Tag : News

2376 ผลลัพธ์
5 คอนโดสุดฮิต ที่มีคนสนใจมากที่สุดในเว็บ ประจำปี 2560

5 คอนโดสุดฮิต ที่มีคนสนใจมากที่สุดในเว็บ ประจำปี 2560

ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกเราทีมงาน Review Your Living ได้มีโอกาสไปทำรีวิวคอนโดมีเนียมหลายๆ แบรนด์ หลากดีไซน์ ไม่ว่าจะเป็น คอนโด Low Rise, คอนโด High Rise ตลอดจนคอนโดเกาะแนวรถไฟฟ้าทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล มาให้แฟนๆ ได้ชมกันไม่ต่ำกว่า 40 ที่ ซึ่ง 5 คอนโดฯ ต่อไปนี้ คือคอนโดที่มีผู้อ่านสนใจมากที่สุด โดยวัดจากยอดไลค์และแชร์ในแฟนเพจเฟซบุ๊ค รวมถึงจำนวนผู้เข้าอ่านในเว็บไซต์ของเรา มาดูกันดีกว่าค่ะว่าจะมีคอนโดไหนบ้าง จะใช่หลังที่อยู่ในใจคุณหรือเปล่า ตามมาดูได้เลย.. คอนโด HALLMARK งามวงศ์วาน สำหรับโครงการแรกที่มีผู้อ่านสนใจคลิกเข้ามามากที่สุดก็คือ Hallmark งามวงศ์วาน เป็นคอนโด Low Rise สูง 8 ชั้น 4 อาคาร ล้อมรอบ Facility หลักของโครงการอย่างสระว่ายน้ำ และฟิตเนส ที่อยู่ตรงกลางคอนโด ทำเลตั้งอยู่ย่านงามวงศ์วาน ใกล้ๆ กับกระทรวงสาธารณสุข โดยเป็นโครงการแรกจากชีวาทัย จุดเด่นอยู่ที่ความเงียบสงบ เป็นส่วนตัว ไม่วุ่นวายเหมือนคอนโดในเมือง เนื่องจากคอนโดตั้งอยู่ในซอยย่านชุมชน เหมาะกับคนที่ทำงานอยู่ในย่านนี้ โดยเฉพาะข้าราชการหรือบุคคลากรที่ทำงานอยู่ในกระทรวงสาธารณสุข จะสะดวกมากที่สุด ในส่วนของการเดินทางถ้าหากใครที่ไม่ใช้รถยนต์ส่วนตัวก็อาจจะต้องเผื่อเวลาในการเดินทางสักหน่อย เพราะทำเลที่ตั้งโครงการถือว่าอยู่ในซอยลึกพอสมควร แต่ก็ยังมีรถสองแถวและวินมอเตอร์ไซค์ไว้คอยให้บริการอยู่ แต่ใครที่ใช้รถไฟฟ้าเป็นหลักก็นับว่าสะดวกสบายมากค่ะ เพราะมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่อยู่ใกล้ๆ อย่างสถานีแยกติวานนท์ ทำให้ทุกการเดินทางเข้านอกออกเมืองเป็นเรื่องที่ง่าย อ่านรีวิวและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/MvxG8q คอนโด VERY สุขุมวิท 72 โครงการ VERY สุขุมวิท 72 เป็นคอนโดแนวรถไฟฟ้าที่ผู้อ่านในเว็บไซต์ให้ความสนใจมากทีเดียวค่ะ เพราะตัวคอนโดตั้งอยู่ซอยสุขุมวิท 72 การเดินทางหลักๆ ก็คงหนีไม่พ้นการใช้รถไฟฟ้า BTS เป็นตัวเลือกแรก นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีแบริ่งแล้วออกทางออกที่ 4 เดินต่อไปทางซอยสุขุมวิท 72 และเข้าซอยอีกเล็กน้อย ก็จะถึง Very Condo ระยะทางรวมแล้วไม่เกิน 400 เมตร จัดว่าเป็นระยะที่กำลังเดินได้สบายๆ โดยไม่ต้องพึ่งพารถสองแถว หรือวินมอเตอร์ไซค์เลยก็ได้ การเดินทางด้วยรถส่วนตัวก็จัดว่าสะดวกไม่แพ้กัน เพราะถนนหนทางในย่านนี้มีเส้นทางเลี่ยงเข้าออกเมืองได้หลายทาง ทั้งด่านทางด่วนบางนา และทางด่วนสุขสวัสดิ์-บางพลี ถนนวงแหวนรอบนอก สะพานภูมิพล (สะพานอุตสาหกรรม) รวมถึงถนนสายหลักๆ อย่างถนนบางนา-ตราด และถนนศรีนครินทร์ เรียกได้ว่ามีทางไปได้เยอะ รวมถึงเรื่องสภาพแวดล้อมรอบๆ ก็คึกคักดีทีเดียวค่ะ เพราะใกล้ทั้งแหล่งช็อปปิ้งใหญ่ๆ หลายแห่ง แถมยังมีร้านค้า ร้านอาหาร ตลาดสดอยู่ใกล้ๆ ด้วย ทำเลย่านนี้จึงอุดมสมบูรณ์ไม่น้อยเลย สำหรับการซื้อหาเพื่ออยู่อาศัย ที่ตั้งโครงการค่อนข้างได้เปรียบในเรื่องของความเงียบสงบ เหมาะกับการพักอาศัย ส่วนการลงทุนเพื่อหวังปล่อยห้องให้เช่า อ่านรีวิวและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/b8gYyc The stage เตาปูน interchange สำหรับโครงการ The Stage Taopoon Interchange ในเครือของ Real Asset เป็นคอนโด High Rise ตั้งอยู่บนประชาราษฎร์สาย 2 ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าเตาปูนมาประมาณ 350 เมตร ก็จะถึงหน้าทางเข้าโครงการ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เกาะติดแนวรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน แถมพ่วงด้วยสายสีม่วงเข้าไปอีก เพราะจุดนี้เป็นสถานีเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าทั้ง 2 สายพอดี ทำเลนี้เลยเพิ่มระดับความน่าสนใจขึ้นมาได้อีกเยอะเลยทีเดียว ในขณะที่พื้นที่รอบๆ โครงการยังเป็นที่พักอาศัยทั้งอาคารพาณิชย์และบ้านเดี่ยวเสียเป็นส่วนใหญ่ จะมีเพื่อนบ้านเป็นตึกสูงของโครงการ The Tree Interchange ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเท่านั้นที่อยู่ในระยะประชิด ยังดีหน่อยที่ลักษณะของที่ดินโครงการบังคับให้ตัวอาคารที่พักอาศัยหันหน้าไปทางทิศเหนือ-ใต้ เลยหมดปัญหากังวลเรื่องตำแหน่งห้องที่จะถูกตึกข้างๆ บดบังวิวไปได้เยอะเลย นอกจากนี้ริมถนนประชาราษฎร์ สาย 2 ยังคงมีร้านค้า ร้านอาหาร และธนาคารพาณิชย์ ที่ให้ความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันได้ตามสมควร รวมถึงโรงเรียนเทพสัมฤทธิ์วิทยาที่ยังคงอยู่ทางด้านหลังโครงการ และโรงพยาบาลบางโพที่อยู่ห่างออกไปเพียง 300 เมตรเท่านั้น ในขณะที่ถัดออกไปทางแยกเตาปูนก็มีตลาดสด และห้างโลตัสเตาปูนที่สามารถเป็นที่พึ่งพาให้จับจ่ายซื้อหาข้าวของที่จำเป็นได้ไม่ยาก ทำเลในย่านนี้จึงถือว่าเหมาะกับการอยู่อาศัยพอสมควรเลยทีเดียว อ่านรีวิวและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/zcA6E1 aspire งามวงศ์วาน คอนโดมิเนียมแบรนด์ Aspire อีกหนึ่งโครงการจาก AP ที่ยึดทำเลแยกพงษ์เพชรสร้างคอนโดมิเนียม High Rise ตึกคู่ พร้อม Facility จัดเต็ม หรูหรามีสไตล์ ในราคาโปรโมชั่นสุดคุ้มด้วยทำเลที่มีศักยภาพคุ้มค่ากับการลงทุน  ที่ตั้งของโครงการอยู่ติดถนนใหญ่ ห่างจากแยกพงษ์เพชรมาทางฝั่งขาไปถนนวิภาวดีฯ นิดเดียว การเดินทางจึงจัดว่าสะดวกมาก เพราะเลือกใช้ได้หลายเส้นทาง สะดวกทั้งเข้าเมืองและออกนอกเมือง ถึงแม้จะไม่มีรถไฟฟ้าผ่านหน้าโครงการก็ตาม ซอยใกล้ๆ โครงการคือ ซอยชินเขต 1 สามารถใช้เป็นเส้นทางลัดไปออกถนนวิภาวดี และถนนประชาชื่นได้ แถมถนนรอบๆ ยังเชื่อมต่อไปยังถนนแจ้งวัฒนะ ถนนรัตนาธิเบศร์ แยกประชานุกูลได้อีกด้วย  จึงจัดได้ว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพในการเดินทางมากเลยทีเดียว ส่วนในอนาคตทำเลนี้ก็ยังรองรับรถไฟฟ้า ซึ่งตัวโครงการจะอยู่ระหว่างสถานีบางเขน (สายสีแดง) กับสถานีศูนย์ราชการนนทบุร (สายสีม่วง) นอกจากนี้รอบๆ โครงการยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ห้างเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน, เทสโก้โลตัส, โฮมโปร, ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่า, เมเจอร์รัชโยธิน, โรงพยาบาลนนทเวช, มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ศูนย์ราชการ, SCG, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมไปถึงด่านขึ้นลงทางด่วนก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเลยค่ะ เพียง 3.9 กิโลเมตรเท่านั้น ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนก็จัดว่าสะดวกมากๆ อ่านรีวิวและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/6MV1n9 333 Riverside มาถึงอันดับ 5 เราก็ยังคงวนเวียนอยู่ในย่านเตาปูน บางโพ เพราะแถวนี้มีคอนโดโครงการใหม่ผุดขึ้นหลายโครงการเลย ซึ่งโครงการ 333 Riverside คอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา จาก Land & House ก็เป็นอีกโครงการที่มีผู้อ่านสนใจมากทีเดียว เพราะนอกจากจะอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ได้วิวสวยๆ แล้ว ยังอยู่ติดกับตัวสถานี MRT บางโพอีกต่างหาก ที่ตั้งของโครงการถือว่าอยู่ในทำเลที่ดีเลยค่ะ เพราะอยู่ในย่านชุมชน ใกล้ตลาดสด โรงพยาบาล และโรงเรียน ซึ่งเหมาะกับคนที่กำลังมองหาที่พักอาศัยเกาะแนวรถไฟฟ้า และอยู่ไม่ห่างจากความเจริญมากนัก ซึ่งในอนาคตทำเลย่านนี้ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เพราะนอกจากรถไฟฟ้าที่เข้ามาในย่านนี้แล้ว ยังมีรัฐสภาแห่งใหม่ที่กำลังอยู่ก่อสร้างอยู่อีกด้วย ส่วนการซื้อเพื่อลงทุนสำหรับการปล่อยเช่า เนื่องจากห้องมีขนาดใหญ่ เริ่มต้นที่ 45 ตารางเมตร ราคาต้นทุนจึงอาจจะสูงตามไปด้วย แถมตัวโครงการยังอยู่ห่างไกลจากแหล่งธุรกิจใจกลางเมือง ขณะที่การซื้อเพื่อขายต่อในอนาคตอาจจะมีโอกาสที่ดีกว่า อย่างไรก็ดีผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนการลงทุนด้วยนะคะ อ่านรีวิวและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/7sb6PV สรุป จาก 5 คอนโดสุดฮิต ที่มีคนสนใจมากที่สุดในเว็บ ประจำปี 2560 จะเห็นได้ว่าเกือบทั้ง 5 คอนโด ตั้งอยู่ในย่านเตาปูน-บางซ่อน แทบจะทั้งหมดเลยนะคะ มีเพียงคอนโดเดียวเท่านั้นที่อยู่ย่านสุขุมวิท ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ทำเลในย่านนี้คึกคักและน่าสนใจเป็นพิเศษก็เพราะมีรถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-คลองบางไผ่) ที่มีสถานีเตาปูนเป็นจุด interchange กับรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-หัวลำโพง) และรถไฟฟ้าสีน้ำเงินส่วนตัวขยาย (เตาปูน-ท่าพระ) ทำให้การเดินทางเข้านอกออกเมืองเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวก บวกกับราคาคอนโดที่ไม่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ในปัจจุบัน ยิ่งตอนนี้การก่อสร้างรถไฟฟ้าคืบหน้าไปมากจนใกล้จะเสร็จเต็มที ทำให้บางโครงการได้รับความสนใจมากขึ้น จึงไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไมผู้อ่านในเว็บไซต์ Review Your living ให้ความสนใจมาก อย่างที่บอกว่าศักยภาพของทำเลในย่านนี้มีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต แต่อย่างไรก็ดีผู้สนใจควรศึกษาปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อด้วยนะคะ และในปี 2561 จะมีคอนโดไหนโดดเด่น น่าอยู่ และน่าลงทุนอีกบ้าง ทีมงานเราไม่พลาดที่จะคอยอัพเดตข้อมูลอย่างรู้ลึก รู้จริง แน่นอนค่ะ
มั่นคงเคหะการ คาดตลาดอสังหาฯ ไทยส่งสัญญาณเติบโตต่อเนื่อง อานิสงค์การลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้นและความเชื่อมั่นทางการเมือง

มั่นคงเคหะการ คาดตลาดอสังหาฯ ไทยส่งสัญญาณเติบโตต่อเนื่อง อานิสงค์การลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้นและความเชื่อมั่นทางการเมือง

นางสาวดุษฎี ตันเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยว่า ตลอดปีที่ผ่านมา ตลาดอสังหาฯ ไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แม้ว่าในช่วงต้นปีจะมีบางช่วงที่ชะลอตัวบ้าง เนื่องจากผู้ประกอบการมุ่งเน้นระบายสต็อกที่มีอยู่เดิมมากกว่าการเปิดโครงการใหม่ ตลาดโดยรวมจึงอาจจะยังไม่คึกคักมากนัก อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น  ทั้งจากการลงทุนด้านคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลที่มีมติให้เริ่มการดำเนินงานอย่างชัดเจน อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วง แคราย-มีนบุรี, สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และสายสีม่วงช่วง เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่ทางรัฐบาลได้ประกาศว่าจะจัดการเลือกตั้งขึ้นภายในปี 2561 ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นและกล้าตัดสินใจที่จะลงทุนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้จากการประเมินสถานการณ์ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) คาดการณ์ว่า ในปี 2560 จะมีการเปิดขายที่อยู่อาศัยใหม่อยู่ระหว่าง 97,200 – 113,000 หน่วย ซึ่งได้แบ่งการประเมิน 3 ระดับ คือ ระดับสภาพตลาดน้อยที่สุด จะมีจำนวนเปิดใหม่ 97,200 หน่วย เติบโตจากปี 2559 ที่ 0.7%, ระดับกลาง จะมีจำนวนเปิดใหม่ 103,000 หน่วย เติบโตจากปี 2559 ที่ 6.7% และระดับตลาดดีที่สุด จะมีจำนวนเปิดใหม่ 113,000 หน่วย เติบโตจากปี 2559 ถึง 17.1% ซึ่งระบุได้ว่า ตลาดอสังหาฯ ยังมีอัตราการเติบโตอยู่   “การเดินทางที่สะดวกสบายมีผลอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่ของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดใช้บริการของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน ในระยะแรกอาจจะไม่คึกคักอย่างที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการเดินทางไม่เชื่อมต่อกันตลอดทั้งเส้นทาง แต่หลังจากมีการเชื่อมต่อสถานี เตาปูน-บางซื่อ เรียบร้อยแล้วน่าจะกลับมาคึกคักอย่างเห็นได้ชัด โดยมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 50% ซึ่งจะส่งผลให้การตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคกลับมาคึกคักด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ มั่นคงเคหะการก็มีโครงการรองรับผู้บริโภคในทำเลดังกล่าวถึง 3 โครงการ ได้แก่ โครงการชวนชื่น ทาวน์ กาญจนา-บางใหญ่ , ชวนชื่น พาร์ค กาญจนา-บางใหญ่ และ โครงการชวนชื่น ทาวน์ แก้วอินทร์-บางใหญ่ ซึ่งการพัฒนาโครงการของมั่นคงฯ จะเน้นที่ผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก ให้ความคุ้มค่ากับผู้บริโภคสูงสุด โดยใช้แนวทางการก่อสร้างเสร็จพร้อมขาย เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจในการซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น และถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก” นางสาวดุษฎี ตันเจริญ กล่าว     นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงความคืบหน้าที่ชัดเจนของรัฐบาลเกี่ยวกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) สำหรับรองรับการลงทุนในด้านอุตสาหกรรม ส่งผลให้เศรษฐกิจมีการเติบโตขึ้นและส่งผลดีต่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์โดยรวม ซึ่งมั่นคงเคหะการมีการพัฒนาโครงการรองรับในการขยายตัวของเศรษฐกิจบริเวณโซนบางนาทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และล่าสุดได้เปิดตัวโครงการชวนชื่นไพร์ม บางนา เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีมาก สามารถสร้างยอดขายไปแล้วกว่า 80% ในเฟสแรก และโครงการก่อสร้างของภาครัฐอื่นๆ อาทิ โครงการก่อสร้างถนนเส้นใหม่ ทางหลวงหมายเลข 346 (ปทุมธานี) ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพของการพัฒนาโครงการของมั่นคงเคหะการ รวมทั้งยังเป็นทำเลที่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งโครงการชวนชื่นไพร์ม กรุงเทพ-ปทุมธานี และโครงการสนามกอล์ฟ  ซึ่งได้มีการรีโนเวทให้ครบครันยิ่งขึ้น คาดว่าจะเผยโฉมให้ได้ชมในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561     สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ไทยในปี 2561 คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2560 ทั้งจากการลงทุนด้านคมนาคมของภาครัฐ การผลิตและการใช้จ่ายของภาครัฐที่ขยายตัวมากขึ้น รวมถึงการส่งออกของไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้ผู้ซื้อมีความมั่นใจในการจับจ่ายมากยิ่งขึ้นด้วย สอดคล้องกับการประมาณสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ไทยในปี 2561 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ที่ประเมินว่าตลาดอสังหาฯ จะเติบโตประมาณ 6-8% เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่เติบโตประมาณ 2-3%  โดยปัจจัยต่างๆ นั้น ยังจะทำให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเติบเพิ่มขึ้นด้วย โดยคาดการณ์ว่าในปี 2561 จะสามารถปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่ได้ไม่ต่ำกว่า 600,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 3-4%
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยภาพรวมตลาดวิลล่าในภูเก็ต

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยภาพรวมตลาดวิลล่าในภูเก็ต

นายณัฏฐา คหาปนะ กรรมการบริหาร บริษัท ไนท์แฟรงค์ ภูเก็ต จำกัดคาดการณ์ว่า ยูนิตวิลล่าที่มีระดับราคาขายระหว่าง 8-15 ล้านบาทมีแนวโน้มสดใส ตลาดยังคงแสดงอัตราการครอบครองเติบโตอย่างต่อเนื่อง ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2560 มีวิลล่าประมาณ 1,982 ยูนิตที่ขายหมดไปแล้วจากทั้งหมด 2,542 ยูนิต คิดเป็นอัตราขายอยู่ที่ร้อยละ 78 โดยมี 168 ยูนิตที่ขายในปีนี้ ในขณะที่วิลล่าในภูเก็ตที่มีราคาสูงกว่า 300 ล้านบาทต่อยูนิตมีแนวโน้มไม่ดีนัก ยอดขายค่อนข้างนิ่งโดยมีเพียงไม่กี่ยูนิตที่ขายได้ โดยในภาพรวมของตลาดราคาขายต่อยูนิตโดยเฉลี่ยจะยังคงที่หรือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย และจะยังมีวิลล่ารีเซลเพิ่มเข้ามาในตลาดอีกด้วย ที่มา: ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย วิลล่าในภูเก็ตมีจำนวน 2,542 ยูนิตโดยประมาณ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 มี 178 ยูนิตที่เพิ่มเข้ามาในตลาดวิลล่าภูเก็ต ส่วนใหญ่วิลล่าใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้เป็นวิลล่าประเภท 2 ห้องนอน ที่มีราคาขายอยู่ที่ 8-12 ล้านบาทต่อยูนิต และส่วนใหญ่ของอุปทานใหม่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางของเกาะบริเวณหาดบางเทา หาดสุรินทร์ และหาดกมลา บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ผู้ซื้อวิลล่ายังคงเป็นชาวต่างชาติและชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศแถบอาเชีย เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และจีน นอกจากนี้ยังมีชาวออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่ซื้อวิลล่าในภูเก็ตไว้เป็นบ้านหลังที่สอง โดยผู้ซื้อจากประเทศจีนนับเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของกลุ่มผู้ซื้อวิลล่าในภูเก็ต ซึ่งรวมไปถึงผู้ซื้อจากฮ่องกงและสิงคโปร์แล้ว เนื่องจากมีเที่ยวบินตรงและระยะทางที่ไม่ไกลนัก สามารถบินตรงจากบางเมืองในประเทศจีนไปยังจังหวัดภูเก็ตได้เลยซึ่งปัจจัยนี้เป็นอีกตัวช่วยที่ดีในการผลักดันตลาดวิลล่าในภูเก็ต
คอนโดใกล้รถไฟฟ้า 0 เมตร จากรถไฟฟ้า ตัวไหนเด็ด

