Tag : News

2376 ผลลัพธ์
เน็กซัส เผยลักษณะพิเศษที่ทำให้ถนนรัชดาเป็นโซนน่าอยู่ น่าลงทุน

เน็กซัส เผยลักษณะพิเศษที่ทำให้ถนนรัชดาเป็นโซนน่าอยู่ น่าลงทุน

ถนนรัชดาภิเษก เป็นถนนสายสำคัญอีกเส้นหนึ่งที่เชื่อมต่อพื้นที่โซนพระราม 9 - ลาดพร้าวเข้าด้วยกัน ตลอดระยะทางประมาณ 10.5 กิโลเมตร ตั้งแต่แยกพระราม 9 ไปจนถึงแยกรัชโยธินนั้น มีโครงการรถไฟฟ้าในอนาคตที่จะเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ปัจจุบันถึง 2 จุด และมีโครงการ Mega Project ที่กำลังจะเกิดขึ้นมากมายในบริเวณพระราม 9 – รัชดา ซึ่งเป็นพื้นที่ใจกลางธุรกิจแห่งใหม่ ที่ขยายตัวมาจากพื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำเลนี้เป็นอีกหนึ่งทำเลน่าสนใจสำหรับที่อยู่อาศัย แหล่งงาน หรือแม้แต่การลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการปล่อยเช่า   ทำไมรัชดาภิเษกถึงน่าสนใจ? นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า “ถนนรัชดาภิเษก เชื่อมต่อถนนหลักสำคัญหลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นถนนลาดพร้าว ถนนสุทธิสาร และถนนพระราม 9 ถนนทั้ง 3 เส้นที่ตัดผ่าน ทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ทั้งในแง่ของการกระจุกตัวของที่อยู่อาศัย ออฟฟิศ ศูนย์การค้า ซึ่งปัจจัยดังกล่าวข้างต้นยังสะท้อนไปถึงราคาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่นั้นๆ ด้วย ทั้งนี้ทำเลรัชดาภิเษกครอบคลุมจาก (1) โซนรัชดา-พระราม 9 (2) โซนรัชดา-สุทธิสาร และ (3) โซนรัชดา-ลาดพร้าว ในด้านการอยู่อาศัย ความโดดเด่นของ 3 ทำเลนี้ สามารถตอบสนองได้ทั้งการใช้ชีวิต การทำงาน และการเดินทางที่สะดวกสบายด้วยระบบราง ในด้านราคานั้น ทำเลนี้มีอัตราการเติบโตของราคาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยอยู่ที่ 9.3% ต่อปี จากราคาเฉลี่ย 86,900 บาทต่อตารางเมตร ในปี 2556 ต่อเป็น 116,000 บาทต่อตารางเมตร ในปี 2560” ราคาที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับอัตราการเติบโตของราคาในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในที่มีการเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี ซึ่งเห็นได้ว่าแนวโน้มการเติบโตของราคาไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้หากเทียบเป็นโซนย่อยของรัชดา (1) ทำเลรัชดา-ลาดพร้าว มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าเขตกรุงเทพฯ ชั้นในอย่างเห็นได้ชัด เฉลี่ยอยู่ที่ 15% ต่อปีซึ่งสะท้อนศักยภาพในแง่ของการลงทุนและการเติบโตของชุมชนในทำเลนี้ (2) ทำเลรัชดา- สุทธิสาร มีอัตราเติบโตของราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 5% ต่อปี สะท้อนการเติบโตของตลาดและความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับกลาง (3) ทำเลรัชดา- พระราม 9 มีอัตราเติบโตของราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ต่อปี เป็นทำเลศักยภาพใกล้ย่านธุรกิจ ด้านการลงทุนคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ มีอัตราเฉลี่ยผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า 5.39% เมื่อเปรียบเทียบกับทำเลในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในแล้ว มีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5% ทำให้คอนโดมิเนียมในทำเลนี้น่าสนใจในด้านการลงทุนปล่อยเช่า ซึ่งเนื่องมาจากเป็นทำเลที่ใกล้โซนออฟฟิศ และยังมีศักยภาพสำหรับการปล่อยขายและเช่าตลาดลูกค้าต่างชาติอีกด้วย หากจะวิเคราะห์ถึงลักษณะพิเศษที่ทำให้รัชดาภิเษกสามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วน โซนรัชดา-พระราม 9 (พื้นที่เชื่อมต่อเมือง เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ศูนย์กลางออฟฟิศในอนาคต) โซนรัชดา-พระราม 9 นับพื้นที่ตั้งแต่แยกพระราม 9 ถึงสถานี MRT ศูนย์วัฒนธรรม มีอุปทานรวมจำนวน 6,279 หน่วย อัตราขายรวม 89% มีระดับราคาเฉลี่ย 132,600 บาท/ตร.ม. เป็นโซนที่มีระดับราคาต่อตารางเมตรเฉลี่ยสูงที่สุดของทำเลรัชดาภิเษก ด้วยทำเลที่เชื่อมต่อจากอโศก-สุขุมวิท ย่านพื้นที่ดินราคาแพงของกรุงเทพฯ มีศูนย์การค้าเกิดขึ้นมากมายในบริเวณนี้ ทั้งเซ็นทรัลพระราม 9  ฟอร์จูน เอสพลานาดรัชดา และเดอะ สตรีท รวมทั้งตึกออฟฟิศจากนายทุนเจ้าใหญ่หลาย ๆ แห่ง เช่น SET, True Tower,  AIA เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีแนวโน้มการขยายตัวของเมือง ในบริเวณนี้เพิ่มเติมจากโครงการ Mega Project ต่างๆ เช่น โครงการ Super Tower โครงการมักกะสัน รวมมูลค่าโครงการดังกล่าวทั้งสิ้นกว่า 340,000 ล้านบาท ทำเลนี้จึงมีความน่าสนใจหากต้องการคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้ใจกลางเมือง เชื่อมต่อเข้าสู่ใจกลางเมืองได้เพียง 2 สถานี และแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ในราคาที่ถูกกว่าคอนโดมิเนียมในแนวรถไฟฟ้าเส้นสุขุมวิท โซนรัชดา-สุทธิสาร (แหล่งท่องเที่ยวและออฟฟิศ โซนเปลี่ยนผ่านไปยังชุมชนกรุงเทพฯ ชั้นกลาง) โซนรัชดา-สุทธิสาร นับพื้นที่ตั้งแต่สถานี MRT ศูนย์วัฒนธรรม แยกเทียมร่วมมิตรไปจนถึงแยกสุทธิสาร มีอุปทานรวมจำนวน 3,305 หน่วย อัตรขายรวม 93% มีระดับราคาเฉลี่ย 117,875 บาท/ตร.ม. โดยมีราคาขายต่ำลงมาจาก โซนรัชดา-พระราม 9 ประมาณ 11%  พื้นที่โซนนี้เต็มไปด้วยออฟฟิศ และแหล่งท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวเกาหลีอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และยังสามารถเชื่อมต่อไปยังถนนลาดพร้าว หรือลัดออกสู่ถนนพหลโยธิน จากซอยสุทธิสารได้ นอกจากนี้ยังมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มในอนาคต ตัดผ่านบริเวณสถานี MRT ศูนย์วัฒนธรรม ทำให้พื้นที่โซนนี้มีโอกาสเติบโตอีกในอนาคต โซนรัชดา-ลาดพร้าว (พื้นที่เชื่อมต่อไปยังชานเมืองหลายเส้นทาง มีความเป็นชุมชน คุ้มค่าราคา) โซนรัชดา-ลาดพร้าว นับพื้นที่ตั้งแต่แยกสุทธิสารไปจนถึงแยกรัชโยธิน มีอุปทานรวมจำนวน 5,256 หน่วย อัตราขาย68% มีระดับราคาเฉลี่ย 100,200 บาท/ตร.ม. มีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่เกิดขึ้นในโซนนี้จำนวนมาก เนื่องจากรถไฟฟ้าในอนาคตสายสีเหลืองได้มีกำหนดวันเข้าก่อสร้างที่ชัดเจน ส่งผลให้มียูนิตเหลือขายอีกจำนวนหนึ่งจากโครงการเปิดใหม่ภายใน 1 ปีที่ผ่านมา ทำเลนี้เป็นย่านที่อยู่อาศัยและออฟฟิศขนาดเล็ก มีความเป็นชุมชน เต็มไปด้วยร้านอาหารสไตล์ Street food ย่านรัชดา-ลาดพร้าวจึงเป็นอีกหนึ่งทำเลที่เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาคอนโดมิเนียมที่คุ้มค่าราคา และยังมีความสะดวกสบายอยู่ โดยสามารถเดินทางเข้าเมืองได้ภายใน 15 นาที โดยรถไฟฟ้า MRT นอกจากนั้นยังมีโครงการในรถไฟฟ้าความเร็วสูงในอนาคตบริเวณบางซื่อซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ ทำให้พื้นที่นี้เป็นย่านที่น่าจับตา เนื่องจากมีจุดเชื่อมต่อ (intersection) หลายจุดใกล้ๆ กัน ในอนาคตอันใกล้ภายในปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงเวลากำหนดเสร็จของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ทำเลรัชดาภิเษกน่าจะเป็นทำเลที่กลุ่มนักลงทุนให้ความสนใจมาพัฒนาโครงการในบริเวณนี้มากขึ้น โดยเฉพาะทำเลที่เป็นจุดตัดของรถไฟฟ้าทั้ง สายสีเหลืองและสายสีส้ม ซึ่งเริ่มก่อสร้างไปแล้วทั้งสองสาย นอกจากนั้นยังมีโครงการส่วนต่อขยายจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองแยกรัชดา-ลาดพร้าว เชื่อมรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มแยกรัชโยธินซึ่งอยู่ระหว่างทำการศึกษาเพิ่มเติมอีกโครงการ ปัจจุบันมีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในทำเลรัชดาจำนวน 1,697 ยูนิต ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา รวมทั้งมี Developer รายใหญ่อีกหลายๆ รายเริ่มเข้ามาจับจองพื้นที่เตรียมพัฒนาโครงการใหม่หรือเปิดตัวเพิ่มตั้งแต่ปลายปี 2560  จึงไม่แปลกใจที่ทำเลรัชดาตั้งแต่แยกพระราม 9 ถึงแยกรัชโยธินจะคึกคักมากกว่าเดิมภายใน 1-2 ปีนี้ และเป็นทำเลที่น่าจับตามองเรื่องราคาคอนโดมิเนียมที่มีโอกาสปรับสูงขึ้นตามอัตราการเติบโตของราคาเฉลี่ยโซนรัชดาต่อไป
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เสิร์ฟแคมเปญหวานจัดเต็ม “บ้านแห่งรัก 2018” ต้อนรับเดือนแห่งความรัก 10-11 กุมภาพันธ์นี้

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เสิร์ฟแคมเปญหวานจัดเต็ม “บ้านแห่งรัก 2018” ต้อนรับเดือนแห่งความรัก 10-11 กุมภาพันธ์นี้

บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ต้อนรับเทศกาลวันวาเลนไทน์ เสิร์ฟแคมเปญหวานๆ แห่งปี ‘บ้านแห่งรัก 2018’ หนุนกำลังซื้อกลุ่มผู้อยู่อาศัยตลาดเรียลดีมานด์ คู่รักที่เริ่มต้นสร้างครอบครัว นำบ้านเดี่ยวหลังใหญ่-ทาวโฮมหน้ากว้าง-คอนโดมิเนียม คุณภาพเยี่ยมกว่า 40 โครงการ ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด ให้ลูกค้าเลือกรับโปรฯ ‘ดอกไม่บาน ณ บ้านแห่งรัก 2018’ หวานจัดหนักกับดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี ฟรีทุกค่าใช้จ่าย หรือรับ Iphone X  เฉพาะโครงการเขตกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ณ สำนักขายทุกโครงการ วันที่  10-11 กุมภาพันธ์นี้ พร้อมจัดโปรฯ ‘Love Festival Double Bonus จูงมือเป็นคู่พร้อมเข้าอยู่’ มอบความคุ้มสุดๆ ให้คู่รักที่สนใจซื้อโครงการต่างจังหวัด รับสิทธิ์ทำสัญญาเพียง 1 บาท ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน เครื่องใช้ไฟฟ้า ฟรีประกันมิเตอร์น้ำ มิเตอร์ไฟ และฟรีค่าส่วนกลาง เริ่มแคมเปญแล้ววันนี้ ถึง 15 กุมภาพันธ์นี้ นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า ตลอดเดือนกุมภาพันธ์นี้ บริษัทฯ จัดแคมเปญใหญ่ “ลลิล บ้านแห่งรัก 2018” ซึ่งเป็นแคมเปญใหญ่ประจำปีของบริษัทฯ ที่จะจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรัก ต้อนรับวันวาเลนไทน์ที่จะมาถึงโดยเฉพาะ เพื่อขอบคุณลูกค้าที่ให้การสนับสนุน และมอบความไว้วางใจบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อสำหรับผู้อยู่อาศัยตลาดเรียลดีมาน์ คู่รักที่เริ่มต้นสร้างความรอบครัว ทั้งนี้บริษัทฯ มอบโปรฯ ‘ดอกไม่บาน ณ บ้านแห่งรัก 2018’ ในวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ 2561 ให้ลูกค้าโครงการกรุงเทพฯ และปริมณฑล เลือกรับดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี ฟรีทุกค่าใช้จ่าย หรือรับ Iphone X ในส่วนโครงการต่างจังหวัด บริษัทฯ จัดโปรฯ พิเศษ ‘Love Festival Double Bonus จูงมือเป็นคู่พร้อมเข้าอยู่’ โดยมอบความคุ้มสูงสุดให้คู่รักที่สนใจซื้อโครงการต่างจังหวัด รับสิทธิ์ทำสัญญาเพียง 1 บาท ฟรี ทุกค่าใช้จ่ายวันโอน ฟรี ประกันมิเตอร์น้ำ-มิเตอร์ไฟ ฟรี ค่าส่วนกลาง และเลือกรับเครื่องใช้ไฟฟ้า ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด ทั้งนี้กำหนดระยะเวลาจัดโปรฯ ดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 10-15 กุมภาพันธ์นี้เท่านั้น อย่างไรก็ดีภายหลังจากนั้น บริษัทฯ เตรียมจัดโปรฯ พิเศษให้กับกลุ่มลูกค้าเก่าให้ได้ร่วมสนุกด้วยเช่นเดียวกัน นับว่าปีนี้บริษัทฯ ได้มอบความคุ้มสูงสุดกว่าทุกปีและมีความหลากหลายครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น บริษัทฯ จึงมั่นใจว่าแคมเปญ ‘ลลิล บ้านแห่งรัก 2018’ จะตรงใจและจะมีผลตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยคุณภาพในช่วงนี้อย่างมาก สำหรับโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ “ลลิล บ้านแห่งรัก 2018” มีกว่า 40 โครงการ ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บ้านแนวคิดใหม่ ทาวน์โฮมหน้ากว้าง และคอนโดมิเนียมคุณภาพเยี่ยม ในกรุงเทพฯและปริมณฑล และต่างจังหวัด ภายใต้แบรนด์ ‘ลลิล ทาวน์’ โดยในปีนี้ มีโครงการคุณภาพ บนทำเลยุทธศาตร์แห่งใหม่ให้เลือกหลากหลาย อาทิ ลลิล ทาวน์ ไลโอ บลิสซ์ เพชรเกษม – ยอแซฟฯ ทาวน์โฮมดีไซน์ใหม่ ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน เพิ่มพื้นที่ความสุขให้เต็มที่กับ 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และมีดีไซน์หน้าบ้านกว้างที่สุด บนทำเลคุณภาพที่สามารถตอบสนองความต้องการของชีวิตให้ครบจบที่เดียว และลลิล ทาวน์ ไลโอ บลิสซ์ สุขสวัสดิ์-ประชาอุทิศ ทาวน์โฮมใหม่น่าอยู่กับสถาปัตสวนที่ลงตัวที่สุด บนสุขสวัสดิ์ พร้อมพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่และฟังก์ชั่นที่เหนือกว่าประโยชน์ใช้สอยมากกว่า ขนาด 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 รับประทานอาหาร ครัวแยกสัดส่วน พร้อมเคาน์เตอร์เตรียมอาหาร 1 จอดรถ ในราคาที่จับต้องได้ พลาดไม่ได้กับแคมเปญสุดพิเศษ “ลลิล บ้านแห่งรัก 2018” ที่ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เตรียมมอบให้ด้วยรัก ตลอดทั้งเดือนกุมภาพันธ์นี้ ณ สำนักงานขายทุกโครงการ ระหว่างวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์นี้ สนใจติดต่อเข้าเยี่ยมชมโครงการ หรือสอบถามข้อมูลแคมเปญ “บ้านแห่งรัก 2018” โทร Call Center โทร 1778 หรือเว็บไซต์ www.lalinproperty.com
คอนโด ใช้ชีวิตให้เป็นตัวเองกับแกรนด์ ยูนิตี้

คอนโด ใช้ชีวิตให้เป็นตัวเองกับแกรนด์ ยูนิตี้

ปี 2018 นี้ เป็นอีกปีที่ตลาดคอนโดมิเนียมยังคงร้อนแรงที่สุดอย่างต่อเนื่องในรอบหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เราได้เห็นหลายโครงการใหม่ที่น่าจับตามองเริ่มเปิดตัวกันมาตั้งแต่ต้นปี โดยหนึ่งในนั้น คือ แกรนด์ ยูนิตี้ ที่มาพร้อมกับ 4 โครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ติดรถไฟฟ้า ภายใต้คอนเซป "Simply Makes Sense" ให้เราได้คัดเลือกคอนโดมิเนียมในโครงการที่ลงตัวกับเรามากที่สุดทั้งทำเล ดีไซน์ สิ่งอำนวยความสะดวกภายในและรอบโครงการ เพราะคอนโดมิเนียมที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ความเป็นตัวเราได้ดีที่สุดคือโครงการที่ใช่ที่สุด   หนึ่งในทำเลสุดฮอตคือแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยายช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และยังใกล้ทางยกระดับอุตราภิมุข สนามบินดอนเมือง พร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าว, เมเจอร์รัชโยธิน ฯลฯ รวมถึงดีมานด์ที่มีอยู่มากมายหลายกลุ่มทั้งนักศึกษา บุคลากรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และกลุ่มคนทำงาน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีการเช่าคอนโดอยู่มากที่สุด Ciela (เซียล่า)  คอนโดมิเนียม High Rise 28 ชั้น บนพื้นที่ 6-1-17.30 ไร่ ทั้งหมด 903 ยูนิต ขนาด 22.5-60 ตร.ม. ตัวโครงการติดรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยศรีปทุม ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบใช้ชีวิตสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเข้าใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็วด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ไม่ต้องไปเปลี่ยนสายสถานีไหนก็สามารถตรงเข้าเมืองได้ง่ายๆ ส่วนเหล่านักลงทุนทั้งหลายต้องคอยจับตามองให้ดีค่ะ เพราะโครงการนี้ได้ยินมาว่าราคาเปิดตัวไม่เกิน 100,000 บาท/ตร.ม. เท่านั้น เป็นราคาที่เชื่อว่าสำหรับคอนโดมิเนียมติดสถานีรถไฟฟ้าในปัจจุบันไม่มีใครทำราคาได้เท่านี้  สระว่ายน้ำระบบเกลือบนชั้นดาดฟ้า สวนสีเขียวชั้นล่าง Ciela มาพร้อมส่วนกลางครบครัน เช่น ล็อบบี้, สวนสีเขียว, สระว่ายน้ำระบบเกลือ, ห้องออกกำลังกายชั้นดาดฟัา, สวนชั้นดาดฟ้า, ห้องซาวน่า, ห้องบริการซักผ้า อบผ้า เป็นต้น มีระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง กล้องวงจรปิด ลิฟท์โดยสารให้มาถึง 5 ตัว แยกลิฟท์เซอร์วิช 1 ตัว ลิฟท์โดยสารที่อาคารจอดรถ 2 ตัว    โครงการถัดมาที่ยังคงคอนเซปในการเป็นคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้า ซึ่งเตรียมเปิดตัวในช่วงครึ่งปีแรกนี้ต่อจากโครงการ Ciela คือ   De Lapis (เดอ ลาพีส)  คอนโดมิเนียม High Rise ย่านจรัญสนิทวงศ์ 81 ที่ได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยาหนึ่งในมุมมองที่สวยที่สุดบนอาคารสูงในกรุงเทพฯ มี Background เป็นตึกสูงระฟ้าใจกลางเมือง พร้อมกับได้วิวสระว่ายน้ำบนอาคารไปด้วย และยังใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสถานีบางพลัด โดยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเป็นสายที่วิ่งเป็นวงแหวนเพียงสายเดียวของโครงข่ายรถไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งจะผ่านสถานที่สำคัญหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นย่านออฟฟิศทั้งสีลม รัชดาภิเษก ย่านที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของกรุงเทพฯชั้นใน และหากใช้รถยนต์ส่วนตัวก็ใกล้ทางพิเศษศรีรีช และยังสามารถใช้สะพานกรุงธนแล้วตรงเข้าสู่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเชื่อมต่อการเดินทางได้อีกหลากหลายเส้นทาง และยังใกล้กับสถานที่สำคัญชื่อดังหลายแห่ง ทำให้ De Lapis เหมาะสำหรับกลุ่มคนทำงานในตัวเมืองไปจนถึงครอบครัวที่อยากได้ความสงบเป็นส่วนตัว แต่ยังได้ความสะดวกสบายแบบคอนโดมิเนียมท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดี หากลงทุนปล่อยเช่าก็จะมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนทำงาน และคนที่อาศัยอยู่ในย่านเดิมอยู่แล้วต้องการขยับขยาย    เรียกว่าทั้ง Ciela (เซียล่า) กับ De Lapis (เดอ ลาพีส) จะมีราคาเปิดตัวค่อนข้างสูสีกันด้วยที่ตั้งโครงการติดรถไฟฟ้าเหมือนกันเพียงแต่คนละทำเล เราก็สามารถเลือกตัวที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของแต่ละคน ซึ่งทั้งสองโครงการมีแพลนเปิดตัวช่วงครึ่งปีแรกนี้ ย้ำกันอีกทีนะคะว่าราคาแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้วสำหรับคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า จับตาวันเปิดตัวกันให้ดีค่ะ            ส่วนช่วงครึ่งปีหลังทางแกรนด์ ยูนิตี้ เตรียมเปิดตัวอีก 2 โครงการใหม่ ที่มีการเปิดข้อมูลออกมาบางส่วนบ้างแล้ว คืือ Denim (เดนิม)  คอนโดมิเนียม High Rise โดดเด่นด้วยดีไซน์สไตล์ Urban Lifestyle บนแนวคิด Mixed-Use Concept โครงการตั้งอยู่ภายในซอยพหลโยธิน 18 ทะลุไปซอยวิภาวดีรังสิต 3 ได้ มีศักยภาพด้านการเดินทางสูงทั้งในปัจจุบันและอนาคต สำหรับผู้ที่ใช้บริการขนส่งสาธารณะสามาถใช้รถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานีหมอชิตที่เป็น Interchange กับรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินสถานีจตุจักร ซึ่งในอนาคตประมาณปี 2563 จะเปิดให้บริการสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งเป็นสถานีที่เป็นศูนย์กลางระบบรางแห่งใหม่แทนหัวลำโพงที่มีความแออัดมากในปัจจุบัน โดยจะทำหน้าที่เป็นสถานีหลักของรถไฟสายเหนือ สายอีสาน สายใต้ สายตะวันออก และสายตะวันตก นอกจากนี้ยังมีการออกแบบเพื่อรองรับรถไฟฟ้าความเร็วสูงทุกสายในอนาคต เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สายสีแดงได้ มีโซนช้อปปิ้งมอลล์ รวมถึงยังมีพื้นที่จอดรถ 1,700 คัน แน่นอนว่าจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน และยังเป็นแหล่งออฟฟิศทั้งเอกชน รัฐวิสาหกิจ ราชการหลายแห่ง ทำให้ในอนาคตบริเวณนี้มีแนวโน้มจะกลายเป็นอีกหนึ่งใน New CBD ของกรุงเทพฯ   Mazarine (แมสซารีน)  คอนโดมิเนียม High Rise เกรด Premium เป็นตัวที่เป็นไฮไลท์ของปีนี้ ซึ่งมีแพลนจะเปิดตัวในช่วงปลายปี  โดยทั้งราคาและทำเลที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเมเจอร์รัชโยธินจะส่งให้โครงการนี้ทำ Surprise ได้แน่นอนค่ะ      ทั้งหมดนี้คือแนวคิด Simply Makes Sense จากแกรนด์ ยูนิตี้ "ใช้ชีวิต...บนเหตุผลของคุณ" คือ keyword ที่กำลังจะบอกกับเราว่าเราสามารถเลือกสิ่งที่ใช่ได้ด้วยตัวเราเอง เลือกอย่างเหมาะสม เลือกบนเหตุผลของตัวเอง เพราะเชื่อว่าหลายคนย่อมเคยเกิดความคิดที่ว่า   อยากมีคอนโดเป็นของตัวเอง อยากอยู่คอนโดใกล้แนวรถไฟฟ้า อยากดีไซน์ห้องของเราตามสไตล์ในแบบที่เป็นตัวเอง เพราะเราอยากใช้ชีวิตในแบบที่เราเลือกเอง ไม่ต้องตามใคร #ใช้ชีวิตบนเหตุผลของคุณ มันคงไม่ make sense เท่าไหร่กับการที่ต้องวิ่งตามกระแสของคนอื่นใช่ไหมคะ   รายละเอียดเพิ่มเติม Grand Unity   โครงการอื่นจาก Grand Unity Denim Jatujak KARA Ari–Rama 6 De LAPIS Charan 81 CIELA Sripatum The Private Residence Rajadamri
“ออริจิ้น” ผุดอาณาจักรมิกซ์ยูส 3 ทำเลใจกลางเมือง มูลค่า 70,000 ล้าน พร้อมจัดทัพใหญ่ สร้าง “The Empire of Origin” อาณาจักรอสังหาฯครบวงจร

