Tag : News

2376 ผลลัพธ์
Rosewood Hotels&Resorts เตรียมเปิดตัวใจกลางเพลินจิต

Rosewood Hotels&Resorts เตรียมเปิดตัวใจกลางเพลินจิต

Rosewood Hotels&Resorts โรงแรมอัลตร้าลักซ์ชัวรี่ใจกลางย่านเพลินจิต พร้อมเปิดจองห้องพักได้แล้ววันนี้ พร้อมนำเสนอแคมเปญโซเชียลมีเดียก่อนการเปิดตัวโรงแรมอย่างเป็นทางการ 31 มีนาคม 2562   โรสวูด กรุงเทพฯ โรงแรมอัลตร้าลักซ์ชัวรี่ ดีไซน์สถาปัตยกรรมสะดุดตา ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจและร้านค้าบนถนนเพลินจิตจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 มีนาคม 2562 ซึ่งการเปิดตัวในครั้งนี้นับเป็นการเปิดตัวโรงแรมแห่งที่สองในประเทศไทย สำหรับ โรสวูด โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท (Rosewood Hotels&Resorts) โดยมีโรงแรมในเครืออีกแห่งคือ โรสวูด ภูเก็ต ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2560 โรงแรมโรสวูดกรุงเทพฯได้ผสมผสานความร่วมสมัยเข้ากับวัฒนธรรมและประเพณีไทยไว้อย่างลงตัว โรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ ได้นำปรัชญา A Sense of Place® ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์โรสวูด เป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการออกแบบสถาปัตยกรรมภายนอก และการตกแต่งภายในตลอดจนถึงประสบการณ์การรับประทานอาหารและการผ่อนคลายภายในสปาที่ได้คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน ผู้สนใจเข้าพักสามารถจองห้องพักได้แล้ววันนี้ที่ rosewoodhotels.com พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองการเปิดตัวของโรงแรมอย่างเป็นทางการ   โครงสร้างสามสิบชั้นของโรงแรมพร้อมดีไซน์อันโดดเด่นจะปรับเส้นขอบฟ้าของมหานครกรุงเทพฯ ด้วยอาคารสูงระฟ้าที่ประกอบจากอาคารทั้งสองฝั่งซึ่งเชื่อมต่อกันเป็นรูป “ไหว้” เพื่อเพิ่มความตราตรึงให้กับทิวทัศน์ของกรุงเทพมหานคร โดยการเสริมแทรกวัฒนธรรมไทยไว้ภายใต้ความทันสมัยของการออกแบบทางด้านสถาปัตยกรรม การไหว้ เป็นแรงบันดาลใจหลักของดีไซน์ การประนมมือสองข้างเป็นเอกลักษณ์อันอ่อนน้อมของคนไทยที่ใช้ในการทักทาย กล่าวสวัสดีและการต้อนรับ นอกจากนี้ โรสวูด กรุงเทพฯ ยังเชื่อมติดสถานีรถไฟฟ้า BTS เพลินจิต ท่ามกลางสถานฑูตนานาประเทศ ตึกสำนักงานที่ทันสมัย และห้างสรรพสินค้าอันหรูหรา   เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการเปิดตัว โรงแรมโรสวูล กรุงเทพฯ พร้อมเปิดตัวบัญชีโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางกา ภายใต้ชื่อ @rosewoodbangkok อีกหนึ่งช่องทางหลักในการแชร์ข้อมูลข่าวสารผ่านทาง เฟซบุ๊ค และอินสตาแกรม โดยทั้งสองบัญชีจะเปิดตัวพร้อมแคมเปญ #WaiBangkok ซึ่งมุ่งเน้นการแสดงให้เห็นถึงพลังขับเคลื่อนความคิดสร้างสรรค์และวิถีชีวิตภายในกรุงเทพมหานคร โดยแคมเปญดังกล่าวจะเชิญชวนนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปให้แบ่งปันมุมมองใหม่เกี่ยวกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากการเปิดตัวของโรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ ในมหานครแห่งนี้   มร.โธมัส ฮาร์แลนเดอร์ กรรมการผู้จัดการ โรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ กล่าวว่า “โรสวูด กรุงเทพฯ นำเสนอการบริการอัลตร้าลักซ์ชัวรี่รูปแบบใหม่ และต้องการเป็นสัญลักษณ์ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรุงเทพมหานครนั้นเป็นศูนย์กลางสำหรับความคิดสร้างสรรค์ และการออกแบบในภูมิภาค” พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า “ปรัชญา A Sense of Place® ของแบรนด์โรสวูด ได้ถูกนำมาจำกัดความในรูปแบบทันสมัย แต่ในขณะเดียวกันให้คงไว้ถึงวัฒนธรรมไทยที่แท้จริง โดยทุกคนสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ตั้งแต่การออกแบบด้านสถาปัตยกรรมของโรงแรม จนไปถึงรูปแบบการให้บริการที่มีความใส่ใจ และมีความอ่อนน้อม” โดยคุณโธมัส กล่าวทิ้งท้ายว่า “เราต้องการนำเสนอความร่วมสมัยที่ถูกกลั่นกรองมาให้สอดคล้องกับความเป็นไทยมากที่สุดเรามุ่งหวังที่จะเป็นประตูซึ่งนำพาผู้เข้าพักไปพบกับความน่าอัศจรรย์ของกรุ งเทพมหานครและวัฒนธรรมไทย”   แคมเปญ #WaiBangkok จะเปิดตัววันที่ 19 กุมภาพันธ์ ตลอดจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ โดยนอกจากเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมสุนกแล้ว ยังจะแสดงซีรี่ส์ภาพถ่ายจากช่างภาพชื่อดังสองท่านได้แก่ ตั้ม ชนิพล กุศลชาติธรรม และ สก็อต วูดวาร์ด โดยตั้ม หรือเป็นที่รู้จักในวงกว้างในนาม Rockkhound เป็นช่างภาพแนวสตรีทระดับแถวหน้าของประเทศไทยจะร่วมเปิดตัวแคมเปญด้วยการนำเสนอเสน่ห์ของกรุงเทพฯ ผ่านภาพถ่ายของเขา ส่วนทางด้านสก็อต วูดวาร์ด ช่างภาพสารคดีชาวแคนาดาผู้มักแสดงผลงานบนนิตยสารระดับโลกอย่าง National Geographic และ   Condé Nast Traveler ไปจนถึงสื่อหนังพิมพ์ชื่อดังอย่าง New York Times จะมาแสดงให้เห็นความน่าหลงใหลของกรุงเทพมหานครผ่านซีรี่ส์ภาพถ่ายในครั้งนี้อีกด้วย   แคมเปญภาพถ่ายอันงดงามในครั้งนี้ ต้องการเชิญชวนให้ผู้ที่สนใจร่วมแบ่งปันมนต์เสน่ห์ของกรุงเทพมหานครในเชิงร่วมสมัย พร้อมนำเสนอมุมมองหรือสถานที่ที่พวกเขาชอบที่สุดในกรุงเทพฯ เพื่อประกอบเป็นเหตุผลว่า“ทำไม” พวกเขาถึงรักมหานครแห่งนี้ โดยเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมสนุกโพสต์ภาพถ่ายมุมมองใหม่ที่น่าสนใจของกรุงเทพฯบนหน้าเฟซบุ๊คของ โรสวูด กรุงเทพฯ หรืออินสตาแกรมส่วนตัวพร้อมตั้งค่าเป็นสาธารณะ พร้อมเขียนแฮชแทค #WaiBangkok และแทค @RosewoodBangkok โดยผู้ชนะจะได้รับบัตรรางวัลมูลค่า 100,000 บาท ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ภายในโรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ    
SAM โชว์ผลงานปี 61 ยอดเงินสดรับกว่าหมื่นล้านบาท

SAM โชว์ผลงานปี 61 ยอดเงินสดรับกว่าหมื่นล้านบาท

SAM เปิดตัว “นิยต” นั่งเก้าอี้ผู้บริหารระดับสูง โชว์ผลงานปี 61 ยอดเงินสดรับกว่าหมื่นล้านบาท พร้อมชูกลยุทธ์ใหม่ปี 62  ช่วยเหลือและดูแลลูกค้าทุกมิติ  เน้นให้บริการผ่านเทคโนโลยีและช่องทางการสื่อสารที่ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่าย    SAM เปิดตัวผู้บริหารสูงสุดคนใหม่ “นิยต มาศะวิสุทธิ์” พร้อมโชว์ผลงานปี 61 ยอดเงินสดรับกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 134% ของเป้าหมายและซื้อสินทรัพย์เข้าพอร์ตได้อีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท เผยกลยุทธ์ปี 62 ดูแลอย่างจริงใจ โดยให้คำปรึกษาและพัฒนาบริการลูกค้า NPL และ NPA ผ่านเทคโนโลยีและช่องทางการสื่อสารที่ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่ายผ่านโซเชียลมีเดีย   นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ ผู้บริหารสูงสุด บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผยว่า ด้วยประสบการณ์กว่า 14 ปีในฐานะผู้บริหารของ SAM ทำให้หลังจากเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จึงมีความพร้อมเดินหน้าและสามารถทำงานได้ต่อเนื่อง รวดเร็ว โดย SAM พร้อมสนับสนุนนโยบายภาครัฐและทำงานอย่างมืออาชีพ  ตลอดปี 2561 ที่ผ่านมา SAM สามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ผลการดำเนินงาน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 SAM ได้รับชำระเงินสด รวมจำนวนทั้งสิ้น 11,422 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 134 ของเป้าหมาย โดยมาจากการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ประมาณ 7,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62  และการจำหน่ายทรัพย์สินรอการขาย (NPA) จำนวนมากกว่า 4,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 38 โดยตลอดปี 2561 SAM สามารถซื้อสินทรัพย์ NPL เพิ่มเติมได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย และหากนับจากปี 2560 ถึงปัจจุบัน SAM มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องมาตลอดและมีแผนลงทุนในปีต่อๆ ไปตามแผนระยะยาวที่ได้วางไว้  จากความสำเร็จและความมุ่งมั่นในการดำเนินงาน ส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2543 ถึง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 SAM สามารถนำส่งเงินคืนกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฯ) เป็นเงินสะสมรวมทั้งสิ้นกว่า 250,000 ล้านบาท   ส่วน โครงการคลินิกแก้หนี้ ในปี 2561 มีผู้สมัครเข้าโครงการ 9,800 ราย  โดยยอดรวมผู้ผ่านคุณสมบัติและลงนามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้วจำนวน 1,087 ราย  ปัจจุบันมีลูกหนี้ที่ยังผ่อนชำระอยู่กับโครงการเกือบ 1,000 ราย ภาระหนี้รวมทั้งสิ้น 270 ล้านบาท นอกจากนี้  SAM ยังดำเนินงานด้านการอบรมและให้ความรู้ทางการเงิน เพื่อเสริมสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ประชาชนทั่วไปอย่างต่อเนื่อง ผ่านหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สถานีตำรวจภูธร อ.ด่านช้าง สำนักงานปลัด กระทรวงกลาโหม สถาบันคุ้มครองเงินฝาก บจ.ธนบุรีประกอบรถยนต์ บจ.สยามมิชลิน เป็นต้น   นายนิยต กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนงานในปี 2562  SAM มีเป้าหมายเก็บเงินสดรับที่ 11,600 ล้านบาท และเพิ่มขนาดพอร์ตสินทรัพย์เพิ่มเติมด้วยการเข้าประมูลซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากธนาคารพาณิชย์ตามแผนระยะยาวที่ตั้งไว้ให้ได้ตามเป้าหมายที่ 16,500 ล้านบาท ปัจจุบัน SAM มีสินทรัพย์ NPL คงเหลือมูลค่ารวมทั้งสิ้น 335,000 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกหนี้รายใหญ่ ร้อยละ 66  SME ร้อยละ 30 และรายย่อย ร้อยละ 4 จึงมุ่งเน้นการช่วยเหลือลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ทุกกลุ่มให้บรรลุข้อตกลงได้ง่ายและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีแผนการจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ อาทิ กิจกรรมลดหนี้มีสุข กิจกรรมเปิดบ้านทำงานวันหยุด เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้นอกวันทำการ และเพิ่มเติมกิจกรรมสัญจร (Mobile Branch) เพื่อเดินทางไปพบลูกค้าและให้บริการในพื้นที่อย่างทั่วถึงตลอดปี ส่วนทรัพย์สิน NPA คงเหลือจำนวน  3,700 รายการ มูลค่ารวม 21,000 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์รายใหญ่มูลค่ามากกว่า 20 ล้าน ร้อยละ 5 ที่เหลือเป็นทรัพย์มูลค่าต่ำกว่า 20 ล้าน ร้อยละ 95 โดยกว่าร้อยละ 50 เป็นทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ดังนั้น กลยุทธ์การบริหารจัดการ NPA ในปีนี้ SAM จึงเน้นการทำตลาดเข้าถึงลูกค้ารายย่อย พร้อมวางแผนจัดกิจกรรมต่างๆ ตลอดปี เช่น การจัดงานประมูลทรัพย์ NPA จำนวน 9 ครั้ง การเข้าร่วมงานมหกรรมกับหน่วยงานพันธมิตร จำนวน 5 ครั้ง รวมถึงการเปิดบูธ “ทรัพย์มือสองต้อง SAM” จำนวน 6 ครั้ง รวมทั้งการจัดโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขายที่น่าสนใจมากมาย  เช่น  “SAM อีซี่ โปร” ฟรีค่าโอน 1% พร้อมอีก 2 โปรโมชั่นยอดนิยม ทั้ง “SAM จัดให้” และ “SAM Light ผ่อนสบายๆ 0%” และอื่นๆ คาดว่าจะกระตุ้นยอดขายNPA ได้ยาวถึงสิ้นปี   ส่วนแผนงานโครงการคลินิกแก้หนี้  SAM ได้เตรียมความพร้อมขยายขอบเขตการให้บริการเพื่อรองรับลูกค้ากลุ่ม Non-Bank และเพิ่มความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เครดิตบูโร เพื่อลดกระบวนการและขั้นตอนการตรวจสอบให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  รวมทั้งยังมีแผนจัดกิจกรรม เปิดบ้านทำงานวันหยุดกับ คลินิกแก้หนี้  ทุกวันเสาร์ โดยเริ่มครั้งแรกวันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์และตลอดเดือนมีนาคมนี้   ณ ที่ทำการ ชั้น 12 อาคารเล้าเป้งง้วน ถ.วิภาวดีรังสิต ด้วยหวังว่าการจัดกิจกรรมนี้ จะช่วยสร้างโอกาสและกระตุ้นกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาขอคำปรึกษาและเข้าร่วมโครงการฯ มากขึ้น ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนด้านหนี้สินส่วนบุคคลของผู้ที่ประสบปัญหาดังกล่าวได้ไม่มากก็น้อย และช่วยให้ลูกหนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้  SAM ยังให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม เช่น การอบรมและให้ความรู้ทางการเงินเพื่อเสริมสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ประชาชนทั่วไปอย่างต่อเนื่องตลอดปี โดยเฉพาะนักศึกษาที่จบการศึกษาใหม่ที่กำลังจะเข้าทำงาน เพื่อสร้างความตระหนักเรื่องการวางแผนการเงินก่อนเริ่มมีรายได้  ทั้งนี้  ในปี 62 SAM  ยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัยเข้ามาให้บริการลูกค้า ผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ และสื่อโซเชียลอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง  เพื่อเข้าถึงลูกค้าและให้บริการอย่างสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น      
เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว–นวมินทร์  เปิดจองครั้งแรกในงาน VVIP รับส่วนลดสูงสุด 450,000 บาท

เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว–นวมินทร์ เปิดจองครั้งแรกในงาน VVIP รับส่วนลดสูงสุด 450,000 บาท

เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว–นวมินทร์ ทาวน์โฮมความสุขไซส์ XL ตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง เปิดจองครั้งแรกในงาน VVIP Day 23 กุมภาพันธ์นี้ รับส่วนลดสูงสุด 450,000 บาท   โครงการ เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว – นวมินทร์ โครงการที่อยู่อาศัยรูปแบบทาวน์โฮม 3 ชั้น ภายใต้แนวคิด “XL สเปซ XL ความสุข” พัฒนาโดย บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่ฉีกทุกกฎของทาวน์โฮมแบบเดิมๆ ด้วยแนวคิดและการออกแบบ เพื่อให้เหมาะกับชีวิตคนเมือง และครบทุกฟังก์ชั่นของการอยู่อาศัย ด้วยถนนภายในโครงการกว้าง 12 เมตร พื้นที่ใช้สอยในบ้านเทียบเท่าบ้านเดี่ยวสูงสุด 220 ตารางเมตร การออกแบบห้องผู้สูงอายุชั้น 1 พร้อมหน้าต่างระบายอากาศกว้างพิเศษเพื่อรับแสงและลมประหยัดพลังงาน พร้อมคลับเฮ้าส์สระว่ายน้ำและสวนสาธารณะขนาดใหญ่   พบกับทาวน์โฮมที่ตอบโจทย์ “สเปซแห่งความสุข” ของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริงได้ที่ โครงการเดอะ วิชั่น ลาดพร้าว - นวมินทร์ บนพื้นที่ 33 ไร่ ตั้งอยู่ในซอยนวมินทร์ 85 ในราคาเริ่มต้นที่ 2.79 ล้านบาท ครบทุกฟังก์ชั่น เหมาะสำหรับลูกค้าที่มองหาบ้านหลังแรกหรือการขยับขยายครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น บนทำเลที่การเดินทางสะดวกสบาย ใกล้ทางด่วน รามอินทรา–อาจณรงค์และวงแหวนกาญจนาภิเษก ใกล้ศูนย์การค้าและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พบข้อเสนอพิเศษ ส่วนลดสูงสุดถึง 450,000 บาท ในงาน VVIP Day กับการเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 23 – 24 กุมภาพันธ์ 2562 สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 02 029 9999 หรือ www.allinspire.co.th      
พฤกษา มอบโชครางวัลใหญ่กว่า 100 รางวัล จากแคมเปญ Pruksa 25th year Big Sale Ever

