Tag : News

2376 ผลลัพธ์
ชาญอิสสระ พร้อมเปิดสัมผัสประสบการณ์ซูเปอร์ลักชัวรี่ ณ “บ้านอิสสระ บางนา”

ชาญอิสสระ พร้อมเปิดสัมผัสประสบการณ์ซูเปอร์ลักชัวรี่ ณ “บ้านอิสสระ บางนา”

นายสงกรานต์ อิสสระ (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ. ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ พร้อมด้วย นางธีราภรณ์ ศรีเจริญวงศ์ (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการบริษัท ซี.ไอ.เอ็น เอสเตท จำกัด, นายปสันน สวัสดิ์บุรี (แรกซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.ไอ.เอ็น เอสเตท จำกัด ร่วมเปิดตัวบ้านตัวอย่าง โครงการ “บ้านอิสสระ บางนา” บ้านเดี่ยวสุดหรู ที่มาพร้อมดีไซน์ ฟังก์ชัน โดดเด่นเหนือระดับ ภายใต้คอนเซปต์ “ความภูมิใจ The New Legacy Of Freedom” ซึ่งเปิดให้เข้าชมแล้ววันนี้ ณ โครงการบ้านอิสสระ โดยมีนายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี ประเทศไทย จำกัด นางสาวกรัชเพชร อิสสระ ที่ปรึกษาด้านการตลาด บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ และนายเมธินทร์ จันทรอุไร กรรมการบริหาร บริษัทสถาปนิก 49 จำกัด ร่วมงาน ณ โครงการบ้านอิสสระ บางนา ถนนบางนา-ตราด กม.8 เมื่อเร็วๆนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โครงการ “บ้านอิสสระ บางนา” โทร. 095 207 9235-7 หรือ ISSARABANGNA@CBRE.co.th และ www.charnissara.com
“ออริจิ้น” เปิดตัว “วัน ออริจิ้น” ติดเครื่องธุรกิจโรงแรมและมิกซ์ยูส  ตั้งเป้า 5 ปี ลงทุน 2 หมื่นล้าน พร้อมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

“ออริจิ้น” เปิดตัว “วัน ออริจิ้น” ติดเครื่องธุรกิจโรงแรมและมิกซ์ยูส ตั้งเป้า 5 ปี ลงทุน 2 หมื่นล้าน พร้อมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

  “กมลวรรณ วิปุลากร” มือทองธุรกิจโรงแรม เปิดตัว “วัน ออริจิ้น” สร้างศักราชใหม่ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนเครือ “ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” กางมาสเตอร์แพลน 5 ปี ลงทุน 2 หมื่นล้าน ลุย 3 กลุ่มธุรกิจ Accommodation-Office & Retail-Foods เกาะแนวกรุงเทพฯ-อีอีซี-เมืองท่องเที่ยว คาดสร้าง Market Value กว่า 30,000 ล้าน เล็งเข้าจดทะเบียนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์   นางกมลวรรณ วิปุลากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วัน ออริจิ้น จะเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่ดูแลธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน (Recurring Income Business) ทั้งหมดให้แก่เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และจะเป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาวให้แก่ภาพรวมของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในช่วง 5 ปีจากนี้ (พ.ศ.2561-2565) บริษัทจะเดินหน้าลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนด้วยงบลงทุนไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท   ทั้งนี้ บริษัทแบ่งประเภทธุรกิจที่จะลงทุนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่ม Accommodation เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ 2.กลุ่มสำนักงานให้เช่าและค้าปลีก (Office & Retail) และ 3.กลุ่มธุรกิจอาหาร (Foods) โดยจะให้น้ำหนักกับกลุ่มธุรกิจ Accommodation 70% และอีก 2 กลุ่มที่เหลือรวมกัน 30%   “เราตั้งเป้าว่าทรัพย์สินจากการลงทุนดังกล่าวจะช่วยสร้าง Market Value ให้กับเราประมาณ 30,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน จะช่วยสร้างยอดขายรวมในช่วงแผน 5 ปีนี้ให้กับเราประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะทำให้เราขึ้นแท่นเป็น ท็อป 5 ในวงการธุรกิจโรงแรมและมิกซ์ยูส” นางกมลวรรณ กล่าว   นางกมลวรรณ กล่าวอีกว่า เงินทุนที่ใช้ลงทุนในช่วง 3-5 ปีแรก จะมาจาก 2 ส่วน ได้แก่ 1.เงินทุนจากบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) 2.เงินทุนจากการร่วมทุนกับพันธมิตรระดับโลก เช่น บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรรายใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งมีการสร้างความร่วมมือระหว่างกันแล้วหลายโครงการ อาทิ โครงการโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) ซึ่งเคยประกาศไปแล้ว ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนจะจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) รวมถึงการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มโอกาสในการระดมทุนเพิ่มเติม อันจะเป็นผลดีต่อการขยายธุรกิจในระยะยาวด้วย   “ประเภทธุรกิจต่างๆ ภายใต้ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน จะทำให้เราเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทั้งการทำงาน การพักผ่อนของผู้บริโภคได้อย่างลงตัว” นางกมลวรรณ กล่าว   ด้านนางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการของวัน ออริจิ้น จะเน้นเกาะทำเลกรุงเทพฯ และระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งเป็น 2 ทำเลศักยภาพที่ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ให้ความสำคัญอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นทำเลที่มีความต้องการของผู้บริโภคที่มีศักยภาพในหลายเซ็กเมนท์ ขณะเดียวกัน ยังวางแผนเข้าไปลงทุนในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ อีกด้วย รูปแบบการพัฒนาเปิดกว้างทั้งการพัฒนาในลักษณะมิกซ์ยูส และการพัฒนาโครงการแต่ละประเภทแบบสแตนด์อโลน ขึ้นอยู่กับศักยภาพของทำเลและที่ดินแต่ละแปลง “กลยุทธ์การเติบโตจะมีทั้งการจ้างเชนระดับโลกเข้ามาบริหาร การสร้างแบรนด์ของตัวเอง ตลอดจนการเข้าซื้อกิจการ ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ และความต้องการของฐานลูกค้า กลยุทธ์ทั้งหมดจะเป็นส่วนสำคัญช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง และทำให้วัน ออริจิ้น สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว” นางจตุพร กล่าว   เบื้องต้น คาดการณ์ว่าภายใน 5 ปี จะมีการพัฒนาโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ทั้งหมด 15 แห่ง ทั้งในกลุ่มลูกค้า corporate และ leisure รวมจำนวนห้องพักกว่า 4,000 ห้อง ส่วนของอาคารสำนักงานและร้านค้าอีก 10 แห่ง รวมพื้นที่ไม่น้อยกว่า 50,000 ตร.ม.   ที่ผ่านมา บริษัทได้เซ็นสัญญาและนำแบรนด์ของเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (ไอเอชจี) เข้ามาบริหารโรงแรม 3แห่ง ได้แก่ 1.สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) 2.สเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี ศรีราชา (Staybridge Suites Chonburi Siracha) และ 3.ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง (Holiday Inn Suites Siracha Laemchabang) โดยจะทยอยเปิดให้บริการจนครบทั้ง 3 แห่งภายในปี 2564 โดยการนำแบรนด์สเตย์บริดจ์ สวีท (Staybridge Suites) เข้ามานั้น ถือเป็นการนำแบรนด์ดังกล่าวเข้ามาใช้เป็นครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก   ทั้งนี้ การใช้แบรนด์ระดับโลกจากต่างชาติ จะช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากแบรนด์เป็นที่รู้จักและยอมรับอยู่แล้วในระดับโลก
“ดีลแห่งชาติ” ชินวะกรุ๊ป – พรีบิลท์-Pressance ผนึกกำลังจอยท์เวนเจอร์   ปั้น REN Sukhumvit 39 คอนโดสุดฟังก์ชั่น ย่านพร้อมพงษ์ ชูระบบ “รูเนะสุ”ทั้งโครงการ

“ดีลแห่งชาติ” ชินวะกรุ๊ป – พรีบิลท์-Pressance ผนึกกำลังจอยท์เวนเจอร์  ปั้น REN Sukhumvit 39 คอนโดสุดฟังก์ชั่น ย่านพร้อมพงษ์ ชูระบบ “รูเนะสุ”ทั้งโครงการ

  เปิดปรากฏการณ์จอยท์เวนเจอร์ 3 ยักษ์ใหญ่ไทย - ญี่ปุ่น “ชินวะกรุ๊ป”- ยักษ์ใหญ่อสังหาฯ เจ้าของนวัตกรรมรูเนะสุ “พรีบิลท์”- ผู้ชำนาญการก่อสร้างตึกสูงมากมายในไทย และ Pressance Corp. – อสังหาฯ ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นที่มีจำนวนยูนิตสร้างขายรองแชมป์แห่งญี่ปุ่น ผนึกกำลังปั้น REN Sukhumvit39คอนโดหรูใจกลางสุขุมวิท ด้วยนวัตกรรม “รูเนะสุ”ทั้งโครงการ มูลค่า 2,600 ล้านบาท จับกลุ่มเป้าหมายผู้อยู่อาศัยที่นิยมที่อยู่อาศัยแบบ Functional และนักลงทุน ทั้งคนไทย และต่างชาติ ที่สนใจคอนโดคุณภาพบนพื้นที่ที่มีศักยภาพ และยังมุ่งเน้นเติมเต็มช่องว่างคุณภาพของที่อยู่อาศัยในไทย พร้อมเปิดแผนเดินหน้ารุกตลาดเขตเศรษฐกิจในไทย และอาเซียน   มร.โทโมยาสุ ยามาเบะ กรรมการผู้จัดการ และ นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด เจ้าของนวัตกรรมรูเนะสุ เปิดเผยว่า บริษัทได้บรรลุข้อตกลงร่วมลงทุน (Joint Venture) ครั้งใหญ่ โดยเป็นการจับมือสามฝ่าย ประกอบด้วย บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์และความชำนาญงานก่อสร้างคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ ตลอดจนอาคารสถานที่ราชการทั่วประเทศ และยังเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ร่วมกับสองบริษัทรายใหญ่จากญี่ปุ่น คือ  ชินวะกรุ๊ป เจ้าของนวัตกรรม รูเนะสุ และ Pressance Corporation ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่มียูนิตสร้างขายอันดับ 2 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในสัดส่วน 49:26:25 เพื่อร่วมลงทุนดำเนินโครงการ REN Sukhumvit 39 คอนโดมิเนียมหรู ที่เพียบพร้อมไปด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ โครงการตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท ซอย39 หรือซอยพร้อมมิตร มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท และเป็นครั้งแรกของการก่อสร้างห้องชุดด้วยนวัตกรรม “รูเนะสุ” หรือการกลับคานเป็นพื้น-กลับพื้นเป็นคานทั้งโครงการ รวมไปจนถึงการปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้พื้นที่เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น คาดว่าจะได้รับการตอบรับจากตลาดกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ คนไทยที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์คนเมือง นักลงทุนที่สนใจโครงการคุณภาพ บนพื้นที่ที่มีศักยภาพ ที่คุ้มค่าแก่การลงทุน และ ผู้เช่าชาวญี่ปุ่น ที่ต้องการที่พักอาศัยที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการในลิตเติ้ลกินซ่า   “การจอยท์เวนเจอร์สามฝ่ายของบริษัทรายใหญ่จากไทยและญี่ปุ่นในครั้งนี้ นับเป็นอีกปรากฏการณ์แห่งวงการที่ต้องการผนึกจุดแข็งของทุกฝ่ายมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัย โดยพรีบิลท์เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ และมีความชำนาญงานก่อสร้างคอนโดมิเนียมและอาคารต่างๆ ในไทยมามากมาย ชินวะกรุ๊ป เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งมากว่า 128ปี เป็นที่ยอมรับว่าเป็นนักพัฒนาอสังหาฯแถวหน้าของประเทศ ในขณะที่ Pressance Corporation เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ที่มีจำนวนยูนิตสร้างขายเป็นที่ 1 ของคันไซ และเป็นที่ 2 ของประเทศญี่ปุ่น จึงนับเป็นความลงตัวอย่างยิ่ง เมื่อเทคโนโลยีที่ทันสมัยทางการก่อสร้าง มาผสมผสานกับทีมงานก่อสร้างที่มีประสบการณ์ และการตลาดที่แข็งแกร่ง จึงมั่นใจว่าโครงการ REN Sukhumvit 39 คอนโดมิเนียมหรูใจกลางสุขุมวิท จะประสบความสำเร็จอย่างสวยงามได้อย่างแน่นอน”  นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กล่าว   นายวิโรจน์ เจริญตรา รองประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “พรีบิลท์มีความยินดีในการจอยท์เวนเจอร์ในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากชินวะกรุ๊ป เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาขนาดใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น และมีมาตราฐานในการก่อสร้างที่สูง มีประวัติการดำเนินงานที่ดีเป็นที่รู้จักและยอมรับในวงกว้าง สำหรับพรีบิลท์เรามีความชำนาญการก่อสร้างคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ และมีชื่อเสียงในประเทศไทย ส่วนPressance Corporation  มีผลงานจากยอดขายที่ชัดเจนอยู่แล้ว เมื่อทั้ง 3 บริษัทมาผนึกกำลังรวมกันแล้ว นำเอาประสบการณ์ความรู้ทั้งหมดที่ทุกคนมีมารวมกัน ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า การร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพอย่างแน่นอน”นายวิโรจน์ เจริญตรา กล่าว   นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวถึงนโยบายของปี 2018 – 2019 ว่า “สำหรับนโยบายของชินวะฯ นอกจากโครงการ REN Sukhumvit 39 ในปีนี้บริษัทยังจะแผนที่จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม เซอร์วิส   อพาร์ทเม้นท์ บ้านเดี่ยว ฯลฯ รวมถึงการขายนวัตกรรม “รูเนะสุ” ไปยังหัวเมืองใหญ่ภายในประเทศ และประเทศในภูมิภาคอาเซียน ที่ยังมีช่องว่างให้เราไปเติมเติมคุณภาพของสินค้าของพวกเขาได้”   ทั้งนี้ โครงการ REN Sukhumvit 39 คอนโดมิเนียมหรู ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 2 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา ถนนสุขุมวิท ซอย 39 (ซอยพร้อมมิตร) โดยเป็นอาคารสูง 7 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 298 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ2,600 ล้านบาท ซึ่งยังเป็นครั้งแรกในไทยของการก่อสร้างห้องชุดด้วยนวัตกรรม “รูเนะสุ” ทั้งโครงการ มี 2type ให้เลือก คือ 1 และ 2 ห้องนอน พร้อมระบบรูเนะสุ ทุกห้อง ขนาดพื้นที่ใช้ประโยชน์ตั้งแต่ 30(+12) – 66(+18) ตร.ม. พร้อมฟังค์ชั่นที่มาแบบจัดเต็มทุกพื้นที่ และราคาที่คุ้มค่าทุกการอยู่อาศัยและลงทุนอย่างแน่นอน พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้
ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว ลาซาล-แบริ่ง ผนึกพลังร้านค้าชั้นนำ  เตรียมพร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ก.ค. นี้

ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว ลาซาล-แบริ่ง ผนึกพลังร้านค้าชั้นนำ เตรียมพร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ก.ค. นี้

นายมานพ คำสว่าง ผู้จัดการบริหารทรัพย์สิน พร้อมด้วยนายธนวัฒน์ อัจฉริยวุธ ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว ของ บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (TCC GROUP) จัดประชุมร้านค้าชั้นนำและผู้เช่าพื้นที่ภายในโครงการศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว ย่านซอยลาซาล-แบริ่ง งบลงทุนกว่า 350 ล้านบาท เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดให้บริการในวันที่ 29 มิถุนายน 2561 และพบกับพิธีเปิดศูนย์การค้าอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 โดยมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฯ เข้าร่วมชี้แจงรายละเอียดภาพรวมการก่อสร้าง ตลอดจนแผนการตลาดที่จะดันให้ ลาซาล อเวนิว เป็นคอมมูนิตี้มอลล์แนวคิดใหม่ ที่จะช่วยเพิ่มสีสันแห่งไลฟ์สไตล์และเปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยพื้นที่รีเทล 6,000 ตารางเมตร บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ รวมแบรนด์ร้านค้าชั้นนำทั้งในและต่างประเทศไว้อย่างครบครัน อาทิ VILLA MARKET, KFC, Uniqlo, B-Quik, Cafe Amazon, TSURUHA, Orca BAKER & BUTCHER, ข้าน้อยขอชาบู, SUKIYA, BY BUA, STEAK LAO, Salada Organic Kitchen, Tora Yakiniku x Café, ตำมั่ว, วราภรณ์ซาลาเปา, glo ONE STOP BEAUTY LOUNGE, Beauty Maker, the nail café, Absolute Dental Clinic, Kerry Express WASH ME และ No.9 Optic ให้ได้เต็มอิ่มกับไลฟ์สไตล์แบรนด์แบบไม่ซ้ำใคร ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/LasallesAvenue
อนันดาฯ เตรียมส่งคอนโดมิเนียมโครงการ ไอดีโอ พระรามเก้า-อโศก พร้อมเปิดจองผ่านระบบออนไลน์ กับงาน HURRY UP!! BOOKING ในวันที่ 12 มิ.ย. นี้

อนันดาฯ เตรียมส่งคอนโดมิเนียมโครงการ ไอดีโอ พระรามเก้า-อโศก พร้อมเปิดจองผ่านระบบออนไลน์ กับงาน HURRY UP!! BOOKING ในวันที่ 12 มิ.ย. นี้

