Tag : News

2400 ผลลัพธ์
การเคหะฯ คิกออฟ “โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1”  พร้อมเปิดจอง 30 พ.ย.- 6 ธ.ค.นี้ พร้อมโปรฟรีโอนฯ ราคาเริ่มต้น 2.33 ล้านบาท

การเคหะฯ คิกออฟ “โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1” พร้อมเปิดจอง 30 พ.ย.- 6 ธ.ค.นี้ พร้อมโปรฟรีโอนฯ ราคาเริ่มต้น 2.33 ล้านบาท

การเคหะฯ เดินหน้าเปิดตัว “โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1” ทันที หลังครม.มีมติเห็นชอบ โครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ชูแนวคิดงานออกแบบ Universal Design รองรับการอยู่อาศัยเพื่อผู้สูงวัย เปิดจองวันที่ 30 พฤศจิกายน - 6 ธันวาคมนี้ ที่ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต แถมโปรโมชั่นฟรีโอนกรรมสิทธิ์ ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.33 ล้านบาท เท่านั้น   ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) กล่าวว่า หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ดำเนินการจัดทำโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา การเคหะฯในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบ ก็ได้ดำเนินการตามแผนงานทันที โดยนำร่องโครงการแรกคือ โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1 ขนาดที่ดิน 39.59 ไร่ จำนวน 192 หน่วย     ‘ทั้งนี้ ตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) การเคหะฯ มีเป้าหมายจัดทำโครงการ Senior Complex จำนวน 3,000 หน่วย โดยเบื้องต้นในปี 2561-2562 จะดำเนินการจัดสร้างทั้งหมด 360 หน่วย ประเดิมโครงการแรกในปี 2561 คือ โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1 จำนวน 192 หน่วย คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างประมาณเดือนมีนาคม 2562 และพร้อมเข้าอยู่ภายในปี 2563 สำหรับในปี 2562 จะจัดทำโครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 2 อีกจำนวน 168 หน่วย ซึ่งปัจจุบันโครงการที่คลองหลวง 2 อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อเสนอขอความเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะสามารถนำเสนอ ครม.ได้ภายในต้นปีหน้า สำหรับโครงการในระยะต่อ ๆ ไป ก็อาจจะต้องมีการวิเคราะห์และสำรวจความเหมาะสมก่อน ซึ่งก็จะพยายามกระจายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่” ดร.ธัชพลฯ กล่าว     โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1 ตั้งอยู่ริมถนนเลียบคลอง 4 ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ประกอบด้วย บ้าน 3 แบบ 1. แฝดชั้นเดียว (Type A) ขนาดที่ดิน 38 ตารางวา จำนวน 76 หน่วย พื้นที่ใช้สอย 78 ตารางเมตร 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 2. บ้านแฝด 2 ชั้น (Type B) ขนาดที่ดิน 39 ตารารางวา จำนวน 68 หน่วย พื้นที่ใช้สอย 110 ตารางเมตร 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ 3. บ้านแฝด 2 ชั้น (Type C) ขนาดที่ดิน 42.50 ตารางวา จำนวน 48 หน่วย พื้นที่ใช้สอย 120 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ     สำหรับความโดดเด่นของโครงการนี้อยู่ที่การออกแบบในลักษณะ Universal Design เพื่อให้เหมาะกับการใช้ชีวิตของผู้สูงวัย ตลอดจนคนทุกช่วงวัยที่อาศัยอยู่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น การทำทางลาดชัน เพื่อให้เดินขึ้น-ลงบ้านได้สะดวก ติดตั้งสวิตซ์สูงจากพื้นไม่เกิน 90 เซ็นติเมตร ติดตั้งปลั๊กไฟสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 45 เซ็นติเมตร เพื่อความสะดวกในการใช้งานของผู้ที่ต้องนั่งรถเข็น พื้นต่างระดับไม่เกิน 2 - 2.5 เซ็นติเมตร สำหรับในห้องน้ำได้มีการติดตั้งฝักบัวแบบปรับระดับ ติดตั้งราวจับสแตนเลส เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงวัยในการช่วยพยุงตัว เป็นต้น     นอกจากนี้ ภายในโครงการยังพรั่งพร้อมไปด้วยระบบสาธารณูปโภคระดับมาตรฐานเทียบเท่าโครงการที่พัฒนาโดยบริษัทเอกชน อาทิ อาคารสันทนาการพร้อมสระว่ายน้ำ ห้องปฐมพยาบาล ห้องฟิตเนส ระบบ CCTV บริเวณทางเข้าโครงการและภายในโครงการ รั้วรอบโครงการสูง 2 เมตร พร้อมรั้วโปร่งต่อเพิ่มอีก 1 เมตร เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ถนนเมนกว้าง 16 และ 12 เมตร ถนนในซอยกว้าง 10 เมตร การออกแบบผังบริเวณโครงการและอาคารยังได้นำแนวคิดเกณฑ์ประเมินชุมชนน่าอยู่น่าสบายอย่างยั่งยืนหรือ Eco Village มาเป็นแนวคิดหลักในการออกแบบ ที่สำคัญโครงการนี้ยัง ผ่านเกณฑ์บ้านประหยัดพลังงานเบอร์ 5 ของ กฟผ.ในส่วนของศักยภาพทำเลที่ตั้งโครงการ พบว่า แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ดรีมเวิล์ด โรงพยาบาล สถานศึกษา เป็นต้น     สำหรับผู้ที่สนใจจับจองเป็นเจ้าของโครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1 สามารถเข้ามาจองได้ภายในงานเปิดตัว “โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1” ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน - 6 ธันวาคม 2561 โดยผู้ที่จองภายในงานจะได้รับโปรโมชั่นฟรีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 09 1047 1276 หรือ Call Center 1615
เมื่อวงการธุรกิจที่อยู่อาศัย กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป โดยเน้นดีไซน์และฟังก์ชั่นที่ตอบสนองความต้องการในแบบ Personalization โดยประมวลผลจาก Big Data

เมื่อวงการธุรกิจที่อยู่อาศัย กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป โดยเน้นดีไซน์และฟังก์ชั่นที่ตอบสนองความต้องการในแบบ Personalization โดยประมวลผลจาก Big Data

เมื่อโลกเปลี่ยนผันไปตามเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง ส่งผลให้พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคมีช่องทางในการหาข้อมูลสินค้าและบริการอย่างง่ายดายผ่านสื่อออนไลน์เพียงปลายนิ้ว พร้อมคาดหวังบริการที่ตรงใจมากขึ้นจากธุรกิจต่างๆ เหล่านี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Business Model ของธุรกิจต่างๆ จะถูก Disrupt จากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ธุรกิจต่างๆจึงควรต้องเร่งสร้างการ Service ในมิติใหม่ ให้สอดคล้องกับความต้องการอันแท้จริงของลูกค้าได้โชคดีที่ในยุคปัจจุบัน ธุรกิจไม่ต้องมานั่งคาดเดาความต้องการของลูกค้าเหมือนที่เคยทำมาอีกแล้ว เพราะด้วยการมาถึงของ Big Data ที่รวบรวมข้อมูลมหาศาลของผู้บริโภคอย่างละเอียดผ่านอุปกรณ์อัจฉริยะและเครื่องมือสื่อสารอันทันสมัย ทำให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ และสร้างสรรค์บริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ารายบุคคลได้ หรือแบบที่เรียกว่า Personalization นั่นเอง ในวงการธุรกิจที่อยู่อาศัย แบบบ้านสำเร็จรูปซึ่งมีหน้าตาหมือนกันทั่วไป อาจไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคแล้ว เนื่องจากปัจจุบัน ผู้บริโภคต้องการบ้านที่สะท้อนความเป็นตัวเองและไม่เหมือนใครมากขึ้น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงจำเป็นต้องนำเสนอ Design และฟังก์ชั่นการใช้งานที่เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายรายบุคคล ในแบบ Personalization มากขึ้นเพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด ศูนย์รับสร้างบ้าน แลนดี้ โฮม จึงมุ่งพัฒนาการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการ ของลูกค้าในยุคปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญในการสร้างประสบกาณ์ที่ดีผ่าน Consumer Journey ในทุกจุด Touch Point พร้อมเชื่อมโยงและบูรณาการฐานข้อมูล ในทุกภาคส่วนเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึง ผ่านระบบ Cloud Service ในการนำเสนอบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ตรงใจ ในแบบ Personalization แลนดี้ โฮม มุ่งมั่นในการสร้างบ้านในฝันของลูกค้า ผ่านแนวคิด “ Always Ahead”  โดยแลนดี้ โฮม มีความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า พร้อมพัฒนาระบบการก่อสร้าง ตลอดจนการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งาน ที่คำนึงถึงการอำนวยความสะดวกการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยทั้งในปัจจุบัน และอนาคตเพื่อให้ลูกค้าได้บ้าน ที่ดีที่สุด ตามไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันไปของแต่ละครอบครัวแลนดี้ โฮม ได้พัฒนาระบบการจัดการภายใน พร้อมลงทุนงบประมาณกับระบบการจัดการ CRM ที่ทันสมัย นำมาซึ่งความเข้าใจในทุกความแตกต่างของลูกค้าแต่ละคน ถือเป็นการปรับเปลี่ยนจากการออกแบบบ้านในแบบ Customization ที่เดิมทีลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนแบบบ้าน หรือต้องการให้ออกแบบบ้านใหม่ได้ตามความต้องการ แต่ในปัจจุบัน การออกแบบบ้านแบบ Personalizationจะตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธภาพมากกว่าเดิม เพราะสามารถออกแบบบ้านได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ทันทีโดยแทบจะไม่ต้องมีการปรับแบบสิ่งเหล่านี้ ล้วนเน้นย้ำจุดแข็งของความเป็น Trend Setter ในการออกแบบบ้านของแลนดี้ โฮม ได้เป็นอย่างดี โดยในปัจจุบัน แลนดี้ โฮม มีแบบบ้านมาตรฐานให้ลูกค้าเลือกมากกว่า 200 แบบ"และในอนาคต แลนดี้ โฮมพร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์รับสร้างบ้านที่พร้อมตอบสนองความต้องการของผู้คนในยุค 4.0 และเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยกลยุทธ์ดังต่อไปนี้   1.Personalized Approach สื่อสารข้อมูล การสร้างบ้านที่มีประโยชน์ ตามความสนใจของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในแต่ละกลุ่ม จากการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งระบบ CRM หรือจากการวิเคราะห์พฤติกรรมการเยี่ยมชมแบบบ้านผ่านเว็ปไซต์ co.th โดยประมวลผล พร้อมส่งข้อมูลที่ลูกค้าสนใจ  เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสถึงความพิเศษสุดในทุกจุดการบริการ   2.Big Data Analysis เพิ่มประสิทธิภาพในการรับรู้ความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างและหลากหลาย พร้อมเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น โดยการวิเคราะห์ข้อมูล Big Data ประมวลผลผ่านซอฟต์แวร์ CRM ระดับโลก ด้วยระบบ Cloud Service ให้ทุกส่วนในด้านงานบริการ เข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น พร้อมการเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็ว เพื่อปรับปรุงการบริการ และรูปแบบการสื่อสารระหว่างลูกค้าและองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ   3.Landy Home Planner แอพลิเคชั่นอัจฉริยะที่จะอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถให้เข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้สถาปนิก และที่ปรึกษางานขาย สามารถนำเสนอข้อมูลการปลูกสร้างบ้าน ให้แก่ลูกค้าได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นสไตล์แบบบ้านที่ลูกค้าสนใจ, สเปควัสดุ ,โปรแกรมคำนวณพื้นที่ใช้สอย ตลอดจนงบประมาณการปลูกสร้าง พร้อมการบันทึกข้อมูลลูกค้าแบบ Real Time เพื่อเก็บรวบรวมรายละเอียดที่เคยคุยกันไว้อย่างมีระบบ   4.Landy Work Flow System การบริหารจัดการการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน ของส่วนงานต่างๆ ภายในองค์กร ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งสามารถควบคุมงานก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดโดยมีการบริหารจัดการการทำงานของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยส่วนงานขาย, งานออกแบบ, งานก่อสร้าง ตลอดจนส่วนบริการหลังการขาย ซึ่งลูกค้าสามารถตรวจสอบ และทราบถึงขั้นตอนการทำงานได้อย่างชัดเจน หากเกิดความล่าช้าในจุดใด ก็สามารถทราบได้ทันทีถึงสาเหตุ ทำให้แก้ไขปัญหารวดเร็ว  ช่วยลดต้นทุนและความสูญเสียทางด้านทรัพยากรต่างๆได้อย่างดี นางสาวภัทรา มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและออกแบบผลิตภัณฑ์ บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ แลนดี้ โฮม ให้ความสำคัญด้านงานสถาปัตยกรรมการออกแบบ, การบริการ ตลอดจนนวัตกรรมและขั้นตอนการก่อสร้างที่ทันสมัย เพื่อให้ลูกค้าได้บ้าน ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยแห่งอนาคต เราเข้าใจ ในทุกความต้องการที่แตกต่างกัน ของแต่ละครอบครัว ทั้งจำนวนสมาชิก หรือไลฟสไตล์การใช้ชีวิต ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อพัฒนาแบบบ้านที่ไม่ใช่แค่ความสวยงาม หากแต่ต้องตอบสนองทุกความต้องการ ในแบบ Personalization” และที่กล่าวมา ก็คือการพัฒนาการบริการอย่างไม่หยุดยั้งจากแลนดี้ โฮม เพื่อคงความเป็นศูนย์รับสร้างบ้านอันดับ 1 ของประเทศไทย และมุ่งสู่การเป็นผู้นำนวัตกรรมแห่งการอยู่อาศัยแห่งอนาคตในยุค Thailand 4.0 รู้จัก แลนดี้ โฮม มากขึ้นได้ที่ www.landyhome.co.th หรือ www.facebook.com/landyhomeonline          
SAM โชว์ผลงาน Q3 ไปได้สวย หลังรุกประมูลซื้อหนี้แบงก์กวาด NPL เข้าพอร์ตกว่าหมื่นล้านบาท ยอดจำหน่ายทรัพย์ NPA สูงเฉียด 2.5 พันล้าน ผุดโครงการพิเศษช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

SAM โชว์ผลงาน Q3 ไปได้สวย หลังรุกประมูลซื้อหนี้แบงก์กวาด NPL เข้าพอร์ตกว่าหมื่นล้านบาท ยอดจำหน่ายทรัพย์ NPA สูงเฉียด 2.5 พันล้าน ผุดโครงการพิเศษช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผย “ผลการดำเนินงานของ SAM ณ สิ้นสุดไตรมาส 3 ปี 2561 ผลการดำเนินงานโดยรวมเป็นไปตามเป้าหมาย โดย SAM ได้รับชำระเงินสด รวมจำนวนทั้งสิ้น 6,998.77 ล้านบาท หรือร้อยละ 82.23 ของเป้าหมาย ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 9 เดือนที่ตั้งไว้ ปัจจุบัน SAM มีสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPL) ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการมูลค่ารวมทั้งสิ้น 343,162.21 ล้านบาท และทรัพย์สินรอการขาย (NPA) 22,008.41 ล้านบาท เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่องค์กรตามแผนระยะยาว SAM ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่บริหารจัดการหนี้เสียของประเทศ และเป็นเครื่องมือของภาครัฐในการดูดซับ NPL จากระบบสถาบันการเงิน จึงมีการวางกลยุทธ์เพิ่มขนาดพอร์ต NPL โดยเข้าร่วมประมูลซื้อจากสถาบันการเงินต่างๆ ที่ประกาศขายในตลาดมาอย่างต่อเนื่อง และสามารถชนะการประมูล คิดเป็นภาระหนี้รวม 10,086.85 ล้านบาท หรือร้อยละ 50.09 ของเป้าหมายที่กำหนดในปี 2561   ด้านการบริหารจัดการ NPA สามารถจำหน่ายทรัพย์สินได้เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น  2,482.39 ล้านบาท  นับว่า SAM ประสบความสำเร็จสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าค่าเฉลี่ย 4 ปีย้อนหลัง (ปี 2557-2560) ทั้งนี้เป็นผลมาจากการวางแผนกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งโปรโมชั่นส่งเสริมการขายที่ตอบโจทย์และโดนใจลูกค้า มีการจัดกิจกรรมการขายและลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องตลอดปี ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างทั่วถึงและตรงกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ SAM ในพอร์ตส่วนใหญ่เป็นทรัพย์มีศักยภาพสูงและตั้งอยู่ในทำเลดี โดยเฉพาะในทำเลที่สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาโครงการของภาครัฐ   ด้านการบริหารจัดการ NPL มุ่งเน้นการให้โอกาสและคำปรึกษาแก่ลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ให้สามารถกลับไปดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพได้ตามปกติ ในช่วงที่ผ่านมา SAM ได้จัดโครงการพิเศษและกิจกรรมการตลาดเชิงรุก อาทิ โครงการลดหนี้มีสุข สามารถช่วยเหลือลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้รายย่อยบรรลุข้อตกลงได้รวดเร็วยิ่งขึ้น คิดเป็นมูลหนี้รวมมากกว่า 200 ล้านบาท รวมทั้งการจัดกิจกรรมเปิดบ้านทำงานวันหยุด และการเดินสายลงพื้นที่พบปะลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ทั่วประเทศ   สำหรับโครงการคลินิกแก้หนี้ ภายหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับหลักเกณฑ์ใหม่เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้มากยิ่งขึ้น ทำให้ปัจจุบันมีลูกค้าลงนามในสัญญากับโครงการคลินิกแก้หนี้คิดเป็นมูลหนี้เงินต้นสะสมรวมประมาณ 224 ล้านบาท หรือร้อยละ 51.57 ของเป้าหมาย และมีลูกค้าส่วนหนึ่งสามารถชำระหนี้ได้สำเร็จตามแผนของโครงการแล้ว นอกจากนี้  SAM ยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่ไม่สะดวกเข้ามาติดต่อในวันทำการ โดยเพิ่มการให้บริการในวันเสาร์ ครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ครั้งที่ 2 ในเดือนสิงหาคม และครั้งที่ 3 ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ณ สำนักงานคลินิกแก้หนี้ ชั้น 12 อาคารเล้าเป้งง้วน ถ.วิภาวดีรังสิต เขตจตุจักร รวมทั้งจัดกิจกรรมเดินสายให้ความรู้ทางการเงินแก่ลูกหนี้และผู้ที่สนใจ เพื่อสร้างวินัยทางการเงินและปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายและการออม ในฐานะที่เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของรัฐที่สนับสนุนนโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนของประเทศอย่างยั่งยืน”          
AIS Fibre จับมือโนเกียเปิดตัวบริการ Mesh Wi-Fi สำหรับใช้ในบ้าน เป็นรายแรกในประเทศไทย

AIS Fibre จับมือโนเกียเปิดตัวบริการ Mesh Wi-Fi สำหรับใช้ในบ้าน เป็นรายแรกในประเทศไทย

