Tag : News

2376 ผลลัพธ์
VRH Modern Life นวัตกรรมสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำล้ำสมัย

VRH Modern Life นวัตกรรมสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำล้ำสมัย

VRH เปิดตัว “VRH Modern Life” ขยายธุรกิจสู่เอ็กซ์คลูซีฟดีลเลอร์ นำเข้าสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำดีไซน์เรียบหรู ฟังก์ชั่นใช้งานพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย เจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้งานระดับ Hi-End ประเดิมตลาดด้วยแบรนด์ดังจากยุโรป “CONTI” และ “AXENT” นายพิษณุ หทัยพันธลักษณ์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ VRH Modern Life บริษัท วี.อาร์.ยูเนี่ยน จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2561 นี้ว่า VRH ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายก๊อกน้ำ อุปกรณ์ห้องน้ำ และห้องครัว ที่ผลิตจากสเตนเลสชั้นนำของไทย จะเปิดตัวธุรกิจใหม่ภายใต้แบรนด์ “VRH Modern Life” รุกตลาดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสุขภัณฑ์แห่งอนาคต เพิ่มประสิทธิภาพ ความสะดวกสบาย ตอบโจทย์ฟังก์ชั่นการใช้งานที่เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ชื่นชอบเทคโนโลยีระดับ Hi-End ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตสอดรับกับการพัฒนาของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจก่อสร้างที่ขยายตัวรองรับโครงการพัฒนาเครือข่ายสาธารณูปโภคภาครัฐ และการลงทุนของภาคเอกชนในยุค Industry 4.0   VRH Modern Life จะดำเนินธุรกิจในลักษณะเอ็กซ์คลูซีฟดีลเลอร์ โดยจะเป็นผู้คัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่มห้องน้ำ ห้องครัวที่มีนวัตกรรมเทคโนโลยีการใช้งานล้ำสมัยจากผู้ผลิตหรือแบรนด์ชั้นนำที่ได้รับการยอมรับในเรื่องการออกแบบและนวัตกรรมการใช้งานที่มีชื่อเสียงในระดับโลก เข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศไทยและได้รับสิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย สำหรับในช่วงเปิดตัวนี้ได้คัดสรรผลิตภัณฑ์ก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์คุณภาพที่มาพร้อมเทคโนโลยีในการใช้งานจากผู้ผลิตในยุโรป ซึ่งมีชื่อเสียงและความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีสำหรับสินค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ ได้แก่ ก๊อกน้ำเปิด-ปิดอัติโนมัติจาก CONTI สวิสเซอร์แลนด์ และสุขภัณฑ์ Intelligent จาก AXENT สวิสเซอร์แลนด์ เพื่อมาทำตลาดในประเทศไทย “แนวทางในการเลือกแบรนด์และผลิตภัณฑ์เข้ามาจำหน่ายจะพิจารณาจากปัจจัยหลัก ประกอบด้วย คอนเซ็ปต์ รูปลักษณ์ของสินค้า และการดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ผนวกเข้ากับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการใช้งาน เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน  ให้เหมาะกับการใช้งานในห้องน้ำและห้องครัว สร้างมูลค่าเพิ่ม ในราคาคุณภาพและผลิตจากผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงสินค้านั้นจะต้องมีอุปกรณ์หรืออะไหล่ที่สามารถดูแลรักษาได้ในระยะยาวด้วยบริการจากเรา เพราะทาง VRH Modern life มีทีมงานที่คอยสนับสนุนบริการหลังการขายเช่นเดียวกับสินค้า VRH  ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่สร้างความไว้วางใจในสินค้า เพื่อเสริมความมั่นใจและคุ้มค่าของลูกค้า”นายพิษณุ กล่าว สำหรับแบรนด์ CONTI และ AXENT ที่คัดสรรมาตอบโจทย์ทุกข้อ ด้านการออกแบบ-ดีไซน์ผลิตภัณฑ์ด้วยความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี ตอบโจทย์นวัตกรรม อาทิ ระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะ ระบบสั่งการอัตโนมัติ ระบบพลังงานทางเลือก เพื่อการใช้งาน สามารถสนองตอบความต้องการของลูกค้า และการใช้ชีวิตยุคใหม่ พร้อมติดตั้งได้ง่ายและเร็ว ไม่ซับซ้อน โดยจะเน้นเจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบความทันสมัย สนุกกับการใช้เทคโนโลยี สร้างสีสันและความสุขให้กับชีวิต โดยจะมีการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆในกลุ่มนี้จากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เพื่อให้ VRH Modern Life “ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตโมเดิร์นในรูปแบบที่คุณเลือกได้ภายใต้แนวคิด Comfort Comes Styled แผนการตลาดปีนี้ VRH Modern Life เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ CONTI และ AXENT ครั้งแรกในงานสถาปนิก’61  ระหว่างวันที่ 1 - 6 พฤษภาคมนี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มสถาปนิกและมัณฑนากร และขยายไปยังกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย พร้อมกับเปิดโชว์รูมในพื้นที่ของพันธมิตรทางธุรกิจ “บุญถาวร” ผู้ค้าวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านรายใหญ่ ทุกสาขาในประเทศไทย  โดยมีทีมงานคอยให้คำปรึกษาและพร้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ และจะมีการทำตลาดอย่างต่อเนื่องกับกลุ่มเป้าหมายที่นิยมความทันสมัย อาทิ กลุ่มห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล รีสอร์ต โรงแรมระดับ 5 ดาวขึ้นไป โดยผลิตภัณฑ์ก๊อกน้ำแบรนด์ CONTI ราคาเริ่มต้นที่ 25,000 บาท ส่วนสุขภัณฑ์แบรนด์ AXENT ราคาเริ่มต้นที่ 85,000 บาท ตั้งเป้ายอดขายสิ้นปี 2561 ไว้ที่ 20 ล้านบาท
เปิดตัว “SEAC ศูนย์พัฒนาผู้นำและผู้บริหารระดับสูง”ครั้งแรกในไทย ทันสมัยและครบวงจรที่สุดในอาเซียน

เปิดตัว “SEAC ศูนย์พัฒนาผู้นำและผู้บริหารระดับสูง”ครั้งแรกในไทย ทันสมัยและครบวงจรที่สุดในอาเซียน

SEAC ศูนย์พัฒนาผู้นำและผู้บริหารระดับสูง เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ชูวิสัยทัศน์ ศูนย์พัฒนาผู้นำและผู้บริหารระดับสูงที่ครบวงจรและใหญ่ที่สุดแห่งแรกในอาเซียน งบกว่า  300 ล้านบาท ตั้งเป้าเดินหน้าพัฒนาองค์กรในเมืองไทยและอาเซียนกว่า 500 องค์กร นางอริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการ SEAC กล่าวว่า หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรและนำพาความเปลี่ยนแปลงมาพัฒนาองค์กรให้ก้าวสู่ความสำเร็จได้ คือ ผู้นำองค์กรที่มีศักยภาพมีความเท่าทันสถานการณ์ เห็นเทรนด์ทางธุรกิจ และกล้าที่จะเปลี่ยน ทุกวันนี้โลกธุรกิจพัฒนาไป อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ผนวกกับพลวัตทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป ล้วนมีผลกระทบกับธรุกิจในทุกอุตสาหกรรม คู่แข่งในยุคปัจจุบันจึงไม่ได้มาจากผู้ที่อยู่อุตสาหกรรมเดียวกันหรืออยู่ในประเทศเดียวกันอีกต่อไปเท่านั้น แต่คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดอาจมาจากอุตสาหกรรมอื่น หรือจากต่างประเทศ ที่มองเห็นโอกาสและมีศักยภาพในการช่วงชิงความได้เปรียบทางธุรกิจก่อน การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันจึงไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จและอยู่รอดได้อย่างยั่งยืนได้เลย หากยังมุ่งที่จะทำธุรกิจจากฐานลูกค้ากลุ่มเดิม ตลาดเดิม และด้วยวิธีการแบบเดิมๆ ต่อไป “เราวางเป้าหมายไว้ว่าภายในปีนี้ SEAC จะสามารถเดินหน้าพัฒนาองค์กรในเมืองไทยและอาเซียนกว่า 500 องค์กร เราเชื่อมั่นว่าผู้นำและบุคลากรในประเทศไทยและอาเซียนมีความสามารถและศักยภาพที่ซ่อนอยู่ แต่อาจจะยังไม่สามารถนำออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งโปรแกรมต่างๆ ของ SEAC จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้ผู้นำสามารถดึงศักยภาพในด้านต่างๆ ของตนออกมาบริหารองค์กร และเมื่อองค์กรเกิดความก้าวหน้า เศรษฐกิจจะเกิดการฟื้นตัว ควบคู่ไปกับสังคมและประเทศที่พัฒนา อันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของ SEAC โดยแต่ละโปรแกรมของ SEAC มีส่วนช่วยยกระดับขีดความสามารถ และให้แนวทางการเป็นผู้นำที่มีศักยภาพ กล้าที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตนเองและองค์กรเพื่อที่จะก้าวล้ำนำหน้าคู่แข่งและประสบความสำเร็จท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลก” นางอริญญากล่าว นอกจากนี้ อีกหนึ่งรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรต่างๆ ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงใบนี้ คือ ‘นวัตกรรม’ โดยนอกจาก SEAC จะมุ่งมั่นในการเป็นศูนย์พัฒนาภาวะการเป็นผู้นำ เรายังเน้นบ่มเพาะ ‘ผู้นำที่สามารถสร้างนวัตกรรมได้อย่างยั่งยืน’ และ ผู้นำที่สามารถสอนให้บุคลากรในองค์กรเกิดความตื่นตัวในการสร้างนวัตกรรมได้ด้วยตนเองอีกด้วย กลุ่มธุรกิจชั้นนำในเมืองไทยที่ SEAC ได้รับความไว้วางใจในการเข้ามาพัฒนาจนประสบความสำเร็จไปแล้วมากกว่า 200 ราย อาทิ เครือเจริญโภคภัณฑ์, บมจ. ธนาคารกสิกรไทย, บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์, บมจ. ธนาคารกรุงไทย, บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย, บมจ. เอพี (ไทยแลนด์), บมจ. เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป, บมจ. สมิติเวช, บจ. ฟู้ดแพชชั่น และอื่นๆ “คำตอบของการพัฒนาองค์กรให้ยืนหยัดอย่างสง่างามในโลกของความเปลี่ยนแปลง คือ การทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นกลายเป็นโอกาสและใช้ประโยชน์จากโอกาสนั้นให้คุ้มค่าที่สุด ผู้นำที่พร้อมเปลี่ยนและมีความสามารถในการปรับตัวเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จและเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เป็นที่ทราบกันดีว่าในแวดวงการศึกษา มีทฤษฎีมากมายสอนเรื่องการเป็นผู้นำ แต่การศึกษาเพื่อการเปลี่ยนตัวเองให้เป็นผู้นำที่เท่าทันโลก คือ สิ่งที่ทำให้องค์กรอยู่รอด และยังไม่มีหนังสือและทฤษฎีเรื่องไหนสอนสิ่งเหล่านี้ได้แม่นยำและครอบคลุมอย่าง SEAC และด้วยศักยภาพและประสบการณ์ที่สั่งสมในการเป็นผู้นำด้านการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรมนุษย์มาอย่างยาวนานของ SEAC ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า SEAC จะสามารถเป็นหัวเรือใหญ่ที่นำพาองค์กรโลดแล่นอย่างสง่างามและมั่นคงตลอดไป ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ” นางอริญญากล่าวสรุป ทั้งนี้ SEAC ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ บนพื้นที่ใหญ่กว่า 4,550 ตารางเมตร 3 ชั้น ของอาคาร FYI Center           (ซึ่งออกแบบมาให้เป็นอาคารประหยัดพลังงานตามมาตรฐาน LEED หรือ Leadership in Energy and Environmental Design) บนสี่แยกถนนพระราม 4 ตัดกับถนนรัชดาภิเษก จัดสรรพื้นที่ให้เป็นห้องเรียนรู้อย่างครบวงจร พื้นที่สำหรับทำงานร่วมกันของผู้นำองค์กรต่างๆ และพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมหลากหลายขนาด โดยห้องจัดกิจกรรมที่ใหญ่ที่สุดนั้นสามารถรองรับได้มากถึง 180 คน    
อัลติจูด เปิดตัว “อาสะ” (ASA) คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ครั้งแรก เจาะกลุ่มพนักงานย่านชานเมือง

อัลติจูด เปิดตัว “อาสะ” (ASA) คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ครั้งแรก เจาะกลุ่มพนักงานย่านชานเมือง

อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ “อาสะ” (ASA) ประเดิมโครงการแรก “อาสะ อยุธยา-โรจนะ” เจาะกลุ่มพนักงานในย่านนิคมโรจนะ ชูดีไซน์ และฟังก์ชั่นการใช้งานที่แตกต่าง หวังเป็นทางเลือกใหม่ทดแทนตลาดเช่า นายขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย กรรมการบริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า  “อาสะ”(ASA) เป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมแบรนด์ล่าสุดจากอัลติจูด ซึ่งจะเป็นกลุ่มสินค้าเดียวที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในเซ็กเม้นท์ของ Effortable Condo โดยโครงการแรกที่เปิดตัว คือ “อาสะ อยุธยา-โรจนะ” คอนโดมิเนียมสไตล์โมเดิร์นเจแปนนีส ตั้งอยู่ติดกับโลตัส โรจนะ และใกล้นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ เพียง 3 นาที เป็นโลว์ไรส์คอนโดมิเนียม 8 ชั้น จำนวน 242 ยูนิต มูลค่าโครงการ 330 ล้านบาท “ทำเล อยุธยา-โรจนะ เป็นทำเลรอบนอกที่มีการเติบโตสูง เป็นแหล่งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีการจ้างงานและมีผู้อยู่อาศัยจำนวนมาก มีพนักงานระดับปฏิบัติการจนถึงระดับบริหาร ตลาดที่อยู่อาศัยในบริเวณนี้ส่วนใหญ่จะเป็นตลาดเช่า เช่น อพาร์ทเม้นต์ หอพัก เป็นหลัก  เราจึงเข้ามาเติม Demand ที่ลูกค้าต้องการ คือ การพัฒนาสินค้าประเภทคอนโดมิเนียม ที่ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ภายในโครงการ ซึ่งเป็นที่ต้องการของกลุ่มพนักงานระดับหัวหน้า หรือระดับบริหาร เราจึงได้พัฒนาโครงการ “อาสะ อยุธยา-โรจนะ ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มนี้เป็นหลัก  โดยโครงการนี้จะแตกต่างทั้งในเครื่องดีไซน์ และฟังก์ชั่นในการใช้งาน เพื่อรองรับการพักอาศัยได้อย่างลงตัว” นายขวัญชัย กล่าว  ล่าสุดเมื่อวันที่ 24-25 มีนาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้จัดงานพรีเซลล์เปิดตัวโครงการ “อาสะ อยุธยา-โรจนะ” เป็นครั้งแรก โดยในงานได้เชิญ นักแสดงหนุ่ม เวียร์-ศุกลวัฒน์ มาให้ความบันเทิงกับกลุ่มลูกค้าซึ่งเป็นพนักงานย่านนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ และประชาชนบริเวณรอบโครงการ โดยได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลา 2 วัน มียอดจองซื้อโครงการแล้วถึง 50%  สำหรับ “อาสะ อยุธยา-โรจนะ” คอนโดมิเนียมสไตล์โมเดิร์นเจแปนนีส สูง 8 ชั้น จำนวน 242 ยูนิต มูลค่าโครงการ 330 ล้านบาท บนเนื้อที่โครงการขนาด 1 ไร่ 3 งาน 97 ตารางวา ประกอบด้วยห้องพักอาศัย 3 รูปแบบ ได้แก่ แบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยขนาด 23.32 – 36.17 ตารางเมตร ห้องนอนดีไซน์พิเศษ เน้นฟังก์ชั่นการใช้สอยที่ลงตัวพร้อมโซนทำอาหาร ที่ใช้งานได้จริง, แบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยขนาด 47.30 – 52.01 ตารางเมตร ดีไซน์พิเศษรองรับการอยู่อาศัยแบบครอบครัว เน้นฟังก์ชั่นห้องนั่งเล่น ขนาดใหญ่ พร้อมห้องครัวแยกและแบบ 2 ห้องนอนดีไซน์พิเศษ Duo Room พื้นที่ใช้สอยขนาด 31.43 – 32.52 ตารางเมตร ฟังก์ชั่นห้องแบบพิเศษ เหมาะทั้งอยู่เองและลงทุนปล่อยเช่า มาพร้อมดีไซน์ ที่ลงตัว และตู้เสื้อผ้าแบบBuilt in ทั้งนี้ โครงการตั้งอยู่ที่ ถ.โรจนะ ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา บนทำเลศักยภาพ สะดวกสบายกับเส้นทางการคมนาคมที่หลากหลาย ทั้งการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และออกต่างจังหวัด เพียง 100เมตรจากโลตัส และนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ แวดล้อมด้วยห้างสรรพสินค้าและแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบสนองทุกความต้องการของทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายภายในโครงการ อาทิ ล็อบบี้ดีไซน์พิเศษ พร้อมห้องอเนกประสงค์ สวนส่วนกลางสไตล์ Modern Zen ฟิตเนส สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และ CCTV พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24ชั่วโมง ในราคาเริ่มต้นเพียง 989,000 บาท
แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จับมือบัตรเครดิตซิตี้ จัดงาน“The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” พร้อมรับวงเงินสูงกว่า 1.8 ล้านบาท

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จับมือบัตรเครดิตซิตี้ จัดงาน“The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” พร้อมรับวงเงินสูงกว่า 1.8 ล้านบาท

  แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ร่วมกับ ซิตี้แบงก์ ประเทศไทย จัดงาน “The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม – 1 เมษายน 2561 พร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าและนักลงทุน   นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า  ซิตี้แบงก์ ประเทศไทย คือธนาคารชั้นนำของโลก ที่มีฐานลูกค้าชั้นเลิศ ทั้งในไทยและทั่วโลก ซึ่งเราได้มีโอกาสร่วมงานกันในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ขึ้น เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตซิตี้ โดยทุกท่านจะได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์เปอร์ลักชัวรี่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนทำเลชั้นเยี่ยม อย่างแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับทั้งในแง่การลุงทุนที่มีศักยภาพสูง ให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยม และสำหรับผู้ที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัย ถือเป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่เหนือระดับและคุ้มค่ามากที่สุดด้วยเช่นกัน   มร. ซานดีพ บาตระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย  กล่าวว่า แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด นับเป็นหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่มีความน่าสนใจ และเป็นที่จับตามองในตลาดระดับสากล ทั้งในไทยและต่างประเทศ ด้วยทำเลชั้นเยี่ยมที่เป็นใจกลางย่านเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงทุน การค้าขายทำธุรกิจ การท่องเที่ยว นอกจากนั้นตัวโครงการเอง ยังมีเอกลักษณ์ในด้านการออกแบบและให้ควยามสำคัญกับเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย ทำให้ทุกองค์ประกอบที่กล่าวไปนี้ เป็นจุดเด่นที่ทุกคนให้การยอมรับ และอยากจับจองเป็นเจ้าของโครงการคุณภาพนี้ ในโอกาสนี้เอง ทางเรามีความยินดีที่ได้จัดกิจกรรมร่วมกัน เพื่อเป็นการร่วมมอบสิ่งที่ดีที่สุดอย่างโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ด้วยสิทธิประโยชน์ที่ดีที่สุดจากบัตรเครดิตซิตี้ เพื่อลูกค้าของเราทุกๆ คน   ทั้งนี้ ห้องชุดที่เหลืออยู่ของแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ดในปัจจุบัน คือแบบ 2 ห้องนอนพื้นที่ 75-108 ตารางเมตร และห้องห้องเพนท์เฮ้าส์ พื้นที่ 321-384  ตารางเมตร ภายในโครงการยังเพียบพร้อมด้วยส่วนบริการเพื่อการพักอาศัยระดับไฮเอนด์ ทั้งคลับส่วนตัว ล็อบบี้ส่วนตัวสำหรับผู้พักอาศัย และจุดรับ-ส่ง ห้องประชุมสังสรรค์ เลาจน์ พื้นที่สวนสีเขียวดีไซน์ใหม่ ห้องสมุด ศูนย์ไปรษณีย์ ศูนย์ธุรกิจพร้อมระบบสื่อสารและการเชื่อมต่อออนไลน์แบบครบวงจร ตลอดจนศูนย์ฟิตเนส ลู่วิ่งออกกำลังกลางแจ้ง เซาว์น่า สระว่ายน้ำยาว 70 เมตร พร้อมจากุชชี่และสระเด็ก รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงตลอด 24 ชั่วโมง   ภายในงานครั้งนี้ ได้นำเสนอห้องชุด 2 ห้องนอนในราคาสุดพิเศษเริ่มต้น 15 ล้านบาท พร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมายเฉพาะแขกและผู้ถือบัตรเครดิตซิตี้ในงานเท่านั้น *สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตซิตี้* รับคะแนนสะสมซิตี้ รีวอร์ด สูงสุด 10 เท่า เมื่อทำสัญญาจองและชำระผ่านบัตรเครดิตซิตี้ และ ข้อเสนอวงเงินสูงถึง 1.8 ล้านบาท   หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อโทรศัพท์ +66 83 095 5054 อีเมล magnolias@cbre.co.th หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.magnolias-ratchadamri.com
อนันดาฯ รุก เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ จับมือ แอสคอทท์ เปิด 4 โครงการ มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท เน้นลูกค้าต่างชาติ

