Tag : News

2376 ผลลัพธ์
‘เอพี ไทยแลนด์’ ปรับแผนธุรกิจปี 2561  เปิดตัว 43 โครงการ มูลค่า 64,750 ล้านบาท มากสุดตั้งแต่ก่อตั้ง  แจงผลประกอบการไตรมาสแรก รายได้รวมสูงกว่า 6,500 ล้านบาท

‘เอพี ไทยแลนด์’ ปรับแผนธุรกิจปี 2561 เปิดตัว 43 โครงการ มูลค่า 64,750 ล้านบาท มากสุดตั้งแต่ก่อตั้ง แจงผลประกอบการไตรมาสแรก รายได้รวมสูงกว่า 6,500 ล้านบาท

  เอพีเดินหน้าปรับแผนธุรกิจรับตลาดอสังหาฯ บูม ทั้งปี 2561 เปิดตัวโครงการใหม่มากถึง 43 โครงการ มูลค่า 64,750 ล้านบาท มูลค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ครึ่งปีหลังพร้อมรุกตลาดแนวราบด้วยกว่า 30 ทำเลใหม่ และคอนโด 3 ทำเลเด็ด พร้อมประกาศผลการดำเนิน งานไตรมาสแรกของปี 2561 เติบโตอย่างมั่นคง ยิ้มรับผลความสำเร็จทั้งจากสินค้าแนวราบ และคอนโดร่วมทุน ส่งผลให้มีรายได้รวมมากกว่า 6,500 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิโตขึ้น 47% หรือกว่า 800 ล้านบาท เชื่อจากผลการดำเนินงานที่ดีประกอบกับการปรับแผนธุรกิจรุกตลาดแนวราบมากยิ่งขึ้น จะสามารถสร้างยอดขายและยอดรับรู้รายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน     นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยทัศนะต่อแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาส 2 ว่า “ตลาดมีแนวโน้มการเติบโตดีขึ้นจากปัจจัยบวกหลายประการ กำลังซื้อในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีอยู่มากสถานการณ์โดยรวมของตลาดโดยเฉพาะสินค้าแนวราบมีสัญญาณ การตอบรับที่ดีมาก ยอดขายและยอดรับรู้รายได้ในฝั่งของสินค้าแนวราบของเอพีปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ดังนั้น เอพีจึงเดินหน้าปรับแผนธุรกิจด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มจากแผนเดิม ส่งผลให้แผนการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2561 นี้จะเป็นปีที่เอพีมีจำนวนโครงการเปิดตัวใหม่มากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท จำนวนทั้งสิ้น 43 โครงการ มูลค่า 64,750 ล้านบาท เป็นทาวน์โฮมจำนวน 21 โครงการ มูลค่า 18,550 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 17 โครงการ มูลค่า 20,800 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 25,400 ล้านบาท     สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบและคอนโดร่วมทุน (รวม 51% โครงการร่วมทุน) สูงถึง 6,533 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวมเท่ากับ 5,127 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิ (Net Profit) สูงกว่า 800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรเท่ากับ 549 ล้านบาท   ทั้งนี้ ความคืบหน้าทางด้านยอดขายไตรมาส 1 สามารถสร้างยอดขายได้แล้วถึง 10,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาราว 170% โดยสินค้าแนวราบเติบโตสูงถึง 64% หรือเท่ากับ 5,200 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมโตกว่า 7 เท่า หรือเท่ากับ 4,800 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 30 เมษายน 2561 เอพีสร้างยอดขายได้มูลค่า 12,290 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้แล้ว 37% ของเป้ายอดขายปี 2561 ที่ตั้งไว้ (เป้ายอดขาย 33,500 ล้านบาท)     สรุปจากการปรับเพิ่มแผนการเปิดตัวโครงการ ในปี 2561 จะเป็นปีที่บริษัทเปิดตัวโครงการมากที่สุดตั้งแต่จัดตั้งบริษัทมา โดยมีโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 43 โครงการมูลค่า 64,750 ล้านบาท โดยเปิดตัวไปแล้วจำนวน 7 โครงการ คงเหลือเปิดตัวในเดือนมิถุนายนอีก 1 โครงการ คือ บ้านกลางเมือง วัชรพล และเตรียมเปิดตัวในไตรมาส 3 จำนวน 16 โครงการ มูลค่า 29,000 ล้านบาท และในไตรมาส 4 จำนวน 19 โครงการ มูลค่า 25,380 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจากผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ประกอบกับการปรับแผนธุรกิจรุกตลาดแนวราบมากยิ่งขึ้น และคอนโดมิเนียมไฮไลท์ จะสามารถสร้างยอดขายและยอดรับรู้รายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน   ณ 30 เมษายน 2561 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ามากถึง 47,100 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 6,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 41,100 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2565
อนันดาฯ เตรียมจัดงาน Exclusive Open House โครงการ เวนิโอ สุขุมวิท 10 กับยูนิตพิเศษก่อนใคร!!

อนันดาฯ เตรียมจัดงาน Exclusive Open House โครงการ เวนิโอ สุขุมวิท 10 กับยูนิตพิเศษก่อนใคร!!

  *** ... โอกาสดีๆ กับโครงการคุณภาพในทำเลใจกลางเมืองย่านอโศก ที่พลาดไม่ได้ กับค่าย เฮลิกซ์ ในเครือ บมจ. อนันดาฯ ดีเวลลอปเม้นท์ ที่ครั้งนี้เตรียมจัดงาน Exclusive Open House เปิดชมห้องจริงวิวจริงได้ก่อนใคร กับคอนโดมิเนียม Premium Value Condominium แบบ Low Rise ภายใต้แบรนด์ เวนิโอ สุขุมวิท 10 (VENIO Sukhumvit 10) โดดเด่นด้วยทำเลและดีไซน์ในราคาที่คุณสามารถเป็นเจ้าของได้ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเพียง 600 เมตร จาก BTS สถานีนานา และ เพียง 750 เมตร จาก BTS สถานีอโศก ที่สามารถเชื่อมต่อ MRT สถานีสุขุมวิทได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด “LIVE BEYOND” การอยู่อาศัยที่เหนือระดับมีความเป็นส่วนตัวสูง เรียบหรูมีสไตล์ พบยูนิตพิเศษภายในงาน!! ในราคาเริ่มต้นเพียง 3.9 ล้าน* พร้อมเฟอร์นิเจอร์แต่งครบ ขนกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย!! พบกันวันที่ 26 พ.ค. นี้เท่านั้น ที่ Sales Gallery โครงการ เวนิโอ สุขุมวิท 10 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 316 2222 หรือเว็บไซต์ www.ananda.co.th ...***
ยูนิเวนเจอร์ โชว์รายได้ครึ่งปีแรก พร้อมส่ง 20 โครงการ ลุยตลาดอสังหาฯ

ยูนิเวนเจอร์ โชว์รายได้ครึ่งปีแรก พร้อมส่ง 20 โครงการ ลุยตลาดอสังหาฯ

ยูนิเวนเจอร์ เผยผลประกอบการไตรมาส 2/2561 มีรายได้รวม 4,844 ล้านบาท ทำให้ช่วงครึ่งปีแรก มีรายได้รวม 10,532 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับปีก่อน    นายวรวรรต ศรีสอ้าน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2/2561 (1 มกราคม 2561 – 31 มีนาคม 2561) บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 4,844 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%  โดยมีรายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 3,742 ล้านบาท คิดเป็น 77% ของรายได้รวม   โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบมีรายได้รวม 3,116 ล้านบาท มาจากโครงการของกลุ่มแผ่นดินทอง จำนวน 38 โครงการ และจากโครงการแนวสูง รายได้รวม 626 ล้านบาท จำนวน 7 โครงการ จากบริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดตัว โครงการ เซียล่า ศรีปทุม (CIELA Sripatum) ที่ตั้งอยู่ติดสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ตรงข้ามมหาวิทยาลัยศรีปทุม มีการเปิดขายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับอย่างดี สามารถทำยอดขายได้กว่า 80%   “ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ ในครึ่งปีหลัง (Backlog) รวม 6,093 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 4,340 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 1,753 ล้านบาท บวกกับยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่รับรู้รายได้ไปแล้วที่ 8,309 ล้านบาท โดยช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากยอดขายรอรับรู้ของโครงการแนวราบ และโครงการแนวสูงได้ประมาณ 4,764 ล้านบาท ส่วนยอดขายรอรับรู้ที่เหลืออีกจำนวน 1,329 ล้านบาทจะทยอยรับรู้ในปี 2562”   “นอกจากนี้ ยังมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งหลังปี 2561 อีก 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 26,900 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวสูง 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,600 ล้านบาท และโครงการแนวราบของกลุ่มบริษัทแผ่นดินทองอีก 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 22,300 ล้านบาท คาดว่าจะทำให้มียอดขายตรงตามเป้าอย่างแน่นอน” นายวรวรรต กล่าว   สำหรับรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าและธุรกิจโรงแรมรวมคิดเป็น 9% ของรายได้รวม หรือ 440 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจสังกะสีออกไซด์คิดเป็น 11% ของรายได้รวมหรือ 516 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเติบโตสูงที่สุด และรายได้ธุรกิจอื่นประมาณ 3% หรือ 146 ล้านบาท
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมไตรมาส 1 ปี 2561

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมไตรมาส 1 ปี 2561

  จากผลวิจัยไนท์แฟรงค์ประเทศไทย เผยว่าภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพยังคงสดใส จากอานิสงค์ของการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าและไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายยิ่งขึ้นในการใช้ชีวิต โดยในปี 2560 มียูนิตใหม่เข้าสู่ตลาดทั้งหมด 62,751 หน่วย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 19% ในขณะที่ยอดขายเฉลี่ยรวมทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 76% ขยายตัวจาก 74% ในปี 2559 ทำเลที่ได้รับความนิยมสูงสุดยังคงเป็นแนวรถไฟฟ้าโดยเฉพาะสายสีเขียวอ่อนและสายสีน้ำเงิน สำหรับ CBD สุขุมวิทยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีคอนโดมิเนียมใหม่เข้ามาประมาณ 11,000 ยูนิต รองลงมาคือวิทยุ สีลม สาทร 2,300 ยูนิต และพระราม 4 จำนวน 817 ยูนิต ส่วนทำเลนอกเขต CBD ที่ได้รับความสนใจสูงสุดจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้แก่ พระราม 9 – รัชดาภิเษก, พหลโยธิน, ลาดพร้าว, และอ่อนนุช – แบริ่ง โดยมียูนิตใหม่เข้ามาในพื้นที่ข้างต้นประมาณ 19,000 หน่วย   เมื่อสำรวจยอดขายในปี 2560 ของแต่ละทำเลพบว่า CBD และพื้นที่โดยรอบ มียอดขายเฉลี่ย 78% และ 71% ตามลำดับ ในขณะที่โครงการใหม่ย่านชานเมืองสามารถทำยอดขายเฉลี่ยทั้งปีได้ประมาณ 80% สะท้อนความมั่นใจของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดเป็นอย่างดี ส่วนราคาขายต่อตารางเมตรปรับตัวสูงขึ้นในทุกทำเล โดยเฉพาะ CBD ซึ่งมีแปลงที่ดินที่เหมาะสำหรับพัฒนาโครงการใหม่ๆเหลืออยู่จำกัด ส่งผลให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้น และสะท้อนออกมาในราคาขาย โดยโครงการใหม่ใจกลางเมืองทำเล CBD มีราคาขายเฉลี่ยต่อ ตร.ม. อยู่ที่ 248,267 บาท รอบเขต CBD เฉลี่ย 131,521 บาทต่อ ตร.ม. และราคาขายเฉลี่ยต่อ ตร.ม. ของโครงการใหม่ย่านชานเมืองอยู่ที่ 79,871 บาท ราคาเพิ่มจากปี 2559 คิดเป็น 8.6%, 1.2% และ 6.5% ตามลำดับ   สำหรับไตรมาส 1 ปี 2561 มีคอนโดมิเนียมใหม่เข้าสู่ตลาดทั้งสิ้น 12,563 หน่วย เฉพาะยูนิตที่เข้ามาใหม่นี้มียอดขายเฉลี่ยประมาณ 55% โดยกว่าครึ่งหนึ่งเปิดตัวในเดือนมีนาคม 2561 ส่วนราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อ ตร.ม.ใน CBD และพื้นที่โดยรอบ หดตัวจากไตรมาส 1 ปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากโครงการที่เปิดตัวใหม่ไตรมาสนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่โดดเด่นน้อยกว่าและจัดอยู่ในเกรดต่ำกว่า อย่างไรก็ตามราคาเสนอขายเฉลี่ยของโครงการใหม่ย่านชานเมืองมีอัตราการเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่ 110,353 บาท/ตร.ม. เพิ่มขึ้น 61% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2560 และเพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับปี 2560 ทั้งปี ทั้งนี้เนื่องจากที่ดินในเมืองเหลือน้อยบวกกับราคาที่ดินมีแนวโน้มทะยานขึ้นเรื่อยๆ ผู้ประกอบการหลายรายจึงหันไปให้ความสนใจทำเลรอบนอกมากขึ้น โดยในไตรมาสนี้มีโครงการระดับบนซึ่งราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อ ตร.ม.มากกว่า 110,000 บาทขึ้นไป เปิดตัวในทำเลชานเมืองถึง 6 โครงการ ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยต่อ ตร.ม. ในพื้นที่นี้สูงขึ้นกว่าทุกๆปีที่ผ่านมา   แนวโน้มตลาดปีนี้คาดว่าย่านชานเมืองและพื้นที่รอบ CBD ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ทั้งในด้านราคาอสังหาฯ และการตอบรับจากผู้บริโภค โดยเฉพาะโครงการทำเลติดแนวรถไฟฟ้า หรืออยู่ห่างรถไฟฟ้าในระยะทางไม่เกิน 1 กิโลเมตรซึ่งยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลางในตลาด ทั้งนี้จากการสำรวจของฝ่ายวิจัยไนท์แฟรงค์ประเทศไทย พบว่ายังมีอีกหลายโครงการจากผู้พัฒนาโครงการ ชั้นนำเตรียมทยอยเปิดตัวใน CBD ในไตรมาสที่เหลือของปี 2561 นี้ ซึ่งต้องจับตามองว่าราคาของโครงการใหม่จะทำให้ราคาเสนอขายเฉลี่ย/ตร.ม.ของคอนโดมิเนียมใน CBD กลับมาอยู่ที่จุดใกล้เคียงหรือสูงกว่าปี 2560 หรือไม่   อุปทาน อุปสงค์ และอัตราการขายสะสมของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2552 – ไตรมาสที่ 1 ปี 2561   ที่มา: ฝ่ายวิจัยไนท์แฟรงค์ประเทศไทย   ราคาเสนอขายเฉลี่ย/ตร.ม.ของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ แยกตามอุปทานรายปี ตั้งแต่ปี 2552 – ไตรมาสที่ 1 ปี 2561   ที่มา: ฝ่ายวิจัยไนท์แฟรงค์ประเทศไทย    
ราคาสุดฮ็อต “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น”  คอนโดพร้อมอยู่ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย  คุ้มค่าที่สุดในย่านแจ้งวัฒนะ เริ่มเพียง 990,000 บ.!!!

ราคาสุดฮ็อต “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น” คอนโดพร้อมอยู่ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย คุ้มค่าที่สุดในย่านแจ้งวัฒนะ เริ่มเพียง 990,000 บ.!!!

