Tag : News

2400 ผลลัพธ์
KOHLER Design Forum 2018  ร่วมสรรค์สร้างอนาคตแห่งการอยู่อาศัย  เชื่อมสรรพสิ่งออนไลน์ภายใต้แนวคิด “ALL THINGS CONNECTED”

KOHLER Design Forum 2018 ร่วมสรรค์สร้างอนาคตแห่งการอยู่อาศัย เชื่อมสรรพสิ่งออนไลน์ภายใต้แนวคิด “ALL THINGS CONNECTED”

โคห์เลอร์ ผู้นำระดับโลกด้านการออกแบบนวัตกรรมและการผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับห้องครัวและสุขภัณฑ์ กำหนดจัดงาน KOHLER Design Forum ณ เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2561 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเชิญชวนเหล่าสถาปนิก นักออกแบบ และผู้ปฏิบัติงานในสาขาที่เกี่ยวข้องในเมืองไทยมาร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตของอุตสาหกรรมด้านการอยู่อาศัย และรับฟังองค์ความรู้เชิงลึกจากผู้บรรยายระดับโลกในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคอินเตอร์เน็ต รวมถึงแนวโน้มของระบบเมือง บ้าน และสำนักงานอัจฉริยะ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต   งาน KOHLER Design Forum จะจัดขึ้นภายใต้ธีม “All Things Connected”ถือเป็นเวทีสำหรับผู้ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมสถาปัตย์และการออกแบบในประเทศไทย เพื่อมาร่วมพูดคุยถึงการสร้างสรรค์อนาคตของอุตสาหกรรมด้านการอยู่อาศัย ผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ องค์ความรู้เชิงลึก และแนวคิดที่ให้ความสำคัญในเรื่องอนาคตของเทคโนโลยีอัจฉริยะภายในบ้าน สำนักงาน และอาคารประเภทต่าง ๆ พร้อมนำเสนอแนวโน้มและองค์ความรู้ด้านการออกแบบแนวใหม่ ซึ่งนอกเหนือจากการนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจ โคห์เลอร์ยังจัดแสดงนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด “KOHLER Konnect™” ระบบบ้านอัจฉริยะ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการทำงานของห้องน้ำด้วยเสียง มอบความสะดวกสบายและการเชื่อมต่อที่ง่ายดายยิ่งขึ้น   ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โคห์เลอร์จัดการประชุมตามศูนย์กลางการออกแบบหลายแห่งทั้งในเอเชียและยุโรป และนำเสนอองค์ความรู้จากนักออกแบบและสถาปนิกที่ทรงอิทธิพลและเจ้าของรางวัลทั่วโลก สำหรับในปีนี้มีการจัดงาน KOHLER Design Forum มาแล้วทั้งในสิงคโปร์ ลอนดอน โตรอนโต และดูไบ โดยกรุงเทพฯ ถือเป็นสถานที่จัดงานแห่งสุดท้ายสำหรับปีนี้ ซึ่งกำหนดจัดภายใต้แนวคิด “All Things Connected”   KOHLER Design Forum เป็นการประชุมนำเสนอข้อมูลรอบเอ็กซ์คลูซีฟที่จัดขึ้นเป็นพิเศษหรับกลุ่มผู้ปฏิบัติงานในวงการสถาปนิกและนักออกแบบเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างคอนเน็กชั่น พร้อมพบปะกับบรรดาผู้นำและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม เพื่อรับฟังข้อมูลผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดกับระบบ“KOHLER Konnect” ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://kohler.design/design-forum/          
แสนสิริหนุนโรงแรม The Standard สยายปีก 15 สาขาทั่วโลกภายใน 5 ปี  พร้อมเปิดตัว One Night แอปฯ จองโรงแรมปฏิวัติวงการครั้งแรกในเอเชีย

แสนสิริหนุนโรงแรม The Standard สยายปีก 15 สาขาทั่วโลกภายใน 5 ปี พร้อมเปิดตัว One Night แอปฯ จองโรงแรมปฏิวัติวงการครั้งแรกในเอเชีย

แสนสิริประกาศเปิดตัวโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด (The Standard Hotel) และสแตนดาร์ด เรซิเดนซ์ (Standard Residences) ในประเทศไทยอันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายสาขาทั่วโลก พร้อมเปิดตัววัน ไนท์ (One Night)แอปพลิเคชั่นจองโรงแรมภายในวันเดียวกับที่พัก ซึ่งขยายขอบข่ายการบริการสู่เอเชียเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ เพื่อต่อยอดหลังการประกาศวิสัยทัศน์ในการก้าวสู่ธุรกิจโรงแรม เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ระดับโลกผ่านการลงทุนมูลค่า 80 ล้านดอลล่าร์ หรือ 2,640 ล้านบาท ในหลากหลายแบรนด์ชั้นนำระดับโลก     การสยายปีกของ The Standard และOne Night สู่เอเชียครั้งนี้เป็นผลจากการขยายตัวทางธุรกิจอย่างรวดเร็วหลังการร่วมลงทุน ของแสนสิริเมื่อปลายปีที่ผ่านมา  โดย Standard International ตั้งเป้าขยายสาขาโรงแรมทั่วโลกเพิ่มขึ้น 2 เท่า จาก 5 สาขาในปัจจุบันเป็น 10 สาขาภายใน 1 ปี และขยายเพิ่ม 2 เท่าอีกครั้งเป็น 20สาขาภายใน 5 ปี ขณะที่ One Night เริ่มรุกสู่ตลาดเอเชียซึ่งมีศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจสูง โดยเริ่มเปิดให้บริการที่กรุงเทพฯ แล้วเป็นแห่งแรก     นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2560 เราได้ประกาศแผนการลงทุนในแบรนด์ระดับโลกมากมาย ซึ่งล้วนเป็นผู้นำในธุรกิจโรงแรม เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ การลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขยายฐานความรู้และการสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอื่นที่หลากหลายออกไปนอกเหนือจากด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นเรื่องน่ายินดีที่ในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี การลงทุนครั้งนี้ได้ช่วยขับเคลื่อนให้ The Standardและแอปพลิเคชั่น One Night เติบโตในอัตราที่รวดเร็ว ซึ่งวันนี้ทั้งสองแบรนด์พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจสู่ตลาดเอเชียอย่างแข็งแกร่ง โดยมีประเทศไทยเป็นเป้าหมายแห่งแรก”      The Standard แบรนด์ที่กล่าวได้ว่ามีอิทธิพลที่สุดในธุรกิจบูทีคโฮเทล ได้วางแผนขยายสาขาโรงแรมเพิ่มขึ้นสองเท่า ทั่วโลกหลังจากที่แสนสิริเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 35% ในบริษัทแม่ คิดเป็นมูลค่า 58 ล้านดอลล่าร์ หรือกว่า 1,900 ล้านบาท The Standardตั้งเป้าขยายสาขาสู่ตลาดใหม่ๆ โดยอาศัยทีมงานที่เปี่ยมคุณภาพ ความเชี่ยวชาญ  ในการสร้างสรรค์โปรแกรมและกิจกรรมที่เน้นการสะท้อนวัฒนธรรมในรูปแบบต่างๆ การคัดสรรพาร์ทเนอร์  และการสร้างสรรค์งานอีเวนต์ที่ไม่ซ้ำใคร เพื่อเชื่อมโยงชุมชนและสังคมท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากทั่วโลก เข้าด้วยกัน The Standard ได้ปักหมุดขยาย 10 สาขาทั่วโลกโดยมี 2 สาขาที่ประเทศไทย ที่จะเปิดบริการภายในอนาคตอันใกล้     ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจ 5 ปีที่จะขยายสาขาให้ครบ 20 แห่ง ทั้งในโลเคชั่นที่อยู่ในพื้นที่ใจกลางเมือง และเมืองตากอากาศชั้นนำทั่วโลก อันได้แก่ ลอนดอน ซึ่งจะเปิดในไตรมาส 1 ปี 2562ตามด้วย ปารีส มิลาน เบอร์ลิน ลิสบอน ปราก แมดริด ชิคาโก ลาสเวกัส  นิวออร์ลีนส์ แอตแลนต้า ดูไบ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน กรุงเทพฯ ภูเก็ต หัวหิน จาการ์ตา และบาหลี โดยเมืองเป้าหมายทั้งหมดข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นทำเลที่ The Standardมีแผนดำเนินการพัฒนาโรงแรมที่เป็นรูปธรรมแล้ว หรือมีความคืบหน้าในขั้นตอนเจรจาตกลง     อามาร์ ลาลวานี ซีอีโอ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “การขยายแบรนด์ The Standard ไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ถือเป็นโอกาสสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์การเข้าพักในโรงแรมที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นของเราสู่ผู้คนอีกมากมาย เราสร้างสรรค์พื้นที่ให้มีความสอดคล้องกลมกลืนกับวัฒนธรรรมเฉพาะตัวของแต่ละท้องถิ่นที่โรงแรมตั้งอยู่ ผ่านการออกแบบพื้นที่ใช้สอยและการสร้างประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่อื่นให้กับทั้งแขกที่มาพักและผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นๆ    The Standardยังตั้งใจสร้างแบรนด์ให้เป็นพื้นที่ที่เป็นเสมือนศูนย์กลางของพลังแห่งความสร้างสรรค์และการร่วมกันทำกิจกรรมแสนสนุกสนาน ตัวอย่างที่ชัดเจนได้แก่ The Standard สาขา High Line ซึ่งเป็นโรงแรมแฟล็กชิพของเราที่นิวยอร์ก ที่นับได้ว่าเป็นเครื่องมือบุกเบิกการพลิกโฉมพื้นที่ซึ่งอดีตเป็นย่านโรงงานเนื้อสัตว์ให้กลายเป็นทำเลซึ่งเป็นที่น่าสนใจที่สุดของแห่งหนึ่งของเมือง และดึงดูดให้เกิดสถานที่ซึ่งมีความน่าสนใจ และผู้ประกอบการใหม่ๆ เข้ามาในย่าน   ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์วิทนีย์ (Whitney Museum) เทสลา (Tesla) และซัมซุง(Samsung)นอกจากนี้นับตั้งแต่ The Standard ได้เข้ามาดำเนินธุรกิจภายในย่าน ยังส่งผลให้ราคาของอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณนี้มีมูลค่าสูงขึ้นราวสองเท่าเมื่อเทียบกับอสังหาฯ ในบริเวณที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่บล็อกจากโรงแรม และเราเชื่อมั่นว่าปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นอีกเช่นเดียวกันเมื่อเราเปิดโรงแรม The Standard สาขาใหม่แห่งแรกนอกสหรัฐอเมริกา ที่ลอนดอน ในย่านคิงส์ครอส และในพื้นที่ใหม่ๆ ทั่วโลกอีกมากมาย”       “สำหรับประเทศไทย เรามีแผนเปิดโรงแรม The Standard แห่งแรกที่ภูเก็ต ซึ่งนอกจากโรงแรมแล้ว ยังมี Standard Residences ซึ่งเราพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกภายใต้ความร่วมมือกับแสนสิริ ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจทั้งในเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่น่ามาเยี่ยมเยือน รวมถึงจำนวนของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี จึงเป็นทำเลที่เหมาะสมสำหรับการเปิดตัวแบรนด์ The Standard ไม่ว่าจะเป็นความโดดเด่นในด้านอาหารการกินชั้นเลิศ แวดวงแฟชั่น และศิลปะ เมื่อประกอบเหตุผลต่างๆ เข้าด้วยกัน เราจึงตัดสินใจเลือกกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งสำนักงาน ประจำภูมิภาคของเราเพื่อดูแลการดำเนินธุรกิจทั้งหมดในแถบเอเชียและตะวันออกกลาง”      ด้วยจำนวนโรงแรมทั้งหมด 6 แห่งในปัจจุบันและห้องพักรวมกันกว่า 1,200 ห้อง (รวมโรงแรมแห่งใหม่ที่จะเปิดในลอนดอน) The Standard สามารถสร้างรายได้ปีละประมาณ 200 ล้านดอลล่าร์ หรือ6,600 ล้านบาท มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 85% มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเติบโต 121% โดยทุกสาขามีอัตราที่ใกล้เคียงกัน  The Standard ยังมีสัดส่วนการจองห้องพักจากลูกค้าโดยตรงและการกลับมาใช้บริการซ้ำของแขกที่สูงเป็นอย่างมาก ซึ่งช่วยสะท้อน  ความแข็งแกร่งของแบรนด์ซึ่งโดดเด่นกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ     จิมมี่ ซูฮ์ ประธานบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง One Night กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งกับการเปิดตัวแอปพลิเคชั่น One Night ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการขยายธุรกิจสู่เอเชียเป็นครั้งแรก กรุงเทพฯ คือเมืองที่ไม่เคยหลับ ผู้คนเปี่ยมพลัง  ในการทำงานและใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับOne Night แอปพลิเคชั่นจองโรงแรมในวันเดียวกับการเข้าพัก ที่มอบตัวเลือกโรงแรมอิสระชื่อดังซึ่งล้วนคัดสรรมาเพื่อประสบการณ์สุดพิเศษด้วยราคาที่ดีที่สุด”   “แอปพลิเคชั่น One Night เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมแนวคิดในการใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและการท่องเที่ยวที่เสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ สอดคล้องกับเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคต้องการบริการที่สั่งได้ทันทีอย่างใจ (on-demand service) ผ่านทางหน้าจอโทรศัพท์ นอกจากนี้ ยังเป็นการผลักดันให้การพักในโรงแรมกลายเป็นกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ เพื่อหลีกหนีจากชีวิตประจำวันที่จำเจ ตามเทรนด์ Staycation ที่กำลังมาแรง นอกจากนั้นตัวแอปฯ ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมที่น่าสนใจบริเวณโดยรอบโรงแรมอีกด้วย”     สำหรับ One Night ที่เปิดตัวในกรุงเทพฯ ได้รวบรวมโรงแรมอิสระที่ดีที่สุด 16 แห่ง ประกอบด้วย โรงแรมอาคิระ สุขุมวิท, โรงแรมอาคิระ ทองหล่อ, แบงค็อก ริเวอร์ไซด์, ปาเฮ่า เกสต์เฮาส์ เยาวราช, โรงแรมคาโบชอง, โรงแรมดิโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ, ริว่าอรุณ, ริวา เซอร์ยา, เซี่ยงไฮ้แมนชั่น, เดอะสยาม, สยามแอทสยาม, โรงแรมสุโขทัย, โรงแรม เดอะ สุโกศล, 137 พิลล่าร์ สวีท แอนด์ เรสซิเด้นซ์, โรงแรมอำแดง, จอช โฮเทล และวันเดย์ โฮสเทล ลูกค้าแสนสิริสามารถรับสิทธิพิเศษสำหรับการจองโรงแรมในกรุงเทพมหานครผ่านแอปพลิเคชั่น One Night ได้ระหว่างวันนี้ – 30พฤศจิกายน 2561 ด้วยส่วนลดพิเศษ 1,000 บาท สำหรับลูกค้า Sansiri Family และส่วนลด 1,500บาทสำหรับลูกค้า Siri Priority     นอกเหนือจากกรุงเทพฯ ปัจจุบัน One Night ได้เปิดให้บริการแล้วในอีก 15 เมืองหลักในสหรัฐอเมริกา และลอนดอน ครอบคลุมโรงแรมอิสระกว่า 170แห่ง และมีแผนขยายขอบข่ายให้ครอบคลุม 30เมืองทั่วโลก รวมทั้งในเอเชีย  และยุโรป ภายในสิ้นปี 2563 “การร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับแบรนด์ที่แข็งแกร่งและโดดเด่น จะช่วยส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของแสนสิริ ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงบริการจากผู้นำธุรกิจระดับโลกอย่างแท้จริง การเปิดตัวThe Standard และ One Night ในประเทศไทยคืออีกก้าวสำคัญของเรา ที่จะนำไปสู่สิ่งใหม่ๆ อีกมากมายในอนาคต" นายอภิชาติกล่าว    
“รอแยลเฮ้าส์” เปิดตัว “รอแยลเฮ้าส์ อีเลฟเว่น” ลุยตลาดคอนโด  ปั้นโครงการแรก “โคคูน พระราม 9” พร้อมแบรนด์ดัง แกรนด์โฮมมาร์ท-ออกานิก้า เฮ้าส์

“รอแยลเฮ้าส์” เปิดตัว “รอแยลเฮ้าส์ อีเลฟเว่น” ลุยตลาดคอนโด ปั้นโครงการแรก “โคคูน พระราม 9” พร้อมแบรนด์ดัง แกรนด์โฮมมาร์ท-ออกานิก้า เฮ้าส์

รอแยลเฮ้าส์ แตกไลน์ธุรกิจ ตั้ง “รอแยลเฮ้าส์ อีเลฟเว่น” ลุยธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาฯ ชูจุดขายคุมงานก่อสร้างเองด้วยประสบการณ์รับสร้างบ้านกว่า 30 ปี นำร่องพัฒนาโครงการแรก “โคคูน พระราม 9” คอนโดคุณภาพพรีเมียม ราคาเข้าถึงได้ ตอบโจทย์เรียลดีมานด์ในพื้นที่ ดึงแบรนด์ดัง แกรนด์โฮมมาร์ท-ออกานิก้า เฮ้าส์ ร่วมสร้างประสบการณ์สุดพิเศษในการอยู่อาศัย   นายโกศล โควิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รอแยลเฮ้าส์ อีเลฟเว่น จำกัด เปิดเผยว่า ได้จัดตั้งบริษัท รอแยลเฮ้าส์ อีเลฟเว่น จำกัด ขึ้น ภายใต้สโลแกน “The Balanced Living” เพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ (Property Development Business) ต่อยอดโอกาสและความท้าทายในการตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภค     “หลายคนอาจรู้จักรอแยลเฮ้าส์เฉพาะในธุรกิจรับสร้างบ้าน แต่จริงๆ แล้ว รอแยลเฮ้าส์เองเคยมีประสบการณ์การพัฒนาที่อยู่อาศัยมานานแล้วหลายโครงการทั้งแนวราบและแนวดิ่ง เช่น Royal Tower 3 อินทามระ 25, Green Peace Mansion ประดิพัทธ์ ซอย 7, Royal Kamala ภูเก็ต วันนี้เราเพิ่มความท้าทายใหม่ๆ และโอกาสให้ตัวเองด้วยการจัดตั้งบริษัทใหม่ เพิ่มเซ็กเมนท์และทางเลือกในการช่วยตอบโจทย์ด้านที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคอย่างเป็นทางการ โดยจุดแข็งหลักของบริษัท คือการควบคุมงานด้านการก่อสร้างหรือConstruction Management ด้วยตัวเอง ผ่านประสบการณ์กว่า 30 ปีในธุรกิจรับสร้างบ้านและพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโครงการที่ก่อสร้างโดยรอแยลเฮ้าส์ อีเลฟเว่น จะมีคุณภาพและมาตรฐานที่ยอดเยี่ยม” นายโกศล กล่าว     ทั้งนี้ บริษัทได้เริ่มต้นจากการพัฒนาแบรนด์คอนโดมิเนียมแบรนด์แรก ภายใต้ชื่อ “โคคูน” (Cocoon) ซึ่งหมายถึงดักแด้ สื่อถึงการให้ผู้บริโภคสามารถกลับเข้ามาพักผ่อนใน “Charging Pod” เช่นเดียวกับดักแด้ได้ที่โครงการแบรนด์นี้ บรรยากาศโครงการจะสงบ อบอุ่น ร่มรื่น เป็นส่วนตัว ช่วยฟูมฟักผู้อยู่อาศัยจากดักแด้สู่การเป็นผีเสื้อ สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ “ชาร์จชีวิตให้สมดุล”   นายโกศล กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการแรก ภายใต้ชื่อ “โคคูน พระราม9” (Cocoon Rama 9) ตั้งอยู่ในทำเลที่ใกล้กับทั้ง The Nine พระราม 9 โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ทางพิเศษศรีรัช รถไฟฟ้าสายสีเหลืองสถานีศรีกรีฑา และแอร์พอร์ตลิงค์สถานีหัวหมาก มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการให้มีคุณภาพระดับพรีเมียม ในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเรียลดีมานด์ในพื้นที่ อาทิ แพทย์-พยาบาลในโรงพยาบาล คนทำงานออฟฟิศ สถาบันการศึกษา และห้างสรรพสินค้า ไปจนถึงคนที่ทำงานในสนามบินสุวรรณภูมิ     “เราออกแบบดีไซน์โครงการให้เน้นความเป็นธรรมชาติ ใช้วัสดุที่เป็นหิน ไม้ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความทันสมัย และมีคุณภาพ เพื่อให้ผู้บริโภคได้อยู่อาศัยในโครงการราคาจับต้องได้ เริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท หรือเฉลี่ยทั้งโครงการประมาณ 70,000 บาท/ตร.ม. แต่ได้วัสดุและคุณภาพที่เหนือราคา” นายโกศล กล่าว   นายโกศล กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้รับประสบการณ์การอยู่อาศัยสุดพิเศษ บริษัทจึงได้ร่วมกับแบรนด์ดังในแวดวงต่างๆ ในการพัฒนาและตกแต่งโครงการ เบื้องต้น ได้ร่วมกับบริษัท แกรนด์โฮมมาร์ท จำกัด นำเฟอร์นิเจอร์ของแกรนด์โฮมรวมถึง ชุดเครื่องครัวบิลท์ อิน แบรนด์ Le Krua ของแกรนด์โฮม เข้ามาตกแต่งโครงการเป็นโครงการแรก ขณะเดียวกัน ยังได้นำ Reed Diffuser จากออกานิก้า เฮ้าส์ ของศรีริต้า เจนเซ่น เพื่อสร้างประสบการณ์กลิ่นสัมผัสเฉพาะให้แก่โครงการ ให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกผ่อนคลาย คุ้นเคย และอบอุ่นทุกครั้งเมื่อได้กลิ่น นอกจากนี้ จะมีการแจกReed Diffuser ดังกล่าวให้แก่ผู้จองโครงการในช่วงวันเซ็นสัญญาด้วย     สำหรับโครงการโคคูน พระราม 9 ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดประมาณ 1 ไร่ 57 ตารางวา บนถนนพระราม 9 ซอย 59มูลค่าโครงการประมาณ 305 ล้านบาท เป็นอาคาร 8ชั้น 1 อาคาร 146 ยูนิต ประกอบด้วยห้องชุด 1-2 ห้องนอน รวม 5 แบบ ขนาดตั้งแต่ 26-44 ตร.ม. ภายในโครงการประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำ (The Cocoon Pool) ฟิตเนส (The Cocoon Fitness) ห้องประชุม (The Private Cocoon)Co-working space (The Cocoon Space) คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 2/2562 และก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3/2563 เตรียมเปิดขาย VIP DAYในวันที่ 17-18 พ.ย. 2018 นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ บริเวณปากซอยพระรามเก้า 57/2   ผู้สนใจโครงการ สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่www.cocooncondo.com/Rama9/ หรือสอบถาม โทร 092-323-9323 Line@ ID : @Cocooncondo            
โรงแรมโซ โซฟิเทล หัวหิน เปิดเฟสใหม่ ยกระดับประสบการณ์ท่องโลกเหนือจินตนาการ ชูจุดเด่น แห่งแรก! ในไทยกับ Wibit แอดเวนเจอร์ในสระว่ายน้ำ

