Tag : News

2376 ผลลัพธ์
โปรฯ แรงสุดคุ้ม!! The Connect ภายใต้แบรนด์ พฤกษา ลดล้างสต๊อก มอบส่วนลดสูงสุดถึง 500,000 บาท* แถมฟรีทุกค่าใช้จ่าย*-เครื่องปรับอากาศ* ที่ราคาเริ่มต้น 1.65 ล้านบาท

โปรฯ แรงสุดคุ้ม!! The Connect ภายใต้แบรนด์ พฤกษา ลดล้างสต๊อก มอบส่วนลดสูงสุดถึง 500,000 บาท* แถมฟรีทุกค่าใช้จ่าย*-เครื่องปรับอากาศ* ที่ราคาเริ่มต้น 1.65 ล้านบาท

คนอยากมีบ้านอย่ารอช้า!! “พฤกษา” จัดโปรโมชั่นสุดยิ่งใหญ่ฉลองครบรอบ 25 ปี พาเหรดโครงการ แบรนด์ “The Connect” ทั้ง ทาวน์โฮมบ้านแฝด มาลดล้างสต๊อก พร้อมมอบส่วนลดสูงสุดถึง 500,000 บาท*แถมฟรี! ทุกค่าธรรมเนียม*-เครื่องปรับอากาศ* พิเศษสุดๆ สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ และเข้าเยี่ยมชมโครงการ รับไปเลยทันทีบัตรStarbucks มูลค่า 200 บาท* อีกทั้งของสมนาคุณมากมาย โอกาสดีๆตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน นี้เท่านั้น   ในโอกาสก้าวเข้าสู่วาระครบรอบ 25 ปี บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตทจำกัด (มหาชน) จัดเฉลิมฉลองภายใต้แคมเปญ “ลดล้างสต๊อก ฟรี! ทุกค่าใช้จ่าย” โดยการยกขบวนโครงการพร้อมอยู่แบรนด์ “The Connect” ทั้งทาวน์โฮม 2 ชั้น 3 ชั้น ทาวน์โฮมทรงอิสระ และบ้านแฝด อาทิ THE CONNECT สุวรรณภูมิ 3, THE CONNECT เพชรเกษม 48, THE CONNECT ลาดพร้าว 126, THE CONNECT สุวรรณภูมิ 4, THE CONNECT รัตนาธิเบศร์ – ราชพฤกษ์, THE CONNECT พระราม 5 –นครอินทร์ และ THE CONNECT@ รังสิต แบบบ้านทาวน์โฮมอิสระและบ้านแฝด   สุดพิเศษด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 1.65-4 ล้านกว่าบาท* พร้อมสิทธิประโยชน์สุดเอ็กคลูซีฟ สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์และเข้าเยี่ยมชมโครงการ รับทันทีบัตร Starbucks มูลค่า 200 บาท* และหากโอนภายใน 30 กันยายน 2561 มีสิทธิ์รับส่วนลดสูงสุดถึง 500,000บาท** แถมฟรี! ทุกค่าใช้จ่าย* ไม่ว่าจะเป็น ฟรีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมิเตอร์น้ำ-ไฟ* ฟรีเครื่องปรับอากาศ* หรือเลือกรับบัตรกำนัลจากโฮมโปรมูลค่าสูงสุด 200,000 บาท** โปรโมชั่นนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี สำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ บนทำเลศักยภาพ ในราคาที่ไม่สามารถหาซื้อที่ไหนได้ เพราะพฤกษาเข้าใจความต้องการของผู้ที่อยากมีบ้าน     โดยลูกค้าสามารถหาข้อมูลและเลือกซื้อที่อยู่อาศัยจากทุกทำเลของโครงการ The Connect ได้อย่างสะดวกสบายผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท www.pruksa.com หรือสามารถเข้าเยี่ยมชมโครงการที่สนใจพร้อมขอรับคำปรึกษาด้านสินเชื่อจากเจ้าหน้าที่ด้านการขายของบริษัทฯ ได้ตลอดเวลา โดยพนักงานขายทุกโครงการยินดีที่จะให้คำปรึกษาแก่ลูกค้า และบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าโปรโมชั่นนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีเหมือนอย่างที่ผ่านมา ถือเป็นการแทนคำขอบคุณจากใจของพฤกษา   พบกับทาวน์โฮมและบ้านแฝดคุณภาพจากโครงการ The Connect บนทำเลศักยภาพ พร้อมรับสิทธิพิเศษในราคาสุดพิเศษ เพียงแค่จอง ทำสัญญาและโอนภายในวันที่ 30 กันยายน 2561  ลงทะเบียนได้ที่ https://theconnect.pruksa.com/pre-sale/1153-the-connect-AllProjects-Discount300000  โดยบริษัทฯ สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดโครงการ โปรโมชั่น และเงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1739     *เงื่อนไขเป็นตามที่บริษัทกำหนดสำหรับแต่ละโครงการ **ส่วนลดที่ได้แต่ละโครงการจะมีมูลค่าที่ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับแบบบ้าน **ลูกค้าสามารถที่จะเลือกได้ว่าจะรับเป็นส่วนลดในวันโอน หรือเป็น Gift  Voucher อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยที่มูลค่ารวมทั้งหมดของกำนัลและส่วนลดที่จะให้เลือกนั้นจะไม่เกินส่วนลดสูงสุดตามที่แจ้งไว้
SC ASSET ผนึก 9 โครงการ ภายใต้แบรนด์ Pave และ Verve หนุนแคมเปญ “SAY HI บ้านหลังใหม่”

SC ASSET ผนึก 9 โครงการ ภายใต้แบรนด์ Pave และ Verve หนุนแคมเปญ “SAY HI บ้านหลังใหม่”

นายมงกุฎ เตโชฬาร รองหัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวราบ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ASSET  จัดแคมเปญ "SAY HI บ้านหลังใหม่" ร่วมกับ 9 โครงการสำหรับคนรุ่นใหม่ แบรนด์ #Pave และ #Verve บนทำเลศักยภาพ ราคาเริ่ม 1.99 - 7 ล้านบาท เปิดให้ผู้สนใจลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษสูงสุด 700,000 บาท* ได้ที่ bit.ly/2wp0zd5 พร้อมรับเพิ่ม! หูฟังบลูทูธ Jabra Elite Sport 4.5* ถึง 15 ก.ย.นี้เท่านั้น!! นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมปูเสื่อ LIVE โชว์พิเศษ SC ASSET x THE TOYS @โครงการเวิร์ฟ ติวานนท์-รังสิต วันที่ 15 กันยายน 2561 เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป เพื่อติดตามชมได้ที่ www.facebook/scasset
แสนสิริ เปิดตัวเดอะ เบส สะพานใหม่ ภายใต้ความร่วมมือกับบีทีเอส กรุ๊ป  และเดอะ เบส สุขุมวิท 50

แสนสิริ เปิดตัวเดอะ เบส สะพานใหม่ ภายใต้ความร่วมมือกับบีทีเอส กรุ๊ป และเดอะ เบส สุขุมวิท 50

แสนสิริปลุกกระแสแบรนด์ เดอะ เบส ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ MARK MY BASE ต่อยอดหลังประสบความสำเร็จมาแล้วถึง 13 โครงการ มูลค่ารวม 24,000 ล้านบาท เผยโฉมTHE BASE New Series ในแบบที่สะท้อนความเป็นคุณ เปิดตัว 3 โครงการใหม่ในปี 61 บนทำเลศักยภาพทั้งอยู่อาศัยและลงทุน มูลค่ารวมกว่า 6,100 ล้านบาท ชูเดอะ เบส เซ็นทรัล – ภูเก็ต โครงการแรก ประสบความสำเร็จปิดการขายทันทีในวันพรีเซลล์ เดินหน้าตามแผนเปิดตัวอีก 2 โครงการใหม่ ในกรุงเทพฯ “เดอะ เบส สะพานใหม่” ภายใต้ความร่วมมือกับบีทีเอส กรุ๊ป และ“เดอะ เบส สุขุมวิท 50” ภายใต้ความร่วมมือกับโตคิว คอร์ปอเรชัน มั่นใจ เดอะ เบส ภายใต้ คอนเซ็ปต์ใหม่ MARK MY BASE โดดเด่นด้านดีไซน์ที่เข้าใจการใช้ชีวิตและฟังก์ชั่นการอยู่อาศัยในแต่ละทำเล สามารถตอบโจทย์ทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ได้อย่างแน่นอน ส่งผลยอดขายรวมคอนโดมิเนียมของแสนสิริตามเป้าหมาย 30,000 ล้านบาท ก้าวสู่ปีแห่ง Sansiri Best Year Ever     นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ เดอะ เบส (THE BASE) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแบรนด์คอนโดมิเนียมที่มีความแข็งแกร่งของแสนสิริ เน้นการตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีความเป็นตัวของตัวเอง การออกแบบในแต่ละโครงการสะท้อนบุคลิกภาพและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าในทำเลนั้นๆ ซึ่งเป็นที่มาของคอนเซ็ปต์ You are where you live โดยเปิดตัวมาแล้วถึง 13 โครงการ จำนวน 9,440 ยูนิต มูลค่ารวม 24,000 ล้านบาท     ล่าสุดเพื่อเป็นการตอกย้ำความสำเร็จและความแข็งแกร่งของแบรนด์ เดอะ เบส บริษัทจึงได้เปิดตัว เดอะ เบส ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ “MARK MY BASE” สู่แบรนด์คอนโดมิเนียมที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น สะท้อนความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ชูแนวคิดการออกแบบจากตัวตนของผู้อยู่อาศัยโดยการผสมผสานเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละทำเลเข้ากับการออกแบบที่ร่วมสมัย เกิดเป็นเอกลักษณ์และเรื่องราวที่สะท้อนถึงตัวตนของผู้อยู่อาศัย โดยเดอะ เบส ที่ตั้งอยู่ในทำเลต่างๆ จะมีความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ แตกต่างกัน ในแต่ละทำเล เพื่อตอบโจทย์ทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ยังเติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน ตามมาตรฐานของแสนสิริที่พัฒนาและลงมือทำมาโดยตลอด ทั้งดีไซน์สวยงามที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่นพร้อมใช้งานได้จริง ใส่ใจในทุกรายละเอียดและเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกบ้าน และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ผสมผสานกับการอยู่อาศัยเพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อาทิ สมาร์ท ล็อคเกอร์ และโฮม เซอร์วิส แอปพลิเคชัน รวมถึงบริการที่ครบถ้วนเพื่อสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีทั้งก่อนและหลังการขาย อาทิ Sansiri Security System มั่นใจกับระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. และสิทธิพิเศษต่างๆ ในแสนสิริ แฟมิลี่ ซึ่งทั้งหมดเพื่อ เติมเต็มการอยู่อาศัยให้สมบูรณ์แบบแก่ลูกบ้านแสนสิริ “บริษัทมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ เบส ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ MARK MY BASE ในปี 2561 จำนวน 3 โครงการ ทำเลกรุงเทพฯ และภูเก็ต ได้แก่ เดอะ เบส เซ็นทรัล – ภูเก็ต, เดอะ เบส สะพานใหม่ และเดอะ เบส สุขุมวิท 50 มูลค่ารวมกว่า 6,100 ล้านบาท โดยหลังจากที่บริษัทได้เผยโฉม THE BASE New Series ในแบบที่สะท้อนความเป็นตัวคุณ โครงการแรก เดอะ เบส เซ็นทรัล – ภูเก็ต จำนวน จำนวน 590 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,660 ล้านบาท เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาปรากฎว่าได้รับการตอบรับที่ดีจนสามารถปิดการขายได้ทันทีในวันพรีเซลล์” นายภูมิภักดิ์ กล่าว     สำหรับโครงการ “เดอะ เบส สะพานใหม่” ภายใต้ความร่วมมือระหว่างแสนสิริและบีทีเอส กรุ๊ป จำนวน 820 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,800 ล้านบาท พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด MY BASE REVEALS NEW PERSPECTIVES (มาย เบสมีหลายมุม) ผสมผสานองค์ประกอบของความแตกต่างอย่างลงตัวภายใต้คอนเซ็ปต์ความย้อนแย้ง (Irony) สะท้อน ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ตั้งอยู่บนทำเลที่น่าจับตามองในอนาคตเพียง 0 เมตรจากสถานีสายหยุด ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่จะเปิดให้บริการในปี 2563 และรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ พร้อมเชื่อมต่อถนนหลายสายหลักอย่างวิภาวดีรังสิต พหลโยธิน และสนามบินดอนเมือง ทั้งยังตั้งอยู่ใกล้โรงพยาบาล มหาวิทยาลัยและสถานที่ราชการหลายแห่ง เต็มอิ่มกับการใช้ชีวิตด้วยพื้นที่ส่วนกลางเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน ซึ่งมีพื้นที่รวมสูงถึง 4,800 ตารางเมตร จากพื้นที่โครงการทั้งหมด 4 ไร่ พร้อมโดดเด่นด้วย Rooftop Facilities เต็มพื้นที่ชั้นดาดฟ้าของโครงการที่รวบรวมทั้งสวนสวย พื้นที่ดูดาว ลู่วิ่ง และสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และ Panoramic Gym ที่ชั้น 14 เข้าไว้ด้วยกันพร้อมเชื่อมต่ออาคาร 2 ฝั่งด้วยทางเชื่อมแบบ Spiral Bridge ซึ่งออกแบบขึ้นด้วยหลัก Universal Design รองรับการใช้งานของคนทุกวัย นอกจากนี้ยังนำเสนอประสบการณ์ใหม่ของการอยู่อาศัยแนวสูงด้วยยูนิตแบบลอฟท์ (Loft Unit) เพดานสูง 4.55 เมตร ที่ชั้น 14 ช่วยเพิ่มพื้นที่การใช้งานให้มากขึ้นกว่าเดิมโดยมีพื้นที่ใช้สอยให้เลือกสรรหลายขนาดตามความต้องการ พร้อมเปิดขายแบบแต่งครบ (Fully Furnished) ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.29 ล้านบาท     โครงการเดอะ เบส สุขุมวิท 50 ภายใต้ความร่วมมือกับโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำนวน 415 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 1,600 ล้านบาท พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด MY BASE DISCOVER THE UNEXPECTED (มาย เบส คือ การค้นพบ) เพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้ามาค้นพบความแตกต่าง อย่างเป็นตัวเอง ตั้งอยู่บนซอยสุขุมวิท 50 เชื่อมต่อทุกการเดินทางด้วยทางด่วน 2 สายหลักทั้งฉลองรัช และเฉลิมมหานคร สามารถเดินทางสู่พื้นที่ต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ อย่างรวดเร็ว ด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส เพียง 2 นาที จากบีทีเอสอ่อนนุช พร้อมบริการรถรับ-ส่งจากโครงการ อีกทั้งยังมีศักยภาพสูงในเรื่องของการลงทุนด้วย Rental Yield ของคอนโดมิเนียม แสนสิริในย่านนี้ที่เฉลี่ยสูงถึง 5-10% พร้อมสะท้อนตัวตนของคุณด้วยดีไซน์การออกแบบโครงการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ทั้งภายนอกและภายในโครงการ อาทิ การออกแบบฟาสาด (Façade) ที่เล่นสนุกกับสีสัน คู่ตรงข้าม (Contrast) และลวดลายพรางสายตา (Camouflage) รวมถึงการดีไซน์ภายในส่วนกลางของโครงการด้วย หินเทอร์ราซโซ (Terrazzo) จากประเทศอิตาลีที่สั่งผลิตในลวดลายพิเศษสำหรับโครงการนี้โดยเฉพาะ เป็นวัสดุหลักในการตกแต่ง และโคมไฟคอลเลคชั่น เมลท์เพนแดนท์ (Melt Pendant) จากดีไซน์เนอร์ชื่อดังทอม ดิกซอน (Tom Dixon) ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการหลอมละลายที่เกิดขึ้นในปรากฏการณ์ธรรมชาติ นอกจากนี้ยังสามารถรองรับการใช้งานหลากฟังก์ชั่น ด้วยความลงตัวของการออกแบบพื้นที่ภายในห้องพัก และสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางที่แตกต่าง ให้ความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน พร้อมเปิดขายแบบแต่งครบ (Fully Furnished) ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.29 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการจะเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการในวันที่ 22-23 กันยายน 2561 นี้ พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษ! ฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยลูกค้าที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.sansiri.com โทร. 1685   “ด้วยปัจจัยภาพรวม อาทิ ตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาที่สะท้อนพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ดี มีการปรับเป้าการส่งออกเพิ่มขึ้น ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาที่สูงสุดในรอบ 5 ปี รวมถึงกำลังซื้อลูกค้าและทิศทางความต้องการที่อยู่อาศัยที่ขยายตัวในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อรวมกับการสร้างกระแสแบรนด์เดอะ เบส ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ “MARK MY BASE” เชื่อมั่นว่าจะส่งผลให้ทั้ง 2 โครงการคอนโดมิเนียมเดอะ เบส ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งในด้านราคา ทำเล พื้นที่ใช้สอย และฟังก์ชั่นการใช้งาน ส่งผลให้ยอดขายรวมคอนโดมิเนียมของแสนสิริในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมาย 30,000 ล้านบาท ก้าวสู่ปีแห่ง “Sansiri Best Year Ever ” ได้อย่างสมบูรณ์” นายภูมิภักดิ์กล่าว #SansiriBestYearEver
บลู ฮอริซัน เดเวลลอปเมนท์ส ผนึกกำลัง คอส โมโนโพลิแทน ฮอสพิทาลิตี้ เปิดตัว รามาดา พลาซ่า แกรนด์ หิมาลัย โอเชี่ยนฟร๊อนต์ เรสซิเด้นส์

บลู ฮอริซัน เดเวลลอปเมนท์ส ผนึกกำลัง คอส โมโนโพลิแทน ฮอสพิทาลิตี้ เปิดตัว รามาดา พลาซ่า แกรนด์ หิมาลัย โอเชี่ยนฟร๊อนต์ เรสซิเด้นส์

บลู ฮอริซัน เดเวลลอปเมนท์ส ร่วมกับ คอส โมโนโพลิแทน ฮอสพิทาลิตี้ เปิดตัว รามาดา พลาซ่า แกรนด์ หิมาลัย โอเชี่ยนฟร๊อนต์ เรสซิเด้นส์ มองวิว 360 องศา ติดหาดกมลา เริ่มต้น 3.9 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จปี 62     นายอันเดรส พิร่า ประธานบริหาร บริษัท บลู ฮอริซัน เดเวลลอปเมนท์ส จำกัด เปิดเผยว่า  รามาดา พลาซ่า แกรนด์ หิมาลัย โอเชี่ยนฟร๊อนต์ เรสซิเด้นส์ (Ramada Plaza Grand Himalai Oceanfront Residences) ตั้งอยู่เหนือ โรงแรม 5 ดาว ไฮแอต รีเจนซี ภูเก็ต รีสอร์ท มีทั้งหมด 426 ยูนิต  ขนาด 33.96  ตร.ม.เริ่มต้น 3.9 ล้านบาท  ออกแบบให้ทันสมัย รวมถึงสามารถเพิ่มพื้นที่ใช้สอยด้วยการรวมห้องสตูดิโอ 2 ห้อง เป็นห้องขนาด 67.84 ตร.ม.เพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น     นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกได้แก่ สระว่ายน้ำกระจกแก้ววิวทะเล คลับออกกำลังกายพร้อมสนามเทนนิส ห้องซาวน่าและสปาสุดหรู พร้อมกับมุมนั่งเล่น และร้านอาหารที่ตอบโจทย์นักชิมจากทั่วโลก เป็นต้น     ในครั้งนี้ได้ร่วมมือกับ คอส โมโนโพลิแทน ฮอสพิทาลิตี้ และวินด์แฮม โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท แบรนด์โรงแรมชั้นระดับโลก เพื่อเป็นการยกการบริการให้ยอดเยี่ยม ผสานกับการจัดการที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและความชำนาญด้านการดำเนินงาน ทำให้ รามาดา พลาซ่า แกรนด์ หิมาลัย โอเชี่ยนฟร๊อนต์ เรสซิเด้นส์เป็นขุดมุ่งหมายการพักผ่อนในระดับ 5 ดาว และสรรค์ของนักลงทุน     ด้านนายเกลน เดอซูซ่า ประธานกรรมการ บริษัท คอส โมโนโพลิแทน ฮอสพิทาลิตี้ จำกัด กล่าวว่า สำหรับเราคือการให้บริการด้านการจัดการทรัพย์สินสร้างแบรนด์ที่ดีที่สุด ในภูมิภาคเอเชีย โดยมุ่งสร้างผลประโยชน์อันสูงสุดให้กับผู้ประกอบการ หรือเจ้าของธุรกิจ และเรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้บริหารจัดการโครงการที่ใหญ่ที่สุดในเกาะภูเก็ตอย่าง รามาดา พลาซ่า แกรนด์ หิมาลัย โอเชี่ยนฟร๊อนต์ เรสซิเด้นส์ ซึ่งได้รับการบริหารจัดการจากแบรนด์โรงแรมระดับโลกอย่างโรงแรมในเครือวินด์แฮม   นายเดวิด เรย์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการควบรวบกิจการและพัฒนาโครงการ ในเครือโรงแรมวินด์แฮมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียแปซิฟิก กล่าวเสริมว่า ด้วยศักยภาพการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจในจังหวัดภูเก็ต ที่มีจำนวนประชากรมาก รวมถึงการไหลเวียนของเมล็ดเงินจากการท่องเที่ยวในแต่ละปี เล็งเห็นถึงโอกาสความเป็นไปได้ในการในขยายเครือข่ายแบรนด์วินด์แฮม และผมมั่นใจอีกว่า ด้วยทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม บวกกับธรรมชาติที่สวยงามของหาดกมลา จะเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวและกลายเป็นที่พักผ่อนในฝันของทุกคน
ศุภาลัย เวอเรนด้า รามคำแหง เตรียมเปิด Online Booking จองสะดวก รวดเร็ว ได้ก่อนใคร

