Tag : News

2376 ผลลัพธ์
แสนสิริประสบความสำเร็จแบรนด์ “คณาสิริ” โกยยอดขายกว่า 1,000 ลบ. ล่าสุด Sold Out “คณาสิริ พระราม 2- วงแหวน” เฟสแรกหมดเกลี้ยง คาดปัจจัยบวกเศรษฐกิจ-การเมืองปี’61 ดันตลาดบ้านเดี่ยวรุ่ง เตรียมต่อยอดเปิดแบรนด์คณาสิริต่อเนื่องปีหน้า

แสนสิริประสบความสำเร็จแบรนด์ “คณาสิริ” โกยยอดขายกว่า 1,000 ลบ. ล่าสุด Sold Out “คณาสิริ พระราม 2- วงแหวน” เฟสแรกหมดเกลี้ยง คาดปัจจัยบวกเศรษฐกิจ-การเมืองปี’61 ดันตลาดบ้านเดี่ยวรุ่ง เตรียมต่อยอดเปิดแบรนด์คณาสิริต่อเนื่องปีหน้า

แสนสิริประสบความสำเร็จแบรนด์ “คณาสิริ” โกยยอดขายแบรนด์ทั้งหมดกว่า 1,000 ล้านบาท เผยดีมานด์บ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาทยังพุ่งแรง ล่าสุดปิดขาย “คณาสิริ พระราม 2-วงแหวน” เฟสแรกหมดเกลี้ยง กวาดยอดขายกว่า 50 ล้านบาท  ชี้ที่มาความสำเร็จเพราะทำเลดีเดินทางสะดวกติดถนนใหญ่พระราม 2 และจุดเด่นดีไซน์บ้านสไตล์ Mid Century 70’s ผสานสถาปัตยกรรมวันวานกับชีวิตสไตล์ใหม่อย่างลงตัว พร้อม Cooliving Designed Home นวัตกรรมบ้านระบายความร้อนด้วยโซล่า เซลล์ ไม่ใช้ไฟฟ้า ไฮไลท์ฟังก์ชั่น Breeze Panel ช่องลมสำหรับถ่ายเทอากาศภายในบ้านทำให้ปลอดโปร่ง Roof Shade ขนาดยาวกันแดดและฝนมากขึ้น คาดปัจจัยบวกเศรษฐกิจ-การเมืองปี’61 หนุนตลาดบ้านเดี่ยวโต เตรียมรุกต่อเปิดตัวแบรนด์คณาสิริโครงการใหม่ปีหน้า นายสมเกียรติ หงษ์ทรัพย์ภิญโญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทประสบความสำเร็จแบรนด์บ้านเดี่ยว “คณาสิริ” เป็นอย่างมาก โดยมียอดขายแบรนด์รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 ล้านบาท โดยแบรนด์ดังกล่าวขายดีตั้งแต่ต้นปี ปิดการขาย “คณาสิริ วงแหวน – พระราม 5” จำนวน 311 ยูนิต ด้วยยอดขาย 965 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 ได้ปิดการขาย “คณาสิริ ปิ่นเกล้า-กาญจนา” เฟสแรก จำนวน 22  ยูนิต โกยยอดขายไป 100 ล้านบาท และล่าสุดได้ปิดการขายเฟสแรก “คณาสิริ พระราม 2- วงแหวน” จำนวน 9 ยูนิต มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท “คณาสิริ พระราม 2-วงแหวน ขายดีตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย เนื่องจากมีดีมานด์สูงของลูกค้าโซนพระราม 2 – มหาชัย ที่ต้องการขยายครอบครัว และ สร้างครอบครัวใหม่ ประกอบกับทำเลศักยภาพที่ติดถนนใหญ่พระราม 2 เดินทางสะดวก เข้าเมืองด้วยทางด่วนดาวคะนอง-พระราม 3, ถนนกาญจนาภิเษก ใกล้ศูนย์การค้า เซ็นทรัลมหาชัย เซ็นทรัล พระราม 2 และดีไซน์บ้านที่โดดเด่นแตกต่าง  มีการผสานสถาปัตยกรรมวันวานกับชีวิตสไตล์ใหม่อย่างลงตัว ด้วยแบบบ้านสไตล์ Mid Century 70’s ที่มีหลังคาจั่ว ตัดกัน Fin แนวตั้งของบ้านทำให้เกิดรูปร่างสี่เหลี่ยมหัวตัดออกมาเป็นรูปทรงที่สวยงาม ผลานกับสีบ้านพาสเทล ทำให้รู้สึกอบอุ่น มีชีวิตชีวา พร้อมด้วยนวัตกรมเพื่อการอยู่อาศัย Cooliving Designed Home อาทิ  Breeze Panel ช่องลมสำหรับถ่ายเทอากาศภายในบ้านทำให้ปลอดโปร่ง  ฝ้าระบายอากาศรอบบ้าน Roof Shade ที่ออกมาให้ยื่นยาวเพื่อกันแดดและฝนมากขึ้น หลอดไฟ LED ทั้งหลังเพื่อประหยัดและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ด้วยการตอบรับที่ดีดังกล่าว จึงได้เตรียมเปิดเฟส 2 จำนวน 20 ยูนิต  มูลค่า 92 ล้านบาท ตอบสนองความต้องการของลูกค้าเพิ่มเติม” “ ทั้งนี้ แบรนด์คณาสิริ มีคอนเซ็ปต์ “Feel Complete” บ้านคณาสิริ ความรู้สึกของความสุข หรือความสุขที่ไม่สิ้นสุด สำหรับการเริ่มต้นสร้างครอบครัวกับบ้านหลังแรก ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกฟังก์ชั่นของโครงการ เป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่มีดีมานด์สูงจากผู้บริโภค เนื่องจากเป็นระดับราคาที่ไม่สูงจนเกินไปนัก เหมาะกับครอบครัวขนาดปานกลางที่กำลังสร้างครอบครัวและมองหาจุดเริ่มต้นสำหรับชีวิตครอบครัวที่ดี ในสังคมคุณภาพ พร้อมยังมี นวัตกรรม Cooliving Designed Home บ้านระบายความร้อนด้วยโซล่า เซลล์ ไม่ใช้ไฟฟ้า ปลอดภัยและ Go green ที่ทันสมัยและตอบโจทย์การใช้งานอย่างเต็มเปี่ยม จึงทำให้แบรนด์คณาสิริได้รับการตอบรับที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงได้เตรียมเปิดโครงการภายใต้แบรนด์นี้อีกในปี 2561 แต่จะเป็นทำเลใดนั้นต้องติดตามกันต่อไป” นายสมเกียรติ กล่าว สำหรับแนวโน้มตลาดบ้านเดี่ยวในปี 2561 นายสมเกียรติ กล่าวว่า คาดว่าจะมีแนวโน้มที่สดใสกว่าปีนี้ แม้ว่าจะยังไม่มีมาตรการสนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรงจากทางภาครัฐเพิ่มเติม แต่จากปัจจัยบวกที่รัฐบาลมีความชัดเจนในการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรถไฟฟ้า ที่เริ่มเป็นรูปธรรมและมีความคืบหน้าในการก่อสร้างมากขึ้น เช่น สายสีเขียว (หมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต) รวมไปถึงสายสีเหลือง (ลาดพร้าว – สำโรง) สายสีชมพู (แคราย – มีนบุรี) และสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี) ที่คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2562 จึงทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาดีขึ้น กำลังซื้อมีทิศทางที่ดี นอกจากนี้ยังคาดว่าปี’ 61 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ร้อยละ 4.2 เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศการเลือกตั้งชัดเจนในปี 2562  ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโตไปได้ด้วยดี ขณะที่ผู้ประกอบการเริ่มทยอยที่จะเปิดโครงการใหม่ออกสู่ตลาดและให้ความสำคัญกับการทางการตลาดอย่างเข้มข้น ทำให้คาดการณ์ว่าตลาดบ้านเดี่ยวจะดีขึ้นทั้งในฝั่งอุปทานและอุปสงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่รถไฟฟ้าผ่าน ซึ่งเป็นทำเลที่มีความน่าสนใจและมีศักยภาพในการพัฒนาบ้านเดี่ยวต่อไป อีกทั้งบ้านเดี่ยวระดับราคาที่น่าจะยังขยายตัวต่อไปได้คือบ้านเดี่ยวระดับราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป  ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนน้อย และมีโอกาสถูกปฏิเสธสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในระดับต่ำ ดังนั้นจึงจะเติบโตได้ดี”
‘เอพี ไทยแลนด์’ ประกาศนิวไฮด์ ด้วยยอดขายปี 60 ถึงกว่า 41,000 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ คาดปีหน้าตลาดระดับกลางถึงบนยังแรง

‘เอพี ไทยแลนด์’ ประกาศนิวไฮด์ ด้วยยอดขายปี 60 ถึงกว่า 41,000 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ คาดปีหน้าตลาดระดับกลางถึงบนยังแรง

บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) สร้างเซอร์ไพรส์ตลาดอสังหาฯ โชว์สถิติใหม่ ด้วยยอดขาย ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2560 ถึง 41,600 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 85%  และเกินจากเป้าหมายยอดขายเดิมที่ตั้งไว้ 26,000 ล้านบาทถึง 60%  ซึ่งมาจากสินค้าแนวราบที่ขายได้ต่อเนื่อง รวมถึงการปลุก    แบรนด์ LIFE CONDO ใน 3 ทำเลเด็ดคือ วิทยุ ลาดพร้าว และอโศก-พระราม 9 โดยในปี 2560 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 25 โครงการ มูลค่ารวม 49,040 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 9 โครงการ มูลค่า 12,350 ล้านบาท ทาวน์โฮม 13 โครงการ มูลค่า 12,590 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 24,100 ล้านบาท เผยสูตรสำเร็จพัฒนาอสังหาฯ เชื่อมโยง 4 มิติ โลเคชั่น – สินค้าที่โดนใจผู้บริโภค - การตั้งแพคเกจราคา-ซัพพลายคงเหลือ คาดปีหน้าตลาดระดับกลางและบนยังไปได้ดี สินค้าแนวราบเป็นที่น่าจับตามอง คอนโดต้องเจาะลึกเป็นรายเซกเมนต์ นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปีนี้ เอพี ไทยแลนด์ประสบความสำเร็จอย่างมากสามารถสร้างยอดขายรวมของสินค้าทั้งกลุ่มคอนโด และแนวราบได้มากถึง 41,600 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมากว่า 85%  และเกินจากเป้าหมายยอดขายเดิมที่ตั้งไว้ 26,000 ล้านบาทถึง 60% โดยแบ่งเป็นยอดขายที่เกิดจาก สินค้าแนวราบมูลค่า 14,525 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 27,075 ล้านบาท โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีนี้ นอกจากจะมาจากสินค้าแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีแล้ว ยังมาจากการประสบความสำเร็จในการเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ LIFE วิทยุ LIFE ลาดพร้าว และ LIFE อโศก-พระราม 9  ซึ่งทั้ง 3 โครงการสามารถปิดการขายได้ประมาณ 90%” การเติบโตอย่างก้าวกระโดดในครั้งนี้ สะท้อนภาพความสำเร็จของวิธีคิดในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในแบบของเอพี ที่นำมิติทั้ง 4 ด้านมาเชื่อมโยงกันเพื่อออกแบบโมเดลสินค้าและราคาขายที่เข้าใจและตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งมิติทั้ง 4 ด้านประกอบด้วย 1) โลเคชั่น  2) โปรดักส์ที่เข้าถึงความต้องการแฝง 3) การกำหนดแพคเกจราคาขายที่สอดรับกับความสามารถในการผ่อนชำระและ 4) การศึกษาจำนวนซัพพลายคงเหลือแต่ละเซกเมนต์ นอกจากนั้น 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังได้รับความร่วมมืออย่างดีจากมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MECG) พันธมิตรทางธุรกิจ ในการส่งต่อแนวคิดในการบริหารจัดการคุณภาพ สู่การสร้างกรอบแนวคิดหลักในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในการพัฒนาคอนโดมิเนียมของเอพี ด้วยการผสมผสานประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เข้ากับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง IoT (Internet of Thing) ตลอดจนนวัตกรรมการก่อสร้างสำเร็จรูปในระบบโมดูลาร์ อย่างห้องน้ำสำเร็จรูปที่ให้ค่า Defect เท่ากับศูนย์ สำหรับคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนระหว่างเอพี (ไทยแลนด์) และมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MECG)  มีทั้งหมด 11 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 50,830 ล้านบาท มียอดขายรวมเฉลี่ย 85% ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ 1) RHYTHM สุขุมวิท 36 – 38 2) ASPIRE รัชดา – วงศ์สว่าง 3) ASPIRE สาทร – ท่าพระ 4) RHYTHM อโศก 2 โดยทั้ง 4 โครงการมีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งในปี 2561 เอพีและมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ยังคงจับมือเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมดีไซน์ใหม่ๆ ให้กับตลาดคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) ได้คาดการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 ว่า ภาพรวมธุรกิจยังคงสอดรับกับการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ การแข่งขันยังคงเกิดจากผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นหลักที่ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ซัพพลายที่ตอบโจทย์ตลาดระดับกลางและบนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค การเปิดตัวของสินค้าใหม่แนวราบยังคงเป็นตลาดที่น่าจับตามอง ส่วนคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ตลาดระดับกลางถึงบนยังคงมีกำลังซื้อ ส่วนตลาดระดับล่างค่อนข้างน่ากังวลเพราะมีสต๊อกสร้างเสร็จคงเหลือจำนวนมาก กระแสการมาของเทคโนโลยีถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นแม้จะเป็นตัวช่วยที่เปิดโอกาสให้เราเข้าใจและรู้จักลูกค้ามากขึ้น แต่สุดท้ายผู้ประกอบการก็จะต้องเป็นคนค้นหาให้เจอว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของตนเองกำลังมองหาอะไร สำหรับการอยู่อาศัยในโลกอนาคต   “เอพี (ไทยแลนด์) กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง”
โครงการอาคารสูงระฟ้าระดับ ซูเปอร์ ลักชัวรี่ ออกแบบและ ตกแต่งโดย บริษัท เพซ  อินทีเรีย เซอร์วิสเซส มั่นใจเลือกฝ้า  “ยิปซัม ตราช้าง” ตอกย้ำศูนย์ไลฟ์สไตล์สุดหรู แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ


โครงการอาคารสูงระฟ้าระดับ ซูเปอร์ ลักชัวรี่ ออกแบบและ ตกแต่งโดย บริษัท เพซ อินทีเรีย เซอร์วิสเซส มั่นใจเลือกฝ้า “ยิปซัม ตราช้าง” ตอกย้ำศูนย์ไลฟ์สไตล์สุดหรู แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ


มหานคร (MahaNakhon) ตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย มาพร้อมกับความสูง 314 เมตร เป็นโครงการ mix-used ที่ได้รับการออกแบบเสมือนถูกโอบล้อมด้วยริบบิ้นสามมิติ หรือ “พิกเซล”  ตลอดทั้งความสูงของตัวอาคาร ทำให้เกิดโครงสร้างพิเศษและโดดเด่นสะดุดตา ผนังตึกด้านนอกล้อมรอบไปด้วยกระจกราวกับลอยอยู่บนฟ้าเมื่อมองมาแต่ไกล โดยสามารถรับลมชมวิวทิวทัศน์แบบพาโนราม่า ด้วยการออกแบบของบริษัท เพซ อินทีเรีย เซอร์วิสเซส จำกัด นายพงษ์ศักดิ์ มหัทธนสกุล CEO & Co-Founder บริษัท เพซ อินทีเรีย เซอร์วิสเซส จำกัด  บริษัทที่ปรึกษาด้านอินทีเรีย ที่มีประสบการณ์และความชำนาญสูงด้านการออกแบบโครงการระดับใหญ่สุดหรูหรา และความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ กล่าวว่า “การได้รับมอบหมายให้มารับผิดชอบดูแลโครงการมหานคร ซึ่งถือเป็นโครงการระดับ Super Luxury โดยได้รับโจทย์จาก  เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนซ์ บางกอก  ที่ต้องการให้มหานครเป็น เรสซิเดนซ์ ลักชัวรี่ โดยมุ่งเน้นคุณภาพและมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สำหรับโครงการนี้ในส่วนฝ้าภายใน ทางบริษัทเพซ อินทีเรียฯ มอบความไว้วางใจแก่ “ยิปซัม ตราช้าง”  เนื่องจากมีแนวทางการทำงานที่สอดคล้องกับความต้องการเดียวกันในระดับ Level 5 Finish คือการติดตั้งระบบฝ้าที่เรียบเนียนมากๆ แบบไม่มีที่ติ และมีเทรนนิ่งให้กับทีมช่างผู้ติดตั้งอย่างเป็นพิเศษ  เพื่อให้งานออกมาดีและมีคุณภาพที่สุด สำหรับโครงการนี้ เราเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แผ่นยิปซัมตราช้าง พลัส แต่ส่วนที่มีความท้าทายในการทำงานคือดีไซน์ฝ้าโค้ง เราใช้ Elephant D Zine จากยิปซัมตราช้าง ซึ่งทำให้งานเราง่ายขึ้นและให้ความหรูหรา สวยงาม เรียบเนียนกว่างานปกติ ทั้งนี้ขอขอบคุณ “ยิปซัม ตราช้าง” ที่ใส่ใจและดูแลโครงการเป็นพิเศษ อีกทั้งยังได้ ยูเอสจีบอรอล (USG BORAL)  ผู้คิดค้นแผ่นยิปซัมรายแรกจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาช่วยแนะนำอย่างใกล้ชิด” นายจรุง กาญจนภูมิ ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด เปิดเผยว่า “การได้ร่วมงานในโครงการระดับ Super Luxury ถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของ ยิปซัม ตราช้าง และ บริษัท เพซ อินทีเรีย เซอร์วิสเซส จำกัด  ที่ได้ปรึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ในการออกแบบและตกแต่งภายใน การเทรนนิ่งทีมช่างติดตั้ง การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพในระดับ High End  ที่ต้องการดีไซน์เฉพาะตัวและความสวยงามระดับสากล สามารถตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่กลุ่มเจ้าของโครงการ สถาปนิก นักออกแบบตกแต่งภายใน และผู้รับเหมา รวมไปถึงเจ้าของบ้าน ที่ต้องการความพิถีพิถันอย่างแท้จริง เพื่อให้สามารถตอบสนองการออกแบบระดับ hi-class กับโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) อย่างตึกมหานคร ถือเป็นโจทย์หลักที่ทาง “ยิปซัม ตราช้าง” พิถีพิถันในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และให้บริการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ในด้านระบบฝ้าเพดานยิปซัม และฝ้าดีไซน์  Elephant D Zine  ด้วยคุณสมบัติของแผ่นยิปซัม ตราช้างพลัส เป็นวัสดุสำหรับใช้เพื่องานฝ้าเพดาน มีคุณลักษณะแข็งแกร่งทั่วแผ่น ไม่ลามไฟ และให้ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับงานตกแต่งภายในที่ต้องการความเรียบเนียนสูง และด้วยเทคโนโลยี "ชีตร็อคแบรนด์" สิทธิบัตรจาก ยูเอสจี  (USG) ผู้ผลิตยิปซัมชั้นนำจากประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้แผ่นยิปซัม ตราช้างพลัส มีคุณสมบัติโดดเด่นกว่าแผ่นยิปซัมทั่วไป นอกจากนี้ยังมี “Elephant D Zine” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในผลิตภัณฑ์และบริการของสยามยิปซัม ที่สามารถออกแบบชิ้นงานและติดตั้งให้มีรูปแบบสอดคล้องกับการออกแบบตกแต่งภายในที่มีลักษณะเฉพาะในแต่ละโครงการได้ ไม่ว่าจะเป็น ฝ้าเพดาน ฝาผนัง หรือการหุ้มโครงสร้างเพื่อใช้ในงานออกแบบตกแต่งที่เรียกว่า “ customized design and product”  นั่นเอง ให้ทั้งความสวยงามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังติดตั้งง่ายและรวดเร็ว ได้มาตรฐานระดับสากลด้วย”   จากการที่โครงการมหานครเลือกใช้ “ยิปซัม ตราช้าง” แสดงให้เห็นความไว้วางใจของลูกค้าที่สร้างสรรค์งานระดับมาตรฐานสากลไว้วางใจต่อผลิตภัณฑ์ของยิปซัม ตราช้าง พร้อมตอกย้ำคุณภาพของผลิตภัณฑ์ฝ้าและผนังในอุตสาหกรรมการตกแต่งภายในยิ่งขึ้นไปอีก
ครั้งแรก!! พลิกโฉมประสบการณ์จ่ายเงินในวงการอสังหาฯ  แสนสิริจับมือไทยพาณิชย์สร้าง ‘Cashless Town’ สังคมไร้เงินสด ทำเรื่องเงินให้เป็นเรื่องง่าย เพียงจ่ายผ่าน QR Code

