Tag : News

2376 ผลลัพธ์
‘เอพี ไทยแลนด์’ พลิกมิติการใช้ชีวิตใจกลางเมือง เปิดตัวคอนโดฯ ‘ไลฟ์ อโศก ไฮป์’  ตอกย้ำการเป็นเจ้าตลาดผู้พัฒนาอสังหาฯ ย่านธุรกิจใหม่แห่งอนาคต

‘เอพี ไทยแลนด์’ พลิกมิติการใช้ชีวิตใจกลางเมือง เปิดตัวคอนโดฯ ‘ไลฟ์ อโศก ไฮป์’ ตอกย้ำการเป็นเจ้าตลาดผู้พัฒนาอสังหาฯ ย่านธุรกิจใหม่แห่งอนาคต

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง เดินหน้าเจาะดีมานด์คนเมืองรุ่นใหม่ เปิดตัว ‘ไลฟ์ อโศก ไฮป์ (LIFE Asoke Hype)’ คอนโดมิเนียมใหม่ใจกลางย่านธุรกิจแห่งอนาคต อโศก-พระราม 9 ผสมผสานความต่างอย่างลงตัว สะท้อนตัวตนที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ด้วยการดีไซน์ผ่านกระบวนการคิดแบบ Design Thinking ผสานกับความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบพื้นที่ของเอพี ที่ทำทุก ย่างก้าวใน ‘ไลฟ์ อโศก ไฮป์’ สัมผัสได้ถึงความเป็นส่วนตัวใจกลางเมืองที่สมบูรณ์แบบ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางแบบจัดเต็ม รองรับทุกการใช้ชีวิตแบบดิจิตอลกับนวัตกรรมล้ำสมัย ตอบสนองความต้องการของเรียลดีมานด์อย่างแท้จริง คุ้มค่ากับแพ็คเกจราคาที่จับต้องได้ และยังสามารถต่อยอดโอกาสการลงทุนระยะยาวในอนาคต ทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือปล่อยเช่าระยะยาว ด้วยผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าประมาณ 5 - 6%     ไลฟ์ อโศก ไฮป์ (LIFE Asoke Hype) จะเปิดจองรอบแรกผ่านระบบ AP i-Booking ในวันอังคารที่ 2 ตุลาคมนี้ เวลา 19.00 - 21.00 น. และมีกำหนดเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการพร้อมกันทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศในวันที่ 6-7 ตุลาคมนี้ ราคาเริ่มต้น 2.89 ล้านบาท     นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กร และการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “ความสำเร็จในการพัฒนาคอนโดมิเนียมเครือเอพีที่ผ่านมา คือ การเลือกเฟ้นทำเลที่ดีเยี่ยม ใจกลางเมืองช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ผนวกกับความใส่ใจในการออกแบบเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่ใช้สอย การบริหารแพ็คเกจราคาขายที่เหมาะสม ตลอดจนความมั่นใจในคุณภาพการก่อสร้าง การบำรุงรักษา และบริการหลังการขายของเอพี แต่ในปัจจุบันเกมธุรกิจเปลี่ยนไป กล่าวคือ ผู้พัฒนาอสังหาฯ ต่างชูทำเลสะดวกใกล้แนวรถไฟฟ้าเป็นจุดขาย เราในฐานะเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้ายังคงคุณภาพด้านต่างๆ ที่กล่าวมาไว้คงเดิม แต่เพิ่มศักยภาพของคอนโดฯ เราให้สามารถเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า   รวมถึงความต้องการที่ยังไม่ถูกตอบสนอง (unmet needs) ด้วยการนำกระบวนการ Design Thinking เข้ามาเสริม โดยสำหรับการพัฒนาคอนโดมิเนียม ไลฟ์ อโศก ไฮป์ นับเป็นโจทย์ที่ทีมต้องทำการบ้านหนักมาก เพื่อให้มั่นใจว่า ไลฟ์ อโศก ไฮป์ จะเป็นมิติใหม่ของการยกระดับการใช้ชีวิตในคอนโดย่านใจกลางเมืองอย่างแท้จริง จะทำอย่างไรให้ ไลฟ์ อโศก ไฮป์ สามารถนำเสนอทั้งพื้นที่ส่วนกลางและพื้นภายในยูนิตพักอาศัยได้แตกต่างและตรงกับที่ลูกค้ามองหา”     “เอพี เราเป็นเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า โดยเฉพาะย่านเชื่อมต่ออโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 ที่เรามีโครงการพัฒนาแล้วเสร็จในย่านนี้ทั้งสิ้นจำนวน 5 โครงการ รวมกว่า 3,600 ยูนิต ทำให้เรามีประสบการณ์ ความชำนาญ และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงทุกอินไซต์ที่มีความแตกต่างและเฉพาะเจาะจงของลูกค้าในย่านนี้ ประกอบกับการไม่หยุดนิ่งที่จะยกระดับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อส่งมอบคุณภาพการอยู่อาศัย อย่างยั่งยืนโดยนำกระบวนการ Design Thinking เข้ามาเพื่อค้าหาความต้องการแฝงของลูกค้าทั้ง ความต้องการในวันนี้และอนาคตที่จะเกิดขึ้น โดยพบว่าลูกค้าย่านนี้เป็นกลุ่มคน Gen-X ถึง Gen-Y อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 28-37 ปี เป็นกลุ่มที่มีไลฟ์สไตล์ความหลากหลายในการใช้ชีวิต จึงเป็นที่มาของการออกแบบโครงการ ไลฟ์ อโศก ไฮป์ ภายใต้แนวคิด The Supremacy of Both Worlds     การเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดมาผสมผสาน เพื่อให้เกิดมิติใหม่ของการพักอาศัยใจกลางเมืองที่ไม่เหมือนใคร ภายใต้ 4 จุดขายต่าง (1) PRIVACY IN CONNECTED SPACE ยกระดับฟังก์ชั่นการใช้งานบนพื้นที่ส่วนรวมที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง อาทิ Running Loop, Co Working Business Lounge, สระว่ายน้ำ หรือจัดโซนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ด้วยเทคนิคการไล่ระดับเพื่อให้รองรับการใช้งานที่ตอบความเป็นส่วนตัว ที่แท้จริง (2) SUPREME LUXURY IN ECLECTIC DESIGN นิยามใหม่ของการใช้ชีวิตแบบลักชัวรี่ ด้วยเอกลักษณ์ของการออกแบบ ซึ่งเป็นที่มาของสีสันที่จัดจ้านแบบลงตัวบนตัวตึกที่บ่งบอกถึงสไตล์อันโดดเด่นเป็นหนึ่งเดียวของผู้อยู่อาศัย (3) SUPREME SPACE IN TOMORROW’S FUNCTIONALITY การให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่ที่ภายในยูนิตพักอาศัย ขยับขยายได้จริง ยืดหยุ่นได้หลากหลายรูปแบบ ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้อาศัย ส่งเสริมการใช้ชีวิตวันนี้และการปรับเปลี่ยนในอนาคต และ (4) SUPREME LOCATION AT SUPREME PRICE ชูจุดต่างด้วยศักยภาพของทำเลแห่งอนาคตในราคาที่จับต้องได้” นายวิทการกล่าว     “ไลฟ์ อโศก ไฮป์ (LIFE Asoke Hype) คอนโดมิเนียมโครงการร่วมทุนระหว่าง เอพี และ มิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ (บริษัทในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป - MECG) มูลค่าโครงการ 5,700 ล้านบาท สูง 40 ชั้น จำนวน 1,253 ยูนิต สิ่งที่จะทำให้ ไลฟ์ อโศก ไฮป์ แตกต่างจากโครงการอื่นในย่าน คือ การเสนอมิติใหม่แห่งการพักอาศัยใจกลางเมืองในแพ็คเกจราคาขายที่สามารถจับต้องได้เฉลี่ยเพียง 135,000 บาทต่อตารางเมตร บนทำเลศักยภาพใจกลางย่านธุรกิจแห่งใหม่ อย่างย่านเชื่อมต่อ อโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 เพียง 300 เมตรจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีพระราม 9” นายวิทการกล่าว     นายขยล ตันติชาติวัฒน์ ผู้อำนวยการ บริษัท บางกอกซิตี้สมาร์ท จำกัด ผู้นำที่ปรึกษาด้านการลงทุนในธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ใจกลางเมืองแบบครบวงจร กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนคอนโดมิเนียมในย่านเชื่อมต่อ อโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 ว่า “พื้นที่ย่านเชื่อมต่อ อโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 ถือว่าเป็นย่านธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ เป็นทำเลแห่งโอกาส ทั้งอัตราการเข้ามาของลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะชาวต่างชาติจากแถบเอเชียทั้ง ไต้หวัน สิงค์โปร์ ฮ่องกง จีน และญี่ปุ่น จึงทำให้มีผู้ประกอบการอสังหาฯ สนใจลงทุนในย่านนี้จำนวนมากและทำให้การแข่งขันสูง จากการสำรวจโดยฝ่ายวิจัยบางกอกซิตี้สมาร์ทพบว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้ลูกค้าในย่านนี้ตัดสินใจซื้อสินค้าหรือลงทุนอสังหาฯ ในย่านนี้นอกจากปัจจัยทำเลนั่นคือ การนำเสนอสินค้าที่แตกต่าง ปัจจัยด้านราคาที่จับต้องได้ และที่สำคัญคือ คุณภาพที่ได้มาตรฐานของตัวโครงการที่อยู่อาศัย ฉะนั้นโจทย์สำหรับผู้ประกอบการที่จะเข้ามาทำตลาดในพื้นที่โซนนี้จะต้องสามารถครองใจลูกค้าในเรื่องเหล่านี้ให้ได้”     “สำหรับที่ตั้งของคอนโดมิเนียม ไลฟ์ อโศก ไฮป์ เป็นทำเลที่มีศักยภาพทั้งความพร้อมในวันนี้ และอนาคตอันใกล้ จากแผนพัฒนาพื้นที่โครงการออฟฟิสเกรดเอที่จะเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ โดยมีการคาดการณ์จำนวนพนักงานในบริษัทสัญชาติไทยและกลุ่มทุนต่างชาติ ที่กำลังจะย้ายเข้ามาอย่างเต็มรูปแบบในย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่นี้กว่า 78,000 คนในปี 2563 ประกอบกับแผนการเชื่อมต่อระหว่างโครงการรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน อย่างสายสีน้ำเงินที่มีจำนวนผู้โดยสายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 270,000 คน (เพิ่มขึ้นกว่า 5.23% ต่อปี) กับโครงการรถไฟฟ้าในอนาคตสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกและยกระดับความสามารถในการเชื่อมต่อเข้าสู่พื้นที่ CBD เดิมอย่างย่านสีลม สาทร และสุขุมวิทได้โดยตรง อีกทั้งแวดล้อมไปด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จึงเป็นที่ต้องการสำหรับ ผู้ซื้อที่ชื่นชอบความสะดวกสบาย” นายขยลกล่าว     “ในส่วนของภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมทำเลเชื่อมต่อ อโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 ย้อนหลัง 5 ปีพบโครงการใหม่ที่เปิดตัวในย่านทั้งสิ้น 19 โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่เปิดตัวในแนวถนนเส้นหลักตั้งแต่แยกอโศก-อโศกเพชรบุรี จำนวน 9 โครงการ ในราคาขายเฉลี่ย 240,000 บาท/ตร.ม. มียอดขายรวม 82% และเป็นโครงการที่เปิดตัวตั้งแต่แยกอโศกเพชรบุรี-สถานีศูนย์วัฒนธรรม จำนวน 10 โครงการ ในราคาขายเฉลี่ย 175,000 บาท/ตร.ม. และมียอดขายรวมแล้วถึง 83% ซึ่งนับเป็นอัตราการตอบรับที่ดี ขณะที่คอนโดมิเนียมในกลุ่มสินค้ารีเซลก็พบการปรับตัวขึ้นมาปีละประมาณ 9% เช่นกัน นอกจากนี้ ผู้ซื้อที่ต้องการลงทุนในการปล่อยเช่าและขายต่อให้ความสนใจในตลาดโซนนี้ไม่แพ้กัน เพราะผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าระยะยาว (Rental Yield) ของคอนโดฯ ในย่านนี้ พบอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 5 - 6% ซึ่งนับว่าราคาคอนโดมิเนียม ในทำเลนี้ ยังเหมาะสมในการซื้อทั้งเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุนระยะยาว” นายขยลกล่าวเพิ่มเติม     “ดังนั้น โครงการคอนโดมิเนียใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดในโซนนี้ ต้องสร้างความแตกต่างทั้งภายในยูนิตพักอาศัย และพื้นที่ส่วนกลางรวมถึงคุณภาพที่ได้มาตรฐาน เพื่อที่จะชนะใจคนเมืองและลูกค้าต่างชาติที่กำลังมองหาคอนโดในทำเลนี้ ซึ่งนับวันจะมีแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น เอพีเชื่อว่า ไลฟ์ อโศก ไฮป์ คอนโดมิเนียมใหม่ใจกลางย่านธุรกิจแห่งอนาคต เชื่อมต่ออโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 ผสมผสานความต่างอย่างลงตัว สะท้อนตัวตนที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร จะสามารถครองใจผู้ซื้อกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นทั้งในด้านโลเคชั่นเพียง 300 เมตรจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีพระราม 9 เลเอ้าท์ในยูนิตที่ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ พื้นที่ส่วนกลางการออกแบบที่เข้าใจความต้องการของ ผู้ซื้อในเรื่องความเป็นส่วนตัว ราคาเสนอขายที่จับต้องได้ ตลอดจนความมั่นใจในคุณภาพการก่อสร้าง การบำรุงรักษา และบริการหลังการขายของเอพี” นายวิทการกล่าวสรุป     ไลฟ์ อโศก ไฮป์ (LIFE Asoke Hype) คอนโดฯ ใจกลางย่านธุรกิจแห่งอนาคต โดดเด่นด้วยดีไซน์ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มูลค่าโครงการ 5,700 ล้านบาท ประกอบด้วยอาคารที่พักอาศัยสูง 40 ชั้น จำนวนห้องชุดทั้งสิ้น 1,253 ยูนิต และ 4 ร้านค้า ประกอบด้วยห้องชุดแบบ 1) สตูดิโอ ขนาด 25.50 ตารางเมตร 2) ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 30.50 – 32.00 ตารางเมตร 3) ห้องชุด 1 ห้องนอน (แบบพิเศษ) ขนาด 35.00-40.00 ตารางเมตร 4) ห้องชุด 2 ห้องนอน ขนาด 48.50 – 64.00 ตารางเมตร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในชั้น 1 ชั้น 7 ชั้น 40 และชั้น Rooftop โดยโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 5-0-10 ไร่ ทำเลศักยภาพย่านธุรกิจแห่งอนาคตอโศก-พระราม 9 พรั่งพร้อมด้วยห้างสรรพสินค้าและแหล่งชอปปิ้ง โรงเรียน อาคารสำนักงาน ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการคมนาคม สะดวกทั้งการใช้รถยนต์ส่วนตัว และระบบขนส่งสาธารณะ ตั้งอยู่บนทำเลเชื่อมต่อที่สำคัญและดีที่สุดบริเวณอโศก-พระราม 9 เพียง 300 เมตรจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีพระราม 9 และจุดขึ้น-ลงทางด่วน ตอบโจทย์ทั้งความสะดวกสบายในการเดินทางและสีสันการใช้ชีวิต     ทั้งนี้ สรุปปี 2561 บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 38 โครงการมูลค่า 59,580 ล้านบาท เปิดตัวในครึ่งปีหลังจำนวน 30 โครงการ มูลค่า 49,210 ล้านบาท แบ่งเป็นเปิดตัวในไตรมาส 3 จำนวน 12 โครงการ มูลค่า 17,980 ล้านบาท และไตรมาส 4 จำนวน 18 โครงการ มูลค่า 31,230 ล้านบาท ณ วันที่ 15 กันยายน บริษัทฯ สร้างยอดขายรวมได้แล้วถึง 29,710 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียมมูลค่า 14,455 ล้านบาท แนวราบมูลค่า 15,255 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้แล้วราว 75% ของเป้ายอดขาย ปี 2561 ที่ตั้งไว้ (เป้ายอดขาย 39,800 ล้านบาท) สินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ามากถึง 54,255 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 9,675 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 44,580 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) โดยจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566
EVER คึกประเดิมยอดโอนคอนโด “โพลิแทน บรีซ” ก.ย.นี้ หนุนผลประกอบการทั้งปีโตเท่าตัว จ่อผุดโครงการแนวราบเร็วกว่ากำหนดเดิม

EVER คึกประเดิมยอดโอนคอนโด “โพลิแทน บรีซ” ก.ย.นี้ หนุนผลประกอบการทั้งปีโตเท่าตัว จ่อผุดโครงการแนวราบเร็วกว่ากำหนดเดิม

"บมจ.เอเวอร์แลนด์" เร่งอัดยอดโอนโครงการแนวสูงย่านสนามบินน้ำ "เดอะโพลิแทน บรีซ" มูลค่าโครงการ 1,900-2,000 ล้านบาท ดีเดย์โอนล็อตแรกเดือนกันยายนนี้ มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ส่วนที่เหลือทยอยรับรู้ถึงธันวาคม 61 หนุนรายได้รวมปีนี้โตเท่าตัว จากปีก่อนอยู่ที่ 704 ล้านบาท เผยมีลุ้นพลิกกำไรจากขาดทุน ฟากบอส "สวิจักร์  โลจายะ" แย้มอาจได้เห็นโครงการแนวราบผุดเร็วก่อนกำหนด 1 โครงการสิ้นปีนี้จากเดิมมีแผนเปิดต้นปีหน้า   นายสวิจักร์ โลจายะ ประธานกรรมการ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ EVER  เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการแนวสูงย่านสนามบินน้ำทั้ง 3 โครงการ "เดอะ โพลิแทน ริฟ" "เดอะโพลิแทน อควา" และ "เดอะโพลิแทน บรีซ" ยังคงได้รับความสนใจจากลูกค้าในการเข้าชม โดยโครงการเดอะโพลิแทน บรีซ มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท คาดจะเริ่มโอนภายในเดือนกันยายนนี้ มูลค่า 300 – 400 ล้านบาท จากยอดขายจำนวน 130 – 150 ยูนิตจาก  ขณะที่โครงการทั้งหมดมีกว่า 500 ยูนิต ทั้งนี้ ส่วนที่เหลือจะทยอยโอนไปถึงเดือนธันวาคม 2561 ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะสนับสนุน และคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จากปีก่อนอยู่ที่ 704 ล้านบาท และคาดว่าจะพลิกเป็นกำไรจากปีก่อนที่ขาดทุน "ในปีนี้โครงการเดอะโพลิแทน บรีซ จะเป็นพระเอกในการทำให้ผลประกอบการเราดีขึ้น โดยในเดือนกันยายนนี้ น่าจะเห็นยอดโอนได้ราว 300 ล้านบาท และทยอยโอนเรื่อยๆ ที่ผ่านมาการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้า เช่น ห้องพรี่เมี่ยมราคา 8 ล้านบาท ขายได้กว่า 70% และตอนนี้ทีมมาร์เก็ตติ้ง EVER เร่งการโอน โดยการจัดโปรโมชั่น แถมเฟอร์นิเจอร์ , อยู่ฟรี 1 ปี  ฯลฯ เป็นต้นเพื่อกระตุ้นยอดขายเพิ่ม ขณะที่แนวสูง” เดอะ โพลิแทน ริฟ “ และ"เดอะโพลิแทน อควา" จะทยอยรับรู้ปลายปีนี้ และปลายปีหน้าตามลำดับ  ” นายสวิจักร์ กล่าว   นายสวิจักร์ กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากโครงการแนวสูงแล้ว โครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ "มายโฮมอเวนิว" ก็ให้ความสำคัญ เพื่อให้ EVER มีความแข็งแกร่งและยั่งยืนในการสร้างรายได้ในอนาคตมากขึ้น ซึ่งมายโฮมอเวนิว ทำเลย่านรามอินทรา-จตุโชติ ราคา 3 ล้านกว่าบาท ซึ่งเปิดขายในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมา ก็มีแนวโน้มที่จะโอนได้ภายในปลายปีนี้บางส่วน นอกจากนี้อาจเห็นการเปิดโครงการแนวราบเพิ่มอีก 1 โครงการในช่วงสิ้นปี ซึ่งถือว่าเปิดได้เร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้จะเปิดในช่วงต้นปีหน้า
พฤกษา ลุยทำเลทองโซนรังสิต เปิด “พฤกษาวิลล์ รังสิต-ซอยเวิร์คพอยท์”  ใกล้รถไฟฟ้า ทางด่วน เริ่ม 1.69 ลบ.

