Tag : News

2376 ผลลัพธ์
แสนสิริ เซตมาตรฐานวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดตัวครั้งแรกกับโมเดลธุรกิจเปลี่ยนโลก “Sansiri Green Mission” ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน

แสนสิริ เซตมาตรฐานวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดตัวครั้งแรกกับโมเดลธุรกิจเปลี่ยนโลก “Sansiri Green Mission” ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำผู้นำอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทย ที่สร้างจุดเปลี่ยนเพื่ออนาคตของโลก ปั้นโมเดล “แสนสิริ กรีน มิชชั่น  – Sansiri Green Mission” สะท้อนปรัชญาของแนวคิด “เศรษฐกิจหมุนเวียน” หรือ “Circular Economy” ผสานการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีภายใต้การวิจัยและพัฒนาในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน วาง Green Roadmap ผลักดัน 4 คำมั่นสัญญาหลัก ได้แก่ Waste Management |  Energy Saving & Generation | Smart Move และ Sustainability เพื่อโลกและคุณภาพชีวิตที่ดีในการอาศัยอยู่ของลูกบ้านแสนสิริและประชาคมโลกอย่างยั่งยืน   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ของแสนสิริที่ไม่เพียงแค่การพัฒนาหรือสร้างที่อยู่อาศัย แต่แสนสิริยังมุ่งมั่นส่งมอบไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตให้แก่ลูกค้าภายใต้แนวคิด customer-centric หรือความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุดเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยให้กับลูกค้าในแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ล่าสุดแสนสิริยังมีแนวคิด ในการเดินหน้าเป็นผู้นำเพื่อผลักดันและเซตมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยในด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและยั่งยืน โดยการให้ความสำคัญทั้งในด้านลดการใช้พลังงานและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมโลก ทั้งนี้ที่ผ่านมา แสนสิริได้จัดตั้งทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) และร่วมมือกับพันธมิตรจากสถาบันฯ และบริษัทฯ ชั้นนำระดับโลกกว่า 20 ราย เพื่อพัฒนาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน  โดยเริ่มนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ผ่านการทดสอบเข้าสู่กระบวนการติดตั้งในโครงการนำร่องต่างๆ อาทิ โครงการ Cooliving Designed Home นวัตกรรมบ้านระบายความร้อน การพัฒนาและติดตั้งกังหันลม ผลิตไฟฟ้า Wind Turbine รวมถึงการเปิดตัว Smart Move แพลตฟอร์มบริการเช่ารถพลังงานไฟฟ้า 100% เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้าน เป็นต้น”   โดยการดำเนินงานเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนในครั้งนี้ “แสนสิริ” ได้นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน มาประยุกต์ให้เข้ากับแบรนด์ดีเอ็นเอ (DNAs) ของบริษัท ด้วยแรงขับเคลื่อนจากทัศนคติที่พร้อมเปิดรับและพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของแนวทางการจัดการของเสียและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแบบบูรณาการ บนหลักการ 2 ข้อใหญ่ ได้แก่ การรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรเพื่อประโยชน์สูงสุด และการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรการบริโภคให้น้อยที่สุด สอดรับกับ แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ (พ.ศ. 2559 – 2564) เพื่อแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย ตามนโยบายรัฐบาลที่กำหนดให้เป็น “วาระแห่งชาติ” รวมถึงร่างแผนจัดการขยะพลาสติกอย่างบูรณาการ            (พ.ศ. 2560 - 2564) เกิดเป็นโมเดลต้นแบบภายใต้ชื่อ “แสนสิริ กรีน มิชชั่น – Sansiri Green Mission” อันจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญกับการเป็นผู้กำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยในอนาคตที่เข้าใจและใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยมี Green Roadmap เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนในทุกโครงการใหม่ของแสนสิริ ภายใต้ 4 คำมั่นสัญญาหลัก ได้แก่ Waste Management | Energy Saving & Generation | Smart Move และ Sustainability     นายอุทัย กล่าวต่อไปว่า “เราได้เตรียมงบประมาณไว้ 50 ล้านบาท ระหว่างปี พ.ศ. 2562 - 2564 โดยมุ่งมั่งสร้างความเป็นเลิศสู่ความยั่งยืนด้านพลังงานและกำจัดของเสีย ซึ่งในด้าน Waste Management หรือ การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทวางจุดยืนที่ชัดเจน ในการลดปริมาณขยะคอนกรีตจากการก่อสร้างทั้งในรูปแบบก่ออิฐฉาบปูนและพรีคาสต์สู่นวัตกรรม “Earth Blox” ที่นำเศษคอนกรีตมวลเบาเหลือใช้จากการก่อสร้างกลับมาเป็นส่วนผสมในการแปรรูป เพื่อสร้างบล็อกคอนกรีตใหม่ นำกลับมาใช้ทำแผ่นทางเท้า ช่องลมระบายอากาศ และของตกแต่งภายในแลนด์สเคป โดยนับจากนี้ บริษัทจะเพิ่มการใช้การก่อสร้างด้วยระบบพรีคาสต์ในการก่อสร้างคอนโดมิเนียมจาก 50% เป็น 80% ภายในปีพ.ศ. 2564 ซึ่งจะสามารถลดขยะคอนกรีตที่เกิดจากการก่อสร้างโดยวิธีก่ออิฐฉาบปูนได้ถึง 1,600 ตันต่อปี ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถช่วยโลกลดก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas) ได้มากกว่า 48 ตันต่อปี เท่ากับพื้นที่สีเขียวของป่าไม้ 36 ไร่ รวมทั้งตั้งเป้าหมายในการเดินหน้าประกาศภารกิจในการลดปริมาณขยะคอนกรีตจากการก่อสร้างในโรงงานพรีคาสต์ของแสนสิริเป็น 0% หรือ Zero Waste ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2562   ในด้านการกำจัดขยะจากการบริโภคของลูกบ้าน บริษัทได้ทุ่มงบประมาณ 600,000 บาท ติดตั้งเครื่อง Food Waste Machine จำนวน 10 เครื่อง บนพื้นที่ส่วนกลางในทุกโครงการแนวสูงที่จะพัฒนาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2562 เป็นต้นไป โดยตั้งเป้าหมายขยายการใช้งานใน 23 โครงการ ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยในช่วงปีแรกสามารถแปรรูปขยะมูลฝอยได้มากถึง 18 ตันต่อปี จาก 10 โครงการ และคาดว่าเมื่อครบทั้งสิ้น 23 โครงการ จะสามารถแปรรูปขยะมูลฝอยเฉลี่ย 42 ตันต่อปี นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้ง Refun Machine เครื่องรับคืนขวดพลาสติกและกระป๋องในทุกโครงการแนวสูง รวมทั้งสิ้น 23 โครงการ ภายในปี พ.ศ. 2564 และร่วมมือกับสตาร์ทอัพในการพัฒนาแอพพลิเคชั่น Goo Greens เพื่อนำเสนอความรู้เกี่ยวกับการแยกขยะให้กับลูกบ้านและให้ลูกบ้านได้สนุกกับการสะสมคะแนนเพื่อแลกของสมนาคุณต่างๆ ซึ่งเริ่มนำมาใช้แล้ว ทั้งในโครงการแนวราบ ที่เศรษฐสิริ จรัญฯ-ปิ่นเกล้า และโครงการแนวสูงภายในฮาบิโตะมอลล์ รวมทั้งได้นำร่องติดตั้งเครื่อง Home bio gas หรือนวัตกรรมเครื่องเปลี่ยนขยะมูลฝอยเป็นก๊าซหุงต้มที่โรงแรมเอสเคป เขาใหญ่ และในส่วนของสำนักงานใหญ่ เซลล์ ออฟฟิศ และเซลล์ แกลอรี่ บริษัทตั้งเป้าหมายในการยกเลิกการใช้ขวดน้ำดื่มพลาสติก 100% ภายในปลายปีหน้า”     นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ส่งเสริมการพัฒนาด้าน Energy Saving & Generation เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าทดแทนให้กับโครงการต่างๆ ของบริษัท โดยมีแผนติดตั้ง Solar Roof ครอบคลุม 31 โครงการ ภายในปี พ.ศ. 2564 ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ 2 เมกกะวัตต์ พลังงานสะอาดที่ผลิตได้เทียบเท่ากับปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ชาร์จสมาร์ทโฟนถึง 1,400 ล้านเครื่อง ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 2,223 ตันต่อปี หรือคิดเป็นพื้นที่ป่าสีเขียวประมาณ 1,600 ไร่ นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนลดการใช้พลังงานในโครงการที่อยู่อาศัยทั้งในโครงการแนวราบและแนวสูง ด้วยการใช้นวัตกรรมที่ช่วยถ่ายเทอากาศและลดอุณหภูมิในที่อยู่อาศัย ได้แก่ นวัตกรรม Cooliving Designed Home ที่ประกอบด้วย Solar Attic การใช้พัดลมที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยลด    ความร้อนใต้หลังคาบ้าน ทำให้อากาศภายในตัวบ้านเย็นลง และ Shading Screen ระแนงกันแดดที่ออกแบบโดยคำนึงถึงทิศทางของบ้าน เป็นต้น   นายอุทัย กล่าวต่อไปว่า “ด้านการเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตของลูกบ้านที่สมบูรณ์แบบ หรือ “Smart Move” บริษัทได้นำเสนอแนวคิด Complete your living experience และร่วมมือกับ 4 พันธมิตรหลัก Honda, Haupcar, SHARGE และ EA Anywhere สร้างแพลตฟอร์มบริการยานพาหนะระบบเช่า รวมทั้งติดตั้ง Electronic car sharing และ EV Charger ครบทุกโครงการแนวสูงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป ซึ่งปัจจุบันติดตั้งไปแล้ว 5 สถานีรวม 11 คัน และเตรียมเพิ่มอีก 4 สถานีรวม 6 คัน ในปีหน้า คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 7.5 ตันต่อปี หรือคิดเป็นพื้นที่ป่าสีเขียวประมาณ 5.7 ไร่ พร้อมกันนี้ ยังได้วางเป้าหมายเพื่อต่อยอดโดยเปิดตัวพันธมิตรใหม่ e-scooter ให้บริการใน 2 โครงการสำคัญอีกด้วย และสุดท้ายในส่วนของ Sustainability การบริหารเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน บริษัทได้เตรียมความพร้อมสร้างความร่วมมือกับองค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดยนับเป็นอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่จับมือกับกลุ่มอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ในเมือง หรือ Big Tree เพื่อจัดการต้นไม้ใหญ่ในโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน โดยนำหลักสูตรรุกขกรรมมาอบรมนิติบุคคลและเจ้าหน้าที่ที่ดูแลโครงการ ดูแลตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ให้สวยงามและยั่งยืนในทุกโครงการ เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของลูกบ้านและรักษาสภาพแวดล้อมให้ร่มรื่นและเพิ่มมูลค่าโครงการ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญด้านการออกแบบอย่างยั่งยืน หรือ Sustainability design ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการออกแบบให้ลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน ผสานกับฟังก์ชั่นการใช้งานอย่างลงตัว อาทิ การออกแบบที่พักตอบโจทย์เรื่องอยู่สบายและลดอุณหภูมิภายในบ้าน เพื่อลดปริมาณการใช้พลังงาน ด้วยนวัตกรรม Cooliving Designed Home ในโครงการแนวราบ และนวัตกรรม Ventilation Door คอนโดมิเนียมหายใจได้ใช้ในโครงการแนวสูง ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค เป็น “Green Condominium”  เต็มรูปแบบ โครงการแรก และจะนำแนวคิดไปต่อยอดปรับใช้กับโครงการที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคตทุกโครงการ”   Sansiri Green Mission ทั้ง 4 คำมั่นสัญญาหลัก ได้แก่ Waste Management | Smart Move | Energy Saving & Generation และ Sustainability นับเป็นการผสมผสานนวัตกรรมสีเขียวตลอดวงจรธุรกิจ และเป็นโมเดลแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมสอดรับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนครบทุกวงจร ตั้งแต่ Reduce – Recycle – Design – Retailer – Consumers ซึ่งมั่นใจว่าภายใน 3 ปี Sansiri Green Mission จะเป็นกุญแจขับเคลื่อนการสร้างเมืองแห่งอนาคตที่มีความยั่งยืนด้านพลังงานอันจะนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะยกระดับมาตรฐานของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ก้าวสู่การให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” นายอุทัยกล่าวสรุป    
เกษตร-นวมินทร์ ทำเล โฮม ออฟฟิศ แหล่งงานและชุมชนที่ลงตัว

เกษตร-นวมินทร์ ทำเล โฮม ออฟฟิศ แหล่งงานและชุมชนที่ลงตัว

เกษตร-นวมินทร์ ทำเล โฮม ออฟฟิศ แหล่งงานและชุมชน ที่เติบโตต่อเนื่อง คราคร่ำไปด้วยผู้คน และบรรดาร้านอาหารอร่อย เพราะการคมนาคมขนส่งสะดวก เข้าออกได้หลายทาง เดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิไม่ยาก  อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ จึงเป็นโฮมออฟฟิศ ที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการ เป็นสถานที่ทำงานและอยู่อาศัยได้อย่างลงตัว       เกษตร-นวมินทร์ แหล่งงานและชุมชน ระยะสิบกว่าปีที่ผ่านมาตั้งแต่มีการตัดถนนประดิษฐ์มนูญธรรม การขยายตัวของเมืองจากเส้นเอกมัย-รามอินทรา มีการเจริญเติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด ยิ่งถนนประเสิรฐมนูญกิจ (ถนนเกษตร-นวมินทร์) ตัดเชื่อมเมืองสองฝั่งอีกหนึ่งสาย ความเจริญยิ่งตามมาเพราะถนนเส้นนี้เชื่อมฝั่งเมืองจากตะวันออกไปยังตะวันตก เส้นถนนที่ไปชนกับถนนพหลโยธิน ย่านนั้นเป็นย่านชุมชนที่มีทั้งมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล ทั้งของของรัฐ และเอกชน     ในย่านนี้ถนนลาดปลาเค้า ตัดไปยังถนนลาดพร้าววังหิน ก็สามารถเดินทางไปยังถนนลาดพร้าวได้ง่าย เมื่อกล่าวถึงถนนลาดปลาเค้าซึ่งเชื่อมต่อไปยังถนนรามอินทรา ย่านนี้ก็คราคร่ำไปด้วยผู้คน เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยทำมาหากิน และยังเต็มไปด้วยร้านอาหารดีๆเจ้าดังมากมาย รวมถึงคอมมูนิตี้มอลล์ ที่จะเป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจ เช่น The Jas รามอินทรา และวิ่งบนถนนรามอินทรา ก็มีทั้ง ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล บิ๊กซี และห้างขนาดใหญ่อื่นๆ อีกหลายแห่ง   เช่นเดียวกันหากไม่เข้าถนนลาดปลาเค้าแต่ขับรถวิ่งไปตามเส้นถนนลาดพร้าววังหิน ต้องบอกว่าเป็นแหล่งชุมชนถนนของคนสายกิน เพราะเป็นแหล่งรวม ทั้งร้านค้าร้านอาหาร เลือกหาร้านก๋วยเตี๋ยว  ร้านอาหารไทย ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านเป็ดพะโล้ ร้านขนมของหวาน สารพัดร้านอาหาร และหลายร้านเป็นร้านอาหารบรรยากาศดีที่ให้เลือกแฮงเอ้าท์ได้หลังเลิกงาน รวมถึงย่านนี้ยังมีคอมมูนิตี้มอลล์ และตลาดสดมีให้จับจ่ายใช้สอยอย่างครบครัน แบบขาดเหลืออะไรก็หาได้ในย่านนี้ ถนนเส้นนี้ยังทะลุไปถนนโชคชัย 4 เข้าถนนลาดพร้าวได้ง่ายอีกด้วย   ทำเลเดินทางสะดวกเข้าออกได้หลายทาง   ทำเลเกษตร-นวมินทร์ เดินทางเข้าออกบนเส้นถนนสายหลักหลายสาย ถนนรามอินทรา ถนนพหลโยธิน และถนนวิภาวดี-รังสิต ย่านนี้เป็นแหล่งชุมชน และเป็นพื้นที่สำหรับการทำธุรกิจใหม่ๆ มีการสร้างโครงการ แหล่งงาน ที่อยู่อาศัย บ้าน โฮม ออฟฟิศ ที่สามารถเป็นที่อยู่และออฟฟิศไปพร้อมๆกัน ทำเล ย่านเกษตร-นวมินทร์ เป็นทำเลที่เรียกว่า BEST LOCATION FOR BUSINESS     สำหรับการเดินทางโดยทางด่วนพิเศษ ก็มีเส้นทางด่วน 4 สายที่สามารถเดินทางมาถึงย่านนี้ได้ง่ายไม่ว่าจะมาจากมุมเมืองด้านเหนือใต้ออกตก โดยทางด่วนพิเศษฉลองรัช, ทางพิเศษกาญจนาภิเษก, ทางยกระดับอุตราภิมุข และทางพิเศษศรีรัช     ขณะที่อนาคตในย่านนี้จะสามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ซึ่งมีการตัดผ่านของเส้นรถไฟฟ้าถึง 4 สาย สายสีชมพู แคราย-มีนบุรี สายสีน้ำตาล แคราย-บึงกุ่ม สายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และนอกจากนั้น ย่านนี้ก็ถือว่าใกล้กับรถไฟสายสีแดงเข้ม ซึ่งเป็นระบบรถไฟชานเมือง ซึ่งเชื่อมต่อชานเมืองด้านทิศเหนือ และทิศใต้ อีกด้วย     ดังนั้น การเลือกหาสถานที่ทำงานเป็น โฮม ออฟฟิศ สักแห่งในย่านนี้จึงไม่ใช่เรื่องยาก และถือเป็นทำเลที่เหมาะสม มีความ Friendly Userคือพนักงานสามารถเดินทางได้ง่าย คล่องตัวทั้งผู้ที่ทำงานและผู้ที่มาติดต่อ โดยที่เนื้อที่โฮม ออฟฟิศ เนื้อที่กว้างขวางมีพื้นที่สีเขียว ตัวอาคารออกแบบให้เป็นพื้นที่พักอาศัยกับพื้นที่สำนักงานได้เป็นสัดส่วนลงตัว  บางโครงการมีลิฟท์ส่วนตัว และสามารถรองรับการจอดรถได้หลายคัน ซึ่งถือเป็นความได้เปรียบ   เกษตร-นวมินทร์ ย่านครีเอทีฟ ออฟฟิศ   โฮม ออฟฟิศ ที่มีพื้นที่กว้างขวางแบบนี้เหมาะกับผู้ประกอบการลักษณะ โดยเฉพาะในย่านเกษตร-นวมินทร์ เราจะพบเห็น บริษัทในลักษณะของครีเอทีฟ เช่น โปรดักส์ชั่น เฮาส์ ธุรกิจออนไลน์ ธุรกิจความงาม การทำคลินิก ฯลฯ ธุรกิจของคนรุ่นใหม่หลากหลายบริษัท หรือแม้กระทั่งกลุ่มธุรกิจที่คุ้นเคยพื้นที่ในย่านเกษตร-นวมินทร์และใกล้เคียง หลายบริษัทขยายพื้นที่เพื่อรองรับการเติบโตในย่านนี้     รวมไปถึงกลุ่มเจ้าของกิจการที่ต้องการออฟฟิศในกรุงเทพเพื่อการติดต่อหรือประสานงานทางธุรกิจ โดยมีกิจการอยู่ในจังหวัดใกล้เคียงทางเหนือของกรุงเทพ เช่น ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น แม้กระทั่งกลุ่มเจ้าของกิจการที่มีการเดินทางด้วยเครื่องบินโดยใช้สนามบินดอนเมือง หรือสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งการเดินทางจากโครงการไม่ยาก และถึงสนามบินในเวลาประมาณ 30 นาที  และหรือกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการซื้อโครงการเพื่อนำไปปล่อยเช่าก็ทำได้     เลือกสมาร์ท โฮม ออฟฟิศ   บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ Prove Kaset Nawamin เป็นโฮมออฟฟิศ 4 ชั้น พื้นที่ 44.7-77.9 ตารางวา มีพื้นที่ใช้สอย 339-375 ตารางเมตร จำนวน 8 ยูนิต บนถนนลาดปลาเค้า เชื่อมระหว่างถนนรามอินทรา ถ.เกษตร-นวมินทร์ ซึ่งโครงการห่างจากถนนรามอินทราเพียง 700 เมตร การดีไซน์ Double Volume กับบานกระจกหน้าต่างทรงสูง ใช้วัสดุก่อสร้างเกรดพรีเมี่ยม ระบบไฟ LED พื้น ชั้นล่างเป็นกระเบื้อง ชั้นบนเป็น ไวนิลลายไม้ ทนต่อการขูดขีด และการใช้งานในรูปแบบสำนักงาน     โดย โฮม ออฟฟิศ ของอัลติจูดออกแบบให้ชั้นบนสุดสามารถอยู่อาศัยได้มี 3 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ และจอดรถสูงสุดได้ 8 คัน เป็นสมาร์ทออฟฟิศที่มีลิฟท์ มีห้องประชุม พื้นที่ใช้งานในส่วนของออฟฟิศกว้างขวาง ระบบ Smart Office ที่มาพร้อมอุปกรณ์อัจฉริยะ รองรับการสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟน ระบบนิรภัยทั่ว ตัวอาคาร พร้อมห้องนิรภัย มีกล้องวงจรปิดและระบบความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง  
แต่งคอนโดฯ อย่างไร…ให้คอมพลีท!