คอนโดใกล้รถไฟฟ้า 0 เมตร จากรถไฟฟ้า ตัวไหนเด็ด

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า รถไฟฟ้ากลายเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินชีวิตของคนในกรุงเทพฯ อย่างขาดไปเสียไม่ได้ แม้จะมีข้อเสียในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนที่มีความแอดอัดของผู้คน ต้องรอต่อคิวยาว หรือปัญหารถไฟฟ้าเสียก็พบเจอกันอยู่เป็นประจำ แต่รถไฟฟ้าก็ยังถือว่าเป็นการเดินทางที่สะดวก รวดเร็วมากที่สุดในเวลานี้ และเมื่อใดที่โครงข่ายรถไฟฟ้าทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เราก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะเกิดกับเมือง ซึ่งทุกวันนี้ก็เริ่มมีให้เห็นแล้ว   คำว่าทำเลดีในปัจจุบันมักจะหมายถึงที่ดินติดรถไฟฟ้า ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก เราเองก็ย่อมต้องมองหาที่อยู่อาศัย เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตมากที่สุด นั่นหมายความว่ายิ่งติดสถานีรถไฟฟ้ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มสะดวกสบายได้มากขึ้นเท่านั้น หลายคนจึงเริ่มซื้อโครงการที่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าทั้งในปัจจุบันที่เปิดให้ใช้บริการอยู่ และโครงการติดกับสถานีรถไฟฟ้าในอนาคตเก็บเอาไว้ก่อนราคาจะเพิ่มสูงมากขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเปิดใช้บริการแล้ว โดยผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เองก็มีการแข่งขันกันอยู่ดุเดือดตั้งแต่เรื่องการหาที่ดินแปลงสวยทำเลดีติดรถไฟฟ้า และสิ่งอำนวยความสะดวก พัฒนาขึ้นมาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่ต่างก็โฆษณากันว่าห่างจากสถานีรถไฟฟ้าเพียงไม่กี่เมตร หรือแม้แต่ห่างจากรถไฟฟ้าเพียง 0 เมตร ชนิดที่ว่าเดินทางบันไดสถานีรถไฟฟ้าก็ถึงหน้าโครงการกันเลยทีเดียว เราลองไปดูกันว่าคอนโดมิเนียมที่ห่างจากรถไฟฟ้าเพียง 0 เมตร หรือห่างประมาณ 100 เมตร จะมีโครงการเด็ดๆ ที่ไหนบ้าง ซึ่งจะแบ่งออกตามสายรถไฟฟ้าเฉพาะสายที่ให้บริการในปัจจุบัน และใกล้จะเปิดให้บริการแล้ว ดังนี้ คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม (สายสีลม) The Line สาทร ติดสถานีสุรศักดิ์ มุมถนนสาทร กับถนนประมวล ตัวอาคารถูกออกแบบให้เป็น Single Corridor เพื่อให้ทุกห้องไม่ถูกบล็อกวิวจากอีกฝั่ง และมีเพียง 3 ยูนิต/ชั้น เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นานมานี้เอง แต่ SOLD OUT แล้วเรียบร้อยตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย ราคาเริ่มต้นประมาณ 7.9 ล้านบาท The Bangkok สาทร สถานีสุรศักดิ์ ริมถนนสาทรฝั่งขาออก ใกล้จุดขึ้น-ลงทางพิเศษศรีรัช คอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยม ขนาดยูนิตเริ่มต้น 59 ตร.ม. Private Lift ทุกยูนิต ที่จอดรถ 120% ถือว่าหายากมากๆ สำหรับคอนโดมิเนียมในเมือง ราคาเริ่มต้นประมาณ 10 ล้านบาท   สีลม-สาทร แหล่งเศรษฐกิจซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นมากราคาคอนโดก็สูงขึ้นตาม แต่ยังคงได้รับความนิยมอยู่เสมอเมื่อเกิดโครงการใหม่ๆ ขึ้นมา ด้วยทำเลที่ไม่ไกลจากออฟฟิศของใครหลายคน สิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมี่ยม ตอบโจทย์กลุ่มตลาดระดับบนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี แต่หากจะอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าช่วงฝั่งธนก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะมีราคาที่ถูกกว่าย่านสีลม-สาทร มากเป็นเท่าตัว ในอนาคตยังมีจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีอื่นๆ อีกหลายเส้นทาง  คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน (สายสุขุมวิท) Ideo Q Victory ติดสถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ริมถนนพญาไท ดีไซน์อาคารสวยโดดเด่น ประกอบกับที่ดินย่านนี้หายากมาก อนุสาวรีย์ก็ถือเป็น HUB ของการเดินทางในกรุงเทพฯ อยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่โครงการนี้ในรอบเปิดจองออนไลน์จะ SOLD OUT ในระยะเวลาไม่กี่นาที ราคาเริ่มต้น 5.59 ล้านบาท THE ESSE สุขุมวิท 36 ติดสถานีทองหล่อ ปากซอยสุขุมวิท 36 คอนโดมิเนียมระดับหรูย่านทองหล่อ ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ของทำเล และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีที่จอดรถแบบปกติ กับที่เป็น Automatic Parking ทั้งหมด 89% ถือว่าเยอะมากสำหรับคอนโดมิเนียมในเมือง คาดว่าแล้วเสร็จปี 2563 ราคาเริ่มต้น 12 ล้านบาท รถไฟฟ้าสายนี้ในปัจจุบันเปิดให้บริการตั้งแต่สถานีหมอชิต-สำโรง เป็นทำเลที่ได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าจะเป็นช่วงใจกลางเมืองอย่าง ทองหล่อ พร้อมพงษ์ อโศก หรือจะห่างออกไปในทุกๆ สถานี เราจะได้เห็นทั้งโครงการคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน และโครงการในอนาคตขึ้นมาให้เห็นกันอยู่ตลอด คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (หมอชิต-คูคต) Knightsbridge Kaset Society สถานีรถไฟฟ้าเสนานิคม ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลตัดผ่านแยกเกษตรด้วย โครงการอยู่ริมถนนพหลโยธินฝั่งขาเข้า ใกล้กับแยกเกษตร โครงการนี้ได้รับความสนใจอย่างมากด้วยทำเล และการออกแบบของ  Facilities ให้เชื่อมต่อกันทั้ง 3 อาคาร ทำให้ดูโดดเด่นมาก คาดว่าแล้วเสร็จ 2563 ราคาเริ่มต้น 2.69 ล้านบาท Life ลาดพร้าว สถานีรถไฟฟ้าห้าแยกลาดพร้าว อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเซ็นทรัลลาดพร้าวพอดี และยังห่างจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีพหลโยธินอีกประมาณ 500 เมตร สิ่งอำนวยความสะดวกรายล้อมอยู่มากมาย ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการสุดฮอตจากเอพี ราคาเริ่มต้นช่วงเปิดตัวอยู่ที่ 2.9 ล้านบาท modiz interchange คอนโด Low Rise แต่ทำเลสวย เพราะอยู่ใกล้กับจุด interchange ของสายสีเขียว และสายสีชมพูสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ ตรงวงเวียนหลักสี่ ใกล้เซ็นทรัลรามอินทรา ราคาเริ่มต้น 2.09 ล้านบาท ถือเป็นทำเลสุดฮอตอีกแห่งที่ร้อนแรงมากในปีนี้ที่มีหลายโครงการจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งค่ายเล็ก ค่ายใหญ่ ต่างจับจองพื้นที่ช่วงชิงดีมานด์ในย่านนี้ที่ยังมีอยู่มากทั้งวัยทำงาน และวัยเรียน แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นที่ทราบกันดีว่าการจราจรติดขัดอย่างหนักหนาสาหัส แต่หากส่วนต่อขยายช่วงนี้เปิดให้บริการทุกอย่างก็จะยิ่งถูกพัฒนาขึ้นไปกว่านี้อีกมาก คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (แบริ่ง-สมุทรปราการ) The Trust Condo @บีทีเอส เอราวัณ คอนโดพร้อมอยู่ เหมาะสำหรับคนทำงานในย่านนั้น แต่จำนวนยูนิตอาจจะมากไปหน่อย ประมาณ 1,570 ยูนิต แต่ราคาเริ่มต้นน่าสนใจทีเดียว ประมาณ 1.89 ล้านบาท Metropolis Samrong interchange ติดสถานีสำโรง คอนโดมิเนียมที่ไม่ได้เป็นกระแสมากนัก แต่น่าสนใจมาก เพราะในอนาคตจะเป็นจุด interchange กับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง วัสดุที่ใช้ค่อนข้างดี คาดว่าแล้วเสร็จปี 2561 ราคาเริ่มต้น 3.4 ล้านบาท คอนโดมิเนียมย่านนี้ แม้จะดูไกลออกไปหน่อย สิ่งอำนวยความสะดวกยังไม่มากเท่าส่วนต่อขยายฝั่งถนนพหลโยธิน แต่ได้ความเงียบสงบกว่ามาก ราคาถือว่ายังไม่แรง ประกอบกับที่ตั้งของโครงการติดรถไฟฟ้าเลยก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะยิ่งหากส่วนต่อขยายนี้เปิดใช้ภายในปี 2561 เมื่อไร เชื่อว่าราคาจะพุ่งสูงขึ้นอีกแน่นอน คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-คลองบางไผ่) Ideo Mobi วงศ์สว่าง อินเตอร์เชนจ์  สถานีรถไฟฟ้าบางซ่อน และยังเป็นอินเตอร์เชนจ์กับรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง สถานีบางซ่อน คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ มี Facility หลัก เอาไว้ชั้น 29-30 บนสุดของโครงการ เช่น สระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนส ตัวอาคารออกแบบสวยตามสไตล์อนันดา จึงถือเป็นอีกโครงการที่โดดเด่นของย่านนี้ ราคาเริ่มต้น 2.4 ล้านบาท Grow รัตนาธิเบศร์ สถานีไทรม้า คอนโดมิเนียม 34 ชั้น 364 ยูนิต ถือเป็นโครงการที่จำนวนยูนิตค่อนข้างน้อย ที่จอดรถให้มา 100% ขนาดเริ่มต้น 35 ตร.ม. เมื่อเทียบกับคอนโดในเมืองถือว่าได้พื้นกับราคาที่ดี คาดว่าแล้วเสร็จ 2561 ราคาเริ่มต้น 2.3 ล้านบาท Casa Condo บางใหญ่ สถานีสามแยกบางใหญ่ ติดถนนรัตนาธิเบศร์ ใกล้เส้นกาญจนาภิเษก จุดนี้ยังถือเป็นแหล่งรวมสิ่งอำนวยความสะดวกในย่านนี้ ทั้งบิ๊กซี โฮมโปร เซ็นทรัลเวสต์เกต อิเกียบางใหญ่ (เปิดให้ใช้บริการปี 2561) โรงพยาบาลการุณเวช รัตนาธิเบศน์ ที่จอดรถน้อยไปหน่อยเพียง 30% แต่เมื่อ เมื่อเทียบราคากับคอนโดมิเนียมโครงการอื่นที่อยู่ติดรถไฟฟ้าในระยะไม่เกิน 100 เมตรแบบนี้ ถือว่าน่าสนใจทีเดียว โดยราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท   คอนโดใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีม่วงมีให้เลือกไม่มากเท่าสายอื่นๆ เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่มีการเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน สถานีบางซื่อ จึงทำให้การเดินทางยังไม่คล่องตัวเท่าที่ควร แต่ปัจจุบันเมื่อเชื่อมต่อกันแล้วก็ทำให้ได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย เป็นข้อพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะสะดวกสบายขึ้นก็ไม่จำเป็นต้องหาที่อยู่อาศัยแค่ในเมืองอีกต่อไป คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสีน้ำเงิน (บางซื่อ-หัวลำโพง) Ideo Mobi พระราม 4 เพิ่งเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ สำหรับค่ายอนันดา ติด MRT สถานีคลองเตย และยังใกล้กับจุดขึ้น-ลงทางด่วนแค่ 50 เมตร โครงการเน้นพื้นที่สีเขียว รวมถึงเป็นโครงการแรกที่นำเทคโนโลยี Solar Fresh air system มาใช้ เพื่อระบายความร้อนจากตัวห้อง คาดว่าแล้วเสร็จปี 2562 โครงการนี้ถือว่าทำเลดีมากอีกโครงการ ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท The esse singha complex สถานีเพชรบุรี ตั้งอยู่บนที่ดินเดิมของสถานทูตญี่ปุ่น ทำเลซึ่งเชื่อมต่อระหว่างใจกลางเมืองกับ New CBD เป็นโครงการ Mix-Use โดยจะมีทั้งคอนโดมิเนียม ส่วนออฟฟิศเกรดเอ พื้นที่ค้าปลีก  ที่กำลังจะสร้างประตูทางเข้า-ออกใหม่จากรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีเพชรบุรีให้ถึงหน้าโครงการเลย และยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับ Airport Rail Link สถานีมักกะสัน ราคาเริ่มต้น 8.6 ล้านบาท   รถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกในประเทศไทยที่มีผู้ใช้บริการอย่างเนื่องแน่นในชั่วโมงเร่งด่วน วิ่งผ่านสถานที่สำคัญ และเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายอื่นๆ รวมถึงการนำไปสู่การเดินทางอื่นได้อีก เช่น รถไฟ เรือ เป็นต้น ราคาค่าโดยสารก็ไม่แพงมากนัก แม้จะมีคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าใต้ดินยังไม่มากนักเมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าบีทีเอส แต่ก็ยังเป็นทำเลที่ผู้คนนิยมใช้เดินทางกันอยู่เสมอ คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินฝั่งเหนือ (บางซื่อ–ท่าพระ) Ideo Mobi จรัญอินเตอร์เชนจ์ คอนโดพร้อมอยู่ที่อยู่ใกล้กับสถานีบางขุนนนท์ และในอนาคตก็เป็นจุดอินเตอร์เชนจ์กับสายสีส้ม ตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม และสายสีแดง ตลิ่งชัน-ศาลายา ราคาเริ่มต้น 2.69 ล้านบาท Brix จรัญสนิทวงศ์ 64 สถานีสิรินธร อาคารสูงแห่งแรกของแยกบางพลัด ที่สามารถตรงไปข้ามสะพานซังฮี้ แล้วเข้าสู่อนุสาวรีย์ได้อย่างง่ายดาย ใกล้สถาบันการศึกษาหลายแห่ง ได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยา คาดว่าแล้วเสร็จปี 2561 ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท The TREE RIO ติดสถานีบางอ้อ ถนนจรัญสนิทวงศ์ เยื้องโรงพยาบาลยันฮี ใกล้จุดขึ้น-ลง ทางพิเศษศรีรัช ในอนาคตมีโครงการสร้างสะพานเกียกกาย ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จะยิ่งทำให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้นในอนาคต คาดว่าแล้วเสร็จ 2561 ราคาเริ่มต้นประมาณ 2 ล้านบาท IDEO ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ สถานีท่าพระ เป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินทั้งสองฝั่งเข้าไว้ด้วยกัน อยู่ริมถนนเพชรเกษมใกล้แยกท่าพระ คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ที่ส่วนกลางสระว่ายน้ำชั้นดาดฟ้าสวยมากอีกโครงการหนึ่ง ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท   โซนนี้แต่เดิมไม่ค่อยมีอาคารสูงมากนัก เพราะเป็นย่านเมืองเก่าเสียมากกว่า ทำให้บรรยากาศไม่วุ่นวายจนเกินไป ค่าครองชีพก็ยังไม่สูง แต่หากรถไฟฟ้าเสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่ ก็จะทำให้ย่านนี้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มบุกทำเลนี้กันมากขึ้นด้วย   ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการยกตัวอย่างส่วนหนึ่งของโครงการคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าที่เปิดให้ใช้บริการในปัจจุบัน และสายที่กำลังจะเปิดใช้บริการอีกไม่นานเกินรอ ซึ่งไม่ใช่แค่ทำให้การเดินทางสะดวกรวดเร็วขึ้น แต่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ใกล้เคียงด้วย ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมที่ติดกับรถไฟฟ้าสายสีอื่นๆ อีก ทั้งที่เปิดตัวไปแล้ว และกำลังจะมีเปิดโปรเจคใหม่ตามมาอีกอย่างต่อเนื่อง จากนี้ไปเราคงจะได้เห็นกรุงเทพฯ และปริมณฑล เติบโตขยายขึ้นอีกเรื่อยๆ โครงการคอนโดใกล้รถไฟฟ้าอื่นๆ Whizdom Inspire Sukhumvit Supalai City Resort Charan 91 THE EXTRO Phayathai-Rangnam
เปิดราคาที่ดินล่าสุด เริ่มใช้ปี 61′

เปิดราคาที่ดินล่าสุด เริ่มใช้ปี 61′

ที่ดินเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอยู่ตลอด โดยผู้ที่กำหนดราคาที่ดิน คือ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ซึ่งมีการประกาศราคาประเมินที่ดินใหม่ โดยเปลี่ยนวิธีการจากเดิมประเมินเป็นรายบล็อก เป็นการประเมินราคารายแปลงทั้งหมด 32 ล้านแปลง ราคาใหม่นี้เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2561 โดยราคาที่ดินสูงสุดเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร เรียงตามลำดับ ดังนี้ 1.ถ.สีลม เขตบางรัก ตารางวาละ 1,000,000 บาท 2.ถ.เพลินจิต ถ.พระราม1 ถ.ราชดำรอ เขตปทุมวัน ตารางวาละ 900,000 บาท 3.ถ.สาทร เขตสาทร เขตบางรัก ตารางวาละ 750,000 บาท 4.ถ.วิทยุ เขตปทุมวัน ถ.เยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ ตารางวาละ 700,000 บาท 5.ถ.สุขุมวิท เขตวัฒนา คลองเตย ตารางวาละ 650,000 บาท 6.ถ.พัฒนพงษ์ ถ.ธนิยะ ถ.นราธิวาสฯ เขตบางรัก ตารางวาละ 600,000 บาท 7.ถ.สำเพ็ง ถ.ราชวงศ์ ตารางวาละ 550,000 บาท 8.ถ.พญาไท ถ.ศาลาแดง ถ.สุรวงศ์ ถ.เจริญกรุง ถ.คอนแวนต์ เขตบางรัก ถ.พระราม 4 ถ.หลังสวน เขตปทุมวัน ถ.มังกร เขตสัมพันธวงศ์ ตารางวาละ 500,000 บาท 9.ถ.มหาจักร เขตสัมพันธวงศ์ ตารางวาละ 475,000 บาท 10.ถ.พระสุเมรุ เขตพระนคร ตารางวาละ 470,000 บาท   ส่วนที่ดินที่ถูกที่สุดในเขตกรุงเทพมหานคร เรียงตามลำดับ ดังนี้ 1.เขตบางขุนเทียน บริเวณคลองโล่งชายทะเล ตารางวาละ 500 บาท 2.คลองพิทยาลงกรณ์ คลองโล่ง เขตบางขุนเทียน ตารางวาละ 800 บาท 3.ถ.ร่วมพัฒนา ถ.คู้คลองสิบ ถ.มิตรไมตรี เขตหนองจอก ตารางวาละ 850 บาท 4.ถ.สุวินทวงศ์ ถ.เลียบวารี เขตหนองจอก ถ.ขุมทอง-ลำต้อยติ่ง เขตลาดกระบัง ตารางวาละ 1,000 บาท 5.ถ.คลองเกาะโพธิ์ ถ.บางขุนเทียนเลียบชายทะเล ตารางวาละ 1,200 บาท 6.ถ.ราษฎร์อุทิศ เขตมีนบุรี คลองสามวา ตารางวาละ 1,300 บาท 7.ถ.พระราม 2 คลองสนามชัย และถ.แสมดำ เขตบางขุนเทียน ตารางวาละ 1,500 บาท 8.ถ.เอกชัย ถ.พระราม 2 เขตบางขุนเทียน 2,000 บาท 9.ซ.เทียนทะเล 22 ตารางวาละ 2,400 บาท 10.คลองหนามแดง ถ.เอกชัย ถ.บางบอน 4 เขตบางขุนเทียน ตารางวาละ 2,500 บาท ราคาที่ดินสูงสุดในต่างจังหวัด เรียงตามลำดับ ดังนี้ 1.อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตารางวาละ 400,000 บาท 2.อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ตารางวาละ 250,000 บาท 3.ถ.เลียบหาดพัทยา จ.ชลบุรี ตารางวาละ 220,000 บาท 4.ถ.ศรีจันทร์ จ.ขอนแก่น ตารางวาละ 220,000 บาท 5.ถ.เนรมิต จ.นครศรีธรรมราช ถ.ทวีวงศ์ จ.ภูเก็ต ตารางวาละ 200,000 บาท 6.ถ.โพศรี จ.อุดรธานี ตารางวาละ 180,000 บาท 7.ถ.กรุงเทพฯ-นนทบุรี จ.นนทบุรี ถ.สุขยางค์ จ.ยะลา ตารางวาละ 170,000 บาท 8.ถ.สุขุมวิท กรุงเทพ-คลองสำโรง จ.สมุทรปราการ ตารางวาละ 160,000 บาท 9.ถ.ราชดำเนิน จ.ตรัง ถ.หน้าเมือง จ.สุราษฎร์ธานี ตารางวาละ 150,000 บาท 10.ถ.อัษฎางค์ ราชดำเนิน ถ.จอมพล จ.นครราชสีมา ตารางวาละ 130,000 บาท   ส่วนที่ดินที่ถูกที่สุดในต่างจังหวัด ซึ่งทั้งหมดเป็นที่ดินตาบอด เรียงตามลำดับ ดังนี้ 1.อ.โคกเจริญ จ.ลพบุรี ตารางวาละ 20 บาท 2.อ.กัลยาณิวัฒนา แม่แจ่ม อมก๋อย จ.เชียงใหม่ อ.บ่อเกลือ จ.น่าน ตารางวาละ 25 บาท 3.อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ตารางวาละ 30 บาท   การประเมินราคาใหม่นี้ใช้เกณฑ์อ้างอิงหรือเป็นฐานในการจัดเก็บภาษี ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิ นิติกรรม ใช้ในการเวนคืน และใช้เพื่อเพื่อรองรับกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาในชั้นสภานิติบัญญัติ    
รวมสุดยอดปัญหาใหญ่ของคนมีบ้าน-คอนโด แห่งปี 60′

