Tag : News

2376 ผลลัพธ์
รายได้น้อยก็กู้ซื้อบ้านได้

รายได้น้อยก็กู้ซื้อบ้านได้

เมื่อพูดถึงเรื่องการกู้สินเชื่อบ้านหลายคนต้องมีคำถามตามมามากมาย และหนึ่งในคำถามที่หลายคนอยากรู้กันมากที่สุดคือ ต้องมีรายได้ขั้นต่ำเท่าไหร่จึงจะยื่นกู้ได้ แล้วถ้ามีรายได้ต่อเดือนน้อยจะสามารถมีบ้านเป็นของตัวเองได้ไหม คำตอบคือ “ได้” ซึ่งหากติดตามข่าวจะทราบว่าทั้งทางภาครัฐและเอกชนมีมาตรการสำหรับผู้มีรายได้น้อยออกมาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งก็มีเงื่อนไขแตกต่างกันไป ในบทความนี้เราจะยกตัวอย่างโครงการสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย รวมถึงวิธีคำนวณวงเงินกู้สินเชื่อบ้านดูอย่างคร่าวๆ ว่าเงินเดือนเท่านี้ จะสามารถยื่นกู้ได้แค่ไหน   โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ เป็นโครงการบ้านประชารัฐระยะที่ 2 โดยวางวงเงินสินเชื่อทั้งหมดเอาไว้ที่ 4,000 ล้านบาท จากธนาคารออมสินกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มีวิธีการพิจารณาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรกคือประชาชนที่มีรายชื่อขึ้นทะเบียนบัตรสวัสดิการรัฐเอาไว้แล้ว กลุ่มต่อมาคือประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาท/เดือน และกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มประชาชนทั่วไป โดยลักษณะของโครงการจะมีทั้งบ้านแฝด 18 ตร.ว. บ้านแถวชั้นเดียว 16 ตร.ว. และอาคารที่พักอาศัย 24 ตร.ม. ในราคาไม่เกินยูนิตละ 350,000-700,000 บาท ผ่อนชำระไม่เกิน 2,000 บาท/เดือน ซึ่งโครงการระยะที่ 2 นี้จะอยู่ในพื้นที่ของราชพัสดุ กรมธนารักษ์ ทั้งหมด  8 แปลง คือ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง 618 ยูนิต อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 584 ยูนิต อ.เมือง จ.เชียงราย 352 ยูนิต อ.เมือง จ.นครพนม 322 ยูนิต อ.เมือง จ.ขอนแก่น 292 ยูนิต อ.เมือง จ.อุดรธานี 264 ยูนิต อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 186 ยูนิต และอ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 139 ยูนิต ซึ่งในแต่ละพื้นที่โครงการจะถูกแบ่งเป็นที่พักอาศัย 70% กับพื้นที่เชิงพาณชิย์อีก 30% ทั้งหมดนี้กรรมสิทธิ์จะเป็นของผู้ได้รับสิทธิ์ระยะยาว 30 ปี   โครงการสินเชื่อบ้านสวัสดิการแห่งรัฐดำเนินการโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) โดยในปีนี้กำหนดวงเงินในสินเชื่อรายใหม่สูงถึง 1.89 แสนล้านบาท ซึ่งมีทั้งหมด 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นโครงการสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และประชาชนที่มีรายได้น้อยไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน สามารถยื่นกู้ได้นานที่สุดถึง 40 ปี ในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 2,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรก 2.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นโครงการสำหรับบุคลากรภาครัฐ ไม่จำกัดวงเงินสูงสุดต่อราย อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรก 3.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นโครงการสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประชาชนที่มีรายได้น้อยไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงาน/เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเป็นผู้ที่มีภูมิลำเลาอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือต้องการอาศัยอยู่ วงเงินกู้ 1,000,000-2,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปีแรก ทั้งนี้ถ้ากู้ไม่เกิน 1,000,000 บาท จะมีข้อกำหนดในรายได้ต่อเดือนประมาณ 12,000 บาท ผ่อนชำระไม่เกิน 4,200 บาท/เดือน ที่สำคัญผู้ที่ไม่มีงานทำสามารถยื่นเป็นผู้กู้ร่วมได้ และในกรณีที่มีหลักฐานด้านรายได้ไม่เพียงพอ ธอส. จะให้เปิดให้มีการเดินบัญชี 6-9 เดือน หากเป็นไปตามเงื่อนไขกำหนดแล้วจึงค่อยอนุมัติสินเชื่อให้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  ghbank.co.th นอกจากนี้ยังมีอีกหลายธนาคารที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีรายได้ไม่สูงมากนักก็สามารถกู้สินเชื่อบ้านได้ตามกฏที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละธนาคาร ที่สำคัญคือผู้กู้จะต้องมีความสามารถในการผ่อนชำระสูงสุดแต่ละเดือนต้องไม่เกิน 40% ของรายได้ ระยะเวลาผ่อนประมาณ 15-35 ปี  และไม่มีภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วย(ถ้ามีภาระผ่อนอย่างอยู่ด้วยก็จะถูกหักลบไปในความสามารถการผ่อนต่อเดือน 40%) ซึ่งสำหรับการกู้บ้านจะขอกู้ได้ไม่เกิน 85% ของราคาประเมิน อาคารพาณิชย์ขอกู้ได้ไม่เกิน 75% ของราคาประเมิน ส่วนคอนโดมิเนียมจะขึ้นอยู่กับแต่ละโครงการว่ามีการร่วมกับธนาคารไหนบ้างซึ่งบางโครงการสามารถยื่นกู้ได้ถึง 100% โดยเรามีวิธีคำนวณเงินกู้จากฐานเงินเดือนคร่าวๆ เช่น 15,00040% = 6,000 บาท/เดือน รายได้ต่อเดือน 15,000 บาท ผ่อน 40% ของรายได้ต่อเดือน เท่ากับต้องผ่อนเดือนละ 6,000 บาท วงเงินการกู้ซื้อบ้าน ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 15 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  640,000 - 730,000 บาท ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 20 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  740,000 - 870,000 บาท ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 25 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  810,000 - 970,000 บาท ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 30 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  850,000 - 1,000,000 บาท ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 35 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  880,000 - 1,100,000 บาท *ทั้งนี้แล้วแต่อัตราดอกเบี้ยและการพิจารณาของแต่ละธนาคารด้วย นั่นหมายความว่าแม้มีรายได้น้อยก็สามารถยื่นกู้ได้เพียงแต่วงเงินที่ทางธนาคารอนุมัติก็จะน้อยลงไปตามสัดส่วน และแต่ละโครงการที่อยู่อาศัย แต่ละโปรโมชั่นของธนาคารนั้นแตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นผู้สนใจยื่นกู้สินเชื่อบ้านควรจะรวบรวมข้อมูลจากหลายๆ แห่งมาเปรียบเทียบกัน โดยเฉพาะเรื่องดอกเบี้ยเพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด เกี่ยวกับเรื่องกู้ซื้อที่อยู่อาศัย วิธีเตรียมกู้ซื้อบ้าน สำหรับอาชีพอิสระ เคล็ด (ไม่) ลับ เลือกธนาคารกู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อบ้าน-คอนโด ให้ได้ 100% ทำยังไง  
คอนโดใหม่ ต้นปี 2018