อนันดาฯ รุก เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ จับมือ แอสคอทท์ เปิด 4 โครงการ มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท เน้นลูกค้าต่างชาติ

  อนันดา รุกตลาดเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ร่วมมือกับ แอสคอทท์ ลิมิเต็ด ล่าสุด เตรียมเปิดตัว 4 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการกว่า 1 หมื่นล้านบาท กว่า 1,400 ยูนิต บนทำเลศักยภาพสูงใจกลางเมือง NEW CBD ของกรุงเทพฯ ประเดิมโครงการแรก ซัมเมอร์เซ็ท รามา 9 บางกอก (Somerset Rama 9 Bangkok) มูลค่า 2,500 ล้านบาท จำนวน 445 ยูนิต  มั่นใจดีมานด์ยังโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ นักธุรกิจ และนักท่องเที่ยว   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนในการขยายธุรกิจใหม่ “เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์”  (Serviced Apartments) โดยมองว่าเป็นรูปแบบธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ในระยะยาวให้แก่บริษัท นอกจากนี้ยังมองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจและการท่องเที่ยวของไทย จากการที่ไทยยังเป็นศูนย์กลางทางการค้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีทรัพยากรทางธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมที่สวยงามเป็นที่ดึงดูดแก่นักท่องเที่ยวมากขึ้นในทุกปี  ทำให้ธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ (Serviced  Apartments) มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ล่าสุด อนันดาฯ ได้ประกาศจับมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก แอสคอทท์ (Ascott) ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ระดับลักชัวรี่ชั้นนำของโลกที่มีรางวัลจำนวนมากการันตี ทั้งนี้เพื่อสร้างจุดแข็งในด้านมาตรฐานที่พักอาศัยอันเหนือระดับ     “อัตราการเช่าเฉลี่ยของเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ในทุกทำเลของกรุงเทพมหานครมากกว่า 74% และสามารถขยับขึ้นไปถึงประมาณ 90% ในบางทำเล โดยพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจและพื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิท เป็นทำเลยอดนิยมที่สุดสำหรับชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานคร อัตราการเช่าเฉลี่ยจึงอยู่ที่ประมาณ 80% เนื่องจากความสะดวกในการเดินทางและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายรวมไปถึงการเข้าถึงที่สะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า BTS” นายชานนท์ กล่าว   โดยความร่วมมือครั้งนี้ เตรียมเปิดตัว 4 โครงการ มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท กว่า 1,400 ยูนิต  ซึ่งโครงการแรก ได้แก่ โครงการ ซัมเมอร์เซ็ท รามา 9 บางกอก (Somerset Rama 9 Bangkok) มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท จำนวน 445 ยูนิต  และอีก 3 โครงการอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งทั้ง 4 โครงการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูงสุดของกรุงเทพฯ และด้วยมาตรฐานสูงสุดและความเชี่ยวชาญของ แอสคอทท์ (Ascott)  ในการบริหารที่พักอาศัย เจ้าของและผู้พักอาศัยมั่นใจได้ในบริการแบบมืออาชีพระดับโลก ทั้ง 4 โครงการนี้จึงโดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้ง คุณภาพระดับลักชัวรี่ และการบริหารแบบมืออาชีพ   ทั้งนี้ โครงการ ซัมเมอร์เซ็ท รามา 9 บางกอก (Somerset Rama 9 Bangkok) แบรนด์เซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ที่ได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียงระดับโลก อาคาร High-Rise 1 อาคาร สูง 35 ชั้น จำนวน 445 ห้องพัก พร้อมพื้นที่ร้านค้า พื้นที่จัดประชุม และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน บนย่านพระราม 9 ซึ่งเป็นย่านธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) รายล้อมไปด้วยแหล่งอาคารสำนักงาน เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, Super Tower,  AIA capital center, G Tower, Fortune Town, และ The 9th tower พร้อมสิ่งเอื้ออำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น Central Rama9, Esplanade Cineplex, The Street Ratchada, และรพ.พระราม 9 , รพ.ปิยะเวท เป็นต้น สามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยห่างจาก MRT พระราม 9 เพียง 100 ม. MRT ศูนย์วัฒนธรรม เพียง 200 ม.   และเพียง 1 สถานีไปยัง Airport Rail Link สถานีมักกะสัน ที่สามารถเดินทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิได้     นายเควิน โกห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิ แอสคอทท์ จำกัด กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่อนันดา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยและเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ที่พักอาศัยสำหรับคนเมือง ได้ให้เกียรติเลือกแอสคอทท์เพื่อเริ่มดำเนินธุรกิจโครงการที่พักอาศัย ด้วยเป้าหมายที่แอสคอทท์ตั้งไว้ทั้งหมด 14 แห่งในประเทศไทยภายในปีพ. ศ. 2566  เครือข่ายทั่วโลกของเรามีลูกค้าองค์กรต่างๆเกือบ 100,000 ราย จะช่วยสร้างโอกาสทางการตลาดให้ขยายเพิ่มมากขึ้นไปทั่วโลก ทั้งอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย และเครือข่ายทางการตลาดระดับนานาชาติของแอสคอทท์ พร้อมความสามารถในการบริการที่แข็งแกร่ง ผนวกกับความเชี่ยวชาญของอนันดาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับสากล  โดยเราเชื่อมั่นว่าทั้ง 4 โครงการจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นพันธมิตรที่มีประสิทธิภาพได้อย่างแน่นอน  ซึ่งการร่วมมือของอนันดากับแอสคอทท์ ในครั้งนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดสำคัญสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคอื่นๆทั่วโลก  เรามีความมั่นใจว่าจะมียอดขายได้มากกว่า 80,000 ยูนิตในปีนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มขึ้นถึง 160,000 ยูนิตภายในปี 2566  และแผนงานในประเทศไทยจะมีการดำเนินงานมากกว่า 1,600 หน่วย ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า หรือมากกว่า 4,300 ยูนิตภายในปีพ. ศ. 2567  ทั้งนี้รวมถึงโครงการทั้ง 4 แห่งของเรากับอนันดาอีกด้วย ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำของแอสคอทท์ในฐานะผู้ประกอบการด้านโครงการที่พักอาศัยระดับสากลรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย   "เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ใหม่ทั้ง 4 โครงการของอนันดาฯครั้งนี้ ได้ช่วยเพิ่มผลงานของแอสคอทท์ในประเทศไทยให้มีมากขึ้นรวมเป็น 21 แห่ง หรือกว่า 4,300 ยูนิตทั่วกรุงเทพฯ พัทยาและศรีราชา โดยขณะนี้แอสคอทท์มีโครงการที่พักอาศัยให้บริการอยู่มากกว่า 43,000 แห่งในเมืองสำคัญต่างๆในอเมริกา เอเชียแปซิฟิก ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา และมีมากกว่า 29,000 ยูนิตซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา ทำให้มีจำนวนโครงการทั้งหมดรวมกว่า 74,000 ยูนิตในกว่า 500 แห่ง  ซึ่งแบรนด์ของบริษัท ทั้ง 6 แบรนด์ ได้แก่ Ascott, Citadines, Somerset, Quest, The Crest Collection และ Lyth  ในปัจจุบันผลงานของแอสคอทท์ครอบคลุมกว่า 130 เมือง ในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก” นายเควินกล่าวทิ้งท้าย  
เปิด’ลาซาล อเวนิว’ คอมมูนิตี้มอลล์แนวใหม่  รวบรวมแบรนด์ชั้นนำ สะดวก ครบครัน ไตรมาส 3 ปีนี้

เปิด’ลาซาล อเวนิว’ คอมมูนิตี้มอลล์แนวใหม่ รวบรวมแบรนด์ชั้นนำ สะดวก ครบครัน ไตรมาส 3 ปีนี้

‘ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว’ ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยบริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด ภายใต้การบริหารงานของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (TCC GROUP) บนพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตรในย่านลาซาล- แบริ่ง ในรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์แนวราบ โดดเด่นด้วยดีไซน์ เพื่อการพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบ พร้อมที่จอดรถรอบอาคาร สะดวกสบายในการใช้บริการ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ความต้องการ และไฮไลท์สุดพิเศษกับ ‘กรีนสเปซ’ พื้นที่สีเขียวกว่า 3,000 ตารางเมตร ถือเป็นปอดแห่งใหม่ย่านลาซาล กับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน สามารถใช้เวลาพักผ่อนที่นี่ได้ตลอดทั้งวันไม่มีเบื่อ ด้วยความพร้อมด้านการให้บริการจากแบรนด์ชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ อาทิ  Orca BAKER & BUTCHER ร้านอาหารสไตล์ Modern Italian ที่ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อนำเข้าจากฟาร์มชั้นนำทั่วโลกคุณภาพดี พร้อมกูรูเนื้อมืออาชีพที่พร้อมให้คำแนะนำการเลือกเนื้อที่ตรงตามต้องการ, JiM’s BURGER เบอร์เกอร์โฮมเมดสไตล์อเมริกันแท้ ที่ได้รับการการันตีด้วยรางวัลสุดยอด User's Choice 2018 ในสาขา American Food จาก Wongnai  KFC ในรูปแบบ Free Standing Drive Thru ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น, Café Amazon จุดนัดพบและพักผ่อนสำหรับคนเดินทาง ที่ตกแต่งด้วยโทนสีเขียว เน้นความเป็นธรรมชาติ เพื่อสร้างบรรยากาศ ร่มรื่น เย็นสบาย เปรียบเหมือน Oasis ของคนเดินทาง, The Nail Café ร้านทำเล็บระดับพรีเมี่ยมที่ให้ด้วยการบริการในแบบ Nail Art Specialist มาพร้อมกับที่ Hang Out สำหรับสาวๆ ที่ชื่นชอบการทำเล็บในแบบสไตล์คาเฟ่อีกด้วย  รวมถึง CG Fitness บริการฟิตเนสแบบครบวงจรที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของการออกกำลังกาย ‘ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว’ ยังโดดเด่นด้วยการเดินทางที่สะดวกสบายทั้งการเดินทางทางรถยนต์ด้วยถนนสุขุมวิท ถนนบางนา-ตราด ถนนศรีนครินทร์ หรือจะเลือกทางเลือกที่คล่องตัวยิ่งขึ้นด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอสแบริ่งและทางด่วนพิเศษบางนา สามารถชมข้อมูล ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว ได้ที่ www.facebook.com/LasallesAvenue
ไจก้า จับมือ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ต่อยอดนวัตกรรมคุณภาพเพื่อผู้สูงอายุในประเทศไทย

ไจก้า จับมือ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ต่อยอดนวัตกรรมคุณภาพเพื่อผู้สูงอายุในประเทศไทย

ไจก้าเยี่ยมชม “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ ย้ำแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบครบวงจรแห่งแรกของไทยจะเป็นประโยชน์สูงสุด พร้อมหารือต่อยอดองค์ความรู้และร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยกับผู้สูงอายุในประเทศไทย นางฐิตารี อยู่วิทยา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้คณะผู้บริหารและทีมนักวิจัยจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency)  หรือ JICA  นำโดย ดร. โยชิโนริ คอนโดะ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อการศึกษาสิ่งแวดล้อมประจำภูมิภาค  ได้เข้าเยี่ยมชมโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ ภายใต้แนวคิดการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร (Integrated Healthcare)  แห่งแรกของเมืองไทย นอกจากการเยี่ยมชมโครงการ และรับฟังแนวคิดในการออกแบบ การดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลแบบ Personalized  Medicine การจัดสิ่งอำนวยความสะดวก และบริการต่างๆ ของโครงการที่จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ได้เลือกผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในด้านต่างๆ มาเป็นผู้ออกแบบและให้บริการแล้ว  คณะผู้แทนไจก้ายังได้หารือแนวทางในการต่อยอดนวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตของผู้สูงวัย เช่น ยานยนต์อเนกประสงค์สำหรับใช้ในโครงการ เป็นต้น เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและปลอดภัยให้ผู้สูงอายุสามารถเดินทางไปยังที่ต่างๆ ภายในโครงการได้ด้วยตัวเอง เมื่อพัฒนาสมบูรณ์แล้ว นวัตกรรมเหล่านี้จะกลายเป็นต้นแบบสำหรับการขยายผลไปยังสาธารณชนต่อไป เพื่อสร้างเมืองแห่งอนาคตที่มีความปลอดภัยและสะดวกสบายสำหรับคนทุกกลุ่ม จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้  เป็นโครงการภายใต้การดำเนินงาน ของ กลุ่มธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ THG ซึ่งมีประสบการณ์ด้านโรงพยาบาลและการดูแลสุขภาพมามากกว่า 40 ปี  โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากที่กลุ่ม THG เล็งเห็นว่า สังคมไทยและหลายประเทศทั่วโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ  จึงริเริ่มพัฒนาเมืองแนวคิดใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างครบวงจร  พร้อมดูแลผู้สูงวัยและทุกคนในครอบครัว ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดเพื่อเติมเต็มการพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบ 360 องศา โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ถูกพัฒนาให้เป็น “เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ” ที่จะสร้างความสุข ความสะดวกสบายและความปลอดภัย ให้แก่ผู้อยู่อาศัย ด้วยบริการที่เป็นเลิศระดับสากล มีสิ่งแวดล้อมที่ผ่อนคลายท่ามกลางพื้นที่ธรรมชาติกว่า 50% ของโครงการ  นอกจากนี้ ยังออกแบบโดยคำนึงถึงรูปแบบการใช้ชีวิตในทุกช่วงวัย (Universal Design) รวมถึงการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจรด้วยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ อาทิ การนำเทคโนโลยี Tracking System ระบบติดตามตัวอัจฉริยะมาใช้  ให้ความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยในการใช้ชีวิตของผู้พักอาศัย และมีการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของแต่ละบุคคล เพื่อให้โครงการสามารถดูแลผู้อยู่อาศัยในโครงการได้แบบ Personalized Medicine ที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตของแต่ละคนอย่างแท้จริง ตัวโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 140 ไร่ อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ  สนามบินดอนเมือง รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้มติดด้านหลังโครงการ  และได้รับการอนุมัติรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้  เป็นโครงการหนึ่งเดียวจากทวีปเอเชีย และเป็น 1 ใน 7 โครงการจากทั่วโลกที่ถูกคัดเลือก ให้ได้รับรางวัล Honorable Mention ในการประกวด EFA Design Showcase 2018 จาก นิตยสาร EFA ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีโครงการต่างๆเข้าร่วมรวม 36 โครงการ โดยจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ได้รับการยกย่องในฐานะโครงการเฮลท์แคร์และที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ที่มีความโดดเด่นและศักยภาพในการตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้สูงอายุทั้งในด้านแนวคิด ด้านความสวยงาม และด้านนวัตกรรมอย่างลงตัว  ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมพร้อมสัมผัสประสบการณ์แห่งการใช้ชีวิตวัยเกษียณรูปแบบใหม่ได้ที่ เซลส์ แกลอรี่ โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ริมถนนพหลโยธิน ใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ศูนย์รังสิต โทร. 062-802-9999 Facebook: www.facebook.com/jinwellbeing
ซีเอ็มซี กรุ๊ป รุกหนักตลาดคอนโดทุกโซน หลังกวาดยอดขายมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 38 กว่า 467 ล้านบาท

ซีเอ็มซี กรุ๊ป รุกหนักตลาดคอนโดทุกโซน หลังกวาดยอดขายมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 38 กว่า 467 ล้านบาท

นายศตกร  หงส์จรรยา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด (แถวหน้า ที่ 3 จากซ้าย) บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 ที่ผ่านมา ซีเอ็มซี กรุ๊ป สามารถทำยอดขายได้สูงกว่าที่คาดการณ์มียอดขายโครงการรวมมูลค่ากว่า 467 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของยอดขายรวมทั้งหมดในงาน ดีที่สุดในอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม ซึ่งในงานดังกล่าวมีผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานจำนวนทั้งสิ้นกว่า  93 ราย โดยหลังจากนี้ ซีเอ็มซี กรุ๊ป ยังคงรุกหนักด้วยการทำการตลาดคอนโดมิเนียมกว่า 20 โครงการ บนทำเลย่าน CBD สาทร-ตากสิน-นราธิวาส และสุขุมวิท ตลอดจนทำเลต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ อาทิ บางแค เพชรเกษม ท่าพระ จรัญฯ-ปิ่นเกล้า-พระราม 8 และรามคำแหง ผ่านแบรนด์ที่พักอาศัย แบงค์คอก ฮอไรซอน, แบงค์คอก เฟลิซ และชาโตว์ อินทาวน์ ปัจจุบันได้จัดโปรโมชั่นพิเศษทางการเงินร่วมกับธนาคารUOB กับแคมเปญฟรีดอกเบี้ย 0% ระยะเวลานาน 3 ปี ซึ่งมีระยะเวลาแคมเปญไปจนถึงสิ้นสุดไตรมาสที่ 2 นอกจากนี้ยังมีแผนการที่จะรุกหนักทั้งการจัดอีเว้นท์ และโปรโมชั่นแคมเปญสุดเร้าใจอีกหลายรายการ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องการที่พักอาศัยคุณภาพ และมีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่www.cmc.co.th หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. 1172 และติดตามสื่อสังคมออนไลน์ได้ที่ www.facebook.com/cmc.co.th
EVER บุกอสังหาฯแนวราบมูลค่ารวมกว่า 2 พันลบ.  เจาะลูกค้าโซนสุขสวัสดิ์-บางนา (หนามแดง)-จตุโชติ รับสถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย

EVER บุกอสังหาฯแนวราบมูลค่ารวมกว่า 2 พันลบ. เจาะลูกค้าโซนสุขสวัสดิ์-บางนา (หนามแดง)-จตุโชติ รับสถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย

เอเวอร์แลนด์ เปิดกลยุทธ์ปี 61 เตรียมบุกตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ผุด 3-4 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 2,000ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าโซนสุขสวัสดิ์-บางนา (หนามแดง)-จตุโชติ รับสถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย นายสวิจักร์ โลจายะ ประธานกรรมการ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ EVER  เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 2561 ว่า บริษัทฯเตรียมเปิดใหม่ 3 – 4 โครงการ ซึ่งเน้นโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ “เอเวอร์ซิตี้” ในทำเลย่านสุขสวัสดิ์ , บางนา (หนามแดง) ,จตุโชติและไทยรามัน มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท โดยทั้ง 4 โครงการ บริษัทฯได้มีการซื้อที่ดิน เพื่อรอการพัฒนาไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมดำเนินการก่อสร้างได้ทันที “ถือเป็นการเปิดมิติใหม่ของเอเวอร์แลนด์ ในการเข้ามาบุกตลาดอสังหาฯแนวราบ ทั้ง 4โซน ไม่ว่าจะเป็นโซนสุขสวัสดิ์ ,บางนา (หนามแดง) จตุโชติ และไทนรามัน ซึ่งมีดีมานด์อยู่เป็นจำนวนมาก ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงของพอร์ต จากเดิมมุ่งเน้นโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 2-3 ปีกว่าที่จะรับรู้รายได้ ขณะที่โครงการแนวราบใช้เวลาไม่นาน คาดว่าจะเริ่มเปิดโครงการใหม่ในโซนสุขสวัสดิ์ ในเดือนกันยายน 2561 ส่วนที่เหลือจะเปิดในช่วงปลายปีนี้ ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2561 คาดว่าจะฟื้นตัว และกลับมาเทิร์นอะราวด์ จากการรับรู้รายได้โครงการ คอนโดมิเนียม ทั้ง โครงการเดอะโพลิแทนรีฟ , เดอะโพลิแทน บรีซ และโครงการเดอะ โพลิแทน อควา ซึ่งจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้”นายสวิจักร์ กล่าว สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้คาดว่าจะฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการที่รัฐบาลเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการขยายการก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าที่ทยอยก่อสร้างและแล้วเสร็จ อีกทั้งยังพบว่าความต้องการโครงการแนวราบมีมากขึ้นด้วย ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯเปิดตัว 3 – 4 โครงการใหม่ ซึ่งเป็นแนวราบในปีนี้ ในส่วนของธุรกิจโรงพยาบาล ซึ่งบริษัทฯเข้าลงทุนผ่าน บริษัท มาย ฮอสพิทอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เชื่อว่าจะมีการเติบโตควบคู่กันไป ซึ่งในปีนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการเพิ่มศักยภาพ และการวางแผนปรับปรุงระบบภายในให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  ,การเพิ่มบริการใหม่ๆตามความต้องการในพื้นที่ รวมทั้งการเพิ่มทีมแพทย์เพื่อรองรับตามปริมาณที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทั้ง 4 แห่งเข้าลงทุนและดำเนินธุรกิจได้สร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง ได้แก่   1.บริษัท โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราษฎร์ จำกัด (CMR) 2.บริษัท เดนทอล อิส ฟัน จำกัด (DENTAL) 3.บริษัท โคราชเมดิคัลกรุ๊ป จำกัด (KMG)  และ 4.บริษัท พิษณุโลกอินเตอร์เวชการ จำกัด (PM) โดยที่ผ่านมากิจการโรงพยาบาลสร้างรายได้ให้บริษัทฯค่อนข้างดี  และสร้างการเติบโตในแง่ของรายได้เฉลี่ยแห่งละ 10-15%  
เตรียมเปิดแล้วจ้า! ออฟฟิศพร้อมใช้งานแห่งแรกในไทย ” Spaces ซัมเมอร์ฮิลล์” จาก สเปซเซส ใกล้บีทีเอสพระโขนง

