Tag : News

2376 ผลลัพธ์
“เรียลแอสเสทฯ” โชว์ห้องหรูดีไซน์โดดเด่น “ AESTIQ Thonglor” เผยผลตอบรับดีเกินคาดกวาดยอดขายแล้ว 50%

“เรียลแอสเสทฯ” โชว์ห้องหรูดีไซน์โดดเด่น “ AESTIQ Thonglor” เผยผลตอบรับดีเกินคาดกวาดยอดขายแล้ว 50%

เอสทีค ทองหล่อ (AESTIQ Thonglor) Ultimate Luxury คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุดของบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดตัวห้องตัวอย่างที่สำนักงานขายโครงการ ภายในซอยสุขุมวิท55 พร้อมเผยยอดพรีเซลล์ที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าตัวจริงกวาดยอดขายไปแล้วถึง 50% พร้อมแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้าง Iconic Landmark ใหม่บนทำเลทองหล่อ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “A Reflection of you” สุนทรียะที่สะท้อนความเป็นตัวคุณและเชื่อมั่นว่ารูปแบบโครงการที่กล้านำเสนอ Product ที่แตกต่าง รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่โครงการมอบให้ จะตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ ที่มองหาโครงการระดับ Ultimate Luxury ใจกลางทองหล่อได้เป็นอย่างดี นายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์ธุรกิจ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า โครงการ AESTIQ Thonglor พร้อมแล้วสำหรับการเปิดสำนักงานขายและห้องตัวอย่างให้ลูกค้าทั่วไปและผู้ที่สนใจโครงการเข้าชม ตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ที่ 15-16 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งโครงการได้จัดงานพรีเซลล์ขึ้น โดยบรรยากาศภายในงานมีลูกค้าเข้ามาชมสำนักงานขายและห้องตัวอย่างกันอย่างคึกคัก ซึ่งลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ ได้แสดงถึงความพอใจกับสิ่งที่โครงการนำเสนอ ทั้งในเรื่องของรูปแบบงานออกแบบสถาปัตยกรรมอาคารที่โดดเด่นจากผลงานการออกแบบของบริษัท สถาปนิก 49 และด้วยจำนวนยูนิตเพียง 203 ยูนิตพร้อมไพรเวท ลิฟท์ทุกห้อง ที่สุดของความเป็นส่วนตัว การมีที่จอดรถเกิน 100 % หรือประมาณ 220 คัน(รวมที่จอดรถซุปเปอร์คาร์ 3 คัน) ก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากในคอนโดมิเนียมใหม่ๆยุคปัจจุบันโดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในกลางเมืองแบบนี้ จึงทำให้ AESTIQ Thonglor ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ ที่ชื่นชอบ Lifestyle การใช้ชีวิตสนุกสนานในแบบคนทองหล่อ แต่ก็ยังคงต้องการความสะดวกสบายและเป็นส่วนตัวเมื่อเข้าสู่ที่พักอาศัยได้เป็นอย่างดี   โครงการ เอสทีค ทองหล่อ มีห้องให้เลือก 4 แบบคือ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 33-52 ตารางเมตร(ตร.ม.) แบบ 2 ห้องนอนพื้นที่ใช้สอย 76-119 ตร.ม. แบบ 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 131-158 ตร.ม.และแบบเพนท์เฮ้าส์ พื้นที่ใช้สอย 292-301 ตร.ม. พร้อมขายในรูปแบบ Fully Fitted ที่เลือกวัสดุชั้นดีมาเป็นองค์ประกอบภายในห้อง อาทิ พื้นไม้ Engineering Wood สีคลาสิคโอ็ค สำหรับห้องนั่งเล่นและห้องนอน , พื้นปูด้วยมาเบิ้ล พอชเลน สำหรับห้องครัว ห้องน้ำ พร้อมอุปกรณ์ครัวซีรี่ย์ใหม่จาก Gorenje ในแบบครบชุด   จุดเด่นของโครงการอยู่ที่การออกแบบเพื่อฉีกแนวการใช้ชีวิตแบบเดิมด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่ทันสมัย อาทิ ที่จอดรถ Super Car & Super Bike and Bicycle , Luxury Car Sharing Service , Shuttle Service , EV Charging Station , Golf &Bike Simulator , Private Theater , Private Onsen , Panoramic Gym , Sky Social Club , Reflection Pool , Aquatic Treadmill ฯลฯ รวมทั้งยังมีบริการเสริมอื่น ๆที่ดูแลโดย Concierge Service คอยให้บริการเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย และ floorplan เองได้ถูกออกแบบให้เป็น Cluster ซึ่งการออกแบบลักษณะนี้จะเกิดห้องมุมในสัดส่วนที่มากกว่าปกติ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ในเรื่องของมุมมองจากภายในห้องพักที่กว้างและเป็นการเปิดรับการระบายอากาศธรรมชาติให้การอยู่อาศัยนั้นมีความแตกต่างจากการพักอาศัยภายในคอนโดมิเนียมทั่วไป โดยออกแบบให้ฝ้าเพดานภายในสูงสุด 3 เมตร และเน้นพื้นที่กระจกบริเวณหน้ากว้างของห้องพัก ซึ่งบางยูนิตมีลักษณะเหมือนห้องที่ยื่นออกไปในอากาศ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถชื่นชมทัศนียภาพที่งดงามของทิวทัศน์เมืองได้เต็มที่ที่สุด   โครงการเปิดราคาขายเริ่มต้นที่ 269,000 บาทต่อตร.ม. หรือราคาเริ่มต้นที่ 8.99 ล้านบาทต่อยูนิต โดยคาดจะแล้วเสร็จไตรมาส 4 ปี 2564
ณุศาศิริ ส่งท้ายปี Bergh Apton สไตล์อังกฤษในทำเลทองเขาใหญ่ พร้อมโปรโมชั่นจัดเต็มที่

ณุศาศิริ ส่งท้ายปี Bergh Apton สไตล์อังกฤษในทำเลทองเขาใหญ่ พร้อมโปรโมชั่นจัดเต็มที่

ณุศา มายโอโซน เขาใหญ่ ดินแดนในฝันบนพื้นที่แหล่งโอโซนอันดับ 7 ของโลก ที่ได้ผลตอบรับจับจองกันมาอย่างล้นหลาม จัดโปรแรงส่งท้ายปีกับคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ Bergh Apton (เบิร์ช แอ็ฟตัน) ซึ่งณุศาศิริได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ในการรองรับความต้องการของทุกท่าน จึงได้มีการเปิดตัว Low Rise คอนโดมิเนียม 3 ชั้น จำกัดเพียง 86 ยูนิต บนพื้นที่ 1,300 ไร่ ใน ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท!!! ภายใต้แนวคิด English Modern Country ที่ให้กลิ่นอายความเป็นหมู่บ้านชนบทของอังกฤษ ผสมผสานกับความโมเดิร์นในสไตล์เรียบง่ายแบบมินิมอลที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายท่ามกลางวิวพาโนรามาของเขาใหญ่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตั้งแต่คลับเฮาส์ สนามกอล์ฟ 18 หลุม ศูนย์สุขภาพพานาซี สวนสัตว์ณุศาแอนนิมอลคลับ และสวนผักออแกนิกปลอดสารพิษ รวมถึงสนามบินเจทส่วนตัวที่เตรียมเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ Bergh Apton ยังเน้นเรื่องโครงการเพื่อการลงทุนที่มอบโปรโมชั่นสุดพิเศษที่เรียกได้ว่าคุ้มค่าต่อการลงทุนเพื่อประสบการณ์ชีวิตอันสมบูรณ์แบบในระยะยาวกันเลยทีเดียว     นอกจากจะได้เป็นเจ้าของที่พักสุดหรูในบรรยากาศชั้นเลิศแล้ว ยังได้รับ ผลตอบแทนสูงถึง 5% รับประกันนาน 6 ปี และมีบริการดูแลความเรียบร้อยของห้องให้อย่างสม่ำเสมอที่คุณสามารถมาเข้าพักได้อย่างสะดวกสบายได้ทุกเมื่อ พร้อมทั้งสิทธิพิเศษอีกมากมาย อาทิ   · ผลตอบแทน 36% พร้อมวันที่เข้าพักฟรีที่ My Ozone 90 วัน พิเศษเฉพาะในงาน รับส่วนลดเพิ่ม 5% เมื่อซื้อ My Ozone Building C · ผลตอบแทน 30% พร้อมวันเข้าพักฟรี 15 วัน เมื่อซื้อ Bergh Apton · พิเศษ ฉลองเปิดโครงการ Bergh Apton รับฟรี Samsung Galaxy Note 9 128GB ทุกยูนิต เมื่อจองและทำสัญญาภายในงาน พบกับโปรแรงส่งท้ายปีกับโครงการ Bergh Apton ที่พร้อมมอบประสบการณ์อันเหนือระดับ บนทำเลมหัศจรรย์ที่สุดในเขาใหญ่จากณุศาศิริ ตั้งแต่วันที่ 3-7 ตุลาคม 2561 ที่ศูนย์การค้า The Emporium ชั้น M Emporium Gallery     พิเศษ! ลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลดถึง 20,000 บาทได้ที่ http://www.nusasiri.com/wealthdestination/
“เฮเฟเล่” บุกตลาดครึ่งปีหลัง ทุ่มงบกว่า 10 ล้าน ดึง “คิมเบอร์ลี่” เป็นแบรดน์แอมฯ ชูจุดเด่น “เฮเฟเล่ ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น”

“เฮเฟเล่” บุกตลาดครึ่งปีหลัง ทุ่มงบกว่า 10 ล้าน ดึง “คิมเบอร์ลี่” เป็นแบรดน์แอมฯ ชูจุดเด่น “เฮเฟเล่ ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น”

“เฮเฟเล่” โหมตลาดครึ่งปีหลัง ทุ่ม 10 ล้าน บุกตลาดออนไลน์ภายใต้ แคมเปญ “Idea For Living by Häfele” เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำตลาดด้านอุปกรณ์ครบจบทุกเรื่องงานอาคาร หรือ Complete Building Solutions และสินค้าคุณภาพ เทคโนโลยีเยอรมนี ที่ทำให้ชีวิตทุกคนง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และมีความปลอดภัยสูงสุด ผ่านการสื่อสารผ่านไลฟ์สไตล์ของ “คิมเบอร์ลี่” ที่เป็นหนึ่งในลูกค้าของ “เฮเฟเล่” ที่ใช้ผลิตภัณฑ์จริง ภายใต้สโลแกน “เฮเฟเล่ ทำให้ชีวิตคิมง่ายขึ้น” ด้วย Key message ที่ง่ายในการสื่อสารให้ตรงประเด็น ประกอบกับสื่อสนับสนุนต่างๆ ภายใต้แนวคิดเดียวกัน พร้อมเตรียมทุ่มงบกว่า 400 ล้านบาท ลงทุนขยายแวร์เฮ้าส์ บนพื้นที่กว่า 32 ไร่ ตั้งเป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง   นายโฟลเคอร์ เฮลสเติร์น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ อุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและครัวเรือน พร้อมทั้งสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ในห้องน้ำ คุณภาพมาตรฐานเยอรมนี เปิดเผยว่า เนื่องในปีหน้าเฮเฟเล่จะครบรอบ 25 ปี ตั้งแต่เฮเฟเล่ก่อตั้งขึ้นที่ประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 เรายึดถือคุณภาพ การบริการที่ดีและราคายุติธรรม นอกจากนี้เรายังตระหนักถึงการพัฒนาการบริการที่ดีต่อลูกค้าอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ด้านผู้นำตลาดด้านอุปกรณ์ครบจบทุกเรื่องงานอาคาร ในกลุ่มอุปกรณ์ ทั้ง4 กลุ่ม ซึ่งเฮเฟเล่ได้ผลิตวีดีโอโฆษณาชุด Idea For Living by Häfele ที่มีเรื่องราวการใช้ชีวิตของแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ที่มีชื่อเสียง คุณคิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส ซุปเปอร์สตาร์ชาวไทย เชื้อสายเยอรมนีจากคุณพ่อของเธอ ที่ทางทีมงานจะใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้เฮเฟเล่ สินค้าคุณภาพ เทคโนโลยีเยอรมนี ให้เป็นที่รู้จักกับกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ซึ่งจะเริ่มออนแอร์ในไตรมาสที่ 3 นี้ การโฆษณาแคมเปญนี้จะใช้เครื่องมือของการทำการตลาดออนไลน์ เช่น Facebook, Line official, YouTube เว็บไซต์เฮเฟเล่ (hafelethailand)และสื่อออนไลน์ต่างๆ รวมทั้งสื่อ ณ จุดขาย (Point of purchase) เช่น แผ่นพับ, โปสเตอร์ และแบนเนอร์สำหรับติดหน้าร้าน เป็นการเชื่อมต่อไปถึงวีดีโอโฆษณาและแบรนด์เฮเฟเล่     จากการเลือกสื่อเหล่านี้เพื่อให้ตอบรับจากการทำแคมเปญโฆษณา เฮเฟเล่ จึงได้มีการเพิ่มศูนย์ Customer Service และ Line@ เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการติดต่อสื่อสารระหว่างลูกค้า และเฮเฟเล่ เพื่อเป็นช่องทางสำหรับการให้ข้อมูล การติดตามผลและให้ตอบคำถามสำหรับข้อสงสัยเกี่ยวกับสินค้าและบริการ นอกจากนี้ Customer Service สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ของลูกค้าในเขตนั้นๆ ทั่วประเทศไทย อีกทั้งร้านค้าตัวแทนจำหน่ายและผู้ใช้บริการสามารถติดต่อสอบถามเกี่ยวกับคำสั่งซื้อสินค้าและการให้บริการของบริษัทอย่างครบวงจรในจุดเดียว (One Stop Service Centre)     ยิ่งไปกว่านั้น เฮเฟเล่ ยังให้ความสำคัญกับคู่ค้าและตัวแทนจำหน่ายจากการใช้สื่อต่างๆ ในแคมเปญโฆษณาและ Customer Service ในการระบุถึงตัวแทนจำหน่ายที่มีสัญลักษณ์ของเฮเฟเล่ทั่วประเทศ และยังพร้อมที่จะพัฒนาในความร่วมมือให้มากยิ่งขึ้น เช่น การพัฒนาและปรับปรุงหน้าร้าน จุดขาย การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับตัวแทนจำหน่าย เช่น กิจกรรม Häfele Day, Häfele Big Thanks การทำ In-store Promotion ตลอดจนการฝึกอบรมสินค้าและบริการให้กับพนักงานของคู่ค้าและตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้ร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายมั่นใจในผลิตภัณฑ์และศักยภาพของเฮเฟเล่ ในการพัฒนาและร่วมมือซึ่งเปรียบเสมือนหุ้นส่วนการทำกิจการที่พร้อมจะเติบโตไปพร้อมๆ กันอย่างยั่งยืน     นายโฟลเคอร์ กล่าวต่อไปว่า ความเป็นมาของแคมเปญนี้เกิดขึ้นจากการสำรวจและการทำวิจัยทางการตลาด ซึ่งผลสำรวจออกมาว่า ผู้บริโภค อาทิเช่น เจ้าของบ้าน เจ้าของคอนโดหรือผู้ที่กำลังจะสร้างบ้านใหม่ ยังไม่รู้จักว่าแบรนด์เฮเฟเล่ คืออะไร? ขายอะไร? หรือมีสินค้าอะไรบ้าง? จากผลสำรวจนี้เฮเฟเล่จึงเห็นโอกาสทางการตลาดกับกลุ่ม End-consumer ในการเพิ่มยอดขายและเพื่อจะสร้างความคุ้นเคยให้กับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมายที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงและขยายไปสู่กลุ่มสินค้าอื่นๆ อาทิเช่น อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและครัวเรือน อุปกรณ์สุขภัณฑ์ ฯลฯ เฮเฟเล่จึงพัฒนาและปรับปรุงเพื่อให้เกิดการรับรู้และจดจำแบรนด์ โดยผ่านเครื่องมือต่างๆ ของการตลาด จึงเกิดแคมเปญ Idea For Living by Häfele เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำการตลาดด้านอุปกรณ์ครบจบทุกเรื่องงานอาคาร หรือ Complete Building Solutions และ สินค้าคุณภาพ เทคโนโลยีเยอรมนี ที่ทำให้ชีวิตทุกคนง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และมีความปลอดภัยสูงสุด ผ่านการสื่อสารผ่านไลฟ์สไตล์ของ “คิมเบอร์ลี่” ที่เป็นหนึ่งในลูกค้าของเฮเฟเล่ ที่ใช้สินค้าเฮเฟเล่จริง ภายใต้สโลแกน “เฮเฟเล่ ทำให้ชีวิตคิมง่ายขึ้น” ด้วย Key message ที่ง่ายในการสื่อสารให้ตรงประเด็น ประกอบกับสื่อสนับสนุนต่างๆ ภายใต้แนวคิดเดียวกัน     โดยเลือกกลุ่มสินค้าที่มีจำหน่ายทั้ง 4 กลุ่ม คือกลุ่มสินค้าอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ อุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ในห้องน้ำ และเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว โดยมุ่งสื่อสารไปยังลูกค้าและร้านค้าตัวแทนจำหน่ายของเฮเฟเล่ โดยใช้คิมเบอร์ลี่ในการเล่าเรื่อง     นายโฟลเคอร์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีแนวโน้มเชิงบวก โดยเฉพาะอสังหาฯประเภทสำนักงาน ศูนย์การค้า และโรงแรม เนื่องจากยังมีดีมานด์เติบโตต่อเนื่องส่งผลให้แนวโน้มค่าเช่ายังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอยู่ อย่างไรก็ดี พบว่ากลุ่มคอนโดฯจะค่อนข้างแตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ เพราะยังมีซัพพลายมากกว่าดีมานด์และยังต้องใช้ระยะเวลาการขายในตลาดสักระยะหนึ่ง กลุ่มสินค้าของเฮเฟเล่ส่วนใหญ่ตอบสนองการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน โดยเฮเฟเล่มุ่งเน้นการนำเสนอไอเดียในการเพิ่มพื้นที่ในทุกตารางเมตรให้กับผู้ประกอบการ รวมถึงผู้บริโภค ในการใช้อุปกรณ์ต่างๆของเฮเฟเล่ จากผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำ ในสไตล์ที่ลูกค้าต้องการ ในทุกกลุ่มสินค้าดังวิสัยทัศน์ที่ว่า เฮเฟเล่ อุปกรณ์ครบ จบทุกเรื่องงานอาคาร และในปีนี้ เฮเฟเล่มุ่งเน้นสินค้าที่ครบทุกกลุ่มสินค้าสำหรับโรงแรม และระบบสำหรับการช่วยจัดการภายในโรงแรม เช่น ระบบควบคุมการเข้าออกด้วยระบบไดอะล็อค โดยควบคุมได้ทั้งอาคาร ระบุผู้ใช้งาน เช่นผู้เข้าพัก เจ้าหน้าที่ รวมถึงการออกเอกสารทางการเงิน เชื่อมต่อด้วยระบบ HMS (การเข้าถึงระบบการบริหาร) แสดงสถานะของทุกห้องพักตลอดเวลา รวมถึงการควบคุมแสงสว่างภายในห้อง การเปิดปิดเปลือกอาคารหรือ Façade ที่ทันสมัยและสวยงาม การบริหารจัดการน้ำภายในห้องพักที่ช่วยประหยัดน้ำ ปรับอุณหภูมิ และประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้ท่อสมาร์ไปป์ ดัดโค้งงอได้ มีความทนทานใช้งานได้กว่า 50 ปี ซึ่งผลิตภัณฑ์เฮเฟเล่ พร้อมที่จะเติมเต็มทุกความต้องการ เพื่อสร้างประสบการณ์สุดว้าวให้กับคู่ค้าและลูกค้าของเรา     ส่วนในเรื่องของตลาดปี 2561 น่าจะดีขึ้น จากข่าวการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น สร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนต่างชาติ สำหรับเฮเฟเล่ตั้งเป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง โดย เฮเฟเล่ ประเทศไทย เติบโต มียอดขายเป็นอันดับที่สามของโลก เมื่อเทียบกับเฮเฟเล่ประเทศอื่นๆ และเป็นอันดับที่ 1 ของเอเชีย รองลงมาคือเฮเฟเล่ อินเดีย และเฮเฟเล่ เวียดนาม และนอกจากนี้ เฮเฟเล่ ประเทศไทย ได้ขยายโชว์รูม ออกไปถึง 6 แห่ง ทุกแห่งพร้อมให้บริการด้วยคุณภาพที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ ทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษา กับลูกค้าและคู่ค้า ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมสินค้ามากมายในบรรยากาศ ที่ตกแต่งเสมือนจริง และบริการครบวงจรที่พร้อมตอบโจทย์ ความต้องการของลูกค้า ได้อย่างสมบูรณ์แบบพร้อมระบบโลจิสติกส์ที่รวดเร็วและทันสมัย สั่งสินค้าภายในวัน (ไม่เกิน 16.00 น.) รอรับสินค้าวันรุ่งขึ้นได้เลยทันที นี่คือเป้าหมายของเฮเฟเล่   ตลอดระยะเวลา 24 ปี ที่เฮเฟเล่ ประเทศไทย เติบโตอย่างแข็งแรงและรวดเร็ว มีผลประกอบการที่ดีเยี่ยมเป็นหลักประกัน โดยมียอดขายที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 3,450 ล้านบาท มีพนักงานเพิ่มขึ้นถึง 1,500 คน รวมมูลค่าสินค้าคงคลังสูงถึง 1,250 ล้านบาท และมีสต็อคสินค้ามากกว่า 25,000 รายการ และมีสินค้ามากกว่า 45,000 รายการ พร้อมส่งจากสำนักงานใหญ่ที่เยอรมนี ด้วยแนวคิด Thinking Ahead หรือ “ก้าวล้ำนำสมัย” เฮเฟเล่ ประเทศไทย จะมุ่งมั่นพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งตามสโลแกนของเราที่ว่า “อุปกรณ์ครบ จบทุกเรื่องงานอาคาร” ตอบสนองโลกแห่งการก่อสร้างและการอยู่อาศัยให้สมบูรณ์แบบยิ่งๆขึ้น ด้วย สินค้าคุณภาพ เทคโนโลยีเยอรมนี และบริการที่เหนือชั้น พร้อมสานสัมพันธ์อย่างยั่งยืนกับ ลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน พันธมิตรทางธุรกิจ และตลอดจนสังคมไทยตลอดไป   “เฮเฟเล่ได้พัฒนาสร้างสรรค์อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์สำหรับติดตั้งและระบบควบคุมการเข้าออกประตูแบบอิเล็กทรอนิกส์โดยมีโรงงานซึ่งเป็นฐานการผลิตจำนวน 5 แห่ง ทั้งในประเทศเยอรมนีและฮังการี ในปีงบประมาณ 2017 กลุ่มบริษัทเฮเฟเล่มีสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 80% มีพนักงานปฏิบัติงานอยู่ทั่วโลกกว่า 7,600 คน จากกลุ่มบริษัทในเครือ 37 แห่ง มีตัวแทนมากมายทั่วโลก และมีรายได้ 1.38 พันล้านยูโร” นายโฟลเคอร์ กล่าวสรุปในตอนท้าย
“ออริจิ้น” ผนึก โนมูระ ปั้นคอนโดลักชัวรี่ “พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ”  ชูความเป็นที่สุดด้วย 60 สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการระดับโรงแรม

“ออริจิ้น” ผนึก โนมูระ ปั้นคอนโดลักชัวรี่ “พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ” ชูความเป็นที่สุดด้วย 60 สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการระดับโรงแรม

“ออริจิ้น” จับมือโนมูระ เปิดตัวคอนโดระดับลักชัวรี่ “พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ” มูลค่าโครงการกว่า 12,000 ล้านบาท ใจกลางย่านไลฟ์สไตล์ชั้นนำ หวังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทั้งชาวไทยและนักลงทุนจากต่างชาติ ชูความเป็นที่สุดด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเกือบ 60 รายการ และการบริการระดับโรงแรมในที่อยู่อาศัย พร้อมเปิดพรีเซลพฤศจิกายนนี้   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมแบรนด์พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่เป็นที่สุด บริเวณใจกลางย่านไลฟ์สไตล์ชั้นนำบนพื้นที่ “ทองหล่อ” โดยร่วมทุน (JOINT VENTURE) กับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากญี่ปุ่น อีก 1 โครงการ ภายใต้ชื่อ “พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ” (PARK ORIGIN THONGLOR) ซึ่งเป็นโครงการระดับลักชัวรี่ 3 อาคาร 1,182 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 12,000 ล้านบาท     “แม้ปัจจุบันจะมีซัพพลายใหม่ในย่านทองหล่อออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยศักยภาพของทองหล่อที่ขึ้นชื่อว่าเป็นย่านไลฟ์สไตล์ชั้นนำ ที่เป็นศูนย์รวมของการใช้ชีวิตภายในเมือง ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ศูนย์การค้า รวมถึงระบบการขนส่งที่สามารถเชื่อมต่อไปได้ทุกที่ จึงทำให้ทองหล่อเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงสำหรับการอยู่อาศัย และการลงทุนในอนาคต จนเป็นที่ต้องการของทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ จะรองรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยด้วยการสร้างความแตกต่างในการใช้ชีวิตสุดพิเศษ ไม่เหมือนใคร และยังส่งมอบความเป็นที่สุดในรูปแบบการใช้ชีวิตด้านต่างๆ ที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างลงตัว”   นอกจากนี้ ด้วยราคาที่ดินย่านทองหล่อที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับซัพพลายที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการเหลือน้อยลง ยิ่งทำให้ทองหล่อถูกจับตามองจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่มองเห็นถึงโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าในอนาคต จึงทำให้ยิ่งมั่นใจว่าโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทย และนักลงทุนต่างชาติ     นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า หนึ่งในไฮไลต์ของโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ คือการนำบริการระดับโรงแรมเข้ามาให้บริการภายในโครงการคอนโดมิเนียม แบบ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วันของสัปดาห์ ผ่านการฝึกอบรมและความร่วมมือจากเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล ทางเครือจะช่วยฝึกอบรมทักษะด้านบริการให้กับพนักงานของบริษัท วัน พญาไท จำกัด ในเครือ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่ประจำอยู่ ณ Hotel Indigo พญาไท ซึ่งบริหารจัดการโดยเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล จากนั้นพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมแล้วกลุ่มนั้น จะมาเป็นผู้สอนให้แก่พนักงานบริการ 4 กลุ่มที่โครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ ได้แก่ 1.พนักงานลูกค้าสัมพันธ์ (Guest relations) 2.พนักงานอำนวยความสะดวก (Concierge) 3.พนักงานทำความสะอาด (HOUSEKEEPING) และ 4.ช่างประจำโครงการ (ENGINEERING) ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความสะดวกสบายเหนือระดับ เสมือนกำลังพักผ่อนอยู่ในโรงแรมระดับ 5 ดาว     “นอกจากบริการระดับโรงแรมแล้ว ตัวโครงการยังมอบสิทธิพิเศษให้แก่ผู้พักอาศัย ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางรวมเกือบ 60 รายการ โดยอาคารทั้ง 3 อาคาร ยังถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกัน และไล่ระดับความสูง ซึ่งตัวอาคารที่สูงที่สุด สูงถึง 59 ชั้น ทำให้โครงการดูโดดเด่น เป็นอีกหนึ่งแฟล็กชิพและแลนด์มาร์คของย่านทองหล่อ” นายพีระพงศ์ กล่าว     ด้านนายมาซาโอมิ คาตายามะ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตัดสินใจร่วมลงทุนพัฒนาโครงการใหม่กับออริจิ้นในครั้งนี้ เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสและศักยภาพของทำเลทองหล่อร่วมกัน โดยทองหล่อถือเป็นทำเลที่มีประวัติศาสตร์และเป็น Japanese Town ของไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในไทยก็ยังคงต้องการมีที่อยู่อาศัยในย่านนี้ ทั้งนี้ บริษัทจะร่วมมือกับออริจิ้นทั้งในด้านเงินทุน องค์ความรู้ เพื่อการพัฒนาโครงการให้รองรับกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด   “จากการพัฒนาโครงการร่วมทุนกับออริจิ้นในปี 2560 จำนวน 3 โครงการ เราได้รับผลตอบรับที่ดี มียอดขายเฉลี่ยแล้วมากกว่า 90% เราจึงยิ่งมีความมั่นใจทั้งในศักยภาพทำเลและศักยภาพของพันธมิตรอย่างออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” นายมาซาโอมิ กล่าว     ด้าน น.ส.วาสนา เลิศพงศ์โสภณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การคำนึงถึงความสงบในพื้นที่ส่วนตัว และสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางที่จะตอบสนองความต้องการในการพักผ่อน คือ สิ่งที่โครงการมอบให้แก่ผู้อาศัย เช่น พื้นที่กิจกรรมที่สร้างความผ่อนคลายผ่านสายน้ำอย่าง Aqua Lounge แห่งแรกของทองหล่อ และการเชื่อมโยงพื้นที่ส่วนกลางจาก 3 ตึก ด้วยการออกแบบที่ผสานกันได้อย่างลงตัว ภายใต้พื้นที่ส่วนกลางที่สร้างประสบการณ์ในการใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์ได้ทั้งวัน เช่น Crystal Box, Pool Bar, Outdoor Onsen และ Ice Room เป็นต้น     สำหรับโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ มูลค่าโครงการกว่า 12,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดประมาณ 5 ไร่ 3 งานใจกลางซอยทองหล่อ 10 (ที่ดินโครงการ Arena 10 เดิม) ประกอบด้วยอาคารสูง 39 ชั้น 1 อาคาร 53 ชั้น 1 อาคาร และ 59 ชั้น 1 อาคาร รวม 1,182 ยูนิต ตัวห้องมีแบบ 1-3 ห้องนอน (เพนท์เฮาส์) ขนาดตั้งแต่ 30-97 ตร.ม. จะเปิดพรีเซลใน พ.ย นี้ เริ่มก่อสร้างช่วงไตรมาส 2/2562 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 4/2564 ผู้สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.parkorigin.co.th หรือโทร 020 300 000
อนันดาฯ นำเทคโนโลยีทันสมัย “ระบบจอดรถอัตโนมัติ” ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมือง

อนันดาฯ นำเทคโนโลยีทันสมัย “ระบบจอดรถอัตโนมัติ” ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมือง

คุณสุเมธ รัตนศรีกูล (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการธุรกิจคอนโดมิเนียม แอชตัน / ไอดีโอ คิว และ เอลลิโอ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาคอนโดมิเนียมในทำเลที่มีศักยภาพสูงติดรถไฟฟ้า จับมือพันธมิตรทางธุรกิจ นายวรเทพ ศิริรัตนอัสดร (ขวา) กรรมการบริหาร บริษัท ทีเอชเอส พาร์คกิ้ง โซลูชั่นส์ จำกัด ผู้นำระบบจอดรถอัตโนมัติในประเทศไทย ติดตั้งระบบจอดรถอัตโนมัติ Automatic Parking System จำนวนที่จอด 108 คัน โดยได้มีการติดตั้งพร้อมให้บริการแล้วกับโครงการ แอชตัน เรสซิเดนซ์ 41 คอนโดมิเนียมหรูบนถนนสุขุมวิท โดยระบบจอดรถอัตโนมัติ ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรม ความทันสมัยที่ อนันดาฯ เลือกใช้ในโครงการเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ ความสะดวกสบาย ความปลอดภัยในการนำรถเข้าจอด และนำรถออกให้กับผู้อยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโครงการของอนันดาฯ ที่เลือกใช้ระบบจอดรถอัตโนมัติ โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างออกแบบ และพัฒนาร่วมกัน
มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 เปิดฉาก  ระดมผู้ประกอบการปั้นยอดขาย บูมตลาดช่วงปลายปี

มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 เปิดฉาก ระดมผู้ประกอบการปั้นยอดขาย บูมตลาดช่วงปลายปี

สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ผนึกกำลังจัด งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 รุกตลาดอสังหาฯ ช่วงปลายปี ระดมผู้ประกอบการเปิดโครงการใหม่ พร้อมเคลียร์สต็อกรับไตรมาสสุดท้าย   นายปิติพัฒน์ ปรีดานนท์ ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 เปิดเผยว่า “ภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ในครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน เห็นได้จากการที่ผู้ประกอบการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมองว่าเป็นการขานรับตัวเลขจีดีพีทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น และการเดินหน้าของรัฐบาลในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสายสีเขียวเข้ม ส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต สีเขียวอ่อน ช่วงส่วนต่อขยายจากสถานีบางหว้า ไปถึง ตลิ่งชัน สายสีน้ำเงินที่กำลังก่อสร้างส่วนต่อขยายทั้งเส้นทางใต้ดินและยกระดับทั้งจากฝั่งสถานีเตาปูน และจากสถานีหัวลำโพง สายสีชมพู เส้นศูนย์ราชการนนทบุรี-มีนบุรี สายสีแดงเข้ม บางซื่อ-รังสิต สายสีแดงอ่อน ตลิ่งชัน-บางซื่อ สายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง สายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรม-สุวินทวงศ์ ทั้งยังมีโครงการอื่นๆ ได้แก่  รถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ โครงการ Action plan และ EEC โครงการเหล่านี้จะช่วยเปิดหน้าดิน สร้างทำเลที่อยู่อาศัยกว้างออกไป” ปัจจัยอื่นๆ ที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของตลาดอสังหาฯ ในปีนี้ ยังประกอบด้วยภาคการท่องเที่ยว การส่งออก และการลงทุนของภาคเอกชนที่มีการเติบโต ที่สำคัญอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นในปีนี้ และ ท่าทีของธนาคารที่ผ่อนปรนมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อลง จึงเพิ่มโอกาสให้กับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อบ้านมากขึ้น ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันก็ยังอยู่ในระดับต่ำ จึงมีส่วนช่วยในเรื่องของต้นทุนในการก่อสร้าง ค่าเช่า และค่าขนส่งวัสดุ     นายปิติพัฒน์ กล่าวต่อว่า “งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 จะมีทั้งโครงการใหม่และสินค้าในสต็อกเดิม โดยแบ่งสินค้าที่มาร่วมแสดงตามประเภทโครงการ เป็นคอนโดมิเนียมราว 35%บ้านเดี่ยว 20% ทาวน์เฮ้าส์ 15% และอื่นๆ เช่น บ้านแฝด บ้านมือสอง ที่ดินเปล่า คิดเป็น 30% ซึ่งคาดว่าสินค้าที่จะได้รับความ นิยมจองซื้อมากที่สุดจะเป็นบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม ทาวเฮ้าส์ ตามมาด้วยบ้านแฝด และอื่นๆ ที่อยู่ในช่วงราคา ต่ำกว่า 2 ล้านบาท ตามด้วยระดับ 2-3 ล้านบาท สอดคล้องกับกลุ่มอายุของคนที่เดินงาน ที่ส่วนใหญ่จะเป็น First Jobber หรือผู้ที่กำลังเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง ในช่วงอายุ 21-30 ปี คิดเป็น 35% ตามมาด้วยกลุ่มครอบครัวใหม่ ในช่วงอายุ 31-40 ปี ที่ 30% และช่วงอายุ 41-50 ปี ประมาณ 15% นอกจากนี้ โครงการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพ-ปริมณฑลจะได้รับความสนใจมากกว่าโครงการในต่างจังหวัดอยู่ที่สัดส่วน 70:30 คณะกรรมการจัดงานยัง คาดการณ์อีกว่าจะมีผู้มาเดินงานตลอด 4 วันทะลุ 1 แสนคน มียอดจองและขายในงานกว่า 4 พันล้านบาท และยอดขายต่อเนื่องหลังงานอีกกว่า 8 พันล้านบาท รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท” นายปิติพัฒน์ กล่าวต่อ   สำหรับงานมหกรรมและคอนโด ครั้งที่ 39 จัดขึ้นโดยสมาคมอาคารชุดไทย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “SMART คิด HOUSE CONDO SOLUTIONS ให้เรื่องเป็นอยู่ เป็นเรื่องง่าย” โดยมีแนวคิดในการเลือกทำเลที่อยู่อาศัยอย่างชาญฉลาด นายปิติพัฒน์ กล่าวว่า “คณะกรรมการจัดงานพยายามสร้างไฮไลท์ในงานแต่ละครั้ง เพื่อสร้างความสดใหม่ และกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภค สำหรับงานครั้งที่ 39 นี้ คณะกรรมการจัดงานได้จัดโซน HC SOLUTIONS ขึ้น ให้สอดรับกับคอนเซ็ปต์การจัดงานครั้งนี้ โดยมี HC INFORMATION ระบบที่รวบรวมข้อมูลทุกโครงการจากผู้ประกอการกว่า 200 ราย ที่เข้าร่วมจัดแสดงสินค้า เพื่อประมวลผลในทุกเรื่องที่ผู้บริโภคต้องการทราบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทำเล ราคา และโปรโมชั่นต่างๆ ทั้งยังช่วยคำนวณความสามารถในการขอสินเชื่อ และมีบริการให้คำปรึกษาแนะนำเรื่องการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินชั้นนำที่มาร่วมเปิดบูธ นอกจากนี้ ยังช่วยค้นหาตำแหน่งบูธของโครงการต่างๆ ในงาน ทำให้ผู้มางานสามารถเข้าถึงโครงการต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ได้รับประสบการณ์ ที่ดีและประทับใจในการมางานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 อีกทั้งยังรู้สึกว่าเรื่องเป็นอยู่เป็นเรื่องง่ายอีกด้วย และที่สำคัญ ยังช่วยให้ตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น เพราะผู้บริโภคได้รับข้อมูลสินค้าที่ตรงกับความต้องการ”   “ทางสามสมาคมและสมาชิกผู้ประกอบการพยายามที่จะรักษามาตรฐานการจัดงาน เพื่อให้งานมหกรรมบ้านและคอนโดยังคงเป็นงานแสดงสินค้าที่อยู่อาศัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย รวบรวมสินค้าบริการ และโปรโมชั่น ด้านอสังหาฯ ไว้มากที่สุด สมกับสโลแกนที่ว่า ‘ครบที่สุด ทุกที่ ทุกทำเล ทุกราคา หาได้ที่นี่’ ในทุกครั้ง บนพื้นที่จัด แสดงสินค้ากว่า 1 หมื่นตารางเมตร จะมีบูธผู้ประกอบการกว่า 500 บูธ นำสินค้าอสังหาฯ กว่า 1,000 โครงการ รวมถึงสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงนำบริการสินเชื่อมาเสนอแก่ผู้บริโภค งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 นี้ ก็เช่นกัน ยังคงได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าร่วม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับวงการ อสังหาฯ และผู้บริโภค ทำให้ยอดจองพื้นที่โซนซี ชั้น 1-2 และโซนเอแทรียม เต็ม 100% ไม่ว่าจะเป็นบมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท, บมจ.เจ้าพระยามหานคร, บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์, บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์, บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้, บมจ.ศุภาลัย, บจก.  แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์, บจก.แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท, บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ เป็นต้น”   สำหรับโปรโมชั่นภายในงานครั้งนี้ นายปิติพัฒน์ กล่าวว่า “ทางคณะกรรมการจัดงานได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษ ไว้ให้กับลูกค้าที่ชำระเงินจองซื้อโครงการที่อยู่อาศัย ทุก 5 แสนบาท จะได้รับคูปองสำหรับจับฉลากรางวัล 1 ใบ เพื่อลุ้น ชิงบัตรกำนัลส่วนลดเงินสดมูลค่า 1 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล ทั้งยังได้ลุ้นรับโทรทัศน์แอลอีดี ขนาด 43 นิ้ว รุ่น TV-43FX500  จากพานาโซนิค รางวัลละ19,490 บาท จำนวน 15 รางวัล อีกทั้งยังมีโปรโมชั่นพิเศษมากมายจาก ผู้ประกอบการ อาทิ พฤกษา เรียลเอสเตท มอบส่วนลดสูงสุด 5 แสนบาท และลุ้นรับ Samsung Galaxy Note 9 พร้อมรางวัลอื่นๆ ปรีดา เรียลเอสเตท  จัดแคมเปญ Big Sale Big Surprise จองห้องในราคาเริ่มต้นเพียง 1.39 ล้านบาท รับส่วนลดสูงสุด 2 แสนบาท และลุ้นจับฉลากรับ ส่วนลดสูงสุดเพิ่ม 1 ล้านบาท ซีเอ็มซี กรุ๊ป ฉลองครบ รอบ 24 ปี เปิดจองโครงการใหม่แบบเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมรวมกว่า 20 โครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ติดแนวรถ ไฟฟ้ามาให้เลือกช็อปในราคาพิเศษ” “นอกจากนี้ กานดา พร็อพเพอร์ตี้ ยังจัด Hot Deal 60 แปลงพิเศษ รับส่วนลดและโปรโมชั่นสูงสุด 1 ล้าน บาท ทั้งยังให้ส่วนลดเงินทำสัญญาเพิ่ม สูงสุดอีก 1 แสนบาท ธนาพัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จัด BEST OFFER ซื้อบ้านรับโปรโมชั่นทันทีสองต่อ เริ่ม 3.69 ล้านบาท ไพโรจน์กิจจา นำโครงการ เรสทาวน์ มาจัด โปรโมชั่นฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน พร้อมส่วนลด 3 แสนบาทซาแลน ดิเวลลอปเมนต์ จัดโปรโมชั่นกับโครงการ The Saint Residences อยู่ฟรี 2 ปี จำนวน 5 ยูนิตเท่านั้น และ รามคำแหง พร็อพเพอร์ตี้ จัดโปรโมชั่นกับโครงการ ดิ อิเธอโน่ ทั้ง 3ทำเลทอง รามคำแหง 174, ร่มเกล้า 64 และ หทัยราษฎร์ มอบฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลัง” งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 4 - 7 ตุลาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บริเวณโซนซี ชั้น 1 ชั้น 2 และโซนเอเทรียม ผู้สนใจเข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียนออนไลน์ล่วงหน้าได้ทาง www.housecondoshow.com หรือติดตามรายละเอียดข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ทางเฟสบุ๊ค housecondoshow- งานมหกรรมบ้านและคอนโด อินสตาแกรม housecondoshow  และไลน์ @housecondoexpo ทั้งยังสามารถดาวน์โหลดโมบายแอพพลิเคชั่น HouseCondoShow เพื่อค้นหาข้อมูลโครงการและโปรโมชั่นจากผู้ประกอบการได้อย่างง่ายดายและสะดวกรวดเร็ว
Enrich กับความสำเร็จที่เกิดจากความเข้าใจการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง คว้ารางวัล Special Recognition for Design & Construction จากงาน Thailand Property Award 2018