  19 พฤษภาคมนี้ พฤกษา จัดงาน Open House เปิดจอง “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น” คอนโดพร้อมอยู่ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย ชมห้องจริง วิวจริง พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษ ส่วนลด และลุ้นรับโชคใหญ่ฮอนด้าแจ๊ซ 25คัน ชิมอาหารจากร้านดังย่านอารีย์ เปิดจองราคาสุดพิเศษเฉพาะในงาน เริ่มเพียง 990,000 บาท     นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  “ในวันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคมนี้ จะมีงาน Open House เปิดจองห้องชุด โครงการ “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น” ซึ่งเป็นคอนโดพร้อมเข้าอยู่ โดยในงานจะมีโปรโมชั่นพิเศษ ทั้งส่วนลด และรับสิทธิ์ลุ้นเป็นเจ้าของรถยนต์ฮอนด้าแจ๊ซ 25 คัน จากแคมเปญฉลองครบรอบ 25 ปีพฤกษา และยังมีร้านอาหารเจ้าดังจากย่านอารีย์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งรวมของอาหารจานเด็ดมาให้ชิมกันอีกด้วย    ถือเป็นโอกาสดีสำหรับลูกค้าที่มองหาที่อยู่อาศัยในย่านนี้   โดยโครงการพลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น เป็นคอนโดมิเนียมโครงการเดียวที่มี Community Mall ในโครงการ และมีพื้นที่ส่วนกลางใหญ่ที่สุดบนถนนแจ้งวัฒนะ  นอกจากนี้ จุดเด่นยังอยู่ที่ทำเลของโครงการที่อยู่ติดถนนแจ้งวัฒนะ เดินทางได้สะดวกสบาย เข้าออกโครงการได้หลายเส้นทางทั้งแจ้งวัฒนะ พหลโยธิน และวิภาวดีรังสิต   ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย ได้แก่ สายสีชมพู (ศูนย์ราชการ-มีนบุรี)  สายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) และสายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ซึ่งเมื่อเปิดใช้บริการในอนาคตจะเป็นจุดเชื่อมต่อ (Interchange) ที่สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพ ฯ  และที่พิเศษสุด คือทางโครงการจะเปิดจองด้วยราคาพิเศษ เฉพาะในวันงาน เริ่มเพียง 990,000 บาทเท่านั้น  ซึ่งเป็นราคาที่คุ้มค่าที่สุดในย่านนี้”     “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น” ออกแบบภายใต้แนวคิด “สุขทุกทิศ ชีวิตมีครบ” ดีไซน์ของตัวอาคารได้รับแรงบันดาลใจจากการผสมผสานสถาปัตยกรรมร่วมสมัยสไตล์ฝรั่งเศส สะท้อนภาพลักษณ์ของผู้อยู่อาศัยที่มีความชอบที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์  พัฒนาเป็นอาคารสูง 8 ชั้น (Low Rise) ประกอบด้วยห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 23 ตร.ม. และ 26.5 ตร.ม. และ แบบ 2 ห้องชุดรวมกัน พื้นที่ใช้สอย 46 ตร.ม. พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ให้มากกว่า ครบครันกว่า อาทิ สระว่ายน้ำ 3 สระ สระว่ายน้ำเด็ก จากุซซี่ ห้องฟิตเนส  ห้องสมุด ห้องเกมส์ที่มาพร้อมโต๊ะพูลและโต๊ะฟุตบอล หรือหากคุณเป็นคนที่ชอบกิจกรรมกลางแจ้ง โครงการก็จัดเตรียม ฟิตเนสกลางแจ้ง Jogging Track และPavilion พร้อมสวนพักผ่อน  ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรักสุขภาพ และที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร คือร้านค้าหลากหลายซึ่งเป็น Community Mall ในโครงการ ให้คุณใช้ชีวิตได้สะดวกสบาย  ปัจจุบันโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ สามารถเข้าอยู่อาศัยได้ทันที ชมห้องจริง วิวจริง ได้แล้ววันนี้ที่โครงการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 1739 หรือ plum.pruksa.com.
“ORI” โชว์ผลงานไตรมาส 1/61 สุดกระหึ่ม กำไรโตทะลุ 184%

“ORI” โชว์ผลงานไตรมาส 1/61 สุดกระหึ่ม กำไรโตทะลุ 184%

  นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์พาร์ค (PARK) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์ บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2561 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,473.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 182% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2560 (%YoY) สาเหตุหลักมาจากบริษัทรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมต่อเนื่องจากปี 2560 จำนวน 18 โครงการ และมีโครงการใหม่ที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในเดือนมีนาคม ปี 2561 เพิ่มอีก 1 โครงการ คือ โครงการ KnightsBridge Tiwanon นอกจากนี้บริษัทยังสามารถสร้างยอดขาย Presale ไตรมาสแรกได้ประมาณ 5,090 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 255% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการนำเสนอโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า   สำหรับกำไรสุทธิประจำไตรมาส 1/2561 อยู่ที่ 488.6 ล้านบาท เติบโตขึ้น 184% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ระดับร้อยละ 19.8 ซึ่งสูงขึ้นกว่าไตรมาส 1 ปี 2560 ที่ร้อยละ 19.6 อันเนื่องมาจากโครงการใหม่แล้วเสร็จรับรู้รายได้ได้ตามแผน และความสามารถในการทำกำไรขั้นต้น รวมถึงการรับรู้รายได้จากการบริหารโครงการที่ร่วมลงทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด จากญี่ปุ่น ทำให้ทั้งรายได้และกำไรของบริษัทในไตรมาสนี้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง   ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/2561 บริษัทได้เปิดตัวคอนโดมิเนียม 3 โครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ “ไนท์บริดจ์” ได้แก่ 1.ไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน (Knightsbridge Space Ratchayothin) 2.ไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 9 (Knightsbridge Space Rama 9) และ 3.ไนท์บริดจ์ คอลลาจ สุขุมวิท 107 (Knightsbridge Collage Sukhumvit 107) รวมมูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท โดยสามารถกวาดยอดขายรวมกว่า 70% หรือคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 4,200 ล้านบาท   นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2561 นี้ บริษัทมีแผนจะเปิดโครงการใหม่รวมมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ทำให้ในช่วงอีก 3 ไตรมาสที่เหลือ บริษัทยังมีโครงการที่โดดเด่นรอเปิดตัวอีกมูลค่ากว่า 24,000 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงโครงการมิกซ์ยูสภายใต้แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น 3 ทำเล ซึ่งถือเป็นโครงการไฮไลท์ของบริษัทในปีนี้ รวมถึงโครงการแนวราบที่จะเปิดตัวเพิ่มอีก 3-4 โครงการ   “เรามั่นใจว่าการมีแบ็กล็อกคุณภาพตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับการดำเนินงานที่เป็นไปตามแผน จะช่วยให้ปีนี้บริษัทมียอดขายทะลุ 20,000 ล้านบาท และมีรายได้ถึง 15,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน” นายพีระพงศ์ กล่าว   บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 46 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 65,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
เอสบี เดินหน้าสร้างเครือข่ายผ่านโซเชียลมีเดีย หวังขยายฐานลูกค้าเพิ่ม

เอสบี เดินหน้าสร้างเครือข่ายผ่านโซเชียลมีเดีย หวังขยายฐานลูกค้าเพิ่ม

  คุณธัญญรักข์ ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ กล่าวว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะพัฒนาการของเทคโนโลยีและอุปกรณ์การใช้งานของลูกค้าที่สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งค่อนข้างมีผลกับ เอสบี ดังนั้นจึงต้องพัฒนาระบบดิจิตอลทุกแพลตฟอร์ม เพราะเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด สมัยก่อนอาจจะมีโฆษณาทีวีหรือนิตยสาร แต่วันนี้ต้องมีทั้งออนไลน์และออฟไลน์ไปพร้อมๆ กันเพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม่ว่าจะบนเว็บไซต์หรือที่สาขาก็ทำได้หมด ช่วยให้ Customer journey หรือกระบวนการเดินทางของลูกค้า ตั้งแต่พบสินค้า ค้นหาข้อมูล ไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว   “การเปลี่ยนแปลงตรงนี้ เอสบี ต้องปรับตัวในการทำงาน จะทำอย่างไรให้การสื่อสารกับลูกค้าเกิดขึ้นได้ทุกขณะ เป็นเหตุให้เราพัฒนาแพลตฟอร์ม (Platform) ต่างๆ เช่น Facebook Fanpage ที่มีผู้ติดตามกว่า 8 แสนคน ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ สร้างบทความในการสื่อสารกับลูกค้า (Online Content ) เช่น แต่งบ้านสวยในงบประมาณจำกัดได้อย่างไร, ไอเดียรื้อครัวเก่าแต่งครัวใหม่ ฯลฯ เรามีบทความต่างๆ เพื่อเป็นเทคนิคและสร้างแรงบันดาลใจให้กับลูกค้า รวมทั้งมีรูปแบบในการแต่งบ้านหลายๆ แบบให้ลูกค้าเลือก”   คุณธัญญรักข์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนเว็บไซต์ของ www.sbdesignsquare.com ที่มี Page View มากกว่า 3 ล้านครั้งต่อเดือน เปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังใหญ่ มีทั้งข้อมูลสินค้า ขนาด การใช้งานของสินค้า และยังมีรูปของการตกแต่งเพื่อให้ลูกค้าเลือกชม ทำให้มั่นใจได้ว่าการทำ Online Content ของ เอสบี สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างทั่วถึง ล่าสุดก็คือ LINE Official Account ที่มีคนติดตามถึง 4 ล้านกว่าคน เพื่อสื่อสารในเรื่องกิจกรรม โปรโมชั่นพิเศษต่างๆ ยุคนี้เราต้องเกาะติด ทำอย่างไรให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ตลอดเวลา   สำหรับเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ บอกว่า เราอยู่ในธุรกิจของเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่ง หนึ่งในกลยุทธ์ของเราปีนี้คือการสร้าง Designer Connect เพราะเราพบว่าอินทีเรียดีไซน์เนอร์เป็นคนที่มีอิทธิพลในเรื่องของเทรนด์ และการสร้างแรงบันดาลใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่ เอสบี ได้เห็นความสวยงามในพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน โรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร ฯลฯ จึงอยากรวบรวมผลงานของอินทีเรียดีไซน์เนอร์มาเผยแพร่บนเว็บไซต์ของ SB Design Square ภายใต้แคมเปญ 52 WEEKS OF DESIGN by SB DESIGN SQUARE ในเว็บไซต์จะมีรูปผลงานการออกแบบของอินทีเรียดีไซน์เนอร์ บทสัมภาษณ์เกี่ยวกับการออกแบบ วิธีการทำงาน และมี Décor Ideas ที่ให้คำแนะนำเรื่องการตกแต่งบ้านผ่านมุมมองการตกแต่งของอินทีเรียดีไซน์เนอร์ทั้งหมด 52 ท่าน มาสลับสับเปลี่ยนให้อ่านสัปดาห์ละ 1 ท่าน โดยเริ่มตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นปี 2561   แน่นอนที่สุดว่านอกจากสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ชื่นชอบการแต่งบ้านแล้ว แคมเปญนี้ยังเป็นการขยายฐาน สู่ลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เป็นอินทีเรียดีไซน์เนอร์ ดังนั้น เอสบี จึงเปิดตัว SB Designer Club ที่นับเป็นกลยุทธ์ต่อเนื่อง เพื่อมอบสิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของส่วนลดพิเศษ การสะสมคะแนนจากยอดซื้อสินค้า และมีทีม Pro Service ไว้คอยช่วยประสานงานช่วยดูแลโปรเจคเสมือนเป็นผู้ช่วยของเหล่าอินทีเรียร์ดีไซน์เนอร์อีกด้วย เพื่อให้การทำงานโปรเจคต่างๆ ง่ายขึ้น   “เมื่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่มีการเปลี่ยน การปรับตัวเพื่อรองรองรับความต้องการเป็นสิ่งที่เราต้องทำ พร้อมมองหาช่องทางใหม่ๆ ในการทำตลาด คือสิ่งที่จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโต” คุณธัญญรักข์ กล่าว”
พฤกษา ปลื้ม! ผลงานไตรมาสแรกดีตามคาด  เติบโตทั้งรายได้และกำไร

พฤกษา ปลื้ม! ผลงานไตรมาสแรกดีตามคาด เติบโตทั้งรายได้และกำไร

พฤกษา เรียลเอสเตท ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์ โชว์ผลงานไตรมาสแรก 2561 ทำรายได้รวม 8,352 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิ 862 ล้านบาท โตเพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 3.6% และ 26.6% ตามลำดับ มุ่งรักษาตำแหน่งผู้นำอสังหาฯ ลุยเปิดโครงการใหม่ตามแผนทั้งปี 77 โครงการ ออกแคมเปญ 25 ปี แจกรถยนต์ฮอนด้าแจ๊ซ 25 คัน กระตุ้นยอดขาย ควบคู่การสร้างแบรนด์พฤกษาให้เป็นแบรนด์ “ที่หนึ่งในใจคนไทย ที่หนี่งในตลาด”   นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1 ประจำปี 2561 ว่า “ในไตรมาสแรก บริษัทฯ มียอดขายรวม 12,696 ล้านบาท คิดเป็น 24% ของเป้ายอดขายรวมทั้งปีที่ 53,742 ล้านบาท และมีรายได้รวม 8,352 ล้านบาท และกำไรสุทธิรวม 862 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ 3.5% และ 26.6% ตามลำดับ ซึ่งในส่วนของรายได้และกำไรที่เพิ่มสูงขึ้นมาจากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมในกลุ่มแวลูหลายโครงการ ถือว่าผลการดำเนินงานโดยรวมเป็นที่น่าพึงพอใจ โดยไตรมาสแรกที่ผ่านมาเปิดโครงการใหม่แล้ว 15 โครงการ มูลค่า 9,800 ล้านบาท แบ่งเป็น ทาวน์เฮาส์ 10 โครงการ บ้านเดี่ยว 4 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) รวมอยู่ที่ 31,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2560 อยู่ที่ 16% โดยจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 15,021 ล้านบาท และมีโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขาย จำนวน 188 โครงการ มูลค่า 96,129 ล้านบาท     สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ ยังเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้คือ 77 โครงการ มูลค่า 67,800 ล้านบาท ทั้งในกลุ่มธุรกิจแวลู และพรีเมียม มั่นใจว่าจะเปิดขายทุกโครงการได้ตามเป้าเนื่องจากมีที่ดินที่พร้อมพัฒนาโครงการแล้ว นอกจากนี้ยังออกแคมเปญฉลองครบรอบพฤกษา 25 ปี แจกรถยนต์ฮอนด้าแจ๊ซ 25 คัน เพื่อกระตุ้นยอดขายและคืนกำไรให้กับลูกค้า ควบคู่ไปกับสร้างแบรนด์พฤกษาให้เป็น “Trust Mark Brand” โดยล่าสุดได้ทำการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 25 ปี พร้อมเปิดตัว “ตูน” (อาทิวราห์) ในฐานะ Brand Endorser ของพฤกษา เพื่อสื่อสาร Brand Purpose สะท้อนความตั้งใจของพฤกษาที่อยากจะทำสิ่งดีๆ ให้กับลูกค้า ซึ่งหลังจากการเปิดตัว “ตูน” ผ่านสื่อต่างๆ ก็ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างดีเยี่ยม เรียกได้ว่าเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ในวงการอสังหาริมทรัพย์เลยก็ว่าได้”   และก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เพิ่มกลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท ทาวน์เฮาส์ เป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจ จากเดิมที่มีการแบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจแวลู และกลุ่มพรีเมียม โดยมี นายธีรเดช เกิดสำอางค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ เป็นผู้ดูแลกลุ่มสินค้าทาวน์เฮาส์ทั้งหมด สำหรับกลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ ยังถือเป็นพอร์ตหลักของพฤกษา ในปีนี้ทาวน์เฮาส์มีแผนเปิดโครงการใหม่มากถึง 44 โครงการ โดยปัจจุบันกลุ่มสินค้าทาวน์เฮาส์ มีการนำนวัตกรรมก่อสร้างใหม่ๆ มาใช้ ทำให้บ้านมีคุณภาพมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้รอบธุรกิจสั้นลง ซึ่งสามารถทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ปีนี้เป็นต้นไป โดยในปีนี้จะรุกตลาดต่างจังหวัดมากขึ้นโดยเฉพาะในเขต EEC และจังหวัดที่เป็นหัวเมืองท่องเที่ยวและนิคมอุตสาหกรรม เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ รวม 13 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีแผนขยายไปทาวน์เฮาส์ในระดับราคา 5-7 ล้านให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าวคาดว่าจะช่วยให้พฤกษา สามารถบรรลุเป้าหมายยอดขายและรายได้ตามที่ตั้งไว้
ทำความเข้าใจกับสีฟอกอากาศ นวัตกรรมเพื่อบ้านสมัยใหม่