พฤกษา มอบโชครางวัลใหญ่กว่า 100 รางวัล จากแคมเปญ Pruksa 25th year Big Sale Ever

ลูกค้าสุดแฮปปี้ พฤกษา มอบโชครางวัลใหญ่กว่า 100 รางวัล จากแคมเปญ Pruksa 25th year Big Sale Ever   นายธีรเดช เกิดสำอางค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมแสดงความยินดีกับลูกค้าผู้โชคดีจากแคมเปญ “Pruksa 25 th year Big Sale Ever ลดใหญ่ แถมใหญ่ แจกใหญ่” โดยมีรางวัลใหญ่ ได้แก่ ห้องชุดพลัมคอนโด 3 รางวัล สร้อยทองคำหนัก 5 บาท จำนวน 30 รางวัล และ Samsung Galaxy Note 9 จำนวน 75 รางวัล รวมทั้งหมด 108 รางวัล ซึ่งแคมเปญดังกล่าวถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับคนซื้อบ้านที่ได้ทั้งส่วนลด และของแถมที่ดีที่สุดที่เคยมีมาก่อน   นอกจากนี้ยังได้สิทธิ์ลุ้นรางวัลใหญ่มูลค่านับล้านบาท !!! ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจร่วมเป็นสมาชิกครอบครัวพฤกษา สำหรับลูกค้าที่พลาดโอกาสในครั้งนี้ ยังมีโปรโมชั่นดีๆ มากมาย อาทิ โปรก่อนมาตรการ LTV ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง www.pruksa.com หรือโทร 1739      
“แกรนด์ ยูนิตี้” ส่งแคมเปญสุดพิเศษ “หนาว X2 จัดหนัก รับเงินล้าน*” อยู่ฟรีนาน 2 ปี

“แกรนด์ ยูนิตี้” ส่งแคมเปญสุดพิเศษ “หนาว X2 จัดหนัก รับเงินล้าน*” อยู่ฟรีนาน 2 ปี

“แกรนด์ ยูนิตี้” ส่งแคมเปญสุดพิเศษ “หนาว X2 จัดหนักรับเงินล้าน*” ให้ลูกค้าอยู่ฟรีนาน 2 ปี พร้อมลุ้นรับเงินสดมูลค่า 1 ล้านบาท*   บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY ส่งแคมเปญสุดพิเศษ “หนาว X2 จัดหนัก รับเงินล้าน*” ให้ลูกค้าอยู่อาศัยกันแบบฟรี ๆ นานถึง 2 ปี พร้อมรับส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 2,000,000 บาท* อีกทั้งยังมอบสิทธิพิเศษในการร่วมลุ้นรับบัตรกำนัลเงินสดมูลค่า 1 ล้านบาท* พร้อมของรางวัลอื่นๆ มูลค่ารวมกว่า 1.5 ล้านบาท* สำหรับลูกค้าที่ทำการจองและโอนกรรมสิทธิ์ คอนโด ยู ดีไลท์ พร้อมอยู่ ทั้ง 6 ทำเลใกล้รถไฟฟ้า ของ แกรนด์ ยูนิตี้ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 29 มีนาคม ศกนี้   เลือกเป็นเจ้าของคอนโดแต่งครบ* พร้อมเข้าอยู่จากแกรนด์ ยูนิตี้ได้แล้ว 6 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ ยู ดีไลท์ เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ฟร้อนท์ พระราม 3, ยู ดีไลท์ รัชวิภา, ยู ดีไลท์ @ ตลาดพลู สเตชั่น, ยูดีไลท์ @ บางซ่อน สเตชั่น, ยู ดีไลท์ รัตนาธิเบศร์ และคอนโด ยู เกษตร-นวมินทร์ เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด   สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2652 4000 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.grandunity.co.th หรือ www.facebook.com/GrandUnityDevelopment      
SC สร้างสรรค์เพื่อรับฟังเสียงลูกค้า ภายใต้งาน  “The Art of Gastronomy 2019”

SC สร้างสรรค์เพื่อรับฟังเสียงลูกค้า ภายใต้งาน “The Art of Gastronomy 2019”

อีกหนึ่งมุมมองสำคัญที่ SC สร้างสรรค์เพื่อรับฟังเสียงลูกค้า นำมาพัฒนาสินค้าและบริการคุณภาพ เพื่อทุกเช้าที่ดี ภายใต้งาน  “The Art of Gastronomy 2019”   บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยคุณณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้บริหาร ให้ความสำคัญกับการรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างมีคุณค่า เพื่อสร้างเช้าที่ดีสำหรับลูกค้า  จึงได้จัดกิจกรรม “The Art of Gastronomy 2019” ภายใต้บรรรยากาศอบอุ่นและค่ำคืนแบบเอ็กคลูซีฟและแสนพิเศษสำหรับครอบครัว SC Family 8 ครอบครัว โครงการ SALADAENG ONE (ศาลาแดง วัน)   Limited Luxury Condominium  โดยร่วมสังสรรค์และรับประทานอาหารที่คัดสรร สไตล์ไคเซกิ (Kaiseki) ซึ่งเป็นอาหารรสชาติญี่ปุ่นขนานแท้  พร้อมดื่มด่ำกับรสชาติของวัตถุดิบสดใหม่จากธรรมชาติที่คัดสรรตามฤดูกาล ผ่านการปรุงและการประดิดประดอยอาหารแต่ละจานดั่งงานฝีมือจากเชฟระดับ 5 ดาว อีกทั้งผ่อนคลายในบรรยากาศการตกแต่งสไตล์บ้านญี่ปุ่น ด้วยความร่มรื่นพร้อมแมกไม้เขียวสดชื่นสบายตา ณ Ten-Sui Japanese Dining (เท่นสุ่ย) ซ. สุขุมวิท 16   สำหรับลูกค้าติดตามกิจกรรมต่าง ๆ  จาก SC Family  ได้ที่ Baan Rue Jai Application ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ทั้งระบบ iOS และ Android  และ ชมรายละเอียดโครงการ SALADAENG ONE (ศาลาแดง วัน) Limited Luxury Condominium   ได้ที่ https://luxurycondo.scasset.com/th/saladaengone      
“หลังคาเอสซีจี” บุกตลาดบ้านเก่า ลุยยกระดับบริการ “ซ่อมและเปลี่ยนหลังคาครบวงจร”

“หลังคาเอสซีจี” บุกตลาดบ้านเก่า ลุยยกระดับบริการ “ซ่อมและเปลี่ยนหลังคาครบวงจร”

“หลังคาเอสซีจี” ตอกย้ำผู้เชี่ยวชาญทุกเรื่องหลังคา เดินหน้ายกระดับบริการและโซลูชั่น “ซ่อมและเปลี่ยนหลังคาครบวงจร” เปิดให้เจ้าของบ้านเข้าไปใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมที่ผสานเข้ากับโปรแกรมประมาณราคาเปลี่ยนหลังคาของเอสซีจี ตอบเทรนด์เจ้าของบ้านที่ใช้ “เทคโนโลยี” ในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการซ่อมแซมบ้าน รู้ราคาทันใจ ลดความกังวลเรื่องงบบานปลาย พร้อมเดินหน้าสร้างการรับรู้ต่อเนื่อง ประเดิมด้วยกิจกรรมออนไลน์ “ลุ้นสำรวจปัญหาหลังคา ฟรี” พร้อมด้วยโปรโมชั่นจัดเต็มต้อนรับฤดูร้อน มั่นใจดึงกลุ่มลูกค้าบ้านเก่าที่ปัจจุบันมีกว่า22.5 ล้านหลังคาเรือน เข้ามาใช้บริการ ดันยอดขายบริการปรับปรุงหลังคาบ้านเก่าเอสซีจีเติบโต 100% จากปีที่ผ่านมา ครองความเป็นผู้นำตลาดเบอร์ 1 ด้านงานปรับปรุงหลังคาครบวงจร   นายฎายิน เกียรติกวานกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจหลังคา บริษัท กระเบื้องหลังคาซีแพค จำกัด ในเอสซีจี  เปิดเผยว่า ในปี 2561“เอสซีจี รูฟ รีโนเวชั่น” (SCG Roof Renovation) หรือบริการปรับปรุงหลังคาบ้านเก่าที่จะช่วยจบทุกปัญหาเรื่องหลังคาให้เจ้าของบ้านอย่างครบวงจร ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากเจ้าของบ้านเก่าทั่วประเทศ ทั้งบริการซ่อมแซมเฉพาะจุด (Repair) และเปลี่ยนผืนหลังคา (Re-Roof) ให้กลับมาสวยงามทนทานเหมือนใหม่ ส่งผลให้เติบโต 100% จากปีที่ผ่านมา  ในปีนี้จึงได้เดินหน้าพัฒนาบริการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดให้เจ้าของบ้านสามารถเข้าไปใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมที่ผสานเข้ากับโปรแกรมประมาณราคาของเอสซีจี ให้ทราบราคาเปลี่ยนหลังคาทั้งผืนเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง เพียงเข้าเว็บไซต์ https://raes.scg.com เพื่อสร้าง User Experience (UX) ที่ดียิ่งขึ้นในทุกขั้นตอนของบริการ ช่วยให้เจ้าของบ้านวางแผนจัดสรรงบประมาณได้ถูกต้อง  ตอบโจทย์พฤติกรรมของเจ้าของบ้านในยุคดิจิทัล ที่มักใช้ “เทคโนโลยี” ในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการซ่อมแซมบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการหาสาเหตุของปัญหา การหาวัสดุสำหรับซ่อมแซม หรือแม้แต่งบประมาณที่ต้องใช้ด้วยตัวเอง “ปัจจุบันกลุ่มเจ้าของบ้านเก่าในประเทศไทยมีจำนวนกว่า 22.5 ล้านหลังคาเรือน และเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 300,000 หลังคาเรือน และเจ้าของบ้านกลุ่มนี้มักพบกับปัญหากวนใจเนื่องจากหลังคามีปัญหา อาทิ หลังคาเก่า ทรุดโทรม สีซีดจาง หลังคารั่วซึม แผ่นกระเบื้องหลังคาแตกร้าว เป็นต้น เอสซีจีจึงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบทุกความต้องการของลูกค้า เราจึงมีแผนในการผลักดันเอสซีจี รูฟ รีโนเวชั่น ให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยจบทุกปัญหาเรื่องหลังคาให้เจ้าของบ้าน ด้วยสินค้าและบริการที่ได้มาตรฐานเอสซีจี” นายฎายิน กล่าว ในส่วนของแผนการสร้างการรับรู้ จะประเดิมด้วยการเปิดกิจกรรมออนไลน์ “ลุ้นสำรวจปัญหาหลังคา ฟรี” ผ่านช่องทางเฟซบุ๊ค SCG Brand ซึ่งปัจจุบันมีผู้ติดตามกว่า 2.7 ล้านคน เพื่อปลุกดีมานด์ และสร้างการรับรู้สินค้าและบริการ  โดยกิจกรรมนี้จะเปิดโอกาสให้เจ้าของบ้าน โพสต์ภาพปัญหาหลังคาพร้อมอธิบายรายละเอียดปัญหาที่พบเจอ  ลุ้นรางวัลสำรวจปัญหาหลังคาฟรี 10 รางวัล  โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 15 มี.ค. 2562   นอกจากนี้ยังจะมีโปรโมชั่นที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากโปรโมชั่นรับหน้าร้อน “เปลี่ยนหลังคา พาบ้านคลายร้อน รับสิทธิพิเศษจาก เอสซีจี รูฟ รีโนเวชั่น 2 ต่อ” ต่อที่ 1 ฟรีชุดกระเบื้องปล่องระบายอากาศเอสซีจี ให้บ้านของคุณร้อนช้า เย็นนาน ต่อที่ 2 ลดราคาฉนวนกันความร้อน Stay Cool 25% ให้คุณได้นำไปใช้ป้องกันความร้อนให้เข้าบ้านน้อยลง โปรโมชั่นรับลมร้อนเริ่มตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 มี.ค. 2562  เท่านั้น  โดยสามารถสอบถามเงื่อนไขและรายละเอียดการใช้สิทธิ์โปรโมชั่นเพิ่มเติมได้ที่ SCG Experience  และ SCG Home Solution เฉพาะในเขต กรุงเทพฯ. ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ เท่านั้น   “เราเชื่อว่าการเปิดให้เจ้าของบ้านสามารถเข้าไปใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมที่ผสานเข้ากับโปรแกรมประมาณราคาเปลี่ยนหลังคาเบื้องต้นของเอสซีจี จะทำให้เจ้าของบ้านมีความพึงพอใจ และมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นในการเข้ามาขอรับบริการจากทีม เอสซีจี รูฟ รีโนเวชั่น อีกทั้งมั่นใจว่าการมีกิจกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ และจัดโปรโมชั่นที่ตอบ Pain point ให้ลูกค้าอย่างตรงจุดและต่อเนื่องจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเช่นเคย โดยตั้งเป้ายอดลูกค้าเข้ามาใช้บริการซ่อมแซมและเปลี่ยนผืนหลังคา 1,000 หลังคาเรือน ผลักดันยอดขายเอสซีจี รูฟ รีโนเวชั่น ปีนี้เติบโต 100% จากปีที่ผ่านมา ครองความเป็นผู้นำตลาดหลังคาที่มีมูลค่า 11,000 ล้านบาท อย่างต่อเนื่อง”นายฎายิน กล่าว   สำหรับเจ้าของบ้านที่มีปัญหาหลังคา สามารถขอรับคำปรึกษาได้ฟรีที่เอสซีจี โฮมโซลูชั่น ทุกสาขาทั่วประเทศ เอสซีจี เอ็กซ์พีเรียนซ์ เลียบทางด่วนเอกมัย รามอินทรา หรือติดต่อเอสซีจี คอนแทค เซ็นเตอร์ โทร.02-586-2222 หรือคลิกเว็บไซต์ https://roofexpert.scgbuildingmaterials.com/service/renovate และ เฟซบุ๊ค SCG Brand      
THE FORESTIAS by MQDC ชูจุดเด่น ‘Imagine Happiness’ ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท จุดประกายมุมมองความสุขใกล้ตัว

THE FORESTIAS by MQDC ชูจุดเด่น ‘Imagine Happiness’ ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท จุดประกายมุมมองความสุขใกล้ตัว

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ผู้ดำเนินกิจการพัฒนา ลงทุน และจัดการอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพ โครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ โครงการอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่มุ่งมั่นนำเสนอโมเดลการใช้ชีวิตที่เข้ากับระบบนิเวศอันสมดุลเพื่อความสุขที่ยั่งยืนของทุกชีวิต ประเดิมสร้างการรับรู้ด้วยคอนเซ็ปต์หลัก “Imagine Happiness” ผนึกเอเจนซี่ ค่ายเพลง ศิลปิน และอาร์ทติสชั้นนำของประเทศไทย สะท้อนมุมมองความสุขในรูปแบบต่างๆ ล่าสุดส่งภาพยนตร์โฆษณาชุดแรก ‘The Land of Happiness’ ถ่ายทอดความสุขด้วยมุมมองที่หลากหลายจากจินตนาการของคนทุกวัยสู่ความเป็นหนึ่งเดียว บนพื้นที่ความสุขท่ามกลางระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิตแห่งอนาคต พร้อมทุ่มงบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท สร้างช่องทางการสื่อสารแบบ Cross segmentationsเจาะกลุ่มคนกรุงเทพฯ และเออเบิร์น ก่อนเดินเกมระลอกที่สองโปรโมทโครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ ทั่วเอเชีย   คุณกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส โครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า“หลังจากที่เปิดโครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ เมืองแห่งความสุขที่ยั่งยืน สู่สาธารณะแล้วนั้น ทางบริษัทฯ ได้ตอกย้ำความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลกเพิ่มขึ้นอีกหลากหลายสถาบันฯ ได้ดำเนินงานวิจัยในด้านสุขภาวะและความสุขของผู้อยู่อาศัยโดยนักวิจัยจาก Center for climate, health, and the global environment based at the Harvard T.H. Chan School of Public Health และ ITEC ENTERTIANMENT เพื่อดีไซน์ความสุขรูปแบบต่างๆ ด้วยการต่อยอดความคิด ข้อดีและจุดเด่นของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน อาทิ ธรรมชาติวิทยา นิเวศวิทยา ธรณีวิทยา สถาปัตยกรรม เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ วิศวกรรมโยธา นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยสาขาต่างๆ เพื่อนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อการใช้ชีวิตที่ส่งผลดีต่อทุกการดำเนินชีวิตในโลก ภายใต้คำมั่นสัญญาของ MQDC หรือ ‘for all well-being’ ซึ่งเราเชื่อว่า “นวัตกรรมจะไม่ใช่แค่เพื่อคุณภาพชีวิตดี แต่ต้องส่งเสริมให้มนุษย์ดูแลรักษาธรรมชาติและเกิดความยั่งยืนในการพัฒนาและการใช้ชีวิต” ปัจจุบัน โครงการได้ดำเนินการเตรียมพื้นที่สำหรับการก่อสร้างฐานรากของโครงการเสร็จสิ้น พร้อมร่วมมือกับชุมนุมบริเวณใกล้เคียงเริ่มปลูกป่าสาธารณะ “Forest at THE FORESTIAS – ฟอเรส แอท เดอะ ฟอเรสเทียส์” จำนวน 38,000 ต้น บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ หรือ 48,000 ตารางเมตร รวมทั้งดำเนินการก่อสร้าง Forest Pavilion ขนาดพื้นที่ 6,000 ตารางเมตร นับเป็นพาวิเลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อนำเสนอองค์ประกอบภายในของโครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ รวมทั้งโปรเจ็กต์อสังหาริมทรัพย์ระดับเอ็กซ์คลูซีฟทั้ง 3 โครงการ เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาสัมผัสประสบการณ์และผู้ที่มีความสนใจได้รับชมและเข้าใจคอนเซ็ปต์ของโครงการอย่างลึกซึ้ง คุณวัสนัย ภคพงศ์พันธุ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร โครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) สำหรับด้านกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดนั้น ได้เตรียมเผยภาพลักษณ์ด้านต่างๆ ของโครงการออกมาให้ทั้งลูกค้า พาร์ทเนอร์ นักลงทุน ได้เห็นถึงศักยภาพ ประสิทธิภาพ และความสมบูรณ์พร้อมของโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบ Mixed-Use Lifestyle โมเดลแรกของโลก ที่นำเสนอนิยามความสุขที่แท้จริงให้กับคนทั่วโลกได้สัมผัสและรับรู้ถึงส่วนต่างๆ ของโครงการ ภายใต้คอนเซ็ปต์หลัก“Imagine Happiness” ซึ่งวางแผนแบ่งระยะการสื่อสารออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 การสร้างการสื่อสารเกี่ยวกับคอนเซ็ปต์และรูปแบบของความสุขในด้านต่างๆ ที่สะท้อนจากมุมมองของกลุ่มเป้าหมายในแต่ละช่วงวัย และช่วงที่ 2 นำเสนอองค์ประกอบทุกส่วนของโครงการและเอ็กซ์คลูซีฟโปรเจ็คที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย สำหรับการสื่อสารได้ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท โดยร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ อาทิ เอเจนซี่โฆษณา สื่อรูปแบบต่างๆ ค่ายเพลง ศิลปิน และอาร์ทติสชั้นนำของประเทศไทย ร่วมสร้างสรรค์การสื่อสารประชาสัมพันธ์แบบ Cross segmentation เจาะกลุ่มคนกรุงเทพฯ และเออเบิร์น เพื่อตอบโจทย์ความสุขและความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มที่มีความหลากหลายต่างกัน โดยสร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณาชุดแรก ‘The Land of Happiness’ ที่ถ่ายทอดความสุขผ่านมุมมองและจินตนาการของคนแต่ละกลุ่ม ทั้งเด็ก คนทำงาน ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ที่อาศัยอยู่เป็นครอบครัวเดี่ยว และครอบครัวขยาย เป็นเรื่องราวความสุขในมุมมองที่ตัวเองชื่นชอบในรายละเอียดที่แตกต่างกัน อาทิ วัยเด็ก สะท้อนมุมมองความสุขที่ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการใช้ชีวิตร่วมกับสัตว์นานาพันธุ์ท่ามกลางผืนป่าและธรรมชาติ วัยทำงานและวัยผู้ใหญ่ การมองหาพื้นที่ที่เริ่มต้นชีวิตครอบครัวบนพื้นฐานความปลอดภัย ความสะดวกสบาย มีเวลาได้พบปะเพื่อนฝูง ได้ร่วมทำกิจกรรมบนคอมมิวนิตี้แห่งความสุขกับกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์คล้ายๆ กัน และ ผู้สูงอายุ กับความสุขในการใช้ชีวิตร่วมกับลูกหลานและครอบครัวใหญ่ที่ทุกบ้านสามารถเชื่อมโยงพื้นที่ความสุขของทุกคนในครอบครัวใหญ่เข้าไว้ด้วยกัน ร่วมแบ่งปันเรื่องราวและเวลาให้กันและกัน ซึ่งทุกความสุขเหล่านั้นแวดล้อมไปด้วยสัตว์ ต้นไม้ ธรรมชาติ และระบบนิเวศอันสมบูรณ์ ก่อนที่บทสรุปในทุกจินตนาการจะเผยความจริงว่า ความสุขเหล่านั้นจะเป็นจริงในโครงการ THE FORESTIAS by MQDC พื้นที่ที่ตอบโจทย์ทุกความสุขการใช้ชีวิตบนระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อชีวิตแห่งอนาคต ซึ่งภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ได้วางแผนการสื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลฟ์ อาทิ สื่อทีวี สื่อหนังสือพิมพ์ สื่อ OOH สื่อ Transits สื่อ Social Media และ Influencers ในสาขาต่างๆที่จะมาช่วยเพิ่มการรับรู้ในแคมเปญการตลาดใหม่นี้ นอกจากนี้ โครงการฯ ยังได้วางแผนสร้างปรากฎการณ์การสื่อสารในรูปแบบต่างๆ เพื่อนำเสนอเรื่องราวความสุขที่จะเกิดขึ้นในโครงการด้วยมุมมองใหม่ๆ โดยได้ร่วมมือกับค่ายเพลง ศิลปินเพลง และอาร์ทติสระดับแนวหน้าของเมืองไทยเพื่อสร้างปรากฎการณ์ความสุขผ่านเสียงเพลงและงานศิลปะ เตรียมปล่อยเอ็กซ์คลูซีฟซิงเกิ้ลและมิวสิควิดีโอ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของการฟีลเจอร์ริ่งกันของ 2 ศิลปินเพลงชั้นแนวหน้า พร้อมด้วยอีกหนึ่งมิติกับความร่วมมือของ 3 อาร์ทติสชั้นนำ ร่วมเนรมิตผลงานศิลปะแห่งความสุขผ่านการ์ตูนคาแร็กเตอร์อันโดดเด่นที่จะมาโลดแล่นบนกำแพง (Site Hoarding)ขนาดใหญ่ของโครงการ THE FORESTIAS by MQDC นับเป็นการเปลี่ยนสถานที่ที่ไม่มีใครนึกถึงให้เป็นผลงานศิลปะขนาดยักษ์ และสร้างสีสันให้กับบริเวณพื้นที่โครงการฯ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เตรียมวางแผนกลยุทธ์การตลาดและการสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ ไปยังกลุ่มชาวต่างชาติทั่วเอเชียอีกด้วย” นายวัสนัยกล่าวสรุป      
เติมพลังความสดใสให้กับชีวิตด้วยคอลเล็คชั่นใหม่จากอิเกีย

