Tag : News

2376 ผลลัพธ์
ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง มองกลุ่มอสังหาฯ ไฮเอ็น หันจับมือเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ระดับโลกตอบโจทย์ลูกค้า

ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง มองกลุ่มอสังหาฯ ไฮเอ็น หันจับมือเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ระดับโลกตอบโจทย์ลูกค้า

  ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง เดินหน้าตลาดอสังหาฯ ซุปเปอร์ลักซัวรี่  โครงการอัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 บ้านเดี่ยว 8 ยูนิต มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ออกแบบสไตล์ Modern Luxury ที่มีกลิ่นอาย New England Glamorous คัดสรรเฟอร์นิเจอร์ฝีมือดีไซน์เนอร์ระดับโลก ตอบโจทย์รสนิยมเฉพาะของคนช่างเลือก     นางสาวกมนนัทธ์ เต็มไตรรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด แบรนด์ แกลเลอรี่ ที่รวบรวมเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านจาก 7 ดีไซน์เนอร์ชื่อดังในวงการเฟอร์นิเจอร์ระดับโลกภายใต้ 7 แบรนด์ ที่มีสไตล์การออกแบบเป็นเอกลักษณ์ เปิดเผยว่าล่าสุดซอนเดอร์ ลิฟวิ่งได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบตกแต่งภายในให้กับโครงการอัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 โดยซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง โดยเข้าไปดูแลงานตกแต่งภายในส่วนเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวร่วมกับผู้ออกแบบตกแต่งภายในโครงการดังกล่าว บนคอนเซปต์โมเดลลักซัวรี่ ที่มีความเรียบแต่หรูหราแบบมีเอกลักษณ์ ใส่ความดีไซน์ลงไปในทุกตารางนิ้วของตัวบ้าน เน้นโถงรับแขกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการเน้นการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีเอกลักษณ์ของจากดีไซน์ระดับโลก อาทิ  ของ Maison 55  ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งเข้ากับหินอ่อน Book Match ขนาด Double Volume  และห้องนอนใหญ่ที่เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ของ Kelly Hoppen  เข้ามาร่วมด้วย รวมถึงการเข้าไปตกแต่งห้องตัวอย่างด้วยดีไซน์ที่มุ่งตอบโจทย์รสนิยมของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่อยู่ในระดับกลางบน ถึงระดับบน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีกำลังซื้อยุคใหม่     “การตกแต่งห้องตัวอย่างให้กับอัลติจูด มาสเตอรี่ ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง ได้คัดสรรเฟอร์นิเจอร์สุดพิเศษ จากใน 7 แบรนด์ ของ Furniture หรู เช่น Maison 55, Tracey Boyd, Nellcote Studio และ Kelly Hoppen เช่น ชุดรับประทานอาหาร REFORM DINING SET 6 ที่นั่ง ที่ซึ่งสามารถเพิ่มความยาวรองรับได้ถึง 10 ที่นั่ง จากทางดีไซนเนอร์ชั้นนำของประเทศอังกฤษอย่าง Tracey Boydซึ่ง คัดสรรแบบ Special Customize Selection  พิเศษเฉพาะสำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของโครงการอัลติจูด มาสเตอรี่ ซึ่งเป็นกลุ่มเจ้าของธุรกิจเสริมความงาม แพทย์เสริมความงาม ดารา และเซเลบ ที่ชื่นชอบดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ไม่ซ้ำแบบใคร” นางสาวกมนนัทธ์กล่าว   ทั้งนี้ ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง ยังได้จัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าโครงการดังต่อไปนี้ โดยการเลือก SPECIAL UNIT SET ซึ่งถูกเลือกโดย ดีไซนเนอร์ชั้นนำในวงการตกแต่งภายใน ซึ่งเป็นโปรโมชั่น และส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าโครงการ อัลติจูด มาสเตอรรี่ เท่านั้น     นายชยพล  หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งพัฒนาโครงการทั้งแนวราบและแนวสูงระดับลักซัวรี่ใจกลางเมือง เปิดเผยว่า อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 ป็นบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ จำนวน 8 ยูนิต ราคาหลังละ 30.7 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการกว่า 200 ล้านบาท เป็นบ้านที่มุ่งใช้ วัสดุ สุขภัณฑ์ และเฟอร์นอเจอร์ในระดับบนทั้งหมด เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอ็นที่มีกำลังซื้อสูง เป็นคนช่างเลือก และให้ความสำคัญกับดีไซน์ของบ้านเป็นหลัก ดังนั้น จงต้องพิถีพิถันในการเลือกวัสดุ และของตกแต่งบ้านจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เด่นชัด ที่สำคัญแบรนด์ต้องเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีอยู่แล้ว     “ที่เราเลือกซอนเดอร์ ลิฟวิ่งมาเป็นพันธมิตร เนื่องจากแบรนด์เป็นที่รู้จักในแวดวงของคนที่ชอบแต่งบ้านและหลงใหลชื่นชอบงานดีไซน์ ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับลูกค้าของอัลติจูด มาสเตอรี่ที่มองหาบ้านและเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์โดดเด่นเฉพาะตัวไม่ซ้ำแบบ ทั้งยังมีความละเอียดในการออกแบบและในขั้นตอนการผลิตมีที่มาที่ไปของชิ้นงานแต่ละชิ้น เพราะเป็นงานดีไซน์จากดีไซเนอร์ระดับโลก ส่งผลให้ผู้เป็นเจ้าของรู้สึกภาคภูมิใจกับสินค้าซึ่งบ่งบอกถึงรสนิยมอันดีของผู้เป็นเจ้าของ ประกอบกับดีไซน์ของเฟอร์นิเจอร์ทุกตัวมีความร่วมสมัยอยู่ตลอดเวลา“ นายชยพล กล่าว   พบกับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านไฮเอนด์ 7 แบรนด์ จาก 7 ดีไซเนอร์อย่าง Thomas Bina, Tracey Boyd, Andrew Martin, Maison 55, Nellcote Studio, Coup&Co., และ Kelly Hoppen ได้ที่ SONDER living Thailand Flagship Gallery บนถนนพระรามเก้า ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 10:00 – 19:00 น. และวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 10:00-18:00 น. รายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าเยี่ยมชมที่ Official Website: www.sonderliving.com/th หรือที่ Facebook: sonderlivingthailand    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการอัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 http://www.altitudemastery.com
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ชี้ตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 1 โตรอบ 3ปี คาดไตรมาส2 สดใสลูกค้าเร่งสร้างหนีต้นทุนใหม่

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ชี้ตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 1 โตรอบ 3ปี คาดไตรมาส2 สดใสลูกค้าเร่งสร้างหนีต้นทุนใหม่

  สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ระบุตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 1 ขยายตัวสูงสุด ในรอบ  3 ปี สะท้อนตัวเลขงาน”รับสร้างบ้านและวัสดุ 2018”  ยอดขายเพิ่มขึ้น  65% ขณะที่มูลค่า เพิ่มถึง 40% แรงหนุนเศรษฐกิจ กำลังซื้อผู้บริโภคฟื้น  คาดไตรมาส 2 ตลาดเติบโตต่อเนื่อง เหตุผู้บริโภคเร่งสร้างบ้าน ก่อนราคารับสร้างบ้านปรับขึ้นในครึ่งปีหลัง เตรียมเจรจากลุ่มวัสดุก่อสร้างคงราคาพิเศษ หวังตรึงราคาค่าก่อสร้าง   นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน  เปิดเผยว่า จากแนวโน้มความต้องการปลูกสร้างบ้านของผู้บริโภคที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 1 ปี2561 มีการเติบโตในทุกด้าน ทั้งในแง่ของปริมาณและมูลค่าตลาด”รับสร้างบ้าน” ที่ขยายตัวสูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 สะท้อนจากตัวเลขการจัดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2018” พบว่า ยอดขายแง่ยูนิตเพิ่มขึ้นถึง 65%  ในแง่ของมูลค่า ก็เพิ่มขึ้นมากถึง  40%  ของยอดขายรวม  1,200 ล้านบาท จากตั้งเป้ายอดขายไว้ที่  1,100 ล้านบาท  ซึ่งทั้งตัวเลขยอดขายและมูลค่า นับเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 3 ปี   เนื่องด้วยปัจจัยบวกหลายอย่าง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น ทำให้มีการใช้จ่ายเรื่องบ้านหรือที่อยู่อาศัยมากขึ้น เห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมีนาคม 2561 ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 79.9 จากเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ระดับ 79.3  ทั้งปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจที่ดีต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาจากการใช้จ่ายด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมไปถึงด้านการท่องเที่ยวและการส่งออกปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน   อย่างไรก็ดี สมาคมฯ ประเมินว่า ตลาดรับสร้างไตรมาส 2  จะยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัย จากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มีความเป็นรูปบธรรมชัดเจน และหากรัฐบาลมีการขับเคลื่อนการใช้งบประมาณกลางปี โครงการไทยนิยมที่มีการจัดซื้อจัดจ้างเพิ่มขึ้น ส่งให้ผลให้เศรษฐกิจไตรมาส 2 ขยายตัวเกิน 4.2%  ทำให้จีดีพีทั้งปีเติบโต 4.2-4.6%  อีกทั้งกำลังซื้อผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง  เพราะความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ข่วงชาขึ้น ทำให้เชื่อว่า ผู้บริโภคจะมีความสนใจและความต้องการปลูกสร้างบ้านใหม่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ แนวโน้มการปรับขึ้นราคารับสร้างบ้าน เนื่องมาจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ  ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับขึ้น และมีผลต่อค่าเฉลี่ยราคาก่อสร้างปรับสูงขึ้นตาม ซึ่งจะช่วยเร่งให้ผู้บริโภคตัดสินปลูกสร้างบ้านเร็วขึ้น   “ตลาดหลักของรับสร้างบ้านในขณะนี้ ยังคงเป็นบ้านระดับราคา 2.5-10 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 70% ของตลาดรวม ทั้งนี้กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ยังเป็นตลาดที่มีการเติบโต ส่วนตลาดสร้างบ้านในต่างจังหวัดยังเติบได้ไม่มาก ส่วนหนึ่งเพราะราคาสินค้าเกษตรยังไม่ดีมาก ขณะที่จังหวัดที่มีรายได้จากภาคบริการ เช่นธุรกิจท่องเที่ยวที่ขยายตัวดียังพอที่จะผลักดันธุรกิจรับสร้างบ้านเติบโตดี” นางศิริพร กล่าว   นางศิริพร กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน มีแนวโน้มพิจารณาปรับราคาก่อสร้างขึ้น คาดว่าจะเป็นช่วงกลางปีไปแล้ว เพราะผู้ประกอบการเองก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จากองค์ประกอบหลายด้าน ทั้งต้นทุนราคาวัสดุ  ค่าแรงของกลุ่มแรงงาน และกลุ่มแรงงานฝีมือ เพราะส่วนที่มีผลกระทบต่อการปรับราคามากสุด คือ กลุ่มแรงงาน  ตามมาด้วยแรงงานฝีมือซึ่งต้องปรับตาม แม้ว่าปัจจุบันอัตราค่าจ้างสูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้วก็ตาม แต่แนวโน้มคาดว่าราคาจะปรับขึ้นไม่ต่ำกว่า 3-5 %   อย่างไรก็ตามสมาคมฯ ได้มีการประสานกับกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เพื่อให้คงราคาพิเศษสำหรับสมาชิกของสมาคมฯ เพื่อให้สามารถตรึงต้นทุนค่าก่อสร้างไว้ได้  รวมถึงสถาบันการเงินพันธมิตรที่พิจารณาให้สินเชื่อกับสมาชิกสมาคมฯ เป็นกรณีพิเศษด้วย เพื่อที่ผู้ประกอบการสมาชิกสมาคมฯ สามารถประคองราคาไว้นานที่สุดเพื่อช่วยผู้บริโภค   “ปกติในจังหวะที่เศรษฐกิจขยายตัว ธุรกิจรับสร้างบ้านจะพิจารณาปรับราคา จากต้นทุนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ปีนี้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เข้ามาเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มอีก ผู้ประกอบการจึงพิจารณาขึ้นราคาในช่วงกลางปีไปแล้ว แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบลูกค้า เพราะเป็นช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น” นางศิริพร กล่าว   นางศิริพร กล่าวอีกว่า  สมาคมฯ ยังเดินหน้าแผนสร้างสมาคมฯ ให้เป็นองค์กรขนาดใหญ่ ด้วยการขยายเพิ่มจำนวนสมาชิกทุกประเภทขึ้นอีกอย่างน้อย 10% จากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวนทั้งสิ้น 127 ราย เป็นผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน 53 ราย และที่เหลือเป็นกลุ่มวัสดุ  นอกจากนี้จะสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพของสมาชิกผ่านกิจกรรมในทุกๆ ด้าน โดยจะเปิดโอกาสให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ทำธุรกิจรับสร้างบ้านได้เข้ามาเป็นสมาชิกมากขึ้น พร้อมทั้งผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างสมาชิกและเครือข่าย และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ  
“โคคูโย” กางแผนขยายธุรกิจทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท คลอดเก้าอี้นวัตกรรมดูแลร่างกายจ่อรุกตลาดไทย

“โคคูโย” กางแผนขยายธุรกิจทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท คลอดเก้าอี้นวัตกรรมดูแลร่างกายจ่อรุกตลาดไทย

  “โคคูโย” แบรนด์เฟอร์นิเจอร์จากประเทศญี่ปุ่น เดินหน้าเต็มสูบบุกตลาดเฟอร์นิเจอร์เมืองไทย อัดงบกว่า 10 ล้านบาทคลอดเก้าอี้สำนักงานที่มีนวัตกรรมใหม่รองรับการเคลื่อนไหวของร่างกาย 360˚ และการทำงานของสมองครั้งแรกของโลก หวังขยายฐานลูกค้าและตอกย้ำผู้นำด้านเฟอร์นิเจอร์ที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งาน เตรียมเจาะกลุ่มพรีเมี่ยมที่มีอัตราการเติบโต 5 – 10% มั่นใจดันยอดขายภายใน 3 ปีจำนวน 10,000 ตัว   นางสาวธริดา คล้ายประชา ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร บริษัท โคคูโย อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงแผนธุรกิจของบริษัทในปี 2561ว่า จะเน้นกลยุทธ์การสร้างกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่เป็นกลุ่มพรีเมียม โดยในปีนี้จะมีการออกผลิตภัณฑ์เก้าอี้ “ing” 360° Gliding Chair เก้าอี้ที่รองรับการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ 360˚ ภายใต้แนวคิด “SITXERCISE” แค่นั่งก็เบิร์นขึ้นมา เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นถึงปัญหาที่แท้จริงของการนั่งประจำที่นาน ๆ และอยู่ในอิริยาบถเดิมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรมได้ง่าย ดังนั้นจึงคิดค้นและพัฒนาเก้าอี้ดังกล่าวขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานในชีวิตการทำงานจริงและสไตล์การทำงานจริงของคนในแต่ละสายอาชีพ ทำให้เกิดแนวคิดในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ตรงตามยุคสมัยและตรงตามความต้องการจริง        ของผู้ใช้งาน   สำหรับเก้าอี้ “ing” 360° Gliding Chair ผลิตออกมาเพื่อรองรับกลไกการทำงานของร่างกายให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยพัฒนาฟังก์ชั่นการทำงานที่เสริมประสิทธิภาพให้กับร่างกายและการทำงานของสมองและรองรับการปรับเปลี่ยนอิริยาบถต่างๆ ของร่างกายได้อย่างลงตัวและเป็นธรรมชาติ โดยไม่จำกัดรูปร่างและน้ำหนักและไม่ต้องปรับตำแหน่งของเก้าอี้  ทั้งนี้ฟังก์ชั่นการทำงานที่สำคัญที่สุดคือ Gliding Mechanism (กลไกหมุน) ที่รองรับทุกการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายขยับได้อย่างอิสระ 360° ช่วยให้แรงดันของร่างกายกระจายออกไปอย่างสมดุล ลดการกดทับและความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ ช่วยคงกระดูกเชิงกรานซึ่งเป็นฐานของร่างกายให้อยู่ในมุมที่เหมาะสมโค้งเป็นรูปตัว S ด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติและไม่ปวดหลัง   ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมายของเก้าอี้  “ing” คือเจ้าของธุรกิจและผู้บริโภครุ่นใหม่ที่คำนึงถึงสุขภาพการทำงานที่ดี นิยมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และสนใจในนวัตกรรมที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยบริษัทตั้งเป้ายอดจำหน่ายจำนวน 10,000 ตัวภายในปี 2563 ขณะเดียวกันบริษัทเตรียมงบการขายและการตลาดจำนวน  กว่า10 ล้านบาทที่จะสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าวด้วยแผนการตลาดทั้ง อะเบิฟ เดอะ ไลน์ (above the line) และบีโลว์ เดอะ ไลน์ (below the line) ทั้งการโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ อาทิ งาน Thailand BIG + BIH  และ JAPAN EXPO IN THAILAND ศูนย์การค้าสยามพารากอน  และกิจกรรมเปิดโชว์รูมแนะนำสินค้ากับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม โดยมีการจัดงานเสวนาเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและสร้างประสบการณ์ร่วมกับลูกค้า การจัดโปรโมชั่นร่วมกับธนาคารและบัตรเครดิต จัดทำ Pop up store ในสถานที่สำคัญ และเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายทางออนไลน์ด้วย   อย่างไรก็ตามเก้าอี้ “ing” 360° Gliding Chair  เป็นผลิตภัณฑ์ที่บริษัทมั่นใจว่าจะจัดจำหน่ายได้ 1,000 ตัว  คิดเป็นมูลค่าประมาณ 30,000,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัทญี่ปุ่นประมาณ 70% และกลุ่มลูกค้าสัญชาติอื่น ๆ อาทิ ไทย สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส  และอีก 30%  โดยบริษัทตั้งเป้าว่าภายในปี 2563 จะเพิ่มสัดส่วนระหว่างสองกลุ่มนี้ให้เท่ากันคือ 50 : 50  ด้วยการขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม B2C เพิ่มมากขึ้น โดยใช้สื่อออนไลน์เป็นหลักเนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจนวัตกรรมที่ทำให้สุขภาพและชีวิตของดีขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านทางเวปไซต์ www.kokuyothailand-ing.com     ด้านนายซาชิโอะ โคบายาชิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคคูโย อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดเฟอร์นิเจอร์ประเทศไทยในปัจจุบันมีมูลค่ารวมกว่า 55,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกลุ่มเฟอร์นิเจอร์บ้าน 40,000-50,000 ล้านบาท ตลาดเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน 5,000 ล้านบาท โดยในปี 2561 นี้ กลุ่มตลาดกลางถึงตลาดบนมีแนวโน้มเติบโต 5-10% ต่อเนื่องจากปลายปี 2560 เป็นผลจากการขยายตัวด้านการลงทุนของภาครัฐและการส่งออกไปยังตลาดอาเซียนที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เนื่องจากมีการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งที่พักอาศัยโรงแรม และรีสอร์ท เพิ่มมากขึ้น   “โคคูโย (KOKUYO) ถือเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าสำหรับออฟฟิศสำนักงานรายใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นนานกว่า 100 ปีและเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทกว่า 13 ปี ถือเป็นบริษัทเฟอร์นิเจอร์ญี่ปุ่นแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่ให้บริการทั้งด้านการออกแบบตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน รวมถึงอุปกรณ์เครื่องเขียนอย่างครบวงจร โดยเฟอร์นิเจอร์ของโคคูโยทุกชิ้นช่วยส่งเสริมสไตล์การทำงานของผู้ใช้งานในแต่ละรูปแบบ (work style) และที่สำคัญยังมีส่วนช่วยให้ผู้ใช้งานมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (Well Being) จะเห็นได้จากพื้นที่สำนักงานของโคคูโยที่ ชั้น 9 ของเดอะออฟฟิศเซส แอท เซ็นทรัล เวิลด์ (The Offices at Central World) ภายใต้แนวคิด live office ที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญระหว่างเฟอร์นิเจอร์และชีวิตการทำงานจริง เนื่องจากเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา และความต้องการของคนทำงาน โดยกลุ่มเป้าหมายของโคคูโยนั้นเน้นที่ตลาดกลางถึงตลาดบนที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพและดีไซน์เป็นหลัก   นายโคบายาชิ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลการสำรวจและเปรียบเทียบผู้ที่นั่งทำงานด้วยเก้าอี้ “ing”กับผู้ที่นั่งทำงานด้วยเก้าอี้ธรรมดา พบว่า 80%  มีการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อไหล่ 50% มีการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อเอว ความสวิงของ ing นั้น ทำให้การนั่งทำงาน 4 ชั่วโมงเทียบเท่ากับการเดินประมาณ 1.5 กิโลเมตร เผาผลาญแคลลอรี่ได้ถึง 85 กิโลแคลลอรี่ ในขณะที่การทำงานของสมองนั้นพบว่า 70% นั้นมีคลื่นอัลฟา (Alpha) เพิ่มสูงขึ้นใน 60 นาทีจากการนั่งทำงานด้วย ing เกิดจากความสบายที่เพิ่มมากขึ้น 60% มีการเพิ่มสูงขึ้นของคลื่นเบต้า  (Beta) ซึ่่่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางความคิดและการมีสมาธิที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าเกิดปริมาณความคิดสร้างสรรค์หรือไอเดียใหม่ๆ จากพนักงานเพิ่มขึ้นถึง 13% ด้วย   ผู้ที่สนใจสามารถชมและทดลองผลิตภัณฑ์ได้ที่โชว์รูมโคคูโย ชั้น 9 เดอะ ออฟฟิศเซส แอท เซ็นทรัล เวิลด์ ในราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 02 2645100-3 หรือติดตามข้อมูลข่าวสารที่ www.kokuyothailand-ing.com  หรือ facebook: kokuyothailand
งานสถาปนิก ’61.. ไม่ธรรมดา สุดยอดงานแสดงสถาปัตยกรรมอาเซียนกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง

งานสถาปนิก ’61.. ไม่ธรรมดา สุดยอดงานแสดงสถาปัตยกรรมอาเซียนกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง

  สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ และบริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด พร้อมกลุ่มผู้แสดงสินค้า ร่วมกันจัดแถลงข่าวงานสถาปนิก ’61 (Architect Expo 2018) “Beyond Ordinary : ไม่ธรรมดา” ภายใต้แนวคิดการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นในวิถีชีวิตร่วมสมัยของสังคมไทย ที่รวบรวมเอาผลงานออกแบบดีไซน์จากสถาปนิกชั้นนำของอาเซียน นวัตกรรมผลิตภัณฑ์แบบ Living Tech ที่จะรองรับทุกความต้องการของผู้บริโภคยุค 4.0     นายอัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ผลงานความก้าวหน้าทางด้านสถาปัตยกรรมของไทยนั้นมีเอกลักษณ์และโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ งานครั้งนี้จะแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสถาปัตยกรรมและงานออกแบบพื้นถิ่นในวิถีชีวิตร่วมสมัยของสังคมไทย โดยการพิจารณาภูมิปัญญาพื้นถิ่นที่อยู่ใกล้ตัวเรา นำองค์ความรู้ที่สืบทอดจากอดีต ทั้งในมิติของแนวคิดการออกแบบที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมหรือการใช้วัสดุจากท้องถิ่น ซึ่งอาจเป็นคำตอบของอนาคตก็เป็นได้” โดยงานสถาปนิกครั้งนี้ได้รับเกียรติจากสถาปนิกและนักออกแบบชั้นนำของไทย อาทิ ศ.ดร.วีระ อินพันทัง,บุญเลิศ เหมวิจิตรพันธ์, สุริยะ อัมพันศิริรัตน์ ตลอดจนสถาปนิกนักออกแบบรุ่นใหม่กว่า 18 กลุ่ม มาร่วมตีความนิยามความเป็นพื้นถิ่นที่แตกต่างกันไปได้อย่างน่าสนใจ ผู้เข้าร่วมชมงานสามารถนำเอาแนวคิดต่างๆ ที่ได้จากการชมงานไปปรับใช้ในการอยู่อาศัยปัจจุบันได้เป็นอย่างดี     ผศ.ดร.อภิรดี เกษมศุข ประธานจัดงานสถาปนิก ’61 กล่าวถึงรายละเอียดของการจัดงานเพิ่มเติมว่า นับเป็นครั้งแรกของงานสถาปนิกกับการออกแบบพาวิเลียนสำหรับนิทรรศการหลักของงานโดยสถาปนิกและนักออกแบบกว่า 18 กลุ่ม เปิดโอกาสให้คนทำงานสร้างสรรค์หลากหลายเจเนอเรชั่น ร่วมกันนำเสนอ Vernacular Living ในมุมมองของตนเอง ผู้ชมจะได้สัมผัสสถาปัตยกรรมไปจนถึงงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุธรรมดาที่มีดีไซน์ ‘ไม่ธรรมดา’ และยังได้ความรู้เรื่องราวของภูมิปัญญาพื้นถิ่นในแง่มุมต่างๆ ผ่านตัวนิทรรศการ   "เชื่อว่างานสถาปนิก ’61 จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับความเป็นพื้นถิ่นที่หลายคนมักมองว่าเชยหรือล้าสมัย แต่จริงๆ แล้วพื้นถิ่นนั้นสามารถทำให้เป็นสิ่งที่ร่วมสมัยหรือไปด้วยกันไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ได้ โดยงานนี้ได้นำเทคโนโลยี Augmented Reality และ Virtual Reality มาผสมผสานกับการจัดแสดงสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น และเปิดโอกาสให้ผู้ชมทั่วโลกสามารถสัมผัสประสบการณ์พาวิเลียนของจริงผ่านแว่นสามมิติได้อีกด้วย”ผศ.ดร.อภิรดี กล่าว   ในส่วนไฮไลท์กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดคือ งานสัมมนาระดับนานาชาติ ASA Forum 2018 ซึ่งปีนี้ได้สถาปนิกชื่อดังระดับโลกมาร่วมบรรยายกันอย่างคับคั่ง อาทิ มานูแอล โกทรองด์ (Manuelle Gautrand) สถาปนิกชาวฝรั่งเศสเจ้าของรางวัล European Prize for Architecture, ยุง โฮ ชาง (Yung HoChang) สถาปนิกระดับมาสเตอร์หนึ่งในคณะกรรมการรางวัลพริตซเกอร์, เดวิด แวน เซเวเรน (David Van Severen) สถาปนิกชาวเบลเยียมจากสตูดิโอ OFFICEKGDVS, ฮาน ทูมาเทคิน (Han Tümertekin) สถาปนิกชาวตุรกีเจ้าของรางวัล Aga Khan Award  และ ฟาร์ชิด มูซาวี (Farshid Moussavi) สถาปนิกชาวอังกฤษเชื้อสายอิหร่านผู้มีผลงานออกแบบได้รับรางวัล RIBA Award     ด้านนายศุภแมน มรรคา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้จัดงาน เผยว่า ปีนี้ได้รับการตอบรับเข้าร่วมแสดงสินค้าจากผู้ประกอบการด้านผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก่อสร้างเป็นอย่างดี จนใกล้จะเต็มพื้นที่ 75,000 ตารางเมตร หรือประมาณ 15 เท่าของสนามฟุตบอลกันแล้ว โดยมีบริษัททั่วโลกตอบรับเข้าร่วมจัดแสดงผลงาน รวมถึงการจัดแสดงเทคโนโลยีจากยุโรปโดย IMAG บริษัทในเครือของ Messe Munchen ประเทศเยอรมนี ผู้จัด BAU งานแสดงสถาปัตยกรรม ผลิตภัณฑ์ และระบบก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก ร่วมด้วยผู้แสดงสินค้าจากนานาประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน อเมริกา เวียดนาม ฯลฯ รวมกว่า 850 บริษัท ด้านผู้เข้าร่วมชมงานในปีนี้คาดไม่ต่ำกว่า 400,000 คน เชื่อว่าการจัดงานครั้งนี้นอกจากจะเป็นการแสดงผลงานความก้าวหน้าทางสถาปัตยกรรมของไทยแล้ว ยังส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจ เนื่องจากมีการจับจ่ายใช้สอยภายในงานยาวตลอดไปถึงหลังงานกว่าหมื่นล้านบาท   ด้านความพร้อมของผู้แสดงสินค้าต่างเตรียมขนทัพผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสานงานด้านดีไซน์ นวัตกรรม และเทคโนโลยีให้เข้ากันได้เป็นอย่างดี เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าชม อาทิ บูธ Lixilของบริษัท ลิกซิล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าแบรนด์และผลิตภัณฑ์สำหรับบ้านและสุขภัณฑ์ระดับโลก ที่เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ American Standard ให้ได้ชมกันก่อนใครกับ Kastello Collection และ City Collection ที่จะเปลี่ยนพื้นห้องน้ำให้เป็นพื้นที่แห่งความสุข การเปิดตัวนวัตกรรมที่สุดของการอาบน้ำ กับ AquaSymphony เรนชาวเว่อร์ที่ใหญ่ หรูหรา และมีฟังก์ชั่นมากที่สุด และ GROHE Sensia Arena สุขภัณฑ์อัจฉริยะที่ผสานดีไซน์จากเยอรมนีและเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์จาก INAX Ecocarat ผู้นำเทคโนโลยีและดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับกระเบื้อง จนได้รับการยกย่องว่าเป็น วัสดุก่อสร้างสำหรับการควบคุมความชื้น และ TOSTEM ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปอะลูมิเนียมครบวงจร มาจัดแสดงให้ได้ชมกันในงาน     สำหรับบูธ UMI Group ของบริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์ดูราเกรส และเซอเกรส ได้มีการนำเสนอไอเดียการตกแต่งบ้านในสไตล์โฮมมี่ ด้วยดีไซน์กระเบื้องในแบบต่างๆ ถ่ายทอดการแต่งห้องในแบบ Cozy (อบอุ่น เรียบง่าย), Fresh (สดชื่นมีชีวิตชีวา) และ Inspire (แรงบันดาลใจและจินตนาการ) ให้ทุกคนในบ้านได้ใช้ช่วงเวลาแห่งความสุขร่วมกัน โดยเตรียมโปรแกรมอัจฉริยะ Web Browser ที่ให้คุณสามารถเลือกกระเบื้องแบบต่างๆ ผ่านปลายนิ้ว ให้คุณแห็นภาพการจำลองห้องเสมือนจริงในแบบ 360องศาก่อนเลือกตัดสินใจ   ส่วนบูธ SCG ของบริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ยักษ์ใหญ่ในแวดวงเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ได้มีการสร้างสรรค์แนวคิดของบูธในปีนี้ว่า Passion for Better Living แรงผลักดันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่า ประกอบไปด้วย Innovation Inspiration และ Information ยกนวัตกรรมทั้ง SCG Living Tech และ SCG Building Tech มานำเสนอ พร้อมไฮไลท์เด็ดของบูธคือ Home Buddy Application ที่จะเชื่อมต่อกระบวนการทำบ้านทั้ง Online และร้านค้า Online เข้าด้วยกัน ช่วยให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในทุกด้าน รวมถึงนวัตกรรมบ้านเย็นอยู่สบายActive AIRFlowTM System ที่สามารถสร้างคุณภาพอากาศที่ดีภายในห้องด้วย Well Air นอกจากนี้ยังมีในส่วนเทคโนโลยี SCG Eldercare Solution กับการพัฒนาหุ่นยนต์ดินสอเพื่อเพิ่มศักยภาพในการดูแลผู้สูงอายุ และนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ดีไซน์สุดทันสมัยโดยนักออกแบบระดับโลกอีกด้วย
อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้ ตุนแบ็คล็อกกว่า 2.3 พันล้าน พร้อมเปิดโครงการใหม่โซนกรุงเทพตะวันออก

อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้ ตุนแบ็คล็อกกว่า 2.3 พันล้าน พร้อมเปิดโครงการใหม่โซนกรุงเทพตะวันออก

  อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาฯ แนวราบ เผยตุนยอดแบ็คล็อกเกิน 2.3 พันล้าน ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องจนถึง 2563 พร้อมตั้งเป้ายอดรายได้รวมปีนี้ 800 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 100%ล่าสุด เดินหน้าปั้นโครงการใหม่เพิ่ม ยึดพื้นที่โซนกรุงเทพตะวันออก   นายวรยุทธ กิตติอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ มียอดแบ็คล็อก อยู่ที่ 2,322 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มรับรู้ได้ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ไปจนถึงปี 2563 โดยมาจากการขายโครงการที่มีในปัจจุบัน ได้แก่ อาร์เค พาร์ค รามอินทรา-ซาฟารี, อาร์เค พาร์ค วัชรพล-สายไหม และดิไอเฟิล (The Eiffel) รามคำแหง-มิสทีน เฟสหนึ่ง รวมถึงโครงการที่อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและเตรียมเปิดจองเร็วๆ นี้ ได้แก่ ดิไอเฟิล รามคำแหง-มิสทีน เฟสสอง ที่เป็นโฮมออฟฟิศ 49 ยูนิต และเฟสสาม ที่เป็นบ้านเดี่ยวสร้างเสร็จพร้อมอยู่ 67 ยูนิต   “นอกจากนี้ ยังมีโครงการเดอะรักษ์ (The Rux) รามอินทรา-หทัยราษฎร์ โครงการบ้านเดี่ยวสองชั้น จำนวน 96 ยูนิต บนถนนไทยรามัญ ใกล้ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท พร้อมเปิดขายในราคาเริ่มต้น 3.49 ล้านบาทในช่วงไตรมาสสองนี้ และโครงการซีเน็กซ์ (Zenex) พหลโยธิน-รามอินทรา 5 ที่มีทั้งส่วนทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ จำนวน 13 ยูนิต ทำเลดีใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู เปิดขายพร้อมเข้าอยู่ในไตรมาสสามปีนี้ ในราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาท เน้นจับกลุ่มลูกค้า Gen X และ Y ที่เป็นเจ้าของกิจการเติบโตมาจากกลุ่มสตาร์ทอัพและธุรกิจออนไลน์ หรือผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ชอบความหรูหราและความคุ้มค่า” นายวรยุทธ กล่าว   สำหรับกลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจ นายวรยุทธ กล่าวว่า “อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้จะยังคงยึดแนวทางการทำธุรกิจที่ ตัวเองถนัด ค่อยๆ สร้างการเติบโตด้วยจุดแข็งที่มี คือความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและการขายโครงการแนวราบ ในโซนกรุงเทพตะวันออก โดยตั้งเป้าจะเปิดตัวโครงการใหม่ 2-3 โครงการทุกปี มีทาวน์โฮมเป็นสินค้าหลัก รองลงมาเป็นโฮมออฟฟิศ และบ้านเดี่ยว ทั้งยังได้ตั้งงบประมาณในการซื้อที่ดินใหม่ต่อปีอยู่ที่ราว 600 ล้านบาท โดยในปี 2561 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมอยู่ที่ 800 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา   “ปัจจุบัน การแข่งขันในตลาดอสังหาฯ ในกรุงเทพและปริมณฑลค่อนข้างรุนแรง ทุกบริษัทต้องปรับตัวกันอยู่เสมอ อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้เองก็พยายามรักษาจุดเด่นของตัวเอง และเพิ่มจุดแข็งอื่นๆ เข้ามาอยู่เสมอ โดยทุกโครงการของบริษัทฯ ล้วนอยู่ติดถนนใหญ่ ในย่านที่การคมนาคมเข้าถึงได้สะดวก เป็นโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ จึงเป็นที่ต้องการของลูกค้า อีกทั้งในบางโครงการอย่าง ดิไอเฟิล รามคำแหง-มิสทีน ยังมีจุดเด่นเหนือคู่แข่งบริเวณเดียวกัน ตรงที่ใช้วิธีก่อสร้างแบบก่อฉาบ ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากของลูกเดอะรักษ์ (The Rux) รามอินทรา-หทัยราษฎร์ ค้าปัจจุบัน เพราะได้ทั้งความแข็งแรง ทนทาน และความละเอียดประณีต มีการจัดเตรียมพื้นที่ส่วนกลางกว้างขวางหรือห้องอเนกประสงค์ บวกกับมีการนำพร็อพเทคเข้ามาอำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อาศัย” นายวรยุทธ กล่าว     นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการปรับระบบการปฏิบัติงานภายใน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขายและให้บริการหลัง การขายแก่ลูกค้า เช่น การกำหนดมาตรฐานการตรวจรับบ้านที่เข้มงวด การสำรวจและศึกษาความต้องการของ ลูกค้าในเชิงลึก เพื่อนำมาประกอบใช้กับขั้นตอนการออกแบบและก่อสร้างบ้าน การทำ CRM อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับความพึงพอใจของลูกบ้านและเพิ่มโอกาสในการขายจากการบอกต่อ การให้ข้อมูลสินค้าโดยละเอียดและสร้างประสบการณ์เสมือนจริงผ่านสื่อออนไลน์ ที่ให้ลูกค้าได้รู้จักกับโครงการของอาร์เค พร็อพเพอร์ตี้ มากที่สุดก่อนจะตัดสินใจมาเยี่ยมชมโครงการจริง เป็นต้น    ในส่วนของแนวทางการขยายธุรกิจในอนาคต บริษัทฯ ยังกำลังทำการศึกษาอยู่หลายแนวทาง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ การระดมทุนแบบ ICO หรือสกุลเงินดิจิทัล การร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจ หรือการรับพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบให้กับนักลงทุนที่มีแลนด์แบงก์อยู่แล้ว เป็นต้น   “สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในปีนี้ ส่วนตัวมองว่าในปีนี้ตลาดยังน่าจะไปได้ดี ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนต่อเนื่องในโครงการใหญ่ๆ ของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ ทางด่วนเชื่อมวงแหวน อีกทั้งภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศก็ยังเติบโต ไปในทิศทางที่ดี มีภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดี ถึงแม้การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินจะยังคงเข้มงวด แต่ก็มีท่าทีที่ผ่อนปรนลงกว่าช่วงที่ผ่านมา ในส่วนของอัตราความต้องการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพ และปริมณฑลก็ยังเพิ่มขึ้น จึงเชื่อว่ายอดขายโครงการแนวราบต่างๆ และคอนโดมิเนียมจะยังเติบโตต่อเนื่องในปีนี้” นายวรยุทธ กล่าวทิ้งท้าย
เน็กซัสเผยแนวโน้มการเติบโตของตลาดอาคารสำนักงานในอีก 5 ปีข้างหน้า