คอนโดใหม่ ต้นปี 2018

จากการคาดการณ์ด้านเศรษฐกิจของปีนี้ที่หลายฝ่ายมองว่าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เหล่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้เริ่มมีการเปิดตัวโครงการกันตั้งแต่ต้นปี ไม่ว่าจะเป็นค่ายใหญ่ที่เตรียมเปิดกันหลายสิบโครงการ ไปจนถึงค่ายที่เป็นผู้เล่นจากต่างจังหวัดก็ยังเข้ามาลงสนามอันร้อนแรงในกรุงเทพฯ เชื่อว่าปีนี้จะเป็นอีกหนึ่งปีที่มีการเปิดตัวโครงการมากที่สุดต่อเนื่องจากเมื่อปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครที่กำลังมองหาคอนโดใหม่เพื่ออยู่อาศัย หรือเหล่านักลงทุน ปีนี้อย่ากระพริบตา รับรองว่าเหล่า Developer มีอะไรมาให้ติดตามกันมากมายตลอดปี เริ่มต้นจากคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ที่เปิดตัวกันไปแล้วในช่วงต้นปีนี้ มีตัวไหนเด็ดๆ บ้าง เรารวบรวมมาให้ดูกันค่ะ Muniq Langsuan จาก Major Development คอนโดมิเนียม High Rise 28 ชั้น 1 อาคาร 166 ยูนิต สถานที่ตั้งโครงการ : ถนนต้นสน จุดเด่น : เป็นโครงการแบบ Freehold ที่หายากในทำเลนี้, Automatic Parking 111% Unite Type :1 Bedroom : 50.00-57.00 ตร.ม. 1 Bedroom Plus : 64.00-78.00 ตร.ม. 2 Bedrooms : 83.00-113.00 ตร.ม. 2 Bedrooms Plus : 96.00-101.00 ตร.ม. 3 Bedrooms : 121.00-133.00 ตร.ม. 3 Bedrooms Plus : 176.00-179.00 ตร.ม. Penthouse (The Collection) : 71.00-254.00 ตร.ม. ราคา : เริ่มต้น 12.9 ล้านบาท เฉลี่ย 310,000 บาท/ตร.ม.   Cooper Siam จาก Koon Estate คอนโดมิเนียม High Rise 24 ชั้น 1 อาคาร 188 ยูนิต สถานที่ตั้งโครงการ : ถนนรองเมือง ซอยรองเมือง 5 Concept : Combo Loft จุดเด่น : ห้องเพดานสูง 4.6 เมตร ลิฟท์แยกโซน Unite Type : Single และ Double  41-71 ตร.ม. Sky Residence 1-2 ห้องนอน 30 – 67 ตร.ม. Penthouses และ Duplex 3 ห้องนอน 188 – 220 ตร.ม. ราคา : เริ่มต้น 4 ล้านบาท เฉลี่ย 138,000 บาท/ตร.ม. The Reserve Sukhumvit 61 จาก Pruksa คอนโดมิเนียม Low Rise 7 ชั้น 2 อาคาร 186 ยูนิต สถานที่ตั้งโครงการ : ซอยสุขุมวิท 61 Concept : Reserve Your Exclusivity จุดเด่น : อยู่ย่านใจกลางเมือง แต่ภายในซอยเงียบสงบ Unite Type : 30.75-138.80 ตร.ม. 1 Bedroom 2 Bedroom 3 Bedroom Duplex ราคา : เริ่มต้น 10 ล้านบาท เฉลี่ย 325,000 บาท/ตร.ม. One 9 Five Asoke-Rama9 จาก TC Development คอนโดมิเนียม High Rise 61 ชั้น 2 อาคาร 954-957 ยูนิต สถานที่ตั้งโครงการ : ริมถนนพระราม 9 จุดเด่น : เน้นการออกแบบที่ดีทั้งภายในและภายนอกอาคารที่หรูหราแต่ราคาจับต้องได้, พื้นที่ส่วนกลาง 8-9 ไร่ Unite Type : 1 Bedroom Junior Suite 25.5-27.5 ตร.ม. 1 Bedroom Deluxe 35-41 , 48-69.5 ตร.ม. 2 Bedroom Deluxe 55-67.5 ตร.ม. 3 Bedroom Exclusive 94-109.5 ตร.ม. Penthouse 194-271 ตร.ม. ราคา :  เริ่มต้น 2.89 ล้านบาท เฉลี่ย 114,000 บาท/ตร.ม. The Line Wongsawang จาก Sansiri คอนโดมิเนียม High Rise 36 ชั้น 1 อาคาร 1,287 ยูนิต สถานที่ตั้งโครงการ : ติดถนนกรุงเทพฯ-นนทบุรี ขาออก Concept : ก้อนเมฆ จุดเด่น : ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีวงศ์สว่าง 200 เมตร Unite Type : 1 Bedroom  28.00-40.75 ตร.ม. 2 Bedrooms  47.75-55.75 ตร.ม. ราคา : เริ่มต้น 1.99 ล้านบาท เฉลี่ย 95,000 บาท/ตร.ม. KnightsBridge Space Rama IX จาก Origin คอนโดมิเนียม High Rise 28 ชั้น 1 อาคาร 325 ยูนิต สถานที่ตั้งโครงการ : ริมถนนดินแดง ใกล้สี่แยกพระราม 9 จุดเด่น : เพดานห้องสูง 4.2 เมตร   IKON Sukhumvit77 จาก V Property คอนโดมิเนียม Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร 442 ยูนิต สถานที่ตั้งโครงการ : สุขุมวิท 77 (ซอยอ่อนนุช 10) Concept : Living Extraordinary จุดเด่น : เข้า-ออกได้หลายเส้นทาง เช่น สุขุมวิท 77-สุขุมวิท 81 Unite Type : Studio  23.23-26.01 ตร.ม. 1 Bedroom  27.45-31.56 ตร.ม. 1 Bedroom Plus  34.15-34.85 ตร.ม. 2 Bedrooms  43.27-47.05 ตร.ม. ราคา : เริ่มต้น 1.99 ล้านบาท เฉลี่ย 85,665 บาท/ตร.ม. Ciela sripatum จาก Grand Unity คอนโดมิเนียม High Rise 28 ชั้น 1 อาคาร 903 ยูนิต สถานที่ตั้งโครงการ : ริมถนนพหลโยธิน ตรงข้ามมหาวิทยาลัยศรีปทุม Concept : Simply Makes Sense จุดเด่น : เป็นคอนโดมิเนียมโครงการแรกที่ติดรถไฟฟ้าจากแกรนด์ ยูนิตี้, ราคาเปิดตัวไม่สูง Unite Type : 22.5-60 ตร.ม.    
แสนสิริปฎิวัติวงการอสังหาฯ รุกกลยุทธ์ Personalized CRM ครั้งแรกในไทย นำร่องเปิดตัว “Siri Priority” ดันไฮไลท์ RM ผู้ช่วยบริหารอสังหาฯแบบครบวงจร

แสนสิริปฎิวัติวงการอสังหาฯ รุกกลยุทธ์ Personalized CRM ครั้งแรกในไทย นำร่องเปิดตัว “Siri Priority” ดันไฮไลท์ RM ผู้ช่วยบริหารอสังหาฯแบบครบวงจร

