Tag : News

2376 ผลลัพธ์
Whizdom Asoke-Sukhumvit ใกล้ชิดสวนป่ากลางกรุง

Whizdom Asoke-Sukhumvit ใกล้ชิดสวนป่ากลางกรุง

หนึ่งในทำเลคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่มีทิวทัศน์ดีที่สุด คงจะหนีไม่พ้นการที่ได้วิวทะเลสาบกลางสวนสาธารณะขนาดใหญ่ซึ่งหาได้ยากมากๆ ในบ้านเราค่ะ ทั้งในแง่ของสวนสาธารณะที่มีอยู่ไม่กี่แห่ง ประกอบกับที่ดินใกล้เคียงก็หาไม่ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะที่ดินใกล้กับสวนป่าเบญจกิติที่มีทะเลสาบขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยพื้นที่สีเขียว 130 ไร่ รวมพื้นที่กว่า 450 ไร่ ใจกลางเมืองใกล้กับศูนย์สิริกิติ์ฯ เปรียบได้กับโอเอซิสของย่านอโศกก็คงไม่ผิดนัก          เมื่อเอ่ยถึงย่านอโศกแล้ว สิ่งแรกที่ใครหลายคนจะนึกถึงนั่นคืออาคารสำนักงานเรียงรายกันอยู่ตลอดช่วงถนน ซึ่งก็ไม่แปลกนะคะ เพราะอโศกนั้นเป็นแหล่งที่มีพื้นที่ออฟฟิศมากที่สุดในกรุงเทพฯ กว่า 1 ล้านตารางเมตร ถูกเช่าเกือบ 100% จาก  บริษัทที่มีชื่อเสียงหลายองค์กรทั้งสัญชาติไทยและต่างชาติ อีกทั้งยังมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ เนื่องจากนักลงทุนต่างก็มองเห็นศักยภาพของย่านนี้อย่างไร้ข้อกังขามาโดยตลอด โดยหากมองจากทำเลที่ตั้งแล้วนั้นก็จะพบว่าอโศกถือเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง CBD เดิมอย่างสาทร-สีลม กับ New CBD ที่พระราม 9 เราเลยจะไม้ได้เห็นเพียง Office Building เท่านั้น แต่ทั้งโรงแรมหรู คอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า รวมถึงสถานที่สำคัญมากมาย จึงไม่แปลกเลยค่ะที่จะกลายเป็นศูนย์รวมเศรษฐกิจในบ้านเราอีกแห่งหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดทั้งในปัจจุบันและอนาคต   ด้วยความที่เป็นแหล่งรวมคนทำงานมนุษย์ออฟฟิศ รวมถึงนักศึกษา บุคคลากรของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เมื่อมีผู้คนมากมายก็ย่อมต้องตามมาด้วยอาหารการกินเช่นกันใช่ไหมคะ ไม่ว่าจะเป็นแนวสตรีทฟู้ด ร้านอาหารทั้งไทย เอเชีย ตะวันตก ร้านคาเฟ่ดีไซน์สวย ไปจนถึงร้านแฮงค์เอ้าท์ ให้เลือกลิ้มลองกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำหลากหลาย ส่วนเรื่องราคาค่าครองชีพนั้น กลับไม่แพงอย่างที่ใครคิด แม้จะอยู่ใจกลางเมืองก็ตามโดยเฉพาะช่วงกลางวันที่มีตลาดชื่อดังขวัญใจชาวออฟฟิศอโศกอย่าง ตลาดรวมทรัพย์ บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ ร้านค้า ร้านอาหารกว่า 300 ร้าน เรียกได้ว่าคนทำงานละแวกนี้ไม่มีใครไม่เคยมาเดินแน่นอน ตลาดนัดมศว. เปิดเฉพาะวันอังคาร และพฤหัสบดี ช่วงเช้า-14.00 น. แหล่งสินค้า และของอร่อยที่คนทำงานมักจะหิ้วขึ้นไปกินบนออฟฟิศอยู่เป็นประจำ ตลาดสุขตา อีกหนึ่งตลาดที่คนหนาแน่นมากในช่วงกลางวัน รวมถึง Food Court บนห้างสรรพสินค้า Terminal 21 ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าราคาถูกที่สุดในบ้านเรา แบบที่สามารถถือเงิน 25-30 บาท ก็ได้ก๋วยเตี๋ยว หรือข้าวมา 1 จานแบบอิ่มพอดีได้เลยค่ะ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแรงผลักดันต่อเศรษฐกิจของอโศกที่ไม่เคยจางไป     นอกจากจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับไลฟ์สไตล์ได้ทั่วถึงแล้วนั้นก็ยังมีสวนสาธารณะคือ “สวนป่าเบญจกิติ” โอเอซิสของย่านอโศกที่ได้ต้นไม้โอบล้อมทะเลสาบอยู่รอบด้าน เปิดให้บริการทุกวัน 05.00-21.00 น. ซึ่งเป็นสวนสาธารณะแห่งแรกที่มีลักษณะเป็นสวนป่า เพราะมีโซนที่เป็นไม้ยืนต้นใหญ่ให้ความร่มรื่น แต่ยังคงมีความโปร่งแสง ส่องแสงแดดให้ลอดลงมาถึงพื้นที่ได้อยู่ ยามเย็นเมื่อแดดร่มลมตกจะมีผู้คนทั้งเด็ก วัยทำงานไปจนถึงผู้สูงอายุมาวิ่งออกกำลังกายกัน เพราะมีถนนล้อมรอบทะเลสาบเป็นระยะทางประมาณ 1.8 กิโลเมตร ซึ่งมีประตูทางเข้าด้านที่เชื่อมต่อเข้าไปยังศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สถานที่สำคัญในการจัดงานอีเว้นท์สำคัญเอาไว้หลายงาน ซึ่งมีแผนจะปิดปรับปรุงถึง 3 ปี โดยจะเริ่มปิดทำการช่วงปลายปี 2561 เพื่อขยายพื้นที่เชิงการพาณิชย์และศูนย์การประชุมนานาชาติ รวมถึงสามารถจอดรถไปมากขึ้นรวมแล้วไม่น้อยกว่า 1.8 แสนตารางเมตร เมื่อปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์แล้วก็จะยิ่งทำให้พื้นที่บริเวณนี้ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นไปอีก       การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะเกือบจะเป็นหนทางหลักที่หลายคนเลือกใช้เพื่อหลีกหนีรถติดในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน แน่นอนว่ารถไฟฟ้าคือคำตอบที่สะดวกรวดเร็วที่สุดของการเดินทางในกรุงเทพฯ ซึ่งสายหลักก็คือสายสุขุมวิท สายสีลม และรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน โดยจะวิ่งผ่านสถานที่สำคัญหลายแห่ง ล้วนแต่เป็นแหล่งเศรษฐกิจสำคัญทั้งสิ้นรวมถึงอโศกด้วยเช่นกัน ซึ่งบริเวณสี่แยกอโศกก็เป็นจุด Interchange ระหว่าง BTS สถานีอโศก กับ MRT สถานีสุขุมวิท ส่วนถนนหลักอย่างสุขุมวิทจะตัดกันกับถนนรัชดาภิเษก และถนนอโศกมนตรีที่สี่แยกอโศกเป็นแยกที่มีเอกลักษณ์ความเป็นเมืองใหญ่สูง เพราะเป็นทั้งจุด Interchange มี Sky Walk ข้ามสี่แยก และเชื่อมต่อเข้าสู่ห้างสรรพสินค้า Terminal 21 กับโรงแรมระดับ 5 ดาวอย่าง Grande Centre Point Terminal 21 ช่วงถนนกว้าง มีจอ LED ขนาดใหญ่บนอาคารสูง เรียกได้ว่าใครที่เห็นภาพปุ๊บก็จะทราบได้ทันทีว่านี่คือ สี่แยกอโศก             Whizdom Asoke-Sukhumvit   โครงการวิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท เป็นคอนโดมิเนียมระดับ Hi-end ลักษณะ High Rise 39 ชั้น เมื่อได้วิวไฮไลท์ประจำโครงการจากสวนป่าเบญจกิติก็จะยิ่งทำให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในบ้านพักตากอากาศใกล้ชิดธรรมชาติ เป็นส่วนตัวจากความวุ่นวายภายนอก แต่ยังอยู่ท่ามกลางความสะดวกสบายแบบวิถีชีวิตคนเมืองหลวง เทียบเคียงกันกับมหานครใหญ่ๆ ของโลก   Whizdom Asoke-Sukhumvit(วิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท) ตั้งอยู่ริมถนนรัชดาภิเษก ฝั่งตรงข้ามกับ “สวนป่าเบญจกิติ” และยังสามารถเข้าจากซอยสุขุมวิท 16 อีกเส้นทางได้ด้วย นี่ถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของคอนโดมิเนียมกลางเมืองเช่นนี้ เพราะเมื่อได้อยู่อาศัยจริงแล้ว การเข้า-ออกได้ 2 ทางจะช่วยให้เกิดความสะดวกสบายได้อีกเยอะ เช่น หากการจราจรบน ถ.รัชดาฯ ติดขัด ก็สามารถเข้าซ.สุขุมวิท 16 ได้ ซึ่งภายในซ.สุขุมวิท 16 นี้ ก็ยังแวดล้อมไปด้วยร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ คาเฟ่ ร้านแฮงเอาท์ ไปจนถึง ซุปเปอร์มาร์เกตตลอด 24 ชม. อยู่ใกล้กับโครงการ ที่สำคัญ คือ เป็นซอยที่สามารถทะลุไปได้หลายเส้นทาง เช่น ซ.ไผ่สิงโต, ซ.สุขุมวิท 22,  ซ.สุขุมวิท 24 และถ.พระราม 4 ซึ่งก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกเรียงรายอยู่ตลอดสองข้างทาง     จุด Interchange สำคัญในปัจจุบัน ยังมีเพียงไม่กี่สถานีเท่านั้นที่กลายเป็นแหล่งทำเลทองของที่อยู่อาศัย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Interchange ระหว่าง BTS สถานีอโศก กับ MRT สถานีสุขุมวิท โดยห่างจากโครงการเพียง 450 เมตร ถือเป็น Interchange แห่งเดียวบนถนนสุขุมวิทในปัจจุบันที่มีผู้โดยสารกว่า 85,000 คน/วัน ไม่ไกลจากนี้เพียง 1 สถานีจาก MRT สุขุมวิท ไปยัง Airport Rail Link สถานีมักกะสัน เพื่อเชื่อมต่อไปยังสุวรรณภูมิ  อีกทั้งยังพรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย นอกจากนี้ยังมีจุดขึ้น-ลงทางด่วนอยู่ไม่ไกลโครงการอีกหลายแห่งทีเดียวค่ะ ไม่ว่าจะเป็นทางพิเศษเฉลิมมหานคร ด่านพระราม 4, ด่านท่าเรือ หรือทางพิเศษศรีรัชที่ด่านอโศก ทั้งหมดก็จะห่างจากโครงการประมาณ 2 กิโลเมตร      จาก BTS อโศก-Whizdom Asoke-Sukhumvit    เราลองเดินชมทำเลของย่านนี้ไปจนถึงคอนโด Whizdom Asoke-Sukhumvit(วิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท) กันค่ะ โดยเริ่มต้นจาก BTS สถานีอโศก เดินออกทางประตูที่ 6   ทางออกทางฝั่งนี้นอกจากจะเชื่อมต่อกับห้างสรรพสินค้า Terminal 21 และโรงแรม Grande Centre Point Terminal 21 แล้ว ก็ยังเป็น Interchange กับ MRT สถานีสุขุมวิท    เดินตามประตูทางออกที่ 6 ของ BTS นั้นจะเป็นการเดินบน Sky Walk ข้ามสี่แยกอโศก    มองย้อนกลับไปที่ BTS สถานีอโศกที่ผ่านมาเมื่อสักครู่นี้ค่ะ สำหรับสี่แยกที่มีขนาดใหญ่อย่างสี่แยกอโศกแล้วนั้น Sky Walk ถือว่ามีความสำคัญมากๆ  ที่ทำให้คนเดินข้ามถนนได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น     ลงบันไดที่อยู่ใกล้โครงการที่สุดค่ะ ซึ่งอยู่ริมถนนสุขุมวิทข้างอาคาร Exchange Tower ตรงหัวมุมสี่แยกอโศกเลย   จากหน้าอาคาร  Exchange Tower  เดินมาตามถนนรัชดาภิเษกประมาณ 180 เมตรก็จะพบกับซอยสุขุมวิท 16 ซึ่งเป็นซอยที่สามารถเดินจาก BTS อโศก ใช้เป็นทางเข้า-ออกโครงการได้อีก 1 ช่องทางค่ะ   บรรยากาศภายในซอยสุขุมวิท 16 นั้นคึกคักไม่แพ้บนถนนหลักทีเดียวค่ะ ตั้งแต่ปากซอยก็จะมีทั้งร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ ไปจนถึงร้านแฮงค์เอ้าท์เรียงรายอยู่มากมาย   บริเวณหลังอาคาร CTI Tower มี Foodland 24 ชม. อยู่ด้วยนะคะ ซึ่งตัวอาคาร  CTI Tower นี้เองก็จะอยู่ติดกับโครงการ Whizdom Asoke-Sukhumvit(วิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท)    บริเวณด้านหลังโครงการ อีกหนึ่งทางเข้า-ออก Whizdom Asoke-Sukhumvit(วิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท) ค่ะ ที่ดินของโครงการทางฝั่งในซอยสุขุมวิท 16 นี้หน้ากว้างใช้ได้เลยค่ะ     จากด้านหลังอาคาร CTI Tower เราสามารถเดินทะลุมาที่ริมถนนรัชดาได้เลยค่ะ ซึ่งถัดไปก็จะเป็นที่ตั้งของโครงการแล้วค่ะ   หน้าโครงการจะมีที่ดินหน้ากว้างกว่าด้านหลังเล็กน้อยค่ะ ตอนนี้กำลังล้อมรั้วสร้าง Sale Gallery ที่ใครหลายคนใจจดใจจ่อรอคอยที่จะได้เห็นยลโฉมกันอยู่ ซึ่งอีกไม่นานเกินรอค่ะ   จากหน้าโครงการเราเดินข้ามสะพานลอยมาที่สวนป่าเบญจกิติ ซึ่งจะเปิดให้บริการทุกวัน 05.00-21.00 น. ภายในสวนแห่งนี้ตรงกลางจะเป็นทะเลสาบ นอกนั้นจะเป็นพื้นที่ของสวนป่าที่มีต้นไม้ยืนต้นนานาพันธุ์ ให้ความร่มรื่นอยู่ทั่วบริเวณ    รอบทะเลสาบจะมีถนนอยู่รอบเป็นรูปคล้ายวงรี หลายคนนิยมมาวิ่งออกกำลังกายกันที่นี่ในช่วงเย็นๆ ค่ะ เปลี่ยนบรรยากาศจากการวิ่งในห้องฟิตเนสมาวิ่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ขณะเดียวกันถ้าได้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมแถวนี้ด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งทำให้เหมือนได้มีโอกาสพักผ่อนอยู่ตลอดเวลา   บรรยากาศด้านนอกเป็นอาคารสูงระฟ้า แต่พอเข้ามาในสวนป่าเบญจกิติแล้ว กลับพบกับอีกบรรยากาศที่เหมือนอยู่กันคนละโลกกับภายนอก ทั้งที่อยู่กลางเมืองย่านเศรษฐกิจ ซึ่งโครงการ Whizdom Asoke-Sukhumvit(วิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท) จะอยู่ระหว่างอาคาร Lake Ratchada (อาคารสีฟ้า)ทางขวามือของภาพ กับอาคาร CTI Tower (อาคารสีเขียว)ทางซ้ายมือของภาพ      การได้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมที่สามารถเดินทางได้หลากหลายเส้นทาง จะทำให้สะดวกสบายมากสำหรับการวางแผนเดินทางแต่ละวัน อย่างวันไหนรถติดก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้า วันไหนฝนตกก็เปลี่ยนมาขับรถยนต์แทน ใกล้กับจุดขึ้น-ลงทางด่วนหลายจุด ฝั่งตรงข้ามกันยังมีสวนป่าเบญจกิติให้ได้พักสายตาจากทิวทัศน์ที่หาได้ยากมากในกรุงเทพฯ หรือเปลี่ยนบรรยากาศการพักผ่อนออกกำลังกายได้ง่ายๆ ขณะเดียวกันก็ยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกตลอด 24 ชม. ทุกสิ่งจะส่งให้ชีวิตคนเมืองกรุงลงตัวกว่าที่เคยใน Whizdom Asoke-Sukhumvit(วิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท)        สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Tel : 1265 Website : ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษ  http://bit.ly/2oOYTpU
อิมแพ็คเปิดงานมหกรรมก่อสร้างครั้งยิ่งใหญ่ ยกระดับงาน “อินเตอร์แมท อาเซียน และคอนกรีต เอเชีย ปี 2018” สู่เวทีอาเซียน

อิมแพ็คเปิดงานมหกรรมก่อสร้างครั้งยิ่งใหญ่ ยกระดับงาน “อินเตอร์แมท อาเซียน และคอนกรีต เอเชีย ปี 2018” สู่เวทีอาเซียน

งานอินเตอร์แมท อาเซียน และคอนกรีต เอเชีย 2018 เปิดตัวยิ่งใหญ่อลังการ พลิกโฉมวงการอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในยุค 4.0 โดยมีบริษัทและแบรนด์ชั้นนำด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างกว่า 500 แบรนด์ ร่วมโชว์ไฮไลท์นวัตกรรมก่อสร้างยุค 4.0 รองรับการเติบโตในโครงการก่อสร้าง และเมกะโปรเจ็คต่างๆ ทั้งในประเทศ และอาเซียน คาดดึงดูดผู้เข้าร่วมงานและบุคลากรในวงการอุตสาหกรรมก่อสร้าง งานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และซัพพลายเชนด้านคอนกรีตกว่า 9,000 ราย จาก 40 ประเทศในแถบเอเชีย ในระหว่างวันที่ 6-8 กันยายน 2561 ณ อาคาร 5-7 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี และลานแสดงสินค้ากลางแจ้ง P5   มร.ลอย จุน ฮาว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า “นับเป็นการจัดงานร่วมกันครั้งแรกระหว่างงาน “อินเตอร์แมท อาเซียน” และ “คอนกรีต เอเชีย” ซึ่งทำให้งานแสดงสินค้าครั้งนี้เป็นหนึ่งในงานแสดงสินค้าด้านก่อสร้างและคอนกรีตที่ใหญ่ที่สุดในเอเซีย โดยงานอินเตอร์แมทและงานคอนกรีต เอเชีย จัดขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งรวมไปถึงโครงการเมกะโปรเจ็คต์ต่างๆ ที่ภาครัฐได้ประกาศเอาไว้ นอกจากนี้ จากข้อมูลของโกบอลดาต้าซึ่งได้รวมมูลค่างานเมกะโปรเจ็คทั่วภูมิภาคอาเซียนมีมูลค่าทั้งสิ้น 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ (เฉพาะโครงการที่มีมูลค่าน้อยกว่า 25 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในระหว่างปี 2561-2565 ซึ่งจะทำให้การก่อสร้างในภูมิภาคนี้เติบโตขึ้น 6.1% ต่อปีโดยรวม”     ทั้งนี้ งานอินเตอร์แมท 2018 และงานคอนกรีต เอเชีย 2018 จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยทำให้เกิดการเจรจาธุรกิจและ ตอบโจทย์ในการทำงานด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างและคอนกรีตได้อย่างครบวงจรที่สุด ซึ่งจะจัดแสดงสินค้าบนพื้นที่รวม 21,500 ตารางเมตร ซึ่งแบ่งเป็นส่วนการแสดงสินค้าใน 4 กลุ่มประเภทสินค้า ได้แก่ สินค้าและเทคโนโลยีประเภท งานขนย้ายดินและการรื้อถอน / ระบบการยก การเคลื่อนย้าย และการขนส่ง / งานอาคารและสถานที่ / งานถนน งานเหมืองแร่และงานรากฐาน / การผลิตคอนกรีต รวมถึงการจัดสัมมนาวิชาการจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมงานเข้าใจภาพรวมธุรกิจ และมองเห็นโอกาสในการทำตลาดก่อสร้างได้อย่างมีศักยภาพ อาทิ • “เทคโนโลยี BIM ระบบสร้างแบบจำลองเสมือนของอาคาร และเทคโนโลยีคอนกรีต” โดยศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ เลขาธิการสภาวิศวกร • “ความปลอดภัยในการทำงานบนที่สูง” โดยนายรุจน์ เฉลยไตร สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการทำงาน (ประเทศไทย) • “From Mine to Urban Mining กับการพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้าง” โดยนายบวรวิทย์ อัครจันทโชติ นายชัยวิทย์ อุณหศิริกุล และ ดร.ธีรวุธ ตันนุกิจ จากกระทรวงอุตสาหกรรม • “ผลักดันธุรกิจผลิตภัณฑ์คอนกรีตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและผลกำไร” โดย Mr.Andre Dienst จากสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์คอนกรีตไทย   นอกจากนี้ ในพื้นที่สาธิตกลางแจ้งยังได้จัดแสดงทาวเวอร์เครน รถขุด และการสาธิตการย้อมสีคอนกรีต (Concrete Dye) จากมือวางอันดับหนึ่งของโลกจากสหรัฐอเมริกา อาทิ Rachel Fwd จาก FLOORmaps INC และ Gala Vidal จาก AMERIPOLISH INC. และเวิร์คช้อปการตกแต่งคอนกรีตแนวใหม่ ภายในบูธ REP FLOOR ซึ่งจะดึงดูดผู้เข้าร่วมชมงานให้มาสัมผัสกับพลังและประสิทธิภาพของเครื่องจักร และอุปกรณ์รุ่นใหม่ล่าสุด สำหรับการทำงานในชีวิตจริง จากแบรนด์ชั้นนำ เช่น STIT Company Limited, Liebherr Tower Cranes, KATO, Putzmeister, John Deere, IHI, DOOSAN and World Tractor (1996) เป็นต้น” มิสเตอร์ลอย กล่าว     มิสอิสซาเบล อัลฟาโน ผู้อำนวยการหน่วยงานภาคธุรกิจ คอมเอ็กโพเซียม กรุ๊ป กล่าวเสริมว่า “เราเชื่อมั่นว่างานอินเตอร์แมท อาเซียนและคอนกรีต เอเชีย จะช่วยผลักดันให้เกิดการร่วมมือกันระหว่างภูมิภาคได้มากที่สุด ซึ่งนับเป็นการตอบรับการขยายการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศในภูมิภาคนี้ โดยประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่สำคัญในไม่ช้า ซึ่งงานแสดงนิทรรศการด้านการก่อสร้างทั้ง 2 งานนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของประเทศไทย ตลอดจนค้นพบนวัตกรรมใหม่ๆ มากมายในเอเชีย”   ด้านนายอังสุรัศมิ์ อารีกุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “งานอินเตอร์แมท อาเซียน 2018 จัดเป็นงานแสดงสินค้าในอุตสาหกรรมก่อสร้างที่บุคลากรในวงการนี้รอคอยเนื่องจากเป็นการรวมเอานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ในการก่อสร้างมาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับวงการก่อสร้างโดยรวม โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยเราก้าวเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ดังนั้นเพื่อเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการในวิชาชีพนี้ให้ยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง     ทางสมาคมฯ ในฐานะผู้ร่วมจัดงานอินเตอร์แมท อาเซียน ได้จัดงาน TCA Talk ในหัวข้อ “ก่อสร้างไทยกับไทยแลนด์ 4.0” ในงานนี้ด้วย เพื่อแบ่งปันมุมมองเชิงลึกในอุตสาหกรรมก่อสร้าง อนาคตวงการก่อสร้างไทย ภาพรวมของเศรษฐกิจ และผลกระทบที่มีต่องานก่อสร้าง รวมไปถึงแนวโน้มการลงทุนในอุตสาหกรรมก่อสร้างของอาเซียนอีกด้วย โดย ดร.สุวัฒน์ เชาว์ปรีชา ประธานกรรมการ บริษัท ฤทธา จำกัด, ดร.สุภามาส ตรีศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด, ดร.สุปรีย์ ศรีสำราญ นักวิเคราะห์อาวุโส Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และคุณวิโรจน์ รัตนชัยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ Sale & Channel บริษัท SCG Cement & Building Materials ”   ทั้งนี้ งาน “อินเตอร์แมท อาเซียน 2018” และ “งานคอนกรีต เอเชีย 2018” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-8 กันยายน 2561 ณ อาคาร 5-7 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี และลานแสดงสินค้ากลางแจ้ง P5
Century21 Poll เผยผลสำรวจ “ทางรอดหรือทางตันของการพัฒนาอสังหาฯในยุครัฐบาล คสช.”    โพลชี้อยากเห็นดอกเบี้ยบ้าน0% หรือต่ำกว่า 3.5% -เรียกร้องจัดการชุมชนและภาษีอสังหาริมทรัพย์

