Tag : News

2376 ผลลัพธ์
เสนาฯ ปลื้ม “นิช โมโน เจริญนคร” กวาดยอดขาย 770 ล้านบาท

เสนาฯ ปลื้ม “นิช โมโน เจริญนคร” กวาดยอดขาย 770 ล้านบาท

ขายดีเทน้ำเทท่า ก็งานนี้แหละจ้า!! การันตีความสำเร็จจากยอดขายคอนโดมิเนียม ริมแม่น้ำเจ้าพระยาครั้งแรก ภายใต้การร่วมทุนระหว่าง เสนา ฮันคิว นำทัพโดยผู้บริหารหญิงแกร่งแห่งวงการอสังหา ดร.ยุ้ย เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่ออกมาบอกว่า โครงการ นิช โมโน เจริญนคร คอนโดหรูวิวโค้งน้ำที่สวยที่สุด เพิ่งเปิดขายเพียงเดือนเศษเท่านั้นก็กวาดยอดขายเกินครึ่ง ตีเป็นมูลค่ากว่า 770 ล้านบาท นี่แว่วๆมาว่า ชั้นบนสุดขายหมดแล้วนะจ๊ะ เพราะนอกจากจะได้รับวิวพาโนราม่าแบบ 360 องศา มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์แบบ Fully furnished ใส่ใจทุกดีเทลของชีวิตผ่านคอนเซปต์ Made From Her ผลตอบรับดีแบบนี้ ใครที่สนใจรีบจับจองเป็นเจ้าของด่วน ถ้าพลาดแล้วจะเสียใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1775 กด 76 ได้เลยจ้า
ตลาดอาคารสำนักงานคาดแข่งขันเดือด อุปทานใหม่เตรียมจ่อเข้าตลาดอีกกว่า 3.5 แสน ตร.ม.

ตลาดอาคารสำนักงานคาดแข่งขันเดือด อุปทานใหม่เตรียมจ่อเข้าตลาดอีกกว่า 3.5 แสน ตร.ม.

เน็กซัสเผย ตลาดอาคารสำนักงานในย่านธุรกิจมีแนวโน้มในการแข่งดุ ปัจจุบันพบว่าตลาดอาคารสำนักงานในย่านธุรกิจมี อัตราว่างของพื้นที่เช่า อยู่ในระดับต่ำ ค่าเช่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในอีก 3-4 ปีข้างหน้า การแข่งขันจะดุเดือดยิ่งขึ้น เนื่องจากมีอุปทานใหม่เกิดขึ้นในตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าอุปทานที่เพิ่มขึ้นจะสูงขึ้นกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ จาก 1.175 ล้านตารางเมตร แนะเจ้าของอาคารเก่าควรปรับปรุงอาคารให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่ออัตราค่าเช่าที่ดีขึ้น นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด กล่าวว่า “หากเรามองย้อนกลับไปในช่วง 10 ปีที่ที่ผ่านมา จะพบว่าอัตราว่างเฉลี่ยของพื้นที่เช่าสำนักงานอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 10% ซึ่งถือว่าเป็นอยู่ในระดับที่ต่ำแล้ว แต่ในปัจจุบันพบว่าอัตราว่างกลับน้อยลงไปอีก คือ มีอัตราว่างเพียง  7-8% เท่านั้น และยังมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดเป็นผลมาจากการเกิดขึ้นของบริษัทต่างๆ มีมากขึ้น มีการลงทุนของต่างชาติที่เข้ามาเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานมากขึ้น และการเติบโตของธุรกิจของไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่ออุปทานในตลาดมีอยู่อย่างจำกัดทำให้อัตราว่างของอาคารสำนักงานมีน้อยลงนั่นเอง” แต่สถานการณ์ดังกล่าว จะคงอยู่อีกไม่นานนัก เนื่องจากในปัจจุบันมีการเปิดตัวเมกกะโปรเจกต์มากมาย โดยเฉพาะบริเวณถนนพระรามที่ 4 ที่จะมีอาคารสำนักงานเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 โครงการ คือ สามย่านมิตรทาวน์ วัน แบงคอก และเดอะ ปาร์ค โดยทั้ง 3 โครงการนี้ คาดว่าจะมีพื้นที่เช่ารวมประมาณ 350,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็นประมาณ 30% ของพื้นที่เช่าสำนักงานเกรดเอ ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ โดยแต่ละโครงการจะถูกสร้างเสร็จในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ซึ่งจะ ส่งผลให้อุปสงค์ในตลาดอาคารสำนักงานจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอีก 3-4 ปีข้างหน้า นั่นจะส่งผลกระทบให้ตัวเลขอัตราว่างของพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานอาจสูงขึ้นมากกว่า 10% เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี   แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเลขของอัตราการว่างของอาคารสำนักงานเกรดเอที่มีอัตราเฉลี่ยสิบกว่า เป็นตัวเลขระดับค่าเฉลี่ยมาตรฐานที่เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขของทั้งภูมิภาคเอเชีย จากการสำรวจของ Cushman & Wakefield ซึ่งเป็นบริษัทพันธมิตรของเน็กซัสฯ พบว่า อัตราว่างของพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานเกรดเอ ในย่านธุรกิจของไตรมาสที่ 2 ยังคงอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน และอัตราว่างของกรุงเทพฯ อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ หรือแม้กระทั่งปักกิ่ง เมื่อพิจารณาด้านราคาค่าเช่าอาคารสำนักงานเกรดเอ ในกรุงเทพ พบว่าในไตรมาสที่ 3 อัตราค่าเช่าของอาคารสำนักงานเกรดเอ ทั้งในและนอกย่านศูนย์กลางธุรกิจนั้น ยังคงสร้างสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยที่ค่าเช่าสูงสุดในปัจจุบันอยู่ที่ 1,500 บาท/ตารางเมตร/เดือน และราคาเฉลี่ยที่ 980 บาท/ตารางเมตร/เดือน นอกจากนี้ยังพบว่า อายุเฉลี่ยของอาคารสำนักงานเกรดเอ ในย่านศูนย์กลางธุรกิจจะอยู่ที่ประมาณ 17 ปี ดังนั้นบางอาคารเริ่มมีแผนปรับปรุงอาคารที่ชัดเจน หรือมีแผนสร้างอาคารใหม่ทดแทนของเดิม เพื่อเพิ่มศักยภาพและยกระดับอาคารให้ตอบสนองกับความต้องการที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะอายุของอาคารสำนักงานจะส่งผลต่อราคาค่าเช่าด้วย โดยเราพบว่าอาคารสำนักงานใหม่ที่อายุไม่เกิน 5 ปี สามารถทำราคาค่าเช่าเฉลี่ยได้สูงถึง 1,200 บาท/ตารางเมตร/เดือน ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มปรับปรุงพื้นที่เพื่อให้ได้ค่าเช่าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอาคารเกรดบี โดยเฉพาะในย่านสีลม ซึ่งในอนาคต โดยเราคาดว่าในย่านสีลมจะมีการพัฒนาอาคารสำนักงานเกรดเอให้เห็นเพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบัน    
อารียา พรอพเพอร์ตี้ นำ 3 โครงการไฮไลท์ ชูระบบ Home Intelligent ร่วมมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39  พร้อมอัดโปรฯ แรง “Happy X 3” กระตุ้นยอดขายรับไฮซีซั่น

อารียา พรอพเพอร์ตี้ นำ 3 โครงการไฮไลท์ ชูระบบ Home Intelligent ร่วมมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 พร้อมอัดโปรฯ แรง “Happy X 3” กระตุ้นยอดขายรับไฮซีซั่น

บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ยกทัพบ้าน และคอนโด กว่า 15 โครงการ ชู 3 โครงการไฮไลท์ทำเลทอง อารียา บุษบา ลาดพร้าว-เสรีไทย, เดอะวิลเลจ บางนา-วงแหวนฯ และ เดอะ คัลเลอร์ส เปอตี บางนา-วงแหวนฯ, วงแหวนฯ-ราชพฤกษ์ โครงการให้ที่ยกระดับการอยู่อาศัยด้วยระบบ Home Intelligent สอดรับเทรนด์รักสุขภาพ ให้ลูกค้าได้สัมผัส “ความสุข มีตัวตน” พร้อมจัดแคมเปญเด่น “Happy X 3” ฟรีโอนทุกรายการ ฟรีเฟอร์นิเจอร์ ฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้า แถมรับส่วนลดเพิ่มสูงสุดถึง 20,000 บาท และพบกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ สำหรับคอนโดมิเนียม A Space ID ดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปี กับธนาคารยูโอบี แบบไม่ต้องกังวลกับดอกเบี้ยขาขึ้น และ คอนโดมิเนียม A Space me ผ่อน 2,500 บาท/เดือน นาน 3 ปี กับธนาคารธนชาติ ช่วยกระตุ้นยอดขายประเดิมช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พบข้อเสนอสุดพิเศษนี้ได้ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 ระหว่างวันที่ 4 - 7 ตุลาคม นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์   นายวิวัฒน์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการอาวุโส บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อารียาฯ ได้คัดสรรโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนบราบและแนวสูงจำนวน 15 โครงการ เข้าร่วมงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 ระหว่างวันที่ 4-7 ตุลาคม 2561 ณ บูท G35-44 โซน CG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นอกจากนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายรับไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ เตรียมส่งแคมเปญสุดพิเศษ “Happy X 3” ต่อที่ 1 ฟรีค่าโอนทุกรายการ ฟรีเฟอร์นิเจอร์ ฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้า ต่อที่ 2 รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 20,000 บาท และต่อที่ 3 ลุ้นรับรางวัล Apple Watch Series 4 จำนวน 4 รางวัล และพิเศษสำหรับคอนโดมิเนียม A Space ID อโศก-รัชดา ดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปี กับธนาคารยูโอบี แบบไม่ต้องกังวลกับดอกเบี้ยขาขึ้น และ คอนโดมิเนียม A Space me สุขุมวิท 77, บางนา, รัตนาธิเบศร์ ผ่อนสบาย ๆ เพียง 2,500 บาท/เดือน นาน 3 ปี กับธนาคารธนชาติ   ภายในงาน ยังพบกับ 3 โครงการไฮไลท์ ที่ยกระดับการอยู่อาศัยด้วยระบบ Home Intelligent สอดรับเทรนด์รักสุขภาพ ให้ลูกค้าได้สัมผัสถึง “ความสุข มีตัวตน” คาดว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยในแง่ของทำเลเด่น เดินทางสะดวก ได้แก่ โครงการ อารียา บุษบา ลาดพร้าว-เสรีไทย ราคาเริ่มต้น 14 ล้านบาท บ้านหรูระดับ Hi-end บนถนนเสรีไทย เดินทางสะดวกใกล้โรงเรียนและแหล่งไลฟ์สไตล์ชั้นนำ เน้นความเป็นส่วนตัว เพียง 27   ยูนิต พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ ถึง 305 ตร.ม. 1 Exclusive Master Bedroom พร้อม walk-in closet ขนาดใหญ่ 2 ห้องนอน พร้อมห้องน้ำในตัวทุกห้อง 1 multi – function room ที่สามารถรองรับทุกกิจกรรมของทุกคนในครอบครัว ยกระดับการอยู่อาศัยด้วยระบบ Home Intelligent สุดล้ำ 2 ที่จอดรถ โครงการ เดอะ วิลเลจ บางนา-วงแหวนฯ 3 ราคาเริ่มต้น 4.29 ล้านบาท สมาร์ทโฮมสไตล์ American Cottage หลังใหญ่สบายทุกการอยู่อาศัย ด้วยระบบ Home Intelligent ทั้งหลัง 1 Master Bedroom ด้านหน้าเพื่อรับแดดอ่อนยามเช้า และรับอากาศบริสุทธิ์ถ่ายเทได้ดีขึ้น 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ อุ่นใจตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าสู่โครงการ ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยระดับมาตรฐานสูง ที่ทำงานร่วมกับระบบ Home Intelligent สามารถส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังสมาร์ทโฟนของคุณ บรรยากาศร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ตลอด 2 ข้างทาง เดินทางสะดวกใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน 2 สาย ใกล้อิเกีย, เมกา บางนา โครงการ เดอะ คัลเลอร์ส “เปอตี” บางนา-วงแหวนฯ  ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท และ วงแหวนฯ – ราชพฤกษ์ ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท ทาวน์โฮมซีรี่ส์ใหม่ ใช้ชีวิตอิสระทุกตารางเมตร ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชั่นการใช้งานคุ้มค่าทุกพื้นที่ในบ้านด้วย 2 Master Bedroom เพิ่มความเป็นส่วนตัวและเป็นสัดส่วนมากขึ้น 1 multi-function room ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ทุกไลฟ์สไตล์การใช้งาน 1 flexi kitchen พื้นที่ครัวลงตัวทุกความถนัด ช่วยเพิ่มความคล่องตัว และต่อเนื่องในการใช้งาน   นายวิวัฒน์ เลาหพูนรังษี กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับข้อเสนอพิเศษที่ทางอารียาฯ จัดให้ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งนี้ ถือเป็นความพิเศษที่ Happy แบบคูณ 3 นอกจากจะได้พบกับที่อยู่อาศัยที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์แล้ว ยังพบกับโปรโมชั่นสุดพิเศษถึง 3 ฟรี หรือแม้แต่ดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปี โดยคาดว่าจะมียอดจองซื้อภายในงานนี้ไม่ต่ำกว่า 395 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนบราบ 293 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 102 ล้านบาท”
เพอร์เฟค เปิดตัวโครงการบ้านหรูแบรนด์ใหม่ “เพอร์เฟค เรสซิเดนซ์” เผยยอดขายกลุ่มบริษัท 9 เดือน เติบโตถึง 50%

เพอร์เฟค เปิดตัวโครงการบ้านหรูแบรนด์ใหม่ “เพอร์เฟค เรสซิเดนซ์” เผยยอดขายกลุ่มบริษัท 9 เดือน เติบโตถึง 50%

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ขยายฐานลูกค้ากลุ่ม 10-15 ล้าน  ด้วยโครงการบ้านเดี่ยวหรูแบรนด์ใหม่ “เพอร์เฟค เรสซิเดนท์” ชูคอนเซ็ปท์บ้านสไตล์คลาสสิกในสังคมส่วนตัว มาพร้อมนวัตกรรมการอยู่อาศัย ประเดิมเปิด 2 โครงการแรกทำเลสุขุมวิท 77 และ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา เผยยอดขายกลุ่มบริษัทเติบโตต่อเนื่อง ไตรมาส 3 คาดทำได้ 5,300 ล้าน รวม 9 เดือนทำได้ 13,250 ล้าน เติบโต 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  มีแผนเปิดโครงการใหม่ส่งท้ายปลายปีอีก 9 โครงการ มูลค่า 14,316 ล้าน     นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ล่าสุด  “เพอร์เฟค เรสซิเดนท์”  ซึ่งเป็นโครงการที่พัฒนาขึ้นในกลุ่มเซ็กเม้นท์ของบ้านไฮคลาส  จุดเด่นอยู่ที่รูปแบบโครงการที่เน้นความเป็นส่วนตัว ด้วยจำนวนยูนิตไม่มาก และแบบบ้านสไตล์ Classic Revival ที่ผสมผสานความสวยงามคลาสสิกและความทันสมัย มาพร้อมนวัตกรรมแห่งการอยู่อาศัยในรูปแบบบ้านอัจฉริยะ Smart Living Solution อาทิ Smart IP Camera กล้องวงจรปิดที่ดูภาพได้จากมือถือ, Smart Air Condition Controller IR Transmitter ระบบควบคุมเครื่องปรับอากาศ, Smart Motion Sensor อุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหว เพื่อเปิดปิดไฟอัตโนมัติ, Power Monitoring ระบบตรวจติดตามการใช้พลังงานไฟฟ้า ประปา ในบ้านแบบเรียลไทม์, Amazon ระบบควบคุมและสั่งการอุปกรณ์ในบ้านด้วยเสียง เป็นต้น โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายในระดับราคา 10-15 ล้านบาท ที่ต้องการสังคมที่เป็นส่วนตัวและชื่นชอบเทคโนโลยี     “เพอร์เฟค เรสซิเดนท์” เปิดตัวพร้อมกันใน 2 ทำเลบนฝั่งตะวันออกของกรุงเทพ คือ สุขุมวิท 77  พื้นที่ 33 ไร่  จำนวน 108  ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,050 ล้านบาท และ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา พื้นที่ 16 ไร่  จำนวน 39 ยูนิต มูลค่าโครงการ 430 ล้านบาท  ทั้งนี้ โครงการบ้านหรูทำเลพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพ มีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีการก่อสร้างถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ (ถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า) ถนนเส้นนี้กลายเป็นทำเลที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นใหม่ที่ได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเดินทางได้สะดวก สามารถเชื่อมต่อกับ ถ.ศรีนครินทร์ รามคำแหง และเดินทางไปย่านธุรกิจถ.พระราม 9 เพชรบุรี ได้โดยตรง  โดยปัจจุบัน พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มีโครงการภายใต้การพัฒนาบนทำเลถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ รวม 6 โครงการ เป็นพื้นที่รวม 312 ไร่ รวมมูลค่าโครงการ 10,050 ล้านบาท  และยังมีแลนด์แบงค์อีก 100 ไร่     นายวงศกรณ์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สำหรับยอดขายของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 3 ของปี คาดจะทำได้ประมาณ 5,300 ล้านบาท เติบโตขึ้น 35%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 โดยเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ 3,500 ล้านบาท และ โครงการคอนโดมิเนียม 1,800 ล้านบาท  เมื่อรวมยอดขาย 9 เดือนแรกของปี  จะมียอดขายรวม 13,250 ล้านบาท  เติบโตขึ้นถึง 50% เทียบกับช่วง 9 เดือนของปี 2560  ในส่วนของการเปิดโครงการใหม่ส่งท้ายปลายปี ในช่วงไตรมาส 4 ยังจะมีการเปิดโครงการใหม่อีก 9 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ 7 โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 14,316 ล้านบาท     สำหรับโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรจากต่างประเทศ ทั้ง 3 แห่ง มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยความร่วมมือกับ ฮ่องกง แลนด์ ในการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวไฮเอนด์ทำเลแจ้งวัฒนะ ขนาด 130 ไร่  มูลค่าโครงการ 4,800 ล้านบาท  ได้ดำเนินการขายที่ดินเข้าบริษัทร่วมทุนเสร็จสิ้นเรียบร้อย และจะมีการบันทึกรายได้จากการขายที่ดินในไตรมาส 3 ประมาณ 800 ล้านบาท  ในส่วนความร่วมมือกับ เซกิซุย เคมิคอล เพื่อพัฒนาบ้านระบบโมดูลาร์ ในโครงการ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ กรุงเทพกรีฑา, รามคำแหง, แจ้งวัฒนะ และรัตนาธิเบศร์ รวมมูลค่า 2,230 ล้านบาท กำหนดเปิดตัวในต้นปี 2019  ด้านความร่วมมือกับ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี ในโครงการไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ คอนโดมิเนียมไฮเอนด์จำนวน 319 ยูนิต มูลค่าโครงการ 6,000 ล้าน  กำหนดเปิดขายปลายเดือนพฤศจิกายนนี้  
บีทีเอส แสนสิริ ชูความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการร่วมกัน คาดโกยกำไรตามเป้าหมาย  ล่าสุดเตรียมบุ๊กกำไรโอนจากอีก 2 โครงการใหญ่ มูลค่าโอนรวม 5,300 ลบ.

บีทีเอส แสนสิริ ชูความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการร่วมกัน คาดโกยกำไรตามเป้าหมาย ล่าสุดเตรียมบุ๊กกำไรโอนจากอีก 2 โครงการใหญ่ มูลค่าโอนรวม 5,300 ลบ.