ครั้งแรก!! พลิกโฉมประสบการณ์จ่ายเงินในวงการอสังหาฯ แสนสิริจับมือไทยพาณิชย์สร้าง ‘Cashless Town’ สังคมไร้เงินสด ทำเรื่องเงินให้เป็นเรื่องง่าย เพียงจ่ายผ่าน QR Code

แสนสิริจับมือธนาคารไทยพาณิชย์สร้างปรากฏการณ์ใหม่ครั้งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดตัว ‘Cashless Town’ หรือสังคมไร้เงินสด พลิกโฉมมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายทางการเงินแก่ลูกค้าแสนสิริ ให้เรื่องการจ่ายเงินเป็นเรื่องง่าย เพียงชำระผ่าน QR Code เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย เข้าถึงทุกๆ การชำระเงินได้โดยไม่มีข้อจำกัด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้ายุคดิจิทัล นำร่องเปิดให้บริการครั้งแรกแล้ววันนี้ที่ฮาบิโตะ (Habito) คอมมูนิตี้รีเทลใน “ที77” ศูนย์กลางการอยู่อาศัยและพื้นที่แห่งไลฟ์สไตล์ ซ.สุขุมวิท77 ใกล้ BTS อ่อนนุช และงาน Winter Market Fest ครั้งที่ 5 ครั้งแรกที่ไม่ต้องพกเงินสดช้อปปิ้ง วันที่ 16-17 ธ.ค.นี้เท่านั้น   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริได้ร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจสถาบันการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดตัว ‘Cashless Town’ หรือสังคมไร้เงินสด มอบประสบการณ์ใหม่ทางการเงินให้แก่ลูกค้าแสนสิริ ให้เรื่องการจ่ายเงินเป็นเรื่องง่าย เพียงชำระผ่าน QR Code เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และสามารถเข้าถึงทุกๆ การชำระเงินได้โดยไม่มีข้อจำกัด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคดิจิทัล ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ร่วมมือกับธุรกิจสถาบันการเงิน ในการนำดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่ทางการเงินมาสร้างสรรค์ประสบการณ์การชำระเงินและช้อปปิ้งแบบไร้เงินสดเต็มรูปแบบให้แก่ลูกค้า   “ในปีนี้แสนสิริเห็นความเปลี่ยนแปลงในไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าในยุคที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เราเชื่อว่าเทคโนโลยีจะตอบโจทย์ของลูกค้าได้ดี จึงได้พยายามนำเทคโนโลยีมาต่อยอดใช้ประโยชน์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในมิติใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง  เพื่อยกระดับการบริการที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าและรักษาความเป็นผู้นำในการบุกเบิกและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยของวงการอสังหาริมทรัพย์ โดยเรามองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง Customer Centric ซึ่งเราศึกษาและพบว่าในยุคดิจิทัลนี้ลูกค้าต้องการความสะดวกสบาย และรวดเร็วในการจับจ่ายใช้สอย ดังนั้นการมอบบริการ ‘Cashless Town’ จะช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตของลูกค้าในโลกยุคดิจิทัลด้านการเงินอย่างสมบูรณ์แบบ” นายอุทัย กล่าว นายวศิน ไสยวรรณ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุด Multi-Corporate Segment และผู้บริหารสูงสุด Corporate Segment ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่แน่นแฟ้น มีความร่วมมือในโครงการต่างๆ เกิดขึ้นร่วมกันอย่างหลากหลาย ด้วยวิสัยทัศน์ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันของทั้งสององค์กรในการให้ความสำคัญต่อการนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับการให้บริการแก่ลูกค้า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาธนาคารได้ร่วมลงทุนในบริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ให้กับลูกค้าในกลุ่มผู้อยู่อาศัย สำหรับครั้งนี้ธนาคารและแสนสิริร่วมกันนำเทคโนโลยีทางการเงินเข้ามาขับเคลื่อนสังคมไร้เงินสด ขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยร่วมกันเปิดตัวโครงการ Cashless Town นำระบบชำระเงินด้วย QR Code เข้าไปให้บริการในทุกทัชพอยท์ที่จะมีธุรกรรมทางการเงินเกิดขึ้นภายใต้พื้นที่ที่พัฒนาโดยแสนสิริ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการชำระเงินที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่อยู่อาศัยในยุคดิจิทัล โดยเริ่มต้นนำร่องครั้งแรกที่ ฮาบิโตะ (Habito) คอมมูนิตี้รีเทลของแสนสิริแล้ววันนี้ รองรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ จำนวนไม่ต่ำกว่า 10,0000 คนต่อวัน โดยการชำระเงินด้วยการสแกน QR Code ผ่านสมาร์ทโฟนจะเพิ่มความคล่องตัวให้กับลูกค้ามากขึ้น ความร่วมมือระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์ และแสนสิริครั้งนี้นับเป็นฟันเฟืองหนึ่งในการสร้าง Digital Eco System ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ภายในไตรมาสแรก ปี 2561 Cashless Town เต็มรูปแบบจะขยายครอบคลุมพื้นที่ T 77 ศูนย์กลางการอยู่อาศัยและพื้นที่แห่งไลฟ์สไตล์ภายใต้การพัฒนาของแสนสิริต่อไป ” นายอุทัย กล่าวเพิ่มเติมว่า T 77 ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 77 อยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่อยู่อาศัย 8 โครงการ ประกอบด้วยสังคมอยู่อาศัยประมาณถึง 10,000 ครอบครัว ได้แก่ บล็อค สุขุมวิท 77, เดอะ เบส สุขุมวิท 77, เดอะ เบส พาร์คอีสต์ สุขุมวิท 77, เดอะ เบส พาร์คเวสต์ สุขุมวิท 77, ฮาสุ เฮาส์, โมริ เฮาส์, การ์เด้น สแควร์ สุขุมวิท 77 และโครงการล่าสุดคาวะ เฮาส์ รวมถึง Park Court (พาร์ค คอร์ท) คอนโดมิเนียมและอพาร์ตเม้นต์ และ โรงเรียนนานาชาติ บางกอกเพรพ ”Bangkok International Preparatory & Secondary School (Bangkok Prep) หนึ่งในโรงเรียนนานาชาติชั้นนำของไทย รวมทั้ง Dental Hospital (โรงพยาบาลฟัน) ที่จะเปิดให้บริการปี 2561 โดยเมื่อเปิดอย่างเป็นทางการแล้วก็พร้อมเปิดบริการ Cashless Town ให้เป็นเมืองไร้เงินสดอย่างสมบูรณ์ ลูกค้าของแสนสิริสามารถชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าส่วนกลาง และชำระค่าบริการที่โรงพยาบาลฟัน ผ่าน QR Code นับเป็นการมอบการบริการทางการเงินที่รองรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ในวันที่ 16-17 ธันวาคมนี้ ในงาน Winter Market Fest (วินเทอร์ มาร์เก็ต เฟส) ครั้งที่ 5 ไลฟ์สไตล์ เฟสติวัลสุดฮิปที่แสนสิริจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ที่ที77 ซึ่งรวบรวมร้านค้าและร้านอาหารชั้นนำมากมายถึง 150 ร้านค้า จะเป็นครั้งแรก ! ที่เปิดให้บริการ Cashless Town ลูกค้าช้อปปิ้งได้ชิลล์ๆ ผ่าน QR Code โดยไม่ต้องใช้เงินสด ซึ่งเหมาะกับคนร่วมงานที่ส่วนมากเป็นคนรุ่นใหม่ที่รักความสะดวกสบาย และคาดว่าปีนี้จะมีคนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก   นายอุทัย กล่าวทิ้งท้ายว่า คาดว่าความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ผู้บริโภคจะเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายสู่สังคมไร้เงินสดเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้แสนสิริจะยังคงไม่หยุดยั้งในมองหาบริการที่จะเข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการให้บริการอย่างครบวงจร และมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้ลูกค้าอย่างไม่สิ้นสุด”
“ออริจิ้น” ดึงเชน IHG ผุดโรงแรม 3 แห่ง มูลค่า 7,500 ล้านบาท พร้อมผนึกโนมูระลุยแบรนด์ Staybridge Suites ครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก

“ออริจิ้น” ดึงเชน IHG ผุดโรงแรม 3 แห่ง มูลค่า 7,500 ล้านบาท พร้อมผนึกโนมูระลุยแบรนด์ Staybridge Suites ครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก

ออริจิ้นแตกไลน์ธุรกิจ ดึงเชนเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล ผุดโรงแรม 3 แห่งใจกลางทองหล่อ-ศรีราชา มูลค่าทรัพย์สิน 7,500 ล้านบาท เจาะตลาดญี่ปุ่น-รับการลงทุนอีอีซี พร้อมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ Staybridge Suites ครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก ผนึกโนมูระลุย “Staybridge Suites Bangkok Thonglor” นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน นอตติ้ง ฮิลล์ ไนท์บริดจ์ และพาร์ค กล่าวว่า นอกจากการพัฒนาที่อยู่อาศัยแล้ว บริษัทยังมีวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ครอบคลุมธุรกิจโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ สำนักงานเช่า คอมมูนิตี้มอลล์ สำหรับธุรกิจโรงแรมนั้น บริษัทจะนำร่องด้วยการพัฒนาโรงแรม 3 แห่ง มูลค่าทรัพย์สินหลังการก่อสร้าง (Asset Value) อยู่ที่ประมาณ 7,500 ล้านบาท โดยล่าสุดได้เซ็นสัญญานำแบรนด์และเชนของเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG) เข้ามาบริหารโรงแรมทั้ง 3 แห่ง “IHG เป็นหนึ่งในเครือโรงแรมชั้นนำของโลก ได้รับการยอมรับด้านการบริหารโรงแรมด้วยมาตรฐานสากล และมีแบรนด์โรงแรมคุณภาพหลากหลายแบรนด์อยู่ทั่วโลก การพัฒนาโรงแรม 3 แห่งแรกของเราในครั้งนี้จึงเลือกนำแบรนด์และเชนโรงแรมของ IHG จำนวน 2 แบรนด์มาบริหาร ซึ่งเรามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะได้ทำงานร่วมกับ IHG นับจากนี้” นายพีระพงศ์ กล่าว   โรงแรมทั้ง 3 แห่งประกอบด้วย 1.สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) 2.สเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี ศรีราชา (Staybridge Suites Chonburi Siracha) และ 3.ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง (Holiday Inn Suites Siracha Laemchabang) จะทยอยเปิดให้บริการจนครบทั้ง 3 แห่งภายในปี 2564 โดยการนำแบรนด์สเตย์บริดจ์ สวีท (Staybridge Suites) เข้ามานั้น ถือเป็นการนำแบรนด์ดังกล่าวเข้ามาใช้เป็นครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก   สำหรับการพัฒนาโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อนั้น บริษัทยังได้จับมือกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ พันธมิตรสำคัญของออริจิ้นในการพัฒนาที่อยู่อาศัย มาร่วมพัฒนาโครงการดังกล่าวด้วย เพื่อให้สามารถพัฒนาโครงการและการบริการให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างดีที่สุด ล่าสุด ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาในสัดส่วน 51 ต่อ 49 ด้านนายราจิต สุขุมารัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ประจำภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG) กล่าวว่า สเตย์บริดจ์ สวีท เป็นแบรนด์โรงแรมที่เปิดให้บริการมาแล้วมากกว่า 250 แห่งทั่วโลก ตกแต่งด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น สะดวกสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น อุปกรณ์ครัวครบชุดโซนทำงานส่วนตัว โซนเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เหมาะสำหรับแขกที่ต้องการเข้ามาพักระยะยาว เช่น กลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในพื้นที่นั้นๆ (Expat) หรือนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ (Business Traveller)   “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมงานกับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) อีกครั้ง ในการขยายฐานธุรกิจของเราด้วยการนำแบรนด์โรงแรมใหม่ๆ มาสู่ภูมิภาค และด้วยความต้องการที่พักแบบระยะยาวที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และศรีราชา จึงถือเป็นโอกาสที่ดียิ่งสำหรับสเตย์บริดจ์ สวีท และเราเห็นโอกาสในการเพิ่มจำนวนสเตย์บริดจ์ สวีทให้มากขึ้นในเอเชียแปซิฟิกในภายภาคหน้า ซึ่งเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น” นายราจิต กล่าว ด้านนายโทชิฮิเดะ สึคาซากิ เจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจให้เช่าที่อยู่อาศัย การจัดการโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ด้านโลจิสติกส์ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมา โนมูระถือเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจรในญี่ปุ่น แต่ครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการตัดสินใจออกมาลงทุนธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ สาเหตุสำคัญที่ตัดสินใจลงทุนครั้งนี้ เนื่องจากมั่นใจในพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยอย่างออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มั่นใจในแบรนด์คุณภาพของเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล รวมถึงมั่นใจในศักยภาพทำเลทองหล่อ ซึ่งเป็นทำเลธุรกิจที่มีความต้องการการพักอาศัยของชาวต่างชาติ   “เรามั่นใจว่า เราจะสามารถนำโนว์ฮาวและความรู้ความสามารถของเรามาช่วยพัฒนาโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อกทองหล่อ ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ให้ได้รับการบริการที่สะดวกสบายและน่าประทับใจ” นายโทชิฮิเดะ กล่าว   สำหรับการลงทุนครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนภายใต้แผนการเติบโตระยะกลาง-ยาวของโนมูระตั้งแต่ปีงบการเงิน 2559-2567 (สิ้นสุด มี.ค.2568) ด้วยการลงทุนในต่างประเทศภายใต้งบลงทุน 3 แสนล้านเยน (ราว 9.06 หมื่นล้านบาท) ด้านนางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด บริษัทพัฒนาธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า จากข้อมูลของสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว พบว่า จำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทยมากที่สุด คือ ชาวญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 24% ขณะเดียวกันจากข้อมูลของปี 2555-2559 ยังพบว่า จำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ (Expat) มีจำนวนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 16% ต่อปี ทำเลทองหล่อถือเป็นทำเลสำคัญที่มีชาวต่างชาติเข้ามาทำงานและพักอาศัยเป็นจำนวนมาก มั่นใจว่าการพัฒนาโรงแรมในทำเลทองหล่อจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่พักอาศัย โดยเฉพาะของชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในย่านนี้ได้   สำหรับทำเลศรีราชา ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลศักยภาพ เพราะภาครัฐมีนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก พร้อมให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากชาวต่างชาติ เมื่อมีชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น การเข้ามาทำธุรกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาวในพื้นที่ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย บริษัทจึงมั่นใจที่จะพัฒนาโรงแรมในพื้นที่ศรีราชา 2 แห่ง โดยเลือกทำเลที่ใกล้สถานที่พักผ่อนและอำนวยความสะดวกอื่นๆ ด้วย   โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ เป็นโรงแรมขนาด 303 ห้องพัก มีพื้นที่อาคารรวม 25,500 ตร.ม. มูลค่าทรัพย์สิน 2,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บริเวณซอยสุขุมวิท 55 ห่างจากสถานีบีทีเอสทองหล่อประมาณ 10 นาที คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 4/2562 ขณะที่โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี ศรีราชา เป็นโรงแรมขนาด 400 ห้องพัก มีพื้นที่อาคารรวม 37,200 ตร.ม. มูลค่าทรัพย์สิน 2,800 ล้านบาท ตั้งอยู่บริเวณถนนสุขุมวิท ตรงข้ามตึกคอม ศรีราชา คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 4/2563 ส่วนโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง เป็นโรงแรมขนาด 347 ห้องพัก มีพื้นที่อาคารรวม 30,500 ตร.ม. มูลค่าทรัพย์สิน 2,200 ล้านบาท ตั้งอยู่ในพื้นที่โครงการ Origin District คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 1/2563   สำหรับเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG) มีเครือข่ายโรงแรมอยู่กว่า 5,300 แห่ง 7.85 แสนห้องพักในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบัน ดำเนินการบริหารโรงแรมในไทย 22 แห่ง ภายใต้ 5 แบรนด์ และมีที่รอเปิดให้บริการอีก 14 แห่ง โดยแบรนด์สเตย์บริดจ์ สวีท ถือเป็นแบรนด์ที่ 6 ในไทย   ขณะที่บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ สำนักงานเช่า ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร
‘The Symphony of VITTORIO’ สัมผัสประสบการณ์เสียงแห่งงานศิลป์

