Tag : News

2376 ผลลัพธ์
จับตาดู อารีย์-พหลโยธิน ย่านเก่าร่วมสมัย ศูนย์กลางสำคัญแห่งใหม่ สำหรับชีวิตติดเมือง

จับตาดู อารีย์-พหลโยธิน ย่านเก่าร่วมสมัย ศูนย์กลางสำคัญแห่งใหม่ สำหรับชีวิตติดเมือง

อารีย์-พหลโยธิน ย่านดั้งเดิมเก่าแก่กำลังจะกลายเป็น ศูนย์กลางสำคัญแห่งใหม่ของอาคารสำนักงานและแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่สำหรับคนจะย้ายเข้ามาใช้ชีวิตใจกลางเมือง โดยเฉพาะทำเลระหว่างช่วงสถานีอารีย์และสถานีสะพานควาย ในระยะทางประมาณ 2 กม. ที่มีสถานที่ราชการ อาคารสำนักงานและอาคารมิกส์ยูส ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ที่สำคัญยังแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ทั้ง ห้างสรรพสินค้า, ร้านอาหาร, คาเฟ่นั่งทำงาน, และโรงพยาบาล ด้วยการเดินทางที่ง่ายในระยะเดินเท้าถึงได้อย่างสบายหรือด้วยรถไฟฟ้าที่ใช้เวลาไม่นานสำหรับเดินทางเข้าเมืองและออกนอกเมือง จึงกลายเป็นทำเลที่ใครๆ ก็อยากเข้ามาอยู่อาศัย และขณะเดียวกันผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมไม่ค่อยจะย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานที่อื่น   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ทำเลย่านอารีย์-พหลโยธิน ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่น่าจับตามองของย่านนี้ อาจเรียกได้ว่าที่นี่ คือ ศูนย์กลางสำคัญแห่งใหม่ของอาคารสำนักงาน เพราะนอกจากจะเป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงานเอกชนและสถานที่ราชการสำคัญอยู่ก่อนแล้ว เช่น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงค์), ธนาคารออมสิน (สำนักงานใหญ่), สำนักงาน กสทช., ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่, เอไอเอส ทาวเวอร์ เป็นต้น ยังมีอาคารสำนักงาน เกรด A แห่งใหม่บนถนนพหลโยธิน อีก 3 อาคารที่เพิ่งเปิดใช้งาน ได้แก่  1. Pearl Bangkok อาคารสูง 25 ชั้น แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ 2. Ari Hill อาคารมิกส์ยูส สูง 34 ชั้น ที่มีทั้งอาคารออฟฟิศ ร้านค้า และโรงแรม 3. SC Tower อาคารสูง 24 ชั้น คาดการณ์ว่าจะมีผู้ทำงานในทั้ง 3 อาคารนี้ประมาณ 3,733 คน, 1,500 คน และ 817 คน ตามลำดับ หรือรวมแล้วประมาณ 6,050 คน อีกทั้งยังมีโครงการใหญ่อื่นๆ ที่กำลังก่อสร้างและคาดการณ์กำหนดแล้วเสร็จภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ได้แก่ 1. The Rice อาคารมิกส์ยูส สูง 24 ชั้น มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท 2. โรงพยาบาลวิมุตติ ในเครือพฤกษา ที่มีมูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2020 ทั้ง 2 โครงการ 3. อาคารวานิช เพลส ของกลุ่มแหลมทองสหการ เป็นออฟฟิศ 31 ชั้น และคอมมูนิตี้มอลล์ที่มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2021 การผุดขึ้นของอาคารสูงระดับไฮเอนด์เหล่านี้อย่างต่อเนื่องเป็นการตอกย้ำว่าย่านนี้ ยังคงเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญของกรุงเทพฯ ผสานกับเสน่ห์ของไลฟ์สไตล์ดั้งเดิมแบบกึ่งบ้านกึ่งเมืองทำให้คนรุ่นใหม่ อยากเข้ามาใช้ชีวิตในย่านนี้มากขึ้น ด้วยจุดเด่นที่สำคัญของทำเลนี้ ที่มีความชัดเจนของการขยายเมืองทั้งการเพิ่มขึ้นของอาคารสำนักงาน และตึกสูงเกรด A ความสะดวกในการเดินทางมีเส้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมถึงใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน สร้างโอกาสในการเป็นศูนย์กลางที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ เติบโตทั้งด้านอุปทาน, อุปสงค์และราคาขาย โดยตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันมีโครงการคอนโดเปิดใหม่มากขึ้น ซึ่งภาพรวมโครงการในตลาดมีทั้งคอนโดมิเนียมรูปแบบไฮไรส์และรูปแบบโลวไรส์ โดยมีคอนโดมิเนียมเปิดขาย ทั้งหมด 4,103 ยูนิต จาก 16 โครงการ ขายไปแล้ว 3,318   ยูนิต หรือประมาณ 81% ซึ่งโครงการที่เพิ่งเปิดขายในช่วงระยะ 1-2 ปี ที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะมียอดขายเกินกว่า 70% ทั้งนี้คอนโดมิเนียมตลาดระดับไฮเอนด์ (110,000 – 190,000 บาท/ตร.ม.) เป็นตลาดใหญ่ที่สุด คิดเป็น 74% ของสัดส่วนตลาดทั้งหมด หรือจำนวน 2,544    ยูนิต มีทั้งคอนโดมิเนียมรูปแบบไฮไรส์และรูปแบบโลวไรส์ โดยอัตราขายที่ดีที่สุดของตลาดกลุ่มนี้ คือ โครงการที่มีระดับราคาต่อตารางเมตรอยู่ในช่วง 110,000-120,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งโครงการส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในทำเลอินทามระ ขณะที่ยังไม่มีโครงการในระดับราคานี้ในทำเลอารีย์-พหล จึงเป็นโอกาสทางการตลาดที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมแบบโลวไรส์ที่ยังเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่องของตลาดในทำเลนี้ เพราะราคาอยู่ในช่วงที่จับต้องได้แม้อยู่ใจกลางเมืองหรือใกล้รถไฟฟ้า ในขณะที่คอนโดไฮไรส์มีราคาสูงกว่าเพราะราคาที่ดินที่ติดถนนใหญ่หรือติดรถไฟฟ้ามีราคาสูงและทำเลที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาโครงการมีอยู่จำกัด อีกทั้งคอนโดมิเนียมแบบโลวไรส์ยังมีจุดเด่นที่จำนวนยูนิตน้อยและมีบรรยากาศที่ดีทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า ซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมืองได้ตรงความต้องการมากกว่านั่นเอง ดังนั้น อาจจะกล่าวได้ว่าในโลกที่ต้องการความรวดเร็วไปหมดทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง คือ การมีที่อยู่อาศัยที่อยู่ในเมือง ซึ่งจะสามารถลดเวลาการเดินทาง  ลดขั้นตอนในการออกไปหาการพักผ่อนแบบมีไลฟ์สไตล์ ทำเลย่านพหลโยธิน ถือเป็นทำเลที่ตอบโจทย์อีกทำเลหนึ่งในกรุงเทพ นางนลินรัตน์ กล่าวปิดท้าย          
บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปลื้มใจคอนโดซุปเปอร์ลักชัวรี่อนาคตสดใส ถูกใจต่างชาติ

บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปลื้มใจคอนโดซุปเปอร์ลักชัวรี่อนาคตสดใส ถูกใจต่างชาติ

บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) จัดงาน Private Event ณ โครงการ มาร์ค สุขุมวิท (MARQUE Sukhumvit) คอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่รูปทรง ‘เพชร’ ที่ถือเป็นแลนด์มาร์คใจกลางถนนสุขุมวิท ย่านพร้อมพงษ์ ปัจจุบันนี้โครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ พร้อมตกแต่งห้องเพ้นท์เฮ้าส์ใหม่ เปิดให้เข้าชมความงดงาม ภายใต้การตกแต่งที่หรูหรา ชมวิวมุมสูงในทำเลใจกลางสุขุมวิท โดยการจัดงานดังกล่าวในเดือนที่ผ่านมาได้รับผลตอบรับที่ดีมาก มีผู้สนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะห้องเพ้นท์เฮ้าส์มูลค่า130 ล้านบาท ถูกจับจองโดยชาวต่างชาติชาวเอเชีย   นอกจากนี้ บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ยังไม่หยุดรังสรรค์ ตกแต่งห้องพักอีก 2 แบบ 2 สไตส์ ในแบบฉบับของ MARQUE, Mark your lifeพร้อมที่จะเปิดให้เข้าชมเป็นครั้งแรกในงานสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่จะจัดขึ้นในวันที่ 17 -18 พ.ย. 61 ณ โครงการ มาร์ค สุขุมวิท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 1266   โครงการ มาร์ค สุขุมวิท เป็นโครงการเฟล็กซิพของ บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ด้วยมูลค่าการลงทุน 7,000 กว่าล้านบาท สร้างบนผืนที่ที่ใหญ่ที่สุดกว่า 3 ไร่ ริมถนนสุขุมวิท ติดสถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ และห้างเอ็มควอเทียร์เพียง 30 เมตร ที่ปัจจุบันแทบจะไม่สามารถหาผืนดินขนาดใหญ่นี้ในการพัฒนาโครงการได้ จึงมีแนวคิดให้เป็นที่อยู่อาศัยที่จะส่งต่อเป็นมรดกกับลูกหลานและเป็นจะเป็นการลงทุนที่เพิ่มมูลค่าไม่รู้จบ เหตุนี้เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของคอนโดมิเนียมที่มีรูปทรงโดดเด่นแปลกตา ด้วยรูปทรง Diamond Shape เป็นอาคารที่สูงที่สุดในสุขุมวิทตอนกลาง ด้วยอาคารที่มีfaçade กระจกเต็มบาน ด้วยการประกอบ façade แต่ละด้านเช่นเดียวกับเหลี่ยมหรือมุมของเพชร ออกแบบให้คล้ายทรงเพชรมากที่สุด ปัจจุบันโครงการโอนไปแล้วเกือบ 80%        
“ออริจิ้น” ปลื้ม ทุนฮ่องกงประทับใจแผนรายได้ 5 ปี โตแตะ 2.7 หมื่นล้าน

“ออริจิ้น” ปลื้ม ทุนฮ่องกงประทับใจแผนรายได้ 5 ปี โตแตะ 2.7 หมื่นล้าน

“ออริจิ้น” ปลื้ม ทุนฮ่องกงส่งสัญญาณสนใจลงทุน หลังเห็นแผนรายได้โตปีละ 20% ต่อเนื่อง 5 ปี ทะลุ 2.7 หมื่นล้านในปี 65 มั่นใจพร้อมปรับตัวรับมาตรการแบงก์ชาติคุม LTV ด้าน “กสิกร” คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 16.30 บาท   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์ บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า บริษัทได้เดินทางโรดโชว์พบปะนักลงทุนสถาบันในประเทศฮ่องกงเมื่อเร็วๆ นี้ โดยกลุ่มนักลงทุนต่างแสดงความประทับใจและส่งสัญญาณที่ดี หลังจากเห็นแผนการขยายธุรกิจครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ทั้งกลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัยและกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน และเป้าหมายการเติบโตรายได้อย่างต่อเนื่อง “เราได้แสดงให้เห็นถึงทิศทางและแผนการขยายธุรกิจของเรา ด้วยเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในระดับ 20% ต่อปี ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือมีรายได้เพิ่มขึ้นจากไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาทในปี 2560เป็น 2.7 หมื่นล้านบาท ในปี 2565 ก็ทำให้เขารู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก” นายพีระพงศ์ กล่าว นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการภาครัฐที่กำลังจะเกิดขึ้นในขณะนี้ เช่น มาตรการการควบคุมอัตราส่วนการให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นั้น มีผลกระทบในวงจำกัดสำหรับตลาดระดับกลาง-ล่าง สำหรับตลาดระดับกลาง-บน ซึ่งเป็นกลุ่มหลักของ Backlog บริษัทในปัจจุบัน ลูกค้าส่วนใหญ่มากกว่าครึ่งชำระค่าห้องชุดเป็นเงินสด นอกจากนี้บริษัทมีความมั่นใจในการปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับนโยบายดังกล่าว เนื่องจากในปัจจุบัน บริษัทได้วางรากฐานขยายประเภทธุรกิจที่อยู่อาศัยให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนท์อยู่แล้ว บริษัทพร้อมที่จะปรับแผนการดำเนินธุรกิจปี 2562 ให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ใหม่ เช่น ให้ความสำคัญกับตลาดระดับกลาง-บนมากขึ้น พัฒนาโครงการระดับกลาง-ล่างเฉพาะในพื้นที่ที่มีดีมานด์สูง เพื่อลดผลกระทบจากข้อจำกัดของนโยบาย “หลายปีที่ผ่านมา เราได้พิสูจน์ให้ตลาดเห็นแล้วว่าเราเป็นผู้ประกอบการที่มีความชำนาญในการเลือกทำเลอย่างเหมาะสม ด้วยการใช้กลยุทธ์เจาะตลาดที่มีศักยภาพแต่ยังมีการแข่งขันไม่สูงนัก หรือ Blue Ocean จนทำให้โครงการของเราประสบผลสำเร็จและมียอดขายที่ดี แม้นโยบายภาครัฐในขณะนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงไป แต่เรายังมั่นใจว่าเราสามารถพัฒนาสินค้าในทำเลที่เหมาะสม เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคควบคู่กับการดำเนินงานตามเป้าหมายของบริษัทได้” นายพีระพงศ์ กล่าว ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุถึง ORI ว่า แม้ว่าหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อาจเผชิญกับการปรับลดมูลค่าหุ้นลง หาก ธปท. ประกาศใช้มาตรการที่เข้มงวดเป็นอย่างมากในเดือน พ.ย. แต่ในแง่ของมูลค่าหุ้น ราคาปิด ORI ล่าสุดที่ซื้อขายที่ PER 6.84 เท่าและ 5.54 เท่าสำหรับปี 2561-62 ตามลำดับ ด้วยอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (DY) ที่มากกว่า 5.8% เป็นระดับที่น่าดึงดูดอย่างมาก สำหรับสถานะของการดำเนินงานนั้น กลุ่มแนวราบและธุรกิจรายได้ประจำที่รวมถึงกิจการด้านโรงแรม การดำเนินงานและบริหารค้าปลีก จะกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญให้กับORI ในการเดินไปสู่เป้าหมายรายได้ 2.7 หมื่นล้านบาทในปี 2565 หรือมีรายได้เติบโตต่อเนื่องปีละ 20% ได้ นอกจากนี้ ยังมีแผนดำเนินการในลักษณะร่วมทุน (JV) และแผนการนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของ ORI เติบโตไปได้อย่างแข็งแกร่ง โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายเดิมสำหรับกลางปี 2562 ที่ 16.30 บาท ประกอบด้วยสัดส่วนจำนวน 14.90 บาทจากธุรกิจที่อยู่อาศัย อิง PER 8.25 เท่า และสัดส่วนจำนวน 1.40 บาทจากธุรกิจรายได้ประจำ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 54 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 82,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร    
“ออฟฟิศแคมปัส” ออฟฟิศแนวคิดใหม่ โดนใจคนทำงาน

“ออฟฟิศแคมปัส” ออฟฟิศแนวคิดใหม่ โดนใจคนทำงาน

เมื่อพูดถึงอาคารสำนักงาน หลายคนคงนึกถึงตึกสูงใจกลางเมือง ภายในมักมีหลากหลายบริษัทอยู่รวมกันอย่างหนาแน่น การเดินทางมาทำงานที่ออฟฟิศหลายคนต้องตื่นแต่เช้าเพื่อฝ่าฟันการจราจรที่ติดขัด หรือฝูงชนที่อัดกันจนแน่นบนรถไฟฟ้า เพื่อมาทำงานให้ทันเวลา มาถึงตึกแล้วยังต้องเบียดเสียดผู้คนเพื่อขึ้นลิฟต์ไปอีกหลายสิบชั้นเพื่อไปตอกบัตรให้ทันเวลาเข้างาน แต่จะดีแค่ไหนถ้าเราสามารถเลือกทำงานในสภาพแวดล้อมใหม่ที่แตกต่างจากนี้อย่างสิ้นเชิง อาคารสำนักงานที่มีจำนวนออฟฟิศไม่มากเกินไป ไม่ต้องแย่งกันใช้ลิฟท์ มีความใกล้ชิดธรรมชาติ มีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับพบปะและทำกิจกรรม แล้วยังสามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างง่ายดาย ออฟฟิศแนวคิดล้ำๆ เพื่อคนทำงานยุคใหม่แบบนี้ เรียกว่า “ออฟฟิศแคมปัส” ออฟฟิศแนวคิดใหม่ เป็นกลุ่มอาคารสำนักงานแบบโลว์ไรส์ เพื่อตอบโจทย์คนทำงานยุคใหม่ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีความสุขมากยิ่งกว่า     ออฟฟิศแคมปัส สร้างสรรค์ด้วยแนวคิดที่ต้องการสร้างสถานที่ทำงานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของพนักงาน พร้อมสภาพแวดล้อมการทำงานที่พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้ยังใช้พื้นที่โดยรอบในการทำกิจกรรมอื่นๆ อย่างการออกกำลังกายและการพักผ่อน โดยออฟฟิศแคมปัส ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อม เป็นอาคารสำนักงานที่ไม่สูงมากจนเกินไป เน้นขยายตัวในแนวราบ เพื่อสร้างความรู้สึกใกล้ชิดของพนักงาน และตั้งในพื้นที่ที่มีบริเวณกว้างขวาง ล้อมรอบไปด้วยพื้นที่สีเขียว ให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ แหล่งน้ำสร้างความผ่อนคลายและใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ จากการทำงานนอกจากนี้ยังมีพื้นที่ส่วนกลางให้ทุกคนสามารถมาใช้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ไอเดียในการทำงาน พูดคุยชิลๆ ระหว่างพักกลางวัน หรือเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันก็ได้เช่นเดียวกัน     ออฟฟิศแคมปัส เป็นแนวคิดที่กำลังมาแรง และมีการปรับใช้แล้วในหลากหลายบริษัทในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิ้ลหรือกูเกิ้ล ก็นำแนวคิดนี้มาใช้แล้วเช่นเดียวกัน โดยแอปเปิ้ล เปิดตัว แอปเปิ้ล พาร์ค (Apple Park) สำนักงานออฟฟิศแคมปัสรูปทรงยานอวกาศ ตั้งอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถรองรับพนักงานของแอปเปิ้ลที่มีกว่า 12,000 คนได้อย่างสบายๆ อาคารรูปทรงยานอวกาศสูง4ชั้นนี้ ออกแบบให้ล้อมรอบสวนขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณกึ่งกลาง พร้อมศูนย์บริการต้อนรับแขกผู้มาเยือน ที่มีร้านแอปเปิ้ลสโตร์ และคาเฟ่ให้บริการ นอกจากนี้ยังมีฟิตเนส และเส้นทางวิ่งยาวกว่า 3 กิโลเมตร สำหรับให้พนักงานวิ่งหรือเดินออกกำลังกาย มีจักรยานไว้บริการสำหรับเดินทางภายใน หากระยะทางไกลสามารถใช้รถกอล์ฟหรือรสบัสที่เตรียมไว้ให้บริการได้อีกด้วย   ทางฝั่งกูเกิล ได้สร้างสำนักงานใหญ่ แล้วตั้งชื่อว่ากูเกิลเพล็กซ์ (Googleplex) ประกอบด้วยกลุ่มอาคารสำนักงานของกูเกิ้ลหลายสิบหลัง ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน ล้อมรอบด้วยพื้นที่สีเขียวพร้อมลานตรงกลางเพื่อเป็นพื้นที่สันทนาการของบริษัท หรือใช้นั่งพักผ่อนหรือรับประทานอาหาร เพิ่มความอลังการด้วยสนามวอลเล่ย์บอลชายหาด หรือแม้กระทั่งร้านกูเกิ้ลสโตร์ ขายของที่ระลึกสารพัดอย่างจากกูเกิ้ลก็มีเช่นเดียวกัน   จากตัวอย่างออฟฟิศเจ๋งๆ ที่เรายกมานี้ เชื่อว่าหลายคนต้องสนใจอยากทำงานที่อาคารสำนักงานแนวคิดสุดล้ำนี้อย่างแน่นอน ซึ่งล่าสุด มีผู้นำแนวคิดออฟฟิศแคมปัสมาสร้างจริงแล้วในประเทศไทย โดยออฟฟิศแคมปัสแห่งแรก มีชื่อว่า ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร ตั้งอยู่บนถนนสาทร ติดสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสุรศักดิ์ โครงการพื้นที่ขนาด 5 ไร่นี้เปรียบเสมือนโอเอซิสของคนทำงานในย่านนี้ ให้ได้พักผ่อนกาย ใจ เติมพลังเตรียมพร้อมสำหรับการทำงาน ตัวโครงการประกอบไปด้วยอาคารสำนักงานจำนวน 3 อาคารที่เชื่อมต่อถึงกันสร้างบนพื้นที่ที่แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ ให้ความร่มรื่น พร้อมพื้นส่วนกลางสำหรับปรับเปลี่ยนอิริยาบทจากการทำงาน พูดคุย แลกเปลี่ยนไอเดียระหว่างกัน หรือใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ นอกจากนี้ยังมีร้านกาแฟชื่อดังอย่าง Roots และร้านอาหารคุณภาพระดับภัตตาคารอย่าง OCKEN เปิดให้บริการอยู่ที่นี่ด้วย   ออฟฟิศแคมปัสแห่งที่สองตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิท-บางนา ซึ่งเป็นย่านที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งระบบสาธารณูปโภค บริการสาธารณะสุข และโครงการพัฒนาเชิงพาณิชย์หลายโครงการ รวมถึงศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และคอมมิวนิตี้มอลล์ที่พึ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้ ออฟฟิศแคมปัสดังกล่าวมีชื่อว่า ซัมเมอร์ ลาซาล (Summer Lasalle) โครงการที่นำแนวคิดออฟฟิศแคมปัสมาใช้แบบเต็มๆ โดยสร้างเป็นอาคารสำนักงานโลว์ไรส์ บนพื้นที่กว่า 61 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่อาคาร 40 ไร่ และเป็นพื้นที่สีเขียวกว่า 20 ไร่ มอบสภาพแวดล้อมสีเขียวเพื่อสร้างความผ่อนคลาย ในโครงการแบ่งออกเป็น 5 แคมปัส 29 อาคาร ซึ่งแต่ละแคมปัสจะประกอบไปด้วยอาคารสำนักงานขนาด 3 ชั้น พร้อมพื้นที่พบปะส่วนกลางให้พนักงานใช้พูดคุยงานหรือทำกิจกรรมร่วมกัน อีกทั้งยังมี Campus reception ให้บริการในแต่ละแคมปัสสำหรับต้อนรับแขกผู้มาเยือน โดยรอบแคมปัส จะมีเส้นทางจักรยาน สามารถใช้ปั่นจักรยานเพื่อออกกำลังกาย หรือเดินทางภายในโครงการก็ได้ หากไม่ใช่สายปั่น ก็ยังมีทางวิ่งสำหรับออกกำลังกาย ความยาวกว่า 2 กิโลเมตรให้เป็นทางเลือกสำหรับสายวิ่งให้มาใช้บริการได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีคอมมิวนิตี้มอลล์ พร้อมพื้นที่จอดรถในโครงการกว่า 1,400 คัน และมีโรงแรมให้บริการด้วย ซึ่งในขณะนี้โครงการซัมเมอร์ ลาซาลกำลังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้ใช้บริการในส่วนแรกต้นปี 62 ที่จะถึงนี้   ออฟฟิศแคมปัส นอกจากจะตอบโจทย์ด้านการทำงานที่สร้างความสุข ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนทำงานรุ่นใหม่ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น จะเห็นว่าออฟฟิศแคมปัสยังช่วยตอบโจทย์การขาดแคลนพื้นที่สำนักงานในเมืองชั้นในที่มีอย่างจำกัด พื้นที่ใช้สอยที่ไม่พอกับความต้องการ และมาพร้อมกับค่าเช่าที่แสนแพง การสร้างออฟฟิศแคมปัสในพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ขยับออกมาจากในเมืองที่แออัด นอกจากตอบโจทย์คนทำงานด้านการเดินทางและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยตอบโจทย์บริษัทด้านค่าเช่าที่ที่ถูกลงและได้พื้นที่สำนักงานที่มีขนาดใหญ่ขึ้นด้วย ซึ่งคาดว่าเราจะได้เห็นโครงการออฟฟิศแคมปัสเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในบ้านเราเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
พฤกษา ปล่อยโปรเด็ดส่งท้ายปี “Big Sale Ever” พบข้อเสนอดีที่สุดในรอบ 25 ปี   คอนโด สร้อยคอทองคำ มูลค่ารวมกว่า 200 ล้านบาท

