Tag : News

2376 ผลลัพธ์
กลุ่มซีคอนปลื้มอานิสงค์ออนไลน์ดันยอดขาย 10 เดือนพุ่งแตะ 1,041 ลบ. เตรียมต่อยอดขยายฐานลูกค้า ปรับโฉมศูนย์บริการ เดินหน้ารุกตลาดทั้ง กทม. และต่างจังหวัด

กลุ่มซีคอนปลื้มอานิสงค์ออนไลน์ดันยอดขาย 10 เดือนพุ่งแตะ 1,041 ลบ. เตรียมต่อยอดขยายฐานลูกค้า ปรับโฉมศูนย์บริการ เดินหน้ารุกตลาดทั้ง กทม. และต่างจังหวัด

นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทซีคอนโฮม ผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้านรายแรกของไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เดินหน้าทำการตลาดภายใต้แนวคิด ‘Seacon Home First Class Experience’ เพื่อมอบประสบการณ์การสร้างบ้านระดับ ‘เฟิร์ส คลาส’ ซึ่งถือเป็นการปรับกลยุทธ์การสื่อสารครั้งใหญ่ของกลุ่มซีคอน โฮม ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับตัวของพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายตั้งแต่ มกราคม – ตุลาคม 2560 ได้รวม 213 หลัง รวมมูลค่า 1,041  ล้านบาท แบ่งเป็น ซีคอน โฮม 46 หลัง มูลค่ารวม 426 ล้านบาท, คอมแพคโฮม 100 หลัง มูลค่ารวม 462 ล้านบาท และบัดเจท โฮม 67 หลัง มูลค่ารวม 153 ล้านบาท ทั้งนี้ ความสำเร็จครั้งสำคัญตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา มาจาก 2 งานยักษ์ระดับประเทศ งานแรกคือ งาน Home Builder Expo & Materials 2017 ที่จัดขึ้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา  บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้สูงกว่าเป้าถึง 30% ภายใน 4 วัน รวม 32 หลัง มูลค่าเกือบ 200 ล้านบาท แบ่งเป็น ซีคอน โฮม 8 หลัง มูลค่ารวม 89 ล้านบาท คอมแพคโฮมและบัดเจทโฮมรวมกันที่ 24 หลัง มูลค่ารวม 106 ล้านบาท และความสำเร็จล่าสุดจากงานบ้านและสวนแฟร์ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ทะลุเป้าหมาย 100 ล้านบาทที่ตั้งไว้ เพราะสามารถทำยอดได้มากถึง 136 ล้านบาท แบ่งเป็น ซีคอน โฮม 5 หลัง มูลค่ารวม 51 ล้านบาท, คอมแพคโฮม 14 หลัง มูลค่ารวม 63 ล้านบาท และบัดเจท โฮม 8 หลัง มูลค่ารวม 22 ล้านบาท โดยบริษัทฯ คาดการณ์ว่าในปี 2560 จะสามารถสร้างยอดขายรวมได้ตามเป้าที่ 1,300 ล้านบาท สำหรับการปรับโฉมศูนย์บริการโฉมใหม่ในครั้งนี้ กลุ่มบริษัทซีคอนโฮม ได้นำร่องการปรับโฉมที่สำนักงานใหญ่สี่พระยาเป็นแห่งแรก เพื่อรองรับลูกค้าทุกกลุ่มไลฟ์สไตล์และช่วงวัย “ศูนย์บริการโฉมใหม่ถูกปรับให้ดูทันสมัย สวยงาม ปรับฟังก์ชั่นพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสมกับการใช้งาน และสามารถเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแต่ละกลุ่มได้อย่างลงตัวยิ่งขึ้น โดยออกแบบในสไตล์ Loft  ผสมผสานกับ Modern Style เพื่อต้อนรับลูกค้า 2 กลุ่ม ที่เป็นเป้าหมายหลักของซีคอน โฮม กลุ่มแรก คือ กลุ่มลูกค้าเดิมที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีความเชื่อมั่นในชื่อเสียงที่ดีของบริษัทฯ ต้องการบ้านที่ดูดี ภูมิฐาน เหมาะสมฐานะ ส่วนอีกกลุ่มคือกลุ่ม Gen Y ซึ่งชื่นชอบความทันสมัย โฉบเฉี่ยว ซึ่งโฉมใหม่ของสำนักงานขายที่ศูนย์สี่พระยา จะมีมุมต้อนรับลูกค้าทั้ง 2 สไตล์ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงความสะดวกสบายเมื่อมาติดต่อกับเรา และเราก็วางแผนที่จะทยอยปรับปรุงให้ครบทุกศูนย์ทั้งใน กทม. และต่างจังหวัด ภายในต้นปี 2562” นางสาวศุภิชชา อธิบายถึงรูปแบบการปรับโฉม ด้านกลยุทธ์การรุกตลาดในอนาคตของกลุ่มบริษัทซีคอนโฮมและมุมมองต่อภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านนั้น นางสาวศุภิชชา กล่าวแสดงมุมมองต่อประเด็นดังกล่าวว่า “ในปี 2560 กำลังซื้อเริ่มกลับมาอย่างชัดเจนพิจารณาจากยอดขายที่ได้จากบ้านหลังใหญ่เพิ่มขึ้นมาจากปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก อีกส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีที่ดินจึงตัดสินใจสร้างบ้านเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้หากวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมผู้บริโภคจะพบว่า ผู้บริโภคมีความรู้เกี่ยวกับการสร้างบ้าน การเลือกใช้วัสดุ กรรมวิธีการก่อสร้างมากขึ้น สรรหาสิ่งที่ตรงกับความต้องการของตัวเองมากที่สุด จากการเปรียบเทียบหลายๆ บริษัทฯ ก่อนที่ตัดสินใจเลือกบริษัทรับสร้างบ้าน ด้านราคาวัสดุในปี 2560 จากสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า  เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือน (ม.ค. – ก.ย.) ในปีที่   ผ่านมา พบว่า มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยรวมเฉลี่ยที่ 1.4% โดยหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ราคาสูงขึ้นถึงร้อยละ 8.2  หมวดไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ สูงขึ้นร้อยละ 3.3  หมวดผลิตภัณฑ์คอนกรีต สูงขึ้นร้อยละ 0.3  นั่นทำให้ซีคอน โฮม เราต้องมีการปรับราคาบ้านซีคอนโฮมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากต้นทุนการสร้างบ้านเพิ่มสูงขึ้น ส่วนเรื่องนวัตกรรมการพัฒนาวัสดุ ฝ่ายออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ  ได้ทำการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุที่ออกมาใหม่ๆ ตลอดเวลา ทั้งนี้ เพื่อสรรหาวัสดุที่เหมาะสมนำมาใช้กับบ้านซีคอน โฮม อาทิ การพัฒนาแบบบ้านแทนคุณ บ้านที่ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุ  โดยเลือกผลิตภัณฑ์ Elder Care Solution ของทาง SCG  ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาเพื่อผู้สูงอายุเท่านั้น  หรือเทคโนโลยี Active Airflow ของทาง SCG  ที่เรานำเข้ามาใช้กับบ้านซีคอน เพื่อให้บ้านเรากลายเป็นบ้านเย็น สามารถประหยัดพลังงาน ลดการใช้แอร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเทคโนโลยีใหม่ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเราพิจารณาแล้วว่าดี จึงนำมาปรับใช้ และเป็น option ให้ลูกค้าเลือกเพิ่มเติมเข้าไปในบ้าน  ซึ่งการออกแบบบ้านของเราก็ดูที่ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก  และใช้เทรนด์ของแบบบ้านที่ได้รับความนิยมในช่วงนั้นๆ มาประกอบ ด้านการแข่งขันของธุรกิจรับสร้างบ้านในปี 2561 นั้น คาดว่าจะมีการแข่งขันเพิ่มขึ้นแน่นอน โดยการแข่งขันจะเน้นไปที่การให้บริการหลังการขาย การบริการที่ครบวงจร การเสนอขายแบบบ้านผ่านเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นหลัก” “ในช่วง 45 วันสุดท้ายก่อนปิดฉากปี 2560 กลุ่มซีคอนโฮมจะจัดงานใหญ่ บิ๊กโปรโมชั่นปลายปี SMART HOME SMART DESIGN by SEACONhome ส่งท้ายปี เพื่อฉลองการเปิดศูนย์บริการรับสร้างบ้านโฉมใหม่ โดยคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายจากการจัดงานในครั้งนี้ได้ประมาณ 150 ล้านบาท โดยกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 24-26 พ.ย. ที่สำนักงานใหญ่สี่พระยา โดยเราได้มอบฟังก์ชั่นพิเศษ อาทิ CCTV ,ทางลาดสำหรับวีลแชร์ , Seacon Home Elder Care สำหรับบ้านใหม่ 6 แบบในราคาพิเศษสุด พร้อมรับนวัตกรรมคุณภาพจาก SCG *Active AIRflow™ System by SCG Living Tech ฟรี อีกด้วย” นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ กล่าวสรุป
อารียาฯ รุกบริการลูกค้าจับมือเซ็นเพย์ ขยายช่องทางจ่ายค่าผ่อนดาวน์ผ่านเคาน์เตอร์แคชเชียร์ในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป

อารียาฯ รุกบริการลูกค้าจับมือเซ็นเพย์ ขยายช่องทางจ่ายค่าผ่อนดาวน์ผ่านเคาน์เตอร์แคชเชียร์ในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป

น.ส.อุสราพร เจริญสวามิภักดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (กลาง) ร่วมกับนายพีรกร จำปาเงิน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเซ็นเพย์ เซ็นทรัลกรุ๊ป (ขวามือ) และนายเจษฎา ถนอมชาติ ผู้จัดการกลุ่มสินค้า เซ็นทรัลกรุ๊ป (ซ้ายมือ) เปิดช่องทางการชำระเงินค่าผ่อนดาวน์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้านอารียาฯ เจ้าแรกผ่านเคาน์เตอร์แคชเชียร์เซ็นทรัล และบริษัทในเครือ อาทิ แฟมิลี่มาร์ท, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และท้อปส์, โรบินสัน, บีทูเอส , ออฟฟิศเมท, ไทวัสดุ, โฮมเวิร์ค, บ้านแอนด์บียอนด์, เพาเวอร์บาย, เซกาเฟรโด, มัทสึโมโตะ คิโยชิ รวมทั้งสิ้น 1,774 สาขา ทั้งนี้ลูกค้าบ้านอารียาฯ สามารถใช้บริการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษค่าธรรมเนียมเพียง 7 บาทต่อบิลตั้งแต่วันนี้ - 31 มีนาคม 2561  ทั้งนี้อารียาฯ มีความตั้งใจในการแสวงหาทุกช่องทางในการอำนวยความสะดวกสบายแก่ลูกบ้านทั้งการให้บริการก่อนการขาย และหลังการขาย นอกเหนือจากนโยบายการส่งมอบที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ เป็นเลิศด้านทำเล งานออกแบบดีไซน์ และคุณภาพการก่อสร้าง  
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ทำตลาดเชิงรุกเจาะกลุ่มคนรักสัตว์ ตอกย้ำจุดขาย Pet-friendly Condo ในงาน Pet-a-Porter 2017

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ทำตลาดเชิงรุกเจาะกลุ่มคนรักสัตว์ ตอกย้ำจุดขาย Pet-friendly Condo ในงาน Pet-a-Porter 2017

บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรของเมืองไทย ผู้นำด้านการสร้างคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ เดินหน้าทำแผนการตลาดเชิงรุกเพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มคนรักสัตว์ ล่าสุด ร่วมกับ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ จัดงาน “The EmQuartier Pet-a-Porter 2017: Healthy Charity” พร้อมเนรมิต Pet Playground by Major Development พื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงพร้อมเครื่องเล่นให้เพื่อนๆ สี่ขาได้มาวิ่งออกกำลังยืดเส้นยืดสาย ตอกย้ำคอนเซ็ปต์ Pet-friendly Condominium ที่เข้าใจคนรักสัตว์อย่างแท้จริง “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เป็นบริษัทรายแรก ที่ทำคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างคุณภาพชีวิต และการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขระหว่างสัตว์เลี้ยง เจ้าของ และเพื่อนบ้าน โดยในปีนี้ เราได้มีการทำการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ และความรู้ความเข้าใจให้กับความเป็น Pet-Friendly Condominium ทั้งการทำสื่อประชาสัมพันธ์ออนไลน์ การทำกิจกรรมร่วมกับพันธมิตรที่รักสัตว์ เป็นต้น” นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าว ก่อนหน้านี้ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ประกาศลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกันกับ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกบ้านในการดูแลน้องหมาน้องแมวเป็นอย่างดีอีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดทำวิดีโอซีรี่ส์ชุด “ฮ่อง...ฮ่อง The Series By Major Development” ทั้งหมด 8 ตอน โดยจับเอาสัตว์เลี้ยงPet idolอย่างบูตะ และคากิ จากเพจ French Buta นำแสดง ติดตามได้ทาง Facebook Major Development PCL และ ทาง Youtube Major Development Channel ทุกวันอังคาร เวลา 6 โมงเย็น ยกเว้นตอนสุดท้ายคือวันจันทร์ที่ 25 ธันวาคมนี้ เวลา 6 โมงเย็นเช่นกัน
เดอะสเตจ เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ เชิญพิสูจน์ความสวยงามกับวิวบนชั้น Rooftop ครั้งแรก จัดอีเว้นท์และรับโปรฯสุดพิเศษ – พบมินิคอนเสิร์ตจากสิงโต นำโชค

เดอะสเตจ เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ เชิญพิสูจน์ความสวยงามกับวิวบนชั้น Rooftop ครั้งแรก จัดอีเว้นท์และรับโปรฯสุดพิเศษ – พบมินิคอนเสิร์ตจากสิงโต นำโชค

คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่หน้ากว้าง  “เดอะสเตจ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์”  พัฒนาโครงการโดย บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ใกล้รถไฟฟ้า 2 สาย ทั้งสายสีม่วงและสายสีน้ำเงิน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน เปิดชมวิวสวยบนชั้น Rooftop เป็นครั้งแรกได้ในงาน "The Stage Rooftop Infinite Night"  พบกับมินิคอนเสิร์ตจาก "สิงโต นำโชค" ในวันเสาร์ที่ 18 พ.ย. นี้ เวลา 14.00 - 19.00 น. และร่วมค้นหาคำตอบว่าเขาและเธอจะเป็นอย่างไรสำหรับตอนจบของ VDO เรื่องนี้ได้พร้อมกันในงาน  พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษ ฟรี!! ทุกค่าใช้จ่าย* จอง 10,000 บาท เข้าอยู่ได้เลย เริ่ม 2.7 ล้านบาท  พิเศษ!! ลูกค้าที่จองในงาน ลุ้นรับ iPhone X หรือ Gift Voucher Central มูลค่า 5,000 บาท*  นอกจากนี้ลูกค้าที่ลงทะเบียนและเข้าร่วมงาน ลุ้นรับ Apple Watch 1 รางวัล* สอบถามเพิ่มเติมโทร. 1232 กด 19  
ออลล์ อินสไปร์ฯ ทุ่มทุนสร้าง แบรนด์ CRM “INSPIRE HUB”เปิดตัว ALL INSPIRE LOUNGE บนพื้นที่ Paragon Cineplex

ออลล์ อินสไปร์ฯ ทุ่มทุนสร้าง แบรนด์ CRM “INSPIRE HUB”เปิดตัว ALL INSPIRE LOUNGE บนพื้นที่ Paragon Cineplex

บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบคอนโดมิเนียม  Low Rise  ภายใต้แบรนด์ ดิ เอ็กเซล และ ไรส์  เดินหน้าชูกลยุทธ์ซีอาร์เอ็ม CRM ด้วยนิยามใหม่ (Create Real Motivation) เพื่อสร้างแรงจูงใจที่แท้จริง ตอบสนองความต้องการด้าน Lifestyles วันนี้จึงเป็นจุดกำเนิดของ Inspire Hub (Brand CRM) ของ ออลล์ อินสไปร์ฯ  ล่าสุดจับมือกับพันธมิตรอย่าง พารากอน ซีนีเพล็กซ์ เตรียมเปิดตัว ALL INSPIRE LOUNGE ณ ชั้น 5 พารากอน ซีนีเพล็กซ์ เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการชมภาพยนตร์ ของครอบครัว ออลล์ อินสไปร์ ได้มีสิทธิพิเศษเหนือใคร!! นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นอกจากบริษัท ออลล์ อินสไปร์ จะเป็นผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต และผู้นำในเรื่องการออกแบบที่อยู่อาศัยที่มีดีไซน์ตรงกับความต้องการของลูกค้า ในราคาที่น่าจับต้องแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิต ตามสโลแกน “Class of Living” มากกว่าการส่งมอบเพียงแค่ที่อยู่อาศัย ด้วยการยกระดับทุก Lifestyles  ที่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เลือกทำให้กับครอบครัวของ ออลล์ อินสไปร์ฯ โดยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและส่งมอบดีๆ ต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิต ล่าสุดเปิดตัว  “ALL INSPIRE LOUNGE”  ซึ่งถือว่าเป็นการประกาศตัวตนของแบรนด์ ออลล์ อินสไปร์ฯ ได้ชัดเจน และยังเป็นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นอีกด้วย โดยผ่านกลยุทธ์ CRM  (Create Real Motivation)  ซึ่งถือว่าเป็นปรัชญาในการดำเนินงานของเรา เป็นการสร้างพลังในการสร้างสรรค์แรงจูงใจของการใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ตอบโจทย์อย่างแท้จริง และนอกเหนือจากสิ่งต่างๆ ที่ต้องการมอบให้แล้ว  ออลล์ อินสไปร์ ยังหวังสร้างความสุข รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับครอบครัวของออลล์ อินสไปร์ฯ เพื่อสังคมและชีวิตที่ดีขึ้นตลอดไป ออลล์ อินสไปร์ เลาจน์ (ALL INSPIRE LOUNGE) Life Style Space ของ ออลล์ อินสไปร์ เป็นความร่วมมือกับ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ในการเปิดประสบการณ์พิเศษเหนือใคร สำหรับการชมภาพยนตร์ ณ ชั้น 5 พารากอน ซีนีเพล็กซ์  ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อมอบสิทธิพิเศษและความประทับใจ ด้วยการให้บริการแบบเอ็กซ์คลูซีฟ มีพื้นที่เลานจ์ ขนาดกว่า 100 ตารางเมตร สามารถรองรับได้กว่า 30 คนในช่วงเวลาเดียวกันโดยจะเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00 – 21.00 น. ซึ่ง ครอบครัวของออลล์ อินสไปร์ฯ ที่มาใช้บริการจะได้รับสิทธิ์บริการ Wi-Fi Password  พร้อมด้วยเซตขนมและเครื่องดื่ม (Complimentary Set) ที่พร้อมเสิร์ฟเฉพาะที่ ออลล์ อินสไปร์ เลานจ์ที่เดียวเท่านั้น ซึ่งสามารถใช้เป็นมุมพักผ่อน นัดพบ ด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของออลล์ อินสไปร์ ไม่ว่าจะเป็น มุมตกแต่ง โซฟาและพรมที่สั่งทอพิเศษ พร้อมต้อนรับสมาชิก อินสไปร์ ฮับ “การเปิดตัว “ออลล์ อินสไปร์ เลานจ์” นับเป็นก้าวสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้สอดคล้อง Lifestyles และการประกาศความเป็นแบรนด์ ออลล์ อินสไปร์ ย่านใจกลางเมือง ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ด้วยการบริการพิเศษเหนือใคร  และในฐานะผู้บริหารมั่นใจว่า ออลล์ อินสไปร์ จะเป็นผู้พัฒนาและส่งมอบคุณภาพชีวิต ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับ Lifestyles  ในหลากหลายรูปแบบ  เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิต  “Class of Living” ครอบครัวของออลล์ อินสไปร์ทุกคน มั่นใจได้เลยว่า ทุกๆ อย่างที่ผมจะส่งมอบ ต้องเกินความคาดหวังของทุกๆ คนแน่นอน “ นายธนากร กล่าว    
จับตา Developer แข่งขันดุเดือด ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 60

จับตา Developer แข่งขันดุเดือด ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 60