แต่งคอนโดฯ อย่างไร…ให้คอมพลีท!

ยังคงเป็นปัญหาความยุ่งยากของใครหลายคน ที่เมื่อซื้อคอนโดฯ แล้วยังจะต้องหาเวลาไปเลือกเฟอร์นิเจอร์ตรงนั้นที ตรงนี้ที ไหนจะต้องโทรตามช่างมาติดตั้งอะไรต่างๆ นานา ไหนจะเจอปัญหาเฟอร์นิเจอร์ไม่พอดีกับพื้นที่ สายไฟตามผนังทำให้ดูรกหูรกตา ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ เอสบี ดีไซน์สแควร์ ผู้นำด้านนวัตกรรมและดีไซน์เฟอร์นิเจอร์เมืองไทย จึงปิ๊งไอเดียเปิดโมเดลธุรกิจใหม่เป็นของขวัญส่งท้ายปีด้วย “CONDO SOLUTIONS @ SB DESIGN SQUARE” (คอนโด โซลูชั่นส์ @ เอสบี ดีไซน์สแควร์) ทั้งยังนับเป็นเจ้าแรกที่รวบรวมบริการตกแต่งคอนโดแบบครบวงจร พร้อมตอบทุกเรื่อง ขจัดทุกปัญหา การแต่งคอนโดได้ในที่เดียว โดยเปิดตัวที่แรก ณ เอสบี ดีไซน์สแควร์ บางนา     นางธัญญรักข์ ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ เผยว่า สิ่งแรกเลย คือ เอสบีเข้าใจในความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงว่า เมื่อลูกค้าซื้อคอนโดฯ ก็อยากจะตกแต่งห้องให้สวย แต่บางครั้ง   ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง ทั้งสไตล์ที่ชอบ แบบที่ใช่ ช่างที่ไว้ใจได้ รวมถึงเรื่องงบประมาณ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะหมดปัญหาไปเมื่อได้มาที่ CONDO SOLUTIONS @ SB DESIGN SQUARE เพราะครั้งนี้จะไม่ใช่แค่การเลือกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่ง ที่สามารถตอบโจทย์เพียงเรื่องการออกแบบ การใช้งาน คุณภาพและความสวยงามเท่านั้น แต่เอสบีจะเข้ามาช่วยดูแล “งานตกแต่งคอนโด” ให้กับลูกค้าแบบครบวงจร ทั้งงานปูพื้น  ดรอปฝ้า  ย้ายปลั๊ก ทำผนังตกแต่ง กรุกระจก เติมไฟประดับ  ติดฟิมล์กันความร้อน ผ้าม่าน วอลเปเปอร์ ติดตั้ง Digital Door Lock และระบบ Smart Home System   “การที่เอสบีมาทำแบบนี้ คือ การเดินเข้าสู่โลก Disruptive ซึ่งมันคือการเอา Pain Point ของผู้บริโภค มาหา Solution ให้ทุกอย่างง่ายขึ้น จึงเป็นที่มาของ CONDO SOLUTIONS ซึ่งทางเอสบีกำลังก้าวล้ำไปกว่า พวก Disruptive โดยทั่วไป คือ การเป็น Hybrid Disruptive ผนวกทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคเข้ามาช่วยแก้ปัญหา ให้ผู้บริโภคเอง ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่วาง 3D และดึง Database ทุกอย่างที่เอสบีมีเอามาใช้ เรียกได้ว่า ลงตัวทั้งคนและโลกดิจิตอล ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ปล่อยให้เครื่องมือทำงานอย่างเดียว เพราะว่าบ้าน คือ การใส่ใจลงไปด้วย เรายังมีทีมงาน Interior Designer มืออาชีพคอยช่วยดูแลเรื่องออกแบบและสไตล์การตกแต่ง และทีม Condo Décor Planner ที่เป็นมากกว่าผู้ช่วยส่วนตัว คอยให้คำปรึกษา ติดตามงาน บริหารจัดการเวลาและวางแผนงานติดตั้งต่างๆ ให้กับลูกค้า เพื่อให้การแต่งคอนโดของลูกค้าเป็นเรื่องสะดวกสบายและง่ายขึ้น”   โดยในงานเปิดตัว CONDO SOLUTIONS @ SB DESIGN SQUARE ยังยกห้องตัวอย่างแปลนห้องจริงของคอนโดโครงการต่างๆ  พร้อมไอเดียการตกแต่งมาไว้ให้ดูถึง 6 แบบ ซึ่งแต่ละแบบเรียกว่าสะท้อนสไตล์ที่แตกต่างกันได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น แบบที่ 1 เป็นการนำแปลนห้องขนาด 33.5 ตารางเมตร จากโครงการ Ideo สุขุมวิท 93 มาตกแต่งเป็นสไตล์“Modern Luxury” ที่มีความเรียบหรู ดูทันสมัย ด้วยหลากวัสดุอินเทรนด์ อาทิ ลายหินอ่อนสีดำ Crystal High Gross อะลูมิเนียมสีทอง กระจกเงาเทา ขณะที่ แบบที่ 2 ด้วยพื้นที่เท่ากัน   ในโครงการเดียวกัน แต่มาในสไตล์ “Metro Luxe” ที่โฉบเฉี่ยวแบบแฟชั่นลุค โดดเด่นในธีมสีเทาเข้มขรึม แต่หยอดความมีชีวิตชีวาด้วยสีสันแห่งดีไซน์ ตามมาด้วย แบบที่ 3 กับขนาดพื้นที่ 33 ตารางเมตร โครงการ The Line สุขุมวิท 101 ถูกเนรมิตรในสไตล์ “Stylish Loft” ที่บ่งบอกเอกลักษณ์แห่งตัวตน สะท้อนความดิบ เท่ สไตล์ลอฟท์ ด้วยการตกแต่งที่เน้นเผยผิวสัมผัสของหลากวัสดุ ทั้งลายไม้ เหล็กและผ้า นอกจากการตกแต่งสไตล์เท่ๆ แล้ว ลองมาดูสไตล์หวานๆ กันบ้างกับ แบบที่ 4 ที่จำลองห้องขนาด 33.7 ตารางเมตร ของโครงการWhizdom Essence สุขุมวิท 101 มาตกแต่งในสไตล์  “Scandi Chic” ซึ่งมีความสวยเรียบ แต่ซ่อนเสน่ห์ด้วยลายไม้สีอ่อน ให้ความรู้สึกอบอุ่น และโปร่งสบาย สไตล์สแกนดิเนเวีย บอกรสนิยมอย่างมีระดับ ต่อกันด้วย แบบที่ 5 “Classy Urban” ที่หยิบเอาโครงการ Ideo Mobi สุขุมวิท 66 ขนาด 52.5 ตารางเมตร มาตกแต่งแบบไลฟ์สไตล์คนเมือง  ให้สัมผัสอบอุ่นแต่หรูหรามีสไตล์ ด้วยการผสานสีเอิร์ธโทนเข้ากับวัสดุ ลายหิน ลายไม้ และคริสตัลไฮกลอส และปิดท้ายด้วยสไตล์ที่หนุ่ม-สาวสายวินเทจห้ามพลาด กับ แบบที่ 6 “Classic White” ด้วยการเนรมิตห้องขนาด  22 ตารางเมตร ของโครงการ Knights Bridge Prime Onnut ให้ออกมาสวยคลาสสิค อ่อนหวาน ผสานความทันสมัย โดดเด่นด้วยหน้าบ้านสีพ่นสีขาว ดีไซน์คิ้วบัวสุดประณีต บอกเอกลักษณ์สไตล์วินเทจสุดๆ  พร้อมกันนี้  ทุกห้องยังสามารถติดตั้ง Digital Door Lock และเพิ่มระบบ Smart Home System เพื่อตอบรับการใช้ชีวิตแบบ Smart Metro Lifestyle ได้อย่างลงตัวอีกด้วย   และแม้ว่าเทรนด์การออกแบบตกแต่งคอนโดที่มาแรงในปี 62 นี้ จะเป็นสไตล์ลักซัวรี่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคงขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนด้วย เพราะการตกแต่งคอนโดฯ ให้ออกมาในแบบที่เป็นตัวเองที่สุด น่าจะตอบโจทย์ ตัวเราเองได้อย่างดีที่สุดเช่นกัน ซึ่งนอกจากทั้ง 6 แบบที่กล่าวมาแล้วนั้น ก็ยังมีอีกหลายร้อยแบบเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า จะชอบแต่งคอนโดฯ สไตล์ไหน จะปรับ-เปลี่ยน-แต่งเติม-เพิ่มอะไร ให้ CONDO SOLUTIONS ดูแล คลิ๊กดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sbdesignsquare.com/th/condo_solutions
ไซมิสฯ ผุดโครงการใหม่สุด Luxury “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ รัชดา” เจาะลูกค้าคนไทย-กลุ่มนักลงทุน ราคาขายเริ่ม 3.8-10.8 ล้านบาท

ไซมิสฯ ผุดโครงการใหม่สุด Luxury “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ รัชดา” เจาะลูกค้าคนไทย-กลุ่มนักลงทุน ราคาขายเริ่ม 3.8-10.8 ล้านบาท

ไซมิส แอสเสท ผุดคอนโดฯ โครงการใหม่แบรนด์ "ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ รัชดา" (Siamese Exclusive Ratchada) โครงการ Luxury มูลค่ากว่า 3,700 ล้านบาท สะท้อนแนวคิดธุรกิจ " Assert of life... สร้างกำไรให้ทุกการใช้ชีวิต" เพื่อมอบสิ่งที่ดีและค้มค่าที่สุดตอบโจทย์เพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุนโดดเด่นด้วยศักยภาพทำเลเพียง 90 เมตร MRT รัชดาฯ "ราคา" ขายเริ่มต้น 120,000 บาทต่อตร.ม.ถูกกว่าโครงการอื่นในย่านเดียวกัน     นายขจรศิษฐ์ สื่งสรรเสริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจภายในสโลแกน " Assert of life... สร้างกำไรให้ทุกการใช้ชีวิต"  กล่าวว่า โครงการ "ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ รัชดา" ติดโอลิมเปียไทยทาวเวอร์ และ MRT  รัชดาภิเษก บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ มีทั้งหมด 4 อาคาร รวมทั้งสิ้น  622 ยูนิต ประกอบด้วย อาคาร A สูง 4 ชั้น อาคาร B สูง 7 ชั้น อาคาร C สูง 37 ชั้นเป็นห้องชุดพักอาศัย จำนวน 560 ยูนิต และห้องชุดพาณิชยกรรม จำนวน 3 ยูนิต และอาคาร D  สูง 10 ชั้น ใต้ดิน 5 ชั้น (อาคารจอดรถอัตโนมัติ) จำนวนที่จอดรถ 281 ช่อง แบ่งเป็นที่จอดรถอัตโนมัติ 264 ช่อง และที่จอดรถส่วนกลาง 17 ช่อง   ทั้งนี้ ลักษณะห้องชุดพักอาศัยมีทั้งแบบ 1 ห้องนอน (1 ฺBedroom) และแบบ 2 ห้องนอน(2 Bedroom) ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่ม 31-36 ตารางเมตร(ตร.ม.) มีจำนวน 420 ยูนิต และขนาดพื้นที่ใช้สอย 50-57 ตร.ม. มีจำนวน 140 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 3.8 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 3,700 ล้านบาท มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2564 (ค.ศ.2021) โดยจับกลุ่มลูกค้าคนไทยและกลุ่มนักลงทุน   ชูจุดเด่น "ราคา-ทำเล และ Siamese Technology"   การกำหนดราคาขายนั้นยังเน้นต่ำกว่าคู่แข่งในตลาดย่านเดียวกัน กลยุทธ์นี้ถือเป็นจุดเด่นของไซมิส แอสเสท ที่ทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุน เพราะมั่นใจว่า Yield  หรือผลตอบแทนในการลงทุน 5 % ใน 2 ปี (การันตี) หลังจากนั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้น จากประสบการณ์ในการพัฒนามาอย่างยาวนาน   โครงการดังกล่าวมีจุดเด่น เรื่องทำเลที่ตั้งเพียง 90 เมตรถึง MRT รัชดา และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น Lobby Lounge, Mail Box, Meeting Room, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, สวนพักผ่อน และพื้นที่สีเขียว พร้อม Luxurious Serivce ตลอด 24 ชม. และระบบระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. เป็นต้น นอกจากนี้ผู้อยู่อาศัยยังจะได้สัมผัส Siamese Technology  เพื่อความสุขที่มากกว่าในโครงการ "ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ รัชดา"   สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานขายโครงการ "ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ รัชดา" เบอร์โทร 099-441-0888,099-442-0888 หรือ http://www.siameseasset.co.th
“สยามสินธร” ดึง “เคมปินสกี้” แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก  สร้างสรรค์โครงการใหม่ ที่พักอาศัยและโรงแรมระดับ 5 ดาว

“สยามสินธร” ดึง “เคมปินสกี้” แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก สร้างสรรค์โครงการใหม่ ที่พักอาศัยและโรงแรมระดับ 5 ดาว

บริษัท สยามสินธร จำกัด จับมือพันธมิตรชื่อดังระดับโลก “เคมปินสกี้” สร้างสรรค์ที่พักอาศัย “เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท สินธร เคมปินสกี้” รวมถึง โรงแรมระดับ 5 ดาว สินธรเคมปินสกี้ และโรงแรมในเครือคิมป์ตัน ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการ “สินธร วิลเลจ” มิกซ์ยูสย่านหลังสวน ทำเลทองชั้นนำของเมืองไทย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง หลังจากเปิดตัว 3 โครงการที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ สินธร เรสซิเดนซ์, สินธร ต้นสน และสินธร ลุมพินี     นายชลาลักษณ์ บุนนาค กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามสินธร จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามความร่วมมือกับ เคมปินสกี้ (Kempinski) แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก เพื่อนำบริการระดับเวิลด์คลาสจากเคมปินสกี้ ซึ่งถือว่าเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับระดับโลกมาบริหารโครงการที่พักอาศัยโครงการใหม่ ภายใต้ชื่อ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท สินธร เคมปินสกี้ (The Residences at Sindhorn Kempinski) มูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่อยู่ภายใต้พื้นที่โครงการสินธร วิลเลจ ย่านหลังสวน     “เรามุ่งมั่นที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้อยู่อาศัย เมื่อเราพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพบนทำเลที่มีศักยภาพ สิ่งหนึ่งที่ต้องมาคู่กันกับที่พักอาศัย นั่นก็คือ การบริหารอาคาร เราจึงเลือกเคมปินสกี้ เพื่อมั่นใจได้ว่าการบริการลูกบ้านของเราจะเป็นระดับชั้นนำตามมาตรฐานการให้บริการที่มีคุณภาพของแบรนด์เคมปินสกี้ที่มีมาอย่างยาวนาน”     นอกจากนี้ ในพื้นที่กับโครงการฯ ยังเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ชื่อ “โรงแรมสินธรเคมปินสกี้” ที่สามารถให้บริการด้านต่างๆ กับลูกบ้านของโครงการฯ อีกด้วย     เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท สินธร เคมปินสกี้ (The Residences at Sindhorn Kempinski) และโรงแรมสินธรเคมปินสกี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งในโครงการสินธร วิลเลจ ที่มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 39,000 ล้านบาท ทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง จุดกึ่งกลางระหว่างย่านสุขุมวิทและสีลม อยู่ใกล้กับสวนลุมพินี สวนสาธารณะขนาดใหญ่ เชื่อมโยงระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส ใกล้โรงพยาบาล แหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ ร้านค้า ร้านอาหาร และโรงเรียนชื่อดัง  
iCondo Greenspace PHATTHANAKAN-SRINAKARIN : รีวิวคอนโด

