Tag : News

2400 ผลลัพธ์
เอสซีจี เซรามิกส์ แถลงผลประกอบการไตรมาส 4 และปี 2561

เอสซีจี เซรามิกส์ แถลงผลประกอบการไตรมาส 4 และปี 2561

เอสซีจี เซรามิกส์ แถลงผลประกอบการไตรมาส 4 และปี 2561 เน้นกลยุทธ์แบรนด์สินค้า เพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมบุกขยายตลาดต่างประเทศ   ผลประกอบการไตรมาส 4 และผลประกอบการปี 2561 ของ เอสซีจี เซรามิกส์ รายได้และกำไรลดลงเนื่องจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรงและต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น เร่งสร้างความแข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์การบริหารแบรนด์สินค้า ชูกระเบื้อง 3 แบรนด์หลัก คอตโต้ คัมพานา และโสสุโก้ ลงตลาดครบทุกช่องทางเจาะทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมบุกขยายตลาดในกลุ่มประเทศ CLM   นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์ “คอตโต้” (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และ คัมพานา (CAMPANA)   เปิดเผยว่า   งบการเงินรวมก่อนสอบทานของ COTTO ในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 2,713 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง ร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน โดยมีกำไร 66 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 49 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 160 จากไตรมาสก่อน   สำหรับผลประกอบการในปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 11,557 ล้านบาท ลดลงจากปี 2560 ร้อยละ 11 มีกำไรสุทธิรวมจำนวน 10 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 566 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสำคัญจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรง ต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นและค่าใช้จ่ายที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น ค่าใช้จ่ายสำหรับแผนการออกจากงานด้วยความเห็นชอบร่วมกัน ค่าที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบการจัดการและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท   ในปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการส่งออก 2,534 ล้านบาท และรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียน 1,833 ล้านบาท โดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 มีรายได้จากการส่งออก 527 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20 ของยอดขายรวม ลดลงร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีปริมาณขายในภูมิภาคอาเซียนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17 ของปริมาณขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 4  จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับสินทรัพย์รวมของ COTTO ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 มีมูลค่า 11,725 ล้านบาท   นายนำพล กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าไตรมาสที่ผ่านมาตลาดจะเติบโตขึ้น 1% จากราคาเกษตรที่สูงขึ้นและสัญญาณการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงแต่เมื่อมองในภาพรวมของทั้งปีจะเห็นว่าตลาดยังคงชะลอตัวอยู่ -2% ประกอบกับปัจจัยลบที่สำคัญคือต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้ผลประกอบการของ COTTO ในไตรมาส 4 และโดยรวมปี 2561 มีรายได้ลดลง”   ดังนั้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ในปีนี้ บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การบริหารแบรนด์สินค้าควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐานและบริการของสินค้าทุกแบรนด์เพื่อให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านดีไซน์ ความสวยงาม คุณภาพสินค้าและบริการที่เหนือกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าทั้งจากในและต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าที่มุ่งแข่งขันเรื่องราคาเป็นหลัก   ปัจจุบันสินค้ากระเบื้องเซรามิกของบริษัทมี 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ คอตโต้ คัมพานา และโสสุโก้ โดยแบ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีไลฟสไตล์แตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ   คอตโต้ (COTTO) มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรม และความล้ำสมัยมีความสวยงามที่แตกต่างโดดเด่น เลือกสินค้าเพื่อสะท้อนตัวตนของผู้ใช้งาน คัมพานา (CAMPANA) เน้นความเรียบง่ายให้อารมณ์อบอุ่น และสวยงามแบบธรรมชาติ โสสุโก้ (SOSUCO) นำเสนอลวดลายที่มีความหลากหลายสำหรับพื้นที่ใช้สอยโดยทั่วไป เหมาะกับ     กลุ่มลูกค้าที่ชอบความสะดวกสบายและสินค้าที่ใช้งานง่าย   ในส่วนของการขยายตลาดในต่างประเทศ นายนำพล เปิดเผยว่า บริษัทให้ความสำคัญกับกลุ่มประเทศ CLM หรือ กัมพูชา ลาว และพม่า โดยจะเน้นการวางรากฐานและระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างฐานลูกค้าและเครือข่ายการจัดจำหน่ายเพื่อเพื่อความแข็งแกร่งของการขยายตลาดไปยังต่างประเทศด้วย   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนงานที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มช่องทางการขายเพื่อให้ครอบคลุมและเข้าถึงลูกค้าทุกระดับ โดยมีแผนงานเพิ่มสาขาพื้นที่ขาย “คลังเซรามิค” ในจุดที่ช่องทางจัดจำหน่ายในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมเป็น 100 สาขาภายใน 5 ปี เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ชอบความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าและต้องการสินค้าที่หลากหลายใช้งานง่าย ปัจจุบัน “คลังเซรามิค” มีสาขาที่เปิดให้บริการแล้วรวม 25 สาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ มีพื้นที่การขายเฉลี่ยของแต่ละสาขามากกว่า 1,200 ตารางเมตร ทำให้บริษัทฯ มีช่องทางจำหน่ายสินค้าครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพิ่มเติมจากการขายสินค้าผ่านผู้แทนจำหน่าย โมเดิร์นเทรด และ Flagship Store ที่  คอตโต้ สตูดิโอ   เอสซีจี เอ็กซ์พีเรียนซ์ และ VOA Space ที่ จ.ขอนแก่น   “ในส่วนของการบริหารต้นทุน บริษัทฯ มีแผนงานเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการผลิต โดยส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทดแทนเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานในโรงงาน ควบคู่ไปกับการปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดการใช้พลังงานด้วย บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถปรับตัวรับมือกับสถานการณ์การแข่งขันรุนแรงในประเทศและสามารถรักษาความแข็งแกร่งของการดำเนินธุรกิจในประเทศไว้ได้เนื่องจากเรามีการเตรียมความพร้อมในทุกด้าน ทั้งแผนงานระยะสั้นเพื่อรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงแผนงานระยะยาวเพื่อมุ่งสร้างความแข็งแกร่งและหาแนวทางการเติบโตให้กับธุรกิจด้วย” นายนำพล กล่าวสรุป   สำหรับภาพรวมตลาดในปี 2562 มีปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซรามิก ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทยที่อาจทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของนักลงทุนภายในประเทศ   อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าในปี 2562 เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาจากการลงทุนของภาครัฐและเอกชนที่สูงขึ้น จึงทำให้ความต้องการใช้สินค้ากระเบื้องเซรามิกมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย โดยมีปัจจัยบวกที่เป็นโอกาสดีของธุรกิจวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะกลุ่มกระเบื้องปูพื้นและบุผนังจากโครงการ Mixed use หรือ การก่อสร้างเพื่อการพาณิชยกรรมภายใต้แนวคิดการรวมกันของกลุ่มผู้อยู่อาศัยและกลุ่มการค้าเพื่อการพาณิชย์ที่มีโครงการที่มูลค่าสูงกว่า 4 แสนล้านบาทซึ่งได้เริ่มทยอยก่อสร้างในพื้นที่กรุงเทพมหานครและมีแนวโน้มที่จะขยายตัวออกไปยังพื้นที่ในเมืองอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ รวมทั้งนโยบายภาครัฐที่ต้องการสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองโดยการปล่อยสินเชื่อผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ให้แก่ผู้ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ตลอดจนการปล่อยสินเชื่อพัฒนาโครงการให้แก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อก่อสร้างบ้าน รวมถึงโครงข่ายคมนาคมรถไฟฟ้าและมอเตอร์เวย์ที่ทำให้การเดินทางออกสู่ชานเมืองและต่างจังหวัดสะดวกขึ้นยังช่วยสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์พื้นที่ชานเมือง ปริมณฑลและจังหวัดทางตะวันออก   บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าปัจจัยบวกเหล่านี้จะส่งผลให้ภาพรวมของตลาดวัสดุก่อสร้างในปี 2562  มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น        
สมาคมสถาปนิกสยามฯ จัดงานสถาปนิก’62 ภายใต้แนวคิด  “กรีน อยู่ ดี : Living Green”

สมาคมสถาปนิกสยามฯ จัดงานสถาปนิก’62 ภายใต้แนวคิด “กรีน อยู่ ดี : Living Green”

สมาคมสถาปนิกสยามฯ และ บริษัท เอ็น.ซี.ซี.เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด แถลงข่าวการจัดงานสถาปนิก ’62 (Architect’19) “กรีน อยู่ ดี : Living Green” ซึ่งจะจัดระหว่างวันที่ 30 เมษายน - 5 พฤษภาคม 2562 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี บนพื้นที่กว่า 60,000 ตารางเมตร   นายอัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “งานสถาปนิก เป็นงานจัดแสดงสถาปัตยกรรม วัสดุและเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ริเริ่มโดย สมาคมสถาปนิกสยามฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 การจัดงานครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 33 จุดประสงค์ของการจัดงาน เพื่อแสดงศักยภาพ และนำเสนอผลงานความก้าวหน้าทางสถาปัตยกรรม สร้างความตระหนักรู้ถึงบทบาทวิชาชีพสถาปนิกที่มีต่อสังคม ผ่านนิทรรศการและกิจกรรมมากมายของสมาคมฯ จัดมาอย่างต่อเนื่อง กว่าสามทศวรรษ  มีผู้ชมงานกว่า 4 แสนคนในปีที่ผ่านมา   งานสถาปนิก นำเสนอวัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับงานสถาปัตยกรรม การออกแบบตกแต่งภายในและภูมิสถาปัตยกรรม นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการและกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย การอบรมสัมมนา ระดับนานาชาติ ตลอดจนบริการต่างๆ ที่ทางสมาคมสถาปนิกสยามฯ ได้เตรียมไว้ให้กับสมาชิก และประชาชนทั่วไป   ในการจัดงานในแต่ละปี ทางสมาคมฯ ได้กำหนดแนวคิด (concept) ที่แตกต่างกันออกไป เพื่อต้องการให้สะท้อนถึงกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกในขณะนั้น ซึ่งแนวคิดในการจัดงานปีนี้คือ “กรีน อยู่ ดี : Living Green” นำเสนอการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการออกแบบเพื่อวิถีชีวิตที่ยั่งยืน     ในงานแถลงข่าว ดร.อัจฉราวรรณ จุฑารัตน์ ประธานจัดงานสถาปนิก ’62 กล่าวถึงการจัดงานในปีนี้ว่า “ปัญหาความเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ภาวะโลกร้อน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของคนทุกคนบนโลก เป็นปัญหาสำคัญที่คนในทุกสาขาอาชีพต้องให้ความสำคัญร่วมหาทางออกอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาชีพสถาปนิก ที่การทำงานส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เมืองและชุมชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตั้งแต่ออกแบบ การเลือกใช้วัสดุ วิธีการก่อสร้าง ฯลฯ งานสถาปนิก’62 “กรีน อยู่ ดี : Living Green” นำเสนอแนวคิดการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรม และงานออกแบบที่ยั่งยืน นวัตกรรมวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการนำภูมิปัญญาท้องถิ่น มาผนวกกับเทคโนโลยี เพื่อสร้างโซลูชั่นที่เหมาะสมกับบริบทในปัจจุบัน ผ่านการจัดแสดงในรูปแบบนิทรรศการและกิจกรรมให้ความรู้มากมาย   นับเป็นครั้งแรกของงานสถาปนิกที่จะสร้าง “ประสบการณ์สีเขียว” (Green Experience) ให้กับผู้ชม ด้วยแนวคิดการออกแบบเพื่อความยั่งยืนในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในการก่อสร้างนิทรรศการต่างๆ การออกแบบแสงภายในพื้นที่การจัดแสดงที่เหมาะสมเพื่อลดการใช้พลังงาน  แนวคิดการลดขั้นตอนการใช้กระดาษในการทำงานระหว่างผู้จัดงานและผู้แสดงงาน ระบบการจัดการกับขยะที่เกิดขึ้นภายในงาน และการนำวัสดุที่เกิดขึ้นจากการจัดงานไปใช้ใหม่หลังจบงาน”   งานสถาปนิก’62 มีพื้นที่กว่า 60,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือส่วนผู้แสดงสินค้า ที่รวมแบรนด์ชั้นนำทั่วโลกกว่า 850 ราย และ ส่วนพื้นที่กิจกรรมของสมาคมสถาปนิกฯ ซึ่งประกอบไปด้วยนิทรรศการธีมงาน (Thematic Exhibitions) และพื้นที่กิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ :   นิทรรศการ “Green Building Showcase” แนวคิดการออกแบบอาคารสีเขียวจากนักออกแบบชั้นนำ ของเอเชีย นิทรรศการ “ภูมิปัญญาจาก 3 ภูมิภาคสู่ปัจจุบัน” นำเสนอนวัตกรรมท้องถิ่นที่อาจเป็นคำตอบ ของการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนในอนาคต นิทรรศการ “Go Zero Waste ชีวิตใหม่ ไร้ขยะ” นิทรรศการ “Innovative Green Products” รวมวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   นิทรรศการกิจกรรมประกวดงานออกแบบระดับนานาชาติ ASA International Design Competition 2019 เวทีสำคัญสำหรับสถาปนิกรุ่นใหม่ ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 280,000 บาท โจทย์การออกแบบของปีนี้คือ Uncanny Sustainability ค้นหาไอเดียการสร้างสรรค์งานออกแบบที่ยั่งยืนและแตกต่างจากรูปแบบเดิมๆ งานนี้เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจทั่วไปจากทั่วโลกร่วมส่งผลงาน ไม่ได้จำกัดแค่สถาปนิกเท่านั้น นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมสันทนาการที่ให้ความเพลิดเพลินสำหรับประชาชนทั่วไป เวิร์กช็อปให้ความรู้ภาคปฏิบัติ, เวทีกลาง พื้นที่สาธารณะสำหรับพักผ่อน ให้ผู้ชมงานได้สนุกสนานกับการแสดงและกิจกรรมน่าสนใจที่หมุนเวียนไปตลอดการจัดงาน, “หมอบ้านอาษา” ที่ตอบปัญหาสารพัดเรื่องบ้านและการออกแบบให้แก่ประชาชนทั่วไป   อีกหนึ่งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้คือ  “ASA Forum 2019” งานสัมมนาสถาปัตยกรรมระดับนานาชาติ  โดยปีนี้มีสถาปนิกและนักออกแบบที่มีชื่อเสียงมาร่วมบรรยายบนเวทีอย่างคับคั่ง อาทิ Atelier Ten สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอาคารชั้นสูงจากนิวยอร์ก, สถาปนิกจากบริษัท Foster + Partners, Eco Architect, S/T/U/do เป็นต้น   การจัดงานสถาปนิก’62 ครั้งนี้ ได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) สถานเอกอัครราชทูตออสเตรีย สถาบันอาคารเขียวไทย และองค์กรเอกชนที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดยั่งยืนอีกหลายราย เป็นการจัดงานแสดงด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ครบวงจร และใหญ่ที่สุดในภูมิภาค คาดว่าจะดึงดูดผู้ชมมากกว่าปีที่ผ่านมาไม่น้อยกว่าร้อยละ 25    นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด หรือนีโอ ผู้บริหารงานสถาปนิก’62 เปิดเผยความคืบหน้าการจัดงานฯ ล่าสุด ในสองส่วนหลัก หนึ่ง คือ การบริหารพื้นที่จัดแสดงสินค้า ซึ่งในปีนี้จัดอย่างยิ่งใหญ่บนพื้นที่ 60,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับผู้ร่วมแสดงสินค้า (Exhibitors) จากทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เช่น อเมริกา เยอรมนี อิตาลี ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง รวมทั้งประเทศสมาชิกอาเซียน และโดยเฉพาะ CLMV ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่นีโอให้ความสำคัญ รวมกว่า 850 บริษัทชั้นนำทั่วโลก โดยขณะนี้มีอัตราการจองพื้นที่จัดแสดงสินค้าแล้ว กว่าร้อยละ 80 ผู้ประกอบการรายใหญ่จากทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ตอบรับเข้าร่วมแสดงสินค้าแล้ว เช่น Jarakae, L & E (Lighting and Equipment), Modernform, Hafale, Cannon, Misubishi Electric, BOSCH, 3M, Modern Glass และอีกมากมาย   ด้านที่สอง คือ การอำนวยความสะดวกเพื่อเอื้อต่อการขยายธุรกิจของผู้ร่วมแสดงสินค้า เพื่อให้งานสถาปนิก’ 62 เป็นเวทีสำคัญสำหรับผู้ร่วมแสดงสินค้าที่จะได้มีโอกาสเปิดตลาดสู่อาเซียน จากความร่วมมือขององค์กรภาครัฐและเอกชน ที่จะมาร่วมกันสนับสนุนให้งานสถาปนิกเติบโตเป็นหนึ่งในงานแสดงสินค้าที่สำคัญที่สุดในแวดวงสินค้าวัสดุก่อสร้างเพื่อสถาปัตยกรรมระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นเวทีสำคัญและใหญ่ที่สุดในการนำเข้าเทคโนโลยีสินค้าและนวัตกรรมใหม่ๆ จากทั่วโลกมาสู่อาเซียน และเป็นเวทีนี้ยังเป็นเวทีที่จัดแสดงสินค้า made in Thailand & ASEAN ที่จะส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นๆนอกภูมิภาค โดยนีโอได้จัดเตรียมบริการในด้านต่างๆ เพื่อรองรับผู้แสดงสินค้าที่จะเข้าร่วมเจรจาจับคู่ทางธุรกิจต่อธุรกิจ (บีทูบี) อาทิ การเรียนเชิญผู้ซื้อมาจากต่างประเทศ เช่น กลุ่มสมาคมที่เกี่ยวข้องกับด้านสถาปนิก หรือกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับด้านอสังหาริมทรัพย์ “จากชื่อเสียงของงานสถาปนิกที่มีประวัติยาวนานกว่า 30 ปี และประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญของนีโอที่ได้จัดงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศมาเป็นเวลานาน ได้สร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างดี โดยนีโอได้ใช้กลยุทธ์การสร้างเครือข่ายพันธมิตรต่างๆ เพื่อดึงดูดให้ผู้ร่วมแสดงสินค้าและผู้ชมงานมาร่วมงาน ซึ่งในส่วนของผู้ชมงาน คาดว่าจะมีมากกว่า 5 แสนคน” นายศักดิ์ชัยกล่าว   งานสถาปนิก’62 “กรีน อยู่ ดี : Living Green” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 เมษายน -  5 พฤษภาคม 2562 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้า อิมแพ็ค เมืองทองธานี   ลงทะเบียนเข้าชมงาน www.asa.or.th/architectexpo Facebook : ASAArchitectExposition รายละเอียดกิจกรรมประกวดออกแบบ ASA International Design Competition ดูเพิ่มเติมได้ที่ www.asacompetition.com            
SC ตั้งเป้าปี 62 เติบโต 40% เตรียมเปิด 12 โครงการใหม่

