Tag : News

2400 ผลลัพธ์
แสนสิริปลื้มยอดขาย“แสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม 2017” สร้างยอดขายเกินเป้า พุ่งทะลุกว่า 9,000 ล้านบาท มั่นใจปิดยอดขายปลายปีตามเป้าหมาย 40,000 ล้านบาท ทุบสถิติการสร้างยอดขายที่สูงที่สุดของแสนสิริตลอดทุกปีที่ผ่านมา

แสนสิริปลื้มยอดขาย“แสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม 2017” สร้างยอดขายเกินเป้า พุ่งทะลุกว่า 9,000 ล้านบาท มั่นใจปิดยอดขายปลายปีตามเป้าหมาย 40,000 ล้านบาท ทุบสถิติการสร้างยอดขายที่สูงที่สุดของแสนสิริตลอดทุกปีที่ผ่านมา

แสนสิริประกาศความสำเร็จจากการจัดงานใหญ่แห่งปี “Sansiri Life Comes Home 2017” (แสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม 2017) ลูกค้าแห่จอง 2 คอนโดใหม่ “โอกะ เฮาส์ ” สุขุมวิท 36 และ “คาวะ เฮาส์ ” สุขุมวิท 77 และคึกคักสัมผัสประสบการณ์ตรง 6 นวัตกรรมจาก Siri LifeTech สร้างยอดขายรวมในช่วงระหว่างการจัดแคมเปญได้สูงถึง 9,000 ล้านบาท เกินจากเป้ายอดขายแคมเปญที่ตั้งไว้ 8,000 ล้านบาท ส่งผลยอดขายพรีเซลล์รวมปัจจุบันทะลุกว่า 34,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นถึง 85 % จากเป้าหมายยอดขาย 40,000 ล้านบาท เดินหน้าก้าวสู่การทุบสถิติสร้างยอดขายที่สูงที่สุดของแสนสิริในปี 2560 นายเศรษฐา  ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยสรุปภาพรวมการจัดแคมเปญและการจัดงานใหญ่ประจำปี แสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม 2017 (Sansiri Life Comes Home 2017)  ในช่วงระหว่างวันที่ 24 – 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ตลอดการจัดแคมเปญได้ถึง 9,000 ล้านบาท เกินจากเป้าหมายแคมเปญที่ตั้งไว้ 8,000 ล้านบาท โดย 2 โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ คือ โอกะ เฮาส์ และคาวะ เฮาส์ ได้รับความสนใจจากลูกค้ามากที่สุดยัง นอกจากนี้บริษัทยังสามารถปิดการขายคอนโดมิเนียมพร้อมเข้าอยู่ในโครงการเดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71 จากการมอบข้อเสนอที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าภายในงานแสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม ได้อีกด้วย ซึ่งเมื่อรวมความสำเร็จจากการที่ลูกค้าให้การตอบรับโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ของกลุ่มบริษัทแสนสิริเป็นอย่างดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดตั้งต้นปีที่ผ่านมา อาทิ ผลงานล่าสุดจากการปิดการขายโครงการ เดอะ ไลน์ สาทร จำนวน 327 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุดภายใต้ความร่วมมือระหว่างบีทีเอสและแสนสิริลงอย่างรวดเร็ว หลังเปิดขายแบบ Online booking ในวันแรก ในราคาเริ่มต้น 7.9 ล้านบาทหรือเฉลี่ย 270,000 บาทต่อตารางเมตร โดยมีสัดส่วนกลุ่มลูกค้าเป็นคนไทยและต่างชาติ 70 : 30 เปอร์เซ็นต์ สร้างยอดขายในตลาดต่างชาติได้ถึง 1,300 ล้านบาท นับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการที่ 12 ภายใต้ความร่วมมือของบีทีเอสและแสนสิริที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถปิดการขายโครงการในตลาดต่างจังหวัด อาทิ โครงการเดอะ วัลลีย์ เขาใหญ่ (The Valley Khaoyai)  มูลค่ากว่า 1,100 ล้านบาท โครงการดีคอนโด นครระยอง คอนโดมิเนียมจำนวน 575 ยูนิต ที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าไทยทั้งในด้านการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและลงทุนปล่อยเช่า จากทำเลที่ตั้งโครงการซึ่งใกล้แหล่งนิคมอุตสาหกรรมระยอง จึงสามารถปิดการขายโครงการมูลค่ากว่า 830 ล้านบาทในที่สุด ส่งผลให้ยอดขายรวมของบริษัทในขณะนี้ (1 มกราคม – 27  พฤศจิกายน 2560) คิดเป็นมูลค่ารวมแล้วกว่า 34,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นถึง 85% จากเป้าหมายยอดขาย 40,000 ล้านบาทที่มีการปรับเพิ่มจาก 36,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทก้าวเข้าสู่การบันทึกการทุบสถิติ!! การสร้างยอดขายที่สูงที่สุดของแสนสิริในปีนี้   “การจัดงานในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าจำนวนมาก มีกลุ่มลูกค้าสนใจซื้อคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ที่เปิดตัวการขายภายในงาน ได้แก่โครงการ “โอกะ เฮาส์ ” สุขุมวิท 36 และ “คาวะ เฮาส์ ” สุขุมวิท 77 รวมทั้งโครงการในต่างจังหวัดที่ได้รับการตอบรับที่ดีมาก อาทิ บ้านไม้ขาว ภูเก็ต และ เรน ชะอำ หัวหิน เป็นต้น ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นผลจากการนำเสนอที่อยู่อาศัยโครงการต่าง ๆ ของกลุ่มแสนสิริที่ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงความร่วมมือจากพันธมิตรธุรกิจที่เข้าร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์และรูปแบบการให้บริการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยใหม่ โดยการมอบแคมเปญและโปรโมชั่นพิเศษภายในงาน ทำให้มีผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมงานจำนวนมากและประสบความสำเร็จด้านยอดขายสูงเกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้” นายเศรษฐา กล่าว นอกจากนี้ งานแสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม ในปีนี้ ยังนับเป็นเวทีสำคัญในการตอกย้ำภาพลักษณ์ของแสนสิริในการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย จากการที่เรานำ 6 นวัตกรรมภายใต้ Siri LifeTech มาจัดแสดงและเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสและทดลองใช้งานเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นมุมกิจกรรมที่ได้รับความสนใจจากผู้ร่วมงานจำนวนมากที่มาร่วมสัมผัสมิติใหม่ในการเติมเต็มทุกรูปแบบการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ (Complete Your Living Experience) จาก 6 นวัตกรรมของแสนสิริเพื่อการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยแนวใหม่ ไม่ว่าจะเป็น SAN:DEE Delivery Bot หรือแสนดี หุ่นยนต์ไฮเทคส่งของถึงหน้าห้องพัก Sansiri AI BOX ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะที่ลูกบ้านสามารถสั่งการควบคุมการเปิดปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านด้วยเสียงภาษาไทยเป็นครั้งแรก Farmshelf นวัตกรรมฟาร์มแนวตั้งอัจฉริยะที่แสนสิรินำเข้ามาใช้เป็นครั้งแรกของประเทศไทยให้ลูกบ้านปลูกผักเพื่อบริโภคเองในคอนโด Sansiri Home Service Application ซึ่งสามารถควบคุมการเปิดปิดไฟ เครื่องปรับอากาศ และจองใช้พื้นที่ส่วนกลางผ่านแอพ และฟังก์ชั่นใหม่ Online Shopping by SB Furniture ให้ลูกบ้านเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ได้ง่าย ๆ เพียงปลายนิ้ว รวมถึง Smart Move แพลตฟอร์มบริการให้เช่ารถยนต์ในโครงการ และ Samitivej@HOME นวัตกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพในที่พักอาศัยภายใต้ความร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช “แผนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทยังได้เตรียมเดินหน้าต่อเนื่องตามแผนการลงทุน 80 ล้านดอลล่าร์ หรือ 2,800 ล้านบาท ใน 6 แบรนด์ชั้นนำของโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ระดับโลกเพื่อการใช้ชีวิตในอนาคต ซึ่งนับเป็น 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก นับเป็นการขยายฐานการลงทุนในธุรกิจอื่นครั้งสำคัญเพื่อสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอันหลากหลาย โดยทั้ง 6 ธุรกิจล้วนมีอัตราการเติบโตสูงในตลาดโลกซึ่งจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของแสนสิรินอกประเทศไทย เร่งเดินหน้ากลยุทธ์โมเดลธุรกิจแบบ asset light ในยุคปฏิวัติดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสจากการผนึกกำลังร่วมและโอกาสการเติบโตที่รวดเร็ว โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของบริษัททั้งหกจากการเข้าถือหุ้นของแสนสิริจะส่งผลดีต่อธุรกิจหลักของแสนสิริ ทั้งนี้แนวโน้มไตรมาส 4 ของปี 2560 นี้ บริษัทคาดว่าจะมีผลประกอบการที่โดดเด่นและดีที่สุดทั้งในด้านยอดขายพรีเซลล์ รายได้ และกำไร” นายเศรษฐา กล่าว
“โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน” ที่สุดของคอนโดตากอากาศริมทะเล บนทำเลสุดฮอตแห่งการพักผ่อนของคนกรุงเทพฯ

“โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน” ที่สุดของคอนโดตากอากาศริมทะเล บนทำเลสุดฮอตแห่งการพักผ่อนของคนกรุงเทพฯ

“โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน” คอนโดมิเนียมตากอากาศหรูพร้อมอยู่สไตล์โมเดิร์น ริมทะเลหาดจอมเทียน พัทยา พร้อมวิวทะเล และโอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ท คลับ ท่าจอดเรือยอช์ทที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดดเด่นด้วยพื้นที่ยูนิตขนาดใหญ่ เนรมิตห้องสวยตกแต่งสุดหรูพร้อมเข้าอยู่ได้ทันที ภายใต้คอนเซ็ปต์ “All New Design with a Sense of Exclusivity” และสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของทุกคนในครอบครัวได้อย่างลงตัว โครงการ “โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน” คอนโดมิเนียมแบบไฮไรส์ (High Rise) สไตล์โมเดิร์น สูง 37 ชั้น จำนวน 268 ยูนิต บนเนื้อที่กว่า 120 ไร่ เน้นการออกแบบโดยมอบความเป็นส่วนตัว และความสบายสูงสุดด้วยห้องแบบ Over-Size Unit หรือ ห้องขนาดใหญ่พิเศษ โดดเด่นด้วยตัวอาคารที่มีความโอ่อ่าเรียบหรูชวนหลงใหลแบบ V-Shape เปิดมุมมอง 180 องศา ของวิวทะเลและท่าจอดเรือยอช์ทหรูขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน แลนด์มาร์คสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองพัทยา เติมเต็มการพักผ่อนอย่างเหนือระดับกับ 'มารีน่า ไลฟ์สไตล์' รูปแบบการใช้ชีวิตสุนทรีย์ในวันพักผ่อนแนวใหม่สำหรับคนในครอบครัว ทั้งนี้รูปแบบห้องชุดมีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ แบบ 1 ห้องนอน และ 2 ห้องนอน ซึ่งสามารถปรับเป็น 3 ห้องนอนได้ โดยแต่ละยูนิตมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 76 - 313 ตารางเมตร โดย New Collection มีขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 76-90 ตร. ม. ราคาขายเริ่มต้น 9 ล้านบาท และยูนิต 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 127-159 ตร.ม. ราคาขายเริ่มต้น 13 ล้านบาท โดยคอนเซ็ปต์ตอบรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบนที่ชื่นชอบความเป็นส่วนตัว และพื้นที่ภายในห้องแบบกว้างขวาง พร้อมออกแบบตกแต่งภายในยูนิตมีการใช้ความเป็นธรรมชาติในรูปแบบสีสันและความอบอุ่นมาใช้ ตั้งแต่พื้นผนังห้องที่ใช้แผ่นหินอ่อนธรรมชาติ ตัดกับไม้ธรรมชาติ รวมไปถึงกระจกเงา ที่สร้างความแตกต่างอย่างความลงตัว อีกทั้งการออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด โดยใช้แนวความคิด multi-function ใช้พื้นที่ได้มากกว่าหนึ่ง มีการแบ่งพื้นที่ออกอย่างเป็นสัดส่วน อีกทั้งการใช้กระจกบานใหญ่เพื่อให้ได้รับวิวจากภายนอกได้มากกว่า ทำให้ลูกค้าสามารถชมวิวของพื้นผิวน้ำทะเลบรรจบกับท้องฟ้าได้มากขึ้น และสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับการชมวิวด้านนอกไปพร้อมกันได้อีกด้วย โครงการ โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเพื่อรองรับทุกความต้องการสำหรับคนในครอบครัว อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องอบไอน้ำ ล็อบบี้โอ่โถ่ง ที่จอดรถกว้างขวาง พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย และประตูทางเข้าระบบคีย์การ์ด อีกทั้งอุ่นใจด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง และอีกจุดเด่นที่เป็นไฮไลท์ คือท่าจอดเรือยอช์ทมาตรฐานสากลแห่งแรกของไทยแบบครบวงจร ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน และมีบริการเรือยอช์ทให้เช่ากว่า 50 ลำ การันตีด้วยรางวัลยอช์ทคลับยอดเยี่ยม ประจำปี 2560 จากสถาบัน Asian Lifestyle Tourism Awards นอกจากนี้ โครงการ “โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน” ยังมีพื้นที่กรีนสเปซ (Green Space) กว้างใหญ่กว่า 100 ไร่ สไตล์ทรอปิคอล การ์เด้น แบบ Free-Form Pattern จึงให้ความร่มรื่นแบบธรรมชาติจัดสรร พร้อมความสวยงามของท่าจอดเรือยอช์ทที่ใหญ่ที่สุดในเซียน ถือเป็นแหล่งโอโซนหายากขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของพัทยา บรรยากาศเงียบสงบ โอบล้อมด้วยต้นไม้และสวนสวย ที่นี่จึงเป็นคอนโดมิเนียมริมทะเลที่มีความโดดเด่นในการพักผ่อน ตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัวสำหรับทุกคนในครอบครัว ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.oceanproperty.co.th หรือ โทร. 02-038-5017 และสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/OceanProperty/ อินสตาแกรม https://www.instagram.com/oceanproperty/ ไลน์ @oceanproperty
โกลด์ไชน์ เปิดตัว “คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา” คอนโดใหม่สุดหรูสุดยอดทำเล ตรงข้ามห้างใจกลางเมือง แต่งเฟอร์ฯ ครบ พร้อม Boutique Service ผลตอบแทนสูงเอาใจนักลงทุน

โกลด์ไชน์ เปิดตัว “คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา” คอนโดใหม่สุดหรูสุดยอดทำเล ตรงข้ามห้างใจกลางเมือง แต่งเฟอร์ฯ ครบ พร้อม Boutique Service ผลตอบแทนสูงเอาใจนักลงทุน

บริษัท โกลด์เด้น กรุ๊ป จำกัด ร่วมกับ บริษัท โกลด์ไชน์ จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่แห่งภาคตะวันออก จับมือกับ นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ที่ปรึกษามือทองด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผู้คร่ำหวอดในวงการ เปิดตัวโครงการคอนโด “คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา” ตอบโจทย์กลุ่มนักลงทุนพร้อมผลตอบแทนสูง พร้อมดีไซน์ใหม่ในคอนเซ็ปต์ Luxury in Simplicity เน้นเรียบหรู กลิ่นอายญี่ปุ่น พร้อมบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ สุด ไฮเอนด์ในราคาเริ่มต้น 1 ห้องนอนที่  3.1 ล้านบาท พื้นที่ 3-1-77 ไร่ 38 ชั้น วิวทะเล มูลค่า 2.7 พันล้าน บนทำเลทองติดถนนใหญ่สุขุมวิท ใจกลางเมืองศรีราชา แต่งเฟอร์นิเจอร์ครบ พร้อมบริการ Boutique Service ทำความสะอาดสองครั้งต่อสัปดาห์ นายโสภณ เธียรเจษฎาไชย กรรมการ บริษัท โกลเด้น กรุ๊ป จำกัด (GOLDEN GROUP) เปิดเผยเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจพื้นที่ตะวันออกว่า “เนื่องจากศรีราชาเป็นพื้นที่ที่อยู่ในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่ผลักดันโดยภาครัฐซึ่งต่อยอดมาจากโครงการ Eastern Seaboard ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือน้ำลึกบริเวณแหลมฉบัง หรือนิคมอุตสาหกรรมและโรงงานกว่า 5,000 โรง โดย EEC ประกอบด้วยพื้นที่ 3 จังหวัดหลักคือ  ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ซึ่งถือเป็น เมืองใหม่ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ สำหรับฐานการผลิตอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้ง ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ตลอดจนพื้นที่อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ ที่จัดตั้งโดย จิสด้า (GISTDA) ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอศรีราชา ก็ถือเป็นอีกพื้นที่ยุทธศาสต์ที่สำคัญของจิสด้าทางด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศน์ ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ ทางรัฐบาลได้เชิญกลุ่มอุตสาหกรรมญี่ปุ่นด้านต่างๆเข้ามาเยี่ยมชมพื้นที” “ทั้งนี้ จากที่ทางรัฐบาลคาดการณ์ว่าโครงการ EEC จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ยราว 5% ต่อปี สร้างการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ 100,000 อัตราต่อปี ดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 10 ล้านคนต่อปี จึงทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกนี้ ได้รับความนิยมมากตามไปด้วย” นายโสภณกล่าวเพิ่มเติม “ที่ผ่านมา โครงการ EEC ได้รับความสนใจจากกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมญี่ปุ่นกว่า 500 ราย ที่ได้มาเยี่ยมชมตามคำเชิญของรัฐบาลและมีการตอบรับที่ดี ทำให้เรามั่นใจว่ากลุ่มโรงงานผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่นจะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการเช่าที่พักอาศัยในพื้นที่ศรีราชาเป็นจำนวนมาก ดังนั้น โครงการ คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา ภายใต้การออกแบบคอนเซ็ปท์ของโครงการ การทำแบรนด์ การบริหารแผนการตลาดและการขายโดยคุณยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์  จึงได้ร่วมเปิดตัวโครงการที่มีความเรียบและหรู ด้วยคอนเซ็ปต์ Luxury in Simplicity และตกแต่งแบบ Fully-Furnished ซึ่งนักลงทุนที่ซื้อคอนโดไม่ต้องตกแต่งเพิ่ม ทำให้ปล่อยเช่าได้ง่ายและได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น” นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กล่าวถึงศักยภาพและการปรับ กลยุทธ์ใหม่เพื่อบริหารการขายว่า “เนื่องมาจากความตั้งใจและวิสัยทัศน์ของเจ้าของโครงการที่จะพัฒนาโครงการที่ดีที่สุดในศรีราชา อีกทั้งที่ตั้งของโครงการอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดของศรีราชา ทำให้เชื่อมั่นและเล็งเห็นศักยภาพของโครงการ ที่ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่สุขุมวิท ถือเป็นทำเลใจกลางศรีราชา ตรงข้ามห้าง  โรบินสัน รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันไม่ว่าจะเป็น อิออน มอลล์ โรงพยาบาลพญาไท โรงเรียนอัสสัมชัญ และตัวอาคารก็ยังได้ออกแบบเพื่อเปิดรับวิวทะเลได้เต็มที่ และสิ่งที่พิเศษมากกว่าโครงการอื่นคือ เฟอร์นิเจอร์แต่งครบ และบริการแม่บ้านทำความสะอาดระดับโรงแรมที่รวมไปแล้วกับค่าส่วนกลาง หมายความว่าเมื่อผู้ซื้อปล่อยเช่าห้องก็จะได้ค่าเช่าเต็มที่ ไม่ต้องไปซื้อเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งเพิ่มและไม่ต้องถูกหักเป็นค่าทำความสะอาดออก ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่โครงการให้นั้นทางเราเลือกให้อย่างพิถีพิถันโดยคำนึงถึงความเรียบง่ายแบบที่ผู้เช่าชาวญี่ปุ่นชอบ และความคงทนง่ายต่อการดูแลรักษาของเจ้าของห้อง” ด้วยรูปแบบโครงการเป็นการตกแต่งแบบ Fully-Furnished ให้เฟอร์นิเจอร์แต่งครบสูงสุด 64 รายการ เพื่อความสะดวกแก่ลูกค้าที่ซื้อ สามารถปล่อยเช่าได้ง่ายโดยไม่ต้องเสียเวลาตกแต่งเพิ่มเติม ทั้งนี้ การตกแต่งให้มีความเรียบง่ายแต่ใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูง ทนทาน เพื่อสะดวกต่อการปล่อยเช่าในระยะยาว ส่วนคอนเซ็ปต์ Luxury in Simplicity นั้นเพื่อตอบสนองตามความชื่นชอบของผู้เช่าซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริหารระดับกลางถึงระดับสูงชาวญี่ปุ่น ที่ทำงานตามโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆโดยรอบพื้นที่ ทั้งกลุ่มครอบครัว หรืออยู่เดี่ยว โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับพื้นที่ส่วนกลางระดับไฮเอนด์ เช่น ห้องออนเซ็นขนาดใหญ่สำหรับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ห้องชงชา สวนสไตล์เซน ห้องประชุมพร้อมอุปกรณ์ ฟิตเนสอุปกรณ์คุณภาพสูง สระว่ายน้ำระบบควบคุมอุณหภุมิ สวนชั้นดาดฟ้าวิว 360 องศา ห้องเด็กเล่น นอกจากนั้น ยังมีไฮไลท์บริการระดับมาตราฐานโรงแรม (Boutique Service)  ทำความสะอาดห้องพักฟรี สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นต้น กลุ่มเป้าหมายของโครงการ คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา แบ่งเป็นคนไทย 90 เปอร์เซ็นต์ และต่างชาติ 10 เปอร์เซ็นต์ โดยคนไทยแบ่งเป็นกลุ่มลูกค้าชลบุรีตลอดจนจังหวัดภาคตะวันออก แบ่งเป็น 80 เปอร์เซ็นต์ โดยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อลงทุนปล่อยเช่า และกลุ่มลูกค้ากรุงเทพฯ 20 เปอร์เซ็นต์ ซื้อเพื่อพักอาศัย ทั้งนี้ โครงการ คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา เป็นคอนโดมิเนียม สูง 38 ชั้น  1 อาคาร (อาคารจอดรถชั้น 1-7, ที่พักอาศัย 8-37) พื้นที่ 3-1-77 ไร่ มีราคาเริ่ม 3.1 ล้านบาท มีจำนวนยูนิตพักอาศัยทั้งหมด 625 ยูนิต และพาณิชยกรรม 3    ยูนิต ออกแบบตกแต่งภายในโดย บริษัท DWP จำกัด  โดยมีห้อง 4 รูปแบบ ได้แก่ Type A ขนาดพื้นที่ ตั้งแต่74 – 39.28 ตร.ม. 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบ Type B ขนาดพื้นที่ ตั้งแต่41 – 45.38 ตร.ม. 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบ Type C ขนาดพื้นที่ ตั้งแต่36 – 87.22 ตร.ม. 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบ Type PH (Penthouse) ขนาดพื้นที่ ตั้งแต่49 – 267.82 ตร.ม. 2 ห้องนอน และ 3 ห้องนอน ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ Built-in โครงการจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 1 พ.ศ. 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จ ในไตรมาสที่ 2 พ.ศ. 2563 ผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมห้องตัวอย่าง และรับข้อมูลของโครงการ  คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา เพิ่มเติมได้ ณ Sales Gallery โทร.038 325361-3
“ออริจิ้น” ขยายพอร์ตแนวราบมุ่งเติบโตแบบ “มัลติพลาย” ตั้งเป้าแนวราบ 5 ปี มูลค่าโครงการสะสม รวม 35,000 ล้านบาท พร้อมดึงผู้บริหารมืออาชีพคุมทัพ ลุยส่ง “บริทาเนีย” ลงตลาดแนวราบ