ศุภาลัย เวอเรนด้า รามคำแหง เตรียมเปิด Online Booking จองสะดวก รวดเร็ว ได้ก่อนใคร

บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) โดย นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ แถลงข่าวเปิดตัว โครงการคอนโดฯ ใหม่ล่าสุด “ศุภาลัย เวอเรนด้า รามคำแหง” ACTIVE CONDOMINIUM แห่งแรก บนถนนรามคำแหง - หัวหมาก ติด MRT สายสีส้ม 0 เมตร สถานีราชมังคลาฯ มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท ชูแนวคิด “ไปให้สุด…ทุกการใช้ชีวิต” พร้อมเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าจองคอนโดฯ ผ่านระบบ Online Booking ครั้งแรกที่ https:booking.supalai.com ในวันที่ 18 กันยายนนี้ เที่ยงวัน - เที่ยงคืน วันเดียวเท่านั้น และกำหนดเปิด Pre-Sale อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 28 - 30 กันยายน 2561 ราคาเริ่ม 1.89 ล้านบาท ณ สำนักงานขาย โครงการศุภาลัย เวอเรนด้า รามคำแหง
แอสเซทไวส์ เปิดตัวคอนโดหรู High-Rise “ โมดิซ สุขุมวิท 50 ” ภายใต้แนวคิด “Living in the Clouds”

แอสเซทไวส์ เปิดตัวคอนโดหรู High-Rise “ โมดิซ สุขุมวิท 50 ” ภายใต้แนวคิด “Living in the Clouds”

เปิดตัวโครงการใหญ่แห่งใหม่ โมดิซ สุขุมวิท 50 (Modiz Sukhumvit 50) คอนโด High Rise สูง 25 ชั้นจาก AssetWise และเป็นคอนโดตึกสูงสุดพิเศษบนทำเลสุขุมวิท ที่มองเห็นวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาและบางกระเจ้า ด้วยคอนเซ็ปท์ "Living in the Clouds" กับส่วนกลางมากมายในหลายชั้น สะดวกสบายใกล้ทุกการเดินทาง บนพื้นที่โครงการขนาด 3-3-11.6 ไร่ มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด เปิดตัวโครงการใหญ่แห่งใหม่ของปีนี้ โมดิซ สุขุมวิท 50 (Modiz Sukhumvit 50) คอนโด High Rise สูง 25 ชั้น จำนวน 3 อาคาร บนสุขุมวิท ที่สามารถมองเห็นวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาถึงสองโค้งน้ำพร้อมทั้งวิวบางกระเจ้า ภายใต้คอนเซ็ปท์ "Living in the Clouds" กับความโดดเด่นในเรื่องของ Facilities ส่วนกลางมากมายที่แทรกเข้าไปในทุกอาคาร ทั้งชั้น 1, ชั้น 8, ชั้น 25 และชั้น Rooftop รวมทั้งสวนสวยกว่า 1 ไร่ เพื่อให้โมดิซ สุขุมวิท 50 เป็นโอเอซิสของสุขุมวิท บนทำเลทองใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน บางนา-ดาวคะนอง-แจ้งวัฒนะ และจุดขึ้น-ลงทางด่วนพระราม 9-อาจณรงค์ รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ใกล้กับสถานี BTS อ่อนนุช เพียงแค่ 1.3 กม. จึงทำให้โลเคชั่นนี้ เป็นทำเลยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพสูงและอยู่ใจกลางย่านธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เรียกว่าคุ้มค่ากับราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยศักยภาพของทำเลสุขุมวิท ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โมดิซ สุขุมวิท 50 จึงได้รับการตอบรับที่ดีจากดีมานด์กลุ่มลูกค้าคนเมืองที่มองหาคอนโดมิเนียมหรูบนทำเลสุขุมวิทกับราคาที่จับต้องได้ มีความคุ้มค่าทั้งสำหรับซื้อเพื่ออยู่เอง หรือเพื่อการลงทุนในอนาคต โดยโครงการจะเปิดจองรอบ Presales ในวันเสาร์ที่ 15 กันยายนนี้   สถาปนิกผู้ออกแบบโครงการโมดิซ สุขุมวิท 50 จากบริษัท บลูเวิร์ค ดีไซน์ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวถึงแนวคิดในการออกแบบว่า โครงการ “โมดิซ สุขุมวิท 50” ตั้งอยู่บนทำเลที่พิเศษมาก เพราะอยู่ใจกลางสุขุมวิท แต่สามารถเห็นวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาถึงสองโค้งน้ำและบางกระเจ้า จึงได้ออกแบบจัดวางอาคารเป็น 3 อาคาร สูงขึ้นไป 25 ชั้น เพื่อให้ผู้พักอาศัยได้เห็นทัศนียภาพอย่างสวยงาม โดยมี Facilities มากมาย อาทิ เช่น Retreat Garden, Panoramic Fitness, Theater, Co-Living & Co-Working Lounge, Co-Dining & Sky Bar, Play Room, Kids Room, Private Onsen & Spa Room และสระว่ายน้ำ Rooftop ถึง 2 สระ คือ Blue Jacuzzi และ Lap Pool ในส่วนของห้องพักมีแบบห้อง vertical height ฝ้าเพดานสูง 4.4 เมตร และระบบ Bluetooth Sound System ที่จะทำให้คุณเพลิดเพลินกับการฟังเพลงได้ทุกที่ และเพิ่มความทันสมัยในเรื่องของระบบการจอดรถอัจฉริยะ   อินทีเรียร์ดีไซน์เนอร์ บริษัท รอคส์เปซ จำกัด เล่าถึงแนวความคิดในการออกแบบโครงการโมดิซ สุขุมวิท 50 โดยนำเอาความเป็นธรรมชาติ ให้เข้ามาอยู่รวมกับวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ เนื่องจากโครงการที่มีจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ คือทางเชื่อมลอยฟ้า สระน้ำลอยฟ้า และ จุดชมดาว เราจึงพยายามหาธรรมชาติ ที่สอดคล้อง ที่มีความสัมพันธ์กับตัวโครงการเรามากที่สุดมาเป็นจุดเด่นในการออกแบบ ใช้ concept หลักในการออกแบบทั้งหมด คือ ปรากฏการณ์บนท้องฟ้า - พระอาทิตย์ทรงกลด - จันทรุปราคา - ฝนดาวตก - การเคลื่อนไหวของก้อนเมฆ มาเป็นองค์ประกอบในการออกแบบ โดยได้ผสมผสานสไตล์การตกแต่งแบบโมเดิร์น ลักชัวรี่ (modern luxury) เข้าไปเพื่อเพิ่มความหรูหรา และมีระดับเพิ่มขึ้นด้วยเส้นสายบนท้องฟ้า ทำให้เกิดบรรยากาศแบบใหม่ๆ รูปแบบฝ้าที่เปรียบเหมือนชั้นของก้อนเมฆ และเส้นขอบฟ้าช่วยสร้างบรรยากาศที่มีเสน่ห์มากขึ้นให้กับส่วนต่างๆ พื้นที่ต่างๆของโครงการถูกจัดแบ่งฟังก์ชั่นไว้อย่างลงตัว พื้นที่ใช้สอยที่แบ่งไว้ในส่วนต่างๆ ถูกคิดมา เพื่อคนรุ่นใหม่ที่ให้ใช้ชีวิตได้อย่างคล่องตัวและสนุกกับมัน นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด เผยภาพรวมธุรกิจจนถึงปัจจุบันของแอสเซทไวส์ โดยในปี 2018 เปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 6 โครงการ เป็นมูลค่า 6,759 ล้านบาท โดยโครงการที่เปิดขายไปแล้ว คือ บราวน์ ห้วยขวาง, แอทโมซ ลาดพร้าว 15 และเคฟ ทาวน์ สเปซ 2 ตึกแรก โครงการที่กำลังจะเปิดขายอีก 3 โครงการ ได้แก่ โมดิซ สุขุมวิท 50, แอทโมซ รัชดา-ห้วยขวาง และแกลม ลักชัวรี่ทาวน์โฮม ตั้งเป้ายอดขายทั้งปีไว้ที่ 4,200 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วเป็นมูลค่า 3,286 ล้านบาท ส่วนโครงการที่จะแล้วเสร็จในปีนี้มีทั้งหมด 8 โครงการ ส่งมอบให้ลูกค้าได้แล้วจำนวน 5 โครงการ ได้แก่ วินน์ พหลฯ 52-สะพานใหม่, เอพพิโซด, โมดิซ สเตชั่น, บราวน์ รัชดา 32 และวินน์ ลาดพร้าว - โชคชัย 4 และกำลังจะส่งมอบอีก 3 โครงการ คือ เคฟ คอนโด, โมดิซ อินเตอร์เชนจ์ และบราวน์ พหลฯ 67 – สะพานใหม่ ตั้งเป้ารับรู้รายได้ตลอดปี 4,000 ล้านบาท และรับรู้รายได้แล้ว ณ ปัจจุบันเป็นมูลค่า 2,350 ล้านบาท โดยในปีนี้ บริษัทฯจะนำเสนอภาพยนตร์โฆษณาภาพลักษณ์องค์กร ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” สะท้อนภาพแอสเซทไวส์เป็นองค์กรที่รับฟัง เข้าใจ และคาดการณ์ความต้องการรวมถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค จึงออกแบบโครงการและบริการต่างๆ เพื่อความสุขของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง และจากการพัฒนาธุรกิจด้านอสังหาฯ ที่บริษัทฯ ทำมาอย่างต่อเนื่อง แอสเซทไวส์ วางแผนการเติบโต ปี 2561-2564 เฉลี่ยปีละ 20% รวมถึงการผลักดันให้ระบบภายในบริษัทได้มาตรฐาน เพื่อเตรียมพร้อมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปีหน้า 2562 นี้
‘สิงห์ เอสเตท’ จับมือ ‘ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป’ ประกาศร่วมทุน EYSE Sukhumvit 43

‘สิงห์ เอสเตท’ จับมือ ‘ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป’ ประกาศร่วมทุน EYSE Sukhumvit 43

สิงห์ เอสเตท ร่วมทุนกับ ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป บริษัทรับก่อสร้างและรับสร้างบ้านรายใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในตลาดลักชัวรี ประเดิมโครงการแรก EYSE Sukhumvit 43 (อีส สุขุมวิท 43) มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท มุ่งนำสุดยอดนวัตกรรมก่อสร้างและเทคโนโลยีสำหรับที่อยู่อาศัยจากญี่ปุ่นมาปรับใช้ในโครงการเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด พร้อมเผยเตรียมเจรจาขยายความร่วมมือรูปแบบอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคต   นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ล่าสุดบริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือกับทาง ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างและรับสร้างบ้านที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น โดยความร่วมมือนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการดำเนินธุรกิจของทางสิงห์ เอสเตท ตามนโยบายที่จะขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเป็น “พรีเมียร์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ อินเวสต์เม้นท์ โฮลดิ้ง คัมปานี” (Premier Property Development & Investment Holding Company) ซึ่งแผนกลยุทธ์ในการร่วมทุนในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้บริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมรองรับโอกาสในอนาคต รวมทั้งยังส่งเสริมจุดแข็งของธุรกิจที่พักอาศัยในการขึ้นสู่การเป็น Leading Premium Developer ซึ่งถือเป็นหนึ่งในธุรกิจของบริษัทฯ     สำหรับการร่วมทุนในครั้งนี้ในฐานะตัวแทนของบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ที่ได้รับเกียรติร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านการก่อสร้างและรับสร้างบ้านในประเทศญี่ปุ่นและในหลายประเทศอย่าง ไดวะ เฮ้าส์ เพราะความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นแรงสำคัญที่จะส่งเสริมให้การเติบโตทางธุรกิจของทั้งสองบริษัทเป็นไปตามแผนที่วางไว้ได้อย่างชัดเจนและบรรลุเป้าหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น   ด้านรายละเอียดการร่วมทุนระหว่างสิงห์ เอสเตท และ ไดวะ เฮ้าส์ ในครั้งนี้ เพื่อลงทุนและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย โดยเบื้องต้นจะเริ่มโครงการแรกที่ EYSE Shukhumvit 43 (อีส สุขุมวิท 43) คอนโดมิเนียมลักชัวรี บริเวณซอยสุขุมวิท 43 มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ซึ่งทางไดวะ เฮ้าส์ จะนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการก่อสร้างจากญี่ปุ่น รวมถึงเทคโนโลยีสำหรับที่อยู่อาศัยเข้ามาปรับใช้ในโครงการ โดยมีเป้าหมายในการร่วมทุนเพื่อเป็น Strategic Partnership หรือร่วมทุนพัฒนาโครงการระยะยาวแบบต่อเนื่อง พร้อมกับมีแผนในการเจรจาเพิ่มเติมความร่วมมือรูปแบบอื่นๆ ในอนาคต”   นายโนบูยะ อิชิคิ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายงานต่างประเทศ บริษัท ไดวะ เฮ้าส์ อินดัสทรี จำกัด กล่าวว่า “บริษัทรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับทางสิงห์ เอสเตท เนื่องจากสิงห์ เอสเตท เป็นบริษัทที่เป็น good corporate citizenship มีความซื่อตรง และใส่ใจในคุณภาพชีวิตของชุมชน และสิ่งแวดล้อม โดยเรามีความมุ่งมั่นที่จะนำความเชี่ยวชาญในด้านงานก่อสร้างและความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัยต่างๆ ของทางบริษัท จะสามารถเข้ามาปรับใช้ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยร่วมกับทางสิงห์ เอสเตท ให้มีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้นได้อย่างแน่นอน และการเข้ามาในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ทางเราจะได้เข้ามาศึกษาตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ทั้งเรื่องของการทำการตลาด และความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการเข้ามาศึกษาสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการนำนวัตกรรมก่อสร้างจากญี่ปุ่นเข้ามาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย”   โดย ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป เป็นบริษัทรับสร้างบ้านรายแรกและรายใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น โดยมีความเชี่ยวชาญในการใช้นวัตกรรมการก่อสร้างที่ทันสมัยและมีการคิดค้นเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยได้มีการก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีของตนเองที่เมืองนารา ประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีและตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คน ดังเช่นวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าใหม่ให้กับสังคม ผ่านการสร้างคุณค่าร่วมกับบุคคล ชุมชน และวิถีชีวิตของผู้คน     “สำหรับโครงการ EYSE Shukhumvit 43 (อีส สุขุมวิท 43) ที่ได้มีการเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้รับความสนใจและการตอบรับจากลูกค้าทั้งที่กำลังมองหาที่พักอาศัยเพื่ออยู่เอง รวมถึงนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติเข้าเยี่ยมชมโครงการเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นโครงการแรกในเซ้กเม้นต์ Luxury Condominium ของบริษัท ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว มีคุณภาพชีวิตที่ดี ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง” นายนริศ เชยกลิ่น กล่าวปิดท้าย
จาก “บิ๊ก ดาต้า” สู่กลยุทธ์บ้านที่เติมเต็มทุกการใช้ชีวิตของแสนสิริ

จาก “บิ๊ก ดาต้า” สู่กลยุทธ์บ้านที่เติมเต็มทุกการใช้ชีวิตของแสนสิริ

ในโลกยุคปัจจุบัน ถือเป็นยุคแห่งการปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกมิติ ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยีแบบวินาทีต่อวินาที ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน การนำ “บิ๊กดาต้า” (Big Data) หรือข้อมูลที่มีอยู่อย่างมหาศาลจากการเก็บรวบรวมในที่ต่างๆ มาวิเคราะห์ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคมาใช้จึงเป็นเทคโนโลยีที่สามารถสร้างแต้มต่อให้แก่การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล   ปัจจุบันองค์กรชั้นนำต่างๆ มีการนำข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภคจากบิ๊กดาต้ามาใช้อย่างแพร่หลาย ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์เองก็มีการนำบิ๊กดาต้ามาใช้เพื่อจับเทรนด์พฤติกรรมของผู้บริโภคว่า ในขณะนี้ผู้บริโภคมีความต้องการเชิงลึกอะไร และจะต้องออกแบบที่อยู่อาศัยและดูแลลูกบ้านอย่างไรเพื่อให้ตอบสนองความต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคต แสนสิริเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่นำบิ๊กดาต้ามาใช้ เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมเชิงลึกของผู้บริโภคที่มีความหลากหลายในแต่ละเจนเนอเรชั่น และตีโจทย์ออกมาเป็นกลยุทธ์องค์กรและผลงานที่เป็นรูปธรรมครอบคลุมทุกมิติในการใช้ชีวิตของผู้พักอาศัย   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา แสนสิริไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้านแก่ลูกบ้าน โดยมีการนำบิ๊กดาต้า ซึ่งเป็นการรวบรวมฐานข้อมูลจากภายนอกและภายในของแสนสิริเอง มาวิเคราะห์ กลั่นกรอง ออกแบบ และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ผ่านทีมแสนสิริดีไซน์ โซลูชั่น ดีพาร์ทเมนท์ (DSD) และทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) ที่ใส่ใจทุกรายละเอียด ตั้งแต่ก่อนการพัฒนาคอนเซ็ปต์โครงการไปจนถึงการดูแลหลังการขาย เรียกได้ว่าเป็นการคิดและใส่ใจตลอดเส้นทางของผู้บริโภค (Customer Journey) โดยแนวคิดบ้านเติมเต็มทุกการใช้ชีวิต นี้ได้มี 4 มาตรฐานหลักในการพัฒนาการ ดูแล และนำมาใช้กับทุกโครงการด้านหลักๆ ของแสนสิริ คือ การออกแบบ (Design) คุณภาพ (Quality) เทคโนโลยี (Technology) และการบริการ (Service) เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการและการใช้ชีวิตที่หลากหลายของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน   การออกแบบ กับ คุณภาพ เป็นสิ่งที่แสนสิริมองว่า ต้องมาคู่กัน การออกแบบที่ดีนอกจากดีไซน์ที่สวยงามและก่อสร้างได้จริงแล้ว จะต้องมาพร้อมกับฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้จริง ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัยของอยู่อาศัย ซึ่งจากข้อมูลบิ๊กดาต้าของแสนสิริ พบว่า ผู้อยู่อาศัยบ้านเดี่ยว มักจะอยู่รวมกันถึง 3 เจนเนอเรชั่น คือ รุ่นปู่ ย่า พ่อแม่ และลูก ในการออกแบบโครงการประเภทบ้านเดี่ยวจึงต้องออกแบบให้ครอบคลุมเพื่อตอบโจทย์สำหรับ 3 เจนเนอเรชั่น ตั้งแต่การออกแบบให้ชั้นล่างมีห้องนอน เพื่อรองรับผู้สูงอายุจะได้ไม่ต้องเดินขึ้นลงบัน ออกแบบให้ขนาดห้องน้ำมีความกว้างมากกว่าปกติ มีการแยกโซนเปียกโซนแห้ง และพื้นจะต้องเรียบเสมอกัน เพราะจากฐานข้อมูล พบว่า การหกล้มและอุบัติเหตุที่เกิดกับผู้สูงอายุมักเกิดขึ้นในห้องน้ำ   การออกแบบเพื่อครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ด้วยความใส่ใจของแสนสิริ จึงออกแบบและพัฒนาสนามเล่นที่เป็นมากกว่าสนามเด็กเล่น ภายใต้แนวคิด Educational Playground ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านร่างกายและช่วยเพิ่มพูนพัฒนาการทางสมอง ในด้านทักษะการตัดสินใจ รวมถึงการแก้ปัญหาผ่านการเล่นเกมส์ โดยได้รับคำปรึกษาในการออกแบบและแนะนำเรื่องการใช้วัสดุให้ปลอดภัยในสนามเด็กเล่นจากโรงพยาบาลสมิติเวช   แสนสิริยังเติมเต็มคำว่า “บ้าน” ด้วยการออกแบบบ้านให้เย็นสบายไม่ต้องเปิดแอร์ ด้วยการออกแบบ Cool Living Designed Home อาทิ “Solar Attic” ระบบพัดลมและช่องระบายอากาศใต้หลังคาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้ภายในตัวบ้านเย็นลง ทำให้ทุกมุมของบ้านอยู่สบายตอบโจทย์การใช้ชีวิต     นอกจากนี้ ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภค ยังช่วยให้แสนสิริเห็นแนวโน้มสำคัญของคนรุ่นใหม่หรือคนยุคมิลเลนเนียลที่จะเริ่มมีบทบาทและกำลังซื้อมากขึ้นในอนาคต โดยข้อมูลระหว่างปีพ.ศ. 2556 - 2560 พบว่า กลุ่มดังกล่าวซื้อโครงการของแสนสิริเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แสนสิริจึงนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาโครงการ XT Condominium ที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ และสร้างนิยามใหม่ของไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียม โดยชู 3 จุดเด่น คือ Personalized Room Layouts อิสระในการเลือกรูปแบบห้อง 6 สไตล์ Co-Sharing Spaces เกิดจากแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบวัฒนธรรม Sharing Economy โดยแลกเปลี่ยนการเข้าใช้ Co-Sharing Spaces ที่แตกต่างกันได้ทุกโครงการภายใต้แบรนด์ XT และVirtual Activities ตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่สนใจเทคโนโลยี และ ระบบ Home Automation สำหรับการควบคุมและสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ภายในยูนิตและส่วนกลาง   เทคโนโลยีและนวัตกรรม แสนสิริ เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่มีการนำ Prop Tech มาช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตของลูกบ้านในฐานะครอบครัวของแสนสิริ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ต่อยอดมาจากบิ๊กดาต้า โดยเฉพาะในเรื่องของ Customer Journey ของแสนสิริ จนออกมาเป็น Sansiri Home Service Application แอปพลิเคชันเดียวที่เชื่อมต่อการใช้ชีวิตของลูกบ้านให้ง่ายขึ้นผ่านปลายนิ้วสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารระหว่างลูกบ้าน แสนสิริ และนิติบุคคลแบบเรียลไทม์ ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีจดหมายหรือพัสดุมาถึง ระบบแสดงค่าส่วนกลาง ยอดเงินฝาก ยอดเงินค้างชำระ รวมถึงระบบแจ้งซ่อม และ ตรวจสอบสถานะการแจ้งซ่อม โดยที่ไม่ต้องลงไปตรวจสอบทางฝ่ายนิติบุคคลด้วย ปัจจุบัน Sansiri Home Service Application ของแสนสิริมีผู้ใช้งานมากกว่า 20,000 คน   การบริการ ที่ไม่ใช่แค่บริการหลังการขาย แสนสิริพร้อมการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกบ้านตั้งแต่ก่อนซื้อ จนกระทั่งการย้ายเข้ามาอยู่ แสนสิริจึงได้พัฒนา Sansiri Move in Experience ขึ้น ในรูปแบบดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อดูแลลูกบ้านตลอดทุกการใช้ชีวิต รวมถึงดูแลสิทธิพิเศษให้กับลูกบ้านแสนสิริก่อนใครอย่าง Sansiri Priority และ Sansiri Family   ด้านความปลอดภัยซึ่งถือเป็นหัวใจของการอยู่อาศัย แสนสิริพัฒนา Sansiri Security System ระบบรักษาความปลอดภัยที่ผสานระหว่างการทำงานของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) มืออาชีพ ร่วมกับการนำเทคโนโลยีระบบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยมาใช้ อาทิเช่น Face Recognition บันทึกใบหน้าและลายนิ้วมือของผู้มาติดต่อ กล้องวงจรปิดที่พร้อมจับความผิดปกติตลอด 24 ชั่วโมง Digital Fence ระบบรั้วแจ้งเตือนเหตุการณ์ฉุกเฉิน โดยตรวจจับและส่งสัญญานแจ้งเตือนเมื่อมีการบุกรุก   ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่แสนสิริสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความเข้าใจข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภคเพื่อ “เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆด้านอย่างแท้จริง นับเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่นำความต้องการของลูกค้ามาวิเคราะห์และใช้ให้เกิดประโยชน์ทางธุรกิจและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคได้อย่างเป็นรูปธรรม
LPN ปักหมุด “ลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2” ทำเลเชื่อมต่อ CBD ของฝั่งธนและกรุงเทพฯ