SC ตั้งเป้าปี 62 เติบโต 40% เตรียมเปิด 12 โครงการใหม่

SC ตั้งเป้าเติบโตทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรสุทธิ มุ่งยอดขายเติบโตมากกว่า 40% ในปี 62 และรายได้ 19,000 ลบ.  เตรียมเปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่า 22,700 ลบ. เผย “โครงการ SCOPE หลังสวน” เปิดขายปีนี้   นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยแผนธุรกิจว่า “ในปี 2562 SC มุ่งเติบโตทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรสุทธิ โดยตั้งเป้ายอดขาย 22,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 40% เทียบกับปีที่ผ่านมา และรายได้ 19,000 ล้านบาท ”   โดยยอดขายทั้งปีของ SC จะมาจากโครงการเพื่อขายทั้งหมดรวม 58 โครงการ มูลค่ารวม 62,700 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการต่อเนื่อง 46 โครงการ มูลค่า 40,000 ล้านบาท และ โครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่า 22,700 ล้านบาท   โครงการใหม่แบ่งเป็น 8 โครงการแนวราบ มูลค่ารวม 6,500 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านเดี่ยว ระดับราคา 4-50 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ เพฟ, เวนิว, บางกอก บูเลอวาร์ด และ เดอะเจนทริ พร้อมบ้านและทาวน์โฮม 2-5 ล้านบาท มีแบรนด์ วี คอมพาวด์ กับ เวิร์ฟ โดยทุกโครงการอยู่ในทำเลศักยภาพ ได้แก่ พระราม 5 , วิภาวดี , รังสิต , บางนา และ ลาดพร้าว-เสรีไทย เป็นต้น   ส่วนโครงการแนวสูงจะรุกเปิดทำเลใจกลางกรุงเทพฯ รวม 4 โครงการใหม่ มูลค่า 16,200 ล้านบาท โดย SC เปิด 2 โครงการ และ SCOPE จำนวน 2 โครงการ   คอนโดฯ ที่ SC เปิดใหม่ 2 โครงการ มูลค่า 6,000 ล้านบาท ได้แก่ 1. โครงการ The Crest ทำเล Prime ที่สุดของย่านห้าแยกลาดพร้าว ตั้งอยู่ใกล้ศูนย์รวมคมนาคมแห่งอนาคต โดยใกล้กับ Interchange Station กับ BTS ห้าแยกลาดพร้าว และเพียง 75 เมตร จาก MRT พหลโยธิน พื้นที่ขนาดกว่า 1.3 ไร่ มูลค่า 3,500 ล้านบาท อีกทั้งแวดล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าว ยูเนียนมอลล์ ที่สำคัญ คือ ใกล้สวนจตุจักร และสวนรถไฟ ที่ได้วิวสวนพื้นที่กว่า 700 ไร่  โดยพัฒนาภายใต้บริษัท เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน จำกัด (SC NNR1 Co.,Ltd.) บริษัทร่วมทุนระหว่าง SC กับ Nishitetsu Group ยักษ์ใหญ่และผู้นำในภูมิภาคคิวชู 2. โครงการ The Crest ทำเลสุขุมวิท 23 ย่านใจกลางธุรกิจสำคัญซึ่งผสมผสานความสะดวกสบายใจกลางเมือง ทั้งอยู่ใกล้กับ Interchange Station สถานีอโศก และสุขุมวิท บนพื้นที่กว่า 1.5 ไร่ มูลค่า 2,500 ล้านบาท โดยความพิเศษของทำเลนั้น เป็นจุดเชื่อมต่อพื้นที่ lifestyle ใกล้แหล่งท่องเที่ยวและชอปปิ้ง ในย่านทองหล่อ พร้อมพงษ์ และอโศก   สำหรับบริษัท สโคป จำกัด ซึ่งมีนายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ เป็น CEO บริหารอยู่ ปีนี้จะเปิด คอนโดฯ ใหม่ 2 โครงการ มูลค่า 10,200 ล้านบาท ได้แก่ 1. โครงการ SCOPE หลังสวน บนพื้นที่ประมาณ 2.02 ไร่ มูลค่าโครงการ 7,800 ล้านบาท   2. โครงการ SCOPE ทองหล่อ บนพื้นที่ประมาณ 1.01 ไร่ มูลค่า 2,400 ล้านบาท   โดยสรุปโครงการเพื่อขายทั้งหมด 58 โครงการ แบ่งสัดส่วนแนวราบ : แนวสูง คือ 60:40 ในส่วนแนวราบมี stock พร้อมโอน 3,000 ล้านบาท และ stock จากแนวสูงพร้อมโอน 6 โครงการ 8,400ล้านบาท ได้แก่ โครงการ SALADAENG ONE (ศาลาแดง วัน), BEATNIQ (บีทนิค) สุขุมวิท, CHAMBERS CHER (แชมเบอร์ส เฌอ) รัชดา-รามอินทรา  และ CHAMBERS CHAAN (แชมเบอร์ส ชาน) ลาดพร้าว-วังหิน เป็นต้น พร้อมกับอีก 2 โครงการใหม่สร้างเสร็จพร้อมโอนเพิ่มในปีนี้ คือ   1. โครงการ 28 CHIDLOM (ทเวนติ้เอท ชิดลม)   2. โครงการ CENTRIC RATCHAYOTHIN (เซ็นทริค รัชโยธิน)                
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ชี้ปี’62 ตลาดอาคารสำนักงานมาแรง

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ชี้ปี’62 ตลาดอาคารสำนักงานมาแรง

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้ปี’62 ตลาดอาคารสำนักงานมาแรง จับตาทำเล “พระราม 9-รามคำแหง” บูม อัตราการเช่าสูงถึงกว่า 90% เตรียมผุดมิกซ์ยูส “เมเจอร์ ทาวเวอร์ พระราม 9-รามคำแหง” มูลค่า 2,100 ล้านบาท   เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้ปี’62 ตลาดอาคารสำนักงานมาแรง ระบุทำเล “พระราม 9-รามคำแหง” น่าจับตามอง ชี้อัตราการเช่าสูงกว่า 90% และมีราคาค่าเช่าพุ่งถึง 7% ต่อปี เตรียมผุดอาคารสำนักงานแบรนด์ “เมเจอร์ ทาวเวอร์” ภายใต้ชื่อ “เมเจอร์ ทาวเวอร์ พระราม 9-รามคำแหง” มิกซ์ยูสรูปแบบใหม่ มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท ใกล้แอร์พอร์ตลิงค์ สถานีรามคำแหง เพียง 600 เมตร และรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ที่จะเปิดให้บริการในปี’66 เพียง 300 เมตร คาดอนาคตตลาดอาคารสำนักงานเติบโตต่อเนื่อง อีก 5 ปี จ่อเข้าตลาดอีกกว่า 766,000 ตร.ม.   คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2562 ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่ามีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของอัตราราคาค่าเช่าและพื้นที่ให้เช่า เนื่องจากความความต้องการยังมีสูงแต่ซัพพลายมีจำกัด โดยปัจจุบันตลาดอาคารสำนักงานไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในเฉพาะโซนซีบีดีเหมือนที่ผ่านมา เริ่มขยับขยายออกไปจากรอบนอกสีลม, สาทร, สุขุมวิทชั้นใน เนื่องจากมีการขยายเมือง และการเกิดขึ้นของสาธารณูปโภคและคมนาคมหลากหลายรูปแบบ   สำหรับทำเลที่น่าจับตามอง คือ ทำเลพระราม 9-รามคำแหง เนื่องจากมีความต้องการอาคารสำนักงานสูงมาก โดยมีอัตราการเช่าสูงถึง 90% ขณะที่อัตราราคาค่าเช่าของอาคารสำนักงานที่เปิดใหม่ในทำเลนี้สูงขึ้นต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงปีละ 7% ทั้งนี้ทำเลพระราม 9-รามคำแหง เป็นทำเลศักยภาพแห่งใหม่ ใกล้ตัวเมืองและเป็นเขตรอยต่อของย่านธุรกิจ อย่างย่านรัชดา ทองหล่อและสุขุมวิท อีกทั้งยังเดินทางสะดวก ใกล้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์, มอเตอร์เวย์, ทางด่วนฉลองรัช และทางด่วนศรีรัช รวมถึงยังใกล้โรงพยาบาลชั้นนำอย่าง โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์, โรงพยาบาลรามคำแหง และสถานศึกษาสำคัญ เช่น มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, มหาวิทยาลัยรามคำแหงและมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด รวมทั้งยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต ในอีก 2-3 ปี จะมีการเปิดตัวมิกซ์ยูส คอมเพล็กซ์ ที่รีโนเวทจากศูนย์การค้าเดอะมอลล์ รามคำแหง ซึ่งจะทำให้ทำเลนี้คึกคักเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังจะมีการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าถึง 3 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง และรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน บางซื่อ-หัวหมาก ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2563 และรถไฟฟ้าสายสีส้ม  ตลิ่งชัน-มีนบุรี คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2566 โดยเมื่อโครงการรถไฟฟ้าทั้ง 3 สายเสร็จแล้วคาดว่าจะเข้ามาเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับทำเลนี้เป็นอย่างมาก     คุณเพชรลดา กล่าวว่า “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เล็งเห็นศักยภาพของทำเลพระราม 9-รามคำแหง จึงได้เตรียมพัฒนาอาคารสำนักงานเกรดเอแบรนด์ เมเจอร์ ทาวเวอร์ ภายใต้ชื่อ “เมเจอร์ ทาวเวอร์ พระราม 9-รามคำแหง” มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท โดยเป็นโครงการมิกส์ยูส (Mixed-use) รูปแบบใหม่ ประกอบด้วยอาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม และร้านค้า  มีพื้นที่ประมาณ 25,000 ตร.ม. ใกล้แอร์พอร์ตลิงค์ สถานีรามคำแหง เพียงแค่ 600 เมตร รวมทั้งยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เพียง 300 เมตร ซึ่งพัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Boutique Art Gallery’ โดยตั้งใจรังสรรค์ออกแบบเพื่อให้เป็นออฟฟิศในฝันของคนรุ่นใหม่ที่ตอบโจทย์การทำงานอย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกับโครงการแรก “เมเจอร์ ทาวเวอร์ ทองหล่อ” บนทองหล่อ ซอย 10 ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก มีอัตราการเช่าเต็ม 100%”   ทั้งนี้ สำหรับแนวโน้มตลาดอาคารสำนักงาน คาดว่าในปี 5 ปีข้างหน้า จะมีซัพพลายสูงขึ้นมาก โดยมีพื้นที่อาคารสำนักงานใหม่ให้เช่าเพิ่มขึ้นประมาณ 766,000 ตร.ม. ขณะที่เทรนด์ตลาดอาคารสำนักงาน โครงการมิกซ์ยูสกำลังมีความต้องการเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นอสังหาฯ รูปแบบใหม่ที่รวมโครงการที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม หรือแม้แต่ความบันเทิงเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะในย่านศูนย์กลางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นทางเลือกใหม่ให้กับกลุ่มผู้อยู่อาศัยที่ต้องการความสะดวกสบายเป็นหลัก          
ไทยพุ่งอันดับหนึ่งอสังหาฯ ยอดนิยมของผู้ซื้อชาวจีน

ไทยพุ่งอันดับหนึ่งอสังหาฯ ยอดนิยมของผู้ซื้อชาวจีน

Juwai.com (จูเหว่ย) เว็บไซต์ซื้อ-ขายอสังหาฯอันดับหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากชาวจีนเผยข้อมูลปี61 อสังหาฯไทยขึ้นแท่นได้รับความนิยมจากชาวจีนเป็นอันดับ1 และเป็นอันดับ4 ที่จีนเข้ามาลงทุน คิดเป็นมูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกรุงเทพฯยังมีพื้นที่น่าลงทุนอันดับแรก  ระบุเมกะโปรเจกต์ภาครัฐที่มีต่อเนื่องสร้างความเชื่อมั่นศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาว  ด้านผู้บริหารTeC ชี้เหตุผลดึงจีนลงทุนในไทย ช่วยดันGDPโต และศึกษาโนว์ฮาวพัฒนาประเทศ ขณะที่นักวิจัยตลาดอสังหาฯเผยพฤติกรรมการคนจีนเปลี่ยนจากการทำตลาดหลายช่องทาง ส่งผลกระจายซื้อได้หลายทำเล   นางแคร์รี่ ลอร์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการบริษัท Juwai.com เปิดเผยว่าข้อมูลจาก Juwai.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์อันดับหนึ่งสำหรับชาวจีนในการค้นหาอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศซึ่งเข้าถึงผู้บริโภคประมาณ 3.1 ล้านคนต่อเดือน มีจำนวนประกาศขายอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 2 ล้านประกาศ  รองรับการใช้งานกว่า 90 ประเทศ  และจากข้อมูลในปี 2559-2560 พบว่าประเทศไทยได้ถูกจัดอันดับความนิยมในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของชาวจีน จากลำดับ 6 ในปี 2559 ลำดับ 3 ในปี 2560 และในปี 2561ที่ผ่านมา พบว่าเป็นครั้งแรกที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยได้รับความสนใจ จากผู้ซื้อชาวจีนเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ1 รองลงมาเป็นชาวออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แคนนาดา อังกฤษ มาเลเซีย นิวซีแลนด์ กรีซ ญี่ปุ่น และเยอรมนี ตามลำดับ     จากข้อมูลล่าสุดของปี 2561 ยังพบว่าประเทศที่ชาวจีน เข้าไปลงทุนมากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา คิดเป็นมูลค่า 30.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือฮ่องกง มูลค่า 16.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, ออสเตรเลีย มูลค่า 14.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, ไทยมูลค่า2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมาเลเซีย มูลค่า 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ     ทั้งนี้ จากข้อมูล Juwai.com พบว่าในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนจากประเทศจีนและฮ่องกงได้มีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยจำนวน 15,000 ยูนิต เป็นสัดส่วนถือครองตัวเลขกว่าครึ่งหนึ่งของนักลงทุนชาวต่างชาติทั้งหมดที่ลงทุนในประเทศไทย หากประเมินจากตัวเลขการซื้อ ชาวจีนและฮ่องกงจะเฉลี่ยราคาห้องละ 5 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าลงทุนรวมการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยรวมในปี 2561 เป็นมูลค่า 75,000 ล้านบาท สำหรับพื้นที่นักลงทุนชาวจีนให้ความสนใจในประเทศไทยที่จะลงทุนลำดับ 1 คือ กรุงเทพ รองลงมาคือ เชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต และสัตหีบ   “เราไม่เคยเห็นความต้องการของผู้ซื้อชาวจีนต่ออสังหาริมทรัพย์ไทยสูงขนาดนี้มาก่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ อีกทั้งมีวิสัยทัศน์ด้านการลงทุนและเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี ประกอบกับปัจจัยอื่นที่เป็นตัวผลักดันให้ผู้ซื้อชาวจีนที่กำลังมองหาทำเลในต่างประเทศ ให้ความสนใจประเทศไทยในเรื่องราคาที่หลากหลายเมื่อเทียบเท่ากับประเทศอื่น ประกอบกับกฎระเบียบอันเคร่งครัดของกรุงปักกิ่ง และขาดความหลากหลายในโอกาสการลงทุนภายในประเทศจีน”นางแคร์รี่ กล่าวในที่สุด   ด้านนางสาวกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกลเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร,Thailand e-Business Center (TeC) Project collaboration with Alibaba Business School เลขาธิการสมาคมดิจิทัลไทย MD บริษัท จอยฟูลเนส จำกัด กล่าวว่า หากสามารถดำเนินธุรกิจในประเทศจีนให้ประสบผลสำเร็จได้ จะเป็นใบเบิกในการดำเนินธุรกิจของตัวผู้ประกอบการเอง และเหตุผลทำไมต้องเป็นประเทศจีน มาจากคำว่า China  C คือ Chance หากย้อนไปอดีตจีนจะเป็นประเทศที่ไม่น่าไป ล้าหลัง เป็นประเทศที่ Copycat และมีมลพิษทางอากาศ แต่ช่วงเวลา10 ปีที่ผ่านมามีการพัฒนาหลายด้าน ปัจจุบันจีนเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แรงงาน และมลพิษลดลงด้วยนวัตกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์  H คือ Huge จีนเป็นประเทศแผ่นดินใหญ่และมีจำนวนประชากรมาก ทำให้กำลังการซื้อและการขายมีมาก ทำให้เป็นเป้าหมายของอุตสาหกรรม I คือ Internet ระบบอินเตอร์เน็ตมีการใช้งานจำนวน 731 ล้านคน และใช้ซื้อของออนไลน์จำนวน 448 ล้านคน  มูลค่ารวมการบริโภค 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีมูลค่าซื้อขายออนไลน์ 759,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ N คือ Network ได้พัฒนาระบบต่างๆ รวมถึงระบบการค้าในรูปแบบ e-Commerce เพื่อให้ประชากรได้ใช้งานอย่างหลากหลายและเข้าถึงสินค้าอย่างรวดเร็ว สำหรับแพลตฟอร์มที่นิยมใช้ในการสั่งซื้อของคือ Taobao มีจำนวนผู้ใช้งาน 450 ล้านคน รองลงมา JD.com มีผู้ใช้งาน 850 ล้านคน และ Kaola มีผู้ใช้งาน 25 ล้านคน รวมทั้งการจ่ายเงินผ่านระบบ E-payment ใน Alipay มีผู้ใช้งาน 350ล้านคน  WeChat Pay มีผู้ใช้งาน 850 ล้านคน ยังครอบคลุมไปถึงการขนส่งสินค้าผ่านบริษัทต่างๆ จะเห็นได้ชัดว่า เครือข่ายของการซื้อขายของธุรกิจในจีนเต็มวงจรและมีกลุ่มผู้ใช้งาน และผู้ให้บริการเป็นจำนวนมาก A คือ Advertising & Affiliate นอกจากการเจริญเติบโตในประเทศตัวเองแล้ว จีนยังผลักดันธุรกิจของตนกระจายไปยังประเทศต่างๆ โดยการเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในแต่และประเทศ ส่งเสริมและช่วยเหลือทางธุรกิจ และเทคโนโลยี อาทิ การเข้ามาของ Alibaba ในประเทศไทย   ปริมาณสินค้าทั้งหมดของทุกแพลตฟอร์มมีจำนวน 314,300 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 23.8% จากปีที่แล้ว Tmall  68% ของส่วนแบ่งการตลาด แต่แพลตฟอร์มอื่น ๆ กำลังกินส่วนแบ่งการตลาด แพลตฟอร์มใหม่ในการเข้าร่วมความนิยม e-Commerce นี้คือ Pinduoduo โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 3.0%  ผู้เล่นรายใหญ่อันดับสองของ JD.COM ก็มีปีที่ทำลายสถิติเช่นกัน GMV สูงถึง 159.8 พันล้านหยวน เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด 17.3%   “นี่คือเหตุผลทั้งหมดที่ไทยควรผลักดันให้ทำธุรกิจในประเทศจีน สิ่งที่ไทยจะได้รับประโยชน์ในเรื่องของการ ผลักดัน GDP ของประเทศไทย และ เรื่องของการลดต้นทุนในการผลิตสินค้าแต่ได้คุณภาพที่ดีขึ้น อีกทั้งยังได้โอกาสในศึกษาเทคโนโลยีจากจีนเพื่อนำมาพัฒนาประเทศไทยต่อไป   โดย TeC สามารถให้การปรึกษาในการทำธุรกิจที่จีน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นการทำเอกสาร รวมถึงวิธีการทำธุรกิจในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากจากชาวจีน และหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คงไม่มีใครไม่รู้จัก Wechat ที่ยอดผู้ใช้ในปัจจุบันถือว่ามีอัตราการเติบโตก้าวกระโดดไปอย่างมาก จาก ปี 2554 ที่มีผู้ใช้งานเพียง 50 ล้านคน และในปี 2560 มีสูงถึง 963 ล้านคน โดยใช้ระยะเวลาแค่ 6 ปีเท่านั้น” นางสาวกุลธิรัตน์ กล่าว     ขณะที่นายสุรเชษฐ  กองชีพ นักวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์  กล่าวว่าก่อนหน้านี้ผู้ซื้อชาวจีนอาจจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยกระจายไปตามทำเลที่คุ้นเคย หรือว่าตามทำเลที่มีคนจีนอาศัยอยู่มาก เช่น รัชดาภิเษก ซึ่งไม่ไกลจากสถานฑูตจีน รวมไปถึงพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าMRT  ที่สามารถทำให้เดินทางได้สะดวก แต่ในระยะหลังพบว่าการเลือกทำเลในการซื้อคอนโดมิเนียมของคนจีนเปลี่ยนไป โดยเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจหรือปัจจัยที่เข้ามาเพิ่มความน่าสนใจให้นักลงทุนชาวจีน อาทิ   1) ผู้ประกอบการที่มีการประชาสัมพันธ์เข้าถึงนักลงทุนชาวจีนโดยตรงมากขึ้น ส่งผลให้หลายโครงการที่อยู่นอกพื้นที่ที่ชาวจีนเคยสนใจได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนชาวจีนมากขึ้น    2) นายหน้าทั้งไทยและจีนที่มีการนำหลายโครงการไปเสนอขายทั้งในประเทศไทยและที่ประเทศจีนโดยตรง สร้างความรู้จักและคุ้นเคยทำเลอื่นๆ ให้กับนักลงทุนชาวจีนมากขึ้น   3) ผู้ประกอบการชาวจีนมีส่วนในการผลักดันหลายๆ พื้นที่ให้เป็นที่รู้จักของคนจีนด้วยเช่นกัน   4) ระบบออนไลน์ที่แข็งแกร่งของประเทศจีนเป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มการรับรู้ให้กับผู้ซื้อชาวจีนโดยตรง เนื่องจากสามารถค้นหาหรือทำความรู้จักแต่ละทำเลของกรุงเทพฯ ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงมีหลายเว็บไซต์ของนายหน้าอสังหาฯทั้งไทยและจีนที่ให้ความรู้เรื่องของภาวะการณ์ของตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันในแต่ละทำเล หรือเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหรือเป็นประโยชน์ต่อการซื้อ-ขายคอนโดมิเนียมในประเทศไทย   ดังนั้น ทำให้ในอนาคตเชื่อได้เลยว่าผู้ซื้อคนจีนจะกระจายไปทุกพื้นที่ ทุกทำเลของกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ในจังหวัดท่องเที่ยว ไม่ใช่เพียงพัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย หัวหิน กระบี่ เท่านั้น คาดการณ์ทำเลใหม่ในอนาคตอาจจะไปถึงหัวเมืองรองของแต่ละภูมิภาคก็เป็นไปได้                                                                                                                                                                                                   “การขยายตัวของกลุ่มผู้ซื้อชาวจีนในอนาคตอาจจะมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเป็นตัวแปร เช่น สงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา ที่อาจจะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจประเทศจีน การลดลงของค่าเงินหยวน มาตรการการควบคุมของรัฐบาลจีน และความเข้มงวดของรัฐบาลไทย เป็นต้น แต่สุดท้ายแล้วคนจีนจะยังคงสนใจมาเที่ยวประเทศไทยและซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจุบันนี้อาจจะมีปัญหาติดขัดบ้างจากทั้งฝั่งไทยเองและฝั่งประเทศจีน”นายสุรเชษฐ กล่าวในที่สุด      
ตลาดคอนโดมิเนียมมือสองในกรุงเทพฯ โตต่อเนื่อง