พฤกษา ปล่อยโปรเด็ดส่งท้ายปี “Big Sale Ever” พบข้อเสนอดีที่สุดในรอบ 25 ปี คอนโด สร้อยคอทองคำ มูลค่ารวมกว่า 200 ล้านบาท

พฤกษา เรียลเอสเตท ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์ จัดโปรโมชั่นใหญ่ส่งท้ายปี “Pruksa 25th Year Big Sale Ever ลดใหญ่ แจกใหญ่ แถมใหญ่” โปรดีที่สุดในรอบ 25 ปี ยกทัพทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว คอนโด พร้อมเข้าอยู่ 161 โครงการ ต่อแรกรับส่วนลดสูงสุดถึง 1.3 ล้านบาท และโปรโมชั่นพิเศษมากมาย ต่อสอง ลุ้นรับรางวัลใหญ่ คอนโด สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท และ Samsung Galaxy Note 9 รวมมูลค่าทั้งหมดกว่า 200 ล้านบาท เพียงทำสัญญาและโอนภายใน 28 ธันวาคม 2561 นี้   นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ว่า “ เนื่องในโอกาสที่พฤกษา เรียลเอสเตท ดำเนินธุรกิจมาครบรอบ 25 ปี เพื่อเป็นการขอบคุณที่ลูกค้าให้การตอบรับที่ดีเสมอมา บริษัท จึงได้จัดแคมเปญ “Pruksa 25th Year Big Sale Ever ลดใหญ่ แถมใหญ่ แจกใหญ่” ได้คัดเลือกโครงการเข้าแคมเปญทั้งทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม พร้อมเข้าอยู่ 161 โครงการทั่วประเทศ เพียงทำสัญญาและโอนกรรมสิทธิ์ภายใน 28 ธันวาคม 2561 จะได้รับส่วนลดเงินสดสูงสุดถึง 1.3 ล้านบาท และรับโปรโมชั่นอื่นๆ   อีกมากมาย อาทิ เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ Gift Voucher ฟรีค่าใช้จ่ายในวันโอน ตามเงื่อนไขของ   แต่ละโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ นอกจากนี้ ทุกๆ ยอดการซื้อ 1 แสนบาท จะได้รับเลขคูปอง 1 สิทธิ์ เพื่อลุ้นรับรางวัลใหญ่ พลัมคอนโด พหลโยธิน 89 จำนวน 3 รางวัล สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท จำนวน 30 รางวัล และ Samsung Galaxy Note9 จำนวน 75 รางวัล โดยจะแบ่งจับรางวัล 3 ครั้ง รอบแรกวันที่ 16 พ.ย. 61 รอบสอง 14 ธันวาคม 61 และรอบสุดท้าย 11 ม.ค. 62 ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยไม่ควรพลาด เพราะเป็นแคมเปญที่ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์มากมายและเป็นข้อเสนอดีที่สุดในรอบ 25 ปีของพฤกษา   พิเศษสุด !!! สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนทางออนไลน์ และไปเยี่ยมชมโครงการ จะได้รับตุ๊กตาหมี “ใส่ใจ” Power Bank รุ่น Limited Edition 5,000 ตัว ล่าสุดจาก พฤกษา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 1739 หรือ www.pruksa.com  
เจาะคอนเซ็ปต์ 24 HR.HEALTHY LIFESTYLE  คอนโดที่ๆ ทำให้หัวใจเต้นครบทุกจังหวะ

เจาะคอนเซ็ปต์ 24 HR.HEALTHY LIFESTYLE คอนโดที่ๆ ทำให้หัวใจเต้นครบทุกจังหวะ

การมองหาที่อยู่อาศัยสักแห่ง รายละเอียดในความต้องการของชีวิตนั้นมีมากเกิน เพราะไม่ใช่แค่มีเพียงทำเลดี เดินทางสะดวก facilities มากมายที่ถูกนำมาพัฒนาเพื่อสร้างจุดขาย หรือแม้แต่ราคาที่สร้างแรงโน้มถ่วงการตัดสินใจซื้อ ทั้งหมดกลายเป็นสูตรทางการตลาดที่ตายตัว แต่วันนี้ดีเทลความต้องการของชีวิตเปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ด้วยเหตุผลของการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์นี่เอง ทำให้ทางบริษัทเสนา ฮันคิว หยิบยกเทรนด์ของการออกกำลังกายขึ้นมาสื่อสารผ่านคอนโดมิเนียมใหม่ ภายใต้แบรนด์ “นิช โมโน รามคำแหง” (Niche MONO ramkhamhaeng) เอาใจสายเฮลตี้ Fit & Fun & Firm ที่รักในสุขภาพ      ดร.ยุ้ย - ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA กล่าวว่า จากความใส่ใจและการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมารักสุขภาพและออกกำลังกายมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงาน ในขณะเดียวคนกลุ่มดังกล่าวจะมองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างลงตัวที่สุด ยิ่งสิ่งอำนวยความสะดวกในการออกกำลังกายที่สามารถรองรับทุกคนทุกวัยได้ ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ ฟิตเนส โยคะ หรือการออกวิ่งจ๊อกกิ้ง เป็นต้น  ด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้ทางเสนาฯ ได้เห็นถึงความสำคัญตรงจุดนี้ และนำแนวคิดดังกล่าว มาพัฒนาคอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด “นิช โมโน รามคำแหง (Niche MONO RAMKHAMHAENG)” ซึ่งเป็นโครงการแนวสปอร์ตแห่งแรกของบริษัทที่ได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์ เทรนด์การใช้ชีวิตทุกด้านทั้งเรื่องงานและการพักผ่อน โดยเฉพาะคนรักสุขภาพและการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ     กับแนวคิด “24 HR.HEALTHY LIFESTYLE” ที่ถูกนำมาตีความขยายทุกดีเทลความต้องการของคนที่รักในสุขภาพ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอายุใดก็ตามนั้น เรามองว่าการออกกำลังกายมีประโยชน์ ไม่ว่าจะช่วยควบคุมน้ำหนัก สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ลดความเครียด ทำให้มีสมาธิ และทำให้กระฉับกระเฉงขึ้น จึงเป็นที่มาของคอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่ 24 HR. HEALTHY LIFESTYLE ตอบโจทย์สาย Fit & Fun & Firm ที่หลงใหลการออกกำลังกายได้สนุกกับการใช้ชีวิตเติมเต็มทุกกิจกรรมตลอด 24 ชม.พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ 6.5 ไร่ ต่อเนื่องทั้งโครงการพร้อม Jogging Track สามารถสัมผัสวิวเมือง 270 องศา พร้อม Cool down ไปกับ Sky Lounge บนชั้น Rooftop   มีการแบ่งตามโซนเพื่อการออกกำลังกายตามการเต้นของหัวใจ Heart Rate Zone กว่า 10,500 ตรม.ใหญ่ที่สุดในย่านรามคำแหง ซึ่งลูกบ้านสามารถเลือกมุมที่เหมาะกับตัวเองได้ว่าต้องการออกกำลังและเผาผลาญพลังงานมากน้อยแค่ไหน ทั้งลู่วิ่งมาตรฐานรอบคอนโด สระว่ายน้ำมาตรฐานโอลิมปิก สระว่ายน้ำวนแบบนักกีฬาครบครันเพื่อให้ตอบโจทย์สายรักสุขภาพแบบสุด ๆ  สำหรับใครที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมแนวสปอร์ต ตอบโจทย์การออกกำลังกายตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านมุมมองและแนวคิด “24 HR. HEALTHY LIFESTYLE” ปลดล็อคการออกกำลังกายที่ไม่ได้ถูกจำกัดแค่เวลาหรือแค่ที่อยู่อาศัยแต่คือที่สุดของการออกกำลังกาย กับโครงการ “นิช โมโน รามคำแหง (Niche MONO RAMKHAMHAENG)” คอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า MRT สายสีส้ม สถานีหัวหมาก 0 เมตรราคาเริ่ม 1.99 ล้านบาท* เตรียมพบ lifestyle รูปแบบใหม่ที่ ๆ ทำให้หัวใจเต้นครบทุกจังหวะ ครั้งแรกได้ในวันที่ 1-7 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์ บางกะปิ ภายในงานรับข้อเสนอพิเศษสุดมากมาย สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 1775 # 69
สิงห์เอสเตท เผยโฉม “เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์”  สถานที่ท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรแห่งแรกในมัลดีฟส์

สิงห์เอสเตท เผยโฉม “เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์” สถานที่ท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรแห่งแรกในมัลดีฟส์

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ เดินหน้าพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักเดินทาง เป็นครั้งแรกในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ “เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์” คือศูนย์รวมความบันเทิงที่มีกิจกรรมสันทนาการสำหรับนักท่องเที่ยวทุกรูปแบบ แหล่ง ช้อปปิ้งล้ำสมัยที่รวบรวมสินค้าจากหลายแบรนด์ดัง ครบครันด้วยร้านอาหารแบบไฟน์ไดน์นิงและคาเฟ่ชื่อดัง เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ครอสโร้ดส์” (CROSSROADS) จุดหมายปลายทางแนวไลฟ์สไตล์ครบวงจรแห่งแรกในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ด้วยความมุ่งหวังที่จะสร้างนิยามใหม่แห่งการพักผ่อนในมัลดีฟส์ ครอสโร้ดส์ จึงเป็นโครงการที่ได้รับการรังสรรค์เพื่อเป็นจุดหมายปลายทางแห่งการพักผ่อนและสันทนาการของนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวจากทั่วโลก ซึ่งนับเป็นฐานลูกค้าใหม่ต่างจากกลุ่มนักท่องเที่ยวในปัจจุบันที่มักเป็นคู่รักที่นิยมเดินทางมาเพื่อการฮันนีมูนเป็นหลัก   ตัวโครงการตั้งอยู่บนเกาะสร้างใหม่ที่ครอบคลุมระยะทางรวม 7 กิโลเมตร ห่างจากสนามบินนานาชาติและเมืองหลวงมาเล่เพียง 15 นาที เมื่อเดินทางด้วยสปีดโบ้ต แต่ละโรงแรมมีท่าเรือรองรับแขกส่วนตัวและมีเรือรับ-ส่งระหว่างเกาะ โครงการ ครอสโร้ดส์ มีกำหนดเปิดให้บริการช่วงต้นปี 2562   โครงการ ครอสโร้ดส์ ประกอบด้วยหมู่เกาะที่ได้รับการเนรมิตขึ้นมาใหม่จำนวนเก้าเกาะ ภายใต้ปรัญชา “หนึ่งเกาะต่อหนึ่งรีสอร์ท” โดยจะพัฒนาโรงแรมและรีสอร์ท 8 แห่ง เพื่อตอบสนองประสบการณ์การพักผ่อนสไตล์รีสอร์ตหลากรูปแบบ นอกจากนี้ “เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์” ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางโครงการยังประกอบไปด้วยพื้นที่การค้ากว่า 11,000 ตารางเมตร ท่าเรือส่วนตัวสำหรับแขกที่มาพักโรงแรม บริการเรือรับส่งระหว่างเกาะ และทางเดินริมทะเล ที่รายล้อมด้วยร้านอาหารเลิศรสโดยเชฟดัง และดีเจระดับโลกที่มาสร้างสีสันความบันเทิง เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวทุกวัย ตั้งแต่ชาวต่างชาติจนถึงผู้คนในพื้นที่     “เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์” จะเป็นโครงการแห่งแรกในมัลดีฟส์ที่มีท่าจอดเรือหรูขนาดมาตรฐาน เพื่อรองรับเรือยอทช์ส่วนตัวของแขกผู้มาพัก โดยสิงห์ เอสเตท มีความตั้งใจที่จะให้ท่าจอดเรือที่เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ เป็นกุญแจสำคัญที่จะผลักดันโครงการครอสโร้ดส์ ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำในมัลดีฟส์ ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่แตกต่างและเหนือระดับ   ร้านอาหารระดับโลกเปิดตัวครั้งแรกในมัลดีฟส์ที่ เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ ฮาร์ด ร็อค คาเฟ่ มัลดีฟส์ เป็นร้านที่ไม่ควรพลาดสำหรับนักท่องเที่ยวที่นิยมดนตรีร็อค หลงใหลในรสชาติอาหารสไตล์อเมริกันแท้ๆ และค็อกเทลนานาชนิด ตัวร้านอยู่ติดกับชายหาดเหมาะกับการรับชมบรรยากาศวิวทะเลแสนพิเศษ โดยมีที่นั่งทั้งด้านในร้านและติดชายหาด พร้อมเตียงอาบแดด ฮาร์ด ร็อค คาเฟ่ มัลดีฟส์ เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสังสรรค์และจัดปาร์ตี้     คาเฟ่ เดล มาร์ มัลดีฟส์ – บีชคลับชื่อดังจากเกาะอิบิซาของสเปน พาบรรยากาศร้านอาหารสุดรื่นรมย์มาถึงมัลดีฟส์ พร้อมเมนูเด่นประจำร้านรสชาติเด่น รายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันแสนผ่อนคลายของหมู่เกาะเอ็มบูดู จุดเด่นของร้านคือการออกแบบที่ผสมผสานศิลปะดั้งเดิมของมัลดีฟส์เข้ากับทรอปิคอลดีไซน์ และความสะดวกสบายร่วมสมัย คาเฟ่ เดล มาร์ มัลดีฟส์ นำเสนอความหลากหลายทางรสชาติ ที่มีตั้งแต่ของว่างยามบ่ายไปจนถึงอาหารค่ำสุดหรู พิซซ่าอบไม้ฟืน บาร์ไอศครีมเจลาโต และค็อกเทลพิเศษของทางร้าน พร้อมด้วยเตียงอาบแดดริมสระ 300 ตัว ที่นั่งภายในร้าน 400 ที่ เตียงคาบาน่า 3 หลัง และบาร์ในสระว่ายน้ำ   นายดาร์ชาน มูนิดาซา เชฟเจ้าของร้านอาหารที่ติดอันดับ 50 ร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชีย สองแห่ง จะมาขยายสาขามาเปิดตัวที่ เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ เป็นครั้งแรกในมัลดีฟส์   มินิสทรี ออฟ แครบ คือสวรรค์บนดินของนักกินปู ที่จะนำเข้าปูเนื้อหวานสดจากศรีลังกามาปรุงรสตามกรรมวิธีพิเศษของร้าน มีปูให้เลือกทุกขนาดตามความชอบ ตั้งแต่ปูตัวเล็ก หนัก 500 กรัม ไปจนถึงปูยักษ์ ‘แครบซิลล่า’ ที่หนักถึงสองกิโลกรัม     นิฮงบาชิ ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังที่เปิดมาแล้วกว่า 23 ปี เสิร์ฟอาหารต้นตำหรับจากแดนอาทิตย์อุทัยด้วยรสชาติดั้งเดิมแบบญี่ปุ่นแท้ๆ โดย นิฮงบาชิ ครอสโร้ดส์ มีจุดเด่นตรงที่เลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงที่สดที่สุด ส่งตรงจากศรีลังกา   นอกจากนี้ เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ ยังมีร้านอาหารนานาชาติอื่นๆ อีก อาทิ The Coffee Bean & Tea Leaf ร้านชา-กาแฟสัญชาติอเมริกันชื่อดัง Café’ier ร้านกาแฟท้องถิ่นยอดนิยมของมัลดีฟส์ คาเฟ่สไตล์ฝรั่งเศสสุดคลาสสิค Café Saint Trop by Crepes & Co. Carne Diem Grill ร้านเสต็กย่างเตาถ่านขึ้นชื่อ และ Kenny Rogers Roasters ร้านอาหารที่โด่งดังด้วยเมนูไก่สไตล์อเมริกัน นอกจากนี้ ครอสโร้ดส์จะเป็นที่ตั้งของ Ocean City Cigar (OCC) ร้านขายยาสูบและชิช่าชื่อดังของมัลดีฟส์อีกด้วย   ศูนย์การค้าที่ เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์จะประกอบด้วยร้านสินค้าแบบลักชัวรี่ เช่น Xerjoff Perfume ร้านน้ำหอมชั้นดีจากอิตตาลี Divine Jewelry ร้านเครื่องประดับหรูหรา และ Island Breeze ร้านขายเสื้อผ้าและของที่ระลึกของมัลดีฟส์ นอกจากนี้ Puma ร้านเสื้อผ้า รองเท้า และอุปกรณ์การกีฬาชื่อดัง จะนำสินค้าไลน์ใหม่ล่าสุดและรุ่นจำนวนจำกัด มาวางขายที่สาขาครอสโร้ดส์ นอกจากนี้ เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์จะยังมี Artsy Maldives Photography ร้านถ่ายภาพสำหรับโอกาสพิเศษ และร้าน Dhiraagu ที่ให้บริการด้านโทรคมนาคมอีกด้วย     นายฐิติ ทองเบญจมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทสิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สิงห์ เอสเตทเล็งเห็นโอกาสในการเจาะตลาดกลุ่มนักเดินทางเชิงธุรกิจ และกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบครอบครัว โครงการของเรามีความพิเศษในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนครบวงจรขนาดใหญ่แห่งแรกในมัลดีฟส์ มีบริการร้านอาหารและแบรนด์สินค้านานาชาติซึ่งจะเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวหลายกลุ่ม”   เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ ได้รับการพัฒนาตามอุดมการณ์ของ สิงห์ เอสเตท ที่สนับสนุนคุณค่าทางวัฒนธรรมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยจะสร้าง “มัลดีฟส์ ดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์” (Maldives Discovery Center) – ศูนย์วัฒนธรรมที่จะให้ศิลปินท้องถิ่นได้แสดงฝีมือ โดยการจัดแสดงงานหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้านของมัลดีฟส์ รวมถึงเป็นศูนย์การเรียนรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตใต้ทะเล รวมถึงการปลูกปะการัง “มารีน ดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์” (Marine Discovery Center) – ศูนย์อนุรักษ์สัตว์ทะเล โครงการนำร่องเพื่อฟื้นฟูปะการังระดับโลก โดยมีจุดมุ่งหมายจะสร้างพื้นที่อนุรักษ์ปะการังที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในมัลดีฟส์ และหอประชุมอเนกประสงค์ (CROSSROADS Event Hall) ที่สามารถรองรับการจัดงานประชุม เวิร์คช็อป งานเลี้ยง และงานเฉลิมฉลอง โดยมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญในการจัดงานและเคเตอร์ริ่งให้ความสนับสนุน นอกจากนี้ โครงการครอสโร้ดส์ยังมีศูนย์ดำน้ำ ซึ่งเป็นศูนย์กลางกิจกรรมสันทนาการทางน้ำ ที่จะมีสวนลอยน้ำ และเรือดำน้ำแบบที่ท้องเรือเป็นกระจกใสลำแรกของมัลดีฟส์   สนใจเช่าพื้นที่ร้านค้าที่เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนที่ครบวงจรที่สุดในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ กรุณาติดต่อ themarina@crossrodsmaldives.com หรือโทร. +66 85 055 9098.
นารายณ์ พร็อพเพอตี้ฯ ส่งท้ายไตรมาส 4 เปิดขายเดอะ พาร์คแลนด์ จรัญ-ปิ่นเกล้า  ตึกใหม่ด้านหน้าติดหน้าสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีบางยี่ขัน เขย่าตลาดคอนโดย่านธนฯ

นารายณ์ พร็อพเพอตี้ฯ ส่งท้ายไตรมาส 4 เปิดขายเดอะ พาร์คแลนด์ จรัญ-ปิ่นเกล้า ตึกใหม่ด้านหน้าติดหน้าสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีบางยี่ขัน เขย่าตลาดคอนโดย่านธนฯ

