Tag : News

2376 ผลลัพธ์
ซีเอ็มซี กรุ๊ป บูมตลาดคอนโดใกล้รถไฟฟ้าย่านเพชรเกษม “แบงค์คอก ฮอไรซอน ไลท์ @สถานีเพชรเกษม 48

ซีเอ็มซี กรุ๊ป บูมตลาดคอนโดใกล้รถไฟฟ้าย่านเพชรเกษม “แบงค์คอก ฮอไรซอน ไลท์ @สถานีเพชรเกษม 48

  คุณอนงค์ลักษณ์  แพทยานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) เผยว่าบริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) เตรียมกระตุ้นตลาดคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าย่านเพชรเกษม ชูคอนเซปต์ ความสุขที่ใช่...ใกล้รถไฟฟ้า จัดงาน Exclusive Booking โครงการคอนโดมิเนียม แบงค์คอก ฮอไรซอน ไลท์ @สถานีเพชรเกษม48 คอนโดใกล้รถไฟฟ้า ที่นักลงทุนไม่ควรพลาด ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 2-3 มิถุนายน 2561 ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท และรับโปรโมชั่นสุดเร้าใจ ฟรีทองคำแท่ง 2 บาททุกยูนิต* ผ่อนดาวน์เพียง 3,900 บาท พร้อมตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบชุด ลงทะเบียนออนไลน์รับเพิ่มส่วนลด 200,000 บาท ที่เว็บ https://www.cmc.co.th/CMC2017/bangkokhorizon/p482/ และสอบถามรายละเอียด โทร. 02-457-5959 086-340-1063  หรือ 1172  และ www.facebook.com/cmc.co.th
ซันเคียวโฮม ผนึก“เคฮัง เรียลเอสเตท”  ผุดคอนโดมิเนียมลักชัวรี “The FINE Bangkok” ใจกลางทองหล่อ-เอกมัย

ซันเคียวโฮม ผนึก“เคฮัง เรียลเอสเตท” ผุดคอนโดมิเนียมลักชัวรี “The FINE Bangkok” ใจกลางทองหล่อ-เอกมัย

  ซันเคียวโฮม (ไทยแลนด์) จับมือ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่น “เคฮัง เรียลเอสเตท” พัฒนาคอนโดมิเนียมสุดหรู “The FINE Bangkok” ทองหล่อ-เอกมัย มูลค่าโครงการกว่า1.7 พันล้านบาท ชูจุดเด่นงานดีไซน์แบบลักชัวรี โมเดิร์น เจแปนนิส ตอบรับความต้องการคนรุ่นใหม่ พร้อมเดินหน้าเปิดขายพรีเซล 2-3 มิ.ย.นี้   นายสุทธิพงษ์ ไชยลังกา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซันเคียวโฮม (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด (Keihan Real Estate Co.,Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของบริษัท เคฮัง โฮลดิ้งส์ จำกัด (Keihan Holdings Co., Ltd.) ผู้ให้บริการรถไฟรายใหญ่ในภูมิภาคคันไซ ประเทศญี่ปุ่น ที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ.1910 เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในประเทศไทยร่วมกันในลักษณะโครงการร่วมทุน (Joint Venture) เป็นโครงการแรก ภายใต้ชื่อโครงการ “The FINE Bangkok” (เดอะฟายน์ แบงค็อค) บนย่านทองหล่อ-เอกมัย     “นอกจากพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ญี่ปุ่นแล้ว เราต้องการสร้างตลาด และโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยมองเห็นโอกาสตลาดกลุ่มประเทศอาเซียนที่กำลังเติบโต และเมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ของประเทศ GDP ขนาดเศรษฐกิจ ความชัดเจนในด้านกฎหมาย และกำลังซื้อของผู้บริโภค ประเทศไทยมีความโดดเด่นในปัจจัยต่างๆ เหล่านี้มากที่สุดประเทศหนึ่งในอาเซียน การันตีได้จากบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนที่ไทยมากมาย เรามุ่งหวังให้กรุงเทพฯเป็นจุดศูนย์กลางการขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคนี้” นายสุทธิพงษ์ กล่าว   ที่ผ่านมา บริษัท ซันเคียวโฮม (ประเทศญี่ปุ่น) จำกัด และบริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด เคยร่วมกันพัฒนาโครงการลักษณะร่วมทุน (Joint Venture) ที่ประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว 5 โครงการ ภายใต้แบรนด์ The FINE เช่น โครงการคอนโดมิเนียมหรู 45 ชั้น The FINE Tower - Umeda Toyosaki ใจกลางโอซาก้าและสามารถปิดการขายแล้ว 100%   ทั้งนี้ ด้วยประสบการณ์การพัฒนาที่อยู่อาศัยครอบคลุมทุกเซ็กเมนท์ ทุกระดับราคาของทั้ง 2 บริษัท ประกอบกับประสบการณ์การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมกันจนเป็นที่ยอมรับของชาวญี่ปุ่น บริษัทจึงมุ่งหวังให้การพัฒนาโครงการ The FINE Bangkok ร่วมกันในครั้งนี้ เป็นโอกาสในการส่งมอบคุณภาพและมาตรฐานใหม่ของการใช้ชีวิตในเขตเมือง เช่นเดียวกับที่บริษัทได้เคยส่งมอบให้ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นมาแล้ว   สำหรับโครงการ The FINE Bangkok ทองหล่อ-เอกมัย เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู มูลค่าโครงการกว่า 1,700 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 31 ชั้น จำนวน 220 ยูนิต ตั้งอยู่บริเวณซอยเอกมัย 12 พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “Luxury Modern Japanese” มีความเรียบง่ายอบอุ่น แต่หรูหรา ภายในประกอบด้วยห้องชุด 1-2 นอน และเพนท์เฮ้าท์ ขนาดตั้งแต่ 34.5-92 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 5.5 ล้านบาท โดดเด่นด้วยนวัตกรรมการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้ประโยชน์ของพื้นที่สูงสุดโดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ อาทิ การมีระบบ Auto Parking เพิ่มพื้นที่จอดรถให้มีมากถึง 70% รองรับผู้อยู่อาศัยในเมืองที่ยังคงต้องใช้รถยนต์ในการเดินทาง นอกเหนือจากรถไฟฟ้า  และรวมถึงระบบการสั่งซื้อของ และจัดการธุรกรรมต่างๆ ผ่าน Application บนอุปกรณ์อัจฉริยะที่มีติดตั้งไว้ทุกห้อง   นอกจากนี้ภายในโครงการ มีการแบ่งโซนการใช้งานอย่างเป็นสัดส่วน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองถึง 4 โซนได้แก่ โซน Fine Sky, พื้นที่ Roof  Lounge ที่ทุกกิจกรรมสามารถชมวิวเมือง 360 องศา ไปพร้อมๆ กัน ทั้งFitness, Golf Club, Sky Seat, Karaoke room, Kids Room และ Wine Lounge  โซน Fine Retreat พื้นที่รวมของการพักผ่อนรับแดด หรือชมวิวเมืองยามค่ำคืน ได้แก่ สระว่ายน้ำขนาดใหญ่, Pool Bar, Sauna Room, Hot Pool และ The Edge View Point ซึ่งทุกส่วนออกแบบให้สามารถชมวิวขอบฟ้าได้ใกล้ที่สุด โซน Fine Lounge ได้แก่ Lobby, Co-working room, Private meeting room, Mail room ซึ่งทางโครงการตั้งใจที่จะสร้างโซนนี้ให้เป็นพื้นที่ใช้งานร่วมกัน โดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัว แต่มีพื้นที่กว้างเพียงพอรองรับการใช้งานแบบกลุ่มใหญ่ด้วย ภายในโครงการยังตกแต่งด้วยวัสดุเรียบหรู ผสมผสานทั้งเรื่องฟังก์ชัน พื้นผิว และการออกแบบ ให้ทั้งตัวอาคารและห้องพักอาศัย มีกลิ่นอาย Modern Luxury และสุดท้าย โซน Fine Greenery ตอบโจทย์ที่พักอาศัยใจกลางเมือง แต่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าบริเวณโครงการคือ Spring Garden และ พื้นที่สวนชั้น 23 และชั้น 27     ด้าน นายโยชิฮิสะ โดโมโตะ (Mr.Yoshihisa Doumoto) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด กล่าวว่า บริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด เป็นบริษัทในกลุ่มของบริษัท เคฮัง โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ธุรกิจหลัก คือ 1.ธุรกิจคมนาคม (Transportation Business) 2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Business) 3.ธุรกิจค้าปลีก (Retail Business) 4.ธุรกิจบริการและพักอาศัย (Leisure and Service Business) และจากกลุ่มธุรกิจที่เข้มแข็งของเรา บริษัท เคฮัง เรียลเอสเตท จำกัด ได้พัฒนาที่อยู่อาศัยมากมายทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ในครั้งนี้เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับครั้งแรกที่ได้ร่วมมือกับซันเคียวโฮม (ไทยแลนด์) ในการพัฒนาคอนโดมิเนียมในต่างประเทศครั้งแรกที่ไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจอย่างมากในภูมิภาคอาเซียน โดยเรามุ่งหวังที่จะให้คนไทยสัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียมคุณภาพ ประณีตใส่ใจในทุกรายละเอียด เช่นเดียวกับโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เราทำที่ญี่ปุ่น   ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดพรีเซลในวันที่ 2-3 มิถุนายนนี้ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ กลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 30-40 ปี ที่ชื่นชอบความหรูหราอย่างมีสไตล์ รวมไปถึงกลุ่มผู้บริหารระดับสูงที่มีวิสัยทัศน์ในการอยู่อาศัย ตลอดจนเพื่อการลงทุนระยะยาว คาดว่าในวันเปิดขายพรีเซลจะมียอดขายกว่า 60 % โดยมี บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เป็นผู้ดูแลบริหารงานขายและการตลาด ผู้สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.thefinebangkok.comหรือโทรสอบถาม 065-219-2727
ครั้งแรกของคอนโดในย่านรัชดา – ห้วยขวาง พร้อมมอบสิทธิพิเศษ! รับ Living Set ภายใน 30 มิ.ย. นี้

ครั้งแรกของคอนโดในย่านรัชดา – ห้วยขวาง พร้อมมอบสิทธิพิเศษ! รับ Living Set ภายใน 30 มิ.ย. นี้

แชปเตอร์วัน อีโค รัชดา – ห้วยขวาง คอนโดมิเนียมแต่งครบจากพฤกษา ตอบรับ Active Lifestyle ของคน Gen Y ที่ใช้ชีวิตแบบไม่หยุดนิ่ง มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน  เปิดให้บริการพื้นที่ส่วนกลางตลอด 24 ชม. ในส่วนของ CO-WORKING SPACE พื้นที่สำหรับหาแรงบันดาลใจและพูดคุยงาน, READING ROOM ห้องอ่านหนังสือสำหรับคนรักการอ่าน และ FITNESS พื้นที่สำหรับคนใส่ใจสุขภาพ ซึ่งนอกจากส่วนกลางที่ครบครันแล้ว แชปเตอร์วัน อีโค รัชดา - ห้วยขวาง ยังสร้างสรรค์บริการที่เหนือระดับ โดยจับมือแบรนด์กาแฟชั้นนำระดับโลกอย่าง Starbucks มาเปิดให้บริการแล้วในโครงการ ส่งผลให้ แชปเตอร์วัน อีโค รัชดา - ห้วยขวาง เป็น Complete Community แห่งใหม่ที่มีความโดดเด่นที่สุด และยังครองแชมป์ขายดีที่สุดในคอนโดระดับราคา 2-3 ล้าน ด้วยราคาเริ่มเพียง 2.4 ล้านบาท และการันตีด้วย 2 รางวัลระดับโลกจาก International Property Award คือ Development Marketing Thailand และ Best Development Marketing ของ Asia Pacific เหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาคอนโดที่จัดเต็มด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับไลฟสไตล์ 24 ชั่วโมง พิเศษ! รับ Living Set ภายใน 30 มิ.ย. นี้เท่านั้น! สอบถามเพิ่มเติมโทร. 1739 หรือ http://chapterone.pruksa.com/
เอสซีฯ สรุปไตรมาสแรกปี 2561 ปลื้มยอดขายตอบรับดีพร้อมเตรียมเปิดอีก 17 โครงการ มูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท

เอสซีฯ สรุปไตรมาสแรกปี 2561 ปลื้มยอดขายตอบรับดีพร้อมเตรียมเปิดอีก 17 โครงการ มูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท

  นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพทุกระดับราคา กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/2561 ของ SC มีการเติบโตครบทุกด้านทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรสุทธิ  โดยมีรายได้รวม 2,686 ล้านบาท เติบโต 53% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้หลักมาจากโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายคิดเป็นสัดส่วน 92% ของรายได้ทั้งหมด และมีกำไรสุทธิ 259 ล้านบาท เติบโต 244% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมกับมียอดขายรอโอน หรือ Backlog ประมาณ 10,800 ล้านบาท ซึ่ง 47% จะรับรู้รายได้ในปีนี้ และส่วนที่เหลืออีก 53% จะรับรู้รายได้ในปี 2562-2563  โดยบริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ทั้งปีอยู่ที่ 17,000 ล้านบาท     ในส่วนของยอดขาย 3,662 ล้านบาท เติบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนทั้งในส่วนของโครงการแนวราบและแนวสูงทุกระดับราคา โดยเฉพาะโครงการที่เปิดใหม่ในไตรมาสแรกได้รับการตอบรับที่ดีมาก ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมเซ็นทริค รัชโยธิน ที่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้ารัชโยธินเพียง 150 เมตร ปัจจุบันมียอดขายถึง 75% และ โครงการบ้านเดี่ยวเพฟ บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา ขณะเดียวกันโครงการแนวราบเดิมในระดับราคา 8 ล้านบาทขึ้นไปมียอดขายเติบโตกว่า 70% เทียบกับไตรมาสแรกของปี 2560   ทั้งนี้ จากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2561 ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเป็นเงินจำนวน  0.12 บาท/หุ้น หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล เท่ากับ 44.44%  โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 นายอรรถพล กล่าวเพิ่มเติมว่า “ SC เตรียมทยอยเปิดโครงการใหม่ที่เหลือในปีนี้อีก 17 โครงการ มูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท  โดยในเดือนมิถุนายนนี้จะเปิดโครงการ เวนิว พระราม 5-3 บนพื้นที่ กว่า 7 ไร่ มูลค่าโครงการ 260 ล้านบาท เป็นบ้านแฝดรุ่นใหม่ จำนวน 46 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 5.89  ล้านบาท ต่อยอดความสำเร็จของโครงการ เวนิว พระราม 5-1 และ 2 ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี     โครงการใหม่อยู่บนถนนนครอินทร์ พระราม 5 ใกล้ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก และใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วงกับสายสีน้ำเงิน (เสร็จปลายปี 2562)  โดย ณ 30 เม.ย 61  SC มีโครงการเพื่อขายทั้งหมด 39 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 34,400 ล้านบาท ”นอกจากนี้ บริษัทได้จัดแคมเปญการตลาด “Reflection of Your Success” ภายใต้โครงการ บางกอก  บูเลอวาร์ด บน 6 ทำเลศักยภาพ  พร้อมบ้านซี่รี่ส์ใหม่กับห้องนอนเพดานสูงกว่า 4 เมตร* ราคา  6-27 ล้านบาท  พร้อมรับข้อเสนอพิเศษสูงสุด 2 ล้านบาท* ระหว่างวันนี้ - 31 พ.ค.61  เมื่อลงทะเบียนออนไลน์ที่ https://bit.ly/2jhDyCF สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1749 หรือ www.scasset.com
“เสนาพาร์ค แกรนด์ รามอินทรา” แรงต่อเนื่อง จัดโปรฟ้าผ่า “Thunder Sale” ชูราคาสุดพิเศษ ลด + แถมกว่าล้าน*

“เสนาพาร์ค แกรนด์ รามอินทรา” แรงต่อเนื่อง จัดโปรฟ้าผ่า “Thunder Sale” ชูราคาสุดพิเศษ ลด + แถมกว่าล้าน*

เสนาฯ เดินหน้ารุกจัดงานอีเว้นท์ใหญ่ โครงการ เสนา พาร์ค แกรนด์ รามอินทรา กระตุ้นกำลังซื้อต่อเนื่อง พร้อมชมบ้านนวัตกรรมใหม่ ฟังก์ชั่นตอบโจทย์ 3 GEN เตรียมพบกับงาน Grand sale 19 - 20 พ.ค. นี้ กับโปรโมชั่นสุดพิเศษ ภายใต้แคมเปญ  โปรฟ้าผ่า  “Thunder Sale” ชูราคาสุดพิเศษ เริ่มเพียง 9.65 ล้านบาท ลด+แถมกว่าล้าน* ฟรี! Solar + EV Charger / ค่าโอนกรรมสิทธิ์ และรับสิทธิพิเศษมากมายภายในงาน   "เสนาพาร์ค แกรนด์ รามอินทรา" ตั้งอยู่บนเนื้อที่โครงการ 42-2-17.6 ไร่ ออกแบบฟังก์ชั่นให้ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย 3 Gen Space  รองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต  ด้วยแบบบ้าน OXY SMART บนพื้นที่ใช้สอย 190 ตรม. พร้อมระบบ Air Fresh ช่วยให้อากาศภายในบ้านหมุนเวียนถ่ายเทได้ดีตลอด 24 ชม. พร้อม Relation Space มุมพักผ่อนภายในบ้าน ที่เชื่อมโยงความสุขเพิ่มขึ้นกับพื้นที่ Outdoor พร้อมให้คุณได้สัมผัสธรรมชาติ รับลมและแสงแดด   อีกหนึ่งฟังก์ชั่นพิเศษ ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ให้สะดวกสบาย ด้วยการบริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพผ่าน Application SENA 360° Service  แอพฯ เดียวจบครบทุกเรื่องของที่อยู่อาศัย มาพร้อมระบบ SOS ช่วยดูแลคุณยามฉุกเฉินตลอด 24 ชม., Triple Security สามารถดู CCTV  เชื่อมโยงผ่าน App 360° ช่วยให้คุณสะดวกสบายตลอด 24 ชม. พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน เช่น ECO CLUB HOUSE ขนาดใหญ่ Jacuzzi Zone สุดหรู พร้อมห้องฟิตเนส อุปกรณ์มาตรฐานครบเซต และผ่อนคลายไปกับสวน SENA Park Avenueสำหรับพักผ่อนขนาดใหญ่ถึง 10 ไร่   "เสนาพาร์ค แกรนด์ รามอินทรา" ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพ การเดินทางสะดวกสามารถใช้ถนนหลัก 4 เส้น คือถนนรามอินทรา, ถนนคู้บอน, ถนนวงแหวน และทางด่วนเอกมัย – รามอินทรา โดยปัจจุบันถนนรามอินทรา อยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงข่ายการคมนาคมรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่เป็นระบบโมโนเรล (รถไฟฟ้ารางเดี่ยว) เส้นทางเริ่มจากแคราย – มีนบุรี ใกล้สถานีรามอินทรา 83 แวดล้อมด้วยสถานศึกษา โรงพยาบาล และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เช่น แฟชั่น ไอส์แลนด์ , ศูนย์การค้า เดอะ พรอมานาด เพียง 1.4 กม.และ MaxValu   เตรียมพบกับกันในงาน Thunder sale 19 -20 พ.ค.นี้ พร้อมเปิดให้ชมบ้านตัวอย่าง และรับสิทธิพิเศษมากมาย เฉพาะวันงานฟรี! Solar + EV Charger / ค่าโอนกรรมสิทธิ์ สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถลงทะเบียน http://bit.ly/SENA-ParkGrand หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1775 กด 17
‘บ้านเดี่ยวเอพี’ จับมือ ‘กสิกรไทย’ จัดแคมเปญ ‘ULTIMATE PRIZE’ ผ่อนสบาย ลุ้น “เบนซ์ป้ายแดง”และที่สุดของข้อเสนอไร้ขีดจำกัด มูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท

‘บ้านเดี่ยวเอพี’ จับมือ ‘กสิกรไทย’ จัดแคมเปญ ‘ULTIMATE PRIZE’ ผ่อนสบาย ลุ้น “เบนซ์ป้ายแดง”และที่สุดของข้อเสนอไร้ขีดจำกัด มูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท

  บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สำหรับคนเมือง นำโดย นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว จัดแคมเปญใหญ่ในรอบปี ‘ULTIMATE PRIZE’ กับกองทัพบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ภายใต้แบรนด์ CENTRO, THE CITY, MIND และ THE PALAZZO กว่า 25 โครงการ ราคาเริ่มต้นที่ 4.99 – 35 ล้านบาท มอบที่สุดของข้อเสนอไร้ขีดจำกัดมูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท พร้อมดีลพิเศษทางการเงินจากธนาคารกสิกรไทย รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0.75%  ในปีแรก พร้อมผ่อนเพียงล้านละ1,000 บาทต่อเดือน พิเศษสำหรับลูกค้าที่จองซื้อในระยะเวลาแคมเปญ ลุ้นรับ รับ Mercedes-Benz GLA ร่วมพิสูจน์  ความยิ่งใหญ่ของแคมเปญ ‘ULTIMATE PRIZE’ ได้แล้ววันนี้ – 17 มิถุนายนนี้เท่านั้น พบกับข้อเสนอพิเศษนี้ได้ที่ Sales Gallery ของโครงการที่ร่วมรายการ
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยรายงานแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์ม ราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ไพร์มสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยรายงานแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์ม ราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ไพร์มสูงสุดเป็นประวัติการณ์