Enrich กับความสำเร็จที่เกิดจากความเข้าใจการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง คว้ารางวัล Special Recognition for Design & Construction จากงาน Thailand Property Award 2018

บทพิสูจน์ของการพัฒนาธุรกิจจากความเข้าใจการใช้ชีวิตของผู้บริโภคอย่างแท้จริงได้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อกลุ่มบริษัท เอ็นริช ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวใหม่ ที่ดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิด ‘Guiding You to Practical Living’ หรือการเป็นคู่คิดของชีวิตอยู่อาศัยจริง จนได้รับรางวัล Winner ด้าน Special Recognition for Design & Construction จากงาน Thailand Property Award 2018 ซึ่งนับเป็นผลลัพธ์จากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการและการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยในปัจจุบันอย่างแท้จริง จนทำให้ Enrich ได้รับรางวัลระดับประเทศนี้อย่างเต็มภาคภูมิ   คุณสุพิชา พงศ์ศีลธน ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธุรกิจ กลุ่มบริษัท เอ็นริช กล่าวว่า ‘‘ทาง Enrich รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ และเชื่อว่าการที่Enrich ประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับจากเวทีระดับประเทศอย่าง Thailand Property Award 2018  กับ รางวัล Winner ด้าน Special Recognition for Design & Construction เกิดจากความตั้งใจและมุ่งมั่นของ Enrich ที่ได้ให้ความสำคัญกับการออกแบบและพัฒนาที่อยู่อาศัย ด้วยการนำเทคโนโลยีที่มีมาตรฐานระดับสากลเข้ามาใช้ เพื่อยกระดับการออกแบบและการก่อสร้างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึงการจัดฝึกอบรมพนักงานทุกฝ่าย ให้มีความรู้และความชำนาญในสายงานอย่างแท้จริง ซึ่งทำให้โครงการของ Enrich ไม่เพียงแต่สามารถใช้งานได้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริงเท่านั้น แต่ยังมีดีไซน์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เข้ากับเทรนด์ในปัจจุบันและเหมาะสมกับการอยู่อาศัยของคนทุกวัย สอดคล้องกับแนวคิด ‘Guiding You to Practical Living’ ที่เรายึดมั่นมาโดยตลอดซึ่งจริงๆแล้ว แนวคิดนี้ก็ส่งผลให้เราได้รับ  2 รางวัลกับโครงการ THE MARQ ปิ่นเกล้า ได้แก่ รางวัล Winner ด้าน Best Housing Development(Bangkok) และรางวัล Highly Recommended ด้านBest Housing Landscape Architectural Design จากเวทีเดียวกันนี้ในปีที่แล้ว’’     สำหรับในปี 2018 นี้ นอกจากรางวัล Winner ด้าน Special Recognition for Design & Construction ที่สร้างความภาคภูมิใจแล้วนั้น โครงการที่ Enrich ได้ร่วมพัฒนากับพันธมิตรอย่าง ACE Estate ในโครงการ KUUN ราชพฤกษ์ ก็ยังสามารถคว้าอีก  5 รางวัลจากเวทีเดียวกันนี้ได้แก่รางวัล Winner ด้าน Special Recognition for Smart Home Development จากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบเข้ามาเพื่อสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยเหนือระดับ ตั้งแต่ระบบความปลอดภัยที่มีมากถึง 6 ระดับ จนถึงการใช้ชีวิตจริงภายในบ้าน กับ Voice Control System ระบบควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ภายในบ้านผ่านคำสั่งเสียง, การติดตั้ง Passenger Lift ในตัวบ้าน เพิ่มความสะดวกสบาย, รางวัล Winner ด้าน Best Housing Architectural Design จากการออกแบบด้านสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นแต่เรียบง่าย พร้อมการจัดวางพื้นที่สีเขียวที่กลมกลืนกันเข้าถึงธรรมชาติ, รางวัล Winner ด้าน Best Housing Landscape & Architectural Design จากการวางแผนโครงสร้าง และการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางเพื่อตอบโจทย์ของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ของ Co-Working Space, Fitness, Swimming Pool, Sauna Room และพื้นที่รองรับกิจกรรมพิเศษอย่าง Common Room,  รางวัล Highly Recommended ด้าน Best Housing Interior Design จากการตกแต่งภายในที่มีเอกลักษณ์ และรางวัล Highly Recommended ด้าน Best Housing Development (BKK) จากการพัฒนาโครงการ KUUN ราชพฤกษ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในปัจจุบันอย่างลงตัว และที่สำคัญ โครงการ KUUN ราชพฤกษ์ ยังได้เข้าชิงชนะเลิศ 2 รางวัลในเวทีระดับสากลอย่าง Asia Property Awards ครั้งที่ 8 ที่จะมีการประกาศผลรางวัลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าอีกด้วย   ตลอดเวลากว่า 10 ปีในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Enrich ได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยด้วยความใส่ใจในการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยทุกรายละเอียดภายใต้แนวคิดเรื่อง ‘Guiding You to Practical Living’ หรือการเป็นคู่คิดสำหรับชีวิตอยู่อาศัยจริง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อาศัยได้อย่างตรงใจ และสร้างสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน ด้วยการรับฟังและใส่ใจความต้องการที่แท้จริง จึงทำให้โครงการที่พัฒนาโดย Enrich นั้นมีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกทั้งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าและผู้อยู่อาศัยจริงซึ่งไม่ใช่เฉพาะโครงการในจังหวัดกรุงเทพฯเท่านั้น แต่รวมถึงโครงการในเมืองท่องเที่ยวหัวหินอย่าง คอนโดมิเนียม D2 Residences Hua Hin และ โรงแรม dusitD2 Hua Hin ที่ ENRICH ได้ร่วมกับพันธมิตรชั้นนำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่าง Dusit internationalและ Plus Property เพื่อร่วมกันพัฒนาและบริหารโครงการ ส่วนในด้านของสถาปัตยกรรมนั้น ถูกถ่ายทอดโดยผู้ออกแบบชั้นนำระดับประเทศอย่าง Jun Sekino, Trop Landscape และIdin Architec เพื่อสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ของการพักผ่อนและการอยู่อาศัย   การได้รับรางวัลในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จและการยืนยันถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจของ Enrich ที่ได้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยโดยยึดเอาการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก ซึ่งเป็นแนวคิดที่แตกต่างจากกรอบแนวคิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบเดิม ทั้งนี้ Enrich ยังดำเนินการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยเพิ่มในปีนี้ โดยยังคงยึดเอาแนวคิด ‘Guiding You to Practical Living’ มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้โครงการของ Enrichสร้างความพึงพอใจและตอบรับกับความต้องการของผู้พักอาศัยได้มากที่สุดต่อไป
เพซ ประกาศใช้นวัตกรรมใหม่ล่าสุดในโครงการ นิมิต หลังสวน มั่นใจลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีสุดเพื่อการพักอาศัยระดับไฮเอนด์อย่างแท้จริง

เพซ ประกาศใช้นวัตกรรมใหม่ล่าสุดในโครงการ นิมิต หลังสวน มั่นใจลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีสุดเพื่อการพักอาศัยระดับไฮเอนด์อย่างแท้จริง

บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE บริษัทผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ของไทย แถลงว่า บริษัทฯได้ลงทุนใช้นวัตกรรมท่อน้ำทิ้งเปี่ยมประสิทธิภาพล่าสุด คือ Geberit Sovent ในการก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับเวิลด์คลาส นิมิต หลังสวน โดยนวัตกรรมสุดยอดนี้ได้รับเลือกใช้ในโครงการที่พักอาศัยและโรงแรมระดับห้าดาวในยุโรปและอเมริกา และนิมิต หลังสวน นับได้ว่าเป็นโครงการที่พักอาศัยแรกและโครงการเดียวในประเทศไทยที่เลือกใช้ระบบจัดการน้ำจดสิทธิบัตรนี้   นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เพซมุ่งมั่นนำเสนอที่พักอาศัยเปี่ยมคุณภาพและตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่าในการลงทุนระยะยาวให้แก่ลูกค้า โดยเราสรรหานวัตกรรมทรงประสิทธิภาพและแนวคิดใหม่ๆจากทั่วโลกที่มอบความสวยงามและมีความง่ายต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น เดียวกับการลงทุนเลือกระบบน้ำทิ้ง Geberit Sovent เพราะเป็นระบบที่สนองตอบความตั้งมั่นและวิสัยทัศน์ของเราในการมอบบ้านที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าคนสำคัญของเพซ”   ระบบ Sovent ของเกเบอริท  เป็นระบบน้ำทิ้งสำหรับอาคารสูงที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม ช่วยให้การออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยสามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุด  อีกทั้งยังเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของเกเบอริท  ปัจจุบันได้มีการใช้ระบบนี้ในส่วนคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์  และโรงแรมห้าดาวทั้งในยุโรปและอเมริกาเหนือ อาทิเช่นโรงแรมฮิลตัน, Maastoren Rotterdam เนเธอร์แลนด์, The Bosco Verticale อิตาลี และ Bella Sky เดนมาร์ค เป็นต้น   ระบบ Sovent ของเกเบอริทในโครงการ นิมิต หลังสวน  ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอย ลดเสียงรบกวนเมื่อเทียบระบบน้ำทิ้งแบบเดิมที่เชื่อมกับของเพื่อนบ้านทั้งด้านบนล่างและห้องที่ติดกัน  ช่วยลดพื้นที่ในช่องเซอร์วิสและช่วยขจัดปัญหาน้ำรั่วลงไปห้องด้านล่าง ทำให้การบริหารจัดการและการซ่อมแซมทำได้ภายในยูนิตหรือเรียกว่า Self-Contained  และเป็นทางเลือกที่ไม่เพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับเจ้าของบ้าน อีกทั้งมีการติดตั้งที่เรียบร้อย  ทำให้ระบบ Sovent  สามารถเพิ่มคุณค่าให้กับการลงทุนในระยะยาว  ทำให้ที่อยู่สวยงามดูแลง่ายตอบโจทย์ความเป็นที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์อย่างแท้จริง   “เกเบอริทมีความภูมิใจที่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในระบบสำคัญเพื่อเติมเต็มและตอบโจทย์ปรัชญาในการรังสรรค์และนำเสนอมาตรฐานในการอยู่อาศัยที่ยอดเยี่ยมที่สุดแก่ลูกค้าของเพซ“  กนกศรี ปคุณวรกิจ  ผู้จัดการส่วนงานประเทศไทย บริษัทเกเบอริท กล่าว “ด้วยความร่วมมือโดยการใช้ระบบน้ำทิ้ง Sovent ที่ โด่งดังไปทั่วโลกของเรา จะทำให้โครงการ นิมิต หลังสวน จัดได้ว่าเป็นโครงการที่พักอาศัยทรงคุณค่าระดับแนวหน้าของประเทศไทย คุ้มค่าในการลงทุนและอยู่อาศัย”   โดยฟีเจอร์อื่นๆของโครงการที่จะเพิ่มมูลค่าในระยะยาวของโครงการ นิมิต หลังสวน ประกอบด้วย กระจกอินซูเลท หรือ Insulated Glass Unit ซึ่งเป็นกระจกที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถกันแสงอาทิตย์กันความร้อนและเสียง ทำให้ผู้พักอาศัยประหยัดค่าไฟ นอกจากนั้นแล้ว นิมิต หลังสวนยังใช้แอร์ระบบ VRV Water Cooled Package หรือระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์ ซึ่งสามารถวางคอนเดนซอร์ไว้ในตัวอาคาร มอบความยืดหยุ่นในการออกแบบห้อง และเป็นระบบที่เหมาะกับพื้นผิวอาคารที่มีความครีเอทีฟ และทำให้ลูกบ้านสามารถใช้ระเบียงได้อย่างเต็มที่     นิมิต หลังสวน เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่กรรมสิทธ์ฟรีโฮลด์ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบนทำเลถนนหลังสวน พร้อมขนาดพื้นที่โครงการรวมกว่า 2 ไร่ ติดสวนลุมพินีและมีมูลค่าโครงการประมาณ 8 พันล้านบาท ประกอบด้วยเรสซิเดนซ์ทั้งหมด 178 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 78 - 640 ตารางเมตร ปัจจุบัน โครงการ นิมิตหลังสวน มียอดขายแล้วกว่าร้อยละ 90 ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 6.914 พันล้านบาท โดยขณะนี้โครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะสามารถสร้างถึงชั้น 50 ภายในปลายปีนี้   โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เพซก่อสร้างสำเร็จและปิดการขายเรียบร้อยแล้วประกอบด้วย โครงการไฟคัส เลน ศาลาแดง เรสซิเดนเซส และ โครงการแลนด์มาร์คมหานคร ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 3 โครงการโดยมีมูลค่ารวมกันทั้งหมดกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท   โดยโครงการที่มีการทยอยโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้ ได้แก่ 1) เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก มียอดแบ็คล็อค 2.062 พันล้านบาท และมียูนิตรอขายอีก 301 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถโอนห้องที่เหลือทั้งหมดได้ภายในไตรมาส 4 ปี 2018 2) โครงการมหาสมุทร วิลล่า มียอดแบ็คล็อค 649 ล้านบาท และมีวิลล่ารอขายมูลค่าประมาณ 3.095 พันล้านบาท และ 3) โครงการนิมิต หลังสวน มียอดขายแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นยอดแบ็คล็อคคิดเป็นมูลค่า 6.914 พันล้านบาท และห้องชุดรอขายมูลค่าประมาณ 1.086 พันล้านบาท และ 4) โครงการ วินด์เชลล์ นราธิวาส  มียอดแบ็คล็อค 792 ล้านบาท และมีห้องชุดรอขายอีกมูลค่าประมาณ 2.208 พันล้านบาท โดยทั้งโครงการนิมิต หลังสวน และ โครงการวินด์เชลล์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถโอนและรับรู้รายได้ภายในปี 2562
รอยัล ครีค กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท เปิดตัว Mixed-Use Project  พร้อมผลักดันให้จ.อุดรธานีขึ้นแท่นเป็นสปอร์ตซิตี้แห่งแรกของภาคอีสาน

รอยัล ครีค กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท เปิดตัว Mixed-Use Project พร้อมผลักดันให้จ.อุดรธานีขึ้นแท่นเป็นสปอร์ตซิตี้แห่งแรกของภาคอีสาน

นายธีระ เธียรวาริช ประธานกรรมการ บริษัท รอยัล ครีค กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท จำกัด กล่าวว่า “บริษัทฯเป็นผู้บริหารและพัฒนาโครงการ รอยัล ครีค กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท ซึ่งเป็นโครงการในรูปแบบ Mixed-Use ที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสานตอนบน ประกอบด้วย 5 โครงการหลักคือ สนามกอล์ฟขนาดมาตรฐานระดับ 5 ดาว 18 หลุม 72 พาร์, โครงการหมู่บ้านหรูในสนามกอล์ฟ, คลับเฮ้าส์ และรีสอร์ทห้าดาว บนพื้นที่ 500 ไร่ ด้วยงบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท โดยโครงการฯตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเพียง 17 กิโลเมตร เดินทางจากสนามบินนานาชาติอุดรธานีเพียง 30 นาที เรียกได้ว่ามีความสะดวกสบายและครบครัน   สำหรับโครงการ รอยัล ครีค กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงระหว่างดำเนินการก่อสร้าง โดยคาดว่าในเฟสแรก สนามกอล์ฟ 9 หลุมจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2561 และเปิดให้บริการ 18 หลุมภายในเดือนเมษายน 2562 ส่วนในเฟสอื่นๆ คาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จจนครบภายในเดือนพฤษภาคมปี 62 ซึ่งเรามองว่าจังหวัดอุดรธานี เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของภาคอีสาน และยังเป็นเมืองกีฬา หรือ Sport City ซึ่งเราเล็งเห็นศักยภาพและกลุ่มตลาดท่องเที่ยวในเชิงกีฬาของจ.อุดรธานีมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากการก่อสร้างสนามกีฬาขนาดใหญ่หลายแห่งภายในจังหวัด เพื่อมุ่งรองรับการจัดการแข่งขันกีฬารายการใหญ่ๆทั้งในระดับประเทศ และระดับโลกในอนาคต ซึ่งสอดรับกับนโยบายของจังหวัดที่ต้องการผลักดันให้อุดรธานีขึ้นแท่นเป็นสปอร์ตซิตี้แห่งแรกของภาคอีสานอีกด้วย       รอยัล ครีค กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท พร้อมเปิดโชว์รูม เตรียมพรีเซลล์โครงการบ้านจัดสรรสุดหรูภายในสนามกอล์ฟ จำนวน 100 ยูนิต ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 7-13 ล้านบาท บนพื้นที่เริ่มต้นที่ 180 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยกว่า 350 ตารางเมตร มีบ้านให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Modern Creek Style, Royal Creek Style และ Grand Royal Creek Style โดยมุ่งจับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการมีบ้านพักตากอากาศหลังที่ 2 กลุ่มคนที่ต้องการความหรูหราในราคาจับต้องได้ ตลอดจนนักธุรกิจทั้งไทยและต่างชาติ รวมถึงนักกอล์ฟทั่วโลก โดยตั้งเป้ายอดจองให้ได้ภายใน 6 เดือน   สำหรับด้านการบริหารและการก่อสร้างสนามกอล์ฟ เราได้นายทันสวัสดิ์ กาปัญญา ในฐานะที่ปรึกษาด้านการออกแบบและก่อสร้างสนามกอล์ฟ ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการก่อสร้างและบริหารงานโครงการสนามกอล์ฟมาตรฐานและมีชื่อเสียงในระดับประเทศหลายแห่งมานานกว่า 20 ปี อาทิ สนามกอล์ฟปัญญารามอินทรา, สนามกอล์ฟอัลไพน์ & สปอร์ตคลับ, กรีนวัลเลย์กอล์ฟ คันทรี่คลับ เชียงใหม่ เป็นต้น มาเป็นที่ปรึกษาดูแลในทุกระบบ รวมถึงการปรับปรุงภูมิทัศน์ในสนามกอล์ฟ พร้อมทีมงานมืออาชีพและมีประสบการณ์โดยเฉพาะ     ทางด้านนายเสกสรร โหนทองหลาง ในฐานะสถาปนิกและที่ปรึกษาด้านการออกแบบโครงการกล่าวเพิ่มเติมว่า “สนามกอล์ฟ รอยัล ครีค เป็นโครงการสนามกอล์ฟขนาดใหญ่ การออกแบบดีไซน์จะเน้นการจัด landscape และเรื่องการวางพื้นที่ที่มีอยู่อย่างเหมาะสมและได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเรื่องเนิน ต้นไม้ น้ำ เพื่อเป็นองค์ประกอบในการเล่นกอล์ฟ ชึ่งจะมีผลต่อความยากง่ายในแต่ละหลุม รวมถึง Green Area ร้อยละ 80 ของพื้นที่ ซึ่งเน้นการสร้างบรรยากาศแวดล้อมให้คงความเป็นธรรมชาติ เพื่อการพักผ่อนและรีแลกซ์ให้กับนักกอล์ฟอย่างร่มรื่นลงตัว ด้วย Sky View อันสวยงามทั้งโครงการ อีกทั้งยังเลือกใช้หญ้าพันธุ์เบอร์มิวด้าแชมเปี้ยน ซึ่งมีคุณสมบัติข้อปล้องสั้น สามารถทนน้ำ ทนแดด และการเหยียบย่ำได้ดีกว่า ซึ่งได้รับการพัฒนาสายพันธุ์มาให้แข็งแรงและเหมาะสมกับสนามกอล์ฟทั่วโลก รวมถึงสีของหญ้าจะเขียวขจี สวยงาม สำหรับหลุม Signature หรือไฮไลท์ของสนามกอล์ฟ รอยัล ครีค คือหลุมที่ 2 ถือเป็น Six Nager Hole Par 3 ระยะ 180 หลา เป็นกรีนที่มีเกาะกลางน้ำ นักกอล์ฟต้องใช้ความแม่นยำเป็นพิเศษในการตีผ่านอุปสรรคน้ำ ถือเป็นความท้าทายสำหรับนักกอล์ฟที่มาเยือนสนาม นอกจากนี้ เรายังได้สร้างสนามไดร์ฟวิ่งเลน เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ ประกอบด้วยช่องฝึก 30 เลน บริการโปรกอล์ฟแนะนำวงสวิงให้ฟรีอีกด้วย”       นอกจากนี้ แนวคิดของการออกแบบสนามกอล์ฟ รวมถึงคลับเฮ้าส์ โครงการหมู่บ้านหรูในสนามกอล์ฟ และรีสอร์ท จะเน้นคอนเซ็ปต์การออกแบบสะท้อนความเป็นโมเดิร์น และตอบโจทย์ฟั่งชั่นและพื้นที่ใช้สอยสำหรับทุกคนในครอบครัว       เตรียมพบกับที่สุดของโครงการ Mixed-Use ที่ใหญ่ และโดดเด่นที่สุดแห่งปีในภาคอีสานตอนบน ที่พร้อมเปิดให้เป็นเจ้าของแล้ววันนี้ พร้อมพบข้อเสนอสุดพิเศษในช่วงพรีเซลล์ กับแคมเปญยิ่งใหญ่ เพื่อกระตุ้นความสนใจและยอดขายมากมายอาทิ เพียงทำสัญญาจองภายในช่วงพรีเซลล์นี้ รับส่วนลดทันที มูลค่าเริ่มต้นที 1-2 ล้านบาท พร้อมรับสิทธิ์เป็นสมาชิก Founder Member Golf VIP ตลอดชีพ มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังรับสิทธิประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย พร้อมลุ้นรับทองคำมูลค่า 5 บาทเมื่อจองและทำสัญญาภายในเดือนกันยายนนี้อีกด้วย สำหรับ ผู้ที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร.042-932949 หรือ Facebook:/Royalcreekgolfclub  
โกลด์เด้น กรุ๊ป ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ภาคตะวันออก เดินหน้าพัฒนาโครงการ ‘คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา’ เจาะตลาดชาวญี่ปุ่น พร้อมตั้งเป้าขึ้นเบอร์ 1 ตลาดอสังหาฯ ศรีราชา ด้วยกลยุทธ์มาตรฐานคุณภาพระดับสากล