‘The Symphony of VITTORIO’ สัมผัสประสบการณ์เสียงแห่งงานศิลป์

  โครงการ ‘VITTORIO’ สุดยอดอัลตร้า-ลักซ์คอนโด ใจกลางย่านสุดหรู The Em District บนถนนสุขุมวิท 39 โดยบริษัทเอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) รังสรรค์ประสบการณ์การชมงานศิลปะรูปแบบใหม่ ผ่านงาน ‘The Symphony of Vittorio’ ครั้งแรกกับการชมงานศิลปะแบบ “Sonic-Visual Journey” ที่เรียนเชิญแขกวีไอพีและเซเลบริตี้ชื่อดังของเมืองไทยร่วมสัมผัสความวิจิตรตระการตา ในคุณค่าของงานศิลป์ ถ่ายทอดผ่านงานดนตรีที่ประพันธ์และคัดเลือกโดยศิลปินทางดนตรีแนวหน้าของไทยได้แก่ บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ สมเกียรติ อริยะชัยพานิชย์ และทฤษฎี ณ พัทลุง     นายสรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง ผู้อำนวยการสายงานคอร์ปอเรทมาร์เก็ตติ้ง บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “งาน ‘The Symphony of VITTORIO’ ตั้งใจรังสรรค์ประสบการณ์รูปแบบใหม่ให้แขกผู้มีเกียรติร่วมสัมผัสการผสมผสานสุนทรียศาสตร์แห่งศิลปะและดนตรีเข้าด้วยกัน บนพื้นที่ของ VITTORIO คอนโดหรูระดับอัลตร้า-ลักซ์  ที่ตกแต่งด้วยชิ้นงานศิลปะที่ประเมินค่าไม่ได้ อาทิ งานจิตรกรรมและประติมากรรมจากศิลปินไทยที่โด่งดังทั้งในและต่างประเทศ อาทิ อาจารย์เขียน ยิ้มศิริ อาจารย์-นุกูล ปัญญาดี คุณพินรี สัณฑ์พิทักษ์  อาจารย์เสนีย์ แช่มเดช และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิทักษ์ สง่า โดยล้วนเป็นชิ้นงานที่งดงามและทรงคุณค่า (มูลค่ารวมสูงกว่า 30 ล้านบาท)     ผู้ร่วมงานได้สัมผัสกับประสบการณ์รูปแบบใหม่แห่งการชมงานศิลปะผ่านความงามที่สัมผัสได้ทางสายตา และบทเพลงไพเราะทางโสตสัมผัส ประกอบกับการฟังบทเพลงที่ประพันธ์และเรียบเรียงโดย 3 ศิลปินทางดนตรีชั้นนำของประเทศ ได้แก่ Soul Master คุณบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์  New Aged Music Pioneer    คุณสมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ และ Classical Conductor  คุณทฤษฎี ณ พัทลุง โดยไฮไลท์ของงานครั้งนี้ศิลปินทั้ง 3 ได้แต่งเพลงให้กับผลงานประติมากรรม “งอกงาม” ผลงานของศิลปินแห่งชาติ อาจารย์เขียน ยิ้มศิริ เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน นอกจากนี้ ศิลปินแต่ละท่านยังประพันธ์และคัดสรรบทเพลง หรือดนตรีจากแรงบันดาลใจที่ได้จากผลงานจิตรกรรมทั้งหมดที่แสดงอยู่ที่ VITTORIO ที่พร้อมส่งมอบที่สุดของการใช้ชีวิตภายใต้คอนเซ็ปต์ Living in the Masterpiece อีกด้วย”   หากเสน่ห์ของเมืองฟลอเรนซ์คืองานจิตรกรรมและประติมากรรมที่แฝงตัวอยู่ในทุกพื้นที่แล้ว สำหรับ VITTORIO ทุกพื้นที่ล้วนได้รับการจัดวางสเปซอย่างละเอียด เพื่อเสริมให้จิตรกรรมและประติมากรรมที่เอพีเลือกสรรมาประดับ VITTORIO ดูโดดเด่นทรงคุณค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน    VITTORIO มีจำนวนเรสซิเดนซ์เพียง 88 ยูนิต ภายในอาคารที่พักอาศัยความสูง 28 ชั้น ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยระดับ Ultra Luxury ราคาเริ่มต้น 31 ล้านบาท พร้อมส่งมอบที่สุดของการใช้ชีวิตระดับมาสเตอร์พีซแล้ววันนี้  www.vittorio-residence.com  
“เทพารักษ์-ศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ” สังคมน่าอยู่แห่งใหม่
ครบทุกฟังก์ชั่นความต้องการของผู้อยู่อาศัย

“เทพารักษ์-ศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ” สังคมน่าอยู่แห่งใหม่
ครบทุกฟังก์ชั่นความต้องการของผู้อยู่อาศัย

ย่านเทพารักษ์-ศรีนครินทร์ ในเวลานี้ถือว่าเป็นศูนย์กลางความเจริญแห่งใหม่ ด้วยทำเลศักยภาพใกล้แหล่งงานและย่านเศรษฐกิจ รวมทั้งยังแวดล้อมไปด้วย ไฮเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็ก-ใหญ่ ตั้งอยู่โดยรอบพื้นที่ รวมถึงตลาดที่อยู่อาศัย เริ่มมีการพัฒนาโครงการใหม่ๆ มากขึ้น หากใครกำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตและรองรับไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย รับรองว่าย่านเทพารักษ์-ศรีนครินทร์ ไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน เทพารักษ์ ศรีนครินทร์ สุขุมวิท เชื่อมต่อเพียงพริบตา ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของย่านเทพารักษ์ เกิดขึ้นจากความคืบหน้าของแผนการลงทุนระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวมีความสะดวกสบายต่อการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมือง  ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่รถไฟฟ้าสายสีเหลือง เพียงเท่านั้น แต่ย่านนี้ยังมีรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ส่วนต่อขยายสมุทรปราการ-บางปู) ที่มีแผนก่อสร้างและจะเปิดให้บริการในอนาคต เรียกได้ว่าสร้างความน่าสนใจและน่าอยู่อาศัยให้กับพื้นที่เทพารักษ์เป็นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา นอกจากนั้น หากมองทำเลเทพารักษ์ ในช่วงถนนบางพลี – ตำหรุ ยังเป็นถนน 6-8 ช่องจราจร ใช้งานสะดวก โดยถนนเส้นนี้สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนโดยรอบได้หลายเส้นทาง ได้แก่ ถนนกิ่งแก้วที่สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนบางนา-ตราด โดยเส้นบางนา-ตราดนี้จะเป็นที่ตั้งของศูนย์การค้าขนาดใหญ่หลายแห่งและเป็นจุดขึ้น-ลงทางด่วนบูรพาวิถีเพื่อเชื่อมต่อเข้าเมืองได้สะดวก เช่นเดียวกันยังอยู่ใกล้ถนนวงแหวนตะวันออกรอบนอก ที่สามารถเดินทางไปยังจังหวัดชลบุรี และจังหวัดอื่นๆ ในภาคตะวันออก อีกทั้งยังเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลักไปสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งนับว่าสามารถตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยอย่างลงตัว ตลาดอสังหาฯ ย่านเทพารักษ์ - ศรีนครินทร์  สำหรับตลาดอสังหาฯ ในทำเลนี้  ปัจจุบันยังคงเป็นตลาดแนวราบ ด้วยพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัย ยังมองหาบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอย เพียงพอกับกิจกรรมของผู้เริ่มสร้างครอบครัวใหม่ รวมถึงครอบครัวใหญ่ โดยตลาดอสังหาในทำเลดังกล่าว แบ่งเป็นหมู่บ้านจัดสรร ที่มีทั้งโครงการใหม่ และบ้านมือสอง อพาร์ทเม้นท์ และยังมีคอนโดมิเนียม Low-rise ในราคาที่ยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับที่อยู่อาศัยในใจกลางเมือง อีกทั้งยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น บิ๊กซี บางพลี, มาร์เก็ต วิลเลจ สุวรรณภูมิ, โลตัส ซิตี้ พาร์ค บางพลี, โรบินสัน สมุทรปราการ, ไบเทค บางนา, เมกา บางนา และ อิเกีย นับว่าเป็นทำเลที่มีความเจริญเติบโตและน่าสนใจเป็นอย่างมาก เตรียมพบกับโครงการ ลลิล ทาวน์ ไลโอ บลิสซ์ เทพารักษ์-ตำหรุ โดยบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ปรากฏการณ์ใหม่ของการอยู่อาศัยบนทำเลเทพารักษ์ ด้วยฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 2 ที่จอดรถในร่ม พร้อมครัวไทย ใกล้ทางด่วน เมกาบางนา ราคาเริ่ม 1 ล้านกว่าบาทเท่านั้น และเร็วๆ นี้ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนในเว็บไซต์ เพื่อรับสิทธิ์ช้อปปิ้งทั่วกรุง 20,000 บาท จองแปลงสวยทำเลหน้าโครงการ โซนติดสวนก่อนใคร คลิก!: http://bit.ly/lalinliotamru หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center โทร 1778 และเว็บไซต์ www.lalinproperty.com, Line @LalinSociety
“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” ปิดดีล MARU ยอดขายบิ๊กล๊อต 1,000 ล้านบาท

“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” ปิดดีล MARU ยอดขายบิ๊กล๊อต 1,000 ล้านบาท

"เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์" เปิดตัวพันธมิตร DWG ร่วมทุนซื้อบิ๊กล๊อต โครงการ MARU เอกมัยและลาดพร้าว มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศ ดันยอดขายมารุทั้ง 2โครงการ ทะลุ 300 กว่ายูนิต พร้อมเปิดสำนักงานขาย MARU ลาดพร้าวภายในเดือน ธ.ค. นี้ ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยว่า “บริษัทประสบความสำเร็จในการขาย Big Lot โครงการ MARU ลาดพร้าว และเอกมัย ให้กับพันธมิตรคือ DWG มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท นับเป็นการสะท้อนถึงความไว้วางใจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยและโครงการของ MJD ส่งผลให้ล่าสุด โครงการ MARU ทั้ง 2 ทำเล สามารถทำยอดขายรวมได้กว่า 60% ภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือนหลังเปิดพรีเซลเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา รวมมูลค่าสองโครงการ 4,300 ล้านบาท โดยโครงการ MARU ลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท มีจำนวนทั้งสิ้น 332 ยูนิต ปัจจุบันขายไปแล้ว50% ในจำนวนนี้มีผู้ซื้อชาวต่างชาติ คิดเป็น 17 %  ส่วนโครงการ MARU เอกมัย มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท มีจำนวน 333 ยูนิต ปัจจุบันขายไปแล้วกว่า 70% คิดสัดส่วนเป็นยอดซื้อจากชาวต่างชาติมากถึง 36%” ​โครงการ MARU เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ ระดับไฮเอนด์ แบรนด์น้องใหม่ของ MJD ทั้ง 2 โครงการ ตั้งอยู่ในทำเลที่ใจกลาง ย่านธุรกิจที่มีการเติบโตสูงสุด (Central Business District - CBD) ในย่านเอกมัย และ Second CBD อย่างโซนลาดพร้าว โครงการ MARU ลาดพร้าว อยู่บนถนนลาดพร้าวเส้นหลัก อยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า MRT สถานีลาดพร้าวเพียง 50 เมตร ส่วนโครงการ MARU เอกมัย อยู่บนถนนเส้นหลัก ระหว่างเอกมัยซอย 2 และซอย 4 ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS เอกมัยเพียง 450 เมตร มีจุดเด่นที่ให้ผู้อยู่อาศัยเรียนรู้อยู่กับธรรมชาติอย่างสมดุล ความเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียดในไลฟ์สไตส์ของผู้อยู่อาศัย เลือกวัสดุตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพเยี่ยม การออกแบบเลือกใช้รูปแบบของเส้นตรงมาใช้ในการออกแบบและตกแต่ง ใช้โทนสีที่เรียบง่าย ตามรูปแบบ Minimal Design เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสงบนิ่ง แต่ทว่ามั่นคง ด้วยการออกแบบอย่างสมดุล ตามวิถีเซน (Zen) ที่เชื่อเรื่องความสงบนิ่ง และอยู่กับธรรมชาติ มอบพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ตอบโจทย์ ไลฟ์สไสต์คนเมือง ชูจุดเด่น Pet Friendly & Wellness living ถูกใจคนรักสัตว์ (Pets Lover) มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสัตว์เลี้ยง ทั้งลานอาบน้ำสัตว์ และพื้นที่ส่วนกลาง ที่เจ้าของสามารถทำกิจกรรมร่วมกับสัตว์เลี้ยงได้ ทั้ง 2 โครงการ จะเริ่มก่อสร้างในช่วงกลางปี พ.ศ. 2561 คาดว่าจะแล้วเสร็จ และเข้าอยู่อาศัยได้ช่วงกลางปี พ.ศ. 2563 โดยในส่วนของสำนักงานขายโครงการ MARU ลาดพร้าว จะแล้วเสร็จพร้อมเปิดตัวในเดือนมกราคมต้นปีหน้า ส่วนสำนักงานขายโครงการ MARU เอกมัย จะแล้วเสร็จพร้อมเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ในปีหน้าเช่นกัน ด้าน ดร.เดนนิส วี ประธานบริษัท DWG กล่าวถึงการเลือก MJD เป็นพันธมิตรคนสำคัญในประเทศไทย เนื่องจาก MJD เป็นหนึ่งในผู้นำของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับบนในเมืองไทย มีทีมงานมืออาชีพและมีความสามารถในการบริหาร ที่สำคัญคือโครงการของ MJD ตั้งอยู่ในทำเลที่มีการศักยภาพและการเติบโตมากที่สุดของกรุงเทพฯ “เรามีความยินดีและพึงพอใจที่ได้ทำธุรกิจในประเทศไทย คนไทยเป็นเจ้าบ้านที่ดี มีความนอบน้อมและจริงใจ ทั้งหมดนี้พิสูจน์ได้จากทั้งภาคธุรกิจและการท่องเที่ยวของไทย เราเลือก MJD เป็นพันธมิตรคนสำคัญ จากทั้งความเป็นมืออาชีพ และทำเลของโครงการที่อยู่ในพื้นที่หลักของกรุงเทพ" DWG บริษัทที่บริการด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจร มีจุดมุ่งหมายในการลงทุนและบริหารสินทรัพย์ในเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย ญึ่ปุ่น สิงคโปร์ กรุงเทพฯ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบ One Stop Service
อนันดาฯ ผู้นำอสังหาฯ !! ประกาศจับมือ แกร็บ (Grab) รายแรก ยกระดับคุณภาพชีวิตเมืองยุคใหม่ ตอกย้ำแนวคิด UrbanTech อย่างเป็นรูปธรรม มอบสิทธิพิเศษเหนือใคร!! นำร่อง 20 โครงการ

อนันดาฯ ผู้นำอสังหาฯ !! ประกาศจับมือ แกร็บ (Grab) รายแรก ยกระดับคุณภาพชีวิตเมืองยุคใหม่ ตอกย้ำแนวคิด UrbanTech อย่างเป็นรูปธรรม มอบสิทธิพิเศษเหนือใคร!! นำร่อง 20 โครงการ