ทำความเข้าใจกับสีฟอกอากาศ นวัตกรรมเพื่อบ้านสมัยใหม่

ด้วยสภาพอากาศของประเทศไทยที่มีฝุ่นควันสะสมเกินมาตรฐานในช่วงปีที่ผ่านมา หลายๆ คนจะมุ่งไปที่การหลีกเลี่ยงการเผชิญกับมลพิษนอกบ้านเป็นหลัก แต่หารู้ไม่ว่าภายในบ้านนั้นก็อาจมีมลพิษที่ส่งผลต่อสุขภาพเช่นกัน เพราะบ้านที่มีการทาสีใหม่ ตกแต่งด้วยพรม และมีการเปิดเครื่องปรับอากาศต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ อากาศจะไม่ถ่ายเท ทำให้มีสารพิษและไรฝุ่นกระจายในห้อง เด็กหรือผู้สูงอายุในบ้านอาจมีอาการของโรคภูมิแพ้หรือหอบหืดได้ จากสถิติล่าสุดของสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทยพบว่า เด็กไทยกว่าร้อยละ 38 และผู้ใหญ่ร้อยละ 20 เป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึง 3-4 เท่า เมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา     นวัตกรรมเกี่ยวกับบ้าน ปัจจุบันมีนวัตกรรมที่เกี่ยวกับบ้านออกมาหลากหลาย เช่น หลังคาลดความร้อน พื้นผิวบ้านที่ลดการเกาะของน้ำ เป็นต้น และหนึ่งในนั้นคือสีฟอกอากาศที่ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้คนให้ความสนใจ ถึงแม้จะไม่ได้ทำหน้าที่เช่นเครื่องฟอกอากาศ แต่นวัตกรรมในตัวสีสามารถช่วยสลายมลพิษและสารระเหยที่เป็นอันตรายในอากาศได้ ดาว ประเทศไทย บริษัทชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์ เป็นหนึ่งในผู้วิจัยและพัฒนานวัตกรรม binder สำหรับอุตสาหกรรมสีทาอาคาร เพื่อให้มีคุณสมบัติแห้งไว ทาง่าย เช็ดล้างได้ ทนทาน สะท้อนความร้อน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีการร่วมมือกับลูกค้าในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ป้อนเข้าสู่ตลาด เพื่อนำเสนอโซลูชั่นให้กับผู้บริโภค     กระบวนการฟอกอากาศของสี Binder ที่มีคุณสมบัติพิเศษซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของสี คือตัวที่ทำให้สีมีคุณสมบัติโดดเด่นในการช่วยฟอกอากาศ เช่น เทคโนโลยี FormaShield™ Acrylic Emulsionจาก ดาว ที่มีข้อดีคือ กลิ่นไม่รุนแรง ไม่มีแอมโมเนียและสารฟอร์มัลดิไฮด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ตัววัตถุดิบจะทำปฏิกิริยากับสารพิษบางชนิดในอากาศ เพื่อช่วยให้อากาศภายในบ้านดีขึ้น และยังช่วยกำหนดคุณภาพของสีให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด กระบวนการฟอกอากาศในผลิตภัณฑ์สีที่ใช้เทคโนโลยีFormaShield™ Acrylic Emulsion เมื่อสารพิษในอากาศมาสัมผัสกับผนังจะทำปฏิกิริยาให้สารพิษกลายเป็นไอน้ำ ทำให้อากาศในบ้านสะอาดและบริสุทธิ์ และยังมีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติมคือสามารถเช็ดล้างคราบสิ่งสกปรกออกได้ง่าย ทำให้ผนังดูสะอาดและใหม่อยู่เสมอ   นี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างของนวัตกรรมด้านวัสดุศาสตร์ที่ให้ประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน ที่ ดาว ประเทศไทย ได้มีส่วนร่วมในการคิดค้นและพัฒนา ความรู้ในสาขาวัสดุศาสตร์กำลังเดินหน้าไปในทิศทางใหม่ เพราะทรัพยากรที่เหลือน้อยลงเรื่อยๆ ส่งผลให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ และการคิดนอกกรอบ เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติโดดเด่น ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีที่สำคัญและจำเป็นในระยะ 10 ปีต่อจากนี้ของประเทศไทยในการผลักดันโมเดลไทยแลนด์ 4.0 เพื่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว
อนันดาฯ วางศิลาฤกษ์โครงการ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 40 พร้อมเดินหน้างานก่อสร้าง

อนันดาฯ วางศิลาฤกษ์โครงการ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 40 พร้อมเดินหน้างานก่อสร้าง

คุณสันทัด ณัฎฐากุล (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ สายงานควบคุมการผลิต และ กรรมการผู้จัดการ ไอดีโอ / ไอดีโอ โมบิ เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์งานก่อสร้างโครงการ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 40 (IDEO Mobi Sukhumvit 40) พร้อมด้วย คุณวิโรจน์ กัปปิยจรรยา (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ สายงานการพัฒนาประสิทธิภาพ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ คุณธงชัย เตชะเสาวภาคย์ (ที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการโครงการ บริษัท เฮลิกซ์ จำกัด พร้อมคณะผู้บริหารและพนักงาน ร่วมพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลต่อโครงการและผู้อยู่อาศัย   โดยโครงการ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 40 เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพใจกลางเมือง บน ซอย สุขุมวิท 40 เดินทางสะดวกสบาย ทั้งสามารถเชื่อมต่อถนนสุขุมวิทและถนนพระราม4 ได้อย่างง่ายดาย เพียง 600 เมตรจากรถไฟฟ้า BTS สถานีเอกมัย และทางพิเศษเฉลิมมหานคร พร้อมเต็มอิ่มกับอิสระแห่งการพักผ่อนบนพื้นที่ส่วนกลาง ภายใต้คอนเซ็ปต์ Future and Nature ให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกล้ำสมัย ด้วยนวัตกรรมพลังงานสะอาด Solar Cell Panel และ Smart Solar Fresh Air System โดยขณะนี้ได้เริ่มดำเนินงานก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จใน เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2562
แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จับมือบัตรเครดิตกรุงศรี  เปิดบ้านดีไซน์ระดับโลกใหม่ล่าสุด กับห้องชุดสุดลักชัวรี่กลางใจกรุงเทพมหานคร

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จับมือบัตรเครดิตกรุงศรี เปิดบ้านดีไซน์ระดับโลกใหม่ล่าสุด กับห้องชุดสุดลักชัวรี่กลางใจกรุงเทพมหานคร

วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า “ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ถือเป็นหนึ่งในธนาคารลำดับต้นๆ ของประเทศไทย ที่มีความโดดเด่นในด้านการลงทุน และการให้บริการลูกค้าอย่างครบถ้วนทุกด้าน มีฐานลูกค้าชั้นเลิศ ทั้งบุคคลทั่วไปจนถึงกลุ่มนักลงทุน     ซึ่งทางเราได้มีโอกาสร่วมมือกันในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ขึ้น เพื่อมอบอภิสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตกรุงศรีโดยทุกท่านจะได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ซูเปอร์ลักชัวรี่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนทำเลทองที่เป็นหัวใจย่านเศรษฐกิจ อย่างแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด นับเป็นโอกาสอันดีสำหรับทั้งในแง่การลุงทุนที่มีศักยภาพสูง ให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยม และสำหรับผู้ที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัย ถือเป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่เหนือระดับและคุ้มค่ามากที่สุดด้วยเช่นกัน     ทั้งนี้ ห้องชุดที่เหลืออยู่ของแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ดในปัจจุบัน คือแบบ 2 ห้องนอนพื้นที่ 75-108 ตารางเมตร และห้องห้องเพนท์เฮ้าส์ พื้นที่ 321-384 ตารางเมตร ภายในงานครั้งนี้ นำเสนอข้อเสนอสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับห้องชุด 2 ห้องนอนในราคาสุดพิเศษเริ่มต้น 15 ล้านบาท พร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมายเฉพาะแขกในงานเท่านั้น *สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตกรุงศรี* - o% แบ่งจ่ายสำหรับเงินจอง และทำสัญญา นาน 4 เดือน เมื่อทำสัญญาจองและชำระผ่านบัตรเครดิตกรุงศรี   ภายในโครงการยังเพียบพร้อมด้วยส่วนบริการเพื่อการพักอาศัยระดับไฮเอนด์ ทั้งคลับส่วนตัว ล็อบบี้ส่วนตัวสำหรับผู้พักอาศัย และจุดรับ-ส่ง ห้องประชุมสังสรรค์ เลาจน์ พื้นที่สวนสีเขียวดีไซน์ใหม่ ห้องสมุด ศูนย์ไปรษณีย์ ศูนย์ธุรกิจพร้อมระบบสื่อสารและการเชื่อมต่อออนไลน์แบบครบวงจร ตลอดจนศูนย์ฟิตเนส ลู่วิ่งออกกำลังกลางแจ้ง เซาว์น่า สระว่ายน้ำยาว 70 เมตร พร้อมจากุชชี่และสระเด็ก รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงตลอด 24 ชั่วโมง   หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อโทรศัพท์ +66 83 095 5054 อีเมล magnolias@cbre.co.th หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.magnolias-ratchadamri.com
แสนสิริฮุกหมัดเด็ดแล้ว!! เปิดตัว “สิริ เพลส”   ทาวน์เฮาส์คุณภาพในระดับ Best in Class ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ลบ.

แสนสิริฮุกหมัดเด็ดแล้ว!! เปิดตัว “สิริ เพลส” ทาวน์เฮาส์คุณภาพในระดับ Best in Class ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ลบ.

ครั้งแรก! ของแสนสิริ รุกตลาดทาวน์เฮาส์สองชั้นในราคาที่เอื้อมถึงได้ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท ชูจุดยืน Best in Class ในทุกระดับราคา เปิดตัวแบรนด์ “สิริ เพลส” ทาวน์เฮาส์ หน้ากว้างถึง 5.2 - 5.7 เมตรที่ “ขยายทุกความชอบให้เป็นไปได้” กับ 4 จุดขาย ได้แก่ ทาวน์เฮาส์สไตล์โมเดิร์นลอฟท์ที่มาพร้อมช่องแสงธรรมชาติเพิ่มความโปร่งโล่ง - ห้องอเนกประสงค์ที่ออกแบบตกแต่งได้ตามไลฟ์สไตล์ตัวเอง – ห้องครัวที่สามาถต่อเติมรองรับ Passion ของผู้อยู่อาศัย - Educational playground สนามเด็กเล่นที่ออกแบบให้เป็นมากกว่าความสนุกสนาน มาแรง!! ด้วยราคาผ่อนเริ่มต้นเพียงล้านละ 999 บาทต่อเดือน ปักธง 8 โครงการทำเลศักยภาพ กรุงเทพฯ – ภูเก็ต โดยเตรียมพบกับงานพรีเซลล์ “สิริ เพลส” 5 โครงการ วันที่ 12-13 พค. นี้ ที่สิริ เพลส รังสิต และสิริ เพลส นวนคร วันที่ 19-20 พค. ที่สิริ เพลส สุขสวัสดิ์-พระราม 3, สิริ เพลส ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ และสิริ เพลส กัลปพฤกษ์ – สาทร มั่นใจยอดขายดี ตอบรับเทรนด์การอยู่อาศัยคนรุ่นใหม่จากการพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิดเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ (Complete Your Living Experience) ส่งผลโกยยอดขายจากโครงการทาวน์เฮาส์ที่จะเปิดในปี 2561 ทั้งหมด 11 โครงการ มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาท     นายสมเกียรติ หงษ์ทรัพย์ภิญโญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริได้เปิดตัวทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ “สิริ เพลส” ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของในการรุกตลาดทาวน์เฮาส์สองชั้นที่มาพร้อมกับระดับราคาที่ลูกค้าแสนสิริรอคอยมานาน ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาทภายใต้คุณภาพในระดับ Best-in-Class ซึ่งแสนสิริพัฒนาเป็นมาตรฐานในโปรดักส์ทุกเซกเมนต์ระดับราคา ด้วยจุดเด่นของ “สิริ เพลส” ซึ่งเป็นทาวน์เฮาส์ หน้ากว้างถึง 5.2 - 5.7 เมตร ที่ประกอบด้วย 4 จุดขายภายใต้แนวคิด “ขยายทุกความชอบให้เป็นไปได้” ได้แก่ ทาวน์เฮาส์สไตล์โมเดิร์นลอฟท์ที่มาพร้อมช่องแสงธรรมชาติเพิ่มความโปร่งโล่ง - ห้องอเนกประสงค์ที่ออกแบบตกแต่งได้ตามไลฟ์สไตล์ตัวเอง – ห้องครัวที่สามาถต่อเติมรองรับ Passion ของผู้อยู่อาศัย - Educational playground สนามเด็กเล่นที่ออกแบบให้เป็นมากกว่าความสนุกสนาน พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการที่ครบครัน ทั้งนี้จากกระแสการตอบรับที่ดีจากลูกค้าจำนวนมากจากการเปิดลงทะเบียนใน www.sansiri.com ในช่วงที่ผ่านมา สิริ เพลส ยังได้เตรียมมอบข้อเสนอสุดพิเศษฟรีเงินจอง 5,000 บาท ในสิริเพลสทั้ง 5โครงการที่เตรียมเปิดพรีเซลในช่วงเดือนพฤษภาคม และผ่อนเริ่มต้นเพียงล้านละ 999 บาทต่อเดือนนาน 1 ปี สำหรับโครงการสิริ เพลส นวนคร และ โครงการสิริ เพลส ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ อีกด้วย   “ในปี 2561 แสนสิริจะเปิดตัวทาวน์เฮาส์ ภายใต้แบรนด์ “สิริ เพลส” ทั้งหมด 8 โครงการทำเลกรุงเทพฯ และภูเก็ต ในทำเลศักยภาพใกล้ศูนย์กลางของชีวิตคนเมือง ใกล้เส้นทางคมนาคมที่สะดวก เชื่อมต่อการเดินทางทั้งในเมืองและนอกเมือง ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท ประกอบด้วย 12 - 13 พฤษภาคมนี้ เปิดพรีเซลล์ โครงการสิริ เพลส รังสิต และ สิริ เพลส นวนคร และวันที่ 19 - 20 พฤษภาคมนี้ เปิดพรีเซลล์โครงการสิริ เพลส สุขสวัสดิ์- พระราม 3, สิริ เพลส ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ และสิริ เพลส กัลปพฤกษ์-สาทร สำหรับโครงการ สิริ เพลส อีก 3 โครงการได้แก่ สิริ เพลส จรัญ-ปิ่นเกล้า, สิริ เพลส ราชพฤกษ์ – 345 และ สิริ เพลส ภูเก็ต จะเปิดตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้” นายสมเกียรติ กล่าว     สำหรับทาวน์เฮาส์แบรนด์ “สิริ เพลส พัฒนาภายใต้แนวคิด เติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้ 3 องค์ประกอบหลัก ประกอบด้วย Siri Living เติมเต็มการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ ผ่านดีไซน์อันสวยงาม พร้อมประโยชน์การใช้งานได้จริง ด้วยการคัดสรรวัสดุคุณภาพ ใส่ใจทุกรายละเอียดการก่อสร้างตามมาตรฐานแสนสิริ พร้อมการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานภายในบ้านที่ขยายทุกความชอบของผู้อยู่อาศัยให้เป็นไปได้ ทั้งห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่การใช้งานให้เข้ากับไลฟ์สไตล์และความชื่นชอบได้ทุกตามความต้องการ พื้นที่หลังบ้านซึ่งลงเสาเข็มเสริมโครงสร้างให้แข็งแรง รองรับการขยายการใช้งานได้ในอนาคต และช่องแสงธรรมชาติที่โถงบันไดที่ช่วยประหยัดไฟ พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางแบบจัดเต็ม ตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว ทั้งคลับเฮาส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนส่วนกลาง และ Educational Playground ที่ได้รับการออกแบบเพื่อให้เด็ก ๆ ได้สนุกสนานไปพร้อมกับการพัฒนาทักษะต่าง ๆ Siri Lifetech เติมเต็มการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ ผ่านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยแนวใหม่ ให้ชีวิตสะดวกสบายง่ายขึ้น - ลูกบ้านสามารถใช้งาน Home Service Application ได้อย่างง่ายดายบนมือถือ ระบบเปิด - ปิด ประตูเข้า-ออกโครงการแบบอัตโนมัติ พร้อมกับอำนวยความสะดวกด้วย WiFi ในพื้นที่ส่วนกลาง และสาย LAN ภายในบ้านแบบติดตั้งเสร็จเรียบร้อยพร้อมใช้งาน เข้าออกบ้านสะดวกและปลอดภัยด้วยบัตรเข้าออกโครงการอัตโนมัติ และ Green Living Space ที่ใช้โซลาร์เซลล์เพื่อการประหยัดพลังงาน และลดค่าใช้จ่ายในพื้นที่ส่วนกลาง และ Siri Experience เติมเต็มชีวิตให้ครบสมบูรณ์แบบ ผ่านทุกช่วงเวลาให้กับลูกบ้านคนสำคัญ – ตั้งแต่บริการจัดการดูแลโครงการโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ปลอดภัยสูงสุดด้วย Sansiri Security Systems ที่พร้อมดูแลคุณ ตลอด 24 ชม. ด้วย รปภ.ที่ผ่านการฝึกฝนตามมาตรฐานแสนสิริ และนวัตกรรมที่พัฒนามาเพื่อเสริมระบบความปลอดภัย พร้อมกล้องวงจรปิดทุกจุด และสิทธิพิเศษต่างๆจาก Sansiri Family และอภิสิทธิ์การใช้บริการในแสนสิริ เลานจ์ ที่สยามพารากอน     การพัฒนาทาวน์เฮาส์ ภายใต้แบรนด์ สิริ เพลส ออกแบบในสไตล์โมเดิร์น ลอฟท์ เพื่อสะท้อนถึงผู้อยู่อาศัยที่มีไลฟ์สไตล์บ่งบอกความเป็นตัวเอง โดยสถาปัตยกรรมแบบลอฟท์ เกิดจากการดัดแปลงโกดังหรือโรงงานมาเป็นที่อยู่อาศัยในช่วงสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบัน โมเดิร์น ลอฟท์ เป็นสไตล์ที่โดดเด่นและเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในนิวยอร์ค ให้ความรู้สึกโปร่งสบายด้วยเพดานสูง โล่งโปร่ง ผสมผสานกับการใช้ปูนเปลือย ปูนขัดมัน เหล็ก ไม้และอิฐแดง สร้างเอกลักษณ์ที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัว ด้วยกลิ่นอายความดิบผสานกับความทันสมัย มุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ซึ่งต้องการพื้นที่ที่มากขึ้นในการขยับขยายชีวิต ขณะที่ยังสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในแบบคนเมืองได้   “แสนสิริมองว่าทาว์นเฮาส์เป็น Living Trend ที่น่าสนใจในปีนี้ ซึ่งด้วยปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ ในทางบวก ทั้งกำลังซื้อและทิศทางความต้องการที่อยู่อาศัยซึ่งต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น และปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว ทาวน์เฮาส์จึงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับคนที่คิดจะซื้อที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน เพราะตอบโจทย์ทั้งในด้านราคา ทำเล และพื้นที่ใช้สอย เราจึงเชื่อมั่นว่าโครงการทาว์นเฮาส์แบรนด์ สิริ เพลส จะได้รับการตอบรับที่ดี และสามารถเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างยอดขายจาก 11 โครงการทาวน์เฮ้าส์ที่จะเปิดขายในปี 2561 มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาท ตามเป้าที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน” นายสมเกียรติกล่าวปิดท้าย  
The Cube Condo นำคอนโดใหม่และพร้อมอยู่ร่วมงาน Home Buyers Focus