ตลาดคอนโดมิเนียมมือสองในกรุงเทพฯ โตต่อเนื่อง

เนื่องจากราคาคอนโดมิเนียมใหม่ๆ ในย่านใจกลางกรุงเทพมหานครยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ซื้อจำนวนมากจึงหันมาให้ความสนใจคอนโดมิเนียมมือสองแทนการซื้อคอนโดมิเนียมในโครงการใหม่   ซีบีอาร์อี ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ เห็นถึงความต้องการนี้ที่เพิ่มมากขึ้นในตลาดคอนโดมิเนียมมือสองตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2561 เพราะราคาคอนโดมิเนียมมือสองมักจะถูกกว่าคอนโดมิเนียมในโครงการที่เปิดตัวใหม่ และผู้ซื้อจะได้ห้องที่มีขนาดใหญ่กว่าในราคาที่เอื้อมถึง   ทั้งนี้ คอนโดมิเนียมมือสองมีด้วยกันสองประเภท ได้แก่ คอนโดมิเนียมที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างซึ่งนักลงทุนต้องการขายต่อหรือรีเซลส์ก่อนที่จะมีการโอนกรรมสิทธิ์เมื่อโครงการแล้วเสร็จ และคอนโดมิเนียมที่แล้วเสร็จและพร้อมเข้าอยู่ซึ่งผู้ซื้อได้รับการโอนกรรมสิทธิ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว   จากการสำรวจโดยแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี พบว่า ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2561 มีคอนโดมิเนียมที่การก่อสร้างแล้วเสร็จในย่านใจกรุงเทพฯ จำนวนทั้งสิ้น 145,350 ยูนิต มีราคาอยู่ระหว่าง 55,000 – 350,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นอยู่กับระดับ อายุของอาคาร และการบำรุงรักษาอาคาร  โดยคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ที่เปิดตัวใหม่ในย่านใจกลางกรุงเทพฯ ปัจจุบันมีราคาขายตั้งแต่ 300,000 ถึง 600,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งโดยทั่วไปจะมีขนาดห้องเล็กกว่าคอนโดมิเนียมในโครงการเก่าที่การก่อสร้างแล้วเสร็จ   นางสาวพรพิมล พึ่งเขื่อนขันธ์ ผู้อำนวยการ แผนกซื้อขายที่พักอาศัยรายย่อย ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า ตลาดคอนโดมิเนียมที่ขายต่อก่อนการก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นตลาดที่มีความคึกคักมากในช่วงแรกหลังจากการเปิดตัวโครงการหากโครงการนั้นสามารถขายได้หมดทุกยูนิต   ส่วนในระหว่างการก่อสร้าง การขายต่อห้องชุดที่ยังไม่แล้วเสร็จมีแนวโน้มที่จะลดลงและจะกลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อการก่อสร้างโครงการใกล้เสร็จสมบูรณ์   สำหรับการชำระเงินต่อก่อนการก่อสร้างแล้วเสร็จนั้น ผู้ซื้อชำระเงินให้แก่ผู้ขายตามจำนวนเงินที่ได้ชำระไปแล้วให้กับผู้พัฒนาโครงการพร้อมกับกำไรของผู้ขาย จากนั้นสัญญาจะซื้อจะขายฉบับเดิมจะถูกเปลี่ยนเป็นชื่อผู้ซื้อรายใหม่ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบชำระเงินที่เหลือทั้งหมดให้แก่ผู้พัฒนาโครงการ   สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ที่อยู่ในย่านใจกลางธุรกิจหรือซีบีดีนั้น ส่วนใหญ่ผู้พัฒนาโครงการจะกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินดังนี้ ชำระเงิน 10%เมื่อลงนามในสัญญาจะซื้อจะขาย  ชำระเงิน 10-20% ในช่วงระยะเวลาการก่อสร้าง และชำระเงินที่เหลือทั้งหมดในวันโอนกรรมสิทธิ์เมื่อเสร็จสิ้นการก่อสร้าง  จำนวนเงินที่ผู้ซื้อใหม่ยังคงต้องจ่ายให้กับผู้พัฒนาโครงการขึ้นอยู่กับจำนวนเงินดาวน์รายเดือนที่ยังเหลืออยู่ก่อนที่การโอนกรรมสิทธิ์   สิ่งสำคัญที่จะต้องทราบก็คือ ผู้พัฒนาโครงการจะต้องลงนามในข้อตกลงการโอนสิทธิ์ เช่นเดียวกับผู้ขายและผู้ซื้อเพื่อให้การโอนสิทธิ์ในสัญญาจะซื้อจะขายนั้นถูกต้องโดยสมบูรณ์ สิ่งสำคัญที่ผู้ซื้อควรพิจารณา คือ ชื่อเสียงของผู้พัฒนาโครงการ และประวัติการทำงานที่ผ่านมาว่าสามารถส่งมอบโครงการได้ตามคุณภาพที่ระบุไว้ในเอกสารประกอบการขายหรือไม่   ส่วนโครงการที่การก่อสร้างแล้วเสร็จนั้น  ขั้นตอนการขายคือการทำสัญญาจะซื้อจะขายตามมาตรฐาน ซึ่งโดยปกติแล้ว จะต้องวางเงินมัดจำเท่ากับร้อยละสิบของราคาขาย และโอนกรรมสิทธิ์ ณ กรมที่ดินภายใน 30 – 60 วันหลังจากลงนามในสัญญาจะซื้อจะขาย  โดยยอดคงเหลือทั้งหมดจะต้องชำระให้กับผู้ขาย ณ กรมที่ดินในวันโอนกรรมสิทธิ์   ข้อควรพิจารณาที่สำคัญสำหรับผู้ซื้อคอนโดมิเนียมในอาคารเก่าคือ คุณภาพของการก่อสร้างและการบำรุงรักษาอาคารดีเพียงใด รวมทั้งสถานะการเงินในปัจจุบันของนิติบุคคลอาคารชุดซึ่งแต่งตั้งโดยเจ้าของร่วมทั้งหมด มีหน้าที่บริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลางของอาคารและการบำรุงรักษาอาคาร   นับตั้งแต่ที่มีการออกพระราชบัญญัติอาคารชุดในปี 2522 ผู้ซื้อชาวไทยส่วนใหญ่นิยมโครงการใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อคอนโดมิเนียมที่การก่อสรางยังไม่แล้วเสร็จจากผู้พัฒนาโครงการ หรือการซื้อห้องชุดจากนักลงทุนก่อนที่อาคารจะสร้างเสร็จสมบูรณ์  มากกว่าซื้อโครงการมือสองที่แล้วเสร็จ   “ความแตกต่างในด้านราคาของคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวใหม่และคอนโดมิเนียมที่เก่ากว่าและแล้วเสร็จเริ่มมีมากขึ้นจนทำให้ผู้ซื้อที่ต้องการเข้าพักอาศัยเองมองหาคอนโดมิเนียมในอาคารที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะคอนโดมิเนียมรุ่นใหม่ๆ มีราคาสูงเกินกว่างบประมาณที่ผู้ซื้อชาวไทยส่วนใหญ่มี   ผู้ซื้อค่อยๆ ลดอคติที่มีต่อคอนโดมิเนียมที่มีผู้อื่นเป็นเจ้าของมาก่อนเพื่อแลกกับการได้ห้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้นภายใต้งบประมาณเดิมที่มีอยู่” นางสาวพรพิมลกล่าวเพิ่มเติม   ในด้านคุณภาพโครงการนั้นมีด้วยกันหลากหลายระดับ บางโครงการมีคุณภาพดีเหมือนโครงการใหม่ ในขณะที่บางโครงการสร้างขึ้นอย่างไม่มีคุณภาพและ/หรือไม่มีการบริหารอาคารที่ดี  ผู้ซื้อที่เลือกโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันควรทำการตรวจสอบในด้านคุณภาพการก่อสร้าง สภาพการบำรุงรักษาอาคาร รวมถึงทำความเข้าใจสถานะทางการเงินของสำนักงานนิติบุคคลของอาคาร เพื่อให้ทราบว่าอาคารจะได้รับการบำรุงรักษาที่ดีและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคตหรือไม่          
แสนสิริ ผนึกธนาคารออมสิน เปิดตัว “HomeForLife” สินเชื่อที่อยู่อาศัยแห่งปี 2019

แสนสิริ ผนึกธนาคารออมสิน เปิดตัว “HomeForLife” สินเชื่อที่อยู่อาศัยแห่งปี 2019

แสนสิริ ผนึกธนาคารออมสิน ฉีกกรอบทุกนวัตกรรมสินเชื่อที่อยู่อาศัย เปิดตัว “HomeForLife” สินเชื่อที่อยู่อาศัยแห่งปี 2019 ครั้งแรกในไทยที่ผสาน 2 จุดเด่น ได้บ้านพร้อมการวางแผนการเงินในแพคเกจเดียว   แสนสิริ จับมือธนาคารออมสิน เปิดตัว “HomeForLife” นวัตกรรมสินเชื่อที่อยู่อาศัยของ ปี 2019 ครั้งแรกในไทยที่ผสานจุดเด่น กู้ง่าย-ผ่อนสบาย-มีรายได้หลังเกษียณได้บ้านพร้อมการวางแผนการเงินในแพคเกจเดียว ตอบโจทย์ลูกค้า Smart Consumer ซึ่งต้องวางแผนทางการเงินที่มั่นคงสำหรับทุกช่วงชีวิต ตั้งเป้าลูกค้าแสนสิริใช้บริการสินเชื่อจากธนาคารออมสินมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 50%   นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ถึงแม้ว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบรอบด้าน อย่างไรก็ตามที่อยู่อาศัยยังคงเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญและยังคงมีความต้องการอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ซึ่งต้องการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพทั้งด้านการออกแบบที่สวยงาม ฟังก์ชั่นที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้งานจริง และบริการที่ช่วยสนับสนุนการอยู่อาศัยซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างลงตัว ซึ่งตรงกับแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และแนวทางการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ ทั้งการพัฒนาโครงการคุณภาพ ควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบันที่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต และรูปแบบสังคมที่เปลี่ยนไป เพื่อมุ่งเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยให้กับลูกค้าอย่างสมบูรณ์แบบ (complete your living experience) ทำให้แสนสิริมีความเชื่อมั่นว่าปีนี้จะเป็นอีกปีที่ดีในการเติบโตของบริษัทอย่างยั่งยืน   ล่าสุดบริษัทได้มองเห็นเทรนด์ที่น่าสนใจในเรื่องของการวางแผนทางการเงินเพื่อความมั่นคงในระยะยาวจากการประเมินของมูลนิธิสถานบันวิจัยและพัฒนา ผู้สูงอายุที่ระบุว่ากลุ่มคนอายุ 25-55 ปี ให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินให้เพียงพอสำหรับการเกษียณอายุในอนาคตถึง 55% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะในกลุ่ม Smart Consumer หันมาวางแผนการเงินระยาวอย่างชาญฉลาดกันมากขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายในการมีอิสระทางการเงินได้เร็วยิ่งขึ้น     ด้วยความเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคกลุ่ม Smart Consumer ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ควบคู่กับการมีอิสระทางการเงินหลังเกษียณ ทำให้บริษัทได้ร่วมกับธนาคารออมสินในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อ “HomeForLife” ซึ่งนับเป็นนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ที่มีจุดเด่นจากการผสมผสานระหว่างสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบปกติ และ Reverse Mortgage ที่จะช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในทุกช่วงชีวิตโดยภายหลังอายุ 60 ปีลูกค้าสามารถนำที่อยู่อาศัยที่มีกรรมสิทธิ์และปลอดภาระหนี้วางเป็นหลักประกันกับธนาคารออมสินเพื่อเปลี่ยนเป็นรายได้ โดยเลือกรับเป็นรายเดือน หรือก้อนใหญ่ โดยผู้กู้ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยนั้นตลอดช่วงชีวิต ซึ่งเป็นการวางแผนชีวิตเพื่ออนาคตระยะยาวและสร้างความมั่นคงทางการเงินได้อย่างลงตัว   “แสนสิริเชื่อมั่นว่าจุดเด่นของสินเชื่อ “HomeForLife” จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเซกเมนต์ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาตั้งแต่ 1-20 ล้านบาท ทำให้ลูกค้าในทุกช่วงวัยสามารถตัดสินใจซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น ด้วยภาระการผ่อนชำระที่สบายกว่าเดิม ทั้งยังสามารถใช้เป็นแหล่งสร้างรายได้ไปได้ตลอดชีวิต ตั้งเป้าลูกค้าแสนสิริใช้บริการสินเชื่อจากธนาคารออมสินมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 50% ภายในระยะเวลาหนึ่งปีจากการเปิดตัวสินเชื่อนี้ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าจากปัจจัยสนับสนุนของการเปิดตัวสินเชื่อ “HomeForLife” ในช่วงนี้ จะช่วยสนับสนุนการขายในแคมเปญ “โปรหมดเปลือก” ซึ่งนำเสนอโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียมและทาวน์เฮาส์ พร้อมอยู่กว่า 30 โครงการทั่วประเทศ มอบข้อเสนอสุดพิเศษครอบคลุมโครงการที่อยู่อาศัยทุกเซ็กต์เม้นต์ ตั้งแต่วันนี้จนถึง 15 มีนาคม 2562  โดยยังได้เตรียมจัดงานขายภายใต้แคมเปญ “โปรหมดเปลือก” สำหรับลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ ในวันที่ 8 -10 กุมภาพันธ์ 2562 นี้ที่แฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอนอีกด้วย ผู้ที่สนใจ “HomeForLife” นวัตกรรมสินเชื่อที่อยู่อาศัย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในวันงาน     นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน กล่าวว่า “สินเชื่อ “HomeForLife” นับเป็นนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันครั้งแรกระหว่างผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงินที่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคที่ฉลาดวางแผนทางการเงิน ซึ่งโดยปกติเงื่อนไขของสินเชื่อแบบ Reverse Mortgage จะปล่อยกู้ให้กับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งจะนำที่อยู่อาศัยที่ตนมีกรรมสิทธิ์ และปลอดภาระหนี้มาเปลี่ยนเป็นรายได้ในการดำรงชีพทั้งแบบเงินก้อนและรายเดือนแต่สำหรับแพคเกจสินเชื่อ “HomeForLife” นับเป็นการสร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญให้กับการตัดสินใจกู้เงิน   เพื่อซื้อที่พักอาศัยของคนไทยให้ล้ำหน้าขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการนำ Reverse Mortgage มาผสมผสานสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบปกติ สำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการของแสนสิริทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียมด้วยอัตราการผ่อนชำระที่ต่ำกว่าปกติ เมื่อผู้กู้มีอายุครบ 60 ปี และที่อยู่อาศัยนั้นปลอดภาระหนี้แล้ว ธนาคารออมสินจะประเมินมูลค่าที่อยู่อาศัยจริง ณ ขณะนั้นเพื่อกำหนดวงเงินสินเชื่อแบบย้อนกลับ โดยผู้กู้สามารถเลือกรับเป็นเงินก้อนหรือเงินงวดรายเดือนและหากผู้กู้อายุครบ 60 แล้วแต่สถานะที่อยู่อาศัยยังไม่ปลอดภาระหนี้ยังสามารถขอเบิกเงินสินเชื่อแบบ Reverse Mortgage งวดแรกในอัตรา 10% เพื่อนำมาโปะปิดภาระหนี้ของที่อยู่อาศัยที่ยังเหลืออยู่ได้อีกด้วย โดยสินเชื่อ “HomeForLife เหมาะสำหรับลูกค้าทุกวัยด้วยระยะผ่อนชำระที่นาน ทำให้ผู้กู้สามารถรับรายได้จากเงินกู้นานสูงสุดจนถึงอายุ 85 ปี (โดยกำหนดระยะเวลาของการกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยตามปกติสูงสุดถึง 30 ปี และกำหนดระยะเวลาของการกู้แบบย้อนกลับแบบ Reverse Mortgage สูงสุดถึง 25 ปี) เมื่อครบกำหนดสัญญาแล้วหากผู้กู้ยังมีชีวิตอยู่ ธนาคารจะหยุดจ่ายเงินกู้ โดยผู้กู้ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยนั้นตลอดชีวิต หรือทำเรื่องกู้เพิ่มเติม หากผู้กู้เสียชีวิต ทายาทของผู้กู้สามารถไถ่ถอนที่อยู่อาศัยนั้นได้ ภายใต้เงื่อนไขการเจรจากับธนาคาร”   “สำหรับประโยชน์ที่ชัดเจนสำหรับผู้กู้คือ สามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของตัวเองได้ง่ายขึ้น พร้อม ๆ ไปกับการสร้างความมั่นคงในทุกช่วงวัยของชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบและไร้กังวล ด้วยอัตราการผ่อนชำระที่ต่ำกว่าปกติ ผ่อนสบายขึ้น ลดภาระในช่วงวัยทำงานและช่วงชีวิตที่กำลังสร้างครอบครัว ทำให้ผู้กู้สามารถมีวงเงินกู้ที่มากขึ้น สามารถเลือกขยายงบประมาณได้ตรงกับความต้องการในการซื้อที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นเปิดโอกาสให้ผู้กู้หรือทายาทไถ่ถอนที่อยู่อาศัยนั้นได้ในทุกๆช่วงสัญญา ขณะเดียวกันก็เป็นการเตรียมตัวสร้างความมั่นคงทางการเงินหลังเกษียณ ด้วยรายได้ที่จะช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตและเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจนถึงอายุ 85 ปี ซึ่งเป็นการเสริมสร้างหลักประกันให้ชีวิตแก่ประชาชน และบรรเทาภาระงบประมาณภาครัฐด้านสวัสดิการชราภาพ”   “โดยธนาคารออมสินคาดว่านวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่นี้จะกลายเป็นทางเลือกใหม่และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภควัยทำงานในยุคปัจจุบันวางแผนทางการเพื่ออนาคตในระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ธนาคารเองก็สามารถตัดสินใจปล่อยกู้ได้ง่ายขึ้นด้วยหลักประกันที่มั่นคง และสร้างโอกาสให้ธนาคารสามารถนำสินเชื่อแบบ Reverse Mortgage และสินเชื่อต่าง ๆ ของธนาคารเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น” นายชาติชายกล่าว   แสนสิริ มอบสิทธิการเลือกใช้สินเชื่อ“HomeForLife”สำหรับลูกค้าที่ซื้อโครงการแสนสิริทุกโครงการได้แล้ววันนี้ โดยผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.02-299-8000 ต่อ 211170-72            
‘อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง-สาทร’ เปิดให้ชมห้องตัวอย่างแล้ว

‘อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง-สาทร’ เปิดให้ชมห้องตัวอย่างแล้ว

‘อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง-สาทร’ โครงการคอนโดมิเนียม Luxury Riverview Condominium ใน CBD ที่สุดแห่งทำเลใจกลางย่านเจริญกรุงโดยบริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ ที่โครงการ อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง สาทร บนถนนจันทน์ 44 ซึ่งโครงการออกแบบใน สไตล์โคโลเนียล คอนเทมโพรารี่ (Colonial Contemporary Design)  สะท้อนรสนิยมและความภาคภูมิใจ ผ่านการเลือกสรรที่บ่งบอกถึงตัวตน สุนทรียะแห่งการอยู่อาศัย บนพื้นที่เพื่อการใช้เวลาอันมีค่าร่วมกับครอบครัวและเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของชีวิตในเมือง   โครงการ ‘อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง-สาทร’  ใกล้ถนนเส้นหลักอย่าง ถนนเจริญกรุง, ถนนเจริญราษฎร์, ถนนพระราม 3 และถนนสาทร ใกล้ทางพิเศษศรีรัช ด่านถนนจันทน์ เพียง 2 นาที มีเส้นทางลัดให้ได้ใช้หลายทาง รวมถึงเป็นโครงการที่ใกล้กับรถไฟฟ้าถึง 2 สถานี นั่นก็คือรถไฟฟ้า BTS สุรศักดิ์ และ BTS สะพานตากสิน อยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก แหล่งงาน โรงเรียน โรงพยาบาลและห้างสรรพสินค้าขาดใหญ่ โดยห่างจากโรงเรียนนานาชาติ โชรส์เบอรี่ เพียง 400 เมตร รร.กรุงเทพคริสเตียน และ รร.อัสสัมชัญ บางรัก รวมถึงเป็นโครงการที่ใกล้กับ Asiatique The Riverfront แหล่งท่องเที่ยวบนถนนเจริญกรุง และ Four Seasons Hotel Bangkok โรงแรมระดับ 5 ดาว ในระยะที่สามารถเดินเท้าไปได้   โครงการ อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง-สาทร ตั้งอยู่บนถนนจันทน์ 44 แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม เนื้อที่ 369 ตารางวา มี Triple facilities ส่วนกลางถึง 3 ชั้น โดยมีจำนวนเพียง 99 ยูนิต 1 อาคาร 21 ชั้น พร้อมสวนบนชั้นดาดฟ้า และที่จอดรถแบบระบบอัตโนมัติ ในชั้นใต้ดิน 4 ชั้น พร้อมชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ รายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์  https://altitudesymphony.com สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Tel. 095 247 8999          
“อัสทราลพูล” ประกาศขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งตลาดสระว่ายน้ำ