LPN ปักหมุด “ลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2” ทำเลเชื่อมต่อ CBD ของฝั่งธนและกรุงเทพฯ

LPN บุกหนักครึ่งปีหลัง นอกจากขยายตลาดไปยังออฟฟิศคอนโด และบ้านพรีเมียมที่สร้างยอดขายได้สูงแล้ว คอนโด Affordable Price ยังคงเป็น Fighting Brand ที่ LPN ครองตลาดอยู่ ล่าสุด เปิด “ลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2” ด้วยราคาเริ่มเพียง 1.69 ล้าน ส่วนลดสูงสุด 80,000 บาท ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปท์ “Ralaxity Ville” บ้านที่พร้อมให้เอนกาย คลายความเหนื่อยล้า สงบ มีความเป็นส่วนตัวสูง สะดวกเดินทางเพราะเชื่อมต่อเขต CBD ของทั้งฝั่งธนและกรุงเทพฯ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วงส่วนต่อขยายในอนาคต     นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า ถึงแม้ในปีนี้บริษัทจะปรับกลยุทธ์โดยขยายการพัฒนาโครงการไปในระดับพรีเมียมมากขึ้นทั้งบ้านและคอนโด แต่ยังคงความตั้งใจในการพัฒนาคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่มเป้าหมายระดับกลางเพื่อให้มีที่พักอาศัยคุณภาพในราคาที่เป็นเจ้าของได้ โดยเดือนกันยายนนี้ บริษัทได้เปิดตัว “ลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2” บนถนนสุขสวัสดิ์ ทำเลที่บริษัทประสบความสำเร็จจาก 3 โครงการ คือ ลุมพินี วิลล์ ราษฎร์บูรณะ-ริเวอร์วิว ลุมพินี วิลล์ ราษฎร์บูรณะ-ริเวอร์วิว 2 และลุมพินี เพลส สุขสวัสดิ์-พระราม 2 โดยลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2 ที่บริษัทพัฒนาในครั้งนี้ รังสรรค์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “Relaxity Ville” ห้องชุดพักอาศัยที่ให้ความผ่อนคลาย สงบ มีเพียง 377 ยูนิตเท่านั้น และด้วยความสูงของอาคาร 26 ชั้น จึงสามารถชมวิวที่สวยงามทั้งกลางวันและกลางคืน แบบ 360 องศา พร้อมสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ของบางกระเจ้า ทั้งยังเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังเขตศูนย์กลางธุรกิจใหม่ของฝั่งธนบุรีริมแม่น้ำเจ้าพระยาย่านคลองสาน เจริญนคร ที่มีโครงการ Mix used ขนาดใหญ่ โรงแรม 5 ดาว เช่น ไอคอนสยาม โรงแรมเพนนินซูล่า หอชมเมืองในอนาคตหรือจะเดินทางไปยังเขต CBD ของกรุงเทพมหานคร ทั้งสีลม สาทร ก็สะดวกง่ายดาย จึงเป็นที่ที่คำว่า Work Life Balance เกิดขึ้นจริง     “โครงการนี้ตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสบายในการเดินทางเพราะทำเลติดถนนใหญ่ อยู่บริเวณหัวมุมจุดเชื่อมต่อระหว่างถนนสุขสวัสดิ์และถนนพระราม 2 ใกล้ทางด่วนและสามารถเชื่อมต่อกับถนนหลายสาย ทำให้เดินทางเข้า-ออกเมืองได้ง่ายขึ้น ประกอบกับทำเลแห่งนี้ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะใกล้เขตเมืองในราคาที่พักอาศัยไม่แพงมากนัก นอกจากนี้ การมีสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมทั้งสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 ทำให้การเดินทางข้ามไปฝั่งพระราม 3 พระประแดง ปู่เจ้าสมิงพราย จังหวัดสมุทรปราการ หรือไปโซนบางนาสะดวกมากยิ่งขึ้น ทั้งยังมีองค์ประกอบในการอยู่อาศัยที่ครบครัน ใกล้สถานศึกษา โรงพยาบาล ศูนย์การค้าชั้นนำ เป็นหนึ่งในทำเลที่น่าอยู่และเหตุผลสำคัญที่ LPN เลือกพัฒนาโครงการใหม่ในย่านนี้อีกครั้ง จากลูกค้าที่มีความเชื่อมั่นในแบรนด์ “ลุมพินี” และด้วยการบริหารหลังการขายตามกลยุทธ์ “ชุมชนน่าอยู่” (Livable Community)”     “ลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2” มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท พร้อมห้องชุด New LPN Design ที่แบ่งสัดส่วนความเป็นส่วนตัวด้วยกระจกระหว่างห้องนอนและห้องรับแขก ขนาดห้องชุดเริ่มตั้งแต่ 23.50 – 36.00 ตร.ม. ด้านพื้นที่ส่วนกลางทีมสถาปนิกได้นำแรงบันดาลใจจากเส้นสายของพื้นป่าชายเลนมาออกแบบให้มีความเป็นธรรมชาติ มีพื้นที่สีเขียว เหมาะแก่การพักผ่อน ปัจจุบันเปิดขายแล้ว ด้วยราคาเริ่มเพียง 1.69 ล้านบาท ส่วนลดสูงสุด 80,000 บาท ณ สำนักงานขายโครงการลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LPN Call Center 02-689-6888 / www.lpn.co.th
เน็กซัส แนะการพัฒนาโครงการคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เน็กซัส แนะการพัฒนาโครงการคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ ชี้ราคาที่ดิน ทำเล และการขยายตัวของเมือง เป็นปัจจัยหลักส่งให้ราคาคอนโดมิเนียมปรับตัวสูงขึ้น การเข้ามาซื้อคอนโดเพื่อลงทุนของชาวต่างชาติ ที่หวังผลการลงทุนระยะยาว อาจเป็นเพียงสีสันให้วงการอสังหาในช่วงระยะเวลา 1-2 ปีนี้ แนะ ผู้ประกอบการให้คำนึงถึงกลุ่มลูกค้าคนไทยที่ซื้อเพื่ออยู่จริง และควรศึกษาถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคก่อนพัฒนาสินค้า เพื่อให้ได้สินค้าที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการสูงสุด เพื่อการเติบโต อย่างมั่นคงและยั่งยืนของตลาดคอนโดมิเนียม   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเน็กซัสฯ นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตลาดคอนโดมิเนียม มาอย่างต่อเนื่อง เราพบว่าอัตราการเติบโตของอุปทานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี โดยราคาจะปรับเพิ่มสูงขึ้น 8-12% ต่อปี ซึ่งราคาคอนโดมิเนียมที่สูงขึ้นเป็นเพราะปัจจัยหลัก คือ ราคาที่ดินที่สูงขึ้น ที่ดินหายากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นปัจจัยให้ผู้ประกอบการต้องพิจารณาในการพัฒนาสินค้า เพื่อตอบสนองกับการเติบโตของตลาดในระยะยาวแบบยั่งยืนอีกด้วย   สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมไตรมาส 2 ของปี 2561 พบว่าอุปทานคอนโดมิเนียมในตลาดกรุงเทพฯ เติบโตขึ้น 9,395 หน่วย จาก 20 โครงการ ทำให้ในตลาดมีคอนโดมิเนียมรวม 573,000 หน่วย โดยทำเลที่มีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่มากที่สุด คือ บริเวณจรัญสนิทวงศ์ และสะพานควาย ซึ่งเป็นเขตรอบใจกลางเมือง   ด้านราคา พบว่าภาพรวมตลาดราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมปรับตัวสูงขึ้น 5% ในช่วงครึ่งปีแรก คือ 137,100 บาท/ตารางเมตร แต่เมื่อเจาะลงมาในกลุ่มตลาดใจกลางเมือง พบว่ายังคงเป็นตลาดที่ครองตำแหน่งการปรับตัวของราคาสูงที่สุด คือ 6% หรือ 223,000 บาท/ตารางเมตร ส่วนตลาดรอบใจกลางเมืองปรับตัวสูงขึ้น 4% หรือ 110,000 บาท/ตารางเมตร และตลาดรอบนอกราคาปรับตัวสูงขึ้นอีก 3% หรือ 75,000 บาท/ตารางเมตร ตามลำดับ   สำหรับความต้องการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา พบว่าเป็นดีมานด์จากคนไทย ที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยจริงมากกว่า 80% แต่ในระยะเวลาช่วง 1-2 ปีนี้ จะเห็นได้ว่าเริ่มมีกำลังซื้อจากชาวต่างชาติมากขึ้น โดยจะซื้อผ่านนายหน้าเป็นหลัก ซึ่งวัตถุประสงค์ในการซื้อก็เพื่อการลงทุน ทั้งในแบบระยะสั้น และระยะยาว เพื่อปล่อยเช่า เพราะคาดหวังในผลตอบแทนรายปีและจากราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่าราคาค่าเช่า ไม่ได้เติบโตในอัตราส่วนเดียวกับราคาขายของคอนโดมิเนียม ดังนั้น ในระยะยาวนักลงทุนน่าจะหวังผลกำไรจากราคาขายต่อที่เพิ่มสูงขึ้นได้เป็นหลัก ส่วนจากราคาค่าเช่าอาจไม่ได้สูงมากนัก และหากจะคาดว่าต่างชาติจะเข้ามาถือครองคอนโดมิเนียมในสัดส่วน 49% อาจเห็นได้ในบางโครงการเท่านั้น และในที่สุดแล้ว ตลาดที่น่าจะต้องให้ความสนใจเป็นหลักก็ยังคงเป็นตลาดคนไทยนั่นเอง     ภาพรวมการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของตลาดคอนโดมิเนียมในช่วง 7 - 10 ปีที่ผ่านมานั้น พบว่าการเปลี่ยนแปลง ด้านแรก คือ 1) ด้านทำเลที่ตั้ง เพราะเมื่อเมืองขยายตัว ส่งผลให้การคมนาคมขนส่งที่ขยายตัวและเติบโตมากขึ้น การเติบโตของคอนโดมิเนียมก็ขยายบริเวณออกไปด้วย พบการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ คือ สัดส่วนอุปทาน ที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มสูงขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา คือ 2 ทำเลรอบนอก ได้แก่ ธนบุรี-เพชรเกษม ซึ่งจากเดิมในปี 2554 มีเพียง 13,000 ยูนิต แต่ปัจจุบันจากการสำรวจเมื่อไตรมาส 2/2561 พบว่าเพิ่มขึ้นเป็น 66,000 ยูนิต และอีกทำเลหนึ่ง คือ งามวงศ์วาน ติวานนท์ ที่จากเดิมในปี 2554 มีเพียง 17,000 ยูนิต กลับเพิ่มขึ้นเป็น 73,000 ยูนิต   2) การเปลี่ยนแปลงด้านขนาดของห้อง พบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขนาดห้องของคอนโดมิเนียมเล็กลงเป็น อย่างมาก เช่น คอนโดมิเนียม 1 ห้องนอน เดิมมีขนาด 65 ตารางเมตร ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 28 ตารางเมตร เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนแล้ว ขนาดของห้องเล็กลงเกินกว่าครึ่งหนึ่งจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในขณะที่คอนโดมิเนียมขนาด2 ห้องนอน แต่เดิมมีขนาด 120 ตารางเมตร ในปัจจุบันเหลือเพียง 45 - 48 ตารางเมตร เป็นต้น   3) ในด้านรูปแบบของห้อง (Room Mix) พบว่าสัดส่วนของห้องชุดก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับหลายปีก่อน พบว่าในหนึ่งโครงการ ห้องชุดขนาด 2 และ 3 ห้องนอน จะมีสัดส่วนห้องมากที่สุดของทั้งโครงการ ในขณะที่ห้องชุดขนาด 1 ห้องนอน มีสัดส่วนเพียง 20 - 30% ของโครงการเท่านั้น แต่ในปัจจุบันกลับพบว่าห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน จะเป็นสัดส่วนหลักในการพัฒนาโครงการสำหรับคอนโดมิเนียมยุคนี้ เราแทบจะหาคอนโดมิเนียมขนาด 3 ห้องนอนในโครงการใหม่ๆ ไม่ได้เลย และด้วยขนาดห้องที่เล็กลง ส่งผลให้การพัฒนาคอนโดมิเนียมมีจำนวนห้องในแต่ละโครงการเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น ที่ดินขนาด 2 ไร่ จากสมัยก่อนที่เคยทำคอนโดมิเนียมตึกสูงได้จำนวน 300 ยูนิต ปัจจุบันก็เพิ่มเป็น 500 ยูนิต ในสัดส่วนพื้นที่ขายที่เท่ากัน ซึ่งนับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อุปทานคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นในอัตราที่ค่อนข้างสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา   4) การเปลี่ยนแปลงด้านราคาต่อหน่วย สำหรับคอนโดมิเนียมในตลาดระดับกลาง (mid market) และตลาดซิตี้คอนโด มีระดับราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 1.5 ล้านบาท ถึง 3 ล้านบาทต่อยูนิต มีจำนวนหน่วยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของจำนวนห้องชุดทั้งหมดในตลาด ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพนั้น แต่ราคาต่อหน่วยถูกจำกัดด้วยความสามารถในการผ่อนชำระของผู้ซื้อมาโดยตลอด ทำให้ผู้ประกอบการต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบการพัฒนาโครงการ เพื่อกำหนดขอบเขตของต้นทุนให้อยู่ในเงื่อนไขราคาต่อหน่วยที่กำหนด โดยในหลายปีที่ผ่านมา ด้วยราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ทำเลของโครงการถูกขยับออกไปไกลจากใจกลางเมืองมากขึ้น โดยเกาะขอบแนวรถไฟฟ้าที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต หรือเข้าไปอยู่ในซอยเล็กเป็นอาคาร 8 ชั้น เป็นต้น   ทั้งนี้ หากวิเคราะห์สัดส่วนรายได้จากกลุ่มคนทำงานในกรุงเทพฯ แล้ว จะพบว่ากลุ่มคนทำงานในระดับเจ้าหน้าที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 35,000 บาท สามารถซื้อคอนโดมิเนียมขนาด 1 ห้องนอน ในกลุ่มซิตี้คอนโดฯ ระดับราคาไม่เกิน 2.5 ล้านบาท ในขณะที่กลุ่มตลาดระดับกลาง (mid market) พนักงานในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสหรือหัวหน้างาน ผู้มีรายได้ไม่เกิน 65,000 บาทต่อเดือน จึงจะสามารถเริ่มซื้อได้ ในขณะที่คอนโดฯ ระดับไฮเอนด์ผู้ที่สามารถซื้อได้ จะต้องอยู่ในระดับผู้จัดการขึ้นไป หรือผู้ที่มีรายได้ 120,000 บาทต่อเดือน และในกลุ่มลักซัวรี่และซูเปอร์ลักซัวรี่จะต้องเป็นเจ้าของกิจการและผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น ด้วยราคาคอนโดมิเนียมที่ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 7-8% ต่อปี ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คอนโดมีเนียมมีราคาเพิ่มสูงขึ้นมากกว่ารายได้ของประชากรกรุงเทพฯ บางส่วน ซึ่งแน่นอนความสามารถในการซื้อห้องในราคาที่เพิ่มสูงขึ้นบ้างก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่อาจจะได้ห้องขนาดเล็กลงในทำเลเดิม หรือซื้อห้องขนาดเท่าเดิมในทำเลที่ไกลออกไป   “สรุปแล้วการเติบโตที่ยั่งยืนของตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ก็ยังคงต้องพึ่งตลาดคนไทยเป็นหลัก โดยตลาดต่างชาตินั้นเข้ามาเสริม ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อการลงทุนระยะยาว จากราคาคอนโดมิเนียมที่เพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยค่าเช่าน่าจะเป็นส่วนเสริมให้การลงทุน มีความน่าสนใจมากขึ้นเท่านั้น ในระยะกลางหรือระยะยาวคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ จะขยายตัวออกไปยังชานเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิตคนที่ทำงานจากบ้านได้มากขึ้น และศูนย์กลางการทำงานอาจมีการขยายตัวไปยังบริเวณรอบใจกลางเมืองมากขึ้นเหมือนเช่น พระราม 9 บางซื่อ พหลโยธิน รัชดาภิเษก เป็นต้น ทำให้เมืองขยายออกไป และตลาดคอนโดมิเนียมรอบนอกเมือง ก็ยังคงขยายตัวต่อเนื่องในขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง การเติบโตของตลาดคอนโดมิเนียมมือสองจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคาคอนโดมิเนียมใหม่ ขนาดห้องที่ใหญ่กว่า ตอบรับกับการอยู่อาศัยได้จริง ซึ่งเราอาจจะไม่เห็นในกลางเมืองกรุงเทพฯ ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า แต่ในระยะยาวลักษณะแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นในตลาดกรุงเทพฯ เหมือนเมืองใหญ่ๆ ทั่วไปในโลก เช่น นิวยอร์ค หรือ โตเกียว เป็นต้น” นางนลินรัตน์ กล่าวสรุป      
TFIC Furniture Outlet 2018 งานเฟอร์นิเจอร์ส่งออกลดราคาสูงที่สุดแห่งปี  ห้ามพลาด 26-30 ก.ย.นี้ ส่วนลดราคาสูงสุดถึง 80%