Century21 Poll เผยผลสำรวจ “ทางรอดหรือทางตันของการพัฒนาอสังหาฯในยุครัฐบาล คสช.” โพลชี้อยากเห็นดอกเบี้ยบ้าน0% หรือต่ำกว่า 3.5% -เรียกร้องจัดการชุมชนและภาษีอสังหาริมทรัพย์

  บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) เปิดผลการเก็บข้อมูลและวิจัย “Century21 Poll” ในหัวข้อ “ทางรอดหรือทางตันของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในยุครัฐบาล คสช.” จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ พบประชาชน ร้อยละ 84 ยังสนับสนุนนโยบาย สคช. เห็นด้วยกับนโยบาย “สังคมไทยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ส่วนนโยบาย ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ผ่อนคลายเงื่อนไข การปล่อยกู้ เพื่อผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลางที่เคยถูกปฏิเสธคำขอการกู้เงินจากธนาคารอื่น เห็นด้วย 85% ขณะที่นโยบายบ้านหลังแรกอัตราดอกเบี้ยปีแรกร้อยละ 3.50 ต่อปี ปีที่ 2 ร้อยละ 4.25 และปีที่ 3 จนถึงตลอดอายุสัญญา ผลการสำรวจพบว่าประชาชนร้อยละ 72.60 อีก ร้อยละ 26.70 ไม่เห็นด้วยเหตุอยากให้ดอกเบี้ยเหลือ 0% หรือต่ำกว่า 3.5% ในปีแรก พร้อมเรียกร้องรัฐบาลดูแลการจัดการชุมชนและสิ่งแวดล้อมอันดับหนึ่ง รองลงมาคือดูแลภาษีกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่นการลดหย่อนภาษีตามอัตราเงินกู้ที่ธนาคารอนุมัติ และเรียกร้องการเข้าถึงเงินกู้ นายธิติวัฒน์ ธีรกุลธัญโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นจูรี่21 (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2561 บริษัทฯได้ปรับรูปโฉม แบรนด์ใหม่ตามนโยบายของสำนักงานใหญ่ สหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงคือการมุ่งเน้นสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ผ่านศูนย์วิจัยข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ชื่อ “Century21 Poll” มี ดร. พรพรรณ วีระปรียากูร เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ศูนย์วิจัยข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ Century21 Poll ซึ่งจะนำเสนอมุมมองที่น่าสนใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลจากการศึกษากลุ่มตัวอย่าง สัมภาษณ์เจาะลึก สร้างงานวิจัยด้านอสังหาฯเพื่อประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และผู้สนใจทั้งในจุลภาค และมหภาค โดยในการวิจัยเชิงสำรวจในครั้งนี้จัดทำขึ้นในหัวข้อ “ทางรอดหรือทางตันของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในยุครัฐบาล คสช.” จึงได้ทำการสำรวจประชาชนกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,110 คน ที่เป็นตัวแทนของแต่ละภาค ประกอบด้วย ภาคใต้ จังหวัดสงขลา ซึ่งมีผู้ให้ข้อมูล 265 คน คิดเป็นร้อยละ 23.90 ของกลุ่มตัวอย่างที่ทำการสำรวจ ภาคกลาง จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 263 คน คิดเป็นร้อยละ 23.70 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมา 326 คน คิดเป็นร้อยละ 29.40 และภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ 256 คน คิดเป็นร้อยละ 23.10     สำหรับที่มาของการสำรวจในหัวข้อ “ทางรอดหรือทางตันของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในยุครัฐบาล คสช.”นั้น เนื่องจากปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ มีหลายปัจจัย เช่น ปัจจัยเกี่ยวกับการเมือง เช่น การปฎิวัติ-รัฐประหาร นโยบายการบริหารของรัฐบาล ฐานะทางการเมืองของรัฐบาล ปัจจัยต้นทุนการผลิตและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เช่น เงินลงทุน ราคาที่ดิน ราคาวัสดุที่แปรเปลี่ยน ราคาน้ำมัน ค่าขนส่งวัสดุอุปกรณ์ แรงงาน อัตราดอกเบี้ย ความเข้มงวดในการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยของธนาคาร เป็นต้น   อย่างไรก็ตามการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยุครัฐบาล คสช (หลัง 22 พ.ค.2557) ตลาดอสังหาริมทรัพย์ เติบโตมากกว่าปี 2560 ในเขตเมืองและกทมฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการแนวราบ ช่วง พ.ย. 2558 โดยปี2558 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าการจดทะเบียน สุงสุด (ร้อยละ 21 หรือ 1 ใน5 ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด) โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตมากที่สุด คือ กรุงเทพมหานคร (ราวร้อยละ 40) รองลงมาคือภาคตะวันออก (ร้อยละ 21) และภาคใต้ (ร้อยละ 16) ตามลำดับ โดยในช่วงรัฐบาล คสช. มีปัจจัยสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์คือ โครงการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น โครงการเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน โครงการท่าอากาศยานอู่ตะเภา โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โครงการท่าเรืออุตสาหกรรม มาบตาพุด ระยะที่ 3 และโครงการฟื้นฟูเมือง โดยพิจารณาได้จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจการใช้จ่ายและ การลงทุนจากภาครัฐในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน (ปี 2558) นโยบาย การให้การจัดตั้ง Trust เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trusts – REITs) แทนการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund)   ดังนั้น บริษัท ฯ จึงได้ทำการสำรวจมุมมองของประชาชนหรือผู้บริโภคโดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดหลักๆ เพื่อสะท้อนออกมาผ่านประเด็นคำถามต่างๆ 5 ข้อ ได้แก่ 1. ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับ “สังคมไทยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” พบว่า ประชาชนกลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยร้อยละ 84.20 แต่มีข้อสังเกตเกี่ยวกับประชาชนในจังหวัดกาญจนบุรี ที่มีสัดส่วนไม่เห็นด้วย 56 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 21.29 ของกลุ่มตัวอย่าง 263 คน ซึ่งศูนย์วิจัยข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ “Century21 Poll” ได้ตรวจสอบลักษณะของข้อมูล พบว่า ข้อมูลจำนวนประชากรจังหวัดกาญจนบุรี ข้อมูล ณ ธ.ค.2560 มีจำนวน 887,979 คน มีแนวโน้มประชากรส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง-ตอนปลาย รองลงมาคือ กลุ่มวัยสูงอายุ อีกทั้งสอดคล้องกับข้อมูลในแผนพัฒนาจังหวัดกาญจนบุรี 4 ปี พ.ศ.2557-2560 ที่ระบุว่าประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพในภาคเกษตรและประมง รองลงมาคือภาคบริการต่างๆ ลักษณะโครงสร้างประชากรส่วนใหญ่ มีแนวโน้มเข้าสู่วัยสูงอายุ ที่ยังอยู่ในภาคเกษตร และมีระดับการศึกษาไม่เกินประถมศึกษา จึงอาจทำให้ไม่เข้าใจในนโยบาย “สังคมไทยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ว่าหมายถึงอะไร อย่างไร   2. ท่านเห็นด้วยหรือไม่ ที่รัฐบาล คสช. ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ผ่อนคลายเงื่อนไข การปล่อยกู้ เพื่อผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลางที่เคยถูกปฏิเสธคำขอการกู้เงินจากธนาคารอื่น ให้สามารถกู้เงินจากธนาคารอื่นๆได้ ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 85.50 (ของประชาชนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,110 คน) เห็นด้วย อย่างไรก็ตามมีจุดที่น่าสังเกตคือ ประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของภาคเหนือ แม้จะเห็นด้วย แต่ความคิดเห็นดังกล่าวยังมีน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นๆ   3. กรณีบ้านหลังแรก ท่านเห็นด้วยหรือไม่สำหรับอัตราดอกเบี้ยปีแรกร้อยละ 3.50 ต่อปี ปีที่ 2 ร้อยละ 4.25 และปีที่ 3 จนถึงตลอดอายุสัญญา ผลการสำรวจพบว่าประชาชนร้อยละ 72.60 เห็นด้วยกับอัตราดอกเบี้ย ปีแรกร้อยละ 3.50 ต่อปี ปีที่ 2 ร้อยละ 4.25 และปีที่ 3 จนถึงตลอดอายุสัญญา อย่างไรก็ตามมีประชาชนอีกร้อยะ 26.70 ไม่เห็นด้วยกับอัตราดอกเบี้ยในลักษณะดังกล่าว ด้วยเหตุผลที่ว่า ดอกเบี้ยต้องถูกกว่านี้หรือดอดอกเบี้ย 0% นอกจากนี้เมื่อวิเคราะห์เชิงสถิติเพิ่มเติม ผลการวิเคราะห์ชี้ไปสู่ข้อสรุปที่ว่า ประชาชนที่เป็นตัวแทนในการให้ข้อมูลทั้ง 1,100 คน ไม่ว่าจะเพศชายหรือหญิง และไม่ว่าจะเป็นประชาชนในภูมิภาคใด ต่างก็มีความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ “อัตราดอกเบี้ยปีแรกร้อยละ 3.50 ต่อปี ปีที่ 2 ร้อยละ 4.25 และปีที่ 3 จนถึงตลอดอายุสัญญา” แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ที่น่าสนใจคือ ประชาชนที่เป็นตัวแทนในการให้ข้อมูลทั้งหมด 1,100 คน ทั้งที่อยู่ในเมืองและนอกเมืองต่างก็มีความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยเฉพาะอย่างยิ่งนอกเมือง ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยยังมีอยู่ แต่ความต้องการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับปัจจัย “อัตราดอกเบี้ย” ยิ่งหากอัตราดอกเบี้ยเป็น 0 หรือต่ำกว่า3.50 ในปีแรก   4. ในฐานะที่ท่านเป็นประชาชนคนไทย ในสังคมไทยที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ท่านจะสนับสนุนนโยบายนี้ หรือไม่ เพราะอะไร ผลการวิเคราะห์พบว่า ประชาชนร้อยละ 84.10 จะสนับสนุน นโยบาย “สังคมไทยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ด้วยเหตุผลหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เห็นว่าเป็นนโยบายที่ทำให้คนไทยไม่ทิ้งกัน เป็นนโยบายที่ดี ได้ช่วยเหลือคนจน/คนด้วยโอกาส เป็นการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความเท่าเทียม เป็นนโยบายที่ดีหากสามารถทำได้จริง เป็นต้น อย่างไรก็ตามประชาชนที่ไม่ต้องการสนับสนุนนโยบายดังกล่าว ร้อยละ 13.40 ให้เหตุผลว่า ไม่คิดว่ารัฐบาลจะทำได้ - ไม่ชอบรัฐบาล คสช. และ คนที่มีโอกาสมีอำนาจ ก็ยังคงมีโอกาส มีอำนาจเหมือนเดิม เป็นต้น ทั้งนี้การวิเคราะห์ การสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลของประชาชน ในทางการตลาดอสังหาริมทรัพย์ อาจพิจารณาได้ว่า นโยบายในเชิงสังคม กับนโยบายในเชิงเศรษฐกิจ ในทัศนะของประชาชนยังแยกส่วนจากกัน ดังนั้นแม้ผลการสำรวจออกมาว่าประชาชนเห็นด้วยกับนโยบาย “สังคมไทยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ขณะเดียวกันประชาชนส่วนใหญ่ ยังมีข้อสงสัย ข้อสังเกต เกี่ยวกับการปฏิบัติของหน่วยงานภาครัฐ   5.ท่านต้องการให้ คสช. เสริมหรือเพิ่มเติมนโยบายเกี่ยวกับ “ที่อยู่อาศัย” อะไรบ้าง ประชาชนต้องการให้ คสช.เสริมหรือเพิ่มเติมนโยบายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยตามลำดับดังนี้ ลำดับที่ 1 การจัดการชุมชนและสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 92.30 ลำดับที่ 2 ภาษีกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่นการลดหย่อนภาษีตามอัตราเงินกู้ที่ธนาคารอนุมัติ ร้อยละ (90.60) ลำดับที่ 3 การเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยร้อยละ 90.00 ลำดับที่ 4 การซื้อที่อยู่อาศัย “คนรุ่นใหม่วัยทำงาน” (อายุ 25-35 ปี) ร้อยละ (89.50) ลำดับที่ 5 การเช่าเพื่อซื้อ ตามฐานรายได้เติบโต ของชนชั้นกลาง ร้อยละ (86.30) ลำดับที่ 6 บ้านประชารัฐ ร้อยละ (81.60) ทั้งนี้ที่ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบาย “บ้านประชารัฐ” ให้เหตุผลว่าบ้านประชารัฐมีราคาแพงและจะทำให้เป็นหนี้เพิ่ม และบางส่วนมีบ้านแล้ว   จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการสำรวจข้างต้น ศูนย์วิจัยข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ “Century21 Poll” จึงได้สรุปทางรอด-ทางตันของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในยุครัฐบาล คสช. ว่า มาจาก 2 ปัจจัยหลัก ดังนี้ 1. ปัจจัยการพัฒนาเมืองและระบบขนส่งมวลชน หากพิจารณาในเชิงวิชาการ ปัจจัยนี้เป็นทั้งทางรอดและทางตันของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กล่าวคือ   ทางรอด: เมื่อเมืองมีการเติบโต ระบบคมนาคมขนส่งมักเติบโตตามไปด้วย ตามแนวคิดการพัฒนาพื้นที่รอบโครงข่ายการคมนาคมหรือที่เข้าใจกันในชื่อว่า TOD (Transit Oriented District) ที่ในต่างประเทศใช้โมเดลดังกล่าวนี้เสมอ โดยเมื่อใดก็ตามที่มีการพัฒนาโครงข่ายการคมนาคม จะต้องมีการพัฒนาพื้นที่และพัฒนาการใช้ประโยชน์ที่ดินรอบข้างไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย หรือวัตถุประสงค์อื่นๆ แต่ทั้งนี้ จะต้องพิจารณาส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ ความหนาแน่นของประชากร (density) ความหลากหลายของกิจกรรม (diversity) หรือการใช้ประโยชน์ที่ดิน (land use) และการออกแบบที่เชื่อมโยงเหมาะสม (design)   ทางตัน: ปัจจัยเดียวกันนี้สามารถเป็นทางตันให้กับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ หากกิจกรรมที่จัดในบริเวณพื้นที่รอบหรือใกล้เคียงระบบขนส่งมวลชน หรือการใช้ประโยชน์ที่ดินใกล้เคียงไม่ได้มีหลากหลายกิจกรรม เนื่องจากจะส่งผลให้ศักยภาพการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้อยู่ในภาวะหลากหลายราคา (Affordable housing) เช่น เป็นอสังหาริมทรัพย์แนวสูงเพื่อการอยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว ตามแนวระบบการคมนาคม หรือมีการวางตำแหน่งอสังหาริมทรัพย์อย่างกระจัดกระจาย ขาดการออกแบบที่เชื่อมโยงอย่างเหมาะสม หรือขาดการออกแบบกิจกรรมในลักษณะ แหล่งพาณิชยกรรม (market places) ทำให้พื้นที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แบบหลากหลาย (mixed-use) หรือพัฒนาพื้นที่โดยไม่คำนึงถึงอรรถประโยชน์สูงสุด เป็นต้น   นอกจากนี้ในส่วนของเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองและระบบขนส่งมวลชน ยังมีเงื่อนไขสำคัญอีกหลายประการ ที่อาจส่งผลให้ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยกำหนดทางรอดหรือทางตันในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เช่น กฎหมายผังเมือง – การเวนคืนที่ดิน การเพิ่มอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (FAR) การโอนถ่ายสิทธิในการพัฒนา (TDR) การบรรจุแนวคิด TOD ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 การนำร่องการพัฒนาพื้นที่โดยหน่วยงานในกำกับของภาครัฐ เช่น การเคหะแห่งชาติ การควบคุมปริมาณการใช้รถส่วนบุคคล   2. ปัจจัยแผนพัฒนาของจังหวัด เช่น จังหวัดนครราชสีมา มีแนวทางการจัดระเบียบและพัฒนาระบบรถโดยสารรถโดยสารประจำเส้นทางหลัก หรือ จังหวัดสงขลา มีแผนพัฒนาระบบขนส่งมวลชน 10 ปี (2555-2565) ลงทุน 316 ล้านบาท จัดรถโดยสารสาธารณะที่มีอยู่วิ่งใน 8 เส้นทาง 104 กิโลเมตร เช่น วิ่งวงกลมรอบเมืองฝั่งตะวันออกและตะวันตก คอหงส์-สถานีรถไฟ นิพัทธ์อุทิศ 2 - นิพัทธ์อุทิศ 3 สร้างระบบโมโนเรล (รถไฟรางเดี่ยว) จากเทศบาลเมืองบ้านพรุ สถานีขนส่ง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สามแยกคอหงส์ ตลาดพลาซ่า ตลาดเกษตร เป็นต้น   จากนัยเชิงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดมีแผนพัฒนาของจังหวัดที่ชัดเจนสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลหรือของประเทศ ย่อมนำสู่ทางรอดของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ อย่างแน่นอน
‘เอพี ไทยแลนด์’ ท็อปฟอร์มผู้นำแห่งปี 2018! โดดเด่นครบทุกมิติ หนึ่งเดียวที่ครอบครองรางวัลอันทรงเกียรติมากที่สุด

‘เอพี ไทยแลนด์’ ท็อปฟอร์มผู้นำแห่งปี 2018! โดดเด่นครบทุกมิติ หนึ่งเดียวที่ครอบครองรางวัลอันทรงเกียรติมากที่สุด

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทยและผู้นำด้านนวัตกรรมการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง โดย นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กร และการสร้างสรรค์ ร่วมฉลองความสำเร็จขึ้นแท่นสุดยอดนักพัฒนาอสังหาฯ แห่งปี 2018 หนึ่งเดียวที่ได้ครอบครองรางวัลอันทรงเกียรติมากที่สุดถึง 7 รางวัล ด้วยผลงานที่โดดเด่นในทุกมิติ จากงาน “Property Guru Thailand Property Awards 2018” ประกอบด้วย 1) รางวัลบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยอดเยี่ยมประจำปี 2561 (Best Developer) 2) รางวัลที่สุดของคอนโดมิเนียมในประเทศไทย (Best Condo Development Thailand) 3) รางวัลคอนโดมิเนียมยอดเยี่ยมกลุ่มสินค้าระดับอัลตร้าลักชัวรี่ (Best Ultra Luxury Condo Development) 4) รางวัลคอนโดมิเนียมออกแบบยอดเยี่ยม (Best Condo Interior Design) จากโครงการ VITTORIO คอนโดมิเนียมอัลตร้า-ลักซ์ นอกจากนี้ การดำเนินงานภายใต้แนวคิดการส่งมอบที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดในทุกมิติ และการสร้างสรรค์พื้นที่ใช้สอยเพื่อตอบแทนชุมชน ส่งผลให้เอพี ไทยแลนด์ยังได้รับรางวัลแห่งความสำเร็จอีก 3 สาขา ได้แก่ 5) ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร (CSR) 6) การพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) 7) การออกแบบและการก่อสร้างดีเด่น (Design & Construction) ซึ่งถือว่าทั้ง 7 รางวัลการันตีความสำเร็จ และคุณภาพที่ได้มาตรฐานของเอพี ไทยแลนด์ ทั้งยังเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพสู่สังคมไทยอย่างต่อเนื่อง
SIRI ปลื้มขายเกลี้ยงหุ้นกู้ล็อตใหญ่ 5 พันล้านบาท  พร้อมนำเงินลงทุนจับมือพันธมิตรระดับโลกลุยธุรกิจในไทย พัฒนาโครงการใหม่ไตรมาส4 และขยายกำลังการผลิตโรงงานพรีคาสต์

SIRI ปลื้มขายเกลี้ยงหุ้นกู้ล็อตใหญ่ 5 พันล้านบาท พร้อมนำเงินลงทุนจับมือพันธมิตรระดับโลกลุยธุรกิจในไทย พัฒนาโครงการใหม่ไตรมาส4 และขยายกำลังการผลิตโรงงานพรีคาสต์

