Tag : News

2376 ผลลัพธ์
“เดอะ เชดด์ สาทร 1” คอนโดมิเนียมที่ออกแบบเพื่อธรรมชาติของทุกชีวิตใจกลาง CBD ย่านสาทร – พระราม 4

“เดอะ เชดด์ สาทร 1” คอนโดมิเนียมที่ออกแบบเพื่อธรรมชาติของทุกชีวิตใจกลาง CBD ย่านสาทร – พระราม 4

บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด หรือ SATHAPORN ESTATE แนะนำโครงการ “เดอะ เชดด์ สาทร 1” (The SHADE Sathon 1) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพ ทั้งโครงการบ้านและทาวน์โฮม ในทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี รุกตลาดคอนโดมิเนียมโครงการแรก หลังจากที่ บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบเพื่อรุกตลาดในแนวสูง ที่มาพร้อมจุดเด่นในด้านคุณภาพและการให้บริการเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการออกแบบและพัฒนาโครงการให้ทันสมัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ โดยโครงการ “เดอะ เชดด์ สาทร 1” ถูกสร้างสรรค์ภายใต้แนวคิด “Shades The One You Love” คอนโดที่จะให้ร่มเงาและมีเวลาให้กับคนที่คุณรักได้  มากขึ้น สื่อถึงความโดดเด่นโครงการ ทั้งทำเลที่ตั้งบนถนนสาทร ซอย 1 ใจกลางเมืองย่านสาทร-พระราม 4 ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพ เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ หรือ Real CBD ของกรุงเทพฯ ตัวโครงการอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีลุมพินี เพียง 1.3 กิโลเมตร ในขณะที่การเดินทางบนท้องถนนก็สะดวกสบาย สามารถเชื่อมการเดินทางด้วยถนนหลากหลายสาย ทั้งถนนสาธรใต้ ถนนจันทน์ ถนนอโศก-ดินแดง ถนนพระราม 3 ถนนพระราม 4 และถนนนางลิ้นจี่ ใกล้กับทางพิเศษเฉลิมมหานคร มีสถานที่สำคัญรายล้อม ทั้งสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่แห่งความผ่อนคลาย ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติที่แสนร่มรื่น เนื่องจากอยู่ใกล้สวนลุมพินี พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ทำให้ปัจจัยด้านการใช้ชีวิตของผู้ที่อยู่อาศัยในทำเลสาทรนั้นครอบคลุมหมดทุกมิติ พร้อมกันนั้น ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบโครงการฯ เพื่อธรรมชาติของทุกชีวิต ในทุกๆ รายละเอียด เริ่มตั้งแต่การวางผังอาคารโดยคำนวณในเรื่องทิศทางของลมและแสงแดด ทำให้สามารถช่วยลดอุณหภูมิภายในอาคารและห้องพักให้มีความเย็นสบาย พร้อมกับ Panoramic Unblock View  สามารถรับชมวิวได้โดยไม่มีสิ่งใดมาบดบัง ได้ทุกห้อง รวมถึงการระบายอากาศ Air Ventilation Design ที่โดดเด่นด้วยการคำนวนทิศทางแดด และลม รวมถึงการวางผัง แบบเหนือ - ใต้ ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกโปร่งโล่ง สบาย อีกทั้งยังได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย Smart Home Automation โดยร่วมออกแบบกับบริษัท Panasonic ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมเครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ และแสงสว่างภายในห้องที่สามารถสั่งการผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือได้อย่างง่ายดาย พร้อมกันนั้น ยังได้ออกแบบ Behavioral Mode ที่นำผลการวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคมาออกแบบ เพื่อให้ได้ฟังก์ชั่นที่สอดคล้องกับการใช้งานจริง คือ Welcome Mode /Bye Mode/Morning Mode / และ Good Night Mode ในด้านพื้นที่ส่วนกลางของโครงการฯ ถูกแบ่งการใช้งานออกเป็น 3 ฟังก์ชั่น ได้แก่ 1.Romantic พักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติกด้วย Sunset Garden สวนสวยบนดาดฟ้าที่พาคุณทิ้งความเหนื่อยล้า สู่ช่วงเวลาแห่งการชาร์จพลัง Moonlight Pool สระว่ายน้ำท่ามกลางแสงจันทร์ 2.Energetic เติมพลังให้มีชีวิตชีวาสำหรับวันใหม่พร้อมกับคนที่คุณรักด้วย Panoramic Fitness เพลิดเพลินและผ่อนคลายกับการออกกำลังกายไปพร้อมกับวิวทิวทัศน์ที่แสนร่มรื่น พร้อมทั้ง Multi–Purpose Room  ห้องอเนกประสงค์เพื่อกิจกรรมสุดพิเศษ 3.Fantastic เพิ่มความสะดวกสบายให้ชีวิตไปพร้อม ๆ กับการรักษาสิ่งแวดล้อม ทั้ง Grand Lobby ล็อบบี้ขนาดใหญ่ที่พร้อมรับรองคุณและคนที่คุณรักด้วยมุมพักผ่อนริมสระท่ามกลางวิวสวนสวย Co-Inspiration Space พื้นที่การทำงานที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจที่ไม่รู้จบ Smart Locker ล็อคเกอร์อัจฉริยะสำหรับคนยุคไอที และ Recycle Vending Machine รักษ์โลกไปกับเครื่องรีไซเคิลขวดพลาสติกที่คิดค้นมาเพื่อการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง ทั้งนี้ โครงการ เดอะ เชดด์ สาทร 1 เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 282 ยูนิต และร้านค้า 4  ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาท พื้นที่โครงการ 2-1-73.4 ไร่ ประกอบด้วยห้องชุดขนาดต่าง ๆ ได้แก่  ห้อง 1 Bedroom 1 Bathroom ขนาด 28-46.5 ตร.ม. ห้อง 2 Bedroom 1 Bathroom ขนาด 52 และ 56 ตร.ม. และห้อง 2 Bedroom 2 Bathroom ขนาด 60 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ 3.69 ล้านบาท   ผู้ที่สนใจสามารถรับชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ที่สำนักงานขายโครงการเดอะ เชดด์ สาทร 1 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 087-669-1111 และทางแฟนเพจ www.facebook.com/sathapornestate  
นักธุรกิจไฟแนนซ์ผันตัวสู่ผู้ประกอบการอสังหาฯ นำที่ดินย่านทองหล่อผนึกสิงคโปร์ร่วมทุนผุด”คอนโดฯหรู”991สุขุมวิท ทองหล่อ”

นักธุรกิจไฟแนนซ์ผันตัวสู่ผู้ประกอบการอสังหาฯ นำที่ดินย่านทองหล่อผนึกสิงคโปร์ร่วมทุนผุด”คอนโดฯหรู”991สุขุมวิท ทองหล่อ”

นักธุรกิจไฟแนนซ์ที่ปรึกษาธุรกิจ ผันตัวเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯ หลังคว้าที่ดินศักยภาพย่านทองหล่อ ดึงกลุ่มสิงคโปร์ร่วมทุนตั้งบริษัท เรชา เอสเตท จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท ชิมลางพัฒนาโครงการซูเปอร์ลักชัวรี่ ภายใต้แบรนด์ “991 สุขุมวิท ทองหล่อ” ชูจุดขายด้านดีไซน์ –ยื่นEIAผ่านก่อนขายโครงการ สร้างความมั่นใจลูกค้า คาดพร้อมเปิดพรีเซลต้นปี 62   นายสิริอานนท์ ศรีกุเรชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรชา เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่จบการศึกษาด้านไฟแนนซ์ มหาวิทยาลัย University of San Francisco และทำงานเป็นที่ปรึกษาการเงินที่ Morgan Stanley สหรัฐอเมริกา จนเมื่อตัดสินใจกลับมาทำงานที่ประเทศไทย บรรดา Big company ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซ็กเตอร์ ธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์ ล้วนเคยผ่านมือการวิเคราะห์ธุรกิจและการเงินจากตนมาแล้วแทบทั้งสิ้น โดยตลอดระยะเวลาที่คลุกคลีอยู่กับการเป็นที่ปรึกษาการเงิน วิเคราะห์ประเมินโครงการมาประมาณ 20 ปี ทำให้ตกผลึกความคิดได้ชัดเจนว่าการเป็นผู้ประกอบการที่ดี และประสบความสำเร็จได้ในยุคนี้ ต้องเป็นคนที่มีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจด้านการเงินที่แข็งแกร่ง จึงจะสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องและต้นทุนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาตนได้รับการติดต่อให้ไปดูที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งมีความพิเศษตรงที่ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิทติดทางขึ้น-ลงสถานี BTS ทองหล่อ ทั้งยังเป็นฝั่งถนนสุขุมวิทซอยเลขคี่ ด้วยประสบการณ์เชี่ยวชาญ จึงสามารถมองทะลุทำเลศักยภาพที่ติดถนนใหญ่สายหลัก ไม่เข้าซอยและติดสถานีรถไฟฟ้า ทั้งอยู่ในย่านเศรษฐีที่นับวันมูลค่าที่ดินจะเพิ่มสูงขึ้นมาก จึงตัดสินใจลงทุนซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวไว้เพื่อเตรียมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตทันที   โดยในเบื้องต้นแนวทางการพัฒนาที่ดินแปลงดังกล่าวมี 2 ทางเลือกคือ โรงแรมหรูโดยใช้เชนบริหาร และคอนโดมิเนียม ซึ่งได้ทำการศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านและรอบคอบ เมื่อทำประเมินโครงการโดยละเอียดแล้ว มีความมั่นใจว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเหมาะกับการพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมหรูระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี มากกว่า เพราะสามารถสร้าง Value ได้อย่างพิเศษมากที่สุด สำหรับการพัฒนาที่ดินติดถนนใหญ่ที่หาได้ยากยิ่งในย่านสุขุมวิท ทองหล่อ     ดังนั้นจึงได้ดึงนักลงทุนจากสิงคโปร์เข้ามาร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการ และตั้งบริษัท เรชา เอสเตท จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 400 ล้านบาท พัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์“ 991 สุขุมวิท ทองหล่อ” โดยตั้งเป้าหมายให้ เรชา เอสเตทฯ เดินหน้าเป็น Listed Company ไม่เกิน 5 ปีนับจากนี้ ซึ่งธุรกิจจะเติบโตในแบบ Responsible Growth นั่นหมายถึง “ 991 สุขุมวิท ทองหล่อ” จะเป็นโปรเจกต์ นำธงสร้างชื่อและความน่าเชื่อถือแก่ลูกค้าเป้าหมายและบรรดานักพัฒนาอสังหาฯ รวมถึงกลุ่มนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และยังมีการพัฒนาโครงการระดับไฮเอนด์อีกหลายรูปแบบทั้งแนวราบ แนวสูงและโรงแรม   “เราได้คัดสรร “เบอร์หนึ่ง” ของวงการมาร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็นงานสถาปัตยกรรม งานวิศวกรรมการก่อสร้าง งานออกแบบตกแต่ง และงานตลาด-การขาย โดยการดำเนินการจะยึดหลักความถูกต้องที่ต้องมาเป็นอันดับแรก ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส ตรวจสอบได้และตรงไปตรงมา ให้อิสระในการคิดและนำเสนอไอเดียของทีม เพื่อให้มืออาชีพเหล่านั้นได้แสดงศักยภาพและผลงานของตนเองได้อย่างเต็มที่ วิธีการทำงานเช่นนี้จะทำให้เกิดผลลัพธ์ของงานสถาปัตยกรรมอาคารสูง ดีไซน์หรูทันสมัยที่ให้ฟังก์ชันลงตัวสมบูรณ์เหนือชั้นกว่าโครงการซูเปอร์ลักซ์ชัวรีที่เคยมีมา “นายสิริอานนท์ กล่าว     โดยโครงการ “ 991 สุขุมวิท ทองหล่อ” จะเปิดพรีเซลในต้นปี2562 ขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งได้ยื่นไปเมื่อต้นปี2561 ที่ผ่านมา คาดว่าจะสามารถสรุปได้ในเดือนตุลาคมนี้ นับเป็นการสร้างอีกหนึ่งมาตรฐานใหม่ของงานพัฒนาโครงการหรูที่สามารถสร้างความมั่นใจให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ตั้งแต่เริ่มต้น และโครงการดังกล่าวจะเป็น Rare Item ในย่านสุขุมวิท ทองหล่อ ที่ใครก็ไม่อยากพลาดเป็นเจ้าของ
BMAM Expo Asia 2018 ปิดฉากด้วยความสำเร็จอีกครั้ง เผยปีหน้ามาในคอนเซ็ปต์ใหม่ รวมที่สุดเเห่งนวัตกรรมด้านอาคาร

BMAM Expo Asia 2018 ปิดฉากด้วยความสำเร็จอีกครั้ง เผยปีหน้ามาในคอนเซ็ปต์ใหม่ รวมที่สุดเเห่งนวัตกรรมด้านอาคาร

ปิดฉากงาน BMAM Expo Asia 2018 (BMAM 2018) งานแสดงสินค้าเเละการประชุมสัมมนาด้านการบำรุงรักษาอาคารและการบริหารจัดการทรัพยากรอาคารแห่งเอเชีย ครั้งที่ 11 กับความสำเร็จตามความคาดหมาย มีผู้ประกอบการเข้าร่วมแสดงสินค้ากว่า 81 บริษัท มีผู้เข้าชมงานกว่า 3,569 ราย จากกว่า 20 ประเทศ กระตุ้นธุรกิจด้าน FM ด้วยยอดนัดหมายเจรจาธุรกิจกว่า 250 นัดหมาย อิมแพ็คเดินเครื่องประกาศจัดงานปีหน้าในคอนเซ็ปต์ใหม่ในวันที่  27-29 มิถุนายน 2562 อิมแพ็ค เมืองทองธานี มร. ลอย จุน ฮาว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า การจัดงาน BMAM Expo Asia ในปีนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี คาดการว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายจากการเจรจาธุรกิจภายในงานกว่า 240 ล้านบาท ด้านนายวรกร วีราพัชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิจิตอล บัตเลอร์ จำกัด หนึ่งในผู้เข้าร่วมแสดงสินค้าในงาน กล่าวว่า “BMAM Expo Asia เป็นจุดนัดพบของกลุ่มผู้บริหารจัดการทรัพยากรอาคาร และเป็นงานแสดงสินค้าที่ตอบโจทย์ ช่วยให้สามารถพบปะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนในแวดวงธุรกิจเดียวกัน ทำให้สามารถนำไปต่อยอดพัฒนาทางธุรกิจได้ ซึ่งเราได้รับผลตอบรับค่อนข้างดีจากการร่วมเเสดงสินค้าในครั้งนี้” “งาน BMAM Expo Asia 2018 เป็นงานแสดงสินค้าที่ทำให้เราได้พบกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและกลุ่มผู้รับเหมา ถ้าคุณอยากเจาะตลาดในประเทศไทย ที่นี้คืองานแสดงสินค้าที่ตอบโจทย์สำหรับคุณ” นายเฮนรี่ โซ บริษัท บีไคนด์ จำกัด จากประเทศฮ่องกง กล่าวเสริม นายบรรจง สุกรีฑา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า “ภายในงาน BMAM Expo Asia 2018 กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้จัดทำแพลตฟอร์ม Factory 4.0 และสาธิตศักยภาพระบบหม้อน้ำอัจฉริยะ (Smart Boiler) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไอน้ำของหม้อน้ำด้วยระบบควบคุมอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้เชื้อเพลิง ลดการสิ้นเปลืองความร้อนและไฟฟ้า เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล โดยรัฐบาลต้องการแรงสนับสนุนจากภาคเอกชนในการพัฒนา ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยคาดหวังว่าการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม จะใช้ความรู้จากทรัพยากรบุคคลให้น้อยที่สุดในการตัดสินใจ และจะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้มากขึ้น” นอกเหนือจากงานแสดงสินค้าและนวัตกรรมแล้ว งาน BMAM Expo Asia ยังได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการอาคารจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสมาคมต่างๆ เพื่อจัดสัมมนาวิชาการ ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เข้าฟังมากกว่า 890 คน ตลอด สามวัน หัวข้อสัมมนาประกอบด้วย กุญแจสู่การบริหารจัดการอาคารแห่งอนาคต, เมืองอัจฉริยะที่แท้ทำอย่างไร, นวัตกรรมทำความสะอาดยุค 4.0 และ อีกหลายหัวข้อที่มุ่งเน้นให้ความรู้ทางเทคนิคและเทรนด์ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม  FM   โดยในปีหน้างาน BMAM Expo Asia กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 27-29 มิถุนายน 2562 ณ อาคาร 6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี สำหรับความคืบหน้าในการจัดงานสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.bmamexpoasia.com
LUXURY จับคอลลาเจนใส่หมอนและเครื่องนอน รายแรกในโลก