TFIC Furniture Outlet 2018 งานเฟอร์นิเจอร์ส่งออกลดราคาสูงที่สุดแห่งปี ห้ามพลาด 26-30 ก.ย.นี้ ส่วนลดราคาสูงสุดถึง 80%

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ร่วมประชาสัมพันธ์ TFIC Furniture Outlet 2018 งานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ส่งออกครั้งที่ 14 ชูผลงานการออกแบบและผลิตโดยคนไทย ในคุณภาพระดับพรีเมียม พร้อมส่วนลดราคาสูงสุดถึง 80% โดยปีนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 26-30 กันยายน 2561 เวลา 10:30 – 21:00 น. ณ อาคาร 2-4 ศูนย์แสดงสินค้าและประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี   นายมานะผล ภู่สมบูญ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ มีความภูมิใจที่จะเดินหน้าสนับสนุนอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของไทย เรามุ่งมั่นส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ในประเทศไทย อีกทั้งสนับสนุนผลงานการออกแบบและการผลิตเฟอร์นิเจอร์ส่งออกของคนไทยให้เป็นที่ประจักษ์มากขึ้นในประเทศ เพราะเราคนไทยควรได้รับโอกาสที่จะเลือกใช้สินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่ดีที่สุด   ที่ผลิตด้วยคนไทยกันเอง ไม่น้อยไปกว่าตลาดต่างประเทศอื่นๆ จึงได้มีแนวคิดจัดงานแสดงสินค้า ภายใต้ชื่องาน TFIC Furniture Outlet ซึ่งจัดขึ้นเพียงปีละครั้ง เพื่อส่งเสริมสินค้าเฟอร์นิเจอร์ไทย คุณภาพระดับโลก ในราคาที่ดีที่สุด แก่ผู้บริโภคในประเทศ เพราะสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ด้วยบทบาทนี้ เราจึงสามารถส่งเสริมสินค้าเฟอร์นิเจอร์ส่งออกในราคาโรงงาน ซึ่งผู้บริโภคทุกท่านมั่นใจได้ว่ามีคุณภาพระดับพรีเมียมจริง”   นายพิชัย พินิตกาญจนพันธุ์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า งาน TFIC Furniture Outlet เกิดจากกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นำบริษัทสมาชิก ผู้ส่งออกและผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ตัวจริง มาจำหน่ายสินค้าเฟอร์นิเจอร์คุณภาพที่ได้มาตรฐานการส่งออก คุณภาพระดับโลก ในราคาที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคในประเทศ ซึ่งต่างก็เป็นแบรนด์ชั้นนำที่ส่งตรงจากโรงงานมาให้เลือกสรรหลากหลายสไตล์ “กว่า 13 ปีที่ผ่านมากลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ประสบความสำเร็จในการจัดงาน TFIC Furniture Outlet เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทยในประเทศให้พัฒนาและขยายตัว อีกทั้งส่งเสริมการเพิ่มตัวเลือกสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณภาพโดยฝีมือคนไทยแก่คนไทยในประเทศที่ใส่ใจเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่ดีที่สุดให้แก่ที่อยู่อาศัยหรือธุรกิจของตนเอง โดยในปี 2560 มียอดผู้เข้าชมงานถึง 30,000 คน สร้างเงินสะพัดสู่เศรษฐกิจไทยกว่า 90 ล้านบาท จากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา อีกทั้งสภาพตลาดที่อยู่อาศัยและเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวในทิศทางบวก”   นายธนทัต ชวาลดิฐ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ประธานคณะจัดงานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ TFIC Furniture Outlet 2018 กล่าวปิดท้ายว่า “TFIC Furniture Outlet 2018 ปีที่ 14 คืองานเกิดจากการรวมตัวของสมาชิกของกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อยกทัพเหล่าผู้ส่งออกและผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์แถวหน้าของประเทศไทย มามอบข้อเสนอที่ดีที่สุดแก่ผู้ซื้อคนไทย ด้วยสินค้าคุณภาพระดับโลกหลากหลายสไตล์ ทั้งเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์ไม้ เฟอร์นิเจอร์โซฟา เฟอร์นิเจอร์หวาย เฟอร์นิเจอร์อลูมิเนียม และสินค้าตกแต่งบ้านอื่นๆ ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการ โดยงานในปี 2561 นี้มีบริษัทตอบรับเข้าร่วมแสดงสินค้ากว่า 100 บริษัท ซึ่งครอบคลุมสินค้าเฟอร์นิเจอร์คุณภาพส่งออก ที่มีความหลากหลาย อาทิ เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน จากร้อกเวิธ, เฟอร์นิเจอร์ไม้ จาก โอ.เค. วู้ด โปรดั๊ค, พิโคที, ชำนิเฟอร์นิเจอร์, ส. กิจชัย, โพเดียม และเฟอร์นิสท์, เฟอร์นิเจอร์โซฟา จากเลซีบอย, อีลิทดีไซน์ และโซฟาเมคเกอร์, เฟอร์นิเจอร์หวาย จากฮาวายไทยเฟอร์นิเจอร์ และเฟอร์นิเจอร์อลูมิเนียม จากคุณากิจอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ โดยในปีนี้เราคาดว่าจะมียอดผู้เข้าชมงานกว่า 35,000 คน เป็นยอดขายกว่า 110 ล้านบาท”   สำหรับ TFIC Furniture Outlet 2018 มีความพิเศษกว่าทุกงานเฟอร์นิเจอร์ใดๆ ในประเทศเพราะมีส่วนลดราคาสูงสุดถึง 80% อีกทั้งยังมีกิจกรรมทาง Facebook ให้ร่วมสนุกเพื่อลุ้นรับบัตรกำนัลแทนเงินสดสำหรับซื้อเฟอร์นิเจอร์ในงานสูงสุดถึง 5,000 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 30,000 บาท   นอกจากนี้ ในปีนี้ยังมีโปรโมชั่นสุดพิเศษจากธนาคารกรุงศรี ได้แก่ สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตในเครือกรุงศรี โดยสามารถแบ่งจ่าย 0% นานสูงสุด 10 เดือน และรับเครดิตเงินคืนสูงสุดถึง 25,500 บาท ต่อหมายเลขบัญชี ตลอดรายการ ซึ่งลูกค้าสามารถรวมบิลยอดผ่อนชำระได้ตลอดทั้งงาน สำหรับลูกค้าที่ชำระสินค้าเต็มจำนวนจะได้รับของสมนาคุณมูลค่าสูงสุด 2,980 บาท ทำให้เราเชื่อมั่นว่างาน TFIC Furniture Outlet 2018 ในปีนี้จะได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคในประเทศ รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ที่หลงใหลในเฟอร์นิเจอร์คุณภาพระดับโลก”   ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นของงาน TFIC Furniture Outlet 2018 ได้ที่ www.facebook.com/TFICFurnitureOutlet    
“วิลเลรอย แอนด์ บอค” จับมือ “สายการบิน “Lufthansa”  ชวนคุณสัมผัสพิเศษกับ “ห้องน้ำหรู”  ณ สนามบิน Milan Malpensa ประเทศอิตาลี

“วิลเลรอย แอนด์ บอค” จับมือ “สายการบิน “Lufthansa” ชวนคุณสัมผัสพิเศษกับ “ห้องน้ำหรู” ณ สนามบิน Milan Malpensa ประเทศอิตาลี

บริษัท วิลเลรอย แอนด์ บอค จำกัด ผู้นำด้าน Total Bathroom Solution ระดับโลก จากประเทศเยอรมนี ภายใต้แบรนด์ “Villeroy & Boch” ที่มากประสบการณ์ในเรื่องของการออกแบบสุขภัณฑ์ฉลองครบรอบ 270 ปี ด้วยการจับมือกับ “Lufthansa” สายการบินยักษ์ใหญ่จากประเทศเยอรมนี ผนึกกำลังร่วมเนรมิต “ห้องน้ำสุดหรู” ภายในห้องรับรองโฉมใหม่ของสายการบิน Lufthansa ณ สนามบิน Milan Malpensa ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 สนามบินนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลีตอนเหนือ คอนเซ็ปต์การออกแบบเน้นที่ความทันสมัยของผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำและกระเบื้องคุณภาพชั้นเยี่ยม ผสานกับกลิ่นอายประวัติศาสตร์ของเมืองมิลานด้วยแผนที่เมืองเก่าและตึกที่มีรูปแบบและสไตล์แบบดั้งเดิม   ทั้งนี้ ห้องรับรองของสายการบิน Lufthansa ถูกจัดไว้สำหรับให้ผู้โดยสารของสายการบินได้หลีกหนีจากการเดินทางที่แสนวุ่นวาย และได้พักผ่อนเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า ด้วยพื้นที่ขนาด 550 ตารางเมตร และพิเศษด้วยวิวลานจอดเครื่องบินที่พร้อมให้บริการแบบ first-class และห้องรับรองแบบส่วนตัวในบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเงียบสงบเป็นส่วนตัว   ด้วยประสบการณ์ในเรื่องการออกแบบและในเรื่องของสุขภัณฑ์ที่มีมากกว่า 270 ปี ทางวิลเลรอย แอนด์ บอค จึงเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านที่มาใช้บริการ ห้องน้ำสุดหรูแห่งนี้ จะได้รับประสบการณ์ใหม่และความประทับใจมิรู้ลืม     ติดตามข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมของ Villeroy & Boch ได้ที่ www.villeroy-boch.comhttp://www.villeroy-boch.com และ โทร. 02206-3400      
พร้อมเปิดสถานีแห่งความสุขแล้วที่ เดอะคิวบ์ สเตชั่น รามอินทรา 109 คอนโดใหม่ เริ่ม 1.49 ล้าน*

พร้อมเปิดสถานีแห่งความสุขแล้วที่ เดอะคิวบ์ สเตชั่น รามอินทรา 109 คอนโดใหม่ เริ่ม 1.49 ล้าน*

The Cube Station Ramintra 109 (เดอะคิวบ์ สเตชั่น รามอินทรา 109) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ (Low Rise) สไตล์โมเดิร์น 8 ชั้น 2 อาคาร จากบริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่สร้างเสร็จใหม่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ เข้าพักอาศัยได้ทันที และสามารถลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตบนทำเลดีมีศักยภาพ ติดถนนพระยาสุเรนทร์เชื่อมกับถนนรามอินทรา และเพียง 300 เมตร ถึงรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีบางชัน (ในอนาคต) พร้อมเปิดให้เข้าชมห้องจริงและสัมผัสบรรยากาศโดยรอบทั้งโครงการ (Open House) ในวันที่ 15-16 กันยายน 2561 เวลา 9.00 – 17.30 น. เตรียมพบกับ ‘สถานีแห่งความสุข เปิดแล้วที่ เดอะคิวบ์ สเตชั่น รามอินทรา 109’ คอนโดสร้างเสร็จใหม่ ราคาพิเศษเริ่มต้น 1.49 ล้าน* มีขนาดห้อง 24-34 ตารางเมตร พร้อมเฟอร์นิเจอร์สวยและคุณภาพดีจาก Modernform ครบทุกฟังก์ชั่น (Fully Furnished) รับข้อเสนอพิเศษมากมายสำหรับท่านที่ซื้อคอนโดมิเนียมภายในงาน และสามารถปรึกษาด้านการเงินการลงทุนในการซื้อคอนโดมิเนียมกับเจ้าหน้าที่ธนาคารได้ทันที พบกิจกรรมพิเศษ DIY ดีไซน์นาฬิกาและประดิษฐ์เองในสไลต์ที่เป็นคุณแบบเดียวที่ไม่เหมือนใคร (Limited Edition) ในบรรยากาศดนตรีในสวน ณ โครงการเดอะคิวบ์ สเตชั่น รามอินทรา 109 เชิญสัมผัสกับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องฟิตเนส ห้องซาวน่า (แยกชาย/หญิง) ห้องสมุด สวนหย่อม คีย์การ์ดเข้าอาคารและลิฟท์แบบล็อคชั้น กล้องวงจรปิด CCTV รอบโครงการ และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง Wi-Fi อินเตอร์เน็ตที่ล็อบบี้ส่วนกลาง สะดวกสบายบนพื้นที่ส่วนตัวติดแนวรถไฟฟ้า รวมทั้งการคมนาคมที่สะดวกรวดเร็วทุกเส้นทาง ใกล้สถาบันการศึกษา แหล่งธุรกิจ โรงพยาบาล ศูนย์การค้า ร้านอาหาร คอมมูนิตี้มอลล์ ร้านสะดวกซื้อ ตลาด ฯลฯ (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) สอบถามเพิ่มเติมและรับเงื่อนไขพิเศษ โทร. 1246 (กดเลือก The Cube Station Ramintra 109) เวลาทำการทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุด) หรือส่งข้อความในกล่องข้อความ (inbox) ทาง www.facebook.com/The Cube Condominium และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ของโครงการฯ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม http://www.thecube-condo.com
HBA พลิกกลยุทธ์ย้ำความสำเร็จงานรับสร้างบ้าน เผยยอดจอง “HBEXPO 2018”ทะลุเป้า 3 พันล้าน  ++ราคาบ้าน 2-5 ล้านบาทมาแรงสุด

HBA พลิกกลยุทธ์ย้ำความสำเร็จงานรับสร้างบ้าน เผยยอดจอง “HBEXPO 2018”ทะลุเป้า 3 พันล้าน ++ราคาบ้าน 2-5 ล้านบาทมาแรงสุด

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เผยความสำเร็จงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Expo 2018” ภายใต้แนวคิด ”สร้างบ้านที่ชอบ ในราคาที่ใช่” 4 วัน กวาดยอดขายทะลุกว่า 3,000 ล้านบาท สูงเกินเป้า 12% สร้างสถิติสูงสุดในรอบ 3 ปี เผยราคาบ้าน 2-5 ล้านบาทยังคงมาแรงสุด   นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association :HBA) เปิดเผยถึงความสำเร็จของการจัดงาน “Home Builder & Materials Expo 2018” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-19 สิงหาคมที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด “สร้างบ้านที่ชอบ ในราคาที่ใช่” ซึ่งตลอด 4 วันของการจัดงาน มียอดจองสร้างบ้านภายในงานกว่า 3,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 12% จากเป้าที่ตั้งไว้ 2,700 ล้านบาท นับว่าประสบความสำเร็จ และเป็นการทำสถิติด้านยอดจองสร้างบ้านสูงกว่าการจัดงานที่ผ่านมา โดยประเภทแบบบ้านราคาตั้งแต่ 2-5 ล้านบาทขึ้นไปได้รับยอดจองจากลูกค้ามากสุด   ทั้งนี้ จากตัวเลขยอดจองปลูกสร้างบ้านภายในงานที่เพิ่มขึ้น น่าจะมาจากหลายปัจจัย ทั้งภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศสูงขึ้น โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์ขยายตัวสูงถึง 4.8% การเร่งลงทุนโครงการของภาครัฐ และมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคเติบโต และช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้เพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้การที่สมาคมฯ ได้ปรับกลยุทธ์ในการสื่อสารและเพิ่มงบประมาณ รวมถึงช่องทางการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การจัดงานให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยเน้นสื่อออนไลน์ และโฆษณาทางโทรทัศน์ ทำให้มีจำนวนยอดผู้เข้าร่วมงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดจองในงานมากขึ้นเมื่อเทียบกับการจัดงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา     จากการประมวลผลข้อมูลแบบสอบถาม ผู้เข้าชมงาน พบว่า ระดับราคาบ้านที่ได้รับความสนใจจองปลูกสร้างมากที่สุด ยังเป็นแบบบ้านกลุ่มราคา 2-5 ล้านบาท คิดเป็น 21.95% รองลงมาเป็นราคา 1-2 ล้านบาท คิดเป็น 19.51% กลุ่มราคา 8-10 ล้านบาท คิดเป็น 4.88% ขณะที่กลุ่มราคา 5-8 ล้านบาท และราคา 10-15 ล้านบาท คิดเป็น 2.44% เท่ากัน   สำหรับเหตุผลที่เลือกสร้างบ้านเองกับสมาชิกสมาคมฯ พบว่าส่วนใหญ่ มีที่ดินเปล่าอยู่แล้ว ในทำเลที่ต้องการ ซึ่งเจ้าของบ้านสามารถเลือกแบบบ้านและวัสดุสร้างบ้านได้ตามความต้องการและงบประมาณ     “งานรับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Expo 2018” ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมหลักสำคัญของสมาคมฯที่จะยกระดับมาตรฐานของธุรกิจรับสร้างบ้านให้เป็นที่ยอมรับกับผู้บริโภคโดยทั่วไป รวมถึงการเพิ่มศักยภาพความเชื่อมั่นธุรกิจรับสร้างบ้านโดยฝีมือคนไทยให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น ครั้งนี้มีบริษัทรับสร้างบ้านที่ร่วมออกงานกว่า 40 บริษัท พร้อมด้วยแบบบ้านที่มีให้เลือกมากมาย ถือเป็นงานเดียวที่รวบรวมแบบบ้านไว้มากที่สุด นอกจากนี้ หลายบริษัทยังมีการนำแบบบ้านที่ออกแบบใหม่ล่าสุดมาจัดแสดงพร้อมโปรโมชั่นพิเศษ  
อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จับมือ Seedstars ชูนวัตกรรมเทคโนโลยี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้น

อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จับมือ Seedstars ชูนวัตกรรมเทคโนโลยี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้น