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI สุดปลื้มหลังปิดจ๊อบขายหุ้นกู้ล็อตใหญ่ 5,000 ล้านบาทหมดเกลี้ยง นักลงทุนให้ความเชื่อมั่นตอบรับดีจากความแข็งแกร่งของแผนธุรกิจภายใต้ Sansiri Best Year Ever เผยพร้อมนำเงินทุนเสริมแกร่งรับแผนขยายธุรกิจ อาทิ การสานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการจับมือกับบริษัทชั้นนำระดับโลกพลิกโฉมวงการอสังหาริมทรัพย์ในไทยและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ นำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนต่อยอดกำลังการผลิตโรงงานพรีคาสต์และป้อนการพัฒนาโครงการใหม่ของแสนสิริในไตรมาส 4 ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียม เดินหน้าเต็มกำลังการผลิต 100% ในทั้ง 2 โรงงาน รองรับความต้องการใช้ได้ถึง 8.5 แสนตร.ม.ต่อปี เติบโตตามแผนการเปิดโครงการใหม่ เผยการระดมทุนผ่านหุ้นกู้ในปีนี้ได้รับความสนใจเกินคาดและช่วยลดต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้นทุนการเงินล่าสุดอยู่ที่ 3.20%     นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้เสนอขายไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ 3.20% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือนตลอดอายุของหุ้นกู้ 3 ปี ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยปรากฏว่าได้รับการต้อนรับจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม จนทำให้หุ้นกู้ล้อตใหญ่ ขายหมดในระยะเวลารวดเร็ว โดย ทั้งนี้ ทริส เรทติ้ง ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ในระดับ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทและผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจนแบรนด์ที่แข็งแกร่งเป็นที่ยอมรับในที่อยู่อาศัยทุกประเภททั้ง คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ รวมถึงความครอบคลุมในทุกระดับราคา     สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ยังนับเป็นการเสนอขายหุ้นกู้มูลค่าสูงที่สุดที่แสนสิริเคยเปิดการจำหน่ายมาก่อน ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักลงทุน โดยเงินทุน 5,000 ล้านบาท ที่ได้จากการขายหุ้นกู้ในครั้งล่าสุดนี้ ส่วนหนึ่งเพื่อนำไปชำระคืนหุ้นกู้เดิมที่หมดอายุลง และเดินหน้าสานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำระดับโลก อาทิ การจับมือกับ Standard International แบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในธุรกิจบูติกโฮเทล พลิกโฉมวงการอสังหาริมทรัพย์ในไทย และจับมือกับ Hostmaker บริษัทบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งจากลอนดอน เข้ามาช่วยบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ลูกบ้านและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ   นอกจากนี้บริษัทจะนำเงินไปขยายการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานพรีคาสท์แบบ Semi-Automated Carousel System ของแสนสิริ ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยจากประเทศเยอรมัน โดยกระบวนการผลิตทุกสถานีควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ และมีการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาใช้ในการประกอบแบบข้าง (Shuttering Robot) ทำให้เกิดความแม่นยำในการกำหนดขนาดชิ้นงานพรีคาสท์ ทำงานได้รวดเร็ว ประหยัดเวลา และลดระยะเวลาการก่อสร้าง สำหรับพัฒนาโครงการใหม่ของแสนสิริในไตรมาส 4 ทั้งบ้านดี่ยว ทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียม     ปัจจุบันโรงงานพรีคาสท์ของแสนสิริในทั้ง 2 โรงงาน มูลค่าการลงทุน 750 ล้านบาท ตั้งอยู่ในพื้นที่ประมาณ 107 ไร่ คลอง 10 ลำลูกกา จ.ปทุมธานี มีกำลังการผลิตผนังสำเร็จรูปป้อนให้โครงการต่างๆ ของแสนสิริได้ 100% โดยมีการวางแผนการผลิตพรีคาสต์ให้สอดคล้องกับแผนการเปิดโครงการใหม่ที่จะเติบโตขึ้นในทุกๆปี โดยในปี 2561 โรงงานพรีคาสต์ของแสนสิริ สามารถผลิตแผ่นสำเร็จรูปได้สูงสุดถึง 8.5 แสนตารางเมตรต่อปี ผนังสำเร็จรูปที่ผลิตได้นำไปใช้พัฒนาที่อยู่อาศัยในโครงการบ้านเดี่ยวทุกโครงการของแสนสิริ อาทิ บ้านเดี่ยวแบรนด์คณาสิริ, สราญสิริ, บุราสิริ และเศรษฐสิริ ในส่วนของทาวน์เฮาส์ ใช้กับทุกโครงการของสิริเพลส และคอนโดมิเนียม ใช้กับ Façade ในโครงการ ดีคอนโด ธรรมศาสตร์2, เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง, เดอะ ไลน์ ราชเทวี, โมนูเมนต์ สนามเป้า และใช้เป็นส่วนประกอบอาคารของโครงการดีคอนโด ศรีราชา เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนเปิดตัวโรงงานพรีคาสต์เพิ่มเติมในปีหน้าอีกด้วย     “สำหรับการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ถือเป็นการบริหารต้นทุนของแสนสิริอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปี 2561 ต้นทุนทางการเงินจากการออกหุ้นกู้ของแสนสิริลดลงมาอยู่ที่ 3.20% โดยปัจจุบันแสนสิริมีสัดส่วนการระดมทุนจากหุ้นกู้อยู่ที่ 50% การกู้จากสถาบันการเงินอยู่ที่ 25% และอีก 25% เป็นเงินกู้ระยะสั้นของบริษัท จากการเข้าถึงแหล่งทุนที่มีต้นทุนต่ำนี้ทำให้แสนสิริสามารถนำเงินทุนที่ได้มาพัฒนาโครงการใหม่ๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทสามารถก้าวสู่ปีแห่งการเติบโตเป็นประวัติการณ์ จากการตั้งเป้าหมายยอดขายสูงที่สุด 45,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นปีที่ดีที่สุดของแสนสิรินับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท” นายวันจักร์ กล่าว #SansiriBestYearEver
“นิช โมโน เจริญนคร” คอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา  พื้นที่บนโค้งน้ำที่สวยที่สุด

“นิช โมโน เจริญนคร” คอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่บนโค้งน้ำที่สวยที่สุด

  เสนา ฮันคิว เปิดชมโครงการ “นิช โมโน เจริญนคร (NICHE MONO CHAROEN NAKORN)” คอนโดมิเนียม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บนวิวโค้งน้ำที่สวยที่สุดย่านเจริญนคร ออกแบบเพื่อความเป็นอิสระ สามารถปลดปล่อยจินตนาการผ่านวิวโค้งน้ำจากระเบียงห้องพักส่วนตัว พร้อมเติมเต็มที่สุดของการอยู่อาศัย ภายใต้คอนเซปต์ Made From Her ผู้หญิงอยู่สบาย ผู้ชายก็แฮปปี้   คุณสมพิศ ศรีระทัด ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานธุรกิจ 1 บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการ “นิช โมโน เจริญนคร (NICHE MONO CHAROEN NAKORN)” เป็นอีกหนึ่งโครงการ ภายใต้การร่วมทุนของบริษัท เสนา ฮันคิว จำกัด ที่ออกแบบเพื่อความเป็นอิสระ พร้อมรองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยที่หลงใหลความสงบ แต่ยังต้องการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายในเมืองใหญ่ ซึ่งพื้นที่ตั้งของคอนโดมิเนียมแห่งนี้ สามารถตอบโจทย์ได้อย่างครบครัน เนื่องจากตั้งอยู่ย่านเจริญนคร ระหว่างซอยเจริญนคร 76 – 78 และสามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางถนนสาทรได้โดยใช้เวลาเพียง 10 นาที นับว่าตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุด เพราะสามารถมองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยา บนวิวโค้งน้ำที่สวยที่สุดจากระเบียงส่วนตัวในห้องพัก จึงนับว่าเป็นที่พักอาศัยที่มีมนต์เสน่ห์เฉพาะตัว และถือเป็นอีกแลนด์มาร์คสำคัญที่ชาวไทยและชาวต่างชาติต่างต้องการจับจองเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมแห่งนี้     ทั้งนี้ นิช โมโน เจริญนคร (NICHE MONO CHAROEN NAKORN) ออกแบบภายใต้คอนเซปต์ “MADE FROM HER” ใส่ใจทุกดีเทลชีวิต จากแนวคิดแบบผู้หญิง “ผู้หญิงอยู่สบาย ผู้ชายก็แฮปปี้ ที่เข้าใจถึงหัวคิดและหัวใจของผู้หญิง ที่ตอบโจทย์ทุกมุมมองความละเอียดลออแบบผู้หญิงในทุกเรื่อง ทั้งความสบาย อุ่นใจ มั่นใจ และ ปันสุข ให้ทุกรายละเอียดการใช้ชีวิตใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ทำให้มีการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ ตู้ เพื่อรองรับการใช้งานได้อย่างเต็มที่     โครงการ “นิช โมโน เจริญนคร (NICHE MONO CHAROEN NAKORN)” ตั้งอยู่ติดถนนเจริญนคร (ช่วงระหว่างซอยเจริญนคร 76 – 78) บนพื้นที่ 3 ไร่เศษ ห่างจากแยกบุคคโลเพียง 700 เมตร เดินทางสะดวกมีรถรับ-ส่ง จากโครงการไปยัง BTS กรุงธนบุรี และ The Mall ท่าพระ มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้ง ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสถานศึกษาต่างๆ มากมาย อาทิ เอเชียทีค ริเวอร์ฟร้อนท์ เซ็นทรัล พระราม 3 เดอะมอลล์ ท่าพระ โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า โรงเรียนอัสสัมชัญ และ โรงเรียนกุหลาบวิทยา เดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีวงเวียนใหญ่ และ สถานีกรุงธนบุรี นอกจากนี้ยังมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ ผ่านทางถนนสมเด็จพระเจ้าตากสินในอนาคตอีกด้วย พร้อมเต็มเติมประสบการณ์การอยู่อาศัยอย่างลงตัว ของคนที่ชื่นชอบความสงบแต่ยังต้องใช้ชีวิตในเมืองใหญ่     คุณเพชรรัตน์ ล้อเจริญรุ่งโรจน์ Sale Manager บริษัท แอคคิวท์ เรียลตี้ จำกัด กล่าวถึง จุดเด่นของโครงการ “นิช โมโน เจริญนคร (NICHE MONO CHAROEN NAKORN)” เน้นการออกแบบสไตล์รีสอร์ททั้งโครงการ โดยมีจุดเด่นและจุดขายที่น่าสนใจ ประกอบด้วย · ฟังก์ชั่นการใช้งานตอบโจทย์ทุกความลงตัวของการใช้ชีวิต ผ่านคอนเซปต์ “MADE FROM HER” ใส่ใจทุกดีเทลชีวิต จากแนวคิดแบบผู้หญิง คอนโดมิเนียม High Rise สูง 36 ชั้น 1 อาคาร มีห้องพักอาศัยทั้งสิ้น 537 ยูนิตและ 2 ร้านค้า ห้องพักแบ่งเป็น 3 แบบ คือ แบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 30 ตร.ม. 34.90 ตร.ม. และ 40 ตร.ม. แบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 49.50 ตร.ม. และแบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาด 60 ตร.ม. มีราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 88,000 บาท หรือราคาเริ่มต้น 2.19 ล้านบาทต่อยูนิต* โดยเริ่มก่อสร้างปี 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563 พร้อมเปิดพรีเซล 22 ก.ย. นี้   · หนึ่งเดียวบนทำเลที่ดีที่สุดย่านเจริญนคร ทำเลที่มีมนต์เสน่ห์สำคัญที่พร้อมโอบรับพลังจากแม่น้ำเจ้าพระยา สายน้ำที่ไม่เคยหลับใหลของคนไทย ผ่านวิวโค้งน้ำที่สวยที่สุด เป็นที่ต้องการของชาวไทยและชาวต่างชาติ   · โดดเด่นด้วยพื้นที่ส่วนกลางบนชั้น 34 – 36 ที่ถูกออกแบบเพื่อเปิดรับวิวพาโนราม่าของแม่น้ำเจ้าพระยาแบบ 360 องศา ที่จะช่วยให้สัมผัสชีวิต และมนต์เสน่ห์ที่ไม่เคยจางหายของกรุงเทพมหานคร พร้อมตอบโจทย์การใช้ชีวิตด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน โครงการมีการออกแบบรองรับ 3 Generation โดยมีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับทุกวัย เช่น พื้นที่ Co-Working , Kid’s playground , Nursing Room, Sky Fitness พร้อมมีสระว่ายน้ำลอยฟ้าบนชั้น 34 สระว่ายน้ำระบบเกลือ และ Lounge ที่ให้ลูกบ้านไว้สามารถพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ในสังคมที่สมบูรณ์แบบ และอื่นๆ อีกมากมาย   · เทคโนโลยีล้ำด้วย 360 องศา Application เพื่อช่วยเติมเต็มทุกช่วงเวลาให้คุณได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น Fixzy บริการที่จะช่วยดูแลรักษา และ ซ่อมแซมบ้านจากมืออาชีพ Smart Feeder และ Smart Locker บริการ 24 ชั่วโมง พร้อมแจ้งเตือนไปยัง Application ได้ทุกช่วงเวลา   · ที่จอดรถมากสุดในย่านเจริญนคร คิดเป็น 60% และสามารถจอดรถเพิ่มเติมที่ห้างสรรพสินค้า เสนาเฟส อีก 30% รวมทั้งสิ้นคิดเป็น 90% เอกสิทธิ์เฉพาะผู้อยู่อาศัยที่ นิช โมโน เจริญนคร เท่านั้น     ล่าสุดเตรียมจัดงาน Pre sale ในวันที่ 22 กันยายน 2561 ณ.Sale gallery โครงการสำหรับโครงการ นิช โมโน เจริญนคร สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1775 # 76
ศุภาลัย ไพรด์ ประชาอุทิศ ชูแบบบ้านประหยัดพลังงาน พร้อมขยายพื้นที่ส่วนกลางกว่า 2 ไร่

ศุภาลัย ไพรด์ ประชาอุทิศ ชูแบบบ้านประหยัดพลังงาน พร้อมขยายพื้นที่ส่วนกลางกว่า 2 ไร่

ศุภาลัย ไพรด์ ประชาอุทิศ เป็นโครงการแนวราบขนาดใหญ่ ของบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบ บ้านเดี่ยว และบ้านรุ่นใหม่ ราคาเริ่มต้นเพียง 2.99 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการกว่า 86 ไร่ ชูแนวคิด “ทุกการใส่ใจคือความภาคภูมิใจ” พื้นที่ใช้สอยกว้าง หลากหลายฟังก์ชั่นการใช้งาน ขนาด 3 - 4 ห้องนอน 2 - 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 123 - 197 ตร.ม. บนทำเลประชาอุทิศ ซึ่งเป็นทำเลที่ความเป็นเมืองได้ขยายออกมา กลายเป็นสังคมเมืองขนาดใหญ่ มีการพัฒนาด้านคมนาคมอย่างต่อเนื่อง เดินทางเข้าสู่ย่านสาทรใช้เวลาเพียง 15 นาที หรือการเข้าสู่ย่านต่างๆ ที่เป็น CBD โดยผ่านเส้นทางด่วนพิเศษเฉลิมมหานคร ที่จุดขึ้นลงสุขสวัสดิ์ หรือทางขึ้นลงดาวคะนองได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งอยู่ใกล้ทางด่วน วงแหวน-อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นถนนสายหลัก สามารถเชื่อมต่อได้ถึง 4 จังหวัด ได้แก่ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี และพระนครศรีอยุธยา และสามารถเชื่อมต่อใจกลางเมืองอย่างง่ายดาย แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ Big C สุขสวัสดิ์ Central พระราม 3 โรงพยาบาลกรุงเทพพระประแดง โรงเรียนสารสาสน์วิเทศศึกษา มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี   ตอบครบทุกความต้องการของช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนด้วยสโมสร ฟิตเนส สระว่ายน้ำระบบน้ำแร่ ร่มรื่นด้วยพื้นที่สวนส่วนกลางกว่า 2 ไร่ สะดวกและปลอดภัยกับการเข้า - ออก ด้วยระบบ Easy Pass ทางเข้าแยกลูกบ้านและผู้มาเยี่ยม พร้อมกล้อง CCTV ภายในโครงการและระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง การออกแบบเน้นการประหยัดพลังงาน สไตล์โมเดิร์น มีแบบบ้านให้เลือกถึง 6 แบบ ซึ่งในแต่ละแบบบ้านล้วนมีจุดเด่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างลงตัว     แบบบ้านศุภฤทัย พื้นที่ใช้สอย 197 ตร.ม. ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 จอดรถ แบบบ้านศุภฤทธิ์ พื้นที่ใช้สอย 175 ตร.ม. ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 จอดรถ แบบบ้านศุภดำรง พื้นที่ใช้สอย 167 ตร.ม. ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 จอดรถ แบบบ้านศุภลักขณา พื้นที่ใช้สอย 150 ตร.ม. ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 จอดรถ แบบบ้านศุภนัช พื้นที่ใช้สอย 139 ตร.ม. ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 จอดรถ แบบบ้านศุภกัลย์ พื้นที่ใช้สอย 123 ตร.ม. ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 จอดรถ สำหรับผู้ที่สนใจ บ้านประหยัดพลังงานคุณภาพศุภาลัย ย่านประชาอุทิศ - สุขสวัสดิ์ เชิญเยี่ยมชมโครงการพร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย ในงาน Pre-Sale 8-9 กันยายน นี้ สำนักงานขายโครงการ โทร. 1720 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.supalai.com
“ออริจิ้น” เปิดตัวคอนโดหรูทำเลศักยภาพ “พาร์ค ออริจิ้น พญาไท”  โชว์ห้องชุดพร้อมมิกซ์ยูสสุดสมบูรณ์แบบ พร้อมสวนแนวตั้งแห่งแรกในกรุงเทพฯ

“ออริจิ้น” เปิดตัวคอนโดหรูทำเลศักยภาพ “พาร์ค ออริจิ้น พญาไท” โชว์ห้องชุดพร้อมมิกซ์ยูสสุดสมบูรณ์แบบ พร้อมสวนแนวตั้งแห่งแรกในกรุงเทพฯ

  “ออริจิ้น” เปิดตัวคอนโดหรูติดถนนใจกลางเมือง “พาร์ค ออริจิ้น พญาไท” มูลค่าโครงการกว่า 4,800ล้านบาท ตอกย้ำแนวคิด A Perfect Living Platform ผสานธรรมชาติ เทคโนโลยี สังคมคุณภาพ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบผ่านคอนโดพร้อมอาณาจักรมิกซ์ยูส โชว์ Home Automation ครบวงจรและ Vertical Garden สวนแนวตั้งเสมือนปีนเขา 120 เมตรแห่งแรกในกรุงเทพฯ ดึงบริการมาตรฐานโรงแรมหรู ดูแลผู้อยู่อาศัย สร้างประสบการณ์ A Place Where We Share     นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาโครงการแฟล็กชิพโครงการใหม่ติดถนนพญาไท ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ภายใต้ชื่อ “พาร์ค ออริจิ้น พญาไท” (PARK ORIGIN Phayathai) เป็นอาคารสูง 35 ชั้น 1 อาคาร 550 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 4,800 ล้านบาท และโครงการวัน พญาไท (ONE Phayathai) เป็นโครงการมิกซ์ยูสติดกับพาร์ค ออริจิ้น พญาไท   “ทำเลพญาไทมีโครงการใหม่เกิดขึ้นหลายโครงการ ดังนั้น เราจึงเลือกพัฒนาโครงการของเราในทำเลที่ติดถนนใหญ่ บนถนนพญาไทจริงๆ ไม่ใช่แค่ละแวกพญาไท และตั้งใจนำแนวคิด A Perfect Living Platform ที่ผสมผสานธรรมชาติ เทคโนโลยี และสังคม อันเป็นหัวใจหลักของการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบในปัจจุบันและอนาคต เข้ามาไว้ในโครงการ พร้อมทั้งสร้างสรรค์จุดแตกต่างให้เป็นแลนด์มาร์ค เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาอยู่อาศัยในโครงการนี้ สามารถใช้ชีวิต 24 ชั่วโมงที่พญาไทในมุมใหม่ แบบที่ใครก็ให้ไม่ได้” นายพีระพงศ์ กล่าว     เริ่มต้นจากด้านธรรมชาติ (Nature) หนึ่งใน 3 องค์ประกอบหลักของ A Perfect Living Platform บริษัทได้ออกแบบตัวอาคารของพาร์ค ออริจิ้น พญาไท ด้วยดีไซน์ที่แปลกใหม่เป็นเอกลักษณ์ สร้างสวนแนวตั้ง หรือ Vertical Garden แห่งแรกในกรุงเทพฯ บริเวณส่วนกลางของอาคารไล่ตั้งแต่ชั้น 12 จนถึงชั้น 35 คิดเป็นพื้นที่สีเขียวรวมกว่า 1,800 ตร.ม. ทำให้ลักษณะของอาคารเสมือนภูเขาใจกลางเมืองที่มีความสูงจากพื้นกว่า 120 เมตร ผู้อยู่อาศัยเดินขึ้นลงบันไดเพียง 2-3 ชั้น ก็สามารถเข้าถึงธรรมชาติหรือพื้นที่สีเขียวได้ ทำให้ทุกห้องสามารถใกล้ชิดธรรมชาติได้มากกว่าเดิม     ทั้งนี้ พญาไทถือเป็นทำเลศักยภาพแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ มีอาคารสำนักงานอยู่ในละแวกมากกว่า 10 อาคาร รวมพื้นที่สำนักงานมากกว่า 2 แสน ตร.ม. อยู่ใกล้โรงพยาบาลชั้นนำหลายแห่ง อาทิ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลพญาไท 1 อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อแห่งใหม่ (New Hub) ของกรุงเทพฯ เพราะเป็นสถานีอินเตอร์เชนจ์ ที่เชื่อมต่อกับทั้ง BTS แอร์พอร์ตลิงค์ รถไฟความเร็วสูง สามารถเดินทางไปยังสนามบิน 3 แห่ง ทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง สนามบินอู่ตะเภา     ด้านนางกมลวรรณ วิปุลากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด บริษัทที่ดูแลธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อให้เกิดประสบการณ์การพักอาศัยรูปแบบใหม่ ให้การทำงาน การพักอาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกเชื่อมกัน เป็นการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์ บริษัทจึงได้พัฒนาโครงการวัน พญาไท (ONE Phayathai) เป็นโครงการมิกซ์ยูส 1 อาคาร ประกอบด้วย พื้นที่ค้าปลีก สำนักงาน Co-working space โรงแรม สร้างสังคม (Community) ที่ตอบโจทย์ทุกมิติการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่สะท้อนความเป็นตัวเอง   “นอกจากนี้ เรายังจะใช้แบรนด์คราวน์ เรสซิเดนซ์ ในเครือวัน ออริจิ้น เข้ามาช่วยดูแลบริการส่วนกลางของที่อยู่อาศัยให้มีบริการเทียบเท่ามาตรฐานโรงแรมระดับสากล ทำให้พื้นที่ส่วนกลางของเรามีบริการที่พรีเมียมเหนือระดับ ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาสร้างความร่วมมือกับเชนโรงแรมระดับสากลในการดูแลพื้นที่ส่วนกลาง คาดว่าจะเปิดเผยข้อมูลได้ในเร็วๆ นี้” นางกมลวรรณ กล่าว     ด้านนายเกษมิน นาคะประทีป ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการพาร์ค ออริจิ้น พญาไท จะตอบโจทย์การอยู่อาศัยแห่งอนาคตด้วยเทคโนโลยี (Technology) ที่หลากหลายทั้งภายในห้องพักและพื้นที่ส่วนกลาง ทั้งระบบ Home Automation เชื่อมต่อกับระบบการสื่อสารไร้สายบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต Internet of Things หรือ IoT มีสิ่งอำนวยความสะดวกอัจฉริยะ (Intelligence Facility) Digital Doorlock, Smart Mirror ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้ชีวิตแบบ Smart Living   “เรายังได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จากัด (มหาชน) เพื่อร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยี สำหรับผู้อยู่อาศัย ในทุกด้าน ทั้งภายใน และภายนอกอาคาร รวมทั้งได้มีการวางโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม และเทคโนโลยีดิจิทัล โดยติดตั้งโครงข่ายไฟเบอร์ออพติก ความเร็วเริ่มต้นตั้งแต่ 1Gbps สูงสุด 10 Gbps ที่พร้อมสำหรับการต่อยอดบริการสื่อสารทุกรูปแบบ เพื่อให้รองรับการใช้ชีวิตระดับเฟิร์สคลาสในยุคดิจิทัลของผู้อยู่อาศัยทั้งในปัจจุบันและอนาคต นอกจากนี้ พาร์ค ออริจิ้น พญาไท ยังตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่รักการแบ่งปัน ด้วยการสร้างสังคม A Place Where We Share โดยมีบริการ Co-working space จากแบรนด์ชั้นนำ และแบ่งปันวัฒนธรรมกันผ่าน Culture Hotel” นายเกษมิน กล่าว     สำหรับโครงการพาร์ค ออริจิ้น พญาไท (PARK ORIGIN Phayathai) ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดประมาณ 2 ไร่ 1 งาน ติดถนนพญาไท ประกอบด้วยอาคารสูง 35 ชั้น 1 อาคาร รวม 550 ยูนิต รูปแบบห้องประกอบด้วยแบบ 1-2 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 24-55 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นที่ 5.8 ล้านบาท ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รองรับมากมาย อาทิ Co-working area, Cascade Pool, Game Room, Business Lounge, Sky Lounge, Mini Theatre ฯลฯ   โครงการภายใต้แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น จะเปิดให้ Register ได้ภายในงาน My Life My Origin งานอีเวนท์ใหญ่ประจำปีของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ในวันที่ 8-9 ก.ย. นี้ ณ ศูนย์การค้าสยาม พารากอน ผู้สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.parkorigin.co.th หรือโทร 063 365 5000
แสนสิริ จับมือฮาบิแททเอาใจคนรุ่นใหม่ เผยเทรนด์การตกแต่งบ้านคอนเซ็ปท์ ‘A REFLECTION OF LIVING IN STYLE’