พฤกษา ลุยทำเลทองโซนรังสิต เปิด “พฤกษาวิลล์ รังสิต-ซอยเวิร์คพอยท์” ใกล้รถไฟฟ้า ทางด่วน เริ่ม 1.69 ลบ.

พฤกษา บุกย่านรังสิต เปิด “พฤกษาวิลล์ รังสิต-ซอยเวิร์คพอยท์” ทาวน์โฮมกว้าง 2 ชั้น ฟังก์ชันครบ วัสดุหรูเทียบเท่าบ้านเดี่ยว ช่วยประหยัดพลังงาน จัดเต็มคลับเฮาส์ และสระว่ายน้ำ  บนทำเลทองใจกลางย่านรังสิต เดินทางเชื่อมโยงเส้นทางต่างๆ ได้รอบทิศทาง ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง และทางด่วน เปิดพรีเซล 29-30 ก.ย. นี้     นายธีรเดช เกิดสำอางค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “หลังจากประสบความสำเร็จกับโครงการ พฤกษาวิลล์ รามคำแหง-วงแหวนฯ (มิสทีน) ทาวน์โฮมในทำเลที่ดีที่สุดบนถนนรามคำแหงที่ Sold Outเฟสแรก ภายใน 2 วัน กวาดยอดขายไปกว่า 650 ล้านบาท ล่าสุดเตรียมลุยทำเลย่านรังสิตต่อ ซึ่งถือเป็นจุดศูนย์กลางความเจริญของกรุงเทพฯ โซนเหนือ ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่กำลังเริ่มสร้างครอบครัว ด้วยศักยภาพโดยรอบต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นจนเกือบเทียบเท่าตัวเมืองชั้นใน และนับว่าเป็นทำเลทองของกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ที่มีความพร้อมสำหรับการอยู่อาศัย ความสะดวกในการเดินทาง สามารถเดินทางเข้า-ออก ทั้งในเมืองและชานเมืองได้ไม่ยาก พฤกษา เล็งเห็นศักยภาพของทำเลโซนนี้ จึงเปิดโครงการ “พฤกษาวิลล์ รังสิต-ซอยเวิร์คพอยท์” มูลค่าโครงการ 945 ล้านบาท จำนวน 441 ยูนิต ทาวน์โฮม 2 ชั้น สไตล์ Modern Contemporary กว้างขวาง โปร่งสบาย ช่วยประหยัดพลังงาน คัดสรรวัสดุชั้นดี เทียบเท่าบ้านเดี่ยว ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง และทางด่วน รายล้อมไปด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกรูปแบบใหม่ที่ครบครัน”     “พฤกษาวิลล์ รังสิต-ซอยเวิร์คพอยท์ ทาวน์โฮม 2 ชั้น และอาคารพาณิชย์ หน้ากว้าง 5.7 เมตร ขนาดพื้นที่ใช้สอย 95-98 ตร.ม. ขนาด 3-4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ ออกแบบสถาปัตยกรรมอย่างลงตัวและกลมกลืน เพิ่มความโปร่ง โล่ง ด้วยประตูบานใหญ่ และหน้าต่างแบบ Enlarge-High window  ที่ช่วยเปิดรับแสงธรรมชาติ และเพิ่มความสวยงาม ช่วยประหยัดพลังงาน เพิ่มความสูงของชั้นบนด้วยฝ้าสูง 2.75 เมตร ให้ความรู้สึกความโปร่ง โล่ง  จัดวางพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัวและเพิ่มความพิเศษ ด้วย Grand master Bedroom  ห้องนอนใหญ่พิเศษ พร้อมฟังก์ชั่นห้องน้ำเชื่อมต่อ เพิ่มความสะดวกและเป็นส่วนตัว  ออกแบบพื้นที่การใช้งานแบบ Flexi – Multi Space  ที่สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้ตามรูปแบบการใช้ชีวิต เต็มที่กับวันพักผ่อนกับคลับเฮาส์ ฟิตเนส และสระน้ำระบบน้ำเกลือ ใกล้ชิดธรรมชาติด้วย Strip Park และสวนส่วนกลางพื้นที่สีเขียวที่ช่วยเพิ่มออกซิเจน ลู่วิ่งรอบสวนส่วนกลาง พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง     โครงการตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านรังสิต สะดวกเข้า-ออกเมืองได้หลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นถนนพหลโยธิน ถนนรังสิต-ปทุม ถนนติวานนท์  ถนนรังสิต-นครนายก  ใกล้ทางด่วน, ทางยกระดับดอนเมืองโทลเวย์ และรถไฟฟ้าสายสีแดงในอนาคต รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยรอบโครงการ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำ หน่วยงานราชการ สถานศึกษา และสถานพยาบาล ที่เรียกได้ว่าครบครัน ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท เปิดจอง 29-30 ก.ย.นี้ พิเศษ!สำหรับลูกค้าที่จอง และทำสัญญาภายในงาน รับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท ฟรี! แอร์, ค่าธรรมเนียมการโอนฯ และสิทธิพิเศษอื่น ๆ เฉพาะวันงาน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.1739  
“ลัคกี้เฟลม” ปรับโฉมผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรม Innovation และ Design ที่ทันสมัย พร้อมผุดโชว์รูมสาขา 2 ในรอบ 43 ปี

“ลัคกี้เฟลม” ปรับโฉมผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรม Innovation และ Design ที่ทันสมัย พร้อมผุดโชว์รูมสาขา 2 ในรอบ 43 ปี

“ลัคกี้เฟลม” ชื่อแบรนด์เตาแก๊สที่อยู่คู่ครัวคนไทยมากว่า 43 ปี สวนกระแสเศรษฐกิจหด เนรมิตโชว์รูมสาขา 2 ที่ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต เดินหน้าครองแชมป์ครัวไทย สู่ทศวรรษที่ 4 มุ่งแตกไลน์สินค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้ง Built-in ตลาดใหม่ อาทิ เตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน อ่างซิงค์ เจาะกลุ่มคอนโด และหมู่บ้านในเมือง โชว์ความเหนือชั้นเป็นเจ้าเดียวในตลาดที่รับประกันแก๊สวาล์วถึง 5 ปี พร้อมเสริมทีมบริการหลังการขายที่เป็นพันธมิตรตัวแทนที่มีอยู่ทั่วประเทศ และเจาะตลาดออนไลน์สร้าง Branding ชูจุดแข็งคุณภาพสินค้า ส่วนตลาด CLMV ยังเติบโตอย่างโดดเด่นและต่อเนื่อง   นายเชาว์เลิศ ลีลาศวัฒนกุล กรรมการบริหารและผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ลัคกี้ เฟลม จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เตาแก๊ส และอุปกรณ์ภายในครัวเรือน แบรนด์ “ลัคกี้ เฟลม” เผยว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่คู่คนไทยมาเป็นเวลากว่า 43 ปีแล้ว ส่วนใหญ่จะรู้จักในนาม “เตาแก๊สลัคกี้เฟลม” ซึ่งปัจจุบันเราเป็นผู้ผลิต และจำหน่ายเตาแก๊ส เครื่องปรับความดันก๊าซ เครื่องดูดควัน เตาอบแก๊ส หม้อหุงข้าวแก๊ส เครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า วาล์วก๊าซ ปืนจุดแก๊ส และเครื่องใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ด้วยคุณภาพของสินค้าที่รักษามาตรฐานได้อย่างดีเยี่ยม ประกอบกับความเข้าใจ ความจริงใจ รวมถึงการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าที่เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน ทำให้เตาแก๊สลัคกี้เฟลมยังยืนเคียงคู่สังคมไทย มาเป็นเวลากว่า 43 ปี     เรามีความเชื่อว่า สิ่งที่บ่งบอกถึงเสน่ห์ของอาหารไทย ไม่ได้ถูกจำกัดแค่ในเรื่องวัตถุดิบหรือฝีมือคนปรุงเท่านั้น แต่ครัวไทยก็ช่วยเสริมความมีเสน่ห์ของอาหารไทยได้เหมือนกัน เมื่อก่อนเราใช้แค่เตาถ่านก็ทำอาหารที่อร่อยได้ ต่อมาเมื่อเรามีเตาแก๊ส การทำอาหารก็กลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ซึ่งจุดเริ่มต้นของ “ลัคกี้เฟลม” ก็มาจากความชื่นชอบในเสน่ห์ของครัวไทยนั่นเอง จากตอนแรกที่ทำกันแค่ธุรกิจครอบครัว ก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนรู้ตัวอีกทีลัคกี้เฟลมก็มีอายุ 43 ปีแล้ว สิ่งที่เราได้พัฒนามาตลอดก็คือเรื่องคุณภาพของสินค้า นวัตกรรมใหม่ๆ ในครัว แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย คือการจุดประกายความสุขควบคู่ครัวเรือนไทย ไม่ว่าจะกี่รุ่น คนไทยแทบจะทุกคนก็รู้จัก “เตาแก๊สลัคกี้เฟลม”   สิ่งที่เป็นจุดแข็งและสร้างความโดดเด่นให้ลัคกี้เฟลมมาตลอด ก็คือคุณภาพของสินค้าที่คงทนแข็งแรง มีมาตรฐาน และมีความปลอดภัยสูง รวมถึงได้พัฒนาให้สินค้ามีความหลากหลาย มีฟังก์ชั่นมากขึ้น มีรูปแบบทันสมัย ทำงานง่าย สะดวกและปลอดภัย รวมถึงเรายังสร้างความเชื่อใจให้ลูกค้าจากการรับรอง ISO 9001:2015 ซึ่งเป็นเหมือนใบรับประกันคุณภาพของผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และเรายังเป็นผู้ผลิตเตาแก๊สที่ติดตรา มอก. และ Thailand Trusted Mark บทนิยามที่บ่งบอกถึงมาตรฐานและคุณภาพ ของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไทย นอกจากนี้สินค้าทุกชิ้นของลัคกี้เฟลมยังได้รับการพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์ลดการสิ้นเปลืองพลังงาน นับเป็นหนึ่งในการดูแลสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อม ที่เราได้ให้ความสำคัญเสมอมา   นายเชาว์เลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันเรามีการพัฒนาคุณภาพสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น เครื่องดูดควัน เตาอบแก๊ส หม้อหุงข้าวแก๊ส ปืนจุดแก๊ส หรือเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า และยังรวมไปถึงการแตกไลน์ผลิตอุปกรณ์ครัวแบบ Built-in ที่เริ่มมีบทบาทในครัวของคนไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำอาหารในคอนโด หรือหมู่บ้านในเมือง โดยเปิดโชว์รูมลัคกี้เฟลม สาขา 2 ณ ฟิวส์เจอร์ปาร์ค รังสิต บนเนื้อที่กว่า 122 ตรม. มีสินค้าของลัคกี้เฟลมมากกว่า 100 SKU พร้อมทั้งมีการจัดแสดง Display Product เพื่อเป็นตัวอย่างในการสร้างไอเดียหรือแรงบันดาลใจให้กับลูกค้าที่พบเห็น เพื่อเป็นแนวทางในการตกแต่งห้องครัวไทยอีกด้วย ซึ่งขณะนี้เรามีโชว์รูมสาขาแรกในเซ็นทรัล บางนา ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เราจึงได้มีการขยายสาขาเพิ่มอีกเป็นแห่งที่ 2 และมีแผนที่จะขยายแห่งที่ 3 เร็วๆ นี้   ปัจจุบัน “ลัคกี้เฟลม” มีช่องทางการจัดจำหน่ายผ่าน โฮมโปร, ไทวัสดุ, เทสโก้โลตัส, บิ๊กซี, โฮมเวิล์ค, บุญถาวร และโกเบิลเฮ้าส์ นอกจากนี้เรายังมีช่องทางจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายกระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย รวมถึงมีบริการหลังการขายที่คอยดูแลลูกค้าได้ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ และเราเป็นเจ้าเดียวในตลาดที่รับประกันแก๊สวาล์วถึง 5 ปี, มอเตอร์เครื่องดูดควันถึง 10 ปี ซึ่งมองว่า จุดนี้เป็นจุดแข็งที่ทำให้ “ลัคกี้เฟลม” มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีนโยบายที่ชัดเจนในการสร้าง Lucky Flame ให้เป็นสินค้าที่ครองใจผู้บริโภคเน้น Innovation และ Design ที่สวยทันสมัยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมุ่งเน้นสินค้าที่ดีด้วยปณิธาน “Quality is our destiny” คุณภาพคือจิตวิญญาณของเรา     ปัจจุบัน “ลัคกี้เฟลม” มีช่องทางการจัดจำหน่ายผ่าน โฮมโปร, ไทวัสดุ, เทสโก้โลตัส, บิ๊กซี, โฮมเวิล์ค, บุญถาวร และโกเบิลเฮ้าส์ นอกจากนี้เรายังมีช่องทางจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายกระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย รวมถึงมีบริการหลังการขายที่คอยดูแลลูกค้าได้ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ และเราเป็นเจ้าเดียวในตลาดที่รับประกันแก๊สวาล์วถึง 5 ปี, มอเตอร์เครื่องดูดควันถึง 10 ปี ซึ่งมองว่า จุดนี้เป็นจุดแข็งที่ทำให้ “ลัคกี้เฟลม” มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีนโยบายที่ชัดเจนในการสร้าง Lucky Flame ให้เป็นสินค้าที่ครองใจผู้บริโภคเน้น Innovation และ Design ที่สวยทันสมัยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมุ่งเน้นสินค้าที่ดีด้วยปณิธาน “Quality is our destiny” คุณภาพคือจิตวิญญาณของเรา     พร้อมกันนี้ยังมีการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ด้วยมุ่งเน้นเพื่อการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ ขณะเดียวกันก็ยังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ในต่างประเทศ อาทิ ดูไบ แอฟริกา บังกลาเทศ และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV จะมีการเติบโตโดดเด่นเป็นพิเศษ นายเชาว์เลิศ กล่าวทิ้งท้าย   ผู้ที่สนใจเยี่ยมชมสินค้าได้ที่ โชว์รูมลัคกี้เฟลม สาขา 2 ณ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์โทร. 02-150-9258 หรือ ลัคกี้เฟลม Call Center โทร. 02-312-4330
ครั้งแรกกับการจัดแสดงงานศิลป์ชิ้นพิเศษบนเพนท์เฮาส์สุดหรูวิวโค้งน้ำเจ้าพระยา ในงาน “PENTHOUSE IS ART BY MENAM RESIDENCES”

ครั้งแรกกับการจัดแสดงงานศิลป์ชิ้นพิเศษบนเพนท์เฮาส์สุดหรูวิวโค้งน้ำเจ้าพระยา ในงาน “PENTHOUSE IS ART BY MENAM RESIDENCES”

