Tag : News

2376 ผลลัพธ์
มีสไตล์ พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศแผนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พร้อมขึ้นแท่น  ดีเวลลอปเปอร์อันดับหนึ่งในทำเลห้วยขวาง

มีสไตล์ พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศแผนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พร้อมขึ้นแท่น ดีเวลลอปเปอร์อันดับหนึ่งในทำเลห้วยขวาง

เนื่องจากราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (Central Business District) และสุขุมวิทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พื้นที่ทำเลอื่นๆในละแวกใกล้เคียงจึงเริ่มเป็นที่จับตาและจับต้องของดีเวลลอปเปอร์ผู้พัฒนาที่ดินต่างๆเพื่อการลงทุน     อีกหนึ่งพื้นที่ในกรุงเทพมหานครฯที่กำลังเติบโตคงหนีไม่พ้น “ห้วยขวาง” เพราะนอกจากจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนเพิ่มมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด ยังเป็นที่ตั้งของสถานฑูตจีน อาคารสำนักงานของบริษัทชั้นนำ และห้างสรรพสินค้าใหม่อีกมากมาย ถึงแม้ว่าหลายคนที่เดินทางมาในบริเวณนี้จะเป็นนักท่องเที่ยว แต่ก็มีอีกหลายกลุ่มคนที่ก่อตั้งธุรกิจขึ้นมาในย่านห้วยขวาง ส่งผลให้ปัจจุบัน ห้วยขวางกลายเป็นศูนย์รวมของคนจีนกลุ่มมิลเลนเนียล   มีสไตล์ พร็อพเพอร์ตี้ ดำเนินกิจการแบบธุรกิจครอบครัวมานานกว่า 22 ปี โดยเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาที่ดินในเขตห้วยขวางเป็นกลุ่มแรกๆ บริษัทฯเป็นผู้บุกเบิกและมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่รวม 9 โครงการ อาทิ โครงการรัชดา ซิตี้ คอนโดมิเนียม, อาคารฟอร์ ยู อพาร์ทเมนต์, ซี สไตล์, จี สไตล์ และ แอล สไตล์ คอนโดมิเนียม, จี สไตล์ 2 คอนโดมิเนียม และโรงแรม มีสไตล์ เพลส นอกจากนี้ยังมีโครงการอีก 2 โครงการที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง   "ครอบครัวของเราเป็นคนในพื้นที่ ธุรกิจของเราเริ่มต้นขึ้นที่นี่ ดังนั้นเราจึงมีภูมิหลังและความเข้าใจที่ดีในการคัดเลือกทำเลที่ตั้งโครงการที่เหมาะสม และได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า" คุณภัทรานิษฐ์ แสงรัฐกาญจนสิน, กรรมการผู้จัดการ บริษัท มีสไตล์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าว     "พื้นที่เขตห้วยขวางมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาทิ จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้สอดคล้องตาม เห็นได้จาก 2-3 โครงการในช่วงหลังที่เราได้พัฒนาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนไป"   เพื่อแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาเชิงรุก บริษัทฯจึงเปิดตัวโครงการล่าสุด โรงแรม มีสไตล์ การาจ กรุงเทพฯ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความหลงใหลและชื่นชอบในยานยนต์ของครอบครัว โรงแรมอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีห้วยขวางเพียง 800 เมตร จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพักในพื้นที่และสามารถเดินทางไปยังใจกลางกรุงเทพฯได้อย่างสะดวก โรงแรมขนาด 7 ชั้น จำนวน 75 ห้องนอนแห่งนี้ เผยให้เห็นถึงมิติใหม่ของการออกแบบ ด้วยการใช้ของที่เก็บสะสมมาอย่างดีและยาวนาน รวมถึงชิ้นส่วนจากรถยนต์ต่างๆหลากหลายชิ้น ผสมผสานกับดีไซน์ที่ลงตัว สร้างบรรยากาศอันประทับใจและน่าจดจำ ของตกแต่งภายในที่แปลกใหม่ถูกนำไปใช้ประดับประดาในแต่ละห้อง ช่วยสร้างอารมณ์ให้ผู้เข้าพักได้รับประสบการณ์การพักผ่อนอันแปลกใหม่   อาจารย์นักออกแบบ อาจารย์กิติศักดิ์ สุธรรมโชติ ทำงานร่วมกับมีสไตล์ พร็อพเพอร์ตี้ ในการสร้างสรรค์ธีมห้องพักที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสไตล์การาจ ฟังก์กี้ (Garage Funky) เช่น ซาฟารี, คาสโนว่า, ดีฟ โอเชียน, การาจ, เดอะ สไปรัล และ วูด อีกจุดเด่นสำคัญของโรงแรมคือบาร์บริเวณชั้น 2 และบนชั้นดาดฟ้า ที่ออกแบบให้เป็นจุดหมายปลายทางแห่งการพบปะสังสรรค์แห่งใหม่ในบริเวณห้วยขวาง   "ทั้งครอบครัวของเรา โดยเฉพาะคุณพ่อมีความชอบในเรื่องรถและได้รวบรวมชิ้นส่วนรถยนต์และจักรยานยนต์ต่างๆไว้เป็นคอลเลคชั่นใหญ่ เราจึงนำของที่ระลึกเหล่านี้ไปตกแต่งทั่วบริเวณโรงแรม ทำให้โรงแรมแห่งนี้เป็นที่พิเศษ ไม่เหมือนโรงแรมไหนๆในกรุงเทพฯ" คุณภัทรานิษฐ์ กล่าวเสริม   นอกจากนี้ มีสไตล์ พร็อพเพอร์ตี้ ยังมีแผนในการเปิดตัวโครงการแบบมิกซ์ยูส (mixed-used) 2 อาคาร ความสูง 8 และ 22 ชั้นเพื่อเป็นโรงแรมและอพาร์ทเมนต์ ,ร้านค้า และพื้นที่ใช้สอยแบบ co-sharing space ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงสิ้นปี พ.ศ. 2562 นอกจากนี้ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งคาดว่าจะเปิดขายในปีหน้าและพร้อมเข้าอยู่ในปี พ.ศ. 2563 โดยทั้งสองโครงการอยู่ในพื้นที่เขตห้วยขวาง     “ห้วยขวางคือทำเลที่มีเสน่ห์และมีศักยภาพ ความเจริญและมีสิ่งใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่เสมอ เราเห็นถึงความต้องการด้านที่พักอาศัยเกิดขึ้นในพื้นที่นี้ นี่คือละแวกบ้านของเราและเรารู้สึกว่ามันเป็นที่ตั้งที่ดีที่สุดสำหรับพัฒนาโครงการและพื้นที่ที่เรามีอยู่เพื่อตอบสนองต่อความต้องการนั้น” คุณภัทรานิษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย
โฟรวิงส์กรุ๊ป ปั้นแบรนด์ลักชัวรี่บ้านหรู “THE PARK AVENUE PRIVATE”  ชูจุดต่าง โมเดิร์นลิฟวิ่ง ทรอปิคอล สไตล์ ริมถนนกรุงเทพกรีฑา ทำเลทองแห่งใหม่ของการพักอาศัย

โฟรวิงส์กรุ๊ป ปั้นแบรนด์ลักชัวรี่บ้านหรู “THE PARK AVENUE PRIVATE” ชูจุดต่าง โมเดิร์นลิฟวิ่ง ทรอปิคอล สไตล์ ริมถนนกรุงเทพกรีฑา ทำเลทองแห่งใหม่ของการพักอาศัย

  บริษัท บอสตัน เอเวนิว (1987) จำกัด ในเครือ “โฟรวิงส์กรุ๊ป” ผู้คร่ำหวอดในธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 60 ปี ผู้พัฒนาโรงแรมแกรนด์โฟรวิงส์ คอนเวนชั่น ศรีนครินทร์ โรงแรม โฟรวิงส์ สุขุมวิท 26 และโครงการคอนโด เดอะ โฟรวิงส์ เรสซิเดนซ์ ศรีนครินทร์ เดินหน้าเปิดตัวโครงการบ้านหรู THE PARK AVENUE PRIVATE ราคาเริ่มต้น 27 ล้านบาท ด้วยมูลค่าโครงการรวมกว่า 1,500 ล้านบาท เจาะกลุ่มเศรษฐีและนักธุรกิจ รับดีมานด์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้ารายได้ธุรกิจในเครือโฟรวิงส์กรุ๊ปปีนี้ 2,500 ล้านบาท     นายบุญฤทธิ์ จิระพจชพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บอสตัน เอเวนิว (1987) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันการพัฒนาโครงการแนวราบประเภทบ้านหรู รูปแบบลักชัวรี่ ยังเป็นที่นิยมของบรรดาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากการพัฒนาโครงการรูปแบบดังกล่าวนั้น ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนัก ขณะเดียวกันผู้ซื้อก็คำนึงถึงความคุ้มค่าเป็นหลัก โดยให้ความสำคัญกับมูลค่าสินทรัพย์ที่สามารถเติบโตและสืบทอดต่อให้ลูกหลานได้ ดังนั้นผู้ประกอบการจึงมุ่งพัฒนาและความแตกต่างให้กับ โครงการมากขึ้น จึงทำให้บริษัทเริ่มต้นพัฒนาโครงการ “THE PARK AVENUE PRIVATE” (เดอะ พาร์ค เอเวนิว ไพรเวท) โครงการบ้านหรู ติดคอมมูนิตี้มอลล์และสนามกอล์ฟ ริมถนนกรุงเทพกรีฑา บนพื้นที่โครงการกว่า 13 ไร่ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายคือ กลุ่มบริหารระดับสูง เจ้าของธุรกิจและผู้สืบทอดกิจการ รวมถึงกลุ่มผู้ปกครองโรงเรียนนานาชาติ ในทำเลใกล้เคียง   โครงการ THE PARK AVENUE PRIVATE ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด The Modern Luxury Tropical Style ด้วยรูปแบบ Modernized Living ที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการคัดสรรวัสดุที่เหมาะสมเพื่อการใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้น ตอบรับการใช้ชีวิตแบบ Easy Life ของครอบครัวสมัยใหม่ นอกจากนี้ยังเน้น Luxurious Signature ความหรูหราที่เกิดจากความใส่ใจในรายละเอียด รวมถึงคุณภาพการคัดสรรวัสดุที่มาใช้เป็นองค์ประกอบบ้าน   ความสวยงามและความหรูหรา ทรงคุณค่า เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของผู้ครอบครองให้เกิดความภาคภูมิใจเมื่อได้สัมผัส ไปจนถึง Tropical Delight ที่นำวิถีธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโดยไม่ต้องค้นหาด้วยการจัดวางพื้นที่สีเขียว หรือแลนด์สเคป ให้ธรรมชาติโอบล้อมตัวบ้าน คำนึงถึงทิศทางของสายลม แสงแดด ท่ามกลางธรรมชาติ  “THE PARK AVENUE PRIVATE” เป็นโครงการเดียวในย่านนี้ที่เชื่อมการคมนาคม เข้าออกได้ 2 เส้นทาง ทั้งถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า และถนนกรุงเทพกรีฑา ด้วยมูลค่าการลงทุน 1,200 ล้านบาท โดยบ้านมีราคาเริ่มต้น 27 ล้านบาท ได้รับการออกแบบโดย 760i Architect & Consultant Co., Ltd. ที่เน้นความสงบส่วนตัวด้วยบ้าน   เพียง 36 หลัง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของสมาชิกทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งจะไม่จำกัดการใช้ชีวิตเฉพาะที่ชั้นล่างของบ้าน เพราะโครงการมีระบบ Home Lift (จาก Mitsubishi) ไว้สำหรับบ้าน Type M และ Type L โดยมีพื้นที่โครงการรวม 10 ไร่ 3 งาน 74 ตารางวา ประกอบด้วยบ้าน 3 ขนาด คือ 1. แบบบ้าน SNOWBERRY (Type S มี 21 หลัง) ที่ดินเริ่มต้น 64.7-74.4 ตารางวา มี 3 ชั้น เนื้อที่ ใช้สอย 354 ตารางเมตร มี 4 ห้องนอน/ 6 ห้องน้ำ/ 3 ที่จอดรถ 2. แบบบ้าน MULBERRY (Type M มี 11 หลัง) ที่ดินเริ่มต้น 78.9-97.1 ตารางวา มี 3 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 439 ตารางเมตร มี 5 ห้องนอน/ 7 ห้องน้ำ / 1 ห้องแม่บ้าน / 3 ที่จอดรถ / มีลิฟท์ 3. แบบบ้าน LAUREL (Type L มี 4 หลัง) ที่ดินเริ่มต้น 102.6-141.2 ตารางวา มี 4 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 680 ตารางเมตร มี 4 ห้องนอน / 6 ห้องน้ำ / 4 ที่จอดรถ /1 ห้องแม่บ้าน / มีสระว่ายน้ำที่ชั้น 4 / มีลิฟท์     สำหรับความคืบหน้าโครงการอยู่ระหว่างการตกแต่ง คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ได้ทุกหลังพร้อมกันในปลายปี 2561 นี้ ปัจจุบันมีบ้านที่ขายได้แล้วรวม 15 หลัง จากทั้งหมด 36 หลัง โดยให้ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ เอเจนซี่ จำกัด เป็นผู้บริหารการขายโครงการ และในบริเวณดังกล่าว ยังมีที่ดินเหลืออีกประมาณ 7 ไร่ ที่เตรียมจะพัฒนาในเฟสถัดไป ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบโครงการ โดยตั้งเป้ารายได้ธุรกิจเครือ โฟรวิงส์กรุ๊ปปีนี้ที่ 2,500 ล้านบาท   นอกจากนี้ ทางบริษัทยังมีที่ดินแปลงใหญ่ที่มีศักยภาพอีกหลายแปลง อาทิ ที่ดินย่านกรุงเทพกรีฑา จำนวน 50 ไร่ อยู่ฝั่งตรงข้าม โดยมีถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า (ถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่) ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างตัดผ่าน รวมถึงมีที่ดินย่านพระราม 9 อีกกว่า 50 ไร่ ซึ่งที่ดินทั้ง 2 แปลง ทางบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อมาพัฒนาโครงการร่วมกันปัจจุบันพื้นที่กรุงเทพตะวันออก ถือเป็น NEW CBD ของบ้านเดี่ยว โดยมีถนนสำคัญ 2 สายเชื่อมสู่ ใจกลางเมือง คือศรีนครินทร์-ร่มเกล้า และการขยายถนนกรุงเทพกรีฑา     โดยโครงการ THE PARK AVENUE PRIVATE รายล้อมด้วยสถาบันการศึกชั้นนำ ได้แก่ โรงเรียนนานาชาติไบรท์ตัน และโรงเรียนนานาชาติ เวลลิงตัน อยู่ใกล้สนามกอล์ฟ 2 สนาม คือ สนามกอล์ฟกรุงเทพกรีฑา สนามกอล์ฟยูนิโก้ และห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 20 นาที ใกล้กับทางด่วนศรีรัชและแอร์พอร์ตลิ้งค์ (หัวหมาก) โดยมีรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ศรีกรีฑา) ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินในย่านนี้ได้ปรับขึ้นมากกว่า 50-100% เนื่องจากมีการพัฒนาพื้นที่ในโซนนี้อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันราคาที่ดินอยู่ที่ประมาณ 100,000 - 120,000 บาท ต่อตารางวา นางสาวศรินยา จิระพจชพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท บอสตัน เอเวนิว (1987) จำกัด ผู้บริหาร THE PARK คอมมิวนิตี้มอลล์ และ W FITNESS (ดับเบิ้ลยู ฟิตเนส) กล่าวว่า ในส่วนของคอมมิวนิตี้มอลล์ บริษัทใช้เงินลงทุนกว่า 300 ล้านบาท เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตสะดวกสบาย รองรับการการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “มอลล์ใกล้บ้าน บ้านใกล้มอลล์” ประกอบด้วยพรีเมี่ยมแบรนด์ ต่างๆ อาทิ ร้านกาแฟ Starbuck , The Pizza Company , Ramen KouraKuen , TOPS DAILY รวมไปถึง Lifestyle Shop ต่างๆ “ภายหลังจากที่เปิดตัว THE PARK คอมมิวนิตี้มอลล์ เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา เราได้การตอบรับอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าและผู้ที่อาศัยในรัศมี 3-5 กิโลเมตร เนื่องจากทำเลที่ตั้งโครงการฯ อยู่ใกล้สถานศึกษา สนามกอล์ฟ ออฟฟิศ และหมู่บ้านเป็นจำนวนมาก ทำให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากกว่า 50,000 คนต่อเดือน โดยได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ ของโครงการทั้งสื่อออนไลน์และสื่อออฟไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้ รวมถึงจัดกิจกรรมและโปรโมชั่นพิเศษ เพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างสม่ำเสมอ” นอกจากนี้ ทางโครงการฯ ยังมี W FITNESS (ดับเบิ้ลยู ฟิตเนส) ที่เปิดให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเป็นสปอร์ต คอมเพล็กซ์ ขนาดใหญ่เนื้อที่กว่า 2,300 ตารางเมตร ตั้งอยู่ภายใน THE PARK คอมมิวนิตี้มอลล์ เพื่อรองรับสมาชิกในโครงการฯ และผู้อาศัยในย่านใกล้เคียง (ลูกบ้านได้สิทธิ์เป็น Member 3 ปีแรกฟรี) โดยมีอุปกรณ์ออกกำลังกายที่คัดสรรมาตรฐานระดับ Life Fitness สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือยาวกว่า 30 เมตร แบบ Infinity Edge Pool พร้อมสัมผัสทัศนียภาพสีเขียวจากสนามกอล์ฟกรุงเทพกรีฑากว่า 400 ไร่ ในมุมมองแบบ Panoramic View นอกจากนี้ ยังมีวาไรตี้ สปอร์ต อื่นๆ เช่น ผาปีนเขาจำลอง ยิมมวยไทย พีลาทิส/โยคะ จากุซซี่ และออนเซ็น ปัจจุบันมีผู้ที่สมัครเป็นสมาชิกของ W FITNESS แล้วกว่า 500 คน โดยจะเปิดรับสมาชิกเพียงแค่ 600 คนเท่านั้น และสำหรับลูกค้าที่เป็นสมาชิกจะได้รับสิทธิพิเศษมากมาย รวมถึงส่วนลดจากร้านค้าภายใน THE PARK คอมมิวนิตี้มอลล์ ตั้งแต่ 10% - 50 % อีกด้วย
แอสเสท เวิรด์ คอร์ป พัฒนา ‘บ้านโบราณเชียงใหม่’ สะท้อนคุณค่าท้องถิ่นล้านนาอย่างงดงาม

แอสเสท เวิรด์ คอร์ป พัฒนา ‘บ้านโบราณเชียงใหม่’ สะท้อนคุณค่าท้องถิ่นล้านนาอย่างงดงาม