เน็กซัสเผยแนวโน้มการเติบโตของตลาดอาคารสำนักงานในอีก 5 ปีข้างหน้า

  เน็กซัส เผยผลสำรวจราคาค่าเช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน ไตรมาสแรกของปี 2561 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 960 บาท/ตารางเมตร/เดือน    โดยค่าเช่าสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 1,400 บาท/ตารางเมตร/เดือน    และยังคงมีอัตราการใช้พื้นที่ที่สูงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีการกระจายตัวของโครงการมากขึ้น    โดยในไม่กี่ปีที่ผ่านมา พื้นที่อาคารสำนักงานในเขตรอบนอกศูนย์กลางธุรกิจเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว คาดพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่ออกมาเพิ่มขึ้นอีกถึงประมาณ 1.13 ล้านตารางเมตร โดยพื้นที่อาคารสำนักงานหลักจะมาจากโครงการ One Bangkok ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดของผู้ให้เช่าเปลี่ยนไปเป็นตลาดของผู้เช่าแทน สำหรับแนวโน้มการเช่าจะเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมของโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง โดยจะมีการเช่าในลักษณะการทำ Co-Working Space และ Serviced Office มากขึ้น     นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม เผยว่า ในช่วง 10 ปีทีผ่านมา ตลาดพื้นที่เช่าในอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านของราคาค่าเช่าและพื้นที่ให้เช่า ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายเริ่มเข้ามาพัฒนาธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าเพิ่มมากขึ้น โดยจะเน้นการพัฒนาในรูปแบบอาคารประเภทผสมผสานเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการพัฒนาโครงการมากที่สุด เพราะปัจจุบันที่ดินทำเลดีหายากและราคาสูงขึ้นมาก สำหรับทำเลที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคือย่านพระราม 4 และสุขุมวิทตอนต้น รวมถึงพญาไท   พื้นที่อาคารสำนักงานในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 มีพื้นที่ให้เช่าทั้งสิ้นประมาณ 4.23 ล้านตารางเมตร ในจำนวนนี้อยู่ในเขตศูนย์กลางธุรกิจประมาณ 2.29 ล้านตารางเมตร โดยกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่เช่าในเขตศูนย์กลางธุรกิจนี้เป็นพื้นที่สำนักงานเกรด A ทั้งนี้ พื้นที่การพัฒนาอาคารสำนักงานมีการขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น โดยจะเห็นได้ว่าในไม่กี่ปี ที่ผ่านมา พื้นที่อาคารสำนักงานในเขตรอบนอกศูนย์กลางธุรกิจเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว   ในส่วนของการพัฒนาโครงการในอนาคต เนื่องจากที่ดินในเมืองที่สามารถพัฒนาโครงการมีจำนวนจำกัดและมีราคาสูง ส่งผลให้ผู้พัฒนาโครงการให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ในอาคารสำนักงานเกรด A ถึง AA ทั้งในเขตชั้นใน และ เขตรอบนอกของศูนย์กลางธุรกิจ เนื่องจากตลาดยังมีความต้องการสูงจากผู้เช่า การดึงดูดผู้เช่าสามารถทำได้โดยการเน้นสาธารณูปโภคภายในโครงการที่ดี มีการออกแบบที่สวยงาม ทำเลที่ตั้งที่ดึงดูดและการแบ่งขนาดพื้นที่เช่าที่เหมาะสม  ทีมวิจัยของเน็กซัสคาดว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ตลาดพื้นที่อาคารสำนักงานจะมีเพิ่มเข้าสู่ตลาดอีกประมาณ 1.13  ล้านตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 30% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออัตราการเช่าพื้นที่และอัตราการใช้พื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ   สำหรับด้านอัตราค่าเช่าปัจจุบัน จากการสำรวจในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 พบว่า ราคาค่าเช่าเฉลี่ยของพื้นที่อาคารสำนักงานเกรด A ในเขตศูนย์กลางธุรกิจ มีอัตราค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 960บาท/ตรม./เดือน ในขณะที่ค่าเช่าสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 1,400 บาท/ตารางเมตร/เดือน ส่วนพื้นที่ในอาคารสำนักงานเกรด A ที่อยู่พื้นที่เขตรอบนอกศูนย์กลางธุรกิจ จะอยู่ที่ 820 บาท/ตารางเมตร/เดือน โดยมีอัตราการใช้พื้นที่เฉลี่ยรวมประมาณ 95%   นายธีระวิทย์ กล่าวสรุปว่า แม้ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าตลาดพื้นที่ในอาคารสำนักงานจะมีพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าจะยังไม่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในตลาดอาคารสำนักงาน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีพื้นที่อาคารสำนักงานป้อนสู่ตลาดค่อนข้างจำกัด แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงจากตลาดของผู้ให้เช่าเป็นตลาดของผู้เช่าแทน ซึ่งจะส่งผลให้มีการแข็งขันที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้การใช้งานสำนักงานประเภท Co-Working Space และ Serviced Office จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตลาดพื้นที่อาคารสำนักงาน โดยอาจจะกลายมาเป็นผู้เช่าหลักในอนาคตซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของธุรกิจอาคารพื้นที่ในอาคารสำนักงานให้เช่าในหลายๆประเทศทั่วโลก
‘เอพี ไทยแลนด์’ ปลื้มยอดขายไตรมาส 1 โตครบลูปรวมกว่า 168% ไตรมาส 2 เตรียมเปิดอีก 3 โครงการ

‘เอพี ไทยแลนด์’ ปลื้มยอดขายไตรมาส 1 โตครบลูปรวมกว่า 168% ไตรมาส 2 เตรียมเปิดอีก 3 โครงการ

นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมาและแนวโน้มไตรมาส 2 ดีขึ้นหากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากปัจจัยบวก เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น การลงทุนของภาครัฐ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มในอัตราช้า เชื่อว่ากำลังซื้อในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีอยู่มาก โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดที่อยู่อาศัยระดับบน เนื่องจากเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงและได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ ไม่มากนัก ซึ่งเห็นภาพได้อย่างชัดเจน จากอัตราการเติบโตด้านยอดขายในไตรมาส 1 ของเอพี โดยเฉพาะสินค้าแนวราบที่ปรับตัวสูงขึ้นถือเป็นดัชนีที่ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้เป็นอย่างดี  สำหรับภาพรวม ตลาดในไตรมาส 2 เชื่อว่าการแข่งขันจะเข้มข้มกว่าในไตรมาสผ่านมา ด้วยจำนวนโครงการใหม่ที่จะทยอยเปิดตัวมากขึ้น และด้านซัพพลายที่ตอบโจทย์ตลาดระดับกลางบนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดี   “จากการปิดการขายโครงการ LIFE สุขุมวิท 62 ผ่านระบบจองทางแพลทฟอร์มออนไลน์ได้หมดทุกยูนิต ภายในเวลาเพียง 20 นาที สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า วันนี้ลูกค้ามีพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนไป คุ้นชินกับการซื้อผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น อีกทั้งยังคงมีกำลังซื้อที่สูง ในขณะที่กลุ่มตลาดระดับกลางถึงล่าง มีแนวโน้มยังทรงตัว หรือขยายตัวช้า เนื่องจากกลุ่มลูกค้าในตลาดดังกล่าวยังมีปัญหาในเรื่องของสภาพคล่อง” นายอนุพงษ์กล่าว     ทั้งนี้ ยอดขายที่เพิ่มขึ้นนอกจากจะมาจากการเปิดตัว 2 คอนโดมิเนียมใหม่ LIFE สุขุมวิท 62 และแอสปาย สาทร-ราชพฤกษ์ รวมถึงคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จพร้อมโอนในเครือเอพีแล้วนั้น สินค้าแนวราบทั้ง บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมของเอพีก็ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมีนัยสำคัญ โดยเป็นผลมาจากแนวทาง การพัฒนาโครงการที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบตัวบ้าน และสภาพแวดล้อมภายในโครงการที่คำนึงถึงความสมบูรณ์แบบของคุณภาพชีวิตที่ดี ตลอดจนการกำหนดแพคเกจราคาที่ตอบรับกับความสามารถในการผ่อนชำระของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดถือว่ามีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างมาก     ทั้งนี้ในปี 2561 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 34 โครงการมูลค่า 49,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 19,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 30 โครงการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายที่ 33,500 ล้านบาท โดยเอพียังคงมีแผนในการจัดซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีโอกาสพร้อมเปิดขายเพิ่มจากแผนที่ตั้งไว้ในปีนี้ ในส่วนของเอพีเองนั้นในไตรมาส 2 เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ บ้านเดี่ยว 2 ทำเล “CENTRO รังสิต คลอง 4-วงแหวน” ซึ่งจะเริ่มเปิดขายวันที่ 28-29 เมษายน เริ่ม 2.95 ล้านบาท และ “CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก” เปิดขายวันที่ 5-6 พฤษภาคม เริ่ม 7.2 ล้านบาท และทาวน์โฮม “บ้านกลางเมือง วัชรพล” ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายประมาณช่วงเดือนมิถุนายน  
โฮมบายเออร์กรุ๊ป ร่วมกับ คณะวิศวกรรมฯ จุฬาฯ เปิดตัว “Chula-Home Dot Tech” ตอบโจทย์อสังหาฯ ครบวงจรครั้งแรกของไทย

โฮมบายเออร์กรุ๊ป ร่วมกับ คณะวิศวกรรมฯ จุฬาฯ เปิดตัว “Chula-Home Dot Tech” ตอบโจทย์อสังหาฯ ครบวงจรครั้งแรกของไทย

โฮมบายเออร์กรุ๊ป จับมือคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ผสานจุดแข็งเปิดตัว “Chula-Home Dot Tech” ดึง Data Science & Machine Learning ปั้น Prop Tech พลิกโฉมอสังหาฯ ตอบโจทย์ผู้บริโภค-ภาคธุรกิจและพัฒนาบุคลากรด้านการศึกษา เตรียมเปิดแอปพลิเคชัน “Home Hop” นวัตกรรมค้นหาที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย  รศ.ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า คณะได้ร่วมมือกับบริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัด ในลักษณะของโครงการความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม (Industrial Liaison Program หรือ ILP) ดำเนินโครงการ Chula-Home Dot Tech ซึ่งเป็นโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์หรือ Prop Tech ด้วยการนำเทคโนโลยี Data Scienceและ Machine Learning มาประยุกต์ใช้ในโดเมนด้านอสังหาริมทรัพย์ (www.home.co.th) และสร้างเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อประโยชน์แก่ทั้งผู้บริโภคและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นครั้งแรกของประเทศไทย นอกจากประโยชน์ต่อผู้บริโภคและภาคอสังหาริมทรัพย์โดยรวมแล้ว ความร่วมมือครั้งนี้ยังเป็นโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน Data Science และ Machine Learning ได้ศึกษาวิจัยและทดลองกับข้อมูลจริงในตลาด ช่วยพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชำนาญ เกิดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะที่เกี่ยวข้อง และช่วยสร้างประสบการณ์การพัฒนา Prop Tech ในอนาคตด้วย “ต้องยอมรับว่าผู้เชี่ยวชาญด้าน Data Science และ Machine Learning ในไทยขณะนี้ยังมีไม่มาก และส่วนใหญ่อยู่ในภาคการศึกษา ขณะที่ภาคธุรกิจจะมีข้อมูลเชิงลึก มีประสบการณ์จริงที่สั่งสมมายาวนานจากภาคสนาม ความร่วมมือครั้งนี้จึงถือเป็นสุดยอดความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจ ด้วยการผสานจุดแข็งของทั้งสองฝั่ง คล้ายกับความร่วมมือที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์หรือ MITร่วมดำเนินการกับองค์กรธุรกิจหรือสตาร์ทอัพ เพื่อสร้างสรรค์และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ” รศ.ดร.สุพจน์กล่าว โดยคณะได้สนับสนุนบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้าน Data Science และ Machine Learning และสาขาที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมวิจัยในโครงการนี้ โดยมี ผศ.ดร.โปรดปราน บุณยพุกกณะ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ เป็นหัวหน้าโครงการ, รศ.ดร.อติวงศ์ สุชาโต รองคณบดี ด้านนวัตกรรมการเรียนรู้ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ เป็นหัวหน้าทีมวิจัย, ดร.เอกพล ช่วงสุวนิช อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์  คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ เป็นผู้วิจัยหลัก และ ดร.นฤมล ประทานวณิช อาจารย์ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ เป็นผู้วิจัย นายบริสุทธิ์ กาสินพิลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท โฮมดอทเทค จำกัด กล่าวว่า บริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัดดำเนินธุรกิจสื่ออสังหาริมทรัพย์ครบวงจรมานานกว่า 25 ปี ทำให้มองเห็นโอกาสในการนำทั้งข้อมูล ความรู้และประสบการณ์มาต่อยอด ด้วยเทคโนโลยี Data Science และ Machine Learning สร้างนวัตกรรมใหม่ แก้ปมปัญหา (Pain Point) หาวิธีการแก้ไข (Solution) ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยให้กับผู้บริโภค ตลอดจนช่วยผู้ประกอบการวางแผนลงทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บริษัทจึงได้สร้างความร่วมมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินโครงการร่วมกันภายใต้ชื่อ Chula-Home Dot Tech พร้อมตั้งบริษัท โฮมดอทเทค จำกัด เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการสื่อสารอสังหาริมทรัพย์ “ที่ผ่านมาเป้าหมายของเราคือการเป็นที่พึ่งสำหรับผู้ซื้อบ้าน ด้วยการให้ข้อมูลความรู้เพื่อการตัดสินใจของผู้บริโภค วันนี้เรายังเป็นที่พึ่งของคนซื้อบ้าน แต่เราจะให้ข้อมูลและประสบการณ์ในรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วยการใช้เทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ซื้อบ้านได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ มีประสิทธิภาพ เกินกว่าที่ความสามารถของคนจะเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ของตัวเอง” นายบริสุทธิ์กล่าว ทั้งนี้ เป้าหมายหลักของบริษัทคือการเป็นเพื่อนที่เชื่อถือและไว้วางใจได้ตลอดทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อบ้าน หรือ Trusty Companion for the Home Buying Journey จึงจะพัฒนาเทคโนโลยีการค้นหาบ้าน การซื้อบ้าน และด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อบ้าน ทั้งนี้ Home Dot Tech เริ่มดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว ปัจจุบันมีทั้งแอปพลิเคชันที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและพัฒนาจนสามารถใช้งานได้แล้ว เช่น Home Buyers Analytics วิเคราะห์ดาต้าอสังหาริมทรัพย์ด้านDemand Side ครั้งแรกของอสังหาริมทรัพย์ไทย, Home Dashboard เครื่องมือบริหารการตลาดกับลูกค้า Walk-in Online ของโครงการอสังหาริมทรัพย์, Home Hop สำหรับค้นหาที่อยู่อาศัยจากไลฟ์สไตล์และความต้องการเฉพาะบุคคล (Persona) ซึ่งให้ผลลัพธ์เกินกว่าการใช้ประสบการณ์ส่วนตัวของบุคคลเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และ Home Event เครื่องมือชมงานมหกรรมที่อยู่อาศัยและอุปกรณ์สื่อสารการตลาดของโครงการ ซึ่งได้พัฒนา Version 2 เพื่อใช้งานในปีนี้
แสนสิริ เปิดตัว “ลา กาซิตา”คอนโดมิเนียมสไตล์สแปนิช มั่นใจปิดการขายไตรมาส 2

แสนสิริ เปิดตัว “ลา กาซิตา”คอนโดมิเนียมสไตล์สแปนิช มั่นใจปิดการขายไตรมาส 2

แสนสิริ “ลา กาซิตา” มูลค่าโครงการกว่า 2,300 ล้านบาท ชูจุดขายคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่สไตล์สแปนิช ด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมสเปน จำนวน 705 ยูนิต เปิดขายในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท คาดปิดการขายในไตรมาส 2  นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิรินับว่าเป็นผู้บุกเบิกและเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมตากอากาศในหัวหินมาอย่างยาว โดยเปิดตัวโครงการแรก “บ้านไข่มุก” หัวหิน ในปี 2534 ซึ่งนับเป็นโครงการแรกที่บริษัทพัฒนา มายาวนานกว่า 35 ปี ปัจจุบันบริษัทพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในทำเลชะอำ-หัวหินมาแล้วทั้งสิ้น 21 โครงการ เช่น โครงการบ้านไข่มุก บ้านแสนสราญ บ้านแสนสุข บ้านนับคลื่น บ้านทิวลม เป็นต้น สำหรับโครงการที่บริษัทพัฒนาล่าสุดในปี 2558 คือ โครงการบ้านเคียงฟ้า ปัจจุบันทุกโครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจนสามารถปิดการขายในทุกโครงการในทำเลหัวหิน จากความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่หัวหิน ทำให้แสนสิริมีความได้เปรียบในการเข้าใจความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าทุกกลุ่มได้เป็นอย่างดี รวมถึงความศักยภาพของแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งในการพัฒนาโครงการที่มีประสิทธิภาพมาโดยตลอด นอกจากนี้ล่าสุด จากแรงหนุนในแผนการพัฒนาของภาครัฐด้านการลงทุนระบบคมนาคมในอนาคต ซึ่งมั่นใจว่าจะทำให้เกิดการกระตุ้นทั้งด้านการท่องเที่ยว และดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชน และ เกิดความต้องการบ้านหลังที่ 2 เพิ่มมากขึ้น ล่าสุดบริษัทจึงได้เปิดตัวโครงการ ‘ลา กาซิตา’(La Casita) คอนโดมิเนียมตากอากาศบนทำเลที่ดีที่สุดในใจกลางเมืองหัวหิน แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งโรงแรมระดับ 5 ดาว ศูนย์การค้าบลูพอร์ต โรงพยาบาลกรุงเทพ และร้านอาหารชั้นนำมากมาย ซึ่งนับเป็นโครงการฯ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ศักยภาพอย่างแท้จริง โดยภายในโครงการยังมอบพื้นที่ส่วนกลางสีเขียวขนาดใหญ่ถึง 4,000 ตร.ม. โดยล่าสุดบริษัทได้จัดงานพรีเซลล์ เปิดขายโครงการในช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ที่ผ่านมา ปรากฎว่าได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเก่าหรือแฟนพันธุ์แท้แสนสิริเป็นอย่างดี โดยสร้างยอดขายไปได้แล้วถึง 50% คาดว่าจะได้รับความสนใจจากทั้งกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อการพักผ่อนเป็นบ้านหลังที่ 2 รวมถึงกลุ่มลูกค้านักลงทุน และสามารถปิดการขายได้ในไตรมาส 2 นี้อย่างแน่นอน ทั้งนี้โครงการ ลา กาซิตา (La Casita) เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์สแปนิช ได้รับการสร้างสรรค์ด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมของสเปนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่มีมิติ สีสันในแบบพาสเทล ผสานความคลาสสิคท่ามกลางบรรยากาศของเกาะอิบิซ่า (Ibiza) ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศสเปน อบอวลกลิ่นอายของหาดทรายสีขาว และท้องทะเลสวยงามเหมือนสวรรค์ โครงการ ลา กาซิตา เป็นอาคารสูง 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 705 ยูนิต แบ่งเป็น 1-2 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 26.50-91.00 ตร.ม. บนพื้นที่กว่า 6 ไร่ ซึ่งแบ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางรวมกว่า 4,000 ตร.ม. อาทิ Palm Court (ปาล์ม คอร์ท) สำหรับการจัดเป็นพื้นที่ครัวส่วนกลาง หรือพื้นที่พักผ่อนที่ให้ทุกคนสามารถใช้เวลาว่างให้ผ่อนคลายยิ่งขึ้น Blooming Wall (บลูมมิ่ง วอลล์) หรือ กำแพงดอกไม้ เพิ่มความเป็นส่วนตัวให้ผ่อนคลายได้ดังใจ Paradise Garden (พาราไดซ์ การ์เด้น) สวนขนาดใหญ่ตามแบบฉบับสเปน The Great Lawn (เดอะ การ์เด้น ลอว์น) พื้นที่สีเขียวเพื่อสูดอากาศให้ชุ่มปอดสำหรับการพักผ่อน และ Lap Pool (แล็บ พูล) สระว่ายน้ำขนาดใหญ่กว่า 1,000 ตร.ม. และยาวกว่า 100 เมตร    ซึ่งนับเป็นสระว่ายน้ำในคอนโดมิเนียมที่ยาวที่สุดในหัวหิน พร้อมทางเดินร่มรื่นรอบโครงการ ภายใต้บรรยากาศของการผ่อนคลายที่แสนสงบ และความสนุกที่สามารถสัมผัสคำว่าบ้านได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ล่าสุดบริษัทยังได้เปิดตัวแคมเปญฤดูร้อน ตอบรับไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยวในหัวหิน “Joy of Huahin” โดยมอบข้อเสนอสุดพิเศษเพื่อรองรับความต้องการของผู้ที่ต้องการคอนโดมิเนียมตากอากาศในย่านชะอำ - หัวหิน และถือเป็นกิจกรรมแห่งความสุขที่มอบสิทธิพิเศษ ส่วนลดร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ในหัวหินให้กับลูกบ้านแสนสิริกว่า 66 ร้าน โดยเริ่มตั้งแต่ 1 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2561 เท่านั้น “ตลาดคอนโดมิเนียมในหัวหินมีราคาเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 15% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี และสามารถปล่อยเช่าได้ถึง 4-5% ต่อปี ผนวกกับการเติบโตของธุรกิจปล่อยเช่าออนไลน์ ซึ่งแสนสิริได้จับมือกับ Hostmaker (โฮสต์ เมกเกอร์) พาร์ทเนอร์สำคัญที่มีความเชี่ยวชาญ และได้รับรางวัลการันตีคุณภาพในระดับโลก มาช่วยอำนวยความสะดวกบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่าและอยู่อาศัย โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลดความซับซ้อนใน การจัดการการจองที่พักให้ง่ายขึ้น ดังนั้น โอกาสในการปล่อยเช่ารายเดือนจึงมีโอกาสมากขึ้น จากนักท่องเที่ยวที่นิยมเช่าพักในระยะยาว และคนทำงานประจำที่โยกย้ายจากต่างเมือง โดยมีอัตรา   ค่าเช่าโครงการของแสนสิริเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 บาทสำหรับขนาด 1 ห้องนอน และสูงสุดถึง 40,000 บาทสำหรับขนาด 2 ห้องนอน ทั้งนี้ โครงการ ลา กาซิตา (La Casita) จัดกิจกรรมพิเศษ “Live in the Lively Spanish Style” พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างสมบูรณ์แบบครั้งแรกในวันที่ 6-8 เม.ย นี้ที่    หัวหินพร้อมมอบข้อเสนอพิเศษ ได้ภายในงานนี้เท่านั้น รวมทั้งมีกำหนดการนำไปโรดโชว์ในต่างประเทศในวันที่ 21-22 เมษายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเช่นเดียวกัน” นายปิติ กล่าวเสริม  สำหรับแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในทำเลหัวหินในปี 2561 นี้ คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดี และกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยมีแรงหนุนจากแผนการลงทุนของภาครัฐในการลงทุนระบบคมนาคมสู่เมืองท่องเที่ยวฝั่งตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อพัทยาสู่หัวหิน โดยการเปิดบริการเรือเฟอร์รี่เมื่อต้นปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถช่วยลดเวลาเดินทางจาก 5-6 ชม. เหลือเพียง 1.40 ชม. เท่านั้น และการเชื่อมต่อการเดินทางจากกรุงเทพฯ – หัวหิน ด้วยทางรถไฟความเร็วสูง และการสร้างมอเตอร์เวย์จากนครปฐม-ชะอำ (ท่ายาง) ซึ่งช่วยให้การเดินทางคล่องตัวกว่าเดิม รวมถึงการขยายการลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวจากกรุงเทพฯ สู่เมืองท่องเที่ยวโซนอ่าวไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเมืองหัวหินที่มีแนวโน้มการเติบโตได้ดีต่อเนื่อง *สำหรับทิศทางตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศไทยปี 2561 คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 37.8 ล้านคน ขยายตัวประมาณร้อยละ 7.0 จากปี 2560 ซึ่งปัจจัยที่เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น การขยายเส้นทางการบินของธุรกิจสายการบินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการขยายเส้นทางการบินของไทยที่เชื่อมไปยังเมืองรองของจีน เป็นต้น โดยได้รับปัจจัยหนุนหลักจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน อยู่ที่ประมาณ 9.81 ล้านคน ** ขณะที่แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้หมุนเวียนอยู่ที่ประมาณ 9.9 แสนล้านบาท (*,**ที่มา: ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย) ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเมืองตากอากาศกลับมีความคึกคักขึ้นอีกครั้ง โดยล่าสุดคอนโดมิเนียมในหัวหิน มีอัตราการเสนอขายสูงสุดที่ 140,000 บาท/ ตารางเมตร และสามารถสร้างผลตอบแทนการขายต่อมากถึง 59%  
VRH Modern Life นวัตกรรมสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำล้ำสมัย