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าและผู้นำนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ตอบรับไลฟ์สไตล์คนเมืองได้อย่างลงตัวที่สุด ตอกย้ำแนวคิด UrbanTech ยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยของคนเมืองด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ล่าสุด ประกาศความยิ่งใหญ่ในวงการอสังหาฯไทยอีกครั้ง กับการเป็นรายแรก!! ที่ร่วมมือกับพันธมิตรระดับสากล แกร็บ (Grab) ผู้นำแพลตฟอร์มด้านการขนส่งชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  พันธมิตรด้านการเดินทางที่จะมอบสิทธิพิเศษเหนือใครแก่ลูกบ้านของอนันดาฯ เตรียมนำร่องให้บริการลูกบ้านใน 20 โครงการ มั่นใจช่วยเพิ่มความสะดวก สบาย ปลอดภัยในทุกๆ การเดินทางเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อนันดาฯ ตระหนักและเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเป็นอย่างดี จึงถือว่าเป็นความท้าทายที่จะมุ่งมั่นในการพัฒนา Urban Living Solutions ซึ่งเป็นปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของบริษัท  และสิ่งที่ทำให้การเดินทางนั้นมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลงหรือเพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้นคือการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนในเมือง ทั้งเพื่อตอกย้ำแนวคิด UrbanTech ยกระดับคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้น ทั้งในวันนี้และอนาคต ด้วยการสร้างสรรค์และพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยล่าสุด ประกาศความยิ่งใหญ่ ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรระดับสากล ได้แก่ แกร็บ (Grab)  ถือเป็นก้าวใหญ่ก้าวหนึ่ง ที่อนันดาฯ สร้างสรรค์มาเพื่อมอบการบริการแก่ลูกค้าให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น  โดยการมอบสิทธิพิเศษเหนือใครให้แก่ลูกบ้านของอนันดาฯ   ความร่วมมือระหว่าง อนันดาฯ และ แกร็บ (Grab) ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่ได้นำแพลตฟอร์มด้านการเดินทางมาให้บริการกับลูกบ้าน เพื่อมอบสิทธิพิเศษเหนือใคร เพิ่มความสะดวก สบาย ปลอดภัยในการเดินทาง  โดยการใช้บริการของ แกร็บ (Grab) ซึ่งลูกบ้านจะได้รับส่วนลดพิเศษโดยเริ่มต้นที่ 50 บาท สำหรับลูกค้าเดิม และ สำหรับลูกค้าที่เริ่มใช้งานเป็นครั้งแรกเริ่มต้นที่ 100 บาท โดยส่วนลดนี้สามารถใช้ได้กับลูกค้าที่จองบริการของ แกร็บ (Grab)  รับ-ส่ง ใน 20 โครงการของอนันดาฯ  นอกจากบริการด้านการเดินทางแล้วยังมีแผนเปิดตัวบริการอื่นๆ อาทิ Grab Food เป็นบริการจัดส่งอาหาร ช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้ออาหารได้อย่างง่ายดายจากร้านอาหารที่ชื่นชอบใกล้บ้าน บริการต่างๆ เหล่านี้จะเป็นประโยชน์และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญต่อการทำงานร่วมกันมากกว่าการมีส่วนร่วมทางการตลาด โดยได้แบ่งปันข้อมูลเพื่อร่วมกันพัฒนาแนวทางแก้ไขที่ดีขึ้นในอนาคตสำหรับลูกค้าทั้งของอนันดาฯ และ แกร็บ   ซึ่งจากสถิติที่น่าสนใจของ แกร็บ (Grab) ในภูมิภาคคือมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้แกร็บ (Grab) อยู่ที่ 360% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2013  โดยเฉลี่ยแล้วผู้โดยสารจะประหยัดเวลาในการเดินทางไปกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับบริการขนส่งสาธารณะทั่วไป และในส่วนของผู้ขับขี่ของ แกร็บ (Grab) ก็มีการเติบโตกว่า 340% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2013 เช่นกัน นอกจากนี้ อัตราอุบัติเหตุยังต่ำกว่าอัตราอุบัติเหตุเฉลี่ยของประเทศถึง 5 เท่า ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าการใช้บริการของ แกร็บ (Grab)  จะปลอดภัยในทุกการเดินทางอย่างแน่นอน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กรรมการบริหาร บริษัท แกร็บ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า  จุดมุ่งหมายของแกร็บนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งคือการ “ก้าวไปสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ซึ่งบริการของเรา คือ การประหยัดเวลา ความรวดเร็วปลอดภัยและเชื่อถือได้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้โดยสาร  โดยเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนร่วมในการช่วยมอบความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านของอนันดาฯ  ซึ่ง อนันดาฯ ถือว่าเป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าและผู้นำนวัตกรรมที่ทันสมัยที่สุด และเชื่อว่าการแลกเปลี่ยนกันของทั้งสองฝ่ายจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนเมืองให้ดียิ่งขึ้น ถือว่าเป็นวัตถุประสงค์หลักของการร่วมมือในครั้งนี้  ซึ่งนอกจากจะมอบสิทธิพิเศษทางการเดินทางให้กับลูกบ้านของอนันดาฯ แล้ว ยังให้การบริการในทุกประเภทของ แกร็บ (Grab) ด้วยเช่นกัน อาทิ  แกร็บคาร์, แกร็บคาร์พลัส, แกร็บไบค์ (เดลิเวอร์รี่), แกร็บไบค์ (วิน), แกร็บเอ็กซ์เพรส, แกร็บ ฟอร์ บิสสิเนส,  จัสท์แกร็บ และ แกร็บเพย์ รวมถึงแกร็บรีวอร์ดส เป็นต้น   “อนันดาฯ ในฐานะผู้นำวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและเลือกสรร Innovation และ Technology ใหม่ๆ เข้ามาผสานในทุกองค์ประกอบของการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเพิ่มมูลค่ามากยิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า นอกจากนี้ยังเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ทันการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคดิจิทัล  และยกระดับการใช้ชีวิตของคนเมืองให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป”  นายชานนท์ กล่าว
ศุภาลัย ส่งท้ายปี มอบโปรโมชั่นสุดคุ้ม 6 โครงการคุณภาพศุภาลัย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดนครศรีธรรมราช

ศุภาลัย ส่งท้ายปี มอบโปรโมชั่นสุดคุ้ม 6 โครงการคุณภาพศุภาลัย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดนครศรีธรรมราช

บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) โดย นายอดิศักดิ์ วารินทร์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานโครงการภูมิภาค 3 เอาใจลูกค้าส่งท้ายปลายปี มอบโปรโมชั่น “ศุภาลัย Shock Price” โปรโดนใจ ราคาโดนจริง กับราคาสุดพิเศษ!! สำหรับลูกค้า 3 โครงการคุณภาพศุภาลัย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์  เริ่ม 3.49 ล้านบาท ศุภาลัย วิลล์ เริ่ม 1.69 ล้านบาท และศุภาลัย เบลล่า เริ่ม 2.79 ล้านบาท พร้อมรับส่วนลดและโปรโมชั่นอีกมากมาย อาทิ ฟรี! แอร์ 3 ห้องนอน ฟรี! โอน+จดจำนอง ฟรี!  ค่าส่วนกลาง 1 ปี และฟรี! Index Gift voucher มูลค่ากว่า 30,000 บาท สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองภายในวันนี้ -30 ธันวาคม 2560 นี้ ศุภาลัย เบลล่า สุราษฎร์ธานี   ศุภาลัย พาร์ควิลล์ นครศรีธรรมราช ต่อเนื่องกับอีก 3 โครงการคุณภาพศุภาลัย จังหวัดนครศรีธรรมราช กับโปรโมชั่น “ศุภาลัย โปรหนัก จัดเต็ม รับโชค 2 ชั้น” ศุภาลัย พรีโม่ เริ่ม 2.29 ล้านบาท ศุภาลัย พาร์ควิลล์ เริ่ม 4 ล้านบาท และ ศุภาลัย เบลล่า เริ่ม 1.93 ล้านบาท โอกาสพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองภายในวันนี้ -30 ธันวาคม 2560 นี้ โชคชั้นที่ 1 รับส่วนลดเงินสด โชคชั้นที่ 2 ลุ้นรับรับ Gift Voucher มูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท พร้อมส่วนลดและของแถมอีกหลายรายการ ผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย หลากหลายแบบบ้านในสไตล์โมเดิร์น บนทำเลศักยภาพในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สามารถจับจองทำเลที่ดีที่สุดก่อนใคร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 1720 หรือดูรายละเอียดได้ที่  www.supalai.com
บ้านลุมพินี สวนหลวง ร.๙ เปิดจองเฟสสุดท้าย 16 ธ.ค. นี้
เริ่ม 9 ล้าน พิเศษส่วนลดสูงสุด 5 แสน

บ้านลุมพินี สวนหลวง ร.๙ เปิดจองเฟสสุดท้าย 16 ธ.ค. นี้
เริ่ม 9 ล้าน พิเศษส่วนลดสูงสุด 5 แสน

“บ้านลุมพินี” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบในเครือ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP ภายใต้แนวคิด “บ้านลุมพินี บ้านน่าอยู่” ในแนวทาง “บ้านดี สิ่งแวดล้อมดี ดูแลดี ผู้คนดี” เดินหน้าพัฒนาโครงการต่อเนื่อง “บ้านลุมพินี สวนหลวง ร.๙ เฟส 3” มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท จำนวน 29 หลัง บ้านเดี่ยวขนาด 2 ชั้น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ และพื้นที่สวน เปิดจองเสาร์ที่ 16 ธ.ค. นี้ เริ่ม 9 ล้านบาท พิเศษ ส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท (จำนวนจำกัด) นับเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับผู้ที่ต้องการขยายครอบครัวใหญ่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมคุณภาพ บนทำเลใกล้ชิดธรรมชาติ สวนหลวง ร.9 โดยบ้านทุกหลังมีการวางระบบมาตรฐานต่างๆ เพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์ของบ้าน มีการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานทุกพื้นที่ในบ้าน พร้อมรองรับผู้อาวุโส ด้วยการจัดสรรห้องนอนชั้นล่าง โดยออกแบบให้ตั้งอยู่ใกล้ห้องน้ำ และส่วนพื้นที่ครัวที่สามารถแบ่งพื้นที่การใช้งานให้คนในครอบครัวทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันได้ อาทิ การจัดปาร์ตี้เล็กๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และห้องครัวไทยแยกส่วน บริเวณชั้น 2 มี 3 ห้องนอน ทุกห้องนอนให้ความเป็นส่วนตัวสูง มีห้องน้ำในตัว และพื้นที่ห้องนั่งเล่นสำหรับเด็กๆ ให้มีกิจกรรมร่วมกัน นอกเหนือจากพื้นที่จอดรถที่เตรียมไว้ 2-3 คันแล้ว (ขึ้นกับแบบบ้าน)  ยังมีพื้นที่จอดรถส่วนกลางสำหรับผู้มาเยี่ยมเยือน  โดยมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวก และไม่เป็นการรบกวนเพื่อนบ้าน ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครันทั้งคลับเฮาส์, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ, สวนส่วนกลาง, กล้อง CCTV ทั่วทั้งโครงการ และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง รวมทั้งการบริหารจัดการที่ดีจากทีมบริหารงานมืออาชีพจากบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด ตอบโจทย์ความสุขที่แท้จริงของการอยู่อาศัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LPN Call Center 02-689-6888 ,www.baanlumpini.com และ Facebook : Baan Lumpini
ครั้งแรกของโลกที่ป่าธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมือง THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” โดย MQDC ปรากฏการณ์ที่สร้างบนพื้นฐาน “ความสุขที่แท้จริง”

ครั้งแรกของโลกที่ป่าธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมือง THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” โดย MQDC ปรากฏการณ์ที่สร้างบนพื้นฐาน “ความสุขที่แท้จริง”

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) สร้างสรรค์พื้นที่ความสุขครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัว ท่ามกลาง   ระบบนิเวศของผืนป่าธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ เปิดตัวโปรเจกต์แฟลกชิพ “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์” ครั้งแรกของโลกที่ธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมือง คุณวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า “ด้วยคำมั่นสัญญาของแบรนด์ ‘for all well-being’ ที่มุ่งมั่นและตั้งใจในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตเพื่อส่งผลดีต่อทุกการดำเนินชีวิตในอนาคต และเป็นส่วนหนึ่งของโลกผ่านการออกแบบที่ใส่ใจธรรมชาติ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ในการร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ (Sustainnovation) ประกอบกับการนำคำว่า “ความสุขที่แท้จริง” เป็นโจทย์ในการดำเนินงานเพื่อสร้างสรรค์โครงการ เพื่อมอบความสุขที่แท้จริงในกับคนในยุคปัจจุบันและอนาคต จึงเป็นที่มาของโครงการ “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์ ครั้งแรกของโลกที่ป่าธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมืองบนพื้นที่กว่า 300 ไร่ บริเวณบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 5-7 มูลค่าโครงการมากกว่า 90,000 ล้านบาท ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” โดยมีองค์ประกอบสำคัญทั้ง 4 หมวดใหญ่ หรือ Eternal 4 อันเป็นพื้นฐานของความสุขที่แท้จริง ได้แก่ 50 Shades of Nature ความสุขในการใช้ชีวิตท่ามกลางระบบนิเวศขนาดใหญ่ Connecting 4 Generations ความสุขในการดีไซน์พื้นที่ความอบอุ่นให้กับครอบครัวได้ใช้ชีวิตร่วมกันครอบคลุมถึง 4 เจนเนเรอชั่น Community of Dreamsความสุขบนพื้นที่และสาธารณูปโภคที่ให้ทุกคนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน Sustainnovation for Well-being ความสุขด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ซึ่งนับเป็นดีเอ็นเอของ MQDC ที่สร้างแนวคิดใหม่ของการใช้ชีวิตทั้งในวันนี้และในอนาคต” ในครั้งนี้ ได้เปิดเผยภาพลักษณ์และคอนเซ็ปต์ของโครงการ ภายในงาน “World Premiere of THE FORESTIAS” ที่นำเสนอประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ผ่านนิยามแห่งความสุขทั้ง 4 ที่รายล้อมภายในโครงการ โดยได้รับเกียรติจาก คุณทิพพาภรณ์ อริยวรารมย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – กลุ่มบริษัท ดีทีจีโอ คุณรัช ตันตนันตา ประธานผู้อำนวยการ - กลุ่มบริษัทดีทีจีโอ คุณศศินันท์ออลแมนด์ ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายการตลาดและการสื่อสารองค์กร และคณะผู้บริหาร MQDC ร่วมให้การต้อนรับพันธมิตรทางธุรกิจ บุคคลทางสังคม เซเลบริตี้ทั่วฟ้าเมืองไทยร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ ดร. แคทลีน มาลีนนท์, คุณชาลอต โทณวณิก, คุณศรันย์ภัค เพ็ญชาติ, คุณภีมนิดา อุตสาหจิต, คุณจรสพรรณ สวัสดิวัฒน์ ณ อยุธยา, คุณหฤทัย ไชยันต์ ณ อยุธยา, คุณกติกากร วรวรรณ ณ อยุธยา, คุณพัชมน สินธนเจริญวงศ์ คุณสิรีภัทร มหาดำรงกุล เป็นต้น และดาราสุดฮอต อาทิ คุณธีรนัยน์ ณ หนองคาย,   คุณก้อง สหรัถ, คุณนนท์ ธนนท์, คุณพัดชา อเนกอายุวัฒน์, คุณต้น ธนษิต และคุณปุ๊ อัญชลีเป็นต้น เพื่อร่วมสัมผัสความสุขที่แท้จริง และร่วมเฉลิมฉลองในการเปิดคอนเซ็ปต์ครั้งสำคัญของโปรเจกต์แฟลกชิพครั้งแรกของโลก “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์”
ทีซีซี แอสเซ็ท เปิดตัวโครงการ ‘The PARQ’ มิกซ์ยูสแห่งใหม่มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท กระตุ้นพื้นที่บริเวณศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ให้เป็นย่านธุรกิจที่มีศักยภาพและมีชีวิตชีวา

ทีซีซี แอสเซ็ท เปิดตัวโครงการ ‘The PARQ’ มิกซ์ยูสแห่งใหม่มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท กระตุ้นพื้นที่บริเวณศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ให้เป็นย่านธุรกิจที่มีศักยภาพและมีชีวิตชีวา