  นายณภัทร เจริญกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มรีเทล บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (TCC GROUP) เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทฯ ได้นำบ้านโบราณอายุกว่า 150 ปี ย่านใจกลางเมือง จ.เชียงใหม่ ติดริมแม่น้ำปิงมาพัฒนาขึ้นเป็นศูนย์การค้าแห่งใหม่ภายใต้ชื่อ ‘บ้านโบราณเชียงใหม่ (Ancient House Chiangmai)’ ด้วยงบลงทุน 170 ล้านบาท โครงการดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นจากความตั้งใจของกลุ่มบริษัท TCC ที่ต้องการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมของดั้งเดิมไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้เรื่องราวในอดีต ซึ่งน่าเสียดายหากสิ่งเหล่านี้ต้องเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ดังเช่นที่บริษัทฯ ได้พัฒนาปรับปรุงโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ โดยนำโกดังและโรงเลื่อยเก่าของบริษัทอีสต์ เอเชียติกในสมัยรัชกาลที่ 5 มาพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงความรุ่งเรืองในอดีตได้อย่างน่าชื่นชม และเป็นจุดหมายปลาย ทางของนักท่องเที่ยวที่ต้องมาเยือนเมื่อมาประเทศไทย     “ด้วยนโยบายในด้านการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมที่งดงามในอดีต บริษัทฯ จึงได้พัฒนาพื้นที่บ้านโบราณให้เป็นโครงการบ้านโบราณเชียงใหม่ โดยการบูรณะตัวบ้านเพื่ออนุรักษ์บ้านไว้เป็นมรดกสำหรับลูกหลานเชียงใหม่ บอกเล่าเรื่องราวในอดีตอันรุ่งเรืองของการค้าเชียงใหม่ ซึ่งประกอบด้วยการซ่อมปรับปรุงตัวบ้านโบราณโดยวิธีแบบโบราณโดยยังคงรักษาจิตวิญญาณของบ้านรวมทั้งรักษาสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมไว้ พร้อมกับสร้างร้านค้าในรูปแบบเฮือนแป (รูปแบบร้านค้าแบบดั้งเดิมของเชียงใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากภาคกลางในยุคต้นรัชกาลที่ 5 อ้างอิงจากร้านค้าย่านวัดเกตุ) เพิ่มเติมอีกจำนวน 3 หลัง ประกอบด้วยร้านค้าและร้านอาหารจำนวนรวม 7 ร้านค้า เพื่อนำเสนอในรูปแบบศูนย์การค้าเชิงวัฒนธรรมขนาดเล็ก (CULTURAL ANTIQUE MALL) ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ โดยตัวบ้านโบราณในอดีตถูกปรับให้เป็นร้านอาหาร The Chocolate Factory ส่วนร้านค้าเฮือนแปประกอบด้วยร้านค้าของที่ระลึกเชียงใหม่ 6 ร้าน เพื่อสร้างเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมทั้งพัฒนาโครงการให้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเชียงใหม่ต่อไป” นายณภัทร เจริญกุล กล่าวเสริม   ด้านนางสาวสุรภี ขันอาษา ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มศูนย์การค้าภาคเหนือ บริษัท แอสเสท เวิรด์ แอดไวซ์เซอร์รี่ จำกัด กล่าวว่า “กลุ่มเป้าหมายของบ้านโบราณเชียงใหม่นั้นวางไว้เป็นชาวไทย 70% ทั้งคนในเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่ และชาวต่างชาติ 30% โดยรวมชาวต่างชาติที่อาศัยในเชียงใหม่ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่ ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากเราได้กลุ่มผู้เช่าพื้นที่เป็นแบรนด์ผู้ประกอบการคุณภาพและมีชื่อเสียงอย่างร้าน The Chocolate Factory ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแรงอยู่แล้ว และมีคอนเซปต์ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทั้งรูปแบบและรสชาติของอาหารและเครื่องดื่มด้วยวัตถุดิบในการทำอาหารจากโครงการหลวงของทางภาคเหนือ รวมถึงรายการอาหารพิเศษที่มีเฉพาะที่นี่ และยังมีฐานลูกค้าเดิมจากทั้ง 3 สาขาที่เปิดมาแล้ว ภายในโครงการยังรวบรวมร้านค้าของที่ระลึกอื่นๆ ไว้อีกมากมายเช่น ร้านดอยคำ, Elephant Parade, ROC (Royal Orchid Collection), Kinaree The gallery of Asia, Thai Craft หัตถกรรมไทย และ Fourvector ผนวกกับบ้านโบราณเชียงใหม่อายุกว่า 150 ปี ซึ่งมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามทรงคุณค่า และยังมีสถานที่จัดกิจกรรมริมแม่น้ำปิงบรรยากาศชิคและชิว ซึ่งถือเป็นจุดขายของโครงการที่สามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงคนท้องถิ่นได้อย่างดี   “เชียงใหม่เป็นจังหวัดใหญ่ที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และโลจิสติกส์ ถือเป็นศูนย์กลางในด้านการท่องเที่ยวของภาคเหนือ แน่นอนว่ามีประชากรย้ายเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นมาอยู่อาศัยหรือมาทำงาน ในมุมไลฟ์สไตล์ของคนเชียงใหม่ความรีบเร่งในการใช้ชีวิตถือว่ายังน้อยกว่าคนกรุงเทพฯ แต่มีมุมที่คล้ายกันในด้านการท่องเที่ยวแบบไลฟ์สไตล์ด้วยการสร้างประสบการณ์ให้กับตัวเองและเน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ กับความดั้งเดิมของสถาปัตยกรรมของสถานที่นั้น ทำให้ชาวเชียงใหม่นิยมหาสถานที่พักผ่อนและพบปะสังสรรค์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มากขึ้น ด้านการประชาสัมพันธ์โครงการนั้นได้รับการสนับสนุนและความร่วมมืออย่างดีจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสาขาเชียงใหม่ ตลอดจนโรงแรมต่างๆในจังหวัดเชียงใหม่ คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ประมาณ 20 ล้านบาทต่อปี ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายของผู้เช่าให้มากขึ้น โดยการจัดกิจกรรมร่วมกับร้านค้าต่างๆ รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง และนำเอาเอกลักษณ์ของบ้านโบราณเชียงใหม่มาผสมผสานกับจุดเด่นของร้านค้า รวมถึงการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายและวัฒนธรรมตามเทศกาลต่างๆ เช่น งานสินค้า OTOP งานสงกรานต์ งานยี่เป็ง เป็นต้น” นางสาวสุรภี ขันอาษา กล่าวเพิ่มเติม   โดยงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ท่านรองสรรเสริญ ศีติสาร รองผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ พร้อมด้วยนายบุญรัตน์ สดใส ทายาทรุ่นที่ 5 ของบ้านโบราณ พันธมิตรโรงแรมในเชียงใหม่ และเจ้าของกิจการต่างๆ ที่ให้เกียรติมาร่วมงานในครั้งนี้ เพื่อผนึกกำลังสร้างสรรค์ให้โครงการบ้านโบราณเชียงใหม่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเมื่อมาเยือนเชียงใหม่ ชมรายละเอียดบ้านโบราณเชียงใหม่เพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/Ancienthousechiangma
จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เปิดตัว “สถาบันจิณณ์ เวลเนส และ โรงพยาบาลธนบุรีบูรณา”

จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เปิดตัว “สถาบันจิณณ์ เวลเนส และ โรงพยาบาลธนบุรีบูรณา”

จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณแห่งแรกของไทยก้าวสู่การเป็นโครงการ Wellness Mixed-Use ระดับเอเชีย เปิดตัว “สถาบันจิณณ์ เวลเนส” (Jin Wellness Institute) สถาบันดูแลสุขภาพ และ “โรงพยาบาลธนบุรีบูรณา” โรงพยาบาลฟื้นฟูสุขภาพแบบบูรณาการ ที่ครบวงจรสำหรับคนวัยเกษียณและทุกคนในครอบครัว ภายในโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ชูจุดแกร่งความเชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพภายใต้แนวคิด “Total Wellness Solutions” นำเสนอบริการการดูแลสุขภาพและไลฟ์สไตล์ของคนวัยเกษียณและวัยเตรียมเกษียณด้วยการสร้างสมดุลให้แก่ “ร่างกาย จิตใจ และจิตปัญญา” (Body / Soul / Spirit) หวังเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมผู้สูงวัยที่เปี่ยมด้วยพลัง (Active Aging Society) ในอนาคตอันใกล้ของเมืองไทย ด้วยบริการระดับพรีเมี่ยมที่เข้าถึงได้ซึ่งถูกออกแบบให้เข้ากับความต้องการของแต่ละคน ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน พร้อมเปิดให้บริการแก่ลูกบ้านในโครงการฯและบุคคลภายนอกภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562     นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG กล่าวว่า “หลังจากที่เราได้เปิดตัวโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ซึ่งเป็นเมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณเมื่อปีที่ผ่านมาและได้เปิดขายส่วนที่พักอาศัย Active Living ซึ่งพร้อมจะเปิดให้เข้าอยู่ในเดือนธันวาคมนี้ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าที่หลากหลาย ซึ่งสนใจในการเตรียมตัวการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ทั้งกลุ่มลูกค้าที่เกษียณแล้ว กลุ่มเตรียมเกษียณ หรือแม้แต่กลุ่มคนหนุ่มสาวที่มาพร้อมกับครอบครัวที่มีสมาชิกอยู่ในวัยเกษียณ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวโครงการและระบบการดูแลสุขภาพซึ่งเป็นความแข็งแกร่งของโครงการ และเครือธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป มานานกว่า 40 ปี ว่าจะสามารถดูแลสมาชิกวัยเกษียณในครอบครัวของพวกเขาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและใช้ชีวิตอย่างมีพลังภายในโครงการ” “เพราะหัวใจสำคัญของโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ คือ ‘การมีสุขภาพและชีวิตที่ดี’ (Wellbeing) การเปิดตัว ‘สถาบันจิณณ์ เวลเนส’ สถาบันดูแลสุขภาพและไลฟ์สไตล์ของคนวัยเกษียณ และ ‘โรงพยาบาลธนบุรีบูรณา’ โรงพยาบาลฟื้นฟูสุขภาพแบบบูรณาการ ซึ่งตั้งอยู่ภายในโครงการฯในวันนี้ จึงเป็นเหมือนเป้าหมายสำคัญในการประกาศถึงความแข็งแกร่งและความพร้อมของโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ในทุกๆด้านสู่การเป็น ‘เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ’ ที่สมบูรณ์แบบแห่งแรกของเมืองไทย ที่พร้อมก้าวสู่การเป็นโครงการ Wellness Mixed-Use ระดับเอเชีย ภายใต้แนวคิด ‘Total Wellness Solutions’ ที่มุ่งนำเสนอระบบการดูแลสุขภาพแบบบูรณาการ (Integrative Healthcare) เป็นการพัฒนานวัตกรรมรูปแบบการบริการด้านสุขภาพแนวใหม่ที่ไม่เพียงเน้นเฉพาะการรักษาพยาบาลเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมถึงการใช้ชีวิตในทุกมิติผ่านบริการดูแลสุขภาพและไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่นด้วยการสร้างความผูกพันระหว่างผู้รับบริการกับบุคลากรผู้ให้บริการโดยตรง (Human Touch) โดยออกแบบมาเพื่อให้เข้าถึงความต้องการเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) เป็นการนำการแพทย์แผนปัจจุบันมาผสมผสานเข้ากับภูมิปัญญาและเทคโนโลยี เพื่อจัดการและสร้างความสมดุลของร่างกาย จิตใจ และจิตปัญญา (Body / Soul / Spirit) ซึ่งครอบคลุมทั้งการบริหารจัดการสุขภาพและกิจกรรมทางร่างกาย (Wellness Management) และ การบริหารจัดการความเจ็บป่วย (Disease Management) ให้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน ห้อมล้อมด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นมิตร ส่งเสริมให้คนในโครงการและผู้ที่มาใช้บริการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นับเป็นการกระตุ้นสมอง ช่วยชะลอความเสื่อม รวมทั้งทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น ไม่เหงาอีกด้วย เพราะเราเชื่อว่าการสร้างสมดุลให้แก่ ร่างกาย จิตใจ และจิตปัญญานั้น เป็นสิ่งสำคัญในการมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี สอดคล้องกับพันธกิจของโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ที่มุ่งสร้างคนวัยเกษียณในวันนี้ให้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะสร้างสังคมผู้สูงวัยที่เปี่ยมด้วยพลัง หรือ Active Aging Society ของเมืองไทยในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ”     “นอกจากนี้ ระบบการดูแลสุขภาพและไลฟ์สไตล์ของโครงการจะออกมาสมบูรณ์แบบได้นั้น ก็ต้องได้ทีมแพทย์และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญมาเป็นผู้วางระบบและสร้างสรรค์รายละเอียดการบริการ ซึ่งเราได้รับเกียรติจาก พญ. กอบกาญจน์ ชุณหสวัสดิกุล หรือ หมออ้อม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางเลือกมือต้นๆของเมืองไทย มารับหน้าที่รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการแพทย์ และ คุณวรัญญา สืบสุข รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มปฏิบัติการ ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ด้านบริหารการให้บริการในกลุ่มธุรกิจการดูแลสุขภาพมากว่า 20 ปี ซึ่งทั้งสองท่านจะเข้ามาดูแลด้านการวางระบบและบริหารงานด้าน Wellness อันเป็นหัวใจสำคัญของเมืองวัยเกษียณของเราให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น” นายแพทย์บุญ กล่าวเสริม   สถาบัน จิณณ์ เวลเนส (Jin Wellness Institute) ตั้งอยู่ในโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ บนถนนพหลโยธินขาออก ประกอบด้วยอาคาร 5 ชั้น จำนวน 2 หลัง มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 5,685 ตารางเมตร และ 8,058 ตารางเมตร แบ่งเป็น 5 ส่วน ได้แก่ 1) Integrative Wellness Clinic and Medical Spa คลินิกสุขภาพที่ให้บริการทั้งการตรวจสุขภาพก่อนเข้าพักอาศัย การถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสุขภาวะสำหรับการจัดแผนการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล การรักษาโรคต่างๆ การบำบัดแบบองค์รวม การให้คำแนะนำ และการบำบัดด้วยการนวด 2) Jin MediFit ศูนย์ออกกำลังกายภายใต้การดูแลแนะนำโดยแพทย์ นักกายภาพบำบัด และนักวิทยาศาสตร์การกีฬา และมีสิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ออกกำลังกายที่เหมาะสมกับข้อจำกัดของร่างกาย เช่น โยคะ การบริหารลมหายใจ คลาสซุมบ้า จี้กง ไทเก็ก รวมถึงคลาสธาราบำบัด 3) Life Enrichment ศูนย์สร้างสมดุลทางจิตใจและอารมณ์ ที่มีการจัดกิจกรรม เช่น สมาธิบำบัด 4) กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ศาสตร์และศิลป์ในการบำบัดผู้สูงวัย เช่น ศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด เรียนทำอาหาร เป็นต้น และ 5) โภชนบำบัด โดยมีนักกำหนดอาหารให้คำแนะนำผู้สูงอายุในการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ พร้อมทั้งจัดเมนูอาหารเพื่อปรับสมดุลร่างกายในรูปแบบเฉพาะบุคคล   ขณะที่ โรงพยาบาลธนบุรีบูรณา โรงพยาบาลเพื่อการฟื้นฟูสุขภาพและศูนย์ดูแลผู้สูงวัยที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ขนาด 54 เตียง ภายในประกอบด้วย ห้องพัก, คลินิกรักษาโรคทั่วไป รวมถึงบริการให้คำปรึกษาจากแพทย์ เภสัชกร นักกายภาพบำบัด นักกำหนดอาหารวิชาชีพ นักโภชนาการและนักจิตวิทยา ซึ่งจะแล้วเสร็จในช่วงกุมภาพันธ์ 2562 เช่นเดียวกัน ก็จะยิ่งเสริมทัพทำให้ภาพของจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ สมบูรณ์แบบทั้งในเชิงของที่พักอาศัย และระบบการดูแลสุขภาพ มีศักยภาพในระดับภูมิภาค     นอกจากนี้ โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ยังมีการออกแบบเทคโนโลยีเพื่อผู้สูงวัยสำหรับการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของผู้อาศัยถือเป็นอีกจุดเด่นของโครงการ โดยนำ สายรัดข้อมืออัจฉริยะ (Tracking System) ที่สามารถระบุตำแหน่งของผู้สวมใส่ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในการดูแลผู้สูงวัยที่มีอาการหลงลืมหรือหลงทาง ไปพร้อมๆกับการแจ้งเตือนเมื่อผู้สวมใส่หกล้ม ด้วยระบบตรวจจับการทรงตัว แจ้งเตือนไปยังศูนย์ควบคุมเพื่อให้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ซึ่งภายในห้องพักก็จะมีการติดตั้ง Emergency Call ซึ่งจะเชื่อมสัญญาณไปที่โรงพยาบาลที่มีเพื่อการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และ จิณณ์ แอพลิเคชั่น” (Jin Application) ที่จะเข้ามาช่วยให้การดำเนินชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัยสะดวกสบายยิ่งขึ้น เช่น แนะนำเมนูอาหารให้เหมาะสมกับสุขภาพเฉพาะบุคคล ทำนัดแพทย์ จองคลาสกิจกรรมไลฟ์สไตล์ของโครงการ และเรียกบริการรถโครงการ ซึ่งทั้ง 2 เทคโลยีนี้จะถูกเชื่อมต่อข้อมูลของผู้พักอาศัยทุกคน มีระบบวิเคราะห์ฐานข้อมูลผู้อาศัยด้านสุขภาพและไลฟ์สไตล์ ที่บันทึกไว้ตั้งแต่เริ่มเข้าอาศัยในโครงการและทำการวิเคราะห์เพื่อการวางแผนการดูแลแบบเฉพาะบุคคลโดยแพทย์ของโครงการ เช่น หากผู้สูงอายุมีโรคประจำตัวหรือแพ้อาหาร ก็จะมีการแนะนำเมนูที่เหมาะสมในแต่ละมื้อ โดยในแต่ละห้องพักในส่วน Active Living จะมีระบบเก็บข้อมูลติดตั้งอยู่ และจะสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงกันระหว่างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น สายรัดข้อมือ โทรศัพท์มือถือ เครื่องวัดความดัน เครื่องชั่งน้ำหนัก เป็นต้น     นางฐิตารี อยู่วิทยา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เปิดเผยว่า “เรามีความมั่นใจในเมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณว่าจะสามารถเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมผู้สูงวัยคุณภาพได้อีกในไม่ช้า โดย ส่วนที่พักอาศัย Active Living ที่เป็นอาคาร 7 ชั้นในคลัสเตอร์ 1 และ 2 จำนวน 5 อาคาร รวม 494 ยูนิต จะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนธันวาคมปีนี้ ขณะที่สถาบันจิณณ์ เวลเนส และ โรงพยาบาลธนบุรีบูรณาจะแล้วเสร็จช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ก็จะยิ่งเติมเต็มให้ภาพเมืองสุขภาพแห่งนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยที่ผ่านมา โครงการฯก็ได้เดินหน้าเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเจตนารมย์ของโครงการ ด้วยการก่อตั้งหลักสูตร Grand Age Management by Jin Academy รุ่นที่หนึ่ง ซึ่งเป็นชั้นเรียนปูพื้นฐานการพัฒนาตนสู่สังคมผู้สูงวัยที่ใช้ชีวิตอย่างมีพลัง ครอบคลุมทั้งด้านการแพทย์ โภชนาการ การลงทุน เทคโนโลยี ศิลปวัฒนธรรม ความบันเทิง และการเดินทาง พร้อมระดมวิทยากรทรงคุณวุฒิหลากหลายวงการ ได้แก่ นพ. เฉก ธนะสิริ, พญ. กอบกาญจน์ ชุณหสวัสดิกุล, โค้ช เบ็กกี้ รัสเซล (Coach Becky Russell) และผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ อีกมากมาย มาร่วมถ่ายทอดให้แก่ผู้ที่อายุ 55 ปีขึ้นไปในช่วงเดือนกันยายน - ธันวาคมนี้ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับดีเกินคาด เหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมในการสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของโครงการในการขับเคลื่อนสังคมผู้สูงวัยคุณภาพในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ”   สำหรับผู้สนใจสามารถร่วมสัมผัสประสบการณ์ของการใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างมีพลังภายในโครงการฯ ได้แล้ววันนี้ ที่ เซลส์ แกลอรี่ ภายใต้แนวคิด Life Exploring ณ โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ริมถนนพหลโยธินขาออก พร้อมพบกับโปรโมชั่นพิเศษ ดาวน์เพียง 5% รับเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง พร้อมถือกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 กันยายน 2561 สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ www.jinwellbeing.com Facebook: www.facebook.com/jinwellbeing โทร. 062-802-9999
“บ้านแอนด์บียอนด์” ตั้งเป้า 5 ปี กวาดรายได้ 50,000 ล้านบาท