“ออริจิ้น” ขยายพอร์ตแนวราบมุ่งเติบโตแบบ “มัลติพลาย” ตั้งเป้าแนวราบ 5 ปี มูลค่าโครงการสะสม รวม 35,000 ล้านบาท พร้อมดึงผู้บริหารมืออาชีพคุมทัพ ลุยส่ง “บริทาเนีย” ลงตลาดแนวราบ

“ออริจิ้น” กางแผนรุกตลาดแนวราบ 5 ปี ตั้งเป้าเปิดขายใหม่มูลค่าโครงการสะสมรวม 35,000 ล้านบาท พร้อมดึง “ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์” มืออาชีพอสังหาฯ แนวราบเสริมทัพ ประเดิมปักหมุดทำเลศรีนครินทร์ ส่ง “บริทาเนีย” แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมชิมลางตลาด ลั่นเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์เพื่อดันให้ออริจิ้นพุ่งสู่ 1 ใน 3 บริษัทผู้พัฒนา และให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ครอบคลุมทุกสินค้า นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน (Kensington), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) และ พาร์ค (PARK) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานตลาดแนวราบว่า ในช่วงปลายปี 2560 เราได้พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว และบ้านแฝด ภายใต้แบรนด์ “บริทาเนีย” มูลค่าโครงการประมาณ 800 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะเติบโตแบบ “มัลติพลาย” ด้วยการพัฒนาโครงการแนวราบ  ภายใน 5 ปี จนมียอดโครงการสะสมถึง 35,000 ล้านบาท หรือประมาณ 30-35 โครงการ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของที่ดินที่ได้มา สำหรับทำเลเป้าหมาย คือ ทำเลในโซนบางนา สมุทรปราการ และขยายครอบคลุมไปยังฝั่งตะวันออกในพื้นที่แถบ EEC ด้วย โดยปัจจุบันมีที่ดินในมือแล้ว 2 แปลง และกำลังเร่งหาที่ดินเพิ่มเพื่อพัฒนาให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งการพัฒนาโครงการแนวราบของออริจิ้นในครั้งนี้ ส่งผลให้ออริจิ้นสามารถพัฒนาโครงการได้ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า  ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตาม road map ของบริษัทที่วางไว้ คือ การขึ้นแท่นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของไทย คือ 1 ใน 3 บริษัทผู้พัฒนาและให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ ภายในปี 2565 บริทาเนีย คือ แบรนด์โครงการแนวราบสำหรับออริจิ้น ซึ่งคำว่า Britania มาจาก Britain หมายถึง สหราชอาณาจักร เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาแบรนด์ของออริจิ้น ที่ทุกโครงการจะเป็นชื่อเมืองในประเทศอังกฤษ ชื่อแบรนด์ “บริทาเนีย” เป็นแบรนด์สำหรับพัฒนาโครงการแนวราบของออริจิ้น โดยได้แบ่ง Segment ของแบรนด์เอาไว้ 4 Segment หลัก คือ 1) บริทาเนีย วิลล่า (Britania Villa) คือ บ้านเดี่ยวในระดับราคา 15-25 ล้านบาท 2) บริทาเนีย เรสซิเดนซ์ (Britania Residence) คือ บ้านเดี่ยวในระดับราคา 8-15 ล้านบาท 3) บริทาเนีย โฮม (Britania Home) คือ บ้านเดี่ยว และบ้านแฝดในระดับราคา 5-8 ล้านบาท 4) บริทาเนีย ทาวน์ (Britania Town) คือ ทาวน์โฮม และบ้านแฝด ระดับราคา 3-5 ล้านบาท โดยสัดส่วนในการพัฒนาโครงการนั้น จะเน้น 80 เปอร์เซ็นต์ ไปที่การพัฒนาโครงการบ้านระดับราคา 3-8 ล้านบาท และอีก 20 เปอร์เซ็นต์ คือ โครงการระดับพรีเมียม ราคา 8-25 ล้านบาท การที่โครงการแนวราบของออริจิ้น ได้มือดีอย่าง นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ซึ่งเป็นผู้คร่ำหวอด ในวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปี มาร่วมทีมโดยเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็น กรรมการผู้จัดการ โครงการแนวราบ ของ บมจ.ออริจิ้น โดยมีภารกิจหลักคือ พัฒนาโครงการแนวราบทั้งหมดของออริจิ้น นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการโครงการแนวราบ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การมาร่วมงานกับทางออริจิ้นในครั้งนี้ ได้รับภารกิจให้เข้ามาบุกเบิกพัฒนาโครงการแนวราบของบริษัท โดยเป้าที่ได้รับมอบไว้ คือ การพัฒนาโครงการให้ได้ มูลค่าโครงการสะสมตามเป้า 35,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก โดยจะยังคงไว้ซึ่งกลยุทธ์  Blue Ocean ของ ออริจิ้นในด้านการหาที่ดินที่มีศักยภาพ มาใช้ในการพัฒนาต่อไป เพราะมั่นใจว่ากลยุทธ์นี้เป็นกลยุทธ์หลักที่ทำให้ออริจิ้นประสบความสำเร็จ และเติบโตมาจนถึงวันนี้ สำหรับโครงการแรก คือ  โครงการบริทาเนีย ศรีนครินทร์ (Britania Srinakarin) มีมูลค่าโครงการประมาณ  800  ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 22 ไร่ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 2 ชั้น และบ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 149 หลัง ระดับราคา 4.65-8 ล้านบาท ขนาดที่ดิน 35-50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 130-160 ตารางเมตร ภายใต้คอนเซ็ปต์ Modern British Luxury โดยมีแบบบ้านทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ 1) Brompton บ้านแฝด 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 130 ตร.ม. ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถ 2 คัน 2) Regent บ้านแฝด 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 140 ตร.ม. ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถ 2 คัน 3) Oxford บ้านเดี่ยว 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 160 ตร.ม. ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถ 2 คัน จุดเด่นของโครงการ คือ ทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้า เพียง 1.5 กม.จากบีทีเอสสายสีเหลือง สถานี “ศรีด่าน” การออกแบบพื้นที่ส่วนกลางถูกพัฒนาขึ้นโดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ และฟังก์ชั่นบ้านที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยจริง หรือ  “Customer Centric Design” ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด พร้อมพื้นที่ส่วนกลางครบตอบไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยกลุ่มเป้าหมาย  ไม่ว่าจะเป็น สระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนส สวนบาสเกตบอล สนามเด็กเล่น นอกจากนี้ ยังออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานภายในตัวบ้าน ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยจริง อาทิ  การออกแบบฟังก์ชั่น การใช้งานในบ้าน ให้มี USB port ตามจุดต่างๆ เพื่อเสียบสายชาร์ตโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ต้องอาศัยเต้าเสียบไฟตามปกติ หรือแม้กระทั่งการเลือกวัสดุที่ใช้ในบ้าน อย่างเช่น กรอบประตูหน้าต่างวินเซอร์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม สำหรับโครงการบ้านระดับบน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังใส่ใจในการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งาน อย่างการออกแบบครัวไทย เพื่อรองรับการใชัชีวิตประจำวันได้จริงของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอีกด้วย โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการ คือ กลุ่มลูกค้าที่มีอายุประมาณ 28-35 ปี กำลังเริ่มสร้างครอบครัว  มีรายได้ครอบครัวต่อเดือนประมาณ 80,000 บาท ทั้งนี้ ทางโครงการได้มีการเปิดขาย Pre-Sale ไปแล้ว เมื่อวันที่ 18 -19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดขายทะลุเป้าที่วางไว้กว่า 230 ล้านบาท ด้านทำเลศรีนครินทร์ ถือว่าเป็นโซนที่น่าจับตามองของกรุงเทพฯตะวันออก เนื่องจากถนนศรีนครินทร์ สามารถตัดเข้าสู่ถนนหลายหลักได้หลายสาย อาทิ ถนนเสรีไทย รามคำแหง พระราม 9 พัฒนาการ และในอนาคตจะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สำโรง-ลาดพร้าว-รัชโยธิน อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา และอนาคตจะมีแบงค็อก มอลล์ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป เปิดตัวที่แยกบางนาอีกด้วย ส่งผลให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง ทำเลที่ตั้งของบริทาเนีย ศรีนครินทร์  ตั้งอยู่โซนบางนา- สมุทปราการ ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพที่ตลาดแนวราบเติบโตสูง โดยในปีที่ผ่านมามีมูลค่าขายสูงถึง 22,075 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 15% ของตลาดแนวราบทั้งกรุงเทพ และปริมณฑล มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของรถไฟฟ้าสายสีเหลือง  ห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่างๆ เนื่องจากราคาที่ดินบริเวณถนนศรีนครินทร์ โดยเฉพาะช่วงใกล้ศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ และพาราไดซ์ พาร์ค มีราคาสูง โดยในปี 2558-2559 ราคาอยู่ที่ประมาณ 2-3 แสนบาทต่อตารางวา และคาดว่าหากการก่อสร้างรถไฟฟ้า มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม คาดว่าจะทำให้ราคาที่ดินขยับตัวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10%
The Cube Station Ramintra 109 จัดห้องสวยขนาดใหญ่ยืนยันความคุ้มออกบูทที่ Amorini Mall

The Cube Station Ramintra 109 จัดห้องสวยขนาดใหญ่ยืนยันความคุ้มออกบูทที่ Amorini Mall

The Cube Station Ramintra 109 (เดอะคิวบ์ สเตชั่น รามอินทรา 109) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ (Low rise) 8 ชั้น รวม 2 อาคาร จากบริษัท คิวบ์ เรียล พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด นำห้องสวยขนาดใหญ่ตั้งแต่ 24-34 ตร.ม. เริ่ม 1.29 ล้านบาท พร้อมเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูง (Fully Furnished) ครบทุกฟังก์ชั่นเต็มห้องจาก Modernform ผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว (EIA APPROVED) ทำเลดีในซอยรามอินทรา 109 (บางชัน) เพียง 300 เมตรจาก ถ.รามอินทราและรถไฟฟ้า วิวสวย ชุมชนสะอาดปลอดภัยน่าพักอาศัย ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีบางชัน (ในอนาคต) พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องออกกำลังกาย ห้องซาวน่า (แยกชาย/หญิง) สวนหย่อม กล้องวงจรปิด (CCTV) Digital door lock (กลอนประตูดิจิตอล) ของซัมซุงทุกยูนิต ระบบคีย์การ์ดทางเข้าอาคาร และลิฟท์แบบคีย์การ์ดล็อคชั้น ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง Wi-Fi อินเตอร์เน็ตที่ล็อบบี้ส่วนกลาง การเดินทางสะดวกติดถนนใหญ่ และใกล้ห้างสรรพสินค้า สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล ร้านอาหาร ตลาด คอมมูนิตี้มอลล์ ฯลฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง โครงการฯ จัดห้องสวยที่กล้ายืนยันความคุ้มค่าทั้งอยู่เองและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มาจัดบูทวันนี้ - 26 พฤศจิกายน 2560  โซนหน้าร้านสตาร์บัคส์ ณ อมอรินีมอลล์ รามอินทรา (Amorini Mall)  พร้อมนำเงื่อนไขพิเศษและของแถมมากมายมอบให้ผู้ที่จองและทำสัญญาที่บูทด้วย พบกันได้ที่บูท The Cube Condominium สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 1246  หรือชมห้องตัวอย่างได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุด และติดตามความเคลื่อนไหวทางเฟซบุ๊ค : www.facebook.com/The Cube Condominium และ www.thecube-condo.com
บมจ. มั่นคงเคหะการ รุกหนักธุรกิจบริหารโครงการ ตั้งเป้า ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ รายได้โตกว่า 200% ในปี 61

บมจ. มั่นคงเคหะการ รุกหนักธุรกิจบริหารโครงการ ตั้งเป้า ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ รายได้โตกว่า 200% ในปี 61

นายวรสิทธิ์  โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคง เคหะการ หรือ MK เปิดเผยว่า จากการเปิดตัว “ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์” บริษัทในเครือเพื่อดูแลธุรกิจงานบริการหลังการขาย และบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งของบริษัทฯ และของกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ในปีที่ผ่านมา พบว่า “ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์” มีอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่สร้างการเติบโตมาจากการที่ผู้ประกอบการในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หันมาให้ความสนใจด้านการบริการหลังการขายมากขึ้น เพื่อเพิ่มคุณค่าของแบรนด์ต่อความรู้สึกของผู้บริโภคในเรื่องต่างๆ อาทิ การดูแลลูกบ้านในโครงการ  การวางระบบการจัดการและการบริหารงานในโครงการทั้งก่อนและหลังการจัดตั้งนิติบุคคลเพื่อดูแลรักษาและจัดระเบียบโครงการให้ได้ตามมาตรฐานอยู่เสมอ ซึ่งจะนำไปสู่การอยู่อาศัยที่มีคุณภาพ “ปัจจุบันแม้ว่าผู้ประกอบการด้านธุรกิจบริหารโครงการจะเกิดขึ้นจำนวนมากในตลาด แต่ว่าบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และมาตรฐานการบริการ ตลอดจนการบริหารงานที่ได้มาตรฐานยังมีอยู่  ไม่มากนัก  และจากความต้องการผู้ให้บริการมืออาชีพในด้านนี้ “ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์” จึงได้พัฒนาทีมงานคุณภาพที่สำเร็จการศึกษาจากสาขาวิชาชีพเฉพาะทาง และมีประสบการณ์ตรงมาให้บริการในทุกส่วนงาน ตลอดจนเปิดอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับพนักงานในด้านต่างๆ ที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง อาทิ  มาตรฐานการให้บริการ การดูแลลูกค้า การแก้ไขปัญหาและสนองตอบความต้องการของลูกค้า ตลอดจนการบริการด้านต่างๆ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันก่อนลงพื้นที่ปฏิบัติงานจริง ทั้งยังจัดตั้งทีมงานคอยตรวจสอบมาตรฐานเป็นประจำเสมอ” นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กล่าวเสริม ปัจจุบัน “ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์” ให้บริการโครงการรวม 15 โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้การพัฒนาของ บมจ. มั่นคงเคหะการ รวม 11 โครงการ และโครงการของผู้ประกอบการอื่นๆ รวม 4 โครงการ  รวมพื้นที่บริหารทั้งสิ้น 567,305.42 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 15,000 ล้านบาท โดยในปี 2560 “ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์” คาดการณ์รายได้ไว้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท และเชื่อมั่นว่าในปี 2561 จะมีรายได้เติบโตกว่า 200% หรือกว่า 40 ล้านบาท และจะขยายการรับบริหารโครงการเพิ่มขึ้นอีก 8 โครงการ เกี่ยวกับทิศทางแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2561 นั้น นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า “ในปี 2561 บริษัทฯ เน้นนำเทคโนโลยีต่างๆ  เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและอำนวยความสะดวกในการให้บริการลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในการพัฒนาระบบการทำงาน การจัดการ การให้บริการ” สำหรับมุมมองต่อภาพรวมธุรกิจบริหารโครงการในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และแนวโน้มในอนาคตนั้น นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กล่าวแสดงความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวว่า “ที่ผ่านมาตลาดธุรกิจบริหารโครงการมีอัตราการเติบโตอย่างชัดเจน เนื่องจากอัตราการเปิดตัวของโครงการใหม่ยังคงมีเกิดขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งโครงการต่างๆ เหล่านั้น ล้วนต้องการบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารโครงการเข้ามาช่วยดูแลและให้บริการลูกบ้าน เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุด และส่งผลต่อความเชื่อมั่นในแบรนด์ เพื่อสร้างโอกาสในการขายในครั้งต่อๆ ไป เพราะปัจจุบันเพียงแค่ปัจจัยด้านคุณภาพของสินค้าและราคายังไม่เพียงพอ เพราะลูกค้าหันมาให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขายมากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ ด้วยเหตุนี้ธุรกิจบริหารโครงการจึงถือเป็นส่วนหนึ่งสำคัญ ที่จะเข้ามาช่วยดูแลและบริหารจัดการเรื่องต่างๆ ให้แก่ลูกบ้านของโครงการนั้นๆ  ซึ่งเมื่อมีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้น ก็คาดว่าธุรกิจบริหารโครงการก็จะเติบโตตามไปด้วยเช่นกัน”
SC ASSET ผู้นำอสังหาฯไทย ผนึก AIS ผู้นำแห่งเทคโนโลยี รุกวางระบบโครงข่ายดิจิตอลคุณภาพสูงให้ทุกโครงการของเอสซีฯ เตรียมส่งมอบ “Baan Rue Jai” แพลตฟอร์มการอยู่อาศัยที่พัฒนาโดยคนไทยเพื่อคนไทย

SC ASSET ผู้นำอสังหาฯไทย ผนึก AIS ผู้นำแห่งเทคโนโลยี รุกวางระบบโครงข่ายดิจิตอลคุณภาพสูงให้ทุกโครงการของเอสซีฯ เตรียมส่งมอบ “Baan Rue Jai” แพลตฟอร์มการอยู่อาศัยที่พัฒนาโดยคนไทยเพื่อคนไทย

SC ASSET  ผู้นำอสังหาฯไทย ผนึก AIS ผู้นำแห่งเทคโนโลยี รุกวางระบบโครงข่ายดิจิตอลคุณภาพสูงให้ทุกโครงการของเอสซีฯ เตรียมส่งมอบ “Baan Rue Jai” แพลตฟอร์มการอยู่อาศัยที่พัฒนาโดยคนไทยเพื่อคนไทย ตอบโจทย์ทุกปัจจัยสำคัญต้อนรับการมาถึงของเมืองอนาคต พร้อมนำร่องที่โครงการเดอะเจนทริ พระราม 9 บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โชว์วิสัยทัศน์ที่ก้าวล้ำไปไกลกว่าแค่การแข่งขันกันด้วยความเร็วของธุรกิจ แต่ยังต้องครอบคลุมทุกเรื่องที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการอยู่อาศัยในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ อาหาร การเดินทาง การศึกษา ที่ต่อไปจะเชื่อมโยงกันกับที่อยู่อาศัยอย่างไร้รอยต่อด้วยเทคโนโลยีความเร็วสูงแห่งอนาคต ปัจจุบัน บริษัทฯกำลังมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มแห่งการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ใช้ชื่อว่า “Baan Rue Jai Platform” (บ้านรู้ใจ) ที่พัฒนาขึ้นตามหลัก Human-Centric อันเกิดจากการศึกษาปัญหาและความต้องการในการใช้ชีวิตประจำวันของลูกค้าเป็นโจทย์สำคัญ เป็นที่มาของชื่อแพลตอร์ม “บ้านรู้ใจ” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมเอา Innovations และSolutions จากที่พัฒนาโดยบริษัทเอสซีฯ เอง และจากพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ โดยมีเป้าหมายให้การอยู่อาศัยของครอบครัวสมาชิกเอสซีฯสะดวกสบายขึ้น ปลอดภัยขึ้น มีเวลาให้เรื่องที่สำคัญในชีวิตมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงเมื่ออยู่อาศัยภายในบ้าน แต่เมื่อเดินทางออกนอกบ้านด้วยเช่นกัน โดยในเฟสแรก เอสซีฯ ได้ประกาศความร่วมมือกับผู้นำอันดับหนึ่งเรื่องเครือข่ายดิจิตอลของไทยอย่าง เอไอเอส ด้วยเหตุเพราะแพลตฟอร์มการอยู่อาศัยที่เชื่อมโยงต่อกันอย่าง Baan Rue Jai นี้ จะสำเร็จไม่ได้เลยหากขาดตัวแปรสำคัญคือโครงข่ายเทคโนโลยีดิจิตอลคุณภาพสูงจากเอไอเอส ทำให้แพลตฟอร์ม “บ้านรู้ใจ” ที่เมื่อเสร็จสมบูรณ์ จะเป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีครอบคลุมทั้ง  4 ด้าน คือ IoT, Big Data, Cloud Computing และ AI ซึ่งจะกลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีศักยภาพสูงพร้อมเติบโตได้อย่างไร้ขีดจำกัดร่วมไปกับการพัฒนาของเมืองในอนาคต นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า “แผนการพัฒนาแพลตฟอร์มที่อยู่อาศัย Baan Rue Jai ของเอสซีฯ เรียกได้ว่า เป็นอีกก้าวสำคัญของเราที่จะ ‘Re-invent’ ธุรกิจจากการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไปสู่การเป็น “Living Solutions Provider” ผู้ส่งมอบสินค้าบริการ, โซลูชั่น และนวัตกรรมที่ครอบคลุมชีวิตทุกด้านของผู้อยู่อาศัย” “เอสซีฯ เชื่อว่า เมืองที่กำลังจะมาถึงในอนาคต จะพัฒนาไปในรูปแบบของการ “ร่วมกันสร้าง” (Co-creation) จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลากหลายหน่วยในสังคมเดียวกัน ซึ่งเป็นหนทางการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน เพราะคำนึงถึงประโยชน์ของสังคมและชุมชนร่วมกัน นายณัฐพงศ์ ยังกล่าวเสริมอีกว่า “การจับมือกับ เอไอเอส ในครั้งนี้เป็นหนึ่งในการร่วมกัน Co-create โดยคนไทย เพื่อคนไทย เป็นความร่วมมือครั้งสำคัญ ของเอสซีฯ และเอไอเอส โดยมีนายสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ร่วมตกลงการพัฒนา Infrastructure สำหรับทุกโครงการที่อยู่อาศัยของเอสซีฯ ผ่านการขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ด้วย AIS Fibre 100% พร้อมต่อยอดความสำเร็จอีกขั้นสู่การร่วมพัฒนา Baan Rue Jai Smart Home ฟีเจอร์แรกที่จะนำร่องยังโครงการใหม่ เดอะเจนทริ พระราม 9 เชื่อมั่นว่าจะช่วยสร้างให้ชีวิตคนในบ้านมีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น ทั้งนี้การจับมือกับ เอไอเอส เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสร้างแพลตฟอร์ม Baan Rue Jai เท่านั้น ซึ่งในอนาคต บริษัทฯมีแผนที่จะร่วม Co-create นวัตกรรมและโซลูชั่นใหม่ๆ ร่วมกับ Strategic partner และ Startups อื่นๆ อีกมาก” ด้านนายสมชัย สรุปถึงการผนึกความร่วมมือครั้งนี้ว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ Digital for Thais พร้อมกับความแข็งแกร่งของเครือข่ายเอไอเอส ประกอบกับ Infrastructure และ AIS Business Cloud ในระดับมาตรฐานโลก ทำให้เอไอเอสเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของไทยเรื่องโครงข่ายดิจิตอลที่มีประสิทธิภาพครอบคลุมสูงสุดในทุกๆ ด้าน และย่อมมีความพร้อมในการต่อยอดสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มการอยู่อาศัยที่อำนวยความสะดวกให้กับชีวิตผู้คน เพื่อสร้างโอกาสและประสิทธิผลสำหรับการใช้ชีวิตของคนไทยให้ก้าวไปอีกขั้น” สำหรับฟีเจอร์แรกของ Baan Rue Jai Platform ที่พร้อมเปิดตัวในปีนี้ เป็นฟีเจอร์ Baan Rue Jai Smart Home ที่เกิดจากการร่วมพัฒนาจากเอสซีฯ และ เอไอเอส เป็นระบบที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ  ในบ้านผ่านอินเตอร์เน็ต ด้วยการนำเทคโนโลยี “IoT” (Internet of Things) ที่ปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างก้าวล้ำเข้ามาช่วยตรวจสอบและประเมินผล เพื่ออำนวยความสะดวกการใช้งานภายในบ้านผ่าน Mobile Application โดยสามารถควบคุมและสั่งการอัติโนมัติ  พร้อมตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ขณะเมื่ออยู่นอกบ้าน ได้แก่ ระบบสัญญาณกันขโมย การเปิด-ปิดไฟ, และเปิด-ปิด เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น จึงช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้อยู่อาศัยในทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของการอยู่อาศัยของครอบครัว และความปลอดภัยของข้อมูลทั้งภายในและภายนอกบ้าน ทุกที่ ทุกเวลา ที่พิเศษที่สุดของการใช้งาน Baan Rue Jai Smart Home คือการดูแลหลังการขาย เพราะเป็นระบบที่พัฒนาโดยเอสซีฯ และพันธมิตรที่เชี่ยวชาญอย่างเอไอเอส ทำให้บริษัทฯ มีความพร้อมเหนือระดับด้วยทีมงาน Customer Service มืออาชีพที่พร้อมช่วยเหลือดูแลลูกค้าตามมาตรฐานงานหลังการขายอย่างอบอุ่นจากเอสซีฯ ตลอด 24 ชั่วโมง Rue Jai Smart Home  เพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับอนาคต  จะนำร่องที่โครงการเดอะเจนทริ พระราม 9 (The Gentry Rama 9) วิลล่าหรู 3 ชั้น โครงการใหม่ที่ได้รับการตอบรับดีเยี่ยมแห่งหนึ่ง  
“ลุมพินี เพลส รัชดา-สาธุ” คอนโดสไตล์ Modern Chinese ใจกลางเมืองย่านสาธุประดิษฐ์ เริ่ม 2.28 ลบ. 25 พ.ย.นี้