เติมพลังความสดใสให้กับชีวิตด้วยคอลเล็คชั่นใหม่จากอิเกีย

อิเกีย แนะนำคอลเล็คชั่นใหม่จากหลากหลายดีไซเนอร์ชื่อดัง ที่จะมาช่วยเติมพลังงานให้กับชีวิตประจำวัน พร้อมเริ่มต้นปีใหม่ เปิดรับสิ่งดีๆ ด้วยลวดลายกราฟิกและสีสันที่สดใส ตั้งแต่ปลอกผ้านวม ตู้ โคมไฟ และอุปกรณ์จัดเก็บของใช้ต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ในการจัดเก็บ แวะมาเพิ่มความสุข เติมไอเดียใหม่ๆ ในการแต่งบ้านด้วยคอลเล็คชั่นใหม่ๆ มากมายจากอิเกีย ที่มีครบทั้งดีไซน์ คุณภาพ ประโยชน์ใช้สอย และราคาที่ย่อมเยา   คอลเล็คชั่น SOMMARASTER/ซอมมารัสเตอร์ อบอุ่นกับลวดลายดอกไม้สดใสสไตล์เรโทร ออกแบบโดย Emma Hagman จาก Studio Kelkka ได้รับแรงบันดาลใจจากงานดีไซน์แบบสวีเดนยุค 1960 นำกลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิมาสู่ห้องนอนด้วยชุดปลอกผ้านวมที่ทอจากผ้าฝ้าย 100% จากฝ้ายในแหล่งปลูกอย่างยั่งยืน ผ่านการปลูกอย่างพิถีพิถันและใส่ใจ ปลอกผ้านวม กว้าง 150 x ยาว 200 ซม. + ปลอกหมอน 2 ใบ ราคา 790 บาท   คอลเล็คชั่น NORDMELA/นูร์ดเมียลา ผู้ช่วยที่จะทำให้การจัดเก็บไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป ตู้ลิ้นชัก NORDMELA/นูร์ดเมียลา ตอบโจทย์การจัดเก็บได้ทุกห้องในบ้าน สะดวกแก่การเคลื่อนย้าย สามารถปรับใช้ได้ตามต้องการ หรือเพิ่มที่จัดเก็บเสริมจากโซลูชั่นที่มีอยู่แล้วก็ได้ ตู้ลิ้นชักพร้อมตู้แขวนเสื้อผ้า ราคา 8,990 บาท ตู้ 4 ลิ้นชัก แบบแนวนอน สามารถปรับใช้เป็นเก้าอี้นั่งได้ ราคา 7,990 บาท   คอลเล็คชั่น TISKEN/ทิสเก็น เนรมิตห้องน้ำให้ใช้ประโยชน์ได้สูงสุดโดยไม่ต้องเจาะกระเบื้องด้วยอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในห้องน้ำที่สามารถดูดติดผนังได้ ตั้งแต่จานรองสบู่และที่ใส่แปรงสีฟัน ที่แขวนม้วนกระดาษ รวมไปถึงที่เสียบฝักบัวและตะกร้า รับน้ำหนักได้มากถึง 3 กิโลกรัม ครบครันทุกฟังก์ชั่นการจัดเก็บในห้องน้ำ ชั้นเข้ามุมแบบดูดติดผนัง ราคา 299 บาท ตะขอแขวนแบบดูดติดผนัง ราคา 139 บาท (2 ชิ้น) ที่วางหัวฝักบัวแบบดูดติดผนัง ราคา 129 บาท   คอลเล็คชั่น YTTERBYN/อึตเตร์บึน เติมความสดใสให้ห้องครัวด้วยบานตู้ลายกราฟิกสไตล์ยุค 1970 ผลงานการออกแบบของ 10-Gruppen กลุ่มนักออกแบบที่ทรงอิทธิพลในสวีเดน เป็นที่รู้จักแพร่หลายด้วยแพทเทิร์นอันสะดุดตา เสริมแต่งห้องครัวให้ไม่จำเจกับชุดบานตู้ที่แต่ละบานมีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ แต่สามารถผสมผสานกันได้อย่างกลมกลืน บานตู้ กว้าง 40 x สูง 60 ซม. ราคา 1,250 บาท บานตู้ กว้าง 60 x สูง 60 ซม. ราคา 1,550 บาท   โคมแขวนเพดาน รุ่น GRIMSÅS/กริมสวส เปลี่ยนผนังห้องเรียบๆ ให้เป็นงานศิลปะ ด้วยการเล่นแสงและเงา มีให้เลือกสองแบบ ได้แก่ ลายฉลุดอกไม้สีขาวและลายฉลุปลาดาวสีเหลือง ออกแบบโดย Marcus Arvonen, Lisa Hilland และ Bea Szenfeld โคมแขวนเพดาน ขนาด 55 ซม. ราคา 1,390 บาท   คอลเล็คชั่น RABBLA/รับบลา เนรมิตให้การจัดเก็บเป็นเรื่องง่ายๆ ครบทั้งเรื่องความสวยงามและความยั่งยืน ปรับใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น ใช้เป็นอุปกรณ์จัดเก็บเสริมในตู้เสื้อผ้าได้อย่างลงตัว หรือจะใช้จัดเก็บในพื้นที่เปิดก็ได้ สามารถใช้เก็บของในห้องน้ำได้ เพราะทนความชื้นได้เป็นอย่างดี มีให้เลือกหลายขนาด มาพร้อมช่องเล็กๆ ที่ใช้เก็บของชิ้นเล็กอย่างถุงเท้า เครื่องประดับ ฯลฯ ทำจากไม้ไผ่และผ้าโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล แข็งแรงทนทาน และแน่นอนว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กล่องแบ่งช่อง ยาว 25 x กว้าง 35 x สูง 10 ซม. ราคา 499 บาท กล่องผ้าพร้อมฝาปิด กว้าง 25 x ลึก 35 x สูง 20 ซม. ราคา 590 บาท กล่องผ้าพร้อมฝาปิด กว้าง 35 x ลึก 50 x สูง 30 ซม. ราคา 790 บาท   คอลเล็คชั่น KNALLGUL/คนัลล์กุล แปลงโฉมโต๊ะทำงานให้สดใสไฉไลกว่าเดิมด้วยสีสันจากชุดเครื่องเขียน ซีรีส์ KNALLGUL/คนัลล์กุล ประกอบด้วย แผ่นรองเขียน สมุดโน้ต แพลนเนอร์ กล่องใส่เครื่องเขียน ฯลฯ แถมยังช่วยให้โต๊ะทำงานเป็นระเบียบ เปิดรับความคิดสร้างสรรค์ได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญ เหมาะกับคนรักษ์โลก เพราะกระดาษทั้งหมดได้มาจากแหล่งผลิตอย่างยั่งยืนหรือไม้ในพื้นที่ป่าที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล รีไซเคิลได้ 100% และใยกระดาษผ่านกระบวนการรีไซเคิลซ้ำได้ถึง 7 ครั้ง   พบคอลเล็คชั่นใหม่ๆ อีกมากมาย ได้ที่อิเกีย เมกาบางนา อิเกีย บางใหญ่ ที่เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต และศูนย์บริการสั่งซื้อและรับสินค้าอิเกีย จังหวัดภูเก็ต หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ IKEA.co.th        
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้ คอนโดฯ ริมหาดพัทยามาแรง “นาจอมเทียน” ฮอต

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้ คอนโดฯ ริมหาดพัทยามาแรง “นาจอมเทียน” ฮอต

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้คอนโดฯ ริมหาดพัทยามาแรง “นาจอมเทียน” ฮอต อัตราดูดซับสูงถึง 60% หนุน “รีเฟล็คชั่น จอมเทียน บีช พัทยา” กระแสตอบรับลูกค้าดีมาก คาดอนาคตตลาดอสังหาฯ พัทยาเติบโตต่อเนื่อง ดันราคาขายขึ้นแตะ 10-15% ต่อปี   เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เผยคอนโดฯ ริมหาดพัทยาบูม ระบุ “นาจอมเทียน” มาแรง ปี’61 อัตราดูดซับสูงถึง 60% ลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง หนุน “รีเฟล็คชั่น จอมเทียน บีช พัทยา” คอนโดฯ ซุเปอร์ลักชัวรี่วิวทะเลบนหาดจอมเทียน กระแสตอบรับดีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ลูกค้าซื้อทั้งอยู่เองและปล่อยเช่า ผลตอบแทนปล่อยเช่าอยู่ที่ 5-6% และราคา Resale เติบโตสูงขึ้น 15% คาดอนาคตตลาดพัทยาเติบโตต่อเนื่อง ดันราคาขายปรับตัวสูงขึ้นอย่างน้อย 10-15% ต่อปี   คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ทำเลพัทยามีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ในโซนติดทะเล ซึ่งโซน นาจอมเทียนเป็นโซนที่มาแรงและน่าสนใจ เนื่องจากเป็นโซนที่มีดีมานด์สูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากชาวไทยและชาวต่างชาติ เพราะเป็นโซนที่มีชายหาดบรรยากาศเงียบสงบและชายหาดทอดยาวมากกว่าโซนอื่นของพัทยา เหมาะแก่การพักผ่อน และที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการเปิดตัวของห้างสรรพสินค้า เทอร์มินอล21 พัทยา ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่สุดของภาคตะวันออกบนเนื้อที่กว่า 50 ไร่ มีการคัดสรรร้านค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าให้มากที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งการันตีได้ถึงการเติบโตและพัฒนาของที่ดิน จึงทำให้โซนนี้มีโครงการเปิดใหม่ค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 130,000 บาท ต่อตารางเมตร ทั้งนี้ โดยภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมพัทยามีอัตราการดูดซับที่ดี ในครึ่งปีหลัง 2561มีอัตราการดูดซับสูงถึง 60% ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเป็นบ้านหลังที่สองหรือบ้านสำหรับพักผ่อนช่วงวันหยุด และด้วยเหตุที่โซนนาจอมเทียนได้รับความนิยมนี้เอง จึงส่งผลให้โครงการ “รีเฟล็คชั่น จอมเทียนบีช พัทยา” (Reflection Jomtien Beach Pattaya) คอนโดมิเนียมซุเปอร์ลักชัวรี่วิวทะเลบนหาดจอมเทียน จำนวนทั้งหมด 333 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,300 ล้านบาท ได้รับการตอบรับที่ดีมาก   “โครงการรีเฟล็คชั่น จอมเทียนบีช พัทยา เป็นคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ติดชายหาด ชูจุดเด่นด้วยการออกแบบที่ โดดเด่นเฉพาะตัว ในสไตล์ศิลปะร่วมสมัย ตกแต่งด้วยกระจกแบบ Full Height Glass ให้ทุกยูนิตสามารถชมวิวทะเลได้แบบ 180 องศา ขณะที่ราคาไม่ได้สูงมากนัก เริ่มต้นเพียง 99,000 บาท/ตร.ม.เท่านั้น จึงทำให้ตั้งแต่เปิดโครงการมาได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งลูกค้าชาวต่างชาติที่ซื้อ ได้แก่ ลูกค้าชาวจีน อังกฤษ และฝรั่งเศส สำหรับเหตุผลในการซื้อนั้น ลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่เป็นครอบครัว และซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 ขณะที่ลูกค้าชาวต่างชาติเป็นกลุ่มเกษียณอายุ ซึ่งมีทั้งซื้อเพื่ออยู่เองและปล่อยเช่า โดยแบบห้องที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อเป็นอย่างดี คือ แบบขนาด 3 ห้องนอน ขนาด 217.55 – 217.85 ตร.ม. เพราะเป็นห้องขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับการเข้าพักได้หลายคน และตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้เช่า โดยโครงการมีผลตอบแทนการปล่อยเช่าที่ดีเฉลี่ย 5-6 % และมีราคา Resale เติบโตสูงขึ้นเกือบ 15% ตอบโจทย์กลุ่มนักลงทุน ทั้งนี้เพื่อเป็นการมอบของขวัญให้แก่ลูกค้าในช่วงก่อนที่จะถึงมาตรการรัฐนี้ เมเจอร์ฯ จึงได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ ราคาพิเศษเริ่ม 6.5 ล้านบาท ฟรี! ทุกค่าใช้จ่ายวันโอน ซึ่งลูกค้าไม่ควรพลาด เพราะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะได้เป็นเจ้าของคอนโดฯ     ริมหาดวิวทะเลที่ดีที่สุดในโซนนาจอมเทียน พัทยา โดยสิทธิพิเศษเริ่มมอบตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มี.ค.นี้เท่านั้น” คุณเพชรลดา กล่าว   สำหรับแนวโน้มการเติบโตของพัทยา คุณเพชรลดา กล่าวทิ้งท้ายว่า “ตลาดอสังหาฯ พัทยายังเติบโตต่อไปได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยบวกแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) และการขยายตัวของสนามบินอู่ตะเภาที่ตอนนี้รองรับผู้โดยสารได้ 3 ล้านคนต่อปี และมีแผนการพัฒนาเพิ่มเป็น 15 ล้านคนต่อปีภายในปี 2023 โดยเป็นทั้งDomestic และ International Airport รองรับชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศจีน มาเลเซียและรัสเซีย ซึ่งจะทำให้ชาวต่างชาติเดินทางมาพัทยาได้ง่ายขึ้น ประกอบกับกำลังซื้อจากต่างประเทศที่ยังสนใจอสังหาฯ ในพัทยาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจีน รัสเซีย และยุโรปหลายประเทศ จึงคาดว่าในอนาคตตลาดอสังหาฯ พัทยาจะมีดีมานด์สูงขึ้นต่อไปอีก และคาดว่าราคาขายจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างน้อย 10-15% ต่อปี”          
พฤกษา พร้อมส่งมอบ “เดอะทรี สุขุมวิท 71-เอกมัย” มูลค่า 2,600  ล้านบาท

พฤกษา พร้อมส่งมอบ “เดอะทรี สุขุมวิท 71-เอกมัย” มูลค่า 2,600 ล้านบาท

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท แวลู และ นายธิติพัทธ์ อดิลักษณ์ธราดล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม 1 บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) จัดงานปาร์ตี้ Glowing In The Air บนชั้นดาดฟ้าโครงการ “เดอะทรี สุขุมวิท 71-เอกมัย” ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% ที่เปิดให้สื่อมวลชนเข้าชมความสวยงามของโครงการในช่วงยามเย็น โดยไฮไลท์ของโครงการคือจุดชมวิว “Observation Deck” ที่เป็นระเบียงแก้วกลางอากาศ และมีพื้นกระจกใสบนชั้นดาดฟ้า ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแห่งแรกของพฤกษาที่สามารถชมวิวเมืองได้ถึง 720 องศา   “เดอะทรี สุขุมวิท 71-เอกมัย” เป็นคอนโดมิเนียมสูง 33 ชั้น จำนวน 886 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 2,600 ล้านบาท มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกแบบจัดเต็มอีกทั้งยังใช้วัสดุตกแต่งหรูหราเหนือระดับ พร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ลูกค้าที่สนใจสามารถเข้าชมเพื่อสัมผัสบรรยากาศจริงที่โครงการได้แล้ววันนี้ สอบถามข้อมูลโทร 1739 หรือ pruksa.com      
LPN ผนึก นายณ์ เอสเตท พัฒนาอาคารสำนักงานให้เช่าริมถนนพระราม 4

