Tag : News

2376 ผลลัพธ์
เปิด 6 มุมรอบบ้าน “บ้านนวัต รามคำแหง 118” ไอเดียสร้างบ้านลักชัวรีอย่างมีนวัตกรรม เพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

เปิด 6 มุมรอบบ้าน “บ้านนวัต รามคำแหง 118” ไอเดียสร้างบ้านลักชัวรีอย่างมีนวัตกรรม เพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการบ้านลักชัวรี่ให้เป็นบ้านยั่งยืน พรีเมียร์ แอสเซ็ทส์ เปิดตัวโครงการ บ้านนวัต รามคำแหง 118 บ้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Innovation for Sustainable Living) ที่นำเอาเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่มาหลอมรวมเป็นไอเดียสุดบรรเจิดในการดีไซน์ทุกมุมบ้านด้วยฟังก์ชั่นล้ำๆ เพื่ออำนวยความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้ผู้อาศัย   โดยบ้านทุกหลังในโครงการฯ ผ่านกระบวนการจัดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบาย ล้ำสมัย บำรุงรักษาง่าย เพื่อรองรับการอยู่ร่วมกันของคนทุกช่วงวัยภายในบ้าน รวมถึงผ่านกระบวนการคิดและออกแบบอย่างละเอียดให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ ตัวบ้านถูกจัดวางให้สอดคล้องกับทิศทางลมและแดด การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ลดความร้อน อีกทั้งยังนำเทคโนโลยีพลังงานสะอาดมาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้าและน้ำประปาอีกด้วย รวมๆ แล้วภายในบ้านมีจุดประหยัดพลังงานยั่งยืนถึง 6 จุดด้วยกัน   1.นวัตกรรมระบบปรับอากาศอัจฉริยะประหยัดพลังงาน หรือระบบ VRV เป็นระบบปรับอากาศที่แยกการทำงานโดยอิสระ แต่มีสมองกลควบคุมการทำงานให้มีการรักษาอุณหภูมิที่ตั้งของแต่ละห้องให้คงที่ และควบคุมการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดตามจำนวนห้องที่เปิดใช้จริง ซึ่งผลพลอยได้จากนำระบบ VRV (Variable Refrigerant Volume) มาใช้ คือคอนเด็นซิ่งยูนิตจะรวมติดตั้งอยู่เพียงจุดเดียวภายในบ้าน ทำให้บ้านมองดูสวยงาม ไม่มีจุดเกะกะให้สายตาให้หงุดหงิดใจ   2.นวัตกรรมการผลิตน้ำร้อนจากแอร์ ไอเดียจากภูมิปัญญาไทย ที่นำมาสู่การประหยัดพลังงานที่ยั่งยืน บ้านทุกหลังในโครงการจะได้น้ำร้อน  ใช้ฟรี!! ทันที ด้วยระบบผลิตน้ำร้อนภายในบ้านที่ไม่ได้ใช้พลังงาน อย่าง หม้อต้มน้ำร้อนสักนิด เพราะใช้พลังงานความร้อนที่ปล่อยจากเครื่องปรับอากาศมาผลิตน้ำร้อนใส่ถังเก็บรักษาอุณหภูมิ เพื่อปล่อยน้ำอุ่นๆ สู่ก๊อกน้ำต่างๆ ทั้งบ้าน ส่วนความร้อนจากระบบปรับอากาศที่เหลือใช้จากการทำน้ำร้อน จะถูกปล่อยลงสระว่ายน้ำ ในอุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 2-3 องศาเซลเซียส ส่งผลให้น้ำในสระอุ่นกำลังดี   โดยประโยชน์ทางอ้อมของการนำความร้อนจากระบบปรับอากาศมาใช้ คือพัดลมตัวนอกของเครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง ลดการเป่าลมร้อนโดยตรงออกสู่ระบบนิเวศ และใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยลง   3.นวัตกรรมการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ประหยัดค่าไฟอย่างยั่งยืน ขาดไม่ได้เลยในยุคนี้กับการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อนำเอาพลังงานแสงอาทิตย์มาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้ามาใช้ภายในบ้าน โดยไฟฟ้าออกแบบให้รองรับการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปิดช่วงกลางวัน ซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้อีกหนึ่งทาง   4.ระบบไฟฟ้าและกล้องวงจรปิดอัจริยะ เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์คนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี เจ้าของบ้านสามารถควบคุมระบบแสงสว่าง, ระบบปรับอากาศ, ระบบรักษาความปลอดภัย กล้องวงจรปิด ตลอดจนการควบคุมการเปิด-ปิด ประตูรั้วบ้าน ผ่านโทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปที่ใดในโลกใบนี้ นอกนั้น  นอกจากนั้น ยังเลือกใช้หลอดไฟประหยัดพลังงานทั้งหลัง เพื่อยืดอายุการใช้งาน ทั้งที่เป็นแบบโคมไฟสำหรับตั้งโต๊ะ หรือแบบติดเพดาน   5.นวัตกรรมระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติจากน้ำทิ้งที่บำบัดแล้ว เป็นวิธีที่รักษาระบบนิเวศให้สมดุล ด้วยระบบบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศประสิทธิภาพสูง โดยน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วได้วางระบบให้นำกลับมารดน้ำต้นไม้รอบๆ บ้านในเวลากลางคืนโดยอัตโนมัติ โดยแทบไม่มีการระบายน้ำทิ้งสู่ระบบระบายน้ำสาธารณะเลยที่ และเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายบ้านได้ อย่างประหยัด และไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อมอีกด้วย   6.นวัตกรรมผนังระบายอากาศช่วยให้บ้านเย็นสบาย กับการออกแบบ ผนัง 2 ชั้น ที่มีช่องระบายอากาศคั่นกลาง (Air Ventilation Gap)เพื่อการระบายอากาศที่ดีเยี่ยม เพราะตัวผนังด้านใน ไม่ได้รับแสงโดยตรง ส่งผลทำให้บ้านไม่ร้อน และช่องว่างระหว่างผนัง ยังสามารถระบายอากาศ ลดความร้อน ช่วยให้บ้านเย็นสบาย   ผู้สนใจสามารถเข้าชมโครงการ บ้านนวัต รามคำแหง 118 (BAAN NAWAT RAMKHAMHAENG 118) ได้แล้ววันนี้ โครงการบ้านเดี่ยว 3 ชั้น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ บนขนาดที่ดิน มีบ้านทั้งหมด 3 Type ได้แก่ 1.Type A พื้นที่ใช้สอย 557 ตร.ม. ขนาดที่ดิน 120.8-166.4 ตร.ว. 2.Type B พื้นที่ใช้สอย 576 ตร.ม. ขนาดที่ดิน 97.5-119.8 ตร.ว. และ 3. Type C พื้นที่ใช้สอย 363 ตร.ม. ขนาดที่ดิน 72.8-110.9 ตร.ว. ดูรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.premierassets.co.th หรือสอบถาม โทร.02 301 2888          
ซิซซา กรุ๊ป มุ่งพัฒนา Investment Property ทางเลือกใหม่สำหรับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ปั้น “วินแดม ในหาน บีช ภูเก็ต” แบ่งรายได้ค่าเช่าให้นักลงทุนโดยตรง 100%

ซิซซา กรุ๊ป มุ่งพัฒนา Investment Property ทางเลือกใหม่สำหรับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ปั้น “วินแดม ในหาน บีช ภูเก็ต” แบ่งรายได้ค่าเช่าให้นักลงทุนโดยตรง 100%

บริษัท ซิซซา กรุ๊ป จำกัด ประกาศเป็นผู้นำบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน Investment Property(IP) ชี้ IP เป็นหนึ่งในทางเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า ความเสี่ยงต่ำ ได้กำไรทั้งจากค่าเช่า และราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นทุกปี เปิดตัวโปรเจคนำร่อง “วินแดม ในหาน บีช ภูเก็ต” เป็น Investment Property อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนแบบเต็มตัว ชูจุดเด่นแบ่งสัดส่วนรายได้ค่าเช่าหลังหักค่าใช้จ่ายให้นักลงทุนโดยตรง 100% นายอรรถนพ พันธุกำเหนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิซซา กรุ๊ป จำกัด บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์มายาวนานมากกว่า 15 ปี และมุ่งเน้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนรูปแบบใหม่ “Investment Property” เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมีความผันผวนจากผลกระทบทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ทำให้คนส่วนใหญ่หันมาสนใจการจัดสรรเงินลงทุนในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เงินลงทุนหดหาย การลงทุนต้อง มีความเสี่ยงต่ำ และในระยะยาวเงินทุนสามารถเติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจให้ผลตอบแทนการลงทุนในระดับที่ดี ใช้เงินสดเพื่อการลงทุนไม่มาก ทั้งนี้ จากการที่เป็นบริษัทฯ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาอย่างต่อเนื่อง พบว่าความต้องการลงทุน (Demand) ในอสังหาริมทรัพย์ของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ที่สร้างรายได้ในรูปแบบค่าเช่า เช่น โรงแรม คอนโด อพาร์ตเมนต์   ดังนั้น ด้วยประสบการณ์และความชำนาญด้านการก่อสร้างและพัฒนาอสังหาฯ ในพื้นที่ท่องเที่ยวอย่าง ภูเก็ต กระบี่ พังงา บริษัทฯ จึงมองเห็นโอกาสในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ในรูปแบบ Investment Property (IP) ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่เน้นเพื่อการลงทุนอย่างเดียว ไม่มีการผสมกันของอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ขายให้เฉพาะกลุ่มผู้สนใจลงทุนเท่านั้น มีทีมงานมืออาชีพระดับโลกมาบริหารงานให้เกิดค่าเช่ากับนักลงทุนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย รูปแบบของ IP จะมีผู้เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย ได้แก่ นักลงทุนหรือผู้ซื้อ (Investor) ผู้บริหารมืออาชีพ (Management Company) และ ผู้พัฒนา (Developer) โครงการแรกที่บริษัทฯ ได้พัฒนาเป็น IP หรืออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนแบบเต็มตัว คือ โครงการ วินแดม ในหาน บีช ภูเก็ต (WYNDHAM Nai Harn Beach Phuket) โรงแรมหรูบนทำเลโดดเด่นที่สุดของชายหาดในหาน เป็นอสังหาฯเพื่อการลงทุนที่มีการวางคอนเซ็ปท์มาตั้งแต่แรกเริ่มทำโครงการ โดยได้รับการตอบรับจาก แบรนด์วินแดม (WYNDHAM) ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับโลกในการบริหารโรงแรม ความเป็นมืออาชีพของการบริหารโรงแรมในเครือวินแดม ทำให้บริษัทฯ สามารถนำเสนอการการันตีผลตอบแทนการลงทุน 2 ปีแรกได้ที่ 6% และปีที่ 3-15 เป็นการจ่ายปันผลตามผลประกอบการจาก WYNDHAM โดยตรง ซึ่ง สัดส่วนรายได้ค่าเช่าหลังหักค่าใช้จ่ายนักลงทุนจะได้รับไป 100% บริษัทมีความเชื่อมั่นว่านักลงทุนจะได้ผลตอบแทนรวมเฉลี่ยมากกว่า 10% ต่อปี โดยที่นักลงทุนมีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของและถือโฉนดยูนิตที่ลงทุน เพียงแต่ต้องอยู่ภายใต้สัญญาการบริหารจากทางวินแดม ซึ่งจะได้สิทธิ์เป็นผู้บริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ในลักษณะโรงแรมนี้ทั้งหมดเพียงผู้เดียว นอกจากนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในการลงทุนจาก WYNDHAM เป็นประจำทุกไตรมาสแล้ว WYNDHAM ยังให้สิทธิ์นักลงทุนเข้าพักในโรงแรมฟรี 30 วันต่อปี อีกด้วย สำหรับโครงการ วินแดม ในหาน บีช ภูเก็ต สร้างเป็นอาคารสูง 4 ชั้น แบ่งเป็นห้อง 2 แบบ ขนาดตั้งแต่ 40 ตารางเมตร ขึ้นไป และ 60 ตารางเมตร จำนวนรวม 353 ยูนิต มีทั้งหมด 12 อาคาร ตั้งอยู่บริเวณชายหาดในหาน ซึ่งเป็นหนึ่งในชายหาดที่มีชื่อเสียงของ จ.ภูเก็ต โดยคาดว่าโรงแรมจะเปิดให้บริการได้ในเดือนกันยายนปี 2562          
EVER ผงาด!! ลุยขยายฐานโครงการแนวราบ งบไตรมาส 3/61 ฟื้นขาดทุนลดลง-จับตาโค้งสุดท้ายปีนี้พลิกมีกำไร

EVER ผงาด!! ลุยขยายฐานโครงการแนวราบ งบไตรมาส 3/61 ฟื้นขาดทุนลดลง-จับตาโค้งสุดท้ายปีนี้พลิกมีกำไร

“บมจ.เอเวอร์แลนด์” งัดแผนลุยขยายฐานแนวราบ ภายใต้แบรนด์ “มายโฮม อเวนิว - เอเวอร์ ซิตี้” หลังทำเลรามอินทรา-จตุโชติ โกยยอดขายดีเวอร์ เล็งทุ่มงบ 800 ล้านบาท ซื้อที่ดินพัฒนาโครงการเพิ่มเติม ผลประกอบการไตรมาส 3/61 ฟื้นตัวชัดเจน ส่วนรอบเก้าเดือนกวาดรายได้รวม 806  ล้านบาท จากงวดเดียวกันปีก่อนทำได้ 550 ล้านบาท และขาดทุนลดลงเหลือ 164 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 206 ล้านบาท รับรู้ยอดโอนโครงการ “ เดอะโพลิแทน บรีซ” เข้ากระเป๋า ด้านบอส “สวิจักร์ โลจายะ” มั่นใจไตรมาสสุดท้ายปีนี้คึกคักต่อเนื่อง หนุนผลประกอบการสดใส ลุ้นผลงานกลับมาเทิร์นอะราวด์   นายสวิจักร์ โลจายะ ประธานกรรมการ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ EVER  ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “เดอะโพลิแทน” ทำเลย่านสนามบินน้ำ ,โครงการแนวราบแบรนด์ “มาย อเวนิว บ้านเดี่ยว” และทาวน์โฮม “เอเวอร์ ซิตี้” เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีความเปราะบางด้วยปัญหาเศรษฐกิจในปีนี้ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ เร่งหากลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดขายที่จะเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทขยายตัวทิศทางที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง   โดยที่ผ่านมาบริษัทเร่งขยายแบรนด์แนวราบนอกเหนือจากโครงการแนวสูง และให้ความสำคัญซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะการเปิดขายโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ มายโฮม อเวนิว สไตล์ MODERN CHIC บนทำเลรามอินทรา-จตุโชติ ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จ มียอดโอนกว่า 50% ของมูลค่าโครงการ 300 ล้านบาทและคาดว่าจะเริ่มโอนได้ภายในปลายปี 2561 บางส่วน ขณะที่ทาวน์โฮม แบรนด์ เอเวอร์ ซิตี้ เช่น ย่านสุขสวัสดิ์ , หนามแดง ฯลฯ  ได้เริ่มทยอยก่อสร้างบ้านตัวอย่าง เพื่อเตรียมความพร้อมในการจะเปิดขายแล้ว   นอกจากนี้บริษัทยังมองหาการขยายการลงทุน โดยเฉพาะการซื้อที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น เพราะโครงการแนวราบใช้ระยะเวลาก่อสร้างสั้น 6-9 เดือนและรับรู้รายได้เร็วเมื่อเทียบกับโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 2-3 ปีกว่าที่จะรับรู้รายได้ ซึ่งเป็นการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินงานใหม่ เพื่อผลักดันให้ผลประกอบการเติบโตในทิศทางที่ดี   ส่วนผลประกอบการในรอบเก้าเดือนบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่  806 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 550 ล้านบาท และขาดทุนลดลงเหลือ 164 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปีก่อนขาดทุน 206 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากรับรู้รายได้จากยอดโอนโครงการแนวสูง เดอะโพลิแทน บรีซ มูลค่ารวม 1,900 ล้านบาท ที่ทยอยโอนล็อตแรกเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาและทยอยโอนอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้   “เราพยายามกระจายความเสี่ยงของพอร์ต โดยเฉพาะการขยายโครงการแนวราบ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า จึงทำให้เราพูดคุย วางแผนที่จะหาซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ซึ่งเตรียมงบลงทุนไว้ 800 ล้านบาทต่อปี ส่วนแนวสูงในปีนี้ก็จะสนับสนุนผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน ”นายสวิจักร์ กล่าว นายสวิจักร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ทั้งปีคาดว่าจะเห็นผลการดำเนินงานที่ดี รายได้มีโอกาสเติบโตเกือบเท่าตัว จากปีก่อนมีรายได้อยู่ที่ 725 ล้านบาท และมีโอกาสพลิกเป็นกำไรจากปีก่อนที่ขาดทุน โดยเฉพาะในไตรมาส 4 /2561 เพราะได้รับปัจจัยบวกจากยอดโอน เดอะโพลิแทน บรีซ, เดอะโพลิแทนรีฟ และโครงการแนวราบบางส่วน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ผลประกอบการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นบริษัทจึงเชื่อว่าจากปัจจัยดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้ผลประกอบการกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้อย่างแน่นอน          
อนันดาฯ ตรวจคุณภาพงานก่อสร้าง โครงการ ไอดีโอ โมบิ อโศก

อนันดาฯ ตรวจคุณภาพงานก่อสร้าง โครงการ ไอดีโอ โมบิ อโศก

คุณสุเมธ รัตนศรีกุล (กลาง) กรรมการผู้จัดการธุรกิจคอนโดมิเนียม แอชตัน / ไอดีโอ คิว และ เอลลิโอ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย คุณวีระศักดิ์ วานิชวัฒน์ (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฑีฆา ก่อสร้าง จำกัด ผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก และคุณรังสรรค์ เกียรติยศ (ที่ 1 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอบิวด์ แมเนจเมนท์ จำกัด  ที่ปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้าง เข้าตรวจความคืบหน้าการก่อสร้าง โครงการคอนโดมิเนียม ไอดีโอ โมบิ อโศก เป็นโครงการคอนโดมิเนียม High Rise สูง 37 ชั้น ตั้งอยู่บนทำเลย่านธุรกิจหลักที่สำคัญที่สุดในอนาคตทั้งอโศกและพระราม 9 เพียบพร้อมด้วยระบบคมนาคมหลากหลาย ช่วยให้การเดินทางสะดวกสบาย เพียง 290 เมตร จากรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีเพชรบุรี และ 320 เมตร จาก Airport Rail Link สถานีมักกะสัน และ เพียง 10 นาทีสู่รถไฟฟ้า BTS สถานีอโศก ซึ่งขณะนี้การก่อสร้างโครงการมีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ และคาดว่าโครงการพร้อมโอนภายในเดือนพฤศจิกายน นี้          
“ORI” โชว์ผลงาน 9 เดือน ยอดขายทะลุ 22,400 ล้านบาท เดินหน้าผนึกกำลังโนมูระขายหุ้นร่วมทุนเพิ่มอีก 2 โครงการ มั่นใจ Q4 ผลงานฉลุย ดันผลประกอบการโตตามเป้า!!

“ORI” โชว์ผลงาน 9 เดือน ยอดขายทะลุ 22,400 ล้านบาท เดินหน้าผนึกกำลังโนมูระขายหุ้นร่วมทุนเพิ่มอีก 2 โครงการ มั่นใจ Q4 ผลงานฉลุย ดันผลประกอบการโตตามเป้า!!