“อัสทราลพูล” ประกาศขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งตลาดสระว่ายน้ำ

บริษัท อัสทราลพูล ประเทศไทย หนึ่งในเครือบริษัทฟลุยดรา ผู้นำทาง ด้านนวัตกรรมอุปกรณ์สระว่ายน้ำระดับโลกจากประเทศสเปน ประกาศขึ้นแท่นผู้นำในอุตสาหกรรมสระว่ายน้ำ หลังจากควบรวมกิจการกับโซดิแอค ทำให้มีไลน์สินค้าและนวัตกรรมเพิ่มขึ้นในทุกประเภทรวม 75,000 รายการ มีวิศวกรและผู้เชียวชาญกว่า 5,500 คนที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 49 ปี มีสำนักงานทั่วโลกรวมกันกว่า 46 ประเทศทั่วโลก สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่บาร์เซโลน่า   มูลค่าตลาดของธุรกิจสระว่ายน้ำทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 7.1 พันล้านยูโร (2.8 แสนล้านบาทไทย) โดยภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรปรวมกันมีสัดส่วนสูงถึง 79% และบริษัทฟลุยดรามีส่วนแบ่งทางการตลาด 18% หากแบ่งตามประเภทของสระว่ายน้ำทั่วโลก สัดส่วนของสระว่ายน้ำตามบ้าน (residential pool) จะอยู่ที่ 76% ในขณะที่สระว่ายน้ำเชิงพาณิชย์จะอยู่ที่ 24% แต่สำหรับแถบเอเชียจะตรงกันข้าม สระว่ายน้ำเชิงพาณิชย์จะมีสัดส่วนที่สูงกว่า ในขณะที่ประเทศไทยสัดส่วนจะประมาณครึ่งต่อครึ่งระหว่างสระส่วนตัวกับสระเชิงพาณิชย์   สำหรับการคาดการณ์การเติบโตของตลาดนี้ทั่วโลกโดยเฉลี่ย (ระหว่างปี 2014-2017) อยู่ที่ 4-6% แต่ตลาดในเอเชียจะเติบโตเป็นเลขสองหลัก เนื่องจากตลาดนี้การเติบโตจะขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศและการเป็นเมืองท่องเที่ยว โดยแบ่งเป็น - การสร้างสระใหม่ 1-1.5% - การซ่อมสระเก่า 1.5-2% - สระที่มีฟีจเจอร์และนวัตกรรมใหม่ๆ 1.5-2.5%     บริษัทฟลุยดรามีวิศวกร R&D มากกว่า 200 คน มีนวัตกรรมสิทธิบัตรมากกว่า 1,100 สิทธิบัตร รายการสินค้าทั้งหมดมากกว่า 75,000 รายการ ครอบคลุมทุกองค์ประกอบของสระว่ายน้ำ และมีนโยบายการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมทั้งการคิดค้นนวัตกรรมที่ลดการใช้พลังงานเพื่อความยั่งยืน หรือ Green Energy   ลูกค้าในประเทศไทย อาทิ โรงแรม Angsana Lagula ภูเก็ต สวนน้ำ Cartoon Network พัทยา (ระบบหมุนเวียนน้ำ) Virgin Active Fitness Center (เอ็มควอเทียร์) สวนน้ำ Santorini Park หัวหิน โรงแรม Banyan Tree ภูเก็ต Movenpick พัทยา โรงแรม Veeranda Resort หัวหิน ฯลฯ   สำหรับประเทศไทยมีดีลเลอร์ 2-3 รายในแต่ละภูมิภาค ซึ่งดีลเลอร์จะดูแลลูกค้าสำหรับบริการหลังการขายเช่นกัน ส่วนในปีหน้าการทำการตลาดจะเน้นไปในการสร้างแบรนด์ เช่น การจัดทำ Display Kiosk ให้กับดีลเลอร์   การออกงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสถาปนิก การทำ Product Training การทำการตลาดโซเชียลมีเดีย (SEO, YouTuber, Tutorial VDO, Line, FB) กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้แก่ โรงแรมและรีสอร์ท สปอร์ตเซ็นเตอร์และฟิตเนสเซ็นเตอร์ สระว่ายน้ำสำหรับการแข่งขัน กลุ่มบริษัทก่อสร้าง และผู้รับเหมาวางระบบไฟฟ้า ประปา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโปรเจกต์ เทิร์นคีย์ ได้แก่โรงแรม Imperial Boat House สมุย Virgin Active Whizdom 101 ฯลฯ โดยจะเน้นโปรเจกต์ขนาดใหญ่ ตั้งเป้าปีหน้าโตสองหลัก เพราะเชื่อมั่นในทีมงาน สินค้า และตลาดประเทศไทยมีการเติบโตของนักท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์            
เปิดตัวโรงแรมสุดหรู 5 ดาว “โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา”

เปิดตัวโรงแรมสุดหรู 5 ดาว “โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา”

เปิดตัวสุดยิ่งใหญ่!  “โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา” โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว–แลนด์มาร์คใหม่ใจกลางเมืองศรีราชา   “โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา” โรงแรมหรูที่ได้รับการดีไซน์ภายใต้คอนเซ็ปต์  “Modern Oriental Style” พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ  ชูจุดเด่นโรงแรมที่สูงที่สุด! บนทำเลที่ดีที่สุด! รายล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย มีห้องพักหลากหลายให้เลือก ทั้งวิวเมือง–วิวภูเขา–วิวทะเลอ่าวไทย และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น สระว่ายน้ำที่ยาวถึง 25 เมตรในบรรยากาศสวยที่สุดในศรีราชา พร้อมพาโนรามาวิวที่มองเห็นทะเลแบบเต็มๆ ห้องเกมส์ ห้องคาราโอเกะ ห้องเด็กเล่น ห้องออกกำลังกาย ห้องสมุด และบ่อน้ำร้อนออนเซ็นต้นตำรับแท้ๆ จากญี่ปุ่นรายแรกในศรีราชา  ผู้เข้าพักจะได้สัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟด้วยมาตรฐานบริการระดับโลก   นายปริญญา เธียรวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี.เอ็ม.พี.ซี. จำกัด (VMPC) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่อขายและให้เช่า ในฐานะผู้พัฒนาโรงแรม “โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา” (Oakwood Hotel & Residence Sri Racha) เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในระดับจังหวัดของรัฐบาล ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการขยายตัวของเมืองอย่างต่อเนื่อง เป็นศูนย์กลางการลงทุน เศรษฐกิจ การศึกษา และการท่องเที่ยวทั้งของชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานเป็นจำนวนมาก ประกอบกับรัฐบาลกำลังเร่งผลักดันโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ระยอง และชลบุรี เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ในระยะยาว   ในปี 2558 บริษัทฯ ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโอ๊ควู๊ด  โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา โรงแรมระดับ 5 ดาวสูง 48 ชั้น บนเนื้อที่ 12 ไร่ ใจกลางอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Modern Oriental Style”  เริ่มเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการตั้งแต่ปลายปี 2560 ด้วยมาตรฐานบริการจาก “Oakwood” ซึ่งเป็นเชนโรงแรมระดับโลกและได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนผู้เข้าพักมากที่สุดในพื้นที่ศรีราชา ปัจจุบัน โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์บนทำเลที่ดีที่สุดและเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางศรีราชา และเปิดตัวอย่างเป็นทางการ (Grand Opening) ในวันที่ 19 มกราคม 2562 พร้อมให้บริการเต็มรูปแบบ ด้วยห้องพักรวมทั้งสิ้น จำนวน 458 ห้อง รวมถึงห้องประชุม สัมมนา และจัดเลี้ยงต่างๆ จำนวน 6 ห้องที่สามารถรองรับคนได้ถึง 700 ท่าน พร้อมอาคารจอดรถมากถึง 400 คัน     “นอกจากความโดดเด่นของโอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองแล้ว ยังแวดล้อมด้วยนิคมอุตสาหกรรม เช่น นิคมอุตสาหกรรมท่าเรือแหลมฉบัง และอยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวมากมาย เช่น เกาะลอยศรีราชาที่สามารถเดินเท้าจากโรงแรมไปได้ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนเสือศรีราชา สวนสุขภาพเทศบาลเมืองศรีราชาซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังของโรงแรม และเจพาร์คศรีราชาซึ่งเป็นคอมมูนิตี้มอลล์สไตล์ญี่ปุ่น นอกจากนี้โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา ยังได้รับการออกแบบโดยเล็งเห็นถึงความสำคัญของผู้สูงวัยและสิทธิของผู้ใช้รถเข็น ล่าสุดได้รับรางวัลโรงแรมที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล นอกจากนี้ยังมีสระว่ายน้ำ Infinity Pool บรรยากาศซีวิว (Sea View) แบบพาโนรามาที่มีความยาวถึง 25 เมตรสามารถมองเห็นวิวทะเลและพระอาทิตย์ตกในช่วงเย็นได้อย่างชัดเจน รวมถึงบ่อน้ำร้อนออนเซ็น (Real Onsen) ต้นตำรับแท้ๆ จากญี่ปุ่นซึ่งน้ำออนเซ็นจะเป็นแบบ Silk Bath เพื่อให้ผู้เข้าพักได้สัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนที่เพิ่มความสดชื่นและผ่อนคลาย ห้องออกกำลังกายขนาดใหญ่ที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย  ห้องเด็กเล่นที่ออกแบบอย่างพิถีพิถันและปลอดภัยสำหรับเด็กๆ  ห้องคาราโอเกะ และมุมถ่ายรูปสวยๆ อีกมากมาย รวมถึง Atara Mall คอมมูนิตี้มอลล์ด้านหน้าโรงแรมที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง พร้อมรองรับทุกไลฟ์สไตล์การพักผ่อน” นายปริญญา กล่าว   ด้าน นายดีน ชไรเบอร์ (Mr.Dean Schreiber) กรรมการผู้จัดการ โอ๊ควู๊ด เอเชียแปซิฟิค กล่าวว่า รู้สึกตื่นเต้นและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ VMPC ภายใต้การบริหารงานของคุณปริญญา เธียรวร ในการก่อสร้างโครงการก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ โดยได้รับความไว้วางใจและการสนับสนุนที่ดีจากคุณปริญญาเสมอมา โดยโอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา ยังเป็นโครงการที่ทำให้แบรนด์ Oakwood กลายเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยในเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 5 เดือนเท่านั้น นับตั้งแต่วันที่โรงแรมเริ่มเปิดให้บริการช่วง Soft Opening เมื่อปลายปี 2560 โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา ได้ขึ้นแท่นโรงแรมอันดับหนึ่งที่มีผู้แนะนำให้เข้าพักมากที่สุดในศรีราชาจาก TripAdvisor นอกจากนี้โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา ยังได้รับรางวัลระดับนานาชาติอีกหลายรางวัล เช่น รางวัลชนะเลิศ Best Serviced Apartment และ Best MICE Venue จากเวที  HRM Asia Reader’s Choice Awards 2018 ณ ประเทศสิงคโปร์  และล่าสุดกับรับรางวัลโรงแรมที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล ในงาน Thailand Friendly Design Expo 2018 : มหกรรมอารยสถาปัตย์และนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพ การให้ความสำคัญสูงสุดในการทำให้ผู้เข้าพักรู้สึกเป็นมิตร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและบริการที่แสนประทับใจด้วยมาตรฐานบริการระดับโลกที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างสมบูรณ์แบบ   นางสาวลีน่า อับดุลลาห์ (Ms.Lina Abdullah) ผู้จัดการทั่วไป โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา กล่าวว่า  ความสำเร็จและรางวัลทั้งหมดของเรา ในช่วงระยะเวลาเพียงหนึ่งปีของการดำเนินงาน ต้องขอขอบคุณการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากพันธมิตรทางธุรกิจ และด้วยความทุ่มเทและตั้งใจในการทำงานของพนักงานผู้อยู่เบื้อหลังความสำเร็จนี้ทุกคน     สำหรับผู้สนใจสามารถแวะเวียนไปเยี่ยมชมและสัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่  “โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ ศรีราชา” โรงแรมระดับ 5 ดาว บนทำเลที่ดีที่สุดใจกลางเมืองศรีราชา หรือติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่โทรศัพท์ 038 327 999  หรือคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.facebook.com/OakwoodSriRacha/            
แชปเตอร์ วัน อีโค รัชดา – ห้วยขวาง โกยรายได้ 1,800 บาท ภายใน 3 สัปดาห์

แชปเตอร์ วัน อีโค รัชดา – ห้วยขวาง โกยรายได้ 1,800 บาท ภายใน 3 สัปดาห์

เปิดปีใหม่มาไม่ทันไร ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต CEO พฤกษา เรียลเอสเตท–พรีเมียม ก็ได้รับข่าวดีต้อนรับปีหมูซะแล้วหลังจากที่จัดงานเตรียมความพร้อมก่อนการโอนของโครงการ “แชปเตอร์วัน อีโค รัชดา – ห้วยขวาง” คอนโดแต่งครบ พร้อมอยู่ ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ได้รับกระแสตอบรับดีเกินคาด มีลูกค้าตบเท้าเข้าร่วมงานกันอย่างล้นหลามสามารถโกยรายได้กว่า 1,800 ล้านบาท ภายใน 3 สัปดาห์ นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของวงการอสังหาฯ ที่ลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี แถมการันตีคุณภาพด้วยรางวัลจากเวทีระดับโลก จากภาพรวมโครงการคุณภาพการก่อสร้าง สถาปัตยกรรมภายในและภายนอก พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและส่วนกลางที่ใหญ่กว่า 4 ไร่ ถือว่าคุ้มที่สุดในย่านรัชดา เริ่ม 2.5 ล้านบาท พิเศษ! ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน พร้อมรับสิทธิพิเศษอื่นอีกมากมายก่อนจะเปลี่ยนมาตรการรัฐ     ใครสนใจรีบลงทะเบียนรับส่วนลดพิเศษได้ที่ : https://bit.ly/2CXy8Hn สามารถเยี่ยมชม Sales Gallery ได้แล้ววันนี้ ข้อมูลเพิ่มเติมโทร.1739 หรือ https://www.pruksa.com/premium        
LPN GROUP ทำรายได้รวมเติบโตสูง 20% หลังรีโมเดลธุรกิจ 2 ปี

LPN GROUP ทำรายได้รวมเติบโตสูง 20% หลังรีโมเดลธุรกิจ 2 ปี

LPN GROUP ทำรายได้รวมเติบโตสูง 20% หลังรีโมเดลธุรกิจ 2 ปี ปี 62 เน้นกระจายขารายได้ ฝ่าปัจจัยลบ เติบโตยั่งยืน   ผลดำเนินงานปี  61  L.P.N. DEVELOPMENT GROUP  เติบโต 20% หลังเริ่มมองเห็นภาวะถดถอยภาคอสังหาฯ  ตั้งแต่ 2 ปีก่อน และเตรียมรับมือปรับโครงสร้างธุรกิจครบวงจร  ปี 62 พร้อมฝ่าปัจจัยลบด้วยแผนรองรับที่เข้มแข็ง  มั่นใจทิศทางการดำเนินงานที่รอบคอบ ผลการจัดอันดับจาก TRIS Rating ที่ระดับ A- (Stable) และแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อมั่นยาวนานกว่า 30 ปี จะสร้างการเติบโตในปี 62 รวม 10%   นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN)  เปิดเผยว่า จากสภาวะถดถอยของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ LPN ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว บริษัทจึงมีการปรับโมเดลและวางแผนธุรกิจภายใต้แนวทางYear of Shift และ Year of Change ในปี 60-61  เพื่อรองรับสถานการณ์และสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นทั้งจากการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, Recurring Income และธุรกิจบริการ ส่งผลให้ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายเดียวที่เน้นการทำธุรกิจอย่างครบวงจร โดยมีการเติบโตของรายได้ 20% จากกลยุทธ์ในด้านต่างๆ ได้แก่   1. การขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังระดับบน ทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักอาศัย โดยได้พัฒนาบ้านพรีเมียมเป็นครั้งแรกภายใต้แบรนด์ “BAAN 365” กับคอนเซ็ปต์ “Livable Simple Luxury” ซึ่งสามารถสร้างยอดขายในช่วง Presale ได้มากกว่า 50% จนได้รับการกล่าวขานเป็น Talk of the Town ในวงการอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาคอนโดมิเนียมระดับบน และขยายเซ็กเมนท์ไปยังกลุ่ม Gen Y ที่มีไลฟ์สไตล์เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ภายใต้ซับแบรนด์ “Lumpini Selected” ซึ่งได้ส่งมอบโครงการแรกที่เกษตร-งามวงศ์วานแล้วในปีที่ผ่านมา และต่อยอดไปยังย่านสุทธิสาร-สะพานควายที่ได้รับการออกแบบให้เหมาะกับการใช้ชีวิตของผู้หญิงรุ่นใหม่   2. การขยายธุรกิจไปยัง “Office Condo” พร้อมบริการวางระบบ Office Smart ที่เอื้อประโยชน์ต่อการทำธุรกิจ นำร่องด้วย อาคาร “ลุมพินี ทาวเวอร์ วิภาวดี” อาคาร A ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้สนใจหลายรายที่ต้องการซื้อยกตึก โดยในขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจา   3. การสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) จากการบริหารโครงการของบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด และรายได้จากการปล่อยเช่า รวมถึงการนำห้องชุดในโครงการ “ลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1” อาคาร Fมาปรับเปลี่ยนจากการขายมาเป็นการเช่า โดยได้ออกแบบพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของผู้เช่า เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีเสมือนการพักอาศัยในคอนโดมิเนียม   ปี 2562 : ปีแห่งการฝ่าพายุ (Storm is coming) สำหรับปี 2562 นี้ ภาพของสภาวะถดถอยยิ่งปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้น LPN จึงได้เตรียมแผนรองรับปัจจัยลบต่างๆ ไว้เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนโดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 10% ด้วยการเปิดตัวโครงการให้ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Value และ Standard เพื่อกระจายความเสี่ยง ในขณะเดียวกันก็ระมัดระวังในการเลือกทำเลเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพตามกลยุทธ์ขององค์กร เพื่อให้มั่นใจได้ถึงความสำเร็จของโครงการ  โดยข้อมูลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจทั้งหมดสนับสนุนโดย  LPN Wisdom  หน่วยงานที่ทำหน้าที่วิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเชิงลึกในการพัฒนาโครงการและการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง บริษัทยังมีสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง เนื่องจากสินค้าพร้อมอยู่ทั้งหมดของ LPN มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท เป็นสินค้าที่ไม่มีภาระทางด้านการเงิน นอกจากนั้น บริษัทได้รับการจัดอันดับจาก TRIS Rating ในระดับ A- (Stable) ที่แสดงถึงความมั่นคงและน่าเชื่อถือทางการเงินซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการระดมทุนหากบริษัทมีการออกหุ้นกู้ในอนาคต   ทิศทางการดำเนินงานของธุรกิจในเครือ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP  - LPN Wisdom อีกหนึ่งธุรกิจในเครือที่เป็นตัวแทนด้านความเป็น “คนเก่ง” จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงวิเคราะห์วิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่เหมาะสมทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักอาศัยตาม Segment ของ Product Brand “ลุมพินี” โดยได้สร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development Center) เพื่อเป็นที่ศึกษาและพัฒนาคุณค่าของสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านห้องทดลองพัฒนาและวิจัยแบบจำลอง หรือ Mock Up Center นอกจากนี้ LPN Wisdom ยังได้รับการยอมรับให้เป็นที่ปรึกษาด้านอาคารเขียวจากหน่วยงานราชการและเอกชนอย่างกว้างขวาง - LPN Project Management ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เป็นตัวแทนด้านความเป็น “คนเก่ง” ของ LPN โดยในปี 62 ซึ่งเป็นช่วงสภาวะถดถอยของภาคอสังหาริมทรัพย์นี้ LPN Project Management จะเน้นการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพื่อให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการของ LPN ต่ำลง - LPP Property Management ถือเป็นฟันเฟืองหลักในธุรกิจบริการ โดยมีเป้าหมายการเติบโตอยู่ที่ 20% ซึ่งเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 15% ในปีที่ผ่านมา โดยรายได้หลักของธุรกิจจะมาจาก 3 ขา คือ การบริหารชุมชนทั้งภายในและภายนอกโครงการของ LPN งานบริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจนายหน้าหาผู้ซื้อและผู้เช่าห้องชุด นอกจากนั้น LPP ยังมีฐานลูกค้าอีกกว่า 150,000 รายที่สามารถนำไปต่อยอดเพื่อสร้างรายได้จากการบริการในอนาคต   4. LPC Service & Care ดำเนินธุรกิจบริการด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัยในโครงการ เช่น งานบริการความสะอาด งานบริการต้อนรับ เป็นต้น บริหารงานโดยบริษัท LPC Social Enterprise วิสาหกิจเพื่อสังคม 1 ใน 15 แรกในไทย ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนด้านความเป็น “คนดี” ของ LPN ที่ต้องการแสดงความใส่ใจ ห่วงใย แบ่งปันต่อสตรีด้อยโอกาสที่ยังมีอยู่มากในประเทศ เพื่อสร้างรายได้ สร้างโอกาส สร้างศักดิ์ศรี และสร้างความสุขให้กับบุคคลเหล่านี้ และเป็น 1 ในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ช่วยลดปัญหาของสังคมอย่างยั่งยืน    นายโอภาสกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากภาพรวมแนวทางของการดำเนินธุรกิจข้างต้นแล้ว ในปีนี้ บริษัทยังมีแนวทางในการจัดการ Zero Waste ในกระบวนการดำเนินธุรกิจขององค์กร ทั้ง Supply Chain เบื้องต้นนำร่องด้วยการเริ่มลดใช้ขวดและพลาสติกในสำนักงานขาย ซึ่งตั้งเป้าลดให้ได้มากกว่าปีละ 500,000 ชิ้น และจะดำเนินการต่อยอดไปในโครงการ “ลุมพินี” ที่บริษัทบริหารชุมชนอยู่ รวมถึงกิจกรรมบริจาคโลหิตที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี โดยในปี 62 นี้ ตั้งเป้าหมายรับบริจาคให้ได้ 1,300,000 C.C.          
วี พร็อพเพอร์ตี้ฯ ส่งโครงการ “เวอร์เทียร์ สุขุมวิท” ลงตลาดคอนโดนิเนียม Luxury ติดสถานีรถไฟฟ้าพระโขนง