แสนสิริ จับมือฮาบิแททเอาใจคนรุ่นใหม่ เผยเทรนด์การตกแต่งบ้านคอนเซ็ปท์ ‘A REFLECTION OF LIVING IN STYLE’

เมื่อ Design Matters เรื่องของดีไซน์ไม่เคยอยู่ไกลตัวเรา ทุกสิ่งประดิษฐ์ที่เราใช้ในชีวิต ประจำวัน ล้วนเป็นผลผลิตมาจากการออกแบบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะสร้างสรรค์มาเพื่อตอบโจทย์ ความสะดวกสบาย หรือเติมเต็มการใช้ชีวิต ดีไซน์ที่ดี พร้อมทั้งรูปลักษณ์และประโยชน์ใช้สอย นอกจากจะทำให้เราใช้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น ยังสะท้อนตัวตนของเราอีกด้วย   แสนสิริจึงร่วมกับฮาบิแทท เปิดคอลเลคชั่นเฟอร์นิเจอร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ จากฮาบิแทท ดีไซน์ สตูดิโอระดับโลก ที่มาพร้อมกับแนวคิด “A REFLECTION OF LIVING IN STYLE” ผลงานออกแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่ยึดถือความงามอันเรียบง่าย ละทิ้งการตกแต่งประดับประดาที่มากเกินไป เกิดเป็นความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม สะท้อนแนวคิดการใช้ชีวิต และตัวตนของ คนรุ่นใหม่     คุณชัยจักร วทัญญู ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นเรื่องเทรนด์ของงานดีไซน์สถาปัตยกรรมและการตกแต่งในปัจจุบันว่าความซับซ้อน ของสภาพสังคม และเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้ผู้คนแสวงหาความเป็นธรรมชาติ ความเรียบง่าย ที่จะทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง ปราศจากความวุ่นวาย จะเห็นว่ากระแสมินิมอล สโลว์ไลฟ์ เรียบแต่โก้ กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และถูกนำมาใช้ในวงการออกแบบ ทั้งงานสถาปัตยกรรม งานออกแบบตกแต่งภายใน งานแฟชั่น และงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งสไตล์ออกแบบบ้าน ที่สะท้อนการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันจะออกมาในรูปทรงโมเดิร์น ที่ลดทอนรายละเอียดลงไป เน้นการใช้รูปทรงเรขาคณิต ทรงเหลี่ยมเพื่อให้ได้พื้นที่ใช้สอย โทนสีก็จะเรียบง่ายสบายตา ส่วนอีกสไตล์หนึ่งที่นิยมกันก็จะเป็นบ้านสไตล์รีสอร์ตที่กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง”   สำหรับงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์สไตล์มินิมอล หลายคนจะนึกถึงแบรนด์ฮาบิแทท ที่เรียบง่าย แต่โดดเด่นด้วยวัสดุ และประโยชน์ใช้สอยที่ใช้งานได้จริง มาครั้งนี้ แสนสิริและฮาบิแททเลือกที่ จะนำเสนอผลงานใน 3 คอลเลคชั่น ที่ถ่ายทอดความหมายของ Less is More และ Simplicity มาเป็นงานดีไซน์เฟอร์นิเจอร์แบบครบองค์ประกอบของการอยู่อาศัย ตั้งแต่ คอร์เนอร์โซฟา ที่จัดเจนในด้านฟังก์ชั่นใช้สอยและความประณีต หรือจะเป็น Dining set ที่ได้แรงบันดาลใจ มาจากเส้นสายความอ่อนช้อยตามธรรมชาติของอาร์ต นูโว ไปจนถึงชุดโต๊ะ ตู้ เตียง เฟอร์นิเจอร์ ที่แฟนพันธุ์แท้ มินิมอลลิส รักความเป็นธรรมชาติ ต้องสรรหามาใส่ในบ้าน และห้องนอน     มร.วินเซนต์ เดตาเยอร์ CEO ของฮาบิแทท กล่าวว่า ฮาบิแททคือ ความลงตัวของ Minimal กับ Space งานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ทั้ง 3 คอลเลคชั่นนี้ เป็นงานออกแบบที่แสดงชัดถึงการ ลดทอนเส้นสาย สิ่งไม่จำเป็นต่างๆ ออก คงเหลือแต่ ความเรียบ เท่ จะเน้น ไปที่สีเอิร์ธโทน เป็นหลัก เช่นสีน้ำตาล โทนต่างๆ ของไม้ สีเทา สีขาว สีน้ำเงิน จะจัดวางตรงไหน ก็ลงตัว สามารถมิกซ์แอนด์แมทช์ ได้ง่าย กลมกลืนไปกับพื้นที่ที่ล้อมรอบ (Space) ให้ความสุนทรีย์และ ความปลอดโปร่ง นอกจากนี้ยังมาพร้อมด้วยฟังก์ชั่น ใช้การออกแบบเพื่อซ่อนการจัดเก็บ สิ่งของอย่างมีดีไซน์ ตลอดจนมีความประณีตในการผลิต คัดเลือกผ้าทอชั้นดี ให้สัมผัสที่ อ่อนโยนต่อทั้งสายตาและการใช้งาน     “ฮาบิแททเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับระดับโลกมายาวนานกว่า 50 ปี ในกลุ่มลูกค้าที่ชอบงานดีไซน์ ที่สวย เรียบง่ายสไตล์มินิมอล เน้นการโชว์พื้นผิวของไม้จริงจากยุโรป เช่นไม้โอ๊ค ไม้บีช และไม้แอช ขณะเดียวกันก็มีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย คัดสรรค์วัสดุคุณภาพดี มีความคงทน ซึ่งทั้ง 3 คอลเลคชั่นนี้ เป็นคอลเลคชั่นที่ดีไซน์ เฉพาะสำหรับแสนสิริเท่านั้น” มร.วินเซนท์ สรุป   สำหรับลูกบ้านและผู้สนใจในโครงการ บุราสิริ และเศรษฐสิริ สามารถเยี่ยมชมบ้านตัวอย่าง และพบกับคอลเลคชั่นสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากฮาบิแททใน 6 โครงการนำร่อง ได้แก่ บุราสิริ วงแหวน-อ่อนนุช บุราสิริ ราชพฤกษ์ 345 เศรษฐสิริ พหล-วัชรพล เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา เศรษฐสิริ ปิ่นเกล้า-กาญจนา และ เศรษฐสิริ วงแหวน ลำลูกกา พร้อมเงื่อนไขพิเศษแพคเกจ เฟอร์นิเจอร์ราคาเริ่มต้น 650,000 บาท หรือสามารถเข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sansiri.com โทร. 1685
มีสไตล์ พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศแผนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พร้อมขึ้นแท่น  ดีเวลลอปเปอร์อันดับหนึ่งในทำเลห้วยขวาง

มีสไตล์ พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศแผนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พร้อมขึ้นแท่น ดีเวลลอปเปอร์อันดับหนึ่งในทำเลห้วยขวาง

เนื่องจากราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (Central Business District) และสุขุมวิทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พื้นที่ทำเลอื่นๆในละแวกใกล้เคียงจึงเริ่มเป็นที่จับตาและจับต้องของดีเวลลอปเปอร์ผู้พัฒนาที่ดินต่างๆเพื่อการลงทุน     อีกหนึ่งพื้นที่ในกรุงเทพมหานครฯที่กำลังเติบโตคงหนีไม่พ้น “ห้วยขวาง” เพราะนอกจากจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนเพิ่มมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด ยังเป็นที่ตั้งของสถานฑูตจีน อาคารสำนักงานของบริษัทชั้นนำ และห้างสรรพสินค้าใหม่อีกมากมาย ถึงแม้ว่าหลายคนที่เดินทางมาในบริเวณนี้จะเป็นนักท่องเที่ยว แต่ก็มีอีกหลายกลุ่มคนที่ก่อตั้งธุรกิจขึ้นมาในย่านห้วยขวาง ส่งผลให้ปัจจุบัน ห้วยขวางกลายเป็นศูนย์รวมของคนจีนกลุ่มมิลเลนเนียล   มีสไตล์ พร็อพเพอร์ตี้ ดำเนินกิจการแบบธุรกิจครอบครัวมานานกว่า 22 ปี โดยเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาที่ดินในเขตห้วยขวางเป็นกลุ่มแรกๆ บริษัทฯเป็นผู้บุกเบิกและมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่รวม 9 โครงการ อาทิ โครงการรัชดา ซิตี้ คอนโดมิเนียม, อาคารฟอร์ ยู อพาร์ทเมนต์, ซี สไตล์, จี สไตล์ และ แอล สไตล์ คอนโดมิเนียม, จี สไตล์ 2 คอนโดมิเนียม และโรงแรม มีสไตล์ เพลส นอกจากนี้ยังมีโครงการอีก 2 โครงการที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง   "ครอบครัวของเราเป็นคนในพื้นที่ ธุรกิจของเราเริ่มต้นขึ้นที่นี่ ดังนั้นเราจึงมีภูมิหลังและความเข้าใจที่ดีในการคัดเลือกทำเลที่ตั้งโครงการที่เหมาะสม และได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า" คุณภัทรานิษฐ์ แสงรัฐกาญจนสิน, กรรมการผู้จัดการ บริษัท มีสไตล์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าว     "พื้นที่เขตห้วยขวางมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาทิ จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้สอดคล้องตาม เห็นได้จาก 2-3 โครงการในช่วงหลังที่เราได้พัฒนาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนไป"   เพื่อแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาเชิงรุก บริษัทฯจึงเปิดตัวโครงการล่าสุด โรงแรม มีสไตล์ การาจ กรุงเทพฯ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความหลงใหลและชื่นชอบในยานยนต์ของครอบครัว โรงแรมอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีห้วยขวางเพียง 800 เมตร จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพักในพื้นที่และสามารถเดินทางไปยังใจกลางกรุงเทพฯได้อย่างสะดวก โรงแรมขนาด 7 ชั้น จำนวน 75 ห้องนอนแห่งนี้ เผยให้เห็นถึงมิติใหม่ของการออกแบบ ด้วยการใช้ของที่เก็บสะสมมาอย่างดีและยาวนาน รวมถึงชิ้นส่วนจากรถยนต์ต่างๆหลากหลายชิ้น ผสมผสานกับดีไซน์ที่ลงตัว สร้างบรรยากาศอันประทับใจและน่าจดจำ ของตกแต่งภายในที่แปลกใหม่ถูกนำไปใช้ประดับประดาในแต่ละห้อง ช่วยสร้างอารมณ์ให้ผู้เข้าพักได้รับประสบการณ์การพักผ่อนอันแปลกใหม่   อาจารย์นักออกแบบ อาจารย์กิติศักดิ์ สุธรรมโชติ ทำงานร่วมกับมีสไตล์ พร็อพเพอร์ตี้ ในการสร้างสรรค์ธีมห้องพักที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสไตล์การาจ ฟังก์กี้ (Garage Funky) เช่น ซาฟารี, คาสโนว่า, ดีฟ โอเชียน, การาจ, เดอะ สไปรัล และ วูด อีกจุดเด่นสำคัญของโรงแรมคือบาร์บริเวณชั้น 2 และบนชั้นดาดฟ้า ที่ออกแบบให้เป็นจุดหมายปลายทางแห่งการพบปะสังสรรค์แห่งใหม่ในบริเวณห้วยขวาง   "ทั้งครอบครัวของเรา โดยเฉพาะคุณพ่อมีความชอบในเรื่องรถและได้รวบรวมชิ้นส่วนรถยนต์และจักรยานยนต์ต่างๆไว้เป็นคอลเลคชั่นใหญ่ เราจึงนำของที่ระลึกเหล่านี้ไปตกแต่งทั่วบริเวณโรงแรม ทำให้โรงแรมแห่งนี้เป็นที่พิเศษ ไม่เหมือนโรงแรมไหนๆในกรุงเทพฯ" คุณภัทรานิษฐ์ กล่าวเสริม   นอกจากนี้ มีสไตล์ พร็อพเพอร์ตี้ ยังมีแผนในการเปิดตัวโครงการแบบมิกซ์ยูส (mixed-used) 2 อาคาร ความสูง 8 และ 22 ชั้นเพื่อเป็นโรงแรมและอพาร์ทเมนต์ ,ร้านค้า และพื้นที่ใช้สอยแบบ co-sharing space ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงสิ้นปี พ.ศ. 2562 นอกจากนี้ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งคาดว่าจะเปิดขายในปีหน้าและพร้อมเข้าอยู่ในปี พ.ศ. 2563 โดยทั้งสองโครงการอยู่ในพื้นที่เขตห้วยขวาง     “ห้วยขวางคือทำเลที่มีเสน่ห์และมีศักยภาพ ความเจริญและมีสิ่งใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่เสมอ เราเห็นถึงความต้องการด้านที่พักอาศัยเกิดขึ้นในพื้นที่นี้ นี่คือละแวกบ้านของเราและเรารู้สึกว่ามันเป็นที่ตั้งที่ดีที่สุดสำหรับพัฒนาโครงการและพื้นที่ที่เรามีอยู่เพื่อตอบสนองต่อความต้องการนั้น” คุณภัทรานิษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย
โฟรวิงส์กรุ๊ป ปั้นแบรนด์ลักชัวรี่บ้านหรู “THE PARK AVENUE PRIVATE”  ชูจุดต่าง โมเดิร์นลิฟวิ่ง ทรอปิคอล สไตล์ ริมถนนกรุงเทพกรีฑา ทำเลทองแห่งใหม่ของการพักอาศัย

โฟรวิงส์กรุ๊ป ปั้นแบรนด์ลักชัวรี่บ้านหรู “THE PARK AVENUE PRIVATE” ชูจุดต่าง โมเดิร์นลิฟวิ่ง ทรอปิคอล สไตล์ ริมถนนกรุงเทพกรีฑา ทำเลทองแห่งใหม่ของการพักอาศัย

  บริษัท บอสตัน เอเวนิว (1987) จำกัด ในเครือ “โฟรวิงส์กรุ๊ป” ผู้คร่ำหวอดในธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 60 ปี ผู้พัฒนาโรงแรมแกรนด์โฟรวิงส์ คอนเวนชั่น ศรีนครินทร์ โรงแรม โฟรวิงส์ สุขุมวิท 26 และโครงการคอนโด เดอะ โฟรวิงส์ เรสซิเดนซ์ ศรีนครินทร์ เดินหน้าเปิดตัวโครงการบ้านหรู THE PARK AVENUE PRIVATE ราคาเริ่มต้น 27 ล้านบาท ด้วยมูลค่าโครงการรวมกว่า 1,500 ล้านบาท เจาะกลุ่มเศรษฐีและนักธุรกิจ รับดีมานด์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้ารายได้ธุรกิจในเครือโฟรวิงส์กรุ๊ปปีนี้ 2,500 ล้านบาท     นายบุญฤทธิ์ จิระพจชพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บอสตัน เอเวนิว (1987) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันการพัฒนาโครงการแนวราบประเภทบ้านหรู รูปแบบลักชัวรี่ ยังเป็นที่นิยมของบรรดาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากการพัฒนาโครงการรูปแบบดังกล่าวนั้น ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนัก ขณะเดียวกันผู้ซื้อก็คำนึงถึงความคุ้มค่าเป็นหลัก โดยให้ความสำคัญกับมูลค่าสินทรัพย์ที่สามารถเติบโตและสืบทอดต่อให้ลูกหลานได้ ดังนั้นผู้ประกอบการจึงมุ่งพัฒนาและความแตกต่างให้กับ โครงการมากขึ้น จึงทำให้บริษัทเริ่มต้นพัฒนาโครงการ “THE PARK AVENUE PRIVATE” (เดอะ พาร์ค เอเวนิว ไพรเวท) โครงการบ้านหรู ติดคอมมูนิตี้มอลล์และสนามกอล์ฟ ริมถนนกรุงเทพกรีฑา บนพื้นที่โครงการกว่า 13 ไร่ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายคือ กลุ่มบริหารระดับสูง เจ้าของธุรกิจและผู้สืบทอดกิจการ รวมถึงกลุ่มผู้ปกครองโรงเรียนนานาชาติ ในทำเลใกล้เคียง   โครงการ THE PARK AVENUE PRIVATE ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด The Modern Luxury Tropical Style ด้วยรูปแบบ Modernized Living ที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการคัดสรรวัสดุที่เหมาะสมเพื่อการใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้น ตอบรับการใช้ชีวิตแบบ Easy Life ของครอบครัวสมัยใหม่ นอกจากนี้ยังเน้น Luxurious Signature ความหรูหราที่เกิดจากความใส่ใจในรายละเอียด รวมถึงคุณภาพการคัดสรรวัสดุที่มาใช้เป็นองค์ประกอบบ้าน   ความสวยงามและความหรูหรา ทรงคุณค่า เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของผู้ครอบครองให้เกิดความภาคภูมิใจเมื่อได้สัมผัส ไปจนถึง Tropical Delight ที่นำวิถีธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโดยไม่ต้องค้นหาด้วยการจัดวางพื้นที่สีเขียว หรือแลนด์สเคป ให้ธรรมชาติโอบล้อมตัวบ้าน คำนึงถึงทิศทางของสายลม แสงแดด ท่ามกลางธรรมชาติ  “THE PARK AVENUE PRIVATE” เป็นโครงการเดียวในย่านนี้ที่เชื่อมการคมนาคม เข้าออกได้ 2 เส้นทาง ทั้งถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า และถนนกรุงเทพกรีฑา ด้วยมูลค่าการลงทุน 1,200 ล้านบาท โดยบ้านมีราคาเริ่มต้น 27 ล้านบาท ได้รับการออกแบบโดย 760i Architect & Consultant Co., Ltd. ที่เน้นความสงบส่วนตัวด้วยบ้าน   เพียง 36 หลัง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของสมาชิกทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งจะไม่จำกัดการใช้ชีวิตเฉพาะที่ชั้นล่างของบ้าน เพราะโครงการมีระบบ Home Lift (จาก Mitsubishi) ไว้สำหรับบ้าน Type M และ Type L โดยมีพื้นที่โครงการรวม 10 ไร่ 3 งาน 74 ตารางวา ประกอบด้วยบ้าน 3 ขนาด คือ 1. แบบบ้าน SNOWBERRY (Type S มี 21 หลัง) ที่ดินเริ่มต้น 64.7-74.4 ตารางวา มี 3 ชั้น เนื้อที่ ใช้สอย 354 ตารางเมตร มี 4 ห้องนอน/ 6 ห้องน้ำ/ 3 ที่จอดรถ 2. แบบบ้าน MULBERRY (Type M มี 11 หลัง) ที่ดินเริ่มต้น 78.9-97.1 ตารางวา มี 3 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 439 ตารางเมตร มี 5 ห้องนอน/ 7 ห้องน้ำ / 1 ห้องแม่บ้าน / 3 ที่จอดรถ / มีลิฟท์ 3. แบบบ้าน LAUREL (Type L มี 4 หลัง) ที่ดินเริ่มต้น 102.6-141.2 ตารางวา มี 4 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 680 ตารางเมตร มี 4 ห้องนอน / 6 ห้องน้ำ / 4 ที่จอดรถ /1 ห้องแม่บ้าน / มีสระว่ายน้ำที่ชั้น 4 / มีลิฟท์     สำหรับความคืบหน้าโครงการอยู่ระหว่างการตกแต่ง คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ได้ทุกหลังพร้อมกันในปลายปี 2561 นี้ ปัจจุบันมีบ้านที่ขายได้แล้วรวม 15 หลัง จากทั้งหมด 36 หลัง โดยให้ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ เอเจนซี่ จำกัด เป็นผู้บริหารการขายโครงการ และในบริเวณดังกล่าว ยังมีที่ดินเหลืออีกประมาณ 7 ไร่ ที่เตรียมจะพัฒนาในเฟสถัดไป ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบโครงการ โดยตั้งเป้ารายได้ธุรกิจเครือ โฟรวิงส์กรุ๊ปปีนี้ที่ 2,500 ล้านบาท   นอกจากนี้ ทางบริษัทยังมีที่ดินแปลงใหญ่ที่มีศักยภาพอีกหลายแปลง อาทิ ที่ดินย่านกรุงเทพกรีฑา จำนวน 50 ไร่ อยู่ฝั่งตรงข้าม โดยมีถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า (ถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่) ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างตัดผ่าน รวมถึงมีที่ดินย่านพระราม 9 อีกกว่า 50 ไร่ ซึ่งที่ดินทั้ง 2 แปลง ทางบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อมาพัฒนาโครงการร่วมกันปัจจุบันพื้นที่กรุงเทพตะวันออก ถือเป็น NEW CBD ของบ้านเดี่ยว โดยมีถนนสำคัญ 2 สายเชื่อมสู่ ใจกลางเมือง คือศรีนครินทร์-ร่มเกล้า และการขยายถนนกรุงเทพกรีฑา     โดยโครงการ THE PARK AVENUE PRIVATE รายล้อมด้วยสถาบันการศึกชั้นนำ ได้แก่ โรงเรียนนานาชาติไบรท์ตัน และโรงเรียนนานาชาติ เวลลิงตัน อยู่ใกล้สนามกอล์ฟ 2 สนาม คือ สนามกอล์ฟกรุงเทพกรีฑา สนามกอล์ฟยูนิโก้ และห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 20 นาที ใกล้กับทางด่วนศรีรัชและแอร์พอร์ตลิ้งค์ (หัวหมาก) โดยมีรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ศรีกรีฑา) ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินในย่านนี้ได้ปรับขึ้นมากกว่า 50-100% เนื่องจากมีการพัฒนาพื้นที่ในโซนนี้อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันราคาที่ดินอยู่ที่ประมาณ 100,000 - 120,000 บาท ต่อตารางวา นางสาวศรินยา จิระพจชพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท บอสตัน เอเวนิว (1987) จำกัด ผู้บริหาร THE PARK คอมมิวนิตี้มอลล์ และ W FITNESS (ดับเบิ้ลยู ฟิตเนส) กล่าวว่า ในส่วนของคอมมิวนิตี้มอลล์ บริษัทใช้เงินลงทุนกว่า 300 ล้านบาท เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตสะดวกสบาย รองรับการการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “มอลล์ใกล้บ้าน บ้านใกล้มอลล์” ประกอบด้วยพรีเมี่ยมแบรนด์ ต่างๆ อาทิ ร้านกาแฟ Starbuck , The Pizza Company , Ramen KouraKuen , TOPS DAILY รวมไปถึง Lifestyle Shop ต่างๆ “ภายหลังจากที่เปิดตัว THE PARK คอมมิวนิตี้มอลล์ เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา เราได้การตอบรับอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าและผู้ที่อาศัยในรัศมี 3-5 กิโลเมตร เนื่องจากทำเลที่ตั้งโครงการฯ อยู่ใกล้สถานศึกษา สนามกอล์ฟ ออฟฟิศ และหมู่บ้านเป็นจำนวนมาก ทำให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากกว่า 50,000 คนต่อเดือน โดยได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ ของโครงการทั้งสื่อออนไลน์และสื่อออฟไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้ รวมถึงจัดกิจกรรมและโปรโมชั่นพิเศษ เพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างสม่ำเสมอ” นอกจากนี้ ทางโครงการฯ ยังมี W FITNESS (ดับเบิ้ลยู ฟิตเนส) ที่เปิดให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเป็นสปอร์ต คอมเพล็กซ์ ขนาดใหญ่เนื้อที่กว่า 2,300 ตารางเมตร ตั้งอยู่ภายใน THE PARK คอมมิวนิตี้มอลล์ เพื่อรองรับสมาชิกในโครงการฯ และผู้อาศัยในย่านใกล้เคียง (ลูกบ้านได้สิทธิ์เป็น Member 3 ปีแรกฟรี) โดยมีอุปกรณ์ออกกำลังกายที่คัดสรรมาตรฐานระดับ Life Fitness สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือยาวกว่า 30 เมตร แบบ Infinity Edge Pool พร้อมสัมผัสทัศนียภาพสีเขียวจากสนามกอล์ฟกรุงเทพกรีฑากว่า 400 ไร่ ในมุมมองแบบ Panoramic View นอกจากนี้ ยังมีวาไรตี้ สปอร์ต อื่นๆ เช่น ผาปีนเขาจำลอง ยิมมวยไทย พีลาทิส/โยคะ จากุซซี่ และออนเซ็น ปัจจุบันมีผู้ที่สมัครเป็นสมาชิกของ W FITNESS แล้วกว่า 500 คน โดยจะเปิดรับสมาชิกเพียงแค่ 600 คนเท่านั้น และสำหรับลูกค้าที่เป็นสมาชิกจะได้รับสิทธิพิเศษมากมาย รวมถึงส่วนลดจากร้านค้าภายใน THE PARK คอมมิวนิตี้มอลล์ ตั้งแต่ 10% - 50 % อีกด้วย
แอสเสท เวิรด์ คอร์ป พัฒนา ‘บ้านโบราณเชียงใหม่’ สะท้อนคุณค่าท้องถิ่นล้านนาอย่างงดงาม