วันนี้ บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเดินหน้าก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบมิกซ์ยูสล้ำสมัย มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท โดยใช้ชื่อว่า ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) บนพื้นที่ขนาด 24 ไร่ ตั้งอยู่หัวมุมถนนพระราม 4 ตัดกับถนนรัชดาภิเษก ต่อเนื่องกับศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอาคารสำนักงาน FYI Center ซึ่งจะช่วยตอกย้ำและยกระดับศักยภาพที่ดีเยี่ยมของย่านนี้ในฐานะศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการจัดประชุม การท่องเที่ยว การประชุมนานาชาติ และการจัดนิทรรศการ หรือไมซ์ (MICE) ที่ใหญ่ที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ และเป็นย่านธุรกิจที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาแห่งใหม่ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) เป็นโครงการที่พัฒนาโดยบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด และบริหารโดยบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้แบรนด์ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งมีประสบการณ์และชื่อเสียงทางด้านพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติของ บริษัท เฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พอยท์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่มีชื่อเสียงระดับโลก รับรองด้วยความสำเร็จและประโยชน์ที่ได้รับจากการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่ผ่านมา นายปณต สิริวัฒนภักดี กรรมการ บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “โครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) มีพื้นที่อาคารรวม (GFA) 320,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยสำนักงานระดับพรีเมี่ยมเกรดเอที่ล้ำสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ผสมผสานเชื่อมต่อเข้ากับพื้นที่ร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรมอย่างลงตัว สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้คนที่อยู่ภายในโครงการ รวมทั้งผู้ที่มาเยี่ยมเยือน โดยโครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) นำเสนอการออกแบบอาคารสำนักงานทีโดดเด่นด้วยขนาดพื้นที่ต่อชั้น (Floor Plate) ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ และปราศจากเสาภายในพื้นที่ (Column-free) ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการใช้สอยพื้นที่ภายใน และมีทางเดินเชื่อมต่อโดยตรงกับทางเข้ารถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ “สิ่งที่ทำให้โครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) แตกต่างอย่างโดดเด่นก็คือการมุ่งมั่นอย่างเต็มที่เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี เรากำลังสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีในทุกๆ วัน อีกทั้งยังส่งเสริมการสร้างสมดุลย์ระหว่างการทำงานและการพักผ่อนให้กับผู้คนที่ทำงานอยู่ภายในโครงการ รวมถึงพื้นที่โดยรอบ” นายปณต กล่าว นายปณต กล่าวว่า “โครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ในเรื่องของคุณภาพชีวิตในที่ทำงาน ซึ่งมาตรฐานใหม่นี้กำลังจะกลายเป็นรูปธรรมด้วยสถาปัตยกรรมภายนอกและการออกแบบตกแต่งภายในที่ยอดเยี่ยมโดยบริษัท Palmer & Turner นอกจากนั้นพื้นที่มากกว่า 7,000 ตารางเมตรของโครงการยังถูกจัดสรรให้เป็นพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่ง กระจายตัวอยู่ทั่วโครงการ ผสมผสานกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นนวัตกรรมล้ำสมัย เทคโนโลยีชั้นเลิศที่ล้ำยุค สิ่งจำเป็นและความรื่นรมย์ต่างๆ ในการใช้ชีวิตที่ผ่านการคิดอย่างพิถีพิถัน เป็นโครงการแรกในประเทศไทยที่ออกแบบตามมาตรฐาน WELL” โครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) ได้ออกแบบจัดสรรให้มีสวนเขียวร่มรื่นเป็นพื้นที่ทอดยาวกว่า 200 เมตร โอบล้อมด้านหน้าโครงการทั้งฝั่งถนนพระราม 4 และถนนรัชดาภิเษก มอบบรรยากาศและความรู้สึกสบายพร้อมทั้งเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงามของถนนพระราม 4 ให้แก่ชุมชน ผู้มาเยี่ยมเยือน และผู้ที่สัญจรผ่านไปมา นอกจากนั้นยังออกแบบให้มีสวนลอยฟ้ากลางแจ้ง (Open-air Rooftop Garden) ขนาดพื้นที่รวมกว่า 3,400 ตารางเมตร ที่เขียวชอุ่มร่มรื่นไปด้วยพรรณไม้นานาชนิดและการตกแต่งด้วยธารน้ำอย่างสวยงาม มอบความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ ผสมผสานอยู่ในพื้นที่ส่วนต่างๆ ทั่วทั้งโครงการเพื่อให้กับทุกคนที่อยู่ภายในโครงการและผู้มาเยี่ยมเยือนสามารถเข้าถึงธรรมชาติได้ตลอดเวลาอีกด้วย นายปณต กล่าวว่า “การมีสุขภาพดีกลายเป็นสมบัติที่มีค่าอย่างยิ่งในยุคสมัยนี้ ซึ่งการมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีนั้น ได้ทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะล้วนส่งต่อความสามารถในการทำงาน เราจึงกำลังสร้างสถานที่ทำงานที่องค์กรต่างๆ จะสามารถมอบสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ส่งเสริมการมีสุขภาพดีให้กับพนักงานของตนเองได้ โดยโครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) ได้มุ่งเน้นการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งจำเป็นต่างๆ ที่จะช่วยส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ โครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) ยังตั้งอยู่ใกล้กับสวนเบญจกิติที่กำลังขยายพื้นที่ให้มีขนาดใหญ่กว่า 450 ไร่ อีกด้วย นางสาวซู หลิน ซูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) กล่าวว่า “เรากำลังสร้างอาคารสำนักงานที่มีขนาดพื้นที่ต่อชั้น (Floor Plate) ใหญ่ที่สุดในบรรดาอาคารสำนักงานทั้งหมดในกรุงเทพฯ เราเชื่อมั่นว่า      จะตอบสนองความต้องการในอนาคตของบริษัทต่างๆ ที่ต้องการรวมการบริหารจัดการและดำเนินธุรกิจทั้งหมดไว้บนชั้นเดียวกัน เพื่อให้การสื่อสารภายในองค์กรได้ดียิ่งขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และง่ายต่อการดำเนินการทางธุรกิจ โดยโครงการ    ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) ประกอบไปด้วยพื้นที่สำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม และโรงแรม จะผนึกกำลังกับโครงการต่างๆ ของกลุ่มทีซีซี ในพื้นที่โดยรอบ ทั้ง อาคาร FYI Center อาคารสำนักงานล้ำสมัยที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น และศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อทำให้เกิดเป็นย่านธุรกิจที่มีชีวิตชีวา และเป็นศูนย์กลางไมซ์ (MICE) ที่ใหญ่ที่สุด      ใจกลางกรุงเทพฯ โดยโครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) นั้นเชื่อมต่อโดยตรงกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เชื่อมต่อโดยตรงกับถนนพระราม 4 ถนนรัชดาภิเษก และถนนพระราม 3 และสามารถเข้าถึงระบบทางด่วนได้อย่างสะดวกง่ายดายอีกด้วย” เฟสแรกของ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) จะมีพื้นที่ให้เช่า (Net Leasable Area) 71,000 ตารางเมตร เป็นพื้นที่สำนักงานระดับพรีเมี่ยมโครงการแรกในประเทศไทย ที่ออกแบบตามมาตรฐานทั้ง LEED Gold และ WELL ขนาด 60,000 ตารางเมตร โดยจัดสรรพื้นที่ในแต่ละชั้นอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เปิดรับแสงธรรมชาติมากที่สุด มีขนาดของยูนิตที่หลากหลายตั้งแต่ 2,400 ถึง 5,100 ตารางเมตร โดดเด่นด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตในทุกๆ วัน ให้แก่ผู้ที่ทำงานในโครงการและผู้มาเยี่ยมเยือน อาทิ สวนลอยฟ้ากลางแจ้งขนาดใหญ่ คุณภาพอากาศหมุนเวียนภายในอาคาร น้ำดื่มที่จัดไว้ให้ในบริเวณพื้นที่เตรียมอาหารของทุกชั้น พื้นที่จอดจักรยานสำหรับผู้ที่สัญจรด้วยจักรยานและผู้ที่รักการออกกำลังกาย พร้อมทั้งส่งเสริมไลฟ์สไตล์คนเมืองที่สมดุลย์ ด้วยพื้นที่ร้านค้าปลีกระดับพรีเมี่ยม ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และศูนย์อาหารระดับคุณภาพ บนพื้นที่ขนาดรวม 11,000 ตารางเมตร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Eat Well and Shop Well” ร้านค้าปลีก ร้านค้าและร้านอาหารภายในโครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) จึงได้รับการเลือกสรรอย่างดีเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการและอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันทั้งในด้านสุขภาพและความงามได้อย่างครอบคลุมและครบถ้วน ให้บริการสำหรับผู้ที่ทำงานหรือทำกิจกรรมภายในโครงการ รวมทั้งผู้คนในพื้นที่โดยรอบ เฟสสองของโครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) อยู่ในระหว่างการวางแผนเพื่อจัดสรรให้เป็นพื้นที่สำนักงานระดับ    พรีเมี่ยมเพิ่มเติม โรงแรมหรือเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ ที่มุ่งเน้นให้บริการกลุ่มนักธุรกิจ และผู้คนในแวดวงต่างๆ ที่เดินทางมาประชุมและสัมมนาที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์อีกด้วย เฟสแรกของโครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) ซึ่งจะประกอบไปด้วยพื้นที่สำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก ได้จัดพิธียกเสาเอกเพื่อเริ่มการก่อสร้างแล้ว และมีกำหนดเปิดให้บริการเฟสแรกประมาณปลายปี พ.ศ. 2562 ส่วนโครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) ทั้งโครงการจะเสร็จสมบูรณ์ประมาณปี พ.ศ. 2566 โครงการ ‘The PARQ’ (เดอะ ปาร์ค) ตั้งอยู่บนที่ดินเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นระยะเวลา 30 ปี และได้รับสิทธิในการเช่าที่ดินต่อเนื่องต่ออีก 30 ปี
ทุ่ม 9 พันล้านขยายถนนนครอินทร์เชื่อมศาลายา

ทุ่ม 9 พันล้านขยายถนนนครอินทร์เชื่อมศาลายา

กรมทางหลวงชนบทผุดถนนใหม่ 6 เลน “นครอินทร์-ศาลายา” พาดยาว 12 กม. เชื่อมนนทบุรี-นครปฐม ทะลวงพื้นที่ปิดล้อม แก้รถติดโซนตะวันตก นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันผลศึกษาโครงการก่อสร้างถนนต่อเชื่อมถนนนครอินทร์-ศาลายา ทางบริษัทที่ปรึกษาได้สำรวจและออกแบบรายละเอียดเสร็จแล้ว ในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวม 9,200 ล้านบาท แยกเป็นค่าก่อสร้าง 4,600 ล้านบาท และค่าเวนคืนที่ดิน 4,600 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หากได้รับความเห็นชอบคาดว่าในปีงบประมาณ 2562 จะได้ดำเนินการออก พ.ร.ฎ.เวนคืนและสำรวจอสังหาริมทรัพย์ จะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปี แล้วเสร็จปี 2565 สำหรับโครงการถนนต่อเชื่อมถนนนครอินทร์-ศาลายา เป็นถนนตัดใหม่สร้างตามแนวตะวันตก-ตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ปิดล้อมขนาดใหญ่ (super block) ครอบคลุมพื้นที่ 90 ตร.กม. ซึ่งแนวเส้นทางจะพาดผ่านพื้นที่ 2 จังหวัด 3 อำเภอ ได้แก่ อ.บางกรวย อ.บางใหญ่ ของ จ.นนทบุรี และ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม มีระยะทางรวม 12 กม. “โครงการนี้จะช่วยเพิ่มเติมโครงข่าย เสริมประสิทธิภาพเส้นทางคมนาคม พร้อมแก้ไขการจราจรติดขัดพื้นที่โซนตะวันตกของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะบนถนนกาญจนาภิเษก ถนนบรมราชชนนี และเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วให้กับประชาชนในพื้นที่” นายพิศักดิ์กล่าวว่า แนวเส้นทางโครงการมีจุดเริ่มต้นบนทางหลวงชนบท สาย นฐ.5035 ช่วงด้านเหนือของเดอะรอยัลเจมส์กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ ห่างจากทางหลวงชนบท สาย นฐ.3004 (ศาลายา-บางภาษี) ประมาณ 1 กม. จากหมู่บ้านอาภากร และหมู่บ้านอาภากร 3 ไปทางทิศใต้ประมาณ 250 เมตร ทางทิศตะวันออกใกล้คลองนราภิรมย์ และทางแยกต่างระดับศาลายา สภาพการใช้ที่ดินโดยรอบเป็นอาคารพาณิชย์ ที่อยู่อาศัยและที่ว่าง จากนั้นแนวเส้นทางจะตัดผ่านทางหลวงชนบท สาย นบ.5014 ข้ามคลองสามท้าว ตัดทางหลวงชนบท สาย นบ.1001 ข้ามคลองจีนบ่าย คลองขุนเจน โดยแนวเส้นทางจะอยู่ทางทิศเหนือของศูนย์พัฒนาชีวิตใหม่ แล้วแนวจะเบี่ยงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ข้ามคลองลาดละมุด ผ่านทางหลวงชนบท สาย นบ.5035 ใกล้กับทางแยกเข้าวัดบางม่วง ข้ามคลองโสนน้อย ตัดผ่านทางหลวงชนบท สาย นบ.1001 บริเวณซอยอินทนิล ผ่านพื้นที่โล่งด้านหลังหมู่บ้านศุภาลัยการ์เด้นวิลล์ ข้ามคลองบางนาและคลองประปา ก่อนเบี่ยงขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือผ่านพื้นที่ระหว่างหมู่บ้านมัณฑนา กับอาคารโครงการบ้านเอื้ออาทร บางกรวย (วัดพระเงิน) โดยแนวจะอยู่ด้านทิศใต้ของวัดสุนทรธรรมิการาม ข้ามคลองหัวคู และเข้าบรรจบกับถนนกาญจนาภิเษกด้านตะวันตก บริเวณ กม.ที่ 11+997 เป็นจุดเชื่อมทางแยกต่างระดับบางคูเวียง เพื่อให้แนวเส้นทางต่อเชื่อมกับถนนนครอินทร์ได้โดยตรง ซึ่งสภาพการใช้ที่ดินปัจจุบันบริเวณโดยรอบจุดสิ้นสุดโครงการ มีอาคารพาณิชย์ ที่อยู่อาศัย (หมู่บ้านกฤษณา) และห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ คือ พลัสมอลล์ โลตัส ด้านรูปแบบโครงการ ประกอบด้วย ถนนถนนขนาด 6 ช่องจราจรไปและกลับพร้อมไหล่ทาง ทางแยกต่างระดับมี 2 แห่ง เป็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดโครงการที่ศาลายา และบางคูเวียง นอกจากนี้มีสะพานข้ามถนนเดิม คลองและสะพานลอยคนเดินข้าม   ที่มา : https://www.prachachat.net/property/news-85985
คอนโดใกล้มหาลัยฯ ดีมานด์แรง

คอนโดใกล้มหาลัยฯ ดีมานด์แรง

แต่ละปีมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยประมาณ 100,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะต้องมองหาที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของตัวเอง เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปเรียนและทำกิจกรรมตลอด 4 ปีเป็นอย่างน้อย แหล่งหอพักใกล้มหาวิทยาลัยมักจะเกิดเป็นชุมชนขนาดเล็ก ทำให้เกิดดีมานด์อยู่ไม่น้อยส่งผลถึงศักยภาพการลงทุนตามไปด้วย   ปกติแล้วเมื่อมีนักศึกษาใหม่เมื่อใกล้วันเปิดเทอมใหม่จะเริ่มมองหาหอพักใกล้มหาวิทยาลัยของตัวเองเพื่ออยู่อาศัย โดยผู้ปกครองมีส่วนในการตัดสินใจด้วย ปัจจัยในการเลือกหอพักคือเรื่องการเดินทางไปเรียนได้สะดวก รวดเร็ว อยู่ท่ามกลางแหล่งอาหารการกิน และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี แต่ละหอพักก็มีราคาค่าเช่าให้เลือกหลายระดับตั้งแต่หลักพันต้นๆ  ไปจนถึงหลักหมื่นกันเลยทีเดียว ซึ่งผู้ปกครองหลายครอบครัวเริ่มตระหนักถึงค่าใช้จ่ายในระยะยาวที่จะเกิดขึ้น จึงเริ่มหันมาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยเองกันมากขึ้น เพราะสามารถเก็บไว้อยู่อาศัยต่อตอนทำงาน หรือจะปล่อยเช่ารายเดือนต่อก็ได้ผลตอบแทนดีถึง 4-6% แถมโครงการคอนโดมิเนียมก็มีส่วนกลางสวยๆ ให้ได้ใช้บริการ ระบบการรักษาความปลอดภัยก็แน่นหนากว่าหอพักทั่วไป     ทางด้านผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ต่างก็เริ่มหันมาจับกลุ่มเป้าหมายในทำเลใกล้สถาบันการศึกษามากขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยกลุ่มเป้าหมายส่วนมากจะเป็นนักศึกษาที่ผู้ปกครองซื้อให้เพื่ออยู่อาศัยเอง และนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ทั้งเก็งกำไร และปล่อยเช่ารายเดือน ในระยะแรกของตลาดนี้ราคาคอนโดต่อยูนิตจะอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาท เหมาะสำหรับกลุ่มนักศึกษาที่ต้องการความสะดวกสบาย ไม่เน้นหรูหรามากนัก แต่หากทำเลไหนที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้า แหล่งอำนวยความสะดวกทั่วไปด้วย ราคาก็จะสูงตามตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ที่โดดเด่นที่สุดก็ย่านพหลโยธิน-เกษตร ที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำเลสามย่าน พญาไท ราชเทวี อยู่ใกล้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น   ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัด ที่จับกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษา ทำเลมาแรงที่สุดคือจังหวัดนครปฐม เพราะมีมหาวิทยาลัยที่เป็นวิทยาเขตขยายออกมาจากในกรุงเทพฯ เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน มีจำนวนนักศึกษาประมาณ 14,000 คน/ปี มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ จำนวนนักศึกษาประมาณ 13,000 คน/ปี และมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จำนวนนักศึกษาประมาณ 9,000 คน/ปี เป็นต้น นอกจากคอนโดมิเนียมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในราคาเริ่มเต้นเพียงล้านต้นๆ ยังมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้นจากในเมืองคือทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวที่สามารถซื้อได้ในราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มดีมานด์ที่ไม่ได้มาจากแค่นักศึกษาเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มบุคลากร อาจารย์มหาวิทยาลัย ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นทำเลใกล้มหาวิทยาลัยยังคงเป็นทำเลที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
มีอะไรใหม่ใน พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