ออริจิ้น โชว์ผลประกอบการ 9 เดือนแรก ยอดขายทะลุ 22,400 ล้านบาท จากเป้าทั้งปี 24,000 ล้านบาท เผย Q4 มีแบ็คล็อกรอโอนเพียบ ดันภาพรวมผลประกอบการโตตามเป้า มั่นใจ “พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ” กระแสดี ร่วมทุนโนมูระเพิ่มอีก 2 โครงการ ผนึกกำลังพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์ บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของบริษัทในปีนี้ (ม.ค.-ก.ย. 2561) ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก โดยเฉพาะยอดขายของบริษัทที่สามารถรับรู้แบ็กล้อกได้เพิ่มขึ้นถึง 22,496 ล้านบาท หรือคิดเป็น 94% ของเป้ายอดขายใหม่ทั้งปีที่ 24,000 ล้านบาท   “ภาพรวมโครงการใหม่ๆ ของเราในปีนี้ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค โดยเฉพาะโครงการแฟล็กชิพระดับลักชัวรีอย่างพาร์ค ออริจิ้น พญาไท และพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ โดยพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อนั้น แม้ยังไม่ได้เปิดขายพรีเซลอย่างเป็นทางการ แต่ก็มียอดขายแล้วถึงราว 65%” นายพีระพงศ์ กล่าว   ขณะที่ผลประกอบการในไตรมาส 3/2561 นั้น บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 4,035 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 106% และรายได้สะสม 9 เดือนอยู่ที่ 10,693 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันที่ 166% ด้านกำไรสุทธิประจำไตรมาสอยู่ที่ 892 ล้านบาท เติบโตขึ้น 60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 22% ในขณะที่กำไรสุทธิงวด 9 เดือนอยู่ที่ 2,400 ล้านบาท เติบโตขึ้น 148% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 22%   นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับไตรมาส 4/2561 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะช่วยให้เป้าผลประกอบการทั้งปีเป็นไปได้ตามแผน โดยบริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบเพิ่มเติมอีก 2 โครงการ ได้แก่ บริทาเนีย เมกะทาวน์ มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท และ โครงการ บริทาเนีย บางนา กม.12 มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท สำหรับโครงการสร้างเสร็จใหม่ที่จะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในช่วงนี้อีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ นอตติ้ง ฮิลล์ จตุจักร และ โครงการ นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105 จากแผนทั้งหมดประกอบกับผลประกอบการที่ทำได้อย่างดีตลอดช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายทั้งปีได้ตามแผน   “อีกทั้งพันธมิตรสำคัญของเราอย่างบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด เอง ก็ยังคงมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างดีในการดำเนินธุรกิจร่วมกัน ล่าสุดร่วมทุนให้กับโนมูระเพิ่มเติมในอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ วัน ออริจิ้น 24 และ โครงการ พาร์ค ออริจิ้น ราชเทวี  ทำให้โดยรวมมีการร่วมทุนทั้งคอนโดและโรงแรมรวม 8 โครงการ มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะมีการร่วมทุนอย่างต่อเนื่องราวปีละ 15,000 ล้านบาท เพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำในธุรกิจคอนโดมิเนียมและธุรกิจโรงแรม” นายพีระพงศ์ กล่าว   สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 54 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 82,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร          
จับตาราคาที่ดิน “อารีย์-พหลโยธิน” พุ่ง รับ New CBD แห่งใหม่

จับตาราคาที่ดิน “อารีย์-พหลโยธิน” พุ่ง รับ New CBD แห่งใหม่

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2542 ประเทศไทยได้มีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้า 2 สายแรกของประเทศ ได้แก่ สายสุขุมวิท (สถานีหมอชิต-สถานีอ่อนนุช) และสายสีลม (สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ-สถานีสะพานตากสิน) ปัจจุบันรถไฟฟ้าทั้ง 2 สายได้เปรียบเสมือน Backbone ของคนกรุงเทพฯในการใช้เดินทางสัญจร โดยสายที่ได้รับความนิยมและพบความเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือ สายสุขุมวิท ซึ่งเชื่อมต่อพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งเหนือ (จตุจักร) กรุงเทพชั้นใน และฝั่งตะวันออก (แบริ่ง) เข้าด้วยกัน   โดยสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ การปรับเปลี่ยนสีผังเมือง ให้สอดคล้องกับการพัฒนาของเมือง ด้วยการปรับให้พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สีน้ำตาล (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก) และสีแดง (พาณิชยกรรม) เป็นบางช่วง ทำให้พื้นที่โซนนี้มีศักยภาพต่อการพัฒนาในอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับขนาดที่ดิน ซึ่งสามารถพัฒนาได้ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูง รวมไปถึงเพื่อการพาณิชย์ โรงแรมและสำนักงาน เป็นต้น นอกจากนี้การปรับเปลี่ยนสีผังเมือง ยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินอีกด้วย ต่อเรื่องนี้ นายอภิภู พรหมโยธี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด ซึ่งพัฒนาโครงการ “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” (Na Veera Phahol-Ari) คอนโด Low rise 8 ชั้น ที่มีมูลค่าโครงการ 240 ล้านบาท โดยตัวโครงการตั้งอยู่ห่างจากปากซอยพหลโยธิน 14 ในระยะไม่เกิน 200 เมตร ได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลการสำรวจของบริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ปัจจุบันราคาเสนอขายที่ดินแนวเส้นบีทีเอสย่านอารีย์-พหลโยธินมีช่วงราคาที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ช่วงราคา ดังนี้ 1. ตั้งแต่สถานีบีทีเอสอนุสาวรีย์ฯจนถึงอารีย์ราคาเสนอขายที่ดินอยู่ที่ตารางวาละ  1,200,000 – 1,500,000 บาท ซึ่งเป็นช่วงที่มีราคาเสนอขายสูงสุด 2. เส้นพหลโยธินซอยย่อยฝั่งเลขคี่ ราคาอยู่ที่ตารางวาละ  600,000 – 800,000 บาท และ 3. เส้นพหลโยธินซอยย่อยฝั่งเลขคู่ ราคาอยู่ที่ตารางวาละ  300,000 – 500,000 บาท ซึ่งเป็นทำเลที่มีราคาต่ำสุดเมื่อเปรียบเทียบกับทำเลอื่นในย่านนี้ ในขณะที่ทำเลไม่ได้มีความแตกต่างจากพื้นที่ใกล้เคียงมากนัก ใกล้สถานีบีทีเอส,สำนักงาน, และสาธารณูปโภคอื่นๆ อีกทั้งยังมีความสงบเหมาะกับการอยู่อาศัยมากกว่า ที่สำคัญยังมีข้อได้เปรียบทางด้านราคาในการพัฒนาที่ดินจึงสามารถพัฒนาโครงการให้มีราคาที่จับต้องได้ โดยคอนโดมิเนียมในทำเลนี้มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 125,000 บาทต่อตารางเมตร ในขณะคอนโดมิเนียมบริเวณซอยย่อยในทำเลอารีย์และบนถนนพหลโยธินในทำเลจตุจักรมีราคาเฉลี่ยสูงกว่า ราคาต่อตารางเมตรอยู่ที่ 154,000 บาท และ 166,000 บาท ตามลำดับ แม้หลายคนจะมองว่าราคาขายคอนโดมิเนียมในย่านดังกล่าว ยังต่ำกว่าคอนโดมิเนียมในย่านธุรกิจอย่าง สีลม สาธร แต่ในอนาคต ในย่านนี้กำลังจะกลายเป็นพื้นที่ New CBD เพราะนอกจากจะที่ตั้งของอาคารสำนักงานเอกชนและสถานที่สำคัญทางราชการอย่าง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงค์), ธนาคารออมสิน (สำนักงานใหญ่), สำนักงาน กสทช., ธนาคารกสิกรสำนักงานใหญ่, เอไอเอส ทาวเวอร์ เป็นต้น ยังมีอาคารสำนักงาน เกรด A แห่งใหม่บนถนนพหลโยธินอีก 3 อาคารที่เพิ่งเปิดใช้งาน ได้แก่ 1. Pearl Bangkok อาคารสูง 25 ชั้น 2. Ari Hill อาคารมิกส์ยูส สูง 34 ชั้น ที่มีทั้งอาคารออฟฟิศ ร้านค้า และโรงแรม 3.SC Tower อาคารสูง 24 ชั้น รวมพื้นที่เช่ากว่า 83,000 ตร.ม. และคาดการณ์ว่าจะมีผู้ทำงานในทั้ง 3 อาคารนี้กว่า 6,000 คน และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะมีโครงการอื่นๆเข้าสู่ตลาดอีกจำนวนมากอาทิ โครงการ The Rice อาคารมิกส์ยูส สูง 24 ชั้น โรงพยาบาลวิมุตติ ในเครือพฤกษา อาคารวานิช เพลส ของกลุ่มแหลมทองสหการซึ่งประกอบด้วยสำนักงานและคอมมูนิตี้ มอลล์   “การเพิ่มขึ้นของจำนวนอาคารสำนักงาน คอมมูนิตี้มอลล์ และโครงการอื่นๆ รวมทั้งในอนาคตจะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2563 เข้ามาช่วยเสริมศักยภาพให้กับพื้นที่ ปัจจัยต่างๆเหล่านี้บ่งบอกได้ว่าในอนาคตจะมีแรงงานจำนวนมากเข้าสู่พื้นที่ นำมาซึ่งความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อการทำงานและใช้ชีวิต ส่งผลให้ราคาที่ดินที่อาจจะปรับเพิ่มสูงขึ้นอีกถึง 15-20% ต่อตารางวา ขณะที่ราคาขายคอนโดมิเนียมก็จะไม่ได้อยู่แค่ราคาแสนกว่าบาทอย่างแน่นอน”นายอภิภู กล่าว สำหรับโครงการ ณ วีรา พหลฯ-อารีย์ ถูกออกแบบภายใต้คำว่า คลาสสิค ทวิสต์ (Classic Twist) โดยนำรูปแบบสถาปัตยกรรมของย่านที่อยู่อาศัยในแถบยุโรปมาผสมผสานกับความทันสมัย โดยมีราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.เพียง 110,000 บาทต่อตร.ม. หรือราคาขายต่อยูนิตเริ่มต้นที่ 2.49 ล้านบาท ประกอบด้วยห้องพักทั้งแบบ 1 ห้องนอน และ 1 ห้องนอนพิเศษ ขนาดตั้งแต่ 23.13 -33.55 ตร.ม. โดยออกแบบให้การใช้งานภายในห้องมีความหลากหลาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อิสระของกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียล พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส Co-working space รถรับ-ส่งสถานีรถไฟฟ้า เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 1/2562 ก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1/2563 กำลังจะเปิดขายครั้งแรกอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ธันวาคม 2561 นี้   นายอภิภู กล่าวเพิ่มเติมว่า เรามุ่งจับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ วัยทำงานที่มีไลฟ์สไตล์เป็นของตัวเอง ชื่นชอบการใช้ชีวิตอิสระไม่ได้ละเลยในเรื่องของรายละเอียดการใช้ชีวิตและการวางอนาคตให้กับตัวเอง แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพและความคุ้มค่ามาเป็นอันดับหนึ่ง  ซึ่งที่โครงการ ณ วีรา สามารถตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ได้ดีที่สุด ดังนั้นจึงถือได้ว่ามีความคุ้มค่าอย่างยิ่งไม่ว่าจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือซื้อเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานก็จะยิ่งทวีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต   สอบถามข้อมูลโครงการเพิ่มเติม โทร 085-368-2222 หรือ http://navarangasset.com/          
ศุภาลัย ปูพรม เชียงราย ขยายพอร์ตภูมิภาค เตรียมเปิด “ศุภาลัย พาร์ควิลล์ แม่กรณ์-เชียงราย”

ศุภาลัย ปูพรม เชียงราย ขยายพอร์ตภูมิภาค เตรียมเปิด “ศุภาลัย พาร์ควิลล์ แม่กรณ์-เชียงราย”

บมจ.ศุภาลัย ปูพรม เชียงราย ขยายพอร์ตภูมิภาค ปักธงโครงการแรก “ศุภาลัย พาร์ควิลล์ แม่กรณ์-เชียงราย” มูลค่าโครงการ 1,760 ล้านบาท ริมถนนสายหลักใกล้สี่แยกแม่กรณ์ เพียง 5 นาที จากตัวเมือง และเซ็นทรัลพลาซา เชียงราย พร้อมลุยแผนขยายพอร์ตภูมิภาคเต็มสูบ Grand Opening 24-25 พฤศจิกายน 2561 นี้ ณ สำนักงานขาย พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงราย เป็นจังหวัดหัวเมืองใหญ่ของภาคเหนือ มีความพร้อมด้านภูมิศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐาน ประกอบกับได้รับแรงหนุนจากภาครัฐ ทั้งแผนพัฒนาโครงข่ายรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และโครงการมอเตอร์เวย์เชื่อมเชียงใหม่-เชียงราย ที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น คาดว่าจะเป็นแรงกระตุ้นให้นักท่องเที่ยว และนักลงทุนหลั่งไหลเข้ามามากขึ้น ด้านภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในปัจจุบันยังมีคู่แข่งไม่มาก คนในพื้นที่ส่วนใหญ่นิยมอาศัยอยู่บ้านเดี่ยว จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้บริษัทฯ มีแผนขยายการลงทุนที่เชียงรายเป็นจังหวัดล่าสุด และเตรียมปักธงโครงการแรก “ศุภาลัย พาร์ควิลล์ แม่กรณ์-เชียงราย” บ้านเดี่ยว และบ้านรุ่นใหม่สไตล์โมเดิร์น นอกจากนี้  บริษัทฯ ยังคงเตรียมแผนลงทุนในจังหวัดเชียงรายอย่างต่อเนื่อง “ศุภาลัย พาร์ควิลล์ แม่กรณ์-เชียงราย” บ้านสไตล์โมเดิร์น ในสังคมมีระดับ ชูแนวคิด “ที่สุดแห่งคุณค่า...กับความสมบูรณ์แบบที่สง่างาม” ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการประมาณ 86 ไร่ ในชุมชนคุณภาพ บ้านทุกหลังถูกออกแบบให้ทุกตารางนิ้วถูกใช้สอยได้อย่างคุ้มค่า โปร่งโล่ง ระบายอากาศได้ดี และนำแสงธรรมชาติ เข้าสู่ตัวบ้านได้อย่างเหมาะสม ทั้งบ้านเดี่ยว และบ้านรุ่นใหม่ 3-4 ห้องนอน 2-5 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 122-318 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นเพียง 2.85 ล้านบาท พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการครบครัน อาทิ สวน ขนาดใหญ่ 2 แห่ง หรือผ่อนคลายกับสระว่ายน้ำระบบเกลือขนาดใหญ่ พร้อมสโมสร และ ฟิตเนส อุ่นใจกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง กล้อง CCTV และระบบเข้า-ออกโครงการแบบ Easy Pass พื้นที่โครงการรายล้อมด้วยธรรมชาติ มองเห็นขุนเขา และชุมชนเมืองดั้งเดิมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น หลากหลายรูปแบบทั้งบ้านเดี่ยว และบ้านรุ่นใหม่ ถึง 8 แบบ เพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตให้สมบูรณ์แบบ โดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพริมถนนสายหลักใกล้สี่แยกแม่กรณ์ เดินทางสะดวกสบาย เพียง 5 นาที จากตัวเมือง และเซ็นทรัลพลาซา เชียงราย แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่สำคัญ อาทิ โฮมโปร โกลบอลเฮ้าส์ ศูนย์ราชการ รพ.เกษมราษฎร์ ศรีบุรินทร์ สถานีขนส่งใหม่ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช วัดร่องขุ่นท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง สำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยใจกลางเมือง จังหวัดเชียงราย เชิญเลือกแปลงโดนใจในราคาพิเศษ ก่อนใครในงาน Grand Opening 24-25 พฤศจิกายน 2561 นี้ พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย ณ สำนักงาน  ขายโครงการ โทร. 1720 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.supalai.com          
เตรียมพบกับคอนโดลักชัวรี่ “เดอะรีเซิร์ฟ 61 ไฮด์อะเวย์” ที่สุดแห่งการพักผ่อนเสมือนอยู่บ้านพักตากอากาศส่วนตัว บนทำเลใจกลางเมืองเอกมัย-ทองหล่อ

เตรียมพบกับคอนโดลักชัวรี่ “เดอะรีเซิร์ฟ 61 ไฮด์อะเวย์” ที่สุดแห่งการพักผ่อนเสมือนอยู่บ้านพักตากอากาศส่วนตัว บนทำเลใจกลางเมืองเอกมัย-ทองหล่อ

พฤกษา ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาฯ เตรียมงัดที่ดินแปลงสวยผืนสุดท้ายในซอยสุขุมวิท 61 เปิดคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ “เดอะรีเซิร์ฟ 61 ไฮด์อะเวย์” พร้อมสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยแห่งใหม่ ให้อารมณ์เหมือนอยู่บ้านพักตากอากาศส่วนตัว ด้วยพื้นที่สีเขียวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในใจกลางทองหล่อ-เอกมัย ราคาเริ่มต้น 12-60 ล้านบาท นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ตลาดที่อยู่อาศัยในย่านสุขุมวิทยังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยสูงมาก เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและเป็นแหล่งงานที่มีศักยภาพ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อีกทั้งยังแวดล้อมไปด้วยเป็นแหล่งช้อปปิ้ง แหล่งแฮงค์เอ้าท์ของคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว รวมถึงการเดินทางที่สะดวกทั้งรถไฟฟ้าและทางด่วน ส่งผลให้คอนโดมิเนียมในย่านสุขุมวิทยังเป็นที่ต้องการในลำดับต้นๆ ล่าสุดบริษัทฯ ได้กลับมาตอกย้ำความสำเร็จของโครงการ “เดอะรีเซิร์ฟ” โดยเตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ “เดอะรีเซิร์ฟ 61 ไฮด์อะเวย์” ซึ่งเป็นที่ดินแปลงสวยผืนใหญ่กว่า 3 ไร่ครึ่ง ที่หาไม่ได้อีกแล้วในซอยสุขุมวิท 61 หากใครได้ครอบครองที่ดินผืนสุดท้ายนี้ ในอนาคตจะเพิ่มมูลค่าให้เจ้าได้ของอย่างแน่นอน นางอรนุช อิติโกศิน กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพรีเมียมแนวสูง บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ โครงการ “เดอะรีเซิร์ฟ 61 ไฮด์อะเวย์” ถูกออกแบบมาให้เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย ที่พร้อมจะมาสร้างประสบการณ์ใหม่แห่งการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ เหมือนพักอยู่ในบ้านตากอากาศส่วนตัว ด้วยจำนวนเพียง 164 ยูนิต และพื้นที่ส่วนกลางที่ให้มากถึง 2 ไร่ ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในย่านนี้ ภายในโครงการเลือกใช้วัสดุที่เป็น Best-in-class ที่พฤกษาได้ใส่ใจและคัดสรรมาอย่างดีที่สุด พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่รองรับทุกไลฟ์สไตล์ อาทิ Infinite Pool สระว่ายน้ำที่ออกแบบให้สามารถว่ายน้ำได้อย่างไม่รู้จบ Hideaway Garden พร้อมต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ให้ความเป็นส่วนตัว ด้วยการแบ่ง Pocket Seat แยกไว้ Panoramic Lobby, The Reserve Lounge, Fitness Suite, Wellness Retreat & Onsen, Private Salon & Spa เดอะรีเซิร์ฟ 61 ไฮด์อะเวย์ เป็นคอนโด Low Rise สูง 7 ชั้น จำนวน 2 อาคาร มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 61 ซึ่งเป็นซอยที่ได้รับรางวัลซอยน่าอยู่ของ กทม. มีความสะอาด และเงียบสงบ รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นนำ ทั้งโรงเรียนนานาชาติ สถานทูต ร้านอาหาร โรงพยาบาลและซุปเปอร์มาร์เกตรวมถึงห้างสรรพสินค้าทั้งแบรนด์ในไทยและต่างชาติ โครงการมีแบบห้องให้เลือกถึง 5 แบบ พื้นที่ตั้งแต่ 48.40-228 ตร.ม. และห้องที่เป็นไฮไลท์ของโครงการนี้คือ ห้อง Triplex 3 ชั้น ขนาดเริ่มต้นที่ 206-228 ตร.ม. ที่วางตำแหน่งห้องหันเข้าคอร์ทกลางเพื่อการชมวิวสวนได้อย่างเต็มอิ่ม และยังสามารถเดินออกจากห้องพักผ่านประตูกระจกและลงบันไดไปยังสระว่ายน้ำได้ทันที พร้อมที่จอดรถส่วนตัว และห้องแม่บ้านที่ชั้นใต้ดิน ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 12-60 ล้านบาท เปิด Open House 10-11 พ.ย. นี้ สำหรับลูกค้าที่จองในงานรับส่วนลดพิเศษสูงสุด 400,000 บาท สอบถามเพิ่มเติมโทร.1739 หรือ thereserve.pruksa.com          
สิงห์ เอสเตท เปิด “สิงห์ คอมเพล็กซ์” เดอะ ลักชัวรี่ มิกซ์ ยูส คอมเพล็กซ์ หัวมุมอโศก-เพชรบุรี พร้อมให้บริการเฟสแรกออฟฟิศ-พื้นที่ค้าปลีกกว่าแสนตรม.