แม่น้ำเรสซิเดนท์ นำเสนอครั้งแรกกับปรากฏการณ์จัดแสดงงานศิลปะบนเพนท์เฮ้าส์หรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยนำเสนอผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อให้การตกแต่งภายในมีความโดดเด่น และลงตัวกับทุกพื้นที่ใช้สอย  โดยร่วมกับศิลปินดังระดับประเทศ ชั้นนำ 13 คน นำทีมโดย ชลิต นาคพะวัน คิวเรเตอร์และศิลปิน เปิดการแสดงศิลปะบนเพนท์เฮาส์ครั้งแรกของประเทศไทยในชื่อว่า  “PENTHOUSE IS ART BY MENAM RESIDENCES” เปิดให้บุคคลทั่วไปที่สนใจสัมผัสงานศิลปะและการออกแบบตกแต่ง เข้าชมงานได้ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน จนถึง 7 ตุลาคม 2561 ทุกวันเสาร์ และอาทิตย์ เวลา 09.00 น. – 17.00 น นายเดชโรจน์ ตั้งสิน กรรมการบริหาร บริษัท แม่น้ำเรสซิเดนท์ จำกัด เปิดเผยถึงแนวคิดในการจัดแสดงผลงานศิลปะบนเพนท์เฮาส์ ว่าจากคอนเซ็ปต์ของงาน ตั้งใจให้ศิลปะสะท้อนการใช้ชีวิตในเพนท์เฮาส์ที่สอดรับกับรสนิยมและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่ในรูปแบบแตกต่างกันออกไป ด้วยทำเลที่ตั้งของโครงการที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำได้จากทุกห้อง ผสมผสานกับการออกแบบเพนท์เฮาส์ที่ใส่ใจรายละเอียดทุกพื้นที่การใช้สอย โดยนำผลงานศิลปะจากเหล่าศิลปินชั้นนำของประเทศ ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะมาตกแต่งเพนท์เฮาส์อย่างมีสไตล์ นอกจากจะช่วยเพิ่มความสวยงามและเอกลักษณ์ให้กับห้องแล้ว ยังสามารถเพิ่มมูลค่าในระยะยาวได้อีกด้วย และเชื่อว่างาน PENTHOUSE IS  ART จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับบุคคลทั่วไปในการเลือกงานศิลปะเข้ามาตกแต่งที่อยู่อาศัยของตนเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเพนท์เฮาส์ก็ได้ โดยให้มองว่าทั้งงานศิลปะและที่อยู่อาศัย คือ Passion Investment ที่เป็นการลงทุนเพื่อเป็นความสุขและกำไรของชีวิตนั่นเอง ด้านนายชลิต นาคพะวัน คิวเรเตอร์และหนึ่งในศิลปินผู้จัดแสดงผลงาน กล่าวถึงความพิเศษในการคัดสรรผลงานของศิลปินที่นำมาตกแต่งเพนท์เฮาส์ ว่า เป็นครั้งแรกที่วงการศิลปะและอสังหาริมทรัพย์มารวมตัวกันได้อย่างลงตัว รวมทั้งเป็นการนำผลงานศิลปะมาจัดแสดงไว้ในสถานที่จริง โดยได้คัดสรรผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักของสังคม นำผลงานมาจัดวางและตกแต่งห้องเพนท์เฮาส์ให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น รวมทั้งสร้างสรรค์บรรยากาศ และให้ความรู้สึกที่มีความเป็นบ้าน และมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับคอนเซ็ปต์ของห้องด้วย เพื่อให้ผู้สนใจได้เสพงานศิลป์ชิ้นเอกทั้งภายในห้องเพนท์เฮาส์ และเมื่อมองออกไปข้างนอกก็ได้สัมผัสงานศิลป์ที่สร้างสรรค์โดยธรรมชาติไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงสุนทรียภาพของงานศิลปะที่มีต่อที่พักอาศัยอย่างแท้จริง” สำหรับการจัดแสดงผลงานศิลปะ “PENTHOUSE IS ART BY MENAM RESIDENCES” ได้รับเกียรติจากศิลปินที่มีชื่อเสียงแถวหน้าของประเทศ  ชลิต นาคพะวัน เป็นคิวเรเตอร์ พร้อมด้วยศิลปินแห่งชาติ และศิลปินที่เป็นที่รู้จักกันดีทั้งภายในและต่างประเทศสมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพงศ์, ศราวุธ ดวงจำปา, อภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล, ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี, จิตต์สิงห์ สมบุญ, สุธี คุณาวิชยานนท์, สุรพร เลิศวงศ์ไพฑูรย์, ผศ.กิตติชัย กันแตง, วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์, ผศ. ดร.น้ำฝน ไล่สัตรูไกล, ปิ่นนุช ปิ่นจินดา และ ผศ.ลลินธร เพ็ญเจริญ ร่วมแสดงผลงานศิลปะที่หลากหลายสาขา ทั้งด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และงานออกแบบผลิตภัณฑ์ ร่วมสัมผัสศิลปะในมุมมองใหม่ ที่สร้างสรรค์โดยเหล่าศิลปินแถวหน้าของประเทศไทยในงาน PENTHOUSE IS ART by MENAM RESIDENCES เปิดให้บุคคลทั่วไปที่สนใจสัมผัสงานศิลปะและการออกแบบตกแต่ง เข้าชมงานได้ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน จนถึง 7 ตุลาคม 2561 ทุกวันเสาร์ และอาทิตย์ เวลา 09.00 น – 17.00 น. โดยนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ โทร. 062-796-0101 หรือสามารถลงทะเบียนเพื่อจองรอบเข้าชมงานได้ทาง https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSf6xTk-ayYCqQfSfcBiQuN6mWBRJleGBLLyHzZxAESr9z_fgw/viewform     ติดตามกิจกรรมที่น่าสนใจ และอัพเดตทุกความเคลื่อนไหวของแม่น้ำเรสซิเดนท์ ได้ทาง www.facebook.com/menamresidencesofficial (Menam Residences) #PENTHOUSEISART #MENAMRESIDENCES #PenthouseIsArtbyMenamResidences
“อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” ลุยเปิดสาขาใหม่ แห่งที่ 29  รับกำลังซื้อเฟอร์ฯ และการขยายตัวภาคอสังหาฯ หัวเมืองหลัก

“อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” ลุยเปิดสาขาใหม่ แห่งที่ 29 รับกำลังซื้อเฟอร์ฯ และการขยายตัวภาคอสังหาฯ หัวเมืองหลัก

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (Index Living Mall) บุกตลาดย่านบางกรวย-ไทรน้อย ปักธงสโตร์ที่ 29 อัดงบหนักขยายโซนกรุงเทพฯ ตะวันตก หวังกระตุ้นยอดไตรมาส 4 รองรับความต้องการสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านของลูกค้า ตอกย้ำแนวคิด “มาที่เดียวครบ จบ คุ้ม”   นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด เปิดเผยว่า “ปีนี้เราได้เปิดสาขาใหม่ บางกรวย-ไทรน้อย ซึ่งตั้งอยู่ใน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เป็นสาขาลำดับที่ 29 ด้วยงบลงทุน 480 ลบ. บนพื้นที่ร่วม 7,000 ตร.ม. ภายในเทสโก้ โลตัส ซึ่งสาขานี้นับเป็นแห่งที่ 4 ที่ร่วมกับ เทสโก้ โลตัส หลังจากเปิดที่ มหาชัย, นครสวรรค์ และแจ้งวัฒนะ   สำหรับนนทบุรีนับเป็นเมืองธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูง มีการขยายตัวอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร แบ่งเป็น คอนโดฯ 397 โครงการ 142,686 ห้องชุด และบ้านจัดสรร 1,406 โครงการ 290,127 หลัง และยังมีโครงการใหม่ทุกเดือน เดือนละ 5-6 โครงการ และรัฐบาลได้มีการลงทุนสาธารณูปโภคหลายด้าน ทั้งทางหลวงพิเศษ ทางหลวงตัดใหม่ สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา รถไฟฟ้าสายสีม่วง ขณะเดียวกันรถไฟฟ้าสายสีชมพูอยู่ระหว่างดำเนินการ มีเรือด่วนที่สามารถสัญจรไปยังกรุงเทพฯ ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงโครงการมอเตอร์เวย์ บางใหญ่-กาญจนบุรี   บริษัทฯ จึงเล็งเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจ และเชื่อว่าสาขาใหม่นี้จะตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าทั้ง บ้าน-คอนโด ลูกค้าบริษัท และกลุ่มนักธุรกิจ รวมถึงผู้ที่ย้ายเข้ามาทำงานในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งสาขาบางกรวย-ไทรน้อย มีจุดเด่นทำเลที่ตั้งอยู่บนจุดตัดถนนกาญจนาภิเษกวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันตก และ ถนนบางกรวย- ไทรน้อย ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่ครบครันที่สุด (Transportation Hub) สามารถเชื่อมต่อทุกเส้นทาง เข้าด้วยกัน อาทิ รถไฟฟ้าสายสีม่วง, ถนนกาญจนาภิเษกวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันตก, ท่าเรือ, ทางด่วน และระบบขนส่งมวลชน เดินทางสะดวกเข้าออกได้หลายเส้นทาง”       อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาบางกรวย-ไทรน้อย เปิดบริการอย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิดจุดหมายใหม่แห่งเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ เติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ที่ครบครันใหม่ที่สุดในย่านนี้ ด้วยสินค้าที่ครบครันทั้งเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน ของใช้ภายในบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้า หลากฟังก์ชันหลายดีไซน์ กว่า 10,000 รายการ บนพื้นที่ขนาด 7,000 ตร.ม. แบ่งเป็น 2 ชั้น ซึ่งชั้น 1 ประกอบด้วยสินค้าของแต่งบ้าน-ของใช้ภายในบ้าน, เฟอร์นิเจอร์-อุปกรณ์สำหรับการจัดเก็บภายในบ้าน (Storage Solutions & Home Organization), “Baby Journey” เฟอร์นิเจอร์-อุปกรณ์และของใช้สำหรับเด็ก, เครื่องใช้ไฟฟ้า “POWER ONE” และโซนที่นอน “MATTRESS”   ส่วนชั้น 2 ประกอบด้วยเฟอร์นิเจอร์ แบรนด์ อินเด็กซ์ เฟอร์นิเจอร์ (Index Furniture), วินเนอร์ เฟอร์นิเจอร์ (Winner Furniture), ชุดครัว (Kitchen), ทีมดีไซน์เนอร์ (Designer Specialist) บริการออกแบบห้องด้วยโปรแกรม 3D, Home Service ครบทุกบริการสำหรับคนรักบ้าน และ ยูนีค (Younique) เฟอร์นิเจอร์ สั่งตัด 4.0 ซึ่งทำให้อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เป็น One Stop Shopping เรื่องบ้านอย่างครบวงจร สามารถตอบโจทย์สูงสุดทุกความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน มั่นใจจะสามารถทำยอดขายได้เฉลี่ย 17 ลบ. ต่อเดือน สำหรับรายได้รวมของกลุ่มอินเด็กซ์ ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 เท่ากับ 4,889.53 ลบ. หรือเพิ่มขึ้น +4.19% เทียบกับช่วง 6 เดือนของปี 2560 สัดส่วนยอดขายหลักมาจากการค้าปลีก 80% และจากสาขาใน หัวเมืองหลัก อาทิ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา เพราะเป็นสาขาที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด มียอดบิลเฉลี่ยสูงถึง 18,000 บาทต่อบิล ส่วนกรุงเทพฯและปริมณฑลยอดขายยังไปได้ดี เพราะรองรับกลุ่มลูกค้ามีรายได้ประจำ ขณะที่มีจำนวนสมาชิกบัตร JOY CARD ของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ในไทยกว่า 1.1 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง   “นอกจากแผนการขยายสาขาใหม่แล้ว กลยุทธ์ด้านสินค้าและบริการ รวมถึงแคมเปญทางการตลาดจะยังคงมีอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีทั้งด้านสินค้าและบริการนั้น ปีนี้ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ได้เปิด “ยูนีค” (Younique) เฟอร์นิเจอร์สั่งตัดตามใจ Customized Furniture 4.0 เพิ่มเติมในสาขาใหม่ บางกรวย-ไทรน้อย เป็นสาขาที่ 6 จากเดิมที่เปิดให้บริการแล้วที่สาขาพระราม 2, บางนา, เกษตร-นวมินทร์, ราชพฤกษ์ และรังสิต โดยมีแฟล็กชิพสโตร์ ที่ใหญ่ที่สุด คือ สาขาบางนา ด้วยพื้นที่ 900 ตร.ม. พร้อมเตรียมเปิดสาขาเพิ่มเติมในกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลักอีก 2 สาขา ภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตสังคม 4.0 รวมทั้งมีแผนผนึกพันธมิตรอสังหาฯ ชั้นนำของไทยเสริมแกร่งต่อยอดธุรกิจ ชูจุดขายคุณค่าที่มากกว่าแค่ Personalize เพราะ Customize ปรับพื้นที่จาก 35 ตร.ม. เพิ่มพื้นที่ใช้สอยเทียบเท่า 53 ตร.ม. จัดสรรพื้นที่ได้ทั้งแนวราบ แนวดิ่ง ด้วยการยืด ย่อ หด ขยาย ผ่านเทคโนโลยที่ละเอียดขั้นมิลลิเมตร รายเดียวในไทย ยืนยันจากเสียงลูกค้าจริงค่ะ”  
ศุภาลัย พรีมา วิลล่า พระราม 2 – บางขุนเทียน คฤหาสน์หรู พร้อมชีวิตสะดวกสบายกับระบบ Home Automation

ศุภาลัย พรีมา วิลล่า พระราม 2 – บางขุนเทียน คฤหาสน์หรู พร้อมชีวิตสะดวกสบายกับระบบ Home Automation

ศุภาลัย พรีมา วิลล่า พระราม 2 - บางขุนเทียน Brand บ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ระดับ Hi-End ของบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) บนพื้นที่โครงการประมาณ 23 ไร่ ซึ่งสร้างสรรค์เป็นคฤหาสน์หรู สไตล์โมเดิร์น บนเนื้อที่ 100 ตร.วา ในราคาเริ่มต้นเพียง 9.9 ล้านบาท โดดเด่นด้วยทำเลคุณภาพเดินทางสะดวกบนถนนบางขุนเทียน - ชายทะเล สามารถเข้า - ออกได้หลายทาง ทั้งจากถนนพระราม 2 (ฝั่งขาออก) และถนนเลียบวงแหวนฯ (ฝั่งขาออก) เชื่อมต่อติดเมืองด้วยทางด่วนเฉลิมมหานคร ทางด่วนวงแหวนอุตสาหกรรม และใหม่! ทางด่วนพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนตะวันตก (เปิดใช้ปี 2564) แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ เซ็นทรัลพระราม 2 The Bright โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยธนบุรี โรงเรียนบางปะกอก 9 และโรงพยาบาลนครธน   การออกแบบภายใต้แนวคิด “The Definition of Happiness” เพื่อผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสกับความหรูหราและ ความเป็นส่วนตัวในสังคมคุณภาพเหนือระดับเพียง 62 หลังเท่านั้น มาพร้อมฟังก์ชั่นบ้านขนาดใหญ่ และยังมีแบบบ้านให้เลือกหลากหลายตามความต้องการของลูกค้ามากถึง 4 แบบ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 213 - 318 ตร.ม. ขนาด 4 ห้องนอน 3 - 5 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ เพิ่มห้องทำงานและห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้ อีกทั้งใส่ใจเพื่อให้ คุณได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในทุกรายละเอียดด้วยมาตรฐานวัสดุคุณภาพ ตอบโจทย์ทุก Lifestyle เพื่อทุกคนในครอบครัว ยุคดิจิทัล ด้วยระบบ Home Automation & Security บ้านอัจฉริยะครบวงจร ทำให้ชีวิตคุณง่ายยิ่งขึ้นเพียงปลายนิ้วสัมผัส สามารถสั่งการและควบคุมการทำงานระบบต่างๆ ภายในบ้านทุกหลัง ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านแอพพลิเคชั่น บนสมาร์ทโฟน เพื่อมอบความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต และประหยัดพลังงานผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น Spot อุปกรณ์ควบคุม/สั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าแทนรีโมต Smart Switch สวิตซ์ไฟอัจฉริยะสามารถตั้งเวลาเปิด - ปิดระบบไฟฟ้า ภายในบ้าน Smart Controller อุปกรณ์ควบคุมการเปิด - ปิด ประตูรั้วบ้าน และ Cube Clicker สั่งงานเปิด - ปิด แบบ Scene เพียงแค่กดอุปกรณ์ทั้งหมดได้พร้อมกันในคลิกเดียว รวมทั้งด้านความปลอดภัยภายในบ้านผ่าน Smart Siren อุปกรณ์แจ้งเตือนด้วยระบบเสียงเมื่อมีการบุกรุก Cube Door / Window Sensor ตรวจจับแรงสั่นสะเทือนและแจ้งเตือนเมื่อมีการเปิด / ปิดประตูและหน้าต่าง และกล้อง Wifi พร้อมฟังก์ชั่นตรวจจับความเคลื่อนไหวเหตุการณ์ต่างๆ และส่งข้อความแบบ Real - Time   อีกทั้งภายในโครงการเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งสระว่ายน้ำระบบน้ำแร่ และฟิตเนส เน้นความเป็นธรรมชาติด้วยสวนส่วนกลางขนาดใหญ่ และมั่นใจด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ระบบสัญญาณกันขโมยภายในบ้าน พร้อมกล้อง CCTV และเข้า-ออกโครงการด้วยประตูระบบ Easy Pass   สำหรับผู้ที่กำลังมองหาคฤหาสน์หรู สังคมคุณภาพ ในย่านพระราม 2 - บางขุนเทียน เชิญร่วมงาน Pre-Sale 15 - 16 กันยายนนี้ จองในงานรับทองคำแท่ง 30 บาท และ Gift Voucher SB มูลค่า 300,000 บาท พร้อมรับของแถมหลายรายการ มาก่อนเลือกแปลงสวยก่อนใคร ณ สำนักงานขายโครงการ โทร. 1720 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.supalai.com
แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ผนึกวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ  ยันครองตำแหน่งซูเปอร์ลักชัวรี่มิกซ์ยูสกลางใจเมือง

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ผนึกวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ยันครองตำแหน่งซูเปอร์ลักชัวรี่มิกซ์ยูสกลางใจเมือง

หลังเปิดตัว “วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ” แบรนด์โรงแรมระดับไฮเอนด์แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของวอลดอร์ฟในเครือฮิลตัน โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท ไปได้อย่างสวยงาม และได้รับคำชมเต็มๆ วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ หัวเรือใหญ่แห่ง MQDC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการคอนโดหรูใจกลางย่านเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ฉลองด้วยการมอบสิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับผู้พักอาศัย เมื่อใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากร้านค้าภายในโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ นอกเหนือจากการได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดสุดหรู ใจดีและให้ความสำคัญกับลูกค้าแบบนี้ นี่เอง โครงการคอนโดถึงขายดิบขายดี แว่วมาว่า…ปัจจุบันปิดการขายไปแล้วกว่า 80%!
โฮมโปร ร่วมกับ Pasaya จัดแคมเปญ Give&Get  ปี 5  ชวนคนไทยเปลี่ยนผ้าม่านเก่าเป็นใหม่ เพื่อสร้างโอกาสให้กับเด็กๆ  ในมูลนิธิ SafeGuard Kids ที่โฮมโปร ทุกสาขาทั่วประเทศ

โฮมโปร ร่วมกับ Pasaya จัดแคมเปญ Give&Get ปี 5 ชวนคนไทยเปลี่ยนผ้าม่านเก่าเป็นใหม่ เพื่อสร้างโอกาสให้กับเด็กๆ ในมูลนิธิ SafeGuard Kids ที่โฮมโปร ทุกสาขาทั่วประเทศ