มีอะไรใหม่ใน พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

เรื่องการเก็บภาษีเกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ผ่านมาประเทศไทยใช้ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 และพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 ซึ่งในปัจจุบันพบปัญหาขึ้นมากมาย ทั้งข้อจำกัดเกี่ยวกับอัตราภาษี ฐานภาษี รวมถึงการลดหย่อนภาษีไม่สอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน เพื่อปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจึงเกิดขึ้น และจะมีผลบังคับใช้ปี 2562 ใครได้-ใครเสีย ? หน่วยงานที่จัดเก็บภาษี คือ เทศบาลตำบล เทศบาลเมือง เทศบาลนคร องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ซึ่งรายได้จากการจัดเก็บภาษีนี้จะไปอยู่ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาท้องถิ่น โดยไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินหรือรายได้ของรัฐบาล ส่วนผู้ที่จะต้องเสียภาษี คือ ผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดที่ดิน สิ่งปลูกสร้างและห้องชุด หรือผู้ทำประโยชน์ในที่ดิน สิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์สินของรัฐ   อัตราภาษีฉบับใหม่ จะมีการเปลี่ยนการคิดจากค่าเช่า มาเป็นราคาประเมินที่ดิน และจากสิ่งปลูกสร้าง มาเป็นฐานภาษีแทน ซึ่งกรมธนารักษ์จะเป็นผู้กำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน ราคาประเมินทุนทรัพย์โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุด และอัตราค่าเสื่อมราคา ไม่จำเป็นต้องอาศัยดุลยพินิจของของเจ้าหน้าที่อีกต่อไป ตรงนี้ถือเป็นการลดขั้นตอน และป้องกันการเกิดคอรัปชั่น โดยมีการกำหนดอัตราภาษีเป็นเพดานแบ่งเป็นประเภททรัพย์สิน ดังนี้ ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อการเกษตร เพดานภาษีไม่เกิน 0.2% ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่ออยู่อาศัย เพดานภาษีไม่เกิน 0.5% ที่ดินเพื่อการพาณิชย์ เพดานภาษีไม่เกิน 2.0% ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ภาษีเริ่มต้นไม่เกิน 2% เพดานภาษีไม่เกิน 5.0% หากยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ก็จะเก็บเพิ่ม 0.5% ทุกๆ 3 ปี มากที่สุดไม่เกิน 5% *อัตราการเสียภาษีนี้เป็นข่าวที่ออกมาล่าสุด อาจยังไม่ใช่ข้อสรุปที่แท้จริง   วิธีการคำนวณภาษีที่ 1.กรณีที่ดินที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ภาระภาษี = มูลค่าที่ดิน x อัตราภาษี ทั้งนี้ กำหนดให้ มูลค่าที่ดิน = ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน (ต่อ ตร.ว.) x ขนาดพื้นที่ดิน 2.กรณีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาระภาษี = (มูลค่าที่ดิน + มูลค่าสิ่งปลูกสร้าง) x อัตราภาษี ทั้งนี้ กำหนดให้มูลค่าที่ดิน = ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน (ต่อ ตร.ว.) x ขนาดพื้นที่ดิน โดยมูลค่าสิ่งปลูกสร้าง = (ราคาประเมินทุนทรัพย์โรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง (ต่อ ตร.ม.) x ขนาดพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง) – ค่าเสื่อมราคา 3.กรณีห้องชุด ภาระภาษี = มูลค่าห้องชุด x อัตราภาษี ทั้งนี้ กำหนดให้ มูลค่าห้องชุด = ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุด (ต่อ ตร.ม.) x ขนาดพื้นที่ห้องชุด (ตร.ม.)   ข้อยกเว้น ตามเพดานการเสียภาษีแบบใหม่นี้ แม้ที่ดินรกร้างว่างเปล่าจะได้รับผลกระทบในการเสียภาษีมากที่สุด แต่จะถูกยกเว้นเมื่อที่ดินนั้นถูกมอบให้เป็นสาธารณะประโยชน์ โดยให้มีหน่วยราชการเข้าไปดูแลว่ามีการทำประโยชน์ดังกล่าวจริง ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ราชการแต่อย่างใด และที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย วาตภัย ภัยพิบัติต่างๆ ก็ยังได้รับการยกเว้นหรือบรรเทาภาระภาษีด้วยเช่นกัน ล่าสุดกำลังพิจารณาปรับการยกเว้น เช่น บ้านพักอาศัยที่มีราคาไม่เกิน 20 ล้านบาท บ้านหลังที่ 2 เถียงนา กระต๊อบ เพื่อการเกษตรที่มีราคาประเมินต่ำกว่า 50 ล้านบาท หากตั้งอยู่ในตำบลเดียวกันกับบ้านหลังแรกมูลค่าต่ำกว่า 10 ล้านบาท รวมถึงธุรกิจเอสเอ็มอี หรืออุตสาหกรรมขนาดเล็กที่จดทะเบียนแต่งตั้งบริษัท จะให้อยู่ในข่ายยกเว้น หลายคนเชื่อว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะมีส่วนช่วยให้ลดความเลื่อมล้ำทางสังคมได้ เพราะผู้ที่มีทรัพย์สินมูลค่าสูงจะต้องเสียภาษีมากกว่าผู้ที่มีทรัพย์สินมูลค่าต่ำ การกักตุนที่ดินเพื่อเก็งกำไรก็จะลดน้อยลงด้วย และยังสามารถสร้างรายได้ในระดับท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้นถึง 200,000 ล้านบาท โดยไม่ต้องรองบประมาณจากภาครัฐ แต่ในขณะเดียวกันหลายฝ่ายยังเห็นช่องว่างที่อาจทำให้เกิดปัญหา โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีประเภทกิจการท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว ซึ่ง ณ วันนี้ก็ยังหาข้อสรุปกันไม่ได้ สุดท้ายแล้ว พรบ. ที่จะออกมาบังคับใช้จริงจะมีบทสรุปอย่างไร จะได้ผลจริงตามที่คาดหวังหรือไม่ก็คงต้องรอดูกันต่อไปหลังจากบังคับใช้ไปแล้วสัก 2-3 ปี
โครงการ Mixed-Use บิ๊กโปรเจคตอบโจทย์คนยุคใหม่

โครงการ Mixed-Use บิ๊กโปรเจคตอบโจทย์คนยุคใหม่

  ราคาที่ดินในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ยิ่งทำเลที่มีการเดินทางสะดวกเข้าถึงง่าย ที่ดินแปลงสวยก็ยิ่งเป็นที่หมายปองของเหล่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการจับจองที่ดินสวยๆ ทำเลเหมาะสมแก่การพัฒนาโครงการต่อไป ซึ่งทุกวันนี้ก็เริ่มหายากมากขึ้นทุกที การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเพียงอย่างเดียวก็อาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป ในระยะ 6-7 ปีหลังเราจึงได้ยินคำว่าโครงการ Mixed-Use กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โครงการ Mixed-Use คืออาคารที่ผสมผสานระหว่างที่อยู่อาศัยกับอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ อาคารแบบมิกซ์ยูสจึงเป็นโครงการที่มีทั้งศูนย์การค้า โรงแรม ออฟฟิศ คอนโดมิเนียม รวมอยู่ในโครงการเดียวกัน แล้วแต่ว่าโครงการไหนจะมีการจัดการพื้นที่ในอาคารอย่างไร โดยหากมองในมุมของผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมโครงการมิกซ์ยูสลักษณะนี้จะสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ต้องเดินทางออกไปไหนก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ที่อาคารที่พักอาศัยของตัวเองอย่างครบครัน รวมถึงผู้เข้าพักในส่วนของโรงแรมเองทางโครงการก็สามารถอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวได้มากยิ่งขึ้น และในมุมมองของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เอง มิกซ์ยูสจะขยายโอกาสในการสร้างรายได้ประจำจากสัญญาเช่า, การขายกรรมสิทธิ์ ได้ผลกำไรระยะยาวให้กับ Developer ไม่ใช่เฉพาะการซื้อ-ขาย คอนโดเพียงอย่างเดียว เป็นการสร้างประโยชน์จากที่ดินราคาแพงได้อย่างคุ้มค่า เมื่อใน 1 โครงการ เกิดการใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย พื้นที่ใช้สอยก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย กลายเป็นบิ๊กโปรเจคทุ่มทุนสร้างจากหลากหลายค่ายที่ต่างก็จับจองทำเลที่ดีที่สุดสร้างอาณาจักรขึ้นมา ซึ่งคาดว่าภายในอีก 2-3 ปีนับจากนี้ เราก็จะเริ่มได้เห็นโครงการลักษณะนี้เสร็จสมบูรณ์ไปทีละโครงการ เช่น โรงแรมดุสิตธานี และ CPN ร่วมกันพัฒนาพื้นที่ของโรงแรมดุสิตาธานี บริเวณหัวมุมสี่แยกศาลาแดง หลังจากได้ต่อสัญญาเช่าระยาวอีก 60 ปี จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้เป็นโครงการที่มีทั้งโรงแรมดุสิตธานี, อาคารสำนักงาน, ที่พักอาศัย, และพื้นที่ค้าปลีก มูลค่าโครงการ 36,000 ล้านบาท แอมไชน่าทาวน์ โครงการสไตล์โมเดิร์น ไชนีส บนถนนเจริญกรุง โครงการนี้แบ่งออกเป็น 2 อาคาร ประกอบไปด้วยศูนย์การค้า ที่มีทั้งอาหารสตรีทฟู้ดแบบเยาวราช, ร้านอาหารชื่อดัง, สินค้าแฟชั่น, อัญมณี รวมถึงเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ส่วนอาคารที่ 2 จะเป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น แบบสัญญาเช่า 30 ปี มูลค่าโครงการรวม 4,000 ล้านบาท SINGHA COMPLEX ตั้งอยู่บนที่ดินเดิมของสถานทูตญี่ปุ่น ถนนอโศก-เพรชบุรีตัดใหม่ เป็น 2 อาคาร แบ่งเป็นพื้นที่สำนักงานเกรดเอ, พื้นที่ค้าปลีก, คอนโดระดับลักชัวรี่ มูลค่าโครงการไม่รวมที่ดินกว่า 4,000 ล้านบาท Whizdom 101 โครงการอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีปุณณวิถี มากับคอนเซ็ป The great good place มีทั้งสโมสรกีฬาและสุขภาพ, สำนักงาน co-working space, และที่พักอาศัยอีก 3 อาคาร งบประมาณการลงทุนประมาณ 30,000 ล้านบาท ICONSIAM อีกหนึ่งโครงการชื่อดังที่หลายคนรอคอย บนถนนเจริญนคร ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบไปด้วยศูนย์การค้า, คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่, พิพิธภัณฑ์ศูนย์รวมมรดกทางประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาไทย, ภัตาคารหรูจากทั่วโลก, ศูนย์ประชุม ฯลฯ งบประมาณการลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาท One Bangkok อีกโครงการระดับบิ๊กพื้นที่ 104 ไร่ ตรงหัวมุมสี่แยกวิทยุ ประกอบไปด้วยอาคารสำนักงาน 5 อาคาร, โรงแรมระดับลักชัวรี่ 5 แห่ง, ที่พักอาศัยระดับอัลตร้าลักชัวรี่ 3 อาคาร, พื้นที่ค้าปลีก, พื้นที่ทำกิจกรรม แสดงศิลปวัฒนธรรมต่างๆ มูลค่าการลงทุนสูงถึง 120,000 ล้านบาท The Super Tower หลายคนรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี เพราะหากสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อไรก็จะกลายเป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทยถึง 615 เมตร ประกอบไปด้วยสำนักงาน ระดับพรีเมี่ยม, โรงแรมระดับ 6 ดาว, ศูนย์ประชุม, ภัตตาคารลอยฟ้า ตั้งอยู่ในย่าน New CBD อย่างพระราม 9 มูลค่าการลงทุนประมาณ 18,000 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าโครงการ Mixed-Use นั้นสร้างประโยชน์มหาศาลได้รอบด้านให้กับทั้งเจ้าของโครงการ ผู้อาศัย ผู้ใช้บริการภายในอาคาร และยังเป็นการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าที่สุดในยุคที่ราคาที่ดินพุ่งสูงจนน่าตกใจ ซึ่งทั้งหมดรวมอยู่เพียงโครงการเดียว เป็น All In One อย่างมีประสิทธิภาพ
MQDC เปิดโปรเจกต์แฟลกชิพ “THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” ครั้งแรกของโลกที่ธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกัน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” นิยามความสุขที่แท้จริง มูลค่าโครงการมากกว่า 90,000 ล้านบาท

MQDC เปิดโปรเจกต์แฟลกชิพ “THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” ครั้งแรกของโลกที่ธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกัน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” นิยามความสุขที่แท้จริง มูลค่าโครงการมากกว่า 90,000 ล้านบาท