รวมสุดยอดปัญหาใหญ่ของคนมีบ้าน-คอนโด แห่งปี 60′

เชื่อว่าทุกคนใฝ่ฝันที่จะมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่คนเดียว หรืออยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม หรือบ้านเดี่ยว สมัยนี้ราคาค่อนข้างสูงทีเดียว ทำให้หลายคนต้องทุ่มเทเก็บเงินมาครึ่งชีวิต เพื่อให้มีที่อยู่อาศัยดีๆ สักแห่ง ที่อยู่แล้วรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย สามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่บางอย่างก็กลับมีปัญหาเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ซึ่งบทความนี้เป็นเพียงการรวบรวมปัญหาที่เกิดขึ้นในปีนี้จากหลายๆ โครงการมาให้มองย้อนกลับไปเป็นกรณีศึกษาสำหรับคนมีบ้าน-คอนโด หรือคนที่กำลังมองหาอยู่   คอนโดมิเนียม  คอนโดมิเนียมแถวพระราม 9 เหตุการณ์นี้ตัวคอนโดเองไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาได้มีการจัดงานคอนเสิร์ตใหญ่โตใกล้กับคอนโด ด้วยเสียงที่ดังมากทำให้ตึกสั่น และกระจกหน้าต่างคอนโดร้าวไปหลายห้อง แต่ทางทีมงานผู้จัดคอนเสิร์ตก็แสดงความรับผิดชอบด้วยการรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด คอนโดมิเนียม ซอยรัชดา 36 มีปัญหาน้ำรั่วซึมจากท่ออยู่ตลอดเวลา ซึ่งน้ำที่รั่วซึมได้ไหลตามขอบวงกบ และผนัง จนเกิดความเสียหายต่อผนังห้อง ขอบวงกบ ขอบประตู ไปจนถึงพื้นห้อง มีลูกบ้านเสียหายกว่า 50 ยูนิต รวมถึงผนังภายนอกแตกร้าว ส่วนกลางก็มีน้ำรั่วซึมเช่นกัน แม้เจ้าของโครงการจะส่งช่างมาซ่อมแซมให้ แต่ก็ยังเกิดปัญหาเดิมซ้ำอีก สุดท้ายเจ้าโครงการตอบลูกบ้านกลับว่าหมดระยะเวลาการประกันแล้ว คอนโดมิเนียมหรู ย่านอารีย์, พญาไท และรัชดาภิเษก 19 เกิดการแชร์ภาพทั่วโซเชียลถึงเรื่องน้ำท่วมลานจอดรถชั้นใต้ดินจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทั้งคืนในช่วงนั้นจนรถยนต์ที่จอดอยู่จมใต้น้ำกว่าครึ่งคัน เพราะน้ำระบายไม่ทัน เหตุการณ์นี้เจ้าของโครงการก็รับผิดชอบกันไปค่ะ แต่เหตุการณ์ในลักษณะนี้ลูกบ้านที่ได้รับความเสียหายสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายตามจริงจากนิติบุคคลได้ หากพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากความประมาทเลินเล่อของนิติบุคคล ทาวน์โฮม ทาวน์โฮมในซอยนวมินทร์ 72 เกือบ 70 หลัง เกิดปัญหาน้ำรั่วซึมจากหลังคาหลายจุด บางหลังก็ฝ้าถล่มผังลงมาทั้งแผง ยิ่งช่วงฝนตกก็ยิ่งเกิดปัญหา สาเหตุเกิดจากโครงสร้างหลังคาไม่ได้มุมองศาตามาตรฐาน เบื้องต้นทางเจ้าของโครงการแก้ปัญหาให้ด้วยการเปลี่ยนวัสดุมุงหลังคาจากกระเบื้องเป็นเมทัลชีท ซึ่งบางรายก็ต้องยอมให้เปลี่ยนเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่บางรายก็ไม่ยอม เพราะวัสดุคุณภาพต่ำกว่าสเปคที่กำหนดมาตั้งแต่แรก ทาวน์โฮม โซนบางบอน ที่ถึงขั้นเป็นคดีฟ้องร้องเจ้าของโครงการตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ จากลูกบ้านทั้งหมด 200 หลัง เหลือลูกบ้านที่ยังดำเนินการกันต่อเพียง 23 หลัง ปัญหาคือดินทรุดตัว, ผนังแตกร้าว, น้ำรั่ว, ไฟฟ้ารั่ว ฯลฯ เหตุการณ์นี้ได้มีการแชร์ภาพทาวน์โฮมหลังที่เสียหายผ่านทางโซเชียลมากมาย ด้านเจ้าของโครงการมีการออกมาชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร สรุปอย่างคร่าวๆ ว่าทางโครงการยินดีจะเข้าซ่อมแซมโดยจะส่งผู้เชี่ยวชาญลงไปตรวจสอบด้วย แต่จะไม่ชดเชยเป็นเงินตามจำนวนที่ลูกบ้านเรียกร้อง ในขณะเดียวกันทางฝ่ายลูกบ้านผู้เสียหายก็ไม่อยากให้ทางเจ้าของโครงการเข้าแก้ไขแล้ว เพราะความไม่ไว้วางใจอีกต่อไป ทาวน์โฮม จังหวัดขอนแก่น ลูกบ้านประกาศขายกันยกหมู่บ้านประมาณ 30 หลัง เพราะเจอปัญหาหลายอย่าง เช่น มีน้ำรั่วซึมตามขอบหน้าต่าง, หนังกับพื้นบวม, น้ำท่วมห้องน้ำ, กลิ่นท่อ ฯลฯ แต่เจ้าของโครงการก็ยืดอกตั้งโต๊ะแถลงข่าว พร้อมแก้ปัญหา ชดเชยค่าใช้จ่าย สรุปข้อตกลงร่วมกันกับลูกบ้านอย่างเร่งด่วนเช่นกัน   บ้านเดี่ยว บ้านเดี่ยว ย่านอ่อนนุช เมื่อกลางหมู่บ้านหรูกว่าร้อยหลังคาเรือน ราคาเฉลี่ย 10 ล้านบาท/หลัง มีเสาไฟฟ้าขนาดเท่าตึก 20 ชั้น มาปักผ่านกลางหมู่บ้าน พร้อมกระแสไฟฟ้าอีก 500 กิโลโวลต์ กระทบต่อพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้านถูกบีบเหลือน้อยลง รวมถึงความกังวลของลูกบ้านในแง่ความปลอดภัย ประเด็นสำคัญคือการที่จะมีเสาไฟฟ้าขนาดใหญ่มาปักกลางหมู่บ้านนั้น เจ้าของโครงการทราบอยู่แล้ววแต่เกิดการปกปิดต่อลูกบ้านที่ซื้อเข้ามาอยู่ ลูกบ้านก็ได้ทำเรื่องร้องเรียนต่อ สคบ. ต่อไป บ้านเดี่ยวย่านรังสิต ขณะที่ลูกบ้านได้ทำการโอนกรรมสิทธิ์แล้วเรียบร้อย ย้ายของเข้าบ้านใหม่ในโครงการ แต่กลับได้กลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวลไปทั้งหลัง โดยเฉพาะกลิ่นเน่าที่ขึ้นมาจากท่อภายในห้องน้ำจนไม่สามารถเข้าอยู่ได้ ประกอบกับในครอบครัวมีเด็กเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรง ผลปรากฏว่ากลิ่นเหม็นเน่านั้นมาจากกองขยะที่วางอยู่ภายในพื้นที่สนามกอล์ฟติดกับรั้วโครงการ แต่ทางเจ้าของโครงการก็ได้เร่งประสานงานกับทางสนามกอล์ฟเพื่อแก้ปัญหา เหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนจากปัญหามากมายที่เกิดขึ้นจนเป็นเรื่องเป็นราวกันเกิดขึ้น บางคดีได้บทสรุปไปเรียบร้อย บางคดีก็ยังไม่สิ้นสุด บางเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมรอบๆ โครงการที่เราอาศัยอยู่ ซึ่งกลายเป็นกรณีศึกษาทำให้เราตระหนักกันมากขึ้นว่าไม่ใช่แค่เพียงในตัวโครงการที่ต้องมีคุณภาพได้มาตรฐาน แต่สิ่งรอบข้างโครงการก็ส่งผลอย่างมากต่อชีวิตความเป็นอยู่ทั้งในปัจจุบันไปจนถึงอนาคตได้เช่นกัน สิ่งสำคัญคือความรับผิดชอบ และจิตสำนึกต่อส่วนรวมทั้งจากเจ้าของโครงการและลูกบ้านเอง หากมีสองสิ่งนี้ก็จะทำให้เกิดสิ่งดีๆ เกิดขึ้น ปัญหาน้อยลง กลายเป็นสังคมคุณภาพของโครงการ  
สถิติคอนโดปี 60 เปิดขายสูงสุดในรอบ 10 ปี

สถิติคอนโดปี 60 เปิดขายสูงสุดในรอบ 10 ปี

ในปี 2560 นี้ ตลอดทั้งปีเราจะเห็นว่ามีโครงการใหม่ๆ เปิดตัวขึ้นมากมายในหลายทำเล โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่แม้จะมีราคาสูงขึ้น แต่ก็ยังคงเป็นที่ต้องการอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ซื้ออยู่อาศัยเองหรือนักลงทุน ซึ่งหากพูดถึงตลาดคอนโดมิเนียมที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงในปีนี้ เมื่อมองเป็นตัวเลขแล้วก็ต้องตกใจกับจำนวนที่เปิดขายใหม่ที่สูงสุดในรอบ 10 ปี จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ลองดูกันค่ะ เริ่มจากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่เผยให้เห็นภาพรวมของจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่จากทุกประเภทโครงการในปี 60' ซึ่งจะแบ่งออกเป็นทำเล ดังนี้ 1.นนทบุรี  คอนโดมิเนียม 26,927 บ้านจัดสรร 4,439 คิดเป็น 7% 2.สมุทรปราการ  คอนโดมิเนียม 19,019 บ้านจัดสรร 8,983 คิดเป็น 6.2% 3.ธัญบุรี  คอนโดมิเนียม 1,266 บ้านจัดสรร 10,466 คิดเป็น 4.6% 4.บางบัวทอง  คอนโดมิเนียม 4,712 บ้านจัดสรร 12,194 คิดเป็น 3.7% 5.บางซื่อ  คอนโดมิเนียม 16,656 บ้านจัดสรร – คิดเป็น 3.7% 6.บางพลี  คอนโดมิเนียม 1,538 บ้านจัดสรร 12,858 คิดเป็น 3.2% 7.ลำลูกกา  คอนโดมิเนียม 584 บ้านจัดสรร 12,273 คิดเป็น 2.9% 8.บางใหญ่  คอนโดมิเนียม 2,533 บ้านจัดสรร 9,773 คิดเป็น 2.7% 9.สมุทรสาคร  คอนโดมิเนียม 466 บ้านจัดสรร 11,364 คิดเป็น 2.6% หากโฟกัสมาที่ตลาดคอนโดมิเนียมเฉพาะในกรุงเทพฯ ของปี 60' นี้ ถือว่าเป็นปีที่เราได้เห็นโครงการใหม่ๆ เปิดตัวขึ้นมากมายในทุก Segment ทั้งเจ้าใหญ่ เจ้าเล็ก ต่างก็แข่งขันกันอย่างดุเดือดกันมาตลอดทั้งปี โดย มีจำนวนยูนิตที่เปิดการขายในโครงการใหม่ประมาณ 62,000 ยูนิต 128 โครงการ สูงสุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มียูนิตเปิดตัวใหม่สูงกว่าอัตราเฉลี่ยในรอบ 5 ปี โดยทำเลของคอนโดมิเนียมที่ความต้องการที่มีมากที่สุด คือ 1.พระโขนง-สวนหลวง 14,400 ยูนิต คิดเป็น 23% 2.พญาไท-รัชดาภิเษก 13,200 ยูนิต คิดเป็น 21% 3.ธนบุรี-เพชรเกษม 8,900 ยูนิต คิดเป็น 14% ซึ่งเขตที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุด 88% คือ ปทุมวัน-ราชเทวี รวมยอดขายทั้งหมดอยู่ที่ 57,300 ยูนิต สูงกว่าอัตราขายเฉลี่ยในช่วง 5 ปี และย่านที่มีอัตราการขยายตัวของคอนโดมิเนียมมากที่สุดคือ ธนบุรี-เพชรเกษม ถึง 107% รองลงมาคือย่านติวานนท์-รัตนาธิเบศร์ 76% และแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 68% ในทางกลับกันตลาดแนวราบมีการเปิดตัวลดลงถึง 28% ลดลงมากที่สุดในรอบ 6 ปี เพราะดีเวลอปเปอร์ค่ายใหญ่หันมาเล่นตลาดแนวสูงกันมากขึ้น เรื่องของราคาคอนโดมิเนียมที่เห็นได้ชัดว่าปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ จนราคาในระดับไม่เกิน 2 ล้านเกือบจะหาไม่ได้แล้วในโครงการใหม่ๆ โดยในปี 60' นี้ มีการปรับราคาสูงขึ้นเฉลี่ย 8% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 59' ราคาเฉลี่ย 130,600 บาท/ตร.ม. โดยเขตที่มีราคาคอนโดมอเนียมสูงขึ้นมากที่สุดคือเขตปทุมวัน เขตราชเทวี สูงถึง 16% ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองย่านอื่นๆ ก็มีราคาสูงขึ้นประมาณ 12% ด้วยเช่นกัน สรุปแล้วภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมในปี 60' ยังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะได้รับผลจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น จุดนี้เองอาจส่งผลถึงตลาดในปีหน้าที่หลายฝ่ายเชื่อว่าจะมีทิศทางที่สดใสต่อไปอีกเช่นกัน    
ด่วน! อัพเดทล่าสุด เรื่องภาษีที่ดิน ลดลงถึง 40%

ด่วน! อัพเดทล่าสุด เรื่องภาษีที่ดิน ลดลงถึง 40%

จากบทความที่แล้ว "มีอะไรใหม่ใน พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง" เราได้พาไปทำความรู้จักกับ พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ที่กำลังร่างกันอยู่ ล่าสุดมีการอัพเดทหลังมีการเสนอให้ปรับปรุงอัตราภาษีใหม่จากร่างมติที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบก่อนหน้านี้  โดยมีประเด็นสำคัญมีดังนี้ - ที่ดินรกร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์ เก็บภาษีไม่เกิน 1.2% และจะขยับเพิ่มขึ้น 0.3% ทุก 3 ปี แต่ถ้าภายใน 3 ปีติดต่อกันยังไม่มีการพัฒนาที่ดินก็จะเสียภาษีที่ 2.5% ไปจนถึงอัตราสูงสุดที่ 3% - ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อประกอบเกษตรกรรม อัตราภาษีไม่เกิน 0.15% ของฐานภาษี จากเดิม 0.2% - ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทบ้านพักอาศัย อัตราภาษีไม่เกิน 0.3% ของฐานภาษี จากเดิม 0.5% - ที่ดินเพื่อการพาณิชย์ อัตราภาษีไม่เกิน 2.0% ของฐานภาษี   ทั้งนี้มีการเสนอเก็บอัตราภาษีใหม่ คือ - พื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งบุคคลธรรมดาเป็นเจ้าของ หากมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาทจะไม่เสียภาษี โดยมูลค่า 50-75 ล้านบาท จะเก็บภาษี 0.01% มูลค่า 75-100 ล้านบาท เก็บ 0.05% มูลค่า 500-1,000 ล้านบาท เก็บ 0.07% และหากมีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท เก็บ 0.1% - พื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งนิติบุคคลเป็นเจ้าของ หากมีมูลค่า 0-75 ล้านบาท จะเก็บภาษี 0.01% มูลค่า 75-100 ล้านบาท เก็บ 0.03% มูลค่า 100-500 ล้านบาท เก็บ 0.05% มูลค่า 500-1,000 ล้านบาท เก็บ 0.07% และหากมีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท เก็บ 0.1% - ที่อยู่อาศัยหลักของบุคคลธรรมดา และเป็นเจ้าของที่ดินที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเองด้วย หากมูลค่าไม่เกิน 20 ล้านบาท จะไม่เสียภาษี มูลค่า 20-50 ล้านบาท เก็บ 0.02% มูลค่า 50-75 ล้านบาท เก็บ 0.03% มูลค่า 75-100 ล้านบาท เก็บ 0.05% มูลค่าเกิน 100 ล้านบาท เก็บ 0.1% - ที่อยู่อาศัยหลังอื่นๆ มูลค่า 0-50 ล้านบาท เก็บ 0.02% มูลค่า 50-75 ล้านบาท เก็บ 0.03% มูลค่า 75-100 ล้านบาท เก็บ 0.05% มูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท เก็บ 0.10% - ที่รกร้างว่างเปล่า หากมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท เก็บ 0.3% มูลค่า 50-200 ล้านบาท เก็บ 0.4% มูลค่า 200-1,000 ล้านบาท เก็บ 0.5% มูลค่า 1,000-5,000 ล้านบาท เก็บ 0.6%  มูลค่าเกิน 5,000 ล้านบาท เก็บ 0.7%   กรณียกเว้น หรือลดหย่อน - หากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใช้เพื่ออยู่อาศัย และมีชื่อเจ้าของเป็นบุคคลธรรมดาที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามกฏหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฏร์ในวันที่ 1 มกราคมของปีภาษีนั้น จะได้รับการยกเว้นมูลค่าฐานภาษีในการคำนวณไม่เกิน 20 ล้านบาท แต่ในกรณีที่มีชื่อเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างเพื่ออยู่อาศัย แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน จะได้รับการยกเว้นภาษีในการคำนวณภาษีไม่เกิน 10 ล้านบาท - กรณีบ้านพักที่อยู่อาศัยมาเป็นระยะเวลานาน แล้วราคาที่ดินมีการปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่เจ้าของบ้านมีรายได้ไม่มากจะสามารถลดหย่อนภาษีได้ 90% จากอัตราฐานภาษี - ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อเกษตรกรรม หากเจ้าของเป็นบุคคลธรรมดา และมีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาทจะไม่เสียภาษี - ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างของรัฐที่ไม่ได้หาผลประโยชน์ หรือใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ รวมถึงสหประชาชาติ สถานทูต ทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุด หมู่บ้านจัดสรร และนิคมอุตสาหกรรม เหล่านี้ได้รับการยกเว้นภาษี   ในช่วง 3 ปีแรกตั้งแต่บังคับใช้เป็นกฎหมายจะได้รับการบรรเทาภาระภาษีนี้ด้วยการชำระภาษีตามจำนวนที่ต้องเสีย หรือพึงชำระในปีก่อน รวมกับภาษีที่เหลือ คือ ปีแรก จ่ายภาษีเก่า+ร้อยละ 25 ของจำนวนภาษีที่เหลือ ปีที่ 2 จ่ายภาษีเก่า+ร้อยละ 50 ของจำนวนภาษีที่เหลือ และปีที่ 3 จ่ายภาษีเก่า+ร้อยละ 75 ของจำนวนภาษีที่เหลือ หลังจากนั้นก็ให้เป็นไปตามร่างกฏหมายปกติ ซึ่งเมื่อดูอัตราเพดานภาษีในร่างใหม่นี้โดยรวมแล้ว มีการปรับลดลงถึง 40% หลังจากนี้จะมีการเสนอร่างนี้ไปที่ประชุมสนช. ภายในวันที่ 24 มกราคม 2561 และคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 60 วัน และพิจารณาต่อในวาระ 2 วาระ 3 หากผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 โดยหลังจากนี้หากมีความเคลื่อนไหวอะไรเกี่ยวกับ พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่นี้ เราจะไม่พลาดที่จะเอามานำเสนอให้ทุกท่านได้ติดตามแน่นอนค่ะ  
เน็กซัสสรุปภาพรวมตลาดคอนโดกรุงเทพปี 60 ทุบสถิติเปิดตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี ลักชัวรี่ยังคงมาแรง แนะจับตากลุ่มทุน และลูกค้าจาก ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น