โรงแรมโซ โซฟิเทล หัวหิน เปิดเฟสใหม่ ยกระดับประสบการณ์ท่องโลกเหนือจินตนาการ ชูจุดเด่น แห่งแรก! ในไทยกับ Wibit แอดเวนเจอร์ในสระว่ายน้ำ

โรงแรมโซ โซฟิเทล หัวหิน (SO Sofitel Hua Hin) บริหารโดยแอคคอร์โฮเทล เปิดเฟสใหม่ อย่างเป็นทางการ ยกระดับโรงแรมเป็น the Next Level of Imaginative Escape อีกขั้นเหนือจินตนาการแห่งการพักผ่อน ตอบโจทย์ นักเดินทางทั้งธุรกิจและพักผ่อน เป็นโรงแรมแห่งแรก! ในไทยที่มี Wibit แอดเวนเจอร์เครื่องเล่นเป่าลมลอยน้ำขนาดใหญ่ ในสระว่ายน้ำ 16 x 60 เมตร หวังเจาะกลุ่มเป้าหมายคนไทยและคนต่างชาติในไทย 60% นักเดินทางในเอเชียจากเกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซียและไต้หวัน 30% และอีก 10% จากภาคพื้นไกล เช่นยุโรป ออสเตรเลีย คาดอัตรา เข้าพัก 63 -65% ในปี 2562   มร.ยานิค เมนาร์ด รองประธานฝ่ายขาย การตลาดและช่องทางการจัดจำหน่าย แอคคอร์โฮเทล ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือและมัลดีฟส์ เผยว่า "โซ โซฟิเทล เป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ที่มีเสน่ห์ มีชีวิตชีวา ที่สร้างความรู้สึกสนุกร่วมไปกับที่พัก และยังคงไว้ซึ่งโพสิชั่นระดับลักซ์ชัวรี่ของโซฟิเทล เพื่อมอบนิยามใหม่ของการพักผ่อนรูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน     แบรนด์โซ โซฟิเทล ในไทย มี 2 แห่ง คือ โรงแรมโซ โซฟิเทล แบงคอก และโซ โซฟิเทล หัวหิน และมีแผนจะเปิดที่เกาะสมุยในปี 2563 แต่ละแห่งจะมีคอนเซ็ปต์บ่งบอกเรื่องราวของตัวตนผสานกับดีไซน์หรูฝรั่งเศส ที่ให้ความสำคัญกับแฟชั่น พร้อมกับมีความร่วมมือกับซิกเนเจอร์ดีไซเนอร์หรือนักออกแบบแฟชั่นแบรนด์ชั้นนำ และจากการเปิดเฟสใหม่โซ โซฟิเทล หัวหิน เป็นการเติมเต็มประสบการณ์ความสุขเหนือจินตนาการ และเป็นต้นแบบรีสอร์ทโมเดลให้กับโซในภาคพื้นอื่นๆ ทั่วโลก   นางสาวชิดชนก พศินพงศ์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมโซ โซฟิเทล หัวหิน เผยว่า "การเปิดเฟสใหม่ได้เพิ่มห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ ห้องพักจาก 78 เป็น 109 ห้อง มีห้องพักที่เชื่อมกับสระว่ายน้ำ, สระว่ายน้ำ signature pool ขนาด 16 x60 เมตร พร้อมเพิ่มกิจกรรมเติมเต็มให้สมาชิกทุกคนในครอบครัว ด้วยเครื่องเล่น Wibit เครื่องเล่นเป่าลมลอยน้ำที่มีความยาว 40 เมตรมี 9 ฐานผจญภัย ที่เด็กๆ สามารถปีนป่าย ฝึกความไวและการทรงตัว มีไลฟ์การ์ดดูแลความปลอดภัย นับเป็นโรงแรมแห่งแรกในไทยที่มี Wibit ในสระว่ายน้ำ มี Kids Tent เป็นจุดรวมพลังของเหล่าสิงสาราสัตว์ โดยแบ่งเป็นโซนห้องเล่นแต่ละกลุ่มวัย มีเพลย์กราวน์พื้นที่ที่ปลอดภัยต่อการเล่นของเด็ก และ SO Sundaeร้านขนมสุดชิลล์ริมสระน้ำ   นอกจากนี้ยังมีมินิกอล์ฟ 18-หลุมในธีมวันเดอร์แลนด์ คอร์ตเทนนิสและบาสเกตบอล คอร์ตพิคเคิลบอล จะเปิดบริการในวันที่ 1 ธันวาคมศกนี้ สำหรับลู่จักรยานรอบรีสอร์ทยาว 627 เมตรพร้อมเปิดให้บริการช่วงสิ้นปี และหวังว่าเสน่ห์ที่มีชีวิตชีวาของโซ โซฟิเทล หัวหิน จะช่วยเนรมิตความสุขให้ผู้ใช้บริการได้ครบ 360 องศา มีโมเมนต์สำหรับแชร์ดิจิทัล กับการเป็นนักเล่าเรื่อง ถ่ายรูป และบอกเล่าเรื่องราวในสไตล์คุณ   ล่าสุดโรงแรมเห็นแนวโน้มของการเข้าพักที่เพิ่มขึ้น จากกลุ่ม MICE โดยเฉพาะจากบริษัทเทคโนโลยีดิจิทัล ที่มองหา ที่พักทันสมัย สอดคล้องกับภาพลักษณ์ขององค์กร และยังเป็นรีสอร์ทที่กลุ่มเวดดิ้งของอินเดียให้ความสนใจ เพราะห้องพัก 109 ห้อง ไม่ใหญ่และเล็กเกินไป จะมีชาวอินเดียปิดโรงแรมจัดเวดดิ้ง มี 4-5 กรุ๊ป ยอดรายได้ราว 4 ล้านต่อกลุ่ม"     "ในประเทศไทย แอคคอร์โฮเทล เป็นเครือข่ายโรงแรมที่ครองอันดับ 1 ด้วยจำนวนโรงแรม 81 แห่งภายใต้ 11 แบรนด์โรงแรม และด้วยความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย แอคคอร์โฮเทลมุ่งมั่นที่จะขยายเครือข่ายให้ครอบคลุม เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับนักเดินทางทุกกลุ่ม โดยมีโครงการที่จะเปิดโรงแรมอีก 20 แห่งภายในปี 2563 ในกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต" กล่าวเสริมโดย มร.เมนาร์ด   โปรโมชั่นช่วงแนะนำเฟสใหม่ weekend getaway เริ่มต้นที่ 4,500 บาท++ รวมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงมีนาคม 2562 สำรองที่พัก h9649-RE@sofitel.com หรือโทร +66 32 709 555 หรือข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.so-sofitel-huahin.com    
“บีท บางหว้า อินเตอร์เชนจ์”  คอนโดฯ ใหม่ตอบโจทย์ทุกจังหวะชีวิต พร้อมเปิด Pre-Sale 17-18 พ.ย.นี้

“บีท บางหว้า อินเตอร์เชนจ์” คอนโดฯ ใหม่ตอบโจทย์ทุกจังหวะชีวิต พร้อมเปิด Pre-Sale 17-18 พ.ย.นี้

“บางหว้า” เป็นอีกหนึ่งทำเลที่ได้รับอิทธิพลจากรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย โดยเฉพาะสถานีปลายทาง บางหว้า ที่เป็นจุดตัด BTSส่วนต่อขยายสายสีเขียว(ตากสิน-บางหว้า) กับ MRT สายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-หลักสอง) ที่จะเปิดให้บริการในปี 2562 นั้นทำให้ที่นี่เป็น Intersection hub transit ที่สมบูรณ์เชื่อมต่อทุกการเดินทางครบทั้งระบบ รถ-ราง-เรือ ของกรุงเทพฯที่คลองภาษีเจริญทำให้ มีความสะดวกในการเดินทางเชื่อมเมืองสู่เมือง     ด้วยเหตุนี้ ทำให้ทำเลส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า สถานี บางหว้า อินเตอร์เชนจ์ ทำเลน่าลงทุนที่ได้รับอิทธิพลจากแหล่งความเจริญศูนย์กลางธุรกิจ (CBD: Central Business District) ใหญ่ทั้ง สาทร สีลม  พระราม 4 ทำเลที่จะเกิดการสร้างงานอย่างมากในอนาคตอันใกล้จากโครการMixed-ues ส่งผลให้มีความต้องการ (demand) ที่อยู่อาศัยมหาศาลเห็นได้จากการขึ้นแบรนด์ชนแบรนด์ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ...และทำเล “บางหว้า” นี้ยังเป็นที่ตั้งโครงการ “ บีท บางหว้า อินเตอร์เชนจ์” (BEAT BANGWA INTERCHANGE) คอนโดมิเนียมใหม่โครงการแรกของ บริษัท นอร์ธแลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาฯรายใหญ่จาก จ.สระบุรี     นายนพดล ธรรมวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท นอร์ธแลนด์ ดีเวลลนอปเม้นต์ จำกัด เปิดเผยว่าโครงการ “ บีท บางหว้า อินเตอร์เชนจ์” เป็นโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยโครงการแรกที่เป็นคอนโดฯและเป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยโครงการที่สองของบริษัทฯในกรุงเทพฯจากที่ก่อนหน้าได้พัฒนาโครงการ D8 “Luxury Vertical House” ย่านเอกมัย-รามอินทรา โครงการร่วมทุนกับบริษัทเดวา เรียลเอสเตท จำกัด (ของกลุ่มนายเลิศมงคล วราเวณุชย์) โครงการเจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ที่ต้องการอยู่อาศัยในเมืองทำเลไม่ไกลจาก CBD ตอบโจทย์ด้วยพื้นที่ใช้สอยมากกว่าคอนโดมิเนียม มีเอกลักษณ์ด้านดีไซน์ คุ้มค่าด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนตัวครบครัน ทั้งลิฟท์ สระว่าย พร้อมที่จอดรถ 6 คัน พื้นที่ใช้สอยกว่า 700 ตารางเมตร(ตร.ม.) รองรับผู้อยู่อาศัยครอบครัวใหญ่ได้ถึง 30 ล้านบาท     สำหรับโครงการ “ บีท บางหว้า อินเตอร์เชนจ์” พัฒนาภายใต้แนวคิด “ใช้ทุกจังหวะชีวิตที่เป็นคุณ” เป็นคอนโดฯ Low Rise สูง 8 ชั้น 2 อาคาร บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ มีจำนวนห้องพักอาศัย 402 ยูนิต พื้นที่สำหรับร้านค้า 1 ยูนิต มีที่จอดรถ 135 คัน(ไม่รวมจอดซ้อนคัน)หรือคิดเป็นสัดส่วนพื้นที่จอดรถประมาณ 39 % โดยคอนโดฯอาคาร A มีจำนวน 134 ยูนิต ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 27 ยูนิต ส่วนคอนโดฯอาคาร B จำนวน 268 ยูนิต ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 35 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างช่วงต้นปี 2562 คาดกำหนดแล้วเสร็จปี 2563 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ให้การสนับสนุนสินเชื่อโครงการ     โครงการดังกล่าวมีห้องชุดให้เลือก 3 แบบ ดังนี้ แบบ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มตั้งแต่ 25.7-31.8 ตร.ม. จำนวน 323 ยูนิต , แบบ 1ห้องนอน พลัส ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มตั้งแต่ 32.6-39.9 ตร.ม. จำนวน 39 ยูนิต และ แบบ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มตั้งแต่ 45.9-51.1 จำนวน 40 ยุนิต  ราคาเริ่ม 65,000 บาทต่อตร.ม.หรือราคาเริ่มต้นที่ 1.59 ล้านบาทต่อยูนิต รวมมูลค่าโครงการประมาณ 890 ล้านบาท     เปิด Pre-Sale 17-18 พฤศจิกายน 2561 ณ สำนักงานขายโครงการ ลง BTS บางหว้าทางออกที่ 4 สนใจสอบถามได้ที่เบอร์โทร 02-023-3488  ,  063 -217-6565 หรือ www.beatcondo.com      
SC ทรานส์ฟอร์ม ขับเคลื่อนองค์กรมิติใหม่ ขยับสู่ผู้นำ Living Solutions Provider อย่างเต็มรูปแบบ

SC ทรานส์ฟอร์ม ขับเคลื่อนองค์กรมิติใหม่ ขยับสู่ผู้นำ Living Solutions Provider อย่างเต็มรูปแบบ

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็น Living Solutions Provider โดยการกำหนดทิศทางวัฒนธรรมองค์กรใหม่เพื่อหล่อหลอมพนักงานให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งในด้านการทำงาน ความสุข และคุณภาพชีวิตที่ดี นอกจากตอบสนองความต้องการขององค์กรโดยตรงแล้ว ยังสามารถสื่อสารความตั้งใจนี้ไปยังลูกค้า โดยการยึดถือหัวใจหลัก “สร้างทุกเช้าที่ดีให้กับลูกค้าทุกคน” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “รู้ใจ” เพื่อตอบโจทย์ความพึงพอใจและการอยู่อาศัยของลูกค้าเป็นสำคัญ หากองค์กรมีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน จะสามารถช่วยให้บรรลุเป้าหมายและภารกิจไปพร้อมกับพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เมื่อเข้าสู่ยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเทคโนโลยีและการแข่งขันในโลกปัจจุบัน เอสซีฯ จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ใหม่จากผู้นำด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ก้าวสู่การเป็น Living Solutions Provider ผู้พัฒนาและสร้างสรรค์สินค้าบริการ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุดในยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมด้วย 4 กลยุทธ์ ได้แก่   1. Re-invention: ด้วยหลัก 3 D Digitize ปรับเปลี่ยนการทำงานเข้าสู่ยุคดิจิทัล เพื่อเก็บ Data หาความต้องการลูกค้า วิเคราะห์และพัฒนา Design ใช้หลัก Human-Centric เข้าใจปัญหาของลูกค้า เพื่อออกแบบสินค้าและบริการ รวมถึงโซลูชันตอบโจทย์ลูกค้า Developer ประสานนวัตกรรมและพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพในทุกระดับราคา 2.Co-Creation: ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจหลากหลายใน Ecosystem เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตให้ดียิ่งขึ้น 3.Quality First: สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องคุณภาพสินค้าและบริการ 4.Top-Line Growth: บริหารรายได้และยอดขาย ขับเคลื่อนให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ     SC Re-Culture วัฒนธรรมองค์กรของ เอสซี แอสเสท เมื่อปี 2550 หรือประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา เราได้มีการกำหนด Core Value คือ “2C2A” เป็นกรอบในการทำงาน ได้แก่ ช่างคิด ช่างสร้างสรรค์ผลงาน (Create), ใส่ใจลูกค้า (Care), ตอบสนองต่อความต้องการอย่างรวดเร็ว มีความกระตือรือร้น (Active) และ มีความเป็นมืออาชีพ (Ability)   แนวทางการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้บรรลุเป้าหมาย   การสร้างวัฒนธรรมองค์กร ด้วยรูปแบบบายดีไซน์ (By Design) คือ สิ่งที่ต้องการให้คนเป็นไปตามที่องค์กรต้องการ  โดยเกิดจากการออกแบบพฤติกรรมย่อย รวมกันเป็นค่านิยมและเมื่อมีค่านิยมถูกขมวดรวมกัน ทำต่อกันมาเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง จึงเกิดเป็นวัฒนธรรม ซึ่งสามารถออกแบบด้วย 4 หลักการ   1. กำหนดวิสัยทัศน์ และเป้าหมายให้ชัดเจน 2. กำหนดยุทธศาสตร์ และกลยุทธ์ที่สอดคล้องกัน 3. การนำแบบแผนไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ 4. กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน นำสู่ความสำเร็จ   “หัวใจสำคัญของการทรานส์ฟอร์มองค์กร คือ การกำหนดทิศทางและร่วมกันออกแบบวัฒนธรรมองค์กรใหม่ โดยในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากบริษัท สลิงชอท กรุ๊ป ที่ปรึกษาและผู้ให้บริการด้านการพัฒนาผู้นำและการจัดการองค์กร ได้เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่การศึกษา สำรวจและการทำงานร่วมกันของหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายที่ปรึกษา, คณะผู้บริหารระดับสูง, ฝ่ายทรัพยากรบุคคล และฝ่ายสื่อสารองค์กร รวมไปถึงพนักงานทุกระดับ ให้สามารถเดินไปในทิศทางเดียวกันได้ โดยไม่หลุดกรอบที่องค์กรตั้งไว้” นายณัฐพงศ์ กล่าวต่อ นายอภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัท สลิงชอท กรุ๊ป จํากัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผู้นำ และการจัดการองค์กร เผยว่า “หลักการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ต้องมีการวางแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ล่วงหน้า และคงไม่สามารถสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันของพนักงานทุกคนในองค์กร ทั้งนี้ต้องเริ่มต้นจากการค้นหาและศึกษาทั้งปัจจัยภายในและภายนอกผสมผสานกัน ซึ่งนอกจากผู้บริหารและที่ปรึกษาร่วมกันกำหนดค่านิยมใหม่ ยังลงลึกถึงการสัมภาษณ์ความคิดเห็นจากลูกค้า และลูกบ้าน รวมถึงการจัดทำแบบสำรวจกับพนักงานทั้งองค์กร เพื่อร่วมกันออกแบบวัฒนธรรมตัวใหม่ขององค์กรที่บ่งบอกตัวตน และรวบรวมเพื่อเป็นการกำหนดกรอบพฤติกรรม ค่านิยม ความคิด ให้ซึมซับไปกับการทำงาน ตลอดจนสามารถพัฒนาและหล่อหลอมกลายเป็นวัฒนธรรมภายในองค์กรได้ นายณัฐพงศ์ กล่าวสรุปว่า นอกจากความท้าทายใหม่ในการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ที่ต้องใช้เวลาค้นหาค่านิยมใหม่ ๆ ร่วมกัน และริเริ่มไปพร้อมกันกับองค์กร สิ่งสำคัญอีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือการพัฒนาคุณภาพชีวิตพนักงานทุกคน เอสซีฯ จึงได้จัดทำแอพลิเคชัน “SC In One” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะใช้สื่อสารระหว่างพนักงาน และมอบสิทธิประโยชน์ในรูปแบบใหม่สำหรับพนักงานทุกคน โดยมีฟังก์ชันต่างๆ อาทิ   TOOK 9 ช่วยในการนับก้าว มีการจัดอันดับ เพื่อสนับสนุน Wellness Program Flexible Benefit มีสวัสดิการที่ตอบสนอง Life Style ของพนักงาน โดยพนักงานเป็นผู้เลือกเอง Flexible Time พนักงานเลือกเวลาทำงานได้ นอกจากนี้การขับเคลื่อนให้มีประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้น โดยการคัดเลือกกลุ่มผู้นำการเปลี่ยนแปลง หรือ “SC Team Robin” เพื่อเป็นตัวแทนสร้างการเปลี่ยนแปลงสื่อสารกับเพื่อนพนักงานภายใต้ภารกิจนี้และบรรลุเป้าหมายร่วมกัน”   เพราะเอสซีฯ เชื่อว่า “คน” คือทรัพยากรบุคคลที่สำคัญของการขับเคลื่อนองค์กร ดังนั้นการรับมือกับการปรับวัฒนธรรมองค์กร พนักงานทุกระดับจึงต้องมีส่วนร่วม ทั้ง ระดับผู้บริหาร และพนักงาน​ ร่วมจับมือเดินหน้าไปสู่เป้าหมายเดียวกัน พัฒนาให้เป็นคนเก่งและดี เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมทั้งสามารถก้าวทันความเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลได้ ทั้งยังพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการให้อยู่คู่กับองค์กรเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน          
“เอ็มเพอเร่อร์” ยืนหนึ่งบริษัทรับสร้างบ้านสุดหรู  พร้อมขยายสู่แบรนด์ใหม่ “อะคาร่า” ชูสไตล์โมเดิร์นลักชัวรี่ ในราคาจับต้องได้

“เอ็มเพอเร่อร์” ยืนหนึ่งบริษัทรับสร้างบ้านสุดหรู พร้อมขยายสู่แบรนด์ใหม่ “อะคาร่า” ชูสไตล์โมเดิร์นลักชัวรี่ ในราคาจับต้องได้