“ออริจิ้น” ผุดอาณาจักรมิกซ์ยูส 3 ทำเลใจกลางเมือง มูลค่า 70,000 ล้าน พร้อมจัดทัพใหญ่ สร้าง “The Empire of Origin” อาณาจักรอสังหาฯครบวงจร

ออริจิ้น เดินหน้าสร้าง “The Empire of Origin” ติดเครื่องตลาดลักชัวรี่ เล็งผุดอาณาจักรมิกซ์ยูสหรู “พาร์ค ออริจิ้น คอมเพล็กซ์” 3 ทำเลใจกลางเมือง มูลค่ารวมกว่า 70,000 ล้านบาท พร้อมจัดทัพผู้บริหาร กุมบังเหียน JV-บ้านแนวราบ-อสังหาฯเช่า-บริการ ปั้นอาณาจักรอสังหาฯครบวงจร ปี 61 จ่อเปิดโครงการใหม่ 14 โครงการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท ตั้งเป้าโกยยอดขาย 20,000 ล้าน พร้อมรายได้ทะลุ 15,000 ล้าน นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน นอตติ้ง ฮิลล์ ไนท์บริดจ์ และพาร์ค และบ้านแนวราบภายใต้แบรนด์ บริทาเนีย กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทนับจากนี้ จะมุ่งเดินหน้าสร้างอาณาจักรออริจิ้น หรือ The Empire of Origin โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม โครงการบ้านแนวราบ โครงการร่วมทุนกับต่างชาติ โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้หมุนเวียน รวมถึงมีธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์อย่างครบถ้วน เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกเซ็กเมนท์ “ปี 2560 เป็นปีที่เราเริ่มก้าวสู่การเดินหน้าธุรกิจใหม่ๆ นอกจากธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียม นับตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป จะเป็นปีที่เราขับเคลื่อนธุรกิจใหม่อย่างเต็มกำลัง ทุกธุรกิจจะหยั่งรากฐานและเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของอาณาจักรออริจิ้น และเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม” นายพีระพงศ์ กล่าว สำหรับก้าวแรกของการสร้างอาณาจักรออริจิ้น บริษัทจะหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการระดับลักชัวรี่มากขึ้น โดยมีแผนจะพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสผสานกับโครงการคอนโดมิเนียม 3 ทำเล เพื่อสร้างโครงการแฟล็กชิพภายใต้คอนเซ็ปต์ “พาร์ค ออริจิ้น คอมเพล็กซ์” รวมมูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท ในทำเลใจกลางเมือง ได้แก่ พร้อมพงศ์ ทองหล่อ และพญาไท ให้สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ด้านการอยู่อาศัยของโลก ที่ผู้บริโภคจะให้น้ำหนักกับการเข้าอยู่อาศัยในโครงการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างครบวงจร ขณะนี้ บริษัทกำลังอยู่ระหว่างศึกษาและพิจารณารายละเอียดของการพัฒนาแต่ละโครงการ นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนไปได้ถึงเป้าหมายดังกล่าว บริษัทได้จัดโครงสร้างบริษัทให้ชัดเจนและแต่งตั้งผู้บริหารที่มีประสบการณ์คร่ำหวอดในแวดวงต่างๆ มาอย่างยาวนาน ขึ้นดูแลและบริหารส่วนงานที่มีความสำคัญกับการเติบโตเป็นอาณาจักรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ได้แก่ นายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ดูแลด้านการร่วมทุน (Joint Venture) นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการโครงการแนวราบ ดูแลธุรกิจบ้านแนวราบ นางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด ดูแลธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ธุรกิจค้าปลีก สำนักงานเช่า ตลอดจนธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับการขายและการเช่า สำหรับปี 2561 บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ 14 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 10   โครงการ มูลค่า 26,000 ล้านบาท และโครงการบ้านแนวราบ 4 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท ขณะที่วางเป้ายอดขายไว้ที่ 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ราว 43% เป้ารายได้ที่ 15,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ราว 67% ด้านนายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ดูแลด้านการร่วมทุน กล่าวว่า การร่วมทุนถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการเติบโตของออริจิ้นสู่อาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เพราะจะช่วยสร้างโอกาสในการเรียนรู้แนวคิด โนว์ฮาว ดีไซน์ ของบริษัทพาร์ทเนอร์ มาใช้ต่อยอดกับการดำเนินธุรกิจให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ขณะเดียวกัน ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ๆ ของพาร์ทเนอร์อีกด้วย “กรณีเราร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ทางโนมูระมีฐานลูกค้าอยู่ราว 4 แสนราย มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นมายาวนานถึง 60 ปี การร่วมทุนกับโนมูระทำให้เราสามารถนำประสบการณ์ 60 ปีของโนมูระ มาต่อยอดเป็นปีที่ 61 ของเรา” นายปิติพงษ์ กล่าว ที่ผ่านมา บริษัทมีพาร์ทเนอร์หลักคือบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ ร่วมทุนในโครงการคอนโดมิเนียมแล้ว 5 โครงการ และโครงการโรงแรมอีก 1 โครงการ ในอนาคต บริษัทยังเปิดกว้างโอกาสในการร่วมทุนในธุรกิจประเภทอื่นๆ ทั้งโครงการแนวราบ คอมมูนิตี้มอลล์ สำนักงานให้เช่า ไปจนถึงธุรกิจแวร์เฮาส์ คาดว่าระยะยาวจะมีรายได้ที่เกิดจากธุรกิจร่วมทุนราว 20-30% ของรายได้รวม ด้านนางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการโครงการแนวราบ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจโครงการแนวราบถือเป็นอีกธุรกิจที่จะมีบทบาทสำคัญต่ออาณาจักรออริจิ้น โดยภายในปี 2561-2565 บริษัทตั้งเป้าจะเปิดตัวโครงการใหม่ เน้นทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และทำเลระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) มูลค่ารวมกว่า 45,000 ล้านบาท และสร้างรายได้กลับมายังบริษัทในช่วง 5 ปีดังกล่าวกว่า 31,000 ล้านบาท “เราวางแผนตั้งแต่ต้นว่าจะใช้กลยุทธ์การเติบโตแบบทวีคูณ หรือ Multiply Growth ดังนั้น การทำงานในทุกขั้นตอนของเราตลอดช่วงที่ผ่านมาก็จะเป็นแบบคูณสอง ทั้งการหาที่ดิน การพัฒนางานออกแบบ ตลอดจนการทำงานด้านการตลาด ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถเติบโตไปได้ตามเป้าหมาย” นางศุภลักษณ์ กล่าว ขณะที่ระดับราคาของบ้านจะแบ่งออกเป็น 3 เซ็กเมนท์ ได้แก่ ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ ราคา 3-5 ล้านบาท บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ราคา 5-8 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว ราคา 8-20 ล้านบาท เพื่อให้พร้อมรองรับความต้องการของผู้บริโภคทุกระดับ ตั้งแต่ระดับอีโคโนมี่ พรีเมียม ไปจนถึงระดับเพรสทีจ ทั้งนี้ จุดขายโครงการแนวราบแบรนด์บริทาเนียภายใต้อาณาจักรออริจิ้นจะประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.ทำเล ที่เน้นเจาะพื้นที่บลูโอเชียนที่การแข่งขันไม่สูงมาก แต่เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพรองรับการขยายตัวของระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่ชานเมือง 2.ฟังก์ชั่น ที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริงๆ ของผู้บริโภค และ 3.สไตล์ที่ดูเป็นคนรุ่นใหม่ ทั้งในแง่สถาปัตยกรรมและสภาพแวดล้อมโครงการ ในช่วงปลายปี 2560 บริษัทเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดไปแล้ว 1 โครงการ ได้แก่ โครงการบริทาเนีย ศรีนครินทร์ ซึ่งได้รับผลการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค สามารถปิดการขายเฟสแรกได้ภายใน 2 เดือน ในปี 2561 จึงจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท ด้านนางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน จะเป็นธุรกิจที่ช่วยสร้างการเติบโตและรับรู้รายได้อย่างยั่งยืนให้กับอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของออริจิ้น เพราะประกอบไปด้วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่า เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ สำนักงานเช่า คอมมูนิตี้มอลล์ ที่สร้างรายได้กลับมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมรองรับทุกสภาพเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ยังมีธุรกิจบริการที่จะช่วยเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภค ทิศทางของบริษัทต่อจากนี้ จะให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง 1.Great Location เกาะทำเลศักยภาพอย่างสุขุมวิทที่ตอบโจทย์ทั้งนักท่องเที่ยวทั่วไป (Leisure Traveler) และนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ (Business Traveler) รวมถึงทำเลอีอีซีที่มีศักยภาพในการเติบโต 2.Great Service ให้ความสำคัญกับการบริการมาตรฐาน โดยในส่วนของโรงแรมนั้น บริษัทจะใช้เชนจากต่างประเทศเข้ามาช่วยบริหาร เพื่อให้เกิดบริการมาตรฐานสากล ผสมผสานเข้ากับการบริการซึ่งมีเอกลักษณ์แบบของไทย 3.มิกซ์ยูส โครงการต่างๆ ต่อจากนี้จะพัฒนาไปแบบมิกซ์ยูส ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่ “สำหรับธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ เราตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี จะมีจำนวนห้องพักอยู่ในระดับท็อปเท็นของเมืองไทย ขณะที่ในแง่ธุรกิจบริการ เราตั้งเป้าว่าจะเติบโตจนมีเซอร์วิสเชนของตัวเอง คอยบริการผู้บริโภค” นางจตุพร กล่าว
One9Five อโศก – พระราม 9 ฉีกรูปแบบเก่า ด้วยงานดีไซน์เหนือกาลเวลา

One9Five อโศก – พระราม 9 ฉีกรูปแบบเก่า ด้วยงานดีไซน์เหนือกาลเวลา

เมื่อดีไซน์กลายเป็นเครื่องมือที่สะท้อนแนวคิดและรูปลักษณ์ขององค์กร จึงไม่น่าแปลกใจเลยค่ะที่วันนี้เราจะเห็นเจ้าของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์หลายแห่งให้ความสำคัญกับเรื่องดีไซน์ของอาคาร และการตกแต่งภายในมากขึ้น ซึ่งทาง TC Development เองก็เข้าใจและเล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ จึงได้ทำการพัฒนา Re-Design เปลี่ยนภาพลักษณ์คอนโดมิเนียมโครงการ TC Royal พระราม 9 ใหม่ทั้งหมด จนแทบไม่เหลือภาพเดิมเลย เพราะสัญลักษณ์มงกุฎสีทองที่เราคุ้นตากันดีก็ถูกถอดออกเรียบร้อยแล้ว แถมยัง rebranding ภาพลักษณ์องค์กรให้ดูหรูหรามากขึ้น ที่สำคัญยังเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุดในชื่อ “One9Five” Asoke - Rama 9 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Luxury Life Curator” รวบรวมความเป็นที่สุดของ Luxury ไว้ในสถานที่แห่งเดียว     “One9Five” อโศก – พระราม 9 เป็นโครงการ Luxury Condominium ขนาดใหญ่กว่า 11 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนพระราม 9 ซอย 5 ในพื้นที่ New CBD ใจกลางเมือง ที่เดินทางสะดวกสบายมาก ใกล้ MRT สถานีพระราม 9 (ห่างเพียง 200 เมตร) แวดล้อมด้วยตึก Super Tower, G Tower, Central พระราม 9, Fortune และโรงพยาบาลพระราม 9 และใกล้ทางด่วนถึง 2 จุด นับว่าเป็นคอนโดขนาดใหญ่และสูงที่สุด บนถนนพระรามเก้าฝั่ง Unilever House เลยค่ะ ตัวโครงการแบ่งออกเป็น 2 อาคาร 61 ชั้น อาคาร A จำนวน 954 ยูนิต และอาคาร B จำนวน 957 ยูนิต ไฮไลท์อยู่ที่ความเป็น Privacy Living ด้วยจำนวนห้องไม่เกิน 18 ยูนิตต่อชั้น ในราคาที่จับต้องได้กว่าโครงการข้างเคียงอื่นๆ แถมยังจัดเต็มพื้นที่ส่วนกลางบนเนื้อที่กว่า 8.6 ไร่ จำนวน 3 ชั้น ให้แบบไม่มีกั๊กเพื่อรองรับความสุขของลูกบ้าน ซึ่งมาพร้อมสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ยาว 100 เมตร ที่เชื่อมกันระหว่าง 2 อาคาร และสิ่งอำนวยความสะดวกสบายอื่นๆ อย่างครบครัน   และจุดเด่นที่สำคัญของโครงการนอกจากเรื่องของทำเลศักยภาพแล้ว คือเรื่องของ Spec ที่ให้ลูกบ้านเหนือความคาดหมายเกินมาตรฐานราคาใน Segment เดียวกันไปเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นพื้น Engineering wood, Air Conceal ฝังในฝ้า ซึ่งปกติแล้วจะมีให้เฉพาะคอนโดแบบ Super luxury segment เท่านั้นนะคะ เมื่อโครงการจัดเต็มทุกสิ่งขนาดนี้ วันนี้เราจึงมีภาพอาคาร One9Five และภาพ Draft Floor Plan, Unit Plan พร้อมภาพ perspective บางส่วนจากทางโครงการมาให้ดูก่อนใครด้วยค่ะ   ภาพอาคาร One9Five อโศก – พระราม 9 Master Plan โครงการนะคะ ภาพตัวอย่าง Grand Lobby บริเวณชั้น Ground Floor ที่ดูโอ่อ่า กว้างขวาง ไม่เหมือนดั่งคอนโดฯ ทั่วไป ภาพตัวอย่าง ห้อง Mail Box บริเวณชั้น Ground Floor ดูหรูสมกับคอนเซ็ปต์ Luxury Life Curator ด้วยการใช้วัสดุที่สื่อถึงความหรูหราและอบอุ่นอย่างหินอ่อนและไม้เป็นหลัก นอกจากนี้ยังซ่อนแสงไฟตามหลืบผนังและเพดานเพื่อความสวยงาม สบายตา แปลนพื้นที่บริเวณชั้น 8 นะคะ จะเป็น Facility ทั้งหมด ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างอาคาร A และ B Facility หลักของชั้น 8 จะเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ยาว 100 เมตร ที่เชื่อมกันระหว่าง 2 อาคาร ซึ่งได้รับการออกแบบให้ดูทันสมัยล้อกับรูปลักษณ์ใหม่ของอาคาร ด้วยการใช้เส้นสายเรขาคณิตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานดีไซน์ ภาพตัวอย่างห้อง Private Spa บริเวณ Facility ชั้น 8 ภาพตัวอย่างห้อง Residential Lounge บริเวณ Facility ชั้น 8 ภาพตัวอย่างห้อง Fitness Center บริเวณ Facility ชั้น 8 ภาพตัวอย่างห้อง Kid's Club บริเวณ Facility ชั้น 8 ภาพตัวอย่างห้อง Golf Simulator Room บริเวณ Facility ชั้น 8 แปลนพื้นที่บริเวณชั้น 61 นะคะ ซึ่งจะเป็น Facility ส่วนที่เหลือบางส่วน ภาพตัวอย่างห้อง Sky Residential Lounge บริเวณ Facility ชั้น 61 ภาพตัวอย่างห้อง Private Sky Meeting Room บริเวณ Facility ชั้น 61 แปลนของยูนิตพักอาศัยนะคะ ซึ่งทุกห้องมีจุดเด่นอยู่ที่ Private Corner view ไม่เหมือนคอนโดฯ ทั่วไป แปลนห้อง 1 Bedroom Deluxe ขนาด 36 - 41 ตารางเมตร แปลนห้อง 1 Bedroom Junior ขนาด 25.5 - 35.5 ตารางเมตร แปลนห้อง 2 Bedrooms 2 Bathrooms ขนาด 55 - 68 ตารางเมตร ภาพตัวอย่างห้องพักอาศัย Type A ในส่วนของ Living Room ภาพตัวอย่างห้องพักอาศัย Type A ในส่วนของ Master Bedroom ที่ดูหรูหราโอ่อ่า โอบล้อมไปด้วยหน้าต่างกระจกใส ภาพตัวอย่างห้องพักอาศัย Type D ในส่วนของ Living Area ที่ดูกว้างขวางและน่าใช้งานเป็นอย่างดี ภาพตัวอย่างห้องพักอาศัย Type D ในส่วนของ Master Bedroom ที่ดูหรูหราและทันสมัยไปพร้อมๆ กัน สำหรับการออกแบบนั้นบอกได้คำเดียวว่าน่าสนใจจริงๆ ค่ะ เพราะ “One9Five” อโศก – พระราม 9 เป็นโครงการที่ร่วมกันพัฒนาสร้างสรรค์จากทีม Designer ระดับท็อปของเมืองไทย อย่าง Shma, LEOINTER และ PIA เรียกได้ว่าครบเครื่องทั้งเรื่องของ Architect, Interior และ Landscape จนสร้างเสียงฮือฮาให้กับวงการอสังหาฯ ตั้งแต่ยังไม่ได้ก่อสร้าง นับว่าเป็นคอนโดมิเนียมอีกหนึ่งโครงการที่น่าจับตาเป็นอย่างมาก อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะอยากทราบรายละเอียดแล้วว่า..เหล่าทีมดีไซเนอร์ระดับท็อปของเมืองไทยนั้นมีผลงานอะไรที่น่าสนใจ และมีแนวคิดในการออกแบบ โครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 ให้สวยงามและแตกต่างจากโครงการอื่นอย่างไร ลองมาดูกันค่ะ   Shma เส้นสายที่ดูเรียบง่าย กับงานออกแบบสไตล์โมเดิร์นที่นำเสนอผ่านวัสดุที่ให้สีสัน ผิวสัมผัสล้อเลียนกับธรรมชาติ และบริบทโดยรอบผสมผสานกับการใช้พรรณไม้ท้องถิ่น นับเป็นเอกลักษณ์ของ Shma (ฉมา) ทีมดีไซเนอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ Landscape อับดันต้นๆ ของเมืองไทย ที่ทำงานออกแบบและให้คำปรึกษาด้านภูมิสถาปัตยกรรม ภูมิทัศน์เมืองของโครงการหลากหลายขนาดทั้งในและต่างประเทศ ตั้งแต่ที่อยู่อาศัย สถานที่พักผ่อน ไปจนถึงงานวางผังและงานวิจัย มีผลงานที่สร้างชื่อเสียงจากการพัฒนาพื้นที่สีเขียวเครือข่ายมักกะสัน Friends of the River (FOR), การเข้าร่วมพัฒนาย่านเจริญกรุงให้กลายเป็น Creative District และสร้างสวนสาธารณะใต้ทางด่วน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและสร้างประโยชน์ใช้สอยในที่รกร้าง นอกจากนี้ยังมีผลงานเก่าๆ ที่ออกแบบให้กับโครงการชั้นนำไว้มากมาย จึงไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไม Shma ถึงถูกคัดเลือกให้เข้ามาเป็นผู้ดูแลเรื่อง Landscape ในโครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 ทั้งหมด ซึ่งพื้นที่ภายในโครงการมีเนื้อที่ขนาดใหญ่ราว 7-8 ไร่ แถมทีมดีไซเนอร์ยังใส่รายละเอียดเต็มที่กับแนวคิด Fruit Forest – Sky Hill ให้ความรู้สึกเสมือนยกภูเขาทั้งลูกมาไว้ในคอนโดมิเนียม อย่างที่ไม่เคยเห็นที่โครงการไหนมาก่อน เพียงแค่ทราบแนวคิดก็มั่นใจได้เลยค่ะว่าพื้นที่สวนของโครงการนั้นจะต้องงดงาม น่าพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติที่โอบล้อมไปด้วยงานดีไซน์ และน่าจะเป็นอีกหนี่งผลงานที่สามารถเป็น reference แนวคิดสวนของโครงการคอนโดมิเนียมในอนาคตได้อีกด้วย พื้นที่ Landscape รอบโครงการ โอบล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีพร้อมบ่อน้ำที่เปรียบเสมือนลำธาร ด้วยเส้นสายที่เฉียบคมลับกับดีไซน์ของตัวอาคาร   LEO INTER LEO Inter (เลโอ อินเตอร์) ก็เป็นอีกหนึ่งทีมดีไซเนอร์ที่มีฝีมือไม่ธรรมดา เพราะฝากผลงานเด่นๆ ในการออกแบบตกแต่งภายใน งานสถาปัตยกรรม และการวางแผนพื้นที่มาไม่น้อย ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 30 ปี จนทำให้ เลโอ อินเตอร์เนชั่นแนล ดีไซน์ กรุ๊ป ได้รับการจัดให้อยู่ในระดับแนวหน้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม และรีสอร์ท ทั้งยังได้ทำงานร่วมกับโรงแรมนานาชาติระดับ 5 ดาวที่มีชื่อเสียง เช่น Shangri-La, Accor, Marriott, Hilton, Moevenpick, Intercontinental, Dusit Thani, Sheraton, Taj Hotels, Kempinski, Marco Polo เป็นต้น นอกจากนี้ยังฝากผลงานการออกแบบคอนโด luxury ที่น่าสนใจอย่าง Marque, ESSE ASOKE มาแล้ว จากประสบการณ์อันยาวนานประกอบเข้ากับฝีมือที่ใครต่างก็ยอมรับ LEO Inter จึงเข้ามาเป็นทีมดีไซเนอร์ออกแบบ Facility, ส่วนกลาง และตัวอาคารหลักๆ ของ โครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 ให้โดดเด่น ไม่เหมือนใคร ออกแบบให้ฉีกรูปแบบไปจากเดิมมาก จนกลายเป็นคอนโดมิเนียมหรูระดับไฮเอนด์ สไตล์โมเดิร์น luxury ที่ทันสมัย จุดเด่นอยู่ที่การเลือกใช้แต่วัสดุคุณภาพเกรดดีที่สุด รวมถึงแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อความคุ้มค่าในการอยู่อาศัย ซึ่งดูจากภาพ perspective แล้วจะเห็นได้เลยค่ะว่าทุกรายละเอียดของงานดีไซน์นั้นล้วนแต่ทำให้คอนโดมิเนียมดูหรูหราเกินราคาจริงๆ ภาพตัวอย่างห้อง Library Room ส่วนหนึ่งของ Facility ชั้น 8 เป็นผลงานการออกแบบของ LEO INTER ในสไตล์โมเดิร์น luxury ที่ดูหรูหราและทันสมัยไปพร้อมๆ กัน โดยใช้แต่วัสดุคุณภาพอย่างหินอ่อนที่นำมากรุผนังและปูพื้น ซึ่งสะท้อนถึงความสง่างาม และชวนสัมผัสได้เป็นอย่างดี   PIA Interior ทีมดีไซเนอร์สุดท้ายที่หลายคนน่าจะคุ้นหูคุ้นตากันดีกับ PIA Interior สตูดิโอออกแบบตกแต่งภายในอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ที่ฝากผลงานมาแล้วมากมายทั้งในห้างสรรพสินค้า, โรงแรมหรู, สำนักงาน, สปา, ร้านอาหาร, โรงภาพยนตร์ รวมถึงบ้านพักอาศัยหลายแห่ง และยังพิสูจน์ฝีมือกับคอนโดมิเนียม luxury segment ของเมืองไทยมาแล้วแทบทั้งนั้น รวมถึง โครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 นี้ PIA ก็ได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาดูแลเรื่องการออกแบบและตกแต่งภายในห้องพัก โดยทีมดีไซเนอร์ก็ได้คิดและออกแบบมาเพื่อคนที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ทั้งระบบ ventilation ภายในอาคาร ซึ่งถ้ามองจากภาพ Draft Unit Plan ที่เรานำมาให้ดูเป็นตัวอย่างข้างต้น จะเห็นเลยว่าจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบ size space ภายในห้องให้ดูกว้างขวาง โดยทำให้ห้องส่วนใหญ่เป็นห้องหัวมุมมากถึง 60% ซึ่งนับว่ามีจำนวนมากกว่าคอนโดฯ ทั่วไป ส่วนเอกลักษณ์ที่หลายคนสัมผัสได้จาก PIA ในผลงานสไตล์ luxury นั้น จะแฝงไปด้วยความมีระดับในทุกรายละเอียด หากลองสังเกตให้ลึกลงไปอีกนิดผลงานของ PIA ไม่ได้มีเพียงแค่ความหรูหราเท่านั้นนะคะ แต่ยังผ่านการพิจารณาถึงบริบทต่างๆ มาแล้วอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะลงมือเนรมิตพื้นที่ต่างๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้อย่างตรงใจ จนเป็นที่กล่าวขานกันในวงการอสังหาฯ ถึงงานดีไซน์ที่เฉียบคม ทำให้เชื่อมั่นได้เลยค่ะว่าห้องพักที่ทางทีมดีไซเนอร์ออกแบบนั้นต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีความละเมียดละไม คุ้มค่าทุกตารางเมตรแน่นอน แน่นอนว่าเหตุผลในการตัดสินใจซื้อคอนโดฯ สักแห่ง คำตอบแรกก็คงเป็นเรื่องของทำเลที่ตั้ง แต่อยากให้พิจารณาให้ดีก่อนนะคะ เพราะองค์ประกอบอื่นอย่าง ชื่อแบรนด์, การจัดวาง Layout, ขนาดห้อง, ฟังก์ชั่นการใช้งาน, เรื่องการเดินทาง ตลอดจนพื้นที่ส่วนกลาง รวมไปจนถึงการออกแบบและตกแต่งทั้งภายนอกและภายใน ก็ล้วนแต่มีความสำคัญทั้งสิ้น ซึ่งโครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 ของ TC Development นี้ ก็ล้วนแต่ตอบโจทย์ความต้องการได้ดี ยิ่งเรื่องของงานดีไซน์ก็นับว่ามีความโดดเด่นและน่าสนใจมากที่สุด เพราะทุกพื้นที่ของโครงการในทุกตารางเมตรต่างได้รับการออกแบบจากเหล่า Designer ระดับท็อปของเมืองไทย ให้เป็นศูนย์รวม Luxury ไว้ในพื้นที่แห่งเดียวแล้ว ยังทำให้วงการออกแบบบ้านเราเติบโตและเป็นที่รู้จักมากขึ้นอีกด้วย ท้ายที่สุดคงยากจะปฏิเสธจริงๆ ค่ะว่า โครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 เป็นอีกหนึ่งคอนโดมิเนียมหรูที่น่าสนใจมากที่สุดในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายใน Q1 ปี 2018 สำหรับผู้ที่สนใจอดใจรออีกนิดเดียวค่ะ ถ้าห้องตัวอย่างเสร็จเมื่อไหร่ทีมงานจะรีบเข้าไปเก็บข้อมูลมาทำรีวิวให้ดูก่อนใครแน่นอน พิเศษ! สำหรับแฟนๆ ชาว Review Your Living ทางโครงการแอบกระซิบให้ทีมงานนิดนึงว่า...ทางโครงการจะมีงาน VVIP Sale ให้เฉพาะลูกค้าที่ลงทะเบียน online ผ่าน www.one9five.com ในวันอาทิตย์ที่ 11 ก.พ. 61 นี้ที่โรงแรม Park Hyatt Bangkok ซึ่งถ้าอ่านรายละเอียดจากบทความพร้อมภาพตัวอย่างที่เรานำมาฝากแล้ว คงตัดสินใจไปงานได้ง่ายขึ้นแน่นอน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ โทร. 063 828 8999  
“เดอะทรี ลาดพร้าว 15” คอนโดใหม่ในเมือง ราคาไม่เกิน 2 ล้าน เพื่อเติมเต็มทุกด้านของชีวิต