ข่าวดีสำหรับ ใครที่มองหาคอนโดมิเนียมคุณภาพเยี่ยมบนทำเลศักยภาพสูง ย่าน NEW CBD ใกล้รถไฟฟ้า ล่าสุด อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ผู้นำการพัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า โดยผู้บริหารหนุ่มไฟแรง คุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ที่คราวนี้เตรียมปล่อยของดี ของเด่น โครงการไอดีโอ พระรามเก้า-อโศก (Ideo Rama 9 - Asoke) ติดถนนพระราม 9 ห่างจาก MRT สถานีพระราม 9 เพียง 450 เมตร  มาให้ได้จับจองเป็นเจ้าของกัน บอกเลยว่างานนี้ต้องอาศัยความเร็วกันสุดตัวกับการเปิดให้จองคอนโดผ่านระบบออนไลน์ “Ananda Online Booking”  ที่มาพร้อมโปรโมชั่นดีๆ ที่พลาดไม่ได้ กับส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท พร้อม Fully Fitted ในราคาเริ่มต้น 2.99 ล้าน* งานนี้ขอบอกว่าทางอนันดาฯ คัดสรรห้องที่ดีที่สุดมานำเสนอเต็มพิกัด กับงาน HURRY UP!! BOOKING ในวันที่ 12 มิ.ย. นี้ ตั้งแต่เวลา เที่ยง – 4 โมงเย็น จองก่อน ลดก่อน ของดีแบบนี้ช้าหมดอดแน่นอน!!  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 02 316 2222 หรือ www.ananda.co.th
SENA ชิงเค้กดีมานด์ย่านติวานนท์ เปิดคอนโดใหม่ “นิช โมโน ติวานนท์” ชูไอเทมเด็ดสุด “CO – CREAITION SPACE” ครบวงจร

SENA ชิงเค้กดีมานด์ย่านติวานนท์ เปิดคอนโดใหม่ “นิช โมโน ติวานนท์” ชูไอเทมเด็ดสุด “CO – CREAITION SPACE” ครบวงจร

  พิสูจน์ทำเลย่านติวานนท์กำลังซื้อยังคึกครื้น ล่าสุด “เสนา” ลงสนามจริงเปิดตัวโครงการใหม่ “นิช โมโน ติวานนท์” มูลค่าโครงการ 1,400 กว่าล้านบาท ชูไอเทมเด็ดสุดในย่านติวานนท์ “CO-CREAITION SPACE” ครบวงจร ด้านไนแฟรงค์ ล้วงลึกชี้ “ติวานนท์” ทำเลศักยภาพในอนาคต ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าจากแบบสอบถามที่ทางเสนา ฯ ได้ออกบูธเซ็นทรัล ลาดพร้าวเมื่อวันก่อน พบว่าลูกค้ายังมีความต้องการที่อยู่อาศัยใกล้แนวรถไฟฟ้าเสียเป็นส่วนใหญ่ หากเปรียบเทียบกันระหว่างทำเลรถไฟฟ้าสายต่างๆ แล้ว ทำเลรถไฟฟ้าสายสีม่วง ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพและน่าสนใจไม่น้อยกว่าสายอื่น ๆ ล่าสุด ทางบริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ “นิช โมโน ติวานนท์ (Niche MONO TIWANON)” พัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด"COMBINATION WITH LIFE AND WORK" ที่การผสมผสานการทำงานและการใช้ชีวิตโหมดต่างๆ เข้าด้วยกัน สะดวกสบายทุกการเดินทางเพราะใกล้รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง สถานีกระทรวงสาธารณสุข เพียง 50 เมตร โดยตั้งอยู่บนเนื้อที่โครงการ 2 ไร่เศษ เป็นคอนโด High Rise สูง 36 ชั้น 1 อาคาร รวมทั้งสิ้น 526 ยูนิต และร้านค้า 2 ยูนิต มีห้องชุดให้เลือก 3 แบบ ประกอบด้วย แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 26 – 35 ตารางเมตร แบบ 1 ห้องนอน (Moff) แบ่งเป็น 4 ขนาด คือ ขนาด 26 +14 (40 ตารางเมตร) ขนาด 28+14 (42 ตารางเมตร) ขนาด 32 + 18 (50 ตารางเมตร) ขนาด 35 + 18 (53 ตารางเมตร) และแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 55 ตารางเมตร ราคา Pre sales เริ่ม 2.4 ล้านบาท* หรือราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรอยู่ที่ 91,000 บาท มูลค่าโครงการรวม 1,400 กว่าล้านบาท โดยเริ่มก่อสร้างในปี 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2563 นิช โมโน ติวานนท์ คอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ Gen Y (Generation Y) และกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มี passion ของตัวเองและสามารถบริหาร passion ให้กลายเป็นความสำเร็จได้ ที่นี้จึงมี Co – Creation Space ซึ่งถูกคิดให้ทุกฟังก์ชั่นรองรับการใช้งานแบบครบวงจร การทำงานถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนยุค Gen Y ที่เน้นความเป็นความอิสระ ไม่ใช่การนั่งอยู่ในสำนักงานหรือออฟฟิศ การออกมานั่งเล่นใน space ที่สามารถปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด พร้อมกับมีอุปกรณ์และบริการรองรับสำหรับการทำงาน เป็น space ที่เอื้อต่อการปฏิบัติงานและตอบสนองความต้องการด้านความสะดวกสบายให้กับคนยุค Gen Y ได้เป็นอย่างดี ที่นี่มีครบและตอบโจทย์ทุกด้านของชีวิตคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ภายในโครงการยังมีสาธารณูปโภคครบครัน อาทิ พื้นที่ส่วนกลาง Grand Lobby ,Wifi, สระว่ายน้ำระบบเกลือ วิว Panorama , Kid ‘ s Pool, Jacuzzi Pool ,Hydro Pool, Sunken Loungn จุดชมวิวขอบฟ้า ,ห้องออกกำลังกาย Boxing Room, Game Room, Steam Room, BBQ Terrace ,Executive Sunset Lounge ระบบรักษาความปลอดภัยด้วยกล้องวงจรปิดโดยรอบโครงการ เจ้าหน้ารักษาความปลอดตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า การเปิดให้บริการของรถไฟฟ้าสายสีม่วงในปี 2559 ได้ยกระดับทำเลติวานนท์ให้มีชีวิตชีวาและเป็นที่ต้องการของผู้ที่กำลังมองหาที่พักอาศัยในย่านนี้มากขึ้น เมื่อผนวกกับการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีน้ำเงินในเดือนสิงหาคม 2560 ยิ่งทำให้ติวานนท์กลายเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางที่สะดวกสบายระหว่างกรุงเทพมหานครและนนทบุรีอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ประกอบกับสาธารณูปโภคสาธารณูปการที่อุดมสมบูรณ์ในพื้นที่ ทั้งศูนย์การค้า ตลาด โรงพยาบาล สถานศึกษา และสถานที่ราชการสำคัญ รวมไปถึงโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ในอนาคตที่จะช่วยซัพพอร์ตทำเลนี้ให้พรั่งพร้อมยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีม่วงเข้ากับสายสีชมพูและสายสีน้ำตาล และโครงการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ (ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน) ภายใต้แนวคิด Transit Oriented Development (TOD) ซึ่งเป็นการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน เพื่อครอบคลุมการใช้ชีวิตของคนเมืองอย่างครบวงจรทั้งการคมนาคม ที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และโรงแรม นอกจากนี้ยังมีโครงการศูนย์การค้า Gateway บางซื่อ ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างและมีกำหนดแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2561 นี้อีกด้วย จากความสะดวกสบายที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่ ทำให้ “ติวานนท์”กลายเป็นทำเลที่ได้รับความสนใจจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายรายเข้ามาพัฒนาแหล่งที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นผู้บริโภครุ่นใหม่ที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมใกล้เมือง ตลอดจนนักลงทุนที่ต้องการซื้อเพื่อปล่อยเช่าหรือขายต่อ สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมย่านติวานนท์-บางซื่อนั้น ตั้งแต่ถนนงามวงศ์วานซอย 17 ถึงศูนย์ราชการนนทบุรี ถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี ถนนพิบูลย์สงคราม ถนนประชาราษฎร์สาย 1 และถนนประชาราษฎร์สาย 2 ถึงถนนประชาชื่น พบว่าอุปทานเริ่มต้นของคอนโดมิเนียมในย่านติวานนท์-บางซื่อในปี พ.ศ. 2552 นั้นมีเพียง 976 หน่วยและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2561 มีจำนวนอุปทานสะสมในพื้นที่ทั้งสิ้นประมาณ 35,400 หน่วย โดยปีที่มีอุปทานเพิ่มขึ้นสูงสุดคือปีพ.ศ. 2557 ด้วยจำนวนคอนโดมิเนียมที่เข้าสู่ตลาดกว่า 9,425 หน่วย ทั้งนี้อุปทานใหม่ตั้งแต่ปี 2558 ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในปี 2559 และ 2560 มีห้องชุดใหม่เข้ามาในตลาดเพียง 821 หน่วย และ 615 หน่วยตามลำดับ สอดคล้องกับอุปสงค์ที่ลดลงเช่นกัน โดยสาเหตุหลักเกิดจากการเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีน้ำเงินซึ่งยังไม่สมบูรณ์ในขณะนั้น ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อดูแนวโน้มและทิศทางของตลาด อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2561 ตลาดคอนโดมิเนียมย่านนี้กลับมามีสัญญาณที่ดีขึ้นอีกครั้ง โดยมีอุปทานใหม่เข้ามาในพื้นที่ศึกษาทั้งสิ้น 2,029 หน่วย จากผู้ประกอบการรายใหญ่จำนวน 2 โครงการได้แก่ Niche Pride เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ (742 หน่วย) และ The Line วงศ์สว่าง (1,287 หน่วย) โดยยอดขายเฉลี่ย ณ ปัจจุบันของทั้งสองโครงการอยู่ที่ประมาณ 50% ส่วนด้านราคานั้น พบว่าราคาเสนอขายโดยเฉลี่ยของโครงการเปิดใหม่ในพื้นที่ศึกษา ณ สิ้น พ.ค. 2561 อยู่ที่ 112,500 บาท/ตร.ม. โดยสรุปแล้วติวานนท์เป็นทำเลที่น่าสนใจเนื่องด้วยปัจจัยเกื้อหนุนหลายประการ และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มศักยภาพในอนาคตจากผลพวงของการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนซึ่งจะเชื่อมระบบรถไฟฟ้าหลายสายเข้าด้วยกันในบริเวณนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ(ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน) ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากย่านติวานนท์ ทำให้การเดินทางระหว่างกรุงเทพมหานครและนนทบุรีมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ในด้านราคาขายของโครงการในพื้นที่นี้โดยรวมยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก ติวานนท์จึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่อยากลงทุนในทำเลอนาคต รวมถึงผู้ที่กำลังหาที่อยู่อาศัยใกล้เมืองที่มีสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย
ชาญอิสสระ พร้อมอวดโฉมบ้านอิสสระ บางนา  สร้างความต่างการอยู่อาศัย มุ่งตอบโจทย์ทุกเจนเนอเรชั่น

ชาญอิสสระ พร้อมอวดโฉมบ้านอิสสระ บางนา สร้างความต่างการอยู่อาศัย มุ่งตอบโจทย์ทุกเจนเนอเรชั่น