นางสาวอิษฏพร ศรีสุขวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านจัดซื้อ Home Textile and Furniture บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร  ร่วมกับ คุณชนิกานต์ จิวริเวชช์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายภายในประเทศ บริษัท เท็กซ์ไทล์ แกลลอรี่ หรือ Pasaya ร่วมจัดแคมเปญ Give&Get ปี 5 ชวนคนรักบ้านเปลี่ยนผ้าม่านเก่า เป็นผ้าม่านใหม่ เพียงซื้อผ้าม่านที่โฮมโปร ทุกสาขาทั่วประเทศ รับโปรโมชั่นพิเศษสุดคุ้มถึง 4 ต่อ ต่อที่ 1 รับส่วนลดสูงสุดทันที 30-50% เมื่อซื้อผ้าม่าน และพรม แบรนด์ PASAYA ต่อที่ 2 ลดเพิ่มอีก 15% เมื่อนำผ้าม่านเก่าแบรนด์ใดก็ได้ มาแลกซื้อผ้าม่าน พรม แบรนด์ Pasaya หรือ ช้อปสินค้าใดก็ได้ภายในโฮมโปรครบ 5,000 บาท (รับส่วนลดท้ายใบเสร็จ) ต่อที่ 3 สมาชิกบัตรโฮมการ์ดรับส่วนลดเพิ่มอีก 5% ต่อที่ 4 ลูกค้าบัตร Homepro Visa รับส่วนลดเพิ่มอีก 3 %   โดยผ้าม่านเก่าสภาพใช้งานได้ และรายได้ส่วนหนึ่งจากแคมเปญนี้จะมอบให้กับ มูลนิธิ SafeGuard Kids หรือมูลนิธิพิทักษ์ และคุ้มครองเด็ก เพื่อสร้างโอกาส และร่วมเป็นกระบอกเสียงให้กับเด็กๆ ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ เลือกซื้อผ้าม่านสำหรับตกแต่งบ้านกันได้ที่ “โฮมโปร” ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ – 3 ตุลาคม 2561 นี้ สอบถามเพิ่มเติมโทร 1284 หรือ www.homepro.co.th  
โปรฯ แรงสุดคุ้ม!! The Connect ภายใต้แบรนด์ พฤกษา ลดล้างสต๊อก มอบส่วนลดสูงสุดถึง 500,000 บาท* แถมฟรีทุกค่าใช้จ่าย*-เครื่องปรับอากาศ* ที่ราคาเริ่มต้น 1.65 ล้านบาท

โปรฯ แรงสุดคุ้ม!! The Connect ภายใต้แบรนด์ พฤกษา ลดล้างสต๊อก มอบส่วนลดสูงสุดถึง 500,000 บาท* แถมฟรีทุกค่าใช้จ่าย*-เครื่องปรับอากาศ* ที่ราคาเริ่มต้น 1.65 ล้านบาท

คนอยากมีบ้านอย่ารอช้า!! “พฤกษา” จัดโปรโมชั่นสุดยิ่งใหญ่ฉลองครบรอบ 25 ปี พาเหรดโครงการ แบรนด์ “The Connect” ทั้ง ทาวน์โฮมบ้านแฝด มาลดล้างสต๊อก พร้อมมอบส่วนลดสูงสุดถึง 500,000 บาท*แถมฟรี! ทุกค่าธรรมเนียม*-เครื่องปรับอากาศ* พิเศษสุดๆ สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ และเข้าเยี่ยมชมโครงการ รับไปเลยทันทีบัตรStarbucks มูลค่า 200 บาท* อีกทั้งของสมนาคุณมากมาย โอกาสดีๆตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน นี้เท่านั้น   ในโอกาสก้าวเข้าสู่วาระครบรอบ 25 ปี บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตทจำกัด (มหาชน) จัดเฉลิมฉลองภายใต้แคมเปญ “ลดล้างสต๊อก ฟรี! ทุกค่าใช้จ่าย” โดยการยกขบวนโครงการพร้อมอยู่แบรนด์ “The Connect” ทั้งทาวน์โฮม 2 ชั้น 3 ชั้น ทาวน์โฮมทรงอิสระ และบ้านแฝด อาทิ THE CONNECT สุวรรณภูมิ 3, THE CONNECT เพชรเกษม 48, THE CONNECT ลาดพร้าว 126, THE CONNECT สุวรรณภูมิ 4, THE CONNECT รัตนาธิเบศร์ – ราชพฤกษ์, THE CONNECT พระราม 5 –นครอินทร์ และ THE CONNECT@ รังสิต แบบบ้านทาวน์โฮมอิสระและบ้านแฝด   สุดพิเศษด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 1.65-4 ล้านกว่าบาท* พร้อมสิทธิประโยชน์สุดเอ็กคลูซีฟ สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์และเข้าเยี่ยมชมโครงการ รับทันทีบัตร Starbucks มูลค่า 200 บาท* และหากโอนภายใน 30 กันยายน 2561 มีสิทธิ์รับส่วนลดสูงสุดถึง 500,000บาท** แถมฟรี! ทุกค่าใช้จ่าย* ไม่ว่าจะเป็น ฟรีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมิเตอร์น้ำ-ไฟ* ฟรีเครื่องปรับอากาศ* หรือเลือกรับบัตรกำนัลจากโฮมโปรมูลค่าสูงสุด 200,000 บาท** โปรโมชั่นนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี สำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ บนทำเลศักยภาพ ในราคาที่ไม่สามารถหาซื้อที่ไหนได้ เพราะพฤกษาเข้าใจความต้องการของผู้ที่อยากมีบ้าน     โดยลูกค้าสามารถหาข้อมูลและเลือกซื้อที่อยู่อาศัยจากทุกทำเลของโครงการ The Connect ได้อย่างสะดวกสบายผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท www.pruksa.com หรือสามารถเข้าเยี่ยมชมโครงการที่สนใจพร้อมขอรับคำปรึกษาด้านสินเชื่อจากเจ้าหน้าที่ด้านการขายของบริษัทฯ ได้ตลอดเวลา โดยพนักงานขายทุกโครงการยินดีที่จะให้คำปรึกษาแก่ลูกค้า และบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าโปรโมชั่นนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีเหมือนอย่างที่ผ่านมา ถือเป็นการแทนคำขอบคุณจากใจของพฤกษา   พบกับทาวน์โฮมและบ้านแฝดคุณภาพจากโครงการ The Connect บนทำเลศักยภาพ พร้อมรับสิทธิพิเศษในราคาสุดพิเศษ เพียงแค่จอง ทำสัญญาและโอนภายในวันที่ 30 กันยายน 2561  ลงทะเบียนได้ที่ https://theconnect.pruksa.com/pre-sale/1153-the-connect-AllProjects-Discount300000  โดยบริษัทฯ สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดโครงการ โปรโมชั่น และเงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1739     *เงื่อนไขเป็นตามที่บริษัทกำหนดสำหรับแต่ละโครงการ **ส่วนลดที่ได้แต่ละโครงการจะมีมูลค่าที่ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับแบบบ้าน **ลูกค้าสามารถที่จะเลือกได้ว่าจะรับเป็นส่วนลดในวันโอน หรือเป็น Gift  Voucher อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยที่มูลค่ารวมทั้งหมดของกำนัลและส่วนลดที่จะให้เลือกนั้นจะไม่เกินส่วนลดสูงสุดตามที่แจ้งไว้
SC ASSET ผนึก 9 โครงการ ภายใต้แบรนด์ Pave และ Verve หนุนแคมเปญ “SAY HI บ้านหลังใหม่”

SC ASSET ผนึก 9 โครงการ ภายใต้แบรนด์ Pave และ Verve หนุนแคมเปญ “SAY HI บ้านหลังใหม่”

นายมงกุฎ เตโชฬาร รองหัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวราบ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ASSET  จัดแคมเปญ "SAY HI บ้านหลังใหม่" ร่วมกับ 9 โครงการสำหรับคนรุ่นใหม่ แบรนด์ #Pave และ #Verve บนทำเลศักยภาพ ราคาเริ่ม 1.99 - 7 ล้านบาท เปิดให้ผู้สนใจลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษสูงสุด 700,000 บาท* ได้ที่ bit.ly/2wp0zd5 พร้อมรับเพิ่ม! หูฟังบลูทูธ Jabra Elite Sport 4.5* ถึง 15 ก.ย.นี้เท่านั้น!! นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมปูเสื่อ LIVE โชว์พิเศษ SC ASSET x THE TOYS @โครงการเวิร์ฟ ติวานนท์-รังสิต วันที่ 15 กันยายน 2561 เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป เพื่อติดตามชมได้ที่ www.facebook/scasset
แสนสิริ เปิดตัวเดอะ เบส สะพานใหม่ ภายใต้ความร่วมมือกับบีทีเอส กรุ๊ป  และเดอะ เบส สุขุมวิท 50

แสนสิริ เปิดตัวเดอะ เบส สะพานใหม่ ภายใต้ความร่วมมือกับบีทีเอส กรุ๊ป และเดอะ เบส สุขุมวิท 50

แสนสิริปลุกกระแสแบรนด์ เดอะ เบส ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ MARK MY BASE ต่อยอดหลังประสบความสำเร็จมาแล้วถึง 13 โครงการ มูลค่ารวม 24,000 ล้านบาท เผยโฉมTHE BASE New Series ในแบบที่สะท้อนความเป็นคุณ เปิดตัว 3 โครงการใหม่ในปี 61 บนทำเลศักยภาพทั้งอยู่อาศัยและลงทุน มูลค่ารวมกว่า 6,100 ล้านบาท ชูเดอะ เบส เซ็นทรัล – ภูเก็ต โครงการแรก ประสบความสำเร็จปิดการขายทันทีในวันพรีเซลล์ เดินหน้าตามแผนเปิดตัวอีก 2 โครงการใหม่ ในกรุงเทพฯ “เดอะ เบส สะพานใหม่” ภายใต้ความร่วมมือกับบีทีเอส กรุ๊ป และ“เดอะ เบส สุขุมวิท 50” ภายใต้ความร่วมมือกับโตคิว คอร์ปอเรชัน มั่นใจ เดอะ เบส ภายใต้ คอนเซ็ปต์ใหม่ MARK MY BASE โดดเด่นด้านดีไซน์ที่เข้าใจการใช้ชีวิตและฟังก์ชั่นการอยู่อาศัยในแต่ละทำเล สามารถตอบโจทย์ทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ได้อย่างแน่นอน ส่งผลยอดขายรวมคอนโดมิเนียมของแสนสิริตามเป้าหมาย 30,000 ล้านบาท ก้าวสู่ปีแห่ง Sansiri Best Year Ever     นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ เดอะ เบส (THE BASE) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแบรนด์คอนโดมิเนียมที่มีความแข็งแกร่งของแสนสิริ เน้นการตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีความเป็นตัวของตัวเอง การออกแบบในแต่ละโครงการสะท้อนบุคลิกภาพและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าในทำเลนั้นๆ ซึ่งเป็นที่มาของคอนเซ็ปต์ You are where you live โดยเปิดตัวมาแล้วถึง 13 โครงการ จำนวน 9,440 ยูนิต มูลค่ารวม 24,000 ล้านบาท     ล่าสุดเพื่อเป็นการตอกย้ำความสำเร็จและความแข็งแกร่งของแบรนด์ เดอะ เบส บริษัทจึงได้เปิดตัว เดอะ เบส ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ “MARK MY BASE” สู่แบรนด์คอนโดมิเนียมที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น สะท้อนความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ชูแนวคิดการออกแบบจากตัวตนของผู้อยู่อาศัยโดยการผสมผสานเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละทำเลเข้ากับการออกแบบที่ร่วมสมัย เกิดเป็นเอกลักษณ์และเรื่องราวที่สะท้อนถึงตัวตนของผู้อยู่อาศัย โดยเดอะ เบส ที่ตั้งอยู่ในทำเลต่างๆ จะมีความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ แตกต่างกัน ในแต่ละทำเล เพื่อตอบโจทย์ทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ยังเติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน ตามมาตรฐานของแสนสิริที่พัฒนาและลงมือทำมาโดยตลอด ทั้งดีไซน์สวยงามที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่นพร้อมใช้งานได้จริง ใส่ใจในทุกรายละเอียดและเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกบ้าน และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ผสมผสานกับการอยู่อาศัยเพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อาทิ สมาร์ท ล็อคเกอร์ และโฮม เซอร์วิส แอปพลิเคชัน รวมถึงบริการที่ครบถ้วนเพื่อสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีทั้งก่อนและหลังการขาย อาทิ Sansiri Security System มั่นใจกับระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. และสิทธิพิเศษต่างๆ ในแสนสิริ แฟมิลี่ ซึ่งทั้งหมดเพื่อ เติมเต็มการอยู่อาศัยให้สมบูรณ์แบบแก่ลูกบ้านแสนสิริ “บริษัทมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ เบส ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ MARK MY BASE ในปี 2561 จำนวน 3 โครงการ ทำเลกรุงเทพฯ และภูเก็ต ได้แก่ เดอะ เบส เซ็นทรัล – ภูเก็ต, เดอะ เบส สะพานใหม่ และเดอะ เบส สุขุมวิท 50 มูลค่ารวมกว่า 6,100 ล้านบาท โดยหลังจากที่บริษัทได้เผยโฉม THE BASE New Series ในแบบที่สะท้อนความเป็นตัวคุณ โครงการแรก เดอะ เบส เซ็นทรัล – ภูเก็ต จำนวน จำนวน 590 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,660 ล้านบาท เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาปรากฎว่าได้รับการตอบรับที่ดีจนสามารถปิดการขายได้ทันทีในวันพรีเซลล์” นายภูมิภักดิ์ กล่าว     สำหรับโครงการ “เดอะ เบส สะพานใหม่” ภายใต้ความร่วมมือระหว่างแสนสิริและบีทีเอส กรุ๊ป จำนวน 820 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,800 ล้านบาท พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด MY BASE REVEALS NEW PERSPECTIVES (มาย เบสมีหลายมุม) ผสมผสานองค์ประกอบของความแตกต่างอย่างลงตัวภายใต้คอนเซ็ปต์ความย้อนแย้ง (Irony) สะท้อน ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ตั้งอยู่บนทำเลที่น่าจับตามองในอนาคตเพียง 0 เมตรจากสถานีสายหยุด ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่จะเปิดให้บริการในปี 2563 และรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ พร้อมเชื่อมต่อถนนหลายสายหลักอย่างวิภาวดีรังสิต พหลโยธิน และสนามบินดอนเมือง ทั้งยังตั้งอยู่ใกล้โรงพยาบาล มหาวิทยาลัยและสถานที่ราชการหลายแห่ง เต็มอิ่มกับการใช้ชีวิตด้วยพื้นที่ส่วนกลางเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน ซึ่งมีพื้นที่รวมสูงถึง 4,800 ตารางเมตร จากพื้นที่โครงการทั้งหมด 4 ไร่ พร้อมโดดเด่นด้วย Rooftop Facilities เต็มพื้นที่ชั้นดาดฟ้าของโครงการที่รวบรวมทั้งสวนสวย พื้นที่ดูดาว ลู่วิ่ง และสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และ Panoramic Gym ที่ชั้น 14 เข้าไว้ด้วยกันพร้อมเชื่อมต่ออาคาร 2 ฝั่งด้วยทางเชื่อมแบบ Spiral Bridge ซึ่งออกแบบขึ้นด้วยหลัก Universal Design รองรับการใช้งานของคนทุกวัย นอกจากนี้ยังนำเสนอประสบการณ์ใหม่ของการอยู่อาศัยแนวสูงด้วยยูนิตแบบลอฟท์ (Loft Unit) เพดานสูง 4.55 เมตร ที่ชั้น 14 ช่วยเพิ่มพื้นที่การใช้งานให้มากขึ้นกว่าเดิมโดยมีพื้นที่ใช้สอยให้เลือกสรรหลายขนาดตามความต้องการ พร้อมเปิดขายแบบแต่งครบ (Fully Furnished) ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.29 ล้านบาท     โครงการเดอะ เบส สุขุมวิท 50 ภายใต้ความร่วมมือกับโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำนวน 415 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 1,600 ล้านบาท พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด MY BASE DISCOVER THE UNEXPECTED (มาย เบส คือ การค้นพบ) เพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้ามาค้นพบความแตกต่าง อย่างเป็นตัวเอง ตั้งอยู่บนซอยสุขุมวิท 50 เชื่อมต่อทุกการเดินทางด้วยทางด่วน 2 สายหลักทั้งฉลองรัช และเฉลิมมหานคร สามารถเดินทางสู่พื้นที่ต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ อย่างรวดเร็ว ด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส เพียง 2 นาที จากบีทีเอสอ่อนนุช พร้อมบริการรถรับ-ส่งจากโครงการ อีกทั้งยังมีศักยภาพสูงในเรื่องของการลงทุนด้วย Rental Yield ของคอนโดมิเนียม แสนสิริในย่านนี้ที่เฉลี่ยสูงถึง 5-10% พร้อมสะท้อนตัวตนของคุณด้วยดีไซน์การออกแบบโครงการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ทั้งภายนอกและภายในโครงการ อาทิ การออกแบบฟาสาด (Façade) ที่เล่นสนุกกับสีสัน คู่ตรงข้าม (Contrast) และลวดลายพรางสายตา (Camouflage) รวมถึงการดีไซน์ภายในส่วนกลางของโครงการด้วย หินเทอร์ราซโซ (Terrazzo) จากประเทศอิตาลีที่สั่งผลิตในลวดลายพิเศษสำหรับโครงการนี้โดยเฉพาะ เป็นวัสดุหลักในการตกแต่ง และโคมไฟคอลเลคชั่น เมลท์เพนแดนท์ (Melt Pendant) จากดีไซน์เนอร์ชื่อดังทอม ดิกซอน (Tom Dixon) ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการหลอมละลายที่เกิดขึ้นในปรากฏการณ์ธรรมชาติ นอกจากนี้ยังสามารถรองรับการใช้งานหลากฟังก์ชั่น ด้วยความลงตัวของการออกแบบพื้นที่ภายในห้องพัก และสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางที่แตกต่าง ให้ความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน พร้อมเปิดขายแบบแต่งครบ (Fully Furnished) ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.29 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการจะเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการในวันที่ 22-23 กันยายน 2561 นี้ พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษ! ฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยลูกค้าที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.sansiri.com โทร. 1685   “ด้วยปัจจัยภาพรวม อาทิ ตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาที่สะท้อนพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ดี มีการปรับเป้าการส่งออกเพิ่มขึ้น ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาที่สูงสุดในรอบ 5 ปี รวมถึงกำลังซื้อลูกค้าและทิศทางความต้องการที่อยู่อาศัยที่ขยายตัวในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อรวมกับการสร้างกระแสแบรนด์เดอะ เบส ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ “MARK MY BASE” เชื่อมั่นว่าจะส่งผลให้ทั้ง 2 โครงการคอนโดมิเนียมเดอะ เบส ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งในด้านราคา ทำเล พื้นที่ใช้สอย และฟังก์ชั่นการใช้งาน ส่งผลให้ยอดขายรวมคอนโดมิเนียมของแสนสิริในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมาย 30,000 ล้านบาท ก้าวสู่ปีแห่ง “Sansiri Best Year Ever ” ได้อย่างสมบูรณ์” นายภูมิภักดิ์กล่าว #SansiriBestYearEver
บลู ฮอริซัน เดเวลลอปเมนท์ส ผนึกกำลัง คอส โมโนโพลิแทน ฮอสพิทาลิตี้ เปิดตัว รามาดา พลาซ่า แกรนด์ หิมาลัย โอเชี่ยนฟร๊อนต์ เรสซิเด้นส์

