Tag : News

2376 ผลลัพธ์
แชปเตอร์ วัน อีโค รัชดา – ห้วยขวาง โกยรายได้ 1,800 บาท ภายใน 3 สัปดาห์

แชปเตอร์ วัน อีโค รัชดา – ห้วยขวาง โกยรายได้ 1,800 บาท ภายใน 3 สัปดาห์

เปิดปีใหม่มาไม่ทันไร ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต CEO พฤกษา เรียลเอสเตท–พรีเมียม ก็ได้รับข่าวดีต้อนรับปีหมูซะแล้วหลังจากที่จัดงานเตรียมความพร้อมก่อนการโอนของโครงการ “แชปเตอร์วัน อีโค รัชดา – ห้วยขวาง” คอนโดแต่งครบ พร้อมอยู่ ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ได้รับกระแสตอบรับดีเกินคาด มีลูกค้าตบเท้าเข้าร่วมงานกันอย่างล้นหลามสามารถโกยรายได้กว่า 1,800 ล้านบาท ภายใน 3 สัปดาห์ นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของวงการอสังหาฯ ที่ลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี แถมการันตีคุณภาพด้วยรางวัลจากเวทีระดับโลก จากภาพรวมโครงการคุณภาพการก่อสร้าง สถาปัตยกรรมภายในและภายนอก พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและส่วนกลางที่ใหญ่กว่า 4 ไร่ ถือว่าคุ้มที่สุดในย่านรัชดา เริ่ม 2.5 ล้านบาท พิเศษ! ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน พร้อมรับสิทธิพิเศษอื่นอีกมากมายก่อนจะเปลี่ยนมาตรการรัฐ     ใครสนใจรีบลงทะเบียนรับส่วนลดพิเศษได้ที่ : https://bit.ly/2CXy8Hn สามารถเยี่ยมชม Sales Gallery ได้แล้ววันนี้ ข้อมูลเพิ่มเติมโทร.1739 หรือ https://www.pruksa.com/premium        
LPN GROUP ทำรายได้รวมเติบโตสูง 20% หลังรีโมเดลธุรกิจ 2 ปี

LPN GROUP ทำรายได้รวมเติบโตสูง 20% หลังรีโมเดลธุรกิจ 2 ปี

LPN GROUP ทำรายได้รวมเติบโตสูง 20% หลังรีโมเดลธุรกิจ 2 ปี ปี 62 เน้นกระจายขารายได้ ฝ่าปัจจัยลบ เติบโตยั่งยืน   ผลดำเนินงานปี  61  L.P.N. DEVELOPMENT GROUP  เติบโต 20% หลังเริ่มมองเห็นภาวะถดถอยภาคอสังหาฯ  ตั้งแต่ 2 ปีก่อน และเตรียมรับมือปรับโครงสร้างธุรกิจครบวงจร  ปี 62 พร้อมฝ่าปัจจัยลบด้วยแผนรองรับที่เข้มแข็ง  มั่นใจทิศทางการดำเนินงานที่รอบคอบ ผลการจัดอันดับจาก TRIS Rating ที่ระดับ A- (Stable) และแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อมั่นยาวนานกว่า 30 ปี จะสร้างการเติบโตในปี 62 รวม 10%   นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN)  เปิดเผยว่า จากสภาวะถดถอยของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ LPN ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว บริษัทจึงมีการปรับโมเดลและวางแผนธุรกิจภายใต้แนวทางYear of Shift และ Year of Change ในปี 60-61  เพื่อรองรับสถานการณ์และสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นทั้งจากการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, Recurring Income และธุรกิจบริการ ส่งผลให้ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายเดียวที่เน้นการทำธุรกิจอย่างครบวงจร โดยมีการเติบโตของรายได้ 20% จากกลยุทธ์ในด้านต่างๆ ได้แก่   1. การขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังระดับบน ทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักอาศัย โดยได้พัฒนาบ้านพรีเมียมเป็นครั้งแรกภายใต้แบรนด์ “BAAN 365” กับคอนเซ็ปต์ “Livable Simple Luxury” ซึ่งสามารถสร้างยอดขายในช่วง Presale ได้มากกว่า 50% จนได้รับการกล่าวขานเป็น Talk of the Town ในวงการอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาคอนโดมิเนียมระดับบน และขยายเซ็กเมนท์ไปยังกลุ่ม Gen Y ที่มีไลฟ์สไตล์เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ภายใต้ซับแบรนด์ “Lumpini Selected” ซึ่งได้ส่งมอบโครงการแรกที่เกษตร-งามวงศ์วานแล้วในปีที่ผ่านมา และต่อยอดไปยังย่านสุทธิสาร-สะพานควายที่ได้รับการออกแบบให้เหมาะกับการใช้ชีวิตของผู้หญิงรุ่นใหม่   2. การขยายธุรกิจไปยัง “Office Condo” พร้อมบริการวางระบบ Office Smart ที่เอื้อประโยชน์ต่อการทำธุรกิจ นำร่องด้วย อาคาร “ลุมพินี ทาวเวอร์ วิภาวดี” อาคาร A ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้สนใจหลายรายที่ต้องการซื้อยกตึก โดยในขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจา   3. การสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) จากการบริหารโครงการของบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด และรายได้จากการปล่อยเช่า รวมถึงการนำห้องชุดในโครงการ “ลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1” อาคาร Fมาปรับเปลี่ยนจากการขายมาเป็นการเช่า โดยได้ออกแบบพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของผู้เช่า เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีเสมือนการพักอาศัยในคอนโดมิเนียม   ปี 2562 : ปีแห่งการฝ่าพายุ (Storm is coming) สำหรับปี 2562 นี้ ภาพของสภาวะถดถอยยิ่งปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้น LPN จึงได้เตรียมแผนรองรับปัจจัยลบต่างๆ ไว้เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนโดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 10% ด้วยการเปิดตัวโครงการให้ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Value และ Standard เพื่อกระจายความเสี่ยง ในขณะเดียวกันก็ระมัดระวังในการเลือกทำเลเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพตามกลยุทธ์ขององค์กร เพื่อให้มั่นใจได้ถึงความสำเร็จของโครงการ  โดยข้อมูลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจทั้งหมดสนับสนุนโดย  LPN Wisdom  หน่วยงานที่ทำหน้าที่วิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเชิงลึกในการพัฒนาโครงการและการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง บริษัทยังมีสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง เนื่องจากสินค้าพร้อมอยู่ทั้งหมดของ LPN มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท เป็นสินค้าที่ไม่มีภาระทางด้านการเงิน นอกจากนั้น บริษัทได้รับการจัดอันดับจาก TRIS Rating ในระดับ A- (Stable) ที่แสดงถึงความมั่นคงและน่าเชื่อถือทางการเงินซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการระดมทุนหากบริษัทมีการออกหุ้นกู้ในอนาคต   ทิศทางการดำเนินงานของธุรกิจในเครือ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP  - LPN Wisdom อีกหนึ่งธุรกิจในเครือที่เป็นตัวแทนด้านความเป็น “คนเก่ง” จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงวิเคราะห์วิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่เหมาะสมทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักอาศัยตาม Segment ของ Product Brand “ลุมพินี” โดยได้สร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development Center) เพื่อเป็นที่ศึกษาและพัฒนาคุณค่าของสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านห้องทดลองพัฒนาและวิจัยแบบจำลอง หรือ Mock Up Center นอกจากนี้ LPN Wisdom ยังได้รับการยอมรับให้เป็นที่ปรึกษาด้านอาคารเขียวจากหน่วยงานราชการและเอกชนอย่างกว้างขวาง - LPN Project Management ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เป็นตัวแทนด้านความเป็น “คนเก่ง” ของ LPN โดยในปี 62 ซึ่งเป็นช่วงสภาวะถดถอยของภาคอสังหาริมทรัพย์นี้ LPN Project Management จะเน้นการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพื่อให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการของ LPN ต่ำลง - LPP Property Management ถือเป็นฟันเฟืองหลักในธุรกิจบริการ โดยมีเป้าหมายการเติบโตอยู่ที่ 20% ซึ่งเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 15% ในปีที่ผ่านมา โดยรายได้หลักของธุรกิจจะมาจาก 3 ขา คือ การบริหารชุมชนทั้งภายในและภายนอกโครงการของ LPN งานบริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจนายหน้าหาผู้ซื้อและผู้เช่าห้องชุด นอกจากนั้น LPP ยังมีฐานลูกค้าอีกกว่า 150,000 รายที่สามารถนำไปต่อยอดเพื่อสร้างรายได้จากการบริการในอนาคต   4. LPC Service & Care ดำเนินธุรกิจบริการด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัยในโครงการ เช่น งานบริการความสะอาด งานบริการต้อนรับ เป็นต้น บริหารงานโดยบริษัท LPC Social Enterprise วิสาหกิจเพื่อสังคม 1 ใน 15 แรกในไทย ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนด้านความเป็น “คนดี” ของ LPN ที่ต้องการแสดงความใส่ใจ ห่วงใย แบ่งปันต่อสตรีด้อยโอกาสที่ยังมีอยู่มากในประเทศ เพื่อสร้างรายได้ สร้างโอกาส สร้างศักดิ์ศรี และสร้างความสุขให้กับบุคคลเหล่านี้ และเป็น 1 ในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ช่วยลดปัญหาของสังคมอย่างยั่งยืน    นายโอภาสกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากภาพรวมแนวทางของการดำเนินธุรกิจข้างต้นแล้ว ในปีนี้ บริษัทยังมีแนวทางในการจัดการ Zero Waste ในกระบวนการดำเนินธุรกิจขององค์กร ทั้ง Supply Chain เบื้องต้นนำร่องด้วยการเริ่มลดใช้ขวดและพลาสติกในสำนักงานขาย ซึ่งตั้งเป้าลดให้ได้มากกว่าปีละ 500,000 ชิ้น และจะดำเนินการต่อยอดไปในโครงการ “ลุมพินี” ที่บริษัทบริหารชุมชนอยู่ รวมถึงกิจกรรมบริจาคโลหิตที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี โดยในปี 62 นี้ ตั้งเป้าหมายรับบริจาคให้ได้ 1,300,000 C.C.          
วี พร็อพเพอร์ตี้ฯ ส่งโครงการ “เวอร์เทียร์ สุขุมวิท” ลงตลาดคอนโดนิเนียม Luxury ติดสถานีรถไฟฟ้าพระโขนง

วี พร็อพเพอร์ตี้ฯ ส่งโครงการ “เวอร์เทียร์ สุขุมวิท” ลงตลาดคอนโดนิเนียม Luxury ติดสถานีรถไฟฟ้าพระโขนง

“สุขุมวิท” ถนนเส้นนี้ได้ชื่อว่าเป็นถนนที่สะท้อนถึงความทันสมัย แหล่งรวมไลฟ์สไตล์ ชาวต่างชาติรู้จัก ถือว่าเป็นทำเลที่ต้องจับตามองตลอดเวลาในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะย่านใจกลางสุขุมวิทอย่างพระโขนงแห่งนี้ โดยภาพรวมการพัฒนาของวงการอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันพบว่า ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมนั้นเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับความต้องการ (demand) ของผู้ซื้อที่ขยับเพิ่มขึ้นตามอย่างต่อเนื่องตามแนวรถไฟฟ้า มีการขยายการพัฒนาออกไปจากบริเวณใจกลางสุขุมวิทอย่าง อโศก พร้อมพงษ์ ทองหล่อ เอกมัยไปสู่ “พระโขนง” ทำเลกึ่งกลางที่อดีตเคยถูกมองข้าม แต่วันนี้... ย่านพระโขนง กำลังก้าวสู่บริบทความเป็นเมืองใหม่ที่สมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเดินทาง เรื่องของไลฟ์สไตล์ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน   ..และที่นี่ทำเลพระโขนงมีคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ ที่มีความน่าสนใจไม่แพ้ทำเลเอกมัย และทองหล่อ เหนือกว่าด้วยที่ตั้งโครงการที่ติดสถานีรถไฟฟ้า ด้วยราคาเปิดตัวที่น่าสนใจนั่นก็คือ โครงการ  “เวอร์เทียร์ สุขุมวิท” (Vertier Sukhumvit) คอนโดมิเนียมระดับ Luxury ติดสถานีรถไฟฟ้า เปิดตัวใหม่ล่าสุดในทำเลดังกล่าว ที่ บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (V Property) บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์เน้นพัฒนโครงการที่อยู่อาศัยเฉพาะทำเลศักยภาพ เเละเน้นการพัฒนาที่ดินเฉพาะแปลงที่หายากเท่านั้นอย่างเช่น บริเวณรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือ สายสุขุมวิทเป็นหลัก ตั้งใจพัฒนาโครงการโดยเน้นจุดเด่นของทำเล และราคาที่สมเหตุสมผล   นายพรชัย เลิศอนันต์โชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด หรือ V Property กล่าวว่า Mid Sukhumvit เป็น จุดศูนย์กลางแห่งการเชื่อมต่อถนนหลักที่สำคัญเข้าสู่ใจกลางย่านธุรกิจชื่อดังมากมายของถนนสุขุมวิทตอนกลางกับตอนปลาย ที่สามารถเชื่อมไปสู่ทำเลอื่นด้วยถนนเส้นสำคัญๆ ไม่ว่าเป็น สุขุมวิท 71 ที่เชื่อมไปยังถนนเพชรบุรี ถนนรามคำแหง ถนนพัฒนาการ หรือพระราม 9 หรือหากวิ่งเส้นพระราม 4 ก็เข้าสู่ถนนสีลม สาทรได้ และที่สำคัญยังเป็นจุดเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทาในอนาคต   ด้วยศักยภาพของทำเลใจกลางสุขุมวิทที่มี Demand สูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี บริษัทฯจึงเลือกทำเลติด BTS สถานีพระโขนง ลงทุนพัฒนาโครงการ เวอร์เทียร์ สุขุมวิท เป็นคอนโดมิเนียม ไฮไรส์ 31 ชั้น 1 อาคาร พร้อมที่จอดรถอัจฉริยะ ทั้งอาคารมีห้องพักอาศัยทั้งสิ้น 227 ยูนิตรวมมูลค่า 1.8 พันล้านบาท กำหนดราคาขายเริ่ม 180,000 บาทต่อตารางเมตร แบ่งชั้นพักอาศัยตั้งแต่ชั้น 4-28 ชั้นส่วนกลางอยู่ชั้น 1-3 และชั้น 29-30 ตั้งอยู่บนที่ดินกว่า 1 ไร่ ติดรถไฟฟ้า BTS สถานีพระโขนง ใกล้กับจุดเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทา (วัชรพล-พระโขนง-สะพานพระราม 9-ท่าพระ) ในอนาคตด้วย เดินทางด้วยรถยนต์ก็สะดวกเพราะที่ตั้งโครงการอยู่ใกล้กับทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษฉลองรัช โครงการมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปี 2564 (ค.ศ.2021)     โครงการ เวอร์เทียร์ สุขุมวิท ถูกออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “RARE COLLECTIBLE LOCATION” เป็นแนวคิดการพัฒนาที่พักอาศัย บนทำเลที่หายากและน้อยคนนักที่จะได้เป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมหรูทำเลติดถนนสุขุมวิทและสถานีรถไฟฟ้าใจกลางเมือง ผสานการออกแบบเน้นความเป็นส่วนตัวสูง และความสะดวกสบายของผู้พักอาศัยทั้งเรื่องการเดินทาง ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการเลือกใช้ชีวิตแบบคนเมืองอย่างแท้จริง รายละเอียดห้องชุดมีดังนี้ แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 28 – 42 ตร.ม. จำนวน 183 ยูนิต แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 48 – 52 ตร.ม. จำนวน 38 ยูนิต แบบ 3 ห้องนอน ขนาด 86 ตร.ม.จำนวน 6 ยูนิต (สามารถจดทะเบียนบริษัทได้) สำหรับพื้นที่ส่วนกลางเน้นตกแต่งด้วยวัสดุพรีเมียม และมีสไตล์โดดเด่นสะท้อนเอกลักษณ์ของผู้อยู่อาศัย ประกอบไปด้วย Atelier Lobby Lounge, Business Meeting Lounge, Sky Aquarium Pool, Jacuzzi และ Pool Terrace, Vertical Oasis & Pinnacle Pavilion, Crystal Fitness เป็นต้น และด้วยจำนวนยูนิตพักอาศัยที่น้อยเพียง 6-10 ห้อง ต่อ 1 ชั้น อีกทั้งโครงการยังออกแบบให้ทุกยูนิตเป็นแบบ “Single  Loaded Corridor หรือไม่มีห้องตรงข้าม” เพื่อเน้นความเป็นส่วนตัวที่สมบูรณ์แบบให้แก่ผู้ที่ได้ครอบครองห้องชุด ซึ่งโครงการให้ความสำคัญเป็นพิเศษ   ด้วยศักยภาพของทำเลและการออกแบบโครงการ ที่ใส่ใจทุกรายละเอียดเน้นความเรียบหรู และการใช้งานได้อย่างลงตัว ทำให้ลูกค้าส่วนหนึ่งมาจากฐานลูกค้าเก่าที่มี Brand Loyalty กับ V Property และอีกส่วนหนึ่งเป็นลูกค้าใหม่ซึ่งก็มีลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ “ผมมั่นใจว่า โครงการ เวอร์เทียร์ แค่คุณได้เป็นเจ้าของก็ถือว่าคุ้มค่าที่สุดแล้ว ทำเลติดสถานีแบบนี้ถือว่าหายากมาก ที่สำคัญราคาสมเหตุสมผล เมื่อเทียบกับโครงการเปิดใหม่ๆเมื่อปีที่ผ่านมา” นายพรชัย เลิศอนันต์โชค CEO บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าว   ในวันที่ 16-17 ก.พ.นี้ โครงการ เวอร์เทียร์ สุขุมวิท จัดงาน Exclusive Pre-Sales พร้อมเปิดให้จองห้องภายในงาน ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนรับส่วนลด 500,000 บาท ได้ที่ www.vertierbangkok.com หรือเข้าชมโครงการ ณ Vertier Sales Gallery รถไฟฟ้าสถานีพระโขนงทางออกประตู 2 เพียง 50 เมตร          
เปิดตัวโครงการ “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” คอนโดหรูฯ ริมถนนสุขุมวิท

เปิดตัวโครงการ “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” คอนโดหรูฯ ริมถนนสุขุมวิท

แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ ผู้นำอสังหาฯ เมืองไทย ผนึกกำลังพันธมิตร ซูมิโตโม ฟอเรสทรี บริษัทชั้นนำในธุรกิจป่าไม้และรับสร้างบ้านของญี่ปุ่น เปิดตัวโครงการ “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” (Hyde Heritage Thonglor) คอนโดฯหรูระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ มูลค่า 6,000 ล้านบาท บนสุดยอดทำเลริมถนนสุขุมวิทใกล้สถานีบีทีเอสทองหล่อเพียง 350 เมตร พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษและสิทธิประโยชน์สูงสุดจากบัตร GA Elite Card  ตอกย้ำความเหนือระดับปรับโฉมโลโก้ต้อนรับศักราชใหม่   นายวิทวัส วิภากุล กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท แกรนด์ แอสเสทโฮเทลส์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า การร่วมมือกับ “ซูมิโตโม ฟอเรสทรี” ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศญี่ปุ่นเพื่อสร้างสรรค์โครงการอสังหาฯ ระดับมาสเตอร์พีช “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” (Hyde Heritage Thonglor) ถือเป็นการสร้างปรากฏการณ์ในวงการอสังหาฯ เมืองไทย เพราะ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี ไม่เพียงเป็น พันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาฯ ทั้งในญี่ปุ่นและหลายประเทศทั่วโลก แต่ยังเป็นบริษัทที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในวงการอสังหาฯ ระดับโลก เราจึงมั่นใจว่าความร่วมมือกันครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพและความเชื่อมั่นให้กับโครงการได้อย่างมาก     “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” เป็นหนึ่งในโครงการที่ดีที่สุดบนสุดยอดทำเลริมถนนสุขุมวิทใกล้สถานีบีทีเอสทองหล่อเพียง 350 เมตร ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างเหนือระดับในทุกด้าน ใช้วัสดุคุณภาพและแบรนด์ระดับโลก เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการประสานความทันสมัยและเทคโนโลยีอย่างครบครัน  โดยมีการนำนวัตกรรมของญี่ปุ่นมาใช้ ออกแบบโดยสถาปนิกและดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียง เช่น I will Design, That’s Ith และ SHMA พร้อมทั้งใช้วัสดุและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ที่มีการโคแบรนด์ดิ้งจากแบรนด์คุณภาพระดับโลก ตลอดจนพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ Lobby, Mailbox, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, สวนพักผ่อน, ห้องอเนกประสงค์ต่าง ๆ, ที่จอดรถส่วนตัวทุกห้องรองรับรถได้ 100% โดยมีการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์จอดรถในการอำนวยความสะดวกผู้พักอาศัย, ทั้งมีลิฟต์โดยสาร, กล้องวงจรปิด, Access Card Control พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบชาวเมืองได้เป็นอย่างดี    นายชิเกรุ ซาซาเบะ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสทรี จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสร้างคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่บนพื้นที่ใจกลางเมืองริมถนนสุขุมวิทอย่าง “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” ซึ่งมีการนำประสบการณ์ในการเป็นบริษัทรับสร้างบ้านที่ยาวนานกว่า 300 ปี พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นมาใช้ในการออกแบบก่อสร้าง ทำให้โครงการนี้แตกต่างจากโครงการคอนโดมิเนียมหรูอื่นๆ ที่มีการออกแบบที่ทันสมัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งยังแวดล้อมด้วยภูมิสถาปัตย์ที่โดดเด่น ด้วยสภาพแวดล้อมสีเขียวในย่านธุรกิจใจกลางเมือง ที่ทำให้ ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ เป็นหนึ่งในโครงการที่ดีที่สุด ที่ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี ได้ร่วมพัฒนา   ทั้งนี้ บริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสทรี จำกัด เริ่มต้นธุรกิจจากการทำเหมืองแร่ทองแดงในจังหวัดเอฮิเมะ (Ehime) เมื่อปี พ.ศ. 2234 ควบคู่กับบริหารจัดการป่าไม้รอบเหมืองแร่ ปัจจุบัน ซูมิโตโม ฟอเรสทรี เป็นบริษัทชั้นนำลงทุนในญี่ปุ่นและหลายประเทศทั่วโลก ครอบคลุมธุรกิจปลูกป่าไม้และการจัดการป่าไม้ การก่อสร้างบ้านไม้ ที่อยู่อาศัย ธุรกิจไม้และวัสดุก่อสร้าง ตลอดจนธุรกิจบริการไลฟ์สไตล์   โดยในส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทได้เริ่มต้นธุรกิจรับสร้างบ้านเมื่อปี  พ.ศ. 2518 เป็นผู้พัฒนาระบบการก่อสร้างด้วยโครงสร้างไม้ขนาดใหญ่ (Big-Frame Construction Method) เป็นรายแรกในญี่ปุ่น ปัจจุบันมีการพัฒนาแล้วไม่น้อยกว่า 280,000 ยูนิต สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ บริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสทรี ได้ก่อสร้างบ้านมาแล้วมากกว่า 7,000 หลัง ในประเทศสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย และในเอเชีย โดยมีการขยายไปสู่การพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ในเวียดนาม ฮ่องกง สิงคโปร์ และประเทศไทย     สำหรับโครงการ “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ”  เป็นคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ มูลค่า 6,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท 59 บนพื้นที่ประมาณ 2.2 ไร่ ความสูง 45  ชั้น จำนวน 311 ยูนิต  ขนาดห้องตั้งแต่  40 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในย่านที่คนไทย นักเดินทางต่างชาติ และชาวต่างชาติที่ทำงานในเมืองไทย (expat) โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นต่างให้ความนิยมมายาวนาน เพราะมีความสะดวกหลายประการ ทั้งการเดินทาง ร้านอาหารชั้นเลิศหลากหลายสัญชาติ โรงเรียนนานาชาติและโรงเรียนระดับแนวหน้าของประเทศ (Wells International School, Bangkok Prep) ทั้งยังอยู่ใกล้โรงพยาบาลชั้นนำ (รพ.สุขุมวิท และ รพ.สมิติเวช) ศูนย์การค้าหรู (EmQuartier, Emporium), และซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ตอบโจทย์ความต้องการใช้ชีวิตแบบไฮเอนด์อย่างครบครัน ซึ่งผู้พักอาศัยยังสามารถไว้วางใจกับบริการหลังการขายที่พร้อมสร้าง lifetime customer value อย่างไม่มีที่สิ้นสุด   นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรียังคงเติบโตได้ด้วยดีมานด์ที่ต่อเนื่อง ตลาดตอบรับดีต่อสินค้าที่ดีที่อยู่ในทำเลที่ดีในราคาที่แข่งขันได้ แม้ว่าย่านสุขุมวิทจะมีจำนวนยูนิตมากกว่าเมื่อเทียบกับทำเลอื่นๆ แต่ย่านนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นย่านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับห้องพักอาศัย ทั้งสำหรับผู้ซื้อและผู้เช่าเพื่อการลงทุน”   ปัจจุบัน บริษัท แกรนด์ แอสเสทโฮเทลส์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจหลัก 2 ประเภทคือ ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  โดยในส่วนของธุรกิจโรงแรม บริษัทฯ มีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจเน้นการลงทุนในธุรกิจโรงแรมระดับ 4-5 ดาว โดยจะจัดจ้างบริษัทผู้บริหารโรงแรมที่มีประสบการณ์และมีเครือข่ายทั่วโลกเข้าบริหารงาน  อาทิ โรงแรมเชอราตัน หัวหิน ปราณบุรี วิลล่า, โรงแรมเชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา, โรงแรมเดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท, โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพ สุขุมวิท ส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้แก่ โครงการไฮด์ สุขุมวิท 11, โครงการไฮด์ สุขุมวิท 13, โครงการหัวหิน บลู ลากูน รีสอร์ท, โครงการเดอะ เทรนดี้ คอนโดมิเนียม และล่าสุดที่เปิดตัวคือ โครงการไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ ซึ่งในโอกาสนี้ บริษัทฯ ได้ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเหนือระดับด้วยการปรับโฉมโลโก้บริษัทใหม่เพื่อต้อนรับปี 2562 อย่างเป็นทางการด้วย   ร้อมกันนี้ บริษัทฯ ขอมอบข้อเสนอพิเศษสำหรับท่านที่สนใจจองและทำสัญญาโครงการ ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2562 อาทิ รับบัตรห้องพักฟรีสูงสุด 20 คืน, บัตรรับประทานอาหาร-เครื่องดื่ม และสปา ของโรงแรม ไฮแอท รีเจนซี กรุงเทพฯ สุขุมวิท, เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท กรุงเทพฯ, รอยัล ออคิด เชอราตัน และ เชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา มูลค่าสูงสุด 250,000 บาท และสิทธิประโยชน์จากบัตร GA Elite Card สำหรับส่วนลด 20% ทุกครั้งที่เข้ารับบริการในส่วนของอาหาร-เครื่องดื่ม และสปาของโรงแรมในเครือ   ขอเชิญสัมผัสชีวิตเหนือระดับกับคอนโดฯหรู “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” บนทำเลที่ดีที่สุดใกล้สถานีบีทีเอสทองหล่อเพียง 350 เมตร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร.099-282-3965 หรือwww.hydeheritage.com            
SENA ท็อปฟอร์มขึ้นแท่นรองแชมป์ ปี 61 ทุบสถิติครั้งประวัติศาสตร์ในรอบ 3 ปี

SENA ท็อปฟอร์มขึ้นแท่นรองแชมป์ ปี 61 ทุบสถิติครั้งประวัติศาสตร์ในรอบ 3 ปี

SENA จุดพลุประกาศความสำเร็จ “Growth Hormone” ตามโรดแมปปี 61 โตพุ่งปรี๊ดครบทุกองศา ล่าสุดขึ้นแท่นรองแชมป์อันดับ 2 เปิดตัวคอนโดมิเนียมเยอะสุดทั้งในแง่แวร์ลูและควอลิตี้ทำลายสถิติครั้งประวัติศาสตร์ในรอบ 3 ปี   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2561 ที่ผ่านมามีความท้าทายต่างๆ เข้ามากดดันให้ผู้ประกอบการเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยใหม่อย่างระมัดระวังการแข่งขันในตลาดที่ยังคงเป็นไปอย่างรุนแรงและความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังมีจำกัด แต่ด้วยกลยุทธ์ของบริษัทสามารถจัดพอร์ตการลงทุนได้อย่างครอบคลุม ครบทุกเซกเมนท์ทำให้ในปีที่ผ่านมา เสนาสามารถทำลายสถิติหลายอย่างให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้   สำหรับปี 2561 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่พีคที่สุดของเสนาในรอบ 3 ปี ทั้งในแง่การเปิดตัวโครงการใหม่ที่มีมูลค่าและจำนวนยูนิตที่สูงสุด ครองแชมป์อันดับ 2 ในธุรกิจเรียลเอสเตท (เครดิต:จากฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย) โดยเฉพาะหากย้อนดูข้อมูลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน ปี 2561) มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15–20   และมีการเปิดตัวโครงการและจำนวนยูนิตเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2559 เปิดคอนโดมิเนียม 5 โครงการ 1,654 ยูนิต รวมมูลค่า 2,560 ล้านบาท ปี 2560 เปิดคอนโดมิเนียม 7 โครงการ 4,111 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวม 8,477 ล้านบาท และปี 2561 เปิดคอนโดมิเนียม 9 โครงการ 6,397 ยูนิต รวมมูลค่า 22,030 ล้านบาท ประกอบกับทางเสนาเองมีพันธมิตรธุรกิจที่แข็งแกร่ง “ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ปเปอร์เรชั่น” ร่วมลงทุนพัฒนาโครงการทั้งสิ้น ณ ปัจจุบัน 6 โครงการ ประกอบด้วย 1.นิช โมโน สุขุมวิท-แบริ่ง 2.นิช ไพร์ด เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ 3.นิช โมโน เจริญนคร 4.นิช โมโน เมกะ สเปช บางนา 5.นิช โมโน รามคำแหง และ6.ปีติ เอกมัย รวมมูลค่าทั้งสิ้น 20,846 ล้านบาท ซึ่งสร้างยอดขายเป็นที่น่าพอใจทุกโครงการ นอกจากนี้ทางเสนายังมีพาสเนอร์อย่างบริษัท แอคคิวท์ เรียลตี้ที่เข้ามาช่วยบริหารดูแลด้านการขายอย่างมืออาชีพให้กับหลายโครงการรวมถึงการทำตลาดในต่างประเทศด้วย   ทั้งนี้ทางเสนายังได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาใช้ทุกโครงการทั้งแนวราบและแนวสูง ซึ่งเป็นรายแรกของเมืองไทยที่เดินหน้าพัฒนาโครงการมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาดแบบ100% โดยการนำร่องติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ให้บ้านทุกหลัง และเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า EV ready รวมทั้งมีบริษัทในเครือเป็นผู้ติดตั้งและจัดจำหน่ายระบบพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำของประเทศไทย รวมถึงได้ต่อยอดพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ใน Application SENA 360° Service ให้ครบ จบ ง่าย บริการหลังการขายแบบครบวงจรพร้อมดูแลลูกบ้านทุกที่ทุกเวลา   ด้วยหัวใจสำคัญแห่งความสำเร็จครั้งนี้ เสนาวางคอร์เปอเรทแคมเปญใหญ่ “MADE FROM HER” ใส่ใจทุกดีเทลชีวิตจากแนวคิดแบบผู้หญิงเพื่อสร้างจุดต่างและจุดขายให้กับโปรดักส์ในโครงการ ซึ่งความสำเร็จของเสนาในวันนี้เป็นผลพวงจากวิสัยทัศน์ผนวกกับประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานของผู้บริหารระดับสูง และการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งสู่การพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน            
บมจ.ไรมอน แลนด์ ขยายธุรกิจในการสร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่อง  (Recurring Income) พร้อมรุกตลาดกลุ่มคนรักสุขภาพ

บมจ.ไรมอน แลนด์ ขยายธุรกิจในการสร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่อง (Recurring Income) พร้อมรุกตลาดกลุ่มคนรักสุขภาพ

บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ ได้มีการประกาศแผนในการขยายธุรกิจ ซึ่งรวมไปถึงธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และธุรกิจด้านโรงแรม เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการพัฒนาองค์กร พร้อมสร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่องให้แก่องค์กร     นายไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไรมอน แลนด์ กล่าวว่า “การกระจายการลงทุนนั้นนับเป็นส่วนหนึ่งของแผนการดำเนินงานของไรมอน แลนด์ เพื่อเป็นการขยายฐานสร้างโอกาสทางธุรกิจ ความมั่นคงและรายได้ให้กับองค์กร พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัท และยังถือเป็นการตอบแทนผลประโยชน์อันสูงสุดแก่ผู้ถือหุ้นอีกด้วย นอกเหนือจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ที่เป็นธุรกิจหลัก บริษัทฯยังมีนโยบายที่จะต่อยอดธุรกิจไปสู่โครงการสำนักงานให้เช่า, ธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมไปถึงธุรกิจทางด้านโรงแรม และในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะเปิดตัวคอนโดมิเนี่ยมระดับลักซ์ชัวรี่ถึง 2 โครงการ ในทำเลซอยสุขุมวิท 38 และพญาไท มูลค่ารวมกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท”   ทางบริษัทฯ คาดว่าจะเปิดตัวอาคารสำนักงานให้เช่าภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งจะเป็นรูปแบบของโครงการมิกซ์ยูสที่ครบครันด้วยการให้บริการด้านร้านอาหาร และเครื่องดื่มที่ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดของถนนเพลินจิต ตรงข้ามศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอมบาสซี่ มีพื้นที่ครอบคลุมกว่า 6 ไร่ และมีพื้นที่ให้เช่าโดยรวมประมาณ 65,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ทางโครงการยังได้มีการจัดสรรพื้นที่สำหรับสร้างศูนย์การแพทย์ เพื่อรองรับพันธมิตรซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีเทคโนโลยีอันทันสมัย มีความชำนาญทางด้านการทำเด็กหลอดแก้ว ผสมเทียม และการเก็บไข่แช่แข็ง ซึ่งคาดว่าจะเปิดบริการได้ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป และยังมีแผนงานที่จะร่วมทุนกับพันธมิตรทางการแพทย์ที่เขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา บนพื้นที่ 40 ไร่ ใน Toscana Valley เขาใหญ่ โดยจะมีการนำเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีความนำสมัยมาปรับใช้สำหรับการบริการอย่างดีที่สุด รวมถึงยังมีการสร้าง ศูนย์สุขภาพการเจริญพันธุ์ เพื่อให้คำปรึกษาด้านการมีบุตร รวมไปถึง “ศูนย์เวชศาสตร์การชะลอวัย” เพื่อรองรับความต้องการของผู้รับบริการแต่ละบุคคล ที่ครอบคลุมการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน   สำหรับธุรกิจด้านอาหาร และเครื่องดื่ม บริษัทฯยังคงดำเนินงานกับพันธมิตรกลุ่มบ้านหญิง (Baan Ying Group) อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายธุรกิจร้านอาหารต่อยอดจากสาขาที่มีอยู่ในสิงคโปร์ โดยมีแผนที่จะขยาย แฟรนไชส์ร้านอาหารออกสู่ภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ไต้หวัน กัมพูชา และจีน ในปีนี้            
มาตรการ LTV ผลกระทบตกที่ใคร?

มาตรการ LTV ผลกระทบตกที่ใคร?

ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาในบ้านเราก็มีกระแสออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อย เกี่ยวกับมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ LTV (Loan to Value) ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาประกาศให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2562 ที่กำลังจะมาถึงนี้ (แต่จริงๆ เคยออกมาตรการนี้มาแล้ว 4 ครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5) เพราะต่างก็ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ทั้งกลุ่ม Developer กลุ่มนักลงทุน และผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง แต่ใครจะได้รับผลกระทบไปในทิศทางไหนบ้าง ลองมาช่วยกันมองไปพร้อมๆ กันค่ะ     ก่อนอื่นเรามาดูมาตรการนี้กันคร่าวๆ ก่อนค่ะ   Cr.ภาพจากธนาคารแห่งประเทศไทย   เหตุผลหลักของการประกาศใช้มาตรการ LTV มาจากหนี้เสีย (NPL) เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตั้งแต่ช่วงปี 2560 ตัวเลขออกมาสูงขึ้นในทุกๆ ไตรมาส แซงหน้าสินเชื่อประเภทอื่น รวมถึงซัพพลายคอนโดมิเนียมที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการพยายามสกัดกลุ่มผู้ลงทุน ทุกอย่างประกอบกันก็เพื่อบริหารความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ให้ดีขึ้น และเพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ   ก่อนหน้านี้คงจะเคยได้ยินคำชวนเชื่อสำหรับนักลงทุนอสังหาฯ หน้าใหม่อย่าง “ลงทุนอสังหาฯ 0 บาท” “จับเสือมือเปล่า” หรืออะไรทำนองนี้กันมาบ้างใช่ไหมคะ ต่อไปอะไรแนวนี้ก็คงจะค่อยๆ หายไปค่ะ เพราะมาตรการที่ว่านี้ไม่เอื้อต่อนักลงทุนรายย่อยเอาเสียเลย เพราะในเมื่อการลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมสักยูนิตจะต้องใช้เงินดาวน์ถึง 20-30%  สำหรับกลุ่มรายย่อยนี้ก็คงน้อยคนที่จะยอมควักเงินหลักแสนเพื่อซื้อคอนโดแล้วนำมาปล่อยเช่าที่ก็มีความเสี่ยงสูงอยู่ไม่น้อยเช่นกัน จริงไหมคะ? ไหนจะค่าตกแต่งห้อง ค่านายหน้าที่หาลูกค้ามาเช่าห้อง ค่าดูแลจิปาถะ แล้วถ้ามีช่วงที่ไม่มีคนเช่าห้องอีกล่ะ เอาเป็นว่าสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ หากทุนน้อยอยู่แล้วก็เลิกฝันถึงการลงทุน 0 บาทไปได้เลยค่ะ       ในทางกลับกันกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ ที่มีความชำนาญในตลาดนี้มาหลายต่อหลายปี ก็ย่อมที่จะมีเงินก้อนนี้มาหมุนเวียนลงทุนไม่ว่าจะเล่นแบบซื้อมาขายไปเก็งกำไร หรือปล่อยเช่าในโครงการระดับกลาง-สูงก็ตาม แต่ในระยะหลังมานี้วงการคอนโดมิเนียมผ่านจุดที่เรียกว่าหวือหวาที่สุดมาแล้ว ฉะนั้นการเล่นแบบระยะสั้นจึงทำได้ยากขึ้น (แต่ถ้าโครงการดี ยูนิตสวยจริงๆ ยังไงก็ขายต่อได้ราคาดีอยู่นะคะ) ทุกวันนี้จึงนิยมการปล่อยเช่ากันมากกว่า     สำคัญที่สุดคือกลุ่ม Real Demand ที่ในปีนี้ต้องเจอกับดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ธนาคารปล่อยกู้ยากขึ้น เพื่อคัดกรองไม่ให้เกิดหนี้เสียสะสมเพิ่มเข้าไปอีก แม้ว่าจะเป็นการกู้ซื้อหลังแรกที่ยังพอมีโอกาสกู้ได้ 100% แต่หากจะต้องวางเงินดาวน์ไม่ต่ำกว่า 10% แล้ว ทุกอย่างจะต้องคิดอย่างรอบคอบขึ้นเป็นเท่าตัวก่อนจะจ่ายเงินแสน ต้องทำการบ้านกันหนักกว่าจะเลือกสักโครงการที่ตอบโจทย์ตัวเราเองและครอบครัวที่สุด รวมถึงคำนวณดอกเบี้ยแต่ละธนาคารเปรียบเทียบกันให้ดี เพราะนั่นหมายถึงภาระการผ่อนงวดในแต่ละเดือนที่จะสูงขึ้น    ส่วนทาง Developer พูดได้เลยค่ะว่าเหนื่อยกันหน่อย เพราะต้องทำการบ้านกันเยอะมากขึ้น ไม่ว่าจะเปิดโครงการใหม่ที่ต้องหาช่องว่างของตลาดในแต่ละทำเล แต่ละ Segment ที่จะเน้นจับตลาดสูงอย่างที่ผ่านมาเพียงอย่างเดียวเห็นจะไม่ได้แล้ว ด้วยเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจโลกทำให้กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เป็นเป้าหมายหลักก็น้อยลง รวมถึงระบายของเดิม อัดโปรโมชั่นให้ตรงใจลูกค้าที่มีให้เห็นกันตั้งแต่ต้นปี ช่วงโอนก็คงต้องลุ้น Rejection Rate กันเหนื่อย เพราะลูกค้าต่างก็ได้รับผลกระทบจาก LTV นี่แหละค่ะ ยิ่งช่วงเศรษฐกิจฝืดๆ ธนาคารก็ปล่อยกู้ยากขึ้นเป็นพิเศษ พอยอดโอนหดหายก็ไปกระทบกับรายได้ของบริษัทตามระเบียบ          สรุปง่ายๆ ทั้งหมดนี้ก็โดนผลกระทบกันเป็นวงกลมค่ะ เริ่มตั้งแต่คนซื้อมีกำลังซื้อน้อยลง เพราะเมื่อต้องใช้เงินก้อนก็ย่อมคิดกันเยอะขึ้น ใช้จ่ายกันยากขึ้น ธนาคารที่ให้สินเชื่อเองก็ปล่อยกู้กันยากขึ้น เพราะต้องการคุมเรื่องหนี้เสีย ฝั่ง Developer ก็มียอดโอนน้อยลงตามไปด้วย ทาง Developer เองที่กู้สินเชื่อเพื่อมาสร้างโครงการก็ชำระหนี้ในธนาคารได้ลดลง ส่งผลต่อ NPL ที่อาจจะสูงตาม ก็จะไปกระทบกับเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ สุดท้ายก็ย้อนกลับมาที่ประชาชนอีกเช่นเคย      สุดท้ายไม่ว่าจะเป็น Developer กลุ่มนักลงทุน ผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือกลุ่มไหนๆ ก็ย่อมได้รับผลกระทบจาก LTV นี้ไปตามๆ กัน ไม่ใช่แค่ผู้บริโภค แต่ผู้พัฒนาโครงการก็ต้องทำการบ้านกันอย่างหนักหน่วงเช่นเดียวกันค่ะ ต่อจากนี้ต้องจับตาดูกันให้ดีภายใน 2-3 ปีนี้ค่ะ ว่าอสังหาฯ ในบ้านเราจะไปต่ออย่างไร              
ชินวะ เรียลเอสเตท เปิดแผนลงทุน ปี 62