เอ็มเพอเร่อร์ (EMPEROR) ตอกย้ำผู้นำบริษัทรับสร้างบ้านหรูระดับไฮเอนด์ ที่โดดเด่นด้วยสไตล์คลาสสิค อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การันตีด้วยตำแหน่งผู้นำตลาดยาวนานกว่า 30 ปี ประกาศเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รับการเปลี่ยนแปลงยุค Disruptive ล่าสุดได้พลิกบทบาทครั้งสำคัญ สร้างแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “อะคาร่า” (ACARA) รองรับความต้องการลูกค้ายุคมิลเลนเนียล บ้านสไตล์โมเดิร์นลักชัวรี่ ในราคาที่จับต้องได้ แต่ยังคงมาตรฐานและคุณภาพที่เหนือระดับ     นายสุรัตน์ชัย กึงฮะกิจ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า แบรนด์ “เอ็มเพอเร่อร์” (Emperor) ยังคงเป็นที่รู้จักและยอมรับของกลุ่มลูกค้าในฐานะบ้านคฤหาสน์สุดหรู ด้วยงานสถาปัตยกรรมที่สง่างาม งานตกแต่งภายในหรูหราและมีคุณภาพสูง จนสามารถครองตำแหน่งผู้นำบริษัทรับสร้างบ้านหรูสไตล์คลาสสิคระดับไฮเอนด์มายาวนานถึง 30 ปี นอกจากแบบบ้านที่สวยงาม โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์แล้ว สิ่งที่ทำให้ลูกค้าของ เอ็มเพอเร่อร์ ประทับใจก็คือ เรื่องของมาตรฐานงานก่อสร้างที่เรียกได้ว่าสูงสุดในธุรกิจรับสร้างบ้าน ด้วยทีมงานทุกฝ่ายของเราเอง (in-house) ไม่ว่าจะเป็นทีมสถาปนิก วิศวกร มัณฑนากร และทีมก่อสร้าง ที่เราฝึกเป็นพิเศษมาตลอด เพื่อให้ทุกคนได้พัฒนาฝีมือจนได้มาตรฐานสูงกว่าทั่วไป จึงทำให้บ้านแต่ละหลังเปรียบเสมือนชิ้นงานระดับมาสเตอร์พีซ (Masterpiece) ที่ผสมผสานรายละเอียดในส่วนต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ทั้งคุณภาพและศิลปะ ส่งผลให้บ้านที่ออกมามีทั้งความสูงสง่า โดดเด่นกว่าบ้านทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น งานปูนปั้นส่วนประดับต่างๆ บัวหรือหัวเสาที่มีความอ่อนช้อย โดยช่างฝีมือของเราที่บรรจงสร้างสรรค์ผลงานศิลปะให้สวยงามตามแบบจากสถาปนิกหรือมัณฑนากร และต้องมีคุณภาพ บ้านแต่ละหลังจึงแตกต่างในแบบที่ไม่ซ้ำกัน แสดงให้เห็นถึงความพิเศษ ความยูนีค (unique) และส่งต่อความภาคภูมิใจนี้ไปยังเจ้าของบ้านให้ได้มากที่สุด ซึ่งงานฝีมือเหล่านี้ก็จะมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้นในทุกวัน      อย่างไรก็ตามในยุค Disruptive ที่เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตประจำวัน  มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นเรื่องพฤติกรรมของลูกค้าซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและความชื่นชอบที่เปลี่ยนไป ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น บริษัทจึงสร้างแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “อะคาร่า” (ACARA) ที่รับสร้างบ้านสไตล์โมเดิร์น ลักชัวรี่ ในราคาที่จับต้องได้มากกว่า เพื่อตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันในสไตล์ที่หลากหลายมากขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณภาพและมาตรฐานจาก ดิ เอ็มเพอเร่อร์ ที่มีขั้นตอนกระบวนการที่เป็น Know How ของบริษัทที่พัฒนาและทดสอบมาแล้วว่าดีที่สุดสำหรับที่พักอาศัยระดับสูง นอกจากนี้เราก็ยังไม่หยุดนิ่งค้นคว้าและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในส่วนของบริษัทและวัฒนธรรมองค์กร เราก็มีการสื่อสารให้พนักงานตระหนักเรื่องของการเปลี่ยนแปลง และปรับองค์กรให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา (modernized organization) นายสุรัตน์ชัย กล่าว     ด้าน นางสาวถาปณา คงคาประเสริฐ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ เผยถึงการสร้างแบรนด์น้องใหม่ว่า “อะคาร่า”(ACARA) เป็นแบรนด์รับสร้างบ้านคุณภาพ ที่แตกต่างจากรับสร้างบ้านทั่วไป ด้วยมาตรฐานการก่อสร้างที่ดีมีคุณภาพ และไว้ใจได้ การันตีด้วยทีมงานที่มากประสบการณ์จาก บริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ ที่ก่อสร้างและตกแต่งบ้านหรู-คฤหาสน์หลังใหญ่มากว่า 30 ปี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามยุค Disruption ซึ่งต้องการความรวดเร็ว อยากได้บ้านที่มีความทันสมัย โดดเด่นด้วยรูปแบบไม่ซ้ำใคร มีพื้นที่ใช้สอย เน้นฟังก์ชั่นการใช้งานครบครัน ที่สำคัญคือราคาไม่ถือว่าสูงกว่าทั่วไปมากนัก เทียบกับการใช้วัสดุและทีมงานคุณภาพจากบ้านหรูระดับ เอ็มเพอเร่อร์  เรียกได้ว่าเป็นcompetitive price สำหรับบ้านระดับนี้เลยทีเดียว ที่น่าสนใจคือลูกค้ายังได้มาตรฐานในการก่อสร้างจาก ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์  อีกด้วย     อะคาร่า (ACARA) เริ่มเปิดตัวด้วยแบบบ้านใหม่ทั้งหมด 7 แบบ แบ่งเป็น 4 สไตล์ ทั้ง สไตล์โมเดิร์น ลักชัวรี่ (Modern Luxury), ลอฟท์ (Loft), ทาวน์โฮม (Townhome) และ รีสอร์ต (Resort) โดยส่วนหนึ่งเป็นแบบที่ได้มาจากการประกวดออกแบบบ้านThe Phenomenon ที่   ทางบริษัทฯ ได้จัดขึ้น และนำผลงานที่น่าสนใจจากนักออกแบบรุ่นใหม่ที่ได้รับรางวัลมาปรับและพัฒนาอีกครั้ง จึงได้แบบที่ค่อนข้างโดดเด่นในตลาดรับสร้างบ้าน ณ ขณะนี้  ซึ่งมีให้เลือกตามความชอบของแต่ละคน โดยแต่ละแบบจะมีการผสมผสานทั้งความหรูหรา ด้วยลุคที่ทันสมัย แต่แฝงด้วยความเรียบง่ายและมีรสนิยมอย่างลงตัว เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีอายุน้อยลง (30 – 45 ปี) เป็นเศรษฐียุคใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง อาจจะเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่  เจ้าของธุรกิจที่รับช่วงมาจากรุ่นพ่อแม่ หรือผู้บริหารระดับสูงในองค์กรใหญ่ๆ โดยราคาเริ่มต้นแบบบ้าน “อะคาร่า” ขณะนี้ อยู่ที่ประมาณ 25 ล้านบาท     นางสาวถาปณา คงคาประเสริฐ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “เราวาง Positioning แบรนด์ไว้อย่างชัดเจน คือรับสร้างบ้านที่มีดีไซน์โดดเด่นทันสมัย มาพร้อมกับคุณภาพมาตรฐานการก่อสร้างที่เหนือกว่า จากทีมงานที่มีมาตรฐานของบริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ ที่พร้อมจะสร้างบ้านที่ดี มีคุณภาพให้กับลูกค้ากลุ่มใหม่นี้ โดย segment ราคาไว้ที่ประมาณ20-40 ล้านบาท โดยจะมีวิธีและแนวทางการตลาดที่แตกต่างจากแบรนด์แม่อย่างชัดเจน  ด้วยโปรโมชั่นที่น่าสนใจ พร้อมแบบบ้านที่มีให้เลือกหลากหลาย  เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงประสบการณ์และมาตรฐานของการสร้างบ้านที่แตกต่างจากทั่วไป ซึ่งไม่ว่าจะทำการตลาดดีแค่ไหน สุดท้าย productจะต้องดีด้วย เพื่อเป็นตัวพิสูจน์ฝีมือ และทำให้แบรนด์ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง     ทั้งนี้คาดว่า “อะคาร่า” (Acara) จะตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่ต้องการบ้านสไตล์โมเดิร์น ลักชัวรี่ ดีกรีหรู ด้วยมาตรฐานการสร้างจาก “เอ็มเพอเร่อร์” ซึ่งครองใจคนไทยมายาวนาน จวบจนปัจจุบัน    
เปิดตัว ที่แรกในไทย “Stayy with Hostmaker” แพลตฟอร์มจองบ้านพักสุดล้ำ พร้อมปลดล็อคศักยภาพของทุกบ้านเพียงคลิกเดียว!

เปิดตัว ที่แรกในไทย “Stayy with Hostmaker” แพลตฟอร์มจองบ้านพักสุดล้ำ พร้อมปลดล็อคศักยภาพของทุกบ้านเพียงคลิกเดียว!

โฮสต์เมกเกอร์ (HOSTMAKER) บริษัทชั้นนำด้านบริการจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและอยู่อาศัยจากยุโรป ได้ประกาศเปิดตัว “Stayy with Hostmaker” แพลตฟอร์มจองบ้านพักสุดล้ำอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเป็นที่แรกของโลก ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นตลาดแรกของโลกสำหรับการเปิดตัว “Stayy with Hostmaker” ก่อนตลาดยุโรปและประเทศอื่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาค โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ โดย ‘Stayy’ เปิดโอกาสให้ผู้เข้าพักชาวไทยและต่างชาติสามารถค้นหาที่พักระยะกลางและยาวได้อย่างสะดวกผ่านกระบวนการจัดการที่ยืดหยุ่น ภายใต้ข้อบังคับและปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยของบ้านพักที่เชื่อถือได้ บริหารโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากโฮสต์เมกเกอร์ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2557 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โฮสต์เมกเกอร์ได้ให้บริการผู้เข้าพักกว่า 250,000 ราย และสร้างรายได้กว่า 50 ล้านปอนด์ (2.1 พันล้านบาท) แก่ผู้ให้เช่าบ้านพัก นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล “Best Short Term Rental Platform” หมวดรางวัลดีเด่นด้านแพลตฟอร์มปล่อยเช่าบ้านพักระยะสั้นจาก Serviced Apartment Award เมื่อปีที่ผ่านมาจากความสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิภาพการกำหนดราคาให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์สามารถสร้างรายได้มากกว่าทางเลือกอื่นๆ ในขณะที่ผู้เข้าพักหรือผู้เช่าสามารถรับการบริการอย่างดีเยี่ยมตลอดระยะเวลาที่เข้าพักอาศัย และหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ปัจจุบันโฮสต์เมกเกอร์มีบ้านพักให้เช่าแล้วกว่า 50 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งนับเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดในระยะเวลาอันสั้น   โฮสต์เมกเกอร์ดำเนินการและปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยให้บริการเช่าบ้านพักขั้นต่ำอย่างน้อยระยะเวลา 30 วันขึ้นไป ซึ่งบริการระยะเวลาดังกล่าวในกรุงเทพฯ สามารถตอบโจทย์ผู้ที่เดินทางได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะบ้านเช่าขั้นต่ำ 30 วันยังคงเป็นบริการที่หาได้ยากในตลาดที่มีความต้องการสูงมากขึ้นเรื่อยๆ  และด้วย Stayy with Hostmaker แพลตฟอร์มจองบ้านพักใหม่ล่าสุดนี้จะสามารถให้บริการอย่างครบครัน ปลอดภัย และอำนวยความสะดวกแก่ผู้เช่าบ้านด้วยความมั่นใจและยืดหยุ่นแบบไม่ยุ่งยาก นกุล ชาร์มา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารโฮสต์เมกเกอร์ กล่าว “กรุงเทพฯ นับเป็นหนึ่งสถานที่ที่มีผู้คนเดินทางมาเยอะที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว นักศึกษา หรือชาวต่างชาติที่เดินทางมาทำงาน ซึ่งก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี และส่วนใหญ่พวกเขามักมองหาบ้านพักที่ได้คุณภาพและสามารถเช่าอยู่ได้อย่างน้อย 1 เดือนถึง 1 ปี แบบถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งแพลตฟอร์มของเราก็ตอบโจทย์ทุกอย่างอย่างลงตัวที่สุด เราจึงลือกกรุงเทพฯ เป็นจุดหมายแรกในโลกสำหรับการเปิดตัว Stayy with Hostmaker ซึ่งเรารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งและพร้อมให้บริการอย่างเต็มที่ที่สุดแก่คนไทยและผู้ที่เดินทางมากรุงเทพฯ ทุกท่าน”   สำหรับคุณสมบัติหลักของแพลตฟอร์ม Stayy with Hostmaker ได้แก่ การคัดสรรบ้านพักอย่างพิถีพิถัน โดยมุ่งเน้นคุณภาพ ดีไซน์ และความสะดวกสบาย สถานที่ตั้งของบ้านพักที่โดดเด่นในกรุงเทพฯ เป็นการเพิ่มตัวเลือกให้ผู้เช่าพักอย่างหลากหลาย เช่น สถานที่ตั้งแบบใจกลางเมืองอันครึกครื้นและบริเวณที่เงียบสงบ บริการ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วันในสัปดาห์ ด้วยผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นที่จะให้บริการและความช่วยเหลือผู้เข้าพักตลอดระยะเวลาการเช่าบ้าน บริการแบบยืดหยุ่นไร้กังวล ไม่ว่าผู้เข้าพักจะเข้าพักระยะเวลานานเท่าไร ผู้เช่าจะอยู่ภายใต้สัญญาเช่าที่ยืดหยุ่น ผ่านการบริการที่สะดวกและง่ายดาย เพื่อตอบสนองความต้องการด้านที่พักอาศัยที่เพิ่มขึ้นในกรุงเทพฯ โฮสต์เมกเกอร์ได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับแสนสิริ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรของประเทศไทย โดยในปัจจุบันได้ร่วมทำโครงการ อาทิ  XXXIX, ฮาสุ เฮาส์, คีนน์ บาย แสนสิริ และ เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า   “Stayy with Hostmaker เติมเต็มความตั้งใจของเราที่จะปลดล็อคศักยภาพของทุกๆ บ้านในกรุงเทพฯ โดยการยกระดับการจองบ้านพักด้วยนวัตกรรมและการบริการแบบครบครันระดับโรงแรมให้แก่ผู้เข้าพักรุ่นใหม่ ทั้งนี้ด้วยแพลตฟอร์ม Stayy เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะสามารถเปิดประสบการณ์ใหม่ และส่งต่อความสุขผ่านความพิเศษของบ้านพักทุกๆ หลัง อย่างมีสไตล์และสร้างสรรค์” นกุล ชาร์มา กล่าวสรุป   สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าชมเว็บไซต์  https://stayy.hostmaker.com            
ชาญอิสสระลุยเปิดโครงการใหม่ มูลค่ารวม 6,000 กว่าล้านบาท

ชาญอิสสระลุยเปิดโครงการใหม่ มูลค่ารวม 6,000 กว่าล้านบาท

ชาญอิสสระ มั่นใจพร้อมลุยโครงการใหม่ จับตลาดไฮเอนด์ ทั้งคอนโดย่านสาทร วาเคชั่น คลับที่ทิวทะเลเอสเตทชะอำ – หัวหิน และส่วนต่อขยายโรงแรม พลูวิลล่าเฟสใหม่ ที่ศรีพันวา และ บาบาบีชคลับ หัวหิน   นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากความสำเร็จในการพัฒนาโครงการระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ทั้งที่โครงการบาบา บีช คลับ เรสซิเดนซ์ ชะอำ – หัวหิน โครงการบ้านอิสสระ บางนา และโครงการอิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 ยังสร้างความแข็งแกร่งด้านตลาดลักชัวรี่ให้กับ ชาญอิสสระ ตอกย้ำความสำเร็จในการพัฒนาโปรดักส์ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทั้งด้านทำเลที่ตั้งโครงการ การออกแบบอาคาร การจัดเลย์เอาท์พื้นที่ใช้สอยของบ้านได้อย่างลงตัว ทำให้แต่ละโครงการมียอดขายตามเป้าที่วางไว้ อาทิ โครงการ บาบา บีช คลับ เรสซิเดนซ์ ชะอำ – หัวหิน ที่มียอดขายแล้ว 90% และอิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 ที่ขณะนี้บ้านตัวอย่างจะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนนี้เพื่อพร้อมเปิดให้เข้าชม ปัจจุบันมียอดขายแล้วถึง 40% ด้วยราคา เริ่มต้น 100 ล้านบาท   นายสงกรานต์ อิสสระ กล่าวถึง แผนการพัฒนาโครงการในปี 2562 ว่า จะมีทั้งโครงการอาคารชุดพักอาศัย ส่วนต่อขยายของโรงแรมที่ภูเก็ตและหัวหิน รวมทั้งวาเคชั่น คลับในโครงการ ทิวทะเลเอสเตท ซึ่งจะเป็นคอนเซ็ปใหม่ของการพัฒนาที่พักตากอากาศสำหรับกลุ่มคนที่สนใจเป็นเจ้าของในงบประมาณที่ไม่ถึงหนึ่งล้านบาท แต่ได้พักในอาคารที่มีบริการระดับโรงแรม 5 ดาว เป็นอาคารสูง 10 ชั้น มีห้องพัก 80 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท โดยจะเปิดให้จองที่พักแนวคิดใหม่เร็วๆ นี้   ด้านโครงการส่วนต่อขยาย ของโรงแรมทั้งที่ภูเก็ตและหัวหิน ในส่วนของโรงแรมศรีพันวาภูเก็ต จะมีการก่อสร้างคอนเวนชั่นฮอลล์ขนาดจุ 400 คน พร้อมห้องพักแบบพลูสวีท เพิ่มอีก 20 ห้อง เพื่อรองรับการขยายตัวของการจัดงานอีเว้นท์ ประชุม สัมมนา ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างในปี 2562 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563   โรงแรมบาบา บีช คลับ หัวหิน ได้มีการเริ่มก่อสร้างในส่วนของเมนโฮเทล เป็นอาคารสูง 12 ชั้น 50 ห้องพัก พร้อมห้องประชุม จัดเลี้ยง ร้านอาหาร สปา มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท   โครงการบ้านพักตากอากาศ จะมีการก่อสร้างเพิ่มอีก 2 โครงการ คือ พลูวิลล่า ที่โครงการทิวทะเลเอสเตท จำนวน 7 หลัง ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ มีมูลค่ารวม 200 ล้านบาท และที่ศรีพันวา ภูเก็ต ก็จะมีการก่อสร้างพลูวิลล่าเพิ่มอีก 4 หลัง มูลค่า 200 ล้านบาท   นอกจากนี้ชาญอิสสระ จะมีโครงการไฮไรส์คอนโดมิเนียม บนที่ดินย่านถนนจันทร์ – สาทร เป็นโครงการลักชัวรี่คอนโด มูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างในปี 2562 ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นโครงการใหม่ของกลุ่มชาญอิสสระ ที่มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 6,400 ล้านบาท   “มั่นใจว่าทุกโครงการที่ชาญอิสสระเราได้พัฒนาขึ้นมานั้น สามารถตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงใจ ด้วยคุณภาพ และความพิถีพิถันในการออกแบบโครงการ การขยายธุรกิจครั้งนี้ จะทำให้ชาญอิสสระเติบโตด้วยความแข็งแกร่งแน่นอน” นายสงกรานต์กล่าว”   สำหรับผู้ที่สนใจโครงการของบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือสามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.charnissara.com หรือโทร. 02 308 2020
บมจ.ไรมอน แลนด์ (RML) เสริมความแข็งแกร่ง เพิ่มศักยภาพบริษัทฯ โดยแต่งตั้ง นาย ลี เช เต็ก ไลโอเนล ดำรงตำแหน่ง  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ในขณะที่ นาย ลี เช เชง เอเดรียน ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO)

บมจ.ไรมอน แลนด์ (RML) เสริมความแข็งแกร่ง เพิ่มศักยภาพบริษัทฯ โดยแต่งตั้ง นาย ลี เช เต็ก ไลโอเนล ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ในขณะที่ นาย ลี เช เชง เอเดรียน ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO)

บมจ.ไรมอน แลน์ ปรับผังองค์กรใหม่ โดยแต่งตั้ง นาย ลี เช เต็ก ไลโอเนล เข้าดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 โดย นาย ไลโอเนล จะเข้ามาบริหารงานด้านการลงทุน และวางแผนกลยุทธทิศทางการเติบโตของบริษัทฯเป็นหลัก   นาย เอเดรียน ลี กล่าวว่า คณะกรรมการของบริษัทฯ ได้แต่งตั้งให้ นาย ลี เช เต็ก ไลโอเนล ผู้เป็นพี่ชายเข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของบริษัทฯ และผมจะรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป   ปัจจุบัน นาย ไลโอเนล ลี เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหญ่ของไรมอน แลนด์ โดยถือสัดส่วนประมาณ 24.98% โดยก่อนหน้านี้เคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสรา โฮลดิ้ง (Ezra Holdings) ในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานที่มีมูลค่ามากถึง 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นบริษัทฯ ในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศสิงคโปร์ ทั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นบอร์ดบริหารของไรมอน แลนด์ นอกจากนี้ยังเป็นบอร์ดบริหารให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายๆบริษัท รวมทั้งยังเป็นที่ปรึกษาให้กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์ อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในงานการกุศลในประเทศสิงคโปร์อยู่เสมอ จนได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณ (Pingat Bakti Masyarakat - PBM) จากทางรัฐบาล ซึ่ง นาย ไลโอเนล ลี จะยังคงมีบทบาทอยู่ในบอร์ดคณะกรรมการของไรมอน แลนด์ โดยปัจจุบันดำรงตำแหน่งหลายตำแหน่ง เช่น ประธานกรรมการบริหาร กรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน และกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร   นอกจากนี้ ไรมอน แลนด์ ยังได้แต่งตั้ง ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เข้ารับตำแหน่ง ประธานกรรมการบริษัท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิการยน 2561 ในด้านการทำงาน ดร.สุรเกียรติ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่อายุน้อยที่สุด ในสมัยรัฐบาลนาย บรรหาร ศิลปะอาชา เมื่อปี 2538 และในปี 2544 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร และขึ้นรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในปี 2548 นาย เอเดรียน ลี จะยังคงรับหน้าที่ดูการดำเนินงานภาพรวมของบริษัท “ในขณะที่บริษัทมีความเติบโตขึ้นเราไม่เพียงแต่ต้องการคนที่มีความสามารถในการให้คำแนะนำในทิศทางที่ถูกต้อง แต่เรายังต้องการบุคคลที่มีประสบการณ์ และทักษะที่หลากหลาย ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการปรับผังองค์กรครั้งนี้จะนำมาซึ่งมิติใหม่ของบริษัทฯ และพร้อมรับกับการเติบโตในอนาคตได้เป็นอย่างดี หากย้อนไปตอนที่ผมเริ่มทำงานที่ไรมอน แลนด์ เรามีเพียง 1 โครงการเท่านั้น วันนี้หลังจากที่เราเข้าลงทุนในทรัพย์สินของ บ.เคพีเอ็น แลนด์ (KPN Land) เราจึงกลายมาเป็นผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ด้วยมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท และมีมูลค่าต่อยูนิตมากกว่า 10 ล้านบาท โดยจะมีการโอนในอีก 2 ปีข้างหน้า สิ่งที่ผมโฟกัส ณ ตอนนี้จะเป็นการดูแลงานโครงการทั้งหมดให้ดำเนินไปอย่างราบรื่นที่สุดทั้งโครงการปัจจุบัน และอาคต” นาย เอเดรียน กล่าว   บมจ.ไรมอน แลนด์ จำกัด มี 6 โครงการที่เปิดขายอยู่มูลค่ารวมกว่า 30,000 ล้านบาท   และ อีก 1 โครงการเชิงพาณิชย์ มูลค่ากว่า 8.6 พันล้านบาท          
Booking.com ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับที่พักให้เช่าระยะสั้น ที่งานประชุมนานาชาติ Vacation Rental Management Association

Booking.com ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับที่พักให้เช่าระยะสั้น ที่งานประชุมนานาชาติ Vacation Rental Management Association