แสนสิริ รุกปฎิวัติวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง เผยกลยุทธ์ Personalized CRM ตอบโจทย์ลูกค้าในระดับบุคคลครั้งแรกในไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำที่เติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตที่เหนือระดับแก่ลูกค้ามากว่า 35 ปี ยกระดับการดูแลลูกค้าไปอีกขั้นด้วยหลักแนวคิดผ่านมุมมองลูกค้า (Consumer centric) พร้อมเจาะลึกไปยังความต้องการในระดับบุคคล (Personalized) มากขึ้น นำร่องผ่านการเปิดตัว “Siri Priority” พลิกโฉมสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านการการอยู่อาศัยและการลงทุนอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรแห่งแรกของไทย มุ่งเจาะลูกค้ากลุ่มที่มีศักยภาพสูงภายใต้คอนเซ็ปต์ “สร้างสรรค์เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ให้สมบูรณ์แบบ” ชูไฮไลท์บริการสุดพิเศษจาก RM (Relationship Manager) ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาฯ พร้อมเตรียมต่อยอดกลยุทธ์ Personalized CRM ที่หลากหลายสอดรับความต้องการลูกค้าทุกกลุ่มผ่านแสนสิริ แฟมิลี่ รูปแบบใหม่และยกระดับสู่แพลตฟอร์ม “eCRM” เพื่อการบริการที่ครบครัน สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างไร้รอยต่อ     นายสมัชชา พรหมศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรและดิจิตอลมาร์เก็ตติง เผยว่า “ตลอดระยะเวลา 35 ปี แสนสิริไม่เคยหยุดนิ่งในการสร้างสรรค์โครงการและบริการใหม่ๆ ให้แก่วงการอสังหาฯไทย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะยกระดับประสบการณ์การใช้ชีวิตของลูกบ้าน ภายใต้แนวคิดที่ยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer-centric) ทำให้เราเข้าใจลึกซึ้งถึงทุกอินไซต์ของลูกค้า โดยในปัจจุบันเราเล็งเห็นว่าความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยมีความแตกต่างกันมากขึ้นและยังเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของกลยุทธ์ Personalized CRM ที่เพิ่มมิติด้านการบริการเจาะลึกไปยังความต้องการในระดับบุคคล ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯ ของแสนสิริที่ไม่เคยหยุดนิ่ง โดยนำร่องด้วย “Siri Priority” ที่มุ่งตอบโจทย์ทุกความต้องการ ทั้งการอยู่อาศัย และการลงทุน ด้วยไฮไลท์การบริการผู้ช่วยบริหารอสังหาริมทรัพย์ส่วนตัว หรือ RM (Relationship Manager) เป็นครั้งแรกในวงการอสังหาฯไทย เพื่อผลักดันแสนสิริสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร”     “Siri Priority” เป็นโปรแกรมเฉพาะสำหรับการดูแลลูกค้าที่มีศักยภาพสูง เพื่อการอยู่อาศัย และการลงทุนต่อยอดในอนาคต  รวมถึงลูกค้าที่ซื้อโครงการแฟลกชิพของแสนสิริ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สร้างสรรค์เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ให้สมบูรณ์แบบ” (Enrich your experience) ผนวกด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร (Property Investment Consultant) โดยลูกค้ากลุ่มนี้มีทั้งผู้ที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยรวมถึงเป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยที่มีบริการเจาะกลุ่มลูกค้านักลงทุนโดยเฉพาะ ซึ่งแสนสิริได้ออกแบบการบริการโดยคำนึงถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและลักษณะการลงทุนในอสังหาฯ หนึ่งในไฮไลท์การบริการของ Siri Priority คือ RM (Relationship Manager) ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ที่พร้อมทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวแนะนำและดูแลการบริหารอสังหาริมทรัพย์สำหรับลูกค้าเป็นรายบุคคล โดย RM พร้อมให้คำปรึกษาอย่างเจาะลึก เพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนให้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น ทั้งยังนำเสนอข้อมูลเชิงลึกในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอ้างอิงจากสถิติหรืองานวิจัยเกี่ยวกับอสังหาฯ เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนการลงทุน พร้อมอัพเดทข้อมูลที่น่าสนใจเพื่อให้ลูกค้าไม่พลาดการลงทุนที่น่าสนใจ นอกจากนี้ยังให้บริการเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ อีกด้วย     นายสมัชชา กล่าวว่า “ที่ผ่านมาเราเห็นแนวโน้มว่าลูกค้าเริ่มหันมาลงทุนในอสังหาฯมากขึ้น แสนสิริจึงได้ออกแบบ Siri Priority เพื่อดูแลลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ ส่วนใหญ่มักเป็นนักธุรกิจหรือประกอบกิจการส่วนตัว ลักษณะการดำเนินธุรกิจของพวกเขาอาจจะรัดตัวหรือมีการเดินทางไปเจรจาทางธุรกิจที่ต่างประเทศอยู่บ่อยๆ  แสนสิริจึงจัดสรรบริการสุดพิเศษจาก RM ครั้งแรกในไทย เปรียบเสมือนผู้ช่วยที่พร้อมให้บริการรอบด้าน พร้อมมอบการบริการแก่ลูกค้าแบบตรงจุดเฉพาะบุคคล เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าผ่านการบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟและความรู้ความเชี่ยวชาญที่ครบครัน  ครอบคลุมในแง่การอยู่อาศัยและการลงทุน ซึ่งจากการเปิดตัว Siri Priority แก่ลูกค้าไปเมื่อเดือนธันวาคม 2560 เราได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าในแง่ที่ว่า Siri Priority สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้รอบด้านไม่ว่าจะเป็นด้านความสะดวก รวดเร็ว สอดรับกับการดำเนินชีวิตในยุคดิจิทัล หรือในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารอสังหาฯ พร้อมมอบการลงทุนต่อยอดที่ตรงจุดยิ่งขึ้น”     นอกจาก Siri Priority แล้ว แสนสิริต่อยอดกลยุทธ์ Personalized CRM ที่หลากหลายเพื่อสอดรับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มผ่าน ”แสนสิริ แฟมิลี่” (Sansiri Family) สังคมอบอุ่นที่แสนสิริมอบให้ลูกค้าทุกคนมากว่า 35 ปีเพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกแง่มุมไม่ได้จำกัดแค่การอยู่อาศัย โดยในปีนี้แสนสิริมีปรับโฉมแสนสิริ แฟมิลี่เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ให้ลูกบ้านกว่า 70,000 ครัวเรือน ผ่าน 2 ทิศทางดังนี้ - รุกต่อยอดด้านดิจิทัลผ่านการเปิดตัว eCRM ครั้งแรก เป็นการยกระดับกลยุทธ์ Personalized CRM สู่แพลตฟอร์มดิจิทัลโดยผนวกรวมกับ Home Service Application ทำให้สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนรุ่นใหม่ที่ดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ซึ่ง eCRM จะรวบรวมสิทธิพิเศษและระบบบริหารจัดการที่อยู่อาศัยไว้อย่างครบวงจร สร้างความประทับใจตั้งแต่ Touch point แรกของลูกค้า รวมถึงมีการคัดสรรสิทธิพิเศษอื่นๆ บนพื้นฐานของความต้องการเฉพาะ (Personalized) ของลูกบ้านแต่ละท่าน เพื่อให้ลูกบ้านได้รับข้อมูล บริการ และสิทธิพิเศษที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด รวมถึงทำให้แสนสิริสามารถจัดเก็บ database หรือนำข้อเสนอแนะจากลูกบ้านมาพัฒนาต่อยอดฟังก์ชันใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย โดยพร้อมเปิดใช้งาน eCRM เต็มรูปแบบในเดือนมีนาคม 2561   รุกเติมเต็มในด้านไลฟ์สไตล์ โดยยึด 4 แกนสำคัญ ดังนี้   - Global connected/partnership – จากการมุ่งเสาะหาพันธมิตรชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ อาทิ Monocle, JustCo, The Standard ฯลฯ เพื่อมอบประสบการณ์ด้านไลฟ์สไตล์อย่างครบครันที่มากกว่าแค่การอยู่อาศัย ลูกค้าแสนสิริจะได้สัมผัสกิจกรรมพิเศษและได้สิทธิพิเศษที่น่าสนใจจากพันธมิตรเหล่านี้ เช่น สิทธิพิเศษสำหรับการจองห้อง Co-working space ที่ JustCo ทั้งในไทยและสิงคโปร์, ส่วนลดสำหรับการ Subscribe ข่าวสารและนิตยสาร Monocle ฯลฯ     - Differentiate from others – จากการศึกษาความต้องการและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกบ้าน แสนสิริมอบอภิสิทธ์เหนือระดับที่แตกต่างไม่เหมือนใครให้แก่ลูกค้า โดยนำร่องเปิดตัวไลฟ์สไตล์ ลิฟวิ่ง คอมมูนิตี้ (Lifestyle Living Community) บนแพลตฟอร์มดิจิทัล คือ Sansiri Urban Vibes ไลฟ์สไตล์คอมมิวนิตี้บน IG ซึ่งจะเป็นกูรูหรือบัทเลอร์ส่วนตัว ที่จะมาแนะนำอัพเดตสถานที่แฮงค์เอ้าท์และไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครในย่าน ทองหล่อ-เอกมัย พร้อมมอบประสบการณ์และสิทธิประโยชน์สำหรับลูกบ้านแสนสิริโดยเฉพาะ  ซึ่งในอนาคตมีแผนที่จะขยับขยายไปที่พื้นที่อื่นๆ โดยแต่ละพื้นที่จะมีการออกแบบกิจกรรมและคอนเท้นต์ที่สอดรับกับความต้องการของลูกบ้านในบริเวณนั้น   - Beyond expectation –มอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายให้แก่ลูกบ้านแสนสิริในทุกๆ เดือน กับกิจกรรมและของสมนาคุณพิเศษจากพันธมิตรของแสนสิริซึ่งเป็นแบรนด์แนวหน้าในแขนงต่างๆ โดยผ่านทางช่องทางใหม่ โดยเฉพาะ Home Service Application โดยลูกบ้านสามารถเลือกความสนใจได้จากหมวดหมู่มากมาย เพื่อความต้องการที่ตรงจุดมากขึ้น   - Access the Inaccessible – เติมเต็มทุกมิติในการใช้ชีวิตของลูกบ้านผ่านประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เช่น การจัด lifestyle event ที่หยิบยกเอาเทรนด์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจทั่วโลกมาจัดเป็นอีเวนท์พิเศษสำหรับลูกบ้านแสนสิริทุกคนทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด เพราะแสนสิริให้ความสำคัญกับลูกบ้านทุกท่านไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน     “เป้าหมายของแสนสิริไม่ใช่เพียงแค่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่เรามุ่งเติมเต็มทุกประสบการณ์ในการใช้ชีวิตของทุกคน ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าลูกบ้านมีความต้องการที่เฉพาะตัวและหลากหลายมากขึ้น ดังนั้นการพัฒนาโครงการหรือการบริการจึงไม่สามารถทำแบบ One Size Fits All ได้อีกต่อไป กลยุทธ์ Personalized CRM ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของแสนสิริที่ทำให้เรามอบบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ตรงจุดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนผ่าน Siri Priority และกลุ่มลูกค้าอื่นๆ ผ่าน Sansiri Family ซึ่งในอนาคตจะมีการต่อยอดให้สอดรับความต้องการของลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้งและมุ่งเน้นบนแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์และสร้างสรรค์ประสบการณ์การใช้ชีวิตของลูกบ้านเราทุกคนได้อย่างรอบด้าน” นายสมัชชา กล่าวปิดท้าย
SC ประกาศโรดแมป 3 ปี “SC RE-INVENTION 2020” ก้าวสู่การเป็น LIVING SOLUTIONS PROVIDER มั่นใจกวาดยอดขายรวมสามปี มากกว่า 60,000 ลบ. และรุกเปิด 19 โครงการใหม่ 19,000 ลบ. ในปี 2018

