Tag : News

2376 ผลลัพธ์
เปิดกลยุทธ์บิลท์ แลนด์ ปี 61 รุกขาย “เลสโต” มั่นใจโกยยอดขายทะลุเป้าพันล้าน

เปิดกลยุทธ์บิลท์ แลนด์ ปี 61 รุกขาย “เลสโต” มั่นใจโกยยอดขายทะลุเป้าพันล้าน

  บริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) เผยความสำเร็จจากการเติบโตต่อเนื่อง เปิดแถลงกลยุทธ์รุกตลาดอสังหาฯ ปี 2561 มั่นใจโกยรายได้สูงกว่า 1,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมยื่นไฟล์ลิ่งนำบริษัทฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์ช่วงไตรมาส 4 เร่งปิดการขายห้องชุดสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ แต่งครบ “เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113” สถานีสำโรง จัดงาน OPEN HOUSE 19-20 พ.ค.นี้ พบโปรโมชั่นสุดคุ้ม ฟรีทุกค่าใช้จ่ายในวันโอน หรือฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้า ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.45 ล้านบาท     นายชัยรัตน์ ธรรมพีร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 มีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากมีปัจจัยที่ดีขึ้นทั้งจากการส่งออก การท่องเที่ยว อัตราดอกเบี้ยทรงตัวค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ภาครัฐยังมีการลงทุนโครงการด้านสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ต่อเนื่อง จึงเป็นสัญญาณที่ดีของภาคอสังหาริมทรัพย์ ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่น และเริ่มกลับเข้าสู่การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับปัจจุบันชาวต่างชาติหันมาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เพราะราคายังถูกอยู่มากเมื่อเทียบกับราคาในประเทศของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง คอนโดมิเนียมที่ยังได้รับความสนใจอยู่จะเป็นบริเวณแนวรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดินทั้งที่สร้างเสร็จแล้วและส่วนต่อขยาย ในขณะที่กำลังซื้อที่ดินของผู้ประกอบการที่จะนำมาพัฒนาโครงการยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะมีแหล่งเงินทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนร่วมกับคนไทยในการประกอบธุรกิจคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ ส่งผลให้ราคาที่ดินดิบมีราคาสูงต่อเนื่อง ทำให้ในอนาคตราคาคอนโดมิเนียมจะมีราคาสูงเพิ่มขึ้นตาม ตลาดก็จะมีการแข่งขันมากยิ่งขึ้น ซึ่งจำเป็นที่ผู้ประกอบการจะต้องหาตลาดใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดที่รองรับกำลังซื้อของคนต่างชาติ     สำหรับโครงการล่าสุดของบริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) คือ “เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113” สถานีสำโรง เป็นคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จแล้ว แต่งครบพร้อมเข้าอยู่ บนเนื้อที่ 7 ไร่เศษ เป็นคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 786 ยูนิต มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง ห่างจาก BTS สถานีสำโรงเพียง 400 เมตร และในอนาคตสถานีนี้จะเป็นสถานี Interchange เชื่อมต่อเพื่อเปลี่ยนไปสายสีเหลืองที่วิ่งไปทาง รัชดา – ลาดพร้าว ได้ด้วย     ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) ที่มีมากว่า 10 ปี และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการปิดขายโครงการต่างๆ ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นในปี 2561 บริษัทจึงตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2560 โดยบริษัทเน้นที่อัตราการทำกำไรให้สูงขึ้น เนื่องจากโครงการต่างๆ ที่มีอยู่นั้น บริษัทได้มีการปรับขึ้นราคาขายไปแล้ว 5-10% โดยเฉพาะโครงการห้องชุดซึ่งอยู่ในแนวรถไฟฟ้า เช่น โครงการ “เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113” สถานีสำโรง ซึ่งเป็นย่านชุมชนที่ยังมีความต้องการที่พัก อาศัยค่อนข้างสูง โดยเป็นโครงการที่มีความคุ้มค่าเงินสูงสุดในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย และเป็นคอนโดมิเนียมเพียงไม่กี่แห่งที่มีรถไฟฟ้าผ่านถึง 2 เส้นทาง (สายสีเขียวและสายสีเหลือง) เพื่อความสะดวกในการเลือกเดินทาง หรือกรณีใช้รถยนต์ส่วนตัวสามารถใช้ถนนสุขุมวิท หรือทางด่วนเข้าสู่กรุงเทพฯ ชั้นในได้สะดวกเช่นกัน     นอกจากนี้ นายชัยรัตน์ ธรรมพีร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) ยังมีเป้าหมายที่จะนำ “บิลท์ แลนด์” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปี 2562 เพื่อรองรับแผนการขยายการลงทุนในอนาคต     “สำหรับแผนการกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ “บิลท์ แลนด์” นั้น บริษัทฯ จะเพิ่มทุนอีกจำนวน 100 ล้านหุ้น เพื่อขายให้แก่ประชาชนทั่วไป ส่วนราคาเสนอขายก็จะต้องรอปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินก่อน ปัจจุบันธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างผลกำไรได้สูง เนื่องจากเรามีความเชี่ยวชาญในการบริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ มองขาดในเรื่องทำเล คุณภาพของงานก่อสร้าง ครอบคลุมไปถึงการบริหารจัดการหลังการขายที่มีบริษัท บิลท์ ฮาร์ท จำกัด ช่วยในการบริการลูกค้า จัดการบริหารอาคารนิติบุคคล และคอยรองรับการบริหารห้องชุดให้ลูกค้าในกรณีที่มีความต้องการขายต่อหรือให้เช่า รวมทั้งรู้จักกลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าของเราเป็นอย่างดี สำหรับโครงการในอนาคตจะเน้นไปที่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวสูงเป็นหลักที่ระดับราคา 2-5 ล้านบาท เพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการใช้ชีวิตอิสระ ปลอดภัย สะดวกสบายในการดูแลรักษา และง่ายต่อการเดินทาง ส่วนแผนการร่วมทุนบริษัทข้ามชาตินั้น บริษัทยังเปิดกว้างอยู่ตลอด ที่ผ่านมาได้มีหลายบริษัทในประเทศเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะมีส่วนสนับสนุนการขยายตลาดไปสู่ลูกค้าต่างชาติมากขึ้น โดยในการพิจารณาผู้ร่วมทุนนั้น บริษัทให้น้ำหนักเรื่องเม็ดเงินลงทุนและแนวทางการทำงานร่วมกันว่าสามารถร่วมกันได้หรือไม่เป็นหลัก ส่วนในเรื่องเทคโนโลยีหรือโนว์ฮาวต่างๆ นั้นเป็นเรื่องรองลงมา” นายชัยรัตน์ กล่าว     โครงการ “เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113” สถานีสำโรง เป็นคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 786 ยูนิต ที่มีพื้นที่ส่วนกลางกว่า 3,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย Triple Club คลับเฮ้าส์ 3 ชั้น หน้าโครงการ ไว้ให้พักผ่อนหรือรองรับเพื่อนฝูง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกระดับ 5 ดาว ไม่ว่าจะเป็น Fitness Room, Swimming Pool, Yoga Fly, Play Room, Movie Room, BBQ Deck, Library Room, Co-Working Space พร้อมสวนขนาดใหญ่รายล้อมโครงการ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับทุกอาคาร สามารถตอบโจทย์ความสุขของการอยู่อาศัยได้อย่างรอบด้าน ทั้งนี้ ในวันเสาร์ที่ 19 และวันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม นี้ “บิลท์ แลนด์” จะจัดงาน “LESTO OPEN HOUSE” ในธีม “รวมร้านเด็ดย่านสำโรง” เปิดให้ผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมชมห้องชุดแต่งครบพร้อมเข้าอยู่ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.45 ล้านบาท พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมเวิร์คช้อปสุดคูล และชิมอาหารจานเด็ดแนะนำจาก Wongnai สำหรับผู้ที่จองในวันงาน เลือกฟรี! ทุกค่าใช้จ่ายในวันโอน หรือ ฟรี! เครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังฟรี! วอลล์เปเปอร์ทุกยูนิต ฟรี! เครื่องปรับอากาศ 15,000 บีทียู และเครื่องทำน้ำอุ่น และในวันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม ช่วงระหว่างเวลา 16.00-17.00 น. ร่วมสนุกกับมินิคอนเสิร์ตจาก “ป๊อป-ปองกูล” ณ TRIPLE CLUB คลับเฮ้าส์ 3 ชั้น หน้าโครงการ “เลสโต คอนโด”
สหโมเสคเตรียมโชว์ กระเบื้องดีไซน์ Home รับงานสถาปนิกปี’ 61

สหโมเสคเตรียมโชว์ กระเบื้องดีไซน์ Home รับงานสถาปนิกปี’ 61

UMI Group คือ กลุ่มบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระเบื้องชั้นนำ 2 แบรนด์ดังของประเทศไทย อันได้แก่ บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์ดูราเกรส และบริษัท ที ที เซรามิค จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์เซอเกรส  โดยทั้ง 2บริษัทฯมีปรัชญาในการผลิตสินค้ากระเบื้องที่มีคุณภาพ เพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทุกระดับ  โดยในปีนี้ UMI Group ได้เติบโตและก้าวเข้าสู่ปีที่ 45  และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาต่อไปเพื่อทำให้บ้านของทุกคนเป็นบ้านที่สวยงาม อบอุ่น มั่นคง และแข็งแรง   แนวคิด ในปี 2561 นี้  ทาง UMI Group ได้เข้าร่วมงานสถาปนิก’61 เช่นทุกปี  พร้อมนำทีมโดยทายาทผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรง ปวริศา เพ็ญชาติ กรรมการบริหารฝ่ายส่งเสริมการขาย บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน)  ร่วมแสดงนวัตกรรมกระเบื้องใหม่ล่าสุดมากมาย โดยถ่ายทอดผ่านแนวคิด ”HOMIE”  นำเสนอไอเดียการตกแต่งบ้านในสไตล์โฮมมี่  ด้วยกระเบื้องปูพื้นและกระเบื้องบุผนังดีไซน์แบบต่างๆตกแต่งห้องออกมาใน 3 สไตล์  3 บุคลิกของผู้อยู่อาศัย ได้แก่ แบบ Fresh (สดชื่นมีชีวิตชีวา)  Cozy (อบอุ่นเรียบง่าย) และ Inspire (สร้างแรงบันดาลใจและจินตนาการ)  ตอบโจทย์ให้ทุกคนในบ้านได้ใช้ช่วงเวลาแห่งความสุขร่วมกัน       PRODUCT Cozy : ดีไซน์กระเบื้องสไตล์ที่ให้บรรยากาศอบอุ่น สบาย เรียบง่าย แฝงไปด้วยกลิ่นอายของผลงาน ศิลปะ  ให้ความรู้สึกเหมือนได้ผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติ  ถ่ายทอดบุคลิกในแบบฉบับของคุณพ่อ ด้วยกระเบื้องลวดลายต่างๆ อาทิ กระเบื้องลายไม้  ลวดลายไม้แบบต่างๆ  ในโทนสีอบอุ่น  ใช้เทคนิคพิเศษสร้างความสมจริงเหมือน ธรรมชาติ ทั้งลวดลายและผิวสัมผัส  หมดกังวลกับสารพัดปัญหาจากพื้นไม้ กระเบื้องลายหิน  ลวดลายหินแบบต่างๆ  โทนสีเอิร์ธโทน  ใช้เทคนิคสร้างความสมจริง ทั้งลวดลาย และผิวสัมผัส กระเบื้องลายอิฐ  ลวดลายอิฐ โทนสีธรรมชาติ  ใช้เทคนิคสร้างความสมจริง ทั้งลวดลายและผิวสัมผัส   Fresh : ดีไซน์กระเบื้องสไตล์ที่ให้ความรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา มีพลัง ถ่ายทอดบุคลิกในแบบฉบับของ คุณแม่ที่ต้องการพลังงาน  เพื่อสามารถดูแลทุกคนในครอบครัว กระเบื้องลายหินอ่อน  ลวดลายหินอ่อน  ใช้เทคนิคสร้างความสมจริง  ทั้งลวดลายและผิวสัมผัส กระเบื้องลายดอกไม้  ลวดลายดอกไม้นานาชนิดและใบไม้  ใช้เทคนิคสร้างความโดดเด่นและสมจริง ทั้งความมีมิติและดูนุ่มนวล   Inspire : ดีไซน์กระเบื้องสไตล์ที่ให้แรงบันดาลใจ สร้างสรรความสนุก เสริมสร้างจินตนาการได้ไม่รู้จบ ถ่ายทอดบุคลิกผ่านเจ้าตัวเล็กของบ้าน กระเบื้องลวดลายกราฟฟิก  ลวดลายกราฟฟิกต่างๆและสีสันที่หลากหลาย     นวัตกรรม / เทคนิค กระเบื้องนำเข้าจากต่างประเทศ : กระเบื้องคุณภาพที่ถูกคัดสรรมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการความหลากหลายมากยิ่งขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นกระเบื้องโมเสคหรือกระเบื้องขนาดใหญ่  สำหรับงานโครงการหรือพื้นที่ขนาดใหญ่ Aqua Effect : เทคนิคการสร้างผิวสัมผัสของกระเบื้องเสมือนผลึกแก้วที่ด้านบนผิวกระเบื้อง โดยการพ่นกาวบนพื้นผิว พร้อมกำหนดจุดที่ต้องการลวดลาย ก่อนทำการโรย Aqua ลงบนพื้นผิว Carving Effect : เทคนิคการสร้างมิติบนกระเบื้อง สร้างลวดลายต่างๆด้วยการกัดผิวหน้ากระเบื้องผิวแม็ทให้ลึกลงไปจนเกิดเป็นลวดลายต่างๆตามที่กำหนด  โดยในส่วนที่ถูกกัดลงไปจะกลายเป็นผิวมัน ทำให้เกิดเป็นมิติ Sugar Effect : เทคนิคการสร้างแสงเงาบนกระเบื้อง  ด้วยการเคลือบผิวหน้ากระเบื้องด้วยสารที่เมื่อผ่านการเผาแล้ว  จะทำให้กระเบื้องมีความเหลือบเล่นกับแสงไฟ  เหมือนเคลือบด้วยน้ำตาล   Mobile Application, QR Code, Web Browser, VR 360 ในยุคปัจจุบันที่ผู้คนมีพฤติกรรมการติดตามข่าวสารผ่านสมาร์ทโฟนมากขึ้น  สื่อดิจิทัลหรือสื่อออนไลน์ต่างๆ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างแบรนด์สินค้ากับลูกค้า  ทาง UMI Group จึงได้พัฒนาและนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมกระเบื้อง  เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก  รวมทั้งสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในการเลือกซื้อกระเบื้องให้แก่ผู้บริโภค QR Code : ให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายบนมือถือเพียงแค่นำโทรศัพท์มือถือมาสแกนที่ QR Code บนกระเบื้อง ก็จะสามารถเห็นภาพจำลองของกระเบื้องเมื่อปูลงบนห้องได้อย่างสมจริง ให้คุณจินตนาการภาพห้องของคุณได้อย่างชัดเจน ซึ่งด้วยวิธีนี้จะช่วยให้การเลือกซื้อกระเบื้องของคุณเป็นเรื่องง่ายและสนุกกว่าที่เคย Web Browser : ให้คุณสนุกไปกับการตกแต่งบ้านด้วยปลายนิ้ว ผ่านโปรแกรมอัจฉริยะที่สามารถให้คุณเลือกกระเบื้องต่างๆจาก UMI Group มาตกแต่งห้องตามความต้องการ และสามารถมองเห็นภาพที่ชัดเจน ก่อนการตัดสินใจ  อีกทั้งยังสามารถแชร์หรือส่งต่อภาพห้องในสไตล์ของคุณไปยังโซเชี่ยลมีเดียต่างๆ  อีเมล และมือถือของเพื่อนคนสนิท หรือนักออกแบบได้อีกด้วย VR 360 : การจำลองภาพห้องเสมือนจริง แบบให้เห็นทั้ง 360 องศา ให้คุณได้เห็นตัวอย่างห้องที่ใช้กระเบื้องตกแต่งได้ง่ายๆแบบ 3 มิติ     กิจกรรมพิเศษ วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2561  พบกับครอบครัวอบอุ่นและครอบครัวสายฮาของคุณเบนซ์ พรชิตา คุณมิค บรมวุฒิ และน้องปริมลูกสาวตัวน้อย  ที่มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับ “การตกแต่งบ้านที่เหมาะสำหรับบ้านที่มีเด็กเล็ก  และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของทุกคนในครอบครัว” วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2561  พบกับอาจารย์ช้าง ทศพร ศรีตุลา  นักโหราศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านพยากรณ์และศาสตร์ฮวงจุ้ยชื่อดังของไทยที่มาร่วมพูดคุยแนะนำเทคนิค  “การเลือกวัสดุตกแต่งบ้าน ถูกธาตุ ถูกทิศ ชีวิตดีตลอดปี”  พร้อมแจกรางวัลตั๋วเครื่องบินเดินทางไปฮ่องกงจากสายการบินแอร์เอเชีย 2 ที่นั่ง จำนวน 1 รางวัล  ให้แก่ผู้โชคดีที่ลงทะเบียนที่บูธในช่วงกิจกรรมพิเศษเท่านั้น
แลนดี้ โฮม ตอกย้ำภาพลักษณ์ ผู้นำเทรนด์การสร้างบ้านที่ทันสมัย   เปิดตัวชุดยูนิฟอร์ม  พร้อมอวดโฉมบูธใหม่ ดีไซน์ 4.0  ในงานสถาปนิก 18

แลนดี้ โฮม ตอกย้ำภาพลักษณ์ ผู้นำเทรนด์การสร้างบ้านที่ทันสมัย เปิดตัวชุดยูนิฟอร์ม พร้อมอวดโฉมบูธใหม่ ดีไซน์ 4.0 ในงานสถาปนิก 18

ศูนย์รับสร้างบ้านอันดับ 1 แลนดี้ โฮม เปิดตัวบูธรูปแบบใหม่ เน้นเปิดประสบการณ์การสร้างบ้านผ่านการนำเสนอด้วย Multimedia พร้อมก้าวสู่ยุครับสร้างบ้าน 4.0  และ ยูนิฟอร์มใหม่ที่ออกแบบโดยคุณป้อ สารชา เจ้าของแบรนด์ “S SIGNATURE ” เน้นความเรียบเท่ห์แบบมีสไตล์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำการสร้างบ้านที่ทันสมัยในงานสถาปนิก 61   “แลนดี้ โฮม ให้ความสำคัญกับทุกจุดการบริการ เพื่อมอบประสบการณ์การสร้างบ้านที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า โดยปรับโฉมภาพลักษณ์ให้มีความทันสมัย พร้อมปรับปรุง Show Room  และพัฒนามาตรฐานผลงานการออกแบบและก่อสร้าง เพื่อให้ลูกค้าได้อยู่อาศัยในบ้านที่ดีที่สุด และสำหรับปีนี้ แลนดี้ โฮม ยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการสร้างบ้านที่ทันสมัย ให้สามารถจับต้องและสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบบูธใหม่ ภายใต้แนวคิด “ Inspiration for Your Living” ค้นพบแรงบันดาลใจสู่แบบบ้านในฝันของคุณ  ผ่านประสบการณ์การเยี่ยมชมบูธ ที่เน้นการออกแบบฟังก์ชั่นให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงง่าย พร้อมสัมผัสถึงสถาปัตยกรรมการออกแบบบ้านในรูปแบบใหม่ๆ เน้นการใช้โทนสี  Dark Grey และการใช้ Light box พร้อมเน้นแสงสว่าง เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบ เปรียบเสมือนเป็น Art Gallery ที่มีความอบอุ่นและทันสมัยเพิ่มความน่าสนใจด้วยเทคโนโลยีการทำเสนอผ่านรูปแบบ Multimedia  เพื่อให้ทุกท่านได้ Update Trend การออกแบบบ้านในอนาคตก่อนใครผ่าน Model แบบบ้านที่นำมาจัดแสดงถึง 60 แบบ อีกทั้งยังมีการนำเสนอผ่านช่องทาง Online Gallery อีกกว่า 100 แบบ  นอกจากนี้ลูกค้าที่เข้าร่วมชมบูธ จะได้รับคำปรึกษา จากสถาปนิกและผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกสร้างบ้านที่จะมาช่วยเติมเต็มประสบการณ์การสร้างบ้านในแบบฉบับ “ Landy Experience” ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว จะสวมชุดยูนิฟอร์มใหม่ ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ในการสร้างสีสันพร้อมส่งมอบความประทับใจ ในงานสถาปนิก 18 เป็นที่แรก” คุณภัทรา มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและออกแบบผลิตภัณฑ์ กล่าว   คุณป้อ สารชา ฤดีสุนันท์ ในฐานะ Young Designer รุ่นใหม่ เจ้าของแบรนด์ “S SIGNATURE”  ผู้ออกแบบชุดยูนิฟอร์มใหม่ ให้แก่ทีมงานฝ่ายขาย Landy ได้ตีโจทย์การออกแบบผ่าน Core Value  ทางด้านความเป็น ผู้นำการออกแบบ และนวัตกรรมการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่ทันสมัย ตลอดจนผลงานการก่อสร้างที่มีคุณภาพ ซึ่งได้ออกแบบยูนิฟอร์มมาทั้งสิ้น จำนวน 3 รูปแบบ สำหรับพนักงานชายและหญิง ซึ่งมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละตำแหน่งของพนักงาน  โดยเลือกใช้สีที่เป็น Identity ของแลนดี้ โฮมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ผลงาน ได้แก่สีเทาที่สร้างความเรียบหรู ดูสุขุม และสีแดงที่สื่อถึงความกระตือรือร้นและความสดใส  โดยเพิ่มลูกเล่นด้วยการตัดต่อสี ให้ดูน่าสนใจ  แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความเรียบหรู มีสไตล์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถืออันเปี่ยมล้นไปด้วยประสบการณ์ของผู้สวมใส ตอกย้ำความเป็นผู้นำการออกแบบบ้าน ( Trend Setter ) และความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาในทุกเรื่องของการสร้างบ้านได้ อย่างแท้จริง   ทั้งหมดนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นศูนย์รับสร้างบ้านอันดับ 1 ที่มีความพิถีพิถัน พร้อมใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกจุดการบริการ ในแบบ “ Landy Experience” ด้วยบริการรับสร้างบ้านแบบครบวงจร  ค้นพบแรงบันดาลใจในการสร้างบ้านในฝันของคุณที่บูธแลนดี้ โฮม ตำแหน่งบูธ H502 (Q21) ในงานสถาปนิก 61 วันที่ 1-6 พ.ค.นี้ ที่อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพคเมืองทองธานี
พฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค

พฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค

ศูนย์วิจัยฯ ศุภาลัย ได้สำรวจผู้บริโภคเกี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียมและบ้าน/ทาวน์โฮมในกรุงเทพฯและปริมณฑล ปัจจัยในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมและบ้าน/ทาวน์โฮม คือ ทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับระบบขนส่งมวลชน ,วัสดุที่เลือกใช้ในการตกแต่งภายในมีความแข็งแรงคงทน , คุณภาพและวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง , ราคาโดยรวมและความคุ้มค่าตามลำดับ   ในการสำรวจยังพบอีกว่า การเลือกซื้อทำเลที่ตั้งของที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่จะอยู่ใกล้หรืออยู่ในโซนเดียวกับสถานที่ทำงาน  ส่วนช่องทางที่มีอิทธิพลมากที่สุดในการตัดสินใจซื้อ คือ สมาชิกในครอบครัว/ญาติและตัวแทนขายบ้าน/คอนโดฯ โดยความถี่ในการหาข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยจะหาข้อมูลเป็นบางโอกาส นั่นคือ ผู้บริโถคจะหาข้อมูลที่อยู่อาศัยก็ต่อเมื่อมีความสนใจหรือต้องการที่อยู่อาศัยในช่วงเวลานั้นๆ
ก้าวต่อไปของครัวคุณต๋อย กับกิจกรรมของแอปพลิเคชันครัวคุณต๋อยในปี 2561

ก้าวต่อไปของครัวคุณต๋อย กับกิจกรรมของแอปพลิเคชันครัวคุณต๋อยในปี 2561

แอปพลิเคชัน “ครัวคุณต๋อย” เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่าง กลุ่ม บริษัท บอร์น แอนด์ แอทโซซิเอท จำกัด เจ้าของรายการ “ครัวคุณต๋อย” ออกอากาศทางช่อง3 และ กลุ่มบริษัท แอดเทค ฮับ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาแอปพลิเคชัน และแพลตฟอร์มสารสนเทศขนาดใหญ่ ครอบคลุมอุตสาหกรรมธนาคาร ค่ายมือถือ อสังหาริมทรัพย์ และ บันเทิง   ปัจจุบันแอปพลิเคชัน “ครัวคุณต๋อย” มีผู้ Download ใช้งานแล้วกว่า 500,000 ราย ทั้งผ่าน App Store และ Play Store ซึ่งทางตัวแอปพลิเคชัน “ครัวคุณต๋อย” เองทยอยนำเสนอ Feature ใหม่ๆออกมาเป็นระยะเพื่อตอบโจทย์ความต้องการแฟนรายการ และ ผู้บริโภคทั่วไป โดยเริ่มต้นจากการรวบรวมข้อมูลร้านอาหาร และเมนูอาหารที่เคยนำเสนอผ่านหน้าจอทีวีมาไว้ในมือของทุกคน ตลอดจนสามารถนำทางผู้สนใจไปสรรหาของอร่อยที่เคยออกรายการถึงที่ ไม่ว่าร้านนั้นจะอยู่มุมไหนของประเทศ และในปี 2561นี้ เพื่อตอบสนองกับเสียงเรียกร้อง แอปพลิเคชัน “ครัวคุณต๋อย” ขอเป็นตัวกลางในการนำพาทุกท่านให้เข้าใกล้กับความอร่อยที่เคยได้สัมผัสเพียงแค่ภาพและเสียงในทีวีเท่านั้นผ่าน 2 กิจกรรมใหม่นั่นคือ   1. “Ready to Eat” ซึ่งทางแอปพลิเคชัน “ครัวคุณต๋อย” ร่วมกับ Lalamove อำนวยความสะดวกให้ ผู้ใช้แอปพลิเคชันทุกท่านสามารถสั่งอาหารปรุงเสร็จพร้อมทานจากร้านดังมากมาย โดยท่านใช้เพียงแค่ปลายนิ้ว อาหารจานอร่อยที่ท่านเห็นพิธีกรรายการชิมอยู่นั้นก็จะถูกจัดส่งไปให้ท่านสัมผัสถึงโต๊ะอาหารของท่านโดยที่ท่านไม่ต้องเหนื่อยออกเดินทางฝ่าการจราจรที่คับคั่งในกรุงเทพอีกต่อไป เพียง “กดสั่ง แล้วรอกินได้เลย”   2. ครัวคุณต๋อย Show Case: เพื่อเชื่อมต่อกับผู้ใช้แอปพลิเคชัน จาก Online มายัง Offline แอปพลิเคชันครัวคุณต๋อยร่วมกับ กูร์เมต์ มาร์เก็ต ได้คัดสรรร้านอาหารที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้แอปพลิเคชัน เพื่อให้มาพบปะและนำเสนอเมนูเด็ดๆให้กับท่านอย่างใกล้ชิดและสะดวกยิ่งขึ้นที่ กูร์เมต์ มาร์เก็ต ในพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ เอ็มโพเรียม และเอ็มควอเทีย โดยงานจะเริ่มขึ้นในวันที่ 8 – 22 มิถุนายน 2561 ที่กูร์เมต์ มาร์เก็ต พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ เป็นที่แรก   นอกจากนี้แอปพลิเคชัน “ครัวคุณต๋อย” ยังได้เตรียมความอร่อย และความสนุกในรูปแบบอื่นๆไว้อีกมาย ซึ่งจะค่อยๆทยอยเสิร์ฟให้กับผู้ใช้ทุกท่านได้ลิ้มชิมรสกันเรื่อยๆ อย่างไม่ขาดสาย เกี่ยวกับบริษัท แอดเทค ฮับ จำกัด     บริษัทฯก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2547 เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาแพลตฟอร์ม และแอปพลิเคชันต่างๆที่ให้บริการประชาชน จำนวนหลายล้านราย ผ่านอุตสาหกรรมธนาคาร ค่ายมือถือ อสังหาริมทรัพย์ และ บันเทิง ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความพร้อม และด้วยความเชี่ยวชาญ ของบุคลากร เราสามารถพัฒนา และสร้างสรรค์ผลงานทางด้านดิจิตอล ในทุกอุตสาหกรรมเพื่อตอบโจทย์การสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ และ ต่อยอดเศรษฐกิจดิจิตอล ตามนโยบาย Thailalnd 4.0  
อารียา ส่ง “THE AVA RESIDENCE” บ้านเดี่ยวระดับ LUXURY  เพื่อเอกสิทธ์ ด้านสุขทรียะในการใช้ชีวิต 4 ด้าน

อารียา ส่ง “THE AVA RESIDENCE” บ้านเดี่ยวระดับ LUXURY เพื่อเอกสิทธ์ ด้านสุขทรียะในการใช้ชีวิต 4 ด้าน

เข้าสู่ไตรมาส 2 ของปี2561 บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพทั้งแนวราบและแนวสูงหรือ A ได้ส่งบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ แบรนด์ “THE AVA RESIDENCE Sukhumvit 77  ”  เฟส2 ใจกลางสุขุมวิท 77 ลงตลาดภายใต้คอนเซ็ป  “ชีวิตสุขทรียะ ชีวิตที่สุขุมวิท” ที่มาพร้อมสเปซชีวิตแบบเอ็กซ์คลูซีฟครบครันและสะดวกสบายบนถนนสุขุมวิท 77 บนเนื้อที่ 31-37 ไร่เป็นบ้านเดี่ยว Exclusive Luxury 3 ชั้นสไตล์ Modern Luxury  บนพื้นที่ตั้งแต่ 61.80- 132.40 ตารางวา (ตร.ว.) ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 402 -604 ตารางเมตร (ตร.ม.) มูลค่าโครงการกว่า 2,500 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 35-80 ล้านบาท เปิดให้จองกรรมสิทธิ์ได้แล้วในวันนี้     แน่นอนว่า  อารียาฯ ได้ชื่อว่าเป็นดีเวลลอปเปอร์ที่มีแนวคิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่โดดเด่นด้าน สุนทรียะแห่งการใช้ชีวิต ... ที่พร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งด้าน Function และ Emotional Engagement ในทุกโครงการที่พัฒนา โดย  “วิวัฒน์ เลาหพูนรังษี” ประธานกรรมการอาวุโส บริษัท    อารียาฯ กล่าวว่า “โครงการ The AVA Residence Sukhumvit 77 เป็นอีกโครงการของอารียาฯที่ไม่ใช่เพียงแค่ทำบ้านจัดสรร แต่เป็นการออกแบบสังคมชีวิตและความเป็นอยู่ไว้ในที่ที่เดียว ภายใต้แนวคิดโครงการ ชีวิตสุขทรียะ ชีวิตที่สุขุมวิท ถ้าที่สุดของการใช้ชีวิต คือการมีความสุขอยู่รายล้อม ไม่ว่าจะเป็นความสุขในการครอบครองสิ่งมีค่าหนึ่งเดียวที่สะท้อนเอกลักษณ์ในตัวคุณ หรือความสุขของชีวิตที่น่าภูมิใจคำตอบที่คุณแสวงหา คือ ที่นี่… The AVA Residence Sukhumvit 77 ดีไซน์ที่เน้นการผสมสานความทันสมัยให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง และตกแต่งให้มีความหรูหรา ด้วยการเลือกใช้วัสดุที่มีความมันวาว เช่นโลหะหรือเงิน และวัสดุธรรมชาติ ที่โชว์ผิวเนื้อแท้แต่ให้ความรู้สึกหนักแน่นและมีราคา เช่น หินอ่อน แกรนิต ประกอบกับความโดดเด่นด้วยการมอบสังคมส่วนตัวบนทำเลทองย่านสุขุมวิทที่หาไม่ได้อีกแล้วในราคาที่เน้นศักยภาพด้านการอยู่อาศัยเองหรือแม้แต่เพื่อการลงทุน”     การถอดรหัสความวุ่นวายในสุขุมวิทด้วยมุมพิเศษหรูหราใกล้ชิดธรรมชาติ นอกจากนี้บริษัทฯยังให้ความสำคัญการวางผังโครงการให้โอบรอบไปด้วยธรรมชาติทุกแปลงสดชื่นเต็มที่กับอากาศบริสุทธิ์ จากสวนเขียวที่สอดแทรกไปทุกโซนตลอดโครงการ ให้คุณหลีกหนีจากความวุ่นวาย สร้างความเป็นส่วนตัวด้วย Eden Green Line และอบอุ่นด้วย Family Space ขนาดใหญ่เสมือนหัวใจของบ้าน การจัดวางพื้นที่แบบ Open Plan เชื่อมส่วนห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น  ห้องรับประทานอาหาร และส่วนเตรียมอาหารเข้าด้วยกัน โอบล้อมด้วย Green Lawn Space ขนาดใหญ่ล้อมรอบพื้นที่ครอบครัวให้เกิด Creative Space ในการออกแบบสวน เพื่อตอบจินตนาการ และไลฟ์สไตล์ของครอบครัว     นวัตกรรมการออกแบบสไตล์  Modern Tropical ยกระดับขั้นของความหรูหราสมบูรณ์แบบ โครงการ The AVA Residence Sukhumvit 77 มีแบบบ้านให้เลือก คือ บ้านพร้อมอยู่ 3 แบบ ( La Vie, La Vida, La Vita ) และบ้านสั่งสร้าง Vivo, Vivant, Vivente ซึ่งเน้นฟังก์ชั่นในการอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ได้ สำหรับคนทุกวัยในครอบครัว เช่น ห้องนอนล่างพร้อมพื้น soft floor, ห้องนอนพร้อม Walk in closet, Double Volume, พื้นที่ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่, ลิฟต์โดยสาร หรือห้องเก็บของทุกชั้น, สวน สระว่ายน้ำ ฟิตเนส หรือสปาส่วนตัว เป็นต้น   นอกจากโครงการ The AVA Residence Sukhumvit 77 จะโดดเด่นด้านการออกแบบดีไซน์ทั้งภายในและภายนอกแล้ว ทางโครงการยังดูแลลูกบ้านเหมือนเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวใช้ชีวิตอย่างสมาร์ทด้วยความปลอดภัย 5 ระดับ Double Gate, Securities, CCTV รอบโครงการ, VDO Call และสัญญาณ กันขโมยไร้สายมาตรฐานสากลล้ำหน้าด้วยระบบ VDO CALL ติดต่อกับเจ้าของบ้านแบบ REAL TIME เพิ่มความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้อยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการครบครัน สวนขนาดใหญ่ล้อมรอบโครงการ LUXURY CLUBHOUSE ด้วยฝีมือการออกแบบจากสถาปนิกระดับโลกฟิตเนส พร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายมาตรฐานสากลสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือขนาด 22 x 9.75 เมตร   โลเคชั่นโดดเด่นติดถนนใหญ่เข้าถึงศรีนครินทร์ พัฒนาการ สุขุมวิทและบางนาได้ใน 10 นาที The  AVA ทั้งยังโดดเด่นด้วย LOCATION ตอบทุกโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว  เชื่อมสู่ทำเลสำคัญของเมือง เข้าออกได้ 2 เส้นทางหลัก คือถนนสุขุมวิท และถนนศรีนครินทร์เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท, แอร์พอร์ต เรลลิงค์และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว - สำโรง) ที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง พร้อมเปิดให้บริการในปี 2564 ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน  พระราม 9 และ สุขุมวิท 50 เพียง 15 นาทีถึงแหล่งไลฟ์สไตล์สุดชิค THE EMPORIUM, THE EMQUARTIER, THE EMSPHERE, J AVENUE THONGLOR, GATEWAY EKAMAI และ TERMINAL 21 ฯลฯ บ้านระดับไฮเอนด์ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง  มีคนที่ต้องการหาบ้านหลังใหม่ เพียงแต่ว่าสินค้าที่จะเข้ามาสู่ตลาดนั้นจะต้องตอบโจทย์ของลุกค้า ”  ประธานกรรมการอาวุโส บริษัท อารียาฯ กล่าวว่า พร้อมกับระบุว่า โครงการ The AVA Residence Sukhumvit 77 บ้านเดี่ยว Exclusive Luxury 3 ชั้นสไตล์ Modern Luxury นั้นอารียาฯมั่นใจว่าจะตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย นั่นคือ กลุ่มชาย – หญิง เน้นช่วงอายุ 36 – 45 ปีเป็นเจ้าของกิจการ Young Executive / สืบทอดกิจการต่อจากรุ่นพ่อแม่ รายได้มากกว่า 400,000 บาทต่อเดือน มีครอบครัวแล้ว มีลูกเล็ก 1-2 คน อาจมีพ่อแม่พักอาศัยด้วย ยึดลูกเป็น center ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิตมากนักที่อยู่อาศัยเดิมอยู่ในเมือง ไม่ต้องการย้ายโซน เดิมอาจอยู่บ้านพ่อแม่ในเมือง หรือคอนโดฯแบบเพ้นท์เฮ้าส์ ดังนั้นจึงเปรียบเทียบบ้านในเมืองกับคอนโดในเมือง City Lifestyle ชอบความหรูหรา ข้าวของเครื่องใช้ต้องสามารถสะท้อนสถานะทางสังคมได้
“เฮเฟเล่” โชว์นวัตกรรม IDEA FOR LIVING  แนวคิดสำหรับความสะดวกสบาย อัพเดทเทรนด์ดีไซน์ ในงานสถาปนิก’61

“เฮเฟเล่” โชว์นวัตกรรม IDEA FOR LIVING แนวคิดสำหรับความสะดวกสบาย อัพเดทเทรนด์ดีไซน์ ในงานสถาปนิก’61

บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด ขนทัพนวัตกรรมสินค้าร่วมโชว์ในงานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม หรืองานสถาปนิก’61 ภายใต้คอนเซ็ปต์ Idea for living จาก Häfele โดยเฮเฟเล่ได้นำเสนอสินค้าใหม่ ที่ผสมผสานเทคโนโลยีและ Digital Networking เข้าด้วยกัน ภายใต้แนวคิด Micro Living และ Smart Home ด้วยแนวคิดผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ต่อผู้อยู่อาศัยในขนาดพื้นที่เล็กๆ แต่มีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย     มร. โฟลเคอร์ เฮลสเติร์น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ อุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและครัวเรือน พร้อมทั้งสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ในห้องน้ำ คุณภาพมาตรฐานเยอรมนี เปิดเผยว่า ในงานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม ครั้งที่ 32 หรืองานสถาปนิก’61 ครั้งนี้ “เฮเฟเล่” ได้ร่วมโชว์นวัตรรมภายใต้คอนเซ็ปต์ Idea for living โดยเฮเฟเล่ ได้นำเสนอสินค้าใหม่ๆ ที่ผสมผสานเทคโนโลยีและ Digital Networking เข้าด้วยกัน ภายใต้แนวคิด Micro Living และ Smart Home ด้วยแนวคิดผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ต่อผู้อยู่อาศัยในขนาดพื้นที่เล็กๆ แต่มีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายอย่างไม่เคยคาดคิด     ภายในงานพบกับนวัตกรรมอันทันสมัยของเฮเฟเล่ ที่จะมาช่วยเปลี่ยนให้การใช้ชีวิตประจำวันของคุณง่ายและสะดวกยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็น ผนังบานเลื่อนสำหรับจัดสรรพื้นที่ใช้สอยอย่างเป็นสัดส่วน Movable Wall, บานเลื่อน บานสไลด์เพื่อบ้านทันสมัย Alutec หรือ Aluflex , ระบบล็อคอิเล็คทรอนิกส์, หินควอทซ์สำหรับตกแต่งเคาน์เตอร์ทุกสไตล์, Hawa Façade Frontslide บานเลื่อน บานสไลด์ สำหรับอาคารภายนอก, หินสังเคราะห์, เครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่สุดของเทคโนโลยีเหนือระดับ เพื่อการทำอาหารที่สมบูรณ์แบบ, สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ, สมาร์ทไปป์, กระจกอัจฉริยะ รวมถึงประตูโรงรถอัตโนมัตินอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ที่เราได้คัดสรรค์มาทั้งหมด ล้วนตอบโจทย์ต่อทุกไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสวยงามทางด้านภาพลักษณ์และฟังก์ชันการใช้งานอย่างคุ้มค่าสูงสุด   และในงาน สถาปนิก’61 ครั้งนี้ยังมีนวัตกรรมสินค้าที่น่าสนใจ อาทิ กระจกอัจฉริยะ นวัตกรรมล่าสุดจากประเทศเยอรมนี ที่จะมาปรับเปลี่ยนการส่องกระจกของคุณให้ดูคูลและชิคกว่าเดิม “กระจกอัจฉริยะ”มาพร้อมกับระบบฟังก์ชันที่ครบครัน สามารถฟังเพลง, ปรับเปลี่ยนโทนแสงไฟ, และไล่ฝ้า เหมาะสำหรับการตกแต่งห้องน้ำทุกสไตล์ โดยกระจกห้องน้ำนี้ มีให้เลือก 3 ขนาด ได้แก่ 900×600 มม., 900×900 มม. และ 1,200×900 มม. ระบบล็อคอิเล็กทรอนิกส์ เฮเฟเล่ ไดอะล็อค(Dialock) และระบบจัดการและควบคุมพลังงานในห้องพักโรงแรม อินเทอเรล (INTEREL GRMS), Hafele connect: แอพพลิเคชั่นที่ทำให้การควบคุมแสงส่วางและอุปกรณ์หลายชนิดเป็นไปได้อย่างง่ายดาย     ผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต เพียงเชื่อมต่อกับ อุปกรณ์ BLE ผ่านสัญญาณบูลทูธก็สามารถปรับเปลี่ยนสีของแสงไฟจัดกลุ่มของหลอดไฟในจุดต่างๆ ให้เปิด-ปิด หรี่แสงได้ในครั้งเดียว หรือจัดแสงไฟเป็นซีนาริโอต่างๆ รวมถึงการตั้งตามเวลา หรือตามการขึ้นหรือตกของดวงอาทิตย์ได้ (Sunrise –Sunset) และประตูโรงรถอัตโนมัติ การันตีคุณภาพจากแบรนด์ประเทศเยอรมนี ด้วยผลิตภัณฑ์ประตูโรงรถอัตโนมัติ ซึ่งทุกชิ้นส่วนของประตูทุกชิ้นและทุกบาน ล้วนผ่านการควบคุมและผ่านการตรวจรองรับโดยสถาบันอิสระ โดยประตูนี้ผลิตขึ้นตามระบบการบริหารคุณภาพ DIN EN 9001   นอกจากนี้บูธเฮเฟเล่ภายในงานสถาปนิก’ 61 ยังมีกิจกรรมพิเศษให้กับลูกค้าและผู้เข้าชมงาน ได้ร่วมสนุกอีกมากมาย อาทิ Live สด รีวิวสินค้าแบบใกล้ชิดเจาะลึก โดย "คุณเฟื่องลดา" และชมการสาธิตการทำอาหารจากคุณ Diana Flipo และ "เชฟนิค วิพิทธิจักษ์ พิทยานนท์" ด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมฟังก์ชันครบครัน รังสรรค์ทุกเมนูโปรดได้อย่างง่ายดาย สามารถเข้าเยี่ยมชมได้ ในงาน “สถาปนิก ’61 อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 1– 6 พฤษภาคม 2561
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ปักหมุดย่านลำลูกกา-คลองหลวง ผุด ‘ลลิล ทาวน์ ไลโอ ลำลูกกา คลอง 4-5’