“ลุมพินี เพลส รัชดา-สาธุ” คอนโดสไตล์ Modern Chinese ใจกลางเมืองย่านสาธุประดิษฐ์ เริ่ม 2.28 ลบ. 25 พ.ย.นี้

บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)(LPN) เจาะทำเลเด่นย่านสาธุประดิษฐ์ ใกล้เซ็นทรัลพระราม 3 เปิดขายคอนโดระดับไพร์ม “ลุมพินี เพลส รัชดา-สาธุ” เริ่ม 2.28 ลบ. กับคอนเซ็ปต์ “FAMILY IS EVERYTHING” ขยายความสุขของครอบครัวในบ้านหลังใหญ่ สอดรับแนวคิด New LPN Design 2 และ 3 ห้องนอน สำหรับครอบครัวขยาย จับกลุ่มเป้าหมายคนไทยเชื้อสายจีนและฐานลูกค้าเก่าย่านนี้กว่า 1 หมื่นราย พบดีมานด์สูงหลังยอดลงทะเบียนจองกว่า 1,000 ราย ด้านงานสถาปัตยกรรมตอบโจทย์ Modern Chinese สอดประสานเส้นสายศิลปวัฒนธรรมจีนให้ทันสมัย  การันตีวิวสวยทุกห้อง โดดเด่นกับพื้นที่ส่วนกลางด้วยสวนสวยรอบอาคารสไตล์สวนจีน  พลาดไม่ได้เปิดจองเสาร์ที่ 25 พ.ย.นี้ วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายนนี้ LPN เตรียมเปิดขายคอนโดน้องใหม่ ลุมพินี เพลส รัชดา-สาธุ มูลค่า 1,600 ล้านบาท ตั้งบนทำเลทองย่านสาธุประดิษฐ์ แหล่งประชากรหนาแน่นไปด้วยคนไทยเชื้อสายจีนที่นิยมพักอาศัยรวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยายไปจนถึงพ่อแม่และลูกหลาน LPN จึงได้พัฒนาโครงการแห่งนี้ภายใต้แนวคิด “FAMILY IS EVERYTHING" เพื่อขยายความสุขของครอบครัวในบ้านหลังใหญ่ ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น จากบรรพบุรุษไปสู่ลูกหลานที่ต้องการขยายครอบครัวจากแนวราบมาพักอาศัยในคอนโดแนวสูง ขณะเดียวกันลูกหลานก็ยังคงไปมาหาสู่ญาติผู้ใหญ่ได้ ด้านผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ครอบครัวใหญ่ด้วย New LPN Design ด้วยรูปแบบห้องชุดที่โปร่ง โล่ง สบาย ครบอรรถประโยชน์ใช้สอยด้วยขนาด 2 และ 3 ห้องนอน ซึ่งทุกห้องสามารถมองเห็นวิวสวยๆของเมืองได้ สำหรับงานสถาปัตยกรรมอาคารภายนอกได้นำแนวคิด Modern Chinese มาออกแบบเพื่อจำลองรูปแบบและกลิ่นอายของวัฒนธรรมจีนเข้ากับสถาปัตยกรรมทันสมัย สะท้อนแนวคิดของการผสมผสานได้อย่างลงตัว พื้นที่ส่วนกลางออกแบบให้รองรับการใช้ชีวิตร่วมกันของครอบครัว ตั้งแต่ห้อง Co-Dining Zone ห้องเปี่ยมสุข (Happiness Zone) ห้องคุณหนู (Kid’s Fun Zone) ฯลฯ โดดเด่นด้วยพื้นที่สำหรับการพักผ่อนที่รังสรรค์ขึ้นอย่างใส่ใจ ทั้งสวนสวยรอบอาคารในสไตล์สวนจีน ร่มรื่น เย็นตา และมีเอกลักษณ์ด้วยสะพานไม้ ธารน้ำ หินงามและต้นหลิวเรียงรายพร้อมลู่วิ่งกลางสวน สนามเด็กเล่น ลานออกกำลังกาย สวนและสระว่ายน้ำลอยฟ้าให้เลือกบรรยากาศแห่งการผ่อนคลายได้ตามความต้องการของหลากหลายวัย ซึ่งทำเลพระราม 3 เป็นย่านที่ LPN มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดีจากความสำเร็จในการพัฒนาหลายโครงการจนทำให้บริษัทมีฐานลูกค้าเก่ากว่า 1 หมื่นราย บริษัทจึงคาดว่าจะประสบผลสำเร็จจากยอดเปิดลงทะเบียนจองล่วงหน้ากว่า 1,000 ราย สาธุประดิษฐ์เป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ ทำเลใจกลางเมือง ย่านสาธุประดิษฐ์ ใกล้ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ได้แก่ Central พระราม 3, Market Place, เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ ใกล้สถานศึกษา ได้แก่ โรงเรียนสารสาสน์พิทยา, โรงเรียนพระแม่มารีสาธุประดิษฐ์, โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ สีลม, โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ สถานพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์, โรงพยาบาลเลิดสิน, โรงพยาบาลบีเอ็นเอช, โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน แหล่งช้อปปิ้ง ได้แก่ Vanilla Moon, โฮมโปร พระราม 3, แมคโคร สาทร, INT Intersect, โลตัส พระราม 3, ดิอัพ พระราม 3 โครงการลุมพินี เพลส รัชดา-สาธุ เปิดขายให้คุณเป็นเจ้าของในวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายนนี้ ราคาเริ่มต้น 2.28 ล้านบาท (คิดเป็นราคาขายเฉลี่ยต่อตร.ม.100,000 บาท) ตั้งอยู่บนถนนสาธุประดิษฐ์ (ซอย 27 เดิม) จำนวนห้องชุด 543 ยูนิต ตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัวสูงแก่ผู้พักอาศัย   เนื้อที่โครงการ 2 ไร่เศษ จำนวน 1 อาคาร สูง 35 ชั้น รูปแบบห้องชุด 23.50 – 65.50 ตร.ม.พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายภายในโครงการ สามารถเข้าพักอาศัยได้ไตรมาส 3 ปี 2562 อบอุ่นหลังการเข้าพักอาศัยด้วยคุณค่างานบริการ (Service Value) ภายใต้กลยุทธ์ “ชุมชนน่าอยู่สำหรับคนทุกวัย” ข้อมูลโครงการ ลุมพินี เพลส รัชดา-สาธุ แนวคิด Family is Everything มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ราคาขาย เฉลี่ย 100,000 บาท / ตรม. วันเปิดขาย วันเสาร์ที่  25 พฤศจิกายน  2560 ที่ตั้ง ถนนสาธุประดิษฐ์ (ซอย 27 เดิม) แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา  กทม. ใกล้ เซ็นทรัล พระราม 3 , ตลาดรุ่งเจริญ, ทางด่วนสาธุประดิษฐ์, โรงเรียนสารสาสน์เอกตรา, โรงเรียนอัสสัมชัญ, โรงพยาบาลเซ็นหลุยส์, ย่านCBD สาทร, Market Place, เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ เนื้อที่โครงการ ประมาณ 2 ไร่เศษ ลักษณะโครงการ ผู้อาคารชุดพักอาศัยสูง 35 ชั้น 1 อาคาร ห้องชุดพักอาศัยรวม 543 ยูนิต (ชั้น 7 – ชั้น 34) รูปแบบห้องชุด ขนาด 24.00 – 65.50 ตร.ม. 24.00  แบบ Studio 28 แบบ 1 Bedroom 36 แบบ 2 Bedroom *** ชั้น 7 สระว่ายน้ำ (Swimming Pool),  ห้องเปี่ยมสุข (Happiness Zone),ห้องคุณหนู (Kid’s Fun Zone), ห้องเอนกประสงค์ ( Co-Living Zone), ฟิตเนสโซน (Fitness Zone), ห้องสตีมและซาวน่า (Steam and Sauna) และห้องเฮ้าส์เวิร์ค(Housework Zone) และห้องชุดพักอาศัย *** ชั้น 35 จุดชมวิว (Sky Lobby), ลานพักผ่อน (Co-Living Area) *** ชั้น 26 และ ชั้น 31 ลานพักผ่อน (Co-Living Area), ห้องชุดพักอาศัย ชั้นล่าง   ลานกิจกรรม (Co-Living Zone), สนามเด็กเล่น (Playground),ลานฟิตแอนด์เฟิร์ม (Fit & Firm area), ห้องอเนกประสงค์ (CO-Living Zone), ห้องบริหารจัดการพัสดุ (Parcel Storage ,  พื้นที่รวมตู้หยอดเหรียญ (Vending Machine Room), ห้องเครื่อง, ห้องไฟฟ้า, ที่จอดรถจักรยาน, ที่จอดรถยนต์ ชั้น 2 – 6 ที่จอดรถยนต์ ประมาณ 40 % ชั้น 8 – 25 ห้องชุดพักอาศัย ชั้น 27 – 30 ห้องชุดพักอาศัย ชั้น 32 - 34 ห้องชุดพักอาศัย โทรศัพท์(สำนักงานขาย) 02-211-2827 โทรสาร (สำนักงานขาย) 02-211-2007 กำหนดเริ่มก่อสร้าง  2561 คาดว่าจะแล้วเสร็จ ไตรมาส 3
‘เอพี ไทยแลนด์’ x ‘แฟบริก้า ดีไซน์’ ร่วมมือออกแบบนวัตกรรมพื้นที่แห่งอนาคต เผยผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์จากการทับซ้อนทางดีไซน์ปลดล็อคพื้นที่ใช้สอยที่ถูกซ่อนอยู่ สู่วิถีแห่งการอยู่อาศัยแห่งศตวรรษใหม่ ผ่านโปรเจคต์พิเศษเพื่อสังคม AP SPACE SCHOLARSHIP

‘เอพี ไทยแลนด์’ x ‘แฟบริก้า ดีไซน์’ ร่วมมือออกแบบนวัตกรรมพื้นที่แห่งอนาคต เผยผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์จากการทับซ้อนทางดีไซน์ปลดล็อคพื้นที่ใช้สอยที่ถูกซ่อนอยู่ สู่วิถีแห่งการอยู่อาศัยแห่งศตวรรษใหม่ ผ่านโปรเจคต์พิเศษเพื่อสังคม AP SPACE SCHOLARSHIP

วันนี้ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการ อสังหาริมทรัพย์และเจ้าแห่งนวัตกรรมเพื่อคุณภาพการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตที่ดีกว่าสำหรับคนเมือง ร่วมกับ FABRICA (แฟบริก้า) ดีไซน์สตูดิโอชื่อดังจากประเทศอิตาลี นำเสนอวิธีคิดในการออกแบบ พื้นที่แห่งอนาคตและการคิดค้นนวัตกรรมพื้นที่ที่สาม ที่เกิดจากการทับซ้อนทางดีไซน์ จนเกิดพื้นที่ในมิติใหม่ที่ทลายกรอบความคิดในการออกแบบ ชี้นำพฤติกรรมการอยู่อาศัยของมนุษย์ไปสู่การเปลี่ยนแปลงในบริบทใหม่  ในวันที่เส้นแบ่งชีวิตเรื่องงาน – ส่วนตัว เหลือน้อยลง ผ่านโปรเจคต์พิเศษเพื่อสังคมที่ชื่อว่า AP SPACE SCHOLARSHIP อีกหนึ่งโครงการ CSR ภายใต้การดำเนินการของเอพีที่นำเสนอวิธีคิดใหม่ในการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม โดยใช้ความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์สเปซสำหรับการอยู่อาศัยของเอพี ร่วมกับจุดต่างทางความคิดที่เชื่อมโยงความต่างทางวัฒนธรรมของทาง FABRICA มาร่วมสร้างสรรค์ทุนการศึกษารูปแบบใหม่ที่เป็นการให้ ‘ที่พักอาศัย’ ด้วยห้องชุดในคอนโดเอพี ซึ่งออกแบบโดยทีมงาน AP DESIGN LAB x FABRICA เพื่อเชื่อมต่อการใช้ชีวิตของน้องๆ ที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด มีผลการเรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยเฉพาะเรื่องที่พักอาศัย จำนวน 7 คน ซึ่งต้องย้ายเข้ามาศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในกรุงเทพมหานคร  ซึ่งผู้ที่สนใจศึกษาวิธีคิดในการออกแบบที่นำมาซึ่งผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ ปลดล็อคพื้นที่ที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่ วิถีแห่งการอยู่อาศัยแห่งอนาคต ได้ที่นิทรรศการ ‘SPACES WITHIN SPACE, A Vision of Co-Living Generation’ ที่จะจัดแสดงขึ้นระหว่าง 22-26 พฤศจิกายนนี้ เวลา 10.00-18.00 น. ณ Woof Pack Space ศาลาแดง ซอย 1 ถนนพระราม 4 บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) ได้ต่อยอดวิธีคิดการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมในรูปแบบใหม่ โดยใช้ความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์สเปซสำหรับการอยู่อาศัย กับจุดต่างทางความคิดเฉพาะตัวของทีมดีไซเนอร์จากทาง FABRICA ร่วมกันสร้างสรรค์และยกระดับศักยภาพของเด็กไทยบนพื้นฐานของการให้ ด้วยการออกแบบห้องชุดในโครงการเพื่อสังคม “AP SPACE SCHOLARSHIP – ทุนที่พักอาศัย เพื่อการเริ่มต้นของคนคุณภาพ” โดยมอบทุนการศึกษาเป็นตารางเมตร ในคอนโดมิเนียมที่บริหารจัดการโดยบริษัทในเครือเอพี เพื่อเชื่อมต่อการใช้ชีวิตของน้องๆ ที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด มีผลการเรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์โดยเฉพาะเรื่องที่พักอาศัย จำนวน 7 คน ซึ่งต้องย้ายเข้ามาศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในกรุงเทพมหานคร ได้เริ่มต้นชีวิตระหว่างเรียนร่วมกันได้ อย่างมีความสุข สร้างสรรค์ และปลอดภัย ภายในห้องชุดที่ได้รับการออกแบบพื้นที่ใช้สอยเป็นพิเศษโดยทีม AP Design Lab ร่วมมือกับ FABRICA ดีไซน์สตูดิโอที่รวบรวมหนุ่มสาวนักคิด นักออกแบบ เพื่อสร้างสรรค์พื้นที่ ให้สามารถใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าใน 2 โครงการที่ใกล้สถานศึกษา ได้แก่ โครงการ Aspire รัตนาธิเบศร์ 2 และ Aspire สาทร-ตากสิน นายสรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง ผู้อำนวยการคอร์ปอเรทมาร์เก็ตติ้ง และเอพี ดีไซน์ แล็บ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “โปรเจคต์นี้เอพีมุ่งนำเสนอการออกแบบที่อยู่อาศัยร่วมกันแห่งอนาคต ผ่านการศึกษาและค้นหาพื้นที่ที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่ หรือที่ทางทีมเอพีเรียกว่า ‘พื้นที่ที่สาม’ และวิธีการมองสเปซในทุกมิติด้วยประสบการณ์ 25 ปีของเราที่เข้าใจการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์คนเมือง เรามีความเชี่ยวชาญในการออกแบบพื้นที่การใช้ชีวิตคุณภาพ โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียมที่ทุกตารางนิ้วมีคุณค่าจึงต้องใช้ได้อย่างมากประโยชน์ ในครั้งนี้เราได้ผสานความเชี่ยวชาญของ FABRICA ที่มีจุดเด่นทางความคิดที่เชื่อมโยงความต่างทางวัฒนธรรม ก่อเกิดผลงานที่เข้าถึงและกินใจคนทั่วโลก มาร่วมกันสร้างสรรค์พื้นที่อยู่อาศัยสำหรับน้องๆ นักศึกษาทั้ง 7 คนที่เดินทางมาจากคนละจังหวัดให้อยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีความสุข และพร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตในเมืองใหญ่ได้อย่างมั่นใจ โดยเรื่องราวของการให้ทุนที่เป็น ‘ที่อยู่อาศัย’ นั้น ทางเอพีได้ถ่ายทอดผ่านนิทรรศการ ‘SPACES WITHIN SPACE, A Vision of Co-Living Generation’ ซึ่งผู้ที่สนใจในแนวคิดของการทำกิจกรรมเพื่อสังคมในโครงการ AP SPACE SCHOLARSHIP หรือวิธีคิดในการออกแบบที่ผสานความต่างทางวัฒนธรรม สามารถเข้ามาชมได้ตั้งแต่วันที่ 22-26 พฤศจิกายนนี้ ณ WOOF PACK Space ศาลาแดง ซอย 1 ซึ่งในนิทรรศการจะมีการจำลองห้องชุดทั้ง  2 ห้องในมิติที่เสมือนจริงมาให้ทุกคนได้ลองค้นหาความหมายของพื้นที่ที่สาม นวัตกรรมพื้นที่แห่งอนาคตในมุมมองของ AP และ FABRICA” “เอพีให้ความสำคัญกับการออกแบบและก่อสร้างห้องของน้องๆ เด็กทุน AP SPACE SCHOLARSHIP เป็นอย่างมาก ทีม AP Design Lab ของเราจึงเลือกร่วมงานกับดีไซน์สตูดิโอชื่อดังระดับโลกอย่าง FABRICA ที่เป็นศูนย์รวมของเหล่านักคิด นักออกแบบรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์จากทั่วโลก ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี นำโดย Mr. Sam Baron (มร. แซม บารอง) ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ FABRICA ผู้มีชื่อเสียงระดับโลกในวงการออกแบบ เป็นไอดอลของนักออกแบบรุ่นใหม่ และได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ที่มีความสามารถแห่งทศวรรษมาช่วยในการออกแบบ ให้สามารถค้นพบและนำพื้นที่ที่สามที่เกิดจากการทับซ้อนของการออกแบบ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทุกตารางนิ้ว และมีดีไซน์สวยงามล้ำสมัย” คุณสรรพสิทธิ์ กล่าว มร. แซม บารอง ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ FABRICA กล่าวว่า “ในฐานะตัวแทนจากทีมงาน FABRICA ผมขอชื่นชมเอพี (ไทยแลนด์) ที่สร้างสรรค์โครงการดีๆ เพื่อสังคมอย่าง SPACE SCHOLARSHIP  ในมุมมองของผมโครงการนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเยาวชนในสังคมไทย เป็นส่วนหนึ่งในการมอบ โอกาสในชีวิต รวมถึงการสร้างคนคุณภาพให้กับสังคมไทย โปรเจคต์ SPACE SCHOLARSHIP ค่อนข้างท้าทาย วิธีคิดในการออกแบบของผมและทีม เพราะโจทย์ในการออกแบบคือ การออกแบบพื้นที่พักอาศัยใน คอนโดมิเนียม สำหรับการอยู่อาศัยร่วมกันของเด็ก 7 คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน และเดินทางมาจากคนละจังหวัด มีภูมิหลังและวัฒนธรรมที่ต่างกัน โดยแบ่งเป็นห้องสำหรับการอยู่ร่วมกันสำหรับเด็กผู้ชาย 4 คน 1 ห้อง  และสำหรับเด็กผู้หญิง 3 คน 1 ห้อง ซึ่งปรัชญาการออกแบบอย่างหนึ่งของทีม FABRICA คือการเชื่อมโยงความต่างทางวัฒนธรรมให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งจุดเด่นอย่างหนึ่งที่ทำให้ FABRICA สามารถสร้างผลงานที่เข้าถึงคนทั่วโลกได้ คือ  FABRICA DESIGN TEAM เกิดขึ้นจากรวมตัวกันของหนุ่มสาวนักคิด นักออกแบบจากหลากหลายเชื้อชาติมาร่วมกันสร้างสรรค์งานดีไซน์ที่เข้าใจและสะท้อนคุณค่าทางวัฒนธรรมได้อย่างชัดเจน” “สำหรับคอนเซ็ปต์ในการออกแบบของโปรเจคต์ SPACE SCHOLARSHIP เกิดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘SUM’ (Some of Small Parts) ซึ่งสิ่งที่แนวคิด ‘SUM’ ตั้งคำถามคือเราจะสร้างพื้นที่แห่งการแบ่งปันไปพร้อมๆ กับการสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัยได้อย่างไร ‘SUM’ จึงสะท้อนวิธีคิดในการจัดวางพื้นที่สำหรับการอยู่ร่วมกัน ที่ช่วยส่งเสริมการสื่อสาร และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ โดยผลรวมของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมด ในห้องชุดคือการเรียบเรียงองค์ประกอบอันหลากหลายให้เติมเต็มและเพิ่มคุณค่ากันและกัน เกิดเป็นสังคมใหม่ เป็นทั้งพื้นที่แห่งการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ การแบ่งปัน และการอยู่ร่วมกัน ซึ่งเมื่อห้องชุดก่อสร้างแล้วเสร็จ เด็กๆ ย้ายเข้าอยู่เราก็เริ่มเห็นผลจากงานดีไซน์ที่เชื่อมความต่างของทุกคนเข้าหากันได้อย่างลงตัว ซึ่งเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจคต์เพื่อสังคมดีๆ นี้ครับ”  มร. บารอง กล่าว บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) มุ่งหวังว่าโครงการเพื่อสังคม AP SPACE SCHOLARSHIP จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยยก ระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ส่งเสริมความกล้าในการที่จะคิดและทำต่างอย่างสร้างสรรค์ นับว่าเป็นการต่อยอดวิสัยทัศน์ในการ “คิดต่าง” (Think Different) ของเอพี ในการเดินหน้า คิดค้นและนำเสนอนวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตของคนเมือง ที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งในด้าน ‘คุณภาพ’ ‘บริการ’ ‘ความ-สะดวกสบาย’ และ ‘ความปลอดภัย’ โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ การมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด ให้กับการอยู่อาศัยในเมือง ทั้งนี้ นิทรรศการ ‘SPACES WITHIN SPACE, A Vision of Co-Living Generation’ จะจัดแสดง ระหว่าง 22-26 พฤศจิกายนนี้ เวลา 10.00-18.00 น. ณ Woof Pack Space ศาลาแดง ซอย 1 ถนนพระราม 4 เพื่อแสดงผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ที่เกิดจากการทับซ้อนทางดีไซน์ เกิดเป็นนวัตกรรมพื้นที่แห่งอนาคต สู่วิถี-แห่งการอยู่อาศัยในวันข้างหน้า ผ่านการออกแบบในโปรเจคต์พิเศษเพื่อสังคม AP SPACE SCHOLARSHIP ข้อมูลเพิ่มเติม www.apthai.com/apspacescholarship
‘เอพี ไทยแลนด์’ ย้ำภาพผู้นำนวัตกรรมเพื่อคุณภาพชีวิต จับมือ ‘อินฟินิท’ เปิดตัว ‘Smart POD’ ล็อคเกอร์อัจฉริยะ สุดยอดนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยเป็นรายแรกในธุรกิจ