บริษัทดิจิทัลด้านการเดินทางซึ่งเชื่อมโยงผู้เดินทางกับตัวเลือกที่พักน่าทึ่งหลากหลายประเภท ได้ประกาศที่งานประชุมนานาชาติสมาคมผู้บริหารจัดการที่พักให้เช่า (Vacation Rental Management Association หรือ VRMA) ในลาสเวกัส เกี่ยวกับการพัฒนาบริการครั้งสำคัญสำหรับคู่ค้าธุรกิจที่เปิดให้เช่าที่พักระยะสั้น เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะปรับปรุงบริการและเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้คู่ค้าได้รับประสบการณ์การใช้งานโดยรวมที่ดียิ่งขึ้น และนอกจากการจัดตั้งแผนกใหม่ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือที่พักของคู่ค้ากลุ่มดังกล่าวโดยเฉพาะแล้ว Booking.com ยังได้เปิดตัวเครื่องมือใหม่ๆ สำหรับคู่ค้าเพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการของที่พักกลุ่มนี้โดยเฉพาะ โดยพัฒนาจากความคิดเห็นโดยตรงของคู่ค้า Booking.com ซึ่งระบุถึงประเภทการพัฒนาที่จะมีประโยชน์และตอบโจทย์ที่สุดสำหรับธุรกิจของที่พักกลุ่มนี้ ผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวใหม่นี้มีฟีเจอร์ต่างๆ ที่ทำให้ Booking.com เป็นแพลตฟอร์มที่ทำงานได้หลายอย่างในที่เดียว อีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับที่พักแต่ละแห่งได้ ซึ่งจะช่วยให้คู่ค้าที่เปิดให้เช่าที่พักระยะสั้นสามารถแก้ไขข้อมูลหลายรายการได้พร้อมกัน รวมถึงมีระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้คู่ค้าประหยัดเวลาและใช้งานได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ Booking.com ไม่เพียงเปิดให้บริการผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภทบนแดชบอร์ดสำหรับคู่ค้าเท่านั้น แต่ยังขยายไปยังแอปพลิเคชันสำหรับที่พักคู่ค้าบนอุปกรณ์พกพาอย่าง Pulse ตลอดจนให้บริการผ่านการเชื่อมต่อระหว่างระบบต่างๆ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับโปรแกรมและระบบ Channel manager ของที่พักคู่ค้าได้โดยตรง โดยฟีเจอร์ใหม่ที่ว่านี้ (สามารถดูข้อมูลได้ที่ propertymanagers.booking.com) จะช่วยให้คู่ค้าจัดการที่พักได้ดีขึ้น และมีคุณสมบัติการใช้งานต่อไปนี้:   Group Connect: ประหยัดเวลาได้ เพียงใช้ฟีเจอร์ Group Connect ใหม่ของ com ซึ่งจะมีระบบส่งข้อความถึงลูกค้า พร้อมต้นแบบข้อความและระบบตั้งเวลาส่งข้อความอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของที่พักคู่ค้า   เครื่องมือดำเนินการพร้อมกันหลายรายการ: ปรับเปลี่ยนข้อมูลสำหรับที่พักทั้งหมดของท่านได้พร้อมกันในไม่กี่คลิก ด้วยเครื่องมือดำเนินการพร้อมกันหลายรายการรูปแบบใหม่จากcom ซึ่งเข้าใช้งานได้ผ่านหน้า Group Connect คู่ค้าสามารถกำหนดนโยบายยกเลิกการจอง เสนอโปรโมชั่นพิเศษ หรือตั้งข้อกำหนดของที่พักให้กับที่พักหลายแห่งของท่านได้พร้อมกันในครั้งเดียว นอกจากนี้ เครื่องมือดำเนินการพร้อมกันหลายรายการยังช่วยให้คู่ค้าสามารถนำคำแนะนำด้านผลการดำเนินงานและข้อมูลเชิงลึกจาก Booking.com มาปรับใช้กับทุกที่พักได้ในไม่กี่นาทีที่หน้า “คำแนะนำ” ซึ่งจะแนะนำสิ่งต่างๆ ที่เจ้าของหรือผู้จัดการที่พักควรดำเนินการเพื่อเพิ่มผลการดำเนินงาน โดยอิงจากปัจจัยต่างๆ ของที่พักแต่ละแห่ง   ระบบจัดการข้อมูลลูกค้า: กำหนดว่าใครสามารถจองที่พักของท่านได้บ้างด้วยฟังก์ชั่นใหม่อย่าง “ข้อกำหนดสำหรับลูกค้า” ซึ่งท่านสามารถตั้งเกณฑ์ให้ลูกค้าที่จะจองต้องระบุข้อมูลอย่างหมายเลขโทรศัพท์ที่ยืนยันแล้ว ที่อยู่ จำนวนการจองบนcom ที่เคยเข้าพัก และอีกมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นด้วยฟังก์ชั่นใหม่นี้ คู่ค้าสามารถแจ้งกรณีลูกค้าประพฤติไม่เหมาะสมได้ทันที รวมถึงบล็อกไม่ให้ลูกค้ารายดังกล่าวจองที่พักของท่านได้อีก หากเกิดเรื่องไม่เหมาะสมขึ้นระหว่างที่ลูกค้าเข้าพัก โปรไฟล์ของท่าน: ส่วนสำคัญของบริการจากcom คือ แสดงให้ลูกค้าเห็นว่าทำไมที่พักของท่านจึงเป็นตัวเลือกที่แปลกใหม่ และช่วยให้ลูกค้าได้ทราบข้อมูลตามความเป็นจริงเกี่ยวกับการเข้าพัก โดยในหน้า “โปรไฟล์ของท่าน” รูปแบบใหม่ ผู้ดูแลที่พักสามารถเขียนข้อความเกี่ยวกับตนเอง ที่พัก และย่านที่ที่พักตั้งอยู่ได้   การเชื่อมต่อระบบ: ฟีเจอร์ทั้งหมดจะเปิดให้คู่ค้าได้ใช้งานไม่ว่าจะบริหารจัดการที่พักผ่านระบบเอกซ์ทราเน็ตของcom ผ่านแอปพลิเคชัน Pulse สำหรับอุปกรณ์พกพา หรือผ่านผู้ให้บริการระบบเชื่อมต่อข้อมูลที่พักก็ตาม   นายโอลิวีเยร์ กรามิลยอง รองประธานบริษัท Booking.com ได้เป็นวิทยากรของช่วง “Property Managers and OTAs: In Conversation with Industry Leaders” ที่งานประชุมของ VRMA และได้กล่าวว่า “ผู้ดูแลที่พักใช้ Booking.com มาเป็นเวลาหลายปี และฟีดแบ็คที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากพวกเขาก็เป็นพื้นฐานในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของเรา มีรายชื่อที่พักใหม่ ๆ ที่เพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งล้านรายการในบ้าน อพาร์ทเมนท์ และที่พักที่อื่น ๆ ที่ไม่ซ้ำใคร ตั้งแต่ปีที่แล้ว โดย Booking.com ลงทุนกับเทคโลโลยี การตลาด และระบบต่าง ๆ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่จะเพิ่มรายได้ให้กับที่พัก และช่วยให้ทางที่พักสามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์การเข้าพักที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้าได้ จากนั้นเราก็จะโปรโมตสู่ลูกค้าทั่วโลก” เนื่องจากบริการด้านการเดินทางต่างๆ ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และความต้องการประสบการณ์การเข้าพักที่แปลกใหม่ของผู้เดินทางก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง แพลตฟอร์มออนไลน์ด้านการเดินทางและที่พักจึงจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันมากขึ้น ดังนั้นเมื่อไม่นานมานี้ Booking.com จึงได้ประกาศว่ามีบ้านพัก อพาร์ตเมนต์ และที่พักแปลกใหม่มาลงทะเบียนเปิดให้จองแล้ว 5.7 ล้านแห่ง ส่งผลให้ Booking.com มีตัวเลือกที่พักประเภทนี้ให้จองมากกว่าเว็บไซต์อื่นๆ ในแวดวงเดียวกัน โดยจำนวนตัวเลือกจากที่พักประเภทนี้บน Booking.com นั้นเติบโตสูงขึ้นกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน เรียกได้ว่าเติบโตเร็วกว่าตัวเลือกที่พักประเภทเดิมๆ นอกจากนี้ จากการสำรวจข้อมูลในปี 2560 ซึ่ง Booking.com ได้สอบถามผู้เดินทางมากกว่า 57,000 คนใน 30 ประเทศ/ภูมิภาคทั่วโลก ยังพบว่าผู้เดินทาง 35% วางแผนที่จะพักในที่พักซึ่งมีบรรยากาศเป็นกันเองมากขึ้นในปี 2561 นับเป็นหลักฐานเพิ่มเติมที่สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการพักในที่พักนอกเหนือจากโรงแรมนั้นยังคงแข็งแกร่งอยู่ในตลาดผู้เดินทาง นอกจากการทำแคมเปญทางออนไลน์แล้ว Booking.com จะจัดอีเวนท์ทั่วโลกเพื่อแจ้งให้คู่ค้าทราบเกี่ยวกับการพัฒนาใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้การลงทะเบียนและจัดการที่พักทั้งหมดบน Booking.com ของคู่ค้าแต่ละรายเป็นเรื่องง่ายกว่าเดิม หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สำหรับที่พักคู่ค้า โปรดเข้าไปที่ propertymanagers.booking.com          
MQDC เปิดตัวไฮไลท์ทำเลเด่นที่สุดใจกลาง CBD “วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท” สุดยอดทำเลหายากกลางอโศก ในคอนเซ็ปต์ “Own the rare” วิวสวนป่าเบญจกิติ

MQDC เปิดตัวไฮไลท์ทำเลเด่นที่สุดใจกลาง CBD “วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท” สุดยอดทำเลหายากกลางอโศก ในคอนเซ็ปต์ “Own the rare” วิวสวนป่าเบญจกิติ

MQDC แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียมและโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยแบรนด์ Whizdom (วิสซ์ดอม) เปิดตัวไฮไลท์ทำเลเด่นที่สุดใจกลาง CBD Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) สุดยอดทำเลหายากกลางอโศก ในคอนเซ็ปต์ “Own the rare” วิวสวนป่าเบญจกิติ สวนสาธารณะขนาด 450 ไร่ เดินทางสะดวกสบายใกล้ BTS, MRT อโศกอินเตอร์เชนจ์สเตชั่น และทางด่วนรายรอบ พร้อมส่งมอบที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ด้วยการสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่เหนือกว่าด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี การก่อสร้าง และสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรแก่ผู้พักอาศัย อัษฎา แก้วเขียว ประธานผู้อำนวยการ-วิสซ์ดอม บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ จำกัด (MQDC) หนึ่งในผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า เป็นอีกปีหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างภูมิศาสตร์เมือง จากการเริ่มสร้างรถไฟฟ้าสายใหม่ และบางสายที่จะเริ่มให้บริการ ส่งผลโดยตรงกับราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกทำเล รวมถึงราคาที่อยู่อาศัยก็ปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน คอนโดมิเนียมยังเป็นสินค้าหลักในปัจจุบันและอนาคต แต่ที่ดินใจกลางเมืองมีจำกัด และที่ดินบริเวณรอบนอกเข้าสู่ตลาดที่ดินมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการรายหลายหันมาเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและโครงการ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลง   “โครงการของ Whizdom (วิสซ์ดอม) ออกแบบเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและแรงบันดาลใจของสังคมแห่งการอยู่อาศัย เพื่อขับเคลื่อนรูปแบบชีวิตของคนรุ่นต่อไป ผสมผสานสังคมแห่งการเรียนรู้และแบ่งปัน เพื่อให้ค้นพบศักยภาพของตนเอง ซึ่งโครงการ Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) เป็นโครงการที่ถูกตั้งเป็น Flagship ล่าสุดของแบรนด์ Whizdom (วิสซ์ดอม) ในคอนเซ็ปต์  “Own the rare” ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะ Rare Location ทำเล ‘อโศก” ที่ถือว่าเป็น CBD ที่แท้จริงของกรุงเทพฯ พร้อมด้วยการคมนาคมและสิ่งอำนวยความสะดวกสบายรอบๆ โครงการ ร้านอาหาร ห้างสรรสินค้าชื่อดังต่างๆ  Rare Innovation เพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งที่ต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง การพัฒนาโครงการ Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) ถูกออกแบบมาโดยให้แนวคิดเริ่มต้นด้วยการทำ Co-creation คือการให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมในการเสนอแนวคิด ความต้องการ รวมถึง pain points ที่เจอและอยากเปลี่ยนแปลง รวมถึงการทำ Innovation และมาตรฐานของ MQDC มาใช้อย่างครบถ้วน ทำให้ Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) มีครบทุกองค์ประกอบ เหมาะกับ Rare lifestyle ของการอยู่อาศัยสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์” โดยแรงบันดาลใจของโครงการ ได้แนวคิดจากมหานครใหญ่ทั่วโลกจะมีสวนป่าขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งเป็นที่ๆ ผู้คนต่างพากันมาใช้เป็นพื้นที่ออกกำลังกาย พบปะเพื่อนฝูง เป็นที่สังสรรค์ และพาครอบครัวมาผ่อนคลาย เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานครที่มีสวนป่าใจกลางเมืองอย่าง “สวนป่าเบญจกิติ” ที่อยู่ใจกลางอโศก พื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 450 ไร่ เป็นศูนย์รวมของพันธุ์ไม้นานาชนิดอยู่ในสวนป่าที่ใหญ่ที่สุด กลายเป็นที่มาของ “Queen of Urban Nature” แนวคิดการพัฒนาโครงการที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เพราะโดยปกตินั้นการที่ผู้คนในมหานครจะได้ใกล้ชิดกับธรรมชาตินั้นเป็นไปได้ยาก หรืออาจจะต้องเลือกที่จะไม่อยู่กลางเมือง เพื่อจะได้สัมผัสและใกล้ชิดกับพื้นที่ สีเขียวขนาดใหญ่ แต่โครงการ Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) เป็นโครงการที่ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัวที่จะได้อาศัยในเมือง พร้อมสัมผัสพื้นที่สีเขียวผืนใหญ่ได้อย่างเต็มที่และสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มปอด จุดเด่นของโครงการ Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง ตามแนวคิด “FOR ALL WELL-BEING” ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาโครงการของ Whizdom (วิสซ์ดอม) ทุกรายละเอียด และด้วยงานวิจัย ที่ตั้งใจคิดค้นและพัฒนามาเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมโดยรอบโครงการ แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่   ENERGY & ECOLOGY การคำนึงเรื่องการใช้พลังงานและระบบนิเวศน์รอบโครงการ โดยนำเกณฑ์การออกแบบจากสถาบันอาคารเขียวไทยที่ได้รับความน่าเชื่อถือมาอ้างอิงเพื่อคุณภาพของโครงการตามมาตรฐานการประเมินความยั่งยืนทางพลังงานและสิ่งแวดล้อมไทย (TREES-NC)   HEALTH & WELLNESS การออกแบบทุกรายละเอียดให้อยู่สบายและสุขภาพดี ด้วยการเลือกวัสดุต่างๆ ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ลดการเกิดอุบัติเหตุ การออกแบบระบบปรับอากาศที่ลดการสะสมของฝุ่นและการเกิดเชื้อราเพื่อคุณภาพอากาศภายในห้องที่ดี รวมถึงการออกแบบระบบท่อออกหลัง เพื่อลดปัญหาน้ำรั่วหรือท่ออุดตัน สามารถบำรุงรักษาได้สะดวก โดยไม่รบกวนผู้พักอาศัยห้องอื่นๆ   SENSES & HAPPINESS การออกแบบพื้นที่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ถูกสุขลักษณะเพื่อการรับรู้ที่ดี (Psychology and Human Perception) ของผู้อยู่อาศัย รวมไปถึงการออกแบบสำหรับทุกคน (Universal Design) เอื้อต่อการใช้งานของคนทุกวัย ในทุกพื้นที่ส่วนกลาง   นอกจากนี้สิ่งที่ทางโครงการเพิ่มเติม คือ เรื่องนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นมา สร้างความสะดวกสบาย ด้วย Smart unit โดยการใส่ระบบ Home intelligent system ที่นอกจากจะตอบโจทย์เรื่องไลฟ์สไตล์และความปลอดภัยแล้วความพิเศษเฉพาะ คือ เป็นระบบที่ออกแบบมาตามแนวคิด Well-Being ตอบโจทย์เรื่อง “สุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย เพราะคุณภาพอากาศที่ดีส่งผลต่อคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดี” โดยมี Indoor Air Quality Sensor ที่คอยตรวจเช็คปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในห้องพักให้อยู่ในระดับที่ไม่มากเกินไป ทำงานร่วมกับระบบระบายอากาศเพื่อถ่ายเทก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป และนำอากาศบริสุทธิ์เข้ามา โดยผ่านเครื่อง ERV ที่ให้ยิ่งกว่าอากาศบริสุทธิ์ เพราะปรับสภาวะอากาศให้อยู่ในความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสม Smart building ที่ออกแบบอาคารโดยคำนึงถึงเรื่องทิศทางของลม และแสงเพื่อลดความร้อนและมลภาวะจากภายนอกสู่ตัวอาคาร นอกจากนี้ยังมีการออกแบบเพิ่มเติมพื้นที่สีเขียวในรูปแบบของ Pocket garden ที่ช่วยเพิ่มก๊าซออกซิเจนและความสวยงามให้กับตัวอาคาร อีกทั้งยังมีการใช้ระบบ Water cooling ที่ใช้กับโรงแรม 5 ดาว หรือโรงพยาบาลที่เน้นเรื่องสุขภาพของผู้อยู่อาศัยเป็นหลักสำคัญ นอกจากนี้ทางโครงการยังมี Access control & analysis คือการจดจำใบหน้าขอผู้พักอาศัย เพื่อความปลอดภัยและสะดวกสบายในการเข้าและออกอาคาร พร้อม Security Robot ที่จะช่วยตรวจตราวัตถุต้องสงสัยรวมถึงเมื่อมีเหตุฉุกเฉินในที่จอดรถ Security Robot จะมีส่วนเชื่อมต่อกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อให้เกิดการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ในด้านของระบบจอดรถ ทางโครงการมีระบบจอดรถแบบอัตโนมัติและแบบวนจอด รวมทั้งสิ้น 85% เพื่อประหยัดเวลาในการหาที่จอด   “เป้าหมายสำคัญในการพัฒนาโครงการ คือการมอบที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และยกระดับคุณภาพคอนโดมิเนียมในประเทศโดยใส่เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทาง Whizdom  (วิสซ์ดอม) มี และได้ศึกษาร่วมกับทาง RISC (Research & Innovation for Sustainability Center) ทั้งนี้ โครงการจะแล้วเสร็จภายในปี ธันวาคม 2021 โดยตั้งยอดขายไว้ 80% ถึงสิ้นปีนี้ โดยจะมีงานเปิดขาย Pre-sales ในวันที่ 3-4 พฤศจิกายน 2561 คาดว่าจะมีลูกค้าสนใจเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมียอดผู้ลงทะเบียนเข้าชมโครงการเป็นจำนวนมาก” อัษฎา กล่าวทิ้งท้าย        
RICHY ตั้งเป้ากวาดลูกค้าเกรด A ยกระดับ The Rich สู่พรีเมี่ยมแบรนด์ 5 โปรเจคมูลค่ากว่า 12,400 ล้านบาท มั่นใจปี 2561 รายได้ทะลักดันกำไรทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

RICHY ตั้งเป้ากวาดลูกค้าเกรด A ยกระดับ The Rich สู่พรีเมี่ยมแบรนด์ 5 โปรเจคมูลค่ากว่า 12,400 ล้านบาท มั่นใจปี 2561 รายได้ทะลักดันกำไรทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