แอสเสท เวิรด์ คอร์ป พัฒนา ‘บ้านโบราณเชียงใหม่’ สะท้อนคุณค่าท้องถิ่นล้านนาอย่างงดงาม

  นายณภัทร เจริญกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มรีเทล บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (TCC GROUP) เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทฯ ได้นำบ้านโบราณอายุกว่า 150 ปี ย่านใจกลางเมือง จ.เชียงใหม่ ติดริมแม่น้ำปิงมาพัฒนาขึ้นเป็นศูนย์การค้าแห่งใหม่ภายใต้ชื่อ ‘บ้านโบราณเชียงใหม่ (Ancient House Chiangmai)’ ด้วยงบลงทุน 170 ล้านบาท โครงการดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นจากความตั้งใจของกลุ่มบริษัท TCC ที่ต้องการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมของดั้งเดิมไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้เรื่องราวในอดีต ซึ่งน่าเสียดายหากสิ่งเหล่านี้ต้องเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ดังเช่นที่บริษัทฯ ได้พัฒนาปรับปรุงโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ โดยนำโกดังและโรงเลื่อยเก่าของบริษัทอีสต์ เอเชียติกในสมัยรัชกาลที่ 5 มาพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงความรุ่งเรืองในอดีตได้อย่างน่าชื่นชม และเป็นจุดหมายปลาย ทางของนักท่องเที่ยวที่ต้องมาเยือนเมื่อมาประเทศไทย     “ด้วยนโยบายในด้านการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมที่งดงามในอดีต บริษัทฯ จึงได้พัฒนาพื้นที่บ้านโบราณให้เป็นโครงการบ้านโบราณเชียงใหม่ โดยการบูรณะตัวบ้านเพื่ออนุรักษ์บ้านไว้เป็นมรดกสำหรับลูกหลานเชียงใหม่ บอกเล่าเรื่องราวในอดีตอันรุ่งเรืองของการค้าเชียงใหม่ ซึ่งประกอบด้วยการซ่อมปรับปรุงตัวบ้านโบราณโดยวิธีแบบโบราณโดยยังคงรักษาจิตวิญญาณของบ้านรวมทั้งรักษาสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมไว้ พร้อมกับสร้างร้านค้าในรูปแบบเฮือนแป (รูปแบบร้านค้าแบบดั้งเดิมของเชียงใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากภาคกลางในยุคต้นรัชกาลที่ 5 อ้างอิงจากร้านค้าย่านวัดเกตุ) เพิ่มเติมอีกจำนวน 3 หลัง ประกอบด้วยร้านค้าและร้านอาหารจำนวนรวม 7 ร้านค้า เพื่อนำเสนอในรูปแบบศูนย์การค้าเชิงวัฒนธรรมขนาดเล็ก (CULTURAL ANTIQUE MALL) ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ โดยตัวบ้านโบราณในอดีตถูกปรับให้เป็นร้านอาหาร The Chocolate Factory ส่วนร้านค้าเฮือนแปประกอบด้วยร้านค้าของที่ระลึกเชียงใหม่ 6 ร้าน เพื่อสร้างเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมทั้งพัฒนาโครงการให้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเชียงใหม่ต่อไป” นายณภัทร เจริญกุล กล่าวเสริม   ด้านนางสาวสุรภี ขันอาษา ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มศูนย์การค้าภาคเหนือ บริษัท แอสเสท เวิรด์ แอดไวซ์เซอร์รี่ จำกัด กล่าวว่า “กลุ่มเป้าหมายของบ้านโบราณเชียงใหม่นั้นวางไว้เป็นชาวไทย 70% ทั้งคนในเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่ และชาวต่างชาติ 30% โดยรวมชาวต่างชาติที่อาศัยในเชียงใหม่ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่ ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากเราได้กลุ่มผู้เช่าพื้นที่เป็นแบรนด์ผู้ประกอบการคุณภาพและมีชื่อเสียงอย่างร้าน The Chocolate Factory ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแรงอยู่แล้ว และมีคอนเซปต์ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทั้งรูปแบบและรสชาติของอาหารและเครื่องดื่มด้วยวัตถุดิบในการทำอาหารจากโครงการหลวงของทางภาคเหนือ รวมถึงรายการอาหารพิเศษที่มีเฉพาะที่นี่ และยังมีฐานลูกค้าเดิมจากทั้ง 3 สาขาที่เปิดมาแล้ว ภายในโครงการยังรวบรวมร้านค้าของที่ระลึกอื่นๆ ไว้อีกมากมายเช่น ร้านดอยคำ, Elephant Parade, ROC (Royal Orchid Collection), Kinaree The gallery of Asia, Thai Craft หัตถกรรมไทย และ Fourvector ผนวกกับบ้านโบราณเชียงใหม่อายุกว่า 150 ปี ซึ่งมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามทรงคุณค่า และยังมีสถานที่จัดกิจกรรมริมแม่น้ำปิงบรรยากาศชิคและชิว ซึ่งถือเป็นจุดขายของโครงการที่สามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงคนท้องถิ่นได้อย่างดี   “เชียงใหม่เป็นจังหวัดใหญ่ที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และโลจิสติกส์ ถือเป็นศูนย์กลางในด้านการท่องเที่ยวของภาคเหนือ แน่นอนว่ามีประชากรย้ายเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นมาอยู่อาศัยหรือมาทำงาน ในมุมไลฟ์สไตล์ของคนเชียงใหม่ความรีบเร่งในการใช้ชีวิตถือว่ายังน้อยกว่าคนกรุงเทพฯ แต่มีมุมที่คล้ายกันในด้านการท่องเที่ยวแบบไลฟ์สไตล์ด้วยการสร้างประสบการณ์ให้กับตัวเองและเน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ กับความดั้งเดิมของสถาปัตยกรรมของสถานที่นั้น ทำให้ชาวเชียงใหม่นิยมหาสถานที่พักผ่อนและพบปะสังสรรค์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มากขึ้น ด้านการประชาสัมพันธ์โครงการนั้นได้รับการสนับสนุนและความร่วมมืออย่างดีจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสาขาเชียงใหม่ ตลอดจนโรงแรมต่างๆในจังหวัดเชียงใหม่ คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ประมาณ 20 ล้านบาทต่อปี ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายของผู้เช่าให้มากขึ้น โดยการจัดกิจกรรมร่วมกับร้านค้าต่างๆ รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง และนำเอาเอกลักษณ์ของบ้านโบราณเชียงใหม่มาผสมผสานกับจุดเด่นของร้านค้า รวมถึงการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายและวัฒนธรรมตามเทศกาลต่างๆ เช่น งานสินค้า OTOP งานสงกรานต์ งานยี่เป็ง เป็นต้น” นางสาวสุรภี ขันอาษา กล่าวเพิ่มเติม   โดยงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ท่านรองสรรเสริญ ศีติสาร รองผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ พร้อมด้วยนายบุญรัตน์ สดใส ทายาทรุ่นที่ 5 ของบ้านโบราณ พันธมิตรโรงแรมในเชียงใหม่ และเจ้าของกิจการต่างๆ ที่ให้เกียรติมาร่วมงานในครั้งนี้ เพื่อผนึกกำลังสร้างสรรค์ให้โครงการบ้านโบราณเชียงใหม่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเมื่อมาเยือนเชียงใหม่ ชมรายละเอียดบ้านโบราณเชียงใหม่เพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/Ancienthousechiangma
จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เปิดตัว “สถาบันจิณณ์ เวลเนส และ โรงพยาบาลธนบุรีบูรณา”

จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เปิดตัว “สถาบันจิณณ์ เวลเนส และ โรงพยาบาลธนบุรีบูรณา”

จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณแห่งแรกของไทยก้าวสู่การเป็นโครงการ Wellness Mixed-Use ระดับเอเชีย เปิดตัว “สถาบันจิณณ์ เวลเนส” (Jin Wellness Institute) สถาบันดูแลสุขภาพ และ “โรงพยาบาลธนบุรีบูรณา” โรงพยาบาลฟื้นฟูสุขภาพแบบบูรณาการ ที่ครบวงจรสำหรับคนวัยเกษียณและทุกคนในครอบครัว ภายในโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ชูจุดแกร่งความเชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพภายใต้แนวคิด “Total Wellness Solutions” นำเสนอบริการการดูแลสุขภาพและไลฟ์สไตล์ของคนวัยเกษียณและวัยเตรียมเกษียณด้วยการสร้างสมดุลให้แก่ “ร่างกาย จิตใจ และจิตปัญญา” (Body / Soul / Spirit) หวังเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมผู้สูงวัยที่เปี่ยมด้วยพลัง (Active Aging Society) ในอนาคตอันใกล้ของเมืองไทย ด้วยบริการระดับพรีเมี่ยมที่เข้าถึงได้ซึ่งถูกออกแบบให้เข้ากับความต้องการของแต่ละคน ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน พร้อมเปิดให้บริการแก่ลูกบ้านในโครงการฯและบุคคลภายนอกภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562     นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG กล่าวว่า “หลังจากที่เราได้เปิดตัวโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ซึ่งเป็นเมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณเมื่อปีที่ผ่านมาและได้เปิดขายส่วนที่พักอาศัย Active Living ซึ่งพร้อมจะเปิดให้เข้าอยู่ในเดือนธันวาคมนี้ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าที่หลากหลาย ซึ่งสนใจในการเตรียมตัวการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ทั้งกลุ่มลูกค้าที่เกษียณแล้ว กลุ่มเตรียมเกษียณ หรือแม้แต่กลุ่มคนหนุ่มสาวที่มาพร้อมกับครอบครัวที่มีสมาชิกอยู่ในวัยเกษียณ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวโครงการและระบบการดูแลสุขภาพซึ่งเป็นความแข็งแกร่งของโครงการ และเครือธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป มานานกว่า 40 ปี ว่าจะสามารถดูแลสมาชิกวัยเกษียณในครอบครัวของพวกเขาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและใช้ชีวิตอย่างมีพลังภายในโครงการ” “เพราะหัวใจสำคัญของโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ คือ ‘การมีสุขภาพและชีวิตที่ดี’ (Wellbeing) การเปิดตัว ‘สถาบันจิณณ์ เวลเนส’ สถาบันดูแลสุขภาพและไลฟ์สไตล์ของคนวัยเกษียณ และ ‘โรงพยาบาลธนบุรีบูรณา’ โรงพยาบาลฟื้นฟูสุขภาพแบบบูรณาการ ซึ่งตั้งอยู่ภายในโครงการฯในวันนี้ จึงเป็นเหมือนเป้าหมายสำคัญในการประกาศถึงความแข็งแกร่งและความพร้อมของโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ในทุกๆด้านสู่การเป็น ‘เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ’ ที่สมบูรณ์แบบแห่งแรกของเมืองไทย ที่พร้อมก้าวสู่การเป็นโครงการ Wellness Mixed-Use ระดับเอเชีย ภายใต้แนวคิด ‘Total Wellness Solutions’ ที่มุ่งนำเสนอระบบการดูแลสุขภาพแบบบูรณาการ (Integrative Healthcare) เป็นการพัฒนานวัตกรรมรูปแบบการบริการด้านสุขภาพแนวใหม่ที่ไม่เพียงเน้นเฉพาะการรักษาพยาบาลเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมถึงการใช้ชีวิตในทุกมิติผ่านบริการดูแลสุขภาพและไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่นด้วยการสร้างความผูกพันระหว่างผู้รับบริการกับบุคลากรผู้ให้บริการโดยตรง (Human Touch) โดยออกแบบมาเพื่อให้เข้าถึงความต้องการเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) เป็นการนำการแพทย์แผนปัจจุบันมาผสมผสานเข้ากับภูมิปัญญาและเทคโนโลยี เพื่อจัดการและสร้างความสมดุลของร่างกาย จิตใจ และจิตปัญญา (Body / Soul / Spirit) ซึ่งครอบคลุมทั้งการบริหารจัดการสุขภาพและกิจกรรมทางร่างกาย (Wellness Management) และ การบริหารจัดการความเจ็บป่วย (Disease Management) ให้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน ห้อมล้อมด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นมิตร ส่งเสริมให้คนในโครงการและผู้ที่มาใช้บริการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นับเป็นการกระตุ้นสมอง ช่วยชะลอความเสื่อม รวมทั้งทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น ไม่เหงาอีกด้วย เพราะเราเชื่อว่าการสร้างสมดุลให้แก่ ร่างกาย จิตใจ และจิตปัญญานั้น เป็นสิ่งสำคัญในการมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี สอดคล้องกับพันธกิจของโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ที่มุ่งสร้างคนวัยเกษียณในวันนี้ให้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะสร้างสังคมผู้สูงวัยที่เปี่ยมด้วยพลัง หรือ Active Aging Society ของเมืองไทยในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ”     “นอกจากนี้ ระบบการดูแลสุขภาพและไลฟ์สไตล์ของโครงการจะออกมาสมบูรณ์แบบได้นั้น ก็ต้องได้ทีมแพทย์และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญมาเป็นผู้วางระบบและสร้างสรรค์รายละเอียดการบริการ ซึ่งเราได้รับเกียรติจาก พญ. กอบกาญจน์ ชุณหสวัสดิกุล หรือ หมออ้อม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางเลือกมือต้นๆของเมืองไทย มารับหน้าที่รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการแพทย์ และ คุณวรัญญา สืบสุข รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มปฏิบัติการ ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ด้านบริหารการให้บริการในกลุ่มธุรกิจการดูแลสุขภาพมากว่า 20 ปี ซึ่งทั้งสองท่านจะเข้ามาดูแลด้านการวางระบบและบริหารงานด้าน Wellness อันเป็นหัวใจสำคัญของเมืองวัยเกษียณของเราให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น” นายแพทย์บุญ กล่าวเสริม   สถาบัน จิณณ์ เวลเนส (Jin Wellness Institute) ตั้งอยู่ในโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ บนถนนพหลโยธินขาออก ประกอบด้วยอาคาร 5 ชั้น จำนวน 2 หลัง มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 5,685 ตารางเมตร และ 8,058 ตารางเมตร แบ่งเป็น 5 ส่วน ได้แก่ 1) Integrative Wellness Clinic and Medical Spa คลินิกสุขภาพที่ให้บริการทั้งการตรวจสุขภาพก่อนเข้าพักอาศัย การถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสุขภาวะสำหรับการจัดแผนการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล การรักษาโรคต่างๆ การบำบัดแบบองค์รวม การให้คำแนะนำ และการบำบัดด้วยการนวด 2) Jin MediFit ศูนย์ออกกำลังกายภายใต้การดูแลแนะนำโดยแพทย์ นักกายภาพบำบัด และนักวิทยาศาสตร์การกีฬา และมีสิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ออกกำลังกายที่เหมาะสมกับข้อจำกัดของร่างกาย เช่น โยคะ การบริหารลมหายใจ คลาสซุมบ้า จี้กง ไทเก็ก รวมถึงคลาสธาราบำบัด 3) Life Enrichment ศูนย์สร้างสมดุลทางจิตใจและอารมณ์ ที่มีการจัดกิจกรรม เช่น สมาธิบำบัด 4) กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ศาสตร์และศิลป์ในการบำบัดผู้สูงวัย เช่น ศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด เรียนทำอาหาร เป็นต้น และ 5) โภชนบำบัด โดยมีนักกำหนดอาหารให้คำแนะนำผู้สูงอายุในการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ พร้อมทั้งจัดเมนูอาหารเพื่อปรับสมดุลร่างกายในรูปแบบเฉพาะบุคคล   ขณะที่ โรงพยาบาลธนบุรีบูรณา โรงพยาบาลเพื่อการฟื้นฟูสุขภาพและศูนย์ดูแลผู้สูงวัยที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ขนาด 54 เตียง ภายในประกอบด้วย ห้องพัก, คลินิกรักษาโรคทั่วไป รวมถึงบริการให้คำปรึกษาจากแพทย์ เภสัชกร นักกายภาพบำบัด นักกำหนดอาหารวิชาชีพ นักโภชนาการและนักจิตวิทยา ซึ่งจะแล้วเสร็จในช่วงกุมภาพันธ์ 2562 เช่นเดียวกัน ก็จะยิ่งเสริมทัพทำให้ภาพของจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ สมบูรณ์แบบทั้งในเชิงของที่พักอาศัย และระบบการดูแลสุขภาพ มีศักยภาพในระดับภูมิภาค     นอกจากนี้ โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ยังมีการออกแบบเทคโนโลยีเพื่อผู้สูงวัยสำหรับการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของผู้อาศัยถือเป็นอีกจุดเด่นของโครงการ โดยนำ สายรัดข้อมืออัจฉริยะ (Tracking System) ที่สามารถระบุตำแหน่งของผู้สวมใส่ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในการดูแลผู้สูงวัยที่มีอาการหลงลืมหรือหลงทาง ไปพร้อมๆกับการแจ้งเตือนเมื่อผู้สวมใส่หกล้ม ด้วยระบบตรวจจับการทรงตัว แจ้งเตือนไปยังศูนย์ควบคุมเพื่อให้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ซึ่งภายในห้องพักก็จะมีการติดตั้ง Emergency Call ซึ่งจะเชื่อมสัญญาณไปที่โรงพยาบาลที่มีเพื่อการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และ จิณณ์ แอพลิเคชั่น” (Jin Application) ที่จะเข้ามาช่วยให้การดำเนินชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัยสะดวกสบายยิ่งขึ้น เช่น แนะนำเมนูอาหารให้เหมาะสมกับสุขภาพเฉพาะบุคคล ทำนัดแพทย์ จองคลาสกิจกรรมไลฟ์สไตล์ของโครงการ และเรียกบริการรถโครงการ ซึ่งทั้ง 2 เทคโลยีนี้จะถูกเชื่อมต่อข้อมูลของผู้พักอาศัยทุกคน มีระบบวิเคราะห์ฐานข้อมูลผู้อาศัยด้านสุขภาพและไลฟ์สไตล์ ที่บันทึกไว้ตั้งแต่เริ่มเข้าอาศัยในโครงการและทำการวิเคราะห์เพื่อการวางแผนการดูแลแบบเฉพาะบุคคลโดยแพทย์ของโครงการ เช่น หากผู้สูงอายุมีโรคประจำตัวหรือแพ้อาหาร ก็จะมีการแนะนำเมนูที่เหมาะสมในแต่ละมื้อ โดยในแต่ละห้องพักในส่วน Active Living จะมีระบบเก็บข้อมูลติดตั้งอยู่ และจะสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงกันระหว่างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น สายรัดข้อมือ โทรศัพท์มือถือ เครื่องวัดความดัน เครื่องชั่งน้ำหนัก เป็นต้น     นางฐิตารี อยู่วิทยา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เปิดเผยว่า “เรามีความมั่นใจในเมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณว่าจะสามารถเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมผู้สูงวัยคุณภาพได้อีกในไม่ช้า โดย ส่วนที่พักอาศัย Active Living ที่เป็นอาคาร 7 ชั้นในคลัสเตอร์ 1 และ 2 จำนวน 5 อาคาร รวม 494 ยูนิต จะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนธันวาคมปีนี้ ขณะที่สถาบันจิณณ์ เวลเนส และ โรงพยาบาลธนบุรีบูรณาจะแล้วเสร็จช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ก็จะยิ่งเติมเต็มให้ภาพเมืองสุขภาพแห่งนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยที่ผ่านมา โครงการฯก็ได้เดินหน้าเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเจตนารมย์ของโครงการ ด้วยการก่อตั้งหลักสูตร Grand Age Management by Jin Academy รุ่นที่หนึ่ง ซึ่งเป็นชั้นเรียนปูพื้นฐานการพัฒนาตนสู่สังคมผู้สูงวัยที่ใช้ชีวิตอย่างมีพลัง ครอบคลุมทั้งด้านการแพทย์ โภชนาการ การลงทุน เทคโนโลยี ศิลปวัฒนธรรม ความบันเทิง และการเดินทาง พร้อมระดมวิทยากรทรงคุณวุฒิหลากหลายวงการ ได้แก่ นพ. เฉก ธนะสิริ, พญ. กอบกาญจน์ ชุณหสวัสดิกุล, โค้ช เบ็กกี้ รัสเซล (Coach Becky Russell) และผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ อีกมากมาย มาร่วมถ่ายทอดให้แก่ผู้ที่อายุ 55 ปีขึ้นไปในช่วงเดือนกันยายน - ธันวาคมนี้ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับดีเกินคาด เหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมในการสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของโครงการในการขับเคลื่อนสังคมผู้สูงวัยคุณภาพในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ”   สำหรับผู้สนใจสามารถร่วมสัมผัสประสบการณ์ของการใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างมีพลังภายในโครงการฯ ได้แล้ววันนี้ ที่ เซลส์ แกลอรี่ ภายใต้แนวคิด Life Exploring ณ โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ริมถนนพหลโยธินขาออก พร้อมพบกับโปรโมชั่นพิเศษ ดาวน์เพียง 5% รับเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง พร้อมถือกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 กันยายน 2561 สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ www.jinwellbeing.com Facebook: www.facebook.com/jinwellbeing โทร. 062-802-9999
“บ้านแอนด์บียอนด์” ตั้งเป้า 5 ปี กวาดรายได้ 50,000 ล้านบาท