ชินวะ เรียลเอสเตท เปิดแผนลงทุน ปี 62

ชินวะ เรียลเอสเตท เปิดแผนลงทุน ปี 62 มูลค่า 3,000 ล้านบาท เล็งปั้นโลว์ไรซ์ชิมลางก่อนกระจายโหนดทั่วกรุง-เตรียมแผนเร่งโอนรับรู้รายได้ไตรมาสสาม   “ชินวะ กรุ๊ป” เจ้าของนวัตกรรมรูเนะสุ เปิดแผนลงทุนในไทยปี 62 มูลค่า 3,000 ล้านบาท เน้นย้ำการปักหลักมั่นคงเพื่อก้าวย่างเติบโตแข็งแรง สานต่อ”คอนโดที่อยู่อาศัยคุณภาพด้วยจิตวิญญาณญี่ปุ่นแท้ๆ” เตรียมปั้นคอนโดโลว์ไรซ์ไพลอท โปรเจ็กซ์เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลืองก่อนกระจายทั่วกทม. พร้อมดันทริเปิ้ล เอส เซอร์วิส เร่งโอนโครงการรูเนะสุ ทองหล่อที่จะเริ่มโอนไตรมาสสาม มร.โทโมยาสุ ยามาเบะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด ในเครือ ชินวะ กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ภายหลังการเข้ามาลงทุนในไทยประมาณสองปีด้วยการนำนวัตกรรม“รูเนะสุ” โดยใช้ซิกม่า บีม-ลิขสิทธิ์หนึ่งเดียวในโลกเพื่อกลับคานเป็นพื้น-กลับพื้นเป็นคาน เพื่อใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการ Death Space ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นถึง 25-40 % นโยบายการลงทุนในในปีนี้ยังคงเน้นการปูทางวางรากฐานให้หนักแน่นมั่นคง เพื่อก้าวย่างที่เติบโตอย่างมั่นคงแข็งแรงในอนาคต โดยชูเอกลักษณ์จุดแข็งเทคนิคการก่อสร้างที่ทันสมัยของบริษัทแม่ เพื่อคงความเป็นคอนโดคุณภาพจิตวิญญาณญี่ปุ่นแท้ๆ ดังเจตนารมณ์ของชินวะ เนื่องจากมีบริษัทรับเหมาที่เป็นเจ้าของนวัตกรรมก่อสร้างอยู่ในกลุ่มธุรกิจ โดยปีนี้จะมีการเปิดคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ออกสู่ตลาดเป็นไพลอท โปรเจ็กซ์ รวมมูลค่าโครงการลงทุนปีนี้ประมาณ 3,000 ล้านบาท   “ประเทศไทยยังมีความน่าสนใจในการลงทุนของกลุ่มชินวะ กรุ๊ป ด้วยความพร้อมในหลายด้าน ทั้งตัวเลข "GDP" หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่มีอัตราสูงสุดในรอบหลายปี รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนในด้านต่างๆของภาครัฐ จะเห็นว่าช่วงนี้รัฐบาลผลักดันโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆอย่างต่อเนื่องและเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อภาคลงทุนต่างๆ โดยเฉพาะสำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ต่อยอดให้มีการสร้างโครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเป็นผลดีต่อกลุ่มลูกค้าให้มีทางเลือกที่ดีและตรงใจมากขึ้น ชินวะเป็นกลุ่มทุนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 130 ปี การเข้ามาลงทุนในไทยนับเป็นก้าวแรกที่รุกตลาดต่างประเทศ จึงเน้นการปูรากฐานให้หนักแน่นแข็งแรง เพื่อก้าวย่างเติบโตอย่างช้าๆแต่มั่นคงแข็งแรง” มร.ยามาเบะกล่าว   นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า นโยบายของชินวะ ยังให้น้ำหนักกับทำเลสุขุมวิทตอนกลาง เพื่อตอบสนองโจทย์ลูกค้าชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นทำเลและกลุ่มเป้าหมายที่บริษัทมีความถนัดสอดรับกับข้อมูลการวิจัยต่างๆ โดยทำเลดังกล่าวยังมีความต้องการและเป็นทำเลที่มีอัตราการปรับราคาเพิ่มขึ้น แผนการลงทุน ประกอบด้วย โครงการเร็น สุขุมวิท 39 (REN Sukhumvit 39) นอกจากนั้นในปีนี้บริษัทจะมีการทดลองตลาด โดยขึ้นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ในทำเลเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลือง บริเวณถนนศรีนครินทร์ บนที่ดินเกือบ 1 ไร่ สูง 7-8 ชั้น จำนวนไม่เกิน 100 ยูนิต ขนาดพื้นที่รวม 4,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการประมาณ 200 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มขายประมาณไตรมาสสาม แม้เป็นโลว์ไรส์แต่ยังคงกิมมิกที่มีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ของชินวะ ซึ่งภายหลังจะมีโครงการในลักษณะเดียวกันนี้กระจายในทำเลชุมชนทั่วไป เนื่องจากเป็นโครงการขนาดเล็กสามารถดำเนินการและปิดการขายได้เร็ว สำหรับปีนี้จะมีการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 ที่จะเริ่มทะยอยโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาสสาม ซึ่งบริษัทเตรียม       กลยุทธ์เร่งโอนด้วยทริเปิ้ล เอส เซอร์วิส (Triple S Service หรือ SSS Service ) ระบบการบริหารงานหลังงานขายที่ใช้ประสานนักลงทุนไทย-ต่างชาติ สำหรับผู้เช่าชาวญี่ปุ่นแบบ Life Time FREE ลดขั้นตอนช่วยเอเย่นต์และนักลงทุน เป็นบริการตลอดชีพไม่มีวันหมดอายุที่พร้อมดูแลเฉพาะลูกค้าชินวะเท่านั้น   โครงการของ ชินวะ กรุ๊ป ในประเทศไทย v รูเนะสุ ทองหล่อ 5 (Runesu Thonglor 5) ดำเนินงานโดย บริษัท ดับเบิ้ลยู-ชินวะ จำกัด ร่วมทุนกับ บริษัท วรลักษณ์ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) โครงการตั้งอยู่บนที่ดินประมาณ 1 ไร่ ดำเนินงานโดย เป็นอาคารโลว์ไรส์ 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 156 ยูนิต มี 2 type คือ 1-2 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 29-65 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท ออกแบบโครงการและฟังก์ชั่นการใช้งานเพื่อให้มีบรรยากาศกลิ่นอายการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นแท้ๆ การใช้วัสดุก่อสร้าง-ตกแต่งบางส่วนนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น อาทิ ห้องน้ำระบบใหม่ที่พื้นสามารถแห้งได้อย่างรวดเร็วภายใน 1 นาที, การใช้กระเบื้องนาโนคุณสมบัติพิเศษในการดูดซับกลิ่นความชื้นป้องกันไรฝุ่น เป็นต้น พื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกครบสมบูรณ์ สวนญี่ปุ่น สระว่ายน้ำ ออนเซนต้นตำรับแท้จากญี่ปุ่น สนามไดรฟ์กอล์ฟ Auto Parking ระบบรักษาความปลอดภัย ฯลฯ คาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ราวไตรมาสสาม ปี 62 มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท มีการติดตั้งระบบรูเนะสุ ซึ่งเป็นการกลับคานเป็นพื้น-กลับพื้นเป็นคาน ใช้พื้นที่ความต่างด้านล่างที่มีความสูง 60 เซนติเมตร เพื่อใช้ประโยชน์ในการเก็บของ ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่น การบริหารจัดการ Death Space และสามารถทำให้ผู้อยู่อาศัยมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นถึง 25-40 %   v เร็น สุขุมวิท 39 (REN Sukhumvit 39) ดำเนินงานโดย บริษัท  เอส 39 จำกัด ภายใต้“ดีลแห่งชาติ” 3 ฝ่าย ผนึกกำลังจอยท์เวนเจอร์ ระหว่าง บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน)  บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด และ - Pressance Corporation จากญี่ปุ่น สัดส่วน 49:26:25 ดำเนินการโครงการคอนโดมิเนียมหรู บนที่ดินขนาด 2 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา ราคาเริ่มต้นประมาณ.....บาท ที่ตั้งโครงการบนถนนสุขุมวิท ซอย 39 (ซอยพร้อมมิตร) เป็นอาคารสูง 7 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 298 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,600 ล้านบาท  และจะเป็นครั้งแรกในไทยของการก่อสร้างห้องชุดด้วยนวัตกรรม“รูเนะสุ”ทุกห้องทั้งโครงการ มี 2 type คือ 1 และ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้ประโยชน์ตั้งแต่ 30(+12) – 66(+18) ตร.ม. พร้อมฟังค์ชั่นแบบจัดเต็มทุกพื้นที่ และราคาที่คุ้มค่าทุกการอยู่อาศัยและการลงทุน เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปีนี้   เกี่ยวกับ บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นบริษัทในเครือของ ชินวะกรุ๊ป-กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งมาเกือบ 130 ปี ประกอบธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในหลายรูปแบบ เข้ามาทำตลาดในไทยอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2016 ด้วยการร่วมทุนกับกลุ่มอสังหาฯในไทย ก่อสร้างโครงการแรก คือ  “รูเนะสุ ทองหล่อ 5” คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น จำนวน 156 ยูนิต มูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท ออกแบบโครงการและฟังก์ชั่นการใช้งานด้วยบรรยากาศการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นแท้จริง คาดว่าจะแล้วเสร็จราวไตรมาส 3 ปี 2562 สำหรับโครงการ REN Sukhumvit 39 เป็นโครงการที่สองของการร่วมลงทุนในไทย   เกี่ยวกับ บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทรับเหมาก่อสร้างมีชื่อจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีประสบการณ์และมีความชำนาญงานก่อสร้างคอนโดมิเนียมและอาคารต่างๆ ในไทยมากมาย นอกจากดำเนินงานด้านรับเหมาก่อสร้าง ยังมีนโยบายเปิดกว้างขยายการลงทุนทั้งในรูปของการพัฒนาโครงการเอง และเปิดกว้างร่วมลงทุนกับกลุ่มทุนต่างๆ   เกี่ยวกับ Pressance Corporation บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ที่มีจำนวนยูนิตสร้างขายเป็นที่ 1 ของคันไซ และเป็นที่ 2 ของประเทศญี่ปุ่น 21 ปี เป็นพันธมิตรที่ดีกับชินวะ กรุ๊ป มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน        
The City ราชพฤกษ์–สวนผัก สัมผัสชีวิตความเป็นส่วนตัวที่เชื่อมต่อใจกลางเมือง กับบ้านเดี่ยวหรูบนสังคมเหนือระดับ

The City ราชพฤกษ์–สวนผัก สัมผัสชีวิตความเป็นส่วนตัวที่เชื่อมต่อใจกลางเมือง กับบ้านเดี่ยวหรูบนสังคมเหนือระดับ

ให้ทุกการใช้ชีวิตของครอบครัวออกแบบเองได้ที่ The City ราชพฤกษ์-สวนผัก โครงการบ้านเดี่ยวหรูหลังใหญ่ บนทำเลศักยภาพราชพฤกษ์ จาก AP THAI พร้อมเติมเต็มการใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ ตอบโจทย์ทุก Lifestyle การอยู่อาศัยบนพื้นที่ส่วนตัวกับแบบบ้านที่มีให้เลือกถึง 4 แบบตามความต้องการของครอบครัว ตั้งแต่ขนาด 225 ตารางเมตรไปจนถึงขนาด 375 ตารางเมตร กับยูนิตที่เป็นส่วนตัวเพียง 133 ยูนิต พร้อมเชื่อมต่อทำเลเมืองด้วยการเดินทางที่หลากหลายเส้นทาง สามารถเข้า-ออกเมืองได้หลายเส้นทาง ทั้งเส้น ถ.ราชพฤกษ์ ถ.บรมราชชนนี ถ.สิรินธร และ ถ.นครอินทร์ อีกทั้งยังใกล้ทางด่วนศรีรัชฯ และรถไฟฟ้าหลายสายอีกด้วย ที่นี่.. เราให้ความสำคัญกับทุกพื้นที่โดยผ่านการคิดและออกแบบเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างลงตัว เน้นให้ทุกพื้นที่ยังคงความเป็นส่วนตัว ท่ามกลางธรรมชาติที่ร่มรื่นและเงียบสงบ พร้อมพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับกิจกรรมของทุกคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นคลับเฮ้าส์ ที่มีพื้นที่ทำงานอย่าง Co-Working Space และยังมีพื้นที่ให้ได้ผ่อนคลายอย่างห้อง Theater ที่สามารถนัดเพื่อนๆ มาดูหนังได้ในวันหยุด พร้อมกับห้องฟิตเนสขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์ออกกำลังกายครบครัน รวมไปถึงห้อง Kids Room ที่จัดสรรพื้นที่รองรับกิจกรรมสำหรับเจ้าตัวน้อย และมี Lobby ขนาดใหญ่ที่ให้คุณและเพื่อนได้พบปะกันได้ทุกเวลา อีกทั้งยังมีสระว่ายน้ำที่รองรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ พร้อมด้วยพื้นที่สีเขียวของสวนสาธารณะขนาดใหญ่ภายในโครงการที่ร่มรื่น และทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราตั้งใจมอบให้ พร้อมกับทำเลดีๆ เพื่อการเดินที่สะดวกสบาย พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเพื่อชีวิตที่สมบูรณ์แบบ   ที่ตั้งโครงการ ตัวโครงการตั้งอยู่บนทำเลที่เชื่อมต่อเส้นทางสำคัญหลายเส้นทาง ทั้ง ถ.ราชพฤกษ์ ถ.บรมราชชนนี ถ.สิรินธร ถ.นครอินทร์ และถ.บางกรวย-ไทรน้อย ซึ่งโครงการกำลังก่อสร้างเส้นทางลัดส่วนตัว หรือ The Bridge Fast Track จากตัวโครงการข้ามคลองมหาสวัสดิ์ไปยัง ถ.สวนผัก สามารถขึ้นทางได้ทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกฯ ได้เพียง 5 นาที ทำให้เข้าออกเมืองได้โดยง่าย อีกทั้งยังสามารถเลือกเดินทางด้วยรถไฟฟ้าได้อีกด้วย บริเวณโดยรอบยังใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้ง ห้างสรรพสินค้า เช่น Central ปิ่นเกล้า, The Crystal SB ราชพฤกษ์, Homepro ราชพฤกษ์, The Walk ราชพฤกษ์ อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลชั้นนำ อย่าง รพ.หู ตา คอ จมูก , รพ.ยันฮี และ รพ.เจ้าพระยา เป็นต้น   รายละเอียดโครงการ เจ้าของโครงการ :  บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) โทร :  1623 ชื่อโครงการ :  เดอะ ซิตี้ ราชพฤกษ์ – สวนผัก (The City Ratchapruek-Suanphak) ที่ตั้งโครงการ :  ถนน บางกรวย – จงถนอม ตำบล มหาสวัสดิ์ อำเภอ บางกรวย นนทบุรี 11130 พิกัดโครงการ :  13.800001,100.467909 พื้นที่โครงการ :  42-0-38.2 ไร่ ราคาเริ่มต้น :  11.9 – 24  ล้านบาท* รายละเอียดแบบบ้าน :  มีบ้าน 4 แบบ ได้แก่ CITY PRIVE’ :  พื้นที่ใช้สอย 225 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ 2 คัน (ในร่ม) CITY RETREAT :  พื้นที่ใช้สอย 262 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน (ในร่ม) CITY SPACIOUS :  พื้นที่ใช้สอย 309 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 3 คัน (ในร่ม) CITY SCENERY :  พื้นที่ใช้สอย 375 ตารางเมตร 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 3 คัน (ในร่ม) จำนวนบ้าน :  133 แปลง สิ่งอำนวยความสะดวก :  Clubhouse ประกอบด้วย Lobby, Co-Working Space, Fitness , Kids Room , Theater Room , สระว่ายน้ำระบบเกลือ แยกผู้ใหญ่-เด็ก พร้อมจากุซซี่ และห้องซาวน่า, สวนสาธารณะขนาดใหญ่ และสนามเด็กเล่น ระบบรักษาความปลอดภัย :  Security Gate , รปภ. 24 ชม , Key Card access , CCTV สถานศึกษา :  รร.นานาชาติเด่นหล้า, รร.ทิวไผ่งาม, รร.บดินทรเดชา นนทบุรี, รร.ราชินีบน, รร.เทพศิรินทร์ นนทบุรี, รร. โยธินบูรณะ,  ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์, ม.ศิลปากร ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ : The Walk ราชพฤกษ์,The Crystal SB ราชพฤกษ์, HomePro ราชพฤกษ์, The Circle ราชพฤกษ์, Central Plaza ปิ่นเกล้า, The Sense ปิ่นเกล้า, ตั้งฮั่วเส็ง สถานพยาบาล :  รพ.ตา หู คอ จมูก, รพ.เจ้าพระยา, รพ.ยันฮี, รพ.ศิริราช, รพ.บางกรวย สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ : - ทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกฯ - รถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีตลิ่งชัน (ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน) - รถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน สถานีตลิ่งชัน (ช่วงบางหว้า-ตลิ่งชัน) - รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีสิรินธร (ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ) เว็ปไซต์ :  https://bit.ly/2QMfMSp เริ่มก่อสร้าง :  พฤษภาคม 2561 คาดว่าจะแล้วเสร็จ :  ตุลาคม 2564 พบกันที่ The City ราชพฤกษ์-สวนผัก บ้านเดี่ยวหรูบนสังคมเหนือระดับ กับทำเลศักยภาพราชพฤกษ์ ใกล้ทางด่วน ตอบโจทย์เรื่องราวการใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมืองได้หลากหลายเส้นทาง ให้ได้ออกไปใช้ชีวิต บนทางเลือกที่มากกว่า เริ่ม 11.9 - 24 ล้าน ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ 200,000 บาท* >> https://bit.ly/2QMfMSp      
นีโอ เนรมิตพื้นที่ 6 หมื่นตร.ม. เตรียมจัดงาน สถาปนิก’ 62 เวทีหนึ่งเดียวระดับภูมิภาค ดึงผู้ร่วมงานนานาชาติ 850 แบรนด์ดังทั่วโลก เปิดโอกาสจับคู่เจรจาธุรกิจครั้งใหญ่ในรอบปี รับผู้ชมงานกว่า 5 แสนคน

นีโอ เนรมิตพื้นที่ 6 หมื่นตร.ม. เตรียมจัดงาน สถาปนิก’ 62 เวทีหนึ่งเดียวระดับภูมิภาค ดึงผู้ร่วมงานนานาชาติ 850 แบรนด์ดังทั่วโลก เปิดโอกาสจับคู่เจรจาธุรกิจครั้งใหญ่ในรอบปี รับผู้ชมงานกว่า 5 แสนคน

“บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์” ร่วมกับ สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงานสถาปนิก’ 62 ชูแนวคิด “กรีน อยู่ ดี : Living Green” ชี้โอกาสใหญ่ของผู้ร่วมแสดงสินค้า ก้าวสู่เวทีนานาชาติ ร่วมขยายตลาดทั้งใน และต่างประเทศครั้งสำคัญ   นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด (นีโอ) เปิดเผยว่า นีโอได้รับเกียรติจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้เป็นผู้บริหารงาน “สถาปนิก’ 62-63” อย่างเป็นทางการ  โดยบริษัทฯ ได้ผ่านกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส ด้วยศักยภาพ และประสบการณ์ จากผลงานต่างๆ ในระดับประเทศ ที่ทาง เอ็น.ซี.ซี. ได้เคยจัดมา   สำหรับการจัดงานสถาปนิก’ 62 ครั้งนี้ เตรียมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 เมษายน ถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2562 ณ อาคารชาแลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี  ซึ่งเป็นการจัดขึ้นครั้งที่ 33 ภายใต้แนวคิด “กรีน อยู่ ดี : Green Living” ที่ได้มีการนำภูมิปัญญาที่อยู่ใกล้ตัวเข้ามาใช้ในกระบวนการออกแบบ การวางผัง การใช้วัสดุก่อสร้าง รวมถึงการใช้งาน การบำรุงรักษา การปรับปรุง หรือการจัดการเมื่อหมดอายุ มาผนวกใช้กับนวัตกรรม เทคโนโลยีในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดสถาปัตยกรรมชุมชน และเมืองในด้านบวก ทั้งสิ่งแวดล้อม และผู้ใช้งาน ต่อการใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า “บริษัทฯ วางเป้าหมายที่จะยกระดับให้งานสถาปนิก’62 เป็นงานระดับภูมิภาคครั้งใหญ่แห่งปี ซึ่ง ผู้ร่วมแสดงสินค้านอกจากจะได้เจรจาการค้าจับคู่ทางธุรกิจต่อธุรกิจแล้ว ผู้แสดงสินค้ายังมีโอกาสได้พบปะเจรจาการค้ากับผู้ชมงานกลุ่มต่างๆ ทั้งในประเทศ และอาเซียน อาทิ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมก่อสร้างและอาคาร ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุน สถาปนิก นักออกแบบ นักตกแต่งภายใน วิศวกร ผู้รับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนผู้ส่งออก และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งคาดว่าผู้ชมงานในปีนี้จะมีประมาณ 5 แสนคน เพิ่มขึ้นจากการจัดงานครั้งก่อน 25%” นายศักดิ์ชัย กล่าว   ทั้งนี้ บริษัทฯ จะนำจุดแข็งจากการเป็นเครือข่ายพันธมิตรผู้จัดงานในกลุ่มวัสดุก่อสร้างในภูมิภาคเอเชีย นำผู้ประกอบการในแต่ละประเทศทั้งรายเก่าและรายใหม่เข้าร่วมแสดงสินค้า บนพื้นที่กว่า 60,000 ตร.ม. เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่จัดบนพื้นที่ 31,000 ตร.ม. และปีนี้ยังมีเป้าหมายที่จะเพิ่มพื้นที่สำหรับผู้แสดงสินค้าจากต่างประเทศเป็น 3,000 ตร.ม. จากปีก่อนที่จัดบนพื้นที่ 2,500 ตร.ม. ซึ่งในเบื้องต้นได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการจากอเมริกา เยอรมนี อิตาลี ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย และเวียดนาม โดยคาดว่าจะมีบริษัทต่างๆ เข้าร่วมแสดงสินค้าประมาณ 850 บริษัท ซึ่งขณะนี้ ผู้ประกอบการได้จองพื้นที่ไปแล้ว ประมาณ 80% สำหรับผู้สนใจที่ต้องการเข้าร่วมแสดงสินค้าในงานสถาปนิก’ 62   สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.asa.or.th/architectexpo หรือโทรสอบถามได้ที่ 02-203-4299, E-mail: architect@nccexhibition.com หรือ Facebook : ASACREW or NCCEXHIBITIONORGANIZER      
ฟินน์ อโศก คอนโดโลว์ไรส์ใหม่ใจกลาง CBD ตอบทุกโจทย์การใช้ชีวิต ใกล้ชิดธรรมชาติมูลค่ากว่า 1,800 ล้าน

ฟินน์ อโศก คอนโดโลว์ไรส์ใหม่ใจกลาง CBD ตอบทุกโจทย์การใช้ชีวิต ใกล้ชิดธรรมชาติมูลค่ากว่า 1,800 ล้าน