“นารายณ์ พร็อพเพอตี้” ส่งท้ายไตรมาส 4 เปิดขายโครงการ“เดอะ พาร์คแลนด์ จรัญ-ปิ่นเกล้า” เขย่าตลาดคอนโดมิเนียมย่านฝั่งธนบุรี ที่สุดของ Facility พร้อมสวนขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่ ได้ฤกษ์เปิดขายตึกใหม่ ทาวเวอร์ A อาคารสุดท้ายติดหน้าสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีบางยี่ขัน ราคาห้องโปรโมชั่นเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท  “Big Day” วันที่ 4 พ.ย.นี้ ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ Gift Voucher มูลค่า 10,000 บาท   นายเจนต์ชัย ลิ้มวัฒนะกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท นารายณ์ พร็อพเพอตี้ จำกัด เปิดเผยถึงแผนการดำเนินการในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 ว่า บริษัทมีแผนเปิดจองโครงการคอนโดมิเนียมพักอาศัยโครงการเดอะ พาร์คแลนด์ จรัญ-ปิ่นเกล้า ทาวเวอร์ A ซึ่งมีจำนวน ยูนิตทั้งสิ้น 542 ยูนิต ราคาห้องโปรโมชั่นเริ่มต้นที่ 1.99 ล้านบาท เป็นอาคารที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสุดของโครงการ ติดถนนจรัญสนิทวงศ์ หน้าสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีบางยี่ขัน ใกล้สี่แยกปิ่นเกล้า ภายใต้แนวคิด “Sustainable Living” การมีคุณภาพชีวิต ในการอยู่อาศัยที่ดี และมีความสุข อย่างยั่งยืน” ทั้งนี้ได้กำหนดเปิดขายอย่างเป็นทางการ “Big Day” ในวันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน นี้ โดยผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันนี้ เพื่อรับสิทธิ์ Gift Voucher มูลค่า 10,000 บาท เมื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดภายในระยะเวลาที่กำหนด      โครงการเดอะ พาร์คแลนด์ จรัญฯ-ปิ่นเกล้า มีพื้นที่โครงการกว่า 11 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนจรัญสนิทวงศ์ ซอย 42 ซึ่งถือเป็นถนนสายหลักของคนในย่านนี้ และอยู่ติดสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำ สถานีบางยี่ขัน (โดยคาดว่าเปิดให้บริการได้ในปี 2563)  มูลค่าโครงการประมาณ 6,000 ล้านบาท ประกอบด้วยอาคารสูง 22 ชั้น จำนวน 1 อาคาร 3 ทาวเวอร์ จำนวนทั้งสิ้น 1,784 ยูนิต ขนาด 1 และ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย เริ่มตั้งแต่ 24 -75 ตารางเมตร โดยมี Room types ที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต่างกัน  จัดเต็มด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันที่สุด ได้แก่ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาดใหญ่กว่า Half Olympic และ Sport Facilities 3 ชั้น ประกอบไปด้วย Yoga Fly, lounge, Boxing Corner, Fitness, Sauna room แยกชาย-หญิง และ Double Sky Lounge ประกอบไปด้วย Social club, Mini-theater room, Golf simulator room, Co-working space,  Meeting room, Lounge และ Roof Top Garden ที่สามารถมองเห็นวิวสะพานพระรามแปดได้ 360องศา และวิวเกาะรัตนโกสินทร์ได้อย่างงดงาม พร้อมด้วยสวนส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่ มีที่จอดรถรองรับได้จำนวน 925 คัน การเดินทางสะดวกสบายทั้งรถไฟฟ้า และรถยนต์ส่วนตัวเพราะใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก อยู่ใกล้กับแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ โรงพยาบาล และ มหาวิทยาลัย เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลปิ่นเกล้า, โรงภาพยนตร์เมเจอร์ปิ่นเกล้า, โรงพยาบาลศิริราช และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยโครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จเดือน เมษายน 2562     “ปัจจุบันการที่จะหาที่ดินผืนใหญ่กว่า 10 ไร่ ในเมืองและใกล้หน้าสถานีรถไฟฟ้า คงหาได้ยากแล้ว แต่โครงการนี้เพราะด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ และโครงการมีขนาดใหญ่ จึงทำให้โครงการของเราโดดเด่นและครบสมบูรณ์ทุกด้าน ทั้งในเรื่องของ Location, Product และ facility ตลอดจนพื้นที่ส่วนกลาง ที่เรากล้าให้ในสิ่งที่มากกว่า ซึ่งขณะนี้จากที่เปิดขายไปแล้ว 2 ตึกก่อนหน้านี้มียอดขายแล้วประมาณ 86% ทั้งนี้บริษัทฯมีโครงการที่พัฒนาในแนวเส้นรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ณ ปัจจุบัน จำนวน 4 โครงการ ประกอบด้วย เดอะพาร์แลนด์ บางแค , เดอะพาร์คแลนด์ เพชรเกษม-ท่าพระ ,เดอะพาร์คแลนด์ จรัญ-ปิ่นเกล้า และเดอะพาร์แลนด์ เพชรเกษม 56” นายเจนต์ชัย กล่าวต่อว่า   นายเจนต์ชัย กล่าวต่อว่า  ในส่วนภาพรวมตลาดอสังหาฯ เมื่อเทียบกับ 4-5 ปีก่อน จะเห็นว่ากำลังซื้อภายในประเทศลดลง โดยเฉพาะกำลังซื้อเพื่อการลงทุน ผู้ประกอบการจึงควรปรับแผนการดำเนินงานเข้าสู่โหมดใหม่ (new normal) ซึ่งต้องวางแผนปรับอัตราการขยายตัว อัตราการขาย และอัตราการหมุนเวียนเงินทุนให้เหมาะสมกับภาวะตลาดจริง และสำหรับมาตรการคุมเข้มสินเชื่อบ้านที่ทางแบงค์ชาติ กำลังพิจารณาอยู่นั้น  โดยส่วนตัวเห็นว่าควรออกมาก่อนหน้านี้นานแล้ว เพื่อชะลอการปรับตัวขึ้นของราคาอสังหาฯ ที่เป็นไปอย่างรวดเร็วเกินกว่ากำลังซื้อของผู้บริโภค เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคและ ผู้ประกอบการในระยะยาว  อย่างไรก็ตามการออกมาบังคับใช้มาตรการที่ช้าเกินไป และเข้มงวดเกินไปอาจมีผลกระทบกับ Real Demand มากกว่าชะลอความต้องการเพื่อการลงทุน ซึ่งปรับตัวลดลงกว่าแต่ก่อนเองอยู่แล้ว มาตรการควรต้องหาสมดุล ระหว่างผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบให้ดี ทั้งนี้กลยุทธ์ของผู้ประกอบการ ที่ควรต้องนำมาใช้ในภาวะนี้ คือ Product ต้องดีจริง Location ต้องใช่ ราคาต้องสมเหตุสมผล สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวปกป้องความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตที่ดีที่สุด โครงการที่มีพร้อมตามที่กล่าวมายังขายได้อยู่แน่นอน     บริษัท นารายณ์ พร็อพเพอตี้ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย จำนวน 6 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการการฟลอรา ติวานนท์ และ โครงการพาร์ค พรีว่า ถ.เทียมร่วมมิตร และ โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ เดอะ พาร์คแลนด์ เพชรเกษม-ท่าพระ, เดอะ พาร์คแลนด์ ระยอง, เดอะ พาร์คแลนด์ เพชรเกษม 56 ,เดอะ พาร์คแลนด์ จรัญ-ปิ่นเกล้า
“ณวรางค์ แอสเซท” กางแผน 3 ปี ผุดโปรเจ็คต์ใหม่กว่า 5,000 ล้าน  พร้อมเปิดตัว “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” คอนโดฯ เพื่อคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน

“ณวรางค์ แอสเซท” กางแผน 3 ปี ผุดโปรเจ็คต์ใหม่กว่า 5,000 ล้าน พร้อมเปิดตัว “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” คอนโดฯ เพื่อคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน

“ณวรางค์ แอสเซท” ประกาศพร้อมลุยตลาดอสังหาฯ ตั้งเป้า 3 ปี เดินหน้าพัฒนาโครงการมูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท ล่าสุดเปิดตัวโครงการ “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” คอนโดเจาะเรียลดีมานด์ คนรุ่นมิลเลนเนียล วัยเริ่มต้นทำงาน ย่านพหลโยธิน ราคาเริ่มต้นเพียง 2.49 ล้านบาท พร้อมเปิดพรีเซลปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ แย้มต้นปี’62 เตรียมเปิดโครงการใหม่ย่านเจริญนคร   นายอภิภู พรหมโยธี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากปิดการขายได้ 100% และประสบความสำเร็จอย่างมากในการพัฒนาโครงการ “ณ วรา เรสซิเดนซ์” โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ของบริษัทใน  ซอยหลังสวน มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท และกำลังจะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ บริษัทจึงได้มีการกำหนดแผนการดำเนินงาน 3 ปี (2561-2563) โดยตั้งเป้าพัฒนาโครงการใหม่มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท     “เป้าหมายของเราคือการพัฒนาโครงการเจาะกลุ่มเรียลดีมานด์ที่มีความต้องการอยู่อาศัยจริง เราจึงวางแผนการพัฒนาโครงการเพียงปีละ 2-3 โครงการในทำเลที่มีศักยภาพเท่านั้น ไม่เน้นปั้นของหวือหวา หรือการเปิดตัวโครงการปีละหลายสิบโครงการ เนื่องจากเราต้องการให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการให้มีคุณภาพและการขาย ที่สามารถสร้าง ขาย โอน ปิดโครงการได้จริง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้บริโภค และทำให้บริษัทเองก็สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน” นายอภิภู กล่าว ภายใต้แผน 3 ปีที่จะพัฒนาโครงการมูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท มีที่ดินพร้อมพัฒนาโครงการแล้ว 2 แปลง บริเวณพหลโยธินและเจริญนคร โดยจะเริ่มต้นจากการพัฒนาโครงการแรกที่พหลโยธินภายใต้ชื่อ “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” (Na Veera Phahol-Ari) เป็นคอนโด Low rise 8 ชั้น มูลค่าโครงการ 240 ล้านบาท สำหรับโครงการลำดับถัดไปที่บริษัทมีแผนจะพัฒนาและเปิดตัวในช่วงต้นปี 2562 เป็นโครงการคอนโดมิเนียม High rise ย่านเจริญนคร มูลค่าโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาท สำหรับโครงการ ณ วีรา พหลฯ-อารีย์ ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพในย่าน “อารีย์-พหลโยธิน” ซึ่งเป็นย่านที่กำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์รวมอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ โดยจากการสำรวจพื้นที่ย่านพหลโยธินของบริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด พบว่า ทำเลดังกล่าวมีอาคารสำนักงานเกรด A และโครงการมิกซ์ยูสที่เพิ่งเปิดใช้งานถึง 3 อาคาร ขณะเดียวกัน ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะมีทั้งโครงการมิกซ์ยูส โรงพยาบาล และสำนักงานเปิดใหม่อีกหลายแห่ง ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อการทำงานและใช้ชีวิตย่านนี้ เติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ   นายอภิภู กล่าวเพิ่มว่า โครงการ ณ วีรา พหลฯ-อารีย์ ตั้งอยู่ในซอยพหลโยธิน 14 ที่รายล้อมด้วยอาคารสำนักงานชื่อดัง มากมายและเต็มไปด้วย ร้านอาหาร, คาเฟ่ชิคๆ, และคอมมูนิตี้มอลล์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มมิลเลนเนียล ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความใส่ใจในที่อยู่อาศัย เน้นเดินทางสะดวก ไม่ว่าจะไปทำงานหรือพบปะสังสรรค์กับเพื่อน โครงการจึงพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดที่ตอบโจทย์กับคนกลุ่มนี้ โดยเป็นที่พักอาศัยในราคาที่เข้าถึงได้ ในย่านแหล่งงาน ใกล้กับรถไฟฟ้า ภายในโครงการมีห้องพักทั้งแบบ 1 ห้องนอน และ 1 ห้องนอนพิเศษ ขนาดตั้งแต่ 23.13-33.55 ตร.ม. โดยออกแบบให้การใช้งานภายในห้องมีความหลากหลาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อิสระของชาวมิลเลนเนียล พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส Co-working spaceรถรับ-ส่งสถานีรถไฟฟ้า ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.49 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยต่อตร.ม. เพียง 110,000 บาท/ตร.ม. เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 1/2562 และก่อสร้างเสร็จในช่วงไตรมาส 1/2563 “เรามุ่งจับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ วัยทำงานที่มีไลฟ์สไตล์เป็นของตัวเอง ชื่นชอบการใช้ชีวิตอิสระ แต่ก็ไม่ได้ละเลยในเรื่องของรายละเอียดการใช้ชีวิตและการวางอนาคตให้กับตัวเอง ซึ่งที่โครงการ ณ วีรา สามารถตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ได้ดีที่สุด ดังนั้นจึงถือได้ว่ามีความคุ้มค่าอย่างยิ่งไม่ว่าจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือซื้อเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานก็จะยิ่งทวีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต” นายอภิภูกล่าว   ด้าน นายองคฤทธิ์ พรหมโยธี กรรมการบริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด  กล่าวว่า การออกแบบสถาปัตยกรรมของโครงการ ได้นำรูปแบบสถาปัตยกรรมของย่านที่อยู่อาศัยในแถบยุโรปมาปรับใช้กับโครงการ โดยหยิบเอาองค์ประกอบต่างๆ มาลดทอนผสมผสาน และได้ถอดประเด็นแนวความคิดงานออกแบบสถาปัตยกรรม ภายใต้คำว่า คลาสสิค ทวิสต์ (Classic Twist) นอกจากนั้นยังมีการใช้งานภายในห้องที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เช่น การออกแบบพื้นที่ครัวแยกอย่างเป็นสัดส่วนเหมาะสำหรับคนชอบทำอาหาร การออกแบบพื้นที่นั่งเล่นริมหน้าต่างในห้องนอนเหมาะสำหรับคนที่ต้องการพักผ่อนและสามารถผ่อนคลายได้ในทุกพื้นที่ที่อยู่อาศัย การออกแบบให้มีห้องแต่งตัวแยกตอบโจทย์กลุ่มคนที่สนใจเรื่องแฟชั่นและการแต่งตัว เป็นต้น “การออกแบบคำนึงการนำลักษณะของสถาปัตยกรรมเดิม มาประยุกต์ให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น แต่ยังคงมีกลิ่นอายของความคลาสสิค เน้นความเรียบง่าย แต่ดูดี และมีพื้นที่ให้ผู้อยู่อาศัยสามารถแสดงถึงความเป็นตัวตนหรือสะท้อนกิจกรรมยามว่างของตัวเองออกมา” นายองคฤทธิ์ กล่าว   สำหรับโครงการ  “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” อยู่ห่างจากปากซอยพหลโยธิน 14 ไม่เกิน 200 เมตร ด้วยทำเลที่ตั้งนี้ ทำให้ผู้พักอาศัย สัมผัสได้ถึงความเป็นส่วนตัว อีกทั้งยังก็มีความสะดวกสบายในการเดินทาง ไม่ว่าจะด้วยรถไฟฟ้าหรือรถยนต์ส่วนตัว ที่สามารถทะลุไปยังซอยต่างๆ ได้มากมาย อาทิ ซอยสายลม ซอยอินทรามระ เป็นต้น สำหรับ โครงการ ณ วีรา กำลังจะเปิดขายครั้งแรกอย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2561 โดยผู้สนใจสามารถเข้าดูรายละเอียดโครงการได้ที่ www.navarangasset.com หรือ โทร 085-368-2222
ครั้งแรกในไทย! “แสนสิริ” ผนึก “โตคิว คอร์เปอเรชั่น” ดึง “สมิติเวช” ร่วมเสริมแกร่ง  ประกาศพันธมิตร เปิดตัว “เวลล์เนส เรสซิเดนซ์” ต่อยอดศักยภาพ 3 ผู้นำธุรกิจ

ครั้งแรกในไทย! “แสนสิริ” ผนึก “โตคิว คอร์เปอเรชั่น” ดึง “สมิติเวช” ร่วมเสริมแกร่ง ประกาศพันธมิตร เปิดตัว “เวลล์เนส เรสซิเดนซ์” ต่อยอดศักยภาพ 3 ผู้นำธุรกิจ

“แสนสิริ” “โตคิว คอร์เปอเรชั่น” ร่วมด้วย “โรงพยาบาลสมิติเวช” ยักษ์ใหญ่ผู้นำ 3 ธุรกิจ ด้านอสังหาฯในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น และโรงพยาบาลระดับนานาชาติชั้นนำในไทยผนึกกำลังประกาศพันธมิตร เดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ “เวลล์เนส เรสซิเดนซ์” (Wellness Residence) ที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ครั้งแรกในไทยพัฒนาขึ้นจากการศึกษาอย่างครอบคลุม เจาะกลุ่มคนรักสุขภาพคอนเซ็ปท์ใหม่ พร้อมรับรองมาตรฐานระดับโลก WELL Certification เปิดมิติใหม่แห่งการใช้ชีวิตด้วยแนวคิดการส่งเสริมสุขภาพดีในทุกๆด้านจากความต้องการของคนทุกวัย มูลค่าโครงการกว่า 2,400 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพกรุงเทพกรีฑา ครบครันด้วยการสร้างคอมมูนิตี้และกิจกรรมไลฟ์สไตล์แห่งการอยู่อาศัยจากแบรนด์ชั้นนำมากมาย เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจที่เริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ มุ่งพลิกโฉมการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีในไทยสอดรับเทรนด์เวลล์เนสโลกและในไทยที่เติบโตขึ้น   นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบริหารกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ปัจจุบัน คนเราใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากกว่าเมื่อเทียบกับเวลาในชีวิต และพร้อมจะจ่ายในสิ่งที่ต้องการเพื่อการดูแลสุขภาพ จากบ้านที่เราอาศัยสู่การใช้ชีวิตที่หลากหลายรวมถึงการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ดังนั้น การได้อยู่ในบ้านที่ถูกสร้างเพื่อส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพดี จึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนทุกวัย จากรายงานการศึกษาเรื่องที่อยู่อาศัยเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี (Build Well to Live Well 2018) ที่สถาบันสุขภาพโลก (Global Wellness Institute) จัดทำขึ้นในปีนี้ พบว่านับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา การพัฒนาที่อยู่อาศัยในกลุ่มเวลล์เนสเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีทั่วโลกมีมูลค่าตลาดประมาณ 4.4 ล้านล้านบาท หรือ 134,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการเติบโต 6.4% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมการก่อสร้างของโลกที่เติบโตที่ 1.5% และสามารถทำกำไรเฉลี่ยประมาณ 10-25% โดยปัจจุบัน มีโครงการและชุมชนที่เน้นการสร้างไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพดีประมาณ 740 แห่งทั่วโลก”     “แสนสิริ จึงได้พัฒนาโครงการในเซ็กเม้นท์ใหม่ “เวลล์เนส เรสซิเดนซ์” จากแนวคิดที่ต้องการนำเสนอที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่เป็นครั้งแรกของไทยที่สร้างขึ้นจากการศึกษาอย่างครอบคลุม ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบที่อยู่อาศัยครบวงจรที่คำนึงถึงการดีไซน์สวยงามที่ตอบโจทย์การใช้งาน (Style Living) เราได้นำแนวคิดการออกแบบที่เข้าใจความต้องการของมนุษย์มาใช้ในการพัฒนาทุกโครงการ ในครั้งนี้ เราจึงได้ร่วมมือกับโตคิว คอร์เปอเรชั่น ซึ่งเป็นนักพัฒนาจากญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากในด้านการพัฒนาโครงการเพื่อการใช้ชีวิตที่ดีในทุกช่วงวัย รวมถึงร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติเกี่ยวกับความเชี่ยวชาญในด้านการยกระดับการดูแลสุขภาพ เพื่อสร้างสรรค์โครงการคอนโดมิเนียมสำหรับคนรักสุขภาพที่จะยกระดับมาตรฐานโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อไลฟ์สไตล์ที่เน้นสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไปอีกขั้น โครงการนี้จะเป็นโครงการที่อยู่อาศัยและคอมมูนิตี้แห่งแรกในประเทศไทยที่พัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงสุขภาพของผู้อยู่อาศัยเป็นหัวใจสำคัญ ภายใต้แนวคิด 5 ด้านที่เป็นองค์ประกอบของการส่งเสริมการมีสุขภาพดี ได้แก่ด้านร่างภาย (Body) จิตใจ (Mind) จิตวิญญาณ (Soul) สิ่งแวดล้อม (Environment) และการใช้ชีวิตในสังคมที่รักสุขภาพ (Like minded community) โดยสะท้อนผ่านทั้งในการกำหนดคอนเซ็ปต์ การออกแบบการคัดสรรวัสดุที่ดีต่อสุขภาพ การตกแต่งและใช้เฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัวที่เหมาะกับสรีระผู้ใช้งาน ตลอดจนผสานจุดแข็งของพันธมิตรแต่ละรายเข้าด้วยกันอย่างครบวงจร เพื่อสร้างสรรค์โครงการที่มีดีไซน์ โดดเด่นเพื่อการมีสุขภาพที่ดีในทุกมิติ”   แสนสิริ, โตคิว กรุ๊ป และ สห โตคิว คอร์ปอเรชั่น ร่วมมือกันโดยมีสัดส่วนการลงทุน 70:29:1 ตามลำดับ โดยโรงพยาบาลสมิติเวชจะร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์มอบบริการด้านสุขภาพเพื่อสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่เป็น “Well-Cared” ซึ่งสรรหาโครงการที่อยู่อาศัยที่จะทำให้ตนเองสามารถรักษาสุขภาพดีที่ยืนยาว รวมทั้งมีเพื่อน มีสังคมที่มีความต้องการอย่างเดียวกัน     มร. ชินจิ สึยามะ ผู้จัดการทั่วไป และตัวแทนในประเทศไทย บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) กล่าวว่า “เป้าหมายของเรา คือ การสร้างสรรค์ “สิ่งแวดล้อมที่สวยงาม” มีความอบอุ่น เพื่อการใช้ชีวิตที่ดี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงชีวิตของผู้คน (Sustainable Living) ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จมาก คือ การสร้าง Business model หรือการผสานองค์ความรู้ที่เราเรียกว่า “One Tokyu” เข้ากับความรู้และประสบการณ์กับธุรกิจในเครือ บริษัทได้นำความเชี่ยวชาญการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่คำนึงถึงการสร้างสภาพแวดล้อมในการอยู่อาศัยที่มีคุณภาพ มีประโยชน์ใช้สอยและรองรับการใช้ชีวิตได้จริง ซึ่งถือเป็นทักษะสำคัญจากทีมสถาปนิกของโตคิว กรุ๊ป ทั้งยังได้นำการออกแบบที่สอดคล้องกับสภาพร่างกายมาใช้ในการออกแบบพื้นที่ที่อยู่อาศัย ตลอดจนข้อมูลจากการศึกษาตลาดและประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่คำนึงถึงสุขภาพมาให้ได้สัมผัส ซึ่งจะยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่และเกิดประโยชน์ต่อผู้ที่อาศัยในโครงการอย่างเต็มที่”     ด้าน พ.ญ. สุรางคณา เตชะไพฑูรย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวชและโรงพยาบาลบีเอ็นเอช กล่าวว่า “ข้อมูลจากทีดีอาร์ไอ เปิดเผยผลประมาณการค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยในอีก 15 ปีข้างหน้าตามหลัก OECD จะมีค่าประมาณ 4.8 – 6.3 แสนล้านบาท นอกจากนี้ การวิจัยใหม่ๆ ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยทางพันธุกรรมของคนมีผลประมาณ 20% ต่อสุขภาพของเรา ส่วนที่เหลืออีก 80% นั้น เป็นผลจากการใช้ชีวิตและปัจจัยภายนอก เช่น บ้าน ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งล้วนแต่มีผลโดยตรงต่อสุขภาพ พฤติกรรม วิถีชีวิต และอารมณ์ ดังนั้น ในฐานะผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพชั้นนำ เรามุ่งเน้นหลักการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ด้วยการสร้างคุณค่าต่อผู้รับบริการ สังคมและประเทศผ่านคอนเซ็ปท์ “เราไม่อยากให้ใครป่วย” โดยใช้นวัตกรรมให้ผู้รับบริการ รู้เท่าทัน-สกัดกั้น-วางแผน เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีแบบองค์รวม (Holistic living)เนื่องมาจากปัญหาของผู้ป่วยทั้งกายและใจ นอกจากนี้ การใช้นวัตกรรมดูแลสุขภาพ Precision Medicine เทคโนโลยีตรวจวิเคราะห์ระดับยีนเฉพาะบุคคล สามารถเจาะลึกได้ทุกโรค เพื่อบ่งบอกความเสี่ยงการเกิดโรคได้ล่วงหน้าได้ตั้งแต่ในครรภ์ ยังสามารถช่วยสกัดกั้นโรคต่างๆ ตั้งแต่ก่อนคลอด หรือแรกเกิด ทำให้ทุกชีวิตเกิดมา   อย่างมีคุณภาพและปลอดโรคภัยไข้เจ็บตั้งแต่เริ่มแรก สมิติเวชมีความตั้งใจเพื่อมุ่งเน้นให้ผู้คนไม่เจ็บป่วย อันจะช่วยลดการเจ็บป่วยจากโรคที่เกิด ลดการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษา Healthcare cost โดยรวมลดลง รวมถึงช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้นทุกปีจากการที่ผู้ป่วยมีจำนวนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อ GDP (Gross Domestic Product) ของประเทศในการพยุงเศรษฐกิจชาติเมื่อประชาชนมีสุขภาพดีขึ้น และนี่คือการสร้าง “องค์กรแห่งคุณค่า” (Organization of Value)”   “นอกจากนี้จากการที่ปัจจุบันผู้บริโภคควรเริ่มตระหนักถึงโครงการที่อยู่อาศัยที่เข้าใจและให้ความสำคัญต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของเราเป็นหลัก เพื่อช่วยให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและใช้ชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น เราจึงเห็นว่ามีโอกาสอีกมากในตลาดที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพสูงและให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดี และความต้องการของผู้บริโภคในตลาดนี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การร่วมเป็นพันธมิตรกับแสนสิริและโตคิว คอร์เปอเรชั่น จะเป็นช่องทางในการเพิ่มรายได้ของเราอีกทางหนึ่ง นอกเหนือไปจากการขยายธุรกิจด้านบริการทางการแพทย์ที่เป็นธุรกิจหลักของเรา”     โครงการคอนโดมิเนียมสำหรับคนรักสุขภาพแห่งใหม่นี้ เป็นโครงการคอนโดมิเนียม 4 อาคาร รวมมูลค่า 2,400 ล้านบาท ที่นอกจากจะส่งเสริมการใช้ชีวิตที่ให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพแล้ว ยังจะเป็นการสร้างชุมชน “Wellness Community” ที่จะช่วยให้สามารถดูแลสุขภาพในองค์รวมได้อย่างครบวงจร โครงการดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่ 7 ไร่ บนถนนกรุงเทพกรีฑา ทำเลทองสำหรับการอยู่อาศัยและมีสิ่งแวดล้อมที่สงบ และสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์โดยรอบได้อย่างง่ายดาย การออกแบบโครงการเป็นไปตามแนวคิดที่เน้นการเติมเต็มทุกมิติในการใช้ชีวิตที่ดี ไม่ว่าจะเป็นความต้องการทางกายภาพ จิตใจ จิตวิญญาณ สิ่งแวดล้อม และสังคม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มพรีเซลล์ได้ในปี 2562 นี้ โดยมีจุดเด่นใน 4 ด้าน ได้แก่   ด้านจิตใจ (Mind) จิตวิญญาณ (Soul) และการใช้ชีวิตในสังคมแห่งสุขภาพ (Like-minded community) โครงการคอนโดมิเนียมรูปแบบใหม่สำหรับคนรักสุขภาพแห่งแรกของไทย ที่พรั่งพร้อมด้วยกิจกรรมและบริการจากไลฟ์สไตล์แบรนด์ชั้นนำระดับโลกและในไทยไว้ในที่เดียว โดยร่วมกับพันธมิตรจัดกิจกรรมและบริการต่างๆ ที่ส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีตั้งแต่วันนี้ เพื่อพัฒนาการด้านสุขภาพร่างกาย (Body) สุขภาพความคิดและจิตใจ (Mind&Soul) สังคมของผู้ที่มีความชอบคล้ายกัน (Like-minded Community) และการวางแผนชีวิตทางการเงิน (Wealth)   ด้านสุขภาพร่างกาย (Body) โครงการที่อยู่อาศัยแห่งแรกของไทยที่ออกแบบด้วยยูนิเวอร์แซล ดีไซน์ (Universal Design) และให้ความสำคัญกับความสวยงาม (Aesthetic Universal Design) การจัดการพื้นที่ให้รองรับกับการเปลี่ยนแปลงความต้องการในอนาคตทั้งในที่พักอาศัยและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ (Space planning & Ergonomic Design) โดยผสานการออกแบบที่โดดเด่นผ่านความเชี่ยวชาญร่วมกับพันธมิตรอย่างโตคิว   โครงการแรกของไทยที่มีโซลูชั่นเพื่อสุขภาพที่ครบวงจร บริการผ่านการใช้เทคโนโลยี Tele-health และ Plus+ Service โรงพยาบาลสมิติเวช จะนำนวัตกรรมทางการแพทย์และสุขภาพมาใช้เพื่อช่วยให้เราเห็น ป้องกัน และวางแผนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตได้อย่างครบวงจร ผู้อยู่อาศัยในโครงการจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ บริการเพื่อสุขภาพ และได้รับคำปรึกษา ตลอดจนบริการส่งเสริมสุขภาพทั้งทางกายภาพและจิตใจ ผ่านบริการโดยตรงและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ บริการด้านสุขภาพสำหรับผู้อยู่อาศัยจะเน้นการป้องกัน และการให้คำปรึกษา เช่น การตรวจสุขภาพก่อนย้ายเข้าโครงการ การให้ความรู้ส่งเสริมสุขภาพ และการตรวจหาปัญหาสุขภาพ ตลอดจนโปรแกรมอื่นๆ เช่น การตรวจสอบทางพันธุกรรมและการแพทย์ ที่เจาะลึกระดับยีน (Precision Medicine) รวมทั้งอุปกรณ์ตรวจสุขภาพเพื่อให้คำแนะนำด้านสุขภาพแก่ผู้อยู่อาศัยได้อย่างทันท่วงทีผ่านการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ (Tele-health) นอกจากนี้ แสนสิริยังจะนำบริการ Plus+ Service มาใช้ โดยเป็นแนวคิดด้านการบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์แรกของไทยซึ่งมีโรงพยาบาลสมิติเวชเป็นผู้ให้ความรู้และฝึกอบรม เพื่อให้ข้อมูลความรู้แก่ลูกค้าในโครงการ รวมทั้งบริการฉุกเฉินตลอดเวลา ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) มาตรฐานบทใหม่ของโครงการที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่สำหรับคนรักสุขภาพในประเทศไทยที่ยกระดับสู่การรับรองมาตรฐานระดับโลก WELL Certification จากสถาบัน WELL Building InstituteTM ในสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างโมเดลใหม่ในการพัฒนาโครงการ ที่ผสานจุดเด่นด้านการดูแลสุขภาพเข้ากับสิ่งแวดล้อมอย่างกลมกลืน โดยให้ความสำคัญกับ 11 ปัจจัยหลัก ได้แก่ อากาศ น้ำ โภชนาการ แสง การเคลื่อนไหว ความสบาย เสียง วัสดุ จิตใจ ชุมชน สังคม และ นวัตกรรม WELL (เวลล์) เป็นมาตรฐานรับรองแรกที่รับประกันประสิทธิภาพของระบบโดยวัดผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมที่มีต่อสุขภาพ และเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับระดับโลก   “เราหวังว่าโครงการเวลล์เนส เรสซิเดนซ์นี้ จะเป็นมิติใหม่ด้านกลยุทธ์ที่สามารถตอบโจทย์คนที่รักสุขภาพแบบครบองค์รวมได้อย่างดี รวมถึงความเชี่ยวชาญของพันธมิตรระดับชั้นนำที่มั่นใจว่าจะสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ส่งเสริมให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีได้ตั้งแต่วันนี้” นายปิติกลาวสรุป
“นายณ์ เอสเตท” เปิดชม “ควอร์เตอร์ 31” โครงการไฮเอนด์ใจกลางสุขุมวิท ครั้งแรก ชูแนวคิด “Luxury Urban Residences” ฉีกทุกกฎการอยู่อาศัยในรูปแบบเดิมๆ หลังเปิดพรีเซลด้วยยอดขายทะลุเป้ากว่า 450 ล้าน

