Tag : News

2376 ผลลัพธ์
“ยู ซิตี้”เจรจาร่วมทุน “นาคีล” ผุดรีสอร์ทห้าพันล้าน ริมทะเลเกาะเดียราของดูไบปี’ 63

“ยู ซิตี้”เจรจาร่วมทุน “นาคีล” ผุดรีสอร์ทห้าพันล้าน ริมทะเลเกาะเดียราของดูไบปี’ 63

  “ยู ซิตี้” เล็งขยายโรงแรมสู่ภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่ง“เวียนนา อินเตอร์เนชั่นแนล โฮเทลแมเนจเม้นท์ เอจี” เจรจาร่วมทุนกับ “นาคีล” ผุดโครงการบีชรีสอร์ทขนาด 620 ห้อง บนเกาะเดียรา มูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท คาดว่าจะเปิดบริการประมาณปี 2563    นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แผนการร่วมลงทุนในครั้งนี้ เป็นการขยายธุรกิจการบริหารโรงแรมของ บริษัท เวียนนา อินเตอร์เนชั่นแนล โฮเทลแมเนจเม้นท์ เอจีภายใต้แบรนด์ ‘เวียนนา เฮ้าส์’  กับบริษัทพันธมิตรระดับโลก ทั้งนี้ ดูไบนับเป็นเมืองที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งมีแผนรองรับการเติบโตและและพัฒนาอย่างชัดเจน  อีกทั้งยังเป็นการขยายฐานธุรกิจของแบรนด์ ฯ ซึ่งมีความแข็งแกร่งอยู่ก่อนแล้วในภูมิภาคยุโรป สู่ภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก   มร. อาลี ราชิด อาเหม็ด ลูทาห์ ประธานบริษัท นาคีล กล่าวว่า บริษัทนาคีลมีความยินดี สำหรับโอกาสที่จะได้ร่วมกับแบรนด์ เวียนนา เฮ้าส์ ในการพัฒนาโรงแรมคอนเซปท์ใหม่บนเกาะเดียรา โดยนาคีลยึดกลยุทธ์หลักในการนำแบรนด์โรงแรมใหม่ๆ ที่มีชื่อเสียงมาเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยว และถือเป็นส่วนหนึ่งในคำมั่นที่นาคีลมีต่อภาครัฐบาลในการสนับสนุนการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวของดูไบ ความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นกับเวียนนา เฮ้าส์ จึงเป็นตัวอย่างอันดีที่แสดงให้เห็นถึงการดำเนินงานของนาคีลตามกลยุทธ์ดังกล่าวนี้  สำหรับแบรนด์เวียนนา เฮ้าส์ ได้รับการยอมรับในด้านการบริการจากหลายประเทศทั่วทวีปยุโรป ทางบริษัทฯ จึงมีความยินดีต่อการพัฒนาความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีชื่อเสียงในด้านการบริหารและจัดการโรงแรมในระดับโลก   มร.รูเพิร์ท ไซมอนเนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวียนนา อินเตอร์เนชั่นแนล โฮเทล แมเนจเม้นท์ เอจี กล่าวว่า เวียนนา เฮ้าส์ เป็นแบรนด์ ที่ มุ่งเน้นเติมเต็มความสุขของนักเดินทาง ที่ต้องการค้นพบประสบการณ์ใหม่ และความสะดวกสบายระหว่างการเดินทาง  โดยคอนเซปท์สำหรับ ‘เวียนนา เฮ้าส์ เดียราบีช’ เน้นประสบการณ์ของผู้เข้าพัก ให้วันพักผ่อนเป็นวันที่มีความหมายพิเศษ ซึ่งเป็นคอนเซปท์ที่ใหม่และแตกต่างจากโรงแรมอื่นๆในดูไบ โดยรีสอร์ทแห่งใหม่นี้มีจำนวนห้องพักกว่า 600 ห้อง นำเสนอภายใต้คอนเซปท์ “ความมีระดับที่สัมผัสได้”  (Affordable Great)  ชูจุดเด่นด้านความใส่ใจในรายละเอียด เน้นการบริการพื้นฐานที่เรียบง่ายแต่ตอบสนองความต้องการของผู้เข้าพักอย่างแท้จริง ห้องพักและพื้นที่ใช้สอยภายในรีสอร์ท ได้รับการออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยแรงบันดาลใจจากไลฟ์สไตล์ที่มีความสบายๆ ในแบบโบฮีเมียน (Bohemian) ตลอดจนถึงการบริการด้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีความเรียบง่ายแต่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังสร้างประสบการณ์แก่ผู้เข้าพัก ด้วยกิจกรรมบันเทิง และสันทนาการต่างๆ   นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การพัฒนาโอกาสสำหรับร่วมมือครั้งนี้สอดคล้องกับแผนการดำเนินธุรกิจของ ยู ซิตี้ ในการขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สู่ระดับโลก  โดยบริษัทนาคีล ถือเป็นพันธมิตรรายใหญ่ระดับโลก ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะเสริมความแข่งแกร่งทั้งในด้านดำเนินงานและด้านเครือข่ายทางธุรกิจ อีกทั้งเสริมมูลค่าธุรกิจด้านการบริหารจัดการโรงแรมและการลงทุนอันแข็งแกร่งของยู ซิตี้   สำหรับรีสอร์ทแห่งใหม่นี้จะตั้งอยู่ในพื้นที่ธุรกิจที่มีศักยภาพสูงบนเกาะเดียรา โดยเมืองริมทะเลที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัทนาคีลแห่งนี้ กำลังอยู่ในระหว่างการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ จากเดิมที่เรียกว่าเป็น “ดูไบเก่า” สู่การเป็นศูนย์กลางทางการค้า การท่องเที่ยว ที่พักอาศัย และเป็นฮับของกิจกรรมสันทนาการและการพักผ่อนระดับโลก ทั้งนี้ การพัฒนาเกาะในพื้นที่จำนวน 4 เกาะได้เพิ่มพื้นที่ใช้สอยในแนวชายฝั่งของดูไบเป็นระยะทางอีก 40 กิโลเมตร  ซึ่งรวมถึงพื้นที่ชายทะเลที่มีความยาวกว่า 21 กิโลเมตร เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท เซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ โครงการมิกซ์ยูส บ้านพักชายทะเล และอื่นๆ อีกมาก  ปัจจุบัน บริษัท นาคีล อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการต่างๆ บนเกาะเดียราอีกหลายโครงการ อาทิ “เดียรา ไอส์แลนด์ ไนท์ ซุก” (Deira Island Night Souk) ซึ่งเป็นตลาดไนท์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในโลก  และ “เดียรา มอลล์” (Deira Mall) ห้างสรรพสินค้าซึ่งมีพื้นที่สำหรับร้านค้าปลีกใหญ่ที่สุดในทวีปตะวันออกกลาง โดยบริษัทนาคีลมีการพัฒนาโครงการโรงแรมและรีสอร์ทบนเกาะแห่งนี้ทั้งหมด 9 แห่ง
เอสบี เปิดตัว “52 WEEKS OF DESIGN” ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเฟอร์นิเจอร์

เอสบี เปิดตัว “52 WEEKS OF DESIGN” ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเฟอร์นิเจอร์

เอสบี ดีไซน์สแควร์ เดินหน้ารุกตลาดปี 2561 เต็มรูปแบบ เปิดตัวแคมเปญแรกแห่งปี “52 WEEKS OF DESIGN by SB DESIGN SQUARE” (ฟิฟตี้ ทู วีคส์ ออฟ ดีไซน์ บาย เอสบี ดีไซน์สแควร์) ดึง 52 อินทีเรียดีไซน์เนอร์ผู้มากฝีมือและประสบการณ์ มาแชร์ไอเดียแต่งบ้านบนเว็บไซต์ เพื่อเป็นศูนย์รวมไอเดียและแรงบันดาลใจในการแต่งบ้าน เน้นชูจุดแข็งด้านการสร้างเครือข่าย Designer Connect หวังขยายฐานลูกค้าเพิ่ม คาดปีนี้อัตรายอดขายเติบโตเพิ่มอย่างมีคุณภาพ 10%   ธัญญรักข์ ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดเฟอร์นิเจอร์ในปี 2561 ว่า มีสัญญาณทางการตลาดที่ดีขึ้น เนื่องด้วยดีเวลลอปเปอร์หลายรายต่างเริ่มมีการทยอยส่งมอบจำนวนยูนิตที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม เพราะปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนไป นิยมอยู่คอนโดมิเนียมมากขึ้น ด้วยเดินทางสะดวกสบาย ผนวกกับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ก็มีการปรับตัวทั้งในเรื่องดีไซน์และบริการ เพื่อมุ่งเน้นตอบสนองความต้องการและให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด รวมไปถึงมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของรัฐบาล (ช้อปช่วยชาติ) เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาคธุรกิจตลาดเฟอร์นิเจอร์ไตรมาสแรกกลับมาคึกคักอีกครั้ง และปัจจัยบวกเหล่านี้ก็ทำให้ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาของ เอสบี มีอัตราการเติบโตเพิ่มมากขึ้น 5% เมื่อเทียบกับเวลาในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และตั้งเป้ายอดขายทั้งปีน่าจะเติบโตโดยรวมที่ 10%   กลยุทธ์หลักในปีนี้คือ Designer Connect เน้นให้ความสำคัญกับการเข้าไปกระชับสัมพันธ์กับกลุ่มอินทีเรียดีไซน์เนอร์ ซึ่งแคมเปญแรกที่จะทำในปีนี้คือ 52 WEEKS OF DESIGN by SB DESIGN SQUARE โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 1.นำเสนอผลงานการออกแบบของ Designer คนไทย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ในการแต่งบ้านให้กับลูกค้า ที่จะได้เห็นมุมมองในการออกแบบของดีไซน์เนอร์แต่ละท่านในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งจะมีผลงานออกแบบที่สวยงาม น่าสนใจเป็นประโยชน์กับลูกค้าอย่างมาก และวัตถุประสงค์ที่ 2.เพื่อให้ลูกค้าได้รับไอเดียใหม่ๆ และคำแนะนำในการแต่งบ้านจากดีไซน์เนอร์มืออาชีพ ด้วยเนื้อหาในส่วน Décor Ideas และ Recommended Items by Designer แต่ละท่าน เพราะการแต่งบ้านเป็นเรื่องที่มีรายละเอียด และหลายคนอาจไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง   แคมเปญ 52 WEEKS OF DESIGN by SB DESIGN SQUARE เอสบี ได้รับเกียรติจาก 52 อินทีเรียดีไซน์เนอร์ผู้มากฝีมือและประสบการณ์มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจ แนะนำไอเดียตกแต่งบ้าน โดยนำเสนอผ่าน www.sbdesignsquare.com ในแต่ละเดือนมีจำนวนผู้เข้าชมกว่า 5 แสนคนต่อเดือน โดยในแต่ละสัปดาห์จะมีไอเดียดีๆ จากอินทีเรียดีไซน์เนอร์แต่ละท่านมาแชร์ไว้ อาทิ คุณณัฎฐา สุนทรวิเนตร์, คุณบดินทร์ พลางกูร,คุณเบญญาภา ศิริโสภณ, คุณวัฒนา โกวัฒนาภรณ์, คุณภูวสิษฐ์ ทวีฤทธิ์ธนวงษ์ เป็นต้น ซึ่งแคมเปญนี้เริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2561 จนถึงปัจจุบันเข้าสู่สัปดาห์ที่ 17 มีดีไซน์เนอร์มาร่วมแสดงผลงาน 17 คนแล้ว ลูกค้าที่กำลังแต่งบ้านทุกคนสามารถเข้ามาในเว็บไซต์ของ SB Design Square และเลือกนำไอเดียของดีไซน์เนอร์แต่ละท่านไปต่อยอดตกแต่งบ้านของตัวเองได้ตามสไตล์ที่ชอบ ที่ผ่านมาเราได้ผลตอบรับที่ค่อนข้างดีเป็นอย่างมาก โดยวัดจากจำนวนผู้เข้าชมเว็ปไซต์ในส่วนของแคมเปญนี้ ตั้งแต่ต้นปีถึงวันนี้มีกว่าแสน Page View     “เราเลือกที่จะทำแคมเปญนี้ผ่านโลกออนไลน์เพราะ เอสบี ได้ทำการสำรวจศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคมาโดยตลอด และพบว่าตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก จากอดีตที่ลูกค้าจะแต่งห้องหรือบ้าน มักนิยมหาไอเดียจากนิตยสารและเดินตามร้านเฟอร์นิเจอร์ แต่ปัจจุบันกลับหันมาหาข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก นอกจากการทำแคมเปญนี้แล้ว ด้านการสื่อสารกับลูกค้าทางออนไลน์ เราได้ปรับตัวโดยใช้ช่องทางหลายแพลตฟอร์มเพื่อทำหน้าที่แตกต่างกันไป อาทิ เว็บไซต์ เอสบี ดีไซน์ สแควร์ (SB Design Square) จะทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมสินค้าทุกอย่างให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาดูและเลือกชมสินค้า ในขณะที่เฟสบุ๊คจะเป็นช่องทางกระจายข่าว และ LINE Official Account ที่มีคนติดตามถึง 4 ล้านกว่าคนนั้น จะเป็นช่องทางสื่อสารเพื่อโปรโมทแคมเปญและโปรโมชั่น จากการขานรับพฤติกรรมของผู้บริโภคดังกล่าวผลปรากฏว่าปัจจุบันเฟสบุ๊คของ เอสบี ดีไซน์ สแควร์ (SB Design Square) มียอดคนติดตามถึง 8 แสนคน ในขณะที่ช่องทางยูทูปก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากแคมเปญโฆษณาแบรนด์ “คอนเซ็ปต์ เฟอร์นิเจอร์” จนได้รับรางวัล Youtube Ads Leaderboard คือเป็น 1 ใน 10 โฆษณาไทยที่ได้รับความนิยมสูงสุดบนยูทูปเมื่อปีที่ผ่านมา” ธัญญรักข์ กล่าว   สำหรับแคมเปญ 52 WEEKS OF DESIGN นับเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานที่ เอสบี มุ่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้ากลุ่มอินทีเรียดีไซน์เนอร์ ยังมีกระบวนการทำงานอีกหลายส่วนที่เราได้จัดเตรียมเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาให้การทำงานของเรากับลูกค้ากลุ่มนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ส่วนลดพิเศษสำหรับดีไซน์เนอร์ โปรแกรมสะสมแต้ม และ Pro Service ที่เป็นบริการพิเศษสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้เท่านั้น โดยเราจะจัดเตรียมทีมงานช่วยดูแลโปรเจ็คต์ของลูกค้าโดยเฉพาะ พร้อมบริการจัดหาสินค้าจากเครือข่ายผู้ผลิต-นำเข้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงประสานงานดูแลการจัดส่งและติดตั้งให้ตรงตามกำหนดเวลาทั้งหมดนี้จะอยู่ในรูปแบบของ SB Designer Club ซึ่งเป็นเฟสถัดไปที่เรากำลังเร่งดำเนินการ และจะเปิดตัว SB Designer Club ในงานสถาปนิก ที่จะจัดขึ้นวันที่ 1 - 6 พฤษภาคม 2561 ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี บูทเลขที่ E504   สำหรับกลยุทธ์ดำเนินงานขยายแบรนด์สินค้า กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากการสร้างเครือข่าย สร้างไอเดียการตกแต่งบ้านผ่านช่องทางออนไลน์ เอสบี ยังคงความเป็นผู้นำตลาดเฟอร์นิเจอร์แนวไลฟ์สไตล์ ล่าสุดได้มีการนำเข้าแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับลักชัวรี่จากต่างประเทศมากขึ้น เพื่อรองรับผู้บริโภคระดับกลางถึงบน ซึ่งเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ที่มีกำลังซื้อจริง ได้แก่ แบรนด์ Universal, Metropole Living จากสหรัฐอเมริกา รวมถึง Habitat จากฝรั่งเศส ทั้งยังเพิ่มบริการผลิตสินค้า Customize Design ภายใต้ แบรนด์ Kelvin Giormani เป็นแบรนด์โซฟาหนังแท้นำเข้าจากอิตาลีที่ลูกค้าสามารถเลือกดีไซน์ได้มากกว่า 200 รูปแบบ 50 เฉดสี และ 8 เกรดหนังคุณภาพสูง และยังมี Customize Design ในสินค้ากลุ่มเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า ชุดวางทีวี และโซฟาที่เป็นแบรนด์ของ เอสบี เอง”   “ทั้งนี้เรามั่นใจว่าจากสัญญานบวกของตลาดและแผนการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวแคมเปญ 52 WEEKS OF DESIGN by SB DESIGN SQUARE การนำเข้าเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ใหม่ และกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายภายในสิ้นปี 2561 ได้ที่ประมาณ 7,800 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโต 10% จากปีที่แล้ว” คุณธัญญรักข์ กล่าว
‘เอพี ไทยแลนด์’ รุกตลาดบ้านเดี่ยวไตรมาส 2 เปิดตัว 2 โครงการใหม่ เจ๋งกว่าใครกับโมเดลบ้านใหม่ รองรับครอบครัวขยาย

‘เอพี ไทยแลนด์’ รุกตลาดบ้านเดี่ยวไตรมาส 2 เปิดตัว 2 โครงการใหม่ เจ๋งกว่าใครกับโมเดลบ้านใหม่ รองรับครอบครัวขยาย

เอพี เผยดีมานด์บ้านเดี่ยวเซ็กเมนต์กลางบนแนวโน้มสดใส วางแผนบุกตลาดไตรมาส 2 ต่อเนื่อง เตรียมประกาศเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ ‘CENTRO’ บน 2 ทำเลศักยภาพ ‘รังสิตคลอง 4 - วงแหวน’ และ ‘ราชพฤกษ์ – สวนผัก’ มูลค่าโครงการรวม 2,200 ล้านบาท   นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดีมานด์สินค้าบ้านเดี่ยวเซ็กเมนต์กลางบนในระดับราคา 5 – 15 ล้านบาทขึ้นไปนั้น ได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่อง การันตีจากอัตราการเติบโตด้านยอดขายสินค้าแนวราบ ในไตรมาส 1 ของเอพีที่ผ่านมา มีการปรับตัวสูงขึ้นถึง 64% หรือเท่ากับ 5,200 ล้านบาท ถือเป็นดัชนีที่ชี้ให้เห็นถึงความต้องการจริงจากลูกค้าที่มองหาที่อยู่อาศัยใหม่ โดยเฉพาะการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าที่วางแผนขยายครอบครัว รวมถึงกลุ่มวัยทำงานที่มีรายได้มากขึ้น และอยากขยับจากการอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมมาเป็นบ้านเดี่ยวทำเลศักยภาพใหม่ๆ ที่มีความสะดวกในการเดินทางเชื่อมต่อสู่ใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว   สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ CENTRO ที่จะเปิดขายในไตรมาส 2 นี้ ประกอบด้วย 2 ทำเลศักยภาพ ได้แก่ โครงการ “CENTRO รังสิต คลอง 4-วงแหวน” บนขนาดที่ดินประมาณ 61 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,130 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 4 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอยสูงสุด 175 ตารางเมตร  จำนวนทั้งสิ้น 279 หลัง เพียง 5 นาที ถึงวงแหวนกาญจนาฯ ซึ่งจะเริ่มเปิดขายวันที่ 28-29 เมษายน ราคาเริ่มต้น 2.95-4.75 ล้านบาท และโครงการ “CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก” บนขนาดที่ดินประมาณ 31 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,070 ล้านบาท บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่ 2 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ที่จอดรถ ขนาดพื้นที่ใช้สอยสูงสุด 342 ตารางเมตร พร้อมเอกสิทธิ์ความเป็นส่วนตัวท่ามกลางสังคมคุณภาพเพียง 176 หลัง บนทำเลศักยภาพ ให้การเดินทางเข้าออกโครงการเป็นเรื่องง่าย และรวดเร็วด้วย The Bridge  Fast Track เส้นทางส่วนตัวพิเศษเฉพาะลูกบ้านโครงการ ที่สามารถเชื่อมต่อสู่ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนฯ เพียง 5 นาที พร้อมเปิดขายในเดือนพฤษภาคม ราคาเริ่ม 7.2-12 ล้านบาท     นายรัชต์ชยุตม์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า กลยุทธ์รุกตลาดด้วยการเปิดโมเดลบ้านใหม่ เพื่อสร้างความแตกต่างผ่านการออกแบบสินค้าที่ตอบความต้องการเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น โดยไฮไลท์พิเศษของบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ CENTRO แบบบ้านใหม่ที่จะเปิดตัวในไตรมาส 2 นี้ มีจุดเด่นคือ เพิ่ม “พื้นที่ที่จอดรถยนต์ในร่มได้สูงสุดถึง 3 คัน” ตอบโจทย์ครอบครัวขยาย โดยเฉพาะผู้อยู่อาศัยที่มีครอบครัวใหญ่มีรถยนต์จำนวนมาก และเข้า-ออกบ้านในเวลาที่ไม่ตรงกัน นอกจากนี้ยังเพิ่มจำนวน “พื้นที่เอนกประสงค์” ทั้งชั้นบนและชั้นล่างถึง 2 ห้อง ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัย รวมถึงพื้นที่ส่วนนี้ยังสามารถต่อเติม และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ได้ในอนาคต พร้อมพื้นที่ชั้นล่างที่สามารถใช้เป็นห้องนอนผู้สูงอายุ หรือห้องทำงานโดยไม่ต้องกั้นห้องเพิ่ม เป็นต้น โมเดลบ้านใหม่ข้างต้นชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการดีไซน์แบบบ้านของเราในแต่ละครั้ง จะพัฒนาจากกความต้องการและพฤติกรรมการใช้ชีวิตจริงของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในแต่ละทำเล และนำมาต่อยอดพัฒนานวัตกรรมดีไซน์ เพื่อให้ได้ทั้งสเปซ และฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบรับกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ภายใต้แนวคิด การสร้างความต่างจากการออกแบบสินค้าที่ตอบความต้องการลูกค้าเฉพาะกลุ่ม โดยมีมาตรฐานคุณภาพ เพื่อให้บ้านเดี่ยวเครือเอพี ต้องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวคนเมือง     “เอพียังได้จัดแคมเปญเพื่อส่งเสริมการขายสินค้าบ้านเดี่ยวครั้งใหญ่แห่งปี “ULTIMATE PRIZE” กับกองทัพบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ภายใต้แบรนด์ CENTRO, THE CITY, MIND และ THE PALAZZO กว่า 25 โครงการ พร้อมโปรโมชั่นที่เร้าใจด้วยที่สุดของข้อเสนอไร้ขีดจำกัดมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท อาทิ ส่วนลดสูงสุด 4 ล้านบาท พร้อมลุ้นรับ Mercedes-Benz GLA เป็นต้น ด้วยที่สุดแห่งข้อเสนอไร้ขีดจำกัด ซึ่งถือเป็นแคมเปญคืนกำไรให้กับลูกค้าครั้งยิ่งใหญ่ ร่วมพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของแคมเปญ ‘ULTIMATE PRIZE’ ได้แล้ววันนี้ – 17 มิถุนายนนี้เท่านั้น พบกับข้อเสนอพิเศษนี้ได้ที่ Sales Gallery ของโครงการที่ร่วมรายการ โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าทั้งหมดนี้จะได้รับการตอบรับที่ดี และช่วยดันยอดขายแนวราบให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน” นายรัชต์ชยุตม์ กล่าวสรุป  
แกรนด์ ยูนิตี้ เปิดตัว “เดอ ลาพีส จรัญ 81” คอนโดติดรถไฟฟ้าพร้อมสัมผัสวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาถนนจรัญสนิทวงศ์

แกรนด์ ยูนิตี้ เปิดตัว “เดอ ลาพีส จรัญ 81” คอนโดติดรถไฟฟ้าพร้อมสัมผัสวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาถนนจรัญสนิทวงศ์

  นายสิริพงศ์ ศรีสว่างวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า โครงการ “เดอ ลาพีส จรัญ 81” (De LAPIS Charan 81) เป็นคอนโดมิเนียมที่ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “ถ้าความรู้สึกคือเหตุผลของการใช้ชีวิต เดอ ลาพีส จรัญ 81 จะตอบทุกเหตุผลของคุณ” เพื่อสื่อถึงความโดดเด่นโครงการทั้งทำเลที่ตั้งที่ดี การออกแบบโครงการ ฟังก์ชันการใช้งาน วัสดุที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาที่สวยกว่าใคร ที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การอยู่อาศัยของคุณมีความลงตัวมากยิ่งขึ้น   “เดอ ลาพีส จรัญ 81” (De LAPIS Charan 81) ตั้งอยู่บนทำเลถนนจรัญสนิทวงศ์ ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพเพราะติดรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ - ท่าพระ สถานีบางพลัด โดยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินนี้เป็นสายเดียวที่ถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็น “วงแหวน” หรือ Circle Line ที่จะเป็นสายหลักของระบบรถไฟฟ้า เช่นเดียวกับหลากหลายมหานครชั้นนำ ซึ่งวงแหวนรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินแห่งนี้จะกลายเป็นเส้นทางแห่งอนาคตที่สามารถเชื่อมรถไฟฟ้าสายสำคัญได้มากถึง 5 สาย อาทิ สายสีเขียว, สีแดงเข้ม, สีแดงอ่อน, สายสีส้ม และสีม่วง จึงทำให้ประชาชนสามารถเดินทางไปได้ทุกเส้นทางในกรุงเทพฯ และปริมณฑล นอกจากนี้ยังเป็นเส้นทางที่สามารถเชื่อมกับ เมกะโปรเจกต์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และถือเป็นรถไฟฟ้าสายหลักที่สามารถเชื่อมเข้าสู่ย่าน CBD ของกรุงเทพฯ ทั้งย่านรัชดาภิเษก, พระราม 9, อโศก - สุขุมวิท และสีลม - สาทร   นอกจากจะใกล้สถานีรถไฟฟ้าแล้ว การเดินทางด้วยรถยนต์ก็สะดวกสบายไม่แพ้กัน เพราะจากถนนจรัญสนิทวงศ์สามารถเชื่อมการเดินทางไปสู่กรุงเทพฯ ชั้นในได้ด้วยสะพานกรุงธน, สะพานพระราม 8 และสะพานสมเด็จ พระปิ่นเกล้า รวมทั้งเชื่อมต่อสู่ถนนรัชดาผ่านสะพานพระราม 7 และยังใกล้กับทางพิเศษเฉลิมมหานคร และจุดขึ้น - ลง ทางด่วนศรีรัช ที่จะทำให้เดินทางต่อไปสู่ย่านสำคัญๆ ทั่วเมืองได้อย่างสะดวก     "ตัวทำเลของโครงการยังแวดล้อมด้วยสถานที่สำคัญ ทั้งสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสถานที่อำนวยความสะดวกต่างๆ พร้อมทั้งอยู่ใกล้กับแหล่งศิลปวัฒนธรรมของย่านเมืองเก่าไม่ว่าจะเป็น หอศิลป์ร่วมสมัยอาร์เดล ที่ตั้งอยู่บนถนนบรมราชชนนี, หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร, หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนินเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา รวมไปถึงมิวเซียมสยาม, พิพิธภัณฑ์เหรียญ, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ที่จะทำให้ผู้อยู่อาศัยสามารถดื่มด่ำเสน่ห์ของวัฒนธรรมพร้อมกับความสะดวกสบายในความเป็นเมืองได้อย่างสมบูรณ์แบบ” นายสิริพงศ์ กล่าว   ทั้งนี้โครงการ “เดอ ลาพีส จรัญ 81” เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรซ์ สูง 32 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 635 ยูนิตและร้านค้า 2 ยูนิต อาคารจอดรถ 8 ชั้น 1 อาคาร มูลค่าโครงการประมาณ 2,018 ล้านบาท รวมพื้นที่โครงการทั้งสิ้น   3-1-3.7 ไร่ ประกอบด้วยห้องชุดขนาดต่างๆ ได้แก่ ห้อง Studio ขนาด 26 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom ขนาด 26 ตร.ม. และห้อง1 Bedroom Plus ขนาด 34.50 ตร.ม. และยังมีห้อง Type พิเศษ อย่างห้อง 1 Bedroom Corner ขนาด 34.50 ตร.ม. และห้อง 2 Bedroom ขนาด 60 ตร.ม. โดยจะมีจุดเด่นที่การเพิ่มพื้นที่ให้ฝ้าเพดานสูงถึง 2.75 เมตร ให้ความรู้สึกที่โปร่งโล่ง โดดเด่นด้วยวัสดุคุณภาพ ชุดเฟอร์นิเจอร์ Built-in ดีไซน์พิเศษออกแบบร่วมกับผู้ผลิตชั้นนำอย่างChic Republic ในราคาเริ่มต้นที่ 2.49 ล้านบาท (สำหรับห้อง 1 Bedroom)   นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทุกไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิต จุดเด่นบนชั้นดาดฟ้า (Rooftop) ของอาคาร ที่ประกอบด้วย Sky Fitness ที่สามารถมองเห็นวิวแบบพาโนรามารอบด้านทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำ Infinity Edge Swimming Pool สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่ออกแบบให้เหมือนไร้ขอบเป็นหนึ่งเดียวกับวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา Sky Garden สวนชั้นดาดฟ้าสำหรับพักผ่อนหย่อนใจได้เป็นอย่างดีกับวิวแม่น้ำ ทำให้เปรียบเสมือนเป็นเจ้าของแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากนี้โถงล็อบบี้ ยังถูกตกแต่งให้มีความโมเดิร์นมากขึ้นพร้อมปรับความสูงโถงให้เป็น Double Volume High Ceiling ที่สูงถึง 9 เมตร ทันสมัย หรูหรา ด้วยพื้นกระเบื้องลายหินจากอิตาลี และสามารถจอดรถยนต์รับ – ส่ง ด้านหน้าอาคารได้เหมือนกับโรงแรมหรู  Co-Working Space ที่มีสัดส่วนลงตัวกว่าเดิม พร้อมเพิ่มห้อง Private Room เพื่อความเป็นส่วนตัวสำหรับการนัดพบปะหรือนัดประชุมสำคัญรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี   โครงการ “เดอ ลาพีส จรัญ 81” (De LAPIS Charan 81) กำหนดเปิดให้จองอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 - 20 พฤษภาคมนี้ โดยผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับส่วดลดพิเศษสูงสุดถึง 250,000 บาท ได้ที่ www.grandunity.co.th/delapis/register และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 652 4000 หรือ www.grandunity.co.th หรือ www.facebook.com/GrandUnityDevelopment
“คูโดส” ปรับกลยุทธ์ แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ ผนวกดีไซน์และเทคโนโลยี พร้อมรับมือกระแสธุรกิจที่ผันผวน

“คูโดส” ปรับกลยุทธ์ แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ ผนวกดีไซน์และเทคโนโลยี พร้อมรับมือกระแสธุรกิจที่ผันผวน

  คูโดส เปิดตัวนวัตกรรมสินค้าใหม่สุดล้ำ ล็อคประตูแบบดิจิตอล ซึ่งเป็นการจับมือร่วมกับบริษัทอิกลูโฮม (Igloohome) บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีดาวรุ่งจากสิงคโปร์ ตั้งเป้าผลประกอบการทะลุสองเท่าภายใน 3 ปี และขึ้นแท่น 1 ใน 5 ผู้นำแบรนด์ธุรกิจอุปกรณ์ในห้องน้ำและห้องครัวของประเทศไทย   การร่วมมือครั้งนี้ จะสามารถตอบโจทย์ความมุ่งมั่นและแนวคิดของคูโดสที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนผ่านงานออกแบบผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมล้ำสมัย เพื่อช่วยแก้ปัญหาสังคมที่ผู้คนเผชิญอยู่ในแต่ละวัน ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งแบรนด์คูโดสใน ปี พ.ศ. 2554 คูโดสได้นำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงสำหรับห้องน้ำแก่กลุ่มลูกค้าชาวไทย ภายใต้แนวคิด “Insploration” (Inspiration + Exploration) คูโดสจึงมุ่งมั่นที่จะสรรหาผลิตภัณฑ์ที่มีความคิดสร้างสรรค์จากทุกแห่งในโลก รวบรวมดีไซน์ที่สวยงามและนวัตกรรมล้ำสมัยไว้ในที่เดียวกันเพื่อนำเสนอให้กับผู้บริโภคในประเทศอิกลูโฮม (Igloohome) เป็นบริษัทสตาร์ทอัพจดทะเบียนในสิงคโปร์และสหรัฐอเมริกา ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา และปัจจุบันได้รับการยอมรับจาก Airbnb ในฐานะพันธมิตรหลักทางธุรกิจ     "ตลาดประเทศไทยมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และลูกค้ามีความต้องการสินค้าที่ทันสมัยและตอบโจทย์ทางเลือกใหม่ๆ มากขึ้น คูโดสมีวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกินความคาดหวังของลูกค้าอยู่เสมอ เพราะเรามุ่งมั่น  ในการมอบผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยให้ชีวิตประจำวันของผู้คนเป็นไปอย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่เราพัฒนา คือผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้แนวคิดของ ‘นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยดีไซน์และเทคโนโลยี’ และเราโชคดีอย่างมากที่มีพันธมิตรที่มีความคิดสร้างสรรค์อย่างอิกลูโฮม ช่วยให้เราสามารถนำเสนอโซลูชั่นล่าสุดสำหรับสมาร์ทโฮม เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ผนวกเทคโนโลยีที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในตลาดเมืองไทย ซึ่งสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของเรา ที่มุ่งเน้นการออกแบบที่เรียบง่าย แต่เปี่ยมประสิทธิภาพ อีกทั้งง่ายต่อการติดตั้งและบำรุงรักษา" นายสันติ ศรีวิชาญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี.ไอ.ที. จำกัด กล่าว     คูโดสมุ่งเน้นที่คุณภาพสินค้า ฟังก์ชั่นการใช้งาน และการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อส่งมอบนวัตกรรมใหม่ที่   สอดรับกับไลฟ์สไตล์และวิถีชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ บริษัทมุ่งเน้นไปที่ค่านิยมหลัก 3 ประการ คือ ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบเพื่อคนทุกกลุ่มในสังคม (Universal Innovation) สินค้าดิจิตอล (Digital Innovation) และผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสีเขียว (Green Innovation) เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สู่ตลาดต่อไป ในปีนี้ ผลิตภัณฑ์ใหม่ของคูโดส ประกอบด้วย   ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบเพื่อคนทุกกลุ่มในสังคม (Universal Innovation)   LINE คัตเตอร์รูปทรงคล้ายเม้าส์ ใช้งานง่าย ใบมีดทำจากเซรามิก วัสดุทนทาน ปลอดภัยแม้กับเด็กและผู้พิการ CASTA กรรไกรอเนกประสงค์ ที่ส่วนคมของกรรไกรถูกซ่อนไว้ แม้แต่เด็กหรือคนชราก็สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย NAIL กรรไกรตัดเล็บที่ใช้แรงน้อยที่สุด เหมาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุที่ข้อมืออ่อนแรง BASUPO และ MOG  อุปกรณ์เสริมสำหรับห้องอาบน้ำ เพิ่มพื้นที่สำหรับจัดวางสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น ให้การอาบน้ำสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น  สินค้าก๊อกน้ำนวัตกรรม (KUDOS Creation Series)   CYE ก๊อกน้ำจาก KUDOS Creation Series ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกับ บริษัท SAN-EI จากประเทศญี่ปุ่น ผลิตภัณฑ์รุ่นนี้ถูกออกแบบโดย มร. มาโกโตะ ทานิจิริ ดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลก ที่ตั้งใจออกแบบให้สำหรับโรงแรม Moxy ซึ่งเป็นโรงแรมในเครือ Marriott รูปแบบใหม่ ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีมาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคกลุ่ม Millennial   ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสีเขียว (Green Innovation)   MIST ฝักบัวนวัตกรรมรุ่นล่าสุด จาก KUDOS Skin Care Series ถัดจากฝักบัวรุ่นยอดนิยมอย่าง Purebliss โดย MIST จะสร้างมิติใหม่แห่งการล้างหน้า ด้วยเทคโนโลยีที่ออกแบบเพื่อให้น้ำละอองเบานุ่มละมุน ให้สัมผัสอ่อนโยน เหมาะต่อผิวแพ้ง่าย พร้อมฟังก์ชั่นปรับอุณหภูมิและแรงดันน้ำให้ทำงานเหมาะสมสำหรับผิวหน้า และช่วยประหยัดน้ำได้มากถึง 45%    ผลิตภัณฑ์ดิจิตอล (Digital Innovation)   Igloohome Smart Lock ล็อคประตูแบบดิจิตอลจากอิกลูโฮม โซลูชั่นระดับโลกสำหรับที่อยู่อาศัยและสมาร์ทโฮม โดยล็อคประตูแบบดิจิตอลนี้ใช้เทคโนโลยีสมาร์ทล็อคระดับโลก ทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ป้องกันการ  แฮ็คด้วยระบบ Synchronization ซึ่งเป็นระบบที่ธนาคารชั้นนำส่วนใหญ่เลือกใช้ จึงมั่นใจได้ในความปลอดภัยขั้นสูงสุด   ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดของคูโดส จะจัดแสดงและวางขายในงานสถาปนิก '61 "Beyond Ordinary : ไม่ธรรมดา" ระหว่างวันที่ 1 - 6 พฤษภาคม 2561 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
แสนสิริ เปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ “บุราสิริ” 2 ทำเล มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท

แสนสิริ เปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ “บุราสิริ” 2 ทำเล มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท

  แสนสิริรุกบ้านเดี่ยว “บุราสิริ” 2 โครงการใหม่ ทำเลบางนา – พัฒนาการ เผย “บุราสิริ บางนา” เฟสแรกโกยยอดขายแล้วถึง 70% ใน 1 เดือน พร้อมเปิดพรีเซลโครงการ ส่วน“บุราสิริ พัฒนาการ” สร้างยอดขายไปแล้วกว่า 50% เผยลูกค้าให้ความสนใจฟังก์ชันใหม่ Sanctuary Space  เตรียมกวาดยอดขาย 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,600 ล้านบาท       คุณวิลาสิณี เดชอมรธัญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีจากปีผ่านมาจากปัจจัยบวกหลายประการ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นทำให้คาดการณ์ว่าตลาดบ้านเดี่ยวจะมีแนวโน้มทิศทางที่ดีเช่นกัน ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว ภายใต้แบรนด์ “บุราสิริ” ซึ่งตอบรับการอยู่อาศัยภายใต้คอนเซ็ปท์      “Feel At Peace” ที่เน้นการเป็นบ้านที่ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย ให้ความรู้สึก สดชื่น ผ่อนคลายในบรรยากาศรีสอร์ท ด้วยดีไซน์อันโดดเด่นที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้เข้าถึงธรรมชาติได้ในทุกวัน โดยได้เปิดตัวใน 2 ทำเลศักยภาพอย่างบางนา และพัฒนาการ ซึ่งมีความสะดวกในด้านการเดินทางเชื่อมต่อสู่ใจกลางเมือง ด้วยถนนสายหลักอย่าง บางนา-ตราด พัฒนาการ ศรีนครินทร์ สุขุมวิท และพระราม9 เดินทางสะดวกสบายด้วยทางพิเศษฉลองรัช ทางพิเศษวงแหวนรอบนอก และทางพิเศษบูรพาวิถี ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิ้งก์ ที่สามารถเชื่อมต่อสู่สนามบินสุวรรณภูมิ และใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบโครงการ ทั้ง โรงพยาบาล สถานศึกษา และแหล่งไลฟ์สไตล์อย่างห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้มอลต่างๆ ที่รองรับการใช้ชีวิตของครอบครัวยุคใหม่อย่างครบครัน     โครงการ “บุราสิริ บางนา” มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท เปิดขายในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ภายใต้คอนเซปต์ “THE HIGH LIFE ON THE RIVERBANK -วิถีชีวิตเหนือระดับริมฝั่งน้ำ” ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บนโค้งน้ำที่สวยงามที่สุดในย่านบางนา แวดล้อมด้วยความร่มรื่นของพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่ พร้อมคลับเฮ้าส์พื้นที่ 1,000 ตร.ม. และสระว่ายน้ำแบบ Infinity Edge Pool ที่เปิดรับวิว 180 องศา มอบสุนทรีย์แห่งการพักผ่อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดในการออกแบบบ้านทุกหลังในโครงการ ด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมของบ้านริมน้ำซึ่งมีเอกลักษณ์ที่สำคัญอยู่ที่ระเบียงขนาดใหญ่ที่ถือเป็นภูมิปัญญาจากการสร้างบ้านเรือนไทยในอดีต นอกจากจะเพิ่มพื้นที่ในการพักผ่อนกับครอบครัวได้มากขึ้น ยังช่วยลดความร้อนที่จะสะท้อนเข้าสู่ตัวบ้านได้อีกด้วย ซึ่งหลังจากเปิดพรีเซลโครงการก็ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างสูง ด้วยยอดขายถึง 70% ของเฟสแรกในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน     สำหรับโครงการ “บุราสิริ พัฒนาการ” มูลค่ารวมกว่า 2,400 ล้านบาท ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวจำนวน 162 ยูนิต ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Urban Sanctuary” สะท้อนถึงวิถีการใช้ชีวิตอย่างคนเมืองที่เชื่อมต่อกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว โดยบริษัทได้เปิดการขายในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาและได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเช่นเดียวกัน โดยมียอดขายแล้ว 50% ของเฟสแรก ทั้งนี้ลูกค้าให้ความสนใจและชื่นชอบฟังก์ชั่น  ใหม่ Sanctuary Space ซึ่งนับเป็นครั้งแรกกับการเปิดประสบการณ์พักผ่อนรูปแบบใหม่กับครอบครัวบนพื้นที่ Semi-Outdoor ที่สามารถเลือกปิดกระจกเมื่อต้องการพักผ่อนอย่างสงบเป็นส่วนตัวหรือเปิดกระจกออกเพื่อใกล้ชิดธรรมชาติอย่างสงบภายในบ้าน นอกจากนี้ยังผสานทุกความงดงามกับการพักผ่อนได้อย่างลงตัว ด้วยการออกแบบในสไตล์โอเรียนทอลรีสอร์ทในโทนสีอบอุ่นที่ช่วยสร้างความรู้สึกแห่งความผ่อนคลาย และนำลวดลายแบบ “Modern Oriental Pattern” ที่รวบรวมความประทับใจจากการเดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ (Journey Picturesque) มาใช้ในการออกแบบตัวบ้านให้มีความกลมกลืนธรรมชาติรอบๆ บ้านได้อย่างงดงาม       นอกจากนี้ยังได้นำนวัตกรรม “Cooliving Designed Home” มาใช้ในการออกแบบให้ภายในบ้านเย็นสบายตลอดทั้งวัน สามารถตอบโจทย์การใช้งานด้านการพักผ่อนได้อย่างแท้จริงไม่ว่าจะเป็น “SHADING SCREEN” ระแนงที่จะช่วยลด และบดบังแสงที่จะส่องเข้ามายังตัวบ้าน “ROOF SHADE” ฝ้าชายคาหรือหลังคาที่ยื่นยาวเป็นพิเศษ ช่วยป้องกันแสงแดด และลดความร้อน “UV SHIED & GREEN GLASS” สีกันความร้อน และ “กระจกเขียวตัดแสง” ที่จะช่วยสะท้อน และลดความร้อนที่จะเข้าสู่ตัวบ้าน “SOLAR ATTIC” ระบบพัดลม และช่องระบายอากาศใต้หลังคาซึ่งใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อลดความร้อนใต้หลังคา ทำให้อากาศภายในตัวบ้านเย็นลงและลดการสะสมของเชื้อโรค รวมถึง”BREEZE PANEL” ช่องระบายลมในตัวบ้านช่วยถ่ายเทและระบายอากาศภายในตัว     “บริษัทเชื่อมั่นว่าด้วยจุดเด่นของบ้านเดี่ยวแบรนด์ บุราสิริ ทั้ง 2 โครงการจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการพื้นที่ในการพักผ่อนอย่างเป็นส่วนตัว ในทำเลที่สามารถเดินทางสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวก โดยคาดว่าจะสามารถปิดการขายพร้อมโอนบ้านทั้ง 2 โครงการ มูลค่ารวม 4,600 ล้านบาท สู่เป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบของแสนสิริที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาทได้ในปีนี้” คุณวิลาสิณีกล่าว     สัมผัสนิยามแห่งการอยู่อาศัยอันเหนือระดับ และมีเอกลักษณ์ได้แล้ววันนี้ ที่โครงการ “บุราสิริ บางนา” และ “บุราสิริ พัฒนาการ” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ โทร. 1685 หรือwww.sansiri.com  
ทาวน์เฮ้าส์ระดับ “Best in class” ลงตัวทุกไลฟ์สไตล์ในราคาที่เอื้อมถึงจากแสนสิริ