อนันดา เออร์เบินเทค (Ananda UrbanTech) เป็นวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่จะพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองมาอย่างต่อเนื่องผ่านการปรับใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี และ Seedstars องค์กรระดับโลกที่มุ่งมั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงและพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองผ่านเทคโนโลยีและการคิดค้นของผู้ประกอบการธุรกิจหน้าใหม่ ร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่สองในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Ananda x Seedstars Urban Living 2018 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 โดยภายในงานได้มีการนำวิทยากรชั้นนำมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมล่าสุดเพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯรวมทั้งพื้นที่ใกล้เคียงอื่นๆ การพัฒนาชุมชนเมืองกำลังเป็นประเด็นสำคัญในกรุงเทพฯ ในยุคการย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ (Urbanization) ประชากรโลกกว่าครึ่งอาศัยอยู่ในเมือง องค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่า ประชากรที่จะเข้ามาอาศัยในเมืองจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี ค.ศ. 2050 ความท้าทายที่นักวางแผนเมืองต้องเผชิญคือการพิจารณาภูมิทัศน์เมืองตลอดจนสุขภาพ การเคลื่อนย้าย การศึกษาของผู้อยู่อาศัย มลพิษ ความปลอดภัย และโครงสร้างพื้นฐาน ตามรายงานเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals Report) ข้อท้าทายสำคัญของกรุงเทพคือจำนวนอุบัติเหตุบนท้องถนน การจราจรที่ติดขัด และปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อจำนวนประชากร     ดร.จอห์น มิลลาร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ที่อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เราพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในทุกๆด้านของธุรกิจเพื่อปฏิรูปอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์สู่อนาคต ซึ่งการร่วมมือกับ Seedstars ถือเป็นบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนเมืองในประเทศไทยและในภูมิภาคผ่านกลยุทธ์การช่วยสนับสนุนและส่งเสริมบริษัทหน้าใหม่ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาการใช้ชีวิตของคนเมืองที่ดียิ่งขึ้น"   ความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ และ Seedstars มีจุดประสงค์หลักเพื่อการเปลี่ยนแปลงวิถีการพัฒนาชุมชนเมืองในกรุงเทพฯให้ดียิ่งขึ้น โดยงานในครั้งนี้ได้รวบรวมผู้นำและบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาชุมชนเมืองมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดและนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมอย่างเป็นรูปธรรม ท่ามกลางการถกเถียงมากมายว่าสมาร์ทซิตี้จะไม่ยั่งยืนอย่างแท้จริง เว้นแต่ประชาชนจะมีส่วนร่วมขับเคลื่อนความเป็นสมาร์ทซิตี้ จากแนวคิดสำคัญของวิทยากรนำเสนอ 4 โซลูชั่นส์ที่น่าจะเป็นไปได้เพื่อช่วยพัฒนากรุงเทพฯให้กลายเป็นสมาร์ทซิตี้ ซึ่ง 4 โซลูชั่นส์ดังกล่าว   ประกอบด้วย: • สภาพแวดล้อมเสมือนจริง (Augmented Environments) ช่วยให้ผู้คนสามารถโต้ตอบกับสภาพแวดล้อมโดยรอบได้ในอย่างที่ไม่เคยมาก่อน • ผสมผสานพื้นที่สีเขียวเพื่อให้อาคารมีความยั่งยืนได้ด้วยตัวของมันเอง • การขนส่งแบบบูรณาการ (เชื่อต่อการขนส่งหลายชนิดเข้าด้วยกัน เพื่อการทำงานที่เป็นหนึ่ง) • การวางแผนที่ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงเทพกับข้อมูล (Bangkok Interactions with Data)     คุณคาตาริน่า ซูเลนไยโอวา (Katarina Szulenyiova) หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท Seedstars กล่าวว่า “วิสัยทัศน์ของเราคือมุ่งมั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงและพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองผ่านเทคโนโลยีและการเปิดโอกาสสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจหน้าใหม่ การใช้ชีวิตในเมืองและสมาร์ทซิตี้เป็นสองประเด็นสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างความแตกต่าง การนำผู้เชี่ยวชาญและผู้คิดค้นพัฒนามาปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวถือเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนเครื่องมือเพื่อให้การคิดค้นของพวกเขาบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้"   งานในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อให้นักวางผังเมือง นักลงทุน ผู้ประกอบการ รวมถึงกลุ่มวิทยากรชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในเมืองมาปรึกษาหารือโดยใช้ข้อมูลเมืองและนวัตกรรมเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนเมือง สามประเด็นหลักในการประชุมร่วมหารือประกอบด้วย:   • “การออกแบบซิตี้ไฮบริด: Inter/face, Inter/act, Improv/act” โดย คุณคริสเตียน โคลเกิ้ล (Kristian Kloeckl) นักออกแบบและรองศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทอร์น สาขาศิลปะและสถาปัตยกรรมศาสตร์ “ไฮบริดซิตี้ถือเป็นสภาพแวดล้อมเหนือกว่าความเป็นสมาร์ทซิตี้ที่สามารถวัดการตอบสนองแบบเรียลไทม์ต่อสถานการณ์หรือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ซึ่งแนวคิดไร้แบบแผนช่วยให้เรามีความยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อเราเรียนรู้กับการสร้างสรรค์อย่างไร้แบบแผน เราจะพร้อมรับมือกับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” คุณคริสเตียนกล่าว     คุณคริสเตียน โคลเกิ้ล ให้ความสำคัญในการตรวจสอบการออกแบบปฏิสัมพันธ์ (Interaction Design) เพื่อการนำไปสู่ไฮบริดซิตี้ในปัจจุบัน และการศึกษาบทบาทของแนวคิดไร้แบบแผนสำหรับการออกแบบ ซึ่งผลงานของเขาเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวได้รับการตีแผ่อย่างแพร่หลายจากงานจัดแสดงในสถานที่ต่างๆ อาทิ เวนิส เบียนนาเล่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ในนิวยอร์ก และพิพิธภัณฑ์ศิลปะสิงคโปร์ นอกจากนี้คุณคริสเตียนยังเป็นวิทยากรในงาน Montreal World Design Summit, Austrian Innovation Forum ในกรุงเวียนนา การประชุม Hybrid City งาน MIT Media Lab และพิพิธภัณท์ Red Dot Design Museum ในประเทศสิงคโปร์และอื่น ๆ อีกมากมาย   • “การออกแบบตามธรรมชาติสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีความหนาแน่นสูง" โดย คุณมานูเอล เดอร์ ฮาโกเพน (Manuel Der Hagopian) ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท G8A Architecture   “ทุกเมืองมีความแตกต่างอย่างมากโดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม สภาพภูมิอากาศ การเมืองการปกครอง ซึ่งในบางครั้งการสร้างอาคารอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นเสมอไป แต่กว่าจะรู้นั้นก็ต่อเมื่อเราจำเป็นต้องหยุดสร้างเสียแล้ว” คุณมานูเอลกล่าว “เราสร้างอาคารสูงเนื่องจากพื้นที่มีจำกัดซึ่งลักษณะการสร้างอาคารดังกล่าวอาจปิดโอกาสการติดต่อสื่อสารของคนในสังคมมากกว่าการขยายโครงสร้างอาคารทางแนวนอนหรือให้กว้างยิ่งขึ้น" คุณมานูเอลกล่าวเพิ่มเติม     คุณมานูเอล เดอร์ ฮาโกเพน ก่อตั้งบริษัท G8A ในเมืองเจนีวาผ่านการคิดค้นโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 8+ ปัจจุบันเขากำลังให้ความสนใจอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบของการเติบโตอย่างรวดเร็วของประชากรที่อยู่อาศัยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตั้งแต่ปี ค.ศ 2015 คุณมานูเอลได้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีและการออกแบบ   มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ โดยมุ่งมั่นเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบระหว่างประเทศสิงคโปร์และประเทศสวิตเซอร์แลนด์   • "นวัตกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง" โดย คุณสุดีป ไมธี (Sudeept Maiti) ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายซิตี้โปรแกรม บริษัท WRI India   “ทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาการจราจรแออัดคือให้ประชากรหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ ซึ่งบริการเหล่านี้ต้องอำนวยความสะดวกสบายควบคู่กับการบริการด้านต่างๆเพื่อให้วิธีการแก้ไขนั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด” คุณสุดีปกล่าว   คุณสุดีป เป็นผู้นำในการดูแลฝ่ายการควบคุมบริหารจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆของบริษัท WRI India เพื่อการพัฒนาระบบการขนส่งในเมือง เขามีประสบการณ์การทำงานด้านการควบคุมบริหารอุปกรณ์ (Mobility Solutions) มามากกว่า 200 ระบบ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านการขนส่งที่ยั่งยืน การวางผังเมือง และการออกแบบชุมชนเมือง นอกจากนี้คุณสุดีปยังมีส่วมร่วมในการจัดตั้งกลุ่ม Multi-City และ Multi-Stakeholder เพื่อช่วยเปิดโอกาสสำหรับการเข้าร่วมพัฒนาของภาคเอกชน รวมทั้งการวางแผนกลยุทธ์, การดำเนินการภาคพื้นดินสำหรับระบบความปลอดภัย, การออกแบบพื้นที่สาธารณะ และแนวคิดการพัฒนามุ่งเน้นการขนส่ง (TOD) สำหรับเมืองต่างๆ
Whizdom Asoke-Sukhumvit ใกล้ชิดสวนป่ากลางกรุง

Whizdom Asoke-Sukhumvit ใกล้ชิดสวนป่ากลางกรุง

หนึ่งในทำเลคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่มีทิวทัศน์ดีที่สุด คงจะหนีไม่พ้นการที่ได้วิวทะเลสาบกลางสวนสาธารณะขนาดใหญ่ซึ่งหาได้ยากมากๆ ในบ้านเราค่ะ ทั้งในแง่ของสวนสาธารณะที่มีอยู่ไม่กี่แห่ง ประกอบกับที่ดินใกล้เคียงก็หาไม่ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะที่ดินใกล้กับสวนป่าเบญจกิติที่มีทะเลสาบขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยพื้นที่สีเขียว 130 ไร่ รวมพื้นที่กว่า 450 ไร่ ใจกลางเมืองใกล้กับศูนย์สิริกิติ์ฯ เปรียบได้กับโอเอซิสของย่านอโศกก็คงไม่ผิดนัก          เมื่อเอ่ยถึงย่านอโศกแล้ว สิ่งแรกที่ใครหลายคนจะนึกถึงนั่นคืออาคารสำนักงานเรียงรายกันอยู่ตลอดช่วงถนน ซึ่งก็ไม่แปลกนะคะ เพราะอโศกนั้นเป็นแหล่งที่มีพื้นที่ออฟฟิศมากที่สุดในกรุงเทพฯ กว่า 1 ล้านตารางเมตร ถูกเช่าเกือบ 100% จาก  บริษัทที่มีชื่อเสียงหลายองค์กรทั้งสัญชาติไทยและต่างชาติ อีกทั้งยังมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ เนื่องจากนักลงทุนต่างก็มองเห็นศักยภาพของย่านนี้อย่างไร้ข้อกังขามาโดยตลอด โดยหากมองจากทำเลที่ตั้งแล้วนั้นก็จะพบว่าอโศกถือเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง CBD เดิมอย่างสาทร-สีลม กับ New CBD ที่พระราม 9 เราเลยจะไม้ได้เห็นเพียง Office Building เท่านั้น แต่ทั้งโรงแรมหรู คอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า รวมถึงสถานที่สำคัญมากมาย จึงไม่แปลกเลยค่ะที่จะกลายเป็นศูนย์รวมเศรษฐกิจในบ้านเราอีกแห่งหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดทั้งในปัจจุบันและอนาคต   ด้วยความที่เป็นแหล่งรวมคนทำงานมนุษย์ออฟฟิศ รวมถึงนักศึกษา บุคคลากรของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เมื่อมีผู้คนมากมายก็ย่อมต้องตามมาด้วยอาหารการกินเช่นกันใช่ไหมคะ ไม่ว่าจะเป็นแนวสตรีทฟู้ด ร้านอาหารทั้งไทย เอเชีย ตะวันตก ร้านคาเฟ่ดีไซน์สวย ไปจนถึงร้านแฮงค์เอ้าท์ ให้เลือกลิ้มลองกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำหลากหลาย ส่วนเรื่องราคาค่าครองชีพนั้น กลับไม่แพงอย่างที่ใครคิด แม้จะอยู่ใจกลางเมืองก็ตามโดยเฉพาะช่วงกลางวันที่มีตลาดชื่อดังขวัญใจชาวออฟฟิศอโศกอย่าง ตลาดรวมทรัพย์ บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ ร้านค้า ร้านอาหารกว่า 300 ร้าน เรียกได้ว่าคนทำงานละแวกนี้ไม่มีใครไม่เคยมาเดินแน่นอน ตลาดนัดมศว. เปิดเฉพาะวันอังคาร และพฤหัสบดี ช่วงเช้า-14.00 น. แหล่งสินค้า และของอร่อยที่คนทำงานมักจะหิ้วขึ้นไปกินบนออฟฟิศอยู่เป็นประจำ ตลาดสุขตา อีกหนึ่งตลาดที่คนหนาแน่นมากในช่วงกลางวัน รวมถึง Food Court บนห้างสรรพสินค้า Terminal 21 ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าราคาถูกที่สุดในบ้านเรา แบบที่สามารถถือเงิน 25-30 บาท ก็ได้ก๋วยเตี๋ยว หรือข้าวมา 1 จานแบบอิ่มพอดีได้เลยค่ะ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแรงผลักดันต่อเศรษฐกิจของอโศกที่ไม่เคยจางไป     นอกจากจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับไลฟ์สไตล์ได้ทั่วถึงแล้วนั้นก็ยังมีสวนสาธารณะคือ “สวนป่าเบญจกิติ” โอเอซิสของย่านอโศกที่ได้ต้นไม้โอบล้อมทะเลสาบอยู่รอบด้าน เปิดให้บริการทุกวัน 05.00-21.00 น. ซึ่งเป็นสวนสาธารณะแห่งแรกที่มีลักษณะเป็นสวนป่า เพราะมีโซนที่เป็นไม้ยืนต้นใหญ่ให้ความร่มรื่น แต่ยังคงมีความโปร่งแสง ส่องแสงแดดให้ลอดลงมาถึงพื้นที่ได้อยู่ ยามเย็นเมื่อแดดร่มลมตกจะมีผู้คนทั้งเด็ก วัยทำงานไปจนถึงผู้สูงอายุมาวิ่งออกกำลังกายกัน เพราะมีถนนล้อมรอบทะเลสาบเป็นระยะทางประมาณ 1.8 กิโลเมตร ซึ่งมีประตูทางเข้าด้านที่เชื่อมต่อเข้าไปยังศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สถานที่สำคัญในการจัดงานอีเว้นท์สำคัญเอาไว้หลายงาน ซึ่งมีแผนจะปิดปรับปรุงถึง 3 ปี โดยจะเริ่มปิดทำการช่วงปลายปี 2561 เพื่อขยายพื้นที่เชิงการพาณิชย์และศูนย์การประชุมนานาชาติ รวมถึงสามารถจอดรถไปมากขึ้นรวมแล้วไม่น้อยกว่า 1.8 แสนตารางเมตร เมื่อปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์แล้วก็จะยิ่งทำให้พื้นที่บริเวณนี้ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นไปอีก       การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะเกือบจะเป็นหนทางหลักที่หลายคนเลือกใช้เพื่อหลีกหนีรถติดในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน แน่นอนว่ารถไฟฟ้าคือคำตอบที่สะดวกรวดเร็วที่สุดของการเดินทางในกรุงเทพฯ ซึ่งสายหลักก็คือสายสุขุมวิท สายสีลม และรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน โดยจะวิ่งผ่านสถานที่สำคัญหลายแห่ง ล้วนแต่เป็นแหล่งเศรษฐกิจสำคัญทั้งสิ้นรวมถึงอโศกด้วยเช่นกัน ซึ่งบริเวณสี่แยกอโศกก็เป็นจุด Interchange ระหว่าง BTS สถานีอโศก กับ MRT สถานีสุขุมวิท ส่วนถนนหลักอย่างสุขุมวิทจะตัดกันกับถนนรัชดาภิเษก และถนนอโศกมนตรีที่สี่แยกอโศกเป็นแยกที่มีเอกลักษณ์ความเป็นเมืองใหญ่สูง เพราะเป็นทั้งจุด Interchange มี Sky Walk ข้ามสี่แยก และเชื่อมต่อเข้าสู่ห้างสรรพสินค้า Terminal 21 กับโรงแรมระดับ 5 ดาวอย่าง Grande Centre Point Terminal 21 ช่วงถนนกว้าง มีจอ LED ขนาดใหญ่บนอาคารสูง เรียกได้ว่าใครที่เห็นภาพปุ๊บก็จะทราบได้ทันทีว่านี่คือ สี่แยกอโศก             Whizdom Asoke-Sukhumvit   โครงการวิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท เป็นคอนโดมิเนียมระดับ Hi-end ลักษณะ High Rise 39 ชั้น เมื่อได้วิวไฮไลท์ประจำโครงการจากสวนป่าเบญจกิติก็จะยิ่งทำให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในบ้านพักตากอากาศใกล้ชิดธรรมชาติ เป็นส่วนตัวจากความวุ่นวายภายนอก แต่ยังอยู่ท่ามกลางความสะดวกสบายแบบวิถีชีวิตคนเมืองหลวง เทียบเคียงกันกับมหานครใหญ่ๆ ของโลก   Whizdom Asoke-Sukhumvit(วิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท) ตั้งอยู่ริมถนนรัชดาภิเษก ฝั่งตรงข้ามกับ “สวนป่าเบญจกิติ” และยังสามารถเข้าจากซอยสุขุมวิท 16 อีกเส้นทางได้ด้วย นี่ถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของคอนโดมิเนียมกลางเมืองเช่นนี้ เพราะเมื่อได้อยู่อาศัยจริงแล้ว การเข้า-ออกได้ 2 ทางจะช่วยให้เกิดความสะดวกสบายได้อีกเยอะ เช่น หากการจราจรบน ถ.รัชดาฯ ติดขัด ก็สามารถเข้าซ.สุขุมวิท 16 ได้ ซึ่งภายในซ.สุขุมวิท 16 นี้ ก็ยังแวดล้อมไปด้วยร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ คาเฟ่ ร้านแฮงเอาท์ ไปจนถึง ซุปเปอร์มาร์เกตตลอด 24 ชม. อยู่ใกล้กับโครงการ ที่สำคัญ คือ เป็นซอยที่สามารถทะลุไปได้หลายเส้นทาง เช่น ซ.ไผ่สิงโต, ซ.สุขุมวิท 22,  ซ.สุขุมวิท 24 และถ.พระราม 4 ซึ่งก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกเรียงรายอยู่ตลอดสองข้างทาง     จุด Interchange สำคัญในปัจจุบัน ยังมีเพียงไม่กี่สถานีเท่านั้นที่กลายเป็นแหล่งทำเลทองของที่อยู่อาศัย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Interchange ระหว่าง BTS สถานีอโศก กับ MRT สถานีสุขุมวิท โดยห่างจากโครงการเพียง 450 เมตร ถือเป็น Interchange แห่งเดียวบนถนนสุขุมวิทในปัจจุบันที่มีผู้โดยสารกว่า 85,000 คน/วัน ไม่ไกลจากนี้เพียง 1 สถานีจาก MRT สุขุมวิท ไปยัง Airport Rail Link สถานีมักกะสัน เพื่อเชื่อมต่อไปยังสุวรรณภูมิ  อีกทั้งยังพรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย นอกจากนี้ยังมีจุดขึ้น-ลงทางด่วนอยู่ไม่ไกลโครงการอีกหลายแห่งทีเดียวค่ะ ไม่ว่าจะเป็นทางพิเศษเฉลิมมหานคร ด่านพระราม 4, ด่านท่าเรือ หรือทางพิเศษศรีรัชที่ด่านอโศก ทั้งหมดก็จะห่างจากโครงการประมาณ 2 กิโลเมตร      จาก BTS อโศก-Whizdom Asoke-Sukhumvit    เราลองเดินชมทำเลของย่านนี้ไปจนถึงคอนโด Whizdom Asoke-Sukhumvit(วิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท) กันค่ะ โดยเริ่มต้นจาก BTS สถานีอโศก เดินออกทางประตูที่ 6   ทางออกทางฝั่งนี้นอกจากจะเชื่อมต่อกับห้างสรรพสินค้า Terminal 21 และโรงแรม Grande Centre Point Terminal 21 แล้ว ก็ยังเป็น Interchange กับ MRT สถานีสุขุมวิท    เดินตามประตูทางออกที่ 6 ของ BTS นั้นจะเป็นการเดินบน Sky Walk ข้ามสี่แยกอโศก    มองย้อนกลับไปที่ BTS สถานีอโศกที่ผ่านมาเมื่อสักครู่นี้ค่ะ สำหรับสี่แยกที่มีขนาดใหญ่อย่างสี่แยกอโศกแล้วนั้น Sky Walk ถือว่ามีความสำคัญมากๆ  ที่ทำให้คนเดินข้ามถนนได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น     ลงบันไดที่อยู่ใกล้โครงการที่สุดค่ะ ซึ่งอยู่ริมถนนสุขุมวิทข้างอาคาร Exchange Tower ตรงหัวมุมสี่แยกอโศกเลย   จากหน้าอาคาร  Exchange Tower  เดินมาตามถนนรัชดาภิเษกประมาณ 180 เมตรก็จะพบกับซอยสุขุมวิท 16 ซึ่งเป็นซอยที่สามารถเดินจาก BTS อโศก ใช้เป็นทางเข้า-ออกโครงการได้อีก 1 ช่องทางค่ะ   บรรยากาศภายในซอยสุขุมวิท 16 นั้นคึกคักไม่แพ้บนถนนหลักทีเดียวค่ะ ตั้งแต่ปากซอยก็จะมีทั้งร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ ไปจนถึงร้านแฮงค์เอ้าท์เรียงรายอยู่มากมาย   บริเวณหลังอาคาร CTI Tower มี Foodland 24 ชม. อยู่ด้วยนะคะ ซึ่งตัวอาคาร  CTI Tower นี้เองก็จะอยู่ติดกับโครงการ Whizdom Asoke-Sukhumvit(วิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท)    บริเวณด้านหลังโครงการ อีกหนึ่งทางเข้า-ออก Whizdom Asoke-Sukhumvit(วิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท) ค่ะ ที่ดินของโครงการทางฝั่งในซอยสุขุมวิท 16 นี้หน้ากว้างใช้ได้เลยค่ะ     จากด้านหลังอาคาร CTI Tower เราสามารถเดินทะลุมาที่ริมถนนรัชดาได้เลยค่ะ ซึ่งถัดไปก็จะเป็นที่ตั้งของโครงการแล้วค่ะ   หน้าโครงการจะมีที่ดินหน้ากว้างกว่าด้านหลังเล็กน้อยค่ะ ตอนนี้กำลังล้อมรั้วสร้าง Sale Gallery ที่ใครหลายคนใจจดใจจ่อรอคอยที่จะได้เห็นยลโฉมกันอยู่ ซึ่งอีกไม่นานเกินรอค่ะ   จากหน้าโครงการเราเดินข้ามสะพานลอยมาที่สวนป่าเบญจกิติ ซึ่งจะเปิดให้บริการทุกวัน 05.00-21.00 น. ภายในสวนแห่งนี้ตรงกลางจะเป็นทะเลสาบ นอกนั้นจะเป็นพื้นที่ของสวนป่าที่มีต้นไม้ยืนต้นนานาพันธุ์ ให้ความร่มรื่นอยู่ทั่วบริเวณ    รอบทะเลสาบจะมีถนนอยู่รอบเป็นรูปคล้ายวงรี หลายคนนิยมมาวิ่งออกกำลังกายกันที่นี่ในช่วงเย็นๆ ค่ะ เปลี่ยนบรรยากาศจากการวิ่งในห้องฟิตเนสมาวิ่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ขณะเดียวกันถ้าได้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมแถวนี้ด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งทำให้เหมือนได้มีโอกาสพักผ่อนอยู่ตลอดเวลา   บรรยากาศด้านนอกเป็นอาคารสูงระฟ้า แต่พอเข้ามาในสวนป่าเบญจกิติแล้ว กลับพบกับอีกบรรยากาศที่เหมือนอยู่กันคนละโลกกับภายนอก ทั้งที่อยู่กลางเมืองย่านเศรษฐกิจ ซึ่งโครงการ Whizdom Asoke-Sukhumvit(วิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท) จะอยู่ระหว่างอาคาร Lake Ratchada (อาคารสีฟ้า)ทางขวามือของภาพ กับอาคาร CTI Tower (อาคารสีเขียว)ทางซ้ายมือของภาพ      การได้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมที่สามารถเดินทางได้หลากหลายเส้นทาง จะทำให้สะดวกสบายมากสำหรับการวางแผนเดินทางแต่ละวัน อย่างวันไหนรถติดก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้า วันไหนฝนตกก็เปลี่ยนมาขับรถยนต์แทน ใกล้กับจุดขึ้น-ลงทางด่วนหลายจุด ฝั่งตรงข้ามกันยังมีสวนป่าเบญจกิติให้ได้พักสายตาจากทิวทัศน์ที่หาได้ยากมากในกรุงเทพฯ หรือเปลี่ยนบรรยากาศการพักผ่อนออกกำลังกายได้ง่ายๆ ขณะเดียวกันก็ยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกตลอด 24 ชม. ทุกสิ่งจะส่งให้ชีวิตคนเมืองกรุงลงตัวกว่าที่เคยใน Whizdom Asoke-Sukhumvit(วิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท)        สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Tel : 1265 Website : ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษ  http://bit.ly/2oOYTpU
อิมแพ็คเปิดงานมหกรรมก่อสร้างครั้งยิ่งใหญ่ ยกระดับงาน “อินเตอร์แมท อาเซียน และคอนกรีต เอเชีย ปี 2018” สู่เวทีอาเซียน