เหลืออีกเพียงไม่ถึง 2 เดือน ก็จะสิ้นสุดปี 2560 แล้ว ซึ่งถือเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของหลายธุรกิจที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ก่อนปิดยอดประจำปี แม้ภาวะเศรษฐกิจอาจยังดูไม่สดใสนัก แต่ภาพรวมก็ยังคงมีแนวโน้มเติบโตขึ้น ประกอบกับตลาดหุ้นมีทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงปลายปี ทำให้ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลังจากชะลอตัวมา 2 ปี ในปีนี้มีจึงการเร่งขายกันมาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายปี ส่งผลให้เหล่า Developer รายใหญ่ต่างก็มียอดขายเกินเป้ากันไปหลายราย กำลังซื้อส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 65% และแนวราบ 35% ยอดขายภาพรวมเมื่อเทียบกับปีที่แล้วนั้นโตขึ้นถึง 28% เรียกได้ว่าเกินความคาดหมาย โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา หลาย Developer สามารถกวาดยอดขายไปได้อย่างล้นหลาม เช่น ศุภาลัย ช่วงไตรมาส 3 ทำยอดขายได้มากถึง 2.5 หมื่นล้านบาท, แสนสิริ ยอดขายไตรมาส 3 รวมแล้ว 2.4 หมื่นล้านบาท คาดว่ารวมรายได้ทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท, เอพี ตั้งแต่ต้นปีจนถึงช่วงกลางเดือนตุลาคม ยอดขายอยู่ที่ 29,300 ล้านบาท, แอล พี เอ็น ยอดขาย 9 เดือนแรก 12,000 ล้านบาท, ศุภาลัย 9 เดือนแรก รายได้ 25,120 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 93% ของยอดปีนี้, ออริจิ้น ไตรมาส 3 รายได้รวมอยู่ที่ 1,959.9  ล้านบาท ส่วนยอดรวม 9 เดือน 4,014.3 ล้านบาท เป็นต้น แต่สิ่งที่น่าจับตามองในช่วงปลายปีนี้ คือ การจัดกิจกรรมทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการจัดแคมเปญต่างๆ โปรโมชั่นของแต่ละเจ้าที่งัดเอากลยุทธเด็ดของตัวเองออกมาเพื่อระบายสต๊อกของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคอนโด ทาวน์โฮม หรือบ้านเดี่ยว ทำให้ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคมากขึ้นตามไปด้วย โดยเราจะมายกตัวอย่างแคมเปญ และโปรโมชั่นในช่วงโค้งสุดท้าย จากบางค่ายมาให้ชมกัน ดังนี้ แสนสิริ เตรียมจัดแคมเปญส่งท้ายปีในงานอีเว้นท์ "Sansiri Life Comes Home 2017" วันที่ 24-26 พ.ย. นี้ ณ แฟชั่นฮอลล์ สยามพารากอน ภายในงานจะนำ 42 โครงการ มาจัดโปรโมชั่นส่วนลด เช่น ส่วนลด 50,000 บาท รับไอโฟน 10 เมื่อลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ และเมื่อจองโครงการใหม่ อีกทั้งลุ้นรับรางวัลเมื่อจองซื้อในงาน มูลค่ารวม 500,000 บาท เช่น ไอแพดโปร, บัตรที่พักโรงแรมเอสเคปเขาใหญ่-หัวหิน, แพ็คเกจการเงิน ฯลฯ อนันดา จัดแคมเปญ "ผ่อนเบาล้านละ 999 บาท "สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อบ้านกสิกรไทยเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการแนวราบ ผ่อนชำระล้านละเพียง 999 บาท/เดือน ในช่วง 1 ปีแรก ไซมิส มีการเปิดขายโครงการ "ไซมิส คิน" ย่านรามอินทรา โครงการ "ไซมิส จอยญ่า สุขุมวิท 87" และโครงการ "ไซมิส เอ็กซ์คลูซีฟ" ย่านรัชดาภิเษก โดยทั้ง 3 โครงการนี้จะนำไปออกโรดโชว์ในประเทศจีน และอินเดีย ก่อนจะกลับมาเปิดตัวในบ้านเราปีหน้า เอพี กับโครงการใหญ่ของปี "ไลฟ์ อโศก-พระราม 9" มีการเปิดจองพรีเซลไปแล้ว พร้อมสิทธิพิเศษ เช่น ลดสูงสุด 300,000 บาท จองพร้อมทำสัญญา 5% ได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 100,000 บาท ซึ่งก็ได้กระแสตอบรับดีอยู่ไม่น้อย ไม่แพ้โครงการไลฟ์ลาดพร้าว และไลฟ์ ไวร์เลส โครงการก่อนหน้าในปีนี้ที่ห้องหมดเกลี้ยงในพริบตา โดยสามารถกวาดยอดไปได้ 96% พฤกษา จะเน้นขายสต๊อกที่มีอยู่ โดยจะมีการทำแคมเปญ เช่น “ Best Buy Moment ลุ้นรวยทอง” แจกทองคำมูลค่ากว่า 7 ล้านบาท เมื่อจองทาวน์โฮมบ้านพฤกษา และเดอะคอนเนค 58 แคมเปญ “BIG LIFE BIG LUCK” ลุ้นรับรถยนต์ฮอนด้า แจ๊ส 10 คัน เมื่อจองทาวน์เฮาส์แบรนด์พฤกษาวิลล์ และพาทิโอ อารียา จัดแคมเปญ "หมดข้ออ้างที่จะมีบ้านและคอนโด" ใน 22 โครงการ ระหว่างวันที่ 1 พ.ย.-17 ธ.ค. โดยมีโปรโมชั่น 3 แบบ คือ อยู่ฟรี 1 ปี หรือเปลี่ยนส่วนลดเป็นเงินสด ลูกค้าที่จองบ้านแลกรับเฟอร์นิเจอร์เอสบี มูลค่าสูงสุด 2-3.3 แสนบาท ลูกค้าที่จองคอนโดแลกรับเฟอร์นิเจอร์เอสบี มูลค่าสูงสุด 30,000-70,000 บาท และสัญญาณอินเตอร์เน็ตจากเอไอเอส ไฟเบอร์ 100 Mbps 1 ปี เนอวานา ไดอิ จัดแคมเปญ “CUSTOMIZE YOUR MAGIC เติมเต็มทุกความรู้สึก” มาพร้อมโปรโมชั่น Built-in ครบทั้งหลัง มูลค่าสูงสุด 8 ล้านบาท สำหรับ 5 โครงการ แบรนด์เนอวานา ไดอิ, ผ่อนเริ่มต้นล้านละ 1,000 บาท/เดือน สำหรับโฮมออฟฟิศ สิงห์ เอสเตท เปิดขายโครงการดิ เอส สุขุมวิท 36 ในวันที่ 18-19 พ.ย. พร้อมสิทธิพิเศษในการลดราคามากถึง 2-8 แสนบาท ช่วงโค้งสุดท้ายของปีถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่ตลาดจะกลับมาคึกคักกันอีกครั้ง ยิ่งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จัดโปรโมชั่นกันมากเท่าไร ก็ยิ่งส่งผลดีต่อผู้บริโภคอย่างเราๆ ให้ได้มีทางเลือกมากขึ้น
อนันดาฯ โชว์ผลงานโดดเด่นยอดขาย Q3 ดีกว่าเป้า ถึง 52% ยอดแบ็คล็อคพุ่งนิวไฮ ลุยปรับเพิ่มเป้ายอดขายทั้งปีอีก 5% เป็น 32,588 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดโอน Q4 เกือบ 15,000 ล้านบาท

อนันดาฯ โชว์ผลงานโดดเด่นยอดขาย Q3 ดีกว่าเป้า ถึง 52% ยอดแบ็คล็อคพุ่งนิวไฮ ลุยปรับเพิ่มเป้ายอดขายทั้งปีอีก 5% เป็น 32,588 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดโอน Q4 เกือบ 15,000 ล้านบาท

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า โชว์ศักยภาพการดำเนินงานที่ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายจากที่ตั้งเป้าไว้ เผยไตรมาส 3/2560 บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 6,350 ล้านบาท ถึง 52% จากยอดขายโครงการใหม่ และโครงการที่เปิดตัวก่อนหน้า นอกจากนี้ประกาศปรับเพิ่มเป้ายอดขายทั้งปีอีก 5% เป็น 32,588 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อค) ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2560 กำหนดโอนภายในช่วง 4 ปีข้างหน้า จำนวนกว่า 54,400 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นสถิติอีกครั้ง โดยเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ในไตรมาส 4/2560 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดโอนส่วนใหญ่คิดเป็นสัดส่วนถึง 64% ของเป้าหมายยอดโอนทั้งปีกว่า 23,000 ล้านบาท บริษัทฯ จะสามารถสร้างยอดโอนทั้งปีที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น 45% จากปีก่อน นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ที่ผ่านมานับว่า บริษัทมีภาพรวมการดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมีผลประกอบการที่โดดเด่นเป็นที่น่าพอใจ  โดยมีตัวเลขยอดขายในไตรมาส 3 เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 6,350 ล้านบาท ถึง 52% จากยอดขายโครงการใหม่ และโครงการที่เปิดตัวก่อนหน้า พร้อมประกาศปรับเพิ่มเป้ายอดขายทั้งปีอีก 5% เป็น 32,588 ล้านบาท ทำให้มียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อค) ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2560 กำหนดโอนภายในช่วง 4 ปีข้างหน้า จำนวนกว่า 54,400 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นสถิติอีกครั้ง โดยเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ในไตรมาส 4/2560 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดโอนส่วนใหญ่คิดเป็นสัดส่วนถึง 64% ของเป้าหมายยอดโอนทั้งปีกว่า 23,000 ล้านบาท ในไตรมาส 3 นี้ บริษัทฯ เปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ติดรถไฟฟ้าบน 2 ทำเล และโครงการแนบราบใหม่ 3 ทำเล ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 7,687 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม มูลค่ารวมกว่า 4,435 ล้านบาท ได้แก่ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 40 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเอกมัย มูลค่าโครงการกว่า 2,057 ล้านบาท โครงการไอดีโอ โมบิ รางน้ำ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มูลค่าโครงการกว่า 2,377 ล้านบาท โครงการแนวราบ ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 3,252 ล้านบาท ได้แก่ โครงการแอริ พระราม 5 – ราชพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 792 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ บนถนนพระราม 5 จังหวัดนนทบุรี โครงการอาร์เทล เกษตร-นวมินทร์ มูลค่าโครงการ 1,658 ล้านบาท และโครงการเอโทล วงแหวน-ลำลูกกา ใกล้กับรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว มูลค่าโครงการ 802 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 นี้ บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 9,645 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้ที่ 6,350 ล้านบาท ถึง 52% โดยยอดขายที่แข็งแกร่งส่วนหนึ่งมาจากความต้องการซื้อจากลูกค้าที่ดีกว่าคาด และจากการเลื่อนเปิดโครงการใหม่เร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในช่วงต้นปี มูลค่ากว่า 4,435 ล้านบาท ทั้งนี้ในครึ่งปีแรก บริษัทฯ สร้างยอดขายได้ 77% ของเป้ายอดขายทั้งปี และมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 2 โครงการ โดยผลจากความสำเร็จดังกล่าวมาจากตัวโครงการอยู่ในทำเลติดรถไฟฟ้า สะดวกสบายในการอยู่อาศัย มีการนำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้ในโครงการ และราคาที่เหมาะสมสามารถจับต้องได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 1,692 ล้านบาท ลดลง 28% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่บริษัทฯ มีรายได้อื่นจำนวนกว่า 1,066 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากรายได้จากโครงการร่วมทุน ทำให้บริษัทฯ สร้างรายได้รวมจำนวน 2,759 ล้านบาท ลดลง 7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 141 ล้านบาท ลดลง 44% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากรายได้ที่ลดลง และการเปิดโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้น โดยในไตรมาส 4/2560 บริษัทฯตั้งเป้าหมายยอดโอนส่วนใหญ่คิดเป็นสัดส่วนถึง 64% ของเป้าหมายยอดโอนทั้งปีกว่า 23,000 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในช่วงที่เรียกว่า "ระยะเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน" ซึ่งในปี 2559 สร้างยอดโอนเติบโต 65% จากปีก่อน ตลอดจนแผนงานในการเติบโต 45% จากปี 2559 สำหรับการโอนในปี 2560 อยู่ที่กว่า 23,000 ล้านบาท ซึ่งมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่จะโอนในปี 2560 มูลค่ากว่า 13,700 ล้านบาท คิดเป็น 93% ของเป้ายอดโอนในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งรวมส่วนแบ่งยอดโอนของอนันดา และมิตซุย ฟูโดซัง บริษัทฯ ยังคงรักษาวินัยทางการเงิน และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจให้เติบโต พร้อมยังคงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิซึ่งหักด้วยเงินสดต่อส่วนทุนอยู่ที่ 0.84 :1 เท่านั้น นอกจากนี้กระแสเงินสดของบริษัทฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นสุดไตรมาสยังคงรักษาเงินสดขนาดใหญ่ที่มีมากกว่า 1,400 ล้านบาท  ซึ่งบริษัทฯ ยังคงได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการเงินสดของบริษัทฯตลอดทั้งปี สามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ ทั้งนี้ในเดือนตุลาคมปี 2560 บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี ด้วยต้นทุนหุ้นกู้เพียง 3.50% ซึ่งเป็นต้นทุนต่ำสุดเป็นสถิติอีกครั้ง ลดลงจากที่บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ต้นทุน 3.95% และลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 5.40% ที่ออกหุ้นกู้เมื่อ 3 ปีก่อน” นายชานนท์ กล่าว ในปี 2561 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดโอนเติบโต 76% อยู่ในระดับกว่า 40,500 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดโอนในปี 2560 ที่ระดับ 23,000 ล้านบาท โดยในปี 2561 บริษัทฯ คาดว่าจะมีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอน สูงถึง 11 โครงการ เพิ่มขึ้นจากในปี 2560 ที่มี 10 โครงการใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอนจากวงจรเงินทุน ทำให้บริษัทฯ เปิดขายโครงการใหม่ในปี 2561 ด้วยมูลค่าโครงการ เพิ่มขึ้น 15% อยู่ในระดับกว่า 48,000 ล้านบาท จากเป้ากว่า 41,800 ล้านบาทในปี 2560 โดยในปี 2561 บริษัทจะเปิดขายโครงการใหม่ 22 โครงการ โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 13 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซัง 7 โครงการ และโครงการแนวราบ 9 โครงการ จากมูลค่าเปิดขายโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ในปี 2561 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นอีก 24% เป็นกว่า 40,500 ล้านบาท จากเป้ายอดขายในระดับกว่า 32,600 ล้านบาท ในปี 2560 พร้อมเป้าหมายในการรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนในระดับประมาณ 1:1 สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวในการบริหารงานของบริษัทอีกด้วย “บริษัทฯ รักษาการเติบโตของธุรกิจ และผลการดำเนินงานที่ดี รวมถึงยังรักษาความมีวินัยด้านต้นทุนการดำเนินงาน และการกู้ยืมอีกด้วย โดย อนันดาฯ ยังคงครองความเป็นผู้นำคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งด้านการออกแบบอาคาร และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านอื่นๆ ทำให้ยังคงตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมต่อไป พร้อมมุ่งมั่นต่อการกำกับดูแลกิจการที่ดีที่สุดและโปร่งใส โดยได้รับคะแนนทางด้านการกำกับดูแลกิจการในระดับสูงสุด 5 ดาว เพิ่มขึ้นจากระดับ 4 ดาวในปีก่อน รวมทั้งการกำกับดูแลกิจการที่ดี และโปร่งใส ให้แก่นักลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยตลาดหลักทรัพย์ได้เสนอชื่อให้บริษัทฯ เข้าชิงรางวัลนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยมให้แก่บริษัทประจำปี 2560 อีกทั้งนิตยสาร IR Magazine ได้เสนอชื่อให้บริษัทฯ เข้าชิงรางวัลนักลงทุนยอดเยี่ยมในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2560” นายชานนท์ กล่าวตอนท้าย
โครงการใหม่ ของบริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ประเดิมโลเคชั่นแรกย่านเตาปูน แค่ 0 ก้าวจากรถไฟฟ้า

โครงการใหม่ ของบริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ประเดิมโลเคชั่นแรกย่านเตาปูน แค่ 0 ก้าวจากรถไฟฟ้า