“เดอะทรี ลาดพร้าว 15” คอนโดใหม่ในเมือง ราคาไม่เกิน 2 ล้าน เพื่อเติมเต็มทุกด้านของชีวิต

พฤกษา ผู้นำวงการอสังหาฯ รุกหนัก เตรียมเปิดตัวคอนโดใหม่ ภายใต้แบรนด์ “เดอะทรี” ทำเลในเมือง ซอยลาดพร้าว 15 ชูจุดขายเรื่องให้สิ่งอำนวยความสะดวกที่มากกว่า เดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้าหลายสาย รูปแบบโครงการมีความเป็นส่วนตัว มีเพียง 214 ยูนิต เตรียมเปิดจองในงาน VIP Day 3-4 ก.พ.นี้ เริ่มเพียง 1.49 ล้านบาท นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “วันที่ 3-4 ก.พ.นี้ จะเปิดขายโครงการใหม่ “เดอะทรี ลาดพร้าว 15” ซึ่งถือเป็นทำเลที่อยู่ในเมือง สะดวกสบายในการเดินทาง... ซึ่งมีเพียงแค่ 214 ยูนิต  มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท  โดย “ย่านลาดพร้าว-จตุจักร” ถือเป็นหนึ่งในทำเลที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก เป็นทั้งศูนย์กลางห้างสรรพสินค้า, ร้านอาหาร และแหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าว, ยูเนี่ยน มอลล์, Big C, Lotus, Gourmet Market  เป็นจุดศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งทางราง ระหว่างรถไฟฟ้า BTS, MRT และ SRT มีจุด Interchange มากถึง 5 จุด และยังใกล้สวนสาธารณะขนาดใหญ่ถึง 3 แห่ง รวมกว่าหลายร้อยไร่ ไม่ว่าจะเป็นสวนจตุจักร สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ และสวนรถไฟ ซึ่งถือเป็นปอดของคนเมือง และเป็นจุดเด่นอีกจุดหนึ่งในย่านนี้ เดอะทรี ลาดพร้าว 15 สุนทรียภาพแห่งการอยู่อาศัย จากสถาปัตยกรรมที่ร่วมสมัยสไตล์นีโอคลาสสิก สู่การออกแบบที่ผสมผสานเข้ากับไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน โดยพัฒนาเป็นอาคารสูง 8 ชั้น 1 อาคาร มีแบบห้องพักให้เลือกถึง 4 แบบ ได้แก่ Superior, Deluxe, Premier และ Suite ขนาดตั้งแต่ 22.30 - 30.30 ตารางเมตร มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่มากถึง 2 โซน คือ ในบริเวณอาคารพักอาศัย และคลับเฮาส์ที่แยกออกจากตัวอาคาร ประกอบไปด้วย โถงต้อนรับแบบ Exclusive & Elegant Lobby Hall ใช้หิน White Carrara และ White Volakas ซึ่งเป็นหินจริงในการตกแต่งทั้งโถง โซนพักผ่อน Lucent & Shady Glass House สวนส่วนกลางที่มากถึง 3 จุด ได้แก่ Superior & Panoramic Grand Garden สวนพักผ่อนบนชั้นดาดฟ้า Superior & Panoramic Sky-Height Garden สวนพักผ่อนลอยฟ้า ชั้น 8 Superior & Panoramic Rooftop Garden ห้องอเนกประสงค์ Social & Connection Space สระว่ายน้ำ Refresh & Relieve Aqua Pool ห้องออกกำลังกาย Healthy & Fine Fitness เครื่องว่ายน้ำทวนกระแส Swimming Jet พร้อมมุมพักผ่อนที่ปลายสระ Blazing classic space ซึ่งตกแต่งด้วยหิน Onyx ให้แสงสามารถส่องผ่านได้ เข้าออกโครงการสะดวกสบายด้วยระบบ One Card for All Access ใช้เพียงแค่บัตรเดียวเริ่มตั้งแต่หน้าโครงการจนถึงห้องพักอาศัย ระบบไฟ LED ทั้งโครงการ ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว ด้วยจุดเด่นของโครงการทั้งในด้านของทำเล ดีไซน์ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้มากกว่าโครงการอื่นๆ ในระดับเดียวกัน สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่มองหาที่อยู่อาศัยในย่านนี้ได้เป็นอย่างดี โครงการเดอะทรี ลาดพร้าว 15 เปิดตัวในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท ผ่อนเริ่มต้นเพียง 1,999 บาท/เดือน พร้อมเปิดจองในงาน VIP Day วันที่ 3-4 กุมภาพันธ์นี้ รับส่วนลดสูงสุด 100,000 บาท และ Gift Voucher สูงสุด 15,000 บาท เปิดให้ชมห้องตัวอย่างแล้ววันนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 1739 หรือ thetreecondo.pruksa.com
ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เผยยอดเช่าพื้นที่เติบโตสูงมากกว่า 80% หลังเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปีที่ผ่านมา

ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เผยยอดเช่าพื้นที่เติบโตสูงมากกว่า 80% หลังเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปีที่ผ่านมา

กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจรในประเทศไทยเผยข่าวดีรับต้นปี อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ได้รับผลตอบรับจากกลุ่มผู้เช่าอาคารสำนักงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติดีเกินคาด ด้วยอัตรายอดเช่าพื้นที่สำนักงานสูงเกิน 80% ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี หลังจากที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อไตรมาสที่ 1 ในปีที่ผ่านมา อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค อาคารสำนักงานเกรดเอให้เช่าแห่งเดียวในย่านสุขุมวิท-บางนา ได้มีผู้ประกอบการรายใหญ่จากหลากหลายธุรกิจและอุตสาหกรรมสนใจเข้ามาจับจองพื้นที่สำนักงานเป็นจำนวนมาก อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์  จำกัด(มหาชน) รีจัส(ประเทศไทย) ผู้ให้บริการสถานที่ทำงานระดับโลก รวมถึง บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ และ คายาบา ผู้ผลิตโช้คอัพระดับโลกจากญี่ปุ่น ข้อมูลจาก CBRE ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก ระบุว่า การขาดแคลนพื้นที่สำนักงานในย่านศูนย์กลางธุรกิจในกรุงเทพฯ หรือซีบีดี (CBD) เป็นเทรนด์ที่เห็นได้ชัดเจนในช่วงหลายปีมานี้ เนื่องจากจำนวนดีมานด์ที่มีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับจำนวนซัพพลายที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งจะส่งผลให้อัตราค่าเช่าปรับสูงขึ้นตามไป เป็นเหตุให้เริ่มเห็นแนวโน้มที่หลายบริษัทพิจารณาย้ายสำนักงานไปสู่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจมากขึ้น แต่ยังคงได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง เช่น อยู่ใกล้ระบบขนส่งมวลชน ติดถนนหลัก หรือแม้แต่ใกล้ทางด่วน ด้วยเหตุนี้ จึงส่งผลให้พื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจกลายเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ในหลายๆ พื้นที่เหล่านี้ได้รับความสะดวกจากระบบขนส่งมวลชน ทำให้การเดินทางไปสู่ย่านศูนย์กลางธุรกิจเป็นไปได้ง่าย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความต้องการอาคารสำนักงานในย่านสุขุมวิท-บางนา ซึ่งมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตอันใกล้ มีแนวโน้มที่พื้นที่สำนักงานใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจมากขึ้น เช่น บางนา สุขุมวิทโซนนอก รัชดาภิเษก พระรามเก้า เป็นต้น อีกทั้ง การเติบโตอย่างรวดเร็วในภาคธุรกิจไอที สตาร์ทอัพ และบริษัทต่างๆ ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ยังได้สร้างเทรนด์ใหม่แก่ธุรกิจขนาดเล็กที่พึ่งเริ่มต้น โดยบริษัทเหล่านี้มีแนวโน้มขยับขยายจากออฟฟิศขนาดเล็กไปสู่อาคารสำนักงาน เพื่อเพิ่มประโยชน์ด้านการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร และสะดวกต่อการเข้าถึงได้โดยระบบขนส่งมวลชน นายปิติภัทร บุรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภิรัช แมนเนจเม้นท์ จำกัด ภายใต้กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี กล่าวว่า “ในฐานะผู้บุกเบิกและพัฒนาโครงการต่างๆ ในย่านสุขุมวิท-บางนา ไม่ว่าจะเป็นศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค รวมไปถึงอาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค อาคารสำนักงานเกรดเอแห่งแรกในย่านสุขุมวิท-บางนา ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่อาคารแห่งนี้ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เช่าในหลากหลายธุรกิจส่งผลให้ปัจจุบันอาคารมีอัตราเช่าพื้นที่สูงกว่า 80% ภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งปี ซึ่งเป็นหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าย่านสุขุมวิท-บางนาเป็นย่านที่มีศักยภาพในการเติบโต และมีแนวโน้มว่าจะมีความต้องการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานในย่านนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มบริษัทภิรัชบุรีเองมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานต่อไปในรูปแบบต่างๆเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอาคารสำนักงานอย่างครบวงจร” “และเพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของตลาดที่สูงขึ้นในย่านสุขุมวิท-บางนา กลุ่มบริษัทภิรัชบุรีได้เปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด ซัมเมอร์ ลาซาล ออฟฟิศแคมปัสในย่านสุขุมวิท-บางนา ที่เข้ามาตอบโจทย์ช่องว่างทางการตลาดของผู้เช่าสมัยใหม่ที่นิยมทำงานแบบอิสระ มีตารางเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น และสามารถจัดสรรชีวิตการทำงานได้อย่างสะดวกสบาย โดยโครงการให้ความสำคัญกับเรื่องของคุณภาพชีวิตที่ดีและสร้างแรงบันดาลในในการทำงานให้กับพนักงาน  ด้วยอาคารสำนักงานรูปแบบใหม่ในรูปแบบ Low Rise ที่ตอบโจทย์ตั้งแต่ธุรกิจ MNCs ไปจนถึงธุรกิจขนาดกลางได้เป็นอย่างดี จุดเด่นที่สำคัญของโครงการซัมเมอร์ ลาซาล คือการพัฒนาพื้นที่ตามแนวราบขนาดบนเนื้อที่กว่า 61 ไร่ โดยให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวในโครงการในสัดส่วนที่มากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผมเชื่อว่าจะสามารถดึงดูดผู้เช่าสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี ” นายปิติภัทร บุรี กล่าวเพิ่มเติม อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เป็นอาคารสำนักงานเกรดเอสูง 29 ชั้น ตั้งอยู่ภายในอาณาบริเวณของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าบางนา มีขนาดพื้นที่สำนักงานให้เช่า 32,000 ตารางเมตร โดยมีพื้นที่สีเขียวส่วนกลาง (Roof Garden) และเส้นทางวิ่ง (Jogging Track) ขนาด 2,200 ตารางเมตร ที่ชั้น 29 นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นทัศนียภาพของกรุงเทพมหานครจากมุมสูง ทั้งแม่น้ำเจ้าพระยา และ บางกระเจ้า ซึ่งถือเป็นพื้นที่ปอดสีเขียวของกรุงเทพมหานคร โดยอาคารสำนักงานแห่งนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมิกซ์ยูส ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน
โฮมไพร์ส แพลตฟอร์มกลางของวงการตกแต่งบ้าน และแหล่งรวมสินค้าเพื่อการแต่งบ้านทุกชนิดจากหลากหลายแบรนด์ เปิดตัว PropTech สุดล้ำครั้งแรกของเอเชีย พร้อมเทคโนโลยี 3D Interactive

โฮมไพร์ส แพลตฟอร์มกลางของวงการตกแต่งบ้าน และแหล่งรวมสินค้าเพื่อการแต่งบ้านทุกชนิดจากหลากหลายแบรนด์ เปิดตัว PropTech สุดล้ำครั้งแรกของเอเชีย พร้อมเทคโนโลยี 3D Interactive

ครั้งแรกของเอเชีย กับการเปิดตัว PropTech (Property Technology) สุดล้ำ โดย โฮมไพร์ส (Homeprise) แพลตฟอร์มกลางของวงการตกแต่งบ้าน และแหล่งรวมสินค้าเพื่อการแต่งบ้านทุกชนิดกว่า 50 แบรนด์ มาพร้อมกับเทคโนโลยี 3D Interactive ล่าสุด ทั้ง Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) ครั้งแรกของการแต่งบ้านด้วยแอปพลิเคชั่นบนมือถือผ่าน Homeprise (iOS และ Android ) และ Homeprise REAL (เฉพาะ iOS) อีกทั้งยังเป็น Design Service Hub แหล่งรวมดีไซเนอร์ด้านนักออกแบบตกแต่งภายในที่มี Cloud Design Technology ช่วยสนับสนุนการทำงานอย่างมืออาชีพ เพื่อสร้างโซลูชั่นใหม่ครบวงจร ให้การออกแบบและตกแต่งบ้าน สวย สะดวก งบไม่บานปลาย นายพรชัย แสนชัยชนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมไพร์ส จำกัด กล่าวว่า โฮมไพร์ส (Homeprise) เริ่มต้นจากการรวมตัวของกลุ่มคนที่มีความหลงใหลในเทคโนโลยี และการแต่งบ้าน เพื่อสร้างโมเดลธุรกิจที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเอเชีย ให้คนทั่วไปสามารถแต่งบ้านเองได้อย่างง่ายดาย ผ่านแพลตฟอร์ม ที่มีทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ โดยใช้เทคโนโลยีในการเชื่อมต่อดีไซเนอร์ทั่วประเทศเข้ากับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการแต่งบ้านได้จากทุกที่ รวมเข้ากับแพลตฟอร์มของแต่งบ้านทุกชนิดจากผู้ผลิต และผู้นำเข้าตัวจริงทั่วประเทศ โดยทุกคนสามารถเข้าถึงได้ผ่านเว็บไซต์ และแอปพลิเคชั่นของ Homeprise ทำให้การออกแบบตกแต่งบ้านมีทางเลือกมากขึ้น ควบคุมง่ายขึ้น เข้าถึงง่ายขึ้น และรวดเร็วขึ้น  สำหรับแพลตฟอร์มของ Homeprise จะเป็นประโยชน์ให้แก่ 4 กลุ่มหลัก ดังนี้ ผู้ที่ต้องการแต่งบ้าน หรือคอนโด – ช่วยให้การแต่งบ้านง่ายและสวยขึ้น ในงบประมาณที่ควบคุมเองได้จริง ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้ออกแบบเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านทั่วประเทศ โดยเฉพาะ SMEs - มีช่องทางใหม่ในการขายสินค้าในยุค e-commerce 4.0 เป็นเครื่องมือทางการตลาดสุดล้ำที่ทัดเทียมบริษัทใหญ่ ที่ได้ทั้งภาพลักษณ์ และผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างไม่เคยมีมาก่อน ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดูแลหน้าร้าน หรือออกร้านแบบเดิมๆ รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าตัวจริงมากขึ้น ดีไซเนอร์ นักออกแบบ และมืออาชีพทุกสาขาที่เกี่ยวกับบ้าน - โฮมไพร์สได้คิดค้นเทคโนโลยีช่วยการออกแบบโดยเฉพาะ ทำให้ทำงานออกแบบได้สะดวกรวดเร็วขึ้น มีระบบฐานข้อมูลสินค้าที่ผลิตจำหน่ายจริง ส่งมอบได้จริง ทำให้การสเปคสินค้าหรือออกแบบมีความแม่นยำขึ้น ลดเวลาแก้ไขงานจากการหาสินค้าตามไอเดียที่ออกแบบไปแล้วไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นช่องทางใหม่ในการเข้าถึงลูกค้าที่ต้องการมืออาชีพในการออกแบบได้อย่างแท้จริง ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ - สามารถใช้แพลตฟอร์ม Homeprise เข้าไปช่วยงานบริการลูกค้า ทั้งบริการหลังการขาย และการส่งเสริมการขาย อาทิ สร้าง Exclusive Interior Service ซึ่งในขณะนี้ โฮมไพร์ส ได้มีพันธมิตรร้านค้ากว่า 50 แบรนด์ จำนวนสินค้ามากกว่า 4,000 รายการ ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้าเกี่ยวกับบ้าน อาทิ ชุดครัว Starmark, ผลิตภัณฑ์และสุขภัณฑ์ Mogen, เฟอร์นิเจอร์ LIFESTYLE, Philos, Niiq, DEMA, PDM, Filobula, Son’Amore, Hawaii Thai, Tokyo Parawood, Fur-9, กระเบื้อง Duragress, ผลิตภัณฑ์ Pasaya, ที่นอน Omazz, Lotus, Dunlopillo และ Simmons เป็นต้น โดยที่ผ่านมาได้ช่วยออกแบบแพ็กเกจแต่งบ้านให้ลูกบ้านโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ มากกว่า 30 โครงการ และในปีนี้จะเพิ่มความร่วมมือมากขึ้นในระดับ B2B และกลุ่ม Developer 10 อันดับต้นของประเทศไทย ล่าสุดได้ร่วมมือกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำหลายแห่งในการออกแบบแพ็กเกจแต่งบ้านให้ลูกบ้านโครงการ อาทิ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จํากัด (มหาชน)  เพื่อช่วยบริการลูกบ้านในทุกโครงการให้เข้าถึงประสบการณ์ใหม่ของ Digital Home Decoration  สำหรับแอปพลิเคชั่น Homeprise ครั้งแรกของการแต่งบ้านสวยบนมือถือ ด้วยเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ผ่าน 2 แอปพลิเคชั่น Homeprise (iOS และ Android) และ Homeprise REAL (เฉพาะ iOS) นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถเลือกใช้บริการดีไซเนอร์มืออาชีพในการช่วยออกแบบตกแต่งบ้านได้อีกด้วย รวมทั้ง Homeprise ตอบโจทย์ความง่ายและสะดวก ด้วยการดีไซน์แพ็กเกจของแต่งบ้าน เพียงลูกค้าเลือกโครงการหรือแปลนบ้านของตัวเอง ก็จะสามารถเลือกบ้านดีไซน์สวยยกเซ็ตได้อย่างสะดวกรวดเร็ว สำหรับใครที่ต้องการสัมผัสสินค้าด้วยตัวเอง ก็สามารถเข้าไปชมและเลือกสรรได้ที่ Homeprise Design Studio อาคาร STWO (เอสทู) CDC (คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์) เลียบททางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ อีกด้วย ในส่วนของผลประกอบการในรอบปีที่ผ่านมา Homeprise มียอดขายรวมทั้งปีอยู่ที่ 40 ล้านบาท โดยในปี 2561 มุ่งเดินหน้าธุรกิจด้วยกลยุทธ์แบบ O2O (Online-to-Offline) โดยตั้งเป้ายอดขายรวมทั้งสิ้นอยู่ที่ 400 ล้านบาท และในเดือนพฤษภาคมนี้ จะมีการระดมทุนขยายงานผ่าน ICO (Initial Coin Offering) มูลค่ารวม 15-20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำมาลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งนับว่าเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ เพื่อบุกตลาดอาเซียน และจีนต่อไป
“วี พร็อพเพอร์ตี้” กางแผนลุยครึ่งปีแรก 2561 ส่ง “ไอคอน สุขุมวิท 77” (IKON Sukhumvit 77) By V Property รุกตลาดคอนโดมิเนียมรับต้นปี