เน็กซัสสรุปภาพรวมตลาดคอนโดกรุงเทพปี 60 ทุบสถิติเปิดตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี ลักชัวรี่ยังคงมาแรง แนะจับตากลุ่มทุน และลูกค้าจาก ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น

ชี้เทรนด์อนาคตโครงการต้องเน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาสู่ไลฟ์สไตล์ลูกค้าปรับตัวให้ทันสังคมผู้สูงอายุ เน็กซัสฯ เผยคอนโดเมืองกรุงปี 60 ร้อนแรงสร้างสถิติใหม่  มีจำนวนยูนิตเสนอขายมากที่สุดในรอบ 10 ปี พระโขนง - สวนหลวง ยังเนื้อหอมมีโครงการเปิดขายสูงสุด ในขณะที่ปทุมวัน-ราชเทวี  มีการปรับขึ้นของราคาสูงสุดถึง 16% คาดปี 61 ยังโตต่อเนื่อง อุปทานจะเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 10% ชี้เทรนด์ที่อยู่อาศัยในอนาคตกำลังเดินเข้าสู่ภาวะการ “ปรับเปลี่ยน” ด้วยปัจจัยหลากหลาย ทั้งการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ การเติบโตอย่างรวดเร็วของ CLMV การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย และเทคโนโลยีที่มีบทบาทในการพัฒนาโครงการเพิ่มมากขึ้น นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์​ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เผยผลวิจัยตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพปี 2560 และฉายภาพเทรนด์ปี 2561 ว่า ในปี 2560 เป็นปีที่ผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพ มีการแข่งขันที่ดุเดือด มีอุปทานเสนอขายใหม่จากผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ และรายย่อยถึง 62,700 ยูนิต จาก 128 โครงการ ซึ่งเป็นปีที่มีจำนวนห้องชุดออกสู่ตลาดมากที่สุดในรอบ 10 ปี สาเหตุที่ทำให้อุปทานของคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นอย่างมากนั้น เนื่องมาจากทั้งผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และรายใหม่ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีจำนวนห้องชุดรวมทั้งตลาดถึง 550,000 หน่วย โดยมีห้องชุดเปิดตัวใหม่ สูงกว่าอัตราเฉลี่ยห้องชุดที่เปิดตัวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาถึง 15% (ห้องชุดที่เปิดตัวใหม่ในปี 2556 - 2560 มีอัตราเฉลี่ย 53,600 หน่วยต่อปี) และโครงการต่างๆ ก็ยังคงขยายตัวออกไปยังทำเลรอบใจกลางเมือง สำหรับทำเลที่มีอุปทานเพิ่มขึ้นมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ  1. พระโขนง - สวนหลวง จำนวน 14,400 หน่วย หรือ 23% 2. พญาไท - รัชดาภิเษก จำนวน 13,200 หน่วย หรือ 21%  และ 3. ธนบุรี - เพชรเกษม จำนวน 8,900 หน่วย หรือ 14% โดยทั้งหมดคิดเป็นจำนวนหน่วยมากกว่า 58% ของคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่ทั้งหมด ด้านการขยายวงการเติบโตของการพัฒนาโครงการ ในแต่ละพื้นที่นั้น เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตลาดคอนโดมิเนียมได้ขยายตัวออกไป จากกลางเมืองเป็นอย่างมาก โดยโซนที่มีอัตราการขยายตัวของคอนโดมิเนียมมากที่สุด คือ ธนบุรี - เพชรเกษม โตถึง 107% ตามมาด้วยติวานนท์-รัตนาธิเบศร์ 76% และแจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด 68% เมื่อเทียบกับปี 2559 อุปสงค์ ภาพรวมของอุปสงค์ในปี 2560 นี้ ยังคงเติบโตได้ดี โดยอุปสงค์หรือยอดขายใหม่ในตลาดอยู่ที่ 57,300 หน่วย ซึ่งสูงกว่าอัตราขายเฉลี่ยห้องชุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่ 14% (อัตราขายเฉลี่ยห้องชุดในปี 2555-2559 มีอัตราเฉลี่ย 50,400 หน่วยต่อปี) อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงอัตราการขายรวมของคอนโดมิเนียมทั้งตลาด จะยังคงที่อยู่ที่ 90% (ยอดขายรวมของคอนโดมิเนียมสะสมเพิ่มเป็น 496,100 หน่วย) ซึ่งทำให้ ณ ปัจจุบันมี ห้องชุดเหลือขายอยู่ในตลาดทั้งสิ้นประมาณ 53,900 หน่วย ในปี 2560 คอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่ในตลาดมียอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 62% ทั้งนี้ ทำเลที่มีจำนวนห้องชุดที่ขายได้สูงสุด 3 อันดับแรก คือ 1. พระโขนง - สวนหลวง  2. พญาไท - รัชดาภิเษก  3. ปทุมวัน - ราชเทวี  โดยพบว่าพระโขนง - สวนหลวง ยังคงเป็นทำเลยอดนิยม มีห้องชุดเปิดใหม่จำนวนมากในทุกปี และยังคงมีอัตราการขายสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน สำหรับทำเลปทุมวัน - ราชเทวี เป็นเขตที่ห้องชุดเปิดใหม่มียอดขายสูงสุด คือ 88% ราคา ในปี 2560 ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปรับตัวสูงขึ้นในอัตราที่ลดลง โดยปรับตัวสูงขึ้น 8% จากเดิมเมื่อปี 2559 มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 121,000 บาทต่อตารางเมตร ปรับขึ้นเป็น 130,600 บาทต่อตารางเมตร ในปี 2560 ซึ่งอัตราการเพิ่มขึ้นนี้ ใกล้เคียงอัตราเฉลี่ยของการเติบโตของราคาคอนโดมิเนียมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่มีอัตราเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9% ต่อปี อย่างไรก็ตาม เมื่อลงมาดูในรายละเอียดจะพบว่า ทำเลที่มีการปรับขึ้นของราคาคอนโดมิเนียมสูงสุด คือ ในเขตปทุมวัน และราชเทวี โดยราคาคอนโดมิเนียม ปรับตัวสูงขึ้นถึง 16% หรือ 234,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งปัจจัยมาจากห้องชุดในทำเลนี้ ยังคงเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก ราคาต้นทุนที่ดินเพิ่มสูงขึ้น และอุปทานใหม่ในเขตนี้ มีจำนวนไม่มากในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมกลางเมืองนั้น ราคาปรับตัวสูงขึ้นถึง 12% หรือ 210,700 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เขตยานนาวาและเขตคลองสานที่มียอดขายดี ราคาก็ปรับตัวสูงขึ้นถึง 12% เช่นเดียวกัน สำหรับโครงการในส่วนกรุงเทพชั้นนอก ราคาปรับขึ้นไม่มากนักอยู่ที่ประมาณ 5% สำหรับคาดการณ์แนวโน้มของตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2561 นางนลินรัตน์ กล่าวว่า ในแง่ของอุปทานคาดว่าจะเพิ่ม ขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 55,000 หน่วย หรือ  10% โดยกรุงเทพชั้นใน และเขตรอบกรุงเทพชั้นใน จะเป็นทำเลที่มีอุปทานใหม่ เกิดขึ้นมาก ในขณะที่กรุงเทพชั้นนอกจะมีจำนวนโครงการที่เปิดใหม่ไม่มากนัก แต่จะมีจำนวนหน่วยต่อโครงการค่อนข้างมาก สำหรับความต้องการห้องชุด จะยังคงเติบโตขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกันกับอุปทาน ซึ่งจะส่งผลทำให้ห้องชุดในตลาดคงเหลือประมาณ 58,000-60,000 หน่วยในปี 2561 สำหรับระดับราคาคอนโดมิเนียมในตลาดกรุงเทพชั้นใน ปี 2561 คาดว่าจะปรับตัวขึ้นอีกอย่างน้อย 11% ในขณะที่ตลาดกรุงเทพชั้นใน และตลาดรอบนอก ราคาจะปรับตัวขึ้นอีกประมาณ 5-6% ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยของตลาดปรับขึ้นอีกอย่างน้อย 8% ปี 2561 จะเห็นแนวโน้มในการพัฒนาคอนโดมิเนียมทุก segment เข้าไปอยู่ในซอยเล็กเป็นตึก 7-8 ชั้นมากขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากที่ดินริมถนนใหญ่หายาก และราคาจะยังคงขยับตัวสูงขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาความเคลื่อนไหวของตลาดคอนโดมิเนียม  โดยแบ่งตาม segment ราคาแล้ว โดยแบ่งเป็น 5 segment คือ 1) ตลาดซูเปอร์ ลักชัวรี่ 2) ตลาดลักชัวรี่ 3) ตลาดไฮเอนด์ 4) ตลาดคอนโดระดับกลาง และ 5) ตลาดซิตี้คอนโด สำหรับตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ และตลาดลักชัวรี่ จะพบว่าผู้ประกอบการรายใหญ่และรายใหม่ๆ ยังคงให้ความสนใจกับตลาดนี้เช่นเดิม แนวโน้มด้านราคา คาดว่าจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ในขณะที่กลุ่มผู้ซื้อจะขยายวงกว้างออกไปยังตลาดต่างชาติ โดยกลุ่มต่างชาตินี้จะมีทั้งที่ซื้อไว้ลงทุน และซื้อไว้เพื่อเป็นที่บ้านหลังที่สองเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งการเข้ามาของต่างชาตินั้น นอกจากจะเข้ามาในฐานะผู้ซื้อแล้ว ยังเข้ามาในภาพของผู้ร่วมทุนอีกด้วย ซึ่งทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดระดับนี้  ช่วยทำให้ผู้ซื้อเกิดความเชื่อมั่นได้มากยิ่งขึ้นตามไปด้วย สำหรับตลาดไฮเอนด์ ผู้พัฒนาโครงการส่วนใหญ่ จะยังคงเป็นรายใหญ่ที่หาซื้อที่ดินทำเลติดรถไฟฟ้ากลางเมืองได้ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาคอนโดมิเนียมในตลาดนี้ จะมีผู้ซื้อในวงจำกัด ส่วนตลาดคอนโดระดับกลาง ยังคงเป็นโครงการที่อยู่บริเวณรอบใจกลางเมือง อยู่ใกล้รถไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นตลาดที่ผู้ซื้อส่วนใหญ่มีรายได้ที่มั่นคง ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่จริง ทำให้ผู้พัฒนาสินค้ามีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนา ให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของคนกลุ่มนี้ได้อย่างแท้จริง  สำหรับตลาดซิตี้คอนโด เงื่อนไขด้านราคายังคงเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจของผู้ซื้อ ดังนั้น ผู้ประกอบการควรต้องบริหารต้นทุนให้ดี เพื่อให้ได้ราคาขายที่ดี ทั้งยังต้องพิจารณาไปจนถึงเรื่องเงื่อนไขการจ่ายเงินของลูกค้า และการผ่อนชำระกับทางธนาคารที่ไม่กระทบกระเทือนค่าใช้จ่ายของผู้ซื้อมากนัก คาดการณ์แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตทั้งระยะสั้น และระยะกลาง นางนลินรัตน์ คาดการณ์แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในระยะสั้นและระยะกลางว่า การมองเทรนด์ของอสังหาฯ ในอนาคต จะขอมองจากการประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ(GDP) เป็นหลัก ซึ่งประมาณการ GDP ที่รัฐบาลได้วางไว้ในปี 2560-2563 คือ ประมาณการที่ 4%  ซึ่งตัวเลขนี้ น่าจะสะท้อนให้เห็นว่าการเติบโตของเศรษฐกิจในภาคส่วนต่างๆ ในประเทศน่าจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่เมื่อมองลึกลงมาที่ segment อสังหาฯ เรายังคงต้องพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งปัจจัยดังกล่าว ได้แก่ พัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากภายในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศจาก CLMV เหล่านี้ อาจสามารถพัฒนาให้ทันประเทศไทยได้ เมื่อประเทศเหล่านี้พัฒนาและยังมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ย่อมส่งผลให้เม็ดเงินซึ่งเคยเข้ามาลงทุนที่ประเทศไทย โดนกระจายออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน การเข้ามาซื้ออสังหาฯ ในไทยจากชาวต่างชาติ อาจจะเริ่มน้อยลง เนื่องจากมีทางเลือกที่เพิ่มมากขึ้นของเพื่อนบ้าน หรือหากมองในด้านปัจจัยภายใน ซึ่งอีกไม่กี่ปี ไทยจะเดินเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อันจะส่งผลให้ที่อยู่อาศัย ต้องปรับเปลี่ยนไปเพื่อรองรับวิถีชีวิตของคนสูงอายุ หรือแม้กระทั่งการพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และเข้าถึงวิถีชีวิตของคน ซึ่งย่อมมีอิทธิพลกับการอยู่อาศัยอย่างแน่นอน ทั้งหมดที่กล่าวมาสามารถสรุปได้เป็น 3 แนวทาง ในการกล่าวถึงแนวโน้มการอยู่อาศัยในอนาคต คือ การลงทุน เทรนด์ของการอยู่อาศัย และทำเลที่ตั้ง เทรนด์ที่ 1 ด้านการลงทุน เราจะพบว่าผู้ประกอบการจะหันมาพัฒนา โครงการสิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) บนที่ดินขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ และที่สามารถพัฒนาเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ มีการครอบครองโดยหน่วยงานรัฐบาล โดยผู้ประกอบการได้นำมาพัฒนาเป็นโครงการเมกะโปรเจค (Mega Project) ที่ผสมผสานการใช้พื้นที่ ในด้านของผู้ซื้อเอง ก็หันมาให้ความสนใจมากขึ้นเนื่องจากถูกกว่า นอกจากนี้เราจะเห็นการพัฒนาโครงการแบบผสมผสาน (Mixed-used) เพื่อกระจายความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการ ลดการแข่งขันทางธุรกิจมากขึ้น และตลาดต่างประเทศ ก็ยังคงเข้ามาเพิ่มบทบาทความสำคัญ ทั้งในแง่การลงทุนขนาดใหญ่และรายย่อย บริษัทต่างชาติจะให้ความสนใจร่วมลงทุนกับผู้พัฒนาโครงการในไทย ทั้งรายใหญ่และรายย่อยหลายโครงการ  โดยมีแนวโน้มที่จะนำเงินลงทุนและเทคโนโลยีเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการ โดยกลุ่มร่วมทุนต่างชาติที่ให้ความสนใจนั้น มีมาจากหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ในขณะเดียวกันนักลงทุนรายย่อยต่างชาติที่ซื้อห้อง เพื่อลงทุนระยะยาวและปล่อยเช่า ก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทรนด์ที่ 2 ด้านการอยู่อาศัยในอนาคต เราจะเห็นได้ว่าปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์ ที่ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ดังนั้น การเกิดตลาดที่เป็นบ้านสำหรับผู้สูงอายุ (Senior Home หรือ Elderly Care) จะเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์สังคมไทย และจะเป็นสินค้าที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การจะทำให้ผู้บริโภคชาวไทยยอมรับ และปรับเข้ากับไลฟ์สไตล์คนไทยได้นั้น เป็นความท้าทายหลักของสินค้าประเภทนี้ ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของคนได้อย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการจึงยิ่งต้องพัฒนาที่อยู่อาศัย ให้ตอบโจทย์ให้ทันความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้เช่นกัน คือ บ้านที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี นอกจากนี้แนวคิดของการมี บ้านที่อยู่อาศัยได้จริง เช่น ห้องขนาดเล็กแต่มีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ บ้านที่อยู่อาศัยได้อย่างยั่งยืนด้วยคุณภาพของการก่อสร้าง สุดท้าย บ้านที่เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้ผู้อาศัยได้รู้สึกผ่อนคลายและเป็นบ้านที่อยู่อาศัยได้ในระยะยาว เทรนด์ที่ 3 ด้านทำเลที่ตั้ง ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะชี้นำแนวโน้มการอยู่อาศัย โดยทำเลที่ตั้งที่น่าสนใจ สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกเป็นกลุ่มทำเลใจกลางเมือง โดยใจกลางเมืองจะถูกกำหนดเป็นศูนย์กลางขนาดย่อม (Node) มากขึ้น เช่น พร้อมพงษ์ถึงทองหล่อเป็นแหล่งศูนย์กลาง luxury lifestyle ที่มีทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านราคาสูง รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวและร้านอาหารชิคๆ มากมาย ศูนย์กลางธุรกิจใหม่แถบแยกรัชดา พระราม 9 ทำเลศูนย์กลางของย่านเมืองเก่าเยาวราชเจริญกรุง และศูนย์กลางที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ อาทิ หลังสวน เพลินจิต กลุ่มทำเลที่สองกลุ่มทำเลติดรถไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นทำเลที่ควรต้องคำนึงถึงอย่างมาก เพราะการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะที่ดี ย่อมส่งผลถึงการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ตามไปด้วย โดยทำเลที่น่าจับตามองมากที่สุด คือ บางซื่อ เนื่องจากทางภาครัฐกำลังพยายามที่จะผลักดันเป็น Transit Oriented Development (TOD) เป็นหนึ่งในทำเลที่น่าจับตามอง ส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างสายสีเขียว สีเหลือง และสีส้ม ยังคงมีความน่าสนใจและ สุดท้ายเป็นกลุ่มทำเลริมแม่น้ำ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณเจริญนคร เจริญกรุงที่กำลังจะเป็นศูนย์กลาง ช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ใหม่ การเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ คือ การเติบโตแบบลูกโซ่ เป็นวงจรที่เกี่ยวเนื่องกันไปทั้งระบบ เมื่อเรามองเห็นการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยีที่พัฒนาการอย่างรวดเร็ว ทั้งในระดับประเทศ และระดับโลก ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญทั้งสิ้น
แสนสิริประสบความสำเร็จแบรนด์ “คณาสิริ” โกยยอดขายกว่า 1,000 ลบ. ล่าสุด Sold Out “คณาสิริ พระราม 2- วงแหวน” เฟสแรกหมดเกลี้ยง คาดปัจจัยบวกเศรษฐกิจ-การเมืองปี’61 ดันตลาดบ้านเดี่ยวรุ่ง เตรียมต่อยอดเปิดแบรนด์คณาสิริต่อเนื่องปีหน้า

แสนสิริประสบความสำเร็จแบรนด์ “คณาสิริ” โกยยอดขายกว่า 1,000 ลบ. ล่าสุด Sold Out “คณาสิริ พระราม 2- วงแหวน” เฟสแรกหมดเกลี้ยง คาดปัจจัยบวกเศรษฐกิจ-การเมืองปี’61 ดันตลาดบ้านเดี่ยวรุ่ง เตรียมต่อยอดเปิดแบรนด์คณาสิริต่อเนื่องปีหน้า