The Cube Condo นำคอนโดใหม่และพร้อมอยู่ร่วมงาน Home Buyers Focus

บริษัท คิวบ์ เรียล พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด นำโครงการ The Cube Condominium (เดอะคิวบ์ คอนโดมิเนียม) โลว์ไรส์ (Low rise) 8 ชั้น สไตล์โมเดิร์น พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ และเข้าพักอาศัยได้ทันที 2 โครงการ The Cube Nawamin-Raminthra (เดอะคิวบ์ นวมินทร์-รามอินทรา) เริ่มราคา 1.59 ล้านบาท* และ The Cube Plus Minburi (เดอะคิวบ์ พลัส มีนบุรี) เริ่ม 1.59 ล้านบาท*   และ โครงการอยู่ระหว่างดำเนินงานก่อสร้างและโครงการเปิดใหม่ อีก 2 โครงการ The Cube Station Ramintra 109 (เดอะคิวบ์ สเตชั่น รามอินทรา 109) เริ่ม 1.49 ล้านบาท* และ The Cube Premium Ramintra 34 (เดอะคิวบ์ พรีเมียม รามอินทรา 34) เริ่ม 1.89 ล้านบาท พร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบทุกฟังก์ชั่นมาให้เลือกถึง 4 ทำเลศักยภาพสูงติดแนวถนนรามอินทรา และรถไฟฟ้าสายสีชมพู (ในอนาคต) และ The Cube Town Lamlukka (เดอะคิวบ์ ทาวน์ ลำลูกกา) ทาวน์โฮม 2 ชั้น ระดับพรีเมียมย่านลำลูกกา คลอง 3 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว พร้อมโอนกรรมสิทธิ์และพร้อมเข้าอยู่ เริ่ม 2 ล้านต้น ๆ       มาร่วมบูท The Cube Condominium ในงาน Home Buyers Focus งานแสดงที่อยู่อาศัยเฉพาะโซน (รามอินทรา) ระหว่างวันที่ 10-16 พฤษภาคม 2561 บริเวณชั้น B (ตรงข้ามร้าน Seagull) ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ นำโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะท่านที่จองที่บูท ‘จอง 0 บาท’ พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้า* หรือเลือกรับส่วนลดและเงื่อนไขพิเศษมากมายตามที่บริษัทกำหนด* โครงการคอนโดมิเนียมทั้ง 4 ทำเลตกแต่งพร้อมเฟอร์นิเจอร์ (Fully Furnished) ทุกฟังก์ชั่น เน้นใช้วัสดุคุณภาพในงานก่อสร้าง ปลอดภัยทุกการอยู่อาศัย และสะดวกทุกการเดินทาง พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องออกกำลังกาย ห้องซาวน่า (แยกชาย/หญิง) สวนหย่อม กล้องวงจรปิด (CCTV) รอบโครงการ  ประตูแบบ Digital door lock (กลอนประตูดิจิตอล) ของซัมซุง ระบบคีย์การ์ดทางเข้าอาคาร และลิฟท์แบบคีย์การ์ดล็อคชั้น ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง Wi-Fi อินเตอร์เน็ตที่ล็อบบี้ส่วนกลาง   การเดินทางสะดวกติดถนนใหญ่ และใกล้ห้างสรรพสินค้า สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล ร้านอาหาร ตลาด คอมมูนิตี้มอลล์ ฯลฯ พบกันได้ที่บูท The Cube Condominium สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 1246 กดโครงการที่ท่านสนใจ หรือนัดชมห้องตัวอย่างได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุด และติดตามความเคลื่อนไหวทางแฟนเพจ www.facebook.com/The Cube-Condo และ www.thecube-condo.com
แกรนด์ แอสเสท ผนึก ปาร์คพลัส ชูภาพคอนโดไฮเทค ไฮด์ สุขุมวิท 11  เปิดตัวหุ่นยนต์จอดรถอัจฉริยะ “Duo Robot Automatic Parking” ครั้งแรกในประเทศไทย

แกรนด์ แอสเสท ผนึก ปาร์คพลัส ชูภาพคอนโดไฮเทค ไฮด์ สุขุมวิท 11 เปิดตัวหุ่นยนต์จอดรถอัจฉริยะ “Duo Robot Automatic Parking” ครั้งแรกในประเทศไทย

บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผนึกกำลัง บริษัท ปาร์คพลัส จำกัด เปิดตัวหุ่นยนต์จอดรถอัจฉริยะ “Duo Robot Automatic Parking” ครั้งแรกในประเทศไทย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคมิลเลนเนียลพร้อมที่อยู่อาศัยระดับลักซ์ชัวรี่ที่แท้จริงในคอนโด ไฮด์ สุขุมวิท 11   พีรพล นนทสูติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไฮด์ สุขุมวิท 11 เป็นคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ สูง 39 ชั้น ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาภายใต้คอนเซปต์ Life Will Never Be the Same ความหรูระดับลักซ์ชัวรี่ที่นำมาตอบโจทย์เรื่องการอยู่อาศัย คือ การออกแบบที่ลงตัว เน้นประโยชน์ใช้สอย เพดานสูง ทำให้พื้นที่ในห้องพักไม่อึดอัด   จัดวางพื้นที่ส่วนกลาง สิ่งอำนวยความสะดวกที่อยู่บนชั้น 37-39 ซึ่งเป็นชั้นที่สูงที่สุด วิวสวยที่สุด ทำให้ทุก ยูนิตรู้สึกเหมือนเป็นเพนท์เฮาส์ มีทั้ง ฟิตเนส สระว่ายน้ำ อ่างจากุซชี่ เซาน่า ห้องกอล์ฟซิมูเลเตอร์ เกมรูม โรงภาพยนตร์มินิเธียเตอร์ ห้องสมุด สกายการ์เด้นท์ โดยในส่วนของชั้นล็อบบี้ ยังเติมเต็มด้วยคิดส์รูม และห้องประชุมรวมถึงสวนสวยในโครงการ มีดีไซน์โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ สะท้อนรสนิยมที่แตกต่างเฉพาะตัว ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในรีสอร์ท สงบท่ามกลางความวุ่นวายในเมือง   แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นที่สุดของโครงการนี้ที่เหนือกว่าโครงการอื่นคือ การนำเอาเทคโนโลยีหุ่นยนต์จอดรถยนต์อัจฉริยะ เข้ามาเปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เนื่องจากทางเรามองว่างานดีไซน์ที่หรูหรา ต้องเคียงคู่ไปกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด เพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกบ้านที่เข้ามาอยู่ในโครงการนี้ เป็นอีกปัจจัยที่สะท้อนความหรูหราและความล้ำสมัย เมื่อนำทั้งสองสิ่งนี้มาผนวกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว สามารถตอบโจทย์เรื่องการใช้งาน ไม่เพียงแค่ภาพลักษณ์ที่มีระดับของผู้อาศัยเท่านั้น แต่ระบบอัจฉริยะยังถูกพัฒนาเพื่อช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ทำให้ชีวิตเราสะดวกสบายขึ้น นิยามของความหรูระดับลักซ์ชัวรี่ในยุค 4.0 จึงต้องมีครบทั้งระบบต่างๆ ที่เพิ่มความสะดวกสบาย และดีไซน์ที่สวยงามเข้าไปให้มากที่สุด     ไฮด์ สุขุมวิท11 ไว้วางใจให้ ปาร์คพลัส ที่ปรึกษาปัญหาด้านที่จอดรถและผู้นำด้านการให้บริการเครื่องจอดรถแบบครบวงจร นำนวัตกรรมใหม่สุดไฮเทค หุ่นยนต์จอดรถอัจฉริยะ “Duo Robot Automatic Parking” ซึ่งเป็นนวัตกรรมเครื่องจอดรถที่ล้ำสมัยฉลาดกว่าระบบจอดรถอัตโนมัติที่เคยมีมา เข้ามาใช้ในโครงการครั้งแรกในประเทศไทย ตามคอนเซ็ปต์ ภายใต้คอนเซปต์ Life Will Never Be the Same   ด้าน อภิราม สีตกะลิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปาร์คพลัส จำกัด กล่าวว่า เราคือผู้แทนจำหน่ายและติดตั้งเครื่องจอดรถ หุ่นยนต์จอดรถอัจฉริยะ Duo RobotAutomatic Parking จากประเทศเกาหลีแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเกาหลีในปัจจุบันคือผู้นำระบบจอดรถอัจฉริยะเป็นที่แพร่หลายในต่างประเทศ และได้รับการติดตั้งมาแล้วทั่วโลก ยิ่งไปกว่านั้นปาร์คพลัส ยังเป็นผู้ให้บริการติดตั้งเครื่องจอดรถยนต์อัตโนมัติเพียงรายเดียวในไทย ที่มีบริษัทประกันภัยให้การรับประกันภัยจากอุบัติเหตุในโครงการไฮด์ สุขุมวิท 11 ที่เกิดจากเครื่องจอดรถทุกกรณี โดยบริษัทประกันชั้นนำอย่าง กรุงไทยพานิชประกันภัย มีวงเงินประกันรวมสูงสุดถึง 400 ล้านบาท   โครงการ ไฮด์ สุขุมวิท 11 นับเป็นที่แรกในไทย และยังรวมไปถึงเป็นแห่งแรกในภูมิภาคนี้ South East Asia ที่เลือกใช้เทคโนโลยีเครื่องจอดรถหุ่นยนต์ ระบบ Duo Robot ซึ่งทันสมัยที่สุดในเวลานี้ เป็นระบบอัตโนมัติแท้ 100% เพียงระบบเดียวในประเทศไทย สามารถรองรับรถยนต์ขนาดใหญ่ได้ยาวถึง 5.5 เมตร รวมถึงรถ Plugin Hybrid, EV รถแห่งอนาคตที่มีน้ำหนักสูงได้ถึง 3 ตัน และเป็นระบบแรกในไทยที่ใช้ระบบ Bio Metric ทั้งการสแกนนิ้วมือ และระบบจดจำใบหน้าในการจอดหรือรับรถ เพื่อแก้ไขปัญหาการลืมหรือทำบัตรจอดรถหาย เป็นระบบที่ทันสมัยที่สุด มีความรวดเร็วในการจัดเก็บรถมากที่สุดใช้เวลาเพียง 3 นาที เพียงจอดรถไว้นอกห้องลิฟต์ แขนของหุ่นยนต์จะยื่นออกมาช้อนล้ออย่างนุ่มนวล โดยช้อนจากส่วนยางด้านล่างไม่มีการสัมผัสล้อแม็ค ลูกค้าไม่ต้องกังวลเรื่องรอยขีดข่วนต่างๆ หรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับตัวรถ หรือระบบช่วงล่าง     จุดเด่นที่เหนือกว่าเครื่องจอดรถทั่วไปที่มีอยู่ในประเทศไทยคือเรื่องความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และค่าบำรุงรักษาในระยะยาวต่ำในส่วนของความปลอดภัย ซึ่งเป็นข้อควรระวังที่สุดในการใช้เครื่องจอดรถ ระบบหุ่นยนต์ของเราออกแบบให้ผู้ขับขี่จอดรถนอกห้องลิฟต์ รถอยู่บนพื้นปูนปกติ จากนั้นจะมีหุ่นยนต์มาทำหน้าที่รับรถไปจอดให้ แบบเดียวกับระบบวัลเล่ต์ปาร์คกิ้งที่ใช้คน ซึ่งต่างจากระบบทั่วไปในประเทศไทยที่ต้องขับรถเข้าไปจอดบนถาดเหล็ก ในห้องลิฟต์แคบๆ จากนั้นถึงจะออกจากรถมาได้ ซึ่งในจุดนี้เป็นจุดบอดที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้หลากหลายสาเหตุมาก   ความสะดวกสบาย คือความต่อเนื่องจากการจอดรถนอกห้องลิฟต์แคบๆ ดังนั้นผู้ขับขี่จึงขึ้นลงได้อย่างสะดวกทั้งครอบครัว ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ รวมไปถึงบางครอบครัวที่อาจจะต้องใช้รถเข็นสำหรับผู้สูงอายุ การขนสัมภาระ ขึ้นลงต่างๆ ทำได้อย่างง่ายดาย เช่นเดียวกับการจอดรถในแบบปกติในชีวิตประจำวันที่เราคุ้นเคย   ค่าบำรุงรักษาในระยะยาว เนื่องจากระบบหุ่นยนต์เป็นนวัตกรรมใหม่ ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาระบบจอดรถทั่วไปในประเทศไทยจะมีค่าบำรุงรักษาสูงมาก ยิ่งเวลาผ่านไปค่าใช้จ่ายยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ สาเหตุหลักเกิดจากระบบเก่าเป็นระบบการใช้ถาดเหล็กยกรถเข้าไปจอด ต้องใช้ถาด 1 ถาดต่อรถ 1 คัน ที่จอดรถ 100 คัน ต้องมีถาด 100 ถาด ดังนั้นจุดยึด ลูกล้อต่างๆ จะต้องมีการบำรุงรักษาแบบ 1 ต่อ 1 มอเตอร์ที่ใช้ยกรถต้องแบกทั้งน้ำหนักรถและถาดเหล็ก ทำให้มอเตอร์ต้องทำงานหนักและกินไฟมาก   ในขณะที่หุ่นยนต์จอดรถอัจริยะแบบ Duo Robot มีค่าบำรุงรักษาต่ำมาก แยกกการทำงานอิสระ 2 ตัว ตัวหน้ายกล้อหน้า ตัวหลังยกล้อหลัง มีเซ็นเซอร์วัดระยะรถได้ทุกขนาด มอเตอร์ทำงานน้อยกว่าเพราะแยกหน้าหลัง และยกแค่ตัวรถไม่ต้องใช้ยกถาดเหล็กใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อมอเตอร์ทำงานที่โหลดน้อยกว่า ดังนั้นจึงช่วยยืดอายุการใช้งานได้ยืนยาวกว่าระบบถาดที่มอเตอร์ต้องทำงานหนักกว่ามาก และหากหุ่นยนต์เสียก็สามารถยกออกไปซ่อมได้อย่างอิสระ ในขณะเดียวกันหุ่นยนต์ที่เหลืออีกตัวก็ยังทำงานได้ตามปกติ สามารถยกรถเข้า-ออกที่จอดรถได้อย่าง ไม่มีปัญหา   ด้วยเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ทำให้ระบบนี้มีความคุ้มค่าที่สุดในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านสิ่งแวดล้อม การทำงานที่รวดเร็ว ความสวยงาม ใช้งานสะดวก ประหยัดเวลา ประหยัดพลังงาน มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง ค่าบำรุงรักษาต่ำ มีเสียงรบกวนน้อย และแรงสั่นสะเทือนต่ำ เหมาะสำหรับติดตั้งในย่านที่พักอาศัย อาคารสำนักงานสมัยใหม่ โรงพยาบาล สถานศึกษา รวมไปถึงห้างสรรพสินค้าอีกด้วย   ในส่วนการลงทุนของผู้ประกอบการ ระบบนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้สอยพื้นที่ได้อย่างมหาศาล รวมถึงงบประมาณด้านโครงสร้างอาคารจอดรถที่ต่ำลง เพราะระบบหุ่นยนต์ใช้พื้นที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับอาคารจอดรถทั่วไปถึง 70% ตัวอาคารจอดรถก็เป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กเช่นเดียวกับอาคารจอดรถทั่วไป แต่มีความสูงของเพดานแต่ละชั้นเกือบจะเท่าความสูงของรถยนต์ที่เข้าจอดในอาคาร ดังนั้นจึงเพิ่มพื้นที่จอดได้อีกเป็นจำนวนมาก ต่างจากระบบถาดเหล็กที่จะต้องออกแบบแบบให้มีพื้นที่ความสูงสำหรับโครงสร้างถาดเหล็กอีกด้วย   สำหรับระบบยนต์จอดรถอัจฉริยะสุดล้ำในโครงการ ไฮด์ สุขุมวิท 11 นี้ สามารถรองรับรถยนต์ได้ทั้งหมด 198 คัน (ที่จอดรถทั้งโครงการ 272 คัน) โดยมีอาคารจอดรถอัตโนมัติรูปแบบ MetroTrollyTM สูง 6 ชั้น ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการ ช่วยเสริมให้ส่วนที่พักอาศัยมีความสงบ รู้สึกเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น   พีรพล นนทสูติ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ด้วยความตั้งใจสูงสุดในการนำเสนอสุดยอดประสบการณ์ และบริการระดับไฮเอ็นด์ เรามั่นใจว่าระบบหุ่นยนต์จอดรถอัจฉริยะ จะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของผู้พักอาศัยรวมถึงผู้เข้ามาใช้บริการทุกคนอย่างแท้จริง”  
บ้านกลางเมือง พระราม 9 – อ่อนนุช เชื่อมต่ออย่างลงตัว ง่ายทุกการเดินทาง [Advertorial] : รีวิวทาวน์โฮม