เพราะชีวิตส่วนใหญ่ หายไปกับการเดินทาง จะดีกว่าไหมถ้าเอาเวลาในการเดินทางในแต่ละวันมาทำอย่างอื่นเพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น  “เตาปูน” ทำเลที่ซัพพอร์ตชีวิตและการทำงานเพื่อคนรุ่นใหม่ ได้ enjoy กับชีวิตอิสระมากขึ้นในทำเลติดแนวรถไฟฟ้าและเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย ซึ่งเป็นเทรนด์ในการอยู่อาศัยของคนเจน Y ที่รักการใช้ชีวิตแบบทันสมัย โดยเฉพาะในยุคนี้คนส่วนใหญ่มักจะมองหาคอนโดในทำเล “ติด” รถไฟฟ้า ยิ่งถ้าใกล้ แค่ 0 ก้าวจากรถไฟฟ้า ยิ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ เพราะสามารถเปลี่ยนจากวิถีชีวิตอันแสนวุ่นวาย และความเหนื่อยล้า ให้กลายเป็น “ความฟิน” ได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากใครที่ต้องทำงานหรือเดินทางตลอดทั้งวัน การมองหาที่อยู่อาศัยที่ติดรถไฟฟ้าเพียงระยะแค่ 0 ก้าว นับเป็นไอเดียที่แสนบรรเจิด หลังจากเสนาฯ ประกาศเป็นพันธมิตรเหนียวแน่นกับ “ ฮันคิว เรียลตี้ “ หนึ่งในกลุ่มบริษัท Hankyu Hanshin Holding Group ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของญี่ปุ่น และสร้าง Talk of the Town ให้กับวงการคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า กับความสำเร็จของการเปิดตัวคอนโดมิเนียมร่วมทุนโครงการแรก แบรนด์ นิช โมโน สุขุมวิท-แบริ่ง จากกระแสการตอบรับดีเกินคาด  ด้วยจุดขายอยู่ที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบ “Geo Fit+” ซึ่งเป็นแนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เข้าใจความต้องการของผู้อยู่อาศัยอย่างลึกซึ้ง เน้นการพัฒนาฟังก์ชั่นการใช้งานที่มีประสิทธิภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้อยู่อาศัย และเร็ว ๆ นี้ ทางเสนา เตรียมเดินหน้าตอกย้ำการพัฒนาโครงการใหม่ ส่งคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “Niche Pride”  โปรเจคใหม่ต่อยอดจาก “เสนาฮันคิว” คอนโดมิเนียมบนทำเลศักยภาพติดรถไฟฟ้าสถานีเตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ แค่ 0 ก้าวจากรถไฟฟ้า ในราคาเหมาะสมกับการเป็นเจ้าของและคุ้มค่าที่สุดกับการลงทุนในอนาคต คาดว่าจะเปิดขายต่อยูนิตอยู่ที่ราว 3.2 ล้านบาทเท่านั้น Niche Pride Taopoon คอนโดมิเนียมไฮไลท์สูง 38 ชั้น 700 ยูนิต โครงการคุณภาพแห่งแรกและแห่งเดียวที่สมบูรณ์ในทุกด้าน พบกับการพลิกโฉมครั้งใหญ่อย่างที่คาดไม่ถึง และไม่เคยมีมาก่อนกับความอลังการงานสร้างครั้งแรกของพื้นที่ส่วนกลางแบบ Vertical Facilities จัดเต็ม 30 ชั้น!! ล้ำสมัยทุกแนวคิดฉีกกรอบรูปแบบเดิม ๆ นับเป็นเจ้าแรกของเมืองไทยที่ให้ความคุ้มค่าที่มากกว่ากับฟังก์ชั่นที่เหนือระดับและตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองได้อย่างครบถ้วน ไม่เพียงเท่านั้น “เสนาฮันคิว” ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและศึกษาวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างไม่หยุดยั้ง จาก Geo Fit+ มาสู่นวัตกรรมขั้นแอดวานซ์ GEO Fit+ My Select ที่ให้คุณสามารถเลือกฟังก์ชั่นการใช้สอยภายในห้องให้ตรงตามความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย นับเป็นการปฏิวัติวงการคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าครั้งใหญ่ในไทยที่น่าจับตามากในเวลานี้  เตรียมพบกับ แบรนด์ Niche Pride ต้นแบบนวัตกรรม GEO Fit + My Select อย่างเต็มรูปแบบ และความอลังการของพื้นที่ส่วนกลางแบบ Vertical Facilities จัดเต็ม 30 ชั้น!! ครั้งแรกในเมืองไทย ประเดิมเปิดโลเคชั่นที่แรกย่านเตาปูน สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1775 กด 39
ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทยเปิดตัวบริการ IPM นำโครงการคอนโดมิเนียมในประเทศไทยขยายฐานลูกค้า สู่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทยเปิดตัวบริการ IPM นำโครงการคอนโดมิเนียมในประเทศไทยขยายฐานลูกค้า สู่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เปิดตัวบริการด้านการตลาดในต่างประเทศ IPM (International Project  Marketing) โดย มร. แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านที่พักอาศัย กล่าวว่า "การบริการ IPM นี้คือบริการนำโครงการคอนโดมิเนียมชั้นนำ ไปสู่ผู้ซื้อในตลาดเอเชียแปซิฟิกและแนะนำโครงการให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ซื้อต่างชาติที่มีศักยภาพ ทั้งยังช่วยอำนวยความสะดวกกลุ่มผู้ซื้อและนักลงทุนจากต่างประเทศที่สนใจซื้อโครงการคอนโดมิเนียมในประเทศไทย โดยเราดำเนินการจัดทำกิจกรรมแสดงโครงการ( Road Show Events )และวางแผนยุทธศาสตร์ทางการตลาด และให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญทางการตลาด นอกจากนี้เรายังมีเครือข่ายบริการทั่วโลก ทำให้ลูกค้าสามารถไว้วางใจในทีมการตลาดของเราได้ว่าจะนำโครงการคอนโดมิเนียมของนักพัฒนาโครงการไปสู่ตลาดอสังหาฯที่สำคัญๆ อย่าง ฮ่องกง, สิงคโปร์, มาเลเซียและจีน ได้อย่างประสบความสำเร็จ ในขณะเดียวกันการบริการอย่างครบวงจรนี้ช่วยให้กระบวนการการลงทุนจากต่างประเทศพร้อมทั้งบริการที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนทำให้นักลงทุนสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น” ทีม IPM นำทีมโดย มร.แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านที่พักอาศัย ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย และ มร.มาร์ซีอาโน เบิร์จโมฮัน ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการตลาดและการขายต่างประเทศ มร.แฟรงค์ ข่าน กล่าวเสริมว่า “การลงทุนในประเทศไทยนั้นมีข้อได้เปรียบสูงในเรื่องภาษีกำไรจากการขายทรัพย์สิน (Capital Gain Tax) อีกทั้งอัตราภาษีอสังหาฯในประเทศไทยจัดอยู่ในระดับต่ำที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในบางส่วนของค่าธรรมเนียมอากรแสตมป์กับค่าธรรมเนียมการโอนในการซื้อขายทรัพย์สินใหม่ผู้พัฒนาโครงการจะเป็นผู้รับผิดชอบ” เมื่อเร็วๆนี้ ทีม IPM ของไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จัดแสดงโครงการคอนโดมิเนียม นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่งในฮ่องกง เพียงในสัปดาห์แรกของการจัดงานพรีเซล มียอดขายมากถึง 50% จากจำนวนยูนิตที่ถูกจัดสรรมาโดยส่วนใหญ่ซื้อไว้เพื่อการลงทุนระยะยาว โดยคำนึงถึงทำเลโครงการที่น่าสนใจและมีวิวสวย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง มร.มาร์ซีอาโน เบิร์จโมฮัน ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการตลาดและการขายต่างประเทศ ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทยกล่าวว่า "ฮ่องกงกลายเป็นตลาดที่สามารถทำรายได้ดีแต่มีการแข่งขันสูงสำหรับนักพัฒนาโครงการจากประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการในบริเวณสุขุมวิทตอนปลาย อย่างไรก็ตามผู้ซื้อให้ความสนใจกับโครงการตึกสูงที่มีห้องขนาดใหญ่กว่า 31 ตร.ม. ในขณะที่การเป็นบริษัทพัฒนาโครงการมหาชนจะทำให้การตัดสินใจซื้อของลูกค้าง่ายยิ่งขึ้น" นักลงทุนในฮ่องกงกำลังพยายามกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ด้วยราคาทรัพย์สินในตลาดฮ่องกงสูงเกินไป ดังนั้นราคาคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯจึงเป็นที่น่าสนใจ หากเปรียบเทียบกับที่อยู่อาศัยในฮ่องกง อย่างไรก็ตามบริการ IPM ในฮ่องกงนั้นได้รับการตอบรับค่อนข้างดี และทำให้เป็นการชักนำนักลงทุนในประเทศสิงคโปร์, มาเลเซียและจีน เช่นเดียวกัน ทั่วกรุงเทพฯในตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาครั้งใหญ่ของการขยายระบบขนส่งมวลชนและโครงการใหญ่ๆอย่างเช่น สถานีกลางบางซื่อ, Bangkok Mall และ One Bangkok ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่พื้นที่รอบนอก ทำให้เป็นจุดสนใจแก่คนฮ่องกงที่ซึ่งตั้งใจจะถือครองเงินลงทุนไว้อย่างน้อย 3 – 5 ปี และพวกเขาคาดว่าในเวลานั้นจะได้รับผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจ ประกอบกับได้รับผลตอบแทนค่าเช่าที่มั่นคงขณะที่ถือครอง การเดินทางจากฮ่องกงมากรุงเทพฯเป็นเรื่องที่สะดวก ด้วยตั๋วเครื่องบินราคาไม่แพงและเวลาเดินทางเพียงไม่กี่ชั่วโมง ความสะดวกสบายนี้รวมถึงค่าครองชีพที่ไม่แพงทำให้ผู้ซื้อชาวฮ่องกงเข้ามาลงทุนเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง ถึงแม้ประเทศมาเลเซียยังคงเป็นประเทศที่สำคัญแม้ค่าเงินริงกิตปรับตัวลดลง เราได้จัดงานกิจกรรมการขายเพื่อให้ความรู้ที่สนับสนุนผู้ซื้อ เรามีประสบการณ์ตรงว่านักลงทุนมาเลเซียเลือกที่จะใช้ประโยชน์จากเงินกู้ยืมจากการจำนองทรัพย์สิน ในขณะที่โครงการของเราหลายแห่งที่ตั้งราคาได้น่าสนใจ ซึ่งทำให้ชาวจีนแผ่นดินใหญ่สามารถโอนเงินได้โดยไม่มีข้อจำกัด เร็วๆนี้ บริการ IPM ของเราจะมีจัดการขายในตลาดต่างประเทศ หลายๆตลาดในเอเชียและขยายบริการของเราไปยังผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มหาชนหลายราย โดยบริษัทไนท์แฟรงค์ทำหน้าที่ดูแลเพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าและนักพัฒนาโครงการจะได้รับบริการที่น่าพอใจกลับไป
พฤกษา ปักธง EEC เดินหน้าเต็มสูบ ลุยเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่า 5,500 ล้านบาท

พฤกษา ปักธง EEC เดินหน้าเต็มสูบ ลุยเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่า 5,500 ล้านบาท

พฤกษา เรียลเอสเตท ผู้นำในวงการอสังหาฯ เตรียมเปิดบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ 7 โครงการใหม่ มูลค่า 5,500 ล้านบาท ปักธง 3 จังหวัด เขต EEC ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง เกาะทำเลนิคมอุตสาหกรรม เผยเตรียมรุกต่างจังหวัดเพิ่มอีก 23 จังหวัดรักษาผู้นำตลาดอสังหาฯไทย นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ในปี 2561 บริษัทฯ มีแผนจะเปิดโครงการใหม่ในจังหวัดระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  เป็นการลงทุนระดับเมกะโปรเจ็คท์ของภาครัฐที่จะช่วยผลักดันและยกระดับเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนำของอาเซียน  โดยคาดว่าจะมีความต้องการที่อยู่อาศัยจำนวนมากจากแรงงานที่หลั่งไหลเข้ามาทำงานในพื้นที่ดังกล่าว  จึงได้เตรียมเปิดโครงการใหม่ จำนวน 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 5,500 ล้านบาท เป็นสินค้าประเภทบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์  แบ่งเป็น ฉะเชิงเทรา  จำนวน 1  โครงการ ได้แก่ บ้านพฤกษา บ้านโพธิ์ - มอเตอร์เวย์  ชลบุรี จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ บ้านพฤกษา หนองมน-ชลบุรี, เดอะแพลนท์ หนองมน-ชลบุรี  และบ้านพฤกษา ทุ่งกลม-ตาลหมัน  และระยอง 3 โครงการ ได้แก่ บ้านพฤกษา ปลวกแดง-อีสท์เทิร์น, บ้านพฤกษา เกาะกลอย-ระยอง และเดอะแพลนท์ เกาะกลอย-ระยอง  จับกลุ่มลูกค้าที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรม  โดยจะเริ่มทยอยเปิดขายในเดือนมกราคมปี 2561” และเพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น บริษัทฯ จึงได้ศึกษาความเป็นไปได้จังหวัดอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น นครราชสีมา นครปฐม และอื่นๆ อีก 23 จังหวัด  โดยพฤกษา เรียลเอสเตท เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีความได้เปรียบเชิงการแข่งขันทั้งในด้านของดีไซน์ ฟังก์ชั่น นวัตกรรม คุณภาพบ้าน และบริการหลังการขายต่างๆ ที่ได้มาตรฐานเดียวกันทุกโครงการ (Pruksa Quality Standard) คาดว่าจะประสบความสำเร็จในการทำตลาดต่างจังหวัดเช่นเดียวกับที่เคยรุกตลาดในชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ตมาแล้วก่อนหน้านี้.
เอสซีฯ ปลื้มทำสถิติยอดขายแนวราบเติบโตสูงสุด กวาดยอดขายรวม 10 เดือน 12,267 ลบ. เติบโต 32% มั่นใจไตรมาส 4 เติบโตทุกด้าน รุกเปิดแนวราบใหม่ 5 โครงการ มูลค่ากว่า 8,200 ลบ.

เอสซีฯ ปลื้มทำสถิติยอดขายแนวราบเติบโตสูงสุด กวาดยอดขายรวม 10 เดือน 12,267 ลบ. เติบโต 32% มั่นใจไตรมาส 4 เติบโตทุกด้าน รุกเปิดแนวราบใหม่ 5 โครงการ มูลค่ากว่า 8,200 ลบ.

เอสซีฯ ปลื้มทำสถิติยอดขายแนวราบเติบโตสูงสุด กวาดยอดขายรวม 10 เดือน   12,267  ลบ.  เติบโต 32%  มั่นใจไตรมาส 4 เติบโตทุกด้าน รุกเปิดแนวราบใหม่ 5 โครงการ มูลค่ากว่า 8,200 ลบ. พร้อมลงทุนกับ strategic partner ชั้นนำของไทย บจ.ไฟร์ วัน วัน  เพื่อร่วมขับเคลื่อนองค์กรก้าวสู่ Digital Economy นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า “ช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา การเติบโตของยอดขายทำสถิติดีเยี่ยม  มียอดขายรวม 12,267 ล้านบาท เติบโต 32%   ซึ่งมาจากโครงการแนวราบ 70% และแนวสูง 30%  โดยสรุปมาจาก ยอดขายแนวราบช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาเติบโต new high 35% รวม 8,500 ล้านบาท รักษา market share อันดับ 1 ของบ้านราคามากกว่า 15 ล้านบาท เติบโต 73% (yoy)  และ อันดับ 2 ในกลุ่มบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป เติบโต 16% (yoy) ยอดขายบ้านเดี่ยวราคา 3-5 ล้านบาท เติบโตถึง 188% และเริ่มมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ในระดับ top 10 เป็นครั้งแรก สำหรับยอดขายแนวสูง โครงการ 28 Chidlom  สูงถึง 80% ของอาคาร The Tower ซึ่งเป็นอาคารแรกที่เปิดขาย ทั้งนี้รายได้รวม 9 เดือนเท่ากับ 7,843 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการขาย 7,190 ล้านบาท และรายได้จากการเช่าและบริการ 634 ล้านบาท กำไรสุทธิ 703 ล้านบาท พร้อมกับมียอดขายรอโอนหรือ Backlog รวม 9,800 ล้านบาท ซึ่งพร้อมโอนในปีนี้ 30% อีก 70% ที่เหลือจะโอนในปี 2561-2562 ส่วนไตรมาส 3/60 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา  SC มีรายได้รวม 3,228 ล้านบาท เติบโต 13% กำไรสุทธิ 363 ล้านบาท เติบโต 37%  คิดเป็นอัตรากำไร 11.3% ของรายได้ โดยสรุป ณ วันที่ 30 ก.ย. 60 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม และหนี้สินรวมเท่ากับ 38,328 ล้านบาท และ 23,972 ล้านบาทตามลำดับ พร้อมกับมีโครงการพร้อมขายทั้งหมดรวม 37 โครงการ มูลค่า 32,520 ล้านบาท นายณัฐพงศ์ กล่าวอย่างมั่นใจว่า “ปี 2560 นี้ SC จะมียอดขายเติบโตตามเป้าหมาย 16,000 ล้านบาท เติบโต 38% (yoy)   โดยปัจจัยสำคัญ คือ การเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 8,200 ล้านบาท  เป็นโครงการบางกอก บูเลอวาร์ด  4 โครงการ บนทำเลคุณภาพ เริ่มต้น 5.9 ล้านบาท และทาวน์โฮม 2 ชั้น  แบรนด์ใหม่ 1 โครงการ ชื่อ โครงการเวิร์ฟ เพชรเกษม 81  เริ่มต้น 1.99 ล้านบาท  พร้อมกับได้จัดแคมเปญพิเศษรวม 15 โครงการทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม จัดโปรแรงสุดแห่งปีถึง 17 ธ.ค. นี้”  นอกจากนี้เพื่อสร้างนวัตกรรมสำหรับการอยู่อาศัย  SC ได้ผนึกกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์รายล่าสุดต่อจาก Fixzy คือ บริษัท ไฟร์ วัน วัน จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั้งให้คำปรึกษาและปฏิบัติการแก่องค์กรที่ต้องการก้าวสู่ Digital Economy โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ  ทั้งนี้จากมติที่ประชุมได้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนในสัดส่วน 20% ของบริษัท ไฟร์ วัน วัน จำกัด ภายใต้การนำของ CEO นายชาคริต จันทร์รุ่งสกุล ที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปีในเรื่องของ property tech โดยจะพัฒนา Living Solutions Platform ร่วมกัน เพื่อทำให้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยในโครงการของ SC มีความสะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น Platform นี้จะตอบโจทย์ คลอบคลุมทุกปัจจัยสำคัญในการอยู่อาศัย เช่น home automation, security system, renewable energy และอื่นๆ สำหรับเป้าหมายหลักของ SC ในการลงทุนครั้งนี้คือ การมี strategic partner เรื่องการสร้างนวัตกรรมสำหรับการอยู่อาศัย  Digital Technology ที่จะมีบทบาทสำคัญที่สุดสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กรในยุคนี้ อีกทั้งทิศทางของการพัฒนาที่อยู่อาศัยของ SC  คือการมุ่งประสาน Digital Technology เข้ากับที่อยู่อาศัยคุณภาพสูง รวมกันเป็น Living Solutions ภายใต้วิธีคิดที่เข้าใจการใช้ชีวิตของมนุษย์ผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการไตรมาสสามเติบโตสูงต่อเนื่อง ยอดรายได้ 9 เดือน ทะลุ 2,587 ล้านบาท กำไรสุทธิ 489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการไตรมาสสามเติบโตสูงต่อเนื่อง ยอดรายได้ 9 เดือน ทะลุ 2,587 ล้านบาท กำไรสุทธิ 489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%

บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) LALIN ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งเหนือภาพรวมของตลาด ประกาศผลประกอบการไตรมาสสาม ปี 2560 ขยายตัวได้สูงอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดรับรู้รายได้ในไตรมาสสามที่ 1,041.8 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 38% ในขณะที่ยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีเหนือตลาด ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 204.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 44% ในส่วนของตัวเลข 9 เดือน  บริษัทมียอดรับรู้รายได้แล้วกว่า 2,587 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.2% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 489 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่า ผลประกอบการในรอบไตรมาสที่สาม ปี 2560 บริษัทฯ ยังคงเติบโตในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่อง โดยรับรู้รายได้ อยู่ที่ 1,041.8 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 38% ในขณะที่ยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีเหนือตลาด ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 204.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 44% สวนทางภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ในปี 2560 นี้จะไม่สดใสนัก ดังนั้น บริษัทฯ คาดว่าในปีนี้จะเป็นอีกปีที่เติบโตได้ดีกว่าภาพรวมของตลาด ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากในปีก่อนที่เติบโตได้ราว 30% จากปี 2558 โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 15% หรือตั้งเป้ารับรู้รายได้ที่ 3,100 ล้านบาท ขณะที่รอบ 9 เดือนแรก สามารถรับรู้รายได้ คิดเป็น 83% ของเป้าหมายแล้ว โดยอยู่ที่ 2,587 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.2% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 489 ล้านบาท เติบโตขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงเชื่อมั่นว่าในปีนี้จะสามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ นอกจากบริษัทจะสามารถทำผลงาน มียอดรับรู้รายได้ที่ขยายตัวได้ดีแล้ว บริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี  โดยในช่วง 9 เดือนแรกนี้ บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มาอยู่ที่ระดับราว 40%  ในขณะที่การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารทำได้ดี ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A/Sales) ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ราว 11.8% ส่งให้ใน 9 เดือนแรกนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิแล้วกว่า 489 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับกำไรสุทธิในปีที่แล้วทั้งปี ในแง่การขยายธุรกิจ ในปีนี้บริษัทมีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท และมีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีก 1-2 โครงการในช่วงที่เหลือของปี ส่วนหนึ่งเพื่อทดแทนโครงการเดิมที่สามารถขายและปิดโครงการได้หลายโครงการ ตลอดจนเป็นการสนับสนุนให้บริษัทมีการขยายตัวที่มั่นคงต่อไป ทั้งนี้แม้ว่าบริษัทจะมีการขยายโครงการใหม่ในปีนี้ไปแล้วกว่า 4,000 ล้านบาท แต่ในแง่ของโครงสร้างเงินทุน บริษัทยังคงความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน มีระดับหนี้ที่สามารถบริหารจัดการได้ มีการใช้แหล่งของเงินกู้ที่หลากหลาย และมีอัตราดอกเบี้ยคงที่เพื่อควบคุมต้นทุนทางการเงิน โดย ณ สิ้นไตรมาสสาม 2560 นี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่เพียงแค่ 0.85 เท่า ซึ่งเท่ากันกับ ณ สิ้นปี 2559  และเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.4 เท่า
“ORI” กำไร 9 เดือนเฉียด 1,000 ล้าน โตเป็นประวัติการณ์ทะลุ 202% มาพร้อมอัตราการทำกำไรขั้นต้นสูงถึง 46.6% และกำไรสุทธิ 24.1%

“ORI” กำไร 9 เดือนเฉียด 1,000 ล้าน โตเป็นประวัติการณ์ทะลุ 202% มาพร้อมอัตราการทำกำไรขั้นต้นสูงถึง 46.6% และกำไรสุทธิ 24.1%