AIS Fibre ผู้นำอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ความเร็วสูงของไทย จับมือโนเกีย พัฒนาบริการบรอดแบนด์ความเร็วสูงระดับพรีเมี่ยมรูปแบบใหม่แก่ลูกค้า AIS Fibre ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสัญญาณ Wi-Fi broadband ได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุดทั่วทุกมุมของบ้าน  ลูกค้าของ AIS Fibre จะได้รับสิทธิ์ในการซื้อ Nokia WiFi Beacon 3 แบบ duo-pack ในราคาพิเศษ ซึ่งเมื่อการติดตั้งเรียบร้อยเครือข่าย Wi-Fi แบบ mesh จะมีสัญญาณกระจายทั่วทั้งบริเวณบ้าน (whole-home) อย่างรวดเร็ว เป็นการเพิ่มพื้นที่ครอบคลุมและเสริมประสิทธิภาพของบรอดแบนด์ความเร็วสูงมาก (ultra-broadband) ได้อย่างมีนัยสำคัญ   ประสิทธิภาพของเครือข่าย Wi-Fi ที่ครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณบ้านมักจะได้รับผลกระทบเช่นความเร็วที่ลดลงหรือสัญญาณไม่เสถียร จากจำนวนของอุปกรณ์เชื่อมต่อที่เครือข่ายดังกล่าวต้องบริหารจัดการและสัญญาณรบกวนที่อาจเกิดจากเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เตาไมโครเวฟ หรือเครือข่าย Wi-Fi จากที่อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียง การทำให้บ้านของลูกค้ามีสัญญาณ Wi-Fi ครอบคลุมเพียงพอเป็นเรื่องที่ท้าทายและในหลายกรณีจะต้องมีการติดตั้ง access point หลายจุดเพื่อลดจุดอับสัญญาณ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากสัญญาณขาดหายเนื่องจากมีผนังภายในกั้นหรือสัญญาณรบกวน โซลูชั่น Wi-Fi ของ Nokia ซึ่งได้รับรางวัลการออกแบบยอดเยี่ยมจาก iF Design Foundation ช่วยขจัดปัญหาของเครือข่ายเหล่านี้ที่พบโดยทั่วไปตามบ้านพักอาศัยและช่วยให้ลูกค้าของ AIS Fibre ได้ใช้เครือข่าย Wi-Fi แบบ mesh ที่เต็มประสิทธิภาพอย่างแท้จริง อีกทั้งยังติดตั้งง่าย ให้สัญญาณครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณบ้านและมีคุณสมบัติรองรับบรอดแบนด์ความเร็วสูงมากได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้ Nokia WiFi Beacon 3 ถูกออกแบบมาให้สามารถตรวจจับแหล่งที่มาของสัญญาณรบกวนทั้งที่เป็นสัญญาณ Wi-Fi และไม่ใช่ Wi-Fi ได้ถึง 100% จากนั้นจึงทำการเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับช่องสัญญาณที่แรงที่สุดโดยอัตโนมัติเพื่อให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าเชื่อมต่อได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์และฟังก์ชั่นการวิเคราะห์ข้อมูลที่มากับ Nokia WiFi Beacon 3 ยังสามารถแก้ไขปัญหาได้เองโดยอัตโนมัติ ลดความจำเป็นที่ลูกค้าต้องจัดการเครือข่ายด้วยตนเองเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ส่งผลให้ลูกค้ามีประสบการณ์ในการใช้ Wi-Fi ในบ้านที่ดียิ่งขึ้น   หลังจากลูกค้า AIS Fibre ได้รับอุปกรณ์ Nokia WiFi Beacon 3 ลูกค้าสามารถทำการติดตั้งเองได้อย่างรวดเร็ว เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นลงบนมือถือและทำตามขั้นตอนการตั้งค่าที่แนะนำ เมื่อการติดตั้งเสร็จ ลูกค้าสามารถใช้แอปพลิเคชั่นบนมือถือเพื่อดูการแสดงข้อมูลภาพซึ่งแสดงความครอบคลุมของสัญญาณ  (heat map) เพื่อระบุและจัดการจุดอับสัญญาณได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถระบุจุดที่เหมาะสมสำหรับการเพิ่ม access point เพื่ออุดช่องว่างความครอบคลุมของสัญญาณ นอกจากนี้ ลูกค้าสามารถเข้าถึงรายการอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อและสร้างเครือข่ายแยกสำหรับผู้มาเยือน (guest networks) และตั้งค่าความปลอดภัยตามที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว มร.เบนวา เฟลเทน หัวหน้าเจ้าหน้าที่วิจัย ของ Diffraction Analysis กล่าวว่า “ผู้ให้บริการ บรอดแบรนด์ส่วนมากจะไม่ได้ให้บริการหรือจัดการเครือข่าย Wi-Fi ในบ้านของลูกค้า ทำให้ในหลายกรณีสมรรถภาพของบรอดแบนด์ความเร็วสูงที่ส่งมาถึงบ้าน อาจจะถูกลดทอนลงจากสัญญาณรบกวนต่างๆ ที่เกิดกับเครือข่าย Wi-Fi  โซลูชั่น Wi-Fi ของ Nokia ทำให้ผู้ใช้บริการมีประสบการณ์ Wi-Fi ที่ดีขึ้นโดยการสร้าง mesh network ที่กำจัดจุดอับพร้อมเพิ่มประสิทธิภาพอย่างไร้รอยต่อ ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้บรอดแบนด์ความเร็วสูงมากจากทุกมุมของบ้านไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์ใดก็ตาม”   นายศรัณย์ ผโลประการ ผู้อำนวยการธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบนด์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า "AIS Fibre ในฐานะผู้นำนวัตกรรมอินเทอร์เน็ต บรอดแบนด์ความเร็วสูงของประเทศ ที่มุ่งมั่นคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีที่แตกต่างและนำเทรนด์ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้อุตสาหกรรมเน็ตบ้านมาอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นผู้บุกเบิกการให้บริการอินเทอร์เน็ต ไฟเบอร์ออปติกแท้รายแรกของไทย รวมถึงให้บริการ Dual Band Router เป็นรายแรกเช่นกัน เพื่อส่งมอบบริการเน็ตบ้านที่คุณภาพดีที่สุดเสมอ ล่าสุด AIS Fibre ตอกย้ำความเป็น Innovative Leader อีกครั้ง ด้วยการจับมือกับพันธมิตรระดับโลก Nokia ทำงานร่วมกันในเชิงลึก เพื่อศึกษาและทดสอบอุปกรณ์ Mesh WiFi สำหรับตลาดในเมืองไทย เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าไปอีกขั้น โดยร่วมกันเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่แบบเอ็กซ์คลูซีฟ เป็นรายแรกของโลกกับ “Nokia WiFi Beacon 3” อุปกรณ์เสริมเราเตอร์ระดับพรีเมี่ยม เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้า ทำให้การเชื่อมต่อราบรื่น ครอบคลุมทุกพื้นที่ในบ้าน” มร.เฟเดอริโก้ กิวเล็น ประธานธุรกิจฟิกซ์ เน็ตเวิร์ค ของโนเกีย กล่าวว่า "โซลูชั่น Wi-Fi ของ Nokia ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในเรื่องการใช้งาน Wi-Fi ที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ให้บริการมีเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วและทำให้การบริการลูกค้าเป็นไปได้อย่างราบรื่น เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมงานกับ AIS Fibre ในการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างด้านการบริการเครือข่าย Wi-Fi ในบ้านของลูกค้าของ AIS Fibre ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ในการใช้บรอดแบรนด์ความเร็วสูงมากที่ดีขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย จากทุกมุมภายในบ้านอย่างแท้จริง"          
ดี-แลนด์ฯ ปักหมุดทำเลทองนนทบุรี  ผุด “นนทบุรี ฯ” จับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

ดี-แลนด์ฯ ปักหมุดทำเลทองนนทบุรี ผุด “นนทบุรี ฯ” จับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

ดี-แลนด์ฯ ขยายฐานรับดีมานด์ที่อยู่อาศัยนนทบุรี อวดโฉมทาวน์โฮมอารมณ์บ้านเดี่ยว “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน” มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์สไตล์อังกฤษ ผสานเทคโนโลยี Greenovation พร้อมฟังก์ชั่นใช้สอยครบครัน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง เดินทางเข้าเมือง-ออกต่างหวัดสะดวกสบาย มีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ 3 สไตล์ ในราคาเริ่มต้น 2.20 ล้านบาท     นายศิริพงษ์ สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี-แลนด์ กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ในเขตกรุงเทพฯ ตอนใต้ พระราม2-สมุทรสาคร โซนภาคตะวันออก และโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดนนทบุรีมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลักจากการเป็นทำเลที่เป็นส่วนต่อขยายของเมือง มีการพัฒนาและเชื่อมโยงในส่วนของระบบขนส่งและสาธารณูปโภคต่างๆ อาทิ การขยายถนนและรถไฟฟ้า เป็นเส้นทางเชื่อมต่อการเดินทางออกไปสู่จังหวัดอื่นๆ เช่น สุพรรณบุรี ปทุมธานี และยังเชื่อมต่อกับวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันตกที่สามารถเดินทางไปนครปฐมหรือชลบุรีได้อีกด้วย ส่งผลให้ความต้องการ (Demand) ที่อยู่อาศัยในจังหวัดนนทบุรียังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น     ล่าสุด บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการ “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน” (Baan D The Hamilton Chaiyapruek-Wongwaen) ทาวน์โฮม 2 ชั้นสไตล์บ้านเดี่ยว จำนวน 500 ยูนิต เนื้อที่โครงการรวมกว่า 49 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพ ริมถนนบางกรวย-ไทรน้อย ตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นเส้นทางเชื่อมโยงการคมนาคมระหว่างนนทบุรีและโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกไว้ด้วยกัน รวมถึงการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง (สถานีคลองบางไผ่-เตาปูน) ในพื้นที่ดังกล่าวทำให้การเดินทางเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ และพื้นที่สำคัญอื่นๆ ได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น โดยโครงการบ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน เริ่มพัฒนาโครงการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2561 และได้กระแสตอบรับที่ดีมากจากการเปิด Pre-Sale ในช่วงเดือนกันยายน 2561 ที่ผ่านมา โดยขณะนี้มียอดจองในเฟสแรกแล้วกว่า 110 ล้านบาทเลยทีเดียว     โครงการ “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน” อยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าคลองบางไผ่เพียง 10 นาที ได้รับการออกแบบและดีไซน์ภายใต้แนวคิด “English Cottage” ที่นำความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ที่สวยงามตามแบบฉบับอังกฤษมาผสานเข้ากับงานโครงสร้างสไตล์โมเดิร์นที่คำนึงถึงการใช้งานฟังก์ชั่นในส่วนต่างๆ ของบ้านให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยแบบบ้าน 3 แบบ 3 สไตล์ ดังนี้ 1. Type A: Westminster (เวสต์มินส์เตอร์) ทาวน์โฮม 2 ชั้น ปลูกสร้างบนที่ดินขนาด 28.70 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยรวม 140 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พร้อมที่จอดรถ 2 คัน ในราคาเริ่มต้นที่ 3.4 ล้านบาท 2. Type B: Northampton (นอร์ทแธมป์ตัน) ปลูกสร้างบนที่ดินขนาด 21.20 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 130 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พร้อมที่จอดรถ 2 คัน ราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท และ 3. Type C: Birmingham (เบอร์มิงแฮม) ทาวน์โฮม 2 ชั้น บนที่ดิน 18.50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยรวม 100 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พร้อมที่จอดรถ 1 คัน ราคาเริ่มต้น 2.2 ล้านบาท     นายศิริพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัท ดี-แลนด์ฯ ยังได้พัฒนาฟังก์ชั่นของตัวบ้านและภายในโครงการ “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน” ให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ Smart Home Automation และ Multi-Generations Living Area ภายในบ้าน ตอบรับไลฟ์สไตล์ของครอบครัวที่แตกต่างกันตามช่วงวัย ด้วยคอนเซ็ปต์ “Greenovation” ซึ่งผสมผสานเข้ากับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในงานก่อสร้างต่างๆ ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม อาทิ การเลือกใช้สีคุณภาพที่เป็นมิตรต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการออกแบบและการจัดวางผังโครงการให้มีพื้นที่สีเขียวขนาดย่อมกระจายอยู่ทั่วทั้งโครงการ มีสวนสาธารณะส่วนกลางสไตล์อังกฤษ ขนาดกว่า 1 ไร่ ที่พร้อมเติมเต็มความสดชื่นให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด   นอกจากนี้ ภายในโครงการยังครบครันด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ ร้านค้า ร้านอาหาร และบริการต่างๆ สนามเด็กเล่น คลับเฮ้าส์ Co-Working Space สระว่ายน้ำและห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน ในขณะที่บริเวณรอบโครงการแวดล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญต่างๆ ทั้งหน่วยงานราชการ โรงพยาบาล โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า อาทิ เซ็นทรัลเวสต์เกต อิเกียบางใหญ่ พลัสมอลล์ บิ๊กซี แม็คโคร และอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง สามารถเดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯ หรือออกต่างจังหวัดได้อย่างสะดวก     สำหรับผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมบ้านตัวอย่างได้ที่สำนักงานขายโครงการ “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1793 ต่อ 8 หรือคลิกดูรายละเอียดได้ที่ www.dl.co.th และ facebook: Dlandclub
“โคคูน พระราม 9” คอนโดยุคใหม่ ซัพพอร์ตทุกพลังชีวิต ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา

“โคคูน พระราม 9” คอนโดยุคใหม่ ซัพพอร์ตทุกพลังชีวิต ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา

แม้จะเพิ่งเปิดขายเพียงรอบ VIP Day ยังไม่ได้เปิดขายพรีเซลอย่างเป็นทางการ แต่โครงการ “โคคูน พระราม 9” หรือ Cocoon Rama 9 คอนโดมิเนียมโครงการแรกของบริษัท รอแยลเฮ้าส์ อีเลฟเว่น จำกัด ก็ดูจะได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยม การันตีด้วยยอดขายถึงกว่า 70% หลังจากประกาศเปิดตัวโครงการได้ไม่ถึงเดือน     อาจเพราะโครงการมีปัจจัยที่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยอย่างครบถ้วน พร้อมซัพพอร์ตและเติมเต็มทุกพลังชีวิต เริ่มต้นจาก 1.ซัพพอร์ตทุกการเดินทาง โครงการตั้งอยู่ใกล้กับทั้ง The Nine พระราม 9 โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ทางพิเศษศรีรัช รถไฟฟ้าสายสีเหลืองสถานีศรีกรีฑา และแอร์พอร์ตลิงค์สถานีหัวหมาก ใกล้กับทั้งแหล่งงาน เดินทางสัญจรสะดวก จึงตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงานในพื้นที่ อาทิ แพทย์-พยาบาลในโรงพยาบาล คนทำงานออฟฟิศ สถาบันการศึกษา และห้างสรรพสินค้า ไปจนถึงคนที่ทำงานในสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นอย่างมาก     2.ซัพพอร์ตทุกการพักผ่อน แม้จะขึ้นชื่อว่าตั้งอยู่บนย่านที่คนพลุกพล่านอย่างพระราม 9 แต่ด้วยคอนเซ็ปต์ของ “โคคูน” ที่มีความหมายตรงตัวว่า “ดักแด้” โครงการจึงต้องการให้ผู้อยู่อาศัยได้ชาร์จพลังชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ทุกครั้งที่ก้าวเข้ามาในโครงการ เสมือนกลับเข้ามาใน “Charging Pod” โคคูน พระราม 9 จึงตั้งอยู่ในทำเลที่สงบและเป็นส่วนตัว เหมาะสำหรับการพักผ่อนและผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า หลังเผชิญความพลุกพล่าน วุ่นวาย จากการทำงานมาตลอดทั้งวัน     3.ซัพพอร์ตสมดุลแห่งธรรมชาติ ทุกรายละเอียดการดีไซน์ทั้งในและนอกของโครงการ ได้รับแรงบันดาลใจจากคอนเซ็ปต์ “Simple Sensibility” หรือความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ที่อยากจะให้พื้นที่นี้เป็นเหมือนพื้นที่พักผ่อน ร่มรื่น รองรับการใช้ชีวิตของคนเมือง งานด้านสถาปัตยกรรมทั้งหมดจึงให้ความสำคัญ ความสะดวกสบายของผู้อาศัยอย่างแท้จริง ด้วยความรู้สึกอบอุ่นจากวัสดุธรรมชาติผสานกับความทันสมัย ตั้งแต่งานเฟอร์นิเจอร์ไม้แท้ พื้นหิน และ “โคมไฟหวายรูปทรงรังไหม” ที่มีแรงบันดาลใจมาจาก “รังไหม” เพื่อมาเป็นซิกเนเจอร์ของโครงการ รวมถึงการออกแบบองค์ประกอบต่างๆ ทั้งหน้าต่าง ประตู และดีไซน์ ภายนอกอาคาร ที่ถูกดีไซน์มาเพื่อรับแสงธรรมชาติให้ได้มากที่สุด บนคอนเซ็ปต์ “ชีวิตเรียบง่าย ทว่ายังคงความสมดุล”     นอกจากนี้โครงการยังมีจุดแข็งเป็นอย่างดี คือการควบคุมงานก่อสร้างหรือ Construction Management ด้วยตัวเองของ “รอแยลเฮ้าส์” ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจรับสร้างบ้านและพัฒนาที่อยู่อาศัย มากว่า 30 ปี จึงทำให้มั่นใจว่าผู้ซื้อจะได้อยู่อาศัยในโครงการที่มีคุณภาพ ได้วัสดุคุณภาพพรีเมียม มาเติมเต็มฝันของการอยู่อาศัย ในราคาที่เข้าถึงได้     โครงการโคคูน พระราม 9 ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดประมาณ 1 ไร่ 57 ตารางวา บนถนนพระราม 9 ซอย 59 มูลค่าโครงการประมาณ 305 ล้านบาท เป็นอาคาร 8 ชั้น 1 อาคาร 146 ยูนิต ประกอบด้วยห้องชุด 1-2 ห้องนอน รวม 5 แบบ ขนาดตั้งแต่ 26-44 ตร.ม.     ห้องแบบ 1 ห้องนอน (CO-MMON) ขนาด 26 ตร.ม. นิยามของพื้นที่ขนาดกะทัดรัด การใช้ชีวิตที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเรียบง่าย แต่พร้อมไปด้วยฟังก์ชันการใช้ชีวิตที่ครบครัน พร้อมเป็น Comfort Zone มีจุดที่น่าสนใจคือห้องครัวและโต๊ะอาหารอยู่ด้านนอกริมระเบียง เพื่อขจัดปัญหาเรื่องกลิ่น แต่เป็นจุดที่อากาศถ่ายเท ที่สำคัญจะมองเห็นบรรยากาศวิวด้านนอก เพิ่มความชิลล์ได้อีกด้วย   ห้องแบบ 1 ห้องนอน (CO-MFORT) ขนาด 30 ตร.ม. อีกหนึ่งพื้นที่ที่พร้อมตอบโจทย์ความสบายทุกรูปแบบของคนเมือง ที่ต้องพบกับความเครียดหรือแรงกดดันจากสิ่งรอบข้าง อะไรจะดีกว่าการกลับมาห้องที่เราสามารถเอนตัวลงนอนได้อย่างไร้กังวล พร้อมชาร์จพลังให้สุดกับผู้อยู่อาศัยสำหรับวันพรุ่งนี้ที่สมบูรณ์แบบ   ห้องแบบ 1 ห้องนอน (CO-NNECT) ขนาด 33-35 ตร.ม. เพราะห้องนอนเป็นที่ที่สามารถเป็นตัวของคุณเองมากที่สุด ห้องขนาด 35 ตร.ม. จึงกำลังดีที่จะเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ที่คุณรู้สึกสบาย และแสดงออกความเป็นตัวเองได้ดีที่สุด รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ได้อย่างไร้ขีดจำกัด   ห้องแบบ 2 ห้องนอน (CO-MPASS) ขนาด 42-44 ตร.ม. สำหรับใครที่ชอบสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน และอยากมีพื้นที่อิสระที่สามารถใช้ชีวิตได้สุดขั้ว ห้องนี้ตอบโจทย์ด้วยพื้นที่ใช้สอยเหลือเฟือ ถูกจัดสรรอย่างเป็นสัดส่วน มี 2 ห้องนอน 1 ห้องครัว 1 ห้องนั่งเล่น ที่รับประกันว่า Balance Living ในเมืองหลวงไม่ยากอย่างที่คิด   ภายในโครงการประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำ (The Cocoon Pool) โซนพักผ่อนหย่อนใจยอดฮิตของผู้อยู่อาศัย เติมเต็มวันหยุดด้วยกิจกรรมว่ายน้ำและผ่อนคลายไปกับพื้นที่สีเขียว มีสวนและต้นไม้ร่มรื่น สูดโอโซนได้เต็มปอด ฟิตเนส (The Cocoon Fitness) เพิ่มความแอคทีฟ ด้วยห้องออกกำลังกายอุปกรณ์ครบครัน ทั้ง Weight Training และคาร์ดิโอ เพื่อให้ร่างกายฟิต สร้างความกระปี้กระเปร่าเต็มพลัง     ห้องประชุม (The Private Cocoon) พื้นที่ทำงานแบบมัลติฟังก์ชั่น ที่สามารถเปลี่ยนเป็นห้องประชุมส่วนตัวได้อย่างอิสระ Co-working space (The Cocoon Space) พื้นที่ส่วนกลางที่เปิดโอกาสให้สร้างสรรค์งานได้อย่างอิสระ ด้วยเพดานสูงแบบ Double Volume Ceiling พร้อมโต๊ะทำงานหลากหลายแบบ ในบรรยากาศผ่อนคลาย ปลุกพลังในการทำงาน   โครงการโคคูน พระราม 9 ราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท หรือเฉลี่ยทั้งโครงการประมาณ 74,000 บาท/ตร.ม. คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 2/2562 และก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3/2563 สามารถชมตัวอย่างโครงการได้ที่ สำนักงานขายโครงการ บริเวณปากซอยพระรามเก้า 57/2 เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00.น.     ผู้สนใจโครงการ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.cocooncondo.com/Rama9/ หรือสอบถาม โทร 092-323-9323 Line@ ID : @Cocooncondo
“ORI” อวดยอดขายทะยานเกินเป้ากว่า 25,000 ล้านบาท  จากการเปิดโครงการใหม่ “พาร์ค ออริจิ้นทองหล่อ”  หนุนผลประกอบการทั้งปีโตตามเป้า