วี พร็อพเพอร์ตี้ฯ ส่งโครงการ “เวอร์เทียร์ สุขุมวิท” ลงตลาดคอนโดนิเนียม Luxury ติดสถานีรถไฟฟ้าพระโขนง

“สุขุมวิท” ถนนเส้นนี้ได้ชื่อว่าเป็นถนนที่สะท้อนถึงความทันสมัย แหล่งรวมไลฟ์สไตล์ ชาวต่างชาติรู้จัก ถือว่าเป็นทำเลที่ต้องจับตามองตลอดเวลาในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะย่านใจกลางสุขุมวิทอย่างพระโขนงแห่งนี้ โดยภาพรวมการพัฒนาของวงการอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันพบว่า ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมนั้นเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับความต้องการ (demand) ของผู้ซื้อที่ขยับเพิ่มขึ้นตามอย่างต่อเนื่องตามแนวรถไฟฟ้า มีการขยายการพัฒนาออกไปจากบริเวณใจกลางสุขุมวิทอย่าง อโศก พร้อมพงษ์ ทองหล่อ เอกมัยไปสู่ “พระโขนง” ทำเลกึ่งกลางที่อดีตเคยถูกมองข้าม แต่วันนี้... ย่านพระโขนง กำลังก้าวสู่บริบทความเป็นเมืองใหม่ที่สมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเดินทาง เรื่องของไลฟ์สไตล์ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน   ..และที่นี่ทำเลพระโขนงมีคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ ที่มีความน่าสนใจไม่แพ้ทำเลเอกมัย และทองหล่อ เหนือกว่าด้วยที่ตั้งโครงการที่ติดสถานีรถไฟฟ้า ด้วยราคาเปิดตัวที่น่าสนใจนั่นก็คือ โครงการ  “เวอร์เทียร์ สุขุมวิท” (Vertier Sukhumvit) คอนโดมิเนียมระดับ Luxury ติดสถานีรถไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ล่าสุดในทำเลดังกล่าว ที่ บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (V Property) บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์เน้นพัฒนโครงการที่อยู่อาศัยเฉพาะทำเลศักยภาพ เเละเน้นการพัฒนาที่ดินเฉพาะแปลงที่หายากเท่านั้นอย่างเช่น บริเวณรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือ สายสุขุมวิทเป็นหลัก ตั้งใจพัฒนาโครงการโดยเน้นจุดเด่นของทำเล และราคาที่สมเหตุสมผล   นายพรชัย เลิศอนันต์โชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด หรือ V Property กล่าวว่า Mid Sukhumvit เป็น จุดศูนย์กลางแห่งการเชื่อมต่อถนนหลักที่สำคัญเข้าสู่ใจกลางย่านธุรกิจชื่อดังมากมายของถนนสุขุมวิทตอนกลางกับตอนปลาย ที่สามารถเชื่อมไปสู่ทำเลอื่นด้วยถนนเส้นสำคัญๆ ไม่ว่าเป็น สุขุมวิท 71 ที่เชื่อมไปยังถนนเพชรบุรี ถนนรามคำแหง ถนนพัฒนาการ หรือพระราม 9 หรือหากวิ่งเส้นพระราม 4 ก็เข้าสู่ถนนสีลม สาทรได้ และที่สำคัญยังเป็นจุดเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทาในอนาคต   ด้วยศักยภาพของทำเลใจกลางสุขุมวิทที่มี Demand สูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี บริษัทฯจึงเลือกทำเลติด BTS สถานีพระโขนง ลงทุนพัฒนาโครงการ เวอร์เทียร์ สุขุมวิท เป็นคอนโดมิเนียม ไฮไรส์ 31 ชั้น 1 อาคาร พร้อมที่จอดรถอัจฉริยะ ทั้งอาคารมีห้องพักอาศัยทั้งสิ้น 227 ยูนิตรวมมูลค่า 1.8 พันล้านบาท กำหนดราคาขายเริ่ม 180,000 บาทต่อตารางเมตร แบ่งชั้นพักอาศัยตั้งแต่ชั้น 4-28 ชั้นส่วนกลางอยู่ชั้น 1-3 และชั้น 29-30 ตั้งอยู่บนที่ดินกว่า 1 ไร่ ติดรถไฟฟ้า BTS สถานีพระโขนง ใกล้กับจุดเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทา (วัชรพล-พระโขนง-สะพานพระราม 9-ท่าพระ) ในอนาคตด้วย เดินทางด้วยรถยนต์ก็สะดวกเพราะที่ตั้งโครงการอยู่ใกล้กับทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษฉลองรัช โครงการมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปี 2564 (ค.ศ.2021)     โครงการ เวอร์เทียร์ สุขุมวิท ถูกออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “RARE COLLECTIBLE LOCATION” เป็นแนวคิดการพัฒนาที่พักอาศัย บนทำเลที่หายากและน้อยคนนักที่จะได้เป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมหรูทำเลติดถนนสุขุมวิทและสถานีรถไฟฟ้าใจกลางเมือง ผสานการออกแบบเน้นความเป็นส่วนตัวสูง และความสะดวกสบายของผู้พักอาศัยทั้งเรื่องการเดินทาง ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการเลือกใช้ชีวิตแบบคนเมืองอย่างแท้จริง รายละเอียดห้องชุดมีดังนี้ แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 28 – 42 ตร.ม. จำนวน 183 ยูนิต แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 48 – 52 ตร.ม. จำนวน 38 ยูนิต แบบ 3 ห้องนอน ขนาด 86 ตร.ม.จำนวน 6 ยูนิต (สามารถจดทะเบียนบริษัทได้) สำหรับพื้นที่ส่วนกลางเน้นตกแต่งด้วยวัสดุพรีเมียม และมีสไตล์โดดเด่นสะท้อนเอกลักษณ์ของผู้อยู่อาศัย ประกอบไปด้วย Atelier Lobby Lounge, Business Meeting Lounge, Sky Aquarium Pool, Jacuzzi และ Pool Terrace, Vertical Oasis & Pinnacle Pavilion, Crystal Fitness เป็นต้น และด้วยจำนวนยูนิตพักอาศัยที่น้อยเพียง 6-10 ห้อง ต่อ 1 ชั้น อีกทั้งโครงการยังออกแบบให้ทุกยูนิตเป็นแบบ “Single  Loaded Corridor หรือไม่มีห้องตรงข้าม” เพื่อเน้นความเป็นส่วนตัวที่สมบูรณ์แบบให้แก่ผู้ที่ได้ครอบครองห้องชุด ซึ่งโครงการให้ความสำคัญเป็นพิเศษ   ด้วยศักยภาพของทำเลและการออกแบบโครงการ ที่ใส่ใจทุกรายละเอียดเน้นความเรียบหรู และการใช้งานได้อย่างลงตัว ทำให้ลูกค้าส่วนหนึ่งมาจากฐานลูกค้าเก่าที่มี Brand Loyalty กับ V Property และอีกส่วนหนึ่งเป็นลูกค้าใหม่ซึ่งก็มีลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ “ผมมั่นใจว่า โครงการ เวอร์เทียร์ แค่คุณได้เป็นเจ้าของก็ถือว่าคุ้มค่าที่สุดแล้ว ทำเลติดสถานีแบบนี้ถือว่าหายากมาก ที่สำคัญราคาสมเหตุสมผล เมื่อเทียบกับโครงการเปิดใหม่ๆเมื่อปีที่ผ่านมา” นายพรชัย เลิศอนันต์โชค CEO บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าว   ในวันที่ 16-17 ก.พ.นี้ โครงการ เวอร์เทียร์ สุขุมวิท จัดงาน Exclusive Pre-Sales พร้อมเปิดให้จองห้องภายในงาน ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนรับส่วนลด 500,000 บาท ได้ที่ www.vertierbangkok.com หรือเข้าชมโครงการ ณ Vertier Sales Gallery รถไฟฟ้าสถานีพระโขนงทางออกประตู 2 เพียง 50 เมตร          
เปิดตัวโครงการ “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” คอนโดหรูฯ ริมถนนสุขุมวิท

เปิดตัวโครงการ “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” คอนโดหรูฯ ริมถนนสุขุมวิท

แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ ผู้นำอสังหาฯ เมืองไทย ผนึกกำลังพันธมิตร ซูมิโตโม ฟอเรสทรี บริษัทชั้นนำในธุรกิจป่าไม้และรับสร้างบ้านของญี่ปุ่น เปิดตัวโครงการ “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” (Hyde Heritage Thonglor) คอนโดฯหรูระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ มูลค่า 6,000 ล้านบาท บนสุดยอดทำเลริมถนนสุขุมวิทใกล้สถานีบีทีเอสทองหล่อเพียง 350 เมตร พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษและสิทธิประโยชน์สูงสุดจากบัตร GA Elite Card  ตอกย้ำความเหนือระดับปรับโฉมโลโก้ต้อนรับศักราชใหม่   นายวิทวัส วิภากุล กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท แกรนด์ แอสเสทโฮเทลส์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า การร่วมมือกับ “ซูมิโตโม ฟอเรสทรี” ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศญี่ปุ่นเพื่อสร้างสรรค์โครงการอสังหาฯ ระดับมาสเตอร์พีช “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” (Hyde Heritage Thonglor) ถือเป็นการสร้างปรากฏการณ์ในวงการอสังหาฯ เมืองไทย เพราะ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี ไม่เพียงเป็น พันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาฯ ทั้งในญี่ปุ่นและหลายประเทศทั่วโลก แต่ยังเป็นบริษัทที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในวงการอสังหาฯ ระดับโลก เราจึงมั่นใจว่าความร่วมมือกันครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพและความเชื่อมั่นให้กับโครงการได้อย่างมาก     “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” เป็นหนึ่งในโครงการที่ดีที่สุดบนสุดยอดทำเลริมถนนสุขุมวิทใกล้สถานีบีทีเอสทองหล่อเพียง 350 เมตร ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างเหนือระดับในทุกด้าน ใช้วัสดุคุณภาพและแบรนด์ระดับโลก เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการประสานความทันสมัยและเทคโนโลยีอย่างครบครัน  โดยมีการนำนวัตกรรมของญี่ปุ่นมาใช้ ออกแบบโดยสถาปนิกและดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียง เช่น I will Design, That’s Ith และ SHMA พร้อมทั้งใช้วัสดุและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ที่มีการโคแบรนด์ดิ้งจากแบรนด์คุณภาพระดับโลก ตลอดจนพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ Lobby, Mailbox, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, สวนพักผ่อน, ห้องอเนกประสงค์ต่าง ๆ, ที่จอดรถส่วนตัวทุกห้องรองรับรถได้ 100% โดยมีการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์จอดรถในการอำนวยความสะดวกผู้พักอาศัย, ทั้งมีลิฟต์โดยสาร, กล้องวงจรปิด, Access Card Control พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบชาวเมืองได้เป็นอย่างดี    นายชิเกรุ ซาซาเบะ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสทรี จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสร้างคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่บนพื้นที่ใจกลางเมืองริมถนนสุขุมวิทอย่าง “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” ซึ่งมีการนำประสบการณ์ในการเป็นบริษัทรับสร้างบ้านที่ยาวนานกว่า 300 ปี พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นมาใช้ในการออกแบบก่อสร้าง ทำให้โครงการนี้แตกต่างจากโครงการคอนโดมิเนียมหรูอื่นๆ ที่มีการออกแบบที่ทันสมัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งยังแวดล้อมด้วยภูมิสถาปัตย์ที่โดดเด่น ด้วยสภาพแวดล้อมสีเขียวในย่านธุรกิจใจกลางเมือง ที่ทำให้ ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ เป็นหนึ่งในโครงการที่ดีที่สุด ที่ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี ได้ร่วมพัฒนา   ทั้งนี้ บริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสทรี จำกัด เริ่มต้นธุรกิจจากการทำเหมืองแร่ทองแดงในจังหวัดเอฮิเมะ (Ehime) เมื่อปี พ.ศ. 2234 ควบคู่กับบริหารจัดการป่าไม้รอบเหมืองแร่ ปัจจุบัน ซูมิโตโม ฟอเรสทรี เป็นบริษัทชั้นนำลงทุนในญี่ปุ่นและหลายประเทศทั่วโลก ครอบคลุมธุรกิจปลูกป่าไม้และการจัดการป่าไม้ การก่อสร้างบ้านไม้ ที่อยู่อาศัย ธุรกิจไม้และวัสดุก่อสร้าง ตลอดจนธุรกิจบริการไลฟ์สไตล์   โดยในส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทได้เริ่มต้นธุรกิจรับสร้างบ้านเมื่อปี  พ.ศ. 2518 เป็นผู้พัฒนาระบบการก่อสร้างด้วยโครงสร้างไม้ขนาดใหญ่ (Big-Frame Construction Method) เป็นรายแรกในญี่ปุ่น ปัจจุบันมีการพัฒนาแล้วไม่น้อยกว่า 280,000 ยูนิต สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ บริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสทรี ได้ก่อสร้างบ้านมาแล้วมากกว่า 7,000 หลัง ในประเทศสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย และในเอเชีย โดยมีการขยายไปสู่การพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ในเวียดนาม ฮ่องกง สิงคโปร์ และประเทศไทย     สำหรับโครงการ “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ”  เป็นคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ มูลค่า 6,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท 59 บนพื้นที่ประมาณ 2.2 ไร่ ความสูง 45  ชั้น จำนวน 311 ยูนิต  ขนาดห้องตั้งแต่  40 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในย่านที่คนไทย นักเดินทางต่างชาติ และชาวต่างชาติที่ทำงานในเมืองไทย (expat) โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นต่างให้ความนิยมมายาวนาน เพราะมีความสะดวกหลายประการ ทั้งการเดินทาง ร้านอาหารชั้นเลิศหลากหลายสัญชาติ โรงเรียนนานาชาติและโรงเรียนระดับแนวหน้าของประเทศ (Wells International School, Bangkok Prep) ทั้งยังอยู่ใกล้โรงพยาบาลชั้นนำ (รพ.สุขุมวิท และ รพ.สมิติเวช) ศูนย์การค้าหรู (EmQuartier, Emporium), และซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ตอบโจทย์ความต้องการใช้ชีวิตแบบไฮเอนด์อย่างครบครัน ซึ่งผู้พักอาศัยยังสามารถไว้วางใจกับบริการหลังการขายที่พร้อมสร้าง lifetime customer value อย่างไม่มีที่สิ้นสุด   นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรียังคงเติบโตได้ด้วยดีมานด์ที่ต่อเนื่อง ตลาดตอบรับดีต่อสินค้าที่ดีที่อยู่ในทำเลที่ดีในราคาที่แข่งขันได้ แม้ว่าย่านสุขุมวิทจะมีจำนวนยูนิตมากกว่าเมื่อเทียบกับทำเลอื่นๆ แต่ย่านนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นย่านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับห้องพักอาศัย ทั้งสำหรับผู้ซื้อและผู้เช่าเพื่อการลงทุน”   ปัจจุบัน บริษัท แกรนด์ แอสเสทโฮเทลส์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจหลัก 2 ประเภทคือ ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  โดยในส่วนของธุรกิจโรงแรม บริษัทฯ มีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจเน้นการลงทุนในธุรกิจโรงแรมระดับ 4-5 ดาว โดยจะจัดจ้างบริษัทผู้บริหารโรงแรมที่มีประสบการณ์และมีเครือข่ายทั่วโลกเข้าบริหารงาน  อาทิ โรงแรมเชอราตัน หัวหิน ปราณบุรี วิลล่า, โรงแรมเชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา, โรงแรมเดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท, โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพ สุขุมวิท ส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้แก่ โครงการไฮด์ สุขุมวิท 11, โครงการไฮด์ สุขุมวิท 13, โครงการหัวหิน บลู ลากูน รีสอร์ท, โครงการเดอะ เทรนดี้ คอนโดมิเนียม และล่าสุดที่เปิดตัวคือ โครงการไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ ซึ่งในโอกาสนี้ บริษัทฯ ได้ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเหนือระดับด้วยการปรับโฉมโลโก้บริษัทใหม่เพื่อต้อนรับปี 2562 อย่างเป็นทางการด้วย   ร้อมกันนี้ บริษัทฯ ขอมอบข้อเสนอพิเศษสำหรับท่านที่สนใจจองและทำสัญญาโครงการ ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2562 อาทิ รับบัตรห้องพักฟรีสูงสุด 20 คืน, บัตรรับประทานอาหาร-เครื่องดื่ม และสปา ของโรงแรม ไฮแอท รีเจนซี กรุงเทพฯ สุขุมวิท, เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท กรุงเทพฯ, รอยัล ออคิด เชอราตัน และ เชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา มูลค่าสูงสุด 250,000 บาท และสิทธิประโยชน์จากบัตร GA Elite Card สำหรับส่วนลด 20% ทุกครั้งที่เข้ารับบริการในส่วนของอาหาร-เครื่องดื่ม และสปาของโรงแรมในเครือ   ขอเชิญสัมผัสชีวิตเหนือระดับกับคอนโดฯหรู “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” บนทำเลที่ดีที่สุดใกล้สถานีบีทีเอสทองหล่อเพียง 350 เมตร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร.099-282-3965 หรือwww.hydeheritage.com            
SENA ท็อปฟอร์มขึ้นแท่นรองแชมป์ ปี 61 ทุบสถิติครั้งประวัติศาสตร์ในรอบ 3 ปี

SENA ท็อปฟอร์มขึ้นแท่นรองแชมป์ ปี 61 ทุบสถิติครั้งประวัติศาสตร์ในรอบ 3 ปี

SENA จุดพลุประกาศความสำเร็จ “Growth Hormone” ตามโรดแมปปี 61 โตพุ่งปรี๊ดครบทุกองศา ล่าสุดขึ้นแท่นรองแชมป์อันดับ 2 เปิดตัวคอนโดมิเนียมเยอะสุดทั้งในแง่แวร์ลูและควอลิตี้ทำลายสถิติครั้งประวัติศาสตร์ในรอบ 3 ปี   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2561 ที่ผ่านมามีความท้าทายต่างๆ เข้ามากดดันให้ผู้ประกอบการเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยใหม่อย่างระมัดระวังการแข่งขันในตลาดที่ยังคงเป็นไปอย่างรุนแรงและความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังมีจำกัด แต่ด้วยกลยุทธ์ของบริษัทสามารถจัดพอร์ตการลงทุนได้อย่างครอบคลุม ครบทุกเซกเมนท์ทำให้ในปีที่ผ่านมา เสนาสามารถทำลายสถิติหลายอย่างให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้   สำหรับปี 2561 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่พีคที่สุดของเสนาในรอบ 3 ปี ทั้งในแง่การเปิดตัวโครงการใหม่ที่มีมูลค่าและจำนวนยูนิตที่สูงสุด ครองแชมป์อันดับ 2 ในธุรกิจเรียลเอสเตท (เครดิต:จากฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย) โดยเฉพาะหากย้อนดูข้อมูลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน ปี 2561) มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15–20   และมีการเปิดตัวโครงการและจำนวนยูนิตเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2559 เปิดคอนโดมิเนียม 5 โครงการ 1,654 ยูนิต รวมมูลค่า 2,560 ล้านบาท ปี 2560 เปิดคอนโดมิเนียม 7 โครงการ 4,111 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวม 8,477 ล้านบาท และปี 2561 เปิดคอนโดมิเนียม 9 โครงการ 6,397 ยูนิต รวมมูลค่า 22,030 ล้านบาท ประกอบกับทางเสนาเองมีพันธมิตรธุรกิจที่แข็งแกร่ง “ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ปเปอร์เรชั่น” ร่วมลงทุนพัฒนาโครงการทั้งสิ้น ณ ปัจจุบัน 6 โครงการ ประกอบด้วย 1.นิช โมโน สุขุมวิท-แบริ่ง 2.นิช ไพร์ด เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ 3.นิช โมโน เจริญนคร 4.นิช โมโน เมกะ สเปช บางนา 5.นิช โมโน รามคำแหง และ6.ปีติ เอกมัย รวมมูลค่าทั้งสิ้น 20,846 ล้านบาท ซึ่งสร้างยอดขายเป็นที่น่าพอใจทุกโครงการ นอกจากนี้ทางเสนายังมีพาสเนอร์อย่างบริษัท แอคคิวท์ เรียลตี้ที่เข้ามาช่วยบริหารดูแลด้านการขายอย่างมืออาชีพให้กับหลายโครงการรวมถึงการทำตลาดในต่างประเทศด้วย   ทั้งนี้ทางเสนายังได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาใช้ทุกโครงการทั้งแนวราบและแนวสูง ซึ่งเป็นรายแรกของเมืองไทยที่เดินหน้าพัฒนาโครงการมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาดแบบ100% โดยการนำร่องติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ให้บ้านทุกหลัง และเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า EV ready รวมทั้งมีบริษัทในเครือเป็นผู้ติดตั้งและจัดจำหน่ายระบบพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำของประเทศไทย รวมถึงได้ต่อยอดพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ใน Application SENA 360° Service ให้ครบ จบ ง่าย บริการหลังการขายแบบครบวงจรพร้อมดูแลลูกบ้านทุกที่ทุกเวลา   ด้วยหัวใจสำคัญแห่งความสำเร็จครั้งนี้ เสนาวางคอร์เปอเรทแคมเปญใหญ่ “MADE FROM HER” ใส่ใจทุกดีเทลชีวิตจากแนวคิดแบบผู้หญิงเพื่อสร้างจุดต่างและจุดขายให้กับโปรดักส์ในโครงการ ซึ่งความสำเร็จของเสนาในวันนี้เป็นผลพวงจากวิสัยทัศน์ผนวกกับประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานของผู้บริหารระดับสูง และการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งสู่การพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน            
บมจ.ไรมอน แลนด์ ขยายธุรกิจในการสร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่อง  (Recurring Income) พร้อมรุกตลาดกลุ่มคนรักสุขภาพ