‘เอพี ไทยแลนด์’ ย้ำภาพผู้นำนวัตกรรมเพื่อคุณภาพชีวิต จับมือ ‘อินฟินิท’ เปิดตัว ‘Smart POD’ ล็อคเกอร์อัจฉริยะ สุดยอดนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยเป็นรายแรกในธุรกิจ

เอพี (ไทยแลนด์) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง มุ่งสร้างความต่าง ยกระดับคุณภาพอสังหาริมทรัพย์ไทย ล่าสุดจับมือ บริษัท อินฟินิท เทคโนโลยี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรม เปิดตัว “Smart POD” ล็อคเกอร์อัจฉริยะที่-พร้อมใช้งานจริงเป็นรายแรกในธุรกิจ ตอบรับ lifestyle คนรุ่นใหม่ในโลกอนาคต Smart POD นวัตกรรมใหม่ล่าสุด ที่เอพีริเริ่มนำมาตอบรับความต้องการของผู้อยู่อาศัย ผ่าน-แนวคิดสำคัญ “นวัตกรรมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน – AP Innovation for Quality Living” ที่มุ่งผสานเทคโนสำคัญโลยี IOT (Internet of Things) และนวัตกรรมเข้ากับการออกแบบพื้นที่ชีวิต คำนึงถึงความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกสบาย ที่ลูกค้าเข้าถึงได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ของการอยู่อาศัยในคอนโด พร้อมเดินหน้าติดตั้งในทุกคอนโดใหม่ของเอพี ประเดิมคอนโดมิเนียม 4 โครงการล่าสุดที่เพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมเตรียมเดินหน้าโอนกรรมสิทธิ์์เพื่อรับรู้รายได้บางส่วนในไตรมาส 4 นี้ ได้แก่ Life ปิ่นเกล้า Life สุขุมวิท 48 Rhythm รางน้ำ และ Aspire เอราวัณ รวมจำนวน 3,376 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 11,500 ล้านบาท นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานพัฒนาธุรกิจ กลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “เอพีไม่เคยหยุดนิ่งที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น เรายึดมั่นและจริงจังในเรื่องการศึกษาและรับฟังความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างมาก หนึ่งในกระบวนการของเราคือ หลังลูกค้าย้ายเข้าอยู่อาศัย ทีมดีไซน์เนอร์เอพีจะลงพื้นที่ทำการสำรวจ วิจัย เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นกลับมาพัฒนาสินค้าที่อยู่อาศัยให้มีฟังก์ชั่นการใช้งานคุณภาพครอบคลุม ความต้องการในวันนี้และอนาคตอย่างต่อเนื่อง สำหรับการนำนวัตกรรมล็อคเกอร์อัจฉริยะ Smart POD มาติดตั้งใช้งานจริงให้กับลูกค้า คอนโดมิเนียมเอพีในครั้งนี้ เราต้องการอำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ซึ่งต้องยอมรับการมาของเทคโนโลยีโดยเฉพาะเรื่อง IOT (Internet of Thing) ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป คนรุ่นใหม่   ที่อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมมีพฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น  แต่การจัดส่งสินค้าต่อ ไปยังลูกบ้านที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมทุกวันนี้ ยังไม่ได้รับการออกแบบใหม่ให้เอื้อต่อพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ซึ่งนวัตกรรมการรับ-ส่งสินค้าผ่าน ‘Smart POD’ ล็อคเกอร์อัจฉริยะ (Intelligent Locker) จะทำให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถเข้าถึงการใช้งานด้วยตนเองได้ตลอดเวลา ผู้อยู่อาศัยสามารถรับของได้ในเวลา ที่ตนเองสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง รวดเร็ว ง่าย สะดวกสบาย รวมทั้งมั่นใจได้ในความปลอดภัย 100% เนื่องจากผู้ที่นำพัสดุมาส่ง จะต้องใช้บัตรประชาชนเพื่อยืนยันตัวตนในการดำเนินการเข้าระบบฝากของ พร้อมระบุเลขห้อง และเบอร์โทรศัพท์ของผู้อยู่อาศัย หลังจากนั้นระบบจะส่งข้อความไปยังสมาร์ทโฟน ของผู้รับ พร้อมพาสเวิร์ด และ QR Code เพื่อนำมาสแกนรับพัสดุด้วยตนเอง ภายใต้การดูแลและบริหารจัดการโดยบริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมนเนจเมนท์ จำกัด บริษัทบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ในเครือเอพี” เอพี (ไทยแลนด์)  เป็นรายแรกของธุรกิจ ที่ริเริ่มพัฒนาและติดตั้งล็อคเกอร์อัจฉริยะ Smart POD ที่พร้อมใช้งานได้จริง ด้วยต้องการส่งมอบคุณภาพชีวิตสมบูรณ์แบบในทุกมิติ สร้างสรรค์และพัฒนาคอนโดมิเนียมคุณภาพที่พรั่งพร้อมด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีในการอยู่อาศัยท่ามกลางสังคมเมืองแห่งโลกอนาคต ผ่านแนวคิดสำคัญ คือ 1. Space Innovation & Technology – วิธีคิดในการออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย แต่ทุกพื้นที่ต้องพร้อมสนับสนุนชีวิตสู่ความสำเร็จในอนาคต เชื่อมต่อและขับเคลื่อนพลังความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ เอพีได้ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย ภายใต้แนวคิด IoT (Internet of Things) เข้าไปกับการออกแบบสเปซ เพื่อให้ทุกพื้นที่สามารถเชื่อมต่อโลกไซเบอร์ ตลอดจนควบคุมผ่านสมาร์ทโฟนได้ตลอด 24 ชั่วโมง 2. 24/7 Safety & Convenient นวัตกรรมความปลอดภัยและความ-สะดวกสบายตลอด 24 ชั่วโมง อาทิ นวัตกรรมที่เอื้อให้ควบคุมทุกอย่างได้แบบ Real Time เพียงปลายนิ้วสัมผัส ผ่าน Application ที่เอพีพัฒนาขึ้น ส่งเสริมให้การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ในคอนโดเอพีให้สะดวกสบายและปลอดภัยกว่าเดิม “สำหรับการดำเนินธุรกิจของเอพี (ไทยแลนด์) เรามุ่งมั่นที่จะตอบโจทย์การพัฒนาไปสู่ ‘คุณภาพชีวิตที่ดี’ ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านคุณภาพ การบริการ การอำนวยความสะดวกสบาย และความปลอดภัย    โดยได้รับความร่วมมืออย่างดี จาก มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MECG) พันธมิตรทางธุรกิจ ในการส่งต่อแนวคิดในการบริหารจัดการคุณภาพ สู่การสร้างกรอบแนวคิดหลัก ในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในบริบทของการพัฒนาคอนโดมิเนียมเอพี ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘AP INNOVATION FOR QUALITY LIVING’ นวัตกรรมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ที่ผ่านการผสมผสานประสบการณ์ใน    การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เข้ากับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการเป็น ‘เจ้าแห่งนวัตกรรม คอนโดมิเนียม’ เพื่อคุณภาพชีวิตสมบูรณ์แบบในทุกมิติ สร้างสรรค์และพัฒนาคอนโดมิเนียมคุณภาพที่แวดล้อมคุณภาพชีวิตที่ดีในการอยู่อาศัยท่ามกลางสังคมเมืองแห่งโลกอนาคต” นายวิทการ กล่าวสรุป บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) คือ ผู้นำด้านการปฏิวัติออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่อยู่อาศัย ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ดีไซน์ที่โดดเด่นด้วยพื้นที่ใช้สอยที่สะดวกสบาย ทำเลที่ดีเยี่ยม รวมไปถึงคุณภาพในการก่อสร้าง การบำรุงรักษา บริการหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้าเอพีได้ใช้ชีวิตที่ดีที่สุดและเติมเต็มความสุขในแบบที่ปรารถนา
แสนสิริเปิดแบรนด์ใหม่แนวราบ “อณาสิริ” เจาะตลาด 1-3 ล้านบาท ครั้งแรก Low Rise มิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด-ทาวน์เฮาส์ ปักธงทำเลใหม่อยุธยา โครงการแรก “อณาสิริ อยุธยา”

แสนสิริเปิดแบรนด์ใหม่แนวราบ “อณาสิริ” เจาะตลาด 1-3 ล้านบาท ครั้งแรก Low Rise มิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด-ทาวน์เฮาส์ ปักธงทำเลใหม่อยุธยา โครงการแรก “อณาสิริ อยุธยา”

แสนสิริขยายแบรนด์แนวราบ ผุดแบรนด์ “อณาสิริ” เจาะกลุ่มลูกค้าตลาดระดับราคา 1-3 ล้านบาท ครั้งแรกในการพัฒนา Low rise แบบมิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ในโครงการเดียว ตอบรับครบทุกความต้องการ หวังครองตลาดแนวราบอยู่หมัด ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ เปิดตัวโครงการแรก ปักธงทำเลใหม่อยุธยา ในชื่อ “อณาสิริ อยุธยา” จำนวน 318 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ชูจุดเด่นดีไซน์สไตล์ Minimal Loft สมัยใหม่ รวมสไตล์แห่งยุคกับเสน่ห์แห่งเมือง ตอบโจทย์ลงตัวในทุกการอยู่อาศัย ราคา 1.89 – 5 ล้าน พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการ 25-26 พ.ย.นี้ ชี้อยุธยาทำเลที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ย่านนิคมอุตสาหกรรมใหญ่ เผยดีมานด์แรงมีทั้งคนในท้องถิ่น หน่วยงานราชการ และแรงงานชาวไทยและชาวต่างชาติ ระบุตลาดทาวน์เฮาส์ฮอต อยู่โซนนิคมอุตสาหกรรม ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราการดูดซับโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ และบ้านเดี่ยว ทำเลฮอตคือโซนอยุธยา-บ้านแพรก ราคา 3.00-4.99 ล้านบาท อัตราตอบรับดีเฉลี่ย 3 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ขณะที่ราคาที่ดินโซนนิคมอุตสาหกรรมแพงสุด 20,000-50,000 บาท / ตร.ว. ด้านยอดขายแนวราบไปได้สวย 10 เดือน ปิดยอดขายได้ 11,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากรอบ 10 เดือนของปีก่อนถึงเกือบ 30% และก้าวสู่ 75% จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท มั่นใจยอดขายแนวราบปีนี้เป็นไปตามเป้าแน่นอน คุณวิลาสิณี เดชอมรธัญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริเปิดแบรนด์แนวราบ ภายใต้ชื่อ “อณาสิริ” เจาะกลุ่มลูกค้าระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกในการพัฒนาโครงการ Low Rise แบบมิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ในโครงการเดียวกันตอบรับทุกความต้องการ ครอบคลุมตลาดโครงการแนวราบในทุกเซกเมนต์ โดยแบรนด์อณาสิริ มีคอนเซ็ปต์ว่า “LIVABLE LIVES” บ้าน   อณาสิริ ความรู้สึกที่เติมเต็ม มาจากคำว่า “อณา + แสนสิริ” บ้านที่รวมสังคมดีๆ เอาไว้ด้วยกัน เตรียมเปิดตัวโครงการแรก ในจังหวัดอยุธยาที่เป็นทำเลที่แสนสิริไม่เคยเข้าไปพัฒนาโครงการมาก่อน ในชื่อ “อณาสิริ อยุธยา” จำนวนทั้งหมด 318 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ชูจุดเด่นออกแบบสไตล์ Minimal Loft สมัยใหม่ รวมสไตล์แห่งยุคกับเสน่ห์แห่งเมือง สอดแทรกด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นในวิถีการอยู่อาศัยและการสร้างบ้าน เช่น การใช้สีอิฐ (สีส้ม) ที่รอให้มาค้นหาความสุขใหม่ในเมืองเดิม กับสังคมที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ลงตัวในทุกการอยู่อาศัย เติมเต็มความสมบูรณ์ในการใช้ชีวิต เสนอขายราคา 1.89 – 5 ล้านบาท พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการวันเสาร์-อาทิตย์ที่  25-26 พฤศจิกายนนี้ “แสนสิริเปิดตัวแบรนด์ใหม่ อณาสิริ บนทำเลอยุธยาครั้งแรก เพราะเราศึกษาและพบว่าทำเลนี้มีศักภาพสูง โดยอยุธยาเป็นศูนย์กลางการเดินทางไปยังภาคเหนือและภาคอีสาน เปรียบดั่งบ้านหลังที่ 2 ของคนกรุงเทพฯ และเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำให้มีผู้คนย้ายเข้ามาในพื้นที่เป็นจำนวนมากและมีความต้องการที่อยู่อาศัย ซึ่งกลุ่มดีมานด์หลักคือกลุ่มคนในท้องถิ่น หน่วยงานราชการ รวมไปถึงแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ย้ายมาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัยเอง และปล่อยเช่า ทั้งนี้สำหรับซัพพลายในทำเลอยุธยา ส่วนใหญ่เน้นเปิดโครงการทาวน์เฮาส์ โดยมีจำนวน         ซัพพลายทั้งหมด 3,072 ยูนิต คิดเป็น 55% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด รองลงมาคือบ้านเดี่ยว มีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 2,249 ยูนิต คิดเป็น 40% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด และ คอนโดมิเนียม มีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 294 ยูนิต คิดเป็นส่วนแบ่ง 5% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด ขณะที่ดีมานด์ที่นิยมที่สุดคือ ทาวน์เฮาส์ ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยโซนนิคมอุตสาหกรรมได้รับความนิยมสูงสุด อัตราการดูดซับโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ขณะที่บ้านเดี่ยว ราคาที่ได้รับความนิยมคือ 3.00-4.99 ล้านบาท ในโซนอยุธยา-บ้านแพรก อัตราตอบรับดีเฉลี่ย 3 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ส่วนราคาที่ดินของอยุธยา โซนที่ราคาสูงที่สุดอยู่ที่ โซนนิคมอุตสาหกรรม ถนนโรจนะ ถนนพหลโยธินใน     อ.บางปะอิน ซึ่ง เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรม อยู่ที่ประมาณ 20,000-50,000 บาทต่อตารางวา รองลงมาคือ โซนอยุธยา-บ้านแพรก ถนนอู่ทอง ถนนนเรศวร อยู่ที่ 30,000 - 40,000 บาทต่อตารางวา และโซนลาดบัวหลวง-ผักไห่ ถนน ศรีเสนา ราคาประเมิน อยู่ที่ 15,000-25,000 บาทต่อตารางวา ทั้งนี้มองว่าทำเลอยุธยามีแนวโน้มในการเติบโตที่ดี รายล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยว ประกอบด้วยวัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดใหญ่ชัยมงคล โรงแรมและคาเฟ่ต่างๆมากมาย จึงทำให้วันหยุดมีคนเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทั้งคนที่อยู่กรุงเทพฯ เนื่องจากใกล้กรุงเทพฯ มากเดินทางเพียง 1 ชั่วโมงเศษ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยว ซึ่งมองว่าอยุธยาในอนาคตจะเติบโตขึ้นและเป็นทำเลที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ที่น่าจับตามองอีกทำเลหนึ่ง” คุณวิลาสิณี กล่าว คุณวิลาสิณี กล่าวต่อว่า “สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยโครงการแนวราบมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และมีดีมานด์จริงที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยที่สูง ส่งผลให้ปีนี้ยอดขายแนวราบของแสนสิริเป็นไปได้สวย ปัจจุบันแสนสิริมียอดขายโครงการแนวราบ 10 เดือน ปิดยอดขายได้ 11,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากรอบ 10 เดือนของปีก่อนถึงเกือบ 30% โดยที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วยอดขาย 10 เดือนอยู่ที่ 8,485 ล้านบาท และก้าวสู่ 75% จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่ายอดขายแนวราบของปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน” สำหรับโครงการใหม่ อณาสิริ อยุธยา ตั้งอยู่บนพื้นที่ 40 ไร่ บนทำเลคุณภาพ เดินทางง่าย ใกล้ถนนใหญ่ หมู่ 5 ต.เกาะเรียน อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา มูลค่าโครงการ ประมาณ 1,000 ล้านบาท ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ อาณาจักรชีวิตที่ลงตัว พร้อมเติมเต็มความสมบูรณ์แบบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ส่วนกลางที่ครบครัน สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ช.ม. มีจำนวนทั้งสิ้น 318 ยูนิต ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว จำนวน 74 ยูนิต ราคา 3.99-5 ล้านบาท บ้านแฝด จำนวน 102 ยูนิต ราคา 2.99-3.5 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ จำนวน 142 ยูนิต ราคา 1.89-2.3 ล้าน สำหรับขนาดพื้นที่ใช้สอย ทาวน์เฮาส์ พื้นที่ใช้สอย 93 ตร.ม. ที่ดินเริ่มต้น 16.2 ตร.ว. ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ห้องรับแขก ห้องอเนกประสงค์ 1 ที่จอดรถ บ้านแฝด พื้นที่ใช้สอย 134 ตร.ม. ที่ดินเริ่มต้น 35.6 ตร.ว. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ  ห้องอเนกประสงค์ ห้องรับแขก  2 ที่จอดรถ และบ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอย 127 ตร.ม. ที่ดินเริ่มต้น 50.6 ตร.ว. ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก ครัวไทย 2 ที่จอดรถ เตรียมเปิดขายอย่างเป็นทางการวันที่ 25-26 พฤศจิกายนนี้ โดยจัดโปรโมชั่น ราคาดีที่สุด พร้อมเลือกทำเลสวยหน้าโครงการ
ทายาทตัน ภาสกรนที เปิดตัว T-ONE อาคารสำนักงานเกรด A แห่งเดียวในทองหล่อ-สุขุมวิท สำหรับคนรุ่นใหม่สไตล์ Work Hard – Play Harder

ทายาทตัน ภาสกรนที เปิดตัว T-ONE อาคารสำนักงานเกรด A แห่งเดียวในทองหล่อ-สุขุมวิท สำหรับคนรุ่นใหม่สไตล์ Work Hard – Play Harder