จากรายงานวิจัยของไนท์แฟรงค์ประเทศไทย คาดว่าในปีพ.ศ. 2561 ตลาดคอนโดฯระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตามปริมาณอุปทานที่เพิ่มขึ้นและความต้องการที่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยนักพัฒนาโครงการอสังหาฯยังคงเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ตลอดทั้งปีนี้ เนื่องจากอสังหาฯและยูนิตระดับไฮเอนด์ในกรุงเทพฯยังคงดึงดูดความสนใจจากผู้ซื้อทั้งในและนอกประเทศ การพัฒนาในพื้นที่ทำเลทองอย่างบริเวณไพร์มสุขุมวิทและลุมพินีกลางจะยังคงมีอยู่ตลอด สำหรับด้านอุปสงค์ ความต้องการยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากอุปทานระดับไพร์มมีจำนวนจำกัดและส่วนใหญ่มักถูกครอบครองโดยกลุ่มผู้ซื้อชาวไทยที่ร่ำรวย อย่างไรก็ตามคาดว่าจะเห็นผู้ซื้อชาวต่างประเทศมากขึ้นในตลาดนี้ โดยเฉพาะผู้ซื้อชาวจีน, ฮ่องกง และไต้หวัน สำหรับราคาขายเฉลี่ยคาดการณ์ว่าจะปรับสูงขึ้นตามปัญหาการขาดแคลนของที่ดินในย่านไพร์มและการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดิน ซึ่งทำให้นักพัฒนาโครงการมีทางเลือกน้อย โดยจำเป็นต้องสร้างโครงการราคาสูงเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการลงทุน   ภาพรวมตลาด ตลาดคอนโดฯระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯ ณ สิ้นปีพ.ศ. 2560 แสดงอัตราการครอบครองที่ปรับลดลง แต่ยังคงรักษาแนวโน้มการเติบโตของตลาดและการพัฒนาโครงการ โดยในพื้นที่ย่านไพร์มมีโครงการใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นซึ่งสร้างมาตรฐานการใช้ชีวิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านที่อยู่อาศัยชั้นนำอย่างในบริเวณไพร์มสุขุมวิทและลุมพินีกลางที่มีอุปทานใหม่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันผู้พัฒนาโครงการชั้นนำในตลาดนี้ทำการยกระดับตลาดคอนโดฯ ไพร์มและซูปเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯ โดยร่วมมือกับบริษัทก่อสร้างและสถาปัตยกรรมชั้นนำ เพื่อสร้างโครงการที่เน้นความโดดเด่นและทันสมัย สำหรับด้านอุปสงค์ ตลาดคอนโดฯระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯ แสดงอัตราการชะลอตัวลงในบางพื้นที่ ในช่วงปีพ.ศ. 2560 เนื่องจากยังมีอุปทานสะสมอยู่ในตลาดเป็นจำนวนมาก แม้อุปสงค์จะแสดงอัตราลดลง แต่ราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรยังคงปรับสูงขึ้นเนื่องจากปัญหาที่ดินพัฒนาที่มีจำกัดบนถนนสายหลักและการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดิน   จากสุขุมวิทถึงลุมพินีกลาง และสาทรถึงริมฝั่งแม่น้ำ อุปทานคอนโดฯระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯในปีพ.ศ. 2560 แสดงอัตราการเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 135.8 และ 135.7 จากปีก่อนตามลำดับ โดยมีโครงการใหม่และกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2560 อย่างไรก็ตามการเติบโตของอุปทานแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักพัฒนาโครงการต่อตลาดนี้ จากผลการสำรวจตลาดคอนโดฯ ระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์มใน กรุงเทพฯจะเห็นว่ามีการเปิดตัวโครงการประมาณ 7,200  ยูนิตในปีพ.ศ 2560 โดยร้อยละ 34 ตั้งอยู่ในบริเวณสุขุมวิท และบริเวณลุมพินีร้อยละ 24 บริเวณพระราม 4  อยู่ที่ร้อยละ 11 ส่วนที่เหลืออยู่ในบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ, สีลม-สาทร, พญาไท และรัชดาภิเษก-พระราม 9 มีโครงการคอนโดฯระดับซูเปอร์ไพร์ม 10 แห่งที่มีจำนวนยูนิตรวมกัน 1,306 ยูนิตเปิดตัวในปีพ.ศ. 2560 โดยแสดงการเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ135.7 จาก 554 ยูนิตในปีก่อนหน้า ในขณะเดียวกันอุปทานใหม่จากโครงการ 15  แห่งที่มียูนิตรวมทั้งสิ้น 5,876 ยูนิตเพิ่มเข้ามาในตลาดคอนโดฯระดับไพร์ม โดยแสดงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 135.8 ปีต่อปี   กราฟที่ 1 และ 2 อุปทานสะสมคอนโดมิเนียมระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์ม                     ซูเปอร์ไพร์ม                                                                            ระดับไพร์ม   ที่มา:  ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย     อุปสงค์ อุปสงค์ในปี พ.ศ. 2560 ตลาดคอนโดฯระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลง เนื่องจากมีปริมาณอุปทานสะสมอยู่ในตลาดเป็นจำนวนมาก ซึ่งผลลัพธ์จากปริมาณอุปทานที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลให้อัตราการครอบครองในตลาดซูเปอร์ไพร์มลดลงประมาณร้อยละ 14 ปีต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 67 ในขณะที่ความต้องการยูนิตระดับไพร์มมีอัตราการครอบครองเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 76.5ลดลงไปประมาณร้อยละ 2 ปีต่อปี แม้ว่าอัตราการครอบครองเฉลี่ยจะลดลงเนื่องจากมีปริมาณอุปทานสะสมอยู่ในตลาด แต่ปริมาณความต้องการตามข้อมูลสำรวจพบว่ายูนิตที่ขายออกต่อปีพุ่งสูงขึ้นทั้งในตลาดไพร์มและซูเปอร์ไพร์ม โดยก่อนหน้านี้มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดอยู่ที่ประมาณ  3,370  ยูนิตปีต่อปี โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 80  ยูนิตปีต่อปี นอกจากนี้ความต้องการของโครงการระดับไฮเอนด์ที่มีทำเลและรูปแบบที่ดียังคงเป็นที่น่าสนใจ โดยผู้ซื้อมักซื้อไว้เพื่อการอยู่อาศัยเองหรือเพื่อเก็งกำไรในระยะยาว   กราฟที่ 3 และ 4 อุปทาน อุปสงค์สะสมและอัตราการครอบครองของคอนโดฯระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์ม                        ซูเปอร์ไพร์ม                                                                         ระดับไพร์ม ที่มา:  ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย   แนวโน้มด้านราคา ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดฯระดับไพร์มและซูเปอร์ไพร์มที่เปิดตัวในปี พ.ศ. 2560 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 302,630 บาท/ตร.ม. และหากดูในแต่ละภาคตลาดย่อย จากผลสำรวจของไนท์แฟรงค์ประเทศไทย พบว่าราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรของคอนโดฯระดับซูเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 26 ปีต่อปี โดยมีราคาอยู่ที่  366,745 บาท/ตร.ม. ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดฯระดับไพร์มปรับขึ้นไปที่ 238,515 บาท/ตร.ม. เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8 ปีต่อปี ทั้งนี้ราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัย 2 ประการ ได้แก่ ราคาที่ดินที่สูงขึ้นในพื้นที่ย่านไพร์ม และความต้องการสะสมจากผู้ซื้อที่ชะลอการซื้อเมื่อปี พ.ศ. 2559   กราฟที่ 5   ราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตร   ที่มา:  ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย   แนวโน้มด้านอุปทาน เมื่อเร็วๆนี้ นักพัฒนาโครงการไม่เพียงแค่ร่วมมือกับบริษัทสถาปัตยกรรมและบริษัทก่อสร้างที่มีชื่อเสียงเท่านั้น แต่ยังร่วมดำเนินงานกับศิลปินระดับประเทศและต่างชาติที่มีชื่อเสียงหลายราย เพื่อรังสรรค์ออกแบบที่พักอาศัยระดับไพร์มและเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ในการใช้ชีวิตในเมือง โดยจะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน โครงการใหม่ๆ หลายแห่งออกแบบภายนอกอาคารให้มีความน่าสนใจ สวยงามและโดดเด่น ในขณะที่การออกแบบตกแต่งภายในเน้นความสร้างสรรค์และมีเอกลักษณ์ เลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพและเฟอร์นิเจอร์ที่ทันสมัย ยกตัวอย่างเช่นการออกแบบของดีไซน์เนอร์ชาวไทยและชาวต่างติที่มีชื่อเสียงบริเวณล็อบบี้หลักและพื้นที่ส่วนกลางของโครงการวิตโตริโอ สุขุมวิท 39 (VITTORIO Sukhumvit 39), เครื่องใช้ในครัวระดับไฮเอนด์ของ Gaggenau ที่ติดตั้งภายในโครงการสินธร ต้นสน (Sindhorn Tonson) และเฟอร์นิเจอร์จาก Ralph Lauren ในโครงการไนน์ตี้เอท ไวร์เลส (98  Wireless) ทั้งหมดนี้ถูกรังสรรค์เพื่อให้เหมาะกับการดำเนินชีวิตของกลุ่มผู้ซื้อเศรษฐี โดยโครงการคอนโดใหม่ๆ บางแห่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ห้องทำเล็บ, สปาและห้องนวด, สระว่ายน้ำสปา, และห้องรับประทานอาหารส่วนตัวที่มีพ่อครัวส่วนตัวจากโรงแรม 5 ดาวพร้อมให้บริการ                            
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกเติบโต 60% รับรู้รายได้ 962.1 ล้านบาท กำไรสุทธิ 182.2 ล้านบาท

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกเติบโต 60% รับรู้รายได้ 962.1 ล้านบาท กำไรสุทธิ 182.2 ล้านบาท

  บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) โชว์ศักยภาพแข็งแกร่งเหนือตลาดอย่างต่อเนื่อง ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2561 มียอดรับรู้รายได้ที่ 962.1 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 45% นับเป็นการขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องจากที่บริษัทสามารถเติบโตในระดับสูงกว่า 30% ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ในแง่ของกำไรสุทธิ บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ในไตรมาสแรกนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 182.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 60%   นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่า แม้บริษัท คาดการณ์ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 จะมีอัตราการเติบโตไม่มากนักราว 3-5% แต่ด้วยกลยุทธ์ที่วางเอาไว้ ประกอบกับการบริหารงานอย่างมืออาชีพ จึงมีความเชื่อมั่นว่าในปีนี้จะเป็นอีกปีที่บริษัทสามารถเติบโตได้สูงกว่าอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องเช่นเคย โดยในไตรมาสแรกนี้บริษัทมียอดรับรู้รายได้ที่ 962.1 ล้านบาท ซึ่งเติบโตได้ราว 45% ในขณะที่ยอดขายสามารถทำได้ราว 1,500 ล้าน นอกจากนี้ บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 39.9% ซึ่งสูงเป็นลำดับต้นๆ ของบริษัทในตลาดฯ ในส่วนของต้นทุนการขายและบริหาร บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ในไตรมาสแรกนี้บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 182.2 ล้านบาท ขยายตัวขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 60%   สำหรับการขยายธุรกิจ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปทั้งสิ้น 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท โดยในไตรมาสสองมีแผนที่จะเปิดอีก 1 - 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนธุรกิจในปีนี้ที่จะมีการเปิดโครงการใหม่ 8 – 10 โครงการ มูลค่ารวม 4,500 - 5,000 ล้านบาท ในแง่ของโครงสร้างเงินทุน แม้ว่าบริษัทจะมีการขยายธุรกิจอย่างมากในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทยังคงรักษาระดับ Gearing ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด โดย ณ สิ้นไตรมาสแรกนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.82 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.3 - 1.4 เท่า สะท้อนความแข็งแกร่งทางด้านการเงินของบริษัท และความพร้อมในการขยายธุรกิจของทางบริษัทได้เป็นอย่างดี   ทั้งนี้ตามมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติจัดสรรกำไรสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2560 โดยให้จ่ายปันผลทั้งปีในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท ซึ่งหากคิดจากราคาหุ้นของบริษัทในปัจจุบัน จะมี Dividend Yield อยู่ที่ราว 5.3 % ทั้งนี้บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.135 บาท ดังนั้นจะคงเหลือจ่ายปันผลเป็นเงินสด ในงวดนี้อีก 0.165 บาท ซึ่งได้จ่ายให้ผู้ถือหุ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา
ยิปซัม ตราช้าง จัดโปรโมชั่นสุดปังแจกกระเป๋าสะพายไปใส่รับทรัพย์รับฝน

ยิปซัม ตราช้าง จัดโปรโมชั่นสุดปังแจกกระเป๋าสะพายไปใส่รับทรัพย์รับฝน

“ยิปซัม ตราช้าง” กลับมาอีกแล้ว...กับโปรโมชั่นกระหน่ำชุ่มฉ่ำรับหน้าฝน  กับโปรสุดปังจัดให้อย่างเท่ห์ กับ ยิปซัม ตราช้าง” เมื่อซื้อแผ่นยิปซัมทุกชนิดครบ 26 แผ่นขึ้นไป หรือซื้อฝ้าทีบาร์ เปเปอร์ทัช ตราช้าง ทุกลายครบ 20 กล่อง รับทันทีกระเป๋าสะพายปรับลุคให้ดูเท่ห์แม้จะต้องพกพาสัมภาระเยอะๆ  ด้วยดีไซน์สุดเฟี้ยวมีให้สะสม 6 สี 6 แบบ เตรียมสะสมกันได้แล้วตั้งแต่วันนี้ – หรือจนกว่าของแถมจะหมด  ณ ร้านยิปซัมเอ็กซ์เพรส  ผู้แทนจำหน่ายเอสซีจี  และร้านขายวัสดุก่อสร้างระดับชั้นนำทั่วประเทศ   สามารถสอบถามข้อมูลการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนยิปซัมตราช้าง โทร. 02-555-0000 หรือ www.siamgypsum.com หรือ facebook fanpage:@GypsumTraChangTH”
จริงหรือ คน Gen Y นิยมเช่ามากกว่าซื้อ