อิมแพ็คเปิดงานมหกรรมก่อสร้างครั้งยิ่งใหญ่ ยกระดับงาน “อินเตอร์แมท อาเซียน และคอนกรีต เอเชีย ปี 2018” สู่เวทีอาเซียน

งานอินเตอร์แมท อาเซียน และคอนกรีต เอเชีย 2018 เปิดตัวยิ่งใหญ่อลังการ พลิกโฉมวงการอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในยุค 4.0 โดยมีบริษัทและแบรนด์ชั้นนำด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างกว่า 500 แบรนด์ ร่วมโชว์ไฮไลท์นวัตกรรมก่อสร้างยุค 4.0 รองรับการเติบโตในโครงการก่อสร้าง และเมกะโปรเจ็คต่างๆ ทั้งในประเทศ และอาเซียน คาดดึงดูดผู้เข้าร่วมงานและบุคลากรในวงการอุตสาหกรรมก่อสร้าง งานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และซัพพลายเชนด้านคอนกรีตกว่า 9,000 ราย จาก 40 ประเทศในแถบเอเชีย ในระหว่างวันที่ 6-8 กันยายน 2561 ณ อาคาร 5-7 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี และลานแสดงสินค้ากลางแจ้ง P5   มร.ลอย จุน ฮาว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า “นับเป็นการจัดงานร่วมกันครั้งแรกระหว่างงาน “อินเตอร์แมท อาเซียน” และ “คอนกรีต เอเชีย” ซึ่งทำให้งานแสดงสินค้าครั้งนี้เป็นหนึ่งในงานแสดงสินค้าด้านก่อสร้างและคอนกรีตที่ใหญ่ที่สุดในเอเซีย โดยงานอินเตอร์แมทและงานคอนกรีต เอเชีย จัดขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งรวมไปถึงโครงการเมกะโปรเจ็คต์ต่างๆ ที่ภาครัฐได้ประกาศเอาไว้ นอกจากนี้ จากข้อมูลของโกบอลดาต้าซึ่งได้รวมมูลค่างานเมกะโปรเจ็คทั่วภูมิภาคอาเซียนมีมูลค่าทั้งสิ้น 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ (เฉพาะโครงการที่มีมูลค่าน้อยกว่า 25 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในระหว่างปี 2561-2565 ซึ่งจะทำให้การก่อสร้างในภูมิภาคนี้เติบโตขึ้น 6.1% ต่อปีโดยรวม”     ทั้งนี้ งานอินเตอร์แมท 2018 และงานคอนกรีต เอเชีย 2018 จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยทำให้เกิดการเจรจาธุรกิจและ ตอบโจทย์ในการทำงานด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างและคอนกรีตได้อย่างครบวงจรที่สุด ซึ่งจะจัดแสดงสินค้าบนพื้นที่รวม 21,500 ตารางเมตร ซึ่งแบ่งเป็นส่วนการแสดงสินค้าใน 4 กลุ่มประเภทสินค้า ได้แก่ สินค้าและเทคโนโลยีประเภท งานขนย้ายดินและการรื้อถอน / ระบบการยก การเคลื่อนย้าย และการขนส่ง / งานอาคารและสถานที่ / งานถนน งานเหมืองแร่และงานรากฐาน / การผลิตคอนกรีต รวมถึงการจัดสัมมนาวิชาการจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมงานเข้าใจภาพรวมธุรกิจ และมองเห็นโอกาสในการทำตลาดก่อสร้างได้อย่างมีศักยภาพ อาทิ • “เทคโนโลยี BIM ระบบสร้างแบบจำลองเสมือนของอาคาร และเทคโนโลยีคอนกรีต” โดยศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ เลขาธิการสภาวิศวกร • “ความปลอดภัยในการทำงานบนที่สูง” โดยนายรุจน์ เฉลยไตร สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการทำงาน (ประเทศไทย) • “From Mine to Urban Mining กับการพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้าง” โดยนายบวรวิทย์ อัครจันทโชติ นายชัยวิทย์ อุณหศิริกุล และ ดร.ธีรวุธ ตันนุกิจ จากกระทรวงอุตสาหกรรม • “ผลักดันธุรกิจผลิตภัณฑ์คอนกรีตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและผลกำไร” โดย Mr.Andre Dienst จากสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์คอนกรีตไทย   นอกจากนี้ ในพื้นที่สาธิตกลางแจ้งยังได้จัดแสดงทาวเวอร์เครน รถขุด และการสาธิตการย้อมสีคอนกรีต (Concrete Dye) จากมือวางอันดับหนึ่งของโลกจากสหรัฐอเมริกา อาทิ Rachel Fwd จาก FLOORmaps INC และ Gala Vidal จาก AMERIPOLISH INC. และเวิร์คช้อปการตกแต่งคอนกรีตแนวใหม่ ภายในบูธ REP FLOOR ซึ่งจะดึงดูดผู้เข้าร่วมชมงานให้มาสัมผัสกับพลังและประสิทธิภาพของเครื่องจักร และอุปกรณ์รุ่นใหม่ล่าสุด สำหรับการทำงานในชีวิตจริง จากแบรนด์ชั้นนำ เช่น STIT Company Limited, Liebherr Tower Cranes, KATO, Putzmeister, John Deere, IHI, DOOSAN and World Tractor (1996) เป็นต้น” มิสเตอร์ลอย กล่าว     มิสอิสซาเบล อัลฟาโน ผู้อำนวยการหน่วยงานภาคธุรกิจ คอมเอ็กโพเซียม กรุ๊ป กล่าวเสริมว่า “เราเชื่อมั่นว่างานอินเตอร์แมท อาเซียนและคอนกรีต เอเชีย จะช่วยผลักดันให้เกิดการร่วมมือกันระหว่างภูมิภาคได้มากที่สุด ซึ่งนับเป็นการตอบรับการขยายการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศในภูมิภาคนี้ โดยประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่สำคัญในไม่ช้า ซึ่งงานแสดงนิทรรศการด้านการก่อสร้างทั้ง 2 งานนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของประเทศไทย ตลอดจนค้นพบนวัตกรรมใหม่ๆ มากมายในเอเชีย”   ด้านนายอังสุรัศมิ์ อารีกุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “งานอินเตอร์แมท อาเซียน 2018 จัดเป็นงานแสดงสินค้าในอุตสาหกรรมก่อสร้างที่บุคลากรในวงการนี้รอคอยเนื่องจากเป็นการรวมเอานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ในการก่อสร้างมาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับวงการก่อสร้างโดยรวม โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยเราก้าวเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ดังนั้นเพื่อเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการในวิชาชีพนี้ให้ยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง     ทางสมาคมฯ ในฐานะผู้ร่วมจัดงานอินเตอร์แมท อาเซียน ได้จัดงาน TCA Talk ในหัวข้อ “ก่อสร้างไทยกับไทยแลนด์ 4.0” ในงานนี้ด้วย เพื่อแบ่งปันมุมมองเชิงลึกในอุตสาหกรรมก่อสร้าง อนาคตวงการก่อสร้างไทย ภาพรวมของเศรษฐกิจ และผลกระทบที่มีต่องานก่อสร้าง รวมไปถึงแนวโน้มการลงทุนในอุตสาหกรรมก่อสร้างของอาเซียนอีกด้วย โดย ดร.สุวัฒน์ เชาว์ปรีชา ประธานกรรมการ บริษัท ฤทธา จำกัด, ดร.สุภามาส ตรีศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด, ดร.สุปรีย์ ศรีสำราญ นักวิเคราะห์อาวุโส Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และคุณวิโรจน์ รัตนชัยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ Sale & Channel บริษัท SCG Cement & Building Materials ”   ทั้งนี้ งาน “อินเตอร์แมท อาเซียน 2018” และ “งานคอนกรีต เอเชีย 2018” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-8 กันยายน 2561 ณ อาคาร 5-7 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี และลานแสดงสินค้ากลางแจ้ง P5
Century21 Poll เผยผลสำรวจ “ทางรอดหรือทางตันของการพัฒนาอสังหาฯในยุครัฐบาล คสช.”    โพลชี้อยากเห็นดอกเบี้ยบ้าน0% หรือต่ำกว่า 3.5% -เรียกร้องจัดการชุมชนและภาษีอสังหาริมทรัพย์

Century21 Poll เผยผลสำรวจ “ทางรอดหรือทางตันของการพัฒนาอสังหาฯในยุครัฐบาล คสช.” โพลชี้อยากเห็นดอกเบี้ยบ้าน0% หรือต่ำกว่า 3.5% -เรียกร้องจัดการชุมชนและภาษีอสังหาริมทรัพย์

  บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) เปิดผลการเก็บข้อมูลและวิจัย “Century21 Poll” ในหัวข้อ “ทางรอดหรือทางตันของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในยุครัฐบาล คสช.” จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ พบประชาชน ร้อยละ 84 ยังสนับสนุนนโยบาย สคช. เห็นด้วยกับนโยบาย “สังคมไทยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ส่วนนโยบาย ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ผ่อนคลายเงื่อนไข การปล่อยกู้ เพื่อผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลางที่เคยถูกปฏิเสธคำขอการกู้เงินจากธนาคารอื่น เห็นด้วย 85% ขณะที่นโยบายบ้านหลังแรกอัตราดอกเบี้ยปีแรกร้อยละ 3.50 ต่อปี ปีที่ 2 ร้อยละ 4.25 และปีที่ 3 จนถึงตลอดอายุสัญญา ผลการสำรวจพบว่าประชาชนร้อยละ 72.60 อีก ร้อยละ 26.70 ไม่เห็นด้วยเหตุอยากให้ดอกเบี้ยเหลือ 0% หรือต่ำกว่า 3.5% ในปีแรก พร้อมเรียกร้องรัฐบาลดูแลการจัดการชุมชนและสิ่งแวดล้อมอันดับหนึ่ง รองลงมาคือดูแลภาษีกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่นการลดหย่อนภาษีตามอัตราเงินกู้ที่ธนาคารอนุมัติ และเรียกร้องการเข้าถึงเงินกู้ นายธิติวัฒน์ ธีรกุลธัญโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นจูรี่21 (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2561 บริษัทฯได้ปรับรูปโฉม แบรนด์ใหม่ตามนโยบายของสำนักงานใหญ่ สหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงคือการมุ่งเน้นสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ผ่านศูนย์วิจัยข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ชื่อ “Century21 Poll” มี ดร. พรพรรณ วีระปรียากูร เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ศูนย์วิจัยข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ Century21 Poll ซึ่งจะนำเสนอมุมมองที่น่าสนใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลจากการศึกษากลุ่มตัวอย่าง สัมภาษณ์เจาะลึก สร้างงานวิจัยด้านอสังหาฯเพื่อประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และผู้สนใจทั้งในจุลภาค และมหภาค โดยในการวิจัยเชิงสำรวจในครั้งนี้จัดทำขึ้นในหัวข้อ “ทางรอดหรือทางตันของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในยุครัฐบาล คสช.” จึงได้ทำการสำรวจประชาชนกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,110 คน ที่เป็นตัวแทนของแต่ละภาค ประกอบด้วย ภาคใต้ จังหวัดสงขลา ซึ่งมีผู้ให้ข้อมูล 265 คน คิดเป็นร้อยละ 23.90 ของกลุ่มตัวอย่างที่ทำการสำรวจ ภาคกลาง จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 263 คน คิดเป็นร้อยละ 23.70 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมา 326 คน คิดเป็นร้อยละ 29.40 และภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ 256 คน คิดเป็นร้อยละ 23.10     สำหรับที่มาของการสำรวจในหัวข้อ “ทางรอดหรือทางตันของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในยุครัฐบาล คสช.”นั้น เนื่องจากปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ มีหลายปัจจัย เช่น ปัจจัยเกี่ยวกับการเมือง เช่น การปฎิวัติ-รัฐประหาร นโยบายการบริหารของรัฐบาล ฐานะทางการเมืองของรัฐบาล ปัจจัยต้นทุนการผลิตและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เช่น เงินลงทุน ราคาที่ดิน ราคาวัสดุที่แปรเปลี่ยน ราคาน้ำมัน ค่าขนส่งวัสดุอุปกรณ์ แรงงาน อัตราดอกเบี้ย ความเข้มงวดในการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยของธนาคาร เป็นต้น   อย่างไรก็ตามการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยุครัฐบาล คสช (หลัง 22 พ.ค.2557) ตลาดอสังหาริมทรัพย์ เติบโตมากกว่าปี 2560 ในเขตเมืองและกทมฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการแนวราบ ช่วง พ.ย. 2558 โดยปี2558 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าการจดทะเบียน สุงสุด (ร้อยละ 21 หรือ 1 ใน5 ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด) โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตมากที่สุด คือ กรุงเทพมหานคร (ราวร้อยละ 40) รองลงมาคือภาคตะวันออก (ร้อยละ 21) และภาคใต้ (ร้อยละ 16) ตามลำดับ โดยในช่วงรัฐบาล คสช. มีปัจจัยสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์คือ โครงการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น โครงการเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน โครงการท่าอากาศยานอู่ตะเภา โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โครงการท่าเรืออุตสาหกรรม มาบตาพุด ระยะที่ 3 และโครงการฟื้นฟูเมือง โดยพิจารณาได้จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจการใช้จ่ายและ การลงทุนจากภาครัฐในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน (ปี 2558) นโยบาย การให้การจัดตั้ง Trust เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trusts – REITs) แทนการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund)   ดังนั้น บริษัท ฯ จึงได้ทำการสำรวจมุมมองของประชาชนหรือผู้บริโภคโดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดหลักๆ เพื่อสะท้อนออกมาผ่านประเด็นคำถามต่างๆ 5 ข้อ ได้แก่ 1. ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับ “สังคมไทยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” พบว่า ประชาชนกลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยร้อยละ 84.20 แต่มีข้อสังเกตเกี่ยวกับประชาชนในจังหวัดกาญจนบุรี ที่มีสัดส่วนไม่เห็นด้วย 56 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 21.29 ของกลุ่มตัวอย่าง 263 คน ซึ่งศูนย์วิจัยข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ “Century21 Poll” ได้ตรวจสอบลักษณะของข้อมูล พบว่า ข้อมูลจำนวนประชากรจังหวัดกาญจนบุรี ข้อมูล ณ ธ.ค.2560 มีจำนวน 887,979 คน มีแนวโน้มประชากรส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง-ตอนปลาย รองลงมาคือ กลุ่มวัยสูงอายุ อีกทั้งสอดคล้องกับข้อมูลในแผนพัฒนาจังหวัดกาญจนบุรี 4 ปี พ.ศ.2557-2560 ที่ระบุว่าประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพในภาคเกษตรและประมง รองลงมาคือภาคบริการต่างๆ ลักษณะโครงสร้างประชากรส่วนใหญ่ มีแนวโน้มเข้าสู่วัยสูงอายุ ที่ยังอยู่ในภาคเกษตร และมีระดับการศึกษาไม่เกินประถมศึกษา จึงอาจทำให้ไม่เข้าใจในนโยบาย “สังคมไทยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ว่าหมายถึงอะไร อย่างไร   2. ท่านเห็นด้วยหรือไม่ ที่รัฐบาล คสช. ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ผ่อนคลายเงื่อนไข การปล่อยกู้ เพื่อผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลางที่เคยถูกปฏิเสธคำขอการกู้เงินจากธนาคารอื่น ให้สามารถกู้เงินจากธนาคารอื่นๆได้ ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 85.50 (ของประชาชนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,110 คน) เห็นด้วย อย่างไรก็ตามมีจุดที่น่าสังเกตคือ ประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของภาคเหนือ แม้จะเห็นด้วย แต่ความคิดเห็นดังกล่าวยังมีน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นๆ   3. กรณีบ้านหลังแรก ท่านเห็นด้วยหรือไม่สำหรับอัตราดอกเบี้ยปีแรกร้อยละ 3.50 ต่อปี ปีที่ 2 ร้อยละ 4.25 และปีที่ 3 จนถึงตลอดอายุสัญญา ผลการสำรวจพบว่าประชาชนร้อยละ 72.60 เห็นด้วยกับอัตราดอกเบี้ย ปีแรกร้อยละ 3.50 ต่อปี ปีที่ 2 ร้อยละ 4.25 และปีที่ 3 จนถึงตลอดอายุสัญญา อย่างไรก็ตามมีประชาชนอีกร้อยะ 26.70 ไม่เห็นด้วยกับอัตราดอกเบี้ยในลักษณะดังกล่าว ด้วยเหตุผลที่ว่า ดอกเบี้ยต้องถูกกว่านี้หรือดอดอกเบี้ย 0% นอกจากนี้เมื่อวิเคราะห์เชิงสถิติเพิ่มเติม ผลการวิเคราะห์ชี้ไปสู่ข้อสรุปที่ว่า ประชาชนที่เป็นตัวแทนในการให้ข้อมูลทั้ง 1,100 คน ไม่ว่าจะเพศชายหรือหญิง และไม่ว่าจะเป็นประชาชนในภูมิภาคใด ต่างก็มีความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ “อัตราดอกเบี้ยปีแรกร้อยละ 3.50 ต่อปี ปีที่ 2 ร้อยละ 4.25 และปีที่ 3 จนถึงตลอดอายุสัญญา” แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ที่น่าสนใจคือ ประชาชนที่เป็นตัวแทนในการให้ข้อมูลทั้งหมด 1,100 คน ทั้งที่อยู่ในเมืองและนอกเมืองต่างก็มีความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยเฉพาะอย่างยิ่งนอกเมือง ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยยังมีอยู่ แต่ความต้องการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับปัจจัย “อัตราดอกเบี้ย” ยิ่งหากอัตราดอกเบี้ยเป็น 0 หรือต่ำกว่า3.50 ในปีแรก   4. ในฐานะที่ท่านเป็นประชาชนคนไทย ในสังคมไทยที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ท่านจะสนับสนุนนโยบายนี้ หรือไม่ เพราะอะไร ผลการวิเคราะห์พบว่า ประชาชนร้อยละ 84.10 จะสนับสนุน นโยบาย “สังคมไทยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ด้วยเหตุผลหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เห็นว่าเป็นนโยบายที่ทำให้คนไทยไม่ทิ้งกัน เป็นนโยบายที่ดี ได้ช่วยเหลือคนจน/คนด้วยโอกาส เป็นการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความเท่าเทียม เป็นนโยบายที่ดีหากสามารถทำได้จริง เป็นต้น อย่างไรก็ตามประชาชนที่ไม่ต้องการสนับสนุนนโยบายดังกล่าว ร้อยละ 13.40 ให้เหตุผลว่า ไม่คิดว่ารัฐบาลจะทำได้ - ไม่ชอบรัฐบาล คสช. และ คนที่มีโอกาสมีอำนาจ ก็ยังคงมีโอกาส มีอำนาจเหมือนเดิม เป็นต้น ทั้งนี้การวิเคราะห์ การสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลของประชาชน ในทางการตลาดอสังหาริมทรัพย์ อาจพิจารณาได้ว่า นโยบายในเชิงสังคม กับนโยบายในเชิงเศรษฐกิจ ในทัศนะของประชาชนยังแยกส่วนจากกัน ดังนั้นแม้ผลการสำรวจออกมาว่าประชาชนเห็นด้วยกับนโยบาย “สังคมไทยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ขณะเดียวกันประชาชนส่วนใหญ่ ยังมีข้อสงสัย ข้อสังเกต เกี่ยวกับการปฏิบัติของหน่วยงานภาครัฐ   5.ท่านต้องการให้ คสช. เสริมหรือเพิ่มเติมนโยบายเกี่ยวกับ “ที่อยู่อาศัย” อะไรบ้าง ประชาชนต้องการให้ คสช.เสริมหรือเพิ่มเติมนโยบายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยตามลำดับดังนี้ ลำดับที่ 1 การจัดการชุมชนและสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 92.30 ลำดับที่ 2 ภาษีกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่นการลดหย่อนภาษีตามอัตราเงินกู้ที่ธนาคารอนุมัติ ร้อยละ (90.60) ลำดับที่ 3 การเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยร้อยละ 90.00 ลำดับที่ 4 การซื้อที่อยู่อาศัย “คนรุ่นใหม่วัยทำงาน” (อายุ 25-35 ปี) ร้อยละ (89.50) ลำดับที่ 5 การเช่าเพื่อซื้อ ตามฐานรายได้เติบโต ของชนชั้นกลาง ร้อยละ (86.30) ลำดับที่ 6 บ้านประชารัฐ ร้อยละ (81.60) ทั้งนี้ที่ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบาย “บ้านประชารัฐ” ให้เหตุผลว่าบ้านประชารัฐมีราคาแพงและจะทำให้เป็นหนี้เพิ่ม และบางส่วนมีบ้านแล้ว   จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการสำรวจข้างต้น ศูนย์วิจัยข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ “Century21 Poll” จึงได้สรุปทางรอด-ทางตันของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในยุครัฐบาล คสช. ว่า มาจาก 2 ปัจจัยหลัก ดังนี้ 1. ปัจจัยการพัฒนาเมืองและระบบขนส่งมวลชน หากพิจารณาในเชิงวิชาการ ปัจจัยนี้เป็นทั้งทางรอดและทางตันของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กล่าวคือ   ทางรอด: เมื่อเมืองมีการเติบโต ระบบคมนาคมขนส่งมักเติบโตตามไปด้วย ตามแนวคิดการพัฒนาพื้นที่รอบโครงข่ายการคมนาคมหรือที่เข้าใจกันในชื่อว่า TOD (Transit Oriented District) ที่ในต่างประเทศใช้โมเดลดังกล่าวนี้เสมอ โดยเมื่อใดก็ตามที่มีการพัฒนาโครงข่ายการคมนาคม จะต้องมีการพัฒนาพื้นที่และพัฒนาการใช้ประโยชน์ที่ดินรอบข้างไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย หรือวัตถุประสงค์อื่นๆ แต่ทั้งนี้ จะต้องพิจารณาส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ ความหนาแน่นของประชากร (density) ความหลากหลายของกิจกรรม (diversity) หรือการใช้ประโยชน์ที่ดิน (land use) และการออกแบบที่เชื่อมโยงเหมาะสม (design)   ทางตัน: ปัจจัยเดียวกันนี้สามารถเป็นทางตันให้กับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ หากกิจกรรมที่จัดในบริเวณพื้นที่รอบหรือใกล้เคียงระบบขนส่งมวลชน หรือการใช้ประโยชน์ที่ดินใกล้เคียงไม่ได้มีหลากหลายกิจกรรม เนื่องจากจะส่งผลให้ศักยภาพการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้อยู่ในภาวะหลากหลายราคา (Affordable housing) เช่น เป็นอสังหาริมทรัพย์แนวสูงเพื่อการอยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว ตามแนวระบบการคมนาคม หรือมีการวางตำแหน่งอสังหาริมทรัพย์อย่างกระจัดกระจาย ขาดการออกแบบที่เชื่อมโยงอย่างเหมาะสม หรือขาดการออกแบบกิจกรรมในลักษณะ แหล่งพาณิชยกรรม (market places) ทำให้พื้นที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แบบหลากหลาย (mixed-use) หรือพัฒนาพื้นที่โดยไม่คำนึงถึงอรรถประโยชน์สูงสุด เป็นต้น   นอกจากนี้ในส่วนของเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองและระบบขนส่งมวลชน ยังมีเงื่อนไขสำคัญอีกหลายประการ ที่อาจส่งผลให้ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยกำหนดทางรอดหรือทางตันในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เช่น กฎหมายผังเมือง – การเวนคืนที่ดิน การเพิ่มอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (FAR) การโอนถ่ายสิทธิในการพัฒนา (TDR) การบรรจุแนวคิด TOD ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 การนำร่องการพัฒนาพื้นที่โดยหน่วยงานในกำกับของภาครัฐ เช่น การเคหะแห่งชาติ การควบคุมปริมาณการใช้รถส่วนบุคคล   2. ปัจจัยแผนพัฒนาของจังหวัด เช่น จังหวัดนครราชสีมา มีแนวทางการจัดระเบียบและพัฒนาระบบรถโดยสารรถโดยสารประจำเส้นทางหลัก หรือ จังหวัดสงขลา มีแผนพัฒนาระบบขนส่งมวลชน 10 ปี (2555-2565) ลงทุน 316 ล้านบาท จัดรถโดยสารสาธารณะที่มีอยู่วิ่งใน 8 เส้นทาง 104 กิโลเมตร เช่น วิ่งวงกลมรอบเมืองฝั่งตะวันออกและตะวันตก คอหงส์-สถานีรถไฟ นิพัทธ์อุทิศ 2 - นิพัทธ์อุทิศ 3 สร้างระบบโมโนเรล (รถไฟรางเดี่ยว) จากเทศบาลเมืองบ้านพรุ สถานีขนส่ง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สามแยกคอหงส์ ตลาดพลาซ่า ตลาดเกษตร เป็นต้น   จากนัยเชิงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดมีแผนพัฒนาของจังหวัดที่ชัดเจนสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลหรือของประเทศ ย่อมนำสู่ทางรอดของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ อย่างแน่นอน
‘เอพี ไทยแลนด์’ ท็อปฟอร์มผู้นำแห่งปี 2018! โดดเด่นครบทุกมิติ หนึ่งเดียวที่ครอบครองรางวัลอันทรงเกียรติมากที่สุด