เตรียมเปิดแล้วจ้า! ออฟฟิศพร้อมใช้งานแห่งแรกในไทย ” Spaces ซัมเมอร์ฮิลล์” จาก สเปซเซส ใกล้บีทีเอสพระโขนง

สเปซเซส ออฟฟิศพร้อมใช้งานอัมสเตอร์ดัม ประกาศเปิดสาขาแรกในประเทศไทยที่ ซัมเมอร์ฮิลล์ (Summer Hill)  ศูนย์รวมการค้าเชิงไลฟ์สไตล์ใกล้สถานีรถไฟฟ้าพระโขนง บนพื้นที่กว่า 1,260 ตารางเมตร พร้อมสร้างแรงบับดาลในการทำงานอย่างเต็ม คุณโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ สเปซเซส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี กล่าวว่า ปัจจุบันความต้องการของพื้นที่การทำงานมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีปัจจัยสำคัญหลากหลายที่ช่วยขับเคลื่อนเทรนด์นี้อีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้นผ่านระบบมือถือ แม้ว่าจะอยู่ต่างสถานที่ ในระยะทางที่ไกล แต่ก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ทันเวลาอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยการเปลี่ยนแปลงอันมาจากธรรมชาติของโลกธุรกิจ ซึ่งจะเห็นว่าเหล่าสตาร์ทอัพต่างมองหาสถานที่ทำงานที่มีความยืดหยุ่นที่ช่วยให้พวกเขาสามารถปรับลดหรือขยายองค์กรได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องเซ็นสัญญาเป็นระยะเวลาหลายปี ขณะที่บริษัทข้ามชาติก็ยังคงมองหาสถานที่ทำงานที่มีความยืดหยุ่นที่จะช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังคงให้บริการต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงอีกปัจจัยสำคัญคือกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียลต่างเริ่มคาดหวังให้เหล่านายจ้างมอบพื้นที่การทำงานที่มีทั้งพื้นที่แห่งการพบปะสรรสรรค์และสร้างแรงบัลดาลใจในการคิดค้นสุดยอดไอเดียให้มากยิ่งขึ้น บนพื้นที่ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีความกว้างขวางได้ช่วยเสริมให้ Spaces กลายเป็นพื้นที่การทำงานที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจในการคิดค้นได้มากขึ้น ทั้งยังโดดเด่นด้วยหนึ่งในคาเฟ่ชื่อดังของกรุงเทพฯ อย่าง Rocket X ที่ได้มีการร่วมมือกับSpaces เปิดคาเฟ่สาขาแรกภายในพื้นที่การทำงาน เพื่อเติมพลังงานในการเริ่มต้นวันใหม่ไปพร้อมไอเดียใหม่ๆ ต่อไป ทั้งนี้คาเฟ่ยังคงพร้อมมอบบริการอาหารและเครื่องดื่มสำหรับการประชุมหรืออีเว้นท์ต่างๆ ได้เช่นกัน นอกจากนี้ Spaces ยังเดินหน้าขยายสาขาที่สอง ณ จัตุรัสจามจุรี ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการอย่างเป็นทางในเดือนพฤษภาคม 2561 จากคอนเซปต์อันโดดเด่นในการทำงานสไตล์ดัตช์ได้เริ่มต้นสู่การเปลี่ยนแปลงในภาพรวมของการทำงาน ซึ่งจากข้อมูลเชิงสถิติของผลสำรวจ “Global Coworking Survey” ในปี 2017 โดย SocialWorkplaces.co พบว่า ตัวเลขการเติบโตของสถานที่ทำงานที่ยืดหยุ่นทั่วโลกได้เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 20 ในระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา และประชากรจำนวนกว่า 1.2 ล้านคนทั่วโลกต่างทำงานในพื้นที่โคเวิร์กกิ้ง นอกจากนี้ยังคงมีข้อมูลสนับสนุนจากผลสำรวจของ Spaces ที่น่าสนใจ ได้แก่ ร้อยละ 69 ของกลุ่มมิลเลนเนียล มีแนวโน้มต้องการแลกเปลี่ยนสิทธิประโยชน์ด้านการทำงานสู่การได้รับพื้นที่สำหรับการทำงานที่ดีมากยิ่งขึ้น , ร้อยละ 53 ของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ต้องทำงานนอกสถานที่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของสัปดาห์แห่งการทำงาน , ร้อยละ 58 ของกลุ่มนักธุรกิจ ต้องการพื้นที่การทำงานที่มอบความยืดหยุ่นในการทำงานได้อย่างเต็มที่ , ร้อยละ 84 เชื่อว่าสถานที่ทำงานที่ให้ความยืดหยุ่นมีส่วนช่วยในการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพในการทำงาน , ร้อยละ 66 เชื่อว่าสถานที่ทำงานที่ให้ความยืดหยุ่นมีช่วยพัฒนาการสร้างสมดุลให้กับชีวิตและการทำงานได้ และ ร้อยละ 55 เชื่อว่าสถานที่ทำงานที่ให้ความยืดหยุ่นทำให้การจัดตารางการเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น สำหรับเทรนด์โคเวิร์กกิ้งที่เติบโตอย่างรวดเร็วนี้ได้ส่งผลให้ Spaces เดินหน้าสร้างสรรค์คอมมิวนิตี้เพื่อเหล่าผู้ประกอบการอย่างแท้จริง พร้อมนำเสนอโซลูชั่นในสถานที่ทำงานให้ความยืดหยุ่นอันหลากหลาย ได้แก่ “Business Club” พื้นที่แห่งการพบปะสังสรรค์กับผู้คนใหม่ๆ เพื่อสร้างโอกาสในการร่วมคิดค้น แบ่งปันไอเดียและขยายเครือข่ายทางธุรกิจ , พื้นที่สำหรับการทำงาน ซึ่งสามารถปรับขนาดและการออกแบบให้ได้ตรงตามความต้องการขององค์กรนั้นๆ , การร่วมเป็นสมาชิก (Membership) ซึ่งได้รับสิทธิในการเข้าใช้พื้นที่การทำงานในทุกสาขาทั่วโลกของ Spaces ในราคาเริ่มต้นเพียง 4,620 บาทต่อเดือน และห้องประชุม ซึ่งเป็นพื้นที่ๆ เปิดให้สามารถเช่าเพื่อประชุมได้ Spaces ได้สร้างสรรค์แบรนด์ขึ้นในสไตล์ดัตช์ได้ให้ความลงตัวอย่างดีกับประเทศไทย ด้วยบรรยากาศอีกทั้งสไตล์แห่งความชิคเก๋ เน้นความเป็นธรรมชาติ เปรียบดั่งอยู่ใจกลางธรรมชาติที่มีต้นไม้ล้อมรอบ ก็ถือเป็นมิติใหม่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจเพื่อส่งเสริมบรรยากาศที่ดีเยี่ยมต่อการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ การพบปะเพื่อการทำงานร่วมกันใน Spaces อีกด้วย  Spaces ณ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ ตั้งอยู่บนชั้น 3 ของศูนย์รวมการค้าเชิงไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ประกอบไปด้วยพื้นที่การทำงานที่หลากหลายจึงช่วยสร้างสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานได้เป็นอย่างดี อีกทั้งที่ตั้งอันแสนสะดวกสบายซึ่งห่างจากสถานีรถไฟฟ้าพระโขนงเพียงไม่มีกี่ก้าว แวดล้อมด้วยโครงการที่พักอาศัยและอาคารสำนักงาน พร้อมการออกแบบที่เปิดโล่งจึงทำให้ซัมเมอร์ฮิลล์มีบรรยากาศที่สมบูรณ์แบบและเหมาะแก่การสร้างสรรค์แรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการทำงาน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Spaces ณ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ และการจองพื้นที่ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.spacesworks.com
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยแนวโน้มตลาดสำนักงานในกรุงเทพฯ ค่าเช่าเฉลี่ยอาคารเกรด A เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นครั้งแรก

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยแนวโน้มตลาดสำนักงานในกรุงเทพฯ ค่าเช่าเฉลี่ยอาคารเกรด A เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นครั้งแรก

กราฟที่ 1 ค่าเช่าของอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ แบ่งตามเกรด ปี 2555 - 2560 ที่มา : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จากรายงานวิจัยของไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย คาดการณ์ว่าภายในปี 2561 จะมีอุปทานใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาดอีกประมาณ 171,000 ตร.ม. ซึ่งทั้งหมดอยู่นอกย่านศูนย์กลางธุรกิจ CBD พื้นที่ทำงานร่วม (co-working space) และออฟฟิศสำเร็จรูป (serviced office) เป็นหนึ่งในพื้นที่ทำงานที่เติบโตเร็วที่สุดในกรุงเทพฯ โดยปริมาณของ co-working space จากเดิมมีน้อยกว่า 20 แห่ง ขยายเพิ่มขึ้นไปมากกว่า 100 แห่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามพื้นที่สำนักงานแบบเดิมยังคงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยการเติบโตของ co-working space จะไม่เป็นอุปสรรคต่อตลาดสำนักงาน อีกทั้งตลาดทั้งสองกลุ่มยังสามารถเติบโตไปพร้อมๆ กันได้ อัตราค่าเช่า ในปี 2560 อัตราค่าเช่าของอาคารสำนักงานเกรด A สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยค่าเช่าโดยเฉลี่ยของอาคารเกรด A สูงถึง 1,000 บาท/ ตร.ม./เดือนเป็นครั้งแรก อัตราค่าเช่าโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 727 บาท/ ตร.ม./เดือน แสดงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.56 ปีต่อปี จากที่เคยมีราคาอยู่ที่ 702 บาท/ ตร.ม./เดือน ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2559 ขณะเดียวกันค่าเช่าของอาคารเกรด B อยู่ที่ 726.7 บาท/ ตร.ม./เดือน และอาคารเกรด C อยู่ที่ 454.4 บาท/ ตร.ม./เดือน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 และร้อยละ 1.4 ปีต่อปีตามลำดับ ในปี 2560 อาคารสำนักงานบนถนนสุขุมวิท ช่วงระหว่างอโศก-ชิดลมยังคงได้รับความนิยมสูงสุด มีอัตราการครอบครองเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 96.58 นอกจากนี้มีการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าเช่าที่ทำกำไรสูงสุดร้อยละ 7.4 ตลอดทั้งปี   ตารางที่ 1 ค่าเช่าของอาคารสำนักงาน แบ่งตามเกรดและการเพิ่มขึ้นของอัตราส่วน (%) ที่มา : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย กราฟที่ 2 ค่าเช่าของอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ แบ่งตามถนนสายหลัก, ไตรมาสที่ 3 - ไตรมาสที่ 4 ปี 2560 ที่มา : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย อุปสงค์ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2560 พื้นที่ที่ถูกครอบครอง มีจำนวนรวมสุทธิอยู่ที่ 4,546,138 ตร.ม. แสดงอัตราการครอบครองโดยรวมอยู่ที่ร้อยละ 91.35 ซึ่งลดลงร้อยละ 1.1 ปีต่อปี แต่กรณีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดทั้งปี อาคารสำนักงานเกรด A มีอัตราการครอบครองอยู่ที่ร้อยละ 94.02 ปรับตัวดีขึ้นตลอดทั้งปี หากเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2560 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 93.51 ในขณะที่อัตราการครอบครองของอาคารเกรด B และเกรด C อยู่ที่ร้อยละ 93.93 และ ร้อยละ 89.07 ตามลำดับ อัตราการครอบครองพื้นที่สุทธิ (หรือปริมาณพื้นที่สำนักงานใหม่ให้เช่า) ในกรุงเทพฯ ไตรมาสที่ 4 ปี 2560 มีจำนวนรวมอยู่ที่ 55,943 ตร.ม. ในขณะที่มีพื้นที่จำนวน 82,639 ตร.ม.ที่ถูกยกเลิกเช่าหรือเวนคืนให้กับเจ้าของ ซึ่งหมายความว่าตลาดมีอัตราการดูดซับสุทธิลดลงอยู่ที -26,696 ตร.ม. อย่างไรก็ตาม ขณะที่ตลาดโดยรวมมีอัตราการครอบครองพื้นที่ลดลง อาคารเกรด A ในช่วงไตรมาสที่ 4 กลับมีอัตราการดูดซับสุทธิที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 24,000 ตร.ม. แต่ในขณะที่อัตราการดูดซับสุทธิที่ปรับลดลงในบางส่วนของอาคารเกรด C เป็นผลมาจากการปิดปรับปรุงชั่วคราวของอาคาร 2 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการอีกครั้งในปลายปี 2562 จากตารางที่ 3 ในปี 2560 อัตราการดูดซับสุทธิโดยรวมมีอยู่เพียง 6,300 ตร.ม.และมีเพียงอาคารเกรด B เท่านั้นที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนคือ อัตราการครอบครองพื้นที่ของอาคารเกรด B ที่ปรับระดับสูงขึ้น และอาคารเกรด C ที่ปรับระดับลดลง อย่างไรก็ตามแนวโน้มนี้ไม่มีในอาคารเกรด A โดยอัตราการครอบครองของอาคารเกรด A ในปี 2560 มีพื้นที่รวม 88,000 ตร.ม. แต่มีพื้นที่ประมาณ 106,000 ตร.ม. ที่เวนคืนให้เจ้าของ นอกจากนี้ผู้เช่าพยายามที่จะควบคุมค่าใช้จ่ายโดยเลือกที่จะย้ายที่ตั้งสำนักงานไปยังอาคารที่มีค่าเช่าต่ำกว่า หรือปรับปรุงประสิทธิภาพของพื้นที่ทำงาน  กราฟที่ 3           อุปสงค์, อุปทานและอัตราการครอบครองของอาคารสำนักงาน, ปี 2555-2560 ที่มา : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย หมายเหตุ : ตัวเลขเหล่านี้ไม่นับรวมอาคารที่มีเจ้าของหลายรายและอาคารที่มีพื้นที่น้อยกว่า 5,000 ตร.ม. ตารางที่ 2 อัตราการครอบครอง แบ่งตามเกรด จากไตรมาสที่ 1 ปี 2558 - ไตรมาสที่ 4 ปี 2560 ที่มา : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ตารางที่ 3 อัตราการครอบครองสุทธิ, อัตราการใช้พื้นที่เพิ่มขึ้น และอัตราการใช้พื้นที่ลดลง แบ่งตามเกรด ที่มา : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย อุปทาน ณ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2560 อุปทานทั้งหมดของพื้นที่อาคารสำนักงานในกรุงเทพฯเติบโตเพิ่มขึ้น 45,121 ตร.ม.โดยจะมีพื้นที่อาคารรวมอยู่ที่ 4,918,131 ตร.ม.หลังจากอาคารใหม่ 5 แห่งเสร็จสมบูรณ์ อาคารเกรด A มีพื้นที่ให้เช่ารวมทั้งหมดอยู่ที่ 1,313,526 ตร.ม.ซึ่งคงที่จากปีก่อน ในขณะเดียวกัน พื้นที่ให้เช่าทั้งหมดของอาคารเกรด B คงอยู่ที่ 2,068,095 ตร.ม. ในขณะที่อาคารเกรด C มีพื้นที่ให้เช่ารวมทั้งหมดประมาณ 1,536,010 ตร.ม. ซึ่งลดลงจากจากปีก่อนที่มีอยู่ 1,614,375 ตร.ม. กราฟที่ 4 อัตราการครอบครองสุทธิ, อัตราการใช้พื้นที่เพิ่มขึ้น และอัตราการใช้พื้นที่ลดลงรายไตรมาส จากไตรมาสที่ 1 ปี 2557 – ไตรมาสที่ 4 ปี 2560 ที่มา : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย หมายเหตุ : ตัวเลขเหล่านี้ไม่นับรวมอาคารที่มีเจ้าของหลายรายและอาคารที่มีพื้นที่น้อยกว่า 5,000 ตร.ม. อุปทานในอนาคต ในปี 2561 จะมีโครงการใหม่เพิ่มเข้าสู่ตลาดอีก 5 แห่ง โดยมีพื้นที่รวมประมาณ 171,110 ตร.ม. นอกเหนือจากโครงการที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างแล้วมีอุปทานใหม่รวม 768,609 ตร.ม.หรือมากกว่าที่จะเข้ามาในตลาดภายในปี 2562-2566 การเพิ่มขึ้นของอุปทานสำนักงานรวมทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 6.0-6.2 ล้านตร.ม.ในปี 2566 กราฟที่ 5 อุปทานและอุปทานใหม่ของสำนักงานในกรุงเทพฯ จากปี 2555-2560 ที่มา : ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย
เขย่าวงการก่อสร้าง รุ่งฟ้าเสริม ผนึกบิ๊กระดับท็อปเท็นของจีน จงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป เปิดตัว “จงเทียน โอเวอร์ซีส์ เอ็นจิเนียริ่ง”

เขย่าวงการก่อสร้าง รุ่งฟ้าเสริม ผนึกบิ๊กระดับท็อปเท็นของจีน จงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป เปิดตัว “จงเทียน โอเวอร์ซีส์ เอ็นจิเนียริ่ง”

รุ่งฟ้าเสริม คอร์ปชั่น จำกัด บริษัทก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ โรงงาน และสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ในประเทศไทย ประกาศร่วมทุนกับยักษ์ใหญ่ก่อสร้างของจีน “จงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป” เปิดตัวบริษัท “จงเทียน โอเวอร์ซีส์ เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ชูจุดต่างด้วยเทคโนโลยีงานการก่อสร้างชั้นสูงและองค์ความรู้ด้านวิศวกรรม ตอบโจทย์ทุกรูปแบบงานก่อสร้างด้วยบริการที่ครบวงจร พร้อมเผยแผนธุรกิจ เดินหน้าพัฒนา โครงการอสังหาริมทรัพย์และเมกะโปรเจ็กต์ ตั้งเป้าขึ้นแท่นเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของไทยได้ในอนาคต มิสเตอร์หลี่ อวี้ จง กรรมการผู้จัดการ บริษัท จงเทียน โอเวอร์ซีส์ เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด  ผู้บริหารระดับสูงของ จงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศจีน จงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป ได้สร้างสรรค์ผลงานหรือโครงการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Create sweet homes with sincere hearts"  "真心缔造美好家园"  โดยมีจุดมุ่งหมายในการสร้างแลนด์มาร์คแห่งใหม่ให้เกิดขึ้น ในเมืองต่างๆ ครอบคลุมทั้งในย่านธุรกิจทั้งในประเทศจีนรวมถึงเขตเทศบาลนคร เขตปกครองตนเอง และ มณฑล กว่า 20 มณฑล อีกทั้งยังขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ทั้งในทวีปแอฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยผลงานที่เป็นที่รู้จักในระดับโลกอย่าง Hangzhou Olympic and International Expo Center โครงการ Zhengzhou Greenland Central Plaza ณ เมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ซึ่งทุกโครงการล้วนแต่สร้างมิติใหม่ในการก่อสร้าง และทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างในฐานะบริษัทที่มีความโดดเด่นด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพ จงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป จะช่วยยกระดับงานด้านวิศวกรรมก่อสร้างในประเทศไทย ให้คนไทยได้ใช้เทคนิคการก่อสร้างและเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งจะเริ่มนำเข้ามาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย เช่น เทคนิคการวางแผนการก่อสร้างด้วยระบบคอมพิวเตอร์ให้ครอบคลุม ทุกกระบวนการ ทั้งการกำหนดปรับเพิ่มประสิทธิภาพคน การใช้วัสดุและการควบคุมการต่อเนื่องของการก่อสร้าง ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียในการก่อสร้าง เป็นต้น โดยทุกโปรเจ็กต์ภายใต้การดำเนินงานของ จงเทียน โอเวอร์ซีส์ เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จะดำเนินการก่อสร้างภายใต้มาตรฐานในระดับสากลที่ให้ความสำคัญกับการก่อสร้างให้ปลอดภัย การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม การใช้เทคโนโลยีในการก่อสร้างต่างๆ จากประเทศจีนมาประยุกต์ใช้ อีกทั้งยังมุ่งที่จะนำเอาองค์ความรู้มาให้บริการ ในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ใน AEC อีกทั้งได้เห็นแนวทางการดำเนินธุรกิจและความแข็งแกร่งทางด้านเครือข่ายลูกค้าของ กลุ่มบริษัทรุ่งฟ้าเสริมฯ  ที่มีความน่าสนใจ จึงเป็นที่มาของการร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท จงเทียน โอเวอร์ซีส์ เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายธุรกิจในสิ้นปีนี้ จะมีรายได้อยู่ในระดับ 2,500 ล้านบาท และตั้งเป้าภายในปี พ.ศ. 2564 จะสามารถโกยยอดรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 5,000 – 10,000 ล้านบาท ได้อย่างแน่นอน นายสุวรรณ ไพศาลเฟื่องฟุ้ง ประธานกลุ่มบริษัท รุ่งฟ้าเสริม คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า จากผลการดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในประเทศไทยมากว่า 30 ปี บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจในการเป็นผู้พัฒนางานวิศวกรรม  รวมถึงงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ให้กับภาครัฐและองค์กรเอกชนมาแล้ว ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม และหลายประเทศในกลุ่ม AEC และด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้น รวมถึงด้วยศักยภาพการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอาเซียน โดยเฉพาะใน AEC  และในประเทศไทย ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน  อีกทั้งยังมีความเป็นรูปธรรมในการลงทุนของภาครัฐ และโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ที่เห็นความชัดเจนมากขึ้น ทำให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจ และด้วยความต้องการให้คนในองค์กรของกลุ่มรุ่งฟ้าเสริมฯ และในประเทศไทยได้มีเวทีที่สามารถพัฒนาศักยภาพและเพิ่มทักษะในอุตสาหกรรมก่อสร้างให้ทัดเทียมกับอารยะประเทศ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ได้ให้ความไว้วางใจมายาวนาน รวมทั้งเห็นว่า กลุ่มยักษ์ใหญ่แห่งวงการก่อสร้างจีนอย่าง จงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป มีความเป็นมืออาชีพ เป็นผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมการก่อสร้างของจีน โดยเฉพาะความแข็งแกร่งทางด้านเทคโนโลยี มีระบบงาน และผลงานในระดับสากลทุกด้าน และเมื่อกว่า3 ปีมาแล้วได้ร่วมทำธุรกิจร่วมทุนในรูปแบบ Joint venture เพื่อสร้างอาคารโครงการสำเพ็ง 2 ทำคอนโดมิเนียม “J-Condo” ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และด้วยระบบงานที่ไปด้วยกันได้ดี จึงได้ร่วมกันเปิด บริษัท จงเทียน โอเวอร์ซีส์  เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด โดยบริษัทใหม่นี้ จะเน้นงานรับเหมาก่อสร้างโครงการในรูปแบบต่างๆ ครอบคลุมทั้งอสังหาริมทรัพย์ ในย่านธุรกิจ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงสาธารณูปโภคของภาครัฐและเอกชน โดยการร่วมทุนในครั้งนี้ มีเป้าหมายในการ          สร้างความแตกต่างและนำเสนอทางเลือกใหม่ให้กับวงการก่อสร้างไทย” นายสุวรรณ กล่าวเสริมว่า เป้าหมายของการเปิดบริษัทร่วมทุนใหม่นี้ เราต้องการสร้างการรับรู้ในฐานะหนึ่งในบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีความพร้อมเป็นมืออาชีพ พร้อมเดินหน้าธุรกิจด้วยการดูแลรักษาลูกค้าเก่า และสร้างฐานลูกค้าใหม่โดยเน้นเจาะกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในย่านธุรกิจ เพื่อปักธงที่จะขยายไปสู่กลุ่มธุรกิจอื่นๆ รวมถึงโครงการสาธารณูปโภคของภาครัฐและเอกชน ให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้เริ่มขยายโอกาสทางธุรกิจ AEC ไปยังประเทศกัมพูชา และมาเลเซีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการในประเภทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรืองานในลักษณะโครงสร้างพื้นฐานตามความสามารถในการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ ในส่วนของแผนการลงทุนอื่นๆ ของบริษัทฯ จะเน้นการลงทุนด้านทรัพยากรบุคคลในการพัฒนาศักยภาพในส่วนงานต่างๆ ให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการลงทุนด้านเครื่องจักร เพื่อตอบสนองกับความต้องการใช้งานของโครงการต่างๆ โดยเฉพาะ จากการที่กำหนดแผนงานและเป้าหมายที่มีความชัดเจน ทำให้เรามั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่สอดคล้องกับนโยบายสร้างพันธมิตร 4 ด้าน ที่บริษัทได้กำหนดเอาไว้ ประกอบด้วย ร่วมเป็นพันธมิตรกับคู่ค้า ผู้ประกอบการ ทั้งในประเทศและนอกประเทศ, ร่วมเป็นพันธมิตรสร้างตราสัญญาลักษณ์ (แบรนด์) ผนวกกับผู้มีชื่อเสียงในประเทศ ในภูมิภาคในงานเฉพาะกิจพิเศษ, พันธมิตรทางด้านผลิตภัณฑ์ ด้วยการวิจัยสร้างนวัตกรรมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ร่วมกัน และ พันธมิตรด้านเครดิต ร่วมกับเจ้าของโครงการและผู้ขายเพื่อสร้างเครดิตร่วมกัน
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยศักยภาพคอนโดพัทยา-หัวหินโตรับอานิสงค์ภาครัฐเชื่อมต่อคมนาคมสู่สองฝั่งอ่าวไทยตะวันออก-ตะวันตก