บลู ฮอริซัน เดเวลลอปเมนท์ส ผนึกกำลัง คอส โมโนโพลิแทน ฮอสพิทาลิตี้ เปิดตัว รามาดา พลาซ่า แกรนด์ หิมาลัย โอเชี่ยนฟร๊อนต์ เรสซิเด้นส์

บลู ฮอริซัน เดเวลลอปเมนท์ส ร่วมกับ คอส โมโนโพลิแทน ฮอสพิทาลิตี้ เปิดตัว รามาดา พลาซ่า แกรนด์ หิมาลัย โอเชี่ยนฟร๊อนต์ เรสซิเด้นส์ มองวิว 360 องศา ติดหาดกมลา เริ่มต้น 3.9 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จปี 62     นายอันเดรส พิร่า ประธานบริหาร บริษัท บลู ฮอริซัน เดเวลลอปเมนท์ส จำกัด เปิดเผยว่า  รามาดา พลาซ่า แกรนด์ หิมาลัย โอเชี่ยนฟร๊อนต์ เรสซิเด้นส์ (Ramada Plaza Grand Himalai Oceanfront Residences) ตั้งอยู่เหนือ โรงแรม 5 ดาว ไฮแอต รีเจนซี ภูเก็ต รีสอร์ท มีทั้งหมด 426 ยูนิต  ขนาด 33.96  ตร.ม.เริ่มต้น 3.9 ล้านบาท  ออกแบบให้ทันสมัย รวมถึงสามารถเพิ่มพื้นที่ใช้สอยด้วยการรวมห้องสตูดิโอ 2 ห้อง เป็นห้องขนาด 67.84 ตร.ม.เพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น     นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกได้แก่ สระว่ายน้ำกระจกแก้ววิวทะเล คลับออกกำลังกายพร้อมสนามเทนนิส ห้องซาวน่าและสปาสุดหรู พร้อมกับมุมนั่งเล่น และร้านอาหารที่ตอบโจทย์นักชิมจากทั่วโลก เป็นต้น     ในครั้งนี้ได้ร่วมมือกับ คอส โมโนโพลิแทน ฮอสพิทาลิตี้ และวินด์แฮม โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท แบรนด์โรงแรมชั้นระดับโลก เพื่อเป็นการยกการบริการให้ยอดเยี่ยม ผสานกับการจัดการที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและความชำนาญด้านการดำเนินงาน ทำให้ รามาดา พลาซ่า แกรนด์ หิมาลัย โอเชี่ยนฟร๊อนต์ เรสซิเด้นส์เป็นขุดมุ่งหมายการพักผ่อนในระดับ 5 ดาว และสรรค์ของนักลงทุน     ด้านนายเกลน เดอซูซ่า ประธานกรรมการ บริษัท คอส โมโนโพลิแทน ฮอสพิทาลิตี้ จำกัด กล่าวว่า สำหรับเราคือการให้บริการด้านการจัดการทรัพย์สินสร้างแบรนด์ที่ดีที่สุด ในภูมิภาคเอเชีย โดยมุ่งสร้างผลประโยชน์อันสูงสุดให้กับผู้ประกอบการ หรือเจ้าของธุรกิจ และเรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้บริหารจัดการโครงการที่ใหญ่ที่สุดในเกาะภูเก็ตอย่าง รามาดา พลาซ่า แกรนด์ หิมาลัย โอเชี่ยนฟร๊อนต์ เรสซิเด้นส์ ซึ่งได้รับการบริหารจัดการจากแบรนด์โรงแรมระดับโลกอย่างโรงแรมในเครือวินด์แฮม   นายเดวิด เรย์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการควบรวบกิจการและพัฒนาโครงการ ในเครือโรงแรมวินด์แฮมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียแปซิฟิก กล่าวเสริมว่า ด้วยศักยภาพการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจในจังหวัดภูเก็ต ที่มีจำนวนประชากรมาก รวมถึงการไหลเวียนของเมล็ดเงินจากการท่องเที่ยวในแต่ละปี เล็งเห็นถึงโอกาสความเป็นไปได้ในการในขยายเครือข่ายแบรนด์วินด์แฮม และผมมั่นใจอีกว่า ด้วยทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม บวกกับธรรมชาติที่สวยงามของหาดกมลา จะเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวและกลายเป็นที่พักผ่อนในฝันของทุกคน
ศุภาลัย เวอเรนด้า รามคำแหง เตรียมเปิด Online Booking จองสะดวก รวดเร็ว ได้ก่อนใคร

ศุภาลัย เวอเรนด้า รามคำแหง เตรียมเปิด Online Booking จองสะดวก รวดเร็ว ได้ก่อนใคร

บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) โดย นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ แถลงข่าวเปิดตัว โครงการคอนโดฯ ใหม่ล่าสุด “ศุภาลัย เวอเรนด้า รามคำแหง” ACTIVE CONDOMINIUM แห่งแรก บนถนนรามคำแหง - หัวหมาก ติด MRT สายสีส้ม 0 เมตร สถานีราชมังคลาฯ มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท ชูแนวคิด “ไปให้สุด…ทุกการใช้ชีวิต” พร้อมเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าจองคอนโดฯ ผ่านระบบ Online Booking ครั้งแรกที่ https:booking.supalai.com ในวันที่ 18 กันยายนนี้ เที่ยงวัน - เที่ยงคืน วันเดียวเท่านั้น และกำหนดเปิด Pre-Sale อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 28 - 30 กันยายน 2561 ราคาเริ่ม 1.89 ล้านบาท ณ สำนักงานขาย โครงการศุภาลัย เวอเรนด้า รามคำแหง
แอสเซทไวส์ เปิดตัวคอนโดหรู High-Rise “ โมดิซ สุขุมวิท 50 ” ภายใต้แนวคิด “Living in the Clouds”

แอสเซทไวส์ เปิดตัวคอนโดหรู High-Rise “ โมดิซ สุขุมวิท 50 ” ภายใต้แนวคิด “Living in the Clouds”

เปิดตัวโครงการใหญ่แห่งใหม่ โมดิซ สุขุมวิท 50 (Modiz Sukhumvit 50) คอนโด High Rise สูง 25 ชั้นจาก AssetWise และเป็นคอนโดตึกสูงสุดพิเศษบนทำเลสุขุมวิท ที่มองเห็นวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาและบางกระเจ้า ด้วยคอนเซ็ปท์ "Living in the Clouds" กับส่วนกลางมากมายในหลายชั้น สะดวกสบายใกล้ทุกการเดินทาง บนพื้นที่โครงการขนาด 3-3-11.6 ไร่ มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด เปิดตัวโครงการใหญ่แห่งใหม่ของปีนี้ โมดิซ สุขุมวิท 50 (Modiz Sukhumvit 50) คอนโด High Rise สูง 25 ชั้น จำนวน 3 อาคาร บนสุขุมวิท ที่สามารถมองเห็นวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาถึงสองโค้งน้ำพร้อมทั้งวิวบางกระเจ้า ภายใต้คอนเซ็ปท์ "Living in the Clouds" กับความโดดเด่นในเรื่องของ Facilities ส่วนกลางมากมายที่แทรกเข้าไปในทุกอาคาร ทั้งชั้น 1, ชั้น 8, ชั้น 25 และชั้น Rooftop รวมทั้งสวนสวยกว่า 1 ไร่ เพื่อให้โมดิซ สุขุมวิท 50 เป็นโอเอซิสของสุขุมวิท บนทำเลทองใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน บางนา-ดาวคะนอง-แจ้งวัฒนะ และจุดขึ้น-ลงทางด่วนพระราม 9-อาจณรงค์ รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ใกล้กับสถานี BTS อ่อนนุช เพียงแค่ 1.3 กม. จึงทำให้โลเคชั่นนี้ เป็นทำเลยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพสูงและอยู่ใจกลางย่านธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เรียกว่าคุ้มค่ากับราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยศักยภาพของทำเลสุขุมวิท ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โมดิซ สุขุมวิท 50 จึงได้รับการตอบรับที่ดีจากดีมานด์กลุ่มลูกค้าคนเมืองที่มองหาคอนโดมิเนียมหรูบนทำเลสุขุมวิทกับราคาที่จับต้องได้ มีความคุ้มค่าทั้งสำหรับซื้อเพื่ออยู่เอง หรือเพื่อการลงทุนในอนาคต โดยโครงการจะเปิดจองรอบ Presales ในวันเสาร์ที่ 15 กันยายนนี้   สถาปนิกผู้ออกแบบโครงการโมดิซ สุขุมวิท 50 จากบริษัท บลูเวิร์ค ดีไซน์ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวถึงแนวคิดในการออกแบบว่า โครงการ “โมดิซ สุขุมวิท 50” ตั้งอยู่บนทำเลที่พิเศษมาก เพราะอยู่ใจกลางสุขุมวิท แต่สามารถเห็นวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาถึงสองโค้งน้ำและบางกระเจ้า จึงได้ออกแบบจัดวางอาคารเป็น 3 อาคาร สูงขึ้นไป 25 ชั้น เพื่อให้ผู้พักอาศัยได้เห็นทัศนียภาพอย่างสวยงาม โดยมี Facilities มากมาย อาทิ เช่น Retreat Garden, Panoramic Fitness, Theater, Co-Living & Co-Working Lounge, Co-Dining & Sky Bar, Play Room, Kids Room, Private Onsen & Spa Room และสระว่ายน้ำ Rooftop ถึง 2 สระ คือ Blue Jacuzzi และ Lap Pool ในส่วนของห้องพักมีแบบห้อง vertical height ฝ้าเพดานสูง 4.4 เมตร และระบบ Bluetooth Sound System ที่จะทำให้คุณเพลิดเพลินกับการฟังเพลงได้ทุกที่ และเพิ่มความทันสมัยในเรื่องของระบบการจอดรถอัจฉริยะ   อินทีเรียร์ดีไซน์เนอร์ บริษัท รอคส์เปซ จำกัด เล่าถึงแนวความคิดในการออกแบบโครงการโมดิซ สุขุมวิท 50 โดยนำเอาความเป็นธรรมชาติ ให้เข้ามาอยู่รวมกับวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ เนื่องจากโครงการที่มีจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ คือทางเชื่อมลอยฟ้า สระน้ำลอยฟ้า และ จุดชมดาว เราจึงพยายามหาธรรมชาติ ที่สอดคล้อง ที่มีความสัมพันธ์กับตัวโครงการเรามากที่สุดมาเป็นจุดเด่นในการออกแบบ ใช้ concept หลักในการออกแบบทั้งหมด คือ ปรากฏการณ์บนท้องฟ้า - พระอาทิตย์ทรงกลด - จันทรุปราคา - ฝนดาวตก - การเคลื่อนไหวของก้อนเมฆ มาเป็นองค์ประกอบในการออกแบบ โดยได้ผสมผสานสไตล์การตกแต่งแบบโมเดิร์น ลักชัวรี่ (modern luxury) เข้าไปเพื่อเพิ่มความหรูหรา และมีระดับเพิ่มขึ้นด้วยเส้นสายบนท้องฟ้า ทำให้เกิดบรรยากาศแบบใหม่ๆ รูปแบบฝ้าที่เปรียบเหมือนชั้นของก้อนเมฆ และเส้นขอบฟ้าช่วยสร้างบรรยากาศที่มีเสน่ห์มากขึ้นให้กับส่วนต่างๆ พื้นที่ต่างๆของโครงการถูกจัดแบ่งฟังก์ชั่นไว้อย่างลงตัว พื้นที่ใช้สอยที่แบ่งไว้ในส่วนต่างๆ ถูกคิดมา เพื่อคนรุ่นใหม่ที่ให้ใช้ชีวิตได้อย่างคล่องตัวและสนุกกับมัน นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด เผยภาพรวมธุรกิจจนถึงปัจจุบันของแอสเซทไวส์ โดยในปี 2018 เปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 6 โครงการ เป็นมูลค่า 6,759 ล้านบาท โดยโครงการที่เปิดขายไปแล้ว คือ บราวน์ ห้วยขวาง, แอทโมซ ลาดพร้าว 15 และเคฟ ทาวน์ สเปซ 2 ตึกแรก โครงการที่กำลังจะเปิดขายอีก 3 โครงการ ได้แก่ โมดิซ สุขุมวิท 50, แอทโมซ รัชดา-ห้วยขวาง และแกลม ลักชัวรี่ทาวน์โฮม ตั้งเป้ายอดขายทั้งปีไว้ที่ 4,200 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วเป็นมูลค่า 3,286 ล้านบาท ส่วนโครงการที่จะแล้วเสร็จในปีนี้มีทั้งหมด 8 โครงการ ส่งมอบให้ลูกค้าได้แล้วจำนวน 5 โครงการ ได้แก่ วินน์ พหลฯ 52-สะพานใหม่, เอพพิโซด, โมดิซ สเตชั่น, บราวน์ รัชดา 32 และวินน์ ลาดพร้าว - โชคชัย 4 และกำลังจะส่งมอบอีก 3 โครงการ คือ เคฟ คอนโด, โมดิซ อินเตอร์เชนจ์ และบราวน์ พหลฯ 67 – สะพานใหม่ ตั้งเป้ารับรู้รายได้ตลอดปี 4,000 ล้านบาท และรับรู้รายได้แล้ว ณ ปัจจุบันเป็นมูลค่า 2,350 ล้านบาท โดยในปีนี้ บริษัทฯจะนำเสนอภาพยนตร์โฆษณาภาพลักษณ์องค์กร ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” สะท้อนภาพแอสเซทไวส์เป็นองค์กรที่รับฟัง เข้าใจ และคาดการณ์ความต้องการรวมถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค จึงออกแบบโครงการและบริการต่างๆ เพื่อความสุขของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง และจากการพัฒนาธุรกิจด้านอสังหาฯ ที่บริษัทฯ ทำมาอย่างต่อเนื่อง แอสเซทไวส์ วางแผนการเติบโต ปี 2561-2564 เฉลี่ยปีละ 20% รวมถึงการผลักดันให้ระบบภายในบริษัทได้มาตรฐาน เพื่อเตรียมพร้อมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปีหน้า 2562 นี้
‘สิงห์ เอสเตท’ จับมือ ‘ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป’ ประกาศร่วมทุน EYSE Sukhumvit 43

‘สิงห์ เอสเตท’ จับมือ ‘ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป’ ประกาศร่วมทุน EYSE Sukhumvit 43

สิงห์ เอสเตท ร่วมทุนกับ ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป บริษัทรับก่อสร้างและรับสร้างบ้านรายใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในตลาดลักชัวรี ประเดิมโครงการแรก EYSE Sukhumvit 43 (อีส สุขุมวิท 43) มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท มุ่งนำสุดยอดนวัตกรรมก่อสร้างและเทคโนโลยีสำหรับที่อยู่อาศัยจากญี่ปุ่นมาปรับใช้ในโครงการเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด พร้อมเผยเตรียมเจรจาขยายความร่วมมือรูปแบบอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคต   นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ล่าสุดบริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือกับทาง ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างและรับสร้างบ้านที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น โดยความร่วมมือนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการดำเนินธุรกิจของทางสิงห์ เอสเตท ตามนโยบายที่จะขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเป็น “พรีเมียร์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ อินเวสต์เม้นท์ โฮลดิ้ง คัมปานี” (Premier Property Development & Investment Holding Company) ซึ่งแผนกลยุทธ์ในการร่วมทุนในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้บริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมรองรับโอกาสในอนาคต รวมทั้งยังส่งเสริมจุดแข็งของธุรกิจที่พักอาศัยในการขึ้นสู่การเป็น Leading Premium Developer ซึ่งถือเป็นหนึ่งในธุรกิจของบริษัทฯ     สำหรับการร่วมทุนในครั้งนี้ในฐานะตัวแทนของบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ที่ได้รับเกียรติร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านการก่อสร้างและรับสร้างบ้านในประเทศญี่ปุ่นและในหลายประเทศอย่าง ไดวะ เฮ้าส์ เพราะความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นแรงสำคัญที่จะส่งเสริมให้การเติบโตทางธุรกิจของทั้งสองบริษัทเป็นไปตามแผนที่วางไว้ได้อย่างชัดเจนและบรรลุเป้าหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น   ด้านรายละเอียดการร่วมทุนระหว่างสิงห์ เอสเตท และ ไดวะ เฮ้าส์ ในครั้งนี้ เพื่อลงทุนและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย โดยเบื้องต้นจะเริ่มโครงการแรกที่ EYSE Shukhumvit 43 (อีส สุขุมวิท 43) คอนโดมิเนียมลักชัวรี บริเวณซอยสุขุมวิท 43 มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ซึ่งทางไดวะ เฮ้าส์ จะนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการก่อสร้างจากญี่ปุ่น รวมถึงเทคโนโลยีสำหรับที่อยู่อาศัยเข้ามาปรับใช้ในโครงการ โดยมีเป้าหมายในการร่วมทุนเพื่อเป็น Strategic Partnership หรือร่วมทุนพัฒนาโครงการระยะยาวแบบต่อเนื่อง พร้อมกับมีแผนในการเจรจาเพิ่มเติมความร่วมมือรูปแบบอื่นๆ ในอนาคต”   นายโนบูยะ อิชิคิ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายงานต่างประเทศ บริษัท ไดวะ เฮ้าส์ อินดัสทรี จำกัด กล่าวว่า “บริษัทรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับทางสิงห์ เอสเตท เนื่องจากสิงห์ เอสเตท เป็นบริษัทที่เป็น good corporate citizenship มีความซื่อตรง และใส่ใจในคุณภาพชีวิตของชุมชน และสิ่งแวดล้อม โดยเรามีความมุ่งมั่นที่จะนำความเชี่ยวชาญในด้านงานก่อสร้างและความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัยต่างๆ ของทางบริษัท จะสามารถเข้ามาปรับใช้ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยร่วมกับทางสิงห์ เอสเตท ให้มีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้นได้อย่างแน่นอน และการเข้ามาในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ทางเราจะได้เข้ามาศึกษาตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ทั้งเรื่องของการทำการตลาด และความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการเข้ามาศึกษาสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการนำนวัตกรรมก่อสร้างจากญี่ปุ่นเข้ามาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย”   โดย ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป เป็นบริษัทรับสร้างบ้านรายแรกและรายใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น โดยมีความเชี่ยวชาญในการใช้นวัตกรรมการก่อสร้างที่ทันสมัยและมีการคิดค้นเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยได้มีการก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีของตนเองที่เมืองนารา ประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีและตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คน ดังเช่นวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าใหม่ให้กับสังคม ผ่านการสร้างคุณค่าร่วมกับบุคคล ชุมชน และวิถีชีวิตของผู้คน     “สำหรับโครงการ EYSE Shukhumvit 43 (อีส สุขุมวิท 43) ที่ได้มีการเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้รับความสนใจและการตอบรับจากลูกค้าทั้งที่กำลังมองหาที่พักอาศัยเพื่ออยู่เอง รวมถึงนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติเข้าเยี่ยมชมโครงการเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นโครงการแรกในเซ้กเม้นต์ Luxury Condominium ของบริษัท ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว มีคุณภาพชีวิตที่ดี ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง” นายนริศ เชยกลิ่น กล่าวปิดท้าย
จาก “บิ๊ก ดาต้า” สู่กลยุทธ์บ้านที่เติมเต็มทุกการใช้ชีวิตของแสนสิริ