ทาวน์เฮ้าส์ระดับ “Best in class” ลงตัวทุกไลฟ์สไตล์ในราคาที่เอื้อมถึงจากแสนสิริ

เวลาเรามองหาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมแล้วเข้ากันได้กับไลฟ์สไตล์ของเราเอง คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหมคะ ยิ่งอยู่กันเป็นครอบครัวแล้วด้วยก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก เพราะมีทั้งเรื่องของช่วงวัยรวมไปถึงไลฟ์สไตล์ความชอบของแต่ละคนแตกต่างกัน คงจะดีไม่น้อยถ้ามีบ้านที่จะได้ใช้ทุกพื้นที่ให้ลงตัวกับทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นห้องส่วนตัวอย่างห้องนอน หรือพื้นที่ที่ได้ใช้ช่วงเวลาอยู่ร่วมกัน ซึ่งโครงการที่สามารถตอบโจทย์ได้ครบครันก็คงหาไม่ได้ง่ายๆ เช่นกัน แต่ครั้งนี้เราจะมาบอกเล่าให้ทุกท่านเห็นว่าแสนสิริทำได้จริงค่ะ   แสนสิริ ชื่อนี้หลายคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะเมื่อไรที่เอ่ยถึงเรื่องโครงการที่อยู่อาศัยก็มักจะต้องมีชื่อของแสนสิริติดอันดับอยู่ด้วยเสมอ ด้วยคุณภาพจากความใส่ใจรายละเอียด และเชื่อเหลือเกินค่ะว่า เมื่อนึกถึงแสนสิริ ส่วนใหญ่จะนึกถึงคอนโดมิเนียม High Rise ดีไซน์สวยล้ำสมัย มาพร้อม Prop Tech เจ๋งๆ สร้างกระแสฮือฮาได้อยู่เสมอ แต่ทุกวันนี้หลายคนก็เริ่มเปลี่ยนมามองที่อยู่อาศัยแนวราบกันมากขึ้น เพราะอยากจะได้พื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีสิ่งที่มาตอบโจทย์ชีวิตได้หลากหลาย เช่น เลี้ยงสุนัขได้, มีพื้นที่จัดสวน, มีห้องนอนที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุ, มีห้องให้ลูกไปพร้อมๆ กันด้วย และครั้งนี้เราจึงจะพาไปทำความรู้จักกับที่อยู่อาศัยแนวราบจากแสนสิริกันบ้างค่ะ   สิริ เพลส ทาวน์เฮาส์ แบรนด์ทาวน์เฮาส์ 2 ชั้นจากแสนสิริ ที่จะเข้ามาตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี ทั้งในแง่ของ ดีไซน์อันสวยงามพร้อมกับฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้จริงผสมผสานนวัตกรรมในที่อยู่อาศัย ที่สำคัญราคาสามารถจับต้องได้ เพราะหากเปรียบเทียบกับคอนโดมิเนียมแล้วจะเห็นได้ชัดว่าทาวน์เฮาส์มีราคาถูกกว่าแถมได้พื้นที่มากกว่า ซึ่งทุกอย่างดูเหมาะสมลงตัวได้อย่างพอดิบพอดี   COMPLETE YOUR LIVING EXPERIENCE โครงการสิริ เพลส นั้นถึงจะเป็นทาวน์เฮาส์ที่เริ่มต้นด้วยราคาล้านปลายๆ แต่เรื่องของการใส่ใจเพื่อคนอยู่อาศัยแล้วบอกได้เลยว่าไม่ธรรมดา เพราะทุกส่วนที่ประกอบภายในบ้านและภายในโครงการตั้งใจออกแบบมาเพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของการใช้ชีวิตกับสิ่งที่คุณชอบ ด้วยแนวคิด COMPLETE YOUR LIVING EXPERIENCE ที่ทำมาเพื่อตอบโจทย์ชีวิต 3 ด้าน   Siri Living : นวัตกรรมเพื่อชีวิตการอยู่อาศัยแนวใหม่ ที่ให้ชีวิตสะดวกสบายง่ายขึ้น       “Modern Loft” ถูกเลือกมาตกแต่งในทุกโครงการของสิริ เพลสด้วยความโดดเด่นของดีไซน์อันเรียบง่ายทั้งโทนสี วัสดุและพื้นที่โปร่งโล่ง กว้างขวางไม่มีขอบเขตมากนัก จึงสามารถปรับเปลี่ยน Function การใช้งานได้ตามไลฟ์สไตล์ความชอบให้เป็นไปได้ ประกอบกับรายละเอียดที่เน้นให้ปรับได้ตามความชอบของผู้อยู่อาศัย เช่น ห้องเอนกประสงค์ พื้นที่ตอบโจทย์วามชอบที่ตกแต่งได้ตามความต้องการ เพื่อขยายทุกความชอบให้เป็นไปได้ในบ้านของเราเอง ทางเดินบริเวณโถงบันไดมีช่องแสงธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มแสงสว่างจากด้านนอก ทำให้ประหยัดไฟในเวลากลางวันหรือแม้แต่ในส่วนด้านหลังบ้านมีการลงเสาเข็มให้เรียบร้อย หากผู้อยู่อาศัยต้องการจะทำส่วนต่อขยายก็สามารถทำเพิ่มได้สบายๆ เพราะ ตัวเสาเข็มนั้นนั้นทำรองรับน้ำหนักได้ถึง 22 ตัน นอกเหนือจากนี้ ภายในโครงการยังมี Full Facilities สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางภายในโครงการตอบทุกไลฟ์สไตล์ของทุกคนในครอบครัว Educational Playground สนามเด็กเล่นพร้อมเครื่องเล่นที่ถูกคิดค้นขึ้นมาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจนเกิดเป็นเครื่องเล่นเด็กในดีไซน์ใหม่ ซึ่งสามารถพัฒนาทักษะหลายด้าน เพิ่มการเรียนรู้จากประสบการณ์ด้วยตัวเด็กๆ เป็นต้น   Siri Lifetech : นวัตกรรมเพื่อชีวิตการอยู่อาศัยแนวใหม่ ที่ให้ชีวิตสะดวกสบายง่ายขึ้น https://youtu.be/9RIXUTVYg1I     แสนสิริยังไม่ทิ้งเรื่องของเทคโนโลยีภายใน โครงการสิริ เพลสนั้นมีการบริการในส่วนเทคโนโลยีล้ำสมัยในที่อยู่อาศัยเพิ่มเข้าไปให้กับลูกบ้านทุกหลังเริ่มต้นจากติดตั้งสาย LAN ให้ทุกบ้านเพื่อให้เชื่อมต่อnetworkและพร้อมใช้งานภายในบ้านได้ทันที, Home Service Application แอพพลิเคชั่นที่ช่วยให้ใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้นผ่านหน้าจอมือถือของเราเอง และบัตรเข้าออกโครงการ ด้วยระบบเปิดปิดอัตโนมัติสำหรับลูกบ้านเท่านั้น และในบริเวณส่วนกลางก็ยังมีการให้บริการ Free Wifi และยังมีระบบSolar Cell เพื่อประหยัดพลังงานอีกด้วย   Siri Experience: เติมเต็มชีวิตให้ครบสมบูรณ์แบบทุกช่วงเวลา ให้กับลูกบ้านคนสำคัญ โครงการสิริ เพลสได้รับการดูแลและรับสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกครอบครัวแสนสิริเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ ของแสนสิริ ได้แก่ Sansiri Family สิทธิส่วนลดจากร้านค้า และกิจกรรมพิเศษของลูกบ้านแสนสิริ, Sansiri Lounge ที่พร้อมรับรองคุณที่พารากอน, Plus Property ที่ดูแลจัดการสภาพแวดล้อมโครงการ อีกทั้งดูแลเรื่องการย้ายเข้าปล่อยเช่าด้วยและ SSS (SIRI SECURITY SYSTEM) การดูแลความปลอดภัยด้วยรปภ. ที่ได้มาตรฐานพร้อม CC TV ในทุกป้อมรปภ. และในโครงการนั้นนั้นยังมีรั้วที่สูง 3.8 เมตรด้วย   และนี่คือเหตุผลว่าทำไม “สิริ เพลส” ถึงได้กลายเป็น “Best in class” อย่างสมบูรณ์ ซึ่งในปี 2561 นี้ สิริ เพลส ทาวน์เฮาส์ เตรียมเปิดตัวถึง 5 โครงการ จาก 5 ทำเลที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว โดย 5 โครงการ สิริ เพลส จะเปิดตัวจะเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2561 สิริ เพลส รังสิต ราคาเริ่มต้นที่ 1 ล้านปลาย สิริ เพลส นวนคร ราคาเริ่มต้นที่ 1 ล้านกลาง สิริ เพลส ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ ราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านกลาง สิริ เพลส สุขสวัสดิ์-พระราม 3 ราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านปลาย   สิริ เพลส กัลปพฤกษ์-สาทร ราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านปลาย     โดยวันพรีเซลล์ 5 โครงการ สิริ เพลส ทาวน์เฮาส์  คุณภาพ แสนสิริ 12-13 พ.ค. 2561  สิริ เพลส รังสิต และ สิริ เพลส นวนคร และ 19-20 พ.ค. 2561  สิริ เพลส สุขสวัสดิ์-พระราม 3, สิริ เพลส ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์, สิริ เพลส กัลปพฤกษ์-สาทร         SIRI PLACE RANGSIT   โครงการสิริ เพลส รังสิต ติดถนนใหญ่ ถนนรังสิต - ปทุมธานี ซึ่งรังสิตคือย่านสำคัญฝั่งทิศเหนือของกรุงเทพ ที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลาย Generation ทั้งวัยเรียนที่มีสถาบันการศึกษาชื่อดังหลายแห่ง ตั้งแต่ระดับปฐมวัยไปจนถึงอุดมศึกษา และกลุ่มคนวัยทำงานที่มีอยู่ไม่น้อย จะเลือกหลบออกมาอยู่ชานเมือง แต่ยังคงเดินทางไปทำงานในใจกลาง CBD ได้อย่างสะดวกทั้งการเดินทางด้วยรถสาธารณะ และรถยนต์ส่วนตัว โดยทำเลที่ตั้งของโครงการที่อยู่ใกล้กับจุดขึ้น-ลงทางด่วนอุดรรัถยา ด่านบางพูน และโทลเวย์ ที่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางของความสะดวกสบายของย่านนี้ เพราะมีห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง ฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต เมเจอร์รังสิต ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเดินทางด้วยรถสาธารณะไม่ว่าจะเข้าเมือง หรือออกต่างจังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคตที่กำลังจะมีรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต ห่างจากโครงการตรงสถานีรังสิตประมาณ 5 กิโลเมตร ก็จะยิ่งทำให้เปลี่ยนโฉมของการเดินทางได้อย่างดีขึ้นแน่นอน   ด้วยความที่โครงการมีคลองเชียงรากอยู่ด้านข้าง ทางแสนสิริจึงเกิดไอเดียให้โครงการกลมกลืนกับธรรมชาติเดิมมากที่สุด โดยออกแบบภาพรวมให้ดูเป็นสีขาวโทนสว่าง สะอาด สบายตา แต่ยังคงเรียบหรู เพิ่มความสดชื่นด้วยต้นไม้ ไม้ดอกประดับในโครงการ ส่วนกลางทั้งฟิตเนส, สระว่ายน้ำ, สวนสีเขียว, Jogging Park, Play Ground ถูกดีไซน์ให้เชื่อมต่อกันเพิ่มความน่าสนใจ   แบบบ้านดีไซน์ใหม่ New Series สไตล์ Soft Loft โทนสีฟ้า น้ำเงิน ผสานเข้ากับวัสดุแบบ Loft ผนังหินกรุสีเทา เรียบง่าย แต่มีสไตล์คง Concept สายน้ำเชียงรากอันเงียบสงบ มีมาให้เลือก 2 Type ตามความชอบ คือ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ และ 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท   SIRI PLACE Nawanakorn   สิริ เพลส นวนคร ทาวน์เฮ้าส์ใหม่ติดถนนพหลโยธินฝั่งขาออก จุดกึ่งกลางของการใช้ชีวิต รายล้อมด้วยนิคมอุตสาหกรรม อาทิ นิคมนวนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอินในจังหวัดอยุธยา และสถานศึกษาชั้นนำอย่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ รวมถึงห้างสรรพสินค้าที่สามารถอำนวยความสะดวกให้ผู้อาศัย อาทิ บิ๊กซีและโลตัสนวนคร แม็คโครและโลตัสคลองหลวง รวมถึงห้างสรรพสินค้าใหญ่อย่างฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และอนาคตอย่างเซ็นทรัลเอ็ม ติดตลาดโรงเกลือ และใกล้ตลาดต่อยอด(ซึ่งจะเปิดเร็วๆ นี้) สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกไม่ว่าจะด้วยรถสาธารณะหรือรถยนตร์ส่วนตัว เพราะโครงการตั้งอยู่บนถนนเส้นหลัก ใกล้ทางด่วน 2 สาย บางปะอิน-ปากเกร็ด และวงแหวนตะวันออก จึงสามารถหลีกหนีเส้นทางการจราจรติดขัดขึ้นทางด่วนได้โดยเร็ว รวมถึงการคมนาคมที่รองรับการเดินทางที่สะดวกสบายอย่างรถไฟฟ้าสายสีแดงส่วนต่อขยายรังสิต-ธรรมศาสตร์ ห่างจากโครงการเพียง 9 กม.     การมาของ สิริ เพลส นวนคร กลายเป็นสังคมแห่งการอยู่อาศัยคุณภาพที่หลายคนรอคอย ทั้งในด้าน Developer ที่มีความน่าเชื่อถือในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ฟังก์ชั่นและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเหนือคู่แข่งบริเวณรอบๆ ไม่ว่าจะเป็น Full Facilities Club House ฟิตเนส สระว่ายน้ำ มาตรฐานการก่อสร้างและระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อาศัย ครอบคลุมไปถึง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV และไฟส่องสว่างรอบโครงการ สัมผัสคุณภาพชีวิตที่มากกว่าเป็นไปได้ที่ สิริ เพลส นวคร เริ่ม 1.69 ล้านบาท*    SIRI PLACE KALLAPAPRUEK-SATHORN   สิริ เพลส กัลปพฤกษ์ - สาทร ทาวน์เฮ้าส์ที่ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองได้มากที่สุด ด้วยการคมนาคมที่สะดวกรวดเร็วจากรถไฟฟ้าทั้ง 2 สาย เพียง 5 นาที ถึงสถานีวุฒากาศและสถานีบางแค ทางเชื่อมต่อชีวิตไปยังโซน CBD หรือนอกเมืองได้อย่างสะดวก คงรูปแบบการอยู่อาศัยบนพื้นที่ใช้สอยที่ให้มากกว่าคอนโดมิเนียมในละแวกใกล้เคียง ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูง เรียกว่าเป็นทำเลที่หาได้ยากในกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ นอกจากนี้ผู้อาศัยยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายเพราะพื้นที่โครงการรายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้าอย่างซีคอนบางแค เดอะมอลล์และโลตัสบางแค บิ๊กซีและแมคโครกัลปพฤกษ์ รวมถึงพื้นที่การศึกษา ด้วยสถานศึกษาชั้นนำอย่าง รร. อนุบาลเด่นหล้า, รร. สารสาสน์วิเทศ, รร. นานาชาติ British Columbia เป็นต้น      คุณภาพชีวิตที่ดี เริ่มต้นจากการใช้ชีวิตบนสังคมส่วนตัว เพียง 139 ยูนิต พร้อมกับพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ Double park, Joking track, Play zone เติมเต็มสีสันแห่งการอยู่อาศัยด้วยดอกไม้หลายสีล้อมรอบโครงการ สัมผัสทุกมิติของชีวิตเป็นไปได้ที่ สิริ เพลส กัลปพฤกษ์-สาทร เริ่ม 2.99 ล้านบาท*       SIRI PLACE SUKSAWAT-RAMA 3   สิริ เพลส สุขสวัสดิ์ - พระราม 3 โครงการตั้งอยู่ในซอยสุขสวัสดิ์ 26 ทำเลโดดเด่นในการเดินทางเชื่อมต่อได้หลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเข้าเมืองหรือออกนอกเมืองโซนพระราม 2 ก็ง่ายนิดเดียว ใกล้จุดขึ้น-ลงทางพิเศษเฉลิมมหานคร วงแหวนอุตสาหกรรม และสามารถทะลุออกถนนกาญจนาภิเษกได้อีกด้วย ในอนาคตก็จะอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วงส่วนต่อขยาย บางใหญ่-บางซื่อ-ราษฎร์บูรณะ สถานีดาวคะนองกับสถานีบางปะแก้ว ไม่เกิน 5 กิโลเมตร สิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครันเช่นกัน ทั้งบิ๊กซี โลตัส โฮมโปร เซ็นทรัลพระราม 2 โรงพยาบาลอีกหลายแห่ง   ทาวน์เฮ้าส์คอนเซปสไตล์ Loft มี 2 Type พื้นที่ใช้สอย 133 ตารางเมตร กับพื้นที่ใช้สอย 117 ตารางเมตร ขนาดที่ดินตั้งแต่ 18.5-20.7 ตารางวา ได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เพราะมีเพียง 199 ยูนิต พร้อม Full Facilities ครบครัน เช่น ฟิตเนส สระว่ายน้ำ ทางวิ่งจ๊อกกิ้ง สนามเด็กเล่น โซนเล่นบาสเกตบอล ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น และยังได้ดอกไม้หลากสีสลับสับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เหมือนย่อป่ามาไว้ในโครงการ ให้ชีวิตลงตัวมากขึ้น ราคาเริ่มต้น 2.99 ล้านบาท   SIRI PLACE RATCHAPRUEK-RATTANATHIBET   สิริ เพลส ราชพฤกษ์ - รัตนาธิเบศร์ โครงการตั้งอยู่ในซอยโยธาธิการ ซึ่งเป็นซอยที่สามารถเข้า-ออกได้จากถนนราชพฤกษ์ กับถนนบางกรวย-ไทรน้อย เป็นทำเลแบบที่โครงการแนวราบหาได้ค่อนข้างยาก เพราะอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีม่วงสถานีบางพลู ที่เปิดให้บริการแล้วในปัจจุบันเพียง 2.5 กิโลเมตร ซึ่งบริเวณนี้ก็ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำคัญ คือ เซ็นทรัลพลาซ่า เวสต์เกต, อิเกีย บางใหญ่, บิ๊กซี บางใหญ่ ฯลฯ ประมาณ 5 กิโลเมตร แถมยังเป็นจุดที่สามารถเชื่อมเข้าสู่ถนนกาญจนาภิเษกได้เลย นอกจากนี้ย่านนี้ก็ยังเต็มไปด้วยร้านอาหารขึ้นชื่อ บรรยากาศดีเรียงรายอยู่มากมายตลอดเส้นทาง โดยการมาของรถไฟฟ้าและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ยักษ์เช่นนี้ เชื่อว่าจะทำให้บริเวณนี้กลายเป็นเมืองใหม่ในไม่ช้า   โครงการนี้มีความเป็นส่วนตัวสูง เพราะนอกจากเรื่องทำเลที่ตั้งแล้ว ยังมีเพียง 93 ยูนิต มาในสไตล์ Modern Loft พื้นที่ใช้สอย 133 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องอเนกประสงค์ 2 ที่จอดรถ และส่วนกลางที่ได้มาตรฐานที่ดีจากแสนสิริ เช่น สวนสีเขียว สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สนามเด็กเล่น ฯลฯ   สิริ เพลส คือ ทาวน์เฮาส์ที่ถูกคัดสรรเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณภาพมาตรฐานของแสนสิริ รวมถึงดีไซน์ที่ทั้งสวยงาม ทั้งตอบโจทย์การใช้ชีวิตบนพื้นที่แห่งความพอดีได้อย่างลงตัวที่สุด จนได้ขึ้นแท่นสมกับคำว่า “Best in class” ของทาวน์เฮาส์อย่างไร้ข้อกังขา   โดยวันพรีเซลล์ 5 โครงการ สิริ เพลส ทาวน์เฮาส์ คุณภาพ แสนสิริ 12-13 พ.ค. 2561 สิริ เพลส รังสิต และ สิริ เพลส นวนคร และ 19-20 พ.ค. 2561 สิริ เพลส สุขสวัสดิ์-พระราม3, สิริ เพลส ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์, สิริ เพลส กัลปพฤกษ์-สาทร   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 1685 หรือลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษก่อนวันเปิด Pre sale ได้ที่นี่ https://bit.ly/2rtm7me         
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยตลาดอาคารสำนักงาน โซนสีลม-สาทร ฮอต