บมจ.ไรมอน แลนด์ ขยายธุรกิจในการสร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่อง (Recurring Income) พร้อมรุกตลาดกลุ่มคนรักสุขภาพ

บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ ได้มีการประกาศแผนในการขยายธุรกิจ ซึ่งรวมไปถึงธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และธุรกิจด้านโรงแรม เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการพัฒนาองค์กร พร้อมสร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่องให้แก่องค์กร     นายไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไรมอน แลนด์ กล่าวว่า “การกระจายการลงทุนนั้นนับเป็นส่วนหนึ่งของแผนการดำเนินงานของไรมอน แลนด์ เพื่อเป็นการขยายฐานสร้างโอกาสทางธุรกิจ ความมั่นคงและรายได้ให้กับองค์กร พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัท และยังถือเป็นการตอบแทนผลประโยชน์อันสูงสุดแก่ผู้ถือหุ้นอีกด้วย นอกเหนือจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ที่เป็นธุรกิจหลัก บริษัทฯยังมีนโยบายที่จะต่อยอดธุรกิจไปสู่โครงการสำนักงานให้เช่า, ธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมไปถึงธุรกิจทางด้านโรงแรม และในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะเปิดตัวคอนโดมิเนี่ยมระดับลักซ์ชัวรี่ถึง 2 โครงการ ในทำเลซอยสุขุมวิท 38 และพญาไท มูลค่ารวมกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท”   ทางบริษัทฯ คาดว่าจะเปิดตัวอาคารสำนักงานให้เช่าภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งจะเป็นรูปแบบของโครงการมิกซ์ยูสที่ครบครันด้วยการให้บริการด้านร้านอาหาร และเครื่องดื่มที่ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดของถนนเพลินจิต ตรงข้ามศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอมบาสซี่ มีพื้นที่ครอบคลุมกว่า 6 ไร่ และมีพื้นที่ให้เช่าโดยรวมประมาณ 65,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ทางโครงการยังได้มีการจัดสรรพื้นที่สำหรับสร้างศูนย์การแพทย์ เพื่อรองรับพันธมิตรซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีเทคโนโลยีอันทันสมัย มีความชำนาญทางด้านการทำเด็กหลอดแก้ว ผสมเทียม และการเก็บไข่แช่แข็ง ซึ่งคาดว่าจะเปิดบริการได้ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป และยังมีแผนงานที่จะร่วมทุนกับพันธมิตรทางการแพทย์ที่เขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา บนพื้นที่ 40 ไร่ ใน Toscana Valley เขาใหญ่ โดยจะมีการนำเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีความนำสมัยมาปรับใช้สำหรับการบริการอย่างดีที่สุด รวมถึงยังมีการสร้าง ศูนย์สุขภาพการเจริญพันธุ์ เพื่อให้คำปรึกษาด้านการมีบุตร รวมไปถึง “ศูนย์เวชศาสตร์การชะลอวัย” เพื่อรองรับความต้องการของผู้รับบริการแต่ละบุคคล ที่ครอบคลุมการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน   สำหรับธุรกิจด้านอาหาร และเครื่องดื่ม บริษัทฯยังคงดำเนินงานกับพันธมิตรกลุ่มบ้านหญิง (Baan Ying Group) อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายธุรกิจร้านอาหารต่อยอดจากสาขาที่มีอยู่ในสิงคโปร์ โดยมีแผนที่จะขยาย แฟรนไชส์ร้านอาหารออกสู่ภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ไต้หวัน กัมพูชา และจีน ในปีนี้            
มาตรการ LTV ผลกระทบตกที่ใคร?

มาตรการ LTV ผลกระทบตกที่ใคร?

ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาในบ้านเราก็มีกระแสออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อย เกี่ยวกับมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ LTV (Loan to Value) ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาประกาศให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2562 ที่กำลังจะมาถึงนี้ (แต่จริงๆ เคยออกมาตรการนี้มาแล้ว 4 ครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5) เพราะต่างก็ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ทั้งกลุ่ม Developer กลุ่มนักลงทุน และผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง แต่ใครจะได้รับผลกระทบไปในทิศทางไหนบ้าง ลองมาช่วยกันมองไปพร้อมๆ กันค่ะ     ก่อนอื่นเรามาดูมาตรการนี้กันคร่าวๆ ก่อนค่ะ   Cr.ภาพจากธนาคารแห่งประเทศไทย   เหตุผลหลักของการประกาศใช้มาตรการ LTV มาจากหนี้เสีย (NPL) เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตั้งแต่ช่วงปี 2560 ตัวเลขออกมาสูงขึ้นในทุกๆ ไตรมาส แซงหน้าสินเชื่อประเภทอื่น รวมถึงซัพพลายคอนโดมิเนียมที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการพยายามสกัดกลุ่มผู้ลงทุน ทุกอย่างประกอบกันก็เพื่อบริหารความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ให้ดีขึ้น และเพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ   ก่อนหน้านี้คงจะเคยได้ยินคำชวนเชื่อสำหรับนักลงทุนอสังหาฯ หน้าใหม่อย่าง “ลงทุนอสังหาฯ 0 บาท” “จับเสือมือเปล่า” หรืออะไรทำนองนี้กันมาบ้างใช่ไหมคะ ต่อไปอะไรแนวนี้ก็คงจะค่อยๆ หายไปค่ะ เพราะมาตรการที่ว่านี้ไม่เอื้อต่อนักลงทุนรายย่อยเอาเสียเลย เพราะในเมื่อการลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมสักยูนิตจะต้องใช้เงินดาวน์ถึง 20-30%  สำหรับกลุ่มรายย่อยนี้ก็คงน้อยคนที่จะยอมควักเงินหลักแสนเพื่อซื้อคอนโดแล้วนำมาปล่อยเช่าที่ก็มีความเสี่ยงสูงอยู่ไม่น้อยเช่นกัน จริงไหมคะ? ไหนจะค่าตกแต่งห้อง ค่านายหน้าที่หาลูกค้ามาเช่าห้อง ค่าดูแลจิปาถะ แล้วถ้ามีช่วงที่ไม่มีคนเช่าห้องอีกล่ะ เอาเป็นว่าสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ หากทุนน้อยอยู่แล้วก็เลิกฝันถึงการลงทุน 0 บาทไปได้เลยค่ะ       ในทางกลับกันกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ ที่มีความชำนาญในตลาดนี้มาหลายต่อหลายปี ก็ย่อมที่จะมีเงินก้อนนี้มาหมุนเวียนลงทุนไม่ว่าจะเล่นแบบซื้อมาขายไปเก็งกำไร หรือปล่อยเช่าในโครงการระดับกลาง-สูงก็ตาม แต่ในระยะหลังมานี้วงการคอนโดมิเนียมผ่านจุดที่เรียกว่าหวือหวาที่สุดมาแล้ว ฉะนั้นการเล่นแบบระยะสั้นจึงทำได้ยากขึ้น (แต่ถ้าโครงการดี ยูนิตสวยจริงๆ ยังไงก็ขายต่อได้ราคาดีอยู่นะคะ) ทุกวันนี้จึงนิยมการปล่อยเช่ากันมากกว่า     สำคัญที่สุดคือกลุ่ม Real Demand ที่ในปีนี้ต้องเจอกับดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ธนาคารปล่อยกู้ยากขึ้น เพื่อคัดกรองไม่ให้เกิดหนี้เสียสะสมเพิ่มเข้าไปอีก แม้ว่าจะเป็นการกู้ซื้อหลังแรกที่ยังพอมีโอกาสกู้ได้ 100% แต่หากจะต้องวางเงินดาวน์ไม่ต่ำกว่า 10% แล้ว ทุกอย่างจะต้องคิดอย่างรอบคอบขึ้นเป็นเท่าตัวก่อนจะจ่ายเงินแสน ต้องทำการบ้านกันหนักกว่าจะเลือกสักโครงการที่ตอบโจทย์ตัวเราเองและครอบครัวที่สุด รวมถึงคำนวณดอกเบี้ยแต่ละธนาคารเปรียบเทียบกันให้ดี เพราะนั่นหมายถึงภาระการผ่อนงวดในแต่ละเดือนที่จะสูงขึ้น    ส่วนทาง Developer พูดได้เลยค่ะว่าเหนื่อยกันหน่อย เพราะต้องทำการบ้านกันเยอะมากขึ้น ไม่ว่าจะเปิดโครงการใหม่ที่ต้องหาช่องว่างของตลาดในแต่ละทำเล แต่ละ Segment ที่จะเน้นจับตลาดสูงอย่างที่ผ่านมาเพียงอย่างเดียวเห็นจะไม่ได้แล้ว ด้วยเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจโลกทำให้กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เป็นเป้าหมายหลักก็น้อยลง รวมถึงระบายของเดิม อัดโปรโมชั่นให้ตรงใจลูกค้าที่มีให้เห็นกันตั้งแต่ต้นปี ช่วงโอนก็คงต้องลุ้น Rejection Rate กันเหนื่อย เพราะลูกค้าต่างก็ได้รับผลกระทบจาก LTV นี่แหละค่ะ ยิ่งช่วงเศรษฐกิจฝืดๆ ธนาคารก็ปล่อยกู้ยากขึ้นเป็นพิเศษ พอยอดโอนหดหายก็ไปกระทบกับรายได้ของบริษัทตามระเบียบ          สรุปง่ายๆ ทั้งหมดนี้ก็โดนผลกระทบกันเป็นวงกลมค่ะ เริ่มตั้งแต่คนซื้อมีกำลังซื้อน้อยลง เพราะเมื่อต้องใช้เงินก้อนก็ย่อมคิดกันเยอะขึ้น ใช้จ่ายกันยากขึ้น ธนาคารที่ให้สินเชื่อเองก็ปล่อยกู้กันยากขึ้น เพราะต้องการคุมเรื่องหนี้เสีย ฝั่ง Developer ก็มียอดโอนน้อยลงตามไปด้วย ทาง Developer เองที่กู้สินเชื่อเพื่อมาสร้างโครงการก็ชำระหนี้ในธนาคารได้ลดลง ส่งผลต่อ NPL ที่อาจจะสูงตาม ก็จะไปกระทบกับเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ สุดท้ายก็ย้อนกลับมาที่ประชาชนอีกเช่นเคย      สุดท้ายไม่ว่าจะเป็น Developer กลุ่มนักลงทุน ผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือกลุ่มไหนๆ ก็ย่อมได้รับผลกระทบจาก LTV นี้ไปตามๆ กัน ไม่ใช่แค่ผู้บริโภค แต่ผู้พัฒนาโครงการก็ต้องทำการบ้านกันอย่างหนักหน่วงเช่นเดียวกันค่ะ ต่อจากนี้ต้องจับตาดูกันให้ดีภายใน 2-3 ปีนี้ค่ะ ว่าอสังหาฯ ในบ้านเราจะไปต่ออย่างไร              
ชินวะ เรียลเอสเตท เปิดแผนลงทุน ปี 62

ชินวะ เรียลเอสเตท เปิดแผนลงทุน ปี 62

ชินวะ เรียลเอสเตท เปิดแผนลงทุน ปี 62 มูลค่า 3,000 ล้านบาท เล็งปั้นโลว์ไรซ์ชิมลางก่อนกระจายโหนดทั่วกรุง-เตรียมแผนเร่งโอนรับรู้รายได้ไตรมาสสาม   “ชินวะ กรุ๊ป” เจ้าของนวัตกรรมรูเนะสุ เปิดแผนลงทุนในไทยปี 62 มูลค่า 3,000 ล้านบาท เน้นย้ำการปักหลักมั่นคงเพื่อก้าวย่างเติบโตแข็งแรง สานต่อ”คอนโดที่อยู่อาศัยคุณภาพด้วยจิตวิญญาณญี่ปุ่นแท้ๆ” เตรียมปั้นคอนโดโลว์ไรซ์ไพลอท โปรเจ็กซ์เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลืองก่อนกระจายทั่วกทม. พร้อมดันทริเปิ้ล เอส เซอร์วิส เร่งโอนโครงการรูเนะสุ ทองหล่อที่จะเริ่มโอนไตรมาสสาม มร.โทโมยาสุ ยามาเบะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด ในเครือ ชินวะ กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ภายหลังการเข้ามาลงทุนในไทยประมาณสองปีด้วยการนำนวัตกรรม“รูเนะสุ” โดยใช้ซิกม่า บีม-ลิขสิทธิ์หนึ่งเดียวในโลกเพื่อกลับคานเป็นพื้น-กลับพื้นเป็นคาน เพื่อใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการ Death Space ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นถึง 25-40 % นโยบายการลงทุนในในปีนี้ยังคงเน้นการปูทางวางรากฐานให้หนักแน่นมั่นคง เพื่อก้าวย่างที่เติบโตอย่างมั่นคงแข็งแรงในอนาคต โดยชูเอกลักษณ์จุดแข็งเทคนิคการก่อสร้างที่ทันสมัยของบริษัทแม่ เพื่อคงความเป็นคอนโดคุณภาพจิตวิญญาณญี่ปุ่นแท้ๆ ดังเจตนารมณ์ของชินวะ เนื่องจากมีบริษัทรับเหมาที่เป็นเจ้าของนวัตกรรมก่อสร้างอยู่ในกลุ่มธุรกิจ โดยปีนี้จะมีการเปิดคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ออกสู่ตลาดเป็นไพลอท โปรเจ็กซ์ รวมมูลค่าโครงการลงทุนปีนี้ประมาณ 3,000 ล้านบาท   “ประเทศไทยยังมีความน่าสนใจในการลงทุนของกลุ่มชินวะ กรุ๊ป ด้วยความพร้อมในหลายด้าน ทั้งตัวเลข "GDP" หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่มีอัตราสูงสุดในรอบหลายปี รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนในด้านต่างๆของภาครัฐ จะเห็นว่าช่วงนี้รัฐบาลผลักดันโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆอย่างต่อเนื่องและเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อภาคลงทุนต่างๆ โดยเฉพาะสำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ต่อยอดให้มีการสร้างโครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเป็นผลดีต่อกลุ่มลูกค้าให้มีทางเลือกที่ดีและตรงใจมากขึ้น ชินวะเป็นกลุ่มทุนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 130 ปี การเข้ามาลงทุนในไทยนับเป็นก้าวแรกที่รุกตลาดต่างประเทศ จึงเน้นการปูรากฐานให้หนักแน่นแข็งแรง เพื่อก้าวย่างเติบโตอย่างช้าๆแต่มั่นคงแข็งแรง” มร.ยามาเบะกล่าว   นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า นโยบายของชินวะ ยังให้น้ำหนักกับทำเลสุขุมวิทตอนกลาง เพื่อตอบสนองโจทย์ลูกค้าชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นทำเลและกลุ่มเป้าหมายที่บริษัทมีความถนัดสอดรับกับข้อมูลการวิจัยต่างๆ โดยทำเลดังกล่าวยังมีความต้องการและเป็นทำเลที่มีอัตราการปรับราคาเพิ่มขึ้น แผนการลงทุน ประกอบด้วย โครงการเร็น สุขุมวิท 39 (REN Sukhumvit 39) นอกจากนั้นในปีนี้บริษัทจะมีการทดลองตลาด โดยขึ้นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ในทำเลเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลือง บริเวณถนนศรีนครินทร์ บนที่ดินเกือบ 1 ไร่ สูง 7-8 ชั้น จำนวนไม่เกิน 100 ยูนิต ขนาดพื้นที่รวม 4,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการประมาณ 200 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มขายประมาณไตรมาสสาม แม้เป็นโลว์ไรส์แต่ยังคงกิมมิกที่มีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ของชินวะ ซึ่งภายหลังจะมีโครงการในลักษณะเดียวกันนี้กระจายในทำเลชุมชนทั่วไป เนื่องจากเป็นโครงการขนาดเล็กสามารถดำเนินการและปิดการขายได้เร็ว สำหรับปีนี้จะมีการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 ที่จะเริ่มทะยอยโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาสสาม ซึ่งบริษัทเตรียม       กลยุทธ์เร่งโอนด้วยทริเปิ้ล เอส เซอร์วิส (Triple S Service หรือ SSS Service ) ระบบการบริหารงานหลังงานขายที่ใช้ประสานนักลงทุนไทย-ต่างชาติ สำหรับผู้เช่าชาวญี่ปุ่นแบบ Life Time FREE ลดขั้นตอนช่วยเอเย่นต์และนักลงทุน เป็นบริการตลอดชีพไม่มีวันหมดอายุที่พร้อมดูแลเฉพาะลูกค้าชินวะเท่านั้น   โครงการของ ชินวะ กรุ๊ป ในประเทศไทย v รูเนะสุ ทองหล่อ 5 (Runesu Thonglor 5) ดำเนินงานโดย บริษัท ดับเบิ้ลยู-ชินวะ จำกัด ร่วมทุนกับ บริษัท วรลักษณ์ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) โครงการตั้งอยู่บนที่ดินประมาณ 1 ไร่ ดำเนินงานโดย เป็นอาคารโลว์ไรส์ 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 156 ยูนิต มี 2 type คือ 1-2 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 29-65 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท ออกแบบโครงการและฟังก์ชั่นการใช้งานเพื่อให้มีบรรยากาศกลิ่นอายการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นแท้ๆ การใช้วัสดุก่อสร้าง-ตกแต่งบางส่วนนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น อาทิ ห้องน้ำระบบใหม่ที่พื้นสามารถแห้งได้อย่างรวดเร็วภายใน 1 นาที, การใช้กระเบื้องนาโนคุณสมบัติพิเศษในการดูดซับกลิ่นความชื้นป้องกันไรฝุ่น เป็นต้น พื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกครบสมบูรณ์ สวนญี่ปุ่น สระว่ายน้ำ ออนเซนต้นตำรับแท้จากญี่ปุ่น สนามไดรฟ์กอล์ฟ Auto Parking ระบบรักษาความปลอดภัย ฯลฯ คาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ราวไตรมาสสาม ปี 62 มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท มีการติดตั้งระบบรูเนะสุ ซึ่งเป็นการกลับคานเป็นพื้น-กลับพื้นเป็นคาน ใช้พื้นที่ความต่างด้านล่างที่มีความสูง 60 เซนติเมตร เพื่อใช้ประโยชน์ในการเก็บของ ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่น การบริหารจัดการ Death Space และสามารถทำให้ผู้อยู่อาศัยมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นถึง 25-40 %   v เร็น สุขุมวิท 39 (REN Sukhumvit 39) ดำเนินงานโดย บริษัท  เอส 39 จำกัด ภายใต้“ดีลแห่งชาติ” 3 ฝ่าย ผนึกกำลังจอยท์เวนเจอร์ ระหว่าง บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน)  บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด และ - Pressance Corporation จากญี่ปุ่น สัดส่วน 49:26:25 ดำเนินการโครงการคอนโดมิเนียมหรู บนที่ดินขนาด 2 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา ราคาเริ่มต้นประมาณ.....บาท ที่ตั้งโครงการบนถนนสุขุมวิท ซอย 39 (ซอยพร้อมมิตร) เป็นอาคารสูง 7 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 298 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,600 ล้านบาท  และจะเป็นครั้งแรกในไทยของการก่อสร้างห้องชุดด้วยนวัตกรรม“รูเนะสุ”ทุกห้องทั้งโครงการ มี 2 type คือ 1 และ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้ประโยชน์ตั้งแต่ 30(+12) – 66(+18) ตร.ม. พร้อมฟังค์ชั่นแบบจัดเต็มทุกพื้นที่ และราคาที่คุ้มค่าทุกการอยู่อาศัยและการลงทุน เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปีนี้   เกี่ยวกับ บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นบริษัทในเครือของ ชินวะกรุ๊ป-กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งมาเกือบ 130 ปี ประกอบธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในหลายรูปแบบ เข้ามาทำตลาดในไทยอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2016 ด้วยการร่วมทุนกับกลุ่มอสังหาฯในไทย ก่อสร้างโครงการแรก คือ  “รูเนะสุ ทองหล่อ 5” คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น จำนวน 156 ยูนิต มูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท ออกแบบโครงการและฟังก์ชั่นการใช้งานด้วยบรรยากาศการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นแท้จริง คาดว่าจะแล้วเสร็จราวไตรมาส 3 ปี 2562 สำหรับโครงการ REN Sukhumvit 39 เป็นโครงการที่สองของการร่วมลงทุนในไทย   เกี่ยวกับ บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทรับเหมาก่อสร้างมีชื่อจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีประสบการณ์และมีความชำนาญงานก่อสร้างคอนโดมิเนียมและอาคารต่างๆ ในไทยมากมาย นอกจากดำเนินงานด้านรับเหมาก่อสร้าง ยังมีนโยบายเปิดกว้างขยายการลงทุนทั้งในรูปของการพัฒนาโครงการเอง และเปิดกว้างร่วมลงทุนกับกลุ่มทุนต่างๆ   เกี่ยวกับ Pressance Corporation บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ที่มีจำนวนยูนิตสร้างขายเป็นที่ 1 ของคันไซ และเป็นที่ 2 ของประเทศญี่ปุ่น 21 ปี เป็นพันธมิตรที่ดีกับชินวะ กรุ๊ป มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน        
The City ราชพฤกษ์–สวนผัก สัมผัสชีวิตความเป็นส่วนตัวที่เชื่อมต่อใจกลางเมือง กับบ้านเดี่ยวหรูบนสังคมเหนือระดับ