“ORI” อวดยอดขายทะยานเกินเป้ากว่า 25,000 ล้านบาท จากการเปิดโครงการใหม่ “พาร์ค ออริจิ้นทองหล่อ” หนุนผลประกอบการทั้งปีโตตามเป้า

“ออริจิ้น” ปลื้มยอดขายโครงการแฟล็กชิพฉลุยทั้ง 2 ทำเล “พาร์ค ออริจิ้น พญาไท” กวาดยอดขายทะลุ 80% ด้าน “พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ” โกยยอด 74% ทันทีหลังจบพรีเซล 24 พ.ย. ตอกย้ำความต้องการที่อยู่อาศัยคุณภาพ มั่นใจหนุนผลประกอบการปีนี้โตตามเป้า     นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์ บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า หลังจากประกาศเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแฟล็กชิพภายใต้แบรนด์ใหม่ “พาร์ค ออริจิ้น” ไป 2 โครงการ ใน 2 ทำเลศักยภาพ ได้แก่ 1.พาร์ค ออริจิ้น พญาไท (PARK ORIGIN Phayathai) มูลค่าโครงการ 4,600 ล้านบาท และ 2.พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (PARK ORIGIN Thonglor) มูลค่าโครงการ 12,000 ล้านบาท บริษัทได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยม โดยพาร์ค ออริจิ้น พญาไท เริ่มเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการไปเมื่อ 30 ก.ย. ปัจจุบัน มียอดขายแล้วถึงกว่า 80% ขณะที่พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ เพิ่งเปิด Exclusive Presale เมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา สามารถกวาดยอดขายได้แล้วถึง 74%     “แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น เป็นแบรนด์ใหม่ที่ทีมงานออริจิ้นทุกคนมุ่งมั่นและทุ่มเทในการสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดเป็นแบรนด์ที่อยู่อาศัยที่ลงตัว ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์ภายใต้คอนเซ็ปต์ A Perfect Living Platform ยอดขายที่เกิดขึ้นจึงสะท้อนถึงสภาพของตลาดที่ยังคงให้ความสำคัญกับการซื้อที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างแท้จริง” นายพีระพงศ์ กล่าว     ทั้งนี้ โครงการพาร์ค ออริจิ้นทั้ง 2 โครงการ จะถูกพัฒนาในรูปแบบของโครงการมิกซ์ยูส โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ควบคู่กับคอนโดมิเนียมด้วย อาทิ โรงแรม คอมมูนิตี้มอลล์ สำนักงานให้เช่า ยอดขายของทั้ง 2 โครงการ จึงสะท้อนถึงความต้องการที่อยู่อาศัยที่ครบวงจรในรูปแบบของโครงการมิกซ์ยูสอีกด้วย ในปี 2562 บริษัทยังคงมีแผนจะพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสควบคู่กับคอนโดมิเนียมแบรนด์พาร์ค ออริจิ้น อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค     นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ผลประกอบการในปี 2561 นี้ น่าจะสามารถเติบโตได้ตามเป้า โดยในส่วนของยอดขายนั้น บริษัทตั้งเป้าทั้งปีไว้ที่ 24,000 ล้านบาท เฉพาะช่วง 3 ไตรมาสแรก สามารถทำได้แล้ว 22,400 ล้านบาท หากรวมกับยอดขายที่เพิ่งเกิดขึ้นของโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ จะทำให้ยอดขายทะลุเกิน 25,000 ล้านบาท ขณะที่ด้านรายได้นั้น ก็ยังคงมีโครงการสร้างเสร็จใหม่ที่ทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง เช่น 1.โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท105 (Notting Hill Sukhumvit 105) และ 2.โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ จตุจักร อินเตอร์เชนจ์ (Notting Hill Jatujak-Interchange) รวมถึงการประสบความสำเร็จจากการโอนโครงการใหญ่อย่างโครงการ พาร์ค 24 (PARK24) ซึ่งทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (IBD/E) ของบริษัทลดลงเหลือ 1.49 เท่าในไตรมาสที่ผ่านมา และคาดว่าจะลดลงเหลือ 1.35 เท่า ในการปิดงวดไตรมาส 4 นี้          
ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ไตรมาส 4 ปี 2561

ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ไตรมาส 4 ปี 2561

ซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก เผยว่า มีปัจจัยหลายประการส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดที่พักอาศัยของกรุงเทพมหานคร แม้ว่ามีการเปิดตัวโครงการใหม่เกิดขึ้นมาก แต่ยอดขายจากผู้ซื้อชาวไทยเริ่มชะลอตัวลงในบางทำเลและอาจมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวต่อไปอีกจากมาตรการเรื่องการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปีหน้า  ผู้พัฒนาโครงการบางรายพยายามที่จะหาทำเลที่ตอบโจทย์ความต้องการจากกลุ่มผู้ซื้อคนไทยที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และพัฒนาโครงการในระดับราคาที่สอดคล้องกับกำลังซื้อของตลาด  ผู้พัฒนาโครงการบางรายปรับเพิ่มสัดส่วนการขายให้กับผู้ซื้อชาวต่างชาติซึ่งอาจซื้อเพื่อการลงทุนโดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์เข้าพักอาศัยจริง ด้านตลาดให้เช่าที่พักอาศัยสำหรับชาวต่างชาติในย่านใจกลางเมืองนั้นยังมีเสถียรภาพ แต่ซีบีอาร์อีมองว่าตลาดให้เช่าที่พักอาศัยสำหรับคนไทยในย่านรอบนอกใจกลางเมืองและย่านชานเมืองไม่ค่อยมีการเติบโตในเรื่องค่าเช่า ทำให้นักลงทุนที่ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อนำมาปล่อยเช่าอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้   เมื่อไม่นานมานี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดมาตรการกำกับดูแลการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เข้มงวดขึ้น โดยการปรับลดอัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ให้แก่ผู้ซื้อบางกลุ่ม เพื่อลดความเสี่ยงด้านสินเชื่อและความเสี่ยงในตลาดอสังหาริมทรัพย์  รวมทั้งปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้ดีขึ้น โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป ซึ่งมาตรการใหม่นี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกซึ่งเป็นความต้องการอยู่อาศัยที่แท้จริง มากกว่านักลงทุนที่ซื้อที่พักอาศัยแล้วนำมาปล่อยเช่าเพื่อสร้างผลตอบแทนซึ่งมีสัญญาสินเชื่อหลายฉบับ แม้ว่ามาตรการดังกล่าวจะไม่บังคับให้ผู้พัฒนาโครงการต้องเรียกเก็บเงินดาวน์ขั้นต่ำในการทำสัญญา แต่ก็จะกระตุ้นให้ผู้พัฒนาโครงการเรียกเก็บเงินดาวน์ในอัตราที่สูงขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงหากลูกค้าทิ้งเงินดาวน์เมื่อถึงเวลาที่ต้องโอน ซึ่งจะทำให้ความต้องการจากนักเก็งกำไรลดลง เพราะต้องใช้เงินดาวน์สูงถึง 20 - 30% ต่างจากในปัจจุบันที่ใช้เงินดาวน์เพียง 10 - 15%  และมาตรการนี้จะช่วยชะลอความร้อนแรงและสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดโดยรวม   เนื่องจากเป็นที่คาดการณ์ว่าความต้องการภายในประเทศจะชะลอตัว อันเป็นผลจากข้อกำหนดใหม่ด้านสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ซีบีอาร์อีคาดว่าจะมีผลต่อเนื่องทำให้ผู้พัฒนาโครงการหันไปพึ่งพาผู้ซื้อชาวต่างชาติที่ซื้อที่พักอาศัยด้วยเงินของตนเองเป็นหลัก เพราะเงินทั้งหมดต้องโอนมาจากต่างประเทศด้วยสกุลเงินต่างประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับด้านการเป็นเจ้าของอาคารชุดโดยชาวต่างชาติ ผู้พัฒนาโครงการหลายรายกล่าวว่าได้เพิ่มยอดขายคอนโดมิเนียมในส่วนที่มาจากผู้ซื้อชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีนทั้งในรูปของการซื้อแบบรายบุคคลและการซื้อแบบยกล็อตโดยผ่านนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ชาวจีน  หลายโครงการได้เปิดเผยว่าโควตาสำหรับผู้ซื้อต่างชาติเต็มแล้ว (49% ของพื้นที่ขาย) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต   “เรื่องนี้ทำให้ซีบีอาร์อีมีความกังวลมากขึ้นว่าการพึ่งพายอดขายจากลูกค้าต่างชาติจำนวนมากจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ เพราะยังไม่แน่นอนว่าลูกค้าต่างชาติเหล่านี้จะโอนกรรมสิทธิ์หากเป็นนักเก็งกำไร และยังไม่มีความชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้ที่พักอาศัยในคอนโดมิเนียมเมื่อการก่อสร้างเสร็จสิ้น  ลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็นนักลงทุน และอาจไม่มีความต้องการเที่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง” นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าว   จากการสำรวจโดยแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี พบว่า ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2561 มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ในย่านใจกลางเมืองราว 7,200 ยูนิต เปรียบเทียบกับในช่วงสองไตรมาสแรกของปีนี้รวมกันมีเพียง 1,300 ยูนิต  โดยคอนโดมิเนียมใหม่ที่เปิดตัวในย่านใจกลางกรุงเทพฯ ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 8%เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว   ด้านราคาเสนอขายโดยเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมแบบฟรีโฮลด์ระดับไฮเอนด์ขึ้นไป ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้างในย่านใจกลางกรุงเทพฯ ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยประมาณ 1.7% ต่อปี มาอยู่ที่ 277,000 บาทต่อตารางเมตร  ซีบีอาร์อีไม่เชื่อว่าราคาเฉลี่ยในย่านใจกลางกรุงเทพฯ โดยทั่วไปจะปรับตัวลดลง เว้นแต่ในโครงการที่แล้วเสร็จแต่ยังมียูนิตเหลือขายจำนวนมาก  จากตัวเลขของผู้พัฒนาโครงการพบว่า คอนโดมิเนียมในย่านใจกลางเมืองที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างมียอดขายลดลงเหลือ 67% เทียบกับ 77% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน  ซีบีอาร์อีจึงมองว่าแนวโน้มด้านยอดขายจะค่อนข้างชะลอตัวสำหรับโครงการคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ในย่านใจกลางเมืองที่ผู้ซื้อคัดเลือกสินค้ามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการที่มีราคาขายสูงกว่า 300,000 บาทต่อตารางเมตร  ผู้พัฒนาโครงการที่ต้องการทำราคาขายให้ได้ในระดับที่สูงจำเป็นต้องทำให้ผู้ซื้อมั่นใจว่าโครงการของตนมีความเหมาะสมกับราคาอย่างแท้จริง   แผนกวิจัย ซีบีอาร์อีรายงานว่า ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ในย่านมิดทาวน์และย่านชานเมืองรวมทั้งสิ้น 18,200 ยูนิต ซึ่งนับเป็นการเปิดตัวคอนโดมิเนียมที่มากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2556 เป็นต้นมา โดยคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวในย่านมิดทาวน์ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี2561 ลดลง 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน    ปัจจุบันผู้พัฒนาโครงการต่างกำลังมุ่งไปที่ทำเลที่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว ส่วนต่อขยายรถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงิน และรถไฟใต้ดินสายสีส้ม สายสีเหลือง และสายสีชมพูที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง   ราคาเสนอขายโดยเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมที่การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จในย่านมิดทาวน์และย่านชานเมืองปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 99,700 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 5.6% ต่อปี  ในอัตราการขายของคอนโดมิเนียมที่มีมากกว่า 200 โครงการในย่านนี้อยู่ที่ระดับ 71% เปรียบเทียบกับ 59% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซีบีอาร์อีเชื่อว่ายอดขายที่ดีขึ้นนั้นเกิดจากการขายยกล็อตให้กับนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ชาวจีน ถึงแม้จะยังไม่สามารถสรุปได้ว่ายอดขายเหล่านี้จะหมายถึงการโอนห้องจริงเมื่อโครงการแล้วเสร็จ   ปริมาณคอนโดมิเนียมที่เพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนด้านความต้องการภายในประเทศจากผู้ซื้อที่ต้องการพักอาศัยเอง รวมไปถึงความยั่งยืนของความต้องการจากลูกค้าต่างชาติ ทำให้แนวโน้มในตลาดคอนโดมิเนียมของกรุงเทพฯ มีความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมในย่านใจกลางเมือง ผู้พัฒนาโครงการอาจจะต้องลดความคาดหวังที่มีต่อราคาขายระดับสูง หรือปรับเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นที่ทำเลใจกลางเมือง ไปสู่ทำเลที่ราคาที่ดินถูกกว่า เช่น สุขุมวิท63 (ซอยเอกมัย) มากกว่าสุขุมวิท 55 (ซอยทองหล่อ) สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมในย่านมิดทาวน์และย่านชานเมือง โครงการที่ผู้ซื้อสามารถกู้ซื้อได้และมีนักเก็งกำไรและนักลงทุนน้อยจำเป็นต้องพึ่งพาความต้องการจากผู้ซื้อคนไทยที่ต้องการพักอาศัยเองมากยิ่งขึ้น   สำหรับตลาดที่พักอาศัยให้เช่าในย่านใจกลางกรุงเทพฯ สำหรับชาวต่างชาตินั้น จำนวนชาวต่างชาติที่ได้รับใบอนุญาตทำงานมีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 2.7% ต่อปี และงบประมาณต่อเดือนในการเช่าบ้านก็ยังคงที่ สถานการณ์ในตลาดโดยรวมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยมีอพาร์ทเมนท์ใหม่เกิดขึ้นน้อยมาก ขณะที่คอนโดมิเนียมกลับเพิ่มขึ้นโดยตลอด ซึ่งซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่าประมาณ 30-40% ของคอนโดมิเนียมใหม่จะถูกนำออกมาปล่อยเช่าเมื่อโครงการแล้วเสร็จ
เสนาฯ ติดตั้งเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าภายใต้ชื่อ EV ready ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่

เสนาฯ ติดตั้งเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าภายใต้ชื่อ EV ready ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่

กระแสรถยนต์ไฟฟ้า Electric Vehicle หรือที่เราเรียกกันสั้นๆว่า รถ EV กำลังมาแรงทั่วโลก  ผู้บริหารหญิงคนเก่ง แห่งค่าย เสนาดีเวลลอปเม้นท์  ดร.ยุ้ย เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  ก็ไม่พลาดที่จะตอบรับกระแสโดยการติดตั้งเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า (EV Charger ) ภายใต้ชื่อ EV ready รองรับยานยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทั้งแบบไฮบริด และ ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) รวมถึงยานยนต์ไฟฟ้าชนิดแบตเตอรี่ (BEV) ให้กับลูกค้าโครงการ เสนาพาร์คแกรนด์ รามอินทรา  และ เสนาพาร์ควิลล์ รามอินทรา - วงแหวน เพื่อตอบสนองความต้องการตลาดและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่จะเริ่มหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นงานนี้ นอกจากได้บ้านที่สวยด้วยฟังก์ชั่นและดีไซน์แล้ว ยังไม่ตกเทรนด์ด้วยน้า  สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติม โทร 1775
ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร เปิดตัวออฟฟิศแคมปัสแห่งแรกใจกลางกรุงเทพฯ

ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร เปิดตัวออฟฟิศแคมปัสแห่งแรกใจกลางกรุงเทพฯ

กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ระดับคุณภาพของประเทศไทย เปิดตัวอาคารสำนักงาน Office Campus ต้นแบบแห่งแรกใจกลางกรุงเทพมหานคร “อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร” บนทำเลทองถนนสาทร ติดกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสุรศักดิ์ มุ่งเสริมWork-Life Balance ให้กับกลุ่มคนทำงานในเมืองด้วยพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจและพื้นที่สีเขียวร่มรื่น พร้อมร้านกาแฟชื่อดัง Roots และ ร้านอาหารสไตล์ fusion รสชาติเยี่ยมอย่าง Ocken เกิดเป็นโอเอซิสแห่งใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของคนทำงานทุกอาชีพ   นายปิติภัทร บุรี กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี กล่าวว่า “อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร เป็นต้นแบบของอาคารสำนักงานแบบใหม่ ในคอนเซ็ปต์ Office Campus แห่งแรกตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ พื้นที่โดยรอบเน้นการอำนวยความสะดวกด้านพื้นที่การทำงานที่หลากหลาย ความสะดวกสบาย รวมถึงพื้นที่สีเขียวที่หาได้ยากมากท่ามกลางเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยตึกสูง เราต้องการสร้างความแตกต่างและสร้างความหมายให้กับทุกตารางเมตร รวมถึงสร้างโอกาสในการทำความรู้จักหรือมี Social Connection กับผู้คนรอบข้างได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นก็ยังมีร้านกาแฟ ร้านอาหารคุณภาพเยี่ยมให้ผู้คนได้เลือกกินดื่ม ตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์สำหรับคนทำงานรุ่นใหม่ที่อยู่ไม่ติดที่และต้องการความคิดสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดี”     ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร เป็นกลุ่มอาคารสำนักงานแบบ Office Campus บนพื้นที่ขนาด 5 ไร่ แบ่งออกเป็น 3 แคมปัส ได้แก่ Campus A อาคารสูง 4 ชั้น, Campus B อาคารสูง 2 ชั้น และ Campus C อาคารชั้นเดียว ติดกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสุรศักดิ์ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ให้เช่าส่วนอาคารสำนักงานจำนวน 3,500 ตารางเมตร ถือเป็นต้นแบบออฟฟิศแคมปัสในประเทศไทย ที่ตอบโจทย์คนทำงานทั้งในและนอกออฟฟิศในยุคปัจจุบัน พร้อมด้วยพื้นที่สีเขียวสำหรับการคิดนอกกรอบและพักผ่อนหย่อนใจ และร้านกาแฟภายใต้แนวคิด Cup-to-farm Ethos อย่าง Roots ที่จะช่วยเติมพลังให้กับคนทำงาน พร้อมด้วยร้านอาหารบรรยากาศสบายๆ และอบอุ่นอย่างOcken ที่พร้อมเสิร์ฟเมนูอาหารตะวันตกสไตล์โมเดิร์น เหมาะกับเป็นจุดนัดสังสรรค์หลังเลิกงานยามเย็นได้เป็นอย่างดี     ภายในวันเปิดโครงการ ยังมีการจัดนิทรรศการภาพถ่าย “Birth” จากคุณพิชาญ สุจริตสาธิต ช่างภาพอิสระชื่อดัง ที่ถ่ายทอดเรื่องราวต่อมุมมองย่านสาทรผ่านภาพถ่ายที่สะท้อนการถือกำเนิด เอกลักษณ์และความหวัง บนถนนสาทรออกมาได้อย่างโดดเด่น พร้อมมินิคอนเสิร์ตจากอิมเมจ สุธิตา ที่ช่วยสร้างสีสันและบรรยากาศภายในงานได้อย่างน่าประทับใจ     กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ระดับคุณภาพ บนทำเลชั้นเยี่ยมทั่วกรุงเทพฯมากว่า 30 ปี เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จและเป็นเจ้าของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท เอ็มควอเทียร์ อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค อาคารสมัชชาวาณิช 2 (UBC II) วันอุดมสุข คอมมิวนิตี้มอลล์ และ อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร ที่ได้เปิดตัวล่าสุดนี้    
แสนสิริ เซตมาตรฐานวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดตัวครั้งแรกกับโมเดลธุรกิจเปลี่ยนโลก “Sansiri Green Mission” ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน

แสนสิริ เซตมาตรฐานวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดตัวครั้งแรกกับโมเดลธุรกิจเปลี่ยนโลก “Sansiri Green Mission” ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำผู้นำอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทย ที่สร้างจุดเปลี่ยนเพื่ออนาคตของโลก ปั้นโมเดล “แสนสิริ กรีน มิชชั่น  – Sansiri Green Mission” สะท้อนปรัชญาของแนวคิด “เศรษฐกิจหมุนเวียน” หรือ “Circular Economy” ผสานการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีภายใต้การวิจัยและพัฒนาในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน วาง Green Roadmap ผลักดัน 4 คำมั่นสัญญาหลัก ได้แก่ Waste Management |  Energy Saving & Generation | Smart Move และ Sustainability เพื่อโลกและคุณภาพชีวิตที่ดีในการอาศัยอยู่ของลูกบ้านแสนสิริและประชาคมโลกอย่างยั่งยืน   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ของแสนสิริที่ไม่เพียงแค่การพัฒนาหรือสร้างที่อยู่อาศัย แต่แสนสิริยังมุ่งมั่นส่งมอบไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตให้แก่ลูกค้าภายใต้แนวคิด customer-centric หรือความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุดเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยให้กับลูกค้าในแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ล่าสุดแสนสิริยังมีแนวคิด ในการเดินหน้าเป็นผู้นำเพื่อผลักดันและเซตมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยในด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและยั่งยืน โดยการให้ความสำคัญทั้งในด้านลดการใช้พลังงานและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมโลก ทั้งนี้ที่ผ่านมา แสนสิริได้จัดตั้งทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) และร่วมมือกับพันธมิตรจากสถาบันฯ และบริษัทฯ ชั้นนำระดับโลกกว่า 20 ราย เพื่อพัฒนาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน  โดยเริ่มนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ผ่านการทดสอบเข้าสู่กระบวนการติดตั้งในโครงการนำร่องต่างๆ อาทิ โครงการ Cooliving Designed Home นวัตกรรมบ้านระบายความร้อน การพัฒนาและติดตั้งกังหันลม ผลิตไฟฟ้า Wind Turbine รวมถึงการเปิดตัว Smart Move แพลตฟอร์มบริการเช่ารถพลังงานไฟฟ้า 100% เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้าน เป็นต้น”   โดยการดำเนินงานเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนในครั้งนี้ “แสนสิริ” ได้นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน มาประยุกต์ให้เข้ากับแบรนด์ดีเอ็นเอ (DNAs) ของบริษัท ด้วยแรงขับเคลื่อนจากทัศนคติที่พร้อมเปิดรับและพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของแนวทางการจัดการของเสียและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแบบบูรณาการ บนหลักการ 2 ข้อใหญ่ ได้แก่ การรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรเพื่อประโยชน์สูงสุด และการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรการบริโภคให้น้อยที่สุด สอดรับกับ แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ (พ.ศ. 2559 – 2564) เพื่อแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย ตามนโยบายรัฐบาลที่กำหนดให้เป็น “วาระแห่งชาติ” รวมถึงร่างแผนจัดการขยะพลาสติกอย่างบูรณาการ            (พ.ศ. 2560 - 2564) เกิดเป็นโมเดลต้นแบบภายใต้ชื่อ “แสนสิริ กรีน มิชชั่น – Sansiri Green Mission” อันจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญกับการเป็นผู้กำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยในอนาคตที่เข้าใจและใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยมี Green Roadmap เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนในทุกโครงการใหม่ของแสนสิริ ภายใต้ 4 คำมั่นสัญญาหลัก ได้แก่ Waste Management | Energy Saving & Generation | Smart Move และ Sustainability     นายอุทัย กล่าวต่อไปว่า “เราได้เตรียมงบประมาณไว้ 50 ล้านบาท ระหว่างปี พ.ศ. 2562 - 2564 โดยมุ่งมั่งสร้างความเป็นเลิศสู่ความยั่งยืนด้านพลังงานและกำจัดของเสีย ซึ่งในด้าน Waste Management หรือ การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทวางจุดยืนที่ชัดเจน ในการลดปริมาณขยะคอนกรีตจากการก่อสร้างทั้งในรูปแบบก่ออิฐฉาบปูนและพรีคาสต์สู่นวัตกรรม “Earth Blox” ที่นำเศษคอนกรีตมวลเบาเหลือใช้จากการก่อสร้างกลับมาเป็นส่วนผสมในการแปรรูป เพื่อสร้างบล็อกคอนกรีตใหม่ นำกลับมาใช้ทำแผ่นทางเท้า ช่องลมระบายอากาศ และของตกแต่งภายในแลนด์สเคป โดยนับจากนี้ บริษัทจะเพิ่มการใช้การก่อสร้างด้วยระบบพรีคาสต์ในการก่อสร้างคอนโดมิเนียมจาก 50% เป็น 80% ภายในปีพ.ศ. 2564 ซึ่งจะสามารถลดขยะคอนกรีตที่เกิดจากการก่อสร้างโดยวิธีก่ออิฐฉาบปูนได้ถึง 1,600 ตันต่อปี ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถช่วยโลกลดก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas) ได้มากกว่า 48 ตันต่อปี เท่ากับพื้นที่สีเขียวของป่าไม้ 36 ไร่ รวมทั้งตั้งเป้าหมายในการเดินหน้าประกาศภารกิจในการลดปริมาณขยะคอนกรีตจากการก่อสร้างในโรงงานพรีคาสต์ของแสนสิริเป็น 0% หรือ Zero Waste ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2562   ในด้านการกำจัดขยะจากการบริโภคของลูกบ้าน บริษัทได้ทุ่มงบประมาณ 600,000 บาท ติดตั้งเครื่อง Food Waste Machine จำนวน 10 เครื่อง บนพื้นที่ส่วนกลางในทุกโครงการแนวสูงที่จะพัฒนาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2562 เป็นต้นไป โดยตั้งเป้าหมายขยายการใช้งานใน 23 โครงการ ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยในช่วงปีแรกสามารถแปรรูปขยะมูลฝอยได้มากถึง 18 ตันต่อปี จาก 10 โครงการ และคาดว่าเมื่อครบทั้งสิ้น 23 โครงการ จะสามารถแปรรูปขยะมูลฝอยเฉลี่ย 42 ตันต่อปี นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้ง Refun Machine เครื่องรับคืนขวดพลาสติกและกระป๋องในทุกโครงการแนวสูง รวมทั้งสิ้น 23 โครงการ ภายในปี พ.ศ. 2564 และร่วมมือกับสตาร์ทอัพในการพัฒนาแอพพลิเคชั่น Goo Greens เพื่อนำเสนอความรู้เกี่ยวกับการแยกขยะให้กับลูกบ้านและให้ลูกบ้านได้สนุกกับการสะสมคะแนนเพื่อแลกของสมนาคุณต่างๆ ซึ่งเริ่มนำมาใช้แล้ว ทั้งในโครงการแนวราบ ที่เศรษฐสิริ จรัญฯ-ปิ่นเกล้า และโครงการแนวสูงภายในฮาบิโตะมอลล์ รวมทั้งได้นำร่องติดตั้งเครื่อง Home bio gas หรือนวัตกรรมเครื่องเปลี่ยนขยะมูลฝอยเป็นก๊าซหุงต้มที่โรงแรมเอสเคป เขาใหญ่ และในส่วนของสำนักงานใหญ่ เซลล์ ออฟฟิศ และเซลล์ แกลอรี่ บริษัทตั้งเป้าหมายในการยกเลิกการใช้ขวดน้ำดื่มพลาสติก 100% ภายในปลายปีหน้า”     นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ส่งเสริมการพัฒนาด้าน Energy Saving & Generation เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าทดแทนให้กับโครงการต่างๆ ของบริษัท โดยมีแผนติดตั้ง Solar Roof ครอบคลุม 31 โครงการ ภายในปี พ.ศ. 2564 ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ 2 เมกกะวัตต์ พลังงานสะอาดที่ผลิตได้เทียบเท่ากับปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ชาร์จสมาร์ทโฟนถึง 1,400 ล้านเครื่อง ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 2,223 ตันต่อปี หรือคิดเป็นพื้นที่ป่าสีเขียวประมาณ 1,600 ไร่ นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนลดการใช้พลังงานในโครงการที่อยู่อาศัยทั้งในโครงการแนวราบและแนวสูง ด้วยการใช้นวัตกรรมที่ช่วยถ่ายเทอากาศและลดอุณหภูมิในที่อยู่อาศัย ได้แก่ นวัตกรรม Cooliving Designed Home ที่ประกอบด้วย Solar Attic การใช้พัดลมที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยลด    ความร้อนใต้หลังคาบ้าน ทำให้อากาศภายในตัวบ้านเย็นลง และ Shading Screen ระแนงกันแดดที่ออกแบบโดยคำนึงถึงทิศทางของบ้าน เป็นต้น   นายอุทัย กล่าวต่อไปว่า “ด้านการเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตของลูกบ้านที่สมบูรณ์แบบ หรือ “Smart Move” บริษัทได้นำเสนอแนวคิด Complete your living experience และร่วมมือกับ 4 พันธมิตรหลัก Honda, Haupcar, SHARGE และ EA Anywhere สร้างแพลตฟอร์มบริการยานพาหนะระบบเช่า รวมทั้งติดตั้ง Electronic car sharing และ EV Charger ครบทุกโครงการแนวสูงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป ซึ่งปัจจุบันติดตั้งไปแล้ว 5 สถานีรวม 11 คัน และเตรียมเพิ่มอีก 4 สถานีรวม 6 คัน ในปีหน้า คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 7.5 ตันต่อปี หรือคิดเป็นพื้นที่ป่าสีเขียวประมาณ 5.7 ไร่ พร้อมกันนี้ ยังได้วางเป้าหมายเพื่อต่อยอดโดยเปิดตัวพันธมิตรใหม่ e-scooter ให้บริการใน 2 โครงการสำคัญอีกด้วย และสุดท้ายในส่วนของ Sustainability การบริหารเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน บริษัทได้เตรียมความพร้อมสร้างความร่วมมือกับองค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดยนับเป็นอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่จับมือกับกลุ่มอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ในเมือง หรือ Big Tree เพื่อจัดการต้นไม้ใหญ่ในโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน โดยนำหลักสูตรรุกขกรรมมาอบรมนิติบุคคลและเจ้าหน้าที่ที่ดูแลโครงการ ดูแลตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ให้สวยงามและยั่งยืนในทุกโครงการ เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของลูกบ้านและรักษาสภาพแวดล้อมให้ร่มรื่นและเพิ่มมูลค่าโครงการ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญด้านการออกแบบอย่างยั่งยืน หรือ Sustainability design ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการออกแบบให้ลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน ผสานกับฟังก์ชั่นการใช้งานอย่างลงตัว อาทิ การออกแบบที่พักตอบโจทย์เรื่องอยู่สบายและลดอุณหภูมิภายในบ้าน เพื่อลดปริมาณการใช้พลังงาน ด้วยนวัตกรรม Cooliving Designed Home ในโครงการแนวราบ และนวัตกรรม Ventilation Door คอนโดมิเนียมหายใจได้ใช้ในโครงการแนวสูง ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค เป็น “Green Condominium”  เต็มรูปแบบ โครงการแรก และจะนำแนวคิดไปต่อยอดปรับใช้กับโครงการที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคตทุกโครงการ”   Sansiri Green Mission ทั้ง 4 คำมั่นสัญญาหลัก ได้แก่ Waste Management | Smart Move | Energy Saving & Generation และ Sustainability นับเป็นการผสมผสานนวัตกรรมสีเขียวตลอดวงจรธุรกิจ และเป็นโมเดลแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมสอดรับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนครบทุกวงจร ตั้งแต่ Reduce – Recycle – Design – Retailer – Consumers ซึ่งมั่นใจว่าภายใน 3 ปี Sansiri Green Mission จะเป็นกุญแจขับเคลื่อนการสร้างเมืองแห่งอนาคตที่มีความยั่งยืนด้านพลังงานอันจะนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะยกระดับมาตรฐานของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ก้าวสู่การให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” นายอุทัยกล่าวสรุป    
เกษตร-นวมินทร์ ทำเล โฮม ออฟฟิศ แหล่งงานและชุมชนที่ลงตัว

เกษตร-นวมินทร์ ทำเล โฮม ออฟฟิศ แหล่งงานและชุมชนที่ลงตัว

เกษตร-นวมินทร์ ทำเล โฮม ออฟฟิศ แหล่งงานและชุมชน ที่เติบโตต่อเนื่อง คราคร่ำไปด้วยผู้คน และบรรดาร้านอาหารอร่อย เพราะการคมนาคมขนส่งสะดวก เข้าออกได้หลายทาง เดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิไม่ยาก  อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ จึงเป็นโฮมออฟฟิศ ที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการ เป็นสถานที่ทำงานและอยู่อาศัยได้อย่างลงตัว       เกษตร-นวมินทร์ แหล่งงานและชุมชน ระยะสิบกว่าปีที่ผ่านมาตั้งแต่มีการตัดถนนประดิษฐ์มนูญธรรม การขยายตัวของเมืองจากเส้นเอกมัย-รามอินทรา มีการเจริญเติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด ยิ่งถนนประเสิรฐมนูญกิจ (ถนนเกษตร-นวมินทร์) ตัดเชื่อมเมืองสองฝั่งอีกหนึ่งสาย ความเจริญยิ่งตามมาเพราะถนนเส้นนี้เชื่อมฝั่งเมืองจากตะวันออกไปยังตะวันตก เส้นถนนที่ไปชนกับถนนพหลโยธิน ย่านนั้นเป็นย่านชุมชนที่มีทั้งมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล ทั้งของของรัฐ และเอกชน     ในย่านนี้ถนนลาดปลาเค้า ตัดไปยังถนนลาดพร้าววังหิน ก็สามารถเดินทางไปยังถนนลาดพร้าวได้ง่าย เมื่อกล่าวถึงถนนลาดปลาเค้าซึ่งเชื่อมต่อไปยังถนนรามอินทรา ย่านนี้ก็คราคร่ำไปด้วยผู้คน เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยทำมาหากิน และยังเต็มไปด้วยร้านอาหารดีๆเจ้าดังมากมาย รวมถึงคอมมูนิตี้มอลล์ ที่จะเป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจ เช่น The Jas รามอินทรา และวิ่งบนถนนรามอินทรา ก็มีทั้ง ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล บิ๊กซี และห้างขนาดใหญ่อื่นๆ อีกหลายแห่ง   เช่นเดียวกันหากไม่เข้าถนนลาดปลาเค้าแต่ขับรถวิ่งไปตามเส้นถนนลาดพร้าววังหิน ต้องบอกว่าเป็นแหล่งชุมชนถนนของคนสายกิน เพราะเป็นแหล่งรวม ทั้งร้านค้าร้านอาหาร เลือกหาร้านก๋วยเตี๋ยว  ร้านอาหารไทย ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านเป็ดพะโล้ ร้านขนมของหวาน สารพัดร้านอาหาร และหลายร้านเป็นร้านอาหารบรรยากาศดีที่ให้เลือกแฮงเอ้าท์ได้หลังเลิกงาน รวมถึงย่านนี้ยังมีคอมมูนิตี้มอลล์ และตลาดสดมีให้จับจ่ายใช้สอยอย่างครบครัน แบบขาดเหลืออะไรก็หาได้ในย่านนี้ ถนนเส้นนี้ยังทะลุไปถนนโชคชัย 4 เข้าถนนลาดพร้าวได้ง่ายอีกด้วย   ทำเลเดินทางสะดวกเข้าออกได้หลายทาง   ทำเลเกษตร-นวมินทร์ เดินทางเข้าออกบนเส้นถนนสายหลักหลายสาย ถนนรามอินทรา ถนนพหลโยธิน และถนนวิภาวดี-รังสิต ย่านนี้เป็นแหล่งชุมชน และเป็นพื้นที่สำหรับการทำธุรกิจใหม่ๆ มีการสร้างโครงการ แหล่งงาน ที่อยู่อาศัย บ้าน โฮม ออฟฟิศ ที่สามารถเป็นที่อยู่และออฟฟิศไปพร้อมๆกัน ทำเล ย่านเกษตร-นวมินทร์ เป็นทำเลที่เรียกว่า BEST LOCATION FOR BUSINESS     สำหรับการเดินทางโดยทางด่วนพิเศษ ก็มีเส้นทางด่วน 4 สายที่สามารถเดินทางมาถึงย่านนี้ได้ง่ายไม่ว่าจะมาจากมุมเมืองด้านเหนือใต้ออกตก โดยทางด่วนพิเศษฉลองรัช, ทางพิเศษกาญจนาภิเษก, ทางยกระดับอุตราภิมุข และทางพิเศษศรีรัช     ขณะที่อนาคตในย่านนี้จะสามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ซึ่งมีการตัดผ่านของเส้นรถไฟฟ้าถึง 4 สาย สายสีชมพู แคราย-มีนบุรี สายสีน้ำตาล แคราย-บึงกุ่ม สายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และนอกจากนั้น ย่านนี้ก็ถือว่าใกล้กับรถไฟสายสีแดงเข้ม ซึ่งเป็นระบบรถไฟชานเมือง ซึ่งเชื่อมต่อชานเมืองด้านทิศเหนือ และทิศใต้ อีกด้วย     ดังนั้น การเลือกหาสถานที่ทำงานเป็น โฮม ออฟฟิศ สักแห่งในย่านนี้จึงไม่ใช่เรื่องยาก และถือเป็นทำเลที่เหมาะสม มีความ Friendly Userคือพนักงานสามารถเดินทางได้ง่าย คล่องตัวทั้งผู้ที่ทำงานและผู้ที่มาติดต่อ โดยที่เนื้อที่โฮม ออฟฟิศ เนื้อที่กว้างขวางมีพื้นที่สีเขียว ตัวอาคารออกแบบให้เป็นพื้นที่พักอาศัยกับพื้นที่สำนักงานได้เป็นสัดส่วนลงตัว  บางโครงการมีลิฟท์ส่วนตัว และสามารถรองรับการจอดรถได้หลายคัน ซึ่งถือเป็นความได้เปรียบ   เกษตร-นวมินทร์ ย่านครีเอทีฟ ออฟฟิศ   โฮม ออฟฟิศ ที่มีพื้นที่กว้างขวางแบบนี้เหมาะกับผู้ประกอบการลักษณะ โดยเฉพาะในย่านเกษตร-นวมินทร์ เราจะพบเห็น บริษัทในลักษณะของครีเอทีฟ เช่น โปรดักส์ชั่น เฮาส์ ธุรกิจออนไลน์ ธุรกิจความงาม การทำคลินิก ฯลฯ ธุรกิจของคนรุ่นใหม่หลากหลายบริษัท หรือแม้กระทั่งกลุ่มธุรกิจที่คุ้นเคยพื้นที่ในย่านเกษตร-นวมินทร์และใกล้เคียง หลายบริษัทขยายพื้นที่เพื่อรองรับการเติบโตในย่านนี้     รวมไปถึงกลุ่มเจ้าของกิจการที่ต้องการออฟฟิศในกรุงเทพเพื่อการติดต่อหรือประสานงานทางธุรกิจ โดยมีกิจการอยู่ในจังหวัดใกล้เคียงทางเหนือของกรุงเทพ เช่น ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น แม้กระทั่งกลุ่มเจ้าของกิจการที่มีการเดินทางด้วยเครื่องบินโดยใช้สนามบินดอนเมือง หรือสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งการเดินทางจากโครงการไม่ยาก และถึงสนามบินในเวลาประมาณ 30 นาที  และหรือกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการซื้อโครงการเพื่อนำไปปล่อยเช่าก็ทำได้     เลือกสมาร์ท โฮม ออฟฟิศ   บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ Prove Kaset Nawamin เป็นโฮมออฟฟิศ 4 ชั้น พื้นที่ 44.7-77.9 ตารางวา มีพื้นที่ใช้สอย 339-375 ตารางเมตร จำนวน 8 ยูนิต บนถนนลาดปลาเค้า เชื่อมระหว่างถนนรามอินทรา ถ.เกษตร-นวมินทร์ ซึ่งโครงการห่างจากถนนรามอินทราเพียง 700 เมตร การดีไซน์ Double Volume กับบานกระจกหน้าต่างทรงสูง ใช้วัสดุก่อสร้างเกรดพรีเมี่ยม ระบบไฟ LED พื้น ชั้นล่างเป็นกระเบื้อง ชั้นบนเป็น ไวนิลลายไม้ ทนต่อการขูดขีด และการใช้งานในรูปแบบสำนักงาน     โดย โฮม ออฟฟิศ ของอัลติจูดออกแบบให้ชั้นบนสุดสามารถอยู่อาศัยได้มี 3 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ และจอดรถสูงสุดได้ 8 คัน เป็นสมาร์ทออฟฟิศที่มีลิฟท์ มีห้องประชุม พื้นที่ใช้งานในส่วนของออฟฟิศกว้างขวาง ระบบ Smart Office ที่มาพร้อมอุปกรณ์อัจฉริยะ รองรับการสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟน ระบบนิรภัยทั่ว ตัวอาคาร พร้อมห้องนิรภัย มีกล้องวงจรปิดและระบบความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง  
แต่งคอนโดฯ อย่างไร…ให้คอมพลีท!