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยตลาดอาคารสำนักงาน โซนสีลม-สาทร ฮอต

  พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยทำเลสีลม-สาทรติดลมบนโซนยอดนิยมของคนทำงาน ครองอันดับหนึ่งพื้นที่สำนักงานสูงสุด 2.1 ล้านตารางเมตร ล่าสุด  co–working space มาแรงโตถึง 35% เริ่มมีผู้ให้บริการต่างชาติเข้ามาเจาะตลาดโซนสีลม-สาทร รองรับกลุ่มคนทำงาน สตาร์ทอัพ ฟรีแลนซ์ และ expat ส่วนตลาดที่อยู่อาศัยพบพื้นที่พัฒนาโครงการใหม่จำกัด ส่งผลให้ตลาดรีเซลและปล่อยเช่าน่าสนใจ ผลตอบแทนขายต่อ-ปล่อยเช่าอยู่ที่ 4-5%   นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า จากผลสำรวจของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลพบว่ามีพื้นที่สำนักงานรวมทั้งสิ้น 8.6 ล้านตารางเมตร โดยโซนสีลม-สาทร เป็นโซนยอดนิยมของคนทำงาน มีพื้นที่สำนักงานสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง ประมาณ 2.1 ล้านตารางเมตร คิดเป็น 24% ของพื้นที่สำนักงานทั้งหมด รองลงมาคือโซนสุขุมวิท 1.7 ล้านตารางเมตร คิดเป็น 20% และ โซนรัชดาภิเษก 1.2 ล้านตารางเมตร คิดเป็น 14% ซึ่งนอกจากโซนสีลม-สาทร จะเป็นย่านสำนักงานที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ ยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบสนองการใช้ชีวิตของคนวัยทำงานมากมาย อาทิ การเดินทางโดยระบบขนส่งมวลชนที่สะดวกมีรถไฟฟ้าหลายสถานีล้อมรอบเกือบทุกมุมถนน มีสถานีเชื่อมต่อ BTS และ MRT จึงเป็นทำเลกลางเมืองที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังสถานที่สำคัญๆ ได้ง่าย นอกจากนี้โซนสีลม-สาทร ยังเริ่มเป็นทำเลที่มีพื้นที่สำนักงานร่วม (co-working space) ที่เติบโตตามกระแสเศรษฐกิจแบ่งปัน ที่กำลังมาแรงในกลุ่มคนทำงาน ซึ่ง co-working space ยังมีแนวโน้มเติบโตทั่วโลกและในไทยเองก็มีแนวโน้มการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยล่าสุดในปี 2560 พบว่ามีผู้ใช้บริการทั่วโลก จำนวน 1.74 ล้านราย เติบโตจากปี 2558 เฉลี่ย 83%     จากข้อมูลของ Global Co-Working Space Unconference Conference ได้วิเคราะห์ว่าภายในปี 2565 จำนวนผู้ใช้บริการ co-working space ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 5.1 ล้านราย ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้จำนวนพื้นที่สำนักงานร่วมมีการขยายตัวเพื่อรองรับความต้องการที่มากขึ้น จากปัจจุบันในปี 2561 ที่น่าจะมีจำนวนพื้นที่สำนักงานร่วมอยู่ที่ 17,725 แห่งและเติบโตเฉลี่ยราว 16% ต่อปีนั้น เพิ่มเป็น 30,432 แห่งทั่วโลกในปี 2565   สำหรับประเทศไทยเริ่มมีความต้องการหลังจากผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 เนื่องจากหลายๆ คนไม่สามารถเดินทางไปยังสำนักงานได้ ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีพื้นที่ co-working space ทั้งหมด 91 แห่งทั่วประเทศ โดย 70% เป็นพื้นที่ที่ให้บริการในกรุงเทพฯ และ 30% ไปกระจายอยู่ตามหัวเมืองต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หาดใหญ่ เป็นต้น โดยมีอัตราค่าใช้บริการแบบรายวันประมาณ 180 - 500 บาท หรืออาจคิดค่าบริการแบบเหมารายเดือนประมาณ 3,000 - 7,450 บาท ด้วยรูปแบบที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์การทำงานของคนรุ่นใหม่ จึงทำให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 35% ซึ่งล่าสุดพบว่ามีผู้ให้บริการต่างชาติรายใหญ่ เช่น JustCo ได้เข้ามาเปิดให้บริการในทำเล สีลม-สาทร ซึ่งถือเป็นทำเลยอดนิยมของกลุ่มคนทำงาน ตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานออฟฟิศและสตาร์ทอัพในย่านนี้   “อย่างไรก็ตามในส่วนของตลาดที่อยู่อาศัยในย่านสีลม-สาทรนั้น พบว่าเหลือพื้นที่ในการพัฒนาโครงการจำกัด ส่งผลให้มีความต้องการด้านที่อยู่อาศัยสูง ทั้งความต้องการในการซื้อต่อและความต้องการเช่า ทำให้คอนโดมิเนียมในทำเลนี้มีราคาปรับตัวขึ้นมาอย่างน่าสนใจโดยราคานำกลับมาขายใหม่ (resale) และผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจทั้งคู่ โดยในส่วนของตลาดรีเซลมีผลตอบแทนการขายต่อ (capital gain) ประมาณ 4-5% ต่อปี ราคาขายต่อเฉลี่ยประมาณ 230,000 บาท/ ตารางเมตร ขณะที่ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (rental yield) อยู่ที่ประมาณ 4-5% ต่อปีเช่นกัน โดยราคาปล่อยเช่าอยู่ที่ 800-1,000 บาท/ตารางเมตร สาเหตุที่ทำเลสีลม-สาทรได้รับความนิยมทั้งพื้นที่สำนักงาน co-working space และที่อยู่อาศัยนั้น เนื่องจากไม่เพียงตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนทำงานทั่วไป สตาร์ทอัพ และฟรีแลนซ์ ยังพบว่ามีความต้องการจากกลุ่มต่างชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย (expat) และอยู่อาศัยในย่านธุรกิจอีกเป็นจำนวนมาก โดยข้อมูลปี 2560 พบว่ามีจำนวน expat ในกรุงเทพฯ รวมประมาณ 1.2 ล้านคน” นายอนุกูล กล่าว
“ยิปซัม ตราช้าง” เปิดตัวนวัตกรรมสุดล้ำ “ระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช (EasyFinish™ System)” ฉีกกฎการฉาบผนังรูปแบบเดิม

“ยิปซัม ตราช้าง” เปิดตัวนวัตกรรมสุดล้ำ “ระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช (EasyFinish™ System)” ฉีกกฎการฉาบผนังรูปแบบเดิม

  บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม จำกัด (สระบุรี) จำกัด หรือ “ยิปซัม ตราช้าง” นำเสนอนวัตกรรมที่จะปฏิวัติระบบการปิดผิวผนังภายในเพื่อให้ตอบโจทย์ด้านความสวยงามและเพิ่มประสิทธิผลของงาน โดยแก้ปัญหาระบบผนังภายในแตกร้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพใช้เวลาและแรงงานที่น้อยกว่า  จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงจาก บริษัท ยูเอสจี บอรอล ผู้นำด้านเทคโนโลยีการก่อสร้างระดับโลก  เปิดตัวระบบปิดผิวผนังภายในนวัตกรรมใหม่ ภายใต้ชื่อ  “ระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช (EasyFinish™ System)” ที่สามารถติดตั้งได้ถึง 4 รูปแบบ ช่วยให้ได้ผนังภายในที่เรียบเนียนและได้ระนาบ แทนวิธีการแบบฉาบปิดผิวแบบเดิมๆ มั่นใจได้ว่าทั้งช่าง ผู้รับเหมาและเจ้าของโครงการ จะได้ประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้นถึง 4 เท่า และประหยัดเวลาได้กว่าครึ่ง ทำให้ส่งงานได้เร็วขึ้น ขณะที่ลูกบ้านวางใจได้ห้องระดับคุณภาพ     สำหรับผู้รับเหมา ลูกบ้าน และเจ้าของบ้าน มักจะคิดว่า ผนังภายในและพื้นผิวฝ้าเพดานจะดูสมบูรณ์แบบหากทำผนังได้ระนาบ รวมไปถึงซ่อมแซม รอยบุบ รอยแตกร้าว รอยขีดข่วนและความเสียหายใด ๆ ให้เรียบร้อยก่อนทาสีหรือตกแต่ง ในขณะที่หลายคนเห็นด้วยว่าเวลาเป็นเงินเป็นทอง และการลดเวลาในการก่อสร้าง ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น   ระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช สามารถติดตั้งบนผนังก่ออิฐหรือคอนกรีต  ช่วยประหยัดเวลาก่อสร้าง หมดกังวลเรื่องฝีมือและแรงงานช่างในการติดตั้ง  ตัดปัญหางานฉาบและขัดผิวที่ยากลำบาก ด้วยระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช เป็นการก่อสร้างแบบแห้งที่ไม่เพียงแค่รวดเร็วและง่ายต่อการติดตั้งสำหรับช่างทั่วไป ทั้งยังมีการดูแลรักษาง่าย ประหยัดค่าบำรุงรักษาและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   ระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อแก้ไขปัญหาผนังที่แตกร้าวไม่สวยงามและผนังที่ไม่ได้ระนาบ โดยระบบการติดตั้ง ประกอบด้วยการใช้แผ่นยิปซัม ตราช้างพลัส คุณภาพสูง ที่มีคุณสมบัติไม่ลามไฟ ติดตั้งร่วมกับปูนกาวสูตรเฉพาะที่มีคุณสมบัติการยึดเกาะดีเยี่ยม ทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้ผนังที่เรียบเนียนได้ระนาบ  ใช้เวลาติดตั้งลดลงกว่าเดิม   ระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช พิสูจน์แล้วว่ามีความทนทานใช้งานได้ยาวนาน และมีรูปแบบการติดตั้งที่หลากหลายถึง 4 รูปแบบ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาผนังภายในได้อย่างครอบคลุม    คุณจรุง กาญจนภูมิ ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม จำกัด (สระบุรี) จำกัด กล่าวว่า  ยิปซัม ตราช้าง ในฐานะผู้นำและผู้เชี่ยวชาญเรื่องฝ้าเพดานและผนังยิปซัม มุ่งมั่นนำเสนอนวัตกรรมสู่วงการก่อสร้างเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในแต่ละเซ็กเมนต์ ทั้ง ผู้บริโภค ช่าง ผู้รับเหมา เจ้าของโครงการ โดยในปีนี้ จะเน้นโซลูชั่นระบบผนังภายในที่มีความเด่นด้านเทคโนโลยี เพื่อขยายการใช้ผลิตภัณฑ์ที่นอกเหนือจากกลุ่มฝ้าเพดาน ด้วยนวัตกรรมล่าสุดระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช ซึ่งผ่านการทดลองและทดสอบประสิทธิภาพการทำงานขั้นสูงสุด ด้วยแนวคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ใช้งานง่าย และมีความทนทาน เพื่อให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุดตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน จะทำตลาดผ่านงานโครงการและสื่อออนไลน์ ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ถึงคุณสมบัติที่นวัตกรรมดังกล่าวสามารถตอบสนองความต้องการและแก้ปัญหาได้จริง  โดยกลุ่มลูกค้าหลักๆ ของระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ  ธุรกิจเพื่อการค้าและที่พักอาศัย เช่น โรงแรม โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า สำหรับในส่วนของธุรกิจที่อยู่อาศัย เช่น คอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร    ปัจจุบัน ระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช ได้ถูกใช้งานและติดตั้ง ไปแล้วในหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และ ไทย เรียกได้ว่าเป็นระบบที่ได้รับความไว้วางใจใช้จริง ซึ่งสิ่งนี้คือแนวทางองค์รวมในการสร้างสรร การออกแบบและระบบงานก่อสร้างที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่ช่วยทำให้งานก่อสร้างเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น   รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ รูปแบบการติดตั้งทั้ง 4 รูปแบบของ “ระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช (EasyFinish™ System)” ดังนี้     ·    อีซี่ฟินิช ระบบก้อนปูน (EasyFinishTM Bond System)  สำหรับผนังก่ออิฐหรือคอนกรีตที่ต้องการความเรียบเนียนและความรวดเร็วในการติดตั้งช่วยประหยัดต้นทุนในการก่อสร้างและลดปัญหารอยแตกร้าวบนผนัง   อีซี่ฟินิช ระบบโซลิด โดยใช้อุปกรณ์อีซี่สคู๊ป (EasyFinishTM Solid System EasyScoopTM Application)   สำหรับผนังก่ออิฐหรือคอนกรีตที่ต้องการความเรียบเนียนและให้ความรู้สึกทึบตัน ติดตั้งด้วยอุปกรณ์ อีซี่สคู๊ป (EasyScoop™) สามารถทำงานได้เร็วกว่าถึง 2 เท่าระบบนี้เหมาะสำหรับผนังในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกชนหรือกระแทก   อีซี่ฟินิช ระบบโซลิด โดยใช้เกรียงหวีอีซี่โทรเวล   (EasyFinishTM Solid System EasyTrowelTM Application) สำหรับผนังก่ออิฐหรือคอนกรีตที่ต้องการความเรียบเนียนและทึบตัน เหมาะสำหรับผนังที่ต้องการความแข็งแกร่งและทนทานสูง เป็นระบบที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานระดับสูงสุด (Severe Duty) ติดตั้งโดยใช้เกรียงหวี อีซี่โทรเวล (EasyTrowel™) เพื่อให้แน่ใจว่าการติดตั้งจะเป็นไปอย่างง่ายดายและรวดเร็ว ช่วยควบคุมความหนาของเนื้อปูน เพื่อให้ได้ผนังที่เรียบและได้ระดับอย่างแท้จริง   อีซี่ฟินิช ระบบโครงคร่าว (EasyFinishTM Frame System) สำหรับผนังก่ออิฐหรือคอนกรีตที่ล้มดิ่งหรือขรุขระมากซึ่งยากต่อการฉาบเก็บงาน สามารถออกแบบเพิ่มคุณสมบัติด้านการกั้นเสียง และยังให้ความสะดวกในการติดตั้งงานระบบต่างๆ ภายในช่องว่างของผนัง
สิงห์ เอสเตท ส่ง ดิ เอส สุขุมวิท 36 บุกตลาดฮ่องกง  กวาดยอดขาย 200 ล้านบาท

สิงห์ เอสเตท ส่ง ดิ เอส สุขุมวิท 36 บุกตลาดฮ่องกง กวาดยอดขาย 200 ล้านบาท

  นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่ทาง บมจ.สิงห์ เอสเตท ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมในระดับลักชัวรี ดิ เอส สุขุมวิท 36 (THE ESSE at SUKHUMVIT 36) เมื่อช่วงปลายปี 2560 ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับทาง ฮ่องกง แลนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ระดับเอเชีย โดยที่ผ่านมาถือได้ว่าได้รับความสนใจจับจองโครงการจากกลุ่มลูกค้าไทยและต่างชาติอย่างต่อเนื่อง   “ปีนี้บริษัทฯ ได้วางแผนนำโครงการออกงานโรดโชว์ที่ต่างประเทศตลอดทั้งปี  ประเดิมงานแรกของปีด้วยการออกโรดโชว์โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ที่ฮ่องกงเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มนักลงทุนฮ่องกงถือว่าเป็นตลาดหลักสำคัญที่สนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย รวมถึงยังมีฐานลูกค้าที่มาจากพาร์ทเนอร์อย่าง ฮ่องกง แลนด์ โดยรวมยอดขายจากโรดโชว์ 2 วันอยู่ที่ 200 ล้านบาท ซึ่งทำให้ขณะนี้โครงการฯ มียอดขายรวมแล้วกว่า 60% โดยมีสัดส่วนของลูกค้าชาวต่างชาติ 20% ของทั้งโครงการ และตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศให้ได้ถึง 40%อีกทั้งคาดว่าปีนี้จะมีการนำโครงการออกโรดโชว์อีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งยังคงมุ่งไปยังประเทศในแถบเอเชียเป็นหลัก” นายณัฐวุฒิ กล่าว     สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมที่ผ่านมาของสิงห์ เอสเตท ได้แก่ ดิ เอส อโศก (THE ESSE Asoke) และ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (THE ESSE at SINGHA COMPLEX) ทั้ง 2 โครงการต่างได้รับการตอบรับที่ดีในกลุ่มลูกค้าคนไทย รวมถึงได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติทั้งนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนรายย่อย ทำให้ปัจจุบันทั้งสองโครงการมียอดขายรวมแล้วกว่า 85%   “ทั้งนี้โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี สูง 43 ชั้น จำนวน 338 ยูนิต ราคาเริ่มต้นต่อยูนิตอยู่ที่ 12.3 ล้านบาท โดยออกแบบภายใต้แนวคิด “A Harmony of Contrast”  หรือ สมดุลแห่งความต่าง โดยการหลอมรวมอัตลักษณ์ของความเป็นไทยกับเทรนด์การอยู่อาศัยในยุคปัจจุบันเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 1 ปี 2561 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ตุลาคม 2563”  นายณัฐวุฒิ กล่าวปิดท้าย  
ซีบีอาร์บี เผยยอดขายวิลล่าภูเก็ตเพิ่มขึ้น 21%

ซีบีอาร์บี เผยยอดขายวิลล่าภูเก็ตเพิ่มขึ้น 21%

  จากรายงานฉบับล่าสุดโดยแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก พบว่า ในปี 2560 ยอดขายวิลล่าในภูเก็ตอยู่ที่ 155 หลัง ซึ่งถือเป็นยอดขายสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2558 และเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 21% โดย 90% ของยอดขายวิลล่าทั้งหมดในปี 2560 เป็นวิลล่าในตลาดระดับกลาง-ล่างซึ่งมีราคา 5 - 35 ล้านบาท   แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี พบว่ายอดขายที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ทั้งในตลาดวิลล่าและคอนโดมิเนียมตากอากาศเป็นการซื้อเพื่อการลงทุนหรือเพื่อก่อให้เกิดรายได้  โครงการส่วนใหญ่เสนอแผนการปล่อยเช่าที่มีการรับประกันผลตอบแทนที่ 5 - 7% ต่อปีเป็นระยะเวลา 2 - 5 ปี  โดยกลุ่มผู้ซื้อที่พักตากอากาศในภูเก็ต 3 อันดับแรกมาจากไทย ยุโรป และจีน     นางสาวประกายเพชร มีชูสาร ผู้อำนวยการแผนกซื้อขายบ้านพักตากอากาศ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า ยอดขายในตลาดระดับลักซ์ชัวรี่ ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 90 ล้านบาทขึ้นไปต่อหลังสำหรับวิลล่าและ 20 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิตสำหรับคอนโดมิเนียมนั้นมีไม่มากนัก  แต่ซีบีอาร์อีมั่นใจว่าตลาดลักซ์ชัวรี่ยังคงได้รับความสนใจอยู่ โดยเห็นได้จากยอดขายวิลล่าจำนวนสองหลังในโครงการ ลายันเรสซิเดนเซส บาย อนันตรา และจำนวนหนึ่งหลังในโครงการอวาดีน่า ฮิลส์ บาย อนันตรา ซึ่งมีราคาอยู่ในระดับ 300 - 500 ล้านบาทในปี 2560     สำหรับโครงการอวาดีน่า ฮิลส์ บาย อนันตรา ซึ่งมีราคาอยู่ในระดับ 200 - 500 ล้านบาทในปี 2560 แผนกวิจัย ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่าจะมีโครงการที่พักตากอากาศที่ได้รับการบริหารโดยเครือโรงแรมเพิ่มมากขึ้น เพราะได้กลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้ซื้อให้ความสนใจมากขึ้นสำหรับโครงการที่มีการรับประกันผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า   ในปี 2561 ซีบีอาร์อีเชื่อว่าปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจะยังคงเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิดความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต ทั้งในตลาดที่พักตากอากาศและตลาดโรงแรม   โดยตลาดที่พักตากอากาศในระดับกลาง-ล่างจะยังคงเป็นตลาดที่มีผู้ซื้อเป็นนักลงทุนเป็นหลักอยู่ต่อไป   สำหรับตลาดระดับบน ซีบีอาร์อีเชื่อว่ายังมีโอกาสอยู่แต่ก็มีความท้าทายสำหรับผู้พัฒนาโครงการในการพัฒนาสินค้าให้ตรงต่อความต้องการของลูกค้า  
7 ประเด็นร้อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ กรุงเทพฯ