iCondo Greenspace PHATTHANAKAN-SRINAKARIN : รีวิวคอนโด

เบื่อไหมที่ต้องอยู่คอนโดในเมืองหันไปทางไหนมีแต่ความวุ่นวายทั้งตึกสูงใหญ่มากมาย การจราจรที่ติดขัดจนหัวร้อน รู้สึกอึดอัดไปหมด จะมีไหมที่มีคอนโดที่มีความเป็นส่วนตัว เงียบสงบใกล้ชิดธรรมชาติ การเดินทางสะดวกสบายเข้า-ออกเมืองง่าย และมีพร้อมด้วย Facility ต่างๆ ที่จะมาอำนวยความสะดวกได้รอบด้าน เหมือนกับที่ “iCondo Greenspace พัฒนาการ-ศรีนครินทร์” จาก Property Perfect   ด้วยจุดเด่นของทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้าถึง 2 สาย สายสีเหลือง (พัฒนาการ) และ Airport Rail Link (สถานีหัวหมาก) อยู่ใกล้ทางด่วนพระราม 9 และแวดล้อมด้วยสาธารณูปโภครอบด้าน เช่น แหล่งงาน อาคารสำนักงานใหญ่ๆ ห้างสรรพสินค้า แหล่งช็อปปิ้งหลายรูปแบบ รวมถึงสถานศึกษาชั้นนำ และสถานพยาบาลชื่อดังอีกหลายแห่ง จึงไม่น่าแปลกใจเลยถ้าโครงการนี้จะเป็นอีกหนึ่งแห่งที่หลายๆ คนให้ความสนใจ และอยากจับจองเป็นเจ้าของ เพราะทางโครงการตั้งใจออกแบบฟังก์ชันต่างๆ มาเพื่อให้ลูกบ้านได้ใช้ชีวิตสะดวกมากขึ้น     iCondo Greenspace พัฒนาการ-ศรีนครินทร์ ต้องการตอบโจทย์การใข้ชีวิตของลูกบ้านให้รอบด้านเพื่อให้สมกับสโลแกน “Live in GREEN LIFE” ซึ่งการสร้างสังคมคุณภาพนั้นมีองค์ประกอบต่างๆ มากมายที่ต้องคำนึงถึง ทางโครงการจึงพัฒนาพื้นที่ในส่วนต่างๆ อย่างดีให้ตรงตามคอนเซปต์ที่ตั้งไว้   เริ่มกันตั้งแต่แนวคิดการออกแบบ “GREEN DESIGN” ที่ตั้งใจให้สวนมาในสไตล์ Tropical Garden สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายสไตล์รีสอร์ท   ในส่วนของ “GREEN FUNCTION” พื้นที่ใช้สอยต่างๆ ภายในถูกออกแบบมาให้โปร่งโล่งสบายแต่ลงตัว รวมถึงการให้ความใส่ใจในเรื่องทิศทางลมและแสงแดดจากธรรมชาติมากยิ่งขึ้น   เพิ่มเติมด้วย “GREEN FACILITY” สำหรับการใช้พื้นที่ส่วนกลางสำหรับการพักผ่อนได้อย่างแท้จริง มีพื้นที่ Green-Working Space และ Outdoor Activities พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน   แกนสุดท้าย “GREEN LIVING” คือความตั้งใจเลือกทำเลที่ตั้งให้อยู่ในย่านที่แวดล้อมไปด้วย สถานศึกษาชื่อดัง พรั่งพร้อมด้วยแหล่งช็อปปิ้ง, ห้างสรรพสินค้า, Community Mall และโรงพยาบาลชั้นนำ พร้อมการเชื่อมโยงชีวิตคนเมืองด้วยรถไฟฟ้า ที่ทำให้ทุกการเดินทางเป็นเรื่องง่าย   นอกเหนือจากรายละเอียดต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ที่ iCondo Greenspace พัฒนาการ-ศรีนครินทร์ ยังเพิ่มเติมมิติใหม่แห่งการอยู่อาศัย ให้ชีวิตเราเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีเหนือระดับกับ “GREEN SPACE 4.0” ที่มาพร้อมกับนวัตกรรม iOT 4.0 (internet of things) อย่างลงตัวผ่าน Application ยกตัวอย่างเช่น   -Smart Transportation ที่เราสามารถตรวจสอบตำแหน่ง และตารางการเดินรถได้ด้วยระบบ GPS ผ่าน Application บนมือถือ -Smart Security นวัตกรรมเพื่อคความปลอดภัยสุดล้ำทั้งการสแกนใบหน้า, Key Card ล็อคชั้น, Digital Door Lock และ CCTV ตลอด 24 ชม. -Smart ECO System การใส่ใจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน ผนังอาคารที่นี่เลือกใช้ฉนวนกันความร้อนแบบเซรามิกโค้ตติ้ง, เป็นอาคารประหยัดพลังงานด้วยการเลือกใช้ไฟส่องสว่างบริเวณทางเดินภายในเป็นแบบระบบอัตโนมัติ ส่วนบริเวณถนนหลักในโครงการเป็นแสงสว่างที่ได้จากพลังงานแสงอาทิตย์ -Smart Condo อำนวยความสะดวกด้วย Smart Laundry ที่เราสามารถเช็ค เตือน จ่าย ผ่าน Application ได้ -Smart Location การเชื่อมโยงทุกการเดินทาง สะดวกด้วยรถไฟฟ้า และทางด่วนใกล้ๆ โครงการ   พูดถึงเรื่องจุดเด่น และคอนเซปต์ต่างๆ ของโครงการมาพอสมควรแล้ว เรามาทำความรู้จักกับตัวโครงการซักหน่อยกันดีกว่า iCondo Greenspace พัฒนาการ-ศรีนครินทร์ เป็นคอนโดมิเนียม Low Rise 2 อาคาร เน้นความเป็นส่วนตัว และเพียบพร้อมไปด้วย Facility ที่มาเอาใจไลฟ์สไตล์คนเมืองแบบเต็มที่ เช่น Emerald Lagoon สระว่ายน้ำระบบเกลือสีเขียวมรกตขนาดใหญ่ 25X6 ม. ที่มาพร้อม Fiber Optic Lighting ดวงไฟใต้น้ำลวดลายสวยงามบนพื้นสระว่ายน้ำ, Green Fitness ใกล้ชิดธรรมชาติ, พื้นที่สีเขียวเพื่อตอบโจทย์ทุกกิจกรรมทั้ง Green Playground, Outdoor Green Space, Tropical Green Garden, Green Lobby และ Green Working Space พร้อมฟรี wi-fi ครบครันขนาดนี้เราเชื่อว่าใครที่เป็นลูกบ้านที่นี่ต้องแทบจะไม่อยากออกไปไหนกันเลยทีเดียว   ใครที่กำลังสนใจคอนโดในทำเลนี้ ด้วยทำเลที่ตั้งของโครงการบนถนนพัฒนาการ ซอย 37 ซึ่งอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย มีความเพียบพร้อมอุดมสมบูรณ์สำหรับการอยู่อาศัยจริง และสามารถซื้อไว้เกร็งกำไร หรือลงทุนปล่อยเช่าได้ไม่ยาก เนื่องจากใกล้ทั้งแหล่งงาน อาคารสำนักงานใหญ่ๆ และมหาวิทยาลัยชั้นนำ ทำให้การหาคนเช่าไม่ใช่เรื่องยากเลย ความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการที่โครงการอยู่ใกล้สถานศึกษา ก็จะทำให้มีกลุ่มคนเช่าหมุนเวียนเรื่อยๆ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะลองเลือกไว้เพื่อการลงทุน ยิ่งราคาขายของทางโครงการไม่ได้สูงเลย เปิดราคาเริ่มต้นมาเพียง 1.69 ล้านบาท และยังจัดเต็มด้วย Facility พร้อมนวัตกรรมที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่อีก เชื่อว่าเป็นอีกโครงการหนึ่งที่เหมาะมากสำหรับใครที่คิดอยากจะเริ่มต้นลงทุนกับอสังหาฯ   Floor Plan  ที่ตั้งโครงการจะเข้าไปภายในซอยพัฒนาการ 37 ประมาณ 200 เมตร ซึ่งเป็นซอยเดียวกันกับมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตค่ะ ข้อดีของการที่อยู่ลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ นั่นคือเราจะได้ความเงียบสงบเป็นส่วนตัวมากกว่าค่ะ โดยโครงการจะวางอาคาร A ทางทิศเหนือ กับ B ทางทิศใต้ เอาไว้ล้อมรอบ Facility ที่อยู่กลางโครงการ ตรงทางเข้า-ออกโครงการจะอยู่ทางทิศตะวันออก ส่วนฝั่งที่อยู่ติดกับคลองจะเป็นทิศตะวันตกค่ะ       ชมห้องตัวอย่าง  สำหรับ Sale Gallery จะอยู่ก่อนถึงซอยพัฒนาการ 37 ที่เป็นที่ตั้งของตัวโครงการประมาณ 100 เมตร มีห้องตัวอย่างทั้งหมด 2 ห้อง ทุกยูนิตจะได้เฟอร์นิเจอร์แบบ Fully Furnished มีทั้งโซฟา, เคาน์เตอร์วางทีวี,โต๊ะ-เก้าอี้ทานอาหาร, เตียง (ไม่รวมฟูก), ตู้เสื้อผ้า, โต๊ะเครื่องแป้ง, เคาน์เตอร์ครัว, สุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำทั้งหมด และเครื่องปรับอากาศ ซึ่งถึงแม้จะเป็นห้อง 1 Bedroom ก็จะได้เครื่องปรับอากาศมาถึง 2 เครื่อง ทั้งตรงห้องนั่งเล่นกับในห้องนอนค่ะ โดยความสูง Floor To Ceiling อยู่ที่ 2.4 เมตร ห้องนั่งเล่นกับห้องนอนจะปูพื้นด้วยลามิเนต ส่วนห้องครัว, ห้องน้ำ และระเบียงจะปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิค ผนังจะได้แบบฉาบเรียบทาสีขาว         Type A 24 ตร.ม. พื้นที่แรกของห้องเป็นห้องนั่งเล่น ได้โซฟาขนาด 3 ที่นั่งเลยค่ะ ถ้าใครชอบ Space กว้างๆ ก็สามารถย้ายโต๊ะ-เก้าอี้เข้าไปไว้ในครัวแทนได้ค่ะ ก็จะมีพื้นที่วางโต๊ะกลางได้อีก ลึกเข้าไปด้านในเป็นห้องนอน ซึ่งกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน   ห้องนอนจะมี Bulit in ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งให้มาตามแบบห้องตัวอย่างเลยค่ะ หน้าต่างจะเป็นกระจกบานเลื่อน 2 ตอน แบบเดียวกันทุกยูนิต และเตียงนอนขนาด 5 ฟุต จะมีลิ้นชักใต้เตียงด้วย   อีกด้านหนึ่งจะเป็นห้องน้ำ ห้องครัวปิด และระเบียงห้อง แบ่งฟังก์ชั่นห้องได้อย่างเป็นสัดส่วนชัดเจนทีเดียวค่ะ ใครที่ชอบทำครัวบ่อยๆ ก็หายห่วงเรื่องกลิ่นได้เลย   ห้องครัวมีพื้นที่มากพอที่จะวางทั้งตู้เย็น และตู้เก็บของเพิ่มตามแนวผนังได้อีก ส่วนเคาน์เตอร์ครัว Built in มาพร้อมกับซิงค์ล้างจาน กรุกระเบื้องด้านในเพื่อทำความสะอาดได้ง่ายเวลาเกิดคราบสกปรก   ระเบียงมีก๊อกน้ำและปลั๊กไฟ พร้อมสำหรับวางเครื่องซักผ้าได้ค่ะ ส่วน Condensing Unit แขวนไว้ด้านบนหันออกนอกระเบียงค่ะ      ห้องน้ำแบ่งโซนเปียกกับโซนแห้ง โถสุขภัณฑ์, ก๊อกน้ำ, ฝักบัว ใช้แบรนด์ COTTO ส่วนอ่างล้างหน้าแบบแขวนผนังใช้แบรนด์ CHARMER   Type C 30 ตร.ม. พื้นที่แรกยังคงเป็นห้องนั่งเล่นเช่นเคยค่ะ แต่จะได้พื้นที่กว้างขวางมาก สามารถวางโต๊ะกลางขนาดใหญ่เพิ่มได้เลย ซึ่งจะแบ่งฟังก์ชั่นห้องทางขวามือเป็นห้องน้ำกับห้องนอนอยู่ใกล้กัน เพื่อความสะดวกเวลาใช้งาน และทางซ้ายมือจะเป็นพื้นที่โต๊ะทานข้าว ห้องครัวปิด และระเบียงค่ะ   ห้องน้ำจะเจอกับส่วนแห้งก่อนค่ะ แยกส่วนเปียกเอาไว้ด้านในฝั่งขวาสุด ส่วนสุขภัณฑ์ทั้งหมดจะได้มาตามแบบห้องตัวอย่างค่ะ   ห้องนอนจะได้เตียงขนาด 5 ฟุตวางไว้กลางห้อง มีพื้นที่เดินได้สบายๆ รอบเตียง พื้นที่ช่วงปลายเตียงสามารถเพิ่มโต๊ะทำงานได้อีกค่ะ   Space ข้างโซฟาตรงนี้ แม้ว่าจะได้โต๊ะ-เก้าอี้ 2 ตัวมาด้วย แต่ถ้าใช้งานไม่พอล่ะก็ สามารถวางได้ถึงขนาด 4 ที่นั่งเลยนะคะ ลึกเข้าไปด้านในก็จะเป็นครัวปิด และระเบียง   ห้องครัวปิด จะมีพื้นที่สำหรับวางตู้เย็นเอาไว้ฝั่งตรงข้ามกับเคาน์เตอร์ครัวที่ Built in มาให้เรียบร้อยค่ะ   ระเบียงจะต่อจากห้องครัวเลยค่ะ มีก๊อกน้ำกับรูปลั๊กไฟมาให้พร้อมสำหรับวางเครื่องซักผ้าได้ และเหลือพื้นที่วางราวตากผ้าได้อีกค่ะ     สิ่งที่ทางโครงการให้มาถือว่าคุ้มสุดๆ เมื่อเทียบกับราคาที่หาได้ยากแล้วสำหรับคอนโดมิเนียมที่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้า เพราะไม่ใช่แค่ทำเลที่เหมาะทั้งอยู่อาศัยเอง และปล่อยเช่า ยังมีเทคโนโลยี GREEN SPACE 4.0 ที่จะช่วยยกระดับให้ชีวิตดูสมาร์ทขึ้น     พิเศษ... iCondo Greenspace พัฒนาการ-ศรีนครินทร์ จะเปิดจองรอบ VVIP Day 24-25 พ.ย. นี้ จัดโปรโมชั่นพิเศษ Fully Furnished เริ่ม 1.69 ล้านบาท จอง+ทำสัญญา+ผ่อนดาวน์ 3 งวด รับฟรี iPhone XS (64GB)*  https://www.pf.co.th/hApyNq                     
MQDC สร้างปรากฎการณ์ต่อเนื่อง “Beautiful Bangkok 2019” บนตึกแมกโนเลียส์ ตอกย้ำกรุงเทพฯขึ้นมหานครชั้นนำระดับโลก หนุนยอดขายทะลุ 80% ปลุกกระแสนักลงทุน-ชาวต่างชาติสนใจโครงการฯ

MQDC สร้างปรากฎการณ์ต่อเนื่อง “Beautiful Bangkok 2019” บนตึกแมกโนเลียส์ ตอกย้ำกรุงเทพฯขึ้นมหานครชั้นนำระดับโลก หนุนยอดขายทะลุ 80% ปลุกกระแสนักลงทุน-ชาวต่างชาติสนใจโครงการฯ

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (MQDC) หนึ่งในผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย สร้างปรากฎการณ์แห่งสีสันสุดอลังการ ตื่นตาตื่นใจให้ย่านราชประสงค์อีกครั้ง ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยจัดกิจกรรม “Beautiful Bangkok 2019 : The Symphony of Happiness” บนตึกสูง 60 ชั้น โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ ผสานเทคโนโลยี ผลงาน 7 ศิลปินไทยชั้นนำ เพื่อมอบความสุขให้กับคนไทยและนักท่องเที่ยว ต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ 2019  ระหว่างวันที่ 18-31 ธ.ค.นี้ คาดมีคนมาชมงานเพิ่มจากปีที่แล้ว 50% จากวันปกติ 600,000 คน/วัน เป็น 900,000 คน/วัน เผยงานปีก่อน เสริมภาพลักษณ์หนุนขายโครงการฯ ทะลุ 80% เหลือเพียง 20% เท่านั้น เชื่อมั่นขายหมดภายในปี 2019 ภูมิใจเตรียมส่งมอบ 2 โครงการหรูระดับโลกบนทำเลทองริมเจ้าพระยาเสริมความแข็งแรงให้แลนด์มาร์กแห่งใหม่ไอคอนสยาม   ภายในงานแถลงข่าววันนี้ ซึ่งจัดขึ้น ที่ชั้น 4 โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ได้รับเกียรติจาก วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (MQDC) พร้อมด้วย ศศินันท์ ออลแมนด์ ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยมี ณัฎฐพร ชีวมงคล ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA) ร่วมด้วย 7 ศิลปินไทยชั้นนำของไทยที่ผลงานเป็นที่รู้จักในระดับอินเตอร์เนชั่นแนล ได้แก่ P7, MUEBON, PAI LACTOBACILLUS, TIKKYWOW, KEEP YOUR EYES ON team, TRK and BONUS TMC ตลอดจนผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชนร่วมงานจำนวนมาก วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า นับเป็นปีที่ 2 แล้ว ที่ MQDC ได้สร้างความฮือฮา โดยจัดกิจกรรม “Beautiful Bangkok” การแสดง แสง สี เสียง  ด้วยเทคนิคพิเศษสุดตระการตา บนตึกสูง 60 ชั้น ณ โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เพื่อสร้างสีสันความสุข ความตื่นตาตื่นใจให้กับคนไทย และนักท่องเที่ยว ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ซึ่งในปีที่แล้วเราได้จัดกิจกรรม “Beautiful Bangkok by Magnolias @Ratchaprasong” (บิวตี้ฟูล แบงค็อก บาย แมกโนเลียส์ แอท ราชประสงค์) ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง สามารถช่วยดึงดูดผู้คนมาเดิน มาเที่ยวชมไฟในย่านราชประสงค์เพิ่มขึ้น   “ในฐานะสมาชิกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ ย่านธุรกิจที่เป็นดั่งหัวใจสำคัญของเมืองไทย และแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลก เราเชื่อมั่นว่าด้วยความพร้อมของ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) และโครงการ “แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด” เมื่อได้ร่วมผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกับทางสมาคมฯ เราจะสามารถเข้ามาเติมเต็มทัศนียภาพของ ย่านราชประสงค์-ย่านราชดำริ” “ปีนี้ MQDC พร้อมจะตอกย้ำการเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมฯ โดยสร้างปรากฏการณ์ และสร้างความประทับใจอีกครั้ง ด้วยการสร้างสีสันความสุข และความสมบูรณ์แบบให้ย่านราชประสงค์ โดยจับมือ สมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA) จัดกิจกรรม Beautiful Bangkok 2019 “The Symphony of Happiness” การแสดง แสง สี เสียง ด้วยเทคนิคพิเศษสุดตระการตา บนตึกสูง 60 ชั้น เพื่อต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ 2019 โดยมีจุดประสงค์ที่สำคัญ คือ เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลด้านส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ และส่งเสริมภาพลักษณ์กรุงเทพมหานคร ในฐานะมหานครแห่งการท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก”   วิสิษฐ์ เผยด้วยว่า เราได้จัดสรรงบประมาณไว้ 100 ล้านบาท สำหรับการจัดงานนี้ขึ้น ภายใต้แนวคิด Beautiful Bangkok “The Symphony of Happiness” ถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ผสานเทคโนโลยี นำเสนอศิลปะอันวิจิตร เปี่ยมสีสัน และชีวิตชีวา ซึ่งเป็นผลงานสร้างสรรค์โดย 7 ศิลปินชั้นนำของไทยที่ผลงานเป็นที่รู้จักในระดับอินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวชม โดยเราจะใช้ Façade (ฟาซาด) ซึ่งเป็นจุดเด่นส่วนหนึ่งของโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) มาใช้เป็นพื้นที่ในการฉายไฟเข้าไปที่ตึกด้วยเทคโนโลยีระดับสูง เพื่อสะท้อนความสวยงามของกรุงเทพฯ ให้ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วโลกอีกครั้ง เพื่อมอบให้เป็นของขวัญแก่คนกรุงเทพฯ เพื่อสร้างรอยยิ้ม ความสุขและความภาคภูมิใจ เราเชื่อว่างานครั้งนี้จะสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ในช่วงเทศกาลแห่งความสุข ปรากฏการณ์แห่งความตื่นตาตื่นใจนี้ มีกำหนดการแสดง เริ่มตั้งแต่วันอังคารที่ 18 ถึง 31 ธ.ค. 61 โดยวันที่ 18 ธ.ค. 61 จะมี 7 รอบ ในเวลา 19.20/ 19.40/ 20.00/ 20.20/ 20.40/ 21.00 และ 21.20 น. วันที่ 19 – 30 ธ.ค. 61 มี 7 รอบเช่นกัน ในเวลา 19.00/ 19.20/ 19.40/ 20.00/ 20.20/ 20.40 และ 21.00 น. ส่วนวันที่ 31 ธ.ค. 61 เพิ่มรอบส่งท้ายปีเก่า อีก 1 รอบ ในเวลา 23.55 น. วิสิษฐ์ ยังเผยด้วยว่า การร่วมมือกับสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการจัดงานครั้งนี้ MQDC เชื่อว่าจะช่วยหนุนเสริมการพัฒนาย่านราชประสงค์ให้เติบโตสู่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจระดับโลกต่อไป และเราคาดหวังว่าการแสดง แสง สี เสียง ในปีนี้ จะสามารถดึงดูดผู้คนมาเดินเที่ยวมาชมไฟในย่านราชประสงค์ในเดือนธันวาคมเพิ่มมากขึ้น 50% จากปกติมีคนเดินประมาณ 600,000 คน/วัน เพิ่มขึ้นเป็น 900,000 คน/วัน   “จากการจัด Beautiful Bangkok เมื่อปีที่ผ่านมา มีผู้ให้ความสนใจโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ ส่งผลให้ปัจจุบันโครงการฯ เหลือจำนวนห้องชุดอีกเพียง 20% เท่านั้น ด้วยเหตุปัจจัยที่ตั้งโครงการเป็นทำเลทองผนวกกับความเป็นลักชัวรี่มิกซ์ยูส ซึ่งสามารถตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมี่ยม ทำให้โครงการมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทั้งในแง่การเป็นเจ้าของห้องชุดเพื่อการลงทุน หรือเพื่อการอยู่อาศัยเอง โดยขณะนี้ โครงการของเรามี Rental Yield อยู่ที่ 5-7% ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่สูง เมื่อเทียบกับโครงการอื่นๆ ในย่านเดียวกัน” “จึงอยากเชิญชวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ได้จัดเวลามาชมงานครั้งนี้ ที่ทีมงานของเรามีความตั้งใจและทุ่มเทในการจัดขึ้น เพื่อมอบเป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ให้กับทุกคน ที่จะได้ตื่นตาตื่นใจกับผลงานการสร้างสรรค์ศิลปะโดยศิลปินชาวไทย ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับโลก พร้อมชื่นชม และภาคภูมิใจในความเป็นไทยร่วมกัน” วิสิษฐ์ กล่าว   ด้าน ศศินันท์ ออลแมนด์ ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวเสริมด้วยว่า พร้อมกันนี้ เราอยากเชิญชวนบุคคลทั่วไปได้ร่วมสนุก และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสมบูรณ์แบบให้กับการแสดงแสงสีเสียงครั้งนี้ โดยโพสต์ภาพความสุขพร้อมชื่อเล่นของคุณบนเฟสบุ๊ค พร้อมพิมพ์ @MQDC ตั้งค่า Public และติด #BeautifullBangkok  เพื่อฉายภาพด้วยเทคนิคเลเซอร์ขึ้นบนอาคารแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับงานสร้างสรรค์ของศิลปินไทยชื่อดัง ระหว่างวันที่ 18-31 ธันวาคมนี้ ขณะที่ ณัฎฐพร ชีวมงคล ในนามตัวแทนสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ หรือ RSTA กล่าวว่า “เรามีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สมาคมฯ ได้รับความร่วมมือ และผนึกพลังกับผู้ประกอบการในย่านนี้ ในการแสดงศักยภาพย่านราชประสงค์ ให้เป็นที่ยอมรับจากคนทั่วโลก ซึ่งโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ภายใต้การบริหารของกลุ่มแมกโนเลีย ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมฯ โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันวางแผนพัฒนาและอนุรักษ์ พร้อมผลักดันย่านราชประสงค์สู่การเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ”   ณัฎฐพร กล่าวต่อไปว่า ด้วยความพร้อมของ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) และโครงการ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด นับแต่ได้ร่วมผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกับสมาคมฯ ก็ได้เข้ามาช่วยเติมเต็มทัศนียภาพอันงดงามของย่านราชประสงค์-ย่านราชดำริ และเป็นยังส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยตอกย้ำ ให้ที่แห่งนี้กลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ นำไปสู่ก้าวสำคัญของการพัฒนา ย่านราชประสงค์ให้เป็นเมืองแห่งอนาคต ที่รวมความเป็นที่สุดแห่งตลาดรีเทล ตลาดโฮลเซล ตลาดฮอสพิทอลลิตี้ ตลาดลักชัวรี่ เรสซิเดนส์ และตลาดไมซ์ใจกลางกรุงเทพฯ เข้าไว้ เพื่อหนุนเสริมให้ย่านราชประสงค์แข็งแรง พร้อมเป็นศูนย์กลางเวทีเศรษฐกิจระดับโลก “การจัดงาน Beautiful Bangkok 2019 “The Symphony of Happiness” การแสดง แสง สี เสียง ในครั้งนี้ ผู้มาชมงานจะได้สัมผัสความตื่นตาตื่นใจ อิ่มสุข อิ่มใจ และภาคภูมิใจ ในความเป็นไทย และเราเชื่อว่า จะสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่นี้” จากนั้น พิธีกรในงาน ได้เปิดตัว 7 ศิลปินชั้นนำของไทยที่ผลงานเป็นที่รู้จักในระดับอินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งแต่ละคนล้วนการรันตีฝีมือด้วยการเดยคว้ารางวัลระดับโลกมาแล้วทั้งสิ้น โดยแต่ละทีมได้เผยความรู้สึกพร้อมเล่าถึงแรงบันดาลใจในการร่วมสร้างสรรค์ผลงานในครั้งนี้ พร้อมชวนมาชมการแสดง ที่จะต้องสร้างความประทับใจให้ผู้ชมอย่างแน่นอน โอกาสนี้ ภายในงาน วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ยังเผยถึงรายละเอียด และความสำเร็จของโครงการต่างๆ ภายใต้ MQDC ให้ทราบด้วย “โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ของเรา มีมูลค่าโครงการราว 11,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันเรามีการตอบรับดีมาก หลังจากการเปิดตัวโรงแรม Waldorf Astoria วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย เป็นโรงแรมสุดหรูระดับตำนานที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มาตั้งอยู่บนโครงการแมกโนเลียส์ฯ ซึ่งถือเป็นแห่งแรกในตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เป็นที่ต้อนรับกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ได้มาใช้บริการและพักอาศัย   วิสิษฐ์ เผยด้วยว่า “ในด้านความสำเร็จของโครงการ MRB ที่เปิดไปแล้วนี้ ปัจจุบันได้สร้างยอดขายไปแล้ว 80 กว่า % โดยมีจำนวนห้องชุดทั้งหมด 316 ยูนิต มีสัดส่วนลูกค้าที่เป็นชาวไทย 50% และชาวต่างชาติ 50% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวฮ่องกง, สิงคโปร์และไต้หวัน ปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันยอดขายของเราให้เติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นที่น่าพอใจ นอกจากทำเลที่เป็น Top destination ระดับต้นๆ ของเมืองไทยแล้ว ก็คือความเป็นมิกซ์ยูสที่ทันสมัย สามารถตอบสนอง ทุกความต้องการของผู้พักอาศัย รวมไปถึงความสมบูรณ์แบบด้านสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้อย่างครบครัน สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ผู้ครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน ที่มีขนาดพื้นที่ 72-106 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ ประมาณ 20 ล้านบาท หรือคิดเป็นราคาเริ่มต้นที่ 270,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งมีจำนวน 220 ยูนิต หรือจะเป็น แบบ เพ้นต์เฮ้าส์ 8 ยูนิต ซึ่งเป็น ดูเพล็กซ์ เพนท์เฮ้าส์ (250- 360 ตารางเมตร) จำนวน 6 ยูนิต และเพนท์เฮ้าส์ (290-300 ตารางเมตร) จำนวน 2 ยูนิต ซึ่งปัจจุบันโครงการขายไปแล้วเหลือเพียง 20% เท่านั้น และเรามั่นใจว่าจะปิดการขายโครงการทั้งหมดได้ในไตรมาสแรกของ ปี 2019”          
ศุภาลัย รุก EEC ต่อเนื่อง กระตุ้นแรงซื้อโค้งสุดท้าย ปักธงโครงการใหม่ “ศุภาลัย พรีโม่ พัทยา”