วริษา ภาสกรนที ทายาทตัน ภาสกรนที รับช่วงธุรกิจอสังหา เปิดตัว T-ONE  (THE NEW AGE OF ELITE TERRITORY CBD OFFICE BUILDING) อาคารสำนักงานและพื้นที่ Co Working Space เกรดเอแห่งเดียวในทำเลทองหล่อ-สุขุมวิท สำหรับนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ทันสมัย นำเทรนด์ และบาลานซ์ชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างมีสไตล์ เผยยอดจองพุ่งกว่า 40% ตั้งแต่ยังไม่เปิดตัว บริษัท ตัน อิง แอสเซ็ท จำกัด โดย วริษา ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ เปิดตัวอาคาร T-ONE  อาคารสำนักงานและ Co-Working Space ระดับพรีเมี่ยมแห่งเดียวในทำเลทองหล่อ-สุขุมวิท ไพร์มโลเคชั่นย่านธุรกิจชั้นนำของกรุงเทพ โดดเด่นด้วยรูปทรงสถาปัตยกรรมที่ทันสมัย ภายใต้แนวคิด THE NEW AGE OF ELITE TERRITORY CBD OFFICE BUILDING  นำเสนอความเหนือธรรมดา ที่ผู้เช่าสามารถสร้างสรรค์พื้นที่ทำงานแบบไม่ติดกรอบเดิมๆ เหมาะสำหรับกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ทันสมัย นำเทรนด์ และบาลานซ์ชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างมีสไตล์ คุณวริษา ภาสกรนที   เผยว่า “โครงการ T-ONE เป็นที่ดินสะสมของครอบครัวมานานแล้ว เมื่อถึงเวลาเหมาะสมจึงพัฒนาโครงการขึ้นเป็นอาคารสำนักงานและพื้นที่ Co Working Space เกรดเอแห่งเดียวในทำเลทองหล่อ-สุขุมวิท ตัวอาคารสูง 34 ชั้น พื้นที่ 43,700 ตรม. รูปทรงสถาปัตยกรรมโดดเด่นใช้ลูกเล่นทวิสต์ตัวโครงสร้างอาคารเมื่อผิวกระจกสีฟ้าและทองสะท้อนกับแสงแดดให้ความรู้สึกเหมือนคริสตัลบอล เมื่อมองเข้าอาคารทั้ง 4 ด้านจะเห็นรูปทรงตึกแตกต่างกันไป สะท้อนบุคลิกผู้เช่ากลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจคลื่นลูกใหม่ นักธุรกิจรุ่นใหม่  ที่ให้ความสำคัญทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์  ไม่ชอบการใช้ชีวิตในกรอบ  ดังนั้นโครงการ T-ONE  จึงออกแบบพื้นที่ให้เต็มไปด้วยแนวคิดครีเอทีฟ สเปซ เพื่อกระตุ้นไอเดียใหม่ๆ  ให้เกิดขึ้นตลอดเวลา  เราให้ความสำคัญกับระบบอำนวยความสะดวกในอาคาร ทั้งระบบรักษาความปลอดภัย  การลงทุนเชื่อมต่อทางเข้าบีทีเอสทองหล่อตรงเข้าสู่ตัวอาคาร ระบบจอดรถที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะตอบโจทย์ผู้ประกอบการธุรกิจรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี” ยุพา เสถียรภาพอยุทธ์ ผู้อำนวยการระดับภูมิภาค และหัวหน้าแผนกอาคารและสำนักงาน  บ.โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด (JLL)  บริษัทตัวแทนปล่อยเช่าแต่ผู้เดียวของโครงการ T-ONE กล่าวว่า  “สุขุมวิทแบ่งออกเป็น 3 ทำเล ได้แก่ สุขุมวิทช่วงต้น (เพลินจิต - แยกอโศก) , สุขุมวิทตอนกลาง (อโศก - ทองหล่อ) และสุขุมวิทตอนปลาย (เอกมัย-อ่อนนุช)  สำหรับพื้นที่พร้อมพงษ์ เชื่อมต่อ ทองหล่อ  จัดเป็นย่านไลฟ์สไตล์ที่ดีที่สุด ประกอบไปด้วย ห้างพรีเมี่ยมขนาดใหญ่ (The Emporium และ The Emquartier) เต็มไปด้วย community mall ร้านอาหารมีสไตล์ โรงพยาบาลชั้นนำ โรงเรียนนานาชาติ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ ครบทุกสิ่งในการใช้ชีวิต ทำให้ทำเลนี้เป็นที่นิยมในหมู่ชาวต่างชาติ ที่เข้ามาพักอาศัยระยะยาวในกรุงเทพ   ส่งผลให้ศักยภาพของอาคารสำนักงานบนถนนสุขุมวิทเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็นไพร์มโลเคชั่นที่ดีที่สุดของกรุงเทพ  โครงการ T-ONE  จึงจัดเป็นการพัฒนาที่ดินแปลงใหญ่ผืนสุดท้ายในขณะนี้ เมื่อพัฒนาเป็นโครงการสำนักงานเกรดเอ ที่มีสถานี BTS ทองหล่อเชื่อมตรงเข้าตัวอาคาร ยิ่งทำให้ T-ONE  เต็มไปด้วยศักยภาพที่จะประสบความสำเร็จแห่งหนึ่งในประเทศไทย” คุณทัตยากรณ์ เบญจภัทรเศรษฐ์ ผู้อำนวยการแผนกอาคารและสำนักงาน JLL ให้ข้อมูลถึงกลุ่มเป้าหมายและพฤติกรรมผู้เช่าที่เปลี่ยนไปว่า จากผลสำรวจปี 2017-2018  พฤติกรรมผู้เช่าปัจจุบันไม่ได้มองเฉพาะอาคารที่ตอบสนองในแง่ของการใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ, ปัจจุบันภาพลักษณ์ของทำเลส่งผลต่อการตัดสินใจ ผู้ประกอบการ Gen Y ยุคใหม่กล้าจะแตกต่าง ซึ่งให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ของอาคารทั้งภายนอกและภายในที่ทันสมัย สะท้อนถึงภาพลักษณ์ธุรกิจของตัวผู้เช่า การเข้าถึงของ BTS คืออีกปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน  ทั้งนี้ยังรวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ในตัวตึก เช่น Co-Working space ที่ไม่จำเป็นต้องนั่งทำงานอยู่แค่ในพื้นที่เช่าของตัวเอง, ร้านอาหารในอาคาร หรือย่านที่ทางผู้เช่าสามารถที่จะไปสังสรรค์หลังเลิกงานได้ทันที ทองหล่อเป็นทำเลที่มีศักยภาพทั้งภาพของธุรกิจและไลฟ์สไตล์  อาคารสำนักงานในย่านนี้จะประกอบไปด้วยบริษัทระดับประเทศและระดับโลกจนแทบไม่มีซัพพลายเหลือ ทำให้พื้นที่สำนักงานบริเวณทองหล่อเป็นที่ต้องการสูงมาก โครงการ T-ONE  ตอบโจทย์ทุกความต้องการขณะนี้  จึงน่าจะเป็นอาคารสำนักงานที่เป็นที่ต้องการของกลุ่มธุรกิจรุ่นใหม่อย่างแน่นอน ขณะนี้มียอดจองแล้วกว่า 40%  กับดีลพิเศษ ตรม.ละ 950 บาท  กำหนดเปิดอาคารภายในไตรมาส 3 พศ. 2561 โครงการ T-ONE  เพียบพร้อมด้วยระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ทันสมัย ระบบรักษาความปลอดภัยประสิทธิภาพสูง  มีลิฟท์โดยสารความเร็วสูง 8 ตัว และลิฟท์ขนของ 1 ตัว เข้าออกได้ 2 ทาง สุขุมวิท พระราม 4  ออกแบบโดย บจก. ปาล์มเมอร์ แอนด์ เทอร์เนอร์ (ประเทศไทย)  (Palmer and Turner Thailand Limited)  อาคารทรงแปลกสะดุดตาของ T-ONE  คว้า 2 รางวัลการออกแบบชั้นแนวหน้า BCI Top10 Architects 2017 Thailand  และ Asia Pacific Property Awards Architecture ดำเนินการโดย บ.โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ตัวแทนปล่อยเช่าแต่เพียงผู้เดียว
เอ็นริช ทุ่ม 1,500 ล้านบาท ผุดโครงการคอนโดมิเนียม-โรงแรม ใจกลางเมืองหัวหิน ภายใต้แบรนด์ “ดุสิตดีทู”

เอ็นริช ทุ่ม 1,500 ล้านบาท ผุดโครงการคอนโดมิเนียม-โรงแรม ใจกลางเมืองหัวหิน ภายใต้แบรนด์ “ดุสิตดีทู”

กลุ่มบริษัทเอ็นริช ผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ เดินหน้าขยายการลงทุน ปักธงใจกลางเมืองหัวหิน ผุด 2 โครงการพร้อมกันทั้ง คอนโดมิเนียม-โรงแรม ในชื่อ “โรงแรมดุสิตดีทู หัวหิน” และ “โครงการดุสิตดีทู เรสซิเดนเซส หัวหิน” มูลค่าการลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท พร้อมจับมือดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล บริหารจัดการส่วนโรงแรม และตั้ง พลัส พร็อพเพอร์ตี้เป็นตัวแทนขายคอนโดมิเนียม ตั้งเป้าเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักลงทุน โครงการดุสิตดีทู หัวหิน เน้นกลุ่มเป้าหมายประเภทกลุ่มครอบครัวและกลุ่มนักท่องเที่ยวยุคใหม่ ที่มองหาสถานที่พักผ่อนเพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา พร้อมด้วยความสะดวกสบายในการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว โดยทำเลที่ตั้งของดุสิตดีทู หัวหิน ถือเป็นทำเลทองกลางใจเมืองหัวหิน โดยตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์การค้าบลูพอร์ตเพียง 400 เมตร แหล่งช้อปปิ้งชื่อดัง ที่มีทั้งร้านอาหารและโรงภาพยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของหัวหิน และตลาดซิคาด้า แหล่งรวมสินค้าสุดฮิปมีสไตล์ โดยตั้งเป้าแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการภายในไตรมาสแรกของปี 2563 ทั้งนี้ โครงการแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนโรงแรมในชื่อ โรงแรมดุสิตดีทู หัวหิน เป็นอาคารขนาดความสูง 7 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่ มูลค่าโครงการ 620 ล้านบาท ประกอบด้วยห้องพักจำนวน 150 ห้อง พร้อมด้วยสิ่ง อำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ห้องอาหารที่เปิดให้บริการตลอดทั้งวัน ฟิตเนส สระว่ายน้ำ รูฟท็อปบาร์ โดยเน้นดีไซน์แบบโมเดิร์น ภายใต้คอนเซปต์ Timeless Design และส่วนที่สองคือที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมีเนียมในชื่อ ดุสิตดีทู เรสซิเดนเซส หัวหิน เป็นคอนโด Low-Rise สูง 8 ชั้น 2 อาคาร ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3.5 ไร่ มูลค่าโครงการ 820 ล้านบาท โดยบริหารโครงการโดย พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ประกอบด้วยห้องพักพร้อมเฟอร์นิเจอร์จำนวน 364 ยูนิต โดยห้องพักจะมีขนาดตั้งแต่ 26 ถึง 41 ตร.ม. โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ Exclusive sunken pool and Garden, Grand panoramic lobby โดยกำหนดราคาพรีเซลเริ่มต้นไว้ที่ยูนิตละ 1.9 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 7.7 หมื่นบาทต่อตารางเมตร นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นหนึ่งที่น่าใจและเป็นอีกหนึ่งจุดขาย คือระบบ Mobile Key Access ซึ่งเป็นระบบการ เข้า-ออก ประตูผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือเพื่อความสะดวกสบายของผู้อยู่อาศัย ที่สำคัญเจ้าของห้องสามารถกำหนดช่วงเวลาให้ใครเข้าออกห้องของตัวเองได้ด้วย ซึ่งระบบแบบนี้เหมาะกับรีสอร์ทคอนโด และการปล่อยเช่าเป็นอย่างมาก นางสาวสุพิชา พงศ์ศีลธน ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธุรกิจ กลุ่มบริษัทเอ็นริช เปิดเผยว่า “จากความสำเร็จของการสร้างสรรค์โครงการบ้านหรูระดับไฮเอนด์หลายโครงการในกรุงเทพฯ และแผนการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องของเอ็นริชที่ไม่ได้จำกัดแค่ธุรกิจที่อยู่อาศัย แต่เรายังมองไปถึงธุรกิจโรงแรมและบริการที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของการก้าวเข้ามาพัฒนาโครงการโรงแรมและคอนโดในครั้งนี้ ซึ่งจากจุดเริ่มต้นนี้ได้ นำไปสู่ความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำอย่างดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล และ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์ยาวนานและเป็น   ที่ยอมรับในวงกว้าง จึงทำให้เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าโครงการดุสิตดีทู หัวหิน จะเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน” นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่าว่า “หัวหินเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศ เป็นเป้าหมายการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ (ชาวไทย 70% ต่างชาติ 30%) ปัจจุบันหัวหินอยู่ในแผนที่จะถูกยกระดับสู่การเป็นจังหวัด และภาครัฐก็มีแผนการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างมากมาย นอกจากนี้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ ในหัวหิน คาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จากราคาที่ดินและต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ทะยานสูงขึ้น ในส่วนของโครงการเปิดใหม่คาดว่าราคาจะเร่งขึ้นอีกใน 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ดังที่กล่าวในข้างต้น สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในหัวหินนั้น จากการสำรวจของพลัสฯ เมื่อมิถุนายน 2560 พบว่าตลาดคอนโดมิเนียมเป็นสินค้าหลักมีส่วนแบ่งถึง 84% มีอัตราดูดซับที่ดี สำหรับคอนโดที่นำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ที่ติดชายทะเล เฉลี่ยอยู่ที่ 135,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากตอนเปิดโครงการ 10% ส่วนโครงการที่ไม่ติดชายทะเลราคารีเซลอยู่ที่ 79,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากตอนเปิดโครงการ 19%  ด้านการปล่อยเช่า หากเป็นโครงการใจกลางเมืองที่ติดชายทะเล รูปแบบ 1 ห้องนอน ปล่อยเช่าได้ 35,000 – 45,000 บาทต่อเดือน รูปแบบ 2 ห้องนอน 55,000 – 70,000 บาทต่อเดือน ส่วนโครงการที่ไม่ติดทะเล รูปแบบ 1 ห้องนอน ปล่อยเช่าได้ 15,000 – 20,000 บาทต่อเดือน รูปแบบ 2 ห้องนอน 30,000 – 50,000 ต่อเดือน ทั้งนี้ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ได้รับการไว้วางใจให้บริหารโครงการดุสิตดีทู เรสซิเดนเซส หัวหิน ตั้งแต่การวางแผนการตลาด บริหารงานขาย รวมถึงให้บริการหลังการขาย และปล่อยเช่า ซึ่งโครงการดุสิตดีทู เรสซิเดนเซส หัวหิน เป็นโครงการที่มีจุดแข็งที่น่าสนใจหลายด้าน เป็นโครงการใหม่ที่อยู่ใจกลางหัวหิน ด้วยการออกแบบที่มีความแตกต่างและทันสมัย ใกล้แหล่งชอปปิ้งชั้นนำ และอยู่ไม่ไกลจากชายหาดที่สวยที่สุดของหัวหิน นอกจากนี้ยังตั้งอยู่ในพื้นที่ติดกับโรงแรมดุสิตดีทู หัวหิน ซึ่งเจ้าของห้องชุดจะได้รับบริการสุดพิเศษจากการบริหารของโรงแรมดุสิตอย่างเต็มรูปแบบจึงมั่นใจได้ว่าดุสิตดีทู เรสซิเดนเซส หัวหิน จะได้รับการตอบรับที่ดีอย่างแน่นอน” นางสาวสุพิชา กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากการเปิดตัวโครงการแล้ว ทางเอ็นริชยังเล็งเห็นถึงความสำคัญในการเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นด้วย ซึ่งด้านหน้าโครงการจะมีอาคารพาณิชย์เดิมตั้งอยู่ จึงมีแผนร่วมกับคนในพื้นที่พัฒนาเป็นคอมมูนิตี้มอลล์เล็กๆ มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ช้อปเฮ้าส์ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ที่พักอาศัยในคอนโดมิเนียมด้วย และเป็นการสร้างสถานที่ เพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้คนในหัวหินด้วย ผู้สนใจสามารถร่วมกิจกรรม VIP Pre Sale ของโครงการ ดุสิตดีทู เรสซิเดสเซส หัวหิน ที่จะมีขึ้นในวันที่  26 พฤศจิกายนนี้ ณ​ ห้องศาลาแดง โรงแรม ดุสิตธานี กรุงเทพฯ โดยในงาน จะพบสิทธิพิเศษมากมาย ทั้งโอกาสในการร่วมทริปสุดพิเศษที่มัลดีฟส์ รวมไปถึงสิทธิจับจองห้องราคาพิเศษ 1.59 ล้านบาท หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 086 966 8888
แสนสิริเปิดแบรนด์ใหม่แนวราบ “อณาสิริ” เจาะตลาด 1-3 ล้านบาท ครั้งแรก Low Rise มิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว- บ้านแฝด-ทาวน์เฮาส์ ปักธงทำเลใหม่อยุธยา โครงการแรก “อณาสิริ อยุธยา” มูลค่า 1,000 ลบ. ราคา 1.89 – 5 ล้าน พร้อมพรีเซลส์ 25-26 พ.ย.นี้

แสนสิริเปิดแบรนด์ใหม่แนวราบ “อณาสิริ” เจาะตลาด 1-3 ล้านบาท ครั้งแรก Low Rise มิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว- บ้านแฝด-ทาวน์เฮาส์ ปักธงทำเลใหม่อยุธยา โครงการแรก “อณาสิริ อยุธยา” มูลค่า 1,000 ลบ. ราคา 1.89 – 5 ล้าน พร้อมพรีเซลส์ 25-26 พ.ย.นี้

แสนสิริขยายแบรนด์แนวราบ ผุดแบรนด์ “อณาสิริ” เจาะกลุ่มลูกค้าตลาดระดับราคา 1-3 ล้านบาท ครั้งแรกในการพัฒนา Low rise แบบมิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ในโครงการเดียว ตอบรับครบทุกความต้องการ หวังครองตลาดแนวราบอยู่หมัด ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ เปิดตัวโครงการแรก ปักธงทำเลใหม่อยุธยา ในชื่อ “อณาสิริ อยุธยา” จำนวน 318 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ชูจุดเด่นดีไซน์สไตล์ Minimal Loft สมัยใหม่ รวมสไตล์แห่งยุคกับเสน่ห์แห่งเมือง ตอบโจทย์ลงตัวในทุกการอยู่อาศัย ราคา 1.89 – 5 ล้าน พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการ 25-26 พ.ย.นี้ ชี้อยุธยาทำเลที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ย่านนิคมอุตสาหกรรมใหญ่ เผยดีมานด์แรงมีทั้งคนในท้องถิ่น หน่วยงานราชการ และแรงงานชาวไทยและชาวต่างชาติ ระบุตลาดทาวน์เฮาส์ฮอต อยู่โซนนิคมอุตสาหกรรม ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราการดูดซับโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ และบ้านเดี่ยว ทำเลฮอตคือโซนอยุธยา-บ้านแพรก ราคา 3.00-4.99 ล้านบาท อัตราตอบรับดีเฉลี่ย 3 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ขณะที่ราคาที่ดินโซนนิคมอุตสาหกรรมแพงสุด 20,000-50,000 บาท / ตร.ว. ด้านยอดขายแนวราบไปได้สวย 10 เดือน ปิดยอดขายได้ 11,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากรอบ 10 เดือนของปีก่อนถึงเกือบ 30% และก้าวสู่ 75% จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท มั่นใจยอดขายแนวราบปีนี้เป็นไปตามเป้าแน่นอน คุณวิลาสิณี เดชอมรธัญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริเปิดแบรนด์แนวราบ ภายใต้ชื่อ “อณาสิริ” เจาะกลุ่มลูกค้าระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกในการพัฒนาโครงการ Low Rise แบบมิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ในโครงการเดียวกันตอบรับทุกความต้องการ ครอบคลุมตลาดโครงการแนวราบในทุกเซกเมนต์ โดยแบรนด์อณาสิริ มีคอนเซ็ปต์ว่า “LIVABLE LIVES” บ้าน   อณาสิริ ความรู้สึกที่เติมเต็ม มาจากคำว่า “อณา + แสนสิริ” บ้านที่รวมสังคมดีๆ เอาไว้ด้วยกัน เตรียมเปิดตัวโครงการแรก ในจังหวัดอยุธยาที่เป็นทำเลที่แสนสิริไม่เคยเข้าไปพัฒนาโครงการมาก่อน ในชื่อ “อณาสิริ อยุธยา” จำนวนทั้งหมด 318 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ชูจุดเด่นออกแบบสไตล์ Minimal Loft สมัยใหม่ รวมสไตล์แห่งยุคกับเสน่ห์แห่งเมือง สอดแทรกด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นในวิถีการอยู่อาศัยและการสร้างบ้าน เช่น การใช้สีอิฐ (สีส้ม) ที่รอให้มาค้นหาความสุขใหม่ในเมืองเดิม กับสังคมที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ลงตัวในทุกการอยู่อาศัย เติมเต็มความสมบูรณ์ในการใช้ชีวิต เสนอขายราคา 1.89 – 5 ล้านบาท พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการวันเสาร์-อาทิตย์ที่  25-26 พฤศจิกายนนี้ “แสนสิริเปิดตัวแบรนด์ใหม่ อณาสิริ บนทำเลอยุธยาครั้งแรก เพราะเราศึกษาและพบว่าทำเลนี้มีศักภาพสูง โดยอยุธยาเป็นศูนย์กลางการเดินทางไปยังภาคเหนือและภาคอีสาน เปรียบดั่งบ้านหลังที่ 2 ของคนกรุงเทพฯ และเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำให้มีผู้คนย้ายเข้ามาในพื้นที่เป็นจำนวนมากและมีความต้องการที่อยู่อาศัย ซึ่งกลุ่มดีมานด์หลักคือกลุ่มคนในท้องถิ่น หน่วยงานราชการ รวมไปถึงแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ย้ายมาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัยเอง และปล่อยเช่า ทั้งนี้สำหรับซัพพลายในทำเลอยุธยา ส่วนใหญ่เน้นเปิดโครงการทาวน์เฮาส์ โดยมีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 3,072 ยูนิต คิดเป็น 55% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด รองลงมาคือบ้านเดี่ยว มีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 2,249 ยูนิต คิดเป็น 40% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด และ คอนโดมิเนียม มีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 294 ยูนิต คิดเป็นส่วนแบ่ง 5% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด ขณะที่ดีมานด์ที่นิยมที่สุดคือ ทาวน์เฮาส์ ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยโซนนิคมอุตสาหกรรมได้รับความนิยมสูงสุด อัตราการดูดซับโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ขณะที่บ้านเดี่ยว ราคาที่ได้รับความนิยมคือ 3.00-4.99 ล้านบาท ในโซนอยุธยา-บ้านแพรก อัตราตอบรับดีเฉลี่ย 3 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ส่วนราคาที่ดินของอยุธยา โซนที่ราคาสูงที่สุดอยู่ที่ โซนนิคมอุตสาหกรรม ถนนโรจนะ ถนนพหลโยธินใน     อ.บางปะอิน ซึ่ง เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรม อยู่ที่ประมาณ 20,000-50,000 บาทต่อตารางวา รองลงมาคือ โซนอยุธยา-บ้านแพรก ถนนอู่ทอง ถนนนเรศวร อยู่ที่ 30,000 - 40,000 บาทต่อตารางวา และโซนลาดบัวหลวง-ผักไห่ ถนน ศรีเสนา ราคาประเมิน อยู่ที่ 15,000-25,000 บาทต่อตารางวา ทั้งนี้มองว่าทำเลอยุธยามีแนวโน้มในการเติบโตที่ดี รายล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยว ประกอบด้วยวัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดใหญ่ชัยมงคล โรงแรมและคาเฟ่ต่างๆมากมาย จึงทำให้วันหยุดมีคนเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทั้งคนที่อยู่กรุงเทพฯ เนื่องจากใกล้กรุงเทพฯ มากเดินทางเพียง 1 ชั่วโมงเศษ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยว ซึ่งมองว่าอยุธยาในอนาคตจะเติบโตขึ้นและเป็นทำเลที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ที่น่าจับตามองอีกทำเลหนึ่ง” คุณวิลาสิณี กล่าว คุณวิลาสิณี กล่าวต่อว่า “สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยโครงการแนวราบมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และมีดีมานด์จริงที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยที่สูง ส่งผลให้ปีนี้ยอดขายแนวราบของแสนสิริเป็นไปได้สวย ปัจจุบันแสนสิริมียอดขายโครงการแนวราบ 10 เดือน ปิดยอดขายได้ 11,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากรอบ 10 เดือนของปีก่อนถึงเกือบ 30% โดยที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วยอดขาย 10 เดือนอยู่ที่ 8,485 ล้านบาท และก้าวสู่ 75% จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่ายอดขายแนวราบของปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน” สำหรับโครงการใหม่ อณาสิริ อยุธยา ตั้งอยู่บนพื้นที่ 40 ไร่ บนทำเลคุณภาพ เดินทางง่าย ใกล้ถนนใหญ่ หมู่ 5 ต.เกาะเรียน อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา มูลค่าโครงการ ประมาณ 1,000 ล้านบาท ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ อาณาจักรชีวิตที่ลงตัว พร้อมเติมเต็มความสมบูรณ์แบบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ส่วนกลางที่ครบครัน สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ช.ม. มีจำนวนทั้งสิ้น 318 ยูนิต ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว จำนวน 74 ยูนิต ราคา 3.99-5 ล้านบาท บ้านแฝด จำนวน 102 ยูนิต ราคา 2.99-3.5 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ จำนวน 142 ยูนิต ราคา 1.89-2.3 ล้าน สำหรับขนาดพื้นที่ใช้สอย ทาวน์เฮาส์ พื้นที่ใช้สอย 93 ตร.ม. ที่ดินเริ่มต้น 16.2 ตร.ว. ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ห้องรับแขก ห้องอเนกประสงค์ 1 ที่จอดรถ บ้านแฝด พื้นที่ใช้สอย 134 ตร.ม. ที่ดินเริ่มต้น 35.6 ตร.ว. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ  ห้องอเนกประสงค์ ห้องรับแขก  2 ที่จอดรถ และบ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอย 127 ตร.ม. ที่ดินเริ่มต้น 50.6 ตร.ว. ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก ครัวไทย 2 ที่จอดรถ เตรียมเปิดขายอย่างเป็นทางการวันที่ 25-26 พฤศจิกายนนี้ โดยจัดโปรโมชั่น ราคาดีที่สุด พร้อมเลือกทำเลสวยหน้าโครงการ
เจ.เอส.พี.ทะยานสู่ท็อป 10 แบรนด์อสังหาฯ ไทย หลังกวาดรายได้ปี 60 โต 60% พร้อมเตรียมลุยตลาดบ้านเดี่ยว บ้านแฝดไม่เกิน 5 ล้านบาท ปีหน้า