จาก “บิ๊ก ดาต้า” สู่กลยุทธ์บ้านที่เติมเต็มทุกการใช้ชีวิตของแสนสิริ

ในโลกยุคปัจจุบัน ถือเป็นยุคแห่งการปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกมิติ ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยีแบบวินาทีต่อวินาที ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน การนำ “บิ๊กดาต้า” (Big Data) หรือข้อมูลที่มีอยู่อย่างมหาศาลจากการเก็บรวบรวมในที่ต่างๆ มาวิเคราะห์ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคมาใช้จึงเป็นเทคโนโลยีที่สามารถสร้างแต้มต่อให้แก่การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล   ปัจจุบันองค์กรชั้นนำต่างๆ มีการนำข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภคจากบิ๊กดาต้ามาใช้อย่างแพร่หลาย ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์เองก็มีการนำบิ๊กดาต้ามาใช้เพื่อจับเทรนด์พฤติกรรมของผู้บริโภคว่า ในขณะนี้ผู้บริโภคมีความต้องการเชิงลึกอะไร และจะต้องออกแบบที่อยู่อาศัยและดูแลลูกบ้านอย่างไรเพื่อให้ตอบสนองความต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคต แสนสิริเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่นำบิ๊กดาต้ามาใช้ เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมเชิงลึกของผู้บริโภคที่มีความหลากหลายในแต่ละเจนเนอเรชั่น และตีโจทย์ออกมาเป็นกลยุทธ์องค์กรและผลงานที่เป็นรูปธรรมครอบคลุมทุกมิติในการใช้ชีวิตของผู้พักอาศัย   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา แสนสิริไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้านแก่ลูกบ้าน โดยมีการนำบิ๊กดาต้า ซึ่งเป็นการรวบรวมฐานข้อมูลจากภายนอกและภายในของแสนสิริเอง มาวิเคราะห์ กลั่นกรอง ออกแบบ และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ผ่านทีมแสนสิริดีไซน์ โซลูชั่น ดีพาร์ทเมนท์ (DSD) และทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) ที่ใส่ใจทุกรายละเอียด ตั้งแต่ก่อนการพัฒนาคอนเซ็ปต์โครงการไปจนถึงการดูแลหลังการขาย เรียกได้ว่าเป็นการคิดและใส่ใจตลอดเส้นทางของผู้บริโภค (Customer Journey) โดยแนวคิดบ้านเติมเต็มทุกการใช้ชีวิต นี้ได้มี 4 มาตรฐานหลักในการพัฒนาการ ดูแล และนำมาใช้กับทุกโครงการด้านหลักๆ ของแสนสิริ คือ การออกแบบ (Design) คุณภาพ (Quality) เทคโนโลยี (Technology) และการบริการ (Service) เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการและการใช้ชีวิตที่หลากหลายของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน   การออกแบบ กับ คุณภาพ เป็นสิ่งที่แสนสิริมองว่า ต้องมาคู่กัน การออกแบบที่ดีนอกจากดีไซน์ที่สวยงามและก่อสร้างได้จริงแล้ว จะต้องมาพร้อมกับฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้จริง ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัยของอยู่อาศัย ซึ่งจากข้อมูลบิ๊กดาต้าของแสนสิริ พบว่า ผู้อยู่อาศัยบ้านเดี่ยว มักจะอยู่รวมกันถึง 3 เจนเนอเรชั่น คือ รุ่นปู่ ย่า พ่อแม่ และลูก ในการออกแบบโครงการประเภทบ้านเดี่ยวจึงต้องออกแบบให้ครอบคลุมเพื่อตอบโจทย์สำหรับ 3 เจนเนอเรชั่น ตั้งแต่การออกแบบให้ชั้นล่างมีห้องนอน เพื่อรองรับผู้สูงอายุจะได้ไม่ต้องเดินขึ้นลงบัน ออกแบบให้ขนาดห้องน้ำมีความกว้างมากกว่าปกติ มีการแยกโซนเปียกโซนแห้ง และพื้นจะต้องเรียบเสมอกัน เพราะจากฐานข้อมูล พบว่า การหกล้มและอุบัติเหตุที่เกิดกับผู้สูงอายุมักเกิดขึ้นในห้องน้ำ   การออกแบบเพื่อครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ด้วยความใส่ใจของแสนสิริ จึงออกแบบและพัฒนาสนามเล่นที่เป็นมากกว่าสนามเด็กเล่น ภายใต้แนวคิด Educational Playground ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านร่างกายและช่วยเพิ่มพูนพัฒนาการทางสมอง ในด้านทักษะการตัดสินใจ รวมถึงการแก้ปัญหาผ่านการเล่นเกมส์ โดยได้รับคำปรึกษาในการออกแบบและแนะนำเรื่องการใช้วัสดุให้ปลอดภัยในสนามเด็กเล่นจากโรงพยาบาลสมิติเวช   แสนสิริยังเติมเต็มคำว่า “บ้าน” ด้วยการออกแบบบ้านให้เย็นสบายไม่ต้องเปิดแอร์ ด้วยการออกแบบ Cool Living Designed Home อาทิ “Solar Attic” ระบบพัดลมและช่องระบายอากาศใต้หลังคาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้ภายในตัวบ้านเย็นลง ทำให้ทุกมุมของบ้านอยู่สบายตอบโจทย์การใช้ชีวิต     นอกจากนี้ ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภค ยังช่วยให้แสนสิริเห็นแนวโน้มสำคัญของคนรุ่นใหม่หรือคนยุคมิลเลนเนียลที่จะเริ่มมีบทบาทและกำลังซื้อมากขึ้นในอนาคต โดยข้อมูลระหว่างปีพ.ศ. 2556 - 2560 พบว่า กลุ่มดังกล่าวซื้อโครงการของแสนสิริเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แสนสิริจึงนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาโครงการ XT Condominium ที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ และสร้างนิยามใหม่ของไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียม โดยชู 3 จุดเด่น คือ Personalized Room Layouts อิสระในการเลือกรูปแบบห้อง 6 สไตล์ Co-Sharing Spaces เกิดจากแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบวัฒนธรรม Sharing Economy โดยแลกเปลี่ยนการเข้าใช้ Co-Sharing Spaces ที่แตกต่างกันได้ทุกโครงการภายใต้แบรนด์ XT และVirtual Activities ตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่สนใจเทคโนโลยี และ ระบบ Home Automation สำหรับการควบคุมและสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ภายในยูนิตและส่วนกลาง   เทคโนโลยีและนวัตกรรม แสนสิริ เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่มีการนำ Prop Tech มาช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตของลูกบ้านในฐานะครอบครัวของแสนสิริ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ต่อยอดมาจากบิ๊กดาต้า โดยเฉพาะในเรื่องของ Customer Journey ของแสนสิริ จนออกมาเป็น Sansiri Home Service Application แอปพลิเคชันเดียวที่เชื่อมต่อการใช้ชีวิตของลูกบ้านให้ง่ายขึ้นผ่านปลายนิ้วสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารระหว่างลูกบ้าน แสนสิริ และนิติบุคคลแบบเรียลไทม์ ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีจดหมายหรือพัสดุมาถึง ระบบแสดงค่าส่วนกลาง ยอดเงินฝาก ยอดเงินค้างชำระ รวมถึงระบบแจ้งซ่อม และ ตรวจสอบสถานะการแจ้งซ่อม โดยที่ไม่ต้องลงไปตรวจสอบทางฝ่ายนิติบุคคลด้วย ปัจจุบัน Sansiri Home Service Application ของแสนสิริมีผู้ใช้งานมากกว่า 20,000 คน   การบริการ ที่ไม่ใช่แค่บริการหลังการขาย แสนสิริพร้อมการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกบ้านตั้งแต่ก่อนซื้อ จนกระทั่งการย้ายเข้ามาอยู่ แสนสิริจึงได้พัฒนา Sansiri Move in Experience ขึ้น ในรูปแบบดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อดูแลลูกบ้านตลอดทุกการใช้ชีวิต รวมถึงดูแลสิทธิพิเศษให้กับลูกบ้านแสนสิริก่อนใครอย่าง Sansiri Priority และ Sansiri Family   ด้านความปลอดภัยซึ่งถือเป็นหัวใจของการอยู่อาศัย แสนสิริพัฒนา Sansiri Security System ระบบรักษาความปลอดภัยที่ผสานระหว่างการทำงานของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) มืออาชีพ ร่วมกับการนำเทคโนโลยีระบบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยมาใช้ อาทิเช่น Face Recognition บันทึกใบหน้าและลายนิ้วมือของผู้มาติดต่อ กล้องวงจรปิดที่พร้อมจับความผิดปกติตลอด 24 ชั่วโมง Digital Fence ระบบรั้วแจ้งเตือนเหตุการณ์ฉุกเฉิน โดยตรวจจับและส่งสัญญานแจ้งเตือนเมื่อมีการบุกรุก   ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่แสนสิริสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความเข้าใจข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภคเพื่อ “เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆด้านอย่างแท้จริง นับเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่นำความต้องการของลูกค้ามาวิเคราะห์และใช้ให้เกิดประโยชน์ทางธุรกิจและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคได้อย่างเป็นรูปธรรม
LPN ปักหมุด “ลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2” ทำเลเชื่อมต่อ CBD ของฝั่งธนและกรุงเทพฯ

LPN ปักหมุด “ลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2” ทำเลเชื่อมต่อ CBD ของฝั่งธนและกรุงเทพฯ