บ้านกลางเมือง พระราม 9 – อ่อนนุช เชื่อมต่ออย่างลงตัว ง่ายทุกการเดินทาง [Advertorial] : รีวิวทาวน์โฮม

บ้านกลางเมือง พระราม 9 - อ่อนนุช เชื่อมต่ออย่างลงตัว ง่ายทุกการเดินทาง ทำเล คือปัจจัยของคนมองหาที่อยู่อาศัยจะพิจารณาก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม หรือบ้านเดี่ยว ซึ่งแน่นอนว่าทำเลที่ทั้งสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกทั้งเข้าเมืองไปทำงาน ทั้งออกนอกเมืองไปสนามบินหรือไปต่างจังหวัดไปพร้อมๆ กันนั้นหาได้ยากมากใช่ไหมคะ แต่คำว่าหายากนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีค่ะ   เราคงรู้จัก New CBD กันมาระยะหนึ่งแล้วใช่ไหมคะ ด้วยความเพียบพร้อมของสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่ตอบโจทย์ได้หลากหลายไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่อยู่เกือบ 24 ชม. ทั้งห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ไฮเปอร์มาร์เก็ต ไนท์มาร์เก็ต แหล่งรวมร้านแฮงเอ้าท์ รวมถึงอาคารออฟฟิศเกรด A หลายแห่ง ส่วนทำเลที่มีทั้งรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินกับแอร์พอร์ตลิงค์ผ่าน สามารถใช้ทางด่วนได้หลายสายอย่างทางยกระดับอุตราภิมุข ทางพิเศษศรีรัชจนไปเชื่อมต่อกับมอเตอร์เวย์(กรุงเทพ-ชลบุรี) ซึ่งง่ายต่อการเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมต่อสู่ภาคตะวันออกโซน EEC ที่กำลังมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในอนาคต เรียกได้ว่าไม่ว่าจะใช้รถยนต์ส่วนตัวหรือใช้บริการขนส่งสาธารณะก็ใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย ทำให้ย่านพระราม 9 แห่งนี้สมบูรณ์มากจนเกิดการเติบโตอย่างก้าวกระโดดภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ยิ่งระยะหลังเราจะเห็นชาวต่างชาติเข้ามาอาศัยอยู่ย่านนี้ก็ไม่น้อยทีเดียว ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับย่าน CBD เดิมแล้วจะพบว่าความสะดวกสบายไม่ต่างกันมาก เพียงแต่สีลม-สาทรนั้นทุกวันนี้มีความหนาแน่นอยู่มากทีเดียวค่ะ ทั้งจำนวนของผู้คนตามมาด้วยการจราจรที่ติดขัดไม่เว้นแต่ละวัน ส่วนการเดินทางไปสนามบินหรือออกนอกเมืองก็ค่อนข้างไกล ที่สำคัญราคาของที่อยู่อาศัยก็ไม่เบาทีเดียว         เมื่อเอ่ยถึงสนามบินสุวรรณภูมิที่เป็นสนามบินหลักของบ้านเราแล้ว ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะตั้งอยู่นอกตัวเมืองเหมือนในหลายๆ ประเทศ ซึ่งก็มักจะห่างไกลจากตัวเมืองตามไปด้วย แต่ไม่ใช่กับโซน New CDB อย่างพระราม 9 เพราะไม่ว่าจะใช้รถยนต์เดินทางด้วยถนนมอเตอร์เวย์ตรงเชื่อมต่อถนนพระราม 9 หรือจากถนนมอเตอร์เวย์แล้วขึ้นทางพิเศษศรีรัชก็เป็นเรื่องง่ายมากแถมยังใช้เวลาไม่กี่นาที ยิ่งหากเลือกใช้บริการจากแอร์พอร์ตลิงค์ ซึ่งเป็นวิธีการเดินทางสำคัญของโซนที่ถือได้ว่าเป็นกึ่งกลางระหว่างตัวเมืองกับนอกเมืองแบบย่านลาดกระบัง-อ่อนนุช ก็จะยิ่งลดระยะเวลาการเดินทางได้มากขึ้นไปอีก    แหล่งออฟฟิศเกรด A สิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย รองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย การเดินทางที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว   บ้านกลางเมือง พระราม 9 - อ่อนนุช ทาวน์โฮม 3 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ทุกหลังหน้ากว้าง 5 เมตร ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป พื้นที่ใช้สอยมากถึง 146 ตร.ม. สามารถปรับเปลี่ยน Function ของทุกสัดส่วนภายในบ้านของเราได้ตามแต่ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนได้อย่างลงตัว ท่ามกลางพื้นที่ทั้งหมดกว่า 17 ไร่ ให้สามารถใช้ชีวิตในทุกด้านได้อย่างเต็มที่ ภายในโครงการให้ความเป็นส่วนตัว สงบ ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้รอบโครงการ แม้ในขณะเดียวกันจะมีความวุ่นวายบนท้องถนนมอเตอร์เวย์หลังโครงการ สะท้อนให้เห็นถึงความเหนือระดับของการใช้ชีวิตได้อย่างน่าหลงใหลและไร้ขีดจำกัด    ได้พื้นที่มากกว่า และยืดหยุ่นได้ตามไลฟ์สไตล์ เรียบง่าย มีความเป็นส่วนตัว   สังคมคุณภาพที่บ้านกลางเมือง Facility เพื่อการพักผ่อนในบ้านของตัวเองที่คลับเฮ้าส์ พร้อมสระว่ายน้ำ และฟิตเนส ล้อมรอบไปด้วยสวนสาธารณะที่มีบริเวณพักผ่อน ได้ความอุ่นใจกับระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. พร้อมกล้องวงจรปิดทางเข้า-ออก โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ ความสงบร่มรื่น คลับเฮ้าส์ที่ครบครัน   ตัวโครงการตั้งอยู่บนถนนคู่ขนานวงแหวน ติดกับมอเตอร์เวย์ฝั่งขาเข้า  ทำให้การเดินทางสะดวกสบายทั้งเข้าเมืองสู่ใจกลาง New CBD ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที และออกนอกเมืองไปสนามบินสุวรรณภูมิใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที หรือจะเลือกใช้แอร์พอร์ตลิงค์ สถานีบ้านทับช้างก็อยู่ห่างจากโครงการแค่ 5 นาที ซึ่งช่วงจุดกึ่งกลางระหว่างย่านพระราม 9 กับสนามบินคือช่วงอ่อนนุชปลายๆ เชื่อมต่อกับลาดกระบัง โดยมีแอร์พอร์ตลิงค์เป็นระบบขนส่งสาธารณะสำคัญของคนที่อาศัยอยู่ในย่านนี้ในการเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองได้รวดเร็วที่สุด ใกล้ทั้งทางด่วนและแอร์พอร์ตลิงค์ ใช้เวลาเพียง 10 นาทีถึง New CBD 5 นาที ถึงสุวรรณภูมิ   การเดินทางไปยังโครงการ    สามารถเข้าได้หลายทาง หลักๆ แล้วแนะนำ 2 เส้นทาง ได้แก่     1. หากมาจากพระราม 9 ด้วยทางพิเศษศรีรัช เมื่อข้ามถนนศรีนครินทร์แล้วให้ออกทางคู่ขนานมอเตอร์เวย์ เพื่อกลับรถบนสะพานเกือกม้า เมื่อลงจากเกือกม้าให้รีบชิดซ้ายเพื่อกลับรถอีกครั้ง เข้าสู่ทางคู่ขนานมอเตอร์เวย์ฝั่งขาเข้ามุ่งหน้าไปทางอ่อนนุช วิ่งไปตามทางเรื่อยๆ ผ่านมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด  แอร์พอร์ตลิงค์ สถานีบ้านทับช้าง และรอดใต้วงแหวนไปอีก 200 เมตร ก็จะเห็นโครงการอยู่ทางขวามือ     2. หากมาจากซอยสุขุมวิท 77 ฝั่งขาออกมุ่งหน้าลาดกระบัง เมื่อถึงแยกประเวศเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเฉลิมพระเกียรติ ผ่านสน.ประเวศ เมื่อเจอสามแยกที่มีดี คอนโด ให้เลี้ยวขวา และเลี้ยวขวาอีกครั้งเพื่อเข้าสู่คู่ขนานวงแหวนขับตามทางไปอีกเล็กน้อยก็จะพบกับโครงการ(หากเลี้ยวซ้ายจะไปออกทางคู่ขนานมอเตอร์เวย์)    สำหรับโครงการบ้านกลางเมือง พระราม 9 - อ่อนนุช ถือเป็นทาวน์โฮมในระดับ Hi-End Townhome เพราะเรื่องสภาพแวดล้อมภายในโครงการที่ดี ได้พื้นที่ใช้สอยมากกว่า ปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว ที่สำคัญคือเรื่องของศักยภาพเฉพาะตัวของทำเลที่ไม่ไกลจากแหล่งสำคัญ อีกทั้งยังเดินทางสะดวกสบายไม่ว่าจะโดยรถยนต์ส่วนตัวเชื่อมต่อกับทางด่วนเข้าสู่ใจกลางเมือง หรือแอร์พอร์ตลิงค์ที่อยู่ใกล้กับโครงการ ด้วยความที่โครงการตั้งอยู่ตรงจุดกึ่งกลางระหว่างใจกลางเมืองกับชานเมืองจึงทำให้บ้านกลางเมือง พระราม 9 - อ่อนนุช กลายเป็นหนึ่งในโครงการคุณภาพจาก AP       
ตกแต่งบ้านให้รู้สึกปลอดภัย ด้วยกระเบื้องปูพื้นจากโสสุโก้

ตกแต่งบ้านให้รู้สึกปลอดภัย ด้วยกระเบื้องปูพื้นจากโสสุโก้

 สังคมในปัจจุบันมักใช้ชีวิตแบบครอบครัวใหญ่  มีบ้านหลายหลัง จึงมีคนต่างรุ่นและต่างวัยอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน ทำให้การเลือกวัสดุตกแต่งหรือฟังก์ชั่นต่างๆภายในบ้านต้องครอบคลุม และคำนึงถึงการใช้งานร่วมกัน เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายและปลอดภัยไปพร้อมๆกัน   โดยเฉพาะในเรื่องของ “วัสดุปูพื้น” ที่กูรูด้านกระเบื้องอย่าง “โสสุโก้” ให้คำแนะนำว่า ในการเลือกใช้วัสดุปูพื้นนั้น ไม่เพียงแค่เลือกจากลวดลายและสีสันตามความชอบเพียงแค่นั้น แต่ถ้าบ้านใดมีผู้สูงอายุ หรือเด็กน้อย ก็ยิ่งต้องคำนึงถึงความปลอดภันเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทั้ง 2 วัยที่กล่าวมานั้นมีลักษณะการเคลื่อนไหวที่ไม่มั่นคง เสี่ยงต่อการล้มได้ง่าย ซึ่งในปัจจุบันกระเบื้องเซรามิกปูพื้นมีลักษณะรูปแบบของพื้นผิวให้เลือกตามความเหมาะสมของการใช้งาน แบ่งออกเป็น     - กระเบื้องผิวหยาบ : กระเบื้องชนิดนี้จะมีลวดลายที่ให้เท็กซ์เจอร์บนพื้นผิวกระเบื้อง “ไม่เรียบ ไม่มันวาว” มีร่องรอยความนูนหรือให้ความรู้สึกขรุขระตามลวดลาย เช่น ลายหิน จะให้ความรู้สึกสัมผัสคล้ายหินธรรมชาติ เป็นต้น ช่วยในเรื่องของการยึดเกาะที่ดี เหมาะสำหรับการนำไปใช้บริเวณพื้นที่ต้องโดนน้ำบ่อยๆ อย่างพื้นห้องน้ำ ลายซักล้าง หรือพื้นหน้าบ้าน   - กระเบื้องผิวด้าน :  สำหรับกระเบื้องชนิดนี้เป็นกระเบื้องผิวด้าน “พื้นผิวเรียบ ไม่มันวาว” เหมาะสำหรับการนำไปปูพื้นห้องครัว หรือห้องนอน   - กระเบื้องผิวมัน :  กระเบื้องพื้นผิวมันเป็นกระเบื้องที่มี “พื้นผิวเรียบ มันวาว” เหมาะสำหรับการนำไปปูบริเวณห้องรับแขก เพราะจะช่วยให้บ้านของคุณดูสวยงามและมีกลิ่นอายของความหรูหราอีกด้วย
สิริเวนเจอร์สรุกจับมือ GDG Thailand พัฒนาแอพพลิเคชั่นรองรับ   Google Assistant เวอร์ชั่นไทยเจ้าแรก ต่อยอดสมาร์ทโฮมสุดล้ำตอบโจทย์   ไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยยุคใหม่

สิริเวนเจอร์สรุกจับมือ GDG Thailand พัฒนาแอพพลิเคชั่นรองรับ Google Assistant เวอร์ชั่นไทยเจ้าแรก ต่อยอดสมาร์ทโฮมสุดล้ำตอบโจทย์ ไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยยุคใหม่

สิริเวนเจอร์ส ดึง GDG พัฒนาระบบสมาร์ทโฮม จากแพลตฟอร์ม Google Assistant หวังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยด้วยเวอร์ชั่นคำสั่งภาษาไทยรายแรกในประเทศ พร้อมเปิดแผนพัฒนาล้ำหน้ามากกว่าการทำงานพื้นฐานเปิด-ปิดไฟ เตรียมเปิดตัว Home Service Application   นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด (SIRI VENTURE) บริษัทร่วมทุนในรูปแบบ Corporate Venture Capital ในเครือแสนสิริทำการวิจัยและลงทุน เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ (R&D) ด้าน Property Technology อย่างเต็มรูปแบบเป็นรายแรกของไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ GDG Thailand ( Google Developer Group) กลุ่มนักพัฒนาที่สนใจเทคโนโลยีของกูเกิลในประเทศไทย พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ บนแพลตฟอร์ม Google Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะจากค่าย Google ที่พัฒนาขึ้นมาใช้งานกับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน เช่นลำโพง Google Home, แอพพลิเคชั่น Google Assistant ในระบบแอนดรอยด์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยในทุกแพลตฟอร์มให้กับผู้อยู่อาศัย ให้ผู้ใช้งานใช้ชีวิตได้สะดวกสบายขึ้น โดยในการพัฒนาครั้งนี้ได้ต่อยอดฟังก์ชั่นการสั่งงานภาษาไทย ที่เล็งเห็นความสำคัญในการตอบโจทย์ผู้ใช้งานชาวไทยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งนอกจากการร่วมสนับสนุนนักพัฒนาให้สร้างแอพบนแพลตฟอร์มแล้ว ยังมีกิจกรรมเวิร์คช็อป และการแข่งขัน Hackathon อีกด้วย     สำหรับการพัฒนาร่วมกันในครั้งนี้จะมีการเปิดตัว Home Service Application บนแพลตฟอร์ม Google Assistant Google Home ที่รองรับการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยอย่างเต็มรูปแบบ ในงาน Techsauce Global Summit 2018 ซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 22-23 มิถุนายน 2561 และตั้งเป้าเปิดให้ใช้กับโครงการของแสนสิริในไตรมาส 3/2561 ซึ่งนอกเหนือจากฟังก์ชั่นรองรับการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยแล้ว ยังได้ร่วมมือกับ GDG ประเทศไทย เพื่อร่วมกันส่งเสริมให้ Start up ไทยเข้ามาร่วมพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ เพิ่มคุณสมบัติการใช้งาน Google Assistant เวอร์ชั่นภาษาไทย เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านในโครงการของแสนสิริ อาทิ การเช็คข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของโครงการ รวมถึงการส่งพัสดุ การส่งข้อความหานิติบุคคล และการแจ้งซ่อมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านเป็นต้น ซึ่งการพัฒนาในครั้งนี้จะทำให้สามารถสั่งงานด้วยเสียงได้ และใช้งานจริงได้กับ Google Home ถือเป็นการต่อยอดให้เหมาะกับการใช้งานของคนไทยมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยีดิจิทัลตลอดเวลา รวมถึงทิศทางของทั่วโลกก็มีการพัฒนาด้านสมาร์ทโฮมและเติบโตอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ประเทศไทยยังมีการเข้าถึงไม่มากนัก ส่วนหนึ่งคาดว่ามาจากข้อจำกัดในด้านการสื่อสารกับอุปกรณ์สมาร์ทโฮมที่ยังไม่ค่อยรองรับคำสั่งภาษาไทย   นอกจากนี้สิริเวนเจอร์สยังคงพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับเทรนด์การใช้ Smart home assistant เช่น ลำโพงสั่งการด้วยเสียงที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และถือว่าเป็นเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคด้านที่อยู่อาศัยที่เติบโตเร็วที่สุด โดยมีจำนวนผู้ใช้งานเกินกว่า 50 ล้านรายในปี 2561 ซึ่งเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวจากปีก่อนหน้า โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะมีผลต่อพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมการสั่งงานด้วยเสียงนั้นจะถูกพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จากการเก็บข้อมูลการใช้งานจริงจากผู้ใช้งาน Google จำนวนมากในประเทศไทยด้วยระบบAI ส่งผลให้เพิ่มประสิทธิภาพของตัวเครื่องให้ตอบโจทย์ในสิ่งที่ผู้อยู่อาศัยต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ     “ในต่างประเทศเองได้มีการพัฒนาไปจนถึงจุดที่ Google Assistant สามารถทำงานร่วมกับ Third party หรือบริการต่างๆ ที่เป็นที่นิยมของผู้บริโภค ด้วยการสั่งการผ่าน Google Home ได้โดยตรง เช่น การเรียกดูข้อมูลข่าวสารจาก CNBC , การเลือกดูหนังจาก Netflix, การสั่งอาหาร หรือการเรียกใช้บริการขนส่งสาธารณะออนไลน์ ซึ่งฟังก์ชั่น เหล่านี้ สามารถใช้งานด้วยการสั่งการด้วยเสียงได้ทันที เราคาดหวังว่าจะมีสตาร์ทอัพไทยรายใหม่ๆ เห็นโอกาสและอยากเข้ามาพัฒนาฟังก์ชั่นนี้ โดยใช้ประโยชนจากการเก็บข้อมูลของ Google Assistant มาพัฒนาต่อยอด” นายจิรพัฒน์กล่าว   สำหรับโรดแมปในการพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับสมาร์ทโฮมร่วมกับสิริเวนเจอร์สนั้น เราได้แบ่งออกเป็นแผนระยะสั้นและระยะยาว โดยในระยะสั้นจะเป็นการพัฒนาแอพพลิเคชั่น Home Service App ให้สามารถสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยผ่าน Google Home ได้โดยตรง โดยจะสามารถใช้งานได้จริงภายต้นไตรมาส 3ปีนี้ และในอนาคตจะพัฒนาเพื่อรองรับระบบ Internet of Things คือการใช้งานอย่างครอบคลุมสามารถสื่อสารเชื่อมโยงระหว่างสิ่งของกับสิ่งของด้วยกัน ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีกับผู้บริโภคอย่างมหาศาล   นายวิทยา อัศวเสถียร Community Manager ของ Google Developer Group Thailand กล่าวว่า GDG ประเทศไทย คือกลุ่มนักพัฒนาที่สนใจเทคโนโลยีของกูเกิล โดยการร่วมมือครั้งนี้มีขึ้นเพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่นต่อยอดการใช้งาน Google Assistant เวอร์ชั่นภาษาไทยรายแรกของประเทศ จากการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องพบว่าจุดเด่นของ Google Assistant ที่ได้ร่วมมือพัฒนากับสิริเวนเจอร์ส คือ การเปิดกว้างให้ Start up ไทยสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาให้เกิดฟังก์ชั่นใหม่ๆ แบบไร้ขีดจำกัด  
ประสบความสำเร็จล้นหลาม ยอดผู้เข้าชมงานทะลุเป้า  ต่างชาติพร้อมใจแห่ร่วมชมงานสถาปนิก ’61 ไม่ธรรมดา: Beyond Ordinary