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยศักยภาพคอนโดพัทยา-หัวหินโตรับอานิสงค์ภาครัฐเชื่อมต่อคมนาคมสู่สองฝั่งอ่าวไทยตะวันออก-ตะวันตก

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร พบสัญญาณลงทุนอสังหาริมทรัพย์พัทยาและหัวหิน ได้ปัจจัยบวกจากการลงทุนคมนาคมของภาครัฐ จากการเชื่อมต่อพัทยาสู่หัวหินทางเรือ เชื่อมต่อการเดินทางจาก ส่งผลให้อุปสงค์การท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์เติบโตต่อเนื่อง ล่าสุดราคาขายคอนโดมิเนียมพัทยาสูงสุดอยู่ที่ 180,000 บาทต่อตารางเมตร ช่วง 5 ปีเติบโตสูงสุดที่ 36% ขณะที่คอนโดมิเนียมหัวหินราคาเสนอขายสูงสุดที่ 140,000 บาทต่อตารางเมตร ผลตอบแทนการขายต่อสูงถึง 59% นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า จากการสำรวจของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ พบว่า อสังหาริมทรัพย์ในทำเลเมืองท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตดี โดยเฉพาะเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เช่นในพื้นที่พัทยาและหัวหิน เนื่องจากภาครัฐได้พัฒนาระบบคมนาคมเชื่อมการเดินทางทั้งการลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินสู่ภาคตะวันออก ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหิน และโครงการทางพิเศษสายพระราม3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก ทั้งยังมีการเชื่อมโยงเมืองท่องเที่ยว 2 ฝั่งอ่าวไทยเข้าด้วยกันโดยได้เปิดบริการเรือเฟอร์รี่จากหัวหิน-พัทยา ตั้งแต่ต้นปี 2560  สามารถลดระยะเวลาการเดินทางจาก 5-6 ชั่วโมงทางรถยนต์ ให้เหลือเพียง 1 ชั่วโมง 40 นาทีเท่านั้น  ซึ่งในอนาคตจะมีการขยายการเชื่อมโยงมายังท่าเรือกรุงเทพฯ  นับเป็นการกระตุ้นทั้งด้านการท่องเที่ยวและดึงดูดการลงทุนไปในตัว น่าจะทำให้นักท่องเที่ยวกระจายตัวมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอุปสงค์ด้านการท่องเที่ยวและความต้องการบ้านพักหลังที่ 2 เพิ่มมากขึ้น สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ของพัทยาและหัวหินปัจจุบันพบว่าเติบโตขึ้นอย่างน่าสนใจ โดยในส่วนของพัทยา ปี 2560 พบอุปทานเสนอขายคอนโดมิเนียมถึง 55,641 ยูนิต ได้รับการตอบรับแล้วสูงถึง 85% เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จึงเหลือยูนิตคงค้างเพียง 8,496 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะขายหมดในเวลา 15 เดือน โดยราคาเฉลี่ยที่เสนอขายในทุกโซนพัทยาอยู่ที่ 95,000 – 100,000 บาทต่อตารางเมตร และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบว่าราคาเสนอขายเติบโตสูงถึง 28% ซึ่งคาดว่าหากมีโครงการใหม่ราคาจะเติบโตไปได้ถึง 100,000 – 150,000 บาท ด้านอุปสงค์พบว่า โครงการที่มีราคาเสนอขายมากกว่า 120,000 บาทต่อตารางเมตร มีอุปสงค์ขยายตัวสูงขึ้นทุกปี จากปี 2556-2560 โดยสูงขึ้นถึง 159% และยังพบโครงการระดับบนที่มีราคาขายสูงถึง 180,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยรวมทั้งตลาด การตอบรับในช่วงเปิดตัวของโครงการเหล่านี้เคยสูงถึง 10 Fยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ซึ่งคาดว่าราคาเสนอขายยังจะเติบโตขึ้นได้อีก โดยเฉพาะพื้นที่แถวพัทยากลางที่เหลือพื้นที่พัฒนาโครงการน้อยและยังเป็นแหล่งรวมสีสันของเมืองพัทยาและมีราคาที่ดินสูงถึงตารางวาละ 400,000 บาท  จึงเป็นไปได้ว่าในอนาคตทำเลนี้จะกลายเป็นทำเลทอง ไม่เพียงเท่านี้ผลตอบแทนจากการขายต่อในแต่ละปีมีการเติบโตสูงราว 21-36% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สำหรับตลาดปล่อยเช่ายังเติบโตดี ห้องชุดปล่อยเช่าให้ต่างชาติมีราคาเฉลี่ย 600-700 บาทต่อตารางเมตร โครงการแนวสูงจะได้รับความนิยม ผลตอบแทนการเช่าเฉลี่ย 4-5% ต่อปี โดยผู้เช่ายังทำสัญญาเช่าระยะยาวต่อเนื่อง ซึ่งอย่างน้อยนิยมเข้าพักราว 2-3 เดือนต่อครั้ง ในปี 2560 จำนวนผู้เช่าเติบโตขึ้นถึง 54% ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่พัทยาเติบโตมาจากการท่องเที่ยวเป็นตัวผลักดันที่สำคัญ ข้อมูลจากเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมามีปริมาณนักท่องเที่ยวในชลบุรีกว่า 15 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อน รายได้จากการท่องเที่ยวเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ย 17% หรืออยู่ที่กว่า 2 แสนล้านบาท พื้นที่พัทยาจึงเป็นอีกทำเลที่น่าลงทุน ขณะที่ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ทำเลหัวหินล่าสุดพบว่า อุปทานเสนอขายคอนโดมิเนียมในพื้นที่หัวหินและชะอำอยู่ที่ 11,641 ยูนิต มียอดตอบรับแล้ว 78% โดยในพื้นที่หัวหิน ราคาเสนอขายเฉลี่ยประมาณ 90,000 บาทต่อตารางเมตร แต่หากเป็นโซนใกล้ทะเล ราคาเสนอขายจะอยู่ในช่วง 91,000 – 96,000 บาทต่อตารางเมตร โดยพบราคาเสนอขายโครงการสูงถึง 140,000 บาทต่อตารางเมตร ในโครงการเลียบชายหาด สำหรับพื้นที่ศักยภาพอย่างโซนตัวเมืองหัวหินและโซนใกล้ทะเล รวมถึงโซนเขาตะเกียบ ปัจจุบันพบอุปทานอยู่ที่ 4,274 ยูนิต มียอดตอบรับแล้ว 77% ทำให้ปัจจุบันเหลือยูนิตคงค้างเพียง 967 ยูนิตเท่านั้น โดยราคาเฉลี่ยของโซนนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 15% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับพื้นที่หัวหินในภาพรวม ตลาด Resale ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา พบว่าราคาเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ผลตอบแทนการขายต่อสูงถึงราว 59% ส่วนการปล่อยเช่าก็ยังสร้างผลตอบแทนสูงราว 4-5% ต่อปี และมีผู้สนใจเข้าพักอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาวที่ต่างชาตินิยมมาพักอาศัยเฉลี่ยครั้งละ 1.5 – 3 เดือน และคนไทยที่ทำงานในหัวหินนิยมทำสัญญาเช่าระยะยาว อัตราการพักอาศัยสูงถึง 86% ซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี ปัจจัยที่สนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ของหัวหินจะมาจากภาคการท่องเที่ยว ซึ่งหัวหินเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของชาวไทยและต่างประเทศ และยังมีความปลอดภัยสูง เป็นเมืองคลาสสิกที่รวมเอาเอกลักษณ์ของยุคตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 มาผสานกับยุคปัจจุบันที่ห้อมล้อมด้วยความเจริญได้อย่างลงตัว นอกจากทะเลแล้วยังมีแลนด์มาร์คแห่งใหม่อย่างศูนย์การค้าบลูพอร์ตหัวหิน ที่ช่วยยกระดับการท่องเที่ยวขึ้นอีก โดยปีที่ผ่านมามีปริมาณนักท่องเที่ยวในประจวบฯ จำนวนกว่า 4.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน “การลงทุนในอสังหาฯ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ในพัทยาและหัวหินนับว่ามีแนวโน้มดีและน่าจับตามองมากขึ้น เพราะเป็นทำเลที่มีโอกาสเติบโตอย่างน่าสนใจจากการเชื่อมโยงเมืองหลวงกับเมืองท่องเที่ยวฝั่งอ่าวไทย ตลอดจนเชื่อมเมืองท่องเที่ยวสำคัญในฝั่งอ่าวไทยเข้าด้วยกัน น่าจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวไหลเวียนระหว่างกันได้มากขึ้น คาดว่าจะทำให้เกิดความต้องการซื้อมากขึ้น ทั้งซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 และซื้อเพื่อการลงทุน เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงในอนาคต ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้การลงทุนในตลาดคอนโดคึกคักมากขึ้น” นายอนุกูล กล่าว
ชาญอิสระ เปิดมิกส์ยูส “อาณาจักรทิวทะเล” แห่งแรกในหัวหิน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใกล้ธรรมชาติ

ชาญอิสระ เปิดมิกส์ยูส “อาณาจักรทิวทะเล” แห่งแรกในหัวหิน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใกล้ธรรมชาติ

ร่วมอิสสระ เดินหน้าพัฒนามิกส์ยูส "อาณาจักรทิวทะเลเอสเตท" เต็มรูปแบบแห่งแรกในหัวหิน ชูคอนเซปต์ความครบวงจร มุ่งสู่ความเป็น The Ultimate Luxury Beachfront Community ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในวันพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติ นายสงกรานต์  อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางอสังหาริมทรัพย์ของตลาดชะอำ-หัวหิน ว่ายังมีการเติบโตที่ดีขึ้นหลังจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีความซบเซา โดยสังเกตได้จากการขึ้นโครงการใหม่ๆ ที่ผ่านมายังค่อนข้างน้อย แต่ในช่วงจากนี้ไปมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ ชะอำ-หัวหิน จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยมีปัจจัยหนุนจากภาครัฐที่มีแผนพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ อาทิการสร้างทางด่วนยกระดับพระราม2 ลอยฟ้า กรุงเทพฯ-ราชบุรี และทางด่วนใหม่เชื่อมพระราม 3-วงแหวน รวมถึงรถไฟฟ้าความเร็วสูง กรุงเทพฯ ที่จะช่วยให้การเดินทางมาชะอำ-หัวหินมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น “จากปัจจัยด้านสาธารณูปโภคต่างๆ ดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันให้เมืองชะอำ-หัวหิน เป็นเมืองที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยว อีกทั้งยังส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจการค้าให้เติบโตตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ของดีเวล็อปเปอร์ต่างๆ สนามกอล์ฟระดับเวิลด์คลาส แหล่งท่องเที่ยว ร้านอาหาร สถานบันเทิงใหม่ๆ ที่จะเข้ามาช่วยดึงความน่าสนใจให้กับเมืองชะอำ-หันหินให้เป็นแลนด์มาร์คยอดฮิตที่นิยมจากอดีตจนถึงปัจจุบันได้อีกด้วย” นายสงกรานต์ กล่าว ทั้งนี้ในส่วนของโครงการ “อาณาจักรทิวทะเลเอสเตท” ซึ่งเป็นโครงการการร่วมทุนกันระหว่างบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน)  ภายใต้ชื่อ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ชะอำ-หัวหิน เนื้อที่ประมาณ 110 ไร่  ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก หลังจากที่เปิดตัวการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในรูปแบบ Mixed Use ไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาในปัจจุบันมีโครงการแล้วเสร็จรวม 4 โครงการ ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนี่ยมติดทะเล ได้แก่ โครงการบ้านทิวทะเล อความารีน (Aquamarine) ปัจจุบันมียอดขายไปแล้วกว่า 97%, โครงการบ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ (Blue Sapphire) ปัจจุบันมียอดขายไปแล้วกว่า75%, โครงการบลู (Blu) ปัจจุบันมียอดขายไปแล้วกว่า 50% นอกจากนี้ยังมีโครงการใหม่ที่เพิ่งเปิดดำเนินการไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้แก่โครงการ Baba Beach Club Hotel & Residences Hua hin ปัจจุบันมียอดขายในส่วนของเรสซิเดนซ์ ไปแล้วกว่า 70% รวมถึงยังมีในส่วนของ “บ้านโชค” ซึ่งเป็นบ้านพักตากอากาศเก่าแก่ของตระกูลโชควัฒนา ในสไตล์หัวหินโคโลเนียล ซึ่งได้มีการปรับรีโนเวทจากอาคารไม้หลังเดิมให้กลายเป็นอาคารโครงสร้างเหล็กที่ยังคงมีความทรงจำดีๆ ของบ้านโชคให้เป็นส่วนหนึ่งภายในอาณาจักรทิวทะเลเอสเตทที่จะเป็นทั้งสถานที่ตากอากาศ ร้านอาหาร คาเฟ่ ห้องประชุม สถานที่จัดเลี้ยง งานแต่ง และพื้นที่จัดกิจกรรมดีๆ ริมทะเลสวยๆ อีกด้วย “ตลาด Mixed Use ชะอำ-หัวหิน ยังมีอยู่น้อยมาก หรือเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ เพราะการหาทำเลที่มีพื้นที่กว้างขวางค่อนข้างหายาก ดังนั้นเมื่อทิวทะเลเอสเตทมีทำเลที่ตั้งที่ดีจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาโครงการในลักษณะ Mixed Use ที่ผสมผสานทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย เพื่อการพักผ่อน และเพื่อการพาณิชย์ ที่รวมบ้านเดี่ยว คอนโด โรงแรม ในทำเลติดชายหาดยังมีอยู่น้อยมาก จึงนับได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีของเราในการรุกตลาด Mixed Use ด้วยจุดเด่นของการมีทำเลที่ดี ทุกโครงการสามารถตอบโจทย์การพักอาศัยให้กับทุกๆ ไลฟ์สไตล์ที่มา พร้อมกับการให้บริการเต็มรูปแบบ ซึ่งเราถือว่าเราเป็นเจ้าแรกที่ทำโครงการ Mixed Use ที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ชะอำ-หัวหินออกมาได้สำเร็จ” นายสงกรานต์ กล่าว อย่างไรก็ตามในส่วนของแผนการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในอนาคต ภายใต้อาณาจักรทิวทะเลเอสเตท บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาในรูปแบบรีสอร์ท มีคอมเมอร์เชียลสไตล์ใหม่ๆ เอ้าท์ดอร์เพลย์กราวด์ เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้ตรงทุกกลุ่ม และให้มีความแตกต่าง จากทุกโครงการที่พัฒนาออกมาเสริมเติมเต็มการให้บริการในทุกๆ รูปแบบ โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อเนรมิตให้อาณาจักรทิวทะเลเอสเตทแห่งนี้ คือศูนย์รวมความครบวงจรสำหรับผู้ที่เข้ามาใช้บริการ และมุ่งสู่ความเป็น The Ultimate Luxury Beachfront Community ด้านนายดิฐวัฒน์  อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด เปิดเผยว่าหลังจากที่เปิดตัวทุกโครงการที่พัฒนาออกมาบนพื้นที่ของอาณาจักรทิวทะเลเอสเตทไปแล้วทั้งหมด 4 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 7,200 ล้านบาท ซึ่งได้ดำเนินการพัฒนาพื้นที่ไปแล้วประมาณ 50 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 110 ไร่ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เนื่องจากแต่ละโครงการมีความโดดเด่น และสร้างไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน สามารถตอบโจทย์ได้กับทุกกลุ่มเป้าหมาย “ความเป็นโครงการ Mixed Use ของเราจุดเด่นๆ คือการที่เรามีทำเลที่ดี มีหน้าหาดยาวถึง 160 เมตร ทุกโครงการของเราติดทะเล ซึ่งเป็นส่วนช่วยเติมเต็มความสุขให้กับทุกคนที่เข้ามาพักผ่อนได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ความมีชื่อเสียงของ     บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนกันระหว่างบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ก็ยิ่งเป็นส่วนช่วยสร้างความมั่นใจ ด้วยประสบการณ์การพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ของบริษัททำให้ลูกค้ามีความไว้วางใจและเชื่อมั่นว่าโครงการต่างๆ ที่พัฒนาออกมาบนพื้นที่อาณาจักรแห่งนี้จะไม่ละทิ้งลูกบ้าน แต่เราจะยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการอื่นๆ ต่อไปอีก นอกจากนี้การที่เราเป็นอาณาจักรทิวทะเลเอสเตทแบบนี้ สะท้อนให้เห็นว่าเราไม่ใช่โปรเจคที่เป็นแสตนอโลน ไม่ได้ทำเพียงโปรเจคเดียวแล้วจบ แต่เรายังมีแผนที่จะค่อยๆ พัฒนาโครงการดีๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเรายังมีความตั้งใจที่จะสร้าง Community ริมหาดที่ดีที่สุดในเอเชีย ที่มาพร้อมกับความปลอดภัย สิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงบริการต่างๆ ที่เหนือกว่าคู่แข่ง เราอยากให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในอาณาจักรแห่งนี้คือครอบครัวเดียวกัน คือพี่น้องกัน สามารถใช้สาธารณูปโภคต่างๆ ที่อยู่ภายในอาณาจักรทิวทะเลเอสเตทได้ทั้งหมด นอกจากนี้ ในส่วนของโรงแรมก็จะเป็นส่วนกลางที่เข้ามาสร้างมูลค่าในการให้บริการลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย” นายดิฐวัฒน์ กล่าว ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของอาณาจักรทิวทะเลเอสเตท ล่าสุดได้เปิดตัวภาพยนตร์ โฆษณาชุดแรก “ความทรงจำดีดี.....สู่ทิวทะเลเอสเตท” เพื่อเป็นการสื่อถึงความทรงจำดีๆ ในวัยเด็กของตัวเอง ความผูกพันกับพื้นที่แห่งนี้ ที่ได้สร้างความสุขระหว่างตนเองและครอบครัว จึงได้เกิดเป็นโปรเจค “ทิวทะเลเอสเตท” ที่ต้องการจะแชร์ความสุข ความผูกพัน ความทรงจำดีๆ ให้กับทุกๆ คน ได้เข้ามาใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า และมาร่วมสร้างความทรงจำที่ “ทิวทะเลเอสเตท” แห่งนี้ด้วยกัน ซึ่งได้ออนแอร์ไปแล้วผ่านทางออนไลน์ FB : Thew Talay Estateและช่อง Money Channel, รายการ Perspective MCOT 30 นายดิฐวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการขายและการตลาดของทิวทะเลเอสเตทว่า นอกจากการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณานี้แล้ว ยังจะมีการจัดกิจกรรมหรืออีเว้นท์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายและเพิ่มไลฟ์สไตล์ให้กับลูกค้า โดยในวันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2561 เตรียมจัดงาน  “Thew Talay Estate Beat of Life @ Baba Beach Club Hotel & Residences Hua hin”  ขึ้น โดยไฮไลท์ภายในงานพบกับคอนเสิร์ตจาก บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์, แฟชั่นโชว์จาก Elle ฯลฯ,  Water Sport by Iconic Studio นอกจากนี้จะมีโปรโมชั่นจากทุกโครงการ “วันเดียว ราคาเดียว” อีกด้วย ขณะที่นายวรสิทธิ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีพันวา แมเนจเมนท์ จำกัด และบริษัท อิสสระ จุนฟา จำกัด เปิดเผยว่าในส่วนของโรงแรมบาบา บีช คลับ หัวหิน หลังจากที่ทำการเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อาทิ จีน ไต้หวัน แคนาดา และยุโรป เป็นอย่างดี สำหรับลูกค้าคนไทย โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มของลูกค้าที่เคยใช้บริการที่โรงแรมศรีพันวา เพื่อเป็นการเปลี่ยนประสบการณ์การพักผ่อนใหม่ๆ กับโรงแรมน้องใหม่ที่อยู่ภายใต้การบริหารแบบมืออาชีพจาก ศรีพันวา “ด้วยความที่โรงแรมมีทีมบริหารงานมืออาชีพอย่างศรีพันวา จึงทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในบริการที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งรูปแบบการดีไซน์ของห้องพักทุกห้องมีสระว่ายน้ำ สร้างความเอ็กซ์คลูซีฟให้ได้สัมผัสกับวิวทะเลทุกห้อง ชูคอนเซปต์ความเป็น Music Lovers Hotel ใช้เสียงเพลงถ่ายทอดความประทับใจสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นบาบา บีช คลับ อีกทั้งในทุกๆ สัปดาห์เราจะมีการจัดกิจกรรม อาทิ ดีเจ และ Live Entertainment รวมถึงการจัดอีเว้นท์พิเศษพูลปาร์ตี้ Baba Beach Pool Party ซึ่งจัดทุกเสาร์สุดท้ายของเดือน เพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับแขกที่เข้ามาและแขกทั่วไปได้มีกิจกรรมสันทนาการ ” นายวรสิทธิ กล่าว อย่างไรก็ตามในส่วนของแผนการพัฒนาโรงแรมในระยะต่อไป มีแผนที่จะพัฒนาโรงแรมเพิ่มอีก 49 ห้อง พร้อมพัฒนาพื้นที่ให้มีห้องบอลรูม ห้องประชุมขนาดใหญ่ คูลสปา คิดส์คลับ ร้านอาหารซึ่งคาดว่าจะน่าเปิด ช่วงในปี 2020 เพื่อเป็นการขยายพื้นที่รองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวชะอำ-หัวหิน มากขึ้น โดยจากข้อมูลการท่องเที่ยวชะอำ-หัวหิน ในปี 2558 ที่ผ่านมามีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยและเดินทางท่องเที่ยวชะอำ-หัวหิน ทั้งหมด 4,835,371 คน และ 5,923,321 คน ตามลำดับ ซึ่งมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งชะอำ-หัวหิน ยังมีเป็นเมืองที่มีความน่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยว การเดินทางสะดวกสบาย ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 2 ชั่วโมง
3 สมาคมอสังหาฯ ปลื้มมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 38 ยอดจองทะลุเป้า