LUXURY จับคอลลาเจนใส่หมอนและเครื่องนอน รายแรกในโลก

Luxury ผู้นำทางด้านเครื่องนอน อันดับ 1 ของประเทศที่ส่งหมอนให้กับโรงแรม 5 ถึง 6 ดาวทั่วประเทศ วันนี้ Luxury ไม่ได้หยุดนิ่งในการพัฒนาธุรกิจ และผลิตภัณฑ์เพื่อให้ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคให้มากขึ้น ซึ่งได้นำนวัตกรรมที่มีความต่างต่อยอดหมอนเพื่อมองสิ่งดีดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค     คมศานต์ จิวากานนท์ ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีลักซ์ โฮเทล ซัพพลาย จำกัด กล่าวว่า "ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่บริษัทวิจัย และพัฒนา (R&D) ขึ้นมาเป็นผลลัพธ์มาจากการได้จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาในตลาดเครื่องนอน ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพบว่า หมอนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ว่าผู้ประกอบการรายใดก็สามารถทำได้ แบรนด์ของบริษัทของจะยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดไว้ได้อย่างไร ก็คงต้องขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของหมอนที่มีประโยชน์มากกว่าการนอน และบริการหลังการขายที่ดีซึ่งลูกค้าให้ความไว้วางใจ ตนจึงมีแนวคิดที่จะเพิ่มฟังก์ชันลงไปในหมอนให้เป็นหมอนที่ไม่ธรรมดา เพราะวันหนึ่งทุกคนจะต้องใช้เวลาอยู่บนหมอนกว่า 8 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นควรจะต้องได้อะไรที่มากกว่าการนอน ไม่ใช่มีคุณสมบัติแค่นอนดี หนุนคอสบายแล้วจบ ค้นหาวัตถุดิบที่จะนำมาเป็นส่วนประกอบของหมอนจนทำให้ได้พบกับสาร ที่เรียกว่าคอลลาเจน (Collagen) โดยเลือกใช้สารสกัดที่ได้จากปลามิลค์ฟิช (Milkfish) จากไต้หวันซึ่งเป็นปลาทะเลนํ้าลึกที่เป็นธรรมชาติล้วน โดยปลอดภัยแม้กระทั่งการใช้กับผิวเด็ก โดยนำมาทำเป็นเส้นใยฟิลาเจน (FILAGEN) ที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน เมื่อได้คอลลาเจนแบบที่ต้องการแล้ว ประกอบกับผ้าคอตตอน (Cotton) เป็นเส้นใยจากธรรมชาติ และได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่า บอบบางและปกป้องผิวได้ดีที่สุด จึงน่าที่จะนำผ้าคอตตอนผสมกับคอลลาเจนแล้วถักทอออกมาให้เป็นผ้าหรือนำไปอยู่ในหมอน"   คอลลาเจนบนเครื่องนอน คอตตอนที่บริษัทเลือกใช้ เป็นคอตตอนจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นคอตตอนที่ดีที่สุด โดยนำมาถักทอร่วมกับเส้นใยฟิลาเจนซึ่งมีจำนวนเส้นด้ายอยู่ 1,200 เส้น เรียกได้ว่ามีความละเอียดที่สุดในวงการผ้าคอตตอน โดยนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์อย่าง ปลอกหมอน, ผ้าปูที่นอน, ปลอกผ้านวม และหมอน ภายใต้แบรนด์ “ลักษณ์ชัวรี่ คอตตอน คอลลาเจน” (LUXURY COTTON COLLAGEN) “ลักษณ์ชัวรี่ คอตตอน คอลลาเจน” นั้น อยู่ที่นวัตกรรมที่นำมาใช้ ซึ่งจะช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิวในเวลานอน เนื่องจากส่วนใหญ่จะนอนในห้องแอร์ทำให้ผิวแห้ง รวมถึงเรื่องของการกำจัดกลิ่น เพราะผ้าปูที่นอนจะไม่ได้ถูกเปลี่ยนบ่อยเหมือนกับเสื้อผ้าทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรก แต่คอลลาเจนจะทำหน้าที่ทำความสะอาดให้ผ้าใหม่อยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยป้องกันรังสียูวี (UV) ที่เกิดจากโทรศัพท์มือถือ นีออน โทรทัศน์ ฯลฯ ได้ถึง 97.7% อีกทั้งคอลลาเจนยังมีคุณสมบัติอยู่แบบถาวร และเมื่อยิ่งซักผ้าก็จะยิ่งนุ่มขึ้นจากคุณสมบัติของคอตตอน     “นี่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผู้นอน ซึ่งผู้ใช้อาจจะไม่ได้คำนึงถึง ฟังก์ชันทั้งที่เป็นสิ่งที่ต้องใช้งาน และจะดีกว่าไหมหากซื้อผลิตภัณฑ์แล้วสามารถดูแลตัวเอง หรือได้มากกว่าแค่การนอนหลับ เสมือนเป็นด่านสุดท้ายที่ดูแลระหว่างนอน โดยตามปกติผิวจะสูญเสียมอยส์เจอไรเซอร์ไปจากการระเหย แต่คอลลาเจนจะช่วยดักจับให้เข้ามาอยู่ที่เส้นใย ดังนั้น เมื่อผู้ใช้ได้สัมผัสจึงเท่ากับได้รับความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา” อย่างไรก็ตามในอนาคตแบรนด์จะนำเสนอผลิตภัณฑ์เสริมประเภทอื่นเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นผ้าเช็ดตัวคอลลาเจน ซึ่งจะช่วยเรื่องความชุ่มชื้นไม่ใช่เพียงแค่ซับนํ้าได้ดี รวมไปถึงผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดผม หมอนรองคอ รองเท้าสลิปเปอร์ และแม้กระทั่งผ้าผิดตา   เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย คมศานต์ บอกอีกว่า เบื้องต้นจะมุ่งเน้นการทำตลาดที่ปลอกหมอน เพราะสามารถเปลี่ยนได้ง่ายที่สุด โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือทุกกลุ่มที่ใช้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องนอน กลุ่มที่ต้องการฟังก์ชันเพิ่มเติมจากนวัตกรรมใหม่ โดยเลือกกำหนดราคาให้สามารถเข้าถึงได้ตั้งแต่กลุ่มผู้บริโภคระดับล่างไปจนถึงระดับบน เพราะต้องการให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ ส่วนช่องทางการจำหน่ายจะเน้นที่การออกงานแสดงสินค้า ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตีมอลล์ อาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม และสถานเสริมความงามต่างๆ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ทุ่มงบประมาณกว่า 20 ล้านบาท เพื่อเจาะตลาดทางด้านออนไลน์โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งทีมงานทางด้านออนไลน์ การซื้อสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ออนไลน์ทุกแขนง อีกทั้งยังมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในรูปแบบของแฟชั่นโชว์ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์วันที่ 3 ตุลาคม 2561 โดยมีนางแบบนายแบบชั้นนำอย่างใหม่-ดาวิกา และโป๊ป-ธนวรรธน์ มาร่วมเดินแฟชั่นชุดเครื่องนอนครั้งแรกในประเทศ ไทย ซึ่งจะมีสไตลิสต์อันดับต้นของประเทศมาออกแบบเครื่องแต่งกายที่ทำมาจากผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ และช่วยให้ตัวแทนจำหน่ายของแบรนด์ทำงานได้สะดวกมากขึ้น “ในต่างประเทศบริษัทก็ได้มีการจดเครื่องหมายการค้าไว้เช่นเดียวกัน แต่จะยังไม่ทำตลาดในระยะแรก เพราะต้องการให้คนไทยได้ใช้ก่อน โดยไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศไทย หรือต่างประเทศผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ก็ถือว่าเป็นเจ้าแรกทั้งหมด ทั้งหมวดเครื่องนอนและเส้นใย”  
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ตั้งทีม International Business เร่งรุกตลาดต่างชาติวางเป้ายอดขายตลาดต่างชาติเติบโตต่อเนื่อง คาดสิ้นปีนี้โตขึ้น 30%

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ตั้งทีม International Business เร่งรุกตลาดต่างชาติวางเป้ายอดขายตลาดต่างชาติเติบโตต่อเนื่อง คาดสิ้นปีนี้โตขึ้น 30%

ณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เชี่ยวชาญโครงการที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์และพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ (Pet Friendly) เป็นแห่งแรกของประเทศไทย ได้จัดตั้งทีม International Business ขึ้น เพื่อทำการตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติโดยเฉพาะ     นำทีมโดย คุณ พิรุณินทร์ วรรณวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ และทีม International Business บริษัทฯ ได้บุกเจาะตลาดลูกค้าชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งในปี 2561 นี้ได้รุกขยายเจาะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีน ฮ่องกง และไต้หวันที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่มีกำลังซื้อ ตั้งเป้ายอดขายตลาดต่างชาติปีนี้ที่ 2,500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 30% จากปี 2560 ทั้งนี้บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์เชิงรุกในการขยายสู่ตลาดต่างประเทศด้วยการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับบริษัทพันธมิตรในประเทศและตัวแทนจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์นานาชาติ โดยเมื่อเร็วๆนี้ ได้จัด Meet & Greet เชิญตัวแทนจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์มาร่วมงาน เพื่อรับฟังข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และโอกาสทางการขายโครงการเมเจอร์ฯ ที่มีจุดเด่นอยู่บนทำเล CBD ใจกลางเมือง ไม่ไกลจากรถไฟฟ้า หรือ รถไฟใต้ดิน และคุ้มค่าต่อการลงทุน ซึ่งผลตอบรับดีเกินคาด มีตัวแทนจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์เข้ามาร่วมงานกันอย่างล้นหลาม
ชินวะ เรียลเอสเตส ติดอาวุธให้คอนโดปล่อยเช่าด้วย ทริเปิลเอส โปรแกรม  ประสานลูกค้าญี่ปุ่นช่วยเอเย่นต์ เอาใจนักลงทุน

ชินวะ เรียลเอสเตส ติดอาวุธให้คอนโดปล่อยเช่าด้วย ทริเปิลเอส โปรแกรม ประสานลูกค้าญี่ปุ่นช่วยเอเย่นต์ เอาใจนักลงทุน

ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) ผู้บริหารงานคอนโดมิเนียมจิตวิญญาณญี่ปุ่นแท้ๆ เดินหน้าอีก สเต็ปเตรียมพร้อมสร้างความพึงพอใจลูกค้า ติดอาวุธให้คอนโดปล่อยเช่าด้วย ทริเปิลเอส โปรแกรม (SSS) บริหารงานหลังงานขายเพื่อประสานผู้เช่าญี่ปุ่นตัดตอนช่วยเอเย่นต์และนักลงทุน เผยเป็นกลยุทธ์จากญี่ปุ่น-ประเทศแม่ที่มีประสบการณ์บริหารงานห้องชุด และเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ในมือกว่า 5,000 ห้อง เตรียมพร้อมรองรับโครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 ที่จะแล้วเสร็จพร้อมโอนไตรมาส 3 ปีหน้า และโครงการต่อๆไป   มร.โทโมยาสุ ยามาเบะ กรรมการผู้จัดการ และ นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด “ผู้บริหารงานคอนโดมิเนียมจิตวิญญาณญี่ปุ่นแท้ๆ” เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้จัดตั้งส่วนงานทริเปิลเอส (SSS หรือ Triple S) ซึ่งเป็นโปรแกรมฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ระบบบริหารงานหลังการขาย กลยุทธ์ที่เตรียมพร้อมที่จะเข้ามาช่วยประสานงานบริการกับผู้เช่า ทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายใหญ่ของผู้เช่าเป็นชาวญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันก็เป็นการแบ่งเบาภาระการทำงานให้เอเย่นต์รวมนักลงทุนเจ้าของห้องชุด โดยเอเย่นต์ที่หาห้องพักให้ผู้เช่าชาวญี่ปุ่นในไทย ปัจจุบัน มีประมาณ 40 ราย ทั้งนี้เป็นบริการสำหรับโครงการของชินวะ กรุ๊ปเท่านั้น โดยโครงการแรก คือ โครงการ รูเนะสุ ทองหล่อ 5 กำหนดแล้วเสร็จพร้อมโอนให้ลูกค้าเข้าอยู่ประมาณไตรมาส 3 ปี 62     “ทริเปิลเอส เป็นกลยุทธ์จากชินวะญี่ปุ่น-ประเทศแม่ ซึ่งประสบความสำเร็จจากผลงานอ้างอิง โดยปัจจุบัน มีการบริหารงานห้องชุด และเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ในมือกว่า 5,000 ห้องที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นส่วนงานที่ตั้งขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เช่า ในขณะที่ช่วยแบ่งเบาภาระของเอเย่นต์และนักลงทุน โดยตัดขั้นตอนการทำงานของเอเย่นต์ไปเลย เพราะปัจจุบันไม่ว่าลูกค้าผู้เช่าจะมีปัญหาอะไร เล็กใหญ่ขนาดไหนจะติดต่อไปที่เอเย่นต์ทุกครั้ง ทำให้เอเย่นต์ยังต้องมีภาระบริการผู้เช่าตลอดอายุสัญญาเช่า แต่ส่วนงานทริเปิลเอสของชินวะฯ ผู้เช่าสามารถติดต่อโดยตรงกับเราได้ตลอดเวลา เพราะมีเจ้าหน้าที่ที่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่น และภาษาสากลได้ รวมถึงมีซัพพรายเออร์และช่างงานระบบต่างๆในมือ ทำให้สามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้เช่าได้อย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะมีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือเรื่องใด เช่น น้ำ ไฟ อินเตอร์เน็ต แอร์ หรืออื่นๆ เพราะเรามีซัพพรายเออร์ทุกส่วนงานในมือ เป็นการให้บริการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งขณะนี้มีความพร้อมเต็มที่เพราะที่ผ่านมาชินวะฯได้มีการทดลองระบบ ด้วยการซื้อห้องชุดในไทยจำนวนหนึ่งเพื่อบริหารงานมาประมาณ 2 ปี ซึ่งจะเป็นการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าขั้นสุด ตามเจตนารมณ์ที่ชินวะฯยึดหลักเป็นบริษัทผู้บริหารงานคอนโดมิเนียมจิตวิญญาณญี่ปุ่นแท้ๆ” นายวิชัย กล่าว   ชินวะ กรุ๊ป บริษัทแม่ของชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) สำนักงานใหญ่ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น มีรากฐานเติบโตมาจากงานคอนสตรัคชั่น มีประวัติศาสตร์การดำเนินงานมาถึง 128 ปีแล้ว กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจในเครือแตกไลน์หลายแขนง ได้เริ่มเข้ามาจอยท์ เวนเจอร์กับกลุ่มทุนไทยตั้งแต่ปี 2559 ปัจจุบันดำเนินงานคอนโดมิเนียม 2 โครงการ ได้แก่ โครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 คอนโดมิเนียมโลวไรส์ 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 156 ยูนิต มีการติดตั้งระบบรูเนะสุ 2 ชั้น มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท ขณะนี้มีความคืบหน้างานก่อสร้างประมาณ 30 % คาดว่าจะแล้วเสร็จราวไตรมาส 3 ปี 62, โครงการเร็น สุขุมวิท 39 (ซอยพร้อมมิตร) เป็นอาคารสูง 7 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 298 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,600 ล้านบาท ติดตั้งระบบ รูเนะสุทุกยูนิต ทั้งนี้ระบบรุเนะสุ เป็นการกลับคานเป็นพื้น-กลับพื้นเป็นคาน เพื่อใช้พื้นที่ความต่างด้านล่างที่มีความสูง 60 เซนติเมตร เพื่อใช้ประโยชน์ในการเก็บของ ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่น การบริหารจัดการ Death Space และสามารถทำให้ผู้อยู่อาศัยมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นถึง 25-40 %
มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 ปิดฉาก ผลสำรวจชี้ยอดซื้อหลักมาจากกลุ่มเรียลดีมานด์ ไร้ผลกระทบจากมาตรการของธปท.

มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 ปิดฉาก ผลสำรวจชี้ยอดซื้อหลักมาจากกลุ่มเรียลดีมานด์ ไร้ผลกระทบจากมาตรการของธปท.

ผลสำรวจหลังงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 ชี้ความต้องการที่อยู่อาศัยจากกลุ่ม เรียลดีมานด์ยังอยู่ในระดับสูง และสินค้าประเภท คอนโดมิเนียมยังคงครองความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง นายปิติพัฒน์ ปรีดานนท์ ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 เปิดเผยถึงผลสำรวจ หลังการจัดงานฯ ว่า ตลอด 4 วัน ตั้งแต่ 4-7 ตุลาคมมีผู้เข้าร่วมงานใกล้เคียงกับครั้งที่ผ่านมา และมียอดจองซื้อ ที่อยู่อาศัยภายในงานเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้และคาดว่าจะมียอดขายตามมาอีกไม่ต่ำกว่า 2 เท่า โดยประเภท ที่อยู่อาศัยที่มีการจองซื้อภายในงานมากที่สุด 3 ลำดับแรกได้แก่ คอนโดมิเนียม คิดเป็น 38 % รองลงมาเป็น บ้านเดี่ยว คิดเป็น 37% และทาวเฮ้าส์คิดเป็น 17% ที่เหลือเป็นสินค้าประเภทบ้านแฝดและอื่นๆ อีก 8 %  นอกจากนี้ ยังมียอดขอสินเชื่อกว่า หนึ่งหมื่นล้านบาท “ผลสำรวจยังระบุอีกว่าผู้ที่ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในงานครั้งนี้ราว 80% ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และอีก 20 % ซื้อเพื่อ การลงทุน ซึ่งอาจมองได้ว่ามาตรการคุมสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เน้นไปที่บ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้าน บาท และบ้านหลังที่ 2 ยังไม่ใช่ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้บริโภคที่มาซื้อที่อยู่อาศัย ในงานมหกรรมบ้านและ คอนโด ครั้งที่ 39  สำหรับผู้เข้าชมงานกว่า 63% เป็นผู้เข้าชมงานมหกรรมฯ เป็นครั้งแรก และอีกประมาณ 37% เป็นผู้ที่เคยมางานแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ผู้เข้าชมงานกว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Y ในช่วงอายุ 21-30 ปี 38% รองลงมาจะอยู่ในช่วงอายุ 31-40 ปี คิดเป็น 32% และ 30% เป็นกลุ่ม Gen X ในช่วงอายุ 41-50 ปี ขณะที่ ผลสำรวจด้านรายได้ส่วนตัวต่อเดือนชี้ว่าผู้เดินงาน 45% มีรายได้อยู่ไม่เกิน 30,000 บาท และ 26% มีรายได้ ระหว่าง 30,000-50,000 บาท ส่วนที่มีรายได้เกิน 50,000 บาท จะอยู่ที่ 29%”  “ผลสำรวจด้านระยะเวลาที่ต้องการซื้อในอนาคต 1-2 ปี จะอยู่ที่ 31% ขณะที่ระยะเวลา 6-12 เดือน อยู่ที่ 32% และระยะเวลา 1-3  เดือน อยู่ที่ 37% ส่วนด้านงบประมาณในการซื้อที่อยู่อาศัยแต่ละประเภทระบุว่าผู้เข้าชมงาน 27% ต้องการที่อยู่อาศัยระดับ ราคา 1-2 ล้านบาท และ 29% ต้องการระดับ 2-3 ล้านบาท และอีก 32% ต้องการราคา 3-4 ล้านบาท มีเพียง 12 % ที่สนใจที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท” นายปิติพัฒน์ กล่าวสรุป สำหรับงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 มีนาคม 2562 ณ ศูนย์การ ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีนายณพงศ์  ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เป็นประธานในการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40
ศุภาลัย ปั้นแบรนด์ “ริเวอร์ วิลล์” คฤหาสน์หรู ริมแม่น้ำ เพียงหนึ่งเดียว ใจกลางเมืองระยอง

ศุภาลัย ปั้นแบรนด์ “ริเวอร์ วิลล์” คฤหาสน์หรู ริมแม่น้ำ เพียงหนึ่งเดียว ใจกลางเมืองระยอง

“ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง” คฤหาสน์หรู ริมแม่น้ำ เพียงหนึ่งเดียว ใจกลางเมือง มาพร้อมนวัตกรรม Home Automation & Security ตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุค 4.0 เปิดจองวันที่ 27-28 ตุลาคม 2561 นี้ ณ สำนักงานขาย ราคาเริ่มเพียง 6.69 ล้านบาท พร้อมพบสิทธิพิเศษมากมาย   นายบุญชัย ชัยอนันต์บวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานโครงการภูมิภาค 2 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการที่บริษัทฯ ได้เข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมในจังหวัดระยองอย่างต่อเนื่อง รวม 4 โครงการ ได้แก่ ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท ศุภาลัย พาร์ควิลล์ ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ และ  ศุภาลัย เบลล่า ที่ผ่านมาได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเป็นที่น่าพอใจ สามารถสร้างความเชื่อมั่นใน แบรนด์ ศุภาลัย และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นอย่างดี ซึ่งจากความสำเร็จในการพัฒนาอสังหาฯ ในพื้นที่ จังหวัดระยองที่ผ่านมา ประกอบกับการผลักดันโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของภาครัฐ ทำให้สามารถดึงดูดนักลงทุน อัตราการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคอสังหาริมทรัพย์ ก็เติบโตตามไปด้วย ล่าสุด บริษัทฯ เตรียมปั้นแบรนด์ใหม่แนวราบ “ริเวอร์ วิลล์” คฤหาสน์หรู ริมแม่น้ำ ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ที่ดูภูมิฐาน สร้างเอกลักษณ์ สะท้อนรสนิยม ให้ทุกองค์ประกอบเป็นมากกว่า ความภาคภูมิใจ เพื่อส่งต่อ เพื่อความสุข เพื่อความทรงจำ พร้อมปักหมุดโครงการที่ 5 ทำเลใจกลางเมืองระยอง ภายใต้ชื่อ “ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง” มูลค่าโครงการ 720 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการกว่า 24 ไร่ มอบความเป็นส่วนตัว ด้วยจำนวนเพียง 74 แปลง “ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง” ชูแนวคิด “The Happiness of Riverside Living ความสุขในการใช้ชีวิตริมแม่น้ำ” ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ริมแม่น้ำระยอง ใจกลางเมือง เชื่อมต่อทุกการใช้ชีวิต ให้ทุกก้าวง่ายขึ้น ใกล้ขึ้น รวดเร็วกว่าใคร แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งห้างสรรพสินค้า แหล่ง Shopping ต่างๆ โรงเรียน โรงพยาบาล อาทิ  เซ็นทรัล พลาซ่า ระยอง Passion Shopping Lotus โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง รพ.กรุงเทพระยอง พบกับคฤหาสน์หรูขนาดใหญ่ จำนวน 5 แบบ 2 ชั้น 4 ห้องนอน 3-5 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 197-309 ตร.ม. ในราคาเริ่มเพียง 6.69-22.9 ล้านบาท พร้อมฟังก์ชั่นพิเศษตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตด้วย Luxury Privacy club house พื้นที่ส่วนกลางสุด Exclusive กับสระว่ายน้ำระบบเกลือ สวนสาธารณะ พร้อม Fitness รองรับคนรักสุขภาพถึง 2 ชั้น และให้คุณอิสระในการพักผ่อนได้ในเวลาเดียวกัน เชื่อมโยงเทคโนโลยีการอยู่อาศัยยุค 4.0 กับบ้านอัจฉริยะ ให้ทุกวินาทีของคุณสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วย Home Automation & Security ระบบอัจฉริยะที่ช่วยอำนวยความสะดวกกับระบบสั่งงาน ภายในบ้านทุกหลัง ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน อาทิ ระบบสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และระบบควบคุมการเปิดปิดประตูรั้วบ้าน อุ่นใจด้วยระบบรักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยระบบการ แจ้งเตือนด้วยกล้องอัจฉริยะ พร้อม sensor ตรวจจับที่หน้าต่างประตูบ้านเมื่อมีการบุกรุก และรายงานผล Real time ปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยมาตรฐานการเข้า-ออก ระบบ Bluetooth พร้อมทั้งติดตั้งกล้อง CCTV และระบบสัญญาณกันขโมย ภายในโครงการ   “ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง” พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของก่อนใคร บนทำเลที่ดีที่สุดหน้าโครงการริมแม่น้ำระยอง กำหนดเปิดจองในวันที่ 27-28 ตุลาคม 2561 นี้ ณ สำนักงานขาย สอบถามเพิ่มเติมโทร 1720 หรือดูรายละเอียดได้ที่  www.supalai.com
SC ต่อยอดมุมมองสำคัญของการพัฒนาพื้นที่สาธารณะ “เนเบอร์ฮูด บางกะดี” จับมือผู้กำกับชื่อดัง  ร่วมถ่ายทอดแนวคิดแบรนด์สู่โฆษณาชุดใหม่ “…ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว?”