SC ประกาศโรดแมป 3 ปี “SC RE-INVENTION 2020” ก้าวสู่การเป็น LIVING SOLUTIONS PROVIDER มั่นใจกวาดยอดขายรวมสามปี มากกว่า 60,000 ลบ. และรุกเปิด 19 โครงการใหม่ 19,000 ลบ. ในปี 2018

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศวิชั่นและโรดแมปการเติบโตสามปีของ SC ว่า “ทุกองค์กรในโลกนี้กำลังถูกท้าทายอย่างรุนแรงเพราะ landscape ของโลกธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไป วิธีคิดแบบเดิมเริ่มใช้ไม่ได้ในบริบทใหม่ digital technology มีบทบาทอย่างมหาศาลในการสร้างความท้าทายครั้งนี้ทำให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตอย่างรวดเร็ว ภาพ landscape ใหม่ที่เกิดขึ้น คือ อุตสาหกรรมต่างๆ เชื่อมต่อกันกลายเป็น ecosystem ที่มีสมาชิกหลากหลาย และหลาย ecosystem ก็เชื่อมต่อกันเอง เกิดโมเดลธุรกิจใหม่นอกเหนือไปจาก products และ services นั่นคือ platforms และ solutions เกิดการร่วมงานของกลุ่ม 3 กลุ่มเพื่อตอบสนองความต้องการ  ของมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น กลุ่ม  1  incumbents หรือ stakeholders เดิมในอุตสาหกรรมเดิม กลุ่ม  2 tech entrepreneurs ทำงานเร็วและเกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะอย่างของมนุษย์ กลุ่ม  3  digital giants บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ มีแนวโน้มที่จะขยายขนาดและขอบเขตการทำธุรกิจครอบคลุมไปทุกอุตสาหกรรม tech entrepreneurs และ digital giants มีบทบาทสำคัญของการเชื่อมต่ออุตสาหกรรมต่างๆ เข้าด้วยกัน องค์กรในกลุ่ม 1 จะอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน ต้องพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ ร่วมทำงานกับกลุ่ม 2 และกลุ่ม 3 เพื่อให้ก้าวทันพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของมนุษย์หรือผู้บริโภค ”   เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน SC จึงประกาศโรดแมปสามปี SC RE-INVENTION 2020 ตั้งเป้าหมายยอดขาย 24,000 ล้านบาท รายได้ 22,000 ล้านบาทในปี 2020 และยอดขายรวมสามปี 2018-2020 มากกว่า 60,000 ล้านบาท ปรับวิธีคิดจากการเป็น Developer ก้าวสู่การเป็น Living Solutions Provider ทำงานร่วมกับ partners หลากหลายใน ecosystem เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้นบน landscape ใหม่นี้ โดยจะเติบโตด้วยกลยุทธ์ 4 ข้อคือ 1. RE-INVENTION จาก DEVELOPER สู่ LIVING SOLUTIONS PROVIDER ผ่าน 3D - D1  DIGITIZE ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานจาก analog เป็น digital เพื่อจะได้นำ data ทั้งในส่วนการทำงานและความต้องการของลูกค้า (insights) มาวิเคราะห์และพัฒนาให้ดีขึ้น - D2 DESIGN ใช้หลัก human-centric ออกแบบสินค้า บริการ และโซลูชั่น (solutions) โดยเริ่มต้นที่ทำความเข้าใจปัญหา หรือ pain points ในการใช้ชีวิตของลูกค้า - D3  DEVELOP ประสานนวัตกรรม และพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพในทุกระดับราคา 2. CO-CREATION ด้วยการที่ SC ร่วมกับพันธมิตรในระบบ ecosystem ส่งมอบ living solutions (การพัฒนาที่อยู่อาศัยและบริการหลังการขาย โดย SC และสิ่งอื่นๆ โดยพันธมิตร) ให้ลูกค้าและชุมชนข้างเคียง เราเรียก living solutions platform ของเราว่า Rue Jai 3. QUALITY FIRST คุณภาพสินค้าและบริการเป็นเรื่องสำคัญเหนือสิ่งใด แบ่งเป็นสองส่วนคือ pre-transfer และ after-transfer 4. TOP-LINE GROWTH เติบโตในส่วน top-line ทั้งยอดขายและรายได้อสังหาฯ เพื่อขายทำหน้าที่หลักขับเคลื่อนการเติบโต ในขณะที่อสังหาฯ เพื่อเช่าทำหน้าที่เป็น secured income ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่อาคารสำนักงานเพื่อเช่ารวม 110,000 ตรม. มีสัดส่วนของกำไรสุทธิสูงถึง 1 ใน 4 อสังหาฯ เพื่อขายแบ่งออกเป็น แนวราบและแนวสูง แนวราบ โดยรักษาฐานผู้นำตลาดบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 8 ล้านบาท และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของบ้านเดี่ยวราคาต่ำกว่า 8 ล้านบาท  กับทาวน์โฮม 2-3 ล้านบาท ในปีนี้ SC จะขยายพื้นที่การพัฒนาโครงการไปจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเล็งเห็นโอกาสของการเติบโตของเมืองจากเมกะโปรเจค EEC ในปี 2020 สัดส่วนมูลค่ายอดขายแนวราบ กรุงเทพและต่างจังหวัดของ SC จะอยู่ที่ 90:10 แนวสูง  SC และ SCOPE บริษัทร่วมทุนที่ SC ถือหุ้นอยู่ 90% ภายใต้การนำของ CEO คุณยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ เตรียมพัฒนาโครงการใหม่แนวสูงในสามปีนี้รวมกว่า 10 โครงการ โดยสัดส่วนหลักของรายได้แนวสูงในสามปีนี้ จะมาจากการโอนของ 3 โครงการ super luxury คือ  SALADAENG ONE, BEATNIQ, และ 28 CHIDLOM” “ SC ตั้งเป้าหมายยอดขายและรายได้ปี 2018 ที่ 17,000 ล้านบาท ยอดขายเติบโตประมาณ 11% และ    เตรียมเปิด 19 โครงการใหม่ มูลค่า 19,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 17 โครงการ มูลค่า15,000 ล้านบาท และ แนวสูง 2 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท พร้อมกับเตรียมงบสำหรับซื้อที่ดินในปีนี้ 10,000 ล้านบาท” “ hi-light ของโครงการใหม่ในปีนี้ สำหรับแนวราบคือ township concept development จำนวน 2 โครงการ 2 ทำเล บนที่ดินผืนใหญ่ทำเลกรุงเทพตะวันออก บริเวณกรุงเทพกรีฑากว่า 115 ไร่ และกรุงเทพตะวันตก บางกระดี จ.ปทุมธานีกว่า 200 ไร่ ซึ่งจะเปิดขายครึ่งปีหลังของปี 2018 และนอกจากนี้  50% ของโครงการใหม่ปีนี้จะเป็นแบรนด์ PAVE และ VERVE ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมระดับราคา 2-5 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของส่วนแบ่งตลาดแนวราบกลุ่มนี้ในช่วงปี 2018-2020 สำหรับแนวสูงคือ โครงการ CENTRIC รัชโยธิน ทำเลใกล้ BTS สถานีรัชโยธินเพียง 150 เมตร เป็นอาคารสูง 21 ชั้น เริ่มต้น 3.7 ล้านบาท เปิดพรีเซลส์มีนาคม 2018 นี้ มูลค่า 1,500 ล้านบาท กับ โครงการ  THE CREST สุขุมวิท 23 มูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาท จะเปิดขายประมาณไตรมาสสี่ของปี ” นายณัฐพงศ์ กล่าวสรุปว่า “ ในปี 2017 ที่ผ่านมา SC ทำยอดขายสร้างสถิติใหม่ทั้งยอดขายรวม 15,278 ล้านบาท และยอดขายแนวราบ 10,547 ล้านบาท ครอง market share อันดับ 1 บ้านเดี่ยว ราคามากกว่า 15 ล้านบาท และอันดับ 2 บ้านเดี่ยวรวมทุกระดับราคา ในขณะที่ยอดขายจากการบอกต่อ  สัดส่วนอยู่ที่ 18% แสดงถึงความมั่นใจที่ลูกค้ามีต่อเรา รวมถึงคุณภาพของที่อยู่อาศัยและบริการ ในปี 2018 บริบทได้เปลี่ยนแปลงไป เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน SC จะไม่ยึดติดกับวิธีการเดิม เราพร้อม re-invent ตัวเองและทำงานร่วมกับพันธมิตรใน ecosystem เพื่อส่งมอบ living solutions ที่มีคุณภาพสูงสู่ลูกค้าของเรา ”
สมาคมสถาปนิกสยามฯ จัดงานสถาปนิก ’61 ภายใต้แนวคิด “Beyond Ordinary : ไม่ธรรมดา” งานสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมและงานออกแบบพื้นถิ่น