ฟินน์ ดิเวลลอปเม้นท์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ลุยตลาดนิชพรีเมียมรับปีใหม่ เอาใจคนเมืองที่รักธรรมชาติ ด้วยการตอบโจทย์การใช้ชีวิตครบ 360 องศา ในโลเคชั่นที่ใช่ คุ้มค่าเกินราคา เปิดตัว ฟินน์ อโศก (FYNN Asoke) ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 10 คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สไตล์โมเดิร์น ทรอปิคอล บนทำเลทองผืนใหญ่ใจกลางอโศก แวดล้อมด้วยสวนสาธารณะ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ผสมผสานการใช้ชีวิตคนเมือง และสโลว์ไลฟ์ได้อย่างลงตัว ตกแต่งพร้อมอยู่ ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.5 ล้านบาท หรือ 185,000 บาทต่อตารางเมตร   นายพงศธร จอม สาลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟินน์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ประกาศแผนดำเนินธุรกิจปี 2562 เตรียมรุกอสังหาฯ เต็มสูบ หลังประสบความสำเร็จกับการเปิดตัวคอนโดโลว์ไรส์ 2 แห่ง ภายใต้แบรนด์ ‘ฟินน์’ พร้อมชูไฮไลท์โครงการใหม่ล่าสุด ‘ฟินน์ อโศก’ มูลค่าโครงการกว่า 1,800 ล้านบาท ตึกคู่สุดหรูแบบ Affordable Luxury บนทำเลทองเกือบสองไร่ บนสุขุมวิทซอย 10 ห่างจาก BTS อโศก เพียง 550 เมตร พร้อมต้นจามจุรียักษ์ อายุกว่า 60 ปีแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอย่างงดงามใจกลางโครงการ คำตอบที่ใช่สำหรับไลฟ์สไตล์ชีวิตคนเมือง ไม่เพียงแต่พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก แต่ยังตอบโจทย์ชีวิตที่อยากใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น และใส่ใจสุขภาพ รักในการออกกำลังกายกลางแจ้ง เพราะสามารถเดินเชื่อมต่อไปยังสวนเบญจกิตติ ด้วยระยะทางเพียง 200 เมตร และเส้นทางเดินรอบทะเลสาบซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาพื้นที่เป็นสวนป่าเบญจกิตติ สวนที่ใหญ่ที่สุดใจกลางกรุงเทพมหานคร ด้วยพื้นที่ถึง 450 ไร่ ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.5 ล้านบาทเท่านั้น อีกทั้งยังมีรูปแบบห้องให้เลือกมากถึง 6 ประเภท คาดได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และสามารถปิดการขายได้ภายในครึ่งปีแรก สำหรับสองโครงการแรก คือ ‘ฟินน์ อารีย์’ มูลค่าโครงการกว่า 350 ล้านบาท ปัจจุบันปิดการขาย และโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดแล้ว และโครงการที่สอง ‘ฟินน์ สุขุมวิท31’ มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท สามารถปิดการขายแล้วกว่า 90% โดยอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จ และทำการโอนกรรมสิทธิ์ภายในไตรมาสที่ 4 ปีนี้   นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนเดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อีก 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการประเภทคอนโดมิเนียมและโรงแรม   นายไพทยา บัญชากิติคุณ Partner บริษัท อะตอม ดีไซน์ ผู้ออกแบบโครงการ ฟินน์ อโศก กล่าวว่า ได้ออกแบบในแนวคิดโมเดิร์น ทรอปิคอล ฟื้นฟูสมดุลย์ของการใช้ชีวิตใจกลางเมือง ด้วยการเชื่อมหนึ่งในศูนย์กลางธุรกิจที่หนาแน่นที่สุดเข้ากับความร่มรื่นของธรรมชาติ แรงบันดาลใจในการออกแบบ ฟินน์ อโศก เปรียบดั่งโอเอซิสแห่งความสงบร่มรื่นใจกลางความเร่งรีบของย่านธุรกิจ CBD โดดเด่นที่เส้นโค้งเว้าของอาคารรับวิวสวนสวยได้ทุกห้อง ตัวอาคารโอบล้อมต้นจามจุรียักษ์ อายุกว่า 60 ปี ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอย่างงดงาม และสร้างบรรยากาศการหลอมรวมกับพื้นที่สีเขียวอย่างน่าประทับใจ ฟินน์ อโศก เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ตกแต่งพร้อมอยู่สูง 8 ชั้น 2 อาคาร ห้องชุดรวมทั้งหมด 263 ห้อง โดยแบ่งเป็น อาคาร A จำนวน 144 ห้อง และอาคาร B จำนวน 119 ห้อง พิถีพิถันในการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งภายในและภายนอกอาคารอย่างครบครัน อาทิ ห้องรับรองแขก พื้นที่ทำงานรวม ห้องฟิตเนส ห้องขี่จักรยานจำลอง ห้องโยคะ ห้องดูหนัง ศาลาจามจุรี สระว่ายน้ำความยาว 25 เมตร สระเด็กและถ้ำจำลอง และไฮไลท์สิ่งอำนวยความสะดวกบนชั้นดาดฟ้า พื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร อาทิ สวน และทางออกกำลังกาย แปลงปลูกผัก ระเบียงชมพระอาทิตย์ตก ฟอเรส เลานจ์ ครัวกลางแจ้ง เตาบาร์บีคิว เป็นต้น ด้านรูปแบบห้องพัก ประกอบด้วย 6 ประเภท ได้แก่ 1 ห้องนอน ขนาด 24-49 ตารางเมตร, 1 ห้องนอนพลัส ขนาด 40-62 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 48-57 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาด 46-68 ตารางเมตร, 3 ห้องนอน ขนาด 104 ตารางเมตร และห้องดูเพล็กซ์ขนาด 120 ตารางเมตร นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัทซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าสำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะโซนสุขุมวิท ต่อ CBD อื่นๆ ปลายปีที่ผ่านมา เทียบกับปี 2562 และ ทำเลทอง คอนโด Demand vs Supply โซนสุขมวิทยังคงเป็นทำเลที่นิยมของตลาดที่อยู่อาศัย และตลาดเช่า เนื่องจากใกล้เส้นรถไฟฟ้า และราคาของคอนโดมิเนียมในสุขุมวิทปัจจุบันสูงมาก หลายๆโครงการเปิดตัวที่ราคากว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตร จากที่มีโครงการเปิดใหม่หลายแห่งในเส้นสุขุมวิท โดยเฉพาะโซนสถานีบีทีเอสพร้อมพงษ์ และทองหล่อ ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในทำเลเดียวกันจำนวนมาก ผู้บริโภคจึงจำเป็นต้องหาทำเลที่มี Supply น้อยลง และอยู่ในราคาที่จับต้องได้เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาในการตัดสินใจเลือกซื้อ   สำหรับตลาดที่อยู่อาศัย ที่จะมาแรงในปี 2562 คืออสังหาริมทรัพย์แนวราบ ได้แก่ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม โดยเน้นไปในโซน mid-town และชานเมืองมากขึ้น เนื่องจากราคาที่ดินที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในใจกลางเมือง ทำให้ทำเลใน CBD ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมระดับซุเปอร์ลักชัวรี่ และ Branded Residence ซึ่งมีราคาสูง แนวโน้มของอสังหาฯ ปี 2562 นั้น ราคา ทำเล และรูปแบบของโครงการ คือสิ่งที่ผู้พัฒนาจะต้องปรับให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภค คอนโดมิเนียมประเภท Low-rise จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยในเมือง และราคาไม่สูงมากนัก ด้านราคาที่ดินยังคงสูงขึ้น โดยเฉพาะตามเส้นรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ที่กำลังก่อสร้าง และอาจมีโอกาสเห็นการซื้อขายที่ดินราคาเกินสามล้านบาทต่อตารางวาในทำเลเดิม คือ ใจกลางลุมพินี เนื่องจากมีที่ดินแบบ Freehold เหลือไม่มากแล้ว   สำหรับพฤติกรรมของผู้บริโภค ผู้บริโภคมีตัวเลือกในตลาดมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการเปรียบเทียบ ผู้บริโภคมองคอนโดมิเนียมมากกว่าการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเท่านั้น แต่ต้องเป็นการลงทุนที่ดีด้วย เน้นเรื่องมูลค่าเพิ่มในอนาคต ซึ่งต่างจากเดิมที่จะมองแยกสองด้าน คือ มองว่าคอนโดมิเนี่ยมที่จะซื้อนั้นเหมาะกับอยู่เอง หรือ มองว่าจะซื้อเพื่อปล่อยเช่าหรือขายต่อ ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร ทางด้านผู้พัฒนาอสังหาฯ ก็ต้องปรับเปลี่ยนมาขายไลฟ์สไตล์มากขึ้น เพื่อชูความแตกต่างของแต่ละโครงการเพื่อตอบสนองความต้องการที่มากขึ้นของผู้บริโภค โครงการ ฟินน์ อโศก จะเปิดขายอย่างเป็นทางการ (พรีเซล) ในวันที่ 19-20 มกราคมนี้ ที่สำนักงานขายในสุขุมวิท ซอย 10 พร้อมห้องตัวอย่าง พบโปรโมชั่นพิเศษในงาน อาทิ ชุดเฟอร์นิเจอร์ พร้อมรับส่วนลดในวันจองสูงสุด 300,000 บาท สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.fynnasoke.com หรือ 092-201-9999          
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เผยตัวเลขรายได้ปี 61 เติบโตตามเป้า ประกาศแผนงานปี 62 หวังขึ้นแท่นผู้นำตลาดอสังหาฯ แนวราบ  เตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติม 8-10 โครงการ  ตั้งเป้าเติบโต 15% ยอดขาย 5,300 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 4,650 ล้านบาท

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เผยตัวเลขรายได้ปี 61 เติบโตตามเป้า ประกาศแผนงานปี 62 หวังขึ้นแท่นผู้นำตลาดอสังหาฯ แนวราบ เตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติม 8-10 โครงการ ตั้งเป้าเติบโต 15% ยอดขาย 5,300 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 4,650 ล้านบาท

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เผยตัวเลขผลประกอบการปี 2561 ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ พร้อมประกาศแผนงานปี 2562 ขยายตัวต่อเนื่อง เน้นรุกตลาดแนวราบ ตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้ประกอบการแนวหน้าของตลาด หลังมองเห็นกำลังซื้อ Real Demand ชัดเจน และมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ  เตรียมทุ่มงบซื้อที่ดิน 1,000 ล้านบาท พร้อมเปิดตัว 8-10 โครงการใหม่ บนทำเลศักยภาพสูง รองรับการขยายตัวของเมืองทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ยึด กลยุทธ์ Lifestyle Marketing เจาะกลุ่มลูกค้า พร้อมอัดแคมเปญตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ตั้งเป้าการเติบโตปี 2562 ขยายตัว 15% กวาดยอดขาย 5,300 ล้านบาท นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) (Mr.Chaiyan Chakarakul (CEO , Lalin Property Plc.) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปีกล่าวว่า ในปี 2561 ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย มีการขยายตัวได้จากปีก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมที่คาดว่าทั้งปีจะขยายตัวได้ราว  4.0-4.3%  ตัวเลขการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ตลอดจนผลบวกจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยเฉพาะด้านคมนาคม ที่ขยายเส้นทางรองรับการขยายตัวของเมือง ทั้งโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง รวมทั้งโครงการที่อยู่ในแผนแม่บท ทำให้เกิดทำเลใหม่ๆ ของโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ในปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่ไปทั้งสิ้น 7 โครงการ โดยสามารถทำยอดขาย และยอดรับรู้ได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีกำลังซื้อหลักจากกลุ่ม real demand ที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริง ซึ่งมีทั้งกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่และกลุ่มคนวัยทำงาน สำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2562 จะเป็นปีสำหรับผู้ประกอบการที่เป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง มองว่าตลาดโดยรวมยังคงเติบโตได้ แต่อาจเติบโตในอัตราที่ชะลอลง แม้เศรษฐกิจโดยรวมน่าจะขยายตัวได้จากปี 2561 ราว 4.0-4.3%  ประกอบกับปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี ตลอดจนการลงทุนของภาครัฐที่เป็นงบผูกพันต่อเนื่องมาจากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ดีในปี 2562 นี้ก็มีปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัย ที่อาจเข้ามากระทบ ไม่ว่าจะความเสี่ยงจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก  ความเสี่ยงจากสงครามทางการค้า ความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ตลอดจนความเสี่ยงจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการควบคุม LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2562 นี้ได้ ทั้งนี้สำหรับเกณฑ์ LTV ใหม่ที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 เมษายนที่จะถึงนี้ นั้น ในแง่ของบริษัทเน้นทำตลาดในกลุ่ม Real Demand และลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่ซื้อบ้านหลังแรก ดังนั้นจึงได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวไม่มาก   สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2562 นี้ จะให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มทาวน์โฮม บ้านแนวคิดใหม่ และบ้านเดี่ยว โดยมีแผนขยายโครงการใหม่ทั้งสิ้น 8-10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,000-4,500 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 5,300 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 4,650 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นราว 15% จากปี 2561 นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) (Mr. Churat Chakarakul, Deputy Managing Director, Lalin Plc.) กล่าวถึง แผนงานด้านการตลาด ว่า “ในปีนี้ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จะดำเนินธุรกิจเชิงรุก แสดงศักยภาพขององค์กรต้นแบบผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน ยาวนานกว่า 30 ปี รวมถึงการสร้างศักยภาพองค์กรให้เติบโตในตลาดทุนอสังหาริมทรัพย์อย่างมั่นคง โดยในปีนี้ บริษัทฯ วางเป้าหมายขึ้นเป็นผู้ประกอบการแนวหน้าของตลาด ภายใต้โครงการมิกซ์ยูส แบรนด์ ลลิล ทาวน์ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ภายใต้ทำเลยุทธศาสตร์ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดหัวเมืองใหญ่ เมืองท่องเที่ยว และแหล่งงานสำคัญ มูลค่ารวมประมาณ 4,000 – 4,500 ล้านบาท โดยวางกลยุทย์การตลาด ภายใต้แนวคิด The Urban Destination For Living สร้างฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มอายุ 25-40 ปี ในขณะที่ยังรักษาฐานลูกค้าเก่าของลลิล และถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อต่อยอด Brand Loyalty ในส่วนของการพัฒนาบ้านให้ตอบโจทย์ในยุค 4.0 นายชูรัชฎ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความทันสมัย และการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่แท้จริง คือแนวคิดของบ้านที่บริษัทฯ พัฒนาในรูปแบบ ลลิล เพอร์เซอร์นัลไลซ์ สไตล์ (Lalin Personalized Style) ที่สามารถออกแบบและปรับฟังก์ชั่น เพื่อตอบโจทย์การใช้งานทุกความต้องการของลูกค้า การอยู่ร่วมกันทั้งแบบครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยาย (Lalin Universal Society) อีกทั้งยังมีการใช้แนวคิด Eco Green ในการออกแบบและเลือกใช้วัสดุในโครงการ รวมถึงเน้นเรื่องการมีบริการหลังการขาย(CRM) ในรูปแบบ Lalin 4.0 Connectivity ที่ลูกค้าสามารถรับทราบข่าวสารข้อมูล สื่อสารกับลลิล แบบทูเวย์คอมมิวนิเคชั่นอย่างรวดเร็วผ่าน Line@ LalinSociety ซึ่งทั้งหมดคือการต่อยอดมาตรฐานของลลิลที่มุ่งเน้นเรื่อง Quality of Living ที่ให้กับลูกค้าของโครงการ ทั้งนี้บริษัทฯ วางงบประมาณด้านการตลาดปีนี้ประมาณ 3-4% ในส่วนของการลงทุน บริษัทฯ วางงบซื้อที่ดินไว้ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ที่ได้มาจากการโอนโครงการต่างๆ และอีกส่วนจากการออกหุ้นกู้ ซึ่งจะพิจารณาออกในจำนวนและช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้สอดรับกับการขยายธุรกิจ และการเติบโตในระยะยาวของบริษัททั้งนี้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ของบริษัทในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่มาก ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงทางด้านการเงินที่ต่ำ และยังคงมีศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อีกมากโดยไม่ติดปัญหาเรื่องของแหล่งเงินทุน ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้แนวคิด “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” ได้รับรางวัลจดทะเบียนด้านผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม Best Company Performance Awards และรางวัลผู้บริหารสูงสุดดีเด่น Best CEO Awards จากงาน SET Awards 2018 รางวัลที่การันตีคุณภาพการบริหารงานยอดเยี่ยมระดับประเทศ สะท้อนความมุ่งมั่นของลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ในการสร้างมาตรฐานการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตลอดระยะเวลา 30 ปี และความเป็นมืออาชีพของการบริหารงานอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะตลาดเรียล ดีมานด์ ตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยจริงโดยมีผลประกอบที่เติบโตต่อเนื่อง และยั่งยืน (Sustainable Growth)        
Gateway Bangsue ปลุกบางซื่อให้มีชีวิตชีวา

Gateway Bangsue ปลุกบางซื่อให้มีชีวิตชีวา

"บางซื่อ" ย่านนี้แม้ว่าจะมีทั้งรถไฟฟ้าสายสีม่วงผ่าน คอนโดมิเนียมขึ้นอยู่หลายโครงการ แถมในอนาคตก็ยังเป็น HUB แห่งการเดินทางที่ใหญ่ที่สุดในระดับอาเซียนอีกด้วย แต่ก็ยังคงขาดห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะมาอำนวยความสะดวก และปลุกให้เกิดความคึกคักมากขึ้นด้วย จนเมื่อวันที่  30 พ.ย. ที่ผ่านมาก็มี Gateway Bangsue เป็นคุณลุงซานต้ามาเปิดกล่องของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับชาวบางซื่อ เราเลยหาโอกาสไปเดินชมกันสักหน่อยค่ะ   การเดินทางไปยัง Gateway Bangsue เราเลือกใช้รถไฟฟ้าใต้ดินไปลงที่สถานีเตาปูน ลงทางออกที่ 1 ต่อวินมอเตอร์ไซต์ไปอีก 20 บาท หรือจะเลือกดักรอรถตู้ของ Gateway Bangsue ที่จะคอยให้บริการรับ-ส่งฟรี ทุก 15 นาที ในอนาคตถ้ารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเตาปูน-ท่าพระ เปิดให้บริการเมื่อไหร่ก็สามารถลงที่สถานีบางโพ แล้วเดินย้อนมาได้เลยค่ะ     จุดจอดรถตู้ที่คอยบริการรับ-ส่ง ฟรี จะอยู่ด้านหน้าของ Big C เลยค่ะ หาไม่ยากเลย   ความพิเศษของ Big C Food Place คือการเป็นแพลตฟอร์มใหม่แห่งแรกของ Big C เน้นจำหน่ายอาหารสดใหม่ และมีเชฟที่พร้อมปรุงอาหารให้ได้เลยทันที ซึ่งหลังจากนี้เราจะได้เห็น Big C Food Place ขยายตัวออกไปอีกในหลายๆ สาขาค่ะ   ออกมาจากโซน Big C ที่ชั้น G นี้จะเป็นร้านอาหาร และด้านในสุดเป็นโซน Food Court   ส่วนชั้นอื่นๆ ก็จะมีทั้งร้านสินค้าประเภทแฟชั่นอย่าง H&M, uniqlo, MC jeans ฯลฯ มีร้านอาหาร ร้านเซอร์วิชต่างๆ รวมถึง Home Pro ด้วยค่ะ     มาว่ากันด้วยของ Entertainment กันบ้างค่ะ ที่นี่ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะคะ เพราะมีทั้งโซน Funfesta ชั้น 5 ที่มีเกมส์ให้เล่นทั้งโซนเด็ก โซนผู้ใหญ่ และ Harbor Land ชั้น 6 ที่เป็นสวรรค์ของเด็กๆ เลยค่ะ และที่ขาดไม่ได้เลยคือโรงภาพยนตร์ Major Cineplex ชั้น 7 ซึ่งในอนาคตจะมี jetts fitness มาเปิด 24 ชม. ด้วย   SKY GARDEN บริเวณชั้น 6 เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของที่นี่ค่ะ เพราะถ้าเมื่อเทียบกับห้างสรรพสินค้าในย่านใจกลางเมืองคงไม่มีพื้นที่เปิดโล่ง เห็นวิวกว้างๆ ให้ได้นั่งชิลกันขนาดนี้   แม้ว่า Gateway Bangsue จะยังมีบางส่วนที่ยังคงเป็นพื้นที่ว่างอยู่ แต่โดยภาพรวมแล้วก็ทำให้ย่านนี้มีบรรยากาศที่คึกคักขึ้นมาได้ดีเลยล่ะค่ะ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมรอบๆ อยู่หลายโครงการที่สามารถเดินมาได้เลย เห็นได้ชัดว่าห้างสรรพสินค้าที่รวมสิ่งอำนวยความสะดวกเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เกต และเซอร์วิชต่างๆ ก็ยังคงดึงดูดผู้คนในละแวกนั้นเข้ามาได้อยู่เสมอค่ะ                
ORI-KBank เปิดดีลร่วมทุน “BUTLER” แอปแรกของเมืองไทยที่รวมทุกงานบริการให้ชีวิตง่ายในแอปเดียว

ORI-KBank เปิดดีลร่วมทุน “BUTLER” แอปแรกของเมืองไทยที่รวมทุกงานบริการให้ชีวิตง่ายในแอปเดียว