3 สมาคมอสังหาฯ ปลื้มมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 38 ยอดจองทะลุเป้า

สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ประกาศความสำเร็จหลังการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 หลังยอดขาย ยอดขอสินเชื่อ และยอดคนเดินงานทะลุเกินเป้า นายวรัทภพ แพทยานันท์ ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 เปิดเผยถึงความสำเร็จของงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 ว่า ตลอดการจัดงาน 4 วัน ตั้งแต่ 15 - 18 มีนาคมที่ผ่านมา ภายใต้คอนเซ็ปต์ “กำจัดทุกข้อจำกัด ให้เรื่องเป็นอยู่เป็นเรื่องง่าย” รวมเหล่าผู้ประกอบการเกือบ 200 บริษัทจากทั่วประเทศที่นำโครงการที่มีอยู่เดิม และกำลังเปิดใหม่มาเปิดจองขายกว่า 1,000 โครงการ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ อีกทั้งยังมีบริการสินเชื่อจากสถาบันการเงินชั้นนำเสนอแก่ลูกค้า ซึ่งตลอด 4 วัน มีผู้เข้างานกว่า 100,000 คน และมียอดจองซื้อที่อยู่อาศัยภายในงานกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าหลังจบงานจะมียอดขายตามมาอีก ไม่ต่ำกว่าแปดพันล้านบาท โดยประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจองซื้อภายในงานมากที่สุด 3 ลำดับแรกได้แก่ คอนโดมิเนียม รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ นอกจากนี้ ยังมียอดขอสินเชื่อกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท “จากผลสำรวจภายในงานสำรวจว่าเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์มากว่านักลงทุน และจากตัวเลขยอดจองภายในงานที่เพิ่มขึ้นน่าจะมาจากปัจจัยหลายประการ ทั้งจากการที่สภาวะเงินเฟ้อและดอกเบี้ยเงินกู้ในปัจจุบันไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่สูงมากนัก ผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา การที่ผู้ประกอบการนำโครงการใหม่มาเปิดตัว เปิดพื้นที่ทำเลใหม่ ตลอดจนโปรโมชั่นที่หลากหลายรูปแบบอาทิเช่น ส่วนลด ของแถม ฟรีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการให้อยู่ฟรีได้หลายปี เป็นต้น อีกทั้งสถาบันการเงินยังนำแพ็คเกจสินเชื่อมานำเสนอเพื่อช่วยให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น” นายวรัทภพ กล่าว สำหรับการประมวลผลข้อมูลผู้ลงทะเบียนเข้าชมงาน โครงการที่อยู่อาศัยที่ได้รับความสนใจจองซื้อมากที่สุดเป็นสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวคิดเป็น 42.56% รองลงมาเป็นคอนโดมิเนียม 31.69% ทาวเฮ้าส์ 15.31% ที่เหลือเป็นสินค้าประเภทบ้านแฝดและอื่นๆ ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งผู้เข้าชมงานกว่า 55.28% เป็นผู้เข้าชมงานมหกรรมฯ เป็นครั้งแรก และอีกประมาณ 43.72% เป็นผู้ที่เคยมาเข้าชมงานในครั้งก่อน ผู้เข้าชมงานกว่า 35.04% อยู่ในช่วงอายุ 21-30 ปี รองลงมา 32.47% อยู่ในช่วงอายุ 31-40 ปี และ15.14% อยู่ในช่วงอายุ 41-50 ปี ด้านรายได้ส่วนตัวต่อเดือน พบว่าส่วนใหญ่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท 35.37%  มีรายได้ ระหว่าง 30,000 – 50,000 บาท 26.09% และมีรายได้เกิน 50,000 บาท 12.94% ระยะเวลาที่ต้องการซื้อในอนาคต 1-2 ปี อยู่ที่ 20.32% ระยะเวลา 6-12 เดือน 19.27% และซื้อภายในงาน 13.40% ผลสำรวจด้านงบประมาณในการซื้อที่อยู่อาศัยแต่ละประเภทระบุว่า ผู้เข้าชมงาน 27.33% ต้องการที่อยู่อาศัยระดับ ราคา 2-3 ล้านบาท 26.46% ต้องการระดับ 1-2 ล้านบาท 18.96% ต้องการราคา 3-4 ล้านบาท และมีเพียง 6.25% ที่สนใจที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท สำหรับงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 ตุลาคม 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีคุณปิติพัฒน์ ปรีดานนท์ สมาคมอาคารชุดไทย ได้รับเกียรติเป็นประธานในการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39
อัลติจูด วางเป้า 3 ปีเปิดโครงการรวม 7,000 ลบ. หวังขึ้นแท่น Top3 ในเซ็กเม้นท์

อัลติจูด วางเป้า 3 ปีเปิดโครงการรวม 7,000 ลบ. หวังขึ้นแท่น Top3 ในเซ็กเม้นท์

อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดแผนรุก วางแผนโต 3 ปี ตั้งเป้าเปิดตัวโครงการ 7,000 ล้านบาท เจาะตลาด Young Success มั่นใจปีนี้กวาดรายได้ 1,200ล้านบาท หวังชิง Top 3 ในเซ็กเม้นท์บ้านลักซัวรี่ราคา 20 ล้านบาท และโฮมออฟฟิตราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งพัฒนาโครงการทั้งแนวราบและแนวสูงระดับลักซัวรี่ใจกลางเมือง เปิดเผยว่า ทีมผู้บริหารได้วางกลยุทธ์ในดำเนินธุรกิจของบริษัท คือ พัฒนาที่อยู่อาศัยกลางเมืองทั้งแนวราบ และแนวสูง บนขนาดที่ดินไม่ใหญ่มาก เพราะที่ดินในเมืองหายากขึ้นทุกวัน แต่ในทางกลับกัน ที่ดินประเภทนี้เป็นที่ต้องการของ ผู้บริโภคจำนวนมาก ซึ่งอัลติจูดจะเข้ามาจับตลาดกลุ่มนี้ซึ่งเป็นตลาดที่มี Demand มาก แต่กลับมี Supply น้อย และเราใช้ช่องว่างทางการตลาดนี้ มาเป็นกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจของเรา โดยมุ่งพัฒนาให้เป็นโครงการที่เป็น Niche Luxury มุ่งเจาะกลุ่มผู้ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย หรือ  Young Success ที่ต้องการอยู่อาศัยในเมือง เพราะเดินทางสะดวก มีไลฟ์สไตล์ในแบบที่ต้องการ และยังสะท้อนภาพลักษณ์ของผู้ครอบครองได้เป็นอย่างดีด้วยกลยุทธ์นี้เรามั่นใจว่าจะผลักดันให้ อัลติจูด ขึ้นแท่นเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับ Top 3 ในเซ็กเม้นท์ สำหรับบ้านลักซัวรี่ราคา 20 ล้านบาท และ โฮมออฟฟิตราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ภายใน 3 ปี ที่ผ่านมาเราเปิดขายโครงการแล้ว ทั้งสิ้น 5 โครงการ คือ  บ้านเดี่ยว 1 โครงการ ได้แก่ อัลติจูด มาสเตอรี่,  โฮมออฟฟิต 1 โครงการ คือ  โครงการอัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ ส่วนคอนโดมิเนียมมีอีก 3 โครงการ คือ  อัลติจูด ดีไฟน์, อัลติจูด สามย่าน-สีลม และโครงการ โอกาส ซึ่งทุกโครงการ ล้วนได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีมาก  สำหรับในปี 2561 นี้ เราเปิดขายอีก 4 โครงการ มูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแนวราบ 2 โครงการ ได้แก่ บ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ อัลติจูด มาสเตอรี่ 1 โครงการ, โฮมออฟฟิต 1 โครงการ ได้แก่ โครงการอัลติจูด พรูฟ พระราม 9 และ คอนโดมิเนียม อีก 2 โครงการ โดยอยู่ย่านเจริญกรุง 1 โครงการ และอีก 1 โครงการ เป็นแบรนด์ใหม่ ชื่อ อาสะ (ASA) อยู่ที่โรจนะ จังหวัดอยุธยา ติดกับโลตัส โรจนะ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายที่ 2,000 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้อยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งมาจากการโอนโครงการที่เปิดขายเมื่อปีที่แล้ว คือ โครงการอัลติจูด มาสเตอรี่, อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์  และคอนโดอีก 2 โครงการ การวางแผนขึ้นสู่การเป็น Top 3 ในเซ็กเม้นท์สำหรับบ้านลักซัวรี่ราคา 20 ล้านบาท และ และโฮมออฟฟิตราคา 10 ล้านบาขึ้นไป ทำให้บริษัทต้องวางแผนการดำเนินงานอย่างรอบคอบ เพราะเราต้องการรับรู้รายได้และต้องการยอดโอนในทุกไตรมาส ทำให้เราต้องเข้มข้นในการวางแผนการพัฒนาโครงการ ซึ่งจะพัฒนาแนวราบกับแนวสูงควบคู่กันไป โดยในช่วงระยะเวลา 3 ปีต่อจากนี้ไป เราวางเป้าเปิดตัวโครงการถึง 7,000 ล้านบาท ด้านนายขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย กรรมการบริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เผยถึงการสร้างแบรนด์ และการทำงานด้านการตลาดว่า โจทย์ที่ได้รับมา คือ ต้องทำการตลาดเพื่อส่งให้แบรนด์สินค้า และแบรนด์บริษัทเกิดการจดจำให้ได้ ด้านการทำแบรนด์สำหรับสินค้านั้น  เราได้วาง Brand Segmentation ผ่านชื่อโครงการ ได้แก่ 1) แบรนด์อัลติจูด มาสเตอรี่ (Mastery) ซึ่งเป็นแบรนด์สำหรับบ้านเดี่ยวระดับลักซัวรี่ ราคาประมาณ 20-45 ล้านบาท  2) แบรนด์อัลติจูด พรูฟ (Prove) เป็นแบรนด์สำหรับโฮมออฟฟิต ราคาประมาณ 10 ล้านบาทขึ้นไป  และ 3) คอนโดมิเนียมแบรนด์อัลติจูด ซึ่งจะเป็นแบรนด์สำหรับคอนโดลักซัวรี่กลางเมือง  และ 4) คอนโดมิเนียมแบรนด์ อาสะ (ASA) ซึ่งจะเป็นสินค้า เดียวที่อัลติจูดพัฒนาขึ้นมาโดยเป็น Effortable Condo โดยโครงการแรกที่กำลังจะเปิดตัว คือ โครงการอาสะ อยุธยา-โรจนะ การวางแบรนด์สินค้าที่ชัดเจน จะสร้างการจดจำที่ง่ายขึ้น ทำให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าของบริษัทได้ง่ายขึ้นด้วย  สำหรับในปี 2561 เราเน้นการสร้างแบรนด์ผ่านโลกดิจิตอล และบุกทุกสื่อ เพื่อสร้างการรับรู้ ให้รู้จักแบรนด์อัลติจูด ให้มากที่สุด ทั้ง Below the line และ Above the line เพื่อทำการตลาดทั้งการสร้างแบรนด์บริษัท และแบรนด์สินค้า ควบคู่กันไป "สำหรับมุมมองด้านภาพรวมของตลาดอสังหาฯเชื่อว่าในทุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีช่องว่างที่มี demand มากกว่า supply เสมอ หากเราวิเคราะห์ตลาดได้ชัดเจน และสร้างความแตกต่างได้ เราก็สามารถเติบโตได้ เช่น ตลาดแนวราบชานเมืองปัจจุบันยังมีที่จัดสรร รอสร้าง รอโอน เหลือเป็นจำนวนมากพอสมควร หลายโครงการ มีต้นทุนต่ำ เพราะเป็นที่ดินที่ซื้อสะสมไว้ก่อนหน้า แต่หากผู้พัฒนาโครงการรายใหม่ที่ไม่มีที่ดินสะสมมาก่อน หรือเข้าสู่ ตลาดภายหลัง อาจมีจะความเสียเปรียบ และต้องเฉลี่ยกับหลายๆ โครงการที่มีอยู่ก่อน เรามองถึงโอกาส ในการเติบโต มองช่องทางใหม่ๆ เช่น คอนเซ็ปต์ บ้านหรูใจกลางเมือง หรือ โฮมออฟฟิตใจกลางเมือง มีโครงการใหม่เกิดขึ้นน้อย และแทบไม่มีโครงการสะสมรอขายเลย แต่ demand ยังคงมีสม่ำเสมอ อีกทั้งราคาต่อหน่วย ที่ถีบตัวสูงขึ้นทำให้ โครงการที่มีเพียงไม่กี่ยูนิต แต่มีมูลค่าของโครงการสูงกว่าโครงการแนวราบขนาดใหญ่ชานเมือง สามารถเติบโตได้ดี ซึ่งโครงการขนาดไม่ใหญ่มากแบบนี้ สามารถสร้างยอดขายและยอดรับรู้ได้รวดเร็ว เพียงแต่ผู้ประกอบการจำเป็นต้อง มีศักยภาพในด้านการตลาด การขาย การออกแบบ และการควบคุมคุณภาพ งานก่อสร้างให้ดีด้วย”นายขวัญชัยกล่าว
ดีคอนโปรดักส์ ปั้น “ดีคอน ไพร์ม” ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง เริ่มต้นเพียง 1.65 ลบ.พร้อมโปรสุดช็อค จอง-แจก-จับ

ดีคอนโปรดักส์ ปั้น “ดีคอน ไพร์ม” ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง เริ่มต้นเพียง 1.65 ลบ.พร้อมโปรสุดช็อค จอง-แจก-จับ