“นายณ์ เอสเตท” เปิดชม “ควอร์เตอร์ 31” โครงการไฮเอนด์ใจกลางสุขุมวิท ครั้งแรก ชูแนวคิด “Luxury Urban Residences” ฉีกทุกกฎการอยู่อาศัยในรูปแบบเดิมๆ หลังเปิดพรีเซลด้วยยอดขายทะลุเป้ากว่า 450 ล้าน

“นายณ์ เอสเตท” ตอกย้ำความเป็นบริษัทชั้นนำในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี ที่โดดเด่นในเรื่องงานดีไซน์ ล่าสุดประกาศเปิดตัวโครงการ “ควอร์เตอร์ 31” ภายใต้แนวคิด “Luxury Urban Residences”ซูปเปอร์ลักชัวรีคลัสเตอร์โฮม ใจกลางสุขุมวิท ในราคาเริ่มต้น 45 ล้านบาท พร้อมลิฟต์ส่วนตัวและที่จอดรถ 4 คันในทุกยูนิต โดดเด่นด้วยการออกแบบสถาปัตยกรรมภายนอกที่ล้ำสมัย แต่ยังคงให้ความสำคัญต่อแลนด์สเคปและพื้นที่สีเขียว ที่เชื่อมต่อพื้นที่บ้านและพื้นที่ส่วนกลางได้อย่างลงตัว พร้อมเปิดให้เข้าชมโครงการฯ เป็นครั้งแรก  27-28 ต.ค.นี้  นายสุธี ลิมปนชัยพรกุล ประธานอำนวยการ บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ทางบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบอีก 1 โครงการ คือ โครงการควอร์เตอร์ 31 (Quarter 31) ลักชัวรีคลัสเตอร์ โฮมบนสุขุมวิท 31 จำนวน 20 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 915 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการภายใต้ “ควอร์เตอร์ คอลเลกชั่น” (Quarter Collection) โดยปัจจุบันภายใน “ควอร์เตอร์ คอลเลกชั่น” ประกอบด้วย 3 โครงการได้แก่ 1.โครงการควอร์เตอร์ ทองหล่อ (Quarter Thonglor) บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีที่สามารถปิดการขายได้ตั้งแต่เปิดตัวโครงการ 2. โครงการควอร์เตอร์ 39 (Quarter 39) ลักชัวรีคลัสเตอร์โฮมในซอยสุขุมวิท 39 และ 3. โครงการควอร์เตอร์ 31 (Quarter 31) ซึ่งเป็นลักชัวรีคลัสเตอร์โฮมโครงการล่าสุด โครงการควอร์เตอร์ 31 (Quarter 31) ตั้งอยู่ในซอยสวัสดี (สุขุมวิท 31) บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ ในรูปแบบทาวน์โฮมระดับซูปเปอร์ลักชัวรี 3.5 ชั้น จำนวน 20 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 45 ล้านบาท ประกอบด้วยบ้าน 2 แบบคือ แบบ A หน้ากว้าง 6.1 เมตร ขนาดที่ดิน 30-42 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 425 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ จำนวน 10 ยูนิต และแบบ B หน้ากว้าง 6.6 เมตร ขนาดที่ดิน 33-42 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 431 ตารางเมตร 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ จำนวน 10 ยูนิต   สำหรับความโดดเด่นของโครงการนี้ คือ การพัฒนาโครงการในรูปแบบของคลัสเตอร์โฮม ที่มีความโดดเด่นเรื่องความสวยงามทางสถาปัตยกรรมและการดีไซน์ผังโครงการที่เน้นการเชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างบ้าน ไปยังพื้นที่ส่วนกลาง (Facilities) แต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นส่วนตัว โดยดีไซน์ ที่จอดรถให้อยู่บริเวณชั้นใต้ติดทั้งหมดเป็นถนนกว้าง 6 เมตรเชื่อมต่อเข้าถึงทุกยูนิต และสามารถจอดรถได้ถึง 4 คันต่อยูนิต และทุกหลังมีลิฟต์ส่วนตัวในการเชื่อมต่อการเข้าบ้านตั้งแต่ชั้นใต้ดินไปถึงทุกชั้น ความพิเศษของชั้นจอดรถใต้ดินคือถูกออกแบบให้มีเฉพาะทางเดินรถเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้ชั้นที่เป็นพื้นดินมีพื้นที่เพิ่มมากขึ้น โดยดีไซน์ให้เป็นพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 1 ไร่ ประกอบด้วย สระว่ายน้ำระบบเกลือขนาด 4x25 เมตร พร้อม Sun Deck ที่แวดล้อมด้วยสวนสวยจากไม้นานาชนิด ด้านการออกแบบในส่วนของตัวอาคาร เน้นออกแบบให้ที่ผู้อาศัยได้สัมผัสถึงความโปร่งโล่งสบาย เสมือนอยู่บ้านเดี่ยว ดังนั้นในส่วนของพื้นที่ห้องรับแขกจึงออกแบบความสูงของเพดานให้สูงถึง 6 เมตร (Double Volume) รองรับสายตาด้วยกระจกบานใหญ่เพื่อเชื่อมต่อแสงธรรมชาติ และพื้นที่สีเขียวกับห้องนั่งเล่นได้อย่างลงตัว พร้อมการตกแต่งด้วยวัสดุเกรดพรีเมียมทุกหลัง ทั้งลิฟต์ส่วนตัวคุณภาพระดับเดียวกับอาคารสำนักงานเกรดพรีเมียมที่สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 6 คน พร้อมกับชุดครัวแบรนด์ระดับโลกจากพ็อกเกนโพล Poggenpohl และเครื่องใช้ไฟฟ้าซีเมนส์ (Siemen) และยังพัฒนาการออกแบบให้ผนังบ้านแต่ละหลังให้มีช่องว่างตรงกลาง เพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้พักอาศัยมากที่สุด นอกจากนี้ การเข้าถึงพื้นที่ส่วนกลางของโครงการก็สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่เปิดประตูจากห้องรับแขกก็สามารถเดินออกไปใช้พื้นที่ส่วนกลางได้เลย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของรถที่ขับผ่านภายในโครงการเพราะพื้นที่ชั้นบนได้ถูกออกแบบให้เป็นเฉพาะพื้นที่ส่วนกลางเท่านั้น เพิ่มความสะดวกสบายในเรื่องการมาใช้ Facilities ทั้งสวนส่วนกลางและสระว่ายน้ำมากยิ่งขึ้น  ซึ่งนอกจากการดีไซน์ที่โดดเด่นแล้ว ยังโดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้งกลางสุขุมวิทอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นใจกลาง CBD ของกรุงเทพ ใกล้เอ็มควอเทียร์ สามารถเดินทางเข้าออกได้หลายเส้นทางทั้งถนนสุขุมวิทและเพชรบุรี ทั้งยังสะดวกสบายด้านการเดินทางแบบขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีพร้อมพงษ์ เป็นต้น นายสุธี กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการควอร์เตอร์ 31 จะเป็นอีกหนึ่งโครงการแห่งความภาคภูมิใจ ของบริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด  เหมือนดังเช่นโครงการอื่นๆ ที่ผ่านมา อาทิ โครงการควอร์เตอร์ 39 ที่สามารถคว้า 3 รางวัลใหญ่ระดับสากลจากเวที Asia Pacific Property Awards 2017-2018 ได้แก่ รางวัลชนะเลิศระดับห้าดาวการออกแบบสถาปัตยกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยยอดเยี่ยม (Best Architecture Single Residence) รางวัลชนะเลิศระดับห้าดาวสาขาการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยยอดเยี่ยม (Best Residential Landscape Architecture) และรางวัลชนะเลิศระดับห้าดาวโครงการที่อยู่อาศัยยอดเยี่ยม (Best Property Single Unit) พร้อมได้รับเกียรติให้เป็นตัวแทนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพื่อไปแข่งขันต่อในระดับโลกบนเวที International Property Awards 2017-2018 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ 2  โครงการที่ผ่านมา ภายใต้ ควอร์เตอร์ คอลเลกชั่น (Quarter Collection) ล้วนได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งหมดเกิดจากที่เราพัฒนาสินค้าได้ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทำเล ต้องยอมรับว่าราคาที่ดินในย่านสุขุมวิทมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้คอนโดมิเนียมในย่านนี้เติบโตอย่างรวดเร็วและมีราคาขายต่อตารางเมตรสูงมาก แต่ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่ก็ยังคงมีความต้องการอยู่บ้านมากกว่าคอนโดมิเนียม ประกอบกับงานออกแบบของเราที่แตกต่างจากโครงการอื่น จึงส่งผลให้ทั้ง 2 โครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และเรามั่นใจว่าโครงการที่ 3 คือ ควอร์เตอร์ 31 จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเช่นกัน เพราะนับตั้งแต่เราเปิดพรีเซลมาโดยยังไม่ได้เปิดให้เข้าชมโครงการเรามียอดขายไปกว่า 50% และเมื่อเปรียบเทียบแล้วจะพบว่าโครงการควอร์เตอร์ 31 คุ้มค่ามากทั้งในแง่การซื้ออยู่อาศัยเองเพื่อส่งต่อเป็นทรัพย์สินให้ลูกหลาน หรือซื้อเพื่อลงทุน เพราะได้ครอบครองทั้งที่ดินในย่านใจกลางเมืองที่นับวันราคาจะสูงขึ้นเรื่อยๆ และฟังก์ชั่นการออกแบบภายในบ้านระดับพรีเมียมที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัวในสังคมแบบเอ็กซ์คลูซีฟ เพียง 20 หลังเท่านั้น ที่สำคัญเมื่อเปรียบเทียบราคาขายต่อตารางเมตรกับคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ที่เปิดตัวตอนนี้ในย่านเดียวกัน ราคาขายเฉลี่ยอยู่ 300,000 บาทต่อตรม. ขึ้นไป ในขณะที่ ควอร์เตอร์ 31 มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 100,000 กว่าบาทต่อตรม. นับเป็นความคุ้มค่าอย่างมาก สำหรับผู้ที่อยากเป็นเจ้าของครอบครองบ้านหรูแนวคิดใหม่บนพื้นที่ Prime Location แห่งนี้ สามารถมาพบกันได้ในวันที่ 27-28 ต.ค.61 นี้ ที่โครงการ ควอร์เตอร์ 31 (Quarter 31) กับงาน Grand Opening ซึ่งจะเปิดให้เข้าชมโครงการเป็นครั้งแรก  พร้อมรับสิทธิพิเศษ ณ วันงานมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท นายสุธี กล่าวปิดท้าย   สนใจนัดหมายเพื่อเยี่ยมชมโครงการ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 063-9969954 หรือ www.NyeEstate.com          
พฤกษา บุกย่านรามคำแหง เปิด “เดอะทรี หัวหมาก” คอนโดใหม่ ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย

พฤกษา บุกย่านรามคำแหง เปิด “เดอะทรี หัวหมาก” คอนโดใหม่ ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย

พฤกษา ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาฯ ยังครองแชมป์คอนโด 2-3 ล้านต่อเนื่อง บุกย่านรามคำแหง เปิดคอนโดใหม่ “เดอะทรี หัวหมาก” มูลค่า 2,000  ล้านบาท  ติดเดอะมอลล์ บางกะปิ เชื่อมต่อรถไฟฟ้า 3 สาย  ชูจุดเด่นความเป็นส่วนตัวเพียง 7 ยูนิตต่อชั้น เปิดรับวิวด้วยห้องหน้ากว้างถึง 8 เมตร   และ O2 Lounge ห้องเติมอ๊อกซิเจนที่มอบอากาศบริสุทธิ์ราวกับอยู่วังน้ำเขียว ราคาเริ่ม 1.99 ล้านบาท   นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ย่านรามคำแหง เป็นทำเลที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก เพียบพร้อมไปด้วยสถาบันการศึกษาชั้นนำ และแหล่งไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบที่ตอบโจทย์คนในพื้นที่ นับเป็นอีกย่านหนึ่งที่มีจำนวนประชากรอาศัยอยู่ค่อนข้างเยอะ เนื่องจากเป็นแหล่งงาน แหล่งการศึกษา และเป็น Hub ของการคมนาคมทั้งทางบกและทางเรือที่สามารถเชื่อมต่อไปยังใจกลางเมืองได้  ในปัจจุบันกำลังจะมีรถไฟฟ้าตัดผ่านถึง 3 สาย ทำให้ย่านนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก จึงได้พัฒนาคอนโดมิเนียม “เดอะทรี หัวหมาก”  มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท จับกลุ่มลูกค้าในเซกเมนต์ 2-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป็นประชากรหลักของกรุงเทพ และเป็นเรียลดีมานด์ โดยในครึ่งปีแรก พฤกษาครองมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับหนึ่งในเซกเมนต์นี้ โดยโครงการติดถนนใหญ่รามคำแหง ใกล้แยกลำสาลี ด้านหลังโครงการอยู่ติดกับห้างเดอะมอลล์ บางกะปิ และใกล้รถไฟฟ้าที่เป็นจุดอินเตอร์เชนจ์ใหญ่ถึง 3 สาย ได้แก่ MRT สายสีส้ม (เส้นทางศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี)  BTS สายสีเหลือง (เส้นทางลาดพร้าว-สำโรง) และสายสีน้ำตาล (เส้นทางแยกลำสาลี-นนทบุรี)  นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นอยู่ที่จำนวนยูนิตที่มีเพียงแค่ 590 ยูนิตทั้งโครงการ หรือ เพียง 7 ยูนิตต่อชั้น ทำให้รู้สึกเป็นส่วนตัว ไม่อึดอัด อยู่สบาย ราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท” นายธิติพัทธ์ อดิลักษณ์ธราดล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม 1 เปิดเผยว่า “เดอะทรี หัวหมาก ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “เชื่อมต่อความสุขทุกจังหวะชีวิต” คอนโดมิเนียมที่เชื่อมต่อความสุขและความสะดวกเข้าด้วยกัน พัฒนาบนพื้นที่โครงการประมาณ 3  ไร่ 2 งาน แบ่งเป็นอาคาร Third Place สูง 4 ชั้น 1 อาคาร  อาคารพักอาศัยสูง 31 ชั้น 3 อาคาร และอาคารจอดรถสูง 10 ชั้น 1 อาคาร   จำนวนห้องพักรวม 590 ยูนิต  ขนาดห้องพักอาศัย 23.02-42.94 ตารางเมตร   สำหรับห้องขนาด 26 ตารางเมตรด้วยดีไซน์ห้องหน้ากว้างถึง 8 เมตร ทำให้ทุกพื้นที่ในห้องสามารถชมวิวได้สบายๆ  สามารถเชื่อมต่อการเข้าออกของทุกอาคารด้วยโถงทางเดินที่ชั้น 2 ตั้งแต่ทางเข้าโครงการ Third Place  อาคารพักอาศัย และอาคารจอดรถ ได้อย่างสะดวกสบาย อีกทั้งยังเชื่อมต่อไปยังห้างเดอะมอลล์ บางกะปิ ในระยะเดินเพียงไม่กี่เมตร สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นไฮไลท์ของโครงการนี้คือ O2 Lounge พื้นที่ส่วนกลางที่มีการติดตั้งเครื่องผลิตอ๊อกซิเจนให้คุณได้พักผ่อนนชมวิวจากชั้น 31 ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ที่มีปริมาณออกซิเจนถึง 21 % เทียบเท่ากับปริมาณอ๊อกซิเจนที่วังน้ำเขียว เสมือนพักผ่อนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติทุกวัน นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกบนชั้น 31 ที่ตอบโจทย์ทุกรูปแบบการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น Theatre Room, Panoramic Chillaxing Zone, Panoramic Pool with jacuzzi, O2 Creative Zone และ Sky Kid’s Playground   จะเดินทางด้วยรถยนต์ก็สะดวกกับทางเข้า-ออกหลายเส้นทาง  รามคำแหง, พระราม 9, บางกะปิ, หัวหมาก, ศรีนครินทร์, สุวรรณภูมิ  หรือเดินทางไป CBD ก็สะดวกด้วยท่าเรือเดอะมอลล์ บางกะปิ  เปิดชมห้องตัวอย่างแล้ววันนี้ และงานเปิดขายรอบ V-VIP  วันที่ 27 ตุลาคม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1739 หรือ thetreecondo.pruksa.com/          
อนันดาฯ อวดโฉม “แอชตัน สีลม” แลนด์มาร์คแห่งแรกใจกลางถนนสีลม คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ตอบโจทย์ทั้งอยู่อาศัยและการลงทุน