แสนสิริประสบความสำเร็จแบรนด์ “คณาสิริ” โกยยอดขายแบรนด์ทั้งหมดกว่า 1,000 ล้านบาท เผยดีมานด์บ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาทยังพุ่งแรง ล่าสุดปิดขาย “คณาสิริ พระราม 2-วงแหวน” เฟสแรกหมดเกลี้ยง กวาดยอดขายกว่า 50 ล้านบาท  ชี้ที่มาความสำเร็จเพราะทำเลดีเดินทางสะดวกติดถนนใหญ่พระราม 2 และจุดเด่นดีไซน์บ้านสไตล์ Mid Century 70’s ผสานสถาปัตยกรรมวันวานกับชีวิตสไตล์ใหม่อย่างลงตัว พร้อม Cooliving Designed Home นวัตกรรมบ้านระบายความร้อนด้วยโซล่า เซลล์ ไม่ใช้ไฟฟ้า ไฮไลท์ฟังก์ชั่น Breeze Panel ช่องลมสำหรับถ่ายเทอากาศภายในบ้านทำให้ปลอดโปร่ง Roof Shade ขนาดยาวกันแดดและฝนมากขึ้น คาดปัจจัยบวกเศรษฐกิจ-การเมืองปี’61 หนุนตลาดบ้านเดี่ยวโต เตรียมรุกต่อเปิดตัวแบรนด์คณาสิริโครงการใหม่ปีหน้า นายสมเกียรติ หงษ์ทรัพย์ภิญโญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทประสบความสำเร็จแบรนด์บ้านเดี่ยว “คณาสิริ” เป็นอย่างมาก โดยมียอดขายแบรนด์รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 ล้านบาท โดยแบรนด์ดังกล่าวขายดีตั้งแต่ต้นปี ปิดการขาย “คณาสิริ วงแหวน – พระราม 5” จำนวน 311 ยูนิต ด้วยยอดขาย 965 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 ได้ปิดการขาย “คณาสิริ ปิ่นเกล้า-กาญจนา” เฟสแรก จำนวน 22  ยูนิต โกยยอดขายไป 100 ล้านบาท และล่าสุดได้ปิดการขายเฟสแรก “คณาสิริ พระราม 2- วงแหวน” จำนวน 9 ยูนิต มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท “คณาสิริ พระราม 2-วงแหวน ขายดีตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย เนื่องจากมีดีมานด์สูงของลูกค้าโซนพระราม 2 – มหาชัย ที่ต้องการขยายครอบครัว และ สร้างครอบครัวใหม่ ประกอบกับทำเลศักยภาพที่ติดถนนใหญ่พระราม 2 เดินทางสะดวก เข้าเมืองด้วยทางด่วนดาวคะนอง-พระราม 3, ถนนกาญจนาภิเษก ใกล้ศูนย์การค้า เซ็นทรัลมหาชัย เซ็นทรัล พระราม 2 และดีไซน์บ้านที่โดดเด่นแตกต่าง  มีการผสานสถาปัตยกรรมวันวานกับชีวิตสไตล์ใหม่อย่างลงตัว ด้วยแบบบ้านสไตล์ Mid Century 70’s ที่มีหลังคาจั่ว ตัดกัน Fin แนวตั้งของบ้านทำให้เกิดรูปร่างสี่เหลี่ยมหัวตัดออกมาเป็นรูปทรงที่สวยงาม ผลานกับสีบ้านพาสเทล ทำให้รู้สึกอบอุ่น มีชีวิตชีวา พร้อมด้วยนวัตกรมเพื่อการอยู่อาศัย Cooliving Designed Home อาทิ  Breeze Panel ช่องลมสำหรับถ่ายเทอากาศภายในบ้านทำให้ปลอดโปร่ง  ฝ้าระบายอากาศรอบบ้าน Roof Shade ที่ออกมาให้ยื่นยาวเพื่อกันแดดและฝนมากขึ้น หลอดไฟ LED ทั้งหลังเพื่อประหยัดและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ด้วยการตอบรับที่ดีดังกล่าว จึงได้เตรียมเปิดเฟส 2 จำนวน 20 ยูนิต  มูลค่า 92 ล้านบาท ตอบสนองความต้องการของลูกค้าเพิ่มเติม” “ ทั้งนี้ แบรนด์คณาสิริ มีคอนเซ็ปต์ “Feel Complete” บ้านคณาสิริ ความรู้สึกของความสุข หรือความสุขที่ไม่สิ้นสุด สำหรับการเริ่มต้นสร้างครอบครัวกับบ้านหลังแรก ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกฟังก์ชั่นของโครงการ เป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่มีดีมานด์สูงจากผู้บริโภค เนื่องจากเป็นระดับราคาที่ไม่สูงจนเกินไปนัก เหมาะกับครอบครัวขนาดปานกลางที่กำลังสร้างครอบครัวและมองหาจุดเริ่มต้นสำหรับชีวิตครอบครัวที่ดี ในสังคมคุณภาพ พร้อมยังมี นวัตกรรม Cooliving Designed Home บ้านระบายความร้อนด้วยโซล่า เซลล์ ไม่ใช้ไฟฟ้า ปลอดภัยและ Go green ที่ทันสมัยและตอบโจทย์การใช้งานอย่างเต็มเปี่ยม จึงทำให้แบรนด์คณาสิริได้รับการตอบรับที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงได้เตรียมเปิดโครงการภายใต้แบรนด์นี้อีกในปี 2561 แต่จะเป็นทำเลใดนั้นต้องติดตามกันต่อไป” นายสมเกียรติ กล่าว สำหรับแนวโน้มตลาดบ้านเดี่ยวในปี 2561 นายสมเกียรติ กล่าวว่า คาดว่าจะมีแนวโน้มที่สดใสกว่าปีนี้ แม้ว่าจะยังไม่มีมาตรการสนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรงจากทางภาครัฐเพิ่มเติม แต่จากปัจจัยบวกที่รัฐบาลมีความชัดเจนในการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรถไฟฟ้า ที่เริ่มเป็นรูปธรรมและมีความคืบหน้าในการก่อสร้างมากขึ้น เช่น สายสีเขียว (หมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต) รวมไปถึงสายสีเหลือง (ลาดพร้าว – สำโรง) สายสีชมพู (แคราย – มีนบุรี) และสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี) ที่คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2562 จึงทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาดีขึ้น กำลังซื้อมีทิศทางที่ดี นอกจากนี้ยังคาดว่าปี’ 61 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ร้อยละ 4.2 เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศการเลือกตั้งชัดเจนในปี 2562  ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโตไปได้ด้วยดี ขณะที่ผู้ประกอบการเริ่มทยอยที่จะเปิดโครงการใหม่ออกสู่ตลาดและให้ความสำคัญกับการทางการตลาดอย่างเข้มข้น ทำให้คาดการณ์ว่าตลาดบ้านเดี่ยวจะดีขึ้นทั้งในฝั่งอุปทานและอุปสงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่รถไฟฟ้าผ่าน ซึ่งเป็นทำเลที่มีความน่าสนใจและมีศักยภาพในการพัฒนาบ้านเดี่ยวต่อไป อีกทั้งบ้านเดี่ยวระดับราคาที่น่าจะยังขยายตัวต่อไปได้คือบ้านเดี่ยวระดับราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป  ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนน้อย และมีโอกาสถูกปฏิเสธสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในระดับต่ำ ดังนั้นจึงจะเติบโตได้ดี”
‘เอพี ไทยแลนด์’ ประกาศนิวไฮด์ ด้วยยอดขายปี 60 ถึงกว่า 41,000 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ คาดปีหน้าตลาดระดับกลางถึงบนยังแรง

‘เอพี ไทยแลนด์’ ประกาศนิวไฮด์ ด้วยยอดขายปี 60 ถึงกว่า 41,000 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ คาดปีหน้าตลาดระดับกลางถึงบนยังแรง

บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) สร้างเซอร์ไพรส์ตลาดอสังหาฯ โชว์สถิติใหม่ ด้วยยอดขาย ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2560 ถึง 41,600 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 85%  และเกินจากเป้าหมายยอดขายเดิมที่ตั้งไว้ 26,000 ล้านบาทถึง 60%  ซึ่งมาจากสินค้าแนวราบที่ขายได้ต่อเนื่อง รวมถึงการปลุก    แบรนด์ LIFE CONDO ใน 3 ทำเลเด็ดคือ วิทยุ ลาดพร้าว และอโศก-พระราม 9 โดยในปี 2560 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 25 โครงการ มูลค่ารวม 49,040 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 9 โครงการ มูลค่า 12,350 ล้านบาท ทาวน์โฮม 13 โครงการ มูลค่า 12,590 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 24,100 ล้านบาท เผยสูตรสำเร็จพัฒนาอสังหาฯ เชื่อมโยง 4 มิติ โลเคชั่น – สินค้าที่โดนใจผู้บริโภค - การตั้งแพคเกจราคา-ซัพพลายคงเหลือ คาดปีหน้าตลาดระดับกลางและบนยังไปได้ดี สินค้าแนวราบเป็นที่น่าจับตามอง คอนโดต้องเจาะลึกเป็นรายเซกเมนต์ นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปีนี้ เอพี ไทยแลนด์ประสบความสำเร็จอย่างมากสามารถสร้างยอดขายรวมของสินค้าทั้งกลุ่มคอนโด และแนวราบได้มากถึง 41,600 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมากว่า 85%  และเกินจากเป้าหมายยอดขายเดิมที่ตั้งไว้ 26,000 ล้านบาทถึง 60% โดยแบ่งเป็นยอดขายที่เกิดจาก สินค้าแนวราบมูลค่า 14,525 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 27,075 ล้านบาท โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีนี้ นอกจากจะมาจากสินค้าแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีแล้ว ยังมาจากการประสบความสำเร็จในการเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ LIFE วิทยุ LIFE ลาดพร้าว และ LIFE อโศก-พระราม 9  ซึ่งทั้ง 3 โครงการสามารถปิดการขายได้ประมาณ 90%” การเติบโตอย่างก้าวกระโดดในครั้งนี้ สะท้อนภาพความสำเร็จของวิธีคิดในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในแบบของเอพี ที่นำมิติทั้ง 4 ด้านมาเชื่อมโยงกันเพื่อออกแบบโมเดลสินค้าและราคาขายที่เข้าใจและตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งมิติทั้ง 4 ด้านประกอบด้วย 1) โลเคชั่น  2) โปรดักส์ที่เข้าถึงความต้องการแฝง 3) การกำหนดแพคเกจราคาขายที่สอดรับกับความสามารถในการผ่อนชำระและ 4) การศึกษาจำนวนซัพพลายคงเหลือแต่ละเซกเมนต์ นอกจากนั้น 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังได้รับความร่วมมืออย่างดีจากมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MECG) พันธมิตรทางธุรกิจ ในการส่งต่อแนวคิดในการบริหารจัดการคุณภาพ สู่การสร้างกรอบแนวคิดหลักในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในการพัฒนาคอนโดมิเนียมของเอพี ด้วยการผสมผสานประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เข้ากับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง IoT (Internet of Thing) ตลอดจนนวัตกรรมการก่อสร้างสำเร็จรูปในระบบโมดูลาร์ อย่างห้องน้ำสำเร็จรูปที่ให้ค่า Defect เท่ากับศูนย์ สำหรับคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนระหว่างเอพี (ไทยแลนด์) และมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MECG)  มีทั้งหมด 11 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 50,830 ล้านบาท มียอดขายรวมเฉลี่ย 85% ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ 1) RHYTHM สุขุมวิท 36 – 38 2) ASPIRE รัชดา – วงศ์สว่าง 3) ASPIRE สาทร – ท่าพระ 4) RHYTHM อโศก 2 โดยทั้ง 4 โครงการมีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งในปี 2561 เอพีและมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ยังคงจับมือเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมดีไซน์ใหม่ๆ ให้กับตลาดคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) ได้คาดการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 ว่า ภาพรวมธุรกิจยังคงสอดรับกับการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ การแข่งขันยังคงเกิดจากผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นหลักที่ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ซัพพลายที่ตอบโจทย์ตลาดระดับกลางและบนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค การเปิดตัวของสินค้าใหม่แนวราบยังคงเป็นตลาดที่น่าจับตามอง ส่วนคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ตลาดระดับกลางถึงบนยังคงมีกำลังซื้อ ส่วนตลาดระดับล่างค่อนข้างน่ากังวลเพราะมีสต๊อกสร้างเสร็จคงเหลือจำนวนมาก กระแสการมาของเทคโนโลยีถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นแม้จะเป็นตัวช่วยที่เปิดโอกาสให้เราเข้าใจและรู้จักลูกค้ามากขึ้น แต่สุดท้ายผู้ประกอบการก็จะต้องเป็นคนค้นหาให้เจอว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของตนเองกำลังมองหาอะไร สำหรับการอยู่อาศัยในโลกอนาคต   “เอพี (ไทยแลนด์) กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง”
โครงการอาคารสูงระฟ้าระดับ ซูเปอร์ ลักชัวรี่ ออกแบบและ ตกแต่งโดย บริษัท เพซ  อินทีเรีย เซอร์วิสเซส มั่นใจเลือกฝ้า  “ยิปซัม ตราช้าง” ตอกย้ำศูนย์ไลฟ์สไตล์สุดหรู แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ


โครงการอาคารสูงระฟ้าระดับ ซูเปอร์ ลักชัวรี่ ออกแบบและ ตกแต่งโดย บริษัท เพซ อินทีเรีย เซอร์วิสเซส มั่นใจเลือกฝ้า “ยิปซัม ตราช้าง” ตอกย้ำศูนย์ไลฟ์สไตล์สุดหรู แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ


มหานคร (MahaNakhon) ตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย มาพร้อมกับความสูง 314 เมตร เป็นโครงการ mix-used ที่ได้รับการออกแบบเสมือนถูกโอบล้อมด้วยริบบิ้นสามมิติ หรือ “พิกเซล”  ตลอดทั้งความสูงของตัวอาคาร ทำให้เกิดโครงสร้างพิเศษและโดดเด่นสะดุดตา ผนังตึกด้านนอกล้อมรอบไปด้วยกระจกราวกับลอยอยู่บนฟ้าเมื่อมองมาแต่ไกล โดยสามารถรับลมชมวิวทิวทัศน์แบบพาโนราม่า ด้วยการออกแบบของบริษัท เพซ อินทีเรีย เซอร์วิสเซส จำกัด นายพงษ์ศักดิ์ มหัทธนสกุล CEO & Co-Founder บริษัท เพซ อินทีเรีย เซอร์วิสเซส จำกัด  บริษัทที่ปรึกษาด้านอินทีเรีย ที่มีประสบการณ์และความชำนาญสูงด้านการออกแบบโครงการระดับใหญ่สุดหรูหรา และความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ กล่าวว่า “การได้รับมอบหมายให้มารับผิดชอบดูแลโครงการมหานคร ซึ่งถือเป็นโครงการระดับ Super Luxury โดยได้รับโจทย์จาก  เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนซ์ บางกอก  ที่ต้องการให้มหานครเป็น เรสซิเดนซ์ ลักชัวรี่ โดยมุ่งเน้นคุณภาพและมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สำหรับโครงการนี้ในส่วนฝ้าภายใน ทางบริษัทเพซ อินทีเรียฯ มอบความไว้วางใจแก่ “ยิปซัม ตราช้าง”  เนื่องจากมีแนวทางการทำงานที่สอดคล้องกับความต้องการเดียวกันในระดับ Level 5 Finish คือการติดตั้งระบบฝ้าที่เรียบเนียนมากๆ แบบไม่มีที่ติ และมีเทรนนิ่งให้กับทีมช่างผู้ติดตั้งอย่างเป็นพิเศษ  เพื่อให้งานออกมาดีและมีคุณภาพที่สุด สำหรับโครงการนี้ เราเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แผ่นยิปซัมตราช้าง พลัส แต่ส่วนที่มีความท้าทายในการทำงานคือดีไซน์ฝ้าโค้ง เราใช้ Elephant D Zine จากยิปซัมตราช้าง ซึ่งทำให้งานเราง่ายขึ้นและให้ความหรูหรา สวยงาม เรียบเนียนกว่างานปกติ ทั้งนี้ขอขอบคุณ “ยิปซัม ตราช้าง” ที่ใส่ใจและดูแลโครงการเป็นพิเศษ อีกทั้งยังได้ ยูเอสจีบอรอล (USG BORAL)  ผู้คิดค้นแผ่นยิปซัมรายแรกจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาช่วยแนะนำอย่างใกล้ชิด” นายจรุง กาญจนภูมิ ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด เปิดเผยว่า “การได้ร่วมงานในโครงการระดับ Super Luxury ถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของ ยิปซัม ตราช้าง และ บริษัท เพซ อินทีเรีย เซอร์วิสเซส จำกัด  ที่ได้ปรึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ในการออกแบบและตกแต่งภายใน การเทรนนิ่งทีมช่างติดตั้ง การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพในระดับ High End  ที่ต้องการดีไซน์เฉพาะตัวและความสวยงามระดับสากล สามารถตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่กลุ่มเจ้าของโครงการ สถาปนิก นักออกแบบตกแต่งภายใน และผู้รับเหมา รวมไปถึงเจ้าของบ้าน ที่ต้องการความพิถีพิถันอย่างแท้จริง เพื่อให้สามารถตอบสนองการออกแบบระดับ hi-class กับโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) อย่างตึกมหานคร ถือเป็นโจทย์หลักที่ทาง “ยิปซัม ตราช้าง” พิถีพิถันในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และให้บริการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ในด้านระบบฝ้าเพดานยิปซัม และฝ้าดีไซน์  Elephant D Zine  ด้วยคุณสมบัติของแผ่นยิปซัม ตราช้างพลัส เป็นวัสดุสำหรับใช้เพื่องานฝ้าเพดาน มีคุณลักษณะแข็งแกร่งทั่วแผ่น ไม่ลามไฟ และให้ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับงานตกแต่งภายในที่ต้องการความเรียบเนียนสูง และด้วยเทคโนโลยี "ชีตร็อคแบรนด์" สิทธิบัตรจาก ยูเอสจี  (USG) ผู้ผลิตยิปซัมชั้นนำจากประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้แผ่นยิปซัม ตราช้างพลัส มีคุณสมบัติโดดเด่นกว่าแผ่นยิปซัมทั่วไป นอกจากนี้ยังมี “Elephant D Zine” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในผลิตภัณฑ์และบริการของสยามยิปซัม ที่สามารถออกแบบชิ้นงานและติดตั้งให้มีรูปแบบสอดคล้องกับการออกแบบตกแต่งภายในที่มีลักษณะเฉพาะในแต่ละโครงการได้ ไม่ว่าจะเป็น ฝ้าเพดาน ฝาผนัง หรือการหุ้มโครงสร้างเพื่อใช้ในงานออกแบบตกแต่งที่เรียกว่า “ customized design and product”  นั่นเอง ให้ทั้งความสวยงามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังติดตั้งง่ายและรวดเร็ว ได้มาตรฐานระดับสากลด้วย”   จากการที่โครงการมหานครเลือกใช้ “ยิปซัม ตราช้าง” แสดงให้เห็นความไว้วางใจของลูกค้าที่สร้างสรรค์งานระดับมาตรฐานสากลไว้วางใจต่อผลิตภัณฑ์ของยิปซัม ตราช้าง พร้อมตอกย้ำคุณภาพของผลิตภัณฑ์ฝ้าและผนังในอุตสาหกรรมการตกแต่งภายในยิ่งขึ้นไปอีก
ครั้งแรก!! พลิกโฉมประสบการณ์จ่ายเงินในวงการอสังหาฯ  แสนสิริจับมือไทยพาณิชย์สร้าง ‘Cashless Town’ สังคมไร้เงินสด ทำเรื่องเงินให้เป็นเรื่องง่าย เพียงจ่ายผ่าน QR Code

ครั้งแรก!! พลิกโฉมประสบการณ์จ่ายเงินในวงการอสังหาฯ แสนสิริจับมือไทยพาณิชย์สร้าง ‘Cashless Town’ สังคมไร้เงินสด ทำเรื่องเงินให้เป็นเรื่องง่าย เพียงจ่ายผ่าน QR Code