แต่งคอนโดฯ อย่างไร…ให้คอมพลีท!

ยังคงเป็นปัญหาความยุ่งยากของใครหลายคน ที่เมื่อซื้อคอนโดฯ แล้วยังจะต้องหาเวลาไปเลือกเฟอร์นิเจอร์ตรงนั้นที ตรงนี้ที ไหนจะต้องโทรตามช่างมาติดตั้งอะไรต่างๆ นานา ไหนจะเจอปัญหาเฟอร์นิเจอร์ไม่พอดีกับพื้นที่ สายไฟตามผนังทำให้ดูรกหูรกตา ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ เอสบี ดีไซน์สแควร์ ผู้นำด้านนวัตกรรมและดีไซน์เฟอร์นิเจอร์เมืองไทย จึงปิ๊งไอเดียเปิดโมเดลธุรกิจใหม่เป็นของขวัญส่งท้ายปีด้วย “CONDO SOLUTIONS @ SB DESIGN SQUARE” (คอนโด โซลูชั่นส์ @ เอสบี ดีไซน์สแควร์) ทั้งยังนับเป็นเจ้าแรกที่รวบรวมบริการตกแต่งคอนโดแบบครบวงจร พร้อมตอบทุกเรื่อง ขจัดทุกปัญหา การแต่งคอนโดได้ในที่เดียว โดยเปิดตัวที่แรก ณ เอสบี ดีไซน์สแควร์ บางนา     นางธัญญรักข์ ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ เผยว่า สิ่งแรกเลย คือ เอสบีเข้าใจในความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงว่า เมื่อลูกค้าซื้อคอนโดฯ ก็อยากจะตกแต่งห้องให้สวย แต่บางครั้ง   ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง ทั้งสไตล์ที่ชอบ แบบที่ใช่ ช่างที่ไว้ใจได้ รวมถึงเรื่องงบประมาณ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะหมดปัญหาไปเมื่อได้มาที่ CONDO SOLUTIONS @ SB DESIGN SQUARE เพราะครั้งนี้จะไม่ใช่แค่การเลือกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่ง ที่สามารถตอบโจทย์เพียงเรื่องการออกแบบ การใช้งาน คุณภาพและความสวยงามเท่านั้น แต่เอสบีจะเข้ามาช่วยดูแล “งานตกแต่งคอนโด” ให้กับลูกค้าแบบครบวงจร ทั้งงานปูพื้น  ดรอปฝ้า  ย้ายปลั๊ก ทำผนังตกแต่ง กรุกระจก เติมไฟประดับ  ติดฟิมล์กันความร้อน ผ้าม่าน วอลเปเปอร์ ติดตั้ง Digital Door Lock และระบบ Smart Home System   “การที่เอสบีมาทำแบบนี้ คือ การเดินเข้าสู่โลก Disruptive ซึ่งมันคือการเอา Pain Point ของผู้บริโภค มาหา Solution ให้ทุกอย่างง่ายขึ้น จึงเป็นที่มาของ CONDO SOLUTIONS ซึ่งทางเอสบีกำลังก้าวล้ำไปกว่า พวก Disruptive โดยทั่วไป คือ การเป็น Hybrid Disruptive ผนวกทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคเข้ามาช่วยแก้ปัญหา ให้ผู้บริโภคเอง ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่วาง 3D และดึง Database ทุกอย่างที่เอสบีมีเอามาใช้ เรียกได้ว่า ลงตัวทั้งคนและโลกดิจิตอล ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ปล่อยให้เครื่องมือทำงานอย่างเดียว เพราะว่าบ้าน คือ การใส่ใจลงไปด้วย เรายังมีทีมงาน Interior Designer มืออาชีพคอยช่วยดูแลเรื่องออกแบบและสไตล์การตกแต่ง และทีม Condo Décor Planner ที่เป็นมากกว่าผู้ช่วยส่วนตัว คอยให้คำปรึกษา ติดตามงาน บริหารจัดการเวลาและวางแผนงานติดตั้งต่างๆ ให้กับลูกค้า เพื่อให้การแต่งคอนโดของลูกค้าเป็นเรื่องสะดวกสบายและง่ายขึ้น”   โดยในงานเปิดตัว CONDO SOLUTIONS @ SB DESIGN SQUARE ยังยกห้องตัวอย่างแปลนห้องจริงของคอนโดโครงการต่างๆ  พร้อมไอเดียการตกแต่งมาไว้ให้ดูถึง 6 แบบ ซึ่งแต่ละแบบเรียกว่าสะท้อนสไตล์ที่แตกต่างกันได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น แบบที่ 1 เป็นการนำแปลนห้องขนาด 33.5 ตารางเมตร จากโครงการ Ideo สุขุมวิท 93 มาตกแต่งเป็นสไตล์“Modern Luxury” ที่มีความเรียบหรู ดูทันสมัย ด้วยหลากวัสดุอินเทรนด์ อาทิ ลายหินอ่อนสีดำ Crystal High Gross อะลูมิเนียมสีทอง กระจกเงาเทา ขณะที่ แบบที่ 2 ด้วยพื้นที่เท่ากัน   ในโครงการเดียวกัน แต่มาในสไตล์ “Metro Luxe” ที่โฉบเฉี่ยวแบบแฟชั่นลุค โดดเด่นในธีมสีเทาเข้มขรึม แต่หยอดความมีชีวิตชีวาด้วยสีสันแห่งดีไซน์ ตามมาด้วย แบบที่ 3 กับขนาดพื้นที่ 33 ตารางเมตร โครงการ The Line สุขุมวิท 101 ถูกเนรมิตรในสไตล์ “Stylish Loft” ที่บ่งบอกเอกลักษณ์แห่งตัวตน สะท้อนความดิบ เท่ สไตล์ลอฟท์ ด้วยการตกแต่งที่เน้นเผยผิวสัมผัสของหลากวัสดุ ทั้งลายไม้ เหล็กและผ้า นอกจากการตกแต่งสไตล์เท่ๆ แล้ว ลองมาดูสไตล์หวานๆ กันบ้างกับ แบบที่ 4 ที่จำลองห้องขนาด 33.7 ตารางเมตร ของโครงการWhizdom Essence สุขุมวิท 101 มาตกแต่งในสไตล์  “Scandi Chic” ซึ่งมีความสวยเรียบ แต่ซ่อนเสน่ห์ด้วยลายไม้สีอ่อน ให้ความรู้สึกอบอุ่น และโปร่งสบาย สไตล์สแกนดิเนเวีย บอกรสนิยมอย่างมีระดับ ต่อกันด้วย แบบที่ 5 “Classy Urban” ที่หยิบเอาโครงการ Ideo Mobi สุขุมวิท 66 ขนาด 52.5 ตารางเมตร มาตกแต่งแบบไลฟ์สไตล์คนเมือง  ให้สัมผัสอบอุ่นแต่หรูหรามีสไตล์ ด้วยการผสานสีเอิร์ธโทนเข้ากับวัสดุ ลายหิน ลายไม้ และคริสตัลไฮกลอส และปิดท้ายด้วยสไตล์ที่หนุ่ม-สาวสายวินเทจห้ามพลาด กับ แบบที่ 6 “Classic White” ด้วยการเนรมิตห้องขนาด  22 ตารางเมตร ของโครงการ Knights Bridge Prime Onnut ให้ออกมาสวยคลาสสิค อ่อนหวาน ผสานความทันสมัย โดดเด่นด้วยหน้าบ้านสีพ่นสีขาว ดีไซน์คิ้วบัวสุดประณีต บอกเอกลักษณ์สไตล์วินเทจสุดๆ  พร้อมกันนี้  ทุกห้องยังสามารถติดตั้ง Digital Door Lock และเพิ่มระบบ Smart Home System เพื่อตอบรับการใช้ชีวิตแบบ Smart Metro Lifestyle ได้อย่างลงตัวอีกด้วย   และแม้ว่าเทรนด์การออกแบบตกแต่งคอนโดที่มาแรงในปี 62 นี้ จะเป็นสไตล์ลักซัวรี่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคงขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนด้วย เพราะการตกแต่งคอนโดฯ ให้ออกมาในแบบที่เป็นตัวเองที่สุด น่าจะตอบโจทย์ ตัวเราเองได้อย่างดีที่สุดเช่นกัน ซึ่งนอกจากทั้ง 6 แบบที่กล่าวมาแล้วนั้น ก็ยังมีอีกหลายร้อยแบบเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า จะชอบแต่งคอนโดฯ สไตล์ไหน จะปรับ-เปลี่ยน-แต่งเติม-เพิ่มอะไร ให้ CONDO SOLUTIONS ดูแล คลิ๊กดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sbdesignsquare.com/th/condo_solutions
ไซมิสฯ ผุดโครงการใหม่สุด Luxury “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ รัชดา” เจาะลูกค้าคนไทย-กลุ่มนักลงทุน ราคาขายเริ่ม 3.8-10.8 ล้านบาท

ไซมิสฯ ผุดโครงการใหม่สุด Luxury “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ รัชดา” เจาะลูกค้าคนไทย-กลุ่มนักลงทุน ราคาขายเริ่ม 3.8-10.8 ล้านบาท

ไซมิส แอสเสท ผุดคอนโดฯ โครงการใหม่แบรนด์ "ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ รัชดา" (Siamese Exclusive Ratchada) โครงการ Luxury มูลค่ากว่า 3,700 ล้านบาท สะท้อนแนวคิดธุรกิจ " Assert of life... สร้างกำไรให้ทุกการใช้ชีวิต" เพื่อมอบสิ่งที่ดีและค้มค่าที่สุดตอบโจทย์เพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุนโดดเด่นด้วยศักยภาพทำเลเพียง 90 เมตร MRT รัชดาฯ "ราคา" ขายเริ่มต้น 120,000 บาทต่อตร.ม.ถูกกว่าโครงการอื่นในย่านเดียวกัน     นายขจรศิษฐ์ สื่งสรรเสริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจภายในสโลแกน " Assert of life... สร้างกำไรให้ทุกการใช้ชีวิต"  กล่าวว่า โครงการ "ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ รัชดา" ติดโอลิมเปียไทยทาวเวอร์ และ MRT  รัชดาภิเษก บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ มีทั้งหมด 4 อาคาร รวมทั้งสิ้น  622 ยูนิต ประกอบด้วย อาคาร A สูง 4 ชั้น อาคาร B สูง 7 ชั้น อาคาร C สูง 37 ชั้นเป็นห้องชุดพักอาศัย จำนวน 560 ยูนิต และห้องชุดพาณิชยกรรม จำนวน 3 ยูนิต และอาคาร D  สูง 10 ชั้น ใต้ดิน 5 ชั้น (อาคารจอดรถอัตโนมัติ) จำนวนที่จอดรถ 281 ช่อง แบ่งเป็นที่จอดรถอัตโนมัติ 264 ช่อง และที่จอดรถส่วนกลาง 17 ช่อง   ทั้งนี้ ลักษณะห้องชุดพักอาศัยมีทั้งแบบ 1 ห้องนอน (1 ฺBedroom) และแบบ 2 ห้องนอน(2 Bedroom) ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่ม 31-36 ตารางเมตร(ตร.ม.) มีจำนวน 420 ยูนิต และขนาดพื้นที่ใช้สอย 50-57 ตร.ม. มีจำนวน 140 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 3.8 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 3,700 ล้านบาท มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2564 (ค.ศ.2021) โดยจับกลุ่มลูกค้าคนไทยและกลุ่มนักลงทุน   ชูจุดเด่น "ราคา-ทำเล และ Siamese Technology"   การกำหนดราคาขายนั้นยังเน้นต่ำกว่าคู่แข่งในตลาดย่านเดียวกัน กลยุทธ์นี้ถือเป็นจุดเด่นของไซมิส แอสเสท ที่ทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุน เพราะมั่นใจว่า Yield  หรือผลตอบแทนในการลงทุน 5 % ใน 2 ปี (การันตี) หลังจากนั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้น จากประสบการณ์ในการพัฒนามาอย่างยาวนาน   โครงการดังกล่าวมีจุดเด่น เรื่องทำเลที่ตั้งเพียง 90 เมตรถึง MRT รัชดา และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น Lobby Lounge, Mail Box, Meeting Room, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, สวนพักผ่อน และพื้นที่สีเขียว พร้อม Luxurious Serivce ตลอด 24 ชม. และระบบระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. เป็นต้น นอกจากนี้ผู้อยู่อาศัยยังจะได้สัมผัส Siamese Technology  เพื่อความสุขที่มากกว่าในโครงการ "ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ รัชดา"   สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานขายโครงการ "ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ รัชดา" เบอร์โทร 099-441-0888,099-442-0888 หรือ http://www.siameseasset.co.th
“สยามสินธร” ดึง “เคมปินสกี้” แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก  สร้างสรรค์โครงการใหม่ ที่พักอาศัยและโรงแรมระดับ 5 ดาว

“สยามสินธร” ดึง “เคมปินสกี้” แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก สร้างสรรค์โครงการใหม่ ที่พักอาศัยและโรงแรมระดับ 5 ดาว

บริษัท สยามสินธร จำกัด จับมือพันธมิตรชื่อดังระดับโลก “เคมปินสกี้” สร้างสรรค์ที่พักอาศัย “เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท สินธร เคมปินสกี้” รวมถึง โรงแรมระดับ 5 ดาว สินธรเคมปินสกี้ และโรงแรมในเครือคิมป์ตัน ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการ “สินธร วิลเลจ” มิกซ์ยูสย่านหลังสวน ทำเลทองชั้นนำของเมืองไทย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง หลังจากเปิดตัว 3 โครงการที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ สินธร เรสซิเดนซ์, สินธร ต้นสน และสินธร ลุมพินี     นายชลาลักษณ์ บุนนาค กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามสินธร จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามความร่วมมือกับ เคมปินสกี้ (Kempinski) แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก เพื่อนำบริการระดับเวิลด์คลาสจากเคมปินสกี้ ซึ่งถือว่าเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับระดับโลกมาบริหารโครงการที่พักอาศัยโครงการใหม่ ภายใต้ชื่อ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท สินธร เคมปินสกี้ (The Residences at Sindhorn Kempinski) มูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่อยู่ภายใต้พื้นที่โครงการสินธร วิลเลจ ย่านหลังสวน     “เรามุ่งมั่นที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้อยู่อาศัย เมื่อเราพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพบนทำเลที่มีศักยภาพ สิ่งหนึ่งที่ต้องมาคู่กันกับที่พักอาศัย นั่นก็คือ การบริหารอาคาร เราจึงเลือกเคมปินสกี้ เพื่อมั่นใจได้ว่าการบริการลูกบ้านของเราจะเป็นระดับชั้นนำตามมาตรฐานการให้บริการที่มีคุณภาพของแบรนด์เคมปินสกี้ที่มีมาอย่างยาวนาน”     นอกจากนี้ ในพื้นที่กับโครงการฯ ยังเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ชื่อ “โรงแรมสินธรเคมปินสกี้” ที่สามารถให้บริการด้านต่างๆ กับลูกบ้านของโครงการฯ อีกด้วย     เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท สินธร เคมปินสกี้ (The Residences at Sindhorn Kempinski) และโรงแรมสินธรเคมปินสกี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งในโครงการสินธร วิลเลจ ที่มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 39,000 ล้านบาท ทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง จุดกึ่งกลางระหว่างย่านสุขุมวิทและสีลม อยู่ใกล้กับสวนลุมพินี สวนสาธารณะขนาดใหญ่ เชื่อมโยงระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส ใกล้โรงพยาบาล แหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ ร้านค้า ร้านอาหาร และโรงเรียนชื่อดัง  
iCondo Greenspace PHATTHANAKAN-SRINAKARIN : รีวิวคอนโด