อนันดาฯ อวดโฉม “แอชตัน สีลม” แลนด์มาร์คแห่งแรกใจกลางถนนสีลม คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ตอบโจทย์ทั้งอยู่อาศัยและการลงทุน

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า โชว์ความสำเร็จอีกหนึ่งความภาคภูมิใจ ด้วยการเปิดตึก “แอชตัน สีลม” ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมเปิดให้เข้าชมคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ที่โดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพเชื่อมต่อใจกลางเมืองบนถนนสีลม ราคาเริ่มต้น 8.9 ล้าน* มูลค่าโครงการกว่า 6,034 ล้านบาท  ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองอย่างแท้จริง การันตีความสำเร็จด้วยเสียงตอบรับจากกลุ่มลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติ โดยมียอดขายโครงการถึง 70%   สะท้อนให้เห็นว่าคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่กลางเมืองยังคงฮอตอย่างต่อเนื่อง   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการ แอชตัน สีลม ถือเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้เกิดขึ้นในวงการอสังหาฯ ด้วยการคว้าที่ดินแปลงงามบนถนนสีลมสายหลัก ( Silom Main road) บริเวณปากซอยสีลม 12 ใกล้โรงแรม Pullman Silom และเพียง 350 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี เชื่อมต่อกับ inner CBD ทั้งสาทร และ    สีลม เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรกที่เกิดขึ้นในรอบทศวรรษบนถนนสีลมเส้นหลัก  และด้วยการสร้างสรรค์ตัวอาคารด้วย “New Sculpture Building”  ครั้งแรกกับการเปิดมุมมองของที่อยู่อาศัยในรูปทรงอาคารสูง ดูโดดเด่น ทันสมัย สะท้อนวิสัยทัศน์ของผู้ครอบครองได้อย่างลงตัว ด้วยนวัตกรรมใหม่ “Vertical Interlocking” นำเสนอยูนิตพิเศษโดยการเล่นระดับระหว่างห้องนั่งเล่นและห้องนอน  ทำให้ได้ความสูงของเพดานที่ต่างกันเป็นพิเศษสูงสุดถึง 3.0-3.6 เมตร* โครงการ แอชตัน สีลม จึงได้รับการตอบรับจากลูกค้าไทยและต่างชาติเป็นอย่างดี ทั้งที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและเพื่อการลงทุน เพราะทุกยูนิตและทุกตารางนิ้วของโครงการได้คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนเมืองอย่างแท้จริง โครงการ แอชตัน สีลม ตั้งอยู่ในทำเลติดถนนใหญ่สีลม ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้มีรายได้สูงที่ต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลที่สะดวกสบายใจกลางเมือง ใกล้สถาบันการศึกษาชั้นนำสำหรับบุตรหลาน และยังตอบโจทย์นักลงทุนที่เน้นเก็งกำไรปล่อยเช่ากลุ่มชาวต่างชาติระดับบนซึ่งส่วนใหญ่มองหาคอนโดมิเนียมในโซน CBD ชั้นในที่ใกล้รถไฟฟ้าและมีความสะดวกสบายสูงใกล้สำนักงานชั้นนำมากมาย ซึ่งทำเลโซนสีลมนี้ถือเป็นทำเลทองยอดนิยมของชาวต่างชาติตลอดมา   จากการสำรวจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ สีลม-สาทร พบว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง แม้จะเป็นโซนที่มีที่ดินสำหรับพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างจำกัด แต่อัตราการเติบโตของคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ถือว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก ปัจจุบันพบว่าราคาขายคอนโดมิเนียมในทำเล สีลม-สาทร เฉลี่ยอยู่ในระดับสูง เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านที่ดินที่มีน้อยและมีราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการสูงขึ้นไปด้วย โดยโครงการใหม่ที่อยู่ใกล้ถนนหลัก หรือใกล้แนวรถไฟฟ้า มีราคาอยู่ในช่วง 200,000-300,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี   สำหรับนักลงทุนที่สนใจจะลงทุนปล่อยเช่าคอนโดฯในโซนกลางเมืองหรือโซน CBD นั้น ได้แก่ กลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานในเมืองไทย ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและเป็นกลุ่มเป้าหมายของคนที่ซื้อคอนโดในใจกลางเมืองเพื่อปล่อยเช่า  และการเลือกทำเลคอนโดเพื่อลงทุนปล่อยเช่าเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะ ถ้าทำเลไม่ดี ขายยาก ปล่อยเช่ายาก ราคาก็ไม่ขยับ แต่ถ้าคอนโดตั้งอยู่บนทำเลดี ราคามักสูงตามไปด้วย ปล่อยเช่าได้ง่ายมีผู้สนใจเช่าต่อเนื่อง โดยสามารถสร้างผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าได้ในอัตราสูง ซึ่งคอนโดมิเนียมราคาประมาณ 6.5 ล้านบาท สามารถปล่อยเช่าได้ในราคา 30,000 บาทต่อเดือน หากคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 5% ต่อปี   **กรมธนารักษ์ได้ดำเนินการจัดทำบัญชีราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินและโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างในรอบบัญชีปี 2559-2562 สีลมก็ยังคงรักษาแชมป์เอาไว้ได้ด้วยราคาที่ดินถูกปรับขึ้น 4.1% หรือ 1 ล้านบาทต่อตารางวา แต่ราคาประเมินกับราคาซื้อขายจริงนั้นมีความแตกต่างค่อนข้างมาก โดยราคาตลาดที่ดินทำเลสีลมปี 59 เฉลี่ยแล้วตกอยู่ที่ 1.65 ล้านบาทต่อตารางวา หรือมากกว่าราคาที่กรมธนารักษ์ประเมินถึง 65% โครงการ แอชตัน สีลม ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมหรูระดับลักชัวรี่พัฒนาในรูปแบบ High Rise สูง 48 ชั้น จำนวน 428 ยูนิต ประกอบด้วยห้อง 1 ห้องนอน ขนาด 31-49.5 ตรม. และ 2 ห้องนอน ขนาด 71.50-86.50 ตรม. มูลค่าโครงการรวม 6,034 ล้านบาท ความพิเศษของห้องพักมีเพียงแค่ 14 ยูนิตต่อชั้น เหนือระดับกับความเป็นส่วนตัวเสมือนได้อยู่บ้านอย่างแท้จริง ด้วยแนวคิดการออกแบบสไตล์ Luxury Neo Industrial รายล้อมด้วย Facilities ที่ครบทุกความต้องการ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูงบนถนนสีลม ติด BTS สถานีช่องนนนทรี เพียง 350 ม. อีกทั้งยังมีรถไฟฟ้า BTS และรถไฟใต้ดิน MRT ถึง 3 สถานี ได้แก่ รถไฟฟ้า BTS สถานีสุรศักดิ์ และ ศาลาแดง ส่วนรถไฟใต้ดิน MRT ก็ยังใกล้กับ สถานีสี-ลม จึงทำให้การเดินทางนั้นสะดวกสบายได้ด้วยรถไฟฟ้า หรือแม้แต่เดินทางด้วยรถยนต์ก็เดินทางสะดวก ภายในโครงการครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และระบบสาธารณูปโภคมากมาย อาทิ Swimming Pool, Kid’s Pool, Onsen, Jacuzzi, Fully Equipped Fitness,Private Gym,Massage Room, Library, Social Club and Botanical Lounge, Theatre และ Business Lounge พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ลงตัวทุกจังหวะของชีวิตจัดเต็มทุกความหรูหราแห่งการใช้ชีวิตมาไว้ในที่เดียว   นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญรอบโครงการ อาทิ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช อาคารสำนักงาน ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ มาบุญครอง และ สวนลุมพินี สวนสาธารณะที่เรียกได้ว่าเป็นปอดขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ อีกทั้งยังใกล้โรงเรียนเอกชนชั้นนำ เช่น โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ เป็นต้น รวมถึง เมกะโปรเจ็คใหม่ๆ ที่กำลังเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง          
“ออริจิ้น” โชว์ผลประกอบการดีต่อเนื่อง 9 เดือนแรกของปีกวาดยอดขายไปแล้วมากกว่า 20,000 ล้านบาท “พาร์ค ออริจิ้น” ยอดขายฉลุย โครงการสร้างเสร็จทยอยรับรู้รายได้ก่อนกำหนด

“ออริจิ้น” โชว์ผลประกอบการดีต่อเนื่อง 9 เดือนแรกของปีกวาดยอดขายไปแล้วมากกว่า 20,000 ล้านบาท “พาร์ค ออริจิ้น” ยอดขายฉลุย โครงการสร้างเสร็จทยอยรับรู้รายได้ก่อนกำหนด

ออริจิ้น โชว์ผลประกอบการเยี่ยมต่อเนื่อง หลังขยายอาณาจักรครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ แบรนด์ใหม่ “พาร์ค ออริจิ้น” 2 โครงการ พญาไท และทองหล่อกวาดยอดขายทะลุเป้า โครงการสร้างเสร็จ พาร์ค 24 เฟส 2 ทยอยโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้ก่อนกำหนดกว่า 2 ไตรมาส คาดชำระคืนเงินกู้ธนาคารหมดภายในสิ้นปีนี้ มั่นใจสิ้นปียอดขายทะลุ 2.4 หมื่นล้านบาทตามเป้า   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์ บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัท9 เดือนแรกของปี ถือว่าเติบโตได้อย่างยอดเยี่ยม ปัจจุบัน มียอดขายแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท เป็นผลจากโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ “พาร์ค ออริจิ้น” แบรนด์คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ สามารถสร้างยอดขายได้ทะลุเป้า เริ่มจากโครงการ “พาร์ค ออริจิ้น พญาไท” สามารถกวาดยอดขายไปได้แล้วกว่า 75% หรือมากกว่า 3,500 ล้านบาท โดยเพิ่งเริ่มเปิดขายอย่างเป็นทางการไปช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน โครงการแฟล็กชิพที่เพิ่งเปิดตัว “พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ” ก็สามารถกวาดยอดขายไปได้มากกว่า 40% หรือมากกว่า 5,000 ล้านบาท โดยที่ยังไม่ได้เปิดขายอย่างเป็นทางการ “บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ระดับ 24,000 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกของปีบริษัทมียอดขายสะสมทะลุ 20,000 ล้านบาทไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของบริษัทที่สามารถนำเสนอโครงการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบทั้งปีจะเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้” นายพีระพงศ์ กล่าว ในส่วนของโครงการ พาร์ค 24 เฟส 1 มูลค่าโครงการประมาน 6,000 ล้านบาท ปัจจุบันโอนไปแล้วกว่า 75% และชำระคืนหนี้ธนาคารหมดแล้ว และในส่วนของ เฟส 2 มูลค่าโครงการประมาน 11,100 ล้านบาท ที่สร้างเสร็จและโอนได้ก่อนกำหนด จากแผนเดิมที่จะเสร็จในไตรมาส 4  สามารถก่อสร้างได้เสร็จและเริ่มโอนได้ตั้งแต่มิถุนายนที่ผ่านมา ปัจจุบันโอนไปแล้วกว่า 20% เหลือคืนหนี้ธนาคารเพียง 2,500 ล้านโดยคาดว่าจะสามารถโอนเพิ่มและชำระคืนหนี้ได้หมดภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้พาร์ค 24 เฟส 2 ยังคงมี Backlog รอโอนอีกกว่า 4,700 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีสภาพคล่อง และกระแสเงินสดหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องเพียงพอกับการพัฒนาโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงการซื้อที่ดินเพื่อรองรับแผนการเติบโตของบริษัทในอนาคต   “ปีนี้เป็นปีที่เราขยายธุรกิจคอนโดมิเนียมจนครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ และเริ่มเดินหน้าประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งธุรกิจโครงการแนวราบ ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน เช่น โรงแรม คอมมูนิตี้มอลล์ โครงการมิกซ์ยูส ตามวิสัยทัศน์ในการสร้างอาณาจักรออริจิ้น หรือ The Empire of Origin และถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่การดำเนินการสามารถเป็นไปได้ตามเป้าหมาย สามารถสร้างผลประกอบการที่ยั่งยืนให้แก่บริษัท และเป็นแกนสำคัญที่ช่วยให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคครอบคลุมทุกกลุ่ม”   นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า บริษัทให้ความสำคัญกับทุกกระบวนการในการดำเนินงานของบริษัท และมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างหลากหลายในการดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ จึงทำให้มั่นใจได้ว่า บริษัทสามารถเติบโตไปในอนาคตได้อย่างยั่งยืน   บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 54 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 82,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร          
ธนาแลนด์ เปิดตัวทีมบริหารรุ่นใหม่ สานต่อปรัชญาสร้างที่อยู่อาศัยคุณภาพ พร้อมตั้งเป้าโตมากกว่า 10%

ธนาแลนด์ เปิดตัวทีมบริหารรุ่นใหม่ สานต่อปรัชญาสร้างที่อยู่อาศัยคุณภาพ พร้อมตั้งเป้าโตมากกว่า 10%

ธนาแลนด์ เจ้าตลาดอาคารสูงในย่านปิ่นเกล้า ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพที่เน้นคุณค่า ใส่ใจทุกรายละเอียดในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ขยับทัพเปิดตัวทีมบริหารคนรุ่นใหม่ ปรับสัดส่วนรายได้ เพิ่มสินค้าแนวราบเป็น 40% จากเดิมที่เน้นพัฒนาตึกสูง เดินหน้าพัฒนาที่อยู่อาศัย 1-3 โครงการ ตั้งเป้าโตมากกว่า 10% พร้อมจัดกิจกรรมพิเศษ “Thank You Party : Happiness at Thana Astoria” ในวันเสาร์ที่ 3 พ.ย. 61       นายโกวิทย์ สุวาณิชย์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาแลนด์ จำกัด เปิดเผยต่อสื่อมวลชนในโอกาสแถลงข่าวเปิดตัวทีมบริหารรุ่นใหม่ว่า “บริษัท ธนาแลนด์ จำกัด เป็นผู้มีประสบการณ์เชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย มากกว่า 40 ปี ก่อตั้งโดย ประธานกรรมการ คุณปนิธิ์ สุวาณิชย์กุล ที่มีปรัชญาแนวคิดและความตั้งใจจริงในการสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ให้แก่ลูกค้า ด้วยความทุ่มเทในการดูแลบ้านและคอนโดของลูกค้าในทุกขั้นตอน ทั้งการเลือกวัสดุที่มีคุณภาพ การตรวจสอบโครงสร้างให้ได้ความแข็งแรง การใส่ใจในการให้สาธารณูปโภคที่มากกว่า จากแนวคิดความใส่ใจต่อลูกค้าได้ฝังรากลึกลงในบริษัท ธนาแลนด์ฯ และถ่ายทอดมาจนถึงทีมผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ล้วนเป็น Young Generation ที่ขอเรียกตัวเองว่าเป็น “นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพ” โดยในทีมประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากทางสายวิชาชีพ ด้านวิศวกรรมโยธา, วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม และสถาปัตยกรรม รวมถึงผู้เชี่ยวชาญทางสายบริหาร การพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงทำให้ ในปัจจุบันบริษัท ธนาแลนด์ฯ มีจุดแข็งในเรื่องความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพ มีโครงสร้างแข็งแรง มีการออกแบบที่ตอบสนองต่อการใช้งานจริง โดยมีความละเอียดอ่อนทุกแง่มุม รวมถึงมีความโดดเด่นทางสุนทรียภาพ และการดูแลลูกค้าหลังการขาย”       ธนาแลนด์ ได้พัฒนาโครงการมาแล้ว ในหลายๆ ทำเลของกรุงเทพฯ ได้แก่ ย่านลาดพร้าว บางเขน เอกมัย และสามเสน เป็นต้น ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธนาแลนด์มีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมย่านปิ่นเกล้าเป็นจำนวนมาก เนื่องจากบริษัทมี Land Bank ในย่านนี้ ซี่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง จากการก่อสร้างรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินที่เป็นสายวงรอบของกรุงเทพฯ (ถนนจรัญสนิทวงศ์-รัชดาภิเษก) ส่วนผลประกอบการในปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายประมาณ 440 ล้านบาท เป้าหมายในปี 2561 บริษัทฯ ประมาณการยอดขายไว้ที่ 500 ล้านบาทคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ประมาณ 10% โดยมาจากโครงการ ธนา แอสโทเรีย ปิ่นเกล้า ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้วมากกว่า 80% คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ โครงการได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า รวมไปถึงการที่โครงการได้รับรางวัลโครงการอสังหาริมทรัพย์ดีเด่น ประจำปี 2561 จากศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทยอีกด้วย โดย ธนาแอสโทเรีย ปิ่นเกล้าเป็นคอนโดมิเนียม สูง 23 ชั้นจำนวน 497 ยูนิต โดดเด่น สง่างาม จากสถาปัตยกรรม อาร์ต เดคโค     แห่งมหานครนิวยอร์ค (New York Art Deco Inspired) สู่ความประณีตงดงามร่วมสมัยในสไตล์ โมเดิร์น อาร์ต เดคโค พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก Astoria Theater, NY Sport Room, SOHO Co-Working Space, Cortex Reading Lounge, Liberty Pool, จุดล้างรถ-เติมลมยาง, สวนสวยพร้อมสนามเด็กเล่นบริเวณชั้น 1, สวนโยคะที่ชั้น 5 และสวน High-Line Garden บนดาดฟ้า พร้อม Skyline Pavilion วิวสะพานพระราม 8 เพื่อการพักผ่อนของลูกค้า บนทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดในย่านปิ่นเกล้า บนถนนจรัญสนิทวงศ์ ระหว่างซอย 44 และ 46 ติดรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีบางยี่ขัน     ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันมีสภาพการแข่งขันที่สูงมาก โดยเฉพาะจากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ที่พัฒนาโครงการทุกทำเล และทุกระดับราคา สำหรับตลาดคอนโดมิเนียม มีการแข่งขันสูงมากตามแนวรถไฟฟ้าเป็นหลัก ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของโครงข่ายคมนาคมของกรุงเทพฯ ซึ่งโครงการของธนาแลนด์จะพัฒนาโครงการในระดับราคาตลาด กลาง-กลางบน เป็นหลัก ดังนั้นการพัฒนาโครงการของธนาแลนด์ จึงต้องสร้างความแตกต่าง เริ่มจากการเลือกทำเลที่ดีที่สุด พัฒนาแนวคิดการออกแบบที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ใส่ใจในรายละเอียด ใช้วัสดุอย่างดี มีคุณภาพ และขายในราคาที่คุ้มค่าต่อลูกค้า โดยแผนการดำเนินงานในปี 2562 ธนาแลนด์มีแผนที่จะพัฒนาโครงการในพื้นที่อื่นๆ ที่มีศักยภาพนอกเหนือจากย่านปิ่นเกล้าด้วย เช่น ย่านสาธุประดิษฐ์ ถนนราชพฤกษ์ และถนนลาดพร้าว โดยจะเพิ่มสัดส่วนโครงการในแนวราบ เช่น Luxury Town Home และโฮมออฟฟิศ รวมถึงพัฒนาโครงการ Low Rise Condominium แบบ Exclusive จากเดิมที่ปัจจุบันรายได้เกือบทั้งหมดมาจากโครงการแนวสูง ซึ่งในปีหน้า ธนาแลนด์จะเพิ่มสัดส่วนแนวราบประมาณ 40% ของรายได้ทั้งหมด ในส่วนของที่ดินรอการพัฒนา (Land Bank) ของบริษัท มีอยู่ในย่านปิ่นเกล้า และลาดพร้าว และกำหนดวงเงินสำหรับลงทุนซื้อที่ดิน ประมาณ 300-500 ล้านบาทในการหาซื้อที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย     สำหรับแผนงานด้านการตลาด และส่งเสริมการขาย บริษัทฯ เน้นช่องทางการสื่อสารประชาสัมพันธ์ทั้งของโครงการ และการสร้างแบรนด์ของบริษัทฯ ผ่าน Social Network และผ่านสื่อต่างๆทั้ง สื่อ Online และสื่อสิ่งพิมพ์ และกิจกรรม Below the Line โดยกิจกรรมที่กำลังจะมาถึง คือ งานขอบคุณลูกค้าของโครงการคอนโดมิเนียม ธนา แอสโทเรีย ปิ่นเกล้า “Thank You Party : Happiness at Thana Astoria” ในวันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน 61 ซึ่งจะมีกิจกรรมต่างๆ มากมาย อาทิ Workshop ทำขนมคัพเค้กกับคุณเพชร กรุณพล, Workshop Cactus ปลูกต้นกระบองเพชรน่ารักๆ, บริการล้างรถ-เติมลมให้ลูกค้า, กิจกรรม Dancing Class พร้อม Trainer Dancing บนลู่วิ่ง, Boxing Class และ Yoga Class, ร่วมสนุกถ่ายภาพแบบพิเศษด้วยกล้อง Selphy 360 องศา หมุนรอบตัว และปิดท้ายงานด้วยมินิคอนเสิร์ตในบรรยากาศอบอุ่นจากคุณอะตอม ชนกันต์ พร้อมมอบของขวัญของรางวัลมากมาย ซึ่งจะเป็นวันที่ธนาแลนด์ ส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าจากใจของธนาแลนด์ รวมถึงการดูแลลูกค้าในโครงการต่างๆ ที่ผ่านมาของ ธนาแลนด์ เพื่อสานสัมพันธ์อันดีตลอดไป     “ในส่วนของการดำเนินงาน ธนาแลนด์ เน้นการพัฒนาโครงการสำหรับที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยแผนการลงทุน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การพัฒนาโครงการเพื่อการขาย ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนหลักของธนาแลนด์ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม และการลงทุนอีกส่วน คือ พัฒนาโครงการเพื่อการเช่า ซึ่งจะทำให้มีกระแสเงินเข้ามายังบริษัทฯ ต่อเนื่องทุกเดือน ส่วนแผนการดำเนินงานในระยะยาวของบริษัท ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ยังคงเน้นพัฒนาโครงการด้านที่อยู่อาศัยเป็นหลักตามสิ่งที่ธนาแลนด์ถนัด ผสมผสานสัดส่วนโครงการแนวราบ และแนวสูง ให้เหมาะสมกันไปในแต่ละปี มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพให้ดียิ่งๆขึ้นไป ควบคู่กับการดูแลลูกค้าหลังการขาย ยึดมั่นสานต่อปรัชญาสร้างที่อยู่อาศัยคุณภาพ และแนวทางการทำงานของคุณปนิธิ์ สุวาณิชย์กุล ประธานกรรมการ บริษัท ธนาแลนด์ จำกัด ในเรื่องความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า และการพัฒนาโครงการให้ที่ดีที่สุด ตลอดระยะเวลา 40 ปี ที่ผ่านมา และในอนาคตธนาแลนด์ ยังมองถึงโอกาสของการนำบริษัทเข้าสู่ตลาดทุนอีกด้วย” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาแลนด์ จำกัด กล่าวปิดท้าย            
ศุภาลัย ลุยพัฒนาแบรนด์ ESSENCE ต่อเนื่อง กับโครงการศุภาลัย เอสเซ้นส์ สวนหลวง ชูความหลากหลายแบบบ้านและทำเลบางนา-ตราด