สิงห์ เอสเตท เปิด “สิงห์ คอมเพล็กซ์” เดอะ ลักชัวรี่ มิกซ์ ยูส คอมเพล็กซ์ หัวมุมอโศก-เพชรบุรี พร้อมให้บริการเฟสแรกออฟฟิศ-พื้นที่ค้าปลีกกว่าแสนตรม.

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดให้บริการมิกซ์ยูสแฟล็กชิป สิงห์ คอมเพล็กซ์ ในเฟสแรกส่วนออฟฟิศ-ค้าปลีก บนทำเลแห่งศักยภาพหัวมุมถนนอโศก-เพชรบุรี ชูจุดแข็งสมาร์ทออฟฟิศแห่งใหม่บนทำเลศูนย์กลางธุรกิจ เดินทางสะดวก คับคั่งด้วยร้านค้าและร้านอาหารชื่อดังกว่า 30 ร้าน ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบของคนเมือง เชื่อจะเป็นหนึ่งธุรกิจหลักที่ผลักดันให้สิงห์ เอสเตท บรรลุเป้าหมายในการสร้างรายได้รวม 2 หมื่นล้านบาทในปี 2020   นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัทชั้นนำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนในประเทศไทยและต่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้ได้เปิดให้บริการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ โครงการมิกซ์ ยูส แฟล็กชิปแห่งแรกของทางบริษัทฯ โดยโครงการตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนอโศก – เพชรบุรีที่เดินทางสะดวก ติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเพชรบุรี ใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ท่าเรืออโศกคลองแสนแสบ และทางด่วน ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพแห่งอนาคตในย่านธุรกิจที่สำคัญ  และโครงการใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น โดยโครงการพัฒนาขึ้นบนพื้นที่ดินทั้งหมด 11 ไร่ ประกอบด้วย อาคารสำนักงานเกรดเอ 42 ชั้น พื้นที่ค้าปลีก 4 ชั้น ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้ มีขนาดพื้นที่รวม 120,000 ตารางเมตร และคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี มีความสูง 39 ชั้น จำนวน 319 ยูนิต โดยโครงการได้ก่อสร้างตามมาตรฐานอาคาร LEED Gold ด้านประหยัดพลังงาน ซึ่งโครงการเปิดให้บริการเฟสแรกเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ประกอบด้วย สำนักงานเกรดเอ ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (The Office at SINGHA COMPLEX) และพื้นที่ค้าปลีก 4 ชั้น ทั้งนี้อาคารสำนักงาน ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ได้เตรียมความพร้อมในการเป็นสมาร์ทออฟฟิศอย่างสมบูรณ์แบบโดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้ภายในอาคารควบคุมผ่านแอปพลิเคชั่นที่จัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เช่าพื้นที่ในอาคารสำนักงานและผู้ใช้บริการพื้นที่ค้าปลีก ด้านจำนวนผู้เช่า ขณะนี้มีทำสัญญาเช่าไปแล้วกว่า 80% และตั้งเป้าว่าจะมีผู้เช่าเต็มพื้นที่ 100% ภายในสิ้นปี 2561 โดยขณะนี้เริ่มมีบริษัทฯ ทยอยย้ายเข้ามาในอาคาร และจะมีพนักงานออฟฟิศเข้ามาทำงานในอาคารภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน รวมกว่า 3,000 คน   นายนิธิพัฒน์ ทองพันธุ์ กรรมการบริหาร หัวหน้าแผนกพื้นที่สำนักงาน บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ จากสถาปัตยกรรมของสิงห์ คอมเพล็กซ์และการเป็นออฟฟิศเกรดเอที่มีคุณภาพสูงพร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและตรงต่อความต้องการของผู้เช่าชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ จึงทำให้สามารถทำสัญญาค่าเช่าล่วงหน้าก่อนโครงการเสร็จได้มากกว่า80% และมีอัตราค่าเช่าพื้นที่เฉลี่ยดีที่สุดในย่านเดียวกัน”   สำหรับอาคารค้าปลีกสูง 4 ชั้น ที่เตรียมเป็นพื้นที่รองรับไลฟ์สไตล์ของทั้งพนักงานออฟฟิศและผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม THE ESSE at SINGHA COMPLEX รวมถึงเป็นแหล่งกินช้อปแห่งใหม่ของคนกรุงเทพฯ ทั้งไทยและต่างชาติในย่านอโศก-เพชรบุรี ประกอบไป ด้วยร้านค้าและร้านอาหารชื่อดังมากมาย อาทิ  Gontran Cherrier, Bake Cheese Tart, Coffee arigato, Dressed, Bake Café by Farm Design, THE COFFEE CLUB, On-Yasai, Hoshi, Hokkaido Butadon Tokachi, Phuket Town, EST.33, ซาลาเปาโกอ้วน, Gyu Kaku, Kazan และบริการ Wellness อื่น ๆ อาทิ Cut & Curl, ศูนย์ทันตกรรม ALL ABOUT TEETH, BLOSSOM CLINIC, EYE CLASS,  Digital Banking ได้แก่ SCB Express, BAY และร้าน Tops Daily ซึ่งเป็นคอนเซปต์สโตร์ท็อปส์ดิจิตอลแห่งแรกของเมืองไทย รวมถึงร้าน 1887 ศูนย์กลางประชาสัมพันธ์เมืองท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่นำเสนอสินค้าพื้นเมืองและสถานที่ท่องเที่ยวจากเมืองต่างๆ ของญี่ปุ่น โดยมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนสินค้าใหม่ๆ ทุกเดือน นอกจากนี้ยังมี foodPLACE ศูนย์อาหารซึ่งเปิดให้บริการอยู่บนชั้น 3 ของพื้นที่ค้าปลีก ซึ่งเป็นโซนอาหารที่รวบรวมร้านอาหารชื่อดังในตำนานทั่วกรุงเทพมหานครมาเปิดให้บริการ อาทิ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัฒนาพานิช, ข้าวแกงเจ๊จู, ไก่ย่างจีระพันธ์, มงคลชัย ข้าวมันไก่ หลา ลูกชิ้นปลาเยาวราช, ราดหน้าครัวอัปสร เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี Co-working space และพื้นที่รีแลกซ์ที่ลูกค้าสามารถนั่งทำงานและพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย โดยจะมีบริการ Free Super WIFI ความเร็ว 1GB/Sec. ซึ่งจะเป็น WIFI ฟรีที่เร็วที่สุดในกรุงเทพฯ ครอบคลุมทั้งอาคาร รวมถึงในบริเวณดาดฟ้าชั้น 4 ยังจัดให้เป็นสวนหย่อมสีเขียวกลางใจเมือง พื้นที่พบปะพูดคุยกันแบบคอมมูนิตี้ของทุกๆ คน ซึ่งโดยรวมทั้งหมดของพื้นที่ค้าปลีกขณะนี้เปิดให้บริการแล้วกว่า 70% และจะมีการเปิดร้านทั้งหมดอย่างเต็มรูปแบบภายในต้นปีหน้า   “จากการตอบรับที่ดีทั้งจากผู้เช่าและลูกค้าที่เข้ามาในสิงห์ คอมเพล็กซ์ นับเป็นการตอกย้ำศักยภาพของสิงห์ คอมเพล็กซ์ในการเป็นธุรกิจที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทสิงห์ เอสเตทที่มุ่งพัฒนาโครงการคุณภาพเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจ รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน เป็นสัญญาณที่ดีในการสร้างการเติบโตให้แก่บริษัทฯ และขยายโอกาสในการลงทุนหลากหลายรูปแบบทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ สิงห์ คอมเพล็กซ์ จะเป็นกลุ่มธุรกิจที่สำคัญในการผลักดันให้สิงห์ เอสเตท บรรลุเป้าหมายในการสร้างรายได้รวม 2 หมื่นล้านบาทในปี 2020 พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการรองรับดีมานด์และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในการเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้” นายนริศกล่าวปิดท้าย              
เอสบี ทิ้งทวนเปิดแผนเขย่าตลาดตกแต่งคอนโดก่อนสิ้นปี เปิดธุรกิจโมเดลใหม่ “CONDO SOLUTIONS” บริการแต่งคอนโดสุดครบวงจร  ตั้งเป้ายอดขาย 300 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 62

เอสบี ทิ้งทวนเปิดแผนเขย่าตลาดตกแต่งคอนโดก่อนสิ้นปี เปิดธุรกิจโมเดลใหม่ “CONDO SOLUTIONS” บริการแต่งคอนโดสุดครบวงจร ตั้งเป้ายอดขาย 300 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 62

เอสบี ดีไซน์สแควร์ ผู้นำด้านนวัตกรรมและดีไซน์เฟอร์นิเจอร์เมืองไทย เดินหน้ารุกตลาดอย่างต่อเนื่อง ประกาศแผนธุรกิจใหม่ส่งท้ายปีด้วย “CONDO SOLUTIONS @ SB DESIGN SQUARE” (คอนโด โซลูชั่นส์ @ เอสบี ดีไซน์สแควร์) ศูนย์รวมบริการตกแต่งคอนโด สุดครบวงจร ประกาศความเป็นผู้ให้บริการรายแรกของเมืองไทย ที่ตอบทุกเรื่องแต่งคอนโดได้ในที่เดียว ซึ่งมีมากกว่าแค่เรื่องเฟอร์นิเจอร์ ชูจุดเด่นเรื่องบริการที่ครอบคลุมถึงการตกแต่งภายในและสินค้าแต่งคอนโดต่างๆ เน้นตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่ม Gen Y ในกรุงเทพฯ และนักลงทุนที่อยากแต่งคอนโดให้ปล่อยเช่าง่ายและขายต่อได้ราคา พร้อมตั้งเป้ายอดขายภายในสิ้นปี 2562 โกยไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท นางธัญญรักข์ ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ เปิดเผยถึงกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ในครั้งนี้ว่า “ปัจจุบันคนนิยมอยู่คอนโดมากขึ้น ทั้งที่ตกแต่งไว้อยู่เองและเพื่อปล่อยเช่า ซึ่งเราเข้าใจในความต้องการของลูกค้า คือ เมื่อลูกค้าซื้อคอนโดแล้วยังต้องเดินหาเฟอร์นิเจอร์อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเตรียมเรื่องผ้าม่าน วอลเปเปอร์ ปูพื้น กรุกระจก และอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งต้องเจอกับความยุ่งยากปวดหัว เสียเวลา ในการหา, ติดต่อ, เจรจาต่อรองกับผู้รับเหมาหลายๆ ราย แถมต้องวัดดวงเรื่องฝีมือของผู้รับเหมา เพราะไม่มีอะไรการันตีได้ว่างานตกแต่งที่ได้จะสวยเหมือนแบบที่คุยกันไว้หรือเปล่า ด้วยเหตุนี้ เอสบี ดีไซน์สแควร์ ซึ่งบริษัทมีศักยภาพครบทั้งเรื่อง 1. เฟอร์นิเจอร์ทั้งบิลท์อินและลอยตัว (ด้านความหลากหลายและสไตล์) 2. อินทีเรียดีไซน์เนอร์ ที่มีความเชี่ยวชาญในงานออกแบบตกแต่งคอนโด 3. วัสดุหรือ Raw Material สำหรับงานตกแต่งที่มีให้ลูกค้าเลือกได้มากที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุด 4. มี Partner ที่หลากหลายและแข็งแกร่ง (ในทุกกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวกับงานตกแต่ง) 5. มีบริษัทในเครือที่ดูแลเรื่องงานตกแต่งภายในโดยเฉพาะ ซึ่งอยู่ภายในมาตรฐานของ เอสบี ด้วยศักยภาพที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เราจึงมีความพร้อมที่จะเข้ามาช่วยดูแล “งานตกแต่งคอนโด” ให้กับลูกค้าได้แบบเบ็ดเสร็จและครบวงจร คือ นอกจากจะเป็นเรื่องของเฟอร์นิเจอร์ ที่มีทั้งบิลท์อินและลอยตัวแล้ว ยังมีบริการที่ดูแลเรื่องงานตกแต่งภายในอื่นๆ ไม่ว่าจะปูพื้น  ดรอปฝ้า ย้ายปลั๊ก ทำผนังตกแต่งกรุกระจก เติมไฟประดับ ติดฟิล์ม กันความร้อน ผ้าม่าน วอลเปเปอร์ ติดตั้ง Digital Door Lock และเพิ่มระบบ Smart Home System เพื่อตอบรับการใช้ชีวิตแบบ Smart Metro Lifestyle ที่สำคัญ คือ เรามี Interior Designer มืออาชีพคอยช่วยดูแลเรื่องออกแบบและสไตล์การตกแต่ง และยังมี Condo Décor Planner ที่เป็นมากกว่าผู้ช่วยส่วนตัวคอยให้คำปรึกษา ติดตามงาน บริหารจัดการเวลาและวางแผนงาน   ติดตั้งต่างๆ ให้กับลูกค้า เพื่อให้การแต่งคอนโดของลูกค้าเป็นเรื่องสะดวกสบายและง่ายขึ้น ซึ่ง CONDO SOLUTIONS @ SB DESIGN SQUARE ไม่เพียงแต่จะตอบโจทย์ลูกค้าทั่วไปเท่านั้น แต่ยังมีแพ็คเกจการตกแต่งพิเศษสำหรับนักลงทุนที่ซื้อคอนโดเพื่อปล่อยเช่า เพื่อจะเป็นโซลูชั่นที่ช่วยประหยัดเวลา และเพิ่มความคุ้มค่าในการลงทุนด้วย เรียกว่าจะช่วยให้ลูกค้าจบทุกความกังวลใจ ไม่เสียเวลา รวมทั้งมั่นใจได้     ในคุณภาพสินค้า วัสดุ และบริการที่มาพร้อมทีมงานมืออาชีพ ไม่ว่าจะแต่งคอนโดไว้อยู่เอง หรืออยากแต่งให้ปล่อยเช่าง่าย ขายต่อได้ราคา รับรองจะหมดปัญหาความวุ่นวายถ้าแต่งคอนโดกับ CONDO SOLUTIONS @ SB DESIGN SQUARE” กลยุทธ์หลักของ CONDO SOLUTIONS @ SB DESIGN SQUARE คือ เน้นการสื่อสารการตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายทั้งที่เป็นกลุ่มอยู่ผู้อาศัย และกลุ่มนักลงทุนในหลากหลายช่องทาง รวมทั้งมีโปรโมชั่นและแพ็คเกจแต่งคอนโดพิเศษ อาทิ ซื้อเฟอร์นิเจอร์คอนโด ลดเพิ่มสูงสุด 10% สำหรับสินค้าตกแต่งอื่นๆ ได้แก่ ผ้าม่าน, วอลเปเปอร์, ฟิล์มกันความร้อน, Digital Door Lock, Smart Home System, ปูพื้น, กรุกระจก, ที่นอน, ชุดเครื่องนอน ฯลฯ โดยในโอกาสนี้ นายเกลน ริชาร์ด แนกกลิส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายงานเครือข่ายการขายและฝ่ายการตลาด บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนบัตรเครดิตและบัตรผ่อนชำระในเครือกรุงศรีคอนซูมเมอร์ ได้มาร่วมให้ข้อมูลและกล่าวถึง Exclusive Promotion ที่ทางแบงค์กรุงศรีในฐานะพาร์ทเนอร์หลักของการเปิดตัวครั้งนี้ว่า “พิเศษสำหรับลูกค้าที่จะแต่งคอนโดกับ CONDO SOLUTIONS @ SB DESIGN SQUARE โดยเฉพาะ คือ ผ่อนนาน 24 เดือนกับบัตรกรุงศรี โดย เอสบี ช่วยชำระดอกเบี้ยให้ 10 เดือน, ได้รับเครดิตเงินคืน 13% เมื่อใช้ Point เท่ายอดซื้อ, รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 60,000 บาท เมื่อช้อปครบตามเงื่อนไข, รับคะแนนสะสมสูงสุด 10 เท่า สำหรับทุกยอดใช้จ่ายผ่านบัตรและ Top Spender รับ Voucher จากธนาคารกรุงศรี สูงสุด15,000 บาท” สำหรับอีกกลยุทธ์ที่ส่งเสริมการรับรู้ คือ การจัดนิทรรศการ Painless Exhibition ที่ เอสบี ดีไซน์สแควร์ บางนา ในวันพุธที่ 7 พฤศจิกายน 2561 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป เพื่อแสดงให้เห็นถึง Paint Point ต่างๆ ของคนแต่งคอนโด เช่น ความลำบากในการหาช่าง ความยุ่งยากในการติดต่อประสานงานซัพพลายเออร์หลายราย ได้ช่างแล้วแต่ก็ไม่มั่นใจในฝีมือและคุณภาพสินค้า แต่งตั้งนานไม่เสร็จสักที ต้องลางานหลายรอบ เพื่อมาเฝ้างานติดตั้ง ฯลฯ ซึ่งทุกปัญหาจะหมดไปถ้ามาแต่งคอนโดกับ CONDO SOLUTIONS ทั้งนี้ ภายในงานฯ ยังมีการตกแต่งห้องตัวอย่างไว้ให้ชมกันถึง 6 สไตล์ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งห้อง ซึ่งเป็นห้องตัวอย่างที่จำลองมาจากแปลนคอนโดจริงของโครงการดังหลายโครงการ“ “ในส่วนของจุดเด่น คือ ลูกค้าจะได้ห้องที่สวยเป๊ะเหมือนห้องตัวอย่าง ควบคุมงบประมาณในการตกแต่งได้ เพราะจะรู้ราคาทันทีที่เลือกสไตล์การตกแต่ง ที่สำคัญคือได้บริการครบครัน ติดตั้งรวดเร็ว พร้อมเข้าถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการตกแต่งคอนโดฯ โดยแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ 1. สร้างแรงบันดาลใจ ด้วยห้องตัวอย่างทั้ง 6 แบบเพื่อเลือกแบบที่ใช่ให้ตรงกับไลฟ์สไตล์คุณ พร้อมพูดคุยกับ Condo Décor Planner  2. รู้ราคาทันที เพื่อควบคุมงบประมาณได้ตรงใจ กำหนดระยะเวลาตกแต่งและติดตั้งได้เอง และสามารถกำหนดวันเข้าอยู่ได้เลย 3. ตอบโจทย์การแต่งบ้านได้แบบรายบุคคลด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย  สามารถปรับ เปลี่ยน ย่อ ขยาย ขนาด ฟังก์ชั่น วัสดุ ดีไซน์  ก็ “สั่งทำได้” เพื่อเฟอร์นิเจอร์สวยพอดีกับพื้นที่และความต้องการของลูกค้า โดยมีอินทีเรียดีไซน์เนอร์ มืออาชีพคอยดูแลและให้คำปรึกษา และ 4.ครบทุกเรื่องตกแต่ง จบทุกความกังวลใจ ไม่เสียเวลา มั่นใจได้ในคุณภาพสินค้าและวัสดุ ไปจนถึงการจัดส่ง ติดตั้ง ดูแลงานแต่งคอนโดทุกขั้นตอนด้วยทีมงานมืออาชีพ” “ทั้งนี้เราได้เจาะกลุ่มเป้าหมายคือคนยุค Gen Y อายุระหว่าง 28-35 ปี ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ รวมถึงกลุ่มนักลงทุน ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ลงทุนในคอนโดฯ ระดับ Hi-end เพื่อปล่อยเช่าชาวต่างชาติ จะเป็นกลุ่มที่มองหาบริการตกแต่งคอนโดที่สร้างลุคหรูหรา ดูดีมีสไตล์ และอีกกลุ่มคือ ลงทุนในคอนโดฯ ระดับกลาง ซึ่งกลุ่มนี้จะมองหา Value ในการลงทุนตกแต่งในงบประมาณที่จำกัด ติดตั้งได้รวดเร็ว แต่ต้องออกมาดูดี ซึ่ง เอสบี สามารถตอบโจทย์ได้ทั้ง 2 กลุ่ม ด้วยแพคเกจแต่งคอนโดสำหรับนักลงทุน ที่สามารถตกแต่งและให้ผู้เช่าขนกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลยภายใน 30 วัน เพราะ “เวลา” เป็นสิ่งมีค่าสำหรับนักลงทุน” “สำหรับแผนดำเนินธุรกิจใหม่ของ เอสบี นับเป็นเจ้าแรกของตลาดเฟอร์นิเจอร์ ที่มุ่งเน้นด้านการดีไซน์แบบครบวงบจร โดยจะมีการนำ CONDO SOLUTIONS ไปยัง เอสบี ดีไซน์สแควร์ ทั้ง 12 สาขา ภายในปี 2562” คุณธัญญรักข์ กล่าวในที่สุด          
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ดันยอดขายช่วงท้ายปี หวังรายได้ตามเป้า