iCondo Greenspace PHATTHANAKAN-SRINAKARIN : รีวิวคอนโด

เบื่อไหมที่ต้องอยู่คอนโดในเมืองหันไปทางไหนมีแต่ความวุ่นวายทั้งตึกสูงใหญ่มากมาย การจราจรที่ติดขัดจนหัวร้อน รู้สึกอึดอัดไปหมด จะมีไหมที่มีคอนโดที่มีความเป็นส่วนตัว เงียบสงบใกล้ชิดธรรมชาติ การเดินทางสะดวกสบายเข้า-ออกเมืองง่าย และมีพร้อมด้วย Facility ต่างๆ ที่จะมาอำนวยความสะดวกได้รอบด้าน เหมือนกับที่ “iCondo Greenspace พัฒนาการ-ศรีนครินทร์” จาก Property Perfect   ด้วยจุดเด่นของทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้าถึง 2 สาย สายสีเหลือง (พัฒนาการ) และ Airport Rail Link (สถานีหัวหมาก) อยู่ใกล้ทางด่วนพระราม 9 และแวดล้อมด้วยสาธารณูปโภครอบด้าน เช่น แหล่งงาน อาคารสำนักงานใหญ่ๆ ห้างสรรพสินค้า แหล่งช็อปปิ้งหลายรูปแบบ รวมถึงสถานศึกษาชั้นนำ และสถานพยาบาลชื่อดังอีกหลายแห่ง จึงไม่น่าแปลกใจเลยถ้าโครงการนี้จะเป็นอีกหนึ่งแห่งที่หลายๆ คนให้ความสนใจ และอยากจับจองเป็นเจ้าของ เพราะทางโครงการตั้งใจออกแบบฟังก์ชันต่างๆ มาเพื่อให้ลูกบ้านได้ใช้ชีวิตสะดวกมากขึ้น     iCondo Greenspace พัฒนาการ-ศรีนครินทร์ ต้องการตอบโจทย์การใข้ชีวิตของลูกบ้านให้รอบด้านเพื่อให้สมกับสโลแกน “Live in GREEN LIFE” ซึ่งการสร้างสังคมคุณภาพนั้นมีองค์ประกอบต่างๆ มากมายที่ต้องคำนึงถึง ทางโครงการจึงพัฒนาพื้นที่ในส่วนต่างๆ อย่างดีให้ตรงตามคอนเซปต์ที่ตั้งไว้   เริ่มกันตั้งแต่แนวคิดการออกแบบ “GREEN DESIGN” ที่ตั้งใจให้สวนมาในสไตล์ Tropical Garden สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายสไตล์รีสอร์ท   ในส่วนของ “GREEN FUNCTION” พื้นที่ใช้สอยต่างๆ ภายในถูกออกแบบมาให้โปร่งโล่งสบายแต่ลงตัว รวมถึงการให้ความใส่ใจในเรื่องทิศทางลมและแสงแดดจากธรรมชาติมากยิ่งขึ้น   เพิ่มเติมด้วย “GREEN FACILITY” สำหรับการใช้พื้นที่ส่วนกลางสำหรับการพักผ่อนได้อย่างแท้จริง มีพื้นที่ Green-Working Space และ Outdoor Activities พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน   แกนสุดท้าย “GREEN LIVING” คือความตั้งใจเลือกทำเลที่ตั้งให้อยู่ในย่านที่แวดล้อมไปด้วย สถานศึกษาชื่อดัง พรั่งพร้อมด้วยแหล่งช็อปปิ้ง, ห้างสรรพสินค้า, Community Mall และโรงพยาบาลชั้นนำ พร้อมการเชื่อมโยงชีวิตคนเมืองด้วยรถไฟฟ้า ที่ทำให้ทุกการเดินทางเป็นเรื่องง่าย   นอกเหนือจากรายละเอียดต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ที่ iCondo Greenspace พัฒนาการ-ศรีนครินทร์ ยังเพิ่มเติมมิติใหม่แห่งการอยู่อาศัย ให้ชีวิตเราเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีเหนือระดับกับ “GREEN SPACE 4.0” ที่มาพร้อมกับนวัตกรรม iOT 4.0 (internet of things) อย่างลงตัวผ่าน Application ยกตัวอย่างเช่น   -Smart Transportation ที่เราสามารถตรวจสอบตำแหน่ง และตารางการเดินรถได้ด้วยระบบ GPS ผ่าน Application บนมือถือ -Smart Security นวัตกรรมเพื่อคความปลอดภัยสุดล้ำทั้งการสแกนใบหน้า, Key Card ล็อคชั้น, Digital Door Lock และ CCTV ตลอด 24 ชม. -Smart ECO System การใส่ใจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน ผนังอาคารที่นี่เลือกใช้ฉนวนกันความร้อนแบบเซรามิกโค้ตติ้ง, เป็นอาคารประหยัดพลังงานด้วยการเลือกใช้ไฟส่องสว่างบริเวณทางเดินภายในเป็นแบบระบบอัตโนมัติ ส่วนบริเวณถนนหลักในโครงการเป็นแสงสว่างที่ได้จากพลังงานแสงอาทิตย์ -Smart Condo อำนวยความสะดวกด้วย Smart Laundry ที่เราสามารถเช็ค เตือน จ่าย ผ่าน Application ได้ -Smart Location การเชื่อมโยงทุกการเดินทาง สะดวกด้วยรถไฟฟ้า และทางด่วนใกล้ๆ โครงการ   พูดถึงเรื่องจุดเด่น และคอนเซปต์ต่างๆ ของโครงการมาพอสมควรแล้ว เรามาทำความรู้จักกับตัวโครงการซักหน่อยกันดีกว่า iCondo Greenspace พัฒนาการ-ศรีนครินทร์ เป็นคอนโดมิเนียม Low Rise 2 อาคาร เน้นความเป็นส่วนตัว และเพียบพร้อมไปด้วย Facility ที่มาเอาใจไลฟ์สไตล์คนเมืองแบบเต็มที่ เช่น Emerald Lagoon สระว่ายน้ำระบบเกลือสีเขียวมรกตขนาดใหญ่ 25X6 ม. ที่มาพร้อม Fiber Optic Lighting ดวงไฟใต้น้ำลวดลายสวยงามบนพื้นสระว่ายน้ำ, Green Fitness ใกล้ชิดธรรมชาติ, พื้นที่สีเขียวเพื่อตอบโจทย์ทุกกิจกรรมทั้ง Green Playground, Outdoor Green Space, Tropical Green Garden, Green Lobby และ Green Working Space พร้อมฟรี wi-fi ครบครันขนาดนี้เราเชื่อว่าใครที่เป็นลูกบ้านที่นี่ต้องแทบจะไม่อยากออกไปไหนกันเลยทีเดียว   ใครที่กำลังสนใจคอนโดในทำเลนี้ ด้วยทำเลที่ตั้งของโครงการบนถนนพัฒนาการ ซอย 37 ซึ่งอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย มีความเพียบพร้อมอุดมสมบูรณ์สำหรับการอยู่อาศัยจริง และสามารถซื้อไว้เกร็งกำไร หรือลงทุนปล่อยเช่าได้ไม่ยาก เนื่องจากใกล้ทั้งแหล่งงาน อาคารสำนักงานใหญ่ๆ และมหาวิทยาลัยชั้นนำ ทำให้การหาคนเช่าไม่ใช่เรื่องยากเลย ความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการที่โครงการอยู่ใกล้สถานศึกษา ก็จะทำให้มีกลุ่มคนเช่าหมุนเวียนเรื่อยๆ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะลองเลือกไว้เพื่อการลงทุน ยิ่งราคาขายของทางโครงการไม่ได้สูงเลย เปิดราคาเริ่มต้นมาเพียง 1.69 ล้านบาท และยังจัดเต็มด้วย Facility พร้อมนวัตกรรมที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่อีก เชื่อว่าเป็นอีกโครงการหนึ่งที่เหมาะมากสำหรับใครที่คิดอยากจะเริ่มต้นลงทุนกับอสังหาฯ   Floor Plan  ที่ตั้งโครงการจะเข้าไปภายในซอยพัฒนาการ 37 ประมาณ 200 เมตร ซึ่งเป็นซอยเดียวกันกับมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตค่ะ ข้อดีของการที่อยู่ลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ นั่นคือเราจะได้ความเงียบสงบเป็นส่วนตัวมากกว่าค่ะ โดยโครงการจะวางอาคาร A ทางทิศเหนือ กับ B ทางทิศใต้ เอาไว้ล้อมรอบ Facility ที่อยู่กลางโครงการ ตรงทางเข้า-ออกโครงการจะอยู่ทางทิศตะวันออก ส่วนฝั่งที่อยู่ติดกับคลองจะเป็นทิศตะวันตกค่ะ       ชมห้องตัวอย่าง  สำหรับ Sale Gallery จะอยู่ก่อนถึงซอยพัฒนาการ 37 ที่เป็นที่ตั้งของตัวโครงการประมาณ 100 เมตร มีห้องตัวอย่างทั้งหมด 2 ห้อง ทุกยูนิตจะได้เฟอร์นิเจอร์แบบ Fully Furnished มีทั้งโซฟา, เคาน์เตอร์วางทีวี,โต๊ะ-เก้าอี้ทานอาหาร, เตียง (ไม่รวมฟูก), ตู้เสื้อผ้า, โต๊ะเครื่องแป้ง, เคาน์เตอร์ครัว, สุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำทั้งหมด และเครื่องปรับอากาศ ซึ่งถึงแม้จะเป็นห้อง 1 Bedroom ก็จะได้เครื่องปรับอากาศมาถึง 2 เครื่อง ทั้งตรงห้องนั่งเล่นกับในห้องนอนค่ะ โดยความสูง Floor To Ceiling อยู่ที่ 2.4 เมตร ห้องนั่งเล่นกับห้องนอนจะปูพื้นด้วยลามิเนต ส่วนห้องครัว, ห้องน้ำ และระเบียงจะปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิค ผนังจะได้แบบฉาบเรียบทาสีขาว         Type A 24 ตร.ม. พื้นที่แรกของห้องเป็นห้องนั่งเล่น ได้โซฟาขนาด 3 ที่นั่งเลยค่ะ ถ้าใครชอบ Space กว้างๆ ก็สามารถย้ายโต๊ะ-เก้าอี้เข้าไปไว้ในครัวแทนได้ค่ะ ก็จะมีพื้นที่วางโต๊ะกลางได้อีก ลึกเข้าไปด้านในเป็นห้องนอน ซึ่งกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน   ห้องนอนจะมี Bulit in ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งให้มาตามแบบห้องตัวอย่างเลยค่ะ หน้าต่างจะเป็นกระจกบานเลื่อน 2 ตอน แบบเดียวกันทุกยูนิต และเตียงนอนขนาด 5 ฟุต จะมีลิ้นชักใต้เตียงด้วย   อีกด้านหนึ่งจะเป็นห้องน้ำ ห้องครัวปิด และระเบียงห้อง แบ่งฟังก์ชั่นห้องได้อย่างเป็นสัดส่วนชัดเจนทีเดียวค่ะ ใครที่ชอบทำครัวบ่อยๆ ก็หายห่วงเรื่องกลิ่นได้เลย   ห้องครัวมีพื้นที่มากพอที่จะวางทั้งตู้เย็น และตู้เก็บของเพิ่มตามแนวผนังได้อีก ส่วนเคาน์เตอร์ครัว Built in มาพร้อมกับซิงค์ล้างจาน กรุกระเบื้องด้านในเพื่อทำความสะอาดได้ง่ายเวลาเกิดคราบสกปรก   ระเบียงมีก๊อกน้ำและปลั๊กไฟ พร้อมสำหรับวางเครื่องซักผ้าได้ค่ะ ส่วน Condensing Unit แขวนไว้ด้านบนหันออกนอกระเบียงค่ะ      ห้องน้ำแบ่งโซนเปียกกับโซนแห้ง โถสุขภัณฑ์, ก๊อกน้ำ, ฝักบัว ใช้แบรนด์ COTTO ส่วนอ่างล้างหน้าแบบแขวนผนังใช้แบรนด์ CHARMER   Type C 30 ตร.ม. พื้นที่แรกยังคงเป็นห้องนั่งเล่นเช่นเคยค่ะ แต่จะได้พื้นที่กว้างขวางมาก สามารถวางโต๊ะกลางขนาดใหญ่เพิ่มได้เลย ซึ่งจะแบ่งฟังก์ชั่นห้องทางขวามือเป็นห้องน้ำกับห้องนอนอยู่ใกล้กัน เพื่อความสะดวกเวลาใช้งาน และทางซ้ายมือจะเป็นพื้นที่โต๊ะทานข้าว ห้องครัวปิด และระเบียงค่ะ   ห้องน้ำจะเจอกับส่วนแห้งก่อนค่ะ แยกส่วนเปียกเอาไว้ด้านในฝั่งขวาสุด ส่วนสุขภัณฑ์ทั้งหมดจะได้มาตามแบบห้องตัวอย่างค่ะ   ห้องนอนจะได้เตียงขนาด 5 ฟุตวางไว้กลางห้อง มีพื้นที่เดินได้สบายๆ รอบเตียง พื้นที่ช่วงปลายเตียงสามารถเพิ่มโต๊ะทำงานได้อีกค่ะ   Space ข้างโซฟาตรงนี้ แม้ว่าจะได้โต๊ะ-เก้าอี้ 2 ตัวมาด้วย แต่ถ้าใช้งานไม่พอล่ะก็ สามารถวางได้ถึงขนาด 4 ที่นั่งเลยนะคะ ลึกเข้าไปด้านในก็จะเป็นครัวปิด และระเบียง   ห้องครัวปิด จะมีพื้นที่สำหรับวางตู้เย็นเอาไว้ฝั่งตรงข้ามกับเคาน์เตอร์ครัวที่ Built in มาให้เรียบร้อยค่ะ   ระเบียงจะต่อจากห้องครัวเลยค่ะ มีก๊อกน้ำกับรูปลั๊กไฟมาให้พร้อมสำหรับวางเครื่องซักผ้าได้ และเหลือพื้นที่วางราวตากผ้าได้อีกค่ะ     สิ่งที่ทางโครงการให้มาถือว่าคุ้มสุดๆ เมื่อเทียบกับราคาที่หาได้ยากแล้วสำหรับคอนโดมิเนียมที่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้า เพราะไม่ใช่แค่ทำเลที่เหมาะทั้งอยู่อาศัยเอง และปล่อยเช่า ยังมีเทคโนโลยี GREEN SPACE 4.0 ที่จะช่วยยกระดับให้ชีวิตดูสมาร์ทขึ้น     พิเศษ... iCondo Greenspace พัฒนาการ-ศรีนครินทร์ จะเปิดจองรอบ VVIP Day 24-25 พ.ย. นี้ จัดโปรโมชั่นพิเศษ Fully Furnished เริ่ม 1.69 ล้านบาท จอง+ทำสัญญา+ผ่อนดาวน์ 3 งวด รับฟรี iPhone XS (64GB)*  https://www.pf.co.th/hApyNq                     
MQDC สร้างปรากฎการณ์ต่อเนื่อง “Beautiful Bangkok 2019” บนตึกแมกโนเลียส์ ตอกย้ำกรุงเทพฯขึ้นมหานครชั้นนำระดับโลก หนุนยอดขายทะลุ 80% ปลุกกระแสนักลงทุน-ชาวต่างชาติสนใจโครงการฯ

MQDC สร้างปรากฎการณ์ต่อเนื่อง “Beautiful Bangkok 2019” บนตึกแมกโนเลียส์ ตอกย้ำกรุงเทพฯขึ้นมหานครชั้นนำระดับโลก หนุนยอดขายทะลุ 80% ปลุกกระแสนักลงทุน-ชาวต่างชาติสนใจโครงการฯ

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (MQDC) หนึ่งในผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย สร้างปรากฎการณ์แห่งสีสันสุดอลังการ ตื่นตาตื่นใจให้ย่านราชประสงค์อีกครั้ง ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยจัดกิจกรรม “Beautiful Bangkok 2019 : The Symphony of Happiness” บนตึกสูง 60 ชั้น โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ ผสานเทคโนโลยี ผลงาน 7 ศิลปินไทยชั้นนำ เพื่อมอบความสุขให้กับคนไทยและนักท่องเที่ยว ต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ 2019  ระหว่างวันที่ 18-31 ธ.ค.นี้ คาดมีคนมาชมงานเพิ่มจากปีที่แล้ว 50% จากวันปกติ 600,000 คน/วัน เป็น 900,000 คน/วัน เผยงานปีก่อน เสริมภาพลักษณ์หนุนขายโครงการฯ ทะลุ 80% เหลือเพียง 20% เท่านั้น เชื่อมั่นขายหมดภายในปี 2019 ภูมิใจเตรียมส่งมอบ 2 โครงการหรูระดับโลกบนทำเลทองริมเจ้าพระยาเสริมความแข็งแรงให้แลนด์มาร์กแห่งใหม่ไอคอนสยาม   ภายในงานแถลงข่าววันนี้ ซึ่งจัดขึ้น ที่ชั้น 4 โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ได้รับเกียรติจาก วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (MQDC) พร้อมด้วย ศศินันท์ ออลแมนด์ ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยมี ณัฎฐพร ชีวมงคล ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA) ร่วมด้วย 7 ศิลปินไทยชั้นนำของไทยที่ผลงานเป็นที่รู้จักในระดับอินเตอร์เนชั่นแนล ได้แก่ P7, MUEBON, PAI LACTOBACILLUS, TIKKYWOW, KEEP YOUR EYES ON team, TRK and BONUS TMC ตลอดจนผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชนร่วมงานจำนวนมาก วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า นับเป็นปีที่ 2 แล้ว ที่ MQDC ได้สร้างความฮือฮา โดยจัดกิจกรรม “Beautiful Bangkok” การแสดง แสง สี เสียง  ด้วยเทคนิคพิเศษสุดตระการตา บนตึกสูง 60 ชั้น ณ โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เพื่อสร้างสีสันความสุข ความตื่นตาตื่นใจให้กับคนไทย และนักท่องเที่ยว ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ซึ่งในปีที่แล้วเราได้จัดกิจกรรม “Beautiful Bangkok by Magnolias @Ratchaprasong” (บิวตี้ฟูล แบงค็อก บาย แมกโนเลียส์ แอท ราชประสงค์) ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง สามารถช่วยดึงดูดผู้คนมาเดิน มาเที่ยวชมไฟในย่านราชประสงค์เพิ่มขึ้น   “ในฐานะสมาชิกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ ย่านธุรกิจที่เป็นดั่งหัวใจสำคัญของเมืองไทย และแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลก เราเชื่อมั่นว่าด้วยความพร้อมของ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) และโครงการ “แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด” เมื่อได้ร่วมผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกับทางสมาคมฯ เราจะสามารถเข้ามาเติมเต็มทัศนียภาพของ ย่านราชประสงค์-ย่านราชดำริ” “ปีนี้ MQDC พร้อมจะตอกย้ำการเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมฯ โดยสร้างปรากฏการณ์ และสร้างความประทับใจอีกครั้ง ด้วยการสร้างสีสันความสุข และความสมบูรณ์แบบให้ย่านราชประสงค์ โดยจับมือ สมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA) จัดกิจกรรม Beautiful Bangkok 2019 “The Symphony of Happiness” การแสดง แสง สี เสียง ด้วยเทคนิคพิเศษสุดตระการตา บนตึกสูง 60 ชั้น เพื่อต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ 2019 โดยมีจุดประสงค์ที่สำคัญ คือ เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลด้านส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ และส่งเสริมภาพลักษณ์กรุงเทพมหานคร ในฐานะมหานครแห่งการท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก”   วิสิษฐ์ เผยด้วยว่า เราได้จัดสรรงบประมาณไว้ 100 ล้านบาท สำหรับการจัดงานนี้ขึ้น ภายใต้แนวคิด Beautiful Bangkok “The Symphony of Happiness” ถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ผสานเทคโนโลยี นำเสนอศิลปะอันวิจิตร เปี่ยมสีสัน และชีวิตชีวา ซึ่งเป็นผลงานสร้างสรรค์โดย 7 ศิลปินชั้นนำของไทยที่ผลงานเป็นที่รู้จักในระดับอินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวชม โดยเราจะใช้ Façade (ฟาซาด) ซึ่งเป็นจุดเด่นส่วนหนึ่งของโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) มาใช้เป็นพื้นที่ในการฉายไฟเข้าไปที่ตึกด้วยเทคโนโลยีระดับสูง เพื่อสะท้อนความสวยงามของกรุงเทพฯ ให้ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วโลกอีกครั้ง เพื่อมอบให้เป็นของขวัญแก่คนกรุงเทพฯ เพื่อสร้างรอยยิ้ม ความสุขและความภาคภูมิใจ เราเชื่อว่างานครั้งนี้จะสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ในช่วงเทศกาลแห่งความสุข ปรากฏการณ์แห่งความตื่นตาตื่นใจนี้ มีกำหนดการแสดง เริ่มตั้งแต่วันอังคารที่ 18 ถึง 31 ธ.ค. 61 โดยวันที่ 18 ธ.ค. 61 จะมี 7 รอบ ในเวลา 19.20/ 19.40/ 20.00/ 20.20/ 20.40/ 21.00 และ 21.20 น. วันที่ 19 – 30 ธ.ค. 61 มี 7 รอบเช่นกัน ในเวลา 19.00/ 19.20/ 19.40/ 20.00/ 20.20/ 20.40 และ 21.00 น. ส่วนวันที่ 31 ธ.ค. 61 เพิ่มรอบส่งท้ายปีเก่า อีก 1 รอบ ในเวลา 23.55 น. วิสิษฐ์ ยังเผยด้วยว่า การร่วมมือกับสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการจัดงานครั้งนี้ MQDC เชื่อว่าจะช่วยหนุนเสริมการพัฒนาย่านราชประสงค์ให้เติบโตสู่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจระดับโลกต่อไป และเราคาดหวังว่าการแสดง แสง สี เสียง ในปีนี้ จะสามารถดึงดูดผู้คนมาเดินเที่ยวมาชมไฟในย่านราชประสงค์ในเดือนธันวาคมเพิ่มมากขึ้น 50% จากปกติมีคนเดินประมาณ 600,000 คน/วัน เพิ่มขึ้นเป็น 900,000 คน/วัน   “จากการจัด Beautiful Bangkok เมื่อปีที่ผ่านมา มีผู้ให้ความสนใจโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ ส่งผลให้ปัจจุบันโครงการฯ เหลือจำนวนห้องชุดอีกเพียง 20% เท่านั้น ด้วยเหตุปัจจัยที่ตั้งโครงการเป็นทำเลทองผนวกกับความเป็นลักชัวรี่มิกซ์ยูส ซึ่งสามารถตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมี่ยม ทำให้โครงการมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทั้งในแง่การเป็นเจ้าของห้องชุดเพื่อการลงทุน หรือเพื่อการอยู่อาศัยเอง โดยขณะนี้ โครงการของเรามี Rental Yield อยู่ที่ 5-7% ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่สูง เมื่อเทียบกับโครงการอื่นๆ ในย่านเดียวกัน” “จึงอยากเชิญชวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ได้จัดเวลามาชมงานครั้งนี้ ที่ทีมงานของเรามีความตั้งใจและทุ่มเทในการจัดขึ้น เพื่อมอบเป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ให้กับทุกคน ที่จะได้ตื่นตาตื่นใจกับผลงานการสร้างสรรค์ศิลปะโดยศิลปินชาวไทย ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับโลก พร้อมชื่นชม และภาคภูมิใจในความเป็นไทยร่วมกัน” วิสิษฐ์ กล่าว   ด้าน ศศินันท์ ออลแมนด์ ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวเสริมด้วยว่า พร้อมกันนี้ เราอยากเชิญชวนบุคคลทั่วไปได้ร่วมสนุก และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสมบูรณ์แบบให้กับการแสดงแสงสีเสียงครั้งนี้ โดยโพสต์ภาพความสุขพร้อมชื่อเล่นของคุณบนเฟสบุ๊ค พร้อมพิมพ์ @MQDC ตั้งค่า Public และติด #BeautifullBangkok  เพื่อฉายภาพด้วยเทคนิคเลเซอร์ขึ้นบนอาคารแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับงานสร้างสรรค์ของศิลปินไทยชื่อดัง ระหว่างวันที่ 18-31 ธันวาคมนี้ ขณะที่ ณัฎฐพร ชีวมงคล ในนามตัวแทนสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ หรือ RSTA กล่าวว่า “เรามีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สมาคมฯ ได้รับความร่วมมือ และผนึกพลังกับผู้ประกอบการในย่านนี้ ในการแสดงศักยภาพย่านราชประสงค์ ให้เป็นที่ยอมรับจากคนทั่วโลก ซึ่งโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ภายใต้การบริหารของกลุ่มแมกโนเลีย ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมฯ โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันวางแผนพัฒนาและอนุรักษ์ พร้อมผลักดันย่านราชประสงค์สู่การเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ”   ณัฎฐพร กล่าวต่อไปว่า ด้วยความพร้อมของ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) และโครงการ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด นับแต่ได้ร่วมผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกับสมาคมฯ ก็ได้เข้ามาช่วยเติมเต็มทัศนียภาพอันงดงามของย่านราชประสงค์-ย่านราชดำริ และเป็นยังส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยตอกย้ำ ให้ที่แห่งนี้กลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ นำไปสู่ก้าวสำคัญของการพัฒนา ย่านราชประสงค์ให้เป็นเมืองแห่งอนาคต ที่รวมความเป็นที่สุดแห่งตลาดรีเทล ตลาดโฮลเซล ตลาดฮอสพิทอลลิตี้ ตลาดลักชัวรี่ เรสซิเดนส์ และตลาดไมซ์ใจกลางกรุงเทพฯ เข้าไว้ เพื่อหนุนเสริมให้ย่านราชประสงค์แข็งแรง พร้อมเป็นศูนย์กลางเวทีเศรษฐกิจระดับโลก “การจัดงาน Beautiful Bangkok 2019 “The Symphony of Happiness” การแสดง แสง สี เสียง ในครั้งนี้ ผู้มาชมงานจะได้สัมผัสความตื่นตาตื่นใจ อิ่มสุข อิ่มใจ และภาคภูมิใจ ในความเป็นไทย และเราเชื่อว่า จะสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่นี้” จากนั้น พิธีกรในงาน ได้เปิดตัว 7 ศิลปินชั้นนำของไทยที่ผลงานเป็นที่รู้จักในระดับอินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งแต่ละคนล้วนการรันตีฝีมือด้วยการเดยคว้ารางวัลระดับโลกมาแล้วทั้งสิ้น โดยแต่ละทีมได้เผยความรู้สึกพร้อมเล่าถึงแรงบันดาลใจในการร่วมสร้างสรรค์ผลงานในครั้งนี้ พร้อมชวนมาชมการแสดง ที่จะต้องสร้างความประทับใจให้ผู้ชมอย่างแน่นอน โอกาสนี้ ภายในงาน วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ยังเผยถึงรายละเอียด และความสำเร็จของโครงการต่างๆ ภายใต้ MQDC ให้ทราบด้วย “โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ของเรา มีมูลค่าโครงการราว 11,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันเรามีการตอบรับดีมาก หลังจากการเปิดตัวโรงแรม Waldorf Astoria วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย เป็นโรงแรมสุดหรูระดับตำนานที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มาตั้งอยู่บนโครงการแมกโนเลียส์ฯ ซึ่งถือเป็นแห่งแรกในตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เป็นที่ต้อนรับกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ได้มาใช้บริการและพักอาศัย   วิสิษฐ์ เผยด้วยว่า “ในด้านความสำเร็จของโครงการ MRB ที่เปิดไปแล้วนี้ ปัจจุบันได้สร้างยอดขายไปแล้ว 80 กว่า % โดยมีจำนวนห้องชุดทั้งหมด 316 ยูนิต มีสัดส่วนลูกค้าที่เป็นชาวไทย 50% และชาวต่างชาติ 50% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวฮ่องกง, สิงคโปร์และไต้หวัน ปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันยอดขายของเราให้เติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นที่น่าพอใจ นอกจากทำเลที่เป็น Top destination ระดับต้นๆ ของเมืองไทยแล้ว ก็คือความเป็นมิกซ์ยูสที่ทันสมัย สามารถตอบสนอง ทุกความต้องการของผู้พักอาศัย รวมไปถึงความสมบูรณ์แบบด้านสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้อย่างครบครัน สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ผู้ครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน ที่มีขนาดพื้นที่ 72-106 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ ประมาณ 20 ล้านบาท หรือคิดเป็นราคาเริ่มต้นที่ 270,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งมีจำนวน 220 ยูนิต หรือจะเป็น แบบ เพ้นต์เฮ้าส์ 8 ยูนิต ซึ่งเป็น ดูเพล็กซ์ เพนท์เฮ้าส์ (250- 360 ตารางเมตร) จำนวน 6 ยูนิต และเพนท์เฮ้าส์ (290-300 ตารางเมตร) จำนวน 2 ยูนิต ซึ่งปัจจุบันโครงการขายไปแล้วเหลือเพียง 20% เท่านั้น และเรามั่นใจว่าจะปิดการขายโครงการทั้งหมดได้ในไตรมาสแรกของ ปี 2019”          
ศุภาลัย รุก EEC ต่อเนื่อง กระตุ้นแรงซื้อโค้งสุดท้าย ปักธงโครงการใหม่ “ศุภาลัย พรีโม่ พัทยา”