ศุภาลัย ลุยพัฒนาแบรนด์ ESSENCE ต่อเนื่อง กับโครงการศุภาลัย เอสเซ้นส์ สวนหลวง ชูความหลากหลายแบบบ้านและทำเลบางนา-ตราด

บมจ.ศุภาลัย เร่งเครื่องลุยพัฒนาแบรนด์แนวราบ “ESSENCE” ต่อเนื่อง เตรียมเปิดโครงการใหม่ “ศุภาลัย เอสเซ้นส์ สวนหลวง” เจาะตลาดระดับราคา 7 - 10 ล้านบาท บนทำเลคุณภาพใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว Pre-Sale 27-28 ตุลาคม 2561 นี้ ณ สำนักงานขาย นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการพัฒนาแบบบ้านรูปแบบใหม่ 3 ชั้น ทั้งบ้านเดี่ยวและบ้านรุ่นใหม่ พร้อมเปิดตัวแบรนด์แนวราบใหม่ภายใต้ชื่อ ESSENCE ประเดิมโครงการแรก ศุภาลัย เอสเซ้นส์ ลาดพร้าว ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย จนปัจจุบันสามารถกวาดยอดขายไปแล้วกว่า 65 % สำหรับไตรมาสสุดท้ายเตรียมเดินหน้าลุยแบรนด์  ESSENCE  อย่างต่อเนื่องกับ โครงการศุภาลัย เอสเซ้นส์ สวนหลวง นำผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยวและบ้านรุ่นใหม่ เพื่อเจาะตลาดระดับราคา 7 - 10 ล้านบาท ด้วยจุดเด่นความต่างของแบบบ้านแต่ละแบบที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้พักอาศัยได้อย่างหลากหลาย บนทำเลศักยภาพย่านบางนา - ตราด ที่มีการคมนาคมเข้าเมืองสะดวกสบาย ทำเลของการพักอาศัยที่มีคุณภาพ และสิ่งอำนวยความสะดวก ครบครัน ศุภาลัย เอสเซ้นส์ สวนหลวง สร้างสรรค์โครงการบนพื้นที่ประมาณ 15 ไร่ มูลค่าประมาณ 740 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “The Scent of Your Essence” สะท้อนทุกด้านที่เป็นตัวคุณ สัมผัสกับที่อยู่อาศัยแนวใหม่ในทำเลศักยภาพย่านบางนา - ตราด ซึ่งเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจด้วยทำเลที่รายล้อมทั้งแหล่งธุรกิจและแหล่งช็อปปิ้งขนาดใหญ่ในอนาคต พร้อมการคมนาคมที่สะดวกสบายเชื่อมต่อหลายเส้นทาง อาทิ ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 28 ถนนวงแหวนรอบนอก และถนนบางนา - ตราด ใกล้ทางพิเศษบูรพาวิถีและทางด่วนด่านบางนา รองรับด้วยระบบรถไฟฟ้าถึง 3 สาย รถไฟฟ้า Airport Rail Link สถานีบ้านทับช้าง รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีอุดม และ LRT บางนา - สุวรรณภูมิ (ในอนาคต) แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สวนหลวง ร.9 อิเกีย / เมกา บางนา พาราไดซ์ พาร์ค โรงเรียนนานาชาติ ชาร์เตอร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางนา โรงพยาบาลไทยนครินทร์ และสนามบินสุวรรณภูมิ  การออกแบบยังคงเอกลักษณ์ความเป็นบ้านที่ให้คุณอิสระกับความเป็นตัวเอง เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จที่ผสานทั้งความหรูหรา คุ้มค่า และความทันสมัยด้วยระบบ Home Automation อย่างลงตัว กับสังคมคุณภาพและเป็นส่วนตัวกับบ้านเพียง 86 หลังในโครงการ  พบกับบ้าน 3 ชั้น ที่ผสานฟังก์ชั่น การใช้งานภายในบ้านได้อย่างลงตัว  ในทุกพื้นที่และยังคงเอกลักษณ์การประหยัดพลังงาน ในราคาเริ่มต้นเพียง 7.3 ล้านบาท        บ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอยมากถึง 321 ตร.ม. 5 ห้องนอน 1 ห้องเก็บของ หรือปรับเปลี่ยนเป็นห้องแม่บ้าน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ พร้อมดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาทิ “Grand Vertical Living Room” ห้องนั่งเล่นเพดานสูงถึง 6 เมตร  และบ้านรุ่นใหม่  พื้นที่ใช้สอย 243 ตร.ม. 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ มาพร้อมกับ “Sky Terrace” ระเบียงขนาดใหญ่ชั้น 2 สามารถปรับเปลี่ยนทั้งมุมพักผ่อนหรือมุมปาร์ตี้ตามสไตล์ที่เป็นคุณ เพียบพร้อมด้วย Facilities ต่างๆ อาทิ สวนส่วนกลางให้คุณร่มรื่นด้วยสวนสวยพร้อม Play zone สโมสร สระว่ายน้ำ (ระบบน้ำแร่) และฟิตเนส มั่นใจกับระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV ภายในโครงการ และเข้า - ออก ด้วยระบบ Easy Pass (เฉพาะลูกบ้าน) สัมผัสมิติใหม่ของที่อยู่อาศัยในสังคมคุณภาพ ความคุ้มค่าที่พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของแล้ววันนี้ พบกันในงาน Pre-Sale 27-28 ตุลาคมนี้ พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย ณ สำนักขายโครงการ พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนและจองบ้านภายในงานรับเพิ่ม Samsung Galaxy Note 9 หรือ Gift Voucher Central มูลค่า 30,000 บาท สอบถามข้อมูลโทร. 1720 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.supalai.com
“บ้านนวัต” รามคำแหง 118  เรียบ หรู ประหยัดพลังงาน อยู่แล้วยั่งยืน

“บ้านนวัต” รามคำแหง 118 เรียบ หรู ประหยัดพลังงาน อยู่แล้วยั่งยืน

ในยุคที่ผู้คนโหยหาความเป็นรากเหง้าที่บรรพบุรุษสืบสานต่อๆ กันมา ทำให้คนรุ่นใหม่หันมาหลงใหลความเป็นไทยกันมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่การออกแบบ “บ้าน” ของโครงการต่างๆ ที่ประยุกต์ความโมเดิร์นและภูมิปัญญาไทยเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นเอกลักษณ์ที่ควรค่าแก่การลงทุน บริษัท พรีเมียร์ แอสเซ็ทส์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผ่านแนวคิดเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน เปิดโครงการใหม่ บ้านนวัต รามคำแหง 118 บ้านเดี่ยวนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “Thoughtful Design for Every Step of Life” บ้านสำหรับคนทุกเจเนอเรชั่น อยู่อาศัยอย่างเป็นส่วนตัวและยั่งยืนพร้อมประหยัดพลังงานเต็มรูปแบบ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเป็นส่วนตัว รักความเงียบสงบ มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย บนทำเลที่ลงตัวบนถนนรามคำแหง ซอย 118 แยก 33 เดินทางสะดวกด้วยการคมนาคมที่ครอบคลุมทุกเส้นทาง ในอนาคตสามารถใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) สถานีสัมมากร     บ้านนวัต รามคำแหง 118 โครงการบ้านเดี่ยวที่รองรับไลฟ์สไตล์ความเป็นส่วนตัวและเงียบสงบแก่ทุกคนในครอบครัว สามารถอยู่ร่วมกันทั้ง 3 รุ่น เพียง 23 หลัง มีมูลค่าโครงการกว่า 700 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 8 ไร่ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 3 ชั้น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ บนขนาดที่ดิน 72.8-166.4 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 363-576 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 29 ล้านบาท มีบ้านทั้งหมด 3 Type ได้แก่ 1.Type A พื้นที่ใช้สอย 557 ตร.ม. ขนาดที่ดิน 120.8-166.4 ตร.ว. ราคา 37 – 45 ล้านบาท 2.Type B พื้นที่ใช้สอย 576 ตร.ม. ขนาดที่ดิน 97.5-119.8 ตร.ว. ราคา 37 – 40 ล้านบาท และ 3. Type C พื้นที่ใช้สอย 363 ตร.ม. ขนาดที่ดิน 72.8-110.9 ตร.ว. ราคา 29 - 31 ล้านบาท   พรีเมียร์ แอสเซ็ทส์ ตั้งใจดีไซน์โครงการดังกล่าว ด้วยการกลั่นกรองอย่างพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการออกแบบ คำนึงถึงความสมดุลระหว่างประโยชน์ใช้สอยกับความงามทางสถาปัตยกรรม การออกแบบจัดวางผังที่ใส่ใจรายละเอียดในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วัสดุหรือการใช้นวัตกรรมที่เข้ามาสอดรับกับความต้องการในทุกรูปแบบของการใช้ชีวิตของสังคมคนเมืองในปัจจุบันและอนาคต จนกลายมาเป็นบ้านที่อยู่สบาย บำรุงรักษาง่าย ประหยัดพลังงานและมีประโยชน์ใช้สอยได้บนพื้นที่อย่างเต็มรูปแบบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย     การออกแบบผังโครงการคำนึงถึงความสุขของคนทุกช่วงวัย ให้ความสำคัญกับ ความเรียบง่ายและปลอดภัย ด้วยแนวคิดการอยู่อาศัยอย่างเป็นส่วนตัวและยั่งยืน ผ่านสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ สระว่ายน้ำและพื้นที่สีเขียวให้อยู่ภายในบริเวณบ้านทุกหลัง มีต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น พร้อมระบบการจัดการระบบการเดินสายไฟฟ้าใต้ดินรวมถึงสายใยแก้วนำแสงสำหรับระบบสื่อสาร มีระบบรักษาความปลอดภัยครบวงจร ตั้งแต่ระบบกล้องวงจรปิด ระบบเปิด-ปิดประตูทางเข้าโครงการอัตโนมัติควบคุมโดยระบบไร้สายได้จากเจ้าของบ้านทุกหลังในโครงการ รั้วไฟฟ้ารอบโครงการ และระบบรั้วไฟฟ้ารอบโครงการเพื่อป้องกันผู้บุกรุกทุกช่องทาง   ต่อด้วย สถาปัตยกรรมที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ โดยคำนึงถึงการใช้สอยจริงทุกรายละเอียด เน้นการประโยชน์สูงสุดจากธรรมชาติด้วยการวางผังให้บ้านอยู่ในทิศทางที่รับลม มีแสงธรรมชาติตลอดวันแต่ไม่ร้อน เพื่อลดการสิ้นเปลืองพลังงานอย่างแท้จริง ลดความร้อนด้วยความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่รอบบ้านและไอเย็นจากสระว่ายน้ำ มีกันสาดและแผงบังแดดเพื่อป้องกันจากแดดฝนที่รุนแรงในโซนร้อนชื้น และพิถีพิถันเรื่องการเลือกสรรวัสดุก่อสร้าง อาทิ ผนังกระจกนิรภัยสองชั้น (Laminated Glass) ติดตั้งบนกรอบบานอลูมิเนียม ที่ช่วยประหยัดพลังงาน ลดฝุ่น ความชื้น และความร้อนไม่ให้เข้ามาภายในตัวบ้าน   อีกเรื่องที่โดดเด่นคือ การจัดพื้นที่ภายในบ้านอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางพื้นที่และเฟอร์นิเจอร์ เช่น การจัดวางทิศทางการนอนที่เหมาะสม ผนังห้องนอนทุกด้านไม่ใช้ร่วมกับผนังห้องนอนอื่นเพื่อให้ความสงบเป็นส่วนตัว ส่วนห้องน้ำและห้องครัวจะหันไปทางทิศที่รับแดดเพื่อขจัดกลิ่นอับและฆ่าเชื้อโรค ยิ่งไปกว่านั้นยังใส่ใจการใช้งานห้องครัวที่เหมาะกับอาหารเมืองไทย ต้ม ผัด แกง ทอด สบายกลิ่นไม่รบกวนคนในบ้าน เพราะห้องโปร่งโล่งพร้อมเครื่องดูดควันระดับพรีเมี่ยม ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณพื้นที่ใช้สอยชั้นล่างได้รับการออกแบบให้รองรับการเข้า-ออก ของผู้สูงอายุได้อย่างสะดวกปลอดภัยตั้งแต่ลงจากรถจนถึงห้องนอน และมีลิฟท์โดยสารส่วนตัวอยู่ในบ้าน แบบ A และ B เท่านั้น   บ้านนวัต รามคำแหง 118 พร้อมรองรับความสุขของทุกคนในครอบครัว เปิดขายแล้วอย่างเป็นทางการ สามารถเยี่ยมชมโครงการได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 9.00 น. – 18.00 น. ณ สำนักงานขายโครงการ บ้านนวัต ซ.รามคำแหง 118 ติดต่อสอบถามโทร 02-301-2888 ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่ได้ www.premierassets.co.th    
แสนสิริเผยโฉม “เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา” ชูโมเดลสมาร์ท  คอนโดเต็มรูปแบบแห่งแรกของแสนสิริ  ตอกย้ำผู้นำคอนโดมิเนียมอัจฉริยะผสานเทคโนโลยี IoT

แสนสิริเผยโฉม “เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา” ชูโมเดลสมาร์ท คอนโดเต็มรูปแบบแห่งแรกของแสนสิริ ตอกย้ำผู้นำคอนโดมิเนียมอัจฉริยะผสานเทคโนโลยี IoT

แสนสิริ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านผู้พัฒนานวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล เผยแผนพัฒนาสมาร์ท คอนโด ประกาศเดินหน้าใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ในทุกโครงการคอนโดมิเนียมที่จะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป แบ่งแผนพัฒนาออกเป็น 3 ระดับตามเซ็กเมนต์โครงการ ตั้งแต่การควบคุมระบบพื้นฐานไปจนถึงอาคารอัจฉริยะเต็มรูปแบบ เน้นกลยุทธ์ในการยกระดับสมาร์ท คอนโด ของวงการอสังหาริมทรัพย์ ผ่านแนวคิด 3 ด้าน ได้แก่ iConvenience (ความสะดวกสบาย) iSafe (ความปลอดภัย) และ iGreen (ด้านประหยัดพลังงาน) ชู “เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา” โครงการภายใต้การร่วมทุนระหว่างแสนสิริและบีทีเอส กรุ๊ปฯ เป็นโมเดลสมาร์ท คอนโดแห่งแรกของแสนสิริ พร้อมยก ดิ เอดจ์ (The Edge) อาคารอัจฉริยะที่สุดในโลกของประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นต้นแบบในการพัฒนาโครงการภายในปี 2563     ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริเล็งเห็นถึงความสำคัญในเทรนด์ผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ จึงนำแนวคิดการบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะ ที่ใช้เทคโนโลยี IoT หรือ Internet of Things เข้าไปเชื่อมต่ออุปกรณ์กับซอฟต์แวร์และบริการที่มีภายในอาคาร ตั้งแต่ พื้นที่ส่วนกลางไปจนถึงภายในห้องพักอาศัย ยกระดับความสะดวกสบายและปลอดภัยให้แก่ลูกบ้าน และยังสามารถบริหารจัดการอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยควบคุมการทำงานเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนกลาง เช่น อุปกรณ์ดับเพลิง เครื่องปั่นไฟ ตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าหลัก ลิฟต์ ปั๊มน้ำ ระบบท่อระบายน้ำและสระว่ายน้ำ ไปจนถึงการปรับสภาพอากาศภายในอาคาร (Heating, Ventilation and Air Conditioning : HVAC) ทำให้สามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม เพื่อลดการใช้พลังงานเกินความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถช่วยคาดการณ์ความเสียหายของอุปกรณ์ต่าง ๆ (Preventive Maintenance) ให้สามารถวางแผนการซ่อมแซมได้อย่างทันท่วงที และช่วยประหยัดต้นทุนในการบริหารจัดการได้ในระยะยาว”     “จากความสำคัญดังกล่าว แสนสิริจึงได้วางแผนการพัฒนาสมาร์ท คอนโดออกเป็น 3 ระดับ ตามเซ็กเมนต์ที่แตกต่างกันของโครงการที่จะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562 ได้แก่ ระดับพื้นฐาน คือการใช้เทคโนโลยี IoT เข้ามาควบคุมระบบส่วนกลางของโครงการ ระดับปานกลาง คือการใช้เทคโนโลยี IoT เข้ามาควบคุมระบบพร้อมด้วยระบบ Building Automation System (BAS) ในการสั่งการระบบพื้นที่ส่วนกลาง ระดับสูงสุด คือสมาร์ท คอนโด ที่นำเทคโนโลยี IoT เข้ามาร่วมบริหารจัดการอาคารในการคาดการณ์ความเสียหายของอุปกรณ์ต่าง ๆ (Preventive Maintenance) เพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”     “แสนสิริ จึงได้นำแผนพัฒนาระดับสูงสุดดังกล่าวเข้ามาใช้ที่โครงการเดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา ซึ่งเป็นโครงการภายใต้การร่วมทุนระหว่างแสนสิริและบีทีเอส กรุ๊ปฯ โครงการที่ 4 ที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่แล้ววันนี้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Balance is Everything ที่ต้องการตอบสนองการใช้ชีวิตที่สมดุลให้กับคนเมือง ซึ่งประสบความสำเร็จจากการปิดการขายได้ทันทีในวันพรีเซลล์ และศักยภาพด้านทำเลใจกลางย่านธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ อย่างย่านพระรามเก้า โดยโครงการได้รับผลตอบรับอย่างดีจากลูกค้า มียอดโอนแล้วเกือบ 40% เพียง 2 อาทิตย์หลังจากเริ่มโอน มั่นใจถึงเป้าที่ตั้งไว้ 80% ภายในปีนี้อย่างแน่นอน และอีกหนึ่งองค์ประกอบที่โดดเด่นของเดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา คือ เทคโนโลยีสุดล้ำครอบคลุมทั้งการบริการจัดการระบบพลังงานและทรัพยากรต่าง ๆ ภายในอาคารแบบอัตโนมัติ พร้อมคาดการณ์การซ่อมบำรุง ทั้งระบบไฟฟ้า ระบบน้ำประปา ระบบระบายน้ำ ระบบการรักษาความปลอดภัย และระบบ Home Automation ภายในห้องพักอาศัยใน 3 ด้าน ได้แก่ iConvenience (ความสะดวกสบาย) iSafe (ความปลอดภัย) และ iGreen (ด้านประหยัดพลังงาน) เพื่ออำนวยความสะดวกในทุกมิติของการใช้ชีวิตของลูกบ้าน” ดร.ทวิชา กล่าว       นอกจากนี้ แสนสิริยังได้นำระบบลงทะเบียนอัจฉริยะสำหรับบุคคลภายนอกที่เข้ามาในโครงการได้เพียงใช้คิวอาร์โค้ด โดยลูกบ้านสามารถกำหนดวันและเวลา รวมทั้งบริเวณที่ผู้มาติดต่อสามารถเข้าถึงได้ (Smart Guest Registration) ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่แสนสิริสร้างสรรค์ขึ้นเข้ามาใช้ในโครงการนี้เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังมี ศูนย์ควบคุมระบบการบริหารจัดการอาคารด้วยระบบ IoT of Building, ระบบควบคุมการใช้ไฟฟ้าส่วนกลาง (Smart Lighting Control), ระบบควบคุมการปิด-เปิดประตูหนีไฟ (Smart Door Safety Monitoring), ระบบสมาร์ทล็อคเกอร์และตู้จ่ายพัสดุอัติโนมัติเชื่อมต่อกับ iBox (Smart Delivery), แท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมบริการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Smartmove และสถานีชาร์จประจุไฟฟ้า โดยสามารถจองใช้บริการได้ง่าย ๆ บนแอพพลิเคชั่น Home Service, เครื่องซักผ้าอัจฉริยะ (Smart Wash), เครื่องรับคืนขวดพลาสติค (Refun Machine) และระบบเทเลคอมในอาคารจอดรถ     “ยิ่งไปกว่านั้น แสนสิริยังมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดในการพัฒนาการบริหารจัดการอาคารแบบสมาร์ท คอนโดให้เหนือขึ้นไปจากแผนพัฒนา 3 ระดับดังกล่าว โดยยกให้โครงการ ดิ เอดจ์ (The Edge) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นอาคารอัจฉริยะที่สุดในโลกให้เป็นต้นแบบในการพัฒนาโมเดลสมาร์ท คอนโดในอนาคตของแสนสิริภายในปี 2563 ซึ่งโครงการดังกล่าวโดดเด่นด้านการใช้เทคโนโลยี IoT เข้ามาเชื่อมโยงการจัดการอาคารเข้ากับผู้ใช้งานหรือผู้อาศัยที่มีความต้องการและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน (Personalization) ได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุกมิติ โดยโครงการนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นอาคารที่โดดเด่นด้านการจัดการพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในโลก” ดร. ทวิชา กล่าวสรุป    
ไทวัสดุ บุกธุรกิจ ฟาสต์ฟิต (FAST FIT) เตรียมเปิดตัว ออโต้วัน (AUTO 1)

ไทวัสดุ บุกธุรกิจ ฟาสต์ฟิต (FAST FIT) เตรียมเปิดตัว ออโต้วัน (AUTO 1)