เจ.เอส.พี.ทะยานสู่ท็อป 10 แบรนด์อสังหาฯ ไทย หลังกวาดรายได้ปี 60 โต 60% พร้อมเตรียมลุยตลาดบ้านเดี่ยว บ้านแฝดไม่เกิน 5 ล้านบาท ปีหน้า

20 พฤศจิกายน 2560 – เจ.เอส.พี. สานต่อความสำเร็จ หลังรีแบรนด์ เพิ่ม J Touch Point ปรับสไตล์การออกแบบ เดินหน้าเปิดโครงการต่อเนื่องมาตลอดทั้งปี ทำยอดขายโตทะลุเป้า 60% ก้าวติดท็อป 10 แบรนด์อสังหาฯ ที่ทำรายได้สูงสุดของประเทศในปี 2560 พร้อมประกาศวิสัยทัศน์ และกลยุทธ์ทางธุรกิจต่อเนื่องปี 2561 นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมของบริษัทฯ ในปี 2016 - 2017 ที่ผ่านมาบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในเรื่องเรเวนิว โกรท และมาร์เก็ตแชร์(revenue growth and market share) เนื่องจากได้มีการรีแบรนด์ใหม่ทำ J Touch Point และปรับโฟกัสสินค้าเน้นเปิดแนวราบ ในกลุ่มราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทเป็นพอร์ตรายได้หลัก และปรับสไตล์การออกแบบ เพิ่มนวัตกรรม J ID บ้านอัจฉริยะ โดยสองปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายเปิดโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดไปแล้วกว่า 20 โครงการ ทำให้ยอดขายโตขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะในปีนี้ที่บริษัทฯ สามารถทำยอดรายได้สูงขึ้นถึง 60% ทำให้สามารถเบียดแทรกขึ้นไปอยู่บนชาร์ตท็อป 10 ของแบรนด์อสังหาฯ ระดับคุณภาพที่มีรายได้สูงสุด และทำให้เป็นที่รู้จักอันดับต้นๆ ของประเทศในตอนนี้ โดยกลุ่มโปรดักส์ที่ทำให้เจ.เอส.พี.ได้รับการจัดอันดับ และสามารถก้าวขึ้นมาอยู่บนท็อป 10 อสังหาฯ ของประเทศ ได้แก่โครงการกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ แบ่งเป็น 2 เซ็กเม้นต์ 2 - 2.5 ล้านบาท มูลค่ารวมโครงการ 4,526 ล้านบาท ซึ่งกวาดรายได้ 2,869  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% เมื่อเทียบจากปี 2559 และเซ็กเม้นต์ 3 - 5 ล้านบาท โครงการเจ แกรนด์ สาทร - กัลปพฤกษ์ มีมูลค่าโครงการรวม 610 ล้านบาท ซึ่งกวาดรายได้ 595 ล้านบาท และเป็นโครงการเพิ่งเปิดใหม่ไปเมื่อต้นปี “สำหรับในครึ่งปีแรกของปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้เข้ามาแล้วกว่า 2,120 ล้านบาท และปัจจุบันบริษัทฯ มี (Backlog) ยอดรอโอนเพื่อรอรับรู้รายได้อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงโค้งท้ายปี บริษัทฯ พยามเร่งโอนกรรมสิทธิ์ โดยเน้นการทำการตลาดหนักขึ้นเพื่อให้ได้ตามแผน แม้ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจะมีการชะลอตัวเล็กน้อย แต่ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมนี้ทั้งยอดขายและยอดโอนคาดว่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทำให้รายได้ประมาณการรวมของปี 2560 ยังคงเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 4,500 - 5,000 ล้านบาท”นายไพโรจน์ กล่าว นายไพโรจน์ กล่าวถึงวิสัยทัศน์ และแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2561 ว่า เพื่อการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ได้กำหนดวิสัยทัศน์สำหรับปี 2561 คือเจ.เอส.พี.จะ Net Profit Growth หรือเป็นปีแห่งการสร้างการเติบโตของกำไรสุทธิให้ เติบโตอย่างมั่นคง เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้น และนักลงทุน โดยบริษัทฯ จะมีการใช้กลยุทธ์ ประกอบด้วยกัน 4 มิติได้แก่ มิติด้านการเงิน บริษัทฯ มีการปรับโครงสร้างทางการเงินโดยมีการดำเนินงานใน 3 ขั้นตอน คือ 1.1) การเปลี่ยนแหล่งเงินกู้จากระยะสั้นให้เป็นระยะยาวมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเจ.เอส.พี.ได้ทำการชำระหนี้ จำนวน 2,500 ล้านบาท จากหุ้นกู้จำนวน 1,100 ล้านบาท และตั๋วแลกเงินระยะสั้น Bill of Exchange (B/E) จำนวน 1,400 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงทำให้เป็นที่ยอมรับ และได้ความไว้วางใจจากทางธนาคารชั้นนำต่างๆ อีกทั้งยังมีแหล่งเงินทุนสถาบันต่างๆ เข้ามายื่นข้อเสนอในเรื่องการปล่อยกู้เพิ่มมากขึ้น 1.2) บริษัทฯ มีแผนการจัดหาต้นทุนทางการเงินให้ต่ำลง 1.3) มีการขายทรัพย์สินบางส่วนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ไปพร้อมๆ กัน มิติด้านการบริหารงาน โดยมีการดำเนินงานใน 4 ขั้นตอน ได้แก่ 2.1 )บริษัทฯ ทำการปรับเพิ่มราคาสินค้าขั้นต้นขึ้นอีก 5 - 10% 2.2 ) ลดต้นทุนการขาย โดยเน้นทำการตลาดแบบออนไลน์เป็นหลัก เนื่องจากในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้จากออนไลน์ถึง 50% พร้อมกับปรับด้านการบริหารให้มีการจัดไซท์งานให้กระชับพื้นที่มากขึ้น 2.3 ) ทำการปรับการสร้างสต็อกสินค้าให้สมดุลกับยอดการขายในแต่ละเดือน 2.4 ) ขณะเดียวกันปีหน้า บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้ของ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการเจ คอนโด สาทร-กัลปพฤกษ์ ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,890 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 10 ไร่ จำนวน 1,039 ยูนิต จะม๊ยอดรายได้รับรู้ที่ 520 ล้านบาท และโครงการเจ คอนโด พระราม 2 ราคาเริ่มต้น 1.65 ล้านบาท มูลค่า โครงการ 270 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 1-1-29 ไร่ จำนวน 158 ยูนิต จะมียอดรายได้รับรู้ที่ 210 ล้านบาท นอกจากนี้ทางเจ.เอส.พี.ยังเพิ่มยุทธศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจ คือ มิติด้านการพัฒนาสินค้า โดยปีหน้าบริษัทฯ จะมีการปรับโฉมโปรดักส์ และการให้บริการใน 3 ด้าน คือ 3.1 ) New product & New market จับกลุ่มเซ็กเม้นต์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อเพิ่มจีพี (GP) ให้สะท้อน Net Profit Growth กำไรสุทธิมากขึ้น โดยหันมารุกเปิดโครงการแนวราบบ้านเดี่ยว บ้านแฝด กลุ่มราคา 3 - 5 ล้านบาทในสัดส่วน 40 - 60% 3.2 ) มีการปรับนวัตกรรมใหม่ในด้านดีไซน์เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าโดยสัมผัสได้จริง เช่น พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่แบบ (Extra bonus) 3.3 ) เน้นการบริการหลังการขายแบบมืออาชีพ โดยตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง โดยปี 2561 บริษัทฯ จะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ J  Villa Exclusive วงแหวน - บางใหญ่ ราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 590 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 27 ไร่ จำนวน 122 ยูนิต ตามด้วยโครงการ J Villa บางปะกง - บ้านโพธิ์ ราคาเริ่มต้น 3.5 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 305 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 26 ไร่ จำนวน 95     ยูนิต และโครงการบ้านเดี่ยว บางเสร่ - ชลบุรี ราคาเริ่มต้น 4.4 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 57 ไร่ จำนวน 249 ยูนิตและโครงการบ้านแฝด จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ J City วงแหวน - บางใหญ่ ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 3 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 580 ล้านบาท เนื้อที่กว่า 35 ไร่ จำนวน 98 ยูนิต ต่อด้วยโครงการ J Villa รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง ราคาเริ่มต้น 4.1 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เนื้อที่กว่า 29 ไร่จำนวน 189 ยูนิต และโครงการ The Theorist ราคาเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท เนื้อที่กว่า 9.5 ไร่ จำนวน 46 ยูนิต ซึ่งทำให้ในปีหน้าบริษัทฯ จะมีโครงการที่เปิดขายพร้อมกับทำการตลาดทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 30 โครงการ ขณะเดียวกันยุทธศาสตร์ในด้านที่ 4.) มิติด้านการลงทุน โปรเจ็กต์ใหม่ โดยเจ.เอส.พี.ยังคงยึดหัวหาดบุกทำเลฝั่งกรุงเทพตะวันออก (Eastern Bangkok) เนื่องจากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาฯ ในฝั่งกรุงเทพตะวันออก โดยได้ซื้อที่ดินเพื่อขยายโครงการเพิ่มที่กิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้ความสนใจในการพัฒนาอสังหาฯ รวมทั้งการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ (EEC) จึงได้มีการวางงบลงทุนเข้าซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการจำนวน 1,500 ล้านบาท โดยได้ซื้อที่ดินใน อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา และจ.ชลบุรีเพิ่มเข้ามา ซึ่งจากการสำรวจพบว่า จังหวัดชลบุรีเป็นจังหวัดที่มีรายได้ประชากรสูงเป็นอันดับ 2 ในขณะที่จังหวัดฉะเชิงเทรามีรายได้ประชากรสูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศ อีกทั้งรัฐบาลไทยยังมีการผลักดันให้ภาคตะวันออกเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งมีการเปิดให้ลงทุน และมีการเข้ามาอยู่อาศัยของชาวต่างชาติมากขึ้น รวมทั้งยังเป็นพื้นที่แหล่งงาน แหล่งที่อยู่อาศัย และแหล่งท่องเที่ยว จึงทำให้มีการกระจุกตัวของประชากรสูง ทางบริษัทฯ จึงมีความมั่นใจในการเข้าไปลงทุนยังพื้นที่ทำเลดังกล่าว สำหรับโปรเจ็กต์ส่งท้ายปี2560 ที่ล่าสุดเจ.เอส.พี.ได้ทำการเปิดเพิ่มไปในไตรมาส 3/2560 และประสบความสำเร็จ ได้แก่ โครงการเจ วิลล่า วงแหวน-บางใหญ่ “มหานครปารีสแห่งบางใหญ่” มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,208ล้านบาท ที่ตอนนี้ทำยอดขายได้แล้วกว่า 342 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการชิมลางของเจ.เอส.พี.ในการเข้ามาเล่นตลาดบ้านเดี่ยว บ้านแฝดอย่างถูกทาง และโครงการอาคารพาณิชย์ โครงการ เจ อเวนิว รัตนาธิเบศร์ บางบัวทอง มูลค่าโครงการกว่า 300 ล้านบาท ปัจจุบันสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 120 ล้านบาท รวมถึงการบุกตลาด ทาวน์โฮม ต่างจังหวัดอย่าง โครงการ เจ ซิตี้ ศรีราชา - อัสสัมชัญ ที่มีมูลค่าโครงการกว่า 710 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันก็สามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 507 ล้านบาท ไปอย่างสวยงาม อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ตั้งเป้ารับรู้รายได้ในอนาคตปี 2561 ไว้ที่ 5,200 ล้านบาท โตเพิ่มขึ้นอีก 15% และปักธงเน้นพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ระดับพรีเมี่ยมให้ติดท็อป 10 แบรนด์อสังหาฯ ในกลุ่มราคา 3 - 5 ล้านบาทให้ได้ภายในปีหน้านี้ ส่วนโปรดักส์ทาวน์เฮาส์หวังขยับขึ้นมาติดท็อป 5  ในตลาดต่ำกว่า 5 ล้านบาทให้ได้เช่นกัน นายไพโรจน์ กล่าวสรุป
“แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด” ตึกที่สวยที่สุดด้วยสถาปัตยกรรมสุดล้ำค่า “ไอโคนิค บิลดิ้ง” แห่งใหม่บนทำเลที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ

“แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด” ตึกที่สวยที่สุดด้วยสถาปัตยกรรมสุดล้ำค่า “ไอโคนิค บิลดิ้ง” แห่งใหม่บนทำเลที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ

สร้างปรากฏการณ์ตื่นตาตื่นใจให้แก่วงการ “ซูเปอร์ลักชัวรี่” ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเมืองไทย แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) โครงการมิกซ์ยูสระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ผลงานชิ้นเอกภายใต้การดำเนินงาน บริษัท  แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ซึ่งใช้เม็ดเงินลงทุนรวมมูลค่ากว่า 11,000 ล้านบาท ในการพัฒนาและก่อสร้างโครงการฯ เพื่อให้ทุกรายละเอียดมีความสมบูรณ์ งดงาม ตั้งตระหง่านสูง 60 ชั้น อยู่บนพื้นที่กว่า 6 ไร่ บนทำเลที่ดีที่สุดของกรุงเทพมหานครย่านราชประสงค์-ย่านราชดำริ หนึ่งในพื้นที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน และเป็นแลนด์มาร์คทางวัฒนธรรมอันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ที่ทำให้ย่านนี้มีเสน่ห์สำหรับชาวไทยและชาวต่างประเทศที่มาเยือน อีกทั้งยังเป็นถนนที่มีการคมนาคมที่แสนสะดวกสบาย ง่ายต่อการเดินทางไปยังสถานที่ช้อปปิ้งระดับโลก, โรงแรมชั้นนำ, สถานที่พักผ่อนหย่อนใจต่างๆ จึงถือว่าเป็นถนนที่มีความหลากหลายทางด้านไลฟ์สไตล์แห่งการใช้ชีวิต จิตวิญญาณของผู้คนและธุรกิจการค้าต่างๆ โดย นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้  ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC)  กล่าวว่า “เรามีความภูมิใจและมั่นใจที่จะบอกว่า แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) คือหนึ่งในโครงการมิกซ์ยูสที่มีความสมบูรณ์แบบในเชิงสถาปัตยกรรมขั้นสุดยอดที่จะมาเติมเต็มทัศนียภาพของย่านราชประสงค์-ย่านราชดำริ และที่แห่งนี้จะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่พร้อมสร้างสีสัน และเติมเต็ม ความสมบูรณ์แบบให้คนกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นความภาคภูมิใจให้กับคนไทยในรุ่นนี้และรุ่นต่อๆ ไป” ด้วยความตระหนักถึงคุณค่าและความงดงามของศิลปะ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ได้ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อให้เป็น ไอโคนิค บิลดิ้ง (Iconic building) แห่งใหม่ของฟากฟ้ากรุงเทพมหานคร ด้วยสถาปัตยกรรม ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก “กลีบดอกแมกโนเลีย” หากมองจากมุมสูงลงมา จะเห็นถึงเส้นสายลายโค้งอันอ่อนช้อยที่วนล้อมไล่เรียงตั้งแต่ปลายด้านบนจรดถึงฐานด้านล่าง เสมือนดอกไม้ที่กำลังค่อยๆ เบ่งบาน เพิ่มความยากและมากคุณค่ากับเทคโนโลยีการขั้นสูงสุดในการก่อสร้าง กับรูปทรงโค้งมนของตัวตึก พร้อมตกแต่งส่วนชายคา (Sunshade)  ที่นอกจากจะช่วยป้องกันความร้อน ยังเป็น Façade (ฟาซาด) ประดับตัวอาคาร ที่หากมองไกลๆ จะเหมือนกระจกที่ถูกวางเรียงและจับบิดเป็นเกลียวโอบล้อมตัวตึกอยู่ เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องก็จะเห็นแสงเงาระยิบระยับพาดผ่านภายในโครงการฯ ได้รับการออกแบบและตกแต่งอย่างพิถีพิถันในสไตล์โมเดิร์นคลาสสิก เรียบหรู สง่างาม คัดสรรและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นท็อปแบรนด์ระดับโลก สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์และการใช้งานของผู้พักอาศัยได้อย่างดีเยี่ยม อาทิ ห้องครัว ที่ได้วางแผนออกแบบชุดครัวให้เป็นไปตามหลักสรีระศาสตร์ในรูปแบบมินิมัลลิสต์ ทำให้พื้นที่ใช้สอยต่าง ๆ เกิดประโยชน์สูงสุด, ชุดครัว Bulthaup (บูลล์ธอป) แบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากประเทศเยอรมนี หรือ ห้องน้ำ เลือกใช้เฉพาะเครื่องสุขภัณฑ์ชั้นนำอย่าง ก๊อกน้ำของ Dornbracht, อ่างอาบน้ำ KASCH เป็นต้น พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เลาจน์ คลับระดับ เอ็กซ์คลูซีฟสำหรับผู้พักอาศัย, เอ็กซ์คลูซีฟล็อบบี้ และจุดรับ-ส่งพร้อมบริการจอดรถสำหรับผู้พักอาศัย, ห้องสมุด พร้อมวิวสวนแนวโค้ง, ฟิตเนส, ลู่วิ่งออกกำลังกายริมสวนแนวลาด, สระว่ายน้ำ สระเด็กและส่วนจากุชชี่, ห้องอบไอน้ำและซาวน่า ฯลฯ ที่สำคัญ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ได้พัฒนาโครงการเพื่อรองรับมาตรฐาน LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) จากสหรัฐอเมริกา มาตรฐานด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพลังงานที่เข้มงวดที่สุดของโลก ด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงปัจจัยหลักทั้งในเรื่องแสงแดด ความร้อน อากาศ และการใช้น้ำในโครงการ จึงนำโซลูชั่นต่างๆ มาใช้ยกระดับประสิทธิภาพในเรื่องเหล่านี้ ทั้งการใช้กระจกแบบ IGU และใช้ Sun Shading เพื่อช่วยลดความร้อนในห้อง, ใช้ระบบน้ำทำความเย็นในท่อ ซึ่งจะไม่ปล่อยความร้อนออกมานอกอาคาร นอกจากนี้ยังมีระบบหมุนเวียนเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ต่อ อาทิ รดน้ำต้นไม้ ตลอดจนระบบเติมอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ภายในโครงการเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาวของผู้พักอาศัย แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ประกอบไปด้วยที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ จำนวน 316 ยูนิต บนชั้น 17 - 54 พร้อมกันนี้ยังเป็นที่ตั้งของ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ (Waldorf Astoria Bangkok) สุดยอดแห่งแบรนด์โรงแรมระดับ 6 ดาว ในเครือฮิลตัน ซึ่งมีสาขาอยู่ในเมืองสำคัญทั่วโลก และมาเปิดใน South East Asia เป็นแห่งแรกที่ โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) มีจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 171 ห้อง โดดเด่น หรูหรา ด้วยขนาดห้องใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ พื้นที่เฉลี่ย 50 ตารางเมตรขึ้นไป พร้อมร้านอาหาร เลาน์จ และบาร์ลอยฟ้า สุดหรู และเพื่อสร้างสีสันให้ย่านราชประสงค์คึกคัก แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) พร้อมมอบความสุขและประสบการณ์พิเศษอันตระการตาที่ไม่อาจลบเลือน ด้วยการจัดงาน Beautiful Bangkok by Magnolias @Ratchaprasong การแสดง แสง สี 3 มิติ (3D projection mapping) บนตึกสูง 60 ชั้นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งได้รับเกียรติจากทีมงานฝีมือระดับโลก กลุ่มศิลปิน “ไลม์ไลต์” ที่เคยสร้างผลงานให้ทั่วโลกได้ตื่นตะลึงมาแล้ว มารังสรรค์ผลงานชิ้นเอกนี้ภายใต้แนวคิด “Beautiful Bangkok” เพื่อร่วมฉลองเทศกาลแห่งความสุขในครั้งนี้ โดยกำหนดการแสดงจะมีขึ้นในวันที่ 14 - 31 ธันวาคม 2560 ณ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) สามารถติดตามรอบการจัดแสดงและตารางกิจกรรมต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/MagnoliasRatchadamriBoulevard และ www.magnolias-ratchadamri.com
พลัส พร็อพเพอร์ตี้เผยคอนโดฯ สีลม-สาทร เป้าหมายใหม่นักลงทุน ผลตอบแทนปล่อยเช่าเฉลี่ย 5% ต่อปี