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC)  หนึ่งในธุรกิจภายใต้กลุ่มบริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (DTGO) ดำเนินกิจการพัฒนา ลงทุน และจัดการอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพ แบรนด์แมกโนเลียส์ (Magnolias) ดิ แอสเพน ทรี (The Aspen Tree) และ วิสซ์ดอม (Whizdom) เปิดตัวแผนพัฒนาธุรกิจบนพื้นที่บางนาสู่การพลิกวงการอสังหาริมทรัพย์ จับมือพาร์ทเนอร์ระดับโลกร่วมสร้างสรรค์โครงการ “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์” โปรเจกต์แฟลกชิพครั้งแรกของโลก มูลค่าไม่ต่ำกว่า 90,000 ล้านบาท นำเสนอโมเดลการใช้ชีวิตเข้ากับระบบนิเวศที่สมดุลเพื่อความสุขที่ยั่งยืน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” โดดเด่นด้วยการสร้างสรรค์ประสบการณ์แบบ Mixed-Use Lifestyle บนพื้นที่กว่า 300 ไร่ รายล้อมด้วยโครงการที่อยู่อาศัย พื้นที่รีเทล อาคารและสำนักงาน ศูนย์สุขภาพ อาคารนวัตกรรมแห่งอนาคต ผืนป่าสันทนาการ พื้นที่กิจกรรมสำหรับชุมชน ศูนย์เรียนรู้ และนับเป็นครั้งแรกของการสร้างระบบนิเวศของผืนป่าที่สมบูรณ์ขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย เพื่อตอบโจทย์ทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัว โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้าง ในปี พ.ศ. 2561 และแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2565 คุณวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า “ปัจจุบัน ความเจริญด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีนับว่ามีบทบาทความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมทั้งเชื่อมโยงชีวิตและไลฟ์สไตล์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งท่ามกลางความเจริญด้านวัตถุ ได้ส่งสัญญาณถึงปัญหาระดับโลกที่กำลังแทรกซึมและส่งผลกระทบต่อโลก อาทิ ระบบนิเวศธรรมชาติเสื่อมถอย เกิดช่องว่างของสมาชิกในครอบครัว สมาชิกต่างคนต่างใช้ชีวิต จนเกิดเป็นความห่างเหิน การเก็บตัว และอาจนำ ไปสู่ภาวะซึมเศร้า หรือการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสังคมผู้สูงอายุ เป็นต้น บริษัทมีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์และพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อลดช่องว่างและสร้างความสุขอย่างยั่งยืน ภายใต้คำมั่นสัญญา ‘for all well-being’ คือความตั้งใจในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตเพื่อส่งผลดีต่อทุกการดำเนินชีวิต พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโลก ผ่านการออกแบบที่ใส่ใจธรรมชาติ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ในการร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงการเพิ่มพื้นที่เพื่อให้คนในครอบครัวทั้ง 4 เจนเนอเรชั่น ได้แก่ ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ลูกหลาน และเหลน ได้ใช้เวลาร่วมกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันและกัน จนเกิดเป็นคอมมิวนิตี้ที่น่าอยู่ขึ้น “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์” เกิดบนคำถามที่ว่า “ความสุขที่แท้จริงของชีวิตเราคืออะไร?” อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายในการตอบ เพราะความสุขของแต่ละคนแตกต่างและไม่เท่ากัน แต่มีอย่างหนึ่งที่แน่นอนคือ ความสุขนั้น ต้องส่งผลให้กับตัวเราทั้งร่างกาย จิตใจ คนรอบข้าง และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา และนี่คือพื้นฐานของนิยาม “ความสุขที่ยั่งยืน” คุณกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า “ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในการสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่นำคำว่า “ความสุขที่แท้จริง” เป็นโจทย์ในการดำเนินงาน โดยเราได้ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกมาร่วมดีไซน์และสร้างสรรค์โครงการ เพื่อมอบความสุขที่แท้จริงในกับคนในยุคปัจจุบันและอนาคต จึงเกิดเป็นโปรเจกต์แฟลกชิพครั้งแรกของโลก “THE FORESTIAS - เดอะฟอเรสเทียส์” นิยามแห่งการสร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์สู่ปรากฏการณ์ใหม่ มูลค่าโครงการมากกว่า 90,000 ล้านบาท พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” ที่ให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่มีความสุขอย่างยั่งยืน โดยเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบ Mixed-Use Lifestyle โมเดลแรกของโลกที่ครบบริบูรณ์รายล้อมด้วยโครงการที่อยู่อาศัย พื้นที่รีเทล อาคารและสำนักงาน ศูนย์สุขภาพ อาคารนวัตกรรมแห่งอนาคต ผืนป่าสันทนาการ พื้นที่กิจกรรมสำหรับชุมชน ศูนย์เรียนรู้ และนับเป็นครั้งแรกของการสร้างธรรมชาติระบบนิเวศของผืนป่าที่สมบูรณ์ขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยในโครงการได้ใช้องค์ประกอบสำคัญ 4 หมวดใหญ่ หรือ Eternal 4 ประกอบด้วย คือ 50 Shades of Nature ความสุขในการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติระบบนิเวศขนาดใหญ่ Connecting 4 Generations ความสุขในการดีไซน์พื้นที่ความอบอุ่นให้กับครอบครัวได้ใช้ชีวิตร่วมกันครอบคลุมถึง 4 เจนเนอเรชั่น Community of Dreams ความสุขบนพื้นที่และสาธารณูปโภคที่ให้ทุกคนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน Sustainnovation for Well-being ความสุขด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ซึ่งนับเป็นดีเอ็นเอของ MQDC ที่สร้างแนวคิดใหม่ของการใช้ชีวิตทั้งในวันนี้และในอนาคตต่อไป”   “เราจับมือร่วมกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มาร่วมสร้างสรรค์ประสบการณ์การอยู่อาศัยภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุข นับเป็นโมเดลแรกของโลก ได้แก่ Foster + Partners ที่ปรึกษาการออกแบบวางผังและงานสถาปัตยกรรม EEC Engineering Network ร่วมวิจัยและพัฒนางานระบบอาคาร ตามแนวทางของบริษัทเรา คือ ยึดหลัก Sustainnovation ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้ามาสร้างต้นแบบของงานระบบอาคารที่เน้นความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของโครงการ Atelier Ten ร่วมทำวิจัย ศึกษาและวางแผนการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งรวมไปถึงระบบนิเวศให้มีความสมดุลและยั่งยืน โดยการใช้นวัตกรรมต่างๆ รวมถึงเป็นผู้ตรวจสอบและควบคุมการออกแบบและการก่อสร้างเพื่อเป็นต้นแบบของการพัฒนาโครงการชั้นนำของโลก ITEC Entertainment จะเป็นผู้สร้างสรรค์ประสบการณ์และสันทนาการที่จะเกิดขึ้นภายในโครงการ เพื่อทำให้ผู้อยู่อาศัยและผู้เยี่ยมเยือนโครงการได้พบกับประสบการณ์ที่พิเศษสุด Six Senses ร่วมบริหารและให้บริการด้านการบริหารโรงแรมและที่อยู่อาศัย (Hospitality and Residential) ที่ยึดหลักการอยู่อาศัยร่วมกับธรรมชาติ สุขภาพ และความยั่งยืน” คุณกิตติพันธุ์ กล่าวเสริม รวมทั้งคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่เข้ามาร่วมทำการศึกษา ซึ่งนับเป็นงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหม่ที่มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบจากการออกแบบพื้นที่และดีไซน์ของโปรเจกต์นี้ ที่มีต่อสุขภาพมนุษย์ ซึ่งการพัฒนาเมืองในโมเดลใหม่นี้ เป็นการผสมผสานการออกแบบอาคารให้ดีต่อสุขภาพ ควบคู่ไปกับความหลากหลายทางธรรมชาติ และโครงสร้างที่ก่อให้เกิดกิจกรรมที่ดีต่อสุขภาพ สิ่งนี้คือรากฐานของความสุข ทั้งนี้ โครงการ “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์” ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 300 ไร่ บริเวณบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 7 โดยเริ่มต้นดำเนินการก่อสร้างปี พ.ศ. 2561 และจะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2565
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยคอนโดเมืองท่องเที่ยวกินส่วนแบ่งอันดับ 1 หัวหิน-ชะอำราคาขายต่อพุ่ง 19% เทรนด์คนรุ่นใหม่ซื้อไว้พักผ่อน-ปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยคอนโดเมืองท่องเที่ยวกินส่วนแบ่งอันดับ 1 หัวหิน-ชะอำราคาขายต่อพุ่ง 19% เทรนด์คนรุ่นใหม่ซื้อไว้พักผ่อน-ปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรเผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ 5 เมืองท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หัวหิน-ชะอำ และเขาใหญ่ พบคอนโดมิเนียมมาแรงสุดขึ้นอันดับหนึ่งมาร์เก็ตแชร์สูง 76% ขณะที่บ้านเดี่ยวมีส่วนแบ่งอันดับสองที่ 19% ตามด้วยทาวน์เฮาส์ครองส่วนแบ่ง 5% เหตุเติบโตตามภาคการท่องเที่ยวที่ยังโดดเด่น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมมียอดขายเฉลี่ย 5 พื้นที่ 80% จากอุปทานราว 100,00 ยูนิต ส่งผลตลาดเช่าคึกคัก พื้นที่ภูเก็ตให้ผลตอบแทนต่อปี 6-8% ต่อปี พัทยาผลตอบแทนสูง 5-7% ต่อปี ด้านเขาใหญ่ราคารีเซลเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5 – 6% ต่อปี ส่วนราคาขายต่อยังคึกคักพื้นที่หัวหิน – ชะอำ ราคาขายต่อพุ่งแรงสุด ปี 2560 ราคาโครงการติดทะเลสูงจากปีก่อน 10% โครงการไม่ติดทะเลพุ่ง 19% พบเทรนด์คนรุ่นใหม่ชื่นชอบการซื้อไว้พักผ่อนและถือโอกาสปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยในทำเลเมืองท่องเที่ยวสำคัญ 5 พื้นที่ ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หัวหิน-ชะอำ และเขาใหญ่ พบว่าปัจจุบันที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมมีส่วนแบ่งการตลาดสูงเป็นอันดับ 1 ครองส่วนแบ่งถึง 76% (98,163 ยูนิต) ในขณะที่บ้านเดี่ยวครองส่วนแบ่งอันดับสองมี 19% (24,925 ยูนิต) และทาวน์เฮ้าส์ครองส่วนแบ่งอันดับสามที่ 5% (5,998 ยูนิต) โดยการสำรวจล่าสุดพบว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา (2558-2560) คอนโดมิเนียมเมืองท่องเที่ยวยังเติบโตได้ดีมียอดขายเฉลี่ยทั้ง 5 พื้นที่ประมาณ 80% จากอุปทานเกือบ 100,000 ยูนิต ซึ่งการตอบรับที่อยู่ในเกณฑ์ดีนี้มาจากการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างโดดเด่น และนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนระยะยาวนิยมเช่าคอนโดมิเนียมเป็นที่พักอาศัยส่งผลให้การปล่อยเช่าได้รับอัตราผลตอบแทนสูงแม้ในบางพื้นที่จะทำการได้จากการปล่อยเช่าได้เฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยวเที่ยวแต่ด้วยราคาปล่อยเช่าที่สูงกว่าทำเลทั่วไปจึงทำให้ยังมีคนสนใจซื้อเพื่อรองรับความต้องการพักผ่อนเองและปล่อยเช่าในบางช่วง อีกทั้งคนในพื้นที่เองก็นิยมซื้อไว้เป็นบ้านพักตากอากาศ และยังสามารถเก็บไว้เก็งกำไรได้เนื่องจากมองเห็นแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งพฤติกรรมการซื้อคอนโดมิเนียมในเมืองท่องเที่ยวของผู้บริโภคปัจจุบันนี้กำลังกลายเป็นเทรนด์ที่ไม่นิยมซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อวัตถุประสงค์ใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นลักษณะ time sharing ที่ไปพักเองเมื่อไหร่ก็ได้ และยังสามารถได้รายได้จากการปล่อยเช่า ซึ่งจะมาช่วยค่าผ่อนหรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะพื้นที่ เขาใหญ่ และ หัวหิน-ชะอำ การปล่อยเช่าแทบจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเกือบ 100% ดังนั้น การเข้าพักสูงในช่วงเดือน ตุลาคม - กุมภาพันธ์ โดยเข้าพักเฉลี่ยประมาณ 1.5 เดือน ซึ่งยังคงได้รับความนิยมเพราะผู้ซื้อยังต้องการเก็บไว้เพื่อพักผ่อนเองในบางโอกาส สำหรับตลาดปล่อยเช่านั้นและนำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) พบว่าที่เชียงใหม่นั้นคอนโดมิเนียมที่นำมาปล่อยเช่าขนาด 30 -60 ตารางเมตรจะคิดค่าเช่าอยู่ระหว่าง 10,000 – 25,000 บาทต่อเดือน  ด้านราคารีเซลในบางโครงการที่คอนโดมิเนียมขนาด 1 ห้องนอน 30 ตารางเมตร  ขายประมาณ 75,000-80,000 บาทต่อตารางเมตรหรือยูนิตละ 2.0-2.5 ล้านบาท โดยราคารีเซลเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 4-5% ต่อปี ส่วนในอนาคตคาดว่าราคามีโอกาสปรับขึ้นไปได้อีก เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สนับสนุนการเติบโตของเชียงใหม่ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โดยจะนำเทคโนโลยีชินคันเซ็นมาใช้ในโครงการนี้ นอกจากนี้ยังมีโครงการมอเตอร์เวย์เชื่อมเชียงใหม่-เชียงรายและโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ อีกจำนวนมาก ส่วนภูเก็ตโครงการคอนโดมิเนียมที่นิยมปล่อยเช่าห้องพักในรูปแบบสตูดิโอ และ 1 ห้องนอน ขนาดประมาณ 30-32 ตารางเมตร อัตราค่าเช่า City Condo ประมาณ 10,000 – 18,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการเช่า คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 6-8% สำหรับค่าเช่า Resort Condo ที่อยู่ติดหาด จะได้รับความนิยมโดยเฉพาะในช่วง High Season ค่าเช่าประมาณ 50,000 – 70,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 4-5% ราคาของคอนโดมิเนียมเฉลี่ยทั้งตลาดอยู่ที่ 99,700 บาทต่อตารางเมตร ขยับขึ้น 7% ปัจจุบันพบว่าคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ มีราคาเปิดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 130,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งส่วนมากเป็น Resort Property ที่อยู่ริมหาด สำหรับพื้นที่หัวหิน-ชะอำ สำหรับคอนโดที่นำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ที่ติดชายทะเล เฉลี่ยอยู่ที่ 135,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากตอนเปิดโครงการ 10% ส่วนโครงการที่ไม่ติดชายทะเลราคารีเซลอยู่ที่ 79,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากตอนเปิดโครงการ 19%  ด้านการปล่อยเช่า หากเป็นโครงการใจกลางเมืองที่ติดชายทะเล รูปแบบ 1 ห้องนอน ปล่อยเช่าได้ 35,000 – 45,000 บาทต่อเดือน รูปแบบ 2 ห้องนอน 55,000 – 70,000 บาทต่อเดือน ส่วนโครงการที่ไม่ติดทะเล รูปแบบ 1 ห้องนอน ปล่อยเช่าได้ 15,000 – 20,000 บาทต่อเดือน รูปแบบ 2 ห้องนอน 30,000 – 50,000 ต่อเดือน ขณะที่คอนโดมิเนียมในพัทยาพบราคารีเซลบางโครงการในพื้นที่พัทยากลางอยู่ที่ 110,000 บาทต่อตารางเมตร หากนำมาปล่อยเช่า (1 ห้องนอน ขนาด 30-35 ตารางเมตร) จะได้ค่าเช่าประมาณ 18,000-20,000 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าประมาณ 6-7% ต่อปี นอกจากนี้ยังพบว่าราคาขายเฉลี่ยยังเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5% ส่วนพื้นที่เขาใหญ่ ราคาขายรีเซลบางโครงการ (1 ห้องนอน 50-55 ตารางเมตร) เสนอขายประมาณ 92,000 บาทต่อตารางเมตร หรือยูนิตละ 4.6-5.2 ล้านบาท โดยราคาขายรีเซลเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5-6% อย่างไรก็ตาม คอนโดมิเนียมในพื้นที่เขาใหญ่นิยมปล่อยเช่าห้องพักแบบระยะสั้น หรือในช่วง High Season (พฤศจิกายน - มกราคม) “ช่วงปี 2559 - 2560 คอนโดมิเนียมในพื้นที่เชียงใหม่ หัวหิน-ชะอำและภูเก็ต ตลาดยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากอุปสงค์ที่นิยมซื้อเป็นบ้านพักตากอากาศ ส่วนในพื้นที่พัทยา และเขาใหญ่ ตลาดค่อนข้างทรงตัวจากการระบายอุปทานที่คงค้าง ในทางกลับกันยังมีการขยายตัวในบางทำเล ในบางช่วงราคาที่ยังมีกำลังซื้อ อย่างไรก็ตามยังมองเห็นทิศทางการขยายตัวในอนาคตที่คาดว่าตลาดจะเติบโตได้จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น อีกทั้งเริ่มพบเห็นอุปทานใหม่เริ่มทยอยเข้าสู่ตลาดบ้างแล้ว” นายอนุกูล กล่าว  
โรจนะเซ็น MOU ขายที่ดิน 300 ไร่กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ธุรกิจยานยนต์และโดรนจากจีน แจงยอดรับรู้รายได้ขายที่ดินบริษัทย่อย มูลค่ากว่า 1,200 ล้านส่งผลประกอบการปีนี้เกินเป้า

โรจนะเซ็น MOU ขายที่ดิน 300 ไร่กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ธุรกิจยานยนต์และโดรนจากจีน แจงยอดรับรู้รายได้ขายที่ดินบริษัทย่อย มูลค่ากว่า 1,200 ล้านส่งผลประกอบการปีนี้เกินเป้า

โรจนะคาดปีหน้าอนาคตสดใส เซ็น MOU ขายที่ดินกว่า 300 ไร่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยา ให้กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมยานยนต์-โดรนจากจีน เผยผลประกอบการปีนี้เกินเป้า ส่วนหนึ่งมียอดรับรู้รายได้ไตรมาส 4 จากการขายที่ดินของบริษัทย่อย มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท ชมนโยบายรัฐฟื้นญี่ปุ่นลงทุนไทย ยิ้มรับอานิสงส์จากแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก   นายจิระพงษ์ วินิชบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA เปิดเผยว่า จากภาพรวมภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในปีหน้ามีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยในส่วนของบริษัทฯมีแนวโน้มที่สดใสเช่นกัน บริษัทฯ มีการเซ็น MOU ขายที่ดินกว่า 300 ไร่ ที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยา ให้กับ PROJEN GROUP กลุ่มทุนรายใหญ่จากประเทศจีน ซึ่งประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์, โดรน ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ต้าหลี่ ส่วนผลประกอบการในปีนี้คาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ด้วยผลประกอบการ 9 เดือนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และสำหรับในไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 จะมีการรับรู้รายได้จากการขายที่ดินบริเวณซอยสุขุมวิท 66 ของบริษัท โรจนะ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เนื้อที่รวม 4-2-32 ไร่ คิดเป็นมูลค่ารวมสูงกว่า 1,200 ล้านบาท   “ที่ดินบริเวณซอยสุขุมวิท 66 ของบริษัทย่อย เป็นการเข้าไปซื้อที่ดินพร้อมงานฐานราก ซึ่งเราซื้อมานานก่อนที่จะมีโครงการรถไฟฟ้าผ่าน ปัจจุบันโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสเปิดดำเนินการแล้ว ส่งผลให้ที่ดินบริเวณนั้นมีมูลค่าสูงขึ้น เราจึงขายที่ดินได้ในราคาที่น่าพอใจมากๆ”   นายจิระพงษ์กล่าวต่อไปว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมภาคการลงทุนอย่างจริงจัง ทำให้ภาพรวมของภาวะการลงทุนจากต่างประเทศเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยมายาวนานถึง 130 ปี และเป็นประเทศที่ครองแชมป์ลงทุนในไทยมากที่สุด แต่ได้ชะลอการลงทุนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้นั้น ในปีนี้เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นรวมถึงประเทศอื่น ยังคงให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในไทย เนื่องจากองค์ประกอบหลายส่วน ทั้งความพร้อมทางสาธารณูปโภคสาธารณูปการ มาตรการที่เอื้ออำนวยจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นอกจากนั้นการที่รัฐบาลปัจจุบันมีการผลักดันให้เกิดการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ส่งผลให้มีมาตรการด้านต่างๆ รวมถึงการวางแผนและระยะเวลาในการจัดสาธารณูปโภคสาธารณูปการเข้าไปรองรับอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ส่งผลดีต่อโครงการสวนอุตสาหกรรมของบริษัท ที่มีหลายแห่งในโซนพื้นที่ดังกล่าวพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย ได้แก่ โครงการ แหลมฉบัง, บ่อวิน, ปลวกแดง, บ้านค่าย และ ปราจีนบุรี
บ้านลุมพินี ชวนเป็นเจ้าของทาวน์โฮมออฟฟิศ 
จอง-โอนวันนี้ รับส่วนลดสูงสุดเป็นล้าน

บ้านลุมพินี ชวนเป็นเจ้าของทาวน์โฮมออฟฟิศ 
จอง-โอนวันนี้ รับส่วนลดสูงสุดเป็นล้าน

“บ้านลุมพินี” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบในเครือ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP ภายใต้แนวคิด “บ้านลุมพินี บ้านน่าอยู่” ในแนวทาง “บ้านดี สิ่งแวดล้อมดี ดูแลดี ผู้คนดี” ชวนเป็นเจ้าของทาวน์โฮมออฟฟิศโครงการลุมพินี ทาวน์ เรสซิเดนซ์ บางนา-ศรีนครินทร์ พิเศษ 4 หลังสุดท้าย ขนาด 4 ชั้น 1 หลัง ราคาเริ่ม 12.5 ล้านบาท และขนาด 3 ชั้น 3 หลัง ราคาเริ่ม 8.74 ล้านบาท เพียงจองและโอนกรรมสิทธิ์ภายในสิ้นปีนี้ รับส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท โครงการลุมพินี ทาวน์เรสซิเดนซ์ บางนา-ศรีนครินทร์ มีการออกแบบในสไตล์โมเดิร์นที่เรียบง่ายและลงตัว ด้วยการใช้กระจกทั้งหมดเพื่อให้สามารถรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ และคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยสูงสุด สำหรับทาวน์โฮมออฟฟิศ ขนาด 4 ชั้น ออกแบบพื้นที่โถงให้มีความสูงจากพื้นถึงเพดาน 6 เมตร โดยชั้น 1 และชั้น 2 ปูพื้นกระเบื้องรองรับการใช้งานแบบสำนักงาน ส่วนขนาด 3 ชั้น ทุกห้องนอนสามารถปรับรูปแบบได้ตามสัดส่วนการใช้งาน เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์คนเมือง บนทำเลศักยภาพ ใกล้สาธารณูปโภคมากมาย พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยภายในโครงการ รวมทั้งการบริหารจัดการที่ดีจากทีมบริหารงานมืออาชีพจากบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LPN Call Center 02-689-6888 , www.lpn.co.th และ Facebook : Baan Lumpini
บิ๊กพฤกษา เปิดโรงงาน “พฤกษา พรีคาสท์” โชว์เทคโนโลยีระดับโลก