“บ้านแอนด์บียอนด์” ตั้งเป้า 5 ปี กวาดรายได้ 50,000 ล้านบาท

บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในกลุ่มเซ็นทรัล ประกาศรีแบรนด์ “โฮมเวิร์ค” 3 สาขาสู่แบรนด์ใหม่ “บ้านแอนด์บียอนด์” โมเดลธุรกิจสินค้าตกแต่งบ้านแนวใหม่ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุค 4.0 หลังทดลองเปิด สาขาเชียงใหม่ ขอนแก่น และพัทยา ประสบผลสำเร็จยอดขายเพิ่ม 20 % พร้อมเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มเป็น 20 สาขา ในอีก 5 ปี รับตลาดโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้าง และของตกแต่งบ้านที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าปีนี้โต 3.6% มีมูลค่าราว 20,000 ล้านบาท ชูจุดแข็งเป็นศูนย์รวมสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้าน ที่ให้ทุกอย่างมากกว่าแค่เรื่องบ้าน “BEYOND EXPECTATION” ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ด้วยสินค้าคุณภาพดี หลากหลาย ราคาคุ้มค่า พร้อมโซลูชั่นที่ช่วยแก้ทุกปัญหาเรื่องบ้านและบริการที่มุ่งตอบโจทย์ลูกค้ายุคดิจิทัล กับบริการ vFIX ปรับปรุงซ่อมแซมบ้านผ่านแอพพลิเคชั่น หรือ Contact Center 1308 พร้อมบริการช็อปออนไลน์ผ่านเว็บ 24 ชม. ไร้รอยต่อด้วยการเชื่อมโยงช่องทางหน้าร้าน กับออนไลน์ตามแนวคิด OMNI Channel     นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในกลุ่มเซ็นทรัล เปิดเผยว่า จากความสำเร็จในการเปิด “บ้านแอนด์บียอนด์” ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจสินค้าตกแต่งบ้านรูปแบบใหม่ จำนวน 3 สาขา ที่เชียงใหม่ ขอนแก่น และพัทยา ซึ่งสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 20% ส่งผลให้บริษัทฯ มั่นใจทำรีแบรนด์ดิ้ง (Re-Branding) “โฮมเวิร์ค” เป็น “บ้านแอนด์บียอนด์” โดยตั้งเป้าปรับเปลี่ยนหน้าร้านอีก 3 แห่ง ที่สาขาราชพฤกษ์ สาขารัตนาธิเบศร์ และสาขาภูเก็ต ให้เป็น “บ้านแอนด์บียอนด์” เพื่อให้มีสาขา “บ้านแอนด์บียอนด์” รวมจำนวนทั้งสิ้น 6 สาขา ภายในสิ้นปีนี้ ครอบคลุมหัวเมืองใหญ่ครบทุกภาคทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ทั้งนี้ จะขยายสาขา “บ้านแอนด์บียอนด์” เพิ่มเป็น 20 สาขา โดยตั้งเป้ายอดขายรวมของกลุ่มเซ็มทรัลโฮม กรุ๊ป 50,000 ล้านบาท ในอีก 5 ปี “การรีแบรนด์ในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่มูลค่าตลาดโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เป็นโอกาสที่ดีหากบริษัทฯ สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ตลาดได้ โดยในปี 2561 พบว่า ตลาดมีแนวโน้มเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 3.6% หรือมูลค่าตลาดคาดการณ์ประมาณ 200,000 ล้านบาท ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของตลาดมาจากปัจจัยหนุนหลายประการ อาทิ การคาดการณ์ GDP ในปีนี้จะโต 4.8% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ที่ได้รับการกระตุ้นจากโครงการภาครัฐ โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐานเมกะโปรเจคต่าง ๆ การขยายตัวของสังคมเมือง ส่งผลให้แนวโน้มรายได้ต่อครัวเรือน และจำนวนที่อยู่อาศัยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นใน 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเจ้าของบ้านหรือคอนโดมีอายุน้อยลง และมีขนาดครอบครัวที่เล็กลง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร เมืองธุรกิจ เมืองท่องเที่ยว และเมืองอุตสาหกรรมโดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมทั้งปัจจัยด้านพฤติกรรมการซื้อของตกแต่งบ้านมีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้บริโภคมีความความต้องการที่หลากหลายเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น รวมถึงประเทศไทยกำลังย่างเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่มีกำลังซื้อและมีความต้องการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้า บริการ และข้อมูลที่รวดเร็ว ตอบสนองได้อย่างฉับไว ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีช่องทางของ Social Media ที่เป็นเครื่องมือหลักในการตัดสินใจซื้อสินค้า     อย่างไรก็ดีปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ส่งผลให้บริษัทฯ มองเห็นโอกาสรีแบรนด์ “โฮมเวิร์ค” เป็น “บ้านแอนด์บียอนด์” Home Improvement Store ที่เป็นโมเดลธุรกิจสินค้าตกแต่งบ้านเทรนด์ใหม่ โดยวางตำแหน่งของแบรนด์ให้เป็นศูนย์รวมสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้าน ที่ให้ทุกอย่างมากกว่าแค่เรื่องบ้าน “BEYOND EXPECTATION” ด้วย 4 หัวใจหลัก คือ สินค้าที่มีสไตล์พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน ราคาคุ้มค่าจับต้องได้ มีโซลูชั่นที่ช่วยแก้ทุกปัญหา ทั้งการซ่อมแซมหรือปรับปรุงบ้าน และบริการที่ครบทุกความต้องการ ตอบโจทย์ลูกค้าในยุค 4.0 ด้วยพื้นที่กว่า 10,000 ตร.ม./สาขา พร้อมด้วยสินค้าคุณภาพกว่า 20,000 รายการ โดยมีรูปแบบการจัดเรียงสินค้าที่ต่อเนื่องกัน ทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น” นายสุทธิสารกล่าว     นายสุทธิสารกล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งใน Pain point ของลูกค้า คือ เรื่องการซ่อมแซมบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ “บ้านแอนด์บียอนด์” จึงเปิดบริการ vFIX บริการปรับปรุงซ่อมแซมบ้าน ติดตั้ง เปลี่ยนหรือย้ายจุดอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน จากช่างผู้เชี่ยวชาญผ่านการทดสอบตามมาตรฐานกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน พร้อมรับประกันผลงานนานสูงสุด 180 วัน ในราคาที่จับต้องได้ ผ่าน Contact Center 1308 เพื่อบริการลูกค้าฉับไว โดยจะเริ่มให้บริการ vFIX ภายใน 31 สิงหาคม 2561 และ vFIX Application ในเดือนตุลาคมนี้ นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมให้บริการช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.baanandbeyond.com เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าและบริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไร้รอยต่อด้วยการเชื่อมโยงช่องทางหน้าร้าน กับออนไลน์ ตามแนวคิด OMNI Channel ภายในเดือนกันยายน 2561   นายสุทธิสารกล่าวทิ้งท้ายว่า เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ในแบรนด์และเป็นการฉลองเปิดตัว “บ้านแอนด์บียอนด์” อย่างเป็นทางการ บริษัทฯ กำหนดจัดงาน baan & BEYOND Expo 2018 งานมหกรรมสินค้าตกแต่ง ซ่อมแซมบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี พร้อมสินค้าราคาลดสูงสุด 80% จากกว่า 500 แบรนด์ชั้นนำ รวมทั้งกิจกรรมและรายการส่งเสริมการขายพิเศษมากมายภายในงาน ระหว่างวันที่ 28 กันยายน – 7 ตุลาคม 2561 ณ ไบเทค บางนา Hall 101-104
SENA โตสนั่นกำไรครึ่งปีแรกพุ่ง 146.6%  อัดโปรเจกต์พรีเมี่ยมดันยอดขายโตตามเป้า

SENA โตสนั่นกำไรครึ่งปีแรกพุ่ง 146.6% อัดโปรเจกต์พรีเมี่ยมดันยอดขายโตตามเป้า

  SENA กางผลงานครึ่งปีแรก 2561 กำไรสะพรั่ง 389.8 ล้านบาท โต 146.6 %ฟันยอดขาย 6 เดือน 4,296 ล้านบาท มั่นใจดีมานด์ตลาดอสังหาฯระดับกลางถึงไฮเอนด์ตอบรับดี เผยครึ่งปีหลังจ่อเปิดโครงการใหม่สินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมพรีเมี่ยมและบ้านเดี่ยว ปั้นยอดขายและยอดรับรู้รายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้แน่นอน   นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูง เปิดเผยถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมามีแนวโน้มการเติบโตดีขึ้นจากปัจจัยบวก อาทิ กำลังซื้อในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีอยู่มากโดยเฉพาะตลาดระดับกลางบนถึงไฮเอนด์ ซึ่งยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมจะเป็นตัวชี้วัดให้เห็นถึงกำลังซื้อที่ยังคงมีอยู่ของสินค้าระดับกลางบนได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 2/2561 บริษัทมีรายได้รวม 1,734 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 551.3 ล้านบาท คิดเป็น 46.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,182.7 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 225.2 ล้านบาท คิดเป็น 13% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 137.8 ล้านบาท หรือคิดเป็น 157.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 สำหรับรายได้จากการขายที่อยู่อาศัยในไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 1,596.9 ล้านบาท โตเพิ่ม 524.6 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 48.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 ที่มีรายได้ 1,072.3 ล้านบาท อันเนื่องมาจากการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น ทำให้ทั้งรายได้และกำไรของบริษัทในครึ่งปีแรกนี้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง     โดยผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2561 นั้น ทางเสนามีอัตราการเติบโตก้าวกระโดดได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ โดยสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ แนวสูง และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 2,822.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่ากับ 1,151.9 ล้านบาท คิดเป็น 69% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 ที่มีรายได้รวม 1,670.5 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิโตขึ้น 146.6% หรือ 389.8 ล้านบาท คิดเป็น 13.8% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 231.7 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 ซึ่งมีกำไรสุทธิ158.1 ล้านบาท ส่วนยอดขายในช่วง 6 เดือนแรก (ณ. วันที่ 30 มิถุนายน 2561) บริษัทฯ สร้างยอดขายรวมได้แล้วถึง 4,296 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากบริษัทฯ ยังคงรักษาระดับการขายในปัจจุบันได้เชื่อมั่นว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้   ทั้งนี้ ในส่วนของผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ รวมทั้งสิ้น 2,493.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,051.7 ล้านบาท คิดเป็น 72.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 1,441.7 ล้านบาท ซึ่งมาจากการรับรู้รายได้จากการโอนกรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมและโครงการบ้านที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย โครงการ นิช ไอดี บางแค เฟส 2 ,โครงการ นิช ไอดี พระราม 2 เฟส 2 ,โครงการ นิช ไอดี สุขุมวิท 113 ,โครงการ นิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี ,โครงการ นิช โมโน สุขุมวิท 50 ,โครงการ เดอะ คิทท์ ไลท์ บางกะดี และ โครงการ เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113 เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการโอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบมาอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ได้แก่ โครงการเสนา พาร์ค แกรนด์ รามอินทรา ,โครงการ เสนา พาร์ค วิลล์ วงแหวนฯ – รามอินทรา ,โครงการ เสนา วิลล์ บรมราชชนนี สาย 5 และโครงการ เสนา ทาวน์ รามอินทรา เป็นต้น ขณะเดียวกันบริษัทยังมีรายได้จากธุรกิจการให้เช่าและบริการในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 278.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.1 ล้านบาท หรือคิดเป็น 80.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปี 2560 ซึ่งมีรายได้จากค่าเช่าและบริการ 154.7 ล้านบาท ส่วนธุรกิจบริการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ช่วงครึ่งปีแรก อยู่ที่ 8.4 ล้านบาท ลดลง 31.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 79.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันจากปีก่อนที่มีรายได้ อยู่ที่ 40.3 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน(Backlog) ณ. สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 มูลค่า 7,133.89 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน 2 โครงการประกอบด้วย นิช ไพรด์ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์ และ นิช โมโน สุขุมวิท– แบริ่ง)   อย่างไรก็ตามจากผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2561 คณะกรรมการบริษัทฯจึงมีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.109757 บาท และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่12 กันยายน 2561 ทั้งนี้ สรุปแผนธุรกิจในปี 2561 ทางบริษัทเสนาฯ พร้อมเดินหน้ามุ่งมั่นสู่“Growth Hormone2018” โดยตั้งเป้ายอดขาย 10,300 ล้านบาท และเป้ารายได้ 6,200 ล้านบาท เติบโต 20 % จากปีก่อน ซึ่งจะมาจากการเปิดตัวโครงใหม่ทั้งสิ้น 17 โครงการ รวมเป็นมูลค่า 23,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกเปิด 5 โครงการ มูลค่ารวม 6,527 ล้านบาท และช่วงครึ่งปีหลังจะเปิดอีก 12 โครงการทั้งโครงการแนวราบและแนวสูงบททำเลศักยภาพ รวมมูลค่า 16,000 – 17,000 ล้านบาท
“เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศรุกตลาดอสังหาฯระดับไฮเอนด์  ล่าสุดเปิดตัว “แซฟวี่ อารีย์4” มูลค่า350ล้านบาท ชูจุดขายทำเลดี-ห้องขนาดใหญ่เหมือนอยู่บ้าน

“เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศรุกตลาดอสังหาฯระดับไฮเอนด์ ล่าสุดเปิดตัว “แซฟวี่ อารีย์4” มูลค่า350ล้านบาท ชูจุดขายทำเลดี-ห้องขนาดใหญ่เหมือนอยู่บ้าน

  เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ฯ มั่นใจภาพรวมตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลัง61แนวโน้มสดใส เชื่ออัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นไม่กระทบ เปิดแผนธุรกิจพร้อมรุกคอนโดฯโลว์ไรส์ เจาะกลุ่ม Luxury boutique residence ปีละ3-4 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ล่าสุดเดือนก.ย.นี้ เตรียมเปิดตัวโครงการ “แซฟวี่ อารีย์4” (Savvi ari4) ราคาขายเริ่มต้นที่ 160,000บาท/ตารางเมตร หรือราคาประมาณ 5.5 ล้านบาท/ยูนิต มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาท ชูจุดขายทำเลศักยภาพ ดีไซน์ห้องขนาดใหญ่ให้ความรู้สึกเสมือนอยู่บ้าน     นายสมภพ วาณิชเสนี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการคอนโดฯในทำเลย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯและพัทยา เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 ว่า มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ตามภาวะเศรษฐกิจ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะปรับขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก ส่วนกรณีซัพพลายมีจำนวนมากในบางทำเล ผู้ประกอบการหลายรายได้เพิ่มช่องทางการจำหน่าย ทำการตลาดกับลูกค้าชาวต่างชาติซึ่งเห็นผลได้เป็นอย่างดี ในส่วนของแผนดำเนินธุรกิจอสังหาฯของบริษัทฯจะเน้นพัฒนาในประเภทคอนโดมิเนียม low riseโดยเป็นสัดส่วนกลุ่มระดับ Luxury boutique residence โดยเป้าหมายจะเน้นพัฒนาประมาณปีละ 3-4 โครงการ รวมมูลค่าประมาณกว่า 2,500 ล้านบาท โดยในช่วงเดือนมีนาคม 2561 บริษัทได้มีการเปิดตัวโครงการ Attitude BU มูลค่า 1,100,000,000 ล้านบาท ปรากฏว่าสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 60% และในเดือนกันยายน 2561นี้ ยังมีแผนที่จะเปิดตัว 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 750 ล้านบาท คือ โครงการ“แซฟวี่ อารีย์4” (Savvi ari4) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 188 ตารางวา เป็นคอนโดมิเนียม สูง 8 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 35-125 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ประมาณ 160,000บาท/ตารางเมตร หรือราคาประมาณ 5.5 ล้านบาท/ยูนิต จำนวน 39 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 350 ล้านบาท   “โครงการ “แซฟวี่ อารีย์4” มีจุดขายที่สำคัญคือความมีสุนทรียภาพในการใช้ชีวิตในย่านอารีย์ ที่สุดของความประณีตและมีสไตล์ เนื่องจากย่าน”อารีย์”เต็มไปด้วยสถานที่ซึ่งตอบสนองวิถีชีวิตอันแตกต่างหลากหลายของสังคมเมือง และการออกแบบที่มีคอนเซ็ปต์ Luxury boutique residence ที่คงความสงบและเป็นส่วนตัว และมีการออกแบบห้องให้มีขนาดใหญ่เหมือนอยู่บ้าน ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว” นายสมภพ กล่าว     นอกจากนี้ยังมี โครงการ“แซฟวี่ พหล2” ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ในซอนพหลโยธิน2 เป็นคอนโดมิเนียม สูง 7 ชั้น ขนาดตั้งแต่ one bed – 3 bed Duplex ราคาขายเริ่มต้นที่ 140,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 64 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 400 ล้านบาท   นายสมภพ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่บริษัทฯเลือกพัฒนาโครงการในย่านอารีย์ เพราะมองว่าทำเลพหลโยธินตอนต้นเป็นทำเลศักยภาพใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการทั้งร้านค้า ร้านอาหาร อาคารสำนักงาน รวมถึงสามารถเชื่อมโยงพื้นที่เมืองชั้นในได้สะดวกจากรถไฟฟ้าสายสีเขียวหมอชิต-สำโรง ในขณะที่ภาพรวมซัพพลายในย่านดังกล่าวยังมีไม่มาก โดยอัตราดูดซับอยู่ในระดับดี เนื่องจากในทำเลมีความต้องการที่อยู่อาศัยค่อนข้างสูง โดยดีมานด์ส่วนใหญ่ที่ซื้อจะเป็นกลุ่ม Real demand ที่ซื้อไว้เพื่ออยู่อาศัยเอง และเป็นบ้านหลังที่2 อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมอยู่ที่ประมาณ 80% ของมูลค่าแต่ละโครงการ โดยจะมาจากโครงการ Attitude BU ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และโครงการใหม่ที่กำลังจะเปิดในช่วงปลายปีอีก 2 โครงการ คือ “แซฟวี่ อารีย์4” และ “แซฟวี่ พหล2”
เปิดตัว “BUTLER” แพลทฟอร์มครบวงจร ตอบโจทย์นิติบุคคล-ผู้อยู่อาศัย  มุ่งเป้า Urban Tech อันดับหนึ่งของเอเชีย