สมาคมสถาปนิกสยามฯ จัดงานสถาปนิก ’61 ภายใต้แนวคิด “Beyond Ordinary : ไม่ธรรมดา” งานสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมและงานออกแบบพื้นถิ่น

นายอัชชพล ดุสิตนานนท์ (ที่ 2 ขวามือ) นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ผศ.ดร.อภิรดี เกษมศุข (ที่ 3 ขวามือ) ประธานจัดงานสถาปนิก ’61  และนายศุภแมน มรรคา (ที่ 3 ซ้ายมือ) รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้จัดงาน ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานสถาปนิก ’61 (Architect Expo 2018) ภายใต้แนวคิด “Beyond Ordinary : ไม่ธรรมดา” ชูแนวคิดการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นในวิถีชีวิตร่วมสมัยของสังคมไทย งานนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 1-6 พฤษภาคม 2561 เวลา 10.00 – 20.00 น. ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยงานแถลงข่าวจัดขึ้น ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (หอศิลป์กรุงเทพฯ) เมื่อเร็วๆ นี้
เอพีเผยแผนธุรกิจปี 61 ขับเคลื่อนด้วย 5 กลยุทธ์หลัก มุ่งใช้นวัตกรรมนำสู่ความสำเร็จ เดินหน้าเตรียมเปิด 34 โครงการใหม่

เอพีเผยแผนธุรกิจปี 61 ขับเคลื่อนด้วย 5 กลยุทธ์หลัก มุ่งใช้นวัตกรรมนำสู่ความสำเร็จ เดินหน้าเตรียมเปิด 34 โครงการใหม่

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ของประเทศไทย แสดงวิสัยทัศน์ “เชื่อมั่นตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง” โดยเอพีพร้อมเดินหน้ารับเทรนด์ตลาด ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 33,500 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้รวมปี 2561 ไว้ที่ 28,100 ล้านบาท ด้วยการรุกตลาดเปิดตัวโครงการใหม่ 34 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 49,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 19,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 30 โครงการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท ผ่าน 5 กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ 1) สานต่อความสำเร็จกับกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท 2) เปิดตัวสินค้าระดับ Super Luxury 3) รุกตลาดสินค้าแนวราบ สร้างความต่างด้วยการออกแบบสินค้าที่ตอบความต้องการเฉพาะกลุ่ม 4) ขยายพอร์ตตลาดต่างประเทศ 5) พัฒนานวัตกรรมดิจิตอลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี หลังปีที่ผ่านมา (2560) กวาดยอดขายรวมได้กว่า 42,900 ล้านบาท เกินจากเป้าหมายยอดขายเดิมที่ตั้งไว้ในปี 2560 คือ 26,000 ล้านบาท หรือโตขึ้นถึง 92% หากเทียบกับยอดขายปี 2559 ที่ทำได้ 22,365 ล้านบาท นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับทิศการดำเนินงานในปี 2561 บริษัทฯ ยังคงมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ในการนำพาเอพีก้าวขึ้นสู่การเป็น 1 ใน 3 ของผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ภายใต้พันธกิจสำคัญ คือ การส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีในการอยู่อาศัย ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการคิดค้นนวัตกรรมดีไซน์ใหม่ๆ ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย และวางแผนจัดตั้งหน่วยงานพิเศษ เพื่อทำหน้าที่ค้นหา คิดค้น และพัฒนานวัตกรรมที่ส่งเสริม และยกระดับ รูปแบบการดำเนินชีวิตสู่ประสบการณ์อยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์สู่วิถีใหม่ๆ อย่างครบถ้วนด้วยคุณภาพ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย เข้าถึงความหมายของคำว่าคุณภาพชีวิตที่ลูกค้าต้องการอย่างแท้จริง และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 34 โครงการมูลค่า 49,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 19,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 30 โครงการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 33,500 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายรายได้รวมปี 2561 ไว้ที่ 28,100 ล้านบาท ผ่านแผนการดำเนินงานใน 5 มิติสู่ความสำเร็จ 1) สานต่อความสำเร็จกับกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท 2) เปิดตัวสินค้าระดับ Super Luxury 3) รุกตลาดสินค้าแนวราบ สร้างความต่างด้วยการออกแบบสินค้าที่ตอบความต้องการเฉพาะกลุ่ม 4) ขยายพอร์ตตลาดต่างประเทศ 5) พัฒนานวัตกรรมดิจิตอลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานบมจ. เอพี (ไทยแลนด์) ในปี 2561 ประกอบด้วย สานต่อความสำเร็จกับกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท เดินหน้าสานต่อความร่วมมือเป็นปีที่ 5 กับทางมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป โดยปีนี้มีแผนที่จะพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับกลางบนอย่างต่อเนื่อง โดยได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมใหม่ไปแล้วจำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 23,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงเดือนมีนาคม บริษัทฯ จะพร้อมเปิดขายคอนโดร่วมทุนโครงการแรก คือ LIFE สุขุมวิท 62 โดย ณ ปัจจุบัน เอพี-มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป มีคอนโดมิเนียมที่พัฒนาร่วมกันทั้งสิ้น 15 โครงการ มูลค่าโครงการสูงถึง 73,000 ล้านบาท เปิดตัวสินค้าระดับ Super Luxury ด้วยแบรนด์ที่ครองใจผู้บริโภค ไฮไลต์ของปีนี้คือ การนำแบรนด์ระดับ Super Luxury ของเอพีที่ประสบความสำเร็จอย่างมากและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค อย่างแบรนด์คอนโด THE ADDRESS และคฤหาสน์หรูแบรนด์ THE PALAZZO กลับมาพัฒนาอีกครั้ง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าระดับบน ที่มองหาที่อยู่อาศัยพรีเมี่ยมในทำเลศักยภาพ ซึ่งคาดว่าจะพร้อมเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง รุกตลาดสินค้าแนวราบ สร้างความต่างด้วยการออกแบบสินค้าที่ตอบความต้องการเฉพาะกลุ่ม (MASS CUSTOMIZED DESIGN) ในปีนี้ทีม AP Design Lab ไม่หยุดนิ่งที่จะสร้างความแตกต่าง ทั้งด้านการดีไซน์ และฟังก์ชั่นการใช้งานภายในตัวบ้าน เพื่อตอบความต้องการที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันเอพีได้พัฒนาแบบบ้านมากกว่า 70 แบบ กระจายอยู่ตามโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ในทำเลต่างๆ และในปี 2561 นี้เอพีพร้อมเปิดตัวแบบบ้านใหม่อีกจำนวนมาก ผ่านแผนการเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ จำนวน 30 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยเป็น ทาวน์โฮม 17 โครงการ มูลค่า 15,300 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว 13 โครงการ มูลค่า 14,700 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมเครือเอพี ต้องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวคนเมือง (THE ULTIMATE CHOICE FOR URBAN FAMILY) บริหารพอร์ตตลาดต่างประเทศ ผ่านการมอบหมายให้บริษัทในเครือเอพี บางกอก ซิตี้สมาร์ท จำกัด (BC) ซึ่งดำเนินธุรกิจตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์คลอบคลุมบริการรับฝากขาย ฝากเช่า เข้ามาบริหารจัดการดูแลการขายคอนโดมิเนียมเอพีในตลาดต่างประเทศอย่างเป็นทางการ หลังจากปีที่ผ่านมา BC มีผลการดำเนินงานที่ก้าวกระโดด ถือเป็นโบรเกอร์อันดับต้นๆ มียอดขายมูลค่าอสังหาริมทรัพย์สูงถึง 10,000 ล้านบาท พัฒนานวัตกรรมดิจิตอลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในการอยู่อาศัย ผ่านการผสานเทคโนโลยีเข้ากับกระบวนการออกแบบพื้นที่ใช้สอย ซึ่งปีที่ผ่านมาเอพีได้ร่วมกับพันธมิตรในการนำเสนอ นวัตกรรมต่างๆ ที่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัย เช่น ล็อกเกอร์อัจฉริยะ AP Smart Pod ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมการซื้อของออนไลน์ในยุคปัจจุบัน ซึ่งลูกบ้านในคอนโดมิเนียมสามารถรับของได้ตลอด 24 ช.ม.ด้วยตนเอง รวมถึงการนำเทคโนโลยี IoT มาเชื่อมต่อในทุกพื้นที่อยู่อาศัย เป็นต้น โดยในปี 2561 นี้ เอพีมีแผนจัดตั้งหน่วยงานพิเศษ เพื่อทำหน้าที่ค้นหา คิดค้น และพัฒนานวัตกรรมที่ส่งเสริมและยกระดับรูปแบบการดำเนินชีวิตสู่ประสบการณ์อยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์ไปสู่วิถีใหม่ๆ ครบถ้วนด้วยคุณภาพ ความสะดวกสบาย และปลอดภัยเข้าถึงความหมายของคำว่าคุณภาพชีวิตที่ลูกค้าต้องการอย่างแท้จริงและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น “ด้วยความพร้อมด้านทีมงานคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ และพันธมิตรคุณภาพภายใต้ passion เดียวกันที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมที่อยู่อาศัยคุณภาพ ผมเชื่อว่า เอพี ไทยแลนด์จะสามารถสร้างความแตกต่างและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และยังคงเป็น 1 ใน 3 ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยจะนำเสนอ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยแห่งอนาคต ผ่านการคิดค้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เท่าทันต่อโลกในอนาคต เพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียมไทยให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ" คุณอนุพงษ์กล่าวสรุป ทั้งนี้ สรุปสำหรับแผนการพัฒนาโครงการในปี 2561 นี้บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนทั้งสิ้น 34 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 49,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 19,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 30 โครงการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท  โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 33,500 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายรายได้รวมปี 2561 ไว้ที่ 28,100 ล้านบาท  โดยในครึ่งปีแรกบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่า 14,900 ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบ 10 โครงการ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 2 โครงการ และทาวน์โฮม 8 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 9,900 ล้านบาท  และ 2 คอนโดมิเนียมใหม่ คือ Aspire สาทร-ราชพฤกษ์ คอนโดมิเนียม สูง 32 ชั้น จำนวน 1,049 ยูนิต มูลค่า 3,000 ล้านบาท โดดเด่นด้วย 1 ก้าวจากสถานีบางหว้า สถานีเชื่อมต่อขนาดใหญ่ระหว่าง BTS และ MRT ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท พร้อมเปิดขายในวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์นี้ และ LIFE สุขุมวิท 62 คอนโดมิเนียมร่วมทุน สูง 24 ชั้น จำนวน 438 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เพียง 200 เมตรจาก BTS บางจาก ซึ่งเตรียมเปิดขายผ่านระบบออนไลน์ บุคกิ้งในวันที่ 27 มีนาคมนี้ ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา (2560) บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างมากสามารถสร้างยอดขายรวมของสินค้าทั้งกลุ่มคอนโด และแนวราบได้มากถึง 42,900 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ เกินจากเป้าหมายยอดขายเดิมที่ตั้งไว้ในปี 2560 คือ 26,000 ล้านบาท หรือโตขึ้นถึง 92% หากเทียบกับยอดขายปี 2559 ที่ทำได้ 22,365 ล้านบาท โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีนี้นั้น นอกจากจะมาจากการเปิดตัวสินค้าแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม 22 โครงการใหม่ ซึ่งมีอัตราการเติบโตทางยอดขายอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังมาจากการประสบความสำเร็จในการเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ LIFE ลาดพร้าว LIFE วิทยุ และ LIFE อโศก-พระราม 9  ซึ่งทั้ง 3 โครงการสามารถปิดการขายได้ประมาณ 90% ตลอดจนสินค้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Ongoing Projects) อีกกว่า 90 โครงการ ที่มีส่วนสำคัญช่วยผลักดันสู่ความสำเร็จครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้
อัลลอย เอ็มทีดี เตรียมเปิดตัว “เซาธ์ ทาวเวอร์ แอท วัน คราวน์ เพลส” เรสซิเด้นซ์สุดหรูใจกลางลอนดอน โฟกัสนักลงทุนไทย ชูจุดขายทำเลมหานครระดับโลก