“บ้านแอนด์บียอนด์” ตั้งเป้า 5 ปี กวาดรายได้ 50,000 ล้านบาท

บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในกลุ่มเซ็นทรัล ประกาศรีแบรนด์ “โฮมเวิร์ค” 3 สาขาสู่แบรนด์ใหม่ “บ้านแอนด์บียอนด์” โมเดลธุรกิจสินค้าตกแต่งบ้านแนวใหม่ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุค 4.0 หลังทดลองเปิด สาขาเชียงใหม่ ขอนแก่น และพัทยา ประสบผลสำเร็จยอดขายเพิ่ม 20 % พร้อมเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มเป็น 20 สาขา ในอีก 5 ปี รับตลาดโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้าง และของตกแต่งบ้านที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าปีนี้โต 3.6% มีมูลค่าราว 20,000 ล้านบาท ชูจุดแข็งเป็นศูนย์รวมสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้าน ที่ให้ทุกอย่างมากกว่าแค่เรื่องบ้าน “BEYOND EXPECTATION” ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ด้วยสินค้าคุณภาพดี หลากหลาย ราคาคุ้มค่า พร้อมโซลูชั่นที่ช่วยแก้ทุกปัญหาเรื่องบ้านและบริการที่มุ่งตอบโจทย์ลูกค้ายุคดิจิทัล กับบริการ vFIX ปรับปรุงซ่อมแซมบ้านผ่านแอพพลิเคชั่น หรือ Contact Center 1308 พร้อมบริการช็อปออนไลน์ผ่านเว็บ 24 ชม. ไร้รอยต่อด้วยการเชื่อมโยงช่องทางหน้าร้าน กับออนไลน์ตามแนวคิด OMNI Channel     นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในกลุ่มเซ็นทรัล เปิดเผยว่า จากความสำเร็จในการเปิด “บ้านแอนด์บียอนด์” ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจสินค้าตกแต่งบ้านรูปแบบใหม่ จำนวน 3 สาขา ที่เชียงใหม่ ขอนแก่น และพัทยา ซึ่งสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 20% ส่งผลให้บริษัทฯ มั่นใจทำรีแบรนด์ดิ้ง (Re-Branding) “โฮมเวิร์ค” เป็น “บ้านแอนด์บียอนด์” โดยตั้งเป้าปรับเปลี่ยนหน้าร้านอีก 3 แห่ง ที่สาขาราชพฤกษ์ สาขารัตนาธิเบศร์ และสาขาภูเก็ต ให้เป็น “บ้านแอนด์บียอนด์” เพื่อให้มีสาขา “บ้านแอนด์บียอนด์” รวมจำนวนทั้งสิ้น 6 สาขา ภายในสิ้นปีนี้ ครอบคลุมหัวเมืองใหญ่ครบทุกภาคทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ทั้งนี้ จะขยายสาขา “บ้านแอนด์บียอนด์” เพิ่มเป็น 20 สาขา โดยตั้งเป้ายอดขายรวมของกลุ่มเซ็มทรัลโฮม กรุ๊ป 50,000 ล้านบาท ในอีก 5 ปี “การรีแบรนด์ในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่มูลค่าตลาดโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เป็นโอกาสที่ดีหากบริษัทฯ สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ตลาดได้ โดยในปี 2561 พบว่า ตลาดมีแนวโน้มเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 3.6% หรือมูลค่าตลาดคาดการณ์ประมาณ 200,000 ล้านบาท ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของตลาดมาจากปัจจัยหนุนหลายประการ อาทิ การคาดการณ์ GDP ในปีนี้จะโต 4.8% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ที่ได้รับการกระตุ้นจากโครงการภาครัฐ โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐานเมกะโปรเจคต่าง ๆ การขยายตัวของสังคมเมือง ส่งผลให้แนวโน้มรายได้ต่อครัวเรือน และจำนวนที่อยู่อาศัยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นใน 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเจ้าของบ้านหรือคอนโดมีอายุน้อยลง และมีขนาดครอบครัวที่เล็กลง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร เมืองธุรกิจ เมืองท่องเที่ยว และเมืองอุตสาหกรรมโดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมทั้งปัจจัยด้านพฤติกรรมการซื้อของตกแต่งบ้านมีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้บริโภคมีความความต้องการที่หลากหลายเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น รวมถึงประเทศไทยกำลังย่างเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่มีกำลังซื้อและมีความต้องการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้า บริการ และข้อมูลที่รวดเร็ว ตอบสนองได้อย่างฉับไว ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีช่องทางของ Social Media ที่เป็นเครื่องมือหลักในการตัดสินใจซื้อสินค้า     อย่างไรก็ดีปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ส่งผลให้บริษัทฯ มองเห็นโอกาสรีแบรนด์ “โฮมเวิร์ค” เป็น “บ้านแอนด์บียอนด์” Home Improvement Store ที่เป็นโมเดลธุรกิจสินค้าตกแต่งบ้านเทรนด์ใหม่ โดยวางตำแหน่งของแบรนด์ให้เป็นศูนย์รวมสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้าน ที่ให้ทุกอย่างมากกว่าแค่เรื่องบ้าน “BEYOND EXPECTATION” ด้วย 4 หัวใจหลัก คือ สินค้าที่มีสไตล์พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน ราคาคุ้มค่าจับต้องได้ มีโซลูชั่นที่ช่วยแก้ทุกปัญหา ทั้งการซ่อมแซมหรือปรับปรุงบ้าน และบริการที่ครบทุกความต้องการ ตอบโจทย์ลูกค้าในยุค 4.0 ด้วยพื้นที่กว่า 10,000 ตร.ม./สาขา พร้อมด้วยสินค้าคุณภาพกว่า 20,000 รายการ โดยมีรูปแบบการจัดเรียงสินค้าที่ต่อเนื่องกัน ทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น” นายสุทธิสารกล่าว     นายสุทธิสารกล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งใน Pain point ของลูกค้า คือ เรื่องการซ่อมแซมบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ “บ้านแอนด์บียอนด์” จึงเปิดบริการ vFIX บริการปรับปรุงซ่อมแซมบ้าน ติดตั้ง เปลี่ยนหรือย้ายจุดอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน จากช่างผู้เชี่ยวชาญผ่านการทดสอบตามมาตรฐานกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน พร้อมรับประกันผลงานนานสูงสุด 180 วัน ในราคาที่จับต้องได้ ผ่าน Contact Center 1308 เพื่อบริการลูกค้าฉับไว โดยจะเริ่มให้บริการ vFIX ภายใน 31 สิงหาคม 2561 และ vFIX Application ในเดือนตุลาคมนี้ นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมให้บริการช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.baanandbeyond.com เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าและบริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไร้รอยต่อด้วยการเชื่อมโยงช่องทางหน้าร้าน กับออนไลน์ ตามแนวคิด OMNI Channel ภายในเดือนกันยายน 2561   นายสุทธิสารกล่าวทิ้งท้ายว่า เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ในแบรนด์และเป็นการฉลองเปิดตัว “บ้านแอนด์บียอนด์” อย่างเป็นทางการ บริษัทฯ กำหนดจัดงาน baan & BEYOND Expo 2018 งานมหกรรมสินค้าตกแต่ง ซ่อมแซมบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี พร้อมสินค้าราคาลดสูงสุด 80% จากกว่า 500 แบรนด์ชั้นนำ รวมทั้งกิจกรรมและรายการส่งเสริมการขายพิเศษมากมายภายในงาน ระหว่างวันที่ 28 กันยายน – 7 ตุลาคม 2561 ณ ไบเทค บางนา Hall 101-104
SENA โตสนั่นกำไรครึ่งปีแรกพุ่ง 146.6%  อัดโปรเจกต์พรีเมี่ยมดันยอดขายโตตามเป้า

SENA โตสนั่นกำไรครึ่งปีแรกพุ่ง 146.6% อัดโปรเจกต์พรีเมี่ยมดันยอดขายโตตามเป้า

  SENA กางผลงานครึ่งปีแรก 2561 กำไรสะพรั่ง 389.8 ล้านบาท โต 146.6 %ฟันยอดขาย 6 เดือน 4,296 ล้านบาท มั่นใจดีมานด์ตลาดอสังหาฯระดับกลางถึงไฮเอนด์ตอบรับดี เผยครึ่งปีหลังจ่อเปิดโครงการใหม่สินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมพรีเมี่ยมและบ้านเดี่ยว ปั้นยอดขายและยอดรับรู้รายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้แน่นอน   นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูง เปิดเผยถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมามีแนวโน้มการเติบโตดีขึ้นจากปัจจัยบวก อาทิ กำลังซื้อในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีอยู่มากโดยเฉพาะตลาดระดับกลางบนถึงไฮเอนด์ ซึ่งยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมจะเป็นตัวชี้วัดให้เห็นถึงกำลังซื้อที่ยังคงมีอยู่ของสินค้าระดับกลางบนได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 2/2561 บริษัทมีรายได้รวม 1,734 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 551.3 ล้านบาท คิดเป็น 46.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,182.7 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 225.2 ล้านบาท คิดเป็น 13% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 137.8 ล้านบาท หรือคิดเป็น 157.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 สำหรับรายได้จากการขายที่อยู่อาศัยในไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 1,596.9 ล้านบาท โตเพิ่ม 524.6 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 48.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 ที่มีรายได้ 1,072.3 ล้านบาท อันเนื่องมาจากการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น ทำให้ทั้งรายได้และกำไรของบริษัทในครึ่งปีแรกนี้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง     โดยผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2561 นั้น ทางเสนามีอัตราการเติบโตก้าวกระโดดได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ โดยสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ แนวสูง และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 2,822.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่ากับ 1,151.9 ล้านบาท คิดเป็น 69% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 ที่มีรายได้รวม 1,670.5 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิโตขึ้น 146.6% หรือ 389.8 ล้านบาท คิดเป็น 13.8% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 231.7 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 ซึ่งมีกำไรสุทธิ158.1 ล้านบาท ส่วนยอดขายในช่วง 6 เดือนแรก (ณ. วันที่ 30 มิถุนายน 2561) บริษัทฯ สร้างยอดขายรวมได้แล้วถึง 4,296 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากบริษัทฯ ยังคงรักษาระดับการขายในปัจจุบันได้เชื่อมั่นว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้   ทั้งนี้ ในส่วนของผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ รวมทั้งสิ้น 2,493.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,051.7 ล้านบาท คิดเป็น 72.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 1,441.7 ล้านบาท ซึ่งมาจากการรับรู้รายได้จากการโอนกรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมและโครงการบ้านที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย โครงการ นิช ไอดี บางแค เฟส 2 ,โครงการ นิช ไอดี พระราม 2 เฟส 2 ,โครงการ นิช ไอดี สุขุมวิท 113 ,โครงการ นิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี ,โครงการ นิช โมโน สุขุมวิท 50 ,โครงการ เดอะ คิทท์ ไลท์ บางกะดี และ โครงการ เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113 เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการโอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบมาอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ได้แก่ โครงการเสนา พาร์ค แกรนด์ รามอินทรา ,โครงการ เสนา พาร์ค วิลล์ วงแหวนฯ – รามอินทรา ,โครงการ เสนา วิลล์ บรมราชชนนี สาย 5 และโครงการ เสนา ทาวน์ รามอินทรา เป็นต้น ขณะเดียวกันบริษัทยังมีรายได้จากธุรกิจการให้เช่าและบริการในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 278.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.1 ล้านบาท หรือคิดเป็น 80.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปี 2560 ซึ่งมีรายได้จากค่าเช่าและบริการ 154.7 ล้านบาท ส่วนธุรกิจบริการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ช่วงครึ่งปีแรก อยู่ที่ 8.4 ล้านบาท ลดลง 31.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 79.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันจากปีก่อนที่มีรายได้ อยู่ที่ 40.3 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน(Backlog) ณ. สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 มูลค่า 7,133.89 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน 2 โครงการประกอบด้วย นิช ไพรด์ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์ และ นิช โมโน สุขุมวิท– แบริ่ง)   อย่างไรก็ตามจากผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2561 คณะกรรมการบริษัทฯจึงมีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.109757 บาท และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่12 กันยายน 2561 ทั้งนี้ สรุปแผนธุรกิจในปี 2561 ทางบริษัทเสนาฯ พร้อมเดินหน้ามุ่งมั่นสู่“Growth Hormone2018” โดยตั้งเป้ายอดขาย 10,300 ล้านบาท และเป้ารายได้ 6,200 ล้านบาท เติบโต 20 % จากปีก่อน ซึ่งจะมาจากการเปิดตัวโครงใหม่ทั้งสิ้น 17 โครงการ รวมเป็นมูลค่า 23,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกเปิด 5 โครงการ มูลค่ารวม 6,527 ล้านบาท และช่วงครึ่งปีหลังจะเปิดอีก 12 โครงการทั้งโครงการแนวราบและแนวสูงบททำเลศักยภาพ รวมมูลค่า 16,000 – 17,000 ล้านบาท
“เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศรุกตลาดอสังหาฯระดับไฮเอนด์  ล่าสุดเปิดตัว “แซฟวี่ อารีย์4” มูลค่า350ล้านบาท ชูจุดขายทำเลดี-ห้องขนาดใหญ่เหมือนอยู่บ้าน

“เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศรุกตลาดอสังหาฯระดับไฮเอนด์ ล่าสุดเปิดตัว “แซฟวี่ อารีย์4” มูลค่า350ล้านบาท ชูจุดขายทำเลดี-ห้องขนาดใหญ่เหมือนอยู่บ้าน

  เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ฯ มั่นใจภาพรวมตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลัง61แนวโน้มสดใส เชื่ออัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นไม่กระทบ เปิดแผนธุรกิจพร้อมรุกคอนโดฯโลว์ไรส์ เจาะกลุ่ม Luxury boutique residence ปีละ3-4 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ล่าสุดเดือนก.ย.นี้ เตรียมเปิดตัวโครงการ “แซฟวี่ อารีย์4” (Savvi ari4) ราคาขายเริ่มต้นที่ 160,000บาท/ตารางเมตร หรือราคาประมาณ 5.5 ล้านบาท/ยูนิต มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาท ชูจุดขายทำเลศักยภาพ ดีไซน์ห้องขนาดใหญ่ให้ความรู้สึกเสมือนอยู่บ้าน     นายสมภพ วาณิชเสนี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการคอนโดฯในทำเลย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯและพัทยา เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 ว่า มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ตามภาวะเศรษฐกิจ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะปรับขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก ส่วนกรณีซัพพลายมีจำนวนมากในบางทำเล ผู้ประกอบการหลายรายได้เพิ่มช่องทางการจำหน่าย ทำการตลาดกับลูกค้าชาวต่างชาติซึ่งเห็นผลได้เป็นอย่างดี ในส่วนของแผนดำเนินธุรกิจอสังหาฯของบริษัทฯจะเน้นพัฒนาในประเภทคอนโดมิเนียม low riseโดยเป็นสัดส่วนกลุ่มระดับ Luxury boutique residence โดยเป้าหมายจะเน้นพัฒนาประมาณปีละ 3-4 โครงการ รวมมูลค่าประมาณกว่า 2,500 ล้านบาท โดยในช่วงเดือนมีนาคม 2561 บริษัทได้มีการเปิดตัวโครงการ Attitude BU มูลค่า 1,100,000,000 ล้านบาท ปรากฏว่าสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 60% และในเดือนกันยายน 2561นี้ ยังมีแผนที่จะเปิดตัว 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 750 ล้านบาท คือ โครงการ“แซฟวี่ อารีย์4” (Savvi ari4) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 188 ตารางวา เป็นคอนโดมิเนียม สูง 8 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 35-125 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ประมาณ 160,000บาท/ตารางเมตร หรือราคาประมาณ 5.5 ล้านบาท/ยูนิต จำนวน 39 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 350 ล้านบาท   “โครงการ “แซฟวี่ อารีย์4” มีจุดขายที่สำคัญคือความมีสุนทรียภาพในการใช้ชีวิตในย่านอารีย์ ที่สุดของความประณีตและมีสไตล์ เนื่องจากย่าน”อารีย์”เต็มไปด้วยสถานที่ซึ่งตอบสนองวิถีชีวิตอันแตกต่างหลากหลายของสังคมเมือง และการออกแบบที่มีคอนเซ็ปต์ Luxury boutique residence ที่คงความสงบและเป็นส่วนตัว และมีการออกแบบห้องให้มีขนาดใหญ่เหมือนอยู่บ้าน ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว” นายสมภพ กล่าว     นอกจากนี้ยังมี โครงการ“แซฟวี่ พหล2” ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ในซอนพหลโยธิน2 เป็นคอนโดมิเนียม สูง 7 ชั้น ขนาดตั้งแต่ one bed – 3 bed Duplex ราคาขายเริ่มต้นที่ 140,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 64 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 400 ล้านบาท   นายสมภพ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่บริษัทฯเลือกพัฒนาโครงการในย่านอารีย์ เพราะมองว่าทำเลพหลโยธินตอนต้นเป็นทำเลศักยภาพใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการทั้งร้านค้า ร้านอาหาร อาคารสำนักงาน รวมถึงสามารถเชื่อมโยงพื้นที่เมืองชั้นในได้สะดวกจากรถไฟฟ้าสายสีเขียวหมอชิต-สำโรง ในขณะที่ภาพรวมซัพพลายในย่านดังกล่าวยังมีไม่มาก โดยอัตราดูดซับอยู่ในระดับดี เนื่องจากในทำเลมีความต้องการที่อยู่อาศัยค่อนข้างสูง โดยดีมานด์ส่วนใหญ่ที่ซื้อจะเป็นกลุ่ม Real demand ที่ซื้อไว้เพื่ออยู่อาศัยเอง และเป็นบ้านหลังที่2 อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมอยู่ที่ประมาณ 80% ของมูลค่าแต่ละโครงการ โดยจะมาจากโครงการ Attitude BU ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และโครงการใหม่ที่กำลังจะเปิดในช่วงปลายปีอีก 2 โครงการ คือ “แซฟวี่ อารีย์4” และ “แซฟวี่ พหล2”
เปิดตัว “BUTLER” แพลทฟอร์มครบวงจร ตอบโจทย์นิติบุคคล-ผู้อยู่อาศัย  มุ่งเป้า Urban Tech อันดับหนึ่งของเอเชีย

เปิดตัว “BUTLER” แพลทฟอร์มครบวงจร ตอบโจทย์นิติบุคคล-ผู้อยู่อาศัย มุ่งเป้า Urban Tech อันดับหนึ่งของเอเชีย