The City ราชพฤกษ์–สวนผัก สัมผัสชีวิตความเป็นส่วนตัวที่เชื่อมต่อใจกลางเมือง กับบ้านเดี่ยวหรูบนสังคมเหนือระดับ

ให้ทุกการใช้ชีวิตของครอบครัวออกแบบเองได้ที่ The City ราชพฤกษ์-สวนผัก โครงการบ้านเดี่ยวหรูหลังใหญ่ บนทำเลศักยภาพราชพฤกษ์ จาก AP THAI พร้อมเติมเต็มการใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ ตอบโจทย์ทุก Lifestyle การอยู่อาศัยบนพื้นที่ส่วนตัวกับแบบบ้านที่มีให้เลือกถึง 4 แบบตามความต้องการของครอบครัว ตั้งแต่ขนาด 225 ตารางเมตรไปจนถึงขนาด 375 ตารางเมตร กับยูนิตที่เป็นส่วนตัวเพียง 133 ยูนิต พร้อมเชื่อมต่อทำเลเมืองด้วยการเดินทางที่หลากหลายเส้นทาง สามารถเข้า-ออกเมืองได้หลายเส้นทาง ทั้งเส้น ถ.ราชพฤกษ์ ถ.บรมราชชนนี ถ.สิรินธร และ ถ.นครอินทร์ อีกทั้งยังใกล้ทางด่วนศรีรัชฯ และรถไฟฟ้าหลายสายอีกด้วย ที่นี่.. เราให้ความสำคัญกับทุกพื้นที่โดยผ่านการคิดและออกแบบเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างลงตัว เน้นให้ทุกพื้นที่ยังคงความเป็นส่วนตัว ท่ามกลางธรรมชาติที่ร่มรื่นและเงียบสงบ พร้อมพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับกิจกรรมของทุกคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นคลับเฮ้าส์ ที่มีพื้นที่ทำงานอย่าง Co-Working Space และยังมีพื้นที่ให้ได้ผ่อนคลายอย่างห้อง Theater ที่สามารถนัดเพื่อนๆ มาดูหนังได้ในวันหยุด พร้อมกับห้องฟิตเนสขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์ออกกำลังกายครบครัน รวมไปถึงห้อง Kids Room ที่จัดสรรพื้นที่รองรับกิจกรรมสำหรับเจ้าตัวน้อย และมี Lobby ขนาดใหญ่ที่ให้คุณและเพื่อนได้พบปะกันได้ทุกเวลา อีกทั้งยังมีสระว่ายน้ำที่รองรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ พร้อมด้วยพื้นที่สีเขียวของสวนสาธารณะขนาดใหญ่ภายในโครงการที่ร่มรื่น และทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราตั้งใจมอบให้ พร้อมกับทำเลดีๆ เพื่อการเดินที่สะดวกสบาย พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเพื่อชีวิตที่สมบูรณ์แบบ   ที่ตั้งโครงการ ตัวโครงการตั้งอยู่บนทำเลที่เชื่อมต่อเส้นทางสำคัญหลายเส้นทาง ทั้ง ถ.ราชพฤกษ์ ถ.บรมราชชนนี ถ.สิรินธร ถ.นครอินทร์ และถ.บางกรวย-ไทรน้อย ซึ่งโครงการกำลังก่อสร้างเส้นทางลัดส่วนตัว หรือ The Bridge Fast Track จากตัวโครงการข้ามคลองมหาสวัสดิ์ไปยัง ถ.สวนผัก สามารถขึ้นทางได้ทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกฯ ได้เพียง 5 นาที ทำให้เข้าออกเมืองได้โดยง่าย อีกทั้งยังสามารถเลือกเดินทางด้วยรถไฟฟ้าได้อีกด้วย บริเวณโดยรอบยังใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้ง ห้างสรรพสินค้า เช่น Central ปิ่นเกล้า, The Crystal SB ราชพฤกษ์, Homepro ราชพฤกษ์, The Walk ราชพฤกษ์ อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลชั้นนำ อย่าง รพ.หู ตา คอ จมูก , รพ.ยันฮี และ รพ.เจ้าพระยา เป็นต้น   รายละเอียดโครงการ เจ้าของโครงการ :  บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) โทร :  1623 ชื่อโครงการ :  เดอะ ซิตี้ ราชพฤกษ์ – สวนผัก (The City Ratchapruek-Suanphak) ที่ตั้งโครงการ :  ถนน บางกรวย – จงถนอม ตำบล มหาสวัสดิ์ อำเภอ บางกรวย นนทบุรี 11130 พิกัดโครงการ :  13.800001,100.467909 พื้นที่โครงการ :  42-0-38.2 ไร่ ราคาเริ่มต้น :  11.9 – 24  ล้านบาท* รายละเอียดแบบบ้าน :  มีบ้าน 4 แบบ ได้แก่ CITY PRIVE’ :  พื้นที่ใช้สอย 225 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ 2 คัน (ในร่ม) CITY RETREAT :  พื้นที่ใช้สอย 262 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน (ในร่ม) CITY SPACIOUS :  พื้นที่ใช้สอย 309 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 3 คัน (ในร่ม) CITY SCENERY :  พื้นที่ใช้สอย 375 ตารางเมตร 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 3 คัน (ในร่ม) จำนวนบ้าน :  133 แปลง สิ่งอำนวยความสะดวก :  Clubhouse ประกอบด้วย Lobby, Co-Working Space, Fitness , Kids Room , Theater Room , สระว่ายน้ำระบบเกลือ แยกผู้ใหญ่-เด็ก พร้อมจากุซซี่ และห้องซาวน่า, สวนสาธารณะขนาดใหญ่ และสนามเด็กเล่น ระบบรักษาความปลอดภัย :  Security Gate , รปภ. 24 ชม , Key Card access , CCTV สถานศึกษา :  รร.นานาชาติเด่นหล้า, รร.ทิวไผ่งาม, รร.บดินทรเดชา นนทบุรี, รร.ราชินีบน, รร.เทพศิรินทร์ นนทบุรี, รร. โยธินบูรณะ,  ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์, ม.ศิลปากร ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ : The Walk ราชพฤกษ์,The Crystal SB ราชพฤกษ์, HomePro ราชพฤกษ์, The Circle ราชพฤกษ์, Central Plaza ปิ่นเกล้า, The Sense ปิ่นเกล้า, ตั้งฮั่วเส็ง สถานพยาบาล :  รพ.ตา หู คอ จมูก, รพ.เจ้าพระยา, รพ.ยันฮี, รพ.ศิริราช, รพ.บางกรวย สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ : - ทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกฯ - รถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีตลิ่งชัน (ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน) - รถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน สถานีตลิ่งชัน (ช่วงบางหว้า-ตลิ่งชัน) - รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีสิรินธร (ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ) เว็ปไซต์ :  https://bit.ly/2QMfMSp เริ่มก่อสร้าง :  พฤษภาคม 2561 คาดว่าจะแล้วเสร็จ :  ตุลาคม 2564 พบกันที่ The City ราชพฤกษ์-สวนผัก บ้านเดี่ยวหรูบนสังคมเหนือระดับ กับทำเลศักยภาพราชพฤกษ์ ใกล้ทางด่วน ตอบโจทย์เรื่องราวการใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมืองได้หลากหลายเส้นทาง ให้ได้ออกไปใช้ชีวิต บนทางเลือกที่มากกว่า เริ่ม 11.9 - 24 ล้าน ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ 200,000 บาท* >> https://bit.ly/2QMfMSp      
นีโอ เนรมิตพื้นที่ 6 หมื่นตร.ม. เตรียมจัดงาน สถาปนิก’ 62 เวทีหนึ่งเดียวระดับภูมิภาค ดึงผู้ร่วมงานนานาชาติ 850 แบรนด์ดังทั่วโลก เปิดโอกาสจับคู่เจรจาธุรกิจครั้งใหญ่ในรอบปี รับผู้ชมงานกว่า 5 แสนคน

นีโอ เนรมิตพื้นที่ 6 หมื่นตร.ม. เตรียมจัดงาน สถาปนิก’ 62 เวทีหนึ่งเดียวระดับภูมิภาค ดึงผู้ร่วมงานนานาชาติ 850 แบรนด์ดังทั่วโลก เปิดโอกาสจับคู่เจรจาธุรกิจครั้งใหญ่ในรอบปี รับผู้ชมงานกว่า 5 แสนคน

“บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์” ร่วมกับ สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงานสถาปนิก’ 62 ชูแนวคิด “กรีน อยู่ ดี : Living Green” ชี้โอกาสใหญ่ของผู้ร่วมแสดงสินค้า ก้าวสู่เวทีนานาชาติ ร่วมขยายตลาดทั้งใน และต่างประเทศครั้งสำคัญ   นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด (นีโอ) เปิดเผยว่า นีโอได้รับเกียรติจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้เป็นผู้บริหารงาน “สถาปนิก’ 62-63” อย่างเป็นทางการ  โดยบริษัทฯ ได้ผ่านกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส ด้วยศักยภาพ และประสบการณ์ จากผลงานต่างๆ ในระดับประเทศ ที่ทาง เอ็น.ซี.ซี. ได้เคยจัดมา   สำหรับการจัดงานสถาปนิก’ 62 ครั้งนี้ เตรียมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 เมษายน ถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2562 ณ อาคารชาแลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี  ซึ่งเป็นการจัดขึ้นครั้งที่ 33 ภายใต้แนวคิด “กรีน อยู่ ดี : Green Living” ที่ได้มีการนำภูมิปัญญาที่อยู่ใกล้ตัวเข้ามาใช้ในกระบวนการออกแบบ การวางผัง การใช้วัสดุก่อสร้าง รวมถึงการใช้งาน การบำรุงรักษา การปรับปรุง หรือการจัดการเมื่อหมดอายุ มาผนวกใช้กับนวัตกรรม เทคโนโลยีในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดสถาปัตยกรรมชุมชน และเมืองในด้านบวก ทั้งสิ่งแวดล้อม และผู้ใช้งาน ต่อการใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า “บริษัทฯ วางเป้าหมายที่จะยกระดับให้งานสถาปนิก’62 เป็นงานระดับภูมิภาคครั้งใหญ่แห่งปี ซึ่ง ผู้ร่วมแสดงสินค้านอกจากจะได้เจรจาการค้าจับคู่ทางธุรกิจต่อธุรกิจแล้ว ผู้แสดงสินค้ายังมีโอกาสได้พบปะเจรจาการค้ากับผู้ชมงานกลุ่มต่างๆ ทั้งในประเทศ และอาเซียน อาทิ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมก่อสร้างและอาคาร ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุน สถาปนิก นักออกแบบ นักตกแต่งภายใน วิศวกร ผู้รับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนผู้ส่งออก และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งคาดว่าผู้ชมงานในปีนี้จะมีประมาณ 5 แสนคน เพิ่มขึ้นจากการจัดงานครั้งก่อน 25%” นายศักดิ์ชัย กล่าว   ทั้งนี้ บริษัทฯ จะนำจุดแข็งจากการเป็นเครือข่ายพันธมิตรผู้จัดงานในกลุ่มวัสดุก่อสร้างในภูมิภาคเอเชีย นำผู้ประกอบการในแต่ละประเทศทั้งรายเก่าและรายใหม่เข้าร่วมแสดงสินค้า บนพื้นที่กว่า 60,000 ตร.ม. เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่จัดบนพื้นที่ 31,000 ตร.ม. และปีนี้ยังมีเป้าหมายที่จะเพิ่มพื้นที่สำหรับผู้แสดงสินค้าจากต่างประเทศเป็น 3,000 ตร.ม. จากปีก่อนที่จัดบนพื้นที่ 2,500 ตร.ม. ซึ่งในเบื้องต้นได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการจากอเมริกา เยอรมนี อิตาลี ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย และเวียดนาม โดยคาดว่าจะมีบริษัทต่างๆ เข้าร่วมแสดงสินค้าประมาณ 850 บริษัท ซึ่งขณะนี้ ผู้ประกอบการได้จองพื้นที่ไปแล้ว ประมาณ 80% สำหรับผู้สนใจที่ต้องการเข้าร่วมแสดงสินค้าในงานสถาปนิก’ 62   สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.asa.or.th/architectexpo หรือโทรสอบถามได้ที่ 02-203-4299, E-mail: architect@nccexhibition.com หรือ Facebook : ASACREW or NCCEXHIBITIONORGANIZER      
ฟินน์ อโศก คอนโดโลว์ไรส์ใหม่ใจกลาง CBD ตอบทุกโจทย์การใช้ชีวิต ใกล้ชิดธรรมชาติมูลค่ากว่า 1,800 ล้าน

ฟินน์ อโศก คอนโดโลว์ไรส์ใหม่ใจกลาง CBD ตอบทุกโจทย์การใช้ชีวิต ใกล้ชิดธรรมชาติมูลค่ากว่า 1,800 ล้าน

ฟินน์ ดิเวลลอปเม้นท์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ลุยตลาดนิชพรีเมียมรับปีใหม่ เอาใจคนเมืองที่รักธรรมชาติ ด้วยการตอบโจทย์การใช้ชีวิตครบ 360 องศา ในโลเคชั่นที่ใช่ คุ้มค่าเกินราคา เปิดตัว ฟินน์ อโศก (FYNN Asoke) ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 10 คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สไตล์โมเดิร์น ทรอปิคอล บนทำเลทองผืนใหญ่ใจกลางอโศก แวดล้อมด้วยสวนสาธารณะ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ผสมผสานการใช้ชีวิตคนเมือง และสโลว์ไลฟ์ได้อย่างลงตัว ตกแต่งพร้อมอยู่ ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.5 ล้านบาท หรือ 185,000 บาทต่อตารางเมตร   นายพงศธร จอม สาลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟินน์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ประกาศแผนดำเนินธุรกิจปี 2562 เตรียมรุกอสังหาฯ เต็มสูบ หลังประสบความสำเร็จกับการเปิดตัวคอนโดโลว์ไรส์ 2 แห่ง ภายใต้แบรนด์ ‘ฟินน์’ พร้อมชูไฮไลท์โครงการใหม่ล่าสุด ‘ฟินน์ อโศก’ มูลค่าโครงการกว่า 1,800 ล้านบาท ตึกคู่สุดหรูแบบ Affordable Luxury บนทำเลทองเกือบสองไร่ บนสุขุมวิทซอย 10 ห่างจาก BTS อโศก เพียง 550 เมตร พร้อมต้นจามจุรียักษ์ อายุกว่า 60 ปีแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอย่างงดงามใจกลางโครงการ คำตอบที่ใช่สำหรับไลฟ์สไตล์ชีวิตคนเมือง ไม่เพียงแต่พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก แต่ยังตอบโจทย์ชีวิตที่อยากใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น และใส่ใจสุขภาพ รักในการออกกำลังกายกลางแจ้ง เพราะสามารถเดินเชื่อมต่อไปยังสวนเบญจกิตติ ด้วยระยะทางเพียง 200 เมตร และเส้นทางเดินรอบทะเลสาบซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาพื้นที่เป็นสวนป่าเบญจกิตติ สวนที่ใหญ่ที่สุดใจกลางกรุงเทพมหานคร ด้วยพื้นที่ถึง 450 ไร่ ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.5 ล้านบาทเท่านั้น อีกทั้งยังมีรูปแบบห้องให้เลือกมากถึง 6 ประเภท คาดได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และสามารถปิดการขายได้ภายในครึ่งปีแรก สำหรับสองโครงการแรก คือ ‘ฟินน์ อารีย์’ มูลค่าโครงการกว่า 350 ล้านบาท ปัจจุบันปิดการขาย และโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดแล้ว และโครงการที่สอง ‘ฟินน์ สุขุมวิท31’ มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท สามารถปิดการขายแล้วกว่า 90% โดยอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จ และทำการโอนกรรมสิทธิ์ภายในไตรมาสที่ 4 ปีนี้   นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนเดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อีก 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการประเภทคอนโดมิเนียมและโรงแรม   นายไพทยา บัญชากิติคุณ Partner บริษัท อะตอม ดีไซน์ ผู้ออกแบบโครงการ ฟินน์ อโศก กล่าวว่า ได้ออกแบบในแนวคิดโมเดิร์น ทรอปิคอล ฟื้นฟูสมดุลย์ของการใช้ชีวิตใจกลางเมือง ด้วยการเชื่อมหนึ่งในศูนย์กลางธุรกิจที่หนาแน่นที่สุดเข้ากับความร่มรื่นของธรรมชาติ แรงบันดาลใจในการออกแบบ ฟินน์ อโศก เปรียบดั่งโอเอซิสแห่งความสงบร่มรื่นใจกลางความเร่งรีบของย่านธุรกิจ CBD โดดเด่นที่เส้นโค้งเว้าของอาคารรับวิวสวนสวยได้ทุกห้อง ตัวอาคารโอบล้อมต้นจามจุรียักษ์ อายุกว่า 60 ปี ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอย่างงดงาม และสร้างบรรยากาศการหลอมรวมกับพื้นที่สีเขียวอย่างน่าประทับใจ ฟินน์ อโศก เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ตกแต่งพร้อมอยู่สูง 8 ชั้น 2 อาคาร ห้องชุดรวมทั้งหมด 263 ห้อง โดยแบ่งเป็น อาคาร A จำนวน 144 ห้อง และอาคาร B จำนวน 119 ห้อง พิถีพิถันในการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งภายในและภายนอกอาคารอย่างครบครัน อาทิ ห้องรับรองแขก พื้นที่ทำงานรวม ห้องฟิตเนส ห้องขี่จักรยานจำลอง ห้องโยคะ ห้องดูหนัง ศาลาจามจุรี สระว่ายน้ำความยาว 25 เมตร สระเด็กและถ้ำจำลอง และไฮไลท์สิ่งอำนวยความสะดวกบนชั้นดาดฟ้า พื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร อาทิ สวน และทางออกกำลังกาย แปลงปลูกผัก ระเบียงชมพระอาทิตย์ตก ฟอเรส เลานจ์ ครัวกลางแจ้ง เตาบาร์บีคิว เป็นต้น ด้านรูปแบบห้องพัก ประกอบด้วย 6 ประเภท ได้แก่ 1 ห้องนอน ขนาด 24-49 ตารางเมตร, 1 ห้องนอนพลัส ขนาด 40-62 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 48-57 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาด 46-68 ตารางเมตร, 3 ห้องนอน ขนาด 104 ตารางเมตร และห้องดูเพล็กซ์ขนาด 120 ตารางเมตร นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัทซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าสำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะโซนสุขุมวิท ต่อ CBD อื่นๆ ปลายปีที่ผ่านมา เทียบกับปี 2562 และ ทำเลทอง คอนโด Demand vs Supply โซนสุขมวิทยังคงเป็นทำเลที่นิยมของตลาดที่อยู่อาศัย และตลาดเช่า เนื่องจากใกล้เส้นรถไฟฟ้า และราคาของคอนโดมิเนียมในสุขุมวิทปัจจุบันสูงมาก หลายๆโครงการเปิดตัวที่ราคากว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตร จากที่มีโครงการเปิดใหม่หลายแห่งในเส้นสุขุมวิท โดยเฉพาะโซนสถานีบีทีเอสพร้อมพงษ์ และทองหล่อ ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในทำเลเดียวกันจำนวนมาก ผู้บริโภคจึงจำเป็นต้องหาทำเลที่มี Supply น้อยลง และอยู่ในราคาที่จับต้องได้เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาในการตัดสินใจเลือกซื้อ   สำหรับตลาดที่อยู่อาศัย ที่จะมาแรงในปี 2562 คืออสังหาริมทรัพย์แนวราบ ได้แก่ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม โดยเน้นไปในโซน mid-town และชานเมืองมากขึ้น เนื่องจากราคาที่ดินที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในใจกลางเมือง ทำให้ทำเลใน CBD ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมระดับซุเปอร์ลักชัวรี่ และ Branded Residence ซึ่งมีราคาสูง แนวโน้มของอสังหาฯ ปี 2562 นั้น ราคา ทำเล และรูปแบบของโครงการ คือสิ่งที่ผู้พัฒนาจะต้องปรับให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภค คอนโดมิเนียมประเภท Low-rise จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยในเมือง และราคาไม่สูงมากนัก ด้านราคาที่ดินยังคงสูงขึ้น โดยเฉพาะตามเส้นรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ที่กำลังก่อสร้าง และอาจมีโอกาสเห็นการซื้อขายที่ดินราคาเกินสามล้านบาทต่อตารางวาในทำเลเดิม คือ ใจกลางลุมพินี เนื่องจากมีที่ดินแบบ Freehold เหลือไม่มากแล้ว   สำหรับพฤติกรรมของผู้บริโภค ผู้บริโภคมีตัวเลือกในตลาดมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการเปรียบเทียบ ผู้บริโภคมองคอนโดมิเนียมมากกว่าการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเท่านั้น แต่ต้องเป็นการลงทุนที่ดีด้วย เน้นเรื่องมูลค่าเพิ่มในอนาคต ซึ่งต่างจากเดิมที่จะมองแยกสองด้าน คือ มองว่าคอนโดมิเนี่ยมที่จะซื้อนั้นเหมาะกับอยู่เอง หรือ มองว่าจะซื้อเพื่อปล่อยเช่าหรือขายต่อ ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร ทางด้านผู้พัฒนาอสังหาฯ ก็ต้องปรับเปลี่ยนมาขายไลฟ์สไตล์มากขึ้น เพื่อชูความแตกต่างของแต่ละโครงการเพื่อตอบสนองความต้องการที่มากขึ้นของผู้บริโภค โครงการ ฟินน์ อโศก จะเปิดขายอย่างเป็นทางการ (พรีเซล) ในวันที่ 19-20 มกราคมนี้ ที่สำนักงานขายในสุขุมวิท ซอย 10 พร้อมห้องตัวอย่าง พบโปรโมชั่นพิเศษในงาน อาทิ ชุดเฟอร์นิเจอร์ พร้อมรับส่วนลดในวันจองสูงสุด 300,000 บาท สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.fynnasoke.com หรือ 092-201-9999          
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เผยตัวเลขรายได้ปี 61 เติบโตตามเป้า ประกาศแผนงานปี 62 หวังขึ้นแท่นผู้นำตลาดอสังหาฯ แนวราบ  เตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติม 8-10 โครงการ  ตั้งเป้าเติบโต 15% ยอดขาย 5,300 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 4,650 ล้านบาท

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เผยตัวเลขรายได้ปี 61 เติบโตตามเป้า ประกาศแผนงานปี 62 หวังขึ้นแท่นผู้นำตลาดอสังหาฯ แนวราบ เตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติม 8-10 โครงการ ตั้งเป้าเติบโต 15% ยอดขาย 5,300 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 4,650 ล้านบาท

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เผยตัวเลขผลประกอบการปี 2561 ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ พร้อมประกาศแผนงานปี 2562 ขยายตัวต่อเนื่อง เน้นรุกตลาดแนวราบ ตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้ประกอบการแนวหน้าของตลาด หลังมองเห็นกำลังซื้อ Real Demand ชัดเจน และมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ  เตรียมทุ่มงบซื้อที่ดิน 1,000 ล้านบาท พร้อมเปิดตัว 8-10 โครงการใหม่ บนทำเลศักยภาพสูง รองรับการขยายตัวของเมืองทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ยึด กลยุทธ์ Lifestyle Marketing เจาะกลุ่มลูกค้า พร้อมอัดแคมเปญตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ตั้งเป้าการเติบโตปี 2562 ขยายตัว 15% กวาดยอดขาย 5,300 ล้านบาท นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) (Mr.Chaiyan Chakarakul (CEO , Lalin Property Plc.) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปีกล่าวว่า ในปี 2561 ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย มีการขยายตัวได้จากปีก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมที่คาดว่าทั้งปีจะขยายตัวได้ราว  4.0-4.3%  ตัวเลขการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ตลอดจนผลบวกจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยเฉพาะด้านคมนาคม ที่ขยายเส้นทางรองรับการขยายตัวของเมือง ทั้งโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง รวมทั้งโครงการที่อยู่ในแผนแม่บท ทำให้เกิดทำเลใหม่ๆ ของโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ในปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่ไปทั้งสิ้น 7 โครงการ โดยสามารถทำยอดขาย และยอดรับรู้ได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีกำลังซื้อหลักจากกลุ่ม real demand ที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริง ซึ่งมีทั้งกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่และกลุ่มคนวัยทำงาน สำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2562 จะเป็นปีสำหรับผู้ประกอบการที่เป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง มองว่าตลาดโดยรวมยังคงเติบโตได้ แต่อาจเติบโตในอัตราที่ชะลอลง แม้เศรษฐกิจโดยรวมน่าจะขยายตัวได้จากปี 2561 ราว 4.0-4.3%  ประกอบกับปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี ตลอดจนการลงทุนของภาครัฐที่เป็นงบผูกพันต่อเนื่องมาจากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ดีในปี 2562 นี้ก็มีปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัย ที่อาจเข้ามากระทบ ไม่ว่าจะความเสี่ยงจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก  ความเสี่ยงจากสงครามทางการค้า ความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ตลอดจนความเสี่ยงจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการควบคุม LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2562 นี้ได้ ทั้งนี้สำหรับเกณฑ์ LTV ใหม่ที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 เมษายนที่จะถึงนี้ นั้น ในแง่ของบริษัทเน้นทำตลาดในกลุ่ม Real Demand และลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่ซื้อบ้านหลังแรก ดังนั้นจึงได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวไม่มาก   สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2562 นี้ จะให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มทาวน์โฮม บ้านแนวคิดใหม่ และบ้านเดี่ยว โดยมีแผนขยายโครงการใหม่ทั้งสิ้น 8-10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,000-4,500 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 5,300 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 4,650 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นราว 15% จากปี 2561 นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) (Mr. Churat Chakarakul, Deputy Managing Director, Lalin Plc.) กล่าวถึง แผนงานด้านการตลาด ว่า “ในปีนี้ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จะดำเนินธุรกิจเชิงรุก แสดงศักยภาพขององค์กรต้นแบบผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน ยาวนานกว่า 30 ปี รวมถึงการสร้างศักยภาพองค์กรให้เติบโตในตลาดทุนอสังหาริมทรัพย์อย่างมั่นคง โดยในปีนี้ บริษัทฯ วางเป้าหมายขึ้นเป็นผู้ประกอบการแนวหน้าของตลาด ภายใต้โครงการมิกซ์ยูส แบรนด์ ลลิล ทาวน์ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ภายใต้ทำเลยุทธศาสตร์ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดหัวเมืองใหญ่ เมืองท่องเที่ยว และแหล่งงานสำคัญ มูลค่ารวมประมาณ 4,000 – 4,500 ล้านบาท โดยวางกลยุทย์การตลาด ภายใต้แนวคิด The Urban Destination For Living สร้างฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มอายุ 25-40 ปี ในขณะที่ยังรักษาฐานลูกค้าเก่าของลลิล และถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อต่อยอด Brand Loyalty ในส่วนของการพัฒนาบ้านให้ตอบโจทย์ในยุค 4.0 นายชูรัชฎ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความทันสมัย และการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่แท้จริง คือแนวคิดของบ้านที่บริษัทฯ พัฒนาในรูปแบบ ลลิล เพอร์เซอร์นัลไลซ์ สไตล์ (Lalin Personalized Style) ที่สามารถออกแบบและปรับฟังก์ชั่น เพื่อตอบโจทย์การใช้งานทุกความต้องการของลูกค้า การอยู่ร่วมกันทั้งแบบครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยาย (Lalin Universal Society) อีกทั้งยังมีการใช้แนวคิด Eco Green ในการออกแบบและเลือกใช้วัสดุในโครงการ รวมถึงเน้นเรื่องการมีบริการหลังการขาย(CRM) ในรูปแบบ Lalin 4.0 Connectivity ที่ลูกค้าสามารถรับทราบข่าวสารข้อมูล สื่อสารกับลลิล แบบทูเวย์คอมมิวนิเคชั่นอย่างรวดเร็วผ่าน Line@ LalinSociety ซึ่งทั้งหมดคือการต่อยอดมาตรฐานของลลิลที่มุ่งเน้นเรื่อง Quality of Living ที่ให้กับลูกค้าของโครงการ ทั้งนี้บริษัทฯ วางงบประมาณด้านการตลาดปีนี้ประมาณ 3-4% ในส่วนของการลงทุน บริษัทฯ วางงบซื้อที่ดินไว้ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ที่ได้มาจากการโอนโครงการต่างๆ และอีกส่วนจากการออกหุ้นกู้ ซึ่งจะพิจารณาออกในจำนวนและช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้สอดรับกับการขยายธุรกิจ และการเติบโตในระยะยาวของบริษัททั้งนี้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ของบริษัทในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่มาก ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงทางด้านการเงินที่ต่ำ และยังคงมีศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อีกมากโดยไม่ติดปัญหาเรื่องของแหล่งเงินทุน ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้แนวคิด “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” ได้รับรางวัลจดทะเบียนด้านผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม Best Company Performance Awards และรางวัลผู้บริหารสูงสุดดีเด่น Best CEO Awards จากงาน SET Awards 2018 รางวัลที่การันตีคุณภาพการบริหารงานยอดเยี่ยมระดับประเทศ สะท้อนความมุ่งมั่นของลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ในการสร้างมาตรฐานการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตลอดระยะเวลา 30 ปี และความเป็นมืออาชีพของการบริหารงานอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะตลาดเรียล ดีมานด์ ตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยจริงโดยมีผลประกอบที่เติบโตต่อเนื่อง และยั่งยืน (Sustainable Growth)        
Gateway Bangsue ปลุกบางซื่อให้มีชีวิตชีวา

Gateway Bangsue ปลุกบางซื่อให้มีชีวิตชีวา

"บางซื่อ" ย่านนี้แม้ว่าจะมีทั้งรถไฟฟ้าสายสีม่วงผ่าน คอนโดมิเนียมขึ้นอยู่หลายโครงการ แถมในอนาคตก็ยังเป็น HUB แห่งการเดินทางที่ใหญ่ที่สุดในระดับอาเซียนอีกด้วย แต่ก็ยังคงขาดห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะมาอำนวยความสะดวก และปลุกให้เกิดความคึกคักมากขึ้นด้วย จนเมื่อวันที่  30 พ.ย. ที่ผ่านมาก็มี Gateway Bangsue เป็นคุณลุงซานต้ามาเปิดกล่องของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับชาวบางซื่อ เราเลยหาโอกาสไปเดินชมกันสักหน่อยค่ะ   การเดินทางไปยัง Gateway Bangsue เราเลือกใช้รถไฟฟ้าใต้ดินไปลงที่สถานีเตาปูน ลงทางออกที่ 1 ต่อวินมอเตอร์ไซต์ไปอีก 20 บาท หรือจะเลือกดักรอรถตู้ของ Gateway Bangsue ที่จะคอยให้บริการรับ-ส่งฟรี ทุก 15 นาที ในอนาคตถ้ารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเตาปูน-ท่าพระ เปิดให้บริการเมื่อไหร่ก็สามารถลงที่สถานีบางโพ แล้วเดินย้อนมาได้เลยค่ะ     จุดจอดรถตู้ที่คอยบริการรับ-ส่ง ฟรี จะอยู่ด้านหน้าของ Big C เลยค่ะ หาไม่ยากเลย   ความพิเศษของ Big C Food Place คือการเป็นแพลตฟอร์มใหม่แห่งแรกของ Big C เน้นจำหน่ายอาหารสดใหม่ และมีเชฟที่พร้อมปรุงอาหารให้ได้เลยทันที ซึ่งหลังจากนี้เราจะได้เห็น Big C Food Place ขยายตัวออกไปอีกในหลายๆ สาขาค่ะ   ออกมาจากโซน Big C ที่ชั้น G นี้จะเป็นร้านอาหาร และด้านในสุดเป็นโซน Food Court   ส่วนชั้นอื่นๆ ก็จะมีทั้งร้านสินค้าประเภทแฟชั่นอย่าง H&M, uniqlo, MC jeans ฯลฯ มีร้านอาหาร ร้านเซอร์วิชต่างๆ รวมถึง Home Pro ด้วยค่ะ     มาว่ากันด้วยของ Entertainment กันบ้างค่ะ ที่นี่ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะคะ เพราะมีทั้งโซน Funfesta ชั้น 5 ที่มีเกมส์ให้เล่นทั้งโซนเด็ก โซนผู้ใหญ่ และ Harbor Land ชั้น 6 ที่เป็นสวรรค์ของเด็กๆ เลยค่ะ และที่ขาดไม่ได้เลยคือโรงภาพยนตร์ Major Cineplex ชั้น 7 ซึ่งในอนาคตจะมี jetts fitness มาเปิด 24 ชม. ด้วย   SKY GARDEN บริเวณชั้น 6 เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของที่นี่ค่ะ เพราะถ้าเมื่อเทียบกับห้างสรรพสินค้าในย่านใจกลางเมืองคงไม่มีพื้นที่เปิดโล่ง เห็นวิวกว้างๆ ให้ได้นั่งชิลกันขนาดนี้   แม้ว่า Gateway Bangsue จะยังมีบางส่วนที่ยังคงเป็นพื้นที่ว่างอยู่ แต่โดยภาพรวมแล้วก็ทำให้ย่านนี้มีบรรยากาศที่คึกคักขึ้นมาได้ดีเลยล่ะค่ะ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมรอบๆ อยู่หลายโครงการที่สามารถเดินมาได้เลย เห็นได้ชัดว่าห้างสรรพสินค้าที่รวมสิ่งอำนวยความสะดวกเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เกต และเซอร์วิชต่างๆ ก็ยังคงดึงดูดผู้คนในละแวกนั้นเข้ามาได้อยู่เสมอค่ะ                
ORI-KBank เปิดดีลร่วมทุน “BUTLER” แอปแรกของเมืองไทยที่รวมทุกงานบริการให้ชีวิตง่ายในแอปเดียว

ORI-KBank เปิดดีลร่วมทุน “BUTLER” แอปแรกของเมืองไทยที่รวมทุกงานบริการให้ชีวิตง่ายในแอปเดียว

“ออริจิ้น” จับมือ “กสิกรไทย” เปิดดีลร่วมทุนบริษัทในเครือ “ดิจิตอล บัตเลอร์” ผู้พัฒนาแอปและแพลทฟอร์ม BUTLER ที่รวมทุกพันธมิตรด้านงานบริการไว้ในแอปเดียว ทั้งแม่บ้าน-ดูแลรักษาบ้าน-ซักอบรีด และการเชื่อมโยงนิติบุคคล-ลูกบ้าน เตรียมยกระดับรูปแบบการชำระเงินและช่องทางการให้บริการหลังร่วมทุน พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ตอบโจทย์ผู้บริโภคครบวงจร นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า บริษัทและธนาคารกสิกรไทย หรือ KBank ได้ลงนามสัญญาร่วมทุนในบริษัท ดิจิตอล บัตเลอร์ จำกัด บริษัทย่อยในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอปพลิเคชันและแพลทฟอร์ม BUTLER แอปและแพลทฟอร์มแรกของเมืองไทยที่รวมทุกงานบริการให้ชีวิตง่ายในแอปเดียว   “เราและธนาคารกสิกรไทยต่างมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคอย่างครบวงจร ความร่วมมือระหว่างกันในครั้งนี้ จึงถือเป็นการผสานจุดแข็งระหว่างผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ มาต่อยอดให้เกิดดิจิทัล แพลทฟอร์มที่อำนวยความสะดวกผ่านบริการต่างๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” นายพีระพงศ์ กล่าว ทั้งนี้ BUTLER เป็นแอปพลิเคชันและแพลทฟอร์มด้านการจัดการชุมชนและสังคม (Community Management Platform) ที่รวบรวมทุกงานบริการเอาไว้อย่างครบวงจร เช่น บริการแม่บ้าน บริการดูแลรักษาบ้าน บริการซักอบรีด ผ่านการรวบรวมและร่วมมือกับบริการจากหลากหลายพันธมิตรไว้ในแอปเดียว อาทิ Seekster, Fixzy, Helpdee, Betagro, JP Insurance นอกจากนี้ BUTLER ยังพัฒนาแพลทฟอร์มเชื่อมโยงนิติบุคคลกับผู้อยู่อาศัยในโครงการ พนักงาน ตลอดจนบริการของพันธมิตร มีฟังก์ชันตั้งแต่การดูและจัดการตารางกิจกรรมภายในของนิติบุคคล การใช้พื้นที่ส่วนกลาง ภาพรวมแผนงบประมาณ แจ้งค่าน้ำค่าไฟพร้อมทำการชำระผ่านระบบชำระเงินออนไลน์ได้ทันที รับแจ้งซ่อมและปัญหาการบริการต่างๆ พร้อมทั้งติดตามสถานะได้ทันที แชทคุยกับผู้จัดการนิติโดยตรง บริหารจัดการพนักงาน ตลอดจนดูตารางงานของพันธมิตรที่เข้ามาทำงานในพื้นที่โครงการ ช่วยแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกให้แก่ทั้งนิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัยและผู้อยู่อาศัย   ภายหลังการดำเนินการซื้อ-ขายหุ้นของบริษัท ดิจิตอล บัตเลอร์ จำกัด เสร็จสิ้น บริษัทจะมีสัดส่วนการถือหุ้นในดิจิตอล บัตเลอร์ ประมาณ 52% ผ่านบริษัท พรีโม พร็อพเพอร์ตี้ โซลูชั่น จำกัด บริษัทย่อยที่ดูแลธุรกิจบริการทั้งหมดในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ขณะที่กลุ่มผู้ก่อตั้งดิจิตอล บัตเลอร์ จะถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 35% และธนาคารกสิกรไทย ถือหุ้นในสัดส่วน 10% ด้านนายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBank กล่าวว่า ธนาคารยังคงเดินหน้ากลยุทธ์ในการร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำในแต่ละธุรกิจ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Better Together ด้วยการผสานจุดแข็งของแต่ละฝ่าย เพื่อร่วมกันนำเสนอบริการที่ดีที่สุดให้กับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในทุกๆ วัน สำหรับ BUTLER ภายใต้เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ถือเป็นแพลทฟอร์มศักยภาพที่ช่วยเชื่อมโยงระหว่างผู้ให้บริการเข้ากับผู้ใช้บริการ และเชื่อมโยงผู้อยู่อาศัยเข้ากับนิติบุคคล ขณะเดียวกัน BUTLER ยังรวบรวมทุกบริการความสะดวกของการใช้ชีวิตไว้ในแอปเดียว และสามารถชำระเงินค่าใช้บริการและค่าสาธารณูปโภคผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทันที ตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุคดิจิทัล จึงเป็นสาเหตุสำคัญให้บริษัทตัดสินใจเข้าร่วมทุนในครั้งนี้   เบื้องต้น ธนาคารกสิกรไทย จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและรูปแบบการชำระเงินให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการของ BUTLER ให้ลูกค้าธนาคารผ่านช่องทางต่างๆ ของทางธนาคาร อาทิ K Plus เป็นต้น นอกจากนี้ ในอนาคตมีแผนที่จะพิจารณาความร่วมมือต่างๆ เพิ่มขึ้น ต่อไป หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา BUTLER มีนิติบุคคลโครงการต่างๆ สนใจลงชื่อเข้าร่วมใช้งานแล้วมากกว่า 500 โครงการ และยังมีแผนจะพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ เพิ่มอย่างต่อเนื่อง การเชื่อมโยงการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเข้ากับสตาร์ทอัพและร้านค้าในชุมชนของตัวเอง การสร้าง Community Media ที่ให้บุคคลในโครงการที่อยู่อาศัยเดียวกันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้สะดวกยิ่งขึ้น   ผู้สนใจบริการของ BUTLER สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้แล้ววันนี้ทั้งใน App Store และ Play Store หรือคลิก www.digitalbutler.co.th สำหรับนิติบุคคลที่สนใจบริการของ BUTLER สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.butlerjuristic.com