เปิดตัว “BUTLER” แพลทฟอร์มครบวงจร ตอบโจทย์นิติบุคคล-ผู้อยู่อาศัย มุ่งเป้า Urban Tech อันดับหนึ่งของเอเชีย

  เปิดตัว “BUTLER” แอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ด้าน Community Management หวังแก้ Pain Point นิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัยในการบริหารงาน พร้อมช่วยเชื่อมโยงผู้อยู่อาศัยเข้ากับทุกช่องทางความสะดวกของการใช้ชีวิต กางแผน 3 ระยะ เปิดตัวบริการเชื่อมนิติบุคคล-ผู้อยู่อาศัย-ชุมชน ครบวงจร มุ่งเป้าสู่ Urban Tech อันดับหนึ่งของเอเชีย นำร่องลุย “BUTLER PROPERTY MANAGEMENT PLATFORM” จับมือพันธมิตรช่วยนิติบุคคลโครงการดูแลลูกบ้าน   นายวรกร วีราพัชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิจิตอล บัตเลอร์ จำกัด หรือ BUTLER เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ขึ้นภายใต้ชื่อ “BUTLER” เพื่อเป็นแพลทฟอร์มด้านการจัดการชุมชนและสังคม (Community Management Platform) ช่วยแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกให้แก่ทั้งนิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัยและผู้อยู่อาศัย   “เราพบว่านิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ต่างมี Pain Point ในการบริหารจัดการดูแลผู้อยู่อาศัย เพราะมีจำนวนปริมาณงานที่มากและหลากหลาย มีรายละเอียดที่ต้องคอยติดตาม ขณะเดียวกัน ฝั่งผู้อยู่อาศัยในโครงการเองก็มี Pain Point จากการได้รับการบริการล่าช้า ขาดการบริการที่ครบวงจร ขาดโอกาสในการปฏิสัมพันธ์กับชุมชนและนิติบุคคลโครงการของตัวเอง BUTLER จึงได้พัฒนา Community Management Platform ที่จะช่วยแก้ปัญหาและอำนวยความสะดวกให้กับคนทั้ง 2 กลุ่ม สร้างประสบการณ์การบริหารงานและการใช้ชีวิตง่าย ในแอปเดียว” นายวรกร กล่าว     ทั้งนี้ การพัฒนาแพลทฟอร์มของ BUTLER จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Property Management) สำหรับนิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัย ภายใต้ชื่อ “BUTLER PROPERTY MANAGEMENT PLATFORM” เป็นซอฟต์แวร์เชื่อมโยงนิติบุคคลกับผู้อยู่อาศัยในโครงการ พนักงาน ตลอดจนบริการของพันธมิตร มีฟังก์ชันตั้งแต่การดูและจัดการตารางกิจกรรมภายในของนิติบุคคล การใช้พื้นที่ส่วนกลาง ภาพรวมแผนงบประมาณ แจ้งค่าน้ำค่าไฟ รับแจ้งซ่อม รับแจ้งปัญหา บริหารจัดการ แชทคุยกับผู้อยู่อาศัย บริหารจัดการพนักงาน ตลอดจนดูตารางงานของพันธมิตรที่เข้ามาทำงานในพื้นที่โครงการ เริ่มเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการ (Soft Launch) แล้ว ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา   ระยะที่ 2 บริการการจัดการชุมชนและสังคมสำหรับผู้อยู่อาศัย ผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน ผู้ใช้สามารถเชื่อมโยงกับนิติบุคคลและชุมชนโดยรอบได้ง่ายผ่านบริการหลากหลายฟังก์ชัน ทั้งบริการแม่บ้าน บริการซักอบรีด บริการดูแลรักษาบ้าน บริการดูแลรักษารถ บริการเช่ารถ ช้อปปิ้ง สั่งอาหารและเครื่องดื่มทั้งในชุมชนตัวเองและร้านอาหารชื่อดังในพื้นที่อื่น คาดว่าจะเปิดตัวบริการเหล่านี้ได้ทั้งหมดภายในเดือนตุลาคมนี้   ระยะที่ 3 การสร้างระบบนิเวศชุมชนและบริการจัดการชุมชนเต็มรูปแบบ บริษัทจะจับมือทั้งพันธมิตรสตาร์ทอัพ พันธมิตรร้านค้าในชุมชนต่างๆ รวมถึงพันธมิตรสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเชื่อมโยงกับสินค้าและบริการต่างๆ ในชุมชนได้ง่ายๆ และสะดวกสบาย ตลอดจนสามารถชำระค่าบริการต่างๆ ได้ภายในแอปเดียว นอกจากนี้ จะสร้าง Community Media ที่บุคคลภายในโครงการสามารถติดต่อสื่อสาร รวมถึงซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้   “เมื่อพัฒนาครบทั้ง 3 ระยะ BUTLER จะสามารถสร้าง 3 C ให้แก่ผู้ใช้งาน ได้แก่ 1.Connect เชื่อมโยงภาคธุรกิจกับชุมชนเข้าด้วยกัน 2.Convenience สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ทั้งฝั่งโครงการและฝั่งผู้อยู่อาศัย และ 3.Create สร้างโอกาส ชุมชน และสังคมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น เราไม่ได้ทำงานคนเดียว และไม่ได้พัฒนาแพลทฟอร์มนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นคู่แข่งใคร แต่เราจะจับมือพันธมิตรต่างๆ เช่น ด้านโลจิสติกส์ ด้านการบริการช่างซ่อมบำรุง ด้านค้าปลีก และทำงานร่วมกัน เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้งาน” นายวรกร กล่าว   นายวรกร กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน บริษัทได้เริ่มจับมือพันธมิตรแล้วหลายราย อาทิ Seekster, Fixzy, Helpdee, Betagro, JP Insurance และยังคงเปิดรับโอกาสในการร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ๆ ในหลากหลายธุรกิจและบริการอย่างต่อเนื่อง     ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายว่า ภายในสิ้นปี 2561 นี้ บริษัทจะมีนิติบุคคลโครงการต่างๆ เข้าใช้งานจำนวน 500 โครงการ และมียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไม่น้อยกว่า 1 แสนดาวน์โหลด และตั้งเป้าว่าภายใน 2 ปี จะมีการขยายสเกลการให้บริการไปสู่ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการร่วมมือกับผู้ประกอบการในประเทศเหล่านั้น เช่น Property Management, Property Developer, Service Provider ภายหลังจากปี 2563 บริษัทจะขยายบริการไปสู่ระดับเอเชีย พร้อมทั้งมุ่งมั่นพัฒนาบริการของ BUTLER ให้กลายเป็นเทคโนโลยีด้านการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตในเมือง (Urban Tech) อันดับ 1 ของเอเชีย   ผู้สนใจบริการของ BUTLER สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้แล้ววันนี้ทั้งใน App Store และ Play Store หรือคลิก http://bit.ly/butlerfacebook สำหรับนิติบุคคลที่สนใจบริการของ BUTLER สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.butlerjuristic.com
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้คอนโดโลว์ไรส์ทำเลใจกลางเมืองมาแรง จ่อ Sold Out แบรนด์มาเอสโตร 2 โครงการ ขายหมดเกือบ 100% รวมมูลค่า 1,200 ลบ.

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้คอนโดโลว์ไรส์ทำเลใจกลางเมืองมาแรง จ่อ Sold Out แบรนด์มาเอสโตร 2 โครงการ ขายหมดเกือบ 100% รวมมูลค่า 1,200 ลบ.

  เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ชี้จับตาคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ทำเลใจกลางเมืองกำลังบูม จ่อปิดการขายคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์แบรนด์ MAESTRO (มาเอสโตร) 2 โครงการ มาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39 ยอดขายพุ่งถึง 95% และมาเอสโตร 02 ร่วมฤดี ยอดขายถึง 93% รวมมูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ระบุลูกค้าชื่นชอบโครงการเพราะจุดแข็งของแบรนด์ที่แตกต่าง ดีไซน์โดดเด่น แบรนด์แรกของไทยที่นำแนวคิด Classic inspired with modern twist ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและความโมเดิร์นได้อย่างลงตัว ทำเลใจกลางเมือง และจุดเด่นคอนโดฯ Pet Friendly เลี้ยงสัตว์ได้ทุกยูนิต เผยทำเลสุขุมวิท 39 ราคาที่ดินพุ่งสูงถึง 40% ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จาก 183,000 บาท/ตร.ม. เป็น 255,000 บาท/ตร.ม. ขณะที่ร่วมฤดี ติดอันดับ 1 ใน 5 ราคาที่ดินสูงสุดในกรุงเทพฯ ระบุคอนโดฯ โลว์ไรส์ดีมานด์พุ่ง ลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยมากกว่าลงทุน คาดอนาคตดีมานด์เติบโตต่อเนื่อง   คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมปิดการขายคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น แบรนด์ MAESTRO (มาเอสโตร) ทำเลใจกลางเมือง จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ มาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39 มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท มียอดขายไปแล้ว 95% หรือเหลือเพียง 5 ยูนิต จากทั้งหมด 107 ยูนิต และมาเอสโตร 02 ร่วมฤดี มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท มียอดขายไปแล้ว 93% หรือเหลือเพียง 10 ยูนิต จากทั้งหมด 138 ยูนิต     “มาเอสโตรเป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ลูกค้าชื่นชอบโครงการเพราะ จุดแข็งของแบรนด์ที่แตกต่างจากคู่แข่ง ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น เป็นแบรนด์แรกของไทยที่นำแนวคิด Classic inspired with modern twist ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและความโมเดิร์นได้อย่างลงตัว ทำเลใจกลางเมือง และคอนโดฯ Pet Friendly ที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ทุกยูนิต โดยมาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39 มีลูกค้าชาวต่างชาติให้ความสนใจมาก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น เนื่องจากทำเลสุขุมวิท 39 เป็นแหล่งไลฟ์สไตล์ที่ ชาวญี่ปุ่นอาศัยกันอยู่มาก และเหมาะกับการลงทุน ให้ผลตอบแทนดี ซึ่งทำเลสุขุมวิท 39 ในช่วง 5 ปีที่ ผ่านมา มีการปรับตัวสูงขึ้นมากที่สุดจาก 183,000 บาท/ตร.ม. เป็น 255,000 บาท/ตร.ม. หรือปรับเพิ่มสูงถึง 40% ขณะที่ มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี ตั้งอยู่ร่วมฤดีซอย 2 ซึ่งเป็นทำเลอันดับ 1 ใน 5 ที่มีราคาสูงที่สุดเมื่อเทียบกับทำเลอื่นในกรุงเทพฯ นับเป็นพื้นที่ไข่แดงที่คนส่วนน้อยมีโอกาสจะได้ครอบครอง ทำให้โครงการขายดีมาก ส่วนใหญ่ลูกค้าซื้อเพื่ออยู่อาศัยมากกว่าลงทุน คิดเป็นสัดส่วน 70% และ 30% ตามลำดับ ทั้งนี้ทั้ง 2 โครงการคาดว่าจะปิดการขายภายในงานอีเวนต์ใหญ่ประจำปีที่บริษัทกำลังจะจัดขึ้นในปลายเดือนกันยายนนี้แน่นอน ซึ่งเป็นงานที่รวบรวมคอนโดฯ ที่ดีที่สุด มอบส่วนลดราคาพิเศษ และเป็นงานที่ไม่ควรพลาด “สำหรับดีมานด์ของคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์นั้น สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมือง ที่สามารถเดินทางสะดวก และมีความสงบ เป็นส่วนตัว เนื่องจากไม่ได้ติดถนนใหญ่ อยู่ในซอย หลีกหนีจากความวุ่นวายในเมือง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนเมือง รวมถึงปล่อยเช่าได้ง่าย เพราะจำนวนห้องน้อยกว่าคอนโดมิเนียมไฮไรส์ เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยและการลงทุนเพื่อปล่อยเช่า จึงคาดว่าอนาคตคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์จะมีแนวโน้มดีมานด์เติบโตอย่างต่อเนื่อง” คุณเพชรลดา กล่าว
เร็น สุขุมวิท 39 คอนโดระบบ “รูเนะสุ” ปรากฎการณ์จอยเวนเจอร์ชินวะ กรุ๊ป – พรีบิลท์

เร็น สุขุมวิท 39 คอนโดระบบ “รูเนะสุ” ปรากฎการณ์จอยเวนเจอร์ชินวะ กรุ๊ป – พรีบิลท์

ปรากฏการณ์จอยท์เวนเจอร์ระหว่างประเทศ ระหว่างยักษ์ใหญ่อสังหาฯไทย – ญี่ปุ่น เพื่อดำเนินโครงการ เร็น สุขุมวิท 39 ( REN Sukhumvit 39 ) คอนโดหรูใจกลางสุขุมวิท ด้วยนวัตกรรม“รูเนะสุ” ทั้งโครงการ มูลค่า 2,600 ล้านบาท ที่สร้างสรรค์เพื่อผู้อยู่อาศัยที่นิยมที่อยู่อาศัยแบบ Functional และนักลงทุนไทยและต่างชาติที่สนใจคอนโดคุณภาพบนพื้นที่ศักยภาพ โดยเมื่อเร็วๆนี้ ผู้บริหาร บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทจอยท์ เวนเจอร์ ได้เข้าพบผู้บริหารระดับสูงของชินวะ กรุ๊ป ที่สำนักงานใหญ่ชินวะ กรุ๊ป เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เพื่อหารือเรื่องการนำนวัตกรรม Runesu เข้ามาติดตั้งในโครงการ เร็น สุขุมวิท 39 และยังได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพในอนาคตของประเทศไทยอีกด้วย เร็น สุขุมวิท 39 ดำเนินงานโดย บริษัท ชินวะ เอส 39 จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท ซึ่งเป็นการร่วมทุน ระหว่าง บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) : บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด-ในเครือ ชินวะ กรุ๊ป : พรีแซงค์ คอร์ปอเรชั่น (Pressance Corporation) จากญี่ปุ่น ด้วยสัดส่วน 49:26:25
ออลล์ อินสไปร์ฯ เปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ “ไรส์ เวนเจอร์” ตัวจริงด้านการจัดการอสังหาฯ การันตีคุณภาพด้วยศักยภาพทีมงานการตลาด – การขาย ทั้งในและต่างประเทศ

ออลล์ อินสไปร์ฯ เปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ “ไรส์ เวนเจอร์” ตัวจริงด้านการจัดการอสังหาฯ การันตีคุณภาพด้วยศักยภาพทีมงานการตลาด – การขาย ทั้งในและต่างประเทศ

  ออลล์ อินสไปร์ฯ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ ดิ เอ็กเซล ไรส์ และอิมเพรสชั่น โชว์ศักยภาพธุรกิจอสังหาฯ มองเห็นโอกาส และช่องว่างทางการตลาด ประกาศเปิดตัวธุรกิจใหม่ “ไรส์ เวนเจอร์” ตัวจริงด้านการจัดการอสังหาริมทรัพย์ โดยการเข้าลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่นที่สร้างเสร็จแล้ว นำมาเพิ่มมูลค่าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าที่มีอยู่ ด้วยการบริหารจัดการของทีมงานการตลาดและการขายทั้งในและต่างประเทศ ที่มีคุณภาพ ทีมออกแบบตกแต่งภายใน และทีมดูแลลูกค้าหลังการขายที่แข็งแกร่ง เป็นการใช้ความชำนาญที่มีอยู่สร้างโมเดลธุรกิจที่มีความแตกต่าง ตั้งเป้ายอดรายได้ 500 - 1,000 ลบ. มั่นใจดีมานด์ยังมีอย่างต่อเนื่อง ทั้งลูกค้าไทยและต่างชาติ   นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีแผนในการรุกตลาดอสังหาฯ มากขึ้น โดยเพิ่มช่องทางธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อมาเป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลัก ที่เดิมจะใช้วิธีการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ขาย และรอรับรู้รายได้เมื่อโอน แต่พบว่ายังมีช่องว่าง ซึ่งมองเห็นเป็นโอกาสทางธุรกิจ เกิดเป็นบริษัท ไรส์ เอสเตท จำกัด ภายใต้ชื่อ “ไรส์ เวนเจอร์” เป็นบริษัทในเครือ บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจโมเดลใหม่เข้าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ระยะสั้น เพื่อสร้างโอกาสทำกำไรให้มากขึ้น เร็วขึ้น แต่มีความเสี่ยงน้อยลง โดยที่ผ่านมานั้น ออลล์ อินสไปร์ฯ มีทีมขายในประเทศ และมีบริษัท ไทย ดี เรียลเอสเตท จำกัด ซึ่งทำหน้าที่ในการขายโครงการของ ออลล์ อินไสปร์ ในต่างประเทศที่มีคุณภาพ และทีมการตลาดที่แข็งแกร่ง มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ เพราะจากการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศทำให้ทราบว่ายังมีช่องว่างทางการตลาดของลูกค้าที่ต้องการอสังหาฯ สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ในทำเลต่างๆ อยู่อีกมากมาย ดังนั้น บริษัทฯ จึงต้องการตอบสนองดีมานด์ดังกล่าว ได้อย่างทันท่วงที จึงลงทุนในทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างแล้วเสร็จจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นที่ต้องการระบายสต๊อก โดยเลือกสรรเป็นรายห้อง เลือกห้องที่มีศักยภาพทำเลดี และต่อรองราคา หลังจากนั้นนำมาเพิ่มมูลค่า เช่น ตกแต่งเพิ่มเติม เพิ่มเฟอร์นิเจอร์ และฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ให้ตรงกับความต้องการ และนำมาเสนอให้กับลูกค้าในราคาที่คุ้มค่า ภายในเวลาที่ลูกค้าต้องการเข้าพักอาศัย ซึ่งทางบริษัทฯ มีทีมงานที่มีประสบการณ์สูง คลุกคลีอยู่กับข้อมูลของวงการธุรกิจนี้มานาน จึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด และคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีอย่างแน่นอน   ซึ่งลูกค้าที่ซื้ออสังหาฯ จาก “ไรส์ เวนเจอร์” การันตีได้เลยว่า นอกจากจะได้ของที่มีคุณภาพในราคาที่คุ้มค่าแล้วนั้น ยังได้รับบริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพในการแนะนำทั้งเรื่องการขายต่อและการปล่อยเช่า นอกจากนี้ในเรื่องของผลประโยชน์ สิทธิพิเศษยังเทียบเท่ากับลูกค้าที่ซื้อโครงการของ ออลล์ อินสไปร์ฯ ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือลูกค้า “ไรส์ เวนเจอร์” จะได้รับสิทธิ์เป็นสมาชิก “อินสไปร์ ฮับ” สามารถร่วมกิจกรรม รับสิทธิพิเศษ ใช้บริการเลาจน์ที่สยามพารากอนได้ เป็นต้น เรียกว่าเป็นมืออาชีพในการนำเสนออสังหาริมทรัพย์ ให้แก่ลูกค้าที่ต้องการที่จะอยู่อาศัยบนทำเลต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ พัทยา ภูเก็ต เป็นต้น โดยลูกค้าจะมีทางเลือกที่หลากหลายและมั่นใจได้ว่าจะได้อสังหาริมทรัพย์ตามความต้องการอย่างแน่นอน ซึ่งในปัจจุบันมีโครงการต่างๆ ที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่เป็นจำนวนมาก   ขณะนี้ “ไรส์ เวนเจอร์” มีอสังหาริมทรัพย์ทั้งที่พร้อมขายและที่นำมาพัฒนาใหม่แล้วประมาณ 130 ล้านบาท อยู่ในทำเลที่ลูกค้าต้องการ อาทิ โครงการคอนโดพร้อมอยู่ตามเส้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 500 - 1,000 ล้านบาท   “ปัจจัยที่ทำให้ ออลล์ อินสไปร์ฯ ประสบความสำเร็จในธุรกิจจนถึงปัจจุบันคือการเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง โดยมีแนวคิดที่ต้องการตอบโจทย์ทั้งเรื่องแบรนด์ดิ้งและความเป็นแมสพรีเมียม ในการสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าในราคาที่สามารถจับต้องได้ ซึ่งการเปิดตัว “ไรส์ เวนเจอร์” ในวันนี้ จึงถือว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของการดำเนินธุรกิจของ ออลล์ อินไสปร์ฯ ที่ต้องการตอบโจทย์ลูกค้าให้ตรงใจมากที่สุด เพื่อที่จะครองใจลูกค้าที่ต้องการอสังหาริมทรัพย์ที่ดีมีคุณภาพ ในราคาสมเหตุผล” นายธนากร กล่าวตอนท้าย   สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.allinspire.co.th หรือโทร 02 029 9999
LPN เปิดซิตี้คอนโดย่านพัฒนาการ Expand Project แห่งที่ 4 ตอกย้ำ Affordable Segment  เกาะเทรนด์ Sport Lover เด่นด้วยฟิตเนสเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ เริ่ม 1.69 ลบ. พรีเซล 25 ส.ค.