อัลลอย เอ็มทีดี เตรียมเปิดตัว “เซาธ์ ทาวเวอร์ แอท วัน คราวน์ เพลส” เรสซิเด้นซ์สุดหรูใจกลางลอนดอน โฟกัสนักลงทุนไทย ชูจุดขายทำเลมหานครระดับโลก

กลุ่มบริษัทอัลลอย เอ็มทีดี (AlloyMtd) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก จากประเทศมาเลเซีย เตรียมเปิดขาย “เซาธ์ ทาวเวอร์ แอท วัน คราวน์ เพลส” (The South Tower at One Crown Place) เรสซิเด้นซ์สุดหรู ภายในโครงการมิกซ์ยูส “วัน คราวน์ เพลส” ใจกลางลอนดอน เจาะตลาดพร้อมเปิดโอกาสนักลงทุนไทยเป็นแห่งแรกในเอเชีย เปิดขายรอบพิเศษ 10 – 11 มีนาคมนี้ ณ โรงแรมอนันตราสยาม กรุงเทพฯ ผู้สนใจลงทะเบียนและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ CBRE ประเทศไทย  “วัน คราวน์ เพลส” โครงการมิกซ์ยูสสุดหรู ตั้งอยู่บน “ซันสตรีท” (Sun Street) เขตอนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ของ  กรุงลอนดอน ประกอบด้วย อพาร์ตเมนต์ที่อยู่อาศัย 246 ยูนิต, โรงแรมบูติคระดับ 5 ดาว, พื้นที่อาคารสำนักงานระดับพรีเมี่ยมขนาด 130,900 ตารางเมตร (140,000 ตารางฟุต), พื้นที่ร้านค้า 650 ตารางเมตร (7,000 ตารางฟุต) และระเบียงจอร์เจีย (Georgian Terrace) อันเก่าแก่ที่ได้รับการบูรณะมาอย่างต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของตัวโครงการฯ โดยมีราคาราคาเริ่มต้นที่ 39,500,000 บาท หรือ 888,000 ปอนด์ สำหรับห้องชุดประเภท 1 ห้องนอน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเข้าอยู่ได้ภายในปี 2563 ที คิม เซียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทอัลลอย เอ็มทีดี เปิดเผยว่า “การเปิดตัวของเซาธ์ ทาวเวอร์ แอท วัน คราวน์ เพลส เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับเรา และแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของสุดยอดโครงการที่เป็นแลนด์มาร์คแห่งนี้ โครงการนี้นับเป็นมิกซ์ยูสอย่างแท้จริง ซึ่งได้นำเสนอมาตรฐานสูงสุดทั้งด้านที่อยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์ ด้วยการออกแบบของนักออกแบบชั้นนำชาวอังกฤษ ที่สร้างสรรค์ให้เป็นศูนย์กลางการทำงานแห่งยุคสมัย และแหล่งเติมเต็มชีวิตในทุกๆ วัน บนทำเลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของมหานครลอนดอน โดยคนไทยจะเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนกลุ่มแรกๆ ที่ได้มีโอกาสจับจองโครงการที่โดดเด่นที่สุดแห่งนี้” โครงการ “วัน คราวน์ เพลส” ออกแบบโดย Kohn Pedersen Fox Associates (KPF) บริษัทออกแบบเจ้าของรางวัลชนะเลิศด้านสถาปัตยกรรมระดับนานาชาติ ประกอบด้วย อาคารสูงตระหง่าน 2 อาคาร มีชั้นสูงสุดอยู่ที่ชั้นที่ 33 ทั้งสองอาคาร โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ของ “ระเบียงจอร์เจีย” ที่สวยงาม ซึ่งเป็นที่สุดท้ายในละแวกนี้ที่ได้รับการบูรณะให้ยังคงความสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรมดั้งเดิม ซึ่งจะกลายเป็นคลับเฮาส์ของผู้อยู่อาศัยและโรงแรมบูติคระดับ 5 ดาว มิกซ์ยูสระดับซูเปอร์ไฮเอนด์แห่งนี้ ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับเวิลด์คลาสสำหรับผู้อยู่อาศัย ภายใต้การดูแลความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ให้ความรู้สึกของแหล่งชุมชนที่มีสีสันและในขณะเดียวกันก็ยังคงความเป็นส่วนตัว โดยสิ่งอำนวยความสะดวก ประกอบด้วย ห้องออกกำลังกายที่ทันสมัย, ห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัว, เลาจน์, โรงหนังขนาดเล็ก, ห้องทรีทเมนต์, สตูดิโอ และระเบียงชมวิวกว้างขวาง นอกจากนั้น แต่ละห้องชุดยังเต็มไปด้วยพื้นที่รับแสงธรรมชาติ (Light-Filled Space) ที่อบอุ่นและมีเสน่ห์อีกด้วย ทั้งนี้ พื้นที่ส่วนกลางและภายในอพาร์ตเมนต์ของ “วัน  คราวน์ เพลส” ได้รับการออกแบบโดยบริษัทตกแต่งภายในที่มีชื่อเสียงอย่าง Bowler James Brindley ในขณะที่เพนเฮ้าส์ 9 หลัง ถูกออกแบบโดย Sophie Ashby แห่ง Studio Ashby “วัน คราวน์ เพลส” ตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยชื่อดังและใกล้ย่านบริษัทชั้นนำของลอนดอนหลายแห่ง นอกจากนั้น ยังอยู่ในทำเลที่ตั้งของการคมนาคมท้องถิ่นหลายเส้นทาง รวมถึงเส้นทางใหม่ Elizabeth Line Rail (Crossrail) ที่จะเปิดให้บริการในปีนี้ ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินฮีทโทรว (Heathrow Airport) เพียง 33 นาที และสามารถเดินทางไปยังแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำของโลก อาทิ Bond Street, Broadgate Circle, Old Silicon Roundabout, Spitalfields Market และ Shoreditch ศูนย์กลางการสร้างสรรชื่อดัง เพียง 7 นาทีเท่านั้น   เฮนรี่ โรบินสัน กรรมการบริหารและพัฒนาโครงการ วัน คราวน์ เพลส กล่าวว่า “ลอนดอนคือเมืองระดับโลกที่เป็นที่ต้องการระดับนานาชาติอย่างแท้จริง เรามั่นใจว่า โครงการระดับเวิลด์คลาสแห่งนี้ จะดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั้งในสหราชอาณาจักรและจากทั่วโลกได้เป็นอย่างดี” ทั้งนี้ กฎหมายของสหราชอาณาจักรทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้ง่าย การถือครองกรรมสิทธิ์แบบเช่าซื้อ (Leasehold) ที่มีระยะเวลายาวนานถึง 999 ปี