“วี พร็อพเพอร์ตี้” กางแผนลุยครึ่งปีแรก 2561 ส่ง “ไอคอน สุขุมวิท 77” (IKON Sukhumvit 77) By V Property รุกตลาดคอนโดมิเนียมรับต้นปี

ปลื้มปี 60 โต 90% พร้อมลุยปี 2561 เปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 3,500 ล้านบาท ในครึ่งปีแรก ประเดิม “ไอคอน สุขุมวิท 77” บาย วี พร็อพเพอร์ตี้ รุกไตรมาสแรก ชูจุดขายคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ในแนวคิด Living Extraordinary คอนโดแต่งครบบนทำเลศักยภาพกับเส้นทางลัด เพียง 3 นาที ถึง BTS อ่อนนุช เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองอย่างเต็มที่ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท พร้อมส่งเพลงและมิวสิค วิดีโอพิเศษร่วมกับนักร้องหนุ่ม “แสตมป์ อภิวัชร์” สื่อสารกับลูกค้า มั่นใจดันยอดขายครึ่งปีแรก 2,000 ล้านบาท นายพรชัย เลิศอนันต์โชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2560 มียอดรอรับรู้รายได้รวม 3,000 ล้านบาท เทียบกับปี 2559 เพิ่มขึ้น 90% เนื่องจากยอดรอรับรู้รายได้จากโครงการวีธารา สุขุมวิท 36 มูลค่า 2,700 ล้านบาท “สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทปี 2561 บริษัทฯ วางแผนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนเมือง ทั้งทำเลที่ดีที่ยังเน้นในเส้นสุขุมวิท ใกล้รถไฟฟ้า เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ทั้งนี้ ในไตรมาสแรก ได้เปิดตัวโครงการใหม่ ได้แก่ ไอคอน สุขุมวิท 77 (IKON Sukhumvit 77) By V Property ซึ่งตั้งอยู่แนวรถไฟฟ้า ใกล้แหล่งคอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบาย พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน” ไอคอน สุขุมวิท 77 (IKON Sukhumvit 77) เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวนรวม 442  ยูนิต บนพื้นที่ 3-3-55 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ซึ่งมีเส้นทางลัด เพียง 3 นาที สามารถเดินทางถึง BTS อ่อนนุช ซึ่งเป็นสถานีหน้าด่านสำหรับรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว ที่ทำให้เดินทางออกนอกเมืองได้อย่างสะดวกสบาย อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับแหล่งคอมมิวนิตี้มอลล์ เพียง 20 เมตร เปรียบเสมือนมีห้างสรรพสินค้าส่วนตัวของตนเอง ไอคอน สุขุมวิท 77 มาพร้อมแนวคิด Living Extraordinary ทุกอย่างลงตัวในแบบคุณ ที่โดดเด่นด้วยการออกแบบในสไตล์โมเดิร์น (Modern Style) สะท้อนพลัง Dynamic Flow โดยการเล่น สี ที่นิ่งเรียบ เน้นการใช้พื้นที่ในห้องพักสูงสุดด้วยการขยายพื้นที่ระเบียง  เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการมีพื้นที่ใช้สอยอย่างกว้างขวาง ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่น และให้ความรู้สึกสงบผ่อนคลาย มาพร้อมอุปกรณ์ในห้องที่ครบครัน ซึ่งออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุด โดยมี 4 รูปแบบให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น สตูดิโอ 1 ห้องนอน 1 ห้องนอนพลัส และ 2 ห้องนอน “และเพื่อให้ตอบโจทย์แนวคิด Living Extraordinary เรายังเน้นสิ่งอำนวยความสะดวกในระดับพรีเมี่ยมที่ผ่านกระบวนการคิดมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น 24hr Co-thinking space พื้นที่สำหรับเปิดรับไอเดียใหม่ ๆ โดยไม่ต้องให้เวลาเป็นข้อจำกัด 24hr Dynamic Fitness ฟิตแอนด์เฟิร์มด้วยพื้นที่สุขภาพที่สามารถออกกำลังกายได้ตลอดเวลาถึงแม้จะเลิกงานดึก สระว่ายน้ำหินอ่อนสีขาว ที่มาพร้อมกับระบบนวดตัว Smart Locker  ซึ่งสามารถรับของที่สั่งจากออนไลน์ได้แม้จะหลังเวลาทำงานของนิติบุคคล นอกจากนี้ยังมี Double Volume Lobby Lounge ห้องรับรองแขกตกแต่งด้วยผนังหินอ่อนสีขาวสะท้อนความทันสมัยอย่างมีเอกลักษณ์ ทั้งยังเสริมความมั่นใจให้กับผู้พักอาศัยด้วยระบบรักษาความปลอดภัยทั้ง Digital door lock และ Individual floor locked ที่เพิ่มความปลอดภัยสูงสุดให้เจ้าของห้องพักในแต่ละชั้น กล้องวงจรปิด และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชั่วโมง “คอนเซ็ปท์การพัฒนาโครงการนี้เกิดจากการศึกษาพฤติกรรมความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย และวิเคราะห์ทำเล ซึ่งมาจากยุทธศาสตร์สำคัญของเรา ในการพัฒนาโครงการแนวสูงระดับ Luxury บริเวณรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทเป็นหลัก เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์เป็นสำคัญ รวมถึงสะท้อนตัวตนของลูกค้าผ่านที่อยู่อาศัย ที่พร้อมด้วยคุณภาพ และราคาที่เอื้อมถึงได้ ซึ่งในการเปิดตัว ไอคอน สุขุมวิท 77 ครั้งนี้ เราได้จัดทำเพลง และมิวสิควีดีโอ Modern Man ขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อสื่อถึงแนวคิดของโครงการฯ และการอยู่อาศัยที่เป็นตัวของตัวเองในสไตล์ของคนเมืองรุ่นใหม่ โดยได้ร่วมมือกับนักร้องหนุ่ม แสตมป์ - อภิวัชร์  เอื้อถาวรสุข ร่วมสร้างสรรค์และขับร้อง รวมถึงจัดทำเป็นมิวสิควิดีโอสุดพิเศษที่มีเรื่องราวสะท้อนไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของคนในแบบ Living Extraordinary เพื่อที่จะมอบเป็นความพิเศษให้กับแก่ลูกค้าของเรา โดยสามารถรับชมผ่านทาง Youtube : V Property development ในครึ่งปีแรก นอกจาก โครงการ ไอคอน สุขุมวิท 77 แล้ว เรายังมีแผนส่งโครงการใหม่ เพื่อเป็นตัวเลือกที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า อีก 1 โครงการ ได้แก่ เวอร์เทีย (Vertier) คอนโดมิเนียมบนทำเลติดรถไฟฟ้า BTS สถานีพระโขนง มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน ซึ่งคาดว่าจะทำให้ช่วงครึ่งปีแรกจะสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 2,000 ล้านบาท” นายพรชัย กล่าวในตอนท้าย ทั้งนี้ สำหรับโครงการไอคอน สุขุมวิท 77 (IKON Sukhumvit 77) จะเปิดให้จองเป็นครั้งแรก (VVIP Day) ในวันเสาร์ที่ 27 มกราคมศกนี้ เวลา 9:00-17:00 น. ณ โรงแรมแกรนด์เซ็นเตอร์พอยต์ เทอร์มินัล 21 โดยจะเริ่มลงทะเบียนและรับบัตรคิวเวลา 8.30 น. ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดสูงสุดถึง 100,000 ได้ที่ www.ikon77.com สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ โทร. 0 2204 7900 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ikon77.com หรือ https://www.facebook.com/VPropertyDevelopmentTH/
ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดตัว Wealth STAR โครงการสร้างสุดยอดที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดตัว Wealth STAR โครงการสร้างสุดยอดที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า หลังจากธนาคารได้ปรับช่องทางสาขาโดยเพิ่มพื้นที่ในการให้คำปรึกษาทางการเงินในปีที่ผ่านมา มาในปี 2561 จะเป็นปีที่ธนาคารรุกธุรกิจ Wealth ไปอีกขั้น กับการพัฒนากุญแจสำคัญคือ คน เพื่อก้าวให้ทันกับโลกการทำงานธนาคารที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วจากเทคโนโลยีที่เกิดใหม่ตลอดเวลา ช่องทางการให้บริการธุรกรรมการเงินได้รับการพัฒนาให้สะดวก เร็ว และง่ายขึ้นด้วยดิจิตอลแบงก์กิ้ง ประกอบกับความเคลื่อนไหวทางสังคมตอนนี้จะเห็นได้ว่า คนตื่นตัวเรื่องการออมการลงทุนกันมากขึ้น คนเริ่มวางแผนการเงินเพื่อดูแลตัวเองยามเกษียณ ภาครัฐเองก็ให้ความสำคัญและบรรจุเรื่องการออมไว้ในวาระแห่งชาติ ปัจจัยทั้งหมดนี้เป็นแรงผลักให้ธนาคารต้องสร้างคนการเงินเลือดใหม่เข้าสู่ตลาดการเงิน รองรับกับความต้องการที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น จนเกิดเป็นโครงการสร้างสุดยอดที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ ภายใต้ชื่อโครงการ “Wealth STAR” เพื่อเป้าหมายในการสร้างที่ปรึกษาทางการเงิน (financial advisor) สายพันธุ์ใหม่ เข้าสู่ตลาดการเงิน ส่งมอบคำปรึกษาทางการเงินที่เป็นประโยชน์และตอบโจทย์ลูกค้าด้วยความเข้าใจ ทั้งนี้ ธนาคารจะใช้จุดแข็งเรื่อง Wealth ผนวกเข้ากับประสบการณ์จากสนามการทำงานจริงของคนซีไอเอ็มบี ผสานองค์ความรู้ของผลิตภัณฑ์การเงินที่หลากหลายถึงขั้นผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนซึ่งได้รับการบูรณาการจากกลุ่มซีไอเอ็มบีทั่วทั้งอาเซียน ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้ Wealth STAR คนรุ่นใหม่ผู้มีความต้องการอันแรงกล้า (passion) ที่จะเข้ามารับบทบาทคนทำงานธนาคารยุคใหม่ ที่ไม่ได้ให้บริการเพียงแค่ฝากถอนและนำเสนอผลิตภัณฑ์ แต่เป็นงานที่ทวีความซับซ้อนและท้าทายกว่านั้น “คนที่จะมาเป็น Wealth STAR ไม่จำเป็นต้องเก่ง ผลการเรียนเป็นเลิศ จบมหาวิทยาลัยดัง จบโทเมืองนอก คนที่เราอยากได้คือเด็กรุ่นใหม่ที่มีความกระหายจะเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน รู้ว่าตัวเองอยากทำอาชีพนี้ อยากให้ความรู้คน อยากช่วยลูกค้าวางแผนการเงินด้วยการค้นหาตัวตนลูกค้ามากกว่าแค่ขายของ อยากพาลูกค้าทำฝันให้เป็นจริง อยากเห็นคนรอบข้างมีความสุข เพราะสิ่งเหล่านี้สะท้อนทัศนคติที่ดีซึ่งมีค่าและหายากกว่า เราจะเป็นพี่เลี้ยงติดปีกความรู้และฝึกฝนทักษะเพื่อสร้างคนกลุ่มใหม่เข้าสู่เส้นทางสายอาชีพการเงินในระยะเวลาอันสั้น ขณะเดียวกันคนเก่าเราก็ไม่ทิ้ง เพราะเป้าหมายที่ไกลกว่านั้น คือ เราอยากสร้างชุมชนของ financial advisor เป็นที่รวมกันของที่ปรึกษาทางการเงินรุ่นลายครามมากประสบการณ์และที่ปรึกษาทางการเงินเลือดใหม่ที่เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าเจนวายให้เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกัน” นายอดิศร กล่าว นางกนกไพ วงศ์สถิตย์พร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรัพยากรบุคคล ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เปิดเผยว่า โครงการ Wealth STAR เป็นโครงการนำร่องของธนาคารในการปรับรูปแบบการสรรหาและพัฒนาบุคลากรให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจในยุค Industry 4.0 โดยไม่จำกัดพื้นฐานความรู้หรือประสบการณ์การทำงานด้านการเงินการธนาคารเท่านั้น ดังนั้น โครงการ Wealth STAR จึงเปิดกว้างสำหรับทุกคนที่มีใจรักและปรารถนาจะเติบโตเข้าสู้สายอาชีพที่ปรึกษาทางการเงิน โดยเปิดรับสมัครนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่จบใหม่ในทุกสาขาวิชาหรือผู้ที่มีประสบการณ์ทำงานมาแล้วไม่เกิน 2 ปี และเปิดรับทั้งผู้สมัครจากภายนอกหรือพนักงานภายในที่ต้องการจะเข้าสู่สายอาชีพนี้ โครงการ Wealth STAR เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 22 มีนาคม 2561 โดยผู้สมัครจะต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกที่เข้มข้นทั้งการสัมภาษณ์โดยผู้บริหาร หรือการเข้าร่วมกระบวนการคัดสรร (Assessment Center) เพื่อเฟ้นหาผู้สมัครที่ฉายแววเป็น Wealth STAR ที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ รุ่นแรกจำนวน 25 คน โดยธนาคารจะประกาศผลการคัดเลือกวันที่ 9 พฤษภาคม 2561 นางกนกไพ เปิดเผยว่า ผู้ได้รับคัดเลือกเป็น Wealth STAR จะเข้ารับการอบรมในหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมาเฉพาะ ซึ่งได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับพื้นฐานของผู้เรียน โดยความร่วมมือระหว่างธนาคารและผู้เชี่ยวชาญจากหลายสถาบัน ภายใต้ CIMB Wealth Academy ความน่าตื่นเต้นที่รออยู่ คือ Wealth STAR ทั้ง 25 คน นอกจากจะได้เรียนรู้พื้นฐานด้านธุรกิจธนาคารและการลงทุน ทักษะการขายและการบริการ การเสริมสร้างบุคลิกภาพในบทบาทที่ปรึกษาทางการเงินอย่างมืออาชีพในห้องเรียนแล้ว จะได้ลงไปเรียนรู้การทำงานจริง (on the job training) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมสำคัญ การประชุม งานสัมมนา ซึ่งเชื่อมโยงโดยเครือข่ายอันแข็งแกร่งในอาเซียนและเครือข่ายนอกอาเซียนของ CIMB Group และ CIMB-Principal เป็นโอกาสทองของ Wealth STAR ที่จะได้เรียนรู้ พบปะ และทำงานกับกูรูการเงิน ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสายงาน จากในและต่างประเทศ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมจากองค์กรข้ามชาติอย่างกลุ่มซีไอเอ็มบีและพันธมิตรทางธุรกิจของกลุ่ม “โครงการ Wealth STAR เป็นมิติใหม่ที่รอคุณอยู่ ถ้าคุณได้เป็น Wealth STAR ตลอดการเรียนรู้คุณจะมีพี่เลี้ยง (Mentor) ทำหน้าที่ให้คำแนะนำและรับฟัง พิเศษยิ่งไปกว่านั้น ธนาคารจะเป็นสปอนเซอร์ในการสอบใบอนุญาตที่ปรึกษาทางการเงินและนักวางแผนการเงินคุณ เราจะพาคุณบรรลุเป้าหมายสุดยอดที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพสายพันธุ์ใหม่ พร้อมใบประกอบวิชาชีพใน 1 ปี แล้วถ้าคุณผ่านด่านแรกไปได้ คุณจะสามารถเริ่มต้นก้าวแรกที่แข็งแกร่งในการทำงานตำแหน่งที่ปรึกษาทางการเงินกับธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เป็นระยะเวลา 1 ปี รวมเวลาทั้งสิ้นแม้จะกินเวลาแค่ 2 ปีกับการเรียนรู้ที่บ้านหลังนี้ แต่สามารถพูดได้ว่าคุณภาพเทียบเท่ากับเส้นทางการทำงานปกติถึง 5 ปี มีโอกาสก้าวเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่มีฝีมือหาตัวจับยาก มีโอกาสเติบโตในสายอาชีพนี้แบบก้าวกระโดด อยู่ที่ว่าตัวคุณจะคว้าโอกาสนี้ไว้หรือไม่” นาง กนกไพ กล่าว ผู้สนใจสามารถยื่นใบสมัครได้ที่ www.cimbthai.com หรือ wealthacademy@cimbthai.com ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. - 22 มีนาคม 2561 สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02 626 7777
เนอวานา บียอนด์ พระราม 2 เปิดตัวบ้านเดี่ยว 2 ชั้นแบบใหม่ครั้งแรก ชูจุดเด่นดีไซน์ ฟังก์ชัน และความแข็งแรง รองรับครอบครัวใหม่ที่มองหาบ้านเดี่ยว ในโครงการพรีเมี่ยม และกลุ่มสร้างบ้านบนที่ดินตัวเอง

เนอวานา บียอนด์ พระราม 2 เปิดตัวบ้านเดี่ยว 2 ชั้นแบบใหม่ครั้งแรก ชูจุดเด่นดีไซน์ ฟังก์ชัน และความแข็งแรง รองรับครอบครัวใหม่ที่มองหาบ้านเดี่ยว ในโครงการพรีเมี่ยม และกลุ่มสร้างบ้านบนที่ดินตัวเอง