“ออริจิ้น” โชว์ผลประกอบการสำหรับงวดเก้าเดือนปี 2560 มีกำไรสุทธิเฉียด 1,000 ล้าน โตเป็นประวัติการณ์ทะลุ 202% เทียบกับปี 2559 และ ยังคงมีความสามารถในอัตราการทำกำไรขั้นต้นสูงถึง 46.6% ซึ่งสูงขึ้นกว่าอัตรากำไรขั้นต้นของไตรมาส 3 ปี 2559 ที่อยู่ที่ 43.9% พร้อมโกยรายได้โตเท่าตัวรับแบ็กล็อกทยอยรับรู้แข็งแกร่ง ตะลุยงานไตรมาส 4 พร้อมสร้างรากฐานสู่แผนปี 2561 นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน, นอตติ้ง ฮิลล์, ไนท์บริดจ์, และพาร์ค เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,959.9  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.6% (%QoQ) จากไตรมาส 2 ปี 2560 และ เพิ่มขึ้นถึง 121.5% (%YoY) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสำหรับงวดเก้าเดือนปี 2560 อยู่ที่ 4,014.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111.3% (%YoY) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักๆ มาจากโครงการใหม่ 6 โครงการ ที่สามารถเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ได้ตามแผน ขณะเดียวกันยังมีการรับรู้กำไรพิเศษจากการร่วมลงทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศญี่ปุ่น ที่มีประวัติความสาเร็จและประสบการณ์ทางธุรกิจมาอย่างยาวนานกว่า 60 ปี ทั้งในเอเชีย และ หลายประเทศทั่วโลก โดยมีส่วนแบ่งการตลาดในตลาดที่อยู่อาศัยสูงเป็นอันดับ 1 ใน 3 รวมทั้งมีแบรนด์อาคารชุดที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้กับกลุ่มบริษัทฯ ในการขยายการพัฒนาโครงการและเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด ขณะที่มีอัตราการทำกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 779.3 ล้านบาท เติบโตขึ้น 45.4% (%QoQ) จากไตรมาส 2 ปี 2560  และ  เติบโตขึ้น 107.2% (%YoY) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 46.8% ซึ่งสูงขึ้นกว่าอัตรากำไรขั้นต้นของไตรมาส 3 ปี 2559 ที่อยู่ที่ 42.9% และสำหรับงวดเก้าเดือนปี 2560 มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่  1,718.4 ล้านบาท เติบโตขึ้น 109.5% (%YoY)  คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 46.6% ซึ่งสูงขึ้นกว่าอัตรากำไรขั้นต้นงวดเก้าเดือนปี 2559 ที่อยู่ที่ 43.9% โดยความสามารถในการทำกำไรที่ดีมาจากกลยุทธ์ในการจัดหาที่ดิน และ การบริหารต้นทุนโครงการได้ดีอย่างต่อเนื่องตามแผน ขณะเดียวกันไตรมาส 3 ปี 2560 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 556.1 ล้านบาท เติบโตขึ้น 132.9% (%QoQ) จากไตรมาส 2 ปี 2560 และ   เติบโตขึ้นถึง 251.5% (%YoY) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 28.4% ซึ่งสูงขึ้นกว่าอัตรากำไรสุทธิของไตรมาส 2 ปี 2560 ที่อยู่ที่ 20.3% และ ไตรมาส 3 ปี 2559 ที่อยู่ที่ 17.9%และสำหรับงวดเก้าเดือนปี 2560 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 966.7 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 202.5% (%YoY) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 24.1% ซึ่งสูงขึ้นกว่าอัตรากำไรสุทธิของงวดเก้าเดือนปี 2559 ที่อยู่ที่ 16.8% เนื่องจาก โครงการใหม่แล้วเสร็จรับรู้ได้ตามแผนเพิ่มขึ้น และ ความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น รวมถึงจากการรับรู้กำไรพิเศษจากการร่วมลงทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด จากญี่ปุ่น ทำให้ทั้งรายได้และกำไรของบริษัทในไตรมาสนี้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง “สำหรับช่วงไตรมาส 4 ปี 2560 จะเป็นช่วงที่บริษัทให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานเพื่อก้าวไปสู่ปีต่อๆ ไป ควบคู่กับการพัฒนาและเปิดขายโครงการใหม่ไปตามแผนงาน โดยจะมีการจัดแคมเปญที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้อยู่อาศัย เข้ามาช่วยกระตุ้นยอดขายด้วย” นายพีระพงศ์ กล่าว บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 43 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 44,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
ชาญอิสสระ ปักธงปี 61 รุกไฮเอนด์ต่อเนื่อง ลุยเปิด 2 โรงแรมใหม่ เตรียมพร้อมโกอินเตอร์

ชาญอิสสระ ปักธงปี 61 รุกไฮเอนด์ต่อเนื่อง ลุยเปิด 2 โรงแรมใหม่ เตรียมพร้อมโกอินเตอร์

ชาญอิสสระ มองปี 61 อสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ ยังรุ่ง ตามอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ระบุภาคการท่องเที่ยวยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการกระจายการใช้จ่ายภายในประเทศ พร้อมสยายปีกผุด 2 โรงแรมใหม่ บาบา บีช คลับ ภูเก็ต และ บาบา บีช คลับ หัวหิน โชว์โครงการบ้านสีตวัน ปากช่อง-เขาใหญ่ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นบ้านพักอาศัยที่ดีที่สุดในเอเซีย จากการการันตี โดยรางวัลชนะเลิศจากงาน  Asia Property Awards ครั้งที่ 12 ณ ประเทศสิงคโปร์ นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 ว่ายังมีทิศทางเติบโตขึ้นจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่คาดว่าในปีนี้จะขยายตัวถึง 3.8% ส่งผลให้ปีหน้าแนวโน้มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) จะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลักจากภาคการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกสนับสนุนการเติบโต ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกให้กลุ่มลูกค้ามีกำลังในการใช้จ่ายมากขึ้นตามไปด้วย “ในปีหน้าภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มเติบโตขึ้น จากช่วงที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ที่จะช่วยผลักดันให้ภาคอสังหาฯ เติบโตตามไปด้วย อีกทั้งยังจะเป็นปัจจัยให้ปีหน้าเกิดกำลังการซื้อที่อยู่อาศัย และเกิดการใช้จ่ายภายในประเทศมากขึ้น” นายสงกรานต์ กล่าว ทั้งนี้ในส่วนของการแข่งขันของตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 ตลาดไฮเอนด์ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนี่ยม ระดับลักชัวรี่ ยังมีทิศทางการเติบโตต่อเนื่องจากในช่วงปีที่ผ่านมา ความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบนยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลคุณภาพ ขณะที่ทำเลคุณภาพในปัจจุบันค่อนข้างหายาก ดังนั้นดีเวล็อปเปอร์ ที่มีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ออกมาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จึงมีความได้เปรียบในการพัฒนาโครงการออกมารองรับตลาดในปี 2561 โดยในส่วนของชาญอิสสระ ที่ผ่านมาได้พัฒนาโครงการทั้งบ้านเดี่ยว คอนโด วิลล่า โรงแรม ระดับลักชัวรี่ ในทำเลคุณภาพออกมารองรับกลุ่มลูกค้าดังกล่าว ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็น โครงการอิสสระ เรสซิเดนท์ พระราม9, โครงการบ้านอิสสระ บางนา, โครงการอิสสระ คอลเลคชั่น สาทร, โครงการบาบา บีช เรสซิเดนท์ หัวหิน, โครงการบาบา บีช เรสซิเดนท์ ภูเก็ต โครงการบ้านสีตวัน ปากช่อง ซึ่งโครงการทั้งหมดถือเป็นโครงการที่พัฒนาออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าในกลุ่มลักชัวรี่อย่างแท้จริง โดยล่าสุดโครงการบ้าน   สีตวัน ปากช่อง-เขาใหญ่ ได้รับรางวัลชนะเลิศ ในประเทศไทย 2 รางวัล จากงาน PropertyGuru Thailand Property Awards 2017 ในหมวดโครงการบ้านจัดสรรที่ดีที่สุดในประเทศไทย และในหมวด โครงการบ้านพักอาศัยที่ดีที่สุดในเขาใหญ่ และในระดับเอเชียได้รับคัดเลือกให้เป็นบ้านพักอาศัยที่ดีที่สุดในเอเซีย จากการการันตี โดยรางวัลชนะเลิศจากงาน  Asia Property Awards ครั้งที่ 12 ณ ประเทศสิงคโปร์ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งภายในงานได้รวบรวมบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศแทบเอเชียกว่า 13 ประเทศ มีผู้ส่งเข้าร่วมแข่งขันจำนวนมาก แต่บ้านสีตวันได้รับเลือกเพราะมีความโดดเด่นด้านการออกแบบที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทย มีคาแรคเตอร์ที่แตกต่าง และมีการออกแบบคำนึงถึง Eco-Living  อีกทั้งมีการนำเทคโนโลยีการก่อสร้างบ้าน Modular จาก SCG HEIM มาผสมผสานดีไซน์จากบริษัทสถาปนิก แฮบบิตา จึงทำให้บ้านสีตวันได้รับรางวัลชนะเลิศในครั้งนี้  “ที่ผ่านมาเราเน้นตลาดไฮเอนด์มาตลอด และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากโครงการ อิสสระ เรสซิเดนท์ พระราม9, โครงการบ้านอิสสระ บางนา แม้ที่ผ่านมาจะไม่มีบ้านตัวอย่างให้ลูกค้าได้เข้าชม แต่ด้วยศักยภาพ ทำเล และความเชี่ยวชาญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ของเรา จึงส่งผลให้ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ประกอบกับในช่วงต้นปีเรายังมีการจัดแคมเปญชาญอิสสระ ครบรอบ 65 ปี มอบ 65 แพคเกจสุดหรูที่พักโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต 3 วัน 2 คืน สำหรับลูกค้า 65 ท่านแรกที่มียอดการซื้อสูงสุด (65 Top Spender) ซึ่งแคมเปญดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยในวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ เราจะมีการจัดงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้า เพื่อมอบ 65 แพคเกจ ให้กับลูกค้าผู้โชคดี พร้อมมอบประสบการณ์สุดเอ็กคลูซีฟ รับชมคอนเสิร์ตจากนักร้องดัง ก้อง-สหรัถ สังคปรีชา, ชมแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดจาก KEMISSARA, การแสดงโอเปร่าจากวงฟิเวียร่า และร่วมลุ้นกับรางวัล Lucky Draw ที่เตรียมมามอบให้กับลูกค้าอีกมากมาย ในงาน The Elegance of 65th Year Charn Issara ณ ห้องเอสเธอร์ บอลรูม โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจีส กรุงเทพฯ” นายสงกรานต์ กล่าว นอกจากนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำความเอ็กคลูซีฟที่จะมอบให้กับลูกค้า ในปี 2561 บริษัทยังเตรียมร่วมกับ Rabbit Card จัดทำบัตร“CHARN ISSARA MEMBER CARD” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ในการมอบสิทธิพิเศษให้กับกลุ่มลูกค้าโครงการของชาญอิสสระ และบริษัทในเครือทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ที่โครงการตั้งอยู่ ได้มีสิทธิประโยชน์ในการเข้าใช้บริการต่างๆ ของโรงแรม ร้านอาหาร สปา ฯลฯ ที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ อีกทั้งมอบสิทธิประโยชน์จากร้านค้าชั้นนำอีกมากมายที่อยู่นอกเหนือจากบัตร Rabbit Card ทั่วไป ขณะเดียวกันในปี 2561 บริษัทจะยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ ทั้งในส่วนของบ้านเดี่ยว คอนโด รวมถึงโรงแรม ซึ่งที่ผ่านมาได้เปิดตัวโรงแรมน้องใหม่ 2 โครงการด้วยกันได้แก่ โรงแรมบาบา บีช คลับ ภูเก็ต และ โรงแรมบาบา บีช คลับ หัวหิน ซึ่งการเปิดตัวทั้ง 2 โครงการ เพื่อเป็นการรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวไฮเอนด์ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ประกอบกับเพื่อเป็นการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากโรงแรม ที่มองว่าในอนาคตธุรกิจการท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหลักในการหนุนให้ภาคธุรกิจโรงแรมมีการเติบโตขึ้นทุกปีๆ ขณะเดียวกันในปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะนำทั้งสองโรงแรมดังกล่าวเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมศรีพันวา (“กองรีท”) เพื่อขยายกองทุนให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2560 มีสินทรัพย์รวมของกองทุนที่ 3,592 ล้านบาท “เราอยากเพิ่มสัดส่วนรายได้โรงแรม ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งของบริษัท โดยที่ผ่านมารายได้โรงแรมคิดเป็นสัดส่วน 26% ของรายได้รวมทั้งหมด  นอกจากนี้เรายังรับเป็นที่ปรึกษา และบริหารงานโรงแรมที่ไฮหนาน มณฑล ยูนนานประเทศจีน กับกลุ่มจุนฟาเรียลเอสเตท มีมูลค่าโครงการกว่า 18,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันงานออกแบบ Conceptual Design แล้วเสร็จ คาดว่าแบบจะเสร็จพร้อมก่อสร้างภายในธันวาคมนี้ และมีกำหนดเปิดโรงแรมในปี 2562 รายการนี้เราได้ทั้งรายได้ค่าที่ปรึกษา และบริหารงานโรงแรม ซึ่งจะเป็นรายได้ระยะยาวให้กับบริษัท” นายสงกรานต์ กล่าว นายสงกรานต์ กล่าวต่อว่าในส่วนของภาพรวมการตลาดในช่วงที่เหลือของปีนี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่การดำเนินธุรกิจอาจจะต้องเหนื่อยกันมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาประชาชนชาวไทยยังในช่วงเวลาแห่งการไว้อาลัย สถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค โดยในส่วนของการดำเนินธุรกิจของบริษัทในช่วงปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทได้ทุ่มงบประมาณการลงทุนไปกับการเปิด 2 โครงการใหม่ ได้แก่ โรงแรมบาบา บีช คลับ ภูเก็ต และ โรงแรมบาบา บีช คลับ หัวหิน ที่จะเป็นส่วนนึงในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ในระยะยาว โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นรายได้เข้ามาเต็มที่ในปี 2561 เป็นต้นไป
กรุงเทพพัฒนาฯ เปิดตัวบ้านหรู ระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ “The Primary V” (เดอะ ไพรมารี วี)

กรุงเทพพัฒนาฯ เปิดตัวบ้านหรู ระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ “The Primary V” (เดอะ ไพรมารี วี)

นายสหชาต ธันยามาศรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงเทพพัฒนา ซีเอ็มเอส จำกัด (ที่ 2 จากขวา) พร้อมด้วย นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด  (ที่ 2 จากซ้าย), นางสาวชาลิสา เทียนโพธิ์สุวรรณ์ ตัวแทนจาก 911 The Revolution by JT (ที่ 2 จากขวา), ร่วมด้วย นาย วิเชษฎ ธวัชนันทชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท Minimaxist และ นายพันธวิศ ลวเรืองโชค กรรมการผู้จัดการบริษัท อะโพสโทรฟีเอส กรุ๊ป จำกัด จัดงานเปิดตัว บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ สไตล์ Asian-Nouve ภายใต้แบรนด์ The Primary V (เดอะ ไพรมารี วี) สังคมคุณภาพเพียง 20 หลัง บนทำเลแห่งอนาคตใจกลางเกษตร-นวมินทร์ ส่วนต่อขยาย CBD ใหม่ ในราคาเริ่มต้นที่ 28 ล้านบาท การันตีด้วยรางวัล “Thailand Property Awards 2017” ถึง 3 รางวัลด้วยกัน คือ The Winner in Best Housing Interior Design, Highly recommended for Best Housing Landscape Architectural Design และHighly recommended for Best Housing Architectural Design นอกจากนี้ยังร่วมมือกับ 911 The  Revolution by JT  ฟิตเนส ของคุณเจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ์ ในการออกแบบคลาสออกกำลังกาย และส่งเทรนเนอร์เข้ามาให้บริการพิเศษสำหรับลูกบ้านในโครงการแบบเอ็กซ์คูลซีฟ สำหรับช่วงเปิดตัวโครงการ The Primary V ลูกค้าที่จองซื้อภายใน 31 ธ.ค. 60  รับชุดครัว Built in เครื่องใช้ไฟฟ้าจาก Siemens เครื่องปรับอากาศ Daikin ทั้งหลัง พร้อม Home Automation สัญญาณกันขโมย ผู้ที่สนใจ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.theprimary-v.com หรือ โทร 098-262-2782
98 Wireless โครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการประเมินคุณภาพอาคาร LEED ตอกย้ำความลักชัวรี่ในมิติใหม่ควบคู่ไปกับความยั่งยืน

98 Wireless โครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการประเมินคุณภาพอาคาร LEED ตอกย้ำความลักชัวรี่ในมิติใหม่ควบคู่ไปกับความยั่งยืน

อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของแสนสิริที่โครงการ 98 Wireless เป็นโครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในไทยที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) จากสภาอาคารเขียวสหรัฐอเมริกา (U.S. Green Building Council : USGBC) ถือเป็นมาตรฐานสากลด้านการออกแบบ การก่อสร้าง และการปฏิบัติการของอาคารสีเขียว สอดรับกับนิยาม “The Best Comes as Standard” ที่พักอาศัยที่มาพร้อมกับความเป็นเลิศในทุกมิติ โดยมีนายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) (กลาง) รับมอบการรับรอง LEED พร้อมกับนาย จอห์น เลียวนาด พอลลาร์ด (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ และคุณ ศศิพร ศิริลัทพร (ขวา) กรรมการ จากบริษัท Meinhardt (Thailand) Ltd. (บริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด) ร่วมแสดงความยินดีในฐานะวิศวกรที่ปรึกษาของโครงการ 98 Wireless ด้านการออกแบบโครงสร้างอาคารและระบบต่างๆ รวมถึงให้คำปรึกษาด้านการออกแบบและก่อสร้างอาคารมาตรฐาน LEED เพื่อให้สอดรับตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้    
“ออริจิ้น” สยายปีกลุยใจกลางสุขุมวิท ผุด “ออริจิ้น 24” อาณาจักรมิกซ์ยูสรอบพาร์ค 24

“ออริจิ้น” สยายปีกลุยใจกลางสุขุมวิท ผุด “ออริจิ้น 24” อาณาจักรมิกซ์ยูสรอบพาร์ค 24

“ออริจิ้น” สร้างอาณาจักรใหม่กลางเมือง ผุดมิกซ์ยูสโรงแรม-เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์-ออฟฟิศเช่า-คอมมูนิตี้มอลล์ “ออริจิ้น 24” มูลค่า 4,000 ล้านบาท ตรงข้ามพาร์ค 24 ปูพรมทำเลอสังหาฯครบวงจร เสริมแกร่งศักยภาพทำเลสุขุมวิท 24 มั่นใจกำลังซื้อไทย-ต่างชาติโตทะยานหลังโครงการแล้วเสร็จ เผยความคืบหน้าล่าสุดโครงการพาร์ค 24 อนาคตสดใสทยอยโอนกรรมสิทธิ์คึกคัก นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ เคนซิงตัน, นอตติ้ง ฮิลล์, ไนท์บริดจ์ และพาร์ค เปิดเผยว่า ในปี 2561 บริษัทมีแผนพัฒนาอาณาจักรใหม่กลางเมืองภายใต้ชื่อ “ออริจิ้น 24” เป็นโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วย สำนักงานเช่า โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ คอมมูนิตี้มอลล์ รวมมูลค่าโครงการกว่า 4,000 ล้านบาท บริเวณตรงข้ามโครงการพาร์ค 24 ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซัวรี่ มูลค่าโครงการกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท “พาร์ค 24 ถือเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซัวรี่ที่มีศักยภาพยอดเยี่ยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสออริจิ้น 24 ขึ้นมาอยู่ตรงข้ามกัน จะยิ่งทำให้ทำเลนี้มีทั้งที่อยู่อาศัย แหล่งช้อปปิ้ง สถานที่ทำงาน โรงแรม กลายเป็นทำเลที่มีอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เติมเต็มไลฟ์สไตล์และตอบโจทย์ความต้องการการทำงานและการใช้ชีวิตใจกลางเมืองของผู้คน เสริมแกร่งศักยภาพทำเลสุขุมวิท 24 ขณะเดียวกัน จะทำให้ออริจิ้นมีโครงการในทำเลนี้รวมมูลค่าโครงการกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท” นายพีระพงศ์ กล่าว ปัจจุบัน ทำเลสุขุมวิทตอนกลางยังคงเป็นที่ต้องการของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สังเกตจากสถานการณ์ออฟฟิศเช่าในพื้นที่ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ขณะนี้ มีอัตราการการเช่าอยู่ที่มากกว่า 90% ขณะที่พื้นที่นี้ยังมีนักลงทุนชาวญี่ปุ่นหน้าใหม่สนใจเข้ามาตั้งออฟฟิศในย่านนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้อยู่ใกล้ชุมชนคนญี่ปุ่นด้วยกัน สะท้อนว่าในอนาคต หากไม่มีโครงการออฟฟิศเช่าใหม่ๆ ขึ้นมารองรับ พื้นที่นี้จะมีซัพพลายออฟฟิศเช่าไม่เพียงพอตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ขณะเดียวกัน เมื่อมีความต้องการออฟฟิศสำหรับชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น ความต้องการเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ขณะที่สถานการณ์อัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) โดยเฉลี่ยของโรงแรมในย่านนี้จะอยู่ที่ประมาณ 80% ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูง และยังมีความต้องการโรงแรมใหม่ๆ ขึ้นมารองรับชาวต่างชาติที่จะเข้ามาติดต่องานกับสำนักงานต่างๆ ใจกลางสุขุมวิท ด้านความต้องการสถานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นั้น แม้ปัจจุบันภายในย่านเดียวกันนี้จะมีศูนย์การค้าขนาดใหญ่อยู่หลายแห่ง แต่ยังมีช่องว่างสำหรับตลาดผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม โรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ระดับลักซัวรี่ใน ซ.สุขุมวิท 24 ที่ต้องการไลฟ์สไตล์ ร้านอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ตดีๆ ที่สามารถเดินมาได้ในระยะไม่กี่ก้าว เฉพาะผู้ที่อยู่อาศัยในพาร์ค 24 เกือบ 2,000 ยูนิตและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์อีกกว่า 2,000 ยูนิตในย่านนี้ จะทำให้มีผู้เข้าใช้บริการคอมมูนิตี้มอลล์แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการออริจิ้น 24 เป็นโครงการมิกซ์ยูสแบบลีสโฮลด์ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 24 ห่างจาก BTS พร้อมพงษ์ประมาณ 500 เมตร บนที่ดินขนาดกว่า 4 ไร่ ประกอบด้วย 2 อาคาร แบ่งเป็นโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์กว่า 400 ห้อง พื้นที่คอมมูนิตี้มอลล์ ขนาดกว่า 3,500 ตร.ม. และพื้นที่สำนักงานให้เช่าขนาดกว่า 4,000 ตร.ม. คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างช่วงไตรมาส 4/2561 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมดในช่วงไตรมาส 2/2564 ส่วนโครงการ พาร์ค 24 มูลค่าโครงการรวม 17,000 ล้านบาท ปัจจุบัน มียอดขายแล้ว มูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายสัดส่วนชาวต่างชาติประมาณ 4,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนที่ระดับ 40% และคนไทยประมาณ 60% ล่าสุดเฟส 1 มีมูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท มียอดขายแล้วประมาณ 4,500 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าหมายจะรับรู้รายได้จากสัดส่วนดังกล่าว 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ และทยอยโอนกรรมสิทธิ์แล้ว ส่วนเฟส 2 คาดว่าจะเริ่มโอนได้ในไตรมาส 4 ปี 2561 ขณะที่ทิศทางการพัฒนาแบรนด์พาร์คในช่วงหลังจากนี้ จะยังคงมุ่งพัฒนาในทำเลใจกลางเมือง เจาะตลาดกลุ่มลักซัวรี่ทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยมีการร่วมออกแบบพัฒนากับดีไซเนอร์ต่างชาติ เพื่อให้รูปลักษณ์โครงการมีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์  มีส่วนกลางขนาดใหญ่และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนเมือง และเน้นพื้นที่สีเขียวที่มีขนาดใหญ่ โดยแต่ละโครงการจะมีรูปแบบการดีไซน์ที่แตกต่างกันไป เน้นทำเลใจกลางเมือง ด้านนายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด กล่าวว่า ทั้งกำลังซื้อ ความต้องการอยู่อาศัย ความต้องการไลฟ์สไตล์ในย่านนี้ยังมีโอกาสเติบโต อาณาจักรอสังหาฯออริจิ้น 24 ที่มีทั้งที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน สถานที่พักผ่อนอยู่รวมกันอย่างครบวงจรในทำเล Luxury Residence Zone ใกล้รถไฟฟ้า จะยิ่งช่วยกระตุ้นให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อตัดสินใจเข้ามาอยู่อาศัยในย่านนี้ รวมถึงในโครงการพาร์ค 24 ได้ง่ายขึ้น ล่าสุด โครงการพาร์ค 24 ได้จัดแคมเปญสุดพิเศษสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนที่เว็บไซต์ www.park24.co.th รับสิทธิ์อยู่ฟรี 1 ปี พร้อมส่วนลดสูงสุด 1 แสนบาท สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ - 31 ธ.ค.60 ปัจจุบัน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 43 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 44,000 ล้านบาท  2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
‘เอพี’ ย้ำเบอร์ 1 ตลาดไฮเอนด์ทาวน์โฮม เปิดตัว “บ้านกลางเมืองใหม่” 2 ทำเลศักยภาพ “สาทร–สุขสวัสดิ์” และ “ลาดพร้าว–เสรีไทย” พร้อมโมเดลใหม่ ‘เทอราเรีย’