จริงหรือ คน Gen Y นิยมเช่ามากกว่าซื้อ

Gen Y คือกลุ่มคนที่เกิดประมาณ พ.ศ.2523-2543 ปัจจุบันก็อยู่ในช่วงวัยเรียนมหาวิทยาลัยไปจนถึงวัยทำงาน โดยมีนักวิเคราะห์จากหลายแห่งต่างก็ลงความเห็นกันว่า กลุ่มคนวัยนี้มักจะมีพฤติกรรมชอบเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ด้วยตัวเอง มีความเป็นตัวของตัวเอง แบ่งเวลางานกับชีวิตส่วนตัวได้ดี แต่ก็ถูกปรามาสเอาไว้มากเหมือนกันว่ามักจะไม่ค่อยมี ความอดทน  ซึ่งด้วยช่วงอายุของคนวัยนี้ก็มักเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเหล่าสินค้าและบริการต่างๆ มากมาย รวมไปถึงคอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยวด้วย   ในความเป็นจริงแล้วถ้าเราจะไปตัดสินว่าใครมีพฤติกรรมเป็นอย่างไรก็คงจะถูกต้องไปเสียทั้งหมดจริงไหมคะ เพราะแต่ละคนก็มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันออกไป  และเมื่อพูดถึงในแง่ของการอยู่อาศัยคอนโดมิเนียม บางคนครอบครัวก็ซื้อให้เลยตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย บางคนทำงานได้ 2-3 ปีก็ตัดสินใจซื้อเอง ยิ่งเริ่มผ่อนเร็ว โปะเป็นบางช่วงก็ยิ่งหมดเร็ว เพราะระยะหลังมาหลายโครงการก็มีโปรโมชั่นยั่วยวนใจเหล่า First jobber เมื่อไม่นานมานี้เราได้ข้อมูลมาจากเจ้าหน้าที่สถาบันการเงินระดับสูงว่า กลุ่มคน Gen  Y ที่มีไลฟ์สไตล์แบบ คนเมืองกรุงเริ่มมีพฤติกรรมชอบเช่าคอนโดอยู่มากกว่าซื้อ และเมื่อหมดสัญญาเช่าก็เลือกย้ายไปอยู่คอนโดอื่นที่ใหม่กว่า แม้ราคาค่าเช่าจะแพงกว่าแต่ก็ไม่ต่างกันมาก เพราะโครงการใหม่ๆ ย่อมมีได้ดีไซน์สวย ส่วนกลางเพิ่มมากขึ้น ซึ่งตรงนี้ในมุมของ Developer ก็แข่งขันกันสร้างสรรค์พื้นที่ส่วนกลางให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกบ้าน ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นนี้เช่นกัน   ในแง่ของการยื่นกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เนื่องจากเด็กรุ่นใหม่นั่นมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง โดยเฉพาะแนวคิดที่ อยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เพื่อที่จะได้ไม่เป็นลูกน้องใคร มีอิสระด้านเวลามากขึ้น ซึ่งธุรกิจที่ได้รับความนิยมสูงสุด ก็คงหนีไม่พ้นร้านกาแฟ และการลาออกจากงานประจำมาขายของออนไลน์อย่างเต็มตัว โดยเมื่อไรที่กลุ่มคนเหล่านี้ จะทำเรื่องยื่นกู้สินเชื่อก็มักถูกปฏิเสธสูงกว่าคนรุ่น Gen X หรือสูงกว่าคน Gen Y ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนเสียอีก ซึ่งปัจจัยสำคัญคือเรื่องของวินัยทางการเงินที่แม้จะมีเงินหมุนเวียนอยู่ตลอด แต่ธนาคารอาจมองได้ว่า เป็นกระแสเงินสดที่ไม่ดีเท่าที่ควร เงินออมที่เป็นเงินเย็นจริงๆ ยังน้อยอยู่ ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าธนาคารจะปฏิเสธ ผู้ที่มีกิจการเล็กๆ เป็นของตัวเองไปเสียทุกรายนะคะ เพียงแต่จะเข้มงวดมากขึ้นเรื่องวินัยทางการเงินเท่านั้นเอง   สุดท้ายไม่ว่ากลุ่มคน Gen Y จะเลือกเช่าหรือซื้อ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปแน่ๆ นั่นคือพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างรวดเร็ว ชนิดที่ว่า Developer ต้องวิ่งให้ทันเพื่อครองใจให้อยู่หมัด ซึ่งสิ่งสำคัญคือคนวัยนี้มักจะไม่คล้อยตาม คำโฆษณาง่ายๆ ตราบใดที่ยังไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง แต่ถ้ามีอะไรที่มาตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างโดนใจ ก็อาจจะตัดสินใจได้ไม่ยากเช่นกันใช่ไหมคะ  
‘ทอสเท็ม’ นำเสนอ ‘บานประตูและประตูรั้วอะลูมิเนียมสำเร็จรูป’ รุ่นใหม่  ตอบโจทย์ความต้องการหลากหลายของผู้อยู่อาศัย

‘ทอสเท็ม’ นำเสนอ ‘บานประตูและประตูรั้วอะลูมิเนียมสำเร็จรูป’ รุ่นใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการหลากหลายของผู้อยู่อาศัย

  ทอสเท็ม (TOSTEM) ผู้นำอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมสำหรับอาคารที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและอาคารสูงในประเทศญี่ปุ่น ขอนำเสนอสามผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับงานดีไซน์ และก่อสร้างที่สมบูรณ์แบบ   ประตูหน้าต่างสำหรับอาคารสูง รุ่น GRANTS นวัตกรรมสุดล้ำของงานดีไซน์ด้วยการออก กับกรอบอะลูมิเนียมแบบกรอบบางแบบสลิม เพื่อเพิ่มพื้นที่กระจกให้เห็นทัศนียภาพได้มากขึ้น ออกแบบสำหรับการติดตั้งบนอาคารสูงโดยเฉพาะ มาพร้อมความแข็งแรงและประสิทธิภาพการป้องกันสูงสุด ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพด้วยมาตรฐานโลก ASTM ตอบโจทย์การออกแบบของดีไซเนอร์ได้เป็นอย่างดีด้วยแบบบานที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย   ประตูหน้าบ้าน รุ่น GIESTA ประตูลายไม้ เพิ่มรูปแบบและสีที่มีความหลากหลายมากขึ้น ติดตั้งระบบมือจับที่ใช้งานง่ายพร้อมระบบล็อกนิรภัยที่แน่นหนา ให้ความสะดวกสบายแก่ทุกสมาชิกครอบครัวและผู้มาเยี่ยมเยือน   ประตูรั้วอะลูมิเนียมสำเร็จรูป ผลิตจากอะลูมิเนียมคุณภาพสูงของทอสเท็ม ดีไซน์สไตล์มินิมอล แต่คงความทันสมัยและสวยงาม แข็งแรง น้ำหนักเบา ไม่เป็นสนิม ดูแลรักษาง่าย ติดตั้งง่าย  รองรับการติดตั้งทั้งระบบมอเตอร์ และรีโมต  
อนาคตที่อยู่อาศัยวัยเกษียณ ไม่ใช่แค่บ้านผู้สูงอายุ

อนาคตที่อยู่อาศัยวัยเกษียณ ไม่ใช่แค่บ้านผู้สูงอายุ

ที่ผ่านมาเราได้ยินคำว่า “สังคมผู้สูงอายุ” กันมาพักใหญ่ จนในปี 2561 นี้ประเทศไทยก็ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ขณะเดียวกันอัตราการเกิดใหม่ก็น้อยลงทุกปี สิ่งที่จะตามมาไม่เพียงแค่เรื่องของแรงงานวัยทำงานลดลงแล้วไปกระทบต่อ ภาพรวมเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เรื่องที่อยู่อาศัยก็สำคัญเช่นกัน เพราะฉะนั้นทุกวันนี้เราจึงเห็นโครงการที่อยู่อาศัย สำหรับวัยเกษียณเพิ่มมากขึ้นจากทั้งภาครัฐและเอกชนที่ต่างก็มองเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ โดยจะน่าสนใจอย่างไร ลองมาดูกันค่ะ   หลักเกณฑ์จากสหประชาชาติระบุว่า หากประเทศใดมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินร้อยละ 10 ของประเทศก็ถือว่า ประเทศนั้นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ซึ่งในประเทศไทยในปัจจุบันมีประชากรวัยเกษียณร้อยละ 14.5 โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นปีละอีก 500,000 คน/ปี(ข้อมูลจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล) เรื่องนี้หลายภาคส่วนก็เริ่มหันมาให้ความสำคัญไม่น้อยค่ะ จะเห็นได้จากหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นเพื่อผู้สูงอายุมากขึ้น เช่น สินค้าเพื่อสุขภาพ, โครงการบ้านที่เริ่มมีห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุ, การจัดอบรมให้ความรู้ต่างๆ, สถาบันการเงิน อย่างธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ออกสินเชื่อบุพเพสันนิวาส ผู้สูงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปสามารถยื่นกู้สินเชื่อ เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ซื้อที่ดิน ปลูกสร้าง ซื้ออุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย โดยสามารถผ่อนชำระได้ถึงอายุ 75 ปี ดอกเบี้ย 3.99% คงที่ 10 ปี เป็นต้น ในส่วนของที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุที่ผ่านมาเราจะชินกับคำว่าบ้านพักคนชรากันเสียมากกว่า แม้จะเป็นอีก หนึ่งทางเลือก ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่าสภาพแวดล้อมไม่ดีเท่าไรนักและไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเท่าที่ควร จึงไม่เป็นที่สนใจกันสักเท่าไรนัก แต่ปัจจุบันนี้เราคงต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่แล้วล่ะค่ะ เพราะหลายโครงการ ที่อยู่อาศัยใหม่ๆ สำหรับผู้สูงอายุน่าสนใจไม่แพ้คอนโดมิเนียมหรือบ้านจัดสรรยุคนี้เลยทีเดียว เริ่มตั้งแต่ศูนย์พัฒนา คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและส่งเสริมอาชีพระดับตำบล กระจายอยู่ 778 แห่งทั่วประเทศและกำลังจะมีการขยายเพิ่มอีก 400 แห่งภายในปีนี้เพื่อให้ผู้สูงอายุได้อยู่อาศัยไม่ไกลจากถิ่นที่อยู่เดิมมากนักจะมีการจัดกิจกรรมหลากหลายสำหรับฝึกสมอง ฝึกอาชีพ อีกทั้งในอนาคตก็จะมีโครงการฝากผู้สูงอายุไว้ที่ศูนย์ช่วงกลางวัน ลูกหลานจะได้หมดห่วงเวลาทำงานแล้ว ผู้สูงอายุจะต้องอยู่บ้านคนเดียว ช่วงเย็นก็สามารถไปรับกลับบ้านได้ ทางด้านสถานสงเคราะห์คนชราในปัจจุบันที่เดิมอยู่ในการดูแลของกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ได้ทำการโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดูแลต่อแล้วบางส่วน โดยมีโครงการพัฒนา ยกระดับจากสถานสงเคราะห์สู่ “ซีเนียร์คอมเพล็กซ์” แบบครบวงจร มีการควบคุมสถานที่ มีพยาบาลดูแลตลอด 24 ชม. ตลอดจนการดูแลผู้สูงอายุให้ได้ตามมาตรฐานที่ดี ตามที่ทางภาครัฐทำการศึกษาไว้จะออกมาในลักษณะ เป็นห้องชุดในอาคาร 5 ชั้น ซึ่งกำลังจะเปิดภาคเอกชนเข้ามาลงทุนภายในปีนี้   ส่วนภาคเอกชนก็มีทั้งโครงการสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ เช่น โครงการ Jin Wellbeing County จ.ปทุมธานี, โครงการวิลล่ามีสุข เรสซิเดนท์เซส อ.สันทราย จ.เชียงใหม่, โครงการเวลเนสซิตี้ บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น ซึ่งโครงการลักษณะนี้จะเน้นทำเลที่ใกล้กับโรงพยาบาล มีบรรยาการภายในโครงการปลอดโปร่งใกล้ชิดธรรมชาติ มีเจ้าหน้าที่ดูแลตลอดเวลา และโครงการที่อยู่อาศัยทั่วไปที่มีการออกแบบมาเพื่ออยู่กับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุอยู่ด้วย โดยใส่สิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น เช่น ห้องนอนชั้นล่างของบ้าน, ราวจับในห้องน้ำ, ปูพื้นด้วยกระเบื้องชนิดกันลื่น เป็นต้น   น่าชื่นใจนะคะที่สังคมหันมาให้ความสำคัญกันมากขึ้นหลังจากมองข้ามกันมานานพอสมควร หากเรามีมาตรการรองรับ ที่ดีเรื่องสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทยก็จะไม่ใช่ปัญหาตามมาภายหลัง    
RML จัดงาน “Raimon Land Property Showcase” 17-23 พ.ค.นี้