บีทีเอส-แสนสิริ เผยความสำเร็จจากการร่วมมือกันพัฒนาคอนโดมิเนียมแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชน โดยพัฒนาร่วมกันไปแล้วถึง 12 โครงการ มูลค่ารวม 43,000 ล้านบาท ล่าสุดปีนี้เตรียมโกยกำไรจากโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุน บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป อีก 4 โครงการ ดันกำไรจากบริษัทร่วมทุนแตะ 700 ล้านบาท ขณะที่ SIRI ยังมีรายได้จากการบริหารโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนเพิ่มเติมอีก 6,000 ล้านบาท ไตรมาสสุดท้ายเตรียมรับรู้กำไรจากการโอนอีก 2 โครงการใหญ่ เดอะไลน์ อโศก - รัชดาและเดอะ เบส การ์เดน - พระราม 9 มูลค่าโอนรวม 5,300 ล้านบาท คาดกำไรโอนเข้าเป้าจากความโดดเด่นของทั้ง 2 โครงการและที่ตั้งโครงการในทำเลศักยภาพ อโศก-พระราม 9 ซึ่งเป็นNew CBD ขณะที่ยังทยอยรับรู้กำไรต่อเนื่องจากอีก 2 โครงการที่ทยอยโอนตั้งแต่ครึ่งปีแรก เชื่อมั่นจุดแข็งด้านผู้นำการพัฒนาที่อยู่อาศัยของแสนสิริผนึกศักยภาพของบีทีเอส กรุ๊ป ส่งผลให้ประสบความสำเร็จในทุกโครงการต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าต่อตามแผนเตรียมจ่อคิวเปิดตัวโครงการใหม่ ภายใต้ บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป “เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค” มูลค่าโครงการ 4,900 ล้านบาท ปลายเดือนพฤศจิกายนนี้   นางสาววรางคณา  อัครสถาพร ผู้จัดการทั่วไป บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป เปิดเผยว่า หลังจากบีทีเอส และแสนสิริ ประกาศความร่วมมือในแผนระยะยาวในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชน ภายใต้บริษัทร่วมทุน บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นระหว่างกลุ่มบีทีเอส และบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) 50 : 50 ล่าสุดด้วยความแข็งแกร่งในด้านเงินทุนของกลุ่มบริษัทบีทีเอสที่เตรียมพร้อมไว้เพื่อรองรับการลงทุนในการขยายธุรกิจรถไฟฟ้าและความพร้อมด้านบุคลากร รวมถึงการมีที่ดินที่พร้อมพัฒนาในมือของกลุ่มบริษัท ผสานกับความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริ ส่งผลให้ทั้งสองบริษัทพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมกันไปแล้วจำนวนรวมทั้งสิ้น 12 โครงการ มูลค่ารวม 43,000 ล้านบาท ซึ่งหลายโครงการประสบความสำเร็จปิดการขายได้ทันทีในวันพรีเซลล์ โดยล่าสุดในปี 2561 นี้ บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป มีแผนการโอนคอนโดมิเนียมอีก 4 โครงการ มูลค่าการโอนรวมประมาณ 13,000 ล้านบาท ประกอบด้วย เดอะไลน์ราชเทวี มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ที่เริ่มรับรู้กำไรตั้งแต่ไตรมาส 2/2561 โครงการเดอะไลน์ วงศ์สว่างคอนโดมิเนียมพร้อมโอนสร้างเสร็จก่อนขายมูลค่าโครงการ 4,800 ล้านบาท ที่เริ่มรับรู้กำไรตั้งแต่ไตรมาส 1/2561 เป็นต้นมา นอกจากนี้ยังมีคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนอีก 2 โครงการใหญ่ ที่จะเริ่มโอนและรับรู้กำไรทันทีในปลายเดือนกันยายนนี้ ได้แก่ โครงการ เดอะไลน์ อโศก – รัชดา มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท และโครงการเดอะเบส การ์เด้น - พระราม 9 มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท รวมถึงแสนสิริยังมีรายได้รายได้จากการบริหารโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสในปีนี้เพิ่มเติมอีก 6,000 ล้านบาทอีกด้วย     “บริษัทคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากการโอน 2 โครงการใหม่ในช่วงไตรมาสสุดท้าย คือ เดอะ ไลน์ อโศก – รัชดา และ เดอะ เบส การ์เด้น-พระราม 9 จากความโดดเด่นของทั้ง 2 โครงการ รวมถึงศักยภาพของโครงการ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเล อโศก-พระราม 9 ซึ่งเป็นย่านธุรกิจแห่งใหม่ที่น่าจับตามอง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง รองรับการเติบโตและขยายตัวของเมืองชั้นใน นับเป็นทำเลศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) ที่รวมการคมนาคมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่ย่านศูนย์กลางธุรกิจจากการรายล้อมด้วยโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ซึ่งหากพิจารณาในแง่ของการลงทุน ทั้งจากการปล่อยเช่าและการถือครองระยะยาว ทำเลนี้นับว่ามีศักยภาพในแง่การลงทุนสูงจากความต้องการใหม่ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ย้ายมาอยู่อาศัยตามแหล่งงาน โดยเฉพาะชาวจีนและชาวญี่ปุ่นที่เริ่มเห็นเพิ่มขึ้นในทำเลนี้” นางสาววรางคณา กล่าว โครงการเดอะ ไลน์ อโศก – รัชดา (THE LINE Asoke-Ratchada) มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท ชูคอนเซ็ปต์ “Balance is Everything, Location is Everything” ตอบสนองการใช้ชีวิตที่สมดุลย์ให้กับคนเมือง บนทำเลศักยภาพศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) ใกล้ MRT พระราม 9 เพียง 300 เมตร นอกจากนี้ยังนับเป็นอาคารที่พักอาศัยอัจฉริยะ (Smart Building) แห่งแรกของแสนสิริที่สร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมอยู่แล้วในวันนี้ พร้อมเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ (Complete Your Living Experience) ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ที่ครอบคลุมทุกมิติของการใช้ชีวิตของลูกบ้านในยุคดิจิทัล พร้อมมอบโปรโมชั่นโอนกรรมสิทธิ์ในเดือนตุลาคมนี้ อาทิ ฟรีค่าธรรมเนียมโอน ฟรีค่าส่วนกลาง 12 เดือน และฟรีค่าติดตั้งและประกันมิเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้น     โครงการ เดอะ เบส การ์เด้น – พระราม9 มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท ยกระดับความพรีเมียม คัดสรรวัสดุที่ใช้อย่างบรรจงทุกรายละเอียด ด้วยการนำหินจากประเทศอิตาลีมาตกแต่งห้องฟิตเนสและ Lobby และปรับดีไซน์ ให้สะท้อนความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ในแนวคิด GARDEN OF CREATION นำพื้นที่สีเขียวมารวมกันก่อเกิดเป็นสวนขนาดใหญ่ที่ให้มากกว่าการพักผ่อน เดินทางสะดวกใกล้แอร์พอร์ตลิงค์สถานีรามคำแหงเพียง 3 นาที และใกล้ทางด่วนศรีรัชเพียง 5 นาที พร้อมมอบโปรโมชั่นโอนกรรมสิทธิ์ ฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้า ฟรีค่าส่วนกลาง 2ปีเมื่อโอนภายในเดือนกันยายน และฟรีค่าส่วนกลาง 1 ปี เมื่อโอนภายในเดือนตุลาคมนี้*   “ในปี้นี้เราได้เห็นอีกก้าวหนึ่งของความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นการผนวกพลังระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจระยะยาวที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กันและกันอย่างยั่งยืน สำหรับความร่วมมือในช่วงที่เหลือของปีนี้ บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง ยังเตรียมเปิดคอนโดมิเนียมใหม่ ร่วมกันอีก 1 โครงการ คือ โครงการเดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค มูลค่าโครงการ 4,900 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการด้านที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่เตรียมเปิดให้บริการในปี 2563 โดยจุดเด่นของโครงการคืออยู่ติดรถไฟฟ้า 2 สาย เพียง 300 เมตรจากสถานีห้าแยกลาดพร้าว พร้อมสวนขนาดใหญ่ กว่า 8 ไร่ และส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 3,000 ตร.ม.ที่พัฒนาภายใต้คอนเซป‘Green is a new luxury’ จะเปิดการขายในเดือนพฤศจิกายนนี้” นางสาววรางคณา กล่าว
แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด พร้อมเปิดตัวโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ สร้างมูลค่าของการพักอาศัยระดับโลก

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด พร้อมเปิดตัวโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ สร้างมูลค่าของการพักอาศัยระดับโลก

ในยามที่ความต้องการเรสซิเดนซ์ระดับไฮเอนด์กลางเมืองกรุงเทพฯ มีแต่พุ่งสูงขึ้น แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) โครงการห้องชุดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่กลางย่านธุรกิจหลักของเมือง นำเสนอการลงทุนแบบ Leasehold ให้นักลงทุนได้เก็บเกี่ยวผลกำไรยาว ๆ ไปอีก 50 ปี พร้อมประกาศเปิดตัวโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ภายในโครงการ เพื่อเพิ่มมูลค่าของการพักอาศัยและมอบไลฟ์สไตล์สุดหรูด้วยบริการมาตรฐานระดับโลกจากเครือฮิลตัน   สำหรับปี พ.ศ. 2561 นี้ถือเป็นปีแห่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเชิงบวกเมื่อเปรียบเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมาจากอัตราการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งช่วยชดเชยอัตราการบริโภคในประเทศที่ซบเซา รวมถึงการอัดฉีดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น บริษัทต่าง ๆ ในเอเชียต่างมองประเทศไทยเป็นฐานภูมิศาสตร์ด้านกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อการดำเนินธุรกิจที่คุ้มค่าต่อการลงทุน ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ซื้ออสังหาฯ ต่างกำลังมองหาทรัพย์สินในเมืองไทยที่มีมูลค่าสัมพัทธ์ที่ดีเยี่ยมและมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง   ความต้องการของนักลงทุนในเอเชียต่างมุ่งไปที่อสังหาริมทรัพย์ระดับสูง ซึ่งก็คือโครงการเรสซิเดนซ์ใจกลางย่างธุรกิจหลักของกรุงเทพฯ (CBD) นั่นเอง ตลาดอสังหาฯ ระดับนี้นับวันจะมีราคาถีบตัวสูงขึ้นตลอดเวลา เนื่องจากทำเลทองเริ่มหายากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสวนทางกับความต้องการจากนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะนักลงทุนจากฮ่องกงที่เริ่มผละจากฮ่องกงไปมองหาทำเลใหม่ๆ ในต่างประเทศ ขณะที่นักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่ยังรู้สึกกังวลในการกลับไปลงทุนในบ้านเกิดและบ่ายหน้าหาทางเลือกอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะฟองสบู่ในประเทศ และในเมื่อราคาห้องชุดหรูในกรุงเทพฯ มีราคาเพียงครึ่งเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับห้องชุดระดับเดียวกันในสิงคโปร์และมีราคาเพียง 1 ใน 5 เมื่อเปรียบเทียบกับฮ่องกง ทำให้กรุงเทพฯ คือเป้าหมายสำคัญของนักลงทุนจากทั่วภูมิภาค   หนึ่งในโครงการที่กำลังเป็นที่จับตามองของนักลงทุนคือแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ซึ่งมีความพิเศษหลายด้าน ทั้งที่ตั้งโครงการซึ่งเป็นทำเลทองผืนสุดท้ายบนถนนราชดำริ รวมถึงคุณภาพการก่อสร้างและการตกแต่งระดับโลก อีกทั้งในปัจจุบัน ยังขยายสัญญา Leasehold จาก 30 ปีเป็น 50 ปี เพื่อให้นักลงทุนสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์กันได้แบบระยะยาว นอกจากนี้ หลังจากมีงานเปิดตัวโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ แบรนด์โรงแรมระดับไฮเอนด์แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของวอลดอร์ฟในเครือฮิลตันโฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท ไปเมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้เจ้าของห้องชุดหรูของ MRB ได้รับเอกสิทธิ์ระดับวีไอพีเพิ่มเติมอีกด้วย โดยเจ้าของห้องพักทุกท่านสามารถใช้บริการบาร์ และห้องอาหารชั้นนำจากเครือฮิลตันได้เช่นเดียวกับแขกของโรงแรม นับเป็นการยกระดับไลฟ์สไตล์สู่มาตรฐานสากลอย่างแท้จริง   อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า “เศรษฐกิจไทยกำลังกระเตื้องขึ้นจากการเติบโตของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว โดยในปีที่ผ่านมา ไทยมีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่ 3.9% ซึ่งเกิดจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในตลาดหลักแห่งอย่างมีนัยสำคัญที่ 9.9% ส่วนภาคการท่องเที่ยวมีอัตราส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่ 20% โดยในปี 2560 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนประเทศไทยมากถึง 35.4 ล้านคน และคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในปี 2561 นี้”   เหล่านี้คือสภาพการณ์ที่ดีเยี่ยมต่อการเลือกทำเลในการลงทุน หรือแม้แต่การใช้ประโยชน์จากความพร้อมของเมืองไทยทั้งในด้านวัฒนธรรม ความบันเทิง และมูลค่าทรัพย์สินสำหรับผู้ซื้อที่ต้องการอยู่อาศัย ซึ่งทำให้การซื้อมีความสมเหตุสมผลอย่างมากหากต้องการหวังผลในช่วงเวลานั้น   ตลาดอสังหาฯ ระดับบนยังคงให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีมาก และสำหรับประเทศไทย ผลตอบแทนล้วนขึ้นอยู่กับทำเลและมาตรฐานของโครงการ ซึ่งซีบีอาร์อีเห็นพ้องกับเรื่องนี้ “ราคาที่ดินในย่านธุรกิจหลักจะเพิ่มสูงขึ้นต่อไปโดยเฉพาะในกลุ่มทำเลชั้นเยี่ยมที่ใกล้กับสถานีขนส่งมวลชนต่าง ๆ ซึ่งการขาดแคลนโครงการที่ให้กรรมสิทธ์แบบซื้อขาดในย่านธุรกิจหลัก จะยิ่งทำให้ราคาถีบตัวสูงขึ้นไปอีก” อลิวัสสา กล่าว   สำหรับบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ถือเป็นหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาโครงการระดับคุณภาพที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดของประเทศไทยและมีผลงานโครงการชั้นเลิศมากมาย โครงการแรกที่สร้างชื่อเสียงคือแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด โดยเป็นอาคารรูปกลีบดอกไม้ที่อ่อนช้อยและสง่างาม ด้วยทุนก่อสร้างถึง 1,100 ล้านบาท โครงการนี้เป็นอาคาร 60 ชั้นความสูง 242 เมตร ทีมสถาปนิกได้แรงบันดาลใจมาจาก “กลีบดอกแมกโนเลีย” ที่หมุนวนจากฐานขึ้นไปสู่ส่วนยอดของอาคาร ทำให้โครงการในภาพรวมแลดูโดดเด่นสมกับเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งของกรุงเทพฯ   เนื่องจาก MRB ตั้งอยู่บนถนนราชดำริ ใกล้แยกราชประสงค์ ซึ่งเป็นย่านธุรกิจสำคัญของเมืองไทยและแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ ช็อปปิ้งมอลล์ โรงแรม 5 ดาว ร้านอาหารชั้นนำ ศูนย์กลางธุรกิจ และสถานบันเทิงที่เหนือระดับและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ทำให้โครงการแห่งนี้ตอบสนองความต้องการด้านพักอาศัยและไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรี่ได้อย่างลงตัว ซึ่งรวมไปถึงการดำเนินธุรกิจ การสร้างเครือข่าย และการติดต่อพบปะสังสรรค์ ตลอดจนการท่องเที่ยวของนักเดินทางที่หลั่งไหลมาจากประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนและทั่วโลก อีกทั้งสามารถเดินทางในกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส และเหนือสิ่งอื่นใด ความหรูหราสะดวกสบายในการใช้ชีวิตจากบริการระดับโลกของเครือฮิลตันจากโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ที่จะทำให้ไลฟ์สไตล์การพักอาศัยใน MRB คือที่สุดของความหรูหราระดับโลก     วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “โครงการแมกโนเลียส์ฯ ปิดการขายห้องชุดไปแล้วกว่า 80% ปัจจัยหลักที่ทำให้เรามียอดขายที่น่าพอใจ เกิดจากทำเลที่ตั้งโครงการซึ่งถือเป็นหนึ่งในทำเลทองชั้นนำของเมืองไทย (ศูนย์กลางธุรกิจย่านราชประสงค์) ทั้งยังเป็นโครงการแบบมิกซ์ยูสที่ตอบสนองความต้องการของผู้พักอาศัยได้ดีเยี่ยมเพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สมบูรณ์แบบไว้บริการตลอดเวลา และนอกเหนือจากการได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดสุดหรู คือการได้รับสิทธิพิเศษเมื่อใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากร้านค้าภายในโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ”   “สำหรับปีนี้ เรายังได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราจึงอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมด้วยการประสานงานกับธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงเทพ เพื่อนำเสนอระบบเงินกู้สูงสุดถึง 70% และยังขยายสัญญา Leasehold ไปจนถึง 50 ปี (30+20 ปี) โดยสามารถขายสิทธิ์ Leasehold แก่ผู้อื่นได้ ทำให้กรรมกสิทธิ์การครอบครองและการใช้ประโยชน์จากห้องชุดมีความสมบูรณ์และคล่องตัวมากขึ้น”   นอกเหนือจาก “ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่เหนือระดับ” เมื่อมองในแง่การลงทุน MRB ยังให้ผลตอบแทนจากการเช่าที่คุ้มค่าราว 4.5 – 5% ซึ่งสูงกว่าโครงการอื่น ๆ ในย่านเดียวกันมาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ที่ดินของแมกโนเลียส์ฯ ยังมีราคาสูงขึ้นทุกปี โดยเริ่มต้นอยู่ที่ 170,000 บาทต่อตารางเมตรในช่วงพรีเซล และขึ้นมาถึง 270,000 บาทต่อตารางเมตร ในปัจจุบัน   หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ ซีบีอาร์อี ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด 083-095-5054 หรือ sales@magnolias-ratchadamri.com
เผยโฉม “เดอะ เมโทรโพลิส สำโรง อินเตอร์เชนจ์”  สร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมส่งมอบ

เผยโฉม “เดอะ เมโทรโพลิส สำโรง อินเตอร์เชนจ์” สร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมส่งมอบ

ว๊าวสุดนาทีนี้ ขอเสนอโครงการฯ นี้เลย “เดอะ เมโทรโพลิส สำโรง อินเตอร์เชนจ์”  ดำเนินการโดยบริษัท เมโทรโพลิส พรอพเพอร์ตี้ส์ จำกัด บริษัทในเครือ ว่องไววิทย์ อุตสาหกรรมจักรกล จำกัด โดย คุณเฉลิมชัย ว่องไววิทย์ กรรมการผู้จัดการ  จัดงาน  “เปิดบ้านครั้งแรก”โครงการ คอนโดมิเนียม Hi rise 30 และ 39 ชั้น และ Low rise 7 ชั้น  พร้อมจุดขายเพียง  0 ก้าว สู่สองสถานีด้วยกัน  บนพิกัดเหนือกว่าทุกโครงการฯ “ติด” สถานี BTS สำโรงและสถานี MRT สำโรง-ลาดพร้าว ล่าสุดสร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมส่งมอบห้องชุดให้ลูกค้ากลุ่มแรกแล้ว  โดย บิ๊กบอส คุณเฉลิมชัย ที่มีดีกรีพ่วงท้ายเป็นวิศวกร  ลงสนามเองควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน อาสาพาลูกบ้านตรวจรับด้วยตัวเอง  โชว์สเปควัสดุที่ให้แบบเกินมาตรฐาน โครงสร้างแข็งแกร่ง พร้อมเตรียมของแถมนอกโปรแกรมทุ่มไปรวมๆ กว่า 150 ล้านบาท  เนรมิต “Sky Lounge/Sky deck พร้อม Onsen และสวนลอยฟ้า” บนชั้นดาดฟ้าให้กับลูกบ้านในโครงการฯ เพื่อขึ้นไปชมวิวรอบทิศที่ไม่มีใครเทียบได้  ย้ำจุดเด่น ให้ความสำคัญกับ  “เอ็นจิเนียริ่ง”  มากกว่า “คอสเมติค” เพราะทรัพย์สินต้องวัดกันระยะยาว คนซื้อต้องได้กำไร     สำหรับโครงการ The Metropolis Samrong Interchange (เดอะเมโทรโพลิส สำโรง อินเตอร์เชนจ์) เป็นคอนโดมิเนียม High Rise  โครงการฯ แรกของบริษัทฯ มูลค่าโครงการ 5,700 ล้านบาท เปิดขายตั้งแต่เดือน เมษายน 2558 ทั้งหมดประกอบด้วย  3 อาคาร  รวม 1,721 ยูนิต ปัจจุบันสร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมส่งมอบ เหลือขายเพียง 200 ยูนิตสุดท้ายเท่านั้น จากราคาเริ่มต้น  1 Bedroom 35 – 45 ตารางเมตร ,  2 Bedrooms 52 – 53 ตารางเมตร และขนาดเล็กสุด  Studio 28 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 2.8 ล้านบาท  โครงการฯ ได้รับความสนใจอย่างยิ่งจากกลุ่มคนในพื้นที่ ซื้อที่อยู่อาศัยรองรับครอบครัวขยาย รวมถึงกลุ่มคนทำงาน-นักลงทุน  ที่ส่วนใหญ่เงินเดือนประมาณ 50,000 บาทเป็นต้นไป เข้ามาจับจอง เนื่องด้วยพิกัดโครงการฯ จูงใจ ชนิดหาไม่ได้อีกแล้ว เพราะตั้งอยู่ติดกับสถานีสำโรง ซึ่งในอนาคต สถานีสำโรงจะเป็นสถานี อินเตอร์เชนจ์ (Interchange)  เชื่อมต่อการเดินทางกับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (เทพารักษ์ – ลาดพร้าว) จัดเป็นทำเลที่ดีมากติดรถไฟฟ้าเพียง 0 ก้าว  ประหยัดเวลา สู่ใจกลางเมืองอย่างสะดวกสบายใช้เวลาเดินทางไปทองหล่อแค่ 16 นาที   "ผมให้ความสำคัญกับ  “เอ็นจิเนียริ่ง”  มากกว่า  “คอสเมติค” ด้วยแบ๊คกราวน์ที่ทั้งครอบครัวเป็นวิศวกร เราคิดว่าถ้าโครงสร้างแข็งแรง ระบบดีได้มาตรฐานสูง จะทำให้อาคารมีค่าบำรุงรักษาที่ถูกลงในระยะยาว อาคารอยู่ได้นานหลายๆสิบปี ทำให้มูลค่าทรัพย์สินของลูกค้าทุกท่านมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว เราคิดเสมอว่าลูกบ้านของเราน่าจะเหมือนได้อยู่ฟรี เพราะราคาน่าจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ  ด้วยศักยภาพของทำเลอย่างเดียวก็กินขาดแล้ว  และหากอาคารมีสภาพที่ดีในระยะยาว มีการดูแลสังคมที่ดี ผมก็เชื่ออีก 5-10 ปี ราคาจะขึ้นไปอีกมากพอสมควร " คุณเฉลิมชัย กล่าวและว่า     ตึกของเราจึงสร้างด้วยมาตรฐานที่สูงมากครับ  ยกตัวอย่าง โครงสร้างของอาคารแข็งแรงมาก ผู้รับเหมายังบอกว่าเราอาจจะ overdesign มากเกินไปเพราะใช้เหล็กเกินมาตรฐานทั่วๆไป  แต่เรากลับคิดว่าอาคารที่โครงสร้างแข็งแรง อาจจะแพงหน่อยในวันนี้ แต่ในระยะยาวย่อมจะมีคุณค่ามากกว่า เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสร้างอาคารที่ดี ที่แข็งแรงให้กับลูกค้า ไม่ว่าลูกค้าจะเห็นหรือให้ความสำคัญหรือไม่  ส่วนวัสดุที่เรานำมาเป็นหน้าต่าง เราใช้กระจกลามิเนตหนาถึง 8 มม. และใช้เฟรม upvc ของบริษัท Deceuninck จาก Belgium ซึ่งเราน่าจะเป็นโครงการอาคารสูงรายแรกในประเทศไทยที่ใช้ของมาตรฐานสูงขนาดนี้  มีการทดสอบในอุโมงค์ลมว่าทนแรงลมได้ประมาณ 180 กม/ชม พายุมาเต็มๆเรายังสบายๆ น้ำไม่เข้าห้องแน่นอน และ upvc นี้จะเป็นสีขาวเหมือนใหม่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่สิบปีก็ตาม แม้กระทั่งระบบไฟฟ้าโดยรวม เราได้ถึงขนาดเผื่อกำลังไฟฟ้าอาคารให้พอใช้หากรถยนต์ในอนาคตจะเป็นรถใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก  ส่วนเรื่องน้ำท่วมเราได้ยกระดับ 0.0 เหนือถนนสุขุมวิทไว้เกือบ 80 ซม. ถ้าน้ำท่วมโครงการ ข้างนอกก็คงต้องพายเรือแล้วครับ  รับประกันความปลอดภัยและความสะดวกสูงที่สุด   ส่วนเรื่อง cosmetics เป็นเรื่องรองเพราะสามารถแก้ไข เปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก  แต่จะว่าไป เราใช้concept ว่าของเราเป็น affordable luxuryซึ่งเรารับประกันได้ว่าในราคาที่เราขาย ไม่มีโครงการไหนสู้เราได้ในเรื่องการออกแบบห้อง และการตกแต่งโดยใช้เฟอร์นิเจอร์ของ Modernform ระดับluxury และวัสดุเกรดดีทุกชิ้นที่เราเลือกเข้ามาใส่ให้ห้องหรูหราเป็นที่ภูมิใจของเจ้าของห้อง ด้านกลยุทธ์การตลาด หรือ การสร้างแบรนด์ เนื่องจากเราเพิ่งจะทำสองโครงการฯ คนรู้จักเราไม่เยอะ งบการตลาดใช้ไม่มาก ของดีไม่ต้องโฆษณามาก เอางบโฆษณามาใส่ของเพิ่มให้ลูกค้าดีกว่า ลูกค้าเห็นแล้วอดซื้อไม่ได้ ดีกว่าของที่เสียค่าโฆษณาเยอะแต่อาจจะไม่ดีจริง ลูกค้ามาเยอะแต่ไม่ซื้ออยู่ดี ก็ไม่ประโยชน์อันใด คิดว่าทำสินค้าดีๆให้กับลูกค้า เกิดความประทับใจแบบปากต่อปากดีกว่า เราให้มากกว่าที่พูดเยอะเลย  ผมใช้นโยบายที่ว่าเราต้องสามารถทำให้เหนือความคาดหมายของลูกค้าให้ได้ เราถึงจะมีความสำเร็จในด้านการตลาด เราเชื่อว่าที่ผ่านมาทั้งในโครงการที่เคยทำมากับโครงการนี้ เราสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าของเราได้พอสมควร     โครงการ The Metropolis Samrong Interchange (เดอะเมโทรโพลิส สำโรง อินเตอร์เชนจ์) ประกอบด้วย   3 อาคาร  รวม 1,721 ยูนิต  รายละเอียดแบ่งเป็น  อาคาร A  สูง 39 ชั้น รวม 1,035 ยูนิต, อาคาร B สูง 30 ชั้น รวม  542 ยูนิต และ Low Rise อาคาร C สูง 7 ชั้น จำนวน 144ยูนิต รวมอาคารจอดรถ 5 ชั้น 1 อาคาร รวมที่จอดรถไม่รวมซ้อนคันประมาณ  43 เปอร์เซ็นต์) สำหรับรูปแบบห้อง แบ่งเป็น Studio 28 ตารางเมตร, 1 Bedroom 35 – 45 ตารางเมตร , 2 Bedrooms 52 – 53, ฝ้าเพดานสูง 2.55 เมตร  นอกจากนี้สิ่งอำนวยความสะดวกครบ ประกอบด้วย   โถงล็อบบี้ขนาดใหญ่ บริเวณ ชั้น 6,  สระว่ายน้ำระบบเกลือ 2 สระ ขนาด 12 x 28 เมตร(อาคารA), 12 x 30 เมตร(อาคารB)  และสระเด็กลึก 0.6 เมตร สระผู้ใหญ่ลึก 1.3 เมตร, ห้องออกกำลังกาย, สวนหย่อมรอบโครงการ, สนามแบดมินตัน 2 สนาม, ห้องไดร์ฟกอล์ฟ, ห้องอเนกประสงค์, ลิฟท์โดยสารความเร็วสูง ที่อาคาร A,B 4 ตัว/อาคาร และที่อาคาร C,D 2 ตัว/อาคาร, Service Lift 1 ตัว/อาคารระบบความปลอดภัย CCTV / Face recognition building access/ Smart digital Kevo door lock /License plate reader parking system   ปัจจุบันสร้างเสร็จสมบูรณ์ 100% พร้อมส่งมอบในเดือน ต.ค. นี้เป็นต้นไป  นอกจากนี้ยังเผยไฮไลท์ เตรียมเปิด Sky lounge/ Sky deck บนชั้น39 ให้เป็นของขวัญปีใหม่ให้ลูกบ้านอีกด้วย
เอสซีฯ รุกบ้านแบรนด์เพฟ ตอบโจทย์ครอบครัวเริ่มต้น เจาะโซนทำเลศักยภาพ  เปิดใหม่ 2 โครงการ มูลค่า 2,750 ลบ