RICHY ประกาศทุ่มงบ 100 ล้านบาท สร้างมาตรฐานใหม่ รีแบรนด์ “The Rich” อัพเกรดสู่ระดับพรีเมี่ยมจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายระดับบน 5 โปรเจคมูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท พร้อมเตรียมผุด 2 โปรเจคใหม่บนสุดยอดทำเลมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ด้วยคอนเซ็ปต์ “สีสันแห่งชีวิต” โปรเจคแรก “The Rich พระราม 9 – ศรีนครินทร์ ทริปเปิ้ลสเตชั่น” รูปแบบมิกซ์ยูสแห่งแรกบนถนนศรีนครินทร์ชูจุดเด่น 0 เมตรจากบันได สถานี พร้อม Mall ด้านหน้าโครงการ ส่งท้ายปี เปิดขายพรีเซล พ.ย. 61 คอนโดมิเนียมคุณภาพระดับไฮเอนด์ในราคาที่คุณสัมผัสได้ยั่วใจนักลงทุนไทยและต่างประเทศ ให้เลือกห้องพิเศษก่อนใคร ต่อด้วย “The Rich เอกมัย” เปิดรับวิวพันล้าน 270 องศา ด้วยอาคารสูงที่สุดบนถนนเอกมัย เตรียมควักกระเป๋าจองได้ไตรมาส 1 ปี หน้า เชื่อว่าทำให้ชื่อ ริชี่ฯ ยิ่งกระหึ่มมากขึ้น ด้านผลประกอบการประเมินปี 2561 รายได้ตามเป้าพร้อมมีลุ้นทุบสถิตที่กำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์     ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) (RICHY) ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เดอะริช (The Rich) เลอริช (Lerich) ริชพาร์ค (Rich Park) (The Eight Collection) โครงการแนวราบแบรนด์เดอะริชบิซโฮม (The Rich Biz Home) และเดอะริชวิลล์ (The Rich Ville) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีความเปราะบางด้วยปัญหาเศรษฐกิจในปีนี้ เทรนด์ที่อยู่อาศัยในอนาคตก าลังเดินเข้าสู่ภาวะการ “ปรับเปลี่ยน” ด้วยปัจจัยหลากหลายทั้งการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ และเทคโนโลยีที่มีบทบาทในการพัฒนาโครงการเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับทั้งกลุ่มลูกค้าชาวไทย และชาวต่างชาติ บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นสภาพตลาดที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์บนทำเลศักยภาพที่แนวโน้มมูลค่าที่ดินเพิ่มสูงขึ้นตลอดเวลา นั้นยังคงมีดีมานด์ที่ต่อเนื่อง บริษัทฯ มั่นใจว่าโครงการใหม่นี้จะตอบรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงใจ ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ได้ลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เพื่อรีแบรนด์ “The Rich” สู่ระดับพรีเมี่ยม เน้นแนวคิดการตลาดด้านการพัฒนาแบรนด์ที่มีความชัดเจนและสะท้อนความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง มุ่งเน้นตอบสนองชีวิตคนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีความเป็นตัวของตัวเองการออกแบบในแต่ละโครงการสะท้อนบุคลิกภาพและไลฟ์ สไตล์ของกลุ่มลูกค้าในทำเล ระดับราคาขายเฉลี่ย 150,000.- บ./ตร.ม. ขึ้นไป เนื่องจากเป็น Segment ที่มีกำลังซื้อ “การรีแบรนด์ ได้ว่าจ้างบริษัทฯ ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำงานวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อสำรวจความต้องการและกำหนดคาแรคเตอร์ที่เหมาะสมของแบรนด์ ‘The Rich’ นำไปสู่ดีไซน์ใหม่ที่ดูทันสมัยและ Active ขึ้น พร้อมกันนี้ทางบริษัทฯ ยังได้ว่าจ้างเอเจนซี่ยักษ์ใหญ่ผลิตหนังโฆษณา TVC และ สื่อทั้ง Online Offline โปรโมทแบรนด์ ‘The Rich’ พร้ อมๆ กันในเดือนต.ค. 61 ถึง กลางธ.ค.61 โดยใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาทในการทำโฆษณาครั้งนี้     โครงการของ RICHY ภายใต้แบรนด์ The Rich ประกอบด้วย 1.The Rich สาทร ตากสิน มูลค่า 2,100 ล้านบาท 2. The Rich เพลิตจิต นานา มูลค่า 4,000 ล้านบาท 3.The Rich พระราม 9– ศรีนครินทร์ ทริปเปิ้ลสเตชั่น มูลค่า 2,500 ล้านบาท 4.The Rich เอกมัย มูลค่า 3,400 ล้านบาท และ 5.The Rich อเวนิว มูลค่า 400 ล้านบาท   ทั้งนี้มีโครงการที่จะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ คือ The Rich พระราม 9 – ศรีนครินทร์ ทริปเปิ้ลสเตชั่น ถือ เป็นเฟส 2จากโครงการเดิมที่เปิดตัววันเดียวยอดขายทะลุ 1,000 ล้านบาท สำหรับโปรเจคนี้เป็นโครงการ High rise ผสมผสาน Mixed use มาพร้อมด้วยส่วนกลางจัดเต็ม ถือเป็นอาคารสูงที่สุดบนถนนศรีนครินทร์ รวม 1 อาคาร 32ชั้น ยูนิต ที่พักอาศัย 558 ยูนิต แบ่งสัดส่วนเป็น Mixed Use 3 ชั้น บนที่ดินประมาณ 2 –0 – 16.5 ไร่ แบบห้องเริ่มต้นที่ 1 Bedroom ขนาด 25.61 – 35.68 และ 1 Bedroom Loft ขนาด 25.27 – 45.04 ตร.ม. โดยโครงการจะสร้างเสร็จพร้อมอยู่ประมาณ ไตรมาส 2 ปี 2564 ชูจุดเด่นติดรถไฟฟ้า 3 สายสีเหลือง , สีแดงอ่อน , แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ยิ่งไปกว่านั้น ทำเลที่ตั้งโครงการยังใกล้เพียง 0 เมตรจากสายสีเหลือง 2 นาทีจากสถานีหัวหมาก แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เชื่อมสู่เมืองและเชื่อมการเดินทางทั่วโลกโดยใช้เวลา เพียง 10 นาทีถึงสุวรรณภูมิ     ดร.อาภาฯ กล่าวต่ออีกว่า ภายในต้นปี 2562 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวอีก 1 โครงการ คือ โครงการ The Rich เอกมัย ซึ่งถือเป็นโครงการที่ 5 ในตระกูล The Rich บนสุดยอดทำเล เอกมัยซอย 8 ติดบิ๊กซี เอกมัย บนเนื้อที่ 1-3-67 ไร่ ซึ่งจะเป็นที่พักอาศัย 1อาคาร สูง 46 ชั้น ที่พักอาศัย 492 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3.4 พันล้านบาท โดยมีจุดเด่นที่รวบรวมสิ่งที่ผู้อยู่อาศัยในคอนโดฯต้องการไว้ในที่เดียว ทั้ง Facility ที่รวมเอาไว้ในชั้น Roof Top, การออกแบบห้องให้เหมาะสมกับการพักอาศัย โดยใช้เฟอร์นิเจอร์แบบมัลติฟังก์ชัน สร้างพื้นที่ให้ดูกว้างขวางน่าอยู่ ได้รับความสะดวกสบายและฟังก์ชันการใช้งานจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างอุปกรณ์ Smart Home พร้อมให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคอนโดกับการใช้ชีวิตโดยใช้คำว่า “สงบสุขภายใต้แสงสีพร้อมใช้ชีวิตแบบเหนือระดับด้วยความเป็นส่วนตัว” เป็นตัวเชื่อมไลฟ์ สไตล์คนเมือง ที่มีชีวิตการทำงานและการใช้เวลาช่วงวันหยุดพักผ่อน ท่องเที่ยว ดื่ม ทานอาหาร พักอาศัย ในย่านเดียวกัน   ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) (RICHY) กล่าวถึงผลประกอบการ ปี 2561 ในส่วนของรายได้น่าจะแตะที่ระดับ 3,000 ล้านบาท เติบโตกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งมี รายได้รวม 1,327 ล้านบาท และสามารถทำกำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 132 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี2561 นี้บริษัทมีกำไรสุทธิมากถึง 243 ล้านบาท
จับตาดู อารีย์-พหลโยธิน ย่านเก่าร่วมสมัย ศูนย์กลางสำคัญแห่งใหม่ สำหรับชีวิตติดเมือง

จับตาดู อารีย์-พหลโยธิน ย่านเก่าร่วมสมัย ศูนย์กลางสำคัญแห่งใหม่ สำหรับชีวิตติดเมือง

อารีย์-พหลโยธิน ย่านดั้งเดิมเก่าแก่กำลังจะกลายเป็น ศูนย์กลางสำคัญแห่งใหม่ของอาคารสำนักงานและแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่สำหรับคนจะย้ายเข้ามาใช้ชีวิตใจกลางเมือง โดยเฉพาะทำเลระหว่างช่วงสถานีอารีย์และสถานีสะพานควาย ในระยะทางประมาณ 2 กม. ที่มีสถานที่ราชการ อาคารสำนักงานและอาคารมิกส์ยูส ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ที่สำคัญยังแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ทั้ง ห้างสรรพสินค้า, ร้านอาหาร, คาเฟ่นั่งทำงาน, และโรงพยาบาล ด้วยการเดินทางที่ง่ายในระยะเดินเท้าถึงได้อย่างสบายหรือด้วยรถไฟฟ้าที่ใช้เวลาไม่นานสำหรับเดินทางเข้าเมืองและออกนอกเมือง จึงกลายเป็นทำเลที่ใครๆ ก็อยากเข้ามาอยู่อาศัย และขณะเดียวกันผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมไม่ค่อยจะย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานที่อื่น   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ทำเลย่านอารีย์-พหลโยธิน ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่น่าจับตามองของย่านนี้ อาจเรียกได้ว่าที่นี่ คือ ศูนย์กลางสำคัญแห่งใหม่ของอาคารสำนักงาน เพราะนอกจากจะเป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงานเอกชนและสถานที่ราชการสำคัญอยู่ก่อนแล้ว เช่น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงค์), ธนาคารออมสิน (สำนักงานใหญ่), สำนักงาน กสทช., ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่, เอไอเอส ทาวเวอร์ เป็นต้น ยังมีอาคารสำนักงาน เกรด A แห่งใหม่บนถนนพหลโยธิน อีก 3 อาคารที่เพิ่งเปิดใช้งาน ได้แก่  1. Pearl Bangkok อาคารสูง 25 ชั้น แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ 2. Ari Hill อาคารมิกส์ยูส สูง 34 ชั้น ที่มีทั้งอาคารออฟฟิศ ร้านค้า และโรงแรม 3. SC Tower อาคารสูง 24 ชั้น คาดการณ์ว่าจะมีผู้ทำงานในทั้ง 3 อาคารนี้ประมาณ 3,733 คน, 1,500 คน และ 817 คน ตามลำดับ หรือรวมแล้วประมาณ 6,050 คน อีกทั้งยังมีโครงการใหญ่อื่นๆ ที่กำลังก่อสร้างและคาดการณ์กำหนดแล้วเสร็จภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ได้แก่ 1. The Rice อาคารมิกส์ยูส สูง 24 ชั้น มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท 2. โรงพยาบาลวิมุตติ ในเครือพฤกษา ที่มีมูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2020 ทั้ง 2 โครงการ 3. อาคารวานิช เพลส ของกลุ่มแหลมทองสหการ เป็นออฟฟิศ 31 ชั้น และคอมมูนิตี้มอลล์ที่มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2021 การผุดขึ้นของอาคารสูงระดับไฮเอนด์เหล่านี้อย่างต่อเนื่องเป็นการตอกย้ำว่าย่านนี้ ยังคงเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญของกรุงเทพฯ ผสานกับเสน่ห์ของไลฟ์สไตล์ดั้งเดิมแบบกึ่งบ้านกึ่งเมืองทำให้คนรุ่นใหม่ อยากเข้ามาใช้ชีวิตในย่านนี้มากขึ้น ด้วยจุดเด่นที่สำคัญของทำเลนี้ ที่มีความชัดเจนของการขยายเมืองทั้งการเพิ่มขึ้นของอาคารสำนักงาน และตึกสูงเกรด A ความสะดวกในการเดินทางมีเส้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมถึงใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน สร้างโอกาสในการเป็นศูนย์กลางที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ เติบโตทั้งด้านอุปทาน, อุปสงค์และราคาขาย โดยตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันมีโครงการคอนโดเปิดใหม่มากขึ้น ซึ่งภาพรวมโครงการในตลาดมีทั้งคอนโดมิเนียมรูปแบบไฮไรส์และรูปแบบโลวไรส์ โดยมีคอนโดมิเนียมเปิดขาย ทั้งหมด 4,103 ยูนิต จาก 16 โครงการ ขายไปแล้ว 3,318   ยูนิต หรือประมาณ 81% ซึ่งโครงการที่เพิ่งเปิดขายในช่วงระยะ 1-2 ปี ที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะมียอดขายเกินกว่า 70% ทั้งนี้คอนโดมิเนียมตลาดระดับไฮเอนด์ (110,000 – 190,000 บาท/ตร.ม.) เป็นตลาดใหญ่ที่สุด คิดเป็น 74% ของสัดส่วนตลาดทั้งหมด หรือจำนวน 2,544    ยูนิต มีทั้งคอนโดมิเนียมรูปแบบไฮไรส์และรูปแบบโลวไรส์ โดยอัตราขายที่ดีที่สุดของตลาดกลุ่มนี้ คือ โครงการที่มีระดับราคาต่อตารางเมตรอยู่ในช่วง 110,000-120,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งโครงการส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในทำเลอินทามระ ขณะที่ยังไม่มีโครงการในระดับราคานี้ในทำเลอารีย์-พหล จึงเป็นโอกาสทางการตลาดที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมแบบโลวไรส์ที่ยังเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่องของตลาดในทำเลนี้ เพราะราคาอยู่ในช่วงที่จับต้องได้แม้อยู่ใจกลางเมืองหรือใกล้รถไฟฟ้า ในขณะที่คอนโดไฮไรส์มีราคาสูงกว่าเพราะราคาที่ดินที่ติดถนนใหญ่หรือติดรถไฟฟ้ามีราคาสูงและทำเลที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาโครงการมีอยู่จำกัด อีกทั้งคอนโดมิเนียมแบบโลวไรส์ยังมีจุดเด่นที่จำนวนยูนิตน้อยและมีบรรยากาศที่ดีทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า ซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมืองได้ตรงความต้องการมากกว่านั่นเอง ดังนั้น อาจจะกล่าวได้ว่าในโลกที่ต้องการความรวดเร็วไปหมดทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง คือ การมีที่อยู่อาศัยที่อยู่ในเมือง ซึ่งจะสามารถลดเวลาการเดินทาง  ลดขั้นตอนในการออกไปหาการพักผ่อนแบบมีไลฟ์สไตล์ ทำเลย่านพหลโยธิน ถือเป็นทำเลที่ตอบโจทย์อีกทำเลหนึ่งในกรุงเทพ นางนลินรัตน์ กล่าวปิดท้าย          
บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปลื้มใจคอนโดซุปเปอร์ลักชัวรี่อนาคตสดใส ถูกใจต่างชาติ

บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปลื้มใจคอนโดซุปเปอร์ลักชัวรี่อนาคตสดใส ถูกใจต่างชาติ

บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) จัดงาน Private Event ณ โครงการ มาร์ค สุขุมวิท (MARQUE Sukhumvit) คอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่รูปทรง ‘เพชร’ ที่ถือเป็นแลนด์มาร์คใจกลางถนนสุขุมวิท ย่านพร้อมพงษ์ ปัจจุบันนี้โครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ พร้อมตกแต่งห้องเพ้นท์เฮ้าส์ใหม่ เปิดให้เข้าชมความงดงาม ภายใต้การตกแต่งที่หรูหรา ชมวิวมุมสูงในทำเลใจกลางสุขุมวิท โดยการจัดงานดังกล่าวในเดือนที่ผ่านมาได้รับผลตอบรับที่ดีมาก มีผู้สนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะห้องเพ้นท์เฮ้าส์มูลค่า130 ล้านบาท ถูกจับจองโดยชาวต่างชาติชาวเอเชีย   นอกจากนี้ บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ยังไม่หยุดรังสรรค์ ตกแต่งห้องพักอีก 2 แบบ 2 สไตส์ ในแบบฉบับของ MARQUE, Mark your lifeพร้อมที่จะเปิดให้เข้าชมเป็นครั้งแรกในงานสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่จะจัดขึ้นในวันที่ 17 -18 พ.ย. 61 ณ โครงการ มาร์ค สุขุมวิท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 1266   โครงการ มาร์ค สุขุมวิท เป็นโครงการเฟล็กซิพของ บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ด้วยมูลค่าการลงทุน 7,000 กว่าล้านบาท สร้างบนผืนที่ที่ใหญ่ที่สุดกว่า 3 ไร่ ริมถนนสุขุมวิท ติดสถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ และห้างเอ็มควอเทียร์เพียง 30 เมตร ที่ปัจจุบันแทบจะไม่สามารถหาผืนดินขนาดใหญ่นี้ในการพัฒนาโครงการได้ จึงมีแนวคิดให้เป็นที่อยู่อาศัยที่จะส่งต่อเป็นมรดกกับลูกหลานและเป็นจะเป็นการลงทุนที่เพิ่มมูลค่าไม่รู้จบ เหตุนี้เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของคอนโดมิเนียมที่มีรูปทรงโดดเด่นแปลกตา ด้วยรูปทรง Diamond Shape เป็นอาคารที่สูงที่สุดในสุขุมวิทตอนกลาง ด้วยอาคารที่มีfaçade กระจกเต็มบาน ด้วยการประกอบ façade แต่ละด้านเช่นเดียวกับเหลี่ยมหรือมุมของเพชร ออกแบบให้คล้ายทรงเพชรมากที่สุด ปัจจุบันโครงการโอนไปแล้วเกือบ 80%        
“ออริจิ้น” ปลื้ม ทุนฮ่องกงประทับใจแผนรายได้ 5 ปี โตแตะ 2.7 หมื่นล้าน

“ออริจิ้น” ปลื้ม ทุนฮ่องกงประทับใจแผนรายได้ 5 ปี โตแตะ 2.7 หมื่นล้าน

“ออริจิ้น” ปลื้ม ทุนฮ่องกงส่งสัญญาณสนใจลงทุน หลังเห็นแผนรายได้โตปีละ 20% ต่อเนื่อง 5 ปี ทะลุ 2.7 หมื่นล้านในปี 65 มั่นใจพร้อมปรับตัวรับมาตรการแบงก์ชาติคุม LTV ด้าน “กสิกร” คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 16.30 บาท   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์ บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า บริษัทได้เดินทางโรดโชว์พบปะนักลงทุนสถาบันในประเทศฮ่องกงเมื่อเร็วๆ นี้ โดยกลุ่มนักลงทุนต่างแสดงความประทับใจและส่งสัญญาณที่ดี หลังจากเห็นแผนการขยายธุรกิจครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ทั้งกลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัยและกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน และเป้าหมายการเติบโตรายได้อย่างต่อเนื่อง “เราได้แสดงให้เห็นถึงทิศทางและแผนการขยายธุรกิจของเรา ด้วยเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในระดับ 20% ต่อปี ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือมีรายได้เพิ่มขึ้นจากไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาทในปี 2560เป็น 2.7 หมื่นล้านบาท ในปี 2565 ก็ทำให้เขารู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก” นายพีระพงศ์ กล่าว นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการภาครัฐที่กำลังจะเกิดขึ้นในขณะนี้ เช่น มาตรการการควบคุมอัตราส่วนการให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นั้น มีผลกระทบในวงจำกัดสำหรับตลาดระดับกลาง-ล่าง สำหรับตลาดระดับกลาง-บน ซึ่งเป็นกลุ่มหลักของ Backlog บริษัทในปัจจุบัน ลูกค้าส่วนใหญ่มากกว่าครึ่งชำระค่าห้องชุดเป็นเงินสด นอกจากนี้บริษัทมีความมั่นใจในการปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับนโยบายดังกล่าว เนื่องจากในปัจจุบัน บริษัทได้วางรากฐานขยายประเภทธุรกิจที่อยู่อาศัยให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนท์อยู่แล้ว บริษัทพร้อมที่จะปรับแผนการดำเนินธุรกิจปี 2562 ให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ใหม่ เช่น ให้ความสำคัญกับตลาดระดับกลาง-บนมากขึ้น พัฒนาโครงการระดับกลาง-ล่างเฉพาะในพื้นที่ที่มีดีมานด์สูง เพื่อลดผลกระทบจากข้อจำกัดของนโยบาย “หลายปีที่ผ่านมา เราได้พิสูจน์ให้ตลาดเห็นแล้วว่าเราเป็นผู้ประกอบการที่มีความชำนาญในการเลือกทำเลอย่างเหมาะสม ด้วยการใช้กลยุทธ์เจาะตลาดที่มีศักยภาพแต่ยังมีการแข่งขันไม่สูงนัก หรือ Blue Ocean จนทำให้โครงการของเราประสบผลสำเร็จและมียอดขายที่ดี แม้นโยบายภาครัฐในขณะนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงไป แต่เรายังมั่นใจว่าเราสามารถพัฒนาสินค้าในทำเลที่เหมาะสม เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคควบคู่กับการดำเนินงานตามเป้าหมายของบริษัทได้” นายพีระพงศ์ กล่าว ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุถึง ORI ว่า แม้ว่าหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อาจเผชิญกับการปรับลดมูลค่าหุ้นลง หาก ธปท. ประกาศใช้มาตรการที่เข้มงวดเป็นอย่างมากในเดือน พ.ย. แต่ในแง่ของมูลค่าหุ้น ราคาปิด ORI ล่าสุดที่ซื้อขายที่ PER 6.84 เท่าและ 5.54 เท่าสำหรับปี 2561-62 ตามลำดับ ด้วยอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (DY) ที่มากกว่า 5.8% เป็นระดับที่น่าดึงดูดอย่างมาก สำหรับสถานะของการดำเนินงานนั้น กลุ่มแนวราบและธุรกิจรายได้ประจำที่รวมถึงกิจการด้านโรงแรม การดำเนินงานและบริหารค้าปลีก จะกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญให้กับORI ในการเดินไปสู่เป้าหมายรายได้ 2.7 หมื่นล้านบาทในปี 2565 หรือมีรายได้เติบโตต่อเนื่องปีละ 20% ได้ นอกจากนี้ ยังมีแผนดำเนินการในลักษณะร่วมทุน (JV) และแผนการนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของ ORI เติบโตไปได้อย่างแข็งแกร่ง โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายเดิมสำหรับกลางปี 2562 ที่ 16.30 บาท ประกอบด้วยสัดส่วนจำนวน 14.90 บาทจากธุรกิจที่อยู่อาศัย อิง PER 8.25 เท่า และสัดส่วนจำนวน 1.40 บาทจากธุรกิจรายได้ประจำ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 54 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 82,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร    
“ออฟฟิศแคมปัส” ออฟฟิศแนวคิดใหม่ โดนใจคนทำงาน