เนอวานา ไดอิ เปิดบ้านเดี่ยว 2 ชั้นรูปแบบใหม่ครั้งแรก ประเดิมโครงการเนอวานา บียอนด์ พระราม 2 พร้อมเปิดตัว 3 แบบบ้านใหม่สไตล์โมเดิร์น เน้นการใช้ Human-Centered Design ในการออกแบบ พร้อมตอบโจทย์ในการอยู่อาศัยของกลุ่ม 3 GENS และรองรับกลุ่มขยายครอบครัวใหม่ สนนราคาเริ่มต้น 15-30 ล้านบาท รวมถึงยังรองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านบนที่ดินตัวเอง    นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) หรือ NVD เปิดเผยว่า บ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ เนอวานา บียอนด์ มีรูปแบบที่โดดเด่น พร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบรับการอยู่อาศัยได้ตรงกับความต้องการ ทุกโครงการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่ ศรีนครินทร์ และพระราม 2 ซึ่งในทุกๆ โครงการของ เนอวานา บียอนด์ ได้ออกแบบให้มีความโดดเด่นในแง่รูปลักษณ์และการใช้งานเน้นการออกแบบด้วย Human-Centered Design คือ คำนึงถึงประสบการณ์ของผู้อยู่อาศัยเป็นสำคัญ ทำให้เราดีไซน์ฟังก์ชันและพื้นที่ใช้สอยตรงกับความต้องการ  ทำเลและสินค้าจะต้องตอบโจทย์ในการอยู่อาศัยของลูกค้าอย่างสูงสุด “เนอวานา บียอนด์ พระราม 2 เป็นโครงการบ้านเดี่ยว ที่ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่พระราม 2 เราได้วิเคราะห์ ความต้องการของลูกค้าในทำเลนี้ พบว่าเป็นกลุ่มครอบครัวขยาย อยู่ด้วยกัน 3 เจนเนอเรชั่น (3GENS) ต้องการหาบ้านหลังใหญ่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เดินทางเข้าเมืองสะดวก และไม่ไกลจากทำเลที่คุ้นเคย เราจึงพัฒนาโครงการนี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้อย่างชัดเจน ทำให้เราได้แบบบ้าน ที่เหมาะกับความต้องการอย่างแท้จริง สำหรับโครงการนี้เป็นโครงการแรกที่เรานำบ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่มานำเสนอลูกค้าเพื่อตอบรับกับความต้องการที่หลากหลาย เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าเพิ่มขึ้น  โดยดีไซน์ใหม่นี้เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกของบ้านเนอวานา บียอนด์ ที่ต่างจากบ้านเนอวานา บียอนด์ รูปแบบแรก ที่จะเป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น เล่นระดับ โดยบ้านเดี่ยว 2 ชั้น รูปแบบใหม่มีให้เลือกทั้งสิ้น 3  คือ แบบ Sane แบบ Reach และ แบบ Quest มีพื้นที่ใช้สอยเริ่มที่ 232 – 365 ตารางเมตร บนที่ดินขนาดใหญ่ 60 – 100 ตารางวา ถูกออกแบบโดย เน้น space management ที่ดี ยังคงจุดแข็งเรื่องการออกแบบของบ้านเนอวานา ที่ยังมี Space โปร่งโล่ง ไม่ว่าจะเป็น High Ceiling หรือ Double Volume Space ห้องนอนทุกห้องถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่มีห้องน้ำในตัว เสมือนเป็น Master Bedroom ทุกห้อง เพื่อให้ทุกคนได้อยู่อาศัยอย่างสบาย อีกทั้งโครงการยังออกแบบให้มีห้องนอนบริเวณชั้นล่างในทุกแบบ เพื่อตอบรับ ผู้สูงอายุ ของกลุ่มลูกค้า 3GENS ในราคาเริ่มต้นเพียง 15-30 ล้านบาท” นายศรศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับบ้าน 2 ชั้นรูปแบบใหม่นี้ ใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างระบบ Prestressed concrete ซึ่งมีความแข็งแรง ทนทาน มีคุณภาพ และได้มาตรฐาน เพราะผลิตจากทางโรงงานของเราโดยตรง แต่ยังคง Concept ของบ้าน Nirvana ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Design, Space Management ที่ดี รวมถึงเรื่อง  การนำแสง และลมธรรมชาติเข้ามาใช้ในบ้านให้มากที่สุด ซึ่งทำให้บ้าน โปร่ง โล่ง สบาย อากาศหมุนเวียนได้ดี การใช้ผนัง Prestressed concrete ที่หนาถึง 15 เซนติเมตร พร้อมใช้กระจก Low E ทำให้บ้านเย็น ป้องกันความร้อน และเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดี การออกแบบภายในแบบ Double volume space ที่ทำให้บ้านภูมิฐาน  โดดเด่น และโปร่งโล่ง ด้านนายนันทชาติ กลีบพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน)  กล่าวเสริมว่า  การเปิดตัวบ้านในครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดตัวอีก 1 ธุรกิจของเราด้วย คือ การรับสร้างบ้านบนที่ดินของลูกค้า ซึ่งเรามีความพร้อมที่จะรุกธุรกิจรับสร้างบ้านอย่างเต็มตัว โดยใช้ความได้เปรียบในแง่ของ Design ที่ดีเป็นหลัก และงานก่อสร้างที่มีมาตรฐานและส่งมอบบ้านได้ตรงเวลาทำให้ลูกค้าได้รับสินค้าและบริการอย่างพอใจ อีกทั้งเป็นครั้งแรกในวงการรับสร้างบ้านที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่จะได้เห็นบ้านจริง Space จริง วัสดุจริง ก่อนตัดสินใจสร้างบ้านเพราะเรามีบ้านตัวอย่างให้ลูกค้าได้ดูก่อนตัดสินใจครบทุกแบบ “สำหรับในทำเลพระราม 2 เรามองว่าสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก ในระดับ B ขึ้นไปได้หลากหลายมากขึ้น และปัจจุบันทำเลพระราม 2 ถือว่าเป็นทำเลที่มีการเติบโตสูง มีความคล่องตัวในการอยู่อาศัยและการเดินทาง สามารถเชื่อมตรงไปยังย่านใจกลางเมือง ไม่ว่าจะเป็นพระรามสี่ พระรามสาม สีลม สาธร ได้รวดเร็วใช้เวลาไม่เกิน 30-50 นาที และในอนาคตมองว่าทำเลพระราม 2 จะมีมูลค่าของสินทรัพย์สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการขยับขยายเมืองออกมาสู่ภายนอกมากขึ้น หากสังเกตจะเห็นได้ว่าทำเลนี้มีการเปลี่ยนแปลงมาตลอด โดยเฉพาะถนนพระรามสองที่เชื่อมโยงถึงเมืองมหาชัยที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีคอมมูนิตี้มอลล์ โมเดิร์นเทรด หรือห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ มาเปิดใหม่ตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับกำลังซื้อที่สูงขึ้นจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจ SME ในทำเลพระราม 2 และมหาชัย เชื่อว่าอนาคตของทำเลพระราม 2 ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง“ นายนันทชาติ กล่าว  นายนันทชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการ เนอวานา บียอนด์ พระราม 2 พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว 2-3 ชั้น ขนาดที่ดินเริ่มต้น 50.5 – 102 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 232 – 550 ตารางเมตร จำนวน 120 ยูนิต แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น จำนวน 66  ยูนิต และ บ้านเดี่ยว 2 ชั้นรูปแบบใหม่ จำนวน 54 ยูนิต บนเนื้อที่โครงการทั้งหมด 41-2-88 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท ในราคาเริ่มต้นที่ 15 ไปจนถึง 50 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพติดถนนใหญ่พระราม 2 เยื้องเซ็นทรัล ใกล้จุดขึ้น-ลง ทางด่วน 2 ทาง ทั้งทางด่วนเฉลิมมหานคร เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว ทางด่วนวงแหวนอุตสาหกรรม(บางพลี-พระราม 2) กาญจณาภิเษก ใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ เซ็นทรัล พระราม 2, โลตัส, บิ๊กซี, โฮมโปร เป็นต้น โครงการมีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่กว่า 4 ไร่ ทำให้ลูกค้าได้อยู่อาศัยท่ามกลางธรรมชาติ มีระบบความปลอดภัยระดับ premium ทั้งตัวโครงการ และภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น Double gate entrance / CCTV / 24hr security guard / Digital door lock / Magnetic sensor / Motion sensor light / Smoke detector ทำให้ลูกค้ามั่นใจในเรื่องความปลอดภัยในการอยู่อาศัย ปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 30% มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ทั้งนี้โครงการจะเปิดให้ชมบ้านเดี่ยว 2 ชั้นรูปแบบใหม่เป็นครั้งแรก โดยได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับลูกค้าที่สนใจบ้าน ในโครงการ เนอวานา บียอนด์ พระราม 2 โดยได้คัดเลือกบ้านแปลงสวยในราคาเริ่มต้นเพียง 15 ล้านบาท ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1787    
ศุภาลัย เดินเกมบุกอสังหาฯ จังหวัดชลบุรี พร้อมเปิดโครงการใหม่ ทำเลดี ใกล้ชายหาดบางแสน

ศุภาลัย เดินเกมบุกอสังหาฯ จังหวัดชลบุรี พร้อมเปิดโครงการใหม่ ทำเลดี ใกล้ชายหาดบางแสน

บมจ.ศุภาลัย บุกตลาดอสังหาฯ จังหวัดชลบุรี เตรียมเปิด “ศุภาลัย พรีโม่ บางแสน” ติดถนนใหญ่ ใกล้แหล่งชุมชน เพียง 5 นาที ถึงชายหาดบางแสน Pre-Sales 27-28 มกราคม 2561 นี้ ณ สำนักงานขาย พร้อมพบสิทธิพิเศษมากมาย นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดชลบุรีมีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น ความต้องการที่อยู่อาศัยยังมีอยู่มาก ประกอบกับในอนาคตจะมีโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงกรุงเทพ-ชลบุรี-ศรีราชา-ระยอง ทำให้เกิดการเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน คาดว่าจะสามารถดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ในจังหวัดชลบุรีจำนวน 7 โครงการ และล่าสุดได้เข้าไปเปิดตัวโครงการใหม่ “ศุภาลัย พรีโม่ บางแสน” ชูแนวคิด “บ้านสวยทำเลดี ใกล้ชายหาดบางแสน” “ศุภาลัย พรีโม่ บางแสน” มูลค่าโครงการ 563 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการประมาณ 21 ไร่ ออกแบบสไตล์โมเดิร์น ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม 3 - 4 ห้องนอน 2 - 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 113 - 175 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นเพียง 2.19 ล้านบาท ใส่ใจทุกรายละเอียดของการออกแบบ ตลอดจนเลือกสรรวัสดุที่มีคุณภาพ ประหยัดพลังงาน ให้คุณได้เต็มอิ่มกับการพักผ่อนหรือพักตากอากาศอย่างเป็นส่วนตัว พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ สวนส่วนกลาง ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV และระบบเข้า - ออกอัตโนมัติ Easy Pass โดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่ ใกล้แหล่งชุมชน เพียง 5 นาที ถึงชายหาดบางแสน สะดวกสบายทุกการเดินทาง ใกล้ถนนมอเตอร์เวย์ แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่สำคัญ อาทิ ตลาดหนองมน บิ๊กซี แหลมทอง มหาวิทยาลัยบูรพา และชายหาดบางแสน สำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยใกล้ชายหาดบางแสน เชิญเลือกแปลงโดนใจในราคาพิเศษ  ก่อนใครในงาน Pre-Sales 27-28 มกราคม 2561 นี้ พร้อมพบสิทธิพิเศษมากมาย ณ สำนักขายโครงการ โทร. 1720 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.supalai.com
เมเจอร์ฯ เปิดตัว “มิวนีค หลังสวน” คอนโดฯ หรูฟรีโฮลด์ในทำเลหลังสวน ราคาเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท เปิดจอง 10 – 11 ก.พ.นี้

เมเจอร์ฯ เปิดตัว “มิวนีค หลังสวน” คอนโดฯ หรูฟรีโฮลด์ในทำเลหลังสวน ราคาเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท เปิดจอง 10 – 11 ก.พ.นี้

เมเจอร์ฯ ตอกย้ำผู้นำอสังหาฯระดับลักซ์ชัวรี่  เปิดตัว “มิวนีค หลังสวน” (MUNIQ Langsuan) คอนโดฯหรู ไฮไรซ์แบบฟรีโฮลด์ มูลค่า 4,085 ล้านบาท  ดีไซน์เหนือระดับบนทำเลสุดพรีเมียมใจกลางเมือง แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และใกล้สวนลุมพินี ดีเดย์เปิดจอง 10 - 11 ก.พ.นี้ หลังประสบความสำเร็จอย่างสูงกับโครงการ  “MUNIQ Sukhumvit 23” (มิวนีค สุขุมวิท 23) คอนโดมิเนียมหรูไฮไรซ์ บนทำเลระดับพรีเมียมย่านอโศก - สุขุมวิท มูลค่า 2,800 ล้านบาท ไปเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา ล่าสุด เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่  ต้อนรับศักราชใหม่ด้วยการเปิดตัวเมกะโปรเจ็กต์ “มิวนีค หลังสวน” (MUNIQ Langsuan) คอนโดมิเนียมหรูไฮไรซ์แบบฟรีโฮลด์ (Freehold) ที่สามารถส่งต่อเป็นมรดกล้ำค่าแก่ทายาท บนทำเลพรีเมียมใจกลางเมืองย่านหลังสวน เชื่อมต่อถนนสารสิน ถนนต้นสน และถนนวิทยุ ซึ่งถือเป็นย่าน CBD ของกรุงเทพฯ  เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS ชิดลม ใกล้ทางด่วนเพลินจิต และพระราม 4 แวดล้อมด้วยสถานที่สำคัญและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ศูนย์การค้าชั้นนำ สถาบันการศึกษา โรงแรมหรู โรงพยาบาล ธนาคาร ร้านอาหารชื่อดัง ตลอดจนเป็นย่านที่ตั้งของสถานทูตและเป็นพื้นที่หนึ่งเดียวใจกลางเมืองที่อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ อย่างสวนลุมพินี ทั้งยังโดดเด่นด้วยดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ ภายใต้แนวคิด “Live Your Everlasting Romance” ผสานศิลปะในการออกแบบ และการใช้สอยพื้นที่อย่างลงตัว โดยเตรียมเปิดจองเฟสแรกกุมภาพันธ์นี้ ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “โครงการมิวนีค หลังสวน ถือเป็นโครงการระดับพรีเมียมที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการที่พักอาศัยใจกลางเมืองอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบพื้นที่ใช้สอยอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การตกแต่งที่งดงามเหนือกาลเวลา โดดเด่นด้วยการใช้วัสดุคุณภาพมาตรฐานจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก และโดยเฉพาะทำเลบริเวณหลังสวน ซึ่งถือเป็นแหล่งธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งของสถานทูตหลายแห่ง และอยู่ติดกับสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่เป็นปอดของคนกรุงเทพฯ เพียงเดินข้ามไป 100 เมตรก็ถึงประตูทางเข้าสวนลุมพินี ทั้งยังอยู่ใกล้โครงการหลังสวน วิลเลจ ที่มีทัศนียภาพสวยงาม และศูนย์ Medical Center นอกจากนี้ ปัจจุบัน ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่พัฒนาโครงการบนถนนเส้นนี้แบบลีสโฮลด์ (Leasehold) เนื่องจากพื้นที่แปลงสวย ที่เหมาะแก่การพัฒนาเป็นอสังหาริมทรัพย์มีอยู่อย่างจำกัด แต่โครงการ มิวนีค หลังสวน แทบจะเป็นพื้นที่ผืนสุดท้ายที่พัฒนาโครงการแบบฟรีโฮลด์ (Freehold) ท่ามกลางตึกสูงที่เป็นลีสโฮลด์บนถนนหลังสวน จึงส่งผลให้ที่ดินบนทำเลหลังสวนมีมูลค่าสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของกรุงเทพฯ โดยปัจจุบันนี้ราคาตกอยู่ตารางวาละ 500,000 บาท (ที่มา : กรมธนารักษ์   รอบบัญชี ปี 2559-2562) และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี มิวนีค หลังสวน จึงถือเป็นโครงการที่มีมูลค่า เหมาะกับการซื้อเพื่อเป็นที่พักอาศัย และการลงทุนอย่างมาก” สำหรับโครงการ มิวนีค หลังสวน  อยู่สุดถนนหลังสวน ซอย 7 ตั้งอยู่ในซอยต้นสน มีขนาด 1-1- 66.5 ไร่ สูง 28 ชั้น จำนวน 166 ยูนิต  ทุกห้องถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่ โล่งสบาย มอบความเป็นส่วนตัวที่เหมาะกับการพักอาศัยอย่างแท้จริง รวมถึงใช้เฟอร์นิเจอร์และวัสดุคุณภาพมาตรฐานระดับโลก โดยขนาด 1 ห้องนอน มีพื้นที่ใช้สอย  50 - 78 ตร.ม. ขนาด 2 ห้องนอน มีพื้นที่ 83 - 101 ตร.ม. ขนาด 3 ห้องนอน มีพื้นที่ 121 - 179 ตร.ม. นอกจากนี้ยังมียูนิตพิเศษ เดอะ คอลเลคชั่น ที่มีขนาดพื้นที่ 71 - 254 ตร.ม. ส่วนพื้นที่ใช้สอยส่วนกลางออกแบบไว้อย่างหรูหรามีระดับและพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสุดเอ็กซ์คลูซีฟ อาทิ ฟิตเนส สระน้ำอุ่น สระเด็ก สปา ซาวน่า จากุชชี่ สวนลวยฟ้า เลานจ์สำหรับการผ่อนคลายสังสรรค์ พร้อมห้อง Private Chef ขณะเดียวกันยังสะดวกสบายด้วยบริการจุดชาร์จรถไฟฟ้า (EV Chargers) ที่จอดรถซูเปอร์ไบค์ ที่จอดรถออโตเมติกปาร์คกิ้ง (Automatic Parking) ซึ่งสามารถรองรับรถยนต์ได้ถึง 185 คัน หรือ 111% ของจำนวนห้อง เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้อยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบสูงสุด ผู้บริหารเมเจอร์ฯ กล่าวต่อว่า “กลุ่มเป้าหมายของโครงการมิวนีค หลังสวน เป็นคนรุ่นใหม่ อายุ 30 ปีขึ้นไป ที่เริ่มประสบความสำเร็จในธุรกิจ ที่มีไลฟ์สไตส์ทันสมัย ให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัย เน้นความเป็นส่วนตัว แต่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง ดังนั้นการออกแบบจึงอยู่ภายใต้แนวคิด “Live Your Everlasting Romance” ผสานศิลปะเข้ากับการออกแบบที่มีความสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัว คือ มีศิลปะในการใช้ชีวิต มีความรับผิดชอบในการทำงานและรู้จักหาความสุขให้กับตนเอง เรียกว่าสมดุลทั้ง ชีวิตการทำงาน ชีวิตส่วนตัว และครอบครัว ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยอย่างมาก เนื่องจากสะท้อนไลฟ์สไตล์ของเขาได้เป็นอย่างดี” ส่วนความคาดหวังในยอดการจอง ดร.สุริยา เชื่อมั่นว่าจะได้รับกระแสตอบรับที่ดี เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้การส่งออกของไทยดีขึ้น การลงทุนจากภาครัฐมีความชัดเจนมากขึ้น ทิศทางอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ ผนวกกับกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าระดับบน ยังมีสภาพคล่องค่อนข้างสูง ขณะที่แนวโน้มอสังหาฯระดับลักซ์ชัวรี่ในทำเลพรีเมียมนั้น ยังคงเป็นที่ต้องการของลูกค้าระดับบน ที่ต้องการซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สองมากขึ้น หรือนักลงทุนชาวต่างชาติที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในทำเลไพร์มแอเรียในกรุงเทพฯ เนื่องจากมี Capital Gain สูง โครงการ มิวนีค หลังสวน ยังมีเส้นทางคมนาคมสะดวกอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ แต่ยังคงรักษาไว้ซึ่งความเงียบสงบ และแวดล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขียว โดยราคาต่อ ตร.ม. เริ่มต้นอยู่ที่ 12.9 ล้านบาท หรือ 265,000 บาทต่อ ตร.ม.ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรของมิวนีค หลังสวน อยู่ที่ 310,000 บาท ซึ่งหลังจากเปิดตัวโครงการ และเริ่ม Pre-Sales ในเดือนกุมภาพันธ์ คาดว่าจะมียอดจองไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ” ดร.สุริยา กล่าวทิ้งท้าย คุณอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) กล่าวเสริมว่า “ตลาดคอนโดมิเนียมมีปัจจัยบวกสนับสนุนค่อนข้างมาก จึงทำให้คอนโดในย่านกลางเมืองปีนี้มีซัพพลายใหม่เพิ่มขึ้น 10% หรือ ราว 1.2 – 1.5 หมื่นยูนิต จากปีที่แล้วเปิดตัวกว่า 1.2 หมื่นยูนิต อีกทั้งหลังสวนเป็นย่านที่มีศักยภาพสูง เพราะจะเป็นศูนย์กลางเมืองใหม่ แลนด์มาร์คของกรุงเทพฯ กำลังจะเปลี่ยนไป โซนศูนย์กลางจะย้ายมาอยู่แถวเส้นหลังสวนโดยรอบสวนลุมพินีเนื่องจากมีโครงการขนาดใหญ่ทั้งคอนโดมิเนียมและโครงการมิกซ์ยูสขึ้นค่อนข้างมาก พื้นที่อยู่ริมถนนใหญ่ แวดล้อมด้วยสถานฑูต โรงแรม อาคารสำนักงาน และใกล้กับรถไฟฟ้า ประกอบกับในปีนี้ น่าจะได้รับสัญญาณดี ๆ จากภาคเศรษฐกิจ จีดีพีที่เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจมีตัวเลขที่ดีขึ้น บรรยากาศการทำธุรกิจและการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างสดใส โดยนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังคงให้ความสำคัญและสนใจคอนโดมิเนียมในใจกลางเมืองกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง”  โครงการ มิวนีค หลังสวน จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างประมาณกลางปี 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564 ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  MJD.TH/MUNIQ หรือ โทร. 1266
แสนสิริประกาศบุกหนักแนวราบ ชิงยอดขายต้นปี ประเดิมโครงการแรก “บุราสิริ บางนา” มูลค่าโครงการ 2,200 ลบ. พรีเซลล์ 3-4 ก.พ.นี้

แสนสิริประกาศบุกหนักแนวราบ ชิงยอดขายต้นปี ประเดิมโครงการแรก “บุราสิริ บางนา” มูลค่าโครงการ 2,200 ลบ. พรีเซลล์ 3-4 ก.พ.นี้

ตลาดอสังหาฯ เดือดตั้งแต่ต้นปี ดีเวลลอปเปอร์ค่ายใหญ่ แสนสิริ นำทัพโดย คุณวิลาสิณี เดชอมรธัญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ สั่งบุกหนักแนวราบ ชิงยอดขายก่อนใคร ประเดิมโครงการแรก “บุราสิริ บางนา” มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท จำนวน 327 ยูนิต ใกล้จุดขึ้นลงทางพิเศษบูรพาวิถี  และเชื่อมต่อถนนหลายเส้นทาง ทั้งถ.เทพารักษ์     ถ.บางนา-ตราด รวมทั้งใกล้สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ดีไซน์โดดเด่นภายใต้คอนเซ็ปต์ “วิถีชีวิตริมน้ำ” (THE  HIGH LIFE ON THE RIVERBANK) ร่มรื่นกับพื้นที่สวนขนาดใหญ่ 3 ไร่ ตอบรับการพักผ่อนแบบจัดเต็ม อีกทั้งชูความเป็นผู้นำเทคโนโลยีสุดล้ำ ด้วย SIRI Lifetech เตรียมพรีเซลส์ 3-4 ก.พ.นี้ เริ่มต้นที่ 4.19 ล้านบาท พิเศษ! เฉพาะวันงาน มอบส่วนลดเพิ่มถึง 100,000 บาท แอบกระซิบว่าโครงการนี้น่าจองมาก เหมาะกับทุกเจน พร้อมดีไซน์ฟังก์ชั่นสำหรับผู้สูงอายุ Elderly care  Solution แถมยังอยู่ย่านบางนาทำเลว้าวมาแรง ที่เร็วๆ นี้ปี’63 กำลังจะสร้าง Trust City  ศูนย์การแสดงสินค้าระดับโลกครบวงจรที่สุดแห่ง AEC คาดว่าดีมานด์ต้องพุ่งปรี๊ดแน่นอน สนใจลงทะเบียนได้เลยที่เว็บไซต์ https://www.sansiri.com/singlehouse/burasiri-bangna/th หรือ โทร Call Centre.1685  
“แลนด์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป” คาดอสังหาฯกรุงเทพฝั่งตะวันตกเติบโต 4-5% ดันแบรนด์ ‘เดอะบาลานซ์’ เปิดโครงการสองยึดพื้นที่ปิ่นเกล้า-สาย 5

“แลนด์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป” คาดอสังหาฯกรุงเทพฝั่งตะวันตกเติบโต 4-5% ดันแบรนด์ ‘เดอะบาลานซ์’ เปิดโครงการสองยึดพื้นที่ปิ่นเกล้า-สาย 5