SC ต่อยอดมุมมองสำคัญของการพัฒนาพื้นที่สาธารณะ “เนเบอร์ฮูด บางกะดี” จับมือผู้กำกับชื่อดัง ร่วมถ่ายทอดแนวคิดแบรนด์สู่โฆษณาชุดใหม่ “…ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว?”

นางสาวโฉมชฎา กุลดิลก หัวหน้าสายงานฝ่ายสื่อสารและกลยุทธ์แบรนด์ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “SC ได้สร้างสรรค์แคมเปญสื่อสารมิติใหม่ที่สุดแห่งปี เพื่อสร้างการรับรู้ถึงแนวคิดสำคัญสำหรับการพัฒนาพื้นที่สาธารณะ โมเดลต้นแบบแห่งแรกสำหรับ SC คือ “เนเบอร์ฮูด” ชุมชนที่ทุกคนมีส่วนร่วมกันออกแบบ โดยร่วมกับผู้กำกับมือหนึ่งของไทย “ต้อม เป็นเอก รัตนเรือง” ในภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ชื่อ “...ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว?” เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ของผู้คนในสังคมถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่หลากหลาย ปรับตัวให้อยู่กับปัญหาได้ในมุมมองที่แตกต่างกัน โดยบอกเล่าถึงสิ่งที่คนเมืองประสบพบเจอในชีวิตประจำวันที่ทำให้กลายเป็นสิ่งเคยชิน ” The Neighbourhood  “เนเบอร์ฮูด บางกะดี” มีจุดมุ่งหมายให้เกิดเป็นโมเดลที่อยู่อาศัยที่ตอบรับการเติบโตของชุมชนเมืองในอนาคต เกิดเป็นพื้นที่สาธารณะที่เป็นประโยชน์ต่อคนในพื้นที่ทั้งผู้อยู่อาศัยในโครงการและชุมชมในย่าน รวมถึงการระดมความคิดเพื่อหา Solutions เกี่ยวกับการอยู่อาศัยจาก Co-creators ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ผู้อยู่อาศัยในโครงการ รวมถึงชุมชนในย่าน ซึ่งโครงการนี้เป็นต้นแบบเพื่อใช้ในการพัฒนาที่ดินอื่นของบริษัทต่อไปในอนาคต   “เนเบอร์ฮูด” ชุมชนที่ทุกคนมีส่วนร่วมกันออกแบบนี้  ได้นำการศึกษาด้าน Human-Centric เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของการอยู่อาศัยในเมืองมาปรับใช้อย่างจริงจัง โดยจุดเริ่มต้นเพื่อพัฒนาพื้นที่สาธารณะด้านหน้าโครงการ บนที่ดินขนาดกว่า 200 ไร่ในย่านบางกะดี  โดยมีการทำงานร่วมกับภาคการศึกษา คือ Redek ศูนย์บริการวิจัยและออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ทำการศึกษาวิจัยเรื่องความต้องการของมนุษย์เกี่ยวกับการใช้งานพื้นที่ส่วนกลาง ภายในโครงการบ้านจัดสรร รวมถึงศึกษาเรื่องความต้องการใช้งานของพื้นที่สาธารณะที่ผู้คนในชุมชนสามารถใช้ร่วมกันได้ ก่อนที่จะนำผลงานวิจัยที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาพัฒนาบนที่ดินจริงภายในปี 2562 ต่อไป Neighbourhood Bangkadi ย่านบางกะดี ตั้งอยู่บนเส้นทางเชื่อมต่อถนนติวานนท์และอำเภอเมืองปทุมธานี-รังสิต เป็นย่านชานเมืองทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของกทม. เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยศักยภาพต่อการเติบโตและการอยู่อาศัยในอนาคต มีโครงการพัฒนาหลากหลาย เช่น สถานีรถไฟฟ้าสายสีแดงและสีชมพูที่อยู่ระหว่างการดำเนินการคาดว่าจะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2563* บวกกับความเป็นสวนอุตสาหกรรมที่มีโรงงานอุตสาหกรรมในเขตเทศบาลกว่า 60 แห่ง อันถือเป็นแหล่งงานสำคัญ ประกอบกับความเข้มแข็งของอีก 17 ชุมชนที่ร่วมกันพัฒนาท้องถิ่น ทำให้เกิดศักยภาพของทำเลขึ้น พร้อมรับชมเรื่องราว “...ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว?” https://www.youtube.com/watch?v=PHSBj8cixkw และติดตามข่าวสารข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่ “เนเบอร์ ฮูด บางกะดี” ได้ที่ www.scasset.com/theneighbourhood
“พรีเมียร์กรุ๊ป” เปิดตัวโครงการลักชัวรี่ “บ้านนวัต รามคำแหง 118”  ชูแนวคิด “นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน”

“พรีเมียร์กรุ๊ป” เปิดตัวโครงการลักชัวรี่ “บ้านนวัต รามคำแหง 118” ชูแนวคิด “นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน”

“พรีเมียร์กรุ๊ป” ส่งเจเนอเรชั่น 2 “ทิพย์ชยา พงศธร” คุมทัพพัฒนาอสังหาฯ ปั้นแบรนด์ลักชัวรี่ “บ้านนวัต” ชูแนวคิด “นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน” หวังตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่ดีควบคู่ดูแลสังคม-สิ่งแวดล้อม พร้อมเปิดตัวโครงการหรูสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “บ้านนวัต รามคำแหง 118” มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 29 ล้านบาท พร้อมพรีเซล 10 ต.ค.นี้   นางสาวทิพย์ชยา พงศธร กรรมการผู้จัดการใหญ่สายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจโรงแรม กลุ่มบริษัทพรีเมียร์ เปิดเผยว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ทางกลุ่มบริษัทพรีเมียร์มีประสบการณ์มานานหลายทศวรรษ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกวงการหมู่บ้านจัดสรรยุคแรกๆ ของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ เช่น โครงการหมู่บ้านเสรี หัวหมาก อ่อนนุช ศรีนครินทร์ รวมถึงโครงการ 99 เรสซิเดนซ์ พระราม 9 โดยมีบริษัท พรีเมียร์ แอสเซ็ทส์ จำกัด รับผิดชอบพัฒนาโครงการ     สำหรับแบรนด์ “บ้านนวัต” พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Innovation for Sustainable Living) มุ่งเน้นการออกแบบที่อยู่อาศัยที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า เพื่อดูแลระบบนิเวศให้สมดุล ที่สำคัญที่สุดคือการออกแบบสถาปัตยกรรมที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศและลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น   “เราไม่ได้เปิดตัวโครงการปีละหลายโครงการ เพราะเราต้องการทุ่มเทให้กับรายละเอียดในการสร้างนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน เพื่อส่งมอบความเป็นอยู่ที่มีคุณภาพให้แก่ผู้บริโภค เราจึงมั่นใจว่าด้วยปณิธานประกอบกับประสบการณ์นับทศวรรษในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และโรงแรมของเรา จะทำให้โครงการภายใต้แบรนด์บ้านนวัต สามารถดูแลทั้งคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ตลอดจนสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน” นางสาวทิพย์ชยา กล่าว     ปัจจุบัน บริษัทได้พัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์บ้านนวัตแล้ว 2 โครงการ ภายใต้ชื่อ บ้านนวัต พระราม 9 ,บ้านนวัต เอกมัย-รามอินทรา และกำลังเปิดตัวโครงการใหม่อีก 1 โครงการ ภายใต้ชื่อ “บ้านนวัต รามคำแหง 118” (BAAN NAWAT RAMKHAMHAENG 118) มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท เป็นโครงการที่มอบทั้งความเป็นส่วนตัวและให้ความรู้สึกเอ็กซ์คลูซีฟ ด้วยจำนวนยูนิตภายในโครงการเพียง 23 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 29 ล้านบาท   นางสาวทิพย์ชยา กล่าวอีกว่า การเดินหน้าพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในครั้งนี้ ถือเป็นการขยายกลุ่มธุรกิจให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยนำคุณค่าหลักของกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ มาประยุกต์ใช้เพื่อการออกแบบที่พักอาศัย ที่คำนึงถึงการใช้ชีวิตจริงในทุกขั้นตอน และเหมาะสมกับทุกช่วงอายุของผู้อยู่อาศัย และคาดว่าในอนาคตโครงการบ้านนวัตจะก้าวสู่การเป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมการพักอาศัยอย่างยั่งยืน     ด้าน นายสาทิต สืบสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ แอสเซ็ทส์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวคิด “นวัตกรรมการพักอาศัยอย่างยั่งยืน” เกิดขึ้นจากความต้องการบ้านที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบาย ล้ำสมัย บำรุงรักษาง่าย เพื่อรองรับการอยู่ร่วมกันของคนทุกช่วงวัยภายในบ้าน บ้านทุกหลังผ่านกระบวนการคิดและออกแบบอย่างละเอียดให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ ตัวบ้านถูกจัดวางให้สอดคล้องกับทิศทางลมและแดด การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ลดความร้อน อีกทั้งยังนำเทคโนโลยีพลังงานสะอาดมาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยลดค่ากระแสไฟฟ้า และน้ำประปา ไม่ว่าจะเป็นระบบแอร์อัจฉริยะ VRV การผลิตน้ำร้อนจากแอร์ การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ พร้อมระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติจากน้ำทิ้งที่บำบัดแล้ว     “นอกจากความโดดเด่นในเรื่องของนวัตกรรมแล้ว โครงการบ้านนวัต รามคำแหง 118 ยังมีความโดดเด่นในเรื่องทำเลอีกด้วย เนื่องจากทำเลรามคำแหงถือเป็นย่านส่วนต่อขยายของเมืองที่มีจุดตัดสำคัญถึง 3 จุด ไม่ว่าจะเป็นบริเวณสี่แยกคลองตันไปจนถึงแยกลำสาลี หรือเรียกว่ารามคำแหงตอนต้น ซึ่งเป็นพื้นที่แหล่งงานและการศึกษา ต่อเนื่องมาจนถึงพื้นที่รามคำแหงตอนกลาง คือช่วงรอยต่อพื้นที่แยกลำสาลีไปจนถึงจุดตัดกับถนนเลียบกาญจนาภิเษกฝั่งตะวันออก ที่สามารถเชื่อมต่อการเดินทางไปยังสายหลักอื่นๆ เช่น ถนนลาดพร้าว ถนนกรุงเทพกรีฑา ทางด่วนพระราม 9 - ศรีนครินทร์ เป็นต้น และช่วงรามคำแหงตอนปลาย ซึ่งถือเป็นย่านที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการระดับลักชัวรี่ และในอนาคตเขตพื้นที่ดังกล่าวจะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี) เปิดให้บริการ ยิ่งช่วยเสริมศักยภาพพื้นที่มากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ผู้ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทาง” นายสาทิต กล่าว     ทั้งนี้ โครงการบ้านนวัต รามคำแหง 118 (BAAN NAWAT RAMKHAMHAENG 118) ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 8 ไร่ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 3 ชั้น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ บนขนาดที่ดิน 72.8-166.4 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 363-576 ตารางเมตร มีบ้านทั้งหมด 3 Type ได้แก่ 1.Type A พื้นที่ใช้สอย 557 ตร.ม. ขนาดที่ดิน 120.8-166.4 ตร.ว. 2.Type B พื้นที่ใช้สอย 576 ตร.ม. ขนาดที่ดิน 97.5-119.8 ตร.ว. และ 3. Type C พื้นที่ใช้สอย 363 ตร.ม. ขนาดที่ดิน 72.8-110.9 ตร.ว. โดยจะเปิดขายพรีเซลในวันที่ 10 ตุลาคม 2561 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.premierassets.co.th หรือ โทร.02 301 2888
แอสเซท ไฟว์ เปิดบ้านตัวอย่าง โครงการ วนา เรสซิเดนซ์ บ้านเดี่ยวสุดลักซ์ชัวรี่ ตอกย้ำกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน โกยยอดขายรวมกว่า 500 ล้านบาท

แอสเซท ไฟว์ เปิดบ้านตัวอย่าง โครงการ วนา เรสซิเดนซ์ บ้านเดี่ยวสุดลักซ์ชัวรี่ ตอกย้ำกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน โกยยอดขายรวมกว่า 500 ล้านบาท

หลังจากเดินหน้า พัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์รูปแบบวิถีชีวิตสังคมเมืองที่ทันสมัย ล่าสุด บริษัท แอทเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด พร้อมพาเยี่ยมชมโครงการ วนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9-ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ภายใต้แนวคิด A New Definition of Luxury Urban Home เจาะกลุ่มผู้บริหารและเจ้าของกิจการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ และมีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว ด้วยแบบบ้านเดี่ยว 3 ชั้นพร้อมลิฟท์ส่วนตัว สามารถอยู่ได้ทั้ง 3 เจนเนอเรชั่น บนพื้นที่โครงการ 20 ไร่ จำนวน 69 ยูนิต ด้วยทำเลศักยภาพระหว่างความเจริญเติบโตของโซนพระราม 9-ศรีนครินทร์ ราคาเริ่มต้นที่ 20 ล้านบาท หลังเปิดจองเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขาย รวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอทเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวถึงความสำเร็จของโครงการ วนา เรสซิเดนซ์ ว่า ด้วยศักยภาพและทำเลถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ พระราม 9-ศรีนครินทร์ ที่มีการเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้โครงการ วนาฯ ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทั้งเรื่องของทำเลที่ตั้งที่ติดถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ที่กว้าง 6-8 เลน สามารถเดินทางเข้าเมืองได้หลากหลายเส้นทาง และยังรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน เช่น โรงพยาบาลสมิติเวช โรงเรียนนานาชาติ สนามกอล์ฟ ห้างสรรพสินค้า และคอมมูนิตี้มอลล์  ในส่วนของการออกแบบลักษณะตัวบ้าน โครงการให้ความสำคัญกับแสงธรรมชาติจึงมีให้เลือกทั้งแบบหน้ากว้าง และแบบ L Shape ซึ่งการจัดวางตัวบ้านแต่ละหลังจะเป็นส่วนตัวที่จะมองไม่เห็นกันและกัน ภายในเน้นความโปร่งเพดานสูง 3.1 เมตร, ชุดครัว ที่พร้อม island สามารถใช้งานภายในครอบครัวได้อย่างสะดวก  และที่สำคัญ การจัดวางตำแหน่งของบ้านทุกหลังได้มาตรฐานตามหลักฮวงจุ้ย จึงอาจกล่าวได้ว่า โครงการ วนา เรสซิเดนซ์ ถือว่าเป็นโครงการแรกๆ ในโซนพระราม 9-ศรีนครินทร์ ที่เป็นโครงการบ้านเดี่ยวแบบโมเดิร์นลักซ์ชัวรี่ที่ตอบโจทย์กลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบนได้อย่างลงตัว วัดได้จากการเปิดจองรอบ Pre-Sales ในช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ภายในเดือนเดียว ก็สามารถสร้างยอดขาย รวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ด้วยพื้นที่โครงการประมาณ 20 ไร่ จำนวน 69 หลัง  อันประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 3 แบบ แบ่งเป็น Type A, Type B  และ Type C โดยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่ 400 - 492 ตารางเมตร รวมมูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท กับการวางบ้านด้วยรูปแบบคลัสเตอร์ โดยแต่ละคลัสเตอร์มีเพียง 4 หลัง พร้อมที่จอดรถเริ่มต้น 4 คัน สามารถรองรับรถยนต์ซูเปอร์คาร์และรถครอบครัวขนาดใหญ่ นอกจากนี้ทางโครงการยังมอบความหรูหรา ทันสมัยให้กับบ้าน ด้วยการคัดสรรวัสดุภายในบ้านเป็นอย่างดี พร้อมจัดเตรียมลิฟท์ส่วนตัวไว้ภายในบ้าน โดยแบ่งฟังก์ชั่นไว้อย่างลงตัว และเพิ่มความร่มรื่น ด้วยการปลูกต้นไม้ใหญ่กว่า 300 ต้นบนพื้นที่โครงการ มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน กับพื้นที่ส่วนกลาง ประกอบไปด้วยสระว่ายน้ำที่มีระบบน้ำเกลือยาว 25 เมตร, สนามเด็กเล่นพร้อมบ้านต้นไม้, ฟิตเนส, ห้องอเนกประสงค์ และพื้นที่สีเขียวมีต้นไม้ใหญ่รอบโครงการ เน้นการได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างแท้จริง นายศุภโชค กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งแนวสูงและแนวราบ บนทำเลที่มีศักยภาพใจกลางเมือง ใกล้ที่ทำงาน และใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และยังมีแลนด์แบงค์ ติดถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ เตรียมไว้สำหรับโครงการในอนาคตอีกด้วย ทางด้าน นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท  ซีบีอาร์อี ประเทศไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนขายโครงการ กล่าวถึงภาพรวม และการเติบโตบนพื้นที่ทำเลกรุงเทพฯ โซนฝั่งตะวันออกว่า ภายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานี้ ได้มีการเปิดขายโครงการบ้านเดี่ยวในจำนวนที่ใกล้เคียงกันคือ ปีละประมาณ 10,000 กว่ายูนิต และจำนวนค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี ซึ่งภายในครึ่งปีแรกของ ปี 2561 นี้นั้น ได้มีการเปิดขายโครงการแล้วกว่า 7,000 ยูนิต ซึ่งเป็นจำนวนที่เทียบเท่ากับช่วงไตรมาส 3 ของปีก่อนๆ ที่ได้มีการเปิดตัวการขาย ตัวเลขดังกล่าวนี้เป็นตัวบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่า supply ของแนวราบกลับมามีบทบาทในตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นในปีถัดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทำเลกรุงเทพฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากแผนการขยายการคมนาคมที่จะมีขึ้นในอนาคต เช่น รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ผู้พัฒนาโครงการต่างๆ หันมาพัฒนาโครงการเพื่อรองรับการขยายตัวของผู้อยู่อาศัยในแถบนี้มากขึ้น ซึ่งจากจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินสำหรับบ้านเดี่ยวในกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ต้นปีจนถึงไตรมาส 2 ของปี  2561 นั้น พบว่าทั้งหมดมีจำนวนการออกใบอนุญาตถึง 433 ราย โดยการออกใบอนุญาตดังกล่าวในโซนกรุงเทพฝั่งตะวันออกมีมากถึง 271 ราย ซึ่งคิดเป็น 63 % ของทั้งหมด สำหรับ วนา เรสซิเดนซ์ ซึ่งนับว่าเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่อันดับต้นๆ บนถนนศรีนครินทร์ - ร่มเกล้า ซึ่งได้เปิดขายเพียง 1 เดือนเศษ แต่สามารถทำยอดขายไปถึง 30 % หรือกว่า 500 ล้านบาท นับว่าเป็นที่น่าพอใจอย่างมากและเชื่อว่าจะยังสามารถทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งนี้ โครงการ วนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 – ศรีนครินทร์ จะจัดงาน Grand Opening ในวันที่ 13-14ตุลาคมนี้ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 083-954-9499 ที่ตั้งโครงการ https://goo.gl/maps/REtnzi692Hp
ไซมิส แอสเสท ปั้นแบรนด์ใหม่ระดับลักชัวรี่ “เดอะ คอลเลคชั่น-THE COLLECTION” แฟลกชิพโปรเจกต์ มูลค่า 4,800 ล้านบาท สะท้อนแนวคิด “Live without Compromise” เพื่อมอบสิ่งที่ดีและคุ้มค่าที่สุด

ไซมิส แอสเสท ปั้นแบรนด์ใหม่ระดับลักชัวรี่ “เดอะ คอลเลคชั่น-THE COLLECTION” แฟลกชิพโปรเจกต์ มูลค่า 4,800 ล้านบาท สะท้อนแนวคิด “Live without Compromise” เพื่อมอบสิ่งที่ดีและคุ้มค่าที่สุด

บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทยที่โดดเด่นด้วยนวัตกรรมแห่งการอยู่อาศัย เปิดพอร์ตท็อปเซกเมนต์ส่งแบรนด์ใหม่เพื่อเติมเต็มตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ ล่าสุดพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม “เดอะ คอลเลคชั่น - THE COLLECTION” แฟลกชิพโปรเจกต์มูลค่าโครงการ 4,800 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “Live without Compromise : ที่สุดของความประณีต ใส่ใจทุกรายละเอียด เพื่อสิ่งที่ดีและคุ้มค่าที่สุด” โชว์ความโดดเด่นด้วยที่สุดแห่งทำเลย่าน “สุขุมวิท-อโศก” และพื้นที่สีเขียวสวนเบญจกิติ เปิดประสบการณ์ครั้งแรกกับคอนโดมิเนียมหรู มุ่งเจาะกลุ่มตลาดที่มีศักยภาพและกำลังซื้อสูง ทั้งกลุ่มแฟมิลี่รุ่นใหม่ นักธุรกิจ นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ   นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด กล่าวว่า “บริษัทฯ ดำเนินการสร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ “ไซมิส - SIAMESE” ด้วยความใส่ใจและความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับประสบการณ์การอยู่อาศัย และการใช้ชีวิตในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ตามสโลแกน “Asset of life…สร้างกำไรให้ทุกการใช้ชีวิต” โดยแบ่งเป็นกลุ่มบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียมและสำนักงานซึ่งในกลุ่มคอนโดมิเนียมบริษัทฯ ได้นำเสนอรูปแบบโครงการที่มีความหลากหลาย อาทิ คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ แบรนด์ “ไซมิส เอ็กซ์คลูซีฟ-SIAMESE Exclusive” คอนโดมิเนียมระดับ Middle High แบรนด์ “ไซมิส – SIAMESE” และคอนโดมิเนียมระดับเออร์เบินแมส แบรนด์ “บลอสซั่ม - Blossom” และล่าสุดได้ดำเนินการสร้างสรรค์โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ซึ่งนับเป็นท๊อปเซกเมนต์ของบริษัทฯ ภายใต้แบรนด์ “เดอะ คอลเลคชั่น-THE COLLECTION” แฟลกชิพโปรเจกต์มูลค่าโครงการ 4,800 ล้านบาท นำเสนอประสบการณ์ครั้งใหม่กับคอนโดมิเนียมที่สุดของทำเลใจกลางสุขุมวิท-อโศก พร้อมการออกแบบตึกที่ทันสมัยรวมถึงวัสดุตกแต่งภายในระดับ World-class ที่โครงการนำเข้ามาจากอิตาลี และเยอรมันเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างมีระดับ” โครงการ “เดอะ คอลเลคชั่น-THE COLLECTION” มีพื้นที่ขนาด 2 ไร่ 57.8 ตารางวา หรือประมาณ 3,431 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 4,800 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ทำเลศักยภาพ บริเวณสุขุมวิท ซอย 16 ซึ่งสามารถเชื่อมไปยังถนนสายหลักได้หลายเส้นทางทั้งสุขุมวิท อโศก และพระราม 4 โดยใช้เวลาเดินทางจากรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอโศกเพียง 2 นาที ดำเนินการออกแบบภายใต้แนวคิด “Live without Compromise : ที่สุดของความประณีต ใส่ใจทุกรายละเอียด เพื่อสิ่งที่ดีและคุ้มค่าที่สุด” โดยควบคุมทุกขั้นตอนการก่อสร้างอย่างประณีตภายใต้มาตรฐานคอนโดมิเนียมระดับสากล แบ่งเป็น 2 อาคาร โดยอาคารหลัก สูง 41 ชั้น ห้องพักอาศัย 443 ยูนิต โดยแบ่งลักษณะห้องชุดเป็นทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ 1-Bedroom (1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ) มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 80 – 34.20 ตารางเมตร จำนวน 334 ยูนิต 2-Bedroom (2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ) มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 80 – 69.50 ตารางเมตร จำนวน 107 ยูนิต Penthouse (3 ห้องนอน) มีพื้นที่ใช้สอยขนาด 20 และ 135.35 ตารางเมตร จำนวน 2 ยูนิต   นายขจรศิษฐ์ กล่าวต่อไปว่า “บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ทั้งด้านการออกแบบและดีไซน์ อย่าง บริษัท ครีเอทีฟครูส์ จำกัด (Creative Crews Ltd.) ที่ปรึกษาด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมของโครงการที่ดึงจุดเด่นสำคัญของโครงการมาร่วมถ่ายทอดเป็นโครงสร้างของโครงการได้อย่างโดดเด่น และ บริษัท ออง แอนด์ ออง ดีไซน์ จำกัด (ONG & ONG Design Co., Ltd) รับผิดชอบด้านการออกแบบภายในผ่านการสะท้อนอัตลักษณ์ของโครงการอย่างมีชั้นเชิง ทั้งความพิถีพิถันในการออกแบบทุกรายละเอียด การเลือกใช้วัสดุนำเข้าระดับโลก อาทิ ชุดครัว แบรนด์ “ชไนเดโร-Snaidero” จากประเทศอิตาลี โดยดีไซเนอร์ผู้ออกแบบรถยนต์ Ferrari ที่ใช้กรรมวิธีปิดผิวหน้าเฟอร์นิเจอร์เช่นเดียวกับการเคลือบสีรถ Ferrari ทำให้พื้นผิวมีสัมผัสที่หรูหราเงางามและช่วยป้องกันรอยนิ้วมือ หรือ อุปกรณ์ชุดครัว แบรนด์ “คุปเปอร์สบุช-Kuppersbusch” และชุดห้องน้ำที่ตกแต่งอย่างประณีต โดยการเลือกใช้สุขภัณฑ์ระดับมาสเตอร์พีซ ผลงานนักออกแบบระดับโลกแบรนด์ “ฮันสโกรเฮอ-Hansgrohe” ซึ่งทุกชิ้นทำมาจากทองเหลือง และทางโครงการ THE COLLECTION ก็ยังสั่งทำสีพิเศษใหม่ ที่สวยเป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ยังได้นำกระเบื้องหินอ่อน คุณภาพอันดับ 1 ของโลกจากประเทศอิตาลี แบรนด์ “อารีออสเทียร์-Ariostea” จากบริษัทไอริส เซรามิก้า กรุ๊ป (Iris Ceramica Group) ที่การันตีคุณภาพระดับโลก มาใช้ในส่วนของครัวและพื้นห้องน้ำของโครงการ เป็นต้น” สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกได้สร้างสรรค์อย่างครบครัน อาทิ ฟิตเนส (Fitness) โคเวิร์คกิ้งสเปซ (Co-Working Space) มินิเธียเตอร์ (Mini Theatres) ไพรเวท มีทติ้ง รูม (Private Meeting room) สกาย จ๊อกกิ้ง (Sky Jogging) สกาย การ์เด้น (Sky Garden) เป็นต้น รวมทั้งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยและสะดวกสบาย โครงการฯ ตั้งแต่ระบบความรักษาความปลอดภัยภายในลิฟต์ด้วยระบบ CCTV Monitoring & Control ที่เชื่อมต่อกับห้องควบคุมตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้อาศัย รวมถึงที่จอดรถที่มีทั้งแบบมาตรฐาน และที่จอดรถระบบ “Automatic Parking” หรือที่จอดรถอัจฉริยะ และ Home Intelligence System ที่บริษัทฯ พัฒนาขึ้นเพื่อความสะดวกสบายของลูกบ้านในโครงการ ควบคุมทุกอย่างเพียงปลายนิ้วสัมผัส   ด้านกลยุทธ์การตลาดและสื่อสารประชาสัมพันธ์ บริษัทฯ มุ่งเน้นการสร้างความน่าเชื่อถือของโครงการผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ อาทิ แคมเปญผ่าน โซเชียลมีเดีย (Social Media) ทั้ง เฟสบุ๊ค (Facebook) บทความออนไลน์ (Content online) และอื่นๆ เจาะตลาดกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มนักคิดนักธุรกิจคนรุ่นใหม่ “The Thinker” กลุ่มผู้นำเทรนด์ “The Trendsetter” กลุ่มนักเดินทางและนักลงทุน “The Traveler” และกลุ่มนักสะสมและครอบครัวขนาดเล็ก - กลาง “The Collector” ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในปี พ.ศ. 2562 และคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี พ.ศ. 2564 โดยราคาขายเริ่มต้นที่ 6.2 - 45 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งกลุ่มนักลงทุนและผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย นายขจรศิษฐ์ กล่าวสรุป
EVER ปลื้มยอดจองบ้านเดี่ยวคึกคัก

EVER ปลื้มยอดจองบ้านเดี่ยวคึกคัก

เรียกว่าทุ่มเทสุดๆ สำหรับบอส "สวิจักร์  โลจายะ" บมจ.เอเวอร์แลนด์ (EVER) ช่วงนี้วิ่งรอกสุด ๆ  ทั้งเรียกประชุมทีมงานชนิดเกาะติดสถานการณ์ โดยเฉพาะยอดโอนโครงการแนวสูง ย่านสนามบินน้ำ "โพลิแทน บรีซ ” มูลค่า 1,900  ล้านบาท ปรากฏว่าผลออกมา ยอดโอนดี๊ดี ...ด้านโครงการแนวราบ ภายใต้แบรนด์ "มายโฮมอเวนิว "ย่านรามอินทรา-จตุโชติ ราคา 3 ล้านกว่าบาทคึกคักไม่แพ้กันเลย หลังจากเปิดขายตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมา ตอนนี้ขอบอก…ยอดขายเกินครึ่ง จากทั้งหมด 61หลัง  แถม เตรียมให้ลูกค้าทยอยเข้าตรวจบ้านได้ตั้งแต่เดือนต.ค.ถึง พ.ย.นี้ .……ผลงานดีแบบนี้ขอปรบมือให้แบบรัวๆ เลยคร้า
‘เอพี ไทยแลนด์’ รุกตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ เปิดตัวคฤหาสน์หรู THE PALAZZO ศรีนครินทร์ รับตลาดอสังหาฯ โค้งสุดท้ายสดใส

‘เอพี ไทยแลนด์’ รุกตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ เปิดตัวคฤหาสน์หรู THE PALAZZO ศรีนครินทร์ รับตลาดอสังหาฯ โค้งสุดท้ายสดใส

เอพี ไทยแลนด์ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมืองมั่นใจตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยโค้งสุดท้ายยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เผยแผนธุรกิจไตรมาส 4/2561 เปิดเกมรุกตลาดบ้านเดี่ยวซูเปอร์ลักชัวรี่ อีกหนึ่งกลยุทธ์สู่การเติบโตในระยะยาว ด้วยโครงการ ‘THE PALAZZO ศรีนครินทร์’ คฤหาสน์หรูบนที่ดินล้ำค่าผืนสุดท้ายที่ดีที่สุดบนถนนศรีนครินทร์ แตกต่างด้วยการผสานเสน่ห์งานศิลป์เข้ากับการออกแบบสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่า เพียง 52 ยูนิต เริ่ม 29 ล้านบาท เตรียมเปิดตัว 18 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 31,230 ล้านบาท ด้านผลงาน 9 เดือนที่ผ่านมามียอดขายแล้วกว่า 30,700 ล้านบาท คิดเป็น 77% ของเป้ายอดขายที่ปรับขึ้นใหม่เป็น 39,800 ล้านบาท   THE PALAZZO ศรีนครินทร์ มาพร้อมคอนเซปต์ ‘Masterpiece for Generations’ สุนทรียะแห่ง การอยู่อาศัยเหนือระดับ ใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งอยู่บนพื้นที่รวม 31 ไร่ แวดล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เป็นความสง่างามบนถนนศรีนครินทร์ ประหนึ่งของขวัญล้ำค่าที่พร้อมส่งมอบให้กับคนรุ่นถัดไป ด้วยความ-พิเศษเพียง 52 ยูนิตเท่านั้น พร้อมเปิดให้เข้าชมโครงการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ราคาเริ่มต้น 29 - 60 ล้านบาท นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กร และการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “ตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้ายมีแนวโน้มการเติบโตดี กำลังซื้อในธุรกิจอสังหาฯ ยังมีอยู่ สถานการณ์โดยรวมของตลาดมีสัญญาณการตอบรับที่ดีโดยเฉพาะเซกเมนต์สินค้าระดับกลางบนที่โฟกัสทำเลใจกลางเมือง ยังคงได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าครอบครัวคนเมือง สะท้อนได้จากยอดขาย 9 เดือนที่ผ่านมาของเอพี มียอดขายแล้วกว่า 30,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากทั้งการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ คอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Existing Projects) รวมถึงโครงการแนวราบซึ่งมีสัดส่วนการเติบโตทางยอดขายที่ดีขึ้นเช่นกัน” “ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทฯ ยังคงสานต่อกลยุทธ์การดำเนินงานสู่ความสำเร็จที่วางไว้ ด้วยการรุกตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ ในกลุ่มสินค้า THE PALAZZO ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าระดับบน ที่มองหาที่อยู่อาศัยพรีเมี่ยมในทำเลศักยภาพ ด้วยการออกแบบภาพลักษณ์โครงการใหม่ที่สอดรับกับพฤติกรรมลูกค้าในปัจจุบัน โดยพร้อมเปิดตัวคฤหาสน์หรูโมเดลใหม่เป็นโครงการแรก ที่ ‘THE PALAZZO ศรีนครินทร์’ โครงการแฟล็กชิพระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ที่ได้รับการออกแบบให้เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย ภายใต้คอนเซปต์ Masterpiece for Generations ที่พร้อมส่งมอบเป็นมรดกล้ำค่าแก่สมาชิกในครอบครัวทุกเจนเนอเรชั่น” นายวิทการกล่าว “ทั้งนี้ จุดต่างของแบรนด์ THE PALAZZO คือการผสานความงดงามของศิลปะสไตล์ American Neo Classic เข้ากับการพัฒนาโครงการ จนเกิดเป็นงานสถาปัตยกรรมที่สวยงามข้ามกาลเวลา ภายใต้แนวคิด ‘แอนทีเบลลัม (Antebellum Architectural)’ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะทาง ด้วยงานสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ทั้งรูปร่างอาคารที่สมมาตร (Symmetrical Shape) สามเหลี่ยมจั่วด้านหน้าอาคาร (Triangular Pediment) เสาที่สูงขึ้นไปจนเต็มความสูงอาคาร (Tall Column) แนวระเบียงรอบตัวอาคาร (Balcony) และจุดเด่นที่สำคัญที่งานสถาปัตยกรรมส่งผลไปสู่การออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในคือ การมีบานหน้าต่างที่อยู่รายล้อมบ้าน ส่งผลให้ทุกห้องภายใน THE PALAZZO เชื่อมต่อกับพื้นที่ภายนอกผ่านบานหน้าต่างหรือช่องแสงได้ทุกพื้นที่บ้าน” นายวิทการกล่าวเสริม   นอกจากนั้นแล้ว โครงการยังได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด Landscape within Landscape ซึ่งหมายถึงนอกจากความตั้งใจในการจัดวางงานภูมิสถาปัตยกรรมภายในให้ร่มรื่น เป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตเพียง 52 ยูนิตแล้ว ที่ตั้งของโครงการยังถือเป็นที่ดินผืนเดียวและผืนสุดท้ายที่แวดล้อมด้วยปอดขนาดใหญ่ กับพื้นที่สีเขียวจากสวนหลวง ร.9 โครงการแก้มลิงตามพระราชดำริฯ บึงหนองบอน สวนวนธรรม และสนามกอล์ฟศรีนครินทร์ THE PALAZZO ศรีนครินทร์ ได้รับการออกแบบให้เป็นมาสเตอร์พีซจากรุ่นสู่รุ่น เพียงแห่งเดียวบนถนนศรีนครินทร์ (Land of Longevity) มอบความสงบและเป็นส่วนตัว ปลีกตัวจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่แก่ 52 ครอบครัวเท่านั้น สะดวกสบายด้วยทำเลที่เข้าถึงได้ทุกการเดินทาง เชื่อมต่อกับตัวเมืองทั้งถนนสุขุมวิท ถนนพัฒนาการ และถนนบางนา-ตราด อีกทั้งยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ที่จะสร้างเสร็จในปี 2564 โดยยังรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ทั้งแหล่งช้อปปิ้ง สถานศึกษา สถานพยาบาล และเดินทางสะดวกสู่สนามบินสุวรรณภูมิ   คฤหาสน์หรู THE PALAZZO ศรีนครินทร์ เอกสิทธิ์พิเศษสำหรับ 52 ครอบครัวเท่านั้น ทุกพื้นที่ใช้สอยภายในโครงการล้วนได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงการพักผ่อนที่เป็นส่วนตัวสูงสุด (Ultimate Retreat) ด้วยแบบบ้าน 3 Type ที่สอดรับกับจำนวนสมาชิกในครอบครัวที่แตกต่างกัน 1) ANTONIO คฤหาสน์ 2 ชั้น 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 391 ตารางเมตร พื้นที่ 102 ตารางวา  2) MONTICELLO คฤหาสน์ 2 ชั้น 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 528 ตารางเมตร พื้นที่ 125 ตารางวา 3) LORENZO คฤหาสน์ 2 ชั้น 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 547 ตารางเมตร พื้นที่ 160 ตารางวา  พร้อม Clubhouse สระว่ายน้ำระบบเกลือ ฟิตเนส และ Social Club ขนาดใหญ่ รองรับกิจกรรมสำหรับครอบครัวตลอด 365 วัน เอกสิทธิ์ของการใช้ชีวิตเหนือระดับ เริ่มต้น 29 – 60 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ 9 เดือนแรก บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายมูลค่า 30,700 ล้านบาท คิดเป็น 77% ของเป้ายอดขายใหม่ ที่ปรับขึ้นใหม่เป็น 39,800 ล้านบาท ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการอีก 18 โครงการ มูลค่า 31,230 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 14,000 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่า 7,840 ล้านบาท และทาวน์โฮม 10 โครงการ มูลค่า 9,390 ล้านบาท พร้อมโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Existing Projects) อีกกว่า 90 โครงการ ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้เกินเป้าหมายใหม่ที่ตั้งไว้   “โดยเอพียังคงมุ่งสานต่อเป้าหมายในการรักษาความเป็นผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง เราพร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ เน้นย้ำจุดแข็งทั้ง ‘การเป็นหนึ่งเดียวเรื่องทำเลที่ตั้ง’ ‘การพัฒนานวัตกรรมดีไซน์และแบบบ้านโมเดลใหม่ๆ’ ความโดดเด่นด้านแนวคิดของ ‘การดีไซน์พื้นที่’ ที่สร้างความแตกต่างให้กับการอยู่อาศัย พร้อมการออกแบบ ที่สอดรับกับพฤติกรรมลูกค้าครอบครัวเมือง รวมถึงรูปลักษณ์และฟังก์ชั่นการใช้งานภายใน ซึ่งเอพีเชื่อมั่นว่าทั้งหมดนี้จะได้รับการตอบรับที่ดี และเราจะสามารถบรรลุยอดขายเป้าหมายใหม่ที่ตั้งไว้ โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้เอพียังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการที่จับกลุ่มเป้าหมายระดับกลางถึงระดับบน ด้วยแพคเกจราคาขายที่ครอบคลุมความสามารถในการซื้อของคนเมืองในปัจจุบัน ที่เริ่มตั้งแต่ 2 ล้านบาท จนถึงกลุ่มสินค้าระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ที่เริ่มต้นในราคา 29 ล้านบาทเป็นต้นไป” นายวิทการกล่าวสรุป   สรุปในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ สร้างยอดขายรวมได้แล้วถึง 30,700 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียม มูลค่า 15,080 ล้านบาท แนวราบมูลค่า 15,620 ล้านบาท มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ามากถึง 55,240 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 10,035 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 45,205 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) โดยจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566
บจก.สิรยศ รับสัญญาณบวกภาคธุรกิจอสังหาฯ ปักหมุดผุด “โดว์เช่ ลาซาล” (DOLCE LASALLE) บูทีคคอนโดใกล้บีทีเอสแบริ่ง เน้นตอบโจทย์กลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ในราคาที่เอื้อมถึง

บจก.สิรยศ รับสัญญาณบวกภาคธุรกิจอสังหาฯ ปักหมุดผุด “โดว์เช่ ลาซาล” (DOLCE LASALLE) บูทีคคอนโดใกล้บีทีเอสแบริ่ง เน้นตอบโจทย์กลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ในราคาที่เอื้อมถึง