พลัส พร็อพเพอร์ตี้เผยคอนโดฯ สีลม-สาทร เป้าหมายใหม่นักลงทุน ผลตอบแทนปล่อยเช่าเฉลี่ย 5% ต่อปี

บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ย่าน สีลม – สาทร ราคาติดลมบนทั้งราคาที่ดินและคอนโดมิเนียม ล่าสุดพบซื้อขายที่ดินอยู่ที่ 1.45 ล้านบาทต่อตารางวา ขณะที่ราคาคอนโดมิเนียมอยู่ที่ 200,000 – 300,000 บาท ต่อตารางเมตร เหตุเป็นทำเลธุรกิจแวดล้อมด้วยสำนักงานบริษัทชั้นนำ โรงเรียนชื่อดัง โรงพยาบาลและสถานที่ราชการ ดึงดูดทั้งผู้ซื้อเพื่ออยู่เองทั้งชาวไทยและต่างชาติและซื้อลงทุน พบตลาดปล่อยเช่าโดดเด่นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อปี ส่วนราคาขายต่อไปได้สวยย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยขยับเพิ่ม 7% ต่อปี นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากการสำรวจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ สีลม – สาทร พบว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง แม้จะเป็นโซนที่มีที่ดินสำหรับพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างจำกัดแต่อัตราการเติบโตของคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ถือว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก โดยตัวเลขล่าสุดเมื่อครึ่งแรกของปี 2560 มีอุปทานอยู่ที่ 6,786 ยูนิต  ปัจจุบันพบว่าราคาขายโครงการคอนโดมิเนียมในทำเล สีลม – สาทร มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านที่ดินที่มีน้อยและมีราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการสูงขึ้นไปด้วย โดยโครงการใหม่ที่อยู่ใกล้ถนนหลัก หรือใกล้แนวรถไฟฟ้า มีราคาอยู่ในช่วง 200,000  - 300,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งก็ยังได้รับการตอบรับอย่างดี โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีโครงการเปิดขายในพื้นที่นี้เพียง 5 โครงการ พบว่ามียอดขายเฉลี่ยสูงถึง 85% ในช่วงเปิดตัวไม่เกิน 6 เดือน โดยกลุ่มผู้ที่ตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมทำเลนี้มีทั้งคนไทยและต่างชาติ ประกอบด้วย กลุ่มคนทำงาน กลุ่มผู้ปกครองนักเรียนในพื้นที่ กลุ่มคนในพื้นที่ รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อเพื่อลงทุน เนื่องจากทำเล สีลม-สาทร เป็นทำเลที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางธุรกิจอันดับต้นๆของกรุงเทพฯ หนาแน่นไปด้วยอาคารสำนักงานที่ทันสมัยเป็นที่ตั้งของบริษัทขนาดใหญ่ รวมทั้งสถานที่ราชการสำคัญอาทิสถานทูตหลายแห่ง อีกทั้งยังมีโรงเรียนชั้นนำ และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีการคมนาคมที่สะดวกสบาย จึงทำให้คอนโดมิเนียมในย่านนี้ได้รับความสนใจและมีอัตราการตอบรับสูง ในด้านการซื้อเพื่อลงทุน พบว่าตลาดปล่อยเช่าได้รับความสนใจอย่างมากเนื่องจากคอนโดมิเนียมพื้นที่สีลม – สาทร สามารถสร้างผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าได้ในอัตราสูง โดยคอนโดมิเนียมราคาประมาณ 6.5 ล้านบาท สามารถปล่อยเช่าได้ในราคา 30,000 บาทต่อเดือน หากคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่  5% ต่อปี โดยปัจจุบันอัตราค่าเช่าเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในพื้นที่สีลม – สาทรในทำเลใกล้รถไฟฟ้า อยู่ที่ 700 -1,000 บาทต่อตารางเมตร ส่วนการซื้อเพื่อขายต่อนั้น พบว่าราคานำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่ารูปแบบ 1 ห้องนอน ราคารีเซลอยู่ที่ 210,000 บาทต่อตารางเมตร รูปแบบ 2 ห้องนอนอยู่ที่ 200,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากราคาช่วงเปิดตัวประมาณ 7% ต่อปี ซึ่งได้รับอานิสงค์จากราคาที่ดินมีการเติบโตอย่างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งราคาที่ดินปัจจุบันมีการซื้อขายกันอยู่ที่ 1.45 ล้านบาทต่อตารางวา  โดยที่ดินบน ถ.สาทร โดยเฉพาะในทำเลที่ติดถนนหรือใกล้รถไฟฟ้า มีอัตราการเติบโตของราคาที่ดินประเมินนับตั้งแต่ปี 2551 และคาดการณ์จนถึงปี 2562 เติบโตเฉลี่ยสูงถึง 78% ส่วนที่ดินย่านถนนสีลม ขยับขึ้น 53% ฃ“ถึงแม้ย่าน สีลม – สาทรจะเป็นย่านที่มีการคมนาคมสะดวก สามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS และ MRT แต่จากความหนาแน่นของจำนวนผู้ใช้รถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยข้อมูลจาก บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ พบว่า มีผู้ใช้บริการ BTS เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3-10% ดังนั้นคนที่ทำงานในพื้นที่นี้จึงมองหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยเพื่อหลีกหนีความแออัดจากการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า อีกทั้งพื้นที่นี้ยังมีสภาพการจราจรที่แออัดมีรถติดจำนวนมากในชั่วโมงเร่งด่วน ความต้องการอสังหาริมทรัพย์ในย่านนี้เพื่อพักอาศัยมีแนวโน้มสูงขึ้นเพราะไม่เพียงแต่ช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการเดินทางเท่านั้น แต่ยังช่วยลดค่าใช่จ่ายด้านการเดินทางได้อีกด้วย และยังมีแหล่งไลฟสไตล์ต่างๆ ทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารชั้นนำในบริเวณใกล้เคียงที่สามารถเดินทางเข้าถึงง่าย” นายอนุกูล กล่าว
กลุ่มซีคอนปลื้มอานิสงค์ออนไลน์ดันยอดขาย 10 เดือนพุ่งแตะ 1,041 ลบ. เตรียมต่อยอดขยายฐานลูกค้า ปรับโฉมศูนย์บริการ เดินหน้ารุกตลาดทั้ง กทม. และต่างจังหวัด

กลุ่มซีคอนปลื้มอานิสงค์ออนไลน์ดันยอดขาย 10 เดือนพุ่งแตะ 1,041 ลบ. เตรียมต่อยอดขยายฐานลูกค้า ปรับโฉมศูนย์บริการ เดินหน้ารุกตลาดทั้ง กทม. และต่างจังหวัด

นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทซีคอนโฮม ผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้านรายแรกของไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เดินหน้าทำการตลาดภายใต้แนวคิด ‘Seacon Home First Class Experience’ เพื่อมอบประสบการณ์การสร้างบ้านระดับ ‘เฟิร์ส คลาส’ ซึ่งถือเป็นการปรับกลยุทธ์การสื่อสารครั้งใหญ่ของกลุ่มซีคอน โฮม ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับตัวของพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายตั้งแต่ มกราคม – ตุลาคม 2560 ได้รวม 213 หลัง รวมมูลค่า 1,041  ล้านบาท แบ่งเป็น ซีคอน โฮม 46 หลัง มูลค่ารวม 426 ล้านบาท, คอมแพคโฮม 100 หลัง มูลค่ารวม 462 ล้านบาท และบัดเจท โฮม 67 หลัง มูลค่ารวม 153 ล้านบาท ทั้งนี้ ความสำเร็จครั้งสำคัญตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา มาจาก 2 งานยักษ์ระดับประเทศ งานแรกคือ งาน Home Builder Expo & Materials 2017 ที่จัดขึ้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา  บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้สูงกว่าเป้าถึง 30% ภายใน 4 วัน รวม 32 หลัง มูลค่าเกือบ 200 ล้านบาท แบ่งเป็น ซีคอน โฮม 8 หลัง มูลค่ารวม 89 ล้านบาท คอมแพคโฮมและบัดเจทโฮมรวมกันที่ 24 หลัง มูลค่ารวม 106 ล้านบาท และความสำเร็จล่าสุดจากงานบ้านและสวนแฟร์ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ทะลุเป้าหมาย 100 ล้านบาทที่ตั้งไว้ เพราะสามารถทำยอดได้มากถึง 136 ล้านบาท แบ่งเป็น ซีคอน โฮม 5 หลัง มูลค่ารวม 51 ล้านบาท, คอมแพคโฮม 14 หลัง มูลค่ารวม 63 ล้านบาท และบัดเจท โฮม 8 หลัง มูลค่ารวม 22 ล้านบาท โดยบริษัทฯ คาดการณ์ว่าในปี 2560 จะสามารถสร้างยอดขายรวมได้ตามเป้าที่ 1,300 ล้านบาท สำหรับการปรับโฉมศูนย์บริการโฉมใหม่ในครั้งนี้ กลุ่มบริษัทซีคอนโฮม ได้นำร่องการปรับโฉมที่สำนักงานใหญ่สี่พระยาเป็นแห่งแรก เพื่อรองรับลูกค้าทุกกลุ่มไลฟ์สไตล์และช่วงวัย “ศูนย์บริการโฉมใหม่ถูกปรับให้ดูทันสมัย สวยงาม ปรับฟังก์ชั่นพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสมกับการใช้งาน และสามารถเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแต่ละกลุ่มได้อย่างลงตัวยิ่งขึ้น โดยออกแบบในสไตล์ Loft  ผสมผสานกับ Modern Style เพื่อต้อนรับลูกค้า 2 กลุ่ม ที่เป็นเป้าหมายหลักของซีคอน โฮม กลุ่มแรก คือ กลุ่มลูกค้าเดิมที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีความเชื่อมั่นในชื่อเสียงที่ดีของบริษัทฯ ต้องการบ้านที่ดูดี ภูมิฐาน เหมาะสมฐานะ ส่วนอีกกลุ่มคือกลุ่ม Gen Y ซึ่งชื่นชอบความทันสมัย โฉบเฉี่ยว ซึ่งโฉมใหม่ของสำนักงานขายที่ศูนย์สี่พระยา จะมีมุมต้อนรับลูกค้าทั้ง 2 สไตล์ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงความสะดวกสบายเมื่อมาติดต่อกับเรา และเราก็วางแผนที่จะทยอยปรับปรุงให้ครบทุกศูนย์ทั้งใน กทม. และต่างจังหวัด ภายในต้นปี 2562” นางสาวศุภิชชา อธิบายถึงรูปแบบการปรับโฉม ด้านกลยุทธ์การรุกตลาดในอนาคตของกลุ่มบริษัทซีคอนโฮมและมุมมองต่อภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านนั้น นางสาวศุภิชชา กล่าวแสดงมุมมองต่อประเด็นดังกล่าวว่า “ในปี 2560 กำลังซื้อเริ่มกลับมาอย่างชัดเจนพิจารณาจากยอดขายที่ได้จากบ้านหลังใหญ่เพิ่มขึ้นมาจากปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก อีกส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีที่ดินจึงตัดสินใจสร้างบ้านเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้หากวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมผู้บริโภคจะพบว่า ผู้บริโภคมีความรู้เกี่ยวกับการสร้างบ้าน การเลือกใช้วัสดุ กรรมวิธีการก่อสร้างมากขึ้น สรรหาสิ่งที่ตรงกับความต้องการของตัวเองมากที่สุด จากการเปรียบเทียบหลายๆ บริษัทฯ ก่อนที่ตัดสินใจเลือกบริษัทรับสร้างบ้าน ด้านราคาวัสดุในปี 2560 จากสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า  เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือน (ม.ค. – ก.ย.) ในปีที่   ผ่านมา พบว่า มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยรวมเฉลี่ยที่ 1.4% โดยหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ราคาสูงขึ้นถึงร้อยละ 8.2  หมวดไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ สูงขึ้นร้อยละ 3.3  หมวดผลิตภัณฑ์คอนกรีต สูงขึ้นร้อยละ 0.3  นั่นทำให้ซีคอน โฮม เราต้องมีการปรับราคาบ้านซีคอนโฮมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากต้นทุนการสร้างบ้านเพิ่มสูงขึ้น ส่วนเรื่องนวัตกรรมการพัฒนาวัสดุ ฝ่ายออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ  ได้ทำการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุที่ออกมาใหม่ๆ ตลอดเวลา ทั้งนี้ เพื่อสรรหาวัสดุที่เหมาะสมนำมาใช้กับบ้านซีคอน โฮม อาทิ การพัฒนาแบบบ้านแทนคุณ บ้านที่ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุ  โดยเลือกผลิตภัณฑ์ Elder Care Solution ของทาง SCG  ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาเพื่อผู้สูงอายุเท่านั้น  หรือเทคโนโลยี Active Airflow ของทาง SCG  ที่เรานำเข้ามาใช้กับบ้านซีคอน เพื่อให้บ้านเรากลายเป็นบ้านเย็น สามารถประหยัดพลังงาน ลดการใช้แอร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเทคโนโลยีใหม่ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเราพิจารณาแล้วว่าดี จึงนำมาปรับใช้ และเป็น option ให้ลูกค้าเลือกเพิ่มเติมเข้าไปในบ้าน  ซึ่งการออกแบบบ้านของเราก็ดูที่ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก  และใช้เทรนด์ของแบบบ้านที่ได้รับความนิยมในช่วงนั้นๆ มาประกอบ ด้านการแข่งขันของธุรกิจรับสร้างบ้านในปี 2561 นั้น คาดว่าจะมีการแข่งขันเพิ่มขึ้นแน่นอน โดยการแข่งขันจะเน้นไปที่การให้บริการหลังการขาย การบริการที่ครบวงจร การเสนอขายแบบบ้านผ่านเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นหลัก” “ในช่วง 45 วันสุดท้ายก่อนปิดฉากปี 2560 กลุ่มซีคอนโฮมจะจัดงานใหญ่ บิ๊กโปรโมชั่นปลายปี SMART HOME SMART DESIGN by SEACONhome ส่งท้ายปี เพื่อฉลองการเปิดศูนย์บริการรับสร้างบ้านโฉมใหม่ โดยคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายจากการจัดงานในครั้งนี้ได้ประมาณ 150 ล้านบาท โดยกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 24-26 พ.ย. ที่สำนักงานใหญ่สี่พระยา โดยเราได้มอบฟังก์ชั่นพิเศษ อาทิ CCTV ,ทางลาดสำหรับวีลแชร์ , Seacon Home Elder Care สำหรับบ้านใหม่ 6 แบบในราคาพิเศษสุด พร้อมรับนวัตกรรมคุณภาพจาก SCG *Active AIRflow™ System by SCG Living Tech ฟรี อีกด้วย” นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ กล่าวสรุป
อารียาฯ รุกบริการลูกค้าจับมือเซ็นเพย์ ขยายช่องทางจ่ายค่าผ่อนดาวน์ผ่านเคาน์เตอร์แคชเชียร์ในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป

อารียาฯ รุกบริการลูกค้าจับมือเซ็นเพย์ ขยายช่องทางจ่ายค่าผ่อนดาวน์ผ่านเคาน์เตอร์แคชเชียร์ในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป

น.ส.อุสราพร เจริญสวามิภักดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (กลาง) ร่วมกับนายพีรกร จำปาเงิน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเซ็นเพย์ เซ็นทรัลกรุ๊ป (ขวามือ) และนายเจษฎา ถนอมชาติ ผู้จัดการกลุ่มสินค้า เซ็นทรัลกรุ๊ป (ซ้ายมือ) เปิดช่องทางการชำระเงินค่าผ่อนดาวน์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้านอารียาฯ เจ้าแรกผ่านเคาน์เตอร์แคชเชียร์เซ็นทรัล และบริษัทในเครือ อาทิ แฟมิลี่มาร์ท, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และท้อปส์, โรบินสัน, บีทูเอส , ออฟฟิศเมท, ไทวัสดุ, โฮมเวิร์ค, บ้านแอนด์บียอนด์, เพาเวอร์บาย, เซกาเฟรโด, มัทสึโมโตะ คิโยชิ รวมทั้งสิ้น 1,774 สาขา ทั้งนี้ลูกค้าบ้านอารียาฯ สามารถใช้บริการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษค่าธรรมเนียมเพียง 7 บาทต่อบิลตั้งแต่วันนี้ - 31 มีนาคม 2561  ทั้งนี้อารียาฯ มีความตั้งใจในการแสวงหาทุกช่องทางในการอำนวยความสะดวกสบายแก่ลูกบ้านทั้งการให้บริการก่อนการขาย และหลังการขาย นอกเหนือจากนโยบายการส่งมอบที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ เป็นเลิศด้านทำเล งานออกแบบดีไซน์ และคุณภาพการก่อสร้าง  
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ทำตลาดเชิงรุกเจาะกลุ่มคนรักสัตว์ ตอกย้ำจุดขาย Pet-friendly Condo ในงาน Pet-a-Porter 2017

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ทำตลาดเชิงรุกเจาะกลุ่มคนรักสัตว์ ตอกย้ำจุดขาย Pet-friendly Condo ในงาน Pet-a-Porter 2017

บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรของเมืองไทย ผู้นำด้านการสร้างคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ เดินหน้าทำแผนการตลาดเชิงรุกเพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มคนรักสัตว์ ล่าสุด ร่วมกับ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ จัดงาน “The EmQuartier Pet-a-Porter 2017: Healthy Charity” พร้อมเนรมิต Pet Playground by Major Development พื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงพร้อมเครื่องเล่นให้เพื่อนๆ สี่ขาได้มาวิ่งออกกำลังยืดเส้นยืดสาย ตอกย้ำคอนเซ็ปต์ Pet-friendly Condominium ที่เข้าใจคนรักสัตว์อย่างแท้จริง “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เป็นบริษัทรายแรก ที่ทำคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างคุณภาพชีวิต และการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขระหว่างสัตว์เลี้ยง เจ้าของ และเพื่อนบ้าน โดยในปีนี้ เราได้มีการทำการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ และความรู้ความเข้าใจให้กับความเป็น Pet-Friendly Condominium ทั้งการทำสื่อประชาสัมพันธ์ออนไลน์ การทำกิจกรรมร่วมกับพันธมิตรที่รักสัตว์ เป็นต้น” นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าว ก่อนหน้านี้ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ประกาศลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกันกับ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกบ้านในการดูแลน้องหมาน้องแมวเป็นอย่างดีอีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดทำวิดีโอซีรี่ส์ชุด “ฮ่อง...ฮ่อง The Series By Major Development” ทั้งหมด 8 ตอน โดยจับเอาสัตว์เลี้ยงPet idolอย่างบูตะ และคากิ จากเพจ French Buta นำแสดง ติดตามได้ทาง Facebook Major Development PCL และ ทาง Youtube Major Development Channel ทุกวันอังคาร เวลา 6 โมงเย็น ยกเว้นตอนสุดท้ายคือวันจันทร์ที่ 25 ธันวาคมนี้ เวลา 6 โมงเย็นเช่นกัน
ออลล์ อินสไปร์ฯ ทุ่มทุนสร้าง แบรนด์ CRM “INSPIRE HUB”เปิดตัว ALL INSPIRE LOUNGE บนพื้นที่ Paragon Cineplex

ออลล์ อินสไปร์ฯ ทุ่มทุนสร้าง แบรนด์ CRM “INSPIRE HUB”เปิดตัว ALL INSPIRE LOUNGE บนพื้นที่ Paragon Cineplex

บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบคอนโดมิเนียม  Low Rise  ภายใต้แบรนด์ ดิ เอ็กเซล และ ไรส์  เดินหน้าชูกลยุทธ์ซีอาร์เอ็ม CRM ด้วยนิยามใหม่ (Create Real Motivation) เพื่อสร้างแรงจูงใจที่แท้จริง ตอบสนองความต้องการด้าน Lifestyles วันนี้จึงเป็นจุดกำเนิดของ Inspire Hub (Brand CRM) ของ ออลล์ อินสไปร์ฯ  ล่าสุดจับมือกับพันธมิตรอย่าง พารากอน ซีนีเพล็กซ์ เตรียมเปิดตัว ALL INSPIRE LOUNGE ณ ชั้น 5 พารากอน ซีนีเพล็กซ์ เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการชมภาพยนตร์ ของครอบครัว ออลล์ อินสไปร์ ได้มีสิทธิพิเศษเหนือใคร!! นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นอกจากบริษัท ออลล์ อินสไปร์ จะเป็นผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต และผู้นำในเรื่องการออกแบบที่อยู่อาศัยที่มีดีไซน์ตรงกับความต้องการของลูกค้า ในราคาที่น่าจับต้องแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิต ตามสโลแกน “Class of Living” มากกว่าการส่งมอบเพียงแค่ที่อยู่อาศัย ด้วยการยกระดับทุก Lifestyles  ที่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เลือกทำให้กับครอบครัวของ ออลล์ อินสไปร์ฯ โดยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและส่งมอบดีๆ ต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิต ล่าสุดเปิดตัว  “ALL INSPIRE LOUNGE”  ซึ่งถือว่าเป็นการประกาศตัวตนของแบรนด์ ออลล์ อินสไปร์ฯ ได้ชัดเจน และยังเป็นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นอีกด้วย โดยผ่านกลยุทธ์ CRM  (Create Real Motivation)  ซึ่งถือว่าเป็นปรัชญาในการดำเนินงานของเรา เป็นการสร้างพลังในการสร้างสรรค์แรงจูงใจของการใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ตอบโจทย์อย่างแท้จริง และนอกเหนือจากสิ่งต่างๆ ที่ต้องการมอบให้แล้ว  ออลล์ อินสไปร์ ยังหวังสร้างความสุข รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับครอบครัวของออลล์ อินสไปร์ฯ เพื่อสังคมและชีวิตที่ดีขึ้นตลอดไป ออลล์ อินสไปร์ เลาจน์ (ALL INSPIRE LOUNGE) Life Style Space ของ ออลล์ อินสไปร์ เป็นความร่วมมือกับ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ในการเปิดประสบการณ์พิเศษเหนือใคร สำหรับการชมภาพยนตร์ ณ ชั้น 5 พารากอน ซีนีเพล็กซ์  ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อมอบสิทธิพิเศษและความประทับใจ ด้วยการให้บริการแบบเอ็กซ์คลูซีฟ มีพื้นที่เลานจ์ ขนาดกว่า 100 ตารางเมตร สามารถรองรับได้กว่า 30 คนในช่วงเวลาเดียวกันโดยจะเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00 – 21.00 น. ซึ่ง ครอบครัวของออลล์ อินสไปร์ฯ ที่มาใช้บริการจะได้รับสิทธิ์บริการ Wi-Fi Password  พร้อมด้วยเซตขนมและเครื่องดื่ม (Complimentary Set) ที่พร้อมเสิร์ฟเฉพาะที่ ออลล์ อินสไปร์ เลานจ์ที่เดียวเท่านั้น ซึ่งสามารถใช้เป็นมุมพักผ่อน นัดพบ ด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของออลล์ อินสไปร์ ไม่ว่าจะเป็น มุมตกแต่ง โซฟาและพรมที่สั่งทอพิเศษ พร้อมต้อนรับสมาชิก อินสไปร์ ฮับ “การเปิดตัว “ออลล์ อินสไปร์ เลานจ์” นับเป็นก้าวสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้สอดคล้อง Lifestyles และการประกาศความเป็นแบรนด์ ออลล์ อินสไปร์ ย่านใจกลางเมือง ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ด้วยการบริการพิเศษเหนือใคร  และในฐานะผู้บริหารมั่นใจว่า ออลล์ อินสไปร์ จะเป็นผู้พัฒนาและส่งมอบคุณภาพชีวิต ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับ Lifestyles  ในหลากหลายรูปแบบ  เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิต  “Class of Living” ครอบครัวของออลล์ อินสไปร์ทุกคน มั่นใจได้เลยว่า ทุกๆ อย่างที่ผมจะส่งมอบ ต้องเกินความคาดหวังของทุกๆ คนแน่นอน “ นายธนากร กล่าว    
จับตา Developer แข่งขันดุเดือด ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 60