ศุภาลัย รุก EEC ต่อเนื่อง กระตุ้นแรงซื้อโค้งสุดท้าย ปักธงโครงการใหม่ “ศุภาลัย พรีโม่ พัทยา”

บมจ.ศุภาลัย เตรียมแผนลงทุนพัฒนาอสังหาฯ ในจังหวัดชลบุรี อย่างต่อเนื่อง กระตุ้นแรงซื้อโค้งสุดท้าย เตรียมเปิด “ศุภาลัย พรีโม่ พัทยา” มูลค่าโครงการ 395 ล้านบาท Pre-Sale 24-25 พฤศจิกายน 2561 นี้ ณ สำนักงานขาย พร้อมพบสิทธิพิเศษมากมาย   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมแผนลงทุนพัฒนาอสังหาฯ ในจังหวัดชลบุรี ไว้อย่างต่อเนื่อง หลังจากเปิดตัวโครงการ ศุภาลัย พรีโม่ บางแสน ในไตรมาส 1 และ ศุภาลัย การเด้นวิลล์ ชลบุรี ศุภาลัย วิลล์ ศรีราชา - สวนเสือ ในไตรมาส 4  ที่ผ่านมานั้น ได้รับกระแสตอบรับดี เป็นที่น่าพอใจ และพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ สนใจที่อยู่อาศัยประเภท “ทาวน์โฮม” ประกอบกับความเหมาะสมของทำเลและราคา ซึ่งเป็นดีมานด์การซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ในจังหวัดชลบุรีจำนวน 10 โครงการ และล่าสุดเตรียมเปิดโครงการใหม่ “ศุภาลัย พรีโม่ พัทยา” บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม มูลค่าโครงการ 395ล้านบาท ชูแนวคิด “เริ่มต้นชีวิตอย่างมีสไตล์ สะดวกในการเดินทาง พร้อมสัมผัสความสุขที่ลงตัว” “ศุภาลัย พรีโม่ พัทยา” ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการประมาณ 15 ไร่ ออกแบบสไตล์โมเดิร์น ทั้งบ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 113-122 ตร.ม. จำนวน 154 แปลง ราคาเริ่มต้นเพียง 2.15 ล้านบาท ออกแบบเน้นการอนุรักษ์พลังงาน ใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อใช้ประโยชน์ในทุกพื้นที่ ตอบรับทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ สวนส่วนกลาง ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV รอบโครงการ และระบบเข้า - ออกอัตโนมัติ Easy Pass สะดวกสบายทุกการเดินทาง แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่สำคัญ อาทิ โรงเรียนสาธิตอุดมศึกษา แมคโคร พัทยา เทสโก้ โลตัส เทพประสิทธิ์ Outlet Mall Pattaya ห้างHarbor Pattaya อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ โรงพยาบาล เมืองพัทยา สำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยในโซนพัทยา เชิญเลือกแปลงโดนใจ ราคาพิเศษก่อนใครในงาน Pre-Sale 24-25 พฤศจิกายน 2561 นี้ พร้อมพบสิทธิพิเศษมากมาย ณ สำนักขายโครงการ โทร. 1720 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.supalai.com        
สยามนุวัตร ตอกย้ำความสำเร็จปิดการขาย โครงการ “WISH SIGNATURE MIDTOWN SIAM”

สยามนุวัตร ตอกย้ำความสำเร็จปิดการขาย โครงการ “WISH SIGNATURE MIDTOWN SIAM”

นายธารธร อักษรานุวัตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามนุวัตร จำกัด เปิดเผยว่าโครงการ “WISH SIGNATURE MIDTOWN SIAM” (วิช ซิกเนเจอร์ มิดทาวน์ สยาม) ลักชัวรี่ คอนโด เป็นโครงการ High Rise ความสูง 45 ชั้น ทั้งหมดมี 623 ยูนิต ในสไตล์ Ultra Modern Luxury ตั้งอยู่ย่านธุรกิจหลักใจกลางเมือง ที่เน้นการใช้ชีวิตแบบคนรุ่นใหม่ มีสไตล์เป็นของตัวเองอย่างชัดเจน ต้องการความสะดวกสบาย มีกิจกรรมพิเศษที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตที่แตกต่างได้อย่างครบถ้วนในสถานที่เดียว ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สะท้อนเอกสิทธิ์ชีวิตที่เหนือกว่า” พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ครบครัน ทั้ง Family Pool, Open Library, Sky Fitness, Sky Pool, Sky Lounge, Grand Amphitheater, Roof Garden, Sauna และ Private Lift โดยโครงการยังได้รับรางวัลการันตีระดับโลกจาก ASIA PACIFIC PROPERTY AWARDS ARCHITECTURE ทั้งสาขา Best Residential High-Rise Architecture Thailand และ Best Residential High-Rise Architecture Asia Pacific ในปี 2015-2016 ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ โครงการ WISH SIGNATURE MIDTOWN SIAM (วิช ซิกเนเจอร์ มิดทาวน์ สยาม) ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้า และสามารถปิดโครงการได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว นายธารธร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ย่านมิดทาวน์ สยาม เป็นทำเลระดับ “ซูเปอร์พรีเมียม” ใจกลางกรุงเทพ  ที่มีพื้นที่เหลืออยู่ไม่มากนัก จึงทำให้ “มิดทาวน์ สยาม” เป็นพื้นที่อยู่อาศัยที่ยังมีความต้องการ ในระดับท็อปของเอเชีย ซึ่งนอกจากการอยู่อาศัยแล้ว ยังถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะปัจจุบัน มีราคามากกว่า 230,000 บาท ต่อตารางเมตร คาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า มูลค่าของคอนโดจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ทางบริษัทฯ ยังเล็งเห็นว่า แม้ภาพรวมของเศรษฐกิจตอนนี้ยังคงชะลอตัว แต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้จากในปีนี้ บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้ตามเป้าหมายที่ 3,000 ล้านบาท จากโครงการดังกล่าว”                  
MJD พร้อมส่งมอบ “มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ” คาดปิดโอนหมด 100% สิ้นปีนี้  ล่าสุดราคารีเซลสูงถึง 20% ขณะที่ทำเลอนุสาวรีชัยฯ บูม ราคาที่ดินดีด 10% ต่อปี  แย้มรายได้รวมปีนี้โตขึ้นกว่าปีก่อน มั่นใจปีนี้ยอดขายเป็นไปตามเป้า 30,000 ลบ.

MJD พร้อมส่งมอบ “มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ” คาดปิดโอนหมด 100% สิ้นปีนี้ ล่าสุดราคารีเซลสูงถึง 20% ขณะที่ทำเลอนุสาวรีชัยฯ บูม ราคาที่ดินดีด 10% ต่อปี แย้มรายได้รวมปีนี้โตขึ้นกว่าปีก่อน มั่นใจปีนี้ยอดขายเป็นไปตามเป้า 30,000 ลบ.

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พร้อมส่งมอบโครงการ “มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ” (Maestro 07 Victory Monument) จำนวน 171 ยูนิต มูลค่า 800 ล้านบาท ให้ลูกค้าเข้าอยู่อาศัยตั้งแต่วันนี้ เผยโครงการประสบความสำเร็จ Sold Out อย่างรวดเร็วเพียง 2 วันที่เปิดพรีเซลส์ ล่าสุดราคารีเซลสูงขึ้นมาอยู่ที่ 174,000 บาท/ตร.ม. เพิ่มสูงขึ้นจากปี’59 ที่มีราคาขายอยู่ที่ 140,000 บาท/ตร.ม. หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 20% คาดสิ้นปีนี้ปิดโอนได้หมด 100% ขณะที่ทำเลอนุสาวรีย์ชัยฯ บูม ราคาที่ดินพุ่งขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยเกือบ 10% ต่อปี ปัจจุบันแตะที่ 850,000 บาทต่อตร.ว. แย้มรายได้รวมปีนี้โตขึ้นกว่าปีก่อน ระบุครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวมแล้ว 2,791 ล้านบาท มั่นใจปีนี้ยอดขายเป็นไปตามเป้าที่ 30,000 ล้านบาท     คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมรับรู้รายได้ในปี’61 ล่าสุดส่งโอนโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ “มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ” (Maestro 07 Victory Monument) จำนวน 171 ยูนิต มูลค่า 800 ล้านบาท ให้ลูกค้าเข้าอยู่อาศัยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้โครงการดังกล่าวนับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการที่ 5 ในปีนี้ที่ได้ส่งมอบให้ลูกค้า และคาดว่าจะทยอยโอนโครงการได้หมด 100% ภายในสิ้นปีนี้ หลังจากที่ทุกโครงการที่ผ่านมาในปีนี้ที่ได้ส่งมอบให้ลูกค้าได้ปิดการโอน 100% ทั้งหมดได้แก่ มาเอสโตร01 สาทร-เย็นอากาศ, มาเอสโตร14 สยาม – ราชเทวี, มาเอสโตร03 รัชดา – พระราม 9 และเอ็ม จตุจักร     “มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ ประสบความสำเร็จตั้งแต่เปิดขายโครงการ สามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว เพียง 2 วันที่เปิดขายพรีเซลส์ เนื่องจากทำเลอนุสาวรีย์ชัยฯ เป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีความสำคัญของกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางคมนาคมการเดินทางที่เชื่อมต่อถนนหลายสายในการเข้าเมืองหรือออกนอกเมือง ไม่ว่าจะเป็นถนนพญาไท พหลโยธิน ราชวิถี ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน ใกล้สถานที่ราชการ และใกล้กับสถานพยาบาลชั้นนำและสถาบันทางการแพทย์กว่า 20 แห่ง จึงทำให้ทำเลอนุสาวรีย์ชัยฯ เต็มไปด้วยบุคลากรทางการแพทย์มืออาชีพ ทั้งแพทย์ พยาบาล เภสัชกร อาจารย์ บุคคลากรต่างๆ ที่อยู่ประจำแต่ละสถานพยาบาลรวม รวมทั้งนักศึกษาแพทย์ที่เข้ามาเรียนในแต่ละปีการศึกษาแล้วกว่า 10,000 คน นอกจากนี้ยังมีคิง พาวเวอร์ รางน้ำ ที่เป็นจุด Checkpoint ของนักท่องเที่ยว จึงทำให้ทำเลนี้มีดีมานด์ของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นสูงขึ้นตามมาด้วยเช่นกัน     ทำเลอนุสาวรีย์ชัยฯ มีดีมานด์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งจากชาวไทยและชาวต่างชาติ อย่างไรก็ดี ทำเลนี้น้อยครั้งที่จะเกิดการพัฒนาโครงการใหม่ ทำให้ซัพพลายต์มีน้อย เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นของรัฐ ไม่สามารถนำมาพัฒนาได้ ส่งผลให้ปัจจุบัน มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ ล่าสุดราคารีเซลสูงขึ้นมาอยู่ที่ถึง 174,000 บาท/ตารางเมตร เพิ่มสูงขึ้นจากปี’59 ที่มีราคาขายอยู่ที่ 140,000 บาท/ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 20% และมีผลตอบแทนการปล่อยเช่าเฉลี่ย 4-5% ต่อปี ขณะที่ราคาที่ดินอนุสาวรีย์ชัยฯ ก็พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน โดยสูงขึ้นเฉลี่ยเกือบ 10% ต่อปี ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 850,000 บาทต่อตารางวา” คุณเพชรลดา กล่าว     คุณเพชรลดา กล่าวปิดท้ายว่า “เราคาดว่ารายได้รวมปีนี้จะโตขึ้นกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,410 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 บริษัทมีรายได้รวมแล้ว 2,791 ล้านบาท โดยมาจากการทยอยส่งมอบโครงการอย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จปิดการโอน 100% ทุกโครงการที่ส่งมอบ เนื่องจากเราส่งมอบโครงการที่มีคุณภาพให้ลูกค้าได้ตรงต่อเวลาตามที่กำหนด จึงทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นและไว้วางใจในแบรนด์ของเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ทั้งนี้จากการที่ทยอยรับรู้ได้รายได้จากการโอนอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าปีนี้ยอดขายจะเป็นไปตามเป้าที่ 30,000 ล้านบาทแน่นอน”
ปาร์คทูโก ตั้งเป้ามีส่วนดันตลาดรวมที่จอดรถทะลุ 8 พันล้านบาท ลุย ‘จองก่อนจอด’ อิมแพค  สยายปีกเปิดรับสมาชิกธุรกิจ เสริมรายได้ที่จอดรถ 100 ลานจอดทั่วกรุง

ปาร์คทูโก ตั้งเป้ามีส่วนดันตลาดรวมที่จอดรถทะลุ 8 พันล้านบาท ลุย ‘จองก่อนจอด’ อิมแพค สยายปีกเปิดรับสมาชิกธุรกิจ เสริมรายได้ที่จอดรถ 100 ลานจอดทั่วกรุง

บริษัท ปาร์คทูโก จำกัด ผู้ให้บริการสมาร์ทปาร์คกิ้ง และผู้บุกเบิกแอปพลิเคชัน ‘park2go’ จองก่อนจอด พื้นที่จอดรถอัจฉริยะในย่านธุรกิจ เผยภาพรวมตลาดปล่อยเช่าที่จอดรถรุ่งกว่า 6 พันล้านบาทต่อปี ล่าสุดลุยจองก่อนจอด คว้าสิทธิบริหารที่จอดรถ อิมแพค พร้อมชวนผู้ประกอบการร่วมธุรกิจที่จอดรถกับปาร์คทูโก เพิ่มกำไรก้าวกระโดด 30% รุกพื้นที่ CBD, แหล่งท่องเที่ยว หวังเป็นคู่คิดธุรกิจที่จอดรถครบทุกโซลูชั่น ตั้งเป้ามีส่วนดันรายได้ตลาดลานจอดรถโดยรวมทะลุ 8 พันล้าน     อภิราม สีตกะลิน กรรมการผู้จัดการบริษัท ปาร์คทูโก จำกัด ผู้ก่อตั้งและบุกเบิก แอปฯ ‘park2go’ เผยว่า จากการประเมินสถิติรถยนต์จดทะเบียนของกรมการขนส่งทางบก มีรถอยู่ในกรุงเทพฯ ประมาณ 10 ล้านคัน หากประมาณการผู้ใช้รถชำระค่าจอดรถ 50 บาท / คัน / เดือน มูลค่ารวมตลาดธุรกิจที่จอดรถจะเฉลี่ยอยู่ที่ 6 พันล้านบาทต่อปี ปาร์คทูโกเล็งเห็นโอกาสการเติบโตตั้งเป้าโต 20 % ดันรายได้ตลาดลานจอดรถโดยรวมทะลุ 8 พันล้านภายใน 3 ปี ด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมรายได้ผ่านแอปพลิเคชัน ‘park2go’ ผู้ใช้รถจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ สามารถ ‘จองก่อนจอด’ มีที่จอดแน่นอนก่อนถึงที่หมาย มีส่วนช่วยให้เจ้าของลานจอดมีรายได้เพิ่มขึ้นจากค่าจองโดยเฉลี่ย 10-30% พร้อมรุกเปิดรับธุรกิจที่จอดรถมาเป็นสมาชิกปาร์คทูโก 100 ลานจอดทั่วกรุง เจาะแหล่งชุมชน, แหล่งท่องเที่ยว และย่าน CBD ประเดิม 10 ลานจอดแรก รับโปรโมชั่นพิเศษ หวังเพิ่มโอกาสและศักยภาพธุรกิจที่จอดรถไทยสร้างกำไรได้มากขึ้น     ล่าสุดปาร์คทูโก ได้สิทธิบริหารพื้นที่ลานจอดรถ อิมแพค เมืองทองธานี ของบริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด พร้อมพาผู้ใช้รถสัมผัสประสบการณ์ใหม่ 'จองก่อนจอด’ ณ ลานจอดรถในร่ม อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1 อิมแพค เมืองทองธานี (บริเวณโซน H-N 31-32) รวมกว่า 36 ช่องจอด ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา รองรับงานทุกงาน ทุกอีเว้นต์ ที่ เมืองทองธานี อาทิ คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ 2018, มอเตอร์เอ็กซ์โป 2018 ผู้ใช้รถสามารถ ‘จองก่อนจอด’ ก่อนมาถึงงาน มีที่จอดแน่นอน คาดว่ามีรถหมุนเวียนเข้าใช้บริการนี้ไม่น้อยกว่าปีละ 3.5 หมื่นคัน     “หัวใจสำคัญของการร่วมธุรกิจกับปาร์คทูโก คือ เราช่วยเพิ่มให้ลานจอดรถของคุณเต็ม เพิ่มช่วงเวลาสร้างรายได้ที่หายไปที่ลานจอดรถไม่เคยได้จากการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ซึ่งช่วยเพิ่มยอดได้ 10-30% ในแง่ผู้ใช้รถจะได้ประโยชน์จากการไม่ต้องวนหาที่จอดรถ ลดการผลาญน้ำมันโดยเปล่าประโยชน์ ถ้ามองในเชิงมหภาคประเทศไทยสูญเสียน้ำมันจากการวนหาที่จอดรถปีละ 3.6 พันล้านบาท การใช้แอปฯ ปาร์คทูโก แค่ 10% ของประชากรรถยนต์ในเขตเมืองหลวงจะช่วยชาติลดการสูญน้ำมันได้อย่างน้อยปีละ 360 ล้านบาทแล้ว”     ปัจจุบันมีลานจอดรถเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับปาร์คทูโกแล้วหลายแห่ง อาทิ ที่จอดรถหลังมหาวิทยาลัยหอการค้า, ลานจอดรถ BTS ปุณณวิถี, ร้านอาหารกัลปพฤกษ์ @สีลม, ลานจอดอาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1 อิมแพค เมืองทองธานี รองรับงานบ้านและสวนแฟร์, ไทยเที่ยวไทย และอีกมากมาย ซึ่งแพลตฟอร์มของปาร์คทูโกถือเป็นโฉมใหม่ของการยกระดับวงการที่จอดรถไทย     “ร้านอาหารกัลปพฤกษ์ @สีลม เป็นลานจอดที่เราเข้าไปช่วยแก้ปัญหาทุกโซลูชั่น ตั้งแต่ช่วยเพิ่มพื้นที่ที่จอดรถให้มากขึ้นด้วยเครื่องจอดรถอัตโนมัติ วางระบบบริหารจัดการ ระบบจ่ายเงินอัตโนมัติ รวมถึงใช้แอปฯ ปาร์คทูโกช่วยเพิ่มลูกค้าสร้างการหมุนเวียนจุดจอดได้ 8 รอบต่อวัน เพิ่มรายได้จากเดิมได้มากกว่า 133% นี่เป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จ ทำให้ลานจอดรถไม่ใช่แค่บริการเสริม แต่สร้างเม็ดเงินเพิ่มได้จริงๆ”     สำหรับการเพิ่มสมาชิกร่วมธุรกิจ กลยุทธระยะสั้นปาร์คทูโกเน้นการตลาดเชิงรุกมุ่งตรงถึงกลุ่มผู้ประกอบการที่มีลานจอดรถทุกประเภท ในทำเลที่มีดีมานต์ที่จอดรถสูง อาทิ สาทร สุขุมวิท ทองหล่อ เยาวราช จตุจักร โดยมีแผนประชาสัมพันธ์ผ่านออนไลน์ ได้แก่ แอปพลิเคชัน, เฟซบุ๊ก และเว็บไซต์ปาร์คทูโก ซึ่งอยู่ในระหว่างปรับโฉมใหม่     ผู้สนใจร่วมทำธุรกิจกับปาร์คทูโก ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของลานจอดรถเท่านั้น ผู้มีพื้นที่ว่าง เจ้าของที่ดิน ไม่ว่าพื้นที่นั้นจะเล็กจอดรถได้คันเดียว หรือจอดรถได้เป็นสิบเป็นร้อยคัน ไปจนถึงเจ้าของอาคารสำนักงาน, โรงพยาบาล, ร้านอาหาร, คอมมูนิตี้มอลล์ ฯลฯ สามารถร่วมธุรกิจกับปาร์คทูโกได้ ขอเพียงมีพื้นที่ว่างและอยู่ในทำเลที่เหมาะสม   พิเศษ! ช่วงโปรโมชั่นรับสิทธิประโยชน์ มูลค่ารวมกว่า 3.6 แสนบาท สำหรับ 100 ลานจอดแรกที่สนใจมาร่วมเป็นสมาชิกปาร์คทูโก ฟรี! ค่าสมาชิกแรกเข้า-ค่าบริหารจัดการตลอดอายุสัญญา และแอปพลิเคชัน และ 10 ลานจอดแรกเท่านั้น จะได้รับอุปกรณ์ส่งเสริมการขายประจำลานจอดรถฟรี! ได้แก่ กรวยจราจร, หมวก, ร่ม, ป้ายแบนเนอร์ และสมาร์ทโฟน Huawei รุ่น Y7 จำนวน 1 เครื่อง ตลอดจนบริการที่ปรึกษาการตลาด บริหารการตลาดออนไลน์ และแอปพลิเคชัน
“ORI” จ่อโอนโครงการใหม่สร้างเสร็จพร้อมรับรู้รายได้ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ส่งโปรโดนใจตลาดพร้อมลุยเปิดขายโครงการต่อเนื่อง