LPN เปิดซิตี้คอนโดย่านพัฒนาการ Expand Project แห่งที่ 4 ตอกย้ำ Affordable Segment เกาะเทรนด์ Sport Lover เด่นด้วยฟิตเนสเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ เริ่ม 1.69 ลบ. พรีเซล 25 ส.ค.

LPN เดินตามแผน Year Of Chang ชู Fighting Brand แห่งที่ 4 ของปี ตอกย้ำ Affordable Segment เปิดซิตี้คอนโด แนว ไฮไรส์ “ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-ศรีนครินทร์” คาดยังมีดีมานด์จากเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยคึกคัก ใกล้แหล่งงานและสถานศึกษา กอรปกับเป็น Expand Project ของย่านพัฒนาการที่ LPN เคยเปิดมากว่า 3 โครงการ นำเทรนด์ Sport Lover ในยุคปัจจุบันดีไซน์พื้นที่ส่วนกลางเสมือนยกฟิตเนสเซ็นเตอร์แทรกไว้ทุกอณูในโครงการ ด้วยคอนเซปต์ “Sports park, smart place” ผสานการออกแบบ Façade สไตล์โมเดิร์นทันสมัย รวมถีง News LPN Design ฟังก์ชั่นลงตัว เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงานและนักศึกษา การันตีความสุขในบ้านหลังใหญ่ด้วย “Livable Community” เปิดขายวันเสาร์ที่ 25 สิงหาคมนี้ ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท   นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า “บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ย่านพัฒนาการซึ่งเป็นโครงการลำดับที่ 4 แห่งปีตามแนวทาง Affordable Segment ภายใต้ชื่อ “ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-ศรีนครินทร์” คอนโดแนวสูง 32 ชั้น มูลค่า 1,460 ล้านบาท ตั้งอยู่บนถนนพัฒนาการ ระหว่างซอยพัฒนาการ 33 และ 35 ด้วยศักยภาพของทำเลและแหล่งที่อยู่อาศัยหนาแน่น จึงมีดีมานด์สูงจากแหล่งงานที่ตั้งตรงข้ามโครงการ ได้แก่ อาคาร True และสำนักงานใหญ่แม็คโคร โดยวางเป้าหมายเป็นกลุ่มคนเริ่มทำงานรุ่นใหม่ และยังเจาะกลุ่มนักศึกษาในย่านนี้ ทั้งสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตและมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งบริษัทยังคงรักษากลุ่มเป้าหมายระดับกลางถึงกลาง-ล่าง ด้วยการเปิดราคาขายเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท เดินตามเจตนารมณ์บ้านที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายด้วยราคาที่เอื้อมถึง (Affordable Price) และอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญคือ มองว่าทำเลแห่งนี้มีอนาคต ใกล้ห้างสรรพสินค้า เช่น Tesco Lotus, Max Value, Makro, London Street และเดอะ นาย พระราม 9 ใกล้สถานพยาบาล คือ โรงพยาบาลวิภารามและโรงพยาบาลรามคำแหง ทั้งยังเดินทางเข้า-ออกเมืองอย่างสะดวกสบาย เพราะใกล้ทางด่วนและมอเตอร์เวย์ที่เชื่อมต่อกับถนนเส้นสำคัญหลายสาย ตั้งแต่ถนนเพชรบุรี ถนนรามคำแหง ถนนพระราม 9 และถนนประชาอุทิศ นอกจากนี้ ถนนพัฒนาการยังมีซอยที่ลัดเลาะเพื่อเลี่ยงรถติดที่ถนนศรีนครินทร์และถนนอ่อนนุชได้ด้วย โดยที่ผ่านมา LPN เคยประสบผลสำเร็จในทำเลย่านนี้มาแล้วจากโครงการคุณภาพและบริการหลังการขายภายใต้แนวคิด “ชุมชนน่าอยู่” (Livable Community) ได้แก่ ลุมพินี วิลล์ อ่อนนุช-พัฒนาการ ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-เพชรบุรีตัดใหม่ และลุมพินี วิลล์ ศรีนครินทร์-หัวหมาก สเตชั่น เรียกได้ว่าเป็นโครงการส่วนต่อขยาย (Expand Project) ที่น่าจับตามอง   “ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-ศรีนครินทร์” เป็นโครงการแนวสปอร์ตแห่งแรกของบริษัทที่ได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์เทรนด์คนรักสุขภาพและการออกกำลังกายในยุคปัจจุบัน ตามคอนเซ็ปต์ “Sports Park, Smart Place” เสมือนมีฟิตเนสเซ็นเตอร์ที่ตรงใจคนรุ่นใหม่ แทรกอยู่ในพื้นที่ส่วนกลางทุกส่วนอย่างครบครัน ประหยัดเวลาในการเดินทางและไม่ต้องใช้จ่ายกับค่าสมาชิกฟิตเนสอีกต่อไป โดยสามารถออกกำลังกายในบ้านของตนเองได้ทุกเวลาที่สะดวก ทั้งลู่วิ่ง (Jogging Track) สระว่ายน้ำ สนามสตรีท บาส ห้องโยคะ ห้องฟิตเนส สวนรวมใจ ลานฟิตแอนด์เฟิร์มและฟิตเนสโซน โดยหยิบไอเดียเส้นสายลู่วิ่งของโครงการมาออกแบบในพื้นที่ส่วนกลางให้มีสีสันเด่นสะดุดตา คุมโทนและสร้างบรรยากาศการออกกำลังกายให้ตื่นเต้น รวมถึงปรับปรุงห้องอเนกประสงค์ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยมากขึ้น สำหรับในห้องชุดพักอาศัยบริษัทนำความเชี่ยวชาญของ New LPN Design มาออกแบบให้ครบทุกฟังก์ชันการอยู่อาศัย นอกจากการให้ความสำคัญกับเทรนด์สุขภาพแล้ว LPN ยังให้ความสำคัญกับความรื่นรมย์ในโครงการ จึงกระจายพื้นที่สีเขียวไว้บนชั้น 7 และชั้น 29 เพื่อเป็นจุดพักผ่อนยามเหนื่อยล้าที่ดีเยี่ยม ทั้งยังปรับรูปลักษณ์ Façade ให้ทันสมัยด้วยการออกแบบโทนสีเทาเข้มและสีขาวให้ดูโมเดิร์น” นายโอภาสทิ้งท้าย   “ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-ศรีนครินทร์” แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่ ส่วนอาคารสำนักงานสูง 5 ชั้น ด้านหน้าโครงการ และส่วนอาคารชุดพักอาศัย สูง 32 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 795 ยูนิต บนพื้นที่ทั้งหมด 6 ไร่ เปิดขายอย่างเป็นทางการวันเสาร์ที่ 25 สิงหาคมนี้ ณ สำนักงานขายโครงการ ตั้งแต่เวลา 8.30 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร LPN Call Center 02-689-6888
เจ.เอส.พี. โชว์รายได้ไตรมาส 2 โต 16% กวาดยอดรายได้รวมครึ่งปีแรก กว่า 2,257 ลบ.  พร้อมลุยเปิดเพิ่มอีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 703 ลบ.

เจ.เอส.พี. โชว์รายได้ไตรมาส 2 โต 16% กวาดยอดรายได้รวมครึ่งปีแรก กว่า 2,257 ลบ. พร้อมลุยเปิดเพิ่มอีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 703 ลบ.

บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เผยผลงานไตรมาส 2/2561 ทำรายได้แตะ 1,212 ล้านบาท หรือโตเพิ่ม16% โดยกวาดยอดรายได้รวมครึ่งปีแรกแล้วกว่า 2,257 ล้านบาท พร้อมลุยเดินเครื่องธุรกิจครึ่งปีหลังเปิดใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวมราว 703 ล้านบาท มั่นใจยอดขายรวมสิ้นปีนี้ 6,800 ล้านบาท ตามนัด นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล ประธานคณะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP แจงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2561 ของบริษัทว่า รายได้ทั้งหมดเท่ากับ 1,212 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีรายได้จากการขายอสังหาฯอยู่ที่ 1,176ล้านบาท มียอดโอนกรรมสิทธิ์ 626 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 140 ล้านบาท “จากการเข้ามาบริหารงานพร้อมวางกลยุทธ์ใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้น ประกอบกับผลงานเริ่มต้นในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ทำให้มั่นใจว่าบริษัทฯ จะก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงแข็งแรง จากการกำหนดเป้าหมายธุรกิจระยะสั้น คือปีแรกจะปรับฐานให้มีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น ส่วนเป้าหมายในระยะ 3 ปี ก็จะสร้างอัตราการเติบโตให้บริษัทไม่ต่ำกว่า 25-30% ซึ่งสำหรับในปี 2561 ตั้งเป้ายอดขายรวมสิ้นปีนี้ 6,800 ล้านบาท โดยเน้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบเป็นหลักเพื่อชิงผู้นำตลาดบ้านแนวราบ ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท” ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 703 ล้านบาท ได้แก่ โครงการเจซิตี้ ติวานนท์-บางกะดี บ้านเดี่ยว-บ้านแฝด จำนวนรวม 79 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 3.6 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการ 316 ล้านบาท, อาคารพาณิชย์ 1 ทำเล คือ โครงการเจซิตี้ รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง มูลค่าโครงการ 70 ล้านบาท และโครงการ เจอเวนิวรัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท ส่วนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้แก่ โซนบางปะกง-บ้านโพธิ์ คือ โครงการเจ ทาวน์ เอ็กซ์คลูซีฟ ที่เป็นทาวน์เฮาส์ มูลค่าโครงการ 117 ล้านบาท รวมทั้งอาคารพาณิชย์ที่โครงการเจซิตี้ ศรีราชา-อัสสัมชัญ มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าใกล้จะแล้วเสร็จและสามารถเปิดตัวได้ในช่วงปลายปีนี้ สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ของปี 2561 นี้น่าจะกลับมาสดใสมากขึ้น เนื่องจากผ่านความผันผวนจากช่วงครึ่งปีแรกมาแล้ว อีกทั้งเศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวได้ดีขึ้นและคาดว่าทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจน่าจะเพิ่มขึ้นถึง 4% เนื่องจากความต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยหรือการซื้อเพื่อการลงทุนยังโตต่อเนื่อง นายลิขิตกล่าวสรุป
แสนสิริผนึกบีซีพีจี ล้ำหน้าเปิดโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนไฟฟ้าสะอาดแบบเรียลไทม์ ด้วย Blockchain ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ววันนี้ที่ T77

แสนสิริผนึกบีซีพีจี ล้ำหน้าเปิดโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนไฟฟ้าสะอาดแบบเรียลไทม์ ด้วย Blockchain ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ววันนี้ที่ T77