ประสบความสำเร็จล้นหลาม ยอดผู้เข้าชมงานทะลุเป้า ต่างชาติพร้อมใจแห่ร่วมชมงานสถาปนิก ’61 ไม่ธรรมดา: Beyond Ordinary

ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม กับงานสถาปนิก ’61 ไม่ธรรมดา (Architect Expo 2018) งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมและวัสดุก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน ครั้งที่ 32 โดยปีนี้ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งในส่วนผู้แสดงสินค้าและผู้เข้าชมงานจำนวนมหาศาลแห่เข้าชมงานทะลุเป้าเกินกว่าสี่แสนคน โดยเฉพาะยอดผู้เข้าชมงานชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนมากถึง 10% สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมถ์ และบริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะผู้จัดงานเชื่อมั่นตัวงานสามารถต่อยอดความคิดสร้างสรรค์และไอเดียการทำธุรกิจ ขยายเครือข่าย กระตุ้นยอดซื้อขายในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้างได้มากขึ้น     นายศุภแมน มรรคา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้จัดงาน เผยผลการจัดงานสถาปนิก ’61 ที่เพิ่งผ่านไปว่า “งานในปีนี้เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม มียอดผู้เข้าชมงานมากเกินกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ คือมียอดผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานกว่า 413,000 คน โดยเฉพาะผู้เยี่ยมชมงานจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 10% สอดรับกับผู้แสดงสินค้าจากต่างประเทศที่ปีนี้เพิ่มขึ้นมากถึง 35% ทำให้มั่นใจได้ว่างานสถาปนิกได้รับการยอมรับในระดับสากลมากขึ้น” “ในฐานะผู้จัดงานสถาปนิก ’61 ต้องขอขอบคุณสำหรับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งผู้แสดงสินค้า ผู้เข้าชมงาน แขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย และผู้ที่มีส่วนร่วมทั้งหมดในงานครั้งนี้ ความสำเร็จในปีนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เราพัฒนางานให้ดียิ่งขึ้นในทุกๆ ปี เป็นงานที่สร้างความคุ้มค่าและมีคุณค่าในแวดวงสถาปัตยกรรมและผลิตภัณฑ์ก่อสร้างต่อๆ ไปครับ” นายศุภแมนกล่าว
แม่น้ำเรสซิเดนท์ จับมือ โจนส์ แลง ปรับกลยุทธ์การตลาด ชูทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาคุ้มค่าราคาปรับเพิ่มเฉลี่ยมากกว่าปีละ 10 %

แม่น้ำเรสซิเดนท์ จับมือ โจนส์ แลง ปรับกลยุทธ์การตลาด ชูทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาคุ้มค่าราคาปรับเพิ่มเฉลี่ยมากกว่าปีละ 10 %

“แม่น้ำเรสซิเดนท์” จับมือโจนส์ แลง ปรับกลยุทธ์การตลาดตอบโจทย์ลูกค้าระดับลักซ์ชัวรี่ เน้นบริการลูกค้าอย่างครบวงจร มองระยะ 1-2 ปี ตลาดคอนโดมิเนียมลักซ์ชัวรี่ริมแม่น้ำเจ้าพระยามูลค่าสูงขึ้น รับศักยภาพทำเลเทียบชั้นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ดันภาคท่องเที่ยวคึกคัก ดึงกำลังซื้อนักธุรกิจต่างชาติ อัตราการเติบโตของราคาต่อตาราเมตรเฉลี่ยมากกว่า 10 % ต่อปี   นายเดชา ตั้งสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม่น้ำ เรสซิเดนท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการแม่น้ำ เรสซิเดนท์ เซอร์วิส คอนโดมิเนียมหรูบนทำเลโดดเด่นที่สุดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ยังคงเติบโตตามอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ GDP ของประเทศที่ขยายตัว 4.5% เพราะแผนการลงทุนของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยเฉพาะการลงทุนโครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนหลายสายในพื้นที่รอบเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงทำให้อนาคตการเชื่อมโยงของกรุงเทพชั้นในกับปริมณฑลมีความสะดวกสบายขึ้น โดยเฉพาะในโซนพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง ธนบุรี-เจริญนคร รองรับการเติบโตของโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่หลายโครงการที่จะเปิดตัวพร้อมกันในอีก 1-2 ปีข้างหน้า     การเติบโตของพื้นที่นอกจากจะส่งผลบวกให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวมแล้ว ในกรณีของตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีลักษณะโครงการแบบมิกซ์ยูส (Mix Use) ระหว่างโรงแรมและคอนโดมิเนียมซึ่งมีบริการมาตรฐานระดับห้าดาวขึ้นไป โดยบนทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็เช่นเดียวกัน เพราะกลุ่มลูกค้าในตลาดนี้เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้านักธุรกิจ และชาวต่างชาติ การลงทุนที่อยู่อาศัยในตลาดคอนโดฯ ลักซ์ชัวร์รี่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จึงยิ่งมีความน่าสนใจ จากมูลค่าของสินทรัพย์ที่ราคาปรับสูงขึ้นในทุกๆปี     “โครงการต่างๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ก่อสร้างกันอยู่ในหลายๆแห่ง กำลังจะแล้วเสร็จ ในอีก 1-2 ปี เราจะเห็นภาพที่ชัดเจน ซึ่งโครงการขนาดใหญ่เหล่านี้จะสนับสนุนศักยภาพของทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้กลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ เป็นทำเลที่งดงามและมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว (ซิกเนเจอร์) ในด้านอารยธรรมริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งสามารถสัมผัสได้จากไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่ชัดเจนและโดดเด่น โดยปัจจัยดังกล่าวนี้จะเป็นสิ่งดึงดูดกำลังซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศให้หลั่งไหลเข้าพื้นที่ และสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวให้คึกคักอย่างมีนัยยะอีกด้วย”   นายเดชา กล่าวว่า สำหรับโครงการแม่น้ำเรสซิเดนท์ สามารถปิดยอดขายล่าสุด ได้แล้วกว่า 90% โดยมีห้องที่ยังเหลือ 26 ยูนิต มูลค่า 785 ล้านบาท เป็นห้องเพนท์เฮาส์ 6 ห้อง อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มั่นใจว่าห้องเพนท์เฮาส์ที่เหลือจะปิดการขายได้ทั้งหมดภายในปีนี้ เนื่องจาก บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ที่มุ่งเน้นการบริการลูกค้าอย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น และสร้างรสสัมผัสการอยู่อาศัยให้กับลูกค้าในลักษณะของความเป็น Exclusive รองรับกับความต้องการของผู้บริโภคในกลุ่มนี้ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าให้เร็วขึ้น อีกทั้งได้ขยายตลาดจับกลุ่มนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย โดยล่าสุด ได้แต่งตั้งบริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทบริหารการตลาดและการขาย   นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ยังมีโอกาสการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และหากพิจารณาในเซกเมนต์ของสินค้าประเภทคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมลักซ์ชัวรี่และซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีจำนวน 17,200 ยูนิต หรือคิดเป็น 3% ของตลาดคอนโดมิเนียมทั้งหมดในกรุงทพฯ พบว่า เป็นคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำจำนวน 2,600 ยูนิต หรือคิดเป็น 15% ของคอนโดในกลุ่มลักซ์ชัวรี่และซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ มีอัตราการเติบโตของราคาพื้นที่ต่อตารางเมตรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลเมื่อปี 2555 ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 80% ปัจจุบันราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 246,000 บาท ต่อตารางเมตร ดังนั้น มองว่าอัตราการเติบโตของตลาดคอนโดมิเนียมลักซ์ชัวร์รี่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วง 1-2 ปี จะขยายได้ตัวสูงถึง 20%     ส่วนโครงการแม่น้ำเรสซิเดนท์ เป็นอีกหนึ่งโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่คุ้มค่าต่อการที่จะลงทุนไว้เพื่ออยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีกำลังซื้อทั้งชาวไทย และนักธุรกิจชาวต่างชาติที่มีไลฟ์สไตล์และมีความนิยมที่อยู่อาศัยริมแม่น้ำ ซึ่งมีความสวย สงบ เป็นส่วนตัว เพราะนอกเหนือจากความโดดเด่นด้านทำเลที่มองเห็นวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาที่งดงามที่สุดแล้ว แม่น้ำเรสซิเดนท์ ได้ออกแบบอาคารที่ทำให้สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำได้ทุกห้อง ทั้งยังมอบบริการระดับเดียวกับโรงแรมห้าดาวให้กับลูกค้าด้วย โดยเฉพาะห้องเพนท์เฮาส์ของแม่น้ำเรสซิเดนท์ ที่ตกแต่งพร้อมอยู่ ลูกค้าสามารถเข้าอยู่ได้เลย โดยมีข้อได้เปรียบในเรื่องของทำเลที่ดีบนถนนเจริญกรุง ซึ่งเป็นราคาที่มีความคุ้มค่ามาก   สำหรับห้องเพนท์เฮาส์ โครงการแม่น้ำเรสซิเดนท์ มีพื้นที่ใช้สอย 270 – 280 ตารางเมตร เสนอขายในราคาปัจจุบันที่ 60 - 80 ล้านบาท สอบถามข้อมูลหรือติดต่อชมห้องจริง โทร. 089 891 9253, 062 796 0101
เปิดกลยุทธ์บิลท์ แลนด์ รุกขาย“เลสโต” มั่นใจโกยยอดขายทะลุเป้าพันล้าน

เปิดกลยุทธ์บิลท์ แลนด์ รุกขาย“เลสโต” มั่นใจโกยยอดขายทะลุเป้าพันล้าน

  บริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) เผยความสำเร็จจากการเติบโตต่อเนื่อง เปิดแถลงกลยุทธ์รุกตลาดอสังหาฯ ปี 2561 มั่นใจโกยรายได้สูงกว่า 1,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมยื่นไฟล์ลิ่งนำบริษัทฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์ช่วงไตรมาส 4 เร่งปิดการขายห้องชุดสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ แต่งครบ “เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113” สถานีสำโรง จัดงานOPEN HOUSE 19-20 พ.ค.นี้ พบโปรโมชั่นสุดคุ้ม ฟรีทุกค่าใช้จ่ายในวันโอน หรือฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้า ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.45 ล้านบาท   นายชัยรัตน์ ธรรมพีร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า“ภาพรวมเศรษฐกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 มีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากมีปัจจัยที่ดีขึ้นทั้งจากการส่งออก การท่องเที่ยว อัตราดอกเบี้ยทรงตัวค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ภาครัฐยังมีการลงทุนโครงการด้านสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ต่อเนื่อง จึงเป็นสัญญาณที่ดีของภาคอสังหาริมทรัพย์ ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่น และเริ่มกลับเข้าสู่การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับปัจจุบันชาวต่างชาติหันมาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เพราะราคายังถูกอยู่มากเมื่อเทียบกับราคาในประเทศของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง คอนโดมิเนียมที่ยังได้รับความสนใจอยู่จะเป็นบริเวณแนวรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดินทั้งที่สร้างเสร็จแล้วและส่วนต่อขยาย ในขณะที่กำลังซื้อที่ดินของผู้ประกอบการที่จะนำมาพัฒนาโครงการยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะมีแหล่งเงินทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนร่วมกับคนไทยในการประกอบธุรกิจคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ ส่งผลให้ราคาที่ดินดิบมีราคาสูงต่อเนื่อง ทำให้ในอนาคตราคาคอนโดมิเนียมจะมีราคาสูงเพิ่มขึ้นตาม ตลาดก็จะมีการแข่งขันมากยิ่งขึ้น ซึ่งจำเป็นที่ผู้ประกอบการจะต้องหาตลาดใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดที่รองรับกำลังซื้อของคนต่างชาติ   สำหรับโครงการล่าสุดของบริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) คือ“เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113” สถานีสำโรง เป็นคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จแล้ว แต่งครบพร้อมเข้าอยู่ บนเนื้อที่ 7 ไร่เศษ เป็นคอนโดมิเนียมแบบLow Rise 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 786 ยูนิต มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาทซึ่งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง ห่างจากBTS สถานีสำโรงเพียง 400 เมตร และในอนาคตสถานีนี้จะเป็นสถานีInterchange เชื่อมต่อเพื่อเปลี่ยนไปสายสีเหลืองที่วิ่งไปทาง รัชดา– ลาดพร้าว ได้ด้วย”   ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) ที่มีมากว่า 10 ปี และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการปิดขายโครงการต่างๆ ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นในปี 2561 บริษัทจึงตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2560 โดยบริษัทเน้นที่อัตราการทำกำไรให้สูงขึ้น เนื่องจากโครงการต่างๆ ที่มีอยู่นั้น บริษัทได้มีการปรับขึ้นราคาขายไปแล้ว 5-10% โดยเฉพาะโครงการห้องชุดซึ่งอยู่ในแนวรถไฟฟ้า เช่น โครงการ“เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113” สถานีสำโรง ซึ่งเป็นย่านชุมชนที่ยังมีความต้องการที่พัก อาศัยค่อนข้างสูง โดยเป็นโครงการที่มีความคุ้มค่าเงินสูงสุดในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย และเป็นคอนโดมิเนียมเพียงไม่กี่แห่งที่มีรถไฟฟ้าผ่านถึง 2 เส้นทาง (สายสีเขียวและสายสีเหลือง) เพื่อความสะดวกในการเลือกเดินทาง หรือกรณีใช้รถยนต์ส่วนตัวสามารถใช้ถนนสุขุมวิท หรือทางด่วนเข้าสู่กรุงเทพฯ ชั้นในได้สะดวกเช่นกัน   นอกจากนี้ นายชัยรัตน์ ธรรมพีร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) ยังมีเป้าหมายที่จะนำ “บิลท์ แลนด์” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปี 2562 เพื่อรองรับแผนการขยายการลงทุนในอนาคต   “สำหรับแผนการกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ“บิลท์ แลนด์” นั้น บริษัทฯ จะเพิ่มทุนอีกจำนวน 100 ล้านหุ้น เพื่อขายให้แก่ประชาชนทั่วไป ส่วนราคาเสนอขายก็จะต้องรอปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินก่อน ปัจจุบันธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างผลกำไรได้สูง เนื่องจากเรามีความเชี่ยวชาญในการบริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ มองขาดในเรื่องทำเล คุณภาพของงานก่อสร้าง ครอบคลุมไปถึงการบริหารจัดการหลังการขายที่มีบริษัท บิลท์ ฮาร์ท จำกัดช่วยในการบริการลูกค้า จัดการบริหารอาคารนิติบุคคล และคอยรองรับการบริหารห้องชุดให้ลูกค้าในกรณีที่มีความต้องการขายต่อหรือให้เช่ารวมทั้งรู้จักกลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าของเราเป็นอย่างดี สำหรับโครงการในอนาคตจะเน้นไปที่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวสูงเป็นหลักที่ระดับราคา2-5 ล้านบาท เพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการใช้ชีวิตอิสระ ปลอดภัย สะดวกสบายในการดูแลรักษา และง่ายต่อการเดินทาง ส่วนแผนการร่วมทุนบริษัทข้ามชาตินั้น บริษัทยังเปิดกว้างอยู่ตลอด ที่ผ่านมาได้มีหลายบริษัทในประเทศเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะมีส่วนสนับสนุนการขยายตลาดไปสู่ลูกค้าต่างชาติมากขึ้น โดยในการพิจารณาผู้ร่วมทุนนั้น บริษัทให้น้ำหนักเรื่องเม็ดเงินลงทุนและแนวทางการทำงานร่วมกันว่าสามารถร่วมกันได้หรือไม่เป็นหลัก ส่วนในเรื่องเทคโนโลยีหรือโนว์ฮาวต่างๆ นั้นเป็นเรื่องรองลงมา” นายชัยรัตน์ กล่าว   โครงการ“เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113”สถานีสำโรง เป็นคอนโดมิเนียมแบบLow Rise 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 786 ยูนิต ที่มีพื้นที่ส่วนกลางกว่า 3,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยTriple Club คลับเฮ้าส์ 3 ชั้น หน้าโครงการ ไว้ให้พักผ่อนหรือรองรับเพื่อนฝูง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกระดับ 5 ดาว ไม่ว่าจะเป็นFitness Room, Swimming Pool, Yoga Fly, Play Room, Movie Room, BBQ Deck, Library Room, Co-Working Spaceพร้อมสวนขนาดใหญ่รายล้อมโครงการ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับทุกอาคาร สามารถตอบโจทย์ความสุขของการอยู่อาศัยได้อย่างรอบด้าน   ทั้งนี้ ในวันเสาร์ที่ 19 และวันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม นี้ “บิลท์ แลนด์” จะจัดงาน “LESTO OPEN HOUSE” ในธีม “รวมร้านเด็ดย่านสำโรง”เปิดให้ผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมชมห้องชุดแต่งครบพร้อมเข้าอยู่ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.45 ล้านบาท พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมเวิร์คช้อปสุดคูล และชิมอาหารจานเด็ดแนะนำจากWongnai สำหรับผู้ที่จองในวันงาน เลือกฟรี! ทุกค่าใช้จ่ายในวันโอน หรือ ฟรี! เครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังฟรี!วอลล์เปเปอร์ทุกยูนิต ฟรี! เครื่องปรับอากาศ 15,000 บีทียู และเครื่องทำน้ำอุ่น และในวันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม ช่วงระหว่างเวลา 16.00-17.00 น. ร่วมสนุกกับมินิคอนเสิร์ตจาก“ป๊อป-ปองกูล” ณ TRIPLE CLUB คลับเฮ้าส์ 3 ชั้น หน้าโครงการ “เลสโต คอนโด”
เจาะลึกพฤติกรรมผู้ซื้ออสังหาฯ โครงการพร้อมอยู่ การลงทุนคอนโด แบบลงเงินน้อย กำไรเยอะ