ดีคอน โปรดักส์ เผยโฉม “ดีคอน ไพร์ม ริเวอร์ฟรอนท์ รัตนาธิเบศร์” สูง 38 ชั้น สร้างเสร็จพร้อมอยู่ ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง ราคาเริ่มต้น 1.65 ล้านบาท พร้อมโปรสุดช็อค “จอง แจก จับ” จับห้องราคา 999,999 บาท หรือ รับ Cashback 500,000 บาท วันที่ 31 มี.ค.นี้ วันเดียวเท่านั้น นายวิทวัส พรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรดา จำกัด บริษัทในเครือของ บมจ.ดีคอนโปรดักส์ หรือ DCON กล่าวถึงการเปิดขายโครงการดีคอน ไพร์ม ริเวอร์ฟรอนท์ รัตนาธิเบศร์ ว่า โครงการนี้เป็นคอนโดมิเนียมสูง 38 ชั้น จำนวน 638 ยูนิต ร้านค้า 3 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม1,600 ล้านบาท ทำงานอยู่กับผู้พัฒนาโครงการมามาก ทำให้ทราบดีว่าโครงการประเภทไหนต้องการวัสดุแบบใด จึงตั้งใจนำเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่สั่งสมมา มาพัฒนาโครงการเพื่อให้ได้โครงการที่มีคุณภาพสูง บนทำเลที่ดีเยี่ยม เพื่อตอบสนองกลุ่มผู้ซื้อที่ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาสบายๆ หรือกลุ่มที่กำลังเริ่มต้นทำงาน และกำลังหาที่อยู่อาศัยดีและคุ้มค่า โดยโครงการ ดีคอน ไพร์ม ริเวอร์ฟรอนท์ รัตนาธิเบศร์ (dcon prime Riverfront Rattanathibet) เป็นโครงการแนวสูงโครงการแรก เน้นเรื่องทำเลและสเปควัสดุ ผู้ออกแบบ และผู้รับเหมาชั้นนำเป็นหลัก เน้นความเป็นอยู่ระดับโรงแรมหรู เพื่อให้ลูกค้าสามารถจับจองเป็นเจ้าของผ่อนได้สบายๆ เพราะเป็นปัจจัยที่สำคัญของการซื้อที่อยู่อาศัย “ทำเลที่เป็นจุดเด่น คือ ทำเลที่สามารถสามารถเดินทางได้สะดวก ซึ่งที่ตั้งของโครงการนี้ ตั้งอยู่บนเส้นรถไฟฟ้าสายสีม่วง กลางสถานีไทรม้า เดินเพียง 2 นาทีถึงบันไดสถานี สามารถเดินทางเข้าเมืองได้อย่างสะดวกสบายไม่ว่าจะโดยรถไฟฟ้า หรือรถส่วนตัว” นายวิทวัส กล่าว นอกจากนี้ โครงการดีคอน ไพร์ม ริเวอร์ฟรอนท์ รัตนาธิเบศร์ ยังเป็นอาคารสูงที่สามารถมองเห็นได้ทั้งวิวเมืองนนทบุรี มองไปยังสะพานเจษฎาบดินทร์ ซึ่งเป็นสะพานสวยวิวเมืองใหม่ย่านนนทบุรี ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของอาคารสามารถมองเห็นวิวโค้งน้ำเจ้าพระยา อย่างสวยงาม ได้อารมณ์สุนทรีย์ โดยตั้งใจให้โครงการนี้ เป็นผลงานชิ้นโบว์แดง เพื่อสร้างชื่อเสียงในวงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทอรดา บริษัทในเครือของบริษัท ดีคอนโปรดักส์ จำกัด (มหาชน)  นายวิทวัสกล่าวว่า  ได้นำโปรโมชั่นมามอบให้อย่างสูงสุด คือ โปรสุดช็อค “จอง จับ แจก” “จอง”ทุกชั้นราคาเดียวในแต่ละโซน “แจก” เฟอร์นิเจอร์จัดเต็ม Fully furnished จาก Starmark, digital doorlock, เครื่องปรับอากาศ แถมของแถมอีก 5 รายการ อาทิ เครื่องทำน้ำอุ่น, TV 32" , ตู้เย็น, ที่นอน และ ผ้าม่าน เรียกได้ว่า พร้อมหิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย “จับ” ห้องราคา 999,999 บาท หรือ รับ Cashback 500,000 บาท โดยโปรโมชั่นนี้จะมอบให้ผู้จองและทำสัญญาในงานวันเสาร์ที่ 31 มีนาคม เท่านั้น ผู้สนใจโทร 02 195 8291-3 หรือ แอดไลน์ @dconprime หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dconprime.com โครงการดีคอน ไพร์ม ริเวอร์ฟรอนท์ รัตนาธิเบศร์ เป็นอีกหนึ่งโครงการที่เข้ามาเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยในย่านนนทบุรี ด้วยโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น เน้นความเป็น Timeless Design ทั้งการให้สีสันของตัวอาคารที่เป็นสีเทาสไตล์โมเดิร์น การวางตัวอาคารเป็นรูปตัว L ซึ่งส่งผลให้ทุกห้องสามารถเปิดรับลมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ภายในอาคารยังถูกดีไซน์ให้มีส่วนของการพักผ่อนถึง 3 ส่วน โดยส่วนแรก คือ ชั้นล่างที่เป็นโซนล็อบบี้ใหญ่ไว้รองรับทั้งแขกผู้มาเยือน และพื้นที่เอนกประสงค์สำหรับผู้อยู่อาศัยโดยมีส่วนห้องสมุด ห้องทำงานทั้งฟรี Wifi เพื่อรองรับสไตล์ชีวิตคนรุ่นใหม่อย่างเต็มที่ ขึ้นมาถึงส่วนชั้น 7 จะเป็นชั้นที่มีสวนพักผ่อนสไตล์เซน ให้ผู้พักอาศัยได้ดื่มด่ำ กับเสียงน้ำไหล พร้อมวิวเมืองที่ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าที่ผ่านมาทั้งวัน ทั้งยังแบ่งส่วนสระว่ายน้ำสำหรับเด็ก (Kid Pool) เพื่อรองรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก และชั้นที่ 36-38 ที่มีคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วย สระว่ายน้ำแบบ Sky Infinity Edge Pool ที่สามารถมองเห็นวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาที่สวยงาม นอกจากนี้ยังมี  Sauna Room, Sky fitness และ Pinnacle Sky garden บนชั้น 38 อีกด้วย ด้านทำเลที่ตั้ง โครงการนี้ตั้งอยู่บนถนนรัตนาธิเบศร์ มีทำเลห่างจากบันไดสถานีไทรม้า รถไฟฟ้าสายสีม่วง เพียง 100 เมตรเท่านั้น การเดินทางสะดวกโดยรถไฟฟ้าสายสีม่วงเพียง 1 ต่อถึงโครงการ หรือ เพียง 2 ต่อโดยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินโดยมีจุดเชื่อมต่อที่สถานีเตาปูน และเพียง 2 ต่อรองรับรถไฟฟ้าสายสีชมพูในอนาคต นอกจากนี้ dcon prime ยังใกล้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อาทิ Central Rattanathibet, Central Plaza WestGateและ New Ikea Store ที่ใหญ่ที่สุดใน Southeast Asia ซึ่งในอนาคตจะเป็นเมืองใหม่ฝั่งตะวันตก ชุมชนจะเจริญขึ้นไปอย่างมหาศาล โครงการดีคอน ไพร์ม ริเวอร์ฟรอนท์ รัตนาธิเบศร์ เป็นโครงการ High Rise คอนโดมิเนียม ขนาด 38 ชั้น 1 อาคาร จำนวนห้องพักอาศัยรวม 638 ยูนิต ร้านค้า 3 ยูนิต โดยแบบห้อง 1 ห้องนอนขนาด 26.58 - 33.05 ตร.ม.ไปจนถึงแบบ 2 ห้องนอนขนาด 48.52-60.21 ตร.ม. โดยราคาเริ่มต้นที่ 1.65 ล้านบาท โดยโครงการนี้ตั้งอยู่ที่ถนนรัตนาธิเบศร์ ตำบลไทรม้า อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี บนพื้นที่ดินประมาณ 2 ไร่ 1 งาน 16ตร.ว. ปัจจุบันสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ 
แอสเสท เวิรด์ รีเทล เตรียมเปิด‘ลาซาล อเวนิว’ไตรมาส 3 ปีนี้ พร้อม ‘กรีนสเปซ’ กว่า 3,000 ตร.ม.

แอสเสท เวิรด์ รีเทล เตรียมเปิด‘ลาซาล อเวนิว’ไตรมาส 3 ปีนี้ พร้อม ‘กรีนสเปซ’ กว่า 3,000 ตร.ม.

นายมานพ คำสว่าง ผู้จัดการบริหารทรัพย์สิน 4 พร้อมด้วยนายธนวัฒน์ อัจฉริยวุธ ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด ภายใต้การบริหารงานของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (TCC GROUP) ลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าการก่อสร้าง “ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว” ย่านซอยลาซาล-แบริ่ง คอมมูนิตี้มอลล์แนวคิดใหม่ เพิ่มสีสันแห่งไลฟ์สไตล์และเปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยพื้นที่รีเทล 6,000 ตารางเมตร เต็มอิ่มกับไลฟ์สไตล์แบรนด์แบบไม่ซ้ำใคร ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ ด้วยงบประมาณการลงทุน 350 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว 85% และปิดพื้นที่ขายได้แล้วกว่า 90% จากร้านค้าชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ อาทิ VILLA MARKET, KFC, B-Quik, Cafe Amazon, TSURUHA, CG FITNESS, Orca BAKER & BUTCHER, JiM’s BURGER, ข้าน้อยขอชาบู, SUKIYA, glo ONE STOP BEAUTY LOUNGE, CHA SPA, the nail cafe และ WASH ME โดยจะพร้อมเปิดให้บริการได้ใน ไตรมาส 3 ของปีนี้ คาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าใช้บริการเฉลี่ย 8,000-10,000 คนต่อวัน นายธนวัฒน์ อัจฉริยวุธ ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด กล่าวว่า ทำเลย่านลาซาล-แบริ่ง ถือเป็นทำเลศักยภาพ มีผู้อยู่อาศัยที่มีกำลังซื้อสูง และมีการขยายตัวของโครงการที่อยู่อาศัยทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ทำเลดังกล่าวยังรายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ โรงเรียน อาคารสำนักงาน และแหล่งอุตสาหกรรม สามารถเดินทางเข้าสู่ย่านใจกลางธุรกิจได้อย่างสะดวกรวดเร็วด้วยความครบครันด้านคมนาคมที่มีให้เลือกมากมาย อาทิ การเดินทางทางรถยนต์ด้วยถนนสุขุมวิท ถนนบางนา-ตราด ถนนศรีนครินทร์ หรือจะเลือกทางเลือกที่คล่องตัวยิ่งขึ้นด้วยรถไฟฟ้า บีทีเอสและทางด่วนพิเศษ ทั้งนี้ นอกจากตัวศูนย์การค้าฯ จะอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูงแล้ว เรายังสร้างความแตกต่างจากคอมมูนิตี้มอลล์อื่นๆ ด้วยการดีไซน์สวนสวย หรือ “กรีนสเปซ” กว่า 3,000 ตารางเมตร รายล้อมด้วยอาคารชั้นเดียวพร้อมที่จอดรถรอบตัวอาคารเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า จึงมั่นใจได้ว่า ‘ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว’ จะสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าทุกท่านที่มาใช้บริการได้เป็นอย่างดี
LIFE สุขุมวิท 62 จาก เอพี ไทยแลนด์ เพิ่มแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตที่มากกว่ากับการใช้ชีวิตในแบบที่คุณเลือกได้เอง

LIFE สุขุมวิท 62 จาก เอพี ไทยแลนด์ เพิ่มแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตที่มากกว่ากับการใช้ชีวิตในแบบที่คุณเลือกได้เอง

ถ้ามองหาพื้นที่ที่สามารถสนับสนุนเพื่อขับเคลื่อน Passion หรือความฝันของตัวเองให้ได้ลองทำสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ให้เข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น โดยมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้เกิดการเชื่อมต่อเป็นเครื่องมือสู่การเปลี่ยนแปลง ถ้านั่งแล้วต้องนั่งอยู่ยาว ดังนั้น ถ้าเรามีสถานที่นั้นในที่อยู่อาศัยของเราเอง ไม่ต้องเดินทางไปไหน จะนัดใครก็สะดวก เมื่อชีวิตมีทางเลือกที่มากกว่า...เอพีพร้อมสนับสนุนให้คุณก้าวไปสู่เป้าหมายของการใช้ชีวิตในแบบที่คุณเลือกได้เอง บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า เพื่อคุณภาพการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตที่ดีกว่าสำหรับคนเมือง เปิดตัว “LIFE สุขุมวิท 62” คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด บนถนนสุขุมวิทกับความเป็นส่วนตัวสูงสุดเพียง 438 ยูนิต ที่สามารถเชื่อมต่อได้ทุกการเดินทาง เพียง 200 เมตรถึงสถานีรถไฟฟ้า ‘บางจาก’ และ 500 เมตร จากทางด่วน โดยเอพีได้นำนวัตกรรมดีไซน์เข้ามายกระดับการใช้ชีวิตผ่านแนวคิดการออกแบบพื้นที่ชีวิตคุณภาพแห่งอนาคต ในคอนเซปต์ ‘เป้าหมายของชีวิต คือ การใช้ชีวิตในแบบที่คุณเลือกได้เอง’ (LIFE of Purpose) ที่สนับสนุนทุกความสำเร็จผ่าน Digital Co-working Space นวัตกรรมดิจิตอล และ การวางโครงข่าย Wi-fi ที่ผสานไปกับการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางทั่วทั้งโครงการ เพิ่มความพิเศษด้วยพื้นที่อยู่อาศัยภายในห้องด้วยฟังก์ชั่นที่สามารถขยายพื้นที่ได้มากขึ้น ด้วยกระจกบานเลื่อน 2 ชั้น ที่สามารถใช้เป็น Semi Outdoor Dinner ให้คุณสามารถออกแบบการใช้ชีวิตได้ตามต้องการ ในราคาเริ่มต้นเพียง 120,000 บาท/ตร.ม. พร้อมเปิดจองผ่านระบบออนไลน์ AP i-Booking ในวันที่ 27 มีนาคมนี้ เวลา 19.00 – 21.00 น. เท่านั้น LIFE Extension ชีวิตที่คุณเลือกได้ LIFE สุขุมวิท 62 ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 2.2.67 ไร่ บนถนนสายสุขุมวิท ทำเลใจกลางเมือง ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตคนเมืองด้วยแนวคิด Multiple Connection เชื่อมต่อการเดินทางหลากหลายรูปแบบ เพียง 200 เมตร ถึงสถานีรถไฟฟ้า ‘บางจาก’ และ 500 เมตรจากทางด่วน ด้วยทำเลที่ตั้งโครงการ LIFE สุขุมวิท 62 จะตั้งอยู่ใจกลางเมือง แต่ยังคงสามารถทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสงบร่มรื่นและเป็นส่วนตัวได้ด้วยการออกแบบที่เป็นหนึ่งเดียวจาก เอพี ไทยแลนด์ กับความใส่ใจในการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางในทุกตารางนิ้ว เพื่อให้ LIFE สุขุมวิท 62 เป็นคอนโดมิเนียมที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีที่สุดในย่านนี้ เริ่มต้นด้วย Garden on Ground ที่ทำให้การพักผ่อนเป็นส่วนตัวขึ้นอีกขั้น กับพื้นที่พักผ่อนภายนอกอาคารที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่และสายน้ำ ให้ผู้ใช้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติโดยรอบ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เพิ่มพื้นที่ที่พร้อมสนับสนุนสู่การขับเคลื่อน Passion ของผู้อาศัยด้วย Ultra Exploratorium และ Ultra Co-Working Space ที่ผสานเทคโนโลยีเข้ากับนวัตกรรมดีไซน์ เพื่อเชื่อมต่อชีวิตงานและการพักผ่อนเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ภายใต้แนวคิด Co-Space พร้อมรองรับการใช้งานเครื่องมือดิจิตอลอย่างครบครัน ไม่ว่าการพักผ่อน หรือทำงานก็สามารถทำได้แบบไม่ติดขัด พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตไปอีกขั้นด้วยการดึงพื้นที่สีเขียวเข้าสู่อาคาร ให้ผู้ใช้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับสวนสีเขียวภายนอก กับการใช้กระจกใสสูงกว่า 6 เมตรที่เชื่อมต่อสวนแนวตั้งและต้นไม้ใหญ่สีเขียวชะอุ่มร่มรื่นอย่างเป็นหนึ่งเดียว และ Cocoon ที่นั่งส่วนตัวที่ถูกออกแบบมาพิเศษมีแสงสว่างภายใน พร้อมกับ Wireless Charger รองรับชีวิตการทำงานที่ไม่จำกัดสถานที่ ตอบโจทย์ทุกด้านของชีวิตในแบบที่คุณเลือกได้ เหนือกว่าด้วย Ultimate Rooftop Facilities ให้ผู้อยู่อาศัยได้ออกกำลังกายได้อย่างครบวงจร อาทิ Aquascape สระว่ายน้ำแบบเอ็กซ์คลูซีฟระบบน้ำเกลือที่สามารถเปิดรับวิวสุขุมวิท และวิวโค้งน้ำบางกระเจ้าได้สุดสายตา รวมถึงยังมี Sky Fitness ห้องฟิตเนสมุมกว้างเพื่อการใช้ชีวิตแบบแอคทีฟพร้อมความเป็นส่วนตัวไปด้วยกัน เอพี ไทยแลนด์ พร้อมให้คุณกำหนดชีวิตได้ตามความต้องการ ด้วยรูปแบบของห้องชุดที่มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งห้องชุด Studio แบบ 1 ห้องนอน และแบบ 2 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 25-68 ตารางเมตร  LIFE สุขุมวิท 62 โดดเด่นด้วยการจัดสรรค์พื้นที่อยู่อาศัยภายในห้องด้วยฟังก์ชั่นที่สามารถขยายพื้นที่ได้มากขึ้น ด้วยกระจกบานเลื่อน 2 ชั้น ที่สามารถใช้แบ่งให้ภายในห้องมี Semi Outdoor Dinner เพิ่มขึ้น หรือแม้กระทั่งห้องทำงาน หรือห้องแต่งตัว ภายใต้พื้นที่ขนาดเท่าเดิมแต่สามารถมอบอิสรภาพให้คุณใช้ชีวิตได้มากกว่า เปลี่ยนข้อจำกัดการอยู่อาศัยบนพื้นที่แนวตั้งให้สามารถปรับเปลี่ยนสเปซภายในห้องพักส่วนตัวได้ดังใจ LIFE สุขุมวิท 62 ประกอบด้วยอาคารที่พักสูง 24 ชั้น โดดเด่นด้วยความเป็นส่วนตัวสูงสุดเพียง 438 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 1) สตูดิโอ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 25 ตารางเมตร 2) ห้องชุด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 30 ตารางเมตร 3) ห้องชุด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ (แบบพิเศษ) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 38–39 ตารางเมตร 4) ห้องชุด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 45 ตารางเมตร  และ 5) ห้องชุด 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 50-68 ตารางเมตร เอพีพร้อมรังสรรค์สิ่งอำนวยความสะดวกล้ำสมัยสำหรับผู้อยู่อาศัย อาทิ ล็อคเกอร์อัจฉริยะ (Smart Pod) จะทำให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถเข้าถึงการใช้งานด้วยตนเองได้ตลอดเวลา ผู้อยู่อาศัยสามารถรับของได้ในเวลาที่ตนเองสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง รวดเร็ว ง่าย สะดวกสบาย รวมทั้งมั่นใจได้ในความปลอดภัย 100% และยังมี สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในคอนโดมิเนียมเอพี (AP Charging Pod) ที่ทำให้การอยู่อาศัยในคอนโดเอพีสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ใช้ชีวิตในแบบที่คุณเลือกเองได้ที่ LIFE สุขุมวิท 62 คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด จำนวนเพียง 438 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 120,000 บาท/ตร.ม. พร้อมเปิดจองผ่านระบบออนไลน์ AP i-Booking ในวันที่ 27 มีนาคมนี้ เวลา 19.00 – 21.00 น. เท่านั้น ลงทะเบียนทาง APTHAI.COM รับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท สอบถามข้อมูล เพิ่มเติมที่ โทร. 1623 หรือ www.apthai.com
3 สมาคม ผนึกกำลัง จัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 รับกระแสตลาดอสังหาฯ บูม

3 สมาคม ผนึกกำลัง จัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 รับกระแสตลาดอสังหาฯ บูม

นายวรัทภพ แพทยานันท์ ประธานคณะกรรมการจัดงาน มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 เปิดเผยว่า งานครั้งนี้ ถือว่าจัดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะสอดรับกับตลาดอสังหาฯ ที่กำลังขยายตัวได้ด้วยดี โดยสามสมาคมผู้จัดงาน คาดการณ์ว่าอสังหาฯ ในปีนี้จะเติบโตอย่างน้อย 5% เพราะได้แรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจของประเทศที่กำลัง ขยายตัว ซึ่งคาดว่าจะเติบโตราว 4% และประชาชนที่มีกำลังจับจ่ายเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยปรับขึ้น นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกด้านอื่นๆ เช่น การลงทุนต่อเนื่องของภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ ทั้งรถไฟฟ้าสายสีส้ม สีเหลือง สีชมพู ทางด่วนขั้นที่ 3 เชื่อมวงแหวน รถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ โครงการ Action plan และ EEC รวมถึงภาคการท่องเที่ยว การส่งออก และการลงทุนของภาคเอกชนที่มีการเติบโต ที่สำคัญในช่วงนี้ ธนาคารเริ่มกลับมาผ่อนปรนมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อลง จึงเพิ่มโอกาสให้กับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อบ้านมากขึ้น ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูงมากนักและไม่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นในเร็ววันนี้ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันก็ยังอยู่ในระดับต่ำ จึงมีส่วนช่วยในเรื่องของต้นทุนในการก่อสร้าง ค่าเช่า และค่าขนส่งวัสดุ ส่วนเศรษฐกิจโลกก็มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยและภูมิภาคนี้ “ลูกค้าที่มางานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 จะได้พบกับโครงการใหม่ๆ จากผู้ประกอบการมากขึ้น หลังจากที่งานที่ผ่านมาจะเน้นนำสินค้าในสต็อกมาเคลียร์มากกว่า ซึ่งครั้งนี้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมเกือบ 200 ราย นำกว่า 1 พันกว่าโครงการมาเสนอขาย รวมถึงโครงการใหม่ที่มีมาให้เลือกอย่างหลากหลายทั้งทำเลและราคามาเปิดตัวภายในงานจำนวนหลายโครงการ คณะกรรมการจัดงานคาดว่าจะมีผู้มาเดินงานตลอด 4 วันทะลุ 1 แสนคน มียอดจองและขายในงานกว่า 4 พันล้านบาท และยอดขายต่อเนื่องหลังงานไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว”นายวรัทภพ กล่าว ทางคณะกรรมการจัดงานเลือกใช้คอนเซ็ปต์ที่ว่า “กำจัดทุกข้อ จำกัด  ให้เรื่องเป็นอยู่เป็นเรื่องง่าย” เพราะว่าผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะพบกับข้อจำกัดหลายอย่างที่แตกต่างกันไป เช่น เรื่องของการหาข้อมูลโครงการต่างๆ เรื่องความชอบหรือไลฟ์สไตล์ที่ไม่ลงตัว เรื่องของทำเล ราคา ข้อจำกัด เรื่องเวลา งบประมาณ ไปจนถึงเรื่องการยื่นขอสินเชื่อที่กลับมาเป็นปัญหาใหญ่ ดังนั้นเพื่อทำลายข้อจำกัดต่างๆ ดังกล่าว และทำให้เรื่องที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน ทางคณะกรรมการจัดงานจึงได้เพิ่มจุดบริการที่เรียกว่า HC Solutions คอยให้ความช่วยเหลือด้านข้อมูลต่างๆ กับลูกค้าที่มาเดินในงาน     ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโครงการที่อยู่อาศัยที่มาจัดแสดงในงานทั้งหมด มีทำเลไหนบ้าง ราคาเท่าไร โปรโมชั่นเป็นอย่างไร เพื่อเพิ่มความสะดวกและตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ตลอดจนบริการให้คำปรึกษาแนะนำในเรื่องของการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินชั้นนำที่มาร่วมงาน เพื่อสร้างความประทับใจและประสบการณ์ให้กับลูกค้า  สำหรับลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยภายในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 จะได้รับประโยชน์มากมาย จากโปรโมชั่นพิเศษที่เหล่าผู้ประกอบการตั้งใจนำมาเสนอในงานครั้งนี้โดยเฉพาะ ในขณะที่สามสมาคมผู้จัดงาน ก็ได้จัดโปรโมชั่นใหญ่ของงาน สำหรับผู้ที่จองที่อยู่อาศัยภายในงานทุก 300,000 บาท จะได้รับคูปอง 1 ใบ เพื่อลุ้นบัตรกำนัลส่วนลดเงินสดมูลค่า 1 ล้านบาทอีกด้วย งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคม 2561 เวลา 10.00-20.00 น. ณ บริเวณโซนซี ชั้น 1 และ 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจเข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียนออนไลน์ล่วงหน้าได้ทาง www.housecondoshow.com หรือติดตาม รายละเอียดข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ facebook/housecondoshow และนอกจากนี้ ยังสามารถดาวน์โหลดและติดตั้ง แอพพลิเคชั่น HouseCondoShow เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการค้นหาข้อมูลโครงการและโปรโมชั่นมากมาย จากทุกผู้ประกอบการได้อย่างง่ายและสะดวกรวดเร็วอีกด้วย
ทรูลิงค์ พร็อพเพอร์ตี้ ปักหมุด“เดอะ ควอเทียร์ รัชดา32″ ต้นแบบโฮมออฟฟิศสุดหรูอยู่ได้จริง-รับอานิสงส์ ซีบีดีใหม่