แสนสิริ จับมือ บีซีพีจี ประกาศความสำเร็จในการเริ่มใช้ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่แบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) ด้วยการทำธุรกรรมโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในโครงการที่พักอาศัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำร่องระบบแลกเปลี่ยนพลังงานจริงแล้ววันนี้ที่โครงการทาวน์สุขุมวิท 77 หรือ T77 ก่อนจะเริ่มมีการซื้อขายอย่างเป็นทางการภายในเดือนกันยายนปีนี้ ซึ่งนับเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างพันธมิตรในระดับกลยุทธ์ในการผสานความเชี่ยวชาญข้ามอุตสาหกรรมของภาคเอกชนในระดับมหภาคระหว่างผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และพลังงานทดแทนของไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการพลังงานเพื่ออนาคต (Energy management for the future) ด้วยการสร้างปรากฏการณ์เปลี่ยน Consumerเป็น “Prosumers” ยุคแห่งการผลิตโดยผู้บริโภคซึ่งคนไทยสามารถเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคพลังงานสะอาดจากพลังงานไฟฟ้าทดแทน   อีกทั้งยังสามารถขายพลังงานส่วนเกินที่ผลิตได้ให้กับสมาชิกในชุมชน พร้อมมุ่งเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการพัฒนาแนวทางการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Green Sustainable Living) รวมทั้งการความยั่งยืนในการใช้พลังงานทดแทนในประเทศไทยไปอีกขั้น คาดว่าจะสามารถลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดการส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าการปลูกป่าถึง 400 ไร่ ตามแนวคิด Low Cost-Low Carbon ด้วยกำลังการผลิตพลังงานสะอาดถึง 20% ของปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมดในโครงการ T77 ซึ่งคาดว่าไฟฟ้าสะอาดทุกหน่วยที่ผลิตได้จะช่วยประหยัดค่าไฟต่อหน่วยให้ลูกบ้านแสนสิริได้ถึง 15% พร้อมเผยแผนการระยะยาวในการนำไปใช้ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริกว่า 20 โครงการภายในปี 2018 ภายใต้แผนพัฒนาชุมชนพลังงานสีเขียวอัจฉริยะ (Smart Green Energy Community) นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริมุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับการสร้างชุมชนที่พักอาศัยอย่างยั่งยืนภายใต้แนวทางที่ชาญฉลาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และประหยัดพลังงาน (Green Sustainable Living) ด้วยการแสวงหาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นวาระสำคัญในการดำเนินธุรกิจของแสนสิริมาอย่างยาวนาน โดยหนึ่งในเป้าหมายของแสนสิริคือการนำพลังงานทดแทนมาใช้ในทุกโครงการ ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการพลังงานเพื่ออนาคต(Energy management for the future) ประกอบกับในปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคากำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย   เราจึงได้ริเริ่มนำระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ไปติดตั้งในหลาย ๆ โครงการที่กำลังก่อสร้างอยู่ การจับมือกับบีซีพีจีในฐานะพันธมิตรระดับกลยุทธ์ (Strategic partnership) ในครั้งนี้นับเป็นการผลักดันวาระ Green Sustainable Living ของแสนสิริให้ก้าวล้ำไปอีกระดับ ด้วยการวางระบบพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์แบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในที่พักอาศัย ที่เราคัดสรรระบบที่เหมาะสำหรับแต่ละคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวกว่า 20 โครงการ โดยนับเป็นครั้งแรกของอีกขั้นในการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานสำหรับโครงการที่พักอาศัยทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นการแลกเปลี่ยนพลังงานผ่านระบบบล็อคเชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งการปฏิวัติระบบการจัดจำหน่ายพลังงานในครั้งนี้จะช่วยสร้างประสบการณ์ในการพักอาศัยที่มีความยั่งยืนให้กับลูกบ้านของแสนสิริ โดยมีไฮไลท์สำคัญคือการที่ลูกบ้านจะได้เป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคในเวลาเดียวกันในฐานะ Prosumer เป็นครั้งแรก ทำให้เราสามารถสร้างระบบการแลกเปลี่ยนใหม่ในตลาดพลังงานที่ก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ โดยประโยชน์ที่จะเกิดอย่างชัดเจนแก่ลูกบ้านแสนสิริที่อาศัยในโครงการที่มีการวางระบบนี้คือสามารถประหยัดค่าไฟฟ้า โดยไฟฟ้าสะอาดทุกหน่วยที่ผลิตได้จะช่วยประหยัดค่าไฟต่อหน่วยได้ถึง 15% และยังสร้างความภูมิใจให้ลูกบ้านจากการมีส่วนร่วมในดูแลสิ่งแวดล้อมโดยการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จากกำลังการผลิตพลังงานสะอาดถึง 20% ของปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมดในโครงการ T77 ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 530 ตันต่อปีโดยประมาณ หรือเท่ากับการปลูกป่า จำนวน 400 ไร่   บีซีพีจีและแสนสิริได้ติดตั้งระบบแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนแล้ววันนี้ที่โครงการทาวน์สุขุมวิท 77 (Town Sukhumvit 77) หรือที 77 (T77) ซึ่งเป็นโครงการเมกะโปรเจ็ค (Mega Project) ของแสนสิริที่ประกอบด้วยที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบและไลฟ์สไตล์ฮับที่สมบูรณ์แบบบนพื้นที่กว่า 50 ไร่ในใจกลางสุขุมวิท 77 ก่อนจะเริ่มมีการซื้อขายอย่างเป็นทางการภายในเดือนกันยายนของปีนี้   โดยระบบพลังงานเซลแสงอาทิตย์บนหลังคามีกำลังการผลิตติดตั้ง 635 กิโลวัตต์ แบ่งสัดส่วนการใช้เป็น 54 กิโลวัตต์สำหรับฮาบิโตะมอลล์ (Habito Mall) ซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์ภายในโครงการ 413 กิโลวัตต์สำหรับโรงเรียนนานาชาติบางกอกเพรพ (Bangkok Prep International School) และ 168 กิโลวัตต์ สำหรับพาร์ค คอร์ท คอนโดมิเนียม (Park Court Condominium) รวมถึงโรงพยาบาลฟันที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกในการแลกเปลี่ยนพลังงานภายในโครงการ นอกจากนั้น ยังติดตั้งระบบนี้ในโรงงานผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปของแสนสิริด้วยกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 150 กิโลวัตต์ โดยภายในปี 2564 แสนสิริมีแผนที่ติดตั้งระบบแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ผ่านอินเทอร์เน็ตในโครงการใหม่ ๆ กว่า 31 โครงการ และมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ารวม 2 เมกะวัตต์ นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำ ในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค บีซีพีจีมุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนทางพลังงานร่วมกับพันธมิตรต่าง ๆ โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ชาญฉลาด มาใช้ในการบริหารจัดการไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เริ่มต้นจากโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าทางอินเตอร์เน็ตที่โครงการที 77 (T77) ร่วมกับแสนสิริ และพาวเวอร์ เล็ดเจอร์ ผู้บุกเบิกแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนพลังงานทดแทนระดับโลกจากออสเตรเลีย ซึ่งเราคาดว่าจะพร้อมซื้อขายจริงในเดือนกันยายนหลังจากช่วงนำร่อง   ถือเป็นก้าวแรกของเราในโครงการที่พักอาศัยของประเทศไทย และเป็นการเปิดใช้แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้ลูกบ้านแสนสิริกลายเป็นทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตไฟฟ้า หรือ Prosumers สามารถซื้อขายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่เหลือใช้ผ่านอินเทอร์เน็ตให้แก่ผู้ร่วมโครงการ โดยจะช่วยประหยัดค่าไฟได้ประมาณ 15% ของค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน” ข้อดีของการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้คือช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดแบบเรียลไทม์ผ่านเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) ผ่านแพลตฟอร์มที่มีความปลอดภัย รวดเร็ว โปร่งใส และปราศจากข้อผิดพลาดในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องมีคนกลาง ด้วยราคาที่ถูกลงและช่วยลดมลภาวะด้วยการใช้พลังงานสะอาด ตามแนวคิด Low Cost, Low Carbon   ในโครงการนำร่องที่ T77 นี้ มีผู้ร่วมโครงการ 4 อาคาร โดยมีระบบกักเก็บพลังงานหรือแบตเตอรี่ภายในโครงการ และการเชื่อมโยงกับสายส่งของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ซึ่งแต่ละรายมีพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า (load profile) และศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่แตกต่างกันโดยในเบื้องต้น ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโซลาร์รูฟท็อปในแต่ละอาคาร จะนำไปใช้ภายในอาคาร เพื่อให้แต่ละอาคารสามารถใช้ไฟฟ้าในต้นทุนที่ต่ำกว่าไฟฟ้าที่เคยซื้ออยู่ ในกรณีที่มีไฟฟ้าส่วนเกินจากการผลิตใช้ภายในอาคาร แต่ละอาคารสามารถนำไฟฟ้านั้นแลกเปลี่ยนกันภายในแพลตฟอร์ม โดยภายในหนึ่งเสี้ยววินาทีนั้น สามารถเกิดสถานการณ์การใช้และการผลิตไฟฟ้าได้หลายรูปแบบ ทั้งอาคารก็จะผลิตได้เกินความต้องการ หรืออาคารที่ผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ   สำหรับในกรณีที่ไฟฟ้าที่ผลิตได้มีมากกว่าความต้องการที่ใช้เอง ระบบก็จะนำไฟส่วนเกินขายให้ผู้ใช้รายอื่นด้วยระบบ P2P หากยังมีเหลืออีก ก็จะขายให้ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) เพื่อเก็บไว้ขายในเวลาอื่นๆ และหากระบบกักเก็บเต็ม ไฟฟ้าก็จะถูกส่งขายเข้าระบบของกฟน. ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงกว่าที่สามารถผลิตได้ ระบบก็จะทำการซื้อจากระบบ P2P จากระบบกักเก็บพลังงาน และจากกฟน. ตามลำดับ   การดำเนินการทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นได้โดยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่นำมาใช้เพื่อประมวลผลถึงความเหมาะสมในการกำหนดผู้ซื้อและผู้ขายในความถี่ระดับเสี้ยววินาที โดยสามารถใช้แอพพลิเคชั่นของบีซีพีจี ได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าที่ T77 นี้ ถือเป็นหนึ่งในโครงการขนาดใหญ่ที่สุดของโลกทั้งยังเป็นโครงการอันดับแรก ๆ ของโลก อีกด้วย ในเบื้องต้นคาดว่าโครงการนำร่องนี้จะสามารถผลิตไฟฟ้าให้กับ Community นี้ได้ถึงร้อยละ 20 ของความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยรวม ซึ่งนอกจากจะเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้ด้วยตนเอง และสามารถแลกเปลี่ยนซื้อขายได้ด้วยระบบ P2P แล้ว การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับแต่ละอาคารหรือแต่ละบ้าน เพิ่มโอกาสในการจัดหาสินเชื่ออีกด้วย” นายบัณฑิต อธิบายเพิ่มเติม มร.เดวิด มาร์ติน กรรมการผู้จัดการและหนึ่งในผู้ก่อตั้งพาวเวอร์ เล็ดเจอร์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีการแลกเปลี่ยนและซื้อขายพลังงานไฟฟ้าในระบบบล็อกเชนเสริมว่า “วิสัยทัศน์ของเรา คือการนำเอาอำนาจในการบริหารจัดการด้านพลังงานมาสู่มือผู้บริโภคทั่วโลก (Democratization of Energy) โดยที่ยังคงไว้ซึ่งคุณค่าของเครือข่ายการกระจายพลังงานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เรามุ่งมั่นที่จะปฎิรูปอุตสาหกรรมพลังงานโดยนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถประหยัดค่าไฟฟ้า จำหน่ายพลังงานเหลือใช้ในราคาที่ดี และใช้พลังงานที่สะอาดมากขึ้น   การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในระบบการแลกเปลี่ยนและซื้อขายพลังงานจะช่วยสร้างแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนและซื้อขายแบบอัตโนมัติสำหรับทั้งอาคารที่พักอาศัยและอาคารเพื่อการพาณิชย์ในการขายพลังงานที่เหลือใช้ให้กับลูกค้าที่สามารถเลือกได้ในราคาที่พอใจ การร่วมมือกับแสนสิริและบีซีพีจีนับเป็นก้าวแรกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ส่งเสริมให้เกิดการรวมพลังกันระหว่างผู้บริโภคชุมชนและผู้ผลิตพลังงานเพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนทางด้านพลังงาน”     สำหรับการแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าระหว่างอาคารนั้น ทุกฝ่ายสามารถเป็นได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ผ่านการตกลงกันไว้ล่วงหน้าด้วย smart contract โดยผู้ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าจะซื้อไฟฟ้าจากผู้ที่ผลิตได้เหลือใช้ด้วยราคาที่ต่ำที่สุด ส่วนผู้ที่ผลิตได้เกินจากความต้องการก็จะขายให้กับผู้ซื้อที่ให้ราคาสูงที่สุด ทั้งนี้ในการทำธุรกรรมจะใช้ Sparkz Token ซึ่งเปรียบเสมือนกับคูปองในศูนย์อาหาร และเป็นเพียงสัญลักษณ์ในการแลกเปลี่ยนไฟซื้อขายในระบบเท่านั้น   ไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ cryptocurrency และไม่มีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนใดๆ นับเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบของแพลตฟอร์มของเราที่สามารถแยกระดับการเข้าถึงและการแลกเปลี่ยน เป็น 2 ขั้นตอน คือระหว่างผู้บริโภคกับบีซีพีจี และระหว่างบีซีพีจีกับพาวเวอร์ เล็ดเจอร์เพื่อปิดความเสี่ยงต่อผู้บริโภคในเรื่อง cryptocurrency ความสำเร็จที่ผ่านมาของเราในระบบ P2P Energy Trading มีตัวอย่างเช่นการร่วมมือกับกับเวสเทิร์นพาวเวอร์และมหาวิทยาลัยเคอร์ตินในออสเตรเลีย และการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นในชิคาโก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเรามั่นใจว่าแพลตฟอร์มนี้จะประสบความสำเร็จอย่างดีในประเทศไทยเช่นกัน” มร.เดวิด กล่าวเสริม   “เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของแสนสิริในการนำเทคโนโลยีระดับโลกในด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาดเพื่อการประหยัดพลังงานมานำร่องทดลองใช้ครั้งนี้ไม่ใช่การมุ่งหวังถึงรายได้จากการขายไฟฟ้า แต่เรามุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ในการพักอาศัยที่เหนือชั้นและสร้างชุมชนที่พักอาศัยที่มีความยั่งยืนในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้เรามุ่งหวังให้เป็นกรณีศึกษาถึงความสำเร็จในการใช้ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าในโครงการที่พักอาศัยหรือภายในชุมชนในระดับมหภาค ที่จะช่วยสนับสนุนการเดินหน้าประเทศไทยสู่ประชาธิปไตยทางพลังงานอย่างเช่นความสำเร็จที่เกิดขึ้นแล้วในหลาย ๆ ประเทศ รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการช่วยลดภาระของภาครัฐในการลงทุนสร้างโรงผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น แสนสิริยังคงมุ่งมั่นที่จะสรรหาพันธมิตรเพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมและนวัตกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อเดินหน้าสู่การพัฒนาแนวทางการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนต่อไป” นายอุทัย กล่าวปิดท้าย
เสนา ฮันคิว  เปิดชมคอนโดหรู “ปีติ เอกมัย”

เสนา ฮันคิว เปิดชมคอนโดหรู “ปีติ เอกมัย”

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ที่ 2 จากขวา) บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ (ที่ 2 จากซ้าย) บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จํากัด เปิดตัว ‘ปีติ เอกมัย’ คอนโดลักชูรี่แห่งแรก ภายใต้การร่วมทุนบริษัท เสนา ฮันคิว จำกัด บนทำเลศักยภาพสูงสุดย่านเอกมัย ด้วยหลักปรัชญาแนวคิดจากญี่ปุ่น “IKIGAI (อิคิไก)” เข้ามาใช้ผสมผสานทุกรายละเอียดของงาน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Good LIVING is the new luxury” เน้นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่พรั่งพร้อมด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานอันหลากหลายตามไลฟ์สไตล์ของคนไทย ราคา Pre sales เริ่ม 4.45 ล้านบาท* มูลค่าโครงการรวม 5,000 กว่าล้านบาท โดยเริ่มก่อสร้างในปี 2562 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2564 พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างแล้ววันนี้ ณ Sale Gallery โครงการ ปีติ เอกมัย หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 1775 กด 63
ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ปลื้มยอดผู้เช่าสูงถึง 95% พร้อมเดินหน้าบุกตลาดสำนักงานย่านสุขุมวิท-บางนา

ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ปลื้มยอดผู้เช่าสูงถึง 95% พร้อมเดินหน้าบุกตลาดสำนักงานย่านสุขุมวิท-บางนา

  กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี ผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ระดับคุณภาพอย่างครบวงจร ปลื้มหลังเผยอาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ได้รับผลตอบรับจากกลุ่มผู้เช่าอาคารสำนักงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติดีเกินคาด โดยปัจจุบันมีอัตราการเช่าอาคารสำนักงานสูงถึง 95%   หลังจากที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อไตรมาสที่ 1 ในปีพ.ศ. 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวลาไม่ถึง 2 ปี อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค อาคารสำนักงานเกรดเอให้เช่าแห่งแรกในย่านสุขุมวิท-บางนา เผยตัวเลขผู้เช่าอันน่าประทับใจ ด้วยอัตราการเช่าอาคารสำนักงานสูงถึง 95% โดยมีผู้ประกอบการรายใหญ่จากหลากหลายธุรกิจ อาทิเช่น บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ฮอนด้า แอคเซส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ฮอนด้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้เช่ารายใหญ่ใหม่ล่าสุด ย้ายที่ตั้งสำนักงานใหญ่ ส่วนการขายและบริการต่างๆ มาประจำที่อาคาร บริษัท บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาขน) บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ รีจัส(ประเทศไทย) ผู้ให้บริการสถานที่ทำงานระดับโลก และ ศูนย์บริการลูกค้าแห่งใหม่ ของธนาคารไทยพาณิชย์   นายปิติภัทร บุรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภิรัชแมนเนจเม้นท์ จำกัด ภายใต้กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี กล่าวว่า “ในฐานะผู้พัฒนาและบริหารโครงการภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่อาคารแห่งนี้ได้รับผลตอบรับจากผู้เช่าเป็นอย่างดี จนปัจจุบันมีอัตราการเช่าสูงถึง 95% ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี ถือเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจ ซึ่งเกิดจากองค์ประกอบหลายอย่าง อาทิ ทำเลศักยภาพของที่ตั้งของอาคาร กลยุทธ์ในการสรรหาผู้เช่าคุณภาพ การออกแบบที่ตอบสนองความต้องการของผู้เช่า และ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ กลุ่มบริษัทฯมีเป้าหมายในการสร้างสรรค์ย่านสุขุมวิท-บางนา เพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพด้านที่ดิน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนโดยรอบให้คนมีงานมีอาชีพ ตามหลักการ Place Making ในการพัฒนาคุณภาพที่ดิน ผลตอบรับดังกล่าวไม่เพียงเป็นตัวเลขที่การันตีความสำเร็จของอาคารเท่านั้นแต่ยังเป็นข้อพิสูจน์ถึงความต้องการอาคารสำนักงานในย่านนี้ และสะท้อนความสำเร็จของกลุ่มบริษัทฯในการสร้างสรรค์ย่านสุขุมวิท-บางนา จึงเป็นแรงจูงใจสำคัญให้กลุ่มบริษัทฯเดินหน้าพัฒนาโครงการซัมเมอร์ ลาซาล โครงการอาคารสำนักงานแนวราบแห่งใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ออฟฟิศแคมปัส ซึ่งประกอบด้วย อาคารสำนักงาน ห้างค้าปลีก และโรงแรมตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอาคารสำนักงานอย่างครบวงจรต่อไป”   อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เป็นอาคารสำนักงานเกรดเอสูง 29 ชั้น ตั้งอยู่ภายในอาณาบริเวณของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) เชื่อมต่อตรงกับสถานีรถไฟฟ้าบางนา มีขนาดพื้นที่สำนักงานให้เช่า 32,000 ตารางเมตร โดยมีพื้นที่สีเขียวส่วนกลาง (Roof Garden) และเส้นทางวิ่ง (Jogging Track) ขนาด 2,200 ตารางเมตร ที่ชั้น 29 นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นทัศนียภาพของกรุงเทพมหานครจากมุมสูง ทั้งแม่น้ำเจ้าพระยา และ บางกระเจ้า ซึ่งถือเป็นพื้นที่ปอดสีเขียวของกรุงเทพมหานคร โดยอาคารสำนักงานแห่งนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมิกซ์ยูส ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน
โฮมโปร ฉลองยิ่งใหญ่ครบ 22 ปี ครั้งเดียวในรอบปี  22 สิงหาคมนี้ รับ 2 ต่อ ลดเพิ่ม 2 เท่า สูงสุด 40% วันเดียวเท่านั้น!  ที่โฮมโปรทุกสาขาทั่วประเทศ

โฮมโปร ฉลองยิ่งใหญ่ครบ 22 ปี ครั้งเดียวในรอบปี 22 สิงหาคมนี้ รับ 2 ต่อ ลดเพิ่ม 2 เท่า สูงสุด 40% วันเดียวเท่านั้น! ที่โฮมโปรทุกสาขาทั่วประเทศ

โฮมโปรฉลองครบรอบ 22 ปี พุธที่ 22 สิงหาคมนี้ วันเดียวเท่านั้น! จัดแคมเปญ “Anniversary Day” ตอบแทนลูกค้าคนสำคัญ มอบสิทธิพิเศษ 2 ต่อ ส่วนลด 22% เมื่อใช้คะแนนในบัตรโฮมการ์ดเท่ายอดใช้จ่าย พร้อมรับคอมโบสุด Special!! ลด + รับเพิ่ม อีก 22% สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ, บัตรเครดิตโฮมโปร วีซ่า แพลทินัม และบัตรเครดิต KTC และสินค้าลด 5-10% พร้อมผ่อน 0% 4 เดือน เมื่อช้อปสินค้าที่หน้าร้านทุกสาขา หรือช้อปสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ www.homepro.co.th ครบ 1,000 บาทขึ้นไป รับส่วนลดทันที 22%   พร้อมแลกคะแนนโฮมการ์ด 22 คะแนน รับส่วนลดทันที 100 บาท เมื่อช้อปสินค้าตั้ง 6,000 บาทขึ้นไป และรับคะแนนโฮมการ์ดเพิ่มสูงสุด 222 คะแนน เพียงคุณมีเลข 22 ในชีวิต ทั้ง วันเกิด ปีเกิด หมายเลขโทรศัพท์ลงท้าย หมายเลขบัตรประชาชนลงท้าย และหมายเลขบัตรโฮมการ์ดลงท้าย พิเศษสุดขนาดนี้ วันเดียวเท่านั้น 22 สิงหาคม พลาดแล้ว!! พลาดเลย!! สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1284
‘ภัทรนันท์ แอสเซท’ เปิดตัว ‘ไฮป์ สาทร-ธนบุรี’ มูลค่า 2 พันล้านบาท เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ตอบสนอง Demand วัย Millennial

‘ภัทรนันท์ แอสเซท’ เปิดตัว ‘ไฮป์ สาทร-ธนบุรี’ มูลค่า 2 พันล้านบาท เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ตอบสนอง Demand วัย Millennial