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ดันยอดขายช่วงท้ายปี หวังรายได้ตามเป้า

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ เดินเกมรุกช่วงไตรมาสท้ายปี หวังดันยอดขายให้เป็นไปตามเป้า 2,500 ล้านบาท ดึงโครงการพร้อมขายเข้าร่วมกว่า 6 โครงการ   ดร. สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ปีนี้เมเจอร์เดินหน้า จัดแคมเปญในแต่ละโครงการอย่างต่อเนื่อง และในช่วงท้ายปีนี้ เตรียมจัดงานอีเว้นท์พร้อมมอบโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษของโครงการภายใต้เครือของเมเจอร์ หลากหลายโครงการ เช่น โครงการมาร์ค สุขุมวิท , มิวนีค หลังสวน ,มิวนีค สุขุมวิท 23 ,มารุ เอกมัย 2 , มารุ ลาดพร้าว 15 และแมเนอร์ สนามบินน้ำ โดยมีโครงการเข้าร่วมกว่า 6 โครงการ ตั้งแต่แบรนด์แมเนอร์ (MANOR) จนถึงแบรนด์ซุปเปอร์ลักชัวรี่ มาร์ค (MARQUE) ในช่วง 2 เดือนท้ายปีนี้ เดินหน้าจัดอีเว้นท์ ณ สำนักงาน ทั้ง 6 โครงการ โดยแบ่งเป็นโครงการพร้อมอยู่ 2 โครงการ คือ มาร์ค สุขุมวิท (MARQUE Sukhumvit) แมเนอร์ สนามบินน้ำ (Manor Sanambinnam) และโครงการที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอีก 4 โครงการ มิวนีค หลังสวน(MUNIQ Langsuan) มิวนีค สุขุมวิท 23 (MUNIQ Sukhumvit23) มารุ เอกมัย 2 (MARU Ekkamai2) มารุ ลาดพร้าว15 (MARU Ladprao15) เพื่อมอบโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษส่งท้ายปี อาทิ โปรโมชั่นรับคะแนนสะสม 30 เท่า เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรซิตี้แบงค์ บัตรกำนัลเอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ สูงสุด 1 ล้านบาท โปรโมชั่น WOW Day ลด 2 เท่า จากราคาพิเศษปกติ และห้องราคาพิเศษ 30 ชั้น ราคาเดียว และสิทธิพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย”   เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ แบรนด์ที่พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์โดยยึดมั่นและใส่ใจถึงไลฟ์ไตส์ผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ให้ความสำคัญกับการออกแบบห้องพักเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้ประโยชน์ได้สูงสุด          
KOHLER Design Forum 2018  ร่วมสรรค์สร้างอนาคตแห่งการอยู่อาศัย  เชื่อมสรรพสิ่งออนไลน์ภายใต้แนวคิด “ALL THINGS CONNECTED”

KOHLER Design Forum 2018 ร่วมสรรค์สร้างอนาคตแห่งการอยู่อาศัย เชื่อมสรรพสิ่งออนไลน์ภายใต้แนวคิด “ALL THINGS CONNECTED”

โคห์เลอร์ ผู้นำระดับโลกด้านการออกแบบนวัตกรรมและการผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับห้องครัวและสุขภัณฑ์ กำหนดจัดงาน KOHLER Design Forum ณ เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2561 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเชิญชวนเหล่าสถาปนิก นักออกแบบ และผู้ปฏิบัติงานในสาขาที่เกี่ยวข้องในเมืองไทยมาร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตของอุตสาหกรรมด้านการอยู่อาศัย และรับฟังองค์ความรู้เชิงลึกจากผู้บรรยายระดับโลกในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคอินเตอร์เน็ต รวมถึงแนวโน้มของระบบเมือง บ้าน และสำนักงานอัจฉริยะ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต   งาน KOHLER Design Forum จะจัดขึ้นภายใต้ธีม “All Things Connected”ถือเป็นเวทีสำหรับผู้ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมสถาปัตย์และการออกแบบในประเทศไทย เพื่อมาร่วมพูดคุยถึงการสร้างสรรค์อนาคตของอุตสาหกรรมด้านการอยู่อาศัย ผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ องค์ความรู้เชิงลึก และแนวคิดที่ให้ความสำคัญในเรื่องอนาคตของเทคโนโลยีอัจฉริยะภายในบ้าน สำนักงาน และอาคารประเภทต่าง ๆ พร้อมนำเสนอแนวโน้มและองค์ความรู้ด้านการออกแบบแนวใหม่ ซึ่งนอกเหนือจากการนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจ โคห์เลอร์ยังจัดแสดงนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด “KOHLER Konnect™” ระบบบ้านอัจฉริยะ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการทำงานของห้องน้ำด้วยเสียง มอบความสะดวกสบายและการเชื่อมต่อที่ง่ายดายยิ่งขึ้น   ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โคห์เลอร์จัดการประชุมตามศูนย์กลางการออกแบบหลายแห่งทั้งในเอเชียและยุโรป และนำเสนอองค์ความรู้จากนักออกแบบและสถาปนิกที่ทรงอิทธิพลและเจ้าของรางวัลทั่วโลก สำหรับในปีนี้มีการจัดงาน KOHLER Design Forum มาแล้วทั้งในสิงคโปร์ ลอนดอน โตรอนโต และดูไบ โดยกรุงเทพฯ ถือเป็นสถานที่จัดงานแห่งสุดท้ายสำหรับปีนี้ ซึ่งกำหนดจัดภายใต้แนวคิด “All Things Connected”   KOHLER Design Forum เป็นการประชุมนำเสนอข้อมูลรอบเอ็กซ์คลูซีฟที่จัดขึ้นเป็นพิเศษหรับกลุ่มผู้ปฏิบัติงานในวงการสถาปนิกและนักออกแบบเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างคอนเน็กชั่น พร้อมพบปะกับบรรดาผู้นำและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม เพื่อรับฟังข้อมูลผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดกับระบบ“KOHLER Konnect” ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://kohler.design/design-forum/          
แสนสิริหนุนโรงแรม The Standard สยายปีก 15 สาขาทั่วโลกภายใน 5 ปี  พร้อมเปิดตัว One Night แอปฯ จองโรงแรมปฏิวัติวงการครั้งแรกในเอเชีย

แสนสิริหนุนโรงแรม The Standard สยายปีก 15 สาขาทั่วโลกภายใน 5 ปี พร้อมเปิดตัว One Night แอปฯ จองโรงแรมปฏิวัติวงการครั้งแรกในเอเชีย

แสนสิริประกาศเปิดตัวโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด (The Standard Hotel) และสแตนดาร์ด เรซิเดนซ์ (Standard Residences) ในประเทศไทยอันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายสาขาทั่วโลก พร้อมเปิดตัววัน ไนท์ (One Night)แอปพลิเคชั่นจองโรงแรมภายในวันเดียวกับที่พัก ซึ่งขยายขอบข่ายการบริการสู่เอเชียเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ เพื่อต่อยอดหลังการประกาศวิสัยทัศน์ในการก้าวสู่ธุรกิจโรงแรม เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ระดับโลกผ่านการลงทุนมูลค่า 80 ล้านดอลล่าร์ หรือ 2,640 ล้านบาท ในหลากหลายแบรนด์ชั้นนำระดับโลก     การสยายปีกของ The Standard และOne Night สู่เอเชียครั้งนี้เป็นผลจากการขยายตัวทางธุรกิจอย่างรวดเร็วหลังการร่วมลงทุน ของแสนสิริเมื่อปลายปีที่ผ่านมา  โดย Standard International ตั้งเป้าขยายสาขาโรงแรมทั่วโลกเพิ่มขึ้น 2 เท่า จาก 5 สาขาในปัจจุบันเป็น 10 สาขาภายใน 1 ปี และขยายเพิ่ม 2 เท่าอีกครั้งเป็น 20สาขาภายใน 5 ปี ขณะที่ One Night เริ่มรุกสู่ตลาดเอเชียซึ่งมีศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจสูง โดยเริ่มเปิดให้บริการที่กรุงเทพฯ แล้วเป็นแห่งแรก     นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2560 เราได้ประกาศแผนการลงทุนในแบรนด์ระดับโลกมากมาย ซึ่งล้วนเป็นผู้นำในธุรกิจโรงแรม เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ การลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขยายฐานความรู้และการสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอื่นที่หลากหลายออกไปนอกเหนือจากด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นเรื่องน่ายินดีที่ในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี การลงทุนครั้งนี้ได้ช่วยขับเคลื่อนให้ The Standardและแอปพลิเคชั่น One Night เติบโตในอัตราที่รวดเร็ว ซึ่งวันนี้ทั้งสองแบรนด์พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจสู่ตลาดเอเชียอย่างแข็งแกร่ง โดยมีประเทศไทยเป็นเป้าหมายแห่งแรก”      The Standard แบรนด์ที่กล่าวได้ว่ามีอิทธิพลที่สุดในธุรกิจบูทีคโฮเทล ได้วางแผนขยายสาขาโรงแรมเพิ่มขึ้นสองเท่า ทั่วโลกหลังจากที่แสนสิริเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 35% ในบริษัทแม่ คิดเป็นมูลค่า 58 ล้านดอลล่าร์ หรือกว่า 1,900 ล้านบาท The Standardตั้งเป้าขยายสาขาสู่ตลาดใหม่ๆ โดยอาศัยทีมงานที่เปี่ยมคุณภาพ ความเชี่ยวชาญ  ในการสร้างสรรค์โปรแกรมและกิจกรรมที่เน้นการสะท้อนวัฒนธรรมในรูปแบบต่างๆ การคัดสรรพาร์ทเนอร์  และการสร้างสรรค์งานอีเวนต์ที่ไม่ซ้ำใคร เพื่อเชื่อมโยงชุมชนและสังคมท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากทั่วโลก เข้าด้วยกัน The Standard ได้ปักหมุดขยาย 10 สาขาทั่วโลกโดยมี 2 สาขาที่ประเทศไทย ที่จะเปิดบริการภายในอนาคตอันใกล้     ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจ 5 ปีที่จะขยายสาขาให้ครบ 20 แห่ง ทั้งในโลเคชั่นที่อยู่ในพื้นที่ใจกลางเมือง และเมืองตากอากาศชั้นนำทั่วโลก อันได้แก่ ลอนดอน ซึ่งจะเปิดในไตรมาส 1 ปี 2562ตามด้วย ปารีส มิลาน เบอร์ลิน ลิสบอน ปราก แมดริด ชิคาโก ลาสเวกัส  นิวออร์ลีนส์ แอตแลนต้า ดูไบ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน กรุงเทพฯ ภูเก็ต หัวหิน จาการ์ตา และบาหลี โดยเมืองเป้าหมายทั้งหมดข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นทำเลที่ The Standardมีแผนดำเนินการพัฒนาโรงแรมที่เป็นรูปธรรมแล้ว หรือมีความคืบหน้าในขั้นตอนเจรจาตกลง     อามาร์ ลาลวานี ซีอีโอ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “การขยายแบรนด์ The Standard ไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ถือเป็นโอกาสสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์การเข้าพักในโรงแรมที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นของเราสู่ผู้คนอีกมากมาย เราสร้างสรรค์พื้นที่ให้มีความสอดคล้องกลมกลืนกับวัฒนธรรรมเฉพาะตัวของแต่ละท้องถิ่นที่โรงแรมตั้งอยู่ ผ่านการออกแบบพื้นที่ใช้สอยและการสร้างประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่อื่นให้กับทั้งแขกที่มาพักและผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นๆ    The Standardยังตั้งใจสร้างแบรนด์ให้เป็นพื้นที่ที่เป็นเสมือนศูนย์กลางของพลังแห่งความสร้างสรรค์และการร่วมกันทำกิจกรรมแสนสนุกสนาน ตัวอย่างที่ชัดเจนได้แก่ The Standard สาขา High Line ซึ่งเป็นโรงแรมแฟล็กชิพของเราที่นิวยอร์ก ที่นับได้ว่าเป็นเครื่องมือบุกเบิกการพลิกโฉมพื้นที่ซึ่งอดีตเป็นย่านโรงงานเนื้อสัตว์ให้กลายเป็นทำเลซึ่งเป็นที่น่าสนใจที่สุดของแห่งหนึ่งของเมือง และดึงดูดให้เกิดสถานที่ซึ่งมีความน่าสนใจ และผู้ประกอบการใหม่ๆ เข้ามาในย่าน   ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์วิทนีย์ (Whitney Museum) เทสลา (Tesla) และซัมซุง(Samsung)นอกจากนี้นับตั้งแต่ The Standard ได้เข้ามาดำเนินธุรกิจภายในย่าน ยังส่งผลให้ราคาของอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณนี้มีมูลค่าสูงขึ้นราวสองเท่าเมื่อเทียบกับอสังหาฯ ในบริเวณที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่บล็อกจากโรงแรม และเราเชื่อมั่นว่าปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นอีกเช่นเดียวกันเมื่อเราเปิดโรงแรม The Standard สาขาใหม่แห่งแรกนอกสหรัฐอเมริกา ที่ลอนดอน ในย่านคิงส์ครอส และในพื้นที่ใหม่ๆ ทั่วโลกอีกมากมาย”       “สำหรับประเทศไทย เรามีแผนเปิดโรงแรม The Standard แห่งแรกที่ภูเก็ต ซึ่งนอกจากโรงแรมแล้ว ยังมี Standard Residences ซึ่งเราพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกภายใต้ความร่วมมือกับแสนสิริ ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจทั้งในเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่น่ามาเยี่ยมเยือน รวมถึงจำนวนของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี จึงเป็นทำเลที่เหมาะสมสำหรับการเปิดตัวแบรนด์ The Standard ไม่ว่าจะเป็นความโดดเด่นในด้านอาหารการกินชั้นเลิศ แวดวงแฟชั่น และศิลปะ เมื่อประกอบเหตุผลต่างๆ เข้าด้วยกัน เราจึงตัดสินใจเลือกกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งสำนักงาน ประจำภูมิภาคของเราเพื่อดูแลการดำเนินธุรกิจทั้งหมดในแถบเอเชียและตะวันออกกลาง”      ด้วยจำนวนโรงแรมทั้งหมด 6 แห่งในปัจจุบันและห้องพักรวมกันกว่า 1,200 ห้อง (รวมโรงแรมแห่งใหม่ที่จะเปิดในลอนดอน) The Standard สามารถสร้างรายได้ปีละประมาณ 200 ล้านดอลล่าร์ หรือ6,600 ล้านบาท มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 85% มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเติบโต 121% โดยทุกสาขามีอัตราที่ใกล้เคียงกัน  The Standard ยังมีสัดส่วนการจองห้องพักจากลูกค้าโดยตรงและการกลับมาใช้บริการซ้ำของแขกที่สูงเป็นอย่างมาก ซึ่งช่วยสะท้อน  ความแข็งแกร่งของแบรนด์ซึ่งโดดเด่นกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ     จิมมี่ ซูฮ์ ประธานบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง One Night กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งกับการเปิดตัวแอปพลิเคชั่น One Night ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการขยายธุรกิจสู่เอเชียเป็นครั้งแรก กรุงเทพฯ คือเมืองที่ไม่เคยหลับ ผู้คนเปี่ยมพลัง  ในการทำงานและใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับOne Night แอปพลิเคชั่นจองโรงแรมในวันเดียวกับการเข้าพัก ที่มอบตัวเลือกโรงแรมอิสระชื่อดังซึ่งล้วนคัดสรรมาเพื่อประสบการณ์สุดพิเศษด้วยราคาที่ดีที่สุด”   “แอปพลิเคชั่น One Night เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมแนวคิดในการใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและการท่องเที่ยวที่เสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ สอดคล้องกับเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคต้องการบริการที่สั่งได้ทันทีอย่างใจ (on-demand service) ผ่านทางหน้าจอโทรศัพท์ นอกจากนี้ ยังเป็นการผลักดันให้การพักในโรงแรมกลายเป็นกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ เพื่อหลีกหนีจากชีวิตประจำวันที่จำเจ ตามเทรนด์ Staycation ที่กำลังมาแรง นอกจากนั้นตัวแอปฯ ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมที่น่าสนใจบริเวณโดยรอบโรงแรมอีกด้วย”     สำหรับ One Night ที่เปิดตัวในกรุงเทพฯ ได้รวบรวมโรงแรมอิสระที่ดีที่สุด 16 แห่ง ประกอบด้วย โรงแรมอาคิระ สุขุมวิท, โรงแรมอาคิระ ทองหล่อ, แบงค็อก ริเวอร์ไซด์, ปาเฮ่า เกสต์เฮาส์ เยาวราช, โรงแรมคาโบชอง, โรงแรมดิโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ, ริว่าอรุณ, ริวา เซอร์ยา, เซี่ยงไฮ้แมนชั่น, เดอะสยาม, สยามแอทสยาม, โรงแรมสุโขทัย, โรงแรม เดอะ สุโกศล, 137 พิลล่าร์ สวีท แอนด์ เรสซิเด้นซ์, โรงแรมอำแดง, จอช โฮเทล และวันเดย์ โฮสเทล ลูกค้าแสนสิริสามารถรับสิทธิพิเศษสำหรับการจองโรงแรมในกรุงเทพมหานครผ่านแอปพลิเคชั่น One Night ได้ระหว่างวันนี้ – 30พฤศจิกายน 2561 ด้วยส่วนลดพิเศษ 1,000 บาท สำหรับลูกค้า Sansiri Family และส่วนลด 1,500บาทสำหรับลูกค้า Siri Priority     นอกเหนือจากกรุงเทพฯ ปัจจุบัน One Night ได้เปิดให้บริการแล้วในอีก 15 เมืองหลักในสหรัฐอเมริกา และลอนดอน ครอบคลุมโรงแรมอิสระกว่า 170แห่ง และมีแผนขยายขอบข่ายให้ครอบคลุม 30เมืองทั่วโลก รวมทั้งในเอเชีย  และยุโรป ภายในสิ้นปี 2563 “การร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับแบรนด์ที่แข็งแกร่งและโดดเด่น จะช่วยส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของแสนสิริ ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงบริการจากผู้นำธุรกิจระดับโลกอย่างแท้จริง การเปิดตัวThe Standard และ One Night ในประเทศไทยคืออีกก้าวสำคัญของเรา ที่จะนำไปสู่สิ่งใหม่ๆ อีกมากมายในอนาคต" นายอภิชาติกล่าว    
“รอแยลเฮ้าส์” เปิดตัว “รอแยลเฮ้าส์ อีเลฟเว่น” ลุยตลาดคอนโด  ปั้นโครงการแรก “โคคูน พระราม 9” พร้อมแบรนด์ดัง แกรนด์โฮมมาร์ท-ออกานิก้า เฮ้าส์