แสนสิริจับมือธนาคารไทยพาณิชย์สร้างปรากฏการณ์ใหม่ครั้งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดตัว ‘Cashless Town’ หรือสังคมไร้เงินสด พลิกโฉมมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายทางการเงินแก่ลูกค้าแสนสิริ ให้เรื่องการจ่ายเงินเป็นเรื่องง่าย เพียงชำระผ่าน QR Code เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย เข้าถึงทุกๆ การชำระเงินได้โดยไม่มีข้อจำกัด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้ายุคดิจิทัล นำร่องเปิดให้บริการครั้งแรกแล้ววันนี้ที่ฮาบิโตะ (Habito) คอมมูนิตี้รีเทลใน “ที77” ศูนย์กลางการอยู่อาศัยและพื้นที่แห่งไลฟ์สไตล์ ซ.สุขุมวิท77 ใกล้ BTS อ่อนนุช และงาน Winter Market Fest ครั้งที่ 5 ครั้งแรกที่ไม่ต้องพกเงินสดช้อปปิ้ง วันที่ 16-17 ธ.ค.นี้เท่านั้น   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริได้ร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจสถาบันการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดตัว ‘Cashless Town’ หรือสังคมไร้เงินสด มอบประสบการณ์ใหม่ทางการเงินให้แก่ลูกค้าแสนสิริ ให้เรื่องการจ่ายเงินเป็นเรื่องง่าย เพียงชำระผ่าน QR Code เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และสามารถเข้าถึงทุกๆ การชำระเงินได้โดยไม่มีข้อจำกัด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคดิจิทัล ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ร่วมมือกับธุรกิจสถาบันการเงิน ในการนำดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่ทางการเงินมาสร้างสรรค์ประสบการณ์การชำระเงินและช้อปปิ้งแบบไร้เงินสดเต็มรูปแบบให้แก่ลูกค้า   “ในปีนี้แสนสิริเห็นความเปลี่ยนแปลงในไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าในยุคที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เราเชื่อว่าเทคโนโลยีจะตอบโจทย์ของลูกค้าได้ดี จึงได้พยายามนำเทคโนโลยีมาต่อยอดใช้ประโยชน์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในมิติใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง  เพื่อยกระดับการบริการที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าและรักษาความเป็นผู้นำในการบุกเบิกและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยของวงการอสังหาริมทรัพย์ โดยเรามองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง Customer Centric ซึ่งเราศึกษาและพบว่าในยุคดิจิทัลนี้ลูกค้าต้องการความสะดวกสบาย และรวดเร็วในการจับจ่ายใช้สอย ดังนั้นการมอบบริการ ‘Cashless Town’ จะช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตของลูกค้าในโลกยุคดิจิทัลด้านการเงินอย่างสมบูรณ์แบบ” นายอุทัย กล่าว นายวศิน ไสยวรรณ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุด Multi-Corporate Segment และผู้บริหารสูงสุด Corporate Segment ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่แน่นแฟ้น มีความร่วมมือในโครงการต่างๆ เกิดขึ้นร่วมกันอย่างหลากหลาย ด้วยวิสัยทัศน์ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันของทั้งสององค์กรในการให้ความสำคัญต่อการนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับการให้บริการแก่ลูกค้า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาธนาคารได้ร่วมลงทุนในบริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ให้กับลูกค้าในกลุ่มผู้อยู่อาศัย สำหรับครั้งนี้ธนาคารและแสนสิริร่วมกันนำเทคโนโลยีทางการเงินเข้ามาขับเคลื่อนสังคมไร้เงินสด ขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยร่วมกันเปิดตัวโครงการ Cashless Town นำระบบชำระเงินด้วย QR Code เข้าไปให้บริการในทุกทัชพอยท์ที่จะมีธุรกรรมทางการเงินเกิดขึ้นภายใต้พื้นที่ที่พัฒนาโดยแสนสิริ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการชำระเงินที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่อยู่อาศัยในยุคดิจิทัล โดยเริ่มต้นนำร่องครั้งแรกที่ ฮาบิโตะ (Habito) คอมมูนิตี้รีเทลของแสนสิริแล้ววันนี้ รองรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ จำนวนไม่ต่ำกว่า 10,0000 คนต่อวัน โดยการชำระเงินด้วยการสแกน QR Code ผ่านสมาร์ทโฟนจะเพิ่มความคล่องตัวให้กับลูกค้ามากขึ้น ความร่วมมือระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์ และแสนสิริครั้งนี้นับเป็นฟันเฟืองหนึ่งในการสร้าง Digital Eco System ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ภายในไตรมาสแรก ปี 2561 Cashless Town เต็มรูปแบบจะขยายครอบคลุมพื้นที่ T 77 ศูนย์กลางการอยู่อาศัยและพื้นที่แห่งไลฟ์สไตล์ภายใต้การพัฒนาของแสนสิริต่อไป ” นายอุทัย กล่าวเพิ่มเติมว่า T 77 ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 77 อยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่อยู่อาศัย 8 โครงการ ประกอบด้วยสังคมอยู่อาศัยประมาณถึง 10,000 ครอบครัว ได้แก่ บล็อค สุขุมวิท 77, เดอะ เบส สุขุมวิท 77, เดอะ เบส พาร์คอีสต์ สุขุมวิท 77, เดอะ เบส พาร์คเวสต์ สุขุมวิท 77, ฮาสุ เฮาส์, โมริ เฮาส์, การ์เด้น สแควร์ สุขุมวิท 77 และโครงการล่าสุดคาวะ เฮาส์ รวมถึง Park Court (พาร์ค คอร์ท) คอนโดมิเนียมและอพาร์ตเม้นต์ และ โรงเรียนนานาชาติ บางกอกเพรพ ”Bangkok International Preparatory & Secondary School (Bangkok Prep) หนึ่งในโรงเรียนนานาชาติชั้นนำของไทย รวมทั้ง Dental Hospital (โรงพยาบาลฟัน) ที่จะเปิดให้บริการปี 2561 โดยเมื่อเปิดอย่างเป็นทางการแล้วก็พร้อมเปิดบริการ Cashless Town ให้เป็นเมืองไร้เงินสดอย่างสมบูรณ์ ลูกค้าของแสนสิริสามารถชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าส่วนกลาง และชำระค่าบริการที่โรงพยาบาลฟัน ผ่าน QR Code นับเป็นการมอบการบริการทางการเงินที่รองรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ในวันที่ 16-17 ธันวาคมนี้ ในงาน Winter Market Fest (วินเทอร์ มาร์เก็ต เฟส) ครั้งที่ 5 ไลฟ์สไตล์ เฟสติวัลสุดฮิปที่แสนสิริจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ที่ที77 ซึ่งรวบรวมร้านค้าและร้านอาหารชั้นนำมากมายถึง 150 ร้านค้า จะเป็นครั้งแรก ! ที่เปิดให้บริการ Cashless Town ลูกค้าช้อปปิ้งได้ชิลล์ๆ ผ่าน QR Code โดยไม่ต้องใช้เงินสด ซึ่งเหมาะกับคนร่วมงานที่ส่วนมากเป็นคนรุ่นใหม่ที่รักความสะดวกสบาย และคาดว่าปีนี้จะมีคนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก   นายอุทัย กล่าวทิ้งท้ายว่า คาดว่าความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ผู้บริโภคจะเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายสู่สังคมไร้เงินสดเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้แสนสิริจะยังคงไม่หยุดยั้งในมองหาบริการที่จะเข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการให้บริการอย่างครบวงจร และมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้ลูกค้าอย่างไม่สิ้นสุด”
“ออริจิ้น” ดึงเชน IHG ผุดโรงแรม 3 แห่ง มูลค่า 7,500 ล้านบาท พร้อมผนึกโนมูระลุยแบรนด์ Staybridge Suites ครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก

“ออริจิ้น” ดึงเชน IHG ผุดโรงแรม 3 แห่ง มูลค่า 7,500 ล้านบาท พร้อมผนึกโนมูระลุยแบรนด์ Staybridge Suites ครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก

ออริจิ้นแตกไลน์ธุรกิจ ดึงเชนเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล ผุดโรงแรม 3 แห่งใจกลางทองหล่อ-ศรีราชา มูลค่าทรัพย์สิน 7,500 ล้านบาท เจาะตลาดญี่ปุ่น-รับการลงทุนอีอีซี พร้อมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ Staybridge Suites ครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก ผนึกโนมูระลุย “Staybridge Suites Bangkok Thonglor” นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน นอตติ้ง ฮิลล์ ไนท์บริดจ์ และพาร์ค กล่าวว่า นอกจากการพัฒนาที่อยู่อาศัยแล้ว บริษัทยังมีวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ครอบคลุมธุรกิจโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ สำนักงานเช่า คอมมูนิตี้มอลล์ สำหรับธุรกิจโรงแรมนั้น บริษัทจะนำร่องด้วยการพัฒนาโรงแรม 3 แห่ง มูลค่าทรัพย์สินหลังการก่อสร้าง (Asset Value) อยู่ที่ประมาณ 7,500 ล้านบาท โดยล่าสุดได้เซ็นสัญญานำแบรนด์และเชนของเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG) เข้ามาบริหารโรงแรมทั้ง 3 แห่ง “IHG เป็นหนึ่งในเครือโรงแรมชั้นนำของโลก ได้รับการยอมรับด้านการบริหารโรงแรมด้วยมาตรฐานสากล และมีแบรนด์โรงแรมคุณภาพหลากหลายแบรนด์อยู่ทั่วโลก การพัฒนาโรงแรม 3 แห่งแรกของเราในครั้งนี้จึงเลือกนำแบรนด์และเชนโรงแรมของ IHG จำนวน 2 แบรนด์มาบริหาร ซึ่งเรามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะได้ทำงานร่วมกับ IHG นับจากนี้” นายพีระพงศ์ กล่าว   โรงแรมทั้ง 3 แห่งประกอบด้วย 1.สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) 2.สเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี ศรีราชา (Staybridge Suites Chonburi Siracha) และ 3.ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง (Holiday Inn Suites Siracha Laemchabang) จะทยอยเปิดให้บริการจนครบทั้ง 3 แห่งภายในปี 2564 โดยการนำแบรนด์สเตย์บริดจ์ สวีท (Staybridge Suites) เข้ามานั้น ถือเป็นการนำแบรนด์ดังกล่าวเข้ามาใช้เป็นครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก   สำหรับการพัฒนาโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อนั้น บริษัทยังได้จับมือกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ พันธมิตรสำคัญของออริจิ้นในการพัฒนาที่อยู่อาศัย มาร่วมพัฒนาโครงการดังกล่าวด้วย เพื่อให้สามารถพัฒนาโครงการและการบริการให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างดีที่สุด ล่าสุด ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาในสัดส่วน 51 ต่อ 49 ด้านนายราจิต สุขุมารัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ประจำภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG) กล่าวว่า สเตย์บริดจ์ สวีท เป็นแบรนด์โรงแรมที่เปิดให้บริการมาแล้วมากกว่า 250 แห่งทั่วโลก ตกแต่งด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น สะดวกสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น อุปกรณ์ครัวครบชุดโซนทำงานส่วนตัว โซนเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เหมาะสำหรับแขกที่ต้องการเข้ามาพักระยะยาว เช่น กลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในพื้นที่นั้นๆ (Expat) หรือนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ (Business Traveller)   “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมงานกับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) อีกครั้ง ในการขยายฐานธุรกิจของเราด้วยการนำแบรนด์โรงแรมใหม่ๆ มาสู่ภูมิภาค และด้วยความต้องการที่พักแบบระยะยาวที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และศรีราชา จึงถือเป็นโอกาสที่ดียิ่งสำหรับสเตย์บริดจ์ สวีท และเราเห็นโอกาสในการเพิ่มจำนวนสเตย์บริดจ์ สวีทให้มากขึ้นในเอเชียแปซิฟิกในภายภาคหน้า ซึ่งเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น” นายราจิต กล่าว ด้านนายโทชิฮิเดะ สึคาซากิ เจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจให้เช่าที่อยู่อาศัย การจัดการโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ด้านโลจิสติกส์ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมา โนมูระถือเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจรในญี่ปุ่น แต่ครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการตัดสินใจออกมาลงทุนธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ สาเหตุสำคัญที่ตัดสินใจลงทุนครั้งนี้ เนื่องจากมั่นใจในพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยอย่างออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มั่นใจในแบรนด์คุณภาพของเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล รวมถึงมั่นใจในศักยภาพทำเลทองหล่อ ซึ่งเป็นทำเลธุรกิจที่มีความต้องการการพักอาศัยของชาวต่างชาติ   “เรามั่นใจว่า เราจะสามารถนำโนว์ฮาวและความรู้ความสามารถของเรามาช่วยพัฒนาโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อกทองหล่อ ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ให้ได้รับการบริการที่สะดวกสบายและน่าประทับใจ” นายโทชิฮิเดะ กล่าว   สำหรับการลงทุนครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนภายใต้แผนการเติบโตระยะกลาง-ยาวของโนมูระตั้งแต่ปีงบการเงิน 2559-2567 (สิ้นสุด มี.ค.2568) ด้วยการลงทุนในต่างประเทศภายใต้งบลงทุน 3 แสนล้านเยน (ราว 9.06 หมื่นล้านบาท) ด้านนางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด บริษัทพัฒนาธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า จากข้อมูลของสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว พบว่า จำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทยมากที่สุด คือ ชาวญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 24% ขณะเดียวกันจากข้อมูลของปี 2555-2559 ยังพบว่า จำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ (Expat) มีจำนวนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 16% ต่อปี ทำเลทองหล่อถือเป็นทำเลสำคัญที่มีชาวต่างชาติเข้ามาทำงานและพักอาศัยเป็นจำนวนมาก มั่นใจว่าการพัฒนาโรงแรมในทำเลทองหล่อจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่พักอาศัย โดยเฉพาะของชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในย่านนี้ได้   สำหรับทำเลศรีราชา ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลศักยภาพ เพราะภาครัฐมีนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก พร้อมให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากชาวต่างชาติ เมื่อมีชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น การเข้ามาทำธุรกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาวในพื้นที่ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย บริษัทจึงมั่นใจที่จะพัฒนาโรงแรมในพื้นที่ศรีราชา 2 แห่ง โดยเลือกทำเลที่ใกล้สถานที่พักผ่อนและอำนวยความสะดวกอื่นๆ ด้วย   โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ เป็นโรงแรมขนาด 303 ห้องพัก มีพื้นที่อาคารรวม 25,500 ตร.ม. มูลค่าทรัพย์สิน 2,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บริเวณซอยสุขุมวิท 55 ห่างจากสถานีบีทีเอสทองหล่อประมาณ 10 นาที คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 4/2562 ขณะที่โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี ศรีราชา เป็นโรงแรมขนาด 400 ห้องพัก มีพื้นที่อาคารรวม 37,200 ตร.ม. มูลค่าทรัพย์สิน 2,800 ล้านบาท ตั้งอยู่บริเวณถนนสุขุมวิท ตรงข้ามตึกคอม ศรีราชา คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 4/2563 ส่วนโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง เป็นโรงแรมขนาด 347 ห้องพัก มีพื้นที่อาคารรวม 30,500 ตร.ม. มูลค่าทรัพย์สิน 2,200 ล้านบาท ตั้งอยู่ในพื้นที่โครงการ Origin District คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 1/2563   สำหรับเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG) มีเครือข่ายโรงแรมอยู่กว่า 5,300 แห่ง 7.85 แสนห้องพักในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบัน ดำเนินการบริหารโรงแรมในไทย 22 แห่ง ภายใต้ 5 แบรนด์ และมีที่รอเปิดให้บริการอีก 14 แห่ง โดยแบรนด์สเตย์บริดจ์ สวีท ถือเป็นแบรนด์ที่ 6 ในไทย   ขณะที่บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ สำนักงานเช่า ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร
‘The Symphony of VITTORIO’ สัมผัสประสบการณ์เสียงแห่งงานศิลป์

‘The Symphony of VITTORIO’ สัมผัสประสบการณ์เสียงแห่งงานศิลป์

  โครงการ ‘VITTORIO’ สุดยอดอัลตร้า-ลักซ์คอนโด ใจกลางย่านสุดหรู The Em District บนถนนสุขุมวิท 39 โดยบริษัทเอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) รังสรรค์ประสบการณ์การชมงานศิลปะรูปแบบใหม่ ผ่านงาน ‘The Symphony of Vittorio’ ครั้งแรกกับการชมงานศิลปะแบบ “Sonic-Visual Journey” ที่เรียนเชิญแขกวีไอพีและเซเลบริตี้ชื่อดังของเมืองไทยร่วมสัมผัสความวิจิตรตระการตา ในคุณค่าของงานศิลป์ ถ่ายทอดผ่านงานดนตรีที่ประพันธ์และคัดเลือกโดยศิลปินทางดนตรีแนวหน้าของไทยได้แก่ บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ สมเกียรติ อริยะชัยพานิชย์ และทฤษฎี ณ พัทลุง     นายสรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง ผู้อำนวยการสายงานคอร์ปอเรทมาร์เก็ตติ้ง บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “งาน ‘The Symphony of VITTORIO’ ตั้งใจรังสรรค์ประสบการณ์รูปแบบใหม่ให้แขกผู้มีเกียรติร่วมสัมผัสการผสมผสานสุนทรียศาสตร์แห่งศิลปะและดนตรีเข้าด้วยกัน บนพื้นที่ของ VITTORIO คอนโดหรูระดับอัลตร้า-ลักซ์  ที่ตกแต่งด้วยชิ้นงานศิลปะที่ประเมินค่าไม่ได้ อาทิ งานจิตรกรรมและประติมากรรมจากศิลปินไทยที่โด่งดังทั้งในและต่างประเทศ อาทิ อาจารย์เขียน ยิ้มศิริ อาจารย์-นุกูล ปัญญาดี คุณพินรี สัณฑ์พิทักษ์  อาจารย์เสนีย์ แช่มเดช และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิทักษ์ สง่า โดยล้วนเป็นชิ้นงานที่งดงามและทรงคุณค่า (มูลค่ารวมสูงกว่า 30 ล้านบาท)     ผู้ร่วมงานได้สัมผัสกับประสบการณ์รูปแบบใหม่แห่งการชมงานศิลปะผ่านความงามที่สัมผัสได้ทางสายตา และบทเพลงไพเราะทางโสตสัมผัส ประกอบกับการฟังบทเพลงที่ประพันธ์และเรียบเรียงโดย 3 ศิลปินทางดนตรีชั้นนำของประเทศ ได้แก่ Soul Master คุณบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์  New Aged Music Pioneer    คุณสมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ และ Classical Conductor  คุณทฤษฎี ณ พัทลุง โดยไฮไลท์ของงานครั้งนี้ศิลปินทั้ง 3 ได้แต่งเพลงให้กับผลงานประติมากรรม “งอกงาม” ผลงานของศิลปินแห่งชาติ อาจารย์เขียน ยิ้มศิริ เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน นอกจากนี้ ศิลปินแต่ละท่านยังประพันธ์และคัดสรรบทเพลง หรือดนตรีจากแรงบันดาลใจที่ได้จากผลงานจิตรกรรมทั้งหมดที่แสดงอยู่ที่ VITTORIO ที่พร้อมส่งมอบที่สุดของการใช้ชีวิตภายใต้คอนเซ็ปต์ Living in the Masterpiece อีกด้วย”   หากเสน่ห์ของเมืองฟลอเรนซ์คืองานจิตรกรรมและประติมากรรมที่แฝงตัวอยู่ในทุกพื้นที่แล้ว สำหรับ VITTORIO ทุกพื้นที่ล้วนได้รับการจัดวางสเปซอย่างละเอียด เพื่อเสริมให้จิตรกรรมและประติมากรรมที่เอพีเลือกสรรมาประดับ VITTORIO ดูโดดเด่นทรงคุณค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน    VITTORIO มีจำนวนเรสซิเดนซ์เพียง 88 ยูนิต ภายในอาคารที่พักอาศัยความสูง 28 ชั้น ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยระดับ Ultra Luxury ราคาเริ่มต้น 31 ล้านบาท พร้อมส่งมอบที่สุดของการใช้ชีวิตระดับมาสเตอร์พีซแล้ววันนี้  www.vittorio-residence.com  
“เทพารักษ์-ศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ” สังคมน่าอยู่แห่งใหม่
ครบทุกฟังก์ชั่นความต้องการของผู้อยู่อาศัย

“เทพารักษ์-ศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ” สังคมน่าอยู่แห่งใหม่
ครบทุกฟังก์ชั่นความต้องการของผู้อยู่อาศัย

ย่านเทพารักษ์-ศรีนครินทร์ ในเวลานี้ถือว่าเป็นศูนย์กลางความเจริญแห่งใหม่ ด้วยทำเลศักยภาพใกล้แหล่งงานและย่านเศรษฐกิจ รวมทั้งยังแวดล้อมไปด้วย ไฮเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็ก-ใหญ่ ตั้งอยู่โดยรอบพื้นที่ รวมถึงตลาดที่อยู่อาศัย เริ่มมีการพัฒนาโครงการใหม่ๆ มากขึ้น หากใครกำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตและรองรับไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย รับรองว่าย่านเทพารักษ์-ศรีนครินทร์ ไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน เทพารักษ์ ศรีนครินทร์ สุขุมวิท เชื่อมต่อเพียงพริบตา ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของย่านเทพารักษ์ เกิดขึ้นจากความคืบหน้าของแผนการลงทุนระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวมีความสะดวกสบายต่อการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมือง  ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่รถไฟฟ้าสายสีเหลือง เพียงเท่านั้น แต่ย่านนี้ยังมีรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ส่วนต่อขยายสมุทรปราการ-บางปู) ที่มีแผนก่อสร้างและจะเปิดให้บริการในอนาคต เรียกได้ว่าสร้างความน่าสนใจและน่าอยู่อาศัยให้กับพื้นที่เทพารักษ์เป็นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา นอกจากนั้น หากมองทำเลเทพารักษ์ ในช่วงถนนบางพลี – ตำหรุ ยังเป็นถนน 6-8 ช่องจราจร ใช้งานสะดวก โดยถนนเส้นนี้สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนโดยรอบได้หลายเส้นทาง ได้แก่ ถนนกิ่งแก้วที่สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนบางนา-ตราด โดยเส้นบางนา-ตราดนี้จะเป็นที่ตั้งของศูนย์การค้าขนาดใหญ่หลายแห่งและเป็นจุดขึ้น-ลงทางด่วนบูรพาวิถีเพื่อเชื่อมต่อเข้าเมืองได้สะดวก เช่นเดียวกันยังอยู่ใกล้ถนนวงแหวนตะวันออกรอบนอก ที่สามารถเดินทางไปยังจังหวัดชลบุรี และจังหวัดอื่นๆ ในภาคตะวันออก อีกทั้งยังเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลักไปสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งนับว่าสามารถตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยอย่างลงตัว ตลาดอสังหาฯ ย่านเทพารักษ์ - ศรีนครินทร์  สำหรับตลาดอสังหาฯ ในทำเลนี้  ปัจจุบันยังคงเป็นตลาดแนวราบ ด้วยพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัย ยังมองหาบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอย เพียงพอกับกิจกรรมของผู้เริ่มสร้างครอบครัวใหม่ รวมถึงครอบครัวใหญ่ โดยตลาดอสังหาในทำเลดังกล่าว แบ่งเป็นหมู่บ้านจัดสรร ที่มีทั้งโครงการใหม่ และบ้านมือสอง อพาร์ทเม้นท์ และยังมีคอนโดมิเนียม Low-rise ในราคาที่ยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับที่อยู่อาศัยในใจกลางเมือง อีกทั้งยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น บิ๊กซี บางพลี, มาร์เก็ต วิลเลจ สุวรรณภูมิ, โลตัส ซิตี้ พาร์ค บางพลี, โรบินสัน สมุทรปราการ, ไบเทค บางนา, เมกา บางนา และ อิเกีย นับว่าเป็นทำเลที่มีความเจริญเติบโตและน่าสนใจเป็นอย่างมาก เตรียมพบกับโครงการ ลลิล ทาวน์ ไลโอ บลิสซ์ เทพารักษ์-ตำหรุ โดยบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ปรากฏการณ์ใหม่ของการอยู่อาศัยบนทำเลเทพารักษ์ ด้วยฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 2 ที่จอดรถในร่ม พร้อมครัวไทย ใกล้ทางด่วน เมกาบางนา ราคาเริ่ม 1 ล้านกว่าบาทเท่านั้น และเร็วๆ นี้ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนในเว็บไซต์ เพื่อรับสิทธิ์ช้อปปิ้งทั่วกรุง 20,000 บาท จองแปลงสวยทำเลหน้าโครงการ โซนติดสวนก่อนใคร คลิก!: http://bit.ly/lalinliotamru หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center โทร 1778 และเว็บไซต์ www.lalinproperty.com, Line @LalinSociety
“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” ปิดดีล MARU ยอดขายบิ๊กล๊อต 1,000 ล้านบาท