VRH Modern Life นวัตกรรมสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำล้ำสมัย

VRH เปิดตัว “VRH Modern Life” ขยายธุรกิจสู่เอ็กซ์คลูซีฟดีลเลอร์ นำเข้าสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำดีไซน์เรียบหรู ฟังก์ชั่นใช้งานพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย เจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้งานระดับ Hi-End ประเดิมตลาดด้วยแบรนด์ดังจากยุโรป “CONTI” และ “AXENT” นายพิษณุ หทัยพันธลักษณ์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ VRH Modern Life บริษัท วี.อาร์.ยูเนี่ยน จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2561 นี้ว่า VRH ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายก๊อกน้ำ อุปกรณ์ห้องน้ำ และห้องครัว ที่ผลิตจากสเตนเลสชั้นนำของไทย จะเปิดตัวธุรกิจใหม่ภายใต้แบรนด์ “VRH Modern Life” รุกตลาดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสุขภัณฑ์แห่งอนาคต เพิ่มประสิทธิภาพ ความสะดวกสบาย ตอบโจทย์ฟังก์ชั่นการใช้งานที่เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ชื่นชอบเทคโนโลยีระดับ Hi-End ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตสอดรับกับการพัฒนาของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจก่อสร้างที่ขยายตัวรองรับโครงการพัฒนาเครือข่ายสาธารณูปโภคภาครัฐ และการลงทุนของภาคเอกชนในยุค Industry 4.0   VRH Modern Life จะดำเนินธุรกิจในลักษณะเอ็กซ์คลูซีฟดีลเลอร์ โดยจะเป็นผู้คัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่มห้องน้ำ ห้องครัวที่มีนวัตกรรมเทคโนโลยีการใช้งานล้ำสมัยจากผู้ผลิตหรือแบรนด์ชั้นนำที่ได้รับการยอมรับในเรื่องการออกแบบและนวัตกรรมการใช้งานที่มีชื่อเสียงในระดับโลก เข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศไทยและได้รับสิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย สำหรับในช่วงเปิดตัวนี้ได้คัดสรรผลิตภัณฑ์ก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์คุณภาพที่มาพร้อมเทคโนโลยีในการใช้งานจากผู้ผลิตในยุโรป ซึ่งมีชื่อเสียงและความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีสำหรับสินค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ ได้แก่ ก๊อกน้ำเปิด-ปิดอัติโนมัติจาก CONTI สวิสเซอร์แลนด์ และสุขภัณฑ์ Intelligent จาก AXENT สวิสเซอร์แลนด์ เพื่อมาทำตลาดในประเทศไทย “แนวทางในการเลือกแบรนด์และผลิตภัณฑ์เข้ามาจำหน่ายจะพิจารณาจากปัจจัยหลัก ประกอบด้วย คอนเซ็ปต์ รูปลักษณ์ของสินค้า และการดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ผนวกเข้ากับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการใช้งาน เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน  ให้เหมาะกับการใช้งานในห้องน้ำและห้องครัว สร้างมูลค่าเพิ่ม ในราคาคุณภาพและผลิตจากผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงสินค้านั้นจะต้องมีอุปกรณ์หรืออะไหล่ที่สามารถดูแลรักษาได้ในระยะยาวด้วยบริการจากเรา เพราะทาง VRH Modern life มีทีมงานที่คอยสนับสนุนบริการหลังการขายเช่นเดียวกับสินค้า VRH  ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่สร้างความไว้วางใจในสินค้า เพื่อเสริมความมั่นใจและคุ้มค่าของลูกค้า”นายพิษณุ กล่าว สำหรับแบรนด์ CONTI และ AXENT ที่คัดสรรมาตอบโจทย์ทุกข้อ ด้านการออกแบบ-ดีไซน์ผลิตภัณฑ์ด้วยความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี ตอบโจทย์นวัตกรรม อาทิ ระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะ ระบบสั่งการอัตโนมัติ ระบบพลังงานทางเลือก เพื่อการใช้งาน สามารถสนองตอบความต้องการของลูกค้า และการใช้ชีวิตยุคใหม่ พร้อมติดตั้งได้ง่ายและเร็ว ไม่ซับซ้อน โดยจะเน้นเจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบความทันสมัย สนุกกับการใช้เทคโนโลยี สร้างสีสันและความสุขให้กับชีวิต โดยจะมีการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆในกลุ่มนี้จากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เพื่อให้ VRH Modern Life “ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตโมเดิร์นในรูปแบบที่คุณเลือกได้ภายใต้แนวคิด Comfort Comes Styled แผนการตลาดปีนี้ VRH Modern Life เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ CONTI และ AXENT ครั้งแรกในงานสถาปนิก’61  ระหว่างวันที่ 1 - 6 พฤษภาคมนี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มสถาปนิกและมัณฑนากร และขยายไปยังกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย พร้อมกับเปิดโชว์รูมในพื้นที่ของพันธมิตรทางธุรกิจ “บุญถาวร” ผู้ค้าวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านรายใหญ่ ทุกสาขาในประเทศไทย  โดยมีทีมงานคอยให้คำปรึกษาและพร้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ และจะมีการทำตลาดอย่างต่อเนื่องกับกลุ่มเป้าหมายที่นิยมความทันสมัย อาทิ กลุ่มห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล รีสอร์ต โรงแรมระดับ 5 ดาวขึ้นไป โดยผลิตภัณฑ์ก๊อกน้ำแบรนด์ CONTI ราคาเริ่มต้นที่ 25,000 บาท ส่วนสุขภัณฑ์แบรนด์ AXENT ราคาเริ่มต้นที่ 85,000 บาท ตั้งเป้ายอดขายสิ้นปี 2561 ไว้ที่ 20 ล้านบาท
อัลติจูด เปิดตัว “อาสะ” (ASA) คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ครั้งแรก เจาะกลุ่มพนักงานย่านชานเมือง

อัลติจูด เปิดตัว “อาสะ” (ASA) คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ครั้งแรก เจาะกลุ่มพนักงานย่านชานเมือง

อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ “อาสะ” (ASA) ประเดิมโครงการแรก “อาสะ อยุธยา-โรจนะ” เจาะกลุ่มพนักงานในย่านนิคมโรจนะ ชูดีไซน์ และฟังก์ชั่นการใช้งานที่แตกต่าง หวังเป็นทางเลือกใหม่ทดแทนตลาดเช่า นายขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย กรรมการบริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า  “อาสะ”(ASA) เป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมแบรนด์ล่าสุดจากอัลติจูด ซึ่งจะเป็นกลุ่มสินค้าเดียวที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในเซ็กเม้นท์ของ Effortable Condo โดยโครงการแรกที่เปิดตัว คือ “อาสะ อยุธยา-โรจนะ” คอนโดมิเนียมสไตล์โมเดิร์นเจแปนนีส ตั้งอยู่ติดกับโลตัส โรจนะ และใกล้นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ เพียง 3 นาที เป็นโลว์ไรส์คอนโดมิเนียม 8 ชั้น จำนวน 242 ยูนิต มูลค่าโครงการ 330 ล้านบาท “ทำเล อยุธยา-โรจนะ เป็นทำเลรอบนอกที่มีการเติบโตสูง เป็นแหล่งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีการจ้างงานและมีผู้อยู่อาศัยจำนวนมาก มีพนักงานระดับปฏิบัติการจนถึงระดับบริหาร ตลาดที่อยู่อาศัยในบริเวณนี้ส่วนใหญ่จะเป็นตลาดเช่า เช่น อพาร์ทเม้นต์ หอพัก เป็นหลัก  เราจึงเข้ามาเติม Demand ที่ลูกค้าต้องการ คือ การพัฒนาสินค้าประเภทคอนโดมิเนียม ที่ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ภายในโครงการ ซึ่งเป็นที่ต้องการของกลุ่มพนักงานระดับหัวหน้า หรือระดับบริหาร เราจึงได้พัฒนาโครงการ “อาสะ อยุธยา-โรจนะ ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มนี้เป็นหลัก  โดยโครงการนี้จะแตกต่างทั้งในเครื่องดีไซน์ และฟังก์ชั่นในการใช้งาน เพื่อรองรับการพักอาศัยได้อย่างลงตัว” นายขวัญชัย กล่าว  ล่าสุดเมื่อวันที่ 24-25 มีนาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้จัดงานพรีเซลล์เปิดตัวโครงการ “อาสะ อยุธยา-โรจนะ” เป็นครั้งแรก โดยในงานได้เชิญ นักแสดงหนุ่ม เวียร์-ศุกลวัฒน์ มาให้ความบันเทิงกับกลุ่มลูกค้าซึ่งเป็นพนักงานย่านนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ และประชาชนบริเวณรอบโครงการ โดยได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลา 2 วัน มียอดจองซื้อโครงการแล้วถึง 50%  สำหรับ “อาสะ อยุธยา-โรจนะ” คอนโดมิเนียมสไตล์โมเดิร์นเจแปนนีส สูง 8 ชั้น จำนวน 242 ยูนิต มูลค่าโครงการ 330 ล้านบาท บนเนื้อที่โครงการขนาด 1 ไร่ 3 งาน 97 ตารางวา ประกอบด้วยห้องพักอาศัย 3 รูปแบบ ได้แก่ แบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยขนาด 23.32 – 36.17 ตารางเมตร ห้องนอนดีไซน์พิเศษ เน้นฟังก์ชั่นการใช้สอยที่ลงตัวพร้อมโซนทำอาหาร ที่ใช้งานได้จริง, แบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยขนาด 47.30 – 52.01 ตารางเมตร ดีไซน์พิเศษรองรับการอยู่อาศัยแบบครอบครัว เน้นฟังก์ชั่นห้องนั่งเล่น ขนาดใหญ่ พร้อมห้องครัวแยกและแบบ 2 ห้องนอนดีไซน์พิเศษ Duo Room พื้นที่ใช้สอยขนาด 31.43 – 32.52 ตารางเมตร ฟังก์ชั่นห้องแบบพิเศษ เหมาะทั้งอยู่เองและลงทุนปล่อยเช่า มาพร้อมดีไซน์ ที่ลงตัว และตู้เสื้อผ้าแบบBuilt in ทั้งนี้ โครงการตั้งอยู่ที่ ถ.โรจนะ ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา บนทำเลศักยภาพ สะดวกสบายกับเส้นทางการคมนาคมที่หลากหลาย ทั้งการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และออกต่างจังหวัด เพียง 100เมตรจากโลตัส และนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ แวดล้อมด้วยห้างสรรพสินค้าและแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบสนองทุกความต้องการของทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายภายในโครงการ อาทิ ล็อบบี้ดีไซน์พิเศษ พร้อมห้องอเนกประสงค์ สวนส่วนกลางสไตล์ Modern Zen ฟิตเนส สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และ CCTV พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24ชั่วโมง ในราคาเริ่มต้นเพียง 989,000 บาท
เปิดตัว “SEAC ศูนย์พัฒนาผู้นำและผู้บริหารระดับสูง”ครั้งแรกในไทย ทันสมัยและครบวงจรที่สุดในอาเซียน

เปิดตัว “SEAC ศูนย์พัฒนาผู้นำและผู้บริหารระดับสูง”ครั้งแรกในไทย ทันสมัยและครบวงจรที่สุดในอาเซียน

SEAC ศูนย์พัฒนาผู้นำและผู้บริหารระดับสูง เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ชูวิสัยทัศน์ ศูนย์พัฒนาผู้นำและผู้บริหารระดับสูงที่ครบวงจรและใหญ่ที่สุดแห่งแรกในอาเซียน งบกว่า  300 ล้านบาท ตั้งเป้าเดินหน้าพัฒนาองค์กรในเมืองไทยและอาเซียนกว่า 500 องค์กร นางอริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการ SEAC กล่าวว่า หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรและนำพาความเปลี่ยนแปลงมาพัฒนาองค์กรให้ก้าวสู่ความสำเร็จได้ คือ ผู้นำองค์กรที่มีศักยภาพมีความเท่าทันสถานการณ์ เห็นเทรนด์ทางธุรกิจ และกล้าที่จะเปลี่ยน ทุกวันนี้โลกธุรกิจพัฒนาไป อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ผนวกกับพลวัตทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป ล้วนมีผลกระทบกับธรุกิจในทุกอุตสาหกรรม คู่แข่งในยุคปัจจุบันจึงไม่ได้มาจากผู้ที่อยู่อุตสาหกรรมเดียวกันหรืออยู่ในประเทศเดียวกันอีกต่อไปเท่านั้น แต่คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดอาจมาจากอุตสาหกรรมอื่น หรือจากต่างประเทศ ที่มองเห็นโอกาสและมีศักยภาพในการช่วงชิงความได้เปรียบทางธุรกิจก่อน การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันจึงไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จและอยู่รอดได้อย่างยั่งยืนได้เลย หากยังมุ่งที่จะทำธุรกิจจากฐานลูกค้ากลุ่มเดิม ตลาดเดิม และด้วยวิธีการแบบเดิมๆ ต่อไป “เราวางเป้าหมายไว้ว่าภายในปีนี้ SEAC จะสามารถเดินหน้าพัฒนาองค์กรในเมืองไทยและอาเซียนกว่า 500 องค์กร เราเชื่อมั่นว่าผู้นำและบุคลากรในประเทศไทยและอาเซียนมีความสามารถและศักยภาพที่ซ่อนอยู่ แต่อาจจะยังไม่สามารถนำออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งโปรแกรมต่างๆ ของ SEAC จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้ผู้นำสามารถดึงศักยภาพในด้านต่างๆ ของตนออกมาบริหารองค์กร และเมื่อองค์กรเกิดความก้าวหน้า เศรษฐกิจจะเกิดการฟื้นตัว ควบคู่ไปกับสังคมและประเทศที่พัฒนา อันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของ SEAC โดยแต่ละโปรแกรมของ SEAC มีส่วนช่วยยกระดับขีดความสามารถ และให้แนวทางการเป็นผู้นำที่มีศักยภาพ กล้าที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตนเองและองค์กรเพื่อที่จะก้าวล้ำนำหน้าคู่แข่งและประสบความสำเร็จท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลก” นางอริญญากล่าว นอกจากนี้ อีกหนึ่งรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรต่างๆ ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงใบนี้ คือ ‘นวัตกรรม’ โดยนอกจาก SEAC จะมุ่งมั่นในการเป็นศูนย์พัฒนาภาวะการเป็นผู้นำ เรายังเน้นบ่มเพาะ ‘ผู้นำที่สามารถสร้างนวัตกรรมได้อย่างยั่งยืน’ และ ผู้นำที่สามารถสอนให้บุคลากรในองค์กรเกิดความตื่นตัวในการสร้างนวัตกรรมได้ด้วยตนเองอีกด้วย กลุ่มธุรกิจชั้นนำในเมืองไทยที่ SEAC ได้รับความไว้วางใจในการเข้ามาพัฒนาจนประสบความสำเร็จไปแล้วมากกว่า 200 ราย อาทิ เครือเจริญโภคภัณฑ์, บมจ. ธนาคารกสิกรไทย, บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์, บมจ. ธนาคารกรุงไทย, บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย, บมจ. เอพี (ไทยแลนด์), บมจ. เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป, บมจ. สมิติเวช, บจ. ฟู้ดแพชชั่น และอื่นๆ “คำตอบของการพัฒนาองค์กรให้ยืนหยัดอย่างสง่างามในโลกของความเปลี่ยนแปลง คือ การทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นกลายเป็นโอกาสและใช้ประโยชน์จากโอกาสนั้นให้คุ้มค่าที่สุด ผู้นำที่พร้อมเปลี่ยนและมีความสามารถในการปรับตัวเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จและเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เป็นที่ทราบกันดีว่าในแวดวงการศึกษา มีทฤษฎีมากมายสอนเรื่องการเป็นผู้นำ แต่การศึกษาเพื่อการเปลี่ยนตัวเองให้เป็นผู้นำที่เท่าทันโลก คือ สิ่งที่ทำให้องค์กรอยู่รอด และยังไม่มีหนังสือและทฤษฎีเรื่องไหนสอนสิ่งเหล่านี้ได้แม่นยำและครอบคลุมอย่าง SEAC และด้วยศักยภาพและประสบการณ์ที่สั่งสมในการเป็นผู้นำด้านการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรมนุษย์มาอย่างยาวนานของ SEAC ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า SEAC จะสามารถเป็นหัวเรือใหญ่ที่นำพาองค์กรโลดแล่นอย่างสง่างามและมั่นคงตลอดไป ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ” นางอริญญากล่าวสรุป ทั้งนี้ SEAC ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ บนพื้นที่ใหญ่กว่า 4,550 ตารางเมตร 3 ชั้น ของอาคาร FYI Center           (ซึ่งออกแบบมาให้เป็นอาคารประหยัดพลังงานตามมาตรฐาน LEED หรือ Leadership in Energy and Environmental Design) บนสี่แยกถนนพระราม 4 ตัดกับถนนรัชดาภิเษก จัดสรรพื้นที่ให้เป็นห้องเรียนรู้อย่างครบวงจร พื้นที่สำหรับทำงานร่วมกันของผู้นำองค์กรต่างๆ และพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมหลากหลายขนาด โดยห้องจัดกิจกรรมที่ใหญ่ที่สุดนั้นสามารถรองรับได้มากถึง 180 คน    
แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จับมือบัตรเครดิตซิตี้ จัดงาน“The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” พร้อมรับวงเงินสูงกว่า 1.8 ล้านบาท