“แลนด์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป” ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โซนกรุงเทพฯ ตะวันตกยาวนานกว่า 20 ปี เจ้าถิ่นตลาดอสังหาฯ แนบราบย่านศาลายา ชูความสำเร็จปั้นแบรนด์ ‘เดอะ บาลานซ์’ ครองใจผู้บริโภค ปิดการขายโครงการแรกแล้ว รุกต่อเนื่อง โครงการสอง ‘เดอะ บาลานซ์ ปิ่นเกล้า-สาย 5’ มูลค่า 1,000 ล้านบาท บ้านเดี่ยว บ้านแฝดหลังใหญ่ เนื้อที่เริ่มต้น 36.7-52.5 ตารางวา ฟังค์ชั่นเด่น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ในราคา 3-5 ล้านบาท รองรับการเติบโตตลาดอสังหาฯ ย่านปิ่นเกล้า-สาย 5 ทำเลชั้นดีของกรุงเทพตะวันตก ทางเลือกของผู้อยู่อาศัยคนรุ่นใหม่ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่อย่างมีนัยยะ ทั้งไลฟ์สไตล์ ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เดินทางเชื่อมต่อย่านธุรกิจรวดเร็วหลากหลายเส้นทาง อาทิ ทางด่วนตัดใหม่ศรีรัชวงแหวน-รถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน - ศาลายา) นายชนะ เลิศลุมพลีพันธุ์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท แลนด์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป จำกัด ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทำเลกรุงเทพฝั่งตะวันตกกว่า 20 ปี เปิดเผยถึงภาพรวมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในระยะ 1-2 ปี ที่ผ่านมา พบว่า ทำเลที่ดินกรุงเทพฝั่งตะวันตก โซนศาลายา-พุทธมณฑล มีความเจริญอย่างต่อเนื่องมาจากตัวเมืองฝั่งปิ่นเกล้า จรัญสนิทวงศ์ และถนนบรมราชชนนี กลายเป็นทำเลขยายของตลาดอยู่อาศัยแห่งใหม่ที่คนเมืองยุคใหม่ต้องการ เพราะมีระบบขนส่งมวลชนและการคมนาคมรองรับสะดวก ไม่ว่าจะเป็นรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน - ศาลายา) ซึ่งกำลังก่อสร้างช่วงแรก บางซื่อ-ตลิ่งชัน รวมถึงการเปิดใช้ทางด่วนตัดใหม่ศรีรัชวงแหวน ทำให้ผู้ที่ทำงานในตัวเมืองโซนพระนคร ปิ่นเกล้า จรัญสนิทวงศ์ หรือโซนสาทร สีลม จตุจักร ฯลฯ ให้ความสนใจมองหาที่อยู่อาศัยในย่านศาลายา-พุทธมณฑล มากขึ้น นอกจากนี้รอบพื้นที่ย่านศาลายา-พุทธมณฑล ยังมีไลฟ์สไตล์ใหม่มารองรับ ทั้งไลฟ์สไตล์ มอลล์ และห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เซ็นทรัล ศาลายา เป็นต้น บริษัทมีเป้าหมายพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องภายใต้แบรนด์ใหม่ เดอะ บาลานซ์ (The Balanz) ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2558 เพื่อผลักดันผลการดำเนินงานของบริษัทมีการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อเนื่องโดยตั้งเป้าหมายในระยะเวลา 3 ปี (ปี 2560-2562) บริษัทจะมีรายได้จากยอดขาย เดอะ บาลานซ์ แตะระดับ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการรับรู้รายได้ 250 ล้านบาท ในปี 2560 ที่ผ่านมา และประมาณการยอดรับรู้รายได้ในปี 2561 คิดเป็น 400 ล้านบาท และในปี 2562 อีก 450 ล้านบาท นายสยาม เลิศลุมพลีพันธุ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท แลนด์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึงผลสำเร็จของการสร้างแบรนด์ ‘เดอะ บาลานซ์’ ว่า บริษัทพัฒนา เดอะ บาลานซ์ (ศาลายา) เป็นโครงการแรก ในปี 2558 มีลูกค้าให้ความไว้วางใจในบริษัทเป็นอย่างดี จึงสามารถปิดการขายได้ทั้งโครงการแล้ว ล่าสุด บริษัทเปิดขาย เดอะ บาลานซ์ (ปิ่นเกล้า – สาย 5) โครงการลำดับที่สองที่เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2560 ได้รับผลตอบรับที่แรงเช่นเดียวกัน โดยยอด Pre-Sale เพียง 10 เดือน ขายแล้วกว่าร้อยละ 50 หรือประมาณ 120 ยูนิต ซึ่งรับรู้เป็นรายได้ในปี 2560 แล้ว ประมาณ 150 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 320 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดการณ์ว่าจะสามารถปิดการขายทั้งโครงการได้ภายในสิ้นปี 2561 สำหรับ เดอะ บาลานซ์ (ปิ่นเกล้า - สาย 5) มีมูลค่าโครงการรวม 1,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 45 ไร่ มีจำนวนทั้งหมด 236 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 3.39 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด ‘สมดุลแห่งชีวิตเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขที่แท้จริง (The True Balance of Happiness)’ ผสานความเป็นไทยกับยุคสมัยใหม่อย่างลงตัว ตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยของครอบครัวขนาดใหญ่ ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยสูง แต่อยู่ในทำเลสงบ ผ่อนคลายกับบ้านหลังใหญ่ อยู่สบาย เน้นความโปร่งโล่ง ในสังคมคุณภาพ บนทำเลศักยภาพย่านปิ่นเกล้า-สาย 5 ใจกลางความสะดวกครบวงจร สามารถเข้าออกได้หลายเส้นทาง (Selective Location) อาทิ ถนนบรมราชชนนี เพียง 3 กิโลเมตร จากถนนเพชรเกษม 6 กิโลเมตร และทางลัดสู่ถนนพุทธมณฑลสาย 4 เพียง 3 กิโลเมตร ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อนส่วนต่อขยายตลิ่งชัน – ศาลายา และใกล้ทางด่วนตัดใหม่ศรีรัชวงแหวน สามารถขึ้นจากทางยกระดับได้ง่าย นอกจากนั้นยังรายล้อมด้วยไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ อาทิ ใกล้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ศาลายา และมหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งนี้ เดอะ บาลานซ์ ปิ่นเกล้า -สาย 5 มีจุดเด่นด้วยการก่อสร้างบ้านทุกหลังด้วยอิฐมอญแดง  มีความโดดเด่นของการตกแต่งสไตล์โมเดิร์น เลือกสรรวัสดุคุณภาพเกรดพรีเมี่ยม ลงตัวด้วยพื้นที่ใช้สอยและฟังค์ชั่นที่ให้มากกว่า และเพิ่มความมั่นใจกับระบบความปลอดภัยในโครงการถึง 3 ระดับ (Triple-Security) ด้วยประตูทางเข้าโครงการ 2 ชั้น (Double Gate) พร้อมติดตั้งระบบสัญญาณกันขโมยตัวบ้านทุกหลัง ขณะที่แบบบ้าน ออกแบบด้วยดีไซน์ใหม่ เน้นส่วนผสมความเป็นไทยกับยุคสมัยใหม่อย่างลงในสไตล์ไทยโมเดิร์น โดยมีแบบบ้านหลังใหญ่ 3 แบบ ได้แก่ บ้านสุขสราญ (Zuk Saran) เนื้อที่เริ่มต้น 52.5 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย180 ตารางเมตร ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องพักผ่อน และ 2 ที่จอดรถ แบบบ้านเดี่ยวขนาดพอดีๆ สำหรับทุกการเริ่มต้นชีวิต ด้วยฟังก์ชั่นที่ลงตัว พร้อมเพิ่มพื้นที่โถงอเนกประสงค์ชั้น 2 และห้องนอนชั้นล่าง บ้านสุขสบาย (Zuk Sabai) เนื้อที่เริ่มต้น 42 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 140 ตารางเมตร ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ บ้านแนวคิดใหม่สไตล์บ้านเดี่ยว หลังใหญ่ คุ้มค่า ที่ให้ห้องนอน Master มาพร้อมกับห้องน้ำในตัว Walk-In Closet และห้องอเนกประสงค์ชั้นล่างเปิดรับวิวสวนเต็มอิ่ม และบ้านสุขใจ (Zuk Jai) เนื้อที่เริ่มต้น 36.7 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 130 ตารางเมตร ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ บ้านดีไซน์ใหม่สไตล์ไทยโมเดิร์น เติมเต็มการใช้ชีวิตให้สมบูรณ์แบบกับฟังค์ชั่นที่ครบครัน พร้อมพื้นที่สวนเดินได้รอบบ้าน นอกจากนี้บ้านทุกหลังยังติดตั้งระบบไฟโรงรถอัจฉริยะ (Auto Lighting) สะดวกปลอดภัยเมื่อเข้าบ้าน อีกทั้งยังคุ้มค่าเหนือราคากับสังคมบ้านเดี่ยว ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ คลับเฮาส์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องคิดส์รูม โถงพักผ่อน สวนสาธารณะขนาดใหญ่ ตลอดจนให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้อยู่อาศัยจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยคุณภาพการก่อสร้างด้วยอิฐแดงทั้งหลัง (Brick Construct Quality) หน้าต่างทรงสูงโปร่ง ขนาดใหญ่ หันหน้าสู่พื้นที่สีเขียว เพื่อพร้อมเปิดรับโอโซนบริสุทธิ์จากธรรมชาติ นายปิติ เลิศลุมพลีพันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท แลนด์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า บริษัทมองภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ศาลายา-พุทธมณฑล จะมีอัตราการเติบโตราวๆ ร้อยละ 4-5 สอดคล้องกับภาพรวมอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโตราวๆ ร้อยละ 5-7 สำหรับแผนงานกลยุทธ์ในปีนี้ บริษัทได้วางกลยุทธ์เพื่อรองรับการแข่งขันที่สูงขึ้น โดยอาศัยความเชี่ยวชาญจากการพัฒนาโครงการในพื้นที่กรุงเทพฝั่งตะวันตกมากว่า 20 ปี ทำให้รู้ลึกรู้จริงและเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคในพื้นที่เป็นอย่างดี และตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจมุ่งเน้นการก่อสร้างที่มีคุณภาพ จนได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาโดยตลอด ทั้งยังลงทุนพัฒนาโครงการด้วยเงินทุนของบริษัททั้งหมด ทำให้มีความคล่องตัวทางการเงิน สามารถพัฒนาโครงการใหม่เหมาะสมกับคุณภาพในราคาที่เอื้อมถึง ทั้งนี้ บริษัทเตรียมจัดงานเปิดตัวโครงการเดอะ บาลานซ์ ปิ่นเกล้า-พุทธมณฑลสาย 5 ในวันที่ 3-4  กุมภาพันธ์ 2561 นี้ ด้วยราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 2.99 ล้านบาท เฉพาะวันงานเท่านั้น พร้อมมอบโปรโมชั่นสุดพิเศษให้กับลูกค้าที่จองในงาน ได้แก่ ฟรีเครื่องปรับอากาศ ฟรีค่าส่วนกลาง ฟรีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ นอกจากนี้ในงานยังมีมินิคอนเสิร์ตจาก “เบน ชลาทิศ” และพิธีกรรับเชิญพิเศษ “กันต์ กันตถาวร” พร้อมกิจกรรมมากมายในบรรยากาศสบายๆ พร้อมอาหารและเครื่องดื่มตลอดงาน
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ วิเคราะห์อสังหาฯ ปี 61 คาดทาวน์เฮาส์มาแรง ส่วนคอนโดระดับกลาง-บนไปได้สวย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ วิเคราะห์อสังหาฯ ปี 61 คาดทาวน์เฮาส์มาแรง ส่วนคอนโดระดับกลาง-บนไปได้สวย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 พบตลาดทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียมยังขยายตัวดี กำลังซื้อระดับกลาง-ระดับบนยังไปได้ต่อโดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมแนวสูง และทาวน์เฮาส์บนทำเลรอบนอกกรุงเทพฯ พร้อมมองเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนหันพักอาศัยในคอนโดมิเนียมมากขึ้น จากเดิมได้รับความนิยมในกลุ่มวัยทำงาน เริ่มขยายสู่กลุ่มครอบครัวและวัยผู้ใหญ่ เนื่องจากจากโจทย์ด้านทำเลและการเดินทางที่สะดวก นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้คาดการณ์ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 ทิศทางโดยรวมจะทรงตัวต่อเนื่องจากปี 2560 โดยยอดขายทั้งปี 2560 คอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยว อยู่ที่ประมาณ 95,723 ยูนิต ซึ่งชะลอตัวจากปี 2559 ประมาณ 4% แม้ว่าครึ่งปีแรก’60 จะมีการขยายตัวได้ดีแต่ตลาดบ้านเดี่ยวยังคงชะลอตัว เหตุผลหลักมาจากหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และแม้ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ในปัจจุบันจะมีการเติบโตที่ดีขึ้นตามลำดับมาอยู่ที่ 33.9 ในเดือน ธ.ค. 2560 นั้นแต่ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดัชนีที่ตำกว่ามาตรฐานที่  50.0 จึงอาจเป็นเหตุให้เกิดภาวะกำลังซื้อต่ำเพราะยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ปัจจุบันภายในประเทศ  โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับล่าง ซึ่งเป็นอุปทานหลักในตลาด นอกจากความกดดันต่อภาระหนี้สินแล้วยังถูกกดดันจากผู้ให้บริการสินเชื่อที่ควบคุมการให้สินเชื่อที่รัดกุมมากขึ้นทำให้ผ่านการอนุมัติยากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามคาดว่าภาพรวมตลาดปี 2561 แม้จะยังคงเติบโตใกล้เคียงกับปี 2560 ซึ่งยังคงมีกำลังซื้อในกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียม รองลงมาคือทาวน์เฮาส์ และตามด้วยบ้านเดี่ยว โดยคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮาส์กลุ่มตลาดระดับกลางถึงกลุ่มระดับบนจะเป็นที่ต้องการในตลาดสูงขึ้น และตลาดบ้านเดี่ยวกลุ่มระดับกลางยังเป็นอุปทานหลักและมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี เนื่องจากตลาดระดับกลาง-บน ยังมีแรงขับโดยเฉพาะจากกลุ่มตลาดแนวสูงอย่างคอนโดมิเนียมเป็นหลักเช่นเดิม และจะเริ่มขยายพื้นที่เติบโตตั้งแต่พื้นที่ชั้นในไปยังแถบชั้นกลางของกรุงเทพฯ คอนโดระดับล่างที่เคยขยายตัวได้ดีเมื่อ 4-5 ปีก่อนจะเริ่มลดลงสาเหตุจากราคาที่ดินที่ดันตัวสูงขึ้นและการปรับผังเมืองในบางพื้นที่ที่จะทำให้ตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนตลาดแนวราบคาดว่าทาวน์เฮาส์จะเป็นตลาดที่ผู้บริโภคให้ความสนใจมากขึ้น พื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯจนถึงปริมณฑลจะเกิดการขยายตัว ทั้งนี้หากมองด้านอัตราการเติบโตในปี 2561 พบว่า หากเทียบทั้ง 3 ตลาดจนถึงสิ้นปีนี้คาดว่า ทาวน์เฮาส์จะเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด รองลงมาคือคอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยว ซึ่งอัตราการขยายตัวน่าจะใกล้เคียงกับปี 2560 ที่อุปทานทาวน์เฮาส์ขยายตัวขึ้นจากปี 2559 ที่ 4% รองลงมาคือคอนโดมิเนียมที่ 1% และบ้านเดี่ยวอุปทานจะชะลอลงจากปีก่อน อย่างไรก็ตามในปี 2561 ที่จะถึงนี้สถานการณ์ภาพรวมตลาดที่เติบโตยังคงเป็นตลาดกลางและระดับบน “อีกสาเหตุหนึ่งที่ตลาดบ้านเดี่ยวชะลอมาจากไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยปัจจุบันผู้คนหันมาซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมมากขึ้น แม้กลุ่มเป้าหมายหลักในปัจจุบันยังเป็นกลุ่มคนวัยทำงานแต่ปัจจุบันกลุ่มคนที่อยู่แบบครอบครัวขนาดเล็ก 2-4 คน ก็เริ่มหันมาพักอาศัยในคอนโดด้วยเพราะสะดวกในการเดินทาง และไลฟ์สไตล์ของคนเริ่มเปลี่ยนไป  นอกจากนี้ผู้บริโภคกลุ่มหลักของคอนโดมิเนียมในปัจจุบันมีแนวโน้มช่วงอายุที่ขยายกลุ่มกว้างขึ้นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ที่มากขึ้นด้วย เนื่องจากคอนโดมิเนียมในปัจจุบันตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนหลากหลายกลุ่ม Generation จึงทำให้เห็นวัยผู้ใหญ่ใกล้เกษียณเริ่มเข้ามาลงทุนในอสังหาฯประเภทนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตามยังเกิดตลาดใหม่สำหรับกลุ่มนักลงทุนมีนักลงทุนหน้าใหม่วัยทำงานเริ่มต้น 3 – 5 ปีที่หันมาลงทุนอสังหาฯ เพิ่มมากขึ้น โดยเน้นลงทุนระดับล่าง – กลาง โดยมีแนวโน้มในการซื้อเพื่อผ่อนดาวน์เป็นการเก็บเงิน และขายต่อเพื่อได้ Capital Gain หรือซื้อเพื่อปล่อยเช่า โดยใช้ค่าเช่ามาผ่อนชำระเพื่อเป็นรายได้เสริมและเป็นสินทรัพย์ของตนเอง” นายอนุกูล กล่าว
ผ่ามุมคิด Digital Gen ส่องผลงานจาก “Young Webmaster Camp ครั้งที่ 15”

ผ่ามุมคิด Digital Gen ส่องผลงานจาก “Young Webmaster Camp ครั้งที่ 15”

“ไอเดีย” และ “ความคิดสร้างสรรค์”  ถือเป็นพลังที่คนรุ่นใหม่ หรือ Digital Generation มีอย่างไม่สิ้นสุด ซึ่งมุมมองและผลงานของ “Digital Gen” เหล่านี้สามารถนำไปต่อยอดและนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงของสังคมได้ ล่าสุดบมจ.ซีพี ออลล์ ผู้ก่อตั้งร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในประเทศไทย ร่วมกับสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย  ธนาคารไทยพาณิชย์ และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม) จัดโครงการ  “Young Webmaster Camp ครั้งที่ 15” ภายใต้ธีม “Digital Innovation ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่โลกอนาคต” ค่ายเจาะลึกวิชาชีพเว็บมาสเตอร์   เพื่อเปิดพื้นที่ให้เหล่านิสิต-นักศึกษาที่มีใจรักในการทำเว็บไซต์เข้าอบรม และลงมือปฏิบัติจริงในการสร้างสรรค์เว็บไซต์ พร้อมเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ จากกูรูผู้เชี่ยวชาญและวิทยากรชื่อดังในวงการ พร้อมประชันไอเดีย โชว์มุมมองและผลงานกันอย่างเต็มที่ สำหรับการประกวดผลงานของน้องๆ ในปีนี้แบ่งรางวัลออกเป็น 5 รางวัลประกอบด้วย 1.รางวัล CP ALL Social Innovation Award 3 รางวัล  2.รางวัล Best Team Work  3.รางวัล Best Imagination  4.รางวัล Best Innovationและ5.รางวัล The Winner โดยทีมที่ได้รับรางวัล The Winner ในปีนี้ได้แก่ทีม C กับการรังสรรค์ผลงานที่รวมร้านเช่าชุดแฟนซีเเละชุดราตรีให้บริการอย่างครบวงจรภายใต้ชื่อเว็บไซต์ “RARTY”  น้องเจค - นายอริญชย์ ตรงสันติพงษ์ Web Programmer จากทีม C ทีมที่คว้ารางวัล The Winner กล่าวถึงแนวคิดของการจัดทำเว็บไซต์ “RARTY” ว่าหนึ่งในปัญหาที่พบเจอในสังคมคือเวลามีงานเลี้ยงหรือต้องไปงานที่มีธีม ผู้เข้าร่วมงานต้องวุ่นวายกับการหาซื้อชุด ทางทีมจึงมองว่าหากพัฒนาเว็บไซต์ที่ให้บริการเช่าชุดน่าจะตอบโจทย์ความต้องการของคนกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี เมื่อได้แนวคิดที่ต้องการแล้วก็ต้องมาหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งจากการสืบค้นพบว่าเว็บไซต์ประเภทนี้ยังไม่มี จึงคิดว่าหากพัฒนาขึ้นมาได้ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีความเป็นไปได้ สำหรับรูปแบบของเว็บไซต์จะเป็นการรวบรวมร้านให้เช่าชุดประเภทต่างๆ เช่นชุดแฟนซี ชุดราตรี ชุดว่ายน้ำ ฯลฯ โดยในเว็บไซต์จะทำการแยกประเภทและหมวดหมู่ของชุดอย่างชัดเจน เพื่อความสะดวกต่อการค้นหา โดยรายได้ของทางเว็บไซต์จะมาจากเปอร์เซ็นต์ของร้านที่เข้าร่วมนั่นเอง “ถึงโครงการจะจบแล้ว และทีมสามารถคว้ารางวัล The Winner มาได้ แต่เพื่อนๆ ในทีมก็มีแนวคิดที่จะนำโมเดลนี้ไปพัฒนาต่อยอดร่วมกันเพื่อสร้างเป็นธุรกิจใหม่ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันต่อไป” น้องเจคกล่าว อีกหนึ่งรางวัลที่น่าสนใจและได้รับการกล่าวถึงในงานคือ รางวัล CP ALL Social Innovation Award รางวัลที่มอบให้กับเว็บไซต์เพื่อสังคม โดยทีมที่ได้รับรางวัลนี้มี 3 ทีมประกอบด้วย 1.ทีม F พัฒนาเว็บไซต์ “Dreamand” เว็บการบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือน้อง ๆ ที่ขาดโอกาส  2.ทีม H  จากเว็บไซต์ “ONCE A NATIVE” เว็บที่จะพาเที่ยวท้องถิ่นไทยในเเบบของคุณเอง และ3.ทีม B จากเว็บไซต์ “KIDS2MAX” เว็บรวมคอร์สเรียนสำหรับเด็ก น้องไก่อู - นางสาวพรรณลักษณ์ เตชะศรีอมรรัตน์ ตัวแทนทีม F หนึ่งในทีมที่ได้รับรางวัล CP ALL Social Innovation Award กับผลงานที่มีชื่อว่า “Dreamand” กล่าวว่าเว็บไซต์นี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่ต้องการช่วยเหลือเด็กกำพร้าและเด็กด้อยโอกาสที่มีอยู่ในสังคมไทยเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเว็บไซต์นี้จึงเปรียบเสมือนสื่อกลางให้คนในสังคมได้ร่วมถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กกลุ่มนี้ผ่านหน้าเว็บ สำหรับเด็กที่ผ่านการตรวจสอบจากทีมงาน จะถูกดึงเข้ามาอยู่ในแคมเปญของการเข้าไปช่วยเหลือ ทำให้คนในสังคมสามารถเข้าไปช่วยเหลือเด็กกลุ่มนั้นได้สะดวกและรวดเร็ว “แม้ในปัจจุบันจะมีหน่วยงานที่รับดูแลเด็กกลุ่มนี้โดยเฉพาะ แต่ก็ยังมีเด็กที่ด้อยโอกาสอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ พวกเราจึงคิดสร้างเว็บไซต์นี้ขึ้นมา เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการส่งมอบความช่วยเหลือของคนในสังคมสู่เด็กๆเหล่านี้” น้องไก่อูกล่าว ด้านว่าน-นางสาวเมธปรียา คำนวณวุฒิ ผู้จัดการโครงการ “Young Webmaster Camp ครั้งที่ 15” กล่าวถึงภาพรวมของการจัดงานในครั้งนี้ว่า ผลงานของน้องๆ ที่เข้าร่วมค่ายในครั้งนี้ ถือว่ามีพัฒนาการจากครั้งที่ผ่านๆ มาอย่างเห็นได้ชัด โดยมีการวางแผนการทำผลงานที่ละเอียดเป็นขั้นเป็นตอนและมีทักษะพื้นฐานที่แน่นมากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าน้องๆ มองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคม และสามารถหยิบยกเอาปัญหาเหล่านั้นมานำเสนอได้อย่างน่าชื่นชม เช่น ปัญหากลุ่มเด็กด้อยโอกาสที่ยังรอผู้สนับสนุนอยู่ที่เป็นจำนวนมาก “ยอมรับว่าเด็กสมัยนี้เก่งมากขึ้น สิ่งที่เราพยายามช่วยเติมเต็มให้คือเรื่องการทำงานเป็นทีม เพราะนอกจากเรื่องเทคโนโลยี (Hard Skill) ที่น้องๆ สามารถเรียนรู้และค้นคว้าได้ด้วยตัวเองแล้ว เรื่องของการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Soft Skill)  ถือเป็นอีกหนึ่งความสำคัญที่น้องๆ ทุกคนจะต้องมีเมื่อจบจากรั้วมหาวิทยาลัยและก้าวสู่ชีวิตการทำงาน” นางสาวเมธปรียาเสริม สำหรับเกณฑ์การตัดสินในทุกๆ ปีคณะกรรมการจะโฟกัสที่เว็บนั้นๆ สามารถพัฒนาต่อยอดให้เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ ความสมดุลของทีมระหว่างเรื่องHard Skill  และ Soft Skill ส่งผลให้ผลงานมีความโดดเด่นและสมบูรณ์ที่สุด ภายในระยะเวลาที่จำกัด Young Webmaster Camp  เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมในนโยบายด้านส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชน ที่ซีพี ออลล์ มุ่งหวังให้เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการได้รับความรู้ด้านการพัฒนาเว็บไซต์อย่างรอบด้าน นำความรู้ไปปรับใช้ในวิชาชีพ  พร้อมบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งอนาคตให้เติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพในสังคม ก่อเกิดไอเดีย เปลี่ยนแปลงและขับเคลื่อนประเทศไทยสู่โลกอนาคต 
สิริ เวนเจอร์ส เผยก้าวแกร่ง PropTech ระยะยาว  3 ปี ลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท ในสตาร์ทอัพ พัฒนา 4 นวัตกรรมอสังหาฯ ล่าสุดจับมือ Partner ชั้นนำ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ เตรียมเปิดมิติใหม่เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ

สิริ เวนเจอร์ส เผยก้าวแกร่ง PropTech ระยะยาว 3 ปี ลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท ในสตาร์ทอัพ พัฒนา 4 นวัตกรรมอสังหาฯ ล่าสุดจับมือ Partner ชั้นนำ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ เตรียมเปิดมิติใหม่เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ

สิริ เวนเจอร์ส บริษัทร่วมทุนในรูปแบบ Corporate Venture Capital เพื่อทำการวิจัยและลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯและการอยู่อาศัยอย่างครบวงจรเต็มรูปแบบเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ภายใต้ความร่วมมือระหว่างบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เผยทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2018 พร้อมก้าวสำคัญในการผนึกกำลังกับพันธมิตรชั้นนำทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ได้แก่ Plug and Play และ SOSA แพลตฟอร์ม พาร์ทเนอร์จากซิลิคอน วัลเล่ย์ สหรัฐอเมริกา และอิสราเอล เตรียมเปิดมิติใหม่สำหรับการเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบรอบด้าน ผ่านการจัดสรรเงินลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาทในระยะเวลา 3 ปี เพื่อสร้างสรรค์และต่อยอดนวัตกรรมสำหรับการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตอย่างไร้รอยต่อในยุคดิจิทัล นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา แสนสิรินับว่ามีการรุกปรับองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ การบริหารด้านเทคโนโลยีเพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีสำหรับอสังหาฯ และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ (Digital Transformation) ซึ่งกลยุทธ์การดำเนินงานของแสนสิรินั้นครอบคลุมในทุกมิติของการใช้ชีวิต ผ่าน Siri LifeTech ซึ่งเป็นการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในยุคดิจิทัล รวมถึงการพัฒนายกระดับการดำเนินงานภายในองค์กรแสนสิริให้ก้าวสู่การเป็น Performance Organization ทั้งในเรื่อง Big data, Sale Force เป็นต้น โดยมี สิริ เวนเจอร์ส เป็นผู้เสาะหาและพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านพาร์ทเนอร์ชั้นนำและสตาร์ทอัพที่มาร่วมกันพัฒนาให้นวัตกรรมนั้นเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ โดยหลังจากที่มีการจัดตั้ง บริษัท สิริ เวนเจอร์ส เป็นระยะเวลาหนึ่งปี นับว่าประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมทั้งด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพผ่านการเปิดโครงการ “Siri Venture Partnership” เพื่อเฟ้นหาสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูงมาร่วมพัฒนาต่อยอดธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีการยกระดับกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับธุรกิจสตาร์ทอัพที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มีการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ  รวมถึงการผลักดันระบบนิเวศของสตาร์ทอัพด้านอสังหาฯและการอยู่อาศัยให้เกิดขึ้นจริงในไทย ดังนั้น ในปีนี้เราจึงวางแผนระยะยาวในการขับเคลื่อน ด้วยงบประมาณลงทุนต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมทั้งส่วนงานการพัฒนาเทคโนโลยี การลงทุนร่วมกับพันธมิตร รวมทั้งการร่วมทุนกับสตาร์ทอัพชั้นนำทั้งในประเทศและระดับโลก หลังจากที่ผ่านมามีความร่วมมือกับ Farmshelf สตาร์ทอัพจากอเมริกา พลิกโฉมการปลูกผักอัจฉริยะภายในที่พักอาศัย ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากลูกบ้านแสนสิริ นอกจากนี้ในอนาคตยังมีแผนต่อยอดความร่วมมือในประเทศอื่นๆ อาทิ ฝรั่งเศส หรือ จีน เพื่อร่วมขับเคลื่อนให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพในประเทศไทยที่สมบูรณ์แบบและยั่งยืนอีกด้วย นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภค เป็นความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการในยุคปัจจุบัน ที่จะต้องมีการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนธุรกิจเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไป จากความสำเร็จในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาของสิริ เวนเจอร์ส สะท้อนให้เห็นว่าเราได้เสาะแสวงหาเทคโนโลยี (Technology Acquisition) มาให้กับทั้งแสนสิริและลูกบ้าน รวมทั้งเป็นเสมือนประตูที่เชื่อมต่อลูกบ้านแสนสิริไปยังเทคโนโลยีและผู้ให้บริการใหม่ๆ และก้าวต่อไปของเราคือการมุ่งต่อยอดธุรกิจและเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยเน้นใน 3 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพ – ซึ่งจะเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับแกนธุรกิจหลักของแสนสิริ ด้วยงบประมาณ 1,500 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี 2) ด้านความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพ (Ecosystem Partner) โดยการจับมือกับพันธมิตรเพื่อผนึกกำลังยกระดับระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพด้าน PropTech และ LivingTech ในไทยและภูมิภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน 3) ด้านการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม (Lab & Development) มุ่งพัฒนาสร้างสรรค์ “Sansiri Home Service Application” เพื่อเปิดประตูสู่มิติใหม่ของการใช้ชีวิตของลูกบ้านแสนสิริ รวมถึงเชื่อมโยงกลุ่มลูกค้าผ่านเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในไทยและทั่วโลก ด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพ (Startup Investment) ในปีนี้สิริ เวนเจอร์สจะรุกลงทุนในสตาร์ทอัพโดยเน้นนวัตกรรม 4 ด้านที่สอดคล้องกับธุรกิจอสังหาฯ ของแสนสิริ ได้แก่ PropTech – นวัตกรรมเพื่อส่งเสริมด้านการซื้อขายแนวใหม่ การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ หรือ Know-how ใหม่ ๆ ที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้หลากหลายยิ่งขึ้น LivingTech – นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยใหม่ๆ ที่จะมาเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตของลูกบ้านแสนสิริได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นในด้านความสะดวกสบาย ความบันเทิง ความปลอดภัย และยังช่วยลดค่าใช้จ่าย ผ่านทสตาร์ทอัพที่ สิริ เวนเจอร์ส ลงทุนไปแล้ว เช่น Appysphere สตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญในเรื่องซอฟต์แวร์การพัฒนา Home Automation, Onionshack สตาร์ทอัพที่ร่วมพัฒนา Thai Voice AI, Techmatics สตาร์ทอัพที่พัฒนาหุ่นยนต์แสนดีที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว Health & Wellness Tech – นวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิต และสุขภาพองค์รวมของลูกบ้าน ซึ่งรวมไปถึงนวัตกรรมด้านอาหาร (FoodTech) ที่จะช่วยให้การใช้ชีวิตในเมืองเป็นไปได้อย่างสมดุล โดยในปี 2018 สิริ เวนเจอร์สยังมีแผนลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยีทางด้าน Health Monitoring สำหรับสังคมสูงวัยที่มีจะบทบาทสำคัญในสังคมไทยในอนาคตอีกด้วย Construction Tech – นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีด้านการออกแบบ ก่อสร้าง ควบคุมคุณภาพ รวมไปถึงวัสดุในการก่อสร้างใหม่ๆ เพื่อให้โครงการของแสนสิริตอบสนองความต้องการของลูกค้ายุคดิจิทัล และลดต้นทุนโดยรวม โดยการนำ AR (Augmented Reality) ร่วมกับ BIM (Building Information Management) เข้ามาใช้ในการควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาสิริ เวนเจอร์สมีการรุกลงทุนในสตาร์ทอัพมากมายทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น Farmshelf สตาร์ทอัพด้าน LivingTech จากสหรัฐอเมริกาที่กำลังมาแรง ซึ่งนอกจากการลงทุนในสตาร์ทอัพแล้ว ล่าสุด สิริ เวนเจอร์สยังได้ร่วมมือกับ Innovation Platform ระดับโลก 2 ราย คือ “Plug and Play” จากซิลิคอน วัลเล่ย์ส สหรัฐอเมริกา และ “SOSA” จากอิสราเอล ซึ่งทั้งสองเป็นเครือข่ายของสตาร์ทอัพเกือบหมื่นรายจากทั่วโลก ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงสิริ เวนเจอร์สให้พบกับสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพและเกี่ยวเนื่องได้เร็วและมากขึ้น โดยกิจกรรมที่ร่วมมือกันนั้นจะเริ่มตั้งแต่การเฟ้นหาจากโจทย์ปัญหา การจัดโปรแกรม Accelerate การจัดการ pitch รวมถึงการเฟ้นหาโอกาสในการร่วมลงทุน มร.ชอน เดฮ์พานาฮ์ รองประธานฝ่ายบริหาร ฝ่ายพันธมิตรองค์กรและนวัตกรรม จากบริษัท Plug and Play ที่มีส่วนการสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพอันแข็งแกร่งของซิลิคอน วัลเล่ย์ กล่าวถึงก้าวสำคัญในการจับมือกับสิริ เวนเจอร์สว่า “Plug and Play เป็นแพลตฟอร์มที่มุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายที่เชื่อมโยงสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและองค์กรจากทั่วโลก ทำให้เกิดประโยชน์ร่วมสร้างให้ธุรกิจเหล่าเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ในขณะเดียวกันนักลงทุนและองค์กรจะได้ร่วมต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันในเครือข่ายของเรามีสตาร์ทอัพกว่า 6,000 รายจากทั่วโลกในหลากหลายสาขา มี corporate partner มากกว่า 220 บริษัท และมีออฟฟิศตั้งอยู่ในกว่า 28 แห่งทั่วโลก ในวันนี้เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จับมือกับ สิริ เวนเจอร์ส บริษัทที่มีพันธกิจในการมุ่งเน้นการสร้างสรรค์ Disruptive Technology ทั้ง 4 ด้านอย่างเป็นรูปธรรม โดยเรามั่นใจว่าจะสามารถร่วมกันต่อยอดเพื่อผลักดันให้มีนวัตกรรมตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยใหม่ๆ ที่เกิดจากสตาร์ทอัพ ได้อย่างแน่นอน” ด้าน มิสโรนี เคเน็ท ฮาร์เมลิน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจจากบริษัท SOSA กล่าวถึงการเป็นพาร์ทเนอร์กับสิริ เวนเจอร์สว่า “SOSA เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงในประเทศอิสราเอล เพื่อเพิ่มโอกาสในการเชื่อมต่อสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและองค์กรต่างชาติทั่วโลก โดยปัจจุบันเรามีเครือข่ายสตาร์ทอัพกว่า 5,000 ราย ทั้งที่มุ่งเน้นสร้างเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการก่อสร้างโดยตรง สามารถเติบโตในตลาดได้อย่างยั่งยืน ในวันนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่เราจะได้ร่วมกับสิริ เวนเจอร์ส ในการมองหาความโดดเด่นของสตาร์ทอัพที่จะสามารถต่อยอดในการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ สำหรับลูกบ้านแสนสิริได้” ด้านความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพในไทย (Ecosystem Partner) มุ่งเน้นการผนึกกำลัง (Synergy) กับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญและมีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกัน เพราะสิริ เวนเจอร์สเชื่อว่าหากเราสนับสนุนสตาร์ทอัพโดยตรงอย่างเดียวก็จะได้เพียงแค่จำนวนหนึ่ง แต่หากทำงานร่วมกับพันธมิตรแล้วช่วยกันผลักดันระบบนิเวศโดยรวม จะช่วยให้ประเทศไทยผลิตสตาร์ทอัพที่มีคุณภาพและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก ในปีนี้สิริเวนเจอร์สได้ร่วมจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งมากมาย ยกตัวอย่างเช่น Microsoft Thailand ในการร่วมสนับสนุนการแข่งขันพัฒนานวัตกรรมสำหรับนักศึกษา “Microsoft Imagine Cup Thailand 2018” ในหัวข้อการแข่งขัน Smart Living on the Cloud ซึ่่่งทางสิริ เวนเจอร์ส ได้เชิญ Unicef พันธมิตรของแสนสิริ มาร่วมในโครงการเดียวกันด้วย นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรทั้งที่เป็น Accelerator มหาวิทยาลัย และองค์กรรัฐที่มีส่วนผลักดันการเติบโตของสตาร์ทอัพอีกมากมาย ด้านการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม (Lab & Development) มุ่งเน้นการยกระดับ Sansiri Home Service Application ไปอีกขั้น ให้เป็นมากกว่าแอพลิเคชั่นที่อำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านแสนสิริ แต่ยังเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงลูกบ้านไปยังพันธมิตรที่มาร่วมพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ นอกจากนั้น พันธมิตรต่างๆ ยังสามารถร่วมต่อยอดเทคโนโลยี ทั้งในด้าน Home Automation หรือ Voice AI ภาษาไทย เพื่อให้เกิดเป็นนวัตกรรมบริการรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมในทุกมิติของการใช้ชีวิต และพร้อมที่จะขยายขอบข่ายบริการในตลาดที่กว้างขึ้น โดยทีม Lab & Development จะนำเทคโนโลยีของสตาร์ทอัพที่เราไปลงทุนเข้ามาใช้งานกับลูกบ้านผ่านทางแอพฯ ที่พัฒนาขึ้น “ด้วยแผนการดำเนินการธุรกิจที่มุ่งเน้นทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการลงทุน (Investment), ด้านความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพในไทย (Ecosystem Partner) และด้านการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม (Lab & Development) พร้อมเงินลงทุน 1,500 ล้านบาท ใน 3 ปีนี้  สิริ เวนเจอร์ส จึงพร้อมที่จะเปิดประตูสู่มิติใหม่สำหรับการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบครบวงจร ทั้งในเรื่องของการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์และเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยให้กับทุกคน ซึ่งในเร็วๆ นี้ เราจะมีการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ๆที่น่าตื่นเต้น อาทิ ด้านพลังงานทดแทนอัจฉริยะ โครงการบ้านอัพเกรดได้ รวมไปถึงพาร์ทเนอร์ใหม่ๆของ Home Service App ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกด้านรวมถึงการยกระดับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยผ่านการสร้างระบบนิเวศเพื่อการพัฒนาด้าน PropTech และ Living Tech ที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในประเทศไทย” นายจิรพัฒน์ กล่าวปิดท้าย        
ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง แนะลงทุนเฟอร์นิเจอร์ เพิ่มมูลค่าอสังหาฯ ปล่อยเช่า

ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง แนะลงทุนเฟอร์นิเจอร์ เพิ่มมูลค่าอสังหาฯ ปล่อยเช่า

การลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า นับเป็นการลงทุนอันดับต้นที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุน เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาวทำรายได้สม่ำเสมอจากการปล่อยเช่าในแบบรายเดือนและรายวัน มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3-5% ในแต่ละปี ทั้งนี้อสังหาฯ ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจแก่นักลงทุน ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในทำเลทองใจกลางธุรกิจ ติดเส้นทางรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ติดศูนย์การค้าและแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากมีลูกค้าผู้เช่าเป็นกลุ่มนักธุรกิจ นักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อ สามารถกำหนดราคาเช่าที่ให้ผลตอบแทนสูง นับเป็นโจทย์ที่ต้องขบคิดให้รอบคอบและรัดกุมของนักลงทุน นางสาวกมนนัทธ์ เต็มไตรรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (SONDER living) แบรนด์ แกลเลอรี่ (Brand Gallery) ที่รวบรวมเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านนำเข้าระดับไฮเอนด์ ที่รวบรวมผลงานจาก 7 แบรนด์ 7 ดีไซน์เนอร์ชื่อดังของโลก แนะนำเทคนิคในการลงทุนในเฟอร์นิเจอร์เพื่อเพิ่มโอกาสตัดสินใจเช่า และเพิ่มมูลค่าอสังหาฯ ให้เช่า เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า หัวใจสำคัญเริ่มจากการพิจารณาดูว่าคอนโดหรือบ้านให้เช่า ตั้งอยู่ในทำเลทอง ศูนย์กลางธุรกิจหรือใกล้สนามบิน รวมทั้งคอนโดหรือบ้านตากอากาศในแหล่งท่องเที่ยว มีกลุ่มผู้เช่าที่เป็นนักธุรกิจ ผู้บริหารต่างชาติ หรือ Expat หรือมีผู้เช่าระยะสั้นเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวผู้มีกำลังซื้อสูงอยู่ในกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ก็เหมาะที่จะลงทุนเฟ้นหาเฟอร์นิเจอร์ดี ๆ ไว้ตกแต่งเพื่อเพิ่มมูลค่าและความน่าสนใจจูงใจผู้เช่าให้ตัดสินใจเช่าเพราะผู้เช่ากลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความพึงพอใจ ซึ่งตรงกับรสนิยมของตนเองมาก่อนราคาค่าเช่า ลำดับต่อมาการพิจารณาซื้อเฟอร์นิเจอร์ในสไตล์ที่เหมาะกับกลุ่มผู้เช่าเพื่อดึงดูดให้ผู้เช่าตัดสินใจเช่าได้ง่ายดายขึ้น  ยกตัวอย่างเช่น เลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์ เรียบหรู ดูคลาสสิกและให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สำหรับกลุ่มผู้เช่าที่เป็นผู้บริหาร นักธุรกิจ หรือเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซด์เก๋ ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนพักอยู่ในโรงแรมหรือรีสอร์ท เน้นสไตล์ที่เข้ากับบรรยากาศของสถานที่ท่องเที่ยวนั้น เพื่อเป็นตัวดึงดูดความชอบของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ตัดสินใจเลือกเช่า และช่วยเพิ่มราคาห้องเช่าจากราคาปล่อยเช่าปกติเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากลูกค้าที่มีกำลังซื้อมักตัดสินใจเช่าอสังหาฯ ที่ถูกใจมาก่อนราคา และลำดับท้ายสุด ควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีความคงทนแข็งแรง ผลิตขึ้นมาจากจากวัสดุที่แข็งแรง ทนทาน สามารถใช้งานได้นาน และเป็นแบบที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอไม่ล้าสมัย ทำให้ลงทุนเพียงครั้งเดียวแต่ใช้งานได้ระยะยาว ที่สำคัญเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้ยังสามารถขายต่อได้ราคาหากไม่มีความจำเป็นใช้งานแล้ว โดย SONDER living Thailand Flagship Gallery จะเน้นเฟอร์นิเจอร์ที่มีสไตล์และมีคุณภาพ ผลิตจากโรงงานของ Rochdale Spears ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่มีประสบการณ์ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์มากว่า 30 ปี ควบคุมการผลิตทุกขั้นตอนเพื่อให้ได้ชิ้นงานคุณภาพดีที่สุดจากงานออกแบบของดีไซเนอร์ชื่อดัง “เราพบว่ามีกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาซื้อเฟอร์นิเจอร์เพื่อใช้สำหรับตกแต่งอสังหาฯ ให้เช่าที่มีอยู่ในพอร์ตฯ ซึ่งการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายสามารถช่วยเพิ่มราคาค่าเช่าจากราคาปล่อยเช่าปกติประมาณ 2-3 % เลยทีเดียว” นางสาวกมนนัทธ์กล่าว การลงทุนแต่งเฟอร์นิเจอร์ในอสังหาฯ ให้เช่า หากเฟ้นหาอย่างเหมาะสมและชาญฉลาด เป็นอีกหนึ่งวิธีเพิ่มมูลค่าบ้านหรือคอนโดให้ได้ค่าเช่าที่สูงขึ้น และหากลงทุนเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ให้มีสไตล์ก็จะยิ่งช่วยให้ปล่อยเช่าได้ง่ายขึ้น เป็นการสร้างความแตกต่างและสร้างจุดดึงดูดให้น่าอยู่อาศัยมากกว่าการใช้เฟอร์นิเจอร์ทั่วไป สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ เฟอร์นิเจอร์ที่เลือกใช้จะต้องมีสไตล์ที่ถูกตาต้องใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพียงแค่นี้บ้านหรือคอนโดของเราก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว พบกับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านไฮเอนด์ 7 แบรนด์ จาก 7 ดีไซเนอร์อย่าง Thomas Bina, Tracey Boyd, Andrew Martin, Maison 55, Nellcote Studio, Coup&Co., และ Kelly Hoppen ได้ที่ SONDER living Thailand Flagship Gallery บนถนนพระรามเก้า ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 10:00 – 19:00 น. และวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 10:00-18:00 น. รายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าเยี่ยมชมที่ Official Website: www.sonderliving.com/th หรือที่ Facebook:  sonderlivingthailand
“แสนสิริ” เปิดเกมรุกหนัก รับปี’61 ลุยส่งแคมเปญกวาดยอด 6,000 ลบ. “ปรากฏการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” จัดเต็มแบบที่ไม่เคยมีใครให้มาก่อนในวงการ รับกว่า 17 ล้าน!! แจกหนัก รับรางวัลทุกเดือน

“แสนสิริ” เปิดเกมรุกหนัก รับปี’61 ลุยส่งแคมเปญกวาดยอด 6,000 ลบ. “ปรากฏการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” จัดเต็มแบบที่ไม่เคยมีใครให้มาก่อนในวงการ รับกว่า 17 ล้าน!! แจกหนัก รับรางวัลทุกเดือน