ชาญอิสสระ เปิดตัวบ้านหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ “บ้านอิสสระ บางนา” โชว์ความต่างด้านดีไซน์ ฟังก์ชัน โดดเด่นเหนือระดับ ภายใต้คอนเซปต์ “ความภูมิใจที่ส่งต่อได้ The New Legacy Of Freedom” มั่นใจตลาดบ้านหรูโตต่อเนื่อง มองศักยภาพ ทำเลย่านบางนาฮอต โครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม สาธารณูปโภคต่างๆ หนุนตลาดไฮเอนด์รุ่ง   นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมการพัฒนาตลาดบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ว่ายังมีการแข่งขันสูง ขณะที่การหาทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมถือเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับผู้พัฒนาโครงการที่จะหาทำเลที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในย่านซีบีดี (Central Business District) หรือทำเลในย่านที่รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันต่างๆ ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม รวมไปถึงสาธารณูปโภค โดยในส่วนของย่านบางนา ถือเป็นอีกย่านหนึ่งที่น่าสนใจ และท้าทาย สำหรับการพัฒนาตลาดบ้านเดี่ยว ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ล่าสุดบริษัท เตรียมเปิดตัวบ้านตัวอย่าง โครงการบ้านอิสสระ บางนา ซึ่งถือเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ หลังจากแถลงข่าวเปิดตัวไปเมื่อช่วงกลางปี 2559 ที่ผ่านมา สำหรับโครงการบ้านอิสสระ บางนา เป็นอีกหนึ่งโครงการคุณภาพ ที่พัฒนาออกมาด้วยการสร้างความแตกต่างด้านที่อยู่อาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า สอดแทรกการออกแบบบ้านที่ต้องอยู่สบาย ฟังก์ชั่นการใช้งานภายในบ้านครบครัน มีการนำนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาใช้ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความสะดวกสบาย คุ้มค่า และปลอดภัยต่อการพักอาศัยให้มากที่สุด โดยมีบริษัทชั้นนำอย่าง บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49) เป็นผู้รังสรรค์งานออกแบบบ้าน   “สิ่งสำคัญในการพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ นอกจากการมีโลเคชั่นที่ดีแล้ว เราต้องสร้างความแตกต่าง ทั้งการดีไซน์แบบบ้านให้มีความทันสมัย อยู่สบาย ฟังก์ชั่นการใช้งานภายในบ้านสะดวกสบาย รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาแทรกเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้น สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยให้กับทุกช่วงวัย อีกทั้งโครงการบ้านอิสสระ บางนา ยังนับว่าเป็นโครงการที่อยู่บนทำเลตัวเมืองชั้นนอกที่เป็นย่านที่อยู่อาศัยที่เป็นที่นิยมอันดับต้นๆ ได้แก่ กรุงเทพฝั่งตะวันออก อันเนื่องมาจากทำเลดังกล่าวได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางคมนาคม และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ ศูนย์การค้าระดับ Regional Shopping Center อย่างเมกาบางนา หรือโครงการขนาดใหญ่แห่งใหม่ อย่างแบงค็อก มอลล์ รวมไปถึงการขยายตัวของอาคารสำนักงานอีกด้วย จึงเป็นโครงการที่เราพัฒนาออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง และเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของชาญอิสสระ ที่จะส่งต่อให้กับลูกค้า” นายสงกรานต์ กล่าว ด้านนายเมธินทร์ จันทรอุไร กรรมการบริหาร บริษัทสถาปนิก 49 จำกัด (A49) ผู้ออกแบบโครงการบ้านอิสสระ บางนา กล่าวว่าจุดเด่นของการออกแบบบ้านอิสสระ บางนา คือการต้องการเน้นพื้นที่ใช้สอยที่มากเพียงพอ พร้อมทั้งให้ฟังก์ชั่นการใช้สอยที่ครบครัน ภายใต้คอนเซปต์ สวนล้อมบ้าน ผู้อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความเขียวขจีของต้นไม้ แสงธรรมชาติ ด้วยการดีไซน์โครงการที่เน้นโล่ง โปร่ง สบาย ได้วิวธรรมชาติทุกมุมมอง อีกทั้งยังนำแนวคิด “พลังงาน (Energy)” และ “หลักการของธรรมชาติ (Principles of Nature)” มาใช้เพื่อให้เกิดสภาวะน่าสบาย (Comfort Zone) จึงได้นำแนวคิดหลักการของธรรมชาติที่มีผลต่อในเขตร้อนชื้นอย่างในประเทศไทย ได้แก่ การป้องกันแดด การระบายอากาศ การป้องกันและการระบายน้ำฝน รวมทั้งการอาศัยพลังงานต่างๆ จากสิ่งแวดล้อมภายนอกมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับที่อยู่อาศัย ทั้งในส่วนของภาพลักษณ์อาคาร และพื้นที่ใช้สอยภายในอาคาร โดยมีการออกแบบพื้นหน้ากว้างด้านหน้าโครงการ ให้สามารถรองรับการจอดรถเรียงกันได้ 5 คัน รวมถึงการออกแบบพื้นที่หลังบ้าน ให้เป็นพื้นที่ใช้สอยที่สวยงามเสมือนเป็นหน้าบ้านอีกด้านหนึ่งของโครงการ   นอกจากนี้มีการใช้กระจกสูงจากระดับพื้นถึงฝ้า เพื่อให้ภายในบ้านสามารถรับแสงจากธรรมชาติ    มากขึ้น และยังเป็นการช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ ภายในบ้านยังออกแบบด้วยการยกเพดานให้สูง เพราะนอกจากจะทำให้รู้สึกโปร่งโล่งแล้ว ยังสามารถช่วยระบายความร้อนที่เกิดขึ้นในอาคารได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเรายังมีการออกแบบชายคาที่ยื่นยาว 1.20 เมตร และองค์ประกอบตกแต่งที่มีลักษณะเหมือน “ท่อนไม้ซุง” สามารถช่วยลดพลังงานความร้อนที่เกิดขึ้นในอาคารได้ถึง 25% เมื่อเทียบกับบ้านโครงการอื่นที่มีปริมาณกระจกเท่ากัน ซึ่งทำให้พื้นที่ภายในบ้านได้รับแสงธรรมชาติ แต่ไม่รู้สึกร้อน พร้อมกันนี้ยังออกแบบให้การเชื่อมต่อพื้นที่ใช้สอยภายในและภายนอกบ้าน (บริเวณห้องนั่งเล่น สวน และสระว่ายน้ำ) ทำให้เกิดเป็นพื้นที่  ใช้สอยร่วมของบ้านที่เกิดเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างกิจกรรมของคนในครอบครัว ทั้งยังเป็นการระบายอากาศให้กับตัวบ้านและช่วยประหยัดพลังงานจากการใช้เครื่องปรับอากาศได้ นอกจากนี้ทุกห้องยังถูกออกแบบให้คำนึงถึงการถ่ายเทอากาศที่ดี โดยมีช่องหน้าต่าง 2 ด้าน เพื่อให้ลมพัดผ่านได้ทั่วห้อง   “นอกจากการออกแบบที่คำนึงถึงหลักการธรรมชาติ และการประหยัดพลังงานแล้วเพื่อให้เกิดความคุ้มค่า ความปลอดภัยในการอยู่ การออกแบบยังให้ความสำคัญกับ Universal Designเพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุหรือผู้ใช้วีลแชร์ โดยมีการทำทางลาดเอียงสำหรับเข้าบ้าน รวมถึงขนาดของลิฟท์ที่เหมาะด้วย พร้อมมีการออกแบบคลับเฮาส์ที่โอ่โถง สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ฟิตเนสที่ทันสมัย รวมถึงโซน Amphitheater ที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ของแต่ละครอบครัว และลู่วิ่งรอบหมู่บ้าน สวนที่ร่มรื่นช่วยให้เวลาแห่งการพักผ่อนสมบูรณ์แบบสำหรับครอบครัว”นายเมธินทร์ กล่าว ขณะที่นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า หากจะกล่าวถึงทำเลที่เป็นย่านที่พักอาศัยที่นิยมในอันดับต้นๆ คงหนีไม่พ้นกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก สืบเนื่องมาจากทำเลดังกล่าวได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางคมนาคมที่สามารถวิ่งเข้ากรุงเทพฯ ชั้นในได้อย่างรวดเร็ว หรือในทางกลับกันยังเป็นเกทเวย์วิ่งออกสู่สนามบินสุวรรณภูมิ หรือย่านอุตสาหกรรมได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ เมกาซิตี้ บางนา หรือโครงการในอนาคตอย่างแบงค็อก มอลล์ ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาพื้นที่พาณิชยกรรมขนาดใหญ่ รวมไปถึงการขยายตัวของออฟฟิศเกรดเอ อาทิ ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค และ      วิสซ์ดอม วัน โอ วัน อีกด้วย   “จากการที่ซีบีอาร์อี เข้ามาทำการตลาด และการขายบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ในช่วงที่ผ่านมา เราจะพบได้ว่าสินค้าในตลาดยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านระดับนี้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นแนวความคิด การออกแบบบ้าน รูปแบบ ฟังก์ชั่นดีไซน์ ตลอดจนการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าบ้านทั่วไปจะเน้นเรื่องดีไซน์ภายนอกให้น่าดึงดูด แต่ไม่ได้คำนึงถึงฟังก์ชั่น ประโยชน์ใช้สอยภายในตัวบ้าน หรือวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เท่าที่ควร ซึ่งการออกแบบบ้านที่ดีนั้นควรเริ่มตั้งแต่แนวความคิด สำหรับโครงการบ้านอิสสระ บางนานั้น มีจุดเด่นที่แตกต่างหลายด้าน เริ่มตั้งแต่มาสเตอร์แปลน (Master Plan) โดยบ้านทุกหลังตั้งอยู่บนถนนหลักของโครงการ ไม่มีการแบ่งทำเป็นถนนซอยเล็กๆ อีกทั้งยังคำนึงถึงทิศทางลม จึงทำให้บ้านส่วนใหญ่หันหน้าทิศเหนือ-ใต้” นางสาวอลิวัสสา กล่าว   นอกจากนี้ส่วนของตัวบ้านถูกออกแบบมาเพื่อให้ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด คำนึงถึงแสงธรรมชาติ ทิศทางลม อีกทั้งออกแบบเพื่อการใช้งานของคนทุกคน (Universal Design)เพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีข้อจำกัดทางด้านร่างกาย โดยมีการทำทางลาดเอียง รวมถึงจัดเตรียมลิฟท์โดยสารไว้ สำหรับพื้นที่ใช้สอยด้านในนั้น ด้วยตัวบ้านเป็นบ้านหน้ากว้าง จึงสามารถแยกพื้นที่ใช้สอยแบ่งซ้าย-ขวาได้อย่างลงตัว คุ้มค่า จุดเด่นที่สำคัญอีกประการหนึ่งของโครงการคือ การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์เกรดพรีเมี่ยม อาทิครัวบูลล์ธอป (Bulthaup),สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ แบรนด์ Toto, Kasch, Grohe อีกทั้งยังคำนึงถึงนวัตกรรมสำหรับบ้านยุคใหม่ อาทิ โซลาร์เซลล์ (Solar Cell), ระบบปรับอากาศแบบวีอาร์วี (VRV) ซึ่งช่วยประหยัดพลังงาน เป็นต้น   สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับนี้ คืองานบริการหลังการขาย โดยทางโครงการมีบริการ Lifestyle Concierge Service รองรับ ไม่ว่าจะเป็นบริการดูแลบ้าน,บริการประสานงานจัดกิจกรรม, บริการประสานงานด้านสุขภาพ และบริการผู้ช่วยส่วนตัว ซึ่งจากจุดเด่นที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้ จึงถือได้ว่าบ้านอิสสระ บางนาได้เซทสแตนดาร์ดใหม่สำหรับบ้านระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ และตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ได้อย่างแท้จริง   บ้านตัวอย่างของบ้านอิสสระ บางนาจะแล้วเสร็จ พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 มิถุนายน ศกนี้ พร้อมสิทธิพิเศษ และกิจกรรมมากมายสำหรับลูกค้าที่จองภายในงานเท่านั้น นายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการบ้านอิสสระ บางนา เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ ลักชัวรี่ มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ออกแบบโดยถ่ายทอดแนวคิดผ่านความเป็น Modern Tropical ทำให้เกิดความรู้สึกอยู่สบายน่าพักอาศัย มีความเรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ ประมาณ 24 ไร่ บริเวณถนนบางนา-ตราด กม.8 จำนวนทั้งสิ้นเพียง 44 หลัง บนพื้นที่ดินขนาด 100-238 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 380-697ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 38-94 ล้านบาท พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน รวมถึงการให้บริการ Lifestyle Concierge Service บริการที่จะช่วยสร้างไลฟ์สไตล์ความเป็นส่วนตัว แบบเอ็กซ์คลูซีฟให้แก่ลูกบ้านภายในโครงการ โดยมีงานบริการด้านต่างๆ ไว้คอยดูแลและอำนวยความสะดวก อาทิ บริการด้านโฮมแคร์ ที่จะช่วยดูแลและบำรุงรักษาตั้งแต่เรื่องภายในบ้านและภายนอกบ้านอย่างครบครัน, บริการด้านสุขภาพที่ช่วยให้ลูกบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น, บริการด้านการจัดเลี้ยง จัดกิจกรรมที่ครบวงจร และบริการผู้ช่วยส่วนตัวที่จะคอยดูแลให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้นในทุกๆ เรื่องเมื่อเข้ามาอยู่ภายในโครงการ “บ้านอิสสระ บางนา” นอกจากนี้ภายในโครงการยังให้ความสำคัญกับนวัตกรรมการอยู่อาศัยด้วยการนำระบบ Home Automation มาใช้ซึ่งคือนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เอาอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านมาทำงานร่วมกันแบบอัตโนมัติ โดยอาศัยการควบคุมผ่านอินเตอร์เน็ต (Internet of Things : IoT) โดยจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความสะดวกสบาย ปลอดภัย และยังช่วยประหยัดพลังงานได้ โดยการ Control ผ่าน Mobile Application บน   Smart Phone หรือ Tablet   “นวัตกรรมนี้สามารถช่วยให้เจ้าของบ้านสามารถตรวจสอบความปลอดภัยว่ามีการ เปิด/ปิด ประตู หรือ ไฟ เรียบร้อยแล้วหรือไม่ก่อนออกจากบ้าน, การแจ้งเตือนผ่านมือถือเมื่อมีผู้บุกรุก หรือมีสัญญาณตรวจจับควันไฟ เมื่อตัว Smoke Detector ทำงาน ซึ่งจะช่วยทำให้เจ้าของบ้านทราบเหตุและระงับได้ทันท่วงที นอกจากนี้การควบคุมผ่าน Mobile Application ยังสามารถสั่งให้ไฟแสงสว่าง และแอร์ทำงานตามล่วงหน้า หรือทำตามปรับ Scenario ตามความต้องการ เพื่อตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยในยุคปัจจุบัน สำหรับบ้านอิสสระ  บางนา ถือเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยให้กับทุกไลฟ์สไตล์ เริ่มตั้งแต่เรื่องการออกแบบ ดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้สอยต่างๆ ภายในบ้าน ที่เป็นส่วนช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้อยู่อาศัย โดยมีแบบบ้านให้เลือกทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ ABELIA, BELLIS, CALLA และ DAVIDIA ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 380-697 ตารางเมตร ขนาดบ้าน 2-3ชั้น เริ่มตั้งแต่ 4-6 ห้องนอน 4-5 ที่จอดรถ ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ครัว Panty ครัวไทย ห้องคนรับใช้ พร้อมลิฟท์ภายในบ้าน” นายดิฐวัฒน์ กล่าว   ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำโครงการบ้านอิสสระ บางนา ซึ่งถือเป็นความภูมิที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ล่าสุดเตรียมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดแรก “ความภูมิใจที่ส่งต่อได้” เพื่อเป็นการสื่อถึงความภูมิใจ ในทุกๆ รายละเอียดให้กับคนในครอบครัว ได้สัมผัสถึงการใช้ชีวิตที่มีอิสระ มีความปลอดภัย โดยใช้ใจสัมผัสถึงการรับรู้ โดยจะเริ่มออนแอร์ในวันที่ 11 มิถุนายน นี้ ทางอัมรินทร์ทีวีช่อง 34, ช่อง 3HD 33, Nation TV ช่อง 22,ช่อง Money Channel, PPTV ช่อง 36 และ Thairath TV ช่อง 32 รวมถึงช่องทางออนไลน์ต่างๆของทางCharn Issara อีกด้วย
อนันดาฯ  เผยโฉม “แอชตัน จุฬา-สีลม” คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ ภายใต้การร่วมทุน “มิตซุย ฟูโดซัง” มูลค่าโครงการกว่า 8,500 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าโอนกรรมสิทธิ์

อนันดาฯ เผยโฉม “แอชตัน จุฬา-สีลม” คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ ภายใต้การร่วมทุน “มิตซุย ฟูโดซัง” มูลค่าโครงการกว่า 8,500 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าโอนกรรมสิทธิ์

  บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำการพัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าของไทย โชว์ศักยภาพการบริหารโครงการ “เปิดตัวคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่สร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมเข้าอยู่ แอชตัน จุฬา-สีลม” ภายใต้การร่วมทุนกับ “มิตซุย ฟูโดซัง” คอนโดมิเนียมสไตล์ Modern Luxury & Eclectic เน้นหรูหราและทันสมัย ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพบนถนนพระราม 4 มูลค่าโครงการกว่า 8,500 ล้านบาท โดยขณะนี้พร้อมเปิดให้ลูกบ้านเข้าตรวจรับมอบเพื่อดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์แล้ว     นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการ แอชตัน จุฬา-สีลม  เป็นคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ พัฒนาเป็นรูปแบบ High Rise สูง 56 ชั้น จำนวน 1,182 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 8,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูงสุดบนถนนพระราม 4 ติด MRT สามย่าน เพียง 180 ม. โดยขณะนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้ชมโครงการจริง วิวจริง และเตรียมให้ลูกบ้านเข้าตรวจรับมอบห้องเพื่อดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์แล้ววันนี้     ถนนพระราม 4 คือ ถนนสายแรกๆของกรุงเทพฯที่มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์การค้ามาอย่างยาวนาน ด้วยลักษณะทางกายภาพที่เป็นถนนเส้นตรง เชื่อมต่อไปยังศูนย์กลางทางธุรกิจสำคัญหลายแห่งในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นเยาวราช-หัวลำโพง, สามย่าน-จุฬา, สีลม-สุรวงศ์-ศาลาแดง, สาทร-วิทยุ, รัชดา-อโศก ไปจนถึงถนนสุขุมวิทตัดพระโขนง จึงทำให้ถนนพระรามสี่เป็นย่านที่มีความสำคัญไม่แพ้ถนนเส้นหลักอย่างสุขุมวิท และสีลมแต่อย่างใด นอกจากนี้ ถนนพระราม 4 ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพ เนื่องจากเชื่อมโยงย่านนวัตกรรม ซึ่งทางสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) มีนโยบายส่งเสริมให้เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ และชลบุรีรวม 10 ย่านนวัตกรรม ย่านพระราม 4 เป็นย่านที่กำลังเติบโตในด้านตลาดที่อยู่อาศัย ดังจะเห็นได้จากแผนการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ (Mixed use mega project) ซึ่งมีการจัดพื้นที่สำหรับการพักอาศัยเฉลี่ยสูงถึง 15% รวมถึงมีการสร้างพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดให้กับประชาชนทั่วไปได้ใช้สำหรับเป็นแหล่งพักผ่อน แหล่งเรียนรู้ และสร้างสรรค์งานศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งนับเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับพื้นที่โดยอาศัยการสร้างชุมชนสร้างสรรค์ที่น่าอยู่และมีศักยภาพต่อการค้าและการลงทุนอย่างยั่งยืน   นอกจากนี้ หลังจากที่โครงการรถไฟฟ้าสีน้ำเงินส่วนต่อขยายหัวลำโพงท่าพระ-บางแค ที่จะเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 2562 จะช่วยเปิดการเดินทางจากฝั่งธนบุรีเข้าสู่กรุงเทพฯ ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ทำเลพระราม 4 เป็นทำเลที่สามารถเดินทางเข้าถึงได้สะดวกทั้งบริการสาธารณะได้แก่ รถไฟฟ้า รถเมล์ เรือด่วน และรถยนต์ส่วนตัว   โครงการ แอชตัน จุฬา-สีลม เป็นโครงการภายใต้การร่วมทุนกับ “มิตซุย ฟูโดซัง” มูลค่าโครงการกว่า 8,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ พัฒนาในรูปแบบ High Rise สูง 56 ชั้น จำนวน 1,182 ยูนิต มีให้เลือก 3 รูปแบบ คือ Studio 24.5-26 ตร.ม. 1 Bedroom 30.5-34.5 ตร.ม. และ 2 Bedrooms 57.5-66 ตร.ม. ด้วยการออกแบบใน สไตล์ Modern Luxury & Eclectic Style เป็นการออกแบบห้องพักโดยใช้กระจกสูงเข้ามุมโค้ง ทำให้เมื่ออยู่ภายในอาคารจะได้พื้นที่เสมือนยื่นไปในอากาศ ตัวอาคารใช้โทนสีน้ำเงินเข้ม สลับกับการใช้ Double Skin Facade โดยการเพิ่มกระจกบานเลื่อนที่ระเบียงห้องอีกหนึ่งชั้น ตัวอาคารจึงดูเรียบและล้ำสมัย และมีความเป็น Iconic skyscraper ส่งเสริมความสวยงามของ Skyline กรุงเทพ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้อาคารเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยแนวคิด Eco Urban Living ใช้หลอดประหยัดไฟทั้งอาคาร, EV Charger และจุดจอดจักรยานเพื่อรองรับ Eco-Friendly Lifestyle   ภายในโครงการเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ & โอโซน , สระออนเซ็น, Double Floor Sky Fitness, Life Style Club & Wine Bar พร้อมด้วย Library และ Exclusive Business Lounge นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สวนขนาดใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น ภายใต้แนวคิด Urban Oasis และที่พิเศษสุดกับ Life Style Club & Wine Bar เป็นห้องที่สามารถมองวิวสูงกรุงเทพได้แบบพาโนรามา พื้นที่แบบ Double space ให้ความรู้สึกโปร่ง มีการตกแต่ง สไตล์ Modern and Luxury ผสมกลิ่นอายความเป็น Classical และ Eclectic Style.   นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญรอบโครงการ อาทิ จามจุรีสแควร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนสาธิตจุฬา โรงพยาบาลจุฬาฯ  ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ สยามพารากอน  สยามเซ็นเตอร์ มาบุญครอง และ สวนลุมพินี เป็นต้น รวมถึง  เมกะโปรเจ็คใหม่ๆที่กำลังเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะยกระดับพื้นที่ในโซนนี้ให้เป็น จุดยุทธศาสตร์แห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร  
“ยิปซัม ตราช้าง” จัดประกวดแข่งขันเฟ้นหาทีมสุดยอดช่างผนังยิปซัม ด้วยคอนเซ็ปออกแบบผนังยิปซัมอย่างไรให้มีดีไซน์สามารถเพิ่มมูลค่าตามความต้องการของลูกค้า

“ยิปซัม ตราช้าง” จัดประกวดแข่งขันเฟ้นหาทีมสุดยอดช่างผนังยิปซัม ด้วยคอนเซ็ปออกแบบผนังยิปซัมอย่างไรให้มีดีไซน์สามารถเพิ่มมูลค่าตามความต้องการของลูกค้า

  บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย “ยิปซัม ตราช้าง” ได้จัดกิจกรรมเพื่อเพิ่มทักษะฝีมือช่าง “แข่งขันช่างผนังยิปซัม ตราช้าง” เพื่อเฟ้นหาสุดยอดทีมช่างผนังยิปซัม ที่สามารถผลิตผลงานตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่ต้องการผลงานที่มีคุณภาพแปลกใหม่ทันสมัย งานเสร็จไว้และประหยัดเวลา โดยมีทีมช่างเข้าร่วมการแข่งขั้นจำนวน 15 ทีม   คุณไพบูลย์ ถนอมกิจชัย ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (จำกัด) สระบุรี กล่าวว่า “การแข่งขันครั้งนี้ เป็นการนำคอนเซ็ปออกแบบผนังยิปซัมอย่างไรให้มีดีไซน์สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับงานผนัง โดยมีลูกเล่นเสริมเฟอร์นิเจอร์บิวน์อิน ให้ผนังสามารถใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆได้  ด้วยขั้นตอนการติดตั้งง่าย และรวดเร็วตามแบบที่ลูกค้าต้องการ  สำหรับการแข่งขันครั้งนี้ เป็นการเฟ้นหาสุดยอดทีมช่างผนังยิปซัมสุดยอดขุนพลมือหนึ่ง และเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในสังคมผู้รับเหมาให้มาแลกเปลี่ยนความคิด แนวทางและเทคนิคงานติดตั้งผนังภายในให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าด้วยระยะเวลาที่จำกัด   สำหรับเกณฑ์การตัดสินเป็นไปตามมาตฐานการติดตั้งยิปซัม ตราช้าง โดยโจทย์หลักครั้งนี้ เน้นความสวยงามเรียบร้อย มีความแข็งแรง ถูกต้องตามแบบที่กำหนด และเสร็จภายในระยะเวลา 3 ชั่วโมง โดยแบ่งการแข่งขั้นออกเป็น 2 ช่วง คือ การติดตั้งผนังยิปซัม 12 มม. ด้วยโครงคร่าวโปรวอลล์ ตราช้าง และการฉาบตกแต่งรอยต่อแผ่นยิปซัมเพื่อความสวยงาม เรียบเนียบไร้รอยต่อ สำหรับทีมที่เข้าแข่งขันจำนวน 15 ทีม คัดเลือกทีมผู้ชนะ 3 ทีม เพื่อได้มาเล่าประสบการณ์ที่ได้จากการแข่งขันครั้งนี้ ทีมที่ได้รับรางวัลที่ 1 – คุณสมบัติ สพานหล้า ตัวแทนจากทีมเจทีแอล “การแข่งขั้นครั้งนี้ ได้รับประสบการณ์ไปปรับใช้ในการผลิตชิ้นงานมากมาย ผมอยู่ในวงการช่างฝืมือและเป็นผู้รับเหมามากว่า 20 ปี สำหรับขั้นตอนการติดตั้งในวันนี้เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ต้องเรียนรู้เพื่อเพิ่มทักษะ สิ่งหนึ่งที่คิดว่าผลงานจะตอบโจทย์ลูกค้าในปัจจุบันได้นั้น จะต้องสร้างมูลค่าเพิ่มด้านการนำไปใช้งานให้ได้มากที่สุด ต้องใช้ระยะเวลาที่จำกัด เพราะรู้ว่าสมัยนี้ชอบงานไว ตอบโจทย์ และถูกแบบ” ทีมที่ได้รับรางวัลที่ 2 –คุณราเชนทร์ อินคำ ตัวแทนจากทีม ที เค เค ซัพพลาย เล่าว่า “อยู่ในวงการช่างฝีมือมากกว่า 9 ปี การเข้าแข่งขันครั้งนี้ส่วนหนึ่งสิ่งที่ได้รับรางวัลคือความสามัคคีและการทำงานเป็นทีม เพราะทุกคนมีความสามารถในแต่ละด้านที่แตกต่างกัน กิจกรรมในวันนี้เป็นการเพิ่มทักษะในวิชาชีพช่างผนังยิปซัม ทุกๆ ขั้นตอนที่แข่งขัน สามารถนำไปต่อยอดในอาชีพช่างฝีมือผนังได้อย่างดีเยี่ยม” ทีมที่ได้รับรางวัลที่ 3 คุณสรุวิทย์ ถนอมพงศ์ ตัวแทนจากทีมพนอ  “ กิจกรรมในวันนี้สร้างความภาคภูมิใจให้กับทีมเป็นอย่างมาก ทุกคนร่วมมือกันต่างคนต่างรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ได้มารู้จักเพื่อนๆ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับงานช่าง รางวัลที่ได้รับสร้างความมั่นใจในการนำเสนองานกับลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ และเป็นการต่อยอดทางอาชีพได้อีกทางหนึ่ง” ภาพบรรยากาศการติดตั้งผนังยิปซัม 12 มม. ด้วยโครงคร่าวโปรวอลล์ ตราช้าง คุณไพบูลย์ ถนอมกิจชัย ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (จำกัด) สระบุรี เยี่ยมชมการทำงานของทีมช่างในแต่ละบูธ การติดตั้งเคาน์เตอร์สำหรับวางของ โดยใช้วัสดุหลักจากยิปซัมนำมาคัดโค้งรัศมี 60 เซ็นติเมตร สำหรับท่านใดที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนยิปซัมตราช้าง โทร. 02-555-0000 หรือ www.siamgypsum.com หรือ facebook fanpage:@GypsumTraChangTH”
ซีเอ็มซี กรุ๊ป ร่วมชี้ทิศทางสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยไทย

ซีเอ็มซี กรุ๊ป ร่วมชี้ทิศทางสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยไทย

คุณอนงค์ลักษณ์ แพทยานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) ร่วมถ่ายภาพกับคุณวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการ ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (ธอส.) ในการร่วมเป็นวิทยากรพิเศษในงานสัมมนาเรื่อง สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จัดโดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ซึ่งภายในงานได้มีการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน ผู้ประกอบการรายกลาง รายย่อยในวงการอสังหาริมทรัพย์ได้อนิสงค์ของข้อมูลเชิงลึก และมีแขกผู้มีเกียรติในวงการอสังหาริมทรัพย์ ร่วมงานเป็นจำนวนมาก เมื่อเร็วๆ นี้ ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติม www.cmc.co.th   และสื่อสังคมออนไลน์ www.facebook.com/cmc.co.th    
เคพีเอ็น แลนด์ เผยโฉม The Diplomat 39 ลักชัวรี่คอนโดบนทำเลศักยภาพ ประกาศความสำเร็จขายไปแล้วกว่า 90% พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ไตรมาส 3 ปี

เคพีเอ็น แลนด์ เผยโฉม The Diplomat 39 ลักชัวรี่คอนโดบนทำเลศักยภาพ ประกาศความสำเร็จขายไปแล้วกว่า 90% พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ไตรมาส 3 ปี

บริษัท เคพี เอ็น แลนด์ จำกัด ผู้นำการพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ เผยโฉมความลักชัวรี่ เดอะ ดิโพลแมท 39 (เดอะ ดิโพลแมท เทอร์ตี้ไนท์) ภายใต้คอนเซ็ปต์“TIMELESS TREASURE” โดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพใจกลางเมือง พร้อมนำผลงานศิลปะมาเป็นองค์ประกอบในการตกแต่ง เพิ่มมูลค่าโครงการ และแลนด์สเคปกรุงเทพฯ ประกาศความสำเร็จขายไปแล้วกว่า 90% เตรียมโอนกรรมสิทธิ์ไตรมาส 3 ปีนี้   นายระวี ธาตุนิยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จ ากัด ผู้นำการพัฒนาคอนโดมิเนียม ระดับลักชัวรี่ กล่าวว่า “หลังจากประสบความสำเร็จจากการพัฒนา THE DIPLOMAT SATHORN (เดอะ ดิโพลแมท สาทร) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่โครงการแรกไปแล้ว และได้รับการตอบรับจากตลาดค่อนข้างดี เราจึงได้พัฒนา The Diplomat 39 (เดอะ ดิโพลแมท เทอร์ตี ้ไนท์)ขึ้นและยังคงจับตลาดระดับบน เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้เป็นเรียล ดีมานด์ที่มีความต้องการซื้อสูง ไม่ว่าจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงซื้อไว้เพื่อเป็นมรดกส่งต่อให้ลูกหลาน หรือเพื่อการลงทุน เพราะราคาคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิทปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาที่ดินในย่านใจกลางเมืองที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเติบโตสูงถึง 55% โดยปัจจุบันราคาเฉลี่ยของคอนโดระดับนี้ อยู่ที่ประมาณ 330,000-450,000 บาท/ตารางเมตร สำหรับเดอะ ดิโพลแมท 39 นั้นราคาปรับตัวขึ้นกว่า 25% ทั้งนี้โครงการแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกบ้านในไตรมาส 3 ปีนี้ โดยมูลค่ารวมโครงการกว่า 3,600 ล้านบาท และปัจจุบันขายไปแล้วกว่า 90% “ทุกครั้งที่เคพีเอ็น แลนด์จะเปิดโครงการใหม่ เราได้คิดวิเคราะห์ และจะให้ความสำคัญกับปัจจัยหลัก 4 ข้อ คือ สถานที่ตั้ง , ฟังก์ชั่น, การออกแบบ และความคุ้มค่าหรือมูลค่าที่จะต้องเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป อย่างเดอะ ดิโพลแมท 39 ที่โดดเด่นด้วยทำเลที่อยู่ใจกลางสุขุมวิทมีความสะดวกสบาย เพราะใกล้แหล่งสาธารณูปโภค ทั้งรถไฟฟ้า ห้างร้าน โรงพยาบาล โรงแรม รวมไปถึงฟังก์ชั่นการใช้งานที่ได้คำนึงถึงประโยชน์การใช้สอยของผู้อยู่อาศัยแล้ว เรื่องของการออกแบบตกแต่งภายนอก และภายในโครงการของเรานั้นอยู่ใต้แนวคิด “Timeless Treasure” สมบัติล้ำค่าที่จะไม่เสื่อมลงไปตามกาลเวลา และเป็นการผสมผสานระหว่าง ความคลาสสิคสไตล์อิตาเลียน Palladian Architecture และความโมเดิร์นเข้าไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ เรายังได้นำผลงานศิลปะจากนานาประเทศ รวมไปถึงเราได้ให้โอกาสศิลปินและช่างฝีมือชาวไทยได้นำผลงานศิลปะเข้ามาตกแต่งคอนโดระดับลักชัวรี่ ทุกๆ สัดส่วนในรายละเอียด และการออกแบบจะต้องมีคุณค่าในตัวเอง KPN LAND COMPANY LIMITED. 719 KPN Tower,26thFloor, Rama 9 Rd., Bangkapi , Huaykwang , Bangkok 10310 เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้รับประสบการณ์การอยู่อาศัยตามไลฟ์ สไตล์ของตนเอง และนี่คือความลักชัวรี่ในแบบที่เคพีเอ็น แลนด์”   เดอะ ดิโพลแมท 39 คอนโดมิเนียม High-Rise จ านวน 156 ยูนิต ใกล้ BTS สถานีพร้อมพงษ์เพียง 100 เมตร เป็นคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่บนท าเลศักยภาพใจกลางมหานครกรุงเทพ ในซอยสุขุมวิท 39 โดดเด่นด้วยการออกแบบตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์ ภายใต้แนวคิด “Timeless Treasure” สมบัติล ้าค่าที่จะไม่เสื่อมลงไปตามกาลเวลา ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างความคลาสสิคสไตล์อิตาเลียน Palladian Architecture และความโมเดิร์นเข้าไว้ด้วยกัน เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ Fitness , The Salon , DiplomatClub , Meeting Room ฯลฯ โอบล้อมด้วยแหล่งสาธารณูปโภค อาทิ The EM District แลนด์มาร์คแห่งใหม่ อย่าง ดิ เอ็มควอเทียร์ , ดิ เอ็มโพเรี่ยม , ดิ เอ็มส์เฟี ยร์ , โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท , โรงเรียนชั้นนำ,สวนเบญจสิริ ฯลฯ พร้อมสถานที่ Hang Out สุดชิคอย่างเอกมัย-ทองหล่อ ในราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท
“จัสท์โค” (JustCo) จับมือแสนสิริ ท้าชิงธุรกิจโคเวิร์คกิ้งสเปซ  ปักธงเปิดสาขาแรกใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  พร้อมวางเป้าเปิด 100 สาขาทั่วเอเชียในปี 2563

“จัสท์โค” (JustCo) จับมือแสนสิริ ท้าชิงธุรกิจโคเวิร์คกิ้งสเปซ ปักธงเปิดสาขาแรกใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พร้อมวางเป้าเปิด 100 สาขาทั่วเอเชียในปี 2563

JustCo ผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซสุดสร้างสรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินหน้าสานต่อความเป็นพันธมิตรกับแสนสิริ ฉลองเปิด JustCo สาขาแรกในประเทศไทยอย่างเป็นทางการที่อาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กลุ่มคนทำงาน นักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ และองค์กรธุรกิจทุกขนาดในประเทศไทย ได้สัมผัสกับบรรยากาศการทำงานแบบใช้พื้นที่ร่วมกัน ที่แฝงความสนุกสนาน มีชีวิตชีวาเปิดโอกาสให้ทุกคนได้รู้จัก มีปฏิสัมพันธ์กัน และกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ การเปิดตัว JustCo แห่งแรกในกรุงเทพฯ คือก้าวแรกในการขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดอื่นๆ ในเอเชีย อีกทั้งยังเป็นความสำเร็จบทแรกจากการดำเนินวิสัยทัศน์ Everyday Visionaries ของแสนสิริเพื่อสร้างการเติบโตครั้งใหม่ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะกำหนดการใช้ชีวิตในอนาคต ครอบคลุมทั้งแนวทางการดำเนินชีวิต การทำงาน การพักผ่อนหย่อนใจ และการเรียนรู้ ทั้งยังสอดคล้องกับแนวคิดของ แสนสิริที่มุ่งเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตให้แก่ลูกบ้านทุกคนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย โดยลูกบ้านแสนสิริจะสามารถใช้บริการได้ฟรีถึงสิ้นปีนี้   มร.คง วัน ซิง ผู้ก่อตั้งและประธานอำนวยการ JustCo กล่าวว่า “ในช่วงหลายปีมานี้ โคเวิร์คกิ้งสเปซถือเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดและเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายทั้งในหมู่คนรุ่นใหม่ สตาร์ทอัพ ไปจนถึงบริษัทใหญ่ๆ โดยโคเวิร์คกิ้งสเปซ ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่สำนักงานให้เช่าเท่านั้น แต่เป็นคอมมูนิตี้ที่สมาชิกสามารถมาพูดคุยสร้างปฎิสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนวิธีการทำงานและแนวความคิดเพื่อต่อยอดธุรกิจให้ก้าวไกลไปกว่าเดิมได้ ซึ่งปัจจุบัน JustCo ถือเป็นผู้ให้บริการพื้นที่ในลักษณะโคเวิร์คกิ้งสเปซระดับพรีเมี่ยมที่ใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากโคเวิร์คกิ้งสเปซอื่นๆ คือ เราไม่ได้เป็นแค่ผู้ให้บริการเช่าพื้นที่ แต่เราสร้างคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ที่ช่วยให้สมาชิกของ JustCo สามารถสร้างคอนเนคชั่นใหม่ ๆ พร้อมทั้งมองหาโอกาสต่อยอดทางธุรกิจอื่นๆ นอกจากนี้ JustCo ยังมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งกับพันธมิตรระยะยาวที่จะเชื่อมต่อสมาชิก JustCo ไปสู่ตลาดในระดับภูมิภาคและพวกเขายังสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจที่น่าสนใจได้อีกด้วย” มร.คง วัน ซิง กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในวันนี้ เรามีความยินดีอย่างยิ่งกับการเปิดตัวเซ็นเตอร์แห่งแรกของ JustCo ในประเทศไทย การร่วมเป็นพันธมิตรกับแสนสิริซึ่งเป็นผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทยคือแรงผลักดันสำคัญที่เบิกทางให้เราสามารถสร้างการเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียโดยอาศัยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อันยาวนานของแสนสิริในตลาดเอเชียและยังเป็นการเชื่อมโยง JustCo สู่ลูกบ้านแสนสิริที่มีอยู่จำนวนมากอีกด้วย ประเทศไทยนับเป็นหนึ่งในศูนย์กลางธุรกิจที่โดดเด่นของภูมิภาค ด้วยยุทธศาสตร์ด้านทำเลที่ตั้งที่ดี และความพร้อมในด้านระบบสาธารณูปโภค เราจึงเห็นว่าไทยคือตลาดที่สำคัญของ JustCo และเป็นประตูเชื่อมโยงให้เราขยายธุรกิจไปสู่ตลาดอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความมุ่งมั่นของ JustCo คือการสร้างระบบนิเวศใหม่ในการทำงานซึ่งเอื้อให้คนทำงานและธุรกิจทุกขนาดได้รับประโยชน์จากพลังของเครือข่าย ผ่านการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันการมีส่วนร่วม และการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างสมาชิก ซึ่งนำไปสู่โอกาสใหม่ๆ และความสำเร็จที่ดีเยี่ยมทางธุรกิจ” นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเปิดตัว โคเวิร์คกิ้งสเปซ JustCo แห่งแรกในประเทศไทยคือความสำเร็จก้าวแรกของการดำเนินกลยุทธ์ Everyday Visionaries เพื่อสร้างการเติบโตครั้งใหม่ซึ่งเราริเริ่มเมื่อปี 2560 โดยการร่วมลงทุนใน 6 ธุรกิจเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ระดับโลก ซึ่งต่างมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการร่วมกันสรรสร้างวิถีแห่งการใช้ชีวิต การทำงาน การเรียนรู้ และการพักผ่อนหย่อนใจเพื่อวันข้างหน้าที่ดีขึ้น เป็นทื่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันรูปแบบการทำงานไม่ได้จำกัดอยู่ในออฟฟิศแบบเดิมๆ อีกแล้ว กระแสการเติบโตอย่างสูงของธุรกิจ ขนาดเล็กและสตาร์ทอัพใหม่ ๆ ทำให้เกิดความต้องการสถานที่ทำงานรูปแบบใหม่ ที่ให้ความยืดหยุ่นสูง และส่งเสริมให้ทำงานร่วมกัน นอกจากนั้น องค์กรธุรกิจใหญ่ๆ หลายแห่งก็เริ่มให้ความสนใจกับโคเวิร์คกิ้งสเปซเพื่อสร้างพลังและประสิทธิภาพในการทำงานให้พนักงานด้วยบรรยากาศการทำงานที่สร้างสรรค์และร่วมมือกัน JustCo จึงเกิดขึ้นในช่วงจังหวะที่ลงตัวเพื่อตอบสนองการเติบโตอย่างมีศักยภาพของปรากฏการณ์โคเวิร์คกิ้งสเปซในประเทศไทย ”   “แสนสิริเล็งเห็นว่า JustCo คือพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทั้งในฐานะผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซและผู้สร้างพื้นที่การใช้ชีวิตใหม่ๆ ให้กับโครงการแสนสิริและพันธมิตรอื่นๆ ของเราในอนาคต ซึ่งภายใต้การจับมือกันครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายสามารถแบ่งปันทรัพยากร ความรู้ความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยี และฐานลูกค้าร่วมกัน นอกจากนั้น ลูกค้าและลูกบ้านของแสนสิริจะได้รับสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ ในการเข้าถึงเครือข่าย     โคเวิร์คกิ้งสเปซของ JustCo โดยลูกบ้านแสนสิริสามารถเข้าใช้บริการ Hot-desking ได้ฟรีถึงสิ้นปี รวมถึงในปีหน้าจะได้รับส่วนลด 20% เมื่อสมัครแพ็คเกจสมาชิกอีกด้วย ” นายอภิชาติกล่าว   JustCo ที่เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ มีพื้นที่ 2 ชั้น รวมกว่า 3,200 ตารางเมตรนับเป็น co-working space ที่มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทย มีการตกแต่งที่สดใส มีชีวิตชีวา ด้วยองค์ประกอบที่สนุกสนาน แนวการออกแบบเน้นการใช้เฟอร์นิเจอร์และวัสดุสไตล์อินดัสเทรียล โต๊ะทำงานที่ใช้ร่วมกัน และเก้าอี้ชิงช้า เพิ่มเติมลูกเล่นด้วยการใช้โทนสีสดในมุมต่างๆ พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งพื้นที่ทำงานแบบฮ็อตเดสก์ พื้นที่ทำงานส่วนตัวที่เงียบสงบ ห้องประชุม พื้นที่จัดอีเวนท์ คาเฟ่ มุมเตะฟุตบอลและตีกอล์ฟ พร้อมแนวคิดที่ส่งเสริมให้เกิดชุมชนแห่งการทำงานโดยการจัดอีเวนท์และกิจกรรมร่วมกันเพื่อเชื่อมโยงธุรกิจทุกรูปแบบ และทุกขนาดเข้าด้วยกัน   ด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางธุรกิจของสาทร ผู้ใช้บริการสามารถเดินทางสู่ JustCo เซ็นเตอร์ที่เอไอเอ สาทรทาวเวอร์ ได้สะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสุรศักดิ์ และจะเชื่อมต่อผ่านสกายวอล์คสู่สถานีศึกษาวิทยา ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในไตรมาส 1 ปี 2562 JustCo มีแผนจะเปิดสาขาที่สองที่แคปิตอลทาวเวอร์ ออลซีซั่นเพลส ในเดือนกรกฎาคม 2561 JustCo ยังได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น J App ซึ่งสามารถเข้าใช้ได้ผ่านทั้งสมาร์ทโฟนและเว็บไซต์ ทำให้สมาชิกเข้าถึงแพล็ตฟอร์มโคเวิร์คกิ้งได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยสามารถจองห้องประชุมล่วงหน้าได้จากทุกที่ทั่วโลก แลกเปลี่ยนไอเดียกับสมาชิกคนอื่นทั้งในฐานะบุคคลหรือบริษัทและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจภายในเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยสมาชิกระดับคุณภาพกว่า 12,000 คน ปัจจุบันสมาชิกสามารถเข้าใช้ J App ผ่านเว็บไซต์ได้แล้วและภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้จะพร้อมเปิดให้ใช้บริการผ่านสมาร์ทโฟน “วันนี้ JustCo กำลังก้าวสู่มิติใหม่ในการขยายธุรกิจสู่ประเทศไทย เราเชื่อว่าด้วยการประสานพลังระหว่างพันธมิตรกับแสนสิริ จะสามารถเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิต (Complete Your Living Experience) ให้แก่ลูกบ้านของเราอย่างไร้รอยต่อ นอกจากนั้น พันธมิตรเชิงกลยุทธ์เหล่านี้ยังเสริมความแกร่งให้แบรนด์แสนสิริบนเวทีระดับโลก เช่นเดียวกับสร้างแหล่งรายได้ใหม่ซึ่งจะเป็นมูลค่าเพิ่มให้กับลูกบ้านแสนสิริและธุรกิจหลักของเรา” นายอภิชาติกล่าว
Enrich รุกหน้าตลาดอสังหาฯ ผ่านแนวคิด ‘Guiding You to Practical Living  ตอบโจทย์สังคมสมัยใหม่และความต้องการของคนทุกวัย

Enrich รุกหน้าตลาดอสังหาฯ ผ่านแนวคิด ‘Guiding You to Practical Living ตอบโจทย์สังคมสมัยใหม่และความต้องการของคนทุกวัย

กลุ่มบริษัท เอ็นริช ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวใหม่ รุกตลาดด้วยแนวคิด ‘Guiding You to Practical Living’ กับประสบการณ์กว่า 10 ปีในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ Enrich ได้พัฒนารูปแบบของที่อยู่อาศัยได้สอดคล้องกับความต้องการของคนในปัจจุบัน ส่งผลให้หลายโครงการของ Enrich ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จโดยไม่เน้นใช้สื่อ Mass Media พร้อมเตรียมขยายธุรกิจด้วยโครงการ ‘KUUN’ และอีกสองโครงการใหม่ในปีนี้ มุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ คุณสุพิชา พงศ์ศีลธน ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธุรกิจ กลุ่มบริษัท เอ็นริช กล่าวว่า ‘‘ปัจจุบัน ผู้บริโภคมีความต้องการที่แตกต่างมากขึ้น โดยเฉพาะในการเลือกซื้อบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีไซน์ที่ต้องโดดเด่น และฟังก์ชั่นที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวันได้ หรือแม้การการตัดสินใจซื้อ ผู้บริโภคก็มักจะนิยมใช้ Social Media ในการติดสินใจเป็นส่วนมาก ด้วยปัจจัยต่างๆนี้เอง ทำให้ Enrich ได้นำมาวางแผนการดำเนินธุรกิจ ด้วยแนวคิด ‘Guiding You to Practical Living’ หรือการเป็นคู่คิดสำหรับการใช้ชีวิตจริง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อาศัยได้อย่างตรงใจ และสร้างสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน’’ ‘‘ในการพัฒนาธุรกิจของ Enrich เรายึดหลักการดำเนินงานเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค 3 ข้อ คือ 1) Newness & innovation ประยุกต์นวัตกรรม เพื่อที่จะทำให้ชีวิตประจำวันเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น 2) Practicality เป็นประโยชน์ ใช้ชีวิตได้จริง ด้วยอรรถประโยชน์ต่างๆ ที่มาจากการวิเคราะห์และสังเกตพฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนในปัจจุบัน 3) Solution provider พร้อมตอบสนองทุกความต้องการ ด้วยการจัดการประเมินความพึงพอใจและแบบสอบถามเพื่อศึกษาความต้องการและพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง’’ คุณสุพิชากล่าว     ทั้งนี้ นอกจากหลักการดำเนินธุรกิจทั้งสามข้อที่ทาง Enrich ใช้เพื่อดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจแล้วนั้น ทาง Enrich ยังใส่ใจในการวางแผนธุรกิจอย่างรอบด้าน พร้อมเผยถึงแนวทางการปฏิบัติซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการใช้ได้จริงและทำได้จริง คือ   วางแผนบนความจริง การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของ Enrich นั้น ยึดถือการใช้งานจริงตามไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยในแต่ละวัยเป็นหลัก โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการใช้ชีิวิตของคนในทุกวันนี้มากกว่าเน้นจำนวนยูนิตของโครงการ ได้แก่ ศักยภาพในแต่ละทำเล การวางแผนและจัดสรรผังโครงการ ฟังก์ชั่นที่ครบครัน วัสดุ และสิ่งอำนวยความสะดวก (facilities) ที่เลือกใช้ต้องทนทานและสามารถตอบรับกับการใช้งานในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี โดยในทุกโครงการทาง Enrich จะดูถึงความเหมาะสมและจุดเด่นในแต่ละพื้นที่ก่อนที่จะทำตลาด ทำให้โครงการที่อยู่อาศัยของ Enrich สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย เหมาะกับการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง วางแผนจากประสบการณ์จริง ในทุกๆ โครงการของ Enrich จะมีการประเมินความเห็นและความพึงพอใจจากผู้อยู่อาศัย ทำให้รู้ถึงจุดเด่นและโอกาสในการพัฒนาโครงการอยู่เสมอ และสามารถมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีให้แก่ลูกค้าได้เป็นอย่างดี วางแผนด้วยความใส่ใจจริง นอกจากคุณภาพของวัสดุที่เลือกใช้แล้วนั้น คุณภาพของทีมงาน และการเลือกพาร์ทเนอร์ที่มีความเชียวชาญ ที่เหมาะสมกับแต่ละโครงการ ก็เป็นสิ่งที่ Enrich ให้ความสำคัญเช่นกัน พนักงานและทีมงานทุกคนจึงผ่านการฝึกอบรมและให้ความรู้ด้านผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้าอย่างดี นอกจากนี้ยังได้นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้เพื่อให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันมากที่สุด     ‘‘จากแนวทางและหลักการดำเนินธุรกิจของ Enrich ที่กล่าวมา ทำให้เราต้องติดตามแนวโน้มของตลาดตลอดจนพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาโครงการให้เหมาะสมตรงกับการอยู่อาศัยที่แท้จริง จะเห็นได้จากการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวอย่างต่อเนื่องของ Enrich ที่พัฒนามาเพื่อตอบรับความนิยมในการเลือกซื้อบ้านของคนในปัจจุบัน หรือแม้แต่การพัฒนาฟังก์ชั่นการใช้งานในบ้านที่ไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักเท่านั้น แต่ยังพัฒนาบ้านด้วยแนวคิดแบบ Senior-friendly ด้วย เพราะ ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อบ้านของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวนี้ เกิดจากความใส่ใจและรับฟังความต้องการของผู้บริโภคของเราอย่างแท้จริง’’ คุณสุพิชา กล่าว นอกจากการพัฒนาโครงการแล้วนั้น การสื่อสารก็เป็นสิ่งที่ Enrich ให้ความสำคัญเช่นกัน จะเห็นได้ว่าแต่ละโครงการของ Enrich ไม่เน้นการใช้สื่อ Above The Line เนื่องจากพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายในปัจจุบัน นิยมใช้สื่อออนไลน์เป็นหลัก Social Media จึงเป็นช่องทางการสื่อสารหลักของแต่ละโครงการของ Enrich ซึ่งเป็นการสร้างการรับรู้กับกลุ่มเป้าหมายหลักได้อย่างตรงจุด และเกิดการแชร์ได้ง่าย คุณสุพิชา เสริมว่า ‘‘การสื่อสารเป็นสิ่งที่ทาง Enrich ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นช่องทางในการสื่อสารกับผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด ด้วยพฤติกรรมในปัจจุบันที่ผู้บริโภคมักจะใช้สื่อออนไลน์ในการหาข้อมูล เปรียบเทียบตลอดจนพูดคุย-สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบการตัดสินใจ ทำให้เราเน้นการใช้ช่องทางดังกล่าวเพื่อช่วยให้ข้อมูลและประชาสัมพันธ์โครงการต่างๆของเราไปยังกลุ่มเป้าหมาย อย่างโครงการ KUUN ซึ่งเป็นโครงการล่าสุดที่ทาง Enrich ร่วมทุนกับ Ace Estate ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์มาอย่างยาวนาน เราก็ใช้สื่อ Social Media ในการให้ประชาสัมพันธ์โครงการรวมไปถึงสร้างคอนเทนต์ที่มีประโยชน์แก่กลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น’’ โครงการ KUUN มาพร้อมแนวคิด Luxury Naturally นำเสนอบ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น สะท้อนความหรูหราเหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ได้เป็นอย่างดี โดยมีจุดเด่น ได้แก่ Location ด้วยทำเลติดถนนราชพฤกษ์เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวก ด้วยเส้นทางคมนาคมที่หลากหลาย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน Private Facilities ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์กับพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ที่ครบครันทุกฟังก์ชั่น เพื่อความเป็นส่วนตัวด้วยเอกสิทธิ์เพียง 20 ยูนิต Home Innovation สะดวกสบายกว่า ด้วยระบบ Smart Home Devices ควบคุมฟังก์ชั่นในการใช้งานภายในบ้านผ่านระบบ Voice Control พร้อมรองรับการติดตั้ง Passenger Lift Security ด้วยระบบรักษาความปลอดภัย ที่มากถึง 6 ระดับ ให้คุณอุ่นใจทั้งส่วนกลางและภายในบ้าน นอกจากนี้ โครงการ KUUN ยังสามารถตอบโจทย์ของคนในทุกวัยได้เป็นอย่างดี จากการสร้าง Co-Working Space สำหรับคนทำงานในยุคปัจจุบันรองรับไลฟ์สไตล์การทำงานที่ยืดหยุ่น ไม่จำกัดแค่ที่ออฟฟิศของคนรุ่นใหม่,​ ห้องเก็บของ walk-in pantry สำหรับแม่บ้านยุคใหม่ รวมไปถึงลิฟท์ที่เตรียมไว้สำหรับผู้สูงอายุเพื่อเตรียมรับแนวโน้มสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทยที่มีมากขึ้นในทุกปี ‘‘ทั้งนี้ Enrich ยังคงเล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทยอีกมาก จึงเตรียมแผนที่จะเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยอีก 2 โครงการภายในปี 2561 โดยยังคงยึดเอาแนวคิด ‘Guiding You to Practical Living’ หรือการเป็นคู่คิดสำหรับการใช้ชีวิตจริง มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้โครงการของ Enrich สร้างความพึงพอใจและตอบรับกับความต้องการในการใช้ชีวิตของผู้พักอาศัยได้มากที่สุด’’ คุณสุพิชา กล่าวทิ้งท้าย
บ้านและสวนแฟร์ Select เดินเล่นชมงานดีไซน์สไตล์คนรักบ้าน

บ้านและสวนแฟร์ Select เดินเล่นชมงานดีไซน์สไตล์คนรักบ้าน

บ้านและสวนแฟร์ เป็นงานอีเว้นท์ที่หลายคนรอคอยไปเดินเลือกซื้อ เดินชมงานดีไซน์เก๋ๆ ตามสไตล์ของคนรักบ้าน ซึ่งปกติแล้วจะจัดขึ้นที่อิมแพค เมืองทองธานี และไบเทคบางนา แต่สำหรับงานแรกในปี 2018 นี้ งานบ้านและสวนแฟร์ได้ยกมาจัดใจกลางเมืองในชื่อว่า "บ้านและสวนแฟร์ Select" กับคอนเซ็ปต์ “Tropical Dream” จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม – 3 มิถุนายน 2561 ณ เพลนารี ฮอลล์ 1-3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์   เราจะพาไปเดินเล่นในงานกันค่ะ อย่าลืมลงทะเบียนหน้างานกันก่อนนะคะ แล้วเราจะได้ถุงผ้ากับนิตยสาร 1 เล่ม ไปฟรีๆ   บรรยากาศภายในงานคึกคักกันตั้งแต่วันแรกเลยค่ะ มีหลายแบรนด์ชื่อดังยกมาไว้ในงานละลานตาทั่วทั้งฮอลล์     เฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดัง ดีไซน์โดนหลายค่ายมาให้ได้เลือกชมพร้อมๆ กันทีเดียวในงาน   นอกจากเฟอร์นิเจอร์ก็ยังมีของตกแต่งบ้านมากมาย   มีของให้เลือกซื้อสำหรับนำไปจัดสวนด้วยนะคะ   กลางฮอลล์มีเวทีจัดนิทรรศการ “The Chairmen of Thai Design” เป็นการรวบรวมเก้าอี้ผลงานการออกแบบจากดีไซเนอร์ไทยที่มีดีไซน์โดดเด่นเฉพาะตัว หลายชิ้นเคยได้รับรางวัลกานรันตีจากทั้งในและต่างประเทศ เดินชมพร้อมกับมีเสียงเพลงอะคูสติกเล่นกันสดๆ ในงาน คอยสร้างบรรยากาศ   ในงานนี้เราจะได้พบกับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านหลากหลายดีไซน์ รับรองว่าคุณจะได้ไอเดียดีๆ กลับไปแน่นอน คนรักบ้านห้ามพลาดค่ะ
โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ กระแสตอบรับดีเกินคาด โครงการ “โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ – ขอนแก่น”

โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ กระแสตอบรับดีเกินคาด โครงการ “โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ – ขอนแก่น”

กระแสตอบรับดีเกินคาด โครงการ “โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ – ขอนแก่น” สร้างยอดขายได้แล้วกว่า 85% กวาดรายได้ไปกว่า 300 ล้านบาท จนทำให้ทายาทรุ่น 3 ของค่ายโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ “คุณพงศ์” ณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ เป็นปลื้มสุดๆ แถมงานด้วยก่อสร้างก็คืบหน้าตามแผน เพราะเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างโครงการตัวเอง ทำให้ลูกค้ามั่นใจในคุณภาพของโครงการฯได้อย่างแน่นอน แว่วมาว่ายังเหลือห้องมุมสวยอีกไม่กี่ยูนิต ใครสนใจอยากจับจองต้องรีบกันหน่อยก่อนพลาดโอกาส
SPACES ออฟฟิศพร้อมใช้งานจากอัมสเตอร์ดัม ฉลองเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่

SPACES ออฟฟิศพร้อมใช้งานจากอัมสเตอร์ดัม ฉลองเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่

นางโนเอล โค้ก (ซ้ายสุด), ผู้อำนวยการใหญ่ สเปซเซส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี พร้อมด้วยทีมผู้บริหารสเปซเซส ประจำประเทศไทย ร่วมจัดงานปาร์ตี้สุดเอ็กคลูซีฟฉลองการเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่ SPACES (สเปซเซส) ออฟฟิศพร้อมใช้งานและโคเวิร์กกิ้งแบบครบวงจรสุดสร้างสรรค์จากอัมสเตอร์ดัม สาขาแรกในประเทศไทย ณ ชั้น 3 โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ (Summer Hill) ติดบีทีเอสพระโขนง ด้วยคอนเซปต์อันโดดเด่นในสไตล์ดัตช์ ที่พร้อมเปิดมิติใหม่เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน พร้อมให้ลูกค้าและแขกผู้มีเกียรติเข้าเยียมชมพื้นที่อย่างเต็มรูปแบบ เมื่อเร็วๆ นี้   สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Spaces ณ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ กรุณาโทร 02-026-0635 หรือดูรายละเอียดจาก www.spacesworks.com/bangkok.
PROPACHILL แพลตฟอร์มใหม่ทลายจุดอ่อนบริการเช่าที่อยู่อาศัย

PROPACHILL แพลตฟอร์มใหม่ทลายจุดอ่อนบริการเช่าที่อยู่อาศัย

  พร็อพทูมอร์โรว์ แตกไลน์ธุรกิจใหม่บนแพลตฟอร์มPROPACHILL(พร๊อพพาชิล)ผ่านเว็บไซต์ www.propachill.com ให้บริการเช่าที่อยู่อาศัยทั้ง บ้าน คอนโดมิเนียม อพาร์ทเม้นท์ แบบไม่ต้องมีเงินมัดจำแบบสมบูรณ์ เป็นแห่งแรก เพื่อแก้ปัญหาเวลาผู้เช่าต้องจ่ายเงินก้อนตอนทำสัญญาเช่าและ แก้ปัญหาความกังวลของผู้ให้เช่า(เจ้าของและนายหน้า) เรื่องความเสียหายภายในห้องโดยดึงพันธมิตร “กรุงเทพประกันภัย – ดิจิตอล บัตเลอร์ - ฟิกซี่” อีกทั้งเตรียมบริการเสริมแบบจัดเต็มเพื่อตอบไลฟ์สไตล์คนเมือง พร้อมให้บริการ 15 มิถุนายน 2561 นี้   นายกรณ์กวินท์ พีระเดชไพศาล กรรมการบริหารบริษัท พร็อพทูมอร์โรว์ จำกัด เว็บไซต์ข่าวอสังหาริมทรัพย์ www.prop2morrow.com เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ศึกษา Business Model แพลตฟอร์ม PROPACHILL ผ่านเว็บไซต์ www.propachill.com เพื่อการเช่ามากว่า 2 ปี พัฒนาสูตรธุรกิจให้ทุกฝ่ายพึงพอใจ จากจุดแข็งที่ทีมงานมีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาฯมากว่า 12 ปี ทั้งในฐานะผู้ประกอบการ นักลงทุน นายหน้า นักการตลาด เล็งเห็นว่าจุดอ่อนของธุรกิจการเช่าอสังหาฯ อยู่ที่เงินมัดจำ 3เดือน ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฎิบัติมาช้านาน ทำให้ผู้เช่าต้องรอเงินก้อน กว่าจะได้เช่าทำให้ระบบธุรกิจล่าช้า ทีมจึงตั้งคำถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ การเช่าอสังหาฯ ต่อไปนี้ ไม่ต้องใช้เงินมัดจำ ในขณะเดียวกัน นายหน้า ผู้เป็นส่วนสำคัญในธุรกิจการเช่า ยังได้รับค่าคอมมิชชั่นเหมือนเดิม และสุดท้ายเจ้าของทรัพย์ ได้รับค่าเช่าจากแผนการลงทุนที่วางไว้ รวมไปถึงบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้มีตัวช่วยในการระบาย Stock คอนโดที่แล้วเสร็จแต่ยังไม่มีผู้ซื้ออีกด้วย   จับมือ “กรุงเทพประกันภัย”ออกแบบกรมธรรม์ความคุ้มครองพิเศษ วิธีแก้ปัญหานั้นก็คือ การทำประกันคุ้มครองความเสียหายให้กับอสังหาฯ โดย PROPACHILL ร่วมออกแบบกรมธรรม์ความคุ้มครองพิเศษกับทางบริษัทกรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้กับเจ้าของทรัพย์ที่ตั้งใจปล่อยเช่าอสังหาฯครอบคลุมความเสียหายด้านต่างๆอาทิ ความเสียหายต่อเฟอร์นิเจอร์ ผนังห้อง พื้น เครื่องใช้ไฟฟ้า คุ้มครองสูงสุด 500,000 บาท รวมไปถึงมีค่าชดเชยในการขาดผู้เช่าในระหว่างซ่อมแซม หรือ มีค่าขนย้ายซาก เป็นต้น ทำให้เงินมัดไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะหากเกิดความเสียหาย ทางเจ้าของทรัพย์สามารถติดต่อ เคลมความเสียหายโดยตรงไปยัง กรุงเทพประกันภัย ได้ทันที โดยระบบของ PROPACHILL ผู้เช่า จ่ายเพียงเงินค่าเช่าล่วงหน้า 1 เดือนก็เพียงพอแล้ว ไม่ว่าชำระด้วยบัตรเครดิตหรือการโอนเงิน PROPACHILL จะคิดเพียงค่าบริการ( Fee) จากอัตราค่าเช่าที่แตกต่างกันกับผู้เช่าไม่มีการหักคอมมิชชั่นใดๆ จากนายหน้าหรือเจ้าของทรัพย์ และเงินมัดจำล่วงหน้านี้ ระบบจะทำการจ่ายเงินไปยังผู้ที่ลงประกาศโฆษณาในเว็บไซต์หลังจากตรวจสอบความถูกต้อง   จัดเต็มบริการเสริมตอบรับไลฟ์สไตล์คนเมือง ไม่เพียงเท่านี้เรายังเตรียมบริการเสริม จากพันธมิตรที่แข็งแกร่งในด้านต่างๆ มาอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม อาทิ DIGITAL BUTLER ผู้ช่วยส่วนตัวไม่ว่าการขนย้ายสัมภาระจากที่เก่ามายังที่อยู่ใหม่ พร้อมทำความสะอาดให้เสร็จสรรพ นอกจากนี้เราคิดเผื่อให้ลูกค้ากรณีเกิดความเสียหายที่ต้องใช้ช่างซ่อมระดับมืออาชีพ ไม่ว่างานระบบประปา ระบบไฟฟ้า งานโครงสร้าง ได้พันธมิตรจาก FIXZY คอยบริการต่อเนื่อง เรายังให้ฟรีบัตรโดยสารจาก Air Asia ฟรีบัตรโดยสารรถไฟฟ้า BTS หรือ MRT ฟรี บัตรชมภาพยนต์จาก Major และบริการเสริมอีกมาก ขณะนี้มีพันธมิตรธุรกิจหลายรายให้ความสนใจพร้อมต่อยอดให้ PROPACHILL แข็งแกร่งยิ่งขึ้น   นายกรณ์กวินท์ กล่าว พร้อมกับกล่าวย้ำว่า บริษัทฯได้ทำตามกติกากฎหมายควบคุมสัญญาเช่าฯ ทุกประการ ไม่รับการปล่อยเช่ารายวัน ไม่เก็บเงินมัดจำ เก็บเงินค่าเช่าล่วงหน้าไม่เกิน 1 เดือน พร้อมให้บริการเต็มรูปแบบ 15 มิถุนายน 2561 นี้   พร้อมกันนี้ผู้บริหารของพร็อพทูมอร์โรว์ ยังกล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2539-2564 จะมีคอนโดฯสร้างเสร็จจดทะเบียนเป็นอาคารชุดประมาณถึง 1 ล้านยูนิต ในจำนวนนี้มีผู้ซื้อเพื่อการลงทุนทั้งปล่อยเช่า หรือ ซื้อเพื่อขายต่อคิดเป็น 30% หรือประมาณ 3 แสนยูนิต ซึ่งนั่นคือโอกาสของธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติที่มาเที่ยวเมืองไทย รวมถึงลูกค้าองค์กรของบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ที่ต้องการหาห้องเช่า หรือบ้านเช่าให้กับผู้บริหาร โดยบริษัทตั้งเป้าหมายสร้างระบบธุรกิจอสังหาฯให้มีสภาพคล่องสูงขึ้น ปัจจุบันมีผู้ประกอบการสนใจที่จะนำเอาห้องชุดพร้อมอยู่มาปล่อยเช่าผ่าน PROPACHILL มีทั้งที่เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ฯและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯเพราะเชื่อว่า PROPACHILL จะมีส่วนช่วยดันยอดขายโครงการที่สร้างเสร็จแล้วพร้อมโอนนั่นเอง
เอสซี แอสเสทฯ จับมือ OFO(โอโฟ่)  คิกออฟแอพพลิเคชั่นบริการให้เช่ารถจักรยานแบบไร้สถานี ตอกย้ำ Rue Jai Living Solutions

เอสซี แอสเสทฯ จับมือ OFO(โอโฟ่) คิกออฟแอพพลิเคชั่นบริการให้เช่ารถจักรยานแบบไร้สถานี ตอกย้ำ Rue Jai Living Solutions

  นายณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำการเป็น Rue Jai Living Solutions ด้วยการ co-create ร่วมกับ นางสาว ซาแมนต้า ตึง ผู้บริหารจาก OFO (โอโฟ่) แอปพลิเคชั่นรายใหญ่ที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ของโลก เพื่อเปิดให้บริการเช่าจักรยานแบบไร้สถานีที่ให้ความสะดวกผ่านแอปพลิเคชั่นผ่านมือถือ ใช้งานง่ายและ Worry free ปลอดความกังวลด้วยการดูแลบำรุงรักษาภายใต้ทีมโอโฟ่ เพื่อแก้ปัญหา pain point และตอบสนองไลฟ์สไตล์เรื่อง Sharing Economy รักษ์สุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยพร้อมนำร่องที่โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ 2 บ้านหรูสไตล์นอร์ดิกที่ Facilities ครบครัน รองรับ Bike Lane ซึ่งเชื่อมต่อสวนส่วนกลางถึง 3 จุด โครงการนี้ตั้งอยู่บนทำเลใกล้ทางด่วนแจ้งวัฒนะ บริเวณถนนหอการค้าไทย ซึ่งครอบครัวสมาชิก SC Family สามารถทดลองใช้บริการได้ฟรีถึงเดือนกรกฎาคมนี้ โดยสามารถปั่นออกกำลังกายทั้งภายในและภายนอกโครงการ ปั่นไปซื้อของบริเวณใกล้เคียง ช่วยทั้งประหยัดพลังงานและลดปัญหามลภาวะก๊าซคาร์บอนในอากาศ     นอกจากนี้เอสซี แอสเสทฯ มีแผนการขยายบริการโอโฟ่ไปยังโครงการอื่น ๆ ในอนาคตอีกด้วย สนใจเยี่ยมชมโครงการบางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ 2 สอบถามที่โทร.1749 https://www.scasset.com/th/house/bangkok-boulevard-changwattana2
เรียลแอสเสท เปิดแบบบ้านใหม่ “ วิรัณยา วงแหวน – อ่อนนุช” รุกตลาดไตรมาสสอง เปิดขายเฟสใหม่ชิงชิ้นเค้กย่านบางนา ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท

เรียลแอสเสท เปิดแบบบ้านใหม่ “ วิรัณยา วงแหวน – อ่อนนุช” รุกตลาดไตรมาสสอง เปิดขายเฟสใหม่ชิงชิ้นเค้กย่านบางนา ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท

  “เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์” เปิดตัวแบบบ้านใหม่ โครงการ “วิรัณยา วงแหวน – อ่อนนุช” กับแบบบ้าน LIVA ขนาดพื้นที่ใช้สอย 151 ตรม. และแบบบ้าน VITA ขนาดพื้นที่ใช้สอย 182 ตรม. พร้อมเปิดขายเฟสใหม่ลุยตลาดไตรมาสสอง ชิงชิ้นเค้กย่านบางนาต่อเนื่อง ในราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท ตอกย้ำจุดขายการพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด “บ้านที่มีหัวใจ” กับการออกแบบที่มีความหมายและแฝงข้อคิดดีๆในการดำเนินชีวิต ในทุกรายละเอียดที่ผสมผสานกับธรรมชาติอย่างลงตัว ล่าสุดเตรียมจัดไม้เด็ด คัดแปลงสวยในราคาพิเศษเพียง 5.69 ล้านบาท มาสมนาคุณลูกค้า จำนวนจำกัด แค่ภายในวันงาน 2 – 3 มิถุนายน 2561 นี้เท่านั้น     นายวีระชัย หาญจริยากูล ผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์ธุรกิจบ้านจัดสรรและอาคารพาณิชย์ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า สำหรับการพัฒนาโครงการ “ วิรัณยา วงแหวน – อ่อนนุช” ในปัจจุบันทางบริษัทฯ ได้ทำการเปิดขายเฟสใหม่จำนวน 34 ยูนิต พร้อมกับเปิดตัวแบบบ้านซีรีย์ใหม่ กับแบบบ้าน LIVA ขนาดพื้นที่ใช้สอย 151 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และแบบบ้าน VITA ขนาดพื้นที่ใช้สอย 182 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ทำให้ปัจจุบันโครงการ วิรัณยา วงแหวน – อ่อนนุช มีแบบบ้านให้ลูกค้าเลือกเป็น 5 แบบ ในราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท ทั้งนี้เหตุผลในการปรับแบบบ้านใหม่เพิ่มเติม มาจากกระแสการตอบรับและข้อเสนอแนะของลูกค้า ที่อยากได้แบบบ้านขนาดไซส์กลางที่มีห้องนอนด้านล่างเหมือนแบบบ้านขนาดไซส์ใหญ่บ้าง ทางบริษัทฯ จึงทำการปรับแบบขึ้นเพื่อตอบโจทย์และให้ครอบคลุมกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด โดย ในวันที่ 2-3 มิถุนายนนี้ บริษัทฯ ได้จัดโปรโมชั่นคัดแปลงสวยในราคาพิเศษเพียง 5.69 ล้านบาทมาสมนาคุณลูกค้าในจำนวนจำกัด สำหรับโครงการ “ วิรัณยา วงแหวน – อ่อนนุช” มีมูลค่าโครงการกว่า 1,100 ล้านบาท สร้างขึ้นภายใต้แนวคิด “บ้านที่มีหัวใจ” คือ บ้านที่ใส่ใจลึกซึ้งทุกความรู้สึก เข้าถึงทุกหัวใจของทุกคนในบ้าน สู่แนวคิดโครงการที่ออกแบบตัวบ้านที่เน้นความ เท่ อบอุ่นและผ่อนคลาย เต็มอิ่มกับธรรมชาติภายนอกด้วยกระจกเข้ามุม พื้นที่ครัวปิดเป็นสัดส่วนและภายในบ้านถูกออกแบบให้มีพื้นที่เชื่อมต่อกันสำหรับผู้อยู่อาศัย แบบ Multi Generation Space ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ บริเวณชั้น 2 มีพื้นที่พักผ่อนสำหรับครอบครัวสามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้ตามไลฟ์สไตล์และเปิดมุมมองกับสวนภายนอก รับแสงธรรมชาติเพื่อความปลอดโปร่งและช่วยระบายอากาศได้เป็นอย่างดี รองรับการสร้าง Silvan Experience & Outdoor ในบรรยากาศร่มรื่นทั่วทั้งโครงการ อิ่มเอมในช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนด้วยคลับเฮ้าส์ ,ฟิตเนส ,สนามเด็กเล่น ,คิดส์คลับ และสระว่ายน้ำยกระดับเปิดโล่งสไตล์คอนโดบนชั้นสองของคลับเฮ้าส์ พร้อมศาลาสำหรับนั่งพักผ่อนริมสระว่ายน้ำ รายล้อมด้วยสวนสาธารณะขนาดใหญ่ , ทะเลสาบ และจุดพักผ่อนรอบโครงการ ให้ชีวิตเต็มไปด้วยการพักผ่อนอย่างแท้จริง   ตัวโครงการตั้งอยู่บนถนนเลียบวงแหวนกาญจนาฯฝั่งตะวันออก ช่วงถนนบางนา-ตราดมุ่งหน้าถนนอ่อนนุช ใกล้ทางขึ้น-ลงทางด่วนบางนา-ชลบุรี และสนามบินสุวรรณภูมิ โดยนับได้ว่าเป็นทำเลที่มีความโดดเด่น เพราะ เชื่อมต่อทุกความสะดวกสบาย รองรับทุกเส้นทางสู่กิจกรรมของชีวิต ด้วยทำเลที่ใกล้ใจกลางเมืองถึง 2 เส้นทาง ทั้งจากวงแหวนพระราม 9 และ บางนา นอกจากนี้ยังใกล้ทางด่วนวงแหวนฝั่งใต้ ,ทางด่วนฉลองรัช , ทางด่วนบูรพาวิถี รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียนและห้างสรรพสินค้า อาทิ IKEA , เซ็นทรัล บางนา , พาราไดส์ พาร์ค และซีคอนสแควร์ เป็นต้น ปัจจุบันเฟส1มียอดขายแล้วกว่า40%     นายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์ธุรกิจ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยถึงศักยภาพของทำเลย่านบางนาและอ่อนนุชว่า ปัจจุบันทำเลที่ตั้งในย่านบางนา – อ่อนนุช ถือได้ว่าเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกที่เป็นทำเลทอง เพราะมีศักยภาพสูง มีสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นจำนวนมากทั้ง ศูนย์การค้า, โรงพยาบาล, และอื่นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้นำมาสู่คำตอบที่ว่าทำไมโครงการที่อยู่อาศัยจึงเกิดขึ้นมากในทำเลย่านบางนา-อ่อนนุช ทั้งโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบ – แนวสูง ที่นักพัฒนาทั้งรายใหญ่และรายย่อยต่างกันมองหาที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในย่านนี้ และในปัจจุบันได้มีโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานและศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่ถือได้ว่าเป็นเมกะโปรเจคของย่านบางนา ได้แก่ แบงค๊อก มอลล์, ไบเทค เฟส 2, อาคารสำนักงานเกรด A ของกลุ่มภิรัชบุรีบริเวณไบเทค และเมกะซิตี้ “ศักยภาพของทำเลย่านบางงนา และอ่อนนุช นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่มีอยุ่รอบๆ พื้นที่ ยังมีจุดเด่นในเรื่องของการเดินทางที่สะดวกสบาย มีการเชื่อมต่อมาจากศูนย์กลางพัฒนาเศรษฐกิจแห่งใหม่ (NEW CBD) และสุขุมวิทตอนกลาง ที่มีเส้นทางคมนาคมหลากหลายเส้นทางในการเดินทางเข้า-ออกเมืองได้อย่างสะดวกสบาย ได้แก่ วงแหวนรอบนอก (เชื่อมต่อกรุงเทพ, นนทบุรี, สมุทรปราการ), มอเตอร์เวย์ (เชื่อมต่อกรุงเทพฯ, ปทุมธานี, ชลบุรี), ทางด่วนบางนา-ชลบุรี (เชื่อมต่อกรุงเทพฯ ไปสู่ภาคตะวันออก), โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มส่วนต่อขยายจากแบริ่งไปสมุทรปราการที่เริ่มเปิดใช้บริการในปี 2560, โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ที่คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายใน 1-2 ปี, โครงการรถไฟฟ้าในอนาคตสายสีเขียว (บางนา-สุวรรณภูมิ) ที่ได้บรรจุลงไปในแผนพัฒนา ปี 2560 เพื่อรองรับการเติบโตของเมืองในอนาคต” นายณัฏฐพร กล่าว
EVER เปิดโครงการบ้านเดี่ยว “มายโฮมอเวนิว  ” ภายใต้คอนเซ็ปต์ พบความสุข 360 องศา ครบทุกความปรารถนาของชีวิตเมือง  ฟังก์ชั่นครบ เพียง 61 หลัง ราคา  3 ล้านกว่าบาท

EVER เปิดโครงการบ้านเดี่ยว “มายโฮมอเวนิว ” ภายใต้คอนเซ็ปต์ พบความสุข 360 องศา ครบทุกความปรารถนาของชีวิตเมือง ฟังก์ชั่นครบ เพียง 61 หลัง ราคา 3 ล้านกว่าบาท

EVER เปิดตัวตัวโครงการแนวราบแรก ”มายโฮมอเวนิว” บ้านเดี่ยวสไตล์ MODERN CHIC มูลค่ากว่า 250 ล้านบาท พร้อมฟังก์ชั่นครบทุกการใช้สอย” 360 ANGLE of HAPPINESS IS HERE พบความสุข 360 องศา ครบทุกความปรารถนาของชีวิตเมือง บนทำเลรามอินทรา-จตุโชติ "สังคมคุณภาพเพียง 61 หลัง เท่านั้น ราคา 3 ล้านกว่าบาท พร้อมพรีเซล 2- 3 มิถุนายน นี้ ด้าน บอส "สวิจักร์ โลจายะ" คาดผลตอบรับดี ตั้งเป้ายอดจอง 40%   นายสวิจักร์ โลจายะ ประธานกรรมการ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ EVER เปิดเผยว่า ในปีนี้จะเป็นปีแห่งการเทิร์นอะราวด์จากปีก่อน และการขยายธุรกิจเชิงรุกโดยเฉพาะการพัฒนาโครงการแนวราบ จากปัจจุบันที่พอร์ตรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากโครงการแนวสูง เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัทในอนาคต   โดยล่าสุดบริษัทฯ เปิดโครงการใหม่ ” มายโฮมอเวนิว “มูลค่าโครงการกว่า 250 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว สไตล์ MODERN CHIC ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ 360 ANGLE of HAPPINESS IS HERE “ พบความสุข 360 องศา ครบทุกความปรารถนาของชีวิตเมือง บนทำเลรามอินทรา-จตุโชติ ในราคาเริ่มต้น 3 ล้านกว่าบาท เปิดพรีเซลล์ในวันที่ 2-3 มิถุนายน 2561   MY HOME AVENUE เป็นโครงการบ้านเดี่ยวที่มีฟังก์ชั่นครบ การดีไซน์ที่โปร่งโล่ง เพื่อเปิดรับธรรมชาติภายนอก มุมมองที่ไม่เหมือนใคร ท่ามกลางสังคมคุณภาพเพียง 61 หลัง เท่านั้น พร้อมทั้งความปลอดภัยสูงด้วยระบบเข้าออกแบบ Key Card กล้อง CCTV สระว่ายน้ำ ฟิตเนส คลับเฮ้าส์ พร้อมสวนสวยที่จะมอบความสดชื่นมีชีวิตชีวาให้กับคุณทุกวัน   นอกจากนี้ ยังมีทำเลที่ตั้งมีศักยภาพและน่าสนใจเพราะ ใกล้ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ รถไฟฟ้า MRT สายสีชมพู สถานีบางชัน พร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกรอบด้าน เช่น รร. นวมินทราชินูทิศ, รร.สาธิตพัฒนา และโรงพยาบาล สายไหม , โรงพยาบาล เสรีรักษ์ ฯลฯ   “มั่นใจว่าโครงการ “ มายโฮมอเวนิว ” จะได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากจุดเด่นในด้านทำเล คาดจะมียอด presale 40% หรือประมาณ 100 ล้านบาท และยังเป็น 1 ใน 4โครงการแนวราบที่ EVER วางแผนเปิดใหม่ในปีนี้ มูลค่ารวมประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยเปิดในช่วงปีนี้ เป็นโครงการทาวน์โฮม แบรนด์ "เอเวอร์ ซิตี้ " ในย่านทำเลสุขสวัสดิ์ , บางนา หนามแดง ฯลฯ ซึ่งมีการซื้อที่ดินเพื่อรอการพัฒนาไว้เรียบร้อยแล้ว “นายสวิจักร์กล่าว   นายสวิจักร์ กล่าวว่า EVER ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1,800 – 1,900 ล้านบาท โดย 90 % มาจากรายได้จากธุรกิจอสังหา ฯ และในไตรมาส 3/2561 จะเริ่มมียอดขายบางส่วนจากโครงการเดอะ โพลิแทนบรีซ มูลค่า 1,900 ล้านบาท เป็นโครงการสูง 8 ชั้น 4 อาคารจำนวน 587 ห้อง โดยโครงการดังกล่าวจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 และเริ่มโอนได้ภายในเดือนธันวาคมนี้
‘ลลิล พร็อพเพอร์ตี้’ แข็งแกร่งเหนืออุตสาหกรรม  ปักหมุดลุยโครงการใหม่ 8-10 ทำเล มูลค่า 5,000 ล้านบาท

‘ลลิล พร็อพเพอร์ตี้’ แข็งแกร่งเหนืออุตสาหกรรม ปักหมุดลุยโครงการใหม่ 8-10 ทำเล มูลค่า 5,000 ล้านบาท

  บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) เดินหน้าผุดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าปีนี้ลุย 8-10 โครงการ มูลค่ารวม 4,500-5,000 ล้านบาท ผลักดันผลประกอบการขยายตัวตามเป้า 15% แตะ 4,000 ล้านบาท เผยไตรมาสแรกของปี 2561 รับรู้รายได้แล้ว 962.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 45% ตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นการขยายตัวได้ดีในระดับที่สูงกว่า 30% อย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ในแง่ของกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นราว 60% หรืออยู่ที่ระดับ 182.2 ล้านบาท   นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า ในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงแผนการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าเปิดขายโครงการใหม่ บนทำเลศักยภาพกว่า 8-10 โครงการ มูลค่าโดยประมาณ 4,500-5,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามแผนที่กำหนดไว้ เพราะในช่วงช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เปิดโครงการใหม่ไปทั้งสิ้น 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท โดยมียอดขายใหม่ที่รอรับรู้รายได้กว่า 1,500 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาสสองมีแผนที่จะเปิดอีก 1 - 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท สำหรับเป้าหมายการรับรู้รายได้ในปี 2561 มั่นใจจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้โดยเติบโต 15% หรือแตะ 4,000 ล้านบาท   ทั้งนี้ ในไตรมาสแรกของปี 2561 บริษัทฯ มียอดรับรู้รายได้ที่ 962.1 ล้านบาท เติบโตได้ราว 45% นับเป็นการขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องจากที่บริษัทสามารถเติบโตในระดับสูงกว่า 30% ตลอดช่วง 2 ปี ขณะที่มีกำไรสุทธิทั้งสิน 182.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ ยังคงความสามารถในการบริหารและจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 39.9% นับเป็นอัตราที่สูงเป็นลำดับต้นๆ ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ และในส่วนของต้นทุนการขายและบริหาร บริษัทฯ ยังคงสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน   สำหรับโครงสร้างเงินทุน แม้ว่าบริษัทฯ จะมีการขยายธุรกิจอย่างมากในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทฯ ยังคงรักษาระดับ Gearing ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด โดย ณ สิ้นไตรมาสแรก บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.82 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.3 - 1.4 เท่า สะท้อนความแข็งแกร่งทางด้านการเงินของบริษัท และความพร้อมในการขยายธุรกิจของทางบริษัทได้เป็นอย่างดี
วี พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว เซลล์ แกลเลอรี่ คอนโด ไอคอน สุขุมวิท 77 ต้อนรับลูกค้า เปิดประสบการณ์ “Living Extraordinary” รับไลฟ์สไตล์คนเมือง

วี พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว เซลล์ แกลเลอรี่ คอนโด ไอคอน สุขุมวิท 77 ต้อนรับลูกค้า เปิดประสบการณ์ “Living Extraordinary” รับไลฟ์สไตล์คนเมือง

  บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการคอนโดมิเนียมระดับ Luxury จัดงาน VIP DAY เปิดตัว ไอคอน เซลล์ แกลเลอรี่ สุขุมวิท 77 (IKON Sales Gallery Sukhumvit 77) โดยมี นายพรชัย เลิศอนันต์โชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ให้การต้อนรับและให้ข้อมูล พร้อมนำชมห้องตัวอย่างของคอนโดมิเนียม IKON Sukhumvit 77 พบกับไฮไลท์กิจกรรมจากดาราหนุ่ม “ก๊อต – จิรายุ ตันตระกูล” ที่มาร่วมสร้างความสนุกและความประทับใจ ภายในงาน ซึ่งมีผู้ที่ให้ความสนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก   นายพรชัย เลิศอนันต์โชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม ไอคอน สุขุมวิท 77 (IKON Sukhumvit 77) เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับผลการตอบรับที่ดีและมีผู้ที่สนใจเป็นอย่างมาก จึงได้จัดงาน VIP DAY ขึ้น เพื่อมอบความพิเศษให้แก่ผู้ที่สนใจได้ร่วมเยี่ยมชมห้องตัวอย่างของไอคอน สุขุมวิท 77 อย่างเป็นทางการ โดยคอนเซ็ปท์ของการพัฒนาโครงการนี้เกิดจากการศึกษาพฤติกรรมความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และการวิเคราะห์ทำเลที่อยู่อาศัยในย่านลงทุนแห่งใหม่อย่างย่านอ่อนนุช เพื่อให้สอดรับ กับการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Luxury ตามยุทธศาสตร์ของบริษัท ทั้งทำเลที่ดีอยู่บริเวณรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทและใกล้แหล่งคอมมูนิตี้มอลล์ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน เพื่อให้ตอบสนองไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนเมืองให้ได้มากที่สุด   “โครงการ ไอคอน สุขุมวิท 77 เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวนรวม 442 ยูนิต บนพื้นที่ 3-3-55 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ด้วยแนวคิด Living Extraordinary ทุกอย่างลงตัวในแบบคุณ ในราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพอ่อนนุช ตัวโครงการสะดวกสบายด้วยเส้นทางลัดเพียง 3 นาที สามารถเดินทางถึง BTS อ่อนนุช ทำให้ผู้พักอาศัยสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับคอมมิวนิตี้มอลล์ เพียง 20 เมตร โดดเด่นด้วยการออกแบบสไตล์โมเดิร์น (Modern Style) เพิ่มขีดระดับที่อยู่อาศัยและเชื่อมความเป็นธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน เน้นการใช้พื้นที่ในห้องพักสูงสุดด้วยการขยายพื้นที่ระเบียง เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการมีพื้นที่ใช้สอยอย่างกว้างขวาง ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่น และให้ความรู้สึกสงบผ่อนคลาย มีขนาดห้อง 4 รูปแบบให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น ห้องสตูดิโอ ขนาด 23.23 - 26.01 ตร.ม. , 1 ห้องนอน ขนาด 27.45 - 31.56 ตร.ม. , 1 ห้องนอนพลัส ขนาด 34.15 - 34.85 ตร.ม. และ 2 ห้องนอน ขนาด 43.27 - 47.05 ตร.ม.   นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกในระดับพรีเมียม ไม่ว่าจะเป็น 24hr Co-thinking space พื้นที่สำหรับเปิดรับไอเดียใหม่ ๆ โดยไม่ต้องให้เวลาเป็นข้อจำกัด 24hr Dynamic Fitness ฟิตแอนด์เฟิร์มด้วยพื้นที่สุขภาพที่สามารถออกกำลังกายได้ตลอดเวลาถึงแม้จะเลิกงานดึก สระว่ายน้ำหินอ่อนสีขาว ที่มาพร้อมกับระบบBubble Jet Amphitheatre มุมพักผ่อนที่เพิ่มมิติของการพักผ่อนเพื่อให้เข้าถึงธรรมชาติมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมี Double Volume Lobby Lounge ห้องรับรองแขกตกแต่งด้วยผนังหินอ่อนสีขาวสะท้อนความทันสมัยอย่างมีเอกลักษณ์ ทั้งยังเสริมความมั่นใจให้กับผู้พักอาศัยด้วยระบบรักษาความปลอดภัยทั้ง Digital door lock และ Individual floor locked ที่เพิ่มความปลอดภัยสูงสุดให้เจ้าของห้องพักในแต่ละชั้น กล้องวงจรปิด และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อม Shuttle Van ไว้บริการลูกบ้าน” นายพรชัย กล่าวทิ้งท้าย   ทั้งนี้ บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ได้มอบความพิเศษภายในงาน VIP DAY ให้กับผู้ที่สนใจลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดสูงสุดถึง 150,000 พร้อม IPhone X ได้ที่ www.ikon77.com พร้อมรับสิทธิ์ลุ้นแพ็กเกจทัวร์ไป - กลับท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น มูลค่ากว่า 100,000 บาท อีกด้วย   ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมห้องตัวอย่าง ณ ไอคอน เซลล์ แกลเลอรี่ สุขุมวิท 77 (IKON Sales Gallery Sukhumvit 77) ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ โทร.0 2204 7900 หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.ikon77.com หรือ https://www.facebook.com/VProperty DevelopmentTH/
เดอะ ครีเอเตอร์ส เอชคิว ร่วมทุน แสงฟ้าก่อสร้าง  เปิดตัวโครงการ CONNER Ratchathewi คอนโดระดับลักชัวรี่ มูลค่า 3.2 พันล้านบาท

เดอะ ครีเอเตอร์ส เอชคิว ร่วมทุน แสงฟ้าก่อสร้าง เปิดตัวโครงการ CONNER Ratchathewi คอนโดระดับลักชัวรี่ มูลค่า 3.2 พันล้านบาท

28 พ.ค. 2561 - บริษัท เดอะ ครีเอเตอร์ส เอชคิว จำกัด เปิดตัวบริษัทฯ อย่างเป็นทางการ พร้อมจับมือ บริษัท แสงฟ้าก่อสร้าง จำกัด ร่วมทุนเปิดตัวโครงการ “คอนเนอร์ ราชเทวี” คอนโดมิเนียมสุดหรูระดับลักชัวรี่ใจกลางกรุง มูลค่าโครงการ 3.2 พันล้านบาท โดยยูนิตราคาเริ่มต้นที่ 8.1 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ และนักลงทุน ทำเลราชเทวี ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพย่านใหม่ล่าสุด ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองด้วยคอนเซ็ปต์ “The Future is Just Around the Corner” เพียง 300 เมตรจาก BTS ราชเทวี และ 0 เมตร จาก MRT ราชเทวีในอนาคต ตั้งเป้ายอดขาย 100 % ภายใน 3 เดือน     นายชัยวัฒน์ จักรแต๋ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ ครีเอเตอร์ส เอชคิว จำกัด กล่าวถึงการเปิดตัวบริษัทฯ ในครั้งนี้ว่า “บริษัท เดอะ ครีเอเตอร์ส เอชคิว จำกัด ได้ก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ภายใต้โมเดลธุรกิจในรูปแบบ Dynamic Corporate บริหารงานด้วยทีมคนรุ่นใหม่ โดยเป็นเสมือนแหล่งรวมนักพัฒนาโครงการที่มีเป้าหมายเดียวกัน คือเพื่อยกระดับมาตรฐานการใช้ชีวิตด้วยการบริหารพื้นที่อยู่อาศัย ด้วยจุดขายที่แตกต่างพร้อมนวัตกรรม ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง โดยเลือกเอเจนซี่ ที่มีประสบการณ์ในแต่ละด้านในการพัฒนากลยุทธ์ต่างๆ และการร่วมทุนกับบริษัทพันธมิตรชั้นนำ ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ โดยในครั้งนี้ เป็นโอกาสอันดีที่บริษัทฯ ได้ประเดิมโครงการร่วมทุนกับ บริษัท แสงฟ้าก่อสร้าง จำกัด และตั้งเป็นบริษัทในเครือภายใต้ชื่อ C09 เพื่อพัฒนาโครงการ CONNER Ratchathewi โดยเป็นที่รู้กันว่าดีว่า แสงฟ้าก่อสร้างมีความเชี่ยวชาญด้านงานก่อสร้าง ด้วยประสบการณ์ ชื่อเสียง และผลงานที่มีมากว่า 50 ปี ซึ่งยิ่งทำให้ลูกค้าได้มั่นใจในเรื่องของการก่อสร้างที่เสร็จตามกำหนดเวลา และได้คุณภาพมาตรฐานอย่างแท้จริง”     น.พ. เชิดศักดิ์ อัมพรสุขสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสงฟ้าก่อสร้าง จำกัด กล่าวว่า “บริษัท แสงฟ้าก่อสร้างฯ มีความตั้งใจและตัดสินใจที่จะร่วมทุนกับ เดอะ ครีเอเตอร์ส เอชคิว เนื่องจากได้มองเห็นวิสัยทัศน์ที่ตรงกัน ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่มีมาตรฐาน ตลอดจนเล็งเห็นถึงรูปแบบองค์กรของ เดอะ ครีเอเตอร์ส เอชคิว ในการเป็นทีมบริหารรุ่นใหม่ และมุ่งมั่นนำเสนอโครงการที่แตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง เนื่องจาก แสงฟ้าก่อสร้าง ได้เคยเป็นพันธมิตรงานก่อสร้างกับทีมบริหารของเดอะ ครีเอเตอร์ส เอชคิว ด้วยผลงานโครงการ C EKKAMAI ที่ประสบความสำเร็จในการใช้กลยุทธ์วางแผนที่มีประสิทธิภาพ ทั้งการบริหารคน และการบริหารเวลาที่ใส่ความมุ่งมั่นไปในทุกขั้นตอน ด้วยความเชี่ยวชาญของแสงฟ้า ทำให้โครงการ C EKKAMAI สร้างเสร็จ และคาดว่าสามารถส่งมอบงานได้ก่อนกำหนดถึงครึ่งปี โดยในการร่วมทุนในครั้งนี้ CONNER Ratchathewi ก็จะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะสร้างประวัติศาสตร์บนทำเลราชเทวี ของการเป็นโครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอนาคต เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพในทุกตารางนิ้ว ทั้งการก่อสร้าง และการออกแบบ”     นายชัยวัฒน์ จักรแต๋ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ ครีเอเตอร์ส เอชคิว จำกัด กล่าวเพิ่มเติมถึงรายละเอียดของโครงการ คอนเนอร์ ราชเทวี ว่า “คอนเนอร์ ราชเทวี เป็นโครงการคอนโดมิเนี่ยมระดับลักชัวรี่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Future Standard of Living” เพื่อยกระดับมาตรฐานการใช้ชีวิตแห่งอนาคตของคนเมือง โดยพัฒนาจุดขายด้านสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ พร้อมนวัตกรรม เพื่อคุณภาพชีวิตคนเมืองในปัจจุบันอย่างแท้จริงจากมุมมองผ่าน Pain-point หรือโจทย์ที่คนเมืองต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องของมลภาวะสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราตอบโจทย์ด้วยการสร้างพื้นที่สีเขียวของธรรมชาติจริง ด้วย Vertical Forest ที่มีต้นไม้มากกว่า 150,000 ต้น ที่สามารถผลิตออกซิเจนได้ถึง 121% ของจำนวนผู้อยู่อาศัยทั้งโครงการ ครอบคลุมทั้งโครงการที่มีจำนวน 294 ยูนิต เป็นการหลอมรวมธรรมชาติทั้งต้นไม้และสายน้ำเข้ามาไว้ในทุกส่วนของตัวโครงการ ความสะดวกสบายในการเดินทาง พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ เช่น การสั่งของออนไลน์ โดยมีบริการ Concierge Service และห้องเดลิเวอรี่ เพื่อรับอาหาร และของที่มาจัดส่ง โดยจุดเด่นของห้องนี้คือการที่สามารถรักษาอุณหภูมิของอาหารให้ลูกบ้านพร้อมทานอยู่ตลอดเวลา พร้อมด้วยพื้นที่สันทนาหลากหลายโซนในรูปแบบ Private และ Study Area ตลอดจนเป็นคอนโดแห่งแรกในประเทศไทยในการใช้ระบบน้ำด้วยนวัตกรรมน้ำคลื่นแม่เหล็ก HydroSmart จากประเทศออสเตรเลีย และที่จอดรถแบบ Auto Parking มากกว่า 79% เป็นต้น”     “ในด้านการตลาด โครงการ คอนเนอร์ ราชเทวี เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ทั้งลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่เอง และเพื่อการลงทุน และมีสัดส่วนที่ขายคนไทย 55% และต่างชาติ 45% ทั้งนี้ ด้วยคุณภาพและจุดขายต่างๆที่มีความคุ้มค่าสูงกว่ามาตรฐาน เมื่อเทียบกับราคาที่ตั้งไว้ ทำให้เรามั่นใจว่าเราจะทำยอดขายได้ตามเป้า ที่ได้ตั้งไว้คือ Sold-out ภายใน 3 เดือน ทั้งนี้ ด้วยเศรษฐกิจปีนี้ในไตรมาสแรก ที่โตขึ้น 4.8% สูงสุดในรอบ 5 ปี โดยทุกภาคเศรษฐกิจดีขึ้นทั้งหมด และทางภาครัฐยังเตรียมปรับเป้าหมาย GDP ปี 2561ใหม่ เป็นเติบโต 4.2 ถึง 4.7% ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี ทำให้เรามองว่าไตรมาส 2-3 นี้ ก็จะยังจะมีกำลังซื้อต่อเนื่องสำหรับโครงการ คอนเนอร์ ราชเทวี” นายชัยวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติม     นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวถึงทำเลย่านราชเทวีว่า “พื้นที่พญาไท-ราชเทวี มีอุปสงค์การตอบรับคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในระดับสูง (เฉลี่ยอยู่ที่ 80-90%) สูงกว่ายอดขายเฉลี่ยของโครงการใหม่ในโซน CBD และโซนชั้นกลางในภาพรวมที่มีค่าเฉลี่ยประมาณ 66% และจากการสำรวจล่าสุดพบว่าจำนวนอุปทานคงค้างในปี 2561 เหลือเพียง 300 ยูนิต หากพิจารณาด้านผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าจะอยู่ที่ 5% (ราคาเช่าอยู่ที่ราว 20,000 – 25,000 บาทต่อเดือน) และยิ่งไปกว่านั้น โครงการคอนเนอร์ ราชเทวี ยังแวดล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ อาคารสำนักงาน อาคารมิกซ์ยูส โรงแรม และสถานศึกษา และยังอยู่ใกล้รถไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นทำเลหายาก จึงมี real demand ทั้งจากผู้อยู่อาศัยจริงและนักลงทุน ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนการลงทุนมีความน่าสนใจ เป็นทรัพย์สินที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคตได้ ทั้งนี้ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในฐานะผู้บริหารงานขายและการตลาดให้กับโครงการฯ เชื่อมั่นว่าด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในฐานะ Service Provider ทางด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร พร้อมด้วยทีมวิจัยแบบเจาะลึกที่มีประสบการณ์การลงพื้นที่ต่างๆ จะสามารถบริหารงานขายได้ตามเป้าที่บริษัทวางไว้”     ทั้งนี้ คอนเนอร์ ราชเทวี เป็นโครงการคอนโดมิเนี่ยม สูง 38 ชั้น 1 อาคาร รวม 294 ยูนิต ในพื้นที่ 1-3-21 ไร่ ราคา 8.1 – 19.8 บาท ประกอบด้วยห้องฝ้าเพดานสูง 3 เมตร (สำหรับห้อง Simplex) และ 4.5 เมตร (สำหรับห้อง Loft) จำนวน 4 รูปแบบ ดังนี้: 1.) Loft 1 ห้องนอน ขนาด 30-42 ตร.ม. 2) Simplex 1 ห้องนอน ขนาด 34.9-35.5 ตร.ม. 3.) Simplex 1 ห้องนอน Plus ขนาด 50 ตร.ม. 4.) Simplex 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาด 69-73 ตร.ม. โดยเริ่มก่อสร้าง ไตรมาส 4 พ.ศ. 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จใน ไตรมาส 4 พ.ศ 2564   ผู้ที่สนใจ สามารถรับข้อมูลของโครงการ CONNER Ratchathewi เพิ่มเติมได้ ที่เว็บไซต์ www.thecreatorshq.com หรือโทร (093) 289-8988  
IWG พร้อมให้บริการพื้นที่สำนักงานออฟฟิศกว่า 50 ล้านตารางฟุต  ลุยปฏิวัติพื้นที่การทำงานแนวใหม่

IWG พร้อมให้บริการพื้นที่สำนักงานออฟฟิศกว่า 50 ล้านตารางฟุต ลุยปฏิวัติพื้นที่การทำงานแนวใหม่

IWG ผู้นำให้บริการพื้นที่สำนักงานระดับโลก เดินหน้าขยายพื้นที่จำนวนกว่า 50 ล้านตารางฟุต สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการพื้นที่สำนักงานในตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มขององค์กรที่อ้าแขนรับเทรนด์การเร่งปฏิวัติพื้นที่การทำงานแนวใหม่   ในช่วงปี พ.ศ. 2560 ที่ผ่านมา IWG ได้ขยายพื้นที่ทำงานไปยังอาคารสำนักงานกว่า 314 แห่ง จากพื้นที่เดิมที่มีอยู่ทั้งหมด 5.5 ล้านตารางฟุต ถือเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นถึง 36% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้ปัจจุบัน IWG มีพื้นที่สำนักงานทั่วโลกรวมแล้วกว่า 50 ล้านตารางฟุต เทียบได้กับขนาดของ สนามกีฬาเวมบลีย์รวมกัน 116 สนาม หรือซิดนีย์โอเปร่าเฮาส์ 261 หลัง หรือสระว่ายน้ำโอลิมปิกจำนวน 3,718 สระ   ปัจจุบันความต้องการพื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่นนั้นได้แผ่ขยายไปทั่วโลกอย่างแท้จริง ซึ่ง IWG ก็ขยายสาขาไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ได้แก่ อเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียแปซิฟิก ในปีที่ผ่านมา IWG ยังขยายไปเปิดพื้นที่สำนักงานครั้งแรกในประเทศแองโกลา อาเซอร์ไบจาน จอร์เจีย ไอซ์แลนด์ อิหร่าน คาซัคสถาน ทรินิแดด โตเบโก รวมถึงการมุ่งขยายสาขาเพิ่มเติมในประเทศต่างๆ อีกด้วย เพื่อช่วยสนับสนุนให้คนทำงานกว่า 2.5 ล้านคนได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น   IWG เป็นบริษัทผู้ดูแลและบริหารแบรนด์พื้นที่สำนักงานชั้นนำอย่าง Regus, Spaces, No18, Basepoint, Open Office และ Signature ซึ่งพร้อมให้บริการมากกว่า 3,300 แห่ง ใน 1,000 เมืองและกว่า 110 ประเทศ ทั้งยังคงมีแนวโน้มจะเติบโตตลอดปี พ.ศ. 2561 ด้วยแผนการเพิ่มพื้นที่สำนักงานทั่วโลก     นาย มาร์ค ดิกซัน กรรมการผู้จัดการและ ผู้ก่อตั้ง IWG กล่าวว่า ความต้องการพื้นที่สำนักงานแบบยืดหยุ่นที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจต่างๆ เล็งเห็นถึงผลประโยชน์ที่เรามุ่งนำเสนอ และในปีนี้ยังถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของกระแสและทัศนคติของคนทั่วโลกที่มีต่อพื้นที่การทำงาน   "ธุรกิจทั่วโลกต่างเริ่มตระหนักว่าพื้นที่สำนักงานที่มีความยืดหยุ่นมีข้อได้เปรียบสูง ช่วยลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และช่วยดึงดูดหรือรักษาพนักงานได้เป็นอย่างดี เรากำลังมาถึงจุดเปลี่ยนที่จะสร้างประสบการณ์การทำงานใหม่ให้แก่คนทำงานนับล้าน"   “การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีและความสามารถของคนที่ทำงานจากที่ไหนก็ โดยพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นยังช่วยให้บริษัทต่างๆ ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง เริ่มตั้งแต่ธุรกิจสตาร์ทอัพไปจนถึงบริษัทข้ามชาติไม่ว่าจะเป็นกำไรที่มากขึ้น เพิ่มความยืดหยุ่นในกระบวนการทำงานเชิงกลยุทธ์และคล่องตัวมากขึ้นด้วยโลกแห่งดิจิทัลที่มีการเคลื่อนไหวและแข่งขันกันอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน” นายมาร์ค กล่าวเพิ่มเติม     “IWG มุ่งถ่ายทอดวัฒนธรรมการทำงานใหม่ๆ ผ่านแบรนด์ชั้นนำในเครือของบริษัททั่วโลก รวมถึงการพัฒนาและเสริมสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ยืดหยุ่นตามแบบฉบับของ IWG พร้อมให้ธุรกิจต่างๆ สามารถเข้าถึงสำนักงานในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้นทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก สำหรับกรุงเทพฯ มีแบรนด์ชั้นนำอย่าง Regus และ Spaces ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ IWG ได้ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่การทำงานครั้งสำคัญ โดยปัจจุบัน Regus ผู้ให้บริการพื้นที่สำนักงานชั้นนำระดับโลก มีสาขาพร้อมให้บริการสำนักงานให้เช่าครบวงจรถึง 19 สาขาทั่วประเทศไทยและหนึ่งสาขาสำหรับ Spaces นอกจากนี้ Regus มีแผนจะเปิดสาขาใหม่ทั้งหมด 3 สาขาภายในปีนี้ เพื่อรองรับความต้องการพื้นที่ใช้งานที่มีความยืดหยุ่นของผู้บริโภคให้มากขึ้น ได้แก่ สาขาเชียงใหม่ไอคอนปาร์ค โครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ และอีกหนึ่งสาขาบนชั้น 23 อาคาร ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค (ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค) ในขณะที่ Spaces ยังคงเดินหน้าขยายสาขาที่สอง ณ จัตุรัสจามจุรี ด้วยเช่นกัน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการอย่างเป็นทางในเดือนหน้านี้" นางโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ประจำประเทศไทย เกาหลี ไต้หวัน กล่าวเสริม