เอสซีฯ รุกบ้านแบรนด์เพฟ ตอบโจทย์ครอบครัวเริ่มต้น เจาะโซนทำเลศักยภาพ เปิดใหม่ 2 โครงการ มูลค่า 2,750 ลบ

นายมงกุฎ เตโชฬาร รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวราบ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SC ได้ขยายฐานบ้านเดี่ยวรองรับกลุ่มลูกค้าครอบครัวเริ่มต้น ภายใต้แบรนด์เพฟให้ครอบคลุมครบทุกโซนศักยภาพ โดยที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี พร้อมเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่า 2,750 ล้านบาท   ล่าสุดได้เปิดพรีเซลส์ โครงการเพฟ มอเตอร์เวย์-ฉะเชิงเทรา พื้นที่โครงการกว่า 45 ไร่ มูลค่า 800 ล้านบาท จำนวน 252 ยูนิต เป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นรูปแบบใหม่ ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 79-150 ตร.ม. เริ่ม 2.29 ล้านบาท ภายใต้บรรยากาศร่มรื่นด้วย Clubhouse ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ, Co-Working Space และสวนส่วนกลางขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่บนทำเลศักยภาพ โดยเชื่อมต่อถนนหลักได้หลายเส้นทาง เชื่อมสู่กรุงเทพ-ชลบุรี ด้วย ถ.สุขุมวิท 314, กรุงเทพ-บางประกงตัดมอเตอร์เวย, ถ.อ่อนนุชลาดกระบัง (เทพราช), ถ.สุขุมวิท 304 และ ถ.บางนาตราด ตัด บางประกง-ท่าสะอ้าน     อีกโครงการที่เตรียมเปิดในสัปดาห์นี้ ได้แก่ โครงการเพฟ ปิ่นเกล้า-ศาลายา พื้นที่โครงการกว่า 95 ไร่ มูลค่า 1,950 ล้านบาท จำนวน 374 ยูนิต เป็นบ้านเดี่ยวสไตล์ Modern Iconic ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 171-214 ตร.ม. ราคาเริ่ม 4 ล้านต้น บรรยากาศร่มรื่นด้วยสวนส่วนกลาง Clubhouse ที่ครบครัน อาทิ ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ, Co-Working Space และ Kid Zone พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยระดับพรีเมี่ยม 24 ชม. รายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และโรงเรียนชั้นนำ เชื่อมต่อการเดินทางเข้าเมืองหลากหลายเส้นทาง ด้วยทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอก ใกล้สถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-ศาลายา)       นอกจากนี้ยังพัฒนาควบคู่ในโซนอื่นๆ ที่อยู่ในทำเลศักยภาพ ได้แก่ โครงการเพฟ รังสิต, ประชาอุทิศ 90, รามอินทรา-วงแหวน, บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา เพื่อมุ่งสู่การเป็น Top 5 ในตลาดบ้านเดี่ยวในระดับราคา 3 – 5 ล้านบาท สำหรับผู้ที่สนใจโครงการสามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษได้ที่ www.scasset.com หรือ โทร.1749
‘LIFE อโศก ไฮป์’ คอนโดฯ ใจกลางย่านธุรกิจใหม่แห่งอนาคต ผสานความต่างอย่างลงตัว สะท้อนตัวตนที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

‘LIFE อโศก ไฮป์’ คอนโดฯ ใจกลางย่านธุรกิจใหม่แห่งอนาคต ผสานความต่างอย่างลงตัว สะท้อนตัวตนที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

จะซื้อคอนโดฯ ทั้งที...หลายคนคงจะมองหาทำเลที่มีศักยภาพทั้งเพื่อการอยู่อาศัยเอง และเพื่อการลงทุนไปในเวลาเดียวกัน ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อก็ต้องเป็นทำเลที่เดินทางสะดวก มีสิ่งอำนวยความสะดวก ครบครันส่งเสริมทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ที่สำคัญต้องมีดีไซน์ที่โดนใจ...เอพีพร้อมส่งมอบที่พักอาศัยใจกลางเมืองในราคาที่จับต้องได้แล้วกับโครงการไลฟ์ อโศก ไฮป์ ด้วยการออกแบบที่โดดเด่นสะดุดตาเสมือนเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กในย่านธุรกิจใหม่แห่งนี้     บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง เปิดตัว ‘ไลฟ์ อโศก ไฮป์ (LIFE Asoke Hype)’ คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด บนทำเลศักยภาพอโศก-พระราม 9 ที่มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางแบบจัดเต็ม รองรับทุกการใช้ชีวิตแบบดิจิตอลกับนวัตกรรมล้ำสมัย เพียง 300 เมตรจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีพระราม 9     ไลฟ์ อโศก ไฮป์ ลักชัวรี่คอนโดมิเนียมใจกลางย่านธุรกิจแห่งอนาคต เปิดมิติใหม่ของการยกระดับการใช้ชีวิตในคอนโดย่านใจกลางเมืองอย่างแท้จริงที่จะมาต่อยอดโอกาสในการอยู่อาศัย และการลงทุนที่คุ้มค่าในอนาคต ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดกว่า 5 ไร่ บนถนนอโศก-ดินแดง ซึ่งจะเปิดจองรอบแรกผ่านระบบ  AP i-Booking ในวันอังคารที่ 2 ตุลาคมนี้ เวลา 19.00 - 21.00 น. และมีกำหนดเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการพร้อมกันทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศในวันที่ 6-7 ตุลาคมนี้ ราคาเริ่มต้นเพียง 2.89 ล้านบาท (หรือเฉลี่ยเพียง 135,000 บาท/ตร.ม.)     ไลฟ์ อโศก ไฮป์ ภายใต้แนวคิดการดีไซน์ The Supremacy of Both Worlds ที่เลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดมาผสมผสาน เพื่อให้เกิดมิติใหม่ของการพักอาศัยใจกลางเมืองที่ตอบสนองทั้งไลฟ์สไตล์การทำงาน และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพไม่เหมือนใคร โดยเน้นเรื่องการสร้างความแตกต่าง ตั้งแต่การพลิกโจทย์การดีไซน์พื้นที่ส่วนกลาง (Privacy in Connected Space) เพื่อให้ตอบเทรนด์การใช้ชีวิตร่วมกันในพื้นที่ส่วนกลางได้อย่างเป็นส่วนตัว การตีความคำว่าการอยู่อาศัยแบบลักชัวรี่รูปแบบใหม่ (SUPREME LUXURY IN ECLECTIC DESIGN) เข้ามาตอบโจทย์ความลุ่มลึก และความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการใช้ชีวิต การพัฒนานวัตกรรมสเปซดีไซน์ภายในยูนิตพักอาศัย และโครงสร้างพื้นฐานในโครงการให้สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตระยะยาวของลูกค้า (SUPREME SPACE IN TOMORROW’S FUNCTIONALITY) และรองรับการใช้ชีวิตที่มุ่งสนับสนุนความสำเร็จของผู้อาศัยในทุกมิติ ท้ายสุด คือการนำเสนอทำเลที่ดีที่มาพร้อมกับแพ็คเกจราคาขายที่ลูกค้าสามารถจับต้องได้ (SUPREME LOCATION AT SUPREME PRICE) เอพี ไทยแลนด์ กับความใส่ใจในการออกแบบทุกตารางนิ้วภายในโครงการ เพื่อให้ ไลฟ์ อโศก ไฮป์ เป็นคอนโดมิเนียม ที่ครอบคลุมทุกความต้องการที่หลากหลายของคนในย่านนี้     เริ่มต้นด้วย Scarlet Foyer ส่วนต้อนรับด้านหน้าที่โดดเด่นด้วย Eclectic Lobby ล็อบบี้ด้านในขนาดใหญ่ที่จัดสรรพื้นที่โถงต้อนรับและมุมเพื่อพบปะพูดคุยและมุมสงบไว้ได้อย่างลงตัว ตอบเทรนด์การใช้ชีวิตของ Young Achiever ที่เป็นเจ้าของธุรกิจ Start Up หรือพนักงานออฟฟิศ ที่ต้องการปลีกตัวจากความวุ่นวายได้แม้อยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง ต่อมา คือ การดีไซน์พื้นที่ส่วนกลางแนวใหม่ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตร่วมกันในพื้นที่ส่วนกลาง หากแต่ยังคงความเป็นส่วนตัว และยังเพิ่มพื้นที่สีเขียวด้านหน้าโครงการให้เป็น The Circle Running Garden ลู่วิ่งเล่นระดับ 2 ชั้น พื้นที่ออกกำลังกาย พักผ่อน หรือนั่งทำงานภายนอกที่ยังสามารถเชื่อมต่อ Internet ได้ตลอดเวลา อัพเดททุกความเคลื่อนไหวของสังคมภายนอกได้อย่างไม่ตกเทรนด์ และพื้นที่พักผ่อนสำหรับชื่นชมธรรมชาติภายนอกที่ยังคงความสงบให้ผู้ใช้งานในส่วนต่างๆ ได้สัมผัสถึงความเป็นส่วนตัว       เพิ่มพื้นที่ที่พร้อมสนับสนุนทุกความสำเร็จของผู้อาศัยด้วย Co-working Business Lounge บนชั้น Mezzanine ซึ่งสามารถเปิดพื้นที่ใช้งานแบบส่วนตัวได้ทุกเวลาด้วยระบบ Reservation Service ที่สามารถทำการจองพื้นที่การใช้งานแบบส่วนตัวในพื้นที่ส่วนกลางได้ตามต้องการ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบจัดเต็มที่รองรับชีวิตดิจิตอลกับนวัตกรรมล้ำสมัย ยกระดับคุณภาพชีวิตไปอีกขั้นด้วยพื้นที่พักผ่อนบนชั้น 7 อย่าง Hover Bay สระว่ายน้ำที่ถูกออกแบบมาให้ยกตัวสูงขึ้นเพื่อเพิ่มสุนทรียภาพ และความเงียบสงบเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ผู้อยู่อาศัยสามารถนักพักผ่อนชมวิวสระว่ายน้ำโดยปราศจากความวุ่นวายใน The Muted Garden สวนสีเขียวลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่ถูกจัดวางเสมือนมีอีกหนึ่งโซนส่วนตัวแยกออกจากตัวสระว่ายน้ำอย่างชัดเจน   เหนือกว่าด้วย Eclectic Design ผลงานความร่วมมือระหว่างทีม AP Design Lab และ World Class Color Designer ในการดีไซน์เฉดสีพิเศษเฉพาะโครงการ ไลฟ์ อโศก ไฮป์ ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของตัวโครงการในย่านอโศก-พระราม 9 ตั้งแต่ชั้น 40 จนถึงชั้น Rooftop ประกอบไปด้วย Duplex Sky Fitness ฟิตเนสลอยฟ้า 2 ชั้น ในห้องกระจกสะกดทุกลมหายใจด้วยขอบฟ้าของเมืองแบบพาโนรามา Top of the Hype พื้นที่พักผ่อนแบบ Sky Lounge ส่วนตัว เชื่อมต่อกับ Lunar Balcony พื้นที่พักผ่อนภายนอกรับบรรยากาศวิวเมืองสุด Exclusive รวมไปถึง The Astro Deck จุดชมวิว และพักผ่อนที่รายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียว ราวกับจำลองท้องฟ้า และหมู่ดาวมาไว้ตรงหน้า พร้อมผ่อนคลายด้วย L-Shape Sky Pool สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือรูปตัวแอลขนาดใหญ่ และ Mirage Sky Path สะพานพื้นกระจกใสให้ความรู้สึกเหมือนเดินบนท้องฟ้า     เอพีพร้อมรังสรรค์สิ่งอำนวยความสะดวกล้ำสมัยสำหรับผู้อยู่อาศัย อาทิ ล็อคเกอร์อัจฉริยะ (Smart Pod) จะทำให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถเข้าถึงการใช้งานด้วยตนเองได้ตลอดเวลา ผู้อยู่อาศัยสามารถรับของได้ในเวลาที่ตนเองสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง รวดเร็ว ง่าย สะดวกสบาย รวมทั้งมั่นใจได้ในความปลอดภัย 100% และยังมี สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในคอนโดมิเนียมเอพี (AP Charging Pod) ที่ทำให้การอยู่อาศัยในคอนโดเอพีสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น   ความพิเศษยิ่งไปกว่านั้นคอนโดมิเนียม ไลฟ์ อโศก ไฮป์ เลือกใช้วัสดุที่แตกต่างกันในการตกแต่ง แต่นำมาผสมผสานกันให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์และลงตัว เช่น การใช้หินอ่อนกับผ้าทอพิเศษและพื้นกระจก มาผสมผสานกันให้เกิดเป็นมิติการอยู่อาศัยแบบใหม่ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกออกแบบพิเศษเพื่อไลฟ์ อโศก ไฮป์ โดยเฉพาะ     ไลฟ์ อโศก ไฮป์ (LIFE Asoke Hype) คอนโดฯ ใจกลางย่านธุรกิจแห่งอนาคต โดดเด่นด้วยดีไซน์   ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ประกอบด้วยอาคารที่พักอาศัยสูง 40 ชั้น จำนวนห้องชุดทั้งสิ้น 1,253 ยูนิต และ 4 ร้านค้า ประกอบด้วยห้องชุดแบบ 1) สตูดิโอ ขนาด 25.50 ตารางเมตร 2) ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 30 – 32.00 ตารางเมตร 3) ห้องชุด 1 ห้องนอน (แบบพิเศษ) ขนาด 35.00-40.00 ตารางเมตร 4) ห้องชุด 2 ห้องนอน ขนาด 48.50 – 64.00 ตารางเมตร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในชั้น 1 ชั้น 7 ชั้น 40 และชั้น Rooftop โดยโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 5-0-10 ไร่ ทำเลศักยภาพย่านธุรกิจแห่งอนาคตอโศก-พระราม 9 พรั่งพร้อมด้วยห้างสรรพสินค้าและแหล่งชอปปิ้ง โรงเรียน อาคารสำนักงาน ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการคมนาคม สะดวกทั้งการใช้รถยนต์ส่วนตัว และระบบขนส่งสาธารณะ ตั้งอยู่บนทำเลเชื่อมต่อที่สำคัญและดีที่สุดบริเวณอโศก-พระราม 9 เพียง 300 เมตรจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีพระราม 9 และจุดขึ้น-ลงทางด่วน ตอบโจทย์ทั้งความสะดวกสบายในการเดินทางและสีสันการใช้ชีวิต
“เรียลแอสเสทฯ” โชว์ห้องหรูดีไซน์โดดเด่น “ AESTIQ Thonglor” เผยผลตอบรับดีเกินคาดกวาดยอดขายแล้ว 50%

“เรียลแอสเสทฯ” โชว์ห้องหรูดีไซน์โดดเด่น “ AESTIQ Thonglor” เผยผลตอบรับดีเกินคาดกวาดยอดขายแล้ว 50%

เอสทีค ทองหล่อ (AESTIQ Thonglor) Ultimate Luxury คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุดของบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดตัวห้องตัวอย่างที่สำนักงานขายโครงการ ภายในซอยสุขุมวิท55 พร้อมเผยยอดพรีเซลล์ที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าตัวจริงกวาดยอดขายไปแล้วถึง 50% พร้อมแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้าง Iconic Landmark ใหม่บนทำเลทองหล่อ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “A Reflection of you” สุนทรียะที่สะท้อนความเป็นตัวคุณและเชื่อมั่นว่ารูปแบบโครงการที่กล้านำเสนอ Product ที่แตกต่าง รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่โครงการมอบให้ จะตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ ที่มองหาโครงการระดับ Ultimate Luxury ใจกลางทองหล่อได้เป็นอย่างดี นายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์ธุรกิจ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า โครงการ AESTIQ Thonglor พร้อมแล้วสำหรับการเปิดสำนักงานขายและห้องตัวอย่างให้ลูกค้าทั่วไปและผู้ที่สนใจโครงการเข้าชม ตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ที่ 15-16 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งโครงการได้จัดงานพรีเซลล์ขึ้น โดยบรรยากาศภายในงานมีลูกค้าเข้ามาชมสำนักงานขายและห้องตัวอย่างกันอย่างคึกคัก ซึ่งลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ ได้แสดงถึงความพอใจกับสิ่งที่โครงการนำเสนอ ทั้งในเรื่องของรูปแบบงานออกแบบสถาปัตยกรรมอาคารที่โดดเด่นจากผลงานการออกแบบของบริษัท สถาปนิก 49 และด้วยจำนวนยูนิตเพียง 203 ยูนิตพร้อมไพรเวท ลิฟท์ทุกห้อง ที่สุดของความเป็นส่วนตัว การมีที่จอดรถเกิน 100 % หรือประมาณ 220 คัน(รวมที่จอดรถซุปเปอร์คาร์ 3 คัน) ก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากในคอนโดมิเนียมใหม่ๆยุคปัจจุบันโดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในกลางเมืองแบบนี้ จึงทำให้ AESTIQ Thonglor ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ ที่ชื่นชอบ Lifestyle การใช้ชีวิตสนุกสนานในแบบคนทองหล่อ แต่ก็ยังคงต้องการความสะดวกสบายและเป็นส่วนตัวเมื่อเข้าสู่ที่พักอาศัยได้เป็นอย่างดี   โครงการ เอสทีค ทองหล่อ มีห้องให้เลือก 4 แบบคือ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 33-52 ตารางเมตร(ตร.ม.) แบบ 2 ห้องนอนพื้นที่ใช้สอย 76-119 ตร.ม. แบบ 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 131-158 ตร.ม.และแบบเพนท์เฮ้าส์ พื้นที่ใช้สอย 292-301 ตร.ม. พร้อมขายในรูปแบบ Fully Fitted ที่เลือกวัสดุชั้นดีมาเป็นองค์ประกอบภายในห้อง อาทิ พื้นไม้ Engineering Wood สีคลาสิคโอ็ค สำหรับห้องนั่งเล่นและห้องนอน , พื้นปูด้วยมาเบิ้ล พอชเลน สำหรับห้องครัว ห้องน้ำ พร้อมอุปกรณ์ครัวซีรี่ย์ใหม่จาก Gorenje ในแบบครบชุด   จุดเด่นของโครงการอยู่ที่การออกแบบเพื่อฉีกแนวการใช้ชีวิตแบบเดิมด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่ทันสมัย อาทิ ที่จอดรถ Super Car & Super Bike and Bicycle , Luxury Car Sharing Service , Shuttle Service , EV Charging Station , Golf &Bike Simulator , Private Theater , Private Onsen , Panoramic Gym , Sky Social Club , Reflection Pool , Aquatic Treadmill ฯลฯ รวมทั้งยังมีบริการเสริมอื่น ๆที่ดูแลโดย Concierge Service คอยให้บริการเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย และ floorplan เองได้ถูกออกแบบให้เป็น Cluster ซึ่งการออกแบบลักษณะนี้จะเกิดห้องมุมในสัดส่วนที่มากกว่าปกติ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ในเรื่องของมุมมองจากภายในห้องพักที่กว้างและเป็นการเปิดรับการระบายอากาศธรรมชาติให้การอยู่อาศัยนั้นมีความแตกต่างจากการพักอาศัยภายในคอนโดมิเนียมทั่วไป โดยออกแบบให้ฝ้าเพดานภายในสูงสุด 3 เมตร และเน้นพื้นที่กระจกบริเวณหน้ากว้างของห้องพัก ซึ่งบางยูนิตมีลักษณะเหมือนห้องที่ยื่นออกไปในอากาศ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถชื่นชมทัศนียภาพที่งดงามของทิวทัศน์เมืองได้เต็มที่ที่สุด   โครงการเปิดราคาขายเริ่มต้นที่ 269,000 บาทต่อตร.ม. หรือราคาเริ่มต้นที่ 8.99 ล้านบาทต่อยูนิต โดยคาดจะแล้วเสร็จไตรมาส 4 ปี 2564
ณุศาศิริ ส่งท้ายปี Bergh Apton สไตล์อังกฤษในทำเลทองเขาใหญ่ พร้อมโปรโมชั่นจัดเต็มที่

ณุศาศิริ ส่งท้ายปี Bergh Apton สไตล์อังกฤษในทำเลทองเขาใหญ่ พร้อมโปรโมชั่นจัดเต็มที่

ณุศา มายโอโซน เขาใหญ่ ดินแดนในฝันบนพื้นที่แหล่งโอโซนอันดับ 7 ของโลก ที่ได้ผลตอบรับจับจองกันมาอย่างล้นหลาม จัดโปรแรงส่งท้ายปีกับคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ Bergh Apton (เบิร์ช แอ็ฟตัน) ซึ่งณุศาศิริได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ในการรองรับความต้องการของทุกท่าน จึงได้มีการเปิดตัว Low Rise คอนโดมิเนียม 3 ชั้น จำกัดเพียง 86 ยูนิต บนพื้นที่ 1,300 ไร่ ใน ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท!!! ภายใต้แนวคิด English Modern Country ที่ให้กลิ่นอายความเป็นหมู่บ้านชนบทของอังกฤษ ผสมผสานกับความโมเดิร์นในสไตล์เรียบง่ายแบบมินิมอลที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายท่ามกลางวิวพาโนรามาของเขาใหญ่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตั้งแต่คลับเฮาส์ สนามกอล์ฟ 18 หลุม ศูนย์สุขภาพพานาซี สวนสัตว์ณุศาแอนนิมอลคลับ และสวนผักออแกนิกปลอดสารพิษ รวมถึงสนามบินเจทส่วนตัวที่เตรียมเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ Bergh Apton ยังเน้นเรื่องโครงการเพื่อการลงทุนที่มอบโปรโมชั่นสุดพิเศษที่เรียกได้ว่าคุ้มค่าต่อการลงทุนเพื่อประสบการณ์ชีวิตอันสมบูรณ์แบบในระยะยาวกันเลยทีเดียว     นอกจากจะได้เป็นเจ้าของที่พักสุดหรูในบรรยากาศชั้นเลิศแล้ว ยังได้รับ ผลตอบแทนสูงถึง 5% รับประกันนาน 6 ปี และมีบริการดูแลความเรียบร้อยของห้องให้อย่างสม่ำเสมอที่คุณสามารถมาเข้าพักได้อย่างสะดวกสบายได้ทุกเมื่อ พร้อมทั้งสิทธิพิเศษอีกมากมาย อาทิ   · ผลตอบแทน 36% พร้อมวันที่เข้าพักฟรีที่ My Ozone 90 วัน พิเศษเฉพาะในงาน รับส่วนลดเพิ่ม 5% เมื่อซื้อ My Ozone Building C · ผลตอบแทน 30% พร้อมวันเข้าพักฟรี 15 วัน เมื่อซื้อ Bergh Apton · พิเศษ ฉลองเปิดโครงการ Bergh Apton รับฟรี Samsung Galaxy Note 9 128GB ทุกยูนิต เมื่อจองและทำสัญญาภายในงาน พบกับโปรแรงส่งท้ายปีกับโครงการ Bergh Apton ที่พร้อมมอบประสบการณ์อันเหนือระดับ บนทำเลมหัศจรรย์ที่สุดในเขาใหญ่จากณุศาศิริ ตั้งแต่วันที่ 3-7 ตุลาคม 2561 ที่ศูนย์การค้า The Emporium ชั้น M Emporium Gallery     พิเศษ! ลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลดถึง 20,000 บาทได้ที่ http://www.nusasiri.com/wealthdestination/
“เฮเฟเล่” บุกตลาดครึ่งปีหลัง ทุ่มงบกว่า 10 ล้าน ดึง “คิมเบอร์ลี่” เป็นแบรดน์แอมฯ ชูจุดเด่น “เฮเฟเล่ ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น”

“เฮเฟเล่” บุกตลาดครึ่งปีหลัง ทุ่มงบกว่า 10 ล้าน ดึง “คิมเบอร์ลี่” เป็นแบรดน์แอมฯ ชูจุดเด่น “เฮเฟเล่ ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น”

“เฮเฟเล่” โหมตลาดครึ่งปีหลัง ทุ่ม 10 ล้าน บุกตลาดออนไลน์ภายใต้ แคมเปญ “Idea For Living by Häfele” เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำตลาดด้านอุปกรณ์ครบจบทุกเรื่องงานอาคาร หรือ Complete Building Solutions และสินค้าคุณภาพ เทคโนโลยีเยอรมนี ที่ทำให้ชีวิตทุกคนง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และมีความปลอดภัยสูงสุด ผ่านการสื่อสารผ่านไลฟ์สไตล์ของ “คิมเบอร์ลี่” ที่เป็นหนึ่งในลูกค้าของ “เฮเฟเล่” ที่ใช้ผลิตภัณฑ์จริง ภายใต้สโลแกน “เฮเฟเล่ ทำให้ชีวิตคิมง่ายขึ้น” ด้วย Key message ที่ง่ายในการสื่อสารให้ตรงประเด็น ประกอบกับสื่อสนับสนุนต่างๆ ภายใต้แนวคิดเดียวกัน พร้อมเตรียมทุ่มงบกว่า 400 ล้านบาท ลงทุนขยายแวร์เฮ้าส์ บนพื้นที่กว่า 32 ไร่ ตั้งเป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง   นายโฟลเคอร์ เฮลสเติร์น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ อุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและครัวเรือน พร้อมทั้งสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ในห้องน้ำ คุณภาพมาตรฐานเยอรมนี เปิดเผยว่า เนื่องในปีหน้าเฮเฟเล่จะครบรอบ 25 ปี ตั้งแต่เฮเฟเล่ก่อตั้งขึ้นที่ประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 เรายึดถือคุณภาพ การบริการที่ดีและราคายุติธรรม นอกจากนี้เรายังตระหนักถึงการพัฒนาการบริการที่ดีต่อลูกค้าอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ด้านผู้นำตลาดด้านอุปกรณ์ครบจบทุกเรื่องงานอาคาร ในกลุ่มอุปกรณ์ ทั้ง4 กลุ่ม ซึ่งเฮเฟเล่ได้ผลิตวีดีโอโฆษณาชุด Idea For Living by Häfele ที่มีเรื่องราวการใช้ชีวิตของแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ที่มีชื่อเสียง คุณคิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส ซุปเปอร์สตาร์ชาวไทย เชื้อสายเยอรมนีจากคุณพ่อของเธอ ที่ทางทีมงานจะใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้เฮเฟเล่ สินค้าคุณภาพ เทคโนโลยีเยอรมนี ให้เป็นที่รู้จักกับกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ซึ่งจะเริ่มออนแอร์ในไตรมาสที่ 3 นี้ การโฆษณาแคมเปญนี้จะใช้เครื่องมือของการทำการตลาดออนไลน์ เช่น Facebook, Line official, YouTube เว็บไซต์เฮเฟเล่ (hafelethailand)และสื่อออนไลน์ต่างๆ รวมทั้งสื่อ ณ จุดขาย (Point of purchase) เช่น แผ่นพับ, โปสเตอร์ และแบนเนอร์สำหรับติดหน้าร้าน เป็นการเชื่อมต่อไปถึงวีดีโอโฆษณาและแบรนด์เฮเฟเล่     จากการเลือกสื่อเหล่านี้เพื่อให้ตอบรับจากการทำแคมเปญโฆษณา เฮเฟเล่ จึงได้มีการเพิ่มศูนย์ Customer Service และ Line@ เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการติดต่อสื่อสารระหว่างลูกค้า และเฮเฟเล่ เพื่อเป็นช่องทางสำหรับการให้ข้อมูล การติดตามผลและให้ตอบคำถามสำหรับข้อสงสัยเกี่ยวกับสินค้าและบริการ นอกจากนี้ Customer Service สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ของลูกค้าในเขตนั้นๆ ทั่วประเทศไทย อีกทั้งร้านค้าตัวแทนจำหน่ายและผู้ใช้บริการสามารถติดต่อสอบถามเกี่ยวกับคำสั่งซื้อสินค้าและการให้บริการของบริษัทอย่างครบวงจรในจุดเดียว (One Stop Service Centre)     ยิ่งไปกว่านั้น เฮเฟเล่ ยังให้ความสำคัญกับคู่ค้าและตัวแทนจำหน่ายจากการใช้สื่อต่างๆ ในแคมเปญโฆษณาและ Customer Service ในการระบุถึงตัวแทนจำหน่ายที่มีสัญลักษณ์ของเฮเฟเล่ทั่วประเทศ และยังพร้อมที่จะพัฒนาในความร่วมมือให้มากยิ่งขึ้น เช่น การพัฒนาและปรับปรุงหน้าร้าน จุดขาย การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับตัวแทนจำหน่าย เช่น กิจกรรม Häfele Day, Häfele Big Thanks การทำ In-store Promotion ตลอดจนการฝึกอบรมสินค้าและบริการให้กับพนักงานของคู่ค้าและตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้ร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายมั่นใจในผลิตภัณฑ์และศักยภาพของเฮเฟเล่ ในการพัฒนาและร่วมมือซึ่งเปรียบเสมือนหุ้นส่วนการทำกิจการที่พร้อมจะเติบโตไปพร้อมๆ กันอย่างยั่งยืน     นายโฟลเคอร์ กล่าวต่อไปว่า ความเป็นมาของแคมเปญนี้เกิดขึ้นจากการสำรวจและการทำวิจัยทางการตลาด ซึ่งผลสำรวจออกมาว่า ผู้บริโภค อาทิเช่น เจ้าของบ้าน เจ้าของคอนโดหรือผู้ที่กำลังจะสร้างบ้านใหม่ ยังไม่รู้จักว่าแบรนด์เฮเฟเล่ คืออะไร? ขายอะไร? หรือมีสินค้าอะไรบ้าง? จากผลสำรวจนี้เฮเฟเล่จึงเห็นโอกาสทางการตลาดกับกลุ่ม End-consumer ในการเพิ่มยอดขายและเพื่อจะสร้างความคุ้นเคยให้กับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมายที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงและขยายไปสู่กลุ่มสินค้าอื่นๆ อาทิเช่น อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและครัวเรือน อุปกรณ์สุขภัณฑ์ ฯลฯ เฮเฟเล่จึงพัฒนาและปรับปรุงเพื่อให้เกิดการรับรู้และจดจำแบรนด์ โดยผ่านเครื่องมือต่างๆ ของการตลาด จึงเกิดแคมเปญ Idea For Living by Häfele เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำการตลาดด้านอุปกรณ์ครบจบทุกเรื่องงานอาคาร หรือ Complete Building Solutions และ สินค้าคุณภาพ เทคโนโลยีเยอรมนี ที่ทำให้ชีวิตทุกคนง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และมีความปลอดภัยสูงสุด ผ่านการสื่อสารผ่านไลฟ์สไตล์ของ “คิมเบอร์ลี่” ที่เป็นหนึ่งในลูกค้าของเฮเฟเล่ ที่ใช้สินค้าเฮเฟเล่จริง ภายใต้สโลแกน “เฮเฟเล่ ทำให้ชีวิตคิมง่ายขึ้น” ด้วย Key message ที่ง่ายในการสื่อสารให้ตรงประเด็น ประกอบกับสื่อสนับสนุนต่างๆ ภายใต้แนวคิดเดียวกัน     โดยเลือกกลุ่มสินค้าที่มีจำหน่ายทั้ง 4 กลุ่ม คือกลุ่มสินค้าอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ อุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ในห้องน้ำ และเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว โดยมุ่งสื่อสารไปยังลูกค้าและร้านค้าตัวแทนจำหน่ายของเฮเฟเล่ โดยใช้คิมเบอร์ลี่ในการเล่าเรื่อง     นายโฟลเคอร์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีแนวโน้มเชิงบวก โดยเฉพาะอสังหาฯประเภทสำนักงาน ศูนย์การค้า และโรงแรม เนื่องจากยังมีดีมานด์เติบโตต่อเนื่องส่งผลให้แนวโน้มค่าเช่ายังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอยู่ อย่างไรก็ดี พบว่ากลุ่มคอนโดฯจะค่อนข้างแตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ เพราะยังมีซัพพลายมากกว่าดีมานด์และยังต้องใช้ระยะเวลาการขายในตลาดสักระยะหนึ่ง กลุ่มสินค้าของเฮเฟเล่ส่วนใหญ่ตอบสนองการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน โดยเฮเฟเล่มุ่งเน้นการนำเสนอไอเดียในการเพิ่มพื้นที่ในทุกตารางเมตรให้กับผู้ประกอบการ รวมถึงผู้บริโภค ในการใช้อุปกรณ์ต่างๆของเฮเฟเล่ จากผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำ ในสไตล์ที่ลูกค้าต้องการ ในทุกกลุ่มสินค้าดังวิสัยทัศน์ที่ว่า เฮเฟเล่ อุปกรณ์ครบ จบทุกเรื่องงานอาคาร และในปีนี้ เฮเฟเล่มุ่งเน้นสินค้าที่ครบทุกกลุ่มสินค้าสำหรับโรงแรม และระบบสำหรับการช่วยจัดการภายในโรงแรม เช่น ระบบควบคุมการเข้าออกด้วยระบบไดอะล็อค โดยควบคุมได้ทั้งอาคาร ระบุผู้ใช้งาน เช่นผู้เข้าพัก เจ้าหน้าที่ รวมถึงการออกเอกสารทางการเงิน เชื่อมต่อด้วยระบบ HMS (การเข้าถึงระบบการบริหาร) แสดงสถานะของทุกห้องพักตลอดเวลา รวมถึงการควบคุมแสงสว่างภายในห้อง การเปิดปิดเปลือกอาคารหรือ Façade ที่ทันสมัยและสวยงาม การบริหารจัดการน้ำภายในห้องพักที่ช่วยประหยัดน้ำ ปรับอุณหภูมิ และประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้ท่อสมาร์ไปป์ ดัดโค้งงอได้ มีความทนทานใช้งานได้กว่า 50 ปี ซึ่งผลิตภัณฑ์เฮเฟเล่ พร้อมที่จะเติมเต็มทุกความต้องการ เพื่อสร้างประสบการณ์สุดว้าวให้กับคู่ค้าและลูกค้าของเรา     ส่วนในเรื่องของตลาดปี 2561 น่าจะดีขึ้น จากข่าวการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น สร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนต่างชาติ สำหรับเฮเฟเล่ตั้งเป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง โดย เฮเฟเล่ ประเทศไทย เติบโต มียอดขายเป็นอันดับที่สามของโลก เมื่อเทียบกับเฮเฟเล่ประเทศอื่นๆ และเป็นอันดับที่ 1 ของเอเชีย รองลงมาคือเฮเฟเล่ อินเดีย และเฮเฟเล่ เวียดนาม และนอกจากนี้ เฮเฟเล่ ประเทศไทย ได้ขยายโชว์รูม ออกไปถึง 6 แห่ง ทุกแห่งพร้อมให้บริการด้วยคุณภาพที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ ทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษา กับลูกค้าและคู่ค้า ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมสินค้ามากมายในบรรยากาศ ที่ตกแต่งเสมือนจริง และบริการครบวงจรที่พร้อมตอบโจทย์ ความต้องการของลูกค้า ได้อย่างสมบูรณ์แบบพร้อมระบบโลจิสติกส์ที่รวดเร็วและทันสมัย สั่งสินค้าภายในวัน (ไม่เกิน 16.00 น.) รอรับสินค้าวันรุ่งขึ้นได้เลยทันที นี่คือเป้าหมายของเฮเฟเล่   ตลอดระยะเวลา 24 ปี ที่เฮเฟเล่ ประเทศไทย เติบโตอย่างแข็งแรงและรวดเร็ว มีผลประกอบการที่ดีเยี่ยมเป็นหลักประกัน โดยมียอดขายที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 3,450 ล้านบาท มีพนักงานเพิ่มขึ้นถึง 1,500 คน รวมมูลค่าสินค้าคงคลังสูงถึง 1,250 ล้านบาท และมีสต็อคสินค้ามากกว่า 25,000 รายการ และมีสินค้ามากกว่า 45,000 รายการ พร้อมส่งจากสำนักงานใหญ่ที่เยอรมนี ด้วยแนวคิด Thinking Ahead หรือ “ก้าวล้ำนำสมัย” เฮเฟเล่ ประเทศไทย จะมุ่งมั่นพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งตามสโลแกนของเราที่ว่า “อุปกรณ์ครบ จบทุกเรื่องงานอาคาร” ตอบสนองโลกแห่งการก่อสร้างและการอยู่อาศัยให้สมบูรณ์แบบยิ่งๆขึ้น ด้วย สินค้าคุณภาพ เทคโนโลยีเยอรมนี และบริการที่เหนือชั้น พร้อมสานสัมพันธ์อย่างยั่งยืนกับ ลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน พันธมิตรทางธุรกิจ และตลอดจนสังคมไทยตลอดไป   “เฮเฟเล่ได้พัฒนาสร้างสรรค์อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์สำหรับติดตั้งและระบบควบคุมการเข้าออกประตูแบบอิเล็กทรอนิกส์โดยมีโรงงานซึ่งเป็นฐานการผลิตจำนวน 5 แห่ง ทั้งในประเทศเยอรมนีและฮังการี ในปีงบประมาณ 2017 กลุ่มบริษัทเฮเฟเล่มีสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 80% มีพนักงานปฏิบัติงานอยู่ทั่วโลกกว่า 7,600 คน จากกลุ่มบริษัทในเครือ 37 แห่ง มีตัวแทนมากมายทั่วโลก และมีรายได้ 1.38 พันล้านยูโร” นายโฟลเคอร์ กล่าวสรุปในตอนท้าย
“ออริจิ้น” ผนึก โนมูระ ปั้นคอนโดลักชัวรี่ “พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ”  ชูความเป็นที่สุดด้วย 60 สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการระดับโรงแรม

“ออริจิ้น” ผนึก โนมูระ ปั้นคอนโดลักชัวรี่ “พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ” ชูความเป็นที่สุดด้วย 60 สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการระดับโรงแรม

“ออริจิ้น” จับมือโนมูระ เปิดตัวคอนโดระดับลักชัวรี่ “พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ” มูลค่าโครงการกว่า 12,000 ล้านบาท ใจกลางย่านไลฟ์สไตล์ชั้นนำ หวังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทั้งชาวไทยและนักลงทุนจากต่างชาติ ชูความเป็นที่สุดด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเกือบ 60 รายการ และการบริการระดับโรงแรมในที่อยู่อาศัย พร้อมเปิดพรีเซลพฤศจิกายนนี้   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมแบรนด์พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่เป็นที่สุด บริเวณใจกลางย่านไลฟ์สไตล์ชั้นนำบนพื้นที่ “ทองหล่อ” โดยร่วมทุน (JOINT VENTURE) กับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากญี่ปุ่น อีก 1 โครงการ ภายใต้ชื่อ “พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ” (PARK ORIGIN THONGLOR) ซึ่งเป็นโครงการระดับลักชัวรี่ 3 อาคาร 1,182 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 12,000 ล้านบาท     “แม้ปัจจุบันจะมีซัพพลายใหม่ในย่านทองหล่อออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยศักยภาพของทองหล่อที่ขึ้นชื่อว่าเป็นย่านไลฟ์สไตล์ชั้นนำ ที่เป็นศูนย์รวมของการใช้ชีวิตภายในเมือง ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ศูนย์การค้า รวมถึงระบบการขนส่งที่สามารถเชื่อมต่อไปได้ทุกที่ จึงทำให้ทองหล่อเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงสำหรับการอยู่อาศัย และการลงทุนในอนาคต จนเป็นที่ต้องการของทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ จะรองรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยด้วยการสร้างความแตกต่างในการใช้ชีวิตสุดพิเศษ ไม่เหมือนใคร และยังส่งมอบความเป็นที่สุดในรูปแบบการใช้ชีวิตด้านต่างๆ ที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างลงตัว”   นอกจากนี้ ด้วยราคาที่ดินย่านทองหล่อที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับซัพพลายที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการเหลือน้อยลง ยิ่งทำให้ทองหล่อถูกจับตามองจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่มองเห็นถึงโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าในอนาคต จึงทำให้ยิ่งมั่นใจว่าโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทย และนักลงทุนต่างชาติ     นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า หนึ่งในไฮไลต์ของโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ คือการนำบริการระดับโรงแรมเข้ามาให้บริการภายในโครงการคอนโดมิเนียม แบบ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วันของสัปดาห์ ผ่านการฝึกอบรมและความร่วมมือจากเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล ทางเครือจะช่วยฝึกอบรมทักษะด้านบริการให้กับพนักงานของบริษัท วัน พญาไท จำกัด ในเครือ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่ประจำอยู่ ณ Hotel Indigo พญาไท ซึ่งบริหารจัดการโดยเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล จากนั้นพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมแล้วกลุ่มนั้น จะมาเป็นผู้สอนให้แก่พนักงานบริการ 4 กลุ่มที่โครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ ได้แก่ 1.พนักงานลูกค้าสัมพันธ์ (Guest relations) 2.พนักงานอำนวยความสะดวก (Concierge) 3.พนักงานทำความสะอาด (HOUSEKEEPING) และ 4.ช่างประจำโครงการ (ENGINEERING) ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความสะดวกสบายเหนือระดับ เสมือนกำลังพักผ่อนอยู่ในโรงแรมระดับ 5 ดาว     “นอกจากบริการระดับโรงแรมแล้ว ตัวโครงการยังมอบสิทธิพิเศษให้แก่ผู้พักอาศัย ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางรวมเกือบ 60 รายการ โดยอาคารทั้ง 3 อาคาร ยังถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกัน และไล่ระดับความสูง ซึ่งตัวอาคารที่สูงที่สุด สูงถึง 59 ชั้น ทำให้โครงการดูโดดเด่น เป็นอีกหนึ่งแฟล็กชิพและแลนด์มาร์คของย่านทองหล่อ” นายพีระพงศ์ กล่าว     ด้านนายมาซาโอมิ คาตายามะ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตัดสินใจร่วมลงทุนพัฒนาโครงการใหม่กับออริจิ้นในครั้งนี้ เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสและศักยภาพของทำเลทองหล่อร่วมกัน โดยทองหล่อถือเป็นทำเลที่มีประวัติศาสตร์และเป็น Japanese Town ของไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในไทยก็ยังคงต้องการมีที่อยู่อาศัยในย่านนี้ ทั้งนี้ บริษัทจะร่วมมือกับออริจิ้นทั้งในด้านเงินทุน องค์ความรู้ เพื่อการพัฒนาโครงการให้รองรับกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด   “จากการพัฒนาโครงการร่วมทุนกับออริจิ้นในปี 2560 จำนวน 3 โครงการ เราได้รับผลตอบรับที่ดี มียอดขายเฉลี่ยแล้วมากกว่า 90% เราจึงยิ่งมีความมั่นใจทั้งในศักยภาพทำเลและศักยภาพของพันธมิตรอย่างออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” นายมาซาโอมิ กล่าว     ด้าน น.ส.วาสนา เลิศพงศ์โสภณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การคำนึงถึงความสงบในพื้นที่ส่วนตัว และสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางที่จะตอบสนองความต้องการในการพักผ่อน คือ สิ่งที่โครงการมอบให้แก่ผู้อาศัย เช่น พื้นที่กิจกรรมที่สร้างความผ่อนคลายผ่านสายน้ำอย่าง Aqua Lounge แห่งแรกของทองหล่อ และการเชื่อมโยงพื้นที่ส่วนกลางจาก 3 ตึก ด้วยการออกแบบที่ผสานกันได้อย่างลงตัว ภายใต้พื้นที่ส่วนกลางที่สร้างประสบการณ์ในการใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์ได้ทั้งวัน เช่น Crystal Box, Pool Bar, Outdoor Onsen และ Ice Room เป็นต้น     สำหรับโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ มูลค่าโครงการกว่า 12,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดประมาณ 5 ไร่ 3 งานใจกลางซอยทองหล่อ 10 (ที่ดินโครงการ Arena 10 เดิม) ประกอบด้วยอาคารสูง 39 ชั้น 1 อาคาร 53 ชั้น 1 อาคาร และ 59 ชั้น 1 อาคาร รวม 1,182 ยูนิต ตัวห้องมีแบบ 1-3 ห้องนอน (เพนท์เฮาส์) ขนาดตั้งแต่ 30-97 ตร.ม. จะเปิดพรีเซลใน พ.ย นี้ เริ่มก่อสร้างช่วงไตรมาส 2/2562 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 4/2564 ผู้สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.parkorigin.co.th หรือโทร 020 300 000
อนันดาฯ นำเทคโนโลยีทันสมัย “ระบบจอดรถอัตโนมัติ” ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมือง

อนันดาฯ นำเทคโนโลยีทันสมัย “ระบบจอดรถอัตโนมัติ” ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมือง

คุณสุเมธ รัตนศรีกูล (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการธุรกิจคอนโดมิเนียม แอชตัน / ไอดีโอ คิว และ เอลลิโอ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาคอนโดมิเนียมในทำเลที่มีศักยภาพสูงติดรถไฟฟ้า จับมือพันธมิตรทางธุรกิจ นายวรเทพ ศิริรัตนอัสดร (ขวา) กรรมการบริหาร บริษัท ทีเอชเอส พาร์คกิ้ง โซลูชั่นส์ จำกัด ผู้นำระบบจอดรถอัตโนมัติในประเทศไทย ติดตั้งระบบจอดรถอัตโนมัติ Automatic Parking System จำนวนที่จอด 108 คัน โดยได้มีการติดตั้งพร้อมให้บริการแล้วกับโครงการ แอชตัน เรสซิเดนซ์ 41 คอนโดมิเนียมหรูบนถนนสุขุมวิท โดยระบบจอดรถอัตโนมัติ ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรม ความทันสมัยที่ อนันดาฯ เลือกใช้ในโครงการเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ ความสะดวกสบาย ความปลอดภัยในการนำรถเข้าจอด และนำรถออกให้กับผู้อยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโครงการของอนันดาฯ ที่เลือกใช้ระบบจอดรถอัตโนมัติ โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างออกแบบ และพัฒนาร่วมกัน
มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 เปิดฉาก  ระดมผู้ประกอบการปั้นยอดขาย บูมตลาดช่วงปลายปี

มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 เปิดฉาก ระดมผู้ประกอบการปั้นยอดขาย บูมตลาดช่วงปลายปี

สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ผนึกกำลังจัด งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 รุกตลาดอสังหาฯ ช่วงปลายปี ระดมผู้ประกอบการเปิดโครงการใหม่ พร้อมเคลียร์สต็อกรับไตรมาสสุดท้าย   นายปิติพัฒน์ ปรีดานนท์ ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 เปิดเผยว่า “ภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ในครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน เห็นได้จากการที่ผู้ประกอบการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมองว่าเป็นการขานรับตัวเลขจีดีพีทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น และการเดินหน้าของรัฐบาลในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสายสีเขียวเข้ม ส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต สีเขียวอ่อน ช่วงส่วนต่อขยายจากสถานีบางหว้า ไปถึง ตลิ่งชัน สายสีน้ำเงินที่กำลังก่อสร้างส่วนต่อขยายทั้งเส้นทางใต้ดินและยกระดับทั้งจากฝั่งสถานีเตาปูน และจากสถานีหัวลำโพง สายสีชมพู เส้นศูนย์ราชการนนทบุรี-มีนบุรี สายสีแดงเข้ม บางซื่อ-รังสิต สายสีแดงอ่อน ตลิ่งชัน-บางซื่อ สายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง สายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรม-สุวินทวงศ์ ทั้งยังมีโครงการอื่นๆ ได้แก่  รถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ โครงการ Action plan และ EEC โครงการเหล่านี้จะช่วยเปิดหน้าดิน สร้างทำเลที่อยู่อาศัยกว้างออกไป” ปัจจัยอื่นๆ ที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของตลาดอสังหาฯ ในปีนี้ ยังประกอบด้วยภาคการท่องเที่ยว การส่งออก และการลงทุนของภาคเอกชนที่มีการเติบโต ที่สำคัญอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นในปีนี้ และ ท่าทีของธนาคารที่ผ่อนปรนมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อลง จึงเพิ่มโอกาสให้กับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อบ้านมากขึ้น ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันก็ยังอยู่ในระดับต่ำ จึงมีส่วนช่วยในเรื่องของต้นทุนในการก่อสร้าง ค่าเช่า และค่าขนส่งวัสดุ     นายปิติพัฒน์ กล่าวต่อว่า “งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 จะมีทั้งโครงการใหม่และสินค้าในสต็อกเดิม โดยแบ่งสินค้าที่มาร่วมแสดงตามประเภทโครงการ เป็นคอนโดมิเนียมราว 35%บ้านเดี่ยว 20% ทาวน์เฮ้าส์ 15% และอื่นๆ เช่น บ้านแฝด บ้านมือสอง ที่ดินเปล่า คิดเป็น 30% ซึ่งคาดว่าสินค้าที่จะได้รับความ นิยมจองซื้อมากที่สุดจะเป็นบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม ทาวเฮ้าส์ ตามมาด้วยบ้านแฝด และอื่นๆ ที่อยู่ในช่วงราคา ต่ำกว่า 2 ล้านบาท ตามด้วยระดับ 2-3 ล้านบาท สอดคล้องกับกลุ่มอายุของคนที่เดินงาน ที่ส่วนใหญ่จะเป็น First Jobber หรือผู้ที่กำลังเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง ในช่วงอายุ 21-30 ปี คิดเป็น 35% ตามมาด้วยกลุ่มครอบครัวใหม่ ในช่วงอายุ 31-40 ปี ที่ 30% และช่วงอายุ 41-50 ปี ประมาณ 15% นอกจากนี้ โครงการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพ-ปริมณฑลจะได้รับความสนใจมากกว่าโครงการในต่างจังหวัดอยู่ที่สัดส่วน 70:30 คณะกรรมการจัดงานยัง คาดการณ์อีกว่าจะมีผู้มาเดินงานตลอด 4 วันทะลุ 1 แสนคน มียอดจองและขายในงานกว่า 4 พันล้านบาท และยอดขายต่อเนื่องหลังงานอีกกว่า 8 พันล้านบาท รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท” นายปิติพัฒน์ กล่าวต่อ   สำหรับงานมหกรรมและคอนโด ครั้งที่ 39 จัดขึ้นโดยสมาคมอาคารชุดไทย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “SMART คิด HOUSE CONDO SOLUTIONS ให้เรื่องเป็นอยู่ เป็นเรื่องง่าย” โดยมีแนวคิดในการเลือกทำเลที่อยู่อาศัยอย่างชาญฉลาด นายปิติพัฒน์ กล่าวว่า “คณะกรรมการจัดงานพยายามสร้างไฮไลท์ในงานแต่ละครั้ง เพื่อสร้างความสดใหม่ และกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภค สำหรับงานครั้งที่ 39 นี้ คณะกรรมการจัดงานได้จัดโซน HC SOLUTIONS ขึ้น ให้สอดรับกับคอนเซ็ปต์การจัดงานครั้งนี้ โดยมี HC INFORMATION ระบบที่รวบรวมข้อมูลทุกโครงการจากผู้ประกอการกว่า 200 ราย ที่เข้าร่วมจัดแสดงสินค้า เพื่อประมวลผลในทุกเรื่องที่ผู้บริโภคต้องการทราบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทำเล ราคา และโปรโมชั่นต่างๆ ทั้งยังช่วยคำนวณความสามารถในการขอสินเชื่อ และมีบริการให้คำปรึกษาแนะนำเรื่องการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินชั้นนำที่มาร่วมเปิดบูธ นอกจากนี้ ยังช่วยค้นหาตำแหน่งบูธของโครงการต่างๆ ในงาน ทำให้ผู้มางานสามารถเข้าถึงโครงการต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ได้รับประสบการณ์ ที่ดีและประทับใจในการมางานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 อีกทั้งยังรู้สึกว่าเรื่องเป็นอยู่เป็นเรื่องง่ายอีกด้วย และที่สำคัญ ยังช่วยให้ตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น เพราะผู้บริโภคได้รับข้อมูลสินค้าที่ตรงกับความต้องการ”   “ทางสามสมาคมและสมาชิกผู้ประกอบการพยายามที่จะรักษามาตรฐานการจัดงาน เพื่อให้งานมหกรรมบ้านและคอนโดยังคงเป็นงานแสดงสินค้าที่อยู่อาศัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย รวบรวมสินค้าบริการ และโปรโมชั่น ด้านอสังหาฯ ไว้มากที่สุด สมกับสโลแกนที่ว่า ‘ครบที่สุด ทุกที่ ทุกทำเล ทุกราคา หาได้ที่นี่’ ในทุกครั้ง บนพื้นที่จัด แสดงสินค้ากว่า 1 หมื่นตารางเมตร จะมีบูธผู้ประกอบการกว่า 500 บูธ นำสินค้าอสังหาฯ กว่า 1,000 โครงการ รวมถึงสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงนำบริการสินเชื่อมาเสนอแก่ผู้บริโภค งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 นี้ ก็เช่นกัน ยังคงได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าร่วม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับวงการ อสังหาฯ และผู้บริโภค ทำให้ยอดจองพื้นที่โซนซี ชั้น 1-2 และโซนเอแทรียม เต็ม 100% ไม่ว่าจะเป็นบมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท, บมจ.เจ้าพระยามหานคร, บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์, บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์, บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้, บมจ.ศุภาลัย, บจก.  แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์, บจก.แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท, บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ เป็นต้น”   สำหรับโปรโมชั่นภายในงานครั้งนี้ นายปิติพัฒน์ กล่าวว่า “ทางคณะกรรมการจัดงานได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษ ไว้ให้กับลูกค้าที่ชำระเงินจองซื้อโครงการที่อยู่อาศัย ทุก 5 แสนบาท จะได้รับคูปองสำหรับจับฉลากรางวัล 1 ใบ เพื่อลุ้น ชิงบัตรกำนัลส่วนลดเงินสดมูลค่า 1 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล ทั้งยังได้ลุ้นรับโทรทัศน์แอลอีดี ขนาด 43 นิ้ว รุ่น TV-43FX500  จากพานาโซนิค รางวัลละ19,490 บาท จำนวน 15 รางวัล อีกทั้งยังมีโปรโมชั่นพิเศษมากมายจาก ผู้ประกอบการ อาทิ พฤกษา เรียลเอสเตท มอบส่วนลดสูงสุด 5 แสนบาท และลุ้นรับ Samsung Galaxy Note 9 พร้อมรางวัลอื่นๆ ปรีดา เรียลเอสเตท  จัดแคมเปญ Big Sale Big Surprise จองห้องในราคาเริ่มต้นเพียง 1.39 ล้านบาท รับส่วนลดสูงสุด 2 แสนบาท และลุ้นจับฉลากรับ ส่วนลดสูงสุดเพิ่ม 1 ล้านบาท ซีเอ็มซี กรุ๊ป ฉลองครบ รอบ 24 ปี เปิดจองโครงการใหม่แบบเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมรวมกว่า 20 โครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ติดแนวรถ ไฟฟ้ามาให้เลือกช็อปในราคาพิเศษ” “นอกจากนี้ กานดา พร็อพเพอร์ตี้ ยังจัด Hot Deal 60 แปลงพิเศษ รับส่วนลดและโปรโมชั่นสูงสุด 1 ล้าน บาท ทั้งยังให้ส่วนลดเงินทำสัญญาเพิ่ม สูงสุดอีก 1 แสนบาท ธนาพัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จัด BEST OFFER ซื้อบ้านรับโปรโมชั่นทันทีสองต่อ เริ่ม 3.69 ล้านบาท ไพโรจน์กิจจา นำโครงการ เรสทาวน์ มาจัด โปรโมชั่นฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน พร้อมส่วนลด 3 แสนบาทซาแลน ดิเวลลอปเมนต์ จัดโปรโมชั่นกับโครงการ The Saint Residences อยู่ฟรี 2 ปี จำนวน 5 ยูนิตเท่านั้น และ รามคำแหง พร็อพเพอร์ตี้ จัดโปรโมชั่นกับโครงการ ดิ อิเธอโน่ ทั้ง 3ทำเลทอง รามคำแหง 174, ร่มเกล้า 64 และ หทัยราษฎร์ มอบฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลัง” งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 4 - 7 ตุลาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บริเวณโซนซี ชั้น 1 ชั้น 2 และโซนเอเทรียม ผู้สนใจเข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียนออนไลน์ล่วงหน้าได้ทาง www.housecondoshow.com หรือติดตามรายละเอียดข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ทางเฟสบุ๊ค housecondoshow- งานมหกรรมบ้านและคอนโด อินสตาแกรม housecondoshow  และไลน์ @housecondoexpo ทั้งยังสามารถดาวน์โหลดโมบายแอพพลิเคชั่น HouseCondoShow เพื่อค้นหาข้อมูลโครงการและโปรโมชั่นจากผู้ประกอบการได้อย่างง่ายดายและสะดวกรวดเร็ว
Enrich กับความสำเร็จที่เกิดจากความเข้าใจการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง คว้ารางวัล Special Recognition for Design & Construction จากงาน Thailand Property Award 2018

Enrich กับความสำเร็จที่เกิดจากความเข้าใจการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง คว้ารางวัล Special Recognition for Design & Construction จากงาน Thailand Property Award 2018

บทพิสูจน์ของการพัฒนาธุรกิจจากความเข้าใจการใช้ชีวิตของผู้บริโภคอย่างแท้จริงได้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อกลุ่มบริษัท เอ็นริช ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวใหม่ ที่ดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิด ‘Guiding You to Practical Living’ หรือการเป็นคู่คิดของชีวิตอยู่อาศัยจริง จนได้รับรางวัล Winner ด้าน Special Recognition for Design & Construction จากงาน Thailand Property Award 2018 ซึ่งนับเป็นผลลัพธ์จากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการและการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยในปัจจุบันอย่างแท้จริง จนทำให้ Enrich ได้รับรางวัลระดับประเทศนี้อย่างเต็มภาคภูมิ   คุณสุพิชา พงศ์ศีลธน ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธุรกิจ กลุ่มบริษัท เอ็นริช กล่าวว่า ‘‘ทาง Enrich รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ และเชื่อว่าการที่Enrich ประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับจากเวทีระดับประเทศอย่าง Thailand Property Award 2018  กับ รางวัล Winner ด้าน Special Recognition for Design & Construction เกิดจากความตั้งใจและมุ่งมั่นของ Enrich ที่ได้ให้ความสำคัญกับการออกแบบและพัฒนาที่อยู่อาศัย ด้วยการนำเทคโนโลยีที่มีมาตรฐานระดับสากลเข้ามาใช้ เพื่อยกระดับการออกแบบและการก่อสร้างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึงการจัดฝึกอบรมพนักงานทุกฝ่าย ให้มีความรู้และความชำนาญในสายงานอย่างแท้จริง ซึ่งทำให้โครงการของ Enrich ไม่เพียงแต่สามารถใช้งานได้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริงเท่านั้น แต่ยังมีดีไซน์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เข้ากับเทรนด์ในปัจจุบันและเหมาะสมกับการอยู่อาศัยของคนทุกวัย สอดคล้องกับแนวคิด ‘Guiding You to Practical Living’ ที่เรายึดมั่นมาโดยตลอดซึ่งจริงๆแล้ว แนวคิดนี้ก็ส่งผลให้เราได้รับ  2 รางวัลกับโครงการ THE MARQ ปิ่นเกล้า ได้แก่ รางวัล Winner ด้าน Best Housing Development(Bangkok) และรางวัล Highly Recommended ด้านBest Housing Landscape Architectural Design จากเวทีเดียวกันนี้ในปีที่แล้ว’’     สำหรับในปี 2018 นี้ นอกจากรางวัล Winner ด้าน Special Recognition for Design & Construction ที่สร้างความภาคภูมิใจแล้วนั้น โครงการที่ Enrich ได้ร่วมพัฒนากับพันธมิตรอย่าง ACE Estate ในโครงการ KUUN ราชพฤกษ์ ก็ยังสามารถคว้าอีก  5 รางวัลจากเวทีเดียวกันนี้ได้แก่รางวัล Winner ด้าน Special Recognition for Smart Home Development จากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบเข้ามาเพื่อสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยเหนือระดับ ตั้งแต่ระบบความปลอดภัยที่มีมากถึง 6 ระดับ จนถึงการใช้ชีวิตจริงภายในบ้าน กับ Voice Control System ระบบควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ภายในบ้านผ่านคำสั่งเสียง, การติดตั้ง Passenger Lift ในตัวบ้าน เพิ่มความสะดวกสบาย, รางวัล Winner ด้าน Best Housing Architectural Design จากการออกแบบด้านสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นแต่เรียบง่าย พร้อมการจัดวางพื้นที่สีเขียวที่กลมกลืนกันเข้าถึงธรรมชาติ, รางวัล Winner ด้าน Best Housing Landscape & Architectural Design จากการวางแผนโครงสร้าง และการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางเพื่อตอบโจทย์ของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ของ Co-Working Space, Fitness, Swimming Pool, Sauna Room และพื้นที่รองรับกิจกรรมพิเศษอย่าง Common Room,  รางวัล Highly Recommended ด้าน Best Housing Interior Design จากการตกแต่งภายในที่มีเอกลักษณ์ และรางวัล Highly Recommended ด้าน Best Housing Development (BKK) จากการพัฒนาโครงการ KUUN ราชพฤกษ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในปัจจุบันอย่างลงตัว และที่สำคัญ โครงการ KUUN ราชพฤกษ์ ยังได้เข้าชิงชนะเลิศ 2 รางวัลในเวทีระดับสากลอย่าง Asia Property Awards ครั้งที่ 8 ที่จะมีการประกาศผลรางวัลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าอีกด้วย   ตลอดเวลากว่า 10 ปีในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Enrich ได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยด้วยความใส่ใจในการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยทุกรายละเอียดภายใต้แนวคิดเรื่อง ‘Guiding You to Practical Living’ หรือการเป็นคู่คิดสำหรับชีวิตอยู่อาศัยจริง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อาศัยได้อย่างตรงใจ และสร้างสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน ด้วยการรับฟังและใส่ใจความต้องการที่แท้จริง จึงทำให้โครงการที่พัฒนาโดย Enrich นั้นมีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกทั้งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าและผู้อยู่อาศัยจริงซึ่งไม่ใช่เฉพาะโครงการในจังหวัดกรุงเทพฯเท่านั้น แต่รวมถึงโครงการในเมืองท่องเที่ยวหัวหินอย่าง คอนโดมิเนียม D2 Residences Hua Hin และ โรงแรม dusitD2 Hua Hin ที่ ENRICH ได้ร่วมกับพันธมิตรชั้นนำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่าง Dusit internationalและ Plus Property เพื่อร่วมกันพัฒนาและบริหารโครงการ ส่วนในด้านของสถาปัตยกรรมนั้น ถูกถ่ายทอดโดยผู้ออกแบบชั้นนำระดับประเทศอย่าง Jun Sekino, Trop Landscape และIdin Architec เพื่อสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ของการพักผ่อนและการอยู่อาศัย   การได้รับรางวัลในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จและการยืนยันถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจของ Enrich ที่ได้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยโดยยึดเอาการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก ซึ่งเป็นแนวคิดที่แตกต่างจากกรอบแนวคิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบเดิม ทั้งนี้ Enrich ยังดำเนินการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยเพิ่มในปีนี้ โดยยังคงยึดเอาแนวคิด ‘Guiding You to Practical Living’ มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้โครงการของ Enrichสร้างความพึงพอใจและตอบรับกับความต้องการของผู้พักอาศัยได้มากที่สุดต่อไป
เพซ ประกาศใช้นวัตกรรมใหม่ล่าสุดในโครงการ นิมิต หลังสวน มั่นใจลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีสุดเพื่อการพักอาศัยระดับไฮเอนด์อย่างแท้จริง

เพซ ประกาศใช้นวัตกรรมใหม่ล่าสุดในโครงการ นิมิต หลังสวน มั่นใจลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีสุดเพื่อการพักอาศัยระดับไฮเอนด์อย่างแท้จริง

บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE บริษัทผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ของไทย แถลงว่า บริษัทฯได้ลงทุนใช้นวัตกรรมท่อน้ำทิ้งเปี่ยมประสิทธิภาพล่าสุด คือ Geberit Sovent ในการก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับเวิลด์คลาส นิมิต หลังสวน โดยนวัตกรรมสุดยอดนี้ได้รับเลือกใช้ในโครงการที่พักอาศัยและโรงแรมระดับห้าดาวในยุโรปและอเมริกา และนิมิต หลังสวน นับได้ว่าเป็นโครงการที่พักอาศัยแรกและโครงการเดียวในประเทศไทยที่เลือกใช้ระบบจัดการน้ำจดสิทธิบัตรนี้   นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เพซมุ่งมั่นนำเสนอที่พักอาศัยเปี่ยมคุณภาพและตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่าในการลงทุนระยะยาวให้แก่ลูกค้า โดยเราสรรหานวัตกรรมทรงประสิทธิภาพและแนวคิดใหม่ๆจากทั่วโลกที่มอบความสวยงามและมีความง่ายต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น เดียวกับการลงทุนเลือกระบบน้ำทิ้ง Geberit Sovent เพราะเป็นระบบที่สนองตอบความตั้งมั่นและวิสัยทัศน์ของเราในการมอบบ้านที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าคนสำคัญของเพซ”   ระบบ Sovent ของเกเบอริท  เป็นระบบน้ำทิ้งสำหรับอาคารสูงที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม ช่วยให้การออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยสามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุด  อีกทั้งยังเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของเกเบอริท  ปัจจุบันได้มีการใช้ระบบนี้ในส่วนคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์  และโรงแรมห้าดาวทั้งในยุโรปและอเมริกาเหนือ อาทิเช่นโรงแรมฮิลตัน, Maastoren Rotterdam เนเธอร์แลนด์, The Bosco Verticale อิตาลี และ Bella Sky เดนมาร์ค เป็นต้น   ระบบ Sovent ของเกเบอริทในโครงการ นิมิต หลังสวน  ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอย ลดเสียงรบกวนเมื่อเทียบระบบน้ำทิ้งแบบเดิมที่เชื่อมกับของเพื่อนบ้านทั้งด้านบนล่างและห้องที่ติดกัน  ช่วยลดพื้นที่ในช่องเซอร์วิสและช่วยขจัดปัญหาน้ำรั่วลงไปห้องด้านล่าง ทำให้การบริหารจัดการและการซ่อมแซมทำได้ภายในยูนิตหรือเรียกว่า Self-Contained  และเป็นทางเลือกที่ไม่เพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับเจ้าของบ้าน อีกทั้งมีการติดตั้งที่เรียบร้อย  ทำให้ระบบ Sovent  สามารถเพิ่มคุณค่าให้กับการลงทุนในระยะยาว  ทำให้ที่อยู่สวยงามดูแลง่ายตอบโจทย์ความเป็นที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์อย่างแท้จริง   “เกเบอริทมีความภูมิใจที่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในระบบสำคัญเพื่อเติมเต็มและตอบโจทย์ปรัชญาในการรังสรรค์และนำเสนอมาตรฐานในการอยู่อาศัยที่ยอดเยี่ยมที่สุดแก่ลูกค้าของเพซ“  กนกศรี ปคุณวรกิจ  ผู้จัดการส่วนงานประเทศไทย บริษัทเกเบอริท กล่าว “ด้วยความร่วมมือโดยการใช้ระบบน้ำทิ้ง Sovent ที่ โด่งดังไปทั่วโลกของเรา จะทำให้โครงการ นิมิต หลังสวน จัดได้ว่าเป็นโครงการที่พักอาศัยทรงคุณค่าระดับแนวหน้าของประเทศไทย คุ้มค่าในการลงทุนและอยู่อาศัย”   โดยฟีเจอร์อื่นๆของโครงการที่จะเพิ่มมูลค่าในระยะยาวของโครงการ นิมิต หลังสวน ประกอบด้วย กระจกอินซูเลท หรือ Insulated Glass Unit ซึ่งเป็นกระจกที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถกันแสงอาทิตย์กันความร้อนและเสียง ทำให้ผู้พักอาศัยประหยัดค่าไฟ นอกจากนั้นแล้ว นิมิต หลังสวนยังใช้แอร์ระบบ VRV Water Cooled Package หรือระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์ ซึ่งสามารถวางคอนเดนซอร์ไว้ในตัวอาคาร มอบความยืดหยุ่นในการออกแบบห้อง และเป็นระบบที่เหมาะกับพื้นผิวอาคารที่มีความครีเอทีฟ และทำให้ลูกบ้านสามารถใช้ระเบียงได้อย่างเต็มที่     นิมิต หลังสวน เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่กรรมสิทธ์ฟรีโฮลด์ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบนทำเลถนนหลังสวน พร้อมขนาดพื้นที่โครงการรวมกว่า 2 ไร่ ติดสวนลุมพินีและมีมูลค่าโครงการประมาณ 8 พันล้านบาท ประกอบด้วยเรสซิเดนซ์ทั้งหมด 178 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 78 - 640 ตารางเมตร ปัจจุบัน โครงการ นิมิตหลังสวน มียอดขายแล้วกว่าร้อยละ 90 ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 6.914 พันล้านบาท โดยขณะนี้โครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะสามารถสร้างถึงชั้น 50 ภายในปลายปีนี้   โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เพซก่อสร้างสำเร็จและปิดการขายเรียบร้อยแล้วประกอบด้วย โครงการไฟคัส เลน ศาลาแดง เรสซิเดนเซส และ โครงการแลนด์มาร์คมหานคร ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 3 โครงการโดยมีมูลค่ารวมกันทั้งหมดกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท   โดยโครงการที่มีการทยอยโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้ ได้แก่ 1) เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก มียอดแบ็คล็อค 2.062 พันล้านบาท และมียูนิตรอขายอีก 301 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถโอนห้องที่เหลือทั้งหมดได้ภายในไตรมาส 4 ปี 2018 2) โครงการมหาสมุทร วิลล่า มียอดแบ็คล็อค 649 ล้านบาท และมีวิลล่ารอขายมูลค่าประมาณ 3.095 พันล้านบาท และ 3) โครงการนิมิต หลังสวน มียอดขายแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นยอดแบ็คล็อคคิดเป็นมูลค่า 6.914 พันล้านบาท และห้องชุดรอขายมูลค่าประมาณ 1.086 พันล้านบาท และ 4) โครงการ วินด์เชลล์ นราธิวาส  มียอดแบ็คล็อค 792 ล้านบาท และมีห้องชุดรอขายอีกมูลค่าประมาณ 2.208 พันล้านบาท โดยทั้งโครงการนิมิต หลังสวน และ โครงการวินด์เชลล์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถโอนและรับรู้รายได้ภายในปี 2562
รอยัล ครีค กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท เปิดตัว Mixed-Use Project  พร้อมผลักดันให้จ.อุดรธานีขึ้นแท่นเป็นสปอร์ตซิตี้แห่งแรกของภาคอีสาน

รอยัล ครีค กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท เปิดตัว Mixed-Use Project พร้อมผลักดันให้จ.อุดรธานีขึ้นแท่นเป็นสปอร์ตซิตี้แห่งแรกของภาคอีสาน

นายธีระ เธียรวาริช ประธานกรรมการ บริษัท รอยัล ครีค กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท จำกัด กล่าวว่า “บริษัทฯเป็นผู้บริหารและพัฒนาโครงการ รอยัล ครีค กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท ซึ่งเป็นโครงการในรูปแบบ Mixed-Use ที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสานตอนบน ประกอบด้วย 5 โครงการหลักคือ สนามกอล์ฟขนาดมาตรฐานระดับ 5 ดาว 18 หลุม 72 พาร์, โครงการหมู่บ้านหรูในสนามกอล์ฟ, คลับเฮ้าส์ และรีสอร์ทห้าดาว บนพื้นที่ 500 ไร่ ด้วยงบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท โดยโครงการฯตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเพียง 17 กิโลเมตร เดินทางจากสนามบินนานาชาติอุดรธานีเพียง 30 นาที เรียกได้ว่ามีความสะดวกสบายและครบครัน   สำหรับโครงการ รอยัล ครีค กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงระหว่างดำเนินการก่อสร้าง โดยคาดว่าในเฟสแรก สนามกอล์ฟ 9 หลุมจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2561 และเปิดให้บริการ 18 หลุมภายในเดือนเมษายน 2562 ส่วนในเฟสอื่นๆ คาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จจนครบภายในเดือนพฤษภาคมปี 62 ซึ่งเรามองว่าจังหวัดอุดรธานี เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของภาคอีสาน และยังเป็นเมืองกีฬา หรือ Sport City ซึ่งเราเล็งเห็นศักยภาพและกลุ่มตลาดท่องเที่ยวในเชิงกีฬาของจ.อุดรธานีมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากการก่อสร้างสนามกีฬาขนาดใหญ่หลายแห่งภายในจังหวัด เพื่อมุ่งรองรับการจัดการแข่งขันกีฬารายการใหญ่ๆทั้งในระดับประเทศ และระดับโลกในอนาคต ซึ่งสอดรับกับนโยบายของจังหวัดที่ต้องการผลักดันให้อุดรธานีขึ้นแท่นเป็นสปอร์ตซิตี้แห่งแรกของภาคอีสานอีกด้วย       รอยัล ครีค กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท พร้อมเปิดโชว์รูม เตรียมพรีเซลล์โครงการบ้านจัดสรรสุดหรูภายในสนามกอล์ฟ จำนวน 100 ยูนิต ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 7-13 ล้านบาท บนพื้นที่เริ่มต้นที่ 180 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยกว่า 350 ตารางเมตร มีบ้านให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Modern Creek Style, Royal Creek Style และ Grand Royal Creek Style โดยมุ่งจับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการมีบ้านพักตากอากาศหลังที่ 2 กลุ่มคนที่ต้องการความหรูหราในราคาจับต้องได้ ตลอดจนนักธุรกิจทั้งไทยและต่างชาติ รวมถึงนักกอล์ฟทั่วโลก โดยตั้งเป้ายอดจองให้ได้ภายใน 6 เดือน   สำหรับด้านการบริหารและการก่อสร้างสนามกอล์ฟ เราได้นายทันสวัสดิ์ กาปัญญา ในฐานะที่ปรึกษาด้านการออกแบบและก่อสร้างสนามกอล์ฟ ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการก่อสร้างและบริหารงานโครงการสนามกอล์ฟมาตรฐานและมีชื่อเสียงในระดับประเทศหลายแห่งมานานกว่า 20 ปี อาทิ สนามกอล์ฟปัญญารามอินทรา, สนามกอล์ฟอัลไพน์ & สปอร์ตคลับ, กรีนวัลเลย์กอล์ฟ คันทรี่คลับ เชียงใหม่ เป็นต้น มาเป็นที่ปรึกษาดูแลในทุกระบบ รวมถึงการปรับปรุงภูมิทัศน์ในสนามกอล์ฟ พร้อมทีมงานมืออาชีพและมีประสบการณ์โดยเฉพาะ     ทางด้านนายเสกสรร โหนทองหลาง ในฐานะสถาปนิกและที่ปรึกษาด้านการออกแบบโครงการกล่าวเพิ่มเติมว่า “สนามกอล์ฟ รอยัล ครีค เป็นโครงการสนามกอล์ฟขนาดใหญ่ การออกแบบดีไซน์จะเน้นการจัด landscape และเรื่องการวางพื้นที่ที่มีอยู่อย่างเหมาะสมและได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเรื่องเนิน ต้นไม้ น้ำ เพื่อเป็นองค์ประกอบในการเล่นกอล์ฟ ชึ่งจะมีผลต่อความยากง่ายในแต่ละหลุม รวมถึง Green Area ร้อยละ 80 ของพื้นที่ ซึ่งเน้นการสร้างบรรยากาศแวดล้อมให้คงความเป็นธรรมชาติ เพื่อการพักผ่อนและรีแลกซ์ให้กับนักกอล์ฟอย่างร่มรื่นลงตัว ด้วย Sky View อันสวยงามทั้งโครงการ อีกทั้งยังเลือกใช้หญ้าพันธุ์เบอร์มิวด้าแชมเปี้ยน ซึ่งมีคุณสมบัติข้อปล้องสั้น สามารถทนน้ำ ทนแดด และการเหยียบย่ำได้ดีกว่า ซึ่งได้รับการพัฒนาสายพันธุ์มาให้แข็งแรงและเหมาะสมกับสนามกอล์ฟทั่วโลก รวมถึงสีของหญ้าจะเขียวขจี สวยงาม สำหรับหลุม Signature หรือไฮไลท์ของสนามกอล์ฟ รอยัล ครีค คือหลุมที่ 2 ถือเป็น Six Nager Hole Par 3 ระยะ 180 หลา เป็นกรีนที่มีเกาะกลางน้ำ นักกอล์ฟต้องใช้ความแม่นยำเป็นพิเศษในการตีผ่านอุปสรรคน้ำ ถือเป็นความท้าทายสำหรับนักกอล์ฟที่มาเยือนสนาม นอกจากนี้ เรายังได้สร้างสนามไดร์ฟวิ่งเลน เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ ประกอบด้วยช่องฝึก 30 เลน บริการโปรกอล์ฟแนะนำวงสวิงให้ฟรีอีกด้วย”       นอกจากนี้ แนวคิดของการออกแบบสนามกอล์ฟ รวมถึงคลับเฮ้าส์ โครงการหมู่บ้านหรูในสนามกอล์ฟ และรีสอร์ท จะเน้นคอนเซ็ปต์การออกแบบสะท้อนความเป็นโมเดิร์น และตอบโจทย์ฟั่งชั่นและพื้นที่ใช้สอยสำหรับทุกคนในครอบครัว       เตรียมพบกับที่สุดของโครงการ Mixed-Use ที่ใหญ่ และโดดเด่นที่สุดแห่งปีในภาคอีสานตอนบน ที่พร้อมเปิดให้เป็นเจ้าของแล้ววันนี้ พร้อมพบข้อเสนอสุดพิเศษในช่วงพรีเซลล์ กับแคมเปญยิ่งใหญ่ เพื่อกระตุ้นความสนใจและยอดขายมากมายอาทิ เพียงทำสัญญาจองภายในช่วงพรีเซลล์นี้ รับส่วนลดทันที มูลค่าเริ่มต้นที 1-2 ล้านบาท พร้อมรับสิทธิ์เป็นสมาชิก Founder Member Golf VIP ตลอดชีพ มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังรับสิทธิประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย พร้อมลุ้นรับทองคำมูลค่า 5 บาทเมื่อจองและทำสัญญาภายในเดือนกันยายนนี้อีกด้วย สำหรับ ผู้ที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร.042-932949 หรือ Facebook:/Royalcreekgolfclub  
โกลด์เด้น กรุ๊ป ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ภาคตะวันออก เดินหน้าพัฒนาโครงการ ‘คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา’ เจาะตลาดชาวญี่ปุ่น พร้อมตั้งเป้าขึ้นเบอร์ 1 ตลาดอสังหาฯ ศรีราชา ด้วยกลยุทธ์มาตรฐานคุณภาพระดับสากล

โกลด์เด้น กรุ๊ป ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ภาคตะวันออก เดินหน้าพัฒนาโครงการ ‘คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา’ เจาะตลาดชาวญี่ปุ่น พร้อมตั้งเป้าขึ้นเบอร์ 1 ตลาดอสังหาฯ ศรีราชา ด้วยกลยุทธ์มาตรฐานคุณภาพระดับสากล

นางสุนทะรา คำภูสิริ ผู้ก่อตั้ง โกลด์เด้น กรุ๊ป ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่แห่งภาคตะวันออกของไทย เปิดเผยว่า โกลด์เด้น กรุ๊ป มีมูลค่าทุนจดทะเบียนบริษัทในเครือกว่า 1,300 ล้านบาท และก้าวเข้าสู่การเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในภาคตะวันออกของไทย ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการคุณภาพหลากประเภทกว่า 34 โครงการ อาทิ บ้านเดี่ยว ทาวเฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม รวมมูลค่าโครงการกว่า 11,122 ล้านบาท โดยเฉพาะทำเลศรีราชา ตลอดจนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น อาทิ ศูนย์การค้า และตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์อุตสาหกรรมก่อสร้างชั้นนำ เป็นต้น โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ ‘คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา : KEEN Centre Sriracha’ ด้วยแนวคิดการออกแบบในสไตล์ญี่ปุ่น มูลค่าโครงการ 2,716 ล้านบาท ซึ่งเริ่มดำเนินการก่อสร้างไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายกว่า 65% โดยโครงการนี้ถือเป็นโครงการเรือธง เนื่องจากตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ พร้อมวิวทะเลใจกลางเมืองศรีราชา ริมถนนสุขุมวิท ตรงข้ามโรบินสัน ติดกับอิออนมอลล์ และใกล้เคียงกับสถานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลพญาไท, โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา และสวนสุรศักดิ์มนตรี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อลงทุนและอยู่อาศัยเอง ในราคาเริ่มต้น 3.1 ล้านบาท หรือประมาณ 86,000 บาทต่อตร.ม. ที่มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสุดหรู อาทิ ห้องออนเซ็นขนาดใหญ่, ห้องชงชา,  สวนสไตล์เซน, สระว่ายน้ำพร้อมระบบควบคุมอุณหภูมิ, ห้องเด็กเล่น และสวนชั้นดาดฟ้าวิว 360 องศา นอกจากนี้ ยังมีบริการทำความสะอาดห้องพักระดับมาตรฐานโรงแรมฟรี สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ตลาดอสังหาฯ ในศรีราชาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะศรีราชาภายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยพบว่าที่ดินที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูง มีราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 50% โดยเฉพาะราคาที่ดินใกล้ชายหาดปรับขึ้นสูงมากจาก 5 ปีก่อนราคาหลักหมื่นต่อตารางวา ซึ่งปัจจุบันขยับไปที่ 2-3 แสนบาท ต่อตารางวา และมูลค่าตลาดเป็นอันดับ 2 รองจากรุงเทพฯ ตามการขยายตัวของการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม โดยมีชาวต่างชาติเข้ามาอาศัยเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนแรงงานชาวญี่ปุ่นที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทย พื้นที่ศรีราชาอยู่ที่ราว 8,000 คน หากรวมจำนวนสมาชิกในครอบครัวที่ย้ายมาอยู่ด้วย จะอยู่ที่ราว 10,000 – 15,000 คน “ศรีราชาเป็น 1 ใน 7 ของสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งใช้ระยะเวลาเดินทางจากสุวรรณภูมิเพียง 30 นาที เชื่อมต่อการเดินทางที่สะดวกมากยิ่งขึ้นส่งผลบวกต่อผู้ที่อยู่อาศัยและกลุ่มนักลงทุน รวมถึงยังสอดคล้องกับแผนพัฒนาโครงการของบริษัท โกลด์เด้น กรุ๊ป จำกัด ที่เล็งเห็นศักยภาพของพื้นที่บริเวณศรีราชาและเตรียมพร้อมก้าวเข้าสู่การเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในภาคตะวันออกของไทย ซึ่งทำให้มั่นใจว่าคีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา จะสามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าด้วยความโดดเด่นในแต่ละด้านของโครงการคุ้มค่าในการลงทุนเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้รับ” นางสุนทะรา คำภูสิริ กล่าว   นอกจากนี้ การเดินหน้าประกาศโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้นนั้น จะเป็นส่วนสำคัญในกระตุ้นเศรษฐกิจศรีราชาให้มีการเติบโต ตลอดจนการขยายตัวของที่อยู่อาศัยจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นเช่นกัน พร้อมกับขยายกลุ่มนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในศรีราชามากขึ้นไป โกลเด้น กรุ๊ป ทางเรามีแผนจะขยายพัฒนาโครงการไปยังจังหวัดอื่นๆ ภายในภาคตะวันออกของประเทศไทย จากเดิมที่ส่วนใหญ่เน้นพัฒนาโครงการในชลบุรีเป็นหลัก ซึ่งบริษัทยังมีแผนในอนาคตจะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส คาดว่าจะดำเนินการในปี 2562 และบริษัทยังมองหาที่ดินแปลงอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต และตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุน ส่งเสริมการดำเนินนโยบายของภาครัฐ  นอกจากนี้ภายในปี 2561 โกลเด้น กรุ๊ปมีแผนที่จะพัฒนาโครงการ ราว 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม  3,237 ล้านบาท ในทำเลศรีราชา 2 โครงการ บางละมุง 2 โครงการ และหนองมน 1 โครงการรวม 1,576 ยูนิต   “ทิศทางการลงทุนในอนาคต ปี 2562 - 2563 โกลเด้น กรุ๊ป มีแผนที่จะขยายโครงการไปยังจังหวัดอื่นๆ ภายในภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดระยองเป็นหนึ่งในโครงการที่มีที่ดินรอการพัฒนา ซึ่งจะถูกนำมาพัฒนาเป็นรีสอร์ตและบ้านพักริมหาดให้บริการกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ พร้อมบนขนาดที่ดินกว่า 252 ไร่ รวมถึงการพัฒนาในประเภทอื่นๆ ทั้งรูปแบบแนวราบ แนวสูง หรือแม้กระทั่งโครงการมิกซ์ยูส และโกลเด้น กรุ๊ป ยังมีโครงการรอพัฒนาอีกจำนวน 5 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 4 โครงการ และรีสอร์ต 1 โครงการ จากนโยบายการเป็นบริษัทรายเล็กที่พัฒนาโครงการได้อย่างมืออาชีพ ที่มาพร้อมกับมาตรฐานโครงการที่มีคุณภาพและความคุ้มค่าตอบแทนแก่ลูกค้า” นางสุนทะรา คำภูสิริ กล่าวสรุป  
อิเกียส่งคอลเล็คชั่น GRATULERA รวมสุดยอดเฟอร์นิเจอร์ระดับตำนาน ฉลองครบรอบ 75 ปี

อิเกียส่งคอลเล็คชั่น GRATULERA รวมสุดยอดเฟอร์นิเจอร์ระดับตำนาน ฉลองครบรอบ 75 ปี

อิเกียจัดเซอร์ไพรส์สุดพิเศษแทนคำขอบคุณลูกค้าในโอกาสครบรอบ 75 ปี คัดสรรเฟอร์นิเจอร์ยอดนิยมแห่งยุค 50-60s, 70-80s และ 90s กลับมาวางจำหน่ายให้แฟนอิเกียได้เป็นเจ้าของอีกครั้ง ในคอลเล็คชั่นวินเทจ GRATULERA/กราทูเลรา เก็บรักษาเอกลักษณ์งานดีไซน์สุดคลาสสิกที่ทุกคนรักไว้อย่างครบถ้วน พร้อมเพิ่มเติมลูกเล่นให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยจะทยอยเปิดตัวที่สโตร์อิเกียทั่วโลกตั้งแต่เดือนสิงหาคมไปจนถึงเดือนธันวาคม     คาริน กุสตาฟสัน (Karin Gustavsson) หัวหน้าฝ่ายครีเอทีฟของอิเกีย สวีเดน กล่าวว่า “ปีนี้เป็นปีที่พิเศษสำหรับอิเกีย เราอยากชวนแฟนๆ มาร่วมเฉลิมฉลองจุดเริ่มต้นความสำเร็จของวิสัยทัศน์อิเกียที่ต้องการสรรค์สร้างชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น และหวนรำลึกถึงความทรงจำวันวานผ่านเฟอร์นิเจอร์ระดับตำนานที่สะท้อนเอกลักษณ์และสไตล์ของงานออกแบบใน 3 ยุคที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ได้แก่ ยุค 1950-1960 โดดเด่นด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มสะท้อนกลิ่นอายคลาสสิก, ยุค 1970-1980 ดีไซน์ที่เต็มไปด้วยลูกเล่นและสีสันสดใส และยุค 1990-2000 ที่เน้นรูปลักษณ์เรียบง่ายสไตล์มินิมัลด้วยไม้สีอ่อนธรรมชาติและลายกราฟิก เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดที่เราคัดสรรมาในคอลเล็คชั่น GRATULERA/กราทูเลรา เป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นโปรดที่เราคิดถึง และหวังว่าลูกค้าก็คงจะคิดถึงเช่นกัน”   คอลเล็คชั่นวินเทจ GRATULERA/กราทูเลรา แบ่งออกเป็น 3 ยุค 3 แนวคิดการออกแบบ ซึ่งจะพาทุกคนย้อนกลับไปทำความรู้จักเฟอร์นิเจอร์ระดับตำนานของอิเกีย ทุกชิ้นล้วนมีเรื่องราวและเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์อันน่าประทับใจ       CLASSIC COMEBACKS อิเกีย พาแฟนๆ ย้อนกลับไปสู่ยุค 1950-1960 ช่วงเวลาแรกๆ ที่อิเกียเริ่มสร้างชื่อเสียงด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไอคอนกับงานออกแบบที่สะท้อนความเคร่งขรึม ด้วยวัสดุไม้สีเข้มและลายเส้นคลาสสิก     โต๊ะข้าง รุ่น LÖVBACKEN/เลิฟบัคเก้น เป็นเฟอร์นิเจอร์ฮิตชิ้นแรกของอิเกีย และเป็นต้นกำเนิดของการบรรจุสินค้าในกล่องแบนหรือ Flatpack เมื่อเพื่อนร่วมงานของเราตัดสินใจถอดขาโต๊ะออกเพื่อให้สามารถใส่โต๊ะเข้าไปในรถคันเล็กของเขาได้ ปัจจุบัน สินค้าเกือบทั้งหมดของอิเกียบรรจุในกล่องแบน ทำให้ขนส่งได้ง่ายขึ้น ประหยัดพื้นที่ และลดอัตราการชำรุดเสียหายของสินค้า   อาร์มแชร์ รุ่น GAGNET/กังเนต อีกหนึ่งเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นพระเอกในยุคนี้ เปิดตัวครั้งแรกในปี 1958 พร้อมกับสโตร์อิเกียแห่งแรกในเมืองอัมฮุล์ท ประเทศสวีเดน อาร์มแชร์ตัวนี้นำมาให้สื่อมวลชนได้ทดลองนั่งในงานแถลงข่าว ดีไซน์ที่โค้งมนของอาร์มแชร์เป็นสัญลักษณ์ของการก้าวสู่อนาคตที่สดใสของเรา     FUN FAVOURITES 1970-1980 เป็นช่วงเวลาแห่งรอยยิ้ม และการออกแบบที่เต็มไปด้วยสีสันจัดจ้าน ร่าเริงสดใส     เมื่อพูดถึงยุคนี้ แฟนอิเกียจะนึกถึงโซฟา รุ่น KLIPPAN/คลิปปัน หนึ่งในโซฟารุ่นแรกๆ ที่จำหน่ายในราคาย่อมเยาที่ทุกคนเป็นเจ้าของได้ ขึ้นแท่นสินค้าที่เป็นไอคอนตลอดกาล เป็นงานศิลปะชั้นเลิศประดับห้องนั่งเล่นในหลายๆ บ้าน เพราะตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนในครอบครัวได้อย่างแท้จริง ครั้งนี้ โซฟา รุ่น KLIPPAN/คลิปปัน กลับมาพร้อมกับ 3 สีที่โดดเด่นสะดุดตา ได้แก่ สีเหลืองสด สีแดง และสีน้ำเงินโคบอลต์       อาร์มแชร์ รุ่น RÅANE/รัวอาเน เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1983 โดยใช้ชื่อ JÄRPEN/แยร์เปน เป็นการปฏิวัติการออกแบบอาร์มแชร์ ด้วยโจทย์ที่ว่าจะทำอย่างไรให้นั่งสบายโดยไม่ใช้ผ้าหรือยัดนุ่น จนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอาร์มแชร์ตัวนี้ที่ใช้ตาข่ายแทน เป็นงานออกแบบที่ใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ   MINIMAL MUST-HAVES ยุค 1990 เกิดกระแสนิยมงานดีไซน์เรียบง่าย สไตล์มินิมัลที่ผสมผสานระหว่างสีธรรมชาติของไม้สแกนดิเนเวียกับลวดลายกราฟิก เมื่อปี 1995 อิเกียได้แนะนำคอลเล็คชั่นที่กลายเป็นไอคอนของเฟอร์นิเจอร์อิเกียและสามารถครองใจแฟนๆ มาจนถึงปัจจุบันนั่นคือ คอลเล็คชั่น IKEA PS/อิเกีย พีเอส ตัวอักษร ‘PS’ ย่อมาจาก ‘Post Scriptum’ หรือ ปล. ที่ใช้เวลาเขียนเพิ่มเติมข้อความในจดหมายนั่นเอง สื่อถึงการที่อิเกียเพิ่มฟังก์ชั่นใช้งานเติมเข้าไปในสินค้าของเรา เพื่อท้าทายและสำรวจว่างานดีไซน์แบบ Scandinavian Modern ควรจะเป็นอย่างไรและมีรูปร่างหน้าตาแบบไหน     ม้านั่งเก็บของ รุ่น IKEA PS 1995/อิเกีย พีเอส 1995 เปรียบเสมือนเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นประติมากรรม เป็นงานออกแบบที่เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น ม้านั่งเก็บของที่มีล้อด้านหนึ่งและขาอีกด้านหนึ่งกลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ผู้คนมากมายชื่นชอบ เพราะครบถ้วนทั้งดีไซน์และฟังก์ชั่นการจัดเก็บ ลงตัวกับทุกห้องในบ้าน   เก้าอี้ รุ่น BJURÅN/บยูรวน หรือชื่อเดิม ÖGLA/เอิกล่า เปิดตัวครั้งแรกในปี 1961 และผลิตอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันโดยโรงงานในโปแลนด์ เป็นงานไม้รูปทรงโค้งมนที่เปรียบเสมือนงานฝีมือชั้นเยี่ยม ถูกนำกลับมาแต่งแต้มด้วยสีสันสดใส วางตกแต่งเป็นชิ้นเดี่ยวหรือใช้วางคู่กับโต๊ะอาหาร   แวะมาเลือกสรรเฟอร์นิเจอร์วินเทจระดับตำนานที่อิเกียตั้งใจรังสรรค์ในคอลเล็คชั่นสุดพิเศษ GRATULERA/กราทูเลรา ฉลองอิเกียครบรอบ 75 ปี พร้อมพบแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการตกแต่งบ้านได้ที่อิเกีย เมกาบางนา และ อิเกีย บางใหญ่ ที่เซ็นทรัล พลาซ่า เวสต์เกต หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ IKEA.co.th
ดี-แลนด์ฯ ชวนสัมผัสเสน่ห์แบบ English Cottage  เผยโฉมโครงการใหม่ “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน”

ดี-แลนด์ฯ ชวนสัมผัสเสน่ห์แบบ English Cottage เผยโฉมโครงการใหม่ “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน”

รับดีมานด์อสังหาฯ แนวราบพุ่ง พลิกทำเลฮอตย่านบางกรวย-ไทรน้อย ผุดโครงการทาวน์โฮมสไตล์บ้านเดี่ยว “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน” พร้อมชูคอนเซ็ปต์ “English Cottage” โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ที่สวยงามสไตล์อังกฤษ ที่ผสานกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสุดล้ำเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ด้วยแนวคิด “Greenovation” ซึ่งเตรียมเปิดบ้านจัดงานแนะนำโครงการอย่างเป็นทางการในระหว่างวันที่ 22 - 23 กันยายน 2561 พร้อมต้อนรับด้วยบ้านแปลงสวยในราคาเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท และโปรโมชั่นสุดคุ้มอีกเพียบ!     นายศิริพงษ์ สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ดี-แลนด์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ในส่วนของภาพรวมตลาดอสังหาในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าบรรยากาศในตลาดเริ่มที่จะมีแนวโน้มการเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในทำเลที่เป็นจังหวัดหัวเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจ รวมทั้งทำเลที่เป็นส่วนต่อขยายของเมือง ทำให้ทางบริษัทฯ ตัดสินใจเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ล่าสุดอย่าง “บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์- วงแหวน” ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนบางกรวย-ไทรน้อย เนื่องจากถนนเส้นดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเส้นทางสำคัญซึ่งเชื่อมโยงการคมนาคมระหว่างนนทบุรีและโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกไว้ด้วยกัน และในปัจจุบันได้มีการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง (สถานีคลองบางไผ่ – เตาปูน) เข้าไปในพื้นที่โซนดังกล่าวแล้ว ซึ่งยิ่งทำให้การเดินทางเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ เป็นไปได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งในส่วนของถนนบางกรวย-ไทรน้อย ยังเป็นหนึ่งในทำเลศักยภาพที่ยังมีความสามารถในการรองรับการขยายตัวของเมืองจากกรุงเทพฯ ได้อีกมาก     · สัมผัสทาวน์โฮมสไตล์บ้านเดี่ยวกับเสน่ห์แบบ “English Cottage” สำหรับโครงการ บ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน เป็นโครงการทาวน์โฮมสไตล์บ้านเดี่ยว ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพริมถนนบางกรวย-ไทรน้อย ตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี มีมูลค่าโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาท บนเนื้อที่รวมกว่า 49 ไร่ จำนวนประมาณ 500 ยูนิต ซึ่งแต่ละยูนิตล้วนครบครันด้วยฟังก์ชั่นที่สามารถตอบรับกับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ โดยได้รับการรังสรรค์ขึ้นภายใต้แนวคิด “English Cottage” ซึ่งได้ดึงเอาความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ที่สวยงามในแบบฉบับอังกฤษ มาสอดผสานเข้ากับงานออกแบบโครงสร้างบ้านในแบบโมเดิร์น ที่คำนึงถึงการใช้งานฟังก์ชั่นในส่วนต่างๆ ของบ้านให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ในราคาเริ่มต้นเปิดตัวที่ 1.79 ล้านบาท ซึ่งมีแบบบ้านทั้งหมด 3 แบบ 3 ขนาด ดังนี้     Type A: Westminster (เวสต์มินส์เตอร์) สัมผัสทุกความหรูหราและโอ่อ่าของแบบบ้านที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเมืองเวสต์มินส์เตอร์ของประเทศอังกฤษ ด้วยแบบบ้านสูง 2 ชั้น ปลูกสร้างบนเนื้อที่ขนาด 28.70 ตารางวา ซึ่งประกอบด้วย 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และ 1 ห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบห้องได้ตามความต้องการ บนพื้นที่ใช้สอยรวม 145.45 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้นที่ 3.4 ล้านบาท   Type B: Northampton (นอร์ทแธมป์ตัน) ถ่ายทอดทุกความโดดเด่นของสถาปัตยกรรมที่งดงามของเมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดของอังกฤษอย่างเมืองนอร์ทแธมป์ตัน สู่แบบบ้านสูง 2 ชั้น ปลูกสร้างบนเนื้อที่ขนาด 21.20 ตารางวา ซึ่งภายในบ้านประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และ 1 ห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบห้องได้ตามความต้องการ บนพื้นที่ใช้สอยรวม 135.35 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้นที่ 2.5 ล้านบาท     Type C: Birmingham (เบอร์มิงแฮม) นำเสนอเอกลักษณ์และมนต์เสน่ห์ของเมืองศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศอังกฤษอย่างเมืองเบอร์มิงแฮม สู่แบบบ้านสูง 2 ชั้น ปลูกสร้างบนเนื้อที่ขนาด 18.50 ตารางวา ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ และ 1 ห้องอเนกประสงค์ ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบห้องได้ตามความต้องการ บนพื้นที่ใช้สอยรวม 98.55 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้นที่ 2.1 ล้านบาท     · ชูคอนเซ็ปต์ “Greenovation” นำความล้ำสมัยผสานธรรมชาติสีเขียว นอกจากในด้านของทำเลและงานดีไซน์แบบบ้านที่มีความโดดเด่นแล้ว ทางบริษัทฯ ยังได้พัฒนาฟังก์ชั่นของตัวบ้านและภายในโครงการฯ ให้มีความโดดเด่นยิ่งขึ้น ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ อาทิ Smart Home Automation และ Multi-Generations Living Area ภายในบ้าน ที่ตอบรับกับไลฟ์สไตล์แบบครอบครัวที่มีความแตกต่างทางช่วงวัย ตามคอนเซ็ปต์ “Greenovation” ซึ่งผสมผสานเข้ากับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในงานก่อสร้างต่างๆ ที่ใส่ใจถึงสิ่งแวดล้อม อาทิ การเลือกใช้สีคุณภาพที่เป็นมิตรต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งได้ออกแบบและจัดวางผังโครงการที่เน้นให้ผู้ที่อยู่อาศัยสามารถใกล้ชิดกับธรรมชาติได้มากที่สุด ด้วยการจัดวางพื้นที่สีเขียวขนาดย่อมให้กระจายอยู่ทั่วโครงการ และยังมีสวนสาธารณะส่วนกลางสไตล์อังกฤษขนาดกว่า 1 ไร่ ที่พร้อมเติมเต็มความสดชื่นให้กับทุกคน     นอกจากนี้ ภายในโครงการยังครบครันด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกทั้งภายในและภายนอกโครงการ อาทิ ร้านค้า ร้านอาหาร และบริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกมากมาย พร้อม สนามเด็กเล่น คลับเฮ้าส์ Co - Working Space สระว่ายน้ำและห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน แวดล้อมสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า อาทิ เซ็นทรัลเวสต์เกต อิเกียบางใหญ่ พลัสมอลล์ บิ๊กซี และแม็คโคร เป็นต้น     พิเศษ! เพื่อต้อนรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พบกับโปรโมชั่นราคาเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท และโปรฯ สุดคุ้มอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ รับส่วนลดเงินสดสูงสุด 280,000 บาท เป็นต้น เพียงจองบ้านภายในงานพรีเซลที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 22-23 กันยายน 2561 ณ สำนักงานขายโครงการบ้านดี เดอะแฮมิลตัน ชัยพฤกษ์-วงแหวน อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม โทร. 1793 ต่อ 8 หรือคลิกดูที่ www.dl.co.th และ facebook: Dlandclub
ประกาศเปิด‘ไอคอนสยาม’ 9 พฤศจิกายนนี้ พบมหัศจรรย์ที่เป็น ‘ครั้งแรก’ และ ‘ดีที่สุด’ มากมายอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ประกาศเปิด‘ไอคอนสยาม’ 9 พฤศจิกายนนี้ พบมหัศจรรย์ที่เป็น ‘ครั้งแรก’ และ ‘ดีที่สุด’ มากมายอย่างไม่เคยมีมาก่อน

วันนี้ ไอคอนสยาม อภิมหาโครงการเมืองแห่งการใช้ชีวิตสู่โลกอนาคต สัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของไทยริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามูลค่า 54,000 ล้านบาท ประกาศยืนยันวันเปิดไอคอนสยามอย่างเป็นทางการ 9 พฤศจิกายน 2561 นี้ โดยจะเป็นจุดหมายปลายทางแห่งความมหัศจรรย์บนพื้นที่กว่า 750,000 ตารางเมตร ที่พร้อมจะสะกดทั้งโลกให้ต้องหันมองกรุงเทพฯ และประเทศไทย กับมหาปรากฏการณ์งานเปิดสุดยิ่งใหญ่ พร้อมด้วยความแปลกใหม่ของร้านค้าและองค์ประกอบต่างๆ ภายในไอคอนสยาม นำเสนอเป็นครั้งแรกในประเทศไทยจำนวนมากมายอย่างที่ ไม่เคยมีมาก่อน   นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า “การเปิดเมืองไอคอนสยามจะเป็นการบุกเบิกการทำธุรกิจในโลกยุคใหม่ ที่พลิกโฉมรูปแบบการพัฒนาโครงการที่เป็นจุดหมายปลายทางที่ยิ่งใหญ่ไปอย่างสิ้นเชิง โดยคอนเซ็ปต์ ‘การสร้างประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย’ หรือ Creating Shared Value และ ‘การร่วมกันรังสรรค์’ หรือ Co-Creation เป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดของไอคอนสยาม ที่ได้บุกเบิกและทำคอนเซ็ปต์ค้าปลีกรูปแบบใหม่นี้ให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรมและเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ที่ก้าวขึ้นไปอีกขั้นอย่างเต็มภาคภูมิ และสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจแก่คนไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก”   นายสุพจน์ กล่าวว่า “ไอคอนสยาม คือศูนย์รวมของความมหัศจรรย์อันหลากหลาย ทั้งศิลปะและวัฒนธรรม ผสมผสานรวมอยู่กับที่สุดของการช้อปปิ้งและความบันเทิง โดยการผนึกกำลังพันธมิตรองค์กรธุรกิจทั้งใหญ่และเล็กทุกขนาดหลากหลายรูปแบบธุรกิจ รวมไปถึงผู้คนจำนวนมากจากนานาสาขาอาชีพที่มีความปรารถนาจะสร้างสถานที่ๆ บอกเล่าหลากหลายเรื่องราวของความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ผสมกับสิ่งที่ดีในมิติต่างๆ จากทุกมุมโลก ได้มารวมพลังกันสร้างสรรค์สัญลักษณ์ใหม่ซึ่งจะกลายเป็นมหาปรากฏการณ์ การเปิดไอคอนสยามในครั้งนี้จะเป็นการประสานประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย แผ่กระจายความรุ่งเรืองไปทั่ว ทั้งในระดับชุมชน สังคม และประเทศ”   “เหล่าผู้สร้างสรรค์ที่มีส่วนร่วมในการเนรมิตสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ในไอคอนสยาม ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า นักออกแบบในสาขาต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ศิลปินจากทั่วประเทศผู้มาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงาน ชิ้นเอกต่างๆ ในไอคอนสยาม รวมถึงเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนโดยรอบ และบรรดาธุรกิจริมแม่น้ำเจ้าพระยา คือผู้มีบทบาทสำคัญและเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดองค์ประกอบต่างๆ ของไอคอนสยามทั้งสิ้น ซึ่งเหล่าผู้ร่วมสร้างสรรค์ที่ร่วมแรงร่วมใจกันกับเรา ถือเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของการทำธุรกิจรูปแบบใหม่ในโลกอนาคตเพื่อความเจริญที่ยั่งยืนร่วมกันอย่างที่ไอคอนสยามกำลังทำอยู่” นายสุพจน์ กล่าว   นายสุพจน์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ไอคอนสยามจะเปิดประตูอภิมหาโครงการเมืองแห่งนี้ด้วยความมหัศจรรย์ที่เป็น ‘ครั้งแรก’ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทยมากมาย อาทิ ไอคอนนิกสโตร์ สุดอลังการจำนวน 14 แบรนด์ และอีกหลากหลายสโตร์จากแบรนด์ที่พรีเมี่ยมที่สุดของโลกมารวมตัวกันอยู่ในที่เดียวอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยแบรนด์ที่เป็นสุดยอดความหรูหราระดับโลกจำนวนหนึ่งจะอยู่ในอาคาร ‘ไอคอนลักซ์’ (ICONLUXE) ซึ่งมีพื้นที่ 25,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นอาคารกระจกโครงสร้างไร้เสาที่ยาวที่สุดในโลก รูปทรงคล้ายกระทงแก้ว สรรค์สร้างอย่างงดงามให้เป็นสัญลักษณ์ใหม่บนแม่น้ำเจ้าพระยา   นายสุพจน์กล่าวว่า “เพื่อให้ไอคอนสยามเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของประเทศไทย ที่นำเสนอความแปลกใหม่อย่างมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่น เราจึงได้ทำงานลงลึกในรายละเอียดร่วมกับร้านค้าและผู้ประกอบการกว่า 500 ราย ตั้งแต่สุดยอดแบรนด์ของไทยไปจนถึงลักชัวรี่แบรนด์จากต่างประเทศเพื่อขอให้แต่ละร้านนำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวกับแบรนด์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความเป็นมาของแต่ละแบรนด์จนถึงแนวคิดและนวัตกรรมต่างๆ โดยเชื่อมโยงกับแนวการออกแบบร้าน ให้ไอคอนสยามเป็นโครงการแห่งแรกที่ทำ Story Telling ที่จะสร้างความตื่นตาตื่นใจได้อย่างเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบที่สุด เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างแต่มีคุณค่าให้ผู้บริโภคได้ประทับใจ และเนื่องจากไอคอนสยามได้รับความเชื่อมั่น จากหลายๆ แบรนด์ชื่อดังระดับโลก ทำให้เราได้มีโอกาสช่วยกันคิดสร้างสิ่งพิเศษที่จะเกิดขึ้นภายในร้านของเขาเฉพาะที่ไอคอนสยามเท่านั้น”   นายสุพจน์กล่าวว่า “ในไอคอนสยามจะมีมากกว่า 188 แบรนด์ชั้นนำที่เป็นแบรนด์และคอนเซ็ปต์ใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนเซ็ปต์ Icons within Icon ซึ่งเราจัดให้ลักชัวรี่แบรนด์มีคฤหาสน์ของตนเองในรูปแบบ Duplex Mansion อยู่ภายในอาคารไอคอนลักซ์ซึ่งจะทำให้สามารถมีสินค้าที่ครบครันและมีบริการพิเศษอีกด้วย”   นอกจากนั้น ยังมีแบรนด์ไลฟ์สไตล์ชื่อดังอีกมากมายมาร่วมกันนำเสนอคอนเซ็ปต์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น Adidas เปิด Adidas Original Store ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย JD Sports ร้านแฟชั่นกีฬาชื่อดังจากประเทศอังกฤษ เปิดร้านแรกในประเทศไทย และ Nike เปิด Nike Kicks Lounge แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำเสนอสินค้าที่แตกต่างจาก Nike Store อื่นๆ   “ALAND ซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์คอนเซ็ปต์สโตร์ และ COS เปิดแฟลกชิฟสโตร์แฟชั่นแบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับทั้งผู้หญิงผู้ชาย รวมถึง นารายา ต่างเตรียมพร้อมที่จะเปิดร้านดูเพล็กซ์ไอคอนนิกสโตร์ของตัวเองที่ไอคอนสยาม ในขณะที่ H&M เตรียมพร้อมเปิดอาคารของตัวเองในรูปแบบ Triplex Store 3 ชั้นสุดอลังการเป็นครั้งแรก และทาคาชิมายะ ห้างสรรพสินค้าระดับตำนานที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากประเทศญี่ปุ่น ก็จะเปิดสาขาแรกในประเทศไทยที่ไอคอนสยามขนาด 36,000 ตารางเมตร โดยจะนำ 170 แบรนด์ในทุก category รวมถึงอาหารและขนมจากญี่ปุ่นที่ไม่เคยมีจำหน่ายในประเทศไทยมาก่อนมานำเสนอด้วย” นายสุพจน์ กล่าว   ที่น่าตื่นเต้นอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไอคอนสยามจะนำเสนอสุดยอดประสบการณ์ของการกินดื่มใน 7 บรรยากาศที่แตกต่างกันไปในแต่ละโซน นับตั้งแต่ร้านอาหาร Fine Dining ซึ่งแต่ละร้านมี Terrace ชมวิวแม่น้ำ จนถึงอาหารยอดนิยมของไทยซึ่งหาชิมได้ยาก รวมถึง roof-top bars ที่สามารถดื่มด่ำกับความงดงามของฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งยังมีภัตตาคารชื่อดังจากต่างประเทศ อาทิ Harbour จากไต้หวัน และภัตตาคารอาหารทะเลชื่อดังจากสิงค์โปร์อย่าง Jumbo Seafood ซึ่งเข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทยเป็นครั้งแรกอีกด้วย   Fitness First คลับเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดของประเทศไทย และมีสาขามากกว่า 29 สาขา ก็จะมาเปิดคลับระดับหรูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พร้อมสระว่ายน้ำกลางแจ้ง ซึ่งจะเป็นแฟล็กชิฟที่ให้บริการพิเศษแตกต่างจากสาขาอื่นๆ   นายสุพจน์อัพเดทเพิ่มเติมว่า ได้เตรียมงบประมาณไว้มากกว่า 1,000 ล้านบาท สำหรับการจัดงานเปิดเมืองไอคอนสยามและเชิญผู้สื่อข่าวจากทั่วโลกมาเยี่ยมชม   “ไอคอนสยามจะเป็นอภิมหาโครงการเมืองที่นำเสนอความภาคภูมิใจในความเป็นไทย และเป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยส่งเสริมและผลักดันแบรนด์ไทย สินค้าไทย ศิลปินไทย งานฝีมือไทย และศิลปวัฒนธรรมไทย ให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก ด้วยการทุ่มเทลงทุนอย่างเต็มที่เพื่อให้มั่นใจว่าไอคอนสยามจะเป็นที่ชื่นชม และสะกดทุกสายตาโลก ไอคอนสยามได้ร่วมมือกับชุมชนโดยรอบ และกลุ่มธุรกิจริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมดที่จะช่วยกันทำให้แม่น้ำสายนี้เป็น The next Global Destination ที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวนับแสนจากทั่วประเทศไทยและทั่วโลก พร้อมกับสร้างมาตรฐานใหม่เหนือความคาดหมายจากพลังของหัวใจไทย” นายสุพจน์กล่าว   ในส่วนอาคารที่พักอาศัยสุดหรู 2 อาคาร ภายในโครงการไอคอนสยาม นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้พัฒนาโครงการกล่าวว่า “โครงการหรู ‘แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์’ ซึ่งมีความสูง 70 ชั้น ประกอบด้วยห้องพักอาศัยสุดหรู จำนวน 379 ยูนิต ขณะนี้เสร็จสมบูรณ์ไปแล้วกว่า 90% ส่วนโครงการ ‘เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ’ ที่สุดแห่งความหรูหราระดับอุลตร้าลักชัวรี่ ความสูง 52 ชั้น จำนวน 146 ยูนิต ขณะนี้เสร็จสมบูรณ์ไปแล้วกว่า 80% ด้วย ทำเลของโครงการซึ่งเป็นหนึ่งในทำเลริมแม่น้ำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นโครงการเรสซิเดนซ์แห่งแรกของแบรนด์ ‘แมนดาริน โอเรียนเต็ล’ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการนี้จึงถือเป็นหนึ่งในโครงการอสังหาฯชั้นนำของเอเชียอย่างแท้จริง ผู้พักอาศัยสามารถมองเห็นทัศนียภาพริมแม่น้ำอันประเมินค่ามิได้และหาไม่ได้จากที่ใดในโลก และได้รับการดูแลโดยทีมบริหารคุณภาพของกลุ่มโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล แบรนด์โรงแรมหรูระดับตำนานของโลก”   “ทั้งสองโครงการได้รับการออกแบบและก่อสร้างเน้นคุณภาพในทุกๆรายละเอียด ห้องชุดภายในสวยงามอลังการ และใช้เทคโนโลยีเพื่อการพักอาศัยที่ล้ำสมัยที่สุดที่มีมาตรฐานทัดเทียมกับโครงการชั้นนำในมหานครต่าง ๆ ของโลก และยังได้รับรางวัลทั้งในระดับภูมิภาคและในประเทศมาแล้วมากมาย ถือเป็นโครงการห้องชุดริมน้ำระดับพรีเมียมของกรุงเทพฯในสุดยอดอภิมหาทำเลริมน้ำของไอคอนสยาม โดยเราเตรียมที่จะเปิดให้ชมห้องตัวอย่างสุดหรูใหม่ให้ชมเร็วๆนี้” นายวิสิษฐ์ย้ำ
อารียา พรอพเพอร์ตี้ เปิดตัว 8 โครงการใหม่ ในครึ่งปีหลัง  พร้อมวิเคราะห์ 5 เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่

อารียา พรอพเพอร์ตี้ เปิดตัว 8 โครงการใหม่ ในครึ่งปีหลัง พร้อมวิเคราะห์ 5 เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่

อารียา พรอพเพอร์ตี้ ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เปิดตัว 8 โครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง มูลค่ารวมกว่า 7,275 ล้านบาท พร้อมเปิดตัวแคมเปญใหม่ “ความสุขมีตัวตน” เพื่อสื่อสารให้สอดรับกับ 5 เทรนด์ใหม่ของผู้บริโภค ที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องจับตามองในปี 2561   นายวิวัฒน์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการอาวุโส บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงเทรนด์ผู้บริโภคและอสังหาริมทรัพย์ ว่า ปัจจุบันวิวัฒนาการต่าง ๆ ได้ก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิม ดังนั้น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะต้องมีการปรับขยับตามเทรนด์ ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้เป็น 5 เทรนด์ คือ 1) สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ที่ได้กลายมาเป็นเทรนด์ใหม่มาแรงในกรุงเทพฯ และหัวเมืองตามต่างจังหวัด 2) เทคโนโลยีการบริการในบ้านที่ออกแบบมาเพื่อลดขั้นตอน และเพื่อความสะดวกสบายที่ควบคุมได้จนกลายเป็นเรื่องปกติของทุกคน (Automation Becoming The New Norm)   3) รสนิยมที่ยกระดับความหรูหราของสินค้า และการบริการ (Ultra – High – Net – Worth – Individuals meets Ultra Luxury real estate market) 4) การมองหาชีวิตที่ดี เข้าใกล้ธรรมชาติ เน้นสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น (Seek for Green & Clean Living) และ 5) งานบริการหลังการขาย ที่กลายมาเป็นเรื่องหลักในการตัดสินใจซื้อบ้าน (Life At Home Begins After Sales) ซึ่งเทรนด์สุดท้ายนี้จะเห็นชัดที่สุดในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เมื่อผู้บริโภคมีการใส่ใจในบริการหลังการขายที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่มีขึ้นเพื่อลดขั้นตอนที่ไม่สำคัญ แต่ก็ยังคงชอบการใส่ใจจากนิติบุคคลและพนักงานที่ให้บริการหลังการขาย นอกจากนี้ ในเรื่องการรับประกันบ้านก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง   จะเห็นได้ว่า 5 เทรนด์ข้างต้น สอดคล้องกับ 4 ยุทธศาสตร์หลักในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย งานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นมาพร้อมกับคุณภาพ (Aesthetic Design & Premium Quality), ความสุขและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Happiness), นวัตกรรมที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ทุกรูปแบบ (Innovative Living) และการให้บริการดูแลลูกบ้านตั้งแต่เริ่ม ตลอดจนบริการหลังการขายอย่างสุดความสามารถ (Best In Class After Sales Service) โดยเรามีความพร้อมที่จะปรับและก้าวให้ทันตามเทรนด์ของผู้บริโภคในทุกยุคทุกสมัย   นายวิวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมถึงภาพรวมของธุรกิจในครึ่งปีแรก บริษัทฯ มียอดขายรวม 4,852 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ มูลค่ารวม 3,107 ล้านบาท คิดเป็น 65% และจากโครงการแนวสูงมูลค่ารวม 1,745 ล้านบาท คิดเป็น 35% โตตามเป้า 10% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งได้คาดการณ์ยอดขายในครึ่งปีหลัง ตั้งเป้า 5,045 ล้านบาท โดยรวมยอดขายทั้งปีนี้ จะมีมูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท   นายวิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เผยถึงแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังว่า อารียา พรอพเพอร์ตี้ จะมีการเปิดตัว 8 โครงการใหม่ มีมูลค่าการลงทุนรวม 7,275 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ The Village บางนา, โครงการ COMO PRIMO บางนา, โครงการ The Colors บางนา และบางบัวทอง, โครงการ Mandarina เกษตร – รามอินทรา, โครงการคอนโดมิเนียม A Space Mega บางนา 2, โครงการ The Parti เกษตร – นวมินทร์ และ โครงการ Busaba บ้านเดี่ยวแห่งเดียวติดถนนเสรีไทย   โดยมี 3 โครงการไฮไลท์ ได้แก่ โครงการ Mandarina เอกมัย – รามอินทรา โดดเด่นด้วยสไตล์ Modern Tropical Town Home มีมูลค่าการลงทุน 950 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 7.5 ล้านบาท, โครงการ The Parti เกษตร – นวมินทร์ โฮมออฟฟิศ เน้นกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ที่ชอบออกแบบชีวิตให้เป็นเรื่องง่าย มูลค่าการลงทุน 800 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 11.9 ล้านบาท และ โครงการคอนโดมิเนียม A Space Mega บางนา 2 เป็นโครงการต่อเนื่องจากเฟสแรก ที่ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี สามารถปิดการขายได้ 100% จึงได้ดำเนินการเฟส 2 ขึ้นมา มีมูลค่าการลงทุนรวม 2,500 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท     ด้านการดำเนินงานตามแผนงานในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวแคมเปญใหม่ คือ “ความสุขมีตัวตน” เพื่อต้องการสื่อสารให้สอดรับกับความทันสมัยของผู้บริโภค รับกับรสนิยม และการใส่ใจสุขภาพกายและใจของสังคมเมือง โดยมีการ Launch แคมเปญใหม่ไปเมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา นอกจากนี้ เพื่อเป็นการปรับภาพลักษณ์ใหม่ อารียา ยังได้มีการปรับโฉมใหม่ของเว็บไซต์หลัก www.areeya.co.th ให้มีความทันสมัย ใช้งานง่าย และรวดเร็วในการค้นหาข้อมูล เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น   อย่างไรก็ตาม อารียา ยังคงชูคอนเซ็ปต์เรื่อง Sustainable Happiness อย่างต่อเนื่อง มีกิจกรรมที่น่าสนใจต่าง ๆ มากมาย อาทิ เรื่องของ Green and Clean ที่ชูความสมาร์ท 2 เรื่อง ได้แก่ สมาร์ทด้วยเทคโนโลยี Clean Air and Energy Saving โดยได้มีพาร์ทเนอร์ใหม่อย่าง พานาโซนิค ที่จะมาช่วยเสริมด้านเทคโนโลยี Clean Living ให้อากาศภายในบ้านปลอดโปร่ง สะอาด ปราศจากเชื้อโรค รวมถึงช่วยประหยัดพลังงาน และ สมาร์ท ด้วยเทคโนโลยีควบคุมบ้านผ่านปลายนิ้วสัมผัส ด้วยระบบ Self-Managed Home Automation at Fingertips รวมถึงกิจกรรม Recycle Day ที่ได้มีการพัฒนาระบบในรูปแบบของแอปพลิเคชั่น ที่ช่วยให้การคัดแยกขยะของลูกบ้านง่ายและสะดวกขึ้น จนได้รับการตอบรับเป็นอย่างมาก   “จะเห็นได้ว่า ในครึ่งปีหลัง อารียา มีโครงการใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย เพื่อให้สอดรับกับคอนเซ็ปต์ “Aesthetic Beauty Of Living” การใช้ชีวิตให้มีสุนทรียะ ซึ่งเราเชื่อว่า อารียา ไม่ได้แค่สร้างที่อยู่อาศัย แต่อารียา กำลังสร้างรูปแบบใหม่ให้การใช้ชีวิต” นายวิวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติม
อิมแพ็ค ปลื้มงานอินเตอร์แมท อาเซียน และคอนกรีต เอเชีย 2018 สร้างเงินสะพัดกว่า หมื่น ล้านบาท

อิมแพ็ค ปลื้มงานอินเตอร์แมท อาเซียน และคอนกรีต เอเชีย 2018 สร้างเงินสะพัดกว่า หมื่น ล้านบาท

ปิดฉากงาน “อินเตอร์แมท อาเซียน 2018” และ “คอนกรีต เอเชีย 2018” มหกรรมแสดงสินค้าด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างระดับอาเซียนประสบความความสำเร็จดีเยี่ยม เผยงานตลอด 3 วัน มียอดผู้เข้าเยี่ยมชมกว่า 5,000 ราย โกยยอดขายจากการเจรจาธุรกิจกว่า 1 หมื่นล้านบาท ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ตอกย้ำความสำเร็จเวทีอุตสาหกรรมก่อสร้างในระดับอาเซียน   มร.ลอย จุน ฮาว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด เปิดเผยผลการจัดงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมก่อสร้างระดับอาเซียน “อินเตอร์แมท อาเซียน 2018” และ “คอนกรีต เอเชีย 2018” ว่า ตลอด 3 วันของการจัดงานระหว่างวันที่ 6-8 กันยายน 2561 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี มีมูลค่าการซื้อขายจากการเจรจาธุรกิจ และการซื้อขายเครื่องจักรภายในงานทะลุเป้ากว่า หมื่น ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10 เท่า ซึ่งนับว่าการจัดงานร่วมกันระหว่างงานอินเตอร์แมท อาเซียน และคอนกรีต เอเชีย 2018 ครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สำหรับภาพรวมมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 500 แบรนด์ จาก 14 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย, จีน, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, นอร์เวย์, ตุรกี, อินเดีย, อิตาลี, เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ไทย, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ มีจำนวนผู้เข้าชมงานกว่า 5,000 รายจากทั่วโลก 43 ประเทศ” โดยนับเป็นปีแรกที่ผู้ประกอบการและนักลงทุนจีนให้ความสนใจในการนำเทคโนโลยีจากจีนเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยมีสัดส่วนผู้ประกอบการจีนที่มาร่วมออกแสดงสินค้ากว่า 100 ราย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 35% ของจำนวนผู้ออกบูธทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เป็นผู้จำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรมก่อสร้างในกลุ่มรถบรรทุก รถแทรกเตอร์ วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือเครื่องใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง เป็นต้น”   ทั้งนี้ ทางอิมแพ็คได้กำหนดวันจัดงานอินเตอร์แมท อาเซียน และคอนกรีต เอเชีย 2019 แล้ว ในระหว่างวันที่ 5-7 กันยายน 2562 จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการ และนักลงทุนที่สนใจติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรม ได้ที่ www.asean.intermatconstruction.com และ www.concrete-asia.com