โกลด์เด้น กรุ๊ป ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ภาคตะวันออก เดินหน้าพัฒนาโครงการ ‘คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา’ เจาะตลาดชาวญี่ปุ่น พร้อมตั้งเป้าขึ้นเบอร์ 1 ตลาดอสังหาฯ ศรีราชา ด้วยกลยุทธ์มาตรฐานคุณภาพระดับสากล

นางสุนทะรา คำภูสิริ ผู้ก่อตั้ง โกลด์เด้น กรุ๊ป ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่แห่งภาคตะวันออกของไทย เปิดเผยว่า โกลด์เด้น กรุ๊ป มีมูลค่าทุนจดทะเบียนบริษัทในเครือกว่า 1,300 ล้านบาท และก้าวเข้าสู่การเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในภาคตะวันออกของไทย ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการคุณภาพหลากประเภทกว่า 34 โครงการ อาทิ บ้านเดี่ยว ทาวเฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม รวมมูลค่าโครงการกว่า 11,122 ล้านบาท โดยเฉพาะทำเลศรีราชา ตลอดจนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น อาทิ ศูนย์การค้า และตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์อุตสาหกรรมก่อสร้างชั้นนำ เป็นต้น โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ ‘คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา : KEEN Centre Sriracha’ ด้วยแนวคิดการออกแบบในสไตล์ญี่ปุ่น มูลค่าโครงการ 2,716 ล้านบาท ซึ่งเริ่มดำเนินการก่อสร้างไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายกว่า 65% โดยโครงการนี้ถือเป็นโครงการเรือธง เนื่องจากตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ พร้อมวิวทะเลใจกลางเมืองศรีราชา ริมถนนสุขุมวิท ตรงข้ามโรบินสัน ติดกับอิออนมอลล์ และใกล้เคียงกับสถานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลพญาไท, โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา และสวนสุรศักดิ์มนตรี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อลงทุนและอยู่อาศัยเอง ในราคาเริ่มต้น 3.1 ล้านบาท หรือประมาณ 86,000 บาทต่อตร.ม. ที่มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสุดหรู อาทิ ห้องออนเซ็นขนาดใหญ่, ห้องชงชา,  สวนสไตล์เซน, สระว่ายน้ำพร้อมระบบควบคุมอุณหภูมิ, ห้องเด็กเล่น และสวนชั้นดาดฟ้าวิว 360 องศา นอกจากนี้ ยังมีบริการทำความสะอาดห้องพักระดับมาตรฐานโรงแรมฟรี สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ตลาดอสังหาฯ ในศรีราชาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะศรีราชาภายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยพบว่าที่ดินที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูง มีราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 50% โดยเฉพาะราคาที่ดินใกล้ชายหาดปรับขึ้นสูงมากจาก 5 ปีก่อนราคาหลักหมื่นต่อตารางวา ซึ่งปัจจุบันขยับไปที่ 2-3 แสนบาท ต่อตารางวา และมูลค่าตลาดเป็นอันดับ 2 รองจากรุงเทพฯ ตามการขยายตัวของการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม โดยมีชาวต่างชาติเข้ามาอาศัยเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนแรงงานชาวญี่ปุ่นที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทย พื้นที่ศรีราชาอยู่ที่ราว 8,000 คน หากรวมจำนวนสมาชิกในครอบครัวที่ย้ายมาอยู่ด้วย จะอยู่ที่ราว 10,000 – 15,000 คน “ศรีราชาเป็น 1 ใน 7 ของสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งใช้ระยะเวลาเดินทางจากสุวรรณภูมิเพียง 30 นาที เชื่อมต่อการเดินทางที่สะดวกมากยิ่งขึ้นส่งผลบวกต่อผู้ที่อยู่อาศัยและกลุ่มนักลงทุน รวมถึงยังสอดคล้องกับแผนพัฒนาโครงการของบริษัท โกลด์เด้น กรุ๊ป จำกัด ที่เล็งเห็นศักยภาพของพื้นที่บริเวณศรีราชาและเตรียมพร้อมก้าวเข้าสู่การเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในภาคตะวันออกของไทย ซึ่งทำให้มั่นใจว่าคีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา จะสามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าด้วยความโดดเด่นในแต่ละด้านของโครงการคุ้มค่าในการลงทุนเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้รับ” นางสุนทะรา คำภูสิริ กล่าว   นอกจากนี้ การเดินหน้าประกาศโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้นนั้น จะเป็นส่วนสำคัญในกระตุ้นเศรษฐกิจศรีราชาให้มีการเติบโต ตลอดจนการขยายตัวของที่อยู่อาศัยจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นเช่นกัน พร้อมกับขยายกลุ่มนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในศรีราชามากขึ้นไป โกลเด้น กรุ๊ป ทางเรามีแผนจะขยายพัฒนาโครงการไปยังจังหวัดอื่นๆ ภายในภาคตะวันออกของประเทศไทย จากเดิมที่ส่วนใหญ่เน้นพัฒนาโครงการในชลบุรีเป็นหลัก ซึ่งบริษัทยังมีแผนในอนาคตจะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส คาดว่าจะดำเนินการในปี 2562 และบริษัทยังมองหาที่ดินแปลงอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต และตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุน ส่งเสริมการดำเนินนโยบายของภาครัฐ  นอกจากนี้ภายในปี 2561 โกลเด้น กรุ๊ปมีแผนที่จะพัฒนาโครงการ ราว 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม  3,237 ล้านบาท ในทำเลศรีราชา 2 โครงการ บางละมุง 2 โครงการ และหนองมน 1 โครงการรวม 1,576 ยูนิต   “ทิศทางการลงทุนในอนาคต ปี 2562 - 2563 โกลเด้น กรุ๊ป มีแผนที่จะขยายโครงการไปยังจังหวัดอื่นๆ ภายในภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดระยองเป็นหนึ่งในโครงการที่มีที่ดินรอการพัฒนา ซึ่งจะถูกนำมาพัฒนาเป็นรีสอร์ตและบ้านพักริมหาดให้บริการกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ พร้อมบนขนาดที่ดินกว่า 252 ไร่ รวมถึงการพัฒนาในประเภทอื่นๆ ทั้งรูปแบบแนวราบ แนวสูง หรือแม้กระทั่งโครงการมิกซ์ยูส และโกลเด้น กรุ๊ป ยังมีโครงการรอพัฒนาอีกจำนวน 5 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 4 โครงการ และรีสอร์ต 1 โครงการ จากนโยบายการเป็นบริษัทรายเล็กที่พัฒนาโครงการได้อย่างมืออาชีพ ที่มาพร้อมกับมาตรฐานโครงการที่มีคุณภาพและความคุ้มค่าตอบแทนแก่ลูกค้า” นางสุนทะรา คำภูสิริ กล่าวสรุป  
อิเกียส่งคอลเล็คชั่น GRATULERA รวมสุดยอดเฟอร์นิเจอร์ระดับตำนาน ฉลองครบรอบ 75 ปี

อิเกียส่งคอลเล็คชั่น GRATULERA รวมสุดยอดเฟอร์นิเจอร์ระดับตำนาน ฉลองครบรอบ 75 ปี

อิเกียจัดเซอร์ไพรส์สุดพิเศษแทนคำขอบคุณลูกค้าในโอกาสครบรอบ 75 ปี คัดสรรเฟอร์นิเจอร์ยอดนิยมแห่งยุค 50-60s, 70-80s และ 90s กลับมาวางจำหน่ายให้แฟนอิเกียได้เป็นเจ้าของอีกครั้ง ในคอลเล็คชั่นวินเทจ GRATULERA/กราทูเลรา เก็บรักษาเอกลักษณ์งานดีไซน์สุดคลาสสิกที่ทุกคนรักไว้อย่างครบถ้วน พร้อมเพิ่มเติมลูกเล่นให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยจะทยอยเปิดตัวที่สโตร์อิเกียทั่วโลกตั้งแต่เดือนสิงหาคมไปจนถึงเดือนธันวาคม     คาริน กุสตาฟสัน (Karin Gustavsson) หัวหน้าฝ่ายครีเอทีฟของอิเกีย สวีเดน กล่าวว่า “ปีนี้เป็นปีที่พิเศษสำหรับอิเกีย เราอยากชวนแฟนๆ มาร่วมเฉลิมฉลองจุดเริ่มต้นความสำเร็จของวิสัยทัศน์อิเกียที่ต้องการสรรค์สร้างชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น และหวนรำลึกถึงความทรงจำวันวานผ่านเฟอร์นิเจอร์ระดับตำนานที่สะท้อนเอกลักษณ์และสไตล์ของงานออกแบบใน 3 ยุคที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ได้แก่ ยุค 1950-1960 โดดเด่นด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มสะท้อนกลิ่นอายคลาสสิก, ยุค 1970-1980 ดีไซน์ที่เต็มไปด้วยลูกเล่นและสีสันสดใส และยุค 1990-2000 ที่เน้นรูปลักษณ์เรียบง่ายสไตล์มินิมัลด้วยไม้สีอ่อนธรรมชาติและลายกราฟิก เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดที่เราคัดสรรมาในคอลเล็คชั่น GRATULERA/กราทูเลรา เป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นโปรดที่เราคิดถึง และหวังว่าลูกค้าก็คงจะคิดถึงเช่นกัน”   คอลเล็คชั่นวินเทจ GRATULERA/กราทูเลรา แบ่งออกเป็น 3 ยุค 3 แนวคิดการออกแบบ ซึ่งจะพาทุกคนย้อนกลับไปทำความรู้จักเฟอร์นิเจอร์ระดับตำนานของอิเกีย ทุกชิ้นล้วนมีเรื่องราวและเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์อันน่าประทับใจ       CLASSIC COMEBACKS อิเกีย พาแฟนๆ ย้อนกลับไปสู่ยุค 1950-1960 ช่วงเวลาแรกๆ ที่อิเกียเริ่มสร้างชื่อเสียงด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไอคอนกับงานออกแบบที่สะท้อนความเคร่งขรึม ด้วยวัสดุไม้สีเข้มและลายเส้นคลาสสิก     โต๊ะข้าง รุ่น LÖVBACKEN/เลิฟบัคเก้น เป็นเฟอร์นิเจอร์ฮิตชิ้นแรกของอิเกีย และเป็นต้นกำเนิดของการบรรจุสินค้าในกล่องแบนหรือ Flatpack เมื่อเพื่อนร่วมงานของเราตัดสินใจถอดขาโต๊ะออกเพื่อให้สามารถใส่โต๊ะเข้าไปในรถคันเล็กของเขาได้ ปัจจุบัน สินค้าเกือบทั้งหมดของอิเกียบรรจุในกล่องแบน ทำให้ขนส่งได้ง่ายขึ้น ประหยัดพื้นที่ และลดอัตราการชำรุดเสียหายของสินค้า   อาร์มแชร์ รุ่น GAGNET/กังเนต อีกหนึ่งเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นพระเอกในยุคนี้ เปิดตัวครั้งแรกในปี 1958 พร้อมกับสโตร์อิเกียแห่งแรกในเมืองอัมฮุล์ท ประเทศสวีเดน อาร์มแชร์ตัวนี้นำมาให้สื่อมวลชนได้ทดลองนั่งในงานแถลงข่าว ดีไซน์ที่โค้งมนของอาร์มแชร์เป็นสัญลักษณ์ของการก้าวสู่อนาคตที่สดใสของเรา     FUN FAVOURITES 1970-1980 เป็นช่วงเวลาแห่งรอยยิ้ม และการออกแบบที่เต็มไปด้วยสีสันจัดจ้าน ร่าเริงสดใส     เมื่อพูดถึงยุคนี้ แฟนอิเกียจะนึกถึงโซฟา รุ่น KLIPPAN/คลิปปัน หนึ่งในโซฟารุ่นแรกๆ ที่จำหน่ายในราคาย่อมเยาที่ทุกคนเป็นเจ้าของได้ ขึ้นแท่นสินค้าที่เป็นไอคอนตลอดกาล เป็นงานศิลปะชั้นเลิศประดับห้องนั่งเล่นในหลายๆ บ้าน เพราะตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนในครอบครัวได้อย่างแท้จริง ครั้งนี้ โซฟา รุ่น KLIPPAN/คลิปปัน กลับมาพร้อมกับ 3 สีที่โดดเด่นสะดุดตา ได้แก่ สีเหลืองสด สีแดง และสีน้ำเงินโคบอลต์       อาร์มแชร์ รุ่น RÅANE/รัวอาเน เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1983 โดยใช้ชื่อ JÄRPEN/แยร์เปน เป็นการปฏิวัติการออกแบบอาร์มแชร์ ด้วยโจทย์ที่ว่าจะทำอย่างไรให้นั่งสบายโดยไม่ใช้ผ้าหรือยัดนุ่น จนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอาร์มแชร์ตัวนี้ที่ใช้ตาข่ายแทน เป็นงานออกแบบที่ใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ   MINIMAL MUST-HAVES ยุค 1990 เกิดกระแสนิยมงานดีไซน์เรียบง่าย สไตล์มินิมัลที่ผสมผสานระหว่างสีธรรมชาติของไม้สแกนดิเนเวียกับลวดลายกราฟิก เมื่อปี 1995 อิเกียได้แนะนำคอลเล็คชั่นที่กลายเป็นไอคอนของเฟอร์นิเจอร์อิเกียและสามารถครองใจแฟนๆ มาจนถึงปัจจุบันนั่นคือ คอลเล็คชั่น IKEA PS/อิเกีย พีเอส ตัวอักษร ‘PS’ ย่อมาจาก ‘Post Scriptum’ หรือ ปล. ที่ใช้เวลาเขียนเพิ่มเติมข้อความในจดหมายนั่นเอง สื่อถึงการที่อิเกียเพิ่มฟังก์ชั่นใช้งานเติมเข้าไปในสินค้าของเรา เพื่อท้าทายและสำรวจว่างานดีไซน์แบบ Scandinavian Modern ควรจะเป็นอย่างไรและมีรูปร่างหน้าตาแบบไหน     ม้านั่งเก็บของ รุ่น IKEA PS 1995/อิเกีย พีเอส 1995 เปรียบเสมือนเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นประติมากรรม เป็นงานออกแบบที่เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น ม้านั่งเก็บของที่มีล้อด้านหนึ่งและขาอีกด้านหนึ่งกลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ผู้คนมากมายชื่นชอบ เพราะครบถ้วนทั้งดีไซน์และฟังก์ชั่นการจัดเก็บ ลงตัวกับทุกห้องในบ้าน   เก้าอี้ รุ่น BJURÅN/บยูรวน หรือชื่อเดิม ÖGLA/เอิกล่า เปิดตัวครั้งแรกในปี 1961 และผลิตอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันโดยโรงงานในโปแลนด์ เป็นงานไม้รูปทรงโค้งมนที่เปรียบเสมือนงานฝีมือชั้นเยี่ยม ถูกนำกลับมาแต่งแต้มด้วยสีสันสดใส วางตกแต่งเป็นชิ้นเดี่ยวหรือใช้วางคู่กับโต๊ะอาหาร   แวะมาเลือกสรรเฟอร์นิเจอร์วินเทจระดับตำนานที่อิเกียตั้งใจรังสรรค์ในคอลเล็คชั่นสุดพิเศษ GRATULERA/กราทูเลรา ฉลองอิเกียครบรอบ 75 ปี พร้อมพบแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการตกแต่งบ้านได้ที่อิเกีย เมกาบางนา และ อิเกีย บางใหญ่ ที่เซ็นทรัล พลาซ่า เวสต์เกต หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ IKEA.co.th
ดี-แลนด์ฯ ชวนสัมผัสเสน่ห์แบบ English Cottage  เผยโฉมโครงการใหม่ “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน”

ดี-แลนด์ฯ ชวนสัมผัสเสน่ห์แบบ English Cottage เผยโฉมโครงการใหม่ “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน”