‘เอพี’ ย้ำเบอร์ 1 ตลาดไฮเอนด์ทาวน์โฮม เปิดตัว “บ้านกลางเมืองใหม่” 2 ทำเลศักยภาพ “สาทร–สุขสวัสดิ์” และ “ลาดพร้าว–เสรีไทย” พร้อมโมเดลใหม่ ‘เทอราเรีย’

วันนี้ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดทาวน์โฮมไฮเอนด์ สานต่อความสำเร็จของแบรนด์ “บ้านกลางเมือง” ประกาศเปิดตัว “บ้านกลางเมือง” บนสองทำเลศักยภาพ “สาทร – สุขสวัสดิ์” และ “ลาดพร้าว – เสรีไทย” พร้อมโมเดลใหม่ “เทอราเรีย” (Terraria) กับนวัตกรรมดีไซน์พื้นที่แห่งอนาคต (Innovation for Future Living) การออกแบบพื้นที่ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ เจาะครอบครัวคนเมืองรุ่นใหม่ระดับกลางบน พลิกโฉมและฟังก์ชั่นการอยู่อาศัยของทาวน์โฮมในเมืองไทยไปตลอดกาล รวมมูลค่าสองโครงการ 2,400 ล้านบาท เผยเตรียมเปิดอีก 5 โครงการแนวราบ มูลค่า 7,700 ล้านบาท รุกตลาดโค้งสุดท้ายก่อนปิดปี 2560 “บ้านกลางเมืองสาทร – สุขสวัสดิ์” และ “บ้านกลางเมืองลาดพร้าว – เสรีไทย” โมเดลใหม่ “เทอราเรีย” (Terraria) โดยเอพี ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบรับพื้นที่ชีวิตในอนาคต ของครอบครัวคนเมืองรุ่นใหม่ระดับกลางบน ชูจุดต่างของการดีไซน์ที่เข้าใจและมองเห็นรูปแบบการใช้ชีวิตที่จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย 1. การออกแบบพื้นที่สีเขียว (Design for Green Living) ซึ่งนอกจากจะให้ความสำคัญกับการนำต้นไม้เข้ามาอยู่ในตัวอาคารแล้วนั้น ยังคำนึงถึงการออกแบบมุมมอง (Design Approach) ทั้งจากภายในและภายนอก และ 2.การออกแบบพื้นที่ รองรับการปรับเปลี่ยน (Design for Flexible Living) ตามความต้องการใช้พื้นที่ที่หลากหลาย ด้วยผนังที่สามารถขยับ ปรับเปลี่ยน โดยไม่กระทบต่อโครงสร้างเพื่อครอบครัวขยายในอนาคต บ้านกลางเมือง โมเดลเทอราเรีย (Terraria) ไฮเอนด์ทาวน์โฮม 3 ชั้น (18 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 152 ตร.ม. หน้ากว้าง 5 เมตร) 3 นอน/3 น้ำ/2 ที่จอดรถ ประเดิมเปิด 2 ทำเลแรก ใจกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้า ติดถนนใหญ่ และทางด่วน บ้านกลางเมือง สาทร – สุขสวัสดิ์ มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท จำนวน 204 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท และ บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว – เสรีไทย มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท จำนวน 334 ยูนิต ราคาเริ่ม 4.29 ล้าน นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า “ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี 2560 บรรยากาศการซื้อขายสินค้าอสังหาฯ แนวราบมีแนวโน้มคึกคัก โดยเฉพาะสินค้าทาวน์โฮมในกลุ่มเซกเมนต์กลาง – บน ที่โฟกัสทำเลใจกลางเมืองระดับราคาขาย 4-9 ล้านบาทขึ้นไปนั้น ถือว่าได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด โดยเฉพาะจากกลุ่มลูกค้าครอบครัวเมืองเจนเนอเรชั่นใหม่ (อายุไม่เกิน 35 ปี)  ที่ให้ความสนใจและตัดสินใจซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างชัดเจน สะท้อนจากตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าไฮเอนด์ทาวน์โฮม  “บ้านกลางเมือง” ที่เป็นกลุ่มครอบครัวเมืองเจนเนอเรชั่นใหม่ในสัดส่วน 39% ในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 70% ในไตรมาส 3/2560  เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่กำลังจะเริ่มต้นครอบครัวหรือวางแผนขยับขยาย มีครอบครัวเป็นของตนเอง ซึ่งนับว่าเป็นฐานตลาดค่อนข้างใหญ่ โดยจากสัดส่วนการเพิ่มขึ้นดังกล่าวนั้น ยังสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของคนเมืองเจนเนอเรชั่นใหม่ ที่มีการ trade of จากการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม มาเป็นการใช้ชีวิตในไฮเอนด์ทาวน์โฮมแทน เนื่องจากสามารถเติมเต็มความต้องการ ทั้งในแง่ขนาดพื้นที่ใช้สอยภายในที่มากขึ้น และการมีโลเคชั่นในเมืองยังช่วยลดระยะเวลาการเดินทางอีกด้วย ซึ่ง ‘บ้านกลางเมือง’ ของ เอพีถือครองสัดส่วนผู้นำตลาดไฮเอ็นด์ทาวน์โฮมทำเลในเมืองเป็นอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 59% ของตลาดทาวน์โฮม 3 ชั้นในเมืองที่มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 30,916 ล้านบาท  โดยเอพีมุ่งสานต่อเป้าหมายในการรักษาความเป็นผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง เราพร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่   เน้นย้ำจุดแข็งทั้ง ‘การเป็นหนึ่งเดียวเรื่องทำเลที่ตั้ง’ ‘การพัฒนานวัตกรรมดีไซน์และโมเดลใหม่ๆ’ ความโดดเด่นด้านแนวคิดของ ‘การดีไซน์พื้นที่’ ที่สร้างความแตกต่างให้กับการอยู่อาศัย พร้อมการออกแบบที่หรูหราสอดรับกับพฤติกรรมลูกค้าครอบครัวเมือง ทั้งรูปลักษณ์ของบ้านและฟังก์ชั่นการใช้งานภายใน ซึ่งเชื่อมั่นว่าทั้งหมดนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีและช่วยดันยอดขายให้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้” “เอพีตระหนักดีว่า ‘ทำเล’ คือปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆ ในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย จึงเลือกพัฒนาบ้านกลางเมืองโครงการใหม่ ณ สองทำเลศักยภาพสูง คือ ‘สาทร – สุขสวัสดิ์’ ติดถนนสุขสวัสดิ์ ใช้เวลาเดินทางสู่ใจกลางธุรกิจย่านสาทรได้อย่างรวดเร็วด้วยสะพานภูมิพลหรือทางพิเศษเฉลิมมหานคร และ ‘ลาดพร้าว – เสรีไทย’ ติดถนนใหญ่ ใช้เวลาเดินทางสู่ศูนย์กลางย่านธุรกิจแห่งใหม่เชื่อมต่อลาดพร้าว-รัชดา-พระราม 9 อย่างง่ายดาย” “สำหรับไฮเอนด์ทาวน์โฮมแบรนด์ “บ้านกลางเมือง” นั้น เราได้รังสรรค์กว่า 10 โมเดล และได้รับการตอบรับที่ดีเสมอมา เราจริงจังในเรื่องการศึกษาและรับฟังความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างมาก โดยมีการลงพื้นที่นำแนวคิดเรื่อง Design Thinking มาใช้ในการวิจัยและพัฒนาสินค้าที่อยู่อาศัยคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เราพบว่าสิ่งที่ลูกค้าทาวน์โฮมต้องการ คือ คุณภาพการใช้ชีวิตในทาวน์โฮมที่สบายไม่ต่างจากการใช้ชีวิตในบ้านเดี่ยว ซึ่งนำสู่การพัฒนา “บ้านกลางเมือง” โมเดลใหม่ล่าสุด “Terraria Model” ภายใต้วิธีคิดนวัตกรรมดีไซน์พื้นที่แห่งอนาคต (Innovation for Future Living) โดยมีจุดเด่นคือ 1. การออกแบบพื้นที่สีเขียว (Design for Green Living) ซึ่งนอกจากจะให้ความสำคัญกับการนำต้นไม้เข้ามาอยู่ในตัวอาคารในรูปแบบ Pocket Garden เข้ามาไว้ในทาวน์โฮมถึง 2 จุดในชั้น 2 และชั้น 3 แล้วนั้น ยังคำนึงถึงการออกแบบมุมมอง (Design Approach) ทั้งจากภายในและภายนอก และ 2. การออกแบบพื้นที่รองรับการปรับเปลี่ยน (Design for Flexible Living) ตามความต้องการใช้พื้นที่ที่หลากหลาย ด้วย Flexible Wall ผนังภายในแบบพิเศษที่รองรับการปรับเปลี่ยน ขยับขยายได้จริง ยืดหยุ่นได้หลากหลายรูปแบบโดยไม่กระทบโครงสร้างหลักของบ้าน ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้อาศัย ขณะที่ความลงตัวเชิงฟังก์ชั่นและความคุ้มค่าทุกตารางนิ้วของพื้นที่ใช้สอยภายในทั้ง 3 ชั้น ยังเชื่อมต่อการใช้งานได้อย่างไม่จำกัด อาทิ เพิ่มพื้นที่เก็บของ (ด้านหน้าและใต้บันได) การบริหารพื้นที่ครัวแบบเข้ามุม และเพิ่มพื้นที่พักผ่อนพิเศษ ที่สามารถรองรับ ทั้งการเป็นส่วนนั่งเล่นของครอบครัวหรือพื้นที่ทำงานได้อย่างลงตัว และเพิ่มความโดดเด่นด้วยดีไซน์โมเดิร์นอย่างเป็นเอกลักษณ์ของโครงสร้างสถาปัตยกรรมดีไซน์ภายนอก ซึ่งด้วยวิธีคิดการออกแบบพื้นที่แห่งอนาคตทั้งหมดนี้ นับเป็นการพลิกประวัติศาสตร์การดีไซน์ ฉีกกรอบคำจำกัดความของทาวน์โฮมแบบเดิมๆ และมั่นใจว่า “บ้านกลางเมือง” โมเดลใหม่ล่าสุด “Terraria Model” จะได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้าครอบครัวเมืองอย่างแน่นอน” คุณภมรกล่าว ในปี 2560 เอพีตั้งเป้ายอดขายในส่วนโครงการแนวราบไว้ที่ 13,600 ล้านบาท ในส่วนของผลการดำเนินงานของเอพีเฉพาะจากกลุ่มสินค้าแนวราบ (ณ 31 ตุลาคม 2560) เอพีสามารถสร้างยอดขายรวมกว่า 12,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า  โดยสรุปการเปิดโครงการแนวราบในปี 2560 รวมทั้งสิ้น 22 โครงการ มูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้น 24,940 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 13 โครงการ มูลค่า 12,590 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว 9 โครงการ มูลค่า 12,350 ล้านบาท ปัจจุบัน เอพีมีโครงการแนวราบพร้อมขาย (existing projects) รวมทั้งสิ้น 64 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 31,500 ล้านบาท และสำหรับ 2 เดือนสุดท้ายของปี 2560 เตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบ 5 โครงการ มูลค่ารวม 7,700 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 3 โครงการ มูลค่า 5,300 ล้านบาท และทาวน์โฮม 2 โครงการ มูลค่า 2,400 ล้านบาท บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) คือ ผู้นำด้านการปฏิวัติออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่อยู่อาศัย ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ดีไซน์ที่โดดเด่นด้วยพื้นที่ใช้สอยที่สะดวกสบาย ทำเลที่ดีเยี่ยม รวมไปถึงคุณภาพในการก่อสร้าง การบำรุงรักษา บริการหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้าเอพีได้ใช้ชีวิตที่ดีที่สุดและเติมเต็มความสุขในแบบที่ปรารถนา
“สยามพารากอน ลักซ์ชัวรี่ พร็อพเพอร์ตี้ โชว์เคส 2017” มหกรรมอสังหาริมทรัพย์ครั้งยิ่งใหญ่ระดับมาสเตอร์พีซและไฮเอนด์ พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษแห่งปี ระหว่างวันที่ 9-19 พฤศจิกายน ศกนี้ ที่สยามพารากอน

“สยามพารากอน ลักซ์ชัวรี่ พร็อพเพอร์ตี้ โชว์เคส 2017” มหกรรมอสังหาริมทรัพย์ครั้งยิ่งใหญ่ระดับมาสเตอร์พีซและไฮเอนด์ พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษแห่งปี ระหว่างวันที่ 9-19 พฤศจิกายน ศกนี้ ที่สยามพารากอน