“ออริจิ้น” จับมือ “กสิกรไทย” เปิดดีลร่วมทุนบริษัทในเครือ “ดิจิตอล บัตเลอร์” ผู้พัฒนาแอปและแพลทฟอร์ม BUTLER ที่รวมทุกพันธมิตรด้านงานบริการไว้ในแอปเดียว ทั้งแม่บ้าน-ดูแลรักษาบ้าน-ซักอบรีด และการเชื่อมโยงนิติบุคคล-ลูกบ้าน เตรียมยกระดับรูปแบบการชำระเงินและช่องทางการให้บริการหลังร่วมทุน พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ตอบโจทย์ผู้บริโภคครบวงจร นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า บริษัทและธนาคารกสิกรไทย หรือ KBank ได้ลงนามสัญญาร่วมทุนในบริษัท ดิจิตอล บัตเลอร์ จำกัด บริษัทย่อยในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอปพลิเคชันและแพลทฟอร์ม BUTLER แอปและแพลทฟอร์มแรกของเมืองไทยที่รวมทุกงานบริการให้ชีวิตง่ายในแอปเดียว   “เราและธนาคารกสิกรไทยต่างมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคอย่างครบวงจร ความร่วมมือระหว่างกันในครั้งนี้ จึงถือเป็นการผสานจุดแข็งระหว่างผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ มาต่อยอดให้เกิดดิจิทัล แพลทฟอร์มที่อำนวยความสะดวกผ่านบริการต่างๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” นายพีระพงศ์ กล่าว ทั้งนี้ BUTLER เป็นแอปพลิเคชันและแพลทฟอร์มด้านการจัดการชุมชนและสังคม (Community Management Platform) ที่รวบรวมทุกงานบริการเอาไว้อย่างครบวงจร เช่น บริการแม่บ้าน บริการดูแลรักษาบ้าน บริการซักอบรีด ผ่านการรวบรวมและร่วมมือกับบริการจากหลากหลายพันธมิตรไว้ในแอปเดียว อาทิ Seekster, Fixzy, Helpdee, Betagro, JP Insurance นอกจากนี้ BUTLER ยังพัฒนาแพลทฟอร์มเชื่อมโยงนิติบุคคลกับผู้อยู่อาศัยในโครงการ พนักงาน ตลอดจนบริการของพันธมิตร มีฟังก์ชันตั้งแต่การดูและจัดการตารางกิจกรรมภายในของนิติบุคคล การใช้พื้นที่ส่วนกลาง ภาพรวมแผนงบประมาณ แจ้งค่าน้ำค่าไฟพร้อมทำการชำระผ่านระบบชำระเงินออนไลน์ได้ทันที รับแจ้งซ่อมและปัญหาการบริการต่างๆ พร้อมทั้งติดตามสถานะได้ทันที แชทคุยกับผู้จัดการนิติโดยตรง บริหารจัดการพนักงาน ตลอดจนดูตารางงานของพันธมิตรที่เข้ามาทำงานในพื้นที่โครงการ ช่วยแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกให้แก่ทั้งนิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัยและผู้อยู่อาศัย   ภายหลังการดำเนินการซื้อ-ขายหุ้นของบริษัท ดิจิตอล บัตเลอร์ จำกัด เสร็จสิ้น บริษัทจะมีสัดส่วนการถือหุ้นในดิจิตอล บัตเลอร์ ประมาณ 52% ผ่านบริษัท พรีโม พร็อพเพอร์ตี้ โซลูชั่น จำกัด บริษัทย่อยที่ดูแลธุรกิจบริการทั้งหมดในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ขณะที่กลุ่มผู้ก่อตั้งดิจิตอล บัตเลอร์ จะถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 35% และธนาคารกสิกรไทย ถือหุ้นในสัดส่วน 10% ด้านนายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBank กล่าวว่า ธนาคารยังคงเดินหน้ากลยุทธ์ในการร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำในแต่ละธุรกิจ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Better Together ด้วยการผสานจุดแข็งของแต่ละฝ่าย เพื่อร่วมกันนำเสนอบริการที่ดีที่สุดให้กับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในทุกๆ วัน สำหรับ BUTLER ภายใต้เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ถือเป็นแพลทฟอร์มศักยภาพที่ช่วยเชื่อมโยงระหว่างผู้ให้บริการเข้ากับผู้ใช้บริการ และเชื่อมโยงผู้อยู่อาศัยเข้ากับนิติบุคคล ขณะเดียวกัน BUTLER ยังรวบรวมทุกบริการความสะดวกของการใช้ชีวิตไว้ในแอปเดียว และสามารถชำระเงินค่าใช้บริการและค่าสาธารณูปโภคผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทันที ตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุคดิจิทัล จึงเป็นสาเหตุสำคัญให้บริษัทตัดสินใจเข้าร่วมทุนในครั้งนี้   เบื้องต้น ธนาคารกสิกรไทย จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและรูปแบบการชำระเงินให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการของ BUTLER ให้ลูกค้าธนาคารผ่านช่องทางต่างๆ ของทางธนาคาร อาทิ K Plus เป็นต้น นอกจากนี้ ในอนาคตมีแผนที่จะพิจารณาความร่วมมือต่างๆ เพิ่มขึ้น ต่อไป หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา BUTLER มีนิติบุคคลโครงการต่างๆ สนใจลงชื่อเข้าร่วมใช้งานแล้วมากกว่า 500 โครงการ และยังมีแผนจะพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ เพิ่มอย่างต่อเนื่อง การเชื่อมโยงการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเข้ากับสตาร์ทอัพและร้านค้าในชุมชนของตัวเอง การสร้าง Community Media ที่ให้บุคคลในโครงการที่อยู่อาศัยเดียวกันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้สะดวกยิ่งขึ้น   ผู้สนใจบริการของ BUTLER สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้แล้ววันนี้ทั้งใน App Store และ Play Store หรือคลิก www.digitalbutler.co.th สำหรับนิติบุคคลที่สนใจบริการของ BUTLER สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.butlerjuristic.com        
SINGHA COMPLEX ครบทุกไลฟ์สไตล์คนเมือง

SINGHA COMPLEX ครบทุกไลฟ์สไตล์คนเมือง

เมื่อไม่นานมานี้ SINGHA COMPLEX  จัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการอย่างยิ่งใหญ่อลังการสมกับเป็น Luxury Mixed Use Complex ใจกลางอโศก ซึ่ง SINGHA COMPLEX แห่งนี้ได้เปิดให้ใช้บริการอย่างเต็มรูปแบบในส่วนของ Office Building กับ Retail 4 ชั้น ที่เราจะพาไปเดินเล่นชมบรรยากาศกันในบทความนี้ค่ะ อย่ารอช้า นั่ง MRT ไปลงที่สถานีเพชรบุรี ทางออกที่ 2 แล้วไปเดินเล่นกันค่ะ   SINGHA COMPLEX จะประกอบไปด้วย Office Building 42 ชั้น, Retail 4 ชั้น ที่เราจะพาไปเดินเล่นกันในครั้งนี้ และอาคารสูงด้านหลังที่ยังก่อสร้างกันอยู่จะเป็นคอนโดมิเนียมที่ชื่อว่า THE ESSE @SINGHA COMPLEX รวมทั้งหมดแล้วมีพื้นที่ประมาณ 11 ไร่ และด้วยเหตุที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมสี่แยกพอดี(เดิมคือสถาณฑูตญี่ปุ่น) จึงมีทางเข้า-ออก อยู่ 2 ทางค่ะ คือฝั่งถ.เพชรบุรี กับถ.อโศกมนตรี ซึ่งการออกแบบทางสถาปัตยกรรมนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากสีสัน เส้นสายตามธรรมชาติของรวงข้าวบาเล่ย์สีทอง กลายเป็นอาคารที่ดูทันสมัย สง่างาม โอ่งโถ่งสมกับเป็นอาคารออฟฟิศเกรดพรีเมี่ยมอย่างที่ทางสิงห์เองตั้งใจเอาไว้     ฝั่งอาคารที่เป็น Retail เราจะเห็นต้นจามจุรี 3 ต้นใหญ่วางตัวเรียงกันอยู่ริมสี่แยกอโศก-เพชรบุรี แบบที่เห็นนี้มีมาตั้งแต่ยังเป็นสถาณฑูตญี่ปุ่น ซึ่งทางสิงห์ตั้งใจเก็บรักษาเอาไว้ เพื่อให้อยู่คู่กับสถานที่แห่งนี้ต่อไป   The Bistro @SINGHACOMPLEX ลานเบียร์เป็นของคู่กันกับฤดูหนาว ซึ่งตรงนี้จะมีไปจนถึงวันที่ 13 ม.ค. 62 เวลา 17.00-24.00 น.   เรามาเริ่มเข้าไปสำรวจด้านในกันค่ะ ที่นี่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 9.00-23.00 น. ก้าวแรกที่เข้าไปเลยก็จะพบกับ Top Daily ที่มีทั้งของสด ขนม ผลไม้ เครื่องดื่ม เบเกอร์รี่ เวชภัณฑ์ ฯลฯ เรียกได้ว่าครบครันใช้ได้ทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ในบริเวณชั้น G ก็จะมีทั้งร้านกาแฟ ขนม อาหารแบบเบาๆ และธนาคารค่ะ   ขึ้นไปกันที่ชั้น L1 ค่ะ ก็จะมีทั้งธนาคาร ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านขนม และโซน Beauty&Health Care เช่น Kazan By Sushi Yanma, Gyu Kaku, King Kong Sweets, ปั้นคำหอม, Cut&Curl, SCB ฯลฯ   L2 เป็นร้านอาหารไทย อาหารฟิวชั่น เช่น bangkok bold kitchen, กล่องชา 24, คาเฟ่อเมซอน ฯลฯ  และยังเป็นโซนเริ่มต้นของ Amphitheatre สถานที่สำหรับนั่งพักผ่อน หรือหลบมุมทำงาน ซึ่งเป็นไฮไลท์ของ SINGHA COMPLEX แห่งนี้ค่ะ   สุดท้ายที่ชั้น L3 ค่ะ จะขาดไปไม่ได้เลยคือร้าน EST.33 จากสิงห์ทางเอง ร้านซาลาเปาโกอ้วนเจ้าดังจากหาดใหญ่ และโซน Amphitheatre ที่เป็น Co-Working Space ในบรรยากาศร่มรื่นสบายตาแบบที่แทบไม่น่าเชื่อเลยว่ากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่อันแสนจะวุ่นวายภายนอก มาพร้อม Free Super Wifi ชาวฟรีแลนซ์เห็นแล้วจะต้องชอบค่ะ     SINGHA COMPLEX แม้จะมีพื้นที่ในส่วนของ Retail ไม่มากเหมือนห้างสรรพิสินค้าใหญ่ๆ แต่ข้อดีก็คือความไม่วุ่นวายนี่แหละค่ะ ทำให้เป็นอีกหนึ่งใน Co-Working Space ที่น่าสนใจ(ฟรีด้วยนะ) ได้เปลี่ยนบรรยากาศนั่งทำงาน เดินทางสะดวกไม่ว่าจะด้วยรถไฟฟ้าหรือรถยนต์ส่วนตัว ถ้าหิวก็มีอะไรให้เลือกทานหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละชั้นสามารถจัดโซนได้ดีทีเดียวค่ะ เรียกได้ว่าครบทุกไลฟ์สไตล์คนเมืองจริงๆ              
KOHLER Design Forum 2018 ชูแนวคิด “ALL THINGS CONNECTED” ร่วมสรรค์สร้างอนาคตแห่งอุตสาหกรรมการออกแบบ และวงการสถาปัตย์ในเมืองไทยและทั่วโลก

KOHLER Design Forum 2018 ชูแนวคิด “ALL THINGS CONNECTED” ร่วมสรรค์สร้างอนาคตแห่งอุตสาหกรรมการออกแบบ และวงการสถาปัตย์ในเมืองไทยและทั่วโลก

โคห์เลอร์ ผู้นำระดับโลกด้านการออกแบบนวัตกรรมและการผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับห้องครัวและสุขภัณฑ์ จัดงาน KOHLER Design Forum เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้ธีม “All Things Connected” เพื่อนำเสนอเวทีสำหรับผู้ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมสถาปัตย์และการออกแบบในประเทศไทย ในการร่วมพูดคุยถึงการสร้างสรรค์อนาคตของอุตสาหกรรมด้านการอยู่อาศัย ผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ องค์ความรู้เชิงลึก และแนวคิดที่เน้นความสำคัญในเรื่องอนาคตของเทคโนโลยีอัจฉริยะภายในบ้าน สำนักงาน และอาคารประเภทต่าง ๆ การประชุมครั้งนี้ประกอบด้วยการนำเสนอข้อมูลเชิงลึก การพูดคุยสัมมนา และการถกประเด็นสำคัญในหัวข้อที่น่าสนใจโดยเหล่าผู้นำอุตสาหกรรม พร้อมมอบโอกาสให้เหล่าสถาปนิก นักออกแบบ และผู้ปฏิบัติงานในสาขาที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมสรรค์สร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาอุตสาหกรรมระหว่างกัน “อนาคตของวงการสถาปัตย์และการออกแบบจะเห็นได้จากงานในวันนี้ และถือเป็นสิ่งสำคัญมากที่ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดและผู้สร้างแรงบันดาลใจในอุตสาหกรรมจะร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งที่เราจะได้เห็นในอีก 10 หรือ 15 ปีข้างหน้า” ลารี่ หยวน ประธานกลุ่มบริหาร ฝ่ายเครื่องครัวและสุขภัณฑ์ กล่าว “งาน KOHLER Design Forum” สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแนวคิดที่ให้ความสำคัญในเรื่องอนาคตของเทคโนโลยีอัจฉริยะสำหรับที่อยู่อาศัย  ซึ่งปีนี้จัดขึ้นภายใต้ธีม All Things Connected โดยเน้นที่การเติบโตและการเชื่อมต่อเทคโนโลยีที่รวดเร็วเข้ากับชีวิตของเรา รวมถึงผลกระทบที่มีต่อการสรรค์สร้างและการสร้างความแตกต่างให้แก่โลกของการออกแบบในอนาคต” ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โคห์เลอร์จัดการประชุมตามศูนย์กลางการออกแบบหลายแห่งทั้งในเอเชียและยุโรป และมีการนำเสนอองค์ความรู้โดยนักออกแบบและสถาปนิกที่ทรงอิทธิพลและเจ้าของรางวัลทั่วโลก สำหรับงาน KOHLER Design Forum ครั้งนี้ ถือเป็นการจัดงานครั้งแรกของประเทศไทย มีผู้บรรยายซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานด้านการออกแบบจากหลากหลายสาขามาร่วมกันนำเสนอข้อมูล อาทิ ฌอน แอฟเฟล็ก สถาปนิกและผู้อำนวยการโครงการจาก เมก อาร์คิเทคส์ สถาปนิกผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติจากฮ่องกง วิลเลียม ลิม กรรมการผู้จัดการแห่งซีแอล3 บริษัทสถาปนิกชื่อดังในฮ่องกงและยังเป็นศิลปินและนักสะสมงานศิลป์ที่มีชื่อเสียงผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จงานตกแต่งภายในอันเลื่องชื่อของอาคารมารีน่าเบย์แซนด์ที่สิงคโปร์ อู้-นพปฎล พหลโยธิน ประธานผู้บริหารฝ่ายสร้างสรรค์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  นักออกแบบชาวไทยชื่อดังระดับโลก และมาร์ก บิกเกอร์สตาฟฟ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ฝ่ายเครื่องครัวและสุขภัณฑ์ ผู้ควบคุมการพัฒนางานออกแบบผลิตภัณฑ์โคห์เลอร์ในภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียแปซิฟิก การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือกับ Monocle นิตยสารแนวไลฟ์สไตล์ระดับโลก และดำเนินรายการโดย จอช เฟห์เนิร์ต บรรณาธิการอำนวยการ Monocle การพูดคุยสัมมนาภายในงานจะให้ความสำคัญในเรื่อง เทคโนโลยีอัจฉริยะจะสามารถช่วยสร้างสรรค์อนาคตของโลกที่เราอาศัยอยู่ได้อย่างไร และกิจกรรมการสัมมนาแบบอินเตอร์แอ็คทีฟในเรื่องการบูรณาการงานออกแบบและเทคโนโลยีเข้ากับการอยู่อาศัยในปัจจุบันของเรา รวมถึงหัวข้อที่น่าสนใจอื่น ๆ  อาทิ “เมืองที่รองรับการเชื่อมต่อ (Responsive Cities)” และการพูดคุยถึงการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะบนแนวทางที่มีผู้คนเป็นศูนย์กลาง และความเป็นไปได้ที่ปัญญาประดิษฐ์จะนำไปสู่การบรรลุผลสำเร็จในเรื่องนี้ งาน KOHLER Design Forum จัดขึ้นหลังจากที่โคห์เลอร์ประสบความสำเร็จจากการเปิดตัวระบบบ้านอัจฉริยะ KOHLER Konnect™ ที่ใช้กับผลิตภัณฑ์กระจกแต่งหน้ารุ่น Verdera Voice mirror with Amazon Alexa รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่รองรับ ได้แก่ ระบบฝักบัว DTV+, ระบบโถสุขภัณฑ์อัจฉริยะ Numi, ก๊อกน้ำครัว Sensate และอีกมากมาย  ระบบและชุดผลิตภัณฑ์สำหรับห้องครัวและห้องน้ำล่าสุดจากโคห์เลอร์นำเสนอฟังก์ชั่นการควบคุมด้วยเสียงเพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานในชีวิตประจำวันที่สะดวกสบายและการเชื่อมต่อที่ง่ายดายมากยิ่งขึ้น ฝ่าย แองเจิล หยาง ประธานบริหาร ฝ่ายเครื่องครัวและสุขภัณฑ์ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวเสริมว่า “เนื่องจากโคห์เลอร์มุ่งมั่นขยายเครือข่ายการดำเนินงานในเอเชียแปซิฟิก เราจึงแสวงหาแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพและเพิ่มพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอนวัตกรรมโซลูชั่นให้แก่ผู้บริโภคทั้งในภูมิภาคนี้และทั่วโลกต่อไป”      ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชุดผลิตภัณฑ์โคห์เลอร์ได้ที่เว็บไซต์ www.kohler.co.th    
เน็กซัสสรุปภาพรวมตลาดอสังหากรุงเทพปี 61 ตลาดคอนโดเริ่มมีการปรับตัวเพื่อตอบสนองเรียลดีมานด์ ในขณะที่ตลาดเช่าเพื่อการพาณิชย์ค่าเช่าทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์

เน็กซัสสรุปภาพรวมตลาดอสังหากรุงเทพปี 61 ตลาดคอนโดเริ่มมีการปรับตัวเพื่อตอบสนองเรียลดีมานด์ ในขณะที่ตลาดเช่าเพื่อการพาณิชย์ค่าเช่าทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์