ซีอาร์ซี ไทวัสดุ สบช่องตลาดรถยนต์รุ่ง พร้อมแตกไลน์ธุรกิจเปิด ฟาสต์ ฟิต ภายใต้ชื่อ ออโต้วัน (AUTO 1) ประเดิมสาขาแรกที่ ไทวัสดุ ปทุมธานี ชูจุดแข็ง ในด้านบริการยานยนต์โดยช่างมืออาชีพ มีสินค้าให้เลือกหลากหลายทั้งจากในประเทศและสินค้านำเข้า ในทำเลที่ดีที่สุด สะดวกสบาย โดยพ่วงโปรโมชั่นสะสมและแลกคะแนนเพื่อรับสิทธิพิเศษหรือส่วนลดต่างๆ ผ่านบัตรเดอะวัน (THE 1) ในกลุ่มเซ็นทรัล โดยตั้งเป้าเปิดสาขาในพื้นที่ของไทวัสดุทุกสาขา เพื่อรองรับลูกค้าผู้ใช้รถทั่วประเทศ   คุณสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์ในปี 2560 มียอดขายรวมทั้งสิ้น 871,650 คัน และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2561 จะมียอดขายรถยนต์รวม 950,000 คัน หรือ เพิ่มขึ้น 5% ขณะที่ยอดจดทะเบียนสะสมของรถยนต์ ณ 31 ม.ค. 61 มีจำนวนทั้งสิ้น 17 ล้านคัน (ไม่รวมรถจักรยานยนต์ 20 ล้านคัน) ซึ่งเห็นได้ว่าแนวโน้มการเติบโตของตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้รับอานิสงส์เชิงบวก โดยเฉพาะธุรกิจบริการหลังการขายแบบ ควิกเซอร์วิส หรือ ฟาสต์ฟิต ซึ่งในปีที่ผ่านมาตลาดนี้มีมูลค่าประมาณ 34,000 ล้านบาท   “ธุรกิจศูนย์บริการประเภท ฟาสต์ ฟิต เติบโตควบคู่ไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดรถยนต์ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ 4 -7 % ซึ่งพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน มีแนวโน้มนำรถยนต์เข้ารับบริการฟาสต์ฟิตเพิ่มมากขึ้น โดยมีปัจจัยมาจากอัตราค่าบริการของศูนย์บริการรถยนต์ของค่ายต่างๆ ที่ค่อนข้างสูง ประกอบกับยังขาดความเชื่อมั่น ในมาตรฐานและการบริการของอู่ท้องถิ่นทั่วไป ซึ่งด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้เรามองเห็นโอกาสทางการตลาดที่ยังสามารถเติบโตได้อีก   คุณสุทธิสาร กล่าวเพิ่มเติมว่า การก้าวเข้ามารุกธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์แบบฟาสต์ฟิตในครั้งนี้ นอกจากจะรองรับจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในประเทศไทยแล้ว ยังเป็นการเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ไทวัสดุและธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล ที่มีสาขาของธุรกิจต่างๆในเครือกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะกับไทวัสดุเองที่จะไม่ได้มีแค่เพียงสินค้าและบริการเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างที่ครบวงจรเท่านั้น เรายังมองไปถึงธุรกิจที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าของไทวัสดุ ที่ขับรถยนต์เพื่อมาซื้อสินค้าอยู่แล้ว ดังนั้นการเพิ่มไลน์ธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์แบบฟาสต์ฟิตในครั้งนี้ จะเป็นการต่อยอดธุรกิจที่เอื้อต่อกันได้เป็นอย่างดี”     สำหรับศูนย์บริการออโต้วัน สาขาแรก ตั้งอยู่ที่ไทวัสดุ สาขา ปทุมธานี ซึ่งเป็นสาขาที่อยู่ใกล้แหล่งชุมชน หมู่บ้านขนาดใหญ่ และยังเป็นถนนหลักในการเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ใกล้เคียงโดยสะดวก ซึ่งมีพื้นที่ให้บริการรวม 320 ตารางเมตร พร้อมด้วย 4 ช่องบริการ ใช้งบลงทุนเบื้องต้นประมาณ 10 ล้านบาท ส่วนรูปแบบการให้บริการหลักๆประกอบด้วย จำหน่ายยางรถยนต์ บริการตั้งศูนย์-ถ่วงล้อ บริการเช็คระยะ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง และน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ เช่น เกียร์-เฟืองท้าย ซ่อมบำรุงระบบเบรค ช่วงล่าง-ระบบรองรับ บริการระบบแอร์รถยนต์ ฯลฯ   คุณสุทธิสาร กล่าวเพิ่มเติมว่า ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการกับ ออโต้วัน จะได้รับสิทธิพิเศษที่เหนือกว่า จากกลยุทธ์การตลาดที่เป็นจุดแข็ง ของออโต้วัน เช่น การร่วมโปรโมชั่นกับสมาชิกผู้ถือบัตร เดอะวัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นบัตรสมาชิกที่มีฐานลูกค้านิยมสะสมคะแนนจากยอดจับจ่ายซื้อสินค้าสูงสุดบัตรหนึ่ง โดยปัจจุบันมีสมาชิกทั้งสิ้น 14 ล้านราย ซึ่งทุกการใช้บริการที่ออโต้วัน ผู้ถือบัตรเดอะวันจะสามารถเก็บคะแนนสะสมได้เพิ่มอีกหนึ่งช่องทาง และยังมีการจัดโปรโมชั่นร่วมกับธุรกิจอื่นๆ ในกลุ่มเซ็นทรัลอีกด้วย   ขณะที่เป้าหมายการขยายสาขา ออโต้วัน ต่อจากสาขาปทุมธานี ในปี 2561 มีเพิ่มอีก 2 แห่ง ได้แก่ สาขาบางบัวทอง และบางพลี โดยตามแผนงานบริษัทฯ ได้ตั้งเป้าเปิดสาขาไม่น้อยกว่า 40 แห่ง ภายในปี 2563 พิเศษสุดเพื่อเป็นการฉลองเปิด ออโต้วัน สาขาปทุมธานี ระหว่างวันที่ 19-23 ตุลาคม ได้จัดโปรแรง 1 แถม 1 เมื่อซื้อยาง Toyo Tires, Hankook และ Goodride โดยลูกค้าจะต้องมาลงทะเบียนที่สาขาในช่วงเวลา 07.00-08.00 น. เพื่อลุ้นสิทธิ์รับโปรยาง 1 แถม 1 นี้ โดยต้องเปลี่ยนยาง 4 เส้นพร้อมเทิร์นยางเก่า จำกัด 30 ท่านต่อวัน เพียง 5 วันนี้เท่านั้น สำหรับสมาชิกบัตรเดอะวัน รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติม อาทิ เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรอง ราคาเริ่มต้น 499 บาท เปลี่ยนแบตเตอรี่เทิร์นรุ่นเก่ารับส่วนลด 1,000 บาท คะแนนสะสมในบัตรเดอะวัน แลกรับส่วนลดสูงสุด 13% ต่อ 1 ใบเสร็จ /ครั้ง และ ทุกการใช้บริการมูลค่า 15,000 บาท รับกระบอกน้ำเก็บอุณหภูมิออโต้วันฟรี   “ออโต้วัน มีเป้าหมายการขยายสาขาสู่ไทวัสดุทั่วประเทศ เพื่อเป็นการตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความต้องการสินค้าและบริการทั้งเรื่องบ้าน และเรื่องรถได้อย่างครบวงจรในที่ๆเดียว พร้อมด้วยคุณภาพ มาตรฐานการบริการ และความหลากหลายของสินค้าที่มีให้เลือกสรร ที่จะช่วยให้ลูกค้าของทั้งไทวัสดุและออโต้วันใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น” คุณสุทธิสาร กล่าวปิดท้าย
ไรมอน แลนด์ ประเดิมเปิดตัว 2 โครงการแรก ภายใต้การร่วมทุนกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น Tokyo Tatemono บนทำเลศักยภาพ  “ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์” (The Estelle Phrom Phong) และ “เทตต์ ทเวลฟ์” (TAIT 12) มูลค่าโครงการรวมกว่า 9 พันล้านบาท

ไรมอน แลนด์ ประเดิมเปิดตัว 2 โครงการแรก ภายใต้การร่วมทุนกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น Tokyo Tatemono บนทำเลศักยภาพ “ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์” (The Estelle Phrom Phong) และ “เทตต์ ทเวลฟ์” (TAIT 12) มูลค่าโครงการรวมกว่า 9 พันล้านบาท

บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML บริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมชั้นนำของประเทศไทยเปิดตัว 2 โครงการร่วมทุนกับโตเกียว ทาเทโมโนะ หนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศญี่ปุ่น  สำหรับโครงการที่ไรมอน แลนด์ได้เพิ่มเข้าพอร์ต คือ “The Estelle Phrom Phong” ใกล้ BTS สถานีพร้อมพงษ์ และ “TAIT 12” ใกล้ BTS สถานีช่องนนทรี ซึ่งมูลค่ารวมโครงการกว่า 9 พันล้านบาท   คุณเอเดรียน ลี, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ไรมอน  แลนด์ ได้ลงนามสัญญาความร่วมมือกับโตเกียว ทาเทโมโนะ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้งสองบริษัทรู้สึกยินดี และมีความภาคภูมิใจที่จะนำเสนอ 2 โครงการใหม่บนทำเลศักยภาพใจกลางเมือง คือ “The Estelle Phrom Phong” (ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์) ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 26 ใกล้ BTS สถานีพร้อมพงษ์ ในราคาเริ่มต้น 15.5 ล้านบาท  มูลค่าโครงการกว่า 5  พันล้านบาท และ “TAIT 12” (เทตต์ ทเวลฟ์) ตั้งอยู่ในซอยสาทร 12 ในราคาเริ่มต้น 7.6 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 4.2 พันล้านบาท” “การลงนามสัญญาร่วมกับโตเกียว ทาเทโมโนะ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ และเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีวิสัยทัศน์ที่ตรงกัน  ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมากในการทำงาน และก้าวเดินต่อไปในการพัฒนาโปรเจ็คอื่นๆในอนาคตร่วมกัน  ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ร่วมเรียนรู้การทำงานไปพร้อมๆกับโตเกียว ทาเทโมโนะ ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มายาวนานกว่า 100 ปี เราทำงานกันอย่างใกล้ชิดเพื่อหวังให้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ในปีหน้าเราได้วางแผนเปิดตัวโครงการอย่างน้อย 1 โครงการร่วมกัน และไรมอน แลนด์ ได้วางเป้าหมายการเปิดตัวโครงการอย่างน้อย 2 โครงการต่อปี” เอเดรียน เสริม The Estelle Phrom Phong, ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 26 ผสมผสานความเป็นโมเดิร์น และเงียบสงบ ถูกออกแบบเสมือนโอเอซิสใจกลางเมือง มีพื้นที่ส่วนกลางกว่า 3 พันตารางเมตร บนพื้นที่เกือบ 2 ไร่ มีพื้นที่สีเขียว สะท้อนความเรียบหรูของเส้นขอบ ด้วยตัวตึกได้นำความรู้สึกของความสงบ หลีกหนีความวุ่นวายในย่านพร้อมพงษ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ ได้มอบความเป็นตัวของตัวเองให้แก่ผู้อยู่อาศัยกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของเลย์เอ้าท์ และตัวเลือกที่ผู้พัฒนาโครงการได้มอบให้ โดยไม่สูญเสียสุนทรียภาพในเชิงสถาปัตยกรรม ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านสุขภาพ อาทิ สปาเกลือบำบัดด้วยการลอยตัวบนผิวน้ำที่ไม่มีคลอรีน ซึ่งเป็นมาตรฐานในการใช้ชีวิตที่หรูหรา และทันสมัย TAIT 12 ตั้งอยู่ในซอยสาทร 12 ใกล้ BTS สถานีช่องนนทรี ได้แรงบันดาลใจจากชีวิตของคนกรุงเทพฯ และนำมาพัฒนาให้เข้ากับโครงการได้อย่างแยบยล โปรเจ็คได้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความมีชีวิตชีวา และการพักอาศัยของคนกรุงเทพฯที่มีความคล่องแคล่วว่องไว ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามของกรุงเทพฯ โครงการเทตต์ ทเวลฟ์ ได้มอบพื้นที่ส่วนกลางกว่า 1,500 ตารางเมตร, ห้องออกกำลังกาย, เลานจ์อัฒจันทร์, พื้นที่อเนกประสงค์, สระว่ายน้ำในร่ม ส่วนเส้นโค้งมนของสถาปัตยกรรม ที่ถูกออกแบบควบคู่ไปกับแผงกระจกขนาดใหญ่ ได้ผสมผสานความทันสมัยให้เข้ากับความงดงามของเมือง รวมทั้งพื้นที่ใช้สอยที่ออกแบบให้เปิดกว้าง และเพื่อประโยชน์ใช้สอยต่างๆ คุณเอเดรียน ลี เสริมว่า “ทั้ง 2 โครงการ ตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง และมีคุณภาพ อีกทั้งได้ 2 บริษัทที่มีแบรนด์ที่แข็งแรงในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่ละโปรเจ็คนำเสนอไอเดีย และกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน เราเชื่อว่าทั้ง 2 โครงการนี้เป็นตัวแทนที่ดีที่สุด ไม่เพียงแต่ในด้านมูลค่าเท่านั้น แต่ยังมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ดี และทำเลที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน ผมมั่นใจว่าโครงการจะมอบผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่หุ้นส่วนอีกด้วย”   The Estelle Phrom Phong พร้อมเปิด Pre-Sales วันที่ 28 ตุลาคมนี้ ที่โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท 24 และ TAIT 12 เปิดจองในวันที่ 3-4 พฤศจิกายนนี้ ที่เซลล์แกลอรี่โครงการ The Lofts Silom ซอยประมวญ ถนนสีลม ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ raimonland.com หรือ โทร 02-029-1888
‘เอพี ไทยแลนด์’ จัดแคมเปญ “21 Destiny” เดินเกมรุกบุกตลาดแนวราบไตรมาส 4 เปิดจองทาวน์โฮมใหม่ 21 ทำเลพร้อมกัน พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษแรงเกินห้ามใจ

‘เอพี ไทยแลนด์’ จัดแคมเปญ “21 Destiny” เดินเกมรุกบุกตลาดแนวราบไตรมาส 4 เปิดจองทาวน์โฮมใหม่ 21 ทำเลพร้อมกัน พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษแรงเกินห้ามใจ

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง สานต่อความสำเร็จครั้งใหญ่จากยอดขายรวมแนวราบเครือเอพี โชว์ตัวเลขยอดขายแนวราบ 9 เดือน พุ่งแตะ 15,620 ล้านบาท โตกว่า 34%  ล่าสุด จัดแคมเปญใหญ่กระตุ้นตลาดทาวน์โฮมพร้อมอยู่ไตรมาส 4 อีกครั้ง ยกทัพทาวน์โฮมเครือเอพีแบรนด์ ‘บ้านกลางเมือง’ และ ‘พลีโน’ 21 โครงการใหม่ ชูไฮไลท์ ‘นวัตกรรมดีไซน์ และ สเปซฟังก์ชั่น’ การดีไซน์พื้นที่รองรับและตอบโจทย์การขยับขยายของครอบครัวเมืองในอนาคต เปิดจองครั้งแรกในราคาพรีเซล พิเศษส่วนลดสูงสุด 21 เท่า ราคาเริ่มต้น 1.99-9 ล้านบาท พร้อมจับมือพันธมิตรธุรกิจ ‘ธนาคารกสิกรไทย’ มอบข้อเสนอพิเศษทางการเงินที่ดีที่สุดแห่งปี-ดอกเบี้ยพิเศษ นาน 2 ปี และลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 100,000 บาท รวมทั้งสิทธิพิเศษอื่นๆ มากมาย สำหรับลูกค้าทาวน์โฮมเอพีที่จองซื้อในช่วงเวลาแคมเปญ 21 Destiny ระหว่างวันที่ 27-28 ตุลาคมนี้เท่านั้น ณ เซลล์ แกลเลอรี่ ‘บ้านกลางเมือง’ และ ‘พลีโน่’ รวม 21 โครงการใจกลางเมืองทั่วกรุงเทพฯ นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจแนวราบ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนจบปี ความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่พร้อมอยู่ของครอบครัวเมืองมีอยู่มาก โดยเฉพาะตลาดทาวน์โฮมระดับกลางบนถึงไฮเอนด์ ทำเลใจกลางเมืองเครือเอพีที่ยังคงได้รับความสนใจและการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อเป็นการมุ่งสานต่อเป้าหมายในการรักษาความเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮมระดับกลางบนในเมือง เอพีจึงยกระดับการรุกตลาดมากขึ้น โดยคิดค้นและนำเสนอสินค้าทาวน์โฮมที่แตกต่าง ทั้งในเรื่องของโมเดลบ้านและจำนวนโครงการที่ครอบคลุมในทุกทำเลใจกลางและรอบกรุงเทพฯ เพื่อให้ทาวน์โฮมในเครือเอพีภายใต้แบรนด์ 'บ้านกลางเมือง' และ 'พลีโน่' เป็นคำตอบที่ดีที่สุดในทุกโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทั้งในเรื่องของโลเคชั่น คุณภาพของทาวน์โฮม สังคม นวัตกรรมดีไซน์และฟังก์ชั่นการใช้งานของพื้นที่ รวมถึงการให้บริการหลังการขาย”   “สำหรับแคมเปญ 21 Destiny วางเป้าหมายสำหรับลูกค้าครอบครัวเมืองที่มองหาทาวน์โฮมใหม่พร้อมอยู่ ทั้งในทำเลใจกลางเมืองและรอบกรุงเทพฯ โดยเราได้รวบรวมทาวน์โฮมเครือเอพี 21 โครงการใหม่ แบรนด์ ‘บ้านกลางเมือง-ไฮเอนด์ทาวน์โฮม 3 ชั้น’ (9 โครงการ) และ ‘พลีโน่-พรีเมียมทาวน์โฮม 2 ชั้น’ (12 โครงการ) มาพร้อมคลับเฮ้าส์หรูบนที่สุดของทำเลศักยภาพ เชื่อมต่อรถไฟฟ้า ติดถนนใหญ่ และใกล้ทางด่วน ที่จะสามารถเติมเต็มรูปแบบชีวิตในฝันของคนเมือง นอกจากนี้ เอพียังคงเดินหน้าในการเป็นผู้นำตลาดที่ไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาต่อยอดและนำเสนอความต่างในการพัฒนาทาวน์โฮมของเอพี กับทาวน์โฮมโมเดลใหม่ ทั้งในมิติของ ‘นวัตกรรมดีไซน์’ และ ‘สเปซฟังก์ชั่น’ ที่รองรับการขยับขยายของครอบครัวในอนาคต ให้ความสำคัญเป็นพิเศษในเรื่องของพื้นที่ที่กว้างขวาง สามารถปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับการใช้งานตามความต้องการอย่างคุ้มค่า รวมถึงสังคมรอบข้างที่ดีที่สามารถเกิดขึ้นจากพื้นที่ส่วนกลางของโครงการที่พัฒนามาอย่างครบครันและสร้างสรรค์ ซึ่งจะช่วยบ่มเพาะทักษะการเรียนรู้ และมนุษยสัมพันธ์ของสมาชิกตัวน้อยในครอบครัวได้เป็นอย่างดี” นายภมร กล่าวเสริม “นอกจากจะพัฒนาพื้นที่ให้รองรับกับความต้องการของครอบครัวขยาย ทาวน์โฮมแบรนด์ ‘บ้านกลางเมือง’ และ ‘พลีโน่’ ของเอพี ยังถูกพัฒนาเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างในแต่ละโลเคชั่น เพราะเราเข้าใจถึงความต้องการของผู้อยู่อาศัยที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน เราจึงตั้งใจพัฒนาสเปซฟังก์ชั่นให้ตรงกับความต้องการเพื่อให้พื้นที่ทุกตารางนิ้วในทาวน์โฮมเครือเอพีสามารถรองรับการใช้งานได้อย่างลงตัว และเข้ากับรูปแบบการใช้ชีวิตได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคู่รักที่กำลังเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน ผู้ที่รักความสงบและความเป็นส่วนตัว และผู้ที่มองหาทำเลคุณภาพเพื่อการเดินทางที่สะดวกสบาย และเพื่อความสำเร็จของธุรกิจในอนาคต” นายภมร กล่าวสรุป   พลาดไม่ได้กับแคมเปญสุดยิ่งใหญ่แห่งปี “บ้านกลางเมือง-พลีโน่ 21 Destiny” เปิดจองทาวน์โฮมใหม่ 21 ทำเลพร้อมกัน ทั่วกรุงเทพฯ กับข้อเสนอพิเศษสุด คัดเฉพาะแปลงสวย พบราคาพรีเซล พร้อมส่วนลดสูงสุด 21 เท่า ลงทะเบียนรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 100,000 บาท และดอกเบี้ยพิเศษ นาน 2 ปี จากธนาคารกสิกรไทย สำหรับผู้ที่ยื่นขอกู้สินเชื่อบ้านกสิกรไทยตั้งแต่วันนี้และจดจำนองภายใน 28 ธันวาคม 2561 เท่านั้น และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย เฉพาะลูกค้าที่จองซื้อในวันที่ 27-28 ตุลาคมนี้ ณ เซลล์ แกลเลอรี่ ‘บ้านกลางเมือง’ และ ‘พลีโน่’ รวม 21 โครงการทั่วกรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้น 1.99-9 ล้านบาท   โครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ ’21 Destiny’ คัดสรรทาวน์โฮมบนสุดยอดทำเลที่ดีที่สุดทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 21 โครงการ ประกอบด้วย บ้านกลางเมือง ไฮเอนด์ทาวน์โฮม 3 ชั้น รวม 9 ทำเลไฮไลท์ ได้แก่ 1) บ้านกลางเมือง วัชรพล 2) บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์ 3) บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ 4) บ้านกลางเมือง THE ERA ปิ่นเกล้า-จรัญฯ 5) บ้านกลางเมือง THE EDITION บางนา-วงแหวน 6) บ้านกลางเมือง THE EDITION บางนา-วงแหวน (Business District) 7) บ้านกลางเมือง THE EDITION พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา 8) บ้านกลางเมือง พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา และ 9) บ้านกลางเมือง THE EDITION พระราม 9-พัฒนาการ พลีโน่ พรีเมียมทาวน์โฮม 2 ชั้น รวม 12 ทำเลไฮไลท์ ได้แก่ 1) พลีโน่ พหลโยธิน-วัชรพล 2 2) พลีโน่ รังสิตคลอง 4-วงแหวน 3) พลีโน่ รามอินทรา 4) พลีโน่  ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ 2 5) พลีโน่ ชัยพฤกษ์ 6) พลีโน่ เวสต์เกต 7) พลีโน่ ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ 8) พลีโน่ ปิ่นเกล้า-จรัญฯ 9) พลีโน่ บางนา-อ่อนนุช 10) พลีโน่ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา 11) พลีโน่ สุขสวัสดิ์ 70 และ 12) แกรนด์ พลีโน่ สุขสวัสดิ์-พระราม3    “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง”
อนันดาฯ เปิดตัว “ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์” ชูจุดเด่นย่านบางนา ทำเลที่น่าลงทุนที่สุด!! ใกล้รถไฟฟ้าสถานีบางนา เพียง 250 ม. มูลค่าโครงการ 5,600 ล้านบาท