“แสนสิริ” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย เปิดเกมรุกหนัก รับปี’61 ประกาศผู้นำอสังหาฯ กับปรากฏการณ์สะเทือนวงการ ส่งแคมเปญ “ดาวสุขเต็มฟ้า” จัดเต็มแบบที่ไม่เคยมีใครให้มาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ ตั้งเป้ากวาดยอด 6,000 ล้านบาท สร้างสีสันและกระตุ้นตลาดคึกคักต้อนรับไตรมาส 1 -- รับกว่า17 ล้าน!! แจกหนัก รับรางวัลทุกเดือนกว่า 80 รางวัล รางวัลที่ 1 ส่วนลด รางวัลละ 1 ล้านบาท จำนวน 3 รางวัล รางวัลที่ 2 บัตรกำนัล SB Furniture รางวัลละ 300,000 บาท จำนวน 21 รางวัล รางวัลที่ 3 บัตรกำนัลเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก SAMSUNG รางวัลละ 100,000 บาท  จำนวน 60 รางวัล ยิ่งตัดสินใจเร็ว ยิ่งมีลุ้นสิทธิ์มากกว่า พบดีลพิเศษ และทัพโครงการพร้อมอยู่ และโครงการใหม่ บ้านเดี่ยว คอนโดฯ และทาวน์เฮาส์ ทั่วประเทศ เริ่มแล้ววันนี้ – 31 มี.ค. นี้ นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ปีนี้ แสนสิริ พร้อมลุยประกาศความเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ก่อนใครตั้งแต่เริ่มต้นศักราชใหม่    กับโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษที่ยิ่งใหญ่และไม่เคยมีใครให้เท่านี้มาก่อนในประวัติศาสตร์ ถือเป็นการสร้างสีสันและความคึกให้กับตลาดอสังหาฯตั้งแต่เริ่มต้นปี กับแคมเปญ “ปรากฏการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” ที่เราขนทัพมาแบบจัดหนักและจัดเต็มกับหลากหลายโครงการให้ได้เลือกจับจอง นับเป็นครั้งแรกที่เราคืนกำไรขอบคุณลูกค้าโดยการมอบส่วนลดและสิทธิพิเศษมากที่สุดและคุ้มค่าที่สุดที่ไม่เคยมีใครให้มากเท่านี้ มาก่อนในวงการอสังหาฯ ที่ให้กว่า 17 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงลุ้นรับรางวัลทุกเดือน รวมกว่า 80 รางวัล โดยเราจับฉลากแจกหนักทุกเดือน ทุก 1 ล้านบาท รับ 1 สิทธิ์จับฉลากชิงโชค ซึ่งโอกาสในการรับรางวัลนั้นสูงมาก เราหวังว่า จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าและนักลงทุนมากกว่าปีก่อนๆ และสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 6,000 ล้านบาท การมีโครงการและโปรโมชั่นเร้าใจ ตรงกับความต้องการลูกค้าและการกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้นผ่านแคมเปญนี้ จะช่วยผลักดันให้ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกทะลุเป้าได้แน่นอน” “นอกจากส่วนลดและสิทธิพิเศษที่อัพเกรดแบบเหนือกว่าแล้ว ความพิเศษของปีนี้ คือ เรายังส่งโครงการคอนโดใหม่เข้าร่วมด้วย ซึ่งไม่ได้มีเพียงเฉพาะแค่โครงการพร้อมอยู่เท่านั้น เนื่องจากเราเล็งเห็นถึงความต้องการของลูกค้าในเมืองที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงนำโครงการใหม่เข้าร่วมด้วยพร้อมนำเสนอความคุ้มค่า เพื่อเพิ่มทางเลือกในการอยู่ศัยในทุกระดับโครงการ อาทิ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ, คุณ บาย ยู, โอกะ เฮาส์ และ คาวะ เฮาส์ โดยมีโครงการที่อยู่อาศัยที่เข้าร่วมรายการทั้งหมดกว่า 61 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และทาวน์เฮาส์ ครอบคลุมทุกระดับราคาตั้งแต่แบรนด์นาราสิริ ตลอดจน ดีคอนโด หลากหลายทำเลทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ โคราช เขาใหญ่ ชะอำ ขอนแก่น อุดรธานี สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต เป็นต้น โดยมอบโปรโมชั่นสุดคุ้มกับยูนิตสวยโดนใจ ในจำนวนจำกัด” นายอุทัย กล่าว พบกับไฮไลท์สุดปัง กับแคมเปญโปรโมชั่น “ปรากฎการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” ได้แล้ววันนี้ ลุ้นจับฉลากและรับรางวัลทุกเดือน รวมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท โดยทุก 1ล้านบาท รับ 1 สิทธิ์จับฉลาก สำหรับลูกค้าที่จองและโอนโครงการพร้อมอยู่ หรือจองและทำสัญญาสำหรับโครงการใหม่ ภายในช่วงระยะเวลาโปรโมชั่นตั้งแต่วันนี้ -31 มี.ค.2561 จับรางวัลและประกาศรางวัลประจำทุกเดือนทางหน้า แสนสิริ เฟซบุ๊ค และเว็บไซต์ www.sansiri.com/โครงการพร้อมอยู่ ต่อที่ 1 รับข้อเสนอพิเศษมากมายจากโครงการ และ ต่อที่ 2 รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2 ล้านบาท ต่อยูนิตจากต่อที่ 1 ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 36 โครงการ คอนโด 18 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 7 โครงการ ทั่วประเทศ อาทิเช่น โครงการใหม่คอนโดมิเนียม คุณ บาย ยู ลดสูงสุด 1,000,000 บาท เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า ห้องแต่งพิเศษเริ่ม 5 ล้าน บาท บ้านเดี่ยว ทาว์นเฮ้าส์พร้อมอยู่ในกรุงเทพฯ นาราสิริ พระราม 2 และ นาราสิริ ปิ่นเกล้า-สาย1 รับฟรี! Living Package 1,000,000 บาท สิริ สแควร์ เจริญกรุง 80 ลดสูงสุด 1,000,000 บาท เชียงใหม่ เศรษฐสิริ สันทราย รับส่วนลดกว่า 300,000 บาท หรือไม่ว่าจะเป็น คอนโดตากอากาศพร้อมอยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก อย่าง ภูเก็ตบ้านเดี่ยวและคอนโดพร้อมอยู่ 4 โครงการ รับข้อเสนอพิเศษสูงสุดกว่า 1,000,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีโครงการอื่นๆอีกมากมายที่ยกทัพพร้อมมามอบโปรฯเด็ดๆอีกครั้งแบบจัดเต็ม ต่อที่ 3 ลุ้นรับรางวัลทุกเดือน ทุก 1 ล้านบาท รับ 1 สิทธิ์จับฉลาก รางวัลที่ 1 ส่วนลด รางวัลละ 1 ล้านบาท จำนวน 3 รางวัล รางวัลที่ 2 บัตรกำนัลจาก SB Furniture รางวัลละ 300,000 จำนวน 21 รางวัล รางวัลที่ 3 บัตรกำนัลเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก SAMSUNG รางวัลละ 100,000 จำนวน 60 รางวัล โอกาสทอง แบบนี้ไม่ควรพลาด พิสูจน์ความแรงของโปรโมชั่นเด็ดโดนใจจำนวนจำกัด แจกหนัก จัดเต็ม!!    “ปรากฎการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” ได้แล้ววันนี้ ถึง 31 มี.ค.61 พบกับข้อเสนอพิเศษนี้ได้ที่ Sale Galley ของโครงการที่เข้าร่วมรายการ หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1685 หรือ http://www.sansiri.com/โครงการพร้อมอยู่
ไซมิส แอสเสท เปิดตัว คอนโดมิเนียมหรูไฮเอน ติด MRT ศูนย์สิริกิติ์  “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ ควีนส์” สถาปัตย์แห่งการใช้ชีวิต  Free Hold แปลงเดียวในย่านอโศก – รัชดาฯ

ไซมิส แอสเสท เปิดตัว คอนโดมิเนียมหรูไฮเอน ติด MRT ศูนย์สิริกิติ์ “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ ควีนส์” สถาปัตย์แห่งการใช้ชีวิต Free Hold แปลงเดียวในย่านอโศก – รัชดาฯ

บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด หนึ่งในผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ ควีนส์” (Siamese Exclusive Queens) เป็นคอนโดระดับไฮเอน เริ่มต้นคุณภาพชีวิตที่เหนือกว่า บนทำเลที่เรียกว่าที่ดีที่สุด Free Hold เพียงไม่กี่แปลงบนเส้น อโศก - รัชดาฯ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่จะทำให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายง่ายขึ้น เพราะติดกับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เพียง 50 เมตร สามารถเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจได้อย่างง่ายดาย ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ และ District แห่งใหม่อย่างศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์ ตลอดจน ดิ เอ็มสเฟียร์ที่จะเปิดให้บริการในอนาคต รวมถึงแหล่งการศึกษา โรงพยาบาลชั้นนำ ฯลฯ  สำหรับลูกค้าที่จองในวันเอ๊กซ์คลูซีพเดย์ วันเสาร์ ที่ 20 มกราคม 2561 นี้ จะได้ราคาห้องชุดสุดพิเศษ ในราคา Pre-Sale รวมถึงส่วนลดสูงสุด 800,000 บาท พร้อม iPhone X วันนี้ วันเดียวเท่านั้น “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ ควีนส์” มีพื้นที่โครงการ 2 - 0 - 44 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 4,600 ล้านบาท ออกแบบโดยบริษัท สถาปนิก 49 จำกัด สัมผัสชีวิตแบบ Luxurious ทุกตารางเมตร ด้วยดีไซน์ห้องชุดที่มอบความโปร่งสบายด้วยเพดานสูง 2.7 เมตร และห้องชุดแบบ Penthouse ที่มีความสูงพิเศษของฝ้าเพดานที่ 3.85 เมตร พร้อมระเบียงแบบกระจกสไตล์ Juliet Balcony โครงการ ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ ควีนส์ เป็นอาคารชุดพักอาศัยจำนวน 1 อาคาร สูง 33 ชั้น ชั้นใต้ดิน 3 ชั้น มีห้องชุดให้เลือกตั้งแต่ 1 – 3 ห้องนอนและเพนท์เฮาส์ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 34.71 – 150.67 ตร.ม. และห้องชุดเพื่อพาณิชย์จำนวน 1 ยูนิต รวม 332 ยูนิต อาคารจอดรถอัตโนมัติจำนวน    1 อาคาร สูง 12 ชั้น ชั้นใต้ดิน 6 ชั้น ในราคา Pre-Sale วันงาน Exclusive Day พิเศษที่สุดวันเดียวเท่านั้น ให้สัดส่วนความสุขลงตัวในทุกองศาการใช้ชีวิต ผ่อนคลายกับสระว่ายน้ำและห้องออกกำลังกายบนชั้น 33 รวมถึง Roof Top Garden ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ใจกลางกรุงเทพมหานครได้แบบ 360 องศา และสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้ตั้งแต่ชั้น 28 อีกด้านหนึ่งจะเห็นวิวของสวนเบญจกิติที่สวยงามอีกด้วย ใช้ชีวิตที่ลักชัวรีกว่าที่เคยกับโครงการ “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ ควีนส์” ในทำเลศักยภาพสูงใจกลางเมือง ติดกับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เพียง 50 เมตร ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ อีกขั้นของความโล่งสบายด้วยเพดานสูง 2.7 เมตร ชมห้องตัวอย่างและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โครงการฯ พร้อมจองวันที่ 20 มกราคม 2561 นี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่ โทร. 061-636-0111 อีเมล์ : siamese_queens@siameseasset.co.th Fanpage :  www.facebook.com/SiameseAssetThailand Website : www.siameseasset.co.th
เศรษฐสิริ แจ้งวัฒนะ-ประชาชื่น 2 บ้านเดี่ยวระดับซุเปอร์ลักชัวรี่ ดีไซน์เหนือระดับ ใกล้เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ ราคาเริ่มต้นที่ 15 ล้านบาท

เศรษฐสิริ แจ้งวัฒนะ-ประชาชื่น 2 บ้านเดี่ยวระดับซุเปอร์ลักชัวรี่ ดีไซน์เหนือระดับ ใกล้เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ ราคาเริ่มต้นที่ 15 ล้านบาท

“บ้าน”...เปี่ยมไปด้วยความหมายมากกว่าการอยู่อาศัย เป็นที่แห่งความทรงจำที่จะบันทึกช่วงเวลาดีๆ ของชีวิตที่ตราตรึงในความประทับใจ และเป็นมรดกล้ำค่าจากรุ่นสู่รุ่น การจะมองหาบ้านสักหนึ่งหลังจึงจะต้องเป็นบ้านที่เหนือกาลเวลา มีศักยภาพไม่สิ้นสุด “เศรษฐสิริ แจ้งวัฒนะ – ประชาชื่น 2” บ้านเดี่ยวที่รังสรรค์ผ่านการออกแบบมาอย่างสร้างสรรค์ด้วยที่สุดแห่ง Timeless Design มีความสง่างาม และคำนึงถึงการทรงคุณค่าเหนือกาลเวลา ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยบ้านก็จะไม่ถูกลดทอนคุณค่าไปตามกาลเวลา ทุกการออกแบบมีความใส่ใจในทุกรายละเอียดก่อเกิดเป็นที่อยู่อาศัยที่มีการดีไซน์อย่างเหนือระดับ ในสไตล์ Modern Classic ที่เรียบง่าย แต่คงไว้ซึ่งความโดดเด่น และความร่วมสมัย ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘A New Honour as You Define’ ความสำเร็จ ที่คุณเลือกนิยามได้ด้วยตัวเอง โครงการออกแบบด้วยความเข้าใจความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้อยู่อาศัยอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เกิดเป็นสถาปัตยกรรมที่อยู่อาศัยที่สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แตกต่าง และเหนือระดับกว่าที่เคย เน้นการออกแบบให้ดูสง่า หรูหรา แต่เรียบง่าย สะท้อนชีวิตอย่างเต็มภาคภูมิ ตั้งแต่พื้นถนนทางเข้า วงเวียนน้ำพุ รวมไปถึง CLUBHOUSE ที่ดูมีระดับสำหรับผู้มาเยือนโครงการ เข้ามาจนถึงคลับเฮาส์ที่ดีไซน์มีการเล่นระดับในช่องเสา ประตูหน้าต่าง ทำให้เกิดความรู้สึกแบบ Embassy Look ที่ดูยิ่งใหญ่ เหนือกาลเวลา รองรับการใช้งานที่หลากหลาย ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างได้อย่างสมบูรณ์  คำนึงถึงความป็นส่วนตัวและเกิดประโยชน์สูงสุด แบ่งฟังก์ชันการใช้งานเป็นสัดส่วน ตั้งแต่โถงรับรองขนาดใหญ่ (Lobby) เป็นแบบ Double Volume  ให้ความรู้สึกโอ่อ่า กว้างขว้าง สง่างามแบบ Luxury Design พร้อมพื้นที่ออกกำลังกาย (Fitness) ที่มีอุปกรณ์มาตรฐานระดับสากล เพลิดเพลินกับการออกกำลังกายสามารถเปิดรับชมทัศนียภาพได้ 360 องศา แบบ Panoramic view ที่มาครบครันพร้อมกับสระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาด Half Olympic (27 x 8 ม.) และสระเด็ก นอกจากนี้ยังเพิ่มพื้นที่สำหรับสังสรรค์กับเพื่อนหรือครอบครัว ไม่ว่าจะปาร์ตี้ หรือจัดบาร์บีคิวก็ทำได้ในวันพักผ่อน รองรับกิจกรรมของครอบครัวได้อย่างไม่จำกัด รวมทั้งยังเพลิดเพลินใกล้ชิดกับธรรมชาติได้เต็มอิ่ม ด้วยสวนส่วนกลางขนาดใหญ่เกือบ 2 ไร่ และพื้นที่สีเขียวและสวนหย่อมรวมกันทั้งหมดมากกว่า 7 ไร่ รวมทั้งยังมีที่สำหรับการเรียนรู้ของเจ้าตัวน้อย สนามเด็กเล่นที่ได้ผู้เชี่ยวชาญอย่างโรงพยาบาลสมิติเวช ดูแลเรื่องการออกแบบให้เหมาะสมกับการเรียบรู้และพัฒนาการของเด็ก (Edutainment Playground) สำหรับตัวบ้านคัดสรรทุกวัสดุคุณภาพระดับพรีเมียม ตั้งแต่พื้น ฟังก์ชั่น จรดเพดาน ตามคอนเซ็ปต์ Timeless Design บ้านที่ทรงคุณค่าเหนือกาลเวลา พร้อมนวัตกรรมล้ำสมัย Innovation Home Design เติมเต็มในทุกพื้นที่ เพื่อความสุขของทุกคนในครอบครัว ประหยัดพลังงานด้วยระบบ Solar Attics และ Air Flow เหนือระดับกับห้องน้ำด้วยระบบ Jacuzzi และ Flush Toilet Automatic ห้องน้ำที่รองรับ TV พร้อมเครื่องปรับอากาศตอบโจทย์ Lifestyle คนรุ่นใหม่ พร้อมดีไซน์ Universal Design ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นให้ครบทุกการใช้งาน ออกแบบพื้นที่ให้เกิดความสะดวกกับทุกคนในครอบครัว รวมทั้งเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนาและเข้มงวดกว่าเดิม ด้วย Security Home Automation ระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ เศรษฐสิริ แจ้งวัฒนะ – ประชาชื่น 2 เดินทางสะดวก อยู่บน ถ. เลียบคลองประปา รอบข้างสามารถวิ่งเชื่อมไปยังแจ้งวัฒนะหรือสรงประภาได้ มีจุดขึ้นลงทางด่วนโดยรอบ และใกล้ศูนย์การค้าเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ แหล่งทำงานขนาดใหญ่และอาคารสำนักงานอีกหลายแห่ง โดยเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนพื้นที่ 59 ไร่ ยูนิตเงียบ สงบ เป็นส่วนตัว  มีเพียง 149 ยูนิตที่จะสามารถเข้ามาอยู่อาศัยได้อย่างเต็มภาคภูมิ ประกอบด้วย 3 แบบบ้าน พื้นที่ใช้สอย 263, 353 และ 437  ตารางเมตร ราคา 15-30 ล้านบาท พร้อมเปิดให้สัมผัสความสง่างาม อย่างเต็มภาคภูมิแล้ววันนี้ พิเศษ! ต้อนรับปีจอ มอบโปรโมชั่น “ความสุขเต็มฟ้า” รับคะแนนสะสมบัตรเครดิตเพิ่ม 500,000 คะแนน* เฉพาะวันที่ 15 ม.ค. – 31 มี.ค.60 สอบถามรายละเอียดและนัดหมายเข้าชมโครงการ โทร 02-085-8035 หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sansiri.com
พฤกษา ประกาศแผนปี 61 มุ่งรักษาความเป็นที่หนึ่งในตลาดและสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ตั้งเป้ายอดขายและรายได้โต 13% และ >10% ตามลำดับ

พฤกษา ประกาศแผนปี 61 มุ่งรักษาความเป็นที่หนึ่งในตลาดและสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ตั้งเป้ายอดขายและรายได้โต 13% และ >10% ตามลำดับ

พฤกษา ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาฯ ประกาศแผนปี 61 ตั้งเป้ายอดขาย 53,742 ล้านบาท รายได้ 50,500 ล้านบาท ชูกลยุทธ์รักษาความเป็นที่หนึ่งในตลาด มุ่งสร้างแบรนด์ โดยเน้นการใช้นวัตกรรมและดิจิทัล พร้อมจับมือพันธมิตรร่วมพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการของที่อยู่อาศัยให้ดียิ่งขึ้น นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2561 ว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ละพันธกิจของบริษัทฯ ที่จะก้าวไปสู่แบรนด์อันดับหนึ่งในใจคนไทย และเป็นที่หนึ่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์ พฤกษาจึงใส่ใจทุกคุณภาพเพื่อทั้งชีวิตที่ดีขึ้น ในปีนี้จึงมุ่งเน้นศึกษาเรื่องเมกะเทรนด์ของตลาด โดยอีก 5 ปีข้างหน้ามูลค่าตลาด Smart Home จะเติบโตเพิ่มสูงขึ้น 13.65% บริษัทฯ จึงนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้การพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อเพิ่มคุณภาพและบริการ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งในวันนี้และอนาคต อาทิ การเยี่ยมชมโครงการใหม่ผ่านระบบ VR รวมถึงการสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ในบ้านผ่านระบบ AI เป็นต้น รวมถึงพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อรองรับสำหรับสังคมสูงวัย นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ใช้แผนกลยุทธ์การตลาดแบบ Digital Marketingเพื่อให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ส่งผลให้เว็บไซต์พฤกษามียอดผู้เข้าชมสูงสุด และก้าวขึ้นมาเป็นเว็บไซต์อันดับหนึ่งของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยปีที่ผ่านมามียอดขายที่มาจากสื่อดิจิทัล16,101 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 98% ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี 2561 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล คาดว่าจะมียอดขายเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 5% มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 4.20 แสนล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนโครงการลงทุนด้านการคมนาคมของภาครัฐบาล ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 53,742 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 13% และรายได้ 50,500 ล้านบาท หรือเติบโต >10% รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้เติบโต >13.5% โดยมาจากแผนการเปิดโครงการใหม่ จำนวน 75 โครงการ มูลค่า 66,700 ล้านบาท และการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ รวมถึงการร่วมกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพของสินค้าให้ดียิ่งขึ้น อาทิ การใช้เสาเข็มมาตรฐาน มอก. ของ GEL, ร่วมมือกับ SCG พัฒนาวัสดุก่อสร้างที่ทันสมัยมาใช้ในโครงการ และการพัฒนาคุณภาพสีทาบ้านร่วมกับ TOA เป็นต้น ด้านความคืบหน้าของโรงพยาบาลวิมุตขณะนี้โครงการได้ผ่าน EIA และกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างโดยใช้งบประมาณ 650 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการแก่ลูกค้าได้ในปี 2020 ด้าน นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในปีนี้ภาพรวมตลาดของกลุ่มธุรกิจแวลูมีการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน อยู่ที่ 4.79% ทั้งตลาดบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม สำหรับแผนกลยุทธ์ของกลุ่มธุรกิจแวลูในปีนี้ยังคงเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ระดับกลาง-ล่าง เพื่อรักษาฐานลูกค้ากลุ่มเดิม และขยายฐานกลุ่มลูกค้าไปยังระดับกลาง – บนมากขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมในทุกเซ็กเมนต์ โดยนำนวัตกรรม “พฤกษา 4.0” มาใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยทุกโครงการ พร้อมจับมือร่วมกับพันธมิตรต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพการพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาโครงการแนวราบบนถนนบางนา-วงแหวน มูลค่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งถือได้ว่าเป็นโครงการเมกะโปรเจคที่ใหญ่ที่สุดของปีนี้ นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในปีนี้พฤกษาเตรียมเดินหน้าลุยตลาดพรีเมียมอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 6,800 ล้านบาท และเป้ารายได้ไว้ที่ 3,500 ล้านบาท และมีแผนเปิดโครงการใหม่ จำนวน 8 โครงการ มูลค่า 10,260 ล้านบาท ซึ่งปีนี้ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องครั้งใหญ่ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และมีปัจจัยความเสี่ยงของการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ บริษัทฯ จึงเน้นพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีจำนวนยูนิตไม่เยอะ ซึ่งจะให้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า โดยพัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบใหม่ให้มีความโดดเด่นเฉพาะตัวเพื่อสร้างความแตกต่างจากตลาดและคู่แข่ง ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าพฤกษาได้ประสบความสำเร็จในตลาดพรีเมียมเป็นอย่างสูง และในปีนี้ก็มั่นใจได้ว่าจะเป็นอีกปีที่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้เช่นกัน