“ORI” จ่อโอนโครงการใหม่สร้างเสร็จพร้อมรับรู้รายได้ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ส่งโปรโดนใจตลาดพร้อมลุยเปิดขายโครงการต่อเนื่อง

ออริจิ้น เผยเตรียมทยอยโอนกรรมสิทธิ์โครงการสร้างเสร็จใหม่ไตรมาส 4 เพิ่ม 2 โครงการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท หลังงานก่อสร้างรุดหน้า ติดเครื่องลุยแคมเปญทางการตลาด มั่นใจภาพรวมทั้งปีเป็นไปตามแผน   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์ บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4 บริษัทมีโครงการใหม่แล้วเสร็จพร้อมโอน ได้แก่ โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท105 (Notting Hill Sukhumvit 105) มูลค่าโครงการ 2,350 ล้านบาท ที่สร้างเสร็จเร็วกว่าแผน พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ได้ทันที ทั้งนี้มี Secure Backlog แล้วถึง 80% และโครงการนอตติ้ง ฮิลล์ จตุจักร อินเตอร์เชนจ์ (Notting Hill Jatujak-Interchange) มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท ซึ่งมี Secure Backlog แล้วถึงกว่า 95%  ผนวกกับบริษัทมีความตั้งใจดำเนินงานก่อสร้างอย่างเต็มที่ให้แล้วเสร็จตามแผน ทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่าการรู้รายได้จะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง   “ในขณะเดียวกัน ช่วงไตรมาส 4 บริษัทเดินหน้าเปิดขายโครงการใหม่อย่างเป็นทางการอีก 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการพารค์ ออริจิ้น ทองหล่อ มูลค่าโครงการ 12,000 ล้านบาท 2.โครงการบริทาเนียเมกา ทาวน์ บางนา มูลค่าโครงการ  1,900 ล้านบาท และ 3. โครงการบริทาเนียบางนา สุวรรณภูมิ มูลค่าโครงการ  1,000 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการกว่า 14,900 ล้านบาท”   นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมากระแสการตอบรับกับแคมเปญต่างๆ ของบริษัทนั้น ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี สังเกตได้จากการจัดงานอีเวนท์ในครั้งที่ผ่านๆ มา เช่น งาน Origin Shock Price ณ ลานแฟชั่น ฮอลล์ ศูนย์การค้า สยาม พารากอน ที่ช่วยให้ผู้บริโภคในทุกเซ็กเมนต์มีโอกาสเข้าถึงโครงการที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น จนสามารถกวาดยอดขายไปได้มากกว่า 240 ล้านบาท ในเวลา 2 วัน หรือจากโปรโมชั่น Last Minute แซงมาตรการรัฐ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอย่างล้นหลาม   ทั้งนี้ จากยอดขายและผลประการดำเนินงานที่ทำได้ดีตลอดช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการทุกด้าน ทั้งยอดขาย รายได้ ในปีนี้ จะสามารถเป็นไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้   สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 54 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 82,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร          
ยอดขายดีเกินคาด! บมจ.ไรมอน แลนด์ เปิดขายพรีเซล 2 โครงการใหม่ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ (The Estelle Phrom Phong) และ เทตต์ ทเวลฟ์ (TAIT 12) เพียงสัปดาห์แรก ยอดขายพุ่งรวม 4.6 พันล้านบาท!

ยอดขายดีเกินคาด! บมจ.ไรมอน แลนด์ เปิดขายพรีเซล 2 โครงการใหม่ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ (The Estelle Phrom Phong) และ เทตต์ ทเวลฟ์ (TAIT 12) เพียงสัปดาห์แรก ยอดขายพุ่งรวม 4.6 พันล้านบาท!

บริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า ทางบริษัทฯ ได้เปิดขายพรีเซลคอนโดสุดหรู ทั้ง 2 โครงการ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ (The Estelle Phrom Phong) และ เทตต์ ทเวลฟ์ (TAIT 12) ในสัปดาห์แรกยอดขายรวม 4.6 พันล้านบาท โดยการเปิดขายพรีเซลทั้ง 2 โครงการนี้ถือเป็น 50 % ของมูลค่าของทั้ง 2 โครงการรวม 9 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการขายพรีเซลสัปดาห์แรกที่มีมูลค่าสูงสุดเท่าที่บริษัทไรมอน แลนด์ เคยมีมา นาย ไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเปิดขายพรีเซลสัปดาห์แรกของทั้ง 2 โครงการนี้ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีคือยอดขายที่สูงเกินความคาดการณ์ของบริษัทฯ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า ความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะโครงการที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี และใช้วัสดุคุณภาพสูงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของบริษัทไรมอน แลนด์ ทั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาลไทยจะมีการออกมาตรการใหม่เพื่อควบคุมสัดส่วนการกู้เงินของผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้น ทางบริษัทฯ ยังเห็นแนวโน้มที่ดีว่าโครงการของบริษัทฯ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติอยู่เช่นเดิม     โครงการ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ (The Estelle Phrom Phong) ได้เปิดขายพรีเซลล์สัปดาห์แรกในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2561 สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 2.1 พันล้านบาท โดยถือเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ทั้งนี้ โครงการ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 26 ใกล้ BTS สถานีพร้อมพงษ์เพียง 200 เมตร ประกอบไปด้วยห้องชุด 157 ยูนิต พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่หรูหรา ไม่ว่าจะเป็น สระสปาเกลือบำบัดและสระว่ายน้ำที่ปราศจากสารคลอรีน โครงการดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์จึงตอบโจทย์ชีวิตที่หรูหราและทันสมัยเป็นอย่างดี โครงการ เทตต์ ทเวลฟ์ (TAIT 12) ตั้งอยู่บนซอยสาทร 12 ใกล้สถานีบีทีเอส ช่องนนทรี ได้ปิดการขายพรีเซลในสัปดาห์แรกไปด้วยมูลค่าสูงกว่า 2.5 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของมูลค่าโครงการรวมทั้งหมด 4.2 พันล้าน ตั้งแต่เปิดตัวโครงการเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โครงการ เทตต์ ทเวลฟ์ประกอบไปด้วย 238 ยูนิต โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯ โครงการได้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความมีชีวิตชีวา และการพักอาศัยของคนกรุงเทพฯที่มีความคล่องแคล่วว่องไว โครงการเทตต์ ทเวลฟ์ ได้มอบพื้นที่ส่วนกลางกว่า 1,500 ตารางเมตร, ห้องออกกำลังกาย, เลานจ์อัฒจันทร์, พื้นที่อเนกประสงค์, สระว่ายน้ำในร่ม ส่วนเส้นโค้งมนของสถาปัตยกรรม ที่ถูกออกแบบควบคู่ไปกับแผงกระจกขนาดใหญ่ ได้ผสมผสานความทันสมัยให้เข้ากับความงดงามของเมือง รวมทั้งพื้นที่ใช้สอยที่ออกแบบให้เปิดกว้าง และเพื่อประโยชน์ใช้สอยต่างๆ   นายไลโอเนล ลี ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้ง 2 โครงการเป็นการพัฒนาโครงการร่วมกันระหว่างบริษัทฯ และบริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ และเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีวิสัยทัศน์ที่ตรงกัน ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมากในการทำงาน และก้าวเดินต่อไปในการพัฒนาโปรเจ็คอื่นๆในอนาคตร่วมกัน นอกจากนี้บริษัทไรมอนแลนด์ยังคงมุ่งที่จะขยายและพัฒนาธุรกิจอื่นเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มและโรงแรม เพื่อสร้างมูลค่าให้กับบริษัทเพิ่มยิ่งขึ้นอีกด้วย   สามารถติดตามข้อมูลอัพเดต หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ www.raimonland.comหรือ โทร 02-029-1888            
เอสซีฯ ผลดำเนินงาน 9 เดือน เติบโตทุกด้าน รายได้รวม 10,365 ลบ. เติบโต 32%  กำไรสุทธิ 1,096 ลบ. เติบโต 56%   ไตรมาสสุดท้ายรุกเปิด 5 โครงการแนวราบ มูลค่า 5,550 ลบ.   พร้อมจัดงานใหญ่  “This is  BEATNIQ” เปิดประสบการณ์คอนโดสไตล์ MCM (Mid-Century Modern) มิติใหม่บนถนนสุขุมวิท 21 พ.ย.นี้

เอสซีฯ ผลดำเนินงาน 9 เดือน เติบโตทุกด้าน รายได้รวม 10,365 ลบ. เติบโต 32% กำไรสุทธิ 1,096 ลบ. เติบโต 56% ไตรมาสสุดท้ายรุกเปิด 5 โครงการแนวราบ มูลค่า 5,550 ลบ. พร้อมจัดงานใหญ่ “This is BEATNIQ” เปิดประสบการณ์คอนโดสไตล์ MCM (Mid-Century Modern) มิติใหม่บนถนนสุขุมวิท 21 พ.ย.นี้

นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทุกระดับราคา   กล่าวถึงความสำเร็จของผลประกอบการ 9 เดือนว่า “SC มีการเติบโตในทุกด้าน ทั้งยอดขาย รายได้รวม และกำไรสุทธิ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 โดยบริษัทฯ มียอดขายรวมเท่ากับ 11,800 ล้านบาท เติบโต 8% มีรายได้รวมเท่ากับ 10,365 ล้านบาท เติบโต 32% และมีกำไรสุทธิ 1,096 ล้านบาท เติบโตขึ้น 56%” โดยไตรมาส 3/2561 มียอดขาย 4,564 ล้านบาท เติบโต 28% มีรายได้รวมเท่ากับ 3,713 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขาย 3,500 ล้านบาท และรายได้จากการเช่าและบริการ 208 ล้านบาท กำไรสุทธิ 392 ล้านบาท  บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมและหนี้สินรวม ณ วันที่ 30 กันยายน 22561 เท่ากับ 42,794 ล้านบาท และ 27,276 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับไตรมาส 4/2561 นี้ บริษัทจะเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ  5,550 ล้านบาทซึ่งเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ได้แก่  บ้านเดี่ยว 4 โครงการ และ โฮมออฟฟิศ  1 โครงการ ทั้งนี้เนื่องจากยอดขายแนวราบ กลุ่มบ้านเดี่ยว 8-20 ล้านบาท ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ด้วยแนวคิด ดีไซน์มีเอกลักษณ์  สิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์  และทำเลที่ดี  ทำให้ยอดขาย 9 เดือนเติบโตสูง 230% (YoY)  บริษัทฯ จึงเปิดแบรนด์บางกอก บูเลอวาร์ด 3 โครงการใหม่ต่อเนื่อง  ประกอบด้วย โครงการ บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์-บางนา มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท พื้นที่ 55-3-20 ไร่ จำนวน 200 ยูนิต โครงการ บางกอกบูเลอวาร์ด พระราม 9 มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท พื้นที่ 30-1-0.6 ไร่  จำนวน 108 ยูนิต โครงการ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย มูลค่าโครงการ 415 ล้านบาท  พื้นที่ 10-0-6 ไร่ จำนวน 31 ยูนิต   โดยทั้ง 3 โครงการอยู่ในโซนกรุงเทพฝั่งตะวันออกเป็นหลัก เนื่องจากเป็นทำเลศักยภาพแห่งอนาคต ที่จะเกิดโครงการ Mega Project มากมาย และรองรับความสะดวกในการเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ สู่สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมด้วยปัจจัยบวกต่างๆ ที่รองรับ EEC ทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สีส้มและสีชมพู รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ และถนนตัดใหม่ศรีนครินทร์-ร่มเกล้า พร้อมกับการเปิดโครงการ เวนิว พระราม 9 มูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท  พื้นที่ 34-0-24 ไร่  จำนวน 143 ยูนิต ระดับราคา 6-10 ล้านบาท และ โครงการ เวิร์คเพลส เพชรเกษม 81-2 มูลค่าโครงการ 630 ล้านบาท  เป็นโฮมออฟฟิศ 3 ชั้น ราคา 6-10 ล้านบาท บนพื้นที่ 11-2-34.1 ไร่ จำนวน 112 ยูนิต   นอกจากนี้ ในวันที่ 21 พ.ย. 2561 บริษัทฯ จะจัดงานใหญ่ส่งท้ายปี คือ “This is BEATNIQ”   เพื่อร่วมเปิดประสบการณ์มิติใหม่สไตล์ MCM (Mid-Century Modern) ณ คอนโด BEATNIQ (บีทนิค) สุขุมวิท 32 Limited Luxury Collection   ที่มีสถาปัตยกรรมอันมีเอกลักษณ์พิเศษและเป็นแลนด์มาร์คใหม่บนถนนสุขุมวิท   นายอรรถพล กล่าวสรุปว่า “ ในไตรมาส 4 SC มีโครงการต่อเนื่องที่เปิดขาย 43 โครงการ มูลค่าคงเหลือเพื่อขายรวมกว่า 37,400 ล้านบาท และจะเปิดอีก 5 โครงการใหม่ มูลค่า 5,550 ล้านบาท พร้อมกับ Backlog หรือยอดขายรอโอน  11,800 ล้านบาท โดยประมาณ 45% จะรับรู้รายได้ในปีนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะสนับสนุนยอดขายและรายได้ของ SC ให้ได้ตามเป้าหมาย ”   สนใจเยี่ยมชมโครงการใหม่ และ สอบถามรายละเอียดได้ที่โทร 1749 หรือ www.scasset.com          
อนันดาฯ เผยไตรมาส 3 ยังโตแบบก้าวกระโดด กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 593% จากปีก่อน และ 67% จากไตรมาสก่อน พร้อมสร้างยอดโอนไตรมาส 3 นิวไฮ กว่า 11,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 267%

อนันดาฯ เผยไตรมาส 3 ยังโตแบบก้าวกระโดด กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 593% จากปีก่อน และ 67% จากไตรมาสก่อน พร้อมสร้างยอดโอนไตรมาส 3 นิวไฮ กว่า 11,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 267%

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า โชว์ความสำเร็จผลดำเนินงานโดดเด่น เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยมีกำไรสุทธิ 976 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 593% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 67% จากไตรมาสก่อน พร้อมมียอดโอนนิวไฮ 11,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 267% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าเป้าที่วางไว้ถึง 33%   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในไตรมาส 3 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการสร้างผลกำไรสุทธิ 976 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 593% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 67% จากไตรมาสก่อน โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากบริษัทฯ ได้รับรู้ผลกำไรจากโครงการร่วมทุนสูงถึง 982 ล้านบาท จากที่มีผลขาดทุน 113 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้บริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธินิวไฮ สูงถึง 36% จาก 5% ในไตรมาสเดียวกันปีก่อน พร้อมมียอดโอนนิวไฮ 11,837 ล้านบาท ซึ่งรวมยอดโอนจากโครงการร่วมทุน เพิ่มขึ้น 267% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าเป้าที่วางไว้ 33%   ไตรมาส 3 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่มูลค่า 8,807 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ และโครงการแนวราบ 4 โครงการ ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียมไอดีโอ รัชดา-สุทธิสาร มูลค่าโครงการ 1,721 ล้านบาท ใกล้รถไฟฟ้าสถานี MRT สุทธิสาร โครงการคอนโดมิเนียมเอลลิโอ สาทร-วุฒากาศ มูลค่าโครงการ 3,403 ล้านบาท ใกล้รถไฟฟ้าสถานี BTS วุฒากาศ โครงการบ้านเดี่ยว แอริ พระราม 2 มูลค่าโครงการ 1,023 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยว แอริ แจ้งวัฒนะ มูลค่าโครงการ 1,145 ล้านบาท โครงการทาวน์โฮม ยูนิโอ ทาวน์ สวนหลวง-พัฒนาการ มูลค่าโครงการ 628 ล้านบาท และโครงการทาวน์โฮม ยูนิโอ ทาวน์ ศรีนครินทร์-บางนา มูลค่าโครงการ 889 ล้านบาท   บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายจากโครงการใหม่ และโครงการที่เปิดตัวไปก่อนหน้า จำนวน 8,182 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้ 5% ทั้งนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายทั้งปี 35,120 ล้านบาท บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาสที่สามปี 2561 สูงกว่า 49,400 ล้านบาท รองรับการโอนใน 3 ปีข้างหน้า   ในเดือนตุลาคม 2561 นี้ บริษัทฯ ได้เช่าที่ดินเพิ่มเติม 1 แปลงในโซนพัทยา สำหรับพัฒนาโครงการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ ทั้งนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ 5 โครงการ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูง มูลค่าโครงการรวมกว่า 12,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบนถนนพระราม 9 สาทร ทองหล่อ สุขุมวิท ซอย 8 และพัทยา โดยจะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ ในปี 2563 สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ในการกระจายแหล่งรายได้ของบริษัทฯ และเพิ่มสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ ที่มาจากแหล่งรายได้ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ   บริษัทฯ มีผลกำไรที่แข็งแกร่ง และมียอดโอนสูงกว่าเป้าที่วางไว้ ตลอดจนโครงการคอนโดมิเนียม ไอดีโอ สุขุมวิท 93 ที่สามารถก่อสร้างแล้วเสร็จ และโอนได้เร็วกว่าคาดในไตรมาส 3 นี้ จากเดิมที่คาดว่าจะโอนในไตรมาส 4 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดโอนเติบโต 152% จากปี 2560 เป็น 38,000 ล้านบาท ในปี 2561 ทั้งนี้บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่จะโอนในปี 2561 มูลค่ากว่า 13,746 ล้านบาท คิดเป็น 88% ของเป้ายอดโอนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งรวมส่วนแบ่งยอดโอนของ อนันดา และมิตซุย ฟูโดซัง มาจากคอนโดมิเนียม 10 โครงการที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนในปี 2561 เพิ่มเติมจากคอนโดมิเนียมใหม่ 8 โครงการที่แล้วเสร็จในปี 2560   บริษัทฯ ยังคงรักษาวินัยทางการเงิน และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจให้เติบโต พร้อมดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิซึ่งหักด้วยเงินสดต่อส่วนทุนอยู่ที่ 0.91 :1 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายระยะยาวของบริษัทฯ ในระดับ 1:1   "นอกจากนี้กระแสเงินสดของบริษัทฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นสุดไตรมาสยังคงรักษาเงินสดขนาดใหญ่ที่มีมากกว่า 2,400 ล้านบาท บริษัทฯ ยังได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการเงินสดของบริษัทฯตลอดทั้งปี ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์" นายชานนท์ กล่าว          
ศุภาลัย เจาะแนวราบ ทำเลภูเก็ต เตรียมเปิด “ศุภาลัย เบลล่า ถลาง ภูเก็ต” ริมถนนเทพกระษัตรี