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จับมือบัตรเครดิตซิตี้ จัดงาน“The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” พร้อมรับวงเงินสูงกว่า 1.8 ล้านบาท

  แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ร่วมกับ ซิตี้แบงก์ ประเทศไทย จัดงาน “The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม – 1 เมษายน 2561 พร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าและนักลงทุน   นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า  ซิตี้แบงก์ ประเทศไทย คือธนาคารชั้นนำของโลก ที่มีฐานลูกค้าชั้นเลิศ ทั้งในไทยและทั่วโลก ซึ่งเราได้มีโอกาสร่วมงานกันในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ขึ้น เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตซิตี้ โดยทุกท่านจะได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์เปอร์ลักชัวรี่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนทำเลชั้นเยี่ยม อย่างแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับทั้งในแง่การลุงทุนที่มีศักยภาพสูง ให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยม และสำหรับผู้ที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัย ถือเป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่เหนือระดับและคุ้มค่ามากที่สุดด้วยเช่นกัน   มร. ซานดีพ บาตระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย  กล่าวว่า แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด นับเป็นหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่มีความน่าสนใจ และเป็นที่จับตามองในตลาดระดับสากล ทั้งในไทยและต่างประเทศ ด้วยทำเลชั้นเยี่ยมที่เป็นใจกลางย่านเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงทุน การค้าขายทำธุรกิจ การท่องเที่ยว นอกจากนั้นตัวโครงการเอง ยังมีเอกลักษณ์ในด้านการออกแบบและให้ควยามสำคัญกับเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย ทำให้ทุกองค์ประกอบที่กล่าวไปนี้ เป็นจุดเด่นที่ทุกคนให้การยอมรับ และอยากจับจองเป็นเจ้าของโครงการคุณภาพนี้ ในโอกาสนี้เอง ทางเรามีความยินดีที่ได้จัดกิจกรรมร่วมกัน เพื่อเป็นการร่วมมอบสิ่งที่ดีที่สุดอย่างโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ด้วยสิทธิประโยชน์ที่ดีที่สุดจากบัตรเครดิตซิตี้ เพื่อลูกค้าของเราทุกๆ คน   ทั้งนี้ ห้องชุดที่เหลืออยู่ของแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ดในปัจจุบัน คือแบบ 2 ห้องนอนพื้นที่ 75-108 ตารางเมตร และห้องห้องเพนท์เฮ้าส์ พื้นที่ 321-384  ตารางเมตร ภายในโครงการยังเพียบพร้อมด้วยส่วนบริการเพื่อการพักอาศัยระดับไฮเอนด์ ทั้งคลับส่วนตัว ล็อบบี้ส่วนตัวสำหรับผู้พักอาศัย และจุดรับ-ส่ง ห้องประชุมสังสรรค์ เลาจน์ พื้นที่สวนสีเขียวดีไซน์ใหม่ ห้องสมุด ศูนย์ไปรษณีย์ ศูนย์ธุรกิจพร้อมระบบสื่อสารและการเชื่อมต่อออนไลน์แบบครบวงจร ตลอดจนศูนย์ฟิตเนส ลู่วิ่งออกกำลังกลางแจ้ง เซาว์น่า สระว่ายน้ำยาว 70 เมตร พร้อมจากุชชี่และสระเด็ก รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงตลอด 24 ชั่วโมง   ภายในงานครั้งนี้ ได้นำเสนอห้องชุด 2 ห้องนอนในราคาสุดพิเศษเริ่มต้น 15 ล้านบาท พร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมายเฉพาะแขกและผู้ถือบัตรเครดิตซิตี้ในงานเท่านั้น *สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตซิตี้* รับคะแนนสะสมซิตี้ รีวอร์ด สูงสุด 10 เท่า เมื่อทำสัญญาจองและชำระผ่านบัตรเครดิตซิตี้ และ ข้อเสนอวงเงินสูงถึง 1.8 ล้านบาท   หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อโทรศัพท์ +66 83 095 5054 อีเมล magnolias@cbre.co.th หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.magnolias-ratchadamri.com
อนันดาฯ รุก เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ จับมือ แอสคอทท์ เปิด 4 โครงการ มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท เน้นลูกค้าต่างชาติ

อนันดาฯ รุก เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ จับมือ แอสคอทท์ เปิด 4 โครงการ มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท เน้นลูกค้าต่างชาติ

  อนันดา รุกตลาดเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ร่วมมือกับ แอสคอทท์ ลิมิเต็ด ล่าสุด เตรียมเปิดตัว 4 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการกว่า 1 หมื่นล้านบาท กว่า 1,400 ยูนิต บนทำเลศักยภาพสูงใจกลางเมือง NEW CBD ของกรุงเทพฯ ประเดิมโครงการแรก ซัมเมอร์เซ็ท รามา 9 บางกอก (Somerset Rama 9 Bangkok) มูลค่า 2,500 ล้านบาท จำนวน 445 ยูนิต  มั่นใจดีมานด์ยังโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ นักธุรกิจ และนักท่องเที่ยว   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนในการขยายธุรกิจใหม่ “เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์”  (Serviced Apartments) โดยมองว่าเป็นรูปแบบธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ในระยะยาวให้แก่บริษัท นอกจากนี้ยังมองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจและการท่องเที่ยวของไทย จากการที่ไทยยังเป็นศูนย์กลางทางการค้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีทรัพยากรทางธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมที่สวยงามเป็นที่ดึงดูดแก่นักท่องเที่ยวมากขึ้นในทุกปี  ทำให้ธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ (Serviced  Apartments) มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ล่าสุด อนันดาฯ ได้ประกาศจับมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก แอสคอทท์ (Ascott) ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ระดับลักชัวรี่ชั้นนำของโลกที่มีรางวัลจำนวนมากการันตี ทั้งนี้เพื่อสร้างจุดแข็งในด้านมาตรฐานที่พักอาศัยอันเหนือระดับ     “อัตราการเช่าเฉลี่ยของเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ในทุกทำเลของกรุงเทพมหานครมากกว่า 74% และสามารถขยับขึ้นไปถึงประมาณ 90% ในบางทำเล โดยพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจและพื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิท เป็นทำเลยอดนิยมที่สุดสำหรับชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานคร อัตราการเช่าเฉลี่ยจึงอยู่ที่ประมาณ 80% เนื่องจากความสะดวกในการเดินทางและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายรวมไปถึงการเข้าถึงที่สะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า BTS” นายชานนท์ กล่าว   โดยความร่วมมือครั้งนี้ เตรียมเปิดตัว 4 โครงการ มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท กว่า 1,400 ยูนิต  ซึ่งโครงการแรก ได้แก่ โครงการ ซัมเมอร์เซ็ท รามา 9 บางกอก (Somerset Rama 9 Bangkok) มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท จำนวน 445 ยูนิต  และอีก 3 โครงการอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งทั้ง 4 โครงการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูงสุดของกรุงเทพฯ และด้วยมาตรฐานสูงสุดและความเชี่ยวชาญของ แอสคอทท์ (Ascott)  ในการบริหารที่พักอาศัย เจ้าของและผู้พักอาศัยมั่นใจได้ในบริการแบบมืออาชีพระดับโลก ทั้ง 4 โครงการนี้จึงโดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้ง คุณภาพระดับลักชัวรี่ และการบริหารแบบมืออาชีพ   ทั้งนี้ โครงการ ซัมเมอร์เซ็ท รามา 9 บางกอก (Somerset Rama 9 Bangkok) แบรนด์เซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ที่ได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียงระดับโลก อาคาร High-Rise 1 อาคาร สูง 35 ชั้น จำนวน 445 ห้องพัก พร้อมพื้นที่ร้านค้า พื้นที่จัดประชุม และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน บนย่านพระราม 9 ซึ่งเป็นย่านธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) รายล้อมไปด้วยแหล่งอาคารสำนักงาน เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, Super Tower,  AIA capital center, G Tower, Fortune Town, และ The 9th tower พร้อมสิ่งเอื้ออำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น Central Rama9, Esplanade Cineplex, The Street Ratchada, และรพ.พระราม 9 , รพ.ปิยะเวท เป็นต้น สามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยห่างจาก MRT พระราม 9 เพียง 100 ม. MRT ศูนย์วัฒนธรรม เพียง 200 ม.   และเพียง 1 สถานีไปยัง Airport Rail Link สถานีมักกะสัน ที่สามารถเดินทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิได้     นายเควิน โกห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิ แอสคอทท์ จำกัด กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่อนันดา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยและเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ที่พักอาศัยสำหรับคนเมือง ได้ให้เกียรติเลือกแอสคอทท์เพื่อเริ่มดำเนินธุรกิจโครงการที่พักอาศัย ด้วยเป้าหมายที่แอสคอทท์ตั้งไว้ทั้งหมด 14 แห่งในประเทศไทยภายในปีพ. ศ. 2566  เครือข่ายทั่วโลกของเรามีลูกค้าองค์กรต่างๆเกือบ 100,000 ราย จะช่วยสร้างโอกาสทางการตลาดให้ขยายเพิ่มมากขึ้นไปทั่วโลก ทั้งอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย และเครือข่ายทางการตลาดระดับนานาชาติของแอสคอทท์ พร้อมความสามารถในการบริการที่แข็งแกร่ง ผนวกกับความเชี่ยวชาญของอนันดาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับสากล  โดยเราเชื่อมั่นว่าทั้ง 4 โครงการจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นพันธมิตรที่มีประสิทธิภาพได้อย่างแน่นอน  ซึ่งการร่วมมือของอนันดากับแอสคอทท์ ในครั้งนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดสำคัญสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคอื่นๆทั่วโลก  เรามีความมั่นใจว่าจะมียอดขายได้มากกว่า 80,000 ยูนิตในปีนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มขึ้นถึง 160,000 ยูนิตภายในปี 2566  และแผนงานในประเทศไทยจะมีการดำเนินงานมากกว่า 1,600 หน่วย ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า หรือมากกว่า 4,300 ยูนิตภายในปีพ. ศ. 2567  ทั้งนี้รวมถึงโครงการทั้ง 4 แห่งของเรากับอนันดาอีกด้วย ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำของแอสคอทท์ในฐานะผู้ประกอบการด้านโครงการที่พักอาศัยระดับสากลรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย   "เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ใหม่ทั้ง 4 โครงการของอนันดาฯครั้งนี้ ได้ช่วยเพิ่มผลงานของแอสคอทท์ในประเทศไทยให้มีมากขึ้นรวมเป็น 21 แห่ง หรือกว่า 4,300 ยูนิตทั่วกรุงเทพฯ พัทยาและศรีราชา โดยขณะนี้แอสคอทท์มีโครงการที่พักอาศัยให้บริการอยู่มากกว่า 43,000 แห่งในเมืองสำคัญต่างๆในอเมริกา เอเชียแปซิฟิก ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา และมีมากกว่า 29,000 ยูนิตซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา ทำให้มีจำนวนโครงการทั้งหมดรวมกว่า 74,000 ยูนิตในกว่า 500 แห่ง  ซึ่งแบรนด์ของบริษัท ทั้ง 6 แบรนด์ ได้แก่ Ascott, Citadines, Somerset, Quest, The Crest Collection และ Lyth  ในปัจจุบันผลงานของแอสคอทท์ครอบคลุมกว่า 130 เมือง ในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก” นายเควินกล่าวทิ้งท้าย  
เปิด’ลาซาล อเวนิว’ คอมมูนิตี้มอลล์แนวใหม่  รวบรวมแบรนด์ชั้นนำ สะดวก ครบครัน ไตรมาส 3 ปีนี้

เปิด’ลาซาล อเวนิว’ คอมมูนิตี้มอลล์แนวใหม่ รวบรวมแบรนด์ชั้นนำ สะดวก ครบครัน ไตรมาส 3 ปีนี้

‘ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว’ ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยบริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด ภายใต้การบริหารงานของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (TCC GROUP) บนพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตรในย่านลาซาล- แบริ่ง ในรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์แนวราบ โดดเด่นด้วยดีไซน์ เพื่อการพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบ พร้อมที่จอดรถรอบอาคาร สะดวกสบายในการใช้บริการ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ความต้องการ และไฮไลท์สุดพิเศษกับ ‘กรีนสเปซ’ พื้นที่สีเขียวกว่า 3,000 ตารางเมตร ถือเป็นปอดแห่งใหม่ย่านลาซาล กับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน สามารถใช้เวลาพักผ่อนที่นี่ได้ตลอดทั้งวันไม่มีเบื่อ ด้วยความพร้อมด้านการให้บริการจากแบรนด์ชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ อาทิ  Orca BAKER & BUTCHER ร้านอาหารสไตล์ Modern Italian ที่ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อนำเข้าจากฟาร์มชั้นนำทั่วโลกคุณภาพดี พร้อมกูรูเนื้อมืออาชีพที่พร้อมให้คำแนะนำการเลือกเนื้อที่ตรงตามต้องการ, JiM’s BURGER เบอร์เกอร์โฮมเมดสไตล์อเมริกันแท้ ที่ได้รับการการันตีด้วยรางวัลสุดยอด User's Choice 2018 ในสาขา American Food จาก Wongnai  KFC ในรูปแบบ Free Standing Drive Thru ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น, Café Amazon จุดนัดพบและพักผ่อนสำหรับคนเดินทาง ที่ตกแต่งด้วยโทนสีเขียว เน้นความเป็นธรรมชาติ เพื่อสร้างบรรยากาศ ร่มรื่น เย็นสบาย เปรียบเหมือน Oasis ของคนเดินทาง, The Nail Café ร้านทำเล็บระดับพรีเมี่ยมที่ให้ด้วยการบริการในแบบ Nail Art Specialist มาพร้อมกับที่ Hang Out สำหรับสาวๆ ที่ชื่นชอบการทำเล็บในแบบสไตล์คาเฟ่อีกด้วย  รวมถึง CG Fitness บริการฟิตเนสแบบครบวงจรที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของการออกกำลังกาย ‘ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว’ ยังโดดเด่นด้วยการเดินทางที่สะดวกสบายทั้งการเดินทางทางรถยนต์ด้วยถนนสุขุมวิท ถนนบางนา-ตราด ถนนศรีนครินทร์ หรือจะเลือกทางเลือกที่คล่องตัวยิ่งขึ้นด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอสแบริ่งและทางด่วนพิเศษบางนา สามารถชมข้อมูล ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว ได้ที่ www.facebook.com/LasallesAvenue
ไจก้า จับมือ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ต่อยอดนวัตกรรมคุณภาพเพื่อผู้สูงอายุในประเทศไทย

ไจก้า จับมือ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ต่อยอดนวัตกรรมคุณภาพเพื่อผู้สูงอายุในประเทศไทย

ไจก้าเยี่ยมชม “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ ย้ำแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบครบวงจรแห่งแรกของไทยจะเป็นประโยชน์สูงสุด พร้อมหารือต่อยอดองค์ความรู้และร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยกับผู้สูงอายุในประเทศไทย นางฐิตารี อยู่วิทยา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้คณะผู้บริหารและทีมนักวิจัยจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency)  หรือ JICA  นำโดย ดร. โยชิโนริ คอนโดะ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อการศึกษาสิ่งแวดล้อมประจำภูมิภาค  ได้เข้าเยี่ยมชมโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ ภายใต้แนวคิดการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร (Integrated Healthcare)  แห่งแรกของเมืองไทย นอกจากการเยี่ยมชมโครงการ และรับฟังแนวคิดในการออกแบบ การดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลแบบ Personalized  Medicine การจัดสิ่งอำนวยความสะดวก และบริการต่างๆ ของโครงการที่จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ได้เลือกผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในด้านต่างๆ มาเป็นผู้ออกแบบและให้บริการแล้ว  คณะผู้แทนไจก้ายังได้หารือแนวทางในการต่อยอดนวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตของผู้สูงวัย เช่น ยานยนต์อเนกประสงค์สำหรับใช้ในโครงการ เป็นต้น เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและปลอดภัยให้ผู้สูงอายุสามารถเดินทางไปยังที่ต่างๆ ภายในโครงการได้ด้วยตัวเอง เมื่อพัฒนาสมบูรณ์แล้ว นวัตกรรมเหล่านี้จะกลายเป็นต้นแบบสำหรับการขยายผลไปยังสาธารณชนต่อไป เพื่อสร้างเมืองแห่งอนาคตที่มีความปลอดภัยและสะดวกสบายสำหรับคนทุกกลุ่ม จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้  เป็นโครงการภายใต้การดำเนินงาน ของ กลุ่มธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ THG ซึ่งมีประสบการณ์ด้านโรงพยาบาลและการดูแลสุขภาพมามากกว่า 40 ปี  โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากที่กลุ่ม THG เล็งเห็นว่า สังคมไทยและหลายประเทศทั่วโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ  จึงริเริ่มพัฒนาเมืองแนวคิดใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างครบวงจร  พร้อมดูแลผู้สูงวัยและทุกคนในครอบครัว ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดเพื่อเติมเต็มการพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบ 360 องศา โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ถูกพัฒนาให้เป็น “เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ” ที่จะสร้างความสุข ความสะดวกสบายและความปลอดภัย ให้แก่ผู้อยู่อาศัย ด้วยบริการที่เป็นเลิศระดับสากล มีสิ่งแวดล้อมที่ผ่อนคลายท่ามกลางพื้นที่ธรรมชาติกว่า 50% ของโครงการ  นอกจากนี้ ยังออกแบบโดยคำนึงถึงรูปแบบการใช้ชีวิตในทุกช่วงวัย (Universal Design) รวมถึงการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจรด้วยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ อาทิ การนำเทคโนโลยี Tracking System ระบบติดตามตัวอัจฉริยะมาใช้  ให้ความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยในการใช้ชีวิตของผู้พักอาศัย และมีการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของแต่ละบุคคล เพื่อให้โครงการสามารถดูแลผู้อยู่อาศัยในโครงการได้แบบ Personalized Medicine ที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตของแต่ละคนอย่างแท้จริง ตัวโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 140 ไร่ อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ  สนามบินดอนเมือง รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้มติดด้านหลังโครงการ  และได้รับการอนุมัติรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้  เป็นโครงการหนึ่งเดียวจากทวีปเอเชีย และเป็น 1 ใน 7 โครงการจากทั่วโลกที่ถูกคัดเลือก ให้ได้รับรางวัล Honorable Mention ในการประกวด EFA Design Showcase 2018 จาก นิตยสาร EFA ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีโครงการต่างๆเข้าร่วมรวม 36 โครงการ โดยจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ได้รับการยกย่องในฐานะโครงการเฮลท์แคร์และที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ที่มีความโดดเด่นและศักยภาพในการตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้สูงอายุทั้งในด้านแนวคิด ด้านความสวยงาม และด้านนวัตกรรมอย่างลงตัว  ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมพร้อมสัมผัสประสบการณ์แห่งการใช้ชีวิตวัยเกษียณรูปแบบใหม่ได้ที่ เซลส์ แกลอรี่ โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ริมถนนพหลโยธิน ใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ศูนย์รังสิต โทร. 062-802-9999 Facebook: www.facebook.com/jinwellbeing
ซีเอ็มซี กรุ๊ป รุกหนักตลาดคอนโดทุกโซน หลังกวาดยอดขายมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 38 กว่า 467 ล้านบาท