“ออฟฟิศแคมปัส” ออฟฟิศแนวคิดใหม่ โดนใจคนทำงาน

เมื่อพูดถึงอาคารสำนักงาน หลายคนคงนึกถึงตึกสูงใจกลางเมือง ภายในมักมีหลากหลายบริษัทอยู่รวมกันอย่างหนาแน่น การเดินทางมาทำงานที่ออฟฟิศหลายคนต้องตื่นแต่เช้าเพื่อฝ่าฟันการจราจรที่ติดขัด หรือฝูงชนที่อัดกันจนแน่นบนรถไฟฟ้า เพื่อมาทำงานให้ทันเวลา มาถึงตึกแล้วยังต้องเบียดเสียดผู้คนเพื่อขึ้นลิฟต์ไปอีกหลายสิบชั้นเพื่อไปตอกบัตรให้ทันเวลาเข้างาน แต่จะดีแค่ไหนถ้าเราสามารถเลือกทำงานในสภาพแวดล้อมใหม่ที่แตกต่างจากนี้อย่างสิ้นเชิง อาคารสำนักงานที่มีจำนวนออฟฟิศไม่มากเกินไป ไม่ต้องแย่งกันใช้ลิฟท์ มีความใกล้ชิดธรรมชาติ มีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับพบปะและทำกิจกรรม แล้วยังสามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างง่ายดาย ออฟฟิศแนวคิดล้ำๆ เพื่อคนทำงานยุคใหม่แบบนี้ เรียกว่า “ออฟฟิศแคมปัส” ออฟฟิศแนวคิดใหม่ เป็นกลุ่มอาคารสำนักงานแบบโลว์ไรส์ เพื่อตอบโจทย์คนทำงานยุคใหม่ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีความสุขมากยิ่งกว่า     ออฟฟิศแคมปัส สร้างสรรค์ด้วยแนวคิดที่ต้องการสร้างสถานที่ทำงานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของพนักงาน พร้อมสภาพแวดล้อมการทำงานที่พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้ยังใช้พื้นที่โดยรอบในการทำกิจกรรมอื่นๆ อย่างการออกกำลังกายและการพักผ่อน โดยออฟฟิศแคมปัส ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อม เป็นอาคารสำนักงานที่ไม่สูงมากจนเกินไป เน้นขยายตัวในแนวราบ เพื่อสร้างความรู้สึกใกล้ชิดของพนักงาน และตั้งในพื้นที่ที่มีบริเวณกว้างขวาง ล้อมรอบไปด้วยพื้นที่สีเขียว ให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ แหล่งน้ำสร้างความผ่อนคลายและใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ จากการทำงานนอกจากนี้ยังมีพื้นที่ส่วนกลางให้ทุกคนสามารถมาใช้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ไอเดียในการทำงาน พูดคุยชิลๆ ระหว่างพักกลางวัน หรือเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันก็ได้เช่นเดียวกัน     ออฟฟิศแคมปัส เป็นแนวคิดที่กำลังมาแรง และมีการปรับใช้แล้วในหลากหลายบริษัทในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิ้ลหรือกูเกิ้ล ก็นำแนวคิดนี้มาใช้แล้วเช่นเดียวกัน โดยแอปเปิ้ล เปิดตัว แอปเปิ้ล พาร์ค (Apple Park) สำนักงานออฟฟิศแคมปัสรูปทรงยานอวกาศ ตั้งอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถรองรับพนักงานของแอปเปิ้ลที่มีกว่า 12,000 คนได้อย่างสบายๆ อาคารรูปทรงยานอวกาศสูง4ชั้นนี้ ออกแบบให้ล้อมรอบสวนขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณกึ่งกลาง พร้อมศูนย์บริการต้อนรับแขกผู้มาเยือน ที่มีร้านแอปเปิ้ลสโตร์ และคาเฟ่ให้บริการ นอกจากนี้ยังมีฟิตเนส และเส้นทางวิ่งยาวกว่า 3 กิโลเมตร สำหรับให้พนักงานวิ่งหรือเดินออกกำลังกาย มีจักรยานไว้บริการสำหรับเดินทางภายใน หากระยะทางไกลสามารถใช้รถกอล์ฟหรือรสบัสที่เตรียมไว้ให้บริการได้อีกด้วย   ทางฝั่งกูเกิล ได้สร้างสำนักงานใหญ่ แล้วตั้งชื่อว่ากูเกิลเพล็กซ์ (Googleplex) ประกอบด้วยกลุ่มอาคารสำนักงานของกูเกิ้ลหลายสิบหลัง ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน ล้อมรอบด้วยพื้นที่สีเขียวพร้อมลานตรงกลางเพื่อเป็นพื้นที่สันทนาการของบริษัท หรือใช้นั่งพักผ่อนหรือรับประทานอาหาร เพิ่มความอลังการด้วยสนามวอลเล่ย์บอลชายหาด หรือแม้กระทั่งร้านกูเกิ้ลสโตร์ ขายของที่ระลึกสารพัดอย่างจากกูเกิ้ลก็มีเช่นเดียวกัน   จากตัวอย่างออฟฟิศเจ๋งๆ ที่เรายกมานี้ เชื่อว่าหลายคนต้องสนใจอยากทำงานที่อาคารสำนักงานแนวคิดสุดล้ำนี้อย่างแน่นอน ซึ่งล่าสุด มีผู้นำแนวคิดออฟฟิศแคมปัสมาสร้างจริงแล้วในประเทศไทย โดยออฟฟิศแคมปัสแห่งแรก มีชื่อว่า ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร ตั้งอยู่บนถนนสาทร ติดสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสุรศักดิ์ โครงการพื้นที่ขนาด 5 ไร่นี้เปรียบเสมือนโอเอซิสของคนทำงานในย่านนี้ ให้ได้พักผ่อนกาย ใจ เติมพลังเตรียมพร้อมสำหรับการทำงาน ตัวโครงการประกอบไปด้วยอาคารสำนักงานจำนวน 3 อาคารที่เชื่อมต่อถึงกันสร้างบนพื้นที่ที่แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ ให้ความร่มรื่น พร้อมพื้นส่วนกลางสำหรับปรับเปลี่ยนอิริยาบทจากการทำงาน พูดคุย แลกเปลี่ยนไอเดียระหว่างกัน หรือใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ นอกจากนี้ยังมีร้านกาแฟชื่อดังอย่าง Roots และร้านอาหารคุณภาพระดับภัตตาคารอย่าง OCKEN เปิดให้บริการอยู่ที่นี่ด้วย   ออฟฟิศแคมปัสแห่งที่สองตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิท-บางนา ซึ่งเป็นย่านที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งระบบสาธารณูปโภค บริการสาธารณะสุข และโครงการพัฒนาเชิงพาณิชย์หลายโครงการ รวมถึงศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และคอมมิวนิตี้มอลล์ที่พึ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้ ออฟฟิศแคมปัสดังกล่าวมีชื่อว่า ซัมเมอร์ ลาซาล (Summer Lasalle) โครงการที่นำแนวคิดออฟฟิศแคมปัสมาใช้แบบเต็มๆ โดยสร้างเป็นอาคารสำนักงานโลว์ไรส์ บนพื้นที่กว่า 61 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่อาคาร 40 ไร่ และเป็นพื้นที่สีเขียวกว่า 20 ไร่ มอบสภาพแวดล้อมสีเขียวเพื่อสร้างความผ่อนคลาย ในโครงการแบ่งออกเป็น 5 แคมปัส 29 อาคาร ซึ่งแต่ละแคมปัสจะประกอบไปด้วยอาคารสำนักงานขนาด 3 ชั้น พร้อมพื้นที่พบปะส่วนกลางให้พนักงานใช้พูดคุยงานหรือทำกิจกรรมร่วมกัน อีกทั้งยังมี Campus reception ให้บริการในแต่ละแคมปัสสำหรับต้อนรับแขกผู้มาเยือน โดยรอบแคมปัส จะมีเส้นทางจักรยาน สามารถใช้ปั่นจักรยานเพื่อออกกำลังกาย หรือเดินทางภายในโครงการก็ได้ หากไม่ใช่สายปั่น ก็ยังมีทางวิ่งสำหรับออกกำลังกาย ความยาวกว่า 2 กิโลเมตรให้เป็นทางเลือกสำหรับสายวิ่งให้มาใช้บริการได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีคอมมิวนิตี้มอลล์ พร้อมพื้นที่จอดรถในโครงการกว่า 1,400 คัน และมีโรงแรมให้บริการด้วย ซึ่งในขณะนี้โครงการซัมเมอร์ ลาซาลกำลังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้ใช้บริการในส่วนแรกต้นปี 62 ที่จะถึงนี้   ออฟฟิศแคมปัส นอกจากจะตอบโจทย์ด้านการทำงานที่สร้างความสุข ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนทำงานรุ่นใหม่ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น จะเห็นว่าออฟฟิศแคมปัสยังช่วยตอบโจทย์การขาดแคลนพื้นที่สำนักงานในเมืองชั้นในที่มีอย่างจำกัด พื้นที่ใช้สอยที่ไม่พอกับความต้องการ และมาพร้อมกับค่าเช่าที่แสนแพง การสร้างออฟฟิศแคมปัสในพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ขยับออกมาจากในเมืองที่แออัด นอกจากตอบโจทย์คนทำงานด้านการเดินทางและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยตอบโจทย์บริษัทด้านค่าเช่าที่ที่ถูกลงและได้พื้นที่สำนักงานที่มีขนาดใหญ่ขึ้นด้วย ซึ่งคาดว่าเราจะได้เห็นโครงการออฟฟิศแคมปัสเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในบ้านเราเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
พฤกษา ปล่อยโปรเด็ดส่งท้ายปี “Big Sale Ever” พบข้อเสนอดีที่สุดในรอบ 25 ปี   คอนโด สร้อยคอทองคำ มูลค่ารวมกว่า 200 ล้านบาท

พฤกษา ปล่อยโปรเด็ดส่งท้ายปี “Big Sale Ever” พบข้อเสนอดีที่สุดในรอบ 25 ปี คอนโด สร้อยคอทองคำ มูลค่ารวมกว่า 200 ล้านบาท

พฤกษา เรียลเอสเตท ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์ จัดโปรโมชั่นใหญ่ส่งท้ายปี “Pruksa 25th Year Big Sale Ever ลดใหญ่ แจกใหญ่ แถมใหญ่” โปรดีที่สุดในรอบ 25 ปี ยกทัพทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว คอนโด พร้อมเข้าอยู่ 161 โครงการ ต่อแรกรับส่วนลดสูงสุดถึง 1.3 ล้านบาท และโปรโมชั่นพิเศษมากมาย ต่อสอง ลุ้นรับรางวัลใหญ่ คอนโด สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท และ Samsung Galaxy Note 9 รวมมูลค่าทั้งหมดกว่า 200 ล้านบาท เพียงทำสัญญาและโอนภายใน 28 ธันวาคม 2561 นี้   นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ว่า “ เนื่องในโอกาสที่พฤกษา เรียลเอสเตท ดำเนินธุรกิจมาครบรอบ 25 ปี เพื่อเป็นการขอบคุณที่ลูกค้าให้การตอบรับที่ดีเสมอมา บริษัท จึงได้จัดแคมเปญ “Pruksa 25th Year Big Sale Ever ลดใหญ่ แถมใหญ่ แจกใหญ่” ได้คัดเลือกโครงการเข้าแคมเปญทั้งทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม พร้อมเข้าอยู่ 161 โครงการทั่วประเทศ เพียงทำสัญญาและโอนกรรมสิทธิ์ภายใน 28 ธันวาคม 2561 จะได้รับส่วนลดเงินสดสูงสุดถึง 1.3 ล้านบาท และรับโปรโมชั่นอื่นๆ   อีกมากมาย อาทิ เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ Gift Voucher ฟรีค่าใช้จ่ายในวันโอน ตามเงื่อนไขของ   แต่ละโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ นอกจากนี้ ทุกๆ ยอดการซื้อ 1 แสนบาท จะได้รับเลขคูปอง 1 สิทธิ์ เพื่อลุ้นรับรางวัลใหญ่ พลัมคอนโด พหลโยธิน 89 จำนวน 3 รางวัล สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท จำนวน 30 รางวัล และ Samsung Galaxy Note9 จำนวน 75 รางวัล โดยจะแบ่งจับรางวัล 3 ครั้ง รอบแรกวันที่ 16 พ.ย. 61 รอบสอง 14 ธันวาคม 61 และรอบสุดท้าย 11 ม.ค. 62 ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยไม่ควรพลาด เพราะเป็นแคมเปญที่ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์มากมายและเป็นข้อเสนอดีที่สุดในรอบ 25 ปีของพฤกษา   พิเศษสุด !!! สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนทางออนไลน์ และไปเยี่ยมชมโครงการ จะได้รับตุ๊กตาหมี “ใส่ใจ” Power Bank รุ่น Limited Edition 5,000 ตัว ล่าสุดจาก พฤกษา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 1739 หรือ www.pruksa.com  
เจาะคอนเซ็ปต์ 24 HR.HEALTHY LIFESTYLE  คอนโดที่ๆ ทำให้หัวใจเต้นครบทุกจังหวะ

เจาะคอนเซ็ปต์ 24 HR.HEALTHY LIFESTYLE คอนโดที่ๆ ทำให้หัวใจเต้นครบทุกจังหวะ

การมองหาที่อยู่อาศัยสักแห่ง รายละเอียดในความต้องการของชีวิตนั้นมีมากเกิน เพราะไม่ใช่แค่มีเพียงทำเลดี เดินทางสะดวก facilities มากมายที่ถูกนำมาพัฒนาเพื่อสร้างจุดขาย หรือแม้แต่ราคาที่สร้างแรงโน้มถ่วงการตัดสินใจซื้อ ทั้งหมดกลายเป็นสูตรทางการตลาดที่ตายตัว แต่วันนี้ดีเทลความต้องการของชีวิตเปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ด้วยเหตุผลของการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์นี่เอง ทำให้ทางบริษัทเสนา ฮันคิว หยิบยกเทรนด์ของการออกกำลังกายขึ้นมาสื่อสารผ่านคอนโดมิเนียมใหม่ ภายใต้แบรนด์ “นิช โมโน รามคำแหง” (Niche MONO ramkhamhaeng) เอาใจสายเฮลตี้ Fit & Fun & Firm ที่รักในสุขภาพ      ดร.ยุ้ย - ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA กล่าวว่า จากความใส่ใจและการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมารักสุขภาพและออกกำลังกายมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงาน ในขณะเดียวคนกลุ่มดังกล่าวจะมองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างลงตัวที่สุด ยิ่งสิ่งอำนวยความสะดวกในการออกกำลังกายที่สามารถรองรับทุกคนทุกวัยได้ ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ ฟิตเนส โยคะ หรือการออกวิ่งจ๊อกกิ้ง เป็นต้น  ด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้ทางเสนาฯ ได้เห็นถึงความสำคัญตรงจุดนี้ และนำแนวคิดดังกล่าว มาพัฒนาคอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด “นิช โมโน รามคำแหง (Niche MONO RAMKHAMHAENG)” ซึ่งเป็นโครงการแนวสปอร์ตแห่งแรกของบริษัทที่ได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์ เทรนด์การใช้ชีวิตทุกด้านทั้งเรื่องงานและการพักผ่อน โดยเฉพาะคนรักสุขภาพและการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ     กับแนวคิด “24 HR.HEALTHY LIFESTYLE” ที่ถูกนำมาตีความขยายทุกดีเทลความต้องการของคนที่รักในสุขภาพ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอายุใดก็ตามนั้น เรามองว่าการออกกำลังกายมีประโยชน์ ไม่ว่าจะช่วยควบคุมน้ำหนัก สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ลดความเครียด ทำให้มีสมาธิ และทำให้กระฉับกระเฉงขึ้น จึงเป็นที่มาของคอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่ 24 HR. HEALTHY LIFESTYLE ตอบโจทย์สาย Fit & Fun & Firm ที่หลงใหลการออกกำลังกายได้สนุกกับการใช้ชีวิตเติมเต็มทุกกิจกรรมตลอด 24 ชม.พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ 6.5 ไร่ ต่อเนื่องทั้งโครงการพร้อม Jogging Track สามารถสัมผัสวิวเมือง 270 องศา พร้อม Cool down ไปกับ Sky Lounge บนชั้น Rooftop   มีการแบ่งตามโซนเพื่อการออกกำลังกายตามการเต้นของหัวใจ Heart Rate Zone กว่า 10,500 ตรม.ใหญ่ที่สุดในย่านรามคำแหง ซึ่งลูกบ้านสามารถเลือกมุมที่เหมาะกับตัวเองได้ว่าต้องการออกกำลังและเผาผลาญพลังงานมากน้อยแค่ไหน ทั้งลู่วิ่งมาตรฐานรอบคอนโด สระว่ายน้ำมาตรฐานโอลิมปิก สระว่ายน้ำวนแบบนักกีฬาครบครันเพื่อให้ตอบโจทย์สายรักสุขภาพแบบสุด ๆ  สำหรับใครที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมแนวสปอร์ต ตอบโจทย์การออกกำลังกายตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านมุมมองและแนวคิด “24 HR. HEALTHY LIFESTYLE” ปลดล็อคการออกกำลังกายที่ไม่ได้ถูกจำกัดแค่เวลาหรือแค่ที่อยู่อาศัยแต่คือที่สุดของการออกกำลังกาย กับโครงการ “นิช โมโน รามคำแหง (Niche MONO RAMKHAMHAENG)” คอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า MRT สายสีส้ม สถานีหัวหมาก 0 เมตรราคาเริ่ม 1.99 ล้านบาท* เตรียมพบ lifestyle รูปแบบใหม่ที่ ๆ ทำให้หัวใจเต้นครบทุกจังหวะ ครั้งแรกได้ในวันที่ 1-7 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์ บางกะปิ ภายในงานรับข้อเสนอพิเศษสุดมากมาย สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 1775 # 69
สิงห์เอสเตท เผยโฉม “เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์”  สถานที่ท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรแห่งแรกในมัลดีฟส์

สิงห์เอสเตท เผยโฉม “เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์” สถานที่ท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรแห่งแรกในมัลดีฟส์

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ เดินหน้าพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักเดินทาง เป็นครั้งแรกในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ “เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์” คือศูนย์รวมความบันเทิงที่มีกิจกรรมสันทนาการสำหรับนักท่องเที่ยวทุกรูปแบบ แหล่ง ช้อปปิ้งล้ำสมัยที่รวบรวมสินค้าจากหลายแบรนด์ดัง ครบครันด้วยร้านอาหารแบบไฟน์ไดน์นิงและคาเฟ่ชื่อดัง เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ครอสโร้ดส์” (CROSSROADS) จุดหมายปลายทางแนวไลฟ์สไตล์ครบวงจรแห่งแรกในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ด้วยความมุ่งหวังที่จะสร้างนิยามใหม่แห่งการพักผ่อนในมัลดีฟส์ ครอสโร้ดส์ จึงเป็นโครงการที่ได้รับการรังสรรค์เพื่อเป็นจุดหมายปลายทางแห่งการพักผ่อนและสันทนาการของนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวจากทั่วโลก ซึ่งนับเป็นฐานลูกค้าใหม่ต่างจากกลุ่มนักท่องเที่ยวในปัจจุบันที่มักเป็นคู่รักที่นิยมเดินทางมาเพื่อการฮันนีมูนเป็นหลัก   ตัวโครงการตั้งอยู่บนเกาะสร้างใหม่ที่ครอบคลุมระยะทางรวม 7 กิโลเมตร ห่างจากสนามบินนานาชาติและเมืองหลวงมาเล่เพียง 15 นาที เมื่อเดินทางด้วยสปีดโบ้ต แต่ละโรงแรมมีท่าเรือรองรับแขกส่วนตัวและมีเรือรับ-ส่งระหว่างเกาะ โครงการ ครอสโร้ดส์ มีกำหนดเปิดให้บริการช่วงต้นปี 2562   โครงการ ครอสโร้ดส์ ประกอบด้วยหมู่เกาะที่ได้รับการเนรมิตขึ้นมาใหม่จำนวนเก้าเกาะ ภายใต้ปรัญชา “หนึ่งเกาะต่อหนึ่งรีสอร์ท” โดยจะพัฒนาโรงแรมและรีสอร์ท 8 แห่ง เพื่อตอบสนองประสบการณ์การพักผ่อนสไตล์รีสอร์ตหลากรูปแบบ นอกจากนี้ “เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์” ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางโครงการยังประกอบไปด้วยพื้นที่การค้ากว่า 11,000 ตารางเมตร ท่าเรือส่วนตัวสำหรับแขกที่มาพักโรงแรม บริการเรือรับส่งระหว่างเกาะ และทางเดินริมทะเล ที่รายล้อมด้วยร้านอาหารเลิศรสโดยเชฟดัง และดีเจระดับโลกที่มาสร้างสีสันความบันเทิง เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวทุกวัย ตั้งแต่ชาวต่างชาติจนถึงผู้คนในพื้นที่     “เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์” จะเป็นโครงการแห่งแรกในมัลดีฟส์ที่มีท่าจอดเรือหรูขนาดมาตรฐาน เพื่อรองรับเรือยอทช์ส่วนตัวของแขกผู้มาพัก โดยสิงห์ เอสเตท มีความตั้งใจที่จะให้ท่าจอดเรือที่เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ เป็นกุญแจสำคัญที่จะผลักดันโครงการครอสโร้ดส์ ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำในมัลดีฟส์ ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่แตกต่างและเหนือระดับ   ร้านอาหารระดับโลกเปิดตัวครั้งแรกในมัลดีฟส์ที่ เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ ฮาร์ด ร็อค คาเฟ่ มัลดีฟส์ เป็นร้านที่ไม่ควรพลาดสำหรับนักท่องเที่ยวที่นิยมดนตรีร็อค หลงใหลในรสชาติอาหารสไตล์อเมริกันแท้ๆ และค็อกเทลนานาชนิด ตัวร้านอยู่ติดกับชายหาดเหมาะกับการรับชมบรรยากาศวิวทะเลแสนพิเศษ โดยมีที่นั่งทั้งด้านในร้านและติดชายหาด พร้อมเตียงอาบแดด ฮาร์ด ร็อค คาเฟ่ มัลดีฟส์ เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสังสรรค์และจัดปาร์ตี้     คาเฟ่ เดล มาร์ มัลดีฟส์ – บีชคลับชื่อดังจากเกาะอิบิซาของสเปน พาบรรยากาศร้านอาหารสุดรื่นรมย์มาถึงมัลดีฟส์ พร้อมเมนูเด่นประจำร้านรสชาติเด่น รายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันแสนผ่อนคลายของหมู่เกาะเอ็มบูดู จุดเด่นของร้านคือการออกแบบที่ผสมผสานศิลปะดั้งเดิมของมัลดีฟส์เข้ากับทรอปิคอลดีไซน์ และความสะดวกสบายร่วมสมัย คาเฟ่ เดล มาร์ มัลดีฟส์ นำเสนอความหลากหลายทางรสชาติ ที่มีตั้งแต่ของว่างยามบ่ายไปจนถึงอาหารค่ำสุดหรู พิซซ่าอบไม้ฟืน บาร์ไอศครีมเจลาโต และค็อกเทลพิเศษของทางร้าน พร้อมด้วยเตียงอาบแดดริมสระ 300 ตัว ที่นั่งภายในร้าน 400 ที่ เตียงคาบาน่า 3 หลัง และบาร์ในสระว่ายน้ำ   นายดาร์ชาน มูนิดาซา เชฟเจ้าของร้านอาหารที่ติดอันดับ 50 ร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชีย สองแห่ง จะมาขยายสาขามาเปิดตัวที่ เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ เป็นครั้งแรกในมัลดีฟส์   มินิสทรี ออฟ แครบ คือสวรรค์บนดินของนักกินปู ที่จะนำเข้าปูเนื้อหวานสดจากศรีลังกามาปรุงรสตามกรรมวิธีพิเศษของร้าน มีปูให้เลือกทุกขนาดตามความชอบ ตั้งแต่ปูตัวเล็ก หนัก 500 กรัม ไปจนถึงปูยักษ์ ‘แครบซิลล่า’ ที่หนักถึงสองกิโลกรัม     นิฮงบาชิ ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังที่เปิดมาแล้วกว่า 23 ปี เสิร์ฟอาหารต้นตำหรับจากแดนอาทิตย์อุทัยด้วยรสชาติดั้งเดิมแบบญี่ปุ่นแท้ๆ โดย นิฮงบาชิ ครอสโร้ดส์ มีจุดเด่นตรงที่เลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงที่สดที่สุด ส่งตรงจากศรีลังกา   นอกจากนี้ เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ ยังมีร้านอาหารนานาชาติอื่นๆ อีก อาทิ The Coffee Bean & Tea Leaf ร้านชา-กาแฟสัญชาติอเมริกันชื่อดัง Café’ier ร้านกาแฟท้องถิ่นยอดนิยมของมัลดีฟส์ คาเฟ่สไตล์ฝรั่งเศสสุดคลาสสิค Café Saint Trop by Crepes & Co. Carne Diem Grill ร้านเสต็กย่างเตาถ่านขึ้นชื่อ และ Kenny Rogers Roasters ร้านอาหารที่โด่งดังด้วยเมนูไก่สไตล์อเมริกัน นอกจากนี้ ครอสโร้ดส์จะเป็นที่ตั้งของ Ocean City Cigar (OCC) ร้านขายยาสูบและชิช่าชื่อดังของมัลดีฟส์อีกด้วย   ศูนย์การค้าที่ เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์จะประกอบด้วยร้านสินค้าแบบลักชัวรี่ เช่น Xerjoff Perfume ร้านน้ำหอมชั้นดีจากอิตตาลี Divine Jewelry ร้านเครื่องประดับหรูหรา และ Island Breeze ร้านขายเสื้อผ้าและของที่ระลึกของมัลดีฟส์ นอกจากนี้ Puma ร้านเสื้อผ้า รองเท้า และอุปกรณ์การกีฬาชื่อดัง จะนำสินค้าไลน์ใหม่ล่าสุดและรุ่นจำนวนจำกัด มาวางขายที่สาขาครอสโร้ดส์ นอกจากนี้ เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์จะยังมี Artsy Maldives Photography ร้านถ่ายภาพสำหรับโอกาสพิเศษ และร้าน Dhiraagu ที่ให้บริการด้านโทรคมนาคมอีกด้วย     นายฐิติ ทองเบญจมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทสิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สิงห์ เอสเตทเล็งเห็นโอกาสในการเจาะตลาดกลุ่มนักเดินทางเชิงธุรกิจ และกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบครอบครัว โครงการของเรามีความพิเศษในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนครบวงจรขนาดใหญ่แห่งแรกในมัลดีฟส์ มีบริการร้านอาหารและแบรนด์สินค้านานาชาติซึ่งจะเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวหลายกลุ่ม”   เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ ได้รับการพัฒนาตามอุดมการณ์ของ สิงห์ เอสเตท ที่สนับสนุนคุณค่าทางวัฒนธรรมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยจะสร้าง “มัลดีฟส์ ดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์” (Maldives Discovery Center) – ศูนย์วัฒนธรรมที่จะให้ศิลปินท้องถิ่นได้แสดงฝีมือ โดยการจัดแสดงงานหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้านของมัลดีฟส์ รวมถึงเป็นศูนย์การเรียนรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตใต้ทะเล รวมถึงการปลูกปะการัง “มารีน ดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์” (Marine Discovery Center) – ศูนย์อนุรักษ์สัตว์ทะเล โครงการนำร่องเพื่อฟื้นฟูปะการังระดับโลก โดยมีจุดมุ่งหมายจะสร้างพื้นที่อนุรักษ์ปะการังที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในมัลดีฟส์ และหอประชุมอเนกประสงค์ (CROSSROADS Event Hall) ที่สามารถรองรับการจัดงานประชุม เวิร์คช็อป งานเลี้ยง และงานเฉลิมฉลอง โดยมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญในการจัดงานและเคเตอร์ริ่งให้ความสนับสนุน นอกจากนี้ โครงการครอสโร้ดส์ยังมีศูนย์ดำน้ำ ซึ่งเป็นศูนย์กลางกิจกรรมสันทนาการทางน้ำ ที่จะมีสวนลอยน้ำ และเรือดำน้ำแบบที่ท้องเรือเป็นกระจกใสลำแรกของมัลดีฟส์   สนใจเช่าพื้นที่ร้านค้าที่เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนที่ครบวงจรที่สุดในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ กรุณาติดต่อ themarina@crossrodsmaldives.com หรือโทร. +66 85 055 9098.
นารายณ์ พร็อพเพอตี้ฯ ส่งท้ายไตรมาส 4 เปิดขายเดอะ พาร์คแลนด์ จรัญ-ปิ่นเกล้า  ตึกใหม่ด้านหน้าติดหน้าสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีบางยี่ขัน เขย่าตลาดคอนโดย่านธนฯ