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ปักหมุดย่านลำลูกกา-คลองหลวง ผุด ‘ลลิล ทาวน์ ไลโอ ลำลูกกา คลอง 4-5’

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ยกตลาดที่อยู่โซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ รับอานิสงส์ รถไฟฟ้าสายสีเขียว-สีแดง ปักหมุดทำเลลำลูกกา-คลองหลวง ลงทุนแล้วกว่า 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,300 ล้านบาท ผุด ‘ลลิล ทาวน์ ไลโอ ลำลูกกา คลอง 4-5’ โครงการที่อยู่มิกซ์ยูส บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ และทาวน์โฮมแห่งใหม่ ดีไซน์ใหม่สไตล์โมเดิร์น ขนาด 2 ชั้น รองรับดีมานด์กรุงเทพฯ ตอนบน นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า เปิดเผยถึงภาพรวมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในโซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ย่านถนนรังสิต ลำลูกกา ในช่วง 1 - 2 ปี ที่ผ่านมา พบว่า พื้นที่ดังกล่าว มีความเจริญอย่างต่อเนื่องมาจากการขยายตัวเมืองพหลโยธิน ดอนเมือง ปทุมธานี รังสิต และถนนลำลูกกา จนกลายเป็นทำเลขยายของตลาดอยู่อาศัยแห่งใหม่ โดยสาเหตุมาจากศักยภาพของพื้นที่ ที่มีรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) และสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต-ม.ธรรมศาสตร์) ที่มีกำหนดสร้างเสร็จในปี 2563 อีกทั้งทำเลยังรายล้อมด้วยทางด่วนหลายเส้นทาง อาทิ ถนนวงแหวนตะวันออก ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ และทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ จึงเป็นผลทำให้โซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ สามารถเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกรวดเร็วไม่แพ้ทำเลอื่น ขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวก ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต, บิ๊กซี, เทสโก้ โลตัส, สนามบินดอนเมือง, โรงเรียน และโรงพยาบาลต่างๆ “บริษัทฯ มองเห็นศักยภาพของทำเลกรุงเทพฯตอนบน จึงมีการเปิดไปแล้วกว่า 2-3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,300 ล้านบาท ซึ่งแต่ละโครงการมีผลตอบรับจากลูกค้าที่ดีมาก สะท้อนศักยภาพของทำเลได้ดี โดยความต้องการของพื้นที่ในย่านนี้ยังคงนิยมอยู่อาศัยแบบครอบครัว ต้องการพื้นที่ใช้สอยในบ้านสูง นับว่าโครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ตอบโจทย์สูงสุด จึงเป็นโอกาสของบริษัทฯ ในการลงทุนโครงการใหม่ๆ เพื่อรองรับดีมานด์ในพื้นที่” นายชูรัชฏ์ กล่าว สำหรับโครงการ ‘ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) ไลโอ (LIO) ลำลูกกา คลอง 4 – 5’ โครงการที่อยู่มิกซ์ยูส ผสมระหว่างบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ และทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ ดีไซน์ใหม่สไตล์โมเดิร์น ขนาด 2 ชั้น ถือเป็นโครงการที่ออกแบบมาเพื่อผู้อยู่ในย่านรังสิต ลำลูกกาโดยเฉพาะ โดยโครงการมีจุดเด่นที่ทำเล ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางถนนเลียบคลอง 5 ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีคลอง 5 (ส่วนต่อขยาย) เพียง 4 นาที การเดินทางยังสะดวกสบาย เพราะเชื่อมต่อชีวิตบนถนนเส้นหลักหลากหลายสาย สะดวกทั้งขาเข้าและขาออกเมือง อาทิ ถนนลำลูกกา, รังสิต-นครนายก สะพานใหม่ อยู่ใกล้ทางด่วนบางนา-บางปะอิน, ใกล้วงแหวนกาญจนาภิเษก, ถนนวิภาวดี – รังสิต และทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ และฟิวเจอร์พาร์ครังสิต เซียร์ รังสิตไฮเปอร์มาร์เก็ต ทั้ง บิ๊กซี และเทสโก้ โลตัส เป็นต้น ตลอดจนอยู่ใกล้นิคมอุตสาหกรรม และสถานศึกษาชั้นนำหลายแห่ง ลลิล ทาวน์ ไลโอ ลำลูกกา คลอง 4 - 5 มีจำนวน 417 ยูนิต บนพื้นที่โครงการ 44 ไร่ เป็นทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ และบ้านเดี่ยว 2 ชั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบ้านหลังแรกโดยตัวบ้านมีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ตั้งแต่ 105 ตรม. – 155 ตรม. ขนาด 3 – 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และที่จอดรถ 1 – 3 คัน ฟังก์ชันการออกแบบตัวบ้านเป็นแบบ Open plan สามารถออกแบบพื้นที่ใช้สอยได้ตามความต้องการ พร้อมพื้นที่เอนกประสงค์ทั้งภายในและนอกตัวบ้าน เพิ่มทัศนียภาพและคุณภาพการอยู่อาศัยด้วยพื้นที่สีเขียวพร้อมสวนสาธารณะและสโมสรบนพื้นที่กว่า 1 ไร่ อุ่นใจด้วยกล้อง CCTV และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ทั้งนี้ แบบบ้านมีให้เลือกทั้งหมด 6 แบบ ได้แก่ แบบบ้าน HIVE ทาวน์โฮม สูง 2 ชั้น ขนาด 105 ตรม. ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ 1 ที่จอดรถ แบบบ้าน HAUS ทาวน์โฮม สูง 2 ชั้น ขนาด 125 ตรม. ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ 2 ที่จอดรถ แบบบ้าน CRISP บ้านแฝด สูง 2 ชั้น ขนาด 141 ตรม. ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ 1 ที่จอดรถ แบบบ้าน CRISP EX บ้านแฝด สูง 2 ชั้น ขนาด 141 ตรม. ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ 3 ที่จอดรถ แบบบ้าน CARA บ้านเดี่ยว สูง 2 ชั้น ขนาด 141 ตรม. ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ 2 ที่จอดรถ และสุดท้ายแบบบ้าน CRAFT บ้านเดี่ยว สูง 2 ชั้น ขนาด 155 ตรม. ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ 2 ที่จอดรถ สำหรับผู้สนใจ ลลิล ทาวน์ ไลโอ ลำลูกกา คลอง 4 - 5 ติดต่อเข้าชมโครงการ Call Center โทร 1778 และเว็บไซต์ www.lalinproperty.com, Line @LalinSociety
‘CENTRO รังสิตคลอง 4 – วงแหวน’ และ ‘CENTRO ราชพฤกษ์ – สวนผัก’ ความสุขที่ครอบครัวสัมผัสได้ บนพื้นที่แห่งการใช้ชีวิตโดยแท้จริง

‘CENTRO รังสิตคลอง 4 – วงแหวน’ และ ‘CENTRO ราชพฤกษ์ – สวนผัก’ ความสุขที่ครอบครัวสัมผัสได้ บนพื้นที่แห่งการใช้ชีวิตโดยแท้จริง

“เพราะบ้านไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่เพื่อการอยู่อาศัย” เอพี (ไทยแลนด์) จึงตั้งใจออกแบบพื้นที่และฟังก์ชั่นของบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ ‘CENTRO’ ให้ช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์แบบในการใช้ชีวิต เพลิดเพลินกับประสบการณ์การอยู่อาศัยท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัว ผสานการออกแบบฟังก์ชั่นที่ให้ทุกพื้นที่ในบ้าน ตอบโจทย์ทุกความต้องการโดยสัมพันธ์กับการใช้ชีวิต เพื่อให้คุณเริ่มต้นการใช้ชีวิตได้อย่างภาคภูมิใจในที่อยู่อาศัยที่เพียบพร้อมบนสังคมคุณภาพ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เข้าใจถึงความต้องการในเรื่องที่อยู่อาศัย จึงรังสรรค์บ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ “CENTRO” 2 โครงการล่าสุด ‘CENTRO รังสิตคลอง 4 – วงแหวน’ และ ‘CENTRO ราชพฤกษ์ – สวนผัก’ บนทำเลศักยภาพ เดินทางสะดวก ผสานนวัตกรรมดีไซน์เข้ากับการออกแบบ “แบบบ้านโมเดลใหม่” และ “สเปซฟังก์ชั่น” พร้อมสภาพแวดล้อมในโครงการที่คำนึงถึงความสมบูรณ์แบบของคุณภาพชีวิตที่ดีสูงสุด เพื่อการอยู่อาศัยในอนาคต     ‘CENTRO รังสิตคลอง 4 – วงแหวน’ Love makes a family… เรื่องราวของความรัก เริ่มต้นใหม่ได้ทุกวันที่นี่ โครงการบ้านเดี่ยวคุณภาพใจกลางเมือง ตั้งอยู่บนถนนสายหลัก คือ ถนนรังสิต-นครนายก เดินทางสะดวกเนื่องจากเชื่อมต่อกับ ถนนวงแหวนรอบนอก เพียง 5 นาทีในการเดินทางจากโครงการ และถนนพหลโยธิน ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง (สถานีรังสิต) และสายสีเขียว (สถานีคลอง 4) อีกทั้งยังเชื่อมต่อสะดวกกับสนามบินดอนเมือง ทำเลไฮไลท์ ตอบโจทย์ทั้งความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย และการเดินทาง แวดล้อมด้วยร้านอาหาร และแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม เหมาะสำหรับสมาชิกทุกวัยในครอบครัว เอพี (ไทยแลนด์) ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก กับการวางแผนและออกแบบพื้นที่ใช้สอย ‘CENTRO รังสิตคลอง 4 – วงแหวน’ อย่างใส่ใจ จึงสามารถส่งมอบพื้นที่อยู่อาศัยที่มีขนาดใหญ่ สวยงามด้วยแบบบ้านสไตล์รีสอร์ท พร้อมฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ภายในบ้านถูกออกแบบเพื่อรองรับทุกกิจกรรม และทุกไลฟ์สไตล์ของสมาชิกในครอบครัว พื้นที่ในบ้านจึงสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายยืดหยุ่นต่อการใช้งาน     เจ้าของบ้านในโครงการ CENTRO จึงรื่นรมย์กับการพักอาศัยท่ามกลางบรรยากาศที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติผสมผสานความทันสมัยที่ยังคงให้ความรู้สึกที่เป็นส่วนตัว ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมาตรฐานสากล อาทิ คลับเฮ้าส์หรู ที่มีทั้งห้องโยคะ ฟิตเนส Co-working Space และห้องกิจกรรมสำหรับสมาชิกตัวน้อยในครอบครัว ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอันร่มรื่น และใช้เวลากับครอบครัวได้อย่างเต็มที่ด้วย สวนสีเขียวในโครงการ พร้อมด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.ที่จะตอบทุกความอุ่นใจในการใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ‘CENTRO รังสิตคลอง 4 – วงแหวน’ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวจำนวน 279 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.95 – 4.75 ล้านบาท มีแบบบ้านสวยสไตล์รีสอร์ท 6 แบบด้วยกัน ได้แก่ (1) Alexia พื้นที่ใช้สอย 154 ตร.ม. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ (2) Bravo – B พื้นที่ใช้สอย 173 ตร.ม. 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ (3) Starry พื้นที่ใช้สอย 175 ตร.ม. 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และแบบบ้านใหม่ล่าสุด (4) Lenora พื้นที่ใช้สอย 169 ตร.ม. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ นอกจากนี้ เอพี (ไทยแลนด์) ยังไม่หยุดนิ่งที่จะสร้างความต่างเพื่อตอบสนองความต้องการที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น เพิ่มทางเลือกให้กับผู้อยู่อาศัยด้วยแบบบ้านดีไซน์ใหม่ “บ้านเดี่ยว 1 ชั้น” 2 แบบบ้านด้วยกัน ได้แก่ (5) Soleil พื้นที่ใช้สอย 115 ตร.ม. 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และ (6) Meadow พื้นที่ใช้สอย 125 ตร.ม. 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พร้อมพื้นที่โดยรอบที่ออกแบบสำหรับครอบครัวใหม่ สามารถตอบสนองฟังก์ชั่นการใช้งานได้อย่างครบถ้วน อาทิ ห้องนอนใหญ่ที่สะดวกสบายด้วยห้องน้ำภายในห้องนอน เป็นต้น     ‘CENTRO ราชพฤกษ์ – สวนผัก’ เติมเต็มชีวิตที่สมบูรณ์แบบ พร้อมเส้นทางพิเศษส่วนตัว เพียง 5 นาที เชื่อมต่อทางด่วนและรถไฟฟ้า โครงการบ้านเดี่ยวคุณภาพเอกสิทธิ์พิเศษเพียง 176 ยูนิต ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ เดินทางสะดวกสบาย เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมือง หรือพื้นที่อื่นๆ ด้วยระบบคมนาคมที่ครอบคลุม ทั้งทางด่วนศรีรัชฯ-วงแหวนฯ  และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (ที่เปิดให้บริการปี 62) การเดินทางเข้าออกโครงการเป็นเรื่องง่ายด้วย The Bridge เส้นทางพิเศษส่วนตัว สะพานข้ามคลองมหาสวัสดิ์ เชื่อมตัวโครงการสู่จุดขึ้นทางด่วนเพียง 5 นาที นอกจากนั้น ตัวโครงการเองตั้งอยู่บนทำเลที่เชื่อมต่อเส้นทางสำคัญหลายเส้นทาง ทั้งถนนราชพฤกษ์ ถนนนครอินทร์ ถนนบางกรวย-ไทรน้อย และถนนสิรินธร หรือในอนาคตอันใกล้ยังสามารถเลือกเดินทางด้วยรถไฟฟ้าได้อีกด้วย  อีกทั้งบริเวณโดยรอบยังใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งห้างสรรพสินค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ อาทิ เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เดอะคริสตัล ราชพฤกษ์, โฮมโปร ราชพฤกษ์ และเดอะ วอล์ค ราชพฤกษ์ เป็นต้น เพราะชีวิตที่ดีกว่า เป็นชีวิตที่คุณเลือกเองได้ ที่ ‘CENTRO ราชพฤกษ์ – สวนผัก’ คุณจึงสามารถออกแบบไลฟ์สไตล์ได้ตามที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายในคลับเฮาส์หรู ที่ประกอบไปด้วย ฟิตเนส สระว่ายน้ำ พิเศษสุดด้วย Bike Lane ยาวกว่า 750 เมตร  และพื้นที่สีเขียวที่ร่มรื่นกว้างขวางกว่า 2 ไร่ ให้ความรู้สึกสุขสงบ และเป็นส่วนตัว เป็นการเติมเต็มการใช้ชีวิตให้สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง ตอบโจทย์  ทุกด้านของชีวิตในแบบที่คุณเลือกได้ ‘CENTRO ราชพฤกษ์ – สวนผัก’ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวจำนวนเพียง 176 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 7.2 – 12 ล้านบาท ประกอบด้วยแบบบ้านสวยมีเอกลักษณ์ และใส่ใจในทุกรายละเอียด จำนวน 6 แบบด้วยกัน ได้แก่ (1) Sunshine พื้นที่ใช้สอย 200 ตร.ม. 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ (2) Merci พื้นที่ใช้สอย    262 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ (3) Lunar พื้นที่ใช้สอย 342 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ (4) Bravo – B พื้นที่ใช้สอย 173 ตร.ม. 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ (5) Magnitude พื้นที่ใช้สอย 190 ตร.ม. 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และ (6) Starry พื้นที่ใช้สอย 175 ตร.ม.    4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ
“ยู ซิตี้”เจรจาร่วมทุน “นาคีล” ผุดรีสอร์ทห้าพันล้าน ริมทะเลเกาะเดียราของดูไบปี’ 63

“ยู ซิตี้”เจรจาร่วมทุน “นาคีล” ผุดรีสอร์ทห้าพันล้าน ริมทะเลเกาะเดียราของดูไบปี’ 63

  “ยู ซิตี้” เล็งขยายโรงแรมสู่ภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่ง“เวียนนา อินเตอร์เนชั่นแนล โฮเทลแมเนจเม้นท์ เอจี” เจรจาร่วมทุนกับ “นาคีล” ผุดโครงการบีชรีสอร์ทขนาด 620 ห้อง บนเกาะเดียรา มูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท คาดว่าจะเปิดบริการประมาณปี 2563    นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แผนการร่วมลงทุนในครั้งนี้ เป็นการขยายธุรกิจการบริหารโรงแรมของ บริษัท เวียนนา อินเตอร์เนชั่นแนล โฮเทลแมเนจเม้นท์ เอจีภายใต้แบรนด์ ‘เวียนนา เฮ้าส์’  กับบริษัทพันธมิตรระดับโลก ทั้งนี้ ดูไบนับเป็นเมืองที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งมีแผนรองรับการเติบโตและและพัฒนาอย่างชัดเจน  อีกทั้งยังเป็นการขยายฐานธุรกิจของแบรนด์ ฯ ซึ่งมีความแข็งแกร่งอยู่ก่อนแล้วในภูมิภาคยุโรป สู่ภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก   มร. อาลี ราชิด อาเหม็ด ลูทาห์ ประธานบริษัท นาคีล กล่าวว่า บริษัทนาคีลมีความยินดี สำหรับโอกาสที่จะได้ร่วมกับแบรนด์ เวียนนา เฮ้าส์ ในการพัฒนาโรงแรมคอนเซปท์ใหม่บนเกาะเดียรา โดยนาคีลยึดกลยุทธ์หลักในการนำแบรนด์โรงแรมใหม่ๆ ที่มีชื่อเสียงมาเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยว และถือเป็นส่วนหนึ่งในคำมั่นที่นาคีลมีต่อภาครัฐบาลในการสนับสนุนการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวของดูไบ ความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นกับเวียนนา เฮ้าส์ จึงเป็นตัวอย่างอันดีที่แสดงให้เห็นถึงการดำเนินงานของนาคีลตามกลยุทธ์ดังกล่าวนี้  สำหรับแบรนด์เวียนนา เฮ้าส์ ได้รับการยอมรับในด้านการบริการจากหลายประเทศทั่วทวีปยุโรป ทางบริษัทฯ จึงมีความยินดีต่อการพัฒนาความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีชื่อเสียงในด้านการบริหารและจัดการโรงแรมในระดับโลก   มร.รูเพิร์ท ไซมอนเนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวียนนา อินเตอร์เนชั่นแนล โฮเทล แมเนจเม้นท์ เอจี กล่าวว่า เวียนนา เฮ้าส์ เป็นแบรนด์ ที่ มุ่งเน้นเติมเต็มความสุขของนักเดินทาง ที่ต้องการค้นพบประสบการณ์ใหม่ และความสะดวกสบายระหว่างการเดินทาง  โดยคอนเซปท์สำหรับ ‘เวียนนา เฮ้าส์ เดียราบีช’ เน้นประสบการณ์ของผู้เข้าพัก ให้วันพักผ่อนเป็นวันที่มีความหมายพิเศษ ซึ่งเป็นคอนเซปท์ที่ใหม่และแตกต่างจากโรงแรมอื่นๆในดูไบ โดยรีสอร์ทแห่งใหม่นี้มีจำนวนห้องพักกว่า 600 ห้อง นำเสนอภายใต้คอนเซปท์ “ความมีระดับที่สัมผัสได้”  (Affordable Great)  ชูจุดเด่นด้านความใส่ใจในรายละเอียด เน้นการบริการพื้นฐานที่เรียบง่ายแต่ตอบสนองความต้องการของผู้เข้าพักอย่างแท้จริง ห้องพักและพื้นที่ใช้สอยภายในรีสอร์ท ได้รับการออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยแรงบันดาลใจจากไลฟ์สไตล์ที่มีความสบายๆ ในแบบโบฮีเมียน (Bohemian) ตลอดจนถึงการบริการด้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีความเรียบง่ายแต่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังสร้างประสบการณ์แก่ผู้เข้าพัก ด้วยกิจกรรมบันเทิง และสันทนาการต่างๆ   นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การพัฒนาโอกาสสำหรับร่วมมือครั้งนี้สอดคล้องกับแผนการดำเนินธุรกิจของ ยู ซิตี้ ในการขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สู่ระดับโลก  โดยบริษัทนาคีล ถือเป็นพันธมิตรรายใหญ่ระดับโลก ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะเสริมความแข่งแกร่งทั้งในด้านดำเนินงานและด้านเครือข่ายทางธุรกิจ อีกทั้งเสริมมูลค่าธุรกิจด้านการบริหารจัดการโรงแรมและการลงทุนอันแข็งแกร่งของยู ซิตี้   สำหรับรีสอร์ทแห่งใหม่นี้จะตั้งอยู่ในพื้นที่ธุรกิจที่มีศักยภาพสูงบนเกาะเดียรา โดยเมืองริมทะเลที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัทนาคีลแห่งนี้ กำลังอยู่ในระหว่างการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ จากเดิมที่เรียกว่าเป็น “ดูไบเก่า” สู่การเป็นศูนย์กลางทางการค้า การท่องเที่ยว ที่พักอาศัย และเป็นฮับของกิจกรรมสันทนาการและการพักผ่อนระดับโลก ทั้งนี้ การพัฒนาเกาะในพื้นที่จำนวน 4 เกาะได้เพิ่มพื้นที่ใช้สอยในแนวชายฝั่งของดูไบเป็นระยะทางอีก 40 กิโลเมตร  ซึ่งรวมถึงพื้นที่ชายทะเลที่มีความยาวกว่า 21 กิโลเมตร เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท เซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ โครงการมิกซ์ยูส บ้านพักชายทะเล และอื่นๆ อีกมาก  ปัจจุบัน บริษัท นาคีล อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการต่างๆ บนเกาะเดียราอีกหลายโครงการ อาทิ “เดียรา ไอส์แลนด์ ไนท์ ซุก” (Deira Island Night Souk) ซึ่งเป็นตลาดไนท์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในโลก  และ “เดียรา มอลล์” (Deira Mall) ห้างสรรพสินค้าซึ่งมีพื้นที่สำหรับร้านค้าปลีกใหญ่ที่สุดในทวีปตะวันออกกลาง โดยบริษัทนาคีลมีการพัฒนาโครงการโรงแรมและรีสอร์ทบนเกาะแห่งนี้ทั้งหมด 9 แห่ง
เอสบี เปิดตัว “52 WEEKS OF DESIGN” ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเฟอร์นิเจอร์