ทรูลิงค์ พร็อพเพอร์ตี้ ปักหมุด“เดอะ ควอเทียร์ รัชดา32″ ต้นแบบโฮมออฟฟิศสุดหรูอยู่ได้จริง-รับอานิสงส์ ซีบีดีใหม่

ทรูลิงค์ พร็อพเพอร์ตี้ ปักหมุด “เดอะ ควอเทียร์ รัชดา 32” โฮม ออฟฟิศ ไฮเอนท์สุดหรู ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ราคาเริ่มต้น 28 ล้านบาท รับฮับซีบีดีใหม่ หลังโครงข่ายรถไฟฟ้าเสร็จสมบูรณ์ มั่นใจปิดการขายเร็วเล็งกระจายทั่วโซนธุรกิจ นายคมสัน วุฒิพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรูลิงค์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดขาย โครงการเดอะ ควอเทียร์ รัชดา 32 (The Quartier Ratchada 32) ยกระดับโฮมออฟฟิศแบบเดิม เปรียบเสมือนการใช้ชีวิตในเพ้นท์เฮ้าส์ (Penthouse) ในคอนโดมีเนียมระดับบน ควบคู่ไปกับพื้นที่กิจการธุรกิจที่ภาพลักษณ์ดูดี เป็นที่มาของนิยาม The Very First  Business Penthouse in Town โดยเป็นครั้งแรกของโฮม ออฟฟิศพร้อมส่วนพักอาศัยไฮเอนท์ สูง 6 ชั้นพร้อมลิฟท์ส่วนตัวทุกยูนิต มีความพิเศษสุดสำหรับสังคมคุณภาพเพียง 8 ยูนิต บนที่ดินประมาณ 1 ไร่ในซอยรัชดาภิเษก 32 ราคาเริ่มต้น ยูนิตละ 28 ล้านบาทขึ้นไป มูลค่ารวมโครงการประมาณ 250 ล้านบาท หวังปั้นแบรนด์ Quartier เป็นบิสสิเนสเพ้นท์เฮ้าส์ที่มีสไตล์พิเศษเฉพาะในทำเลธุรกิจจริงๆ เท่านั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการภายในปลายปีนี้ เล็งต่อยอดสู่โมเดลธุรกิจเดียวกันนี้กระจายทั่วโซนธุรกิจอื่นๆ ซึ่งขณะนี้มีที่ดินรอการพัฒนาในมือขนาด 1-2 ไร่อีกหลายแปลง “บริษัทตั้งใจสร้างแบรนด์ Quartier (ควอเทียร์) ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส มีความหมายเดียวกับ District หมายถึงย่าน หรือ บริเวณที่มีความพิเศษในเมืองต่างๆ สื่อถึงขอบเขตของโครงการที่เป็นย่านๆเล็กที่มีลักษณะเป็นส่วนตัว มีความพิเศษเฉพาะผู้ที่อยู่อาศัยเท่านั้น สำหรับโครงการ Quartier Ratchada 32 ก็เป็นรัชดาฯจริงๆ เป็นทำเลศักยภาพที่สามารถเข้า-ออกได้หลายเส้นทางมากๆ ไม่ว่าจะเข้าจากปากซอยรัชดาภิเษก 32, ซอยรัชดาภิเษก 36 แยก 19-1, เชื่อมต่อไปออกพหลโยธิน ลาดพร้าว-วังหิน ถนนประเสริฐมนูกิจ ถนนประดิษฐ์มนูธรรม ถนนรามอินทรา เป็นต้น และยังใกล้รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลาดพร้าวประมาณ 1.8 กิโลเมตร ที่สำคัญในอนาคตอันใกล้โซนนี้จะเติบโตอย่างมาก จากระบบคมนาคมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ทั้งรถไฟฟ้าสายสีเขียว อุโมงค์ลอดทางแยกรัชโยธิน โดยเฉพาะสถานีกลางบางซื่อที่จะกลายเป็นศูนย์รวมการคมนาคมระบบรางของอาเซียน เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าหลายสายด้วยกัน จะเห็นได้ว่ากลุ่มทุนรายใหญ่ๆ ต่างเข้ามาพัฒนาโซนนี้กันอย่างคึกคักมากๆ แล้ว” นายคมสันกล่าว นางสาวศรินรัตน์ สมบูรณ์สิน หัวหน้าฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท ทรูลิงค์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัดกล่าวถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการว่า เป็นเจ้าของธุรกิจคนรุ่นใหม่ที่มีอายุเฉลี่ย 35 ปีขึ้นไป รายได้ต่อครัวเรือน 300,000 บาทขึ้นไป มีแบบฉบับและรสนิยมการอยู่อาศัยเฉพาะตัว มีความเป็นผู้นำ มีเหตุผลในการตัดสินใจด้วยตัวเอง มีความหลากหลายด้านความต้องการ โครงการจะมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยน วัสดุหรืออุปกรณ์ เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยเน้นความแตกต่าง (Product Differentiation) ที่มีความโดดเด่นอย่างชัดเจนด้วยวัสดุที่ต่างจากตลาดทั่วไป และเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเลือกวัสดุอุปกรณ์ตามความต้องการ “ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นผู้ที่มีความต้องการแบบไม่เหมือนใคร ต้องเปิดช่องให้สามารถปรับแต่ง (Customization) ให้เหมาะกับรสนิยมของเจ้าของ คล้าย tailor-made เสื้อสูทให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละรายอย่างแท้จริง เช่น วัสดุอุปกรณ์เสริมบางรายการ  โดยเฉพาะในส่วนของ Façade ที่ห่อหุ้มอาคารภายนอก นอกจากนั้นพวกอุปกรณ์ประกอบอาคาร วัสดุปูพื้น การตกแต่งสถาปัตยกรรม ในขณะที่คงจุดเด่นในการออกแบบที่ไม่อิงยุคสมัยจนเกินไป เลือกวัสดุที่ดูมีมูลค่าไม่ว่าระยะเวลาจะยาวนานแค่ไหน เช่น หินอ่อน Travertine, พื้นไม้ Engineering wood, กระจก แบบ Oversized Full Frame ให้ความรู้สึกเหนือกว่าทันทีที่แรกเห็น ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก และ Function ภายใน นอกจากนั้นพื้นที่ชั้น 6 ยังเป็นออฟชั่นเสริม สามารถทำสระว่ายน้ำและสวนลอยฟ้าได้ (Roof-garden and Lap Pool) ”นางสาวศรินรัตน์ กล่าวและว่า ผู้ที่สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.the-quartier.com/
คิดถึงคอนโดติดรถไฟฟ้า ทำไมต้อง “Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง”(Advertorial)

คิดถึงคอนโดติดรถไฟฟ้า ทำไมต้อง “Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง”(Advertorial)

ปัจจุบันการจะเลือกซื้อคอนโดสักแห่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องการหลายปัจจัยมาเสริมกัน ทั้งเรื่อง Location Facility ความคุ้มค่าและผลตอบแทน เข้าใจเทรนด์ของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้อย่างครบครันพร้อมจะเติบโตไปด้วยกันทำให้ทุกพื้นที่กลายเป็นแรงบันดาลใจในทุกวันของการใช้ชีวิต สิ่งเหล่านี้เรียกได้ว่าขาดไม่ได้สำหรับคนทำงานยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง คอมมูนิตี้ กิน ช้อป เที่ยว ตามแบบ Lifestyle ของคนเมือง ดังนั้นการเลือกซื้อคอนโดที่ดี มีศักยภาพที่ครบพร้อมในทุกด้านจึงไม่ใช่เรื่องง่าย “Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง” คอนโดที่ให้คุณได้มากกว่าความคุ้มค่าบนทำเลศักยภาพ ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีวงศ์สว่างที่พร้อมจะต่อติดชีวิตในแบบคุณ พร้อมเติมเต็มความลงตัว ความสะดวกสบายใกล้เมือง เพื่อการใช้ชีวิตในย่านบางซื่อ บางซื่อมีการเติบโตมากที่สุดในปี 2016-2017 แต่ไม่รู้จัก คือที่ไหน ไกลมาก ช่วงที่ผ่านมานี้ย่านบางซื่อจัดเป็นอีกหนึ่งย่านที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2016-2017 หลายคนมองเห็นศัยภาพในโซนนี้ จึงทำให้มีคอนโดและบ้านจัดสรรผุดขึ้นมาเพียบเพื่อรองรับประชากรที่จะมีมากขึ้นในอนาคต ที่ผ่านมาความเปลี่ยนแปลงของย่านบางซื่อเป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีเส้นทางรถไฟฟ้าหลายสายกำลังต่อขยายมุ่งตรงเข้ามา โดยมีสถานีกลางบางซื่อเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อเส้นทางคมคมนาระบบรางเป็นจุดเปลี่ยนเส้นทางของรถไฟฟ้าต่อขยาย สายสีม่วง เตาปูน – ราษฎร์บูรณะ และบางใหญ่ – บางซื่อ นั้นก็หมายความว่า สถานีกลางบางซื่อจะเป็นศูนย์กลางด้านการเดินทางทั้ง รถไฟชานเมือง รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าแอร์พอตเรียลลิ้ง รวมถึง รถไฟฟ้าส่งผลให้ทำเลนี้เป็นทำเลที่ตอบโจทย์ของคนที่มีงบจำกัดแต่ยังต้องการความสะดวกสบายด้านการเดินทาง ที่แวดล้อมไปด้วยไลฟ์สไตล์มอลล์มากมาย ทั้งสวนสาธารณะ และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสำหรับทุกความต้องการ ทำให้ “Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง” เป็นคอนโดของคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิต เดินทางสะดวกสบาย เข้าสู่ CBD ได้อย่างรวดเร็วพร้อมสถานที่พักผ่อนมากมายในระแวกเดียวกัน อยากซื้อคอนโดติดรถไฟฟ้า แต่มีมากมายเต็มไปหมด ไม่รู้จะซื้อที่ไหนดี... ใครๆก็ล้วนตามหาคอนโดติดรถไฟฟ้าที่มีให้เลือกมากมายเต็มไปหมด แต่! ในบรรดาเหล่าคอนโดติดรถไฟฟ้าพวกนี้ก็ไม่ได้ดีทุกที่เสมอไป ทุกโครงการต่างมีจุดอ่อนและจุดแข็งที่ผู้ซื้อและนักลงทุนต้องคอยสังเกตเอง ซึ่งวันนี้เราจะบอกให้ว่า ทำไม “Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง” ถึงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆที่ผู้ซื้อต่างให้ความสนใจและคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างไร ทำเลศักยภาพที่เชื่อมการเดินทางสู่ใจกลางเมือง ด้วยถนนใหญ่และรถไฟฟ้า ที่ให้ความสะดวกคล่องตัว “Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง” จึงจัดอยู่ในคอนโดที่มีทำเลศักยภาพมาก เพราะติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีวงศ์สว่าง และติดถนนใหญ่ กรุงเทพ-นนทบุรี และยังมี ทางขึ้น-ลง ทางพิเศษศรีรัชอีกด้วย จนเรียกได้ว่าเป็นการเดินทางที่สะดวกสบายครบครันอย่างแน่นอน ศูนย์รวมไลฟ์สไตล์มอลล์ที่เป็นคุณ นอกจากเป็นทำเลที่ตอบโจทย์ด้านการเดินทางแล้ว Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง ยังแวดล้อมไปด้วยไลฟ์สไตล์มอลล์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน, โฮม โปร ประชาชื่น, La Unique, Big C วงศ์สว่างและ Gypsy Market ให้คุณสามารถช้อปข้าวของเครื่องใช้ได้อย่างชิวๆไม่ต้องไปไหนไกล แหล่งรวมร้านอาหารดังที่ไม่ควรพลาด หากเบื่อการเดินห้างแล้ว ย่านนี้ยังเป็นแหล่งรวมร้านอาหารขึ้นชื่ออีกเพียบ ทั้ง ร้าน Smith & Rabbit Cuisine ร้านอาหารไทย-ฟิวชั่น ที่คนเต็มร้านตลอดๆ, ร้าน Steeler ร้านสวย นั่งสบาย สถานที่กว้างขวางเหมาะกับครอบครัว, ร้านอาหารประพักตร์ อร่อยทั้งอาหารและขนมไทยแบบต้นตำหรับ, ร้าน บ้านไอซ์ ร้านอาหารของคุณย่าสำหรับคนชอบรสอาหารแบบดั้งเดิม, ร้าน ปรุง ร้านอาหารรสชาติดีราคาไม่แรง, เจ๊ไข่ซีฟู้ด ร้านอาหารทะเลสดๆที่ไม่ควรพลาด , ร้านพิมพ์รภัส ร้านอาหารไทยแบบดั้งเดิม, ร้าน นิตยาไก่ย่างกับไก่ย่างหอมๆที่เราคุ้นเคย  ,ร้าน ขาหมู ประชาชื่น ขาหมูอร่อยๆที่ไม่ต้องไปไหนไกล, ร้าน ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยบ้านนา ก๋วยเตี๋ยวรสเลิศที่ใครๆต้องมาลอง, ร้าน กาลิค ร้านอาหารไทยเก่าแก่กว่า 30 ปี, ไก่ย่าง โคราช อีกตัวเลือกความอร่อยกับไก่ย่าง, ร้านอาหาร โอยั๊วะริเวอร์เทอร์เรซ เห็นชื่อแบบนี้บรรยากาศดี อาหารอร่อยนะจะบอกให้ แหล่งรวมสำนักงานใจกลางเมือง ด้วยการเดินทางที่สะดวกและยังเป็นศูนย์รวมคอมมูนิตี้มอลล์และร้านอาหารต่างๆมากมาย ทำให้ย่านนี้เป็นแหล่งสำนักงานขนาดใหญ่อีกหลายแห่งอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงสาธารณสุข, นนทบุรี City Hall, สำนักงานใหญ่ SCG, ตึก EGAT และบุญรอดบริวเวอรี่ ทำให้ย่านนี้กลายเป็นคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ที่เพรียบพร้อม ตอบโจทย์วันชิวๆกับ Café ชิคๆ เอาใจคนรัก Café กันบ้าง เพราะย่านนี้มีผู้คนเข้ามาอาศัยและทำงานอยู่มาก ทำให้มี Café ต่างๆผุดขึ้นมาเพียบ ไม่ว่าจะเป็น Hatch by J’Khai คาเฟ่นั่งชิวที่จัดเต็มทั้งกาแฟและขนมหวาน, Kopi’ Cino ร้านที่สาวกผู้ชื่นชอบกาแฟไม่ควรพลาด , The Attic Diary Café ร้านสวยเครื่องดื่มดีงาม, Café Mallow คาเฟ่ชิคๆที่แวะมาได้ทุกวัน และ Waiting Floor ร้านขนมหวานที่จัดเต็มทั้งบิงซู Honey Toast แบบที่สาวๆต้องคุ้นเคย พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับชุมชน นอกจากความสะดวกสบายต่างๆในบ่านนี้แล้วก็ยังมีโรงพยาบาลสำหรับอำนวยความสะดวกให้ชุมชนอีกหลายแห่ง ทั้งโรงพยาบาลนนทเวช โรงพยาบาลวิภาวดี โรงพยาบาลเปาโล โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่นโรงพยาบาลศรีธัญญา และ โรงพยาบาลเลอลักษณ์ก็มีใครเลือกสรรตามความสะดวก แหล่งการศึกษาชั้นนำ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ย่านนี้คึกคักตลอดทั้งวันมาจากสถานศึกษาชั้นนำมากมายที่รวมตัวกันตั้งอยู่ในบริเวณย่านนี้ ตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงเด็กมหาลัยก็มีครบพร้อม ทั้ง โรงเรียนสาธิตเกษตร โรงเรียนนวพัฒน์วิทยา โรงเรียนราชวินิตบางเขน โรงเรียนโยธินบูรณะ โรงเรียนศีลาจารพิพัฒน์ โรงเรียนสตรี นนทบุรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ผ่อนคลายวัยสบายๆกับสถานที่แฮงค์เอ้าท์ อีกเรื่องที่พลาดไม่ได้นั่นคือสถานที่แฮงค์เอ้าท์นั่นเอง สำหรับย่านนี้ก็มีร้านแฮงค์เอ้าท์เพียบ อย่าง ร้าน นั่งเล่น Pub& Restaurant ชื่อดังที่ดาราชอบมากัน อาหารอร่อยแถมบรรยากาศก็ชิวสุดๆ หรือจะเป็น ร้าน Lizm อีกหนึ่งร้านดังยอดฮิต กับความชิคที่ไม่เหมือนใครกับเก้าอี้ถังและบรรยากาศที่ไม่ซ้ำใคร Facilities จัดเต็ม เอามาเน้นๆให้คุณแบบไม่มีกั๊ก พร้อมเปิดตัวพื้นที่ส่วนกลางใหม่สุดว้าวทั่วโครงการ กลางปี 2561 นี้แน่นอน พูดถึงทำเลโดยรวมไปแล้ว เรามาเจาะตัวโครงการ “Aspire รัชดา-วงสว่างค์” กันบ้างดีกว่า สำหรับ Facility ถือว่าจัดมาแบบเต็มที่ไม่กักเลยทีเดียว  ซึ่งตัวโครงการยังได้พัฒนาพื้นที่ส่วนกลางใหม่นี้จะสามารถตอบสนองทุกความต้องการและกิจกรรมของกลุ่มลูกค้าแอสปาย ไม่ว่าจะเป็น -WORKING PAVILION บนพื้นที่ Co-Working Space ขนาดใหญ่ที่ภายในจัดสรรพื้นที่ support ทุกการทำงานอย่างลงตัว ทั้งแบบเดี่ยว (WORKBAR) และแบบกลุ่ม (THINK SPACE) สร้างสรรค์เป็นพื้นที่สุดครีเอทีพ ในบรรยากาศ se-mi outdoor สุดเรียบหรูของโครงการ -SKY SEASONING ROOFTOP ที่มากับสวน 3 ฤดู บรรยากาศร่มรื่น ตั้งอยู่ที่ชั้นสูงสุดของโครงการบนพื้นที่ถึง 1 ไร่ สูดลมหายใจรับอากาศดีๆหลังเลิกงานบนพื้นที่กิจกรรมมากมาย พร้อมเสพวิวแสงสีของมหานคร ดื่มด่ำ Panoramic view ทัศนียภาพเมืองสุดขอบฟ้าได้แบบเต็มตา และ Lobby ชั้นล่างของอาคาร ที่อยู่ indoor ในส่วนนี้เป็นผนังกระจกใส 3 ด้านแบบเห็นวิวชัดๆกันไปเลย ในส่วนของ Semi-outdoor ก็จะมีการวางโซฟากระจายหลายๆจุด เชื่อมต่อกับสวนและบ่อน้ำ ตกแต่งด้วยบานเฟี้ยมไม้ให้บรรยากาศสไตล์ญี่ปุ่น มาถึงสระว่ายน้ำกันบ้าง ที่นี่มีสระว่ายน้ำขนาด 9 x 30 เมตรระบบเกลือ รวมไปถึงห้องออกกำลังกายเอาใจคนรักสุขภาพแบบจัดเต็มอีกด้วย ความคุ้มค่าบนความลงตัวบนย่านบางซื่อ สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด สิ่งสำคัญที่ทำให้ “Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง” เป็นคอนโดที่ถูกจับตามองอย่างมาก คือเรื่องของความคุ้มค่าทางด้านราคาด้วยราคาเริ่มต้นเพียงตารางเมตรละ 79,000 เท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับคอนโดในบริเวณเดียวกันจัดว่ามีราคาที่ดีกว่ามาก นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมา ย่านบางซื่อเริ่มมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายคนมองเห็นการเติบโตในอนาคต ซึ่งต่อไปราคาคอนโดในย่านนี้จะต้องอัพสูงขึ้นลิบแน่นอน ต้องมาทำงานย่าน “บางซื่อ” แต่ยังไม่ชินทำเล “เช่า” คือคำตอบ เชื่อว่าการที่ได้ที่พักใกล้ที่ทำงานคือลาภอันประเสริฐ หลายคนคงเคยผ่านช่วงเวลาที่ต้องเสียเวลาในชีวิตกว่า 1 ใน 4 ไปกับการติดแหง็กอยู่บนรถ มันช่างแสนจะเบื่อหน่ายซะเหลือเกิน แต่ปัญญาหาพวกนี้จะหายวับไปทันทีเมื่อเราขยับขยายย้ายมาอยู่ใกล้ที่ทำงานมากขึ้น สำหรับคนที่ต้องมาทำงานในย่านบางซื่อ แต่กลัวไม่ชินทำเล เราขอแนะนำให้ลองมาเช่าคอนโด “Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง” ดูก่อน รับรองไม่หลงทางเพราะเดินทางสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า นอกจากจะเดินทางสะดวกแล้ว การมาเช่าอยู่ก็มีอะไรดีๆมากกว่าที่เราคิด สิ่งแรกเมื่อเราจะได้รับหลังจากย้ายที่พักมาอยู่ใกล้ที่ทำงาน คือ “เวลา” ช่วงแรกอาจจะรู้สึกแปลกๆสักหน่อย เพราะเรามีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ซึ่งนี่คือข้อดี การที่เรามีเวลามากขึ้นทำให้เราดูแลตัวเองได้มากขึ้น อาจจะใช้เวลาหลังเลิกงานในการออกกำลังกาย ช้อปปิ้ง หาร้านอาหารอร่อยๆกิน เป็นสิ่งมีค่าที่เราสามารถเพิ่มความสุขให้ตัวเองได้ อีกข้อหนึ่งคือ “ประหยัดเงิน” อาจจะยังงงๆว่าประหยัดตรงไหน แต่เชื่อหรือไม่ว่าสำหรับบางคน การเดินทางมาทำงานทุกวันนั้น นอกจากต้องต่อรถหลายต่อแล้ว วันวันหนึ่งหมดไปกับค่ารถเกือบ 200-300 บาทเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อเราย้ายมาอยู่ใกล้ที่ทำงานมากขึ้นก็จะช่วยเซฟงบค่าเดินทางไปได้เพียบ สำหรับการเช่านั้นก็จะมีระยะเวลาสัญญาต่างๆ อาจจะเป็น 6 เดือน 1 ปี หรือ 2 ปี แล้วแต่ว่าเราวางแผนระยะสั้นไว้นานแค่ไหน การย้ายออกจึงทำได้สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งนี่เป็นปัจจัยหลักข้อแรกๆ เลยของคนที่เลือกเช่าคอนโดมาก เพราะส่วนใหญ่ยังไม่แน่ใจว่าจะลงหลักปักฐานที่นี่นานหรือไม่ หากในอนาคตมีการโยกย้ายที่ทำงาน หรืออาจมีแพลนสำหรับครอบครัวที่ใหญ่ก็สามารถย้ายออกไปทันที ต่อมาคือการที่เราไม่ต้องมีความพร้อมด้านการเงินมากนัก เพราะการซื้อคอนโดนั้นจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเงินจอง, เงินดาวน์, เงินค่าตกแต่งห้อง นี่ยังไม่นับรวมค่าใช้จ่ายปลีกย่อย อย่างพวกค่าซ่อมแซมห้องกรณีปล่อยเช่าต่ออีกนะ สำหรับเหล่ามนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆที่สภาพคล่องทางการเงินมีน้อยนั้น การเลือกเช่าอยู่จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ยิ่งถ้าเลือกได้ขอให้ได้อยู่ใกล้ที่ทำงานนี่แหละดีสุด ภาระรับผิดชอบน้อย อย่างที่บอกว่าสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีความพร้อมทางการเงินไม่มากนัก การเช่าอยู่ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะไม่ต้องใช้เงินเยอะแล้ว เราไม่ต้องปวดหัวกับการหาของตกแต่งเข้าห้อง การเสียค่าส่วนกลางและความรับผิดชอบอีกมากมายที่เป็นหน้าที่ของเจ้าของห้อง แถมยังไม่มีพันธะผูกพันธ์อะไรอีกด้วย ซื้อคอนโดคือการสร้างหนี้ในระยะยาวจริงหรือ? จริงๆแล้วการซื้อคอนโดถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง ยิ่งถ้าอยู่ในทำเลที่ดีมีศักยภาพจะให้ผลคุ้มค่าอย่างมากในอนาคต เพราะคอนโดจะราคาสูงขึ้นตลอดเวลา ซึ่งคอนโดก็ถือเป็นสินทรัพย์ประเภททุนอย่างหนึ่งที่เราสร้างได้ แม้จะต้องจ่ายเงินทุกเดือนเหมือนตอนเช่า แต่เราจะไม่ต้องเสียเงินเปล่าอีกต่อไป เพราะเงินที่จ่ายไปจะเป็นการแลกห้องกลับมาหาเรานั่นเอง ยิ่งในยุคปัจจุบันหลายธนาคารต่างปล่อยสินเชื่อเงื่อนไขดีๆ ออกมามากมายเพื่อให้ผลประโยชน์สูงสุดกับผู้กู้ ทำให้การกู้ซื้อคอนโดนั้นสามารถทำได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนี้ดอกเบี้ยผ่อนชำระเงินกู้นั้นสามารถนำมาใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ โดยเป็นไปตามนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจในแต่ละปี เรียกได้ว่าเป็นส่วนลดค่าคอนโดไปในตัวด้วยอีกด้วย ซึ่ง Aspire รัชดา-วงศ์สว่างก็จัดเป็นโครงการคอนโดที่มีศักยภาพและน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว แอสปายรัชดา-วงศ์สว่าง คอนโดแต่งครบพร้อมอยู่ แค่ก้าวจากรถไฟฟ้า ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง เชื่อมต่ออโศก-สุขุมวิท ในราคาสุดคุ้มค่า 17-18 มี.ค.นี้  1 ห้องนอน ชิดขอบฟ้า ทุกชั้น ราคาเดียว  2.1 ล้าน* ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ คลิก https://goo.gl/SShUZ3  
แสนสิริ ประเดิมโครงการแรกของปี “เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง” ชูจุดเด่นสร้างเสร็จก่อนขาย เปิดพรีเซล17-18 มี.ค.นี้