ซึ่งทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักรไม่เพียงแต่ดึงดูดผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย แต่ยังดึงดูดผู้ซื้อจากทั่วโลกที่เน้นการลงทุนอีกด้วย ดังนั้น นักลงทุนไทยจะมีโอกาสได้รับผลกำไรจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในลอนดอน โดยเฉพาะผู้ที่ส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งจากผลสำรวจที่ผ่านมา นักเรียนไทยเป็นนักเรียนชาวต่างชาติที่เข้ามาศึกษาในสหราชอาณาจักรมากเป็นอันดับที่ 7 จากทั่วโลก และมักใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 4 หรือ 5 ปี ซึ่งกลายเป็นแรงจูงใจในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งคุ้มค่ากว่าการเช่าห้องพัก นอกจากนี้ หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นจะยังสามารถได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตอย่างยั่งยืนของเงินทุนระยะยาวในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอน ผลจากการศึกษาและวิจัยตลาด แสดงให้เห็นว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามูลค่าของห้องชุดที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทำเลที่ตั้งที่สำคัญ เช่น ศูนย์กลางของกรุงลอนดอน ส่งผลให้มีการเติบโตของเงินทุนที่แข็งแกร่งซึ่งคาดว่า จะเพิ่มขึ้นถึง 16.7% ภายในปี 2564 ตามตัวเลขการวิจัยของ CBRE  ซึ่งนับเป็นผลตอบแทนที่สูงกว่าสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ทองคำ น้ำมัน และตลาดหุ้น นักลงทุนไทยและนักลงทุนรายอื่นๆ จากทั่วโลกมีความสนใจที่จะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอน เนื่องจาก สหราชอาณาจักรเป็นที่พำนักที่ปลอดภัยด้วยระบบกฎหมายที่โปร่งใส มีเขตเวลาที่เหมาะสำหรับการติดต่อสื่อสารและการพาณิชย์ระหว่างประเทศ, อุปทานของที่อยู่อาศัยยังไม่เพียงพอกับความต้องการ ทำให้ตลาดมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง, ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอันยาวนานของกรุงลอนดอน และการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล โดยเมื่อเร็วๆ นี้จำนวนนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียมีอัตราส่วนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินปอนด์
“สิงห์ คอมเพล็กซ์” พร้อมเปิดกลางปีนี้ จัดพิธีเทคอนกรีตปิดงานโครงสร้างอาคารภายนอก

“สิงห์ คอมเพล็กซ์” พร้อมเปิดกลางปีนี้ จัดพิธีเทคอนกรีตปิดงานโครงสร้างอาคารภายนอก

   สิงห์ คอมเพล็กซ์ (SINGHA COMPLEX) โครงการมิกซ์-ยูส ระดับพรีเมียมจากทาง บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) อัพเดทความคืบหน้าโครงการที่เตรียมเปิดให้คนเมืองได้สัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบกลางปีนี้ ล่าสุดจัดทำพิธีเทคอนกรีตปิดงานโครงสร้างอาคารภายนอกบนดาดฟ้าชั้น 42 อาคาร ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความคืบหน้าการพัฒนาโครงการมิกซ์-ยูส สิงห์ คอมเพล็กซ์ บนหัวมุมถนนอโศกเพชรบุรี ว่า “ปัจจุบันงานก่อสร้างตัวอาคารในโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ มีความคืบหน้าไปอย่างมาก โดยล่าสุดได้มีการจัดทำพิธีเทคอนกรีตปิดงานก่อสร้างโครงสร้างอาคารภายนอกของอาคารสำนักงาน ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ บนชั้น 42  เพื่อแสดงถึงความพร้อมของโครงการที่มีกำหนดเปิดใช้อาคารในช่วงกลางปี 2561 นี้    อาคารสำนักงาน ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด Stylish living is crafted and redefined ที่เน้นความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนเพื่อไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน ทั้งด้านการใช้ชีวิต การทำงาน การพักอาศัย และคำนึงถึงคุณภาพชีวิตภาพรวม โดยเป็นอาคารประหยัดพลังงานภายใต้กรีนคอนเซ็ปต์ (Green concept) ตามหลักมาตรฐานอาคารประหยัดพลังงานสากล LEED Gold เราให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เริ่มการออกแบบ ลงลึกในทุกขั้นตอนการก่อสร้าง ซึ่งเมื่อเปิดให้บริการจะถือเป็นอาคารสำนักงานเกรดเอแห่งใหม่บนทำเลอโศกเพชรบุรี ในมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับระดับนานาชาติ และยังตอบสนองทุกความต้องการของชุมชนโดยรอบ” โครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ เป็นอาคารมิกซ์ยูส ที่ประกอบด้วย อาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และอาคารพักอาศัย พัฒนาขึ้นบนพื้นที่ดิน 11 ไร่ โดยอาคารสำนักงานจะเป็นอาคารสูง 42 ชั้น ประกอบด้วยพื้นที่สำนักงาน  60,000 ตารางเมตร พื้นที่ค้าปลีกบริเวณชั้น 1-4 พื้นที่รวม 5,000 ตารางเมตร โดยอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกมีมูลค่าก่อสร้างรวมกว่า 4,200 ล้านบาท (ไม่รวมมูลค่าที่ดิน) และคอนโดระดับลักชัวรี THE ESSE at SINGHA COMPLEX ความสูง 39 ชั้น มูลค่าโครงการกว่า 4,300 ล้านบาท  
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ประเมินแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง จุดเชื่อมที่อยู่อาศัยในเขตปริมณฑลเดินทางเข้าเมือง