ศุภาลัย เจาะแนวราบ ทำเลภูเก็ต เตรียมเปิด “ศุภาลัย เบลล่า ถลาง ภูเก็ต” ริมถนนเทพกระษัตรี

บมจ.ศุภาลัย เตรียมเปิด “ศุภาลัย เบลล่า ถลาง ภูเก็ต” ริมถนนเทพกระษัตรี มูลค่าโครงการ 840ล้านบาท เปิดจองวันที่ 24-25 พฤศจิกายนนี้ ในราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านกว่าบาท พร้อมพบสิทธิพิเศษมากมาย นายอดิศักดิ์ วารินทร์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานโครงการภูมิภาค 3 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการเข้ามาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ต ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ที่ผ่านมาได้รับกระแสตอบรับดี ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในแบรนด์ศุภาลัย ทำให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดเตรียมปักหมุดบนทำเลศักยภาพ ริมถนนเทพกระษัตรี ซึ่งถือเป็นจุดที่มีศักยภาพสูง เดินทางสะดวก สามารถเชื่อมสู่ใจกลางเมืองภูเก็ต หรือเดินทางสู่ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตได้อย่างง่ายดาย กับโครงการ “ศุภาลัย เบลล่า ถลาง ภูเก็ต” และพบกับ แบบบ้าน ศุภกัลยา (พิเศษ) ครั้งแรกในจังหวัดภูเก็ต ที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นมาให้ตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น ประหยัดพลังงาน สร้างความรู้สึกปลอดโปร่ง และเย็นสบาย ขนาด 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ จอดรถ 2 คัน พื้นที่ใช้สอย 128 ตร.ม. นอกจากนี้ยังมี     แบบบ้าน ให้เลือกรวม 6 แบบ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างกัน  “ศุภาลัย เบลล่า ถลาง ภูเก็ต” มูลค่าโครงการ 840 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการประมาณ  34 ไร่ จำนวน 240 แปลง ออกแบบสไตล์โมเดิร์น ทั้งทาวน์โฮม บ้านรุ่นใหม่ และบ้านเดี่ยว 2 ชั้น 3 - 4 ห้องนอน 2 - 3 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 124-199 ตร.ม ราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านกว่าบาท โครงการตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแวดล้อมด้วยวิวภูเขา สามารถสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ได้ทุกเวลา พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ สวนส่วนกลาง ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV และระบบเข้า-ออกอัตโนมัติ Easy Pass ใส่ใจทุกรายละเอียด สร้างสรรค์ด้วยวัสดุคุณภาพได้มาตราฐาน ที่สุดแห่งฟังก์ชั่นเพื่อการอยู่อาศัย โดดเด่นด้วยทำเลดีที่สุด ริมถนนเทพกระษัตรี เดินทางสะดวก ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ลงตัวทุกไลฟ์สไตล์ เชื่อมสู่ทุกเส้นทางบนเกาะภูเก็ตอย่างง่ายดาย แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล อาทิ โรงพยาบาลถลาง โลตัส ถลาง โฮมโปร ถลาง แม็คโคร ถลาง อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี และ  ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต พร้อมเปิด Pre sales อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 24-25 พฤศจิกายนนี้ ณ สำนักงานขายโครงการ ผู้สนใจสามารถแวะเยี่ยมชมบ้านตัวอย่างพร้อมรับข้อเสนอที่ดีที่สุดภายในงาน หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร. 1720 หรือดูรายละเอียดได้ที่  www.supalai.com          
เสนาฯ พัฒนาแอพพลิเคชั่น SENA 360° ตอบโจทย์ชีวิต 4.0 ยกระดับชีวิตลูกบ้าน พร้อมบริการที่ดูแลด้วยหัวใจ

เสนาฯ พัฒนาแอพพลิเคชั่น SENA 360° ตอบโจทย์ชีวิต 4.0 ยกระดับชีวิตลูกบ้าน พร้อมบริการที่ดูแลด้วยหัวใจ

บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากกว่า 30ปี ภายใต้แนวคิด “ความไว้วางใจจากลูกค้า คือความภูมิใจของเรา” โดย ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นำทีมพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนมือถือ ช่องทางการสื่อสารที่สะดวกและรวดเร็ว พร้อมเชื่อมความสัมพันธ์ลูกบ้านให้สามารถติดต่อนิติบุคคลหรือระบบหลังบ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง ภายใต้แอพพลิเคชั่น “เสนา 360 องศา” ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า แอพพลิเคชั่น เสนา 360 องศา เกิดจากความต้องการให้บริการหลังการขายเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์ เป็นสินทรัพย์อย่างเดียวที่เมื่อคนๆหนึ่งตัดสินใจเลือกซื้อ หรือผ่อนกับธนาคารแล้ว สินทรัพย์นั้นจะกลายเป็นมรดกที่ผูกพันเจ้าของเป็นระยะเวลานานถึง 30 ปี ทำให้มองว่า เมื่อลูกบ้านตัดสินใจซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียม ภายใต้การพัฒนาของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ ควรได้รับบริการหลังการขายที่ดีที่สุด เนื่องจากลูกบ้านมักมองเห็นจุดบกพร่องที่ต้องการซ่อมแซมภายหลังจากที่เข้าอยู่อาศัย หรือโอนกรรมสิทธิ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว   ดังนั้น เพื่อตอบแทนที่ลูกบ้านเลือกให้เสนาฯ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราจึงเดินตามแนวคิดที่เรายึดมั่นมาตลอด นั่นคือ “ความไว้วางใจจากลูกค้า คือความภูมิใจของเรา” ทำให้ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา เสนาฯ พัฒนาต่อยอดแอพพลิเคชั่นมาโดยตลอดเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานของลูกบ้านเพื่อให้เกิดความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อาทิ บริการ SENA WE CARE แจ้งซ่อมออนไลน์ 24 ชั่วโมง , Liluna Car sharing ทางเดียวกัน ไปด้วยกัน ประหยัดค่าใช้จ่าย, Acute Realty รับฝาก ขาย-เช่า, การบริการชำระค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ ผ่าน Application ที่เป็นตัวช่วยให้ลูกบ้านสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น หมดกังวล เรื่องการจ่ายเงินที่เกินเวลากำหนด บริการ SENA WE CARE แจ้งซ่อมออนไลน์ 24 ชั่วโมง โดยลูกบ้านสามารถระบุปัญหา พร้อมภาพถ่ายที่ต้องการให้ทีมช่างเข้าแก้ไขได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องเสียเวลานัดหมายกันหลายครั้ง เพื่อเข้าดูหน้างานจริงก่อนซ่อม ซึ่งเป็นบริการที่สะดวกสบายและลดระยะเวลาที่จะสูญเสียไปจากการแจ้งซ่อมแซมหนึ่งครั้ง   นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ตอบโจทย์ชีวิต 4.0 ที่ทำให้นักช็อปหมดกังวลว่าสินค้าหรือพัสดุที่สั่งซื้อไปนั้นจะถึงมือเมื่อไหร่ หรือไม่สามารถรับพัสดุได้นอกเวลาทำการนิติบุคคล เพื่อเป็นการแก้ปัญหาในจุดนี้ เสนาฯ จึงออกแบบฟีเจอร์แจ้งเตือนและตรวจสอบสถานะของพัสดุหรือจดหมายขึ้น ซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้ฟีเจอร์นิติบุคคล เมื่อมีพัสดุมาถึงลูกบ้าน แอพพลิเคชั่นจะทำการแจ้งเตือนสถานะไปยังเจ้าของห้อง ทำให้ลูกบ้านสามารถรับพัสดุได้ทันที่   ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ในระบบนิติบุคคล คือ ฟีเจอร์ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ลูกบ้านสามารถเลือกชมสถานะปัจจุบันของพื้นที่ส่วนกลางแบบเรียลไทม์ได้ ซึ่งออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยอีกขั้นซึ่งการพัฒนาทุกฟีเจอร์ภายใต้แอพพลิเคชั่น เสนา 360 องศา คือความใส่ใจที่บริษัทตั้งใจมอบให้กับลูกบ้านคนพิเศษของเรา ด้วยเราไม่มองข้ามรายละเอียดเล็กๆน้อยๆนี้เอง ทำให้กลายเป็นเอกลักษณ์ของบริษัทที่ีใส่ใจทุกดีเทลชีวิต จากแนวคิดแบบผู้หญิงอย่างแท้จริง (Made From Her) ท้ายนี้ สำหรับลูกบ้านทุกโครงการภายใต้การพัฒนาของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ นอกจากจะได้ใช้แอพพลิเคชั่น ที่เป็นช่องทางการสื่อสารที่สะดวก รวดเร็วและครบวงจร ยังได้รับสิทธิพิเศษ อื่นๆอีกมากมาย  เมื่อแชร์ข่าวสารของบริษัท หรือเข้าร่วมกิจกรรมตามที่บริษัทกำหนด จะได้รับคะแนนสะสมทันที โดยคะแนนสะสมนั้นสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นส่วนลดร้านอาหารหรือส่วนลดในการซื้อสินค้าได้ สิทธิพิเศษดีๆเช่นนี้มีเฉพาะลูกบ้านเสนาดีเวลลอปเม้นท์เท่านั้น สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น เสนา 360 องศาได้แล้ววันนี้ทั้งในระบบ IOS และ Android สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 1775                    
เอพี ไทยแลนด์ ยิ้มรับความสำเร็จ รายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 27,110 ล้านบาท

เอพี ไทยแลนด์ ยิ้มรับความสำเร็จ รายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 27,110 ล้านบาท

เอพีประกาศความสำเร็จรายได้รวม ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2561 พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 27,110 ล้านบาท ผลจากการที่สินค้าแนวราบและคอนโดโตต่อเนื่องชูไฮไลต์เด็ดประจำไตรมาส VITTORIO อัลตร้า-ลักซ์คอนโดมิเนียม คีย์ไดรฟ์สำคัญหนุนรายได้พุ่งหลังปิดการขายทั้งโครงการ ด้านกำไรสุทธิรวม โตขึ้น 62% หรือกว่า 2,900 ล้านบาท ยอดขายรวม 10 เดือนคิดเป็น 38,540 ล้านบาท โค้งสุดท้ายของปีเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง มั่นใจสิ้นปีเตรียมยิ้มรับยอดขายที่คาดว่าจะทะลุเป้าอีกครั้ง นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาถือว่าเกินความคาดหมายเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในภาพรวมของเอพี ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี มีอัตราการเติบโตที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ โดยสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100%JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 27,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.9% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวมเท่ากับ 18,090 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากที่สินค้าแนวราบและคอนโดเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน   ไตรมาส 3 นี้ ส่วนหนึ่งของยอดรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้น มาจากการทยอยโอนกรรมสิทธิ์โครงการ VITTORIO คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ระดับอัลตร้า-ลักซ์ ซึ่งปัจจุบันประสบความสำเร็จอย่างสูงสามารถปิดการขายทั้งโครงการได้เป็นที่เรียบร้อย  ด้านกำไรสุทธิรวม ณ สิ้นไตรมาส 3 (Net Profit) สูงถึง 2,903 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 ที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 1,792 ล้านบาท   “หนึ่งใน Key Success ของการพัฒนาโครงการเอพีคือ การมีสินค้าที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของคนเมือง ทั้งในเรื่องของโมเดลสินค้าที่พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานการเข้าใจถึงความต้องการแฝงอย่างแท้จริง การกำหนดแพคเกจราคาขาย ตลอดจนจำนวนโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลรอบกรุงเทพ ซึ่งโครงการ VITTORIO ถือเป็นหนึ่งใน Key Drive ที่สำคัญต่อการเติบโตของรายได้รวม ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปีนี้ นอกเหนือจากโครงการอื่นๆ ของเอพีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียมที่ภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้ถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าเครือ  เอพีเสมอมา ซึ่งมั่นใจว่าบริษัทฯ จะสามารถสร้างรายได้รวมได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน” นายอนุพงษ์ กล่าวเสริม สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 10 เดือนแรก ณ วันที่ 31 ตุลาคมนี้ บริษัทฯ สร้างยอดขายรวมได้แล้วถึง 38,545 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียมมูลค่า 20,930 ล้านบาท แนวราบมูลค่า 17,615 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้แล้วราว 96.8% ของเป้ายอดขายปี 2561 ที่ปรับขึ้นใหม่ (เป้ายอดขาย 39,800 ล้านบาท)   ทั้งนี้ในไตรมาส 4 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการทั้งสิ้น 12 โครงการ มูลค่า 16,840 ล้านบาท  เปิดไปแล้วจำนวน 9 โครงการ 13,200 ล้านบาท คงเหลือเปิดตัวในช่วงโค้งสุดท้ายของปีอีกจำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3,640 ล้านบาท โดยหนึ่งในไฮไลท์คือการเปิดพรีเซลคฤหาสต์หรู The Palazzo ศรีนครินทร์อย่างเป็นทางการในวันที่ 17-18 พฤศจิกายนนี้ รวมถึงยังคงมีโครงการอยู่ในพอร์ตพร้อมขาย ในทำเลศักยภาพรอบกรุงเทพอีกกว่า 100 โครงการ มูลค่าคงเหลือขายประมาณ 53,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่า ณ สิ้นปีจะสามารถทำยอดขายทะลุเป้าได้อย่างแน่นอน “บริษัทฯ ยังคงมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ในการนำพาเอพีก้าวขึ้นสู่การเป็น 1 ใน 3 ของผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ภายใต้พันธกิจสำคัญ คือการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีในการอยู่อาศัย ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการคิดค้นนวัตกรรมดีไซน์ใหม่ๆ ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย และวางแผนจัดตั้งหน่วยงานพิเศษ เพื่อทำหน้าที่ค้นหา คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมที่ส่งเสริมและยกระดับรูปแบบการดำเนินชีวิตสู่ประสบการณ์อยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์สู่วิถีใหม่ๆ อย่างครบถ้วนด้วยคุณภาพ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย เข้าถึงความหมายของคำว่าคุณภาพชีวิตที่ลูกค้าต้องการอย่างแท้จริง และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น”  นายอนุพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย ทั้งนี้ สรุปตัวเลขทางการเงินเฉพาะไตรมาส 3 ปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบกลุ่มคอนโดมิเนียม (100%JV) และธุรกิจอื่นๆ เท่ากับ 9,203 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 54.3% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 5,965 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 915 ล้านบาท เติบโต 43.9% หากเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2560 ที่ได้ 636 ล้านบาท ณ  31 ตุลาคม 2561 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ามากถึง 54,147 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 7,542 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมมูลค่า 46,605 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ภายในปีประมาณ 4,025 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566   “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง”          
“ควอร์เตอร์ 31” Urban  Residences ระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ นิยามใหม่แห่งการอยู่อาศัย ในสังคมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ คีพความเป็นส่วนตัวเหนือระดับ บนสุดยอดทำเลใจกลางสุขุมวิท

“ควอร์เตอร์ 31” Urban Residences ระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ นิยามใหม่แห่งการอยู่อาศัย ในสังคมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ คีพความเป็นส่วนตัวเหนือระดับ บนสุดยอดทำเลใจกลางสุขุมวิท