ซีเอ็มซี กรุ๊ป รุกหนักตลาดคอนโดทุกโซน หลังกวาดยอดขายมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 38 กว่า 467 ล้านบาท

นายศตกร  หงส์จรรยา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด (แถวหน้า ที่ 3 จากซ้าย) บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 ที่ผ่านมา ซีเอ็มซี กรุ๊ป สามารถทำยอดขายได้สูงกว่าที่คาดการณ์มียอดขายโครงการรวมมูลค่ากว่า 467 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของยอดขายรวมทั้งหมดในงาน ดีที่สุดในอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม ซึ่งในงานดังกล่าวมีผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานจำนวนทั้งสิ้นกว่า  93 ราย โดยหลังจากนี้ ซีเอ็มซี กรุ๊ป ยังคงรุกหนักด้วยการทำการตลาดคอนโดมิเนียมกว่า 20 โครงการ บนทำเลย่าน CBD สาทร-ตากสิน-นราธิวาส และสุขุมวิท ตลอดจนทำเลต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ อาทิ บางแค เพชรเกษม ท่าพระ จรัญฯ-ปิ่นเกล้า-พระราม 8 และรามคำแหง ผ่านแบรนด์ที่พักอาศัย แบงค์คอก ฮอไรซอน, แบงค์คอก เฟลิซ และชาโตว์ อินทาวน์ ปัจจุบันได้จัดโปรโมชั่นพิเศษทางการเงินร่วมกับธนาคารUOB กับแคมเปญฟรีดอกเบี้ย 0% ระยะเวลานาน 3 ปี ซึ่งมีระยะเวลาแคมเปญไปจนถึงสิ้นสุดไตรมาสที่ 2 นอกจากนี้ยังมีแผนการที่จะรุกหนักทั้งการจัดอีเว้นท์ และโปรโมชั่นแคมเปญสุดเร้าใจอีกหลายรายการ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องการที่พักอาศัยคุณภาพ และมีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่www.cmc.co.th หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. 1172 และติดตามสื่อสังคมออนไลน์ได้ที่ www.facebook.com/cmc.co.th
EVER บุกอสังหาฯแนวราบมูลค่ารวมกว่า 2 พันลบ.  เจาะลูกค้าโซนสุขสวัสดิ์-บางนา (หนามแดง)-จตุโชติ รับสถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย

EVER บุกอสังหาฯแนวราบมูลค่ารวมกว่า 2 พันลบ. เจาะลูกค้าโซนสุขสวัสดิ์-บางนา (หนามแดง)-จตุโชติ รับสถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย

เอเวอร์แลนด์ เปิดกลยุทธ์ปี 61 เตรียมบุกตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ผุด 3-4 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 2,000ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าโซนสุขสวัสดิ์-บางนา (หนามแดง)-จตุโชติ รับสถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย นายสวิจักร์ โลจายะ ประธานกรรมการ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ EVER  เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 2561 ว่า บริษัทฯเตรียมเปิดใหม่ 3 – 4 โครงการ ซึ่งเน้นโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ “เอเวอร์ซิตี้” ในทำเลย่านสุขสวัสดิ์ , บางนา (หนามแดง) ,จตุโชติและไทยรามัน มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท โดยทั้ง 4 โครงการ บริษัทฯได้มีการซื้อที่ดิน เพื่อรอการพัฒนาไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมดำเนินการก่อสร้างได้ทันที “ถือเป็นการเปิดมิติใหม่ของเอเวอร์แลนด์ ในการเข้ามาบุกตลาดอสังหาฯแนวราบ ทั้ง 4โซน ไม่ว่าจะเป็นโซนสุขสวัสดิ์ ,บางนา (หนามแดง) จตุโชติ และไทนรามัน ซึ่งมีดีมานด์อยู่เป็นจำนวนมาก ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงของพอร์ต จากเดิมมุ่งเน้นโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 2-3 ปีกว่าที่จะรับรู้รายได้ ขณะที่โครงการแนวราบใช้เวลาไม่นาน คาดว่าจะเริ่มเปิดโครงการใหม่ในโซนสุขสวัสดิ์ ในเดือนกันยายน 2561 ส่วนที่เหลือจะเปิดในช่วงปลายปีนี้ ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2561 คาดว่าจะฟื้นตัว และกลับมาเทิร์นอะราวด์ จากการรับรู้รายได้โครงการ คอนโดมิเนียม ทั้ง โครงการเดอะโพลิแทนรีฟ , เดอะโพลิแทน บรีซ และโครงการเดอะ โพลิแทน อควา ซึ่งจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้”นายสวิจักร์ กล่าว สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้คาดว่าจะฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการที่รัฐบาลเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการขยายการก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าที่ทยอยก่อสร้างและแล้วเสร็จ อีกทั้งยังพบว่าความต้องการโครงการแนวราบมีมากขึ้นด้วย ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯเปิดตัว 3 – 4 โครงการใหม่ ซึ่งเป็นแนวราบในปีนี้ ในส่วนของธุรกิจโรงพยาบาล ซึ่งบริษัทฯเข้าลงทุนผ่าน บริษัท มาย ฮอสพิทอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เชื่อว่าจะมีการเติบโตควบคู่กันไป ซึ่งในปีนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการเพิ่มศักยภาพ และการวางแผนปรับปรุงระบบภายในให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  ,การเพิ่มบริการใหม่ๆตามความต้องการในพื้นที่ รวมทั้งการเพิ่มทีมแพทย์เพื่อรองรับตามปริมาณที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทั้ง 4 แห่งเข้าลงทุนและดำเนินธุรกิจได้สร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง ได้แก่   1.บริษัท โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราษฎร์ จำกัด (CMR) 2.บริษัท เดนทอล อิส ฟัน จำกัด (DENTAL) 3.บริษัท โคราชเมดิคัลกรุ๊ป จำกัด (KMG)  และ 4.บริษัท พิษณุโลกอินเตอร์เวชการ จำกัด (PM) โดยที่ผ่านมากิจการโรงพยาบาลสร้างรายได้ให้บริษัทฯค่อนข้างดี  และสร้างการเติบโตในแง่ของรายได้เฉลี่ยแห่งละ 10-15%  
เตรียมเปิดแล้วจ้า! ออฟฟิศพร้อมใช้งานแห่งแรกในไทย ” Spaces ซัมเมอร์ฮิลล์” จาก สเปซเซส ใกล้บีทีเอสพระโขนง

เตรียมเปิดแล้วจ้า! ออฟฟิศพร้อมใช้งานแห่งแรกในไทย ” Spaces ซัมเมอร์ฮิลล์” จาก สเปซเซส ใกล้บีทีเอสพระโขนง

สเปซเซส ออฟฟิศพร้อมใช้งานอัมสเตอร์ดัม ประกาศเปิดสาขาแรกในประเทศไทยที่ ซัมเมอร์ฮิลล์ (Summer Hill)  ศูนย์รวมการค้าเชิงไลฟ์สไตล์ใกล้สถานีรถไฟฟ้าพระโขนง บนพื้นที่กว่า 1,260 ตารางเมตร พร้อมสร้างแรงบับดาลในการทำงานอย่างเต็ม คุณโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ สเปซเซส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี กล่าวว่า ปัจจุบันความต้องการของพื้นที่การทำงานมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีปัจจัยสำคัญหลากหลายที่ช่วยขับเคลื่อนเทรนด์นี้อีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้นผ่านระบบมือถือ แม้ว่าจะอยู่ต่างสถานที่ ในระยะทางที่ไกล แต่ก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ทันเวลาอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยการเปลี่ยนแปลงอันมาจากธรรมชาติของโลกธุรกิจ ซึ่งจะเห็นว่าเหล่าสตาร์ทอัพต่างมองหาสถานที่ทำงานที่มีความยืดหยุ่นที่ช่วยให้พวกเขาสามารถปรับลดหรือขยายองค์กรได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องเซ็นสัญญาเป็นระยะเวลาหลายปี ขณะที่บริษัทข้ามชาติก็ยังคงมองหาสถานที่ทำงานที่มีความยืดหยุ่นที่จะช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังคงให้บริการต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงอีกปัจจัยสำคัญคือกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียลต่างเริ่มคาดหวังให้เหล่านายจ้างมอบพื้นที่การทำงานที่มีทั้งพื้นที่แห่งการพบปะสรรสรรค์และสร้างแรงบัลดาลใจในการคิดค้นสุดยอดไอเดียให้มากยิ่งขึ้น บนพื้นที่ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีความกว้างขวางได้ช่วยเสริมให้ Spaces กลายเป็นพื้นที่การทำงานที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจในการคิดค้นได้มากขึ้น ทั้งยังโดดเด่นด้วยหนึ่งในคาเฟ่ชื่อดังของกรุงเทพฯ อย่าง Rocket X ที่ได้มีการร่วมมือกับSpaces เปิดคาเฟ่สาขาแรกภายในพื้นที่การทำงาน เพื่อเติมพลังงานในการเริ่มต้นวันใหม่ไปพร้อมไอเดียใหม่ๆ ต่อไป ทั้งนี้คาเฟ่ยังคงพร้อมมอบบริการอาหารและเครื่องดื่มสำหรับการประชุมหรืออีเว้นท์ต่างๆ ได้เช่นกัน นอกจากนี้ Spaces ยังเดินหน้าขยายสาขาที่สอง ณ จัตุรัสจามจุรี ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการอย่างเป็นทางในเดือนพฤษภาคม 2561 จากคอนเซปต์อันโดดเด่นในการทำงานสไตล์ดัตช์ได้เริ่มต้นสู่การเปลี่ยนแปลงในภาพรวมของการทำงาน ซึ่งจากข้อมูลเชิงสถิติของผลสำรวจ “Global Coworking Survey” ในปี 2017 โดย SocialWorkplaces.co พบว่า ตัวเลขการเติบโตของสถานที่ทำงานที่ยืดหยุ่นทั่วโลกได้เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 20 ในระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา และประชากรจำนวนกว่า 1.2 ล้านคนทั่วโลกต่างทำงานในพื้นที่โคเวิร์กกิ้ง นอกจากนี้ยังคงมีข้อมูลสนับสนุนจากผลสำรวจของ Spaces ที่น่าสนใจ ได้แก่ ร้อยละ 69 ของกลุ่มมิลเลนเนียล มีแนวโน้มต้องการแลกเปลี่ยนสิทธิประโยชน์ด้านการทำงานสู่การได้รับพื้นที่สำหรับการทำงานที่ดีมากยิ่งขึ้น , ร้อยละ 53 ของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ต้องทำงานนอกสถานที่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของสัปดาห์แห่งการทำงาน , ร้อยละ 58 ของกลุ่มนักธุรกิจ ต้องการพื้นที่การทำงานที่มอบความยืดหยุ่นในการทำงานได้อย่างเต็มที่ , ร้อยละ 84 เชื่อว่าสถานที่ทำงานที่ให้ความยืดหยุ่นมีส่วนช่วยในการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพในการทำงาน , ร้อยละ 66 เชื่อว่าสถานที่ทำงานที่ให้ความยืดหยุ่นมีช่วยพัฒนาการสร้างสมดุลให้กับชีวิตและการทำงานได้ และ ร้อยละ 55 เชื่อว่าสถานที่ทำงานที่ให้ความยืดหยุ่นทำให้การจัดตารางการเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น สำหรับเทรนด์โคเวิร์กกิ้งที่เติบโตอย่างรวดเร็วนี้ได้ส่งผลให้ Spaces เดินหน้าสร้างสรรค์คอมมิวนิตี้เพื่อเหล่าผู้ประกอบการอย่างแท้จริง พร้อมนำเสนอโซลูชั่นในสถานที่ทำงานให้ความยืดหยุ่นอันหลากหลาย ได้แก่ “Business Club” พื้นที่แห่งการพบปะสังสรรค์กับผู้คนใหม่ๆ เพื่อสร้างโอกาสในการร่วมคิดค้น แบ่งปันไอเดียและขยายเครือข่ายทางธุรกิจ , พื้นที่สำหรับการทำงาน ซึ่งสามารถปรับขนาดและการออกแบบให้ได้ตรงตามความต้องการขององค์กรนั้นๆ , การร่วมเป็นสมาชิก (Membership) ซึ่งได้รับสิทธิในการเข้าใช้พื้นที่การทำงานในทุกสาขาทั่วโลกของ Spaces ในราคาเริ่มต้นเพียง 4,620 บาทต่อเดือน และห้องประชุม ซึ่งเป็นพื้นที่ๆ เปิดให้สามารถเช่าเพื่อประชุมได้ Spaces ได้สร้างสรรค์แบรนด์ขึ้นในสไตล์ดัตช์ได้ให้ความลงตัวอย่างดีกับประเทศไทย ด้วยบรรยากาศอีกทั้งสไตล์แห่งความชิคเก๋ เน้นความเป็นธรรมชาติ เปรียบดั่งอยู่ใจกลางธรรมชาติที่มีต้นไม้ล้อมรอบ ก็ถือเป็นมิติใหม่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจเพื่อส่งเสริมบรรยากาศที่ดีเยี่ยมต่อการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ การพบปะเพื่อการทำงานร่วมกันใน Spaces อีกด้วย  Spaces ณ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ ตั้งอยู่บนชั้น 3 ของศูนย์รวมการค้าเชิงไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ประกอบไปด้วยพื้นที่การทำงานที่หลากหลายจึงช่วยสร้างสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานได้เป็นอย่างดี อีกทั้งที่ตั้งอันแสนสะดวกสบายซึ่งห่างจากสถานีรถไฟฟ้าพระโขนงเพียงไม่มีกี่ก้าว แวดล้อมด้วยโครงการที่พักอาศัยและอาคารสำนักงาน พร้อมการออกแบบที่เปิดโล่งจึงทำให้ซัมเมอร์ฮิลล์มีบรรยากาศที่สมบูรณ์แบบและเหมาะแก่การสร้างสรรค์แรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการทำงาน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Spaces ณ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ และการจองพื้นที่ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.spacesworks.com
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยแนวโน้มตลาดสำนักงานในกรุงเทพฯ ค่าเช่าเฉลี่ยอาคารเกรด A เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นครั้งแรก

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยแนวโน้มตลาดสำนักงานในกรุงเทพฯ ค่าเช่าเฉลี่ยอาคารเกรด A เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นครั้งแรก