อนันดาฯ เปิดตัว “ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์” ชูจุดเด่นย่านบางนา ทำเลที่น่าลงทุนที่สุด!! ใกล้รถไฟฟ้าสถานีบางนา เพียง 250 ม. มูลค่าโครงการ 5,600 ล้านบาท

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าและผู้นำนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ตอบรับไลฟ์สไตล์คนเมืองได้อย่างลงตัวที่สุด เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์ (IDEO Mobi Sukhumvit Eastpoint) คอนโดมิเนียมบนทำเลศักยภาพ ย่านบางนา ทำเลที่เติบโตแบบก้าวกระโดดมากที่สุด  ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีบางนา เพียง 250 เมตร ตอบโจทย์การเดินทางของคนเมืองได้อย่างลงตัว ล่าสุดเตรียมจัดงาน AMC Pre-Sales Day สำหรับลูกค้า Ananda Member Club ในวันที่ 27 ต.ค. นี้ และ งาน Pre – Sales สำหรับลูกค้าทั่วไป ในวันที่ 3 - 4 พ.ย. นี้ นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวล  ลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าของไทย เปิดเผยว่า เมื่อวิเคราะห์จากความเจริญของเมืองในฝั่งสุขุมวิทตอนปลายแล้ว หลังจากมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง ผู้พัฒนาโครงการจึงเห็นโอกาสการเติบโตของเมือง เข้ามาจับจองพื้นที่พัฒนาโครงการออกไปตามถนนสุขุมวิทและตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอสมากขึ้น เกิดเป็นความเจริญแบบก้าวกระโดด โดยมีทั้งห้างสรรพสินค้าคอมมูนิตี้มอลล์ และที่สำคัญ คือ ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม และในอนาคตจะมีการพัฒนาโครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่เป็นแม่เหล็กที่จะสามารถดึงดูดผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยในทำเลดังกล่าว เช่น Mega City , Bangkok Mall, Whizdom 101, Forestias และศูนย์นิทรรศการ Bitec เฟส 2 รวมถึงมีแผนพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ซึ่งเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงหัวหมาก-สำโรง ที่สถานีสำโรงด้วย ทำให้ อนันดาฯ เล็งเห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยในย่านนี้ ล่าสุดเตรียมเปิดตัวโครงการ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์ (IDEO Mobi Sukhumvit Eastpoint) มูลค่าโครงการ 5,600 ล้าน ในราคาเริ่มต้น 2.98 ล้านบาท โดยยังคงเน้นทำเลที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งจะเป็นทำเลที่มีระบบขนส่งคมนาคมสะดวกในการเดินทาง ใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์ และสถานที่สำคัญรายล้อม ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน   “ทำเลบางนาเป็นอีกทำเลที่มีแนวโน้มการพัฒนาในหลายด้านทั้งคมนาคม และโครงการอสังหาริมทรัพย์ ผลักดันให้ราคาคอนโดมิเนียมขยับสูงขึ้น แต่ก็ไม่สูงเทียบเท่ากับคอนโดกลางเมือง คอนโดทำเลบางนาบริเวณโดยรอบรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง จึงเป็นอีกทางเลือกของคนที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้เมือง เดินทางสะดวก ในราคาที่จับจองเป็นเจ้าของได้ พร้อมโอกาสทางด้านการลงทุนระยะยาวในอนาคต ” นายชานนท์ กล่าว โครงการ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์ (IDEO Mobi Sukhumvit Eastpoint) เป็นคอนโดมิเนียมรูปแบบ High Rise สูง 32 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 1,165 ยูนิต ตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีบางนา เพียง 250 เมตร เชื่อมสู่แหล่งธุรกิจอย่างอโศก และสยาม พาคุณไปสู่จุดมุ่งหมายให้ง่ายขึ้นยิ่งกว่า ใกล้ทางพิเศษบูรพาวิถี ทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษกาญจนาภิเษก ตอบรับการใช้ชีวิตที่เหนือกว่าบนทำเลศักยภาพสูง พร้อมพาคุณไปสู่จุดมุ่งหมายให้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังตอบโจทย์ความต้องการในด้านการอยู่อาศัย ด้วยรูปแบบห้องที่มีให้เลือกสรรถึง 4 รูปแบบ คือ 1. แบบ Studio พื้นที่ใช้สอยขนาด 26 ตร.ม. 2. แบบ 1 Bedroom ขนาด 36 ตร.ม. และ 3. แบบ  2 Bedroom ขนาด 56 ตร.ม. 4. แบบ Duplex ขนาด 50 ตร.ม. อีกทั้งยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำ, ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์, Social Club, พื้นที่พักผ่อนบนดาดฟ้า, สวนส่วนกลาง, Panoramic Lounge, ห้องซักรีด*, ที่จอดรถยนต์, CCTV ใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์ และสถานที่สำคัญ รวมทั้งห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซ่า บางนา, ไบเทค บางนา, เมกะ บางนา และโครงการในอนาคตอย่าง แบงค็อกมอลล์ อีกทั้งยังใกล้โรงพยาบาลชั้นนำ อาทิ โรงพยาบาลไทยนครินทร์, โรงพยาบาลศิครินทร์, โรงพยาบาลจุฬาเวช, โรงพยาบาลกล้วยนำไทย 2 และสำโรงการแพทย์  รวมไปถึง สถานศึกษานานาชาติ อาทิ โรงเรียนเซนต์แอนดรูว์ส, โรงเรียนเบิร์กลีย์, โรงเรียนบางกอกพัฒนา ฯลฯ   ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์ นิยามใหม่ของการอยู่อาศัยที่ขยายขอบเขตให้พื้นที่และเวลาของคุณพร้อมด้วยแนวคิดการอยู่อาศัยแห่งอนาคต IDEO MOBI FUTURE – NATURE ที่สอดแทรกองค์ประกอบธรรมชาติและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ทั้งดีไซน์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเพื่อขยายมิติแห่งการอยู่อาศัยของคุณให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ด้วยการออกแบบจาก Top 3 Designers ชื่อดังของประเทศไทย สถาปัตยกรรมจาก ATOM Design, การตกแต่งภายในจาก That’s ITH และการตกแต่งพื้นที่โดยรอบจาก Redland Scape     ล่าสุด เตรียมจัดงาน AMC Pre-Sales Day สำหรับลูกค้า Ananda Member Club ในวันที่ 27 ต.ค. 61 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 18.00 น รับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท* ลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลด On Top อีก 50,000 บาท และ ฟรี! iPhone Xs*  สำหรับลูกค้าทั่วไปพบกันที่งาน Pre-Sales ในวันที่ 3 - 4 พ.ย. 61 รับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท* ลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลด On Top อีก 30,000 บาท และ ฟรี! iPhone Xs* ที่สำนักงานขายโครงการ ไอดีโอ   โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์  ราคาเริ่มต้น 2.98 ล้านบาท* (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-316-2222 หรือ www.ananda.co.th
“วี พร็อพเพอร์ตี้” รุกไตรมาสสุดท้าย ส่ง “เวอร์เทียร์” (Vertier) คอนโดฯ ระดับลักซ์ชัวรี ใจกลางเมือง เพียง 50 เมตร ถึงสถานี BTS พระโขนง

“วี พร็อพเพอร์ตี้” รุกไตรมาสสุดท้าย ส่ง “เวอร์เทียร์” (Vertier) คอนโดฯ ระดับลักซ์ชัวรี ใจกลางเมือง เพียง 50 เมตร ถึงสถานี BTS พระโขนง

บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ย่าน CBD สุขุมวิท ส่งโครงการ “เวอร์เทียร์” (Vertier) คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,800 ล้านบาท ชูจุดขายคอนโดมิเนียมไฮไรซ์คุณภาพ ที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองได้อย่างเต็มที่ ในราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท นายพรชัย เลิศอนันต์โชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ย่าน CBD สุขุมวิท กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงวางแผนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรีอย่างต่อเนื่องบนทำเลแนวรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทเป็นหลัก ซึ่งให้ความสำคัญในการเป็นคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนเมืองได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ในไตรมาสสุดท้ายบริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่อย่าง เวอร์เทียร์ (Vertier) ที่มาพร้อมความหรู ล้ำค่า และเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน   “โครงการ เวอร์เทียร์ (Vertier) เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ 31 ชั้น 1 อาคาร และที่จอดรถอัจฉริยะใต้ดิน 6 ชั้น จำนวนรวม 227 ยูนิต บนพื้นที่ 1-0-30 ไร่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,800 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพใจกลางเมือง ติดถนนสุขุมวิท ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีพระโขนง เพียง 50 เมตร ซึ่งสามารถเดินทางเชื่อมต่อกับย่านธุรกิจไม่ว่าจะเป็น โซนเพลินจิต, ชิดลม และสยามได้อย่างสะดวกสบาย  อีกทั้งอยู่ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน 2 สายคือ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษฉลองรัช รวมไปถึงยังใกล้กับจุดเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทาในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น สถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า และสถานที่อำนวยความสะดวกแบบครบครัน อาทิ  มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, โรงเรียนนานาชาติเอกมัย, ท้องฟ้าจำลอง, สถานีขนส่งเอกมัย, โรงพยาบาลสุขุมวิท, Summer Hill, ฮาบิโตะ มอลล์ และเกตเวย์ เอกมัย เป็นต้น เวอร์เทียร์ มาพร้อมแนวคิด “Where Rarity Meets Luxury” สื่อแนวคิดของความล้ำค่า และวิสัยทัศน์ของการเลือกใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนใคร สู่จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ในใจกลางมหานคร โดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้งลักษณะที่ดินทรงสามเหลี่ยม ริมถนนสุขุมวิท ซึ่งการออกแบบตัวตึกสะท้อนถึงศิลปะตามหลักทฤษฎี Davinci Triangle Design Composition ทำให้ลักษณะการออกแบบมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ผสมผสานกับแรงบันดาลใจการออกแบบเส้น ฟาซาด (façade) ให้เป็นเส้นตรง และเอียงรับกับรูปร่างของที่ดิน ซึ่งสื่อถึงความทันสมัย   และโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร รายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวอย่าง Embraced By The Green, Tree House &  Play Court และ Green Gateway ตรงซุ้มประตูทางเข้าได้อย่างลงตัว มาพร้อมอุปกรณ์ในห้องที่ครบครันระดับ world class เช่น ชุดเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวออกแบบโดยดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศส Philippe Starck ภายในห้องถูกออกแบบโดยชูจุด zero waste และ impressive view in every units ห้องชุดมีขนาดต่าง ๆ ได้แก่ ห้อง 1 Bedroom ขนาด 28 – 42 ตร.ม. ห้อง 2 Bedroom ขนาด 48 - 52 ตร.ม. และห้อง 3 Bedroom ขนาด 86 ตร.ม. “เพื่อตอบโจทย์แนวคิด “Where Rarity Meets Luxury” เรายังเน้นสิ่งอำนวยความสะดวกในระดับพรีเมี่ยมไม่ว่าจะเป็น โถง Entrance Hall  ที่คัดสรรหินอ่อนจากหลายแหล่ง เพื่อนำมาตกแต่งเพื่อสะท้อนถึงรสนิยม  และไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย  Atelier Lobby Lounge และ Business Meeting Lounge ห้องรับรองแขกที่ใช้วัสดุตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์และมีสไตล์โดดเด่นแสดงถึงความมั่งคั่ง Sky Aquarium Pool สระว่ายน้ำหินอ่อนสีขาว เติมเต็มสุนทรียะในการพักผ่อนแสนร่มรื่น Crystal Fitness พื้นที่ออกกำลังกาย ที่สามารถชมวิวทิวทัศน์ไปพร้อมกัน Vertical Oasis & Pinnacle Pavilion โอเอซิสส่วนตัวใจกลางเมืองในบรรยากาศร่มรื่น เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ นอกจากนี้ตัวโครงการยังออกแบบด้วย Single Loaded Corridor โดยทุกยูนิต จะไม่มีห้องฝั่งตรงข้ามให้แออัดสายตาทำให้รู้สึกโปร่งโล่ง และมีความส่วนตัวมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้พักอาศัยด้วยระบบรักษาความปลอดภัยไม่ว่าจะเป็น Digital Door Lock ที่เพิ่มความปลอดภัยสูงสุดให้เจ้าของห้องพักในแต่ละชั้น กล้องวงจรปิด และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชั่วโมง” นายพรชัย กล่าว ทั้งนี้ โครงการเวอร์เทียร์ (Vertier) จะเปิดให้จองเป็นครั้งแรก (VVIP Day) ในวันที่ 3-4 พฤศจิกายนศกนี้ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 18.00 น. ณ VERTIER Sales Gallery ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าชมห้องตัวอย่างและรับส่วนลด Online Discount Privilege มูลค่าสูงสุด 200,000 บาท ได้ที่ www.vertierbangkok.com สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ โทร. 0 2204 7900 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/VPropertyDevelopmentTH/
ปักหมุด “โดว์เช่ ลาซาล” คอนโด Low Rise ใกล้ BTS แบริ่ง คอนโดสวย ทำเลเด่น ราคาดี ตอบโจทย์คนยุคปัจจุบันยันอนาคต

ปักหมุด “โดว์เช่ ลาซาล” คอนโด Low Rise ใกล้ BTS แบริ่ง คอนโดสวย ทำเลเด่น ราคาดี ตอบโจทย์คนยุคปัจจุบันยันอนาคต

โดว์เช่ ลาซาล (DOLCE LASALLE) บูทีคคอนโดมิเนียม บนทำเลเด่นใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีแบริ่งตอบโจทย์คนวัยทำงานที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย ที่ให้ความสะดวกสบายจากปัจจุบันไปยันอนาคตในราคาที่จับต้องได้ และอัดแน่นไปด้วยคุณภาพคับเพดาน ทั้งการออกแบบที่ลงดีเทลลึกตั้งแต่ ตัวอาคาร ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ไปจนถึงล็อบบี้ และ Facilities ต่างๆ ไม่ว่าจะเดิน จะนั่ง ตรงไหนก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบายตัว และยังสบายตา เน้นย้ำ European Style ที่นับเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์โดว์เช่ (DOLCE) ซึ่งครั้งนี้ โดว์เช่ ลาซาล (DOLCE LASALLE)ยังได้เพิ่มกลิ่นอายสถาปัตยกรรมแบบ French Classical เพื่อให้สอดคล้องกับสถานที่ตั้งซอยลาซาลอีกด้วย ในรูปแบบคอนโด Low Rise ความสูง 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร บนพื้นที่ทั้งหมด 568 ตารางวา (2,272 ตารางเมตร) และจำกัดความเป็นส่วนตัวสูงสุดเพียง 178 ยูนิตเท่านั้น ทำเลที่ตั้งซอยลาซาลนับว่าเป็นหัวใจสำคัญที่ บริษัท สิรยศ จำกัด พิถีพิถันเลือกเป็นพิเศษ เพื่อตอบโจทย์ผู้พักอาศัยให้อยู่สะดวกสบายจากปัจจุบันไปยันอนาคต เพราะห่างจากสถานีแบริ่งเพียง 700 เมตรเท่านั้น นอกจากนี้ในอนาคตอันใกล้ กำลังจะเกิดโครงการบางกอก อารีน่า ขึ้น ซึ่งนับเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์แห่งใหม่ที่หลายคนรอคอย ทั้งในส่วนของไบเทคเอง หรือเซ็นทรัล บางนา ที่กำลังปรับปรุงใหม่ใหญ่มากๆ อีกทั้งยังใกล้โรงเรียนนานาชาติชั้นนำและโรงพยาบาลเอกชน และในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้ารถไฟฟ้ากำลังจะขยายไปถึงสมุทรปราการ เรียกว่าจะเดินทางเข้าเมืองก็ใกล้ อยากออกไปพักผ่อนนอกเมืองก็ไม่ไกล ถือเป็นทำเลที่ดีในปัจจุบันและอนาคตแน่นอน การออกแบบโครงการ โดว์เช่ ลาซาล (DOLCE LASALLE) เป็นการต่อยอดมาจาก “โดว์เช่ อุดมสุข” ที่เน้นในเรื่องคุณภาพวัสดุ และคุณภาพชีวิตผู้พักอาศัยในคอนโดให้มีความสุข และสามารถอยู่ได้จริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งนับเป็นโครงการเดียวที่ได้รับรางวัลการันตีถึง 2 รางวัลจาก PEAT AWARDS 2018 (Property Export Awards Thailand 2018 by NIDA) คือ Best Luxury Low Rise Condominium และ Best Boutique Low Rise Condominium  ซึ่งความแตกต่าง คือ โดว์เช่ อุดมสุข เป็นสไตล์ อิตาเลี่ยน โมเดิร์น แต่สำหรับ โดว์เช่ ลาซาล จะมาในสไตล์ของสถาปัตยกรรม Modern French เข้ามาผสม เพื่อให้เข้ากับชื่อโครงการลาซาล พร้อมใส่รายละเอียดของหลายๆ ส่วนให้โมเดิร์นมากขึ้น ด้วยวัสดุคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น อาทิ หินธรรมชาติบน top ครัว หรือ top ในห้องน้ำ ฯลฯ ความโดดเด่นของตัวอาคารที่นอกจากจะให้ความรู้สึก Mood & Tone อบอุ่น น่าอยู่ด้วยแล้ว การวางผังอาคาร เป็นรูปตัวยู (U) บนพื้นที่โครงการ ซึ่งมองจากหน้าถนนก็จะเห็นว่าตัวอาคารมีความสง่างาม แต่จุดเด่นเบื้องลึกเบื้องหลังจริงๆ คือ ต้องการให้เกิดความลงตัวในส่วนของ Facilities เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งในเรื่องความเป็นส่วนตัวที่ไม่มีใครมองเห็นได้จากภายนอก ขณะเดียวกันเมื่ออยู่ภายในยังให้ความรู้สึกโอ่โถง มีความ  ผ่อนคลายได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้การวางผังเป็น Shape ตัวยู (U) ห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตกจะเป็นห้องที่มองเห็นวิวสวยที่สุดในโครงการ ซึ่งจะมองเห็นทั้งสระว่ายน้ำและสวน โดยโครงการฯ ได้ยกระดับสวนชั้น 1 ขึ้นมาอีกระดับ เพื่อให้เชื่อมต่อกับ Facilities ระหว่างชั้น 1 กับชั้น 2 ให้ดูใหญ่และสวยงามขึ้น พื้นที่ใช้สอยภายในห้องพักต้องใช้งานได้ 100% โจทย์ของงานดีไซน์จึงต้องใช้ตำแหน่งเสา ขนาดเสา เรื่องของการวางห้องน้ำ ระยะของเสาที่วางเฟอร์นิเจอร์ได้ สามารถตกแต่งให้สวยงามและใช้เป็นฟังก์ชั่นได้ทั้งหมด ทั้งเฟอร์นิเจอร์ Built-in ที่ดูสวยงามและจุได้เยอะ เพื่อประหยัดพื้นที่ ให้การใช้สอยพื้นที่ในทุกตางรางนิ้วเกิดประโยชน์สูงสุด การดีไซน์ฝ้าเพดานทุกห้องที่สูง 2.5 เมตร ซึ่งห้องตัวอย่างถูกจำลองมาจากไซส์จริง ไม่มีการลดขนาดตู้เพื่อให้ห้องกว้างขึ้น เพดานเท่าของจริง เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นภาพจริง หรือถ้าชื่นชอบสไตล์การตกแต่งห้องเหมือนห้องตัวอย่าง ก็สามารถนำไปตกแต่งได้เองจริงๆ การให้ความสำคัญกับรายละเอียดเหล่านี้ นับเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของโครงการฯ ขนาดห้องของโครงการฯ มี 3 ขนาด ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 75,000 บาท/ตารางเมตร เพื่อตอบสนองทุกๆ ความต้องการของลูกค้า ซึ่งรองรับได้ทั้งกลุ่มคนโสด และกลุ่มที่กำลังสร้างครอบครัวโดยแบ่งเป็น แบบสตูดิโอ (Studio) ขนาดพื้นที่ 24.6 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท เหมาะสำหรับ คนโสด หรือคนวัยทำงานที่รักความสงบ บนพื้นที่ใช้สอยของห้องที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป แต่ตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสบายครบครัน แบบ 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ 30.4 ตารางเมตร จำนวน 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ราคาเริ่มต้น 2.2 ล้านบาท เหมาะสำหรับคนที่กำลังขยับขยายครอบครัว เริ่มใช้ชีวิตหลังแต่งงาน หรือคนโสดขี้เหงา อยากพาเพื่อนมาแฮงค์เอ้าท์ปาร์ตี้ที่ห้องก็สะดวก พร้อมมุมผ่อนคลาย วิวสวยสบายอารมณ์ แบบ 2 Bedrooms ขนาดพื้นที่ 45.4 ตารางเมตร จำนวน 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ราคาเริ่มต้น 3.4 ล้านบาท ห้องขนาดใหญ่สุดของโครงการ เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็ก มีพื้นที่ส่วนกลางเพื่อใช้เป็นห้องนั่งเล่น หรือทำกิจกรรมร่วมกันในวันหยุด อาทิ ทำกับข้าว ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯ รวมถึงมุมวิวสวยที่วันไหนอยากจะฉีกไปปล่อยอารมณ์ชิลล์ๆ ลำพังก็ยังได้ Facilities คือจุดขายที่โดดเด่นของโครงการนี้ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ส่วนกลางได้อย่าง มีความสุขในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็น Lobby & Library เปลี่ยนบรรยากาศมาพักผ่อนหย่อนใจไปกับหนังสือเล่มโปรดในห้องล็อบบี้ที่ดีไซน์ความลักซัวรี่ โดดเด่นไม่แพ้ห้องอื่นๆ สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ 20 เมตร Workplace พื้นที่สำหรับการสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ของคนทำงาน Fitness เอาใจคนรักสุขภาพด้วยอุปกรณ์ออกกำลังกายได้มาตรฐานที่ครบครัน นอกจากนี้ยังมีในส่วนของ Game Room, Garden, Fiber Optic System, ลิฟต์ 2 ตัว, ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม., ระบบกล้องวงจรปิด CCTV, ระบบคีย์การ์ด, Laundry และ ที่จอดรถ 50% (ประมาณ 69 คัน) โดว์เช่ ลาซาล (DOLCE LASALLE) บูทีคคอนโดมิเนียม เปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้นที่ 1.69 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเพียง 75,000 บาทต่อตารางเมตร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบโจทย์คนวัยทำงานที่มองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถให้คำตอบในชีวิตได้ทั้งปัจจุบันและอนาคตอย่างแท้จริง ซึ่งโครงการฯ จะเปิดพรีเซล ณ สำนักงานขาย โดว์เช่ ลาซาล ในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ เริ่มก่อสร้างปลายปี 2561 นี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2563 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dolcecondo.com  หรือ โทร.0-2117-3463-4