LPN ผนึก นายณ์ เอสเตท พัฒนาอาคารสำนักงานให้เช่าริมถนนพระราม 4

LPN จับมือ นายณ์ เอสเตท พันธมิตรที่แข็งแกร่ง รุกตลาดอาคารสำนักงานตามกลยุทธ์การกระจายรายได้ ลดความเสี่ยงจากปัจจัยรุมเร้าตลาดคอนโด จัดตั้ง “บจก.ดลศิริ ดีเวลลอปเม้นท์” พัฒนาออฟฟิศริมถนนพระราม 4 มูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท   ลุมพินี ทาวเวอร์ : นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทแอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) ประกาศแผนร่วมทุนกับบริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด (NYE) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ จัดตั้งบริษัทใหม่ “บริษัท ดลศิริ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด” ในสัดส่วนการลงทุน 50 : 50 เพื่อร่วมพัฒนาอาคารสำนักงานและร้านค้าปลีกให้เช่า บนทำเลศักยภาพริมถนนพระราม 4 ซึ่ง LPN ได้มาบุกเบิกทำเลนี้เป็นรายแรกในปี 2532 ภายใต้การพัฒนา “ลุมพินี ทาวเวอร์” Office Condo แห่งแรก และเป็นโครงการแรกของบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง   ปัจจุบัน ตลาดอาคารสำนักงานยังมีความต้องการสูงมาก โดยเฉพาะอาคารสำนักงานที่มีคุณภาพในทำเลใจกลางเมือง ซึ่งถนนพระราม 4 นับว่ามีการเติบโตในอัตราก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ที่ผ่านมา และจะเป็นอีกหนึ่ง New CBD ที่สำคัญเพราะเป็นเขตเชื่อมต่อระหว่าง CBD ชั้นใน เช่น สีลม สาทร พระราม 3 กับย่านราชประสงค์ เพลินจิต และสุขุมวิท รวมทั้งมี Mass Transit ขนาดใหญ่ เช่น สถานีรถไฟลอยฟ้า (BTS) สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) และทางด่วน จึงเห็นการพัฒนามิกซ์ยูสขนาดใหญ่และโครงการอาคารชุดพักอาศัยเกรด A ในย่านนี้สูงมากตลอดแนวถนน เช่น โครงการ One Bangkok หรือ สามย่านมิตรทาวน์ ของค่าย TCC Group อาคารชุดพักอาศัยเกรด A ทั้งจากบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งในรูปแบบ Freehold (ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์) และ Leasehold (การเช่าซื้อในระยะยาว) ซึ่งอาคารสำนักงานเกรด A ปัจจุบันจะมีอัตราค่าเช่าเฉลี่ย 1,000 บาทต่อตร.ม. นับเป็น Fixed Cost หรือต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูง ทำให้อาคารสำนักงานเกรด B ในระดับราคาเช่าเพียง 600 บาทต่อตร.ม. เป็นที่ต้องการของตลาดซึ่งรอดีเวลลอปเปอร์ที่มีประสบการณ์มาพัฒนา   “LPN และ นายณ์ เอสเตท เคยทำงานร่วมกันมา และต่างรู้จุดแข็งของกันและกัน การร่วมทุนในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทร่วมทุนทั้งสองในการนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมาประสานเพื่อพัฒนาโครงการที่ช่วยสร้างรายได้ประจำในรูปแบบของเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงจากสภาวะการแข่งขันและปัจจัยลบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งบริษัทยังใช้เงินลงทุนจากกระแสเงินสดในการดำเนินธุรกิจของบริษัท และการกู้เงินที่เงื่อนไขในการกู้จะไม่กระทบต่อการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นของ LPN แต่อย่างใด”   โครงการอาคารสำนักงานให้เช่าภายใต้การพัฒนาของ “บริษัท ดลศิริ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด” นี้ จะเป็นแบรนด์ใหม่บนที่ดินริมถนนพระราม 4 ทำเลที่มีศักยภาพขนาด 3 ไร่ 7.5 ตารางวา ระยะเวลาการเช่า 55 ปี ซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท ตรีคชา จำกัดประกอบด้วย พื้นที่ใช้ประโยชน์รวม 22,600 ตร.ม. แบ่งเป็นพื้นที่สำนักงานประมาณ 21,000 ตร.ม. และพื้นที่ร้านค้าประมาณ 1,600 ตร.ม. ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจให้แก่บริษัทผู้เช่าเป็นอย่างดี   สำหรับความร่วมมือที่ผ่านมา LPN ได้ร่วมทุนภายใต้บริษัท “บริษัท กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง จำกัด” กับบริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) เพื่อพัฒนาโครงการไลฟ์สไตล์ซีเนียร์ลิฟวิ่ง (Lifestyle Senior Living Village) ระดับพรีเมี่ยมที่จังหวัดภูเก็ต มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่าง ๆ ระดับห้าดาว เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ภายใต้การบริหารจัดการโดยทีมงานมืออาชีพจากต่างประเทศ      
“อเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส์” เฟอร์นิเจอร์สัญชาติอังกฤษ เปิดแฟลกชิปสโตร์แห่งใหม่ใจกลางกรุง

“อเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส์” เฟอร์นิเจอร์สัญชาติอังกฤษ เปิดแฟลกชิปสโตร์แห่งใหม่ใจกลางกรุง

บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) สบช่องว่างตลาดเซกเม้นต์ Accessible Luxury เดินหน้าเปิดตัวเฟอร์นิเจอร์น้องใหม่สไตล์อิเคล็กทิกภายใต้แบรนด์ “อเล็กซานเดอร์แอนด์เจมส์” (Alexander & James) แบรนด์ดังสัญชาติอังกฤษ พร้อมสยายปีกบุกตลาดเอเชียเต็มสูบ เปิดแฟลกชิปสโตร์แห่งใหม่ใจกลางกรุงรองรับลูกค้ากำลังซื้อสูงทั่วเอเชีย เชื่อปัจจัยหนุนรอบด้านเอื้อโอกาสทองอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์มั่นใจแบรนด์ติดลมบนครองใจมหาชนภายใน 1 ปี   คุณพิมล ศรีวิกรม์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  “อเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส์ เป็นแบรนด์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์สูง มีกลิ่นอายของความเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบอังกฤษอย่างเห็นได้ชัด ตลาดส่งออกมีกลุ่มลูกค้าที่มองหาเฟอร์นิเจอร์สไตล์นี้อยู่มาก ซึ่งมีความโดดเด่นแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร เดิมทีเราได้วางกลยุทธ์ไว้ด้วยการไปออกงานแสดงสินค้าที่ประเทศจีนและประเทศสิงคโปร์ปีละครั้ง ซึ่งก็ได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น ไทย เกาหลี ไต้หวัน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และแม้กระทั่งในประเทศจีนเองก็ตาม เพราะตลาดเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดในแถบเอเชียยังคงเป็นประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีกำลังซื้อ  สูงมากอย่างต่อเนื่องและมีความเคลื่อนไหวของเทรนใหม่ๆ หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา มีกลุ่มลูกค้าที่เป็นระดับพรีเมี่ยมถึงไฮเอนด์เป็นจำนวนมากซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแบรนด์ อเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส์ เราวางแผนเพื่อรองรับลูกค้าทั้งในประเทศไทยและจากทั่วภูมิภาคเอเชียที่สนใจผลงานสามารถมาเยี่ยมชมโชว์รูมของเราได้สะดวก โดยไม่ต้องเดินทางไปถึงที่ประเทศอังกฤษ ด้วยการสร้างแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกบริเวณใจกลางกรุงเทพฯ และที่นี่จะเป็นต้นแบบของโชว์รูม และแกลลอรี่สำหรับโชว์สินค้ารุ่นใหม่ๆ ของอเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส์ตลอดทั้งปี เนื่องด้วยประเทศไทย มีจุดแข็งหลายประการ ทั้งด้านทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพในการส่งออกไปทั่วภูมิภาค และทำให้เราลดค่าใช้จ่ายในการออกงานแสดงที่จีนและสิงคโปร์ได้อีกด้วย สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านแนวราบแม้มีแนวโน้มการซื้อขายในอัตราชะลอตัวต่ำกว่าปีก่อนๆ แต่สิ่งที่เติบโตและมีแนวโน้มที่ดี คือ โครงการมิกซ์ยูสและธุรกิจโรงแรม ซึ่งมีโครงการใหญ่ๆ เกิดขึ้นใหม่ในหลายพื้นที่ นอกจากการใช้งานภายในที่อยู่อาศัยแล้ว โซฟาของอเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส์ก็ยังเหมาะสำหรับใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งออฟฟิศหรือโรงแรมได้อีกด้วย โดยการออกแบบของเราเน้นความคิดสร้างสรรค์และแปลกใหม่ รวมถึงความยืดหยุ่นในการเลือกวัสดุและสีให้เข้ากับอาคารได้หลากหลายสไตล์ เป้าหมาย  ในปีนี้เราอยากให้แบรนด์อเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส์เป็นที่จดจำอย่างกว้างขวางในตลาด เมื่อภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น กลุ่มลูกค้าที่ได้รู้จักเราแล้วเมื่อถึงเวลาที่พร้อมก็จะกลับมาซื้อของเราแน่นอน”     คุณมาร์ค อเล็กซานเดอร์ สมิทธ์ (Mark Alexander Smith) ผู้ก่อตั้งและดีไซน์เนอร์ เปิดเผยว่า “แบรนด์อเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส เปิดตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.2013 ณ ประเทศอังกฤษ เมื่อเริ่มก่อตั้งเราเน้นขายสินค้าในประเทศอังกฤษ  ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง มีอัตราการเติบโตของธุรกิจอย่างรวดเร็ว โดยในปีนี้ ก็มีถึง 50 ร้านที่มีการจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ของอเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส์อยู่ทั่วอังกฤษ เราวางตำแหน่งให้ แบรนด์เป็น Accessible Luxury คือ ความโก้หรูที่ทุกคนเข้าถึงได้ จุดแข็งของเรา คือ ดีไซน์และสีที่โดดเด่นเป็น        เอกลักษณ์ ผ่านการออกแบบจากประเทศอังกฤษ มีสไตล์เป็นของตัวเองอย่างเด่นชัด รวมถึงการเลือกสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นหนังวัวแท้จากบราซิล ผ้าจากอิตาลีและฝรั่งเศส กำมะหยี่จากแบรนด์วิลเลียม มอร์ริส (William Morris) กระทั่งโครงสร้างที่เป็นไม้ยางพาราจากป่าที่ปลูกในประเทศไทยซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งต้นกำเนิดยางพาราที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก สำหรับในประเทศไทยเองก็มีจุดแข็งหลายประการ ทางด้านโลเคชั่นที่มีศักยภาพในการส่งออกไปทั่วภูมิภาค มีช่องว่างทางตลาดและอัตราการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์เอเชียที่สูงขึ้น การมีฮับใหญ่ในประเทศไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตที่มีคุณภาพจะทำให้เราได้เปรียบในเรื่องของความเป็นเจ้าถิ่น ผนวกกับฝีมือของคนไทยที่มีความปราณีตอ่อนช้อยที่สำคัญเราสามารถควบคุมเรื่องต้นทุนของสินค้าได้ ทำให้ลูกค้าสามารถได้รับสินค้าที่มีคุณภาพสูงแต่ยังคงไว้ซึ่งสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งสำคัญของเรา”   “สำหรับภาพรวมตลาดและอัตราการเติบโตของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์มีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี เนื่องจากไม่ว่าเศรษฐกิจ หรือสภาพดินฟ้าอากาศจะเป็นอย่างไร ผู้คนก็ยังคงต้องใช้เฟอร์นิเจอร์เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวัน อาจจะมีชะลอตัวบ้าง เมื่อมีวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นแต่ไม่นานตลาดจะฟื้นตัวกลับมา สำหรับประเทศไทย เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามีความไม่แน่นอนสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ด้านการค้ากับประเทศจีน ทำให้ลูกค้าต่างประเทศที่เคยใช้สินค้านำเข้าจากประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก หันมาหาซัพพลายเออร์จากประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชียแทน และจะเป็นการเปิดโอกาสให้ อเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส์ ที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย มีโอกาสขยายตัวในตลาดส่งออกมากขึ้น สำหรับตลาดเฟอร์นิเจอร์ระดับล่างอาจจะเผชิญกับเศรษฐกิจในประเทศอยู่บ้างที่อาจจะทำให้การจับจ่ายใช้สอยชะลอตัว แต่ตลาดเฟอร์นิเจอร์เซกเมนต์ระดับบน การเลือกซื้อสินค้าจะขึ้นอยู่กับความพึงพอใจเป็นหลัก ดังนั้น เราจึงมีความมั่นใจว่าเฟอร์นิเจอร์ของเราจะตอบโจทย์ตรงนี้ได้”      คุณพิมล ศรีวิกรม์ กล่าวทิ้งท้าย     เชิญสัมผัสบริบทใหม่แห่งการตกแต่งบ้านด้วยเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษที่สะท้อนรสนิยมแห่งการอยู่อาศัยอย่างมีระดับ ด้วยเอกลักษณ์โดดเด่น ชวนหลงใหล พร้อมด้วยบริการสุดพิเศษแบบออนดีมานด์ เฟอร์นิเจอร์ (On-Demand Furniture) ที่สามารถเลือกสรรและปรับให้เหมาะสมกับขนาดของพื้นที่และความชอบของผู้อยู่อาศัย เพลิดเพลินกับการเลือกสีที่ใช่ วัสดุที่ชอบ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานการออกแบบชั้นเลิศหนึ่งเดียวในโลกในสไตล์ที่เป็นคุณได้แล้ววันนี้ที่แฟลกชิปสโตร์ อเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส์  สุขุมวิท 39        
“ดี–แลนด์ฯ” ระดมทัพ 3 โครงการโซน EEC จัดแคมเปญแจกทอง–มอบส่วนลดสุดพิเศษ

“ดี–แลนด์ฯ” ระดมทัพ 3 โครงการโซน EEC จัดแคมเปญแจกทอง–มอบส่วนลดสุดพิเศษ

“ดี–แลนด์ฯ” ระดมทัพ 3 โครงการโซน EEC อัดแคมเปญปลุกกำลังซื้อ–หนีมาตรการ LTV รุกผุด 3 โปรเจกต์ใหม่ปั๊มยอดสิ้นปี 1,350 ล้านบาท ดี-แลนด์ฯ ขน 3 โครงการคุณภาพใจกลางเมืองศรีราชา จังหวัดชลบุรี และระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จัดแคมเปญแจกทอง–มอบส่วนลดสุดพิเศษ  วันที่ 23–24 กุมภาพันธ์นี้ หวังกระตุ้นกำลังซื้อก่อนมาตรการ  LTV มีผลบังคับใช้ 1 เมษายน 2562  พร้อมประกาศแผนธุรกิจปี 2562 เดินหน้าพัฒนา 3 โปรเจกต์ มูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายรวมสิ้นปีทะยาน 1,350 ล้านบาท   นายศิริพงษ์ สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี–แลนด์ กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ในเขตกรุงเทพฯ ตอนใต้ พระราม2–สมุทรสาคร โซนภาคตะวันออก และโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก เปิดเผยว่า  ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรัฐบาลได้เร่งผลักดันโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ระยอง และชลบุรี ส่งผลให้มีผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เข้ามาลงทุนเพื่อรองรับดีมานด์ที่อยู่อาศัยในอนาคต แต่อย่างไรก็ตามการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะใช้มาตรการคุมเข้มสินเชื่อบ้านแบบใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 ด้วยการกำหนดเงินดาวน์ขั้นต่ำหรืออัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan to Value : LTV) สำหรับผู้กู้ซื้อบ้านสัญญาที่ 2 ขึ้นไป และผู้ซื้อบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยผู้กู้ต้องวางเงินดาวน์ 20-30% รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างแน่นอน     สำหรับแนวทางรับมือกับผลกระทบดังกล่าวรวมถึงการดูแลลูกค้า ในเบื้องต้นบริษัทฯ ได้จัดมินิแคมเปญ (Mini Campaign) “รับทองคำแท่ง 2 บาท!! ก่อนมาตรการรัฐ” พร้อมราคาเริ่มต้นสุดพิเศษ ในระหว่างวันที่ 23–24 กุมภาพันธ์ 2562 โดยโครงการที่ร่วมแคมเปญดังกล่าว ประกอบด้วย   1. โครงการดีทาวน์ โกรว์ สวนเสือ–ศรีราชา อาคารพาณิชย์แนวคิดใหม่ ฟังก์ชันอพาร์ทเม้นท์ ได้รับการออกแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการครบทุกด้าน  6 ห้องเช่า 6ห้องน้ำในตัวทุกห้อง ชั้นล่างสามารถทำธุรกิจสำหรับเจ้าของกิจการหรือปล่อยเช่าหน้าร้าน ชั้นบนเป็นส่วนตัวด้วยทางเข้า–ออกแยกเป็นอิสระ ห้องพักแบ่งสัดส่วนลงตัว พร้อมตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ ติดถนนใหญ่ ในทำเลศักยภาพใกล้ย่านธุรกิจที่เหมาะสำหรับการลงทุน ราคาเริ่มต้น 2.6 - 9 ล้านบาท พร้อมการันตีค่าเช่า 2 ปี     2. โครงการบ้านดี เดอะมอนเทอเรย์(ศรีราชา–อัสสัมชัญ) ทาวน์โฮม 2 ชั้น สไตล์อเมริกัน คอทเทจ ใจกลางเมืองศรีราชา ใกล้สถานที่อำนวยความสะดวกมากมาย 4 ห้องนอน 2 ที่จอดรถ เพียง 400 เมตรจากวัดไร่กล้วย ใกล้โรงเรียนอัสสัมชัญ อิออนมอลล์ โรบินสันศรีราชา และเจ พาร์ค  ศรีราชา ราคาเริ่มต้น  99 ล้านบาท รับทองคำแท่ง 2 บาททุกหลัง  ซึ่งขณะนี้มีจำนวน 5 ยูนิต และ   3. โครงการบ้านดี เดอะวัลเล่ย์ ปลวกแดง จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นบ้านแฝดและทาวน์โฮมสไตล์ทัสคานี สถาปัตยกรรมที่งามสง่าหรูหรา และมีระดับ ตามแบบฉบับอิตาลี เปิดเฟสใหม่ ใกล้สโมสรสวยเหนือระดับ 3 ห้องนอน 2 ที่จอดรถ  พร้อมเข้าอยู่ได้ทันที จำนวน 9 ยูนิต  ราคาเริ่มต้นล้านต้นต้น รับเพิ่มทองคำแท่ง 2 บาท พร้อม โปรโมชั่นอีกมากมาย   “นอกจากจัดรายการส่งเสริมการขายด้วยการนำโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ  ของบริษัทฯ มาทำการรีเซล (Resale) แล้ว บริษัทฯ ได้มีการหารือกับทางธนาคารพาณิชย์เพื่อหาทางออกให้กับลูกค้าที่ซื้อสินทรัพย์เพื่อลงทุน เช่น การคำนวณรายได้ที่จะสะท้อนรายได้ในอนาคต เพื่อสร้างแรงจูงใจและสร้างโอกาสในเรื่องการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน เป็นต้น ซึ่งในปี 2562 บริษัทฯ มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,500 ล้านบาท ได้แก่ โครงการทาวน์เฮาส์ในทำเลย่านบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ โครงการทาวน์เฮาส์ที่อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง และโครงการคอนโดมิเนียมที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี  โดยปี 2562 นี้ พร้อมทั้งตั้งเป้ายอดขายรวม 1,350 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,200 ล้านบาท และธุรกิจค้าปลีก 150 ล้านบาท” นายศิริพงษ์ กล่าวในตอนท้าย   สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1793 และ 088-243-8855 หรือคลิกดูรายละเอียดได้ที่ www.dl.co.th และ facebook: Dlandclub    
แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2562

แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2562

ซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก เผยแนวโน้มปี 2562 ว่าตลาดอสังหาฯในกรุงเทพมหานครจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก ทั้งด้านการชะลอตัวของตลาดในหลายๆ ภาคอสังหาริมทรัพย์และซัพพลายใหม่จำนวนมากที่กำลังจะออกสู่ตลาด   การแข่งขันในการหาที่ดินแบบมีกรรมสิทธิ์ถาวรหรือฟรีโฮลด์ในทำเลที่หายากในย่านใจกลางเมืองยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง   อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดใหม่ๆ รวมถึงผังเมืองกรุงเทพฯ ใหม่ที่กำลังจะประกาศใช้ในปี 2563 นี้ จะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ต้องกลับมาประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง   กฎข้อบังคับใหม่และความไม่แน่นอน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงหลายประการด้วยกัน ทั้งมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เข้มงวดมากขึ้น  การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้  รวมถึงภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ และผังเมืองใหม่ของกรุงเทพฯ ที่   ผังเมืองใหม่ของกรุงเทพฯ และภาษีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ที่คาดว่าจะประกาศใช้ในปี 2563 ยังคงอยู่ขั้นตอนการวางแผนและยังไม่เสร็จสิ้น การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคาดว่าจะเกิดขึ้นในทำเลที่เป็นจุดเชื่อมต่อของเส้นทางรถไฟฟ้า   การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม 2562 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยเช่นกัน   ความท้าทายในตลาดส่งออกและการท่องเที่ยว ตลาดส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคธุรกิจสำคัญต่อการผลักดันเศรษฐกิจไทย จะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายหลายประการในปีนี้   ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่ยังไม่มีความแน่ชัดว่าจะส่งผลต่ออุตสาหกรรมส่งออกของไทยในด้านบวกหรือลบ รวมถึงการดึงดูดให้ชาวจีนกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยหลังเหตุการณ์เรือล่มในภูเก็ตก็ยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายที่สุดสำหรับภาคการท่องเที่ยว ทั้งนี้ ปริมาณนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีนจะเป็นตัวช่วยบ่งชี้ถึงทัศนคติของนักท่องเที่ยวจีนที่มีต่อไทย   ซีบีอาร์อีเชื่อว่าตลาดการท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ จะสามารถฟื้นคืนกลับสู่สภาวะเดิมได้อย่างรวดเร็วแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากปริมาณนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง ดังเช่นเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองหลายๆ ครั้งในอดีตที่ผ่านมา ที่สามารถฟื้นตัวกลับมาเข้มแข็งกว่าเดิม   เงินดาวน์ที่สูงขึ้นทำให้ตลาดที่พักอาศัยชะลอตัวลง ความต้องการจากนักเก็งกำไรและนักลงทุนที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าจะลดลง เนื่องจากราคาคอนโดมีเนียมที่สูงขึ้นจากต้นทุนที่ดิน อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และเงินดาวน์ที่เพิ่มมากขึ้นตามกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้การสร้างผลกำไรจากการปล่อยเช่าและการขายต่อคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างนั้นทำได้ยากขึ้น ตลาดจะกลับมาให้ความสำคัญกับผู้ที่ซื้อเพื่อพักอาศัยเองและการขายยูนิตที่เหลือขายในโครงการที่แล้วเสร็จ   จากความต้องการภายในประเทศที่ลดลงส่งผลให้ผู้พัฒนาโครงการหันไปโฟกัสที่ผู้ซื้อต่างชาติที่ใช้เงินทุนของตนเองในการซื้อคอนโดมิเนียม  แต่หากจะพึ่งพาการขายให้ผู้ซื้อต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ ก็อาจเกิดความไม่แน่นอนว่าผู้ซื้อต่างชาติเหล่านี้จะโอนกรรมสิทธิ์หรือไม่เมื่อโครงการแล้วเสร็จ รวมถึงผู้ที่จะพักอาศัยในยูนิตเหล่านั้นจะเป็นใคร นอกจากนี้ ผู้ซื้อต่างชาติยังมีความอ่อนไหวจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศของตนอีกด้วย   การแข่งขันสูงขึ้นในตลาดคอนโดมิเนียมระดับบน ในปีที่ผ่านมาผู้พัฒนาโครงการหลายรายได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในย่านใจกลางกรุงเทพฯ ด้วยราคาขายที่สูงกว่า 3 แสนบาทต่อตารางเมตร และดูเหมือนว่าราคาขาย 2.5 แสนบาทต่อตารางเมตรจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในตลาดจะมีทั้งโครงการที่ขายดีและไม่ดี  ขึ้นอยู่กับการวางตำแหน่งของสินค้าและราคาที่เหมาะสม การที่ตลาดนี้มีตัวเลือกมากมายในระดับราคานี้ ก็ย่อมทำให้ยอดขายโดย รวมในหลายโครงการชะลอตัว  รวมทั้งมีการลดราคายูนิตเหลือขายในโครงการที่แล้วเสร็จหลายแห่งเพื่อเคลียร์สินค้าที่มีอยู่ให้หมดไป   โครงการใหม่ไม่ได้แข่งขันกันด้วยราคาที่จับต้องได้เท่านั้น แต่ผู้พัฒนาโครงการต่างๆ พยายามหาจุดขายที่โดดเด่นเพื่อดึงดูดผู้ซื้อ ระบบบ้านอัจฉริยะ การจัดการปล่อยเช่า และการพัฒนาโครงการแบบมิกซ์ยูส เป็นตัวอย่างส่วนหนึ่งของจุดขายที่มีในตลาดปัจจุบัน ภายใต้สภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้ ซีบีอาร์อีเชื่อว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จจะไม่ใช่โครงการที่ได้รับการออกแบบหรือมีผังห้องที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่ต้องเป็นโครงการที่ตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตได้ตรงใจและอยู่ในราคาที่เหมาะสมด้วย   ซีบีอาร์อีเชื่อว่าปี 2562 จะเป็นโอกาสทองของกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่เองและลงทุนในระยะยาวเนื่องจากมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เข้มงวดขึ้น จะทำให้จำนวนผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ลดน้อยลง ในขณะที่ผู้พัฒนาจะต้องแข่งขันที่จะเร่งระบายสินค้าคงเหลือก่อนที่มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ ผู้ซื้ออาจสามารถซื้อโครงการที่ใกล้จะสร้างเสร็จในราคาที่เท่ากับตอนที่โครงการเปิดตัวได้    ความต้องการพื้นที่สำนักงานที่เปลี่ยนแปลงไป จากแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก ตลาดพื้นที่สำนักงานในกรุงเทพฯ เองก็ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสในเรื่องของพื้นที่ทำงานที่มีความคล่องตัว (Agile Workplace) และโคเวิร์กกิ้งสเปซ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเช่าพื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ พื้นที่สำนักงานใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะสร้างแรงกดดันให้กับอาคารสำนักงานเก่าให้มีการปรับปรุงและยกระดับเพื่อให้คงความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่กำลังเปลี่ยนไป   ในอีก 4 ปี กรุงเทพฯ จะมีการเปลี่ยนแปลงในตลาดอาคารสำนักงาน เนื่องจากพื้นที่ 2 ล้านตารางเมตรที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและการวางแผนจะเข้าสู่ตลาด ซีบีอาร์อีคาดว่าการใช้พื้นที่สำนักงานในกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ 2 แสนตารางเมตรต่อปี   การปรับตัวในตลาดค้าปลีก จากการที่ตลาดค้าปลีกทั่วโลกขยับไปสู่อี-คอมเมิร์ซและการซื้อขายออนไลน์มากขึ้น  ตลาดค้าปลีกในกรุงเทพฯ เองก็กำลังค่อยๆ เดินไปในทิศทางเดียวกัน ผู้ค้าปลีกที่มีหน้าร้านต่างคิดหากลยุทธ์ในการนำเสนอสิ่งที่การซื้อขายออนไลน์ไม่สามารถให้ได้ เช่น การสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในศูนย์การค้า หรือทำให้ร้านเป็น Retailtainment หรือการผสมผสานความบันเทิงกับการให้บริการเพื่อสร้างความแตกต่าง   ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่าตลาดค้าปลีกจะมีแนวโน้มที่ดีซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว อัตราการเช่าพื้นที่จะยังคงอยู่ในระดับที่สูง แต่พื้นที่ค้าปลีกใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นก็มีมาก ศูนย์การค้าที่มีผลประกอบการไม่ดีนักจะมีปัญหาในการรักษาและดึงดูดผู้เช่า ทั้งยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากอี-คอมเมิร์ซและและซัพพลายใหม่ในอนาคต  แต่ค่าเช่าจะยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลง   อีอีซี: แรงจูงใจในตลาดอุตสาหกรรม โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี จะมีความชัดเจนมากขึ้นในปีนี้เมื่อการประมูลโครงการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน (Transit Oriented Development - TOD) ตลอดเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่มุ่งหน้าสู่เขตอีอีซีนั้นสิ้นสุดลง ซีบีอาร์อีเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นตัวกระตุ้นให้ประเทศไทยได้รับความสนใจมากขึ้นจากผู้ผลิตและนักลงทุนต่างชาติเพื่อเข้ามาลงทุนในพื้นที่เขตอีอีซี นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการเสนอให้มีสิทธิพิเศษด้านการเงินและการยกเว้นภาษีในเขตปลอดอากรในนิคมอุตสาหกรรมให้แก่บริษัทผู้ผลิตต่างชาติอีกด้วย   ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าประเทศไทยได้รับประโยชน์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนหรือไม่  แต่ซีบีอาร์อีเห็นว่ามีบริษัทผู้ผลิตจากจีนบางแห่งสนใจที่จะย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยบริเวณเขตอีอีซี      การลงทุนชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยปรับขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี จาก 1.50% เป็น 1.75% เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2561 อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้ต้นทุนในการพัฒนาโครงการของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นเพิ่มขึ้น และยังทำให้ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศชะลอการซื้อออกไป ความต้องการในประเทศที่ลดลง ราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น และซัพพลายใหม่จำนวนมาก จะทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีความระมัดระวังมากขึ้นในการเปิดโครงการใหม่และการซื้อที่ดินในปี 2562   ที่ดินฟรีโฮลด์ในทำเลชั้นนำของกรุงเทพฯ จะยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมาก โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้า การที่แปลงที่ดินชั้นดีในย่านใจกลางธุรกิจหรือซีบีดีเหลือไม่มากนัก ส่งผลให้ราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นไปอีกจากสถิติราคาสูงสุดในปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่ดินบนถนนหลังสวนที่ราคา 3.1 ล้านบาทต่อตารางวา   ด้วยราคาที่ดินฟรีโฮลด์ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บวกกับการเริ่มชะลอตัวของตลาดคอนโดมิเนียม ทำให้ผู้ประกอบการหันมาพิจารณาที่ดินแบบเช่าระยะยาวมากขึ้น โดยมีการปรับแผนการลงทุน และกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่นๆ เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม และ เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องพัฒนาบนที่ดินแบบฟรีโฮลด์      
‘เอพี ไทยแลนด์’ เปิดตัว 3 ธุรกิจใหม่ เตรียมเปิด 39 โครงการ

‘เอพี ไทยแลนด์’ เปิดตัว 3 ธุรกิจใหม่ เตรียมเปิด 39 โครงการ

‘เอพี ไทยแลนด์’ ปิดปี ’61 คาดโตสวนกระแสกว่า 30% เติบโตเป็นประวัติการณ์ ขึ้นแท่นอันดับ 2 ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายได้สูงสุด ดินหน้าเต็มสูบ ชูวิสัยทัศน์และพันธกิจยิ่งใหญ่ พัฒนาระบบนิเวศใหม่ นำเทคโนโลยีเชื่อมโยงกับการใช้ชีวิตยุคใหม่ ทำวิสัยทัศน์ ‘มอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดให้คนในสังคม’   บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และนวัตกรรมการอยู่อาศัยของประเทศไทย ประกาศความสำเร็จคาดปิดปี 2561 ธุรกิจโดยรวมโตสวนกระแส 30% ขึ้นแท่นอันดับ 2 ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายได้สูงสุด เดินหน้าประกาศวิสัยทัศน์ครั้งใหญ่ นำองค์กรก้าวสู่ศักราชใหม่ที่มากกว่าธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการเป็นรายแรกที่ริเริ่มสร้างสรรค์โลกแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้แนวคิด ‘AP World, A New Vision of Quality of Life’ สร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีในวันข้างหน้า พร้อมเปิดตัว 3 ธุรกิจใหม่นอกธุรกิจอสังหาฯ อย่างสมภาคภูมิ ได้แก่ SEAC (เอสอีเอซี) VAARI (วาริ) และ CLAYMORE (เคลย์มอร์) มุ่งสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกและการเติบโตที่ยั่งยืน ตั้งเป้าภายในปี 2565 ทั้ง 3 ภาคธุรกิจใหม่จะมีส่วนช่วยผลักดันรายได้รวมของเอพีให้เติบโตแบบก้าวกระโดดแตะหลัก 60,000 ล้านบาท   นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า “ในปี 2561  ที่ผ่านมาธุรกิจโดยรวมของเอพี ไทยแลนด์เติบโตมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เราคาดการณ์ว่า ในปี 2561 บริษัทฯ จะสามารถสร้างรายได้รวมเติบโตขึ้นประมาณ 30% จากปีก่อนหน้า ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เอพี ไทยแลนด์ ขยับขึ้นเป็นอันดับ 2 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้สูงสุดของเมืองไทย การเติบโตแบบสวนกระแสของเอพีเป็นผลลัพธ์ของความสำเร็จในทุกธุรกิจที่เราดำเนินกิจการ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในสินค้าทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ต่างได้รับ    การตอบรับที่ดีจากตลาด สะท้อนได้ทั้งจากยอดขายและการโอนกรรมสิทธิ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี”   นอกจากนี้ ธุรกิจอื่นๆ ในเครือเอพี ทั้ง ธุรกิจ Property Agent ภายใต้ชื่อ ‘BC (บีซี)’ ที่ให้บริการรับฝากขาย ฝากเช่าอสังหาริมทรัพย์ทุกรูปแบบ และไม่ได้จำกัดอยู่ที่สินค้าของเอพีเพียงอย่างเดียว มีผลการดำเนินงานที่เติบโตแบบก้าวกระโดด มีอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อ-ขาย-เช่า ผ่าน บีซี รวมมูลค่าสูงกว่า 12,000 ล้านบาทก้าวขึ้นเป็น Property Agent อันดับ 1 ของประเทศอย่างเต็มภาคภูมิ และธุรกิจ Property Management ภายใต้ชื่อ ‘SMART (สมาร์ท)’ เป็นธุรกิจบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ส่งผลให้วันนี้ สมาร์ทได้รับความไว้วางใจให้เข้าบริหารจัดการคุณภาพชีวิตในโครงการต่างๆ ที่ไม่ใช่แต่เฉพาะเครือเอพีกว่า 55,000 ครอบครัว ในกว่า 200 โครงการ ซึ่งก้าวต่อไปทั้งสองบริษัท ‘บีซีและสมาร์ท’ จะยังคงเดินหน้าขยายขอบเขตการให้บริการเพื่อเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง   ทั้งนี้ ทั้ง 3 ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของเอพี ไทยแลนด์ในการเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของเมืองไทยที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการในทุกช่วงชีวิตของผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์และครบวงจรที่สุด (Space Expert for Living Satisfaction) ซึ่งก้าวต่อไปจากนี้ เอพี ไทยแลนด์จะไม่หยุดอยู่เพียงภาคธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่จะก้าวไปสู่ศักราชใหม่ ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘AP World, A New Vision of Quality of Life’ วิสัยทัศน์ในการสร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีในวันข้างหน้า ซึ่งจะสมบูรณ์ไปด้วยระบบนิเวศ (Eco System) ที่เอพีพัฒนาขึ้นอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อมุ่งสู่การเป็นรายแรกที่ริเริ่มสร้างสรรค์โลกแห่งคุณภาพชีวิตที่ดี อีกทั้ง ยังเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน บริษัทฯ จึงพร้อมเปิดตัว 3 ภาคธุรกิจใหม่ (Disruptive Business) ได้แก่ 1) VAARI ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการบริหารจัดการคุณภาพชีวิต 2) CLAYMORE ดำเนินธุรกิจสร้างและผลักดันนวัตกรรมดีไซน์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบ และ 3) SEAC ดำเนินธุรกิจในการดิสรัปวิธีการเรียนรู้ของคนในองค์กรและคน ในสังคมด้วยกระบวนการใหม่ๆ  ผ่านความร่วมมือจากสถาบันระดับโลก   ทั้ง 3 ธุรกิจใหม่จะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยเสริมวิสัยทัศน์ในการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประสบความสำเร็จ เคียงคู่ไปกับ Core Business คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริษัทในเครือ ที่จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าภายในปี 2565 สามภาคธุรกิจใหม่นี้จะมีส่วนช่วยผลักดันรายได้รวมของเอพีให้เติบโตแบบก้าวกระโดดแตะหลัก 60,000 ล้านบาท      นายอนุพงษ์กล่าวว่า “หนทางในการไปถึงวิสัยทัศน์ในการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีนั้น มีความท้าทายหลัก   3 ประการที่เราจะต้องตระหนัก ต้องบริหารจัดการ และต้องเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม นั่นคือ 1. โลกที่กำลังดิสรัปและทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คำถาม คือ เราจะนำ Technology มาช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกิดขึ้นได้อย่างไร 2. เราจะรู้จักและพัฒนานวัตกรรมให้สอดคล้องและตอบรับกับความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบที่แตกต่างกันของคนในสังคมได้อย่างไร 3. เราจะพัฒนาความรู้ ความสามารถของ ‘คนในองค์กรและคนในสังคม’ ให้ก้าวทันกระแสดิสรัปชั่นได้อย่างไร ดังนั้นการขยายองค์กรสู่ 3 ภาคธุรกิจใหม่ล่าสุดของเรา จึงช่วยตอบโจทย์และเติมเต็มให้วิสัยทัศน์ในการมอบคุณภาพชีวิตแก่คนในสังคมให้เป็นผลสำเร็จ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเอพีแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”   บริษัทใหม่ทั้ง 3 มีลักษณะการดำเนินธุรกิจ และเป้าหมายสำคัญแตกต่างกัน ดังนี้ บริษัท วาริ จำกัด: ดำเนินธุรกิจสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการบริหารจัดการคุณภาพชีวิต (LIFE MANAGEMENT ECOSYSTEM) ที่จะมาจุดประกายคุณภาพชีวิตในวันข้างหน้าให้มีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์สังคมแห่งการอยู่อาศัยในอุดมคติให้เกิดขึ้น ลดทอนความซ้ำซ้อนที่เป็น Pain ของผู้อยู่อาศัยในวันนี้ และมอบประสบการณ์ใหม่ที่ยกระดับรูปแบบการดำเนินชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ผ่านนวัตกรรมดีไซน์ที่เข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ของคนในสังคม บริษัท เคลย์มอร์ จำกัด: ดำเนินธุรกิจการพัฒนานวัตกรรมดีไซน์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบของคนในสังคม ผ่านการสร้างทีมนวัตกรรมที่มีจิตวิญญาณในการเป็นผู้ประกอบการขึ้นภายในองค์กร มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการเป็น Innovation Lab สร้างนวัตกรรมโดยใช้กระบวนการ Stanford Design Thinking ต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เดิมไปสู่ธุรกิจใหม่ โดยมีเป้าหมายให้นวัตกรรมที่คิดค้น จับต้องได้ และใช้งานได้จริง SEAC (เอสอีเอซี): ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน ดำเนินธุรกิจในการดิสรัปวิธีการเรียนรู้ของคนในองค์กรและคนในสังคมด้วยกระบวนการใหม่ๆ มุ่งพัฒนาความพร้อม ความสามารถของคนให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในวันนี้และอนาคต โดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันระดับโลก อาทิ Stanford University ที่มีมุมมองในเรื่องการเรียนรู้ตรงกัน เพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถและกระบวนการคิดของผู้นำในเมืองไทยและระดับภูมิภาคให้มีศักยภาพทัดเทียมผู้นำระดับโลก   “การรุกขึ้นมาปรับวิสัยทัศน์ในครั้งนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับเปลี่ยนโฉมหน้าของเอพี ไทยแลนด์ ไปสู่การเป็นบริษัทที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมแทนที่จะเป็นเพียงผู้ส่งมอบที่อยู่อาศัยเพียงเท่านั้นซึ่งสุดท้ายแล้วนวัตกรรมหรือระบบนิเวศต่างๆ ที่ถูกพัฒนาจะเปิดกว้างให้บริการกับทุกคนไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นลูกค้าเอพีเท่านั้น โดยเราคาดหวังว่า ดอกผลที่เกิดขึ้นจากการขยายภาคธุรกิจ ภายใต้วิสัยทัศน์ AP World นี้ จะมีส่วนช่วยผลักดันรายได้รวมของเอพี ไทยแลนด์ให้เติบโตแบบดับเบิ้ล หรือตั้งเป้าสร้างรายได้รวมแตะหลัก 60,000 ล้านบาทภายในปี 2565” นายอนุพงษ์ กล่าว   นอกจากความสำเร็จด้านผลประกอบการณ์แล้ว ในปี 2561 ที่ผ่านมายังเป็นเกียรติยศของเอพี ไทยแลนด์ จากการคว้ารางวัลทรงเกียรติ ทั้งจากในประเทศและระดับนานาชาติ มาครองได้มากถึง 14 รางวัล อาทิ ‘บริษัทผู้ทรงอิทธิพลแห่งเอเชียประจำปี 2018’ จากเวที The Asia Corporate Excellence & Sustainability Awards (ACES) ประเทศสิงคโปร์, ‘ที่สุดของบริษัทพัฒนาคอนโดมิเนียมยอดเยี่ยมแห่งเอเชียประจำปี 2018’ จากเวที Property Guru Asia Property Awards 2018 และได้รับการจัดอันดับให้เป็น ‘The Most Admired Company 2018’ องค์กรพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ในใจผู้บริโภคประจำปี 2018 อีกด้วย      
SC ASSET   เปิดตัว “Mr. Holmes” หุ่นยนต์ตรวจการณ์สุดล้ำ