นารายณ์ พร็อพเพอตี้ฯ ส่งท้ายไตรมาส 4 เปิดขายเดอะ พาร์คแลนด์ จรัญ-ปิ่นเกล้า ตึกใหม่ด้านหน้าติดหน้าสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีบางยี่ขัน เขย่าตลาดคอนโดย่านธนฯ

“นารายณ์ พร็อพเพอตี้” ส่งท้ายไตรมาส 4 เปิดขายโครงการ“เดอะ พาร์คแลนด์ จรัญ-ปิ่นเกล้า” เขย่าตลาดคอนโดมิเนียมย่านฝั่งธนบุรี ที่สุดของ Facility พร้อมสวนขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่ ได้ฤกษ์เปิดขายตึกใหม่ ทาวเวอร์ A อาคารสุดท้ายติดหน้าสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีบางยี่ขัน ราคาห้องโปรโมชั่นเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท  “Big Day” วันที่ 4 พ.ย.นี้ ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ Gift Voucher มูลค่า 10,000 บาท   นายเจนต์ชัย ลิ้มวัฒนะกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท นารายณ์ พร็อพเพอตี้ จำกัด เปิดเผยถึงแผนการดำเนินการในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 ว่า บริษัทมีแผนเปิดจองโครงการคอนโดมิเนียมพักอาศัยโครงการเดอะ พาร์คแลนด์ จรัญ-ปิ่นเกล้า ทาวเวอร์ A ซึ่งมีจำนวน ยูนิตทั้งสิ้น 542 ยูนิต ราคาห้องโปรโมชั่นเริ่มต้นที่ 1.99 ล้านบาท เป็นอาคารที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสุดของโครงการ ติดถนนจรัญสนิทวงศ์ หน้าสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีบางยี่ขัน ใกล้สี่แยกปิ่นเกล้า ภายใต้แนวคิด “Sustainable Living” การมีคุณภาพชีวิต ในการอยู่อาศัยที่ดี และมีความสุข อย่างยั่งยืน” ทั้งนี้ได้กำหนดเปิดขายอย่างเป็นทางการ “Big Day” ในวันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน นี้ โดยผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันนี้ เพื่อรับสิทธิ์ Gift Voucher มูลค่า 10,000 บาท เมื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดภายในระยะเวลาที่กำหนด      โครงการเดอะ พาร์คแลนด์ จรัญฯ-ปิ่นเกล้า มีพื้นที่โครงการกว่า 11 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนจรัญสนิทวงศ์ ซอย 42 ซึ่งถือเป็นถนนสายหลักของคนในย่านนี้ และอยู่ติดสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำ สถานีบางยี่ขัน (โดยคาดว่าเปิดให้บริการได้ในปี 2563)  มูลค่าโครงการประมาณ 6,000 ล้านบาท ประกอบด้วยอาคารสูง 22 ชั้น จำนวน 1 อาคาร 3 ทาวเวอร์ จำนวนทั้งสิ้น 1,784 ยูนิต ขนาด 1 และ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย เริ่มตั้งแต่ 24 -75 ตารางเมตร โดยมี Room types ที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต่างกัน  จัดเต็มด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันที่สุด ได้แก่ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาดใหญ่กว่า Half Olympic และ Sport Facilities 3 ชั้น ประกอบไปด้วย Yoga Fly, lounge, Boxing Corner, Fitness, Sauna room แยกชาย-หญิง และ Double Sky Lounge ประกอบไปด้วย Social club, Mini-theater room, Golf simulator room, Co-working space,  Meeting room, Lounge และ Roof Top Garden ที่สามารถมองเห็นวิวสะพานพระรามแปดได้ 360องศา และวิวเกาะรัตนโกสินทร์ได้อย่างงดงาม พร้อมด้วยสวนส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่ มีที่จอดรถรองรับได้จำนวน 925 คัน การเดินทางสะดวกสบายทั้งรถไฟฟ้า และรถยนต์ส่วนตัวเพราะใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก อยู่ใกล้กับแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ โรงพยาบาล และ มหาวิทยาลัย เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลปิ่นเกล้า, โรงภาพยนตร์เมเจอร์ปิ่นเกล้า, โรงพยาบาลศิริราช และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยโครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จเดือน เมษายน 2562     “ปัจจุบันการที่จะหาที่ดินผืนใหญ่กว่า 10 ไร่ ในเมืองและใกล้หน้าสถานีรถไฟฟ้า คงหาได้ยากแล้ว แต่โครงการนี้เพราะด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ และโครงการมีขนาดใหญ่ จึงทำให้โครงการของเราโดดเด่นและครบสมบูรณ์ทุกด้าน ทั้งในเรื่องของ Location, Product และ facility ตลอดจนพื้นที่ส่วนกลาง ที่เรากล้าให้ในสิ่งที่มากกว่า ซึ่งขณะนี้จากที่เปิดขายไปแล้ว 2 ตึกก่อนหน้านี้มียอดขายแล้วประมาณ 86% ทั้งนี้บริษัทฯมีโครงการที่พัฒนาในแนวเส้นรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ณ ปัจจุบัน จำนวน 4 โครงการ ประกอบด้วย เดอะพาร์แลนด์ บางแค , เดอะพาร์คแลนด์ เพชรเกษม-ท่าพระ ,เดอะพาร์คแลนด์ จรัญ-ปิ่นเกล้า และเดอะพาร์แลนด์ เพชรเกษม 56” นายเจนต์ชัย กล่าวต่อว่า   นายเจนต์ชัย กล่าวต่อว่า  ในส่วนภาพรวมตลาดอสังหาฯ เมื่อเทียบกับ 4-5 ปีก่อน จะเห็นว่ากำลังซื้อภายในประเทศลดลง โดยเฉพาะกำลังซื้อเพื่อการลงทุน ผู้ประกอบการจึงควรปรับแผนการดำเนินงานเข้าสู่โหมดใหม่ (new normal) ซึ่งต้องวางแผนปรับอัตราการขยายตัว อัตราการขาย และอัตราการหมุนเวียนเงินทุนให้เหมาะสมกับภาวะตลาดจริง และสำหรับมาตรการคุมเข้มสินเชื่อบ้านที่ทางแบงค์ชาติ กำลังพิจารณาอยู่นั้น  โดยส่วนตัวเห็นว่าควรออกมาก่อนหน้านี้นานแล้ว เพื่อชะลอการปรับตัวขึ้นของราคาอสังหาฯ ที่เป็นไปอย่างรวดเร็วเกินกว่ากำลังซื้อของผู้บริโภค เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคและ ผู้ประกอบการในระยะยาว  อย่างไรก็ตามการออกมาบังคับใช้มาตรการที่ช้าเกินไป และเข้มงวดเกินไปอาจมีผลกระทบกับ Real Demand มากกว่าชะลอความต้องการเพื่อการลงทุน ซึ่งปรับตัวลดลงกว่าแต่ก่อนเองอยู่แล้ว มาตรการควรต้องหาสมดุล ระหว่างผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบให้ดี ทั้งนี้กลยุทธ์ของผู้ประกอบการ ที่ควรต้องนำมาใช้ในภาวะนี้ คือ Product ต้องดีจริง Location ต้องใช่ ราคาต้องสมเหตุสมผล สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวปกป้องความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตที่ดีที่สุด โครงการที่มีพร้อมตามที่กล่าวมายังขายได้อยู่แน่นอน     บริษัท นารายณ์ พร็อพเพอตี้ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย จำนวน 6 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการการฟลอรา ติวานนท์ และ โครงการพาร์ค พรีว่า ถ.เทียมร่วมมิตร และ โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ เดอะ พาร์คแลนด์ เพชรเกษม-ท่าพระ, เดอะ พาร์คแลนด์ ระยอง, เดอะ พาร์คแลนด์ เพชรเกษม 56 ,เดอะ พาร์คแลนด์ จรัญ-ปิ่นเกล้า
“ณวรางค์ แอสเซท” กางแผน 3 ปี ผุดโปรเจ็คต์ใหม่กว่า 5,000 ล้าน  พร้อมเปิดตัว “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” คอนโดฯ เพื่อคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน

“ณวรางค์ แอสเซท” กางแผน 3 ปี ผุดโปรเจ็คต์ใหม่กว่า 5,000 ล้าน พร้อมเปิดตัว “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” คอนโดฯ เพื่อคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน

“ณวรางค์ แอสเซท” ประกาศพร้อมลุยตลาดอสังหาฯ ตั้งเป้า 3 ปี เดินหน้าพัฒนาโครงการมูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท ล่าสุดเปิดตัวโครงการ “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” คอนโดเจาะเรียลดีมานด์ คนรุ่นมิลเลนเนียล วัยเริ่มต้นทำงาน ย่านพหลโยธิน ราคาเริ่มต้นเพียง 2.49 ล้านบาท พร้อมเปิดพรีเซลปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ แย้มต้นปี’62 เตรียมเปิดโครงการใหม่ย่านเจริญนคร   นายอภิภู พรหมโยธี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากปิดการขายได้ 100% และประสบความสำเร็จอย่างมากในการพัฒนาโครงการ “ณ วรา เรสซิเดนซ์” โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ของบริษัทใน  ซอยหลังสวน มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท และกำลังจะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ บริษัทจึงได้มีการกำหนดแผนการดำเนินงาน 3 ปี (2561-2563) โดยตั้งเป้าพัฒนาโครงการใหม่มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท     “เป้าหมายของเราคือการพัฒนาโครงการเจาะกลุ่มเรียลดีมานด์ที่มีความต้องการอยู่อาศัยจริง เราจึงวางแผนการพัฒนาโครงการเพียงปีละ 2-3 โครงการในทำเลที่มีศักยภาพเท่านั้น ไม่เน้นปั้นของหวือหวา หรือการเปิดตัวโครงการปีละหลายสิบโครงการ เนื่องจากเราต้องการให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการให้มีคุณภาพและการขาย ที่สามารถสร้าง ขาย โอน ปิดโครงการได้จริง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้บริโภค และทำให้บริษัทเองก็สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน” นายอภิภู กล่าว ภายใต้แผน 3 ปีที่จะพัฒนาโครงการมูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท มีที่ดินพร้อมพัฒนาโครงการแล้ว 2 แปลง บริเวณพหลโยธินและเจริญนคร โดยจะเริ่มต้นจากการพัฒนาโครงการแรกที่พหลโยธินภายใต้ชื่อ “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” (Na Veera Phahol-Ari) เป็นคอนโด Low rise 8 ชั้น มูลค่าโครงการ 240 ล้านบาท สำหรับโครงการลำดับถัดไปที่บริษัทมีแผนจะพัฒนาและเปิดตัวในช่วงต้นปี 2562 เป็นโครงการคอนโดมิเนียม High rise ย่านเจริญนคร มูลค่าโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาท สำหรับโครงการ ณ วีรา พหลฯ-อารีย์ ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพในย่าน “อารีย์-พหลโยธิน” ซึ่งเป็นย่านที่กำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์รวมอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ โดยจากการสำรวจพื้นที่ย่านพหลโยธินของบริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด พบว่า ทำเลดังกล่าวมีอาคารสำนักงานเกรด A และโครงการมิกซ์ยูสที่เพิ่งเปิดใช้งานถึง 3 อาคาร ขณะเดียวกัน ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะมีทั้งโครงการมิกซ์ยูส โรงพยาบาล และสำนักงานเปิดใหม่อีกหลายแห่ง ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อการทำงานและใช้ชีวิตย่านนี้ เติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ   นายอภิภู กล่าวเพิ่มว่า โครงการ ณ วีรา พหลฯ-อารีย์ ตั้งอยู่ในซอยพหลโยธิน 14 ที่รายล้อมด้วยอาคารสำนักงานชื่อดัง มากมายและเต็มไปด้วย ร้านอาหาร, คาเฟ่ชิคๆ, และคอมมูนิตี้มอลล์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มมิลเลนเนียล ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความใส่ใจในที่อยู่อาศัย เน้นเดินทางสะดวก ไม่ว่าจะไปทำงานหรือพบปะสังสรรค์กับเพื่อน โครงการจึงพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดที่ตอบโจทย์กับคนกลุ่มนี้ โดยเป็นที่พักอาศัยในราคาที่เข้าถึงได้ ในย่านแหล่งงาน ใกล้กับรถไฟฟ้า ภายในโครงการมีห้องพักทั้งแบบ 1 ห้องนอน และ 1 ห้องนอนพิเศษ ขนาดตั้งแต่ 23.13-33.55 ตร.ม. โดยออกแบบให้การใช้งานภายในห้องมีความหลากหลาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อิสระของชาวมิลเลนเนียล พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส Co-working spaceรถรับ-ส่งสถานีรถไฟฟ้า ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.49 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยต่อตร.ม. เพียง 110,000 บาท/ตร.ม. เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 1/2562 และก่อสร้างเสร็จในช่วงไตรมาส 1/2563 “เรามุ่งจับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ วัยทำงานที่มีไลฟ์สไตล์เป็นของตัวเอง ชื่นชอบการใช้ชีวิตอิสระ แต่ก็ไม่ได้ละเลยในเรื่องของรายละเอียดการใช้ชีวิตและการวางอนาคตให้กับตัวเอง ซึ่งที่โครงการ ณ วีรา สามารถตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ได้ดีที่สุด ดังนั้นจึงถือได้ว่ามีความคุ้มค่าอย่างยิ่งไม่ว่าจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือซื้อเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานก็จะยิ่งทวีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต” นายอภิภูกล่าว   ด้าน นายองคฤทธิ์ พรหมโยธี กรรมการบริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด  กล่าวว่า การออกแบบสถาปัตยกรรมของโครงการ ได้นำรูปแบบสถาปัตยกรรมของย่านที่อยู่อาศัยในแถบยุโรปมาปรับใช้กับโครงการ โดยหยิบเอาองค์ประกอบต่างๆ มาลดทอนผสมผสาน และได้ถอดประเด็นแนวความคิดงานออกแบบสถาปัตยกรรม ภายใต้คำว่า คลาสสิค ทวิสต์ (Classic Twist) นอกจากนั้นยังมีการใช้งานภายในห้องที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เช่น การออกแบบพื้นที่ครัวแยกอย่างเป็นสัดส่วนเหมาะสำหรับคนชอบทำอาหาร การออกแบบพื้นที่นั่งเล่นริมหน้าต่างในห้องนอนเหมาะสำหรับคนที่ต้องการพักผ่อนและสามารถผ่อนคลายได้ในทุกพื้นที่ที่อยู่อาศัย การออกแบบให้มีห้องแต่งตัวแยกตอบโจทย์กลุ่มคนที่สนใจเรื่องแฟชั่นและการแต่งตัว เป็นต้น “การออกแบบคำนึงการนำลักษณะของสถาปัตยกรรมเดิม มาประยุกต์ให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น แต่ยังคงมีกลิ่นอายของความคลาสสิค เน้นความเรียบง่าย แต่ดูดี และมีพื้นที่ให้ผู้อยู่อาศัยสามารถแสดงถึงความเป็นตัวตนหรือสะท้อนกิจกรรมยามว่างของตัวเองออกมา” นายองคฤทธิ์ กล่าว   สำหรับโครงการ  “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” อยู่ห่างจากปากซอยพหลโยธิน 14 ไม่เกิน 200 เมตร ด้วยทำเลที่ตั้งนี้ ทำให้ผู้พักอาศัย สัมผัสได้ถึงความเป็นส่วนตัว อีกทั้งยังก็มีความสะดวกสบายในการเดินทาง ไม่ว่าจะด้วยรถไฟฟ้าหรือรถยนต์ส่วนตัว ที่สามารถทะลุไปยังซอยต่างๆ ได้มากมาย อาทิ ซอยสายลม ซอยอินทรามระ เป็นต้น สำหรับ โครงการ ณ วีรา กำลังจะเปิดขายครั้งแรกอย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2561 โดยผู้สนใจสามารถเข้าดูรายละเอียดโครงการได้ที่ www.navarangasset.com หรือ โทร 085-368-2222
ครั้งแรกในไทย! “แสนสิริ” ผนึก “โตคิว คอร์เปอเรชั่น” ดึง “สมิติเวช” ร่วมเสริมแกร่ง  ประกาศพันธมิตร เปิดตัว “เวลล์เนส เรสซิเดนซ์” ต่อยอดศักยภาพ 3 ผู้นำธุรกิจ

ครั้งแรกในไทย! “แสนสิริ” ผนึก “โตคิว คอร์เปอเรชั่น” ดึง “สมิติเวช” ร่วมเสริมแกร่ง ประกาศพันธมิตร เปิดตัว “เวลล์เนส เรสซิเดนซ์” ต่อยอดศักยภาพ 3 ผู้นำธุรกิจ