รับดีมานด์อสังหาฯ แนวราบพุ่ง พลิกทำเลฮอตย่านบางกรวย-ไทรน้อย ผุดโครงการทาวน์โฮมสไตล์บ้านเดี่ยว “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน” พร้อมชูคอนเซ็ปต์ “English Cottage” โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ที่สวยงามสไตล์อังกฤษ ที่ผสานกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสุดล้ำเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ด้วยแนวคิด “Greenovation” ซึ่งเตรียมเปิดบ้านจัดงานแนะนำโครงการอย่างเป็นทางการในระหว่างวันที่ 22 - 23 กันยายน 2561 พร้อมต้อนรับด้วยบ้านแปลงสวยในราคาเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท และโปรโมชั่นสุดคุ้มอีกเพียบ!     นายศิริพงษ์ สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ดี-แลนด์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ในส่วนของภาพรวมตลาดอสังหาในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าบรรยากาศในตลาดเริ่มที่จะมีแนวโน้มการเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในทำเลที่เป็นจังหวัดหัวเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจ รวมทั้งทำเลที่เป็นส่วนต่อขยายของเมือง ทำให้ทางบริษัทฯ ตัดสินใจเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ล่าสุดอย่าง “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์- วงแหวน” ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนบางกรวย-ไทรน้อย เนื่องจากถนนเส้นดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเส้นทางสำคัญซึ่งเชื่อมโยงการคมนาคมระหว่างนนทบุรีและโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกไว้ด้วยกัน และในปัจจุบันได้มีการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง (สถานีคลองบางไผ่ – เตาปูน) เข้าไปในพื้นที่โซนดังกล่าวแล้ว ซึ่งยิ่งทำให้การเดินทางเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ เป็นไปได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งในส่วนของถนนบางกรวย-ไทรน้อย ยังเป็นหนึ่งในทำเลศักยภาพที่ยังมีความสามารถในการรองรับการขยายตัวของเมืองจากกรุงเทพฯ ได้อีกมาก     · สัมผัสทาวน์โฮมสไตล์บ้านเดี่ยวกับเสน่ห์แบบ “English Cottage” สำหรับโครงการ บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน เป็นโครงการทาวน์โฮมสไตล์บ้านเดี่ยว ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพริมถนนบางกรวย-ไทรน้อย ตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี มีมูลค่าโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาท บนเนื้อที่รวมกว่า 49 ไร่ จำนวนประมาณ 500 ยูนิต ซึ่งแต่ละยูนิตล้วนครบครันด้วยฟังก์ชั่นที่สามารถตอบรับกับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ โดยได้รับการรังสรรค์ขึ้นภายใต้แนวคิด “English Cottage” ซึ่งได้ดึงเอาความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ที่สวยงามในแบบฉบับอังกฤษ มาสอดผสานเข้ากับงานออกแบบโครงสร้างบ้านในแบบโมเดิร์น ที่คำนึงถึงการใช้งานฟังก์ชั่นในส่วนต่างๆ ของบ้านให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ในราคาเริ่มต้นเปิดตัวที่ 1.79 ล้านบาท ซึ่งมีแบบบ้านทั้งหมด 3 แบบ 3 ขนาด ดังนี้     Type A: Westminster (เวสต์มินส์เตอร์) สัมผัสทุกความหรูหราและโอ่อ่าของแบบบ้านที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเมืองเวสต์มินส์เตอร์ของประเทศอังกฤษ ด้วยแบบบ้านสูง 2 ชั้น ปลูกสร้างบนเนื้อที่ขนาด 28.70 ตารางวา ซึ่งประกอบด้วย 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และ 1 ห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบห้องได้ตามความต้องการ บนพื้นที่ใช้สอยรวม 145.45 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้นที่ 3.4 ล้านบาท   Type B: Northampton (นอร์ทแธมป์ตัน) ถ่ายทอดทุกความโดดเด่นของสถาปัตยกรรมที่งดงามของเมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดของอังกฤษอย่างเมืองนอร์ทแธมป์ตัน สู่แบบบ้านสูง 2 ชั้น ปลูกสร้างบนเนื้อที่ขนาด 21.20 ตารางวา ซึ่งภายในบ้านประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และ 1 ห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบห้องได้ตามความต้องการ บนพื้นที่ใช้สอยรวม 135.35 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้นที่ 2.5 ล้านบาท     Type C: Birmingham (เบอร์มิงแฮม) นำเสนอเอกลักษณ์และมนต์เสน่ห์ของเมืองศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศอังกฤษอย่างเมืองเบอร์มิงแฮม สู่แบบบ้านสูง 2 ชั้น ปลูกสร้างบนเนื้อที่ขนาด 18.50 ตารางวา ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ และ 1 ห้องอเนกประสงค์ ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบห้องได้ตามความต้องการ บนพื้นที่ใช้สอยรวม 98.55 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้นที่ 2.1 ล้านบาท     · ชูคอนเซ็ปต์ “Greenovation” นำความล้ำสมัยผสานธรรมชาติสีเขียว นอกจากในด้านของทำเลและงานดีไซน์แบบบ้านที่มีความโดดเด่นแล้ว ทางบริษัทฯ ยังได้พัฒนาฟังก์ชั่นของตัวบ้านและภายในโครงการฯ ให้มีความโดดเด่นยิ่งขึ้น ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ อาทิ Smart Home Automation และ Multi-Generations Living Area ภายในบ้าน ที่ตอบรับกับไลฟ์สไตล์แบบครอบครัวที่มีความแตกต่างทางช่วงวัย ตามคอนเซ็ปต์ “Greenovation” ซึ่งผสมผสานเข้ากับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในงานก่อสร้างต่างๆ ที่ใส่ใจถึงสิ่งแวดล้อม อาทิ การเลือกใช้สีคุณภาพที่เป็นมิตรต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งได้ออกแบบและจัดวางผังโครงการที่เน้นให้ผู้ที่อยู่อาศัยสามารถใกล้ชิดกับธรรมชาติได้มากที่สุด ด้วยการจัดวางพื้นที่สีเขียวขนาดย่อมให้กระจายอยู่ทั่วโครงการ และยังมีสวนสาธารณะส่วนกลางสไตล์อังกฤษขนาดกว่า 1 ไร่ ที่พร้อมเติมเต็มความสดชื่นให้กับทุกคน     นอกจากนี้ ภายในโครงการยังครบครันด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกทั้งภายในและภายนอกโครงการ อาทิ ร้านค้า ร้านอาหาร และบริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกมากมาย พร้อม สนามเด็กเล่น คลับเฮ้าส์ Co - Working Space สระว่ายน้ำและห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน แวดล้อมสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า อาทิ เซ็นทรัลเวสต์เกต อิเกียบางใหญ่ พลัสมอลล์ บิ๊กซี และแม็คโคร เป็นต้น     พิเศษ! เพื่อต้อนรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พบกับโปรโมชั่นราคาเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท และโปรฯ สุดคุ้มอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ รับส่วนลดเงินสดสูงสุด 280,000 บาท เป็นต้น เพียงจองบ้านภายในงานพรีเซลที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 22-23 กันยายน 2561 ณ สำนักงานขายโครงการบ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม โทร. 1793 ต่อ 8 หรือคลิกดูที่ www.dl.co.th และ facebook: Dlandclub
ประกาศเปิด‘ไอคอนสยาม’ 9 พฤศจิกายนนี้ พบมหัศจรรย์ที่เป็น ‘ครั้งแรก’ และ ‘ดีที่สุด’ มากมายอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ประกาศเปิด‘ไอคอนสยาม’ 9 พฤศจิกายนนี้ พบมหัศจรรย์ที่เป็น ‘ครั้งแรก’ และ ‘ดีที่สุด’ มากมายอย่างไม่เคยมีมาก่อน

วันนี้ ไอคอนสยาม อภิมหาโครงการเมืองแห่งการใช้ชีวิตสู่โลกอนาคต สัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของไทยริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามูลค่า 54,000 ล้านบาท ประกาศยืนยันวันเปิดไอคอนสยามอย่างเป็นทางการ 9 พฤศจิกายน 2561 นี้ โดยจะเป็นจุดหมายปลายทางแห่งความมหัศจรรย์บนพื้นที่กว่า 750,000 ตารางเมตร ที่พร้อมจะสะกดทั้งโลกให้ต้องหันมองกรุงเทพฯ และประเทศไทย กับมหาปรากฏการณ์งานเปิดสุดยิ่งใหญ่ พร้อมด้วยความแปลกใหม่ของร้านค้าและองค์ประกอบต่างๆ ภายในไอคอนสยาม นำเสนอเป็นครั้งแรกในประเทศไทยจำนวนมากมายอย่างที่ ไม่เคยมีมาก่อน   นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า “การเปิดเมืองไอคอนสยามจะเป็นการบุกเบิกการทำธุรกิจในโลกยุคใหม่ ที่พลิกโฉมรูปแบบการพัฒนาโครงการที่เป็นจุดหมายปลายทางที่ยิ่งใหญ่ไปอย่างสิ้นเชิง โดยคอนเซ็ปต์ ‘การสร้างประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย’ หรือ Creating Shared Value และ ‘การร่วมกันรังสรรค์’ หรือ Co-Creation เป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดของไอคอนสยาม ที่ได้บุกเบิกและทำคอนเซ็ปต์ค้าปลีกรูปแบบใหม่นี้ให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรมและเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ที่ก้าวขึ้นไปอีกขั้นอย่างเต็มภาคภูมิ และสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจแก่คนไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก”   นายสุพจน์ กล่าวว่า “ไอคอนสยาม คือศูนย์รวมของความมหัศจรรย์อันหลากหลาย ทั้งศิลปะและวัฒนธรรม ผสมผสานรวมอยู่กับที่สุดของการช้อปปิ้งและความบันเทิง โดยการผนึกกำลังพันธมิตรองค์กรธุรกิจทั้งใหญ่และเล็กทุกขนาดหลากหลายรูปแบบธุรกิจ รวมไปถึงผู้คนจำนวนมากจากนานาสาขาอาชีพที่มีความปรารถนาจะสร้างสถานที่ๆ บอกเล่าหลากหลายเรื่องราวของความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ผสมกับสิ่งที่ดีในมิติต่างๆ จากทุกมุมโลก ได้มารวมพลังกันสร้างสรรค์สัญลักษณ์ใหม่ซึ่งจะกลายเป็นมหาปรากฏการณ์ การเปิดไอคอนสยามในครั้งนี้จะเป็นการประสานประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย แผ่กระจายความรุ่งเรืองไปทั่ว ทั้งในระดับชุมชน สังคม และประเทศ”   “เหล่าผู้สร้างสรรค์ที่มีส่วนร่วมในการเนรมิตสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ในไอคอนสยาม ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า นักออกแบบในสาขาต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ศิลปินจากทั่วประเทศผู้มาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงาน ชิ้นเอกต่างๆ ในไอคอนสยาม รวมถึงเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนโดยรอบ และบรรดาธุรกิจริมแม่น้ำเจ้าพระยา คือผู้มีบทบาทสำคัญและเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดองค์ประกอบต่างๆ ของไอคอนสยามทั้งสิ้น ซึ่งเหล่าผู้ร่วมสร้างสรรค์ที่ร่วมแรงร่วมใจกันกับเรา ถือเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของการทำธุรกิจรูปแบบใหม่ในโลกอนาคตเพื่อความเจริญที่ยั่งยืนร่วมกันอย่างที่ไอคอนสยามกำลังทำอยู่” นายสุพจน์ กล่าว   นายสุพจน์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ไอคอนสยามจะเปิดประตูอภิมหาโครงการเมืองแห่งนี้ด้วยความมหัศจรรย์ที่เป็น ‘ครั้งแรก’ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทยมากมาย อาทิ ไอคอนนิกสโตร์ สุดอลังการจำนวน 14 แบรนด์ และอีกหลากหลายสโตร์จากแบรนด์ที่พรีเมี่ยมที่สุดของโลกมารวมตัวกันอยู่ในที่เดียวอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยแบรนด์ที่เป็นสุดยอดความหรูหราระดับโลกจำนวนหนึ่งจะอยู่ในอาคาร ‘ไอคอนลักซ์’ (ICONLUXE) ซึ่งมีพื้นที่ 25,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นอาคารกระจกโครงสร้างไร้เสาที่ยาวที่สุดในโลก รูปทรงคล้ายกระทงแก้ว สรรค์สร้างอย่างงดงามให้เป็นสัญลักษณ์ใหม่บนแม่น้ำเจ้าพระยา   นายสุพจน์กล่าวว่า “เพื่อให้ไอคอนสยามเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของประเทศไทย ที่นำเสนอความแปลกใหม่อย่างมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่น เราจึงได้ทำงานลงลึกในรายละเอียดร่วมกับร้านค้าและผู้ประกอบการกว่า 500 ราย ตั้งแต่สุดยอดแบรนด์ของไทยไปจนถึงลักชัวรี่แบรนด์จากต่างประเทศเพื่อขอให้แต่ละร้านนำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวกับแบรนด์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความเป็นมาของแต่ละแบรนด์จนถึงแนวคิดและนวัตกรรมต่างๆ โดยเชื่อมโยงกับแนวการออกแบบร้าน ให้ไอคอนสยามเป็นโครงการแห่งแรกที่ทำ Story Telling ที่จะสร้างความตื่นตาตื่นใจได้อย่างเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบที่สุด เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างแต่มีคุณค่าให้ผู้บริโภคได้ประทับใจ และเนื่องจากไอคอนสยามได้รับความเชื่อมั่น จากหลายๆ แบรนด์ชื่อดังระดับโลก ทำให้เราได้มีโอกาสช่วยกันคิดสร้างสิ่งพิเศษที่จะเกิดขึ้นภายในร้านของเขาเฉพาะที่ไอคอนสยามเท่านั้น”   นายสุพจน์กล่าวว่า “ในไอคอนสยามจะมีมากกว่า 188 แบรนด์ชั้นนำที่เป็นแบรนด์และคอนเซ็ปต์ใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนเซ็ปต์ Icons within Icon ซึ่งเราจัดให้ลักชัวรี่แบรนด์มีคฤหาสน์ของตนเองในรูปแบบ Duplex Mansion อยู่ภายในอาคารไอคอนลักซ์ซึ่งจะทำให้สามารถมีสินค้าที่ครบครันและมีบริการพิเศษอีกด้วย”   นอกจากนั้น ยังมีแบรนด์ไลฟ์สไตล์ชื่อดังอีกมากมายมาร่วมกันนำเสนอคอนเซ็ปต์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น Adidas เปิด Adidas Original Store ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย JD Sports ร้านแฟชั่นกีฬาชื่อดังจากประเทศอังกฤษ เปิดร้านแรกในประเทศไทย และ Nike เปิด Nike Kicks Lounge แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำเสนอสินค้าที่แตกต่างจาก Nike Store อื่นๆ   “ALAND ซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์คอนเซ็ปต์สโตร์ และ COS เปิดแฟลกชิฟสโตร์แฟชั่นแบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับทั้งผู้หญิงผู้ชาย รวมถึง นารายา ต่างเตรียมพร้อมที่จะเปิดร้านดูเพล็กซ์ไอคอนนิกสโตร์ของตัวเองที่ไอคอนสยาม ในขณะที่ H&M เตรียมพร้อมเปิดอาคารของตัวเองในรูปแบบ Triplex Store 3 ชั้นสุดอลังการเป็นครั้งแรก และทาคาชิมายะ ห้างสรรพสินค้าระดับตำนานที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากประเทศญี่ปุ่น ก็จะเปิดสาขาแรกในประเทศไทยที่ไอคอนสยามขนาด 36,000 ตารางเมตร โดยจะนำ 170 แบรนด์ในทุก category รวมถึงอาหารและขนมจากญี่ปุ่นที่ไม่เคยมีจำหน่ายในประเทศไทยมาก่อนมานำเสนอด้วย” นายสุพจน์ กล่าว   ที่น่าตื่นเต้นอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไอคอนสยามจะนำเสนอสุดยอดประสบการณ์ของการกินดื่มใน 7 บรรยากาศที่แตกต่างกันไปในแต่ละโซน นับตั้งแต่ร้านอาหาร Fine Dining ซึ่งแต่ละร้านมี Terrace ชมวิวแม่น้ำ จนถึงอาหารยอดนิยมของไทยซึ่งหาชิมได้ยาก รวมถึง roof-top bars ที่สามารถดื่มด่ำกับความงดงามของฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งยังมีภัตตาคารชื่อดังจากต่างประเทศ อาทิ Harbour จากไต้หวัน และภัตตาคารอาหารทะเลชื่อดังจากสิงค์โปร์อย่าง Jumbo Seafood ซึ่งเข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทยเป็นครั้งแรกอีกด้วย   Fitness First คลับเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดของประเทศไทย และมีสาขามากกว่า 29 สาขา ก็จะมาเปิดคลับระดับหรูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พร้อมสระว่ายน้ำกลางแจ้ง ซึ่งจะเป็นแฟล็กชิฟที่ให้บริการพิเศษแตกต่างจากสาขาอื่นๆ   นายสุพจน์อัพเดทเพิ่มเติมว่า ได้เตรียมงบประมาณไว้มากกว่า 1,000 ล้านบาท สำหรับการจัดงานเปิดเมืองไอคอนสยามและเชิญผู้สื่อข่าวจากทั่วโลกมาเยี่ยมชม   “ไอคอนสยามจะเป็นอภิมหาโครงการเมืองที่นำเสนอความภาคภูมิใจในความเป็นไทย และเป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยส่งเสริมและผลักดันแบรนด์ไทย สินค้าไทย ศิลปินไทย งานฝีมือไทย และศิลปวัฒนธรรมไทย ให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก ด้วยการทุ่มเทลงทุนอย่างเต็มที่เพื่อให้มั่นใจว่าไอคอนสยามจะเป็นที่ชื่นชม และสะกดทุกสายตาโลก ไอคอนสยามได้ร่วมมือกับชุมชนโดยรอบ และกลุ่มธุรกิจริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมดที่จะช่วยกันทำให้แม่น้ำสายนี้เป็น The next Global Destination ที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวนับแสนจากทั่วประเทศไทยและทั่วโลก พร้อมกับสร้างมาตรฐานใหม่เหนือความคาดหมายจากพลังของหัวใจไทย” นายสุพจน์กล่าว   ในส่วนอาคารที่พักอาศัยสุดหรู 2 อาคาร ภายในโครงการไอคอนสยาม นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้พัฒนาโครงการกล่าวว่า “โครงการหรู ‘แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์’ ซึ่งมีความสูง 70 ชั้น ประกอบด้วยห้องพักอาศัยสุดหรู จำนวน 379 ยูนิต ขณะนี้เสร็จสมบูรณ์ไปแล้วกว่า 90% ส่วนโครงการ ‘เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ’ ที่สุดแห่งความหรูหราระดับอุลตร้าลักชัวรี่ ความสูง 52 ชั้น จำนวน 146 ยูนิต ขณะนี้เสร็จสมบูรณ์ไปแล้วกว่า 80% ด้วย ทำเลของโครงการซึ่งเป็นหนึ่งในทำเลริมแม่น้ำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นโครงการเรสซิเดนซ์แห่งแรกของแบรนด์ ‘แมนดาริน โอเรียนเต็ล’ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการนี้จึงถือเป็นหนึ่งในโครงการอสังหาฯชั้นนำของเอเชียอย่างแท้จริง ผู้พักอาศัยสามารถมองเห็นทัศนียภาพริมแม่น้ำอันประเมินค่ามิได้และหาไม่ได้จากที่ใดในโลก และได้รับการดูแลโดยทีมบริหารคุณภาพของกลุ่มโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล แบรนด์โรงแรมหรูระดับตำนานของโลก”   “ทั้งสองโครงการได้รับการออกแบบและก่อสร้างเน้นคุณภาพในทุกๆรายละเอียด ห้องชุดภายในสวยงามอลังการ และใช้เทคโนโลยีเพื่อการพักอาศัยที่ล้ำสมัยที่สุดที่มีมาตรฐานทัดเทียมกับโครงการชั้นนำในมหานครต่าง ๆ ของโลก และยังได้รับรางวัลทั้งในระดับภูมิภาคและในประเทศมาแล้วมากมาย ถือเป็นโครงการห้องชุดริมน้ำระดับพรีเมียมของกรุงเทพฯในสุดยอดอภิมหาทำเลริมน้ำของไอคอนสยาม โดยเราเตรียมที่จะเปิดให้ชมห้องตัวอย่างสุดหรูใหม่ให้ชมเร็วๆนี้” นายวิสิษฐ์ย้ำ
อารียา พรอพเพอร์ตี้ เปิดตัว 8 โครงการใหม่ ในครึ่งปีหลัง  พร้อมวิเคราะห์ 5 เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่

อารียา พรอพเพอร์ตี้ เปิดตัว 8 โครงการใหม่ ในครึ่งปีหลัง พร้อมวิเคราะห์ 5 เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่

อารียา พรอพเพอร์ตี้ ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เปิดตัว 8 โครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง มูลค่ารวมกว่า 7,275 ล้านบาท พร้อมเปิดตัวแคมเปญใหม่ “ความสุขมีตัวตน” เพื่อสื่อสารให้สอดรับกับ 5 เทรนด์ใหม่ของผู้บริโภค ที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องจับตามองในปี 2561   นายวิวัฒน์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการอาวุโส บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงเทรนด์ผู้บริโภคและอสังหาริมทรัพย์ ว่า ปัจจุบันวิวัฒนาการต่าง ๆ ได้ก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิม ดังนั้น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะต้องมีการปรับขยับตามเทรนด์ ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้เป็น 5 เทรนด์ คือ 1) สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ที่ได้กลายมาเป็นเทรนด์ใหม่มาแรงในกรุงเทพฯ และหัวเมืองตามต่างจังหวัด 2) เทคโนโลยีการบริการในบ้านที่ออกแบบมาเพื่อลดขั้นตอน และเพื่อความสะดวกสบายที่ควบคุมได้จนกลายเป็นเรื่องปกติของทุกคน (Automation Becoming The New Norm)   3) รสนิยมที่ยกระดับความหรูหราของสินค้า และการบริการ (Ultra – High – Net – Worth – Individuals meets Ultra Luxury real estate market) 4) การมองหาชีวิตที่ดี เข้าใกล้ธรรมชาติ เน้นสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น (Seek for Green & Clean Living) และ 5) งานบริการหลังการขาย ที่กลายมาเป็นเรื่องหลักในการตัดสินใจซื้อบ้าน (Life At Home Begins After Sales) ซึ่งเทรนด์สุดท้ายนี้จะเห็นชัดที่สุดในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เมื่อผู้บริโภคมีการใส่ใจในบริการหลังการขายที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่มีขึ้นเพื่อลดขั้นตอนที่ไม่สำคัญ แต่ก็ยังคงชอบการใส่ใจจากนิติบุคคลและพนักงานที่ให้บริการหลังการขาย นอกจากนี้ ในเรื่องการรับประกันบ้านก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง   จะเห็นได้ว่า 5 เทรนด์ข้างต้น สอดคล้องกับ 4 ยุทธศาสตร์หลักในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย งานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นมาพร้อมกับคุณภาพ (Aesthetic Design & Premium Quality), ความสุขและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Happiness), นวัตกรรมที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ทุกรูปแบบ (Innovative Living) และการให้บริการดูแลลูกบ้านตั้งแต่เริ่ม ตลอดจนบริการหลังการขายอย่างสุดความสามารถ (Best In Class After Sales Service) โดยเรามีความพร้อมที่จะปรับและก้าวให้ทันตามเทรนด์ของผู้บริโภคในทุกยุคทุกสมัย   นายวิวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมถึงภาพรวมของธุรกิจในครึ่งปีแรก บริษัทฯ มียอดขายรวม 4,852 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ มูลค่ารวม 3,107 ล้านบาท คิดเป็น 65% และจากโครงการแนวสูงมูลค่ารวม 1,745 ล้านบาท คิดเป็น 35% โตตามเป้า 10% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งได้คาดการณ์ยอดขายในครึ่งปีหลัง ตั้งเป้า 5,045 ล้านบาท โดยรวมยอดขายทั้งปีนี้ จะมีมูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท   นายวิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เผยถึงแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังว่า อารียา พรอพเพอร์ตี้ จะมีการเปิดตัว 8 โครงการใหม่ มีมูลค่าการลงทุนรวม 7,275 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ The Village บางนา, โครงการ COMO PRIMO บางนา, โครงการ The Colors บางนา และบางบัวทอง, โครงการ Mandarina เกษตร – รามอินทรา, โครงการคอนโดมิเนียม A Space Mega บางนา 2, โครงการ The Parti เกษตร – นวมินทร์ และ โครงการ Busaba บ้านเดี่ยวแห่งเดียวติดถนนเสรีไทย   โดยมี 3 โครงการไฮไลท์ ได้แก่ โครงการ Mandarina เอกมัย – รามอินทรา โดดเด่นด้วยสไตล์ Modern Tropical Town Home มีมูลค่าการลงทุน 950 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 7.5 ล้านบาท, โครงการ The Parti เกษตร – นวมินทร์ โฮมออฟฟิศ เน้นกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ที่ชอบออกแบบชีวิตให้เป็นเรื่องง่าย มูลค่าการลงทุน 800 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 11.9 ล้านบาท และ โครงการคอนโดมิเนียม A Space Mega บางนา 2 เป็นโครงการต่อเนื่องจากเฟสแรก ที่ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี สามารถปิดการขายได้ 100% จึงได้ดำเนินการเฟส 2 ขึ้นมา มีมูลค่าการลงทุนรวม 2,500 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท     ด้านการดำเนินงานตามแผนงานในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวแคมเปญใหม่ คือ “ความสุขมีตัวตน” เพื่อต้องการสื่อสารให้สอดรับกับความทันสมัยของผู้บริโภค รับกับรสนิยม และการใส่ใจสุขภาพกายและใจของสังคมเมือง โดยมีการ Launch แคมเปญใหม่ไปเมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา นอกจากนี้ เพื่อเป็นการปรับภาพลักษณ์ใหม่ อารียา ยังได้มีการปรับโฉมใหม่ของเว็บไซต์หลัก www.areeya.co.th ให้มีความทันสมัย ใช้งานง่าย และรวดเร็วในการค้นหาข้อมูล เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น   อย่างไรก็ตาม อารียา ยังคงชูคอนเซ็ปต์เรื่อง Sustainable Happiness อย่างต่อเนื่อง มีกิจกรรมที่น่าสนใจต่าง ๆ มากมาย อาทิ เรื่องของ Green and Clean ที่ชูความสมาร์ท 2 เรื่อง ได้แก่ สมาร์ทด้วยเทคโนโลยี Clean Air and Energy Saving โดยได้มีพาร์ทเนอร์ใหม่อย่าง พานาโซนิค ที่จะมาช่วยเสริมด้านเทคโนโลยี Clean Living ให้อากาศภายในบ้านปลอดโปร่ง สะอาด ปราศจากเชื้อโรค รวมถึงช่วยประหยัดพลังงาน และ สมาร์ท ด้วยเทคโนโลยีควบคุมบ้านผ่านปลายนิ้วสัมผัส ด้วยระบบ Self-Managed Home Automation at Fingertips รวมถึงกิจกรรม Recycle Day ที่ได้มีการพัฒนาระบบในรูปแบบของแอปพลิเคชั่น ที่ช่วยให้การคัดแยกขยะของลูกบ้านง่ายและสะดวกขึ้น จนได้รับการตอบรับเป็นอย่างมาก   “จะเห็นได้ว่า ในครึ่งปีหลัง อารียา มีโครงการใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย เพื่อให้สอดรับกับคอนเซ็ปต์ “Aesthetic Beauty Of Living” การใช้ชีวิตให้มีสุนทรียะ ซึ่งเราเชื่อว่า อารียา ไม่ได้แค่สร้างที่อยู่อาศัย แต่อารียา กำลังสร้างรูปแบบใหม่ให้การใช้ชีวิต” นายวิวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติม
อิมแพ็ค ปลื้มงานอินเตอร์แมท อาเซียน และคอนกรีต เอเชีย 2018 สร้างเงินสะพัดกว่า หมื่น ล้านบาท

อิมแพ็ค ปลื้มงานอินเตอร์แมท อาเซียน และคอนกรีต เอเชีย 2018 สร้างเงินสะพัดกว่า หมื่น ล้านบาท

ปิดฉากงาน “อินเตอร์แมท อาเซียน 2018” และ “คอนกรีต เอเชีย 2018” มหกรรมแสดงสินค้าด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างระดับอาเซียนประสบความความสำเร็จดีเยี่ยม เผยงานตลอด 3 วัน มียอดผู้เข้าเยี่ยมชมกว่า 5,000 ราย โกยยอดขายจากการเจรจาธุรกิจกว่า 1 หมื่นล้านบาท ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ตอกย้ำความสำเร็จเวทีอุตสาหกรรมก่อสร้างในระดับอาเซียน   มร.ลอย จุน ฮาว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด เปิดเผยผลการจัดงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมก่อสร้างระดับอาเซียน “อินเตอร์แมท อาเซียน 2018” และ “คอนกรีต เอเชีย 2018” ว่า ตลอด 3 วันของการจัดงานระหว่างวันที่ 6-8 กันยายน 2561 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี มีมูลค่าการซื้อขายจากการเจรจาธุรกิจ และการซื้อขายเครื่องจักรภายในงานทะลุเป้ากว่า หมื่น ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10 เท่า ซึ่งนับว่าการจัดงานร่วมกันระหว่างงานอินเตอร์แมท อาเซียน และคอนกรีต เอเชีย 2018 ครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สำหรับภาพรวมมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 500 แบรนด์ จาก 14 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย, จีน, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, นอร์เวย์, ตุรกี, อินเดีย, อิตาลี, เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ไทย, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ มีจำนวนผู้เข้าชมงานกว่า 5,000 รายจากทั่วโลก 43 ประเทศ” โดยนับเป็นปีแรกที่ผู้ประกอบการและนักลงทุนจีนให้ความสนใจในการนำเทคโนโลยีจากจีนเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยมีสัดส่วนผู้ประกอบการจีนที่มาร่วมออกแสดงสินค้ากว่า 100 ราย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 35% ของจำนวนผู้ออกบูธทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เป็นผู้จำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรมก่อสร้างในกลุ่มรถบรรทุก รถแทรกเตอร์ วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือเครื่องใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง เป็นต้น”   ทั้งนี้ ทางอิมแพ็คได้กำหนดวันจัดงานอินเตอร์แมท อาเซียน และคอนกรีต เอเชีย 2019 แล้ว ในระหว่างวันที่ 5-7 กันยายน 2562 จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการ และนักลงทุนที่สนใจติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรม ได้ที่ www.asean.intermatconstruction.com และ www.concrete-asia.com
‘เอพี ไทยแลนด์’ พลิกมิติการใช้ชีวิตใจกลางเมือง เปิดตัวคอนโดฯ ‘ไลฟ์ อโศก ไฮป์’  ตอกย้ำการเป็นเจ้าตลาดผู้พัฒนาอสังหาฯ ย่านธุรกิจใหม่แห่งอนาคต

‘เอพี ไทยแลนด์’ พลิกมิติการใช้ชีวิตใจกลางเมือง เปิดตัวคอนโดฯ ‘ไลฟ์ อโศก ไฮป์’ ตอกย้ำการเป็นเจ้าตลาดผู้พัฒนาอสังหาฯ ย่านธุรกิจใหม่แห่งอนาคต

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง เดินหน้าเจาะดีมานด์คนเมืองรุ่นใหม่ เปิดตัว ‘ไลฟ์ อโศก ไฮป์ (LIFE Asoke Hype)’ คอนโดมิเนียมใหม่ใจกลางย่านธุรกิจแห่งอนาคต อโศก-พระราม 9 ผสมผสานความต่างอย่างลงตัว สะท้อนตัวตนที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ด้วยการดีไซน์ผ่านกระบวนการคิดแบบ Design Thinking ผสานกับความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบพื้นที่ของเอพี ที่ทำทุก ย่างก้าวใน ‘ไลฟ์ อโศก ไฮป์’ สัมผัสได้ถึงความเป็นส่วนตัวใจกลางเมืองที่สมบูรณ์แบบ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางแบบจัดเต็ม รองรับทุกการใช้ชีวิตแบบดิจิตอลกับนวัตกรรมล้ำสมัย ตอบสนองความต้องการของเรียลดีมานด์อย่างแท้จริง คุ้มค่ากับแพ็คเกจราคาที่จับต้องได้ และยังสามารถต่อยอดโอกาสการลงทุนระยะยาวในอนาคต ทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือปล่อยเช่าระยะยาว ด้วยผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าประมาณ 5 - 6%     ไลฟ์ อโศก ไฮป์ (LIFE Asoke Hype) จะเปิดจองรอบแรกผ่านระบบ AP i-Booking ในวันอังคารที่ 2 ตุลาคมนี้ เวลา 19.00 - 21.00 น. และมีกำหนดเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการพร้อมกันทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศในวันที่ 6-7 ตุลาคมนี้ ราคาเริ่มต้น 2.89 ล้านบาท     นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กร และการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “ความสำเร็จในการพัฒนาคอนโดมิเนียมเครือเอพีที่ผ่านมา คือ การเลือกเฟ้นทำเลที่ดีเยี่ยม ใจกลางเมืองช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ผนวกกับความใส่ใจในการออกแบบเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่ใช้สอย การบริหารแพ็คเกจราคาขายที่เหมาะสม ตลอดจนความมั่นใจในคุณภาพการก่อสร้าง การบำรุงรักษา และบริการหลังการขายของเอพี แต่ในปัจจุบันเกมธุรกิจเปลี่ยนไป กล่าวคือ ผู้พัฒนาอสังหาฯ ต่างชูทำเลสะดวกใกล้แนวรถไฟฟ้าเป็นจุดขาย เราในฐานะเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้ายังคงคุณภาพด้านต่างๆ ที่กล่าวมาไว้คงเดิม แต่เพิ่มศักยภาพของคอนโดฯ เราให้สามารถเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า   รวมถึงความต้องการที่ยังไม่ถูกตอบสนอง (unmet needs) ด้วยการนำกระบวนการ Design Thinking เข้ามาเสริม โดยสำหรับการพัฒนาคอนโดมิเนียม ไลฟ์ อโศก ไฮป์ นับเป็นโจทย์ที่ทีมต้องทำการบ้านหนักมาก เพื่อให้มั่นใจว่า ไลฟ์ อโศก ไฮป์ จะเป็นมิติใหม่ของการยกระดับการใช้ชีวิตในคอนโดย่านใจกลางเมืองอย่างแท้จริง จะทำอย่างไรให้ ไลฟ์ อโศก ไฮป์ สามารถนำเสนอทั้งพื้นที่ส่วนกลางและพื้นภายในยูนิตพักอาศัยได้แตกต่างและตรงกับที่ลูกค้ามองหา”     “เอพี เราเป็นเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า โดยเฉพาะย่านเชื่อมต่ออโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 ที่เรามีโครงการพัฒนาแล้วเสร็จในย่านนี้ทั้งสิ้นจำนวน 5 โครงการ รวมกว่า 3,600 ยูนิต ทำให้เรามีประสบการณ์ ความชำนาญ และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงทุกอินไซต์ที่มีความแตกต่างและเฉพาะเจาะจงของลูกค้าในย่านนี้ ประกอบกับการไม่หยุดนิ่งที่จะยกระดับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อส่งมอบคุณภาพการอยู่อาศัย อย่างยั่งยืนโดยนำกระบวนการ Design Thinking เข้ามาเพื่อค้าหาความต้องการแฝงของลูกค้าทั้ง ความต้องการในวันนี้และอนาคตที่จะเกิดขึ้น โดยพบว่าลูกค้าย่านนี้เป็นกลุ่มคน Gen-X ถึง Gen-Y อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 28-37 ปี เป็นกลุ่มที่มีไลฟ์สไตล์ความหลากหลายในการใช้ชีวิต จึงเป็นที่มาของการออกแบบโครงการ ไลฟ์ อโศก ไฮป์ ภายใต้แนวคิด The Supremacy of Both Worlds     การเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดมาผสมผสาน เพื่อให้เกิดมิติใหม่ของการพักอาศัยใจกลางเมืองที่ไม่เหมือนใคร ภายใต้ 4 จุดขายต่าง (1) PRIVACY IN CONNECTED SPACE ยกระดับฟังก์ชั่นการใช้งานบนพื้นที่ส่วนรวมที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง อาทิ Running Loop, Co Working Business Lounge, สระว่ายน้ำ หรือจัดโซนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ด้วยเทคนิคการไล่ระดับเพื่อให้รองรับการใช้งานที่ตอบความเป็นส่วนตัว ที่แท้จริง (2) SUPREME LUXURY IN ECLECTIC DESIGN นิยามใหม่ของการใช้ชีวิตแบบลักชัวรี่ ด้วยเอกลักษณ์ของการออกแบบ ซึ่งเป็นที่มาของสีสันที่จัดจ้านแบบลงตัวบนตัวตึกที่บ่งบอกถึงสไตล์อันโดดเด่นเป็นหนึ่งเดียวของผู้อยู่อาศัย (3) SUPREME SPACE IN TOMORROW’S FUNCTIONALITY การให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่ที่ภายในยูนิตพักอาศัย ขยับขยายได้จริง ยืดหยุ่นได้หลากหลายรูปแบบ ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้อาศัย ส่งเสริมการใช้ชีวิตวันนี้และการปรับเปลี่ยนในอนาคต และ (4) SUPREME LOCATION AT SUPREME PRICE ชูจุดต่างด้วยศักยภาพของทำเลแห่งอนาคตในราคาที่จับต้องได้” นายวิทการกล่าว     “ไลฟ์ อโศก ไฮป์ (LIFE Asoke Hype) คอนโดมิเนียมโครงการร่วมทุนระหว่าง เอพี และ มิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ (บริษัทในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป - MECG) มูลค่าโครงการ 5,700 ล้านบาท สูง 40 ชั้น จำนวน 1,253 ยูนิต สิ่งที่จะทำให้ ไลฟ์ อโศก ไฮป์ แตกต่างจากโครงการอื่นในย่าน คือ การเสนอมิติใหม่แห่งการพักอาศัยใจกลางเมืองในแพ็คเกจราคาขายที่สามารถจับต้องได้เฉลี่ยเพียง 135,000 บาทต่อตารางเมตร บนทำเลศักยภาพใจกลางย่านธุรกิจแห่งใหม่ อย่างย่านเชื่อมต่อ อโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 เพียง 300 เมตรจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีพระราม 9” นายวิทการกล่าว     นายขยล ตันติชาติวัฒน์ ผู้อำนวยการ บริษัท บางกอกซิตี้สมาร์ท จำกัด ผู้นำที่ปรึกษาด้านการลงทุนในธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ใจกลางเมืองแบบครบวงจร กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนคอนโดมิเนียมในย่านเชื่อมต่อ อโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 ว่า “พื้นที่ย่านเชื่อมต่อ อโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 ถือว่าเป็นย่านธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ เป็นทำเลแห่งโอกาส ทั้งอัตราการเข้ามาของลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะชาวต่างชาติจากแถบเอเชียทั้ง ไต้หวัน สิงค์โปร์ ฮ่องกง จีน และญี่ปุ่น จึงทำให้มีผู้ประกอบการอสังหาฯ สนใจลงทุนในย่านนี้จำนวนมากและทำให้การแข่งขันสูง จากการสำรวจโดยฝ่ายวิจัยบางกอกซิตี้สมาร์ทพบว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้ลูกค้าในย่านนี้ตัดสินใจซื้อสินค้าหรือลงทุนอสังหาฯ ในย่านนี้นอกจากปัจจัยทำเลนั่นคือ การนำเสนอสินค้าที่แตกต่าง ปัจจัยด้านราคาที่จับต้องได้ และที่สำคัญคือ คุณภาพที่ได้มาตรฐานของตัวโครงการที่อยู่อาศัย ฉะนั้นโจทย์สำหรับผู้ประกอบการที่จะเข้ามาทำตลาดในพื้นที่โซนนี้จะต้องสามารถครองใจลูกค้าในเรื่องเหล่านี้ให้ได้”     “สำหรับที่ตั้งของคอนโดมิเนียม ไลฟ์ อโศก ไฮป์ เป็นทำเลที่มีศักยภาพทั้งความพร้อมในวันนี้ และอนาคตอันใกล้ จากแผนพัฒนาพื้นที่โครงการออฟฟิสเกรดเอที่จะเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ โดยมีการคาดการณ์จำนวนพนักงานในบริษัทสัญชาติไทยและกลุ่มทุนต่างชาติ ที่กำลังจะย้ายเข้ามาอย่างเต็มรูปแบบในย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่นี้กว่า 78,000 คนในปี 2563 ประกอบกับแผนการเชื่อมต่อระหว่างโครงการรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน อย่างสายสีน้ำเงินที่มีจำนวนผู้โดยสายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 270,000 คน (เพิ่มขึ้นกว่า 5.23% ต่อปี) กับโครงการรถไฟฟ้าในอนาคตสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกและยกระดับความสามารถในการเชื่อมต่อเข้าสู่พื้นที่ CBD เดิมอย่างย่านสีลม สาทร และสุขุมวิทได้โดยตรง อีกทั้งแวดล้อมไปด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จึงเป็นที่ต้องการสำหรับ ผู้ซื้อที่ชื่นชอบความสะดวกสบาย” นายขยลกล่าว     “ในส่วนของภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมทำเลเชื่อมต่อ อโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 ย้อนหลัง 5 ปีพบโครงการใหม่ที่เปิดตัวในย่านทั้งสิ้น 19 โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่เปิดตัวในแนวถนนเส้นหลักตั้งแต่แยกอโศก-อโศกเพชรบุรี จำนวน 9 โครงการ ในราคาขายเฉลี่ย 240,000 บาท/ตร.ม. มียอดขายรวม 82% และเป็นโครงการที่เปิดตัวตั้งแต่แยกอโศกเพชรบุรี-สถานีศูนย์วัฒนธรรม จำนวน 10 โครงการ ในราคาขายเฉลี่ย 175,000 บาท/ตร.ม. และมียอดขายรวมแล้วถึง 83% ซึ่งนับเป็นอัตราการตอบรับที่ดี ขณะที่คอนโดมิเนียมในกลุ่มสินค้ารีเซลก็พบการปรับตัวขึ้นมาปีละประมาณ 9% เช่นกัน นอกจากนี้ ผู้ซื้อที่ต้องการลงทุนในการปล่อยเช่าและขายต่อให้ความสนใจในตลาดโซนนี้ไม่แพ้กัน เพราะผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าระยะยาว (Rental Yield) ของคอนโดฯ ในย่านนี้ พบอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 5 - 6% ซึ่งนับว่าราคาคอนโดมิเนียม ในทำเลนี้ ยังเหมาะสมในการซื้อทั้งเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุนระยะยาว” นายขยลกล่าวเพิ่มเติม     “ดังนั้น โครงการคอนโดมิเนียใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดในโซนนี้ ต้องสร้างความแตกต่างทั้งภายในยูนิตพักอาศัย และพื้นที่ส่วนกลางรวมถึงคุณภาพที่ได้มาตรฐาน เพื่อที่จะชนะใจคนเมืองและลูกค้าต่างชาติที่กำลังมองหาคอนโดในทำเลนี้ ซึ่งนับวันจะมีแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น เอพีเชื่อว่า ไลฟ์ อโศก ไฮป์ คอนโดมิเนียมใหม่ใจกลางย่านธุรกิจแห่งอนาคต เชื่อมต่ออโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 ผสมผสานความต่างอย่างลงตัว สะท้อนตัวตนที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร จะสามารถครองใจผู้ซื้อกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นทั้งในด้านโลเคชั่นเพียง 300 เมตรจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีพระราม 9 เลเอ้าท์ในยูนิตที่ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ พื้นที่ส่วนกลางการออกแบบที่เข้าใจความต้องการของ ผู้ซื้อในเรื่องความเป็นส่วนตัว ราคาเสนอขายที่จับต้องได้ ตลอดจนความมั่นใจในคุณภาพการก่อสร้าง การบำรุงรักษา และบริการหลังการขายของเอพี” นายวิทการกล่าวสรุป     ไลฟ์ อโศก ไฮป์ (LIFE Asoke Hype) คอนโดฯ ใจกลางย่านธุรกิจแห่งอนาคต โดดเด่นด้วยดีไซน์ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มูลค่าโครงการ 5,700 ล้านบาท ประกอบด้วยอาคารที่พักอาศัยสูง 40 ชั้น จำนวนห้องชุดทั้งสิ้น 1,253 ยูนิต และ 4 ร้านค้า ประกอบด้วยห้องชุดแบบ 1) สตูดิโอ ขนาด 25.50 ตารางเมตร 2) ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 30.50 – 32.00 ตารางเมตร 3) ห้องชุด 1 ห้องนอน (แบบพิเศษ) ขนาด 35.00-40.00 ตารางเมตร 4) ห้องชุด 2 ห้องนอน ขนาด 48.50 – 64.00 ตารางเมตร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในชั้น 1 ชั้น 7 ชั้น 40 และชั้น Rooftop โดยโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 5-0-10 ไร่ ทำเลศักยภาพย่านธุรกิจแห่งอนาคตอโศก-พระราม 9 พรั่งพร้อมด้วยห้างสรรพสินค้าและแหล่งชอปปิ้ง โรงเรียน อาคารสำนักงาน ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการคมนาคม สะดวกทั้งการใช้รถยนต์ส่วนตัว และระบบขนส่งสาธารณะ ตั้งอยู่บนทำเลเชื่อมต่อที่สำคัญและดีที่สุดบริเวณอโศก-พระราม 9 เพียง 300 เมตรจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีพระราม 9 และจุดขึ้น-ลงทางด่วน ตอบโจทย์ทั้งความสะดวกสบายในการเดินทางและสีสันการใช้ชีวิต     ทั้งนี้ สรุปปี 2561 บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 38 โครงการมูลค่า 59,580 ล้านบาท เปิดตัวในครึ่งปีหลังจำนวน 30 โครงการ มูลค่า 49,210 ล้านบาท แบ่งเป็นเปิดตัวในไตรมาส 3 จำนวน 12 โครงการ มูลค่า 17,980 ล้านบาท และไตรมาส 4 จำนวน 18 โครงการ มูลค่า 31,230 ล้านบาท ณ วันที่ 15 กันยายน บริษัทฯ สร้างยอดขายรวมได้แล้วถึง 29,710 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียมมูลค่า 14,455 ล้านบาท แนวราบมูลค่า 15,255 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้แล้วราว 75% ของเป้ายอดขาย ปี 2561 ที่ตั้งไว้ (เป้ายอดขาย 39,800 ล้านบาท) สินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ามากถึง 54,255 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 9,675 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 44,580 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) โดยจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566
EVER คึกประเดิมยอดโอนคอนโด “โพลิแทน บรีซ” ก.ย.นี้ หนุนผลประกอบการทั้งปีโตเท่าตัว จ่อผุดโครงการแนวราบเร็วกว่ากำหนดเดิม

EVER คึกประเดิมยอดโอนคอนโด “โพลิแทน บรีซ” ก.ย.นี้ หนุนผลประกอบการทั้งปีโตเท่าตัว จ่อผุดโครงการแนวราบเร็วกว่ากำหนดเดิม

"บมจ.เอเวอร์แลนด์" เร่งอัดยอดโอนโครงการแนวสูงย่านสนามบินน้ำ "เดอะโพลิแทน บรีซ" มูลค่าโครงการ 1,900-2,000 ล้านบาท ดีเดย์โอนล็อตแรกเดือนกันยายนนี้ มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ส่วนที่เหลือทยอยรับรู้ถึงธันวาคม 61 หนุนรายได้รวมปีนี้โตเท่าตัว จากปีก่อนอยู่ที่ 704 ล้านบาท เผยมีลุ้นพลิกกำไรจากขาดทุน ฟากบอส "สวิจักร์  โลจายะ" แย้มอาจได้เห็นโครงการแนวราบผุดเร็วก่อนกำหนด 1 โครงการสิ้นปีนี้จากเดิมมีแผนเปิดต้นปีหน้า   นายสวิจักร์ โลจายะ ประธานกรรมการ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ EVER  เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการแนวสูงย่านสนามบินน้ำทั้ง 3 โครงการ "เดอะ โพลิแทน ริฟ" "เดอะโพลิแทน อควา" และ "เดอะโพลิแทน บรีซ" ยังคงได้รับความสนใจจากลูกค้าในการเข้าชม โดยโครงการเดอะโพลิแทน บรีซ มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท คาดจะเริ่มโอนภายในเดือนกันยายนนี้ มูลค่า 300 – 400 ล้านบาท จากยอดขายจำนวน 130 – 150 ยูนิตจาก  ขณะที่โครงการทั้งหมดมีกว่า 500 ยูนิต ทั้งนี้ ส่วนที่เหลือจะทยอยโอนไปถึงเดือนธันวาคม 2561 ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะสนับสนุน และคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จากปีก่อนอยู่ที่ 704 ล้านบาท และคาดว่าจะพลิกเป็นกำไรจากปีก่อนที่ขาดทุน "ในปีนี้โครงการเดอะโพลิแทน บรีซ จะเป็นพระเอกในการทำให้ผลประกอบการเราดีขึ้น โดยในเดือนกันยายนนี้ น่าจะเห็นยอดโอนได้ราว 300 ล้านบาท และทยอยโอนเรื่อยๆ ที่ผ่านมาการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้า เช่น ห้องพรี่เมี่ยมราคา 8 ล้านบาท ขายได้กว่า 70% และตอนนี้ทีมมาร์เก็ตติ้ง EVER เร่งการโอน โดยการจัดโปรโมชั่น แถมเฟอร์นิเจอร์ , อยู่ฟรี 1 ปี  ฯลฯ เป็นต้นเพื่อกระตุ้นยอดขายเพิ่ม ขณะที่แนวสูง” เดอะ โพลิแทน ริฟ “ และ"เดอะโพลิแทน อควา" จะทยอยรับรู้ปลายปีนี้ และปลายปีหน้าตามลำดับ  ” นายสวิจักร์ กล่าว   นายสวิจักร์ กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากโครงการแนวสูงแล้ว โครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ "มายโฮมอเวนิว" ก็ให้ความสำคัญ เพื่อให้ EVER มีความแข็งแกร่งและยั่งยืนในการสร้างรายได้ในอนาคตมากขึ้น ซึ่งมายโฮมอเวนิว ทำเลย่านรามอินทรา-จตุโชติ ราคา 3 ล้านกว่าบาท ซึ่งเปิดขายในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมา ก็มีแนวโน้มที่จะโอนได้ภายในปลายปีนี้บางส่วน นอกจากนี้อาจเห็นการเปิดโครงการแนวราบเพิ่มอีก 1 โครงการในช่วงสิ้นปี ซึ่งถือว่าเปิดได้เร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้จะเปิดในช่วงต้นปีหน้า
พฤกษา ลุยทำเลทองโซนรังสิต เปิด “พฤกษาวิลล์ รังสิต-ซอยเวิร์คพอยท์”  ใกล้รถไฟฟ้า ทางด่วน เริ่ม 1.69 ลบ.

พฤกษา ลุยทำเลทองโซนรังสิต เปิด “พฤกษาวิลล์ รังสิต-ซอยเวิร์คพอยท์” ใกล้รถไฟฟ้า ทางด่วน เริ่ม 1.69 ลบ.

พฤกษา บุกย่านรังสิต เปิด “พฤกษาวิลล์ รังสิต-ซอยเวิร์คพอยท์” ทาวน์โฮมกว้าง 2 ชั้น ฟังก์ชันครบ วัสดุหรูเทียบเท่าบ้านเดี่ยว ช่วยประหยัดพลังงาน จัดเต็มคลับเฮาส์ และสระว่ายน้ำ  บนทำเลทองใจกลางย่านรังสิต เดินทางเชื่อมโยงเส้นทางต่างๆ ได้รอบทิศทาง ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง และทางด่วน เปิดพรีเซล 29-30 ก.ย. นี้     นายธีรเดช เกิดสำอางค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “หลังจากประสบความสำเร็จกับโครงการ พฤกษาวิลล์ รามคำแหง-วงแหวนฯ (มิสทีน) ทาวน์โฮมในทำเลที่ดีที่สุดบนถนนรามคำแหงที่ Sold Outเฟสแรก ภายใน 2 วัน กวาดยอดขายไปกว่า 650 ล้านบาท ล่าสุดเตรียมลุยทำเลย่านรังสิตต่อ ซึ่งถือเป็นจุดศูนย์กลางความเจริญของกรุงเทพฯ โซนเหนือ ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่กำลังเริ่มสร้างครอบครัว ด้วยศักยภาพโดยรอบต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นจนเกือบเทียบเท่าตัวเมืองชั้นใน และนับว่าเป็นทำเลทองของกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ที่มีความพร้อมสำหรับการอยู่อาศัย ความสะดวกในการเดินทาง สามารถเดินทางเข้า-ออก ทั้งในเมืองและชานเมืองได้ไม่ยาก พฤกษา เล็งเห็นศักยภาพของทำเลโซนนี้ จึงเปิดโครงการ “พฤกษาวิลล์ รังสิต-ซอยเวิร์คพอยท์” มูลค่าโครงการ 945 ล้านบาท จำนวน 441 ยูนิต ทาวน์โฮม 2 ชั้น สไตล์ Modern Contemporary กว้างขวาง โปร่งสบาย ช่วยประหยัดพลังงาน คัดสรรวัสดุชั้นดี เทียบเท่าบ้านเดี่ยว ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง และทางด่วน รายล้อมไปด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกรูปแบบใหม่ที่ครบครัน”     “พฤกษาวิลล์ รังสิต-ซอยเวิร์คพอยท์ ทาวน์โฮม 2 ชั้น และอาคารพาณิชย์ หน้ากว้าง 5.7 เมตร ขนาดพื้นที่ใช้สอย 95-98 ตร.ม. ขนาด 3-4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ ออกแบบสถาปัตยกรรมอย่างลงตัวและกลมกลืน เพิ่มความโปร่ง โล่ง ด้วยประตูบานใหญ่ และหน้าต่างแบบ Enlarge-High window  ที่ช่วยเปิดรับแสงธรรมชาติ และเพิ่มความสวยงาม ช่วยประหยัดพลังงาน เพิ่มความสูงของชั้นบนด้วยฝ้าสูง 2.75 เมตร ให้ความรู้สึกความโปร่ง โล่ง  จัดวางพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัวและเพิ่มความพิเศษ ด้วย Grand master Bedroom  ห้องนอนใหญ่พิเศษ พร้อมฟังก์ชั่นห้องน้ำเชื่อมต่อ เพิ่มความสะดวกและเป็นส่วนตัว  ออกแบบพื้นที่การใช้งานแบบ Flexi – Multi Space  ที่สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้ตามรูปแบบการใช้ชีวิต เต็มที่กับวันพักผ่อนกับคลับเฮาส์ ฟิตเนส และสระน้ำระบบน้ำเกลือ ใกล้ชิดธรรมชาติด้วย Strip Park และสวนส่วนกลางพื้นที่สีเขียวที่ช่วยเพิ่มออกซิเจน ลู่วิ่งรอบสวนส่วนกลาง พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง     โครงการตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านรังสิต สะดวกเข้า-ออกเมืองได้หลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นถนนพหลโยธิน ถนนรังสิต-ปทุม ถนนติวานนท์  ถนนรังสิต-นครนายก  ใกล้ทางด่วน, ทางยกระดับดอนเมืองโทลเวย์ และรถไฟฟ้าสายสีแดงในอนาคต รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยรอบโครงการ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำ หน่วยงานราชการ สถานศึกษา และสถานพยาบาล ที่เรียกได้ว่าครบครัน ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท เปิดจอง 29-30 ก.ย.นี้ พิเศษ!สำหรับลูกค้าที่จอง และทำสัญญาภายในงาน รับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท ฟรี! แอร์, ค่าธรรมเนียมการโอนฯ และสิทธิพิเศษอื่น ๆ เฉพาะวันงาน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.1739  
“ลัคกี้เฟลม” ปรับโฉมผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรม Innovation และ Design ที่ทันสมัย พร้อมผุดโชว์รูมสาขา 2 ในรอบ 43 ปี

“ลัคกี้เฟลม” ปรับโฉมผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรม Innovation และ Design ที่ทันสมัย พร้อมผุดโชว์รูมสาขา 2 ในรอบ 43 ปี

“ลัคกี้เฟลม” ชื่อแบรนด์เตาแก๊สที่อยู่คู่ครัวคนไทยมากว่า 43 ปี สวนกระแสเศรษฐกิจหด เนรมิตโชว์รูมสาขา 2 ที่ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต เดินหน้าครองแชมป์ครัวไทย สู่ทศวรรษที่ 4 มุ่งแตกไลน์สินค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้ง Built-in ตลาดใหม่ อาทิ เตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน อ่างซิงค์ เจาะกลุ่มคอนโด และหมู่บ้านในเมือง โชว์ความเหนือชั้นเป็นเจ้าเดียวในตลาดที่รับประกันแก๊สวาล์วถึง 5 ปี พร้อมเสริมทีมบริการหลังการขายที่เป็นพันธมิตรตัวแทนที่มีอยู่ทั่วประเทศ และเจาะตลาดออนไลน์สร้าง Branding ชูจุดแข็งคุณภาพสินค้า ส่วนตลาด CLMV ยังเติบโตอย่างโดดเด่นและต่อเนื่อง   นายเชาว์เลิศ ลีลาศวัฒนกุล กรรมการบริหารและผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ลัคกี้ เฟลม จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เตาแก๊ส และอุปกรณ์ภายในครัวเรือน แบรนด์ “ลัคกี้ เฟลม” เผยว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่คู่คนไทยมาเป็นเวลากว่า 43 ปีแล้ว ส่วนใหญ่จะรู้จักในนาม “เตาแก๊สลัคกี้เฟลม” ซึ่งปัจจุบันเราเป็นผู้ผลิต และจำหน่ายเตาแก๊ส เครื่องปรับความดันก๊าซ เครื่องดูดควัน เตาอบแก๊ส หม้อหุงข้าวแก๊ส เครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า วาล์วก๊าซ ปืนจุดแก๊ส และเครื่องใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ด้วยคุณภาพของสินค้าที่รักษามาตรฐานได้อย่างดีเยี่ยม ประกอบกับความเข้าใจ ความจริงใจ รวมถึงการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าที่เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน ทำให้เตาแก๊สลัคกี้เฟลมยังยืนเคียงคู่สังคมไทย มาเป็นเวลากว่า 43 ปี     เรามีความเชื่อว่า สิ่งที่บ่งบอกถึงเสน่ห์ของอาหารไทย ไม่ได้ถูกจำกัดแค่ในเรื่องวัตถุดิบหรือฝีมือคนปรุงเท่านั้น แต่ครัวไทยก็ช่วยเสริมความมีเสน่ห์ของอาหารไทยได้เหมือนกัน เมื่อก่อนเราใช้แค่เตาถ่านก็ทำอาหารที่อร่อยได้ ต่อมาเมื่อเรามีเตาแก๊ส การทำอาหารก็กลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ซึ่งจุดเริ่มต้นของ “ลัคกี้เฟลม” ก็มาจากความชื่นชอบในเสน่ห์ของครัวไทยนั่นเอง จากตอนแรกที่ทำกันแค่ธุรกิจครอบครัว ก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนรู้ตัวอีกทีลัคกี้เฟลมก็มีอายุ 43 ปีแล้ว สิ่งที่เราได้พัฒนามาตลอดก็คือเรื่องคุณภาพของสินค้า นวัตกรรมใหม่ๆ ในครัว แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย คือการจุดประกายความสุขควบคู่ครัวเรือนไทย ไม่ว่าจะกี่รุ่น คนไทยแทบจะทุกคนก็รู้จัก “เตาแก๊สลัคกี้เฟลม”   สิ่งที่เป็นจุดแข็งและสร้างความโดดเด่นให้ลัคกี้เฟลมมาตลอด ก็คือคุณภาพของสินค้าที่คงทนแข็งแรง มีมาตรฐาน และมีความปลอดภัยสูง รวมถึงได้พัฒนาให้สินค้ามีความหลากหลาย มีฟังก์ชั่นมากขึ้น มีรูปแบบทันสมัย ทำงานง่าย สะดวกและปลอดภัย รวมถึงเรายังสร้างความเชื่อใจให้ลูกค้าจากการรับรอง ISO 9001:2015 ซึ่งเป็นเหมือนใบรับประกันคุณภาพของผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และเรายังเป็นผู้ผลิตเตาแก๊สที่ติดตรา มอก. และ Thailand Trusted Mark บทนิยามที่บ่งบอกถึงมาตรฐานและคุณภาพ ของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไทย นอกจากนี้สินค้าทุกชิ้นของลัคกี้เฟลมยังได้รับการพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์ลดการสิ้นเปลืองพลังงาน นับเป็นหนึ่งในการดูแลสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อม ที่เราได้ให้ความสำคัญเสมอมา   นายเชาว์เลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันเรามีการพัฒนาคุณภาพสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น เครื่องดูดควัน เตาอบแก๊ส หม้อหุงข้าวแก๊ส ปืนจุดแก๊ส หรือเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า และยังรวมไปถึงการแตกไลน์ผลิตอุปกรณ์ครัวแบบ Built-in ที่เริ่มมีบทบาทในครัวของคนไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำอาหารในคอนโด หรือหมู่บ้านในเมือง โดยเปิดโชว์รูมลัคกี้เฟลม สาขา 2 ณ ฟิวส์เจอร์ปาร์ค รังสิต บนเนื้อที่กว่า 122 ตรม. มีสินค้าของลัคกี้เฟลมมากกว่า 100 SKU พร้อมทั้งมีการจัดแสดง Display Product เพื่อเป็นตัวอย่างในการสร้างไอเดียหรือแรงบันดาลใจให้กับลูกค้าที่พบเห็น เพื่อเป็นแนวทางในการตกแต่งห้องครัวไทยอีกด้วย ซึ่งขณะนี้เรามีโชว์รูมสาขาแรกในเซ็นทรัล บางนา ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เราจึงได้มีการขยายสาขาเพิ่มอีกเป็นแห่งที่ 2 และมีแผนที่จะขยายแห่งที่ 3 เร็วๆ นี้   ปัจจุบัน “ลัคกี้เฟลม” มีช่องทางการจัดจำหน่ายผ่าน โฮมโปร, ไทวัสดุ, เทสโก้โลตัส, บิ๊กซี, โฮมเวิล์ค, บุญถาวร และโกเบิลเฮ้าส์ นอกจากนี้เรายังมีช่องทางจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายกระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย รวมถึงมีบริการหลังการขายที่คอยดูแลลูกค้าได้ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ และเราเป็นเจ้าเดียวในตลาดที่รับประกันแก๊สวาล์วถึง 5 ปี, มอเตอร์เครื่องดูดควันถึง 10 ปี ซึ่งมองว่า จุดนี้เป็นจุดแข็งที่ทำให้ “ลัคกี้เฟลม” มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีนโยบายที่ชัดเจนในการสร้าง Lucky Flame ให้เป็นสินค้าที่ครองใจผู้บริโภคเน้น Innovation และ Design ที่สวยทันสมัยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมุ่งเน้นสินค้าที่ดีด้วยปณิธาน “Quality is our destiny” คุณภาพคือจิตวิญญาณของเรา     ปัจจุบัน “ลัคกี้เฟลม” มีช่องทางการจัดจำหน่ายผ่าน โฮมโปร, ไทวัสดุ, เทสโก้โลตัส, บิ๊กซี, โฮมเวิล์ค, บุญถาวร และโกเบิลเฮ้าส์ นอกจากนี้เรายังมีช่องทางจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายกระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย รวมถึงมีบริการหลังการขายที่คอยดูแลลูกค้าได้ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ และเราเป็นเจ้าเดียวในตลาดที่รับประกันแก๊สวาล์วถึง 5 ปี, มอเตอร์เครื่องดูดควันถึง 10 ปี ซึ่งมองว่า จุดนี้เป็นจุดแข็งที่ทำให้ “ลัคกี้เฟลม” มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีนโยบายที่ชัดเจนในการสร้าง Lucky Flame ให้เป็นสินค้าที่ครองใจผู้บริโภคเน้น Innovation และ Design ที่สวยทันสมัยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมุ่งเน้นสินค้าที่ดีด้วยปณิธาน “Quality is our destiny” คุณภาพคือจิตวิญญาณของเรา     พร้อมกันนี้ยังมีการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ด้วยมุ่งเน้นเพื่อการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ ขณะเดียวกันก็ยังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ในต่างประเทศ อาทิ ดูไบ แอฟริกา บังกลาเทศ และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV จะมีการเติบโตโดดเด่นเป็นพิเศษ นายเชาว์เลิศ กล่าวทิ้งท้าย   ผู้ที่สนใจเยี่ยมชมสินค้าได้ที่ โชว์รูมลัคกี้เฟลม สาขา 2 ณ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์โทร. 02-150-9258 หรือ ลัคกี้เฟลม Call Center โทร. 02-312-4330
ครั้งแรกกับการจัดแสดงงานศิลป์ชิ้นพิเศษบนเพนท์เฮาส์สุดหรูวิวโค้งน้ำเจ้าพระยา ในงาน “PENTHOUSE IS ART BY MENAM RESIDENCES”

ครั้งแรกกับการจัดแสดงงานศิลป์ชิ้นพิเศษบนเพนท์เฮาส์สุดหรูวิวโค้งน้ำเจ้าพระยา ในงาน “PENTHOUSE IS ART BY MENAM RESIDENCES”