“รอแยลเฮ้าส์” เปิดตัว “รอแยลเฮ้าส์ อีเลฟเว่น” ลุยตลาดคอนโด ปั้นโครงการแรก “โคคูน พระราม 9” พร้อมแบรนด์ดัง แกรนด์โฮมมาร์ท-ออกานิก้า เฮ้าส์

รอแยลเฮ้าส์ แตกไลน์ธุรกิจ ตั้ง “รอแยลเฮ้าส์ อีเลฟเว่น” ลุยธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาฯ ชูจุดขายคุมงานก่อสร้างเองด้วยประสบการณ์รับสร้างบ้านกว่า 30 ปี นำร่องพัฒนาโครงการแรก “โคคูน พระราม 9” คอนโดคุณภาพพรีเมียม ราคาเข้าถึงได้ ตอบโจทย์เรียลดีมานด์ในพื้นที่ ดึงแบรนด์ดัง แกรนด์โฮมมาร์ท-ออกานิก้า เฮ้าส์ ร่วมสร้างประสบการณ์สุดพิเศษในการอยู่อาศัย   นายโกศล โควิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รอแยลเฮ้าส์ อีเลฟเว่น จำกัด เปิดเผยว่า ได้จัดตั้งบริษัท รอแยลเฮ้าส์ อีเลฟเว่น จำกัด ขึ้น ภายใต้สโลแกน “The Balanced Living” เพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ (Property Development Business) ต่อยอดโอกาสและความท้าทายในการตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภค     “หลายคนอาจรู้จักรอแยลเฮ้าส์เฉพาะในธุรกิจรับสร้างบ้าน แต่จริงๆ แล้ว รอแยลเฮ้าส์เองเคยมีประสบการณ์การพัฒนาที่อยู่อาศัยมานานแล้วหลายโครงการทั้งแนวราบและแนวดิ่ง เช่น Royal Tower 3 อินทามระ 25, Green Peace Mansion ประดิพัทธ์ ซอย 7, Royal Kamala ภูเก็ต วันนี้เราเพิ่มความท้าทายใหม่ๆ และโอกาสให้ตัวเองด้วยการจัดตั้งบริษัทใหม่ เพิ่มเซ็กเมนท์และทางเลือกในการช่วยตอบโจทย์ด้านที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคอย่างเป็นทางการ โดยจุดแข็งหลักของบริษัท คือการควบคุมงานด้านการก่อสร้างหรือConstruction Management ด้วยตัวเอง ผ่านประสบการณ์กว่า 30 ปีในธุรกิจรับสร้างบ้านและพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโครงการที่ก่อสร้างโดยรอแยลเฮ้าส์ อีเลฟเว่น จะมีคุณภาพและมาตรฐานที่ยอดเยี่ยม” นายโกศล กล่าว     ทั้งนี้ บริษัทได้เริ่มต้นจากการพัฒนาแบรนด์คอนโดมิเนียมแบรนด์แรก ภายใต้ชื่อ “โคคูน” (Cocoon) ซึ่งหมายถึงดักแด้ สื่อถึงการให้ผู้บริโภคสามารถกลับเข้ามาพักผ่อนใน “Charging Pod” เช่นเดียวกับดักแด้ได้ที่โครงการแบรนด์นี้ บรรยากาศโครงการจะสงบ อบอุ่น ร่มรื่น เป็นส่วนตัว ช่วยฟูมฟักผู้อยู่อาศัยจากดักแด้สู่การเป็นผีเสื้อ สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ “ชาร์จชีวิตให้สมดุล”   นายโกศล กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการแรก ภายใต้ชื่อ “โคคูน พระราม9” (Cocoon Rama 9) ตั้งอยู่ในทำเลที่ใกล้กับทั้ง The Nine พระราม 9 โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ทางพิเศษศรีรัช รถไฟฟ้าสายสีเหลืองสถานีศรีกรีฑา และแอร์พอร์ตลิงค์สถานีหัวหมาก มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการให้มีคุณภาพระดับพรีเมียม ในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเรียลดีมานด์ในพื้นที่ อาทิ แพทย์-พยาบาลในโรงพยาบาล คนทำงานออฟฟิศ สถาบันการศึกษา และห้างสรรพสินค้า ไปจนถึงคนที่ทำงานในสนามบินสุวรรณภูมิ     “เราออกแบบดีไซน์โครงการให้เน้นความเป็นธรรมชาติ ใช้วัสดุที่เป็นหิน ไม้ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความทันสมัย และมีคุณภาพ เพื่อให้ผู้บริโภคได้อยู่อาศัยในโครงการราคาจับต้องได้ เริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท หรือเฉลี่ยทั้งโครงการประมาณ 70,000 บาท/ตร.ม. แต่ได้วัสดุและคุณภาพที่เหนือราคา” นายโกศล กล่าว   นายโกศล กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้รับประสบการณ์การอยู่อาศัยสุดพิเศษ บริษัทจึงได้ร่วมกับแบรนด์ดังในแวดวงต่างๆ ในการพัฒนาและตกแต่งโครงการ เบื้องต้น ได้ร่วมกับบริษัท แกรนด์โฮมมาร์ท จำกัด นำเฟอร์นิเจอร์ของแกรนด์โฮมรวมถึง ชุดเครื่องครัวบิลท์ อิน แบรนด์ Le Krua ของแกรนด์โฮม เข้ามาตกแต่งโครงการเป็นโครงการแรก ขณะเดียวกัน ยังได้นำ Reed Diffuser จากออกานิก้า เฮ้าส์ ของศรีริต้า เจนเซ่น เพื่อสร้างประสบการณ์กลิ่นสัมผัสเฉพาะให้แก่โครงการ ให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกผ่อนคลาย คุ้นเคย และอบอุ่นทุกครั้งเมื่อได้กลิ่น นอกจากนี้ จะมีการแจกReed Diffuser ดังกล่าวให้แก่ผู้จองโครงการในช่วงวันเซ็นสัญญาด้วย     สำหรับโครงการโคคูน พระราม 9 ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดประมาณ 1 ไร่ 57 ตารางวา บนถนนพระราม 9 ซอย 59มูลค่าโครงการประมาณ 305 ล้านบาท เป็นอาคาร 8ชั้น 1 อาคาร 146 ยูนิต ประกอบด้วยห้องชุด 1-2 ห้องนอน รวม 5 แบบ ขนาดตั้งแต่ 26-44 ตร.ม. ภายในโครงการประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำ (The Cocoon Pool) ฟิตเนส (The Cocoon Fitness) ห้องประชุม (The Private Cocoon)Co-working space (The Cocoon Space) คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 2/2562 และก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3/2563 เตรียมเปิดขาย VIP DAYในวันที่ 17-18 พ.ย. 2018 นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ บริเวณปากซอยพระรามเก้า 57/2   ผู้สนใจโครงการ สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่www.cocooncondo.com/Rama9/ หรือสอบถาม โทร 092-323-9323 Line@ ID : @Cocooncondo            
โรงแรมโซ โซฟิเทล หัวหิน เปิดเฟสใหม่ ยกระดับประสบการณ์ท่องโลกเหนือจินตนาการ ชูจุดเด่น แห่งแรก! ในไทยกับ Wibit แอดเวนเจอร์ในสระว่ายน้ำ

โรงแรมโซ โซฟิเทล หัวหิน เปิดเฟสใหม่ ยกระดับประสบการณ์ท่องโลกเหนือจินตนาการ ชูจุดเด่น แห่งแรก! ในไทยกับ Wibit แอดเวนเจอร์ในสระว่ายน้ำ

โรงแรมโซ โซฟิเทล หัวหิน (SO Sofitel Hua Hin) บริหารโดยแอคคอร์โฮเทล เปิดเฟสใหม่ อย่างเป็นทางการ ยกระดับโรงแรมเป็น the Next Level of Imaginative Escape อีกขั้นเหนือจินตนาการแห่งการพักผ่อน ตอบโจทย์ นักเดินทางทั้งธุรกิจและพักผ่อน เป็นโรงแรมแห่งแรก! ในไทยที่มี Wibit แอดเวนเจอร์เครื่องเล่นเป่าลมลอยน้ำขนาดใหญ่ ในสระว่ายน้ำ 16 x 60 เมตร หวังเจาะกลุ่มเป้าหมายคนไทยและคนต่างชาติในไทย 60% นักเดินทางในเอเชียจากเกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซียและไต้หวัน 30% และอีก 10% จากภาคพื้นไกล เช่นยุโรป ออสเตรเลีย คาดอัตรา เข้าพัก 63 -65% ในปี 2562   มร.ยานิค เมนาร์ด รองประธานฝ่ายขาย การตลาดและช่องทางการจัดจำหน่าย แอคคอร์โฮเทล ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือและมัลดีฟส์ เผยว่า "โซ โซฟิเทล เป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ที่มีเสน่ห์ มีชีวิตชีวา ที่สร้างความรู้สึกสนุกร่วมไปกับที่พัก และยังคงไว้ซึ่งโพสิชั่นระดับลักซ์ชัวรี่ของโซฟิเทล เพื่อมอบนิยามใหม่ของการพักผ่อนรูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน     แบรนด์โซ โซฟิเทล ในไทย มี 2 แห่ง คือ โรงแรมโซ โซฟิเทล แบงคอก และโซ โซฟิเทล หัวหิน และมีแผนจะเปิดที่เกาะสมุยในปี 2563 แต่ละแห่งจะมีคอนเซ็ปต์บ่งบอกเรื่องราวของตัวตนผสานกับดีไซน์หรูฝรั่งเศส ที่ให้ความสำคัญกับแฟชั่น พร้อมกับมีความร่วมมือกับซิกเนเจอร์ดีไซเนอร์หรือนักออกแบบแฟชั่นแบรนด์ชั้นนำ และจากการเปิดเฟสใหม่โซ โซฟิเทล หัวหิน เป็นการเติมเต็มประสบการณ์ความสุขเหนือจินตนาการ และเป็นต้นแบบรีสอร์ทโมเดลให้กับโซในภาคพื้นอื่นๆ ทั่วโลก   นางสาวชิดชนก พศินพงศ์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมโซ โซฟิเทล หัวหิน เผยว่า "การเปิดเฟสใหม่ได้เพิ่มห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ ห้องพักจาก 78 เป็น 109 ห้อง มีห้องพักที่เชื่อมกับสระว่ายน้ำ, สระว่ายน้ำ signature pool ขนาด 16 x60 เมตร พร้อมเพิ่มกิจกรรมเติมเต็มให้สมาชิกทุกคนในครอบครัว ด้วยเครื่องเล่น Wibit เครื่องเล่นเป่าลมลอยน้ำที่มีความยาว 40 เมตรมี 9 ฐานผจญภัย ที่เด็กๆ สามารถปีนป่าย ฝึกความไวและการทรงตัว มีไลฟ์การ์ดดูแลความปลอดภัย นับเป็นโรงแรมแห่งแรกในไทยที่มี Wibit ในสระว่ายน้ำ มี Kids Tent เป็นจุดรวมพลังของเหล่าสิงสาราสัตว์ โดยแบ่งเป็นโซนห้องเล่นแต่ละกลุ่มวัย มีเพลย์กราวน์พื้นที่ที่ปลอดภัยต่อการเล่นของเด็ก และ SO Sundaeร้านขนมสุดชิลล์ริมสระน้ำ   นอกจากนี้ยังมีมินิกอล์ฟ 18-หลุมในธีมวันเดอร์แลนด์ คอร์ตเทนนิสและบาสเกตบอล คอร์ตพิคเคิลบอล จะเปิดบริการในวันที่ 1 ธันวาคมศกนี้ สำหรับลู่จักรยานรอบรีสอร์ทยาว 627 เมตรพร้อมเปิดให้บริการช่วงสิ้นปี และหวังว่าเสน่ห์ที่มีชีวิตชีวาของโซ โซฟิเทล หัวหิน จะช่วยเนรมิตความสุขให้ผู้ใช้บริการได้ครบ 360 องศา มีโมเมนต์สำหรับแชร์ดิจิทัล กับการเป็นนักเล่าเรื่อง ถ่ายรูป และบอกเล่าเรื่องราวในสไตล์คุณ   ล่าสุดโรงแรมเห็นแนวโน้มของการเข้าพักที่เพิ่มขึ้น จากกลุ่ม MICE โดยเฉพาะจากบริษัทเทคโนโลยีดิจิทัล ที่มองหา ที่พักทันสมัย สอดคล้องกับภาพลักษณ์ขององค์กร และยังเป็นรีสอร์ทที่กลุ่มเวดดิ้งของอินเดียให้ความสนใจ เพราะห้องพัก 109 ห้อง ไม่ใหญ่และเล็กเกินไป จะมีชาวอินเดียปิดโรงแรมจัดเวดดิ้ง มี 4-5 กรุ๊ป ยอดรายได้ราว 4 ล้านต่อกลุ่ม"     "ในประเทศไทย แอคคอร์โฮเทล เป็นเครือข่ายโรงแรมที่ครองอันดับ 1 ด้วยจำนวนโรงแรม 81 แห่งภายใต้ 11 แบรนด์โรงแรม และด้วยความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย แอคคอร์โฮเทลมุ่งมั่นที่จะขยายเครือข่ายให้ครอบคลุม เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับนักเดินทางทุกกลุ่ม โดยมีโครงการที่จะเปิดโรงแรมอีก 20 แห่งภายในปี 2563 ในกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต" กล่าวเสริมโดย มร.เมนาร์ด   โปรโมชั่นช่วงแนะนำเฟสใหม่ weekend getaway เริ่มต้นที่ 4,500 บาท++ รวมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงมีนาคม 2562 สำรองที่พัก h9649-RE@sofitel.com หรือโทร +66 32 709 555 หรือข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.so-sofitel-huahin.com    
“บีท บางหว้า อินเตอร์เชนจ์”  คอนโดฯ ใหม่ตอบโจทย์ทุกจังหวะชีวิต พร้อมเปิด Pre-Sale 17-18 พ.ย.นี้

“บีท บางหว้า อินเตอร์เชนจ์” คอนโดฯ ใหม่ตอบโจทย์ทุกจังหวะชีวิต พร้อมเปิด Pre-Sale 17-18 พ.ย.นี้

“บางหว้า” เป็นอีกหนึ่งทำเลที่ได้รับอิทธิพลจากรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย โดยเฉพาะสถานีปลายทาง บางหว้า ที่เป็นจุดตัด BTSส่วนต่อขยายสายสีเขียว(ตากสิน-บางหว้า) กับ MRT สายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-หลักสอง) ที่จะเปิดให้บริการในปี 2562 นั้นทำให้ที่นี่เป็น Intersection hub transit ที่สมบูรณ์เชื่อมต่อทุกการเดินทางครบทั้งระบบ รถ-ราง-เรือ ของกรุงเทพฯที่คลองภาษีเจริญทำให้ มีความสะดวกในการเดินทางเชื่อมเมืองสู่เมือง     ด้วยเหตุนี้ ทำให้ทำเลส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า สถานี บางหว้า อินเตอร์เชนจ์ ทำเลน่าลงทุนที่ได้รับอิทธิพลจากแหล่งความเจริญศูนย์กลางธุรกิจ (CBD: Central Business District) ใหญ่ทั้ง สาทร สีลม  พระราม 4 ทำเลที่จะเกิดการสร้างงานอย่างมากในอนาคตอันใกล้จากโครการMixed-ues ส่งผลให้มีความต้องการ (demand) ที่อยู่อาศัยมหาศาลเห็นได้จากการขึ้นแบรนด์ชนแบรนด์ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ...และทำเล “บางหว้า” นี้ยังเป็นที่ตั้งโครงการ “ บีท บางหว้า อินเตอร์เชนจ์” (BEAT BANGWA INTERCHANGE) คอนโดมิเนียมใหม่โครงการแรกของ บริษัท นอร์ธแลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาฯรายใหญ่จาก จ.สระบุรี     นายนพดล ธรรมวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท นอร์ธแลนด์ ดีเวลลนอปเม้นต์ จำกัด เปิดเผยว่าโครงการ “ บีท บางหว้า อินเตอร์เชนจ์” เป็นโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยโครงการแรกที่เป็นคอนโดฯและเป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยโครงการที่สองของบริษัทฯในกรุงเทพฯจากที่ก่อนหน้าได้พัฒนาโครงการ D8 “Luxury Vertical House” ย่านเอกมัย-รามอินทรา โครงการร่วมทุนกับบริษัทเดวา เรียลเอสเตท จำกัด (ของกลุ่มนายเลิศมงคล วราเวณุชย์) โครงการเจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ที่ต้องการอยู่อาศัยในเมืองทำเลไม่ไกลจาก CBD ตอบโจทย์ด้วยพื้นที่ใช้สอยมากกว่าคอนโดมิเนียม มีเอกลักษณ์ด้านดีไซน์ คุ้มค่าด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนตัวครบครัน ทั้งลิฟท์ สระว่าย พร้อมที่จอดรถ 6 คัน พื้นที่ใช้สอยกว่า 700 ตารางเมตร(ตร.ม.) รองรับผู้อยู่อาศัยครอบครัวใหญ่ได้ถึง 30 ล้านบาท     สำหรับโครงการ “ บีท บางหว้า อินเตอร์เชนจ์” พัฒนาภายใต้แนวคิด “ใช้ทุกจังหวะชีวิตที่เป็นคุณ” เป็นคอนโดฯ Low Rise สูง 8 ชั้น 2 อาคาร บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ มีจำนวนห้องพักอาศัย 402 ยูนิต พื้นที่สำหรับร้านค้า 1 ยูนิต มีที่จอดรถ 135 คัน(ไม่รวมจอดซ้อนคัน)หรือคิดเป็นสัดส่วนพื้นที่จอดรถประมาณ 39 % โดยคอนโดฯอาคาร A มีจำนวน 134 ยูนิต ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 27 ยูนิต ส่วนคอนโดฯอาคาร B จำนวน 268 ยูนิต ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 35 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างช่วงต้นปี 2562 คาดกำหนดแล้วเสร็จปี 2563 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ให้การสนับสนุนสินเชื่อโครงการ     โครงการดังกล่าวมีห้องชุดให้เลือก 3 แบบ ดังนี้ แบบ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มตั้งแต่ 25.7-31.8 ตร.ม. จำนวน 323 ยูนิต , แบบ 1ห้องนอน พลัส ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มตั้งแต่ 32.6-39.9 ตร.ม. จำนวน 39 ยูนิต และ แบบ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มตั้งแต่ 45.9-51.1 จำนวน 40 ยุนิต  ราคาเริ่ม 65,000 บาทต่อตร.ม.หรือราคาเริ่มต้นที่ 1.59 ล้านบาทต่อยูนิต รวมมูลค่าโครงการประมาณ 890 ล้านบาท     เปิด Pre-Sale 17-18 พฤศจิกายน 2561 ณ สำนักงานขายโครงการ ลง BTS บางหว้าทางออกที่ 4 สนใจสอบถามได้ที่เบอร์โทร 02-023-3488  ,  063 -217-6565 หรือ www.beatcondo.com      
SC ทรานส์ฟอร์ม ขับเคลื่อนองค์กรมิติใหม่ ขยับสู่ผู้นำ Living Solutions Provider อย่างเต็มรูปแบบ

SC ทรานส์ฟอร์ม ขับเคลื่อนองค์กรมิติใหม่ ขยับสู่ผู้นำ Living Solutions Provider อย่างเต็มรูปแบบ