เจาะลึกพฤติกรรมผู้ซื้ออสังหาฯ โครงการพร้อมอยู่ การลงทุนคอนโด แบบลงเงินน้อย กำไรเยอะ

ข้อมูลโครงการพร้อมอยู่ โดยแบ่งลักษณะได้ดังนี้ สำหรับตลาดในประเทศไทยโครงการที่สร้างเพิ่งเสร็จไม่เกิน 1 เดือน เป็นโครงการที่เป็นที่นิยม โดยส่วนใหญ่ราคาเฉลี่ย ถ้าสร้างเสร็จหลังเปิดโครงการทำเลดี ๆ จะมีราคา Capital Gain เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10 - 17% โดยเฉลี่ยตามพื้นที่  ปัจจุบันมีส่วนน้อยที่จะได้ Capital Gain เกิน 20% หลังโครงการขาย Pre-Sale ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา     มีบางกรณีที่ในบางทำเลนั้น ๆอย่างเช่น CBD ZONE สาทร-สีลม ที่มีการเปลี่ยนพฤติกรรมของตลาดอสังหาฯ มีหลายโครงการที่ทำ Capital Gain ไม่ดีอย่างที่ตั้งใจไว้ ซึ่งเฉลี่ยจะอยู่ที่ (1% - 5%) รถไฟฟ้าเส้นสุขุมวิทสายสีเขียว ดีที่สุดสำหรับ นักเล่นคอนโดที่หวัง Capital Gain โดยอย่างที่รู้กันว่า เส้นรถไฟฟ้าสายสีเขียวนับเป็นเส้นที่ตัดผ่านจุดสำคัญทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุดของประเทศ ผ่านแหล่ง Office ชั้นนำมากมายหลายหมื่นบริษัท จึงไม่แปลกใจว่าโดยเฉลี่ย Capital Gain ของคอนโดที่อยู่ตะเข็บรถไฟฟ้าเส้นนี้ราคายังสูงอยู่เสมอ   คอนเซ็ปต์ของการลงทุนคอนโด แบบลงเงินน้อย กำไรเยอะ กู้เต็ม ผ่อนน้อย ผ่อนนาน ! กรณีนี้เป็นเหมาะอย่างมากทั้งสำหรับกลุ่มผู้ต้องการอยู่อาศัยจริง ๆ หรือนักลงทุนตัวเทพ สำหรับผู้อยู่อาศัยจริง     ในมุมผู้อยู่อาศัยจริงโดยเฉพาะกลุ่มที่มีภาระเช่าคอนโด หรือ อพาร์ทเม้นท์ โดยเฉลี่ยค่าเช่าจะตกอยู่ที่ 5,000 - 12,000 บาท แล้วแต่พื้นที่ แต่ถ้าใช้กรณี ผ่อนต่อเดือนน้อย ก็จะมีเงินเหลือเอาไปใช้จ่ายอย่างอื่น ๆ ได้อีกมาโขเลยทีเดียว เช่น ปกติเช่าคอนโด 8,000 บาท  แต่ถ้าซื้อคอนโดพร้อมอยู่ ผ่อนน้อย ผ่อน 3 ปีที่ ล้านละ 1,000 บาท    สมมุติว่าคอนโดราคา 3 ล้าน จะเท่ากับผ่อนเดือนละ 3,000 บาทเท่านั้น ยังมีส่วนต่างกว่า 5,000 เอาไปทำอย่างอื่นได้มากมายเลยทีเดียว   สำหรับนักลงทุนตัวเทพ     อีกกรณี ถ้าเราปล่อยเช่าหากราคาคอนโด 3 ล้านบาท เราจ่ายธนาคารที่เดือนละ 3,000 บาท แต่ห้องที่เราให้เช่าทำเลดี ราคาค่าเช่าเราได้ที่ 12,000 บาท เท่ากับเราได้ส่วนต่างต่อเดือนถึง 9,000 บาทเลยทีเดียว!!  เป็น Passive Income สร้างรายได้ให้คุณอีกทางหนึ่ง ซึ่งเมื่อผ่านไป 3 ปี ราคาคอนโดขยับสูงขึ้นคุณจะขายหรือนำไป Refinance ปล่อยเช่าต่อก็ได้ ราคาคอนโดในทำเลดี ๆ ใกล้รถไฟฟ้ามักจะขยับราคาขึ้นทุกปี อัตราเฉลี่ยราคาคอนโดมิเนียมในช่วงปี 2555-2560 เพิ่มขึ้น 8% ต่อปี  (ข้อมูลจากบริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง) หากเฉลี่ยราคาขึ้นปีละ 8% ระยะเวลา 3 ปี คอนโด 3 ล้านก็จะขายได้ถึงประมาณ 3.72 ล้านเลยทีเดียว กำไรส่วนต่างถึง 720,000 บาท ซื้อคอนโดเงินเหลือลงทุน!!     ไม่ต้องตกใจครับเป็นแบบนั้นจริง ๆ คอนโดราคา 2 ล้านบาท  ยื่นกู้สินเชื่อคอนโดกับธนาคารในราคา 2.5 ล้านบาทจากนั้นธนาคารส่งเจ้าหน้าที่มาประเมิน ได้ที่ราคา 2.4 ล้านบาท    ธนาคารเห็นว่าราคาประเมินเป็นราคาที่ต่ำที่สุด จึงปล่อยกู้ที่ 2.4 ล้านบาท  สุดท้ายเราได้เช็คมา โครงการนำไปขึ้นเงินและคืนเงินสดให้เรา 4 แสนบาท เอาไปลงทุนต่อยอดได้อีกมากโข อยากลงเงินน้อย กำไรเยอะทำอย่างไร?     ผมเองเป็นนักลงทุนอยู่แล้ว เข้าใจว่าการ กู้เต็ม ผ่อนน้อย ผ่อนนาน ! สามารถ Leverage เงินที่เรากู้จากธนาคารได้  ผมเลยไปหาข้อมูลมาเพิ่มว่าซื้อคอนโดกับที่ไหนที่สามารถตอบโจทย์ กู้เต็ม ผ่อนน้อย ผ่อนนานได้ เจอโปรฯ เหนือเมฆที่รวมโครงการคอนโดพร้อมอยู่ใกล้รถไฟฟ้ากว่า 11 โครงการของ Origin Property ที่ให้สิทธิพิเศษ ให้ลูกค้าสามารถผ่อนได้ล้านละ 999 บาทต่อเดือน ! สำหรับนักลงทุนอย่างผม โครงการนี้มีความน่าสนใจระดับ 5 ดาว  แต่ของดีมีน้อย! โปรเหนือเมฆมีให้แค่ 30 ยูนิตเท่านั้น  สนใจรีบโทรติดต่อ 020-3000000
สมาคมสถาปนิกสยามฯ จัดงานสถาปนิก ’61 ภายใต้แนวคิด “Beyond Ordinary : ไม่ธรรมดา” งานสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมและงานออกแบบพื้นถิ่น

สมาคมสถาปนิกสยามฯ จัดงานสถาปนิก ’61 ภายใต้แนวคิด “Beyond Ordinary : ไม่ธรรมดา” งานสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมและงานออกแบบพื้นถิ่น

สมาคมสถาปนิกสยามฯ และบริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด แถลงเปิดตัวงานสถาปนิก ’61 (Architect Expo 2018) “Beyond Ordinary : ไม่ธรรมดา” ชูแนวคิดการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นในวิถีชีวิตร่วมสมัยของสังคมไทย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-6 พฤษภาคม 2561 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นายอัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “งานสถาปนิก เป็นงานจัดแสดงด้านสถาปัตยกรรม วัสดุและเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ริเริ่มโดย สมาคมสถาปนิกสยามฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 การจัดงานครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 32 โดยแต่ละปีมีผู้เข้าชมงานมากกว่า 350,000 คน และมีผู้ให้ความสนใจมากขึ้นทุกปี  วัตถุประสงค์หลักเพื่อแสดงศักยภาพและนำเสนอผลงานความก้าวหน้าทางสถาปัตยกรรมในทุกสาขาวิชาชีพ การจัดแสดงสินค้านวัตกรรมและเทคโนโลยีการก่อสร้าง วัสดุผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับงานสถาปัตยกรรม การออกแบบตกแต่งภายใน และภูมิสถาปัตยกรรม งานสถาปนิก ’61 ประกอบไปด้วยนิทรรศการและกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย การอบรมสัมมนาระดับนานาชาติ ตลอดจนบริการต่างๆ ที่ทางสมาคมสถาปนิกสยามฯ ได้เตรียมไว้ให้กับสมาชิกและประชาชนทั่วไป การจัดงานสถาปนิกในแต่ละปีที่ผ่านมา คณะกรรมการมีการกำหนดแนวคิดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งมุ่งสร้างวิสัยทัศน์ให้กับบุคคลากรในวิชาชีพสถาปนิกเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก เทคโนโลยีการก่อสร้างใหม่ๆ โดยในปีนี้จัดภายใต้แนวคิด “Vernacular Living” บทบาทและความเปลี่ยนแปลงของสถาปัตยกรรมและงานออกแบบพื้นถิ่นในวิถีชีวิตร่วมสมัยของสังคมไทย เชื่อมั่นว่าการจัดงานในครั้งนี้จะทำให้วิชาชีพสถาปนิก และวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนทั่วไปได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วมชมงานที่จะจัดขึ้น” ในงานแถลงข่าว ผศ.ดร.อภิรดี เกษมศุข ประธานจัดงานสถาปนิก ’61 ได้กล่าวถึงรายละเอียดการจัดงานในปีนี้ “แนวคิดของการจัดงานปีนี้ คือ Vernacular Living ภายใต้ชื่องาน “Beyond Ordinary: ไม่ธรรมดา” โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมและงานออกแบบพื้นถิ่นในวิถีชีวิตร่วมสมัยของสังคมไทย ปัจจุบันสถาปัตยกรรมในท้องถิ่นต่างๆ กำลังถูกท้าทายด้วยปรากฏการณ์โลกาภิวัตน์ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงจากสังคมชนบทไปสู่สังคมเมือง ซึ่งงานสถาปนิก ’61 ‘ไม่ธรรมดา’ สนใจถึงกระบวนการที่สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ในรูปแบบของนิทรรศการและกิจกรรมต่างๆ ภายในงาน” ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ทางสมาคมสถาปนิกสยามฯ เปิดพื้นที่ให้กลุ่มสถาปนิก, นักออกแบบ, ช่างฝีมือ ผู้มีความรู้ความสามารถหลากหลายเจเนอเรชั่น ร่วมกันตั้งคำถามและตีความสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นในวิถีชีวิตร่วมสมัย ผ่านการออกแบบพาวิเลียนหลักทั้ง 5 ได้แก่ Living Space Pavilion, Working Space Pavilion, Meeting Space Pavilion, Moving System Pavilion และ Introduction Pavilion นอกจากนี้ยังมีพาวิเลียนอื่นๆ ที่ออกแบบโดยสถาปนิกและดีไซเนอร์ชั้นนำของเมืองไทย รวมกว่า 18 พาวิเลียน ไฮไลต์ของการจัดงานครั้งนี้ จึงประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ ‘งานออกแบบพาวิเลียน’ และ ‘เนื้อหา’ ของนิทรรศการที่จัดแสดงภายใต้แนวคิด Vernacular Living ซึ่งพาวิเลียนนิทรรศการหลักทั้ง 5 ประกอบไปด้วย Living Space Pavilion นิทรรศการแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเรือนพื้นถิ่นจากสมัยบุพกาล สมัยพัฒนา และร่วมสมัย ชี้ให้เห็นว่าการก่อสร้างที่อยู่อาศัยแบบการผลิตเป็นจำนวนมากนั้นไม่ตอบสนองต่อการอยู่อาศัยที่แท้จริง นิทรรศการถูกจัดแสดงผ่านภาพถ่ายและการออกแบบแสง และโครงร่างจำลองแม่เตาไฟ พาวิเลียนออกแบบโดย คุณบุญเลิศ เหมวิจิตรพันธ์ จาก Boon Design Working Space Pavilion นิทรรศการแสดงการเปลี่ยนแปลงการใช้พื้นที่ประกอบอาชีพ จากอดีตที่เคยซ้อนทับไปกับพื้นที่อยู่อาศัย แล้วถูกแยกออกจากกันในยุคอุตสาหกรรม จนกระทั่งเทคโนโลยีสมัยใหม่ทําให้การใช้พื้นที่ทำงานและพื้นที่ส่วนตัวสามารถกลับมารวมกันอีกครั้ง จัดแสดงผ่านการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ผสมการแสดงมัลติมีเดีย พาวิเลียนออกแบบโดย คุณจริยาวดี เลขะวัฒนา และ Mr.Luke Yeung จากบริษัท ARCHITECTKIDD Meeting Space Pavilion นิทรรศการที่ว่าด้วยการซ้อนทับของกิจกรรมทางสังคมบนพื้นที่สาธารณะ และสเปซ บนโลกออนไลน์ ตั้งคําถามถึงปฏิสัมพันธ์ของพื้นที่ทางกายภาพในโลกจริง และโลกเสมือนจริง (AR) นั้นจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร และจะทําให้บทบาทพื้นที่สาธารณะของเมืองเปลี่ยนไปอย่างไร ความน่าสนใจอยู่ที่นิทรรศการนี้จะแสดงผ่านเกมบนแอพพลิเคชั่น พาวิเลียนออกแบบโดยคุณสุริยะ อัมพันศิริรัตน์ จากบริษัท Walllasia Moving System Pavilion นิทรรศการนําเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับระบบการเดินทางและขนส่ง ตั้งคำถามต่อ กระบวนการสร้างสรรค์ระบบขนส่งท้องถิ่นอย่าง มอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถสามล้อ เรือด่วน รถสองแถว รถพุ่มพวง ฯลฯ การพัฒนาระบบขนส่งด้วยเทคโนโลยีสื่อสารใหม่ๆ ใช้ระบบออนไลน์เป็นตัวช่วยเพิ่มระดับการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ และการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่เมือง/ย่านต่างๆ พาวิเลียนสร้างจากไม้โดยประยุกต์ใช้โครงสร้างไร้ตะปู ออกแบบโดย ศ.ดร.วีระ อินพันทัง และคุณพิช โปษยานนท์ Introduction Pavilion นิทรรศการจัดแสดงภาพรวมแนวคิดการจัดงานครั้งนี้ชูบทบาทและความสำคัญของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น เรื่องราวของผู้วางรากฐานการศึกษาสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่สําคัญของประเทศ โครงสร้างพาวิเลียนก่อสร้างด้วยระบบ pneumatic ที่รูปทรงแปรเปลี่ยนไปตลอดเวลาตามสภาวะแวดล้อม สะท้อนเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่สร้างขึ้นโดยปราศจากสถาปนิก ออกแบบโดยคุณสาวิตรี ไพศาลวัฒนา และ Mr. Jakub Gardolinski จาก บริษัท PAGAA ร่วมกับคุณเมธัส ศรีสุชาติ จากบริษัท MAGLA นอกจากนี้ งานสถาปนิก ’61 ยังมีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับกิจกรรมสันทนาการอีกมากมาย อาทิ เวิร์กช็อป ให้ความรู้ภาคปฏิบัติ, เวทีกลาง พื้นที่สาธารณะสำหรับพักผ่อน ให้ผู้ชมงานได้เพลิดเพลินกับการแสดงและกิจกรรมน่าสนใจที่หมุนเวียนไปตลอดการจัดงาน, ASA Sketch พื้นที่จัดกิจกรรมสำหรับเยาวชนและผู้ที่สนใจในการวาดเขียน, หมอบ้านอาษา บริการให้คําปรึกษาการออกแบบและก่อสร้างงานสถาปัตยกรรมให้แก่ประชาชนทั่วไป โดยทีมงานสถาปนิกจิตอาสา และกิจกรรมประกวดงานออกแบบระดับนานาชาติ ASA International Design Competition 2018 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด VEX: Agitated Vernacular การสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมที่ท้าทายนิยามความเป็นพื้นถิ่นแบบเดิมๆ ในส่วนของกิจกรรมด้านวิชาการที่เป็นไฮไลต์ของงานสถาปนิก ’61 คือ  ASA Forum 2018 งานสัมมนาวิชาการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมทั้งในและต่างประเทศ โดยปีนี้มีสถาปนิกระดับโลกมาร่วมบรรยายบนเวที อาทิ ฮาน ทูมาเทคิน (Han Tümertekin) สถาปนิกจากประเทศตุรกี และโฆเซ มาเรีย ซานเช การ์เชีย (José María Sánchez García) สถาปนิกจากประเทศสเปน เป็นต้น ด้านนายศุภแมน มรรคา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้จัดงานในปีนี้ เผยว่า “งานสถาปนิก ’61 ยังคงเป็นงานที่จัดแสดงนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ในอาเซียน และได้รับความสนใจจากผู้แสดงสินค้าและผู้สนใจเข้าชมทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนี้จะมีการจัดพาวิเลียนแสดงนวัตกรรมก่อสร้างจากผู้แสดงสินค้าจาก IMAG GmbH บริษัทในเครือ Messe Munchen ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นผู้จัดงานสถาปนิกระดับโลก BAU งานแสดงสถาปัตยกรรม ผลิตภัณฑ์ และระบบก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นบริษัทที่จัดแสดงนวัตกรรมก่อสร้างมาแล้วทั่วโลก จึงเป็นโอกาสที่นักออกแบบทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนรวมถึงผู้เข้าร่วมชมงานจะได้สัมผัสเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ก่อสร้างระดับสูงภายในงานครั้งนี้ พร้อมกับการแสดงผลงานนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างที่มีความหลากหลายจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก อาทิ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน อเมริกา เวียดนาม ฯลฯ  โดยปัจจุบันมีบริษัทที่ตอบรับเข้าแสดงผลงานแล้วกว่า 800 แห่ง บนพื้นที่กว่า 75,000 ตารางเมตร คาดว่ามูลค่าการซื้อขายภายในงานและต่อเนื่องจากงานจะมีมูลค่ารวมหลายหมื่นล้านบาท “การขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีสัญญาณบวกอย่างชัดเจน เพราะอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่กระเตื้องขึ้นจากการลงทุนภาครัฐในปีนี้ น่าจะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการในแวดวงก่อสร้างได้รับงานตามการขยายของการบริโภคที่ดีขึ้น จากทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นงานสถาปนิก ’61 เป็นจึงเป็นอีกหนึ่งงานซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดดัชนีทางเศรษฐกิจ โดยเชื่อมั่นว่างานปีนี้จะได้รับการตอบรับและมีผลงานด้านนวัตกรรมการก่อสร้างมาเข้าร่วมงานอย่างหลากหลาย มีการนำเอาสุดยอดผลงานการออกแบบนวัตกรรมก่อสร้างจากยุโรปและอเมริกามานำเสนอให้ผู้เข้าชมงานได้เลือกผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ดีที่สุด งานสถาปนิก ’61 จึงเป็นอีกงานนึงที่ไม่ควรพลาด”
ดิ เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ จัดงานเปิดตัวคอนโดฯ หรู “แอราส บีชฟร้อนต์”