กราฟที่ 1 ค่าเช่าของอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ แบ่งตามเกรด ปี 2555 - 2560 ที่มา : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จากรายงานวิจัยของไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย คาดการณ์ว่าภายในปี 2561 จะมีอุปทานใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาดอีกประมาณ 171,000 ตร.ม. ซึ่งทั้งหมดอยู่นอกย่านศูนย์กลางธุรกิจ CBD พื้นที่ทำงานร่วม (co-working space) และออฟฟิศสำเร็จรูป (serviced office) เป็นหนึ่งในพื้นที่ทำงานที่เติบโตเร็วที่สุดในกรุงเทพฯ โดยปริมาณของ co-working space จากเดิมมีน้อยกว่า 20 แห่ง ขยายเพิ่มขึ้นไปมากกว่า 100 แห่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามพื้นที่สำนักงานแบบเดิมยังคงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยการเติบโตของ co-working space จะไม่เป็นอุปสรรคต่อตลาดสำนักงาน อีกทั้งตลาดทั้งสองกลุ่มยังสามารถเติบโตไปพร้อมๆ กันได้ อัตราค่าเช่า ในปี 2560 อัตราค่าเช่าของอาคารสำนักงานเกรด A สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยค่าเช่าโดยเฉลี่ยของอาคารเกรด A สูงถึง 1,000 บาท/ ตร.ม./เดือนเป็นครั้งแรก อัตราค่าเช่าโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 727 บาท/ ตร.ม./เดือน แสดงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.56 ปีต่อปี จากที่เคยมีราคาอยู่ที่ 702 บาท/ ตร.ม./เดือน ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2559 ขณะเดียวกันค่าเช่าของอาคารเกรด B อยู่ที่ 726.7 บาท/ ตร.ม./เดือน และอาคารเกรด C อยู่ที่ 454.4 บาท/ ตร.ม./เดือน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 และร้อยละ 1.4 ปีต่อปีตามลำดับ ในปี 2560 อาคารสำนักงานบนถนนสุขุมวิท ช่วงระหว่างอโศก-ชิดลมยังคงได้รับความนิยมสูงสุด มีอัตราการครอบครองเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 96.58 นอกจากนี้มีการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าเช่าที่ทำกำไรสูงสุดร้อยละ 7.4 ตลอดทั้งปี   ตารางที่ 1 ค่าเช่าของอาคารสำนักงาน แบ่งตามเกรดและการเพิ่มขึ้นของอัตราส่วน (%) ที่มา : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย กราฟที่ 2 ค่าเช่าของอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ แบ่งตามถนนสายหลัก, ไตรมาสที่ 3 - ไตรมาสที่ 4 ปี 2560 ที่มา : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย อุปสงค์ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2560 พื้นที่ที่ถูกครอบครอง มีจำนวนรวมสุทธิอยู่ที่ 4,546,138 ตร.ม. แสดงอัตราการครอบครองโดยรวมอยู่ที่ร้อยละ 91.35 ซึ่งลดลงร้อยละ 1.1 ปีต่อปี แต่กรณีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดทั้งปี อาคารสำนักงานเกรด A มีอัตราการครอบครองอยู่ที่ร้อยละ 94.02 ปรับตัวดีขึ้นตลอดทั้งปี หากเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2560 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 93.51 ในขณะที่อัตราการครอบครองของอาคารเกรด B และเกรด C อยู่ที่ร้อยละ 93.93 และ ร้อยละ 89.07 ตามลำดับ อัตราการครอบครองพื้นที่สุทธิ (หรือปริมาณพื้นที่สำนักงานใหม่ให้เช่า) ในกรุงเทพฯ ไตรมาสที่ 4 ปี 2560 มีจำนวนรวมอยู่ที่ 55,943 ตร.ม. ในขณะที่มีพื้นที่จำนวน 82,639 ตร.ม.ที่ถูกยกเลิกเช่าหรือเวนคืนให้กับเจ้าของ ซึ่งหมายความว่าตลาดมีอัตราการดูดซับสุทธิลดลงอยู่ที -26,696 ตร.ม. อย่างไรก็ตาม ขณะที่ตลาดโดยรวมมีอัตราการครอบครองพื้นที่ลดลง อาคารเกรด A ในช่วงไตรมาสที่ 4 กลับมีอัตราการดูดซับสุทธิที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 24,000 ตร.ม. แต่ในขณะที่อัตราการดูดซับสุทธิที่ปรับลดลงในบางส่วนของอาคารเกรด C เป็นผลมาจากการปิดปรับปรุงชั่วคราวของอาคาร 2 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการอีกครั้งในปลายปี 2562 จากตารางที่ 3 ในปี 2560 อัตราการดูดซับสุทธิโดยรวมมีอยู่เพียง 6,300 ตร.ม.และมีเพียงอาคารเกรด B เท่านั้นที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนคือ อัตราการครอบครองพื้นที่ของอาคารเกรด B ที่ปรับระดับสูงขึ้น และอาคารเกรด C ที่ปรับระดับลดลง อย่างไรก็ตามแนวโน้มนี้ไม่มีในอาคารเกรด A โดยอัตราการครอบครองของอาคารเกรด A ในปี 2560 มีพื้นที่รวม 88,000 ตร.ม. แต่มีพื้นที่ประมาณ 106,000 ตร.ม. ที่เวนคืนให้เจ้าของ นอกจากนี้ผู้เช่าพยายามที่จะควบคุมค่าใช้จ่ายโดยเลือกที่จะย้ายที่ตั้งสำนักงานไปยังอาคารที่มีค่าเช่าต่ำกว่า หรือปรับปรุงประสิทธิภาพของพื้นที่ทำงาน  กราฟที่ 3           อุปสงค์, อุปทานและอัตราการครอบครองของอาคารสำนักงาน, ปี 2555-2560 ที่มา : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย หมายเหตุ : ตัวเลขเหล่านี้ไม่นับรวมอาคารที่มีเจ้าของหลายรายและอาคารที่มีพื้นที่น้อยกว่า 5,000 ตร.ม. ตารางที่ 2 อัตราการครอบครอง แบ่งตามเกรด จากไตรมาสที่ 1 ปี 2558 - ไตรมาสที่ 4 ปี 2560 ที่มา : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ตารางที่ 3 อัตราการครอบครองสุทธิ, อัตราการใช้พื้นที่เพิ่มขึ้น และอัตราการใช้พื้นที่ลดลง แบ่งตามเกรด ที่มา : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย อุปทาน ณ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2560 อุปทานทั้งหมดของพื้นที่อาคารสำนักงานในกรุงเทพฯเติบโตเพิ่มขึ้น 45,121 ตร.ม.โดยจะมีพื้นที่อาคารรวมอยู่ที่ 4,918,131 ตร.ม.หลังจากอาคารใหม่ 5 แห่งเสร็จสมบูรณ์ อาคารเกรด A มีพื้นที่ให้เช่ารวมทั้งหมดอยู่ที่ 1,313,526 ตร.ม.ซึ่งคงที่จากปีก่อน ในขณะเดียวกัน พื้นที่ให้เช่าทั้งหมดของอาคารเกรด B คงอยู่ที่ 2,068,095 ตร.ม. ในขณะที่อาคารเกรด C มีพื้นที่ให้เช่ารวมทั้งหมดประมาณ 1,536,010 ตร.ม. ซึ่งลดลงจากจากปีก่อนที่มีอยู่ 1,614,375 ตร.ม. กราฟที่ 4 อัตราการครอบครองสุทธิ, อัตราการใช้พื้นที่เพิ่มขึ้น และอัตราการใช้พื้นที่ลดลงรายไตรมาส จากไตรมาสที่ 1 ปี 2557 – ไตรมาสที่ 4 ปี 2560 ที่มา : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย หมายเหตุ : ตัวเลขเหล่านี้ไม่นับรวมอาคารที่มีเจ้าของหลายรายและอาคารที่มีพื้นที่น้อยกว่า 5,000 ตร.ม. อุปทานในอนาคต ในปี 2561 จะมีโครงการใหม่เพิ่มเข้าสู่ตลาดอีก 5 แห่ง โดยมีพื้นที่รวมประมาณ 171,110 ตร.ม. นอกเหนือจากโครงการที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างแล้วมีอุปทานใหม่รวม 768,609 ตร.ม.หรือมากกว่าที่จะเข้ามาในตลาดภายในปี 2562-2566 การเพิ่มขึ้นของอุปทานสำนักงานรวมทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 6.0-6.2 ล้านตร.ม.ในปี 2566 กราฟที่ 5 อุปทานและอุปทานใหม่ของสำนักงานในกรุงเทพฯ จากปี 2555-2560 ที่มา : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย
เขย่าวงการก่อสร้าง รุ่งฟ้าเสริม ผนึกบิ๊กระดับท็อปเท็นของจีน จงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป เปิดตัว “จงเทียน โอเวอร์ซีส์ เอ็นจิเนียริ่ง”

เขย่าวงการก่อสร้าง รุ่งฟ้าเสริม ผนึกบิ๊กระดับท็อปเท็นของจีน จงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป เปิดตัว “จงเทียน โอเวอร์ซีส์ เอ็นจิเนียริ่ง”

รุ่งฟ้าเสริม คอร์ปชั่น จำกัด บริษัทก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ โรงงาน และสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ในประเทศไทย ประกาศร่วมทุนกับยักษ์ใหญ่ก่อสร้างของจีน “จงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป” เปิดตัวบริษัท “จงเทียน โอเวอร์ซีส์ เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ชูจุดต่างด้วยเทคโนโลยีงานการก่อสร้างชั้นสูงและองค์ความรู้ด้านวิศวกรรม ตอบโจทย์ทุกรูปแบบงานก่อสร้างด้วยบริการที่ครบวงจร พร้อมเผยแผนธุรกิจ เดินหน้าพัฒนา โครงการอสังหาริมทรัพย์และเมกะโปรเจ็กต์ ตั้งเป้าขึ้นแท่นเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของไทยได้ในอนาคต มิสเตอร์หลี่ อวี้ จง กรรมการผู้จัดการ บริษัท จงเทียน โอเวอร์ซีส์ เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด  ผู้บริหารระดับสูงของ จงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศจีน จงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป ได้สร้างสรรค์ผลงานหรือโครงการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Create sweet homes with sincere hearts"  "真心缔造美好家园"  โดยมีจุดมุ่งหมายในการสร้างแลนด์มาร์คแห่งใหม่ให้เกิดขึ้น ในเมืองต่างๆ ครอบคลุมทั้งในย่านธุรกิจทั้งในประเทศจีนรวมถึงเขตเทศบาลนคร เขตปกครองตนเอง และ มณฑล กว่า 20 มณฑล อีกทั้งยังขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ทั้งในทวีปแอฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยผลงานที่เป็นที่รู้จักในระดับโลกอย่าง Hangzhou Olympic and International Expo Center โครงการ Zhengzhou Greenland Central Plaza ณ เมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ซึ่งทุกโครงการล้วนแต่สร้างมิติใหม่ในการก่อสร้าง และทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างในฐานะบริษัทที่มีความโดดเด่นด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพ จงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป จะช่วยยกระดับงานด้านวิศวกรรมก่อสร้างในประเทศไทย ให้คนไทยได้ใช้เทคนิคการก่อสร้างและเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งจะเริ่มนำเข้ามาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย เช่น เทคนิคการวางแผนการก่อสร้างด้วยระบบคอมพิวเตอร์ให้ครอบคลุม ทุกกระบวนการ ทั้งการกำหนดปรับเพิ่มประสิทธิภาพคน การใช้วัสดุและการควบคุมการต่อเนื่องของการก่อสร้าง ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียในการก่อสร้าง เป็นต้น โดยทุกโปรเจ็กต์ภายใต้การดำเนินงานของ จงเทียน โอเวอร์ซีส์ เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จะดำเนินการก่อสร้างภายใต้มาตรฐานในระดับสากลที่ให้ความสำคัญกับการก่อสร้างให้ปลอดภัย การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม การใช้เทคโนโลยีในการก่อสร้างต่างๆ จากประเทศจีนมาประยุกต์ใช้ อีกทั้งยังมุ่งที่จะนำเอาองค์ความรู้มาให้บริการ ในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ใน AEC อีกทั้งได้เห็นแนวทางการดำเนินธุรกิจและความแข็งแกร่งทางด้านเครือข่ายลูกค้าของ กลุ่มบริษัทรุ่งฟ้าเสริมฯ  ที่มีความน่าสนใจ จึงเป็นที่มาของการร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท จงเทียน โอเวอร์ซีส์ เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายธุรกิจในสิ้นปีนี้ จะมีรายได้อยู่ในระดับ 2,500 ล้านบาท และตั้งเป้าภายในปี พ.ศ. 2564 จะสามารถโกยยอดรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 5,000 – 10,000 ล้านบาท ได้อย่างแน่นอน นายสุวรรณ ไพศาลเฟื่องฟุ้ง ประธานกลุ่มบริษัท รุ่งฟ้าเสริม คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า จากผลการดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในประเทศไทยมากว่า 30 ปี บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจในการเป็นผู้พัฒนางานวิศวกรรม  รวมถึงงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ให้กับภาครัฐและองค์กรเอกชนมาแล้ว ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม และหลายประเทศในกลุ่ม AEC และด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้น รวมถึงด้วยศักยภาพการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอาเซียน โดยเฉพาะใน AEC  และในประเทศไทย ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน  อีกทั้งยังมีความเป็นรูปธรรมในการลงทุนของภาครัฐ และโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ที่เห็นความชัดเจนมากขึ้น ทำให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจ และด้วยความต้องการให้คนในองค์กรของกลุ่มรุ่งฟ้าเสริมฯ และในประเทศไทยได้มีเวทีที่สามารถพัฒนาศักยภาพและเพิ่มทักษะในอุตสาหกรรมก่อสร้างให้ทัดเทียมกับอารยะประเทศ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ได้ให้ความไว้วางใจมายาวนาน รวมทั้งเห็นว่า กลุ่มยักษ์ใหญ่แห่งวงการก่อสร้างจีนอย่าง จงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป มีความเป็นมืออาชีพ เป็นผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมการก่อสร้างของจีน โดยเฉพาะความแข็งแกร่งทางด้านเทคโนโลยี มีระบบงาน และผลงานในระดับสากลทุกด้าน และเมื่อกว่า3 ปีมาแล้วได้ร่วมทำธุรกิจร่วมทุนในรูปแบบ Joint venture เพื่อสร้างอาคารโครงการสำเพ็ง 2 ทำคอนโดมิเนียม “J-Condo” ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และด้วยระบบงานที่ไปด้วยกันได้ดี จึงได้ร่วมกันเปิด บริษัท จงเทียน โอเวอร์ซีส์  เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด โดยบริษัทใหม่นี้ จะเน้นงานรับเหมาก่อสร้างโครงการในรูปแบบต่างๆ ครอบคลุมทั้งอสังหาริมทรัพย์ ในย่านธุรกิจ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงสาธารณูปโภคของภาครัฐและเอกชน โดยการร่วมทุนในครั้งนี้ มีเป้าหมายในการ          สร้างความแตกต่างและนำเสนอทางเลือกใหม่ให้กับวงการก่อสร้างไทย” นายสุวรรณ กล่าวเสริมว่า เป้าหมายของการเปิดบริษัทร่วมทุนใหม่นี้ เราต้องการสร้างการรับรู้ในฐานะหนึ่งในบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีความพร้อมเป็นมืออาชีพ พร้อมเดินหน้าธุรกิจด้วยการดูแลรักษาลูกค้าเก่า และสร้างฐานลูกค้าใหม่โดยเน้นเจาะกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในย่านธุรกิจ เพื่อปักธงที่จะขยายไปสู่กลุ่มธุรกิจอื่นๆ รวมถึงโครงการสาธารณูปโภคของภาครัฐและเอกชน ให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้เริ่มขยายโอกาสทางธุรกิจ AEC ไปยังประเทศกัมพูชา และมาเลเซีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการในประเภทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรืองานในลักษณะโครงสร้างพื้นฐานตามความสามารถในการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ ในส่วนของแผนการลงทุนอื่นๆ ของบริษัทฯ จะเน้นการลงทุนด้านทรัพยากรบุคคลในการพัฒนาศักยภาพในส่วนงานต่างๆ ให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการลงทุนด้านเครื่องจักร เพื่อตอบสนองกับความต้องการใช้งานของโครงการต่างๆ โดยเฉพาะ จากการที่กำหนดแผนงานและเป้าหมายที่มีความชัดเจน ทำให้เรามั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่สอดคล้องกับนโยบายสร้างพันธมิตร 4 ด้าน ที่บริษัทได้กำหนดเอาไว้ ประกอบด้วย ร่วมเป็นพันธมิตรกับคู่ค้า ผู้ประกอบการ ทั้งในประเทศและนอกประเทศ, ร่วมเป็นพันธมิตรสร้างตราสัญญาลักษณ์ (แบรนด์) ผนวกกับผู้มีชื่อเสียงในประเทศ ในภูมิภาคในงานเฉพาะกิจพิเศษ, พันธมิตรทางด้านผลิตภัณฑ์ ด้วยการวิจัยสร้างนวัตกรรมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ร่วมกัน และ พันธมิตรด้านเครดิต ร่วมกับเจ้าของโครงการและผู้ขายเพื่อสร้างเครดิตร่วมกัน
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยศักยภาพคอนโดพัทยา-หัวหินโตรับอานิสงค์ภาครัฐเชื่อมต่อคมนาคมสู่สองฝั่งอ่าวไทยตะวันออก-ตะวันตก

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยศักยภาพคอนโดพัทยา-หัวหินโตรับอานิสงค์ภาครัฐเชื่อมต่อคมนาคมสู่สองฝั่งอ่าวไทยตะวันออก-ตะวันตก

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร พบสัญญาณลงทุนอสังหาริมทรัพย์พัทยาและหัวหิน ได้ปัจจัยบวกจากการลงทุนคมนาคมของภาครัฐ จากการเชื่อมต่อพัทยาสู่หัวหินทางเรือ เชื่อมต่อการเดินทางจาก ส่งผลให้อุปสงค์การท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์เติบโตต่อเนื่อง ล่าสุดราคาขายคอนโดมิเนียมพัทยาสูงสุดอยู่ที่ 180,000 บาทต่อตารางเมตร ช่วง 5 ปีเติบโตสูงสุดที่ 36% ขณะที่คอนโดมิเนียมหัวหินราคาเสนอขายสูงสุดที่ 140,000 บาทต่อตารางเมตร ผลตอบแทนการขายต่อสูงถึง 59% นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า จากการสำรวจของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ พบว่า อสังหาริมทรัพย์ในทำเลเมืองท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตดี โดยเฉพาะเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เช่นในพื้นที่พัทยาและหัวหิน เนื่องจากภาครัฐได้พัฒนาระบบคมนาคมเชื่อมการเดินทางทั้งการลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินสู่ภาคตะวันออก ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหิน และโครงการทางพิเศษสายพระราม3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก ทั้งยังมีการเชื่อมโยงเมืองท่องเที่ยว 2 ฝั่งอ่าวไทยเข้าด้วยกันโดยได้เปิดบริการเรือเฟอร์รี่จากหัวหิน-พัทยา ตั้งแต่ต้นปี 2560  สามารถลดระยะเวลาการเดินทางจาก 5-6 ชั่วโมงทางรถยนต์ ให้เหลือเพียง 1 ชั่วโมง 40 นาทีเท่านั้น  ซึ่งในอนาคตจะมีการขยายการเชื่อมโยงมายังท่าเรือกรุงเทพฯ  นับเป็นการกระตุ้นทั้งด้านการท่องเที่ยวและดึงดูดการลงทุนไปในตัว น่าจะทำให้นักท่องเที่ยวกระจายตัวมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอุปสงค์ด้านการท่องเที่ยวและความต้องการบ้านพักหลังที่ 2 เพิ่มมากขึ้น สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ของพัทยาและหัวหินปัจจุบันพบว่าเติบโตขึ้นอย่างน่าสนใจ โดยในส่วนของพัทยา ปี 2560 พบอุปทานเสนอขายคอนโดมิเนียมถึง 55,641 ยูนิต ได้รับการตอบรับแล้วสูงถึง 85% เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จึงเหลือยูนิตคงค้างเพียง 8,496 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะขายหมดในเวลา 15 เดือน โดยราคาเฉลี่ยที่เสนอขายในทุกโซนพัทยาอยู่ที่ 95,000 – 100,000 บาทต่อตารางเมตร และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบว่าราคาเสนอขายเติบโตสูงถึง 28% ซึ่งคาดว่าหากมีโครงการใหม่ราคาจะเติบโตไปได้ถึง 100,000 – 150,000 บาท ด้านอุปสงค์พบว่า โครงการที่มีราคาเสนอขายมากกว่า 120,000 บาทต่อตารางเมตร มีอุปสงค์ขยายตัวสูงขึ้นทุกปี จากปี 2556-2560 โดยสูงขึ้นถึง 159% และยังพบโครงการระดับบนที่มีราคาขายสูงถึง 180,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยรวมทั้งตลาด การตอบรับในช่วงเปิดตัวของโครงการเหล่านี้เคยสูงถึง 10 Fยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ซึ่งคาดว่าราคาเสนอขายยังจะเติบโตขึ้นได้อีก โดยเฉพาะพื้นที่แถวพัทยากลางที่เหลือพื้นที่พัฒนาโครงการน้อยและยังเป็นแหล่งรวมสีสันของเมืองพัทยาและมีราคาที่ดินสูงถึงตารางวาละ 400,000 บาท  จึงเป็นไปได้ว่าในอนาคตทำเลนี้จะกลายเป็นทำเลทอง ไม่เพียงเท่านี้ผลตอบแทนจากการขายต่อในแต่ละปีมีการเติบโตสูงราว 21-36% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สำหรับตลาดปล่อยเช่ายังเติบโตดี ห้องชุดปล่อยเช่าให้ต่างชาติมีราคาเฉลี่ย 600-700 บาทต่อตารางเมตร โครงการแนวสูงจะได้รับความนิยม ผลตอบแทนการเช่าเฉลี่ย 4-5% ต่อปี โดยผู้เช่ายังทำสัญญาเช่าระยะยาวต่อเนื่อง ซึ่งอย่างน้อยนิยมเข้าพักราว 2-3 เดือนต่อครั้ง ในปี 2560 จำนวนผู้เช่าเติบโตขึ้นถึง 54% ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่พัทยาเติบโตมาจากการท่องเที่ยวเป็นตัวผลักดันที่สำคัญ ข้อมูลจากเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมามีปริมาณนักท่องเที่ยวในชลบุรีกว่า 15 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อน รายได้จากการท่องเที่ยวเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ย 17% หรืออยู่ที่กว่า 2 แสนล้านบาท พื้นที่พัทยาจึงเป็นอีกทำเลที่น่าลงทุน ขณะที่ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ทำเลหัวหินล่าสุดพบว่า อุปทานเสนอขายคอนโดมิเนียมในพื้นที่หัวหินและชะอำอยู่ที่ 11,641 ยูนิต มียอดตอบรับแล้ว 78% โดยในพื้นที่หัวหิน ราคาเสนอขายเฉลี่ยประมาณ 90,000 บาทต่อตารางเมตร แต่หากเป็นโซนใกล้ทะเล ราคาเสนอขายจะอยู่ในช่วง 91,000 – 96,000 บาทต่อตารางเมตร โดยพบราคาเสนอขายโครงการสูงถึง 140,000 บาทต่อตารางเมตร ในโครงการเลียบชายหาด สำหรับพื้นที่ศักยภาพอย่างโซนตัวเมืองหัวหินและโซนใกล้ทะเล รวมถึงโซนเขาตะเกียบ ปัจจุบันพบอุปทานอยู่ที่ 4,274 ยูนิต มียอดตอบรับแล้ว 77% ทำให้ปัจจุบันเหลือยูนิตคงค้างเพียง 967 ยูนิตเท่านั้น โดยราคาเฉลี่ยของโซนนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 15% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับพื้นที่หัวหินในภาพรวม ตลาด Resale ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา พบว่าราคาเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ผลตอบแทนการขายต่อสูงถึงราว 59% ส่วนการปล่อยเช่าก็ยังสร้างผลตอบแทนสูงราว 4-5% ต่อปี และมีผู้สนใจเข้าพักอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาวที่ต่างชาตินิยมมาพักอาศัยเฉลี่ยครั้งละ 1.5 – 3 เดือน และคนไทยที่ทำงานในหัวหินนิยมทำสัญญาเช่าระยะยาว อัตราการพักอาศัยสูงถึง 86% ซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี ปัจจัยที่สนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ของหัวหินจะมาจากภาคการท่องเที่ยว ซึ่งหัวหินเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของชาวไทยและต่างประเทศ และยังมีความปลอดภัยสูง เป็นเมืองคลาสสิกที่รวมเอาเอกลักษณ์ของยุคตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 มาผสานกับยุคปัจจุบันที่ห้อมล้อมด้วยความเจริญได้อย่างลงตัว นอกจากทะเลแล้วยังมีแลนด์มาร์คแห่งใหม่อย่างศูนย์การค้าบลูพอร์ตหัวหิน ที่ช่วยยกระดับการท่องเที่ยวขึ้นอีก โดยปีที่ผ่านมามีปริมาณนักท่องเที่ยวในประจวบฯ จำนวนกว่า 4.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน “การลงทุนในอสังหาฯ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ในพัทยาและหัวหินนับว่ามีแนวโน้มดีและน่าจับตามองมากขึ้น เพราะเป็นทำเลที่มีโอกาสเติบโตอย่างน่าสนใจจากการเชื่อมโยงเมืองหลวงกับเมืองท่องเที่ยวฝั่งอ่าวไทย ตลอดจนเชื่อมเมืองท่องเที่ยวสำคัญในฝั่งอ่าวไทยเข้าด้วยกัน น่าจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวไหลเวียนระหว่างกันได้มากขึ้น คาดว่าจะทำให้เกิดความต้องการซื้อมากขึ้น ทั้งซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 และซื้อเพื่อการลงทุน เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงในอนาคต ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้การลงทุนในตลาดคอนโดคึกคักมากขึ้น” นายอนุกูล กล่าว
ชาญอิสระ เปิดมิกส์ยูส “อาณาจักรทิวทะเล” แห่งแรกในหัวหิน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใกล้ธรรมชาติ