SC ASSET เปิดตัว “Mr. Holmes” หุ่นยนต์ตรวจการณ์สุดล้ำ

SC ASSET เปิดตัว “Mr. Holmes” หุ่นยนต์ตรวจการณ์สุดล้ำ โมเดลต้นแบบด้านความปลอดภัยแห่งแรกในไทย  เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งอนาคตอย่างสมบูรณ์แบบ   นอกจากการพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้การมุ่งสู่เป็นผู้นำ Living Solutions Provider ด้วยคุณภาพสินค้าและบริการชั้นนำ SC ยังมุ่งตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลด้วยหัวใจสำคัญของการดูแลลูกค้า ด้านมาตรการความปลอดภัย 24 ชม. ทั้งในรั้วและนอกรั้วโครงการ โดยล่าสุดได้นำ “Mr. Holmes” หุ่นยนต์ตรวจการณ์จากประเทศสิงคโปร์ นำร่องปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยภายในโครงการ “เดอะ เนเบอร์ฮูด บางกะดี” เพื่อเป็นโมเดลต้นแบบสำหรับการยกระดับด้านความปลอดภัยต่อไปในอนาคต   ด้วยนโยบายด้านความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับลูกค้าของ SC โดย นายพิษณุ เดชสง หัวหน้าสายงานต้นทุนและนวัตกรรมการก่อสร้าง บริษัท เอสซี แอสเสท  คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เพื่อมุ่งยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยไปอีกขั้น จึงได้นำนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์จากสิงคโปร์ โดยใช้ชื่อว่า “Mr. Holmes” หุ่นยนต์ตรวจการณ์เคลื่อนที่อัตโนมัติ มาใช้ตรวจการในพื้นที่บริเวณโดยรอบนำร่องที่โครงการเดอะ เนเบอร์ฮูด บางกะดี เป็นแห่งแรก เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยซึ่งคนไม่สามารถทำได้ตลอด 24 ชม.”   ทั้งนี้ปัจจุบันที่เดอะ เนเบอร์ฮูด บางกะดี มีโครงการเพื่อขาย 2 โครงการ ได้แก่  โครงการบ้านเดี่ยว “เวนิว ติวานนท์-รังสิต” และโครงการทาวน์โฮม “เวิร์ฟ ติวานนท์-รังสิต พร้อมกับการดูแลระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. เข้า-ออกโครงการผ่านระบบ Access Card ที่มีความปลอดภัยจาก Double Gate System ภายในโครงการยังมีการติดตั้ง CCTV ครอบคลุมทั้งโครงการ โดย SC ยังมี Security Management System นโยบายฝึกอบรมและสุ่มตรวจสอบสำหรับการทำงานของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพื่อพัฒนามาตรฐานด้านความปลอดภัย ควบคุมให้เป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนดไว้   โดยแนวทางการทำงานของหุ่นยนต์ตรวจการณ์ “Mr. Holmes” ปลอดภัยไปกับรู้ใจ เมื่อพบสิ่งผิดปกติระบบจะส่งสัญญาณไปที่ป้อมรปภ. เพื่อแจ้งเหตุการณ์ได้ในทันที ด้วยระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางอัตโนมัติ ได้อย่างชาญฉลาด ผ่านการส่งข้อมูลด้วย Wi-Fi และ 4G LTE มุมมอง 360 องศา  มีกล้อง Live Streaming รูปแบบ Real-time ที่แสดงผลเป็นภาพ 360 องศา ด้วยกล้องจำนวน 4 ตัว สามารถจดจำภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว พร้อมบันทึกข้อมูลที่แม่นยำ ด้วยนวัตกรรมเซนเซอร์จับสิ่งผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็น บุคคล กระเป๋า ยานพาหนะ และ ทะเบียนรถยนต์   “Mr. Holmes” หุ่นยนต์ตรวจการณ์ที่เป็นไฮไลท์สำหรับโครงการ “เดอะ เนเบอร์ฮูด บางกะดี” เป็นนวัตกรรมสุดล้ำจาก OTSAW บริษัทพัฒนาหุ่นยนต์ชั้นนำระดับโลก ประเทศสิงคโปร์ พัฒนาหุ่นยนต์อัจฉริยะ O-R3 ลาดตระเวนรักษาความปลอดภัย (Outdoor Autonomous Security Robot) เพื่อยกระดับประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้อยู่อาศัยแห่งแรกในไทย โดยอนาคต SC มีแผนความร่วมมือที่จะพัฒนาความสามารถของ “Mr. Holmes” ให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับโครงการเดอะ เนเบอร์ฮูด บางกะดี ต่อไป   สามารถชมประสิทธิภาพของหุ่นยนต์ตรวจการณ์ “Mr. Holmes” ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=qPWSgt3Ps7c   และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของโครงการได้ที่: www.scasset.com/TheNeighbourhood          
อนันดาฯ เปิดแผนปี 62

อนันดาฯ เปิดแผนปี 62

คุณชานนท์ เรืองกฤตยา (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ประกาศความสำเร็จปี 2561 มียอดโอนเป็นสถิติสูงสุดถึง 33,000 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 120 จากปีก่อน โดยในปี 2562 ยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์พัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าร่วมกับยักษ์ใหญ่อสังหาของญี่ปุ่นอย่างมิตซุย ฟูโดซัง อย่างต่อเนื่อง มีแผนเปิดโครงการใหม่ จำนวน 10 โครงการ มูลค่ากว่า 38,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 42 โดยแบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 8 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซัง 7 โครงการ และโครงการแนวราบ 2 โครงการ พร้อมมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งของกลุ่มกว่า 13,000 ล้านบาท เพื่อต่อยอดทางธุรกิจ และขยายไปสู่ธุรกิจ Recurring Income ในอนาคตต่อไป ณ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้      
รีจัส เดินหน้าขยายความสำเร็จเปิดสาขาที่ 21 ณ สิงห์ คอมเพล็กซ์

รีจัส เดินหน้าขยายความสำเร็จเปิดสาขาที่ 21 ณ สิงห์ คอมเพล็กซ์

รีจัส เดินหน้าขยายความสำเร็จเปิดสาขาที่ 21 ณ สิงห์ คอมเพล็กซ์ ใจกลางเมืองย่านธุรกิจแห่งใหม่ ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำด้านการให้บริการพื้นที่ทำงานอันยืดหยุ่นและเปี่ยมด้วยนวัตกรรม   รีจัส (Regus) ผู้นำด้านการให้บริการพื้นที่สำนักงานระดับโลก ประกาศเปิดตัวสาขาใหม่ล่าสุดบนพื้นที่ชั้น 30 อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ สำนักงานเกรดเอสุดทันสมัยแห่งใหม่ โดยสาขาใหม่แห่งนี้นับเป็นสาขาที่ 21 ในประเทศไทยที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ใจกลางเมืองห่างจากรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีเพชรบุรีและรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์สถานีมักกะสันเพียงไม่กี่ก้าว     รีจัส สาขาใหม่ตั้งอยู่บนชั้น 30 อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ที่มีพื้นที่บริการครอบคลุมกว่า 1,134 ตารางฟุต โดยแบ่งเป็นพื้นที่สำนักงานทั้งหมด 73 ห้อง พื้นที่ทำงานกว่า 200 ที่นั่ง และห้องประชุม 2 ห้อง เพื่อรองรับความต้องการขององค์กรธุรกิจและบุคคลทั่วไปที่มองหาพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้อย่างไม่มีที่ใดให้บริการมาก่อน พร้อมดื่มด่ำกับวิวถนนอโศกมนตรีและถนนเพชรบุรีใจกลางกรุงเทพฯ อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับออฟฟิศพร้อมใช้งาน ระบบอินเตอร์เน็ตรองรับการใช้งานทางธุรกิจและบริการโทรศัพท์ รวมถึงห้องครัว บริการทำความสะอาดและพนักงานต้อนรับตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากในการทำงาน และสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานมากยิ่งขึ้น   นอกจากนี้ รีจัสยังนำเสนอบริการเหนือระดับมากกว่าการเป็นเพียงพื้นที่การทำงานแบบเดิมๆ เช่น บริการออฟฟิศเสมือนจริง พร้อมที่อยู่สำหรับส่งเอกสารบนทำเลย่านธุรกิจใจกลางเมือง ตลอดจนบริการให้ความช่วยเหลือผู้ใช้บริการที่ต้องการโยกย้ายพื้นที่ทำงานจากสาขาหนึ่งมายังอีกสาขาหนึ่งของรีจัสที่มีสาขาให้บริการทั่วกรุงเทพฯ รีจัสมีเครือข่ายสำนักงานให้เช่า พื้นที่การทำงานและพื้นที่จัดประชุมสำหรับให้บริการจำนวนถึง 3,300 แห่ง ใน 110 ประเทศทั่วโลก     คุณโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ รีจัส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี เผยว่า “การเปิดตัวรีจัสสาขาที่ 21 ณ อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ เพื่อตอกย้ำว่าย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่นี้ยังคงเป็นทำเลธุรกิจที่ดึงดูดความสนใจทั้งคนไทยและคนต่างชาติ พื้นที่ย่านอโศก-เพชรบุรีเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มวิชาชีพสายงานต่างๆ และคนทำงานยุคดิจิทัลแบบไร้ออฟฟิศที่ต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่การงานในเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว สาขาใหม่นี้สะดวกมากสำหรับเหล่าสตาร์ทอัพ บริษัทขนาดเล็กและกลาง รวมถึงองค์กรขนาดใหญ่และฟรีแลนซ์ต่างๆ ด้วยพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้ สะดวกสบาย ตลอดจนรองรับการทำงานยุคดิจิทัลเป็นอย่างดี”   “การเปิดสาขาใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจของรีจัสในการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่มีศักยภาพ รวมทั้งตอบสนองความต้องการพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศไทย ดังนั้น เราจึงพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงและมอบประสบการณ์การทำงานที่สะดวกสบายและยืดหยุ่นได้ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการเกิดความคิดสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้นในการทำงาน” คุณโนเอล โค้ก กล่าวเสริม     สิงห์ คอมเพล็กซ์ คือ อาคารมิกซ์ยูสชั้นนำแห่งใหม่เกรดเอ สูง 42 ชั้น ที่รายล้อมไปด้วยสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากมายด้วยทำเลที่ตั้งนำเสนอที่สุดแห่งความสะดวกสบายสำหรับผู้เช่าและผู้มาเยือนไล่เรียงตั้งแต่โรงแรมระดับห้าดาวไปจนถึงศูนย์การประชุมระดับโลก ศูนย์การค้าระดับพรีเมี่ยมไปจนถึงตลาดนัด และร้านค้าชุมชน อาคารแห่งนี้จึงสะท้อนการใช้ชีวิตแบบคนเมืองในเมืองที่มีพลวัตสูงได้เป็นอย่างดี   สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ รีจัส ณ สิงห์ คอมเพล็กซ์หรือสนใจเยี่ยมชมพื้นที่สำนักงานให้เช่า สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.regus.co.th          
พฤกษา เตรียมโอนคอนโด “เดอะทรี” 4 โครงการ พร้อมเปิดชม “เดอะทรี สุขุมวิท 71 เอกมัย”

พฤกษา เตรียมโอนคอนโด “เดอะทรี” 4 โครงการ พร้อมเปิดชม “เดอะทรี สุขุมวิท 71 เอกมัย”