ดิ เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ จัดงานเปิดตัวคอนโดฯ หรู “แอราส บีชฟร้อนต์”

ดิ เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ จัดงานเปิดตัวคอนโดฯ หรู “แอราส บีชฟร้อนต์” เชิญร่วมสัมผัสนิยามการพักผ่อนแบบเหนือระดับ ตอบโจทย์ความต้องการครบทุกไลฟ์สไตล์   การพักผ่อนจะยิ่งมีความหมายมากขึ้นอีก หากได้สัมผัสชีวิตติดทะเล ใช้เวลาอย่างเบาสบายดุจสายลม ซึ่งเป็นที่มาของโครงการคอนโดมิเนียมหรูริมหาดจอมเทียน พัทยา ซึ่งบริษัท ดิ เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ ได้จัดงานเปิดตัวคอนโดมิเนียม “แอราส บีชฟร้อนต์” ไปเมื่อไม่นานนี้ โดยมีแขกผู้มีเกียรติมาร่วมงานอย่างมากมาย ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นและเป็นกันเองของผู้บริหาร นำโดย สมภพ วาณิชเสนี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิ เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ ในบรรยากาศปาร์ตี้สุดเอ็กซ์คลูสีฟ พร้อมมินิคอนเสิร์ตสุดสนุกจาก บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ ที่มาช่วยสร้างสีสันให้กับงาน ณ พื้นที่โครงการแอราส บีชฟร้อนต์ หาดจอมเทียน พัทยา   “แอราส บีชฟร้อนต์” คอนโดมิเนียมริมหาด ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยที่ได้รับรางวัล highly commended : Best Luxury Condo Development (Eastern Seaboard) จากเวที Thailand Property Awards 2016 เป็นเครื่องการันตีคุณภาพ โดยได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากทะเล ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการใช้ชีวิตการพักผ่อนแบบใกล้ชิดกับธรรมชาติ ที่จะได้อิ่มเอมไปกับสายลมริมชายหาด โดดเด่นด้วยบรรยากาศริมหาดสุดสบายที่เน้นความเป็นส่วนตัว โดยให้ความสำคัญกับการจัดวางพื้นที่อย่างลงตัว เพดานสูงโปร่งที่ออกแบบให้อยู่ในองศาที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ทุกยูนิต   สมภพ วาณิชเสนี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิ เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า เทรนด์การเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์อย่างโครงการคอนโดมิเนียมตากอากาศของคนรุ่นใหม่นั้นส่วนใหญ่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัย ที่ให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้ง และคุณภาพของโครงการ เราจึงตั้งใจให้โครงการนี้เป็นโครงการที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ โดยแบ่งพื้นที่ให้เป็นพื้นที่ facilities ระดับ 5 ดาว ตั้งแต่ล้อบบี้โถงต้อนรับ สระว่ายน้ำแบบบีชฟร้อนต์ริมหาด Business Center สนามเด็กเล่นกลางแจ้งบนชั้น 1 โซน Skyline beachclub ชั้น 5 สระว่ายน้ำ ห้องสมุด ห้องเกมส์ ทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 2000 ตารางเมตร และทุกโซนมีทางเชื่อมเข้าหากันแบบไร้รอยต่อทั้งชั้น สำหรับชั้น 38 สมาชิกทุกคนของทุกครอบครัวสามารถใช้เวลาร่วมกันได้แบบไม่มีวันพลาดการชมพระอาทิตย์ตกแสนโรแมนติกได้เลย”   เชิญร่วมสัมผัสการพักผ่อนแบบชีวิตริมหาดทราย และใช้เวลาอย่างเบาสบายดุจสายลมได้กับโครงการ “แอราส บีชฟร้อนต์” คอนโดมิเนียมหรูริมหาดจอมเทียน พัทยา ตั้งอยู่บนถนนเลียบชายหาด จอมเทียน ซอย 17 บนเนื้อที่โครงการทั้งหมด 3 ไร่ 2 งาน 70 ตารางวา ประกอบไปด้วยอาคารที่อยู่อาศัยทั้งหมด 2 อาคาร แบ่งเป็นอาคาร A “Aether” ความสูง 38 ชั้น มีห้องพักทั้งหมด 317 ยูนิต และอาคาร B “Aeolus” ความสูง 4 ชั้น มีห้องพักทั้งหมด 14 ยูนิต รวมจำนวนห้องพักทั้งหมดของโครงการ 331 ยูนิต โดดเด่นด้วยการออกแบบพื้นที่ใช้สอยอย่างคุ้มค่า สามารถมองเห็นวิวทะเลทุกยูนิต สามารถเข้าอยู่ได้แล้ววันนี้    
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เทรนด์ทาวน์เฮาส์ตอบรับไลฟ์สไตล์ เซ็กเม้นท์ 2-4 ลบ. น่าจับตา

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เทรนด์ทาวน์เฮาส์ตอบรับไลฟ์สไตล์ เซ็กเม้นท์ 2-4 ลบ. น่าจับตา

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจทาวน์เฮาส์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบอัตราการเติบโตดี ราคา 2 – 4 ล้านบาทมาแรงเป็นที่นิยมของผู้ซื้อ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอุปทานขยายตัวเฉลี่ยปีละ 15% ส่วนอุปสงค์ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 18% และมีอัตราดูดซับต่อเดือนสูง ส่วนทำเลที่น่าสนใจ คือกรุงเทพฯ โซนฝั่งตะวันตกและเหนือ ซึ่งนับเป็นโซนหลักของที่อยู่อาศัยที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและเป็นพื้นที่ที่มีการขยายการก่อสร้างรถไฟฟ้าและโครงข่ายคมนาคมตามแผนภาครัฐ ดันความต้องการอยู่ในอาศัยในทำเลเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้อีกหนึ่งทำเลศักยภาพใกล้กรุงเทพฯ ที่ได้รับความนิยม คือ นิคมอุตสาหกรรมนวนคร มีอัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 7.9 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ พบแนวโน้มผู้บริโภคเลือกซื้อทาวน์เฮาส์ที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต   นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากข้อมูลของฝ่ายวิจัยและพัฒนาของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่ได้ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮาส์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่ามีแนวโน้มเติบโตที่โดดเด่น เป็นการเติบโตทั้งในส่วนของอุปทานและอุปสงค์ สอดคล้องตามทิศทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวดี ภาครัฐมีการขยายการก่อสร้างรถไฟฟ้าและโครงข่ายคมนาคม ซึ่งปัจจุบันหลายเส้นทางเริ่มแผนการก่อสร้างอย่างเป็นรูปธรรม จึงเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ใกล้โครงการเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงความต้องการด้านที่อยู่อาศัยของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป ต้องการอยู่ไม่ไกลจากเมือง หรือไม่ไกลจากศูนย์กลางธุรกิจ และระดับราคาที่อยู่อาศัยไม่สูงมากเมื่อเทียบกับอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ทำให้ทาวน์เฮาส์ในพื้นที่ปริมณฑล หรือย่านชานเมืองใกล้กรุงเทพฯ ได้รับการตอบรับที่ดี   จากข้อมูลล่าสุด (ณ สิ้นปี 2560) พบว่าทาวน์เฮาส์ที่ระดับราคา 2-4 ล้านบาท เป็นตลาดหลักของตลาดทาวน์เฮาส์ มีอัตราการเสนอขายที่โดดเด่น ด้วยสัดส่วนที่สูงถึง 68% รองลงมาคือระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท อยู่ที่ 22% ระดับราคา 4-7 ล้านบาท อยู่ที่ 9% และระดับราคาสูงกว่า 7 ล้านมีเพียง 1% ซึ่งการเติบโตของระดับราคา 2-4 ล้านบาทนั้นถือว่ามีความน่าสนใจเพราะมีการขยายตัวได้ดีทั้งในส่วนของอุปทานและอุปสงค์ สะท้อนได้จากข้อมูลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอุปทานขยายตัวโดยเฉลี่ยปีละ 15% ส่วนอุปสงค์ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 18% อีกทั้งมีอัตราดูดซับต่อเดือนสูง รวมไปถึงจำนวนเดือนที่คาดว่าจะขายหมด อยู่ที่ 11.5 เดือนซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดที่ 13.9 เดือน ทำให้ตลาดทาวน์เฮาส์ที่ราคา 2–4 ล้านบาทเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีความน่าสนใจสูง   สำหรับทำเลที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการเติบโตได้แก่โซนตะวันตกตั้งแต่ธนบุรีไปจนถึงศาลายา-บางใหญ่-นนทบุรี โดยเฉพาะบริเวณราชพฤกษ์ รัตนาธิเบศร์ กัลปพฤกษ์ สุขสวัสดิ์ และโซนเหนือตั้งแต่ลาดพร้าว-จตุจักรไปจนถึงปทุมธานี-ลำลูกกา-ลาดหลุมแก้ว โดยทั้งสองโซนเป็นพื้นที่อยู่อาศัยที่มีประชากรหนาแน่น มีการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมที่หลากหลาย ทำให้เอื้ออำนวยในการเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองของกลุ่มที่มีกำลังซื้อ อีกทั้งโซนนี้ยังเป็นทำเลที่ประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ได้แก่ ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และโรงพยาบาล ส่งผลดีต่อโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ ซึ่งศักยภาพพื้นที่ตอบรับได้ดีกับกลุ่มพนักงานบริษัทเอกชน ข้าราชการ ตลอดจนเจ้าของกิจการในละแวกเหล่านี้ และอีกหนึ่งทำเลที่น่าจับตามองและอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ได้แก่ โซนนิคมอุตสาหกรรมนวนคร เป็นอีกโซนหนึ่งที่มีความน่าสนใจในตลาดทาวน์เฮาส์ มีอัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 7.9 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ อุปสงค์หลักมาจากกลุ่มคนในท้องถิ่นรวมไปถึงแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ย้ายมาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งเพื่ออยู่อาศัยเองและซื้อลงทุน โดยแรงขับเคลื่อนมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม ทำให้เกิดการลงทุนของบริษัทต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นตามกลุ่มแรงงานที่ย้ายเข้ามาพื้นที่ด้วยเช่นกัน   “การที่ตลาดทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 2 – 4 ล้านบาท และทำเลข้างต้นได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อนั้น มาจากระดับราคาที่ไม่สูงมากและมีอรรถประโยชน์ที่เหมาะสม สอดคล้องกับกำลังซื้อของคนในพื้นที่ (รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนปัจจุบันในแต่ละพื้นที่กรุงเทพมหานครอยู่ที่ 30,000-40,000 บาทต่อครัวเรือน) โดยเฉพาะโครงการที่สามารถตอบสนองรูปแบบไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคพบว่ามีแนวโน้มน่าจับตา และที่สำคัญการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโครงข่ายคมนาคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งรถไฟฟ้า รวมไปถึงการพัฒนาถนน ทางด่วน วงแหวนและมอเตอร์เวย์ ทำให้เกิดความหลากหลายในการเดินทาง สามารถเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจได้โดยง่ายและสะดวก อีกทั้งการตั้งอยู่ใกล้แหล่งงาน ไม่ว่าจะเป็นโรงงานหรือนิคมอุตสาหกรรม ศูนย์ราชการ และศูนย์กระจายสินค้า ก่อให้เกิดความต้องการในที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ทำให้ทาวน์เฮาส์ระดับนี้เข้ามาตอบโจทย์ได้ง่าย ทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น” นายอนุกูล กล่าว