ด้วยความมุ่งมั่นและไม่หยุดนิ่งที่จะสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยระดับลักซัวรี่ให้มีคุณภาพเหนือระดับยิ่งๆ ขึ้นไป บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด ได้พัฒนาโครงการสุดหรูโครงการล่าสุด “ควอร์เตอร์ 31” (Quarter 31) Urban Residences ระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ บนสุดยอดทำเลใจกลางเมือง ถนนสุขุมวิท 31 ที่มาพร้อมกับความโดดเด่นด้วยแนวคิดใหม่ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองระดับไฮเอนด์ สวยงามลงตัวด้วยสถาปัตยกรรมอันล้ำสมัยทั้งภายนอกและภายในตัวอาคาร สไตล์โมเดิร์น คลาสสิค สะดวกสบายด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว และยังให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวของส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 1 ไร่ ที่สามารถเชื่อมต่อกับพื้นที่ตัวบ้านในทุก               ยูนิตได้อย่างลงตัว ในราคาเริ่มต้น 45 ล้านบาท โดย นายสุธี ลิมปนชัยพรกุล ประธานอำนวยการ บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด เผยถึงแรงบันดาลใจในการพัฒนาโครงการ ควอร์เตอร์ 31 ว่า นายณ์ เอสเตท มุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดต่างๆ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานโครงการที่อยู่อาศัยที่มีทั้งคุณภาพ ความสวยงาม และความใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อสร้างความสุขที่ยั่งยืนของผู้พักอาศัยในระยะยาวอย่างแท้จริง พร้อมทั้งเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่ผู้บริโภค ตามปรัชญาของบริษัทฯ “Breaking New Ground” โดยล่าสุดได้เปิดตัวโครงการ ควอร์เตอร์ 31 คลัสเตอร์โฮมระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ สไตล์โมเดิร์นคลาสสิค ภายใต้แนวคิด “Luxury Urban Residences” ในซอยสุขุมวิท 31 สุดยอดทำเลอันดับหนึ่งของกรุงเทพมหานคร สุขุมวิท 31 นับเป็นไพร์มโลเคชั่นของกรุงเทพฯ ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ในย่านใจกลางแหล่งธุรกิจ การเดินทางสะดวกสบาย ด้วยใกล้กับรถไฟฟ้าสถานีพร้อมพงษ์ และเชื่อมต่อถนนหลายสาย ได้แก่ ถ.สุขุมวิท และ ถ.เพชรบุรี อีกทั้งแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยอีกมากมาย อันเป็นแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ของคนกรุงเทพฯ อาทิ EmQuartier, Emporium, Em District ร้านอาหารชั้นนำระดับไฮเอนด์, โรงเรียนนานาชาติ, โรงพยาบาลสมิติเวช ฯลฯ และจากการสำรวจตลาดโดยรอบ พบว่าในย่านดังกล่าว ยังมีความต้องการ (Demand) ที่อยู่อาศัยในรูปแบบของ “บ้าน” เพราะส่วนใหญ่บนทำเลนี้ล้วนเป็นโครงการแนวสูง (Supply) บวกกับความสำเร็จจากโครงการ “ควอร์เตอร์ ทองหล่อ” และ“ควอร์เตอร์ 39” ภายใต้แบรนด์ ควอร์เตอร์ คอลเลคชั่น (Quarter Collection) จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนา ควอร์เตอร์ 31 โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายระดับอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการ, ผู้บริหารระดับสูง, กลุ่มผู้มีครอบครัว และกลุ่มที่ซื้อเพื่อการลงทุน ทั้งนี้เพราะราคาที่ดินย่านสุขุมวิทมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งปัจจุบันราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่บริเวณนั้น อยู่ที่ 300,000 บาท/ตารางเมตร ในขณะที่โครงการ ควอร์เตอร์ 31 ราคาอยู่ที่ 100,000 กว่าบาท/ตารางเมตร จึงนับเป็นสินทรัพย์ (Asset) ที่น่าสนใจต่อการลงทุนระยะยาว และสามารถส่งต่อเป็นมรดกให้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานได้ ควอร์เตอร์ 31 (Quarter 31) คลัสเตอร์โฮมระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ 3.5 ชั้น ถูกรังสรรค์จากแรงบันดาลใจที่ต้องการให้ผู้เป็นเจ้าของได้ที่พักอาศัยสุดหรูอันทรงคุณค่าใจกลางเมือง แต่ยังคงความสงบเป็นส่วนตัวพร้อมใกล้ชิดธรรมชาติ และโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์โมเดิร์นคลาสสิค ภายใต้แนวคิดใหม่ “Luxury Urban Residences” พร้อมมอบความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตเพียง 20 ยูนิต ซึ่งมีเนื้อที่โครงการทั้งหมดกว่า 2 ไร่ บนถนนสุขุมวิท 31 (ซอยสวัสดี) ด้วยมูลค่ารวม 915 ล้านบาท รูปแบบภายนอกถูกออกแบบให้ดูเรียบหรู คลาสสิคแต่แฝงไปด้วยความทันสมัย ตัวอาคารออกแบบให้สะท้อนความมีรสนิยมเหนือกาลเวลา ที่ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ตัวโครงการก็ยังคงสวยงามอยู่เสมอ และโดดเด่นที่สุดด้วยแนวคิดใหม่ในการวาง Layout Design โดยวางให้ที่จอดรถทั้งโครงการอยู่ใต้ดิน เพื่อให้มีพื้นที่ส่วนกลางเพิ่มขนาดขึ้นกว่า 1 ไร่ รายล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขียวจากต้นไม้นานาชนิด พร้อมสระว่ายน้ำระบบเกลือขนาด 4x25 เมตร และพิเศษสุดเพียงหนึ่งเดียวในสุขุมวิทที่ทุกยูนิตถูกออกแบบมาให้เปิดรับวิวสวนสวยและสระว่ายน้ำ โดยปราศจากสิ่งกีดขวางใดๆ เพื่อให้ทุกช่วงเวลาภายในบ้านคือช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนของครอบครัวอย่างแท้จริง ในส่วนของภายใน เน้นการออกแบบที่ให้ความรู้สึก โล่ง โปร่ง สบาย ด้วยเพดาน Double Volume ที่สูงถึง 6 เมตร พร้อมกระจกบานใหญ่ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันความร้อน เชื่อมต่อแสงธรรมชาติและพื้นที่สีเขียวส่วนกลางกับห้องนั่งเล่นบริเวณชั้น 1 ได้อย่างลงตัว การตกแต่งเน้นโทนสีธรรมชาติ สบายตา แต่คงไว้ซึ่งความอบอุ่น วัสดุภายในบ้านถูกคัดสรรเป็นอย่างดีด้วยเกรดระดับพรีเมี่ยมสามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์และการใช้งานของผู้พักอาศัยได้อย่างดีเยี่ยม อาทิ ชุดครัวแบรนด์ระดับโลกจากพ็อกเกนโพล (Poggenpohl) เครื่องใช้ไฟฟ้าจากแบรนด์ซีเมนส์ (Siemen) ลิฟต์ส่วนตัวคุณภาพระดับเดียวกับอาคารสำนักงานเกรดพรีเมี่ยม ซึ่งสามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 6 คน พร้อมบิ้วท์อินครัวไทยและ Maid Quarter   ควอร์เตอร์ 31 (Quarter 31) มีให้เลือกสรรถึง  2 แบบ ในราคาขายเริ่มต้น 45 ล้านบาท ได้แก่ TYPE A พื้นที่ใช้สอย 425 ตารางเมตร บนขนาดที่ดิน 30 – 42 ตารางวา หน้ากว้าง 6.1 เมตร ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถชั้นใต้ดิน จำนวน 10 ยูนิต และ TYPE B มีพื้นที่ใช้สอย 431 ตารางเมตร บนขนาดที่ดิน 33 - 42 ตารางวา หน้ากว้าง 6.6 เมตร ประกอบด้วย 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ และ 4 ที่จอดรถชั้นใต้ดิน จำนวน 10 ยูนิต ซึ่งทั้ง 2 TYPE แตกต่างกันด้วยการวาง Layout ของห้องครัวชั้นหนึ่ง โดย TYPE A ตำแหน่งของครัวจะอยู่บริเวณทางด้านหลัง จึงเหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ชอบความเป็น Private ในขณะที่ TYPE B จะวางตำแหน่งครัวทางด้านหน้าเชื่อมต่อกับห้องนั่งเล่น เหมาะแก่การเป็น Party Area ครบครันด้วยสิ่งอำนวยสะดวก พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง   สัมผัสประสบการณ์ที่พักอาศัยสุดหรูใจกลางสุขุมวิทได้แล้ววันนี้ที่ “ควอร์เตอร์ 31” (Quarter 31) สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.NyeEstate.com หรือสอบถามเพื่อนัดเข้าชมโครงการได้ที่ โทร.063-996-9954          
มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ คอนโดโลว์ไรส์เชื่อมต่อทุกการใช้ชีวิต ติด BTS อนุสาวรีย์ชัยฯ

มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ คอนโดโลว์ไรส์เชื่อมต่อทุกการใช้ชีวิต ติด BTS อนุสาวรีย์ชัยฯ

“อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” เป็นอีกหนึ่งทำเลศักยภาพที่มีความสำคัญ เพราะเป็นศูนย์กลางคมนาคมการเดินทางที่เชื่อมต่อถนนหลายสายในการเข้าเมืองหรือออกนอกเมือง ไม่ว่าจะเป็นถนนพญาไท พหลโยธิน ราชวิถี ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส ใกล้สถานที่ราชการ ใกล้สถานพยาบาลชั้นนำและสถาบันทางการแพทย์กว่า 20 แห่ง จึงเป็นทำเลที่เหมาะกับการอยู่อาศัยเป็นอย่างมาก แต่ทำเลนี้น้อยครั้งที่จะมีการพัฒนาโครงการใหม่ เนื่องด้วยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นของรัฐ โครงการที่อยู่อาศัยที่พัฒนาในทำเลนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นไข่แดงอันล้ำค่าในทำเลศักยภาพ “มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ” (Maestro 07 Victory Monument) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ระดับไฮเอนด์ ที่พัฒนาโดย บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ชื่อว่ามีความเชี่ยวชาญในการคัดสรรทำเลที่ดีที่สุดในแต่ละย่าน ได้รังสรรค์พัฒนาโครงการขึ้นบนที่ดินผืนงามที่สุดในใจกลางอนุสาวรีย์ชัยฯ เชื่อมต่อทุกการใช้ชีวิต เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมือง โดยทุกรายละเอียดของโครงการในทุกยูนิตได้บรรจงสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งการอยู่อาศัยที่มีคุณภาพอย่างเหนือระดับ ก่อเกิดเป็นคอนโดมิเนียมที่ให้นิยามใหม่ของสมดุลแห่งการใช้ชีวิต   ทุกองค์ประกอบของโครงการออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยที่แสวงหาไลฟ์สไตล์แบบเอ็กซ์คลูซีฟและเป็นส่วนตัว แต่ก็ยังต้องการใช้ชีวิตในเมือง ในราคาที่จับต้องได้ (Affordable Luxury) ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างความคลาสสิคและกลิ่นอายความเป็นโมเดิร์น อันเป็นซิกเนเจอร์ของงานออกแบบโครงการ  Maestro Residences ทุกทำเล สะท้อนเอกลักษณ์ความเรียบหรู สงบ และสบาย เพื่อให้ผู้พักอาศัยรู้สึกแตกต่างจากบรรยากาศภายนอกโครงการ ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น น่าอยู่ ด้วยการเลือกใช้สีอ่อนจากวัสดุธรรมชาติที่ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดี อาทิ การใช้สีครีมลายหินอ่อนมาตัดกันกับสีดำที่เงางาม เสมือนความแตกต่างของเมืองและธรรมชาติ ที่กลับอยู่ด้วยกันได้สวยงามลงตัว โครงการเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบสนองทุกความต้องการกับพื้นที่ชีวิตที่ไร้ขีดจำกัด เอาใจสายเฮลตี้แบบจัดเต็มกับสระว่ายน้ำ ลานโยคะ ลานวิ่งจ็อกกิ้ง ห้องซาวน่า ห้องสตีม ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน และเอาใจคนทำงานกับ Creative Space พื้นที่สำหรับปลดปล่อยไอเดียสร้างสรรค์ ต่อยอดความคิดในการทำงานได้อย่างไม่รู้จบ ขณะที่บนชั้นดาดฟ้าก็เต็มอิ่มไปด้วยพื้นที่สีเขียว ซึ่งสามารถนั่งพักผ่อนกับ Birdcage Cabana กระโจมทรงกรงนกที่ออกแบบอย่างประณีตให้นั่งชิว ชมวิวได้อย่างสบายตาสบายใจ รวมทั้งยังเอาใจคนรักสัตว์เลี้ยงทั้งน้องหมาและน้องแมว โดยอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์แสนรักได้บนพื้นที่  Pet Zone ที่ออกแบบโดยเฉพาะให้กับน้องหมาน้องแมวได้วิ่งเล่นอีกด้วย มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ เชื่อมต่อทุกการเดินทาง ใกล้ BTS สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพียง 300 เมตร และใกล้ทางด่วนพิเศษศรีรัช เพียง 500 เมตร และไม่ไกลจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ สถานีพญาไท ห่างเพียง 1 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังรายล้อมไปด้วยโรงพยาบาลชื่อดังระดับประเทศ อาทิ โรงพยาบาลราชวิถี, โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า, โรงพยาบาลพญาไท 2 อินเตอร์เนชั่นแนล, โรงพยาบาลศูนย์มะเร็งกรุงเทพ, สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี, โรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์, โรงพยาบาลพญาไท 1, โรงพยาบาลสงฆ์ และโรงพยาบาลวิชัยยุทธ ตลอดจนแวดล้อมไปด้วยสถาบันการศึกษาชั้นนำ อย่าง มหาวิทยาลัยมหิดล, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา, โรงเรียนจิตรลดา, วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก และวิทยาลัยแพทย์พระมงกุฎเกล้า และที่สำคัญตัวโครงการยังตั้งอยู่ใจกลางแหล่งช็อปปิ้งที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของกรุงเทพมหานคร อาทิ สยามพารากอน, เซ็นทรัลเวิลด์, มาบุญครอง (MBK), คิง พาวเวอร์ และเซ็นจูรี่ เดอะ มูฟวี่ พลาซ่า เป็นต้น   สัมผัสกับชีวิตที่สง่างามบนใจกลางทำเลอนุสาวรีย์ชัยฯ ได้แล้ววันนี้ที่ มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ บนซอยราชวิถี 7 คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ ความสูง 8 ชั้น จำนวน 171 ยูนิต โดยมีรูปแบบห้องพัก 2 ขนาด ได้แก่ ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ ใช้สอย 27.00 – 29.34 ตร.ม. และ ขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 45.51 – 68.37 ตร.ม.   สนใจสามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ www.mde.co.th หรือติดต่อสอบถามได้ที่ Major Development Contact Center โทร. 02-116-1111          
ซีพีเอ็น ชูอินโนเวชั่นทางธุรกิจและไลฟ์สไตล์ ต่อยอดวิสัยทัศน์ ‘Center of Life’ แตกไลน์ธุรกิจใหม่แบรนด์ ‘Common Ground’ โคเวิร์กกิ้งสเปซเต็มรูปแบบ

ซีพีเอ็น ชูอินโนเวชั่นทางธุรกิจและไลฟ์สไตล์ ต่อยอดวิสัยทัศน์ ‘Center of Life’ แตกไลน์ธุรกิจใหม่แบรนด์ ‘Common Ground’ โคเวิร์กกิ้งสเปซเต็มรูปแบบ

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ประกาศเดินหน้าขยายไลน์ธุรกิจใหม่แบรนด์ ‘คอมมอน กราวด์’ (Common Ground) โคเวิร์กกิ้งสเปซเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างคอมมูนิตี้ผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ และต่อยอดวิสัยทัศน์การสร้าง Center of Life ศูนย์กลางการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ด้วยการร่วมทุนกับ Common Ground Group แบรนด์โคเวิร์กกิ้งสเปซที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งเป้าทุ่มงบ 800 ล้านบาท เปิด 20 สาขา ใน 5 ปี เปิดสาขาแรกต้นปีหน้า มุ่งเป็น ‘คอมมูนิตี้เชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการหัวคิดใหม่ที่ดีที่สุด’ แห่งแรกในไทย ชูจุดแข็งความเป็นศูนย์การค้าอันดับหนึ่งของประเทศที่สามารถต่อยอดธุรกิจด้วยเน็ตเวิร์กและมาร์เก็ตเพลสของซีพีเอ็น และกลุ่มเซ็นทรัล พร้อมตอบรับชีวิตทำงานยุคใหม่ด้วย Holistic Lifestyle Integration เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพฮับแห่งเซ้าท์อีสต์เอเชีย และผลักดันเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งยั่งยืน ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากวิสัยทัศน์การสร้าง Center of Life ของเรา ในการเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ เราจึงขยายไลน์ธุรกิจใหม่แบรนด์ ‘คอมมอน กราวด์’ (Common Ground) โคเวิร์กกิ้งสเปซเต็มรูปแบบ ซึ่งถือเป็น the New Generation of Innovative Coworking Community เพื่อเป็น ‘คอมมูนิตี้เชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการหัวคิดใหม่ที่ดีที่สุด’ แห่งแรกในไทย ด้วยการร่วมทุนกับ คอมมอน กราวด์ กรุ๊ป แบรนด์โคเวิร์กกิ้งสเปซที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยตั้งเป้าทุ่มงบ 800 ล้านบาท เปิด 20 สาขา ใน 5 ปี เปิดสาขาแรกต้นปีหน้า เพื่อตอบรับเทรนด์ coworking space และ sharing economy กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใน 10 ปีข้างหน้า และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของธุรกิจโคเวิร์กกิ้งแห่งใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” นายอิศเรศ จิราธิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายขาย บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเทรนด์ของโคเวิร์คกิ้งสเปซในไทยว่า ในปัจจุบัน มีกลุ่มบริษัทโคเวิร์กกิ้งสเปซระดับนานาชาติจากต่างประเทศหันมาปักหมุดและลงทุนในประเทศไทย โดยปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ หนึ่ง เมกะเทรนด์ที่ไลฟ์สไตล์การทำงานของผู้คนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไปตาม Technology และ Flexibility โดยต้องการพื้นที่ทำงานที่มีความเป็น Collaborative Workspace รวมถึงการลดต้นทุนทางธุรกิจทำให้รูปแบบการทำงานของผู้ประกอบการ และบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลกจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยคาดว่าตลาด coworking space ในเอเชีย จะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 30% ในปี 2030 จากปัจจุบันที่มีตลาดอยู่ที่ 2% สอง อัตราการเติบโตของตัวเลขเอสเอ็มอีในประเทศไทย ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูง 8-10% ต่อปี มากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยกว่า 1 ใน 6  มีธุรกิจอยู่ในกรุงเทพฯ หรือคิดเป็นกว่า 500,000 ราย โดยเอสเอ็มอีเหล่านี้ ล้วนแต่มองหาสถานที่ทำงานในทำเลที่ดี หรือ prime location แต่การเข้าถึงออฟฟิศให้เช่าเกรด A ในกรุงเทพฯ เป็นไปได้ยากและมีราคาสูง เช่นเดียวกับบริษัทใหญ่ๆ ที่ต้องการลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ทำให้โคเวิร์กกิ้งในรูปแบบของ ‘คอมมอน กราวด์’ จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในเข้าถึงสถานที่ทำงานรูปแบบใหม่ หรือ โคเวิร์กกิ้งสเปซที่เต็มไปด้วยบริการมาตรฐานเกรด A แต่ยังตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพเปี่ยมไปด้วยเครือข่ายทางธุรกิจ มร. เออร์แมน อะคินซี หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งคอมมอน กราวด์ และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของคอมมอน กราวด์ เผยว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเข้าใจผู้ประกอบการอย่างลึกซึ้งในประเทศไทย เราเชื่อว่าการผนึกกำลังในครั้งนี้กับเซ็นทรัลพัฒนาที่เป็นผู้นำการพัฒนาศูนย์การค้าของประเทศ และหนึ่งในบริษัทกลุ่มเซ็นทรัลจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ และสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ทำให้ผู้ประกอบการสามารถต่อยอดธุรกิจด้วยเน็ตเวิร์กและมาร์เก็ตเพลส  พร้อมตอบรับชีวิตคนทำงานและไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ด้วย Holistic Lifestyle Integration ด้วยความแข็งแกร่งและกลุ่มธุรกิจที่หลากหลายของกลุ่มเซ็นทรัล ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงแรม แบรนด์แฟชั่น ไลฟ์สไตล์และร้านอาหาร จะเป็นจุดแข็งด้านไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่น ครบครันและครอบคลุมที่สุดในประเทศไทย” “การเปิดตัวคอมมอน กราวด์ในประเทศไทยนี้ถือเป็นการเปิดตัวในต่างประเทศเป็นประเทศที่ 3 ในภูมิภาคนี้ โดยจะเป็นรีจินัลแฟลกชิพแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยขนาดพื้นที่ถึง 4,500 ตร.ม. ซึ่งจะตั้งอยู่ใน Bangkok CBD ซึ่งโคเวิร์กกิ้งสเปซรูปแบบใหม่นี้จะทำให้ผู้ประกอบการหรือบริษัทใหญ่ต่างๆ สามารถลดต้นทุน เนื่องจากไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้างออฟฟิศแบบถาวร ตั้งอยู่ใน Prime location ทำให้ติดต่องานและหมุนเวียนเปลี่ยนโลเคชั่นได้สะดวก อีกทั้ง มีความแตกต่างจากโคเวิร์กกิ้งสเปซอื่นๆ ด้วยจุดเด่นในการมอบไลฟ์สไตล์ที่ครบครันและสมบูรณ์แบบ (Enrich Lifestyle) ด้วยโลเคชั่นที่ใกล้กับศูนย์การค้าพร้อมสิทธิประโยชน์มากมายจากพันธมิตรทางธุรกิจและแบรนด์ต่างๆ ทั้งแฟชั่นไลฟ์สไตล์ ร้านอาหาร ธนาคาร ฟิตเนส ที่จอดรถ ร่วมด้วยกิจกรรมอีเว้นต์และไลฟ์สไตล์เวิร์กช็อปมากมาย พร้อมต่อยอดการเติบโตทางธุรกิจ (Expand Business through our deep partnerships) ด้วยการได้ทดลองทำตลาด ทำจริง ขายจริง ในศูนย์การค้าของซีพีเอ็น และธุรกิจอื่นๆ ของกลุ่มเซ็นทรัล นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังสามารถใช้บริการได้ในทุกสาขาทั่วโลก และเพิ่มคอนเนคชั่นทางธุรกิจที่เปิดกว้างและหลากหลายกว่า” มร. เออร์แมน อะคินซี กล่าว มร. จุน เตียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมมอน กราวด์และอีกหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง กล่าวถึง แผนการลงทุนของคอมมอน กราวด์กรุ๊ปในระดับภูมิภาคว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า เราตั้งเป้าจะเติบโตกว่า 3 เท่าทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสำหรับประเทศไทย จะมีจำนวนสาขาทั่วประเทศ กว่า 20 สาขา โดยกว่า 10 สาขาจะตั้งอยู่บน Prime Location ในกรุงเทพฯ ที่อยู่ในอาคารสำนักงานที่เชื่อมต่อกับศูนย์การค้าของซีพีเอ็น หรืออาคารสำนักงานให้เช่าอื่นๆ รวมถึงสาขาในหัวเมืองสำคัญ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต และ พัทยา เป็นต้น ทำให้ผู้ประกอบการสามารถใช้บริการในโลเคชั่นของเราได้ทั้งในและต่างประเทศ”   มร. เตียว กล่าวเพิ่มเติมว่า  “คอมมอน กราวด์เป็นรูปแบบใหม่ของโคเวิร์คกิ้งสเปซในประเทศไทย โดยจับกลุ่มเป้าหมายคนทำงานรุ่นใหม่ ได้แก่ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กลุ่มสตาร์ทอัพและฟรีแลนซ์ 80% และกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความต้องการทำงานในโคเวิร์กกิ้งสเปซ 20% การขยายธุรกิจเข้ามาในประเทศไทยในครั้งนี้ จึงมุ่งเข้ามาเพื่อสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ให้กับคนไทย เพื่อตอบรับ 6 เทรนด์โคเวิร์กกิ้งสเปซที่จะเกิดขึ้นในปี 2019 ทั่วโลกอีกด้วย ทำให้คอมมอน กราวด์เป็นโคเวิร์กกิ้งสเปซเต็มรูปแบบที่ตอบโจทย์เทรนด์ระดับโลกทั้ง 6 ประการ เพื่อสร้างคอมมูนิตี้ผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย” โดย มร. เตียว กล่าวเพิ่มเติมถึง 6 เทรนด์โคเวิร์กกิ้งสเปซที่จะเกิดขึ้นในปี 2019 ทั่วโลก ได้แก่   ในระดับนักลงทุนธุรกิจโคเวิร์กกิ้ง คือ   เทรนด์การเข้ามาลงทุนทำ Coworking space จะเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความครบครันให้กับโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูสของกลุ่มบริษัทอสังหาริมทัพย์ เทรนด์โลคัลแอคโกลบอล หรือ การผสมผสานอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของผู้ประกอบการในท้องถิ่นเข้ากับความเชี่ยวชาญการจัดการในระดับนานาชาติจากโกลบอลแบรนด์ในระดับผู้ประกอบการยุคใหม่ กระแส Work-Life Balance ในคนยุคใหม่ เทรนด์การชอบใช้พื้นที่การทำงานที่สามารถปรับเปลี่ยนได้และช่วยจุดประกายต่อยอดโอกาสธุรกิจ (Flexible & Hyper Competitive Space) เทรนด์ความต้องการเชื่อมต่อเน็ตเวิร์กด้วยเทคโนโลยีและระบบบล็อคเชนในพื้นที่การทำงาน และ เทรนด์ที่กลุ่มบริษัทใหญ่ๆ (Corporate) เริ่มมองหาพื้นที่การทำงานในรูปแบบใหม่เพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ให้กับองค์กร รวมถึงเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ              
โครงการบันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ คอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมเปิดให้สัมผัสประสบการณ์เหนือระดับ อย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายนนี้

โครงการบันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ คอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมเปิดให้สัมผัสประสบการณ์เหนือระดับ อย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายนนี้

โครงการบันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ พร้อมเปิดตึกจริงให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ กับฟรีโฮลด์คอนโดมิเนียมอัลตร้าลักซ์ชัวรี่ ด้วยบริการระดับพรีเมี่ยม ที่โครงการ ในวันที่ 17 และ 18 พฤศจิกายนนี้   โครงการบันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ เป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมหนึ่งเดียวบนถนนเจริญนคร ที่ตั้งอยู่บนทำเล ที่เงียบสงบที่ดีที่สุดริมแม่น้ำเจ้าพระยา หาที่ไหนไม่ได้แล้วกับห้องพักทุกห้อง ที่ห่างจากแม่น้ำเพียง 16 เมตร ใช้เวลา 5 นาทีสู่ห้างไอคอนสยาม หรือเดินทางสะดวก 10 นาทีถึงถนนสาธร อีกทั้งยังมีรถไฟฟ้าสายสีทอง ผ่านหน้าโครงการ เชื่อมต่อรถไฟฟ้า BTS เข้าสู่ใจกลางเมืองได้ง่ายๆ เรียกได้ว่าอยู่ท่ามกลางความเจริญมากมาย แต่รับรู้ได้ถึงความเงียบสงบ ที่หาไม่ได้ในคอนโดทั่วไป อีกทั้งโครงการยังถูกออกแบบสไตล์ “Minimal” สะท้อนผ่าน สถาปัตยกรรมรูปแบบ “Interlocking” สูง 45 ชั้น ที่เผยให้เห็นถึงความสวยงามของตัวอาคารทรงครึ่งวงกลมให้ความรู้สึกโดดเด่น หรูหราแบบไร้กาลเวลา โครงการยังสะท้อนถึงความเงียบสงบด้วยสังคมส่วนตัว จำกัดเพียง 133 ยูนิต โดยมีจำนวนห้องพักต่อชั้นสูงสุดเพียงแค่ 4 ห้องเท่านั้น เสริมความเอ็กซ์คลูซีฟมากขึ้นด้วย private lift lobby  ที่ให้บริการ ความเป็นส่วนตัวกับทุกครอบครัว ภายใต้คอนเซปท์  “THE SANCTUARY FOR YOUR SOUL” คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์สุด Exclusive ไปกับบริการของโรงแรมระดับโลก ในการให้บริการในทุกๆ ด้านเพื่อความสะดวกสบายของผู้อยู่อาศัยที่เป็นเจ้าของบันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น Private Concierge ที่ได้รับการฝึกฝนเพื่อการบริการอันเป็นเลิศ มาตรฐานการให้บริการระดับโรงแรม 5 ดาว ตามแบบฉบับ Banyan Tree Global Standard ที่เปรียบเสมือนผู้ช่วยส่วนตัว  ที่พร้อมดูแล และมอบความสะดวกสบาย จนทำให้ทุกการใช้ชีวิตเป็นเรื่องง่ายดาย อีกทั้งลูกค้ายังสามารถเรียกใช้ บริการต่างๆจากโรงแรม Banyan Tree Bangkok อาทิ เรียกเทอราปิสมาทำสปาที่โครงการ ภายในห้อง Sanctuary Spa Room นอกจากนี้ผู้อยู่อาศัยยังได้รับพริวิลเลจต่างๆรอบโลกจาก Sanctuary Club และ Private Collection โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ สำหรับบริการเซอร์วิสต่างๆ รวมถึงการเข้าใช้บริการโรงแรม และที่พักในเครือ Banyan Tree  ทั่วโลกซึ่ง ทั้งหมดนี้คือ ประสบการณ์แห่งการพักผ่อนอย่างมีระดับ ตามแบบฉบับของบันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ โครงการบันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ มีมูลค่าโครงการกว่า 6,500 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยต่อห้องราคาเริ่มต้น 28.8 ล้านบาท โดยโครงการเริ่มก่อสร้างปลายปี 2559 และเริ่มเปิดขาย อย่างเป็นทางการ มาตั้งแต่ปลายปี 2560 ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี จากทั้งลูกค้าชาวไทย และชาวต่างชาติ ปัจจุบันโครงการ ขายไปแล้วกว่า 60% ก่อนที่จะปิดการขายเพื่อก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จ   ปัจจุบันโครงการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างการตรวจสอบความเรียบร้อยของโครงการ นับว่าเป็นความใส่ใจในทุกรายละเอียด ของงานก่อสร้าง งานออกแบบ และการส่งมอบ ที่โครงการได้ตระหนักถึง เป็นอันดับแรก เพื่อเป็นการส่งมอบโครงการคุณภาพ และมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า   โครงการบันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ ขอเชิญให้ทุกท่านมาร่วมสัมผัสประสบการณ์ “THE SANCTUARY FOR YOUR SOUL” ได้แล้วในงาน Exclusive Open House วันที่ 17-18 พฤศจิกายนนี้ พร้อมเปิดให้เข้าชมโครงการ สัมผัสกับวิวจริง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จากห้องจริง  พร้อมประสบการณ์สุดพิเศษ อาทิ บริการเทอราปิส จากโรงแรมบันยันทรี, เปิดให้ชมครั้งแรกกับห้อง Old-Town View ที่วิวเห็นสายน้ำทอดยาว ผ่านวิถีเมืองอารยธรรมเก่าแก่ของกรุงเทพฯ, ห้องตกแต่งด้วย Poliform เฟอร์นิเจอร์ แบรนด์เฟอร์นิเจอร์สุดหรูจากอิตาลี ที่จะยกระดับการอยู่อาศัยให้เอ็กซ์คลูซีฟยิ่งขึ้น พร้อมรับส่วนลดมูลค่ารวมสูงสุดกว่า 3.5 ล้านบาทสำหรับลูกค้าที่จองภายในงานเท่านั้น ลงทะเบียน และชมรายละเอียดโครงการได้ที่ http://www.banyantreeresidencesriversidebangkok.com/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  โทร 1787          
แอสเซทไวส์ เปิดตัว “แอทโมซ รัชดา-ห้วยขวาง” ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 1,400 ล้านบาท  เผยคาดปิดการขาย 50% ภายใน 3 เดือน หวังดันยอดขายตามเป้าที่ 4,200 ล้านบาทสิ้นปี 2561 นี้

แอสเซทไวส์ เปิดตัว “แอทโมซ รัชดา-ห้วยขวาง” ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 1,400 ล้านบาท เผยคาดปิดการขาย 50% ภายใน 3 เดือน หวังดันยอดขายตามเป้าที่ 4,200 ล้านบาทสิ้นปี 2561 นี้

บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด ต่อยอดความสำเร็จจากการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ในทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ขยายแบรนด์ Atmoz เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ “Atmoz Ratchada- Huaikwang” (แอทโมซ รัชดา-ห้วยขวาง)ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 1,400 ล้านบาท ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพย่านธุรกิจที่สำคัญของกรุงเทพฯเพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิต“Active Mode” ท่ามกลางสีสันของเมืองสไตล์เออร์เบิร์น ไลฟ์แต่ยังคงต้องการกลับสู่ “Rest Mode”เพื่อพักผ่อนและใกล้ชิดธรรมชาติส่วนตัวใจกลางเมืองภายใต้คอนเซ็ปต์“แค่เปิด...ก็ปิดชีวิตเมือง” พร้อมเผยคาดการณ์ปิดการขาย 50% ภายใน 3 เดือนนี้ ส่งผลดันยอดขายตามเป้าที่ 4,200 ล้านบาทแน่นอน     นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัดกล่าวว่า“แบรนด์แอทโมซได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นแอทโมซ ลาดพร้าว 71, แอทโมซ ลาดพร้าว 15 เป็นต้น โดยแบรนด์แอทโมซได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิดคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ยังคงให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียว หรือพื้นที่ส่วนกลางเพื่อพักผ่อนอย่างแท้จริงบนทำเลใจกลางเมืองล่าสุด เราจึงขยายแบรนด์แอทโมซมายังทำเลรัชดา-ห้วยขวาง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทำเลศักยภาพหรือ New CBD ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วจากการขยายตัวออกมาจากย่านสุขุมวิทชั้นใน จนกลายเป็นทำเลที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในหลายภาคธุรกิจแน่นอนว่าจะทำให้เกิดการขยายตัวของแหล่งงานเพิ่มขึ้นด้วยและมั่นใจว่าจะส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยในย่านนี้มีแนวโน้มที่จะเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน"     โครงการแอทโมซ รัชดา-ห้วยขวางเป็นคอนโดโลว์ไรส์แบบตกแต่งพร้อมอยู่ (Fully Furnished)สูง 8ชั้น 3 อาคาร มีจำนวน 594 ยูนิต และร้านค้าจำนวน 1 ยูนิต บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ Activityที่หลากหลายครบทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ดังนั้น โครงการฯ จึงจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ให้สามารถรองรับความต้องการได้ถึง 31 กิจกรรม และเชื่อมต่อกันได้ทั้งโครงการ อาทิ สระว่ายน้ำ 2 สระมาตรฐาน แบบ Reflection Pool (ชั้น G) ที่ร่มรื่นด้วยพื้นที่สีเขียวและ Scenic Sky Pool (ชั้น Rooftop) เพื่อผ่อนคลายกับวิวเมือง, ล็อบบี้ เลาจน์ (LobbyLounge)     และพื้นที่พักผ่อนในทุกอาคาร, Sunken Island, Gym & Boxing Studio, Creative Inspiration Workspace, Theater, Fit Studio, Social Club, Outdoor Sky Dining และThe Secret Garden เป็นต้นนอกจากนั้นยังเข้าใจการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่จึงเพิ่มอุปกรณ์สมาร์ท เทคโนโลยี (Smart Technology) ที่ออกแบบมาเพื่อมอบความสะดวกสบายยิ่งขึ้นและใช้งานได้จริง ทั้งด้านการดูแลสุขภาพ และรองรับความปลอดภัยแก่ผู้อยู่อาศัยในทุกยูนิต อาทิ Themostatระบบระบายความร้อนภายในห้อง เพื่อสูดความสดชื่นจากอากาศที่ถ่ายเทBluetooth Sound Systemระบบเสียงไร้สาย ในทุกห้องให้คุณผ่อนคลายกับเสียงเพลงที่ชื่นชอบได้ทุกที่ในห้องพัก Rescue Alarmระบบแจ้งเตือนอุบัติเหตุที่สามารถกดปุ่มขอความช่วยเหลือได้ทันที และ LED Lighting Motion Sensorเซ็นเซอร์จับความเคลื่อนไหว ช่วยเปิด / ปิดไฟอัตโนมัติใต้เตียง เพื่อความสะดวกยามค่ำคืนเมื่อลุกจากเตียง โดยโครงการฯ ยังตอบรับทุกการใช้ชีวิตอีกขั้นด้วยบริการพิเศษ Shuttle Bus Serviceและ Late Night Conciergeเพื่อให้ลูกบ้านสะดวกสบายกับสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบได้ง่ายยิ่งขึ้น     สำหรับการออกแบบโครงการฯ มุ่งเน้นการดีไซน์ให้ทุกตารางนิ้วของโครงการฯ เปิดรับกับธรรมชาติได้ในทุกสัมผัสสบายตาจากสีสไตล์เอิร์ธโทนของตัวอาคาร ให้ความรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่มอง พร้อมตกแต่งแสงธรรมชาติด้วยร่มเงาจากระแนงไม้ บดบังไอร้อนและความวุ่นวายจากภายนอก กับความสุขที่ออกแบบมาอย่างลึกซึ้งเพื่อให้ทุกวันเสมือนวันพักผ่อนและเชื่อมต่อกับธรรมชาติได้ทุกช่วงเวลา     “ด้วยโครงการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพของรัชดา-ห้วยขวาง ซึ่งนับว่าเป็นทำเลที่ได้รับการขยายตัวจากกรุงเทพฯ ฝั่งสุขุมวิท และสามารถเดินทางเชื่อมต่อเข้าเมืองได้สะดวกในอนาคตจากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคหลักทั้งรถไฟฟ้า และ MRT อาคารสำนักงานจึงกระจายตัวออกมาเพิ่มขึ้น รวมถึงเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น ชาวจีน เกาหลี สิงคโปร์ ฯลฯ ที่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากใกล้สถานทูตจีน เกาหลี เป็นต้น ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ,ซูเปอร์มาร์เก็ต,โรงพยาบาล และโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง ซึ่งเรียกว่ารายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสบายแบบ 24 ชั่วโมงผมเชื่อว่าย่านรัชดา-ห้วยขวางนี้มีความคุ้มค่าทั้งสำหรับซื้อเพื่ออยู่เอง หรือเพื่อการลงทุนแน่นอน จากความน่าสนใจที่ราคาซื้อขายมีการปรับราคาขึ้นเรื่อยๆ อย่างก้าวกระโดดจากโครงการที่เปิดตัวใหม่ในแต่ละปีมีการปรับตัวสูงขึ้นปีละ 10-20% และมีอัตราค่าตอบแทนเฉลี่ย (Yield) อยู่ที่ 5-6 % ซึ่งเป็นตัวเลขที่สามารถถือครองเพื่อเก็งกำไรในอนาคตได้ ซึ่งคาดว่าการเปิดโครงการแอทโมซ รัชดา- ห้วยขวางในครั้งนี้ จะสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 50% ภายใน 3 เดือน และมั่นใจว่าจะช่วยดันยอดขายรวมของบริษัทฯ ได้ตรงตามเป้าที่วางไว้ที่ 4,200 ล้านบาทอย่างแน่นอน จากปัจจุบันมียอดขายรวมแล้วกว่า 3,900 ล้านบาท หรือคิดเป็น 93% ” นายกรมเชษฐ์ กล่าวเสริม     โครงการ แอทโมซ รัชดา-ห้วยขวาง ตั้งอยู่บนทำเลที่สามารถเข้าออกได้หลากหลายเส้นทาง เชื่อมต่อถนนรัชดาภิเษก, พระราม9, ถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์ หรือเข้าสู่ชีวิตเมืองย่านเอกมัย ทองหล่อภายใน 10 นาที หรือเพียง 5 กม. เท่านั้น และมีเส้นทางลัดออกสู่ ถนนลาดพร้าว, ถนนสุทธิสารวินิจฉัย และถนนประชาอุทิศ อีกทั้งยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน MRT สถานีห้วยขวาง และสถานีศูนย์วัฒนธรรม รวมไปถึงรถไฟฟ้าสายสีส้ม สถานีประดิษฐ์มนูธรรมในอนาคตอีกด้วย     โดยโครงการจะเปิด Pre-saleในวันเสาร์ที่17-18 พฤศจิกายน ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถเข้าชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ที่เซลส์ แกลเลอรี่ โครงการแอทโมซ รัชดา-ห้วยขวาง (ซอยสหการประมูล) หรือลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านเว็บไซท์ www.assetwise.co.th/condominium/atmoz-rh/ เพื่อรับส่วนลด 100,000 บาททันทีหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร.02-168-0000 /Line ID: @ATMOZRH            
พฤกษา โชว์ผลงานท็อปฟอร์ม 9 เดือน กำไรพุ่ง 4,017 ลบ.อัดฉีดโค้งสุดท้าย ด้วยแคมเปญยิ่งใหญ่แห่งปี

พฤกษา โชว์ผลงานท็อปฟอร์ม 9 เดือน กำไรพุ่ง 4,017 ลบ.อัดฉีดโค้งสุดท้าย ด้วยแคมเปญยิ่งใหญ่แห่งปี

พฤกษา เรียลเอสเตท ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์ โชว์ผลงาน 9 เดือน กำไรพุ่ง 4,017 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8.1% กวาดยอดขาย 39,196 ล้านบาท และรายได้ 30,480 ล้านบาท ตุนยอด Backlog ในมือรวม 35,749 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน 11.3% ชูกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ เน้นสื่อดิจิตอลเข้าตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จัดหนัก เร่งอัดฉีดโค้งสุดท้าย ด้วยแคมเปญยิ่งใหญ่แห่งปี “Pruksa 25th Year Big Sale Ever ลดใหญ่ แถมใหญ่ แจกใหญ่” มอบส่วนลด ของแถม และลุ้นรับรางวัลใหญ่ คอนโด สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท และ Samsung Galaxy Note 9 รวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท     นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของพฤกษาออกมาเป็นที่น่าพอใจ โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,017 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน มียอดขาย 39,196 ล้านบาท และมีรายได้อยู่ที่ 30,480 ล้านบาท ซึ่งมาจากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ New Marketing Approach ซึ่งเป็นการทำการตลาดรูปแบบใหม่ โดยเน้นการใช้สื่อดิจิตอลเพื่อเข้าตรงถึงกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เช่น ครั้งแรกในการเปิดจอง Online ของพฤกษาในโครงการ “The Tree ดินแดง - ราชปรารภ” ที่ปิดการขายจาก Online Booking อย่างรวดเร็วภายใน 10 นาที ทำให้สามารถช่วยปิดการขายทั้งโครงการได้ และการเปิดตัวโครงการทาวน์เฮาส์ “พฤกษาวิลล์ มิสทีน รามคำแหง – วงแหวน” ทาวน์โฮมในทำเลที่ดีที่สุดบนถนนรามคำแหง เปิดขายเพียง 2 วัน สามารถทำสถิติปิดการขายเฟสแรก สร้างยอดขายไปกว่า 650 ล้านบาท รวมไปถึงโครงการบ้านเดี่ยว “ภัสสร บางนา - วงแหวน” เปิดขาย 2 วัน สามารถกวาดยอดขายได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ และยังมีโครงการอื่นๆ ที่เป็นไฮไลท์ของพฤกษาอีกจำนวนหลายโครงการ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 3 บริษัทฯ สามารถสร้างยอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) รวม 35,749 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน 11.3% ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้จำนวน 11,784 ล้านบาท และทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 3 พฤกษายังครองส่วนแบ่งตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง อยู่ที่ 10% จากมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด และยังคงรักษาแชมป์เจ้าตลาดทาวน์เฮาส์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดอยู่ที่ 21%     สำหรับแผนการดำเนินงานเพื่อครองความเป็นเบอร์หนึ่งในตลาด ในช่วงไตรมาสสุดท้าย บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 15 โครงการ มูลค่า 11,400 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 12 โครงการ และโครงการแนวสูง 3 โครงการ โดยช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาได้เปิดตัวโครงการพรีเมียม "เดอะรีเซิร์ฟ 61 ไฮด์อะเวย์" ราคาเริ่มต้น 12 - 60 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์เป็นอย่างดี พร้อมจัดแคมเปญใหญ่ เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 25 ปีของบริษัทฯ และเพื่อเร่งยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ด้วยแคมเปญ “Pruksa 25th Year Big Sale Ever ลดใหญ่ แถมใหญ่ แจกใหญ่” ซึ่งเป็นโปรโมชั่นดีที่สุดในรอบ 25 ปีที่เคยมีมา โดยคัดเลือกโครงการพร้อมอยู่ทั้งทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม 161 โครงการทั่วประเทศเข้าร่วมแคมเปญ เพียงทำสัญญาและโอนกรรมสิทธิ์ภายใน 28 ธันวาคม 2561 ลูกค้าจะได้รับส่วนลด ของแถม และสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลใหญ่ พลัมคอนโด พหลโยธิน 89 สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท และ Samsung Galaxy Note9 รวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจากแผนการดำเนินงานที่บริษัทฯวางไว้ จะสามารถทำให้พฤกษาบรรลุเป้าหมายได้ตามที่ตั้งไว้”