เน็กซัสสรุปปีนี้ราคาเฉลี่ยคอนโดในกรุงเทพเพิ่มขึ้น 7.6% ในขณะที่ราคาคอนโดใจกลางเมืองเพิ่มถึง 10% คาดในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ผู้ประกอบการควรเน้นการพัฒนาเพื่อเรียลดีมานด์ ส่วนราคาค่าเช่าสำนักงานเกรดเอในย่านศูนย์กลางธุรกิจเฉลี่ยทะลุ 1,000 บาท/ตารางเมตร/เดือน ในขณะที่ราคาค่าเช่าพื้นที่ศูนย์การค้าเฉลี่ยสูงถึง 3,900 บาท/ตารางเมตร/เดือน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีก ในปีหน้าตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าและตลาดศูนย์การค้ามีการแข่งขันสูงขึ้นแน่นอน ถือว่าเป็นแนวโน้มที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง   ตลาดคอนโดมิเนียม นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (Mrs. Nalinrat Chareonsuphong, Managing Director of Nexus Property Marketing Company Limited)  เผยว่า ปี 2561 ยังคงเป็นปีที่มีอุปทานของคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นในตลาดในจำนวนที่ค่อนข้างสูง จากทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อย โดยมีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นใหม่ 60,900 หน่วย จาก 138 โครงการ ซึ่งทำให้คอนโดมิเนียมมีหน่วยสะสมทั้งสิ้น 610,900 หน่วย ทำเลที่นิยมในการพัฒนาโครงการอันดับหนึ่งยังคงเป็นพญาไท รัชดา และ พหลโยธิน (21,100 หน่วย, 35%) ตามมาด้วย พระโขนง สวนหลวง (13,500 หน่วย, 22%) และ ธนบุรี เพชรเกษม (8,500 หน่วย, 14%) ตามลำดับ และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาทั้ง 3 ทำเลนี้ก็มีอัตราการเพิ่มของอุปทานมากที่สุดโดยมากกว่า 65-70% เลยทีเดียว ซึ่งก็มีสาเหตุมาจากกระแสการอยู่อาศัยคอนโดใกล้รถไฟฟ้าที่มีมาอย่างต่อเนื่องนั่นเอง และในทำเลเหล่านี้ก็ยังคงหาที่ดินที่จะพัฒนาได้มากกว่าทำเลที่อยู่ในใจกลางเมือง   นอกจากนี้  หากจะวิเคราะห์ถึงอุปทานใหม่ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาจะพบว่า 41% ของจำนวนหน่วยทั้งหมดจะมาจากตลาดไฮเอนด์ ที่มีระดับราคาอยู่ที่ 110,000 -190,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาต่อหน่วย 4-8 ล้านบาท ตามมาด้วยตลาดระดับกลาง (mid market) 27% และตลาดซิตี้คอนโด 21% ซึ่งสัดส่วนดังกล่าว อาจดูไม่สอดคล้องกับรายได้และฐานเงินเดือนของคนกรุงเทพมากนัก โดยจากปัจจัยที่ดินที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องหันมาพัฒนาสินค้าในระดับราคาที่สูงขึ้นนั่นเอง   ในปี 2561 ยอดขายคอนโดมิเนียมในตลาดกรุงเทพรวมทั้งสิ้นจำนวน 52,000 หน่วย โดยแบ่งเป็นห้องชุดที่เปิดใหม่ในปี 2561 จำนวน 31,800 หน่วย (คิดเป็นยอดขายเฉลี่ยของห้องชุดที่เปิดใหม่อยู่ที่ 52%) และห้องชุดที่เปิดขายก่อนปี 2561  มียอดขายเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20,300 หน่วย ทั้งนี้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในปีนี้และที่เปิดมาก่อนหน้านี้ทำให้อัตราขายรวมในตลาดอยู่ที่ 90% และยังคงมีห้องชุดเหลือขายในตลาดอยู่อีก 62,700 หน่วย   ในปี 2561 ราคาขายคอนโดมิเนียมเฉลี่ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น 7.6% จาก 130,600 บาทต่อตารางเมตร เป็น 140,600 บาทต่อตารางเมตร โดยตลาดใจกลางเมืองปรับตัวเพิ่มสูงสุดอยู่ที่ 10% ไปอยู่ที่ 231,000 บาทต่อตารางเมตร ตลาดรอบใจกลางเมือง 7% ไปอยู่ในระดับราคา 113,200 บาทต่อตารางเมตร ในขณะที่ตลาดรอบนอกปรับราคาเพิ่มเฉลี่ยเพียง 1% เป็น 73,500 บาทต่อตารางเมตร เท่านั้น สำหรับแนวโน้มการปรับตัวขึ้นของราคาคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ เริ่มเห็นการปรับตัวขึ้นในอัตราที่ลดลงบ้าง ซึ่งก็น่าจะเกิดจากการที่ผู้ประกอบการเริ่มเห็นแนวโน้มราคาที่ปรับตัวสูงมากในตลาดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เช่นในปี 2561 ทำเลหลังสวนปทุมวัน ราคาปรับขึ้นเพียง 3% หรือในโซนธนบุรี เพชรเกษมเองซึ่งเป็นทำเลที่มีขอบเขตค่อนข้างกว้างมาก ราคาก็ปรับเพิ่มเพียง 1% แต่ไม่ได้หมายความว่าสินค้าคุณภาพดีขึ้นที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้นั้นราคาจะไม่มีโอกาสขยับตัวสูงขึ้นได้ ในตลาดคอนโดมิเนียมกรุงเทพฯ สำหรับการคาดการณ์แนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2562 นั้น นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ เชื่อว่า ในส่วนของอุปทานใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปี 2562 น่าจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกับตัวเลขเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาที่ประมาณ  53,000 หน่วย ในขณะที่ความต้องการยังคงอยู่ในช่วงระหว่าง 50,000-55,000 หน่วย จากตัวเลขประมาณการดังกล่าว อัตราการขายรวมและห้องเหลือในตลาดก็น่าจะอยู่ในปริมาณใกล้เคียงกับตัวเลขปีนี้ สำหรับรูปแบบของการพัฒนาสินค้าก็จะปรับให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายย่อยมากขึ้น เช่นคอนโดสำหรับคนรักการออกกำลังกาย สำหรับผู้สูงอายุ หรือ คนรักสัตว์ เป็นต้น นอกจากนี้ คอนโดมิเนียมเช่าสิทธิระยะยาวในทำเลที่ดีก็จะมีออกมาในตลาดเพิ่มขึ้น รวมถึงโครงการ mixed used ที่ผสมผสานคอนโดมิเนียมเข้ากับพื้นที่เชิงพาณิชย์ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ ไลฟ์สไตล์คนรุนใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายก็จะเปิดตัวมากขึ้นเช่นกัน   นอกจากนี้ ในมุมมองของ เน็กซัส สัดส่วนของห้องชุดที่ผู้ประกอบการควรจะพัฒนา น่าจะเพิ่มสัดส่วนไปที่กลุ่มซิตี้คอนโด และตลาดระดับกลาง (mid market) ที่เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของกรุงเทพมากขึ้นเพื่อจะได้ตอบสนองกับความต้องการอยู่อาศัยจริง ซึ่งจะเป็นตลาดที่มีเสถียรภาพและยั่งยืนมากกว่าตลาดต่างชาติเพื่อการลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ได้มองข้ามการลงทุนจากต่างชาติเลย สำหรับตลาดการลงทุนจากต่างชาติที่เป็นที่จับตามองในช่วงที่ผ่านมานั้น การลงทุนจากนักลงทุนรายใหญ่หรือนักลงทุนสถาบันจะยังคงเห็นได้อย่างต่อเนื่อง ในปี 2562 สัดส่วนจำนวนห้องชุดที่นักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น และบางส่วนจากฮ่องกงและสิงคโปร์ ที่เข้ามาลงทุนน่าจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 30% จาก 26% (15,820  หน่วย ใน 24 โครงการ ในปี 2561) นอกจากนี้ นักลงทุนรายย่อยจากประเทศจีนก็น่าจะยังคงเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยอย่างต่อเนื่องในทำเลที่ขยายออกไปจากทำเลเดิม ตลาดฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน ก็น่าจะยังรักษาระดับการลงทุนที่ไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา ในขณะที่ตลาด CLMV เป็นตลาดใหม่ที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก   หากจะวิเคราะห์ถึงการปรับตัวของราคาคอนโดมิเนียมในกรุงเทพในช่วง 1-3 ปีข้างหน้านั้น เน็กซัสมองว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้นในอัตราที่ลดลง ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นน่าจะไม่สามารถขึ้นได้ในอัตราที่มากเหมือนเมื่อหลายปีก่อน ดังนั้น ผู้ประกอบการเองก็น่าจะพัฒนาโครงการในราคาที่ไม่ต้องปรับตัวสูงขึ้นมากนัก ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าราคาคอนโดมิเนียมจะปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยอยู่ในระดับ 6-7% ต่อปี   นอกจากนี้ ในส่วนของทำเลการพัฒนาโครงการนั้น มีปัจจัยเรื่องภาพลวงตาของทำเลการอยู่อาศัย (Illusion of location) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาเลือกซื้อที่อยู่อาศัย พร้อมพงษ์ ทองหล่อ เอกมัย ยังคงเป็นทำเลยอดนิยมสำหรับผู้ประกอบการ ที่มองหาที่ดินเพื่อเข้ามาพัฒนาโครงการ แต่ในทำเลนี้ ราคาคอนโดมิเนียมที่ควรเป็น น่าจะเป็นราคาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายจริงๆ  ในขณะที่ทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาและฝั่งธนบุรี ที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรถไฟฟ้าสายสีทองที่กำลังก่อสร้าง และก็เช่นเดียวกัน คอนโดมิเนียมที่เกิดขึ้นใหม่ราคาก็จะต้องสูงขึ้นมากอย่างแน่นอน จริงๆ แล้ว ทำเลอย่าง ติวานนท์ ที่ผู้ประกอบการหลายรายยังคงมีคำถามจากอุปทานที่ยังมีขายอยู่นั้น ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ราคาคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วในบริเวณนี้ก็จะน่าสนใจ เพราะเป็นคอนโดที่ราคาจับต้องได้มากที่สุดในตลาด สุดท้าย รัชดา พระราม 9 ทำเลทองของชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีน ถ้าจะยังคงเป็นทำเลที่ครองใจลูกค้ากลุ่มนี้ได้ การตั้งราคาและการทำการตลาดจะต้องเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีบริการหลังการขายที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าต่างชาติกลุ่มนี้ได้จริง   จากนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนการให้กู้ยืมเงินเพื่อการซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้น จะส่งผลต่อการพัฒนาสินค้าในตลาดที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียม โดยบ้านอาจจะมีการขายระหว่างก่อสร้างมากขึ้นเพื่อให้ผู้ซื้อได้ผ่อนชำระเงินดาวน์บางส่วนก่อน คอนโดมิเนียมก็อาจจะต้องเน้นขายช่วงพรีเซลมากขึ้น ที่มีระยะเวลาการผ่อนยาวขึ้น และท้ายที่สุด เศรษฐกิจและการเมืองที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงจากการเลือกตั้งก็น่าจะมีผลต่อทิศทางของตลาดเช่นกัน   ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่า นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทเน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด (Mr. Teerawit Limthongsakul, Managing Director of Nexus Real Estate Advisory) กล่าวว่า ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่า เกรด เอ และ เกรดบี ในกรุงเทพ มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 4.1 ล้านตารางเมตร พบว่า ยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องของราคาค่าเช่าที่มีการปรับตัวสูงขึ้นและอัตราว่างของพื้นที่ที่อยู่ในระดับต่ำ จากข้อมูลในไตรมาส 4 ปีนี้ เห็นได้ว่าอุปทานของอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพ ลดลงเล็กน้อย เนื่องมาจากมีบางอาคารอยู่ระหว่างการปิดปรับปรุงให้มีความทันสมัย ปลอดภัย สะอาด และสะดวกสบายมากขึ้น เพื่อดึงดูดผู้เช่าในตลาด สำหรับตลาดพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่านั้นยังคงมีความต้องการสูงจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ทำงานร่วม (co-working space) และสำนักงานพร้อมบริการ (serviced-office) ที่กำลังได้รับความนิยม ทำให้อัตราว่างของพื้นที่เช่าในช่วงไตรมาสนี้ลดลงเหลือเพียง 4% เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาคารสำนักงานเกรดเอใหม่ๆ จะได้รับความสนใจจากผู้เช่าเป็นอย่างมาก   ในส่วนของราคาค่าเช่าอาคารสำนักงานในกรุงเทพ เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 800 บาท/ตารางเมตร/เดือน แต่หากพิจารณาเฉพาะอาคารสำนักงานเกรดเอที่อยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจเท่านั้น พบว่า ค่าเช่าเฉลี่ยสูงกว่า 1,000 บาท/ตารางเมตร/เดือน นับเป็นสถิติใหม่ในตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าของกรุงเทพ ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับบางอาคารที่ตั้งอยู่บนถนนวิทยุหรือเพลินจิต อย่างเช่น อาคารเกษร ทาวเวอร์ และปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ ที่สามารถทำราคาค่าเช่าได้สูงถึง 1,500 บาท/ตารางเมตร/เดือน ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงที่สุด ณ ขณะนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีพื้นที่อาคารสำนักงานใหม่ให้เช่าเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 ล้านตารางเมตร หรือประมาณ 25% ของพื้นที่ที่มีอยู่ในตลาด ณ ปัจจุบัน อาจส่งผลให้มีอัตราว่างของพื้นที่ให้เช่าสูงขึ้นจากเดิมถึง 2 เท่า โดยจะมีอัตราว่างของพื้นที่ประมาณ 10% จากเดิมที่มีเพียง 4-5% เท่านั้น ถือว่าเป็นอัตราว่างที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี และอาจส่งผลให้อัตราการขึ้นราคาค่าเช่ามีการปรับตัวช้าลงอีกด้วย   หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพ จะมีการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้นอย่างแน่นอน อาจส่งผลให้ตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยจำนวนอุปทานที่มีมากขึ้นในตลาดจะทำให้ผู้เช่ามีอำนาจในการต่อรองที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าอัตราว่างของพื้นที่เช่าจะสูงถึง 10% ก็จริง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เกิดอุปทานล้นตลาด เนื่องจากอัตราว่างของพื้นที่ประมาณ 10% ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองสำคัญอื่นๆ ทั่วโลก   จากการสำรวจของ Cushman & Wakefield ซึ่งเป็นบริษัทพันธมิตรของเน็กซัสฯ พบว่า ในประเทศกลุ่ม APAC มีอัตราว่างของพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 10% หรือแม้แต่ในสหรัฐอเมริกาก็ยังมีอัตราว่างของพื้นที่ถึง 13.3% ดังนั้น หากกรุงเทพมีอัตราว่างของพื้นที่ให้เช่าที่ประมาณ 10% ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ปกติ   ตลาดศูนย์การค้า   สำหรับตลาดศูนย์การค้า จากการสำรวจพบว่า ตลาดยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากตลาดศูนย์การค้านั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ การบริโภคของภาคเอกชน รวมไปถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว   ส่วนราคาค่าเช่าพื้นที่ศูนย์การค้าในย่านศูนย์กลางทางการค้าอย่างบริเวณถนนพระราม 1 และพร้อมพงษ์ ที่มีการแข่งขันสูงนั้น ทำให้อัตราค่าเช่าพื้นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 3,900 บาท/ตารางเมตร/เดือน ในขณะที่ราคาเสนอให้เช่าพื้นที่สูงที่สุดของย่านนี้สูงทะลุถึง 5,000 บาท/ตารางเมตร/เดือน จากการเสนอราคาพื้นที่บริเวณชั้น G ของห้างสยามพารากอน นอกจากนี้โซนนอกศูนย์กลางการค้าอย่างไอคอนสยามซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็มีราคาเสนอเช่าพื้นที่ที่สูงเช่นเดียวกัน โดยสูงมากกว่า 5,000 บาท/ตารางเมตร/เดือน นับว่าเป็นสถิติใหม่ของอัตราค่าเช่าพื้นที่สำหรับตลาดศูนย์การค้าในกรุงเทพ   การสำรวจของเน็กซัสฯ พบว่าพื้นที่ศูนย์การค้าให้เช่าที่เกิดขึ้นใหม่ของไตรมาสนี้ มาจากไอคอนสยามและเกตเวย์ แอท บางซื่อ ที่เพิ่งมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และคาดว่าจำนวนพื้นที่ของศูนย์กลางการค้าให้เช่าในปีหน้าจะมีมากถึง 240,000 ตารางเมตร จากการคาดการณ์ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยและการท่องเที่ยวในปีหน้านั้นยังคงมองเป็นปัจจัยบวก โดยทางสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยว ณ สิ้นปี 2561 จะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 5.08% หรือคิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 37.2 ล้านคน   เนื่องจากลักษณะนิสัยของคนไทยที่นิยมไปซื้อของที่ร้านค้าด้วยตัวเองและสภาพอากาศที่ร้อน ทำให้ศูนย์การค้าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับคนไทย แต่สำหรับตลาดในปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ผู้ประกอบการมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตัวเอง ให้สามารถดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น เช่น การออกแบบ ไลฟ์สไตล์ สิ่งอำนวยความสะดวก ความปลอดภัย และแพลตฟอร์ม จะมีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถยืนหยัดอยู่ในตลาดได้        
SC เปิดตัวพันธมิตรยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ‘Nishitetsu’ ผู้นำในภูมิภาคคิวชู ตั้งบริษัทร่วมทุนในไทยชื่อ เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน (SC NNR1 Co.,Ltd.) เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในปี 62 นำร่องเปิดคอนโดใหม่แบรนด์ The Crest โดดเด่นสุดบนทำเลห้าแยกลาดพร้าว

SC เปิดตัวพันธมิตรยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ‘Nishitetsu’ ผู้นำในภูมิภาคคิวชู ตั้งบริษัทร่วมทุนในไทยชื่อ เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน (SC NNR1 Co.,Ltd.) เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในปี 62 นำร่องเปิดคอนโดใหม่แบรนด์ The Crest โดดเด่นสุดบนทำเลห้าแยกลาดพร้าว

การผนึกกำลังครั้งสำคัญระหว่าง SC Asset อสังหาฯ ชั้นนำของไทย กับ Nishitetsu Group (NNR) บริษัทยักษ์ใหญ่และผู้นำในภูมิภาคคิวชู ซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ประเทศญี่ปุ่น และมีผลประกอบการแข็งแกร่งกวาดรายได้เกือบ 380,000 ล้านเยน ในปี 2561 ล่าสุดได้จับมือเปิดบริษัทร่วมทุนชื่อ บริษัท เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน จำกัด (SC NNR1 Co.,Ltd.)   เพื่อพัฒนาอสังหาฯ ของ NNR ครั้งแรกในไทย และมีแผนเปิดคอนโดมิเนียมใหม่ในปี 2562 นำร่องด้วยโครงการ The Crest บนทำเลห้าแยกลาดพร้าว หนึ่งในทำเลสำคัญที่สุดของกรุงเทพฯ ศูนย์รวมเส้นทางคมนาคมแห่งอนาคต นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงยุทธศาสตร์เชิงรุกจากโรดแมป SC-Reinvention 2020 เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนว่า “เราได้ร่วมทุนกับ Nishitetsu Group (NNR) ทั้งนี้ด้วยเหตุผลหลัก 3 ประการ คือ 1.วิสัยทัศน์ด้วยวิธีคิดแบบเดียวกัน ภายใต้การส่งมอบคุณค่าด้านคุณภาพสินค้าและบริการที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับลูกค้า 2.ความแข็งแกร่งทางธุรกิจของทั้งสองบริษัท 3.โอกาสสำหรับอนาคต เพื่อการลงทุนธุรกิจอสังหาฯ รูปแบบอื่น ๆ ตามโรดแมป ที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับ SC ”  สำหรับบริษัท Nishitetsu Group (NNR) ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1948 และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Fukuoka ตั้งอยู่ในเขต  prime commercial zone ปัจจุบันมีสำนักงานอยู่ 85 แห่งทั่วโลก และ ดำเนิน  5 ธุรกิจหลักสำคัญได้แก่ คมนาคม, โลจิสติกส์, ค้าปลีก, อสังหาริมทรัพย์ และอื่น ๆ โดย นายฮิโรชิเกะ โฮริเอะ (Mr. Hiroshige Horie) Senior Executive Officer  General Manager of the housing Business Division บริษัท นิชิ นิปปอน เรลโรด จำกัด เป็นผู้แทนบริษัทเดินทางมายังประเทศไทย กล่าวถึงการร่วมทุนกับ SC  อย่างมั่นใจในศักยภาพและความแข็งแกร่งว่า  “ประเทศไทยมีการเติบโตที่โดดเด่นทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่น ที่ผ่านมาได้ขยายการลงทุนทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมกับประเทศในแถบอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น ดังนั้นความร่วมมือครั้งนี้  จึงเป็นการผสานจุดเด่นของสองบริษัท ทั้งด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง ความรวดเร็วในการส่งมอบสินค้าและบริการคุณภาพ  เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับอนาคต” บริษัท เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน จำกัด (SC NNR1 Co.,Ltd.)  บริษัทร่วมทุนใหม่นี้มีทุนจดทะเบียนรวม 1,200 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนถือหุ้นระหว่าง  SC  55% และ NNR  45% พร้อมกับแต่งตั้งนายมานิจ บรรจงธนกิจ ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ โดยโครงการนำร่องที่จะพัฒนาในปี 2562   เป็นคอนโดฯ ใหม่ ภายใต้แบรนด์เดอะเครสท์ (The Crest)   บนพื้นที่กว่า 1.9 ไร่ ทำเลโดดเด่นสุดในย่านห้าแยกลาดพร้าว ศูนย์รวมคมนาคมแห่งอนาคตที่แวดล้อมด้วยแหล่ง ช้อปปิ้งชั้นนำอย่าง เซ็นทรัล ลาดพร้าว ยูเนียนมอลล์ และอยู่ใกล้กับ Interchange Station ของ MRT และ BTS สายสีน้ำเงินและสายสีเขียว ที่สำคัญ คือ ใกล้สวนจตุจักร และสวนรถไฟ ซึ่งได้วิวสวนสาธารณะบนพื้นที่กว่า 700 ไร่   อีกทั้งโครงการยังตั้งอยู่ใจกลาง North CBD แวดล้อมด้วยอาคารสำนักงานชั้นนำ ศูนย์การค้า  และ Mega Project มากมาย      
รู้จักการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เรียกว่า “Investment Property” (IP)

รู้จักการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เรียกว่า “Investment Property” (IP)

“Investment Property” (IP) คืออะไร   การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เรียกว่า “Investment Property” (IP) จะมีลักษณะผู้เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย ได้แก่ นักลงทุนหรือผู้ซื้อ (Investor) ผู้บริหารมืออาชีพ (Management Company) และ ผู้พัฒนา (Developer) โดยทั่วไปแล้ว IP จะมีลักษณะโครงการที่ถูกออกแบบมาเพื่อนักลงทุนโดยเฉพาะตั้งแต่เริ่มสร้างโครงการ ทำให้การออกแบบโครงสร้างต่างๆนักลงทุนได้ประโยชน์เต็มๆมากกว่า รวมไปถึงการหามืออาชีพ มาคอยดูแลบริหารโครงการ แล้วสภาพในการเข้าและออกการลงทุนก็สามารถขายโฉนดของตัวเองได้เลย “Investment Property” (IP) ต่างจากการลงทุนในกองทุน REIT   จริงๆ แล้ว IP ก็เป็นอะไรที่เราคุ้นเคยอยู่แล้ว คือ การที่เราสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพขนาดใหญ่ได้โดยตรงเหมือนกับ กองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือว่า REIT แต่จะต่างกันตรงที่ว่าการลงทุนแบบ IP นั้นเราจะมี “โฉนด” ของแต่ละบุคคลมีสิทธิ์เป็นเจ้าของอย่างชัดเจนไม่เหมือนกัน REIT ที่ถือผ่านนิติบุคคลที่เป็นกองทุนหรือกองทรัสต์ ถ้าให้ยกตัวอย่างแบบง่ายๆก็คือเหมือนกับเราเข้าลงทุนตรงในคอนโดแล้วปล่อยเช่าเอง แต่จุดแตกต่างที่คอนโดไม่สามารถทำแบบอสังหาริมทรัพย์ที่เป็น REIT หรือว่า IP ที่เป็นโรงแรมได้ คือ รายรับของโรงแรมจะเป็นรายวัน แล้วราคาปล่อยเช่าโดยเฉลี่ยของ IP ที่เป็นโรงแรมจะสูงกว่าการปล่อยเช่าคอนโดเป็นรายเดือนหรือว่าเป็นสัญญาระยะยาว 6 เดือน 1 ปี เลือกลงทุน Investment Property ในทำเลศักยภาพ   จ.ภูเก็ต เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และยังคงเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆของชาวต่างชาติ ที่เมื่อเข้ามาท่องเที่ยวในไทย จึงเป็นเหตุให้ อสังหา ในภูเก็ตกลับมาบูมอีกครั้ง หลังจากทั้งภาครัฐ และเอกชน ได้เข้ามาลงทุน โดยการลงทุนในส่วนของทางภาครัฐ เช่น โครงการภูเก็ต สมาร์ทซิตี้ การสร้างสนามบินเพิ่ม การขยายท่าเรือน้ำลึก การก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบา LRT และการสร้างอุโมงค์รองรับการจราจร รองรับการขยายตัวของภูเก็ตด้านการลงทุนภาคเอกชนมีทั้ง เซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต เฟส 3 มูลค่าลงทุน 20,000 ล้านบาท เนื้อที่รวม 136 ไร่ พื้นที่ 4 แสนตารางเมตร และโครงการบลู เพิร์ล ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ของ เดอะมอลล์ ด้วยเนื้อที่ 150 ไร่ พื้นที่ 6.5 แสนตารางเมตร ลงทุน 10,000 ล้านบาท "WYNDHAM Nai Harn Beach Phuket" โครงการแบบ IP   ในประเทศไทยเราก็มีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เริ่มมาทำโครงการแบบ IP แล้วเหมือนกัน โครงการ “Wyndham Nai Harn Beach Phuket” โดยบริษัท ซิซซา กรุ๊ป จำกัด เป็นนักพัฒนาและผู้บริการจัดการหลังจากพัฒนาเสร็จก็คือ Wyndham Hotel Group เครือโรงแรมรีสอร์ทระดับโลกที่เข้ามาบริหารโครงการ มีประวัติการบริหารโรงแรมมากว่า 9,000 แห่ง ห้องพักรวมมากว่า 790,000 ห้อง ใน 80 ประเทศทั่วโลก เป็นแบรนด์โรงแรมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกเครือหนึ่งเลยก็ว่าได้ และแน่นอนว่าการที่มี “Wyndham Hotel Group” เป็นผู้บริหารจัดการ ก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมจากผู้บริหารรายอื่นๆ เพิ่มเติม หาดในหาน จะอยู่ทางใต้ของภูเก็ต ใกล้ๆ กับแหมพรหมเทพ และหาดราไวย์ เดินทางจากตัวเมืองไม่ไกลนัก เป็นหาดที่คนไม่พลุกพล่าน เหมาะกับคนชอบความสงบ ล่ำลือกันว่า เป็นหาดคุณภาพระดับไฮเอนด์ที่มีความสวยมาก และมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่อยู่ในบริเวณนั้นด้วย สามารถพาคนในครอบครัวมาทำกิจกรรมได้สบาย "WYNDHAM Nai Harn Beach Phuket" อยู่ห่างจาก หาดในหานประมาณ 800 ม. เป็นที่ดิน Free Hold ซึ่งนับวันจะหาได้ยากยิ่งในภูเก็ต “Wyndham Nai Harn Beach Phuket” นักลงทุนได้ Sharing Profit เต็ม 100% !!   โครงการ วินแดม ในหาน บีช ภูเก็ต สร้างเป็นอาคารสูง 4 ชั้น แบ่งเป็นห้อง 2 แบบ ขนาดตั้งแต่ 40 ตารางเมตร ขึ้นไป และ 60 ตารางเมตร จำนวนรวม 353 ยูนิต มีทั้งหมด 12 อาคาร ตั้งอยู่บริเวณชายหาดในหาน โดยบริษัท ซิซซา กรุ๊ป จำกัด เป็นนักพัฒนาที่มุ่งเน้นเฉพาะโครงการที่เป็น IP เท่านั้น ทั้งยังเป็นผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาฯในรูปแบบ IP ได้ตรงตามความต้องการของตลาดและตอบโจทย์นักลงทุน โครงการ วินแดม ในหาน บีช ภูเก็ต เปิดให้นักลงทุนทั่วไปที่ไม่ใช่รายใหญ่เข้าลงทุนได้ 248 ห้องเท่านั้น ราคาเริ่มต้น 6.5 ล้านบาท ส่วนห้องที่เหลือเป็นสัดส่วนของนักลงทุนรายใหญ่ จาก CISSA Group การันตีผลตอบแทนในปีที่ 1 และ ปีที่ 2 ให้ 6% และผลตอบแทนในปีที่ 3 ถึง 15 เป็นไปตามผลประกอบการของโรงแรมซึ่งคาดการณ์เฉลี่ยอยู่ที่ 10% หลังจากที่มีการหักค่าดำเนินการทุกอย่างออกแล้วจะมีการแบ่งส่วนกำไรให้นักลงทุนได้ Sharing Profit เต็ม 100% นอกจากนักลงทุนที่ลงทุนจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว นักลงทุนยังสามารถเข้าพักฟรีที่ “Wyndham Nai Harn Beach Phuket” 30 วันต่อปี หรือเลือกพักตาม Hotel & Resort ในเครือ RCI ที่มีมากกว่า 120 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือเป็นความคุ้มค่าในการมอบทางเลือกให้ผู้ลงทุน อีกทั้งยังสามารถเข้าพักและได้รับส่วนลดที่โรงแรมมากกว่า 30% รวมไปถึงบัตรสมาชิกที่สามารถทำให้เราเข้าถึงสิทธิ์ประโยชน์ได้อีกมากมายโดยคาดว่าโรงแรมจะเปิดให้บริการได้ในเดือนกันยายนปี 2562          
อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ แกร่ง!! 3 ไตรมาส โตเข้าเป้า 4.6% กวาดรายได้ 7,258 ลบ. ประกาศผนึกพันธมิตร ดึงนวัตกรรมใหม่เสริมทัพ อัดแคมเปญใหญ่ ดันยอดปลายปี