บิ๊กพฤกษา เปิดโรงงาน “พฤกษา พรีคาสท์” โชว์เทคโนโลยีระดับโลก

ทุกวันนี้จะเห็นว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของประเทศไทยต่างหันมาใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้นำเอานวัตกรรมการก่อสร้างแบบสำเร็จรูป โดยเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เป็นรายแรกในประเทศไทยที่นำเทคโนโลยีพรีคาสท์ (Precast) มาใช้ ตั้งแต่ปี 2547 ทำให้มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่น นายอมรพล ธูปะวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ สายงานโรงงานพฤกษา พรีคาสท์ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “นวัตกรรมพฤกษา พรีคาสท์” เป็นนวัตกรรมที่ทันสมัยที่สุดในโลกจากเยอรมนี ทำให้ได้บ้านที่แข็งแรงทนทาน ปลอดภัย  โดยพฤกษาได้นำมาใช้ตั้งแต่ปี 2547 ปัจจุบันมีโรงงานพฤกษา พรีคาสท์รวมทั้งหมด 7 โรงงานตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.ปทุมธานีทั้งหมด มีกำลังการผลิตรวม 1,120 ยูนิตต่อเดือน  ใช้งบลงทุนกว่า 4,700 ล้านบาท ทำการผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปเพื่อใช้ในการก่อสร้างบ้านในโครงการต่างๆ ของพฤกษาทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม  “เราเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯรายแรกของประเทศที่นำเอาเทคโนโลยีพรีคาสท์มาใช้ตั้งแต่ปี 2547 ทำให้มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญมากกว่ารายอื่นๆ ในประเทศ ใช้เทคโนโลยีได้มาตรฐานเทียบเท่าระดับโลก” นายอมรพล กล่าว การสร้างบ้านด้วยพรีคาสท์ นั้นมีข้อดีทั้งในส่วนของ “ลูกค้า” รวมถึง “ผู้ประกอบการเจ้าของโครงการ” กล่าวคือ ในส่วนของบริษัทฯนั้น สามารถควบคุมคุณภาพแผ่นคอนกรีตได้ทุกขั้นตอน ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ มั่นใจได้ในคุณภาพที่ได้มาตรฐานในทุกชิ้น ลดระยะเวลาการก่อสร้างหน้างาน ก้าวข้ามข้อจำกัดจำนวนช่างก่อสร้างส่งมอบทันเวลา และลดต้นทุนรวมถึงควบคุมราคาได้ ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบระบบการก่อสร้างแบบดั้งเดิม บ้านที่ก่อสร้างด้วยระบบ “พฤกษา พรีคาสท์”  มีประโยชน์ต่อลูกค้า หลายประการ ได้แก่ คุณภาพการก่อสร้างที่ดีกว่าด้วยการผลิตจากโรงงานที่ทันสมัยที่สุด เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ทุกขั้นตอนควบคุมการผลิตด้วยระบบคอมพิวเตอร์มั่นใจได้ในคุณภาพและมาตรฐาน ความแข็งแรง ทนทาน ผนังบ้านเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กทุกชิ้น จึงมีความคงทนแข็งแรงกว่าการก่อสร้างแบบผนังก่ออิฐทั่วไปหลายเท่า สามารถต้านทานแรงลมและแรงสั่นสะเทือน เพิ่มพื้นที่ใช้สอยมากกว่า การก่อสร้างโดยใช้ผนังคอนกรีตสำเร็จรูปที่แข็งแรงเป็นตัวรับน้ำหนักของบ้าน ไม่ต้องใช้เสาและคาน ทำให้บ้านมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น และสามารถ ออกแบบและตกแต่งภายในได้สวยงามลงตัวกว่า ป้องกันความร้อน และทนไฟไหม้ ได้มากกว่า 2 ชั่วโมง และป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ ดีกว่า ด้วยระบบการผลิตที่สามารถควบคุมต้นทุนได้ดี ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่สมเหตุสมผล  และได้เข้าอยู่อาศัยได้ตรงตามสัญญาจากการก่อสร้างที่รวดเร็ว จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่พฤกษา สามารถส่งมอบบ้านคุณภาพให้กับลูกค้าได้กว่า 13,000 ยูนิตต่อปีถือว่ามีจำนวนยูนิตมากที่สุดในวงการอสังหาฯ
Le Luk คอนโดมิเนียมตอบโจทย์ความสมบูรณ์แบบแห่งชีวิตที่คุ้มค่า

Le Luk คอนโดมิเนียมตอบโจทย์ความสมบูรณ์แบบแห่งชีวิตที่คุ้มค่า

การใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพแวดล้อมในอุดมคติ บนสุดยอดทำเลที่มีศักยภาพ ถือเป็นความสมบูรณ์แบบแห่งชีวิตที่คุ้มค่าที่สุด และสำหรับผู้ที่กำลังเฟ้นหาการลงทุนที่ใช่สำหรับตัวเองและคนสำคัญของชีวิตอยู่นั้น Le Luk คอนโดมิเนียมริมถนนสุขุมวิทติด BTS ที่ตั้งอยู่ใน W District บนทำเลที่ดีที่สุดของย่านพระโขนง คือการตอบโจทย์ที่ใช่และลงตัวที่สุดสำหรับผู้มองหาการลงทุนเพื่อเติมเต็มชีวิตที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบที่สุด เช่นเดียวกับคู่รักสุดสวีทซึ่งกำลังจะมีทายาทตัวน้อยออกมาเติมเต็มคำว่าครอบครัวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อย่าง พีท – พงพี และ ตูน – สุภัชชา ลีนะวงศ์ ที่มีมุมมองในการตัดสินใจเลือกเฟ้นคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนสำหรับตนเอง และเพื่อการเตรียมการสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับสมาชิกตัวน้อยของครอบครัวไว้อย่างน่าสนใจ   โดย พีท – พงพี ลีนะวงศ์ เล่าให้ฟังจากจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้ออกแบบห้องของทางโครงการ จนสู่การตัดสินใจเป็นผู้พักอาศัยในโครงการที่ตัวเองออกแบบนี้ว่า “ผมโชคดีที่มีโอกาสได้ทำงานออกแบบห้องที่นี่ ทำให้เห็นรายละเอียดอย่างใกล้ชิดของโครงการนี้ตั้งแต่เริ่มต้น  จึงค่อนข้างมั่นใจว่า Skywalk Residence ทั้ง 2 โครงการคือ Leluk condominium และ Sky Walk Condominium ตอบโจทย์สิ่งที่ผมต้องการ คือสามารถรองรับไลฟ์สไตล์ได้ทุกรูปแบบมีฟังก์ชั่นที่ครบครัน เพราะสำหรับผมบริเวณพื้นที่กว่า 80 ตารางเมตรห้องนี้ ต้องการให้สามารถเป็นได้ทั้งที่พักอาศัยส่วนตัว และในบางครั้งก็เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆ แบบส่วนตัวได้ นอกจากนี้ความน่าเชื่อถือและประสบการณ์ของดีเวลลอปเปอร์ ความสะดวกสบายในการเดินทางก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเป็น อันดับต้นๆ และเหนือสิ่งอื่นใดคือตอนนี้ครอบครัวของเรากำลังเตรียมต้อนรับสมาชิกตัวน้อย การเลือกซื้อคอนโดมิเนียมเปรียนเสมือนการลงทุนสำหรับอนาคตที่มั่นคงของครอบครัว และเป็นของขวัญชิ้นสำคัญที่พ่อและแม่มอบให้กับลูกของเรา” ด้าน ตูน - สุภัชชา ลีนะวงศ์ ในฐานะคุณแม่ซึ่งย่อมใส่ใจในรายละเอียดและเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวได้เล่าว่า “ตอนนี้ก็ตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เพิ่มบทบาทหน้าที่ของการเป็นคุณแม่อย่างเต็มตัว ตอนนี้ก็พยายามเตรียมความพร้อมให้ดีที่สุด เวลาทำอะไรก็จะใส่ใจในรายละเอียดมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน  แน่นอนว่าที่พักอาศัยคือพื้นฐานสำคัญของการใช้ชีวิตตูนถูกใจห้องที่นี่เพราะเน้นการตกแต่งดีไซน์ที่มีความสะดวก สบาย  มีสิ่งอำนวย ความสะดวกพร้อม ตูนจะคลอดน้องในเดือนธันวาคม นึกถึงบรรยากาศเวลาเพื่อนๆ มาเยี่ยม สังสรรค์ทำกับข้าวกินกัน พูดคุยกัน ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นส่วนตัว ระบบรักษาความปลอดภัยมั่นใจได้ ที่สำคัญอีกอย่างคือเรื่องของ ที่จอดรถที่มีเพียงพอสำหรับสมาชิกในครอบครัว และในอนาคตก็ยังสามารถเป็นนำไปลงทุนที่คุ้มค่าได้อีกด้วย เรียกว่าที่นี่คือที่พักอาศัยในอุดมคติจริงๆ ค่ะ” ดีไซน์โดยรวมของห้องให้เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันอบอุ่น เลือกใช้พื้นไม้สี white oak หรือสีไม้บีช ตัดกับผนังสีขาว และพื้นที่ภายในห้องครัวที่เลือกใช้หินอ่อน White Volakus ซึ่งทำให้ภายในห้องดูกว้างขวาง โปร่งโล่ง สบาย เนื่องจากห้องนี้ไม่ใช่ห้องเพื่อการพักผ่อนและสังสรรค์เท่านั้น แต่ยังคาดการณ์ถึงการลงทุนในอนาคต การออกแบบจึงมีการคำนึงถึงผู้เช่าในอนาคตไว้หากมีกลุ่มเป้าหมายที่สนใจเช่า ก็สามารถย้ายเข้าอยู่ได้เลย อีกทั้งฟังก์ชั่นภายในใช้เฟอร์นิเจอร์แบบบิลต์อินทั้งหมด อาทิ ตู้เก็บของภายในห้องครัว เลือกใช้พื้นผิวเป็นกระจกทำให้พื้นที่ภายในห้องดูกว้างขวางขึ้น หรือชั้นวางของตกแต่งขนาดเล็กด้านหลังโซฟาห้องรับแขก ที่อยู่ติดกับห้องนอนใหญ่ที่เน้นโทนสีไม้บีชสร้างบรรยากาศในการพักผ่อนในห้องนอนดูอบอุ่นมากขึ้น ขณะที่พื้นที่ภายในห้องนอนกว้างขวางเพราะการบิลต์อิน Walk in Closet บริเวณทางเชื่อมระหว่างห้องนอน และห้องน้ำ ทำให้มีพื้นที่พักผ่อนภายในห้องนอนมากยิ่งขึ้น Le Luk เป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ในทำเลที่ดีที่สุดในย่านพระโขนงใน W District เป็นโครงการ Mix used ประกอบด้วย โรงแรม CO Working Space ,TCDC Common  และ ร้านอาหาร Street Market ริมถนนสุขุมวิทติด BTS และเชื่อมทางด่วนรามอินทรา - อาจณรงค์ พร้อมด้วยทางเข้าออก 5 เส้นทาง บนพื้นที่กว่า 11 ไร่ ถือเป็นโอกาสสำคัญที่น่าจับจองสำหรับนักลงทุน เนื่องจากแนวโน้มของราคาคอนโดมิเนียมสูง ย่าน ทองหล่อ เอกมัย พระโขนง ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปี 2560 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยราคาที่ดินที่มีสามารถสร้างอาคารสูงได้มีการปรับราคาสูงขึ้น และการหาที่ดินในการสร้างอาคารสูงยากขึ้น ทางด้านตลาดการเช่าด้วยทำเลศักยภาพย่านพระโขนงสามารถจับกลุ่มลูกค้าผู้เช่าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวเอเซีย ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน และ สิงคโปร์ ซึ่งอัตราการเช่าอยู่ที่ 80%โดย Skywalk Residence มีบริการแบบครบวงจรทั้งการจัดหาผู้เช่า และดูแลสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทางผู้เช่าอย่างครบครัน
ไทวัสดุ เขย่าตลาดวัสดุก่อสร้างปลายปี ทุ่ม 600 ล้านผุดสาขาที่ 43 บนถนนชัยพฤกษ์

ไทวัสดุ เขย่าตลาดวัสดุก่อสร้างปลายปี ทุ่ม 600 ล้านผุดสาขาที่ 43 บนถนนชัยพฤกษ์

ไทวัสดุ ศูนย์รวมสินค้าบ้านของคนไทย เดินหน้าตอกย้ำผู้นำของตกแต่งบ้าน และ วัสดุก่อสร้าง ทุ่มเงินลงทุนกว่า 600 ล้านบาท เปิดสาขาที่ 43 บนถนนชัยพฤกษ์ หวังดูดลูกค้ากว่า 400,000 ครัวเรือนในรัศมี 10 กิโลเมตร ด้วยดีไซน์รูปแบบอาคารใหม่ และติดแอร์ทั้งศูนย์เพิ่มความสบายให้ลูกค้า บนพื้นที่ 17,000 ตารางเมตร ตอกย้ำสโลแกน “ครบเรื่องบ้าน ถูกและดี” นายสุทธิสาร  จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด  ผู้ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีก  ไทวัสดุ ,โฮมเวิร์ค และบ้าน  แอนด์ บียอนด์ ในกลุ่มเซ็นทรัล เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีกำหนดเปิดร้านไทวัสดุ สาขาชัยพฤกษ์ เป็นสาขาที่ 43 บนพื้นที่ 17,000 ตารางเมตร ในวันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2560 และสาขานี้จะเป็นศูนย์รวมสินค้าบ้านที่ใหญ่ที่สุด และมีสินค้าครบที่สุดบนถนนราชพฤกษ์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าเจ้าของบ้านรวมทั้งกลุ่มผู้รับเหมา ในรัศมี 10 กิโลเมตร ซึ่งจากการสำรวจพบว่ามีจำนวนบ้านมากกว่า 430,000 ครัวเรือน และมีโครงการที่กำลังเกิดขึ้นใหม่อีกมากกว่า 30 โครงการ ขณะเดียวกัน ยังได้มองไปถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในอนาคตที่จะเกิดขึ้นตามแนวถนนที่จะขยายไปเชื่อมกับถนนวงแหวนตะวันตก   สำหรับสาขานี้ ได้ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 19 ไร่ ใกล้จุดตัดถนนราชพฤษ์ และถนนชัยพฤกษ์ ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนาโครงการก่อสร้างถนนต่อเชื่อมถนนราชพฤกษ์ – ถนนกาญจนาภิเษก (แนวเหนือ – ใต้) ต่อไปอีก ทำให้มีการผุดโครงการหมู่บ้านต่างๆ ตามแนวถนนในอีกหลายๆ โครงการ อีกทั้งยังทำให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าได้อีกเป็นจำนวนมาก ทั้งทางด้านถนนวงแหวน ถนนชัยพฤษ์-ราชพฤกษ์ ลูกค้าตอนเหนือของจังหวัดปทุมธานี และฝั่งตะวันออก-ตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งคาดว่า สาขานี้จะทำยอดขายได้ไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาทต่อปี “ไทวัสดุ สาขาชัยพฤกษ์จะเป็นสาขาต้นแบบ เพราะเราDesign รูปแบบอาคารใหม่ และติดเครื่องปรับอากาศภายในทั้งศูนย์ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในเลือกซื้อสินค้า ด้วยสโลแกน  “ศูนย์รวมสินค้าบ้านของคนไทย” โดยเน้นความครบของสินค้า มีครบทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เครื่องมือช่าง, มีการจัดเรียงสินค้าที่สวย ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ เช่น สินค้าตกแต่ง กระเบื้องปูพื้น-ผนัง สุขภัณฑ์ ห้องครัว และยิ่งไปกว่านั้นเรามีครบด้วย Complete Kitchen Solution อาทิ ครัวปูน พร้อมบริการออกแบบ3D Design ฟรี, เฟอร์นิเจอร์ชุดครัวในรูปแบบ Complete set หรือ DIY Kitchen ที่ลูกค้าสามารถเลือก Mix&Match ชุดครัวได้เอง และชุดครัวสำเร็จ/ตู้กับข้าว ที่ลูกค้าสามารถยกไปวางได้เลย นอกจากนี้ พิเศษยิ่งขึ้นด้วย Contractor Gallery ที่ทำให้ลูกค้าเห็นตัวอย่างการใช้งานหรือติดตั้งจริงของวัสดุต่าง ๆ อีกด้วย ในส่วนของบริการ Home service เรามีทีมช่างที่ให้บริการติดตั้งและซ่อมแซมแก่ลูกค้า มั่นใจ ได้มาตรฐาน ตอบโจทย์ทุกปัญหาบ้าน ด้วยทีมช่างมืออาชีพ เพื่อตอกย้ำสโลแกน ครบเรื่องบ้าน  ถูกและดี” นายสุทธิสาร กล่าว นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มีการทำโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นยอดขาย ในสาขาใหม่ด้วย โดย 5 วันแรกของการเปิดสาขา คือวันที่ 1-5 ธันวาคม 2560 เพียงกด Like facebook thaiwatsadu fan page และ Share Location ไทวัสดุสาขาชัยพฤกษ์เปิดแล้ว! แจกฟรีบัตรกำนัลเงินสด มูลค่า 500 บาท  จำกัด 100 ท่านแรกต่อวัน (เริ่มแจกเวลา 08.00 น.บัตรกำนัลเงินสด 500 บาท ซื้อครบ 1,000 บาทขึ้นไป จึงใช้เป็นส่วนลดได้) และเมื่อสมัครสมาชิก The1Card  รับฟรี!!เสื้อยืดไทวัสดุ จำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย (เฉพาะการสมัครสมาชิกใหม่) ขณะเดียวกัน ยังมีแคมเปญรับของสมนาคุณฟรี ในระหว่างวันที่ 1-28 ธันวาคม 2560 อีกมากมาย อาทิ ช้อปครบรับฟรี ช้อปครบทุก 3,000 บาท  รับฟรี คูปองส่วนลด 300 บาท, รับเพิ่ม เมื่อช้อปครบทุก 30,000-59,999 บาท  รับฟรี เตาแม่เหล็กไฟฟ้า SHARP มูลค่า 2,290 บาท, รับเพิ่ม เมื่อช้อปครบ 60,000-99,999 บาท  กล้องติดรถยนต์ 4,200 บาท, รับเพิ่ม เมื่อช้อปครบ 100,000-299,999 บาท  บัตรกำนัลทองคำ หรือบัตรกำนัลเงินสด มูลค่า 5,000 บาท, รับเพิ่ม เมื่อช้อปครบ 300,000 บาทขึ้นไป  บัตรกำนัลทองคำ หรือบัตรกำนัลเงินสด มูลค่า 20,000 บาท และโปรโมชั่นพิเศษ เมื่อซื้อกลุ่มอิฐ ปูน เหล็ก ทุก 10,000 บาท รับฟรี คูปองส่วนลด 1,000 บาท  (ระหว่างวันที่ 1-8 ธันวาคม 2560) รับเพิ่ม เมื่อซื้อครบ 100,000-199,999 บาท รับบัตรกำนัลเงินสด 3,000 บาท, รับเพิ่ม เมื่อซื้อครบ 200,000-399,999 บาท รับบัตรกำนัลเงินสด 7,000 บาท, รับเพิ่ม เมื่อซื้อครบ 400,000 บาทขึ้นไป รับบัตรกำนัลเงินสด 15,000 บาท พิเศษ! สมาชิกที่มียอดซื้อสูงสุด  รับฟรี LED TV 55 นิ้ว  (1-28 ธ.ค 60) ซึ่งรายละเอียดโปรโมชั่นของสาขาพระราม 2 สามารถติดตามได้ใน www.thaiwatsadu.com หรือสอบถามได้ที่สาขาโดยตรง