ชาญอิสระ เปิดมิกส์ยูส “อาณาจักรทิวทะเล” แห่งแรกในหัวหิน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใกล้ธรรมชาติ

ร่วมอิสสระ เดินหน้าพัฒนามิกส์ยูส "อาณาจักรทิวทะเลเอสเตท" เต็มรูปแบบแห่งแรกในหัวหิน ชูคอนเซปต์ความครบวงจร มุ่งสู่ความเป็น The Ultimate Luxury Beachfront Community ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในวันพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติ นายสงกรานต์  อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางอสังหาริมทรัพย์ของตลาดชะอำ-หัวหิน ว่ายังมีการเติบโตที่ดีขึ้นหลังจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีความซบเซา โดยสังเกตได้จากการขึ้นโครงการใหม่ๆ ที่ผ่านมายังค่อนข้างน้อย แต่ในช่วงจากนี้ไปมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ ชะอำ-หัวหิน จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยมีปัจจัยหนุนจากภาครัฐที่มีแผนพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ อาทิการสร้างทางด่วนยกระดับพระราม2 ลอยฟ้า กรุงเทพฯ-ราชบุรี และทางด่วนใหม่เชื่อมพระราม 3-วงแหวน รวมถึงรถไฟฟ้าความเร็วสูง กรุงเทพฯ ที่จะช่วยให้การเดินทางมาชะอำ-หัวหินมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น “จากปัจจัยด้านสาธารณูปโภคต่างๆ ดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันให้เมืองชะอำ-หัวหิน เป็นเมืองที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยว อีกทั้งยังส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจการค้าให้เติบโตตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ของดีเวล็อปเปอร์ต่างๆ สนามกอล์ฟระดับเวิลด์คลาส แหล่งท่องเที่ยว ร้านอาหาร สถานบันเทิงใหม่ๆ ที่จะเข้ามาช่วยดึงความน่าสนใจให้กับเมืองชะอำ-หันหินให้เป็นแลนด์มาร์คยอดฮิตที่นิยมจากอดีตจนถึงปัจจุบันได้อีกด้วย” นายสงกรานต์ กล่าว ทั้งนี้ในส่วนของโครงการ “อาณาจักรทิวทะเลเอสเตท” ซึ่งเป็นโครงการการร่วมทุนกันระหว่างบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน)  ภายใต้ชื่อ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ชะอำ-หัวหิน เนื้อที่ประมาณ 110 ไร่  ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก หลังจากที่เปิดตัวการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในรูปแบบ Mixed Use ไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาในปัจจุบันมีโครงการแล้วเสร็จรวม 4 โครงการ ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนี่ยมติดทะเล ได้แก่ โครงการบ้านทิวทะเล อความารีน (Aquamarine) ปัจจุบันมียอดขายไปแล้วกว่า 97%, โครงการบ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ (Blue Sapphire) ปัจจุบันมียอดขายไปแล้วกว่า75%, โครงการบลู (Blu) ปัจจุบันมียอดขายไปแล้วกว่า 50% นอกจากนี้ยังมีโครงการใหม่ที่เพิ่งเปิดดำเนินการไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้แก่โครงการ Baba Beach Club Hotel & Residences Hua hin ปัจจุบันมียอดขายในส่วนของเรสซิเดนซ์ ไปแล้วกว่า 70% รวมถึงยังมีในส่วนของ “บ้านโชค” ซึ่งเป็นบ้านพักตากอากาศเก่าแก่ของตระกูลโชควัฒนา ในสไตล์หัวหินโคโลเนียล ซึ่งได้มีการปรับรีโนเวทจากอาคารไม้หลังเดิมให้กลายเป็นอาคารโครงสร้างเหล็กที่ยังคงมีความทรงจำดีๆ ของบ้านโชคให้เป็นส่วนหนึ่งภายในอาณาจักรทิวทะเลเอสเตทที่จะเป็นทั้งสถานที่ตากอากาศ ร้านอาหาร คาเฟ่ ห้องประชุม สถานที่จัดเลี้ยง งานแต่ง และพื้นที่จัดกิจกรรมดีๆ ริมทะเลสวยๆ อีกด้วย “ตลาด Mixed Use ชะอำ-หัวหิน ยังมีอยู่น้อยมาก หรือเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ เพราะการหาทำเลที่มีพื้นที่กว้างขวางค่อนข้างหายาก ดังนั้นเมื่อทิวทะเลเอสเตทมีทำเลที่ตั้งที่ดีจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาโครงการในลักษณะ Mixed Use ที่ผสมผสานทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย เพื่อการพักผ่อน และเพื่อการพาณิชย์ ที่รวมบ้านเดี่ยว คอนโด โรงแรม ในทำเลติดชายหาดยังมีอยู่น้อยมาก จึงนับได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีของเราในการรุกตลาด Mixed Use ด้วยจุดเด่นของการมีทำเลที่ดี ทุกโครงการสามารถตอบโจทย์การพักอาศัยให้กับทุกๆ ไลฟ์สไตล์ที่มา พร้อมกับการให้บริการเต็มรูปแบบ ซึ่งเราถือว่าเราเป็นเจ้าแรกที่ทำโครงการ Mixed Use ที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ชะอำ-หัวหินออกมาได้สำเร็จ” นายสงกรานต์ กล่าว อย่างไรก็ตามในส่วนของแผนการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในอนาคต ภายใต้อาณาจักรทิวทะเลเอสเตท บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาในรูปแบบรีสอร์ท มีคอมเมอร์เชียลสไตล์ใหม่ๆ เอ้าท์ดอร์เพลย์กราวด์ เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้ตรงทุกกลุ่ม และให้มีความแตกต่าง จากทุกโครงการที่พัฒนาออกมาเสริมเติมเต็มการให้บริการในทุกๆ รูปแบบ โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อเนรมิตให้อาณาจักรทิวทะเลเอสเตทแห่งนี้ คือศูนย์รวมความครบวงจรสำหรับผู้ที่เข้ามาใช้บริการ และมุ่งสู่ความเป็น The Ultimate Luxury Beachfront Community ด้านนายดิฐวัฒน์  อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด เปิดเผยว่าหลังจากที่เปิดตัวทุกโครงการที่พัฒนาออกมาบนพื้นที่ของอาณาจักรทิวทะเลเอสเตทไปแล้วทั้งหมด 4 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 7,200 ล้านบาท ซึ่งได้ดำเนินการพัฒนาพื้นที่ไปแล้วประมาณ 50 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 110 ไร่ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เนื่องจากแต่ละโครงการมีความโดดเด่น และสร้างไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน สามารถตอบโจทย์ได้กับทุกกลุ่มเป้าหมาย “ความเป็นโครงการ Mixed Use ของเราจุดเด่นๆ คือการที่เรามีทำเลที่ดี มีหน้าหาดยาวถึง 160 เมตร ทุกโครงการของเราติดทะเล ซึ่งเป็นส่วนช่วยเติมเต็มความสุขให้กับทุกคนที่เข้ามาพักผ่อนได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ความมีชื่อเสียงของ     บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนกันระหว่างบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ก็ยิ่งเป็นส่วนช่วยสร้างความมั่นใจ ด้วยประสบการณ์การพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ของบริษัททำให้ลูกค้ามีความไว้วางใจและเชื่อมั่นว่าโครงการต่างๆ ที่พัฒนาออกมาบนพื้นที่อาณาจักรแห่งนี้จะไม่ละทิ้งลูกบ้าน แต่เราจะยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการอื่นๆ ต่อไปอีก นอกจากนี้การที่เราเป็นอาณาจักรทิวทะเลเอสเตทแบบนี้ สะท้อนให้เห็นว่าเราไม่ใช่โปรเจคที่เป็นแสตนอโลน ไม่ได้ทำเพียงโปรเจคเดียวแล้วจบ แต่เรายังมีแผนที่จะค่อยๆ พัฒนาโครงการดีๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเรายังมีความตั้งใจที่จะสร้าง Community ริมหาดที่ดีที่สุดในเอเชีย ที่มาพร้อมกับความปลอดภัย สิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงบริการต่างๆ ที่เหนือกว่าคู่แข่ง เราอยากให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในอาณาจักรแห่งนี้คือครอบครัวเดียวกัน คือพี่น้องกัน สามารถใช้สาธารณูปโภคต่างๆ ที่อยู่ภายในอาณาจักรทิวทะเลเอสเตทได้ทั้งหมด นอกจากนี้ ในส่วนของโรงแรมก็จะเป็นส่วนกลางที่เข้ามาสร้างมูลค่าในการให้บริการลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย” นายดิฐวัฒน์ กล่าว ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของอาณาจักรทิวทะเลเอสเตท ล่าสุดได้เปิดตัวภาพยนตร์ โฆษณาชุดแรก “ความทรงจำดีดี.....สู่ทิวทะเลเอสเตท” เพื่อเป็นการสื่อถึงความทรงจำดีๆ ในวัยเด็กของตัวเอง ความผูกพันกับพื้นที่แห่งนี้ ที่ได้สร้างความสุขระหว่างตนเองและครอบครัว จึงได้เกิดเป็นโปรเจค “ทิวทะเลเอสเตท” ที่ต้องการจะแชร์ความสุข ความผูกพัน ความทรงจำดีๆ ให้กับทุกๆ คน ได้เข้ามาใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า และมาร่วมสร้างความทรงจำที่ “ทิวทะเลเอสเตท” แห่งนี้ด้วยกัน ซึ่งได้ออนแอร์ไปแล้วผ่านทางออนไลน์ FB : Thew Talay Estateและช่อง Money Channel, รายการ Perspective MCOT 30 นายดิฐวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการขายและการตลาดของทิวทะเลเอสเตทว่า นอกจากการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณานี้แล้ว ยังจะมีการจัดกิจกรรมหรืออีเว้นท์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายและเพิ่มไลฟ์สไตล์ให้กับลูกค้า โดยในวันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2561 เตรียมจัดงาน  “Thew Talay Estate Beat of Life @ Baba Beach Club Hotel & Residences Hua hin”  ขึ้น โดยไฮไลท์ภายในงานพบกับคอนเสิร์ตจาก บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์, แฟชั่นโชว์จาก Elle ฯลฯ,  Water Sport by Iconic Studio นอกจากนี้จะมีโปรโมชั่นจากทุกโครงการ “วันเดียว ราคาเดียว” อีกด้วย ขณะที่นายวรสิทธิ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีพันวา แมเนจเมนท์ จำกัด และบริษัท อิสสระ จุนฟา จำกัด เปิดเผยว่าในส่วนของโรงแรมบาบา บีช คลับ หัวหิน หลังจากที่ทำการเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อาทิ จีน ไต้หวัน แคนาดา และยุโรป เป็นอย่างดี สำหรับลูกค้าคนไทย โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มของลูกค้าที่เคยใช้บริการที่โรงแรมศรีพันวา เพื่อเป็นการเปลี่ยนประสบการณ์การพักผ่อนใหม่ๆ กับโรงแรมน้องใหม่ที่อยู่ภายใต้การบริหารแบบมืออาชีพจาก ศรีพันวา “ด้วยความที่โรงแรมมีทีมบริหารงานมืออาชีพอย่างศรีพันวา จึงทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในบริการที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งรูปแบบการดีไซน์ของห้องพักทุกห้องมีสระว่ายน้ำ สร้างความเอ็กซ์คลูซีฟให้ได้สัมผัสกับวิวทะเลทุกห้อง ชูคอนเซปต์ความเป็น Music Lovers Hotel ใช้เสียงเพลงถ่ายทอดความประทับใจสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นบาบา บีช คลับ อีกทั้งในทุกๆ สัปดาห์เราจะมีการจัดกิจกรรม อาทิ ดีเจ และ Live Entertainment รวมถึงการจัดอีเว้นท์พิเศษพูลปาร์ตี้ Baba Beach Pool Party ซึ่งจัดทุกเสาร์สุดท้ายของเดือน เพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับแขกที่เข้ามาและแขกทั่วไปได้มีกิจกรรมสันทนาการ ” นายวรสิทธิ กล่าว อย่างไรก็ตามในส่วนของแผนการพัฒนาโรงแรมในระยะต่อไป มีแผนที่จะพัฒนาโรงแรมเพิ่มอีก 49 ห้อง พร้อมพัฒนาพื้นที่ให้มีห้องบอลรูม ห้องประชุมขนาดใหญ่ คูลสปา คิดส์คลับ ร้านอาหารซึ่งคาดว่าจะน่าเปิด ช่วงในปี 2020 เพื่อเป็นการขยายพื้นที่รองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวชะอำ-หัวหิน มากขึ้น โดยจากข้อมูลการท่องเที่ยวชะอำ-หัวหิน ในปี 2558 ที่ผ่านมามีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยและเดินทางท่องเที่ยวชะอำ-หัวหิน ทั้งหมด 4,835,371 คน และ 5,923,321 คน ตามลำดับ ซึ่งมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งชะอำ-หัวหิน ยังมีเป็นเมืองที่มีความน่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยว การเดินทางสะดวกสบาย ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 2 ชั่วโมง
3 สมาคมอสังหาฯ ปลื้มมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 38 ยอดจองทะลุเป้า

3 สมาคมอสังหาฯ ปลื้มมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 38 ยอดจองทะลุเป้า

สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ประกาศความสำเร็จหลังการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 หลังยอดขาย ยอดขอสินเชื่อ และยอดคนเดินงานทะลุเกินเป้า นายวรัทภพ แพทยานันท์ ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 เปิดเผยถึงความสำเร็จของงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 ว่า ตลอดการจัดงาน 4 วัน ตั้งแต่ 15 - 18 มีนาคมที่ผ่านมา ภายใต้คอนเซ็ปต์ “กำจัดทุกข้อจำกัด ให้เรื่องเป็นอยู่เป็นเรื่องง่าย” รวมเหล่าผู้ประกอบการเกือบ 200 บริษัทจากทั่วประเทศที่นำโครงการที่มีอยู่เดิม และกำลังเปิดใหม่มาเปิดจองขายกว่า 1,000 โครงการ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ อีกทั้งยังมีบริการสินเชื่อจากสถาบันการเงินชั้นนำเสนอแก่ลูกค้า ซึ่งตลอด 4 วัน มีผู้เข้างานกว่า 100,000 คน และมียอดจองซื้อที่อยู่อาศัยภายในงานกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าหลังจบงานจะมียอดขายตามมาอีก ไม่ต่ำกว่าแปดพันล้านบาท โดยประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจองซื้อภายในงานมากที่สุด 3 ลำดับแรกได้แก่ คอนโดมิเนียม รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ นอกจากนี้ ยังมียอดขอสินเชื่อกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท “จากผลสำรวจภายในงานสำรวจว่าเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์มากว่านักลงทุน และจากตัวเลขยอดจองภายในงานที่เพิ่มขึ้นน่าจะมาจากปัจจัยหลายประการ ทั้งจากการที่สภาวะเงินเฟ้อและดอกเบี้ยเงินกู้ในปัจจุบันไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่สูงมากนัก ผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา การที่ผู้ประกอบการนำโครงการใหม่มาเปิดตัว เปิดพื้นที่ทำเลใหม่ ตลอดจนโปรโมชั่นที่หลากหลายรูปแบบอาทิเช่น ส่วนลด ของแถม ฟรีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการให้อยู่ฟรีได้หลายปี เป็นต้น อีกทั้งสถาบันการเงินยังนำแพ็คเกจสินเชื่อมานำเสนอเพื่อช่วยให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น” นายวรัทภพ กล่าว สำหรับการประมวลผลข้อมูลผู้ลงทะเบียนเข้าชมงาน โครงการที่อยู่อาศัยที่ได้รับความสนใจจองซื้อมากที่สุดเป็นสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวคิดเป็น 42.56% รองลงมาเป็นคอนโดมิเนียม 31.69% ทาวเฮ้าส์ 15.31% ที่เหลือเป็นสินค้าประเภทบ้านแฝดและอื่นๆ ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งผู้เข้าชมงานกว่า 55.28% เป็นผู้เข้าชมงานมหกรรมฯ เป็นครั้งแรก และอีกประมาณ 43.72% เป็นผู้ที่เคยมาเข้าชมงานในครั้งก่อน ผู้เข้าชมงานกว่า 35.04% อยู่ในช่วงอายุ 21-30 ปี รองลงมา 32.47% อยู่ในช่วงอายุ 31-40 ปี และ15.14% อยู่ในช่วงอายุ 41-50 ปี ด้านรายได้ส่วนตัวต่อเดือน พบว่าส่วนใหญ่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท 35.37%  มีรายได้ ระหว่าง 30,000 – 50,000 บาท 26.09% และมีรายได้เกิน 50,000 บาท 12.94% ระยะเวลาที่ต้องการซื้อในอนาคต 1-2 ปี อยู่ที่ 20.32% ระยะเวลา 6-12 เดือน 19.27% และซื้อภายในงาน 13.40% ผลสำรวจด้านงบประมาณในการซื้อที่อยู่อาศัยแต่ละประเภทระบุว่า ผู้เข้าชมงาน 27.33% ต้องการที่อยู่อาศัยระดับ ราคา 2-3 ล้านบาท 26.46% ต้องการระดับ 1-2 ล้านบาท 18.96% ต้องการราคา 3-4 ล้านบาท และมีเพียง 6.25% ที่สนใจที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท สำหรับงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 ตุลาคม 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีคุณปิติพัฒน์ ปรีดานนท์ สมาคมอาคารชุดไทย ได้รับเกียรติเป็นประธานในการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39