บริษัท ภัทรนันท์ แอสเซท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ย่านกรุงเทพมหานคร ที่มีประสบการณ์ยาวนานมากว่า 30 ปี สบช่องเจาะตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อคนรุ่นใหม่วัย Millennial ทำเลสาธร-ธนบุรี พื้นที่ที่มีโอกาสและอัตราการเติบโตในอัตราที่สูง จากอภิมหาโปรเจคขนาดใหญ่ เตรียมเปิดคอนโดมิเนียม Low rise 8 ชั้น โครงการ ‘ไฮป์ (HYPE) สาทร-ธนบุรี’ ชูแนวคิด ‘Urban Playground’ เริ่มจองระหว่างวันที่ 1-2 กันยายนนี้ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท     นายพรชัย กฤษฎาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภัทรนันท์ แอสเซท จำกัด ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ย่านกรุงเทพมหานครมานานกว่า 30 ปี เปิดเผยว่า จากประสบการณ์การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาหลายโครงการและทราบถึงพฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละกลุ่ม ทั้งจากการศึกษาโอกาสการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ และศักยภาพทำเลของสาทร-ธนบุรี พบว่าทำเลย่านนี้มีการเปลี่ยนแปลงจากที่อยู่แนวราบสู่ที่อยู่แนวสูงอย่างมีนัยยะสำคัญ และทิศทางจะกลายเป็นสังคมแนวสูงอย่างเต็มตัว     โดยเฉพาะพื้นที่ธนบุรี บริเวณสะพานสาทร-เจริญนคร-คลองสาน พื้นที่ในย่านนี้มีอภิมหาโปรเจคขนาดใหญ่เกิดขึ้น อาทิ ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ โรงแรมระดับหกดาว ในโครงการ ไอคอน สยาม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง ซึ่งมีเส้นทางที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี รวมถึงเส้นทางเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และสายสีแดง ที่ได้เริ่มก่อสร้างแล้วในปีนี้ เช่นเดียวกันกับพฤติกรรมผู้อยู่ในทำเลย่านนี้ซึ่งเริ่มปรับเปลี่ยนสู่สังคมคนรุ่นใหม่และมีการปรับรูปแบบวิถีชีวิตแบบคนเมืองอย่างชัดเจน เนื่องจากความสะดวกด้านคมนาคมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเป็นพื้นที่ที่กลุ่มคนรุ่นใหม่มองหาที่อยู่อาศัยในทำเลใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ การขยายตัวของดีมานด์จะลดแออัดของย่านศูนย์กลางเศรษฐกิจย่านสาทร สีลม รวมถึงเขตเจริญกรุง ฯลฯ และด้วยทำเลที่ตั้งของโครงการ คือสาทร-ธนบุรี ก็น่าจะตอบโจทย์ด้วยทำเลและราคาที่เอื้อมถึงนั่นเอง     นางสาวศราริน เรืองปัญญาวุฒิ กรรมการบริหาร บริษัท ภัทรนันท์ แอสเซท จำกัด กล่าวว่า ด้วยพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงสู่สังคมคนรุ่นใหม่ บริษัทฯ จึงปรับกลยุทธ์ธุรกิจและขยายกลุ่มตลาดสู่กลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่วัย Millennial โดยเปิดขายโครงการไฮป์ (HYPE) สาทร-ธนบุรี คอนโดมิเนียมขนาด 8 ชั้น มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ถือเป็นคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตคนรุ่นใหม่ ที่มีความกระฉับกระเฉงรวดเร็ว เพราะใกล้รถไฟฟ้าสถานีกรุงธนบุรี เพียง 600 เมตร ทั้งยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีทองและ ดิ ไอคอนสยาม ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ เจริญนคร ให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น (HYPE) สาทร-ธนบุรี มาพร้อมแนวคิด ‘Urban Playground’ เปลี่ยนทุกวันธรรมดา (Basic Day) ให้เป็นวันแห่งความสนุก (Play Day) เพราะชีวิตมีหลากหลายด้าน “บ้าน” จึงเป็นที่ผ่อนคลายในแบบของผู้อยู่ ตัวถูกออกแบบอย่างโดดเด่น ด้วยแนวคิด “GO WITH THE FLOW” แรงบันดาลใจการออกแบบจากความโปร่ง โล่ง สบาย ให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน ขยายทางเดิน (Corridor) ในอาคารให้กว้างสูงสุดถึง 5 เมตร เพื่อปลูกต้นไม้ใหญ่ในทางเดิน และเปิดรับแสงแดดและลมเข้าสู่ภายในอาคารอย่างเต็มที่ ให้สัมผัสธรรมชาติได้อย่างแท้จริง   ไฮป์ (HYPE) สาทร-ธนบุรี ยังตอบสนองวิถีคนเมือง ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ภายใต้แนวคิด “PLAYHOUSE” ให้ Play Harder กับห้องออกกำลังกาย ‘H Boxing Gym’ ออกกำลังกายอย่างอิสระ ทั้งการต่อยมวยหรือการเล่นโยคะเบาๆ ห้อง ‘Fitness room’ ที่มีเครื่องเล่นมากมายพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก และ Work Hard กับ Co-Workspace ที่นั่งทำงานได้สะดวก แถมสบายใจกับการทำงานอย่างอิสระ กับพื้นที่ที่เป็นสัดส่วนและสิ่งอำนวยความสะดวก ครบครันตลอด 24 ชั่วโมง หรือจะเลือกสนุกกับ Co-Recipe หรือ Co-Kitchen Space พื้นที่ครัวส่วนกลางสำหรับโชว์ฝีมือการปรุงอาหาร นอกจากนี้ยังมี ‘H Lobby’ ที่ตอบสนองชีวิตที่ต้องการพื้นที่เล็กๆ ไว้เก็บของลับ หรือพื้นที่ส่วนกลางสำหรับเก็บของโดยไม่ต้องหิ้วของรุงรัง ‘H Swimming’ สระว่ายน้ำส่วนกลางขนาดใหญ่ และ ‘H Garden’ พื้นที่สวนพักผ่อน สำหรับรูปแบบโครงการ ไฮป์ (HYPE) สาทร-ธนบุรี คอนโดมิเนียมขนาด 8 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 7 ไร่ มีจำนวน 5 อาคาร ชั้นล่างเป็นที่จอดรถ รวมจำนวน 914 ยูนิต แบ่งเป็นอาคาร A จำนวน 158 ยูนิต อาคาร B จำนวน 161 ยูนิต อาคาร C จำนวน 160 ยูนิต อาคาร D จำนวน 224 ยูนิต และอาคาร E จำนวน 211 ยูนิต และมีขนาดห้องเริ่มต้น ห้อง Studio พื้นที่ 25.2 ตารางเมตร ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ 29-43 ตารางเมตร และขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ 45-51.36 ตารางเมตร เตรียมเปิดจองระหว่างวันที่ 1-2 กันยายน 2561 ในราคาเริ่มต้น เพียง 1.79 ล้านบาท ลงทะเบียนออนไลน์ เพื่อรับชุดเฟอร์นิเจอร์และส่วนลด 50,000 บาท ได้ที่ www.hype-condo.com หรือสอบถามข้อมูล โทร.065-209-8888
‘เอพี ไทยแลนด์’ ปิดฉากสวยกับแคมเปญ  ULTIMATE PRIZE ดันยอดขายรวมแคมเปญกว่า 4,100 ล้านบาท  เร่งเดินสายคืนกำไรลูกบ้าน ประเดิมแจกแล้ว “เบนซ์ป้ายแดง”

‘เอพี ไทยแลนด์’ ปิดฉากสวยกับแคมเปญ ULTIMATE PRIZE ดันยอดขายรวมแคมเปญกว่า 4,100 ล้านบาท เร่งเดินสายคืนกำไรลูกบ้าน ประเดิมแจกแล้ว “เบนซ์ป้ายแดง”

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง นำโดย นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว สร้างปรากฏการณ์การันตีความคึกคักของตลาดบ้านเดี่ยวครั้งใหญ่ กับกระแสการตอบรับและความสำเร็จของแคมเปญ ULTIMATE PRIZE สิทธิพิเศษแบบจัดหนักจัดเต็มโดนใจลูกค้าครอบครัวคนเมืองรุ่นใหม่ ที่มองหาบ้านเดี่ยวดีไซน์โมเดิร์นทำเลในเมือง โดยกวาดยอดขายจากแคมเปญทั้งสิ้นกว่า 4,100 ล้านบาท ส่งผลดันยอดขายรวม 7 เดือนแรกของกลุ่มธุรกิจแนวราบพุ่งเกินเป้าแตะ 12,175 ล้านบาท โตกว่า 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ล่าสุดเร่งเดินสายคืนกำไรลูกบ้าน ประเดิมแจกแล้วรางวัลใหญ่รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ GLA ป้ายแดง ให้กับผู้โชคดี คุณอัครฤทธิ์ จันทร์จำรัสกุล ผู้ซื้อบ้านเดี่ยวเอพี ในแคมเปญ ‘ULTIMATE PRIZE’
RML ประกาศศักดาลงทุนในสินทรัพย์ “เคพีเอ็น แลนด์” ต่อยอดธุรกิจ เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน

RML ประกาศศักดาลงทุนในสินทรัพย์ “เคพีเอ็น แลนด์” ต่อยอดธุรกิจ เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน

RML ประกาศศักดาลงทุนในสินทรัพย์ “เคพีเอ็น แลนด์” โครงการ S19 และโครงการ S28 มูลค่า 7,700 ล้านบาท แล้วเสร็จในปี 2566 นอกจากนี้ยังได้เข้าครอบครองยูนิตที่เหลือของโครงการ Diplomat 39 และ Diplomat สาทร ซึ่งพร้อมโอน และจะก่อให้เกิดรายได้เข้ามาในปีนี้“เอเดรียน ลี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “ไรมอน แลนด์” มั่นใจช่วยต่อยอดธุรกิจ เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ขยายฐานลูกค้า หนุนผลกำไรที่งดงามให้กับบริษัทได้ในอนาคต นายเอเดรียน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML บริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่าคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติให้บริษัทฯ เข้าลงทุนในทรัพย์สินของบริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จำกัด (KPNL) ประกอบด้วย โครงการ S19 ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เนื้อที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 1 ไร่ 0 งาน 8 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ถนนสุขุมวิท ซอย19 และ โครงการ S28 ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เนื้อที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 2 ไร่ 0 งาน 16.4 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ ถนนสุขุมวิท ซอย 28 ซึ่งทางบริษัทคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้เชิงพาณิชย์ได้ในปี 2566 นอกจากนี้ทางคณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้อนุมัติในการเข้าซื้อยูนิตที่เป็นยอดขายรอโอนและยูนิตที่ยังเหลืออยู่จากโครงการ Diplomat 39 และ Diplomat สาทร ตีเป็นมูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ส่วนใหญ๋ในปี 2561 “เมื่อได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว ทาง KPNL จะส่งตัวแทนของบริษัทฯ จำนวน 2 ท่าน เข้ามาเป็นกรรมการในไรมอน แลนด์ ซึ่งตัวแทนของ KPNL ดังกล่าวจะไม่ใช่ผู้มีอำนาจควบคุมการดำเนินงาน โดยผู้บริหารชุดปัจจุบันของไรมอน แลนด์ ยังคงบริหารงานและควบคุมการดำเนินงานเฉกเช่นเดิม แต่เพื่อการเติมเต็มการดำเนินงานซึ่งกันและกันเท่านั้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทเดินไปข้างหน้า พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพดีๆ ให้กับผู้บริโภค สร้างผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องให้กับบริษัทฯ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนที่ดี” นายเอเดรียน กล่าว ทั้งนี้การมีพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่นี้จะเป็นการต่อยอดธุรกิจของบริษัทฯ และช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในการขยายตลาดคอนโดมิเนียมระดับบน อาทิเช่นกลุ่มลูกค้า ซึ่งกว่า 50% ของฐานลูกค้า ไรมอน แลนด์ เป็นชาวต่างชาติ ในขณะที่ KPNL มีฐานลูกค้ากว่า 90% เป็นคนไทย ทำให้เรามีฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น การออกหุ้นเพิ่มทุนให้กับ KPNL ในครั้งนี้ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงโดยไม่นับส่วนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงต้องได้รับอนุมัติจาก กลต. ด้วยเช่นกัน
“พฤกษาวิลล์ รามคำแหง-วงแหวนฯ” (มิสทีน) ทาวน์โฮมหรู สไตล์ยุโรป  จัดเต็ม Clubhouse ครบวงจร บนทำเลศักยภาพกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้า เริ่ม 1.99 ลบ.

“พฤกษาวิลล์ รามคำแหง-วงแหวนฯ” (มิสทีน) ทาวน์โฮมหรู สไตล์ยุโรป จัดเต็ม Clubhouse ครบวงจร บนทำเลศักยภาพกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้า เริ่ม 1.99 ลบ.

พฤกษา เปิด โปรเจคไฮไลท์ “พฤกษาวิลล์ รามคำแหง-วงแหวนฯ” (มิสทีน) ทาวน์โฮมหรู สไตล์ยุโรป จัดเต็มอินโนเวชั่น พร้อม Clubhouse ครบวงจร บนสุดยอดทำเลทองย่านรามคำแหง ใกล้รถไฟฟ้าสีส้ม ทางด่วน มอเตอร์เวย์ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท เปิดพรีเซล 25-56 ส.ค. นี้     นายธีรเดช เกิดสำอางค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ย่านรามคำแหง นับว่าเป็นย่านหนึ่งที่มีจำนวนประชากรอาศัยอยู่มาก และมีการขยายตัวต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นแหล่งงาน แหล่งการศึกษา โดยเฉพาะย่านรามคำแหงตอนปลาย ในทำเลตามแนวถนนราษฎร์พัฒนา หรือ “ซอยมิสทีน” เป็นทำเลที่สามารถเชื่อมต่อกับเส้นทางอื่นๆ ได้สะดวก สามารถเชื่อมต่อโดยตรงกับถนนรามคำแหง ถนนพระราม 9 ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกฝั่งตะวันออก ที่สามารถเดินทางสู่ย่านใจกลางเมือง และฝั่งตะวันออกได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งในอนาคตเมื่อเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มเปิดให้บริการ จะมีสถานีราษฎร์พัฒนามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางให้กับคนในระแวกนี้อีกด้วย พฤกษา เล็งเห็นถึงศักยภาพทำเล และการเติบโตของที่อยู่อาศัยที่จะเกิดขึ้นในย่านดังกล่าว จึงพัฒนาโครงการ “พฤกษาวิลล์ รามคำแหง-วงแหวนฯ” (มิสทีน) ทาวน์โฮม และบ้านแฝด 2 ชั้น มูลค่าโครงการ 1,642 ล้านบาท จำนวน 482 ยูนิต ภายใต้คอนเซ็ปต์ European Classic รูปแบบสถาปัตยกรรมที่ดูอบอุ่น หรูหรายิ่งใหญ่ มีเอกลักษณ์เฉพาะ ผสานเข้ากับดีไซน์ในยุคปัจจุบันอย่างลงตัว บนพื้นที่ 18 ตร.วาขึ้นไป พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 98-140 ตร.ม. มีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ ดีไซน์ฟังก์ชันพื้นที่ใช้สอยได้กว้างขวาง โปร่งสบาย รองรับได้ถึง 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 1-2 คัน จัดแบ่งพื้นที่ใช้สอย อย่างเป็นสัดส่วน ทั้ง Master Kitchen และ Home Entertainment และห้องชั้นล่าง สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องอเนกประสงค์ได้ตามไลฟ์สไตล์   โครงการ “พฤกษาวิลล์ รามคำแหง-วงแหวนฯ” (มิสทีน) ใส่ใจทุกรายละเอียดการออกแบบ ช่วยประหยัดพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น หลังคา Sky Light ช่วยให้บ้านไม่มืดทึบ ให้ผู้อยู่อาศัยภายในบ้านรู้สึกมีชีวิตชีวาจากแสงธรรมชาติมากขึ้น นวัตกรรมบ้านหายใจได้ หรือ ออกแบบระบบไหลเวียนอากาศภายในบ้าน โดยใช้แนวคิดการดึงอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้าสู่ตัวบ้าน ทำให้อากาศภายในบ้านถ่ายเทได้ดีขึ้น ส่งผลให้ความร้อนในตัวบ้านลดลง หรือการนำระบบ Home Automation ที่สามารถควบคุมและสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่าน Smart Phone ตลอดจนการใช้เสาเข็มมาตรฐาน มอก. พร้อมเสริมความแข็งแรงของพื้นที่หลังบ้านด้วยเสาเข็มขนาดยาวลึกเท่าตัวบ้าน เพื่อรองรับการใช้งานเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ของลูกค้า” โครงการจัดเต็มสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน เต็มอิ่มกับวันพักผ่อนด้วย Clubhouse หรู สไตล์ยุโรเปียนคลาสิค ครบวงจร ขนาดใหญ่ ใส่ใจสุขภาพผู้สูงอายุ สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ ฟิตเนส Bike Lane พร้อมห้องรับรองกับพื้นที่มุมพักผ่อน ใกล้ชิดธรรมชาติด้วย Strip Park และสวนส่วนกลางพื้นที่สีเขียว ร่มรื่น ที่ช่วยเพิ่มออกซิเจนได้อย่างเต็มที่ พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง สะดวกสบายในการเดินทางด้วย รถไฟฟ้าสายสีส้ม และทางด่วนมอเตอร์เวย์ ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการ ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาล สถานศึกษา และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท สำหรับทาวน์โฮม และ เริ่ม 4.69 ล้านบาท สำหรับบ้านแฝดโซน Clubhouse เปิดพรีเซล 25-26 ส.ค. นี้ ลงทะเบียนจองออนไลน์ รับส่วนลดทันที 10,000 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1739  
ทาวน์โฮม เดอะคิวบ์ ทาวน์ ลำลูกกา เปิดโซนใหม่เริ่มเพียง 1.89 ล้านบาท*

ทาวน์โฮม เดอะคิวบ์ ทาวน์ ลำลูกกา เปิดโซนใหม่เริ่มเพียง 1.89 ล้านบาท*

เดอะคิวบ์ ทาวน์ ลำลูกกา (The Cube Town Lamlukka) โครงการทาวน์โฮมพรีเมียม 2 ชั้น ลำลูกกา คลอง 3 (ซอยเปียร์นนท์) พัฒนาและบริหารงานโดย บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดโซนใหม่พร้อมข้อเสนอพิเศษ ราคาเริ่มเพียง 1.89 ล้านบาท ฟรี! ค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) ทาวน์โฮมหน้ากว้างตั้งแต่ 4 - 5.70 เมตร และมีพื้นที่ใช้สอยรวม 100-130 ตร.ม./หลัง ดีไซน์สวยทันสมัย ใช้วัสดุคุณภาพดี เหมาะสำหรับครอบครัวใหม่แบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และครอบครัวที่อยู่ร่วมกันทุกวัย แบบ 4 ห้องนอน มีที่จอดรถในบริเวณบ้านทุกหลัง หน้าบ้านทุกหลังรับวิวมุมกว้าง (ไม่มีบ้านบังวิว) และติดถนนเมนของโครงการที่กว้างถึง 12 เมตร ให้ความเป็นส่วนตัวทุกแปรง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางภายในโครงการ อาทิ เลนปั่นจักรยาน (Bike Zone) และลู่วิ่งออกกำลังกาย (Outdoor Jogging Track) ห้องฟิตเนต สวนหย่อมบรรยากาศร่มรื่น สนามเด็กเล่น ระบบรักษาความปลอดภัยและกล้องวงจรปิด CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง ชุมชนโดยรอบมีความเจริญ ปลอดภัย บรรยากาศน่าอยู่ เดินทางสะดวกในอนาคตใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีคูคต (สร้างเสร็จปี 2563) เข้า/ออกโครงการได้หลายเส้นทาง อาทิ ถนนลำลูกกา ถนนเชื่อมต่อคลองลำลูกกาและถนนรังสิต-นครนายก ถนนลำลูกกาเชื่อมต่อถนนพหลโยธินและวิภาวดีรังสิต และถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนฝั่งตะวันออก) ใกล้แหล่งงาน หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล สนามบินดอนเมือง วัดสายไหม และห้างสรรพสินค้า ชมทาวน์โฮมจริงและห้องตัวอย่างได้ทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุด) เว็บไซต์ www.thecube -condo.com และติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ทางเฟสบุ๊คแฟนเพจ www.facebook.com/TheCubeCondominium และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ของโครงการฯ สอบถามเพิ่มเติมโทร. 1246
Knightsbridge Phaholyothin Interchange บนทำเลที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดของกรุงเทพฯ โซนเหนือ

Knightsbridge Phaholyothin Interchange บนทำเลที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดของกรุงเทพฯ โซนเหนือ

หากพูดถึงย่านเศรษฐกิจในบ้านเราที่มีความเจริญรุดหน้าด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ดี ขณะเดียวกันก็เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ก็คงจะหนีไม่พ้น CBD เดิมอย่างสีลม-สาทร และ New CBD ที่พระราม 9 แต่นับจากนี้ต่อไปในอนาคตอีกเพียง 4-5 ปี เริ่มมีหลายคนพูดถึงกันแล้ว นั่นคือบริเวณกรุงเทพฯ โซนเหนืออย่างบางซื่อ-พหลโยธินช่วงห้าแยกลาดพร้าวไปจนถึงช่วงสะพานใหม่ ซึ่งทุกวันนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนเป็นที่น่าจับตามองว่าจะกลายเป็น New CBD ต่อไปถัดจากพระราม 9     ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1) เป็นถนนสายสำคัญสายหนึ่งในประเทศไทยก็ว่าได้ เพราะมีจุดเริ่มต้นจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นกม. ที่ 0 ยาวขึ้นไปทางภาคเหนือจรดด่านชายแดนไทย-พม่าที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย รวมระยะทางแล้วก็เกือบ 1,000 กิโลเมตร โดยความน่าสนใจจะเริ่มตั้งแต่จตุจักร ตรงไปผ่านห้าแยกลาดพร้าว แยกรัชโยธิน แยกเกษตร วงเวียนหลักสี่ สะพานใหม่ไปจนบรรจบกับถนนวิภาวดีรังสิต ด้วยความเติบโตของเมืองอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะช่วงห้าแยกลาดพร้าวเป็นต้นไปนั้น กลายเป็นทำเลทองแห่งหนึ่งที่มีราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกือบ 100% แถมที่ดินติดริมถนนใหญ่ยังค่อนข้างหาได้ยากขึ้น เพราะหลายจุดจะเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นช่วงถนนที่สามารถเชื่อมต่อไปยังถนน และสถานที่สำคัญได้มากมาย   เรามาเริ่มดูจากถนนพหลโยธินช่วงห้าแยกลาดพร้าว เพราะถือเป็นด่านสำคัญที่เปรียบเสมือนเป็นสัญญาณว่านี่คือจุดเริ่มต้นของความเป็นเมืองอย่างกรุงเทพฯ ซึ่งมีถนนหลายสายตัดกันทั้งวิภาวดีรังสิต ถนนสายสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯ ออกปริมณฑลสู่ต่างจังหวัดทางภาคเหนือ-ตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีทางพิเศษอุตราภิมุข (โทลเวย์) พาดผ่านตลอดทั้งสาย ถนนลาดพร้าว แหล่งที่อยู่อาศัยสำคัญสายหนึ่งของกรุงเทพฯ ซึ่งกำลังจะมีรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเกิดขึ้น และถนนพหลโยธิน ถัดมาที่แยกรัชโยธินตัดกับถนนรัชดาภิเษก เป็นถนนที่เชื่อมต่อกับถนนสายอื่นๆ จนคล้ายวงกลมระหว่างกรุงเทพฯ กับฝั่งธนบุรี ซึ่งแต่ละช่วงของวงกลมนี้ต่างก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ส่วนแยกเกษตรจะตัดกับถนนประเสริฐมนูกิจและถนนงามวงศ์วาน ก็เป็นแหล่งไลฟ์สไตล์ของเหล่านักศึกษา แน่นอนว่าจะตามมาด้วยอาหารอร่อยๆ ราคาไม่แพงอยู่มากมาย สุดท้ายที่ช่วงวงเวียนหลักสี่ไปจนบรรจบกับถนนวิภาวดีรังสิต มีทั้งถนนแจ้งวัฒนะ ถนนรามอินทราตัดผ่าน และยังเป็นจุดที่ใกล้กับสนามบินดอนเมืองมากที่สุดของถนนเส้นนี้ ทำให้ตามกฏหมายแล้วจะมีอาคารสูงได้ไม่เกิน 45 เมตร ซึ่งการเดินทางจากช่วงนี้ไปสนามบินดอนเมืองหากใช้แยกคปอ. เข้าสู่ถนนธูปะเตมีย์ จะใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที     ด้านระบบขนส่งสาธารณะอันสะดวกสบาย ใช้เวลาในการเดินทางน้อยที่สุด คงจะหนีไม่พ้นรถไฟฟ้าที่ใครหลายคนรอคอยให้มาถึงใกล้กับที่อยู่อาศัยของตัวเอง เพื่อเป็นทางเลือกการเดินทางได้ง่ายที่สุด ซึ่งสิ่งสำคัญสำหรับการมาของรถไฟฟ้าคือการนำพาความเติบโตของเมืองมาด้วย เพราะเมื่อการเดินสะดวกแล้วก็จะนำพาคนให้เข้าถึงได้ง่าย จึงเกิดสิ่งอำนวยความสะดวกตามมาด้วยไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ไฮเปอร์มาร์เกต ร้านขายสินค้า-บริการต่างๆ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตประวัน รวมถึงที่อยู่อาศัยใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสถานีรถไฟฟ้าที่เป็นจุด Interchange ก็จะยิ่งเป็นตัวเลือกในการเดินทางได้หลากหลายยิ่งขึ้น   รถไฟฟ้าที่กำลังเกิดขึ้นในเส้นทางนี้ หลักๆ ก็คือสถานีกลางบางซื่อ (คาดว่าเริ่มเปิดให้บริการปี 2567 และเสร็จสมบูรณ์ปี 2577) ศูนย์กลางโลจิสติกส์ครบวงจรบนพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ ซึ่งจะมีรถไฟฟ้า, รถไฟความเร็วสูงหลายสายมาอยู่เป็นจุดเริ่มต้นสายที่นี่ รวมถึงเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ ศูนย์การค้า แหล่งบันเทิงต่างๆ ศูนย์กีฬาขนาดใหญ่ ศูนย์ประชุมนานาชาติ ศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟความเร็วสูง แหล่งสำนักงาน ฯลฯ และอีกสายหนึ่งที่ก็มีความสำคัญเช่นกัน คือรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต (คาดว่าเปิดให้บริการปี 2563) โดยเป็นการเชื่อมต่อมาจากสายสีเขียว สถานีหมอชิตในปัจจุบัน ซึ่งสายสีเขียวส่วนต่อขยายนี้จะมีเส้นทางผ่านห้าแยกลาดพร้าวตรงยาวไปผ่านแยกรัชโยธิน แยกเกษตร วงเวียนหลักสี่จนถึงสะพานใหม่ แล้วเบี่ยงขวาเข้าสู่ถนนลำลูกกาช่วงต้น สำหรับสถานีที่เป็นจุด Interchange ในเส้นทางส่วนต่อขยายนี้ก็จะมีตั้งแต่สถานีห้าแยกลาดพร้าวกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีพหลโยธินในปัจจุบัน แยกรัชโยธินกับรถไฟฟ้าสายสีเหลืองส่วนต่อขยาย สถานีพหลโยธิน 24 แยกเกษตรกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล แคราย-ลำสาลี (คาดว่าเปิดให้บริการปี 2567) และวงเวียนหลักสี่ กับสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี (คาดว่าเปิดให้บริการปี 2564)         ในบรรดาจุด Interchange ของรถไฟฟ้าสายนี้ที่กล่าวกันไปแล้ว จุดที่น่าสนใจมากที่สุดเห็นจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกเสียจากบริเวณวงเวียนหลักสี่ ซึ่งเป็น Interchange ระหว่างสายสีเขียว สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ กับสายสีชมพู สถานีวงเวียนหลักสี่ เพราะทั้ง 2 สายจะวิ่งผ่านสถานที่สำคัญหลากหลาย โดยสายสีชมพูจะวิ่งผ่านถนนรามอินทราที่เป็นแหล่งชุมชนเดิม รวมถึงหมู่บ้านแนวราบเสียส่วนใหญ่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ อย่างเซ็นทรัลรามอินทรา แฟชั่นไอซ์แลนด์ รวมถึงคอมมูนิตี้อยู่ 2-3 แห่ง เชื่อมต่อไปยังถนนแจ้งวัฒนะที่เป็นแหล่งออฟฟิศของทั้งเอกชน รัฐวิสาหกิจ และราชการอยู่หลายแห่งเกือบตลอดเส้นทาง ไปจนถึงปากเกร็ดแหล่งชุมชนดั่งเดิมและของกินอร่อยๆ มากมาย และยังมีจุด Interchange กับรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม บางซื่อ-รังสิต (คาดว่าเปิดให้บริการปี 2563) บริเวณไอทีสแควร์ ที่จะวิ่งตรงเข้าสู่สถานีกลางบางซื่อ HUB แห่งการเดินทางระดับอาเซียน ส่วนสายสีเขียวหากเรามองจุดสำคัญตลอดสองข้างทางของรถไฟฟ้าเส้นนี้ตั้งแต่สยาม-หมอชิต เข้าสู่ส่วนต่อขยายตั้งแต่ห้าแยกลาดพร้าว ซึ่งเมื่อไล่เรียงสิ่งอำนวยความสะดวกรวมทั้งสถานที่สำคัญ เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าว ยูเนี่ยนมอลล์ เมเจอร์รัชโยธิน ตลาดบางเขน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ตลาดยิ่งเจริญ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช และสถานที่ราชการหลายแห่ง เป็นต้น ไปจนถึงถนนลำลูกกา สถานีคูคต ก็จะเห็นได้ชัดว่าเป็นสายสำคัญมากสายหนึ่งในบ้านเรา ซึ่งทุกวันนี้ทั้งสายสีเขียวส่วนต่อขยาย กับสายสีชมพูกำลังดำเนินการก่อสร้างกันอยู่ เป็นรถไฟฟ้าในอนาคตที่ไม่ได้มีเพียงแค่ความคาดหวังจะให้เกิดขึ้นเท่านั้น แต่เป็นสายที่จะเกิดขึ้นจริงแน่นอนในอนาคตอันใกล้เข้ามาทุกขณะ   ปัจจัยหลายสิ่งหลายอย่างตามที่เล่ามาทั้งหมดนี้ประกอบกันจนส่งให้ทำเลนี้เป็นที่หมายปองของการอยู่อาศัยสำหรับใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาในสถาบันใกล้เคียง คนทำงานย่านรามอินทรา-แจ้งวัฒนะ ใช้รถไฟฟ้าสายสีชมพูแคราย-มีนบุรี ได้อย่างสะดวก หรือกลุ่มคนทำงานในเมืองที่ขยับออกมาจากคอนโดมิเนียมในตัวเมืองที่มีราคาสูง แต่การเดินทางยังคงสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายหมอชิต–สะพานใหม่–คูคต แม้กระทั่งคนที่อยู่อาศัยในย่านเดิมแล้วต้องการขยับขยาย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากความคุ้นเคยเดิม       Knightsbridge Phaholyothin Interchange   คอนโดมิเนียม High Rise 15 ชั้น 726 ยูนิต 1 อาคาร ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ทาวเวอร์  ลิฟท์ 6 ตัว แยกลิฟท์เซอร์วิช 2 ตัว ที่จอดรถ 40% มาแบบ Fully Furnished เฟอร์นิเจอร์ครบพร้อมเข้าอยู่ บนเนื้อที่ทั้งหมดกว่า 5 ไร่ ตัวโครงการ Knightsbridge Phaholyothin Interchange ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธินขาออก ก่อนถึงซอยพหลโยธิน 57 เยื้องกับเทสโก้โลตัส สาขาหลักสี่ประมาณ 100 เมตร ซึ่งจะอยู่ห่างจากจุด Interchange ของรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ กับสายสีชมพู สถานีวงเวียนหลักสี่ โดยไม่ต้องข้ามถนนก็สามารถเดินได้เพียง 250 เมตร อยู่ในระยะที่เดินได้สบายๆ ซึ่งมาในราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท     Floor Plan  โครงการจะมีลักษณะคล้ายรูปตัว C กับตัว I เชื่อมต่อกันเป็นอาคารเดียวกัน แต่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ทาวเวอร์  คือ ทาวเวอร์ A ด้านหน้าโครงการ และทาวเวอร์ B ล้อมรอบส่วนกลาง     ชั้น 3 จะเป็นชั้นเริ่มต้นของยูนิตพักอาศัย   ชั้น 4-5 เป็นศูนย์กลางของ Facility กลางโครงการ ซึ่งมีการวางอาคารให้ตรงส่วนกลางนี้สามารถรับลมธรรมชาติเข้ามาได้อย่างทั่วถึง     Unit Plan   ความพิเศษอย่างหนึ่งตรงที่แบบห้องมีให้เลือกมากมายถึง 20 แบบ ขนาดห้องมีตั้งแต่ 1 Bedroom 23.3 ไปจนถึง Duplex 51.20 ตร.ม. แต่ละขนาดก็จะมีมาให้เลือกต่างกัน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย เช่น   ยูนิตขนาดเริ่มต้นของโครงการ 23.30 ตร.ม. มีให้เลือก 2 แบบ ทั้งแบบแนวลึก Living Room กับ Bedroom อยู่ในโซนเดียวกัน และแบบ Duplex ยก Bedroom ขึ้นไปไว้ที่ชั้นลอย เพิ่มความเป็นส่วนตัวยิ่งขึ้น       เป็น Type ที่แยกทุกห้องออกจากกันอย่างเป็นสัดส่วน โดยมีพื้นที่กลางห้องมากขึ้น ซึ่งจะมีการ Built in โต๊ะทำงานเพิ่มมาให้ตามไปด้วย     ยูนิตที่มี 1 Bedroom อยู่ชั้นบน แต่เพิ่มห้องอเนกประสงค์มาให้อีก 1 ห้อง ที่ชั้นล่างเชื่อมต่อกับระเบียง ซึ่งเราสามารถดัดแปลงห้องได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงาน ห้องชมภาพยนตร์ หรือแม้แต่ห้องนอนอีกห้องก็ยังได้     ยูนิตแบบ Penthouse 2 Bedroom ขนาด 48.90 ตร.ม. ก็มีมาให้เลือกทั้ง 2 แบบ คือ แบบชั้นเดียว กับ Duplex     ยูนิตขนาดใหญ่ที่สุดของโครงการ 51.20 ตร.ม. ที่จัดมาให้ถึง 3 ห้องนอน แบ่งเป็นชั้นล่าง 2  ห้องนอน และชั้นบนอีก 1 ห้องนอน แต่ละห้องนอนก็จะมีความพิเศษแตกต่างกันอย่างห้องนอนแรก จะมีระเบียงส่วนตัว ห้องนอนที่ 2 มีห้องน้ำในตัว และห้องนอนชั้นบนจะกั้น Walk In Closet    บรรยากาศภายในห้อง   Living Room โปร่งด้วยกระจกใสที่สามารถมองทะลุผ่านห้องนอนออกไปด้านนอก และยังช่วยเพิ่งแสงสว่างทำให้ห้องดูไม่อึดอัด   Space แนวลึก ได้พื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน   ห้องนอนส่วนตัว พร้อม Built in ตู้เสื้อผ้า   มุมโต๊ะเครื่องแป้ง หรือโต๊ะทำงาน Built in มาให้พร้อมใช้งาน   ห้องน้ำได้สุขภัณฑ์ทุกอย่างมาครบเซตตามที่เห็นพร้อมฉากกั้นกระจก   ห้องครัวปิดแยกออกเป็นสัดส่วน และยังเชื่อมต่อกับระเบียงห้อง ทำให้มีการระบายอากาศ และความชื้นภายในครัวได้ดี     Facility รวมพื้นที่แล้ว 3,700 ตร.ม. เริ่มตั้งแต่หน้าโครงการเข้าไปที่ชั้น G ภายในอาคาร สิ่งอำนวยความสะดวกหลักชั้น 4-5 และ Rooftop ที่เราจะได้เห็นมุมมองเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพฯ โซนเหนืออย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สำหรับโครงการนี้รวมแล้วจะแบ่งโซน Facility เอาไว้มากถึง 30 โซน เช่น Grand Lobby, Co-working space, Business room, Swimming pool, Curve Jacuzzi, Sunken lounge, Coin operate vending machine, Yoga room, Fit club, The Excited Sky bridge, Sky lounge, Sky sunset party, Sky BBQ area ฯลฯ         เปิดมุมมอง Sky Bridge เห็นสนามบินดอนเมืองโดยไร้อาคารสูงบดบัง ทำให้ Knightsbridge Phaholyothin Interchange สามารถสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ บนทำเลที่หาได้ยากเต็มที ด้วยระยะ 250 เมตรถึงสถานีรถไฟฟ้าที่เป็น Interchange ระหว่างสายสีเขียวกับสายสีชมพู แต่ราคาเริ่มต้นเพียง  2.49 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าคอนโดมิเนียมจะแล้วเสร็จปี 2563 พร้อมๆ กับรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายจะเปิดให้ใช้บริการพอดี   คลิกลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดพิเศษ >>> https://bit.ly/2v2rFH3 เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ 061-401-7000
มั่นคงเคหะการ โชว์ฟอร์มครึ่งปีแรก 61 กวาดรายได้รวมกว่า 2,600 ลบ.

มั่นคงเคหะการ โชว์ฟอร์มครึ่งปีแรก 61 กวาดรายได้รวมกว่า 2,600 ลบ.

  นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยถึงผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2561 ว่า ตลอด 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอย่างมากโดยสามารถสร้างรายได้รวม 2,646.86 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 90 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นผลจากรายได้ในส่วนธุรกิจการขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 1,221.42 ล้านบาท ตลอดจนการปรับแผนโครงสร้างรายได้ในช่วง 2-3 ปี ด้วยการเพิ่มการลงทุนในธุรกิจให้เช่าและบริการ โดยเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้สูงถึง 119.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30.18% และมีกำไรสุทธิของทุกกลุ่มบริษัทกว่า 170.92 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นถึง 237.54% นับเป็นบทสะท้อนความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ที่วางไว้ได้เป็นอย่างดี และมีแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มขึ้นในอนาคตอีกด้วย   ทั้งนี้ ผลประกอบการในไตรมาส 2 ของปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการรวม 1,331.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 656.88 ล้านบาท หรือคิดเป็น 97.35% จากรายได้ของบริษัทฯและบริษัทย่อย ประกอบด้วย ธุรกิจการขายอสังหาริมทรัพย์ 1,235.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากโครงการแนวราบจำนวน 673.29 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 33.2% จากภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น รวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่ของบริษัทฯ ซึ่งมีความโดดเด่นด้านทำเลที่มีศักยภาพ การพัฒนาการออกแบบบ้านและโครงการ ทั้งรูปแบบ การเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวก แต่ยังคงรักษาระดับราคาให้เหมาะสมกับกำลังซื้อของผู้บริโภค   ในส่วนของรายได้จากธุรกิจให้เช่าและบริการของบริษัทฯ ในไตรมาส 2 นั้น นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กล่าวเสริมว่า “บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจดังกล่าว 62.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.95 ล้านบาท หรือคิดเป็น 26.34% ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากการให้เช่าและบริการพื้นที่คลังสินค้าและโรงงาน ในโครงการบางกอกฟรีเทดโซน ของบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด บริษัทย่อยในเครือ โดยมีการพัฒนาพื้นที่ให้เช่าเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาพื้นที่ปล่อยเช่ารวม 115,000 ตร.ม. และอยู่ในระหว่างดำเนินการพัฒนาเพิ่ม อีกกว่า 39,000 ตร.ม.ในปีนี้ นอกจากนี้ ยังรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากค่าเช่าและบริการในโครงการพาร์ค คอร์ท อพาร์ทเมนต์และคอนโดมิเนียมใจกลางสุขุมวิท ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจให้เช่าและบริการ (Recurring Income) เพิ่มขึ้น   สำหรับธุรกิจการบริการสนามกอล์ฟ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ ที่ได้ทำการปรับโฉมและปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้ 26.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 18.48 ล้านบาท หรือคิดเป็น 41.80% รวมถึงธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ในเครือที่สามารถสร้างรายได้รวม 7.51 ล้านบาทในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา   “ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าตามแผนธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทั้งเพื่อขาย เพื่อเช่า และเพื่อการบริการ ล่าสุดบริษัทฯมีแผนส่งโครงการที่อยู่อาศัยบนทำเลศักยภาพอีก 1 โครงการ ได้แก่ โครงการ ‘ชวนชื่น ทาวน์ ราชพฤกษ์-345’ พรีเมียม ทาวน์โฮม ตัวใหม่ล่าสุด ที่จะเปิดพรีเซลในวันที่ 25 - 26 สิงหาคมนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องด้วยตัวโครงการตั้งอยู่บนทำเลใกล้ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล เวสต์เกต, ทางด่วนศรีรัช และรถไฟฟ้า พร้อมรองรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคปัจจุบัน ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.39 ล้านบาท’’ นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กล่าวสรุป