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ แกร่ง!! 3 ไตรมาส โตเข้าเป้า 4.6% กวาดรายได้ 7,258 ลบ. ประกาศผนึกพันธมิตร ดึงนวัตกรรมใหม่เสริมทัพ อัดแคมเปญใหญ่ ดันยอดปลายปี

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ แกร่ง!! 3 ไตรมาส โตเข้าเป้า 4.6% กวาดรายได้ 7,258 ลบ. ประกาศผนึกพันธมิตร ดึงนวัตกรรมใหม่เสริมทัพ อัดแคมเปญใหญ่ ดันยอดปลายปี ปีหน้าทุ่มเม็ดเงินลงทุนกว่า 165 ลบ. พลิกโฉมใหม่ 6 สาขา พร้อมกางแผนขยาย อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ 4 สาขา รวมถึงรุกตลาดต่างประเทศผ่านรูปแบบแฟรนไชส์   อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (Index Living Mall) ตอกย้ำผู้นำค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านไทย โชว์รายได้ 3 ไตรมาสปิดที่ 7,258 ลบ. พร้อมวางหมากโหมทำการตลาดจากนี้แบบเข้มข้น  ทั้งประกาศผนึกกำลังพันธมิตรชั้นนำในแต่ละแคมเปญ รวมถึงดึงนวัตกรรมใหม่เสริมทัพสินค้า เจาะตลาด Customization รายคน ตลอดจนจัดซีซั่นนอลแคมเปญใหญ่ช่วงเทศกาลฉลองปีใหม่ รุกสื่อทุกช่องทางครบทุกแพลตฟอร์ม ยึดปรับตัวตามสถานการณ์ ชูของดีมีคุณภาพในราคาจับต้องได้ พร้อมประกาศแผนเดินหน้าขยายสาขาอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ 4 สาขา ปูพรมทั้งในกรุงเทพฯ และตจว.   รวมถึงขยายแฟรนไชส์ในต่างประเทศอย่างอินโดนีเซีย เพราะมีศักยภาพในทิศทางที่ดี นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (Miss Kridchanok Patamasatayasonthi, Managing Director of Index Living Mall) กล่าวถึงภาพรวมตลาดเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านปีนี้ว่าเติบโตแบบทรงตัว  และเมื่อพิจารณาเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และในกลุ่มหัวเมืองใหญ่และจังหวัดท่องเที่ยวยังถือว่าอยู่ในทิศทางที่ดี ทั้งจากผู้ซื้อชาวไทยและชาวต่างชาติ คาดว่าจะมียอดขายประมาณ 480,000 ลบ. แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 46% และคอนโดมิเนียม 54% ขณะที่ยอดเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งปี ประมาณ 430,000-440,000 ลบ. ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา (ที่มาจาก www.area.co.th) ขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เองมีการแข่งขันที่ดุเดือด โดยพยายามงัดกลยุทธ์ด้านโปรโมชั่นตลอดจนกิจกรรมการตลาด เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงไตรมาสสุดท้าย ซึ่งคาดว่ามูลค่าตลาดรวมเฟอร์นิเจอร์ในประเทศ สิ้นปี 2561 ประมาณการอยู่ที่ 80,000 ลบ.   “สำหรับผลประกอบการของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ในช่วง 9 เดือนของปี 2561 ที่ผ่านมานั้น สามารถทำยอดขายได้ 7,258 ลบ. มีอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales Growth) อยู่ที่ 4.6% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 20%  ของตลาดรวมเฟอร์นิเจอร์ในประเทศ ขณะที่ยอดสมาชิกบัตร JOY CARD ของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ มีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 1 ล้านราย”   “ทั้งหมดนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างเข้มข้นทั้งแคมเปญ ส่วนลด ตลอดจนโปรโมชั่นต่างๆ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงการเปิดสาขาใหม่  ได้แก่ สาขาบางกรวย-ไทรน้อย  ใน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี  ซึ่งเป็นสาขาลำดับที่ 29  เมื่อ ส.ค.ที่ผ่านมา บนพื้นที่รวมกว่า 7,000 ตร.ม. ภายในเทสโก้ โลตัส สาขาบางกรวย-ไทรน้อย  และนับเป็นแห่งที่ 4 ที่ร่วมกับเทสโก้ โลตัส  หลังจากเปิดสาขามหาชัย, สาขานครสวรรค์ และสาขาแจ้งวัฒนะ ไปแล้วตามลำดับ ประกอบกับปัจจัยเรื่องความร่วมมือกับบิสิเนสพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง ในการเสริมศักยภาพทางธุรกิจ ทั้งสายบัตรเครดิต ธนาคารและสถาบันทางการเงินชั้นนำ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง เพื่อเข้ามาเป็นคู่ค้าในฐานะโฮสต์ใหญ่แต่ละแคมเปญทางการตลาด อันเป็นผลดีทั้งกับ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ และทางพันธมิตรเอง นอกเหนือจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาปรับใช้กับสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ทั้งวัสดุ ฟังก์ชัน ดีไซน์ ในการนำเสนอสินค้าและบริการตามความพึงพอใจและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้า เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่อาศัยในเมืองมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ของผู้บริโภคในยุคตลาด 4.0 ไม่เพียงเน้นในเรื่องราคาเป็นตัวตัดสินใจซื้อเท่านั้น หากยังให้ความสำคัญในด้านฟังก์ชันการใช้งานและดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร รวมทั้งชื่นชอบสินค้าที่เป็นการ Customize แบบรายบุคคล”   “ที่สำคัญ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ยังได้เลือก “คิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส” ดารานักแสดงสาวชื่อดัง มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรก ด้วยเหตุผลในแง่ของการเป็นที่รู้จักและมีภาพลักษณ์ที่ดี อีกทั้งดู Premium Mass หากแต่ลูกค้ายังรู้สึกจับต้องได้  โดยได้เปิดตัวไปแล้วผ่านภาพยนตร์โฆษณา Ital Smart จากแนวคิด “ของมันต้องมี ที่เก็บดีๆ ต้องมีด้วย” ถ่ายทอดเรื่องราวการใช้ชีวิตสมาร์ทผ่านนวัตกรรมใหม่ ให้ตู้เสื้อผ้าเป็นมากกว่าที่จัดเก็บเสื้อผ้า จับกลุ่มลูกค้าอายุ 24-50 ปี รายได้ 1 แสนบาทขึ้นไปต่อเดือน กำหนดออนแอร์ TVC 90 วินาที ทางทีวีรวมถึงทางสื่อโซเชียลดิจิทัลทุกแพลตฟอร์มพร้อมกันเมื่อ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา”   ขณะเดียวกัน ในไตรมาส 4 อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ยังลุยกิจกรรมการตลาดต่อเนื่อง โดยเน้นหนักการจัดแคมเปญและโปรโมชั่น บวกของดีมีคุณภาพ ผ่านบิ๊กแคมเปญ “ไทม์ ทู เซเลเบรท 2019” (Time to Celebrate 2019) ที่จัดต่อเนื่องทุกสิ้นปี ซึ่งปีนี้ได้เชิญ อาจารย์ช้าง-ทศพร ศรีตุลา มาแนะนำ 4 ชุดของขวัญเสริมสิริมงคล หรือ Gift Baskets ได้แก่  ชุดสมบูรณ์พูนสุข ราคา 590 บาท, ชุดรุ่งโรจน์โชติช่วง ราคา 990 บาท, ชุดสำเร็จสมหวัง ราคา 1,290 บาท และชุดรวยทรัพย์รวยสุข  ราคา 1,590 บาท พร้อมชุดของขวัญและของแต่งบ้านที่คัดพิเศษอื่นๆ รวม 30 แบบ ภายใต้แนวคิด “Share a Wish, Share a Gift” แชร์ความสุขด้วยหัวใจ เริ่มวันนี้ - 9 ม.ค. 2562   ปีหน้าทุ่มเม็ดเงินลงทุนกว่า 165 ลบ. พลิกโฉมใหม่ 6 สาขา   บริษัทฯ ยังคงนโยบายมุ่งเน้นทำการตลาดเชิงรุกในประเทศชัดเจน นอกจากปีนี้จะเปิดสาขาใหม่แล้ว 1 สาขาข้างต้น ยังได้มีแผนรีโนเวทสาขา ประเดิมที่สาขาบางนา  และอีก 6 สาขา ต่อเนื่องในปีหน้า ได้แก่ สาขาราชพฤกษ์, สาขาเกษตร-นวมินทร์, สาขารังสิต, สาขาพัทยา, สาขาภูเก็ต และสาขาอุดรธานี  ทั้งนี้ ได้เริ่มต้นที่สาขาบางนา เพราะถือเป็นสาขาหนึ่งที่มีกำลังซื้อ ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายระดับกลางถึงสูง การปรับโฉมใหม่จึงได้เพิ่มการโฟกัสกลุ่มลูกค้าระดับสูงมากขึ้น มีการผลิตสินค้าลักชัวรี่ ที่มีดีไซน์สวย วัสดุพรีเมียม เน้นการใช้พื้นที่และฟังก์ชันการใช้งาน  ด้วยพื้นที่ที่ชัดเจน สวยงาม และสะดวกขึ้น นำร่อง 11 โซนดีไซน์ใหม่ ได้แก่ Trend Design, The Luxury Edition, Ital Smart, Ital Living, Natural Living,  Space Saving, Kitchen 4.0, Real House, Sofa Studio, Bedding Studio และท้ายสุดกับ Perfect Sleep  ที่แรกในไทย กับ One Stop Service รวมศาสตร์ความรู้ บริการ และนวัตกรรมสินค้าครบไลน์ทุกเรื่องการนอน  เพื่อสุขภาพการนอนที่สมบูรณ์แบบ  ทั้งผ้าปูที่นอน หมอน ที่นอน รวมถึงอุปกรณ์การนอนอื่นๆ มากมาย รวมกว่าร้อยรายการ พร้อมมีการนำเข้าสินค้าจากแบรนด์นวัตกรรมเรื่องการนอนชั้นนำของโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างแบรนด์ PureCare มาจำหน่ายเป็นรายแรกและรายเดียวในไทยด้วย     กางแผนปีหน้าลุยขยาย 4  สาขาทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงรุกตลาดต่างประเทศผ่านรูปแบบแฟรนไชส์   ปัจจุบัน อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ มีสาขาทั้งสิ้น 29 แห่งทั่วประเทศ และ Furniture Center อีก 6 สาขา, ร้าน Trend Design 4 สาขาที่อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาบางนา สาขาเกษตร-นวมินทร์ สาขาภูเก็ต และสาขาพัทยา ร้าน Momentous มัลติลิฟวิ่งสโตร์เฟอร์นิเจอร์ 3 สาขาที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาภูเก็ต และสาขาพัทยา และร้าน BoConcept 2 สาขาที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน  และ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาพัทยา รวมเป็นทั้งหมด 44 แห่ง  ขณะที่ในปี 2562 มีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 4 แห่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ได้แก่ สาขาชัยพฤกษ์, สาขาจันทบุรี, สาขารามอินทรา และสาขาสุขาภิบาล 3 ขณะที่ในต่างประเทศเตรียมวางแผนเดินหน้าขยายสาขาผ่านแฟรนไชส์อีก 2 แห่ง ที่ประเทศอินโดนีเซีย ในเมืองจาการ์ตาร์ และบาหลี ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่าศักยภาพของตลาดค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านในอินโดนีเซีย ยังมีอัตราการเติบโตในทิศทางที่ดี โดยปัจจัยสำคัญมาจากฐานประชากรขนาดใหญ่ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของอินโดนีเซีย รวมถึงรายได้ของประชากร และพฤติกรรมผู้บริโภค  สำหรับการขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ คาดว่าตลาดสามารถเติบโตได้ดี ผ่านการทำรูปแบบแฟรนไชส์ให้แก่ผู้ประกอบการท้องถิ่น อีกทั้งบริษัทฯ มีการศึกษาตลาดต่างประเทศ ตลอดจนศักยภาพการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศนั้นๆ เพื่อลดอัตราเสี่ยงในด้านต่างๆ ทั้งนี้ กลุ่มประเทศที่ให้ความสนใจและมีศักยภาพค่อนข้างสูง ได้แก่ กลุ่มประเทศในอาเซียนนั่นเอง “เราพร้อมปรับตัวตามสถานการณ์ ไม่หยุดนิ่ง  โดยยึดของดีมีคุณภาพ ในราคาจับต้องได้ เป็นทิศทางธุรกิจที่  อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จะเดินหน้าเต็มตัวในปี 2561 จากนี้ไป โดยนำ  Pain Point ของลูกค้ามาแก้ไขอย่างตรงจุด เพื่อตอบโจทย์ตลาด Customization ตามใจผู้บริโภคทุกรูปแบบ พร้อมเน้นจุดแข็งเรื่อง Space Utilization  ผ่าน  “ยูนีค” (Younique) Customized Furniture 4.0 เฟอร์นิเจอร์สั่งตัดตามใจคุณ ที่เป็นมากกว่าแค่ Personalize แต่ Customize ตรงตามความต้องการแบบเฉพาะรายคน ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใครแน่นอน ปัจจุบัน “ยูนีค” ทำยอดขายได้กว่า 255 ลบ. หลังจากเปิดตัวไปอย่างเป็นทางการเมื่อปีก่อน สะท้อนถึงการตอบรับอย่างดีจากตลาด Customization ขณะที่ทิศทางปีหน้าเชื่อว่ายุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย (ปี 2558- ปี 2565)  โดยเฉพาะโครงข่ายพัฒนารถไฟฟ้าสายสีต่างๆ รวมถึงการจัดให้มีการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นต้นปี 2562 นี้  จะเป็นสัญญาณทางการตลาดที่ดี ทั้งเป็นปัจจัยหนุนตลาดเฟอร์นิเจอร์ และตลาดอสังหาริมทรัพน์ให้เติบโตยิ่งขึ้นแน่นอน”  นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กล่าวปิดท้าย   หัวใจหลักที่ทำให้ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เป็นหนึ่งใน Top of Mind  ในใจผู้บริโภค คือ การศึกษาตลาดในประเทศและศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในเชิงลึกระดับอินไซด์ เพื่อพัฒนาต่อยอดแบรนด์สินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างแท้จริง เป็นวันสต็อปช้อปปิ้ง ตามสโลแกนมาที่เดียว “ครบ จบ คุ้ม” ทุกความต้องการเรื่องบ้าน สื่อสารทางการตลาดครอบคลุม IMC 360 ทุกด้าน หลากหลายครบทุกแพลตฟอร์มทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ตลอดจนสร้าง Content Stories ที่โดนใจ ผ่านแนวคิด “4i” Inspiration, Information, Interaction และ Influencer โดยมีสินค้าและบริการให้เลือกมากกว่า 30,000 รายการ นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มความสะดวกในการช้อปทางออนไลน์ หรือ e-commerce ผ่านช่องทาง  www.indexlivingmall.com สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ลูกค้ายุค 4.0 จึงกล่าวได้ว่าภาพรวมธุรกิจของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์  เติบโตมั่นคงและต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่งและมีศักยภาพสูงสุดในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไทย        
แสนสิริ ผนึกพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์เฝ้าระวังอัจฉริยะจากส่วนกลาง แจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน 24/7 แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ

แสนสิริ ผนึกพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์เฝ้าระวังอัจฉริยะจากส่วนกลาง แจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน 24/7 แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ

แสนสิริ ผนึกพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์เฝ้าระวังอัจฉริยะจากส่วนกลาง แจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน 24/7 แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ ยกระดับความปลอดภัยและระบบวิศวกรรมอาคารจากศูนย์ควบคุมส่วนกลางตลอด 24 ชม. ต่อยอดเทคโนโลยี IoT ที่เชื่อมต่อข้อมูลเรียลไทม์จาก 4 โครงการนำร่อง   แสนสิริ จับมือพลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทในเครือ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์ควบคุมสังเกตการณ์จากส่วนกลางเต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ณ อาคารสิริภิญโญ ภายใต้การลงทุนรวมกว่า  20 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการความปลอดภัยในพื้นที่ส่วนกลาง (Security Monitoring) และระบบวิศวกรรมอาคารส่วนกลาง (IoT Facility Management) ของโครงการที่พักอาศัย มายังศูนย์ควบคุมส่วนกลาง พร้อมผู้เชี่ยวชาญคอยเฝ้าระวัง สั่งการ และประสานงานตลอด 24 ชั่วโมงเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ ทั้งด้านการดูแลความปลอดภัย และระบบภายในอาคารให้ทุกระบบทำงานรวดเร็ว แม่นยำ จัดการปัญหาได้ตรงจุด พร้อมเสริมขีดความสามารถในการบริหารโครงการแบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Preventive Maintenance) นำร่อง 4 โครงการส่งท้ายปี 61 เป็นของขวัญปีใหม่ให้ลูกบ้านแสนสิริ เผยแผนเตรียมเชื่อมต่อ Smart Command Centre เข้ากับ 11 โครงการแนวราบและกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้การบริหารโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ที่จะแล้วเสร็จใหม่ ในปี 2562 ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเข้าใจลึกซึ้งถึงความต้องการของลูกค้าและไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาการบริการในโครงการที่อยู่อาศัย ล่าสุดจึงประกาศความพร้อมในการเดินหน้าต่อเนื่องในการนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีมาพัฒนายกระดับการบริการหลังการขายให้แก่ลูกบ้าน เพื่อสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ ภายใต้แนวคิดที่เป็นหัวใจหลักของแสนสิริและตอบโจทย์เทรนด์การใช้ชีวิตในยุคที่เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล มีบทบาท สำคัญในชีวิตประจำวัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บริษัทประสบความสำเร็จในกระแสตอบรับการเปิดตัว Sansiri Security System หรือระบบรักษาความปลอดภัยภายในโครงการ (พื้นที่ส่วนกลาง) ที่แข็งแกร่งด้วยเทคโนโลยีอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยผสานกับการทำงานของทีมงานที่ได้รับการฝึกอบรมจากครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับการอยู่อาศัยของลูกบ้านในด้านความปลอดภัยอย่างรอบด้าน รวมถึงการเป็นผู้นำในการพัฒนา สมาร์ท คอนโด โดยการเดินหน้าใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ในทุกโครงการคอนโดมิเนียมที่จะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562เป็นต้นไป “ในวันนี้ แสนสิริได้ต่อยอดการให้บริการด้านการอยู่อาศัยให้ล้ำหน้าไปอีกขั้นด้วยการร่วมมือกับพลัส พร็อพเพอร์ตี้ จัดตั้ง “Smart Command Centre” ศูนย์ควบคุมสังเกตุการณ์จากส่วนกลาง เต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 20 ล้านบาท เพื่อสร้างความมั่นใจในการให้บริการที่ดีที่สุดให้กับลูกบ้านแสนสิริในโครงการที่บริหารจัดการโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ทั้งด้านบริหารจัดการความปลอดภัย (Security Monitoring) ที่เพิ่มความอุ่นใจแก่ผู้อยู่อาศัยเป็น 2 เท่า และด้านการบริหารจัดการระบบวิศวกรรมอาคาร (IoT Facility Management) ด้วยเทคโนโลยี IoT อันล้ำสมัยที่สามารถช่วยในเรื่องของการบริหารจัดการ Facility และลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางของโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.ทวิชา กล่าว สำหรับศูนย์ควบคุมสังเกตุการณ์จากส่วนกลางเต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย (Smart Command Centre) ตั้งอยู่ที่อาคารสิริภิญโญ ได้รับการพัฒนาและวางระบบจากผู้นำในธุรกิจและเทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัยมาตรฐานสากลที่มีประสบการณ์มากว่า 40 ปี ได้แก่ บริษัท กัทส์ อินเวสติเกชั่น จำกัด ร่วมพัฒนาและวางระบบในการปฏิบัติการทั้งหมด โดย Smart Command Centre มีหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการ เฝ้าระวัง สังเกตุการณ์เหตุผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนกลาง รวมถึงแจ้งเตือนเมื่ออุปกรณ์ใกล้ถึงเวลาบำรุงรักษาแบบเรียลไทม์ พร้อมสั่งการเพื่อดำเนินการตรวจสอบความผิดปกติต่าง ๆ จากศูนย์ควบคุมฯ ได้ทันที นอกจากนี้ยังช่วยประสานงาน กับหน่วยงานต่างๆ เช่น ตำรวจ โรงพยาบาล หรือช่างผู้เชี่ยวชาญได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการต่อเหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด โดยภายในศูนย์ควบคุมฯ จะมีเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการ 2 ทีมประจำ 24 ชั่วโมง ตลอดทั้ง 7 วัน ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์คมชัดระดับ HD จำนวน 12  จอที่จะรับสัญญาณตรงมาจากโครงการแบบเรียลไทม์ นายชาญ ศิริรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและวิศวกรรม บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือกับแสนสิริในการจัดตั้ง Smart Command Centre จะช่วยสร้างความอุ่นใจและสบายใจให้กับลูกบ้านแสนสิริในโครงการที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้บริหารจัดการ ทั้งในด้านการเฝ้าระวัง (Preventive Monitoring) และการดูแลรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance ) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการที่อยู่อาศัยให้โดดเด่นด้านมูลค่าเหนือคู่แข่งในทำเลเดียวกัน จากระดับความปลอดภัยในการอยู่อาศัยและความสามารถในการดูแลรักษาโครงการให้มีประสิทธิภาพสวยงามอยู่เสมอ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจเช่าและการซื้อขายเปลี่ยนมือ รวมถึงช่วยบริหารค่าส่วนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย “ในปลายปี 2561 นี้ Smart Command Centre จะเริ่มเชื่อมต่อข้อมูลจาก 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม เดอะ เทอร์ทีไนน์ สุขุมวิท 39, โครงการ เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา, โครงการ เดอะ ไลน์ ราชเทวี และโครงการบ้านเดี่ยวคณาสิริ พระราม 2 – วงแหวน นอกจากนี้ในปี 2562 เรามีแผนที่จะเชื่อมต่อ Smart Command Centre เข้ากับโครงการแนวราบ 11 โครงการ และโครงการแนวสูงที่จะแล้วเสร็จทั้งหมด ในอนาคต แสนสิริ และพลัสฯ ยังมีแผนการต่อยอดขอบข่ายการทำงานของ Smart Command Centre ทั้งในด้านของการบริหารความปลอดภัย ที่จะเพิ่มการเชื่อมต่อข้อมูลจากระบบ Visitor Management System ที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลของผู้มาติดต่อทั้งหมด และระบบ Face Recognition ที่สามารถจัดเก็บภาพใบหน้า ลายนิ้วมือ และข้อมูลของผู้รับเหมา และในส่วนของ IoT Facility Management จะนำมาใช้ในการบริหารจัดการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ (Smart Grid) และการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) เพิ่มเติม   “นอกเหนือจากความสามารถด้านการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย และการดูแลระบบวิศวกรรมอาคารส่วนกลาง แสนสิริและพลัสฯ ยังมีแผนขยายขีดความสามารถของ Smart Command Centre ไปยังการใช้งานระบบ Touch Points & Intelligent ซึ่งเป็นเครื่องมือในการรับฟังและตอบรับ ความต้องการของลูกค้าทั่วประเทศผ่านทั้งช่องทางโซเชียลมีเดียและ คอลล์เซ็นเตอร์ รวมถึง Sansiri Infrastructure ที่จะสร้างความมั่นใจในความพร้อมเรื่อง CRM, Salesforce, Data Warehouse ต่าง ๆ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดูแลลูกบ้านตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งทั้งหมดนี้ คือบริการจากแสนสิริและพลัสฯ ที่พัฒนาด้วยความใส่ใจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการให้บริการและสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบให้แก่ลูกบ้านแสนสิริครอบคลุมไปถึงในปี 2562” ดร. ทวิชากล่าว          
‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ เปิดเกมขยายตลาดต่างประเทศ ลุยโรดโชว์จีน-ฮ่องกง เชื่อศักยภาพตลาดยังแกร่ง

‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ เปิดเกมขยายตลาดต่างประเทศ ลุยโรดโชว์จีน-ฮ่องกง เชื่อศักยภาพตลาดยังแกร่ง

‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ เปิดเกมรุกขยายตลาดต่างประเทศเต็มสูบ ขน 2 โครงการพรีเมี่ยม วาลเด้น สุขุมวิท 39 และ วาลเด้น สุขุมวิท 31 เดินหน้าจัดกิจกรรมโรดโชว์ 3 เมืองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว หลังประสบความสำเร็จในตลาดฮ่องกง มั่นใจคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมในกรุงเทพฯ ยังเติบโตได้อีกมาก จากกลุ่มลูกค้าชาวจีนมีศักยภาพสนใจซื้อและลงทุน แย้มกลยุทธ์ปีหน้าจับมือพันธมิตรรายใหญ่จ่อลุย ตลาดอื่นทั้งในเอเชียและตะวันออกกลาง นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อการลงทุนของไทย เปิดเผยว่า “ตลาดคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมของผู้ซื้อชาวต่างชาติยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยบริษัทฯมีแผนขยายตลาดลูกค้าชาวต่างชาติให้มากขึ้น ซึ่งเริ่มจากตลาดลูกค้าชาวจีนและฮ่องกงที่มีความใกล้ชิด ก่อนขยายไปยังตลาดอื่น ๆ ต่อไป โดยจะรุกทำกิจกรรมการตลาด ในทุกช่องทาง ทั้งการจัดกิจกรรมการตลาดในต่างประเทศด้วยตัวเอง และการร่วมมือกับพันธมิตรในการเจาะตลาดตรงเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าต่างชาติได้เพิ่มมากขึ้น”   ทั้งนี้ ฮาบิแทท กรุ๊ป ได้เริ่มจัดทำโร้ดโชว์ที่ฮ่องกงในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ และในช่วงเดือนธันวาคม 2561 ถึง มกราคม 2562 นี้ ยังได้จับมือกับพันธมิตรจีนในการจัดกิจกรรมการตลาดใน 3 เมืองที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว เพื่อเจาะตลาดลูกค้าชาวจีนโดยเฉพาะ ส่วนโครงการที่นำไปเสนอขายในการจัดกิจกรรมการตลาดในจีนครั้งนี้ จะเป็นโครงการที่บริษัทกำลังเปิดขายอยู่ขณะนี้คือ โครงการวาลเด้น สุขุมวิท 39 ซึ่งมีโควต้าสำหรับลูกค้าชาวต่างชาติเหลืออยู่ราว 50 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 400 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถขายได้หมดในช่วงไตรมาส 1 - 2 ของปีหน้า และในต้นปี 2562 จะมีนำเอาโครงการใหม่ที่จะไปเจาะตลาดลูกค้าชาวต่างชาติ ได้แก่ โครงการ วาลเด้น สุขุมวิท 31 เป็นโควต้าสำหรับลูกค้าชาวต่างชาติ มูลค่าประมาณ 400 ล้านบาท “แม้การเติบโตของการซื้อขายโครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ของลูกค้าชาวจีนและฮ่องกงจะชะลอตัว เนื่องจากยังมีปัจจัยความกังวลต่อสถานการณ์ไม่แน่นอนจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน แต่ยังมีกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่มีกำลังซื้อและยังให้ความสนใจคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมที่มีราคาตั้งแต่ 5 - 10 ล้านบาทอยู่ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดเป้าหมายของฮาบิแทท กรุ๊ป เรามั่นใจและเชื่อมั่นว่าสินค้าที่ออกไปนำเสนอจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และคาดว่ากำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าชาวจีนน่าจะเติบโตขึ้นอีกช่วงหลังเทศกาลตรุษจีนในปีหน้า” นายชนินทร์ กล่าว   นอกจาก ฮาบิแทท กรุ๊ป จะให้ความสำคัญในการจัดกิจกรรมการตลาดในจีน และฮ่องกงแล้ว ยังให้ความ สำคัญกับตลาดอื่นด้วยเช่นกัน โดยมองหากลุ่มตลาดใหม่ ๆ เช่น ตะวันออกกลาง และตลาดในเอเชียอย่างญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ และมาเลเซีย   “แม้เราจะมีกลุ่มตลาดเป้าหมายที่ชัดเจนอย่างจีนกับฮ่องกงก็ตาม แต่ฮาบิแทท กรุ๊ป ก็ยังมองหาโอกาสในตลาดเกิดใหม่เพิ่มเติม พร้อมขยายฐานลูกค้า ด้วยการจับมือกับพันธมิตร ใช้กลยุทธ์และขยายช่องทางไปสู่ตลาดใหม่ ๆ มากขึ้น โดยถือเป็นกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจตลอดปี 2562 รวมถึงการมีโปรดักส์ใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มเติมขึ้นด้วย” “ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังเชื่อมั่นต่อตลาดผู้ซื้อต่างประเทศว่าจะมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นในปีหน้า เพราะประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีเมืองท่องเที่ยวที่ติดอันดับเมืองท่องเที่ยวของโลกซึ่งได้แก่ กรุงเทพฯ และพัทยา โดยมียอดนักท่องเที่ยวเติบโตขึ้นทุกปี ส่งผลให้การลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มเติบโต ทั้งฝั่งของผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าไปลงทุนในเมืองท่องเที่ยวเหล่านี้ และฝั่งของผู้ลงทุนรายบุคคลที่เห็นประโยชน์จากการเติบโตของการท่องเที่ยว ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่ และที่สำคัญเมื่อโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC เข้ามา ก็จะทำให้แหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคตะวันออกอย่าง พัทยา เติบโตอย่างก้าวกระโดดอีกด้วย" นายชนินทร์ กล่าวปิดท้าย   สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ของฮาบิแทท กรุ๊ป ได้ที่เว็บไซต์ www.habitatgroup.co.th หรือโทร. 02-168-8266   เฟสบุ๊ค www.facebook.com/HabitatGroupProperties ไลน์ @habitatgroup อินสตาแกรม habitatgroup.th          
“สิงห์ คอมเพล็กซ์” โครงการลักชัวรีมิกซ์ ยูส แห่งแรกในย่านอโศก-เพชรบุรี พร้อมเปิดอย่างเป็นทางการ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านการผสมผสานแนวคิดในทุกมิติอย่างลงตัว

“สิงห์ คอมเพล็กซ์” โครงการลักชัวรีมิกซ์ ยูส แห่งแรกในย่านอโศก-เพชรบุรี พร้อมเปิดอย่างเป็นทางการ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านการผสมผสานแนวคิดในทุกมิติอย่างลงตัว

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดตัว ‘สิงห์ คอมเพล็กซ์’ เดอะ ลักชัวรี มิกซ์ ยูส คอมเพล็กซ์ โครงการลักชัวรี มิกซ์ ยูส บริเวณหัวมุมถนนอโศก-เพชรบุรีอย่างเป็นทางการ โครงการตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 11 ไร่ ประกอบไปด้วย อาคารสำนักงานเกรดเอ “ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” 42 ชั้น ที่มีโซนพื้นที่ค้าปลีกรวมร้านค้าและร้านอาหารชื่อดังกว่า 30 ร้าน และคอนโดมิเนียมลักชัวรี “ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” สูง 39 ชั้น จำนวน 319 ยูนิต โดดเด่นด้วยแนวคิดในการออกแบบอย่างพิถีพิถัน ใส่ใจในทุกรายละเอียด พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากทำเลที่ตั้งเดิมของสถานทูตญี่ปุ่น ณ บริเวณหัวมุมถนนอโศก-เพชรบุรี สู่ทำเลศักยภาพในย่านเขตธุรกิจใหม่ของกรุงเทพมหานคร การเป็นจุดศูนย์กลางคมนาคม ติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีเพชรบุรี ใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ท่าเรืออโศกคลองแสนแสบ และทางพิเศษศรีรัช ทำให้ สิงห์ เอสเตท บริษัทชั้นนำ ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนในประเทศไทยและต่างประเทศ นำโดยนายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทฯ เล็งเห็นศักยภาพของทำเลที่ตั้งดังกล่าว จึงตัดสินใจพัฒนาโครงการ “สิงห์ คอมเพล็กซ์” (SINGHA COMPLEX) โครงการลักชัวรี มิกซ์ ยูส แห่งแรกของย่านอโศก-เพชรบุรี บนพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแห่งนี้ นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าว “สิงห์ คอมเพล็กซ์ สะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์ที่ต้องการเพิ่มมูลค่าให้กับพื้นที่ประวัติศาสตร์ รวมถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อเจาะตลาดพรีเมียมของบริษัทฯ ผ่านการพัฒนาและออกแบบอย่างพิถีพิถัน ใส่ใจในทุกรายละเอียด มีการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยในส่วนของอาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีให้สามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อการจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด บนพื้นฐานของความตั้งใจของ สิงห์ เอสเตท ที่จะนำเสนอสิ่งใหม่ในการใช้ชีวิต (Premier Lifestyle Developer) ส่งมอบคุณภาพที่ดีที่สุดทั้งสินค้าและบริการ และที่สำคัญคือการส่งเสริมสังคมและสภาพแวดล้อมให้ยั่งยืน” โดย สิงห์ คอมเพล็กซ์ มุ่งเน้นการสร้างประสบการณของผู้คนเพื่อให้ทุกวินาทีของการใช้ชีวิตครบถ้วน ด้วยการจัดพื้นที่ได้อย่างลงตัว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ระหว่างการทำงาน พักผ่อน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและการบริการระดับมืออาชีพ ผ่านมิติการใช้ชีวิตทั้ง 4 ด้าน คือ การเดินทางและการเชื่อมโยงทุกการใช้ชีวิต (Life Associated) เชื่อมโยงทุกการเดินทางอย่างสะดวกเพื่อคืนเวลาในการใช้ชีวิต สร้างสมดุลทั้งทำงาน พักผ่อน และสังสรรค์กับเพื่อนฝูงภายในที่เดียว การตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่มีเอกลักษณ์เพื่อสะท้อนตัวตนของคนยุคใหม่ (Life Characteristics) ค้นหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการทำงาน ใช้ชีวิตกับสังคมคุณภาพ พร้อมรับพลังงานจากสิ่งดี ๆ รอบตัว การใช้ชีวิตทุกวันให้เป็นโอกาสพิเศษ (Life Exclusivity) สีสันใหม่ของชีวิต ถูกสร้างจากความพิถีพิถันในรายละเอียด และบริการที่เป็นเลิศ เพื่อมอบประสบการณ์และโอกาสที่พิเศษยิ่งกว่า และการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ (Life Dimension) แสงแดดที่พอเพียง อุณหภูมิที่พอเหมาะ และมีเวลาที่มีคุณภาพ ก่อเกิดเป็นความสุขในทุกมิติ   สิงห์ คอมเพล็กซ์ ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมลักชัวรี “ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” (THE ESSE at SINGHA COMPLEX) ความสูง 39 ชั้น จำนวน 319 ยูนิต ซึ่งจะมีการส่งมอบให้กับลูกค้าในช่วงปลายปี 2562 และอาคารสำนักงานให้เช่าพร้อมพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า ความสูง 42 ชั้น แบ่งเป็น อาคารสำนักงานเกรดเอ “ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” (THE OFFICE at SINGHA COMPLEX) สมาร์ทออฟฟิศแห่งใหม่บนถนนอโศก เพชรบุรี โดดเด่นออกแบบด้วยการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยการใช้ชีวิตทำงาน และส่วนพื้นที่ค้าปลีก ซึ่งเป็นศูนย์รวมร้านค้าและร้านอาหารชื่อดังกว่า 30 ร้าน พร้อมมีพื้นที่สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ พื้นที่ออกกำลังกายลู่วิ่งจ็อกกิ้งบนดาดฟ้า (Rooftop Jogging Track) และพื้นที่ทำงานแบบ Co-working space ซึ่งอยู่ในส่วนของ “Amphitheatre” เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจที่เปิดให้ผู้มาใช้บริการสามารถทำงานและพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย รวมทั้งการบริการระดับมืออาชีพตามมาตรฐานโรงแรมห้าดาว นอกจากนั้นเพื่อรองรับการใช้ชีวิตในยุคดิจิตอล พร้อมเติมเต็มประสบการณ์ด้านการใช้ชีวิตแบบ SMART LIFE มีบริการ Super WIFI ความเร็วสูงถึง 1GB/Sec. ให้บริการฟรี เรียกได้ว่าเชื่อมโยงทุกแง่มุมของการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมการทำงาน การพักผ่อน หรือการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ทั้งนี้ สิงห์ คอมเพล็กซ์ ยังได้รับการออกแบบมาให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน ตามหลักกลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืนของ สิงห์ เอสเตท ที่ให้ความสำคัญกับศักยภาพของทำเลที่ตั้ง และการสร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะรายละเอียดที่จะสร้างความยั่งยืนให้แก่สิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง นายนริศกล่าว “โครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ สะท้อนให้เห็นแนวคิดในด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) อย่างชัดเจน เริ่มตั้งแต่การเลือกที่จะรักษาต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่ในพื้นที่แต่เดิมไว้เพราะต้นจามจุรีสามต้นนี้เป็นสัญลักษณ์ของอโศก และการออกแบบพื้นที่สีเขียวทั้งภายในและภายนอกอาคารภายใต้แนวคิด Urban Sanctuary นอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญเรื่องความสวยงามควบคู่ไปกับการเลือกใช้นวัตกรรมอัจฉริยะ เช่น การออกแบบฟินสีทองที่สร้างความโดดเด่นสวยงามให้ตัวอาคารภายนอก ในขณะเดียวกันได้เลือกติดตั้งกระจก Double Glazed ทั้งอาคารเพื่อช่วยในเรื่องลดความร้อน ป้องกันแสงยูวี กันเสียงจากภายนอก และสามารถนำแสงธรรมชาติมาใช้ในอาคาร รวมถึงการออกแบบที่ได้การรับรองมาตรฐาน LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) ซึ่งเป็นมาตรฐานอาคารเพื่อสิ่งแวดล้อมระดับสากล” ร่วมสัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตอันสมบูรณ์แบบที่ สิงห์ คอมเพล็กซ์ โครงการลักชัวรี มิกซ์ ยูส แห่งแรกในย่านอโศก-เพชรบุรี ที่รวบรวมทุกรายละเอียดเพื่อเติมเต็มทุกความต้องการของไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ไว้อย่างลงตัวได้แล้ววันนี้ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook.com/SinghaComplex          
“เลคซีรีน” “สัมผัสบรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติ สงบ และปลอดโปร่ง สร้างสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

“เลคซีรีน” “สัมผัสบรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติ สงบ และปลอดโปร่ง สร้างสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

เลคซีรีน บ้านสไตล์ นอร์ท อเมริกัน สุดหรูหราพร้อมทะเลสาบส่วนตัว แรงบันดาลใจจากต้นกำเนิดของสถาปัตยกรรมอเมริกันโมเดิร์นแบบ “Prairie house” ในแถบชานเมืองของชิคาโก ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง Frank Lloyd Wright  ผสานความเป็นเอกลักษณ์ของเส้นสายระนาบแนวนอนและรูปทรงเรขาคณิตในทุกรายละเอียดของการดีไซน์บ้าน ผสานกับการออกแบบบนคอนเซ็ปที่เน้นความเรียบง่าย บ่งบอกถึงความตั้งใจที่ต้องการให้ผู้อยู่อาศัยเข้าถึงธรรมชาติมากขึ้น และสัมผัสถึงสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ โครงการบ้านเดี่ยวโอบล้อมริมทะเลสาบส่วนตัวสุดพิเศษพร้อมพื้นที่พักผ่อนส่วนตัวรอบบ้านที่ให้ผู้อยู่อาศัยสัมผัสถึงบรรยากาศการพักผ่อน กับความงดงามของธรรมชาติ สายลม แสงแดดอ่อนๆ และบรรยากาศของโครงการที่พาคุณดื่มด่ำกับบ้านพักอาศัยให้ความรู้สึกราวกับบ้านพักตากอากาศในทุกวัน พื้นที่ใช้สอยที่ลงตัว ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ พร้อมทัศนียภาพการชีวิตที่สวยงานกับระบบสายไฟฟ้าใต้ดินทั้งโครงการ เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้ชีวิตด้วยเทคโนโลยี smart home & smart security ทั้งในพื้นที่ภายในบ้านและพื้นที่ส่วนกลาง บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 100 -150 ตร. วา พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 220-429 ตร. ม. ด้วยราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาทออกแบบสไตล์ยุโรป ฟังก์ชั่นการใช้งานสุดลงตัว ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย เชื่อมส่วนต่างๆ ด้านล่างของตัวบ้านด้วยห้องโถงขนาดใหญ่กลางบ้าน เพดานสูง 7 เมตร ให้ความรู้สึกหรูหราสไตล์คฤหาสน์  โปร่ง โล่งสบายตา พร้อมรองรับการมาเยี่ยมเยือน การสังสรรค์และการพักผ่อนในวันหยุด ห้องนอนขนาดใหญ่และห้องน้ำภายในที่ถูกจัดวางอย่างลงตัวตอบรับการใช้งาน เพิ่มเติมห้องครัวไทยให้เป็นอีกทางเลือกของผู้อยู่อาศัย บริเวณรอบตัวบ้านมีสวนและพื้นที่ใช้สอยให้ได้มีกิจกรรมร่วมกันของทุกคนในบ้าน ทุกส่วนของบ้านเปิดรับลมโชยที่มีกลิ่นอายของทะเล ทะเลสาบ และแมกไม้จากรอบโครงการ วิวสวยสไตล์บ้านตากอากาศ พื้นที่ส่วนกลางของโครงการขนาดใหญ่ คลับเฮาส์ สวนพักผ่อน ฟิสเนต สนามเด็กเล่น และพื้นที่ริมทะเลสาบช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายยามเย็น สะดวกสบายหากต้องการเดินทางไปพักผ่อนในวันหยุด หรือเดินทางเข้าไปทำงานใจกลางกรุงเทพเพียง 15 นาทีถึงทางด่วนเฉลิมมาหานคร เข้าถึงย่านสาทร พระราม 3 พระราม 9 ได้อย่างสะดวก และ 10 นาทีถึงวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันตก มุ่งสู่บางนาได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังแวดล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้งและสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ โรงเรียนนานาชาตินอริช โรงเรียนเลิศหล้า โรงเรียนอัสสัมชัญ โรงเรียนสารสาสน์วิเทศบางบอน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ห้างสรรพสินค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ เซ็นทรัล พระราม 2 บิ๊กซี พระราม 2 เซ็นทรัล มหาชัย พอร์โต้ ชิโน่  โรงพยาบาลพานาซี โรงพยาบาลนครธน โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล โรงพยาบาลบางมด   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ 0 2026 2132 หรือ  www.lakeserene-rama2.com