7 ประเด็นร้อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ กรุงเทพฯ

  เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง ชี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ปรับตัวรับการลงทุนของกลุ่ม    ทุนต่างชาติ ผู้ประกอบการรายกลางและรายใหม่ตบเท้าเข้าตลาดเพิ่ม ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่มองหาการลงทุนในตลาดเช่าเพื่อบริหารต้นทุนและรับรู้รายได้ในระยะยาว ส่วนครึ่งปีหลังตลาดคอนโดมิเนียม ระดับลักซูรี่กลางเมืองยังเติบโตต่อเนื่อง   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี2561 ตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ยังคงคึกคักต่อเนื่อง และมีประเด็นสำคัญในตลาดที่น่าจับตามองอยู่หลายประเด็น ทั้งในแง่ของการลงทุน ราคาที่ดิน แนวโน้มช่วงครึ่งปีหลัง และปีหน้า     ประเด็นที่ 1 : ในช่วงไตรมาสแรกปี 2561 มีโครงการ คอนโดมิเนียม เกิดใหม่ โดยผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ และรายย่อยจำนวน 14,094 หน่วย จาก 31 โครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้มีจำนวนห้องชุดทั้งหมดในตลาด อยู่ที่ 564,000 หน่วย และจากการที่ที่ดินในใจกลางเมืองมีราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้พัฒนาไม่สามารถหาที่ดินพัฒนาโครงการได้เหมาะสม สัดส่วนห้องชุดที่เกิดใหม่จึงเกิดขึ้นบริเวณ โซนสุขุมวิทตอนปลาย (29%) โซนพญาไท-รัชดาภิเษก-พระราม 9 (23%) โซนตากสิน เพชรเกษม (17%) เป็นหลัก สำหรับในครึ่งปีหลังนี้น่าจะเห็นโครงการใหม่เกิดขึ้นบริเวณแจ้งวัฒนะ และ รามอินทรามากขึ้น จากแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น  อย่างไรก็ตาม  สิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า ราคาคอนโดมิเนียมในกลุ่มซูเปอร์ลักซูรี่กลางเมืองที่เปิดตัวราคาตารางเมตรละ 400,000 บาท จะมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ จากราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น  ในขณะที่ตลาดซิตี้คอนโดจะขยายตัวออกไปในส่วนต่อขยายรถไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้ราคาไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก   ประเด็นที่ 2 : หลายปีที่ผ่านมา ผู้พัฒนาหลักในตลาดคอนโดมิเนียมจะเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 70% ของตลาด แต่สำหรับในช่วงไตรมาสแรกนี้ ผู้พัฒนาโครงการ รายกลางและรายใหม่ เริ่มมีสัดส่วนมากขึ้น รวมทั้งผู้พัฒนาจากต่างชาติด้วย โดยมีผู้พัฒนาโครงการรายกลางและรายใหม่เปิดตัวโครงการประมาณ 38% ของจำนวนห้องชุดใหม่ในตลาด ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าตลาดยังน่าดึงดูดให้ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ผู้ประกอบการขนาดกลางหลายรายยังมี Roadmap ที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายใน 1 - 2 ปีนี้อีกด้วย   ในขณะเดียวกันแผนธุรกิจและการพัฒนาโครงการสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ กลับมาให้ความสำคัญกับตลาดที่มีความยั่งยืนมากขึ้น เปลี่ยนแปลงสัดส่วนการลงทุน ระมัดระวังการซื้อที่ดินกลางเมืองบ้าง โดยเพิ่มพัฒนาตลาดบ้านแนวราบที่การเช่าที่ดินระยะยาว เพื่อพัฒนาโครงการที่มีรายได้ค่าเช่ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมหรืออาคารสำนักงาน และเริ่มมองหาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศมากขึ้นด้วย     ประเด็นที่ 3 : ทุนต่างชาติ ในช่วงไตรมาสแรกมีบริษัททุนขนาดใหญ่จากจีนที่เปิดตัวโครงการชัดเจนโดยมิได้อาศัยบริษัทไทยที่มีชื่อเสียงเข้าร่วมทุนถึง 20% ของจำนวนห้องชุดที่เปิดในตลาดกรุงเทพฯ  และเป็นโครงการขนาดใหญ่ มูลค่ารวมมากกว่า 30,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทย สำหรับต่างชาติที่เคยเข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ก็ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เริ่มเห็นคอนโดมิเนียมที่ตอบสนองความต้องการของคนญี่ปุ่นมากขึ้น ปีนี้ทุนญี่ปุ่นที่จะเข้ามาพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 4 - 5 โครงการ   ประเด็นที่ 4 : นักลงทุนรายย่อยต่างชาติ ยังคงให้ความสนใจเข้ามาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง   และมีจำนวนมากขึ้น ปัจจัยหลักก็ยังคงมาจากราคาสินค้าที่ยังคงถูกกว่ามาก เมื่อเทียบกับตลาดในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนจากฮ่องกง และญี่ปุ่น ประกอบกับระยะการเดินทางก็ไม่ไกล การซื้อคอนโดมิเนียมไว้           ก็เสมือนเป็นบ้านหลังที่ 2 เพื่อพักผ่อนและปล่อยเช่า ก่อนหน้านี้เราจะเห็นเทรนด์นี้ เฉพาะในสินค้าประเภท ลักซูรี่ และซูเปอร์ลักซูรี่เท่านั้น แต่ตอนนี้ตลาดไฮเอนด์ และตลาดระดับกลางก็เริ่มมีนักลงทุนให้ความสนใจมากขึ้น นอกจากนี้นักลงทุนจากประเทศจีน ก็ยังต้องการย้ายเงินลงทุนมายังต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยงอีกด้วย  ประกอบกับผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ในประเทศเองก็ออกไปนำเสนอสินค้าในต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนี่อง มีการสร้างความเชื่อมั่นด้วยการไปเปิดสำนักงานย่อย เพื่อบริการลูกค้าอีกด้วย จึงทำให้ตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะในเอเชียเติบโตอย่างต่อเนื่อง   อีกส่วนที่น่าจับตามองคือ ในช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนเข้ามามองหาซื้อห้องชุดในโควต้าต่างชาติ 49% เพื่อไปเสนอให้นักลงทุนรายย่อยในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมองเห็นโอกาสในการทำกำไร ในขณะเดียวกันก็ยังเชื่อมันว่ามีผู้ซื้อรายย่อยในประเทศต่างๆ ยังคงมองหาคอนโดมิเนียมในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดนี้ก็น่าจะยังคงเติบโตได้ต่อไป     ประเด็นที่ 5 : สำหรับนักลงทุนรายใหม่ที่มีเงินทุนจากธุรกิจครอบครัว รุ่นพ่อแม่เริ่มจับมือกันมาร่วมทุน   เพื่อพัฒนาโครงการที่พักอาศัยแนวใหม่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมหรือบ้านพักอาศัยระดับหรู โดยกลุ่มนี้      ก็เหมือน Startup ในธุรกิจอื่นๆ มีต้นทุนในการบริหารจัดการต่ำ มีความคล่องตัวสูง บางกลุ่มก็มีตลาดรองรับสินค้า  ที่พัฒนาอย่างชัดเจนซึ่งอยู่ในเครือข่ายของธุรกิจหลัก และไม่เฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยเท่านั้น ยังรวมไปถึง โรงแรมแนวใหม่ อพาร์ทเมนท์ Co-working space หรือ Lifestyle retail ต่างๆ   ประเด็นที่ 6 : หลายๆ โครงการอสังหาริมทรัพย์ได้นำ Platform การใช้ชีวิต ที่ตอบสนองกับ Lifestyle คนไทยที่เปลียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มาเพิ่มเป็นจุดขายในการพัฒนาโครงการ ไม่ว่าจะเป็นระบบสั่งการหรือการให้บริการผ่าน Mobile Application ต่างๆ Smart Robot หรือ Smart Locker เป็นต้น ซึ่งแน่นอนก็จะตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี โอกาสในตลาดสำหรับคนที่มีที่อยู่อาศัยแล้วที่จะมี Platform ที่สามารถตอบสนองความต้องการของที่อยู่อาศัยเดิม น่าจะเป็นสิ่งที่น่าจับตามองในระยะเวลาอันสั้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบ Smart Locker หรือระบบการบริการต่างๆ ที่เพิ่มความปลอดภัย การพักผ่อนหย่อนใจ และความสะดวกสบายใน การใช้ชีวิตมากขึ้น     ประเด็นที่ 7 : โอกาสทางการตลาดสำหรับตลาดที่อยู่อาศัยในครึ่งปีหลัง ยังคงเห็นความเติบโตในตลาดต่างชาติ ในขณะที่ราคาก็ยังคงปรับตัวสูงขึ้นจากต้นทุนที่สูงขึ้น คอนโดมิเนียม 7 - 8 ชั้นขนาดโครงการเล็กลง   จาก ผู้พัฒนารายใหม่ ยังคงเห็นต่อเนื่อง รวมถึงบ้านลักซูรี่ระดับราคาสูงก็ยังคงมีความต้องการต่อเนื่อง และยังมีผู้ให้ความสนใจ ทำเลการพัฒนาโครงการ ถ้าเป็นโครงการกลางเมืองจะขยับจากทองหล่อไปเอกมัยมากขึ้น สุขุมวิท   31 - 49 ก็เริ่มเข้าไปในซอยที่ลึกขึ้น   เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีต่างชาติเข้ามาซื้อและมาลงทุนมากขึ้น ดังนั้นสถานการณ์เศรษฐกิจ การเมืองและการลงทุนรวมทั้งค่าเงินของประเทศเหล่านั้นก็จะมีผลกระทบต่อตลาดอสังหาประเทศไทยมากกว่าแต่ก่อน  
ไรมอนแลนด์ จับมือ โตเกียว ทาเทโมโนะ ผุดโครงการหรูย่านสุขุมวิท- สาทร มูลค่ารวมกว่า 9 พันล้านบาท

ไรมอนแลนด์ จับมือ โตเกียว ทาเทโมโนะ ผุดโครงการหรูย่านสุขุมวิท- สาทร มูลค่ารวมกว่า 9 พันล้านบาท

  ไรมอน แลนด์ จับมือ โตเกียว ทาเทโมโนะ ร่วมทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ 2 โครงการแรกใกล้สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ และสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ มูลค่ารวมกว่า 9 พันล้านบาท     นายเอเดรียน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามสัญญาร่วมทุนกับ บริษัทโตเกียว ทาเทโมโนะ (Tokyo Tatemono) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงการที่พักอาศัย ทำเลย่านสาทร ซอย 12 มูลค่าโครงการ 4.2 พันล้านบาท และโครงการบนถนนสุขุมวิท โดยใช้เวลาเดินเพียง 2 นาที จากรถไฟฟ้าสถานีพร้อมพงษ์ ด้วยมูลค่า 4.9 พันล้านบาท หรือมูลค่ารวมกว่า 9.1 พันล้านบาท     "การร่วมทุนระหว่างไรมอน แลนด์ และโตเกียว ทาเทโมโนะ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นถือเป็นโอกาสทองที่จะขยายธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ร่วมกันของทั้งสองบริษัท รวมทั้งยังคงมองหาความเป็นไปได้ และศึกษาความรู้สำหรับการพัฒนาโครงการในอนาคตร่วมกันในฐานะหุ้นส่วนระยะยาว เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและผลักดันการเติบโตให้เกิดประโยชน์กับทั้งสองบริษัท ในอีก 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2566) ไรมอน แลนด์ คาดการณ์ว่าธุรกิจจะมีรายได้ประมาณ 10-12 พันล้านบาท การเติบโตนี้ได้รับการสนับสนุน และการบริหารการจัดการงบดุลที่แข็งแกร่งโดยมี D/E อยู่ที่ 0.67 " เอเดรียน ลี กล่าว     นายคะทสึฮิโตะ โอซะวะ กรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และหัวหน้าฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ บริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ เปิดเผยว่า การตัดสินใจเข้าร่วมทุนกับไรมอน แลนด์ มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ เนื่องด้วยความสนใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะเพื่อการอยู่อาศัย การได้จับมือกับหุ้นส่วนที่เหมาะสมอย่างไรมอน แลนด์ จะทำให้สามารถพัฒนาการเป็นหุ้นส่วนระยะยาวร่วมกัน โดยใช้ทั้งความรู้ และประสบการณ์เพื่อสร้างผลกำไรสูงสุดในอนาคต   ปัจจุบัน บริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ (Tokyo Tatemono) ได้พัฒนาและบริหารจัดการอาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์บริลเลีย (Brillia) สิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ และสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านรีสอร์ต ธุรกิจของบริษัทโตเกียว ทาเทโมโนะ กรุ๊ป ยังให้บริการด้านที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ ที่จอดรถ ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ บริการดูแลเด็ก ธุรกิจต่างประเทศ และธุรกิจประเมินมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ โดยรายได้ของบริษัทในปี พ.ศ. 2560 เท่ากับ 77.8 พันล้านบาท  
จับตา ลีสโฮลด์ มาแรง “สยามสินธร”เร่งปั้นคอนโดใหม่บนอาณาจักรหลังสวน มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท หลัง “สินธร ต้นสน” ยอดขายพุ่งกว่า50%

จับตา ลีสโฮลด์ มาแรง “สยามสินธร”เร่งปั้นคอนโดใหม่บนอาณาจักรหลังสวน มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท หลัง “สินธร ต้นสน” ยอดขายพุ่งกว่า50%

“สยามสินธร” เดินหน้าสร้างอาณาจักรมิกซ์ยูส “สินธร วิลเลจ” ย่านหลังสวน แลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพ รุกเปิดโครงการใหม่  “สินธร หลังสวน”  คอนโดมิเนียมหรู  รับเทรนด์ตลาดอสังหาฯ กระแสลีสโฮลด์แรงต่อเนื่อง หลังโครงการ”สินธร ต้นสน”  ประสบความสำเร็จเกินคาด ยอดขายพุ่งกว่า 50%   นายขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหาร บริษัท สยามสินธร จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบสิทธิการเช่าระยะยาว หรือลีสโฮลด์ (Lease Hold) ระยะเวลา 30 ปี  โดยเฉพาะทำเลย่านใจกลางเมือง เช่น ราชดำริ สารสิน หลังสวน ลุมพินี ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อที่ต้องการอยู่อาศัยย่านใจกลางเมืองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งแง่ผู้ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยและกลุ่มนักลงทุน ซึ่งต้องการทำเลที่ดี ปล่อยเช่าง่าย และได้อัตราผลตอบแทน( yield) ที่สูง หลังจากที่ดินย่านใจกลางเมืองเหลือน้อยเต็มที และมีราคาสูงมาก ทำให้โครงการประเภทลีสโฮลด์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง   ตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านลีสโฮลด์พร้อมเผยที่ผ่านมาผู้ซื้อเปิดใจรับมากขึ้น จุดแข็งของลีสโฮลด์ โดยโครงการที่เจ้าของที่ดินเป็นผู้พัฒนาเอง ก็คือการดูแลรักษาสภาพอาคารให้มีสภาพดีอยู่เสมอ ซึ่งหากเป็นการขายขาด ภาระหน้าที่ตรงนี้จะกลายเป็นของนิติบุคคลอาคารชุดที่จัดตั้งขึ้นมา แต่หากเป็นการเช่าสิทธิระยะยาวที่มีเจ้าของที่ดินเป็นผู้พัฒนาโครงการเอง การดูแลเอาใจใส่ ตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ไปถึงการบำรุงรักษาอาคาร จะดำเนินการโดยผู้พัฒนาโครงการ ดังนั้นมูลค่าของอาคารในระยะยาวย่อมมีมากกว่า  อีกทั้งยังสามารถทำราคาเช่าได้เท่ากับที่ดินประเภทฟรีโฮลด์ในทำเลเดียวกัน คือใช้เงินลงทุนน้อยกว่า แต่ได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า  จึงเป็นอีกทางเลือกของการลงทุนในคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่น่าจับตามอง   ทั้งนี้ แนวโน้มดังกล่าว สะท้อนให้เห็นการประสบความสำเร็จ จากการเปิดขายโครงการที่ 2 คือ “สินธร ต้นสน”  ตั้งอยู่บนพื้นที่  1 ไร่ครึ่ง พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ บริเวณถนนสารสิน ตัดซอยต้นสน สูง 17 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 85-140 ตารางเมตร ราคา 19-48 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ 19 ล้านบาท จำนวน 59 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท โดยได้เปิดการขายอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา  ปัจจุบันมียอดขายรวมกว่า  50%  ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเกินคาด โดยการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2561 นี้ เช่นเดียวกับโครงการแรก คือ “สินธร เรสซิเดนซ์” เปิดขายไปเมื่อปี 2558 สามารถปิดการขายได้ 85% ภายในเวลา 2 ปี     “ปัจจัยที่ทำให้พื้นที่โดยรอบสวนลุมพินี มีความโดดเด่น หัวใจหลักๆเนื่องจากเพราะสวนลุมพินีเองเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ถือเป็นปอดของกรุงเทพฯ ทำให้คอนโดมิเนียมที่อยู่รอบพื้นที่แห่งนี้ได้ชมวิวกรุงเทพฯ  ในแบบ "พาร์ควิว" ทั้งยังอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก และเครือข่ายคมนาคมในย่านนี้ที่สะดวกมาก ปัจจุบันพื้นที่โดยรอบสวนลุมพินี ถือ เป็น Prime Area แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่มีโรงแรมระดับ 5-6 ดาว รวมถึงอาคารสำนักงานกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ และยังเต็มไปด้วยคอนโดระดับซูเปอร์ ลักชัวรี่ มากมาย  ดังนั้น ในย่านนี้ที่ดินแบบ ฟรีโฮลด์ จึงค่อนข้างหายาก และมีราคาสูง ทำให้ราคาอสังหาฯโดยรอบย่านมีราคาพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง   เพราะถือเป็นพื้นที่ไข่แดงใจกลางเมือง” นายขจรเดช กล่าว     นายขจรเดช กล่าวต่อว่า บริษัทฯ เดินหน้าต่อยอดความสำเร็จ เตรียมเปิดโครงการ “สินธร หลังสวน” ภายใต้โครงการ “สินธร วิลเลจ” มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท  ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ บนที่ดินในย่านหลังสวน  พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ แบบลีสโฮลด์ เช่าซื้อระยะยาว 30 ปี และได้รับสิทธิ์ต่ออายุอีก 30 ปี สูง ​33 ชั้น โดยจุดเด่นออกแบบให้แต่ละยูนิต มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ขนาดห้องตั้งแต่ ​98 - 480 ตารางเมตร รวมถึงมีการออกแบบห้องให้มีความโปร่งสบาย ระยะพื้นถึงเพดานสูงถึง 3.0 เมตร  มีห้อง 4 แบบ ตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน และเพ้นท์เฮ้าส์ จำนวนรวม 225 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น 20 ล้านบาท พร้อมที่จอดรถมากถึง 496   คัน  เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ​พื้นที่ส่วนกลางที่มีขนาดใหญ่  เลานจ์สำหรับผู้พักอาศัย ที่ชั้น 30  พร้อมสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ  ห้องฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ครบครัน  ล็อคเกอร์ กับเซาวน่า และห้องสตรีม เป็นต้น โดยกำหนดเปิดขายในเดือน มิ.ย. นี้   สำหรับโครงการ สินธร วิลเลจ เป็นโครงการมิกซ์ยูสบนพื้นที่ 56 ไร่ ตั้งอยู่บนทำเลใจกลางเมืองบริเวณหลังสวน ประกอบไปด้วย คอนโดมิเนียม เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ โรงแรม และคอมมูนิตี้มอลล์  ภายใต้แนวคิด “Living in the Park” จัดสรรพื้นที่กว่า 14 ไร่ เป็นสวนขนาดใหญ่ เพื่อสร้างบรรยากาศที่อยู่อาศัยให้ร่มรื่น น่าอยู่ อีกทั้งยังมุ่งเน้นการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย ชุมชน และสังคมรอบด้านอีกด้วย
คิง เพาเวอร์ ทุ่ม 14,000 ล้านบาทซื้อ”มหานคร” ต่อยอดธุรกิจท่องเที่ยว-โรงแรม

คิง เพาเวอร์ ทุ่ม 14,000 ล้านบาทซื้อ”มหานคร” ต่อยอดธุรกิจท่องเที่ยว-โรงแรม

  คิง เพาเวอร์ สยายปีกธุรกิจ เสริมความแข็งแกร่ง ทุ่ม 14,000 ล้านบาท ซื้อโครงการมหานคร ในส่วนของโรงแรม, จุดชมวิว Observation Deck และ  อาคารรีเทลมหานครคิวป์ จากบริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) เพื่อต่อยอดธุรกิจ และพัฒนาให้เป็นโครงการไลฟ์สไตล์ที่เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบที่สุดในกรุงเทพมหานคร โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาใช้บริการ     นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า การตัดสินใจเดินหน้าต่อยอดธุรกิจในครั้งนี้ เนื่องจากทรัพย์สินต่างๆ ที่ซื้อมานั้นเป็นทรัพย์สินที่สอดคล้องกับธุรกิจที่กลุ่มคิง เพาเวอร์ ได้ดําเนินการอยู่ นอกจากนี้ ยังเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มที่จะเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยสําคัญในการสนับสนุนให้บริษัทฯ กล้าตัดสินใจทุ่มงบประมาณ 14,000 ล้านบาทในครั้งนี้ และมั่นใจว่าจะช่วยเสริมความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจในกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ให้มีความมั่งคงยิ่งขึ้น   โดยการเข้าซื้อทรัพย์สินฯ ครั้งนี้ บริษัทฯ ได้เข้าถือครองทรัพย์สินในตึกมหานคร ได้แก่ โรงแรม, จุดชมวิว Observation Deck, ร้านค้าปลีกบริเวณพื้นที่รีเทล 4 ชั้น, อาคารรีเทลมหานครคิวป์, รวมถึงที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ร่วม   สําหรับเป้าหมายสําคัญในการพัฒนาทรัพย์สินที่กลุ่ม บริษัท คิง เพาเวอร์ ได้เข้าครอบครองในครั้งนี้นั้นจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเสริมสร้างศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่สําคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระดับสากล รวมถึงพร้อมที่จะรองรับการเติบโตของประชาคมอาเซียนในอนาคต   โดยจากจุดแข็งของทรัพย์สินที่ได้มา ตึกมหานครเป็นหนึ่งในอาคารที่มีความสูงที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร เชื่อมต่อการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งมีศักยภาพสูงที่จะพัฒนาเป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพ และเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เข้ามาใช้บริการ อาทิเช่น จุดชมวิว Observation Deck ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดในประเทศไทยที่เห็นวิว 360 องศาทั้งวิวเมืองและโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา และเพียบพร้อมด้วยบริการต่างๆ อีกมากมาย ทั้งโรงแรมระดับ 5 ดาวที่มีชื่อเสียง และร้านอาหารที่มีชื่อเสียงจากทั้งในและนอกประเทศ พร้อมที่จะเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สําคัญของกรุงเทพมหานครต่อไป   "ในการตัดสินใจครั้งนี้ เป็นการเดินหน้าเพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ที่พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งในการมีส่วนร่วมเสริมสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไปในอนาคต และพร้อมปักหมุดให้ประเทศไทยเป็นยุทธศาสตร์สําคัญทางเศรษฐกิจ การค้า และศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ที่สําคัญที่สุด แห่งหนึ่งของโลกต่อไป" นายอัยยวัฒน์กล่าวเสริม  
ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง มองกลุ่มอสังหาฯ ไฮเอ็น หันจับมือเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ระดับโลกตอบโจทย์ลูกค้า

ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง มองกลุ่มอสังหาฯ ไฮเอ็น หันจับมือเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ระดับโลกตอบโจทย์ลูกค้า

  ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง เดินหน้าตลาดอสังหาฯ ซุปเปอร์ลักซัวรี่  โครงการอัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 บ้านเดี่ยว 8 ยูนิต มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ออกแบบสไตล์ Modern Luxury ที่มีกลิ่นอาย New England Glamorous คัดสรรเฟอร์นิเจอร์ฝีมือดีไซน์เนอร์ระดับโลก ตอบโจทย์รสนิยมเฉพาะของคนช่างเลือก     นางสาวกมนนัทธ์ เต็มไตรรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด แบรนด์ แกลเลอรี่ ที่รวบรวมเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านจาก 7 ดีไซน์เนอร์ชื่อดังในวงการเฟอร์นิเจอร์ระดับโลกภายใต้ 7 แบรนด์ ที่มีสไตล์การออกแบบเป็นเอกลักษณ์ เปิดเผยว่าล่าสุดซอนเดอร์ ลิฟวิ่งได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบตกแต่งภายในให้กับโครงการอัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 โดยซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง โดยเข้าไปดูแลงานตกแต่งภายในส่วนเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวร่วมกับผู้ออกแบบตกแต่งภายในโครงการดังกล่าว บนคอนเซปต์โมเดลลักซัวรี่ ที่มีความเรียบแต่หรูหราแบบมีเอกลักษณ์ ใส่ความดีไซน์ลงไปในทุกตารางนิ้วของตัวบ้าน เน้นโถงรับแขกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการเน้นการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีเอกลักษณ์ของจากดีไซน์ระดับโลก อาทิ  ของ Maison 55  ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งเข้ากับหินอ่อน Book Match ขนาด Double Volume  และห้องนอนใหญ่ที่เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ของ Kelly Hoppen  เข้ามาร่วมด้วย รวมถึงการเข้าไปตกแต่งห้องตัวอย่างด้วยดีไซน์ที่มุ่งตอบโจทย์รสนิยมของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่อยู่ในระดับกลางบน ถึงระดับบน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีกำลังซื้อยุคใหม่     “การตกแต่งห้องตัวอย่างให้กับอัลติจูด มาสเตอรี่ ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง ได้คัดสรรเฟอร์นิเจอร์สุดพิเศษ จากใน 7 แบรนด์ ของ Furniture หรู เช่น Maison 55, Tracey Boyd, Nellcote Studio และ Kelly Hoppen เช่น ชุดรับประทานอาหาร REFORM DINING SET 6 ที่นั่ง ที่ซึ่งสามารถเพิ่มความยาวรองรับได้ถึง 10 ที่นั่ง จากทางดีไซนเนอร์ชั้นนำของประเทศอังกฤษอย่าง Tracey Boydซึ่ง คัดสรรแบบ Special Customize Selection  พิเศษเฉพาะสำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของโครงการอัลติจูด มาสเตอรี่ ซึ่งเป็นกลุ่มเจ้าของธุรกิจเสริมความงาม แพทย์เสริมความงาม ดารา และเซเลบ ที่ชื่นชอบดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ไม่ซ้ำแบบใคร” นางสาวกมนนัทธ์กล่าว   ทั้งนี้ ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง ยังได้จัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าโครงการดังต่อไปนี้ โดยการเลือก SPECIAL UNIT SET ซึ่งถูกเลือกโดย ดีไซนเนอร์ชั้นนำในวงการตกแต่งภายใน ซึ่งเป็นโปรโมชั่น และส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าโครงการ อัลติจูด มาสเตอรรี่ เท่านั้น     นายชยพล  หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งพัฒนาโครงการทั้งแนวราบและแนวสูงระดับลักซัวรี่ใจกลางเมือง เปิดเผยว่า อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 ป็นบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ จำนวน 8 ยูนิต ราคาหลังละ 30.7 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการกว่า 200 ล้านบาท เป็นบ้านที่มุ่งใช้ วัสดุ สุขภัณฑ์ และเฟอร์นอเจอร์ในระดับบนทั้งหมด เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอ็นที่มีกำลังซื้อสูง เป็นคนช่างเลือก และให้ความสำคัญกับดีไซน์ของบ้านเป็นหลัก ดังนั้น จงต้องพิถีพิถันในการเลือกวัสดุ และของตกแต่งบ้านจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เด่นชัด ที่สำคัญแบรนด์ต้องเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีอยู่แล้ว     “ที่เราเลือกซอนเดอร์ ลิฟวิ่งมาเป็นพันธมิตร เนื่องจากแบรนด์เป็นที่รู้จักในแวดวงของคนที่ชอบแต่งบ้านและหลงใหลชื่นชอบงานดีไซน์ ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับลูกค้าของอัลติจูด มาสเตอรี่ที่มองหาบ้านและเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์โดดเด่นเฉพาะตัวไม่ซ้ำแบบ ทั้งยังมีความละเอียดในการออกแบบและในขั้นตอนการผลิตมีที่มาที่ไปของชิ้นงานแต่ละชิ้น เพราะเป็นงานดีไซน์จากดีไซเนอร์ระดับโลก ส่งผลให้ผู้เป็นเจ้าของรู้สึกภาคภูมิใจกับสินค้าซึ่งบ่งบอกถึงรสนิยมอันดีของผู้เป็นเจ้าของ ประกอบกับดีไซน์ของเฟอร์นิเจอร์ทุกตัวมีความร่วมสมัยอยู่ตลอดเวลา“ นายชยพล กล่าว   พบกับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านไฮเอนด์ 7 แบรนด์ จาก 7 ดีไซเนอร์อย่าง Thomas Bina, Tracey Boyd, Andrew Martin, Maison 55, Nellcote Studio, Coup&Co., และ Kelly Hoppen ได้ที่ SONDER living Thailand Flagship Gallery บนถนนพระรามเก้า ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 10:00 – 19:00 น. และวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 10:00-18:00 น. รายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าเยี่ยมชมที่ Official Website: www.sonderliving.com/th หรือที่ Facebook: sonderlivingthailand    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการอัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 http://www.altitudemastery.com
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ชี้ตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 1 โตรอบ 3ปี คาดไตรมาส2 สดใสลูกค้าเร่งสร้างหนีต้นทุนใหม่

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ชี้ตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 1 โตรอบ 3ปี คาดไตรมาส2 สดใสลูกค้าเร่งสร้างหนีต้นทุนใหม่

  สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ระบุตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 1 ขยายตัวสูงสุด ในรอบ  3 ปี สะท้อนตัวเลขงาน”รับสร้างบ้านและวัสดุ 2018”  ยอดขายเพิ่มขึ้น  65% ขณะที่มูลค่า เพิ่มถึง 40% แรงหนุนเศรษฐกิจ กำลังซื้อผู้บริโภคฟื้น  คาดไตรมาส 2 ตลาดเติบโตต่อเนื่อง เหตุผู้บริโภคเร่งสร้างบ้าน ก่อนราคารับสร้างบ้านปรับขึ้นในครึ่งปีหลัง เตรียมเจรจากลุ่มวัสดุก่อสร้างคงราคาพิเศษ หวังตรึงราคาค่าก่อสร้าง   นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน  เปิดเผยว่า จากแนวโน้มความต้องการปลูกสร้างบ้านของผู้บริโภคที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 1 ปี2561 มีการเติบโตในทุกด้าน ทั้งในแง่ของปริมาณและมูลค่าตลาด”รับสร้างบ้าน” ที่ขยายตัวสูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 สะท้อนจากตัวเลขการจัดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2018” พบว่า ยอดขายแง่ยูนิตเพิ่มขึ้นถึง 65%  ในแง่ของมูลค่า ก็เพิ่มขึ้นมากถึง  40%  ของยอดขายรวม  1,200 ล้านบาท จากตั้งเป้ายอดขายไว้ที่  1,100 ล้านบาท  ซึ่งทั้งตัวเลขยอดขายและมูลค่า นับเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 3 ปี   เนื่องด้วยปัจจัยบวกหลายอย่าง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น ทำให้มีการใช้จ่ายเรื่องบ้านหรือที่อยู่อาศัยมากขึ้น เห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมีนาคม 2561 ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 79.9 จากเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ระดับ 79.3  ทั้งปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจที่ดีต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาจากการใช้จ่ายด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมไปถึงด้านการท่องเที่ยวและการส่งออกปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน   อย่างไรก็ดี สมาคมฯ ประเมินว่า ตลาดรับสร้างไตรมาส 2  จะยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัย จากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มีความเป็นรูปบธรรมชัดเจน และหากรัฐบาลมีการขับเคลื่อนการใช้งบประมาณกลางปี โครงการไทยนิยมที่มีการจัดซื้อจัดจ้างเพิ่มขึ้น ส่งให้ผลให้เศรษฐกิจไตรมาส 2 ขยายตัวเกิน 4.2%  ทำให้จีดีพีทั้งปีเติบโต 4.2-4.6%  อีกทั้งกำลังซื้อผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง  เพราะความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ข่วงชาขึ้น ทำให้เชื่อว่า ผู้บริโภคจะมีความสนใจและความต้องการปลูกสร้างบ้านใหม่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ แนวโน้มการปรับขึ้นราคารับสร้างบ้าน เนื่องมาจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ  ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับขึ้น และมีผลต่อค่าเฉลี่ยราคาก่อสร้างปรับสูงขึ้นตาม ซึ่งจะช่วยเร่งให้ผู้บริโภคตัดสินปลูกสร้างบ้านเร็วขึ้น   “ตลาดหลักของรับสร้างบ้านในขณะนี้ ยังคงเป็นบ้านระดับราคา 2.5-10 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 70% ของตลาดรวม ทั้งนี้กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ยังเป็นตลาดที่มีการเติบโต ส่วนตลาดสร้างบ้านในต่างจังหวัดยังเติบได้ไม่มาก ส่วนหนึ่งเพราะราคาสินค้าเกษตรยังไม่ดีมาก ขณะที่จังหวัดที่มีรายได้จากภาคบริการ เช่นธุรกิจท่องเที่ยวที่ขยายตัวดียังพอที่จะผลักดันธุรกิจรับสร้างบ้านเติบโตดี” นางศิริพร กล่าว   นางศิริพร กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน มีแนวโน้มพิจารณาปรับราคาก่อสร้างขึ้น คาดว่าจะเป็นช่วงกลางปีไปแล้ว เพราะผู้ประกอบการเองก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จากองค์ประกอบหลายด้าน ทั้งต้นทุนราคาวัสดุ  ค่าแรงของกลุ่มแรงงาน และกลุ่มแรงงานฝีมือ เพราะส่วนที่มีผลกระทบต่อการปรับราคามากสุด คือ กลุ่มแรงงาน  ตามมาด้วยแรงงานฝีมือซึ่งต้องปรับตาม แม้ว่าปัจจุบันอัตราค่าจ้างสูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้วก็ตาม แต่แนวโน้มคาดว่าราคาจะปรับขึ้นไม่ต่ำกว่า 3-5 %   อย่างไรก็ตามสมาคมฯ ได้มีการประสานกับกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เพื่อให้คงราคาพิเศษสำหรับสมาชิกของสมาคมฯ เพื่อให้สามารถตรึงต้นทุนค่าก่อสร้างไว้ได้  รวมถึงสถาบันการเงินพันธมิตรที่พิจารณาให้สินเชื่อกับสมาชิกสมาคมฯ เป็นกรณีพิเศษด้วย เพื่อที่ผู้ประกอบการสมาชิกสมาคมฯ สามารถประคองราคาไว้นานที่สุดเพื่อช่วยผู้บริโภค   “ปกติในจังหวะที่เศรษฐกิจขยายตัว ธุรกิจรับสร้างบ้านจะพิจารณาปรับราคา จากต้นทุนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ปีนี้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เข้ามาเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มอีก ผู้ประกอบการจึงพิจารณาขึ้นราคาในช่วงกลางปีไปแล้ว แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบลูกค้า เพราะเป็นช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น” นางศิริพร กล่าว   นางศิริพร กล่าวอีกว่า  สมาคมฯ ยังเดินหน้าแผนสร้างสมาคมฯ ให้เป็นองค์กรขนาดใหญ่ ด้วยการขยายเพิ่มจำนวนสมาชิกทุกประเภทขึ้นอีกอย่างน้อย 10% จากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวนทั้งสิ้น 127 ราย เป็นผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน 53 ราย และที่เหลือเป็นกลุ่มวัสดุ  นอกจากนี้จะสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพของสมาชิกผ่านกิจกรรมในทุกๆ ด้าน โดยจะเปิดโอกาสให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ทำธุรกิจรับสร้างบ้านได้เข้ามาเป็นสมาชิกมากขึ้น พร้อมทั้งผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างสมาชิกและเครือข่าย และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ  
“โคคูโย” กางแผนขยายธุรกิจทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท คลอดเก้าอี้นวัตกรรมดูแลร่างกายจ่อรุกตลาดไทย

“โคคูโย” กางแผนขยายธุรกิจทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท คลอดเก้าอี้นวัตกรรมดูแลร่างกายจ่อรุกตลาดไทย

  “โคคูโย” แบรนด์เฟอร์นิเจอร์จากประเทศญี่ปุ่น เดินหน้าเต็มสูบบุกตลาดเฟอร์นิเจอร์เมืองไทย อัดงบกว่า 10 ล้านบาทคลอดเก้าอี้สำนักงานที่มีนวัตกรรมใหม่รองรับการเคลื่อนไหวของร่างกาย 360˚ และการทำงานของสมองครั้งแรกของโลก หวังขยายฐานลูกค้าและตอกย้ำผู้นำด้านเฟอร์นิเจอร์ที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งาน เตรียมเจาะกลุ่มพรีเมี่ยมที่มีอัตราการเติบโต 5 – 10% มั่นใจดันยอดขายภายใน 3 ปีจำนวน 10,000 ตัว   นางสาวธริดา คล้ายประชา ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร บริษัท โคคูโย อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงแผนธุรกิจของบริษัทในปี 2561ว่า จะเน้นกลยุทธ์การสร้างกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่เป็นกลุ่มพรีเมียม โดยในปีนี้จะมีการออกผลิตภัณฑ์เก้าอี้ “ing” 360° Gliding Chair เก้าอี้ที่รองรับการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ 360˚ ภายใต้แนวคิด “SITXERCISE” แค่นั่งก็เบิร์นขึ้นมา เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นถึงปัญหาที่แท้จริงของการนั่งประจำที่นาน ๆ และอยู่ในอิริยาบถเดิมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรมได้ง่าย ดังนั้นจึงคิดค้นและพัฒนาเก้าอี้ดังกล่าวขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานในชีวิตการทำงานจริงและสไตล์การทำงานจริงของคนในแต่ละสายอาชีพ ทำให้เกิดแนวคิดในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ตรงตามยุคสมัยและตรงตามความต้องการจริง        ของผู้ใช้งาน   สำหรับเก้าอี้ “ing” 360° Gliding Chair ผลิตออกมาเพื่อรองรับกลไกการทำงานของร่างกายให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยพัฒนาฟังก์ชั่นการทำงานที่เสริมประสิทธิภาพให้กับร่างกายและการทำงานของสมองและรองรับการปรับเปลี่ยนอิริยาบถต่างๆ ของร่างกายได้อย่างลงตัวและเป็นธรรมชาติ โดยไม่จำกัดรูปร่างและน้ำหนักและไม่ต้องปรับตำแหน่งของเก้าอี้  ทั้งนี้ฟังก์ชั่นการทำงานที่สำคัญที่สุดคือ Gliding Mechanism (กลไกหมุน) ที่รองรับทุกการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายขยับได้อย่างอิสระ 360° ช่วยให้แรงดันของร่างกายกระจายออกไปอย่างสมดุล ลดการกดทับและความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ ช่วยคงกระดูกเชิงกรานซึ่งเป็นฐานของร่างกายให้อยู่ในมุมที่เหมาะสมโค้งเป็นรูปตัว S ด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติและไม่ปวดหลัง   ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมายของเก้าอี้  “ing” คือเจ้าของธุรกิจและผู้บริโภครุ่นใหม่ที่คำนึงถึงสุขภาพการทำงานที่ดี นิยมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และสนใจในนวัตกรรมที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยบริษัทตั้งเป้ายอดจำหน่ายจำนวน 10,000 ตัวภายในปี 2563 ขณะเดียวกันบริษัทเตรียมงบการขายและการตลาดจำนวน  กว่า10 ล้านบาทที่จะสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าวด้วยแผนการตลาดทั้ง อะเบิฟ เดอะ ไลน์ (above the line) และบีโลว์ เดอะ ไลน์ (below the line) ทั้งการโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ อาทิ งาน Thailand BIG + BIH  และ JAPAN EXPO IN THAILAND ศูนย์การค้าสยามพารากอน  และกิจกรรมเปิดโชว์รูมแนะนำสินค้ากับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม โดยมีการจัดงานเสวนาเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและสร้างประสบการณ์ร่วมกับลูกค้า การจัดโปรโมชั่นร่วมกับธนาคารและบัตรเครดิต จัดทำ Pop up store ในสถานที่สำคัญ และเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายทางออนไลน์ด้วย   อย่างไรก็ตามเก้าอี้ “ing” 360° Gliding Chair  เป็นผลิตภัณฑ์ที่บริษัทมั่นใจว่าจะจัดจำหน่ายได้ 1,000 ตัว  คิดเป็นมูลค่าประมาณ 30,000,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัทญี่ปุ่นประมาณ 70% และกลุ่มลูกค้าสัญชาติอื่น ๆ อาทิ ไทย สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส  และอีก 30%  โดยบริษัทตั้งเป้าว่าภายในปี 2563 จะเพิ่มสัดส่วนระหว่างสองกลุ่มนี้ให้เท่ากันคือ 50 : 50  ด้วยการขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม B2C เพิ่มมากขึ้น โดยใช้สื่อออนไลน์เป็นหลักเนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจนวัตกรรมที่ทำให้สุขภาพและชีวิตของดีขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านทางเวปไซต์ www.kokuyothailand-ing.com     ด้านนายซาชิโอะ โคบายาชิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคคูโย อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดเฟอร์นิเจอร์ประเทศไทยในปัจจุบันมีมูลค่ารวมกว่า 55,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกลุ่มเฟอร์นิเจอร์บ้าน 40,000-50,000 ล้านบาท ตลาดเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน 5,000 ล้านบาท โดยในปี 2561 นี้ กลุ่มตลาดกลางถึงตลาดบนมีแนวโน้มเติบโต 5-10% ต่อเนื่องจากปลายปี 2560 เป็นผลจากการขยายตัวด้านการลงทุนของภาครัฐและการส่งออกไปยังตลาดอาเซียนที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เนื่องจากมีการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งที่พักอาศัยโรงแรม และรีสอร์ท เพิ่มมากขึ้น   “โคคูโย (KOKUYO) ถือเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าสำหรับออฟฟิศสำนักงานรายใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นนานกว่า 100 ปีและเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทกว่า 13 ปี ถือเป็นบริษัทเฟอร์นิเจอร์ญี่ปุ่นแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่ให้บริการทั้งด้านการออกแบบตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน รวมถึงอุปกรณ์เครื่องเขียนอย่างครบวงจร โดยเฟอร์นิเจอร์ของโคคูโยทุกชิ้นช่วยส่งเสริมสไตล์การทำงานของผู้ใช้งานในแต่ละรูปแบบ (work style) และที่สำคัญยังมีส่วนช่วยให้ผู้ใช้งานมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (Well Being) จะเห็นได้จากพื้นที่สำนักงานของโคคูโยที่ ชั้น 9 ของเดอะออฟฟิศเซส แอท เซ็นทรัล เวิลด์ (The Offices at Central World) ภายใต้แนวคิด live office ที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญระหว่างเฟอร์นิเจอร์และชีวิตการทำงานจริง เนื่องจากเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา และความต้องการของคนทำงาน โดยกลุ่มเป้าหมายของโคคูโยนั้นเน้นที่ตลาดกลางถึงตลาดบนที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพและดีไซน์เป็นหลัก   นายโคบายาชิ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลการสำรวจและเปรียบเทียบผู้ที่นั่งทำงานด้วยเก้าอี้ “ing”กับผู้ที่นั่งทำงานด้วยเก้าอี้ธรรมดา พบว่า 80%  มีการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อไหล่ 50% มีการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อเอว ความสวิงของ ing นั้น ทำให้การนั่งทำงาน 4 ชั่วโมงเทียบเท่ากับการเดินประมาณ 1.5 กิโลเมตร เผาผลาญแคลลอรี่ได้ถึง 85 กิโลแคลลอรี่ ในขณะที่การทำงานของสมองนั้นพบว่า 70% นั้นมีคลื่นอัลฟา (Alpha) เพิ่มสูงขึ้นใน 60 นาทีจากการนั่งทำงานด้วย ing เกิดจากความสบายที่เพิ่มมากขึ้น 60% มีการเพิ่มสูงขึ้นของคลื่นเบต้า  (Beta) ซึ่่่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางความคิดและการมีสมาธิที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าเกิดปริมาณความคิดสร้างสรรค์หรือไอเดียใหม่ๆ จากพนักงานเพิ่มขึ้นถึง 13% ด้วย   ผู้ที่สนใจสามารถชมและทดลองผลิตภัณฑ์ได้ที่โชว์รูมโคคูโย ชั้น 9 เดอะ ออฟฟิศเซส แอท เซ็นทรัล เวิลด์ ในราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 02 2645100-3 หรือติดตามข้อมูลข่าวสารที่ www.kokuyothailand-ing.com  หรือ facebook: kokuyothailand
งานสถาปนิก ’61.. ไม่ธรรมดา สุดยอดงานแสดงสถาปัตยกรรมอาเซียนกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง

งานสถาปนิก ’61.. ไม่ธรรมดา สุดยอดงานแสดงสถาปัตยกรรมอาเซียนกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง

  สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ และบริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด พร้อมกลุ่มผู้แสดงสินค้า ร่วมกันจัดแถลงข่าวงานสถาปนิก ’61 (Architect Expo 2018) “Beyond Ordinary : ไม่ธรรมดา” ภายใต้แนวคิดการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นในวิถีชีวิตร่วมสมัยของสังคมไทย ที่รวบรวมเอาผลงานออกแบบดีไซน์จากสถาปนิกชั้นนำของอาเซียน นวัตกรรมผลิตภัณฑ์แบบ Living Tech ที่จะรองรับทุกความต้องการของผู้บริโภคยุค 4.0     นายอัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ผลงานความก้าวหน้าทางด้านสถาปัตยกรรมของไทยนั้นมีเอกลักษณ์และโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ งานครั้งนี้จะแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสถาปัตยกรรมและงานออกแบบพื้นถิ่นในวิถีชีวิตร่วมสมัยของสังคมไทย โดยการพิจารณาภูมิปัญญาพื้นถิ่นที่อยู่ใกล้ตัวเรา นำองค์ความรู้ที่สืบทอดจากอดีต ทั้งในมิติของแนวคิดการออกแบบที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมหรือการใช้วัสดุจากท้องถิ่น ซึ่งอาจเป็นคำตอบของอนาคตก็เป็นได้” โดยงานสถาปนิกครั้งนี้ได้รับเกียรติจากสถาปนิกและนักออกแบบชั้นนำของไทย อาทิ ศ.ดร.วีระ อินพันทัง,บุญเลิศ เหมวิจิตรพันธ์, สุริยะ อัมพันศิริรัตน์ ตลอดจนสถาปนิกนักออกแบบรุ่นใหม่กว่า 18 กลุ่ม มาร่วมตีความนิยามความเป็นพื้นถิ่นที่แตกต่างกันไปได้อย่างน่าสนใจ ผู้เข้าร่วมชมงานสามารถนำเอาแนวคิดต่างๆ ที่ได้จากการชมงานไปปรับใช้ในการอยู่อาศัยปัจจุบันได้เป็นอย่างดี     ผศ.ดร.อภิรดี เกษมศุข ประธานจัดงานสถาปนิก ’61 กล่าวถึงรายละเอียดของการจัดงานเพิ่มเติมว่า นับเป็นครั้งแรกของงานสถาปนิกกับการออกแบบพาวิเลียนสำหรับนิทรรศการหลักของงานโดยสถาปนิกและนักออกแบบกว่า 18 กลุ่ม เปิดโอกาสให้คนทำงานสร้างสรรค์หลากหลายเจเนอเรชั่น ร่วมกันนำเสนอ Vernacular Living ในมุมมองของตนเอง ผู้ชมจะได้สัมผัสสถาปัตยกรรมไปจนถึงงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุธรรมดาที่มีดีไซน์ ‘ไม่ธรรมดา’ และยังได้ความรู้เรื่องราวของภูมิปัญญาพื้นถิ่นในแง่มุมต่างๆ ผ่านตัวนิทรรศการ   "เชื่อว่างานสถาปนิก ’61 จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับความเป็นพื้นถิ่นที่หลายคนมักมองว่าเชยหรือล้าสมัย แต่จริงๆ แล้วพื้นถิ่นนั้นสามารถทำให้เป็นสิ่งที่ร่วมสมัยหรือไปด้วยกันไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ได้ โดยงานนี้ได้นำเทคโนโลยี Augmented Reality และ Virtual Reality มาผสมผสานกับการจัดแสดงสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น และเปิดโอกาสให้ผู้ชมทั่วโลกสามารถสัมผัสประสบการณ์พาวิเลียนของจริงผ่านแว่นสามมิติได้อีกด้วย”ผศ.ดร.อภิรดี กล่าว   ในส่วนไฮไลท์กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดคือ งานสัมมนาระดับนานาชาติ ASA Forum 2018 ซึ่งปีนี้ได้สถาปนิกชื่อดังระดับโลกมาร่วมบรรยายกันอย่างคับคั่ง อาทิ มานูแอล โกทรองด์ (Manuelle Gautrand) สถาปนิกชาวฝรั่งเศสเจ้าของรางวัล European Prize for Architecture, ยุง โฮ ชาง (Yung HoChang) สถาปนิกระดับมาสเตอร์หนึ่งในคณะกรรมการรางวัลพริตซเกอร์, เดวิด แวน เซเวเรน (David Van Severen) สถาปนิกชาวเบลเยียมจากสตูดิโอ OFFICEKGDVS, ฮาน ทูมาเทคิน (Han Tümertekin) สถาปนิกชาวตุรกีเจ้าของรางวัล Aga Khan Award  และ ฟาร์ชิด มูซาวี (Farshid Moussavi) สถาปนิกชาวอังกฤษเชื้อสายอิหร่านผู้มีผลงานออกแบบได้รับรางวัล RIBA Award     ด้านนายศุภแมน มรรคา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้จัดงาน เผยว่า ปีนี้ได้รับการตอบรับเข้าร่วมแสดงสินค้าจากผู้ประกอบการด้านผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก่อสร้างเป็นอย่างดี จนใกล้จะเต็มพื้นที่ 75,000 ตารางเมตร หรือประมาณ 15 เท่าของสนามฟุตบอลกันแล้ว โดยมีบริษัททั่วโลกตอบรับเข้าร่วมจัดแสดงผลงาน รวมถึงการจัดแสดงเทคโนโลยีจากยุโรปโดย IMAG บริษัทในเครือของ Messe Munchen ประเทศเยอรมนี ผู้จัด BAU งานแสดงสถาปัตยกรรม ผลิตภัณฑ์ และระบบก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก ร่วมด้วยผู้แสดงสินค้าจากนานาประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน อเมริกา เวียดนาม ฯลฯ รวมกว่า 850 บริษัท ด้านผู้เข้าร่วมชมงานในปีนี้คาดไม่ต่ำกว่า 400,000 คน เชื่อว่าการจัดงานครั้งนี้นอกจากจะเป็นการแสดงผลงานความก้าวหน้าทางสถาปัตยกรรมของไทยแล้ว ยังส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจ เนื่องจากมีการจับจ่ายใช้สอยภายในงานยาวตลอดไปถึงหลังงานกว่าหมื่นล้านบาท   ด้านความพร้อมของผู้แสดงสินค้าต่างเตรียมขนทัพผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสานงานด้านดีไซน์ นวัตกรรม และเทคโนโลยีให้เข้ากันได้เป็นอย่างดี เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าชม อาทิ บูธ Lixilของบริษัท ลิกซิล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าแบรนด์และผลิตภัณฑ์สำหรับบ้านและสุขภัณฑ์ระดับโลก ที่เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ American Standard ให้ได้ชมกันก่อนใครกับ Kastello Collection และ City Collection ที่จะเปลี่ยนพื้นห้องน้ำให้เป็นพื้นที่แห่งความสุข การเปิดตัวนวัตกรรมที่สุดของการอาบน้ำ กับ AquaSymphony เรนชาวเว่อร์ที่ใหญ่ หรูหรา และมีฟังก์ชั่นมากที่สุด และ GROHE Sensia Arena สุขภัณฑ์อัจฉริยะที่ผสานดีไซน์จากเยอรมนีและเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์จาก INAX Ecocarat ผู้นำเทคโนโลยีและดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับกระเบื้อง จนได้รับการยกย่องว่าเป็น วัสดุก่อสร้างสำหรับการควบคุมความชื้น และ TOSTEM ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปอะลูมิเนียมครบวงจร มาจัดแสดงให้ได้ชมกันในงาน     สำหรับบูธ UMI Group ของบริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์ดูราเกรส และเซอเกรส ได้มีการนำเสนอไอเดียการตกแต่งบ้านในสไตล์โฮมมี่ ด้วยดีไซน์กระเบื้องในแบบต่างๆ ถ่ายทอดการแต่งห้องในแบบ Cozy (อบอุ่น เรียบง่าย), Fresh (สดชื่นมีชีวิตชีวา) และ Inspire (แรงบันดาลใจและจินตนาการ) ให้ทุกคนในบ้านได้ใช้ช่วงเวลาแห่งความสุขร่วมกัน โดยเตรียมโปรแกรมอัจฉริยะ Web Browser ที่ให้คุณสามารถเลือกกระเบื้องแบบต่างๆ ผ่านปลายนิ้ว ให้คุณแห็นภาพการจำลองห้องเสมือนจริงในแบบ 360องศาก่อนเลือกตัดสินใจ   ส่วนบูธ SCG ของบริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ยักษ์ใหญ่ในแวดวงเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ได้มีการสร้างสรรค์แนวคิดของบูธในปีนี้ว่า Passion for Better Living แรงผลักดันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่า ประกอบไปด้วย Innovation Inspiration และ Information ยกนวัตกรรมทั้ง SCG Living Tech และ SCG Building Tech มานำเสนอ พร้อมไฮไลท์เด็ดของบูธคือ Home Buddy Application ที่จะเชื่อมต่อกระบวนการทำบ้านทั้ง Online และร้านค้า Online เข้าด้วยกัน ช่วยให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในทุกด้าน รวมถึงนวัตกรรมบ้านเย็นอยู่สบายActive AIRFlowTM System ที่สามารถสร้างคุณภาพอากาศที่ดีภายในห้องด้วย Well Air นอกจากนี้ยังมีในส่วนเทคโนโลยี SCG Eldercare Solution กับการพัฒนาหุ่นยนต์ดินสอเพื่อเพิ่มศักยภาพในการดูแลผู้สูงอายุ และนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ดีไซน์สุดทันสมัยโดยนักออกแบบระดับโลกอีกด้วย
อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้ ตุนแบ็คล็อกกว่า 2.3 พันล้าน พร้อมเปิดโครงการใหม่โซนกรุงเทพตะวันออก

อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้ ตุนแบ็คล็อกกว่า 2.3 พันล้าน พร้อมเปิดโครงการใหม่โซนกรุงเทพตะวันออก

  อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาฯ แนวราบ เผยตุนยอดแบ็คล็อกเกิน 2.3 พันล้าน ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องจนถึง 2563 พร้อมตั้งเป้ายอดรายได้รวมปีนี้ 800 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 100%ล่าสุด เดินหน้าปั้นโครงการใหม่เพิ่ม ยึดพื้นที่โซนกรุงเทพตะวันออก   นายวรยุทธ กิตติอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ มียอดแบ็คล็อก อยู่ที่ 2,322 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มรับรู้ได้ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ไปจนถึงปี 2563 โดยมาจากการขายโครงการที่มีในปัจจุบัน ได้แก่ อาร์เค พาร์ค รามอินทรา-ซาฟารี, อาร์เค พาร์ค วัชรพล-สายไหม และดิไอเฟิล (The Eiffel) รามคำแหง-มิสทีน เฟสหนึ่ง รวมถึงโครงการที่อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและเตรียมเปิดจองเร็วๆ นี้ ได้แก่ ดิไอเฟิล รามคำแหง-มิสทีน เฟสสอง ที่เป็นโฮมออฟฟิศ 49 ยูนิต และเฟสสาม ที่เป็นบ้านเดี่ยวสร้างเสร็จพร้อมอยู่ 67 ยูนิต   “นอกจากนี้ ยังมีโครงการเดอะรักษ์ (The Rux) รามอินทรา-หทัยราษฎร์ โครงการบ้านเดี่ยวสองชั้น จำนวน 96 ยูนิต บนถนนไทยรามัญ ใกล้ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท พร้อมเปิดขายในราคาเริ่มต้น 3.49 ล้านบาทในช่วงไตรมาสสองนี้ และโครงการซีเน็กซ์ (Zenex) พหลโยธิน-รามอินทรา 5 ที่มีทั้งส่วนทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ จำนวน 13 ยูนิต ทำเลดีใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู เปิดขายพร้อมเข้าอยู่ในไตรมาสสามปีนี้ ในราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาท เน้นจับกลุ่มลูกค้า Gen X และ Y ที่เป็นเจ้าของกิจการเติบโตมาจากกลุ่มสตาร์ทอัพและธุรกิจออนไลน์ หรือผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ชอบความหรูหราและความคุ้มค่า” นายวรยุทธ กล่าว   สำหรับกลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจ นายวรยุทธ กล่าวว่า “อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้จะยังคงยึดแนวทางการทำธุรกิจที่ ตัวเองถนัด ค่อยๆ สร้างการเติบโตด้วยจุดแข็งที่มี คือความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและการขายโครงการแนวราบ ในโซนกรุงเทพตะวันออก โดยตั้งเป้าจะเปิดตัวโครงการใหม่ 2-3 โครงการทุกปี มีทาวน์โฮมเป็นสินค้าหลัก รองลงมาเป็นโฮมออฟฟิศ และบ้านเดี่ยว ทั้งยังได้ตั้งงบประมาณในการซื้อที่ดินใหม่ต่อปีอยู่ที่ราว 600 ล้านบาท โดยในปี 2561 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมอยู่ที่ 800 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา   “ปัจจุบัน การแข่งขันในตลาดอสังหาฯ ในกรุงเทพและปริมณฑลค่อนข้างรุนแรง ทุกบริษัทต้องปรับตัวกันอยู่เสมอ อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้เองก็พยายามรักษาจุดเด่นของตัวเอง และเพิ่มจุดแข็งอื่นๆ เข้ามาอยู่เสมอ โดยทุกโครงการของบริษัทฯ ล้วนอยู่ติดถนนใหญ่ ในย่านที่การคมนาคมเข้าถึงได้สะดวก เป็นโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ จึงเป็นที่ต้องการของลูกค้า อีกทั้งในบางโครงการอย่าง ดิไอเฟิล รามคำแหง-มิสทีน ยังมีจุดเด่นเหนือคู่แข่งบริเวณเดียวกัน ตรงที่ใช้วิธีก่อสร้างแบบก่อฉาบ ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากของลูกเดอะรักษ์ (The Rux) รามอินทรา-หทัยราษฎร์ ค้าปัจจุบัน เพราะได้ทั้งความแข็งแรง ทนทาน และความละเอียดประณีต มีการจัดเตรียมพื้นที่ส่วนกลางกว้างขวางหรือห้องอเนกประสงค์ บวกกับมีการนำพร็อพเทคเข้ามาอำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อาศัย” นายวรยุทธ กล่าว     นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการปรับระบบการปฏิบัติงานภายใน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขายและให้บริการหลัง การขายแก่ลูกค้า เช่น การกำหนดมาตรฐานการตรวจรับบ้านที่เข้มงวด การสำรวจและศึกษาความต้องการของ ลูกค้าในเชิงลึก เพื่อนำมาประกอบใช้กับขั้นตอนการออกแบบและก่อสร้างบ้าน การทำ CRM อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับความพึงพอใจของลูกบ้านและเพิ่มโอกาสในการขายจากการบอกต่อ การให้ข้อมูลสินค้าโดยละเอียดและสร้างประสบการณ์เสมือนจริงผ่านสื่อออนไลน์ ที่ให้ลูกค้าได้รู้จักกับโครงการของอาร์เค พร็อพเพอร์ตี้ มากที่สุดก่อนจะตัดสินใจมาเยี่ยมชมโครงการจริง เป็นต้น    ในส่วนของแนวทางการขยายธุรกิจในอนาคต บริษัทฯ ยังกำลังทำการศึกษาอยู่หลายแนวทาง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ การระดมทุนแบบ ICO หรือสกุลเงินดิจิทัล การร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจ หรือการรับพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบให้กับนักลงทุนที่มีแลนด์แบงก์อยู่แล้ว เป็นต้น   “สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในปีนี้ ส่วนตัวมองว่าในปีนี้ตลาดยังน่าจะไปได้ดี ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนต่อเนื่องในโครงการใหญ่ๆ ของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ ทางด่วนเชื่อมวงแหวน อีกทั้งภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศก็ยังเติบโต ไปในทิศทางที่ดี มีภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดี ถึงแม้การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินจะยังคงเข้มงวด แต่ก็มีท่าทีที่ผ่อนปรนลงกว่าช่วงที่ผ่านมา ในส่วนของอัตราความต้องการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพ และปริมณฑลก็ยังเพิ่มขึ้น จึงเชื่อว่ายอดขายโครงการแนวราบต่างๆ และคอนโดมิเนียมจะยังเติบโตต่อเนื่องในปีนี้” นายวรยุทธ กล่าวทิ้งท้าย
เน็กซัสเผยแนวโน้มการเติบโตของตลาดอาคารสำนักงานในอีก 5 ปีข้างหน้า

เน็กซัสเผยแนวโน้มการเติบโตของตลาดอาคารสำนักงานในอีก 5 ปีข้างหน้า

  เน็กซัส เผยผลสำรวจราคาค่าเช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน ไตรมาสแรกของปี 2561 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 960 บาท/ตารางเมตร/เดือน    โดยค่าเช่าสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 1,400 บาท/ตารางเมตร/เดือน    และยังคงมีอัตราการใช้พื้นที่ที่สูงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีการกระจายตัวของโครงการมากขึ้น    โดยในไม่กี่ปีที่ผ่านมา พื้นที่อาคารสำนักงานในเขตรอบนอกศูนย์กลางธุรกิจเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว คาดพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่ออกมาเพิ่มขึ้นอีกถึงประมาณ 1.13 ล้านตารางเมตร โดยพื้นที่อาคารสำนักงานหลักจะมาจากโครงการ One Bangkok ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดของผู้ให้เช่าเปลี่ยนไปเป็นตลาดของผู้เช่าแทน สำหรับแนวโน้มการเช่าจะเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมของโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง โดยจะมีการเช่าในลักษณะการทำ Co-Working Space และ Serviced Office มากขึ้น     นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม เผยว่า ในช่วง 10 ปีทีผ่านมา ตลาดพื้นที่เช่าในอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านของราคาค่าเช่าและพื้นที่ให้เช่า ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายเริ่มเข้ามาพัฒนาธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าเพิ่มมากขึ้น โดยจะเน้นการพัฒนาในรูปแบบอาคารประเภทผสมผสานเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการพัฒนาโครงการมากที่สุด เพราะปัจจุบันที่ดินทำเลดีหายากและราคาสูงขึ้นมาก สำหรับทำเลที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคือย่านพระราม 4 และสุขุมวิทตอนต้น รวมถึงพญาไท   พื้นที่อาคารสำนักงานในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 มีพื้นที่ให้เช่าทั้งสิ้นประมาณ 4.23 ล้านตารางเมตร ในจำนวนนี้อยู่ในเขตศูนย์กลางธุรกิจประมาณ 2.29 ล้านตารางเมตร โดยกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่เช่าในเขตศูนย์กลางธุรกิจนี้เป็นพื้นที่สำนักงานเกรด A ทั้งนี้ พื้นที่การพัฒนาอาคารสำนักงานมีการขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น โดยจะเห็นได้ว่าในไม่กี่ปี ที่ผ่านมา พื้นที่อาคารสำนักงานในเขตรอบนอกศูนย์กลางธุรกิจเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว   ในส่วนของการพัฒนาโครงการในอนาคต เนื่องจากที่ดินในเมืองที่สามารถพัฒนาโครงการมีจำนวนจำกัดและมีราคาสูง ส่งผลให้ผู้พัฒนาโครงการให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ในอาคารสำนักงานเกรด A ถึง AA ทั้งในเขตชั้นใน และ เขตรอบนอกของศูนย์กลางธุรกิจ เนื่องจากตลาดยังมีความต้องการสูงจากผู้เช่า การดึงดูดผู้เช่าสามารถทำได้โดยการเน้นสาธารณูปโภคภายในโครงการที่ดี มีการออกแบบที่สวยงาม ทำเลที่ตั้งที่ดึงดูดและการแบ่งขนาดพื้นที่เช่าที่เหมาะสม  ทีมวิจัยของเน็กซัสคาดว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ตลาดพื้นที่อาคารสำนักงานจะมีเพิ่มเข้าสู่ตลาดอีกประมาณ 1.13  ล้านตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 30% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออัตราการเช่าพื้นที่และอัตราการใช้พื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ   สำหรับด้านอัตราค่าเช่าปัจจุบัน จากการสำรวจในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 พบว่า ราคาค่าเช่าเฉลี่ยของพื้นที่อาคารสำนักงานเกรด A ในเขตศูนย์กลางธุรกิจ มีอัตราค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 960บาท/ตรม./เดือน ในขณะที่ค่าเช่าสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 1,400 บาท/ตารางเมตร/เดือน ส่วนพื้นที่ในอาคารสำนักงานเกรด A ที่อยู่พื้นที่เขตรอบนอกศูนย์กลางธุรกิจ จะอยู่ที่ 820 บาท/ตารางเมตร/เดือน โดยมีอัตราการใช้พื้นที่เฉลี่ยรวมประมาณ 95%   นายธีระวิทย์ กล่าวสรุปว่า แม้ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าตลาดพื้นที่ในอาคารสำนักงานจะมีพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าจะยังไม่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในตลาดอาคารสำนักงาน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีพื้นที่อาคารสำนักงานป้อนสู่ตลาดค่อนข้างจำกัด แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงจากตลาดของผู้ให้เช่าเป็นตลาดของผู้เช่าแทน ซึ่งจะส่งผลให้มีการแข็งขันที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้การใช้งานสำนักงานประเภท Co-Working Space และ Serviced Office จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตลาดพื้นที่อาคารสำนักงาน โดยอาจจะกลายมาเป็นผู้เช่าหลักในอนาคตซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของธุรกิจอาคารพื้นที่ในอาคารสำนักงานให้เช่าในหลายๆประเทศทั่วโลก
แสนสิริ เปิดตัว “ลา กาซิตา”คอนโดมิเนียมสไตล์สแปนิช มั่นใจปิดการขายไตรมาส 2