LPN บุกหนักครึ่งปีหลัง นอกจากขยายตลาดไปยังออฟฟิศคอนโด และบ้านพรีเมียมที่สร้างยอดขายได้สูงแล้ว คอนโด Affordable Price ยังคงเป็น Fighting Brand ที่ LPN ครองตลาดอยู่ ล่าสุด เปิด “ลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2” ด้วยราคาเริ่มเพียง 1.69 ล้าน ส่วนลดสูงสุด 80,000 บาท ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปท์ “Ralaxity Ville” บ้านที่พร้อมให้เอนกาย คลายความเหนื่อยล้า สงบ มีความเป็นส่วนตัวสูง สะดวกเดินทางเพราะเชื่อมต่อเขต CBD ของทั้งฝั่งธนและกรุงเทพฯ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วงส่วนต่อขยายในอนาคต     นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า ถึงแม้ในปีนี้บริษัทจะปรับกลยุทธ์โดยขยายการพัฒนาโครงการไปในระดับพรีเมียมมากขึ้นทั้งบ้านและคอนโด แต่ยังคงความตั้งใจในการพัฒนาคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่มเป้าหมายระดับกลางเพื่อให้มีที่พักอาศัยคุณภาพในราคาที่เป็นเจ้าของได้ โดยเดือนกันยายนนี้ บริษัทได้เปิดตัว “ลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2” บนถนนสุขสวัสดิ์ ทำเลที่บริษัทประสบความสำเร็จจาก 3 โครงการ คือ ลุมพินี วิลล์ ราษฎร์บูรณะ-ริเวอร์วิว ลุมพินี วิลล์ ราษฎร์บูรณะ-ริเวอร์วิว 2 และลุมพินี เพลส สุขสวัสดิ์-พระราม 2 โดยลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2 ที่บริษัทพัฒนาในครั้งนี้ รังสรรค์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “Relaxity Ville” ห้องชุดพักอาศัยที่ให้ความผ่อนคลาย สงบ มีเพียง 377 ยูนิตเท่านั้น และด้วยความสูงของอาคาร 26 ชั้น จึงสามารถชมวิวที่สวยงามทั้งกลางวันและกลางคืน แบบ 360 องศา พร้อมสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ของบางกระเจ้า ทั้งยังเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังเขตศูนย์กลางธุรกิจใหม่ของฝั่งธนบุรีริมแม่น้ำเจ้าพระยาย่านคลองสาน เจริญนคร ที่มีโครงการ Mix used ขนาดใหญ่ โรงแรม 5 ดาว เช่น ไอคอนสยาม โรงแรมเพนนินซูล่า หอชมเมืองในอนาคตหรือจะเดินทางไปยังเขต CBD ของกรุงเทพมหานคร ทั้งสีลม สาทร ก็สะดวกง่ายดาย จึงเป็นที่ที่คำว่า Work Life Balance เกิดขึ้นจริง     “โครงการนี้ตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสบายในการเดินทางเพราะทำเลติดถนนใหญ่ อยู่บริเวณหัวมุมจุดเชื่อมต่อระหว่างถนนสุขสวัสดิ์และถนนพระราม 2 ใกล้ทางด่วนและสามารถเชื่อมต่อกับถนนหลายสาย ทำให้เดินทางเข้า-ออกเมืองได้ง่ายขึ้น ประกอบกับทำเลแห่งนี้ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะใกล้เขตเมืองในราคาที่พักอาศัยไม่แพงมากนัก นอกจากนี้ การมีสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมทั้งสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 ทำให้การเดินทางข้ามไปฝั่งพระราม 3 พระประแดง ปู่เจ้าสมิงพราย จังหวัดสมุทรปราการ หรือไปโซนบางนาสะดวกมากยิ่งขึ้น ทั้งยังมีองค์ประกอบในการอยู่อาศัยที่ครบครัน ใกล้สถานศึกษา โรงพยาบาล ศูนย์การค้าชั้นนำ เป็นหนึ่งในทำเลที่น่าอยู่และเหตุผลสำคัญที่ LPN เลือกพัฒนาโครงการใหม่ในย่านนี้อีกครั้ง จากลูกค้าที่มีความเชื่อมั่นในแบรนด์ “ลุมพินี” และด้วยการบริหารหลังการขายตามกลยุทธ์ “ชุมชนน่าอยู่” (Livable Community)”     “ลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2” มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท พร้อมห้องชุด New LPN Design ที่แบ่งสัดส่วนความเป็นส่วนตัวด้วยกระจกระหว่างห้องนอนและห้องรับแขก ขนาดห้องชุดเริ่มตั้งแต่ 23.50 – 36.00 ตร.ม. ด้านพื้นที่ส่วนกลางทีมสถาปนิกได้นำแรงบันดาลใจจากเส้นสายของพื้นป่าชายเลนมาออกแบบให้มีความเป็นธรรมชาติ มีพื้นที่สีเขียว เหมาะแก่การพักผ่อน ปัจจุบันเปิดขายแล้ว ด้วยราคาเริ่มเพียง 1.69 ล้านบาท ส่วนลดสูงสุด 80,000 บาท ณ สำนักงานขายโครงการลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LPN Call Center 02-689-6888 / www.lpn.co.th
เน็กซัส แนะการพัฒนาโครงการคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เน็กซัส แนะการพัฒนาโครงการคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ ชี้ราคาที่ดิน ทำเล และการขยายตัวของเมือง เป็นปัจจัยหลักส่งให้ราคาคอนโดมิเนียมปรับตัวสูงขึ้น การเข้ามาซื้อคอนโดเพื่อลงทุนของชาวต่างชาติ ที่หวังผลการลงทุนระยะยาว อาจเป็นเพียงสีสันให้วงการอสังหาในช่วงระยะเวลา 1-2 ปีนี้ แนะ ผู้ประกอบการให้คำนึงถึงกลุ่มลูกค้าคนไทยที่ซื้อเพื่ออยู่จริง และควรศึกษาถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคก่อนพัฒนาสินค้า เพื่อให้ได้สินค้าที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการสูงสุด เพื่อการเติบโต อย่างมั่นคงและยั่งยืนของตลาดคอนโดมิเนียม   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเน็กซัสฯ นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตลาดคอนโดมิเนียม มาอย่างต่อเนื่อง เราพบว่าอัตราการเติบโตของอุปทานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี โดยราคาจะปรับเพิ่มสูงขึ้น 8-12% ต่อปี ซึ่งราคาคอนโดมิเนียมที่สูงขึ้นเป็นเพราะปัจจัยหลัก คือ ราคาที่ดินที่สูงขึ้น ที่ดินหายากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นปัจจัยให้ผู้ประกอบการต้องพิจารณาในการพัฒนาสินค้า เพื่อตอบสนองกับการเติบโตของตลาดในระยะยาวแบบยั่งยืนอีกด้วย   สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมไตรมาส 2 ของปี 2561 พบว่าอุปทานคอนโดมิเนียมในตลาดกรุงเทพฯ เติบโตขึ้น 9,395 หน่วย จาก 20 โครงการ ทำให้ในตลาดมีคอนโดมิเนียมรวม 573,000 หน่วย โดยทำเลที่มีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่มากที่สุด คือ บริเวณจรัญสนิทวงศ์ และสะพานควาย ซึ่งเป็นเขตรอบใจกลางเมือง   ด้านราคา พบว่าภาพรวมตลาดราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมปรับตัวสูงขึ้น 5% ในช่วงครึ่งปีแรก คือ 137,100 บาท/ตารางเมตร แต่เมื่อเจาะลงมาในกลุ่มตลาดใจกลางเมือง พบว่ายังคงเป็นตลาดที่ครองตำแหน่งการปรับตัวของราคาสูงที่สุด คือ 6% หรือ 223,000 บาท/ตารางเมตร ส่วนตลาดรอบใจกลางเมืองปรับตัวสูงขึ้น 4% หรือ 110,000 บาท/ตารางเมตร และตลาดรอบนอกราคาปรับตัวสูงขึ้นอีก 3% หรือ 75,000 บาท/ตารางเมตร ตามลำดับ   สำหรับความต้องการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา พบว่าเป็นดีมานด์จากคนไทย ที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยจริงมากกว่า 80% แต่ในระยะเวลาช่วง 1-2 ปีนี้ จะเห็นได้ว่าเริ่มมีกำลังซื้อจากชาวต่างชาติมากขึ้น โดยจะซื้อผ่านนายหน้าเป็นหลัก ซึ่งวัตถุประสงค์ในการซื้อก็เพื่อการลงทุน ทั้งในแบบระยะสั้น และระยะยาว เพื่อปล่อยเช่า เพราะคาดหวังในผลตอบแทนรายปีและจากราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่าราคาค่าเช่า ไม่ได้เติบโตในอัตราส่วนเดียวกับราคาขายของคอนโดมิเนียม ดังนั้น ในระยะยาวนักลงทุนน่าจะหวังผลกำไรจากราคาขายต่อที่เพิ่มสูงขึ้นได้เป็นหลัก ส่วนจากราคาค่าเช่าอาจไม่ได้สูงมากนัก และหากจะคาดว่าต่างชาติจะเข้ามาถือครองคอนโดมิเนียมในสัดส่วน 49% อาจเห็นได้ในบางโครงการเท่านั้น และในที่สุดแล้ว ตลาดที่น่าจะต้องให้ความสนใจเป็นหลักก็ยังคงเป็นตลาดคนไทยนั่นเอง     ภาพรวมการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของตลาดคอนโดมิเนียมในช่วง 7 - 10 ปีที่ผ่านมานั้น พบว่าการเปลี่ยนแปลง ด้านแรก คือ 1) ด้านทำเลที่ตั้ง เพราะเมื่อเมืองขยายตัว ส่งผลให้การคมนาคมขนส่งที่ขยายตัวและเติบโตมากขึ้น การเติบโตของคอนโดมิเนียมก็ขยายบริเวณออกไปด้วย พบการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ คือ สัดส่วนอุปทาน ที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มสูงขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา คือ 2 ทำเลรอบนอก ได้แก่ ธนบุรี-เพชรเกษม ซึ่งจากเดิมในปี 2554 มีเพียง 13,000 ยูนิต แต่ปัจจุบันจากการสำรวจเมื่อไตรมาส 2/2561 พบว่าเพิ่มขึ้นเป็น 66,000 ยูนิต และอีกทำเลหนึ่ง คือ งามวงศ์วาน ติวานนท์ ที่จากเดิมในปี 2554 มีเพียง 17,000 ยูนิต กลับเพิ่มขึ้นเป็น 73,000 ยูนิต   2) การเปลี่ยนแปลงด้านขนาดของห้อง พบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขนาดห้องของคอนโดมิเนียมเล็กลงเป็น อย่างมาก เช่น คอนโดมิเนียม 1 ห้องนอน เดิมมีขนาด 65 ตารางเมตร ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 28 ตารางเมตร เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนแล้ว ขนาดของห้องเล็กลงเกินกว่าครึ่งหนึ่งจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในขณะที่คอนโดมิเนียมขนาด2 ห้องนอน แต่เดิมมีขนาด 120 ตารางเมตร ในปัจจุบันเหลือเพียง 45 - 48 ตารางเมตร เป็นต้น   3) ในด้านรูปแบบของห้อง (Room Mix) พบว่าสัดส่วนของห้องชุดก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับหลายปีก่อน พบว่าในหนึ่งโครงการ ห้องชุดขนาด 2 และ 3 ห้องนอน จะมีสัดส่วนห้องมากที่สุดของทั้งโครงการ ในขณะที่ห้องชุดขนาด 1 ห้องนอน มีสัดส่วนเพียง 20 - 30% ของโครงการเท่านั้น แต่ในปัจจุบันกลับพบว่าห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน จะเป็นสัดส่วนหลักในการพัฒนาโครงการสำหรับคอนโดมิเนียมยุคนี้ เราแทบจะหาคอนโดมิเนียมขนาด 3 ห้องนอนในโครงการใหม่ๆ ไม่ได้เลย และด้วยขนาดห้องที่เล็กลง ส่งผลให้การพัฒนาคอนโดมิเนียมมีจำนวนห้องในแต่ละโครงการเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น ที่ดินขนาด 2 ไร่ จากสมัยก่อนที่เคยทำคอนโดมิเนียมตึกสูงได้จำนวน 300 ยูนิต ปัจจุบันก็เพิ่มเป็น 500 ยูนิต ในสัดส่วนพื้นที่ขายที่เท่ากัน ซึ่งนับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อุปทานคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นในอัตราที่ค่อนข้างสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา   4) การเปลี่ยนแปลงด้านราคาต่อหน่วย สำหรับคอนโดมิเนียมในตลาดระดับกลาง (mid market) และตลาดซิตี้คอนโด มีระดับราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 1.5 ล้านบาท ถึง 3 ล้านบาทต่อยูนิต มีจำนวนหน่วยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของจำนวนห้องชุดทั้งหมดในตลาด ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพนั้น แต่ราคาต่อหน่วยถูกจำกัดด้วยความสามารถในการผ่อนชำระของผู้ซื้อมาโดยตลอด ทำให้ผู้ประกอบการต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบการพัฒนาโครงการ เพื่อกำหนดขอบเขตของต้นทุนให้อยู่ในเงื่อนไขราคาต่อหน่วยที่กำหนด โดยในหลายปีที่ผ่านมา ด้วยราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ทำเลของโครงการถูกขยับออกไปไกลจากใจกลางเมืองมากขึ้น โดยเกาะขอบแนวรถไฟฟ้าที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต หรือเข้าไปอยู่ในซอยเล็กเป็นอาคาร 8 ชั้น เป็นต้น   ทั้งนี้ หากวิเคราะห์สัดส่วนรายได้จากกลุ่มคนทำงานในกรุงเทพฯ แล้ว จะพบว่ากลุ่มคนทำงานในระดับเจ้าหน้าที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 35,000 บาท สามารถซื้อคอนโดมิเนียมขนาด 1 ห้องนอน ในกลุ่มซิตี้คอนโดฯ ระดับราคาไม่เกิน 2.5 ล้านบาท ในขณะที่กลุ่มตลาดระดับกลาง (mid market) พนักงานในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสหรือหัวหน้างาน ผู้มีรายได้ไม่เกิน 65,000 บาทต่อเดือน จึงจะสามารถเริ่มซื้อได้ ในขณะที่คอนโดฯ ระดับไฮเอนด์ผู้ที่สามารถซื้อได้ จะต้องอยู่ในระดับผู้จัดการขึ้นไป หรือผู้ที่มีรายได้ 120,000 บาทต่อเดือน และในกลุ่มลักซัวรี่และซูเปอร์ลักซัวรี่จะต้องเป็นเจ้าของกิจการและผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น ด้วยราคาคอนโดมิเนียมที่ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 7-8% ต่อปี ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คอนโดมีเนียมมีราคาเพิ่มสูงขึ้นมากกว่ารายได้ของประชากรกรุงเทพฯ บางส่วน ซึ่งแน่นอนความสามารถในการซื้อห้องในราคาที่เพิ่มสูงขึ้นบ้างก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่อาจจะได้ห้องขนาดเล็กลงในทำเลเดิม หรือซื้อห้องขนาดเท่าเดิมในทำเลที่ไกลออกไป   “สรุปแล้วการเติบโตที่ยั่งยืนของตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ก็ยังคงต้องพึ่งตลาดคนไทยเป็นหลัก โดยตลาดต่างชาตินั้นเข้ามาเสริม ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อการลงทุนระยะยาว จากราคาคอนโดมิเนียมที่เพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยค่าเช่าน่าจะเป็นส่วนเสริมให้การลงทุน มีความน่าสนใจมากขึ้นเท่านั้น ในระยะกลางหรือระยะยาวคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ จะขยายตัวออกไปยังชานเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิตคนที่ทำงานจากบ้านได้มากขึ้น และศูนย์กลางการทำงานอาจมีการขยายตัวไปยังบริเวณรอบใจกลางเมืองมากขึ้นเหมือนเช่น พระราม 9 บางซื่อ พหลโยธิน รัชดาภิเษก เป็นต้น ทำให้เมืองขยายออกไป และตลาดคอนโดมิเนียมรอบนอกเมือง ก็ยังคงขยายตัวต่อเนื่องในขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง การเติบโตของตลาดคอนโดมิเนียมมือสองจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคาคอนโดมิเนียมใหม่ ขนาดห้องที่ใหญ่กว่า ตอบรับกับการอยู่อาศัยได้จริง ซึ่งเราอาจจะไม่เห็นในกลางเมืองกรุงเทพฯ ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า แต่ในระยะยาวลักษณะแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นในตลาดกรุงเทพฯ เหมือนเมืองใหญ่ๆ ทั่วไปในโลก เช่น นิวยอร์ค หรือ โตเกียว เป็นต้น” นางนลินรัตน์ กล่าวสรุป      
TFIC Furniture Outlet 2018 งานเฟอร์นิเจอร์ส่งออกลดราคาสูงที่สุดแห่งปี  ห้ามพลาด 26-30 ก.ย.นี้ ส่วนลดราคาสูงสุดถึง 80%

TFIC Furniture Outlet 2018 งานเฟอร์นิเจอร์ส่งออกลดราคาสูงที่สุดแห่งปี ห้ามพลาด 26-30 ก.ย.นี้ ส่วนลดราคาสูงสุดถึง 80%

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ร่วมประชาสัมพันธ์ TFIC Furniture Outlet 2018 งานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ส่งออกครั้งที่ 14 ชูผลงานการออกแบบและผลิตโดยคนไทย ในคุณภาพระดับพรีเมียม พร้อมส่วนลดราคาสูงสุดถึง 80% โดยปีนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 26-30 กันยายน 2561 เวลา 10:30 – 21:00 น. ณ อาคาร 2-4 ศูนย์แสดงสินค้าและประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี   นายมานะผล ภู่สมบูญ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ มีความภูมิใจที่จะเดินหน้าสนับสนุนอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของไทย เรามุ่งมั่นส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ในประเทศไทย อีกทั้งสนับสนุนผลงานการออกแบบและการผลิตเฟอร์นิเจอร์ส่งออกของคนไทยให้เป็นที่ประจักษ์มากขึ้นในประเทศ เพราะเราคนไทยควรได้รับโอกาสที่จะเลือกใช้สินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่ดีที่สุด   ที่ผลิตด้วยคนไทยกันเอง ไม่น้อยไปกว่าตลาดต่างประเทศอื่นๆ จึงได้มีแนวคิดจัดงานแสดงสินค้า ภายใต้ชื่องาน TFIC Furniture Outlet ซึ่งจัดขึ้นเพียงปีละครั้ง เพื่อส่งเสริมสินค้าเฟอร์นิเจอร์ไทย คุณภาพระดับโลก ในราคาที่ดีที่สุด แก่ผู้บริโภคในประเทศ เพราะสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ด้วยบทบาทนี้ เราจึงสามารถส่งเสริมสินค้าเฟอร์นิเจอร์ส่งออกในราคาโรงงาน ซึ่งผู้บริโภคทุกท่านมั่นใจได้ว่ามีคุณภาพระดับพรีเมียมจริง”   นายพิชัย พินิตกาญจนพันธุ์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า งาน TFIC Furniture Outlet เกิดจากกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นำบริษัทสมาชิก ผู้ส่งออกและผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ตัวจริง มาจำหน่ายสินค้าเฟอร์นิเจอร์คุณภาพที่ได้มาตรฐานการส่งออก คุณภาพระดับโลก ในราคาที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคในประเทศ ซึ่งต่างก็เป็นแบรนด์ชั้นนำที่ส่งตรงจากโรงงานมาให้เลือกสรรหลากหลายสไตล์ “กว่า 13 ปีที่ผ่านมากลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ประสบความสำเร็จในการจัดงาน TFIC Furniture Outlet เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทยในประเทศให้พัฒนาและขยายตัว อีกทั้งส่งเสริมการเพิ่มตัวเลือกสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณภาพโดยฝีมือคนไทยแก่คนไทยในประเทศที่ใส่ใจเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่ดีที่สุดให้แก่ที่อยู่อาศัยหรือธุรกิจของตนเอง โดยในปี 2560 มียอดผู้เข้าชมงานถึง 30,000 คน สร้างเงินสะพัดสู่เศรษฐกิจไทยกว่า 90 ล้านบาท จากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา อีกทั้งสภาพตลาดที่อยู่อาศัยและเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวในทิศทางบวก”   นายธนทัต ชวาลดิฐ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ประธานคณะจัดงานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ TFIC Furniture Outlet 2018 กล่าวปิดท้ายว่า “TFIC Furniture Outlet 2018 ปีที่ 14 คืองานเกิดจากการรวมตัวของสมาชิกของกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อยกทัพเหล่าผู้ส่งออกและผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์แถวหน้าของประเทศไทย มามอบข้อเสนอที่ดีที่สุดแก่ผู้ซื้อคนไทย ด้วยสินค้าคุณภาพระดับโลกหลากหลายสไตล์ ทั้งเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์ไม้ เฟอร์นิเจอร์โซฟา เฟอร์นิเจอร์หวาย เฟอร์นิเจอร์อลูมิเนียม และสินค้าตกแต่งบ้านอื่นๆ ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการ โดยงานในปี 2561 นี้มีบริษัทตอบรับเข้าร่วมแสดงสินค้ากว่า 100 บริษัท ซึ่งครอบคลุมสินค้าเฟอร์นิเจอร์คุณภาพส่งออก ที่มีความหลากหลาย อาทิ เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน จากร้อกเวิธ, เฟอร์นิเจอร์ไม้ จาก โอ.เค. วู้ด โปรดั๊ค, พิโคที, ชำนิเฟอร์นิเจอร์, ส. กิจชัย, โพเดียม และเฟอร์นิสท์, เฟอร์นิเจอร์โซฟา จากเลซีบอย, อีลิทดีไซน์ และโซฟาเมคเกอร์, เฟอร์นิเจอร์หวาย จากฮาวายไทยเฟอร์นิเจอร์ และเฟอร์นิเจอร์อลูมิเนียม จากคุณากิจอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ โดยในปีนี้เราคาดว่าจะมียอดผู้เข้าชมงานกว่า 35,000 คน เป็นยอดขายกว่า 110 ล้านบาท”   สำหรับ TFIC Furniture Outlet 2018 มีความพิเศษกว่าทุกงานเฟอร์นิเจอร์ใดๆ ในประเทศเพราะมีส่วนลดราคาสูงสุดถึง 80% อีกทั้งยังมีกิจกรรมทาง Facebook ให้ร่วมสนุกเพื่อลุ้นรับบัตรกำนัลแทนเงินสดสำหรับซื้อเฟอร์นิเจอร์ในงานสูงสุดถึง 5,000 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 30,000 บาท   นอกจากนี้ ในปีนี้ยังมีโปรโมชั่นสุดพิเศษจากธนาคารกรุงศรี ได้แก่ สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตในเครือกรุงศรี โดยสามารถแบ่งจ่าย 0% นานสูงสุด 10 เดือน และรับเครดิตเงินคืนสูงสุดถึง 25,500 บาท ต่อหมายเลขบัญชี ตลอดรายการ ซึ่งลูกค้าสามารถรวมบิลยอดผ่อนชำระได้ตลอดทั้งงาน สำหรับลูกค้าที่ชำระสินค้าเต็มจำนวนจะได้รับของสมนาคุณมูลค่าสูงสุด 2,980 บาท ทำให้เราเชื่อมั่นว่างาน TFIC Furniture Outlet 2018 ในปีนี้จะได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคในประเทศ รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ที่หลงใหลในเฟอร์นิเจอร์คุณภาพระดับโลก”   ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นของงาน TFIC Furniture Outlet 2018 ได้ที่ www.facebook.com/TFICFurnitureOutlet    
“วิลเลรอย แอนด์ บอค” จับมือ “สายการบิน “Lufthansa”  ชวนคุณสัมผัสพิเศษกับ “ห้องน้ำหรู”  ณ สนามบิน Milan Malpensa ประเทศอิตาลี

“วิลเลรอย แอนด์ บอค” จับมือ “สายการบิน “Lufthansa” ชวนคุณสัมผัสพิเศษกับ “ห้องน้ำหรู” ณ สนามบิน Milan Malpensa ประเทศอิตาลี