จับตา Developer แข่งขันดุเดือด ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 60

เหลืออีกเพียงไม่ถึง 2 เดือน ก็จะสิ้นสุดปี 2560 แล้ว ซึ่งถือเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของหลายธุรกิจที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ก่อนปิดยอดประจำปี แม้ภาวะเศรษฐกิจอาจยังดูไม่สดใสนัก แต่ภาพรวมก็ยังคงมีแนวโน้มเติบโตขึ้น ประกอบกับตลาดหุ้นมีทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงปลายปี ทำให้ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลังจากชะลอตัวมา 2 ปี ในปีนี้มีจึงการเร่งขายกันมาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายปี ส่งผลให้เหล่า Developer รายใหญ่ต่างก็มียอดขายเกินเป้ากันไปหลายราย กำลังซื้อส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 65% และแนวราบ 35% ยอดขายภาพรวมเมื่อเทียบกับปีที่แล้วนั้นโตขึ้นถึง 28% เรียกได้ว่าเกินความคาดหมาย โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา หลาย Developer สามารถกวาดยอดขายไปได้อย่างล้นหลาม เช่น ศุภาลัย ช่วงไตรมาส 3 ทำยอดขายได้มากถึง 2.5 หมื่นล้านบาท, แสนสิริ ยอดขายไตรมาส 3 รวมแล้ว 2.4 หมื่นล้านบาท คาดว่ารวมรายได้ทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท, เอพี ตั้งแต่ต้นปีจนถึงช่วงกลางเดือนตุลาคม ยอดขายอยู่ที่ 29,300 ล้านบาท, แอล พี เอ็น ยอดขาย 9 เดือนแรก 12,000 ล้านบาท, ศุภาลัย 9 เดือนแรก รายได้ 25,120 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 93% ของยอดปีนี้, ออริจิ้น ไตรมาส 3 รายได้รวมอยู่ที่ 1,959.9  ล้านบาท ส่วนยอดรวม 9 เดือน 4,014.3 ล้านบาท เป็นต้น แต่สิ่งที่น่าจับตามองในช่วงปลายปีนี้ คือ การจัดกิจกรรมทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการจัดแคมเปญต่างๆ โปรโมชั่นของแต่ละเจ้าที่งัดเอากลยุทธเด็ดของตัวเองออกมาเพื่อระบายสต๊อกของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคอนโด ทาวน์โฮม หรือบ้านเดี่ยว ทำให้ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคมากขึ้นตามไปด้วย โดยเราจะมายกตัวอย่างแคมเปญ และโปรโมชั่นในช่วงโค้งสุดท้าย จากบางค่ายมาให้ชมกัน ดังนี้ แสนสิริ เตรียมจัดแคมเปญส่งท้ายปีในงานอีเว้นท์ "Sansiri Life Comes Home 2017" วันที่ 24-26 พ.ย. นี้ ณ แฟชั่นฮอลล์ สยามพารากอน ภายในงานจะนำ 42 โครงการ มาจัดโปรโมชั่นส่วนลด เช่น ส่วนลด 50,000 บาท รับไอโฟน 10 เมื่อลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ และเมื่อจองโครงการใหม่ อีกทั้งลุ้นรับรางวัลเมื่อจองซื้อในงาน มูลค่ารวม 500,000 บาท เช่น ไอแพดโปร, บัตรที่พักโรงแรมเอสเคปเขาใหญ่-หัวหิน, แพ็คเกจการเงิน ฯลฯ อนันดา จัดแคมเปญ "ผ่อนเบาล้านละ 999 บาท "สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อบ้านกสิกรไทยเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการแนวราบ ผ่อนชำระล้านละเพียง 999 บาท/เดือน ในช่วง 1 ปีแรก ไซมิส มีการเปิดขายโครงการ "ไซมิส คิน" ย่านรามอินทรา โครงการ "ไซมิส จอยญ่า สุขุมวิท 87" และโครงการ "ไซมิส เอ็กซ์คลูซีฟ" ย่านรัชดาภิเษก โดยทั้ง 3 โครงการนี้จะนำไปออกโรดโชว์ในประเทศจีน และอินเดีย ก่อนจะกลับมาเปิดตัวในบ้านเราปีหน้า เอพี กับโครงการใหญ่ของปี "ไลฟ์ อโศก-พระราม 9" มีการเปิดจองพรีเซลไปแล้ว พร้อมสิทธิพิเศษ เช่น ลดสูงสุด 300,000 บาท จองพร้อมทำสัญญา 5% ได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 100,000 บาท ซึ่งก็ได้กระแสตอบรับดีอยู่ไม่น้อย ไม่แพ้โครงการไลฟ์ลาดพร้าว และไลฟ์ ไวร์เลส โครงการก่อนหน้าในปีนี้ที่ห้องหมดเกลี้ยงในพริบตา โดยสามารถกวาดยอดไปได้ 96% พฤกษา จะเน้นขายสต๊อกที่มีอยู่ โดยจะมีการทำแคมเปญ เช่น “ Best Buy Moment ลุ้นรวยทอง” แจกทองคำมูลค่ากว่า 7 ล้านบาท เมื่อจองทาวน์โฮมบ้านพฤกษา และเดอะคอนเนค 58 แคมเปญ “BIG LIFE BIG LUCK” ลุ้นรับรถยนต์ฮอนด้า แจ๊ส 10 คัน เมื่อจองทาวน์เฮาส์แบรนด์พฤกษาวิลล์ และพาทิโอ อารียา จัดแคมเปญ "หมดข้ออ้างที่จะมีบ้านและคอนโด" ใน 22 โครงการ ระหว่างวันที่ 1 พ.ย.-17 ธ.ค. โดยมีโปรโมชั่น 3 แบบ คือ อยู่ฟรี 1 ปี หรือเปลี่ยนส่วนลดเป็นเงินสด ลูกค้าที่จองบ้านแลกรับเฟอร์นิเจอร์เอสบี มูลค่าสูงสุด 2-3.3 แสนบาท ลูกค้าที่จองคอนโดแลกรับเฟอร์นิเจอร์เอสบี มูลค่าสูงสุด 30,000-70,000 บาท และสัญญาณอินเตอร์เน็ตจากเอไอเอส ไฟเบอร์ 100 Mbps 1 ปี เนอวานา ไดอิ จัดแคมเปญ “CUSTOMIZE YOUR MAGIC เติมเต็มทุกความรู้สึก” มาพร้อมโปรโมชั่น Built-in ครบทั้งหลัง มูลค่าสูงสุด 8 ล้านบาท สำหรับ 5 โครงการ แบรนด์เนอวานา ไดอิ, ผ่อนเริ่มต้นล้านละ 1,000 บาท/เดือน สำหรับโฮมออฟฟิศ สิงห์ เอสเตท เปิดขายโครงการดิ เอส สุขุมวิท 36 ในวันที่ 18-19 พ.ย. พร้อมสิทธิพิเศษในการลดราคามากถึง 2-8 แสนบาท ช่วงโค้งสุดท้ายของปีถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่ตลาดจะกลับมาคึกคักกันอีกครั้ง ยิ่งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จัดโปรโมชั่นกันมากเท่าไร ก็ยิ่งส่งผลดีต่อผู้บริโภคอย่างเราๆ ให้ได้มีทางเลือกมากขึ้น
อนันดาฯ โชว์ผลงานโดดเด่นยอดขาย Q3 ดีกว่าเป้า ถึง 52% ยอดแบ็คล็อคพุ่งนิวไฮ ลุยปรับเพิ่มเป้ายอดขายทั้งปีอีก 5% เป็น 32,588 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดโอน Q4 เกือบ 15,000 ล้านบาท

อนันดาฯ โชว์ผลงานโดดเด่นยอดขาย Q3 ดีกว่าเป้า ถึง 52% ยอดแบ็คล็อคพุ่งนิวไฮ ลุยปรับเพิ่มเป้ายอดขายทั้งปีอีก 5% เป็น 32,588 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดโอน Q4 เกือบ 15,000 ล้านบาท

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า โชว์ศักยภาพการดำเนินงานที่ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายจากที่ตั้งเป้าไว้ เผยไตรมาส 3/2560 บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 6,350 ล้านบาท ถึง 52% จากยอดขายโครงการใหม่ และโครงการที่เปิดตัวก่อนหน้า นอกจากนี้ประกาศปรับเพิ่มเป้ายอดขายทั้งปีอีก 5% เป็น 32,588 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อค) ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2560 กำหนดโอนภายในช่วง 4 ปีข้างหน้า จำนวนกว่า 54,400 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นสถิติอีกครั้ง โดยเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ในไตรมาส 4/2560 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดโอนส่วนใหญ่คิดเป็นสัดส่วนถึง 64% ของเป้าหมายยอดโอนทั้งปีกว่า 23,000 ล้านบาท บริษัทฯ จะสามารถสร้างยอดโอนทั้งปีที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น 45% จากปีก่อน นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ที่ผ่านมานับว่า บริษัทมีภาพรวมการดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมีผลประกอบการที่โดดเด่นเป็นที่น่าพอใจ  โดยมีตัวเลขยอดขายในไตรมาส 3 เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 6,350 ล้านบาท ถึง 52% จากยอดขายโครงการใหม่ และโครงการที่เปิดตัวก่อนหน้า พร้อมประกาศปรับเพิ่มเป้ายอดขายทั้งปีอีก 5% เป็น 32,588 ล้านบาท ทำให้มียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อค) ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2560 กำหนดโอนภายในช่วง 4 ปีข้างหน้า จำนวนกว่า 54,400 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นสถิติอีกครั้ง โดยเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ในไตรมาส 4/2560 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดโอนส่วนใหญ่คิดเป็นสัดส่วนถึง 64% ของเป้าหมายยอดโอนทั้งปีกว่า 23,000 ล้านบาท ในไตรมาส 3 นี้ บริษัทฯ เปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ติดรถไฟฟ้าบน 2 ทำเล และโครงการแนบราบใหม่ 3 ทำเล ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 7,687 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม มูลค่ารวมกว่า 4,435 ล้านบาท ได้แก่ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 40 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเอกมัย มูลค่าโครงการกว่า 2,057 ล้านบาท โครงการไอดีโอ โมบิ รางน้ำ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มูลค่าโครงการกว่า 2,377 ล้านบาท โครงการแนวราบ ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 3,252 ล้านบาท ได้แก่ โครงการแอริ พระราม 5 – ราชพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 792 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ บนถนนพระราม 5 จังหวัดนนทบุรี โครงการอาร์เทล เกษตร-นวมินทร์ มูลค่าโครงการ 1,658 ล้านบาท และโครงการเอโทล วงแหวน-ลำลูกกา ใกล้กับรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว มูลค่าโครงการ 802 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 นี้ บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 9,645 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้ที่ 6,350 ล้านบาท ถึง 52% โดยยอดขายที่แข็งแกร่งส่วนหนึ่งมาจากความต้องการซื้อจากลูกค้าที่ดีกว่าคาด และจากการเลื่อนเปิดโครงการใหม่เร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในช่วงต้นปี มูลค่ากว่า 4,435 ล้านบาท ทั้งนี้ในครึ่งปีแรก บริษัทฯ สร้างยอดขายได้ 77% ของเป้ายอดขายทั้งปี และมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 2 โครงการ โดยผลจากความสำเร็จดังกล่าวมาจากตัวโครงการอยู่ในทำเลติดรถไฟฟ้า สะดวกสบายในการอยู่อาศัย มีการนำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้ในโครงการ และราคาที่เหมาะสมสามารถจับต้องได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 1,692 ล้านบาท ลดลง 28% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่บริษัทฯ มีรายได้อื่นจำนวนกว่า 1,066 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากรายได้จากโครงการร่วมทุน ทำให้บริษัทฯ สร้างรายได้รวมจำนวน 2,759 ล้านบาท ลดลง 7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 141 ล้านบาท ลดลง 44% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากรายได้ที่ลดลง และการเปิดโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้น โดยในไตรมาส 4/2560 บริษัทฯตั้งเป้าหมายยอดโอนส่วนใหญ่คิดเป็นสัดส่วนถึง 64% ของเป้าหมายยอดโอนทั้งปีกว่า 23,000 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในช่วงที่เรียกว่า "ระยะเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน" ซึ่งในปี 2559 สร้างยอดโอนเติบโต 65% จากปีก่อน ตลอดจนแผนงานในการเติบโต 45% จากปี 2559 สำหรับการโอนในปี 2560 อยู่ที่กว่า 23,000 ล้านบาท ซึ่งมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่จะโอนในปี 2560 มูลค่ากว่า 13,700 ล้านบาท คิดเป็น 93% ของเป้ายอดโอนในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งรวมส่วนแบ่งยอดโอนของอนันดา และมิตซุย ฟูโดซัง บริษัทฯ ยังคงรักษาวินัยทางการเงิน และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจให้เติบโต พร้อมยังคงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิซึ่งหักด้วยเงินสดต่อส่วนทุนอยู่ที่ 0.84 :1 เท่านั้น นอกจากนี้กระแสเงินสดของบริษัทฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นสุดไตรมาสยังคงรักษาเงินสดขนาดใหญ่ที่มีมากกว่า 1,400 ล้านบาท  ซึ่งบริษัทฯ ยังคงได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการเงินสดของบริษัทฯตลอดทั้งปี สามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ ทั้งนี้ในเดือนตุลาคมปี 2560 บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี ด้วยต้นทุนหุ้นกู้เพียง 3.50% ซึ่งเป็นต้นทุนต่ำสุดเป็นสถิติอีกครั้ง ลดลงจากที่บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ต้นทุน 3.95% และลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 5.40% ที่ออกหุ้นกู้เมื่อ 3 ปีก่อน” นายชานนท์ กล่าว ในปี 2561 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดโอนเติบโต 76% อยู่ในระดับกว่า 40,500 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดโอนในปี 2560 ที่ระดับ 23,000 ล้านบาท โดยในปี 2561 บริษัทฯ คาดว่าจะมีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอน สูงถึง 11 โครงการ เพิ่มขึ้นจากในปี 2560 ที่มี 10 โครงการใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอนจากวงจรเงินทุน ทำให้บริษัทฯ เปิดขายโครงการใหม่ในปี 2561 ด้วยมูลค่าโครงการ เพิ่มขึ้น 15% อยู่ในระดับกว่า 48,000 ล้านบาท จากเป้ากว่า 41,800 ล้านบาทในปี 2560 โดยในปี 2561 บริษัทจะเปิดขายโครงการใหม่ 22 โครงการ โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 13 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซัง 7 โครงการ และโครงการแนวราบ 9 โครงการ จากมูลค่าเปิดขายโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ในปี 2561 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นอีก 24% เป็นกว่า 40,500 ล้านบาท จากเป้ายอดขายในระดับกว่า 32,600 ล้านบาท ในปี 2560 พร้อมเป้าหมายในการรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนในระดับประมาณ 1:1 สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวในการบริหารงานของบริษัทอีกด้วย “บริษัทฯ รักษาการเติบโตของธุรกิจ และผลการดำเนินงานที่ดี รวมถึงยังรักษาความมีวินัยด้านต้นทุนการดำเนินงาน และการกู้ยืมอีกด้วย โดย อนันดาฯ ยังคงครองความเป็นผู้นำคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งด้านการออกแบบอาคาร และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านอื่นๆ ทำให้ยังคงตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมต่อไป พร้อมมุ่งมั่นต่อการกำกับดูแลกิจการที่ดีที่สุดและโปร่งใส โดยได้รับคะแนนทางด้านการกำกับดูแลกิจการในระดับสูงสุด 5 ดาว เพิ่มขึ้นจากระดับ 4 ดาวในปีก่อน รวมทั้งการกำกับดูแลกิจการที่ดี และโปร่งใส ให้แก่นักลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยตลาดหลักทรัพย์ได้เสนอชื่อให้บริษัทฯ เข้าชิงรางวัลนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยมให้แก่บริษัทประจำปี 2560 อีกทั้งนิตยสาร IR Magazine ได้เสนอชื่อให้บริษัทฯ เข้าชิงรางวัลนักลงทุนยอดเยี่ยมในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2560” นายชานนท์ กล่าวตอนท้าย
โครงการใหม่ ของบริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ประเดิมโลเคชั่นแรกย่านเตาปูน แค่ 0 ก้าวจากรถไฟฟ้า

โครงการใหม่ ของบริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ประเดิมโลเคชั่นแรกย่านเตาปูน แค่ 0 ก้าวจากรถไฟฟ้า

เพราะชีวิตส่วนใหญ่ หายไปกับการเดินทาง จะดีกว่าไหมถ้าเอาเวลาในการเดินทางในแต่ละวันมาทำอย่างอื่นเพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น  “เตาปูน” ทำเลที่ซัพพอร์ตชีวิตและการทำงานเพื่อคนรุ่นใหม่ ได้ enjoy กับชีวิตอิสระมากขึ้นในทำเลติดแนวรถไฟฟ้าและเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย ซึ่งเป็นเทรนด์ในการอยู่อาศัยของคนเจน Y ที่รักการใช้ชีวิตแบบทันสมัย โดยเฉพาะในยุคนี้คนส่วนใหญ่มักจะมองหาคอนโดในทำเล “ติด” รถไฟฟ้า ยิ่งถ้าใกล้ แค่ 0 ก้าวจากรถไฟฟ้า ยิ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ เพราะสามารถเปลี่ยนจากวิถีชีวิตอันแสนวุ่นวาย และความเหนื่อยล้า ให้กลายเป็น “ความฟิน” ได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากใครที่ต้องทำงานหรือเดินทางตลอดทั้งวัน การมองหาที่อยู่อาศัยที่ติดรถไฟฟ้าเพียงระยะแค่ 0 ก้าว นับเป็นไอเดียที่แสนบรรเจิด หลังจากเสนาฯ ประกาศเป็นพันธมิตรเหนียวแน่นกับ “ ฮันคิว เรียลตี้ “ หนึ่งในกลุ่มบริษัท Hankyu Hanshin Holding Group ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของญี่ปุ่น และสร้าง Talk of the Town ให้กับวงการคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า กับความสำเร็จของการเปิดตัวคอนโดมิเนียมร่วมทุนโครงการแรก แบรนด์ นิช โมโน สุขุมวิท-แบริ่ง จากกระแสการตอบรับดีเกินคาด  ด้วยจุดขายอยู่ที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบ “Geo Fit+” ซึ่งเป็นแนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เข้าใจความต้องการของผู้อยู่อาศัยอย่างลึกซึ้ง เน้นการพัฒนาฟังก์ชั่นการใช้งานที่มีประสิทธิภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้อยู่อาศัย และเร็ว ๆ นี้ ทางเสนา เตรียมเดินหน้าตอกย้ำการพัฒนาโครงการใหม่ ส่งคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “Niche Pride”  โปรเจคใหม่ต่อยอดจาก “เสนาฮันคิว” คอนโดมิเนียมบนทำเลศักยภาพติดรถไฟฟ้าสถานีเตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ แค่ 0 ก้าวจากรถไฟฟ้า ในราคาเหมาะสมกับการเป็นเจ้าของและคุ้มค่าที่สุดกับการลงทุนในอนาคต คาดว่าจะเปิดขายต่อยูนิตอยู่ที่ราว 3.2 ล้านบาทเท่านั้น Niche Pride Taopoon คอนโดมิเนียมไฮไลท์สูง 38 ชั้น 700 ยูนิต โครงการคุณภาพแห่งแรกและแห่งเดียวที่สมบูรณ์ในทุกด้าน พบกับการพลิกโฉมครั้งใหญ่อย่างที่คาดไม่ถึง และไม่เคยมีมาก่อนกับความอลังการงานสร้างครั้งแรกของพื้นที่ส่วนกลางแบบ Vertical Facilities จัดเต็ม 30 ชั้น!! ล้ำสมัยทุกแนวคิดฉีกกรอบรูปแบบเดิม ๆ นับเป็นเจ้าแรกของเมืองไทยที่ให้ความคุ้มค่าที่มากกว่ากับฟังก์ชั่นที่เหนือระดับและตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองได้อย่างครบถ้วน ไม่เพียงเท่านั้น “เสนาฮันคิว” ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและศึกษาวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างไม่หยุดยั้ง จาก Geo Fit+ มาสู่นวัตกรรมขั้นแอดวานซ์ GEO Fit+ My Select ที่ให้คุณสามารถเลือกฟังก์ชั่นการใช้สอยภายในห้องให้ตรงตามความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย นับเป็นการปฏิวัติวงการคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าครั้งใหญ่ในไทยที่น่าจับตามากในเวลานี้  เตรียมพบกับ แบรนด์ Niche Pride ต้นแบบนวัตกรรม GEO Fit + My Select อย่างเต็มรูปแบบ และความอลังการของพื้นที่ส่วนกลางแบบ Vertical Facilities จัดเต็ม 30 ชั้น!! ครั้งแรกในเมืองไทย ประเดิมเปิดโลเคชั่นที่แรกย่านเตาปูน สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1775 กด 39