“แสนสิริ” “โตคิว คอร์เปอเรชั่น” ร่วมด้วย “โรงพยาบาลสมิติเวช” ยักษ์ใหญ่ผู้นำ 3 ธุรกิจ ด้านอสังหาฯในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น และโรงพยาบาลระดับนานาชาติชั้นนำในไทยผนึกกำลังประกาศพันธมิตร เดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ “เวลล์เนส เรสซิเดนซ์” (Wellness Residence) ที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ครั้งแรกในไทยพัฒนาขึ้นจากการศึกษาอย่างครอบคลุม เจาะกลุ่มคนรักสุขภาพคอนเซ็ปท์ใหม่ พร้อมรับรองมาตรฐานระดับโลก WELL Certification เปิดมิติใหม่แห่งการใช้ชีวิตด้วยแนวคิดการส่งเสริมสุขภาพดีในทุกๆด้านจากความต้องการของคนทุกวัย มูลค่าโครงการกว่า 2,400 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพกรุงเทพกรีฑา ครบครันด้วยการสร้างคอมมูนิตี้และกิจกรรมไลฟ์สไตล์แห่งการอยู่อาศัยจากแบรนด์ชั้นนำมากมาย เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจที่เริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ มุ่งพลิกโฉมการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีในไทยสอดรับเทรนด์เวลล์เนสโลกและในไทยที่เติบโตขึ้น   นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบริหารกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ปัจจุบัน คนเราใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากกว่าเมื่อเทียบกับเวลาในชีวิต และพร้อมจะจ่ายในสิ่งที่ต้องการเพื่อการดูแลสุขภาพ จากบ้านที่เราอาศัยสู่การใช้ชีวิตที่หลากหลายรวมถึงการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ดังนั้น การได้อยู่ในบ้านที่ถูกสร้างเพื่อส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพดี จึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนทุกวัย จากรายงานการศึกษาเรื่องที่อยู่อาศัยเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี (Build Well to Live Well 2018) ที่สถาบันสุขภาพโลก (Global Wellness Institute) จัดทำขึ้นในปีนี้ พบว่านับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา การพัฒนาที่อยู่อาศัยในกลุ่มเวลล์เนสเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีทั่วโลกมีมูลค่าตลาดประมาณ 4.4 ล้านล้านบาท หรือ 134,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการเติบโต 6.4% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมการก่อสร้างของโลกที่เติบโตที่ 1.5% และสามารถทำกำไรเฉลี่ยประมาณ 10-25% โดยปัจจุบัน มีโครงการและชุมชนที่เน้นการสร้างไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพดีประมาณ 740 แห่งทั่วโลก”     “แสนสิริ จึงได้พัฒนาโครงการในเซ็กเม้นท์ใหม่ “เวลล์เนส เรสซิเดนซ์” จากแนวคิดที่ต้องการนำเสนอที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่เป็นครั้งแรกของไทยที่สร้างขึ้นจากการศึกษาอย่างครอบคลุม ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบที่อยู่อาศัยครบวงจรที่คำนึงถึงการดีไซน์สวยงามที่ตอบโจทย์การใช้งาน (Style Living) เราได้นำแนวคิดการออกแบบที่เข้าใจความต้องการของมนุษย์มาใช้ในการพัฒนาทุกโครงการ ในครั้งนี้ เราจึงได้ร่วมมือกับโตคิว คอร์เปอเรชั่น ซึ่งเป็นนักพัฒนาจากญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากในด้านการพัฒนาโครงการเพื่อการใช้ชีวิตที่ดีในทุกช่วงวัย รวมถึงร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติเกี่ยวกับความเชี่ยวชาญในด้านการยกระดับการดูแลสุขภาพ เพื่อสร้างสรรค์โครงการคอนโดมิเนียมสำหรับคนรักสุขภาพที่จะยกระดับมาตรฐานโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อไลฟ์สไตล์ที่เน้นสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไปอีกขั้น โครงการนี้จะเป็นโครงการที่อยู่อาศัยและคอมมูนิตี้แห่งแรกในประเทศไทยที่พัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงสุขภาพของผู้อยู่อาศัยเป็นหัวใจสำคัญ ภายใต้แนวคิด 5 ด้านที่เป็นองค์ประกอบของการส่งเสริมการมีสุขภาพดี ได้แก่ด้านร่างภาย (Body) จิตใจ (Mind) จิตวิญญาณ (Soul) สิ่งแวดล้อม (Environment) และการใช้ชีวิตในสังคมที่รักสุขภาพ (Like minded community) โดยสะท้อนผ่านทั้งในการกำหนดคอนเซ็ปต์ การออกแบบการคัดสรรวัสดุที่ดีต่อสุขภาพ การตกแต่งและใช้เฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัวที่เหมาะกับสรีระผู้ใช้งาน ตลอดจนผสานจุดแข็งของพันธมิตรแต่ละรายเข้าด้วยกันอย่างครบวงจร เพื่อสร้างสรรค์โครงการที่มีดีไซน์ โดดเด่นเพื่อการมีสุขภาพที่ดีในทุกมิติ”   แสนสิริ, โตคิว กรุ๊ป และ สห โตคิว คอร์ปอเรชั่น ร่วมมือกันโดยมีสัดส่วนการลงทุน 70:29:1 ตามลำดับ โดยโรงพยาบาลสมิติเวชจะร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์มอบบริการด้านสุขภาพเพื่อสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่เป็น “Well-Cared” ซึ่งสรรหาโครงการที่อยู่อาศัยที่จะทำให้ตนเองสามารถรักษาสุขภาพดีที่ยืนยาว รวมทั้งมีเพื่อน มีสังคมที่มีความต้องการอย่างเดียวกัน     มร. ชินจิ สึยามะ ผู้จัดการทั่วไป และตัวแทนในประเทศไทย บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) กล่าวว่า “เป้าหมายของเรา คือ การสร้างสรรค์ “สิ่งแวดล้อมที่สวยงาม” มีความอบอุ่น เพื่อการใช้ชีวิตที่ดี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงชีวิตของผู้คน (Sustainable Living) ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จมาก คือ การสร้าง Business model หรือการผสานองค์ความรู้ที่เราเรียกว่า “One Tokyu” เข้ากับความรู้และประสบการณ์กับธุรกิจในเครือ บริษัทได้นำความเชี่ยวชาญการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่คำนึงถึงการสร้างสภาพแวดล้อมในการอยู่อาศัยที่มีคุณภาพ มีประโยชน์ใช้สอยและรองรับการใช้ชีวิตได้จริง ซึ่งถือเป็นทักษะสำคัญจากทีมสถาปนิกของโตคิว กรุ๊ป ทั้งยังได้นำการออกแบบที่สอดคล้องกับสภาพร่างกายมาใช้ในการออกแบบพื้นที่ที่อยู่อาศัย ตลอดจนข้อมูลจากการศึกษาตลาดและประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่คำนึงถึงสุขภาพมาให้ได้สัมผัส ซึ่งจะยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่และเกิดประโยชน์ต่อผู้ที่อาศัยในโครงการอย่างเต็มที่”     ด้าน พ.ญ. สุรางคณา เตชะไพฑูรย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวชและโรงพยาบาลบีเอ็นเอช กล่าวว่า “ข้อมูลจากทีดีอาร์ไอ เปิดเผยผลประมาณการค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยในอีก 15 ปีข้างหน้าตามหลัก OECD จะมีค่าประมาณ 4.8 – 6.3 แสนล้านบาท นอกจากนี้ การวิจัยใหม่ๆ ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยทางพันธุกรรมของคนมีผลประมาณ 20% ต่อสุขภาพของเรา ส่วนที่เหลืออีก 80% นั้น เป็นผลจากการใช้ชีวิตและปัจจัยภายนอก เช่น บ้าน ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งล้วนแต่มีผลโดยตรงต่อสุขภาพ พฤติกรรม วิถีชีวิต และอารมณ์ ดังนั้น ในฐานะผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพชั้นนำ เรามุ่งเน้นหลักการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ด้วยการสร้างคุณค่าต่อผู้รับบริการ สังคมและประเทศผ่านคอนเซ็ปท์ “เราไม่อยากให้ใครป่วย” โดยใช้นวัตกรรมให้ผู้รับบริการ รู้เท่าทัน-สกัดกั้น-วางแผน เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีแบบองค์รวม (Holistic living)เนื่องมาจากปัญหาของผู้ป่วยทั้งกายและใจ นอกจากนี้ การใช้นวัตกรรมดูแลสุขภาพ Precision Medicine เทคโนโลยีตรวจวิเคราะห์ระดับยีนเฉพาะบุคคล สามารถเจาะลึกได้ทุกโรค เพื่อบ่งบอกความเสี่ยงการเกิดโรคได้ล่วงหน้าได้ตั้งแต่ในครรภ์ ยังสามารถช่วยสกัดกั้นโรคต่างๆ ตั้งแต่ก่อนคลอด หรือแรกเกิด ทำให้ทุกชีวิตเกิดมา   อย่างมีคุณภาพและปลอดโรคภัยไข้เจ็บตั้งแต่เริ่มแรก สมิติเวชมีความตั้งใจเพื่อมุ่งเน้นให้ผู้คนไม่เจ็บป่วย อันจะช่วยลดการเจ็บป่วยจากโรคที่เกิด ลดการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษา Healthcare cost โดยรวมลดลง รวมถึงช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้นทุกปีจากการที่ผู้ป่วยมีจำนวนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อ GDP (Gross Domestic Product) ของประเทศในการพยุงเศรษฐกิจชาติเมื่อประชาชนมีสุขภาพดีขึ้น และนี่คือการสร้าง “องค์กรแห่งคุณค่า” (Organization of Value)”   “นอกจากนี้จากการที่ปัจจุบันผู้บริโภคควรเริ่มตระหนักถึงโครงการที่อยู่อาศัยที่เข้าใจและให้ความสำคัญต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของเราเป็นหลัก เพื่อช่วยให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและใช้ชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น เราจึงเห็นว่ามีโอกาสอีกมากในตลาดที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพสูงและให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดี และความต้องการของผู้บริโภคในตลาดนี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การร่วมเป็นพันธมิตรกับแสนสิริและโตคิว คอร์เปอเรชั่น จะเป็นช่องทางในการเพิ่มรายได้ของเราอีกทางหนึ่ง นอกเหนือไปจากการขยายธุรกิจด้านบริการทางการแพทย์ที่เป็นธุรกิจหลักของเรา”     โครงการคอนโดมิเนียมสำหรับคนรักสุขภาพแห่งใหม่นี้ เป็นโครงการคอนโดมิเนียม 4 อาคาร รวมมูลค่า 2,400 ล้านบาท ที่นอกจากจะส่งเสริมการใช้ชีวิตที่ให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพแล้ว ยังจะเป็นการสร้างชุมชน “Wellness Community” ที่จะช่วยให้สามารถดูแลสุขภาพในองค์รวมได้อย่างครบวงจร โครงการดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่ 7 ไร่ บนถนนกรุงเทพกรีฑา ทำเลทองสำหรับการอยู่อาศัยและมีสิ่งแวดล้อมที่สงบ และสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์โดยรอบได้อย่างง่ายดาย การออกแบบโครงการเป็นไปตามแนวคิดที่เน้นการเติมเต็มทุกมิติในการใช้ชีวิตที่ดี ไม่ว่าจะเป็นความต้องการทางกายภาพ จิตใจ จิตวิญญาณ สิ่งแวดล้อม และสังคม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มพรีเซลล์ได้ในปี 2562 นี้ โดยมีจุดเด่นใน 4 ด้าน ได้แก่   ด้านจิตใจ (Mind) จิตวิญญาณ (Soul) และการใช้ชีวิตในสังคมแห่งสุขภาพ (Like-minded community) โครงการคอนโดมิเนียมรูปแบบใหม่สำหรับคนรักสุขภาพแห่งแรกของไทย ที่พรั่งพร้อมด้วยกิจกรรมและบริการจากไลฟ์สไตล์แบรนด์ชั้นนำระดับโลกและในไทยไว้ในที่เดียว โดยร่วมกับพันธมิตรจัดกิจกรรมและบริการต่างๆ ที่ส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีตั้งแต่วันนี้ เพื่อพัฒนาการด้านสุขภาพร่างกาย (Body) สุขภาพความคิดและจิตใจ (Mind&Soul) สังคมของผู้ที่มีความชอบคล้ายกัน (Like-minded Community) และการวางแผนชีวิตทางการเงิน (Wealth)   ด้านสุขภาพร่างกาย (Body) โครงการที่อยู่อาศัยแห่งแรกของไทยที่ออกแบบด้วยยูนิเวอร์แซล ดีไซน์ (Universal Design) และให้ความสำคัญกับความสวยงาม (Aesthetic Universal Design) การจัดการพื้นที่ให้รองรับกับการเปลี่ยนแปลงความต้องการในอนาคตทั้งในที่พักอาศัยและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ (Space planning & Ergonomic Design) โดยผสานการออกแบบที่โดดเด่นผ่านความเชี่ยวชาญร่วมกับพันธมิตรอย่างโตคิว   โครงการแรกของไทยที่มีโซลูชั่นเพื่อสุขภาพที่ครบวงจร บริการผ่านการใช้เทคโนโลยี Tele-health และ Plus+ Service โรงพยาบาลสมิติเวช จะนำนวัตกรรมทางการแพทย์และสุขภาพมาใช้เพื่อช่วยให้เราเห็น ป้องกัน และวางแผนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตได้อย่างครบวงจร ผู้อยู่อาศัยในโครงการจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ บริการเพื่อสุขภาพ และได้รับคำปรึกษา ตลอดจนบริการส่งเสริมสุขภาพทั้งทางกายภาพและจิตใจ ผ่านบริการโดยตรงและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ บริการด้านสุขภาพสำหรับผู้อยู่อาศัยจะเน้นการป้องกัน และการให้คำปรึกษา เช่น การตรวจสุขภาพก่อนย้ายเข้าโครงการ การให้ความรู้ส่งเสริมสุขภาพ และการตรวจหาปัญหาสุขภาพ ตลอดจนโปรแกรมอื่นๆ เช่น การตรวจสอบทางพันธุกรรมและการแพทย์ ที่เจาะลึกระดับยีน (Precision Medicine) รวมทั้งอุปกรณ์ตรวจสุขภาพเพื่อให้คำแนะนำด้านสุขภาพแก่ผู้อยู่อาศัยได้อย่างทันท่วงทีผ่านการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ (Tele-health) นอกจากนี้ แสนสิริยังจะนำบริการ Plus+ Service มาใช้ โดยเป็นแนวคิดด้านการบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์แรกของไทยซึ่งมีโรงพยาบาลสมิติเวชเป็นผู้ให้ความรู้และฝึกอบรม เพื่อให้ข้อมูลความรู้แก่ลูกค้าในโครงการ รวมทั้งบริการฉุกเฉินตลอดเวลา ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) มาตรฐานบทใหม่ของโครงการที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่สำหรับคนรักสุขภาพในประเทศไทยที่ยกระดับสู่การรับรองมาตรฐานระดับโลก WELL Certification จากสถาบัน WELL Building InstituteTM ในสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างโมเดลใหม่ในการพัฒนาโครงการ ที่ผสานจุดเด่นด้านการดูแลสุขภาพเข้ากับสิ่งแวดล้อมอย่างกลมกลืน โดยให้ความสำคัญกับ 11 ปัจจัยหลัก ได้แก่ อากาศ น้ำ โภชนาการ แสง การเคลื่อนไหว ความสบาย เสียง วัสดุ จิตใจ ชุมชน สังคม และ นวัตกรรม WELL (เวลล์) เป็นมาตรฐานรับรองแรกที่รับประกันประสิทธิภาพของระบบโดยวัดผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมที่มีต่อสุขภาพ และเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับระดับโลก   “เราหวังว่าโครงการเวลล์เนส เรสซิเดนซ์นี้ จะเป็นมิติใหม่ด้านกลยุทธ์ที่สามารถตอบโจทย์คนที่รักสุขภาพแบบครบองค์รวมได้อย่างดี รวมถึงความเชี่ยวชาญของพันธมิตรระดับชั้นนำที่มั่นใจว่าจะสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ส่งเสริมให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีได้ตั้งแต่วันนี้” นายปิติกลาวสรุป
“นายณ์ เอสเตท” เปิดชม “ควอร์เตอร์ 31” โครงการไฮเอนด์ใจกลางสุขุมวิท ครั้งแรก ชูแนวคิด “Luxury Urban Residences” ฉีกทุกกฎการอยู่อาศัยในรูปแบบเดิมๆ หลังเปิดพรีเซลด้วยยอดขายทะลุเป้ากว่า 450 ล้าน

“นายณ์ เอสเตท” เปิดชม “ควอร์เตอร์ 31” โครงการไฮเอนด์ใจกลางสุขุมวิท ครั้งแรก ชูแนวคิด “Luxury Urban Residences” ฉีกทุกกฎการอยู่อาศัยในรูปแบบเดิมๆ หลังเปิดพรีเซลด้วยยอดขายทะลุเป้ากว่า 450 ล้าน

“นายณ์ เอสเตท” ตอกย้ำความเป็นบริษัทชั้นนำในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี ที่โดดเด่นในเรื่องงานดีไซน์ ล่าสุดประกาศเปิดตัวโครงการ “ควอร์เตอร์ 31” ภายใต้แนวคิด “Luxury Urban Residences”ซูปเปอร์ลักชัวรีคลัสเตอร์โฮม ใจกลางสุขุมวิท ในราคาเริ่มต้น 45 ล้านบาท พร้อมลิฟต์ส่วนตัวและที่จอดรถ 4 คันในทุกยูนิต โดดเด่นด้วยการออกแบบสถาปัตยกรรมภายนอกที่ล้ำสมัย แต่ยังคงให้ความสำคัญต่อแลนด์สเคปและพื้นที่สีเขียว ที่เชื่อมต่อพื้นที่บ้านและพื้นที่ส่วนกลางได้อย่างลงตัว พร้อมเปิดให้เข้าชมโครงการฯ เป็นครั้งแรก  27-28 ต.ค.นี้  นายสุธี ลิมปนชัยพรกุล ประธานอำนวยการ บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ทางบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบอีก 1 โครงการ คือ โครงการควอร์เตอร์ 31 (Quarter 31) ลักชัวรีคลัสเตอร์ โฮมบนสุขุมวิท 31 จำนวน 20 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 915 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการภายใต้ “ควอร์เตอร์ คอลเลกชั่น” (Quarter Collection) โดยปัจจุบันภายใน “ควอร์เตอร์ คอลเลกชั่น” ประกอบด้วย 3 โครงการได้แก่ 1.โครงการควอร์เตอร์ ทองหล่อ (Quarter Thonglor) บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีที่สามารถปิดการขายได้ตั้งแต่เปิดตัวโครงการ 2. โครงการควอร์เตอร์ 39 (Quarter 39) ลักชัวรีคลัสเตอร์โฮมในซอยสุขุมวิท 39 และ 3. โครงการควอร์เตอร์ 31 (Quarter 31) ซึ่งเป็นลักชัวรีคลัสเตอร์โฮมโครงการล่าสุด โครงการควอร์เตอร์ 31 (Quarter 31) ตั้งอยู่ในซอยสวัสดี (สุขุมวิท 31) บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ ในรูปแบบทาวน์โฮมระดับซูปเปอร์ลักชัวรี 3.5 ชั้น จำนวน 20 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 45 ล้านบาท ประกอบด้วยบ้าน 2 แบบคือ แบบ A หน้ากว้าง 6.1 เมตร ขนาดที่ดิน 30-42 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 425 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ จำนวน 10 ยูนิต และแบบ B หน้ากว้าง 6.6 เมตร ขนาดที่ดิน 33-42 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 431 ตารางเมตร 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ จำนวน 10 ยูนิต   สำหรับความโดดเด่นของโครงการนี้ คือ การพัฒนาโครงการในรูปแบบของคลัสเตอร์โฮม ที่มีความโดดเด่นเรื่องความสวยงามทางสถาปัตยกรรมและการดีไซน์ผังโครงการที่เน้นการเชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างบ้าน ไปยังพื้นที่ส่วนกลาง (Facilities) แต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นส่วนตัว โดยดีไซน์ ที่จอดรถให้อยู่บริเวณชั้นใต้ติดทั้งหมดเป็นถนนกว้าง 6 เมตรเชื่อมต่อเข้าถึงทุกยูนิต และสามารถจอดรถได้ถึง 4 คันต่อยูนิต และทุกหลังมีลิฟต์ส่วนตัวในการเชื่อมต่อการเข้าบ้านตั้งแต่ชั้นใต้ดินไปถึงทุกชั้น ความพิเศษของชั้นจอดรถใต้ดินคือถูกออกแบบให้มีเฉพาะทางเดินรถเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้ชั้นที่เป็นพื้นดินมีพื้นที่เพิ่มมากขึ้น โดยดีไซน์ให้เป็นพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 1 ไร่ ประกอบด้วย สระว่ายน้ำระบบเกลือขนาด 4x25 เมตร พร้อม Sun Deck ที่แวดล้อมด้วยสวนสวยจากไม้นานาชนิด ด้านการออกแบบในส่วนของตัวอาคาร เน้นออกแบบให้ที่ผู้อาศัยได้สัมผัสถึงความโปร่งโล่งสบาย เสมือนอยู่บ้านเดี่ยว ดังนั้นในส่วนของพื้นที่ห้องรับแขกจึงออกแบบความสูงของเพดานให้สูงถึง 6 เมตร (Double Volume) รองรับสายตาด้วยกระจกบานใหญ่เพื่อเชื่อมต่อแสงธรรมชาติ และพื้นที่สีเขียวกับห้องนั่งเล่นได้อย่างลงตัว พร้อมการตกแต่งด้วยวัสดุเกรดพรีเมียมทุกหลัง ทั้งลิฟต์ส่วนตัวคุณภาพระดับเดียวกับอาคารสำนักงานเกรดพรีเมียมที่สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 6 คน พร้อมกับชุดครัวแบรนด์ระดับโลกจากพ็อกเกนโพล Poggenpohl และเครื่องใช้ไฟฟ้าซีเมนส์ (Siemen) และยังพัฒนาการออกแบบให้ผนังบ้านแต่ละหลังให้มีช่องว่างตรงกลาง เพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้พักอาศัยมากที่สุด นอกจากนี้ การเข้าถึงพื้นที่ส่วนกลางของโครงการก็สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่เปิดประตูจากห้องรับแขกก็สามารถเดินออกไปใช้พื้นที่ส่วนกลางได้เลย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของรถที่ขับผ่านภายในโครงการเพราะพื้นที่ชั้นบนได้ถูกออกแบบให้เป็นเฉพาะพื้นที่ส่วนกลางเท่านั้น เพิ่มความสะดวกสบายในเรื่องการมาใช้ Facilities ทั้งสวนส่วนกลางและสระว่ายน้ำมากยิ่งขึ้น  ซึ่งนอกจากการดีไซน์ที่โดดเด่นแล้ว ยังโดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้งกลางสุขุมวิทอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นใจกลาง CBD ของกรุงเทพ ใกล้เอ็มควอเทียร์ สามารถเดินทางเข้าออกได้หลายเส้นทางทั้งถนนสุขุมวิทและเพชรบุรี ทั้งยังสะดวกสบายด้านการเดินทางแบบขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีพร้อมพงษ์ เป็นต้น นายสุธี กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการควอร์เตอร์ 31 จะเป็นอีกหนึ่งโครงการแห่งความภาคภูมิใจ ของบริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด  เหมือนดังเช่นโครงการอื่นๆ ที่ผ่านมา อาทิ โครงการควอร์เตอร์ 39 ที่สามารถคว้า 3 รางวัลใหญ่ระดับสากลจากเวที Asia Pacific Property Awards 2017-2018 ได้แก่ รางวัลชนะเลิศระดับห้าดาวการออกแบบสถาปัตยกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยยอดเยี่ยม (Best Architecture Single Residence) รางวัลชนะเลิศระดับห้าดาวสาขาการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยยอดเยี่ยม (Best Residential Landscape Architecture) และรางวัลชนะเลิศระดับห้าดาวโครงการที่อยู่อาศัยยอดเยี่ยม (Best Property Single Unit) พร้อมได้รับเกียรติให้เป็นตัวแทนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพื่อไปแข่งขันต่อในระดับโลกบนเวที International Property Awards 2017-2018 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ 2  โครงการที่ผ่านมา ภายใต้ ควอร์เตอร์ คอลเลกชั่น (Quarter Collection) ล้วนได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งหมดเกิดจากที่เราพัฒนาสินค้าได้ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทำเล ต้องยอมรับว่าราคาที่ดินในย่านสุขุมวิทมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้คอนโดมิเนียมในย่านนี้เติบโตอย่างรวดเร็วและมีราคาขายต่อตารางเมตรสูงมาก แต่ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่ก็ยังคงมีความต้องการอยู่บ้านมากกว่าคอนโดมิเนียม ประกอบกับงานออกแบบของเราที่แตกต่างจากโครงการอื่น จึงส่งผลให้ทั้ง 2 โครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และเรามั่นใจว่าโครงการที่ 3 คือ ควอร์เตอร์ 31 จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเช่นกัน เพราะนับตั้งแต่เราเปิดพรีเซลมาโดยยังไม่ได้เปิดให้เข้าชมโครงการเรามียอดขายไปกว่า 50% และเมื่อเปรียบเทียบแล้วจะพบว่าโครงการควอร์เตอร์ 31 คุ้มค่ามากทั้งในแง่การซื้ออยู่อาศัยเองเพื่อส่งต่อเป็นทรัพย์สินให้ลูกหลาน หรือซื้อเพื่อลงทุน เพราะได้ครอบครองทั้งที่ดินในย่านใจกลางเมืองที่นับวันราคาจะสูงขึ้นเรื่อยๆ และฟังก์ชั่นการออกแบบภายในบ้านระดับพรีเมียมที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัวในสังคมแบบเอ็กซ์คลูซีฟ เพียง 20 หลังเท่านั้น ที่สำคัญเมื่อเปรียบเทียบราคาขายต่อตารางเมตรกับคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ที่เปิดตัวตอนนี้ในย่านเดียวกัน ราคาขายเฉลี่ยอยู่ 300,000 บาทต่อตรม. ขึ้นไป ในขณะที่ ควอร์เตอร์ 31 มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 100,000 กว่าบาทต่อตรม. นับเป็นความคุ้มค่าอย่างมาก สำหรับผู้ที่อยากเป็นเจ้าของครอบครองบ้านหรูแนวคิดใหม่บนพื้นที่ Prime Location แห่งนี้ สามารถมาพบกันได้ในวันที่ 27-28 ต.ค.61 นี้ ที่โครงการ ควอร์เตอร์ 31 (Quarter 31) กับงาน Grand Opening ซึ่งจะเปิดให้เข้าชมโครงการเป็นครั้งแรก  พร้อมรับสิทธิพิเศษ ณ วันงานมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท นายสุธี กล่าวปิดท้าย   สนใจนัดหมายเพื่อเยี่ยมชมโครงการ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 063-9969954 หรือ www.NyeEstate.com