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็น Living Solutions Provider โดยการกำหนดทิศทางวัฒนธรรมองค์กรใหม่เพื่อหล่อหลอมพนักงานให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งในด้านการทำงาน ความสุข และคุณภาพชีวิตที่ดี นอกจากตอบสนองความต้องการขององค์กรโดยตรงแล้ว ยังสามารถสื่อสารความตั้งใจนี้ไปยังลูกค้า โดยการยึดถือหัวใจหลัก “สร้างทุกเช้าที่ดีให้กับลูกค้าทุกคน” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “รู้ใจ” เพื่อตอบโจทย์ความพึงพอใจและการอยู่อาศัยของลูกค้าเป็นสำคัญ หากองค์กรมีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน จะสามารถช่วยให้บรรลุเป้าหมายและภารกิจไปพร้อมกับพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เมื่อเข้าสู่ยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเทคโนโลยีและการแข่งขันในโลกปัจจุบัน เอสซีฯ จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ใหม่จากผู้นำด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ก้าวสู่การเป็น Living Solutions Provider ผู้พัฒนาและสร้างสรรค์สินค้าบริการ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุดในยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมด้วย 4 กลยุทธ์ ได้แก่   1. Re-invention: ด้วยหลัก 3 D Digitize ปรับเปลี่ยนการทำงานเข้าสู่ยุคดิจิทัล เพื่อเก็บ Data หาความต้องการลูกค้า วิเคราะห์และพัฒนา Design ใช้หลัก Human-Centric เข้าใจปัญหาของลูกค้า เพื่อออกแบบสินค้าและบริการ รวมถึงโซลูชันตอบโจทย์ลูกค้า Developer ประสานนวัตกรรมและพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพในทุกระดับราคา 2.Co-Creation: ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจหลากหลายใน Ecosystem เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตให้ดียิ่งขึ้น 3.Quality First: สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องคุณภาพสินค้าและบริการ 4.Top-Line Growth: บริหารรายได้และยอดขาย ขับเคลื่อนให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ     SC Re-Culture วัฒนธรรมองค์กรของ เอสซี แอสเสท เมื่อปี 2550 หรือประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา เราได้มีการกำหนด Core Value คือ “2C2A” เป็นกรอบในการทำงาน ได้แก่ ช่างคิด ช่างสร้างสรรค์ผลงาน (Create), ใส่ใจลูกค้า (Care), ตอบสนองต่อความต้องการอย่างรวดเร็ว มีความกระตือรือร้น (Active) และ มีความเป็นมืออาชีพ (Ability)   แนวทางการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้บรรลุเป้าหมาย   การสร้างวัฒนธรรมองค์กร ด้วยรูปแบบบายดีไซน์ (By Design) คือ สิ่งที่ต้องการให้คนเป็นไปตามที่องค์กรต้องการ  โดยเกิดจากการออกแบบพฤติกรรมย่อย รวมกันเป็นค่านิยมและเมื่อมีค่านิยมถูกขมวดรวมกัน ทำต่อกันมาเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง จึงเกิดเป็นวัฒนธรรม ซึ่งสามารถออกแบบด้วย 4 หลักการ   1. กำหนดวิสัยทัศน์ และเป้าหมายให้ชัดเจน 2. กำหนดยุทธศาสตร์ และกลยุทธ์ที่สอดคล้องกัน 3. การนำแบบแผนไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ 4. กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน นำสู่ความสำเร็จ   “หัวใจสำคัญของการทรานส์ฟอร์มองค์กร คือ การกำหนดทิศทางและร่วมกันออกแบบวัฒนธรรมองค์กรใหม่ โดยในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากบริษัท สลิงชอท กรุ๊ป ที่ปรึกษาและผู้ให้บริการด้านการพัฒนาผู้นำและการจัดการองค์กร ได้เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่การศึกษา สำรวจและการทำงานร่วมกันของหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายที่ปรึกษา, คณะผู้บริหารระดับสูง, ฝ่ายทรัพยากรบุคคล และฝ่ายสื่อสารองค์กร รวมไปถึงพนักงานทุกระดับ ให้สามารถเดินไปในทิศทางเดียวกันได้ โดยไม่หลุดกรอบที่องค์กรตั้งไว้” นายณัฐพงศ์ กล่าวต่อ นายอภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัท สลิงชอท กรุ๊ป จํากัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผู้นำ และการจัดการองค์กร เผยว่า “หลักการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ต้องมีการวางแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ล่วงหน้า และคงไม่สามารถสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันของพนักงานทุกคนในองค์กร ทั้งนี้ต้องเริ่มต้นจากการค้นหาและศึกษาทั้งปัจจัยภายในและภายนอกผสมผสานกัน ซึ่งนอกจากผู้บริหารและที่ปรึกษาร่วมกันกำหนดค่านิยมใหม่ ยังลงลึกถึงการสัมภาษณ์ความคิดเห็นจากลูกค้า และลูกบ้าน รวมถึงการจัดทำแบบสำรวจกับพนักงานทั้งองค์กร เพื่อร่วมกันออกแบบวัฒนธรรมตัวใหม่ขององค์กรที่บ่งบอกตัวตน และรวบรวมเพื่อเป็นการกำหนดกรอบพฤติกรรม ค่านิยม ความคิด ให้ซึมซับไปกับการทำงาน ตลอดจนสามารถพัฒนาและหล่อหลอมกลายเป็นวัฒนธรรมภายในองค์กรได้ นายณัฐพงศ์ กล่าวสรุปว่า นอกจากความท้าทายใหม่ในการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ที่ต้องใช้เวลาค้นหาค่านิยมใหม่ ๆ ร่วมกัน และริเริ่มไปพร้อมกันกับองค์กร สิ่งสำคัญอีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือการพัฒนาคุณภาพชีวิตพนักงานทุกคน เอสซีฯ จึงได้จัดทำแอพลิเคชัน “SC In One” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะใช้สื่อสารระหว่างพนักงาน และมอบสิทธิประโยชน์ในรูปแบบใหม่สำหรับพนักงานทุกคน โดยมีฟังก์ชันต่างๆ อาทิ   TOOK 9 ช่วยในการนับก้าว มีการจัดอันดับ เพื่อสนับสนุน Wellness Program Flexible Benefit มีสวัสดิการที่ตอบสนอง Life Style ของพนักงาน โดยพนักงานเป็นผู้เลือกเอง Flexible Time พนักงานเลือกเวลาทำงานได้ นอกจากนี้การขับเคลื่อนให้มีประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้น โดยการคัดเลือกกลุ่มผู้นำการเปลี่ยนแปลง หรือ “SC Team Robin” เพื่อเป็นตัวแทนสร้างการเปลี่ยนแปลงสื่อสารกับเพื่อนพนักงานภายใต้ภารกิจนี้และบรรลุเป้าหมายร่วมกัน”   เพราะเอสซีฯ เชื่อว่า “คน” คือทรัพยากรบุคคลที่สำคัญของการขับเคลื่อนองค์กร ดังนั้นการรับมือกับการปรับวัฒนธรรมองค์กร พนักงานทุกระดับจึงต้องมีส่วนร่วม ทั้ง ระดับผู้บริหาร และพนักงาน​ ร่วมจับมือเดินหน้าไปสู่เป้าหมายเดียวกัน พัฒนาให้เป็นคนเก่งและดี เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมทั้งสามารถก้าวทันความเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลได้ ทั้งยังพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการให้อยู่คู่กับองค์กรเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน          
“เอ็มเพอเร่อร์” ยืนหนึ่งบริษัทรับสร้างบ้านสุดหรู  พร้อมขยายสู่แบรนด์ใหม่ “อะคาร่า” ชูสไตล์โมเดิร์นลักชัวรี่ ในราคาจับต้องได้

“เอ็มเพอเร่อร์” ยืนหนึ่งบริษัทรับสร้างบ้านสุดหรู พร้อมขยายสู่แบรนด์ใหม่ “อะคาร่า” ชูสไตล์โมเดิร์นลักชัวรี่ ในราคาจับต้องได้

เอ็มเพอเร่อร์ (EMPEROR) ตอกย้ำผู้นำบริษัทรับสร้างบ้านหรูระดับไฮเอนด์ ที่โดดเด่นด้วยสไตล์คลาสสิค อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การันตีด้วยตำแหน่งผู้นำตลาดยาวนานกว่า 30 ปี ประกาศเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รับการเปลี่ยนแปลงยุค Disruptive ล่าสุดได้พลิกบทบาทครั้งสำคัญ สร้างแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “อะคาร่า” (ACARA) รองรับความต้องการลูกค้ายุคมิลเลนเนียล บ้านสไตล์โมเดิร์นลักชัวรี่ ในราคาที่จับต้องได้ แต่ยังคงมาตรฐานและคุณภาพที่เหนือระดับ     นายสุรัตน์ชัย กึงฮะกิจ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า แบรนด์ “เอ็มเพอเร่อร์” (Emperor) ยังคงเป็นที่รู้จักและยอมรับของกลุ่มลูกค้าในฐานะบ้านคฤหาสน์สุดหรู ด้วยงานสถาปัตยกรรมที่สง่างาม งานตกแต่งภายในหรูหราและมีคุณภาพสูง จนสามารถครองตำแหน่งผู้นำบริษัทรับสร้างบ้านหรูสไตล์คลาสสิคระดับไฮเอนด์มายาวนานถึง 30 ปี นอกจากแบบบ้านที่สวยงาม โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์แล้ว สิ่งที่ทำให้ลูกค้าของ เอ็มเพอเร่อร์ ประทับใจก็คือ เรื่องของมาตรฐานงานก่อสร้างที่เรียกได้ว่าสูงสุดในธุรกิจรับสร้างบ้าน ด้วยทีมงานทุกฝ่ายของเราเอง (in-house) ไม่ว่าจะเป็นทีมสถาปนิก วิศวกร มัณฑนากร และทีมก่อสร้าง ที่เราฝึกเป็นพิเศษมาตลอด เพื่อให้ทุกคนได้พัฒนาฝีมือจนได้มาตรฐานสูงกว่าทั่วไป จึงทำให้บ้านแต่ละหลังเปรียบเสมือนชิ้นงานระดับมาสเตอร์พีซ (Masterpiece) ที่ผสมผสานรายละเอียดในส่วนต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ทั้งคุณภาพและศิลปะ ส่งผลให้บ้านที่ออกมามีทั้งความสูงสง่า โดดเด่นกว่าบ้านทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น งานปูนปั้นส่วนประดับต่างๆ บัวหรือหัวเสาที่มีความอ่อนช้อย โดยช่างฝีมือของเราที่บรรจงสร้างสรรค์ผลงานศิลปะให้สวยงามตามแบบจากสถาปนิกหรือมัณฑนากร และต้องมีคุณภาพ บ้านแต่ละหลังจึงแตกต่างในแบบที่ไม่ซ้ำกัน แสดงให้เห็นถึงความพิเศษ ความยูนีค (unique) และส่งต่อความภาคภูมิใจนี้ไปยังเจ้าของบ้านให้ได้มากที่สุด ซึ่งงานฝีมือเหล่านี้ก็จะมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้นในทุกวัน      อย่างไรก็ตามในยุค Disruptive ที่เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตประจำวัน  มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นเรื่องพฤติกรรมของลูกค้าซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและความชื่นชอบที่เปลี่ยนไป ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น บริษัทจึงสร้างแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “อะคาร่า” (ACARA) ที่รับสร้างบ้านสไตล์โมเดิร์น ลักชัวรี่ ในราคาที่จับต้องได้มากกว่า เพื่อตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันในสไตล์ที่หลากหลายมากขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณภาพและมาตรฐานจาก ดิ เอ็มเพอเร่อร์ ที่มีขั้นตอนกระบวนการที่เป็น Know How ของบริษัทที่พัฒนาและทดสอบมาแล้วว่าดีที่สุดสำหรับที่พักอาศัยระดับสูง นอกจากนี้เราก็ยังไม่หยุดนิ่งค้นคว้าและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในส่วนของบริษัทและวัฒนธรรมองค์กร เราก็มีการสื่อสารให้พนักงานตระหนักเรื่องของการเปลี่ยนแปลง และปรับองค์กรให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา (modernized organization) นายสุรัตน์ชัย กล่าว     ด้าน นางสาวถาปณา คงคาประเสริฐ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ เผยถึงการสร้างแบรนด์น้องใหม่ว่า “อะคาร่า”(ACARA) เป็นแบรนด์รับสร้างบ้านคุณภาพ ที่แตกต่างจากรับสร้างบ้านทั่วไป ด้วยมาตรฐานการก่อสร้างที่ดีมีคุณภาพ และไว้ใจได้ การันตีด้วยทีมงานที่มากประสบการณ์จาก บริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ ที่ก่อสร้างและตกแต่งบ้านหรู-คฤหาสน์หลังใหญ่มากว่า 30 ปี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามยุค Disruption ซึ่งต้องการความรวดเร็ว อยากได้บ้านที่มีความทันสมัย โดดเด่นด้วยรูปแบบไม่ซ้ำใคร มีพื้นที่ใช้สอย เน้นฟังก์ชั่นการใช้งานครบครัน ที่สำคัญคือราคาไม่ถือว่าสูงกว่าทั่วไปมากนัก เทียบกับการใช้วัสดุและทีมงานคุณภาพจากบ้านหรูระดับ เอ็มเพอเร่อร์  เรียกได้ว่าเป็นcompetitive price สำหรับบ้านระดับนี้เลยทีเดียว ที่น่าสนใจคือลูกค้ายังได้มาตรฐานในการก่อสร้างจาก ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์  อีกด้วย     อะคาร่า (ACARA) เริ่มเปิดตัวด้วยแบบบ้านใหม่ทั้งหมด 7 แบบ แบ่งเป็น 4 สไตล์ ทั้ง สไตล์โมเดิร์น ลักชัวรี่ (Modern Luxury), ลอฟท์ (Loft), ทาวน์โฮม (Townhome) และ รีสอร์ต (Resort) โดยส่วนหนึ่งเป็นแบบที่ได้มาจากการประกวดออกแบบบ้านThe Phenomenon ที่   ทางบริษัทฯ ได้จัดขึ้น และนำผลงานที่น่าสนใจจากนักออกแบบรุ่นใหม่ที่ได้รับรางวัลมาปรับและพัฒนาอีกครั้ง จึงได้แบบที่ค่อนข้างโดดเด่นในตลาดรับสร้างบ้าน ณ ขณะนี้  ซึ่งมีให้เลือกตามความชอบของแต่ละคน โดยแต่ละแบบจะมีการผสมผสานทั้งความหรูหรา ด้วยลุคที่ทันสมัย แต่แฝงด้วยความเรียบง่ายและมีรสนิยมอย่างลงตัว เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีอายุน้อยลง (30 – 45 ปี) เป็นเศรษฐียุคใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง อาจจะเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่  เจ้าของธุรกิจที่รับช่วงมาจากรุ่นพ่อแม่ หรือผู้บริหารระดับสูงในองค์กรใหญ่ๆ โดยราคาเริ่มต้นแบบบ้าน “อะคาร่า” ขณะนี้ อยู่ที่ประมาณ 25 ล้านบาท     นางสาวถาปณา คงคาประเสริฐ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “เราวาง Positioning แบรนด์ไว้อย่างชัดเจน คือรับสร้างบ้านที่มีดีไซน์โดดเด่นทันสมัย มาพร้อมกับคุณภาพมาตรฐานการก่อสร้างที่เหนือกว่า จากทีมงานที่มีมาตรฐานของบริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ ที่พร้อมจะสร้างบ้านที่ดี มีคุณภาพให้กับลูกค้ากลุ่มใหม่นี้ โดย segment ราคาไว้ที่ประมาณ20-40 ล้านบาท โดยจะมีวิธีและแนวทางการตลาดที่แตกต่างจากแบรนด์แม่อย่างชัดเจน  ด้วยโปรโมชั่นที่น่าสนใจ พร้อมแบบบ้านที่มีให้เลือกหลากหลาย  เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงประสบการณ์และมาตรฐานของการสร้างบ้านที่แตกต่างจากทั่วไป ซึ่งไม่ว่าจะทำการตลาดดีแค่ไหน สุดท้าย productจะต้องดีด้วย เพื่อเป็นตัวพิสูจน์ฝีมือ และทำให้แบรนด์ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง     ทั้งนี้คาดว่า “อะคาร่า” (Acara) จะตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่ต้องการบ้านสไตล์โมเดิร์น ลักชัวรี่ ดีกรีหรู ด้วยมาตรฐานการสร้างจาก “เอ็มเพอเร่อร์” ซึ่งครองใจคนไทยมายาวนาน จวบจนปัจจุบัน    
เปิดตัว ที่แรกในไทย “Stayy with Hostmaker” แพลตฟอร์มจองบ้านพักสุดล้ำ พร้อมปลดล็อคศักยภาพของทุกบ้านเพียงคลิกเดียว!

เปิดตัว ที่แรกในไทย “Stayy with Hostmaker” แพลตฟอร์มจองบ้านพักสุดล้ำ พร้อมปลดล็อคศักยภาพของทุกบ้านเพียงคลิกเดียว!

โฮสต์เมกเกอร์ (HOSTMAKER) บริษัทชั้นนำด้านบริการจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและอยู่อาศัยจากยุโรป ได้ประกาศเปิดตัว “Stayy with Hostmaker” แพลตฟอร์มจองบ้านพักสุดล้ำอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเป็นที่แรกของโลก ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นตลาดแรกของโลกสำหรับการเปิดตัว “Stayy with Hostmaker” ก่อนตลาดยุโรปและประเทศอื่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาค โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ โดย ‘Stayy’ เปิดโอกาสให้ผู้เข้าพักชาวไทยและต่างชาติสามารถค้นหาที่พักระยะกลางและยาวได้อย่างสะดวกผ่านกระบวนการจัดการที่ยืดหยุ่น ภายใต้ข้อบังคับและปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยของบ้านพักที่เชื่อถือได้ บริหารโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากโฮสต์เมกเกอร์ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2557 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โฮสต์เมกเกอร์ได้ให้บริการผู้เข้าพักกว่า 250,000 ราย และสร้างรายได้กว่า 50 ล้านปอนด์ (2.1 พันล้านบาท) แก่ผู้ให้เช่าบ้านพัก นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล “Best Short Term Rental Platform” หมวดรางวัลดีเด่นด้านแพลตฟอร์มปล่อยเช่าบ้านพักระยะสั้นจาก Serviced Apartment Award เมื่อปีที่ผ่านมาจากความสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิภาพการกำหนดราคาให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์สามารถสร้างรายได้มากกว่าทางเลือกอื่นๆ ในขณะที่ผู้เข้าพักหรือผู้เช่าสามารถรับการบริการอย่างดีเยี่ยมตลอดระยะเวลาที่เข้าพักอาศัย และหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ปัจจุบันโฮสต์เมกเกอร์มีบ้านพักให้เช่าแล้วกว่า 50 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งนับเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดในระยะเวลาอันสั้น   โฮสต์เมกเกอร์ดำเนินการและปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยให้บริการเช่าบ้านพักขั้นต่ำอย่างน้อยระยะเวลา 30 วันขึ้นไป ซึ่งบริการระยะเวลาดังกล่าวในกรุงเทพฯ สามารถตอบโจทย์ผู้ที่เดินทางได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะบ้านเช่าขั้นต่ำ 30 วันยังคงเป็นบริการที่หาได้ยากในตลาดที่มีความต้องการสูงมากขึ้นเรื่อยๆ  และด้วย Stayy with Hostmaker แพลตฟอร์มจองบ้านพักใหม่ล่าสุดนี้จะสามารถให้บริการอย่างครบครัน ปลอดภัย และอำนวยความสะดวกแก่ผู้เช่าบ้านด้วยความมั่นใจและยืดหยุ่นแบบไม่ยุ่งยาก นกุล ชาร์มา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารโฮสต์เมกเกอร์ กล่าว “กรุงเทพฯ นับเป็นหนึ่งสถานที่ที่มีผู้คนเดินทางมาเยอะที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว นักศึกษา หรือชาวต่างชาติที่เดินทางมาทำงาน ซึ่งก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี และส่วนใหญ่พวกเขามักมองหาบ้านพักที่ได้คุณภาพและสามารถเช่าอยู่ได้อย่างน้อย 1 เดือนถึง 1 ปี แบบถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งแพลตฟอร์มของเราก็ตอบโจทย์ทุกอย่างอย่างลงตัวที่สุด เราจึงลือกกรุงเทพฯ เป็นจุดหมายแรกในโลกสำหรับการเปิดตัว Stayy with Hostmaker ซึ่งเรารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งและพร้อมให้บริการอย่างเต็มที่ที่สุดแก่คนไทยและผู้ที่เดินทางมากรุงเทพฯ ทุกท่าน”   สำหรับคุณสมบัติหลักของแพลตฟอร์ม Stayy with Hostmaker ได้แก่ การคัดสรรบ้านพักอย่างพิถีพิถัน โดยมุ่งเน้นคุณภาพ ดีไซน์ และความสะดวกสบาย สถานที่ตั้งของบ้านพักที่โดดเด่นในกรุงเทพฯ เป็นการเพิ่มตัวเลือกให้ผู้เช่าพักอย่างหลากหลาย เช่น สถานที่ตั้งแบบใจกลางเมืองอันครึกครื้นและบริเวณที่เงียบสงบ บริการ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วันในสัปดาห์ ด้วยผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นที่จะให้บริการและความช่วยเหลือผู้เข้าพักตลอดระยะเวลาการเช่าบ้าน บริการแบบยืดหยุ่นไร้กังวล ไม่ว่าผู้เข้าพักจะเข้าพักระยะเวลานานเท่าไร ผู้เช่าจะอยู่ภายใต้สัญญาเช่าที่ยืดหยุ่น ผ่านการบริการที่สะดวกและง่ายดาย เพื่อตอบสนองความต้องการด้านที่พักอาศัยที่เพิ่มขึ้นในกรุงเทพฯ โฮสต์เมกเกอร์ได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับแสนสิริ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรของประเทศไทย โดยในปัจจุบันได้ร่วมทำโครงการ อาทิ  XXXIX, ฮาสุ เฮาส์, คีนน์ บาย แสนสิริ และ เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า   “Stayy with Hostmaker เติมเต็มความตั้งใจของเราที่จะปลดล็อคศักยภาพของทุกๆ บ้านในกรุงเทพฯ โดยการยกระดับการจองบ้านพักด้วยนวัตกรรมและการบริการแบบครบครันระดับโรงแรมให้แก่ผู้เข้าพักรุ่นใหม่ ทั้งนี้ด้วยแพลตฟอร์ม Stayy เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะสามารถเปิดประสบการณ์ใหม่ และส่งต่อความสุขผ่านความพิเศษของบ้านพักทุกๆ หลัง อย่างมีสไตล์และสร้างสรรค์” นกุล ชาร์มา กล่าวสรุป   สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าชมเว็บไซต์  https://stayy.hostmaker.com            
ชาญอิสสระลุยเปิดโครงการใหม่ มูลค่ารวม 6,000 กว่าล้านบาท