  เปิดตัว “BUTLER” แอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ด้าน Community Management หวังแก้ Pain Point นิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัยในการบริหารงาน พร้อมช่วยเชื่อมโยงผู้อยู่อาศัยเข้ากับทุกช่องทางความสะดวกของการใช้ชีวิต กางแผน 3 ระยะ เปิดตัวบริการเชื่อมนิติบุคคล-ผู้อยู่อาศัย-ชุมชน ครบวงจร มุ่งเป้าสู่ Urban Tech อันดับหนึ่งของเอเชีย นำร่องลุย “BUTLER PROPERTY MANAGEMENT PLATFORM” จับมือพันธมิตรช่วยนิติบุคคลโครงการดูแลลูกบ้าน   นายวรกร วีราพัชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิจิตอล บัตเลอร์ จำกัด หรือ BUTLER เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ขึ้นภายใต้ชื่อ “BUTLER” เพื่อเป็นแพลทฟอร์มด้านการจัดการชุมชนและสังคม (Community Management Platform) ช่วยแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกให้แก่ทั้งนิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัยและผู้อยู่อาศัย   “เราพบว่านิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ต่างมี Pain Point ในการบริหารจัดการดูแลผู้อยู่อาศัย เพราะมีจำนวนปริมาณงานที่มากและหลากหลาย มีรายละเอียดที่ต้องคอยติดตาม ขณะเดียวกัน ฝั่งผู้อยู่อาศัยในโครงการเองก็มี Pain Point จากการได้รับการบริการล่าช้า ขาดการบริการที่ครบวงจร ขาดโอกาสในการปฏิสัมพันธ์กับชุมชนและนิติบุคคลโครงการของตัวเอง BUTLER จึงได้พัฒนา Community Management Platform ที่จะช่วยแก้ปัญหาและอำนวยความสะดวกให้กับคนทั้ง 2 กลุ่ม สร้างประสบการณ์การบริหารงานและการใช้ชีวิตง่าย ในแอปเดียว” นายวรกร กล่าว     ทั้งนี้ การพัฒนาแพลทฟอร์มของ BUTLER จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Property Management) สำหรับนิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัย ภายใต้ชื่อ “BUTLER PROPERTY MANAGEMENT PLATFORM” เป็นซอฟต์แวร์เชื่อมโยงนิติบุคคลกับผู้อยู่อาศัยในโครงการ พนักงาน ตลอดจนบริการของพันธมิตร มีฟังก์ชันตั้งแต่การดูและจัดการตารางกิจกรรมภายในของนิติบุคคล การใช้พื้นที่ส่วนกลาง ภาพรวมแผนงบประมาณ แจ้งค่าน้ำค่าไฟ รับแจ้งซ่อม รับแจ้งปัญหา บริหารจัดการ แชทคุยกับผู้อยู่อาศัย บริหารจัดการพนักงาน ตลอดจนดูตารางงานของพันธมิตรที่เข้ามาทำงานในพื้นที่โครงการ เริ่มเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการ (Soft Launch) แล้ว ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา   ระยะที่ 2 บริการการจัดการชุมชนและสังคมสำหรับผู้อยู่อาศัย ผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน ผู้ใช้สามารถเชื่อมโยงกับนิติบุคคลและชุมชนโดยรอบได้ง่ายผ่านบริการหลากหลายฟังก์ชัน ทั้งบริการแม่บ้าน บริการซักอบรีด บริการดูแลรักษาบ้าน บริการดูแลรักษารถ บริการเช่ารถ ช้อปปิ้ง สั่งอาหารและเครื่องดื่มทั้งในชุมชนตัวเองและร้านอาหารชื่อดังในพื้นที่อื่น คาดว่าจะเปิดตัวบริการเหล่านี้ได้ทั้งหมดภายในเดือนตุลาคมนี้   ระยะที่ 3 การสร้างระบบนิเวศชุมชนและบริการจัดการชุมชนเต็มรูปแบบ บริษัทจะจับมือทั้งพันธมิตรสตาร์ทอัพ พันธมิตรร้านค้าในชุมชนต่างๆ รวมถึงพันธมิตรสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเชื่อมโยงกับสินค้าและบริการต่างๆ ในชุมชนได้ง่ายๆ และสะดวกสบาย ตลอดจนสามารถชำระค่าบริการต่างๆ ได้ภายในแอปเดียว นอกจากนี้ จะสร้าง Community Media ที่บุคคลภายในโครงการสามารถติดต่อสื่อสาร รวมถึงซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้   “เมื่อพัฒนาครบทั้ง 3 ระยะ BUTLER จะสามารถสร้าง 3 C ให้แก่ผู้ใช้งาน ได้แก่ 1.Connect เชื่อมโยงภาคธุรกิจกับชุมชนเข้าด้วยกัน 2.Convenience สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ทั้งฝั่งโครงการและฝั่งผู้อยู่อาศัย และ 3.Create สร้างโอกาส ชุมชน และสังคมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น เราไม่ได้ทำงานคนเดียว และไม่ได้พัฒนาแพลทฟอร์มนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นคู่แข่งใคร แต่เราจะจับมือพันธมิตรต่างๆ เช่น ด้านโลจิสติกส์ ด้านการบริการช่างซ่อมบำรุง ด้านค้าปลีก และทำงานร่วมกัน เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้งาน” นายวรกร กล่าว   นายวรกร กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน บริษัทได้เริ่มจับมือพันธมิตรแล้วหลายราย อาทิ Seekster, Fixzy, Helpdee, Betagro, JP Insurance และยังคงเปิดรับโอกาสในการร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ๆ ในหลากหลายธุรกิจและบริการอย่างต่อเนื่อง     ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายว่า ภายในสิ้นปี 2561 นี้ บริษัทจะมีนิติบุคคลโครงการต่างๆ เข้าใช้งานจำนวน 500 โครงการ และมียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไม่น้อยกว่า 1 แสนดาวน์โหลด และตั้งเป้าว่าภายใน 2 ปี จะมีการขยายสเกลการให้บริการไปสู่ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการร่วมมือกับผู้ประกอบการในประเทศเหล่านั้น เช่น Property Management, Property Developer, Service Provider ภายหลังจากปี 2563 บริษัทจะขยายบริการไปสู่ระดับเอเชีย พร้อมทั้งมุ่งมั่นพัฒนาบริการของ BUTLER ให้กลายเป็นเทคโนโลยีด้านการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตในเมือง (Urban Tech) อันดับ 1 ของเอเชีย   ผู้สนใจบริการของ BUTLER สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้แล้ววันนี้ทั้งใน App Store และ Play Store หรือคลิก http://bit.ly/butlerfacebook สำหรับนิติบุคคลที่สนใจบริการของ BUTLER สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.butlerjuristic.com
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้คอนโดโลว์ไรส์ทำเลใจกลางเมืองมาแรง จ่อ Sold Out แบรนด์มาเอสโตร 2 โครงการ ขายหมดเกือบ 100% รวมมูลค่า 1,200 ลบ.

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้คอนโดโลว์ไรส์ทำเลใจกลางเมืองมาแรง จ่อ Sold Out แบรนด์มาเอสโตร 2 โครงการ ขายหมดเกือบ 100% รวมมูลค่า 1,200 ลบ.

  เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ชี้จับตาคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ทำเลใจกลางเมืองกำลังบูม จ่อปิดการขายคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์แบรนด์ MAESTRO (มาเอสโตร) 2 โครงการ มาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39 ยอดขายพุ่งถึง 95% และมาเอสโตร 02 ร่วมฤดี ยอดขายถึง 93% รวมมูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ระบุลูกค้าชื่นชอบโครงการเพราะจุดแข็งของแบรนด์ที่แตกต่าง ดีไซน์โดดเด่น แบรนด์แรกของไทยที่นำแนวคิด Classic inspired with modern twist ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและความโมเดิร์นได้อย่างลงตัว ทำเลใจกลางเมือง และจุดเด่นคอนโดฯ Pet Friendly เลี้ยงสัตว์ได้ทุกยูนิต เผยทำเลสุขุมวิท 39 ราคาที่ดินพุ่งสูงถึง 40% ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จาก 183,000 บาท/ตร.ม. เป็น 255,000 บาท/ตร.ม. ขณะที่ร่วมฤดี ติดอันดับ 1 ใน 5 ราคาที่ดินสูงสุดในกรุงเทพฯ ระบุคอนโดฯ โลว์ไรส์ดีมานด์พุ่ง ลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยมากกว่าลงทุน คาดอนาคตดีมานด์เติบโตต่อเนื่อง   คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมปิดการขายคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น แบรนด์ MAESTRO (มาเอสโตร) ทำเลใจกลางเมือง จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ มาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39 มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท มียอดขายไปแล้ว 95% หรือเหลือเพียง 5 ยูนิต จากทั้งหมด 107 ยูนิต และมาเอสโตร 02 ร่วมฤดี มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท มียอดขายไปแล้ว 93% หรือเหลือเพียง 10 ยูนิต จากทั้งหมด 138 ยูนิต     “มาเอสโตรเป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ลูกค้าชื่นชอบโครงการเพราะ จุดแข็งของแบรนด์ที่แตกต่างจากคู่แข่ง ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น เป็นแบรนด์แรกของไทยที่นำแนวคิด Classic inspired with modern twist ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและความโมเดิร์นได้อย่างลงตัว ทำเลใจกลางเมือง และคอนโดฯ Pet Friendly ที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ทุกยูนิต โดยมาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39 มีลูกค้าชาวต่างชาติให้ความสนใจมาก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น เนื่องจากทำเลสุขุมวิท 39 เป็นแหล่งไลฟ์สไตล์ที่ ชาวญี่ปุ่นอาศัยกันอยู่มาก และเหมาะกับการลงทุน ให้ผลตอบแทนดี ซึ่งทำเลสุขุมวิท 39 ในช่วง 5 ปีที่ ผ่านมา มีการปรับตัวสูงขึ้นมากที่สุดจาก 183,000 บาท/ตร.ม. เป็น 255,000 บาท/ตร.ม. หรือปรับเพิ่มสูงถึง 40% ขณะที่ มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี ตั้งอยู่ร่วมฤดีซอย 2 ซึ่งเป็นทำเลอันดับ 1 ใน 5 ที่มีราคาสูงที่สุดเมื่อเทียบกับทำเลอื่นในกรุงเทพฯ นับเป็นพื้นที่ไข่แดงที่คนส่วนน้อยมีโอกาสจะได้ครอบครอง ทำให้โครงการขายดีมาก ส่วนใหญ่ลูกค้าซื้อเพื่ออยู่อาศัยมากกว่าลงทุน คิดเป็นสัดส่วน 70% และ 30% ตามลำดับ ทั้งนี้ทั้ง 2 โครงการคาดว่าจะปิดการขายภายในงานอีเวนต์ใหญ่ประจำปีที่บริษัทกำลังจะจัดขึ้นในปลายเดือนกันยายนนี้แน่นอน ซึ่งเป็นงานที่รวบรวมคอนโดฯ ที่ดีที่สุด มอบส่วนลดราคาพิเศษ และเป็นงานที่ไม่ควรพลาด “สำหรับดีมานด์ของคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์นั้น สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมือง ที่สามารถเดินทางสะดวก และมีความสงบ เป็นส่วนตัว เนื่องจากไม่ได้ติดถนนใหญ่ อยู่ในซอย หลีกหนีจากความวุ่นวายในเมือง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนเมือง รวมถึงปล่อยเช่าได้ง่าย เพราะจำนวนห้องน้อยกว่าคอนโดมิเนียมไฮไรส์ เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยและการลงทุนเพื่อปล่อยเช่า จึงคาดว่าอนาคตคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์จะมีแนวโน้มดีมานด์เติบโตอย่างต่อเนื่อง” คุณเพชรลดา กล่าว
เร็น สุขุมวิท 39 คอนโดระบบ “รูเนะสุ” ปรากฎการณ์จอยเวนเจอร์ชินวะ กรุ๊ป – พรีบิลท์

เร็น สุขุมวิท 39 คอนโดระบบ “รูเนะสุ” ปรากฎการณ์จอยเวนเจอร์ชินวะ กรุ๊ป – พรีบิลท์

ปรากฏการณ์จอยท์เวนเจอร์ระหว่างประเทศ ระหว่างยักษ์ใหญ่อสังหาฯไทย – ญี่ปุ่น เพื่อดำเนินโครงการ เร็น สุขุมวิท 39 ( REN Sukhumvit 39 ) คอนโดหรูใจกลางสุขุมวิท ด้วยนวัตกรรม“รูเนะสุ” ทั้งโครงการ มูลค่า 2,600 ล้านบาท ที่สร้างสรรค์เพื่อผู้อยู่อาศัยที่นิยมที่อยู่อาศัยแบบ Functional และนักลงทุนไทยและต่างชาติที่สนใจคอนโดคุณภาพบนพื้นที่ศักยภาพ โดยเมื่อเร็วๆนี้ ผู้บริหาร บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทจอยท์ เวนเจอร์ ได้เข้าพบผู้บริหารระดับสูงของชินวะ กรุ๊ป ที่สำนักงานใหญ่ชินวะ กรุ๊ป เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เพื่อหารือเรื่องการนำนวัตกรรม Runesu เข้ามาติดตั้งในโครงการ เร็น สุขุมวิท 39 และยังได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพในอนาคตของประเทศไทยอีกด้วย เร็น สุขุมวิท 39 ดำเนินงานโดย บริษัท ชินวะ เอส 39 จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท ซึ่งเป็นการร่วมทุน ระหว่าง บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) : บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด-ในเครือ ชินวะ กรุ๊ป : พรีแซงค์ คอร์ปอเรชั่น (Pressance Corporation) จากญี่ปุ่น ด้วยสัดส่วน 49:26:25
ออลล์ อินสไปร์ฯ เปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ “ไรส์ เวนเจอร์” ตัวจริงด้านการจัดการอสังหาฯ การันตีคุณภาพด้วยศักยภาพทีมงานการตลาด – การขาย ทั้งในและต่างประเทศ

ออลล์ อินสไปร์ฯ เปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ “ไรส์ เวนเจอร์” ตัวจริงด้านการจัดการอสังหาฯ การันตีคุณภาพด้วยศักยภาพทีมงานการตลาด – การขาย ทั้งในและต่างประเทศ

  ออลล์ อินสไปร์ฯ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ ดิ เอ็กเซล ไรส์ และอิมเพรสชั่น โชว์ศักยภาพธุรกิจอสังหาฯ มองเห็นโอกาส และช่องว่างทางการตลาด ประกาศเปิดตัวธุรกิจใหม่ “ไรส์ เวนเจอร์” ตัวจริงด้านการจัดการอสังหาริมทรัพย์ โดยการเข้าลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่นที่สร้างเสร็จแล้ว นำมาเพิ่มมูลค่าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าที่มีอยู่ ด้วยการบริหารจัดการของทีมงานการตลาดและการขายทั้งในและต่างประเทศ ที่มีคุณภาพ ทีมออกแบบตกแต่งภายใน และทีมดูแลลูกค้าหลังการขายที่แข็งแกร่ง เป็นการใช้ความชำนาญที่มีอยู่สร้างโมเดลธุรกิจที่มีความแตกต่าง ตั้งเป้ายอดรายได้ 500 - 1,000 ลบ. มั่นใจดีมานด์ยังมีอย่างต่อเนื่อง ทั้งลูกค้าไทยและต่างชาติ   นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีแผนในการรุกตลาดอสังหาฯ มากขึ้น โดยเพิ่มช่องทางธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อมาเป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลัก ที่เดิมจะใช้วิธีการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ขาย และรอรับรู้รายได้เมื่อโอน แต่พบว่ายังมีช่องว่าง ซึ่งมองเห็นเป็นโอกาสทางธุรกิจ เกิดเป็นบริษัท ไรส์ เอสเตท จำกัด ภายใต้ชื่อ “ไรส์ เวนเจอร์” เป็นบริษัทในเครือ บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจโมเดลใหม่เข้าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ระยะสั้น เพื่อสร้างโอกาสทำกำไรให้มากขึ้น เร็วขึ้น แต่มีความเสี่ยงน้อยลง โดยที่ผ่านมานั้น ออลล์ อินสไปร์ฯ มีทีมขายในประเทศ และมีบริษัท ไทย ดี เรียลเอสเตท จำกัด ซึ่งทำหน้าที่ในการขายโครงการของ ออลล์ อินไสปร์ ในต่างประเทศที่มีคุณภาพ และทีมการตลาดที่แข็งแกร่ง มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ เพราะจากการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศทำให้ทราบว่ายังมีช่องว่างทางการตลาดของลูกค้าที่ต้องการอสังหาฯ สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ในทำเลต่างๆ อยู่อีกมากมาย ดังนั้น บริษัทฯ จึงต้องการตอบสนองดีมานด์ดังกล่าว ได้อย่างทันท่วงที จึงลงทุนในทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างแล้วเสร็จจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นที่ต้องการระบายสต๊อก โดยเลือกสรรเป็นรายห้อง เลือกห้องที่มีศักยภาพทำเลดี และต่อรองราคา หลังจากนั้นนำมาเพิ่มมูลค่า เช่น ตกแต่งเพิ่มเติม เพิ่มเฟอร์นิเจอร์ และฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ให้ตรงกับความต้องการ และนำมาเสนอให้กับลูกค้าในราคาที่คุ้มค่า ภายในเวลาที่ลูกค้าต้องการเข้าพักอาศัย ซึ่งทางบริษัทฯ มีทีมงานที่มีประสบการณ์สูง คลุกคลีอยู่กับข้อมูลของวงการธุรกิจนี้มานาน จึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด และคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีอย่างแน่นอน   ซึ่งลูกค้าที่ซื้ออสังหาฯ จาก “ไรส์ เวนเจอร์” การันตีได้เลยว่า นอกจากจะได้ของที่มีคุณภาพในราคาที่คุ้มค่าแล้วนั้น ยังได้รับบริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพในการแนะนำทั้งเรื่องการขายต่อและการปล่อยเช่า นอกจากนี้ในเรื่องของผลประโยชน์ สิทธิพิเศษยังเทียบเท่ากับลูกค้าที่ซื้อโครงการของ ออลล์ อินสไปร์ฯ ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือลูกค้า “ไรส์ เวนเจอร์” จะได้รับสิทธิ์เป็นสมาชิก “อินสไปร์ ฮับ” สามารถร่วมกิจกรรม รับสิทธิพิเศษ ใช้บริการเลาจน์ที่สยามพารากอนได้ เป็นต้น เรียกว่าเป็นมืออาชีพในการนำเสนออสังหาริมทรัพย์ ให้แก่ลูกค้าที่ต้องการที่จะอยู่อาศัยบนทำเลต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ พัทยา ภูเก็ต เป็นต้น โดยลูกค้าจะมีทางเลือกที่หลากหลายและมั่นใจได้ว่าจะได้อสังหาริมทรัพย์ตามความต้องการอย่างแน่นอน ซึ่งในปัจจุบันมีโครงการต่างๆ ที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่เป็นจำนวนมาก   ขณะนี้ “ไรส์ เวนเจอร์” มีอสังหาริมทรัพย์ทั้งที่พร้อมขายและที่นำมาพัฒนาใหม่แล้วประมาณ 130 ล้านบาท อยู่ในทำเลที่ลูกค้าต้องการ อาทิ โครงการคอนโดพร้อมอยู่ตามเส้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 500 - 1,000 ล้านบาท   “ปัจจัยที่ทำให้ ออลล์ อินสไปร์ฯ ประสบความสำเร็จในธุรกิจจนถึงปัจจุบันคือการเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง โดยมีแนวคิดที่ต้องการตอบโจทย์ทั้งเรื่องแบรนด์ดิ้งและความเป็นแมสพรีเมียม ในการสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าในราคาที่สามารถจับต้องได้ ซึ่งการเปิดตัว “ไรส์ เวนเจอร์” ในวันนี้ จึงถือว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของการดำเนินธุรกิจของ ออลล์ อินไสปร์ฯ ที่ต้องการตอบโจทย์ลูกค้าให้ตรงใจมากที่สุด เพื่อที่จะครองใจลูกค้าที่ต้องการอสังหาริมทรัพย์ที่ดีมีคุณภาพ ในราคาสมเหตุผล” นายธนากร กล่าวตอนท้าย   สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.allinspire.co.th หรือโทร 02 029 9999
LPN เปิดซิตี้คอนโดย่านพัฒนาการ Expand Project แห่งที่ 4 ตอกย้ำ Affordable Segment  เกาะเทรนด์ Sport Lover เด่นด้วยฟิตเนสเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ เริ่ม 1.69 ลบ. พรีเซล 25 ส.ค.

LPN เปิดซิตี้คอนโดย่านพัฒนาการ Expand Project แห่งที่ 4 ตอกย้ำ Affordable Segment เกาะเทรนด์ Sport Lover เด่นด้วยฟิตเนสเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ เริ่ม 1.69 ลบ. พรีเซล 25 ส.ค.

LPN เดินตามแผน Year Of Chang ชู Fighting Brand แห่งที่ 4 ของปี ตอกย้ำ Affordable Segment เปิดซิตี้คอนโด แนว ไฮไรส์ “ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-ศรีนครินทร์” คาดยังมีดีมานด์จากเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยคึกคัก ใกล้แหล่งงานและสถานศึกษา กอรปกับเป็น Expand Project ของย่านพัฒนาการที่ LPN เคยเปิดมากว่า 3 โครงการ นำเทรนด์ Sport Lover ในยุคปัจจุบันดีไซน์พื้นที่ส่วนกลางเสมือนยกฟิตเนสเซ็นเตอร์แทรกไว้ทุกอณูในโครงการ ด้วยคอนเซปต์ “Sports park, smart place” ผสานการออกแบบ Façade สไตล์โมเดิร์นทันสมัย รวมถีง News LPN Design ฟังก์ชั่นลงตัว เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงานและนักศึกษา การันตีความสุขในบ้านหลังใหญ่ด้วย “Livable Community” เปิดขายวันเสาร์ที่ 25 สิงหาคมนี้ ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท   นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า “บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ย่านพัฒนาการซึ่งเป็นโครงการลำดับที่ 4 แห่งปีตามแนวทาง Affordable Segment ภายใต้ชื่อ “ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-ศรีนครินทร์” คอนโดแนวสูง 32 ชั้น มูลค่า 1,460 ล้านบาท ตั้งอยู่บนถนนพัฒนาการ ระหว่างซอยพัฒนาการ 33 และ 35 ด้วยศักยภาพของทำเลและแหล่งที่อยู่อาศัยหนาแน่น จึงมีดีมานด์สูงจากแหล่งงานที่ตั้งตรงข้ามโครงการ ได้แก่ อาคาร True และสำนักงานใหญ่แม็คโคร โดยวางเป้าหมายเป็นกลุ่มคนเริ่มทำงานรุ่นใหม่ และยังเจาะกลุ่มนักศึกษาในย่านนี้ ทั้งสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตและมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งบริษัทยังคงรักษากลุ่มเป้าหมายระดับกลางถึงกลาง-ล่าง ด้วยการเปิดราคาขายเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท เดินตามเจตนารมณ์บ้านที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายด้วยราคาที่เอื้อมถึง (Affordable Price) และอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญคือ มองว่าทำเลแห่งนี้มีอนาคต ใกล้ห้างสรรพสินค้า เช่น Tesco Lotus, Max Value, Makro, London Street และเดอะ นาย พระราม 9 ใกล้สถานพยาบาล คือ โรงพยาบาลวิภารามและโรงพยาบาลรามคำแหง ทั้งยังเดินทางเข้า-ออกเมืองอย่างสะดวกสบาย เพราะใกล้ทางด่วนและมอเตอร์เวย์ที่เชื่อมต่อกับถนนเส้นสำคัญหลายสาย ตั้งแต่ถนนเพชรบุรี ถนนรามคำแหง ถนนพระราม 9 และถนนประชาอุทิศ นอกจากนี้ ถนนพัฒนาการยังมีซอยที่ลัดเลาะเพื่อเลี่ยงรถติดที่ถนนศรีนครินทร์และถนนอ่อนนุชได้ด้วย โดยที่ผ่านมา LPN เคยประสบผลสำเร็จในทำเลย่านนี้มาแล้วจากโครงการคุณภาพและบริการหลังการขายภายใต้แนวคิด “ชุมชนน่าอยู่” (Livable Community) ได้แก่ ลุมพินี วิลล์ อ่อนนุช-พัฒนาการ ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-เพชรบุรีตัดใหม่ และลุมพินี วิลล์ ศรีนครินทร์-หัวหมาก สเตชั่น เรียกได้ว่าเป็นโครงการส่วนต่อขยาย (Expand Project) ที่น่าจับตามอง   “ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-ศรีนครินทร์” เป็นโครงการแนวสปอร์ตแห่งแรกของบริษัทที่ได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์เทรนด์คนรักสุขภาพและการออกกำลังกายในยุคปัจจุบัน ตามคอนเซ็ปต์ “Sports Park, Smart Place” เสมือนมีฟิตเนสเซ็นเตอร์ที่ตรงใจคนรุ่นใหม่ แทรกอยู่ในพื้นที่ส่วนกลางทุกส่วนอย่างครบครัน ประหยัดเวลาในการเดินทางและไม่ต้องใช้จ่ายกับค่าสมาชิกฟิตเนสอีกต่อไป โดยสามารถออกกำลังกายในบ้านของตนเองได้ทุกเวลาที่สะดวก ทั้งลู่วิ่ง (Jogging Track) สระว่ายน้ำ สนามสตรีท บาส ห้องโยคะ ห้องฟิตเนส สวนรวมใจ ลานฟิตแอนด์เฟิร์มและฟิตเนสโซน โดยหยิบไอเดียเส้นสายลู่วิ่งของโครงการมาออกแบบในพื้นที่ส่วนกลางให้มีสีสันเด่นสะดุดตา คุมโทนและสร้างบรรยากาศการออกกำลังกายให้ตื่นเต้น รวมถึงปรับปรุงห้องอเนกประสงค์ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยมากขึ้น สำหรับในห้องชุดพักอาศัยบริษัทนำความเชี่ยวชาญของ New LPN Design มาออกแบบให้ครบทุกฟังก์ชันการอยู่อาศัย นอกจากการให้ความสำคัญกับเทรนด์สุขภาพแล้ว LPN ยังให้ความสำคัญกับความรื่นรมย์ในโครงการ จึงกระจายพื้นที่สีเขียวไว้บนชั้น 7 และชั้น 29 เพื่อเป็นจุดพักผ่อนยามเหนื่อยล้าที่ดีเยี่ยม ทั้งยังปรับรูปลักษณ์ Façade ให้ทันสมัยด้วยการออกแบบโทนสีเทาเข้มและสีขาวให้ดูโมเดิร์น” นายโอภาสทิ้งท้าย   “ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-ศรีนครินทร์” แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่ ส่วนอาคารสำนักงานสูง 5 ชั้น ด้านหน้าโครงการ และส่วนอาคารชุดพักอาศัย สูง 32 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 795 ยูนิต บนพื้นที่ทั้งหมด 6 ไร่ เปิดขายอย่างเป็นทางการวันเสาร์ที่ 25 สิงหาคมนี้ ณ สำนักงานขายโครงการ ตั้งแต่เวลา 8.30 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร LPN Call Center 02-689-6888
เจ.เอส.พี. โชว์รายได้ไตรมาส 2 โต 16% กวาดยอดรายได้รวมครึ่งปีแรก กว่า 2,257 ลบ.  พร้อมลุยเปิดเพิ่มอีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 703 ลบ.