“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” ปิดดีล MARU ยอดขายบิ๊กล๊อต 1,000 ล้านบาท

"เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์" เปิดตัวพันธมิตร DWG ร่วมทุนซื้อบิ๊กล๊อต โครงการ MARU เอกมัยและลาดพร้าว มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศ ดันยอดขายมารุทั้ง 2โครงการ ทะลุ 300 กว่ายูนิต พร้อมเปิดสำนักงานขาย MARU ลาดพร้าวภายในเดือน ธ.ค. นี้ ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยว่า “บริษัทประสบความสำเร็จในการขาย Big Lot โครงการ MARU ลาดพร้าว และเอกมัย ให้กับพันธมิตรคือ DWG มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท นับเป็นการสะท้อนถึงความไว้วางใจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยและโครงการของ MJD ส่งผลให้ล่าสุด โครงการ MARU ทั้ง 2 ทำเล สามารถทำยอดขายรวมได้กว่า 60% ภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือนหลังเปิดพรีเซลเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา รวมมูลค่าสองโครงการ 4,300 ล้านบาท โดยโครงการ MARU ลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท มีจำนวนทั้งสิ้น 332 ยูนิต ปัจจุบันขายไปแล้ว50% ในจำนวนนี้มีผู้ซื้อชาวต่างชาติ คิดเป็น 17 %  ส่วนโครงการ MARU เอกมัย มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท มีจำนวน 333 ยูนิต ปัจจุบันขายไปแล้วกว่า 70% คิดสัดส่วนเป็นยอดซื้อจากชาวต่างชาติมากถึง 36%” ​โครงการ MARU เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ ระดับไฮเอนด์ แบรนด์น้องใหม่ของ MJD ทั้ง 2 โครงการ ตั้งอยู่ในทำเลที่ใจกลาง ย่านธุรกิจที่มีการเติบโตสูงสุด (Central Business District - CBD) ในย่านเอกมัย และ Second CBD อย่างโซนลาดพร้าว โครงการ MARU ลาดพร้าว อยู่บนถนนลาดพร้าวเส้นหลัก อยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า MRT สถานีลาดพร้าวเพียง 50 เมตร ส่วนโครงการ MARU เอกมัย อยู่บนถนนเส้นหลัก ระหว่างเอกมัยซอย 2 และซอย 4 ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS เอกมัยเพียง 450 เมตร มีจุดเด่นที่ให้ผู้อยู่อาศัยเรียนรู้อยู่กับธรรมชาติอย่างสมดุล ความเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียดในไลฟ์สไตส์ของผู้อยู่อาศัย เลือกวัสดุตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพเยี่ยม การออกแบบเลือกใช้รูปแบบของเส้นตรงมาใช้ในการออกแบบและตกแต่ง ใช้โทนสีที่เรียบง่าย ตามรูปแบบ Minimal Design เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสงบนิ่ง แต่ทว่ามั่นคง ด้วยการออกแบบอย่างสมดุล ตามวิถีเซน (Zen) ที่เชื่อเรื่องความสงบนิ่ง และอยู่กับธรรมชาติ มอบพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ตอบโจทย์ ไลฟ์สไสต์คนเมือง ชูจุดเด่น Pet Friendly & Wellness living ถูกใจคนรักสัตว์ (Pets Lover) มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสัตว์เลี้ยง ทั้งลานอาบน้ำสัตว์ และพื้นที่ส่วนกลาง ที่เจ้าของสามารถทำกิจกรรมร่วมกับสัตว์เลี้ยงได้ ทั้ง 2 โครงการ จะเริ่มก่อสร้างในช่วงกลางปี พ.ศ. 2561 คาดว่าจะแล้วเสร็จ และเข้าอยู่อาศัยได้ช่วงกลางปี พ.ศ. 2563 โดยในส่วนของสำนักงานขายโครงการ MARU ลาดพร้าว จะแล้วเสร็จพร้อมเปิดตัวในเดือนมกราคมต้นปีหน้า ส่วนสำนักงานขายโครงการ MARU เอกมัย จะแล้วเสร็จพร้อมเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ในปีหน้าเช่นกัน ด้าน ดร.เดนนิส วี ประธานบริษัท DWG กล่าวถึงการเลือก MJD เป็นพันธมิตรคนสำคัญในประเทศไทย เนื่องจาก MJD เป็นหนึ่งในผู้นำของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับบนในเมืองไทย มีทีมงานมืออาชีพและมีความสามารถในการบริหาร ที่สำคัญคือโครงการของ MJD ตั้งอยู่ในทำเลที่มีการศักยภาพและการเติบโตมากที่สุดของกรุงเทพฯ “เรามีความยินดีและพึงพอใจที่ได้ทำธุรกิจในประเทศไทย คนไทยเป็นเจ้าบ้านที่ดี มีความนอบน้อมและจริงใจ ทั้งหมดนี้พิสูจน์ได้จากทั้งภาคธุรกิจและการท่องเที่ยวของไทย เราเลือก MJD เป็นพันธมิตรคนสำคัญ จากทั้งความเป็นมืออาชีพ และทำเลของโครงการที่อยู่ในพื้นที่หลักของกรุงเทพ" DWG บริษัทที่บริการด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจร มีจุดมุ่งหมายในการลงทุนและบริหารสินทรัพย์ในเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย ญึ่ปุ่น สิงคโปร์ กรุงเทพฯ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบ One Stop Service
บ้านลุมพินี สวนหลวง ร.๙ เปิดจองเฟสสุดท้าย 16 ธ.ค. นี้
เริ่ม 9 ล้าน พิเศษส่วนลดสูงสุด 5 แสน

บ้านลุมพินี สวนหลวง ร.๙ เปิดจองเฟสสุดท้าย 16 ธ.ค. นี้
เริ่ม 9 ล้าน พิเศษส่วนลดสูงสุด 5 แสน

“บ้านลุมพินี” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบในเครือ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP ภายใต้แนวคิด “บ้านลุมพินี บ้านน่าอยู่” ในแนวทาง “บ้านดี สิ่งแวดล้อมดี ดูแลดี ผู้คนดี” เดินหน้าพัฒนาโครงการต่อเนื่อง “บ้านลุมพินี สวนหลวง ร.๙ เฟส 3” มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท จำนวน 29 หลัง บ้านเดี่ยวขนาด 2 ชั้น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ และพื้นที่สวน เปิดจองเสาร์ที่ 16 ธ.ค. นี้ เริ่ม 9 ล้านบาท พิเศษ ส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท (จำนวนจำกัด) นับเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับผู้ที่ต้องการขยายครอบครัวใหญ่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมคุณภาพ บนทำเลใกล้ชิดธรรมชาติ สวนหลวง ร.9 โดยบ้านทุกหลังมีการวางระบบมาตรฐานต่างๆ เพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์ของบ้าน มีการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานทุกพื้นที่ในบ้าน พร้อมรองรับผู้อาวุโส ด้วยการจัดสรรห้องนอนชั้นล่าง โดยออกแบบให้ตั้งอยู่ใกล้ห้องน้ำ และส่วนพื้นที่ครัวที่สามารถแบ่งพื้นที่การใช้งานให้คนในครอบครัวทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันได้ อาทิ การจัดปาร์ตี้เล็กๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และห้องครัวไทยแยกส่วน บริเวณชั้น 2 มี 3 ห้องนอน ทุกห้องนอนให้ความเป็นส่วนตัวสูง มีห้องน้ำในตัว และพื้นที่ห้องนั่งเล่นสำหรับเด็กๆ ให้มีกิจกรรมร่วมกัน นอกเหนือจากพื้นที่จอดรถที่เตรียมไว้ 2-3 คันแล้ว (ขึ้นกับแบบบ้าน)  ยังมีพื้นที่จอดรถส่วนกลางสำหรับผู้มาเยี่ยมเยือน  โดยมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวก และไม่เป็นการรบกวนเพื่อนบ้าน ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครันทั้งคลับเฮาส์, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ, สวนส่วนกลาง, กล้อง CCTV ทั่วทั้งโครงการ และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง รวมทั้งการบริหารจัดการที่ดีจากทีมบริหารงานมืออาชีพจากบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด ตอบโจทย์ความสุขที่แท้จริงของการอยู่อาศัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LPN Call Center 02-689-6888 ,www.baanlumpini.com และ Facebook : Baan Lumpini
ครั้งแรกของโลกที่ป่าธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมือง THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” โดย MQDC ปรากฏการณ์ที่สร้างบนพื้นฐาน “ความสุขที่แท้จริง”

ครั้งแรกของโลกที่ป่าธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมือง THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” โดย MQDC ปรากฏการณ์ที่สร้างบนพื้นฐาน “ความสุขที่แท้จริง”

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) สร้างสรรค์พื้นที่ความสุขครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัว ท่ามกลาง   ระบบนิเวศของผืนป่าธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ เปิดตัวโปรเจกต์แฟลกชิพ “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์” ครั้งแรกของโลกที่ธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมือง คุณวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า “ด้วยคำมั่นสัญญาของแบรนด์ ‘for all well-being’ ที่มุ่งมั่นและตั้งใจในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตเพื่อส่งผลดีต่อทุกการดำเนินชีวิตในอนาคต และเป็นส่วนหนึ่งของโลกผ่านการออกแบบที่ใส่ใจธรรมชาติ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ในการร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ (Sustainnovation) ประกอบกับการนำคำว่า “ความสุขที่แท้จริง” เป็นโจทย์ในการดำเนินงานเพื่อสร้างสรรค์โครงการ เพื่อมอบความสุขที่แท้จริงในกับคนในยุคปัจจุบันและอนาคต จึงเป็นที่มาของโครงการ “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์ ครั้งแรกของโลกที่ป่าธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมืองบนพื้นที่กว่า 300 ไร่ บริเวณบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 5-7 มูลค่าโครงการมากกว่า 90,000 ล้านบาท ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” โดยมีองค์ประกอบสำคัญทั้ง 4 หมวดใหญ่ หรือ Eternal 4 อันเป็นพื้นฐานของความสุขที่แท้จริง ได้แก่ 50 Shades of Nature ความสุขในการใช้ชีวิตท่ามกลางระบบนิเวศขนาดใหญ่ Connecting 4 Generations ความสุขในการดีไซน์พื้นที่ความอบอุ่นให้กับครอบครัวได้ใช้ชีวิตร่วมกันครอบคลุมถึง 4 เจนเนเรอชั่น Community of Dreamsความสุขบนพื้นที่และสาธารณูปโภคที่ให้ทุกคนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน Sustainnovation for Well-being ความสุขด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ซึ่งนับเป็นดีเอ็นเอของ MQDC ที่สร้างแนวคิดใหม่ของการใช้ชีวิตทั้งในวันนี้และในอนาคต” ในครั้งนี้ ได้เปิดเผยภาพลักษณ์และคอนเซ็ปต์ของโครงการ ภายในงาน “World Premiere of THE FORESTIAS” ที่นำเสนอประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ผ่านนิยามแห่งความสุขทั้ง 4 ที่รายล้อมภายในโครงการ โดยได้รับเกียรติจาก คุณทิพพาภรณ์ อริยวรารมย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – กลุ่มบริษัท ดีทีจีโอ คุณรัช ตันตนันตา ประธานผู้อำนวยการ - กลุ่มบริษัทดีทีจีโอ คุณศศินันท์ออลแมนด์ ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายการตลาดและการสื่อสารองค์กร และคณะผู้บริหาร MQDC ร่วมให้การต้อนรับพันธมิตรทางธุรกิจ บุคคลทางสังคม เซเลบริตี้ทั่วฟ้าเมืองไทยร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ ดร. แคทลีน มาลีนนท์, คุณชาลอต โทณวณิก, คุณศรันย์ภัค เพ็ญชาติ, คุณภีมนิดา อุตสาหจิต, คุณจรสพรรณ สวัสดิวัฒน์ ณ อยุธยา, คุณหฤทัย ไชยันต์ ณ อยุธยา, คุณกติกากร วรวรรณ ณ อยุธยา, คุณพัชมน สินธนเจริญวงศ์ คุณสิรีภัทร มหาดำรงกุล เป็นต้น และดาราสุดฮอต อาทิ คุณธีรนัยน์ ณ หนองคาย,   คุณก้อง สหรัถ, คุณนนท์ ธนนท์, คุณพัดชา อเนกอายุวัฒน์, คุณต้น ธนษิต และคุณปุ๊ อัญชลีเป็นต้น เพื่อร่วมสัมผัสความสุขที่แท้จริง และร่วมเฉลิมฉลองในการเปิดคอนเซ็ปต์ครั้งสำคัญของโปรเจกต์แฟลกชิพครั้งแรกของโลก “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์”
อนันดาฯ ผู้นำอสังหาฯ !! ประกาศจับมือ แกร็บ (Grab) รายแรก ยกระดับคุณภาพชีวิตเมืองยุคใหม่ ตอกย้ำแนวคิด UrbanTech อย่างเป็นรูปธรรม มอบสิทธิพิเศษเหนือใคร!! นำร่อง 20 โครงการ

อนันดาฯ ผู้นำอสังหาฯ !! ประกาศจับมือ แกร็บ (Grab) รายแรก ยกระดับคุณภาพชีวิตเมืองยุคใหม่ ตอกย้ำแนวคิด UrbanTech อย่างเป็นรูปธรรม มอบสิทธิพิเศษเหนือใคร!! นำร่อง 20 โครงการ

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าและผู้นำนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ตอบรับไลฟ์สไตล์คนเมืองได้อย่างลงตัวที่สุด ตอกย้ำแนวคิด UrbanTech ยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยของคนเมืองด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ล่าสุด ประกาศความยิ่งใหญ่ในวงการอสังหาฯไทยอีกครั้ง กับการเป็นรายแรก!! ที่ร่วมมือกับพันธมิตรระดับสากล แกร็บ (Grab) ผู้นำแพลตฟอร์มด้านการขนส่งชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  พันธมิตรด้านการเดินทางที่จะมอบสิทธิพิเศษเหนือใครแก่ลูกบ้านของอนันดาฯ เตรียมนำร่องให้บริการลูกบ้านใน 20 โครงการ มั่นใจช่วยเพิ่มความสะดวก สบาย ปลอดภัยในทุกๆ การเดินทางเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อนันดาฯ ตระหนักและเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเป็นอย่างดี จึงถือว่าเป็นความท้าทายที่จะมุ่งมั่นในการพัฒนา Urban Living Solutions ซึ่งเป็นปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของบริษัท  และสิ่งที่ทำให้การเดินทางนั้นมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลงหรือเพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้นคือการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนในเมือง ทั้งเพื่อตอกย้ำแนวคิด UrbanTech ยกระดับคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้น ทั้งในวันนี้และอนาคต ด้วยการสร้างสรรค์และพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยล่าสุด ประกาศความยิ่งใหญ่ ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรระดับสากล ได้แก่ แกร็บ (Grab)  ถือเป็นก้าวใหญ่ก้าวหนึ่ง ที่อนันดาฯ สร้างสรรค์มาเพื่อมอบการบริการแก่ลูกค้าให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น  โดยการมอบสิทธิพิเศษเหนือใครให้แก่ลูกบ้านของอนันดาฯ   ความร่วมมือระหว่าง อนันดาฯ และ แกร็บ (Grab) ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่ได้นำแพลตฟอร์มด้านการเดินทางมาให้บริการกับลูกบ้าน เพื่อมอบสิทธิพิเศษเหนือใคร เพิ่มความสะดวก สบาย ปลอดภัยในการเดินทาง  โดยการใช้บริการของ แกร็บ (Grab) ซึ่งลูกบ้านจะได้รับส่วนลดพิเศษโดยเริ่มต้นที่ 50 บาท สำหรับลูกค้าเดิม และ สำหรับลูกค้าที่เริ่มใช้งานเป็นครั้งแรกเริ่มต้นที่ 100 บาท โดยส่วนลดนี้สามารถใช้ได้กับลูกค้าที่จองบริการของ แกร็บ (Grab)  รับ-ส่ง ใน 20 โครงการของอนันดาฯ  นอกจากบริการด้านการเดินทางแล้วยังมีแผนเปิดตัวบริการอื่นๆ อาทิ Grab Food เป็นบริการจัดส่งอาหาร ช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้ออาหารได้อย่างง่ายดายจากร้านอาหารที่ชื่นชอบใกล้บ้าน บริการต่างๆ เหล่านี้จะเป็นประโยชน์และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญต่อการทำงานร่วมกันมากกว่าการมีส่วนร่วมทางการตลาด โดยได้แบ่งปันข้อมูลเพื่อร่วมกันพัฒนาแนวทางแก้ไขที่ดีขึ้นในอนาคตสำหรับลูกค้าทั้งของอนันดาฯ และ แกร็บ   ซึ่งจากสถิติที่น่าสนใจของ แกร็บ (Grab) ในภูมิภาคคือมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้แกร็บ (Grab) อยู่ที่ 360% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2013  โดยเฉลี่ยแล้วผู้โดยสารจะประหยัดเวลาในการเดินทางไปกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับบริการขนส่งสาธารณะทั่วไป และในส่วนของผู้ขับขี่ของ แกร็บ (Grab) ก็มีการเติบโตกว่า 340% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2013 เช่นกัน นอกจากนี้ อัตราอุบัติเหตุยังต่ำกว่าอัตราอุบัติเหตุเฉลี่ยของประเทศถึง 5 เท่า ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าการใช้บริการของ แกร็บ (Grab)  จะปลอดภัยในทุกการเดินทางอย่างแน่นอน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กรรมการบริหาร บริษัท แกร็บ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า  จุดมุ่งหมายของแกร็บนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งคือการ “ก้าวไปสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ซึ่งบริการของเรา คือ การประหยัดเวลา ความรวดเร็วปลอดภัยและเชื่อถือได้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้โดยสาร  โดยเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนร่วมในการช่วยมอบความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านของอนันดาฯ  ซึ่ง อนันดาฯ ถือว่าเป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าและผู้นำนวัตกรรมที่ทันสมัยที่สุด และเชื่อว่าการแลกเปลี่ยนกันของทั้งสองฝ่ายจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนเมืองให้ดียิ่งขึ้น ถือว่าเป็นวัตถุประสงค์หลักของการร่วมมือในครั้งนี้  ซึ่งนอกจากจะมอบสิทธิพิเศษทางการเดินทางให้กับลูกบ้านของอนันดาฯ แล้ว ยังให้การบริการในทุกประเภทของ แกร็บ (Grab) ด้วยเช่นกัน อาทิ  แกร็บคาร์, แกร็บคาร์พลัส, แกร็บไบค์ (เดลิเวอร์รี่), แกร็บไบค์ (วิน), แกร็บเอ็กซ์เพรส, แกร็บ ฟอร์ บิสสิเนส,  จัสท์แกร็บ และ แกร็บเพย์ รวมถึงแกร็บรีวอร์ดส เป็นต้น   “อนันดาฯ ในฐานะผู้นำวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและเลือกสรร Innovation และ Technology ใหม่ๆ เข้ามาผสานในทุกองค์ประกอบของการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเพิ่มมูลค่ามากยิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า นอกจากนี้ยังเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ทันการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคดิจิทัล  และยกระดับการใช้ชีวิตของคนเมืองให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป”  นายชานนท์ กล่าว
ศุภาลัย ส่งท้ายปี มอบโปรโมชั่นสุดคุ้ม 6 โครงการคุณภาพศุภาลัย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดนครศรีธรรมราช

ศุภาลัย ส่งท้ายปี มอบโปรโมชั่นสุดคุ้ม 6 โครงการคุณภาพศุภาลัย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดนครศรีธรรมราช

บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) โดย นายอดิศักดิ์ วารินทร์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานโครงการภูมิภาค 3 เอาใจลูกค้าส่งท้ายปลายปี มอบโปรโมชั่น “ศุภาลัย Shock Price” โปรโดนใจ ราคาโดนจริง กับราคาสุดพิเศษ!! สำหรับลูกค้า 3 โครงการคุณภาพศุภาลัย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์  เริ่ม 3.49 ล้านบาท ศุภาลัย วิลล์ เริ่ม 1.69 ล้านบาท และศุภาลัย เบลล่า เริ่ม 2.79 ล้านบาท พร้อมรับส่วนลดและโปรโมชั่นอีกมากมาย อาทิ ฟรี! แอร์ 3 ห้องนอน ฟรี! โอน+จดจำนอง ฟรี!  ค่าส่วนกลาง 1 ปี และฟรี! Index Gift voucher มูลค่ากว่า 30,000 บาท สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองภายในวันนี้ -30 ธันวาคม 2560 นี้ ศุภาลัย เบลล่า สุราษฎร์ธานี   ศุภาลัย พาร์ควิลล์ นครศรีธรรมราช ต่อเนื่องกับอีก 3 โครงการคุณภาพศุภาลัย จังหวัดนครศรีธรรมราช กับโปรโมชั่น “ศุภาลัย โปรหนัก จัดเต็ม รับโชค 2 ชั้น” ศุภาลัย พรีโม่ เริ่ม 2.29 ล้านบาท ศุภาลัย พาร์ควิลล์ เริ่ม 4 ล้านบาท และ ศุภาลัย เบลล่า เริ่ม 1.93 ล้านบาท โอกาสพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองภายในวันนี้ -30 ธันวาคม 2560 นี้ โชคชั้นที่ 1 รับส่วนลดเงินสด โชคชั้นที่ 2 ลุ้นรับรับ Gift Voucher มูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท พร้อมส่วนลดและของแถมอีกหลายรายการ ผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย หลากหลายแบบบ้านในสไตล์โมเดิร์น บนทำเลศักยภาพในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สามารถจับจองทำเลที่ดีที่สุดก่อนใคร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 1720 หรือดูรายละเอียดได้ที่  www.supalai.com
ทีซีซี แอสเซ็ท เปิดตัวโครงการ ‘The PARQ’ มิกซ์ยูสแห่งใหม่มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท กระตุ้นพื้นที่บริเวณศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ให้เป็นย่านธุรกิจที่มีศักยภาพและมีชีวิตชีวา

ทีซีซี แอสเซ็ท เปิดตัวโครงการ ‘The PARQ’ มิกซ์ยูสแห่งใหม่มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท กระตุ้นพื้นที่บริเวณศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ให้เป็นย่านธุรกิจที่มีศักยภาพและมีชีวิตชีวา

วันนี้ บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเดินหน้าก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบมิกซ์ยูสล้ำสมัย มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท โดยใช้ชื่อว่า ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) บนพื้นที่ขนาด 24 ไร่ ตั้งอยู่หัวมุมถนนพระราม 4 ตัดกับถนนรัชดาภิเษก ต่อเนื่องกับศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอาคารสำนักงาน FYI Center ซึ่งจะช่วยตอกย้ำและยกระดับศักยภาพที่ดีเยี่ยมของย่านนี้ในฐานะศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการจัดประชุม การท่องเที่ยว การประชุมนานาชาติ และการจัดนิทรรศการ หรือไมซ์ (MICE) ที่ใหญ่ที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ และเป็นย่านธุรกิจที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาแห่งใหม่ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) เป็นโครงการที่พัฒนาโดยบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด และบริหารโดยบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้แบรนด์ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งมีประสบการณ์และชื่อเสียงทางด้านพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติของ บริษัท เฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พอยท์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่มีชื่อเสียงระดับโลก รับรองด้วยความสำเร็จและประโยชน์ที่ได้รับจากการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่ผ่านมา นายปณต สิริวัฒนภักดี กรรมการ บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “โครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) มีพื้นที่อาคารรวม (GFA) 320,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยสำนักงานระดับพรีเมี่ยมเกรดเอที่ล้ำสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ผสมผสานเชื่อมต่อเข้ากับพื้นที่ร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรมอย่างลงตัว สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้คนที่อยู่ภายในโครงการ รวมทั้งผู้ที่มาเยี่ยมเยือน โดยโครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) นำเสนอการออกแบบอาคารสำนักงานทีโดดเด่นด้วยขนาดพื้นที่ต่อชั้น (Floor Plate) ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ และปราศจากเสาภายในพื้นที่ (Column-free) ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการใช้สอยพื้นที่ภายใน และมีทางเดินเชื่อมต่อโดยตรงกับทางเข้ารถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ “สิ่งที่ทำให้โครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) แตกต่างอย่างโดดเด่นก็คือการมุ่งมั่นอย่างเต็มที่เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี เรากำลังสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีในทุกๆ วัน อีกทั้งยังส่งเสริมการสร้างสมดุลย์ระหว่างการทำงานและการพักผ่อนให้กับผู้คนที่ทำงานอยู่ภายในโครงการ รวมถึงพื้นที่โดยรอบ” นายปณต กล่าว นายปณต กล่าวว่า “โครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ในเรื่องของคุณภาพชีวิตในที่ทำงาน ซึ่งมาตรฐานใหม่นี้กำลังจะกลายเป็นรูปธรรมด้วยสถาปัตยกรรมภายนอกและการออกแบบตกแต่งภายในที่ยอดเยี่ยมโดยบริษัท Palmer & Turner นอกจากนั้นพื้นที่มากกว่า 7,000 ตารางเมตรของโครงการยังถูกจัดสรรให้เป็นพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่ง กระจายตัวอยู่ทั่วโครงการ ผสมผสานกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นนวัตกรรมล้ำสมัย เทคโนโลยีชั้นเลิศที่ล้ำยุค สิ่งจำเป็นและความรื่นรมย์ต่างๆ ในการใช้ชีวิตที่ผ่านการคิดอย่างพิถีพิถัน เป็นโครงการแรกในประเทศไทยที่ออกแบบตามมาตรฐาน WELL” โครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) ได้ออกแบบจัดสรรให้มีสวนเขียวร่มรื่นเป็นพื้นที่ทอดยาวกว่า 200 เมตร โอบล้อมด้านหน้าโครงการทั้งฝั่งถนนพระราม 4 และถนนรัชดาภิเษก มอบบรรยากาศและความรู้สึกสบายพร้อมทั้งเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงามของถนนพระราม 4 ให้แก่ชุมชน ผู้มาเยี่ยมเยือน และผู้ที่สัญจรผ่านไปมา นอกจากนั้นยังออกแบบให้มีสวนลอยฟ้ากลางแจ้ง (Open-air Rooftop Garden) ขนาดพื้นที่รวมกว่า 3,400 ตารางเมตร ที่เขียวชอุ่มร่มรื่นไปด้วยพรรณไม้นานาชนิดและการตกแต่งด้วยธารน้ำอย่างสวยงาม มอบความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ ผสมผสานอยู่ในพื้นที่ส่วนต่างๆ ทั่วทั้งโครงการเพื่อให้กับทุกคนที่อยู่ภายในโครงการและผู้มาเยี่ยมเยือนสามารถเข้าถึงธรรมชาติได้ตลอดเวลาอีกด้วย นายปณต กล่าวว่า “การมีสุขภาพดีกลายเป็นสมบัติที่มีค่าอย่างยิ่งในยุคสมัยนี้ ซึ่งการมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีนั้น ได้ทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะล้วนส่งต่อความสามารถในการทำงาน เราจึงกำลังสร้างสถานที่ทำงานที่องค์กรต่างๆ จะสามารถมอบสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ส่งเสริมการมีสุขภาพดีให้กับพนักงานของตนเองได้ โดยโครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) ได้มุ่งเน้นการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งจำเป็นต่างๆ ที่จะช่วยส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ โครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) ยังตั้งอยู่ใกล้กับสวนเบญจกิติที่กำลังขยายพื้นที่ให้มีขนาดใหญ่กว่า 450 ไร่ อีกด้วย นางสาวซู หลิน ซูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) กล่าวว่า “เรากำลังสร้างอาคารสำนักงานที่มีขนาดพื้นที่ต่อชั้น (Floor Plate) ใหญ่ที่สุดในบรรดาอาคารสำนักงานทั้งหมดในกรุงเทพฯ เราเชื่อมั่นว่า      จะตอบสนองความต้องการในอนาคตของบริษัทต่างๆ ที่ต้องการรวมการบริหารจัดการและดำเนินธุรกิจทั้งหมดไว้บนชั้นเดียวกัน เพื่อให้การสื่อสารภายในองค์กรได้ดียิ่งขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และง่ายต่อการดำเนินการทางธุรกิจ โดยโครงการ    ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) ประกอบไปด้วยพื้นที่สำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม และโรงแรม จะผนึกกำลังกับโครงการต่างๆ ของกลุ่มทีซีซี ในพื้นที่โดยรอบ ทั้ง อาคาร FYI Center อาคารสำนักงานล้ำสมัยที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น และศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อทำให้เกิดเป็นย่านธุรกิจที่มีชีวิตชีวา และเป็นศูนย์กลางไมซ์ (MICE) ที่ใหญ่ที่สุด      ใจกลางกรุงเทพฯ โดยโครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) นั้นเชื่อมต่อโดยตรงกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เชื่อมต่อโดยตรงกับถนนพระราม 4 ถนนรัชดาภิเษก และถนนพระราม 3 และสามารถเข้าถึงระบบทางด่วนได้อย่างสะดวกง่ายดายอีกด้วย” เฟสแรกของ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) จะมีพื้นที่ให้เช่า (Net Leasable Area) 71,000 ตารางเมตร เป็นพื้นที่สำนักงานระดับพรีเมี่ยมโครงการแรกในประเทศไทย ที่ออกแบบตามมาตรฐานทั้ง LEED Gold และ WELL ขนาด 60,000 ตารางเมตร โดยจัดสรรพื้นที่ในแต่ละชั้นอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เปิดรับแสงธรรมชาติมากที่สุด มีขนาดของยูนิตที่หลากหลายตั้งแต่ 2,400 ถึง 5,100 ตารางเมตร โดดเด่นด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตในทุกๆ วัน ให้แก่ผู้ที่ทำงานในโครงการและผู้มาเยี่ยมเยือน อาทิ สวนลอยฟ้ากลางแจ้งขนาดใหญ่ คุณภาพอากาศหมุนเวียนภายในอาคาร น้ำดื่มที่จัดไว้ให้ในบริเวณพื้นที่เตรียมอาหารของทุกชั้น พื้นที่จอดจักรยานสำหรับผู้ที่สัญจรด้วยจักรยานและผู้ที่รักการออกกำลังกาย พร้อมทั้งส่งเสริมไลฟ์สไตล์คนเมืองที่สมดุลย์ ด้วยพื้นที่ร้านค้าปลีกระดับพรีเมี่ยม ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และศูนย์อาหารระดับคุณภาพ บนพื้นที่ขนาดรวม 11,000 ตารางเมตร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Eat Well and Shop Well” ร้านค้าปลีก ร้านค้าและร้านอาหารภายในโครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) จึงได้รับการเลือกสรรอย่างดีเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการและอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันทั้งในด้านสุขภาพและความงามได้อย่างครอบคลุมและครบถ้วน ให้บริการสำหรับผู้ที่ทำงานหรือทำกิจกรรมภายในโครงการ รวมทั้งผู้คนในพื้นที่โดยรอบ เฟสสองของโครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) อยู่ในระหว่างการวางแผนเพื่อจัดสรรให้เป็นพื้นที่สำนักงานระดับ    พรีเมี่ยมเพิ่มเติม โรงแรมหรือเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ ที่มุ่งเน้นให้บริการกลุ่มนักธุรกิจ และผู้คนในแวดวงต่างๆ ที่เดินทางมาประชุมและสัมมนาที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์อีกด้วย เฟสแรกของโครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) ซึ่งจะประกอบไปด้วยพื้นที่สำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก ได้จัดพิธียกเสาเอกเพื่อเริ่มการก่อสร้างแล้ว และมีกำหนดเปิดให้บริการเฟสแรกประมาณปลายปี พ.ศ. 2562 ส่วนโครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) ทั้งโครงการจะเสร็จสมบูรณ์ประมาณปี พ.ศ. 2566 โครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) ตั้งอยู่บนที่ดินเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นระยะเวลา 30 ปี และได้รับสิทธิในการเช่าที่ดินต่อเนื่องต่ออีก 30 ปี
ทุ่ม 9 พันล้านขยายถนนนครอินทร์เชื่อมศาลายา

ทุ่ม 9 พันล้านขยายถนนนครอินทร์เชื่อมศาลายา

กรมทางหลวงชนบทผุดถนนใหม่ 6 เลน “นครอินทร์-ศาลายา” พาดยาว 12 กม. เชื่อมนนทบุรี-นครปฐม ทะลวงพื้นที่ปิดล้อม แก้รถติดโซนตะวันตก นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันผลศึกษาโครงการก่อสร้างถนนต่อเชื่อมถนนนครอินทร์-ศาลายา ทางบริษัทที่ปรึกษาได้สำรวจและออกแบบรายละเอียดเสร็จแล้ว ในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวม 9,200 ล้านบาท แยกเป็นค่าก่อสร้าง 4,600 ล้านบาท และค่าเวนคืนที่ดิน 4,600 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หากได้รับความเห็นชอบคาดว่าในปีงบประมาณ 2562 จะได้ดำเนินการออก พ.ร.ฎ.เวนคืนและสำรวจอสังหาริมทรัพย์ จะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปี แล้วเสร็จปี 2565 สำหรับโครงการถนนต่อเชื่อมถนนนครอินทร์-ศาลายา เป็นถนนตัดใหม่สร้างตามแนวตะวันตก-ตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ปิดล้อมขนาดใหญ่ (super block) ครอบคลุมพื้นที่ 90 ตร.กม. ซึ่งแนวเส้นทางจะพาดผ่านพื้นที่ 2 จังหวัด 3 อำเภอ ได้แก่ อ.บางกรวย อ.บางใหญ่ ของ จ.นนทบุรี และ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม มีระยะทางรวม 12 กม. “โครงการนี้จะช่วยเพิ่มเติมโครงข่าย เสริมประสิทธิภาพเส้นทางคมนาคม พร้อมแก้ไขการจราจรติดขัดพื้นที่โซนตะวันตกของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะบนถนนกาญจนาภิเษก ถนนบรมราชชนนี และเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วให้กับประชาชนในพื้นที่” นายพิศักดิ์กล่าวว่า แนวเส้นทางโครงการมีจุดเริ่มต้นบนทางหลวงชนบท สาย นฐ.5035 ช่วงด้านเหนือของเดอะรอยัลเจมส์กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ ห่างจากทางหลวงชนบท สาย นฐ.3004 (ศาลายา-บางภาษี) ประมาณ 1 กม. จากหมู่บ้านอาภากร และหมู่บ้านอาภากร 3 ไปทางทิศใต้ประมาณ 250 เมตร ทางทิศตะวันออกใกล้คลองนราภิรมย์ และทางแยกต่างระดับศาลายา สภาพการใช้ที่ดินโดยรอบเป็นอาคารพาณิชย์ ที่อยู่อาศัยและที่ว่าง จากนั้นแนวเส้นทางจะตัดผ่านทางหลวงชนบท สาย นบ.5014 ข้ามคลองสามท้าว ตัดทางหลวงชนบท สาย นบ.1001 ข้ามคลองจีนบ่าย คลองขุนเจน โดยแนวเส้นทางจะอยู่ทางทิศเหนือของศูนย์พัฒนาชีวิตใหม่ แล้วแนวจะเบี่ยงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ข้ามคลองลาดละมุด ผ่านทางหลวงชนบท สาย นบ.5035 ใกล้กับทางแยกเข้าวัดบางม่วง ข้ามคลองโสนน้อย ตัดผ่านทางหลวงชนบท สาย นบ.1001 บริเวณซอยอินทนิล ผ่านพื้นที่โล่งด้านหลังหมู่บ้านศุภาลัยการ์เด้นวิลล์ ข้ามคลองบางนาและคลองประปา ก่อนเบี่ยงขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือผ่านพื้นที่ระหว่างหมู่บ้านมัณฑนา กับอาคารโครงการบ้านเอื้ออาทร บางกรวย (วัดพระเงิน) โดยแนวจะอยู่ด้านทิศใต้ของวัดสุนทรธรรมิการาม ข้ามคลองหัวคู และเข้าบรรจบกับถนนกาญจนาภิเษกด้านตะวันตก บริเวณ กม.ที่ 11+997 เป็นจุดเชื่อมทางแยกต่างระดับบางคูเวียง เพื่อให้แนวเส้นทางต่อเชื่อมกับถนนนครอินทร์ได้โดยตรง ซึ่งสภาพการใช้ที่ดินปัจจุบันบริเวณโดยรอบจุดสิ้นสุดโครงการ มีอาคารพาณิชย์ ที่อยู่อาศัย (หมู่บ้านกฤษณา) และห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ คือ พลัสมอลล์ โลตัส ด้านรูปแบบโครงการ ประกอบด้วย ถนนถนนขนาด 6 ช่องจราจรไปและกลับพร้อมไหล่ทาง ทางแยกต่างระดับมี 2 แห่ง เป็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดโครงการที่ศาลายา และบางคูเวียง นอกจากนี้มีสะพานข้ามถนนเดิม คลองและสะพานลอยคนเดินข้าม   ที่มา : https://www.prachachat.net/property/news-85985
คอนโดใกล้มหาลัยฯ ดีมานด์แรง

คอนโดใกล้มหาลัยฯ ดีมานด์แรง

แต่ละปีมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยประมาณ 100,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะต้องมองหาที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของตัวเอง เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปเรียนและทำกิจกรรมตลอด 4 ปีเป็นอย่างน้อย แหล่งหอพักใกล้มหาวิทยาลัยมักจะเกิดเป็นชุมชนขนาดเล็ก ทำให้เกิดดีมานด์อยู่ไม่น้อยส่งผลถึงศักยภาพการลงทุนตามไปด้วย   ปกติแล้วเมื่อมีนักศึกษาใหม่เมื่อใกล้วันเปิดเทอมใหม่จะเริ่มมองหาหอพักใกล้มหาวิทยาลัยของตัวเองเพื่ออยู่อาศัย โดยผู้ปกครองมีส่วนในการตัดสินใจด้วย ปัจจัยในการเลือกหอพักคือเรื่องการเดินทางไปเรียนได้สะดวก รวดเร็ว อยู่ท่ามกลางแหล่งอาหารการกิน และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี แต่ละหอพักก็มีราคาค่าเช่าให้เลือกหลายระดับตั้งแต่หลักพันต้นๆ  ไปจนถึงหลักหมื่นกันเลยทีเดียว ซึ่งผู้ปกครองหลายครอบครัวเริ่มตระหนักถึงค่าใช้จ่ายในระยะยาวที่จะเกิดขึ้น จึงเริ่มหันมาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยเองกันมากขึ้น เพราะสามารถเก็บไว้อยู่อาศัยต่อตอนทำงาน หรือจะปล่อยเช่ารายเดือนต่อก็ได้ผลตอบแทนดีถึง 4-6% แถมโครงการคอนโดมิเนียมก็มีส่วนกลางสวยๆ ให้ได้ใช้บริการ ระบบการรักษาความปลอดภัยก็แน่นหนากว่าหอพักทั่วไป     ทางด้านผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ต่างก็เริ่มหันมาจับกลุ่มเป้าหมายในทำเลใกล้สถาบันการศึกษามากขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยกลุ่มเป้าหมายส่วนมากจะเป็นนักศึกษาที่ผู้ปกครองซื้อให้เพื่ออยู่อาศัยเอง และนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ทั้งเก็งกำไร และปล่อยเช่ารายเดือน ในระยะแรกของตลาดนี้ราคาคอนโดต่อยูนิตจะอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาท เหมาะสำหรับกลุ่มนักศึกษาที่ต้องการความสะดวกสบาย ไม่เน้นหรูหรามากนัก แต่หากทำเลไหนที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้า แหล่งอำนวยความสะดวกทั่วไปด้วย ราคาก็จะสูงตามตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ที่โดดเด่นที่สุดก็ย่านพหลโยธิน-เกษตร ที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำเลสามย่าน พญาไท ราชเทวี อยู่ใกล้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น   ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัด ที่จับกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษา ทำเลมาแรงที่สุดคือจังหวัดนครปฐม เพราะมีมหาวิทยาลัยที่เป็นวิทยาเขตขยายออกมาจากในกรุงเทพฯ เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน มีจำนวนนักศึกษาประมาณ 14,000 คน/ปี มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ จำนวนนักศึกษาประมาณ 13,000 คน/ปี และมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จำนวนนักศึกษาประมาณ 9,000 คน/ปี เป็นต้น นอกจากคอนโดมิเนียมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในราคาเริ่มเต้นเพียงล้านต้นๆ ยังมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้นจากในเมืองคือทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวที่สามารถซื้อได้ในราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มดีมานด์ที่ไม่ได้มาจากแค่นักศึกษาเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มบุคลากร อาจารย์มหาวิทยาลัย ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นทำเลใกล้มหาวิทยาลัยยังคงเป็นทำเลที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย