวเล็น ประธานธุรกิจฟิกซ์ เน็ตเวิร์ค ของโนเกีย กล่าวว่า "โซลูชั่น Wi-Fi ของ Nokia ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในเรื่องการใช้งาน Wi-Fi ที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ให้บริการมีเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วและทำให้การบริการลูกค้าเป็นไปได้อย่างราบรื่น เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมงานกับ AIS Fibre ในการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างด้านการบริการเครือข่าย Wi-Fi ในบ้านของลูกค้าของ AIS Fibre ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ในการใช้บรอดแบรนด์ความเร็วสูงมากที่ดีขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย จากทุกมุมภายในบ้านอย่างแท้จริง"          
ดี-แลนด์ฯ ปักหมุดทำเลทองนนทบุรี  ผุด “นนทบุรี ฯ” จับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

ดี-แลนด์ฯ ปักหมุดทำเลทองนนทบุรี ผุด “นนทบุรี ฯ” จับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

ดี-แลนด์ฯ ขยายฐานรับดีมานด์ที่อยู่อาศัยนนทบุรี อวดโฉมทาวน์โฮมอารมณ์บ้านเดี่ยว “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน” มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์สไตล์อังกฤษ ผสานเทคโนโลยี Greenovation พร้อมฟังก์ชั่นใช้สอยครบครัน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง เดินทางเข้าเมือง-ออกต่างหวัดสะดวกสบาย มีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ 3 สไตล์ ในราคาเริ่มต้น 2.20 ล้านบาท     นายศิริพงษ์ สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี-แลนด์ กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ในเขตกรุงเทพฯ ตอนใต้ พระราม2-สมุทรสาคร โซนภาคตะวันออก และโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดนนทบุรีมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลักจากการเป็นทำเลที่เป็นส่วนต่อขยายของเมือง มีการพัฒนาและเชื่อมโยงในส่วนของระบบขนส่งและสาธารณูปโภคต่างๆ อาทิ การขยายถนนและรถไฟฟ้า เป็นเส้นทางเชื่อมต่อการเดินทางออกไปสู่จังหวัดอื่นๆ เช่น สุพรรณบุรี ปทุมธานี และยังเชื่อมต่อกับวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันตกที่สามารถเดินทางไปนครปฐมหรือชลบุรีได้อีกด้วย ส่งผลให้ความต้องการ (Demand) ที่อยู่อาศัยในจังหวัดนนทบุรียังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น     ล่าสุด บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการ “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน” (Baan D The Hamilton Chaiyapruek-Wongwaen) ทาวน์โฮม 2 ชั้นสไตล์บ้านเดี่ยว จำนวน 500 ยูนิต เนื้อที่โครงการรวมกว่า 49 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพ ริมถนนบางกรวย-ไทรน้อย ตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นเส้นทางเชื่อมโยงการคมนาคมระหว่างนนทบุรีและโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกไว้ด้วยกัน รวมถึงการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง (สถานีคลองบางไผ่-เตาปูน) ในพื้นที่ดังกล่าวทำให้การเดินทางเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ และพื้นที่สำคัญอื่นๆ ได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น โดยโครงการบ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน เริ่มพัฒนาโครงการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2561 และได้กระแสตอบรับที่ดีมากจากการเปิด Pre-Sale ในช่วงเดือนกันยายน 2561 ที่ผ่านมา โดยขณะนี้มียอดจองในเฟสแรกแล้วกว่า 110 ล้านบาทเลยทีเดียว     โครงการ “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน” อยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าคลองบางไผ่เพียง 10 นาที ได้รับการออกแบบและดีไซน์ภายใต้แนวคิด “English Cottage” ที่นำความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ที่สวยงามตามแบบฉบับอังกฤษมาผสานเข้ากับงานโครงสร้างสไตล์โมเดิร์นที่คำนึงถึงการใช้งานฟังก์ชั่นในส่วนต่างๆ ของบ้านให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยแบบบ้าน 3 แบบ 3 สไตล์ ดังนี้ 1. Type A: Westminster (เวสต์มินส์เตอร์) ทาวน์โฮม 2 ชั้น ปลูกสร้างบนที่ดินขนาด 28.70 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยรวม 140 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พร้อมที่จอดรถ 2 คัน ในราคาเริ่มต้นที่ 3.4 ล้านบาท 2. Type B: Northampton (นอร์ทแธมป์ตัน) ปลูกสร้างบนที่ดินขนาด 21.20 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 130 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พร้อมที่จอดรถ 2 คัน ราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท และ 3. Type C: Birmingham (เบอร์มิงแฮม) ทาวน์โฮม 2 ชั้น บนที่ดิน 18.50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยรวม 100 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พร้อมที่จอดรถ 1 คัน ราคาเริ่มต้น 2.2 ล้านบาท     นายศิริพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัท ดี-แลนด์ฯ ยังได้พัฒนาฟังก์ชั่นของตัวบ้านและภายในโครงการ “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน” ให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ Smart Home Automation และ Multi-Generations Living Area ภายในบ้าน ตอบรับไลฟ์สไตล์ของครอบครัวที่แตกต่างกันตามช่วงวัย ด้วยคอนเซ็ปต์ “Greenovation” ซึ่งผสมผสานเข้ากับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในงานก่อสร้างต่างๆ ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม อาทิ การเลือกใช้สีคุณภาพที่เป็นมิตรต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการออกแบบและการจัดวางผังโครงการให้มีพื้นที่สีเขียวขนาดย่อมกระจายอยู่ทั่วทั้งโครงการ มีสวนสาธารณะส่วนกลางสไตล์อังกฤษ ขนาดกว่า 1 ไร่ ที่พร้อมเติมเต็มความสดชื่นให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด   นอกจากนี้ ภายในโครงการยังครบครันด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ ร้านค้า ร้านอาหาร และบริการต่างๆ สนามเด็กเล่น คลับเฮ้าส์ Co-Working Space สระว่ายน้ำและห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน ในขณะที่บริเวณรอบโครงการแวดล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญต่างๆ ทั้งหน่วยงานราชการ โรงพยาบาล โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า อาทิ เซ็นทรัลเวสต์เกต อิเกียบางใหญ่ พลัสมอลล์ บิ๊กซี แม็คโคร และอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง สามารถเดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯ หรือออกต่างจังหวัดได้อย่างสะดวก     สำหรับผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมบ้านตัวอย่างได้ที่สำนักงานขายโครงการ “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1793 ต่อ 8 หรือคลิกดูรายละเอียดได้ที่ www.dl.co.th และ facebook: Dlandclub
“โคคูน พระราม 9” คอนโดยุคใหม่ ซัพพอร์ตทุกพลังชีวิต ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา

“โคคูน พระราม 9” คอนโดยุคใหม่ ซัพพอร์ตทุกพลังชีวิต ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา

แม้จะเพิ่งเปิดขายเพียงรอบ VIP Day ยังไม่ได้เปิดขายพรีเซลอย่างเป็นทางการ แต่โครงการ “โคคูน พระราม 9” หรือ Cocoon Rama 9 คอนโดมิเนียมโครงการแรกของบริษัท รอแยลเฮ้าส์ อีเลฟเว่น จำกัด ก็ดูจะได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยม การันตีด้วยยอดขายถึงกว่า 70% หลังจากประกาศเปิดตัวโครงการได้ไม่ถึงเดือน     อาจเพราะโครงการมีปัจจัยที่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยอย่างครบถ้วน พร้อมซัพพอร์ตและเติมเต็มทุกพลังชีวิต เริ่มต้นจาก 1.ซัพพอร์ตทุกการเดินทาง โครงการตั้งอยู่ใกล้กับทั้ง The Nine พระราม 9 โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ทางพิเศษศรีรัช รถไฟฟ้าสายสีเหลืองสถานีศรีกรีฑา และแอร์พอร์ตลิงค์สถานีหัวหมาก ใกล้กับทั้งแหล่งงาน เดินทางสัญจรสะดวก จึงตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงานในพื้นที่ อาทิ แพทย์-พยาบาลในโรงพยาบาล คนทำงานออฟฟิศ สถาบันการศึกษา และห้างสรรพสินค้า ไปจนถึงคนที่ทำงานในสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นอย่างมาก     2.ซัพพอร์ตทุกการพักผ่อน แม้จะขึ้นชื่อว่าตั้งอยู่บนย่านที่คนพลุกพล่านอย่างพระราม 9 แต่ด้วยคอนเซ็ปต์ของ “โคคูน” ที่มีความหมายตรงตัวว่า “ดักแด้” โครงการจึงต้องการให้ผู้อยู่อาศัยได้ชาร์จพลังชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ทุกครั้งที่ก้าวเข้ามาในโครงการ เสมือนกลับเข้ามาใน “Charging Pod” โคคูน พระราม 9 จึงตั้งอยู่ในทำเลที่สงบและเป็นส่วนตัว เหมาะสำหรับการพักผ่อนและผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า หลังเผชิญความพลุกพล่าน วุ่นวาย จากการทำงานมาตลอดทั้งวัน     3.ซัพพอร์ตสมดุลแห่งธรรมชาติ ทุกรายละเอียดการดีไซน์ทั้งในและนอกของโครงการ ได้รับแรงบันดาลใจจากคอนเซ็ปต์ “Simple Sensibility” หรือความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ที่อยากจะให้พื้นที่นี้เป็นเหมือนพื้นที่พักผ่อน ร่มรื่น รองรับการใช้ชีวิตของคนเมือง งานด้านสถาปัตยกรรมทั้งหมดจึงให้ความสำคัญ ความสะดวกสบายของผู้อาศัยอย่างแท้จริง ด้วยความรู้สึกอบอุ่นจากวัสดุธรรมชาติผสานกับความทันสมัย ตั้งแต่งานเฟอร์นิเจอร์ไม้แท้ พื้นหิน และ “โคมไฟหวายรูปทรงรังไหม” ที่มีแรงบันดาลใจมาจาก “รังไหม” เพื่อมาเป็นซิกเนเจอร์ของโครงการ รวมถึงการออกแบบองค์ประกอบต่างๆ ทั้งหน้าต่าง ประตู และดีไซน์ ภายนอกอาคาร ที่ถูกดีไซน์มาเพื่อรับแสงธรรมชาติให้ได้มากที่สุด บนคอนเซ็ปต์ “ชีวิตเรียบง่าย ทว่ายังคงความสมดุล”     นอกจากนี้โครงการยังมีจุดแข็งเป็นอย่างดี คือการควบคุมงานก่อสร้างหรือ Construction Management ด้วยตัวเองของ “รอแยลเฮ้าส์” ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจรับสร้างบ้านและพัฒนาที่อยู่อาศัย มากว่า 30 ปี จึงทำให้มั่นใจว่าผู้ซื้อจะได้อยู่อาศัยในโครงการที่มีคุณภาพ ได้วัสดุคุณภาพพรีเมียม มาเติมเต็มฝันของการอยู่อาศัย ในราคาที่เข้าถึงได้     โครงการโคคูน พระราม 9 ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดประมาณ 1 ไร่ 57 ตารางวา บนถนนพระราม 9 ซอย 59 มูลค่าโครงการประมาณ 305 ล้านบาท เป็นอาคาร 8 ชั้น 1 อาคาร 146 ยูนิต ประกอบด้วยห้องชุด 1-2 ห้องนอน รวม 5 แบบ ขนาดตั้งแต่ 26-44 ตร.ม.     ห้องแบบ 1 ห้องนอน (CO-MMON) ขนาด 26 ตร.ม. นิยามของพื้นที่ขนาดกะทัดรัด การใช้ชีวิตที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเรียบง่าย แต่พร้อมไปด้วยฟังก์ชันการใช้ชีวิตที่ครบครัน พร้อมเป็น Comfort Zone มีจุดที่น่าสนใจคือห้องครัวและโต๊ะอาหารอยู่ด้านนอกริมระเบียง เพื่อขจัดปัญหาเรื่องกลิ่น แต่เป็นจุดที่อากาศถ่ายเท ที่สำคัญจะมองเห็นบรรยากาศวิวด้านนอก เพิ่มความชิลล์ได้อีกด้วย   ห้องแบบ 1 ห้องนอน (CO-MFORT) ขนาด 30 ตร.ม. อีกหนึ่งพื้นที่ที่พร้อมตอบโจทย์ความสบายทุกรูปแบบของคนเมือง ที่ต้องพบกับความเครียดหรือแรงกดดันจากสิ่งรอบข้าง อะไรจะดีกว่าการกลับมาห้องที่เราสามารถเอนตัวลงนอนได้อย่างไร้กังวล พร้อมชาร์จพลังให้สุดกับผู้อยู่อาศัยสำหรับวันพรุ่งนี้ที่สมบูรณ์แบบ   ห้องแบบ 1 ห้องนอน (CO-NNECT) ขนาด 33-35 ตร.ม. เพราะห้องนอนเป็นที่ที่สามารถเป็นตัวของคุณเองมากที่สุด ห้องขนาด 35 ตร.ม. จึงกำลังดีที่จะเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ที่คุณรู้สึกสบาย และแสดงออกความเป็นตัวเองได้ดีที่สุด รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ได้อย่างไร้ขีดจำกัด   ห้องแบบ 2 ห้องนอน (CO-MPASS) ขนาด 42-44 ตร.ม. สำหรับใครที่ชอบสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน และอยากมีพื้นที่อิสระที่สามารถใช้ชีวิตได้สุดขั้ว ห้องนี้ตอบโจทย์ด้วยพื้นที่ใช้สอยเหลือเฟือ ถูกจัดสรรอย่างเป็นสัดส่วน มี 2 ห้องนอน 1 ห้องครัว 1 ห้องนั่งเล่น ที่รับประกันว่า Balance Living ในเมืองหลวงไม่ยากอย่างที่คิด   ภายในโครงการประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำ (The Cocoon Pool) โซนพักผ่อนหย่อนใจยอดฮิตของผู้อยู่อาศัย เติมเต็มวันหยุดด้วยกิจกรรมว่ายน้ำและผ่อนคลายไปกับพื้นที่สีเขียว มีสวนและต้นไม้ร่มรื่น สูดโอโซนได้เต็มปอด ฟิตเนส (The Cocoon Fitness) เพิ่มความแอคทีฟ ด้วยห้องออกกำลังกายอุปกรณ์ครบครัน ทั้ง Weight Training และคาร์ดิโอ เพื่อให้ร่างกายฟิต สร้างความกระปี้กระเปร่าเต็มพลัง     ห้องประชุม (The Private Cocoon) พื้นที่ทำงานแบบมัลติฟังก์ชั่น ที่สามารถเปลี่ยนเป็นห้องประชุมส่วนตัวได้อย่างอิสระ Co-working space (The Cocoon Space) พื้นที่ส่วนกลางที่เปิดโอกาสให้สร้างสรรค์งานได้อย่างอิสระ ด้วยเพดานสูงแบบ Double Volume Ceiling พร้อมโต๊ะทำงานหลากหลายแบบ ในบรรยากาศผ่อนคลาย ปลุกพลังในการทำงาน   โครงการโคคูน พระราม 9 ราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท หรือเฉลี่ยทั้งโครงการประมาณ 74,000 บาท/ตร.ม. คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 2/2562 และก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3/2563 สามารถชมตัวอย่างโครงการได้ที่ สำนักงานขายโครงการ บริเวณปากซอยพระรามเก้า 57/2 เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00.น.     ผู้สนใจโครงการ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.cocooncondo.com/Rama9/ หรือสอบถาม โทร 092-323-9323 Line@ ID : @Cocooncondo
“ORI” อวดยอดขายทะยานเกินเป้ากว่า 25,000 ล้านบาท  จากการเปิดโครงการใหม่ “พาร์ค ออริจิ้นทองหล่อ”  หนุนผลประกอบการทั้งปีโตตามเป้า

“ORI” อวดยอดขายทะยานเกินเป้ากว่า 25,000 ล้านบาท จากการเปิดโครงการใหม่ “พาร์ค ออริจิ้นทองหล่อ” หนุนผลประกอบการทั้งปีโตตามเป้า

“ออริจิ้น” ปลื้มยอดขายโครงการแฟล็กชิพฉลุยทั้ง 2 ทำเล “พาร์ค ออริจิ้น พญาไท” กวาดยอดขายทะลุ 80% ด้าน “พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ” โกยยอด 74% ทันทีหลังจบพรีเซล 24 พ.ย. ตอกย้ำความต้องการที่อยู่อาศัยคุณภาพ มั่นใจหนุนผลประกอบการปีนี้โตตามเป้า     นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์ บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า หลังจากประกาศเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแฟล็กชิพภายใต้แบรนด์ใหม่ “พาร์ค ออริจิ้น” ไป 2 โครงการ ใน 2 ทำเลศักยภาพ ได้แก่ 1.พาร์ค ออริจิ้น พญาไท (PARK ORIGIN Phayathai) มูลค่าโครงการ 4,600 ล้านบาท และ 2.พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (PARK ORIGIN Thonglor) มูลค่าโครงการ 12,000 ล้านบาท บริษัทได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยม โดยพาร์ค ออริจิ้น พญาไท เริ่มเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการไปเมื่อ 30 ก.ย. ปัจจุบัน มียอดขายแล้วถึงกว่า 80% ขณะที่พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ เพิ่งเปิด Exclusive Presale เมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา สามารถกวาดยอดขายได้แล้วถึง 74%     “แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น เป็นแบรนด์ใหม่ที่ทีมงานออริจิ้นทุกคนมุ่งมั่นและทุ่มเทในการสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดเป็นแบรนด์ที่อยู่อาศัยที่ลงตัว ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์ภายใต้คอนเซ็ปต์ A Perfect Living Platform ยอดขายที่เกิดขึ้นจึงสะท้อนถึงสภาพของตลาดที่ยังคงให้ความสำคัญกับการซื้อที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างแท้จริง” นายพีระพงศ์ กล่าว     ทั้งนี้ โครงการพาร์ค ออริจิ้นทั้ง 2 โครงการ จะถูกพัฒนาในรูปแบบของโครงการมิกซ์ยูส โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ควบคู่กับคอนโดมิเนียมด้วย อาทิ โรงแรม คอมมูนิตี้มอลล์ สำนักงานให้เช่า ยอดขายของทั้ง 2 โครงการ จึงสะท้อนถึงความต้องการที่อยู่อาศัยที่ครบวงจรในรูปแบบของโครงการมิกซ์ยูสอีกด้วย ในปี 2562 บริษัทยังคงมีแผนจะพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสควบคู่กับคอนโดมิเนียมแบรนด์พาร์ค ออริจิ้น อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค     นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ผลประกอบการในปี 2561 นี้ น่าจะสามารถเติบโตได้ตามเป้า โดยในส่วนของยอดขายนั้น บริษัทตั้งเป้าทั้งปีไว้ที่ 24,000 ล้านบาท เฉพาะช่วง 3 ไตรมาสแรก สามารถทำได้แล้ว 22,400 ล้านบาท หากรวมกับยอดขายที่เพิ่งเกิดขึ้นของโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ จะทำให้ยอดขายทะลุเกิน 25,000 ล้านบาท ขณะที่ด้านรายได้นั้น ก็ยังคงมีโครงการสร้างเสร็จใหม่ที่ทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง เช่น 1.โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท105 (Notting Hill Sukhumvit 105) และ 2.โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ จตุจักร อินเตอร์เชนจ์ (Notting Hill Jatujak-Interchange) รวมถึงการประสบความสำเร็จจากการโอนโครงการใหญ่อย่างโครงการ พาร์ค 24 (PARK24) ซึ่งทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (IBD/E) ของบริษัทลดลงเหลือ 1.49 เท่าในไตรมาสที่ผ่านมา และคาดว่าจะลดลงเหลือ 1.35 เท่า ในการปิดงวดไตรมาส 4 นี้          
ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ไตรมาส 4 ปี 2561

ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ไตรมาส 4 ปี 2561

ซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก เผยว่า มีปัจจัยหลายประการส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดที่พักอาศัยของกรุงเทพมหานคร แม้ว่ามีการเปิดตัวโครงการใหม่เกิดขึ้นมาก แต่ยอดขายจากผู้ซื้อชาวไทยเริ่มชะลอตัวลงในบางทำเลและอาจมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวต่อไปอีกจากมาตรการเรื่องการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปีหน้า  ผู้พัฒนาโครงการบางรายพยายามที่จะหาทำเลที่ตอบโจทย์ความต้องการจากกลุ่มผู้ซื้อคนไทยที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และพัฒนาโครงการในระดับราคาที่สอดคล้องกับกำลังซื้อของตลาด  ผู้พัฒนาโครงการบางรายปรับเพิ่มสัดส่วนการขายให้กับผู้ซื้อชาวต่างชาติซึ่งอาจซื้อเพื่อการลงทุนโดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์เข้าพักอาศัยจริง ด้านตลาดให้เช่าที่พักอาศัยสำหรับชาวต่างชาติในย่านใจกลางเมืองนั้นยังมีเสถียรภาพ แต่ซีบีอาร์อีมองว่าตลาดให้เช่าที่พักอาศัยสำหรับคนไทยในย่านรอบนอกใจกลางเมืองและย่านชานเมืองไม่ค่อยมีการเติบโตในเรื่องค่าเช่า ทำให้นักลงทุนที่ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อนำมาปล่อยเช่าอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้   เมื่อไม่นานมานี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดมาตรการกำกับดูแลการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เข้มงวดขึ้น โดยการปรับลดอัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ให้แก่ผู้ซื้อบางกลุ่ม เพื่อลดความเสี่ยงด้านสินเชื่อและความเสี่ยงในตลาดอสังหาริมทรัพย์  รวมทั้งปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้ดีขึ้น โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป ซึ่งมาตรการใหม่นี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกซึ่งเป็นความต้องการอยู่อาศัยที่แท้จริง มากกว่านักลงทุนที่ซื้อที่พักอาศัยแล้วนำมาปล่อยเช่าเพื่อสร้างผลตอบแทนซึ่งมีสัญญาสินเชื่อหลายฉบับ แม้ว่ามาตรการดังกล่าวจะไม่บังคับให้ผู้พัฒนาโครงการต้องเรียกเก็บเงินดาวน์ขั้นต่ำในการทำสัญญา แต่ก็จะกระตุ้นให้ผู้พัฒนาโครงการเรียกเก็บเงินดาวน์ในอัตราที่สูงขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงหากลูกค้าทิ้งเงินดาวน์เมื่อถึงเวลาที่ต้องโอน ซึ่งจะทำให้ความต้องการจากนักเก็งกำไรลดลง เพราะต้องใช้เงินดาวน์สูงถึง 20 - 30% ต่างจากในปัจจุบันที่ใช้เงินดาวน์เพียง 10 - 15%  และมาตรการนี้จะช่วยชะลอความร้อนแรงและสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดโดยรวม   เนื่องจากเป็นที่คาดการณ์ว่าความต้องการภายในประเทศจะชะลอตัว อันเป็นผลจากข้อกำหนดใหม่ด้านสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ซีบีอาร์อีคาดว่าจะมีผลต่อเนื่องทำให้ผู้พัฒนาโครงการหันไปพึ่งพาผู้ซื้อชาวต่างชาติที่ซื้อที่พักอาศัยด้วยเงินของตนเองเป็นหลัก เพราะเงินทั้งหมดต้องโอนมาจากต่างประเทศด้วยสกุลเงินต่างประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับด้านการเป็นเจ้าของอาคารชุดโดยชาวต่างชาติ ผู้พัฒนาโครงการหลายรายกล่าวว่าได้เพิ่มยอดขายคอนโดมิเนียมในส่วนที่มาจากผู้ซื้อชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีนทั้งในรูปของการซื้อแบบรายบุคคลและการซื้อแบบยกล็อตโดยผ่านนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ชาวจีน  หลายโครงการได้เปิดเผยว่าโควตาสำหรับผู้ซื้อต่างชาติเต็มแล้ว (49% ของพื้นที่ขาย) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต   “เรื่องนี้ทำให้ซีบีอาร์อีมีความกังวลมากขึ้นว่าการพึ่งพายอดขายจากลูกค้าต่างชาติจำนวนมากจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ เพราะยังไม่แน่นอนว่าลูกค้าต่างชาติเหล่านี้จะโอนกรรมสิทธิ์หากเป็นนักเก็งกำไร และยังไม่มีความชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้ที่พักอาศัยในคอนโดมิเนียมเมื่อการก่อสร้างเสร็จสิ้น  ลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็นนักลงทุน และอาจไม่มีความต้องการเที่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง” นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าว   จากการสำรวจโดยแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี พบว่า ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2561 มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ในย่านใจกลางเมืองราว 7,200 ยูนิต เปรียบเทียบกับในช่วงสองไตรมาสแรกของปีนี้รวมกันมีเพียง 1,300 ยูนิต  โดยคอนโดมิเนียมใหม่ที่เปิดตัวในย่านใจกลางกรุงเทพฯ ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 8%เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว   ด้านราคาเสนอขายโดยเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมแบบฟรีโฮลด์ระดับไฮเอนด์ขึ้นไป ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้างในย่านใจกลางกรุงเทพฯ ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยประมาณ 1.7% ต่อปี มาอยู่ที่ 277,000 บาทต่อตารางเมตร  ซีบีอาร์อีไม่เชื่อว่าราคาเฉลี่ยในย่านใจกลางกรุงเทพฯ โดยทั่วไปจะปรับตัวลดลง เว้นแต่ในโครงการที่แล้วเสร็จแต่ยังมียูนิตเหลือขายจำนวนมาก  จากตัวเลขของผู้พัฒนาโครงการพบว่า คอนโดมิเนียมในย่านใจกลางเมืองที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างมียอดขายลดลงเหลือ 67% เทียบกับ 77% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน  ซีบีอาร์อีจึงมองว่าแนวโน้มด้านยอดขายจะค่อนข้างชะลอตัวสำหรับโครงการคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ในย่านใจกลางเมืองที่ผู้ซื้อคัดเลือกสินค้ามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการที่มีราคาขายสูงกว่า 300,000 บาทต่อตารางเมตร  ผู้พัฒนาโครงการที่ต้องการทำราคาขายให้ได้ในระดับที่สูงจำเป็นต้องทำให้ผู้ซื้อมั่นใจว่าโครงการของตนมีความเหมาะสมกับราคาอย่างแท้จริง   แผนกวิจัย ซีบีอาร์อีรายงานว่า ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ในย่านมิดทาวน์และย่านชานเมืองรวมทั้งสิ้น 18,200 ยูนิต ซึ่งนับเป็นการเปิดตัวคอนโดมิเนียมที่มากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2556 เป็นต้นมา โดยคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวในย่านมิดทาวน์ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี2561 ลดลง 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน    ปัจจุบันผู้พัฒนาโครงการต่างกำลังมุ่งไปที่ทำเลที่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว ส่วนต่อขยายรถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงิน และรถไฟใต้ดินสายสีส้ม สายสีเหลือง และสายสีชมพูที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง   ราคาเสนอขายโดยเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมที่การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จในย่านมิดทาวน์และย่านชานเมืองปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 99,700 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 5.6% ต่อปี  ในอัตราการขายของคอนโดมิเนียมที่มีมากกว่า 200 โครงการในย่านนี้อยู่ที่ระดับ 71% เปรียบเทียบกับ 59% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซีบีอาร์อีเชื่อว่ายอดขายที่ดีขึ้นนั้นเกิดจากการขายยกล็อตให้กับนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ชาวจีน ถึงแม้จะยังไม่สามารถสรุปได้ว่ายอดขายเหล่านี้จะหมายถึงการโอนห้องจริงเมื่อโครงการแล้วเสร็จ   ปริมาณคอนโดมิเนียมที่เพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนด้านความต้องการภายในประเทศจากผู้ซื้อที่ต้องการพักอาศัยเอง รวมไปถึงความยั่งยืนของความต้องการจากลูกค้าต่างชาติ ทำให้แนวโน้มในตลาดคอนโดมิเนียมของกรุงเทพฯ มีความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมในย่านใจกลางเมือง ผู้พัฒนาโครงการอาจจะต้องลดความคาดหวังที่มีต่อราคาขายระดับสูง หรือปรับเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นที่ทำเลใจกลางเมือง ไปสู่ทำเลที่ราคาที่ดินถูกกว่า เช่น สุขุมวิท63 (ซอยเอกมัย) มากกว่าสุขุมวิท 55 (ซอยทองหล่อ) สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมในย่านมิดทาวน์และย่านชานเมือง โครงการที่ผู้ซื้อสามารถกู้ซื้อได้และมีนักเก็งกำไรและนักลงทุนน้อยจำเป็นต้องพึ่งพาความต้องการจากผู้ซื้อคนไทยที่ต้องการพักอาศัยเองมากยิ่งขึ้น   สำหรับตลาดที่พักอาศัยให้เช่าในย่านใจกลางกรุงเทพฯ สำหรับชาวต่างชาตินั้น จำนวนชาวต่างชาติที่ได้รับใบอนุญาตทำงานมีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 2.7% ต่อปี และงบประมาณต่อเดือนในการเช่าบ้านก็ยังคงที่ สถานการณ์ในตลาดโดยรวมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยมีอพาร์ทเมนท์ใหม่เกิดขึ้นน้อยมาก ขณะที่คอนโดมิเนียมกลับเพิ่มขึ้นโดยตลอด ซึ่งซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่าประมาณ 30-40% ของคอนโดมิเนียมใหม่จะถูกนำออกมาปล่อยเช่าเมื่อโครงการแล้วเสร็จ
เสนาฯ ติดตั้งเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าภายใต้ชื่อ EV ready ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่

เสนาฯ ติดตั้งเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าภายใต้ชื่อ EV ready ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่

กระแสรถยนต์ไฟฟ้า Electric Vehicle หรือที่เราเรียกกันสั้นๆว่า รถ EV กำลังมาแรงทั่วโลก  ผู้บริหารหญิงคนเก่ง แห่งค่าย เสนาดีเวลลอปเม้นท์  ดร.ยุ้ย เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  ก็ไม่พลาดที่จะตอบรับกระแสโดยการติดตั้งเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า (EV Charger ) ภายใต้ชื่อ EV ready รองรับยานยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทั้งแบบไฮบริด และ ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) รวมถึงยานยนต์ไฟฟ้าชนิดแบตเตอรี่ (BEV) ให้กับลูกค้าโครงการ เสนาพาร์คแกรนด์ รามอินทรา  และ เสนาพาร์ควิลล์ รามอินทรา - วงแหวน เพื่อตอบสนองความต้องการตลาดและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่จะเริ่มหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นงานนี้ นอกจากได้บ้านที่สวยด้วยฟังก์ชั่นและดีไซน์แล้ว ยังไม่ตกเทรนด์ด้วยน้า  สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติม โทร 1775
ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร เปิดตัวออฟฟิศแคมปัสแห่งแรกใจกลางกรุงเทพฯ

ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร เปิดตัวออฟฟิศแคมปัสแห่งแรกใจกลางกรุงเทพฯ

กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ระดับคุณภาพของประเทศไทย เปิดตัวอาคารสำนักงาน Office Campus ต้นแบบแห่งแรกใจกลางกรุงเทพมหานคร “อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร” บนทำเลทองถนนสาทร ติดกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสุรศักดิ์ มุ่งเสริมWork-Life Balance ให้กับกลุ่มคนทำงานในเมืองด้วยพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจและพื้นที่สีเขียวร่มรื่น พร้อมร้านกาแฟชื่อดัง Roots และ ร้านอาหารสไตล์ fusion รสชาติเยี่ยมอย่าง Ocken เกิดเป็นโอเอซิสแห่งใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของคนทำงานทุกอาชีพ   นายปิติภัทร บุรี กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี กล่าวว่า “อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร เป็นต้นแบบของอาคารสำนักงานแบบใหม่ ในคอนเซ็ปต์ Office Campus แห่งแรกตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ พื้นที่โดยรอบเน้นการอำนวยความสะดวกด้านพื้นที่การทำงานที่หลากหลาย ความสะดวกสบาย รวมถึงพื้นที่สีเขียวที่หาได้ยากมากท่ามกลางเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยตึกสูง เราต้องการสร้างความแตกต่างและสร้างความหมายให้กับทุกตารางเมตร รวมถึงสร้างโอกาสในการทำความรู้จักหรือมี Social Connection กับผู้คนรอบข้างได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นก็ยังมีร้านกาแฟ ร้านอาหารคุณภาพเยี่ยมให้ผู้คนได้เลือกกินดื่ม ตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์สำหรับคนทำงานรุ่นใหม่ที่อยู่ไม่ติดที่และต้องการความคิดสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดี”     ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร เป็นกลุ่มอาคารสำนักงานแบบ Office Campus บนพื้นที่ขนาด 5 ไร่ แบ่งออกเป็น 3 แคมปัส ได้แก่ Campus A อาคารสูง 4 ชั้น, Campus B อาคารสูง 2 ชั้น และ Campus C อาคารชั้นเดียว ติดกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสุรศักดิ์ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ให้เช่าส่วนอาคารสำนักงานจำนวน 3,500 ตารางเมตร ถือเป็นต้นแบบออฟฟิศแคมปัสในประเทศไทย ที่ตอบโจทย์คนทำงานทั้งในและนอกออฟฟิศในยุคปัจจุบัน พร้อมด้วยพื้นที่สีเขียวสำหรับการคิดนอกกรอบและพักผ่อนหย่อนใจ และร้านกาแฟภายใต้แนวคิด Cup-to-farm Ethos อย่าง Roots ที่จะช่วยเติมพลังให้กับคนทำงาน พร้อมด้วยร้านอาหารบรรยากาศสบายๆ และอบอุ่นอย่างOcken ที่พร้อมเสิร์ฟเมนูอาหารตะวันตกสไตล์โมเดิร์น เหมาะกับเป็นจุดนัดสังสรรค์หลังเลิกงานยามเย็นได้เป็นอย่างดี     ภายในวันเปิดโครงการ ยังมีการจัดนิทรรศการภาพถ่าย “Birth” จากคุณพิชาญ สุจริตสาธิต ช่างภาพอิสระชื่อดัง ที่ถ่ายทอดเรื่องราวต่อมุมมองย่านสาทรผ่านภาพถ่ายที่สะท้อนการถือกำเนิด เอกลักษณ์และความหวัง บนถนนสาทรออกมาได้อย่างโดดเด่น พร้อมมินิคอนเสิร์ตจากอิมเมจ สุธิตา ที่ช่วยสร้างสีสันและบรรยากาศภายในงานได้อย่างน่าประทับใจ     กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ระดับคุณภาพ บนทำเลชั้นเยี่ยมทั่วกรุงเทพฯมากว่า 30 ปี เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จและเป็นเจ้าของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท เอ็มควอเทียร์ อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค อาคารสมัชชาวาณิช 2 (UBC II) วันอุดมสุข คอมมิวนิตี้มอลล์ และ อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร ที่ได้เปิดตัวล่าสุดนี้