ศุภาลัย รุก EEC ต่อเนื่อง กระตุ้นแรงซื้อโค้งสุดท้าย ปักธงโครงการใหม่ “ศุภาลัย พรีโม่ พัทยา”

บมจ.ศุภาลัย เตรียมแผนลงทุนพัฒนาอสังหาฯ ในจังหวัดชลบุรี อย่างต่อเนื่อง กระตุ้นแรงซื้อโค้งสุดท้าย เตรียมเปิด “ศุภาลัย พรีโม่ พัทยา” มูลค่าโครงการ 395 ล้านบาท Pre-Sale 24-25 พฤศจิกายน 2561 นี้ ณ สำนักงานขาย พร้อมพบสิทธิพิเศษมากมาย   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมแผนลงทุนพัฒนาอสังหาฯ ในจังหวัดชลบุรี ไว้อย่างต่อเนื่อง หลังจากเปิดตัวโครงการ ศุภาลัย พรีโม่ บางแสน ในไตรมาส 1 และ ศุภาลัย การเด้นวิลล์ ชลบุรี ศุภาลัย วิลล์ ศรีราชา - สวนเสือ ในไตรมาส 4  ที่ผ่านมานั้น ได้รับกระแสตอบรับดี เป็นที่น่าพอใจ และพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ สนใจที่อยู่อาศัยประเภท “ทาวน์โฮม” ประกอบกับความเหมาะสมของทำเลและราคา ซึ่งเป็นดีมานด์การซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ในจังหวัดชลบุรีจำนวน 10 โครงการ และล่าสุดเตรียมเปิดโครงการใหม่ “ศุภาลัย พรีโม่ พัทยา” บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม มูลค่าโครงการ 395ล้านบาท ชูแนวคิด “เริ่มต้นชีวิตอย่างมีสไตล์ สะดวกในการเดินทาง พร้อมสัมผัสความสุขที่ลงตัว” “ศุภาลัย พรีโม่ พัทยา” ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการประมาณ 15 ไร่ ออกแบบสไตล์โมเดิร์น ทั้งบ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 113-122 ตร.ม. จำนวน 154 แปลง ราคาเริ่มต้นเพียง 2.15 ล้านบาท ออกแบบเน้นการอนุรักษ์พลังงาน ใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อใช้ประโยชน์ในทุกพื้นที่ ตอบรับทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ สวนส่วนกลาง ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV รอบโครงการ และระบบเข้า - ออกอัตโนมัติ Easy Pass สะดวกสบายทุกการเดินทาง แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่สำคัญ อาทิ โรงเรียนสาธิตอุดมศึกษา แมคโคร พัทยา เทสโก้ โลตัส เทพประสิทธิ์ Outlet Mall Pattaya ห้างHarbor Pattaya อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ โรงพยาบาล เมืองพัทยา สำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยในโซนพัทยา เชิญเลือกแปลงโดนใจ ราคาพิเศษก่อนใครในงาน Pre-Sale 24-25 พฤศจิกายน 2561 นี้ พร้อมพบสิทธิพิเศษมากมาย ณ สำนักขายโครงการ โทร. 1720 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.supalai.com        
สยามนุวัตร ตอกย้ำความสำเร็จปิดการขาย โครงการ “WISH SIGNATURE MIDTOWN SIAM”

สยามนุวัตร ตอกย้ำความสำเร็จปิดการขาย โครงการ “WISH SIGNATURE MIDTOWN SIAM”

นายธารธร อักษรานุวัตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามนุวัตร จำกัด เปิดเผยว่าโครงการ “WISH SIGNATURE MIDTOWN SIAM” (วิช ซิกเนเจอร์ มิดทาวน์ สยาม) ลักชัวรี่ คอนโด เป็นโครงการ High Rise ความสูง 45 ชั้น ทั้งหมดมี 623 ยูนิต ในสไตล์ Ultra Modern Luxury ตั้งอยู่ย่านธุรกิจหลักใจกลางเมือง ที่เน้นการใช้ชีวิตแบบคนรุ่นใหม่ มีสไตล์เป็นของตัวเองอย่างชัดเจน ต้องการความสะดวกสบาย มีกิจกรรมพิเศษที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตที่แตกต่างได้อย่างครบถ้วนในสถานที่เดียว ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สะท้อนเอกสิทธิ์ชีวิตที่เหนือกว่า” พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ครบครัน ทั้ง Family Pool, Open Library, Sky Fitness, Sky Pool, Sky Lounge, Grand Amphitheater, Roof Garden, Sauna และ Private Lift โดยโครงการยังได้รับรางวัลการันตีระดับโลกจาก ASIA PACIFIC PROPERTY AWARDS ARCHITECTURE ทั้งสาขา Best Residential High-Rise Architecture Thailand และ Best Residential High-Rise Architecture Asia Pacific ในปี 2015-2016 ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ โครงการ WISH SIGNATURE MIDTOWN SIAM (วิช ซิกเนเจอร์ มิดทาวน์ สยาม) ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้า และสามารถปิดโครงการได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว นายธารธร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ย่านมิดทาวน์ สยาม เป็นทำเลระดับ “ซูเปอร์พรีเมียม” ใจกลางกรุงเทพ  ที่มีพื้นที่เหลืออยู่ไม่มากนัก จึงทำให้ “มิดทาวน์ สยาม” เป็นพื้นที่อยู่อาศัยที่ยังมีความต้องการ ในระดับท็อปของเอเชีย ซึ่งนอกจากการอยู่อาศัยแล้ว ยังถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะปัจจุบัน มีราคามากกว่า 230,000 บาท ต่อตารางเมตร คาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า มูลค่าของคอนโดจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ทางบริษัทฯ ยังเล็งเห็นว่า แม้ภาพรวมของเศรษฐกิจตอนนี้ยังคงชะลอตัว แต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้จากในปีนี้ บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้ตามเป้าหมายที่ 3,000 ล้านบาท จากโครงการดังกล่าว”                  
MJD พร้อมส่งมอบ “มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ” คาดปิดโอนหมด 100% สิ้นปีนี้  ล่าสุดราคารีเซลสูงถึง 20% ขณะที่ทำเลอนุสาวรีชัยฯ บูม ราคาที่ดินดีด 10% ต่อปี  แย้มรายได้รวมปีนี้โตขึ้นกว่าปีก่อน มั่นใจปีนี้ยอดขายเป็นไปตามเป้า 30,000 ลบ.

MJD พร้อมส่งมอบ “มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ” คาดปิดโอนหมด 100% สิ้นปีนี้ ล่าสุดราคารีเซลสูงถึง 20% ขณะที่ทำเลอนุสาวรีชัยฯ บูม ราคาที่ดินดีด 10% ต่อปี แย้มรายได้รวมปีนี้โตขึ้นกว่าปีก่อน มั่นใจปีนี้ยอดขายเป็นไปตามเป้า 30,000 ลบ.

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พร้อมส่งมอบโครงการ “มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ” (Maestro 07 Victory Monument) จำนวน 171 ยูนิต มูลค่า 800 ล้านบาท ให้ลูกค้าเข้าอยู่อาศัยตั้งแต่วันนี้ เผยโครงการประสบความสำเร็จ Sold Out อย่างรวดเร็วเพียง 2 วันที่เปิดพรีเซลส์ ล่าสุดราคารีเซลสูงขึ้นมาอยู่ที่ 174,000 บาท/ตร.ม. เพิ่มสูงขึ้นจากปี’59 ที่มีราคาขายอยู่ที่ 140,000 บาท/ตร.ม. หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 20% คาดสิ้นปีนี้ปิดโอนได้หมด 100% ขณะที่ทำเลอนุสาวรีย์ชัยฯ บูม ราคาที่ดินพุ่งขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยเกือบ 10% ต่อปี ปัจจุบันแตะที่ 850,000 บาทต่อตร.ว. แย้มรายได้รวมปีนี้โตขึ้นกว่าปีก่อน ระบุครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวมแล้ว 2,791 ล้านบาท มั่นใจปีนี้ยอดขายเป็นไปตามเป้าที่ 30,000 ล้านบาท     คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมรับรู้รายได้ในปี’61 ล่าสุดส่งโอนโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ “มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ” (Maestro 07 Victory Monument) จำนวน 171 ยูนิต มูลค่า 800 ล้านบาท ให้ลูกค้าเข้าอยู่อาศัยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้โครงการดังกล่าวนับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการที่ 5 ในปีนี้ที่ได้ส่งมอบให้ลูกค้า และคาดว่าจะทยอยโอนโครงการได้หมด 100% ภายในสิ้นปีนี้ หลังจากที่ทุกโครงการที่ผ่านมาในปีนี้ที่ได้ส่งมอบให้ลูกค้าได้ปิดการโอน 100% ทั้งหมดได้แก่ มาเอสโตร01 สาทร-เย็นอากาศ, มาเอสโตร14 สยาม – ราชเทวี, มาเอสโตร03 รัชดา – พระราม 9 และเอ็ม จตุจักร     “มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ ประสบความสำเร็จตั้งแต่เปิดขายโครงการ สามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว เพียง 2 วันที่เปิดขายพรีเซลส์ เนื่องจากทำเลอนุสาวรีย์ชัยฯ เป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีความสำคัญของกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางคมนาคมการเดินทางที่เชื่อมต่อถนนหลายสายในการเข้าเมืองหรือออกนอกเมือง ไม่ว่าจะเป็นถนนพญาไท พหลโยธิน ราชวิถี ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน ใกล้สถานที่ราชการ และใกล้กับสถานพยาบาลชั้นนำและสถาบันทางการแพทย์กว่า 20 แห่ง จึงทำให้ทำเลอนุสาวรีย์ชัยฯ เต็มไปด้วยบุคลากรทางการแพทย์มืออาชีพ ทั้งแพทย์ พยาบาล เภสัชกร อาจารย์ บุคคลากรต่างๆ ที่อยู่ประจำแต่ละสถานพยาบาลรวม รวมทั้งนักศึกษาแพทย์ที่เข้ามาเรียนในแต่ละปีการศึกษาแล้วกว่า 10,000 คน นอกจากนี้ยังมีคิง พาวเวอร์ รางน้ำ ที่เป็นจุด Checkpoint ของนักท่องเที่ยว จึงทำให้ทำเลนี้มีดีมานด์ของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นสูงขึ้นตามมาด้วยเช่นกัน     ทำเลอนุสาวรีย์ชัยฯ มีดีมานด์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งจากชาวไทยและชาวต่างชาติ อย่างไรก็ดี ทำเลนี้น้อยครั้งที่จะเกิดการพัฒนาโครงการใหม่ ทำให้ซัพพลายต์มีน้อย เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นของรัฐ ไม่สามารถนำมาพัฒนาได้ ส่งผลให้ปัจจุบัน มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ ล่าสุดราคารีเซลสูงขึ้นมาอยู่ที่ถึง 174,000 บาท/ตารางเมตร เพิ่มสูงขึ้นจากปี’59 ที่มีราคาขายอยู่ที่ 140,000 บาท/ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 20% และมีผลตอบแทนการปล่อยเช่าเฉลี่ย 4-5% ต่อปี ขณะที่ราคาที่ดินอนุสาวรีย์ชัยฯ ก็พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน โดยสูงขึ้นเฉลี่ยเกือบ 10% ต่อปี ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 850,000 บาทต่อตารางวา” คุณเพชรลดา กล่าว     คุณเพชรลดา กล่าวปิดท้ายว่า “เราคาดว่ารายได้รวมปีนี้จะโตขึ้นกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,410 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 บริษัทมีรายได้รวมแล้ว 2,791 ล้านบาท โดยมาจากการทยอยส่งมอบโครงการอย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จปิดการโอน 100% ทุกโครงการที่ส่งมอบ เนื่องจากเราส่งมอบโครงการที่มีคุณภาพให้ลูกค้าได้ตรงต่อเวลาตามที่กำหนด จึงทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นและไว้วางใจในแบรนด์ของเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ทั้งนี้จากการที่ทยอยรับรู้ได้รายได้จากการโอนอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าปีนี้ยอดขายจะเป็นไปตามเป้าที่ 30,000 ล้านบาทแน่นอน”
ปาร์คทูโก ตั้งเป้ามีส่วนดันตลาดรวมที่จอดรถทะลุ 8 พันล้านบาท ลุย ‘จองก่อนจอด’ อิมแพค  สยายปีกเปิดรับสมาชิกธุรกิจ เสริมรายได้ที่จอดรถ 100 ลานจอดทั่วกรุง

ปาร์คทูโก ตั้งเป้ามีส่วนดันตลาดรวมที่จอดรถทะลุ 8 พันล้านบาท ลุย ‘จองก่อนจอด’ อิมแพค สยายปีกเปิดรับสมาชิกธุรกิจ เสริมรายได้ที่จอดรถ 100 ลานจอดทั่วกรุง