RML จัดงาน “Raimon Land Property Showcase” 17-23 พ.ค.นี้

มีข่าวดีมาบอก!! บมจ.ไรมอน แลนด์ (RML) เตรียมจัดงาน “Raimon Land Property Showcase” - “Every Day is Everything” ระหว่างวันที่ 17-23 พฤษภาคม 2561 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล แกรนด์ พระราม 9 ชั้น 6 ภายในงานลูกค้าจะได้พบกับส่วนลดสูงสุดถึง 1 ล้านบาท พร้อมส่วนลดสุดพิเศษ “ทุกยูนิต” รวมทั้งมอบคูปองเฟอร์นิเจอร์ จากโบคอนเซ็ปท์ (BoConcept) ดีไซน์จากเดนมาร์ก และเครื่องเสียงจากแบรนด์ มาร์แชล (Marshall) สัญชาติอังกฤษ มูลค่ารวมกว่าแสนบาท และสิทธิพิเศษอื่นๆอีกมากมาย เฉพาะการจองภายในงานนี้เท่านั้น ส่วนไฮไลท์ที่ภูมิใจนำเสนอให้จับจองเป็นเจ้าของคือโครงการ “The Lofts Asoke” เพราะไรมอน แลนด์ รู้ว่าทุกช่วงเวลาของการอยู่อาศัยเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย จึงตั้งใจ และพิถีพิถันที่จะมอบที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุด เพื่อให้ทุกๆ วันเต็มไปด้วยรัก และความอบอุ่นตลอดไป ด้วยทำเลทอง โดดเด่นสามารถตอบสนองการใช้ชีวิตในรูปแบบของคุณได้อย่างลงตัว ว้าวววววงานดีๆ แบบนี้จัดแค่ปีละครั้งเท่านั้น....ห้ามพลาด!! จร้าาาาาาาาา
สยามไฟเบอร์กลาส โชว์เทรนด์แผ่นโปร่งแสง เอสซีจี ลอนกันสาดรับหน้าฝน

สยามไฟเบอร์กลาส โชว์เทรนด์แผ่นโปร่งแสง เอสซีจี ลอนกันสาดรับหน้าฝน

  นายสลิล กันตนฤมิตรกุล ผู้จัดการส่วนการตลาด บริษัท สยามไฟเบอร์กลาส จำกัด ในกลุ่มธุรกิจเอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (SCG Cement-Building Materials) โชว์การนำแผ่นโปร่งแสง เอสซีจี ลอนกันสาด ที่ได้รับความนิยมในการนำมาตกแต่งพื้นที่ในส่วนต่อเติมต่าง ๆ อาทิ ที่นั่งเล่นเก๋ๆในสวน หลังคาทางเดินรอบบ้าน กันสาดและโรงรถ สำหรับกันแดด และรับมือกับหน้าฝน เอาใจคนชอบแต่งบ้านสไตล์มินิมอล สำหรับมุมโปรดที่มีพื้นที่ไม่มาก หรือมุมพิเศษที่ต้องการให้มีแสงสว่างส่องผ่าน ด้วยคุณสมบัติพิเศษของแผ่นโปร่งแสง เอสซีจี ลอนกันสาด UV Shield ที่ผลิตจากโพลิเอสเตอร์เรซินชนิดพิเศษ และไฟเบอร์กลาสคุณภาพสูง เคลือบฟิล์มประสิทธิภาพสูง 2 ด้าน ทำหน้าที่เสมือนเกราะป้องกันรังสียูวี ได้ถึง 99 % น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย อีกทั้งไม่ก่อให้เกิดการสะสมของคราบสกปรก ทนทานต่อทุกสภาพอากาศ ตอกย้ำนวัตกรรมการตกแต่งบ้าน ที่ทันสมัย ตอบโจทย์การออกแบบที่โดดเด่น ด้วยเฉดสีให้เลือกถึง 9 สี อาทิ สีขาวขุ่น สีน้ำเงิน และสีชา   โดยผู้ที่สนใจ สามารถเลือกชมสินค้าตัวอย่างหลังงานหรือขอรายละเอียดสินค้า และขอคำปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายการตลาด บริษัท สยามไฟเบอร์กลาส จำกัด โทร 02-5863888 หรือ 02-5862214
อสังหาฯ กรุงเทพฯ ปีจอยังคงมีแนวโน้มราคาที่โตต่อเนื่อง  นับเป็นโอกาสทองของผู้ซื้อ

อสังหาฯ กรุงเทพฯ ปีจอยังคงมีแนวโน้มราคาที่โตต่อเนื่อง นับเป็นโอกาสทองของผู้ซื้อ

ราคาบ้าน-คอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ยังคงโตต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงต้นปี หลังผู้ประกอบการ เล็ก-ใหญ่มั่นใจแนวโน้มตลาดปีจอประกาศเดินหน้าเปิดโครงการใหม่คึกคัก แม้ยอดอุปทานสูงขึ้นแต่ยังไม่ถึงขึ้นต้องหวั่นปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย จากรายงานดัชนีอสังหาริมทรัพย์ DDproperty Property Index ฉบับล่าสุด ซึ่งจัดทำโดย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์สื่อกลางซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยภายใต้การบริหารของพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป พบว่านับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2561 เป็นต้นมาตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครมีแนวโน้มเป็นบวก โดยดัชนีราคามีการปรับเพิ่มขึ้นจาก 205 จุด เป็น 213 จุดในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2561 (1Q61)สอดคล้องกับแนวโน้มการค่อยๆ ฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศที่คาดว่าจะมีการขยายตัวของ GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในปีนี้ราวร้อยละ 4.2 ซึ่งถือเป็นการขยายตัวในระดับเต็มศักยภาพ   หนึ่งในปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ นั่นคือต้นทุนการพัฒนาโครงการที่สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะในทำเลที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ดัชนีราคาบ้าน-คอนโดฯ ในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้นปรับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 213 ในช่วงระยะเวลาเพียง 3 ปี อัตราการเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากราคาที่ดินที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการในปัจจุบันเลือกที่จะพัฒนาโครงการแนวสูงในพื้นที่กรุงเทพฯ ในขณะที่โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์นั้นจะไปเปิดตัวอยู่ในโซนกรุงเทพฯ รอบนอกและชานเมืองแทน   นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า “ตลาดที่อยู่อาศัยของกรุงเทพฯ มีความน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยมูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้น และเป็นหนึ่งในทำเลที่บรรดานักลงทุนอสังหาฯ ให้ความสนใจจากผลตอบแทนการลงทุนที่มีความคุ้มค่า ซึ่งผู้ประกอบการเองก็เล็งเห็นในจุดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะยังเห็นการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ ในกรุงเทพฯ แม้แต่ในทำเลที่เราไม่คาดว่าจะยังมีที่เหลือสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ได้อีกก็ตาม โดยในช่วงที่ผ่านมา จะพบว่ามีบริษัทอสังหาฯ หรือทุนจากต่างชาติเข้ามาสู่ตลาดอสังหาฯ กรุงเทพฯ ในรูปแบบของการร่วมทุน (Joint Venture) พัฒนาโครงการบนทำเลที่มีศักยภาพในเขตกรุงเทพฯ อยู่หลายรายด้วยกัน โดยโครงการภายใต้การร่วมทุนเหล่านี้ เราจะพบว่าดีเวลลอปเปอร์จะให้ความสำคัญกับรายละเอียดของโครงการที่จะพัฒนาในทำเลที่น่าสนใจและตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายของตนให้มากที่สุด ซึ่งถือเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจ   โครงการรถไฟฟ้า-ระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐดันราคาพุ่ง  ในช่วงที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อศักยภาพของทำเลต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้แก่ การเดินหน้าพัฒนาโครงการระบบสาธารณูปโภคของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อสร้างส่วนต่อขยายโครงการรถไฟฟ้าหลากสีที่จะส่งผลให้มูลค่าที่ดินในพื้นที่นั้นๆ เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต   “การที่รัฐบาลเดินหน้าลงทุนในโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายต่างๆ ทำให้เกิดทำเลศักยภาพใหม่ๆ ขึ้นในกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียง ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา เรายังคงพบว่าจตุจักรยังคงเป็นเขตที่ดัชนีราคามีการปรับขึ้นสูงสุดที่ร้อยละ 10 และราคามีการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 80 ในช่วง 3 ปี โดยมีปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยในโซนนี้ถีบตัวสูงขึ้น นั่นคือ การก่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคตที่กำลังดำเนินการอยู่นั่นเอง” นางกมลภัทรกล่าว   อีกหนึ่งทำเลที่น่าจับตาก็คือ เขตดินแดง ซึ่งเป็นทำเลที่เชื่อมต่อกับเขตจตุจักร โดยในรอบ 1 ปี ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในเขตดินแดงมีการเติบโตถึงร้อยละ 39   คอนโดฯ ยังครองอสังหาฯ ยอดนิยม นอกจากนี้ รายงานดัชนีอสังหาฯ DDproperty Property Index ฉบับล่าสุดยังพบการเพิ่มขึ้นของอุปทาน (Supply) ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงปลายปี 2560 ราวร้อยละ 11 สะท้อนให้เห็นถึงการชะลอตัวของอัตราการดูดซับอุปทานในตลาดที่มีทั้งยูนิตคงค้างจากโครงการที่เปิดตัวในช่วงปีที่ผ่านมา รวมไปถึงยูนิตใหม่ๆ ที่ทยอยเข้าสู่ตลาด โดยในช่วงไตรมาส 1 อุปทานคอนโดฯ มีสัดส่วนสูงสุดหรืออยู่ที่ร้อยละ 89 ของอุปทานที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ทั้งหมด ซึ่งอสังหาฯ ประเภทดังกล่าวเป็นที่นิยมทั้งในฝั่งผู้ประกอบการที่ต้องเผชิญกับต้นทุนราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นมากในกรุงเทพฯ อีกทั้งยังเป็นอสังหาฯ ที่ผู้ซื้อในยุคปัจจุบันให้ความสนใจเนื่องจากตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน   วัฒนายังคงเป็นเขตที่มีจำนวนอุปทานคอนโดมิเนียมสูงที่สุด ราวร้อยละ 23 ของอุปทานคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ทั้งหมด ตามมาด้วยเขตคลองเตยและเขตราชเทวี ส่วนทำเลที่มีอุปทานทาวน์เฮ้าส์มากที่สุดในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาได้แก่ เขตลาดพร้าว ในขณะที่เขตประเวศมีอุปทานบ้านเดี่ยวมากที่สุด   “หากจะพูดว่าสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน เป็นจังหวะที่ดีของผู้ที่มีกำลังซื้อคงไม่ผิด ด้วยสินค้าในตลาดที่มีให้เลือกหลากหลาย ในขณะที่ผู้ประกอบการเองต่างก็แข่งขันกันออกแคมเปญและโปรโมชั่นต่างๆ มาดึงดูดใจผู้ซื้อมากมาย ผนวกกับอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำในปัจจุบันและแนวโน้มมูลค่าของอสังหาฯ ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต แม้อุปทานที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมีจำนวนค่อนข้างสูง แต่เชื่อว่ายังไม่อยู่ในระดับที่น่ากังวลถึงภาวะโอเวอร์ซัพพลายในอนาคตอันใกล้แต่อย่างใด” นางกมลภัทร กล่าวสรุป
‘เอพี ไทยแลนด์’ ปรับแผนธุรกิจปี 2561  เปิดตัว 43 โครงการ มูลค่า 64,750 ล้านบาท มากสุดตั้งแต่ก่อตั้ง  แจงผลประกอบการไตรมาสแรก รายได้รวมสูงกว่า 6,500 ล้านบาท