ชาญอิสสระลุยเปิดโครงการใหม่ มูลค่ารวม 6,000 กว่าล้านบาท

ชาญอิสสระ มั่นใจพร้อมลุยโครงการใหม่ จับตลาดไฮเอนด์ ทั้งคอนโดย่านสาทร วาเคชั่น คลับที่ทิวทะเลเอสเตทชะอำ – หัวหิน และส่วนต่อขยายโรงแรม พลูวิลล่าเฟสใหม่ ที่ศรีพันวา และ บาบาบีชคลับ หัวหิน   นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากความสำเร็จในการพัฒนาโครงการระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ทั้งที่โครงการบาบา บีช คลับ เรสซิเดนซ์ ชะอำ – หัวหิน โครงการบ้านอิสสระ บางนา และโครงการอิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 ยังสร้างความแข็งแกร่งด้านตลาดลักชัวรี่ให้กับ ชาญอิสสระ ตอกย้ำความสำเร็จในการพัฒนาโปรดักส์ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทั้งด้านทำเลที่ตั้งโครงการ การออกแบบอาคาร การจัดเลย์เอาท์พื้นที่ใช้สอยของบ้านได้อย่างลงตัว ทำให้แต่ละโครงการมียอดขายตามเป้าที่วางไว้ อาทิ โครงการ บาบา บีช คลับ เรสซิเดนซ์ ชะอำ – หัวหิน ที่มียอดขายแล้ว 90% และอิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 ที่ขณะนี้บ้านตัวอย่างจะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนนี้เพื่อพร้อมเปิดให้เข้าชม ปัจจุบันมียอดขายแล้วถึง 40% ด้วยราคา เริ่มต้น 100 ล้านบาท   นายสงกรานต์ อิสสระ กล่าวถึง แผนการพัฒนาโครงการในปี 2562 ว่า จะมีทั้งโครงการอาคารชุดพักอาศัย ส่วนต่อขยายของโรงแรมที่ภูเก็ตและหัวหิน รวมทั้งวาเคชั่น คลับในโครงการ ทิวทะเลเอสเตท ซึ่งจะเป็นคอนเซ็ปใหม่ของการพัฒนาที่พักตากอากาศสำหรับกลุ่มคนที่สนใจเป็นเจ้าของในงบประมาณที่ไม่ถึงหนึ่งล้านบาท แต่ได้พักในอาคารที่มีบริการระดับโรงแรม 5 ดาว เป็นอาคารสูง 10 ชั้น มีห้องพัก 80 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท โดยจะเปิดให้จองที่พักแนวคิดใหม่เร็วๆ นี้   ด้านโครงการส่วนต่อขยาย ของโรงแรมทั้งที่ภูเก็ตและหัวหิน ในส่วนของโรงแรมศรีพันวาภูเก็ต จะมีการก่อสร้างคอนเวนชั่นฮอลล์ขนาดจุ 400 คน พร้อมห้องพักแบบพลูสวีท เพิ่มอีก 20 ห้อง เพื่อรองรับการขยายตัวของการจัดงานอีเว้นท์ ประชุม สัมมนา ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างในปี 2562 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563   โรงแรมบาบา บีช คลับ หัวหิน ได้มีการเริ่มก่อสร้างในส่วนของเมนโฮเทล เป็นอาคารสูง 12 ชั้น 50 ห้องพัก พร้อมห้องประชุม จัดเลี้ยง ร้านอาหาร สปา มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท   โครงการบ้านพักตากอากาศ จะมีการก่อสร้างเพิ่มอีก 2 โครงการ คือ พลูวิลล่า ที่โครงการทิวทะเลเอสเตท จำนวน 7 หลัง ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ มีมูลค่ารวม 200 ล้านบาท และที่ศรีพันวา ภูเก็ต ก็จะมีการก่อสร้างพลูวิลล่าเพิ่มอีก 4 หลัง มูลค่า 200 ล้านบาท   นอกจากนี้ชาญอิสสระ จะมีโครงการไฮไรส์คอนโดมิเนียม บนที่ดินย่านถนนจันทร์ – สาทร เป็นโครงการลักชัวรี่คอนโด มูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างในปี 2562 ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นโครงการใหม่ของกลุ่มชาญอิสสระ ที่มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 6,400 ล้านบาท   “มั่นใจว่าทุกโครงการที่ชาญอิสสระเราได้พัฒนาขึ้นมานั้น สามารถตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงใจ ด้วยคุณภาพ และความพิถีพิถันในการออกแบบโครงการ การขยายธุรกิจครั้งนี้ จะทำให้ชาญอิสสระเติบโตด้วยความแข็งแกร่งแน่นอน” นายสงกรานต์กล่าว”   สำหรับผู้ที่สนใจโครงการของบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือสามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.charnissara.com หรือโทร. 02 308 2020
บมจ.ไรมอน แลนด์ (RML) เสริมความแข็งแกร่ง เพิ่มศักยภาพบริษัทฯ โดยแต่งตั้ง นาย ลี เช เต็ก ไลโอเนล ดำรงตำแหน่ง  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ในขณะที่ นาย ลี เช เชง เอเดรียน ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO)

บมจ.ไรมอน แลนด์ (RML) เสริมความแข็งแกร่ง เพิ่มศักยภาพบริษัทฯ โดยแต่งตั้ง นาย ลี เช เต็ก ไลโอเนล ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ในขณะที่ นาย ลี เช เชง เอเดรียน ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO)

บมจ.ไรมอน แลน์ ปรับผังองค์กรใหม่ โดยแต่งตั้ง นาย ลี เช เต็ก ไลโอเนล เข้าดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 โดย นาย ไลโอเนล จะเข้ามาบริหารงานด้านการลงทุน และวางแผนกลยุทธทิศทางการเติบโตของบริษัทฯเป็นหลัก   นาย เอเดรียน ลี กล่าวว่า คณะกรรมการของบริษัทฯ ได้แต่งตั้งให้ นาย ลี เช เต็ก ไลโอเนล ผู้เป็นพี่ชายเข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของบริษัทฯ และผมจะรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป   ปัจจุบัน นาย ไลโอเนล ลี เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหญ่ของไรมอน แลนด์ โดยถือสัดส่วนประมาณ 24.98% โดยก่อนหน้านี้เคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสรา โฮลดิ้ง (Ezra Holdings) ในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานที่มีมูลค่ามากถึง 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นบริษัทฯ ในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศสิงคโปร์ ทั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นบอร์ดบริหารของไรมอน แลนด์ นอกจากนี้ยังเป็นบอร์ดบริหารให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายๆบริษัท รวมทั้งยังเป็นที่ปรึกษาให้กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์ อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในงานการกุศลในประเทศสิงคโปร์อยู่เสมอ จนได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณ (Pingat Bakti Masyarakat - PBM) จากทางรัฐบาล ซึ่ง นาย ไลโอเนล ลี จะยังคงมีบทบาทอยู่ในบอร์ดคณะกรรมการของไรมอน แลนด์ โดยปัจจุบันดำรงตำแหน่งหลายตำแหน่ง เช่น ประธานกรรมการบริหาร กรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน และกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร   นอกจากนี้ ไรมอน แลนด์ ยังได้แต่งตั้ง ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เข้ารับตำแหน่ง ประธานกรรมการบริษัท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิการยน 2561 ในด้านการทำงาน ดร.สุรเกียรติ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่อายุน้อยที่สุด ในสมัยรัฐบาลนาย บรรหาร ศิลปะอาชา เมื่อปี 2538 และในปี 2544 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร และขึ้นรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในปี 2548 นาย เอเดรียน ลี จะยังคงรับหน้าที่ดูการดำเนินงานภาพรวมของบริษัท “ในขณะที่บริษัทมีความเติบโตขึ้นเราไม่เพียงแต่ต้องการคนที่มีความสามารถในการให้คำแนะนำในทิศทางที่ถูกต้อง แต่เรายังต้องการบุคคลที่มีประสบการณ์ และทักษะที่หลากหลาย ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการปรับผังองค์กรครั้งนี้จะนำมาซึ่งมิติใหม่ของบริษัทฯ และพร้อมรับกับการเติบโตในอนาคตได้เป็นอย่างดี หากย้อนไปตอนที่ผมเริ่มทำงานที่ไรมอน แลนด์ เรามีเพียง 1 โครงการเท่านั้น วันนี้หลังจากที่เราเข้าลงทุนในทรัพย์สินของ บ.เคพีเอ็น แลนด์ (KPN Land) เราจึงกลายมาเป็นผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ด้วยมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท และมีมูลค่าต่อยูนิตมากกว่า 10 ล้านบาท โดยจะมีการโอนในอีก 2 ปีข้างหน้า สิ่งที่ผมโฟกัส ณ ตอนนี้จะเป็นการดูแลงานโครงการทั้งหมดให้ดำเนินไปอย่างราบรื่นที่สุดทั้งโครงการปัจจุบัน และอาคต” นาย เอเดรียน กล่าว   บมจ.ไรมอน แลนด์ จำกัด มี 6 โครงการที่เปิดขายอยู่มูลค่ารวมกว่า 30,000 ล้านบาท   และ อีก 1 โครงการเชิงพาณิชย์ มูลค่ากว่า 8.6 พันล้านบาท          
Booking.com ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับที่พักให้เช่าระยะสั้น ที่งานประชุมนานาชาติ Vacation Rental Management Association

Booking.com ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับที่พักให้เช่าระยะสั้น ที่งานประชุมนานาชาติ Vacation Rental Management Association

บริษัทดิจิทัลด้านการเดินทางซึ่งเชื่อมโยงผู้เดินทางกับตัวเลือกที่พักน่าทึ่งหลากหลายประเภท ได้ประกาศที่งานประชุมนานาชาติสมาคมผู้บริหารจัดการที่พักให้เช่า (Vacation Rental Management Association หรือ VRMA) ในลาสเวกัส เกี่ยวกับการพัฒนาบริการครั้งสำคัญสำหรับคู่ค้าธุรกิจที่เปิดให้เช่าที่พักระยะสั้น เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะปรับปรุงบริการและเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้คู่ค้าได้รับประสบการณ์การใช้งานโดยรวมที่ดียิ่งขึ้น และนอกจากการจัดตั้งแผนกใหม่ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือที่พักของคู่ค้ากลุ่มดังกล่าวโดยเฉพาะแล้ว Booking.com ยังได้เปิดตัวเครื่องมือใหม่ๆ สำหรับคู่ค้าเพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการของที่พักกลุ่มนี้โดยเฉพาะ โดยพัฒนาจากความคิดเห็นโดยตรงของคู่ค้า Booking.com ซึ่งระบุถึงประเภทการพัฒนาที่จะมีประโยชน์และตอบโจทย์ที่สุดสำหรับธุรกิจของที่พักกลุ่มนี้ ผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวใหม่นี้มีฟีเจอร์ต่างๆ ที่ทำให้ Booking.com เป็นแพลตฟอร์มที่ทำงานได้หลายอย่างในที่เดียว อีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับที่พักแต่ละแห่งได้ ซึ่งจะช่วยให้คู่ค้าที่เปิดให้เช่าที่พักระยะสั้นสามารถแก้ไขข้อมูลหลายรายการได้พร้อมกัน รวมถึงมีระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้คู่ค้าประหยัดเวลาและใช้งานได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ Booking.com ไม่เพียงเปิดให้บริการผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภทบนแดชบอร์ดสำหรับคู่ค้าเท่านั้น แต่ยังขยายไปยังแอปพลิเคชันสำหรับที่พักคู่ค้าบนอุปกรณ์พกพาอย่าง Pulse ตลอดจนให้บริการผ่านการเชื่อมต่อระหว่างระบบต่างๆ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับโปรแกรมและระบบ Channel manager ของที่พักคู่ค้าได้โดยตรง โดยฟีเจอร์ใหม่ที่ว่านี้ (สามารถดูข้อมูลได้ที่ propertymanagers.booking.com) จะช่วยให้คู่ค้าจัดการที่พักได้ดีขึ้น และมีคุณสมบัติการใช้งานต่อไปนี้:   Group Connect: ประหยัดเวลาได้ เพียงใช้ฟีเจอร์ Group Connect ใหม่ของ com ซึ่งจะมีระบบส่งข้อความถึงลูกค้า พร้อมต้นแบบข้อความและระบบตั้งเวลาส่งข้อความอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของที่พักคู่ค้า   เครื่องมือดำเนินการพร้อมกันหลายรายการ: ปรับเปลี่ยนข้อมูลสำหรับที่พักทั้งหมดของท่านได้พร้อมกันในไม่กี่คลิก ด้วยเครื่องมือดำเนินการพร้อมกันหลายรายการรูปแบบใหม่จากcom ซึ่งเข้าใช้งานได้ผ่านหน้า Group Connect คู่ค้าสามารถกำหนดนโยบายยกเลิกการจอง เสนอโปรโมชั่นพิเศษ หรือตั้งข้อกำหนดของที่พักให้กับที่พักหลายแห่งของท่านได้พร้อมกันในครั้งเดียว นอกจากนี้ เครื่องมือดำเนินการพร้อมกันหลายรายการยังช่วยให้คู่ค้าสามารถนำคำแนะนำด้านผลการดำเนินงานและข้อมูลเชิงลึกจาก Booking.com มาปรับใช้กับทุกที่พักได้ในไม่กี่นาทีที่หน้า “คำแนะนำ” ซึ่งจะแนะนำสิ่งต่างๆ ที่เจ้าของหรือผู้จัดการที่พักควรดำเนินการเพื่อเพิ่มผลการดำเนินงาน โดยอิงจากปัจจัยต่างๆ ของที่พักแต่ละแห่ง   ระบบจัดการข้อมูลลูกค้า: กำหนดว่าใครสามารถจองที่พักของท่านได้บ้างด้วยฟังก์ชั่นใหม่อย่าง “ข้อกำหนดสำหรับลูกค้า” ซึ่งท่านสามารถตั้งเกณฑ์ให้ลูกค้าที่จะจองต้องระบุข้อมูลอย่างหมายเลขโทรศัพท์ที่ยืนยันแล้ว ที่อยู่ จำนวนการจองบนcom ที่เคยเข้าพัก และอีกมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นด้วยฟังก์ชั่นใหม่นี้ คู่ค้าสามารถแจ้งกรณีลูกค้าประพฤติไม่เหมาะสมได้ทันที รวมถึงบล็อกไม่ให้ลูกค้ารายดังกล่าวจองที่พักของท่านได้อีก หากเกิดเรื่องไม่เหมาะสมขึ้นระหว่างที่ลูกค้าเข้าพัก โปรไฟล์ของท่าน: ส่วนสำคัญของบริการจากcom คือ แสดงให้ลูกค้าเห็นว่าทำไมที่พักของท่านจึงเป็นตัวเลือกที่แปลกใหม่ และช่วยให้ลูกค้าได้ทราบข้อมูลตามความเป็นจริงเกี่ยวกับการเข้าพัก โดยในหน้า “โปรไฟล์ของท่าน” รูปแบบใหม่ ผู้ดูแลที่พักสามารถเขียนข้อความเกี่ยวกับตนเอง ที่พัก และย่านที่ที่พักตั้งอยู่ได้   การเชื่อมต่อระบบ: ฟีเจอร์ทั้งหมดจะเปิดให้คู่ค้าได้ใช้งานไม่ว่าจะบริหารจัดการที่พักผ่านระบบเอกซ์ทราเน็ตของcom ผ่านแอปพลิเคชัน Pulse สำหรับอุปกรณ์พกพา หรือผ่านผู้ให้บริการระบบเชื่อมต่อข้อมูลที่พักก็ตาม   นายโอลิวีเยร์ กรามิลยอง รองประธานบริษัท Booking.com ได้เป็นวิทยากรของช่วง “Property Managers and OTAs: In Conversation with Industry Leaders” ที่งานประชุมของ VRMA และได้กล่าวว่า “ผู้ดูแลที่พักใช้ Booking.com มาเป็นเวลาหลายปี และฟีดแบ็คที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากพวกเขาก็เป็นพื้นฐานในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของเรา มีรายชื่อที่พักใหม่ ๆ ที่เพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งล้านรายการในบ้าน อพาร์ทเมนท์ และที่พักที่อื่น ๆ ที่ไม่ซ้ำใคร ตั้งแต่ปีที่แล้ว โดย Booking.com ลงทุนกับเทคโลโลยี การตลาด และระบบต่าง ๆ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่จะเพิ่มรายได้ให้กับที่พัก และช่วยให้ทางที่พักสามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์การเข้าพักที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้าได้ จากนั้นเราก็จะโปรโมตสู่ลูกค้าทั่วโลก” เนื่องจากบริการด้านการเดินทางต่างๆ ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และความต้องการประสบการณ์การเข้าพักที่แปลกใหม่ของผู้เดินทางก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง แพลตฟอร์มออนไลน์ด้านการเดินทางและที่พักจึงจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันมากขึ้น ดังนั้นเมื่อไม่นานมานี้ Booking.com จึงได้ประกาศว่ามีบ้านพัก อพาร์ตเมนต์ และที่พักแปลกใหม่มาลงทะเบียนเปิดให้จองแล้ว 5.7 ล้านแห่ง ส่งผลให้ Booking.com มีตัวเลือกที่พักประเภทนี้ให้จองมากกว่าเว็บไซต์อื่นๆ ในแวดวงเดียวกัน โดยจำนวนตัวเลือกจากที่พักประเภทนี้บน Booking.com นั้นเติบโตสูงขึ้นกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน เรียกได้ว่าเติบโตเร็วกว่าตัวเลือกที่พักประเภทเดิมๆ นอกจากนี้ จากการสำรวจข้อมูลในปี 2560 ซึ่ง Booking.com ได้สอบถามผู้เดินทางมากกว่า 57,000 คนใน 30 ประเทศ/ภูมิภาคทั่วโลก ยังพบว่าผู้เดินทาง 35% วางแผนที่จะพักในที่พักซึ่งมีบรรยากาศเป็นกันเองมากขึ้นในปี 2561 นับเป็นหลักฐานเพิ่มเติมที่สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการพักในที่พักนอกเหนือจากโรงแรมนั้นยังคงแข็งแกร่งอยู่ในตลาดผู้เดินทาง นอกจากการทำแคมเปญทางออนไลน์แล้ว Booking.com จะจัดอีเวนท์ทั่วโลกเพื่อแจ้งให้คู่ค้าทราบเกี่ยวกับการพัฒนาใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้การลงทะเบียนและจัดการที่พักทั้งหมดบน Booking.com ของคู่ค้าแต่ละรายเป็นเรื่องง่ายกว่าเดิม หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สำหรับที่พักคู่ค้า โปรดเข้าไปที่ propertymanagers.booking.com          
MQDC เปิดตัวไฮไลท์ทำเลเด่นที่สุดใจกลาง CBD “วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท” สุดยอดทำเลหายากกลางอโศก ในคอนเซ็ปต์ “Own the rare” วิวสวนป่าเบญจกิติ

MQDC เปิดตัวไฮไลท์ทำเลเด่นที่สุดใจกลาง CBD “วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท” สุดยอดทำเลหายากกลางอโศก ในคอนเซ็ปต์ “Own the rare” วิวสวนป่าเบญจกิติ

MQDC แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียมและโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยแบรนด์ Whizdom (วิสซ์ดอม) เปิดตัวไฮไลท์ทำเลเด่นที่สุดใจกลาง CBD Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) สุดยอดทำเลหายากกลางอโศก ในคอนเซ็ปต์ “Own the rare” วิวสวนป่าเบญจกิติ สวนสาธารณะขนาด 450 ไร่ เดินทางสะดวกสบายใกล้ BTS, MRT อโศกอินเตอร์เชนจ์สเตชั่น และทางด่วนรายรอบ พร้อมส่งมอบที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ด้วยการสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่เหนือกว่าด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี การก่อสร้าง และสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรแก่ผู้พักอาศัย อัษฎา แก้วเขียว ประธานผู้อำนวยการ-วิสซ์ดอม บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ จำกัด (MQDC) หนึ่งในผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า เป็นอีกปีหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างภูมิศาสตร์เมือง จากการเริ่มสร้างรถไฟฟ้าสายใหม่ และบางสายที่จะเริ่มให้บริการ ส่งผลโดยตรงกับราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกทำเล รวมถึงราคาที่อยู่อาศัยก็ปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน คอนโดมิเนียมยังเป็นสินค้าหลักในปัจจุบันและอนาคต แต่ที่ดินใจกลางเมืองมีจำกัด และที่ดินบริเวณรอบนอกเข้าสู่ตลาดที่ดินมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการรายหลายหันมาเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและโครงการ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลง   “โครงการของ Whizdom (วิสซ์ดอม) ออกแบบเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและแรงบันดาลใจของสังคมแห่งการอยู่อาศัย เพื่อขับเคลื่อนรูปแบบชีวิตของคนรุ่นต่อไป ผสมผสานสังคมแห่งการเรียนรู้และแบ่งปัน เพื่อให้ค้นพบศักยภาพของตนเอง ซึ่งโครงการ Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) เป็นโครงการที่ถูกตั้งเป็น Flagship ล่าสุดของแบรนด์ Whizdom (วิสซ์ดอม) ในคอนเซ็ปต์  “Own the rare” ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะ Rare Location ทำเล ‘อโศก” ที่ถือว่าเป็น CBD ที่แท้จริงของกรุงเทพฯ พร้อมด้วยการคมนาคมและสิ่งอำนวยความสะดวกสบายรอบๆ โครงการ ร้านอาหาร ห้างสรรสินค้าชื่อดังต่างๆ  Rare Innovation เพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งที่ต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง การพัฒนาโครงการ Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) ถูกออกแบบมาโดยให้แนวคิดเริ่มต้นด้วยการทำ Co-creation คือการให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมในการเสนอแนวคิด ความต้องการ รวมถึง pain points ที่เจอและอยากเปลี่ยนแปลง รวมถึงการทำ Innovation และมาตรฐานของ MQDC มาใช้อย่างครบถ้วน ทำให้ Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) มีครบทุกองค์ประกอบ เหมาะกับ Rare lifestyle ของการอยู่อาศัยสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์” โดยแรงบันดาลใจของโครงการ ได้แนวคิดจากมหานครใหญ่ทั่วโลกจะมีสวนป่าขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งเป็นที่ๆ ผู้คนต่างพากันมาใช้เป็นพื้นที่ออกกำลังกาย พบปะเพื่อนฝูง เป็นที่สังสรรค์ และพาครอบครัวมาผ่อนคลาย เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานครที่มีสวนป่าใจกลางเมืองอย่าง “สวนป่าเบญจกิติ” ที่อยู่ใจกลางอโศก พื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 450 ไร่ เป็นศูนย์รวมของพันธุ์ไม้นานาชนิดอยู่ในสวนป่าที่ใหญ่ที่สุด กลายเป็นที่มาของ “Queen of Urban Nature” แนวคิดการพัฒนาโครงการที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เพราะโดยปกตินั้นการที่ผู้คนในมหานครจะได้ใกล้ชิดกับธรรมชาตินั้นเป็นไปได้ยาก หรืออาจจะต้องเลือกที่จะไม่อยู่กลางเมือง เพื่อจะได้สัมผัสและใกล้ชิดกับพื้นที่ สีเขียวขนาดใหญ่ แต่โครงการ Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) เป็นโครงการที่ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัวที่จะได้อาศัยในเมือง พร้อมสัมผัสพื้นที่สีเขียวผืนใหญ่ได้อย่างเต็มที่และสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มปอด จุดเด่นของโครงการ Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง ตามแนวคิด “FOR ALL WELL-BEING” ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาโครงการของ Whizdom (วิสซ์ดอม) ทุกรายละเอียด และด้วยงานวิจัย ที่ตั้งใจคิดค้นและพัฒนามาเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมโดยรอบโครงการ แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่   ENERGY & ECOLOGY การคำนึงเรื่องการใช้พลังงานและระบบนิเวศน์รอบโครงการ โดยนำเกณฑ์การออกแบบจากสถาบันอาคารเขียวไทยที่ได้รับความน่าเชื่อถือมาอ้างอิงเพื่อคุณภาพของโครงการตามมาตรฐานการประเมินความยั่งยืนทางพลังงานและสิ่งแวดล้อมไทย (TREES-NC)   HEALTH & WELLNESS การออกแบบทุกรายละเอียดให้อยู่สบายและสุขภาพดี ด้วยการเลือกวัสดุต่างๆ ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ลดการเกิดอุบัติเหตุ การออกแบบระบบปรับอากาศที่ลดการสะสมของฝุ่นและการเกิดเชื้อราเพื่อคุณภาพอากาศภายในห้องที่ดี รวมถึงการออกแบบระบบท่อออกหลัง เพื่อลดปัญหาน้ำรั่วหรือท่ออุดตัน สามารถบำรุงรักษาได้สะดวก โดยไม่รบกวนผู้พักอาศัยห้องอื่นๆ   SENSES & HAPPINESS การออกแบบพื้นที่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ถูกสุขลักษณะเพื่อการรับรู้ที่ดี (Psychology and Human Perception) ของผู้อยู่อาศัย รวมไปถึงการออกแบบสำหรับทุกคน (Universal Design) เอื้อต่อการใช้งานของคนทุกวัย ในทุกพื้นที่ส่วนกลาง   นอกจากนี้สิ่งที่ทางโครงการเพิ่มเติม คือ เรื่องนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นมา สร้างความสะดวกสบาย ด้วย Smart unit โดยการใส่ระบบ Home intelligent system ที่นอกจากจะตอบโจทย์เรื่องไลฟ์สไตล์และความปลอดภัยแล้วความพิเศษเฉพาะ คือ เป็นระบบที่ออกแบบมาตามแนวคิด Well-Being ตอบโจทย์เรื่อง “สุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย เพราะคุณภาพอากาศที่ดีส่งผลต่อคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดี” โดยมี Indoor Air Quality Sensor ที่คอยตรวจเช็คปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในห้องพักให้อยู่ในระดับที่ไม่มากเกินไป ทำงานร่วมกับระบบระบายอากาศเพื่อถ่ายเทก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป และนำอากาศบริสุทธิ์เข้ามา โดยผ่านเครื่อง ERV ที่ให้ยิ่งกว่าอากาศบริสุทธิ์ เพราะปรับสภาวะอากาศให้อยู่ในความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสม Smart building ที่ออกแบบอาคารโดยคำนึงถึงเรื่องทิศทางของลม และแสงเพื่อลดความร้อนและมลภาวะจากภายนอกสู่ตัวอาคาร นอกจากนี้ยังมีการออกแบบเพิ่มเติมพื้นที่สีเขียวในรูปแบบของ Pocket garden ที่ช่วยเพิ่มก๊าซออกซิเจนและความสวยงามให้กับตัวอาคาร อีกทั้งยังมีการใช้ระบบ Water cooling ที่ใช้กับโรงแรม 5 ดาว หรือโรงพยาบาลที่เน้นเรื่องสุขภาพของผู้อยู่อาศัยเป็นหลักสำคัญ นอกจากนี้ทางโครงการยังมี Access control & analysis คือการจดจำใบหน้าขอผู้พักอาศัย เพื่อความปลอดภัยและสะดวกสบายในการเข้าและออกอาคาร พร้อม Security Robot ที่จะช่วยตรวจตราวัตถุต้องสงสัยรวมถึงเมื่อมีเหตุฉุกเฉินในที่จอดรถ Security Robot จะมีส่วนเชื่อมต่อกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อให้เกิดการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ในด้านของระบบจอดรถ ทางโครงการมีระบบจอดรถแบบอัตโนมัติและแบบวนจอด รวมทั้งสิ้น 85% เพื่อประหยัดเวลาในการหาที่จอด   “เป้าหมายสำคัญในการพัฒนาโครงการ คือการมอบที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และยกระดับคุณภาพคอนโดมิเนียมในประเทศโดยใส่เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทาง Whizdom  (วิสซ์ดอม) มี และได้ศึกษาร่วมกับทาง RISC (Research & Innovation for Sustainability Center) ทั้งนี้ โครงการจะแล้วเสร็จภายในปี ธันวาคม 2021 โดยตั้งยอดขายไว้ 80% ถึงสิ้นปีนี้ โดยจะมีงานเปิดขาย Pre-sales ในวันที่ 3-4 พฤศจิกายน 2561 คาดว่าจะมีลูกค้าสนใจเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมียอดผู้ลงทะเบียนเข้าชมโครงการเป็นจำนวนมาก” อัษฎา กล่าวทิ้งท้าย        
RICHY ตั้งเป้ากวาดลูกค้าเกรด A ยกระดับ The Rich สู่พรีเมี่ยมแบรนด์ 5 โปรเจคมูลค่ากว่า 12,400 ล้านบาท มั่นใจปี 2561 รายได้ทะลักดันกำไรทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

RICHY ตั้งเป้ากวาดลูกค้าเกรด A ยกระดับ The Rich สู่พรีเมี่ยมแบรนด์ 5 โปรเจคมูลค่ากว่า 12,400 ล้านบาท มั่นใจปี 2561 รายได้ทะลักดันกำไรทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

RICHY ประกาศทุ่มงบ 100 ล้านบาท สร้างมาตรฐานใหม่ รีแบรนด์ “The Rich” อัพเกรดสู่ระดับพรีเมี่ยมจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายระดับบน 5 โปรเจคมูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท พร้อมเตรียมผุด 2 โปรเจคใหม่บนสุดยอดทำเลมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ด้วยคอนเซ็ปต์ “สีสันแห่งชีวิต” โปรเจคแรก “The Rich พระราม 9 – ศรีนครินทร์ ทริปเปิ้ลสเตชั่น” รูปแบบมิกซ์ยูสแห่งแรกบนถนนศรีนครินทร์ชูจุดเด่น 0 เมตรจากบันได สถานี พร้อม Mall ด้านหน้าโครงการ ส่งท้ายปี เปิดขายพรีเซล พ.ย. 61 คอนโดมิเนียมคุณภาพระดับไฮเอนด์ในราคาที่คุณสัมผัสได้ยั่วใจนักลงทุนไทยและต่างประเทศ ให้เลือกห้องพิเศษก่อนใคร ต่อด้วย “The Rich เอกมัย” เปิดรับวิวพันล้าน 270 องศา ด้วยอาคารสูงที่สุดบนถนนเอกมัย เตรียมควักกระเป๋าจองได้ไตรมาส 1 ปี หน้า เชื่อว่าทำให้ชื่อ ริชี่ฯ ยิ่งกระหึ่มมากขึ้น ด้านผลประกอบการประเมินปี 2561 รายได้ตามเป้าพร้อมมีลุ้นทุบสถิตที่กำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์     ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) (RICHY) ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เดอะริช (The Rich) เลอริช (Lerich) ริชพาร์ค (Rich Park) (The Eight Collection) โครงการแนวราบแบรนด์เดอะริชบิซโฮม (The Rich Biz Home) และเดอะริชวิลล์ (The Rich Ville) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีความเปราะบางด้วยปัญหาเศรษฐกิจในปีนี้ เทรนด์ที่อยู่อาศัยในอนาคตก าลังเดินเข้าสู่ภาวะการ “ปรับเปลี่ยน” ด้วยปัจจัยหลากหลายทั้งการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ และเทคโนโลยีที่มีบทบาทในการพัฒนาโครงการเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับทั้งกลุ่มลูกค้าชาวไทย และชาวต่างชาติ บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นสภาพตลาดที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์บนทำเลศักยภาพที่แนวโน้มมูลค่าที่ดินเพิ่มสูงขึ้นตลอดเวลา นั้นยังคงมีดีมานด์ที่ต่อเนื่อง บริษัทฯ มั่นใจว่าโครงการใหม่นี้จะตอบรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงใจ ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ได้ลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เพื่อรีแบรนด์ “The Rich” สู่ระดับพรีเมี่ยม เน้นแนวคิดการตลาดด้านการพัฒนาแบรนด์ที่มีความชัดเจนและสะท้อนความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง มุ่งเน้นตอบสนองชีวิตคนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีความเป็นตัวของตัวเองการออกแบบในแต่ละโครงการสะท้อนบุคลิกภาพและไลฟ์ สไตล์ของกลุ่มลูกค้าในทำเล ระดับราคาขายเฉลี่ย 150,000.- บ./ตร.ม. ขึ้นไป เนื่องจากเป็น Segment ที่มีกำลังซื้อ “การรีแบรนด์ ได้ว่าจ้างบริษัทฯ ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำงานวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อสำรวจความต้องการและกำหนดคาแรคเตอร์ที่เหมาะสมของแบรนด์ ‘The Rich’ นำไปสู่ดีไซน์ใหม่ที่ดูทันสมัยและ Active ขึ้น พร้อมกันนี้ทางบริษัทฯ ยังได้ว่าจ้างเอเจนซี่ยักษ์ใหญ่ผลิตหนังโฆษณา TVC และ สื่อทั้ง Online Offline โปรโมทแบรนด์ ‘The Rich’ พร้ อมๆ กันในเดือนต.ค. 61 ถึง กลางธ.ค.61 โดยใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาทในการทำโฆษณาครั้งนี้     โครงการของ RICHY ภายใต้แบรนด์ The Rich ประกอบด้วย 1.The Rich สาทร ตากสิน มูลค่า 2,100 ล้านบาท 2. The Rich เพลิตจิต นานา มูลค่า 4,000 ล้านบาท 3.The Rich พระราม 9– ศรีนครินทร์ ทริปเปิ้ลสเตชั่น มูลค่า 2,500 ล้านบาท 4.The Rich เอกมัย มูลค่า 3,400 ล้านบาท และ 5.The Rich อเวนิว มูลค่า 400 ล้านบาท   ทั้งนี้มีโครงการที่จะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ คือ The Rich พระราม 9 – ศรีนครินทร์ ทริปเปิ้ลสเตชั่น ถือ เป็นเฟส 2จากโครงการเดิมที่เปิดตัววันเดียวยอดขายทะลุ 1,000 ล้านบาท สำหรับโปรเจคนี้เป็นโครงการ High rise ผสมผสาน Mixed use มาพร้อมด้วยส่วนกลางจัดเต็ม ถือเป็นอาคารสูงที่สุดบนถนนศรีนครินทร์ รวม 1 อาคาร 32ชั้น ยูนิต ที่พักอาศัย 558 ยูนิต แบ่งสัดส่วนเป็น Mixed Use 3 ชั้น บนที่ดินประมาณ 2 –0 – 16.5 ไร่ แบบห้องเริ่มต้นที่ 1 Bedroom ขนาด 25.61 – 35.68 และ 1 Bedroom Loft ขนาด 25.27 – 45.04 ตร.ม. โดยโครงการจะสร้างเสร็จพร้อมอยู่ประมาณ ไตรมาส 2 ปี 2564 ชูจุดเด่นติดรถไฟฟ้า 3 สายสีเหลือง , สีแดงอ่อน , แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ยิ่งไปกว่านั้น ทำเลที่ตั้งโครงการยังใกล้เพียง 0 เมตรจากสายสีเหลือง 2 นาทีจากสถานีหัวหมาก แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เชื่อมสู่เมืองและเชื่อมการเดินทางทั่วโลกโดยใช้เวลา เพียง 10 นาทีถึงสุวรรณภูมิ     ดร.อาภาฯ กล่าวต่ออีกว่า ภายในต้นปี 2562 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวอีก 1 โครงการ คือ โครงการ The Rich เอกมัย ซึ่งถือเป็นโครงการที่ 5 ในตระกูล The Rich บนสุดยอดทำเล เอกมัยซอย 8 ติดบิ๊กซี เอกมัย บนเนื้อที่ 1-3-67 ไร่ ซึ่งจะเป็นที่พักอาศัย 1อาคาร สูง 46 ชั้น ที่พักอาศัย 492 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3.4 พันล้านบาท โดยมีจุดเด่นที่รวบรวมสิ่งที่ผู้อยู่อาศัยในคอนโดฯต้องการไว้ในที่เดียว ทั้ง Facility ที่รวมเอาไว้ในชั้น Roof Top, การออกแบบห้องให้เหมาะสมกับการพักอาศัย โดยใช้เฟอร์นิเจอร์แบบมัลติฟังก์ชัน สร้างพื้นที่ให้ดูกว้างขวางน่าอยู่ ได้รับความสะดวกสบายและฟังก์ชันการใช้งานจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างอุปกรณ์ Smart Home พร้อมให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคอนโดกับการใช้ชีวิตโดยใช้คำว่า “สงบสุขภายใต้แสงสีพร้อมใช้ชีวิตแบบเหนือระดับด้วยความเป็นส่วนตัว” เป็นตัวเชื่อมไลฟ์ สไตล์คนเมือง ที่มีชีวิตการทำงานและการใช้เวลาช่วงวันหยุดพักผ่อน ท่องเที่ยว ดื่ม ทานอาหาร พักอาศัย ในย่านเดียวกัน   ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) (RICHY) กล่าวถึงผลประกอบการ ปี 2561 ในส่วนของรายได้น่าจะแตะที่ระดับ 3,000 ล้านบาท เติบโตกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งมี รายได้รวม 1,327 ล้านบาท และสามารถทำกำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 132 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี2561 นี้บริษัทมีกำไรสุทธิมากถึง 243 ล้านบาท