บริษัท สิรยศ จำกัด เห็นแนวโน้มภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ส่งสัญญาณบวก พร้อมลุยตลาดไตรมาสสุดท้าย เล็งทำเลกรุงเทพฯ โซนฝั่งตะวันออก เปิดตัวโครงการ “โดว์เช่ ลาซาล” (DOLCE LASALLE) บูทีคคอนโดมิเนียม บนทำเลเด่นใกล้บีทีเอสแบริ่ง มูลค่า 450 ล้านบาท ชูจุดเด่น ดีไซน์ ฟังก์ชั่น พร้อมเพิ่มสัดส่วน พื้นที่ส่วนกลาง หวังตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าวัยทำงาน ด้วยราคาเริ่มเพียง 75,000 บาท/ตารางเมตร มั่นใจในคุณภาพและราคา ตั้งเป้าโกยยอดขายได้ 50% ภายในต้นปีหน้านี้ คาดสามารถปิดการขายทั้งโครงการในอีก 2 ปี นายวิจาร คุปติพงศ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิรยศ จำกัด เปิดเผยว่า “ในปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทฯ เล็งเห็นสัญญาณที่ดีของตลาดอสังหาริมทรัพย์ตามแน้วโน้มเศรษฐกิจ ซึ่งมีความคล่องตัวเพิ่มขึ้นกว่าช่วงปี 2559 โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สร้างแคมเปญต่างๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายออกมาอย่างคึกคัก ขณะที่ตลาดของผู้ประกอบการรายย่อยนั้น เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่พักอาศัย ทั้งเพื่ออยู่อาศัยและการลงทุน ซึ่งนับเป็นผลดีกับทางผู้ประกอบการรายย่อย เพราะบริษัทฯ สามารถพัฒนาโครงการด้วยรายละเอียดที่พิถีพิถันได้มากกว่ารายใหญ่ที่ต้องพัฒนาหลากหลายโครงการออกมาพร้อมๆ กัน เหมือนกับการทำงานศิลปะที่ต้องใช้ความใส่ใจและความเข้าใจในผลงาน ซึ่งเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ทำให้ผลประกอบการที่ผ่านมา ได้รับผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ดังเช่นโครงการ โดว์เช่ อุดมสุข (DOLCE UDOMSUK) โดยบริษัทฯ มียอดขายกว่า 95% ทั้งยังได้รับรางวัลการันตี PEAT AWARDS 2018 (Property Export Awards Thailand 2018 by NIDA) ซึ่งเป็นโครงการเดียวที่ได้รับ 2 รางวัล คือ Best Luxury Low Rise Condominium และ Best Boutique Low Rise Condominium”   “ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์เดียวกันคือ โดว์เช่ ลาซาล (DOLCE LASALLE)  ที่ยังคงเน้นความใส่ใจในรายละเอียด ตั้งแต่การเลือกที่ดินที่มีศักยภาพทางทำเลที่สะดวกสบาย ครบครัน การเดินทางที่ห่างจากบีทีเอสสถานีแบริ่งเพียง 700 เมตร และใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมถึงคุณภาพชีวิตที่ดี รายล้อมไปด้วยความเจริญทั้งห้างสรรพสินค้า โรงเรียนนานาชาติ และโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ ตลอดจนการออกแบบดีไซน์ที่ลงรายละเอียด สามารถตอบโจทย์ความต้องการผู้อยู่อาศัยได้อย่างแท้จริง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการคำนึงถึงกำลังจ่ายเพื่อการซื้อที่พักอาศัยของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งยังคงเน้นความหรูหราและคุณภาพที่ดีเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ในราคาที่เหมาะสมเริ่มต้นไม่เกิน 2 ล้านบาทเท่านั้น” ขณะที่ นายวรพจน์ ลิ้นกนกรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิร์คสเปซอาร์คิเทกเจอร์สตูดิโอ จำกัด กล่าวถึงคอนเซ็ปต์การตกแต่งออกแบบโครงการโดว์เช่ ลาซาล ว่า “สไตล์การออกแบบยังคงเป็น Modern Classic ที่นับว่าเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ โดว์เช่ (DOLCE) โดยครั้งนี้เราได้ใส่กลิ่นอายสถาปัตยกรรมแบบ French Classical เพื่อให้สอดคล้องกับสถานที่ตั้งซอยลาซาล สามารถอยู่ได้จริงในชีวิตประจำวัน โดยใช้วัสดุธรรมชาติจริง เช่น หินธรรมชาติบน top ครัว หรือ top ในห้องน้ำ พร้อมเติมเต็มพื้นที่ส่วนกลางที่ครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือยาวกว่า 20 เมตร, Stream แยกชาย-หญิง, Lobby, Library, Game Room, Work-Place เพื่อตอบสนองคนทำงานที่สามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา ฯลฯ ด้วยคำนึงถึงไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยเป็นปัจจัยหลัก ทำให้เป็นการออกแบบของเราเน้นที่การให้สัดส่วนพื้นที่ส่วนกลางมากกว่าโครงการที่ผ่านมา โดยเฉพาะที่จอดรถ ที่สูงถึง 50% นับว่าสูงมากกว่าคอนโดในย่านนี้เป็นส่วนใหญ่” “โครงการ โดว์เช่ ลาซาล (DOLCE LASALLE) มูลค่ารวมกว่า 450 ล้านบาท มีจำนวนยูนิตไม่มากนักเพียง 178 ยูนิต ราคาเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวอยู่ที่ 75,000 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น ซึ่งโครงการฯ มีห้องหลากหลายขนาดให้เลือกตั้งแต่แบบสตูดิโอ (Studio) ขนาดพื้นที่ 24.6 ตารางเมตร, แบบ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 30.4 ตารางเมตร และแบบ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 45.4 ตารางเมตร เพื่อตอบสนองทุกๆ ความต้องการของลูกค้า ซึ่งรองรับได้ทั้งกลุ่มคนโสด และกลุ่มที่กำลังสร้างครอบครัว โดยเบื้องต้นบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขาย 50 % ภายในต้นปี 2562 และคาดว่าจะปิดการขายโครงการภายในปี 2563” นายวิจาร คุปติพงศ์กุล กล่าวในที่สุด ทั้งนี้ บริษัทฯ จะเปิดพรีเซลในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้  โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ กลุ่มคนทำงานยุคใหม่อายุเฉลี่ยตั้งแต่ 25 – 40 ปีที่มีกำลังซื้อคอนโดฯ ในราคาเริ่มต้นไม่เกิน 2 ล้านบาท คาดว่าในวันเปิดพรีเซลจะมียอดขายกว่า 40% สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dolcecondo.com  หรือโทร. 0-2117-3463-4
โฮมโปร ชี้กลยุทธ์พัฒนาสินค้า Private Brand ชูจุดต่าง ดีไซน์ ฟีเจอร์  ฟังก์ชัน ตอบโจทย์ทุกกลุ่ม Segment เชื่อสัดส่วนเพิ่ม  25% ในอนาคต

โฮมโปร ชี้กลยุทธ์พัฒนาสินค้า Private Brand ชูจุดต่าง ดีไซน์ ฟีเจอร์ ฟังก์ชัน ตอบโจทย์ทุกกลุ่ม Segment เชื่อสัดส่วนเพิ่ม 25% ในอนาคต

โฮมโปร เผยกลยุทธ์การพัฒนาสินค้ากลุ่ม Private Brand หลังพบแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง ชูกลยุทธ์ 3 จุดต่างด้าน ดีไซน์ ฟีเจอร์ และฟังก์ชัน ในระดับคุณภาพดี ราคาย่อมเยา เพื่อตอบโจทย์ทุกกลุ่ม Segment ลูกค้า ที่มีความต้องการแตกต่างกัน เชื่อมั่นจะสามารถเพิ่มสัดส่วนการเติบโตเป็น 25% ในอนาคต นางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือโฮมโปร ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร  เปิดเผยว่า จากการเปลี่ยนแปลงของตลาดและพฤติกรรมการเลือกซื้อ เลือกใช้สินค้าของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยเทคโนโลยี และความหลากหลายของสินค้าที่มีให้เลือกเพิ่มมากขึ้น โฮมโปร ในฐานะธุรกิจ Retail ที่ดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 22 ปี ได้ศึกษา วิจัย และนำไปสู่การปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับตลาด และเข้าถึงความต้องการภายใน (Insight) ของผู้บริโภค โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาสินค้ากลุ่ม ไพรเวทแบรนด์ (Private Brand) ที่ปัจจุบันสามารถสร้างสัดส่วนรายได้ได้ถึง 20%   และเพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โฮมโปรได้พัฒนาสินค้ากลุ่ม ไพรเวทแบรนด์ (Private Brand)  ใหม่พร้อมยกระดับสินค้าจาก Good เป็น Better  และ Best ตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า,เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน, ห้องน้ำ, ห้องครัว, เครื่องมือช่าง และอุปกรณ์เกี่ยวกับการทำความสะอาด ด้วยกลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง (Differentiation) ที่ต้องมีคุณค่ากับผู้บริโภคทั้งในด้านดีไซน์ ฟีเจอร์ และฟังก์ชั่น โดยต้องคำนึงถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณภาพของสินค้าต้องดีเยี่ยม ได้มาตรฐานในราคาที่จับต้องได้ และหาซื้อได้ที่เดียวคือที่โฮมโปร หรือ Exclusive @ HomePro เท่านั้น   เนื่องจากผู้บริโภคในยุคนี้จะเลือกสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด บวกกับการฉีกกฎแบบแผนทางการตลาดด้วยวิธีการนำเสนอผ่านช่องต่างๆ ผ่านการสร้างประสบการณ์ในรูปแบบ Inspiration video content เพื่อเข้าถึงปัญหา และการแก้ไขได้จริงในเรื่องบ้านด้วยวิธีง่ายๆ ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจมากยิ่งขึ้นขึ้น อีกทั้งยังเลือกใช้กลยุทธ์ในการเข้าถึงง่ายในตัวผลิตภัณฑ์  ด้วยวิธีการกระจายสินค้าให้มากที่สุดทั้งทางหน้าร้านในประเทศ และสาขาต่างประเทศ และบนแพลตฟอร์มดิจิทัล หรือ อีคอมเมิร์ซ ที่สามารถเลือกซื้อสินค้าได้ทั้งทาง Website และ Line ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีในการผลักดันสินค้ากลุ่มไพรเวทแบรนด์ (Private Brand) ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 25% ในอนาคต “การให้ความสำคัญกับการเดินหน้าสร้างสินค้าไพรเวทแบรนด์ระดับพรีเมี่ยมของโฮมโปรนั้น ใช้เวลาและทุ่มเทกันหนักมาก โดยชิ้นงานแต่ละชิ้นที่จะออกสู่ตลาดและวางจำหน่ายได้นั้น ต้องใช้ความประณีตเป็นอย่างมาก  โดยมีเกณฑ์ชี้วัดที่สำคัญคือในเรื่องงบประมาณและคุณภาพที่เท่าเทียมกัน   ลูกค้าเห็นสินค้าแล้วตัดสินใจเลือกซื้อกลับบ้าน ที่สำคัญที่สุดเมื่อใช้แล้วมีการบอกต่อและมีการซื้อซ้ำ นั่นสะท้อนให้เห็นว่าไพรเวทแบรนด์ของเราได้เข้าไปครองใจผู้บริโภค และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่อยู่ในบ้านของลูกค้าอีกด้วย”  นางสาวสิริวรรณ กล่าวเพิ่มเติม   สำหรับกลุ่มสินค้า ไพรเวทแบรนด์ (Private Brand)  ที่มีอัตราการเติบโตเป็นอันดับหนึ่ง คือกลุ่ม Home Textile ภายใต้แบรนด์ HLS – Home Living Style เน้นกลุ่มผ้าเป็นหลักทั้ง ผ้าม่าน หมอน พรม ผ้าปูที่นอน Wallpaper  และของตกแต่งภายในบ้าน ซึ่งสามารถตอบโจทย์ให้กับคนรักบ้านที่มีความต้องการ และไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายได้เป็นอย่างดี ด้วยจุดเด่นในด้านความละเอียดอ่อนของกระบวนการผลิต ออกแบบ และสำคัญที่สุดคือนวัตกรรมที่คำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าเป็นหลัก โดย Product Line ในกลุ่มของ HLS เกือบทั้งหมดได้ผ่านรับการรับรอง หรือ Certificate จากหลากหลายสถาบัน ที่สามารถเชื่อมั่นได้ว่าปลอดภัยกับผู้ใช้งาน การันตีว่าสินค้ามีคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ อาทิเช่น ผ้าม่าน HLS ถูกคัดสรรมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันที่มีความกังวลเรื่องแสงแดด และสุขภาพผิว โดยได้แบ่งผ้าม่านออกเป็น 2 ชนิด คือ ผ้าม่าน Black out ช่วยป้องกันแสง ป้องกันรังสี UVA/UVB ได้ถึง 99% ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงาน และลดอุณหภูมิภายในห้องได้ประมาณ 3-5 องศา และผ้าม่าน Dim out มีคุณสมบัติช่วยลดแสงเพียงอย่างเดียว  แสงแดดบางส่วนสามารถลอดเข้ามาได้บ้าง ซึ่งผ้าม่านทั้ง 2 ชนิด มีคุณสมบัติโดดเด่นที่ผ่านการรับรองระดับประเทศ ในด้านความปลอดภัยในการใช้งาน และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม การันตีด้วยฉลาก  Smart Fabric UV Protection หรือ เนื้อผ้าอัจฉริยะ จากสถาบันอุตสาหกรรมพัฒนาสิ่งทอ (THTI) เพื่อการันตีในเรื่องมาตรฐานและทำความสะอาดง่าย และที่สำคัญใช้การวิธีการย้อมสีที่ปลอดสารก่อมะเร็ง พรม HLS ไม่ได้เน้นแค่ฟังก์ชัน สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องคุณภาพ และความปลอดภัย (Safety) ได้รับการรับรองว่าการผลิตไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม หรือ Confidence in Textile สามารถซักทำความสะอาดได้  กันลื่นได้ดี ด้วย Thermoplastic rubber ที่จะช่วยเรื่องความปลอดภัย Microfiber เส้นใยอ่อนนุ่ม ซับน้ำได้ดี และ Antibacterial ป้องกันเชื้อโรคเกาะบนเส้นใยของพรม และไม่มีผลต่อสุขภาพซึ่งผ่านการทดสอบแล้ว จากสถาบันอุตสาหกรรมสิ่งทอ (THTI) หมอน HLS มีหลากหลายฟังก์ชั่น ที่คัดสรรมาเพื่อตอบโจทย์ปัญหาของลูกค้าที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องสุขภาพ ปวดต้นคอ ภูมิแพ้  หรือเป็นหวัด เพราะใช้วัสดุผ้าหุ้มที่ป้องกันแบคทีเรีย รวมถึงไลฟ์สไตล์การนอนที่แตกต่างกัน ซึ่งได้นำเทคโนโลยี เข้ามาช่วยในการผลิต เพื่อให้ลูกค้าสามารถได้สินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม เช่น  หมอนขนเป็น ขนห่าน , หมอนชาโคล , หมอนยางพารา , หมอนสำหรับเด็ก และหมอนเมมโมรี่โฟม   นอกเหนือจากกลุ่มสินค้า Home Textile แล้ว ยังมีแบรนด์อื่นๆที่ได้รับความนิยมภายใต้ Private Brand ของโฮมโปร อาทิ Furdini (กลุ่มเฟอร์นิเจอร์) , Moya  และ TARA (กลุ่มห้องน้ำและกระเบื้อง) , Carini และ Elektra (โคมไฟ) , Cabin (เคาน์เตอร์ครัว) เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์ทุกๆพื้นที่ภายในบ้านให้ครบจบในที่เดียว ที่โฮมโปรเท่านั้น นางสาวสิริวรรณ กล่าวปิดท้าย
จิม ทอมป์สัน เปิดตัว เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่นใหม่ ออกแบบโดย Ed Tuttle

จิม ทอมป์สัน เปิดตัว เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่นใหม่ ออกแบบโดย Ed Tuttle

จิม ทอมป์สัน ร่วมกับมิสเตอร์ เอ็ด ทัตเทิล สถาปนิกชื่อดังระดับโลกจากกรุงปารีส เปิดตัว “จิม ทอมป์สัน เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่น ออกแบบโดย Ed Tuttle” (Ed Tuttle Furniture Collection) อย่างเป็นทางการ   มิสเตอร์เอ็ด ทัตเทิล (Ed Tuttle) คือสถาปนิกที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายถึงการเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานระดับลักชัวรี่ให้กับโรงแรมและที่พักอาศัยสุดเอ็กซ์คลูซีฟทั่วโลก โดยผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักมากที่สุด ได้แก่ ผลงานการออกแบบให้กับโรงแรมพาร์คไฮแอท ปารีส – วองโดม (Park Hyatt Paris-Vendome) โรงแรม พาร์ค ไฮแอท มิลาน (Park Hyatt Milan) และโครงการต่างๆ ของเครืออมัน (Aman Resorts Hotel) ที่ไว้วางใจให้เขาเป็นสถาปนิกผู้ออกแบบโรงแรมและรีสอร์ทสุดลักชัวรี่ที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วโลก โดยในหลายต่อหลายโครงการ เขาได้เจาะจงเลือกใช้ผ้าของจิม ทอมป์สัน ในการสร้างสรรค์ผลงานแสนสง่างามมากมาย แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีและแน่นแฟ้นระหว่าง จิม ทอมป์สัน และ เอ็ด ทัตเทิล ที่มีมาอย่างยาวนาน และได้ถูกสานต่อจนเป็นแรงผลักดันในการสร้างสรรค์เฟอร์นิเจอร์สุดพิเศษร่วมกันในครั้งนี้     สำหรับ จิม ทอมป์สัน เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่น ออกแบบโดย Ed Tuttle นี้นำเสนอเฟอร์นิเจอร์ไว้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่เก้าอี้แบบมีที่เท้าแขนดีไซน์โก้หรู (Armchair) ไปจนถึงโซฟารูปทรงโดดเด่นตามสไตล์ของศิลปะเชิงนามธรรม และโต๊ะโมเสคฝังประดับพลอยเนื้ออ่อน โดยทั้งหมดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพเงา (Silhouettes) ที่มีรูปทรงแปลกตาเกินคาดเดา ผสานกับความดูดีในแบบมินิมัลลิสต์ ที่ดูภูมิฐานและทันสมัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเอกลักษณ์ในการสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมและออกแบบภายในของเอ็ด นอกจากนี้ยังมีผลงานไอคอนนิคพีซอย่าง เก้าอี้ผ้าใบ “พัฒศรี” (Patsri) ที่โดดเด่นด้วยโครงเก้าอี้เนื้อไม้สักแท้ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากงานดีไซน์ต้นฉบับที่เขาเคยสร้างสรรค์ไว้ให้กับเรือมหาเภตรา เรือยอชท์ของครอบครัวเพื่อนรักอย่างคุณพัฒศรี บุนนาค อดีตนางแบบและสไตล์ไอคอนผู้มีชื่อเสียงของเมืองไทย   นอกจากเฟอร์นิเจอร์ที่กล่าวมาแล้ว สินค้าอื่นๆ ทุกชิ้นในคอลเลคชั่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นของประดับบ้านชิ้นเล็กอย่าง โต๊ะข้าง (Side Table) และโคมไฟ ก็ล้วนแต่เลือกใช้วัสดุชั้นเลิศและมีความโดดเด่นด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะข้างอย่าง “ออร์แกนิก แพร์ เทเบิ้ล” (Organic Pair Table) ที่เป็นโต๊ะหินแกรนิตแอฟริกันตกแต่งผิวด้วยโลหะทองแดงในลุคแอนทีคอย่างมีรสนิยม ในขณะที่โต๊ะ “เกอริดอน” (Geuridon) ได้นำไม้มะฮอกกานีของไทยมาทำเป็นส่วนขาโต๊ะผสานเข้ากับหน้าโต๊ะที่ทำจากกระจกนิรภัย (Tempered Glass) สีดำตกแต่งรายละเอียดด้วยสแตนเลสสตีล สำหรับโคมไฟแบบต่างๆ ถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากผ้าไหมไทยทอมือสุดประณีตในเฉดสีที่แตกต่างกัน โดยตั้งอยู่บนฐานไม้มะฮอกกานีตกแต่งขอบด้วยทองแดงอย่างบรรจง และเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนถึงการใช้งานเฟอร์นิเจอร์ชิ้นต่างๆ จาก จิม ทอมป์สัน   เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่น ออกแบบโดย Ed Tuttle มากยิ่งขึ้น เอ็ดยังได้ออกแบบและจัดแสดงสไตล์การใช้งานไว้ 4 รูปแบบ ณ โชว์รูมสินค้าตกแต่งบ้าน จิม ทอมป์สัน บนถนนสุรวงศ์ กรุงเทพมหานคร (Jim Thompson Home Furnishings Showroom) โดยนำเสนอทุกผลงานที่เขาได้ออกแบบให้กับ จิม ทอมป์สัน ครบทั้งคอลเลคชั่น โดยได้จัดวางอย่างลงตัวกับผ้าตกแต่งผนังและบานกรุสิ่งทอ ตลอดจนผลงานศิลปะร่วมสมัยจากภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ที่เขาเป็นผู้เลือกสรรมาด้วยตนเอง ซึ่งผลงานศิลปะเหล่านี้ล้วนเป็นของหายาก ทรงคุณค่า และเป็นของสะสมของครอบครัวของคุณเอริค บุนนาค บู๊ทซ์ รวมถึงมาจากแกลเลอรี่ส่วนตัวของบุคคลท่านอื่นๆ ในประเทศไทย ที่ได้อนุญาตให้ จิม ทอมป์สัน ยืมใช้จัดแสดงในครั้งนี้ อาทิ ‘Offering Vessel’ โดย คุณพินรี สัณฑ์พิทักษ์ ‘Already There’ โดย คุณคามิน เลิศชัยประเสริฐ และ ‘Untitled’ โดยนักออกแบบระดับไอคอนของเมืองไทยอย่าง คุณนคร สัมพันธารักษ์ ซึ่งเอ็ด ได้บอกเล่าความรู้สึกที่ได้จัดแสดงครั้งนี้ว่า “งานศิลปะเหล่านี้ช่วยส่งเสริมและเติมเต็ม ทำให้ห้องดูมีชีวิตอย่างแท้จริง” นอกจากเฟอร์นิเจอร์แล้ว ในคอลเลคชั่นนี้ จิม ทอมป์สัน ยังได้เปิดตัวผ้าตกแต่งบ้านดีไซน์ใหม่ ภายใต้ชื่อ “ไรซ์ (Rice)” ซึ่งมีให้เลือกถึง 22 เฉดสี โดย คุณเอ็ด ทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดแนวคิด และ จิม ทอมป์สัน ได้บรรจงถักทอขึ้นเป็นผ้าไหมทอมือเนื้อผสม ซึ่งผ้าผืนนี้ได้ทำหน้าที่เพิ่มความสมบูรณ์แบบให้กับเฟอร์นิเจอร์ในคอลเลคชั่น จิม ทอมป์สัน เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่น ออกแบบโดย Ed Tuttle โดยเฉพาะ ด้วยผิวสัมผัสสวยงามสว่างสุกใสและลักษณะของผ้าที่ดูเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยรสนิยม รวมถึงเส้นใยธรรมชาติที่ใช้เป็นด้ายยืนและด้ายพุ่ง จนทำให้ “ไรซ์” เป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่ทำให้เกิดโครงสร้างอันซับซ้อนสวยงามเหนือคำบรรยาย ที่ปรากฏอยู่ในงานดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ   ความผูกพันกันระหว่าง เอ็ด ทัทเทิล และ แบรนด์สินค้าตกแต่งบ้าน จิม ทอมป์สัน (Jim Thompson Home Furnishings) ก่อตัวขึ้นจากความชื่นชอบในสิ่งเดียวกัน คือวัสดุธรรมชาติที่แสนหรูหรา จนทำให้วันนี้ ความรักความหลงใหลดังกล่าวได้นำมาซึ่งความร่วมมือครั้งสำคัญครั้งใหม่ ที่เต็มไปด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง   ผู้ที่สนใจสามารถเลือกชม “จิม ทอมป์สัน เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่น ออกแบบโดย Ed Tuttle (Ed Tuttle Furniture Collection)” ได้ที่โชว์รูมผ้าตกแต่งบ้าน จิม ทอมป์สัน (Jim Thompson Home Furnishings Showroom) ชั้น 3 ร้านจิม ทอมป์สัน สาขาสุรวงศ์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-632-8110 และอีเมล: showroom@jimthompson.com
โฮมโปร เปิด “HomePro S” สาขา “Market Place นางลิ้นจี่ สโตร์แนวคิดใหม่ สาขา 3 ปลายปี 61 5 ตุลาคมนี้ !!! ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองแบบ Urban Life และ Condo Living

โฮมโปร เปิด “HomePro S” สาขา “Market Place นางลิ้นจี่ สโตร์แนวคิดใหม่ สาขา 3 ปลายปี 61 5 ตุลาคมนี้ !!! ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองแบบ Urban Life และ Condo Living

โฮมโปร ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองแบบ Urban Life และ Condo Living เปิดสโตร์แนวคิดใหม่ สาขา 3 ปี 2561 “HomePro S สาขา Market Place นางลิ้นจี่ ” ชูจุดเด่น 3S ‘Smart Select Service’ พบสินค้าเรื่องบ้านแบบครบครัน เดินทางสะดวก ใกล้ทางด่วน เข้าถึงได้หลายช่องทาง พร้อมบริการครอบคลุมทุกความสะดวกสบาย ด้วยช่องทางการช้อปออนไลน์รูปแบบใหม่ Click & Collect บริการเลือกกำหนดช่วงเวลารับสินค้า และสาขาได้ด้วยตนเอง ทุกสาขาทั่วประเทศ พร้อมเสิร์ฟความสุขด้วยโปรโมชั่นพิเศษ ลดราคาสูงสุด 60%!! ตั้งเป้าเพิ่มฐานลูกค้าคนเมือง มุ่งกวาดรายได้กว่า 10 ล้านบาท นางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” เปิดเผยว่า การขยายสาขาของ ‘HomePro S’ เป็นอีกหนึ่งการตอบสนองแนวคิด เรื่องการใช้ชีวิตของคนเมือง ที่เน้นเปิดรับการช้อปสินค้าที่สะดวกสบายมากขึ้น ทั้งยังตอบโจทย์แนวทางแต่งบ้านที่สร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเพื่อซ่อมแซม ต่อเติม ตกแต่งบ้าน อุปกรณ์จัดเก็บ และ DIY ซึ่ง HomePro S จะใช้จุดเด่นในเรื่อง 3S มาตอบโจทย์ทุกทางเลือกของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น “SMART” สะดวก ช้อปง่าย สบาย ใกล้บ้าน ในศูนย์การค้าใจกลางเมืองเข้าถึงง่าย “SELECT” คัดสรรสินค้าเพื่อคุณ ตรงทุกความต้องการเรื่องบ้าน ทั้งซ่อมแซม ต่อเติม ตกแต่ง และ DIY “SERVICE” ครบครันทุกบริการเพื่อคนรักบ้าน สะดวกสบายเหมือนสโตร์ใหญ่ โฮมโปรเดินหน้าตอบสนองความต้องการของคนรักบ้านอย่างต่อเนื่อง สำหรับ HomePro S สาขา ‘Market Place นางลิ้นจี่’ เป็นสาขาที่ 3 ของปี 2561 ต่อจากสาขา ‘The Paseo Park’ กาญจนาภิเษก และสาขาบิ๊กซี บางนา และจะยังเดินหน้าเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าทุกพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการที่สะดวกสบาย และครบครันไปด้วยสินค้าเรื่องบ้าน ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตให้ดียิ่งขึ้น   HomePro S สาขา Market Place นางลิ้นจี่ ตั้งอยู่ที่ชั้น B1 ในคอมมูนิตี้มอลล์ใจกลางเมือง ทำเลทองที่รายล้อมด้วยที่อยู่อาศัยใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา และยังเดินทางสะดวกใกล้ทางด่วน เข้าถึงได้หลายช่องทาง ท่ามกลางแสงสีและความเจริญของเมืองกรุง เพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ ทั้งกลุ่มบ้าน รวมไปถึงคอนโดที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการตอบสนองแนวการใช้ชีวิต Urban Life และ Condo Living ได้ครอบคลุม พร้อมตอกย้ำความสะดวกสบายได้ทุกไลฟ์สไตล์ เข้าถึงได้ง่ายด้วยประสบการณ์การช้อปรูปแบบใหม่ อย่าง Shop Online , Click & Collect ช้อปของตกแต่งบ้านออนไลน์ สามารถเลือกกำหนดช่วงเวลารับสินค้าและสาขาที่สะดวกใกล้บ้านได้ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือบริการจัดส่งถึงบ้านแบบ Delivery   นอกเหนือจากประสบการณ์ช้อปรูปแบบใหม่แล้ว โฮมโปรยังเสิร์ฟความสุขที่ HomePro S สาขา Market Place นางลิ้นจี่ ผ่านกองทัพโปรโมชั่นฉลองเปิดสาขาใหม่ สุดโดนใจอีกมากมาย ด้วยสินค้าเรื่องบ้านลดราคาสูงสุดกว่า 60% สุขใจรับวันหยุดในวันเสาร์ที่ 6 ต.ค. วันเดียวเท่านั้น!!! สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรโฮมการ์ด ที่ลงทะเบียนกับ HomePro Line Connect 300 ท่านแรก รับสิทธิ์เล่นเกมหมุนวงล้อ ลุ้นซื้อสินค้า Special list จำนวนจำกัด ลดราคาสูงสุดถึง 65% ทั้ง SAMSUNG LED TV 43”, ไมโครเวฟ SAMSUNG, เครื่องดูดฝุ่นแบบกล่อง NESCO, เตาบาร์บีคิว พร้อมหม้อสุกี้ SMART HOME, ปิ่นโตเก็บอาหาร 3 ชั้น และลุ้นรับคูปองส่วนลดมูลค่า 100 บาท จำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย!!   นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าบัตรโฮมการ์ด ช้อปครบ...รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่าสูงสุด 24,000 บาท เมื่อช้อปครบ 400,000 บาทขึ้นไป ช้อปครบ 200,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญ โฮมโปร 10,000 บาท ช้อปครบ 100,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่า 4,000 บาท ช้อปครบ 40,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปรมูลค่า 1,000 บาท ช้อปครบ 20,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญ    โฮมโปรมูลค่า 400 บาท  และพิเศษยิ่งขึ้น เมื่อช้อปสินค้าครบ 3,000 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ รับเพิ่มทันที คูปองส่วนลดท้ายใบเสร็จ มูลค่า 100 บาท   และเพื่อเป็นการฉลองเปิดสาขาใหม่ มอบสิทธิพิเศษมากยิ่งขึ้น ให้กับลูกค้าบัตรโฮมการ์ด รับสิทธิ์สมัครบัตรโฮมการ์ดฟรี พร้อมรับฟรี 100 คะแนน SHOP WEEKDAY FIN VERR เมื่อช้อปวันธรรมดา รับเลยคะแนน X3* เท่า เมื่อช้อปสินค้าครบ 1,500 บาท และช้อปสนุกทุกเสาร์ – อาทิตย์ ลุ้นรับของรางวัลมากมายเพียงช้อปสินค้าครบ 2,500 บาท  และ Happy Point เพียงแลกคะแนนสะสมโฮมการ์ดเท่ายอดซื้อ ลดเพิ่มสูงสุด 15% ยิ้มรับความฟินต่อเนื่อง กับสิทธิพิเศษที่ส่งตรงมาจากสถาบันการเงินชั้นนำมากมาย อาทิ ลูกค้าบัตรเครดิตโฮมโปร วีซ่า แพลทินัม จัดเต็มคอมโบ 3 คุ้ม คุ้มที่ 1 ลดราคาทันที 3% คุ้มที่ 2 แลกคะแนนเท่ายอดชำระ ลดเพิ่มสูงสุดอีก 13% หรือแลกส่วนลด 100 บาทต่อ 1,000 คะแนน คุ้มที่ 3 รับเครดิตเงินคืนเพิ่ม 2% เมื่อรูดเต็มจำนวน  และสำหรับลูกค้าบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 40,000 บาท เมื่อชำระเต็มจำนวนและผ่อนชำระ และเติมเต็มความสุขยิ่งขึ้น กับสิทธิพิเศษผ่อน 0% ทุกชิ้น ทั้งร้าน กับบัตรเครดิตชั้นนำมากมาย   สำหรับการขยายสาขา HomePro S ที่ “Market Place นางลิ้นจี่”  โฮมโปรมั่นใจว่าจะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าและกลุ่มคนรักบ้าน ให้พบกับความสุข Style ใหม่ สะดวกสบาย ใกล้บ้านคุณ ในรูปแบบ Urban Life และ Condo Living พร้อมเสิร์ฟความฟินกับประสบการณ์การช้อปสินค้าเรื่องบ้าน และกองทัพโปรโมชั่นจัดเต็มในที่เดียว  ตั้งเป้ายอดขายกว่า10 ล้านบาท เตรียมพบกันได้ตั้งแต่วันที่ 5 - 31 ตุลาคม 2561 พร้อมเปิดบริการทุกวัน 10.00 - 22.00 น โทร. 02-079-5448 หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Call Center หมายเลข 1284 และ www.homepro.co.th  FB : homeprothailand นางสาวสิริวรรณ กล่าวปิดท้าย
สวรรค์ชั้น 38 เผยวิวบนตึกสูง The Zea ศรีราชา เพนท์เฮ้าส์ Luxury Zen ที่เน้นทุกรายละเอียด มีทั้งหมด 6 ห้องเท่านั้น

สวรรค์ชั้น 38 เผยวิวบนตึกสูง The Zea ศรีราชา เพนท์เฮ้าส์ Luxury Zen ที่เน้นทุกรายละเอียด มีทั้งหมด 6 ห้องเท่านั้น

สถิติมีไว้ถูกทำลาย แต่จนถึงนาทีนี้ก็ไม่ยังไม่มีใครทำลายได้ กับคอนโดวิวสวยที่สุด สูงที่สุดในศรีราชา เชื่อว่าใครที่ผ่านไปมาบนเส้นสุขุมวิทฯ ก่อนเข้าตัวเมืองศรีราชา ช่วงที่ถนนมีความบางที่สุด ระหว่างซ้ายภูเขา ขวาทะเล มีคอนโดติดถนนสุขุมวิท ด้านหลังติดชายหาดเลย ตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียว แน่นอนว่าบนชั้นสูงสุดของที่นี่น่าจะพูดได้ว่าเป็น “เพนท์เฮ้าท์หรูบนตึกที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในศรีราชา” อย่างแน่นอน หลังจากรอคอยมาเกือบสามปี หลังเปิดขายและส่งมอบเกือบเสร็จสิ้น ถึงเวลาส่อง “เพชรเม็ดงาม” เผยโฉมห้องที่สวยสุด วิวดีที่สุด  ในโครงการ The Zea ศรีราชา โดย  บริษัท เวลธ์ ดีเวลลอปเปอร์  จำกัด คุณวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ กรรมการผู้จัดการบริษัท นักธุรกิจที่ผันตัวมาจากการเล่นที่ดินและเห็นแปลงที่สวยที่สุด ไม่ขาย จับจองไว้และได้ขึ้นโครงการฯ เอง ซึ่งบริษัทฯ เดิมที่ทำอยู่เป็นบริษัทฯ ก่อสร้างอาคาร สำนักงาน รวมถึงคอนโดมิเนียมต่างๆ อยู่แล้ว นัยว่านี่คือการขยายไลน์ แน่นอนว่านอกจาทำเลที่โดดเด่นชนิดเล็งมานานแล้ว แผนผังในการออกแบบ, สเปควัสดุต่างๆ ที่ใช้  เจ้าของโครงการฯ การันตีว่าจัดให้คุ้มค่า คุ้มราคา โอกาสพิเศษนี้ เรามีโอกาสได้คุยกับทีมตกแต่งห้องจาก Abacus Design ให้รายละเอียดว่า   สิ่งที่เห็นครั้งแรกเมื่อมาถึงห้องเพนท์เฮาส์คือความโอ่โถง ความสูงของฝ้าและเมื่อมองออกไปเห็นวิวเห็นวิวได้ 360 องศาซึ่งหาที่ไหนไม่ได้แล้ว  เคยเห็นห้องเพนท์เฮาส์ที่อื่นบ้างเหมือนกัน ซึ่งส่วนใหญ่การที่ได้ชื่อว่าเป็นเพนท์เฮาส์คือห้องอยู่ที่ชั้นสูงที่สุดของตึกแต่ห้องจะไม่ต่างจากชั้นอื่นๆเท่าไหร่นัก  แต่ที่ the zea ตั้งแต่โถง lift ก็สูงกว่าชั้นอื่นๆ ประตูทางเข้าห้องก็เป็นบานคู่ ภายในunit ครัวก็เป็นครัวดีไซน์ขึ้นพิเศษ มี island ทำอาหารไปดูวิวไป ห้องรับแขกเป็นแบบ double volume ทำให้มีความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านแต่มีวิวทะเลที่มองไปสุดลูกหูลูกตา การดึงจุดเด่นของเพนท์เฮ้าส์ที่นี่ มาใช้ในการตกแต่ง หลักการ คือ ที่โดดเด่น ต้องโดดเด่น เราเน้นความสูง โดยใช้เส้นสายแนวคั้งทำให้ดูโปร่ง วัสดุที่ใช้บนผนังตกแต่งเป็นหินธรรมชาติต่อลายแบบ book match ส่วนอีกฝั่งเป็น lazer cut ติดแผ่นทอง เพิ่มความหรูหราสมกับการเป็นเพนท์เฮาส ห้องต่างๆ เราสั่งทำเฟอร์นิเจอร์เป็นพิเศษ ให้เหมาะกับห้องนั้น สีสรรที่ใช้ก็แตกต่างกันสำหรับแต่ละห้องเพื่อสร้างเอกลักษณ์ของห้องนั้นๆ เช่น มีบริเวณนั่งทำงานซึ่งนั่งอยู่ก็เห็นวิวทะเล, Nook เล็กๆ ให้นั่งนอนอ่านหนังสือ, ห้อง master มีหัวเตียงที่เล่นไม้ลายตั้งเพื่อให้ห้องแลดูสูงขึ้น มีเฟอร์นิเจอร์พร้อมลูกค้าเข้าอยู่ได้เลย, มีห้องเสื้อผ้าแบบwalk in closet สำหรับทั้งคุณผู้หญิงและผู้ชาย และยังมีตู้หน้าบานกระจก เพื่อใส่กระเป๋าแบรนด์เนมต่างๆ, ห้องน้ำมีอ่างล้างมือ his and her Shower ใหญ่สามารถอาบได้สองคน สร้างความ romantic ให้ผู้ที่มาอยู่, โถปัสสาวะเป็นของ Toto แบบ washless การเลือกใช้สี โทนห้อง ใช้โทนสีอบอุ่น ครีมเทาให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านและ accent ด้วย rose gold เพิ่มความหรูหรา ในส่วนของวัสดุ ความใส่ใจ พิถีพิถัน ในการเลือกวัสดุแต่ละชนิดมาก เห็นเพนท์เฮาส์มาเยอะนะคะ ที่นี่วิวทะเลสวยที่สุดแล้วค่ะ เห็น 360 องศา ไม่มีอะไรมาบัง เวลาบ่ายๆพระอาทิตย์เริ่มตก แสงอาทิตย์กระทบกับคลื่นจะเงินเป็นสีเงินวิบวับสวยมากค่ะ   ร่วมชีวิตเหนือระดับกับ Penthouse ที่ดีที่สุด ทำเลดีที่สุด บนคอนโดที่สูงที่สุดในศรีราชา พบกับการออกแบบห้องสไตล์ Luxury, Duplex การตกแต่งหรูหรา เรียบง่ายในแบบ Luxury Zen ที่เน้นทุกรายละเอียด มีทั้งหมด 6 ห้อง ที่มีความแตกต่างกัน แต่ยังถูกโอบล้อมด้วยวิวทะเลและภูเขา ให้ได้สัมผัสวิวที่คุณชื่นชอบ เริ่มต้นที่ ห้องตกแต่งพร้อมอยู่ Fully Furnished แบบ Luxury zen วิวทะเลแบบพาโนรามา ตรม.ละ 195,000 บาท  ห้อง Fully Fitted สัมผัสวิวทะเลแบบเต็มอิ่ม ตรม.ละ 159,000 บาท  ห้อง Bareshell สัมผัสวิวทะเลแบบเต็มอิ่ม ตรม. ละ 145,000 บาท  Fully Furnished สัมผัสวิวเขา ธรรมชาติของเมืองศรีราชา ตรมละ 129,000 บาท ** สนใจติดต่อฝ่ายขาย 091-736-9999 ด้านเจ้าของโครงการฯ คุณวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ กรรมการผู้จัดการบริษัท เวลธ์ ดีเวลลอปเปอร์  เผยว่า   โครงการ “เดอะซี” คอนโดหรูในทำเลดีที่สุดของศรีราชา สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ในปี 2560  ยอดขายเกิน 80%  แล้ว ทั้งนี้โครงการฯ เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน  โดนใจตลาดที่มีความต้องการชัด ทั้งซื้อเพื่ออยู่เองและเพื่อการลงทุน รวมถึงกลุ่มนักธุรกิจในนิคมฯ กว่า 20 แห่งทั้งชลบุรีและระยอง กลุ่มเป้าหมายหลักทั้ง 2 กลุ่มคือ กลุ่มนักธุรกิจที่ต้องการบ้านพักตากอากาศสำหรับวันพักผ่อน  และกลุ่มผู้บริหารระดับสูงที่ต้องการบ้านพักสำหรับวันทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจชาวไทยและญี่ปุ่นที่ทำงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกซึ่งมีมากกว่า 20 แห่งในจังหวัดชลบุรีและระยอง เหตุผลที่ “เดอะซี” เป็นที่สนใจของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเพราะเป็นโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว ลูกค้าจึงใช้เวลาตัดสินใจไม่นานเนื่องจากได้เห็นโครงการจริงตั้งอยู่ในทำเลเด่นด้านหน้าโครงการติดโค้งอ่าวทะเล ด้านหลังเป็นวิวภูเขาทอดตัวยาวเรียงกันถึงสามลูก เสมือนบัลลังค์ขุมทรัพย์  เป็นสุดยอดฮวงจุ้ยที่หาไม่ได้อีกแล้ว ตัวอาคารสูงยังออกแบบด้วยแนวคิด  Modern Zen สร้างบรรยากาศการอยู่อาศัยสไตล์ญี่ปุ่น ท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบลูกค้าสามารถสัมผัสได้ถึงคุณภาพของการก่อสร้าง การเลือกใช้วัสดุคุณภาพดี  ได้เห็นรูปแบบและการตกแต่งห้องชุด  รวมทั้งสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการอย่างครบครันที่พร้อมมอบบริการด้วยคุณภาพมาตรฐานเป็นไปตามที่โครงการได้ระบุไว้ อีกปัจจัยคือ “เดอะซี ” เสนอราคาขายที่เหมาะสม ทำให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่าสูงสุดไม่ว่าจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อการลงทุนโดยผู้เช่าอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมจะเป็นกลุ่มผู้บริหารชาวญี่ปุ่น สำหรับโครงการ เดอะ ซี ศรีราชา เป็นคอนโด High-Rise 39 ชั้น 1 อาคาร พื้นที่โครงการ 3-2-9 ไร่ ห้องพักอาศัยรวม 585 ยูนิต มีห้องพักให้เลือกแบบ 1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน และ 3 ห้องนอน ขนาดเริ่มต้น 31.70-111.10 ตร.ม. สร้างเสร็จพร้อมอยู่ปี 2560 สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ อาทิ โถงต้อนรับ, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, ออนเซ็นแบบญี่ปุ่น, สวนพักผ่อน, Jogging Track, สวนริมทะเลสไตล์ Zen, ร้านอาหารวิวทะเลมุมมอง 270 องศา, ลิฟท์โดยสาร, ที่จอดรถ, ประตูคีย์การ์ด และ รปภ. 24 ชม. ราคาเริ่มต้น 2.17 ล้านบาท  โครงการ The Zea ศรีราชา ตัวอาคารรูปทรงเหลี่ยมๆ ใช้สีเทาเป็นพื้นตัดด้วยสีแดงเลือดหมู  ตัวตึกจะเป็นรูปตัว L วิวโครงการ จะมี 3 แบบ คือ วิวภูเขาด้านหน้าโครงการ วิวทะเลด้านหลังโครงการ และวิวถนนสุขุมวิท ที่มองเห็นทั้งภูเขาและทะเล ระยะจากโครงการถึงหาดประมาณ 80 ม.  มีทางเดินลงไปที่ชายหาด สระว่ายน้ำอยู่ชั้น 7 ชั้นดาดฟ้าทำเป็นจุดชมวิวแบบ Waterscape สระว่ายน้ำแบบ Infinity Edge ระบบเกลือ ชั้น 7 ขนาด 30 ม. ลึก 1.2 ม. พร้อมสระเด็ก, ห้องฟิตเนสอยู่ชั้น 7 วิวมองเห็นสระว่ายน้ำและทะเล และ Onzen แบบญี่ปุ่นชั้น 7 แยกชายหญิง  ล่าสุดเตรียมเปิดเพนท์เฮ้าส์บนชั้น 38 โชว์วิวอลังการณ์ ซึ่งมีผู้ครอบครองได้เพียง 6 ยูนิตเท่านั้น  ** สนใจติดต่อฝ่ายขาย 091-736-9999
แม่น้ำเรสซิเดนท์ จับมือ JLL ทำการตลาดเพนท์เฮาส์เชิงรุก เผยยูนิตสินค้าเพิ่มน้อย แต่ระยะ 5 ปี ราคาปรับขึ้นถึง 30%

แม่น้ำเรสซิเดนท์ จับมือ JLL ทำการตลาดเพนท์เฮาส์เชิงรุก เผยยูนิตสินค้าเพิ่มน้อย แต่ระยะ 5 ปี ราคาปรับขึ้นถึง 30%

แม่น้ำเรสซิเดนท์ และเจแอลแอล รุกทำตลาดเพนท์เฮาส์ เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะระดับลักชัวรี่ เพราะเห็นโอกาสตลาดที่ซัพพลายมีน้อย ยูนิตเพนท์เฮาส์โตขึ้น 6-7% ต่อปี ทำให้โอกาสของราคาปรับเพิ่มขึ้นทุกปี เฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาราคาปรับขึ้น 30% จับตา Branded Residence พลิกโฉมอสังหาริมทรัพย์ริมน้ำเจ้าพระยาเป็นซุปเปอร์ลักชัวรี่ ดึงเศรษฐีไทยและต่างประเทศเข้ามาจับจองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย   นายเดชา ตั้งสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม่น้ำเรสซิเดนท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการแม่น้ำเรสซิเดนท์คอนโดมิเนียมหรูบนทำเลโดดเด่นที่สุดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เปิดเผยว่า การพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ริมแม่น้ำเจ้าพระยากลับมามีความคึกคักอีกครั้งอย่างมีนัยยะสำคัญ และจะเปลี่ยนโฉมการอยู่อาศัย วิถีชีวิต การท่องเที่ยว อย่างเห็นได้ชัด ภายหลังการเปิดตัวของโครงการระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ริมน้ำเจ้าพระยาซึ่งจะมีกำหนดแล้วเสร็จปลายปีนี้ ส่งผลให้ตลาดคอนโดฯ ริมน้ำกลับมามีสีสันอย่างมาก และมูลค่าทรัพย์สินปรับตัวสูงขึ้นเทียบเท่าตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ในเขตศูนย์กลางธุรกิจ ดึงดูดกำลังซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศไหลเข้าพื้นที่ริมแม่น้ำ     “โดยเฉพาะโครงการแม่น้ำเรสซิเดนท์ ซึ่งใช้ห้องเพนท์เฮาส์ของโครงการ เป็นธงนำในการทำการตลาด ด้วยมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นตลาดลักชัวรี่จนถึงซุปเปอร์ลักชัวรี่ การเจาะกลุ่มเป้าหมายจึงมีความพิเศษ ด้วยกิจกรรมที่สร้างความชอบให้กับคนเฉพาะกลุ่ม เช่น การจัดงานศิลปะบนเพนท์เฮาส์ แม่น้ำเรสซิเดนท์ จึงได้จัดงาน PENTHOUSE IS ART BY MENAM RESIDENCES ซึ่งเป็นการจัดแสดงผลงานศิลปะจากศิลปินระดับประเทศบนห้องเพนท์เฮาส์เป็นครั้งแรกของประเทศไทย เพื่อทำการตลาดที่มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบหรือเป็นนักสะสมงานศิลปะ และสะสมห้องเพนท์เฮาส์ ไปในคราวเดียวกัน ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากทำเลที่ตั้งของโครงการอยู่บนวิวโค้งน้ำที่สวยงามที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยา บวกกับการนำศิลปะมาตกแต่งห้อง นอกจากจะช่วยเพิ่มความสวยงามและเอกลักษณ์ให้กับห้องแล้ว ยังสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับห้องในระยะยาว การลงทุนแบบนี้เรียกว่า Passion Investment ซึ่งสร้างคุณค่าทางจิตใจและมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต” นายเดชากล่าว   ด้านศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไทยของบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เปิดเผยว่า ระหว่างปี 2556-2560 ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ โดยรวม มีห้องสูทเพนท์เฮาส์ขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 77 ยูนิต หรือประมาณ 6% ต่อปี ส่วนในปีนี้ จะสร้างเสร็จเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วราว 7% หรือ 104 ยูนิต ซึ่งในจำนวนนี้เป็นของโครงการระดับหรู (ลักชัวรี่และซูเปอร์ลักชัวรี่) 43 ยูนิต โดย ณ สิ้นปี ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ จะมีห้องสูทเพนท์เฮาส์รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,590 ยูนิต แบ่งเป็นยูนิตในโครงการระดับหรูรวม 440 ยูนิต โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพนท์เฮาส์ในโครงการคอนโดมิเนียมระดับหรูในกรุงเทพฯ มีราคาปรับขึ้นไปแล้วกว่า 30% และยังคงมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อไป โดยเฉพาะในโครงการใหม่       นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล กล่าวว่า ห้องสูทเพนท์เฮาส์ เป็นห้องชุดยูนิตพิเศษที่มักพบเห็นได้เพียงไม่กี่ยูนิตอยู่บนชั้นบนสุดของอาคารคอนโดมิเนียม โดยมักมีขนาดใหญ่พิเศษ และได้รับการออกแบบตกแต่งด้วยวัสดุที่มีความหรูหรากว่ายูนิตอื่นๆ ในอาคารเดียวกัน ซึ่งด้วยข้อจำกัดนี้ ทำให้ห้องสูทเพนท์เฮาส์มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ไม่มากนัก ความพิเศษที่กล่าวมานี้ ทำให้ห้องสูทเพนท์เฮาส์มีราคาต่อยูนิตสูง โดยปัจจุบัน เพนท์เฮาส์มีราคาขายอยู่ระหว่าง 60-300 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง ขนาดยูนิต และชื่อเสียงของโครงการ โดยราคาต่อยูนิตที่สูง จึงทำให้เพนท์เฮาส์มีฐานผู้ซื้อที่แคบกว่าเมื่อเทียบกับผู้ซื้อยูนิตกลุ่มอื่นๆ ส่งผลให้ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมหลายโครงการไม่มีการทำเพนท์เฮาส์ จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จำกัดการเพิ่มจำนวน   ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า เพนท์เฮาส์สร้างเสร็จใหม่ในช่วงเมื่อไม่นานมานี้และที่มีกำหนดจะสร้างเสร็จในอนาคต ส่วนใหญ่จะอยู่ในโครงการระดับหรู รวมถึงคอนโดที่บริหารโดยแบรนด์โรงแรมที่มีชื่อเสียง (Branded Residence) โครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีกำหนดจะสร้างเสร็จในปลายปีนี้ ได้แก่ โครงการ Four Seasons Private Residences Bangkok, โครงการ Banyan Tree Residences Riverside Bangkok และโครงการ The Residences at Mandarin Oriental (ICONSIAM) ซึ่งด้วยต้นทุนและคุณภาพที่สูงขึ้นของโครงการเหล่านี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้ราคาเพนท์เฮาส์เฉลี่ยโดยรวมขยับตัวสูงขึ้นต่อไปอีก     “เชื่อว่าโครงการใหม่ๆ เหล่านี้ จะมีผลทำให้ตลาดคอนโดมีเนียมระดับหรูของกรุงเทพฯ ได้รับความสนใจของผู้ซื้อต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการซื้อเพนท์เฮาส์ระดับหรูไว้เป็นของสะสมด้วยคุณสมบัติพิเศษและจำนวนที่จำกัด ในขณะเดียวกัน คาดว่า เพนท์เฮาส์ในโครงการคอนโดฯ ที่สร้างเสร็จแล้วจะมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้นเช่นกัน จากความได้เปรียบของต้นทุนการพัฒนาที่ต่ำกว่าโครงการที่จะเปิดใหม่ในอนาคต” นางสุพินท์กล่าว       นางสาวนนท์รภัส พรสินคุณานนท์ หัวหน้าฝ่ายบริการธุรกิจที่พักอาศัย เจแอลแอล กล่าวว่า กลุ่มผู้ซื้อเป็นคนไทยที่มีฐานะดีที่ต้องการที่พักอาศัยในเขตศูนย์กลางธุรกิจสำหรับใช้ในช่วงระหว่างวันทำงาน หรือให้บุตรหลานพักอาศัย ส่วนผู้ซื้อชาวต่างชาติ เป็นผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางเข้ามาพักผ่อนช่วงวันหยุดยาวที่กรุงเทพฯ โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ซื้อจากเอเชีย อาทิ ฮ่องกง และจีน โดยเฉพาะชาวจีนที่มีการซื้อไว้ไม่เฉพาะสำหรับใช้เองเท่านั้น แต่ยังมีไว้สำหรับให้ญาติมิตรเข้ามาพักเมื่อเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในกรุงเทพฯอีกด้วย     “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ พบว่า การลงทุนซื้อเพนท์เฮาส์ไว้สำหรับปล่อยเช่าไม่ได้รับความนิยม เนื่องจากราคาซื้อขายที่สูง ทำให้ผู้ซื้อไม่อาจคาดหวังผลตอบแทนการลงทุนในระดับที่คุ้มค่าได้ เพนท์เฮาส์ที่มีเสนอให้เช่าอยู่ในขณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นยูนิตในโครงการเก่าที่เจ้าของซื้อมาในราคาไม่สูงดังเช่นที่เสนอขายในปัจจุบัน จึงสามารถเสนอค่าเช่าในระดับที่ผู้เช่ามีกำลังในการจ่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่อธิบายว่า เหตุใดผู้ซื้อเพนท์เฮาส์ใหม่ๆ ส่วนใหญ่ ซื้อไว้เพื่อใช้เอง” นางสาวนนท์รภัสกล่าว   สำหรับลูกค้าที่ต้องการเข้าชมงาน PENTHOUSE IS ART และห้องเพนท์เฮาส์ แม่น้ำเรสซิเดนท์ฯ ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอย 270-280 ตารางเมตร เสนอขายในราคาปัจจุบันที่ 60-80 ล้านบาท สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร 06-2796-0101
เครือ พี.เอ็ม.กรุ๊ป เปิดตัว “The Nest สุขุมวิท 71” คอนโดฯใหม่รองรับไลฟ์สไตล์คนเมืองในแบบ “คนสุขุมวิท”

เครือ พี.เอ็ม.กรุ๊ป เปิดตัว “The Nest สุขุมวิท 71” คอนโดฯใหม่รองรับไลฟ์สไตล์คนเมืองในแบบ “คนสุขุมวิท”

“สุขุมวิท” ได้ชื่อว่าเป็นทำเลทองที่ดีเวลลอปเปอร์ต่างแย่งชิงที่ดินผืนงามมาพัฒนาเพิ่มมูลค่าจนแทบจะไม่เหลือพื้นที่ว่างให้พัฒนาอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้การพัฒนาจึงได้ขยับขยายออกไปตามแนวรถไฟฟ้า และ ทำเล “พระโขนง” เป็นอีกทำเลหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจจากนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มองเห็นโอกาสใหม่ที่น่าลงทุนด้วยความพร้อมของศักยภาพทําเลและ Demand ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นางสาวอุษณา มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัดผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในเครือ พี.เอ็ม.กรุ๊ป เปิดเผยว่า ย่านพระโขนงหรือสุขุวิท 71 ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพที่เชื่อมระหว่างในเมืองและนอกเมือง มีความหนาแน่นของประชากรค่อนข้างสูง ซึ่งนอกจากจะเป็นชุมชนเก่าแก่ขนาดใหญ่ที่คนไทยอยู่อาศัยแล้วยังพบว่าในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาชาวต่างชาติก็ได้เข้ามาอยู่อาศัยในทำเลดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้ง บริษัทฯ จึงได้ต่อยอดความสำเร็จในการพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ The Nest (เดอะเนสท์ ) จากโครงการแรก The Nest เพลินจิต มาถึงโครงการใหม่ล่าสุด The Nest สุขุมวิท 71 (เดอะเนสท์ สุขุมวิท 71) โครงการที่สี่ อยู่ซอยปรีดีพนมยงค์ 2 (สุขุมวิท 71) บนเนื้อที่กว่า 5 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารชุดพักอาศัยสูง 8 ชั้น 5 อาคาร คลับเฮ้าส์ 2 ชั้น 1 อาคาร รวมจำนวน 515 ยูนิต มีขนาดห้อง 3 แบบ ดังนี้ แบบ 1 ห้องนอน ( 1 Bedroom ) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 24.69-33.35 ตารางเมตร (ตร.ม.), แบบ 1 ห้องนอน ( 1 Bedroom plus) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 41.52 ตร.ม. และแบบ 2 ห้องนอน (2 Bedroom ) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 44.51-47.22 ตร.ม.ราคาขายเริ่มต้น 92,500 – 110,000 บาท ต่อตร.ม.หรือราคาเริ่มต้น.2.39 ล้านบาทต่อยูนิต รวมมูลค่าโครงการ1,700 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างประมาณไตรมาส 4/2561 คาดว่าแล้วเสร็จประมาณไตรมาส 4/2563 เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคนทำงานในเมืองที่มองหาบ้านหลังที่สองที่มีระดับรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มนักลงทุน “โครงการ The Nest สุขุมวิท 71” เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทที่ออกแบบเพื่อความสมบูรณ์ในการใช้ชีวิตให้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น ด้วยการออกแบบให้การอยู่อาศัยที่รายล้อมด้วยร่มไม้ใจกลางเมืองมีความโดดเด่นทั้งตัวอาคารภายนอกและลงตัวด้วยพื้นที่ใช้สอยที่ออกแบบตอบโจทย์ลงตัวทุกพื้นที่เพื่อความสุข และการใช้ชีวิตการอยู่อาศัยที่แท้จริงในทุกแบบห้อง ทุกขนาดพื้นที่สามารถใช้สอยได้จริง เฟอร์นิเจอร์และวัสดุตกแต่งที่มีคุณภาพ โดยทุกยูนิตจะตกแต่งแบบ fully furnished มีชุดครัวแบบปิด และ walk-in closetในทุกรายละเอียดการออกแบบดีไซน์นั้นสามารถตอบรับการใช้ชีวิตทันสมัยสไตล์คนเมืองตั้งแต่เริ่มตื่น ทำงาน พักผ่อน จนถึงการนอนหลับ ด้วยการตกแต่งแบบเรียบๆโทนสีอบอุ่นลงตัวเพื่อให้สอดรับกับความต้องการของกลุ่มคนที่ทำงานในเมือง หรือกลุ่มคนที่ต้องการซื้ออสังหาฯเพื่อการลงทุนนอกจากนี้ภายใน“โครงการ The Nest สุขุมวิท 71” ก็พร้อมสรรพไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ดังนี้ มีที่จอดรถ 50 % (รวมจอดรถซ้อนคัน) ล็อบบี้ ,สวนและพื้นที่นั่งเล่นภายนอกอาคาร, สระว่ายน้ำพร้อมด้วยสระเด็ก, ห้องออกกำลังกาย/ลานโยคะ, เลานจ์และห้องสมุด , พื้นที่ซักรีด, ระบบอินเตอร์เน็ตไร้สาย (WIFI) ในพื้นที่ส่วนกลาง รวมถึงมีบริการอื่นๆ อาทิ พนักงานรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. พร้อมระบบคีย์การ์ด ระบบโทรทัศน์วงจรปิด ( CCTV) และบริการรถรับส่ง เป็นต้น “ลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มนักลงทุนและผู้มีรายได้ในระดับกลางที่ทำงานในเมืองที่ต้องการซื้อเป็นบ้านหลังแรกหรืออาจจะมีบ้านอยู่แล้ว ต้องการคอนโดฯ เป็นบ้านหลังที่สองเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางหรือซื้อเพื่อการลงทุนไว้ปล่อยเช่า” นางสาวอุษณา กล่าว พร้อมกับย้ำว่าจากฐานข้อมูลกลุ่มลูกค้าที่ซื้อคอนโดฯแบรนด์ “เดอะเนสท์” จากสามโครงการที่ผ่านมาทั้งจากโครงการ The Nest เพลินจิต,โครงการ The Nest สุขุมวิท 22 และ โครงการ The Nest สุขุมวิท 64 ลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่กว่า.70.% เป็นลูกค้าที่ซื้ออยู่เอง และอีก 30 %เป็นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อการลงทุน โดยสัดส่วนระหว่างกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติ ตาม Demand ของสถานการณ์ทั้งนี้ลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อจะซื้อด้วยเงื่อนไขการเปรียบเทียบ “ราคา” กับ “คุณภาพ” และความ “สะดวก” ในการเดินทางที่อยู่แนวรถไฟฟ้าและใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ นอกจากความโดดเด่นในเรื่องการออกแบบดีไซน์ดั่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว “โครงการ The Nest สุขุมวิท 71”ยัง มีจุดเด่นด้าน “ทำเลที่ตั้ง”ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีพระโขนง ซึ่งเป็นทำเลทั้งชาวไทยและต่างชาติอาศัยอยู่จริง “การคมนาคมสะดวก” ทั้งการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าและรถยนต์ส่วนตัว เพราะถนนสุขุมวิท 71 เป็นถนนใหญ่ที่เชื่อมต่อไปยังรามคำแหง,พระราม 9 จะเข้าตัวเมืองย่านอโศกหรือสยามฯก็สามารถนั่งรถไฟฟ้าได้ภายในไม่กี่นาทีก็ถึงจุดหมายหรือหากขับรถส่วนตัววิ่งไปเส้นพระราม 4 ก็สามารถไปยังสีลมได้ด้วยเช่นกัน อีกทั้งที่ตั้ง “โครงการ The Nestสุขุมวิท 71” อยู่ฝั่งเลขคู่ซอยปรีดีฯ 2 ที่สามารถลัดไปขึ้นทางพิเศษฉลองรัช (รามอินทรา-อาจณรงค์)   ซึ่งก็สะดวกมากเช่นกันนอกจากนี้ “โครงการ The Nest สุขุมวิท 71” ยังอยู่ใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆรองรับชีวิตคนเมืองและชาวต่างชาติ สถานที่สำคัญใกล้เคียง W District ตั้งอยู่บริเวณปากซอย สุขุมวิท 71 / Summer Hill /Gateway Ekamai /รพ.สุขุมวิท / ม.กรุงเทพ กล้วยน้ำไท เป็นต้น กล่าวได้ว่า ทำเล “พระโขนง” หรือ “สุขุมวิท71” เป็นอีกทำเลตัวเลือกหนึ่งที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการซื้อ “เพื่ออยู่อาศัย” ตอบสนองไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในแบบ “คนสุขุมวิท”   สำหรับท่านที่สนใจสอบถามข้อมูลได้ที่ สำนักงานขายโครงการ The Nest สุขุมวิท 71 เบอร์โทร 089-999-5181 หรือ www.thenestproperty.co.th
โอกาสในตลาดที่พักอาศัยให้เช่าใจกลางกรุงเทพฯ

โอกาสในตลาดที่พักอาศัยให้เช่าใจกลางกรุงเทพฯ

ซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลกเผยตลาดที่พักอาศัยให้เช่าในย่านใจกลางกรุงเทพมหานครเป็นตลาดที่ขับเคลื่อนโดยผู้เช่าชาวต่างชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ซึ่งต้องการเช่าที่พักอาศัยในไม่กี่ทำเลเท่านั้น และมักจะเลือกเช่าอพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม หรือเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์เป็นหลักจำนวนชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทยนั้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างช้าๆ และงบประมาณโดยเฉลี่ยต่อเดือนที่ผู้เช่ายินดีที่จะจ่ายเพื่อเช่าที่พักอาศัยไม่ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นมาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว หากพิจารณาในด้านปริมาณที่พักอาศัยให้เช่านั้น แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี พบว่า อพาร์ตเมนต์ใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างมีจำนวนไม่มากนักต่างจากคอนโดมิเนียมใหม่ที่มีจำนวนมาก ที่พักอาศัยให้เช่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นมากแต่ความต้องการกลับเพิ่มขึ้นในปริมาณที่จำกัด ทำให้เกิดการแข่งขันในตลาด  ทว่ายังคงมีโอกาสสำหรับผู้พัฒนาโครงการอพาร์ตเมนต์และนักลงทุนที่ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่า  ปัจจัยสำคัญก็คือการเข้าใจในความต้องการของผู้เช่า เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการปล่อยเช่าและได้รับค่าเช่าในอัตราที่สูง การหมุนเวียนของผู้เช่าชาวต่างชาติเกิดขึ้นอยู่เสมอ เพราะระยะเวลาเฉลี่ยในการทำงานในไทยอยู่ที่ประมาณ 3 ปี ซึ่งหมายถึงว่าจะมีผู้เช่ารายใหม่ตัดสินเลือกว่าอยากจะพักอาศัยในทำเลใดอยู่เสมอ จากการสำรวจโดยแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี ณ ไตรมาส 2 ปี 2561 พบว่า มีอพาร์ตเมนต์ราว 10,000 ยูนิตในย่านที่เป็นที่นิยมสำหรับผู้เช่าต่างชาติอย่างสุขุมวิท ลุมพินี และสาทร  ขณะที่คอนโดมิเนียมมีอยู่ราว 76,000 ยูนิตในย่านเดียวกัน โดยแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี ประเมินว่าคอนโดมิเนียมราว 25,000 - 30,000 ยูนิตเป็นของนักลงทุนที่ซื้อไว้เพื่อปล่อยเช่า ผู้เช่าโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นนิยมพักอาศัยในอพาร์ตเมนต์ที่มีเจ้าของเพียงผู้เดียวมากกว่าเช่าคอนโดมิเนียม เพราะสามารถพูดคุยกับตัวแทนเจ้าของห้องได้ในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาต่างๆ ในขณะที่ถ้าเป็นคอนโดมิเนียม ผู้จัดการอาคารมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลรักษาเฉพาะพื้นที่ส่วนกลาง และเจ้าของห้องจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดูแลพื้นที่ภายในห้อง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ยากกว่าสำหรับผู้เช่าในการซ่อมแซมสิ่งต่างๆ ภายในห้องพักในกรุงเทพฯ มีเจ้าของคอนโดมิเนียมเพียงไม่กี่แห่งที่ว่าจ้างตัวแทนเพื่อดูแลห้อง รวมถึงการเจรจาในเรื่องต่างๆ กับผู้เช่า   โดยทั่วไปผู้เช่าคอนโดมิเนียมจะต้องติดต่อกับเจ้าของห้องโดยตรงในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับภายในห้องพัก และเจ้าของห้องก็มีความสามารถในการจัดการเรื่องการบำรุงรักษาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประสบการณ์แต่ละคน และจะเป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีกหากเจ้าของห้องไม่ได้อาศัยอยู่ในไทย  เฉพาะในกรณีที่คอนโดมิเนียมนั้นบริหารจัดการโดยเครือโรงแรมและมีส่วนงานบริการลูกค้าแยกออกมาโดยเฉพาะ ซึ่งเจ้าของห้องจะต้องจ่ายค่าบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลางสูงเป็นพิเศษ ฝ่ายบริหารอาคารก็จะดูแลในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาภายในห้องควบคู่ไปด้วยด้านเจ้าของอพาร์ตเมนต์ที่ตั้งอยู่ในย่านยอดนิยมของผู้เช่าชาวต่างชาติและมีความเข้าใจในความต้องการของผู้เช่าจะยังคงประสบความสำเร็จในการปล่อยเช่า มีอัตราการเข้าพักในระดับสูง และได้รับค่าเช่าในอัตราที่ดี นายธีราธร ประพันธ์พงศ์ หัวหน้าแผนกให้เช่าที่พักอาศัย ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ได้เป็นที่ปรึกษาให้แก่เจ้าของอพาร์ตเมนต์ใหม่ 2 แห่งในเรื่องการออกแบบและการเลือกใช้วัสดุในการพัฒนาโครงการ รวมทั้งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนแต่เพียงผู้เดียวในการปล่อยเช่า โครงการแรกคือ ปิยะ เรสซิเดนซ์ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 28 และ 30 สร้างแล้วเสร็จเมื่อไตรมาส 1 ปี 2561 เจ้าของโครงการได้ปรับผังห้องและขนาดห้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานและเพื่อให้ได้รับค่าเช่าต่อตารางเมตรสูงสุด โดยปัจจุบันสามารถปล่อยเช่าได้แล้วกว่า 60% อีกโครงการคือ ฌาณิ เรสซิเดนซ์  ในซอยทองหล่อ 13 สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2560 โครงการนี้ได้รับการออกแบบให้ตรงกับความต้องการของผู้เช่าชาวญี่ปุ่นและปัจจุบันสามารถปล่อยเช่าได้แล้วมากกว่า 70% ทั้งสองโครงการ ส่วนใหญ่เป็นยูนิตขนาด 2 และ 3 ห้องนอน ซึ่งเป็นขนาดห้องที่มีความต้องการอยู่มากในตลาด เพราะคอนโดมิเนียมใหม่ที่นำมาปล่อยเช่านั้นส่วนใหญ่มักเป็นขนาด 1 ห้องนอน   นอกจากนี้ นายธีราธรยังเป็นที่ปรึกษาให้แก่โครงการอพาร์ตเมนต์แห่งใหม่ล่าสุด จิติมนต์ เรสซิเด้นซ์ ในซอยทองหล่อ 16 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ในช่วงต้นปี 2562 อพาร์ตเมนต์ใหม่แห่งนี้สูง 8 ชั้นประกอบด้วยยูนิตขนาดตั้งแต่ 1 - 3 ห้องนอน และจุดเด่นที่สำคัญคือมีความหนาแน่นน้อย และมีสวนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แตกต่างจากโครงการอื่นๆ ในตลาดที่เจ้าของอพาร์ตเมนต์ส่วนใหญ่ต่างต้องการใช้พื้นที่ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดประการหนึ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการปล่อยเช่าอพาร์ตเมนต์ คือ การพัฒนาโครงการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าทั้งในเรื่องขนาดห้อง ผังห้อง วัสดุอุปกรณ์ ทำเลที่ตั้ง และสิ่งอำนวยความสะดวก   “การที่ซีบีอาร์อีสามารถให้คำแนะนำที่นำไปปรับใช้ได้จริงให้กับเจ้าของอพาร์ตเมนต์ได้นั้นมาจากฐานข้อมูลจริงที่บริษัทรวบรวมจากการปล่อยเช่าให้กับผู้เช่าชาวต่างชาติมากกว่า 1,000 คนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้รู้ว่าผู้เช่าต้องการอะไรจริงๆ และมีงบประมาณมากเพียงใด” นายธีราธรกล่าวเพิ่มเติม ตลาดที่พักอาศัยให้เช่าในย่านใจกลางกรุงเทพฯ จะยังคงมีการแข่งขันที่สูงอย่างต่อเนื่อง ทั้งเจ้าของอพาร์ตเมนต์และเจ้าของคอนโดมิเนียมให้เช่าจำเป็นต้องรักษาและปรับปรุงห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางให้ดีอยู่เสมอ เพื่อทำให้ห้องพักของตนนั้นมีความน่าสนใจและดึงดูดผู้เช่าได้
“CHEWA” รุกเปิดโครงการ “ชีวาทัย เรสซิเดนซ์ ทองหล่อ” โชว์คอนโด Low Rise 8 ชั้น 130 ยูนิต มูลค่ารวม 950 ล้านบาท

“CHEWA” รุกเปิดโครงการ “ชีวาทัย เรสซิเดนซ์ ทองหล่อ” โชว์คอนโด Low Rise 8 ชั้น 130 ยูนิต มูลค่ารวม 950 ล้านบาท

"CHEWA" รุกเปิดโครงการ “ชีวาทัย เรสซิเดนซ์ ทองหล่อ” โชว์คอนโด Low Rise 8 ชั้น 130 ยูนิต มูลค่ารวม 950 ล้านบาท “ชีวาทัย” เดินหน้าเปิดโครงการใจกลางทองหล่อ “ชีวาทัย เรสซิเดนซ์ ทองหล่อ” คอนโด Low Rise 8 ชั้น 130 ยูนิต มูลค่ารวม 950 ล้านบาท พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยว่า โครงการ ชีวาทัย เรสซิเดนซ์ ทองหล่อ ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 1-0-94 ไร่ เป็นโครงการ 8 ชั้น จำนวน 130 ยูนิต โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 950 ล้านบาท รวมถึงมีสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ สระว่ายระบบน้ำเกลือขนาดใหญ่ท่ามกลางธรรมชาติ และยังมี KID'S POOL ที่ออกแบบเพื่อให้เด็กเล่นได้อย่างสนุกสนานและปลอดภัยที่จะทำให้รู้สึกสดชื่นในทุกวัน ประกอบกับโครงการยังมีห้องฟิตเนส ห้องสตรีมชาย หญิง สวนลอยฟ้า และสวนเล่นระดับ พร้อมกรีนพัตต์กอล์ฟ สำหรับโครงการ ชีวาทัย เรสซิเดนซ์ ทองหล่อ แบ่งเป็น ชั้น B1-B2 จะเป็นพื้นที่จอดรถ ขณะที่ชั้น 1 จะเป็นห้องพักอาศัย , โถงล็อบบี้, ห้องนิติบุคคล, ห้องประชุม, สวน, สระว่ายน้ำ, สระว่ายน้ำเด็ก, ห้องออกกำลังกาย, ห้องสตีม ส่วนชั้น 2-8 จะเป็นห้องพักอาศัย และชั้น Rooftop จะเป็นสวน, กรีนพัตต์กอล์ฟ และลานกิจกรรม โดยมีแนวคิดโครงการคือ MAXIMIZE COMFORT IN URBAN LIVING “ความสุขสมบูรณ์พร้อมสุดของชีวิตเมือง” เพื่อพลังของชีวิตเมือง ผสานกับธรรมชาติสีเขียวและอากาศบริสุทธิ์ ที่แวดล้อมไว้ด้วยบรรยากาศที่รื่นรมย์ในความเป็นส่วนตัวที่สุด ใจกลางทองหล่อ พร้อมการออกแบบพื้นที่ใช้สอยอย่างชาญฉลาดใส่ใจในทุกรายละเอียดทั้งภายในและภายนอก ตัวอาคารสูง 8 ชั้น สีขาวสะดุดตา มีระเบียงรอบอาคารพร้อมต้นไม้เขียวชอุ่ม อีกทั้งยังเป็นการสร้างมุมมองพิเศษที่มีเอกลักษณ์ และบรรยากาศอันรื่นรมย์ พร้อมความสมดุลของชีวิต เติมเต็มความรู้สึกส่วนตัวด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ได้แก่ Co-Working Space สระว่ายน้ำ Salt Water Chlorinator Poll System , Fully Equipped Fitness, Vertical Garden Lobby และ Rooftop Garden & Sundeck พื้นที่สีเขียวที่ให้คุณใกล้ชิดธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ พร้อมกับ Concierge Service และระบบรักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชม. ที่ให้คุณอุ่นใจและใช้ชีวิตเมืองได้อย่างสมบูรณ์ “การพัฒนาคอนโดมิเนียมครั้งนี้จะเป็นการพัฒนาคอนโดแบบ Low Rise และมีสถานที่ใกล้เคียง เช่น ห้างสรรพสินค้าเมเจอร์เอกมัย, เกตเวย์ เอกมัย, เจ อเวนิว ทองหล่อ และ เค วิลเลจ รวมถึงยังใกล้กับโรงพยาบาลคามิลเลียนแค่ 500 เมตร และห่างจากโรงพยาบาลกรุงเทพเพียง 2 กิโลเมตร โครงการนี้คาดว่าจะสร้างเสร็จและรับรู้รายได้ภายในปี 2020” นายบุญ ชุน เกียรติ กล่าว   นอกจากนี้บริษัทยังคงมั่นใจเป้ารายได้ปี 2561 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 2,400 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 20% จากปี 2560 ที่มีรายได้อยู่ที่ 2,043.37 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีรายได้อยู่ที่ 1,456.38 ล้านบาท และบริษัทยังมียอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง
แอคคอร์โฮเทล เปิดคอนเซ็ปต์ 2 แบรนด์โรงแรม ในตึกเดียวกัน โนโวเทล และไอบิส สไตล์

แอคคอร์โฮเทล เปิดคอนเซ็ปต์ 2 แบรนด์โรงแรม ในตึกเดียวกัน โนโวเทล และไอบิส สไตล์

แอคคอร์ (AccorHotels) เปิดโรงแรมโนโวเทล และโรงแรมไอบิส สไตล์ คอนเซ็ปต์ 2 แบรนด์ ในตึกเดียวกันใจกลางเมือง ย่านสุขุมวิท เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคมศกนี้ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักเดินทางภาคธุรกิจและนักท่องเที่ยว อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส นานาและเพลินจิต เดินทางสะดวก และใกล้ทางด่วนที่สามารถเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองได้อย่างสะดวกอีกด้วย นายแพทริค บาสเซ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ แอคคอร์โฮเทล ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและมัลดีฟส์ กล่าวว่า "เป็นโรงแรมแบรนด์รวมแห่งที่สองในกรุงเทพฯ ที่เปิดตัวร่วมกับ ดิเอราวัณกรุ๊ป สำหรับคอนเซ็ปต์ 2 แห่งในตึกเดียว นำความโดดเด่นของสองแบรนด์มาไว้บนตึกเดียว เพื่อให้ผู้ใช้บริการมีทางเลือก ระหว่างโรงแรมโนโวเทล ดีไซน์อย่างทันสมัยในสไตล์ที่เรียบหรู และไอบิสสไตล์แบรนด์ โดดเด่นในความคิดสร้างสรรค์ ราคาประหยัด" ด้าน นายยูเซฟ เอลคอมริ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการโรงแรม บริษัท ดิเอราวัณกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เผยว่า "เป็นการเปิดตัวโรงแรมสองแบรนด์ในตึกเดียวกัน แห่งที่ 2 หลังจากที่เราได้ร่วมงานกับแอคคอร์ โฮเทล ในการเปิดคอนเซ็ปต์ 2 แบรนด์ในตึกเดียวกันมาแล้ว จึงพร้อมจะมอบประสบการณ์การบริการที่แตกต่าง และเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับการบริการของเรา โดยคาดหวังส่วนแบ่งการตลาดที่มากขึ้น ด้วยทีมงานที่แข็งแกร่งและช่วยเพิ่มประสบการณ์ทรงคุณค่าให้กับผู้ใช้บริการตลอดการเข้าพัก" โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สุขุมวิท 4 เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ประกอบด้วยห้องพัก 185 ห้อง ออกแบบในสไตล์ไทยสมัยใหม่ มีห้องพักที่เป็นเอกลักษณ์ คือ ห้อง N 'Room (เอ็นรูม) ห้องพักแนวคิดใหม่เรียบง่ายและใช้ประโยชน์ได้ดีจากแสงธรรมชาติ ตกแต่งศิลปะผนังห้องที่สะท้อนความเป็นตัวตน สมาร์ททีวี 49 นิ้วและแผงเชื่อมต่อพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นอกจากนี้ทุกห้องพักตกแต่งภายใต้ระบบ LIVE N DREAM เตียงนอนที่ออกแบบโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม พร้อมผ้าปูที่นอนคุณภาพสูงผลิตจากขวดรีไซเคิล 100% และฐานเตียงผลิตจากไม้ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยการออกแบบที่ทันสมัยเตียง LIVE N DREAM ช่วยให้หลับสบายตลอดคืน   โรงแรมไอบิสสไตล์ กรุงเทพ สุขุมวิท 4 มอบประสบการณ์การพักผ่อนอย่างคุ้มค่ากับโรงแรมระดับ 3 ดาว อย่างมีสีสัน ห้องพักและห้องสวีทมาตรฐาน 133 ห้อง ทีวี 42 นิ้ว ตู้เย็นขนาดย่อม ไวไฟ เครื่องชงชา-กาแฟ พร้อมอาหารเช้า นอกจากนี้ยังมีห้องอาหารให้ผู้ใช้บริการได้เลือกอิ่มอร่อย อิ่มตา อิ่มใจกับทัศนียภาพเมืองที่งดงามบนห้องอาหารเรดสแควร์รูฟท็อปบาร์ บนชั้นดาดฟ้า 25 ที่บริการอาหารรสเลิศพร้อมกับความบันเทิงและชมทัศนียภาพเมือง ที่งดงาม และสระว่ายน้ำแบบพาโนรามา หรือห้องอาหารนานาชาติ ฟู้ดเอ็กซ์เชนจ์ เปิดบริการตลอดวันบริเวณ ล็อบบี้โรงแรม โรงแรมโนโวเทลไอบิสสไตล์กรุงเทพสุขุมวิท 4 ตั้งอยู่ที่สุขุมวิทซอย 4 เดินเพียง 5 นาทีจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีนานาหรือเพลินจิตห่างจากสนามบินนานาชาติดอนเมืองประมาณ 24.6 กิโลเมตรและสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 29.2 กิโลเมตร   โปรโมชั่นพิเศษ! สำหรับสมาชิกเลอ คลับ แอคคอร์โฮเทล รับส่วนลดห้องพักเป็น 15% พร้อมออนท็อป 10% สำหรับแอคคอร์พลัส ข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองห้องพัก ที่ www.accorhotels.com, email: Novotel.Erawan@accor.com โทร 0-2659-2888