‘เอพี ไทยแลนด์’ ปรับแผนธุรกิจปี 2561 เปิดตัว 43 โครงการ มูลค่า 64,750 ล้านบาท มากสุดตั้งแต่ก่อตั้ง แจงผลประกอบการไตรมาสแรก รายได้รวมสูงกว่า 6,500 ล้านบาท

  เอพีเดินหน้าปรับแผนธุรกิจรับตลาดอสังหาฯ บูม ทั้งปี 2561 เปิดตัวโครงการใหม่มากถึง 43 โครงการ มูลค่า 64,750 ล้านบาท มูลค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ครึ่งปีหลังพร้อมรุกตลาดแนวราบด้วยกว่า 30 ทำเลใหม่ และคอนโด 3 ทำเลเด็ด พร้อมประกาศผลการดำเนิน งานไตรมาสแรกของปี 2561 เติบโตอย่างมั่นคง ยิ้มรับผลความสำเร็จทั้งจากสินค้าแนวราบ และคอนโดร่วมทุน ส่งผลให้มีรายได้รวมมากกว่า 6,500 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิโตขึ้น 47% หรือกว่า 800 ล้านบาท เชื่อจากผลการดำเนินงานที่ดีประกอบกับการปรับแผนธุรกิจรุกตลาดแนวราบมากยิ่งขึ้น จะสามารถสร้างยอดขายและยอดรับรู้รายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน     นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยทัศนะต่อแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาส 2 ว่า “ตลาดมีแนวโน้มการเติบโตดีขึ้นจากปัจจัยบวกหลายประการ กำลังซื้อในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีอยู่มากสถานการณ์โดยรวมของตลาดโดยเฉพาะสินค้าแนวราบมีสัญญาณ การตอบรับที่ดีมาก ยอดขายและยอดรับรู้รายได้ในฝั่งของสินค้าแนวราบของเอพีปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ดังนั้น เอพีจึงเดินหน้าปรับแผนธุรกิจด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มจากแผนเดิม ส่งผลให้แผนการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2561 นี้จะเป็นปีที่เอพีมีจำนวนโครงการเปิดตัวใหม่มากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท จำนวนทั้งสิ้น 43 โครงการ มูลค่า 64,750 ล้านบาท เป็นทาวน์โฮมจำนวน 21 โครงการ มูลค่า 18,550 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 17 โครงการ มูลค่า 20,800 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 25,400 ล้านบาท     สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบและคอนโดร่วมทุน (รวม 51% โครงการร่วมทุน) สูงถึง 6,533 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวมเท่ากับ 5,127 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิ (Net Profit) สูงกว่า 800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรเท่ากับ 549 ล้านบาท   ทั้งนี้ ความคืบหน้าทางด้านยอดขายไตรมาส 1 สามารถสร้างยอดขายได้แล้วถึง 10,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาราว 170% โดยสินค้าแนวราบเติบโตสูงถึง 64% หรือเท่ากับ 5,200 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมโตกว่า 7 เท่า หรือเท่ากับ 4,800 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 30 เมษายน 2561 เอพีสร้างยอดขายได้มูลค่า 12,290 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้แล้ว 37% ของเป้ายอดขายปี 2561 ที่ตั้งไว้ (เป้ายอดขาย 33,500 ล้านบาท)     สรุปจากการปรับเพิ่มแผนการเปิดตัวโครงการ ในปี 2561 จะเป็นปีที่บริษัทเปิดตัวโครงการมากที่สุดตั้งแต่จัดตั้งบริษัทมา โดยมีโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 43 โครงการมูลค่า 64,750 ล้านบาท โดยเปิดตัวไปแล้วจำนวน 7 โครงการ คงเหลือเปิดตัวในเดือนมิถุนายนอีก 1 โครงการ คือ บ้านกลางเมือง วัชรพล และเตรียมเปิดตัวในไตรมาส 3 จำนวน 16 โครงการ มูลค่า 29,000 ล้านบาท และในไตรมาส 4 จำนวน 19 โครงการ มูลค่า 25,380 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจากผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ประกอบกับการปรับแผนธุรกิจรุกตลาดแนวราบมากยิ่งขึ้น และคอนโดมิเนียมไฮไลท์ จะสามารถสร้างยอดขายและยอดรับรู้รายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน   ณ 30 เมษายน 2561 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ามากถึง 47,100 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 6,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 41,100 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2565
อนันดาฯ เตรียมจัดงาน Exclusive Open House โครงการ เวนิโอ สุขุมวิท 10 กับยูนิตพิเศษก่อนใคร!!

อนันดาฯ เตรียมจัดงาน Exclusive Open House โครงการ เวนิโอ สุขุมวิท 10 กับยูนิตพิเศษก่อนใคร!!

  *** ... โอกาสดีๆ กับโครงการคุณภาพในทำเลใจกลางเมืองย่านอโศก ที่พลาดไม่ได้ กับค่าย เฮลิกซ์ ในเครือ บมจ. อนันดาฯ ดีเวลลอปเม้นท์ ที่ครั้งนี้เตรียมจัดงาน Exclusive Open House เปิดชมห้องจริงวิวจริงได้ก่อนใคร กับคอนโดมิเนียม Premium Value Condominium แบบ Low Rise ภายใต้แบรนด์ เวนิโอ สุขุมวิท 10 (VENIO Sukhumvit 10) โดดเด่นด้วยทำเลและดีไซน์ในราคาที่คุณสามารถเป็นเจ้าของได้ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเพียง 600 เมตร จาก BTS สถานีนานา และ เพียง 750 เมตร จาก BTS สถานีอโศก ที่สามารถเชื่อมต่อ MRT สถานีสุขุมวิทได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด “LIVE BEYOND” การอยู่อาศัยที่เหนือระดับมีความเป็นส่วนตัวสูง เรียบหรูมีสไตล์ พบยูนิตพิเศษภายในงาน!! ในราคาเริ่มต้นเพียง 3.9 ล้าน* พร้อมเฟอร์นิเจอร์แต่งครบ ขนกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย!! พบกันวันที่ 26 พ.ค. นี้เท่านั้น ที่ Sales Gallery โครงการ เวนิโอ สุขุมวิท 10 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 316 2222 หรือเว็บไซต์ www.ananda.co.th ...***
ยูนิเวนเจอร์ โชว์รายได้ครึ่งปีแรก พร้อมส่ง 20 โครงการ ลุยตลาดอสังหาฯ

ยูนิเวนเจอร์ โชว์รายได้ครึ่งปีแรก พร้อมส่ง 20 โครงการ ลุยตลาดอสังหาฯ

ยูนิเวนเจอร์ เผยผลประกอบการไตรมาส 2/2561 มีรายได้รวม 4,844 ล้านบาท ทำให้ช่วงครึ่งปีแรก มีรายได้รวม 10,532 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับปีก่อน    นายวรวรรต ศรีสอ้าน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2/2561 (1 มกราคม 2561 – 31 มีนาคม 2561) บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 4,844 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%  โดยมีรายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 3,742 ล้านบาท คิดเป็น 77% ของรายได้รวม   โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบมีรายได้รวม 3,116 ล้านบาท มาจากโครงการของกลุ่มแผ่นดินทอง จำนวน 38 โครงการ และจากโครงการแนวสูง รายได้รวม 626 ล้านบาท จำนวน 7 โครงการ จากบริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดตัว โครงการ เซียล่า ศรีปทุม (CIELA Sripatum) ที่ตั้งอยู่ติดสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ตรงข้ามมหาวิทยาลัยศรีปทุม มีการเปิดขายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับอย่างดี สามารถทำยอดขายได้กว่า 80%   “ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ ในครึ่งปีหลัง (Backlog) รวม 6,093 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 4,340 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 1,753 ล้านบาท บวกกับยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่รับรู้รายได้ไปแล้วที่ 8,309 ล้านบาท โดยช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากยอดขายรอรับรู้ของโครงการแนวราบ และโครงการแนวสูงได้ประมาณ 4,764 ล้านบาท ส่วนยอดขายรอรับรู้ที่เหลืออีกจำนวน 1,329 ล้านบาทจะทยอยรับรู้ในปี 2562”   “นอกจากนี้ ยังมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งหลังปี 2561 อีก 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 26,900 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวสูง 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,600 ล้านบาท และโครงการแนวราบของกลุ่มบริษัทแผ่นดินทองอีก 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 22,300 ล้านบาท คาดว่าจะทำให้มียอดขายตรงตามเป้าอย่างแน่นอน” นายวรวรรต กล่าว   สำหรับรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าและธุรกิจโรงแรมรวมคิดเป็น 9% ของรายได้รวม หรือ 440 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจสังกะสีออกไซด์คิดเป็น 11% ของรายได้รวมหรือ 516 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเติบโตสูงที่สุด และรายได้ธุรกิจอื่นประมาณ 3% หรือ 146 ล้านบาท
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมไตรมาส 1 ปี 2561

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมไตรมาส 1 ปี 2561

  จากผลวิจัยไนท์แฟรงค์ประเทศไทย เผยว่าภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพยังคงสดใส จากอานิสงค์ของการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าและไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายยิ่งขึ้นในการใช้ชีวิต โดยในปี 2560 มียูนิตใหม่เข้าสู่ตลาดทั้งหมด 62,751 หน่วย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 19% ในขณะที่ยอดขายเฉลี่ยรวมทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 76% ขยายตัวจาก 74% ในปี 2559 ทำเลที่ได้รับความนิยมสูงสุดยังคงเป็นแนวรถไฟฟ้าโดยเฉพาะสายสีเขียวอ่อนและสายสีน้ำเงิน สำหรับ CBD สุขุมวิทยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีคอนโดมิเนียมใหม่เข้ามาประมาณ 11,000 ยูนิต รองลงมาคือวิทยุ สีลม สาทร 2,300 ยูนิต และพระราม 4 จำนวน 817 ยูนิต ส่วนทำเลนอกเขต CBD ที่ได้รับความสนใจสูงสุดจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้แก่ พระราม 9 – รัชดาภิเษก, พหลโยธิน, ลาดพร้าว, และอ่อนนุช – แบริ่ง โดยมียูนิตใหม่เข้ามาในพื้นที่ข้างต้นประมาณ 19,000 หน่วย   เมื่อสำรวจยอดขายในปี 2560 ของแต่ละทำเลพบว่า CBD และพื้นที่โดยรอบ มียอดขายเฉลี่ย 78% และ 71% ตามลำดับ ในขณะที่โครงการใหม่ย่านชานเมืองสามารถทำยอดขายเฉลี่ยทั้งปีได้ประมาณ 80% สะท้อนความมั่นใจของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดเป็นอย่างดี ส่วนราคาขายต่อตารางเมตรปรับตัวสูงขึ้นในทุกทำเล โดยเฉพาะ CBD ซึ่งมีแปลงที่ดินที่เหมาะสำหรับพัฒนาโครงการใหม่ๆเหลืออยู่จำกัด ส่งผลให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้น และสะท้อนออกมาในราคาขาย โดยโครงการใหม่ใจกลางเมืองทำเล CBD มีราคาขายเฉลี่ยต่อ ตร.ม. อยู่ที่ 248,267 บาท รอบเขต CBD เฉลี่ย 131,521 บาทต่อ ตร.ม. และราคาขายเฉลี่ยต่อ ตร.ม. ของโครงการใหม่ย่านชานเมืองอยู่ที่ 79,871 บาท ราคาเพิ่มจากปี 2559 คิดเป็น 8.6%, 1.2% และ 6.5% ตามลำดับ   สำหรับไตรมาส 1 ปี 2561 มีคอนโดมิเนียมใหม่เข้าสู่ตลาดทั้งสิ้น 12,563 หน่วย เฉพาะยูนิตที่เข้ามาใหม่นี้มียอดขายเฉลี่ยประมาณ 55% โดยกว่าครึ่งหนึ่งเปิดตัวในเดือนมีนาคม 2561 ส่วนราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อ ตร.ม.ใน CBD และพื้นที่โดยรอบ หดตัวจากไตรมาส 1 ปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากโครงการที่เปิดตัวใหม่ไตรมาสนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่โดดเด่นน้อยกว่าและจัดอยู่ในเกรดต่ำกว่า อย่างไรก็ตามราคาเสนอขายเฉลี่ยของโครงการใหม่ย่านชานเมืองมีอัตราการเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่ 110,353 บาท/ตร.ม. เพิ่มขึ้น 61% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2560 และเพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับปี 2560 ทั้งปี ทั้งนี้เนื่องจากที่ดินในเมืองเหลือน้อยบวกกับราคาที่ดินมีแนวโน้มทะยานขึ้นเรื่อยๆ ผู้ประกอบการหลายรายจึงหันไปให้ความสนใจทำเลรอบนอกมากขึ้น โดยในไตรมาสนี้มีโครงการระดับบนซึ่งราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อ ตร.ม.มากกว่า 110,000 บาทขึ้นไป เปิดตัวในทำเลชานเมืองถึง 6 โครงการ ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยต่อ ตร.ม. ในพื้นที่นี้สูงขึ้นกว่าทุกๆปีที่ผ่านมา   แนวโน้มตลาดปีนี้คาดว่าย่านชานเมืองและพื้นที่รอบ CBD ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ทั้งในด้านราคาอสังหาฯ และการตอบรับจากผู้บริโภค โดยเฉพาะโครงการทำเลติดแนวรถไฟฟ้า หรืออยู่ห่างรถไฟฟ้าในระยะทางไม่เกิน 1 กิโลเมตรซึ่งยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลางในตลาด ทั้งนี้จากการสำรวจของฝ่ายวิจัยไนท์แฟรงค์ประเทศไทย พบว่ายังมีอีกหลายโครงการจากผู้พัฒนาโครงการ ชั้นนำเตรียมทยอยเปิดตัวใน CBD ในไตรมาสที่เหลือของปี 2561 นี้ ซึ่งต้องจับตามองว่าราคาของโครงการใหม่จะทำให้ราคาเสนอขายเฉลี่ย/ตร.ม.ของคอนโดมิเนียมใน CBD กลับมาอยู่ที่จุดใกล้เคียงหรือสูงกว่าปี 2560 หรือไม่   อุปทาน อุปสงค์ และอัตราการขายสะสมของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2552 – ไตรมาสที่ 1 ปี 2561   ที่มา: ฝ่ายวิจัยไนท์แฟรงค์ประเทศไทย   ราคาเสนอขายเฉลี่ย/ตร.ม.ของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ แยกตามอุปทานรายปี ตั้งแต่ปี 2552 – ไตรมาสที่ 1 ปี 2561   ที่มา: ฝ่ายวิจัยไนท์แฟรงค์ประเทศไทย    
ราคาสุดฮ็อต “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น”  คอนโดพร้อมอยู่ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย  คุ้มค่าที่สุดในย่านแจ้งวัฒนะ เริ่มเพียง 990,000 บ.!!!