พฤกษา เตรียมโอนคอนโดมิเนียมเดอะทรี 4 ทำเล ในปี 2562  มูลค่าเกือบ 5 พันล้าน ลุยเปิดโครงการใหม่ พร้อม เปิดชมห้องจริง วิวจริง “เดอะทรี สุขุมวิท 71 เอกมัย” ทำเลใกล้ใจกลางเมือง สูง 33 ชั้น ชูไฮไลท์จุดชมวิว “Observation Deck” ระเบียงแก้วกลางอากาศ เตรียมส่งมอบลูกค้าเดือนกุมภาพันธ์นี้   นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท - แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ ในปี 2562 บริษัทมีคอนโดมิเนียมในกลุ่มธุรกิจแวลูแบรนด์ “เดอะทรี” ที่เตรียมพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าจำนวน 4 โครงการได้แก่ เดอะทรี สุขุมวิท 71 เอกมัย, เดอะทรี จรัญสนิทวงศ์ 30, เดอะทรี ลาดพร้าว 15 และ เดอะทรี ดินแดง ราชปรารภ มูลค่า 4,816 ล้านบาท  โดยแบรนด์เดอะทรี เป็นคอนโดมิเนียมระดับราคา 2-5 ล้านบาท เน้นทำเลที่อยู่ในเมือง ใกล้รถไฟฟ้า  ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมการอยู่อาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้มากกว่าคอนโดในระดับราคาเดียวกัน  ซึ่งมีการทำการตลาดรูปแบบใหม่ (New Marketing Approach) และเพิ่มช่องการทางขายด้วยการเปิดให้จองออนไลน์ (Online Booking)  สอดรับกับยุคดิจิทัล ซึ่งนำมาใช้กับโครงการเดอะทรี ดินแดง ราชปรารถ เป็นโครงการแรกและสามารถปิดการขายได้ในเพียง 10 นาที  โดยคอนโดมิเนียมเดอะทรีทุกโครงการที่เปิดขายได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าตั้งแต่ในช่วงเปิดพรีเซล ปัจจุบันสามารถปิดการขายได้เกือบ 100% ทุกโครงการแล้ว  ด้านแผนการเปิดคอนโดมิเนียมของกลุ่มธุรกิจพฤกษาแวลูในปีนี้ มีการเตรียมที่ดินเพื่อพัฒนาไว้แล้วในหลายทำเล และเพื่อเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแบบใหม่ (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ในปีนี้ จึงปรับโครงการเป็นคอนโดมิเนียมที่มีรอบธุรกิจ 1-2 ปี เพื่อยืดระยะเวลาผ่อนดาวน์ให้มากขึ้น”   นายธิติพัฒน์ อดิลักษณ์ธราดล กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม 1 บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ได้เตรียมส่งมอบโครงการ “เดอะทรี สุขุมวิท 71-เอกมัย” คอนโดมิเนียมสูง 33 ชั้น พื้นที่โครงการกว่า 3 ไร่  จำนวน 886 ยูนิต  มูลค่าโครงการรวม 2,600 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ 100%  จุดเด่นโครงการอยู่ที่ทำเลซึ่งอยู่ในแหล่งชุมชน ใกล้ใจกลางเมือง สามารถเชื่อมต่อไปย่านใจกลางธุรกิจอโศกหรือสุขุมวิทได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS สถานีพระโขนง ใกล้แอร์พอร์ตลิ้งค์สถานีรามคำแหงเพียง 300 เมตร นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากถึง 3 โซน ที่ดีไซน์มาเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าครบทุกมิติการใช้ชีวิต และสามารถใช้งานได้จริงทุกฟังก์ชั่น โดยไฮไลท์ของโครงการคือจุดชมวิว “Observation Deck”ที่เป็นระเบียงแก้วกลางอากาศ และมีพื้นกระจกใสบนชั้นดาดฟ้า ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแห่งแรกของพฤกษาที่สามารถชมวิวเมืองได้ถึง 720 องศา โดยลูกค้าที่สนใจสามารถแวะชมโครงการ ห้องจริง วิวจริงได้แล้วตั้งแต่วันนี้”              
แสนสิริประกาศวิสัยทัศน์ FOR GREATER WELL-BEING กำหนดทิศทางอสังหาฯยุคใหม่ ยืนหนึ่งผู้นำด้านการออกแบบและสร้างนวัตกรรม

แสนสิริประกาศวิสัยทัศน์ FOR GREATER WELL-BEING กำหนดทิศทางอสังหาฯยุคใหม่ ยืนหนึ่งผู้นำด้านการออกแบบและสร้างนวัตกรรม

แสนสิริประกาศวิสัยทัศน์ FOR GREATER WELL-BEING กำหนดทิศทางอสังหาฯยุคใหม่ ยืนหนึ่งผู้นำด้านการออกแบบและสร้างนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย รับกระแสผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพ-สิ่งแวดล้อม เตรียมเปิดตัว “Dust-free House” บ้านปลอดฝุ่นครั้งแรกของเมืองไทยปีนี้ พร้อมวางแผนเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนด้วยยอดขาย 3 ปีรวมกว่า 160,000 ล้านบาท   บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ประกาศให้ปี 2561 เป็นปีแห่งความสำเร็จสูงสุด #SansiriBestYearEver ด้วยยอดขายสูงสุดในรอบ 34 ปี 48,500 ล้านบาทโตขึ้น 25% และยอดขายต่างชาติอันดับหนึ่งของประเทศ 14,000 ล้านบาท สูงขึ้น 51% พร้อมเดินหน้าวิสัยทัศน์ For Greater Well-being สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตลอดปี 2562ต่อยอดกลยุทธ์ Green & Well-being สู่ทุกโครงการใหม่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยทุกมิติ ประกาศมาตรการต่อสู้มลภาวะและฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างจริงจัง ด้วยการเปิดตัว “Dust-free House” บ้านปลอดฝุ่นครั้งแรกในประเทศในปีนี้ ตอกย้ำภาพลักษณ์ของแสนสิริในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม พร้อมเคาะแผนเปิดตัว 28 โครงการใหม่รวมมูลค่ากว่า 46,600 ล้านบาท ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ภายใต้คุณภาพระดับ Best in Class ทุกประเภท ทุกระดับราคา ควบคู่กับการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ระบุดีมานด์ที่อยู่อาศัยปีนี้ยังมีแต่ลูกค้าจะเลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้มากขึ้น ซึ่งแสนสิริมั่นใจว่าจะมีลูกค้าใหม่ที่เป็น Real-demand มาซื้อโครงการแสนสิริมากขึ้น เหตุเชื่อมั่นในคุณภาพและการดูแล หลังเข้าอยู่อาศัย พร้อมวางเป้าเติบโตแบบยั่งยืนด้วยยอดพรีเซลรวม 3 ปี (2561 – 2564) ทะลุเป้า 1.6 แสนล้าน   นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “ปี 2561 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ถือว่าดีที่สุดของในการดำเนินธุรกิจของแสนสิริมาตลอด 34 ปีที่ผ่านมาหรือ Sansiri Best Year Ever จากความสำเร็จรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดกว่า  65,200 ล้านบาทจาก 25 โครงการ ยอดพรีเซลปี 2561 กว่า 48,500 ล้านบาทสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยเติบโตกว่าปี 2560 ที่อยู่ที่ 38,500 ล้านบาทถึง 25% รวมถึงยอดขายต่างชาติกว่า 14,000 ล้านบาทเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาถึง 51% หรือเติบโตกว่า 5 ปีก่อนถึง 10 เท่า ซึ่งแสนสิริครองอันดับหนึ่งยอดขายต่างชาติสูงสุดมาต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันแสนสิริยังมียอด Backlog รวมกว่า 63,500 ล้านบาทที่จะช่วยการันตียอดรับรู้รายได้อันแข็งแกร่งในอีก 3 ปีข้างหน้า”   ปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้เราสามารถบรรลุเป้าหมาย Sansiri Best Year Ever ในปี 2561 คือการตอบรับที่ดีของลูกค้าในทุกประเภทที่อยู่อาศัยและทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านเดี่ยวเติบโตขึ้นถึง 34 % กลุ่มทาวน์เฮาส์เติบโต 77% และกลุ่มคอนโดมิเนียมเติบโตกว่า 20% ทั้งนี้ โครงการที่ได้รับการตอบรับดีเกินเป้าหมายเมื่อปีที่ผ่านมา อาทิ บ้านแสนสิริที่กวาดยอดขายไปกว่า 75%ของมูลค่าโครงการทั้งหมดภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือนซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ซัวรี่ของเมืองไทย การเปิดตัวคอนโดมิเนียมไลฟ์สไตล์เพื่อคนรุ่นใหม่อย่าง XT ที่มูลค่าการเปิดตัว 3 โครงการรวมกว่า 21,000 ล้านบาทแต่ก็สามารถขายได้ถึง 12,000 ล้านบาทภายใน 3 เดือน รวมทั้งทาวน์เฮ้าส์แบรนด์ใหม่ “สิริ เพลส” ที่ยอดขายดีจนสามารถดันยอดขายทาวน์เฮ้าส์ให้โตขึ้นกว่าปี 2559 ได้ถึง 3 เท่า ขณะที่ยอดขายจากตลาดต่างจังหวัดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จของปีที่ผ่านมาด้วยยอดขายถึง 12,000 ล้านบาทหรือคิดเป็น 25% ของยอดขายรวมทั้งหมด เติบโตขึ้นกว่าปีก่อนถึง 51%   คุณวันจักร์กล่าวต่อว่า “ในปี 2562 นี้ แสนสิริมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 28 โครงการรวมมูลค่ากว่า 46,600 ล้านบาท ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 12 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 22,400 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 9 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 18,700 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ 7 โครงการรวมมูลค่า 5,500 ล้านบาท ซึ่งมุ่งเน้นเปิดตัวโครงการระดับกลาง (Medium Segment)และระดับราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น (Affordable Segment) โดยคิดเป็นสัดส่วนรวม 96% ของมูลค่าการเปิดตัวโครงการทั้งหมด พร้อมตั้งเป้าพรีเซลปีนี้ไว้ที่ 36,000 ล้านบาทและเป้าโอนรวมที่ 32,000 ล้านบาท รวมทั้งวางเป้าหมายระยะยาว 3 ปี ในการสร้างยอดพรีเซลรวมกว่า 160,000 ล้านบาทระหว่างปี 2562-2564”   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 ยังคงเติบโตแต่อาจจะชะลอตัวบ้างในส่วนของการซื้อเพื่อลงทุนของลูกค้าคนไทย แต่อย่างไรก็ตาม แสนสิริเชื่อว่าการซื้อเพื่ออยู่เองจะยังคงโตในระดับเดียวกับปีก่อน ทั้งนี้ จากการแข่งขันด้านราคาและการพัฒนาโครงการของทุกผู้ประกอบการในปีนี้ ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ซึ่งแสนสิริเชื่อมั่นว่าปี 2562 นี้จะเป็นปีที่ได้เปรียบทางธุรกิจของบริษัท เพราะลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่เองจะเลือกแบรนด์ใหญ่ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพและบริการหลังการขายมากกว่าแบรนด์เล็กเพราะเป็นการซื้อเพื่ออยู่เองในระยะยาว นอกจากนั้น แสนสิริเชื่อมั่นว่ายอดโอนโครงการของแสนสิริในปีนี้จะเป็นไปได้ดีตามเป้าเพราะมียอดพรีเซลที่รอการรับรู้รายได้ในระดับสูงจากลูกค้าที่มีคุณภาพและกำลังซื้อจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าชาวจีนและชาวต่างชาติ ที่วางเงินดาวน์สูงและเชื่อมั่นในศักยภาพการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อผลตอบแทนระยะยาว”   คุณอุทัย กล่าวต่อถึงกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจปี 2562 ว่า แสนสิริให้ความสำคัญและลงลึกในทุกรายละเอียด  ของความต้องการของผู้บริโภคเพื่อเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตของลูกค้าเสมอมา โดยปีนี้แสนสิริมองเห็นเทรนด์และความต้องการในการอยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไปของคนยุคปัจจุบันที่มีความตื่นตัวในเรื่องการดูแลสุขภาพและปัญหาสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น จึงวางวิสัยทัศน์ For Greater Well-being เพื่อต่อยอด 2 แนวคิด Green & Well-being มาประยุกต์ใช้กับทุกโครงการใหม่ของแสนสิริ นำร่องด้วยโครงการเศรษฐสิริ ทวีวัฒนา บ้านเดี่ยวภายใต้คอนเซปต์ Well-being โครงการแรกของแสนสิริที่จะเปิดตัวในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ รวมทั้งเตรียมเปิดขายอย่างเป็นทางการ Wellness Residence คอนโดมิเนียมสำหรับคนรักสุขภาพแห่งแรกของไทยบนทำเลศักยภาพกรุงเทพกรีฑา ที่จะเปิดมิติใหม่แห่งการอยู่อาศัยที่สามารถดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ตลอดจนจะรุกแบรนด์บุราสิริมากขึ้นด้วย เพราะเล็งเห็นดีมานด์คนในกรุงเทพที่อยากได้บ้านสไตล์รีสอร์ตเพื่อเติมเต็มสุขภาพกายและสุขภาพใจ นอกจากนั้น แสนสิริยังวางแผนที่จะสร้างปรากฎการณ์ใหม่แก่วงการอสังหาฯด้วยการเปิดตัว “บ้านปลอดฝุ่น” หรือ Dust-free House ครั้งแรกของเมืองไทยภายในปีนี้และประกาศนโยบายรับผิดชอบต่อสังคมอย่างจริงจังผ่านการลดการใช้พลังงานและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมโลกในทุกขั้นตอน   ด้านการพัฒนาโครงการใหม่ในปี้นี้จะมุ่งเน้นกลยุทธ์ Diversification ที่จะนำเสนอหลากหลายประเภทโครงการที่อยู่อาศัยมากขึ้น ครอบคลุมในทุกระดับราคาและทุกทำเลทั่วประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีสัดส่วนการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เพิ่มมากขึ้นใน    ปีนี้เพื่อรองรับดีมานด์การอยู่อาศัยเอง นำโดยแบรนด์เศรษฐสิริที่เป็นบ้านเดี่ยวตอบโจทย์ลูกค้าระดับบนที่ต้องการบ้านขนาดใหญ่เพื่อครอบครัวขยาย และแบรนด์สิริ เพลสทาวน์เฮ้าส์สำหรับผู้ที่อยากมีบ้านหลังแรกในราคาที่จับต้องได้แต่ยังได้ส่วนกลางมาตรฐานแสนสิริและฟังก์ชั่นการใช้งานบ้านที่ให้มากกว่าทาวน์เฮ้าส์โดยทั่วไป ขณะที่คอนโดมิเนียมก็จะมีการเปิดตัวโครงการในทุกระดับราคาและหลายทำเลเช่นกัน   คุณอุทัย กล่าวต่อว่า “แสนสิริยังมุ่งมั่นที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ทั้งในประเทศและในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถครองใจลูกค้าต่างชาติได้ในทุกเซกเมนต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ โดยปีนี้เราเปิด SIRI HOUSE  ที่สิงคโปร์และที่เมืองไทยด้วยหวังเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการถ่ายทอดประสบการณ์                การใช้ชีวิตแบบแสนสิริให้ลูกค้าได้สัมผัส ตลอดจนเราจะสร้างความแข็งแรงให้กับโครงการปัจจุบันด้วยการเปิดตัว Sansiri Club Collection ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มโครงการที่เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ และ Sansiri Luxury Collection การรวมกลุ่มโครงการระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างเอกลักษณ์ในการสื่อสารการตลาดผ่านวิธีการและแคมเปญที่เหมาะสมกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละกลุ่มมากยิ่งขึ้น   นอกจากนั้น ในปีนี้แสนสิริจะเดินหน้านำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในพัฒนาการดำเนินธุรกิจให้มากขึ้นเพื่อความสะดวกสบายของลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำนวัตกรรมมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาความปลอดภัยในการอยู่อาศัยก็เป็นอีกจุดแข็งของแบรนด์ที่แสนสิริต้องการที่จะเน้นย้ำ ในปีนี้เช่นกันเพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภค นอกจากนั้น แสนสิริจะรุก ในการสร้างองค์กรที่มีความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนด้วยการนำการทำงานแบบ Agile มาใช้สนับสนุนการทำงานของคนรุ่นใหม่ให้มีประสิทธิภาพ  รวมทั้งสานต่อ Sansiri Green Mission ตลอดจนการช่วยเหลือเด็กไทยและต่างชาติอย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรม Social Change และการเป็น UNICEF’s Selected Partner องค์กรแรกและองค์กรเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   “แสนสิริเชื่อมั่นว่าแนวคิด For Greater Well-being ที่แสนสิริมุ่งมั่นในการมอบรูปแบบและนวัตกรรมการอยู่อาศัยที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในปี 2562 นี้ จะสร้างความโดดเด่นและแตกต่างให้กับแบรนด์แสนสิริในฐานะบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าใจความต้องการผู้บริโภคในทุกยุคทุกสมัยอย่างแท้จริง ตลอดจนเป็นผู้เซตมาตรฐานการพัฒนาที่อยู่อาศัยของประเทศไทยเพื่อคุณภาพการชีวิตที่ดีขึ้นของลูกค้าและเพื่อโลกที่ดีขึ้นของเราได้” คุณอุทัย กล่าวสรุป          
“ยูนิเวนเจอร์” เผยผลประกอบการ ประจำปี’61 รายได้รวม 20,994 ล้านบาท

“ยูนิเวนเจอร์” เผยผลประกอบการ ประจำปี’61 รายได้รวม 20,994 ล้านบาท

บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV เผยภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2561 (ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2560 ถึง 30 กันยายน 2561) โดยมียอดรายได้รวม 20,994 ล้านบาท เติบโต 16% จากช่วงเดียวกันของปี 2560 มีผลกำไรสุทธิส่วนของบริษัทอยู่ที่ 1,006 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้หลักในปี 2562 (ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2561 ถึง 30 กันยายน 2562) กว่า 25,800 ล้านบาท และมีแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้กว่า 31 โครงการ พร้อมรุกเสริมความแข็งแกร่งธุรกิจ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน   นายวรวรรต ศรีสอ้าน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ประจำปี 2561 ว่าบริษัทฯ มีรายได้รวม 20,994 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 16,812 ล้านบาท ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า และโรงแรม 1,688 ล้านบาท ธุรกิจอื่น (รวมธุรกิจสังกะสีออกไซด์) 2,373 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ 121 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัท 1,006 ล้านบาท “ในปีงบประมาณ 2561 รายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายทั้งในแนวราบและแนวสูงซึ่งอยู่ในธุรกิจการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 14,053 ล้านบาท โดยมาจากโครงการของกลุ่มแผ่นดินทอง จำนวน 38 โครงการ และรายได้จากโครงการแนวสูง 2,759 ล้านบาท จาก 8 โครงการของ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY   นอกจากนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) รวมทั้งสิ้น 10,200 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 7,000 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 3,200 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปี 2562 จำนวน 9,700 ล้านบาท (จากโครงการแนวราบ 7,000 และโครงการแนวสูง 2,700) หรือคิดเป็น 45% ของเป้ารายได้อสังหาริมทรัพย์เพื่อขายปี 2562 ที่ 21,400 ล้านบาท ในปี 2562 บริษัทฯ วางแผนเปิดโครงการแนวราบใหม่จำนวนกว่า 25 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 28,600 ล้านบาท และโครงการแนวสูงใหม่ จำนวน 6 โครงการ มูลค่าโครงการไม่น้อยกว่า 9,600 ล้านบาท” นายวรวรรต กล่าว   นายวรวรรต กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีงบประมาณ 2562 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้หลักอยู่ที่ 25,800 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายคิดเป็นสัดส่วนประมา ณ 83% ทั้งนี้มาจากโครงการแนวราบประมาณ 70% และมาจากโครงการแนวสูงประมาณ 13% รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าและโรงแรมประมาณ 7% ธุรกิจอื่นๆ (รวมธุรกิจสังกะสีออกไซด์) ประมาณ 10%” ล่าสุด จากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2562 ได้มีมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ UV และ GOLD อนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มเติม ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท (UV 2,000 ล้านบาท และ GOLD 3,000 ล้านบาท)   ทั้งนี้ ในปี 2562 บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งตลอดทั้งภาพรวม เพื่อประสิทธิภาพและความพร้อมในการขับเคลื่อนองค์กร เพื่อการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกัน (Towards Sustainable Growth) โดยเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการตามกลยุทธ์หลัก 3 ปี ที่เราให้ความสำคัญ (Core Strategy 2018 - 2020) ทั้ง 5 ส่วน ให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น การ “Optimization” ความหลากหลายที่เรามี เพื่อสร้างประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น ล่าสุด ธุรกิจสังกะสีออกไซด์ มีการเติบโตถึง 30 % จากปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นการเติบโตที่ดีที่สุด และขณะนี้มีกำลังการผลิต (capacity) เต็มจำนวน พร้อมกับวางแผนในการเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่ยังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น “Diversification” ไปที่โครงการรูปแบบใหม่ ๆ นอกเหนือจากบ้านเดี่ยวหรือคอนโดมิเนียม อย่างเช่นล่าสุด บริษัทฯ ได้ลงทุนในการพัฒนาโครงการประเภทโรงแรม ณ จังหวัดบุรีรัมย์ ภายใต้ชื่อ Modena อีกทั้งยัง Diversified ต่อไปอีกในเรื่องของการทำ Service ต่าง ๆ นอกเหนือจากสินค้าเพื่อขายหรือเช่า เช่น การมีบริษัทมืออาชีพในการบริหารจัดการสินทรัพย์ หรือจัดการอสังหาริมทรัพย์ การมี โบรคเกอร์ในการดูแลการปล่อยเช่าหรือการสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงการบริการที่ครอบคลุมทั้งในช่วงการเตรียมการ และระหว่างการก่อสร้างเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการมองทั้ง “Supply Chain” เพื่อต่อยอดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรและการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งวิเคราะห์และมองหาโอกาสที่ใช่ตลอดทั้งระยะทาง บนพื้นฐานสำคัญของ Entry Point และExit Point ที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับ “Synergy” ธุรกิจที่ครอบคลุมในด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่น งานที่บริษัท ฟอร์เวิร์ด ซิสเต็ม และ บริษัท อะเฮดออล จำกัด (AHEADALL COMPANY LIMITED) ที่ขายงานระบบเข้าโครงการรวมถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “Opportunistic Investment” การขับเคลื่อนโอกาส (Opportunity) และพร้อมที่จะรองรับโอกาสใหม่ๆ ที่เห็นเป็นรูปธรรม อาทิ การเข้าลงทุนใน บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ซึ่งเป็นธุรกิจบริหารโครงการ บริหารการก่อสร้าง รวมถึงออกแบบสถาปัตยกรรมโครงสร้าง โดยมีภาพรวมผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องในเชิงของการรับรู้รายได้ ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ต่อปี   “นอกจากการเติบโตในแง่ตัวเลขผลประกอบการ เรายังมุ่งหวังที่จะเพิ่มการบริหารงานให้แข็งแกร่ง พร้อมกับให้ความสำคัญในการจัดการในทุก ๆ ด้าน รวมถึงการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความโปร่งใส หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี และความรับผิดชอบที่มีต่อผู้มีส่วนได้เสีย สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการยืนยันในคุณภาพจากหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยในรอบบัญชีปี 2561 บริษัทปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจอย่าเคร่งครัดรวมถึงได้นำหลักการกำกับกิจการที่ดีสำหรับบริษัทจดทะเบียนปี 2560 (Corporate Governance Code : CG Code) ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับธุรกิจและบริบทของกลุ่มบริษัทอย่างเหมาะสม โดยบริษัทได้ดำเนินการทบทวนและปรับปรุงกฎบัตร นโยบาย จรรยาบรรณทางธุรกิจ ตลอดจนดำเนินการต่างๆ ให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของ CG Code และหลักเกณฑ์ตามโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies : CGR) ส่งผลให้บริษัทได้รับผลการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน ประจำปี 2561 ในระดับ “ดีเลิศ” ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 และได้รับผลการประเมินคุณภาพการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 จำนวน 99 คะแนน   นอกจากนี้ ล่าสุด บริษัทฯ ยังได้ประกาศเจตนารมณ์เข้าร่วมต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นในโครงการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต โดยมีเป้าหมายยื่นขอการรับรองเป็นสมาชิกแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริตจากคณะกรรมการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริตให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนดต่อไป ซึ่งจากภาพรวมในการพัฒนาดังกล่าวทั้งหมด เชื่อมั่นว่าเราจะก้าวสู่ครบรอบ 40 ปีในการดำเนินธุรกิจ ในปี 2563 นี้ ด้วยความแข็งแกร่งและยั่งยืน” นายวรวรรต กล่าวในตอนท้าย          
พราวฯดันหัวหิน “สปอร์ต เดสทิเนชั่น” ปี 62 ทุ่มงบกว่า100 ล้านจัดอีเอ้นท์ใหญ่

พราวฯดันหัวหิน “สปอร์ต เดสทิเนชั่น” ปี 62 ทุ่มงบกว่า100 ล้านจัดอีเอ้นท์ใหญ่

“พราว เรียลเอสเตท” ทุ่มงบการตลาดกว่า 100 ล้านบาท จัดอีเว้นท์กีฬาระดับอินเตอร์ฯ ตลอดทั้งปี หวังดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก สานแผนดันหัวหินเป็น “สปอร์ต เดสทิเนชั่น” ล่าสุดจับมือธนาคารไทยพาณิชย์ ปรับปรุง SCB Center Court ภายใน ทรู อารีน่า หัวหิน ยกระดับเป็นสนามเทนนิสที่มีมาตรฐานสากล พร้อมประเดิมรายการแรกกับการแข่งขันเทนนิสหญิงของโลก ระหว่าง 28 มกราคม–3กุมภาพันธ์ 2562  นี้   พราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ เปิดเผยว่า พราว เรียลเอสเตท จะเดินหน้าแผนการผลักดันหัวหินให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (สปอร์ต เดสทิเนชั่น) อย่างจริงจัง โดยในปีนี้จะใช้งบการตลาดมากกว่า 100 ล้านบาท เน้นจัดกิจกรรมระดับอินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อให้เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามา โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าหัวหินมากกว่าปีก่อน 12% ซึ่งตลาดจีนยังคงมาแรงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น   กิจกรรมที่จัดขึ้นจะมีทั้งรายการแข่งขันกีฬาระดับโลก เช่น งานโปโล  ASIAN BEACH POLO 2019, Golf Tournament, งานวิ่งมาราธอน  HUAHIN GRAND MARATHON, งานปั่นจักรยาน BIKE & SHOOT 2019  และงานอีเว้นท์ด้านไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ล่าสุด ประเดิมเปิดสนาม SCB Center Court กับการกลับมาของรายการแข่งขันเทนนิสหญิงของโลก “ดับเบิลยูทีเอ อินเตอร์เนชั่นแนล ซีรีส์ ทัวร์นาเมนต์” รายการ “โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2019 พรีเซนเต็ด บาย อีเอ” ชิงเงินรางวัลรวมกว่า  250,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8 ล้านบาท โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มกราคม-3 กุมภาพันธ์ 2562   “ปัจจุบันเราใช้กีฬาเป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาหัวหิน เพราะมองว่ากีฬาไม่ใช่แค่กระแสที่มาในระยะสั้นเท่านั้น แต่กีฬาจะอยู่กับคนทุกยุคทุกสมัย สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย เช่นฟุตบอล และเทนนิส ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลายกลุ่ม รวมทั้งกีฬาโปโล ก็จะเข้าถึงกลุ่มคนในอีกกลุ่มหนึ่ง โดยงานต่างๆ ที่จัดจะอยู่ในพื้นที่ของ พราว เรียลเอสเตท เช่น ทรู อารีน่า หัวหิน, สวนน้ำ วานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล, โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลหัวหิน รีสอร์ท, ฯลฯ เป็นต้น” คุณพราวพุธ กล่าว   ฯพณฯ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาการจัดการแข่งขันเทนนิสหญิง “โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2019 พรีเซนเตด็ บาย อีเอ”  กล่าวว่าปัจจุบันการแข่งขันกีฬาถือเป็นแรงขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย และส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม มีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติสนใจ และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ มาสู่หัวหิน การได้จัดการแข่งขันทัวร์นาเมนต์สำคัญระดับโลกอย่างการแข่งขันเทนนิสหญิง  “โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2019 พรีเซนเตด็ บาย อีเอ” ไม่เพียงช่วยสร้างรายได้สู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศจากการหลั่งไหลเข้ามาของผู้ร่วมงาน คณะผู้จัดการ และผู้เข้าชมการแข่งขันเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศได้อย่างมหาศาลจากการได้แพร่ภาพสถานที่ท่องเที่ยวผ่านรายการแข่งขันกีฬาไปทั่วโลก     ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการแข่งขันกีฬาระดับโลกที่จะทยอยเข้ามา พราว เรียล เอสเตท ผู้บริหารโครงการ ทรู อารีน่า หัวหิน จึงได้จับมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ปรับปรุงสนามจัดการแข่งขัน SCB Centre Court โดยเพิ่มอัฒจรรย์ผู้ชมสำหรับเซ็นเตอร์คอร์ต ซึ่งต้องให้ได้มาตรฐานระดับสากล สามารถจุได้ถึง 2,500 ที่นั่ง ออกแบบหลังคาให้เป็นรูปหน้าจั่วแบบสถาปัตยกรรมแบบไทยเพื่อให้คงเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้ พร้อมด้วยหลังคาผ้าใบสลับซ้อนเป็นสีขาวโปร่งทำให้สามารถระบายความร้อนได้ดี ซึ่งใช้งบประมาณในการปรับปรุงครั้งนี้กว่า 20 ล้านบาท   “หลังจากจบการแข่งขัน โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2019 พรีเซนเต็ด บาย อีเอ แล้วสนาม SCB Centre Court  จะใช้ในการแข่งขันเทนนิสในรายการอื่นๆ ต่อไป จึงคาดว่าสนามแห่งนี้จะเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามามากขึ้นด้วย” นายสุวัจน์กล่าวเพิ่มเติม   นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่สนามเทนนิสมีระบบ ELC (Electronic line calling) เพื่อย้อนดูภาพการตกของลูกเทนนิสในสนาม ในจังหวะที่บางครั้งสายตาของมนุษย์ไม่สามารถมองได้ทัน พร้อมไฟส่องสว่างที่คอร์ตเทนนิสที่ออกแบบมาพิเศษเงาไม่บังผู้ตีในตอนกลางคืน  นอกจากนี้ยังมีส่วนของห้องใต้อัฒจรรรย์ ซึ่งเป็นห้องนักกีฬา และห้องอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับผู้มาใช้สนาม   ด้านนายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “สนาม SCB Centre Court แห่งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันวงการกีฬาเทนนิสไทย สร้างนักเทนนิสรุ่นใหม่ให้ก้าวไกลไปอีกระดับ และไทยพาณิชย์พร้อมจะสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาทุกคน และหวังว่าเราจะได้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์ปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ให้กับวงการกีฬาไทยด้วยกันอีกในอนาคต”        
ออริจิ้นฯ เตรียมเปิด “Knightsbridge สุขุมวิท-เทพารักษ์” รับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง

ออริจิ้นฯ เตรียมเปิด “Knightsbridge สุขุมวิท-เทพารักษ์” รับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง

การลงทุนโครงข่ายระบบรถไฟฟ้า และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-บางกะปิ-สำโรง) ระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) เป็นอีกโครงการที่มาเติมเต็มโครงข่ายขนส่งมวลชน กรุงเทพฯโซนตะวันออก เป็นเส้นทางเชื่อมกรุงเทพฯตอนบนกับตอนล่าง นับตั้งแต่ถนนลาดพร้าว บางกะปิ ศรีนครินทร์ และเทพารักษ์  เมื่อบวกกับปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ เช่น ชุมชนขยายตัวและศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่เป็นตัวเพิ่มศักยภาพที่น่าสนใจ ทำให้ตลอดแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่มีระยะทาง 30.4 กม. รวม 23 สถานี นายกฯพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานพิธีกดปุ่มสร้างปลายเดือนสิงหาคม 2561 มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จเปิดให้บริการปี 2564 คาดการณ์จะมีผู้โดยสารให้บริการประมาณ 220,000 คน-เที่ยวต่อวัน ส่งผลเกิดการลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยคึกคัก   “ไนท์บริดจ์ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ” (Knightsbridge Sukhumvit-Theparak) คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด!!  ที่ บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เจ้าของโครงการยืนยันว่าเป็นโครงการบนถนนเทพารักษ์ ทำเลศักยภาพที่พร้อมเจิดจรัส เพียง 0 เมตรจากสถานี MRT ทิพวัล และเชื่อมต่อกับสถานี Interchange สำโรง (สายสีเขียวสุขุมวิท) เพียง 1 สถานี เชื่อมต่อถนนเส้นหลักถึง 2 เส้นทั้งสุขุมวิทและศรีนครินทร์     โครงการ “ไนท์บริดจ์ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ” ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 1ไร่ พัฒนาเป็นอาคารสูง 35 ชั้น 1อาคาร จำนวน 474 ยูนิต และ 1Shop  มีห้องให้เลือกตั้งแต่ขนาดพื้นที่ 23 - 55 ตารางเมตร(ตร.ม.) ราคาขายเฉลี่ยที่ 90,000 บาทต่อตร.ม.  มูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,490 ล้านบาท มีที่จอดรถ Auto Parking 49% กำหนดเริ่มก่อสร้าง ปี 2562 คาดแล้วเสร็จในปี 2564  (อาคารจะสร้างเสร็จพร้อมรถไฟฟ้าเปิดใช้งาน) โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะเป็นกลุ่มพนักงานบริษัทแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และ โซนเทพารักษ์,บางนา,บางพลี,สมุทรปราการ เจาะกลุ่มคนที่มีระดับรายได้ 35,000 บาทต่อเดือนโดยประมาณ   โครงการดังกล่าวออกแบบโดยบริษัท โบว์มอนท์ พาร์ทเนอร์ส จำกัดหนึ่งในผู้ออกแบบที่อยู่อาศัยที่มีความคิดสร้างสรรค์ และมีผลงานมากมายเป็นที่ยอมรับและรู้จักกันดีในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์ของบริษัทผู้ออกแบบผสานกับความเป็นผู้เชี่ยวชาญมีฐานข้อมูลด้านการตลาดของ ออริจิ้น ฯ จึงสร้างความโดดเด่นในโครงการทุกพื้นที่การอยู่อาศัยรวมถึงพื้นที่ส่วนกลางที่โดดเด่น ชั้นบนสุด Rooftop Facility สวนชั้นดาดฟ้า พร้อมจุดชมวิวได้รอบทิศ 360 องศา อีกทั้งยังตอกย้ำจุดเด่นแบรนด์ Knightsbridgeให้แตกต่างจากโครงการการอื่นในย่านเดียวกันนั่นคือ จะเน้นไปที่ความพรีเมี่ยมของทำเล จำนวนยูนิตไม่มากนัก และรวมไปถึงความเป็นส่วนตัวในการใช้พื้นที่ส่วนกลางได้เต็มอิ่มในราคาที่จับต้องได้  มีระบบรักษาความปลอดภัย กล้องวงจรปิด CCTV 24 ชั่วโมง ปัจจุบันเปิดรับลงทะเบียนสำหรับรับข่าวสารข้อมูลโครงการแล้วที่ www.origin.co.th หรือ http://www.origin.co.th/register/knightsbridge-sukhumvit-thepharak หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 020-300-000     นอกจากนี้ยังมีอีก 5 ปัจจัยสำคัญที่นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ กรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท ออริจิ้น ฯ บอกว่าเป็นเหตุผลที่บริษัทฯเลือกลงทุนพัฒนาโครงการ “ไนท์บริดจ์ สุขุมวิท-เทพารักษ์” บนถนนเทพารักษ์ที่มีความโดดเด่นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต นั่นคือ   โครงการอยู่ติดกบรถไฟฟ้าสถานีเทพารักษ์ 0 เมตรและเชื่อมต่อกับ interchange สายสีเขียว สถานีสำโรง ซึ่งมีโครงสร้างและแนวโน้ม ในการรับผลประโยชน์จากการพัฒนาของที่ดินได้ทั้งสองสาย ถนนเส้นนี้เป็น 1 ใน ถนนเพียง 3 สายบนแนวรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทที่เป็นถนน 4 เลน และ มีรถไฟฟ้าตัดผ่านกลางซอย ทำเลเทพารักษ์อยู่เชื่อมต่อ ถนน เส้นหลักถึง 2 เส้น (สุขุมวิท และ ศรีนครินทร์) รวมไปถึงตัวโครงการที่ตั้งอยู่บนถนนหลัก (8 เลน) ที่สามารถรองรับการพัฒนาของที่ดินรวมไปถึงการลงทุนต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ การขยายตัวของทำเลสุขุมวิท ลูกค้าต่างชาติทั้งเอเซียและยุโรปมีความต้องการห้องพักอาศัยในเมืองใกล้แนวรถไฟฟ้าในทำเลเที่เดินทาง สะดวกและอุดมสมบูรณ์ในราคาค่าเช่าที่ถูกลงพร้อมกับการขยายตัวของแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสีเหลืองที่เชื่อมต่อจุด Interchangeบางนา-สุวรรณภูมิ มีการเจริญเติบโตในด้านการลงทุนต่างๆ ทั้งที่พักอาศัย,Community Mall,โรงแรม และ โรงเรียนนานาชาติ   ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้งโครงการที่อุดมไปด้วยห้างสรรพสินค้าและ Avenue ชั้นนำ พร้อมความสะดวกสบายในการเดินทางบนถนนเทพารักษ์ที่เป้นถนนที่มีความกว้างถึง 8 เลนเชื่อมกับถนนหลัก 2 เส้นทางทั้งสุขุมวิทและศรีนครินทร์ สะดวกสาบายกับการเดินทางด้วยรถยนต์ใกล้ทางด่วนและวงแหวนอุตสาหกรรม จะช่วยทำให้ชีวิตกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในพื้นที่...ที่ต้องการใช้ชีวิตส่วนตัวที่จะได้รับผลประโยชน์จากการมาของรถไฟฟ้าทั้งสายสีเหลืองและสายสีเขียวในแง่ของการเจริญเติบโตของที่ดิน และโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆในอนาต   บริษัทฯมั่นใจว่า โครงการ “ไนท์บริดจ์ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ” จะเป็นที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในละแวกนั้นๆที่ต้องการแยกครองครัว หรือใช้ชีวิตส่วนตัว อยากมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อจะได้ไม่ต้องเช่าที่อยู่อาศัย และเห็นความสำคัญของรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่จะสร้างเสร็จในปี 2564 และจากข้อมูลที่ได้จากการสำรวจพบว่า มีกลุ่มคนที่เดิมมีบ้านอยู่บริเวณเทพารักษ์ สำโรง ปู่เจ้าสมิงพราย ที่ต้องการแยกครอบครัว แต่ไม่มีเงินมากพอจะซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบ จึงเลือกซื้อคอนโดฯแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่อยู่ใกล้บ้านเดิมของตนเอง