บริษัท วิลเลรอย แอนด์ บอค จำกัด ผู้นำด้าน Total Bathroom Solution ระดับโลก จากประเทศเยอรมนี ภายใต้แบรนด์ “Villeroy & Boch” ที่มากประสบการณ์ในเรื่องของการออกแบบสุขภัณฑ์ฉลองครบรอบ 270 ปี ด้วยการจับมือกับ “Lufthansa” สายการบินยักษ์ใหญ่จากประเทศเยอรมนี ผนึกกำลังร่วมเนรมิต “ห้องน้ำสุดหรู” ภายในห้องรับรองโฉมใหม่ของสายการบิน Lufthansa ณ สนามบิน Milan Malpensa ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 สนามบินนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลีตอนเหนือ คอนเซ็ปต์การออกแบบเน้นที่ความทันสมัยของผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำและกระเบื้องคุณภาพชั้นเยี่ยม ผสานกับกลิ่นอายประวัติศาสตร์ของเมืองมิลานด้วยแผนที่เมืองเก่าและตึกที่มีรูปแบบและสไตล์แบบดั้งเดิม   ทั้งนี้ ห้องรับรองของสายการบิน Lufthansa ถูกจัดไว้สำหรับให้ผู้โดยสารของสายการบินได้หลีกหนีจากการเดินทางที่แสนวุ่นวาย และได้พักผ่อนเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า ด้วยพื้นที่ขนาด 550 ตารางเมตร และพิเศษด้วยวิวลานจอดเครื่องบินที่พร้อมให้บริการแบบ first-class และห้องรับรองแบบส่วนตัวในบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเงียบสงบเป็นส่วนตัว   ด้วยประสบการณ์ในเรื่องการออกแบบและในเรื่องของสุขภัณฑ์ที่มีมากกว่า 270 ปี ทางวิลเลรอย แอนด์ บอค จึงเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านที่มาใช้บริการ ห้องน้ำสุดหรูแห่งนี้ จะได้รับประสบการณ์ใหม่และความประทับใจมิรู้ลืม     ติดตามข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมของ Villeroy & Boch ได้ที่ www.villeroy-boch.comhttp://www.villeroy-boch.com และ โทร. 02206-3400      
พร้อมเปิดสถานีแห่งความสุขแล้วที่ เดอะคิวบ์ สเตชั่น รามอินทรา 109 คอนโดใหม่ เริ่ม 1.49 ล้าน*

พร้อมเปิดสถานีแห่งความสุขแล้วที่ เดอะคิวบ์ สเตชั่น รามอินทรา 109 คอนโดใหม่ เริ่ม 1.49 ล้าน*

The Cube Station Ramintra 109 (เดอะคิวบ์ สเตชั่น รามอินทรา 109) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ (Low Rise) สไตล์โมเดิร์น 8 ชั้น 2 อาคาร จากบริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่สร้างเสร็จใหม่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ เข้าพักอาศัยได้ทันที และสามารถลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตบนทำเลดีมีศักยภาพ ติดถนนพระยาสุเรนทร์เชื่อมกับถนนรามอินทรา และเพียง 300 เมตร ถึงรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีบางชัน (ในอนาคต) พร้อมเปิดให้เข้าชมห้องจริงและสัมผัสบรรยากาศโดยรอบทั้งโครงการ (Open House) ในวันที่ 15-16 กันยายน 2561 เวลา 9.00 – 17.30 น. เตรียมพบกับ ‘สถานีแห่งความสุข เปิดแล้วที่ เดอะคิวบ์ สเตชั่น รามอินทรา 109’ คอนโดสร้างเสร็จใหม่ ราคาพิเศษเริ่มต้น 1.49 ล้าน* มีขนาดห้อง 24-34 ตารางเมตร พร้อมเฟอร์นิเจอร์สวยและคุณภาพดีจาก Modernform ครบทุกฟังก์ชั่น (Fully Furnished) รับข้อเสนอพิเศษมากมายสำหรับท่านที่ซื้อคอนโดมิเนียมภายในงาน และสามารถปรึกษาด้านการเงินการลงทุนในการซื้อคอนโดมิเนียมกับเจ้าหน้าที่ธนาคารได้ทันที พบกิจกรรมพิเศษ DIY ดีไซน์นาฬิกาและประดิษฐ์เองในสไลต์ที่เป็นคุณแบบเดียวที่ไม่เหมือนใคร (Limited Edition) ในบรรยากาศดนตรีในสวน ณ โครงการเดอะคิวบ์ สเตชั่น รามอินทรา 109 เชิญสัมผัสกับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องฟิตเนส ห้องซาวน่า (แยกชาย/หญิง) ห้องสมุด สวนหย่อม คีย์การ์ดเข้าอาคารและลิฟท์แบบล็อคชั้น กล้องวงจรปิด CCTV รอบโครงการ และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง Wi-Fi อินเตอร์เน็ตที่ล็อบบี้ส่วนกลาง สะดวกสบายบนพื้นที่ส่วนตัวติดแนวรถไฟฟ้า รวมทั้งการคมนาคมที่สะดวกรวดเร็วทุกเส้นทาง ใกล้สถาบันการศึกษา แหล่งธุรกิจ โรงพยาบาล ศูนย์การค้า ร้านอาหาร คอมมูนิตี้มอลล์ ร้านสะดวกซื้อ ตลาด ฯลฯ (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) สอบถามเพิ่มเติมและรับเงื่อนไขพิเศษ โทร. 1246 (กดเลือก The Cube Station Ramintra 109) เวลาทำการทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุด) หรือส่งข้อความในกล่องข้อความ (inbox) ทาง www.facebook.com/The Cube Condominium และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ของโครงการฯ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม http://www.thecube-condo.com
HBA พลิกกลยุทธ์ย้ำความสำเร็จงานรับสร้างบ้าน เผยยอดจอง “HBEXPO 2018”ทะลุเป้า 3 พันล้าน  ++ราคาบ้าน 2-5 ล้านบาทมาแรงสุด

HBA พลิกกลยุทธ์ย้ำความสำเร็จงานรับสร้างบ้าน เผยยอดจอง “HBEXPO 2018”ทะลุเป้า 3 พันล้าน ++ราคาบ้าน 2-5 ล้านบาทมาแรงสุด

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เผยความสำเร็จงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Expo 2018” ภายใต้แนวคิด ”สร้างบ้านที่ชอบ ในราคาที่ใช่” 4 วัน กวาดยอดขายทะลุกว่า 3,000 ล้านบาท สูงเกินเป้า 12% สร้างสถิติสูงสุดในรอบ 3 ปี เผยราคาบ้าน 2-5 ล้านบาทยังคงมาแรงสุด   นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association :HBA) เปิดเผยถึงความสำเร็จของการจัดงาน “Home Builder & Materials Expo 2018” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-19 สิงหาคมที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด “สร้างบ้านที่ชอบ ในราคาที่ใช่” ซึ่งตลอด 4 วันของการจัดงาน มียอดจองสร้างบ้านภายในงานกว่า 3,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 12% จากเป้าที่ตั้งไว้ 2,700 ล้านบาท นับว่าประสบความสำเร็จ และเป็นการทำสถิติด้านยอดจองสร้างบ้านสูงกว่าการจัดงานที่ผ่านมา โดยประเภทแบบบ้านราคาตั้งแต่ 2-5 ล้านบาทขึ้นไปได้รับยอดจองจากลูกค้ามากสุด   ทั้งนี้ จากตัวเลขยอดจองปลูกสร้างบ้านภายในงานที่เพิ่มขึ้น น่าจะมาจากหลายปัจจัย ทั้งภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศสูงขึ้น โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์ขยายตัวสูงถึง 4.8% การเร่งลงทุนโครงการของภาครัฐ และมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคเติบโต และช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้เพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้การที่สมาคมฯ ได้ปรับกลยุทธ์ในการสื่อสารและเพิ่มงบประมาณ รวมถึงช่องทางการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การจัดงานให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยเน้นสื่อออนไลน์ และโฆษณาทางโทรทัศน์ ทำให้มีจำนวนยอดผู้เข้าร่วมงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดจองในงานมากขึ้นเมื่อเทียบกับการจัดงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา     จากการประมวลผลข้อมูลแบบสอบถาม ผู้เข้าชมงาน พบว่า ระดับราคาบ้านที่ได้รับความสนใจจองปลูกสร้างมากที่สุด ยังเป็นแบบบ้านกลุ่มราคา 2-5 ล้านบาท คิดเป็น 21.95% รองลงมาเป็นราคา 1-2 ล้านบาท คิดเป็น 19.51% กลุ่มราคา 8-10 ล้านบาท คิดเป็น 4.88% ขณะที่กลุ่มราคา 5-8 ล้านบาท และราคา 10-15 ล้านบาท คิดเป็น 2.44% เท่ากัน   สำหรับเหตุผลที่เลือกสร้างบ้านเองกับสมาชิกสมาคมฯ พบว่าส่วนใหญ่ มีที่ดินเปล่าอยู่แล้ว ในทำเลที่ต้องการ ซึ่งเจ้าของบ้านสามารถเลือกแบบบ้านและวัสดุสร้างบ้านได้ตามความต้องการและงบประมาณ     “งานรับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Expo 2018” ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมหลักสำคัญของสมาคมฯที่จะยกระดับมาตรฐานของธุรกิจรับสร้างบ้านให้เป็นที่ยอมรับกับผู้บริโภคโดยทั่วไป รวมถึงการเพิ่มศักยภาพความเชื่อมั่นธุรกิจรับสร้างบ้านโดยฝีมือคนไทยให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น ครั้งนี้มีบริษัทรับสร้างบ้านที่ร่วมออกงานกว่า 40 บริษัท พร้อมด้วยแบบบ้านที่มีให้เลือกมากมาย ถือเป็นงานเดียวที่รวบรวมแบบบ้านไว้มากที่สุด นอกจากนี้ หลายบริษัทยังมีการนำแบบบ้านที่ออกแบบใหม่ล่าสุดมาจัดแสดงพร้อมโปรโมชั่นพิเศษ  
อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จับมือ Seedstars ชูนวัตกรรมเทคโนโลยี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้น

อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จับมือ Seedstars ชูนวัตกรรมเทคโนโลยี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้น

อนันดา เออร์เบินเทค (Ananda UrbanTech) เป็นวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่จะพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองมาอย่างต่อเนื่องผ่านการปรับใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี และ Seedstars องค์กรระดับโลกที่มุ่งมั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงและพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองผ่านเทคโนโลยีและการคิดค้นของผู้ประกอบการธุรกิจหน้าใหม่ ร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่สองในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Ananda x Seedstars Urban Living 2018 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 โดยภายในงานได้มีการนำวิทยากรชั้นนำมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมล่าสุดเพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯรวมทั้งพื้นที่ใกล้เคียงอื่นๆ การพัฒนาชุมชนเมืองกำลังเป็นประเด็นสำคัญในกรุงเทพฯ ในยุคการย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ (Urbanization) ประชากรโลกกว่าครึ่งอาศัยอยู่ในเมือง องค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่า ประชากรที่จะเข้ามาอาศัยในเมืองจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี ค.ศ. 2050 ความท้าทายที่นักวางแผนเมืองต้องเผชิญคือการพิจารณาภูมิทัศน์เมืองตลอดจนสุขภาพ การเคลื่อนย้าย การศึกษาของผู้อยู่อาศัย มลพิษ ความปลอดภัย และโครงสร้างพื้นฐาน ตามรายงานเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals Report) ข้อท้าทายสำคัญของกรุงเทพคือจำนวนอุบัติเหตุบนท้องถนน การจราจรที่ติดขัด และปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อจำนวนประชากร     ดร.จอห์น มิลลาร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ที่อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เราพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในทุกๆด้านของธุรกิจเพื่อปฏิรูปอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์สู่อนาคต ซึ่งการร่วมมือกับ Seedstars ถือเป็นบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนเมืองในประเทศไทยและในภูมิภาคผ่านกลยุทธ์การช่วยสนับสนุนและส่งเสริมบริษัทหน้าใหม่ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาการใช้ชีวิตของคนเมืองที่ดียิ่งขึ้น"   ความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ และ Seedstars มีจุดประสงค์หลักเพื่อการเปลี่ยนแปลงวิถีการพัฒนาชุมชนเมืองในกรุงเทพฯให้ดียิ่งขึ้น โดยงานในครั้งนี้ได้รวบรวมผู้นำและบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาชุมชนเมืองมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดและนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมอย่างเป็นรูปธรรม ท่ามกลางการถกเถียงมากมายว่าสมาร์ทซิตี้จะไม่ยั่งยืนอย่างแท้จริง เว้นแต่ประชาชนจะมีส่วนร่วมขับเคลื่อนความเป็นสมาร์ทซิตี้ จากแนวคิดสำคัญของวิทยากรนำเสนอ 4 โซลูชั่นส์ที่น่าจะเป็นไปได้เพื่อช่วยพัฒนากรุงเทพฯให้กลายเป็นสมาร์ทซิตี้ ซึ่ง 4 โซลูชั่นส์ดังกล่าว   ประกอบด้วย: • สภาพแวดล้อมเสมือนจริง (Augmented Environments) ช่วยให้ผู้คนสามารถโต้ตอบกับสภาพแวดล้อมโดยรอบได้ในอย่างที่ไม่เคยมาก่อน • ผสมผสานพื้นที่สีเขียวเพื่อให้อาคารมีความยั่งยืนได้ด้วยตัวของมันเอง • การขนส่งแบบบูรณาการ (เชื่อต่อการขนส่งหลายชนิดเข้าด้วยกัน เพื่อการทำงานที่เป็นหนึ่ง) • การวางแผนที่ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงเทพกับข้อมูล (Bangkok Interactions with Data)     คุณคาตาริน่า ซูเลนไยโอวา (Katarina Szulenyiova) หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท Seedstars กล่าวว่า “วิสัยทัศน์ของเราคือมุ่งมั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงและพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองผ่านเทคโนโลยีและการเปิดโอกาสสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจหน้าใหม่ การใช้ชีวิตในเมืองและสมาร์ทซิตี้เป็นสองประเด็นสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างความแตกต่าง การนำผู้เชี่ยวชาญและผู้คิดค้นพัฒนามาปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวถือเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนเครื่องมือเพื่อให้การคิดค้นของพวกเขาบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้"   งานในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อให้นักวางผังเมือง นักลงทุน ผู้ประกอบการ รวมถึงกลุ่มวิทยากรชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในเมืองมาปรึกษาหารือโดยใช้ข้อมูลเมืองและนวัตกรรมเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนเมือง สามประเด็นหลักในการประชุมร่วมหารือประกอบด้วย:   • “การออกแบบซิตี้ไฮบริด: Inter/face, Inter/act, Improv/act” โดย คุณคริสเตียน โคลเกิ้ล (Kristian Kloeckl) นักออกแบบและรองศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทอร์น สาขาศิลปะและสถาปัตยกรรมศาสตร์ “ไฮบริดซิตี้ถือเป็นสภาพแวดล้อมเหนือกว่าความเป็นสมาร์ทซิตี้ที่สามารถวัดการตอบสนองแบบเรียลไทม์ต่อสถานการณ์หรือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ซึ่งแนวคิดไร้แบบแผนช่วยให้เรามีความยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อเราเรียนรู้กับการสร้างสรรค์อย่างไร้แบบแผน เราจะพร้อมรับมือกับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” คุณคริสเตียนกล่าว     คุณคริสเตียน โคลเกิ้ล ให้ความสำคัญในการตรวจสอบการออกแบบปฏิสัมพันธ์ (Interaction Design) เพื่อการนำไปสู่ไฮบริดซิตี้ในปัจจุบัน และการศึกษาบทบาทของแนวคิดไร้แบบแผนสำหรับการออกแบบ ซึ่งผลงานของเขาเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวได้รับการตีแผ่อย่างแพร่หลายจากงานจัดแสดงในสถานที่ต่างๆ อาทิ เวนิส เบียนนาเล่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ในนิวยอร์ก และพิพิธภัณฑ์ศิลปะสิงคโปร์ นอกจากนี้คุณคริสเตียนยังเป็นวิทยากรในงาน Montreal World Design Summit, Austrian Innovation Forum ในกรุงเวียนนา การประชุม Hybrid City งาน MIT Media Lab และพิพิธภัณท์ Red Dot Design Museum ในประเทศสิงคโปร์และอื่น ๆ อีกมากมาย   • “การออกแบบตามธรรมชาติสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีความหนาแน่นสูง" โดย คุณมานูเอล เดอร์ ฮาโกเพน (Manuel Der Hagopian) ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท G8A Architecture   “ทุกเมืองมีความแตกต่างอย่างมากโดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม สภาพภูมิอากาศ การเมืองการปกครอง ซึ่งในบางครั้งการสร้างอาคารอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นเสมอไป แต่กว่าจะรู้นั้นก็ต่อเมื่อเราจำเป็นต้องหยุดสร้างเสียแล้ว” คุณมานูเอลกล่าว “เราสร้างอาคารสูงเนื่องจากพื้นที่มีจำกัดซึ่งลักษณะการสร้างอาคารดังกล่าวอาจปิดโอกาสการติดต่อสื่อสารของคนในสังคมมากกว่าการขยายโครงสร้างอาคารทางแนวนอนหรือให้กว้างยิ่งขึ้น" คุณมานูเอลกล่าวเพิ่มเติม     คุณมานูเอล เดอร์ ฮาโกเพน ก่อตั้งบริษัท G8A ในเมืองเจนีวาผ่านการคิดค้นโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 8+ ปัจจุบันเขากำลังให้ความสนใจอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบของการเติบโตอย่างรวดเร็วของประชากรที่อยู่อาศัยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตั้งแต่ปี ค.ศ 2015 คุณมานูเอลได้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีและการออกแบบ   มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ โดยมุ่งมั่นเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบระหว่างประเทศสิงคโปร์และประเทศสวิตเซอร์แลนด์   • "นวัตกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง" โดย คุณสุดีป ไมธี (Sudeept Maiti) ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายซิตี้โปรแกรม บริษัท WRI India   “ทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาการจราจรแออัดคือให้ประชากรหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ ซึ่งบริการเหล่านี้ต้องอำนวยความสะดวกสบายควบคู่กับการบริการด้านต่างๆเพื่อให้วิธีการแก้ไขนั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด” คุณสุดีปกล่าว   คุณสุดีป เป็นผู้นำในการดูแลฝ่ายการควบคุมบริหารจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆของบริษัท WRI India เพื่อการพัฒนาระบบการขนส่งในเมือง เขามีประสบการณ์การทำงานด้านการควบคุมบริหารอุปกรณ์ (Mobility Solutions) มามากกว่า 200 ระบบ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านการขนส่งที่ยั่งยืน การวางผังเมือง และการออกแบบชุมชนเมือง นอกจากนี้คุณสุดีปยังมีส่วมร่วมในการจัดตั้งกลุ่ม Multi-City และ Multi-Stakeholder เพื่อช่วยเปิดโอกาสสำหรับการเข้าร่วมพัฒนาของภาคเอกชน รวมทั้งการวางแผนกลยุทธ์, การดำเนินการภาคพื้นดินสำหรับระบบความปลอดภัย, การออกแบบพื้นที่สาธารณะ และแนวคิดการพัฒนามุ่งเน้นการขนส่ง (TOD) สำหรับเมืองต่างๆ