แสนสิริ ประเดิมโครงการแรกของปี “เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง” ชูจุดเด่นสร้างเสร็จก่อนขาย เปิดพรีเซล17-18 มี.ค.นี้

แสนสิริ ประกาศแผนคอนโดมิเนียมปี 61 เปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 33,500 ล้านบาท กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ใต้ 7 กลยุทธ์ฉีกกฎคอนโดมิเนียมเดิม ไฮไลท์ไตรมาสแรกสร้างเสร็จก่อนขาย “เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง” มูลค่าโครงการ 4,600 ล้านบาท  เปิดพรีเซลล์ 17 – 18 มี.ค.นี้ ราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายคอนโดมิเนียมในปีนี้ 30,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 43% จากปีก่อน นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในการพัฒนาคอนโดมิเนียมในปี 2561 บริษัทวางแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่จำนวน 12 โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ มูลค่ารวม 33,500 ล้านบาท แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ จำนวน 7 โครงการ และต่างจังหวัดอีก 5 โครงการ โดยแนวทางการพัฒนาคอนโดมิเนียมในปี 2561 บริษัทจะก้าวแกร่งครั้งใหญ่สู่ “Tomorrow is Unfolded” ตามโรดแมพการดำเนินธุรกิจของบริษัท ภายใต้ 7 กุญแจสำคัญ ได้แก่ 1.การรุกสร้างแบรนด์คอนโดมิเนียมและเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ใหม่ บริษัทจะรุกสร้างแบรนด์คอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ THE BASE “เดอะ เบส” ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมที่มุ่งเน้นตอบสนองชีวิตคนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีความเป็นตัวของตัวเอง การออกแบบในแต่ละโครงการสะท้อนบุคลิกภาพและไลฟ์สไตล์ ของกลุ่มลูกค้าในทำเลนั้น ซึ่งเป็นที่มาของแนวคิด “You are where you live” โดยในปีนี้จะเน้นแนวคิดการตลาดด้านการพัฒนาแบรนด์ ที่มีความชัดเจนและสะท้อนความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงซึ่งมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ เบส ในรูปแบบใหม่จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวม 13,600 ล้านบาท ในทำเลสุขุมวิท 50, สะพานใหม่, ภูเก็ต, เจริญราษฎร์ และท่าพระ รวมถึงจะมีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ Via (เวีย) อีกครั้ง หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จจากคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เวียมาแล้ว 3 โครงการในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ Via31, Via Botani และ Via49 แสนสิริ นอกจากนี้การรุกสร้างแบรนด์คอนโดมิเนียมที่สำคัญในปีนี้ บริษัทจะมีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ใหม่จำนวนถึง 4 โครงการที่มีดีไซน์เฉพาะตัวออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ โดยจะมีการเปิดตัวในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ 2. การรุกกว้างตลาดต่างชาติ เจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติเพิ่มมากขึ้น ด้วยการเจาะกลู่มลูกค้าใหม่ “เกาหลี” และสร้างฐานที่แข็งแกร่งมากขึ้นในญี่ปุ่น รวมถึงการขยายฐานลูกค้าเดิมอย่างลูกค้าชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์เพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุดในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดออฟฟิศ ในต่างประเทศเพิ่มขึ้นแห่งที่ 6 ที่ฮ่องกง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและรักษาความเป็นที่หนึ่งในตลาดต่างประเทศ โดยมีการตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นถึง 40% จากปี 2560 เป็น 13,000 ล้านบาท เพื่อรองรับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเอเชีย 3. สานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ สำหรับกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัยจะมีโครงการใหม่จากการลงทุนร่วมกับบีทีเอสและโตคิว กรุ๊ป อีกประมาณ 4-6 โครงการ มีมูลค่ารวมประมาณ 12,000-19,000 ล้านบาท   รวมทั้งยังมีแผนเปิดโครงการที่พักอาศัย The Standard Residence และ Monocle Residenceเป็นครั้งแรกของโลก ส่วนในกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ JustCo บริษัทได้เตรียมเปิด 4 สาขา โดยจะเปิด 2 สาขาแรกที่อาคาร AIA Sathorn ในเดือนพฤษภาคม และอาคาร All Seasons Place ในเดือนสิงหาคม โดยเล็งมอบสิทธิพิเศษให้ลูกบ้านแสนสิริเข้าใช้บริการ  ส่วน Hostmaker จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ลูกบ้าน และสร้างเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ 4. ลุยพัฒนาต่ออีก 5 คอนโดในหัวเมืองหลักต่างจังหวัด อาทิ ภูเก็ต หาดใหญ่ พัทยา และหัวหินจากความสำเร็จในการรุกขยายการพัฒนาโครงการ ในตลาดต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยบริษัทเตรียมเปิดตัวแคมเปญ Joy of Hua Hin ซึ่งเป็นแคมเปญต้อนรับฤดูร้อนในช่วงเดือนมีนาคมนี้ เพื่อมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าแสนสิริ รวมถึงตอบรับการเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุดที่หัวหิน ในชื่อโครงการ “La Casita” (ลา คาสิตา) หัวหิน ซึ่งวางแผนเปิดตัวการขายในช่วงต้นเดือนเมษายนนี้ 5.ก้าวสำคัญในการสานต่อ Digital Transformation Chapter 2 สู่การพัฒนาคอนโดมิเนียมรูปแบบใหม่ อาทิ การพัฒนาต่อยอดใน Siri Life Tech 6.นวัตกรรมของแสนสิริเพื่อการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยแนวใหม่ รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมในคอนโดมิเนียมที่เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตในทุก ๆ ด้าน ตามแนวคิด Complete your living experience อาทิ Saving Energy: Automatic light system ระบบเปิด/ปิดไฟในพื้นที่ส่วนกลางแบบอัตโนมัติ จากการจับเซนเซอร์ความเคลื่อนไหวเพื่อช่วยประหยัดพลังงาน และ Smart Locker บริการตรวจสอบการรับ-ส่งสิ่งของจาก Home Service Applications ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่รักการช็อปปิ้งออนไลน์ รวมถึง Trendy Wash เปลี่ยนการหยอดเหรียญเครื่องซักผ้าให้กลายเป็นการชำระเงินออนไลน์ ด้วยระบบการเติมเงินซักผ้าใน   E-wallet ที่มาพร้อมกับความสะดวกสบายแบบเต็มพิกัดด้วยระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อเครื่องซักผ้าเสร็จ ซึ่งเริ่มนำร่องใช้งานแล้วที่โครงการ เดอะ ไลน์ จตุจักร หมอชิต เป็นต้น 7.การปักธง 3 ปี สู่ “Dream Place to Work” ซึ่งนำแนวคิดระดับโลก “Agile” (เอจาวล์) พลิกโฉมองค์กรรับยุคมิลเลนเนียล ฉีกกฏการทำงานแบบเดิมให้คล่องตัวและมีประสิทธิภาพขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพพัฒนาโครงการและบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้ารวดเร็วขึ้นสูงสุดได้ถึง 20% บริษัทตั้งเป้ายอดขายคอนโดมิเนียมในปี 2561 ไว้ที่ 30,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 43% จากเป้าหมายคอนโดมิเนียมที่ตั้งไว้ในปีก่อนซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามที่ตั้งไว้ โดยบริษัทเตรียมเปิดการขายโครงการ เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง คอนโดมิเนียมโครงการแรกของแสนสิริ ที่สร้างเสร็จก่อนขาย และเป็นคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุดภายใต้การร่วมทุนระหว่างแสนสิริ – บีทีเอส จำนวนทั้งสิ้น 1,287 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,600 ล้านบาท ชูจุดเด่นติด MRT วงศ์สว่าง สร้างเสร็จก่อนขาย ตกแต่งครบพร้อมอยู่ พร้อม Facility กว่า 6,000 ตารางเมตรที่มีถึง 14 ฟังก์ชันการใช้งาน ออกแบบตอบโจทย์ครบทุกความต้องการ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการคอนโดมิเนียม เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง (The LINE Wongsawang) ภายใต้แนวคิด Selection is Everything นับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการที่ 12 ภายใต้ความร่วมมือระหว่างบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เป็นคอนโดมิเนียมในรูปแบบ High Rise ความสูง 36 ชั้น สร้างเสร็จพร้อมอยู่ บนที่ดินประมาณ 7 ไร่ ห้องพักอาศัยแบ่งเป็นรูปแบบ 1 Bedroom และ 2 Bedrooms โดยมีขนาดเริ่มต้นที่ 28 – 55.75 ตารางเมตร ในแบบ Fully Fitted พร้อมชุดสุขภัณฑ์ชุดครัว และเครื่องปรับอากาศ โครงการตั้งอยู่ใจกลางของย่านวงศ์สว่าง ติดสถานีรถไฟฟ้า MRT วงศ์สว่าง จุดเชื่อมต่อที่สามารถเข้าถึงใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว ตอบโจทย์ชีวิตหลากสไตล์  เพียง 15 นาที ถึง อารีย์, จตุจักร, เซ็นทรัลลาดพร้าว อีกทั้งยังอยู่ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนศรีรัช สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการภายใต้พื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย 14 ฟังก์ชันการใช้งานที่ออกแบบตอบโจทย์ครบทุกความต้องการภายใต้แนวคิด “ก้อนเมฆ” ซึ่งใช้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบสถาปัตยกรรม ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวบนความสงบนิ่ง ที่นี่จึงเป็นที่ที่บรรจบของการอยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพ พร้อมส่วนกลาง เช่น Lobby, Mail room, Swimming Pool ความยาว 50 เมตร, Kid’s pool, Floating Sunken Seat, Co-Working Space, Co-Kitchen Space, Kid’s Room,Sky cinema, Fitness, Skylounge พร้อมสวนพักผ่อน, สวนลอยฟ้า, Wifi ในพื้นที่ส่วนกลาง, EV Charger, CCTV, Access Card Control พร้อมรปภ. 24 ชม. นอกจากนี้ยังมีบริการ “Nasket” หรือช้อปปิ้งออนไลน์ เตรียมให้บริการแก่ลูกค้าในโครงการเดอะ ไลน์ วงศ์สว่างเป็นโครงการแรกพร้อมโปรโมชั่น ผูกปิ่นโต กับ S&Pสำหรับลูกค้าโครงการเดอะ ไลน์ วงศ์สว่างโดยเฉพาะอีกด้วย เตรียมเปิดพรีเซลล์ในวันที่ 17 – 18 มีนาคมนี้ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท สอบถามข้อมูลโครงการโทร. 1685 หรือ www.sansiri.com
เอสซีฯ รุกตลาดEEC มูลค่า 1,500 ล้านบาท นำร่อง“เพฟ บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา” พรีเซลส์ 24-25 มี.ค.นี้

เอสซีฯ รุกตลาดEEC มูลค่า 1,500 ล้านบาท นำร่อง“เพฟ บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา” พรีเซลส์ 24-25 มี.ค.นี้

นายมงกุฎ  เตโชฬาร รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวราบ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SC ได้ลงทุนและพัฒนาโครงการบ้านแบรนด์เพฟ ขยายฐานไปยังตลาดต่างจังหวัดที่ฉะเชิงเทรา  มูลค่าโครงการรวม 1,500 ล้านบาท นอกจากรองรับการเติบโตของส่วนแบ่งตลาดแนวราบกลุ่มนี้ในช่วงปี 2561-2563 ยังได้ทำการศึกษาข้อมูลเรื่องที่อยู่อาศัยจังหวัดฉะเชิงเทราในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (2557-2560) พบว่าส่วนใหญ่ตลาดบ้านมีสัดส่วนมากสุดประมาณ 74% และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 70%  ดังนั้นเพื่อรองรับดีมานด์ที่ขยายตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการเคลื่อนย้ายแหล่งงาน และการขยายตัวของการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมโซนตะวันออก ซึ่งในอนาคตจะมีการขยายการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่เพิ่มขึ้นและเกิดความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ ๆ ในอนาคต จึงได้นำร่องเปิดโครงการแรก “เพฟ บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา วันที่ 24-25 มีนาคม สำหรับโครงการใหม่อีกแห่งจะมีการเปิดตัวในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้จากข้อมูลภาพรวมตลาดอสังหาฯโดยสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.)  ในปี 2560 โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC) โครงการเมกะโปรเจกต์ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่ต้องการจะพัฒนาพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของเขตเศรษฐกิจบริเวณภาคตะวันออกของไทยให้มีความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น เอสซีฯ จึงมองทิศทางการลงทุนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภาคตะวันออกมีทิศทางเป็นบวก และมีแนวโน้มการขยายตัวของดีมานด์ที่อยู่อาศัยในอนาคต เนื่องจากพื้นที่ภาคตะวันออกกำลังเป็นที่จับตามองของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยขณะนี้เริ่มมีผู้ประกอบการรายใหญ่ เริ่มทยอยเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ถือว่าเป็นทำเลที่เป็น ฮับแห่งภาคตะวันออก มีจุดเด่นเรื่องเส้นทางที่เป็นใจกลางระหว่างการขนส่งจากภาคตะวันออกเข้าสู่กรุงเทพฯ และทำเลที่ตั้งอยู่บนเส้นถนนหลักรับมาจากมอเตอร์เวย์อีกทั้งยังเชื่อมได้ทั้งทางด่วนบูรพาวิถี พร้อมทั้งมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่จะมาเชื่อมต่อในอนาคตอันใกล้อีกด้วย โครงการ เพฟ บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา (PAVE Ban Pho-Chachoengsao) มีพื้นที่โครงการกว่า 36 ไร่ มูลค่าโครงการ 750 ล้านบาท  จำนวน 144ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 168-217 ตร.ม. เริ่ม 4 ล้านต้น  เป็นบ้านเดี่ยวรุ่นใหม่สไตล์ Modern ด้วยการออกแบบภายในและภายนอกที่มีเอกลักษณ์ ทันสมัย คุ้มค่าทุกพื้นที่ใช้สอยด้วยฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์และความเป็นส่วนตัว เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการพักผ่อน  ภายใต้ แนวคิด Staycation Home  พร้อมมีแบบบ้าน 3 แบบให้เลือก ได้แก่ 1. LINEAR  ขนาดพื้นที่ใช้สอย 168 ตรม. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ 2. CIRCLE ขนาดพื้นที่ใช้สอย 178 ตรม. 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ 3. INFINITY ขนาดพื้นที่ใช้สอย 217 ตรม. 5 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ตั้งอยู่ติดถนนสุขุมวิท ฉะเชิงเทรา 314 เส้นหลักที่มุ่งหน้าเข้าตัวเมือง รองรับการขยายตัวและความต้องการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยสาธารณูปโภคต่างๆเช่น  ศูนย์การค้า  สถาบันการศึกษาชั้นนำและโรงพยาบาล เชื่อมต่อถนนเส้นหลักสามารถเข้าเมืองและเป็นจุดเชื่อม กรุงเทพและชลบุรี ใกล้สถานีรถไฟ กรุงเทพลาดกระบัง-ฉะเชิงเทราและสถานีรถไฟความเร็วสูงในอนาคต พร้อมด้วย Facilities สมบูรณ์แบบ เช่น คลับเฮ้าส์, สระว่ายน้ำระบบเกลือ, ห้องฟิตเนส, สวนส่วนกลาง และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ด้วย Premium Security , การเข้า-ออกโครงการผ่านระบบ Easy Pass  และควบคุมด้วยCCTV กล้องวงจรปิด  พร้อมสัญญาณกันขโมยในตัวบ้านทั้งหลังแบบ Magnetic ส่งสัญญาณเตือนไปยังศูนย์รักษาความปลอดภัย และรวมไปถึงบริการหลังการขายคุณภาพมาตรฐานโดยเอสซี แอสเสทฯ พร้อมเปิดพรีเซลส์ตั้งแต่ 24-25 มีนาคมนี้เป็นต้นไป สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษได้ที่ www.scasset.com หรือโทร.1749