ท่ามกลางสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ยังอยู่ในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะตลาดระดับบนและลักซ์ชัวรี่ และปัจจัยบวกต่าง ๆ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงมาตรการส่งเสริมการพัฒนาที่อยู่อาศัย รองรับสังคมผู้สูงอายุจะช่วยสร้างตลาดใหม่และเพิ่มความต้องการในการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ทั้งในมือชาวไทยและชาวต่างชาติ ปัจจัยบวกดังกล่าวนี้จะช่วยให้ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้ และปี 2561 ให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการที่พักอาศัยสุดหรูอย่างสมบูรณ์แบบที่สุดและรวบรวมผู้ประกอบการโครงการที่พักระดับชั้นนำไว้ในที่เดียว ศูนย์การค้าสยามพารากอน จึงได้จัดงาน “สยามพารากอน ลักซ์ชัวรี่ พร็อพเพอร์ตี้ โชว์เคส 2017” (Siam Paragon Luxury Property Showcase 2017) งานแสดงที่สุดแห่งโครงการที่พักอาศัยและที่พักตากอากาศระดับมาสเตอร์พีซและระดับไฮเอนด์ครั้งยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 โดยในปีนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทยจำนวนมากถึง 14 โครงการ พร้อมชูไฮไลท์นำเสนอบ้านพัก คอนโดมิเนียม และรีสอร์ตระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่มากกว่า 3,000 ยูนิต พิเศษกับเรือยอชต์หรูที่จะมาเติมเต็มทุกความต้องการให้ผู้สนใจและนักลงทุนที่ต้องการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์ระดับไฮเอนด์และเพื่อลงทุนหวังผลกำไรในระยะยาวได้เลือกสรรกัน พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ 3 ต่อส่งท้ายปลายปีอีกมากมาย นางสาวชนิสา แก้วเรือน รองกรรมการผู้จัดการ สายกิจกรรมการตลาดและธุรกิจสัมพันธ์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน เปิดเผยถึงการจัดงานครั้งนี้ว่า “ในปี 2560 และคาดการณ์ต่อเนื่องถึงปี 2561 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ มีการเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาเพราะมีการเปิดโครงการและมีจำนวนยูนิตที่มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการแบบมิกซ์ยูสหลายโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อสร้างเป็นแลนด์มาร์คในแต่ละทำเลของกรุงเทพฯ และพื้นที่ปริมณฑลและเมืองเศรษฐกิจสำคัญในแต่ละภูมิภาค  และด้วยตัวเลขเศรษฐกิจที่เริ่มส่งสัญญาณในทางบวก ส่งผลให้การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาส 3 และ 4 ดูคึกคักกว่าปกติมีสัญญาณการเติบโตต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2561 อีกทั้งด้วยปัจจัยบวก ทั้งแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่ง และรถไฟฟ้าสายสำคัญต่างๆ ที่คาดการณ์ว่าจะเปิดพื้นที่ใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล และโครงการเมกะโปรเจกต์รถไฟความเร็วสูงที่มีเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ที่มีเป้าหมายในการก่อสร้าง 4 สาย ได้แก่ สายเหนือ, สายตะวันออก, สายตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้ อีกทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาคผ่านการส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษคลัสเตอร์ และแผนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ ECC รวมถึงมาตรการส่งเสริมการพัฒนาที่อยู่อาศัยรองรับสังคมผู้สูงอายุ และนโยบายการคงอัตราดอกเบี้ยต่ำ และมาตรการขยายสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สยามพารากอนจึงได้ร่วมมือกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องที่จะรวบรวมที่สุดแห่งอภิมหาโปรเจกต์โครงการที่พักอาศัยและที่พักตากอากาศระดับมาสเตอร์พีซและไฮเอนด์ของเมืองไทย รวมไปถึงสินทรัพย์ราคาแพงอย่างเรือยอชต์เพื่อเป็นศูนย์กลางให้กับเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์และผู้ที่ต้องการหาทำเลเพื่อที่อยู่อาศัยและการลงทุน “ตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งคอนโดและแนวราบระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ตั้งแต่ต้นปี 2560 จนถึงปัจจุบันมีการเติบโตต่อเนื่อง ความต้องการยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยระดับราคาคอนโดระดับบนจะอยู่ที่ราว 250,000 บาท/ตารางเมตร (ตร.ม.) ขณะที่บ้านแนวราบมีตั้งแต่ 20-200 ล้านบาท ทั้งนี้ มองว่าเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มดีขึ้น กำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ยังมีอยู่และเป็นดีมานด์จริงโดยเฉพาะตลาดระดับบนและไฮเอนด์ ซึ่งเป็นกำลังซื้อจากคนไทยเองราว 60-70 เปอร์เซ็นต์ และมีสัดส่วนกำลังซื้อของชาวต่างชาติที่ต้องการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ และซื้อเพื่อการลงทุนเพิ่มมากขึ้น คิดเป็นสัดส่วนการซื้อขายคอนโดราว 30-40 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่มีปัจจัยบวกในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ยังต่ำ การปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 4 ขยับและดีขึ้นในปี 2561 โดยการจัดงานครั้งนี้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เหล่าดีเวลลอปเปอร์จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างตรงกลุ่ม และเป็นโอกาสของผู้ซื้อที่จะได้พบข้อเสนอสุดคุ้ม ในราคาที่เข้าถึง  และโปรโมชั่นต่างๆ ที่จะทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น” นางสาวชนิสากล่าว สำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่นำมาจัดแสดงภายในงานครั้งนี้ล้วนเป็นโครงการระดับมาสเตอร์พีซจากโครงการที่พักอาศัยและที่พักตากอากาศเหนือระดับบนทำเลที่ดีที่สุด ได้แก่ ARNA EKAMAI / BLUEPHERE PATTAYA / CANAPAYA RESIDENCES /  FOUR SEASONS PRIVATE RESIDENCES BANGKOK AT CHAO PHRAYA RIVER / LAVIQ SUKHUMVIT 57 /  THE LOFTS SILOM/ MOVENPICK RESIDENCES & POOL VILLAS / NARA 9 BY EASTERN STAR / NIVATI / THE PANO / THE RESIDENCES at SHERATON PHUKET GRAND BAY / SWAN LAKE RESIDENCE KHAOYAI / WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM และพิเศษในปีนี้มีเรือยอชต์หรู จาก  BOAT LAGOON มาร่วมจัดแสดงตอบโจทย์ผู้ต้องการครอบครองสินทรัพย์ระดับมาสเตอร์พีซไว้ในที่เดียวภายในงานอย่างครบครัน แต่ละโครงการได้เตรียมตอบสนองความต้องการของนักลงทุนหรือลูกค้าในปีนี้และปีหน้า ด้วยการพัฒนารูปแบบโครงการแบบมิกซ์ยูส เพิ่มพื้นที่ส่วนตัว ตกแต่งภายในด้วยเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งระดับไฮเอนด์ที่ดีที่สุด พร้อมตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย พร้อมบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตลอดจนมีการวางกลยุทธ์ในการตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ซื้อ และการอัดแคมเปญข้อเสนอสุดพิเศษ ทำให้คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเหมือนเช่นทุกปีในตลอด 11 วันของการจัดงาน” นางสาวชนิสากล่าวปิดท้าย นายเนติ  นฤมิตร นักลงทุนคอนโด โบรคเกอร์อสังหาฯ ผู้เชี่ยวชาญตลาดคอนโดระดับ Ultra Luxury กล่าวถึงแนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะตลาดบนไว้อย่างน่าสนใจว่า ปัจจุบันการเติบโตของตลาดอสังหาฯระดับ Luxury และ Super Luxury เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เพราะเป็นกลุ่มที่ไม่กระทบกับภาวะเศรษฐกิจเท่าใดนัก และตลาดอสังหาฯกลุ่มบนก็ยังคงเป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้ซื้อระดับบนและชาวต่างชาติ และเพื่อการลงทุนระยะยาว ซึ่งราคาอสังหาฯโดยเฉพาะกลุ่มลักซ์ชัวรี่ที่มุ่งเน้นไปที่โลเคชั่น ดีไซน์ความหรูหรา และการใช้วัสดุคุณภาพสูงยังคงเป็นตลาดที่เหล่าดีเวลลอปเปอร์และนักลงทุนด้านอสังหาฯให้ความเชื่อมั่น และจะมีราคาเพิ่มขึ้นทุกปีจึงเป็นกลุ่มอสังหาฯ ที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะตลาดระดับบน จะยังคงโตต่อเนื่องในปีหน้าตามทิศทางของเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มจะเติบโตมากขึ้น จาก Fund flow หรือเงินไหลเข้า ซึ่งนักลงทุนต่างชาติก็พร้อมจะลงทุนในไทย ทั้งยังมีเมกะโปรเจกต์ที่สร้างเสร็จทำให้ที่ดินราคาสูงขึ้น และจากนโยบายส่งเสริมเขตเศรฐกิจพิเศษของภาครัฐและการเติบโตของเมืองสำคัญ ๆ ที่กระจายตัวมากขึ้นทำให้ตลาดอสังหาฯเป็นกลุ่มที่นักลงทุนและดีเวลลอปเปอร์จะให้ความสนใจ โดยตลาดอสังหาฯกลุ่ม Luxury ขึ้นไปจะยังคงสร้าง capital gain ได้อย่างดีทำให้นักลงทุนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติมั่นใจที่จะลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มคนนักธุรกิจรุ่นใหม่ ซึ่งรู้จักวิธีการใช้เงิน มีไลฟ์สไตล์ และมองหาการลงทุนที่มั่นคงและสร้างผลประโยชน์ในระยะยาว ก็จะหันมาสนใจกับการลงทุนในกลุ่มอสังหาฯ โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดบนมากขึ้น เพราะมีความเชื่อมั่นว่า กลุ่มตลาดบนนี้ได้คัดสรรโลเคชั่นที่เป็นที่ต้องการทั้งในย่านใจกลางเมือง ใจกลางสวนสาธารณะ ติดริมน้ำ หรือติดเส้นทางคมนาคม ทั้งรถไฟฟ้าและย่านเศรษฐกิจสำคัญ รวมไปถึงแหล่งท่องเที่ยว ริมทะเล หรือบนเขา จะมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังมั่นใจกับแบรนด์ผู้ลงทุนที่มีการ Collaborate การออกแบบ เลือกดีไซน์ที่หรูหรา มีการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมทันสมัยในการพัฒนาการบริการให้เป็นที่พอใจสูงสุด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้พักอาศัย ทำให้นักลงทุนมั่นใจในคุณค่าทั้งอสังหาริมทรัพย์และแบรนด์เจ้าของผู้ลงทุนโครงการมูลค่าสูง” ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงยังกล่าวเสริมอีกว่า เชื่อมั่นว่าการเติบโตของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องกว่า 15 เปอร์เซ็นต์หรืออาจจะมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ได้ไม่ยาก ตามปัจจัยบวกทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ผลสำรวจจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้มีค่าเท่ากับ 67.0 จุด เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งมีค่าเท่ากับ 65.1 จุด แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล มีทิศทางความเชื่อมั่นในเชิงบวกต่อการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยมีค่าเพิ่มขึ้นในเกือบทุกด้านจากเมื่อช่วงต้นปี โดยเฉพาะจากปัจจัยความเชื่อมั่นด้านผลประกอบการ ยอดขาย การลงทุน และแผนที่จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากพิจารณาแยกตามกลุ่มผู้ประกอบการ พบว่า ผู้ประกอบการกลุ่ม Listed Companies มีค่าดัชนีความเชื่อมั่น เท่ากับ 73.1 จุด เพิ่มขึ้นจาก 71.9 จุดในไตรมาสก่อนหน้า และเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งมีผลจากปัจจัยความเชื่อมั่นในด้านผลประกอบการ การลงทุน และแผนที่จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในอนาคต ขณะที่ผู้ประกอบการกลุ่ม Non-listed Companies มีค่าดัชนีเท่ากับ 57.9 จุด เพิ่มขึ้นจาก 54.9 จุด ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งมีปัจจัยความเชื่อมั่นที่สำคัญในด้านผลประกอบการ ยอดขาย การลงทุน ต้นทุนประกอบการ และการเปิดโครงการใหม่ สะท้อนว่าผู้ประกอบการกลุ่ม Listed Companies และกลุ่ม Non-listed Companies ทั้งสองกลุ่มมีความเชื่อมั่นเชิงบวกต่อทิศทางการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต กล่าวโดยสรุปผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่าสถานการณ์ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น โดยมีความเชื่อมั่นต่อทิศทางของยอดขาย การเปิดตัวโครงการใหม่ การลงทุน และผลประกอบการในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน งาน “สยามพารากอน ลักซ์ชัวรี่ พร็อพเพอร์ตี้ โชว์เคส 2017” จะจัดตั้งแต่วันที่ 9-19 พฤศจิกายนนี้ บริเวณแฟชั่น ฮอลล์ และแฟชั่น แกลเลอรี่ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยครั้งนี้เหล่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำพร้อมมอบสุดยอดโอกาสการลงทุนในโครงการที่พักอาศัยเหนือระดับ พร้อมที่สุดแห่งข้อเสนอพิเศษ 3 ต่อ ไม่ว่าจะเป็น ต่อที่ 1 ส่วนลดและข้อเสนอแห่งปีจากโครงการที่พักอาศัยและที่พักตากอากาศสุดหรูบนทำเลศักยภาพ, ต่อที่ 2 สำหรับผู้ที่มียอดใช้จ่ายสูงสุดภายในงาน  ท่านแรก รับแพคเกจสุดเอ็กซ์คลูซีฟทริปล่องเรือยอชต์สุดหรูที่ภูเก็ต จาก Boat Lagoon Yachting ดื่มด่ำประสบการณ์สุดหรู 1 วันบนเรือสำหรับ 10 ท่าน รวมบริการทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และแชมเปญ มูลค่า 350,000 บาท  สำหรับท่านที่ 2-3 จะได้รับตั๋วเครื่องบินเปิดเส้นทางบินใหม่ ไป-กลับ ฟูกว๊อก ประเทศเวียดนาม สำหรับ 2 ท่าน มูลค่ารางวัลละ 108,000 บาท จาก Bangkok Airways และ ห้องพัก Turquoise Suite 4 วัน 3 คืน ที่โรงแรม JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay Resort & Spa พร้อมอาหารทุกมื้อ มูลค่ารางวัลละ 192,500 บาท  และท่านที่ 4 และ 5 รับทันที เครื่องดูดฝุ่นที่ทรงพลังมากที่สุดจาก Dyson V8 Animal Vacuum ไร้สาย ใช้งานสะดวก มูลค่าเครื่องละ 25,900 บาท และ ต่อที่ 3 สิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตกสิกรไทย เมื่อชำระค่าจองผ่านบัตรเครดิต รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 12,000 บาท พร้อมแบ่งจ่าย 0% นานสูงสุด 10 เดือน สิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตธนชาต เมื่อชำระค่าจองผ่านบัตรเครดิต รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 14,000 บาท  หรือ แบ่งจ่าย 0% นาน 6 เดือน สอบถามเพิ่มเติมโทร 0-2610-8000  
แสนสิริ ลงทุน 80 ล้านดอลล่าร์ ใน 6 แบรนด์ชั้นนำของโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ระดับโลกเพื่อการใช้ชีวิตในอนาคต

แสนสิริ ลงทุน 80 ล้านดอลล่าร์ ใน 6 แบรนด์ชั้นนำของโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ระดับโลกเพื่อการใช้ชีวิตในอนาคต

แสนสิริ ก้าวล้ำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยแผนการลงทุนมูลค่า 80 ล้านดอลล่าร์ หรือ 2,800  ล้านบาทใน 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก ซึ่งเป็นการขยายฐานการลงทุนในธุรกิจอื่นครั้งสำคัญเพื่อสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอันหลากหลาย โดยทั้ง 6 ธุรกิจล้วนมีอัตราการเติบโตสูงในตลาดโลกซึ่งจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของแสนสิรินอกประเทศไทย เร่งเดินหน้ากลยุทธ์โมเดลธุรกิจแบบ asset light ในยุคปฏิวัติดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสจากการผนึกกำลังร่วมและโอกาสการเติบโตที่รวดเร็ว โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของบริษัททั้งหกจากการเข้าถือหุ้นของแสนสิริจะส่งผลดีต่อธุรกิจหลักของแสนสิริ การลงทุนครั้งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของแสนสิริที่มุ่งให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตในอนาคต ครอบคลุมทั้งแนวทางการดำเนินชีวิต การทำงาน การพักผ่อนหย่อนใจ และการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีและสื่อรูปแบบใหม่ ๆ ธุรกิจที่แสนสิริร่วมลงทุนครั้งนี้ประกอบด้วย Standard International แบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในธุรกิจบูติกโฮเทลซึ่งพลิกโฉมหน้าวงการโรงแรมระดับไฮเอนด์แบบใหม่ไปสู่อีกรูปแบบ One Night แอพพลิเคชั่นจองโรงแรมที่ปฎิวัติวิธีการจองภายในวันเข้าพักในโรงแรมที่คัดสรรมาอย่างดีจากทั่วโลกให้เลือก Hostmaker บริษัทผู้บริหารจัดการอสาหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งจากลอนดนให้ Airbnb  JustCo ผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้ง    สเปซสุดสร้างสรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Farmshelf นวัตกรรมฟาร์มอัจฉริยะเพื่อการปลูกผักสดสะอาดในที่พักอาศัย และ Monocle แบรนด์สื่ออันทรงอิทธิพลระดับโลก ครอบคลุมทั้งสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ วิทยุ ภาพยนตร์ รีเทล และธุรกิจบริการแสนสิริคือผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2527 และเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรรายเดียวของประเทศซึ่งมีมูลค่ายอดขายโครงการมากกว่า 40,000 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังมีชื่อเสียงอันแข็งแกร่งในต่างประเทศ ทั้งจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และญี่ปุ่น ด้วยเป้าหมายยอดขายในตลาดต่างประเทศในปี 2560 ที่ 12,000 ล้านบาท นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย สอดคล้องกับการเติบโตของจีดีพี ซึ่งการเติบโตในระดับที่ไม่สูงนัก  แต่แสนสิริวางเป้าหมายการเติบโตในระดับสูง และการลงทุนครั้งนี้นับเป็นการพัฒนาที่อยู่นอกเหนือธุรกิจหลักของเราเป็นครั้งแรก เรากำลังขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกและมุ่งลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพที่ดีในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และอาศัยพันธมิตรในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเราไปพร้อม ๆ กัน” “ก้าวสำคัญต่อไปของเราคือการมุ่งตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคโดยการสร้างสรรค์แพลตฟอร์มระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะผลักดันให้แสนสิริก้าวสู่ความเป็นแบรนด์ระดับโลก เป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งการผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรที่หลากหลายยังนับเป็นการพลิกโฉมแสนสิริเพื่อสร้างการเติบโตสู่อนาคต โดยให้ความสำคัญใน 3 ด้านคือ 1. การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก 2. การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการพักอาศัย หรือ PropTech ร่วมกับผู้พัฒนาเทคโนโลยีชั้นนำ และ 3. การเสริมสร้างบทบาทความเป็นผู้นำและขยายฐานกลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม”  นายเศรษฐาเสริม   Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) The Standard (เดอะ สแตนดาร์ด) เป็นแบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในธุรกิจบูติกโฮเทล มีโรงแรมในเครือทั้งหมด 5 แห่ง ในนิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส และไมอามี และโรงแรมแห่งใหม่ที่กำลังจะเปิดเร็วๆ นี้ในลอนดอน The Standard คือผู้บุกเบิกในธุรกิจโรงแรมแบบไลฟ์สไตล์และสร้างประสบการณ์การเข้าพักในโรงแรมที่ใหม่หมดทุกรายละเอียด ตั้งแต่รายละเอียดของการออกแบบ ไปจนถึงการเป็นจุดหมายสุดสร้างสรรค์เพื่อสัมผัสกับชุมชนและวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด โดยโรงแรมทุกแห่งมีภัตตาคาร ไนท์ไลฟ์ และร้านค้าที่มีคุณภาพเป็นเลิศ และมีช่องทางการสื่อสารออนไลน์ที่โดดเด่นเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ทำงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ซึ่งเป็นลูกค้าเป้าหมาย ทั้งในเมืองที่ตั้งของโรงแรมและที่อื่น ๆ ด้วยการลงทุนมูลค่า 58 ล้านดอลล่าร์ แสนสิริจะเป็นผู้ถือหุ้น 35% ในสี่กลุ่มธุรกิจของ Standard International ประกอบด้วย The Standard Hotel Operations and Management, Bunkhouse Group, แอพพลิเคชั่น One Night และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรม แผนการลงทุน การลงทุนครั้งนี้จะใช้เป็นเงินลงทุนในโรงแรมใหม่ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มใหม่ และในการพัฒนานวัตกรรมแอพพลิเคชั่น One Night สำหรับการจองโรงแรมแบบนาทีสุดท้าย (Last minute booking) เพื่อเข้าพักในวันเดียวกันโดยมีโรงแรมไลฟ์สไตล์ที่คัดสรรมาแล้วจากทั่วโลกให้เลือก มร. อามาร์ ลาลวานี่ ซีอีโอและ Managing Partner สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “The Standard มีชื่อเสียงในฐานะผู้บุกเบิกด้านบริการโรงแรมที่พัก การเดินทาง อาหารชั้นเลิศ ไนท์ไลฟ์ และอื่น ๆ ด้วยแนวคิดที่แหวกขนบเดิม ๆ และแฝงความสนุกสนาน สร้างความละเมียดละไมด้วยการออกแบบ การเพิ่มเติมรายละเอียด และการบริการที่สุดพิถีพิถัน การจับมือกับแสนสิริจะช่วยให้เราเข้าถึงโอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนานวัตกรรมจากเทคโนโลยีและโรงแรมใหม่ ๆ ทั้งในเอเชีย และภูมิภาคอื่นทั่วโลก”   One Night (วัน ไนท์) One Night เป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับการจองโรงแรมที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัท สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล กลุ่มบริษัทเจ้าของบริษัท เดอะ สแตนดาร์ด โฮเท็ล กรุ๊ป และเป็นแพล็ตฟอร์มการจองโรงแรมระบบแรกซึ่งออกแบบโดยบริษัทโรงแรมเอง One Night คือแพล็ตฟอร์มที่ใช้งานบนเครือข่ายโมบายซึ่งสร้างรายได้จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของการจองโรงแรมบนเครือข่ายโมบาย ความต้องการในโรงแรมที่พักที่สร้างประสบการณ์อันน่าจดจำ ตลอดจนไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งของกลุ่มลูกค้าผู้บริโภครุ่นใหม่ One Night จึงเกิดขึ้นเพื่อนำเสนอแนวความคิดใหม่ในธุรกิจโรงแรม ซึ่งไม่มองคู่แข่งเป็นคู่แข่ง แต่มองคู่แข่งเป็นพันธมิตรที่มีศักยภาพในการทำอะไรร่วมกันได้เพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษให้ลูกค้าและเสริมสร้างธุรกิจไปด้วยกัน แผนการลงทุน แสนสิริจะช่วยส่งเสริมให้ One Night พัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพและเติบโตในตลาดนานาชาติ โดยเฉพาะในเอเชีย มร. จิมมี่ ซูฮ์ ประธานบริหาร One Night กล่าวว่า “การลงทุนจากแสนสิริช่วยให้เรามีเงินทุนในการพัฒนาธุรกิจอย่างเต็มศักยภาพและเติบโตในระดับนานาชาติ อีกทั้งยังทำให้เราเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ จากการลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ของแสนสิริ ซึ่งจะช่วยให้เราเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง” Hostmaker (โฮสต์เมกเกอร์) Hostmaker คือบริษัทผู้ให้บริการบริหารการเช่าที่พักอาศัยและผู้บริหารการจองที่พักอันดับหนึ่งของ Airbnb ที่ได้รับรางวัลการันตีคุณภาพมาแล้ว แสนสิริเล็งเห็นถึงเทรนด์ home-sharing หรือการแบ่งที่พักอาศัยให้เช่ากำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้บริการด้านบริหารที่พักอาศัยเติบโตขึ้นตามไปด้วย Hostmaker ดำเนินธุรกิจในลอนดอน โรม ปารีส และบาเซโลน่า โดยให้บริการลูกค้าผู้พักอาศัยมาแล้วกว่า 150,000 คนทั่วโลก แผนการลงทุน Hostmaker จะขยายธุรกิจสู่เอเชียภายใต้การสนับสนุนของแสนสิริ ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากตลาดนอกประเทศไทยให้กับแสนสิริ มร. นกุล ชาร์มา ผู้ก่อตั้ง และซีอีโอ Hostmaker กล่าวว่า “เราคือบริษัทด้าน PropTech ที่มุ่งสร้างโซลูชั่นด้านการพักอาศัยในยุคเศรษฐกิจแห่งการแบ่งปัน (sharing economy) เพื่อตอบสนองความคาดหวังด้านบริการที่สูงขึ้นของผู้บริโภคเจเนอเรชั่นใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เงินทุนจากแสนสิริจะเปิดโอกาสใหม่ให้เราเติบโตด้วยบริการใหม่ ๆ และเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ เช่นเดียวกับการนำเอาความเชี่ยวชาญในตลาดนานาชาติของเรามาช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของแสนสิริ และพลิกโฉมแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทยสู่การเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม”   JustCo (จัสท์โค) JustCo คือ ผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันเปิดให้บริการทั้งหมด 11 แห่ง และมีแผนจะเปิดสาขาใหม่อีก 20 แห่งในในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2561 แสนสิริเล็งเห็นว่าในอนาคตองค์กรขนาดใหญ่จะหันมาใช้สถานที่ทำงานแบบโคเวิร์คกิ้งสเปซมากขึ้นเพื่อส่งเสริมให้พนักงานเกิดพลังสร้างสรรค์ การผสมผสานทางความคิด และพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดี แสนสิริวางเป้าหมายให้ JustCo ขยายการเติบโตอย่างรวดเร็ว แผนการลงทุน แสนสิริและ JustCo ร่วมกันวางแผนเปิดตัว JustCo สาขาใหม่ 4 แห่งในกรุงเทพฯ ในปี 2561 รวมทั้งขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในเอเชีย มร. วัน ซิง คง ซีอีโอ และผู้ก่อตั้ง JustCo กล่าวว่า “JustCo สร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์มาอย่างต่อเนื่องในเมืองต่าง ๆ ความร่วมมือกับแสนสิริจะช่วยเปิดประตูให้เราขยายธุรกิจสู่กรุงเทพฯ นับเป็นเงินทุนที่มาในช่วงเวลาอันเหมาะสม เพราะเรากำลังพร้อมขยายธุรกิจสู่เมืองหลักอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น จาการ์ต้า กัวลาลัมเปอร์ โฮจิมินซิตี้ และมะนิลา ด้วยรากฐานอันแข็งแกร่งและการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากแสนสิริ เราคาดว่าจะสามารถขยายโคเวิร์คกิ้งสเปซได้ครบ 30 แห่งทั่วเอเชียแปซิฟิกภายในปี 2561 ซึ่งแสนสิริเองก็สามารถเข้าถึงฐานสมาชิกของเราซึ่งเป็นผู้บริโภคที่มีศักยภาพสูงกว่า 12,000 คนเช่นกัน”   Farmshelf (ฟาร์มเชลฟ์) Farmshelf คือผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมการเพาะปลูกแบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้ทุกคนสามารถปลูกผักเพื่อการบริโภคได้ง่ายดายภายในบ้านหรือที่ทำงาน แสนสิริลงทุนใน Farmshelf เนื่องจากเล็งเห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจด้านสุขภาพ และแนวโน้มของผู้บริโภคที่มีความต้องการอาหารคุณภาพที่สดใหม่ รวมทั้งปรากฏการณ์การพักอาศัยแบบร่วมมือแบ่งปันกัน (collaborative living) แผนการลงทุน Farmshelf มีโอกาสทางธุรกิจอันมหาศาลเพื่อการนำไปใช้ในโครงการที่พักอาศัยต่าง ๆ ของแสนสิริ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกบ้าน การร่วมเป็นพันธมิตรครั้งนี้คือโอกาสสำคัญในการขยายธุรกิจให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วสู่ทั่วภูมิภาคเอเชีย มร. แอนดรู เชียเรอร์ ซีอีโอ Farmshelf กล่าวว่า “เราเชื่อในเรื่องการผลิตอาหารเพื่อบริโภคด้วยตัวเอง ซึ่งแม้แต่คนเมืองที่มีชีวิตอันรีบเร่ง และมีพื้นที่อาศัยจำกัดก็สามารถทำได้ Farmshelf ช่วยให้ทุกคนปลูกพืชผักเป็นอาหารในที่พักอาศัย หรือที่ทำงาน โดยใช้แอพพลิเคชั่นและเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) ที่ทันสมัย ด้วยเงินทุนจากแสนสิริ เราสามารถต่อยอดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนำวัฒนธรรมใหม่นี้มาสู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตรวดเร็วแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังมีผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์ทันสมัยและเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนและมีสุขภาพดี”   Monocle (โมโนเคิล) ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของอุตสาหกรรมสื่อในระหว่างทศวรรษที่ผ่านมา Monocle กลับสามารถสร้างความสำเร็จด้วยการนำเสนอประสบการณ์แบบลักชัวรี่ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ ผสมผสานกับการเป็นผู้บุกเบิกในการใช้สื่อเสียง ร้านค้ารีเทล และบริการโรงแรมที่พัก  ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคุณค่าของแบรนด์และการสื่อสารอย่างเปี่ยมคุณภาพของ Monocle ได้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของอุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์ทั่วโลกไปแล้ว แผนการลงทุน Monocle จะทำหน้าที่ส่งเสริมแบรนด์แสนสิริและพันธมิตรให้โดดเด่นยิ่งขึ้น โดยช่วยกำหนดและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เชื่อมโยงสู่กลุ่มลูกค้าของ Monocle ในตลาดนานาชาติโดยอาศัยฐานธุรกิจที่มีอยู่ทั่วโลก และยังเล็งเห็นถึงโอกาสสำคัญในการพัฒนาธุรกิจที่ใช้ชื่อแบรนด์ร่วมกันในเซกเตอร์ใหม่ในอนาคต นอกจากนี้แสนสิริยังมีแผนในการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยแบบมิกซ์ยูสแนวคิดใหม่ร่วมกับ Monocle ในกรุงเทพฯ ในปี 2561 มร. ไทเลอร์ บรูเล่ ผู้ก่อตั้ง Monocle กล่าวว่า “แสนสิริและ Minocle มีความสัมพันธ์ต่อกันมายาวนาน และด้วยธุรกิจของเราที่เติบโตมากกว่าการเป็นเพียงสื่อ เราจึงเห็นความสำคัญของการร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทที่มีแนวคิดสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของเราซึ่งกำลังมุ่งสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับชุมชนเมือง รีเทล และแนวคิดด้านบริการใหม่ ๆ มากขึ้น” “ธุรกิจหลักของเรายังคงเป็นการพัฒนาและสร้างสรรค์ที่พักอาศัย แต่จุดมุ่งหมายของเราขยายกว้างขึ้นสู่ความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คน ตั้งแต่บ้านที่เราพักอาศัย สู่วิถีในการเดินทาง และอาหารการกินที่สดใหม่ที่สุด แสนสิริและพันธมิตรของเราจะมุ่งมั่นร่วมกันสรรสร้างวิถีแห่งการใช้ชีวิต การทำงาน การเรียนรู้ และการพักผ่อนหย่อนใจเพื่อวันข้างหน้าที่ดีขึ้น” นายเศรษฐากล่าวปิดท้าย
โกลด์ไชน์ เปิดตัว “คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา” ใจกลางศรีราชา คอนโดสุดหรูโฉมใหม่ เหมาะสำหรับนักลงทุน