‘เอพี ไทยแลนด์’ ท็อปฟอร์มผู้นำแห่งปี 2018! โดดเด่นครบทุกมิติ หนึ่งเดียวที่ครอบครองรางวัลอันทรงเกียรติมากที่สุด

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทยและผู้นำด้านนวัตกรรมการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง โดย นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กร และการสร้างสรรค์ ร่วมฉลองความสำเร็จขึ้นแท่นสุดยอดนักพัฒนาอสังหาฯ แห่งปี 2018 หนึ่งเดียวที่ได้ครอบครองรางวัลอันทรงเกียรติมากที่สุดถึง 7 รางวัล ด้วยผลงานที่โดดเด่นในทุกมิติ จากงาน “Property Guru Thailand Property Awards 2018” ประกอบด้วย 1) รางวัลบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยอดเยี่ยมประจำปี 2561 (Best Developer) 2) รางวัลที่สุดของคอนโดมิเนียมในประเทศไทย (Best Condo Development Thailand) 3) รางวัลคอนโดมิเนียมยอดเยี่ยมกลุ่มสินค้าระดับอัลตร้าลักชัวรี่ (Best Ultra Luxury Condo Development) 4) รางวัลคอนโดมิเนียมออกแบบยอดเยี่ยม (Best Condo Interior Design) จากโครงการ VITTORIO คอนโดมิเนียมอัลตร้า-ลักซ์ นอกจากนี้ การดำเนินงานภายใต้แนวคิดการส่งมอบที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดในทุกมิติ และการสร้างสรรค์พื้นที่ใช้สอยเพื่อตอบแทนชุมชน ส่งผลให้เอพี ไทยแลนด์ยังได้รับรางวัลแห่งความสำเร็จอีก 3 สาขา ได้แก่ 5) ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร (CSR) 6) การพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) 7) การออกแบบและการก่อสร้างดีเด่น (Design & Construction) ซึ่งถือว่าทั้ง 7 รางวัลการันตีความสำเร็จ และคุณภาพที่ได้มาตรฐานของเอพี ไทยแลนด์ ทั้งยังเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพสู่สังคมไทยอย่างต่อเนื่อง
SIRI ปลื้มขายเกลี้ยงหุ้นกู้ล็อตใหญ่ 5 พันล้านบาท  พร้อมนำเงินลงทุนจับมือพันธมิตรระดับโลกลุยธุรกิจในไทย พัฒนาโครงการใหม่ไตรมาส4 และขยายกำลังการผลิตโรงงานพรีคาสต์

SIRI ปลื้มขายเกลี้ยงหุ้นกู้ล็อตใหญ่ 5 พันล้านบาท พร้อมนำเงินลงทุนจับมือพันธมิตรระดับโลกลุยธุรกิจในไทย พัฒนาโครงการใหม่ไตรมาส4 และขยายกำลังการผลิตโรงงานพรีคาสต์

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI สุดปลื้มหลังปิดจ๊อบขายหุ้นกู้ล็อตใหญ่ 5,000 ล้านบาทหมดเกลี้ยง นักลงทุนให้ความเชื่อมั่นตอบรับดีจากความแข็งแกร่งของแผนธุรกิจภายใต้ Sansiri Best Year Ever เผยพร้อมนำเงินทุนเสริมแกร่งรับแผนขยายธุรกิจ อาทิ การสานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการจับมือกับบริษัทชั้นนำระดับโลกพลิกโฉมวงการอสังหาริมทรัพย์ในไทยและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ นำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนต่อยอดกำลังการผลิตโรงงานพรีคาสต์และป้อนการพัฒนาโครงการใหม่ของแสนสิริในไตรมาส 4 ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียม เดินหน้าเต็มกำลังการผลิต 100% ในทั้ง 2 โรงงาน รองรับความต้องการใช้ได้ถึง 8.5 แสนตร.ม.ต่อปี เติบโตตามแผนการเปิดโครงการใหม่ เผยการระดมทุนผ่านหุ้นกู้ในปีนี้ได้รับความสนใจเกินคาดและช่วยลดต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้นทุนการเงินล่าสุดอยู่ที่ 3.20%     นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้เสนอขายไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ 3.20% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือนตลอดอายุของหุ้นกู้ 3 ปี ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยปรากฏว่าได้รับการต้อนรับจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม จนทำให้หุ้นกู้ล้อตใหญ่ ขายหมดในระยะเวลารวดเร็ว โดย ทั้งนี้ ทริส เรทติ้ง ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ในระดับ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทและผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจนแบรนด์ที่แข็งแกร่งเป็นที่ยอมรับในที่อยู่อาศัยทุกประเภททั้ง คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ รวมถึงความครอบคลุมในทุกระดับราคา     สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ยังนับเป็นการเสนอขายหุ้นกู้มูลค่าสูงที่สุดที่แสนสิริเคยเปิดการจำหน่ายมาก่อน ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักลงทุน โดยเงินทุน 5,000 ล้านบาท ที่ได้จากการขายหุ้นกู้ในครั้งล่าสุดนี้ ส่วนหนึ่งเพื่อนำไปชำระคืนหุ้นกู้เดิมที่หมดอายุลง และเดินหน้าสานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำระดับโลก อาทิ การจับมือกับ Standard International แบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในธุรกิจบูติกโฮเทล พลิกโฉมวงการอสังหาริมทรัพย์ในไทย และจับมือกับ Hostmaker บริษัทบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งจากลอนดอน เข้ามาช่วยบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ลูกบ้านและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ   นอกจากนี้บริษัทจะนำเงินไปขยายการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานพรีคาสท์แบบ Semi-Automated Carousel System ของแสนสิริ ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยจากประเทศเยอรมัน โดยกระบวนการผลิตทุกสถานีควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ และมีการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาใช้ในการประกอบแบบข้าง (Shuttering Robot) ทำให้เกิดความแม่นยำในการกำหนดขนาดชิ้นงานพรีคาสท์ ทำงานได้รวดเร็ว ประหยัดเวลา และลดระยะเวลาการก่อสร้าง สำหรับพัฒนาโครงการใหม่ของแสนสิริในไตรมาส 4 ทั้งบ้านดี่ยว ทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียม     ปัจจุบันโรงงานพรีคาสท์ของแสนสิริในทั้ง 2 โรงงาน มูลค่าการลงทุน 750 ล้านบาท ตั้งอยู่ในพื้นที่ประมาณ 107 ไร่ คลอง 10 ลำลูกกา จ.ปทุมธานี มีกำลังการผลิตผนังสำเร็จรูปป้อนให้โครงการต่างๆ ของแสนสิริได้ 100% โดยมีการวางแผนการผลิตพรีคาสต์ให้สอดคล้องกับแผนการเปิดโครงการใหม่ที่จะเติบโตขึ้นในทุกๆปี โดยในปี 2561 โรงงานพรีคาสต์ของแสนสิริ สามารถผลิตแผ่นสำเร็จรูปได้สูงสุดถึง 8.5 แสนตารางเมตรต่อปี ผนังสำเร็จรูปที่ผลิตได้นำไปใช้พัฒนาที่อยู่อาศัยในโครงการบ้านเดี่ยวทุกโครงการของแสนสิริ อาทิ บ้านเดี่ยวแบรนด์คณาสิริ, สราญสิริ, บุราสิริ และเศรษฐสิริ ในส่วนของทาวน์เฮาส์ ใช้กับทุกโครงการของสิริเพลส และคอนโดมิเนียม ใช้กับ Façade ในโครงการ ดีคอนโด ธรรมศาสตร์2, เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง, เดอะ ไลน์ ราชเทวี, โมนูเมนต์ สนามเป้า และใช้เป็นส่วนประกอบอาคารของโครงการดีคอนโด ศรีราชา เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนเปิดตัวโรงงานพรีคาสต์เพิ่มเติมในปีหน้าอีกด้วย     “สำหรับการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ถือเป็นการบริหารต้นทุนของแสนสิริอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปี 2561 ต้นทุนทางการเงินจากการออกหุ้นกู้ของแสนสิริลดลงมาอยู่ที่ 3.20% โดยปัจจุบันแสนสิริมีสัดส่วนการระดมทุนจากหุ้นกู้อยู่ที่ 50% การกู้จากสถาบันการเงินอยู่ที่ 25% และอีก 25% เป็นเงินกู้ระยะสั้นของบริษัท จากการเข้าถึงแหล่งทุนที่มีต้นทุนต่ำนี้ทำให้แสนสิริสามารถนำเงินทุนที่ได้มาพัฒนาโครงการใหม่ๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทสามารถก้าวสู่ปีแห่งการเติบโตเป็นประวัติการณ์ จากการตั้งเป้าหมายยอดขายสูงที่สุด 45,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นปีที่ดีที่สุดของแสนสิรินับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท” นายวันจักร์ กล่าว #SansiriBestYearEver
“นิช โมโน เจริญนคร” คอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา  พื้นที่บนโค้งน้ำที่สวยที่สุด

“นิช โมโน เจริญนคร” คอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่บนโค้งน้ำที่สวยที่สุด

  เสนา ฮันคิว เปิดชมโครงการ “นิช โมโน เจริญนคร (NICHE MONO CHAROEN NAKORN)” คอนโดมิเนียม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บนวิวโค้งน้ำที่สวยที่สุดย่านเจริญนคร ออกแบบเพื่อความเป็นอิสระ สามารถปลดปล่อยจินตนาการผ่านวิวโค้งน้ำจากระเบียงห้องพักส่วนตัว พร้อมเติมเต็มที่สุดของการอยู่อาศัย ภายใต้คอนเซปต์ Made From Her ผู้หญิงอยู่สบาย ผู้ชายก็แฮปปี้   คุณสมพิศ ศรีระทัด ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานธุรกิจ 1 บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการ “นิช โมโน เจริญนคร (NICHE MONO CHAROEN NAKORN)” เป็นอีกหนึ่งโครงการ ภายใต้การร่วมทุนของบริษัท เสนา ฮันคิว จำกัด ที่ออกแบบเพื่อความเป็นอิสระ พร้อมรองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยที่หลงใหลความสงบ แต่ยังต้องการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายในเมืองใหญ่ ซึ่งพื้นที่ตั้งของคอนโดมิเนียมแห่งนี้ สามารถตอบโจทย์ได้อย่างครบครัน เนื่องจากตั้งอยู่ย่านเจริญนคร ระหว่างซอยเจริญนคร 76 – 78 และสามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางถนนสาทรได้โดยใช้เวลาเพียง 10 นาที นับว่าตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุด เพราะสามารถมองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยา บนวิวโค้งน้ำที่สวยที่สุดจากระเบียงส่วนตัวในห้องพัก จึงนับว่าเป็นที่พักอาศัยที่มีมนต์เสน่ห์เฉพาะตัว และถือเป็นอีกแลนด์มาร์คสำคัญที่ชาวไทยและชาวต่างชาติต่างต้องการจับจองเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมแห่งนี้     ทั้งนี้ นิช โมโน เจริญนคร (NICHE MONO CHAROEN NAKORN) ออกแบบภายใต้คอนเซปต์ “MADE FROM HER” ใส่ใจทุกดีเทลชีวิต จากแนวคิดแบบผู้หญิง “ผู้หญิงอยู่สบาย ผู้ชายก็แฮปปี้ ที่เข้าใจถึงหัวคิดและหัวใจของผู้หญิง ที่ตอบโจทย์ทุกมุมมองความละเอียดลออแบบผู้หญิงในทุกเรื่อง ทั้งความสบาย อุ่นใจ มั่นใจ และ ปันสุข ให้ทุกรายละเอียดการใช้ชีวิตใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ทำให้มีการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ ตู้ เพื่อรองรับการใช้งานได้อย่างเต็มที่     โครงการ “นิช โมโน เจริญนคร (NICHE MONO CHAROEN NAKORN)” ตั้งอยู่ติดถนนเจริญนคร (ช่วงระหว่างซอยเจริญนคร 76 – 78) บนพื้นที่ 3 ไร่เศษ ห่างจากแยกบุคคโลเพียง 700 เมตร เดินทางสะดวกมีรถรับ-ส่ง จากโครงการไปยัง BTS กรุงธนบุรี และ The Mall ท่าพระ มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้ง ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสถานศึกษาต่างๆ มากมาย อาทิ เอเชียทีค ริเวอร์ฟร้อนท์ เซ็นทรัล พระราม 3 เดอะมอลล์ ท่าพระ โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า โรงเรียนอัสสัมชัญ และ โรงเรียนกุหลาบวิทยา เดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีวงเวียนใหญ่ และ สถานีกรุงธนบุรี นอกจากนี้ยังมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ ผ่านทางถนนสมเด็จพระเจ้าตากสินในอนาคตอีกด้วย พร้อมเต็มเติมประสบการณ์การอยู่อาศัยอย่างลงตัว ของคนที่ชื่นชอบความสงบแต่ยังต้องใช้ชีวิตในเมืองใหญ่     คุณเพชรรัตน์ ล้อเจริญรุ่งโรจน์ Sale Manager บริษัท แอคคิวท์ เรียลตี้ จำกัด กล่าวถึง จุดเด่นของโครงการ “นิช โมโน เจริญนคร (NICHE MONO CHAROEN NAKORN)” เน้นการออกแบบสไตล์รีสอร์ททั้งโครงการ โดยมีจุดเด่นและจุดขายที่น่าสนใจ ประกอบด้วย · ฟังก์ชั่นการใช้งานตอบโจทย์ทุกความลงตัวของการใช้ชีวิต ผ่านคอนเซปต์ “MADE FROM HER” ใส่ใจทุกดีเทลชีวิต จากแนวคิดแบบผู้หญิง คอนโดมิเนียม High Rise สูง 36 ชั้น 1 อาคาร มีห้องพักอาศัยทั้งสิ้น 537 ยูนิตและ 2 ร้านค้า ห้องพักแบ่งเป็น 3 แบบ คือ แบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 30 ตร.ม. 34.90 ตร.ม. และ 40 ตร.ม. แบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 49.50 ตร.ม. และแบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาด 60 ตร.ม. มีราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 88,000 บาท หรือราคาเริ่มต้น 2.19 ล้านบาทต่อยูนิต* โดยเริ่มก่อสร้างปี 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563 พร้อมเปิดพรีเซล 22 ก.ย. นี้   · หนึ่งเดียวบนทำเลที่ดีที่สุดย่านเจริญนคร ทำเลที่มีมนต์เสน่ห์สำคัญที่พร้อมโอบรับพลังจากแม่น้ำเจ้าพระยา สายน้ำที่ไม่เคยหลับใหลของคนไทย ผ่านวิวโค้งน้ำที่สวยที่สุด เป็นที่ต้องการของชาวไทยและชาวต่างชาติ   · โดดเด่นด้วยพื้นที่ส่วนกลางบนชั้น 34 – 36 ที่ถูกออกแบบเพื่อเปิดรับวิวพาโนราม่าของแม่น้ำเจ้าพระยาแบบ 360 องศา ที่จะช่วยให้สัมผัสชีวิต และมนต์เสน่ห์ที่ไม่เคยจางหายของกรุงเทพมหานคร พร้อมตอบโจทย์การใช้ชีวิตด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน โครงการมีการออกแบบรองรับ 3 Generation โดยมีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับทุกวัย เช่น พื้นที่ Co-Working , Kid’s playground , Nursing Room, Sky Fitness พร้อมมีสระว่ายน้ำลอยฟ้าบนชั้น 34 สระว่ายน้ำระบบเกลือ และ Lounge ที่ให้ลูกบ้านไว้สามารถพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ในสังคมที่สมบูรณ์แบบ และอื่นๆ อีกมากมาย   · เทคโนโลยีล้ำด้วย 360 องศา Application เพื่อช่วยเติมเต็มทุกช่วงเวลาให้คุณได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น Fixzy บริการที่จะช่วยดูแลรักษา และ ซ่อมแซมบ้านจากมืออาชีพ Smart Feeder และ Smart Locker บริการ 24 ชั่วโมง พร้อมแจ้งเตือนไปยัง Application ได้ทุกช่วงเวลา   · ที่จอดรถมากสุดในย่านเจริญนคร คิดเป็น 60% และสามารถจอดรถเพิ่มเติมที่ห้างสรรพสินค้า เสนาเฟส อีก 30% รวมทั้งสิ้นคิดเป็น 90% เอกสิทธิ์เฉพาะผู้อยู่อาศัยที่ นิช โมโน เจริญนคร เท่านั้น     ล่าสุดเตรียมจัดงาน Pre sale ในวันที่ 22 กันยายน 2561 ณ.Sale gallery โครงการสำหรับโครงการ นิช โมโน เจริญนคร สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1775 # 76
ศุภาลัย ไพรด์ ประชาอุทิศ ชูแบบบ้านประหยัดพลังงาน พร้อมขยายพื้นที่ส่วนกลางกว่า 2 ไร่