แสนสิริ เปิดตัว “ลา กาซิตา”คอนโดมิเนียมสไตล์สแปนิช มั่นใจปิดการขายไตรมาส 2

แสนสิริ “ลา กาซิตา” มูลค่าโครงการกว่า 2,300 ล้านบาท ชูจุดขายคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่สไตล์สแปนิช ด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมสเปน จำนวน 705 ยูนิต เปิดขายในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท คาดปิดการขายในไตรมาส 2  นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิรินับว่าเป็นผู้บุกเบิกและเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมตากอากาศในหัวหินมาอย่างยาว โดยเปิดตัวโครงการแรก “บ้านไข่มุก” หัวหิน ในปี 2534 ซึ่งนับเป็นโครงการแรกที่บริษัทพัฒนา มายาวนานกว่า 35 ปี ปัจจุบันบริษัทพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในทำเลชะอำ-หัวหินมาแล้วทั้งสิ้น 21 โครงการ เช่น โครงการบ้านไข่มุก บ้านแสนสราญ บ้านแสนสุข บ้านนับคลื่น บ้านทิวลม เป็นต้น สำหรับโครงการที่บริษัทพัฒนาล่าสุดในปี 2558 คือ โครงการบ้านเคียงฟ้า ปัจจุบันทุกโครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจนสามารถปิดการขายในทุกโครงการในทำเลหัวหิน จากความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่หัวหิน ทำให้แสนสิริมีความได้เปรียบในการเข้าใจความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าทุกกลุ่มได้เป็นอย่างดี รวมถึงความศักยภาพของแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งในการพัฒนาโครงการที่มีประสิทธิภาพมาโดยตลอด นอกจากนี้ล่าสุด จากแรงหนุนในแผนการพัฒนาของภาครัฐด้านการลงทุนระบบคมนาคมในอนาคต ซึ่งมั่นใจว่าจะทำให้เกิดการกระตุ้นทั้งด้านการท่องเที่ยว และดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชน และ เกิดความต้องการบ้านหลังที่ 2 เพิ่มมากขึ้น ล่าสุดบริษัทจึงได้เปิดตัวโครงการ ‘ลา กาซิตา’(La Casita) คอนโดมิเนียมตากอากาศบนทำเลที่ดีที่สุดในใจกลางเมืองหัวหิน แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งโรงแรมระดับ 5 ดาว ศูนย์การค้าบลูพอร์ต โรงพยาบาลกรุงเทพ และร้านอาหารชั้นนำมากมาย ซึ่งนับเป็นโครงการฯ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ศักยภาพอย่างแท้จริง โดยภายในโครงการยังมอบพื้นที่ส่วนกลางสีเขียวขนาดใหญ่ถึง 4,000 ตร.ม. โดยล่าสุดบริษัทได้จัดงานพรีเซลล์ เปิดขายโครงการในช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ที่ผ่านมา ปรากฎว่าได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเก่าหรือแฟนพันธุ์แท้แสนสิริเป็นอย่างดี โดยสร้างยอดขายไปได้แล้วถึง 50% คาดว่าจะได้รับความสนใจจากทั้งกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อการพักผ่อนเป็นบ้านหลังที่ 2 รวมถึงกลุ่มลูกค้านักลงทุน และสามารถปิดการขายได้ในไตรมาส 2 นี้อย่างแน่นอน ทั้งนี้โครงการ ลา กาซิตา (La Casita) เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์สแปนิช ได้รับการสร้างสรรค์ด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมของสเปนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่มีมิติ สีสันในแบบพาสเทล ผสานความคลาสสิคท่ามกลางบรรยากาศของเกาะอิบิซ่า (Ibiza) ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศสเปน อบอวลกลิ่นอายของหาดทรายสีขาว และท้องทะเลสวยงามเหมือนสวรรค์ โครงการ ลา กาซิตา เป็นอาคารสูง 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 705 ยูนิต แบ่งเป็น 1-2 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 26.50-91.00 ตร.ม. บนพื้นที่กว่า 6 ไร่ ซึ่งแบ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางรวมกว่า 4,000 ตร.ม. อาทิ Palm Court (ปาล์ม คอร์ท) สำหรับการจัดเป็นพื้นที่ครัวส่วนกลาง หรือพื้นที่พักผ่อนที่ให้ทุกคนสามารถใช้เวลาว่างให้ผ่อนคลายยิ่งขึ้น Blooming Wall (บลูมมิ่ง วอลล์) หรือ กำแพงดอกไม้ เพิ่มความเป็นส่วนตัวให้ผ่อนคลายได้ดังใจ Paradise Garden (พาราไดซ์ การ์เด้น) สวนขนาดใหญ่ตามแบบฉบับสเปน The Great Lawn (เดอะ การ์เด้น ลอว์น) พื้นที่สีเขียวเพื่อสูดอากาศให้ชุ่มปอดสำหรับการพักผ่อน และ Lap Pool (แล็บ พูล) สระว่ายน้ำขนาดใหญ่กว่า 1,000 ตร.ม. และยาวกว่า 100 เมตร    ซึ่งนับเป็นสระว่ายน้ำในคอนโดมิเนียมที่ยาวที่สุดในหัวหิน พร้อมทางเดินร่มรื่นรอบโครงการ ภายใต้บรรยากาศของการผ่อนคลายที่แสนสงบ และความสนุกที่สามารถสัมผัสคำว่าบ้านได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ล่าสุดบริษัทยังได้เปิดตัวแคมเปญฤดูร้อน ตอบรับไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยวในหัวหิน “Joy of Huahin” โดยมอบข้อเสนอสุดพิเศษเพื่อรองรับความต้องการของผู้ที่ต้องการคอนโดมิเนียมตากอากาศในย่านชะอำ - หัวหิน และถือเป็นกิจกรรมแห่งความสุขที่มอบสิทธิพิเศษ ส่วนลดร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ในหัวหินให้กับลูกบ้านแสนสิริกว่า 66 ร้าน โดยเริ่มตั้งแต่ 1 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2561 เท่านั้น “ตลาดคอนโดมิเนียมในหัวหินมีราคาเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 15% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี และสามารถปล่อยเช่าได้ถึง 4-5% ต่อปี ผนวกกับการเติบโตของธุรกิจปล่อยเช่าออนไลน์ ซึ่งแสนสิริได้จับมือกับ Hostmaker (โฮสต์ เมกเกอร์) พาร์ทเนอร์สำคัญที่มีความเชี่ยวชาญ และได้รับรางวัลการันตีคุณภาพในระดับโลก มาช่วยอำนวยความสะดวกบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่าและอยู่อาศัย โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลดความซับซ้อนใน การจัดการการจองที่พักให้ง่ายขึ้น ดังนั้น โอกาสในการปล่อยเช่ารายเดือนจึงมีโอกาสมากขึ้น จากนักท่องเที่ยวที่นิยมเช่าพักในระยะยาว และคนทำงานประจำที่โยกย้ายจากต่างเมือง โดยมีอัตรา   ค่าเช่าโครงการของแสนสิริเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 บาทสำหรับขนาด 1 ห้องนอน และสูงสุดถึง 40,000 บาทสำหรับขนาด 2 ห้องนอน ทั้งนี้ โครงการ ลา กาซิตา (La Casita) จัดกิจกรรมพิเศษ “Live in the Lively Spanish Style” พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างสมบูรณ์แบบครั้งแรกในวันที่ 6-8 เม.ย นี้ที่    หัวหินพร้อมมอบข้อเสนอพิเศษ ได้ภายในงานนี้เท่านั้น รวมทั้งมีกำหนดการนำไปโรดโชว์ในต่างประเทศในวันที่ 21-22 เมษายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเช่นเดียวกัน” นายปิติ กล่าวเสริม  สำหรับแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในทำเลหัวหินในปี 2561 นี้ คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดี และกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยมีแรงหนุนจากแผนการลงทุนของภาครัฐในการลงทุนระบบคมนาคมสู่เมืองท่องเที่ยวฝั่งตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อพัทยาสู่หัวหิน โดยการเปิดบริการเรือเฟอร์รี่เมื่อต้นปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถช่วยลดเวลาเดินทางจาก 5-6 ชม. เหลือเพียง 1.40 ชม. เท่านั้น และการเชื่อมต่อการเดินทางจากกรุงเทพฯ – หัวหิน ด้วยทางรถไฟความเร็วสูง และการสร้างมอเตอร์เวย์จากนครปฐม-ชะอำ (ท่ายาง) ซึ่งช่วยให้การเดินทางคล่องตัวกว่าเดิม รวมถึงการขยายการลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวจากกรุงเทพฯ สู่เมืองท่องเที่ยวโซนอ่าวไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเมืองหัวหินที่มีแนวโน้มการเติบโตได้ดีต่อเนื่อง *สำหรับทิศทางตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศไทยปี 2561 คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 37.8 ล้านคน ขยายตัวประมาณร้อยละ 7.0 จากปี 2560 ซึ่งปัจจัยที่เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น การขยายเส้นทางการบินของธุรกิจสายการบินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการขยายเส้นทางการบินของไทยที่เชื่อมไปยังเมืองรองของจีน เป็นต้น โดยได้รับปัจจัยหนุนหลักจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน อยู่ที่ประมาณ 9.81 ล้านคน ** ขณะที่แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้หมุนเวียนอยู่ที่ประมาณ 9.9 แสนล้านบาท (*,**ที่มา: ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย) ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเมืองตากอากาศกลับมีความคึกคักขึ้นอีกครั้ง โดยล่าสุดคอนโดมิเนียมในหัวหิน มีอัตราการเสนอขายสูงสุดที่ 140,000 บาท/ ตารางเมตร และสามารถสร้างผลตอบแทนการขายต่อมากถึง 59%  
‘เอพี ไทยแลนด์’ ปลื้มยอดขายไตรมาส 1 โตครบลูปรวมกว่า 168% ไตรมาส 2 เตรียมเปิดอีก 3 โครงการ

‘เอพี ไทยแลนด์’ ปลื้มยอดขายไตรมาส 1 โตครบลูปรวมกว่า 168% ไตรมาส 2 เตรียมเปิดอีก 3 โครงการ

นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมาและแนวโน้มไตรมาส 2 ดีขึ้นหากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากปัจจัยบวก เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น การลงทุนของภาครัฐ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มในอัตราช้า เชื่อว่ากำลังซื้อในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีอยู่มาก โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดที่อยู่อาศัยระดับบน เนื่องจากเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงและได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ ไม่มากนัก ซึ่งเห็นภาพได้อย่างชัดเจน จากอัตราการเติบโตด้านยอดขายในไตรมาส 1 ของเอพี โดยเฉพาะสินค้าแนวราบที่ปรับตัวสูงขึ้นถือเป็นดัชนีที่ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้เป็นอย่างดี  สำหรับภาพรวม ตลาดในไตรมาส 2 เชื่อว่าการแข่งขันจะเข้มข้มกว่าในไตรมาสผ่านมา ด้วยจำนวนโครงการใหม่ที่จะทยอยเปิดตัวมากขึ้น และด้านซัพพลายที่ตอบโจทย์ตลาดระดับกลางบนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดี   “จากการปิดการขายโครงการ LIFE สุขุมวิท 62 ผ่านระบบจองทางแพลทฟอร์มออนไลน์ได้หมดทุกยูนิต ภายในเวลาเพียง 20 นาที สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า วันนี้ลูกค้ามีพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนไป คุ้นชินกับการซื้อผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น อีกทั้งยังคงมีกำลังซื้อที่สูง ในขณะที่กลุ่มตลาดระดับกลางถึงล่าง มีแนวโน้มยังทรงตัว หรือขยายตัวช้า เนื่องจากกลุ่มลูกค้าในตลาดดังกล่าวยังมีปัญหาในเรื่องของสภาพคล่อง” นายอนุพงษ์กล่าว     ทั้งนี้ ยอดขายที่เพิ่มขึ้นนอกจากจะมาจากการเปิดตัว 2 คอนโดมิเนียมใหม่ LIFE สุขุมวิท 62 และแอสปาย สาทร-ราชพฤกษ์ รวมถึงคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จพร้อมโอนในเครือเอพีแล้วนั้น สินค้าแนวราบทั้ง บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมของเอพีก็ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมีนัยสำคัญ โดยเป็นผลมาจากแนวทาง การพัฒนาโครงการที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบตัวบ้าน และสภาพแวดล้อมภายในโครงการที่คำนึงถึงความสมบูรณ์แบบของคุณภาพชีวิตที่ดี ตลอดจนการกำหนดแพคเกจราคาที่ตอบรับกับความสามารถในการผ่อนชำระของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดถือว่ามีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างมาก     ทั้งนี้ในปี 2561 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 34 โครงการมูลค่า 49,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 19,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 30 โครงการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายที่ 33,500 ล้านบาท โดยเอพียังคงมีแผนในการจัดซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีโอกาสพร้อมเปิดขายเพิ่มจากแผนที่ตั้งไว้ในปีนี้ ในส่วนของเอพีเองนั้นในไตรมาส 2 เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ บ้านเดี่ยว 2 ทำเล “CENTRO รังสิต คลอง 4-วงแหวน” ซึ่งจะเริ่มเปิดขายวันที่ 28-29 เมษายน เริ่ม 2.95 ล้านบาท และ “CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก” เปิดขายวันที่ 5-6 พฤษภาคม เริ่ม 7.2 ล้านบาท และทาวน์โฮม “บ้านกลางเมือง วัชรพล” ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายประมาณช่วงเดือนมิถุนายน  
โฮมบายเออร์กรุ๊ป ร่วมกับ คณะวิศวกรรมฯ จุฬาฯ เปิดตัว “Chula-Home Dot Tech” ตอบโจทย์อสังหาฯ ครบวงจรครั้งแรกของไทย

โฮมบายเออร์กรุ๊ป ร่วมกับ คณะวิศวกรรมฯ จุฬาฯ เปิดตัว “Chula-Home Dot Tech” ตอบโจทย์อสังหาฯ ครบวงจรครั้งแรกของไทย

โฮมบายเออร์กรุ๊ป จับมือคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ผสานจุดแข็งเปิดตัว “Chula-Home Dot Tech” ดึง Data Science & Machine Learning ปั้น Prop Tech พลิกโฉมอสังหาฯ ตอบโจทย์ผู้บริโภค-ภาคธุรกิจและพัฒนาบุคลากรด้านการศึกษา เตรียมเปิดแอปพลิเคชัน “Home Hop” นวัตกรรมค้นหาที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย  รศ.ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า คณะได้ร่วมมือกับบริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัด ในลักษณะของโครงการความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม (Industrial Liaison Program หรือ ILP) ดำเนินโครงการ Chula-Home Dot Tech ซึ่งเป็นโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์หรือ Prop Tech ด้วยการนำเทคโนโลยี Data Scienceและ Machine Learning มาประยุกต์ใช้ในโดเมนด้านอสังหาริมทรัพย์ (www.home.co.th) และสร้างเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อประโยชน์แก่ทั้งผู้บริโภคและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นครั้งแรกของประเทศไทย นอกจากประโยชน์ต่อผู้บริโภคและภาคอสังหาริมทรัพย์โดยรวมแล้ว ความร่วมมือครั้งนี้ยังเป็นโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน Data Science และ Machine Learning ได้ศึกษาวิจัยและทดลองกับข้อมูลจริงในตลาด ช่วยพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชำนาญ เกิดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะที่เกี่ยวข้อง และช่วยสร้างประสบการณ์การพัฒนา Prop Tech ในอนาคตด้วย “ต้องยอมรับว่าผู้เชี่ยวชาญด้าน Data Science และ Machine Learning ในไทยขณะนี้ยังมีไม่มาก และส่วนใหญ่อยู่ในภาคการศึกษา ขณะที่ภาคธุรกิจจะมีข้อมูลเชิงลึก มีประสบการณ์จริงที่สั่งสมมายาวนานจากภาคสนาม ความร่วมมือครั้งนี้จึงถือเป็นสุดยอดความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจ ด้วยการผสานจุดแข็งของทั้งสองฝั่ง คล้ายกับความร่วมมือที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์หรือ MITร่วมดำเนินการกับองค์กรธุรกิจหรือสตาร์ทอัพ เพื่อสร้างสรรค์และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ” รศ.ดร.สุพจน์กล่าว โดยคณะได้สนับสนุนบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้าน Data Science และ Machine Learning และสาขาที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมวิจัยในโครงการนี้ โดยมี ผศ.ดร.โปรดปราน บุณยพุกกณะ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ เป็นหัวหน้าโครงการ, รศ.ดร.อติวงศ์ สุชาโต รองคณบดี ด้านนวัตกรรมการเรียนรู้ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ เป็นหัวหน้าทีมวิจัย, ดร.เอกพล ช่วงสุวนิช อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์  คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ เป็นผู้วิจัยหลัก และ ดร.นฤมล ประทานวณิช อาจารย์ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ เป็นผู้วิจัย นายบริสุทธิ์ กาสินพิลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท โฮมดอทเทค จำกัด กล่าวว่า บริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัดดำเนินธุรกิจสื่ออสังหาริมทรัพย์ครบวงจรมานานกว่า 25 ปี ทำให้มองเห็นโอกาสในการนำทั้งข้อมูล ความรู้และประสบการณ์มาต่อยอด ด้วยเทคโนโลยี Data Science และ Machine Learning สร้างนวัตกรรมใหม่ แก้ปมปัญหา (Pain Point) หาวิธีการแก้ไข (Solution) ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยให้กับผู้บริโภค ตลอดจนช่วยผู้ประกอบการวางแผนลงทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บริษัทจึงได้สร้างความร่วมมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินโครงการร่วมกันภายใต้ชื่อ Chula-Home Dot Tech พร้อมตั้งบริษัท โฮมดอทเทค จำกัด เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการสื่อสารอสังหาริมทรัพย์ “ที่ผ่านมาเป้าหมายของเราคือการเป็นที่พึ่งสำหรับผู้ซื้อบ้าน ด้วยการให้ข้อมูลความรู้เพื่อการตัดสินใจของผู้บริโภค วันนี้เรายังเป็นที่พึ่งของคนซื้อบ้าน แต่เราจะให้ข้อมูลและประสบการณ์ในรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วยการใช้เทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ซื้อบ้านได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ มีประสิทธิภาพ เกินกว่าที่ความสามารถของคนจะเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ของตัวเอง” นายบริสุทธิ์กล่าว ทั้งนี้ เป้าหมายหลักของบริษัทคือการเป็นเพื่อนที่เชื่อถือและไว้วางใจได้ตลอดทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อบ้าน หรือ Trusty Companion for the Home Buying Journey จึงจะพัฒนาเทคโนโลยีการค้นหาบ้าน การซื้อบ้าน และด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อบ้าน ทั้งนี้ Home Dot Tech เริ่มดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว ปัจจุบันมีทั้งแอปพลิเคชันที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและพัฒนาจนสามารถใช้งานได้แล้ว เช่น Home Buyers Analytics วิเคราะห์ดาต้าอสังหาริมทรัพย์ด้านDemand Side ครั้งแรกของอสังหาริมทรัพย์ไทย, Home Dashboard เครื่องมือบริหารการตลาดกับลูกค้า Walk-in Online ของโครงการอสังหาริมทรัพย์, Home Hop สำหรับค้นหาที่อยู่อาศัยจากไลฟ์สไตล์และความต้องการเฉพาะบุคคล (Persona) ซึ่งให้ผลลัพธ์เกินกว่าการใช้ประสบการณ์ส่วนตัวของบุคคลเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และ Home Event เครื่องมือชมงานมหกรรมที่อยู่อาศัยและอุปกรณ์สื่อสารการตลาดของโครงการ ซึ่งได้พัฒนา Version 2 เพื่อใช้งานในปีนี้