โกลด์ไชน์ เปิดตัว “คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา” ใจกลางศรีราชา คอนโดสุดหรูโฉมใหม่ เหมาะสำหรับนักลงทุน

บริษัท โกลด์ไชน์ จำกัด  เปิดตัวโครงการ  คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา  (KEEN CENTRE SRIRACHA)   มูลค่าโครงการ 2,716 ล้านบาท คอนโดมิเนียมใหม่สุดหรูวิวทะเล อาคารสูง 38 ชั้น บนทำเลที่ดีที่สุด โดดเด่นด้วยการอยู่ใจกลางเมืองศรีราชา ติดถนนสุขุมวิท ท่ามกลางแหล่งช้อปปิ้ง โรงพยาบาลชั้นนำ โรงเรียน และอีกมากมาย พร้อมดีไซน์โฉมใหม่ด้วยคอนเซ็ปต์ Luxury in Simplicity เน้นกลิ่นอายเรียบหรูสไตล์ญี่ปุ่น คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชาเหมาะสำหรับนักลงทุน คุ้มค่าแถมให้ผลตอบแทนสูง เนื่องจากเป็นโครงการเดียวในใจกลางเมือง ที่ให้เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งครบสูงสุดกว่า 64 รายการ  พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมมูลค่าสูงสุด 900,000 บาท ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแต่งครบพร้อมปล่อยเช่าทันที  นอกจากนี้ยังพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสุดไฮเอนด์ครบครัน ตอบสนองการใช้ชีวิต ทุกรูปแบบเพิ่มเติมด้วย พื้นที่ส่วนกลาง อาทิ ห้องออนเซ็น ห้องดื่มชา สวนสไตล์เซน ห้องคนขับรถ  รวมถึงมีบริการ ระดับมาตราฐานโรงแรม (Boutique Service)  ฟรีทำความสะอาดห้องพัก สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นต้น   ชื่อโครงการ :                    คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา  (KEEN CENTRE SRIRACHA) ราคา :                                3.1 – 9.4 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยเริ่มต้น :           82,000 บาท/ตรม. มูลค่าโครงการ :               2,716 ล้านบาท เจ้าของโครงการ :            บริษัท โกลด์ไชน์ จำกัด ที่ตั้งโครงการ :                  ถนนสุขุมวิท ต. ศรีราชา อ. ศรีราชา จังหวัดชลบุรี ขนาดที่ดิน :                       3-1-77 ไร่ ลักษณะโครงการ :           คอนโดมิเนียม สูง 38 ชั้น  1 อาคาร (อาคารจอดรถชั้น 1-7, ที่พักอาศัย 8-37) จำนวนยูนิต :                     625 ยูนิต และพานิชยกรรม 3 ยูนิต ที่จอดรถ :                         44% (ไม่รวมซ้อนคัน) ประเภทห้อง :                   Type A – 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ตกแต่งครบพร้อมเข้าอยู่ ขนาดพท. :                       ตั้งแต่ 34.74 – 39.28 ตร.ม. Type B – 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ตกแต่งครบพร้อมเข้าอยู่ ขนาดพท. ตั้งแต่ 40.41 – 45.38  ตร.ม. Type C – 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ตกแต่งครบพร้อมเข้าอยู่ ขนาดพท. ตั้งแต่ 65.36 – 87.22  ตร.ม. Type PH (Penthouse)  – 2 ห้องนอน และ 3 ห้องนอน ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ built-in ขนาดพท. ตั้งแต่ 83.49 – 267.82  ตร.ม. สิ่งอำนวยความสะดวก :    ล็อบบี้ (Lobby), ห้องเดย์เลานจ์ (Day Lounge), ห้องเด็กเล่น(Kids Room), ห้องจดหมาย (Mail Room), ห้องคนขับรถ (Drivers Room), สวนสไตล์ญี่ปุ่น (Zen Garden), ห้องซักรีด (Laundry Room), ห้องดูภาพยนตร์ (Theatre Room), ห้องประชุม (Meeting Room), ห้องดื่มชาแบบญี่ปุ่น (Tea Room), ห้องฟิตเนส (Fitness Room), ห้องโยคะ (Yoga Room), ห้องสันทนาการ (Sport Lounge), ห้องเกมส์ (Play Room), สวนพักผ่อน (Garden), สระว่ายน้ำ (Swimming Pool) - Temperature Control, สระว่ายน้ำเด็ก (Kids Pool), ห้องออนเซ็นชาย/หญิง (Onsen Room), ห้องซาวน่า (Sauna Room), สวนชั้นดาดฟ้า (Rooftop Garden) ออกแบบสถาปัตยกรรม :    Process Architect and Planner ออกแบบตกแต่งภายใน :    DWP เริ่มก่อสร้าง :                         ไตรมาสที่ 1/ พ.ศ. 2561 คาดว่าจะแล้วเสร็จ:              ไตรมาสที่ 2/ พ.ศ. 2563 Website :                              www.keen-sriracha.com ผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมห้องตัวอย่าง และรับข้อมูลของโครงการ  คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา เพิ่มเติมได้ ณ Sales Gallery โทร.038 325361-3
เนอวานา ไดอิ เปิดบิ๊กโปรเจกต์ 6,500 ล้าน “บันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ” The Ultimate Luxury คอนโดใจกลางเมืองหนึ่งเดียว ที่อยู่บนทำเลที่สวยที่สุดของโค้งน้ำเจ้าพระยา

เนอวานา ไดอิ เปิดบิ๊กโปรเจกต์ 6,500 ล้าน “บันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ” The Ultimate Luxury คอนโดใจกลางเมืองหนึ่งเดียว ที่อยู่บนทำเลที่สวยที่สุดของโค้งน้ำเจ้าพระยา

บมจ. เนอวานา ไดอิ เปิดขาย “บันยันทรี เรสซิเดนซ์  ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ” (Banyan Tree Residences Riverside Bangkok) โครงการคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองระดับ Ultimate Luxury บนทำเลที่สวยที่สุดริมโค้งน้ำเจ้าพระยา ย่านเจริญนคร เนื้อที่กว่า 5 ไร่ สุดพิเศษกับ Panoramic Riverview ทุกห้อง ราคาเริ่มต้น 22.9 ล้านบาท และมีมูลค่าโครงการรวมกว่า 6,500 ล้านบาท มั่นใจเป็นโครงการเดียวที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยท่ามกลางทัศนียภาพที่งดงาม ภายใต้แนวคิด The Sanctuary for your Soul โดยได้ร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลกไม่ว่าจะเป็น บันยันทรี กรุ๊ป เครือโรงแรมหรูระดับโลก, SCDA Architect ที่ปรึกษาการออกแบบ, บริษัท บวิค-ไทย ผู้รับเหมาก่อสร้างระดับ Top Tier หรือแม้แต่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำอย่าง Poliform พร้อมเปิดขาย 18-19 พฤศจิกายน 2560 นี้ นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เนอวานา ไดอิ กล่าวถึงการเปิดขายโครงการบันยันทรีเรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ อย่างเป็นทางการว่า “สำหรับโครงการนี้มีมูลค่าโครงการกว่า 6,500 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 300,000 บาท/ตร.ม. ถือเป็นโครงการพรีเมียมที่สุดที่ เนอวานา ไดอิ เคยพัฒนามา โดยมีแนวคิดโครงการคือ The Sanctuary for your Soul ที่จะมอบความสงบ ความเป็นส่วนตัวอย่างสูงสุดให้แก่ผู้อยู่อาศัย โดยมีจุดเด่นโครงการที่สำคัญ 3 เรื่อง คือ Tranquility - ความเงียบสงบ ทำเลที่อยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของชุมชนเก่าแก่โบราณ อันเป็นส่วนหนึ่งของเขตเมือง เก่า (Old City District) และศูนย์กลางการค้าและธุรกิจ (Central Business District) ย่านสาทร ที่สำคัญที่สุดของมหานคร กรุงเทพฯ ง่ายต่อการหลีกหนีจากความวุ่นวาย เพื่อค้นพบความสงบ นอกจากนี้ยังมอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดด้วยจำนวน ห้องชุดเพียง 133 ยูนิต บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ จำนวนห้องพักต่อชั้นสูงสุด เพียง 4 ยูนิตเท่านั้น และมีล็อบบี้ลิฟท์ส่วนตัว (Private Lift Lobby) ช่วยนำส่งถึงห้องพักแบบสุด Exclusive Rarity - ความพิเศษที่หาได้ยาก เป็นคอนโดมิเนียมทรงสูง 45 ชั้น ที่ถูกออกแบบให้เป็น Single Loaded Corridor ทุกห้อง เป็นวิวแม่น้ำแบบพาโนรามิค บนพื้นที่แห่งสุดท้ายเพียงแห่งเดียวในเมืองหลวงที่สวยที่สุด และใกล้กับริมแม่น้ำเจ้าพระยามาก ที่สุด ซึ่งทำให้ทุกห้องพักได้สัมผัสกับทัศนียภาพอันงดงามของสายน้ำหลักของประเทศไทย Impeccable Quality - คุณภาพไร้ที่ติ การเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุด และคุณภาพอันไร้ที่ติมาไว้ ณ ที่นี่ที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพระดับมาตรฐานบันยันทรี (Banyan Tree Branded Residences), ที่ปรึกษาการออกแบบอย่าง SCDA, ผู้รับเหมาก่อสร้างระดับ Top Tier อย่าง บวิค-ไทย หรือแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำอย่าง Poliform โดยผู้ซื้อโครงการนี้จะได้รับบริการสุดพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของบันยันทรี  คือ สิทธิ์การเป็นสมาชิก The Sanctuary Club เพื่อรับสิทธิประโยชน์จากแบรนด์ในเครือทั่วโลกได้รับส่วนลดสูงสุด 30% ไม่ว่าจะเป็น บันยันทรี อังสนา แคสเซีย ดาหวา หรือลากูน่า รวมถึงการเป็นสมาชิกแบบ Banyan tree private collection เพื่อรับสิทธิประโยชน์จากการเข้าพักในเครือ ไม่ว่าจะเป็นประเทศ ญี่ปุ่น, โมร็อคโค, สก็อตแลนด์, ลอนดอน, บาหลี และคอสตาริก้า โดยโครงการนี้ได้วางกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไว้ที่กลุ่ม Super Premium ทั้งชาวไทยและต่างชาติ” ด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรมและงานก่อสร้างโครงการบันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพนั้น ล้วนแล้วแต่เลือกทีมงานระดับแนวหน้าของไทย และบริษัทระดับชั้นนำของโลกมาร่วมงานทั้งสิ้น อาทิ โครงการได้เลือกใช้ SCDA Architect บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการออกแบบงานสถาปัตยกรรมระดับโลกจากนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา มาเป็นที่ปรึกษาและทำงานร่วมกับบริษัท อินทีเรียอาร์คิเทกเชอร์ 103 ในการร่วมมือกันออกแบบอาคารภายนอก การตกแต่งภายใน รวมไปถึงภูมิสถาปัตยกรรม จนเกิดเป็นความสวยงามที่เรียบหรู สะท้อนถึงแนวคิดเพื่อการใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และเต็มไปด้วยรสนิยมที่ไม่เหมือนใคร ด้านการออกแบบการใช้แสงสีบนอาคารก็ได้บริษัทชั้นนำที่ออกแบบที่สิงคโปร์มาช่วยในการดูแลงานด้วย พร้อมกันนี้ยังร่วมดำเนินงานก่อสร้างโครงการโดย บริษัท บวิค-ไทย บริษัทที่คร่ำหวอดในวงการก่อสร้างและมีผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งโครงการนี้เราตั้งใจที่จะก่อสร้างโครงการก่อนเปิดขาย โดยเริ่มก่อสร้างแล้วตั้งแต่ปลายปี 2559 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2561 สำหรับแนวคิดการออกแบบโครงการนี้คือ The Sanctuary for your Soul  คือ เน้นให้ผู้ที่พักในโครงการได้เข้าถึงการพักผ่อน อย่างแท้จริง และเรียกได้ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางทั้งหมดถูกออกแบบให้เห็นวิวแม่น้ำแบบพาโนรามิคในทุก มุมมอง โดยมีพื้นที่ส่วนกลางมากถึง 59% ของพื้นที่อาคาร เป็น Facility ถึง 6,000 ตร.ม. มีที่จอดรถถึง 200% ของจำนวน ยูนิต โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกระดับ Super Premium อาทิ Residence Lobby ถึง 3 จุด, Panoramic View Swimming  Pool ถึง 2 สระ, Riverfront Jacuzzi Pool ที่สามารถมองเห็นวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาแบบพาโนรามิค อีกทั้งยังมี River Front  Private Dining Room ที่พร้อมให้บริการ แบบ Private Chef Table จากโรงแรม 5 ดาว* และ Sanctuary Spa ที่สามารถเรียก เทอราปิสจากบันยันทรี* มาบริการที่โครงการได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังเดินทางได้สะดวกด้วยท่าเทียบเรือส่วนตัวของโครงการ (Private Floating Jetty) พร้อม Shuttle Boat Service,  และยังมี Chao Phraya Veranda พร้อม Sunken Seat Area, Riverfront Sunrise Yoga Deck, Riverfront Function Room & Board Room รวมไปถึงบริการระดับโรงแรม 5 ดาว Doorman และ Concierge เป็นต้น โครงการ บันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับ The Ultimate Luxury บนโค้งน้ำเจ้าพระยา ย่านเจริญนคร มีพื้นที่ 5-1-10 ไร่ จำนวน 1 อาคาร สูง 45 ชั้น จำนวน 133 ยูนิต ซึ่งแต่ละชั้นมีห้องพักอาศัยสูงสุดเพียง 4 ยูนิตเท่านั้น สำหรับแบบห้องทางโครงการมีให้เลือกถึง 5 แบบ (Room mix) คือ 1) แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 69.40-85.45 ตร.ม.  จำนวน 48 ยูนิต 2) แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 156.40-179.20 ตร.ม.  จำนวน 66 ยูนิต 3) แบบ 3 ห้องนอน ขนาด 243.10 ตร.ม. จำนวน 16 ยูนิต 4) แบบ 4 ห้องนอน ขนาด 417.35 - 419.85 ตร.ม. จำนวน 2 ยูนิต และ 5) Penthouse ขนาด 836.70 ตร.ม. จำนวน 1 ยูนิต  มีที่จอดรถมากกว่า 260 คัน หรือ คิดเป็น 200% ของยูนิตทั้งหมด นายศรศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการบันยันทรี เรสซิเดนซ์  ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ ปัจจุบันงานก่อสร้างคืบหน้าถึงชั้น 20 จากทั้งหมด 45 ชั้น โดยพร้อมจัดพรีเซลล์และเปิดให้ชมห้องตัวอย่างครั้งแรก ที่ Sales Gallery ณ ที่ตั้งของโครงการ ในวันที่ 18-19 พ.ย. นี้ ด้วยราคาพิเศษ เริ่มต้นที่ 22.9 ล้านบาท ซึ่งล่าสุดจากการเปิดขายในรอบ VVIP ที่ผ่านมา มียอดจองแล้วถึง 27% ผู้สนใจสามารถเข้าชมรายละเอียดโครงการได้ที่ www.banyantreeresidencesriversidebangkok.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร 1787
แอมไชน่าทาวน์ ทุ่มกว่า 3 พันล้าน บูมทำเลทองเยาวราช ผุดโปรเจคมิกซ์ยูส ศูนย์การค้า โรงแรม และคอนโด รับดีมานด์ย่านธุรกิจ พร้อมรองรับยอดนักท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง

แอมไชน่าทาวน์ ทุ่มกว่า 3 พันล้าน บูมทำเลทองเยาวราช ผุดโปรเจคมิกซ์ยูส ศูนย์การค้า โรงแรม และคอนโด รับดีมานด์ย่านธุรกิจ พร้อมรองรับยอดนักท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง

แกรนด์ ยูนิแลนด์ ปลุกกระแสการพัฒนาพื้นที่ทำเลทองย่านเยาวราชระลอกใหม่ หลังทุ่มกว่า 3 พันล้าน ปั้นโครงการมิกซ์ยูส I’m China Town (แอมไชน่าทาวน์) ขนาด 3 หมื่นตารางเมตร บนถนนเจริญกรุง รับดีมานด์ด้านธุรกิจ ที่อยู่อาศัย และที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว และนักธุรกิจต่างชาติ เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมปักธงเปิดโครงการเต็มรูปแบบมีนาคม 2562 นายสุวรรณ เลิศปัญญาโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท แกรนด์ ยูนิแลนด์ จำกัด และกรรมการผู้จัดการ  เปิดเผยว่า “แกรนด์ ยูนิแลนด์ มีประสบการณ์ใบริษัท ไอแอมไชน่าทาวน์ จำกัดนการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ทั้งโครงการที่อยู่อาศัยและรีเทลมานานกว่า 30 ปี อาทิ โครงการบ้านนวลจันทร์ โครงการอิมพีเรียลพาร์ค สุขุมวิท และสวนหลวง ร.9 โครงการอิมพีเรียล ลากูนา โครงการโอเชี่ยนปาล์ม ภูเก็ต รวมถึงโครงการศูนย์การค้า ONE @ Bobae (วันแอทโบ๊เบ๊) และ I’m Park (แอมพาร์ค สามย่าน) ล่าสุดบริษัทฯ ทุ่มงบประมาณกว่า 3 พันล้านบาทเพื่อ   พัฒนา I’m China Town โครงการมิกซ์ยูส สไตล์ Modern Chinese ขนาด 3 หมื่นตารางเมตร บนถนนเจริญกรุง บริเวณหน้าสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินวัดมังกรกมลาวาส ประกอบด้วยธุรกิจอสังหาฯ 3 ส่วน ได้แก่ ศูนย์การค้า โรงแรม และคอนโดมิเนียม ซึ่งคาดว่ามูลค่าขายโครงการจะอยู่ที่ 4 พันล้านบาท” ทั้งนี้ ศูนย์การค้า I’m China Town จัดเป็นศูนย์การค้าเต็มรูปแบบเพียงแห่งเดียวในย่านเยาวราช แบ่งออกเป็น 4 ชั้น โดยชั้น B จะเป็นศูนย์รวมของฝากชื่อดังในย่านเยาวราชภายใต้แนวคิด Little China Town อาทิ กระเพาะปลา ใบชา หมูแผ่น สมุนไพรจีน สุราจีน เป็นต้น ส่วนชั้น 1 เป็นแหล่งรวมร้านรีเทลทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น เสื้อผ้า แฟชั่น ร้านมือถือ ร้านอาหารและเครื่องดื่มยอดฮิตสตาร์บัคส์ และเคเอฟซี ต่อมาคือชั้น 2 จะเป็นแหล่งรวมความ มั่งคั่ง เพราะมีทั้งศูนย์อัญมณี ร้านทองชื่อดังของเยาวราช และธนาคารชั้นนำ สำหรับชั้น 3 จะเป็นศูนย์รวมร้าน อาหาร อาทิ เอ็มเค บาร์บีคิวพลาซ่า ยาโยอิ และร้านท้องถิ่นสตรีทฟู้ดระดับตำนานของเยาวราช ย่านวรจักร แยกเฉลิมบุรี และเวิ้งนาครเขษม ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ของศูนย์การค้าสามารถปล่อยเช่าพื้นที่ได้แล้วกว่า 70% และ คาดว่าจะสามารถปล่อยเช่าได้เต็มพื้นที่ในวันเปิดศูนย์ฯ โดยคาดว่ารายได้จากการปล่อยเช่าเต็มพื้นที่จะอยู่ที่ 30-40 ล้านบาทต่อเดือน ในส่วนของโรงแรม บริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจกับกลุ่มธุรกิจโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเทลส์ กรุ๊ป หรือ IHG หนึ่งในเชนโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดของโลก เพื่อเปิดให้บริการโรงแรมระดับ 4 ดาว ในชื่อ Holiday Inn Express China Town จำนวน 224 ห้อง ตั้งอยู่ชั้น 4-9 ของส่วนศูนย์การค้า โดยจะเน้นจับกลุ่มลูกค้า นักท่องเที่ยว และนักธุรกิจชาวต่างชาติที่ต้องการพักในย่านใจกลางเมือง สะดวกในการเดินทาง เน้นความสะอาด และทันสมัย เหมาะกับทริปธุรกิจและพักผ่อนได้ในตัว สำหรับอัตราค่าห้องพักต่อคืนจะเริ่มต้นที่ 1,800 บาท ซึ่ง บริษัทฯ มั่นใจว่าด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้งและแบรนด์ Holiday Inn Express จะทำให้โรงแรมของโครงการฯ มีอัตราในการเข้าพัก หรือ Occupancy Rate ไม่ต่ำกว่า 80% ตลอดทั้งปี ส่วนของคอนโดมิเนียมมีชื่อว่า I’m China Town Residence เป็นโครงการเดียวที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านเยาวราชเป็น อาคารโลวไรส์สูง 8 ชั้น พื้นที่รวมประมาณ 2,000 ตารางเมตร จำนวน 46 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 21-25 ตารางเมตร เป็นคอนโดมิเนียมแบบตกแต่งพร้อมเข้าอยู่ในราคาเริ่มต้นที่ 2.9 ล้านบาท เปิดจองใน วันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้โครงการ I’m China Town ยังมีที่จอดรถชั้นใต้ดิน 6 ชั้น รองรับรถยนต์ได้มากถึง 300 คัน ซึ่งเป็นที่  จอดรถที่ใหญ่ที่สุดในย่านเยาวราชอีกด้วย นายสุวรรณ กล่าวว่า “เยาวราชถือเป็นทำเลทองคำของกรุงเทพฯ มีดีมานด์ในด้านที่อยู่อาศัยและแหล่งค้าขาย ทั้งจากคนไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจในปริมาณที่สูงมากและเพิ่มขึ้นอย่าง ต่อเนื่องทุกปี อีกทั้งยังมีประชากรและร้านค้าหนาแน่น ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่นี้มาเป็นเวลานานหลายชั่วอายุคน แต่ธุรกิจอสังหาฯ ของย่านนี้กลับไม่มีพื้นที่ว่างเพื่อการพัฒนามานานกว่า 30 ปี โดยส่วนใหญ่เป็นอาคารพาณิชย์ เก่าที่มีค่าเซ้งเปลี่ยนมือในอัตราที่สูงถึงห้องละ 40 ล้านบาท และในบางพื้นที่ยังเป็นเขตอนุรักษ์เมืองเก่าทำให้การ พัฒนาต้องใช้ความระมัดระวังสูง การพัฒนาโครงการ I’m China Town จึงถือเป็นการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ที่ดึงดูดความสนใจของกำลังซื้อย่านเยาวราชอย่างชัดเจนหลังจากที่ขาดซัพพลายมานาน” “โครงการ I’m China Town ตั้งอยู่บนพื้นที่แปลงใหญ่แปลงสุดท้ายของย่านเยาวราช ซึ่งทำให้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะ  มีการพัฒนาอสังหาฯ แปลงใหญ่ในบริเวณนี้หลังจากนี้ จึงเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนที่ต้องการมีคอนโดฯ ปล่อยเช่าในราคาดี รวมถึงผู้ที่ต้องการเข้ามาทำธุรกิจในย่านนี้ และพ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากที่ต้องย้ายจากพื้นที่ เพราะการเวนคืนที่จากการสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และต้องการจะกลับมาทำธุรกิจในย่านนี้อีกครั้ง” “ปัจจุบัน การก่อสร้างโครงการทั้งหมดเดินหน้าไปแล้วกว่า 30% ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าจะแล้วเสร็จในสิ้นปี 2561 และพร้อมเปิดเต็มรูปแบบทุกส่วนในเดือนมีนาคม 2562 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสาย สีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง - ท่าพระเปิดให้บริการ” นายสุวรรณ กล่าวทิ้งท้าย
กรุงเทพพัฒนาฯส่งบ้านหรูระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ แบรนด์ “The Primary V” เจาะกลุ่มลูกค้าระดับเอลิสท์ย่านเกษตร-นวมินทร์ เน้นความเป็นส่วนตัวเพียง 20 หลัง พร้อมจับมือ 911 ให้บริการด้านฟิตเนส สนนราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท

กรุงเทพพัฒนาฯส่งบ้านหรูระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ แบรนด์ “The Primary V” เจาะกลุ่มลูกค้าระดับเอลิสท์ย่านเกษตร-นวมินทร์ เน้นความเป็นส่วนตัวเพียง 20 หลัง พร้อมจับมือ 911 ให้บริการด้านฟิตเนส สนนราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท

กรุงเทพพัฒนา ซีเอ็มเอส เปิดตัวบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ สไตล์ Asian-Nouve ภายใต้แบรนด์ The Primary V (เดอะ ไพรมารี่ วี) มูลค่าโครงการประมาณ 800 ล้านบาท มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ระดับ A ถึง A+ หรือกลุ่ม Young Success ที่ประสบความสำเร็จในการทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย ชูฟังก์ชันการออกแบบและดีไซน์ที่สวยงาม การันตีด้วยรางวัล Thailand Property Awards สาขาการออกแบบยอดเยี่ยม พร้อมนำเทคโนโลยีในการอยู่อาศัยที่ทันสมัย บนสังคมคุณภาพเพียง 20 หลัง ใจกลางเกษตร-นวมินทร์ ส่วนต่อขยาย CBD ใหม่ ทำเลศักยภาพแห่งอนาคตในราคาเริ่มต้นที่ 25 ล้านบาท   นายสหชาต ธันยามาศรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริษัท กรุงเทพพัฒนา ซีเอ็มเอส จำกัด เปิดเผยว่า โครงการ The Primary V เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ (Super luxury) นับเป็นโครงการที่ 5 ภายใต้แบรนด์ The Primary (เดอะ ไพรมารี่) โดยโครงการนี้มีมูลค่าสูงสุดตั้งแต่เราพัฒนาโครงการมา คือ มีมูลค่าถึง 800 ล้านบาท โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 25 ล้านบาท  จุดเด่นของโครงการ อันดับแรก คือ ทำเลที่ตั้งบนเส้นเกษตร-นวมินทร์ ซึ่งปัจจุบันเป็นเส้นที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เพราะได้รับอานิสงส์จากเส้นรัชดาภิเษก ​ซึ่งเป็น New CBD ของกรุงเทพฯ และอีกจุดเด่นที่สำคัญ คือ การดีไซน์สไตล์ Asian-Nouve ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมเอเชียและยุโรปเข้าด้วยกัน สอดคล้องกับโครงการที่ออกแบบมาให้ร่วมสมัยเหมาะสมกับวัฒนธรรมคนเมือง เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เนื่องจากเราต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มลูกค้าในระดับเอลิสต์ (A List) หรือ Young Success ผู้ที่ประสบความสำเร็จด้านการงาน อายุประมาณ 35 ปีขึ้นไป เป็นเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารระดับสูง ที่ชอบความแตกต่าง มองหาความเป็นอัตลักษณ์ (Unique) โดยเราได้ออกแบบให้บ้านในโครงการนี้ สามารถอยู่รวมกันได้ทั้ง 3 Generations คือ รุ่นปู่ย่า รุ่นพ่อแม่ และรุ่นลูกหลาน นอกจากนี้ ในด้านบริการเราได้ร่วมมือกับ 911 The Revolution by JT ซึ่งเป็นฟิตเนส ของคุณเจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ์ ในการออกแบบคลาสออกกำลังกาย และส่งเทรนเนอร์เข้ามาให้บริการเป็นพิเศษในคลับเฮ้าส์ของโครงการด้วย เนื่องด้วยโครงการ The Primary V เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ ทางบริษัทฯ จึงเลือกพันธมิตรทางธุรกิจ ระดับแนวหน้าเข้ามาร่วมในการออกแบบพัฒนาโครงการ รวมไปถึงเรื่องการคัดสรรวัสดุด้วย อาทิ ด้านงานออกแบบสถาปัตยกรรมโดย บริษัท มินิแมกซิสท์ จำกัด ออกแบบภูมิทัศน์ภายในโครงการโดย บริษัท สำนักงานออกแบบระฟ้า จำกัด และออกแบบภายในโดย บริษัท อะโพสโทรฟีเอส กรุ๊ป จำกัด ซึ่งทางผู้ออกแบบทั้งหมดได้ทำงานร่วมกัน เพื่อให้ได้โครงการที่ตอบโจทย์เรื่องความสบาย และเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัย อาทิ การวางผังโครงการเพื่อให้ได้ทิศทางของแสง และลมที่ดี การสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น โดยออกแบบให้มีสวนอยู่หลังบ้าน เป็นสวนที่สามารถใช้งานได้จริงที่ได้รับการออกแบบให้มีความเป็นส่วนตัวจากมุมมองของบ้านข้างเคียง เตรียมพื้นที่หน้าบ้านสำหรับที่จอดรถจำนวนเพียงพอสำหรับทุกคนในครอบครัว สำหรับด้านงานก่อสร้าง และการวางแผนงานบริการในอนาคต ทางโครงการ ได้วางระบบไฟฟ้าใต้ดินทั้งโครงการ และจัดเตรียมระบบใยแก้วความเร็วสูงจาก AIS เพื่อการใช้ชีวิตในยุค Disruptive ได้อย่างสะดวกสบายที่สุด, นำระบบ Nasket เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด โดยมีจอแสดงผลภายในบ้านที่เชื่อมต่อมายังป้อม รปภ. หน้าหมู่บ้าน นอกจากนี้ทางโครงการได้เลือกใช้ลิฟท์ “Aritco” ซึ่งเป็นสินค้าระดับคุณภาพจากประเทศสวีเดน เน้นความปลอดภัยสูงสุด ทั้งหมดถูกดีไซน์ไว้เพื่อสังคมคุณภาพที่มีขนาดเพียง 20 ครอบครัวเท่านั้น โครงการ The Primary V ได้รับรางวัลด้านงานออกแบบ จาก“Thailand Property Awards 2017” ถึง 3 รางวัลด้วยกัน คือ The Winner in Best Housing Interior Design, Highly recommended for Best Housing Landscape Architectural Design และ Highly recommended for Best Housing Architectural Design โครงการตั้งอยู่บนถนนประเสริฐมนูกิจ 29 หรือ ซอยมัยลาภ (ย่านเกษตร-นวมินทร์) ติดถนนใหญ่ ใกล้ทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ซึ่งทำเลนี้ ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีชมพูมีนบุรี-แคราย ให้บริการ โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงกลางปี 2563 สำหรับโครงการนี้ เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยมขนาด 4 ชั้น เพียง 20 หลัง บนพื้นที่โครงการประมาณ 5 ไร่ ในราคาเริ่มต้นที่ 25 ล้านบาท ประกอบด้วยบ้าน 3 แบบ ได้แก่ แบบ STELLAR บ้านแฝด จำนวน 4 ยูนิต บนเนื้อที่ขนาด 53.8-63.1 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 450 ตารางเมตร 3-4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 3 คัน แบบ LUNAR บ้านเดี่ยว จำนวน 14 ยูนิต บนเนื้อที่ขนาด 68.5-75.3 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 580 ตารางเมตร 4-6 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 4 คัน แบบ SOLARIS บ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ที่สุด เพียง 2 ยูนิต บนที่มากกว่า 100 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยประมาณ 1,025 ตารางเมตร 5-7 ห้องนอน 9 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 6 คัน สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจต่อไปของบริษัท คุณสหชาต กล่าวว่า “เราวางเป้าหมายในการพัฒนาโครงการแนวราบ อย่างต่อเนื่อง โดยอย่างน้อยจะพัฒนาปีละ 1 โครงการ มูลค่าโครงการละ 400-600 ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการของเราต้องมีจุดเด่นที่สำคัญ คือ “งานดีไซน์” ผมอยากสร้างบ้านที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราพบว่ากลุ่มลูกค้าระดับเอลิสต์ต้องการที่จะให้บ้านเป็นตัวแทนของตัวเอง เพราะฉะนั้นงานดีไซน์เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราเสนอความแตกต่างที่ไม่เหมือนกับใคร ถึงแม้ว่าเราจะเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก แต่เราก็จะมีจุดเด่นให้คนจดจำ และเราจะเติบโตได้ ผมเชื่อว่าในอนาคตไม่เกิน 5 ปี คนไทยจะให้คุณค่าของความคิดริเริ่ม ความคิดสร้างสรรค์ ทำอะไรที่มีเอกลักษณ์ จะเป็นจุดเแข็งที่สำคัญที่ทำให้เราอยู่ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นได้” ด้านนางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านการขายโครงการ The Primary V กล่าวเพิ่มเติมถึงศักยภาพของโครงการ และทำเลเกษตร-นวมินทร์ ว่า ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนใจกลางเมือง และบริเวณใกล้ใจกลางเมือง โดยเฉพาะทำเลที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่น่าสนใจ ทำเลเกษตร-นวมินทร์ ถือว่าเป็นทำเลทองของที่อยู่อาศัยที่น่าสนใจ ส่งผลให้การหาบ้านบนที่ดินแปลงใหญ่ในทำเลใกล้ใจกลางเมืองเป็นไปได้ยากมาก บ้านระดับ Luxury จึงมีแนวโน้มอยู่บนที่ดินที่มีขนาดเล็กลง เป็นแนวบ้านทรงสูงขึ้น แต่ยังมี function ที่ครบครัน มีพื้นที่ใช้สอยที่มากพอสำหรับกลุ่มบ้านในระดับราคาสูงดังกล่าว ในส่วนของเทรนด์บ้านในระดับ luxury และ super luxury ในปีนี้และปีหน้า สิ่งที่ลูกค้าคำนึงถึงเป็นสิ่งแรก คือ ทำเล ซึ่งต้องเป็นทำเลที่ดี และมีการพัฒนา function ที่สามารถตอบสนองกับ lifestyle ได้มากที่สุด ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มองหาบ้านในระดับนี้ จะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด ต้องการความแตกต่างและความโดดเด่น เป็นส่วนหนึ่งที่เสริมสร้างภาพลักษณ์ นอกจากนั้น ยังมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า มีมูลค่าเพิ่มในอนาคต The Primary V (เดอะ ไพรมารี่ วี) พร้อมเปิดขายแล้วอย่างเป็นทางการ โดยในช่วงเปิดตัว บริษัทฯ ได้เตรียมโปรโมชั่นช่วงเปิดขายโครงการจาก The Primary V สุดพิเศษไว้ให้สำหรับลูกค้าที่จองซื้อภายใน 31 ธ.ค. 60 คือ ชุดครัว Built in พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก Siemens เครื่องปรับอากาศ Daikin ทั้งหลัง พร้อม Home Automation สัญญาณกันขโมย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.theprimary-v.com หรือ โทร 098-262-2782