แม่น้ำเรสซิเดนท์ นำเสนอครั้งแรกกับปรากฏการณ์จัดแสดงงานศิลปะบนเพนท์เฮ้าส์หรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยนำเสนอผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อให้การตกแต่งภายในมีความโดดเด่น และลงตัวกับทุกพื้นที่ใช้สอย  โดยร่วมกับศิลปินดังระดับประเทศ ชั้นนำ 13 คน นำทีมโดย ชลิต นาคพะวัน คิวเรเตอร์และศิลปิน เปิดการแสดงศิลปะบนเพนท์เฮาส์ครั้งแรกของประเทศไทยในชื่อว่า  “PENTHOUSE IS ART BY MENAM RESIDENCES” เปิดให้บุคคลทั่วไปที่สนใจสัมผัสงานศิลปะและการออกแบบตกแต่ง เข้าชมงานได้ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน จนถึง 7 ตุลาคม 2561 ทุกวันเสาร์ และอาทิตย์ เวลา 09.00 น. – 17.00 น นายเดชโรจน์ ตั้งสิน กรรมการบริหาร บริษัท แม่น้ำเรสซิเดนท์ จำกัด เปิดเผยถึงแนวคิดในการจัดแสดงผลงานศิลปะบนเพนท์เฮาส์ ว่าจากคอนเซ็ปต์ของงาน ตั้งใจให้ศิลปะสะท้อนการใช้ชีวิตในเพนท์เฮาส์ที่สอดรับกับรสนิยมและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่ในรูปแบบแตกต่างกันออกไป ด้วยทำเลที่ตั้งของโครงการที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำได้จากทุกห้อง ผสมผสานกับการออกแบบเพนท์เฮาส์ที่ใส่ใจรายละเอียดทุกพื้นที่การใช้สอย โดยนำผลงานศิลปะจากเหล่าศิลปินชั้นนำของประเทศ ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะมาตกแต่งเพนท์เฮาส์อย่างมีสไตล์ นอกจากจะช่วยเพิ่มความสวยงามและเอกลักษณ์ให้กับห้องแล้ว ยังสามารถเพิ่มมูลค่าในระยะยาวได้อีกด้วย และเชื่อว่างาน PENTHOUSE IS  ART จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับบุคคลทั่วไปในการเลือกงานศิลปะเข้ามาตกแต่งที่อยู่อาศัยของตนเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเพนท์เฮาส์ก็ได้ โดยให้มองว่าทั้งงานศิลปะและที่อยู่อาศัย คือ Passion Investment ที่เป็นการลงทุนเพื่อเป็นความสุขและกำไรของชีวิตนั่นเอง ด้านนายชลิต นาคพะวัน คิวเรเตอร์และหนึ่งในศิลปินผู้จัดแสดงผลงาน กล่าวถึงความพิเศษในการคัดสรรผลงานของศิลปินที่นำมาตกแต่งเพนท์เฮาส์ ว่า เป็นครั้งแรกที่วงการศิลปะและอสังหาริมทรัพย์มารวมตัวกันได้อย่างลงตัว รวมทั้งเป็นการนำผลงานศิลปะมาจัดแสดงไว้ในสถานที่จริง โดยได้คัดสรรผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักของสังคม นำผลงานมาจัดวางและตกแต่งห้องเพนท์เฮาส์ให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น รวมทั้งสร้างสรรค์บรรยากาศ และให้ความรู้สึกที่มีความเป็นบ้าน และมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับคอนเซ็ปต์ของห้องด้วย เพื่อให้ผู้สนใจได้เสพงานศิลป์ชิ้นเอกทั้งภายในห้องเพนท์เฮาส์ และเมื่อมองออกไปข้างนอกก็ได้สัมผัสงานศิลป์ที่สร้างสรรค์โดยธรรมชาติไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงสุนทรียภาพของงานศิลปะที่มีต่อที่พักอาศัยอย่างแท้จริง” สำหรับการจัดแสดงผลงานศิลปะ “PENTHOUSE IS ART BY MENAM RESIDENCES” ได้รับเกียรติจากศิลปินที่มีชื่อเสียงแถวหน้าของประเทศ  ชลิต นาคพะวัน เป็นคิวเรเตอร์ พร้อมด้วยศิลปินแห่งชาติ และศิลปินที่เป็นที่รู้จักกันดีทั้งภายในและต่างประเทศสมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพงศ์, ศราวุธ ดวงจำปา, อภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล, ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี, จิตต์สิงห์ สมบุญ, สุธี คุณาวิชยานนท์, สุรพร เลิศวงศ์ไพฑูรย์, ผศ.กิตติชัย กันแตง, วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์, ผศ. ดร.น้ำฝน ไล่สัตรูไกล, ปิ่นนุช ปิ่นจินดา และ ผศ.ลลินธร เพ็ญเจริญ ร่วมแสดงผลงานศิลปะที่หลากหลายสาขา ทั้งด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และงานออกแบบผลิตภัณฑ์ ร่วมสัมผัสศิลปะในมุมมองใหม่ ที่สร้างสรรค์โดยเหล่าศิลปินแถวหน้าของประเทศไทยในงาน PENTHOUSE IS ART by MENAM RESIDENCES เปิดให้บุคคลทั่วไปที่สนใจสัมผัสงานศิลปะและการออกแบบตกแต่ง เข้าชมงานได้ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน จนถึง 7 ตุลาคม 2561 ทุกวันเสาร์ และอาทิตย์ เวลา 09.00 น – 17.00 น. โดยนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ โทร. 062-796-0101 หรือสามารถลงทะเบียนเพื่อจองรอบเข้าชมงานได้ทาง https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSf6xTk-ayYCqQfSfcBiQuN6mWBRJleGBLLyHzZxAESr9z_fgw/viewform     ติดตามกิจกรรมที่น่าสนใจ และอัพเดตทุกความเคลื่อนไหวของแม่น้ำเรสซิเดนท์ ได้ทาง www.facebook.com/menamresidencesofficial (Menam Residences) #PENTHOUSEISART #MENAMRESIDENCES #PenthouseIsArtbyMenamResidences
“อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” ลุยเปิดสาขาใหม่ แห่งที่ 29  รับกำลังซื้อเฟอร์ฯ และการขยายตัวภาคอสังหาฯ หัวเมืองหลัก

“อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” ลุยเปิดสาขาใหม่ แห่งที่ 29 รับกำลังซื้อเฟอร์ฯ และการขยายตัวภาคอสังหาฯ หัวเมืองหลัก

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (Index Living Mall) บุกตลาดย่านบางกรวย-ไทรน้อย ปักธงสโตร์ที่ 29 อัดงบหนักขยายโซนกรุงเทพฯ ตะวันตก หวังกระตุ้นยอดไตรมาส 4 รองรับความต้องการสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านของลูกค้า ตอกย้ำแนวคิด “มาที่เดียวครบ จบ คุ้ม”   นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด เปิดเผยว่า “ปีนี้เราได้เปิดสาขาใหม่ บางกรวย-ไทรน้อย ซึ่งตั้งอยู่ใน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เป็นสาขาลำดับที่ 29 ด้วยงบลงทุน 480 ลบ. บนพื้นที่ร่วม 7,000 ตร.ม. ภายในเทสโก้ โลตัส ซึ่งสาขานี้นับเป็นแห่งที่ 4 ที่ร่วมกับ เทสโก้ โลตัส หลังจากเปิดที่ มหาชัย, นครสวรรค์ และแจ้งวัฒนะ   สำหรับนนทบุรีนับเป็นเมืองธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูง มีการขยายตัวอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร แบ่งเป็น คอนโดฯ 397 โครงการ 142,686 ห้องชุด และบ้านจัดสรร 1,406 โครงการ 290,127 หลัง และยังมีโครงการใหม่ทุกเดือน เดือนละ 5-6 โครงการ และรัฐบาลได้มีการลงทุนสาธารณูปโภคหลายด้าน ทั้งทางหลวงพิเศษ ทางหลวงตัดใหม่ สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา รถไฟฟ้าสายสีม่วง ขณะเดียวกันรถไฟฟ้าสายสีชมพูอยู่ระหว่างดำเนินการ มีเรือด่วนที่สามารถสัญจรไปยังกรุงเทพฯ ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงโครงการมอเตอร์เวย์ บางใหญ่-กาญจนบุรี   บริษัทฯ จึงเล็งเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจ และเชื่อว่าสาขาใหม่นี้จะตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าทั้ง บ้าน-คอนโด ลูกค้าบริษัท และกลุ่มนักธุรกิจ รวมถึงผู้ที่ย้ายเข้ามาทำงานในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งสาขาบางกรวย-ไทรน้อย มีจุดเด่นทำเลที่ตั้งอยู่บนจุดตัดถนนกาญจนาภิเษกวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันตก และ ถนนบางกรวย- ไทรน้อย ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่ครบครันที่สุด (Transportation Hub) สามารถเชื่อมต่อทุกเส้นทาง เข้าด้วยกัน อาทิ รถไฟฟ้าสายสีม่วง, ถนนกาญจนาภิเษกวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันตก, ท่าเรือ, ทางด่วน และระบบขนส่งมวลชน เดินทางสะดวกเข้าออกได้หลายเส้นทาง”       อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาบางกรวย-ไทรน้อย เปิดบริการอย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิดจุดหมายใหม่แห่งเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ เติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ที่ครบครันใหม่ที่สุดในย่านนี้ ด้วยสินค้าที่ครบครันทั้งเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน ของใช้ภายในบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้า หลากฟังก์ชันหลายดีไซน์ กว่า 10,000 รายการ บนพื้นที่ขนาด 7,000 ตร.ม. แบ่งเป็น 2 ชั้น ซึ่งชั้น 1 ประกอบด้วยสินค้าของแต่งบ้าน-ของใช้ภายในบ้าน, เฟอร์นิเจอร์-อุปกรณ์สำหรับการจัดเก็บภายในบ้าน (Storage Solutions & Home Organization), “Baby Journey” เฟอร์นิเจอร์-อุปกรณ์และของใช้สำหรับเด็ก, เครื่องใช้ไฟฟ้า “POWER ONE” และโซนที่นอน “MATTRESS”   ส่วนชั้น 2 ประกอบด้วยเฟอร์นิเจอร์ แบรนด์ อินเด็กซ์ เฟอร์นิเจอร์ (Index Furniture), วินเนอร์ เฟอร์นิเจอร์ (Winner Furniture), ชุดครัว (Kitchen), ทีมดีไซน์เนอร์ (Designer Specialist) บริการออกแบบห้องด้วยโปรแกรม 3D, Home Service ครบทุกบริการสำหรับคนรักบ้าน และ ยูนีค (Younique) เฟอร์นิเจอร์ สั่งตัด 4.0 ซึ่งทำให้อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เป็น One Stop Shopping เรื่องบ้านอย่างครบวงจร สามารถตอบโจทย์สูงสุดทุกความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน มั่นใจจะสามารถทำยอดขายได้เฉลี่ย 17 ลบ. ต่อเดือน สำหรับรายได้รวมของกลุ่มอินเด็กซ์ ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 เท่ากับ 4,889.53 ลบ. หรือเพิ่มขึ้น +4.19% เทียบกับช่วง 6 เดือนของปี 2560 สัดส่วนยอดขายหลักมาจากการค้าปลีก 80% และจากสาขาใน หัวเมืองหลัก อาทิ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา เพราะเป็นสาขาที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด มียอดบิลเฉลี่ยสูงถึง 18,000 บาทต่อบิล ส่วนกรุงเทพฯและปริมณฑลยอดขายยังไปได้ดี เพราะรองรับกลุ่มลูกค้ามีรายได้ประจำ ขณะที่มีจำนวนสมาชิกบัตร JOY CARD ของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ในไทยกว่า 1.1 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง   “นอกจากแผนการขยายสาขาใหม่แล้ว กลยุทธ์ด้านสินค้าและบริการ รวมถึงแคมเปญทางการตลาดจะยังคงมีอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีทั้งด้านสินค้าและบริการนั้น ปีนี้ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ได้เปิด “ยูนีค” (Younique) เฟอร์นิเจอร์สั่งตัดตามใจ Customized Furniture 4.0 เพิ่มเติมในสาขาใหม่ บางกรวย-ไทรน้อย เป็นสาขาที่ 6 จากเดิมที่เปิดให้บริการแล้วที่สาขาพระราม 2, บางนา, เกษตร-นวมินทร์, ราชพฤกษ์ และรังสิต โดยมีแฟล็กชิพสโตร์ ที่ใหญ่ที่สุด คือ สาขาบางนา ด้วยพื้นที่ 900 ตร.ม. พร้อมเตรียมเปิดสาขาเพิ่มเติมในกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลักอีก 2 สาขา ภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตสังคม 4.0 รวมทั้งมีแผนผนึกพันธมิตรอสังหาฯ ชั้นนำของไทยเสริมแกร่งต่อยอดธุรกิจ ชูจุดขายคุณค่าที่มากกว่าแค่ Personalize เพราะ Customize ปรับพื้นที่จาก 35 ตร.ม. เพิ่มพื้นที่ใช้สอยเทียบเท่า 53 ตร.ม. จัดสรรพื้นที่ได้ทั้งแนวราบ แนวดิ่ง ด้วยการยืด ย่อ หด ขยาย ผ่านเทคโนโลยที่ละเอียดขั้นมิลลิเมตร รายเดียวในไทย ยืนยันจากเสียงลูกค้าจริงค่ะ”  
ศุภาลัย พรีมา วิลล่า พระราม 2 – บางขุนเทียน คฤหาสน์หรู พร้อมชีวิตสะดวกสบายกับระบบ Home Automation

ศุภาลัย พรีมา วิลล่า พระราม 2 – บางขุนเทียน คฤหาสน์หรู พร้อมชีวิตสะดวกสบายกับระบบ Home Automation

ศุภาลัย พรีมา วิลล่า พระราม 2 - บางขุนเทียน Brand บ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ระดับ Hi-End ของบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) บนพื้นที่โครงการประมาณ 23 ไร่ ซึ่งสร้างสรรค์เป็นคฤหาสน์หรู สไตล์โมเดิร์น บนเนื้อที่ 100 ตร.วา ในราคาเริ่มต้นเพียง 9.9 ล้านบาท โดดเด่นด้วยทำเลคุณภาพเดินทางสะดวกบนถนนบางขุนเทียน - ชายทะเล สามารถเข้า - ออกได้หลายทาง ทั้งจากถนนพระราม 2 (ฝั่งขาออก) และถนนเลียบวงแหวนฯ (ฝั่งขาออก) เชื่อมต่อติดเมืองด้วยทางด่วนเฉลิมมหานคร ทางด่วนวงแหวนอุตสาหกรรม และใหม่! ทางด่วนพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนตะวันตก (เปิดใช้ปี 2564) แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ เซ็นทรัลพระราม 2 The Bright โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยธนบุรี โรงเรียนบางปะกอก 9 และโรงพยาบาลนครธน   การออกแบบภายใต้แนวคิด “The Definition of Happiness” เพื่อผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสกับความหรูหราและ ความเป็นส่วนตัวในสังคมคุณภาพเหนือระดับเพียง 62 หลังเท่านั้น มาพร้อมฟังก์ชั่นบ้านขนาดใหญ่ และยังมีแบบบ้านให้เลือกหลากหลายตามความต้องการของลูกค้ามากถึง 4 แบบ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 213 - 318 ตร.ม. ขนาด 4 ห้องนอน 3 - 5 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ เพิ่มห้องทำงานและห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้ อีกทั้งใส่ใจเพื่อให้ คุณได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในทุกรายละเอียดด้วยมาตรฐานวัสดุคุณภาพ ตอบโจทย์ทุก Lifestyle เพื่อทุกคนในครอบครัว ยุคดิจิทัล ด้วยระบบ Home Automation & Security บ้านอัจฉริยะครบวงจร ทำให้ชีวิตคุณง่ายยิ่งขึ้นเพียงปลายนิ้วสัมผัส สามารถสั่งการและควบคุมการทำงานระบบต่างๆ ภายในบ้านทุกหลัง ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านแอพพลิเคชั่น บนสมาร์ทโฟน เพื่อมอบความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต และประหยัดพลังงานผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น Spot อุปกรณ์ควบคุม/สั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าแทนรีโมต Smart Switch สวิตซ์ไฟอัจฉริยะสามารถตั้งเวลาเปิด - ปิดระบบไฟฟ้า ภายในบ้าน Smart Controller อุปกรณ์ควบคุมการเปิด - ปิด ประตูรั้วบ้าน และ Cube Clicker สั่งงานเปิด - ปิด แบบ Scene เพียงแค่กดอุปกรณ์ทั้งหมดได้พร้อมกันในคลิกเดียว รวมทั้งด้านความปลอดภัยภายในบ้านผ่าน Smart Siren อุปกรณ์แจ้งเตือนด้วยระบบเสียงเมื่อมีการบุกรุก Cube Door / Window Sensor ตรวจจับแรงสั่นสะเทือนและแจ้งเตือนเมื่อมีการเปิด / ปิดประตูและหน้าต่าง และกล้อง Wifi พร้อมฟังก์ชั่นตรวจจับความเคลื่อนไหวเหตุการณ์ต่างๆ และส่งข้อความแบบ Real - Time   อีกทั้งภายในโครงการเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งสระว่ายน้ำระบบน้ำแร่ และฟิตเนส เน้นความเป็นธรรมชาติด้วยสวนส่วนกลางขนาดใหญ่ และมั่นใจด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ระบบสัญญาณกันขโมยภายในบ้าน พร้อมกล้อง CCTV และเข้า-ออกโครงการด้วยประตูระบบ Easy Pass   สำหรับผู้ที่กำลังมองหาคฤหาสน์หรู สังคมคุณภาพ ในย่านพระราม 2 - บางขุนเทียน เชิญร่วมงาน Pre-Sale 15 - 16 กันยายนนี้ จองในงานรับทองคำแท่ง 30 บาท และ Gift Voucher SB มูลค่า 300,000 บาท พร้อมรับของแถมหลายรายการ มาก่อนเลือกแปลงสวยก่อนใคร ณ สำนักงานขายโครงการ โทร. 1720 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.supalai.com
แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ผนึกวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ  ยันครองตำแหน่งซูเปอร์ลักชัวรี่มิกซ์ยูสกลางใจเมือง

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ผนึกวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ยันครองตำแหน่งซูเปอร์ลักชัวรี่มิกซ์ยูสกลางใจเมือง

หลังเปิดตัว “วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ” แบรนด์โรงแรมระดับไฮเอนด์แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของวอลดอร์ฟในเครือฮิลตัน โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท ไปได้อย่างสวยงาม และได้รับคำชมเต็มๆ วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ หัวเรือใหญ่แห่ง MQDC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการคอนโดหรูใจกลางย่านเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ฉลองด้วยการมอบสิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับผู้พักอาศัย เมื่อใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากร้านค้าภายในโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ นอกเหนือจากการได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดสุดหรู ใจดีและให้ความสำคัญกับลูกค้าแบบนี้ นี่เอง โครงการคอนโดถึงขายดิบขายดี แว่วมาว่า…ปัจจุบันปิดการขายไปแล้วกว่า 80%!
โฮมโปร ร่วมกับ Pasaya จัดแคมเปญ Give&Get  ปี 5  ชวนคนไทยเปลี่ยนผ้าม่านเก่าเป็นใหม่ เพื่อสร้างโอกาสให้กับเด็กๆ  ในมูลนิธิ SafeGuard Kids ที่โฮมโปร ทุกสาขาทั่วประเทศ

โฮมโปร ร่วมกับ Pasaya จัดแคมเปญ Give&Get ปี 5 ชวนคนไทยเปลี่ยนผ้าม่านเก่าเป็นใหม่ เพื่อสร้างโอกาสให้กับเด็กๆ ในมูลนิธิ SafeGuard Kids ที่โฮมโปร ทุกสาขาทั่วประเทศ

นางสาวอิษฏพร ศรีสุขวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านจัดซื้อ Home Textile and Furniture บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร  ร่วมกับ คุณชนิกานต์ จิวริเวชช์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายภายในประเทศ บริษัท เท็กซ์ไทล์ แกลลอรี่ หรือ Pasaya ร่วมจัดแคมเปญ Give&Get ปี 5 ชวนคนรักบ้านเปลี่ยนผ้าม่านเก่า เป็นผ้าม่านใหม่ เพียงซื้อผ้าม่านที่โฮมโปร ทุกสาขาทั่วประเทศ รับโปรโมชั่นพิเศษสุดคุ้มถึง 4 ต่อ ต่อที่ 1 รับส่วนลดสูงสุดทันที 30-50% เมื่อซื้อผ้าม่าน และพรม แบรนด์ PASAYA ต่อที่ 2 ลดเพิ่มอีก 15% เมื่อนำผ้าม่านเก่าแบรนด์ใดก็ได้ มาแลกซื้อผ้าม่าน พรม แบรนด์ Pasaya หรือ ช้อปสินค้าใดก็ได้ภายในโฮมโปรครบ 5,000 บาท (รับส่วนลดท้ายใบเสร็จ) ต่อที่ 3 สมาชิกบัตรโฮมการ์ดรับส่วนลดเพิ่มอีก 5% ต่อที่ 4 ลูกค้าบัตร Homepro Visa รับส่วนลดเพิ่มอีก 3 %   โดยผ้าม่านเก่าสภาพใช้งานได้ และรายได้ส่วนหนึ่งจากแคมเปญนี้จะมอบให้กับ มูลนิธิ SafeGuard Kids หรือมูลนิธิพิทักษ์ และคุ้มครองเด็ก เพื่อสร้างโอกาส และร่วมเป็นกระบอกเสียงให้กับเด็กๆ ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ เลือกซื้อผ้าม่านสำหรับตกแต่งบ้านกันได้ที่ “โฮมโปร” ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ – 3 ตุลาคม 2561 นี้ สอบถามเพิ่มเติมโทร 1284 หรือ www.homepro.co.th