เจ.เอส.พี. โชว์รายได้ไตรมาส 2 โต 16% กวาดยอดรายได้รวมครึ่งปีแรก กว่า 2,257 ลบ. พร้อมลุยเปิดเพิ่มอีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 703 ลบ.

บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เผยผลงานไตรมาส 2/2561 ทำรายได้แตะ 1,212 ล้านบาท หรือโตเพิ่ม16% โดยกวาดยอดรายได้รวมครึ่งปีแรกแล้วกว่า 2,257 ล้านบาท พร้อมลุยเดินเครื่องธุรกิจครึ่งปีหลังเปิดใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวมราว 703 ล้านบาท มั่นใจยอดขายรวมสิ้นปีนี้ 6,800 ล้านบาท ตามนัด นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล ประธานคณะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP แจงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2561 ของบริษัทว่า รายได้ทั้งหมดเท่ากับ 1,212 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีรายได้จากการขายอสังหาฯอยู่ที่ 1,176ล้านบาท มียอดโอนกรรมสิทธิ์ 626 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 140 ล้านบาท “จากการเข้ามาบริหารงานพร้อมวางกลยุทธ์ใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้น ประกอบกับผลงานเริ่มต้นในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ทำให้มั่นใจว่าบริษัทฯ จะก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงแข็งแรง จากการกำหนดเป้าหมายธุรกิจระยะสั้น คือปีแรกจะปรับฐานให้มีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น ส่วนเป้าหมายในระยะ 3 ปี ก็จะสร้างอัตราการเติบโตให้บริษัทไม่ต่ำกว่า 25-30% ซึ่งสำหรับในปี 2561 ตั้งเป้ายอดขายรวมสิ้นปีนี้ 6,800 ล้านบาท โดยเน้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบเป็นหลักเพื่อชิงผู้นำตลาดบ้านแนวราบ ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท” ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 703 ล้านบาท ได้แก่ โครงการเจซิตี้ ติวานนท์-บางกะดี บ้านเดี่ยว-บ้านแฝด จำนวนรวม 79 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 3.6 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการ 316 ล้านบาท, อาคารพาณิชย์ 1 ทำเล คือ โครงการเจซิตี้ รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง มูลค่าโครงการ 70 ล้านบาท และโครงการ เจอเวนิวรัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท ส่วนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้แก่ โซนบางปะกง-บ้านโพธิ์ คือ โครงการเจ ทาวน์ เอ็กซ์คลูซีฟ ที่เป็นทาวน์เฮาส์ มูลค่าโครงการ 117 ล้านบาท รวมทั้งอาคารพาณิชย์ที่โครงการเจซิตี้ ศรีราชา-อัสสัมชัญ มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าใกล้จะแล้วเสร็จและสามารถเปิดตัวได้ในช่วงปลายปีนี้ สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ของปี 2561 นี้น่าจะกลับมาสดใสมากขึ้น เนื่องจากผ่านความผันผวนจากช่วงครึ่งปีแรกมาแล้ว อีกทั้งเศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวได้ดีขึ้นและคาดว่าทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจน่าจะเพิ่มขึ้นถึง 4% เนื่องจากความต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยหรือการซื้อเพื่อการลงทุนยังโตต่อเนื่อง นายลิขิตกล่าวสรุป
แสนสิริผนึกบีซีพีจี ล้ำหน้าเปิดโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนไฟฟ้าสะอาดแบบเรียลไทม์ ด้วย Blockchain ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ววันนี้ที่ T77

แสนสิริผนึกบีซีพีจี ล้ำหน้าเปิดโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนไฟฟ้าสะอาดแบบเรียลไทม์ ด้วย Blockchain ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ววันนี้ที่ T77

แสนสิริ จับมือ บีซีพีจี ประกาศความสำเร็จในการเริ่มใช้ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่แบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) ด้วยการทำธุรกรรมโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในโครงการที่พักอาศัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำร่องระบบแลกเปลี่ยนพลังงานจริงแล้ววันนี้ที่โครงการทาวน์สุขุมวิท 77 หรือ T77 ก่อนจะเริ่มมีการซื้อขายอย่างเป็นทางการภายในเดือนกันยายนปีนี้ ซึ่งนับเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างพันธมิตรในระดับกลยุทธ์ในการผสานความเชี่ยวชาญข้ามอุตสาหกรรมของภาคเอกชนในระดับมหภาคระหว่างผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และพลังงานทดแทนของไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการพลังงานเพื่ออนาคต (Energy management for the future) ด้วยการสร้างปรากฏการณ์เปลี่ยน Consumerเป็น “Prosumers” ยุคแห่งการผลิตโดยผู้บริโภคซึ่งคนไทยสามารถเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคพลังงานสะอาดจากพลังงานไฟฟ้าทดแทน   อีกทั้งยังสามารถขายพลังงานส่วนเกินที่ผลิตได้ให้กับสมาชิกในชุมชน พร้อมมุ่งเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการพัฒนาแนวทางการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Green Sustainable Living) รวมทั้งการความยั่งยืนในการใช้พลังงานทดแทนในประเทศไทยไปอีกขั้น คาดว่าจะสามารถลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดการส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าการปลูกป่าถึง 400 ไร่ ตามแนวคิด Low Cost-Low Carbon ด้วยกำลังการผลิตพลังงานสะอาดถึง 20% ของปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมดในโครงการ T77 ซึ่งคาดว่าไฟฟ้าสะอาดทุกหน่วยที่ผลิตได้จะช่วยประหยัดค่าไฟต่อหน่วยให้ลูกบ้านแสนสิริได้ถึง 15% พร้อมเผยแผนการระยะยาวในการนำไปใช้ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริกว่า 20 โครงการภายในปี 2018 ภายใต้แผนพัฒนาชุมชนพลังงานสีเขียวอัจฉริยะ (Smart Green Energy Community) นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริมุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับการสร้างชุมชนที่พักอาศัยอย่างยั่งยืนภายใต้แนวทางที่ชาญฉลาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และประหยัดพลังงาน (Green Sustainable Living) ด้วยการแสวงหาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นวาระสำคัญในการดำเนินธุรกิจของแสนสิริมาอย่างยาวนาน โดยหนึ่งในเป้าหมายของแสนสิริคือการนำพลังงานทดแทนมาใช้ในทุกโครงการ ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการพลังงานเพื่ออนาคต(Energy management for the future) ประกอบกับในปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคากำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย   เราจึงได้ริเริ่มนำระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ไปติดตั้งในหลาย ๆ โครงการที่กำลังก่อสร้างอยู่ การจับมือกับบีซีพีจีในฐานะพันธมิตรระดับกลยุทธ์ (Strategic partnership) ในครั้งนี้นับเป็นการผลักดันวาระ Green Sustainable Living ของแสนสิริให้ก้าวล้ำไปอีกระดับ ด้วยการวางระบบพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์แบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในที่พักอาศัย ที่เราคัดสรรระบบที่เหมาะสำหรับแต่ละคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวกว่า 20 โครงการ โดยนับเป็นครั้งแรกของอีกขั้นในการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานสำหรับโครงการที่พักอาศัยทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นการแลกเปลี่ยนพลังงานผ่านระบบบล็อคเชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งการปฏิวัติระบบการจัดจำหน่ายพลังงานในครั้งนี้จะช่วยสร้างประสบการณ์ในการพักอาศัยที่มีความยั่งยืนให้กับลูกบ้านของแสนสิริ โดยมีไฮไลท์สำคัญคือการที่ลูกบ้านจะได้เป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคในเวลาเดียวกันในฐานะ Prosumer เป็นครั้งแรก ทำให้เราสามารถสร้างระบบการแลกเปลี่ยนใหม่ในตลาดพลังงานที่ก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ โดยประโยชน์ที่จะเกิดอย่างชัดเจนแก่ลูกบ้านแสนสิริที่อาศัยในโครงการที่มีการวางระบบนี้คือสามารถประหยัดค่าไฟฟ้า โดยไฟฟ้าสะอาดทุกหน่วยที่ผลิตได้จะช่วยประหยัดค่าไฟต่อหน่วยได้ถึง 15% และยังสร้างความภูมิใจให้ลูกบ้านจากการมีส่วนร่วมในดูแลสิ่งแวดล้อมโดยการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จากกำลังการผลิตพลังงานสะอาดถึง 20% ของปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมดในโครงการ T77 ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 530 ตันต่อปีโดยประมาณ หรือเท่ากับการปลูกป่า จำนวน 400 ไร่   บีซีพีจีและแสนสิริได้ติดตั้งระบบแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนแล้ววันนี้ที่โครงการทาวน์สุขุมวิท 77 (Town Sukhumvit 77) หรือที 77 (T77) ซึ่งเป็นโครงการเมกะโปรเจ็ค (Mega Project) ของแสนสิริที่ประกอบด้วยที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบและไลฟ์สไตล์ฮับที่สมบูรณ์แบบบนพื้นที่กว่า 50 ไร่ในใจกลางสุขุมวิท 77 ก่อนจะเริ่มมีการซื้อขายอย่างเป็นทางการภายในเดือนกันยายนของปีนี้   โดยระบบพลังงานเซลแสงอาทิตย์บนหลังคามีกำลังการผลิตติดตั้ง 635 กิโลวัตต์ แบ่งสัดส่วนการใช้เป็น 54 กิโลวัตต์สำหรับฮาบิโตะมอลล์ (Habito Mall) ซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์ภายในโครงการ 413 กิโลวัตต์สำหรับโรงเรียนนานาชาติบางกอกเพรพ (Bangkok Prep International School) และ 168 กิโลวัตต์ สำหรับพาร์ค คอร์ท คอนโดมิเนียม (Park Court Condominium) รวมถึงโรงพยาบาลฟันที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกในการแลกเปลี่ยนพลังงานภายในโครงการ นอกจากนั้น ยังติดตั้งระบบนี้ในโรงงานผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปของแสนสิริด้วยกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 150 กิโลวัตต์ โดยภายในปี 2564 แสนสิริมีแผนที่ติดตั้งระบบแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ผ่านอินเทอร์เน็ตในโครงการใหม่ ๆ กว่า 31 โครงการ และมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ารวม 2 เมกะวัตต์ นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำ ในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค บีซีพีจีมุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนทางพลังงานร่วมกับพันธมิตรต่าง ๆ โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ชาญฉลาด มาใช้ในการบริหารจัดการไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เริ่มต้นจากโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าทางอินเตอร์เน็ตที่โครงการที 77 (T77) ร่วมกับแสนสิริ และพาวเวอร์ เล็ดเจอร์ ผู้บุกเบิกแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนพลังงานทดแทนระดับโลกจากออสเตรเลีย ซึ่งเราคาดว่าจะพร้อมซื้อขายจริงในเดือนกันยายนหลังจากช่วงนำร่อง   ถือเป็นก้าวแรกของเราในโครงการที่พักอาศัยของประเทศไทย และเป็นการเปิดใช้แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้ลูกบ้านแสนสิริกลายเป็นทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตไฟฟ้า หรือ Prosumers สามารถซื้อขายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่เหลือใช้ผ่านอินเทอร์เน็ตให้แก่ผู้ร่วมโครงการ โดยจะช่วยประหยัดค่าไฟได้ประมาณ 15% ของค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน” ข้อดีของการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้คือช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดแบบเรียลไทม์ผ่านเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) ผ่านแพลตฟอร์มที่มีความปลอดภัย รวดเร็ว โปร่งใส และปราศจากข้อผิดพลาดในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องมีคนกลาง ด้วยราคาที่ถูกลงและช่วยลดมลภาวะด้วยการใช้พลังงานสะอาด ตามแนวคิด Low Cost, Low Carbon   ในโครงการนำร่องที่ T77 นี้ มีผู้ร่วมโครงการ 4 อาคาร โดยมีระบบกักเก็บพลังงานหรือแบตเตอรี่ภายในโครงการ และการเชื่อมโยงกับสายส่งของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ซึ่งแต่ละรายมีพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า (load profile) และศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่แตกต่างกันโดยในเบื้องต้น ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโซลาร์รูฟท็อปในแต่ละอาคาร จะนำไปใช้ภายในอาคาร เพื่อให้แต่ละอาคารสามารถใช้ไฟฟ้าในต้นทุนที่ต่ำกว่าไฟฟ้าที่เคยซื้ออยู่ ในกรณีที่มีไฟฟ้าส่วนเกินจากการผลิตใช้ภายในอาคาร แต่ละอาคารสามารถนำไฟฟ้านั้นแลกเปลี่ยนกันภายในแพลตฟอร์ม โดยภายในหนึ่งเสี้ยววินาทีนั้น สามารถเกิดสถานการณ์การใช้และการผลิตไฟฟ้าได้หลายรูปแบบ ทั้งอาคารก็จะผลิตได้เกินความต้องการ หรืออาคารที่ผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ   สำหรับในกรณีที่ไฟฟ้าที่ผลิตได้มีมากกว่าความต้องการที่ใช้เอง ระบบก็จะนำไฟส่วนเกินขายให้ผู้ใช้รายอื่นด้วยระบบ P2P หากยังมีเหลืออีก ก็จะขายให้ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) เพื่อเก็บไว้ขายในเวลาอื่นๆ และหากระบบกักเก็บเต็ม ไฟฟ้าก็จะถูกส่งขายเข้าระบบของกฟน. ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงกว่าที่สามารถผลิตได้ ระบบก็จะทำการซื้อจากระบบ P2P จากระบบกักเก็บพลังงาน และจากกฟน. ตามลำดับ   การดำเนินการทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นได้โดยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่นำมาใช้เพื่อประมวลผลถึงความเหมาะสมในการกำหนดผู้ซื้อและผู้ขายในความถี่ระดับเสี้ยววินาที โดยสามารถใช้แอพพลิเคชั่นของบีซีพีจี ได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าที่ T77 นี้ ถือเป็นหนึ่งในโครงการขนาดใหญ่ที่สุดของโลกทั้งยังเป็นโครงการอันดับแรก ๆ ของโลก อีกด้วย ในเบื้องต้นคาดว่าโครงการนำร่องนี้จะสามารถผลิตไฟฟ้าให้กับ Community นี้ได้ถึงร้อยละ 20 ของความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยรวม ซึ่งนอกจากจะเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้ด้วยตนเอง และสามารถแลกเปลี่ยนซื้อขายได้ด้วยระบบ P2P แล้ว การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับแต่ละอาคารหรือแต่ละบ้าน เพิ่มโอกาสในการจัดหาสินเชื่ออีกด้วย” นายบัณฑิต อธิบายเพิ่มเติม มร.เดวิด มาร์ติน กรรมการผู้จัดการและหนึ่งในผู้ก่อตั้งพาวเวอร์ เล็ดเจอร์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีการแลกเปลี่ยนและซื้อขายพลังงานไฟฟ้าในระบบบล็อกเชนเสริมว่า “วิสัยทัศน์ของเรา คือการนำเอาอำนาจในการบริหารจัดการด้านพลังงานมาสู่มือผู้บริโภคทั่วโลก (Democratization of Energy) โดยที่ยังคงไว้ซึ่งคุณค่าของเครือข่ายการกระจายพลังงานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เรามุ่งมั่นที่จะปฎิรูปอุตสาหกรรมพลังงานโดยนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถประหยัดค่าไฟฟ้า จำหน่ายพลังงานเหลือใช้ในราคาที่ดี และใช้พลังงานที่สะอาดมากขึ้น   การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในระบบการแลกเปลี่ยนและซื้อขายพลังงานจะช่วยสร้างแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนและซื้อขายแบบอัตโนมัติสำหรับทั้งอาคารที่พักอาศัยและอาคารเพื่อการพาณิชย์ในการขายพลังงานที่เหลือใช้ให้กับลูกค้าที่สามารถเลือกได้ในราคาที่พอใจ การร่วมมือกับแสนสิริและบีซีพีจีนับเป็นก้าวแรกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ส่งเสริมให้เกิดการรวมพลังกันระหว่างผู้บริโภคชุมชนและผู้ผลิตพลังงานเพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนทางด้านพลังงาน”     สำหรับการแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าระหว่างอาคารนั้น ทุกฝ่ายสามารถเป็นได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ผ่านการตกลงกันไว้ล่วงหน้าด้วย smart contract โดยผู้ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าจะซื้อไฟฟ้าจากผู้ที่ผลิตได้เหลือใช้ด้วยราคาที่ต่ำที่สุด ส่วนผู้ที่ผลิตได้เกินจากความต้องการก็จะขายให้กับผู้ซื้อที่ให้ราคาสูงที่สุด ทั้งนี้ในการทำธุรกรรมจะใช้ Sparkz Token ซึ่งเปรียบเสมือนกับคูปองในศูนย์อาหาร และเป็นเพียงสัญลักษณ์ในการแลกเปลี่ยนไฟซื้อขายในระบบเท่านั้น   ไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ cryptocurrency และไม่มีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนใดๆ นับเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบของแพลตฟอร์มของเราที่สามารถแยกระดับการเข้าถึงและการแลกเปลี่ยน เป็น 2 ขั้นตอน คือระหว่างผู้บริโภคกับบีซีพีจี และระหว่างบีซีพีจีกับพาวเวอร์ เล็ดเจอร์เพื่อปิดความเสี่ยงต่อผู้บริโภคในเรื่อง cryptocurrency ความสำเร็จที่ผ่านมาของเราในระบบ P2P Energy Trading มีตัวอย่างเช่นการร่วมมือกับกับเวสเทิร์นพาวเวอร์และมหาวิทยาลัยเคอร์ตินในออสเตรเลีย และการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นในชิคาโก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเรามั่นใจว่าแพลตฟอร์มนี้จะประสบความสำเร็จอย่างดีในประเทศไทยเช่นกัน” มร.เดวิด กล่าวเสริม   “เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของแสนสิริในการนำเทคโนโลยีระดับโลกในด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาดเพื่อการประหยัดพลังงานมานำร่องทดลองใช้ครั้งนี้ไม่ใช่การมุ่งหวังถึงรายได้จากการขายไฟฟ้า แต่เรามุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ในการพักอาศัยที่เหนือชั้นและสร้างชุมชนที่พักอาศัยที่มีความยั่งยืนในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้เรามุ่งหวังให้เป็นกรณีศึกษาถึงความสำเร็จในการใช้ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าในโครงการที่พักอาศัยหรือภายในชุมชนในระดับมหภาค ที่จะช่วยสนับสนุนการเดินหน้าประเทศไทยสู่ประชาธิปไตยทางพลังงานอย่างเช่นความสำเร็จที่เกิดขึ้นแล้วในหลาย ๆ ประเทศ รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการช่วยลดภาระของภาครัฐในการลงทุนสร้างโรงผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น แสนสิริยังคงมุ่งมั่นที่จะสรรหาพันธมิตรเพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมและนวัตกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อเดินหน้าสู่การพัฒนาแนวทางการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนต่อไป” นายอุทัย กล่าวปิดท้าย
เสนา ฮันคิว  เปิดชมคอนโดหรู “ปีติ เอกมัย”

เสนา ฮันคิว เปิดชมคอนโดหรู “ปีติ เอกมัย”

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ที่ 2 จากขวา) บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ (ที่ 2 จากซ้าย) บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จํากัด เปิดตัว ‘ปีติ เอกมัย’ คอนโดลักชูรี่แห่งแรก ภายใต้การร่วมทุนบริษัท เสนา ฮันคิว จำกัด บนทำเลศักยภาพสูงสุดย่านเอกมัย ด้วยหลักปรัชญาแนวคิดจากญี่ปุ่น “IKIGAI (อิคิไก)” เข้ามาใช้ผสมผสานทุกรายละเอียดของงาน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Good LIVING is the new luxury” เน้นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่พรั่งพร้อมด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานอันหลากหลายตามไลฟ์สไตล์ของคนไทย ราคา Pre sales เริ่ม 4.45 ล้านบาท* มูลค่าโครงการรวม 5,000 กว่าล้านบาท โดยเริ่มก่อสร้างในปี 2562 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2564 พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างแล้ววันนี้ ณ Sale Gallery โครงการ ปีติ เอกมัย หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 1775 กด 63