ราคาสุดฮ็อต “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น” คอนโดพร้อมอยู่ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย คุ้มค่าที่สุดในย่านแจ้งวัฒนะ เริ่มเพียง 990,000 บ.!!!

  19 พฤษภาคมนี้ พฤกษา จัดงาน Open House เปิดจอง “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น” คอนโดพร้อมอยู่ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย ชมห้องจริง วิวจริง พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษ ส่วนลด และลุ้นรับโชคใหญ่ฮอนด้าแจ๊ซ 25คัน ชิมอาหารจากร้านดังย่านอารีย์ เปิดจองราคาสุดพิเศษเฉพาะในงาน เริ่มเพียง 990,000 บาท     นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  “ในวันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคมนี้ จะมีงาน Open House เปิดจองห้องชุด โครงการ “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น” ซึ่งเป็นคอนโดพร้อมเข้าอยู่ โดยในงานจะมีโปรโมชั่นพิเศษ ทั้งส่วนลด และรับสิทธิ์ลุ้นเป็นเจ้าของรถยนต์ฮอนด้าแจ๊ซ 25 คัน จากแคมเปญฉลองครบรอบ 25 ปีพฤกษา และยังมีร้านอาหารเจ้าดังจากย่านอารีย์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งรวมของอาหารจานเด็ดมาให้ชิมกันอีกด้วย    ถือเป็นโอกาสดีสำหรับลูกค้าที่มองหาที่อยู่อาศัยในย่านนี้   โดยโครงการพลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น เป็นคอนโดมิเนียมโครงการเดียวที่มี Community Mall ในโครงการ และมีพื้นที่ส่วนกลางใหญ่ที่สุดบนถนนแจ้งวัฒนะ  นอกจากนี้ จุดเด่นยังอยู่ที่ทำเลของโครงการที่อยู่ติดถนนแจ้งวัฒนะ เดินทางได้สะดวกสบาย เข้าออกโครงการได้หลายเส้นทางทั้งแจ้งวัฒนะ พหลโยธิน และวิภาวดีรังสิต   ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย ได้แก่ สายสีชมพู (ศูนย์ราชการ-มีนบุรี)  สายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) และสายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ซึ่งเมื่อเปิดใช้บริการในอนาคตจะเป็นจุดเชื่อมต่อ (Interchange) ที่สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพ ฯ  และที่พิเศษสุด คือทางโครงการจะเปิดจองด้วยราคาพิเศษ เฉพาะในวันงาน เริ่มเพียง 990,000 บาทเท่านั้น  ซึ่งเป็นราคาที่คุ้มค่าที่สุดในย่านนี้”     “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น” ออกแบบภายใต้แนวคิด “สุขทุกทิศ ชีวิตมีครบ” ดีไซน์ของตัวอาคารได้รับแรงบันดาลใจจากการผสมผสานสถาปัตยกรรมร่วมสมัยสไตล์ฝรั่งเศส สะท้อนภาพลักษณ์ของผู้อยู่อาศัยที่มีความชอบที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์  พัฒนาเป็นอาคารสูง 8 ชั้น (Low Rise) ประกอบด้วยห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 23 ตร.ม. และ 26.5 ตร.ม. และ แบบ 2 ห้องชุดรวมกัน พื้นที่ใช้สอย 46 ตร.ม. พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ให้มากกว่า ครบครันกว่า อาทิ สระว่ายน้ำ 3 สระ สระว่ายน้ำเด็ก จากุซซี่ ห้องฟิตเนส  ห้องสมุด ห้องเกมส์ที่มาพร้อมโต๊ะพูลและโต๊ะฟุตบอล หรือหากคุณเป็นคนที่ชอบกิจกรรมกลางแจ้ง โครงการก็จัดเตรียม ฟิตเนสกลางแจ้ง Jogging Track และPavilion พร้อมสวนพักผ่อน  ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรักสุขภาพ และที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร คือร้านค้าหลากหลายซึ่งเป็น Community Mall ในโครงการ ให้คุณใช้ชีวิตได้สะดวกสบาย  ปัจจุบันโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ สามารถเข้าอยู่อาศัยได้ทันที ชมห้องจริง วิวจริง ได้แล้ววันนี้ที่โครงการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 1739 หรือ plum.pruksa.com.
“ORI” โชว์ผลงานไตรมาส 1/61 สุดกระหึ่ม กำไรโตทะลุ 184%

“ORI” โชว์ผลงานไตรมาส 1/61 สุดกระหึ่ม กำไรโตทะลุ 184%

  นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์พาร์ค (PARK) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์ บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2561 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,473.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 182% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2560 (%YoY) สาเหตุหลักมาจากบริษัทรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมต่อเนื่องจากปี 2560 จำนวน 18 โครงการ และมีโครงการใหม่ที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในเดือนมีนาคม ปี 2561 เพิ่มอีก 1 โครงการ คือ โครงการ KnightsBridge Tiwanon นอกจากนี้บริษัทยังสามารถสร้างยอดขาย Presale ไตรมาสแรกได้ประมาณ 5,090 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 255% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการนำเสนอโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า   สำหรับกำไรสุทธิประจำไตรมาส 1/2561 อยู่ที่ 488.6 ล้านบาท เติบโตขึ้น 184% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ระดับร้อยละ 19.8 ซึ่งสูงขึ้นกว่าไตรมาส 1 ปี 2560 ที่ร้อยละ 19.6 อันเนื่องมาจากโครงการใหม่แล้วเสร็จรับรู้รายได้ได้ตามแผน และความสามารถในการทำกำไรขั้นต้น รวมถึงการรับรู้รายได้จากการบริหารโครงการที่ร่วมลงทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด จากญี่ปุ่น ทำให้ทั้งรายได้และกำไรของบริษัทในไตรมาสนี้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง   ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/2561 บริษัทได้เปิดตัวคอนโดมิเนียม 3 โครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ “ไนท์บริดจ์” ได้แก่ 1.ไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน (Knightsbridge Space Ratchayothin) 2.ไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 9 (Knightsbridge Space Rama 9) และ 3.ไนท์บริดจ์ คอลลาจ สุขุมวิท 107 (Knightsbridge Collage Sukhumvit 107) รวมมูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท โดยสามารถกวาดยอดขายรวมกว่า 70% หรือคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 4,200 ล้านบาท   นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2561 นี้ บริษัทมีแผนจะเปิดโครงการใหม่รวมมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ทำให้ในช่วงอีก 3 ไตรมาสที่เหลือ บริษัทยังมีโครงการที่โดดเด่นรอเปิดตัวอีกมูลค่ากว่า 24,000 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงโครงการมิกซ์ยูสภายใต้แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น 3 ทำเล ซึ่งถือเป็นโครงการไฮไลท์ของบริษัทในปีนี้ รวมถึงโครงการแนวราบที่จะเปิดตัวเพิ่มอีก 3-4 โครงการ   “เรามั่นใจว่าการมีแบ็กล็อกคุณภาพตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับการดำเนินงานที่เป็นไปตามแผน จะช่วยให้ปีนี้บริษัทมียอดขายทะลุ 20,000 ล้านบาท และมีรายได้ถึง 15,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน” นายพีระพงศ์ กล่าว   บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 46 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 65,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
เอสบี เดินหน้าสร้างเครือข่ายผ่านโซเชียลมีเดีย หวังขยายฐานลูกค้าเพิ่ม

เอสบี เดินหน้าสร้างเครือข่ายผ่านโซเชียลมีเดีย หวังขยายฐานลูกค้าเพิ่ม

  คุณธัญญรักข์ ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ กล่าวว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะพัฒนาการของเทคโนโลยีและอุปกรณ์การใช้งานของลูกค้าที่สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งค่อนข้างมีผลกับ เอสบี ดังนั้นจึงต้องพัฒนาระบบดิจิตอลทุกแพลตฟอร์ม เพราะเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด สมัยก่อนอาจจะมีโฆษณาทีวีหรือนิตยสาร แต่วันนี้ต้องมีทั้งออนไลน์และออฟไลน์ไปพร้อมๆ กันเพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม่ว่าจะบนเว็บไซต์หรือที่สาขาก็ทำได้หมด ช่วยให้ Customer journey หรือกระบวนการเดินทางของลูกค้า ตั้งแต่พบสินค้า ค้นหาข้อมูล ไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว   “การเปลี่ยนแปลงตรงนี้ เอสบี ต้องปรับตัวในการทำงาน จะทำอย่างไรให้การสื่อสารกับลูกค้าเกิดขึ้นได้ทุกขณะ เป็นเหตุให้เราพัฒนาแพลตฟอร์ม (Platform) ต่างๆ เช่น Facebook Fanpage ที่มีผู้ติดตามกว่า 8 แสนคน ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ สร้างบทความในการสื่อสารกับลูกค้า (Online Content ) เช่น แต่งบ้านสวยในงบประมาณจำกัดได้อย่างไร, ไอเดียรื้อครัวเก่าแต่งครัวใหม่ ฯลฯ เรามีบทความต่างๆ เพื่อเป็นเทคนิคและสร้างแรงบันดาลใจให้กับลูกค้า รวมทั้งมีรูปแบบในการแต่งบ้านหลายๆ แบบให้ลูกค้าเลือก”   คุณธัญญรักข์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนเว็บไซต์ของ www.sbdesignsquare.com ที่มี Page View มากกว่า 3 ล้านครั้งต่อเดือน เปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังใหญ่ มีทั้งข้อมูลสินค้า ขนาด การใช้งานของสินค้า และยังมีรูปของการตกแต่งเพื่อให้ลูกค้าเลือกชม ทำให้มั่นใจได้ว่าการทำ Online Content ของ เอสบี สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างทั่วถึง ล่าสุดก็คือ LINE Official Account ที่มีคนติดตามถึง 4 ล้านกว่าคน เพื่อสื่อสารในเรื่องกิจกรรม โปรโมชั่นพิเศษต่างๆ ยุคนี้เราต้องเกาะติด ทำอย่างไรให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ตลอดเวลา   สำหรับเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ บอกว่า เราอยู่ในธุรกิจของเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่ง หนึ่งในกลยุทธ์ของเราปีนี้คือการสร้าง Designer Connect เพราะเราพบว่าอินทีเรียดีไซน์เนอร์เป็นคนที่มีอิทธิพลในเรื่องของเทรนด์ และการสร้างแรงบันดาลใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่ เอสบี ได้เห็นความสวยงามในพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน โรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร ฯลฯ จึงอยากรวบรวมผลงานของอินทีเรียดีไซน์เนอร์มาเผยแพร่บนเว็บไซต์ของ SB Design Square ภายใต้แคมเปญ 52 WEEKS OF DESIGN by SB DESIGN SQUARE ในเว็บไซต์จะมีรูปผลงานการออกแบบของอินทีเรียดีไซน์เนอร์ บทสัมภาษณ์เกี่ยวกับการออกแบบ วิธีการทำงาน และมี Décor Ideas ที่ให้คำแนะนำเรื่องการตกแต่งบ้านผ่านมุมมองการตกแต่งของอินทีเรียดีไซน์เนอร์ทั้งหมด 52 ท่าน มาสลับสับเปลี่ยนให้อ่านสัปดาห์ละ 1 ท่าน โดยเริ่มตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นปี 2561   แน่นอนที่สุดว่านอกจากสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ชื่นชอบการแต่งบ้านแล้ว แคมเปญนี้ยังเป็นการขยายฐาน สู่ลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เป็นอินทีเรียดีไซน์เนอร์ ดังนั้น เอสบี จึงเปิดตัว SB Designer Club ที่นับเป็นกลยุทธ์ต่อเนื่อง เพื่อมอบสิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของส่วนลดพิเศษ การสะสมคะแนนจากยอดซื้อสินค้า และมีทีม Pro Service ไว้คอยช่วยประสานงานช่วยดูแลโปรเจคเสมือนเป็นผู้ช่วยของเหล่าอินทีเรียร์ดีไซน์เนอร์อีกด้วย เพื่อให้การทำงานโปรเจคต่างๆ ง่ายขึ้น   “เมื่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่มีการเปลี่ยน การปรับตัวเพื่อรองรองรับความต้องการเป็นสิ่งที่เราต้องทำ พร้อมมองหาช่องทางใหม่ๆ ในการทำตลาด คือสิ่งที่จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโต” คุณธัญญรักข์ กล่าว”
พฤกษา ปลื้ม! ผลงานไตรมาสแรกดีตามคาด  เติบโตทั้งรายได้และกำไร

พฤกษา ปลื้ม! ผลงานไตรมาสแรกดีตามคาด เติบโตทั้งรายได้และกำไร

พฤกษา เรียลเอสเตท ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์ โชว์ผลงานไตรมาสแรก 2561 ทำรายได้รวม 8,352 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิ 862 ล้านบาท โตเพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 3.6% และ 26.6% ตามลำดับ มุ่งรักษาตำแหน่งผู้นำอสังหาฯ ลุยเปิดโครงการใหม่ตามแผนทั้งปี 77 โครงการ ออกแคมเปญ 25 ปี แจกรถยนต์ฮอนด้าแจ๊ซ 25 คัน กระตุ้นยอดขาย ควบคู่การสร้างแบรนด์พฤกษาให้เป็นแบรนด์ “ที่หนึ่งในใจคนไทย ที่หนี่งในตลาด”   นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1 ประจำปี 2561 ว่า “ในไตรมาสแรก บริษัทฯ มียอดขายรวม 12,696 ล้านบาท คิดเป็น 24% ของเป้ายอดขายรวมทั้งปีที่ 53,742 ล้านบาท และมีรายได้รวม 8,352 ล้านบาท และกำไรสุทธิรวม 862 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ 3.5% และ 26.6% ตามลำดับ ซึ่งในส่วนของรายได้และกำไรที่เพิ่มสูงขึ้นมาจากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมในกลุ่มแวลูหลายโครงการ ถือว่าผลการดำเนินงานโดยรวมเป็นที่น่าพึงพอใจ โดยไตรมาสแรกที่ผ่านมาเปิดโครงการใหม่แล้ว 15 โครงการ มูลค่า 9,800 ล้านบาท แบ่งเป็น ทาวน์เฮาส์ 10 โครงการ บ้านเดี่ยว 4 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) รวมอยู่ที่ 31,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2560 อยู่ที่ 16% โดยจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 15,021 ล้านบาท และมีโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขาย จำนวน 188 โครงการ มูลค่า 96,129 ล้านบาท     สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ ยังเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้คือ 77 โครงการ มูลค่า 67,800 ล้านบาท ทั้งในกลุ่มธุรกิจแวลู และพรีเมียม มั่นใจว่าจะเปิดขายทุกโครงการได้ตามเป้าเนื่องจากมีที่ดินที่พร้อมพัฒนาโครงการแล้ว นอกจากนี้ยังออกแคมเปญฉลองครบรอบพฤกษา 25 ปี แจกรถยนต์ฮอนด้าแจ๊ซ 25 คัน เพื่อกระตุ้นยอดขายและคืนกำไรให้กับลูกค้า ควบคู่ไปกับสร้างแบรนด์พฤกษาให้เป็น “Trust Mark Brand” โดยล่าสุดได้ทำการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 25 ปี พร้อมเปิดตัว “ตูน” (อาทิวราห์) ในฐานะ Brand Endorser ของพฤกษา เพื่อสื่อสาร Brand Purpose สะท้อนความตั้งใจของพฤกษาที่อยากจะทำสิ่งดีๆ ให้กับลูกค้า ซึ่งหลังจากการเปิดตัว “ตูน” ผ่านสื่อต่างๆ ก็ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างดีเยี่ยม เรียกได้ว่าเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ในวงการอสังหาริมทรัพย์เลยก็ว่าได้”   และก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เพิ่มกลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท ทาวน์เฮาส์ เป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจ จากเดิมที่มีการแบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจแวลู และกลุ่มพรีเมียม โดยมี นายธีรเดช เกิดสำอางค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ เป็นผู้ดูแลกลุ่มสินค้าทาวน์เฮาส์ทั้งหมด สำหรับกลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ ยังถือเป็นพอร์ตหลักของพฤกษา ในปีนี้ทาวน์เฮาส์มีแผนเปิดโครงการใหม่มากถึง 44 โครงการ โดยปัจจุบันกลุ่มสินค้าทาวน์เฮาส์ มีการนำนวัตกรรมก่อสร้างใหม่ๆ มาใช้ ทำให้บ้านมีคุณภาพมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้รอบธุรกิจสั้นลง ซึ่งสามารถทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ปีนี้เป็นต้นไป โดยในปีนี้จะรุกตลาดต่างจังหวัดมากขึ้นโดยเฉพาะในเขต EEC และจังหวัดที่เป็นหัวเมืองท่องเที่ยวและนิคมอุตสาหกรรม เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ รวม 13 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีแผนขยายไปทาวน์เฮาส์ในระดับราคา 5-7 ล้านให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าวคาดว่าจะช่วยให้พฤกษา สามารถบรรลุเป้าหมายยอดขายและรายได้ตามที่ตั้งไว้
ทำความเข้าใจกับสีฟอกอากาศ นวัตกรรมเพื่อบ้านสมัยใหม่

ทำความเข้าใจกับสีฟอกอากาศ นวัตกรรมเพื่อบ้านสมัยใหม่

ด้วยสภาพอากาศของประเทศไทยที่มีฝุ่นควันสะสมเกินมาตรฐานในช่วงปีที่ผ่านมา หลายๆ คนจะมุ่งไปที่การหลีกเลี่ยงการเผชิญกับมลพิษนอกบ้านเป็นหลัก แต่หารู้ไม่ว่าภายในบ้านนั้นก็อาจมีมลพิษที่ส่งผลต่อสุขภาพเช่นกัน เพราะบ้านที่มีการทาสีใหม่ ตกแต่งด้วยพรม และมีการเปิดเครื่องปรับอากาศต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ อากาศจะไม่ถ่ายเท ทำให้มีสารพิษและไรฝุ่นกระจายในห้อง เด็กหรือผู้สูงอายุในบ้านอาจมีอาการของโรคภูมิแพ้หรือหอบหืดได้ จากสถิติล่าสุดของสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทยพบว่า เด็กไทยกว่าร้อยละ 38 และผู้ใหญ่ร้อยละ 20 เป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึง 3-4 เท่า เมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา     นวัตกรรมเกี่ยวกับบ้าน ปัจจุบันมีนวัตกรรมที่เกี่ยวกับบ้านออกมาหลากหลาย เช่น หลังคาลดความร้อน พื้นผิวบ้านที่ลดการเกาะของน้ำ เป็นต้น และหนึ่งในนั้นคือสีฟอกอากาศที่ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้คนให้ความสนใจ ถึงแม้จะไม่ได้ทำหน้าที่เช่นเครื่องฟอกอากาศ แต่นวัตกรรมในตัวสีสามารถช่วยสลายมลพิษและสารระเหยที่เป็นอันตรายในอากาศได้ ดาว ประเทศไทย บริษัทชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์ เป็นหนึ่งในผู้วิจัยและพัฒนานวัตกรรม binder สำหรับอุตสาหกรรมสีทาอาคาร เพื่อให้มีคุณสมบัติแห้งไว ทาง่าย เช็ดล้างได้ ทนทาน สะท้อนความร้อน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีการร่วมมือกับลูกค้าในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ป้อนเข้าสู่ตลาด เพื่อนำเสนอโซลูชั่นให้กับผู้บริโภค     กระบวนการฟอกอากาศของสี Binder ที่มีคุณสมบัติพิเศษซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของสี คือตัวที่ทำให้สีมีคุณสมบัติโดดเด่นในการช่วยฟอกอากาศ เช่น เทคโนโลยี FormaShield™ Acrylic Emulsionจาก ดาว ที่มีข้อดีคือ กลิ่นไม่รุนแรง ไม่มีแอมโมเนียและสารฟอร์มัลดิไฮด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ตัววัตถุดิบจะทำปฏิกิริยากับสารพิษบางชนิดในอากาศ เพื่อช่วยให้อากาศภายในบ้านดีขึ้น และยังช่วยกำหนดคุณภาพของสีให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด กระบวนการฟอกอากาศในผลิตภัณฑ์สีที่ใช้เทคโนโลยีFormaShield™ Acrylic Emulsion เมื่อสารพิษในอากาศมาสัมผัสกับผนังจะทำปฏิกิริยาให้สารพิษกลายเป็นไอน้ำ ทำให้อากาศในบ้านสะอาดและบริสุทธิ์ และยังมีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติมคือสามารถเช็ดล้างคราบสิ่งสกปรกออกได้ง่าย ทำให้ผนังดูสะอาดและใหม่อยู่เสมอ   นี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างของนวัตกรรมด้านวัสดุศาสตร์ที่ให้ประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน ที่ ดาว ประเทศไทย ได้มีส่วนร่วมในการคิดค้นและพัฒนา ความรู้ในสาขาวัสดุศาสตร์กำลังเดินหน้าไปในทิศทางใหม่ เพราะทรัพยากรที่เหลือน้อยลงเรื่อยๆ ส่งผลให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ และการคิดนอกกรอบ เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติโดดเด่น ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีที่สำคัญและจำเป็นในระยะ 10 ปีต่อจากนี้ของประเทศไทยในการผลักดันโมเดลไทยแลนด์ 4.0 เพื่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว