Tag : News

2400 ผลลัพธ์
บมจ. เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปลื้ม มิวนีค หลังสวน โกยยอดขายพรีเซลล์ เพียง 2 วัน ปิดการขายได้กว่า 90%

บมจ. เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปลื้ม มิวนีค หลังสวน โกยยอดขายพรีเซลล์ เพียง 2 วัน ปิดการขายได้กว่า 90%

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เผยยอดขาย โครงการ มิวนีค หลังสวน (MUNIQ Langsuan) หลังเปิดขายพรีเซลล์ สามารถปิดยอดขายกว่า 90% นับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ได้รับผลตอบรับดีมาก ภายใต้แบรนด์ มิวนีค (MUNIQ) หลังจากเปิดโครงการ มิวนีค สุขุมวิท 23 (MUNIQ Sukhumvit 23) เมื่อต้นปีที่ผ่านมา สร้างประวัติการณ์ ปิดยอดขายกว่า 80% ในวันพรีเซลล์เช่นเดียวกัน เมเจอร์ฯ ประกาศความสำเร็จ หลังเปิดตัวโครงการแรกต้นปีนี้ กับโครงการ มิวนีค หลังสวน (MUNIQ Langsuan) ที่เพิ่งจัดงานแถลงข่าวไปเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าโครงการ 4,085 ล้านบาท คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ภายใต้แนวคิด “LIVE YOUR EVERLASTING ROMANCE” แบบฟรีโฮลด์ (Freehold) บนพื้นที่ย่านหลังสวน การคมนาคมสะดวก ท่ามกลางโรงแรม และสถานฑูต แวดล้อมด้วยพื้นที่อย่างสวนลุมพินี ไม่ถึง 100 เมตร นอกจากสไตส์การออกแบบอาคารแบบคลาสสิค ให้เข้ากับสภาพแวดล้อม งดงามเหนือกาลเวลา ใช้วัสดุคุณภาพจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก คำนึงถึงการใช้ชีวิตให้มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการผู้อยู่อาศัยมากที่สุด ทุกห้องถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่ โล่งสบาย มอบความเป็นส่วนตัว พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่ให้ลูกบ้านสามารถทำกิจกรรมและพักอาศัยได้ทุกวัน ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทฯ เปิดตัวโครงการ มิวนีค หลังสวน (MUNIQ Langsuan) เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา โครงการแรกของต้นปีนี้ เป็นคอนโดฯ 28 ชั้น จำนวน 166 ยูนิต ตั้งอยู่ท้ายซอย 7 ถนนต้นสน ขณะนี้ถนนตัดผ่านสู่ถนนสารสินแล้ว ผลตอบรับยอดจองกว่า 90% ในครั้งนี้ ถือว่าเกินเป้าหมายที่วางไว้ที่ 50% ณ วันพรีเซลล์ นับเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในวันนี้  ยังมีโอกาสอีกมาก ถ้าเราสามารถหาโลเคชั่นที่ถูกจุดและนำเสนอสิ่งที่ถูกใจลูกค้าได้ อย่างเมเจอร์เองเน้นพัฒนาโครงการในย่าน CBD ที่เป็นไพร์มแอเรีย (Prime Area) เพราะเป็นย่านที่มีความถนัดและยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง มี Capital Gain สูง และเป็นย่านที่ต่างชาติให้ความสนใจ” โครงการ มิวนีค หลังสวน (MUNIQ Langsuan) ราคาเริ่มต้นที่ 14.2 ล้านบาท จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างประมาณกลางปี 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564 สำนักงานอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ตั้งอยู่ที่อาคารเคี่ยนหงวน สามารถเริ่มเข้าชมได้ประมาณ เดือน พ.ค. นี้ โปรโมชั่นหลังงานพรีเซลล์ – 28 ก.พ. นี้  เมื่อจองห้อง รับทันที ลำโพงไร้สาย Bang & Olufsen รุ่น Beoplay A6 และ Iset (Ipad Pro, Apple Pencil และ Smart Keyboard)  ติดต่อสอบถามได้ที่ 1266
ซีเอ็มซี กรุ๊ป รุกหนักกลุ่มไฮเอนด์เปิดขายห้องพาโนราม่า วิว 360 องศามุมมองกรุงเทพตะวันออก คอนโดแบงค์คอก ฮอไรซอน – รามคำแหง เริ่ม 9.6 ล้านบาท บรรยากาศเหนือจินตนาการ

ซีเอ็มซี กรุ๊ป รุกหนักกลุ่มไฮเอนด์เปิดขายห้องพาโนราม่า วิว 360 องศามุมมองกรุงเทพตะวันออก คอนโดแบงค์คอก ฮอไรซอน – รามคำแหง เริ่ม 9.6 ล้านบาท บรรยากาศเหนือจินตนาการ

ซีเอ็มซี กรุ๊ป เอาใจเศรษฐีย่านกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก จัดโปรโมชั่น พิเศษ โครงการคอนโดมิเนียม “แบงค์คอก ฮอไรซอน - รามคำแหง” ที่สุดแห่งแลนด์มาร์คบนถนนรามคำแหง เปิดขายห้องมุมมองที่สูงที่สุดในรูปแบบ พาโนราม่า วิว 360 องศา เริ่ม 9.6 ล้านบาท ลดสูงสุดถึง 500,000 บาท เพียงลงทะเบียนออนไลน์ นางสาวอนงค์ลักษณ์ แพทยานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ซีเอ็มซี กรุ๊ป เปิดศักราชปี 2561 ด้วยการรุกหนักกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ด้วยการจัดโปรโมชั่นพิเศษเอาใจเศรษฐีที่ต้องการห้องพื้นที่เยอะ เปิดขายยูนิตพิเศษห้องพาโนราม่า วิว 360 องศา ของโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม แบงค์คอก ฮอไรซอน - รามคำแหง เปิดมุมมองใหม่อาคารชุดที่พักอาศัยซึ่งเป็นที่สุดของแลนด์มาร์คบนถนนรามคำแหง พื้นที่ 2 ห้องนอน ห้องใหญ่ 90 ตารางเมตร เริ่ม 9.6  ล้านบาท ตกแต่งครบแบบ Fully Furnished เหมือนห้องตัวอย่าง พร้อมเข้าอยู่ทันที Ready to Move พร้อมสรรพด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย และตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพ กับโปรโมชั่นสุดพิเศษ ลงทะเบียนออนไลน์ รับส่วนลดสูงสุดกว่า  500,000 บาท เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษค่าส่วนกลางฟรี 10 ปี  พร้อมที่จอดรถส่วนตัว เมื่อทำสัญญา และฟรีค่าโอนกรรมสิทธิ์ และทุกค่าใช้จ่ายอีกด้วย ทั้งนี้ โครงการ แบงค์คอก ฮอไรซอน - รามคำแหง นับเป็นโครงการที่มีที่ตั้งที่ดีที่สุดบนถนนรามคำแหง เพราะอยู่ใกล้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ และรถไฟฟ้าถึง 3 สายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คือ สายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง, สายสีส้ม ตลิ่งชัน-มีนบุรี และสายสีน้ำตาล แคราย - ลำสาลี ทั้งนี้ห้องพิเศษในรูปแบบพาโนราม่าวิว 360 องศานี้จะมีเปิดขายจำนวนจำกัดเพียง 28 ยูนิตเท่านั้น ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าที่ต้องการคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่และเอาไว้เป็นที่พักอาศัยสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ ตลอดจนนักธุรกิจต่างจังหวัดที่ต้องการเป็นเจ้าของที่พักเมื่อมาทำธุรกิจในกรุงเทพฯ สามารถมารับโปรโมชั่นกันได้ที่งาน ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 22-28 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ หรือลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลดได้ตลอดเวลาที่ www.cmc.co.th/bangkokhorizon/ramkhamhaeng หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. 02-379-5005 และ www.facebook.com/cmcgroup
“เบล็ส เเอสเสท กรุ๊ป” ยกปีนี้ปีทองคาดโตเท่าตัว ปั้นแบรนด์ใหม่ ‘เมลิโซ ปาร์ค’ บ้านหรู และ ‘เบล็สเชอร์’ คอนโด 8 ชั้น แห่งแรก สยายปีกธุรกิจตอบทุกโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยคนรุ่นใหม่

“เบล็ส เเอสเสท กรุ๊ป” ยกปีนี้ปีทองคาดโตเท่าตัว ปั้นแบรนด์ใหม่ ‘เมลิโซ ปาร์ค’ บ้านหรู และ ‘เบล็สเชอร์’ คอนโด 8 ชั้น แห่งแรก สยายปีกธุรกิจตอบทุกโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยคนรุ่นใหม่

“เบล็ส เเอสเสท กรุ๊ป” ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยาวนาน ภายใต้แบรนด์ เบล็ส ทาวน์  (Bless Town) และ เบล็ส วิลล์ (Bless Ville) เผยปีนี้ปีทอง เล็งขยายธุรกิจครอบคลุมความต้องการของตลาดเรียลดีมานด์กลุ่มคนรุ่นใหม่ สตาร์ท-อัพ และครอบครัวคนรุ่นใหม่ ปั้นแบรนด์ใหม่ ‘เมลิโซ ปาร์ค’ บ้านหรู มอบความเป็นส่วนตัวให้การอยู่อาศัย บนทำเลศักยภาพแห่งใหม่ใจกลางย่านหนามแดง และ ‘เบล็สเชอร์’ คอนโดโลว์ไรส์แห่งแรก บนถนนจรัญสนิทวงศ์ ห่างจากรถไฟฟ้ามหานครสายสีน้ำเงิน เพียง 700 เมตร และเล็งเปิดโครงการมิกซ์ ยูส เพิ่มอีก 1  โครงการ บนทำเลยุทธศาสตร์ย่านบางปู ปักธงรายได้ ปีนี้เติบโตเท่าตัว นายธารินทร์ บวรวนิชยกูร กรรมการ บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบภายใต้แบรนด์ เบล็สทาวน์  (Bless Town) และเบล็ส วิลล์ (Bless Ville) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มองว่า ปี 2561 จะเป็นปีทองของบริษัทฯ ที่มีโอกาสขยายธุรกิจได้ดีอย่างต่อเนื่องจากปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าในปีที่ผ่านมาภาพรวมอุตสาหกรรมจะเติบโตไม่หวือหวามาก แต่ด้วยบริษัทฯ ซึ่งเป็นรายเล็กของตลาดจึงมีข้อได้เปรียบในการปรับกลยุทธ์ได้ง่ายกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ บวกกับแนวทางการวางกลยุทธ์โครงการที่เปิดขาย และการจับกลุ่มตลาดที่ถูกต้อง ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถปิดการขายทั้งปี 2560 แตะระดับ 570-580 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตกว่าร้อยละ 50 จากปี 2559 สำหรับปีนี้ บริษัทฯ คาดการณ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่าเท่าตัว มาแตะที่ 900 ล้านบาท โดยมองภาพรวมอุตสาหกรรมจะเติบโตกว่าร้อยละ 9-10 ตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจรวม (GDP) ที่คาดจะโตกว่าร้อยละ 4.5-5 ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนการเปิดขายโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,500 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ใหม่ เมลิโซ ปาร์ค (Meleso Park) บ้านหรู มอบความเป็นส่วนตัวให้กับการอยู่อาศัย และแบรนด์ เบล็ส เชอร์ (BLEISURE) คอนโดมิเนียม 8 ชั้น อารมณ์รีสอร์ท โดยรายละเอียดของ 3 โครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ ประกอบด้วย เมลิโซ ปาร์ค (Meleso Park) ศรีนครินทร์ – หนามแดง มูลค่าโครงการ 310 ล้านบาท บ้านหรู มอบความเป็นส่วนตัวให้กับการอยู่อาศัย บนทำเลใจกลางถนนศรีนครินทร์-หนามแดง เหนือกว่าด้วยฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 132 ตารางเมตร จำนวน 58 ยูนิต อยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีด่าน เชื่อมต่อถนนสายสำคัญ ถนนศรีนครินทร์ กิ่งแก้ว บางนา และเทพารักษ์ ใกล้ทางด่วนวงแหวนฯ รอบนอก ในราคาพิเศษเริ่มต้น 4.59 ล้านบาท โดยบริษัทฯ เตรียมจัดงานเปิดตัวโครงการในวันที่ 3-4 มีนาคม 2561 โครงการที่สอง เบล็สเชอร์ (Bleisure) จรัญสนิทวงศ์  96/1 คอนโดมิเนียม 8 ชั้น สไตล์รีสอร์ท แห่งแรก บนทำเลใจกลางย่านจรัญสนิทวงศ์ ซอย 96/1 มูลค่าโครงการ 483 ล้านบาท จำนวน 193 ยูนิต ห่างจากรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) สายสีน้ำเงิน สถานีบางอ้อ เพียง 700 เมตร ราคาต่อยูนิตเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท โดยเตรียมจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งมั่นใจว่าลูกค้าจะให้ความสนใจเป็นอย่างดี เพราะจากการศึกษาตลาดและทำเลย่านจรัญสนิทวงศ์ เป็นทำเลทองที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งรายใหญ่และรายเล็ก ต่างให้ความสนใจเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับและตอบสนองความต้องการของกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัยที่ยังมีสูง เพราะเป็นย่านที่ความเจริญขยายมาจากตัวเมือง และมีระบบขนส่งมวลชนรอง อาทิ รถไฟฟ้ามหานครส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน สถานีบางซื่อ-หัวลำโพง-ท่าพระ-พุทธมณฑลสาย 4 ที่กำลังก่อสร้าง อีกทั้งยังใกล้ทางด่วนตัดใหม่ศรีรัชวงแหวน ที่สามารถเชื่อมการเดินทางสู่ ตัวเมืองโซนพระนคร ปิ่นเกล้า เพชรเกษม พุทธมณฑล หรือโซนสาทร สีลม จตุจักร ฯลฯ ได้อย่างสะดวก ซึ่งโครงการนี้ บริษัทฯ เตรียมจะเปิดตัวโครงการในวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ 2561 สำหรับโครงการที่สาม ที่เตรียมจะเปิดตัวนั้น บริษัทฯ จะพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ ยูส ระหว่างทาวน์โฮม 2 ชั้น และบ้านแฝด 2 ชั้น รวมจำนวน 318 ยูนิต บนพื้นที่โครงการประมาณ 29 ไร่ ในทำเลยุทธศาสตร์ย่านบางปู ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง และศึกษาแบรนด์โครงการที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากที่สุด อย่างไรก็ดีกลยุทธ์ของบริษัทฯ ยังคงเน้นจุดขายและจับตลาดที่บริษัทฯ ถนัด ได้แก่ ตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยเริ่มทำงาน กลุ่มสตาร์ท-อัพ และกลุ่มคนที่เริ่มสร้างครอบครัว ที่มีความเป็นตัวเอง สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ โดยยังคงรักษาคุณภาพสินค้าตามแนวคอนเซปต์ความคุ้มค่ายิ่งกว่าราคาจ่าย “ปีนี้ บริษัทฯ ขยายธุรกิจเพื่อปิดช่องว่างตลาดของกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ทั้งการพัฒนา บ้านหรู เมลิโซ ปาร์ค และ คอนโด 8 ชั้น เบล็สเชอร์ เพื่อตอบโจทย์ให้ครอบคลุมทุกความต้องการของตลาดเรียลดีมานด์กลุ่มคนรุ่นใหม่ สตาร์ท-อัพ และครอบครัวคนรุ่นใหม่ ที่มีสไตล์การอยู่อาศัยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี ในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในอนาคต บริษัทฯ ยังคงเน้นโครงการแนวราบมากกว่า เพราะเป็นโครงการที่บริษัทฯ มีความถนัด และถือเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยในอนาคต บริษัทฯ กำลังมองหาที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงยั่งยืนในทุกๆ ปี และเพื่อเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2562” นายธารินทร์ กล่าวปิดท้าย
THANA ปลื้มปี 60 โตสวนกระแสกำไรพุ่ง 84% ผลจากปรับสินค้าให้ตอบโจทย์ เน้นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ เชื่อปีนี้ไปได้สวย ตั้งเป้าปีนี้โต15-20 %

THANA ปลื้มปี 60 โตสวนกระแสกำไรพุ่ง 84% ผลจากปรับสินค้าให้ตอบโจทย์ เน้นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ เชื่อปีนี้ไปได้สวย ตั้งเป้าปีนี้โต15-20 %

ธนาสิริ กรุ๊ป หรือ THANA หุ้นอสังหาฯ จิ๋วแต่แจ๋วในเมืองนนท์ ประกาศผลการดำเนินงานปี 2560 ด้วยยอดขาย 986 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 24 % ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้นถึง 84% อยู่ที่ 32.3 ลบ. จากปีก่อนมีกำไร 17.5 ลบ. ยอดโอน 828 ลบ. โตขึ้น 5.2 % เป็นผลมาจากความพร้อมของสินค้า ปรับกระบวนการตรวจรับมอบบ้านและการยื่นขอสินเชื่อลูกค้า (Pre-approve) ให้สอดคล้องกับการขายมากขึ้น คุมค่าใช้จ่ายทางการตลาดให้เหมาะสม ปรับกลยุทธ์การตลาด หันมาใช้การตลาดแบบออนไลน์ และไดเรกมาร์เก็ตติ้งให้มากขึ้น เชื่อว่า ในปี 2561 น่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี มียอดขายที่รอรับรู้รายได้แล้วกว่า 280  ล้านบาท  ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่15-20 % นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ภายใต้ชื่อ THANA เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2561 (วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561) ได้มีมติอนุมัติงบการเงินและงบการเงินรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยฉบับตรวจสอบแล้ว สำหรับปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 นั้น บริษัทฯได้รายงานว่ามีผลกำไรสุทธิ (ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ) จากงบการเงินรวมสำหรับปี 2560 จำนวน 32.3 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงิน 14.8 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 84.3 บริษัทฯจึงขอชี้แจงสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของผลการดำเนินงานสำหรับงวดปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ดังนี้ รายได้จากการขายฯ ในปี 2560 เพิ่มขึ้นประมาณ 41.3 ล้านบาท หรือเทียบเป็นร้อยละ 5.2 มีสาเหตุมาจากความพร้อมของสินค้าในโครงการ ประกอบกับการปรับขบวนการตรวจรับมอบบ้านและการยื่นขอสินเชื่อลูกค้าให้สอดคล้องกับการขายมากขึ้น อนึ่ง ในไตรมาส 3 บริษัทฯ มีรายได้อื่น จากการได้รับค่าทดแทนค่าที่ดินพร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดจำนวนรวมประมาณ 7.4 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2560 ลดลงจากร้อยละ 32.5 เป็นร้อยละ 32.1 โดยหลักๆ มาจากกลยุทธ์ด้านการปรับราคาสำหรับกลุ่มสินค้าบางกลุ่มเพื่อใช้ส่งเสริมการตลาด ค่าใช้จ่ายในการขายในปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 9.9 ของรายได้จากการขายฯ เทียบกับร้อยละ 11.1 ในงวดเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 1.1 สาเหตุมาจากการควบคุมค่าใช้จ่ายทางการตลาดให้เหมาะสมกับการปรับกลยุทธ์ทางการตลาด บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีค่าใช้จ่ายในการบริหารในปี 2560 รวม 128.3 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนประมาณ 2.7 ล้านบาท คิดเป็นลดลงร้อยละ 2.1 เป็นผลมาจากการบริหารค่าใช้จ่ายในระหว่างปี และค่าใช้จ่ายเรื่องบุคลากรขณะที่ยังมีการปรับเงินเดือนประจำปี อนึ่ง บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากการทบทวนประมาณการผลประโยชน์พนักงานตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยสุทธิจากภาษีแล้วจำนวน 1.5 ล้านบาท แสดงไว้ในกำไร/(ขาดทุน) เบ็ดเสร็จอื่น บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีต้นทุนทางการเงินในปี 2560 ประมาณ 19.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 1.7 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ในปี 2560 ประมาณ 10.1 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นประมาณ 3.0 ล้านบาท ประกอบด้วยภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1.4 ล้านบาทจากผลกำไรก่อนภาษีเงินได้ และภาษีเงินได้รอตัดจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 1.6 ล้านบาท เกี่ยวกับบริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทบ้านจัดสรรพร้อมที่ดินเพื่อขาย ประเภททาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว โดยเน้นการพัฒนาโครงการในเขตปริมณฑลย่านจังหวัดนนทบุรี รวมถึงในส่วนภูมิภาคที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น โซนภาคอีสานและภาคใต้ เป็นต้น ในระดับราคาโดยเฉลี่ยประมาณ 3 – 5 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “ธนาซิโอ” “ธนาวิลเลจ” “ธนาฮาบิแทต” “ธนาคลัสเตอร์” “ธนาเรสสิเดนท์” และ “สิริ วิลเลจ” สาหรับโครงการในส่วนภูมิภาค โดยแต่ละแบรนด์จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างครอบคลุม ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทได้พัฒนาโครงการไปแล้วกว่า 26 โครงการ โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 10.2 พันล้านบาท  โดยบริษัทมีบริษัทย่อย ทั้งสิ้น 3 บริษัท ประกอบธุรกิจ ดังนี้ บริษัท ธนาสิริ พร๊อพเพอร์ตี ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (“TPD”) TPD ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยจะเป็นผู้พัฒนาโครงการ และเจ้าของโครงการ เน้นการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาค ที่มีการเติบโตทาง เศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ในอดีตที่ผ่านมามีโครงการอยู่ในจังหวัดภูเก็ตและสกลนคร โดยบริษัทได้เข้าถือหุ้นอยู่ร้อยละ 99.6% เมื่อปี 2551 (TPD ก่อตั้งเมื่อปี 2533 ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาทและมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 50 ล้านบาทในปี 2560 ทำให้มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 100 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นของบริษัทเป็น 99.8%)  ทั้งนี้ในการออกแบบก่อสร้างโครงการ บริษัทจะเป็นผู้กำหนดรูปแบบโครงการและ รายละเอียดการออกแบบว่าจ้างผู้รับเหมาเพื่อดำเนินงานก่อสร้าง รวมถึงเป็นผู้จัดหา วัสดุก่อสร้างหลักเองทั้งหมด แต่ในส่วนของฝ่ายขาย วิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้าง (Foreman) และฝ่ายจัดการ จะดำเนินการโดยพนักงานของ TPD เอง บริษัท ธนาสิริ แมเนจเม้นท์แอนด์คอนซัลติ้ง จํากัด (“TMC”) TMC จัดตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2557 ด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท บริษัทถือ หุ้น 99.9% โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจด้านที่ปรึกษา, ด้านบริหารจัดการ และขายซอฟท์แวร์ระบบการทำงานต่างๆ บริษัท พิมานสิริ จํากัด (“PMS”) PMS เป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของบริษัท โดยจัดตั้งเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2557 ด้วยทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยจะเป็นผู้พัฒนาโครงการและเป็นเจ้าของโครงการในภาคอีสาน เริ่มต้นที่ จ.อุดรธานี เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ธนาสิริ พร๊อพเพอร์ตี้ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (TPD) กับ กลุ่มบริษัท อีสานพิมานกรุ๊ป จำกัด และนายธัชกร แต้ศิริเวช (พันธมิตรของ บริษัทที่ จ.สกลนคร) โดย TPD ถือหุ้นคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60.7%
ศุภาลัย เปิดแบรนด์ใหม่แนวราบ “ESSENCE” โชว์แบบบ้าน 3 ชั้น 3 แบบ 3 สไตล์ ปักธงทำเลกลางเมือง

ศุภาลัย เปิดแบรนด์ใหม่แนวราบ “ESSENCE” โชว์แบบบ้าน 3 ชั้น 3 แบบ 3 สไตล์ ปักธงทำเลกลางเมือง

บมจ.ศุภาลัย เดินหน้าขยายแบรนด์แนวราบ “ESSENCE” สร้างสรรค์แบบบ้าน 3 ชั้นใหม่ล่าสุด   3 แบบ 3 สไตล์ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม บุกทำเลกลางเมือง เปิดตัวโครงการแรกปักธงทำเลใหม่ลาดพร้าว เจาะตลาด 4 – 10 ล้านบาท ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการ 24-25 ก.พ.นี้ นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาฯ แนวราบในปี 2561 เป็นปีที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการแข่งขันเรื่องนวัตกรรมการออกแบบเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับทุกคนในครอบครัว อีกทั้งทำเลที่ตั้งโครงการที่เน้นความสะดวกสบายในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ง่ายดาย ยังคงเป็นจุดขายด้านการตลาดที่สำคัญของบริษัทอสังหาฯ ในปัจจุบัน ทั้งนี้ เชื่อว่า   ที่อยู่อาศัยแนวราบไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม ตลาดน่าจะมีการแข่งขันสูง  ส่วนของศุภาลัย วางแผนเปิดตัวโครงการแนวราบ จำนวน 30 โครงการ มูลค่า 21,510 ล้านบาท แยกเป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 17 โครงการ คิดเป็น 32% และโครงการภูมิภาค จำนวน 13 โครงการ คิดเป็น 22%  โดยปีนี้มีการพัฒนาแบบบ้านรูปแบบใหม่ เปิดตัวแบรนด์แนวราบ ภายใต้ชื่อ ESSENCE เจาะกลุ่มลูกค้าระดับราคา 4 – 10 ล้านบาท  ซึ่งเป็นครั้งแรกในการพัฒนาการออกแบบที่พักอาศัย  3  ชั้น  3  แบบ  3  สไตล์  รวมสินค้าประเภทบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม ในโครงการเดียวกัน เพื่อตอบรับทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยแบรนด์ ESSENCE มาจากแนวคิด THE SCENT OF YOUR ESSENCE สะท้อนทุกด้านของตัวคุณ เพราะมองว่าจุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จของแต่ละคนจะเริ่มต้นที่ “บ้าน” ซึ่งเป็นพื้นที่เตรียมความพร้อมการใช้ชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน เปิดตัวโครงการแรก ในทำเลกลางเมืองอย่าง “ลาดพร้าว” เป็นทำเลที่ไม่เคยเข้าไปพัฒนาโครงการมาก่อน ในชื่อ “ศุภาลัย เอสเซ้นส์ ลาดพร้าว” (SUPALAI ESSENCE LADPRAO) บนพื้นที่ประมาณ 26 ไร่ จำนวน 190 แปลง มูลค่าโครงการประมาณ 1,200 ล้านบาท บนทำเลลาดพร้าวมีศักยภาพสูง สามารถเชื่อมต่อสู่ทุกศูนย์กลางธุรกิจ พร้อมการคมนาคมที่สะดวกสบาย อาทิ ถนนลาดพร้าว ถนนรามคำแหง ทางด่วนรามอินทรา - อาจณรงค์ รองรับด้วยระบบรถไฟฟ้าถึง 3 เส้นทาง      คือ สายสีเหลือง สถานีลาดพร้าว 101 สายสีเทา สถานีฉลองรัช และ MRT สถานีลาดพร้าว แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ Foodland บิ๊กซี Central East Ville เดอะมอลล์บางกะปิ โรงพยาบาลเวชธานี มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต (RBAC) โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) สำหรับแนวคิดการสร้างสรรค์แบบบ้าน 3 ชั้นใหม่ล่าสุด 3 แบบ 3 สไตล์  ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม ซึ่งยังคง concept การอนุรักษ์พลังงานภายในบ้าน ด้วยพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง พร้อมดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสามารถตอบสนองทุก Lifestyle ของครอบครัวได้อย่างหลากหลาย สามารถปรับเปลี่ยน Function ให้เหมาะกับแต่ละกิจกรรมของครอบครัวได้ ศุภศิริ เริ่มต้นด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบบบ้าน “ศุภศิริ” บ้านเดี่ยว 3 ชั้น สไตล์ Modern Contemporary พื้นที่ใช้สอย 321 ตร.ม. บนที่ดินขนาดประมาณ 52 ตร.ว.ขึ้นไป ราคาเริ่ม 10.9 ล้านบาท จุดเด่นที่สำคัญอยู่ที่ “Grand Vertical Living Room” ห้องรับแขกเพดานสูงถึง 6 ม. ประกอบด้วย 5 ห้องนอน โดยมีห้องนอนชั้นล่างสำหรับผู้สูงอายุ 4 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ (ชั้น 2) ขนาดใหญ่สำหรับทำกิจกรรมทุกรูปแบบ 1 ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำ อีกทั้งมีช่องแสงขนาดใหญ่บริเวณโถงบันไดนำแสงเข้ามาเพิ่มความอบอุ่นภายในบ้านได้อย่างทั่วถึง และที่จอดรถสามารถจอดได้ถึง 4 คัน ศุภศิลป์ ศุภศิลป์ ศุภศิลป์ ศุภศิลป์ ศุภศิลป์ ศุภศิลป์ ศุภศิลป์ ศุภศิลป์ แบบบ้าน “ศุภศิลป์” บ้านรุ่นใหม่ 3 ชั้น ออกแบบในสไตล์ Modern ตอบรับทุก Life Style ของคนรุ่นใหม่ พื้นที่ใช้สอย 243 ตร.ม. บนที่ดินขนาดประมาณ 38 ตร.ว. ขึ้นไป ราคาเริ่ม 7.7 ล้านบาท ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ (ชั้น 2) จุดเด่นอยู่ที่ “Sky Terrace” ระเบียงลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่ชั้น 2 เชื่อมโยงพื้นที่ภายในบ้านและภายนอกเข้าหากันได้อย่างลงตัว สามารถออกแบบได้ตามใจ อาทิ เป็นสวนขนาดใหญ่ พื้นที่ปาร์ตี้หรือทำกิจกรรมของครอบครัว เป็นต้น สร้างสรรค์เป็นพื้นที่ส่วนตัวได้ไม่จำกัดรูปแบบ ห้องนอนชั้นล่างที่สามารถปรับเป็นพื้นที่ทำงานได้ และที่จอดรถ 3 คัน   ศุภวิชญ์ ศุภวิชญ์ ศุภวิชญ์ ศุภวิชญ์ ศุภวิชญ์ ศุภวิชญ์ แบบบ้าน “ศุภวิชญ์” ทาวน์โฮม 3 ชั้น สไตล์ Modern พื้นที่ใช้สอย 181 ตร.ม. บนที่ดินขนาดประมาณ 20 ตร.ว. ขึ้นไป ราคาเริ่ม 3.99 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จุดเด่นอยู่ที่ “Peace & Joy Room” กับพื้นที่ส่วนตัวที่ห้องเอนกประสงค์ขนาดใหญ่ ชั้น 2 และที่จอดรถ 2 คัน ภายในโครงการยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ร่มรื่นด้วยสวนส่วนกลาง Space Garden & Play Zone อาคารนิติบุคคลพร้อมสระว่ายน้ำ ระบบ Easy Pass เข้า-ออกเฉพาะลูกบ้าน และกล้อง CCTV ทั้งที่ทางเข้า - ออก และภายในโครงการ พร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 24 - วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งมั่นใจว่า แบบบ้านรูปแบบใหม่ของศุภาลัย ภายใต้แบรนด์ ESSENCE จะได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมากด้วยดีไซน์ใหม่ที่ตอบสนองทุก Lifestyle ของทุกคนในครอบครัว สัมผัสกับที่อยู่อาศัยทำเลกลางเมืองที่คุณอาจหาความคุ้มค่าแบบนี้ที่ไหนไม่ได้อีก สามารถสอบถามข้อมูล โทร 1720 หรือชมรายละเอียดของโครงการได้ที่ www.supalai.com
เมอร์คคอร์ป เดินหน้าโครงการ “MILLIONAIRE FAST-LANE II ONE KESAS” ปูทางขยายโอกาสผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดอาเซียน

เมอร์คคอร์ป เดินหน้าโครงการ “MILLIONAIRE FAST-LANE II ONE KESAS” ปูทางขยายโอกาสผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดอาเซียน

MERC CORP ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ ผนึกกำลังพันธมิตร KM LAND GROUP ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ในมาเลเซีย ดำเนินงานโครงการ Millionaire Fast-lane II หรือ “ทางสายด่วนชวนเป็นเศรษฐี” ครั้งที่ 2 เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยรุกหน้าขยายธุรกิจให้เติบโตในตลาดอาเซียนได้อย่างเต็มศักยภาพ ดร.ภาณุ บุญสมบัติ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เมอร์คคอร์ป กล่าวว่า ด้วย MERC CORP เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทพัฒนาที่ดินในทวีปเอเชีย และประเทศออสเตรเลีย ในด้านห้างสรรพสินค้า รูปแบบค้าปลีกและค้าส่ง รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนในต่างประเทศ ตลอดจนเป็นที่ปรึกษาทางด้านการขายและการตลาด โดยเฉพาะในประเทศมาเลเซีย ที่ในขณะนี้มีความต้องการสินค้าและบริการจากประเทศไทย ร้านอาหารไทย ในรูปแบบ STAND ALONE, MAGNET ZONING, SPECIALTY STORE,CONCEPT STORE และ TRADE CENTER เป็นต้น การแข่งขันของธุรกิจไทยในปัจจุบันตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจไทยที่จะแสวงหาลู่ทางการลงทุนใหม่ ๆ ในต่างประเทศ และปฏิเสธไม่ได้ว่าขณะนี้ต่างชาติมีความต้องการสินค้าไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประเทศในแถบอาเซียน ด้วยเหตุนี้จึงจัดตั้งโครงการ MILLIONAIRE FAST-LANE ขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เพื่อเป็นศูนย์รวมข้อมูลสินค้าจากผู้ประกอบการไทย ที่ต้องการนำสินค้าออกสู่ตลาดโลก ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ และสมาคมที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เช่น สสว. สมาคมเอส เอ็ม อี สมาคมแฟรนส์ไชส์ ศูนย์รวมสินค้า OTOP และสมาคมหอการค้าไทย ในการเปิดช่องทางให้เข้าถึงข้อมูลของสมาชิกของแต่ละภาคส่วนเพื่อนำเสนอกิจกรรมและช่องทางการตลาดของโครงการฯ โดยล่าสุดได้ร่วมกับพันธมิตร KM LAND GROUP ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ในมาเลเซีย ในการขยายธุรกิจไทยสู่ ONE KESAS ศูนย์ค้าส่งสินค้าไทยแห่งแรกในมาเลเซีย นับได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของผู้ประกอบการไทย ที่จะขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ด้าน MR. ONG SHAU SOO CHIEF EXECUTIVE OFFICER KM LAND GROUP กล่าวว่า KM LAND GROUP บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันได้ดำเนินงานโครงการ ONE KESAS ซึ่งเริ่มจากความต้องการสร้างศูนย์กระจายสินค้าเพื่อการค้าส่งสินค้าไทยโดยเฉพาะ เนื่องด้วยความนิยมสินค้าไทยในประเทศมาเลเซีย มีสัดส่วนที่สูงขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภทอาหารแห้ง ขนมอบกรอบ เครื่องปรุงรส สินค้าหัตถกรรม สินค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สปาที่ผลิตจากสมุนไพรไทย รวมถึงสินค้าแฟชั่น เป็นต้น เรียกได้ว่า ONE KESAS เป็นเสมือนโชว์รูมขนาดใหญ่สำหรับสินค้าไทยอย่างถาวรและเต็มรูปแบบ รองรับด้วยร้านค้ามากกว่า 200 ร้านค้า นอกจากนี้ยังให้การสนับสนุนและจัดการด้านการตลาดทั้งทางออนไลน์ และ ออฟไลน์ พร้อมทั้งการจัดการด้านงานขาย ตลอดจนการจัดหาตัวแทน     จัดจำหน่ายอีกด้วย “ประเทศมาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกอาเซียนที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเป็นตลาดที่สินค้าไทยมีศักยภาพสูง ด้วยมูลค่าส่งออกของไทยไปมาเลเซียที่เพิ่มขึ้นจาก 7.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2552 เป็น 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2556 หรือขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 11 ต่อปี ส่งผลให้ปัจจุบันมาเลเซียก้าวขึ้นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 1 ของไทยในอาเซียน และเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 5 ของไทยในโลก ขณะที่การค้าระหว่างไทยและมาเลเซียยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีกในระยะถัดไป เนื่องจากเศรษฐกิจมาเลเซียมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดย EIU คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.8 ในปี 2556 เป็นเฉลี่ยร้อยละ 5.4 ต่อปี ในช่วงปี 2557-2561 ซึ่งจะเกื้อหนุนกำลังซื้อของชาวมาเลเซียที่มีจำนวนราว 30 ล้านคน โดยมีรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 จาก 10,650 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2556 เป็น 16,070 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2561 สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าผู้ประกอบการไทยจะสร้างรายได้มหาศาลจากประเทศศักยภาพได้อย่างแน่นอน” โครงการ “MILLIONAIRE FAST-LANE II ONE KESAS” จึงเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการไทยในการลุยสนามเพื่อขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ สู่การกระจายสินค้าในตลาดอาเซียนได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น สินค้าในความนิยมอย่างสินค้าที่เกี่ยวกับนวัตกรรมที่ดูแลสิ่งแวดล้อม (SMART IS THE NEW GREEN) นวัตกรรมสู่ความเป็นศูนย์ และส่งเสริมธุรกิจที่พัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ โดยเฉพาะ SMEs ที่พัฒนาสินค้าและบริการที่เป็นปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงปัจจัยที่ส่งเสริมสุข ซึ่งได้รับกระแสนิยมอยู่ในขณะนี้ จะสามารถเติบโตในตลาดอาเซียนได้ระยะยาว” ดร.ภาณุ บุญสมบัติ กล่าวปิดท้าย สำหรับผู้ประกอบการไทยที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่  081-330-3322 และ 083-083-7023
คอนโดหรูยอดพุ่งรับปี 61

คอนโดหรูยอดพุ่งรับปี 61

ซีบีอาร์อี ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก เผยปี 2561 แนวโน้มคอนโดหรูยังดีต่อเนื่อง เริ่มต้นด้วยยอดขายคอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่ในย่านใจกลางกรุงเทพมหานครที่พุ่งสูงทะลุเป้า ผู้พัฒนาโครงการต่างกำลังมองหาที่ดินในทำเลชั้นดีและวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ ขณะที่ผู้ซื้อก็มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตนี้อย่างชัดเจนจากโครงการคอนโดมิเนียมที่บริษัทเป็นตัวแทนในการขายที่เปิดตัวในเดือนมกราคมที่ผ่านมา อาทิ คูเปอร์ สยาม ซึ่งปิดการขายหมดภายในวันเดียว และเดอะ รีเซิร์ฟ สุขุมวิท 61 ที่สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 85% อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่า มิวนีค หลังสวน คอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ที่จะเปิดการขายในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ก็จะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกัน โดยเห็นได้จากยอดลงทะเบียนจำนวนมากจากผู้ที่สนใจในโครงการ ในปี 2560 ซีบีอาร์อีสามารถปิดการขายคอนโดมิเนียมและบ้านเดียวในประเทศไทยมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.77 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ถึง 12% “เราเชื่อว่าการทำการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ทำให้โครงการคอนโดมิเนียมคุณภาพระดับลักซ์ชัวรี่ในกรุงเทพฯ เป็นที่สนใจ เพราะยังอยู่ในระดับราคาที่หาซื้อได้เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองใหญ่อื่นๆ อย่างฮ่องกงหรือสิงคโปร์” นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าว ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่า ผู้ซื้อทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจะให้ความสนใจซื้อที่พักอาศัยในย่านใจกลางกรุงเทพฯ เพิ่มมากขึ้นอีก  ผู้ซื้อชาวไทยที่มีกำลังซื้อสูงจำนวนมากที่มีบ้านพักอาศัยขนาดใหญ่ในย่านชานเมืองของกรุงเทพฯ หันมาซื้อที่พักอาศัยใจกลางเมืองมากขึ้นเพราะเป็นทั้งสถานที่ทำงานและสะดวกสบาย อีกเหตุผลหนึ่งของการซื้อคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง คือเพื่อเป็นบ้านหลังที่สองสำหรับลูกที่กำลังศึกษาในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย หรือทำงานในเมือง นอกจากนี้ผู้ซื้อชาวไทยและชาวต่างชาติต่างเลือกซื้อคอนโดมิเนียมหรูในทำเลชั้นนำของกรุงเทพฯ ในฐานะที่เป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน เพราะจากสถิติที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าราคาปรับเพิ่มสูงขึ้นมาโดยตลอด เป็นที่เห็นได้ชัดว่า ราคาที่ดินและราคาคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวใหม่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะที่ดินในทำเลชั้นดีที่มีศักยภาพในการนำมาพัฒนาโครงการนั้นหาได้ยากมากขึ้นทุกที ผู้ซื้อจึงตัดสินใจซื้อตอนนี้ดีกว่ารอซื้อในอนาคตที่มีแนวโน้มว่าราคาจะขยับขึ้นไปอีก    
กฎหมายใหม่ คนเช่าหอมีเฮ

กฎหมายใหม่ คนเช่าหอมีเฮ

หลายคนคงจะต้องผ่านช่วงชีวิตของการเป็นเด็กหอมาใช่ไหมคะ เพราะการได้อยู่ใกล้กับสถานที่เรียนหรือสถานที่ทำงานย่อมประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้มากกว่า ซึ่งแต่ละคนก็ต้องเจอปัญหาจุกจิกกวนใจไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง อย่างเรื่องค่าประกันหอแรกเข้าที่แพงกว่าค่าเช่าห้องหลายเท่าตัว ค่าน้ำ-ค่าไฟที่เก็บในอัตราสูงเกินจริง เวลาจะย้ายออกจากหอก็โดนยึดเงินประกันจนเกือบจะไม่เหลือทั้งที่ไม่มีอะไรเสียหาย แต่ต่อไปนี้ปัญหาจะลดลงและหมดไปในอนาคต เพราะกำลังจะมีกฎหมายใหม่ออกบังคับใช้เพื่อควบคุมปัญหาหอพัก-อพาร์ทเม้นท์ทั่วประเทศ   กฎหมายควบคุมหอพักที่กำลังจะเผยโฉมออกมาในเร็ววันนี้เกิดขึ้นมาจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) ได้รับการร้องเรียนเข้ามาอย่างมากมายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการเช่าหอพัก-อพาร์ทเม้นท์ โดยปัญหา 2 อันดับแรก คือ เมื่อผู้เช่าได้ย้ายออกจากหอพักโดยแจ้งล่วงหน้าเอาไว้ 1 เดือนตามสัญญา แต่กลับไม่ได้เงินค่าประกันหอพักและค่าเช่าล่วงหน้าที่ได้เก็บไว้ตั้งแต่แรกเข้าคืน กับเรื่องอัตราค่าน้ำแพงเกินจริงถึง 15-20 บาท/ลบ.ม. ทั้งที่อัตราค่าน้ำจริงอยู่ที่ 8-11 บาท/ลบ.ม. ส่วนค่าไฟอัตราที่หอพักคิดประมาณ 6-9 บาท/หน่วย แต่อัตราจริงอยู่ที่ 2-4 บาท/หน่วย บางแห่งก็เจอปัญหามิเตอร์วิ่งเร็วเกินจริงอีกด้วย และเมื่อทางสคบ. ได้เขาไปตรวจสอบก็พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนมากจะเป็นหอพักสำหรับนักศึกษา กฏหมายฉบับนี้จึงกำลังจะเกิดขึ้นเพื่อไม่ให้เอาเปรียบผู้บริโภคต่อไปได้ ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในช่วงของการส่งเรื่องเพื่อประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป   ไม่เพียงแต่ควบคุมเรื่องค่าน้ำ-ค่าไฟ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของผู้อยู่อาศัยหอพักเพียงเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงการควบคุมธุรกิจพอพัก แม้ตอนนี้จะยังไม่ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจนแต่ก็ให้คำจำกัดความกับธุรกิจประเภทนี้ว่า เป็นผู้ที่มีห้องแล้วแบ่งให้เช่าตั้งแต่ 5 ห้องขึ้นไปไม่ว่าจะมีอยู่กี่ที่ หรืออยู่กันคนละแห่งก็ตามจะต้องเข้าหลักเกณฑ์ในการควบคุมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหอพัก อพาร์ทเม้นท์ บ้านเช่า หรือคอนโดมิเนียม ส่วนที่เป็นหอพักนักเรียน นักศึกษา จะต้องทำการจดทะเบียนให้ถูกต้อง ซึ่งส่วนนี้จะไปอยู่ในความควบคุมของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์     กฎหมายฉบับนี้มีใจความสำคัญที่เป็นข้อกำหนดให้ปฏิบัติ เช่น ผู้ให้บริการหอพักจะต้องแสดงรายละเอียดให้ชัดเจนครบถ้วนในสัญญา ไม่ว่าจะเป็นชื่อ ที่อยู่ของผู้เช่า ระยะเวลาการเช่า รายละเอียดของทรัพย์สินภายในห้องที่ให้เช่า อัตราค่าน้ำ-ค่าไฟที่เหมาะสมอ้างอิงกับอัตราจริง วิธีการชำระเงิน ฯลฯ และจะมีการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ใหม่แก่ผู้ประกอบการ ที่สำคัญคือเงื่อนไขข้อปฏิบัติของการคืนเงินประกัน รวมไปถึงกำหนดข้อห้ามต่างๆ อย่างห้ามไม่ให้มีการเก็บเงินค่าเช่าห้องล่วงหน้าเกิน 1 เดือน ห้ามไม่ให้เก็บเงินค่าประกันเกิน 50% ของค่าเช่า ต้องคืนเงินประกันภายใน 7 วัน หลังผู้เช่าได้ทำการย้ายออก ห้ามไม่ให้ล็อกห้องผู้เช่าที่จ่ายเงินล่าช้าหลังวันที่กำหนด และไม่ให้เก็บเงินเพิ่มสำหรับผู้ต่อสัญญา เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะต้องทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ โดยมีการกำหนดโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีการฝ่าฝืนต้องมีโทษทันที ซึ่งหากมีผลบังคับใช้เมื่อไรผู้ประกอบธุรกิจจะต้องยกเลิกสัญญาฉบับเดิมที่เคยทำไว้ทั้งหมด แล้วทำสัญญาใหม่กับผู้เช่าภายใต้ข้อกำหนดใหม่ให้เป็นไปตามกฎหมาย   ผู้ที่เช่าอาศัยอยู่หอพักเห็นแบบนี้แล้วคงจะสบายใจกันมากขึ้น เพราะเมื่อมีกฎหมายออกมาคุ้มครองผู้บริโภคอย่างนี้แล้ว   ก็จะไม่ถูกเจ้าของหอพักขูดรีดโดยที่ทำอะไรไม่ได้อีกต่อไป รอติดตามการมีผลบังคับใช้กันได้เลยค่ะ คาดว่าประมาณเดือนพฤษภาคมนี้ เราจะได้เห็นหน้าตาของตัวกฎหมายควบคุมหอพักขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย    
ภาษีลาภลอย กฎหมายใหม่เตรียมบังคับใช้

ภาษีลาภลอย กฎหมายใหม่เตรียมบังคับใช้

แวดวงอสังหาริมทรัพย์เป็นเรื่องของที่ดินโดยตรงจึงไม่แปลกที่หลายครั้งเราจะต้องพูดถึงเรื่องของราคาที่ดินซึ่งถือเป็นปัจจัยใจหลัก รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ก็ส่งผลกระทบด้วยเช่นกันอย่างปัจจัยทางด้านกฎหมายที่ระยะหลังมีทั้งการร่างกันขึ้นมาใหม่และแก้ไขกันอยู่ไม่น้อย ซึ่งเมื่อมีการร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่ก็ย่อมมีผลกระทบในหลายด้านตามมาตั้งแต่ยังไม่ได้มีผลบังคับใช้ ก่อนหน้านี้เรามีบทความที่กล่าวถึงพรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกันมาแล้ว คราวนี้เราจะมาพูดถึง “ภาษีลาภลอย” (Windfall Gain Tax) หรือพ.ร.บ. ภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ โดยภาษีนี้จะจัดเก็บกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ตามพื้นที่แนวรถไฟฟ้า ใกล้ทางด่วน ท่าเรือ และสนามบิน ตามที่กำหนด ดังนี้ พื้นที่เสียภาษี -พื้นที่ใกล้กับรถไฟฟ้า ทั้งรถไฟฟ้ารางคู่ รถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนต่างๆ ในระยะไม่เกิน 2.5 กิโลเมตรจากตัวสถานี -พื้นที่ใกล้ทางด่วน ระยะไม่เกิน 2.5 กิโลเมตร ตามจุดขึ้น-ลง -พื้นที่ใกล้สนามบิน ระยะไม่เกิน 5 กิโลเมตรจากแนวเขตห้ามก่อสร้างของสนามบิน -พื้นที่ใกล้ท่าเรือ ระยะไม่เกิน 5 กิโลเมตรจากแนวเขตของท่าเรือ วิธีการจัดเก็บภาษี แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ 1.การก่อสร้างโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยังไม่เสร็จ (เก็บภาษีทุกครั้งที่มีการขายหรือเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือคอนโด) ทำสัญญาก่อน พรบ. บังคับใช้ -ที่ดิน มูลค่าวันโอน-มูลค่าในวันที่ พรบ. บังคับใช้ × 5% -คอนโด ยูนิตใหม่ (20%ของมูลค่าขาย)× 5% ยูนิตเก่า มูลค่าขาย-มูลค่าในวันที่ พรบ. บังคับใช้ × 5% ทำสัญญาหลัง พรบ. บังคับใช้ -ที่ดิน มูลค่าวันโอน-มูลค่า ณ วันที่เริ่มโครงการ× 5% -คอนโด ยูนิตใหม่ 20% ของราคาประเมินวันขาย× 5% ยูนิตเก่า มูลค่าวันโอน-มูลค่า ณ วันที่เริ่มโครงการ× 5% 2.การก่อสร้างโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเสร็จแล้ว (เก็บภาษีจากเจ้าของคอนโดมิเนียมที่รอการจำหน่ายเพียงครั้งเดียว) ทำสัญญาก่อน พรบ. บังคับใช้ -ที่ดินเชิงพาณิชย์มูลค่าเกิน 50 ล้านบาท มูลค่าวันที่ก่อสร้างเสร็จ-มูลค่าในวันที่ พรบ. บังคับใช้ × 5% -คอนโดที่มีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท หรือเป็นโครงการที่ยังไม่ขาย ยูนิตใหม่ 20% ของมูลค่าในวันที่สร้างเสร็จ × 5% ยูนิตเก่า มูลค่าในวันที่สร้างเสร็จ-มูลค่าในวันที่ พรบ. บังคับใช้ × 5% ทำสัญญาหลัง พรบ. บังคับใช้ -ที่ดินเชิงพาณิชย์มูลค่าเกิน 50 ล้านบาท มูลค่าวันที่ก่อสร้างเสร็จ-มูลค่า ณ วันที่เริ่มโครงการ × 5% -คอนโดที่มีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท หรือเป็นโครงการที่ยังไม่ขาย ยูนิตใหม่ 20% ของมูลค่าในวันที่สร้างเสร็จ × 5% ยูนิตเก่า มูลค่าในวันที่สร้างเสร็จ-มูลค่า ณ วันที่เริ่มโครงการ × 5% *การเก็บภาษีนี้จะคิดจากราคากลางที่กรมธนารักษ์ประเมิน ใครได้ประโยชน์ เงินจากการจัดเก็บภาษีนี้จะถูกส่งเข้าไปยังกองทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ซึ่งจะมีการบริการจัดการโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) นำไปช่วยเหลืองบประมาณด้านการพัฒนาสาธารณูปโภคด้านการคมนาคมต่อไป ที่ผ่านมาเจ้าของที่ดินเหล่านี้นั้นได้ประโยชน์จากราคาที่พุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ยิ่งเป็นที่ดินที่อยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าในปัจจุบันช่วงต้นถนนสุขุมวิทไปจนถึงโซนอ่อนนุชมีราคาเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 30% ต่อปี หรือกำลังก่อสร้างอยู่ก็ยิ่งได้ราคาดีอย่างก้าวกระโดด ซึ่งทุกวันนี้เราจะเห็นได้ว่าเริ่มมีการประกาศขายที่ดินเปล่าเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติประมาณ 10-20% โดยผู้ที่มีที่ดินลักษณะนี้ไว้ในครอบครองส่วนมากจะเป็นที่ดินมรดกโดยเฉพาะย่านใจกลางเมืองที่เป็นของตระกูลดังมาตั้งแต่อดีตนำออกมาขายหรือประมูลกันมากขึ้น เพราะอยู่ในข่ายของการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แม้จะได้รับการยกเว้นในภาษีลาภลอยนี้ เพราะไม่ได้นำที่ดินมาใช้เพื่อผลตอบแทนเพิ่มก็ตาม ยกตัวอย่างที่ดินเหล่านี้ เช่น ที่ดินรวมถึงบ้านของตระกูลพิชัยรณรงค์สงคราม ย่านถนนหลังสวนใกล้กับ BTS ชิดลม ขนาด 2 ไร่เศษ ได้ราคาประมูลจากเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น สูงถึง 3.2 ล้านบาท/ตร.ว. ที่ดินของตระกูลพานิชภักดี บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ย่านพระราม 3 พื้นที่ประมาณ 24 ไร่ ขายให้กับเอชเคอาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(HKRI) บริษัทอสังหาริมทรัพย์เจ้าใหญ่จากฮ่องกง เพื่อพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับพรีเมี่ยม เป็นต้น บางครั้งกลุ่มนายทุนก็กว้านซื้อที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าในอนาคตดักเอาไว้เพื่อเก็งกำไรขายให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่าเหล่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะได้รับผลกระทบที่ต้องซื้อที่ดินราคาแพงขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงภาษีที่เป็นส่วนต่างนี้และค่าธรรมเนียมการโอนที่ก็มีการปรับราคาขึ้นจากการประเมินเช่นกัน(ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างผู้ซื้อ-ขาย) แต่ผลกระทบที่แท้จริงจะตกลงมาอยู่ที่ผู้บริโภค เพราะต้องซื้อคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า หรือที่อยู่อาศัยประเภทอื่นๆ ในทำเลดีที่มีราคาแพงมากขึ้นด้วยต้นทุนที่กำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ อย่างไรก็ตามภาษีลาภลอยนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากนัก เพราะในปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) สรุปความคิดเห็นส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) แล้ว ซึ่งทางภาครัฐพยายามให้มีผลบังคับใช้ภายในปลายปีนี้  
รายได้น้อยก็กู้ซื้อบ้านได้

รายได้น้อยก็กู้ซื้อบ้านได้

เมื่อพูดถึงเรื่องการกู้สินเชื่อบ้านหลายคนต้องมีคำถามตามมามากมาย และหนึ่งในคำถามที่หลายคนอยากรู้กันมากที่สุดคือ ต้องมีรายได้ขั้นต่ำเท่าไหร่จึงจะยื่นกู้ได้ แล้วถ้ามีรายได้ต่อเดือนน้อยจะสามารถมีบ้านเป็นของตัวเองได้ไหม คำตอบคือ “ได้” ซึ่งหากติดตามข่าวจะทราบว่าทั้งทางภาครัฐและเอกชนมีมาตรการสำหรับผู้มีรายได้น้อยออกมาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งก็มีเงื่อนไขแตกต่างกันไป ในบทความนี้เราจะยกตัวอย่างโครงการสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย รวมถึงวิธีคำนวณวงเงินกู้สินเชื่อบ้านดูอย่างคร่าวๆ ว่าเงินเดือนเท่านี้ จะสามารถยื่นกู้ได้แค่ไหน   โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ เป็นโครงการบ้านประชารัฐระยะที่ 2 โดยวางวงเงินสินเชื่อทั้งหมดเอาไว้ที่ 4,000 ล้านบาท จากธนาคารออมสินกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มีวิธีการพิจารณาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรกคือประชาชนที่มีรายชื่อขึ้นทะเบียนบัตรสวัสดิการรัฐเอาไว้แล้ว กลุ่มต่อมาคือประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาท/เดือน และกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มประชาชนทั่วไป โดยลักษณะของโครงการจะมีทั้งบ้านแฝด 18 ตร.ว. บ้านแถวชั้นเดียว 16 ตร.ว. และอาคารที่พักอาศัย 24 ตร.ม. ในราคาไม่เกินยูนิตละ 350,000-700,000 บาท ผ่อนชำระไม่เกิน 2,000 บาท/เดือน ซึ่งโครงการระยะที่ 2 นี้จะอยู่ในพื้นที่ของราชพัสดุ กรมธนารักษ์ ทั้งหมด  8 แปลง คือ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง 618 ยูนิต อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 584 ยูนิต อ.เมือง จ.เชียงราย 352 ยูนิต อ.เมือง จ.นครพนม 322 ยูนิต อ.เมือง จ.ขอนแก่น 292 ยูนิต อ.เมือง จ.อุดรธานี 264 ยูนิต อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 186 ยูนิต และอ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 139 ยูนิต ซึ่งในแต่ละพื้นที่โครงการจะถูกแบ่งเป็นที่พักอาศัย 70% กับพื้นที่เชิงพาณชิย์อีก 30% ทั้งหมดนี้กรรมสิทธิ์จะเป็นของผู้ได้รับสิทธิ์ระยะยาว 30 ปี   โครงการสินเชื่อบ้านสวัสดิการแห่งรัฐดำเนินการโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) โดยในปีนี้กำหนดวงเงินในสินเชื่อรายใหม่สูงถึง 1.89 แสนล้านบาท ซึ่งมีทั้งหมด 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นโครงการสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และประชาชนที่มีรายได้น้อยไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน สามารถยื่นกู้ได้นานที่สุดถึง 40 ปี ในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 2,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรก 2.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นโครงการสำหรับบุคลากรภาครัฐ ไม่จำกัดวงเงินสูงสุดต่อราย อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรก 3.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นโครงการสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประชาชนที่มีรายได้น้อยไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงาน/เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเป็นผู้ที่มีภูมิลำเลาอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือต้องการอาศัยอยู่ วงเงินกู้ 1,000,000-2,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปีแรก ทั้งนี้ถ้ากู้ไม่เกิน 1,000,000 บาท จะมีข้อกำหนดในรายได้ต่อเดือนประมาณ 12,000 บาท ผ่อนชำระไม่เกิน 4,200 บาท/เดือน ที่สำคัญผู้ที่ไม่มีงานทำสามารถยื่นเป็นผู้กู้ร่วมได้ และในกรณีที่มีหลักฐานด้านรายได้ไม่เพียงพอ ธอส. จะให้เปิดให้มีการเดินบัญชี 6-9 เดือน หากเป็นไปตามเงื่อนไขกำหนดแล้วจึงค่อยอนุมัติสินเชื่อให้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  ghbank.co.th นอกจากนี้ยังมีอีกหลายธนาคารที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีรายได้ไม่สูงมากนักก็สามารถกู้สินเชื่อบ้านได้ตามกฏที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละธนาคาร ที่สำคัญคือผู้กู้จะต้องมีความสามารถในการผ่อนชำระสูงสุดแต่ละเดือนต้องไม่เกิน 40% ของรายได้ ระยะเวลาผ่อนประมาณ 15-35 ปี  และไม่มีภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วย(ถ้ามีภาระผ่อนอย่างอยู่ด้วยก็จะถูกหักลบไปในความสามารถการผ่อนต่อเดือน 40%) ซึ่งสำหรับการกู้บ้านจะขอกู้ได้ไม่เกิน 85% ของราคาประเมิน อาคารพาณิชย์ขอกู้ได้ไม่เกิน 75% ของราคาประเมิน ส่วนคอนโดมิเนียมจะขึ้นอยู่กับแต่ละโครงการว่ามีการร่วมกับธนาคารไหนบ้างซึ่งบางโครงการสามารถยื่นกู้ได้ถึง 100% โดยเรามีวิธีคำนวณเงินกู้จากฐานเงินเดือนคร่าวๆ เช่น 15,00040% = 6,000 บาท/เดือน รายได้ต่อเดือน 15,000 บาท ผ่อน 40% ของรายได้ต่อเดือน เท่ากับต้องผ่อนเดือนละ 6,000 บาท วงเงินการกู้ซื้อบ้าน ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 15 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  640,000 - 730,000 บาท ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 20 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  740,000 - 870,000 บาท ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 25 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  810,000 - 970,000 บาท ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 30 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  850,000 - 1,000,000 บาท ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 35 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  880,000 - 1,100,000 บาท *ทั้งนี้แล้วแต่อัตราดอกเบี้ยและการพิจารณาของแต่ละธนาคารด้วย นั่นหมายความว่าแม้มีรายได้น้อยก็สามารถยื่นกู้ได้เพียงแต่วงเงินที่ทางธนาคารอนุมัติก็จะน้อยลงไปตามสัดส่วน และแต่ละโครงการที่อยู่อาศัย แต่ละโปรโมชั่นของธนาคารนั้นแตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นผู้สนใจยื่นกู้สินเชื่อบ้านควรจะรวบรวมข้อมูลจากหลายๆ แห่งมาเปรียบเทียบกัน โดยเฉพาะเรื่องดอกเบี้ยเพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด เกี่ยวกับเรื่องกู้ซื้อที่อยู่อาศัย วิธีเตรียมกู้ซื้อบ้าน สำหรับอาชีพอิสระ เคล็ด (ไม่) ลับ เลือกธนาคารกู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อบ้าน-คอนโด ให้ได้ 100% ทำยังไง  
คอนโดใหม่ ต้นปี 2018

คอนโดใหม่ ต้นปี 2018

จากการคาดการณ์ด้านเศรษฐกิจของปีนี้ที่หลายฝ่ายมองว่าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เหล่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้เริ่มมีการเปิดตัวโครงการกันตั้งแต่ต้นปี ไม่ว่าจะเป็นค่ายใหญ่ที่เตรียมเปิดกันหลายสิบโครงการ ไปจนถึงค่ายที่เป็นผู้เล่นจากต่างจังหวัดก็ยังเข้ามาลงสนามอันร้อนแรงในกรุงเทพฯ เชื่อว่าปีนี้จะเป็นอีกหนึ่งปีที่มีการเปิดตัวโครงการมากที่สุดต่อเนื่องจากเมื่อปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครที่กำลังมองหาคอนโดใหม่เพื่ออยู่อาศัย หรือเหล่านักลงทุน ปีนี้อย่ากระพริบตา รับรองว่าเหล่า Developer มีอะไรมาให้ติดตามกันมากมายตลอดปี เริ่มต้นจากคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ที่เปิดตัวกันไปแล้วในช่วงต้นปีนี้ มีตัวไหนเด็ดๆ บ้าง เรารวบรวมมาให้ดูกันค่ะ Muniq Langsuan จาก Major Development คอนโดมิเนียม High Rise 28 ชั้น 1 อาคาร 166 ยูนิต สถานที่ตั้งโครงการ : ถนนต้นสน จุดเด่น : เป็นโครงการแบบ Freehold ที่หายากในทำเลนี้, Automatic Parking 111% Unite Type :1 Bedroom : 50.00-57.00 ตร.ม. 1 Bedroom Plus : 64.00-78.00 ตร.ม. 2 Bedrooms : 83.00-113.00 ตร.ม. 2 Bedrooms Plus : 96.00-101.00 ตร.ม. 3 Bedrooms : 121.00-133.00 ตร.ม. 3 Bedrooms Plus : 176.00-179.00 ตร.ม. Penthouse (The Collection) : 71.00-254.00 ตร.ม. ราคา : เริ่มต้น 12.9 ล้านบาท เฉลี่ย 310,000 บาท/ตร.ม.   Cooper Siam จาก Koon Estate คอนโดมิเนียม High Rise 24 ชั้น 1 อาคาร 188 ยูนิต สถานที่ตั้งโครงการ : ถนนรองเมือง ซอยรองเมือง 5 Concept : Combo Loft จุดเด่น : ห้องเพดานสูง 4.6 เมตร ลิฟท์แยกโซน Unite Type : Single และ Double  41-71 ตร.ม. Sky Residence 1-2 ห้องนอน 30 – 67 ตร.ม. Penthouses และ Duplex 3 ห้องนอน 188 – 220 ตร.ม. ราคา : เริ่มต้น 4 ล้านบาท เฉลี่ย 138,000 บาท/ตร.ม. The Reserve Sukhumvit 61 จาก Pruksa คอนโดมิเนียม Low Rise 7 ชั้น 2 อาคาร 186 ยูนิต สถานที่ตั้งโครงการ : ซอยสุขุมวิท 61 Concept : Reserve Your Exclusivity จุดเด่น : อยู่ย่านใจกลางเมือง แต่ภายในซอยเงียบสงบ Unite Type : 30.75-138.80 ตร.ม. 1 Bedroom 2 Bedroom 3 Bedroom Duplex ราคา : เริ่มต้น 10 ล้านบาท เฉลี่ย 325,000 บาท/ตร.ม. One 9 Five Asoke-Rama9 จาก TC Development คอนโดมิเนียม High Rise 61 ชั้น 2 อาคาร 954-957 ยูนิต สถานที่ตั้งโครงการ : ริมถนนพระราม 9 จุดเด่น : เน้นการออกแบบที่ดีทั้งภายในและภายนอกอาคารที่หรูหราแต่ราคาจับต้องได้, พื้นที่ส่วนกลาง 8-9 ไร่ Unite Type : 1 Bedroom Junior Suite 25.5-27.5 ตร.ม. 1 Bedroom Deluxe 35-41 , 48-69.5 ตร.ม. 2 Bedroom Deluxe 55-67.5 ตร.ม. 3 Bedroom Exclusive 94-109.5 ตร.ม. Penthouse 194-271 ตร.ม. ราคา :  เริ่มต้น 2.89 ล้านบาท เฉลี่ย 114,000 บาท/ตร.ม. The Line Wongsawang จาก Sansiri คอนโดมิเนียม High Rise 36 ชั้น 1 อาคาร 1,287 ยูนิต สถานที่ตั้งโครงการ : ติดถนนกรุงเทพฯ-นนทบุรี ขาออก Concept : ก้อนเมฆ จุดเด่น : ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีวงศ์สว่าง 200 เมตร Unite Type : 1 Bedroom  28.00-40.75 ตร.ม. 2 Bedrooms  47.75-55.75 ตร.ม. ราคา : เริ่มต้น 1.99 ล้านบาท เฉลี่ย 95,000 บาท/ตร.ม. KnightsBridge Space Rama IX จาก Origin คอนโดมิเนียม High Rise 28 ชั้น 1 อาคาร 325 ยูนิต สถานที่ตั้งโครงการ : ริมถนนดินแดง ใกล้สี่แยกพระราม 9 จุดเด่น : เพดานห้องสูง 4.2 เมตร   IKON Sukhumvit77 จาก V Property คอนโดมิเนียม Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร 442 ยูนิต สถานที่ตั้งโครงการ : สุขุมวิท 77 (ซอยอ่อนนุช 10) Concept : Living Extraordinary จุดเด่น : เข้า-ออกได้หลายเส้นทาง เช่น สุขุมวิท 77-สุขุมวิท 81 Unite Type : Studio  23.23-26.01 ตร.ม. 1 Bedroom  27.45-31.56 ตร.ม. 1 Bedroom Plus  34.15-34.85 ตร.ม. 2 Bedrooms  43.27-47.05 ตร.ม. ราคา : เริ่มต้น 1.99 ล้านบาท เฉลี่ย 85,665 บาท/ตร.ม. Ciela sripatum จาก Grand Unity คอนโดมิเนียม High Rise 28 ชั้น 1 อาคาร 903 ยูนิต สถานที่ตั้งโครงการ : ริมถนนพหลโยธิน ตรงข้ามมหาวิทยาลัยศรีปทุม Concept : Simply Makes Sense จุดเด่น : เป็นคอนโดมิเนียมโครงการแรกที่ติดรถไฟฟ้าจากแกรนด์ ยูนิตี้, ราคาเปิดตัวไม่สูง Unite Type : 22.5-60 ตร.ม.    
SC ประกาศโรดแมป 3 ปี “SC RE-INVENTION 2020” ก้าวสู่การเป็น LIVING SOLUTIONS PROVIDER มั่นใจกวาดยอดขายรวมสามปี มากกว่า 60,000 ลบ. และรุกเปิด 19 โครงการใหม่ 19,000 ลบ. ในปี 2018

SC ประกาศโรดแมป 3 ปี “SC RE-INVENTION 2020” ก้าวสู่การเป็น LIVING SOLUTIONS PROVIDER มั่นใจกวาดยอดขายรวมสามปี มากกว่า 60,000 ลบ. และรุกเปิด 19 โครงการใหม่ 19,000 ลบ. ในปี 2018

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศวิชั่นและโรดแมปการเติบโตสามปีของ SC ว่า “ทุกองค์กรในโลกนี้กำลังถูกท้าทายอย่างรุนแรงเพราะ landscape ของโลกธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไป วิธีคิดแบบเดิมเริ่มใช้ไม่ได้ในบริบทใหม่ digital technology มีบทบาทอย่างมหาศาลในการสร้างความท้าทายครั้งนี้ทำให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตอย่างรวดเร็ว ภาพ landscape ใหม่ที่เกิดขึ้น คือ อุตสาหกรรมต่างๆ เชื่อมต่อกันกลายเป็น ecosystem ที่มีสมาชิกหลากหลาย และหลาย ecosystem ก็เชื่อมต่อกันเอง เกิดโมเดลธุรกิจใหม่นอกเหนือไปจาก products และ services นั่นคือ platforms และ solutions เกิดการร่วมงานของกลุ่ม 3 กลุ่มเพื่อตอบสนองความต้องการ  ของมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น กลุ่ม  1  incumbents หรือ stakeholders เดิมในอุตสาหกรรมเดิม กลุ่ม  2 tech entrepreneurs ทำงานเร็วและเกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะอย่างของมนุษย์ กลุ่ม  3  digital giants บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ มีแนวโน้มที่จะขยายขนาดและขอบเขตการทำธุรกิจครอบคลุมไปทุกอุตสาหกรรม tech entrepreneurs และ digital giants มีบทบาทสำคัญของการเชื่อมต่ออุตสาหกรรมต่างๆ เข้าด้วยกัน องค์กรในกลุ่ม 1 จะอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน ต้องพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ ร่วมทำงานกับกลุ่ม 2 และกลุ่ม 3 เพื่อให้ก้าวทันพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของมนุษย์หรือผู้บริโภค ”   เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน SC จึงประกาศโรดแมปสามปี SC RE-INVENTION 2020 ตั้งเป้าหมายยอดขาย 24,000 ล้านบาท รายได้ 22,000 ล้านบาทในปี 2020 และยอดขายรวมสามปี 2018-2020 มากกว่า 60,000 ล้านบาท ปรับวิธีคิดจากการเป็น Developer ก้าวสู่การเป็น Living Solutions Provider ทำงานร่วมกับ partners หลากหลายใน ecosystem เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้นบน landscape ใหม่นี้ โดยจะเติบโตด้วยกลยุทธ์ 4 ข้อคือ 1. RE-INVENTION จาก DEVELOPER สู่ LIVING SOLUTIONS PROVIDER ผ่าน 3D - D1  DIGITIZE ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานจาก analog เป็น digital เพื่อจะได้นำ data ทั้งในส่วนการทำงานและความต้องการของลูกค้า (insights) มาวิเคราะห์และพัฒนาให้ดีขึ้น - D2 DESIGN ใช้หลัก human-centric ออกแบบสินค้า บริการ และโซลูชั่น (solutions) โดยเริ่มต้นที่ทำความเข้าใจปัญหา หรือ pain points ในการใช้ชีวิตของลูกค้า - D3  DEVELOP ประสานนวัตกรรม และพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพในทุกระดับราคา 2. CO-CREATION ด้วยการที่ SC ร่วมกับพันธมิตรในระบบ ecosystem ส่งมอบ living solutions (การพัฒนาที่อยู่อาศัยและบริการหลังการขาย โดย SC และสิ่งอื่นๆ โดยพันธมิตร) ให้ลูกค้าและชุมชนข้างเคียง เราเรียก living solutions platform ของเราว่า Rue Jai 3. QUALITY FIRST คุณภาพสินค้าและบริการเป็นเรื่องสำคัญเหนือสิ่งใด แบ่งเป็นสองส่วนคือ pre-transfer และ after-transfer 4. TOP-LINE GROWTH เติบโตในส่วน top-line ทั้งยอดขายและรายได้อสังหาฯ เพื่อขายทำหน้าที่หลักขับเคลื่อนการเติบโต ในขณะที่อสังหาฯ เพื่อเช่าทำหน้าที่เป็น secured income ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่อาคารสำนักงานเพื่อเช่ารวม 110,000 ตรม. มีสัดส่วนของกำไรสุทธิสูงถึง 1 ใน 4 อสังหาฯ เพื่อขายแบ่งออกเป็น แนวราบและแนวสูง แนวราบ โดยรักษาฐานผู้นำตลาดบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 8 ล้านบาท และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของบ้านเดี่ยวราคาต่ำกว่า 8 ล้านบาท  กับทาวน์โฮม 2-3 ล้านบาท ในปีนี้ SC จะขยายพื้นที่การพัฒนาโครงการไปจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเล็งเห็นโอกาสของการเติบโตของเมืองจากเมกะโปรเจค EEC ในปี 2020 สัดส่วนมูลค่ายอดขายแนวราบ กรุงเทพและต่างจังหวัดของ SC จะอยู่ที่ 90:10 แนวสูง  SC และ SCOPE บริษัทร่วมทุนที่ SC ถือหุ้นอยู่ 90% ภายใต้การนำของ CEO คุณยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ เตรียมพัฒนาโครงการใหม่แนวสูงในสามปีนี้รวมกว่า 10 โครงการ โดยสัดส่วนหลักของรายได้แนวสูงในสามปีนี้ จะมาจากการโอนของ 3 โครงการ super luxury คือ  SALADAENG ONE, BEATNIQ, และ 28 CHIDLOM” “ SC ตั้งเป้าหมายยอดขายและรายได้ปี 2018 ที่ 17,000 ล้านบาท ยอดขายเติบโตประมาณ 11% และ    เตรียมเปิด 19 โครงการใหม่ มูลค่า 19,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 17 โครงการ มูลค่า15,000 ล้านบาท และ แนวสูง 2 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท พร้อมกับเตรียมงบสำหรับซื้อที่ดินในปีนี้ 10,000 ล้านบาท” “ hi-light ของโครงการใหม่ในปีนี้ สำหรับแนวราบคือ township concept development จำนวน 2 โครงการ 2 ทำเล บนที่ดินผืนใหญ่ทำเลกรุงเทพตะวันออก บริเวณกรุงเทพกรีฑากว่า 115 ไร่ และกรุงเทพตะวันตก บางกระดี จ.ปทุมธานีกว่า 200 ไร่ ซึ่งจะเปิดขายครึ่งปีหลังของปี 2018 และนอกจากนี้  50% ของโครงการใหม่ปีนี้จะเป็นแบรนด์ PAVE และ VERVE ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมระดับราคา 2-5 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของส่วนแบ่งตลาดแนวราบกลุ่มนี้ในช่วงปี 2018-2020 สำหรับแนวสูงคือ โครงการ CENTRIC รัชโยธิน ทำเลใกล้ BTS สถานีรัชโยธินเพียง 150 เมตร เป็นอาคารสูง 21 ชั้น เริ่มต้น 3.7 ล้านบาท เปิดพรีเซลส์มีนาคม 2018 นี้ มูลค่า 1,500 ล้านบาท กับ โครงการ  THE CREST สุขุมวิท 23 มูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาท จะเปิดขายประมาณไตรมาสสี่ของปี ” นายณัฐพงศ์ กล่าวสรุปว่า “ ในปี 2017 ที่ผ่านมา SC ทำยอดขายสร้างสถิติใหม่ทั้งยอดขายรวม 15,278 ล้านบาท และยอดขายแนวราบ 10,547 ล้านบาท ครอง market share อันดับ 1 บ้านเดี่ยว ราคามากกว่า 15 ล้านบาท และอันดับ 2 บ้านเดี่ยวรวมทุกระดับราคา ในขณะที่ยอดขายจากการบอกต่อ  สัดส่วนอยู่ที่ 18% แสดงถึงความมั่นใจที่ลูกค้ามีต่อเรา รวมถึงคุณภาพของที่อยู่อาศัยและบริการ ในปี 2018 บริบทได้เปลี่ยนแปลงไป เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน SC จะไม่ยึดติดกับวิธีการเดิม เราพร้อม re-invent ตัวเองและทำงานร่วมกับพันธมิตรใน ecosystem เพื่อส่งมอบ living solutions ที่มีคุณภาพสูงสู่ลูกค้าของเรา ”
แสนสิริปฎิวัติวงการอสังหาฯ รุกกลยุทธ์ Personalized CRM ครั้งแรกในไทย นำร่องเปิดตัว “Siri Priority” ดันไฮไลท์ RM ผู้ช่วยบริหารอสังหาฯแบบครบวงจร

แสนสิริปฎิวัติวงการอสังหาฯ รุกกลยุทธ์ Personalized CRM ครั้งแรกในไทย นำร่องเปิดตัว “Siri Priority” ดันไฮไลท์ RM ผู้ช่วยบริหารอสังหาฯแบบครบวงจร

แสนสิริ รุกปฎิวัติวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง เผยกลยุทธ์ Personalized CRM ตอบโจทย์ลูกค้าในระดับบุคคลครั้งแรกในไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำที่เติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตที่เหนือระดับแก่ลูกค้ามากว่า 35 ปี ยกระดับการดูแลลูกค้าไปอีกขั้นด้วยหลักแนวคิดผ่านมุมมองลูกค้า (Consumer centric) พร้อมเจาะลึกไปยังความต้องการในระดับบุคคล (Personalized) มากขึ้น นำร่องผ่านการเปิดตัว “Siri Priority” พลิกโฉมสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านการการอยู่อาศัยและการลงทุนอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรแห่งแรกของไทย มุ่งเจาะลูกค้ากลุ่มที่มีศักยภาพสูงภายใต้คอนเซ็ปต์ “สร้างสรรค์เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ให้สมบูรณ์แบบ” ชูไฮไลท์บริการสุดพิเศษจาก RM (Relationship Manager) ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาฯ พร้อมเตรียมต่อยอดกลยุทธ์ Personalized CRM ที่หลากหลายสอดรับความต้องการลูกค้าทุกกลุ่มผ่านแสนสิริ แฟมิลี่ รูปแบบใหม่และยกระดับสู่แพลตฟอร์ม “eCRM” เพื่อการบริการที่ครบครัน สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างไร้รอยต่อ     นายสมัชชา พรหมศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรและดิจิตอลมาร์เก็ตติง เผยว่า “ตลอดระยะเวลา 35 ปี แสนสิริไม่เคยหยุดนิ่งในการสร้างสรรค์โครงการและบริการใหม่ๆ ให้แก่วงการอสังหาฯไทย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะยกระดับประสบการณ์การใช้ชีวิตของลูกบ้าน ภายใต้แนวคิดที่ยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer-centric) ทำให้เราเข้าใจลึกซึ้งถึงทุกอินไซต์ของลูกค้า โดยในปัจจุบันเราเล็งเห็นว่าความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยมีความแตกต่างกันมากขึ้นและยังเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของกลยุทธ์ Personalized CRM ที่เพิ่มมิติด้านการบริการเจาะลึกไปยังความต้องการในระดับบุคคล ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯ ของแสนสิริที่ไม่เคยหยุดนิ่ง โดยนำร่องด้วย “Siri Priority” ที่มุ่งตอบโจทย์ทุกความต้องการ ทั้งการอยู่อาศัย และการลงทุน ด้วยไฮไลท์การบริการผู้ช่วยบริหารอสังหาริมทรัพย์ส่วนตัว หรือ RM (Relationship Manager) เป็นครั้งแรกในวงการอสังหาฯไทย เพื่อผลักดันแสนสิริสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร”     “Siri Priority” เป็นโปรแกรมเฉพาะสำหรับการดูแลลูกค้าที่มีศักยภาพสูง เพื่อการอยู่อาศัย และการลงทุนต่อยอดในอนาคต  รวมถึงลูกค้าที่ซื้อโครงการแฟลกชิพของแสนสิริ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สร้างสรรค์เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ให้สมบูรณ์แบบ” (Enrich your experience) ผนวกด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร (Property Investment Consultant) โดยลูกค้ากลุ่มนี้มีทั้งผู้ที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยรวมถึงเป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยที่มีบริการเจาะกลุ่มลูกค้านักลงทุนโดยเฉพาะ ซึ่งแสนสิริได้ออกแบบการบริการโดยคำนึงถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและลักษณะการลงทุนในอสังหาฯ หนึ่งในไฮไลท์การบริการของ Siri Priority คือ RM (Relationship Manager) ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ที่พร้อมทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวแนะนำและดูแลการบริหารอสังหาริมทรัพย์สำหรับลูกค้าเป็นรายบุคคล โดย RM พร้อมให้คำปรึกษาอย่างเจาะลึก เพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนให้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น ทั้งยังนำเสนอข้อมูลเชิงลึกในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอ้างอิงจากสถิติหรืองานวิจัยเกี่ยวกับอสังหาฯ เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนการลงทุน พร้อมอัพเดทข้อมูลที่น่าสนใจเพื่อให้ลูกค้าไม่พลาดการลงทุนที่น่าสนใจ นอกจากนี้ยังให้บริการเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ อีกด้วย     นายสมัชชา กล่าวว่า “ที่ผ่านมาเราเห็นแนวโน้มว่าลูกค้าเริ่มหันมาลงทุนในอสังหาฯมากขึ้น แสนสิริจึงได้ออกแบบ Siri Priority เพื่อดูแลลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ ส่วนใหญ่มักเป็นนักธุรกิจหรือประกอบกิจการส่วนตัว ลักษณะการดำเนินธุรกิจของพวกเขาอาจจะรัดตัวหรือมีการเดินทางไปเจรจาทางธุรกิจที่ต่างประเทศอยู่บ่อยๆ  แสนสิริจึงจัดสรรบริการสุดพิเศษจาก RM ครั้งแรกในไทย เปรียบเสมือนผู้ช่วยที่พร้อมให้บริการรอบด้าน พร้อมมอบการบริการแก่ลูกค้าแบบตรงจุดเฉพาะบุคคล เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าผ่านการบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟและความรู้ความเชี่ยวชาญที่ครบครัน  ครอบคลุมในแง่การอยู่อาศัยและการลงทุน ซึ่งจากการเปิดตัว Siri Priority แก่ลูกค้าไปเมื่อเดือนธันวาคม 2560 เราได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าในแง่ที่ว่า Siri Priority สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้รอบด้านไม่ว่าจะเป็นด้านความสะดวก รวดเร็ว สอดรับกับการดำเนินชีวิตในยุคดิจิทัล หรือในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารอสังหาฯ พร้อมมอบการลงทุนต่อยอดที่ตรงจุดยิ่งขึ้น”     นอกจาก Siri Priority แล้ว แสนสิริต่อยอดกลยุทธ์ Personalized CRM ที่หลากหลายเพื่อสอดรับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มผ่าน ”แสนสิริ แฟมิลี่” (Sansiri Family) สังคมอบอุ่นที่แสนสิริมอบให้ลูกค้าทุกคนมากว่า 35 ปีเพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกแง่มุมไม่ได้จำกัดแค่การอยู่อาศัย โดยในปีนี้แสนสิริมีปรับโฉมแสนสิริ แฟมิลี่เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ให้ลูกบ้านกว่า 70,000 ครัวเรือน ผ่าน 2 ทิศทางดังนี้ - รุกต่อยอดด้านดิจิทัลผ่านการเปิดตัว eCRM ครั้งแรก เป็นการยกระดับกลยุทธ์ Personalized CRM สู่แพลตฟอร์มดิจิทัลโดยผนวกรวมกับ Home Service Application ทำให้สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนรุ่นใหม่ที่ดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ซึ่ง eCRM จะรวบรวมสิทธิพิเศษและระบบบริหารจัดการที่อยู่อาศัยไว้อย่างครบวงจร สร้างความประทับใจตั้งแต่ Touch point แรกของลูกค้า รวมถึงมีการคัดสรรสิทธิพิเศษอื่นๆ บนพื้นฐานของความต้องการเฉพาะ (Personalized) ของลูกบ้านแต่ละท่าน เพื่อให้ลูกบ้านได้รับข้อมูล บริการ และสิทธิพิเศษที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด รวมถึงทำให้แสนสิริสามารถจัดเก็บ database หรือนำข้อเสนอแนะจากลูกบ้านมาพัฒนาต่อยอดฟังก์ชันใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย โดยพร้อมเปิดใช้งาน eCRM เต็มรูปแบบในเดือนมีนาคม 2561   รุกเติมเต็มในด้านไลฟ์สไตล์ โดยยึด 4 แกนสำคัญ ดังนี้   - Global connected/partnership – จากการมุ่งเสาะหาพันธมิตรชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ อาทิ Monocle, JustCo, The Standard ฯลฯ เพื่อมอบประสบการณ์ด้านไลฟ์สไตล์อย่างครบครันที่มากกว่าแค่การอยู่อาศัย ลูกค้าแสนสิริจะได้สัมผัสกิจกรรมพิเศษและได้สิทธิพิเศษที่น่าสนใจจากพันธมิตรเหล่านี้ เช่น สิทธิพิเศษสำหรับการจองห้อง Co-working space ที่ JustCo ทั้งในไทยและสิงคโปร์, ส่วนลดสำหรับการ Subscribe ข่าวสารและนิตยสาร Monocle ฯลฯ     - Differentiate from others – จากการศึกษาความต้องการและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกบ้าน แสนสิริมอบอภิสิทธ์เหนือระดับที่แตกต่างไม่เหมือนใครให้แก่ลูกค้า โดยนำร่องเปิดตัวไลฟ์สไตล์ ลิฟวิ่ง คอมมูนิตี้ (Lifestyle Living Community) บนแพลตฟอร์มดิจิทัล คือ Sansiri Urban Vibes ไลฟ์สไตล์คอมมิวนิตี้บน IG ซึ่งจะเป็นกูรูหรือบัทเลอร์ส่วนตัว ที่จะมาแนะนำอัพเดตสถานที่แฮงค์เอ้าท์และไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครในย่าน ทองหล่อ-เอกมัย พร้อมมอบประสบการณ์และสิทธิประโยชน์สำหรับลูกบ้านแสนสิริโดยเฉพาะ  ซึ่งในอนาคตมีแผนที่จะขยับขยายไปที่พื้นที่อื่นๆ โดยแต่ละพื้นที่จะมีการออกแบบกิจกรรมและคอนเท้นต์ที่สอดรับกับความต้องการของลูกบ้านในบริเวณนั้น   - Beyond expectation –มอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายให้แก่ลูกบ้านแสนสิริในทุกๆ เดือน กับกิจกรรมและของสมนาคุณพิเศษจากพันธมิตรของแสนสิริซึ่งเป็นแบรนด์แนวหน้าในแขนงต่างๆ โดยผ่านทางช่องทางใหม่ โดยเฉพาะ Home Service Application โดยลูกบ้านสามารถเลือกความสนใจได้จากหมวดหมู่มากมาย เพื่อความต้องการที่ตรงจุดมากขึ้น   - Access the Inaccessible – เติมเต็มทุกมิติในการใช้ชีวิตของลูกบ้านผ่านประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เช่น การจัด lifestyle event ที่หยิบยกเอาเทรนด์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจทั่วโลกมาจัดเป็นอีเวนท์พิเศษสำหรับลูกบ้านแสนสิริทุกคนทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด เพราะแสนสิริให้ความสำคัญกับลูกบ้านทุกท่านไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน     “เป้าหมายของแสนสิริไม่ใช่เพียงแค่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่เรามุ่งเติมเต็มทุกประสบการณ์ในการใช้ชีวิตของทุกคน ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าลูกบ้านมีความต้องการที่เฉพาะตัวและหลากหลายมากขึ้น ดังนั้นการพัฒนาโครงการหรือการบริการจึงไม่สามารถทำแบบ One Size Fits All ได้อีกต่อไป กลยุทธ์ Personalized CRM ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของแสนสิริที่ทำให้เรามอบบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ตรงจุดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนผ่าน Siri Priority และกลุ่มลูกค้าอื่นๆ ผ่าน Sansiri Family ซึ่งในอนาคตจะมีการต่อยอดให้สอดรับความต้องการของลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้งและมุ่งเน้นบนแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์และสร้างสรรค์ประสบการณ์การใช้ชีวิตของลูกบ้านเราทุกคนได้อย่างรอบด้าน” นายสมัชชา กล่าวปิดท้าย
สมาคมสถาปนิกสยามฯ จัดงานสถาปนิก ’61 ภายใต้แนวคิด “Beyond Ordinary : ไม่ธรรมดา” งานสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมและงานออกแบบพื้นถิ่น

สมาคมสถาปนิกสยามฯ จัดงานสถาปนิก ’61 ภายใต้แนวคิด “Beyond Ordinary : ไม่ธรรมดา” งานสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมและงานออกแบบพื้นถิ่น

นายอัชชพล ดุสิตนานนท์ (ที่ 2 ขวามือ) นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ผศ.ดร.อภิรดี เกษมศุข (ที่ 3 ขวามือ) ประธานจัดงานสถาปนิก ’61  และนายศุภแมน มรรคา (ที่ 3 ซ้ายมือ) รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้จัดงาน ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานสถาปนิก ’61 (Architect Expo 2018) ภายใต้แนวคิด “Beyond Ordinary : ไม่ธรรมดา” ชูแนวคิดการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นในวิถีชีวิตร่วมสมัยของสังคมไทย งานนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 1-6 พฤษภาคม 2561 เวลา 10.00 – 20.00 น. ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยงานแถลงข่าวจัดขึ้น ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (หอศิลป์กรุงเทพฯ) เมื่อเร็วๆ นี้
เอพีเผยแผนธุรกิจปี 61 ขับเคลื่อนด้วย 5 กลยุทธ์หลัก มุ่งใช้นวัตกรรมนำสู่ความสำเร็จ เดินหน้าเตรียมเปิด 34 โครงการใหม่

เอพีเผยแผนธุรกิจปี 61 ขับเคลื่อนด้วย 5 กลยุทธ์หลัก มุ่งใช้นวัตกรรมนำสู่ความสำเร็จ เดินหน้าเตรียมเปิด 34 โครงการใหม่

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ของประเทศไทย แสดงวิสัยทัศน์ “เชื่อมั่นตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง” โดยเอพีพร้อมเดินหน้ารับเทรนด์ตลาด ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 33,500 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้รวมปี 2561 ไว้ที่ 28,100 ล้านบาท ด้วยการรุกตลาดเปิดตัวโครงการใหม่ 34 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 49,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 19,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 30 โครงการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท ผ่าน 5 กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ 1) สานต่อความสำเร็จกับกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท 2) เปิดตัวสินค้าระดับ Super Luxury 3) รุกตลาดสินค้าแนวราบ สร้างความต่างด้วยการออกแบบสินค้าที่ตอบความต้องการเฉพาะกลุ่ม 4) ขยายพอร์ตตลาดต่างประเทศ 5) พัฒนานวัตกรรมดิจิตอลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี หลังปีที่ผ่านมา (2560) กวาดยอดขายรวมได้กว่า 42,900 ล้านบาท เกินจากเป้าหมายยอดขายเดิมที่ตั้งไว้ในปี 2560 คือ 26,000 ล้านบาท หรือโตขึ้นถึง 92% หากเทียบกับยอดขายปี 2559 ที่ทำได้ 22,365 ล้านบาท นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับทิศการดำเนินงานในปี 2561 บริษัทฯ ยังคงมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ในการนำพาเอพีก้าวขึ้นสู่การเป็น 1 ใน 3 ของผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ภายใต้พันธกิจสำคัญ คือ การส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีในการอยู่อาศัย ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการคิดค้นนวัตกรรมดีไซน์ใหม่ๆ ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย และวางแผนจัดตั้งหน่วยงานพิเศษ เพื่อทำหน้าที่ค้นหา คิดค้น และพัฒนานวัตกรรมที่ส่งเสริม และยกระดับ รูปแบบการดำเนินชีวิตสู่ประสบการณ์อยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์สู่วิถีใหม่ๆ อย่างครบถ้วนด้วยคุณภาพ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย เข้าถึงความหมายของคำว่าคุณภาพชีวิตที่ลูกค้าต้องการอย่างแท้จริง และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 34 โครงการมูลค่า 49,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 19,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 30 โครงการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 33,500 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายรายได้รวมปี 2561 ไว้ที่ 28,100 ล้านบาท ผ่านแผนการดำเนินงานใน 5 มิติสู่ความสำเร็จ 1) สานต่อความสำเร็จกับกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท 2) เปิดตัวสินค้าระดับ Super Luxury 3) รุกตลาดสินค้าแนวราบ สร้างความต่างด้วยการออกแบบสินค้าที่ตอบความต้องการเฉพาะกลุ่ม 4) ขยายพอร์ตตลาดต่างประเทศ 5) พัฒนานวัตกรรมดิจิตอลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานบมจ. เอพี (ไทยแลนด์) ในปี 2561 ประกอบด้วย สานต่อความสำเร็จกับกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท เดินหน้าสานต่อความร่วมมือเป็นปีที่ 5 กับทางมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป โดยปีนี้มีแผนที่จะพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับกลางบนอย่างต่อเนื่อง โดยได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมใหม่ไปแล้วจำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 23,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงเดือนมีนาคม บริษัทฯ จะพร้อมเปิดขายคอนโดร่วมทุนโครงการแรก คือ LIFE สุขุมวิท 62 โดย ณ ปัจจุบัน เอพี-มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป มีคอนโดมิเนียมที่พัฒนาร่วมกันทั้งสิ้น 15 โครงการ มูลค่าโครงการสูงถึง 73,000 ล้านบาท เปิดตัวสินค้าระดับ Super Luxury ด้วยแบรนด์ที่ครองใจผู้บริโภค ไฮไลต์ของปีนี้คือ การนำแบรนด์ระดับ Super Luxury ของเอพีที่ประสบความสำเร็จอย่างมากและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค อย่างแบรนด์คอนโด THE ADDRESS และคฤหาสน์หรูแบรนด์ THE PALAZZO กลับมาพัฒนาอีกครั้ง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าระดับบน ที่มองหาที่อยู่อาศัยพรีเมี่ยมในทำเลศักยภาพ ซึ่งคาดว่าจะพร้อมเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง รุกตลาดสินค้าแนวราบ สร้างความต่างด้วยการออกแบบสินค้าที่ตอบความต้องการเฉพาะกลุ่ม (MASS CUSTOMIZED DESIGN) ในปีนี้ทีม AP Design Lab ไม่หยุดนิ่งที่จะสร้างความแตกต่าง ทั้งด้านการดีไซน์ และฟังก์ชั่นการใช้งานภายในตัวบ้าน เพื่อตอบความต้องการที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันเอพีได้พัฒนาแบบบ้านมากกว่า 70 แบบ กระจายอยู่ตามโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ในทำเลต่างๆ และในปี 2561 นี้เอพีพร้อมเปิดตัวแบบบ้านใหม่อีกจำนวนมาก ผ่านแผนการเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ จำนวน 30 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยเป็น ทาวน์โฮม 17 โครงการ มูลค่า 15,300 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว 13 โครงการ มูลค่า 14,700 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมเครือเอพี ต้องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวคนเมือง (THE ULTIMATE CHOICE FOR URBAN FAMILY) บริหารพอร์ตตลาดต่างประเทศ ผ่านการมอบหมายให้บริษัทในเครือเอพี บางกอก ซิตี้สมาร์ท จำกัด (BC) ซึ่งดำเนินธุรกิจตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์คลอบคลุมบริการรับฝากขาย ฝากเช่า เข้ามาบริหารจัดการดูแลการขายคอนโดมิเนียมเอพีในตลาดต่างประเทศอย่างเป็นทางการ หลังจากปีที่ผ่านมา BC มีผลการดำเนินงานที่ก้าวกระโดด ถือเป็นโบรเกอร์อันดับต้นๆ มียอดขายมูลค่าอสังหาริมทรัพย์สูงถึง 10,000 ล้านบาท พัฒนานวัตกรรมดิจิตอลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในการอยู่อาศัย ผ่านการผสานเทคโนโลยีเข้ากับกระบวนการออกแบบพื้นที่ใช้สอย ซึ่งปีที่ผ่านมาเอพีได้ร่วมกับพันธมิตรในการนำเสนอ นวัตกรรมต่างๆ ที่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัย เช่น ล็อกเกอร์อัจฉริยะ AP Smart Pod ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมการซื้อของออนไลน์ในยุคปัจจุบัน ซึ่งลูกบ้านในคอนโดมิเนียมสามารถรับของได้ตลอด 24 ช.ม.ด้วยตนเอง รวมถึงการนำเทคโนโลยี IoT มาเชื่อมต่อในทุกพื้นที่อยู่อาศัย เป็นต้น โดยในปี 2561 นี้ เอพีมีแผนจัดตั้งหน่วยงานพิเศษ เพื่อทำหน้าที่ค้นหา คิดค้น และพัฒนานวัตกรรมที่ส่งเสริมและยกระดับรูปแบบการดำเนินชีวิตสู่ประสบการณ์อยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์ไปสู่วิถีใหม่ๆ ครบถ้วนด้วยคุณภาพ ความสะดวกสบาย และปลอดภัยเข้าถึงความหมายของคำว่าคุณภาพชีวิตที่ลูกค้าต้องการอย่างแท้จริงและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น “ด้วยความพร้อมด้านทีมงานคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ และพันธมิตรคุณภาพภายใต้ passion เดียวกันที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมที่อยู่อาศัยคุณภาพ ผมเชื่อว่า เอพี ไทยแลนด์จะสามารถสร้างความแตกต่างและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และยังคงเป็น 1 ใน 3 ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยจะนำเสนอ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยแห่งอนาคต ผ่านการคิดค้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เท่าทันต่อโลกในอนาคต เพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียมไทยให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ" คุณอนุพงษ์กล่าวสรุป ทั้งนี้ สรุปสำหรับแผนการพัฒนาโครงการในปี 2561 นี้บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนทั้งสิ้น 34 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 49,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 19,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 30 โครงการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท  โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 33,500 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายรายได้รวมปี 2561 ไว้ที่ 28,100 ล้านบาท  โดยในครึ่งปีแรกบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่า 14,900 ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบ 10 โครงการ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 2 โครงการ และทาวน์โฮม 8 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 9,900 ล้านบาท  และ 2 คอนโดมิเนียมใหม่ คือ Aspire สาทร-ราชพฤกษ์ คอนโดมิเนียม สูง 32 ชั้น จำนวน 1,049 ยูนิต มูลค่า 3,000 ล้านบาท โดดเด่นด้วย 1 ก้าวจากสถานีบางหว้า สถานีเชื่อมต่อขนาดใหญ่ระหว่าง BTS และ MRT ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท พร้อมเปิดขายในวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์นี้ และ LIFE สุขุมวิท 62 คอนโดมิเนียมร่วมทุน สูง 24 ชั้น จำนวน 438 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เพียง 200 เมตรจาก BTS บางจาก ซึ่งเตรียมเปิดขายผ่านระบบออนไลน์ บุคกิ้งในวันที่ 27 มีนาคมนี้ ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา (2560) บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างมากสามารถสร้างยอดขายรวมของสินค้าทั้งกลุ่มคอนโด และแนวราบได้มากถึง 42,900 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ เกินจากเป้าหมายยอดขายเดิมที่ตั้งไว้ในปี 2560 คือ 26,000 ล้านบาท หรือโตขึ้นถึง 92% หากเทียบกับยอดขายปี 2559 ที่ทำได้ 22,365 ล้านบาท โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีนี้นั้น นอกจากจะมาจากการเปิดตัวสินค้าแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม 22 โครงการใหม่ ซึ่งมีอัตราการเติบโตทางยอดขายอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังมาจากการประสบความสำเร็จในการเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ LIFE ลาดพร้าว LIFE วิทยุ และ LIFE อโศก-พระราม 9  ซึ่งทั้ง 3 โครงการสามารถปิดการขายได้ประมาณ 90% ตลอดจนสินค้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Ongoing Projects) อีกกว่า 90 โครงการ ที่มีส่วนสำคัญช่วยผลักดันสู่ความสำเร็จครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้
อัลลอย เอ็มทีดี เตรียมเปิดตัว “เซาธ์ ทาวเวอร์ แอท วัน คราวน์ เพลส” เรสซิเด้นซ์สุดหรูใจกลางลอนดอน โฟกัสนักลงทุนไทย ชูจุดขายทำเลมหานครระดับโลก

อัลลอย เอ็มทีดี เตรียมเปิดตัว “เซาธ์ ทาวเวอร์ แอท วัน คราวน์ เพลส” เรสซิเด้นซ์สุดหรูใจกลางลอนดอน โฟกัสนักลงทุนไทย ชูจุดขายทำเลมหานครระดับโลก

กลุ่มบริษัทอัลลอย เอ็มทีดี (AlloyMtd) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก จากประเทศมาเลเซีย เตรียมเปิดขาย “เซาธ์ ทาวเวอร์ แอท วัน คราวน์ เพลส” (The South Tower at One Crown Place) เรสซิเด้นซ์สุดหรู ภายในโครงการมิกซ์ยูส “วัน คราวน์ เพลส” ใจกลางลอนดอน เจาะตลาดพร้อมเปิดโอกาสนักลงทุนไทยเป็นแห่งแรกในเอเชีย เปิดขายรอบพิเศษ 10 – 11 มีนาคมนี้ ณ โรงแรมอนันตราสยาม กรุงเทพฯ ผู้สนใจลงทะเบียนและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ CBRE ประเทศไทย  “วัน คราวน์ เพลส” โครงการมิกซ์ยูสสุดหรู ตั้งอยู่บน “ซันสตรีท” (Sun Street) เขตอนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ของ  กรุงลอนดอน ประกอบด้วย อพาร์ตเมนต์ที่อยู่อาศัย 246 ยูนิต, โรงแรมบูติคระดับ 5 ดาว, พื้นที่อาคารสำนักงานระดับพรีเมี่ยมขนาด 130,900 ตารางเมตร (140,000 ตารางฟุต), พื้นที่ร้านค้า 650 ตารางเมตร (7,000 ตารางฟุต) และระเบียงจอร์เจีย (Georgian Terrace) อันเก่าแก่ที่ได้รับการบูรณะมาอย่างต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของตัวโครงการฯ โดยมีราคาราคาเริ่มต้นที่ 39,500,000 บาท หรือ 888,000 ปอนด์ สำหรับห้องชุดประเภท 1 ห้องนอน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเข้าอยู่ได้ภายในปี 2563 ที คิม เซียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทอัลลอย เอ็มทีดี เปิดเผยว่า “การเปิดตัวของเซาธ์ ทาวเวอร์ แอท วัน คราวน์ เพลส เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับเรา และแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของสุดยอดโครงการที่เป็นแลนด์มาร์คแห่งนี้ โครงการนี้นับเป็นมิกซ์ยูสอย่างแท้จริง ซึ่งได้นำเสนอมาตรฐานสูงสุดทั้งด้านที่อยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์ ด้วยการออกแบบของนักออกแบบชั้นนำชาวอังกฤษ ที่สร้างสรรค์ให้เป็นศูนย์กลางการทำงานแห่งยุคสมัย และแหล่งเติมเต็มชีวิตในทุกๆ วัน บนทำเลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของมหานครลอนดอน โดยคนไทยจะเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนกลุ่มแรกๆ ที่ได้มีโอกาสจับจองโครงการที่โดดเด่นที่สุดแห่งนี้” โครงการ “วัน คราวน์ เพลส” ออกแบบโดย Kohn Pedersen Fox Associates (KPF) บริษัทออกแบบเจ้าของรางวัลชนะเลิศด้านสถาปัตยกรรมระดับนานาชาติ ประกอบด้วย อาคารสูงตระหง่าน 2 อาคาร มีชั้นสูงสุดอยู่ที่ชั้นที่ 33 ทั้งสองอาคาร โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ของ “ระเบียงจอร์เจีย” ที่สวยงาม ซึ่งเป็นที่สุดท้ายในละแวกนี้ที่ได้รับการบูรณะให้ยังคงความสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรมดั้งเดิม ซึ่งจะกลายเป็นคลับเฮาส์ของผู้อยู่อาศัยและโรงแรมบูติคระดับ 5 ดาว มิกซ์ยูสระดับซูเปอร์ไฮเอนด์แห่งนี้ ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับเวิลด์คลาสสำหรับผู้อยู่อาศัย ภายใต้การดูแลความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ให้ความรู้สึกของแหล่งชุมชนที่มีสีสันและในขณะเดียวกันก็ยังคงความเป็นส่วนตัว โดยสิ่งอำนวยความสะดวก ประกอบด้วย ห้องออกกำลังกายที่ทันสมัย, ห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัว, เลาจน์, โรงหนังขนาดเล็ก, ห้องทรีทเมนต์, สตูดิโอ และระเบียงชมวิวกว้างขวาง นอกจากนั้น แต่ละห้องชุดยังเต็มไปด้วยพื้นที่รับแสงธรรมชาติ (Light-Filled Space) ที่อบอุ่นและมีเสน่ห์อีกด้วย ทั้งนี้ พื้นที่ส่วนกลางและภายในอพาร์ตเมนต์ของ “วัน  คราวน์ เพลส” ได้รับการออกแบบโดยบริษัทตกแต่งภายในที่มีชื่อเสียงอย่าง Bowler James Brindley ในขณะที่เพนเฮ้าส์ 9 หลัง ถูกออกแบบโดย Sophie Ashby แห่ง Studio Ashby “วัน คราวน์ เพลส” ตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยชื่อดังและใกล้ย่านบริษัทชั้นนำของลอนดอนหลายแห่ง นอกจากนั้น ยังอยู่ในทำเลที่ตั้งของการคมนาคมท้องถิ่นหลายเส้นทาง รวมถึงเส้นทางใหม่ Elizabeth Line Rail (Crossrail) ที่จะเปิดให้บริการในปีนี้ ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินฮีทโทรว (Heathrow Airport) เพียง 33 นาที และสามารถเดินทางไปยังแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำของโลก อาทิ Bond Street, Broadgate Circle, Old Silicon Roundabout, Spitalfields Market และ Shoreditch ศูนย์กลางการสร้างสรรชื่อดัง เพียง 7 นาทีเท่านั้น   เฮนรี่ โรบินสัน กรรมการบริหารและพัฒนาโครงการ วัน คราวน์ เพลส กล่าวว่า “ลอนดอนคือเมืองระดับโลกที่เป็นที่ต้องการระดับนานาชาติอย่างแท้จริง เรามั่นใจว่า โครงการระดับเวิลด์คลาสแห่งนี้ จะดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั้งในสหราชอาณาจักรและจากทั่วโลกได้เป็นอย่างดี” ทั้งนี้ กฎหมายของสหราชอาณาจักรทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้ง่าย การถือครองกรรมสิทธิ์แบบเช่าซื้อ (Leasehold) ที่มีระยะเวลายาวนานถึง 999 ปี ซึ่งทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักรไม่เพียงแต่ดึงดูดผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย แต่ยังดึงดูดผู้ซื้อจากทั่วโลกที่เน้นการลงทุนอีกด้วย ดังนั้น นักลงทุนไทยจะมีโอกาสได้รับผลกำไรจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในลอนดอน โดยเฉพาะผู้ที่ส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งจากผลสำรวจที่ผ่านมา นักเรียนไทยเป็นนักเรียนชาวต่างชาติที่เข้ามาศึกษาในสหราชอาณาจักรมากเป็นอันดับที่ 7 จากทั่วโลก และมักใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 4 หรือ 5 ปี ซึ่งกลายเป็นแรงจูงใจในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งคุ้มค่ากว่าการเช่าห้องพัก นอกจากนี้ หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นจะยังสามารถได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตอย่างยั่งยืนของเงินทุนระยะยาวในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอน ผลจากการศึกษาและวิจัยตลาด แสดงให้เห็นว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามูลค่าของห้องชุดที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทำเลที่ตั้งที่สำคัญ เช่น ศูนย์กลางของกรุงลอนดอน ส่งผลให้มีการเติบโตของเงินทุนที่แข็งแกร่งซึ่งคาดว่า จะเพิ่มขึ้นถึง 16.7% ภายในปี 2564 ตามตัวเลขการวิจัยของ CBRE  ซึ่งนับเป็นผลตอบแทนที่สูงกว่าสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ทองคำ น้ำมัน และตลาดหุ้น นักลงทุนไทยและนักลงทุนรายอื่นๆ จากทั่วโลกมีความสนใจที่จะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอน เนื่องจาก สหราชอาณาจักรเป็นที่พำนักที่ปลอดภัยด้วยระบบกฎหมายที่โปร่งใส มีเขตเวลาที่เหมาะสำหรับการติดต่อสื่อสารและการพาณิชย์ระหว่างประเทศ, อุปทานของที่อยู่อาศัยยังไม่เพียงพอกับความต้องการ ทำให้ตลาดมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง, ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอันยาวนานของกรุงลอนดอน และการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล โดยเมื่อเร็วๆ นี้จำนวนนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียมีอัตราส่วนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินปอนด์
“สิงห์ คอมเพล็กซ์” พร้อมเปิดกลางปีนี้ จัดพิธีเทคอนกรีตปิดงานโครงสร้างอาคารภายนอก

“สิงห์ คอมเพล็กซ์” พร้อมเปิดกลางปีนี้ จัดพิธีเทคอนกรีตปิดงานโครงสร้างอาคารภายนอก

   สิงห์ คอมเพล็กซ์ (SINGHA COMPLEX) โครงการมิกซ์-ยูส ระดับพรีเมียมจากทาง บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) อัพเดทความคืบหน้าโครงการที่เตรียมเปิดให้คนเมืองได้สัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบกลางปีนี้ ล่าสุดจัดทำพิธีเทคอนกรีตปิดงานโครงสร้างอาคารภายนอกบนดาดฟ้าชั้น 42 อาคาร ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความคืบหน้าการพัฒนาโครงการมิกซ์-ยูส สิงห์ คอมเพล็กซ์ บนหัวมุมถนนอโศกเพชรบุรี ว่า “ปัจจุบันงานก่อสร้างตัวอาคารในโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ มีความคืบหน้าไปอย่างมาก โดยล่าสุดได้มีการจัดทำพิธีเทคอนกรีตปิดงานก่อสร้างโครงสร้างอาคารภายนอกของอาคารสำนักงาน ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ บนชั้น 42  เพื่อแสดงถึงความพร้อมของโครงการที่มีกำหนดเปิดใช้อาคารในช่วงกลางปี 2561 นี้    อาคารสำนักงาน ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด Stylish living is crafted and redefined ที่เน้นความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนเพื่อไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน ทั้งด้านการใช้ชีวิต การทำงาน การพักอาศัย และคำนึงถึงคุณภาพชีวิตภาพรวม โดยเป็นอาคารประหยัดพลังงานภายใต้กรีนคอนเซ็ปต์ (Green concept) ตามหลักมาตรฐานอาคารประหยัดพลังงานสากล LEED Gold เราให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เริ่มการออกแบบ ลงลึกในทุกขั้นตอนการก่อสร้าง ซึ่งเมื่อเปิดให้บริการจะถือเป็นอาคารสำนักงานเกรดเอแห่งใหม่บนทำเลอโศกเพชรบุรี ในมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับระดับนานาชาติ และยังตอบสนองทุกความต้องการของชุมชนโดยรอบ” โครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ เป็นอาคารมิกซ์ยูส ที่ประกอบด้วย อาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และอาคารพักอาศัย พัฒนาขึ้นบนพื้นที่ดิน 11 ไร่ โดยอาคารสำนักงานจะเป็นอาคารสูง 42 ชั้น ประกอบด้วยพื้นที่สำนักงาน  60,000 ตารางเมตร พื้นที่ค้าปลีกบริเวณชั้น 1-4 พื้นที่รวม 5,000 ตารางเมตร โดยอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกมีมูลค่าก่อสร้างรวมกว่า 4,200 ล้านบาท (ไม่รวมมูลค่าที่ดิน) และคอนโดระดับลักชัวรี THE ESSE at SINGHA COMPLEX ความสูง 39 ชั้น มูลค่าโครงการกว่า 4,300 ล้านบาท  
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ประเมินแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง จุดเชื่อมที่อยู่อาศัยในเขตปริมณฑลเดินทางเข้าเมือง

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ประเมินแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง จุดเชื่อมที่อยู่อาศัยในเขตปริมณฑลเดินทางเข้าเมือง

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร พบข้อมูลการเติบโตของประชากรเขตปริมณฑลเพิ่มขึ้นต่อเนื่องย้อนหลัง 20 ปี เพิ่มเฉลี่ย 21% ส่งผลที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงมีแนวโน้มคึกคัก เหตุเป็นจุดเชื่อมต่อในรูปแบบวงแหวนขนาดใหญ่ ส่งผลให้ราคาที่ดินแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงปรับตัวสูงขึ้นกว่า 40% ในช่วง 5 ปี โดยทำเลที่อยู่อาศัยย่านบางใหญ่  เตาปูน วงศ์สว่าง โดดเด่นสุด นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พบข้อมูลจำนวนการเพิ่มของประชากรในเขตกรุงเพทมหานครและปริมณฑลในช่วงปี 2540-2560 หรือ 20 ปีผ่านมา มีประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร ขยายตัวเพียงเล็กน้อยราว 1% เท่านั้น ในขณะที่เขตปริมณฑลกลับมีประชากรอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นถึง 21% โดยจังหวัดที่ได้รับความนิยมคือ ปทุมธานีเพิ่มขึ้น 40%  นนทบุรีเพิ่ม 24%  และสมุทรสาครเพิ่มขึ้น 19% ปัจจัยที่สนับสนุนให้ประชากรในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มขึ้นมาจากทำเลที่ไม่ได้ไกลจากกรุงเทพฯ ราคาที่ยังไม่ปรับตัวขึ้น สามารถเดินทางเข้ามาทำงานได้อย่างสะดวก ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยในเขตปริมณฑลจะมีความโดดเด่นมากขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมทำเลแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อลักษณะวงแหวนที่เชื่อมพื้นที่การเดินทางที่สำคัญของกรุงเทพฯ เข้าไว้ด้วยกัน โดยเริ่มจากการเป็นส่วนต่อขยายที่เชื่อมต่อจากรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-หัวลำโพง) จากสถานีเตาปูนวิ่งไปตามถนนกรุงเทพฯ-นนทบุรี, ติวานนท์, รัตนาธิเบศร์ และสุดสถานีที่ถนนกาญจนาภิเษกในอำเภอบางใหญ่ นอกจากนี้ ในอนาคตที่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินอยู่ระหว่างขยายเส้นทางส่วนต่อขยายจากฝั่งบางซื่อไปท่าพระ จากฝั่งหัวลำโพงไปบางแค บริเวณนี้จะกลายเป็นลูปรถไฟฟ้าเส้นทางวงแหวนที่เชื่อมการเดินทางบนพื้นที่สำคัญ นั่นหมายถึงผู้ที่อยู่อาศัยใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงจะได้อานิสงส์การเดินทางที่สะดวกและครอบคลุมในทุกพื้นที่มากขึ้น และยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายต่างๆ 3 เส้นทาง ซึ่งได้แก่ ที่สถานีบางซ่อนสามารถเชื่อมต่อไปรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-บางซื่อ) และที่สถานีเตาปูนจะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ อีกหนึ่งสายคือช่วงเตาปูน-ราชบูรณะถึงแม้ว่าในช่วงแรกที่รถไฟฟ้าสายสีม่วงเริ่มเปิดให้บริการในปี 2559 ผู้โดยสารอาจจะยังไม่ค่อยให้ความนิยม แต่ภายหลังทำการเชื่อมต่อในเดือนสิงหาคม 2560 ทำให้ยอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น จากข้อมูลของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ระบุว่าปัจจุบันมีผู้ใช้รถไฟฟ้าสายสีม่วงกว่า 48,000 คนต่อวัน และคาดว่าในปี 2561 จะเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งแสนคนต่อวัน สำหรับแนวโน้มด้านที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงในปี 2560 พบคอนโดมิเนียมที่เปิดขายอยู่ 56 โครงการ คิดเป็น 69,761  ในจำนวนนี้ขายไปแล้วถึง 91% ซึ่งเป็นผลจากผู้ประกอบการเร่งระบายสินค้าด้วยการทำโปรโมชั่นภายหลังจากรัฐบาลได้เชื่อมต่อทั้งสองสถานีแล้ว โดยโครงการที่ได้รับความสนใจมักตั้งอยู่ไม่เกิน 500 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งเชื่อว่าทิศทางในปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังพบว่าราคาที่ดินกับราคาขายคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง จากปี 2556 – 2560 พบราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 41% ในขณะที่ภาพรวมราคาคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้กับโดยสถานีรถไฟฟ้าที่มีจำนวนผู้ที่ใช้บริการสูงสุด 3 สถานีคือ เตาปูน, บางซื่อ,  และวงศ์สว่าง พบว่า ราคาเฉลี่ยของห้องในโครงการเหล่านี้กลับเพิ่มขึ้นเพียง 15-29% ซึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์ด้านราคาของผู้ประกอบการจึงถือเป็นจังหวะดีสำหรับลูกค้าและนักลงทุนในการตัดสินใจซื้อในช่วงนี้ สำหรับผู้ที่เลือกอยู่อาศัยคอนโดมิเนียมและต้องการเดินทางด้วยรถไฟฟ้านั้นจุดเชื่อมต่อถือว่ามีความสำคัญโดยเฉพาะช่วง 3 สถานีต้นทางจากบางซื่อ ได้แก่ สถานีเตาปูน สถานีบางซ่อน สถานีวงศ์สว่าง ถือเป็นสถานีที่จะได้รับผลประโยชน์อย่างมาก เป็นจุดเปลี่ยนทำเลให้กลายเป็นสยามสแควร์แห่งที่ 2 ในอนาคต เพราะมีความต้องการหลักอยู่ ประกอบกับมีเมกะโปรเจกต์ ทั้งทางด่วนสายใหม่ ตลอดจนมี Center Station บางซื่อ และจุดเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีแดงที่สถานีบางซ่อนอีกด้วย “หากวิเคราะห์ทำเลที่อยู่อาศัยที่โดดเด่นบนแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงพบ 3 ทำเล เริ่มต้นจาก บางใหญ่ ศูนย์กลางธุรกิจในฝั่งตะวันตก (WBD : West Business District) มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่  รวมถึงยังมีโครงการก่อสร้างทางพิเศษมอเตอร์เวย์บางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี พบอุปทานคอนโดมิเนียมบริเวณบางใหญ่ (MRT สามแยกบางใหญ่ และคลองบางไผ่) ที่เสนอขายอยู่ 4 โครงการ จำนวน 2,840 ยูนิต มียอดขายเฉลี่ย 83% ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 60,000 -70,000 บาทต่อตารางเมตร ด้านผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมในย่านนี้เดือนละ 6,000 – 6,500 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าที่ 4.8% ต่อปี แม้ผลตอบรับจากการปล่อยเช่าคอนโดฯ จะยังไม่สูงมาก แต่ในอนาคตคาดว่าทำเลยังมียอดดีมานด์ตอบรับอย่างต่อเนื่อง  ย่านเตาปูน เป็นที่ตั้งสถานีต้นสายและในอนาคตจะเป็นสถานีอินเตอร์เชนจ์ เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่งผลให้ราคาที่ดินบริเวณนี้เพิ่มขึ้นสูงที่สุด ปัจจุบันอยู่ที่ 280,000 บาทต่อตารางวา (เฉลี่ยประมาณ 17% ต่อปี) นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้เคียงกับอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ซึ่งจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2562 และจะกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ จากการสำรวจข้อมูล พบอุปทานคอนโดมิเนียมในรัศมีไม่เกิน 1.5 กิโลเมตร จากสถานีเตาปูนจำนวน 2,820 ยูนิต จาก 5 โครงการ ยอดตอบรับอยู่ที่ 79% เป็นทำเลที่มีราคาขายเฉลี่ยสูงที่สุดในแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงประมาณ 90,000 – 110,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งราคาขายปรับเพิ่มขึ้นจากช่วง 5 ปีที่ผ่านมาถึง 35% ด้านผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ 10,000 – 15,000 บาทต่อเดือน ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.5% ต่อปี ส่วนราคารีเซลในปัจจุบันแตะที่ 100,000 – 120,000 บาทต่อตารางเมตรแล้ว ซึ่งเป็นการปรับขึ้นตามราคาขายห้องใหม่ในปัจจุบัน ย่านวงศ์สว่าง เป็นทำเลช่วงต้นๆ ของรถไฟฟ้าสายสีม่วง เป็นจุดตัดระหว่างกรุงเทพฯ และ จ.นนทบุรี ตรงบริเวณแยกวงศ์สว่างที่เชื่อมต่อกับถนนรัชดาภิเษกสามารถเดินทางเข้าเมืองได้อย่างง่ายดาย พบโครงการคอนโดมิเนียมเสนอขายในตลาดจำนวน 4 โครงการ 4,443 ยูนิต มียอดขายแล้ว 67%  อย่างไรก็ตาม พบว่าโครงการที่มีการตอบรับดีจะอยู่บริเวณรอบสถานีวงศ์สว่างไม่เกิน 100 เมตร ซึ่งขายเกือบหมดแล้ว ด้านราคาขายเฉลี่ยโครงการคอนโดมิเนียมใกล้สถานีฯ ปัจจุบันประมาณ 90,000-100,000 บาทต่อตารางเมตร และในอนาคตคาดว่าราคาขายจะขยับขึ้นไปได้อีกตามราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นประมาณ 6% ต่อปี ด้านผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ 5-6% ต่อปี หรือ 10,000 – 13,000 บาทต่อเดือน เนื่องจากเป็นทำเลที่อยู่ใกล้เคียงกับส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าทั้งสายสีน้ำเงิน และสายสีแดงอ่อน เพราะฉะนั้น หากมีโครงการที่สามารถพัฒนาให้มีราคาในระดับนี้และอยู่ติดสถานีฯจะเป็นโครงการที่น่าสนใจมาก” นายอนุกูล กล่าว
เน็กซัส เผยลักษณะพิเศษที่ทำให้ถนนรัชดาเป็นโซนน่าอยู่ น่าลงทุน

เน็กซัส เผยลักษณะพิเศษที่ทำให้ถนนรัชดาเป็นโซนน่าอยู่ น่าลงทุน

ถนนรัชดาภิเษก เป็นถนนสายสำคัญอีกเส้นหนึ่งที่เชื่อมต่อพื้นที่โซนพระราม 9 - ลาดพร้าวเข้าด้วยกัน ตลอดระยะทางประมาณ 10.5 กิโลเมตร ตั้งแต่แยกพระราม 9 ไปจนถึงแยกรัชโยธินนั้น มีโครงการรถไฟฟ้าในอนาคตที่จะเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ปัจจุบันถึง 2 จุด และมีโครงการ Mega Project ที่กำลังจะเกิดขึ้นมากมายในบริเวณพระราม 9 – รัชดา ซึ่งเป็นพื้นที่ใจกลางธุรกิจแห่งใหม่ ที่ขยายตัวมาจากพื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำเลนี้เป็นอีกหนึ่งทำเลน่าสนใจสำหรับที่อยู่อาศัย แหล่งงาน หรือแม้แต่การลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการปล่อยเช่า   ทำไมรัชดาภิเษกถึงน่าสนใจ? นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า “ถนนรัชดาภิเษก เชื่อมต่อถนนหลักสำคัญหลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นถนนลาดพร้าว ถนนสุทธิสาร และถนนพระราม 9 ถนนทั้ง 3 เส้นที่ตัดผ่าน ทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ทั้งในแง่ของการกระจุกตัวของที่อยู่อาศัย ออฟฟิศ ศูนย์การค้า ซึ่งปัจจัยดังกล่าวข้างต้นยังสะท้อนไปถึงราคาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่นั้นๆ ด้วย ทั้งนี้ทำเลรัชดาภิเษกครอบคลุมจาก (1) โซนรัชดา-พระราม 9 (2) โซนรัชดา-สุทธิสาร และ (3) โซนรัชดา-ลาดพร้าว ในด้านการอยู่อาศัย ความโดดเด่นของ 3 ทำเลนี้ สามารถตอบสนองได้ทั้งการใช้ชีวิต การทำงาน และการเดินทางที่สะดวกสบายด้วยระบบราง ในด้านราคานั้น ทำเลนี้มีอัตราการเติบโตของราคาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยอยู่ที่ 9.3% ต่อปี จากราคาเฉลี่ย 86,900 บาทต่อตารางเมตร ในปี 2556 ต่อเป็น 116,000 บาทต่อตารางเมตร ในปี 2560” ราคาที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับอัตราการเติบโตของราคาในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในที่มีการเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี ซึ่งเห็นได้ว่าแนวโน้มการเติบโตของราคาไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้หากเทียบเป็นโซนย่อยของรัชดา (1) ทำเลรัชดา-ลาดพร้าว มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าเขตกรุงเทพฯ ชั้นในอย่างเห็นได้ชัด เฉลี่ยอยู่ที่ 15% ต่อปีซึ่งสะท้อนศักยภาพในแง่ของการลงทุนและการเติบโตของชุมชนในทำเลนี้ (2) ทำเลรัชดา- สุทธิสาร มีอัตราเติบโตของราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 5% ต่อปี สะท้อนการเติบโตของตลาดและความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับกลาง (3) ทำเลรัชดา- พระราม 9 มีอัตราเติบโตของราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ต่อปี เป็นทำเลศักยภาพใกล้ย่านธุรกิจ ด้านการลงทุนคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ มีอัตราเฉลี่ยผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า 5.39% เมื่อเปรียบเทียบกับทำเลในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในแล้ว มีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5% ทำให้คอนโดมิเนียมในทำเลนี้น่าสนใจในด้านการลงทุนปล่อยเช่า ซึ่งเนื่องมาจากเป็นทำเลที่ใกล้โซนออฟฟิศ และยังมีศักยภาพสำหรับการปล่อยขายและเช่าตลาดลูกค้าต่างชาติอีกด้วย หากจะวิเคราะห์ถึงลักษณะพิเศษที่ทำให้รัชดาภิเษกสามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วน โซนรัชดา-พระราม 9 (พื้นที่เชื่อมต่อเมือง เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ศูนย์กลางออฟฟิศในอนาคต) โซนรัชดา-พระราม 9 นับพื้นที่ตั้งแต่แยกพระราม 9 ถึงสถานี MRT ศูนย์วัฒนธรรม มีอุปทานรวมจำนวน 6,279 หน่วย อัตราขายรวม 89% มีระดับราคาเฉลี่ย 132,600 บาท/ตร.ม. เป็นโซนที่มีระดับราคาต่อตารางเมตรเฉลี่ยสูงที่สุดของทำเลรัชดาภิเษก ด้วยทำเลที่เชื่อมต่อจากอโศก-สุขุมวิท ย่านพื้นที่ดินราคาแพงของกรุงเทพฯ มีศูนย์การค้าเกิดขึ้นมากมายในบริเวณนี้ ทั้งเซ็นทรัลพระราม 9  ฟอร์จูน เอสพลานาดรัชดา และเดอะ สตรีท รวมทั้งตึกออฟฟิศจากนายทุนเจ้าใหญ่หลาย ๆ แห่ง เช่น SET, True Tower,  AIA เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีแนวโน้มการขยายตัวของเมือง ในบริเวณนี้เพิ่มเติมจากโครงการ Mega Project ต่างๆ เช่น โครงการ Super Tower โครงการมักกะสัน รวมมูลค่าโครงการดังกล่าวทั้งสิ้นกว่า 340,000 ล้านบาท ทำเลนี้จึงมีความน่าสนใจหากต้องการคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้ใจกลางเมือง เชื่อมต่อเข้าสู่ใจกลางเมืองได้เพียง 2 สถานี และแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ในราคาที่ถูกกว่าคอนโดมิเนียมในแนวรถไฟฟ้าเส้นสุขุมวิท โซนรัชดา-สุทธิสาร (แหล่งท่องเที่ยวและออฟฟิศ โซนเปลี่ยนผ่านไปยังชุมชนกรุงเทพฯ ชั้นกลาง) โซนรัชดา-สุทธิสาร นับพื้นที่ตั้งแต่สถานี MRT ศูนย์วัฒนธรรม แยกเทียมร่วมมิตรไปจนถึงแยกสุทธิสาร มีอุปทานรวมจำนวน 3,305 หน่วย อัตรขายรวม 93% มีระดับราคาเฉลี่ย 117,875 บาท/ตร.ม. โดยมีราคาขายต่ำลงมาจาก โซนรัชดา-พระราม 9 ประมาณ 11%  พื้นที่โซนนี้เต็มไปด้วยออฟฟิศ และแหล่งท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวเกาหลีอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และยังสามารถเชื่อมต่อไปยังถนนลาดพร้าว หรือลัดออกสู่ถนนพหลโยธิน จากซอยสุทธิสารได้ นอกจากนี้ยังมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มในอนาคต ตัดผ่านบริเวณสถานี MRT ศูนย์วัฒนธรรม ทำให้พื้นที่โซนนี้มีโอกาสเติบโตอีกในอนาคต โซนรัชดา-ลาดพร้าว (พื้นที่เชื่อมต่อไปยังชานเมืองหลายเส้นทาง มีความเป็นชุมชน คุ้มค่าราคา) โซนรัชดา-ลาดพร้าว นับพื้นที่ตั้งแต่แยกสุทธิสารไปจนถึงแยกรัชโยธิน มีอุปทานรวมจำนวน 5,256 หน่วย อัตราขาย68% มีระดับราคาเฉลี่ย 100,200 บาท/ตร.ม. มีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่เกิดขึ้นในโซนนี้จำนวนมาก เนื่องจากรถไฟฟ้าในอนาคตสายสีเหลืองได้มีกำหนดวันเข้าก่อสร้างที่ชัดเจน ส่งผลให้มียูนิตเหลือขายอีกจำนวนหนึ่งจากโครงการเปิดใหม่ภายใน 1 ปีที่ผ่านมา ทำเลนี้เป็นย่านที่อยู่อาศัยและออฟฟิศขนาดเล็ก มีความเป็นชุมชน เต็มไปด้วยร้านอาหารสไตล์ Street food ย่านรัชดา-ลาดพร้าวจึงเป็นอีกหนึ่งทำเลที่เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาคอนโดมิเนียมที่คุ้มค่าราคา และยังมีความสะดวกสบายอยู่ โดยสามารถเดินทางเข้าเมืองได้ภายใน 15 นาที โดยรถไฟฟ้า MRT นอกจากนั้นยังมีโครงการในรถไฟฟ้าความเร็วสูงในอนาคตบริเวณบางซื่อซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ ทำให้พื้นที่นี้เป็นย่านที่น่าจับตา เนื่องจากมีจุดเชื่อมต่อ (intersection) หลายจุดใกล้ๆ กัน ในอนาคตอันใกล้ภายในปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงเวลากำหนดเสร็จของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ทำเลรัชดาภิเษกน่าจะเป็นทำเลที่กลุ่มนักลงทุนให้ความสนใจมาพัฒนาโครงการในบริเวณนี้มากขึ้น โดยเฉพาะทำเลที่เป็นจุดตัดของรถไฟฟ้าทั้ง สายสีเหลืองและสายสีส้ม ซึ่งเริ่มก่อสร้างไปแล้วทั้งสองสาย นอกจากนั้นยังมีโครงการส่วนต่อขยายจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองแยกรัชดา-ลาดพร้าว เชื่อมรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มแยกรัชโยธินซึ่งอยู่ระหว่างทำการศึกษาเพิ่มเติมอีกโครงการ ปัจจุบันมีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในทำเลรัชดาจำนวน 1,697 ยูนิต ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา รวมทั้งมี Developer รายใหญ่อีกหลายๆ รายเริ่มเข้ามาจับจองพื้นที่เตรียมพัฒนาโครงการใหม่หรือเปิดตัวเพิ่มตั้งแต่ปลายปี 2560  จึงไม่แปลกใจที่ทำเลรัชดาตั้งแต่แยกพระราม 9 ถึงแยกรัชโยธินจะคึกคักมากกว่าเดิมภายใน 1-2 ปีนี้ และเป็นทำเลที่น่าจับตามองเรื่องราคาคอนโดมิเนียมที่มีโอกาสปรับสูงขึ้นตามอัตราการเติบโตของราคาเฉลี่ยโซนรัชดาต่อไป
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เสิร์ฟแคมเปญหวานจัดเต็ม “บ้านแห่งรัก 2018” ต้อนรับเดือนแห่งความรัก 10-11 กุมภาพันธ์นี้

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เสิร์ฟแคมเปญหวานจัดเต็ม “บ้านแห่งรัก 2018” ต้อนรับเดือนแห่งความรัก 10-11 กุมภาพันธ์นี้

บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ต้อนรับเทศกาลวันวาเลนไทน์ เสิร์ฟแคมเปญหวานๆ แห่งปี ‘บ้านแห่งรัก 2018’ หนุนกำลังซื้อกลุ่มผู้อยู่อาศัยตลาดเรียลดีมานด์ คู่รักที่เริ่มต้นสร้างครอบครัว นำบ้านเดี่ยวหลังใหญ่-ทาวโฮมหน้ากว้าง-คอนโดมิเนียม คุณภาพเยี่ยมกว่า 40 โครงการ ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด ให้ลูกค้าเลือกรับโปรฯ ‘ดอกไม่บาน ณ บ้านแห่งรัก 2018’ หวานจัดหนักกับดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี ฟรีทุกค่าใช้จ่าย หรือรับ Iphone X  เฉพาะโครงการเขตกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ณ สำนักขายทุกโครงการ วันที่  10-11 กุมภาพันธ์นี้ พร้อมจัดโปรฯ ‘Love Festival Double Bonus จูงมือเป็นคู่พร้อมเข้าอยู่’ มอบความคุ้มสุดๆ ให้คู่รักที่สนใจซื้อโครงการต่างจังหวัด รับสิทธิ์ทำสัญญาเพียง 1 บาท ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน เครื่องใช้ไฟฟ้า ฟรีประกันมิเตอร์น้ำ มิเตอร์ไฟ และฟรีค่าส่วนกลาง เริ่มแคมเปญแล้ววันนี้ ถึง 15 กุมภาพันธ์นี้ นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า ตลอดเดือนกุมภาพันธ์นี้ บริษัทฯ จัดแคมเปญใหญ่ “ลลิล บ้านแห่งรัก 2018” ซึ่งเป็นแคมเปญใหญ่ประจำปีของบริษัทฯ ที่จะจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรัก ต้อนรับวันวาเลนไทน์ที่จะมาถึงโดยเฉพาะ เพื่อขอบคุณลูกค้าที่ให้การสนับสนุน และมอบความไว้วางใจบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อสำหรับผู้อยู่อาศัยตลาดเรียลดีมาน์ คู่รักที่เริ่มต้นสร้างความรอบครัว ทั้งนี้บริษัทฯ มอบโปรฯ ‘ดอกไม่บาน ณ บ้านแห่งรัก 2018’ ในวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ 2561 ให้ลูกค้าโครงการกรุงเทพฯ และปริมณฑล เลือกรับดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี ฟรีทุกค่าใช้จ่าย หรือรับ Iphone X ในส่วนโครงการต่างจังหวัด บริษัทฯ จัดโปรฯ พิเศษ ‘Love Festival Double Bonus จูงมือเป็นคู่พร้อมเข้าอยู่’ โดยมอบความคุ้มสูงสุดให้คู่รักที่สนใจซื้อโครงการต่างจังหวัด รับสิทธิ์ทำสัญญาเพียง 1 บาท ฟรี ทุกค่าใช้จ่ายวันโอน ฟรี ประกันมิเตอร์น้ำ-มิเตอร์ไฟ ฟรี ค่าส่วนกลาง และเลือกรับเครื่องใช้ไฟฟ้า ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด ทั้งนี้กำหนดระยะเวลาจัดโปรฯ ดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 10-15 กุมภาพันธ์นี้เท่านั้น อย่างไรก็ดีภายหลังจากนั้น บริษัทฯ เตรียมจัดโปรฯ พิเศษให้กับกลุ่มลูกค้าเก่าให้ได้ร่วมสนุกด้วยเช่นเดียวกัน นับว่าปีนี้บริษัทฯ ได้มอบความคุ้มสูงสุดกว่าทุกปีและมีความหลากหลายครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น บริษัทฯ จึงมั่นใจว่าแคมเปญ ‘ลลิล บ้านแห่งรัก 2018’ จะตรงใจและจะมีผลตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยคุณภาพในช่วงนี้อย่างมาก สำหรับโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ “ลลิล บ้านแห่งรัก 2018” มีกว่า 40 โครงการ ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บ้านแนวคิดใหม่ ทาวน์โฮมหน้ากว้าง และคอนโดมิเนียมคุณภาพเยี่ยม ในกรุงเทพฯและปริมณฑล และต่างจังหวัด ภายใต้แบรนด์ ‘ลลิล ทาวน์’ โดยในปีนี้ มีโครงการคุณภาพ บนทำเลยุทธศาตร์แห่งใหม่ให้เลือกหลากหลาย อาทิ ลลิล ทาวน์ ไลโอ บลิสซ์ เพชรเกษม – ยอแซฟฯ ทาวน์โฮมดีไซน์ใหม่ ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน เพิ่มพื้นที่ความสุขให้เต็มที่กับ 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และมีดีไซน์หน้าบ้านกว้างที่สุด บนทำเลคุณภาพที่สามารถตอบสนองความต้องการของชีวิตให้ครบจบที่เดียว และลลิล ทาวน์ ไลโอ บลิสซ์ สุขสวัสดิ์-ประชาอุทิศ ทาวน์โฮมใหม่น่าอยู่กับสถาปัตสวนที่ลงตัวที่สุด บนสุขสวัสดิ์ พร้อมพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่และฟังก์ชั่นที่เหนือกว่าประโยชน์ใช้สอยมากกว่า ขนาด 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 รับประทานอาหาร ครัวแยกสัดส่วน พร้อมเคาน์เตอร์เตรียมอาหาร 1 จอดรถ ในราคาที่จับต้องได้ พลาดไม่ได้กับแคมเปญสุดพิเศษ “ลลิล บ้านแห่งรัก 2018” ที่ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เตรียมมอบให้ด้วยรัก ตลอดทั้งเดือนกุมภาพันธ์นี้ ณ สำนักงานขายทุกโครงการ ระหว่างวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์นี้ สนใจติดต่อเข้าเยี่ยมชมโครงการ หรือสอบถามข้อมูลแคมเปญ “บ้านแห่งรัก 2018” โทร Call Center โทร 1778 หรือเว็บไซต์ www.lalinproperty.com
คอนโด ใช้ชีวิตให้เป็นตัวเองกับแกรนด์ ยูนิตี้

คอนโด ใช้ชีวิตให้เป็นตัวเองกับแกรนด์ ยูนิตี้

ปี 2018 นี้ เป็นอีกปีที่ตลาดคอนโดมิเนียมยังคงร้อนแรงที่สุดอย่างต่อเนื่องในรอบหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เราได้เห็นหลายโครงการใหม่ที่น่าจับตามองเริ่มเปิดตัวกันมาตั้งแต่ต้นปี โดยหนึ่งในนั้น คือ แกรนด์ ยูนิตี้ ที่มาพร้อมกับ 4 โครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ติดรถไฟฟ้า ภายใต้คอนเซป "Simply Makes Sense" ให้เราได้คัดเลือกคอนโดมิเนียมในโครงการที่ลงตัวกับเรามากที่สุดทั้งทำเล ดีไซน์ สิ่งอำนวยความสะดวกภายในและรอบโครงการ เพราะคอนโดมิเนียมที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ความเป็นตัวเราได้ดีที่สุดคือโครงการที่ใช่ที่สุด   หนึ่งในทำเลสุดฮอตคือแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยายช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และยังใกล้ทางยกระดับอุตราภิมุข สนามบินดอนเมือง พร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าว, เมเจอร์รัชโยธิน ฯลฯ รวมถึงดีมานด์ที่มีอยู่มากมายหลายกลุ่มทั้งนักศึกษา บุคลากรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และกลุ่มคนทำงาน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีการเช่าคอนโดอยู่มากที่สุด Ciela (เซียล่า)  คอนโดมิเนียม High Rise 28 ชั้น บนพื้นที่ 6-1-17.30 ไร่ ทั้งหมด 903 ยูนิต ขนาด 22.5-60 ตร.ม. ตัวโครงการติดรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยศรีปทุม ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบใช้ชีวิตสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเข้าใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็วด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ไม่ต้องไปเปลี่ยนสายสถานีไหนก็สามารถตรงเข้าเมืองได้ง่ายๆ ส่วนเหล่านักลงทุนทั้งหลายต้องคอยจับตามองให้ดีค่ะ เพราะโครงการนี้ได้ยินมาว่าราคาเปิดตัวไม่เกิน 100,000 บาท/ตร.ม. เท่านั้น เป็นราคาที่เชื่อว่าสำหรับคอนโดมิเนียมติดสถานีรถไฟฟ้าในปัจจุบันไม่มีใครทำราคาได้เท่านี้  สระว่ายน้ำระบบเกลือบนชั้นดาดฟ้า สวนสีเขียวชั้นล่าง Ciela มาพร้อมส่วนกลางครบครัน เช่น ล็อบบี้, สวนสีเขียว, สระว่ายน้ำระบบเกลือ, ห้องออกกำลังกายชั้นดาดฟัา, สวนชั้นดาดฟ้า, ห้องซาวน่า, ห้องบริการซักผ้า อบผ้า เป็นต้น มีระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง กล้องวงจรปิด ลิฟท์โดยสารให้มาถึง 5 ตัว แยกลิฟท์เซอร์วิช 1 ตัว ลิฟท์โดยสารที่อาคารจอดรถ 2 ตัว    โครงการถัดมาที่ยังคงคอนเซปในการเป็นคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้า ซึ่งเตรียมเปิดตัวในช่วงครึ่งปีแรกนี้ต่อจากโครงการ Ciela คือ   De Lapis (เดอ ลาพีส)  คอนโดมิเนียม High Rise ย่านจรัญสนิทวงศ์ 81 ที่ได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยาหนึ่งในมุมมองที่สวยที่สุดบนอาคารสูงในกรุงเทพฯ มี Background เป็นตึกสูงระฟ้าใจกลางเมือง พร้อมกับได้วิวสระว่ายน้ำบนอาคารไปด้วย และยังใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสถานีบางพลัด โดยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเป็นสายที่วิ่งเป็นวงแหวนเพียงสายเดียวของโครงข่ายรถไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งจะผ่านสถานที่สำคัญหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นย่านออฟฟิศทั้งสีลม รัชดาภิเษก ย่านที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของกรุงเทพฯชั้นใน และหากใช้รถยนต์ส่วนตัวก็ใกล้ทางพิเศษศรีรีช และยังสามารถใช้สะพานกรุงธนแล้วตรงเข้าสู่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเชื่อมต่อการเดินทางได้อีกหลากหลายเส้นทาง และยังใกล้กับสถานที่สำคัญชื่อดังหลายแห่ง ทำให้ De Lapis เหมาะสำหรับกลุ่มคนทำงานในตัวเมืองไปจนถึงครอบครัวที่อยากได้ความสงบเป็นส่วนตัว แต่ยังได้ความสะดวกสบายแบบคอนโดมิเนียมท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดี หากลงทุนปล่อยเช่าก็จะมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนทำงาน และคนที่อาศัยอยู่ในย่านเดิมอยู่แล้วต้องการขยับขยาย    เรียกว่าทั้ง Ciela (เซียล่า) กับ De Lapis (เดอ ลาพีส) จะมีราคาเปิดตัวค่อนข้างสูสีกันด้วยที่ตั้งโครงการติดรถไฟฟ้าเหมือนกันเพียงแต่คนละทำเล เราก็สามารถเลือกตัวที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของแต่ละคน ซึ่งทั้งสองโครงการมีแพลนเปิดตัวช่วงครึ่งปีแรกนี้ ย้ำกันอีกทีนะคะว่าราคาแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้วสำหรับคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า จับตาวันเปิดตัวกันให้ดีค่ะ            ส่วนช่วงครึ่งปีหลังทางแกรนด์ ยูนิตี้ เตรียมเปิดตัวอีก 2 โครงการใหม่ ที่มีการเปิดข้อมูลออกมาบางส่วนบ้างแล้ว คืือ Denim (เดนิม)  คอนโดมิเนียม High Rise โดดเด่นด้วยดีไซน์สไตล์ Urban Lifestyle บนแนวคิด Mixed-Use Concept โครงการตั้งอยู่ภายในซอยพหลโยธิน 18 ทะลุไปซอยวิภาวดีรังสิต 3 ได้ มีศักยภาพด้านการเดินทางสูงทั้งในปัจจุบันและอนาคต สำหรับผู้ที่ใช้บริการขนส่งสาธารณะสามาถใช้รถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานีหมอชิตที่เป็น Interchange กับรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินสถานีจตุจักร ซึ่งในอนาคตประมาณปี 2563 จะเปิดให้บริการสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งเป็นสถานีที่เป็นศูนย์กลางระบบรางแห่งใหม่แทนหัวลำโพงที่มีความแออัดมากในปัจจุบัน โดยจะทำหน้าที่เป็นสถานีหลักของรถไฟสายเหนือ สายอีสาน สายใต้ สายตะวันออก และสายตะวันตก นอกจากนี้ยังมีการออกแบบเพื่อรองรับรถไฟฟ้าความเร็วสูงทุกสายในอนาคต เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สายสีแดงได้ มีโซนช้อปปิ้งมอลล์ รวมถึงยังมีพื้นที่จอดรถ 1,700 คัน แน่นอนว่าจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน และยังเป็นแหล่งออฟฟิศทั้งเอกชน รัฐวิสาหกิจ ราชการหลายแห่ง ทำให้ในอนาคตบริเวณนี้มีแนวโน้มจะกลายเป็นอีกหนึ่งใน New CBD ของกรุงเทพฯ   Mazarine (แมสซารีน)  คอนโดมิเนียม High Rise เกรด Premium เป็นตัวที่เป็นไฮไลท์ของปีนี้ ซึ่งมีแพลนจะเปิดตัวในช่วงปลายปี  โดยทั้งราคาและทำเลที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเมเจอร์รัชโยธินจะส่งให้โครงการนี้ทำ Surprise ได้แน่นอนค่ะ      ทั้งหมดนี้คือแนวคิด Simply Makes Sense จากแกรนด์ ยูนิตี้ "ใช้ชีวิต...บนเหตุผลของคุณ" คือ keyword ที่กำลังจะบอกกับเราว่าเราสามารถเลือกสิ่งที่ใช่ได้ด้วยตัวเราเอง เลือกอย่างเหมาะสม เลือกบนเหตุผลของตัวเอง เพราะเชื่อว่าหลายคนย่อมเคยเกิดความคิดที่ว่า   อยากมีคอนโดเป็นของตัวเอง อยากอยู่คอนโดใกล้แนวรถไฟฟ้า อยากดีไซน์ห้องของเราตามสไตล์ในแบบที่เป็นตัวเอง เพราะเราอยากใช้ชีวิตในแบบที่เราเลือกเอง ไม่ต้องตามใคร #ใช้ชีวิตบนเหตุผลของคุณ มันคงไม่ make sense เท่าไหร่กับการที่ต้องวิ่งตามกระแสของคนอื่นใช่ไหมคะ   รายละเอียดเพิ่มเติม Grand Unity   โครงการอื่นจาก Grand Unity Denim Jatujak KARA Ari–Rama 6 De LAPIS Charan 81 CIELA Sripatum The Private Residence Rajadamri
“ออริจิ้น” ผุดอาณาจักรมิกซ์ยูส 3 ทำเลใจกลางเมือง มูลค่า 70,000 ล้าน พร้อมจัดทัพใหญ่ สร้าง “The Empire of Origin” อาณาจักรอสังหาฯครบวงจร

“ออริจิ้น” ผุดอาณาจักรมิกซ์ยูส 3 ทำเลใจกลางเมือง มูลค่า 70,000 ล้าน พร้อมจัดทัพใหญ่ สร้าง “The Empire of Origin” อาณาจักรอสังหาฯครบวงจร

ออริจิ้น เดินหน้าสร้าง “The Empire of Origin” ติดเครื่องตลาดลักชัวรี่ เล็งผุดอาณาจักรมิกซ์ยูสหรู “พาร์ค ออริจิ้น คอมเพล็กซ์” 3 ทำเลใจกลางเมือง มูลค่ารวมกว่า 70,000 ล้านบาท พร้อมจัดทัพผู้บริหาร กุมบังเหียน JV-บ้านแนวราบ-อสังหาฯเช่า-บริการ ปั้นอาณาจักรอสังหาฯครบวงจร ปี 61 จ่อเปิดโครงการใหม่ 14 โครงการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท ตั้งเป้าโกยยอดขาย 20,000 ล้าน พร้อมรายได้ทะลุ 15,000 ล้าน นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน นอตติ้ง ฮิลล์ ไนท์บริดจ์ และพาร์ค และบ้านแนวราบภายใต้แบรนด์ บริทาเนีย กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทนับจากนี้ จะมุ่งเดินหน้าสร้างอาณาจักรออริจิ้น หรือ The Empire of Origin โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม โครงการบ้านแนวราบ โครงการร่วมทุนกับต่างชาติ โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้หมุนเวียน รวมถึงมีธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์อย่างครบถ้วน เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกเซ็กเมนท์ “ปี 2560 เป็นปีที่เราเริ่มก้าวสู่การเดินหน้าธุรกิจใหม่ๆ นอกจากธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียม นับตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป จะเป็นปีที่เราขับเคลื่อนธุรกิจใหม่อย่างเต็มกำลัง ทุกธุรกิจจะหยั่งรากฐานและเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของอาณาจักรออริจิ้น และเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม” นายพีระพงศ์ กล่าว สำหรับก้าวแรกของการสร้างอาณาจักรออริจิ้น บริษัทจะหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการระดับลักชัวรี่มากขึ้น โดยมีแผนจะพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสผสานกับโครงการคอนโดมิเนียม 3 ทำเล เพื่อสร้างโครงการแฟล็กชิพภายใต้คอนเซ็ปต์ “พาร์ค ออริจิ้น คอมเพล็กซ์” รวมมูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท ในทำเลใจกลางเมือง ได้แก่ พร้อมพงศ์ ทองหล่อ และพญาไท ให้สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ด้านการอยู่อาศัยของโลก ที่ผู้บริโภคจะให้น้ำหนักกับการเข้าอยู่อาศัยในโครงการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างครบวงจร ขณะนี้ บริษัทกำลังอยู่ระหว่างศึกษาและพิจารณารายละเอียดของการพัฒนาแต่ละโครงการ นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนไปได้ถึงเป้าหมายดังกล่าว บริษัทได้จัดโครงสร้างบริษัทให้ชัดเจนและแต่งตั้งผู้บริหารที่มีประสบการณ์คร่ำหวอดในแวดวงต่างๆ มาอย่างยาวนาน ขึ้นดูแลและบริหารส่วนงานที่มีความสำคัญกับการเติบโตเป็นอาณาจักรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ได้แก่ นายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ดูแลด้านการร่วมทุน (Joint Venture) นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการโครงการแนวราบ ดูแลธุรกิจบ้านแนวราบ นางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด ดูแลธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ธุรกิจค้าปลีก สำนักงานเช่า ตลอดจนธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับการขายและการเช่า สำหรับปี 2561 บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ 14 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 10   โครงการ มูลค่า 26,000 ล้านบาท และโครงการบ้านแนวราบ 4 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท ขณะที่วางเป้ายอดขายไว้ที่ 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ราว 43% เป้ารายได้ที่ 15,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ราว 67% ด้านนายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ดูแลด้านการร่วมทุน กล่าวว่า การร่วมทุนถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการเติบโตของออริจิ้นสู่อาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เพราะจะช่วยสร้างโอกาสในการเรียนรู้แนวคิด โนว์ฮาว ดีไซน์ ของบริษัทพาร์ทเนอร์ มาใช้ต่อยอดกับการดำเนินธุรกิจให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ขณะเดียวกัน ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ๆ ของพาร์ทเนอร์อีกด้วย “กรณีเราร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ทางโนมูระมีฐานลูกค้าอยู่ราว 4 แสนราย มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นมายาวนานถึง 60 ปี การร่วมทุนกับโนมูระทำให้เราสามารถนำประสบการณ์ 60 ปีของโนมูระ มาต่อยอดเป็นปีที่ 61 ของเรา” นายปิติพงษ์ กล่าว ที่ผ่านมา บริษัทมีพาร์ทเนอร์หลักคือบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ ร่วมทุนในโครงการคอนโดมิเนียมแล้ว 5 โครงการ และโครงการโรงแรมอีก 1 โครงการ ในอนาคต บริษัทยังเปิดกว้างโอกาสในการร่วมทุนในธุรกิจประเภทอื่นๆ ทั้งโครงการแนวราบ คอมมูนิตี้มอลล์ สำนักงานให้เช่า ไปจนถึงธุรกิจแวร์เฮาส์ คาดว่าระยะยาวจะมีรายได้ที่เกิดจากธุรกิจร่วมทุนราว 20-30% ของรายได้รวม ด้านนางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการโครงการแนวราบ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจโครงการแนวราบถือเป็นอีกธุรกิจที่จะมีบทบาทสำคัญต่ออาณาจักรออริจิ้น โดยภายในปี 2561-2565 บริษัทตั้งเป้าจะเปิดตัวโครงการใหม่ เน้นทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และทำเลระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) มูลค่ารวมกว่า 45,000 ล้านบาท และสร้างรายได้กลับมายังบริษัทในช่วง 5 ปีดังกล่าวกว่า 31,000 ล้านบาท “เราวางแผนตั้งแต่ต้นว่าจะใช้กลยุทธ์การเติบโตแบบทวีคูณ หรือ Multiply Growth ดังนั้น การทำงานในทุกขั้นตอนของเราตลอดช่วงที่ผ่านมาก็จะเป็นแบบคูณสอง ทั้งการหาที่ดิน การพัฒนางานออกแบบ ตลอดจนการทำงานด้านการตลาด ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถเติบโตไปได้ตามเป้าหมาย” นางศุภลักษณ์ กล่าว ขณะที่ระดับราคาของบ้านจะแบ่งออกเป็น 3 เซ็กเมนท์ ได้แก่ ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ ราคา 3-5 ล้านบาท บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ราคา 5-8 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว ราคา 8-20 ล้านบาท เพื่อให้พร้อมรองรับความต้องการของผู้บริโภคทุกระดับ ตั้งแต่ระดับอีโคโนมี่ พรีเมียม ไปจนถึงระดับเพรสทีจ ทั้งนี้ จุดขายโครงการแนวราบแบรนด์บริทาเนียภายใต้อาณาจักรออริจิ้นจะประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.ทำเล ที่เน้นเจาะพื้นที่บลูโอเชียนที่การแข่งขันไม่สูงมาก แต่เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพรองรับการขยายตัวของระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่ชานเมือง 2.ฟังก์ชั่น ที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริงๆ ของผู้บริโภค และ 3.สไตล์ที่ดูเป็นคนรุ่นใหม่ ทั้งในแง่สถาปัตยกรรมและสภาพแวดล้อมโครงการ ในช่วงปลายปี 2560 บริษัทเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดไปแล้ว 1 โครงการ ได้แก่ โครงการบริทาเนีย ศรีนครินทร์ ซึ่งได้รับผลการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค สามารถปิดการขายเฟสแรกได้ภายใน 2 เดือน ในปี 2561 จึงจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท ด้านนางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน จะเป็นธุรกิจที่ช่วยสร้างการเติบโตและรับรู้รายได้อย่างยั่งยืนให้กับอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของออริจิ้น เพราะประกอบไปด้วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่า เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ สำนักงานเช่า คอมมูนิตี้มอลล์ ที่สร้างรายได้กลับมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมรองรับทุกสภาพเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ยังมีธุรกิจบริการที่จะช่วยเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภค ทิศทางของบริษัทต่อจากนี้ จะให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง 1.Great Location เกาะทำเลศักยภาพอย่างสุขุมวิทที่ตอบโจทย์ทั้งนักท่องเที่ยวทั่วไป (Leisure Traveler) และนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ (Business Traveler) รวมถึงทำเลอีอีซีที่มีศักยภาพในการเติบโต 2.Great Service ให้ความสำคัญกับการบริการมาตรฐาน โดยในส่วนของโรงแรมนั้น บริษัทจะใช้เชนจากต่างประเทศเข้ามาช่วยบริหาร เพื่อให้เกิดบริการมาตรฐานสากล ผสมผสานเข้ากับการบริการซึ่งมีเอกลักษณ์แบบของไทย 3.มิกซ์ยูส โครงการต่างๆ ต่อจากนี้จะพัฒนาไปแบบมิกซ์ยูส ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่ “สำหรับธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ เราตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี จะมีจำนวนห้องพักอยู่ในระดับท็อปเท็นของเมืองไทย ขณะที่ในแง่ธุรกิจบริการ เราตั้งเป้าว่าจะเติบโตจนมีเซอร์วิสเชนของตัวเอง คอยบริการผู้บริโภค” นางจตุพร กล่าว
One9Five อโศก – พระราม 9 ฉีกรูปแบบเก่า ด้วยงานดีไซน์เหนือกาลเวลา

One9Five อโศก – พระราม 9 ฉีกรูปแบบเก่า ด้วยงานดีไซน์เหนือกาลเวลา

เมื่อดีไซน์กลายเป็นเครื่องมือที่สะท้อนแนวคิดและรูปลักษณ์ขององค์กร จึงไม่น่าแปลกใจเลยค่ะที่วันนี้เราจะเห็นเจ้าของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์หลายแห่งให้ความสำคัญกับเรื่องดีไซน์ของอาคาร และการตกแต่งภายในมากขึ้น ซึ่งทาง TC Development เองก็เข้าใจและเล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ จึงได้ทำการพัฒนา Re-Design เปลี่ยนภาพลักษณ์คอนโดมิเนียมโครงการ TC Royal พระราม 9 ใหม่ทั้งหมด จนแทบไม่เหลือภาพเดิมเลย เพราะสัญลักษณ์มงกุฎสีทองที่เราคุ้นตากันดีก็ถูกถอดออกเรียบร้อยแล้ว แถมยัง rebranding ภาพลักษณ์องค์กรให้ดูหรูหรามากขึ้น ที่สำคัญยังเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุดในชื่อ “One9Five” Asoke - Rama 9 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Luxury Life Curator” รวบรวมความเป็นที่สุดของ Luxury ไว้ในสถานที่แห่งเดียว     “One9Five” อโศก – พระราม 9 เป็นโครงการ Luxury Condominium ขนาดใหญ่กว่า 11 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนพระราม 9 ซอย 5 ในพื้นที่ New CBD ใจกลางเมือง ที่เดินทางสะดวกสบายมาก ใกล้ MRT สถานีพระราม 9 (ห่างเพียง 200 เมตร) แวดล้อมด้วยตึก Super Tower, G Tower, Central พระราม 9, Fortune และโรงพยาบาลพระราม 9 และใกล้ทางด่วนถึง 2 จุด นับว่าเป็นคอนโดขนาดใหญ่และสูงที่สุด บนถนนพระรามเก้าฝั่ง Unilever House เลยค่ะ ตัวโครงการแบ่งออกเป็น 2 อาคาร 61 ชั้น อาคาร A จำนวน 954 ยูนิต และอาคาร B จำนวน 957 ยูนิต ไฮไลท์อยู่ที่ความเป็น Privacy Living ด้วยจำนวนห้องไม่เกิน 18 ยูนิตต่อชั้น ในราคาที่จับต้องได้กว่าโครงการข้างเคียงอื่นๆ แถมยังจัดเต็มพื้นที่ส่วนกลางบนเนื้อที่กว่า 8.6 ไร่ จำนวน 3 ชั้น ให้แบบไม่มีกั๊กเพื่อรองรับความสุขของลูกบ้าน ซึ่งมาพร้อมสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ยาว 100 เมตร ที่เชื่อมกันระหว่าง 2 อาคาร และสิ่งอำนวยความสะดวกสบายอื่นๆ อย่างครบครัน   และจุดเด่นที่สำคัญของโครงการนอกจากเรื่องของทำเลศักยภาพแล้ว คือเรื่องของ Spec ที่ให้ลูกบ้านเหนือความคาดหมายเกินมาตรฐานราคาใน Segment เดียวกันไปเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นพื้น Engineering wood, Air Conceal ฝังในฝ้า ซึ่งปกติแล้วจะมีให้เฉพาะคอนโดแบบ Super luxury segment เท่านั้นนะคะ เมื่อโครงการจัดเต็มทุกสิ่งขนาดนี้ วันนี้เราจึงมีภาพอาคาร One9Five และภาพ Draft Floor Plan, Unit Plan พร้อมภาพ perspective บางส่วนจากทางโครงการมาให้ดูก่อนใครด้วยค่ะ   ภาพอาคาร One9Five อโศก – พระราม 9 Master Plan โครงการนะคะ ภาพตัวอย่าง Grand Lobby บริเวณชั้น Ground Floor ที่ดูโอ่อ่า กว้างขวาง ไม่เหมือนดั่งคอนโดฯ ทั่วไป ภาพตัวอย่าง ห้อง Mail Box บริเวณชั้น Ground Floor ดูหรูสมกับคอนเซ็ปต์ Luxury Life Curator ด้วยการใช้วัสดุที่สื่อถึงความหรูหราและอบอุ่นอย่างหินอ่อนและไม้เป็นหลัก นอกจากนี้ยังซ่อนแสงไฟตามหลืบผนังและเพดานเพื่อความสวยงาม สบายตา แปลนพื้นที่บริเวณชั้น 8 นะคะ จะเป็น Facility ทั้งหมด ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างอาคาร A และ B Facility หลักของชั้น 8 จะเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ยาว 100 เมตร ที่เชื่อมกันระหว่าง 2 อาคาร ซึ่งได้รับการออกแบบให้ดูทันสมัยล้อกับรูปลักษณ์ใหม่ของอาคาร ด้วยการใช้เส้นสายเรขาคณิตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานดีไซน์ ภาพตัวอย่างห้อง Private Spa บริเวณ Facility ชั้น 8 ภาพตัวอย่างห้อง Residential Lounge บริเวณ Facility ชั้น 8 ภาพตัวอย่างห้อง Fitness Center บริเวณ Facility ชั้น 8 ภาพตัวอย่างห้อง Kid's Club บริเวณ Facility ชั้น 8 ภาพตัวอย่างห้อง Golf Simulator Room บริเวณ Facility ชั้น 8 แปลนพื้นที่บริเวณชั้น 61 นะคะ ซึ่งจะเป็น Facility ส่วนที่เหลือบางส่วน ภาพตัวอย่างห้อง Sky Residential Lounge บริเวณ Facility ชั้น 61 ภาพตัวอย่างห้อง Private Sky Meeting Room บริเวณ Facility ชั้น 61 แปลนของยูนิตพักอาศัยนะคะ ซึ่งทุกห้องมีจุดเด่นอยู่ที่ Private Corner view ไม่เหมือนคอนโดฯ ทั่วไป แปลนห้อง 1 Bedroom Deluxe ขนาด 36 - 41 ตารางเมตร แปลนห้อง 1 Bedroom Junior ขนาด 25.5 - 35.5 ตารางเมตร แปลนห้อง 2 Bedrooms 2 Bathrooms ขนาด 55 - 68 ตารางเมตร ภาพตัวอย่างห้องพักอาศัย Type A ในส่วนของ Living Room ภาพตัวอย่างห้องพักอาศัย Type A ในส่วนของ Master Bedroom ที่ดูหรูหราโอ่อ่า โอบล้อมไปด้วยหน้าต่างกระจกใส ภาพตัวอย่างห้องพักอาศัย Type D ในส่วนของ Living Area ที่ดูกว้างขวางและน่าใช้งานเป็นอย่างดี ภาพตัวอย่างห้องพักอาศัย Type D ในส่วนของ Master Bedroom ที่ดูหรูหราและทันสมัยไปพร้อมๆ กัน สำหรับการออกแบบนั้นบอกได้คำเดียวว่าน่าสนใจจริงๆ ค่ะ เพราะ “One9Five” อโศก – พระราม 9 เป็นโครงการที่ร่วมกันพัฒนาสร้างสรรค์จากทีม Designer ระดับท็อปของเมืองไทย อย่าง Shma, LEOINTER และ PIA เรียกได้ว่าครบเครื่องทั้งเรื่องของ Architect, Interior และ Landscape จนสร้างเสียงฮือฮาให้กับวงการอสังหาฯ ตั้งแต่ยังไม่ได้ก่อสร้าง นับว่าเป็นคอนโดมิเนียมอีกหนึ่งโครงการที่น่าจับตาเป็นอย่างมาก อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะอยากทราบรายละเอียดแล้วว่า..เหล่าทีมดีไซเนอร์ระดับท็อปของเมืองไทยนั้นมีผลงานอะไรที่น่าสนใจ และมีแนวคิดในการออกแบบ โครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 ให้สวยงามและแตกต่างจากโครงการอื่นอย่างไร ลองมาดูกันค่ะ   Shma เส้นสายที่ดูเรียบง่าย กับงานออกแบบสไตล์โมเดิร์นที่นำเสนอผ่านวัสดุที่ให้สีสัน ผิวสัมผัสล้อเลียนกับธรรมชาติ และบริบทโดยรอบผสมผสานกับการใช้พรรณไม้ท้องถิ่น นับเป็นเอกลักษณ์ของ Shma (ฉมา) ทีมดีไซเนอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ Landscape อับดันต้นๆ ของเมืองไทย ที่ทำงานออกแบบและให้คำปรึกษาด้านภูมิสถาปัตยกรรม ภูมิทัศน์เมืองของโครงการหลากหลายขนาดทั้งในและต่างประเทศ ตั้งแต่ที่อยู่อาศัย สถานที่พักผ่อน ไปจนถึงงานวางผังและงานวิจัย มีผลงานที่สร้างชื่อเสียงจากการพัฒนาพื้นที่สีเขียวเครือข่ายมักกะสัน Friends of the River (FOR), การเข้าร่วมพัฒนาย่านเจริญกรุงให้กลายเป็น Creative District และสร้างสวนสาธารณะใต้ทางด่วน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและสร้างประโยชน์ใช้สอยในที่รกร้าง นอกจากนี้ยังมีผลงานเก่าๆ ที่ออกแบบให้กับโครงการชั้นนำไว้มากมาย จึงไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไม Shma ถึงถูกคัดเลือกให้เข้ามาเป็นผู้ดูแลเรื่อง Landscape ในโครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 ทั้งหมด ซึ่งพื้นที่ภายในโครงการมีเนื้อที่ขนาดใหญ่ราว 7-8 ไร่ แถมทีมดีไซเนอร์ยังใส่รายละเอียดเต็มที่กับแนวคิด Fruit Forest – Sky Hill ให้ความรู้สึกเสมือนยกภูเขาทั้งลูกมาไว้ในคอนโดมิเนียม อย่างที่ไม่เคยเห็นที่โครงการไหนมาก่อน เพียงแค่ทราบแนวคิดก็มั่นใจได้เลยค่ะว่าพื้นที่สวนของโครงการนั้นจะต้องงดงาม น่าพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติที่โอบล้อมไปด้วยงานดีไซน์ และน่าจะเป็นอีกหนี่งผลงานที่สามารถเป็น reference แนวคิดสวนของโครงการคอนโดมิเนียมในอนาคตได้อีกด้วย พื้นที่ Landscape รอบโครงการ โอบล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีพร้อมบ่อน้ำที่เปรียบเสมือนลำธาร ด้วยเส้นสายที่เฉียบคมลับกับดีไซน์ของตัวอาคาร   LEO INTER LEO Inter (เลโอ อินเตอร์) ก็เป็นอีกหนึ่งทีมดีไซเนอร์ที่มีฝีมือไม่ธรรมดา เพราะฝากผลงานเด่นๆ ในการออกแบบตกแต่งภายใน งานสถาปัตยกรรม และการวางแผนพื้นที่มาไม่น้อย ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 30 ปี จนทำให้ เลโอ อินเตอร์เนชั่นแนล ดีไซน์ กรุ๊ป ได้รับการจัดให้อยู่ในระดับแนวหน้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม และรีสอร์ท ทั้งยังได้ทำงานร่วมกับโรงแรมนานาชาติระดับ 5 ดาวที่มีชื่อเสียง เช่น Shangri-La, Accor, Marriott, Hilton, Moevenpick, Intercontinental, Dusit Thani, Sheraton, Taj Hotels, Kempinski, Marco Polo เป็นต้น นอกจากนี้ยังฝากผลงานการออกแบบคอนโด luxury ที่น่าสนใจอย่าง Marque, ESSE ASOKE มาแล้ว จากประสบการณ์อันยาวนานประกอบเข้ากับฝีมือที่ใครต่างก็ยอมรับ LEO Inter จึงเข้ามาเป็นทีมดีไซเนอร์ออกแบบ Facility, ส่วนกลาง และตัวอาคารหลักๆ ของ โครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 ให้โดดเด่น ไม่เหมือนใคร ออกแบบให้ฉีกรูปแบบไปจากเดิมมาก จนกลายเป็นคอนโดมิเนียมหรูระดับไฮเอนด์ สไตล์โมเดิร์น luxury ที่ทันสมัย จุดเด่นอยู่ที่การเลือกใช้แต่วัสดุคุณภาพเกรดดีที่สุด รวมถึงแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อความคุ้มค่าในการอยู่อาศัย ซึ่งดูจากภาพ perspective แล้วจะเห็นได้เลยค่ะว่าทุกรายละเอียดของงานดีไซน์นั้นล้วนแต่ทำให้คอนโดมิเนียมดูหรูหราเกินราคาจริงๆ ภาพตัวอย่างห้อง Library Room ส่วนหนึ่งของ Facility ชั้น 8 เป็นผลงานการออกแบบของ LEO INTER ในสไตล์โมเดิร์น luxury ที่ดูหรูหราและทันสมัยไปพร้อมๆ กัน โดยใช้แต่วัสดุคุณภาพอย่างหินอ่อนที่นำมากรุผนังและปูพื้น ซึ่งสะท้อนถึงความสง่างาม และชวนสัมผัสได้เป็นอย่างดี   PIA Interior ทีมดีไซเนอร์สุดท้ายที่หลายคนน่าจะคุ้นหูคุ้นตากันดีกับ PIA Interior สตูดิโอออกแบบตกแต่งภายในอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ที่ฝากผลงานมาแล้วมากมายทั้งในห้างสรรพสินค้า, โรงแรมหรู, สำนักงาน, สปา, ร้านอาหาร, โรงภาพยนตร์ รวมถึงบ้านพักอาศัยหลายแห่ง และยังพิสูจน์ฝีมือกับคอนโดมิเนียม luxury segment ของเมืองไทยมาแล้วแทบทั้งนั้น รวมถึง โครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 นี้ PIA ก็ได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาดูแลเรื่องการออกแบบและตกแต่งภายในห้องพัก โดยทีมดีไซเนอร์ก็ได้คิดและออกแบบมาเพื่อคนที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ทั้งระบบ ventilation ภายในอาคาร ซึ่งถ้ามองจากภาพ Draft Unit Plan ที่เรานำมาให้ดูเป็นตัวอย่างข้างต้น จะเห็นเลยว่าจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบ size space ภายในห้องให้ดูกว้างขวาง โดยทำให้ห้องส่วนใหญ่เป็นห้องหัวมุมมากถึง 60% ซึ่งนับว่ามีจำนวนมากกว่าคอนโดฯ ทั่วไป ส่วนเอกลักษณ์ที่หลายคนสัมผัสได้จาก PIA ในผลงานสไตล์ luxury นั้น จะแฝงไปด้วยความมีระดับในทุกรายละเอียด หากลองสังเกตให้ลึกลงไปอีกนิดผลงานของ PIA ไม่ได้มีเพียงแค่ความหรูหราเท่านั้นนะคะ แต่ยังผ่านการพิจารณาถึงบริบทต่างๆ มาแล้วอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะลงมือเนรมิตพื้นที่ต่างๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้อย่างตรงใจ จนเป็นที่กล่าวขานกันในวงการอสังหาฯ ถึงงานดีไซน์ที่เฉียบคม ทำให้เชื่อมั่นได้เลยค่ะว่าห้องพักที่ทางทีมดีไซเนอร์ออกแบบนั้นต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีความละเมียดละไม คุ้มค่าทุกตารางเมตรแน่นอน แน่นอนว่าเหตุผลในการตัดสินใจซื้อคอนโดฯ สักแห่ง คำตอบแรกก็คงเป็นเรื่องของทำเลที่ตั้ง แต่อยากให้พิจารณาให้ดีก่อนนะคะ เพราะองค์ประกอบอื่นอย่าง ชื่อแบรนด์, การจัดวาง Layout, ขนาดห้อง, ฟังก์ชั่นการใช้งาน, เรื่องการเดินทาง ตลอดจนพื้นที่ส่วนกลาง รวมไปจนถึงการออกแบบและตกแต่งทั้งภายนอกและภายใน ก็ล้วนแต่มีความสำคัญทั้งสิ้น ซึ่งโครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 ของ TC Development นี้ ก็ล้วนแต่ตอบโจทย์ความต้องการได้ดี ยิ่งเรื่องของงานดีไซน์ก็นับว่ามีความโดดเด่นและน่าสนใจมากที่สุด เพราะทุกพื้นที่ของโครงการในทุกตารางเมตรต่างได้รับการออกแบบจากเหล่า Designer ระดับท็อปของเมืองไทย ให้เป็นศูนย์รวม Luxury ไว้ในพื้นที่แห่งเดียวแล้ว ยังทำให้วงการออกแบบบ้านเราเติบโตและเป็นที่รู้จักมากขึ้นอีกด้วย ท้ายที่สุดคงยากจะปฏิเสธจริงๆ ค่ะว่า โครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 เป็นอีกหนึ่งคอนโดมิเนียมหรูที่น่าสนใจมากที่สุดในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายใน Q1 ปี 2018 สำหรับผู้ที่สนใจอดใจรออีกนิดเดียวค่ะ ถ้าห้องตัวอย่างเสร็จเมื่อไหร่ทีมงานจะรีบเข้าไปเก็บข้อมูลมาทำรีวิวให้ดูก่อนใครแน่นอน พิเศษ! สำหรับแฟนๆ ชาว Review Your Living ทางโครงการแอบกระซิบให้ทีมงานนิดนึงว่า...ทางโครงการจะมีงาน VVIP Sale ให้เฉพาะลูกค้าที่ลงทะเบียน online ผ่าน www.one9five.com ในวันอาทิตย์ที่ 11 ก.พ. 61 นี้ที่โรงแรม Park Hyatt Bangkok ซึ่งถ้าอ่านรายละเอียดจากบทความพร้อมภาพตัวอย่างที่เรานำมาฝากแล้ว คงตัดสินใจไปงานได้ง่ายขึ้นแน่นอน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ โทร. 063 828 8999  
“เดอะทรี ลาดพร้าว 15” คอนโดใหม่ในเมือง ราคาไม่เกิน 2 ล้าน เพื่อเติมเต็มทุกด้านของชีวิต

“เดอะทรี ลาดพร้าว 15” คอนโดใหม่ในเมือง ราคาไม่เกิน 2 ล้าน เพื่อเติมเต็มทุกด้านของชีวิต

พฤกษา ผู้นำวงการอสังหาฯ รุกหนัก เตรียมเปิดตัวคอนโดใหม่ ภายใต้แบรนด์ “เดอะทรี” ทำเลในเมือง ซอยลาดพร้าว 15 ชูจุดขายเรื่องให้สิ่งอำนวยความสะดวกที่มากกว่า เดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้าหลายสาย รูปแบบโครงการมีความเป็นส่วนตัว มีเพียง 214 ยูนิต เตรียมเปิดจองในงาน VIP Day 3-4 ก.พ.นี้ เริ่มเพียง 1.49 ล้านบาท นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “วันที่ 3-4 ก.พ.นี้ จะเปิดขายโครงการใหม่ “เดอะทรี ลาดพร้าว 15” ซึ่งถือเป็นทำเลที่อยู่ในเมือง สะดวกสบายในการเดินทาง... ซึ่งมีเพียงแค่ 214 ยูนิต  มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท  โดย “ย่านลาดพร้าว-จตุจักร” ถือเป็นหนึ่งในทำเลที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก เป็นทั้งศูนย์กลางห้างสรรพสินค้า, ร้านอาหาร และแหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าว, ยูเนี่ยน มอลล์, Big C, Lotus, Gourmet Market  เป็นจุดศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งทางราง ระหว่างรถไฟฟ้า BTS, MRT และ SRT มีจุด Interchange มากถึง 5 จุด และยังใกล้สวนสาธารณะขนาดใหญ่ถึง 3 แห่ง รวมกว่าหลายร้อยไร่ ไม่ว่าจะเป็นสวนจตุจักร สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ และสวนรถไฟ ซึ่งถือเป็นปอดของคนเมือง และเป็นจุดเด่นอีกจุดหนึ่งในย่านนี้ เดอะทรี ลาดพร้าว 15 สุนทรียภาพแห่งการอยู่อาศัย จากสถาปัตยกรรมที่ร่วมสมัยสไตล์นีโอคลาสสิก สู่การออกแบบที่ผสมผสานเข้ากับไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน โดยพัฒนาเป็นอาคารสูง 8 ชั้น 1 อาคาร มีแบบห้องพักให้เลือกถึง 4 แบบ ได้แก่ Superior, Deluxe, Premier และ Suite ขนาดตั้งแต่ 22.30 - 30.30 ตารางเมตร มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่มากถึง 2 โซน คือ ในบริเวณอาคารพักอาศัย และคลับเฮาส์ที่แยกออกจากตัวอาคาร ประกอบไปด้วย โถงต้อนรับแบบ Exclusive & Elegant Lobby Hall ใช้หิน White Carrara และ White Volakas ซึ่งเป็นหินจริงในการตกแต่งทั้งโถง โซนพักผ่อน Lucent & Shady Glass House สวนส่วนกลางที่มากถึง 3 จุด ได้แก่ Superior & Panoramic Grand Garden สวนพักผ่อนบนชั้นดาดฟ้า Superior & Panoramic Sky-Height Garden สวนพักผ่อนลอยฟ้า ชั้น 8 Superior & Panoramic Rooftop Garden ห้องอเนกประสงค์ Social & Connection Space สระว่ายน้ำ Refresh & Relieve Aqua Pool ห้องออกกำลังกาย Healthy & Fine Fitness เครื่องว่ายน้ำทวนกระแส Swimming Jet พร้อมมุมพักผ่อนที่ปลายสระ Blazing classic space ซึ่งตกแต่งด้วยหิน Onyx ให้แสงสามารถส่องผ่านได้ เข้าออกโครงการสะดวกสบายด้วยระบบ One Card for All Access ใช้เพียงแค่บัตรเดียวเริ่มตั้งแต่หน้าโครงการจนถึงห้องพักอาศัย ระบบไฟ LED ทั้งโครงการ ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว ด้วยจุดเด่นของโครงการทั้งในด้านของทำเล ดีไซน์ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้มากกว่าโครงการอื่นๆ ในระดับเดียวกัน สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่มองหาที่อยู่อาศัยในย่านนี้ได้เป็นอย่างดี โครงการเดอะทรี ลาดพร้าว 15 เปิดตัวในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท ผ่อนเริ่มต้นเพียง 1,999 บาท/เดือน พร้อมเปิดจองในงาน VIP Day วันที่ 3-4 กุมภาพันธ์นี้ รับส่วนลดสูงสุด 100,000 บาท และ Gift Voucher สูงสุด 15,000 บาท เปิดให้ชมห้องตัวอย่างแล้ววันนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 1739 หรือ thetreecondo.pruksa.com