เอสบี เปิดตัว “52 WEEKS OF DESIGN” ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเฟอร์นิเจอร์

เอสบี ดีไซน์สแควร์ เดินหน้ารุกตลาดปี 2561 เต็มรูปแบบ เปิดตัวแคมเปญแรกแห่งปี “52 WEEKS OF DESIGN by SB DESIGN SQUARE” (ฟิฟตี้ ทู วีคส์ ออฟ ดีไซน์ บาย เอสบี ดีไซน์สแควร์) ดึง 52 อินทีเรียดีไซน์เนอร์ผู้มากฝีมือและประสบการณ์ มาแชร์ไอเดียแต่งบ้านบนเว็บไซต์ เพื่อเป็นศูนย์รวมไอเดียและแรงบันดาลใจในการแต่งบ้าน เน้นชูจุดแข็งด้านการสร้างเครือข่าย Designer Connect หวังขยายฐานลูกค้าเพิ่ม คาดปีนี้อัตรายอดขายเติบโตเพิ่มอย่างมีคุณภาพ 10%   ธัญญรักข์ ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดเฟอร์นิเจอร์ในปี 2561 ว่า มีสัญญาณทางการตลาดที่ดีขึ้น เนื่องด้วยดีเวลลอปเปอร์หลายรายต่างเริ่มมีการทยอยส่งมอบจำนวนยูนิตที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม เพราะปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนไป นิยมอยู่คอนโดมิเนียมมากขึ้น ด้วยเดินทางสะดวกสบาย ผนวกกับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ก็มีการปรับตัวทั้งในเรื่องดีไซน์และบริการ เพื่อมุ่งเน้นตอบสนองความต้องการและให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด รวมไปถึงมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของรัฐบาล (ช้อปช่วยชาติ) เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาคธุรกิจตลาดเฟอร์นิเจอร์ไตรมาสแรกกลับมาคึกคักอีกครั้ง และปัจจัยบวกเหล่านี้ก็ทำให้ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาของ เอสบี มีอัตราการเติบโตเพิ่มมากขึ้น 5% เมื่อเทียบกับเวลาในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และตั้งเป้ายอดขายทั้งปีน่าจะเติบโตโดยรวมที่ 10%   กลยุทธ์หลักในปีนี้คือ Designer Connect เน้นให้ความสำคัญกับการเข้าไปกระชับสัมพันธ์กับกลุ่มอินทีเรียดีไซน์เนอร์ ซึ่งแคมเปญแรกที่จะทำในปีนี้คือ 52 WEEKS OF DESIGN by SB DESIGN SQUARE โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 1.นำเสนอผลงานการออกแบบของ Designer คนไทย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ในการแต่งบ้านให้กับลูกค้า ที่จะได้เห็นมุมมองในการออกแบบของดีไซน์เนอร์แต่ละท่านในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งจะมีผลงานออกแบบที่สวยงาม น่าสนใจเป็นประโยชน์กับลูกค้าอย่างมาก และวัตถุประสงค์ที่ 2.เพื่อให้ลูกค้าได้รับไอเดียใหม่ๆ และคำแนะนำในการแต่งบ้านจากดีไซน์เนอร์มืออาชีพ ด้วยเนื้อหาในส่วน Décor Ideas และ Recommended Items by Designer แต่ละท่าน เพราะการแต่งบ้านเป็นเรื่องที่มีรายละเอียด และหลายคนอาจไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง   แคมเปญ 52 WEEKS OF DESIGN by SB DESIGN SQUARE เอสบี ได้รับเกียรติจาก 52 อินทีเรียดีไซน์เนอร์ผู้มากฝีมือและประสบการณ์มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจ แนะนำไอเดียตกแต่งบ้าน โดยนำเสนอผ่าน www.sbdesignsquare.com ในแต่ละเดือนมีจำนวนผู้เข้าชมกว่า 5 แสนคนต่อเดือน โดยในแต่ละสัปดาห์จะมีไอเดียดีๆ จากอินทีเรียดีไซน์เนอร์แต่ละท่านมาแชร์ไว้ อาทิ คุณณัฎฐา สุนทรวิเนตร์, คุณบดินทร์ พลางกูร,คุณเบญญาภา ศิริโสภณ, คุณวัฒนา โกวัฒนาภรณ์, คุณภูวสิษฐ์ ทวีฤทธิ์ธนวงษ์ เป็นต้น ซึ่งแคมเปญนี้เริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2561 จนถึงปัจจุบันเข้าสู่สัปดาห์ที่ 17 มีดีไซน์เนอร์มาร่วมแสดงผลงาน 17 คนแล้ว ลูกค้าที่กำลังแต่งบ้านทุกคนสามารถเข้ามาในเว็บไซต์ของ SB Design Square และเลือกนำไอเดียของดีไซน์เนอร์แต่ละท่านไปต่อยอดตกแต่งบ้านของตัวเองได้ตามสไตล์ที่ชอบ ที่ผ่านมาเราได้ผลตอบรับที่ค่อนข้างดีเป็นอย่างมาก โดยวัดจากจำนวนผู้เข้าชมเว็ปไซต์ในส่วนของแคมเปญนี้ ตั้งแต่ต้นปีถึงวันนี้มีกว่าแสน Page View     “เราเลือกที่จะทำแคมเปญนี้ผ่านโลกออนไลน์เพราะ เอสบี ได้ทำการสำรวจศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคมาโดยตลอด และพบว่าตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก จากอดีตที่ลูกค้าจะแต่งห้องหรือบ้าน มักนิยมหาไอเดียจากนิตยสารและเดินตามร้านเฟอร์นิเจอร์ แต่ปัจจุบันกลับหันมาหาข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก นอกจากการทำแคมเปญนี้แล้ว ด้านการสื่อสารกับลูกค้าทางออนไลน์ เราได้ปรับตัวโดยใช้ช่องทางหลายแพลตฟอร์มเพื่อทำหน้าที่แตกต่างกันไป อาทิ เว็บไซต์ เอสบี ดีไซน์ สแควร์ (SB Design Square) จะทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมสินค้าทุกอย่างให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาดูและเลือกชมสินค้า ในขณะที่เฟสบุ๊คจะเป็นช่องทางกระจายข่าว และ LINE Official Account ที่มีคนติดตามถึง 4 ล้านกว่าคนนั้น จะเป็นช่องทางสื่อสารเพื่อโปรโมทแคมเปญและโปรโมชั่น จากการขานรับพฤติกรรมของผู้บริโภคดังกล่าวผลปรากฏว่าปัจจุบันเฟสบุ๊คของ เอสบี ดีไซน์ สแควร์ (SB Design Square) มียอดคนติดตามถึง 8 แสนคน ในขณะที่ช่องทางยูทูปก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากแคมเปญโฆษณาแบรนด์ “คอนเซ็ปต์ เฟอร์นิเจอร์” จนได้รับรางวัล Youtube Ads Leaderboard คือเป็น 1 ใน 10 โฆษณาไทยที่ได้รับความนิยมสูงสุดบนยูทูปเมื่อปีที่ผ่านมา” ธัญญรักข์ กล่าว   สำหรับแคมเปญ 52 WEEKS OF DESIGN นับเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานที่ เอสบี มุ่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้ากลุ่มอินทีเรียดีไซน์เนอร์ ยังมีกระบวนการทำงานอีกหลายส่วนที่เราได้จัดเตรียมเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาให้การทำงานของเรากับลูกค้ากลุ่มนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ส่วนลดพิเศษสำหรับดีไซน์เนอร์ โปรแกรมสะสมแต้ม และ Pro Service ที่เป็นบริการพิเศษสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้เท่านั้น โดยเราจะจัดเตรียมทีมงานช่วยดูแลโปรเจ็คต์ของลูกค้าโดยเฉพาะ พร้อมบริการจัดหาสินค้าจากเครือข่ายผู้ผลิต-นำเข้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงประสานงานดูแลการจัดส่งและติดตั้งให้ตรงตามกำหนดเวลาทั้งหมดนี้จะอยู่ในรูปแบบของ SB Designer Club ซึ่งเป็นเฟสถัดไปที่เรากำลังเร่งดำเนินการ และจะเปิดตัว SB Designer Club ในงานสถาปนิก ที่จะจัดขึ้นวันที่ 1 - 6 พฤษภาคม 2561 ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี บูทเลขที่ E504   สำหรับกลยุทธ์ดำเนินงานขยายแบรนด์สินค้า กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากการสร้างเครือข่าย สร้างไอเดียการตกแต่งบ้านผ่านช่องทางออนไลน์ เอสบี ยังคงความเป็นผู้นำตลาดเฟอร์นิเจอร์แนวไลฟ์สไตล์ ล่าสุดได้มีการนำเข้าแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับลักชัวรี่จากต่างประเทศมากขึ้น เพื่อรองรับผู้บริโภคระดับกลางถึงบน ซึ่งเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ที่มีกำลังซื้อจริง ได้แก่ แบรนด์ Universal, Metropole Living จากสหรัฐอเมริกา รวมถึง Habitat จากฝรั่งเศส ทั้งยังเพิ่มบริการผลิตสินค้า Customize Design ภายใต้ แบรนด์ Kelvin Giormani เป็นแบรนด์โซฟาหนังแท้นำเข้าจากอิตาลีที่ลูกค้าสามารถเลือกดีไซน์ได้มากกว่า 200 รูปแบบ 50 เฉดสี และ 8 เกรดหนังคุณภาพสูง และยังมี Customize Design ในสินค้ากลุ่มเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า ชุดวางทีวี และโซฟาที่เป็นแบรนด์ของ เอสบี เอง”   “ทั้งนี้เรามั่นใจว่าจากสัญญานบวกของตลาดและแผนการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวแคมเปญ 52 WEEKS OF DESIGN by SB DESIGN SQUARE การนำเข้าเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ใหม่ และกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายภายในสิ้นปี 2561 ได้ที่ประมาณ 7,800 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโต 10% จากปีที่แล้ว” คุณธัญญรักข์ กล่าว
‘เอพี ไทยแลนด์’ รุกตลาดบ้านเดี่ยวไตรมาส 2 เปิดตัว 2 โครงการใหม่ เจ๋งกว่าใครกับโมเดลบ้านใหม่ รองรับครอบครัวขยาย

‘เอพี ไทยแลนด์’ รุกตลาดบ้านเดี่ยวไตรมาส 2 เปิดตัว 2 โครงการใหม่ เจ๋งกว่าใครกับโมเดลบ้านใหม่ รองรับครอบครัวขยาย

เอพี เผยดีมานด์บ้านเดี่ยวเซ็กเมนต์กลางบนแนวโน้มสดใส วางแผนบุกตลาดไตรมาส 2 ต่อเนื่อง เตรียมประกาศเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ ‘CENTRO’ บน 2 ทำเลศักยภาพ ‘รังสิตคลอง 4 - วงแหวน’ และ ‘ราชพฤกษ์ – สวนผัก’ มูลค่าโครงการรวม 2,200 ล้านบาท   นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดีมานด์สินค้าบ้านเดี่ยวเซ็กเมนต์กลางบนในระดับราคา 5 – 15 ล้านบาทขึ้นไปนั้น ได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่อง การันตีจากอัตราการเติบโตด้านยอดขายสินค้าแนวราบ ในไตรมาส 1 ของเอพีที่ผ่านมา มีการปรับตัวสูงขึ้นถึง 64% หรือเท่ากับ 5,200 ล้านบาท ถือเป็นดัชนีที่ชี้ให้เห็นถึงความต้องการจริงจากลูกค้าที่มองหาที่อยู่อาศัยใหม่ โดยเฉพาะการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าที่วางแผนขยายครอบครัว รวมถึงกลุ่มวัยทำงานที่มีรายได้มากขึ้น และอยากขยับจากการอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมมาเป็นบ้านเดี่ยวทำเลศักยภาพใหม่ๆ ที่มีความสะดวกในการเดินทางเชื่อมต่อสู่ใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว   สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ CENTRO ที่จะเปิดขายในไตรมาส 2 นี้ ประกอบด้วย 2 ทำเลศักยภาพ ได้แก่ โครงการ “CENTRO รังสิต คลอง 4-วงแหวน” บนขนาดที่ดินประมาณ 61 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,130 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 4 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอยสูงสุด 175 ตารางเมตร  จำนวนทั้งสิ้น 279 หลัง เพียง 5 นาที ถึงวงแหวนกาญจนาฯ ซึ่งจะเริ่มเปิดขายวันที่ 28-29 เมษายน ราคาเริ่มต้น 2.95-4.75 ล้านบาท และโครงการ “CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก” บนขนาดที่ดินประมาณ 31 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,070 ล้านบาท บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่ 2 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ที่จอดรถ ขนาดพื้นที่ใช้สอยสูงสุด 342 ตารางเมตร พร้อมเอกสิทธิ์ความเป็นส่วนตัวท่ามกลางสังคมคุณภาพเพียง 176 หลัง บนทำเลศักยภาพ ให้การเดินทางเข้าออกโครงการเป็นเรื่องง่าย และรวดเร็วด้วย The Bridge  Fast Track เส้นทางส่วนตัวพิเศษเฉพาะลูกบ้านโครงการ ที่สามารถเชื่อมต่อสู่ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนฯ เพียง 5 นาที พร้อมเปิดขายในเดือนพฤษภาคม ราคาเริ่ม 7.2-12 ล้านบาท     นายรัชต์ชยุตม์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า กลยุทธ์รุกตลาดด้วยการเปิดโมเดลบ้านใหม่ เพื่อสร้างความแตกต่างผ่านการออกแบบสินค้าที่ตอบความต้องการเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น โดยไฮไลท์พิเศษของบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ CENTRO แบบบ้านใหม่ที่จะเปิดตัวในไตรมาส 2 นี้ มีจุดเด่นคือ เพิ่ม “พื้นที่ที่จอดรถยนต์ในร่มได้สูงสุดถึง 3 คัน” ตอบโจทย์ครอบครัวขยาย โดยเฉพาะผู้อยู่อาศัยที่มีครอบครัวใหญ่มีรถยนต์จำนวนมาก และเข้า-ออกบ้านในเวลาที่ไม่ตรงกัน นอกจากนี้ยังเพิ่มจำนวน “พื้นที่เอนกประสงค์” ทั้งชั้นบนและชั้นล่างถึง 2 ห้อง ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัย รวมถึงพื้นที่ส่วนนี้ยังสามารถต่อเติม และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ได้ในอนาคต พร้อมพื้นที่ชั้นล่างที่สามารถใช้เป็นห้องนอนผู้สูงอายุ หรือห้องทำงานโดยไม่ต้องกั้นห้องเพิ่ม เป็นต้น โมเดลบ้านใหม่ข้างต้นชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการดีไซน์แบบบ้านของเราในแต่ละครั้ง จะพัฒนาจากกความต้องการและพฤติกรรมการใช้ชีวิตจริงของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในแต่ละทำเล และนำมาต่อยอดพัฒนานวัตกรรมดีไซน์ เพื่อให้ได้ทั้งสเปซ และฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบรับกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ภายใต้แนวคิด การสร้างความต่างจากการออกแบบสินค้าที่ตอบความต้องการลูกค้าเฉพาะกลุ่ม โดยมีมาตรฐานคุณภาพ เพื่อให้บ้านเดี่ยวเครือเอพี ต้องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวคนเมือง     “เอพียังได้จัดแคมเปญเพื่อส่งเสริมการขายสินค้าบ้านเดี่ยวครั้งใหญ่แห่งปี “ULTIMATE PRIZE” กับกองทัพบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ภายใต้แบรนด์ CENTRO, THE CITY, MIND และ THE PALAZZO กว่า 25 โครงการ พร้อมโปรโมชั่นที่เร้าใจด้วยที่สุดของข้อเสนอไร้ขีดจำกัดมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท อาทิ ส่วนลดสูงสุด 4 ล้านบาท พร้อมลุ้นรับ Mercedes-Benz GLA เป็นต้น ด้วยที่สุดแห่งข้อเสนอไร้ขีดจำกัด ซึ่งถือเป็นแคมเปญคืนกำไรให้กับลูกค้าครั้งยิ่งใหญ่ ร่วมพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของแคมเปญ ‘ULTIMATE PRIZE’ ได้แล้ววันนี้ – 17 มิถุนายนนี้เท่านั้น พบกับข้อเสนอพิเศษนี้ได้ที่ Sales Gallery ของโครงการที่ร่วมรายการ โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าทั้งหมดนี้จะได้รับการตอบรับที่ดี และช่วยดันยอดขายแนวราบให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน” นายรัชต์ชยุตม์ กล่าวสรุป  
แกรนด์ ยูนิตี้ เปิดตัว “เดอ ลาพีส จรัญ 81” คอนโดติดรถไฟฟ้าพร้อมสัมผัสวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาถนนจรัญสนิทวงศ์

แกรนด์ ยูนิตี้ เปิดตัว “เดอ ลาพีส จรัญ 81” คอนโดติดรถไฟฟ้าพร้อมสัมผัสวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาถนนจรัญสนิทวงศ์

  นายสิริพงศ์ ศรีสว่างวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า โครงการ “เดอ ลาพีส จรัญ 81” (De LAPIS Charan 81) เป็นคอนโดมิเนียมที่ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “ถ้าความรู้สึกคือเหตุผลของการใช้ชีวิต เดอ ลาพีส จรัญ 81 จะตอบทุกเหตุผลของคุณ” เพื่อสื่อถึงความโดดเด่นโครงการทั้งทำเลที่ตั้งที่ดี การออกแบบโครงการ ฟังก์ชันการใช้งาน วัสดุที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาที่สวยกว่าใคร ที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การอยู่อาศัยของคุณมีความลงตัวมากยิ่งขึ้น   “เดอ ลาพีส จรัญ 81” (De LAPIS Charan 81) ตั้งอยู่บนทำเลถนนจรัญสนิทวงศ์ ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพเพราะติดรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ - ท่าพระ สถานีบางพลัด โดยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินนี้เป็นสายเดียวที่ถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็น “วงแหวน” หรือ Circle Line ที่จะเป็นสายหลักของระบบรถไฟฟ้า เช่นเดียวกับหลากหลายมหานครชั้นนำ ซึ่งวงแหวนรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินแห่งนี้จะกลายเป็นเส้นทางแห่งอนาคตที่สามารถเชื่อมรถไฟฟ้าสายสำคัญได้มากถึง 5 สาย อาทิ สายสีเขียว, สีแดงเข้ม, สีแดงอ่อน, สายสีส้ม และสีม่วง จึงทำให้ประชาชนสามารถเดินทางไปได้ทุกเส้นทางในกรุงเทพฯ และปริมณฑล นอกจากนี้ยังเป็นเส้นทางที่สามารถเชื่อมกับ เมกะโปรเจกต์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และถือเป็นรถไฟฟ้าสายหลักที่สามารถเชื่อมเข้าสู่ย่าน CBD ของกรุงเทพฯ ทั้งย่านรัชดาภิเษก, พระราม 9, อโศก - สุขุมวิท และสีลม - สาทร   นอกจากจะใกล้สถานีรถไฟฟ้าแล้ว การเดินทางด้วยรถยนต์ก็สะดวกสบายไม่แพ้กัน เพราะจากถนนจรัญสนิทวงศ์สามารถเชื่อมการเดินทางไปสู่กรุงเทพฯ ชั้นในได้ด้วยสะพานกรุงธน, สะพานพระราม 8 และสะพานสมเด็จ พระปิ่นเกล้า รวมทั้งเชื่อมต่อสู่ถนนรัชดาผ่านสะพานพระราม 7 และยังใกล้กับทางพิเศษเฉลิมมหานคร และจุดขึ้น - ลง ทางด่วนศรีรัช ที่จะทำให้เดินทางต่อไปสู่ย่านสำคัญๆ ทั่วเมืองได้อย่างสะดวก     "ตัวทำเลของโครงการยังแวดล้อมด้วยสถานที่สำคัญ ทั้งสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสถานที่อำนวยความสะดวกต่างๆ พร้อมทั้งอยู่ใกล้กับแหล่งศิลปวัฒนธรรมของย่านเมืองเก่าไม่ว่าจะเป็น หอศิลป์ร่วมสมัยอาร์เดล ที่ตั้งอยู่บนถนนบรมราชชนนี, หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร, หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนินเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา รวมไปถึงมิวเซียมสยาม, พิพิธภัณฑ์เหรียญ, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ที่จะทำให้ผู้อยู่อาศัยสามารถดื่มด่ำเสน่ห์ของวัฒนธรรมพร้อมกับความสะดวกสบายในความเป็นเมืองได้อย่างสมบูรณ์แบบ” นายสิริพงศ์ กล่าว   ทั้งนี้โครงการ “เดอ ลาพีส จรัญ 81” เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรซ์ สูง 32 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 635 ยูนิตและร้านค้า 2 ยูนิต อาคารจอดรถ 8 ชั้น 1 อาคาร มูลค่าโครงการประมาณ 2,018 ล้านบาท รวมพื้นที่โครงการทั้งสิ้น   3-1-3.7 ไร่ ประกอบด้วยห้องชุดขนาดต่างๆ ได้แก่ ห้อง Studio ขนาด 26 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom ขนาด 26 ตร.ม. และห้อง1 Bedroom Plus ขนาด 34.50 ตร.ม. และยังมีห้อง Type พิเศษ อย่างห้อง 1 Bedroom Corner ขนาด 34.50 ตร.ม. และห้อง 2 Bedroom ขนาด 60 ตร.ม. โดยจะมีจุดเด่นที่การเพิ่มพื้นที่ให้ฝ้าเพดานสูงถึง 2.75 เมตร ให้ความรู้สึกที่โปร่งโล่ง โดดเด่นด้วยวัสดุคุณภาพ ชุดเฟอร์นิเจอร์ Built-in ดีไซน์พิเศษออกแบบร่วมกับผู้ผลิตชั้นนำอย่างChic Republic ในราคาเริ่มต้นที่ 2.49 ล้านบาท (สำหรับห้อง 1 Bedroom)   นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทุกไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิต จุดเด่นบนชั้นดาดฟ้า (Rooftop) ของอาคาร ที่ประกอบด้วย Sky Fitness ที่สามารถมองเห็นวิวแบบพาโนรามารอบด้านทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำ Infinity Edge Swimming Pool สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่ออกแบบให้เหมือนไร้ขอบเป็นหนึ่งเดียวกับวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา Sky Garden สวนชั้นดาดฟ้าสำหรับพักผ่อนหย่อนใจได้เป็นอย่างดีกับวิวแม่น้ำ ทำให้เปรียบเสมือนเป็นเจ้าของแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากนี้โถงล็อบบี้ ยังถูกตกแต่งให้มีความโมเดิร์นมากขึ้นพร้อมปรับความสูงโถงให้เป็น Double Volume High Ceiling ที่สูงถึง 9 เมตร ทันสมัย หรูหรา ด้วยพื้นกระเบื้องลายหินจากอิตาลี และสามารถจอดรถยนต์รับ – ส่ง ด้านหน้าอาคารได้เหมือนกับโรงแรมหรู  Co-Working Space ที่มีสัดส่วนลงตัวกว่าเดิม พร้อมเพิ่มห้อง Private Room เพื่อความเป็นส่วนตัวสำหรับการนัดพบปะหรือนัดประชุมสำคัญรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี   โครงการ “เดอ ลาพีส จรัญ 81” (De LAPIS Charan 81) กำหนดเปิดให้จองอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 - 20 พฤษภาคมนี้ โดยผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับส่วดลดพิเศษสูงสุดถึง 250,000 บาท ได้ที่ www.grandunity.co.th/delapis/register และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 652 4000 หรือ www.grandunity.co.th หรือ www.facebook.com/GrandUnityDevelopment
“คูโดส” ปรับกลยุทธ์ แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ ผนวกดีไซน์และเทคโนโลยี พร้อมรับมือกระแสธุรกิจที่ผันผวน

“คูโดส” ปรับกลยุทธ์ แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ ผนวกดีไซน์และเทคโนโลยี พร้อมรับมือกระแสธุรกิจที่ผันผวน

  คูโดส เปิดตัวนวัตกรรมสินค้าใหม่สุดล้ำ ล็อคประตูแบบดิจิตอล ซึ่งเป็นการจับมือร่วมกับบริษัทอิกลูโฮม (Igloohome) บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีดาวรุ่งจากสิงคโปร์ ตั้งเป้าผลประกอบการทะลุสองเท่าภายใน 3 ปี และขึ้นแท่น 1 ใน 5 ผู้นำแบรนด์ธุรกิจอุปกรณ์ในห้องน้ำและห้องครัวของประเทศไทย   การร่วมมือครั้งนี้ จะสามารถตอบโจทย์ความมุ่งมั่นและแนวคิดของคูโดสที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนผ่านงานออกแบบผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมล้ำสมัย เพื่อช่วยแก้ปัญหาสังคมที่ผู้คนเผชิญอยู่ในแต่ละวัน ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งแบรนด์คูโดสใน ปี พ.ศ. 2554 คูโดสได้นำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงสำหรับห้องน้ำแก่กลุ่มลูกค้าชาวไทย ภายใต้แนวคิด “Insploration” (Inspiration + Exploration) คูโดสจึงมุ่งมั่นที่จะสรรหาผลิตภัณฑ์ที่มีความคิดสร้างสรรค์จากทุกแห่งในโลก รวบรวมดีไซน์ที่สวยงามและนวัตกรรมล้ำสมัยไว้ในที่เดียวกันเพื่อนำเสนอให้กับผู้บริโภคในประเทศอิกลูโฮม (Igloohome) เป็นบริษัทสตาร์ทอัพจดทะเบียนในสิงคโปร์และสหรัฐอเมริกา ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา และปัจจุบันได้รับการยอมรับจาก Airbnb ในฐานะพันธมิตรหลักทางธุรกิจ     "ตลาดประเทศไทยมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และลูกค้ามีความต้องการสินค้าที่ทันสมัยและตอบโจทย์ทางเลือกใหม่ๆ มากขึ้น คูโดสมีวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกินความคาดหวังของลูกค้าอยู่เสมอ เพราะเรามุ่งมั่น  ในการมอบผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยให้ชีวิตประจำวันของผู้คนเป็นไปอย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่เราพัฒนา คือผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้แนวคิดของ ‘นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยดีไซน์และเทคโนโลยี’ และเราโชคดีอย่างมากที่มีพันธมิตรที่มีความคิดสร้างสรรค์อย่างอิกลูโฮม ช่วยให้เราสามารถนำเสนอโซลูชั่นล่าสุดสำหรับสมาร์ทโฮม เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ผนวกเทคโนโลยีที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในตลาดเมืองไทย ซึ่งสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของเรา ที่มุ่งเน้นการออกแบบที่เรียบง่าย แต่เปี่ยมประสิทธิภาพ อีกทั้งง่ายต่อการติดตั้งและบำรุงรักษา" นายสันติ ศรีวิชาญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี.ไอ.ที. จำกัด กล่าว     คูโดสมุ่งเน้นที่คุณภาพสินค้า ฟังก์ชั่นการใช้งาน และการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อส่งมอบนวัตกรรมใหม่ที่   สอดรับกับไลฟ์สไตล์และวิถีชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ บริษัทมุ่งเน้นไปที่ค่านิยมหลัก 3 ประการ คือ ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบเพื่อคนทุกกลุ่มในสังคม (Universal Innovation) สินค้าดิจิตอล (Digital Innovation) และผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสีเขียว (Green Innovation) เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สู่ตลาดต่อไป ในปีนี้ ผลิตภัณฑ์ใหม่ของคูโดส ประกอบด้วย   ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบเพื่อคนทุกกลุ่มในสังคม (Universal Innovation)   LINE คัตเตอร์รูปทรงคล้ายเม้าส์ ใช้งานง่าย ใบมีดทำจากเซรามิก วัสดุทนทาน ปลอดภัยแม้กับเด็กและผู้พิการ CASTA กรรไกรอเนกประสงค์ ที่ส่วนคมของกรรไกรถูกซ่อนไว้ แม้แต่เด็กหรือคนชราก็สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย NAIL กรรไกรตัดเล็บที่ใช้แรงน้อยที่สุด เหมาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุที่ข้อมืออ่อนแรง BASUPO และ MOG  อุปกรณ์เสริมสำหรับห้องอาบน้ำ เพิ่มพื้นที่สำหรับจัดวางสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น ให้การอาบน้ำสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น  สินค้าก๊อกน้ำนวัตกรรม (KUDOS Creation Series)   CYE ก๊อกน้ำจาก KUDOS Creation Series ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกับ บริษัท SAN-EI จากประเทศญี่ปุ่น ผลิตภัณฑ์รุ่นนี้ถูกออกแบบโดย มร. มาโกโตะ ทานิจิริ ดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลก ที่ตั้งใจออกแบบให้สำหรับโรงแรม Moxy ซึ่งเป็นโรงแรมในเครือ Marriott รูปแบบใหม่ ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีมาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคกลุ่ม Millennial   ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสีเขียว (Green Innovation)   MIST ฝักบัวนวัตกรรมรุ่นล่าสุด จาก KUDOS Skin Care Series ถัดจากฝักบัวรุ่นยอดนิยมอย่าง Purebliss โดย MIST จะสร้างมิติใหม่แห่งการล้างหน้า ด้วยเทคโนโลยีที่ออกแบบเพื่อให้น้ำละอองเบานุ่มละมุน ให้สัมผัสอ่อนโยน เหมาะต่อผิวแพ้ง่าย พร้อมฟังก์ชั่นปรับอุณหภูมิและแรงดันน้ำให้ทำงานเหมาะสมสำหรับผิวหน้า และช่วยประหยัดน้ำได้มากถึง 45%    ผลิตภัณฑ์ดิจิตอล (Digital Innovation)   Igloohome Smart Lock ล็อคประตูแบบดิจิตอลจากอิกลูโฮม โซลูชั่นระดับโลกสำหรับที่อยู่อาศัยและสมาร์ทโฮม โดยล็อคประตูแบบดิจิตอลนี้ใช้เทคโนโลยีสมาร์ทล็อคระดับโลก ทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ป้องกันการ  แฮ็คด้วยระบบ Synchronization ซึ่งเป็นระบบที่ธนาคารชั้นนำส่วนใหญ่เลือกใช้ จึงมั่นใจได้ในความปลอดภัยขั้นสูงสุด   ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดของคูโดส จะจัดแสดงและวางขายในงานสถาปนิก '61 "Beyond Ordinary : ไม่ธรรมดา" ระหว่างวันที่ 1 - 6 พฤษภาคม 2561 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
แสนสิริ เปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ “บุราสิริ” 2 ทำเล มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท

แสนสิริ เปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ “บุราสิริ” 2 ทำเล มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท

  แสนสิริรุกบ้านเดี่ยว “บุราสิริ” 2 โครงการใหม่ ทำเลบางนา – พัฒนาการ เผย “บุราสิริ บางนา” เฟสแรกโกยยอดขายแล้วถึง 70% ใน 1 เดือน พร้อมเปิดพรีเซลโครงการ ส่วน“บุราสิริ พัฒนาการ” สร้างยอดขายไปแล้วกว่า 50% เผยลูกค้าให้ความสนใจฟังก์ชันใหม่ Sanctuary Space  เตรียมกวาดยอดขาย 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,600 ล้านบาท       คุณวิลาสิณี เดชอมรธัญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีจากปีผ่านมาจากปัจจัยบวกหลายประการ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นทำให้คาดการณ์ว่าตลาดบ้านเดี่ยวจะมีแนวโน้มทิศทางที่ดีเช่นกัน ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว ภายใต้แบรนด์ “บุราสิริ” ซึ่งตอบรับการอยู่อาศัยภายใต้คอนเซ็ปท์      “Feel At Peace” ที่เน้นการเป็นบ้านที่ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย ให้ความรู้สึก สดชื่น ผ่อนคลายในบรรยากาศรีสอร์ท ด้วยดีไซน์อันโดดเด่นที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้เข้าถึงธรรมชาติได้ในทุกวัน โดยได้เปิดตัวใน 2 ทำเลศักยภาพอย่างบางนา และพัฒนาการ ซึ่งมีความสะดวกในด้านการเดินทางเชื่อมต่อสู่ใจกลางเมือง ด้วยถนนสายหลักอย่าง บางนา-ตราด พัฒนาการ ศรีนครินทร์ สุขุมวิท และพระราม9 เดินทางสะดวกสบายด้วยทางพิเศษฉลองรัช ทางพิเศษวงแหวนรอบนอก และทางพิเศษบูรพาวิถี ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิ้งก์ ที่สามารถเชื่อมต่อสู่สนามบินสุวรรณภูมิ และใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบโครงการ ทั้ง โรงพยาบาล สถานศึกษา และแหล่งไลฟ์สไตล์อย่างห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้มอลต่างๆ ที่รองรับการใช้ชีวิตของครอบครัวยุคใหม่อย่างครบครัน     โครงการ “บุราสิริ บางนา” มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท เปิดขายในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ภายใต้คอนเซปต์ “THE HIGH LIFE ON THE RIVERBANK -วิถีชีวิตเหนือระดับริมฝั่งน้ำ” ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บนโค้งน้ำที่สวยงามที่สุดในย่านบางนา แวดล้อมด้วยความร่มรื่นของพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่ พร้อมคลับเฮ้าส์พื้นที่ 1,000 ตร.ม. และสระว่ายน้ำแบบ Infinity Edge Pool ที่เปิดรับวิว 180 องศา มอบสุนทรีย์แห่งการพักผ่อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดในการออกแบบบ้านทุกหลังในโครงการ ด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมของบ้านริมน้ำซึ่งมีเอกลักษณ์ที่สำคัญอยู่ที่ระเบียงขนาดใหญ่ที่ถือเป็นภูมิปัญญาจากการสร้างบ้านเรือนไทยในอดีต นอกจากจะเพิ่มพื้นที่ในการพักผ่อนกับครอบครัวได้มากขึ้น ยังช่วยลดความร้อนที่จะสะท้อนเข้าสู่ตัวบ้านได้อีกด้วย ซึ่งหลังจากเปิดพรีเซลโครงการก็ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างสูง ด้วยยอดขายถึง 70% ของเฟสแรกในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน     สำหรับโครงการ “บุราสิริ พัฒนาการ” มูลค่ารวมกว่า 2,400 ล้านบาท ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวจำนวน 162 ยูนิต ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Urban Sanctuary” สะท้อนถึงวิถีการใช้ชีวิตอย่างคนเมืองที่เชื่อมต่อกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว โดยบริษัทได้เปิดการขายในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาและได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเช่นเดียวกัน โดยมียอดขายแล้ว 50% ของเฟสแรก ทั้งนี้ลูกค้าให้ความสนใจและชื่นชอบฟังก์ชั่น  ใหม่ Sanctuary Space ซึ่งนับเป็นครั้งแรกกับการเปิดประสบการณ์พักผ่อนรูปแบบใหม่กับครอบครัวบนพื้นที่ Semi-Outdoor ที่สามารถเลือกปิดกระจกเมื่อต้องการพักผ่อนอย่างสงบเป็นส่วนตัวหรือเปิดกระจกออกเพื่อใกล้ชิดธรรมชาติอย่างสงบภายในบ้าน นอกจากนี้ยังผสานทุกความงดงามกับการพักผ่อนได้อย่างลงตัว ด้วยการออกแบบในสไตล์โอเรียนทอลรีสอร์ทในโทนสีอบอุ่นที่ช่วยสร้างความรู้สึกแห่งความผ่อนคลาย และนำลวดลายแบบ “Modern Oriental Pattern” ที่รวบรวมความประทับใจจากการเดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ (Journey Picturesque) มาใช้ในการออกแบบตัวบ้านให้มีความกลมกลืนธรรมชาติรอบๆ บ้านได้อย่างงดงาม       นอกจากนี้ยังได้นำนวัตกรรม “Cooliving Designed Home” มาใช้ในการออกแบบให้ภายในบ้านเย็นสบายตลอดทั้งวัน สามารถตอบโจทย์การใช้งานด้านการพักผ่อนได้อย่างแท้จริงไม่ว่าจะเป็น “SHADING SCREEN” ระแนงที่จะช่วยลด และบดบังแสงที่จะส่องเข้ามายังตัวบ้าน “ROOF SHADE” ฝ้าชายคาหรือหลังคาที่ยื่นยาวเป็นพิเศษ ช่วยป้องกันแสงแดด และลดความร้อน “UV SHIED & GREEN GLASS” สีกันความร้อน และ “กระจกเขียวตัดแสง” ที่จะช่วยสะท้อน และลดความร้อนที่จะเข้าสู่ตัวบ้าน “SOLAR ATTIC” ระบบพัดลม และช่องระบายอากาศใต้หลังคาซึ่งใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อลดความร้อนใต้หลังคา ทำให้อากาศภายในตัวบ้านเย็นลงและลดการสะสมของเชื้อโรค รวมถึง”BREEZE PANEL” ช่องระบายลมในตัวบ้านช่วยถ่ายเทและระบายอากาศภายในตัว     “บริษัทเชื่อมั่นว่าด้วยจุดเด่นของบ้านเดี่ยวแบรนด์ บุราสิริ ทั้ง 2 โครงการจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการพื้นที่ในการพักผ่อนอย่างเป็นส่วนตัว ในทำเลที่สามารถเดินทางสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวก โดยคาดว่าจะสามารถปิดการขายพร้อมโอนบ้านทั้ง 2 โครงการ มูลค่ารวม 4,600 ล้านบาท สู่เป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบของแสนสิริที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาทได้ในปีนี้” คุณวิลาสิณีกล่าว     สัมผัสนิยามแห่งการอยู่อาศัยอันเหนือระดับ และมีเอกลักษณ์ได้แล้ววันนี้ ที่โครงการ “บุราสิริ บางนา” และ “บุราสิริ พัฒนาการ” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ โทร. 1685 หรือwww.sansiri.com  
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยตลาดอาคารสำนักงาน โซนสีลม-สาทร ฮอต

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยตลาดอาคารสำนักงาน โซนสีลม-สาทร ฮอต

  พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยทำเลสีลม-สาทรติดลมบนโซนยอดนิยมของคนทำงาน ครองอันดับหนึ่งพื้นที่สำนักงานสูงสุด 2.1 ล้านตารางเมตร ล่าสุด  co–working space มาแรงโตถึง 35% เริ่มมีผู้ให้บริการต่างชาติเข้ามาเจาะตลาดโซนสีลม-สาทร รองรับกลุ่มคนทำงาน สตาร์ทอัพ ฟรีแลนซ์ และ expat ส่วนตลาดที่อยู่อาศัยพบพื้นที่พัฒนาโครงการใหม่จำกัด ส่งผลให้ตลาดรีเซลและปล่อยเช่าน่าสนใจ ผลตอบแทนขายต่อ-ปล่อยเช่าอยู่ที่ 4-5%   นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า จากผลสำรวจของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลพบว่ามีพื้นที่สำนักงานรวมทั้งสิ้น 8.6 ล้านตารางเมตร โดยโซนสีลม-สาทร เป็นโซนยอดนิยมของคนทำงาน มีพื้นที่สำนักงานสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง ประมาณ 2.1 ล้านตารางเมตร คิดเป็น 24% ของพื้นที่สำนักงานทั้งหมด รองลงมาคือโซนสุขุมวิท 1.7 ล้านตารางเมตร คิดเป็น 20% และ โซนรัชดาภิเษก 1.2 ล้านตารางเมตร คิดเป็น 14% ซึ่งนอกจากโซนสีลม-สาทร จะเป็นย่านสำนักงานที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ ยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบสนองการใช้ชีวิตของคนวัยทำงานมากมาย อาทิ การเดินทางโดยระบบขนส่งมวลชนที่สะดวกมีรถไฟฟ้าหลายสถานีล้อมรอบเกือบทุกมุมถนน มีสถานีเชื่อมต่อ BTS และ MRT จึงเป็นทำเลกลางเมืองที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังสถานที่สำคัญๆ ได้ง่าย นอกจากนี้โซนสีลม-สาทร ยังเริ่มเป็นทำเลที่มีพื้นที่สำนักงานร่วม (co-working space) ที่เติบโตตามกระแสเศรษฐกิจแบ่งปัน ที่กำลังมาแรงในกลุ่มคนทำงาน ซึ่ง co-working space ยังมีแนวโน้มเติบโตทั่วโลกและในไทยเองก็มีแนวโน้มการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยล่าสุดในปี 2560 พบว่ามีผู้ใช้บริการทั่วโลก จำนวน 1.74 ล้านราย เติบโตจากปี 2558 เฉลี่ย 83%     จากข้อมูลของ Global Co-Working Space Unconference Conference ได้วิเคราะห์ว่าภายในปี 2565 จำนวนผู้ใช้บริการ co-working space ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 5.1 ล้านราย ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้จำนวนพื้นที่สำนักงานร่วมมีการขยายตัวเพื่อรองรับความต้องการที่มากขึ้น จากปัจจุบันในปี 2561 ที่น่าจะมีจำนวนพื้นที่สำนักงานร่วมอยู่ที่ 17,725 แห่งและเติบโตเฉลี่ยราว 16% ต่อปีนั้น เพิ่มเป็น 30,432 แห่งทั่วโลกในปี 2565   สำหรับประเทศไทยเริ่มมีความต้องการหลังจากผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 เนื่องจากหลายๆ คนไม่สามารถเดินทางไปยังสำนักงานได้ ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีพื้นที่ co-working space ทั้งหมด 91 แห่งทั่วประเทศ โดย 70% เป็นพื้นที่ที่ให้บริการในกรุงเทพฯ และ 30% ไปกระจายอยู่ตามหัวเมืองต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หาดใหญ่ เป็นต้น โดยมีอัตราค่าใช้บริการแบบรายวันประมาณ 180 - 500 บาท หรืออาจคิดค่าบริการแบบเหมารายเดือนประมาณ 3,000 - 7,450 บาท ด้วยรูปแบบที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์การทำงานของคนรุ่นใหม่ จึงทำให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 35% ซึ่งล่าสุดพบว่ามีผู้ให้บริการต่างชาติรายใหญ่ เช่น JustCo ได้เข้ามาเปิดให้บริการในทำเล สีลม-สาทร ซึ่งถือเป็นทำเลยอดนิยมของกลุ่มคนทำงาน ตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานออฟฟิศและสตาร์ทอัพในย่านนี้   “อย่างไรก็ตามในส่วนของตลาดที่อยู่อาศัยในย่านสีลม-สาทรนั้น พบว่าเหลือพื้นที่ในการพัฒนาโครงการจำกัด ส่งผลให้มีความต้องการด้านที่อยู่อาศัยสูง ทั้งความต้องการในการซื้อต่อและความต้องการเช่า ทำให้คอนโดมิเนียมในทำเลนี้มีราคาปรับตัวขึ้นมาอย่างน่าสนใจโดยราคานำกลับมาขายใหม่ (resale) และผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจทั้งคู่ โดยในส่วนของตลาดรีเซลมีผลตอบแทนการขายต่อ (capital gain) ประมาณ 4-5% ต่อปี ราคาขายต่อเฉลี่ยประมาณ 230,000 บาท/ ตารางเมตร ขณะที่ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (rental yield) อยู่ที่ประมาณ 4-5% ต่อปีเช่นกัน โดยราคาปล่อยเช่าอยู่ที่ 800-1,000 บาท/ตารางเมตร สาเหตุที่ทำเลสีลม-สาทรได้รับความนิยมทั้งพื้นที่สำนักงาน co-working space และที่อยู่อาศัยนั้น เนื่องจากไม่เพียงตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนทำงานทั่วไป สตาร์ทอัพ และฟรีแลนซ์ ยังพบว่ามีความต้องการจากกลุ่มต่างชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย (expat) และอยู่อาศัยในย่านธุรกิจอีกเป็นจำนวนมาก โดยข้อมูลปี 2560 พบว่ามีจำนวน expat ในกรุงเทพฯ รวมประมาณ 1.2 ล้านคน” นายอนุกูล กล่าว
“ยิปซัม ตราช้าง” เปิดตัวนวัตกรรมสุดล้ำ “ระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช (EasyFinish™ System)” ฉีกกฎการฉาบผนังรูปแบบเดิม

“ยิปซัม ตราช้าง” เปิดตัวนวัตกรรมสุดล้ำ “ระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช (EasyFinish™ System)” ฉีกกฎการฉาบผนังรูปแบบเดิม

  บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม จำกัด (สระบุรี) จำกัด หรือ “ยิปซัม ตราช้าง” นำเสนอนวัตกรรมที่จะปฏิวัติระบบการปิดผิวผนังภายในเพื่อให้ตอบโจทย์ด้านความสวยงามและเพิ่มประสิทธิผลของงาน โดยแก้ปัญหาระบบผนังภายในแตกร้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพใช้เวลาและแรงงานที่น้อยกว่า  จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงจาก บริษัท ยูเอสจี บอรอล ผู้นำด้านเทคโนโลยีการก่อสร้างระดับโลก  เปิดตัวระบบปิดผิวผนังภายในนวัตกรรมใหม่ ภายใต้ชื่อ  “ระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช (EasyFinish™ System)” ที่สามารถติดตั้งได้ถึง 4 รูปแบบ ช่วยให้ได้ผนังภายในที่เรียบเนียนและได้ระนาบ แทนวิธีการแบบฉาบปิดผิวแบบเดิมๆ มั่นใจได้ว่าทั้งช่าง ผู้รับเหมาและเจ้าของโครงการ จะได้ประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้นถึง 4 เท่า และประหยัดเวลาได้กว่าครึ่ง ทำให้ส่งงานได้เร็วขึ้น ขณะที่ลูกบ้านวางใจได้ห้องระดับคุณภาพ     สำหรับผู้รับเหมา ลูกบ้าน และเจ้าของบ้าน มักจะคิดว่า ผนังภายในและพื้นผิวฝ้าเพดานจะดูสมบูรณ์แบบหากทำผนังได้ระนาบ รวมไปถึงซ่อมแซม รอยบุบ รอยแตกร้าว รอยขีดข่วนและความเสียหายใด ๆ ให้เรียบร้อยก่อนทาสีหรือตกแต่ง ในขณะที่หลายคนเห็นด้วยว่าเวลาเป็นเงินเป็นทอง และการลดเวลาในการก่อสร้าง ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น   ระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช สามารถติดตั้งบนผนังก่ออิฐหรือคอนกรีต  ช่วยประหยัดเวลาก่อสร้าง หมดกังวลเรื่องฝีมือและแรงงานช่างในการติดตั้ง  ตัดปัญหางานฉาบและขัดผิวที่ยากลำบาก ด้วยระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช เป็นการก่อสร้างแบบแห้งที่ไม่เพียงแค่รวดเร็วและง่ายต่อการติดตั้งสำหรับช่างทั่วไป ทั้งยังมีการดูแลรักษาง่าย ประหยัดค่าบำรุงรักษาและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   ระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อแก้ไขปัญหาผนังที่แตกร้าวไม่สวยงามและผนังที่ไม่ได้ระนาบ โดยระบบการติดตั้ง ประกอบด้วยการใช้แผ่นยิปซัม ตราช้างพลัส คุณภาพสูง ที่มีคุณสมบัติไม่ลามไฟ ติดตั้งร่วมกับปูนกาวสูตรเฉพาะที่มีคุณสมบัติการยึดเกาะดีเยี่ยม ทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้ผนังที่เรียบเนียนได้ระนาบ  ใช้เวลาติดตั้งลดลงกว่าเดิม   ระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช พิสูจน์แล้วว่ามีความทนทานใช้งานได้ยาวนาน และมีรูปแบบการติดตั้งที่หลากหลายถึง 4 รูปแบบ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาผนังภายในได้อย่างครอบคลุม    คุณจรุง กาญจนภูมิ ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม จำกัด (สระบุรี) จำกัด กล่าวว่า  ยิปซัม ตราช้าง ในฐานะผู้นำและผู้เชี่ยวชาญเรื่องฝ้าเพดานและผนังยิปซัม มุ่งมั่นนำเสนอนวัตกรรมสู่วงการก่อสร้างเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในแต่ละเซ็กเมนต์ ทั้ง ผู้บริโภค ช่าง ผู้รับเหมา เจ้าของโครงการ โดยในปีนี้ จะเน้นโซลูชั่นระบบผนังภายในที่มีความเด่นด้านเทคโนโลยี เพื่อขยายการใช้ผลิตภัณฑ์ที่นอกเหนือจากกลุ่มฝ้าเพดาน ด้วยนวัตกรรมล่าสุดระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช ซึ่งผ่านการทดลองและทดสอบประสิทธิภาพการทำงานขั้นสูงสุด ด้วยแนวคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ใช้งานง่าย และมีความทนทาน เพื่อให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุดตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน จะทำตลาดผ่านงานโครงการและสื่อออนไลน์ ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ถึงคุณสมบัติที่นวัตกรรมดังกล่าวสามารถตอบสนองความต้องการและแก้ปัญหาได้จริง  โดยกลุ่มลูกค้าหลักๆ ของระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ  ธุรกิจเพื่อการค้าและที่พักอาศัย เช่น โรงแรม โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า สำหรับในส่วนของธุรกิจที่อยู่อาศัย เช่น คอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร    ปัจจุบัน ระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช ได้ถูกใช้งานและติดตั้ง ไปแล้วในหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และ ไทย เรียกได้ว่าเป็นระบบที่ได้รับความไว้วางใจใช้จริง ซึ่งสิ่งนี้คือแนวทางองค์รวมในการสร้างสรร การออกแบบและระบบงานก่อสร้างที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่ช่วยทำให้งานก่อสร้างเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น   รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ รูปแบบการติดตั้งทั้ง 4 รูปแบบของ “ระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช (EasyFinish™ System)” ดังนี้     ·    อีซี่ฟินิช ระบบก้อนปูน (EasyFinishTM Bond System)  สำหรับผนังก่ออิฐหรือคอนกรีตที่ต้องการความเรียบเนียนและความรวดเร็วในการติดตั้งช่วยประหยัดต้นทุนในการก่อสร้างและลดปัญหารอยแตกร้าวบนผนัง   อีซี่ฟินิช ระบบโซลิด โดยใช้อุปกรณ์อีซี่สคู๊ป (EasyFinishTM Solid System EasyScoopTM Application)   สำหรับผนังก่ออิฐหรือคอนกรีตที่ต้องการความเรียบเนียนและให้ความรู้สึกทึบตัน ติดตั้งด้วยอุปกรณ์ อีซี่สคู๊ป (EasyScoop™) สามารถทำงานได้เร็วกว่าถึง 2 เท่าระบบนี้เหมาะสำหรับผนังในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกชนหรือกระแทก   อีซี่ฟินิช ระบบโซลิด โดยใช้เกรียงหวีอีซี่โทรเวล   (EasyFinishTM Solid System EasyTrowelTM Application) สำหรับผนังก่ออิฐหรือคอนกรีตที่ต้องการความเรียบเนียนและทึบตัน เหมาะสำหรับผนังที่ต้องการความแข็งแกร่งและทนทานสูง เป็นระบบที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานระดับสูงสุด (Severe Duty) ติดตั้งโดยใช้เกรียงหวี อีซี่โทรเวล (EasyTrowel™) เพื่อให้แน่ใจว่าการติดตั้งจะเป็นไปอย่างง่ายดายและรวดเร็ว ช่วยควบคุมความหนาของเนื้อปูน เพื่อให้ได้ผนังที่เรียบและได้ระดับอย่างแท้จริง   อีซี่ฟินิช ระบบโครงคร่าว (EasyFinishTM Frame System) สำหรับผนังก่ออิฐหรือคอนกรีตที่ล้มดิ่งหรือขรุขระมากซึ่งยากต่อการฉาบเก็บงาน สามารถออกแบบเพิ่มคุณสมบัติด้านการกั้นเสียง และยังให้ความสะดวกในการติดตั้งงานระบบต่างๆ ภายในช่องว่างของผนัง
ทาวน์เฮ้าส์ระดับ “Best in class” ลงตัวทุกไลฟ์สไตล์ในราคาที่เอื้อมถึงจากแสนสิริ

ทาวน์เฮ้าส์ระดับ “Best in class” ลงตัวทุกไลฟ์สไตล์ในราคาที่เอื้อมถึงจากแสนสิริ

เวลาเรามองหาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมแล้วเข้ากันได้กับไลฟ์สไตล์ของเราเอง คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหมคะ ยิ่งอยู่กันเป็นครอบครัวแล้วด้วยก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก เพราะมีทั้งเรื่องของช่วงวัยรวมไปถึงไลฟ์สไตล์ความชอบของแต่ละคนแตกต่างกัน คงจะดีไม่น้อยถ้ามีบ้านที่จะได้ใช้ทุกพื้นที่ให้ลงตัวกับทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นห้องส่วนตัวอย่างห้องนอน หรือพื้นที่ที่ได้ใช้ช่วงเวลาอยู่ร่วมกัน ซึ่งโครงการที่สามารถตอบโจทย์ได้ครบครันก็คงหาไม่ได้ง่ายๆ เช่นกัน แต่ครั้งนี้เราจะมาบอกเล่าให้ทุกท่านเห็นว่าแสนสิริทำได้จริงค่ะ   แสนสิริ ชื่อนี้หลายคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะเมื่อไรที่เอ่ยถึงเรื่องโครงการที่อยู่อาศัยก็มักจะต้องมีชื่อของแสนสิริติดอันดับอยู่ด้วยเสมอ ด้วยคุณภาพจากความใส่ใจรายละเอียด และเชื่อเหลือเกินค่ะว่า เมื่อนึกถึงแสนสิริ ส่วนใหญ่จะนึกถึงคอนโดมิเนียม High Rise ดีไซน์สวยล้ำสมัย มาพร้อม Prop Tech เจ๋งๆ สร้างกระแสฮือฮาได้อยู่เสมอ แต่ทุกวันนี้หลายคนก็เริ่มเปลี่ยนมามองที่อยู่อาศัยแนวราบกันมากขึ้น เพราะอยากจะได้พื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีสิ่งที่มาตอบโจทย์ชีวิตได้หลากหลาย เช่น เลี้ยงสุนัขได้, มีพื้นที่จัดสวน, มีห้องนอนที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุ, มีห้องให้ลูกไปพร้อมๆ กันด้วย และครั้งนี้เราจึงจะพาไปทำความรู้จักกับที่อยู่อาศัยแนวราบจากแสนสิริกันบ้างค่ะ   สิริ เพลส ทาวน์เฮาส์ แบรนด์ทาวน์เฮาส์ 2 ชั้นจากแสนสิริ ที่จะเข้ามาตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี ทั้งในแง่ของ ดีไซน์อันสวยงามพร้อมกับฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้จริงผสมผสานนวัตกรรมในที่อยู่อาศัย ที่สำคัญราคาสามารถจับต้องได้ เพราะหากเปรียบเทียบกับคอนโดมิเนียมแล้วจะเห็นได้ชัดว่าทาวน์เฮาส์มีราคาถูกกว่าแถมได้พื้นที่มากกว่า ซึ่งทุกอย่างดูเหมาะสมลงตัวได้อย่างพอดิบพอดี   COMPLETE YOUR LIVING EXPERIENCE โครงการสิริ เพลส นั้นถึงจะเป็นทาวน์เฮาส์ที่เริ่มต้นด้วยราคาล้านปลายๆ แต่เรื่องของการใส่ใจเพื่อคนอยู่อาศัยแล้วบอกได้เลยว่าไม่ธรรมดา เพราะทุกส่วนที่ประกอบภายในบ้านและภายในโครงการตั้งใจออกแบบมาเพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของการใช้ชีวิตกับสิ่งที่คุณชอบ ด้วยแนวคิด COMPLETE YOUR LIVING EXPERIENCE ที่ทำมาเพื่อตอบโจทย์ชีวิต 3 ด้าน   Siri Living : นวัตกรรมเพื่อชีวิตการอยู่อาศัยแนวใหม่ ที่ให้ชีวิตสะดวกสบายง่ายขึ้น       “Modern Loft” ถูกเลือกมาตกแต่งในทุกโครงการของสิริ เพลสด้วยความโดดเด่นของดีไซน์อันเรียบง่ายทั้งโทนสี วัสดุและพื้นที่โปร่งโล่ง กว้างขวางไม่มีขอบเขตมากนัก จึงสามารถปรับเปลี่ยน Function การใช้งานได้ตามไลฟ์สไตล์ความชอบให้เป็นไปได้ ประกอบกับรายละเอียดที่เน้นให้ปรับได้ตามความชอบของผู้อยู่อาศัย เช่น ห้องเอนกประสงค์ พื้นที่ตอบโจทย์วามชอบที่ตกแต่งได้ตามความต้องการ เพื่อขยายทุกความชอบให้เป็นไปได้ในบ้านของเราเอง ทางเดินบริเวณโถงบันไดมีช่องแสงธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มแสงสว่างจากด้านนอก ทำให้ประหยัดไฟในเวลากลางวันหรือแม้แต่ในส่วนด้านหลังบ้านมีการลงเสาเข็มให้เรียบร้อย หากผู้อยู่อาศัยต้องการจะทำส่วนต่อขยายก็สามารถทำเพิ่มได้สบายๆ เพราะ ตัวเสาเข็มนั้นนั้นทำรองรับน้ำหนักได้ถึง 22 ตัน นอกเหนือจากนี้ ภายในโครงการยังมี Full Facilities สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางภายในโครงการตอบทุกไลฟ์สไตล์ของทุกคนในครอบครัว Educational Playground สนามเด็กเล่นพร้อมเครื่องเล่นที่ถูกคิดค้นขึ้นมาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจนเกิดเป็นเครื่องเล่นเด็กในดีไซน์ใหม่ ซึ่งสามารถพัฒนาทักษะหลายด้าน เพิ่มการเรียนรู้จากประสบการณ์ด้วยตัวเด็กๆ เป็นต้น   Siri Lifetech : นวัตกรรมเพื่อชีวิตการอยู่อาศัยแนวใหม่ ที่ให้ชีวิตสะดวกสบายง่ายขึ้น https://youtu.be/9RIXUTVYg1I     แสนสิริยังไม่ทิ้งเรื่องของเทคโนโลยีภายใน โครงการสิริ เพลสนั้นมีการบริการในส่วนเทคโนโลยีล้ำสมัยในที่อยู่อาศัยเพิ่มเข้าไปให้กับลูกบ้านทุกหลังเริ่มต้นจากติดตั้งสาย LAN ให้ทุกบ้านเพื่อให้เชื่อมต่อnetworkและพร้อมใช้งานภายในบ้านได้ทันที, Home Service Application แอพพลิเคชั่นที่ช่วยให้ใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้นผ่านหน้าจอมือถือของเราเอง และบัตรเข้าออกโครงการ ด้วยระบบเปิดปิดอัตโนมัติสำหรับลูกบ้านเท่านั้น และในบริเวณส่วนกลางก็ยังมีการให้บริการ Free Wifi และยังมีระบบSolar Cell เพื่อประหยัดพลังงานอีกด้วย   Siri Experience: เติมเต็มชีวิตให้ครบสมบูรณ์แบบทุกช่วงเวลา ให้กับลูกบ้านคนสำคัญ โครงการสิริ เพลสได้รับการดูแลและรับสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกครอบครัวแสนสิริเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ ของแสนสิริ ได้แก่ Sansiri Family สิทธิส่วนลดจากร้านค้า และกิจกรรมพิเศษของลูกบ้านแสนสิริ, Sansiri Lounge ที่พร้อมรับรองคุณที่พารากอน, Plus Property ที่ดูแลจัดการสภาพแวดล้อมโครงการ อีกทั้งดูแลเรื่องการย้ายเข้าปล่อยเช่าด้วยและ SSS (SIRI SECURITY SYSTEM) การดูแลความปลอดภัยด้วยรปภ. ที่ได้มาตรฐานพร้อม CC TV ในทุกป้อมรปภ. และในโครงการนั้นนั้นยังมีรั้วที่สูง 3.8 เมตรด้วย   และนี่คือเหตุผลว่าทำไม “สิริ เพลส” ถึงได้กลายเป็น “Best in class” อย่างสมบูรณ์ ซึ่งในปี 2561 นี้ สิริ เพลส ทาวน์เฮาส์ เตรียมเปิดตัวถึง 5 โครงการ จาก 5 ทำเลที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว โดย 5 โครงการ สิริ เพลส จะเปิดตัวจะเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2561 สิริ เพลส รังสิต ราคาเริ่มต้นที่ 1 ล้านปลาย สิริ เพลส นวนคร ราคาเริ่มต้นที่ 1 ล้านกลาง สิริ เพลส ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ ราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านกลาง สิริ เพลส สุขสวัสดิ์-พระราม 3 ราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านปลาย   สิริ เพลส กัลปพฤกษ์-สาทร ราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านปลาย     โดยวันพรีเซลล์ 5 โครงการ สิริ เพลส ทาวน์เฮาส์  คุณภาพ แสนสิริ 12-13 พ.ค. 2561  สิริ เพลส รังสิต และ สิริ เพลส นวนคร และ 19-20 พ.ค. 2561  สิริ เพลส สุขสวัสดิ์-พระราม 3, สิริ เพลส ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์, สิริ เพลส กัลปพฤกษ์-สาทร         SIRI PLACE RANGSIT   โครงการสิริ เพลส รังสิต ติดถนนใหญ่ ถนนรังสิต - ปทุมธานี ซึ่งรังสิตคือย่านสำคัญฝั่งทิศเหนือของกรุงเทพ ที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลาย Generation ทั้งวัยเรียนที่มีสถาบันการศึกษาชื่อดังหลายแห่ง ตั้งแต่ระดับปฐมวัยไปจนถึงอุดมศึกษา และกลุ่มคนวัยทำงานที่มีอยู่ไม่น้อย จะเลือกหลบออกมาอยู่ชานเมือง แต่ยังคงเดินทางไปทำงานในใจกลาง CBD ได้อย่างสะดวกทั้งการเดินทางด้วยรถสาธารณะ และรถยนต์ส่วนตัว โดยทำเลที่ตั้งของโครงการที่อยู่ใกล้กับจุดขึ้น-ลงทางด่วนอุดรรัถยา ด่านบางพูน และโทลเวย์ ที่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางของความสะดวกสบายของย่านนี้ เพราะมีห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง ฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต เมเจอร์รังสิต ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเดินทางด้วยรถสาธารณะไม่ว่าจะเข้าเมือง หรือออกต่างจังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคตที่กำลังจะมีรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต ห่างจากโครงการตรงสถานีรังสิตประมาณ 5 กิโลเมตร ก็จะยิ่งทำให้เปลี่ยนโฉมของการเดินทางได้อย่างดีขึ้นแน่นอน   ด้วยความที่โครงการมีคลองเชียงรากอยู่ด้านข้าง ทางแสนสิริจึงเกิดไอเดียให้โครงการกลมกลืนกับธรรมชาติเดิมมากที่สุด โดยออกแบบภาพรวมให้ดูเป็นสีขาวโทนสว่าง สะอาด สบายตา แต่ยังคงเรียบหรู เพิ่มความสดชื่นด้วยต้นไม้ ไม้ดอกประดับในโครงการ ส่วนกลางทั้งฟิตเนส, สระว่ายน้ำ, สวนสีเขียว, Jogging Park, Play Ground ถูกดีไซน์ให้เชื่อมต่อกันเพิ่มความน่าสนใจ   แบบบ้านดีไซน์ใหม่ New Series สไตล์ Soft Loft โทนสีฟ้า น้ำเงิน ผสานเข้ากับวัสดุแบบ Loft ผนังหินกรุสีเทา เรียบง่าย แต่มีสไตล์คง Concept สายน้ำเชียงรากอันเงียบสงบ มีมาให้เลือก 2 Type ตามความชอบ คือ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ และ 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท   SIRI PLACE Nawanakorn   สิริ เพลส นวนคร ทาวน์เฮ้าส์ใหม่ติดถนนพหลโยธินฝั่งขาออก จุดกึ่งกลางของการใช้ชีวิต รายล้อมด้วยนิคมอุตสาหกรรม อาทิ นิคมนวนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอินในจังหวัดอยุธยา และสถานศึกษาชั้นนำอย่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ รวมถึงห้างสรรพสินค้าที่สามารถอำนวยความสะดวกให้ผู้อาศัย อาทิ บิ๊กซีและโลตัสนวนคร แม็คโครและโลตัสคลองหลวง รวมถึงห้างสรรพสินค้าใหญ่อย่างฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และอนาคตอย่างเซ็นทรัลเอ็ม ติดตลาดโรงเกลือ และใกล้ตลาดต่อยอด(ซึ่งจะเปิดเร็วๆ นี้) สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกไม่ว่าจะด้วยรถสาธารณะหรือรถยนตร์ส่วนตัว เพราะโครงการตั้งอยู่บนถนนเส้นหลัก ใกล้ทางด่วน 2 สาย บางปะอิน-ปากเกร็ด และวงแหวนตะวันออก จึงสามารถหลีกหนีเส้นทางการจราจรติดขัดขึ้นทางด่วนได้โดยเร็ว รวมถึงการคมนาคมที่รองรับการเดินทางที่สะดวกสบายอย่างรถไฟฟ้าสายสีแดงส่วนต่อขยายรังสิต-ธรรมศาสตร์ ห่างจากโครงการเพียง 9 กม.     การมาของ สิริ เพลส นวนคร กลายเป็นสังคมแห่งการอยู่อาศัยคุณภาพที่หลายคนรอคอย ทั้งในด้าน Developer ที่มีความน่าเชื่อถือในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ฟังก์ชั่นและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเหนือคู่แข่งบริเวณรอบๆ ไม่ว่าจะเป็น Full Facilities Club House ฟิตเนส สระว่ายน้ำ มาตรฐานการก่อสร้างและระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อาศัย ครอบคลุมไปถึง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV และไฟส่องสว่างรอบโครงการ สัมผัสคุณภาพชีวิตที่มากกว่าเป็นไปได้ที่ สิริ เพลส นวคร เริ่ม 1.69 ล้านบาท*    SIRI PLACE KALLAPAPRUEK-SATHORN   สิริ เพลส กัลปพฤกษ์ - สาทร ทาวน์เฮ้าส์ที่ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองได้มากที่สุด ด้วยการคมนาคมที่สะดวกรวดเร็วจากรถไฟฟ้าทั้ง 2 สาย เพียง 5 นาที ถึงสถานีวุฒากาศและสถานีบางแค ทางเชื่อมต่อชีวิตไปยังโซน CBD หรือนอกเมืองได้อย่างสะดวก คงรูปแบบการอยู่อาศัยบนพื้นที่ใช้สอยที่ให้มากกว่าคอนโดมิเนียมในละแวกใกล้เคียง ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูง เรียกว่าเป็นทำเลที่หาได้ยากในกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ นอกจากนี้ผู้อาศัยยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายเพราะพื้นที่โครงการรายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้าอย่างซีคอนบางแค เดอะมอลล์และโลตัสบางแค บิ๊กซีและแมคโครกัลปพฤกษ์ รวมถึงพื้นที่การศึกษา ด้วยสถานศึกษาชั้นนำอย่าง รร. อนุบาลเด่นหล้า, รร. สารสาสน์วิเทศ, รร. นานาชาติ British Columbia เป็นต้น      คุณภาพชีวิตที่ดี เริ่มต้นจากการใช้ชีวิตบนสังคมส่วนตัว เพียง 139 ยูนิต พร้อมกับพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ Double park, Joking track, Play zone เติมเต็มสีสันแห่งการอยู่อาศัยด้วยดอกไม้หลายสีล้อมรอบโครงการ สัมผัสทุกมิติของชีวิตเป็นไปได้ที่ สิริ เพลส กัลปพฤกษ์-สาทร เริ่ม 2.99 ล้านบาท*       SIRI PLACE SUKSAWAT-RAMA 3   สิริ เพลส สุขสวัสดิ์ - พระราม 3 โครงการตั้งอยู่ในซอยสุขสวัสดิ์ 26 ทำเลโดดเด่นในการเดินทางเชื่อมต่อได้หลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเข้าเมืองหรือออกนอกเมืองโซนพระราม 2 ก็ง่ายนิดเดียว ใกล้จุดขึ้น-ลงทางพิเศษเฉลิมมหานคร วงแหวนอุตสาหกรรม และสามารถทะลุออกถนนกาญจนาภิเษกได้อีกด้วย ในอนาคตก็จะอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วงส่วนต่อขยาย บางใหญ่-บางซื่อ-ราษฎร์บูรณะ สถานีดาวคะนองกับสถานีบางปะแก้ว ไม่เกิน 5 กิโลเมตร สิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครันเช่นกัน ทั้งบิ๊กซี โลตัส โฮมโปร เซ็นทรัลพระราม 2 โรงพยาบาลอีกหลายแห่ง   ทาวน์เฮ้าส์คอนเซปสไตล์ Loft มี 2 Type พื้นที่ใช้สอย 133 ตารางเมตร กับพื้นที่ใช้สอย 117 ตารางเมตร ขนาดที่ดินตั้งแต่ 18.5-20.7 ตารางวา ได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เพราะมีเพียง 199 ยูนิต พร้อม Full Facilities ครบครัน เช่น ฟิตเนส สระว่ายน้ำ ทางวิ่งจ๊อกกิ้ง สนามเด็กเล่น โซนเล่นบาสเกตบอล ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น และยังได้ดอกไม้หลากสีสลับสับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เหมือนย่อป่ามาไว้ในโครงการ ให้ชีวิตลงตัวมากขึ้น ราคาเริ่มต้น 2.99 ล้านบาท   SIRI PLACE RATCHAPRUEK-RATTANATHIBET   สิริ เพลส ราชพฤกษ์ - รัตนาธิเบศร์ โครงการตั้งอยู่ในซอยโยธาธิการ ซึ่งเป็นซอยที่สามารถเข้า-ออกได้จากถนนราชพฤกษ์ กับถนนบางกรวย-ไทรน้อย เป็นทำเลแบบที่โครงการแนวราบหาได้ค่อนข้างยาก เพราะอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีม่วงสถานีบางพลู ที่เปิดให้บริการแล้วในปัจจุบันเพียง 2.5 กิโลเมตร ซึ่งบริเวณนี้ก็ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำคัญ คือ เซ็นทรัลพลาซ่า เวสต์เกต, อิเกีย บางใหญ่, บิ๊กซี บางใหญ่ ฯลฯ ประมาณ 5 กิโลเมตร แถมยังเป็นจุดที่สามารถเชื่อมเข้าสู่ถนนกาญจนาภิเษกได้เลย นอกจากนี้ย่านนี้ก็ยังเต็มไปด้วยร้านอาหารขึ้นชื่อ บรรยากาศดีเรียงรายอยู่มากมายตลอดเส้นทาง โดยการมาของรถไฟฟ้าและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ยักษ์เช่นนี้ เชื่อว่าจะทำให้บริเวณนี้กลายเป็นเมืองใหม่ในไม่ช้า   โครงการนี้มีความเป็นส่วนตัวสูง เพราะนอกจากเรื่องทำเลที่ตั้งแล้ว ยังมีเพียง 93 ยูนิต มาในสไตล์ Modern Loft พื้นที่ใช้สอย 133 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องอเนกประสงค์ 2 ที่จอดรถ และส่วนกลางที่ได้มาตรฐานที่ดีจากแสนสิริ เช่น สวนสีเขียว สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สนามเด็กเล่น ฯลฯ   สิริ เพลส คือ ทาวน์เฮาส์ที่ถูกคัดสรรเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณภาพมาตรฐานของแสนสิริ รวมถึงดีไซน์ที่ทั้งสวยงาม ทั้งตอบโจทย์การใช้ชีวิตบนพื้นที่แห่งความพอดีได้อย่างลงตัวที่สุด จนได้ขึ้นแท่นสมกับคำว่า “Best in class” ของทาวน์เฮาส์อย่างไร้ข้อกังขา   โดยวันพรีเซลล์ 5 โครงการ สิริ เพลส ทาวน์เฮาส์ คุณภาพ แสนสิริ 12-13 พ.ค. 2561 สิริ เพลส รังสิต และ สิริ เพลส นวนคร และ 19-20 พ.ค. 2561 สิริ เพลส สุขสวัสดิ์-พระราม3, สิริ เพลส ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์, สิริ เพลส กัลปพฤกษ์-สาทร   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 1685 หรือลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษก่อนวันเปิด Pre sale ได้ที่นี่ https://bit.ly/2rtm7me         
สิงห์ เอสเตท ส่ง ดิ เอส สุขุมวิท 36 บุกตลาดฮ่องกง  กวาดยอดขาย 200 ล้านบาท

สิงห์ เอสเตท ส่ง ดิ เอส สุขุมวิท 36 บุกตลาดฮ่องกง กวาดยอดขาย 200 ล้านบาท

  นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่ทาง บมจ.สิงห์ เอสเตท ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมในระดับลักชัวรี ดิ เอส สุขุมวิท 36 (THE ESSE at SUKHUMVIT 36) เมื่อช่วงปลายปี 2560 ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับทาง ฮ่องกง แลนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ระดับเอเชีย โดยที่ผ่านมาถือได้ว่าได้รับความสนใจจับจองโครงการจากกลุ่มลูกค้าไทยและต่างชาติอย่างต่อเนื่อง   “ปีนี้บริษัทฯ ได้วางแผนนำโครงการออกงานโรดโชว์ที่ต่างประเทศตลอดทั้งปี  ประเดิมงานแรกของปีด้วยการออกโรดโชว์โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ที่ฮ่องกงเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มนักลงทุนฮ่องกงถือว่าเป็นตลาดหลักสำคัญที่สนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย รวมถึงยังมีฐานลูกค้าที่มาจากพาร์ทเนอร์อย่าง ฮ่องกง แลนด์ โดยรวมยอดขายจากโรดโชว์ 2 วันอยู่ที่ 200 ล้านบาท ซึ่งทำให้ขณะนี้โครงการฯ มียอดขายรวมแล้วกว่า 60% โดยมีสัดส่วนของลูกค้าชาวต่างชาติ 20% ของทั้งโครงการ และตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศให้ได้ถึง 40%อีกทั้งคาดว่าปีนี้จะมีการนำโครงการออกโรดโชว์อีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งยังคงมุ่งไปยังประเทศในแถบเอเชียเป็นหลัก” นายณัฐวุฒิ กล่าว     สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมที่ผ่านมาของสิงห์ เอสเตท ได้แก่ ดิ เอส อโศก (THE ESSE Asoke) และ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (THE ESSE at SINGHA COMPLEX) ทั้ง 2 โครงการต่างได้รับการตอบรับที่ดีในกลุ่มลูกค้าคนไทย รวมถึงได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติทั้งนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนรายย่อย ทำให้ปัจจุบันทั้งสองโครงการมียอดขายรวมแล้วกว่า 85%   “ทั้งนี้โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี สูง 43 ชั้น จำนวน 338 ยูนิต ราคาเริ่มต้นต่อยูนิตอยู่ที่ 12.3 ล้านบาท โดยออกแบบภายใต้แนวคิด “A Harmony of Contrast”  หรือ สมดุลแห่งความต่าง โดยการหลอมรวมอัตลักษณ์ของความเป็นไทยกับเทรนด์การอยู่อาศัยในยุคปัจจุบันเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 1 ปี 2561 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ตุลาคม 2563”  นายณัฐวุฒิ กล่าวปิดท้าย  
ซีบีอาร์บี เผยยอดขายวิลล่าภูเก็ตเพิ่มขึ้น 21%

ซีบีอาร์บี เผยยอดขายวิลล่าภูเก็ตเพิ่มขึ้น 21%

  จากรายงานฉบับล่าสุดโดยแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก พบว่า ในปี 2560 ยอดขายวิลล่าในภูเก็ตอยู่ที่ 155 หลัง ซึ่งถือเป็นยอดขายสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2558 และเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 21% โดย 90% ของยอดขายวิลล่าทั้งหมดในปี 2560 เป็นวิลล่าในตลาดระดับกลาง-ล่างซึ่งมีราคา 5 - 35 ล้านบาท   แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี พบว่ายอดขายที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ทั้งในตลาดวิลล่าและคอนโดมิเนียมตากอากาศเป็นการซื้อเพื่อการลงทุนหรือเพื่อก่อให้เกิดรายได้  โครงการส่วนใหญ่เสนอแผนการปล่อยเช่าที่มีการรับประกันผลตอบแทนที่ 5 - 7% ต่อปีเป็นระยะเวลา 2 - 5 ปี  โดยกลุ่มผู้ซื้อที่พักตากอากาศในภูเก็ต 3 อันดับแรกมาจากไทย ยุโรป และจีน     นางสาวประกายเพชร มีชูสาร ผู้อำนวยการแผนกซื้อขายบ้านพักตากอากาศ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า ยอดขายในตลาดระดับลักซ์ชัวรี่ ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 90 ล้านบาทขึ้นไปต่อหลังสำหรับวิลล่าและ 20 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิตสำหรับคอนโดมิเนียมนั้นมีไม่มากนัก  แต่ซีบีอาร์อีมั่นใจว่าตลาดลักซ์ชัวรี่ยังคงได้รับความสนใจอยู่ โดยเห็นได้จากยอดขายวิลล่าจำนวนสองหลังในโครงการ ลายันเรสซิเดนเซส บาย อนันตรา และจำนวนหนึ่งหลังในโครงการอวาดีน่า ฮิลส์ บาย อนันตรา ซึ่งมีราคาอยู่ในระดับ 300 - 500 ล้านบาทในปี 2560     สำหรับโครงการอวาดีน่า ฮิลส์ บาย อนันตรา ซึ่งมีราคาอยู่ในระดับ 200 - 500 ล้านบาทในปี 2560 แผนกวิจัย ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่าจะมีโครงการที่พักตากอากาศที่ได้รับการบริหารโดยเครือโรงแรมเพิ่มมากขึ้น เพราะได้กลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้ซื้อให้ความสนใจมากขึ้นสำหรับโครงการที่มีการรับประกันผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า   ในปี 2561 ซีบีอาร์อีเชื่อว่าปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจะยังคงเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิดความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต ทั้งในตลาดที่พักตากอากาศและตลาดโรงแรม   โดยตลาดที่พักตากอากาศในระดับกลาง-ล่างจะยังคงเป็นตลาดที่มีผู้ซื้อเป็นนักลงทุนเป็นหลักอยู่ต่อไป   สำหรับตลาดระดับบน ซีบีอาร์อีเชื่อว่ายังมีโอกาสอยู่แต่ก็มีความท้าทายสำหรับผู้พัฒนาโครงการในการพัฒนาสินค้าให้ตรงต่อความต้องการของลูกค้า  
7 ประเด็นร้อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ กรุงเทพฯ

7 ประเด็นร้อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ กรุงเทพฯ

  เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง ชี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ปรับตัวรับการลงทุนของกลุ่ม    ทุนต่างชาติ ผู้ประกอบการรายกลางและรายใหม่ตบเท้าเข้าตลาดเพิ่ม ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่มองหาการลงทุนในตลาดเช่าเพื่อบริหารต้นทุนและรับรู้รายได้ในระยะยาว ส่วนครึ่งปีหลังตลาดคอนโดมิเนียม ระดับลักซูรี่กลางเมืองยังเติบโตต่อเนื่อง   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี2561 ตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ยังคงคึกคักต่อเนื่อง และมีประเด็นสำคัญในตลาดที่น่าจับตามองอยู่หลายประเด็น ทั้งในแง่ของการลงทุน ราคาที่ดิน แนวโน้มช่วงครึ่งปีหลัง และปีหน้า     ประเด็นที่ 1 : ในช่วงไตรมาสแรกปี 2561 มีโครงการ คอนโดมิเนียม เกิดใหม่ โดยผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ และรายย่อยจำนวน 14,094 หน่วย จาก 31 โครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้มีจำนวนห้องชุดทั้งหมดในตลาด อยู่ที่ 564,000 หน่วย และจากการที่ที่ดินในใจกลางเมืองมีราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้พัฒนาไม่สามารถหาที่ดินพัฒนาโครงการได้เหมาะสม สัดส่วนห้องชุดที่เกิดใหม่จึงเกิดขึ้นบริเวณ โซนสุขุมวิทตอนปลาย (29%) โซนพญาไท-รัชดาภิเษก-พระราม 9 (23%) โซนตากสิน เพชรเกษม (17%) เป็นหลัก สำหรับในครึ่งปีหลังนี้น่าจะเห็นโครงการใหม่เกิดขึ้นบริเวณแจ้งวัฒนะ และ รามอินทรามากขึ้น จากแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น  อย่างไรก็ตาม  สิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า ราคาคอนโดมิเนียมในกลุ่มซูเปอร์ลักซูรี่กลางเมืองที่เปิดตัวราคาตารางเมตรละ 400,000 บาท จะมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ จากราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น  ในขณะที่ตลาดซิตี้คอนโดจะขยายตัวออกไปในส่วนต่อขยายรถไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้ราคาไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก   ประเด็นที่ 2 : หลายปีที่ผ่านมา ผู้พัฒนาหลักในตลาดคอนโดมิเนียมจะเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 70% ของตลาด แต่สำหรับในช่วงไตรมาสแรกนี้ ผู้พัฒนาโครงการ รายกลางและรายใหม่ เริ่มมีสัดส่วนมากขึ้น รวมทั้งผู้พัฒนาจากต่างชาติด้วย โดยมีผู้พัฒนาโครงการรายกลางและรายใหม่เปิดตัวโครงการประมาณ 38% ของจำนวนห้องชุดใหม่ในตลาด ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าตลาดยังน่าดึงดูดให้ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ผู้ประกอบการขนาดกลางหลายรายยังมี Roadmap ที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายใน 1 - 2 ปีนี้อีกด้วย   ในขณะเดียวกันแผนธุรกิจและการพัฒนาโครงการสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ กลับมาให้ความสำคัญกับตลาดที่มีความยั่งยืนมากขึ้น เปลี่ยนแปลงสัดส่วนการลงทุน ระมัดระวังการซื้อที่ดินกลางเมืองบ้าง โดยเพิ่มพัฒนาตลาดบ้านแนวราบที่การเช่าที่ดินระยะยาว เพื่อพัฒนาโครงการที่มีรายได้ค่าเช่ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมหรืออาคารสำนักงาน และเริ่มมองหาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศมากขึ้นด้วย     ประเด็นที่ 3 : ทุนต่างชาติ ในช่วงไตรมาสแรกมีบริษัททุนขนาดใหญ่จากจีนที่เปิดตัวโครงการชัดเจนโดยมิได้อาศัยบริษัทไทยที่มีชื่อเสียงเข้าร่วมทุนถึง 20% ของจำนวนห้องชุดที่เปิดในตลาดกรุงเทพฯ  และเป็นโครงการขนาดใหญ่ มูลค่ารวมมากกว่า 30,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทย สำหรับต่างชาติที่เคยเข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ก็ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เริ่มเห็นคอนโดมิเนียมที่ตอบสนองความต้องการของคนญี่ปุ่นมากขึ้น ปีนี้ทุนญี่ปุ่นที่จะเข้ามาพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 4 - 5 โครงการ   ประเด็นที่ 4 : นักลงทุนรายย่อยต่างชาติ ยังคงให้ความสนใจเข้ามาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง   และมีจำนวนมากขึ้น ปัจจัยหลักก็ยังคงมาจากราคาสินค้าที่ยังคงถูกกว่ามาก เมื่อเทียบกับตลาดในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนจากฮ่องกง และญี่ปุ่น ประกอบกับระยะการเดินทางก็ไม่ไกล การซื้อคอนโดมิเนียมไว้           ก็เสมือนเป็นบ้านหลังที่ 2 เพื่อพักผ่อนและปล่อยเช่า ก่อนหน้านี้เราจะเห็นเทรนด์นี้ เฉพาะในสินค้าประเภท ลักซูรี่ และซูเปอร์ลักซูรี่เท่านั้น แต่ตอนนี้ตลาดไฮเอนด์ และตลาดระดับกลางก็เริ่มมีนักลงทุนให้ความสนใจมากขึ้น นอกจากนี้นักลงทุนจากประเทศจีน ก็ยังต้องการย้ายเงินลงทุนมายังต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยงอีกด้วย  ประกอบกับผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ในประเทศเองก็ออกไปนำเสนอสินค้าในต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนี่อง มีการสร้างความเชื่อมั่นด้วยการไปเปิดสำนักงานย่อย เพื่อบริการลูกค้าอีกด้วย จึงทำให้ตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะในเอเชียเติบโตอย่างต่อเนื่อง   อีกส่วนที่น่าจับตามองคือ ในช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนเข้ามามองหาซื้อห้องชุดในโควต้าต่างชาติ 49% เพื่อไปเสนอให้นักลงทุนรายย่อยในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมองเห็นโอกาสในการทำกำไร ในขณะเดียวกันก็ยังเชื่อมันว่ามีผู้ซื้อรายย่อยในประเทศต่างๆ ยังคงมองหาคอนโดมิเนียมในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดนี้ก็น่าจะยังคงเติบโตได้ต่อไป     ประเด็นที่ 5 : สำหรับนักลงทุนรายใหม่ที่มีเงินทุนจากธุรกิจครอบครัว รุ่นพ่อแม่เริ่มจับมือกันมาร่วมทุน   เพื่อพัฒนาโครงการที่พักอาศัยแนวใหม่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมหรือบ้านพักอาศัยระดับหรู โดยกลุ่มนี้      ก็เหมือน Startup ในธุรกิจอื่นๆ มีต้นทุนในการบริหารจัดการต่ำ มีความคล่องตัวสูง บางกลุ่มก็มีตลาดรองรับสินค้า  ที่พัฒนาอย่างชัดเจนซึ่งอยู่ในเครือข่ายของธุรกิจหลัก และไม่เฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยเท่านั้น ยังรวมไปถึง โรงแรมแนวใหม่ อพาร์ทเมนท์ Co-working space หรือ Lifestyle retail ต่างๆ   ประเด็นที่ 6 : หลายๆ โครงการอสังหาริมทรัพย์ได้นำ Platform การใช้ชีวิต ที่ตอบสนองกับ Lifestyle คนไทยที่เปลียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มาเพิ่มเป็นจุดขายในการพัฒนาโครงการ ไม่ว่าจะเป็นระบบสั่งการหรือการให้บริการผ่าน Mobile Application ต่างๆ Smart Robot หรือ Smart Locker เป็นต้น ซึ่งแน่นอนก็จะตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี โอกาสในตลาดสำหรับคนที่มีที่อยู่อาศัยแล้วที่จะมี Platform ที่สามารถตอบสนองความต้องการของที่อยู่อาศัยเดิม น่าจะเป็นสิ่งที่น่าจับตามองในระยะเวลาอันสั้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบ Smart Locker หรือระบบการบริการต่างๆ ที่เพิ่มความปลอดภัย การพักผ่อนหย่อนใจ และความสะดวกสบายใน การใช้ชีวิตมากขึ้น     ประเด็นที่ 7 : โอกาสทางการตลาดสำหรับตลาดที่อยู่อาศัยในครึ่งปีหลัง ยังคงเห็นความเติบโตในตลาดต่างชาติ ในขณะที่ราคาก็ยังคงปรับตัวสูงขึ้นจากต้นทุนที่สูงขึ้น คอนโดมิเนียม 7 - 8 ชั้นขนาดโครงการเล็กลง   จาก ผู้พัฒนารายใหม่ ยังคงเห็นต่อเนื่อง รวมถึงบ้านลักซูรี่ระดับราคาสูงก็ยังคงมีความต้องการต่อเนื่อง และยังมีผู้ให้ความสนใจ ทำเลการพัฒนาโครงการ ถ้าเป็นโครงการกลางเมืองจะขยับจากทองหล่อไปเอกมัยมากขึ้น สุขุมวิท   31 - 49 ก็เริ่มเข้าไปในซอยที่ลึกขึ้น   เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีต่างชาติเข้ามาซื้อและมาลงทุนมากขึ้น ดังนั้นสถานการณ์เศรษฐกิจ การเมืองและการลงทุนรวมทั้งค่าเงินของประเทศเหล่านั้นก็จะมีผลกระทบต่อตลาดอสังหาประเทศไทยมากกว่าแต่ก่อน  
ไรมอนแลนด์ จับมือ โตเกียว ทาเทโมโนะ ผุดโครงการหรูย่านสุขุมวิท- สาทร มูลค่ารวมกว่า 9 พันล้านบาท

ไรมอนแลนด์ จับมือ โตเกียว ทาเทโมโนะ ผุดโครงการหรูย่านสุขุมวิท- สาทร มูลค่ารวมกว่า 9 พันล้านบาท

  ไรมอน แลนด์ จับมือ โตเกียว ทาเทโมโนะ ร่วมทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ 2 โครงการแรกใกล้สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ และสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ มูลค่ารวมกว่า 9 พันล้านบาท     นายเอเดรียน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามสัญญาร่วมทุนกับ บริษัทโตเกียว ทาเทโมโนะ (Tokyo Tatemono) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงการที่พักอาศัย ทำเลย่านสาทร ซอย 12 มูลค่าโครงการ 4.2 พันล้านบาท และโครงการบนถนนสุขุมวิท โดยใช้เวลาเดินเพียง 2 นาที จากรถไฟฟ้าสถานีพร้อมพงษ์ ด้วยมูลค่า 4.9 พันล้านบาท หรือมูลค่ารวมกว่า 9.1 พันล้านบาท     "การร่วมทุนระหว่างไรมอน แลนด์ และโตเกียว ทาเทโมโนะ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นถือเป็นโอกาสทองที่จะขยายธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ร่วมกันของทั้งสองบริษัท รวมทั้งยังคงมองหาความเป็นไปได้ และศึกษาความรู้สำหรับการพัฒนาโครงการในอนาคตร่วมกันในฐานะหุ้นส่วนระยะยาว เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและผลักดันการเติบโตให้เกิดประโยชน์กับทั้งสองบริษัท ในอีก 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2566) ไรมอน แลนด์ คาดการณ์ว่าธุรกิจจะมีรายได้ประมาณ 10-12 พันล้านบาท การเติบโตนี้ได้รับการสนับสนุน และการบริหารการจัดการงบดุลที่แข็งแกร่งโดยมี D/E อยู่ที่ 0.67 " เอเดรียน ลี กล่าว     นายคะทสึฮิโตะ โอซะวะ กรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และหัวหน้าฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ บริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ เปิดเผยว่า การตัดสินใจเข้าร่วมทุนกับไรมอน แลนด์ มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ เนื่องด้วยความสนใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะเพื่อการอยู่อาศัย การได้จับมือกับหุ้นส่วนที่เหมาะสมอย่างไรมอน แลนด์ จะทำให้สามารถพัฒนาการเป็นหุ้นส่วนระยะยาวร่วมกัน โดยใช้ทั้งความรู้ และประสบการณ์เพื่อสร้างผลกำไรสูงสุดในอนาคต   ปัจจุบัน บริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ (Tokyo Tatemono) ได้พัฒนาและบริหารจัดการอาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์บริลเลีย (Brillia) สิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ และสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านรีสอร์ต ธุรกิจของบริษัทโตเกียว ทาเทโมโนะ กรุ๊ป ยังให้บริการด้านที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ ที่จอดรถ ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ บริการดูแลเด็ก ธุรกิจต่างประเทศ และธุรกิจประเมินมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ โดยรายได้ของบริษัทในปี พ.ศ. 2560 เท่ากับ 77.8 พันล้านบาท  
จับตา ลีสโฮลด์ มาแรง “สยามสินธร”เร่งปั้นคอนโดใหม่บนอาณาจักรหลังสวน มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท หลัง “สินธร ต้นสน” ยอดขายพุ่งกว่า50%

จับตา ลีสโฮลด์ มาแรง “สยามสินธร”เร่งปั้นคอนโดใหม่บนอาณาจักรหลังสวน มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท หลัง “สินธร ต้นสน” ยอดขายพุ่งกว่า50%

“สยามสินธร” เดินหน้าสร้างอาณาจักรมิกซ์ยูส “สินธร วิลเลจ” ย่านหลังสวน แลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพ รุกเปิดโครงการใหม่  “สินธร หลังสวน”  คอนโดมิเนียมหรู  รับเทรนด์ตลาดอสังหาฯ กระแสลีสโฮลด์แรงต่อเนื่อง หลังโครงการ”สินธร ต้นสน”  ประสบความสำเร็จเกินคาด ยอดขายพุ่งกว่า 50%   นายขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหาร บริษัท สยามสินธร จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบสิทธิการเช่าระยะยาว หรือลีสโฮลด์ (Lease Hold) ระยะเวลา 30 ปี  โดยเฉพาะทำเลย่านใจกลางเมือง เช่น ราชดำริ สารสิน หลังสวน ลุมพินี ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อที่ต้องการอยู่อาศัยย่านใจกลางเมืองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งแง่ผู้ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยและกลุ่มนักลงทุน ซึ่งต้องการทำเลที่ดี ปล่อยเช่าง่าย และได้อัตราผลตอบแทน( yield) ที่สูง หลังจากที่ดินย่านใจกลางเมืองเหลือน้อยเต็มที และมีราคาสูงมาก ทำให้โครงการประเภทลีสโฮลด์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง   ตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านลีสโฮลด์พร้อมเผยที่ผ่านมาผู้ซื้อเปิดใจรับมากขึ้น จุดแข็งของลีสโฮลด์ โดยโครงการที่เจ้าของที่ดินเป็นผู้พัฒนาเอง ก็คือการดูแลรักษาสภาพอาคารให้มีสภาพดีอยู่เสมอ ซึ่งหากเป็นการขายขาด ภาระหน้าที่ตรงนี้จะกลายเป็นของนิติบุคคลอาคารชุดที่จัดตั้งขึ้นมา แต่หากเป็นการเช่าสิทธิระยะยาวที่มีเจ้าของที่ดินเป็นผู้พัฒนาโครงการเอง การดูแลเอาใจใส่ ตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ไปถึงการบำรุงรักษาอาคาร จะดำเนินการโดยผู้พัฒนาโครงการ ดังนั้นมูลค่าของอาคารในระยะยาวย่อมมีมากกว่า  อีกทั้งยังสามารถทำราคาเช่าได้เท่ากับที่ดินประเภทฟรีโฮลด์ในทำเลเดียวกัน คือใช้เงินลงทุนน้อยกว่า แต่ได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า  จึงเป็นอีกทางเลือกของการลงทุนในคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่น่าจับตามอง   ทั้งนี้ แนวโน้มดังกล่าว สะท้อนให้เห็นการประสบความสำเร็จ จากการเปิดขายโครงการที่ 2 คือ “สินธร ต้นสน”  ตั้งอยู่บนพื้นที่  1 ไร่ครึ่ง พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ บริเวณถนนสารสิน ตัดซอยต้นสน สูง 17 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 85-140 ตารางเมตร ราคา 19-48 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ 19 ล้านบาท จำนวน 59 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท โดยได้เปิดการขายอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา  ปัจจุบันมียอดขายรวมกว่า  50%  ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเกินคาด โดยการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2561 นี้ เช่นเดียวกับโครงการแรก คือ “สินธร เรสซิเดนซ์” เปิดขายไปเมื่อปี 2558 สามารถปิดการขายได้ 85% ภายในเวลา 2 ปี     “ปัจจัยที่ทำให้พื้นที่โดยรอบสวนลุมพินี มีความโดดเด่น หัวใจหลักๆเนื่องจากเพราะสวนลุมพินีเองเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ถือเป็นปอดของกรุงเทพฯ ทำให้คอนโดมิเนียมที่อยู่รอบพื้นที่แห่งนี้ได้ชมวิวกรุงเทพฯ  ในแบบ "พาร์ควิว" ทั้งยังอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก และเครือข่ายคมนาคมในย่านนี้ที่สะดวกมาก ปัจจุบันพื้นที่โดยรอบสวนลุมพินี ถือ เป็น Prime Area แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่มีโรงแรมระดับ 5-6 ดาว รวมถึงอาคารสำนักงานกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ และยังเต็มไปด้วยคอนโดระดับซูเปอร์ ลักชัวรี่ มากมาย  ดังนั้น ในย่านนี้ที่ดินแบบ ฟรีโฮลด์ จึงค่อนข้างหายาก และมีราคาสูง ทำให้ราคาอสังหาฯโดยรอบย่านมีราคาพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง   เพราะถือเป็นพื้นที่ไข่แดงใจกลางเมือง” นายขจรเดช กล่าว     นายขจรเดช กล่าวต่อว่า บริษัทฯ เดินหน้าต่อยอดความสำเร็จ เตรียมเปิดโครงการ “สินธร หลังสวน” ภายใต้โครงการ “สินธร วิลเลจ” มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท  ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ บนที่ดินในย่านหลังสวน  พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ แบบลีสโฮลด์ เช่าซื้อระยะยาว 30 ปี และได้รับสิทธิ์ต่ออายุอีก 30 ปี สูง ​33 ชั้น โดยจุดเด่นออกแบบให้แต่ละยูนิต มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ขนาดห้องตั้งแต่ ​98 - 480 ตารางเมตร รวมถึงมีการออกแบบห้องให้มีความโปร่งสบาย ระยะพื้นถึงเพดานสูงถึง 3.0 เมตร  มีห้อง 4 แบบ ตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน และเพ้นท์เฮ้าส์ จำนวนรวม 225 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น 20 ล้านบาท พร้อมที่จอดรถมากถึง 496   คัน  เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ​พื้นที่ส่วนกลางที่มีขนาดใหญ่  เลานจ์สำหรับผู้พักอาศัย ที่ชั้น 30  พร้อมสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ  ห้องฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ครบครัน  ล็อคเกอร์ กับเซาวน่า และห้องสตรีม เป็นต้น โดยกำหนดเปิดขายในเดือน มิ.ย. นี้   สำหรับโครงการ สินธร วิลเลจ เป็นโครงการมิกซ์ยูสบนพื้นที่ 56 ไร่ ตั้งอยู่บนทำเลใจกลางเมืองบริเวณหลังสวน ประกอบไปด้วย คอนโดมิเนียม เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ โรงแรม และคอมมูนิตี้มอลล์  ภายใต้แนวคิด “Living in the Park” จัดสรรพื้นที่กว่า 14 ไร่ เป็นสวนขนาดใหญ่ เพื่อสร้างบรรยากาศที่อยู่อาศัยให้ร่มรื่น น่าอยู่ อีกทั้งยังมุ่งเน้นการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย ชุมชน และสังคมรอบด้านอีกด้วย
คิง เพาเวอร์ ทุ่ม 14,000 ล้านบาทซื้อ”มหานคร” ต่อยอดธุรกิจท่องเที่ยว-โรงแรม

คิง เพาเวอร์ ทุ่ม 14,000 ล้านบาทซื้อ”มหานคร” ต่อยอดธุรกิจท่องเที่ยว-โรงแรม

  คิง เพาเวอร์ สยายปีกธุรกิจ เสริมความแข็งแกร่ง ทุ่ม 14,000 ล้านบาท ซื้อโครงการมหานคร ในส่วนของโรงแรม, จุดชมวิว Observation Deck และ  อาคารรีเทลมหานครคิวป์ จากบริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) เพื่อต่อยอดธุรกิจ และพัฒนาให้เป็นโครงการไลฟ์สไตล์ที่เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบที่สุดในกรุงเทพมหานคร โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาใช้บริการ     นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า การตัดสินใจเดินหน้าต่อยอดธุรกิจในครั้งนี้ เนื่องจากทรัพย์สินต่างๆ ที่ซื้อมานั้นเป็นทรัพย์สินที่สอดคล้องกับธุรกิจที่กลุ่มคิง เพาเวอร์ ได้ดําเนินการอยู่ นอกจากนี้ ยังเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มที่จะเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยสําคัญในการสนับสนุนให้บริษัทฯ กล้าตัดสินใจทุ่มงบประมาณ 14,000 ล้านบาทในครั้งนี้ และมั่นใจว่าจะช่วยเสริมความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจในกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ให้มีความมั่งคงยิ่งขึ้น   โดยการเข้าซื้อทรัพย์สินฯ ครั้งนี้ บริษัทฯ ได้เข้าถือครองทรัพย์สินในตึกมหานคร ได้แก่ โรงแรม, จุดชมวิว Observation Deck, ร้านค้าปลีกบริเวณพื้นที่รีเทล 4 ชั้น, อาคารรีเทลมหานครคิวป์, รวมถึงที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ร่วม   สําหรับเป้าหมายสําคัญในการพัฒนาทรัพย์สินที่กลุ่ม บริษัท คิง เพาเวอร์ ได้เข้าครอบครองในครั้งนี้นั้นจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเสริมสร้างศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่สําคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระดับสากล รวมถึงพร้อมที่จะรองรับการเติบโตของประชาคมอาเซียนในอนาคต   โดยจากจุดแข็งของทรัพย์สินที่ได้มา ตึกมหานครเป็นหนึ่งในอาคารที่มีความสูงที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร เชื่อมต่อการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งมีศักยภาพสูงที่จะพัฒนาเป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพ และเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เข้ามาใช้บริการ อาทิเช่น จุดชมวิว Observation Deck ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดในประเทศไทยที่เห็นวิว 360 องศาทั้งวิวเมืองและโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา และเพียบพร้อมด้วยบริการต่างๆ อีกมากมาย ทั้งโรงแรมระดับ 5 ดาวที่มีชื่อเสียง และร้านอาหารที่มีชื่อเสียงจากทั้งในและนอกประเทศ พร้อมที่จะเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สําคัญของกรุงเทพมหานครต่อไป   "ในการตัดสินใจครั้งนี้ เป็นการเดินหน้าเพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ที่พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งในการมีส่วนร่วมเสริมสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไปในอนาคต และพร้อมปักหมุดให้ประเทศไทยเป็นยุทธศาสตร์สําคัญทางเศรษฐกิจ การค้า และศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ที่สําคัญที่สุด แห่งหนึ่งของโลกต่อไป" นายอัยยวัฒน์กล่าวเสริม