ศุภาลัย ไพรด์ ประชาอุทิศ ชูแบบบ้านประหยัดพลังงาน พร้อมขยายพื้นที่ส่วนกลางกว่า 2 ไร่

ศุภาลัย ไพรด์ ประชาอุทิศ เป็นโครงการแนวราบขนาดใหญ่ ของบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบ บ้านเดี่ยว และบ้านรุ่นใหม่ ราคาเริ่มต้นเพียง 2.99 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการกว่า 86 ไร่ ชูแนวคิด “ทุกการใส่ใจคือความภาคภูมิใจ” พื้นที่ใช้สอยกว้าง หลากหลายฟังก์ชั่นการใช้งาน ขนาด 3 - 4 ห้องนอน 2 - 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 123 - 197 ตร.ม. บนทำเลประชาอุทิศ ซึ่งเป็นทำเลที่ความเป็นเมืองได้ขยายออกมา กลายเป็นสังคมเมืองขนาดใหญ่ มีการพัฒนาด้านคมนาคมอย่างต่อเนื่อง เดินทางเข้าสู่ย่านสาทรใช้เวลาเพียง 15 นาที หรือการเข้าสู่ย่านต่างๆ ที่เป็น CBD โดยผ่านเส้นทางด่วนพิเศษเฉลิมมหานคร ที่จุดขึ้นลงสุขสวัสดิ์ หรือทางขึ้นลงดาวคะนองได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งอยู่ใกล้ทางด่วน วงแหวน-อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นถนนสายหลัก สามารถเชื่อมต่อได้ถึง 4 จังหวัด ได้แก่ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี และพระนครศรีอยุธยา และสามารถเชื่อมต่อใจกลางเมืองอย่างง่ายดาย แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ Big C สุขสวัสดิ์ Central พระราม 3 โรงพยาบาลกรุงเทพพระประแดง โรงเรียนสารสาสน์วิเทศศึกษา มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี   ตอบครบทุกความต้องการของช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนด้วยสโมสร ฟิตเนส สระว่ายน้ำระบบน้ำแร่ ร่มรื่นด้วยพื้นที่สวนส่วนกลางกว่า 2 ไร่ สะดวกและปลอดภัยกับการเข้า - ออก ด้วยระบบ Easy Pass ทางเข้าแยกลูกบ้านและผู้มาเยี่ยม พร้อมกล้อง CCTV ภายในโครงการและระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง การออกแบบเน้นการประหยัดพลังงาน สไตล์โมเดิร์น มีแบบบ้านให้เลือกถึง 6 แบบ ซึ่งในแต่ละแบบบ้านล้วนมีจุดเด่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างลงตัว     แบบบ้านศุภฤทัย พื้นที่ใช้สอย 197 ตร.ม. ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 จอดรถ แบบบ้านศุภฤทธิ์ พื้นที่ใช้สอย 175 ตร.ม. ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 จอดรถ แบบบ้านศุภดำรง พื้นที่ใช้สอย 167 ตร.ม. ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 จอดรถ แบบบ้านศุภลักขณา พื้นที่ใช้สอย 150 ตร.ม. ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 จอดรถ แบบบ้านศุภนัช พื้นที่ใช้สอย 139 ตร.ม. ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 จอดรถ แบบบ้านศุภกัลย์ พื้นที่ใช้สอย 123 ตร.ม. ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 จอดรถ สำหรับผู้ที่สนใจ บ้านประหยัดพลังงานคุณภาพศุภาลัย ย่านประชาอุทิศ - สุขสวัสดิ์ เชิญเยี่ยมชมโครงการพร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย ในงาน Pre-Sale 8-9 กันยายน นี้ สำนักงานขายโครงการ โทร. 1720 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.supalai.com
“ออริจิ้น” เปิดตัวคอนโดหรูทำเลศักยภาพ “พาร์ค ออริจิ้น พญาไท”  โชว์ห้องชุดพร้อมมิกซ์ยูสสุดสมบูรณ์แบบ พร้อมสวนแนวตั้งแห่งแรกในกรุงเทพฯ

“ออริจิ้น” เปิดตัวคอนโดหรูทำเลศักยภาพ “พาร์ค ออริจิ้น พญาไท” โชว์ห้องชุดพร้อมมิกซ์ยูสสุดสมบูรณ์แบบ พร้อมสวนแนวตั้งแห่งแรกในกรุงเทพฯ

  “ออริจิ้น” เปิดตัวคอนโดหรูติดถนนใจกลางเมือง “พาร์ค ออริจิ้น พญาไท” มูลค่าโครงการกว่า 4,800ล้านบาท ตอกย้ำแนวคิด A Perfect Living Platform ผสานธรรมชาติ เทคโนโลยี สังคมคุณภาพ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบผ่านคอนโดพร้อมอาณาจักรมิกซ์ยูส โชว์ Home Automation ครบวงจรและ Vertical Garden สวนแนวตั้งเสมือนปีนเขา 120 เมตรแห่งแรกในกรุงเทพฯ ดึงบริการมาตรฐานโรงแรมหรู ดูแลผู้อยู่อาศัย สร้างประสบการณ์ A Place Where We Share     นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาโครงการแฟล็กชิพโครงการใหม่ติดถนนพญาไท ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ภายใต้ชื่อ “พาร์ค ออริจิ้น พญาไท” (PARK ORIGIN Phayathai) เป็นอาคารสูง 35 ชั้น 1 อาคาร 550 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 4,800 ล้านบาท และโครงการวัน พญาไท (ONE Phayathai) เป็นโครงการมิกซ์ยูสติดกับพาร์ค ออริจิ้น พญาไท   “ทำเลพญาไทมีโครงการใหม่เกิดขึ้นหลายโครงการ ดังนั้น เราจึงเลือกพัฒนาโครงการของเราในทำเลที่ติดถนนใหญ่ บนถนนพญาไทจริงๆ ไม่ใช่แค่ละแวกพญาไท และตั้งใจนำแนวคิด A Perfect Living Platform ที่ผสมผสานธรรมชาติ เทคโนโลยี และสังคม อันเป็นหัวใจหลักของการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบในปัจจุบันและอนาคต เข้ามาไว้ในโครงการ พร้อมทั้งสร้างสรรค์จุดแตกต่างให้เป็นแลนด์มาร์ค เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาอยู่อาศัยในโครงการนี้ สามารถใช้ชีวิต 24 ชั่วโมงที่พญาไทในมุมใหม่ แบบที่ใครก็ให้ไม่ได้” นายพีระพงศ์ กล่าว     เริ่มต้นจากด้านธรรมชาติ (Nature) หนึ่งใน 3 องค์ประกอบหลักของ A Perfect Living Platform บริษัทได้ออกแบบตัวอาคารของพาร์ค ออริจิ้น พญาไท ด้วยดีไซน์ที่แปลกใหม่เป็นเอกลักษณ์ สร้างสวนแนวตั้ง หรือ Vertical Garden แห่งแรกในกรุงเทพฯ บริเวณส่วนกลางของอาคารไล่ตั้งแต่ชั้น 12 จนถึงชั้น 35 คิดเป็นพื้นที่สีเขียวรวมกว่า 1,800 ตร.ม. ทำให้ลักษณะของอาคารเสมือนภูเขาใจกลางเมืองที่มีความสูงจากพื้นกว่า 120 เมตร ผู้อยู่อาศัยเดินขึ้นลงบันไดเพียง 2-3 ชั้น ก็สามารถเข้าถึงธรรมชาติหรือพื้นที่สีเขียวได้ ทำให้ทุกห้องสามารถใกล้ชิดธรรมชาติได้มากกว่าเดิม     ทั้งนี้ พญาไทถือเป็นทำเลศักยภาพแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ มีอาคารสำนักงานอยู่ในละแวกมากกว่า 10 อาคาร รวมพื้นที่สำนักงานมากกว่า 2 แสน ตร.ม. อยู่ใกล้โรงพยาบาลชั้นนำหลายแห่ง อาทิ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลพญาไท 1 อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อแห่งใหม่ (New Hub) ของกรุงเทพฯ เพราะเป็นสถานีอินเตอร์เชนจ์ ที่เชื่อมต่อกับทั้ง BTS แอร์พอร์ตลิงค์ รถไฟความเร็วสูง สามารถเดินทางไปยังสนามบิน 3 แห่ง ทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง สนามบินอู่ตะเภา     ด้านนางกมลวรรณ วิปุลากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด บริษัทที่ดูแลธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อให้เกิดประสบการณ์การพักอาศัยรูปแบบใหม่ ให้การทำงาน การพักอาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกเชื่อมกัน เป็นการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์ บริษัทจึงได้พัฒนาโครงการวัน พญาไท (ONE Phayathai) เป็นโครงการมิกซ์ยูส 1 อาคาร ประกอบด้วย พื้นที่ค้าปลีก สำนักงาน Co-working space โรงแรม สร้างสังคม (Community) ที่ตอบโจทย์ทุกมิติการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่สะท้อนความเป็นตัวเอง   “นอกจากนี้ เรายังจะใช้แบรนด์คราวน์ เรสซิเดนซ์ ในเครือวัน ออริจิ้น เข้ามาช่วยดูแลบริการส่วนกลางของที่อยู่อาศัยให้มีบริการเทียบเท่ามาตรฐานโรงแรมระดับสากล ทำให้พื้นที่ส่วนกลางของเรามีบริการที่พรีเมียมเหนือระดับ ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาสร้างความร่วมมือกับเชนโรงแรมระดับสากลในการดูแลพื้นที่ส่วนกลาง คาดว่าจะเปิดเผยข้อมูลได้ในเร็วๆ นี้” นางกมลวรรณ กล่าว     ด้านนายเกษมิน นาคะประทีป ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการพาร์ค ออริจิ้น พญาไท จะตอบโจทย์การอยู่อาศัยแห่งอนาคตด้วยเทคโนโลยี (Technology) ที่หลากหลายทั้งภายในห้องพักและพื้นที่ส่วนกลาง ทั้งระบบ Home Automation เชื่อมต่อกับระบบการสื่อสารไร้สายบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต Internet of Things หรือ IoT มีสิ่งอำนวยความสะดวกอัจฉริยะ (Intelligence Facility) Digital Doorlock, Smart Mirror ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้ชีวิตแบบ Smart Living   “เรายังได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จากัด (มหาชน) เพื่อร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยี สำหรับผู้อยู่อาศัย ในทุกด้าน ทั้งภายใน และภายนอกอาคาร รวมทั้งได้มีการวางโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม และเทคโนโลยีดิจิทัล โดยติดตั้งโครงข่ายไฟเบอร์ออพติก ความเร็วเริ่มต้นตั้งแต่ 1Gbps สูงสุด 10 Gbps ที่พร้อมสำหรับการต่อยอดบริการสื่อสารทุกรูปแบบ เพื่อให้รองรับการใช้ชีวิตระดับเฟิร์สคลาสในยุคดิจิทัลของผู้อยู่อาศัยทั้งในปัจจุบันและอนาคต นอกจากนี้ พาร์ค ออริจิ้น พญาไท ยังตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่รักการแบ่งปัน ด้วยการสร้างสังคม A Place Where We Share โดยมีบริการ Co-working space จากแบรนด์ชั้นนำ และแบ่งปันวัฒนธรรมกันผ่าน Culture Hotel” นายเกษมิน กล่าว     สำหรับโครงการพาร์ค ออริจิ้น พญาไท (PARK ORIGIN Phayathai) ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดประมาณ 2 ไร่ 1 งาน ติดถนนพญาไท ประกอบด้วยอาคารสูง 35 ชั้น 1 อาคาร รวม 550 ยูนิต รูปแบบห้องประกอบด้วยแบบ 1-2 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 24-55 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นที่ 5.8 ล้านบาท ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รองรับมากมาย อาทิ Co-working area, Cascade Pool, Game Room, Business Lounge, Sky Lounge, Mini Theatre ฯลฯ   โครงการภายใต้แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น จะเปิดให้ Register ได้ภายในงาน My Life My Origin งานอีเวนท์ใหญ่ประจำปีของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ในวันที่ 8-9 ก.ย. นี้ ณ ศูนย์การค้าสยาม พารากอน ผู้สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.parkorigin.co.th หรือโทร 063 365 5000
แสนสิริ จับมือฮาบิแททเอาใจคนรุ่นใหม่ เผยเทรนด์การตกแต่งบ้านคอนเซ็ปท์ ‘A REFLECTION OF LIVING IN STYLE’

แสนสิริ จับมือฮาบิแททเอาใจคนรุ่นใหม่ เผยเทรนด์การตกแต่งบ้านคอนเซ็ปท์ ‘A REFLECTION OF LIVING IN STYLE’

เมื่อ Design Matters เรื่องของดีไซน์ไม่เคยอยู่ไกลตัวเรา ทุกสิ่งประดิษฐ์ที่เราใช้ในชีวิต ประจำวัน ล้วนเป็นผลผลิตมาจากการออกแบบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะสร้างสรรค์มาเพื่อตอบโจทย์ ความสะดวกสบาย หรือเติมเต็มการใช้ชีวิต ดีไซน์ที่ดี พร้อมทั้งรูปลักษณ์และประโยชน์ใช้สอย นอกจากจะทำให้เราใช้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น ยังสะท้อนตัวตนของเราอีกด้วย   แสนสิริจึงร่วมกับฮาบิแทท เปิดคอลเลคชั่นเฟอร์นิเจอร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ จากฮาบิแทท ดีไซน์ สตูดิโอระดับโลก ที่มาพร้อมกับแนวคิด “A REFLECTION OF LIVING IN STYLE” ผลงานออกแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่ยึดถือความงามอันเรียบง่าย ละทิ้งการตกแต่งประดับประดาที่มากเกินไป เกิดเป็นความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม สะท้อนแนวคิดการใช้ชีวิต และตัวตนของ คนรุ่นใหม่     คุณชัยจักร วทัญญู ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นเรื่องเทรนด์ของงานดีไซน์สถาปัตยกรรมและการตกแต่งในปัจจุบันว่าความซับซ้อน ของสภาพสังคม และเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้ผู้คนแสวงหาความเป็นธรรมชาติ ความเรียบง่าย ที่จะทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง ปราศจากความวุ่นวาย จะเห็นว่ากระแสมินิมอล สโลว์ไลฟ์ เรียบแต่โก้ กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และถูกนำมาใช้ในวงการออกแบบ ทั้งงานสถาปัตยกรรม งานออกแบบตกแต่งภายใน งานแฟชั่น และงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งสไตล์ออกแบบบ้าน ที่สะท้อนการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันจะออกมาในรูปทรงโมเดิร์น ที่ลดทอนรายละเอียดลงไป เน้นการใช้รูปทรงเรขาคณิต ทรงเหลี่ยมเพื่อให้ได้พื้นที่ใช้สอย โทนสีก็จะเรียบง่ายสบายตา ส่วนอีกสไตล์หนึ่งที่นิยมกันก็จะเป็นบ้านสไตล์รีสอร์ตที่กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง”   สำหรับงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์สไตล์มินิมอล หลายคนจะนึกถึงแบรนด์ฮาบิแทท ที่เรียบง่าย แต่โดดเด่นด้วยวัสดุ และประโยชน์ใช้สอยที่ใช้งานได้จริง มาครั้งนี้ แสนสิริและฮาบิแททเลือกที่ จะนำเสนอผลงานใน 3 คอลเลคชั่น ที่ถ่ายทอดความหมายของ Less is More และ Simplicity มาเป็นงานดีไซน์เฟอร์นิเจอร์แบบครบองค์ประกอบของการอยู่อาศัย ตั้งแต่ คอร์เนอร์โซฟา ที่จัดเจนในด้านฟังก์ชั่นใช้สอยและความประณีต หรือจะเป็น Dining set ที่ได้แรงบันดาลใจ มาจากเส้นสายความอ่อนช้อยตามธรรมชาติของอาร์ต นูโว ไปจนถึงชุดโต๊ะ ตู้ เตียง เฟอร์นิเจอร์ ที่แฟนพันธุ์แท้ มินิมอลลิส รักความเป็นธรรมชาติ ต้องสรรหามาใส่ในบ้าน และห้องนอน     มร.วินเซนต์ เดตาเยอร์ CEO ของฮาบิแทท กล่าวว่า ฮาบิแททคือ ความลงตัวของ Minimal กับ Space งานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ทั้ง 3 คอลเลคชั่นนี้ เป็นงานออกแบบที่แสดงชัดถึงการ ลดทอนเส้นสาย สิ่งไม่จำเป็นต่างๆ ออก คงเหลือแต่ ความเรียบ เท่ จะเน้น ไปที่สีเอิร์ธโทน เป็นหลัก เช่นสีน้ำตาล โทนต่างๆ ของไม้ สีเทา สีขาว สีน้ำเงิน จะจัดวางตรงไหน ก็ลงตัว สามารถมิกซ์แอนด์แมทช์ ได้ง่าย กลมกลืนไปกับพื้นที่ที่ล้อมรอบ (Space) ให้ความสุนทรีย์และ ความปลอดโปร่ง นอกจากนี้ยังมาพร้อมด้วยฟังก์ชั่น ใช้การออกแบบเพื่อซ่อนการจัดเก็บ สิ่งของอย่างมีดีไซน์ ตลอดจนมีความประณีตในการผลิต คัดเลือกผ้าทอชั้นดี ให้สัมผัสที่ อ่อนโยนต่อทั้งสายตาและการใช้งาน     “ฮาบิแททเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับระดับโลกมายาวนานกว่า 50 ปี ในกลุ่มลูกค้าที่ชอบงานดีไซน์ ที่สวย เรียบง่ายสไตล์มินิมอล เน้นการโชว์พื้นผิวของไม้จริงจากยุโรป เช่นไม้โอ๊ค ไม้บีช และไม้แอช ขณะเดียวกันก็มีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย คัดสรรค์วัสดุคุณภาพดี มีความคงทน ซึ่งทั้ง 3 คอลเลคชั่นนี้ เป็นคอลเลคชั่นที่ดีไซน์ เฉพาะสำหรับแสนสิริเท่านั้น” มร.วินเซนท์ สรุป   สำหรับลูกบ้านและผู้สนใจในโครงการ บุราสิริ และเศรษฐสิริ สามารถเยี่ยมชมบ้านตัวอย่าง และพบกับคอลเลคชั่นสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากฮาบิแททใน 6 โครงการนำร่อง ได้แก่ บุราสิริ วงแหวน-อ่อนนุช บุราสิริ ราชพฤกษ์ 345 เศรษฐสิริ พหล-วัชรพล เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา เศรษฐสิริ ปิ่นเกล้า-กาญจนา และ เศรษฐสิริ วงแหวน ลำลูกกา พร้อมเงื่อนไขพิเศษแพคเกจ เฟอร์นิเจอร์ราคาเริ่มต้น 650,000 บาท หรือสามารถเข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sansiri.com โทร. 1685