บริษัท ปาร์คทูโก จำกัด ผู้ให้บริการสมาร์ทปาร์คกิ้ง และผู้บุกเบิกแอปพลิเคชัน ‘park2go’ จองก่อนจอด พื้นที่จอดรถอัจฉริยะในย่านธุรกิจ เผยภาพรวมตลาดปล่อยเช่าที่จอดรถรุ่งกว่า 6 พันล้านบาทต่อปี ล่าสุดลุยจองก่อนจอด คว้าสิทธิบริหารที่จอดรถ อิมแพค พร้อมชวนผู้ประกอบการร่วมธุรกิจที่จอดรถกับปาร์คทูโก เพิ่มกำไรก้าวกระโดด 30% รุกพื้นที่ CBD, แหล่งท่องเที่ยว หวังเป็นคู่คิดธุรกิจที่จอดรถครบทุกโซลูชั่น ตั้งเป้ามีส่วนดันรายได้ตลาดลานจอดรถโดยรวมทะลุ 8 พันล้าน     อภิราม สีตกะลิน กรรมการผู้จัดการบริษัท ปาร์คทูโก จำกัด ผู้ก่อตั้งและบุกเบิก แอปฯ ‘park2go’ เผยว่า จากการประเมินสถิติรถยนต์จดทะเบียนของกรมการขนส่งทางบก มีรถอยู่ในกรุงเทพฯ ประมาณ 10 ล้านคัน หากประมาณการผู้ใช้รถชำระค่าจอดรถ 50 บาท / คัน / เดือน มูลค่ารวมตลาดธุรกิจที่จอดรถจะเฉลี่ยอยู่ที่ 6 พันล้านบาทต่อปี ปาร์คทูโกเล็งเห็นโอกาสการเติบโตตั้งเป้าโต 20 % ดันรายได้ตลาดลานจอดรถโดยรวมทะลุ 8 พันล้านภายใน 3 ปี ด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมรายได้ผ่านแอปพลิเคชัน ‘park2go’ ผู้ใช้รถจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ สามารถ ‘จองก่อนจอด’ มีที่จอดแน่นอนก่อนถึงที่หมาย มีส่วนช่วยให้เจ้าของลานจอดมีรายได้เพิ่มขึ้นจากค่าจองโดยเฉลี่ย 10-30% พร้อมรุกเปิดรับธุรกิจที่จอดรถมาเป็นสมาชิกปาร์คทูโก 100 ลานจอดทั่วกรุง เจาะแหล่งชุมชน, แหล่งท่องเที่ยว และย่าน CBD ประเดิม 10 ลานจอดแรก รับโปรโมชั่นพิเศษ หวังเพิ่มโอกาสและศักยภาพธุรกิจที่จอดรถไทยสร้างกำไรได้มากขึ้น     ล่าสุดปาร์คทูโก ได้สิทธิบริหารพื้นที่ลานจอดรถ อิมแพค เมืองทองธานี ของบริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด พร้อมพาผู้ใช้รถสัมผัสประสบการณ์ใหม่ 'จองก่อนจอด’ ณ ลานจอดรถในร่ม อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1 อิมแพค เมืองทองธานี (บริเวณโซน H-N 31-32) รวมกว่า 36 ช่องจอด ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา รองรับงานทุกงาน ทุกอีเว้นต์ ที่ เมืองทองธานี อาทิ คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ 2018, มอเตอร์เอ็กซ์โป 2018 ผู้ใช้รถสามารถ ‘จองก่อนจอด’ ก่อนมาถึงงาน มีที่จอดแน่นอน คาดว่ามีรถหมุนเวียนเข้าใช้บริการนี้ไม่น้อยกว่าปีละ 3.5 หมื่นคัน     “หัวใจสำคัญของการร่วมธุรกิจกับปาร์คทูโก คือ เราช่วยเพิ่มให้ลานจอดรถของคุณเต็ม เพิ่มช่วงเวลาสร้างรายได้ที่หายไปที่ลานจอดรถไม่เคยได้จากการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ซึ่งช่วยเพิ่มยอดได้ 10-30% ในแง่ผู้ใช้รถจะได้ประโยชน์จากการไม่ต้องวนหาที่จอดรถ ลดการผลาญน้ำมันโดยเปล่าประโยชน์ ถ้ามองในเชิงมหภาคประเทศไทยสูญเสียน้ำมันจากการวนหาที่จอดรถปีละ 3.6 พันล้านบาท การใช้แอปฯ ปาร์คทูโก แค่ 10% ของประชากรรถยนต์ในเขตเมืองหลวงจะช่วยชาติลดการสูญน้ำมันได้อย่างน้อยปีละ 360 ล้านบาทแล้ว”     ปัจจุบันมีลานจอดรถเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับปาร์คทูโกแล้วหลายแห่ง อาทิ ที่จอดรถหลังมหาวิทยาลัยหอการค้า, ลานจอดรถ BTS ปุณณวิถี, ร้านอาหารกัลปพฤกษ์ @สีลม, ลานจอดอาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1 อิมแพค เมืองทองธานี รองรับงานบ้านและสวนแฟร์, ไทยเที่ยวไทย และอีกมากมาย ซึ่งแพลตฟอร์มของปาร์คทูโกถือเป็นโฉมใหม่ของการยกระดับวงการที่จอดรถไทย     “ร้านอาหารกัลปพฤกษ์ @สีลม เป็นลานจอดที่เราเข้าไปช่วยแก้ปัญหาทุกโซลูชั่น ตั้งแต่ช่วยเพิ่มพื้นที่ที่จอดรถให้มากขึ้นด้วยเครื่องจอดรถอัตโนมัติ วางระบบบริหารจัดการ ระบบจ่ายเงินอัตโนมัติ รวมถึงใช้แอปฯ ปาร์คทูโกช่วยเพิ่มลูกค้าสร้างการหมุนเวียนจุดจอดได้ 8 รอบต่อวัน เพิ่มรายได้จากเดิมได้มากกว่า 133% นี่เป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จ ทำให้ลานจอดรถไม่ใช่แค่บริการเสริม แต่สร้างเม็ดเงินเพิ่มได้จริงๆ”     สำหรับการเพิ่มสมาชิกร่วมธุรกิจ กลยุทธระยะสั้นปาร์คทูโกเน้นการตลาดเชิงรุกมุ่งตรงถึงกลุ่มผู้ประกอบการที่มีลานจอดรถทุกประเภท ในทำเลที่มีดีมานต์ที่จอดรถสูง อาทิ สาทร สุขุมวิท ทองหล่อ เยาวราช จตุจักร โดยมีแผนประชาสัมพันธ์ผ่านออนไลน์ ได้แก่ แอปพลิเคชัน, เฟซบุ๊ก และเว็บไซต์ปาร์คทูโก ซึ่งอยู่ในระหว่างปรับโฉมใหม่     ผู้สนใจร่วมทำธุรกิจกับปาร์คทูโก ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของลานจอดรถเท่านั้น ผู้มีพื้นที่ว่าง เจ้าของที่ดิน ไม่ว่าพื้นที่นั้นจะเล็กจอดรถได้คันเดียว หรือจอดรถได้เป็นสิบเป็นร้อยคัน ไปจนถึงเจ้าของอาคารสำนักงาน, โรงพยาบาล, ร้านอาหาร, คอมมูนิตี้มอลล์ ฯลฯ สามารถร่วมธุรกิจกับปาร์คทูโกได้ ขอเพียงมีพื้นที่ว่างและอยู่ในทำเลที่เหมาะสม   พิเศษ! ช่วงโปรโมชั่นรับสิทธิประโยชน์ มูลค่ารวมกว่า 3.6 แสนบาท สำหรับ 100 ลานจอดแรกที่สนใจมาร่วมเป็นสมาชิกปาร์คทูโก ฟรี! ค่าสมาชิกแรกเข้า-ค่าบริหารจัดการตลอดอายุสัญญา และแอปพลิเคชัน และ 10 ลานจอดแรกเท่านั้น จะได้รับอุปกรณ์ส่งเสริมการขายประจำลานจอดรถฟรี! ได้แก่ กรวยจราจร, หมวก, ร่ม, ป้ายแบนเนอร์ และสมาร์ทโฟน Huawei รุ่น Y7 จำนวน 1 เครื่อง ตลอดจนบริการที่ปรึกษาการตลาด บริหารการตลาดออนไลน์ และแอปพลิเคชัน
“ORI” จ่อโอนโครงการใหม่สร้างเสร็จพร้อมรับรู้รายได้ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ส่งโปรโดนใจตลาดพร้อมลุยเปิดขายโครงการต่อเนื่อง

“ORI” จ่อโอนโครงการใหม่สร้างเสร็จพร้อมรับรู้รายได้ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ส่งโปรโดนใจตลาดพร้อมลุยเปิดขายโครงการต่อเนื่อง

ออริจิ้น เผยเตรียมทยอยโอนกรรมสิทธิ์โครงการสร้างเสร็จใหม่ไตรมาส 4 เพิ่ม 2 โครงการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท หลังงานก่อสร้างรุดหน้า ติดเครื่องลุยแคมเปญทางการตลาด มั่นใจภาพรวมทั้งปีเป็นไปตามแผน   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์ บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4 บริษัทมีโครงการใหม่แล้วเสร็จพร้อมโอน ได้แก่ โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท105 (Notting Hill Sukhumvit 105) มูลค่าโครงการ 2,350 ล้านบาท ที่สร้างเสร็จเร็วกว่าแผน พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ได้ทันที ทั้งนี้มี Secure Backlog แล้วถึง 80% และโครงการนอตติ้ง ฮิลล์ จตุจักร อินเตอร์เชนจ์ (Notting Hill Jatujak-Interchange) มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท ซึ่งมี Secure Backlog แล้วถึงกว่า 95%  ผนวกกับบริษัทมีความตั้งใจดำเนินงานก่อสร้างอย่างเต็มที่ให้แล้วเสร็จตามแผน ทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่าการรู้รายได้จะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง   “ในขณะเดียวกัน ช่วงไตรมาส 4 บริษัทเดินหน้าเปิดขายโครงการใหม่อย่างเป็นทางการอีก 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการพารค์ ออริจิ้น ทองหล่อ มูลค่าโครงการ 12,000 ล้านบาท 2.โครงการบริทาเนียเมกา ทาวน์ บางนา มูลค่าโครงการ  1,900 ล้านบาท และ 3. โครงการบริทาเนียบางนา สุวรรณภูมิ มูลค่าโครงการ  1,000 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการกว่า 14,900 ล้านบาท”   นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมากระแสการตอบรับกับแคมเปญต่างๆ ของบริษัทนั้น ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี สังเกตได้จากการจัดงานอีเวนท์ในครั้งที่ผ่านๆ มา เช่น งาน Origin Shock Price ณ ลานแฟชั่น ฮอลล์ ศูนย์การค้า สยาม พารากอน ที่ช่วยให้ผู้บริโภคในทุกเซ็กเมนต์มีโอกาสเข้าถึงโครงการที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น จนสามารถกวาดยอดขายไปได้มากกว่า 240 ล้านบาท ในเวลา 2 วัน หรือจากโปรโมชั่น Last Minute แซงมาตรการรัฐ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอย่างล้นหลาม   ทั้งนี้ จากยอดขายและผลประการดำเนินงานที่ทำได้ดีตลอดช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการทุกด้าน ทั้งยอดขาย รายได้ ในปีนี้ จะสามารถเป็นไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้   สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 54 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 82,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร          
ยอดขายดีเกินคาด! บมจ.ไรมอน แลนด์ เปิดขายพรีเซล 2 โครงการใหม่ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ (The Estelle Phrom Phong) และ เทตต์ ทเวลฟ์ (TAIT 12) เพียงสัปดาห์แรก ยอดขายพุ่งรวม 4.6 พันล้านบาท!

ยอดขายดีเกินคาด! บมจ.ไรมอน แลนด์ เปิดขายพรีเซล 2 โครงการใหม่ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ (The Estelle Phrom Phong) และ เทตต์ ทเวลฟ์ (TAIT 12) เพียงสัปดาห์แรก ยอดขายพุ่งรวม 4.6 พันล้านบาท!

บริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า ทางบริษัทฯ ได้เปิดขายพรีเซลคอนโดสุดหรู ทั้ง 2 โครงการ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ (The Estelle Phrom Phong) และ เทตต์ ทเวลฟ์ (TAIT 12) ในสัปดาห์แรกยอดขายรวม 4.6 พันล้านบาท โดยการเปิดขายพรีเซลทั้ง 2 โครงการนี้ถือเป็น 50 % ของมูลค่าของทั้ง 2 โครงการรวม 9 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการขายพรีเซลสัปดาห์แรกที่มีมูลค่าสูงสุดเท่าที่บริษัทไรมอน แลนด์ เคยมีมา นาย ไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเปิดขายพรีเซลสัปดาห์แรกของทั้ง 2 โครงการนี้ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีคือยอดขายที่สูงเกินความคาดการณ์ของบริษัทฯ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า ความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะโครงการที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี และใช้วัสดุคุณภาพสูงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของบริษัทไรมอน แลนด์ ทั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาลไทยจะมีการออกมาตรการใหม่เพื่อควบคุมสัดส่วนการกู้เงินของผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้น ทางบริษัทฯ ยังเห็นแนวโน้มที่ดีว่าโครงการของบริษัทฯ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติอยู่เช่นเดิม     โครงการ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ (The Estelle Phrom Phong) ได้เปิดขายพรีเซลล์สัปดาห์แรกในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2561 สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 2.1 พันล้านบาท โดยถือเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ทั้งนี้ โครงการ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 26 ใกล้ BTS สถานีพร้อมพงษ์เพียง 200 เมตร ประกอบไปด้วยห้องชุด 157 ยูนิต พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่หรูหรา ไม่ว่าจะเป็น สระสปาเกลือบำบัดและสระว่ายน้ำที่ปราศจากสารคลอรีน โครงการดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์จึงตอบโจทย์ชีวิตที่หรูหราและทันสมัยเป็นอย่างดี โครงการ เทตต์ ทเวลฟ์ (TAIT 12) ตั้งอยู่บนซอยสาทร 12 ใกล้สถานีบีทีเอส ช่องนนทรี ได้ปิดการขายพรีเซลในสัปดาห์แรกไปด้วยมูลค่าสูงกว่า 2.5 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของมูลค่าโครงการรวมทั้งหมด 4.2 พันล้าน ตั้งแต่เปิดตัวโครงการเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โครงการ เทตต์ ทเวลฟ์ประกอบไปด้วย 238 ยูนิต โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯ โครงการได้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความมีชีวิตชีวา และการพักอาศัยของคนกรุงเทพฯที่มีความคล่องแคล่วว่องไว โครงการเทตต์ ทเวลฟ์ ได้มอบพื้นที่ส่วนกลางกว่า 1,500 ตารางเมตร, ห้องออกกำลังกาย, เลานจ์อัฒจันทร์, พื้นที่อเนกประสงค์, สระว่ายน้ำในร่ม ส่วนเส้นโค้งมนของสถาปัตยกรรม ที่ถูกออกแบบควบคู่ไปกับแผงกระจกขนาดใหญ่ ได้ผสมผสานความทันสมัยให้เข้ากับความงดงามของเมือง รวมทั้งพื้นที่ใช้สอยที่ออกแบบให้เปิดกว้าง และเพื่อประโยชน์ใช้สอยต่างๆ   นายไลโอเนล ลี ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้ง 2 โครงการเป็นการพัฒนาโครงการร่วมกันระหว่างบริษัทฯ และบริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ และเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีวิสัยทัศน์ที่ตรงกัน ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมากในการทำงาน และก้าวเดินต่อไปในการพัฒนาโปรเจ็คอื่นๆในอนาคตร่วมกัน นอกจากนี้บริษัทไรมอนแลนด์ยังคงมุ่งที่จะขยายและพัฒนาธุรกิจอื่นเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มและโรงแรม เพื่อสร้างมูลค่าให้กับบริษัทเพิ่มยิ่งขึ้นอีกด้วย   สามารถติดตามข้อมูลอัพเดต หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ www.raimonland.comหรือ โทร 02-029-1888            
เอสซีฯ ผลดำเนินงาน 9 เดือน เติบโตทุกด้าน รายได้รวม 10,365 ลบ. เติบโต 32%  กำไรสุทธิ 1,096 ลบ. เติบโต 56%   ไตรมาสสุดท้ายรุกเปิด 5 โครงการแนวราบ มูลค่า 5,550 ลบ.   พร้อมจัดงานใหญ่  “This is  BEATNIQ” เปิดประสบการณ์คอนโดสไตล์ MCM (Mid-Century Modern) มิติใหม่บนถนนสุขุมวิท 21 พ.ย.นี้

เอสซีฯ ผลดำเนินงาน 9 เดือน เติบโตทุกด้าน รายได้รวม 10,365 ลบ. เติบโต 32% กำไรสุทธิ 1,096 ลบ. เติบโต 56% ไตรมาสสุดท้ายรุกเปิด 5 โครงการแนวราบ มูลค่า 5,550 ลบ. พร้อมจัดงานใหญ่ “This is BEATNIQ” เปิดประสบการณ์คอนโดสไตล์ MCM (Mid-Century Modern) มิติใหม่บนถนนสุขุมวิท 21 พ.ย.นี้

นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทุกระดับราคา   กล่าวถึงความสำเร็จของผลประกอบการ 9 เดือนว่า “SC มีการเติบโตในทุกด้าน ทั้งยอดขาย รายได้รวม และกำไรสุทธิ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 โดยบริษัทฯ มียอดขายรวมเท่ากับ 11,800 ล้านบาท เติบโต 8% มีรายได้รวมเท่ากับ 10,365 ล้านบาท เติบโต 32% และมีกำไรสุทธิ 1,096 ล้านบาท เติบโตขึ้น 56%” โดยไตรมาส 3/2561 มียอดขาย 4,564 ล้านบาท เติบโต 28% มีรายได้รวมเท่ากับ 3,713 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขาย 3,500 ล้านบาท และรายได้จากการเช่าและบริการ 208 ล้านบาท กำไรสุทธิ 392 ล้านบาท  บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมและหนี้สินรวม ณ วันที่ 30 กันยายน 22561 เท่ากับ 42,794 ล้านบาท และ 27,276 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับไตรมาส 4/2561 นี้ บริษัทจะเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ  5,550 ล้านบาทซึ่งเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ได้แก่  บ้านเดี่ยว 4 โครงการ และ โฮมออฟฟิศ  1 โครงการ ทั้งนี้เนื่องจากยอดขายแนวราบ กลุ่มบ้านเดี่ยว 8-20 ล้านบาท ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ด้วยแนวคิด ดีไซน์มีเอกลักษณ์  สิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์  และทำเลที่ดี  ทำให้ยอดขาย 9 เดือนเติบโตสูง 230% (YoY)  บริษัทฯ จึงเปิดแบรนด์บางกอก บูเลอวาร์ด 3 โครงการใหม่ต่อเนื่อง  ประกอบด้วย โครงการ บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์-บางนา มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท พื้นที่ 55-3-20 ไร่ จำนวน 200 ยูนิต โครงการ บางกอกบูเลอวาร์ด พระราม 9 มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท พื้นที่ 30-1-0.6 ไร่  จำนวน 108 ยูนิต โครงการ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย มูลค่าโครงการ 415 ล้านบาท  พื้นที่ 10-0-6 ไร่ จำนวน 31 ยูนิต   โดยทั้ง 3 โครงการอยู่ในโซนกรุงเทพฝั่งตะวันออกเป็นหลัก เนื่องจากเป็นทำเลศักยภาพแห่งอนาคต ที่จะเกิดโครงการ Mega Project มากมาย และรองรับความสะดวกในการเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ สู่สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมด้วยปัจจัยบวกต่างๆ ที่รองรับ EEC ทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สีส้มและสีชมพู รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ และถนนตัดใหม่ศรีนครินทร์-ร่มเกล้า พร้อมกับการเปิดโครงการ เวนิว พระราม 9 มูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท  พื้นที่ 34-0-24 ไร่  จำนวน 143 ยูนิต ระดับราคา 6-10 ล้านบาท และ โครงการ เวิร์คเพลส เพชรเกษม 81-2 มูลค่าโครงการ 630 ล้านบาท  เป็นโฮมออฟฟิศ 3 ชั้น ราคา 6-10 ล้านบาท บนพื้นที่ 11-2-34.1 ไร่ จำนวน 112 ยูนิต   นอกจากนี้ ในวันที่ 21 พ.ย. 2561 บริษัทฯ จะจัดงานใหญ่ส่งท้ายปี คือ “This is BEATNIQ”   เพื่อร่วมเปิดประสบการณ์มิติใหม่สไตล์ MCM (Mid-Century Modern) ณ คอนโด BEATNIQ (บีทนิค) สุขุมวิท 32 Limited Luxury Collection   ที่มีสถาปัตยกรรมอันมีเอกลักษณ์พิเศษและเป็นแลนด์มาร์คใหม่บนถนนสุขุมวิท   นายอรรถพล กล่าวสรุปว่า “ ในไตรมาส 4 SC มีโครงการต่อเนื่องที่เปิดขาย 43 โครงการ มูลค่าคงเหลือเพื่อขายรวมกว่า 37,400 ล้านบาท และจะเปิดอีก 5 โครงการใหม่ มูลค่า 5,550 ล้านบาท พร้อมกับ Backlog หรือยอดขายรอโอน  11,800 ล้านบาท โดยประมาณ 45% จะรับรู้รายได้ในปีนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะสนับสนุนยอดขายและรายได้ของ SC ให้ได้ตามเป้าหมาย ”   สนใจเยี่ยมชมโครงการใหม่ และ สอบถามรายละเอียดได้ที่โทร 1749 หรือ www.scasset.com