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ประเมินแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง จุดเชื่อมที่อยู่อาศัยในเขตปริมณฑลเดินทางเข้าเมือง

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร พบข้อมูลการเติบโตของประชากรเขตปริมณฑลเพิ่มขึ้นต่อเนื่องย้อนหลัง 20 ปี เพิ่มเฉลี่ย 21% ส่งผลที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงมีแนวโน้มคึกคัก เหตุเป็นจุดเชื่อมต่อในรูปแบบวงแหวนขนาดใหญ่ ส่งผลให้ราคาที่ดินแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงปรับตัวสูงขึ้นกว่า 40% ในช่วง 5 ปี โดยทำเลที่อยู่อาศัยย่านบางใหญ่  เตาปูน วงศ์สว่าง โดดเด่นสุด นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พบข้อมูลจำนวนการเพิ่มของประชากรในเขตกรุงเพทมหานครและปริมณฑลในช่วงปี 2540-2560 หรือ 20 ปีผ่านมา มีประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร ขยายตัวเพียงเล็กน้อยราว 1% เท่านั้น ในขณะที่เขตปริมณฑลกลับมีประชากรอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นถึง 21% โดยจังหวัดที่ได้รับความนิยมคือ ปทุมธานีเพิ่มขึ้น 40%  นนทบุรีเพิ่ม 24%  และสมุทรสาครเพิ่มขึ้น 19% ปัจจัยที่สนับสนุนให้ประชากรในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มขึ้นมาจากทำเลที่ไม่ได้ไกลจากกรุงเทพฯ ราคาที่ยังไม่ปรับตัวขึ้น สามารถเดินทางเข้ามาทำงานได้อย่างสะดวก ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยในเขตปริมณฑลจะมีความโดดเด่นมากขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมทำเลแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อลักษณะวงแหวนที่เชื่อมพื้นที่การเดินทางที่สำคัญของกรุงเทพฯ เข้าไว้ด้วยกัน โดยเริ่มจากการเป็นส่วนต่อขยายที่เชื่อมต่อจากรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-หัวลำโพง) จากสถานีเตาปูนวิ่งไปตามถนนกรุงเทพฯ-นนทบุรี, ติวานนท์, รัตนาธิเบศร์ และสุดสถานีที่ถนนกาญจนาภิเษกในอำเภอบางใหญ่ นอกจากนี้ ในอนาคตที่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินอยู่ระหว่างขยายเส้นทางส่วนต่อขยายจากฝั่งบางซื่อไปท่าพระ จากฝั่งหัวลำโพงไปบางแค บริเวณนี้จะกลายเป็นลูปรถไฟฟ้าเส้นทางวงแหวนที่เชื่อมการเดินทางบนพื้นที่สำคัญ นั่นหมายถึงผู้ที่อยู่อาศัยใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงจะได้อานิสงส์การเดินทางที่สะดวกและครอบคลุมในทุกพื้นที่มากขึ้น และยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายต่างๆ 3 เส้นทาง ซึ่งได้แก่ ที่สถานีบางซ่อนสามารถเชื่อมต่อไปรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-บางซื่อ) และที่สถานีเตาปูนจะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ อีกหนึ่งสายคือช่วงเตาปูน-ราชบูรณะถึงแม้ว่าในช่วงแรกที่รถไฟฟ้าสายสีม่วงเริ่มเปิดให้บริการในปี 2559 ผู้โดยสารอาจจะยังไม่ค่อยให้ความนิยม แต่ภายหลังทำการเชื่อมต่อในเดือนสิงหาคม 2560 ทำให้ยอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น จากข้อมูลของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ระบุว่าปัจจุบันมีผู้ใช้รถไฟฟ้าสายสีม่วงกว่า 48,000 คนต่อวัน และคาดว่าในปี 2561 จะเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งแสนคนต่อวัน สำหรับแนวโน้มด้านที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงในปี 2560 พบคอนโดมิเนียมที่เปิดขายอยู่ 56 โครงการ คิดเป็น 69,761  ในจำนวนนี้ขายไปแล้วถึง 91% ซึ่งเป็นผลจากผู้ประกอบการเร่งระบายสินค้าด้วยการทำโปรโมชั่นภายหลังจากรัฐบาลได้เชื่อมต่อทั้งสองสถานีแล้ว โดยโครงการที่ได้รับความสนใจมักตั้งอยู่ไม่เกิน 500 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งเชื่อว่าทิศทางในปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังพบว่าราคาที่ดินกับราคาขายคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง จากปี 2556 – 2560 พบราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 41% ในขณะที่ภาพรวมราคาคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้กับโดยสถานีรถไฟฟ้าที่มีจำนวนผู้ที่ใช้บริการสูงสุด 3 สถานีคือ เตาปูน, บางซื่อ,  และวงศ์สว่าง พบว่า ราคาเฉลี่ยของห้องในโครงการเหล่านี้กลับเพิ่มขึ้นเพียง 15-29% ซึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์ด้านราคาของผู้ประกอบการจึงถือเป็นจังหวะดีสำหรับลูกค้าและนักลงทุนในการตัดสินใจซื้อในช่วงนี้ สำหรับผู้ที่เลือกอยู่อาศัยคอนโดมิเนียมและต้องการเดินทางด้วยรถไฟฟ้านั้นจุดเชื่อมต่อถือว่ามีความสำคัญโดยเฉพาะช่วง 3 สถานีต้นทางจากบางซื่อ ได้แก่ สถานีเตาปูน สถานีบางซ่อน สถานีวงศ์สว่าง ถือเป็นสถานีที่จะได้รับผลประโยชน์อย่างมาก เป็นจุดเปลี่ยนทำเลให้กลายเป็นสยามสแควร์แห่งที่ 2 ในอนาคต เพราะมีความต้องการหลักอยู่ ประกอบกับมีเมกะโปรเจกต์ ทั้งทางด่วนสายใหม่ ตลอดจนมี Center Station บางซื่อ และจุดเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีแดงที่สถานีบางซ่อนอีกด้วย “หากวิเคราะห์ทำเลที่อยู่อาศัยที่โดดเด่นบนแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงพบ 3 ทำเล เริ่มต้นจาก บางใหญ่ ศูนย์กลางธุรกิจในฝั่งตะวันตก (WBD : West Business District) มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่  รวมถึงยังมีโครงการก่อสร้างทางพิเศษมอเตอร์เวย์บางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี พบอุปทานคอนโดมิเนียมบริเวณบางใหญ่ (MRT สามแยกบางใหญ่ และคลองบางไผ่) ที่เสนอขายอยู่ 4 โครงการ จำนวน 2,840 ยูนิต มียอดขายเฉลี่ย 83% ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 60,000 -70,000 บาทต่อตารางเมตร ด้านผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมในย่านนี้เดือนละ 6,000 – 6,500 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าที่ 4.8% ต่อปี แม้ผลตอบรับจากการปล่อยเช่าคอนโดฯ จะยังไม่สูงมาก แต่ในอนาคตคาดว่าทำเลยังมียอดดีมานด์ตอบรับอย่างต่อเนื่อง  ย่านเตาปูน เป็นที่ตั้งสถานีต้นสายและในอนาคตจะเป็นสถานีอินเตอร์เชนจ์ เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่งผลให้ราคาที่ดินบริเวณนี้เพิ่มขึ้นสูงที่สุด ปัจจุบันอยู่ที่ 280,000 บาทต่อตารางวา (เฉลี่ยประมาณ 17% ต่อปี) นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้เคียงกับอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ซึ่งจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2562 และจะกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ จากการสำรวจข้อมูล พบอุปทานคอนโดมิเนียมในรัศมีไม่เกิน 1.5 กิโลเมตร จากสถานีเตาปูนจำนวน 2,820 ยูนิต จาก 5 โครงการ ยอดตอบรับอยู่ที่ 79% เป็นทำเลที่มีราคาขายเฉลี่ยสูงที่สุดในแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงประมาณ 90,000 – 110,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งราคาขายปรับเพิ่มขึ้นจากช่วง 5 ปีที่ผ่านมาถึง 35% ด้านผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ 10,000 – 15,000 บาทต่อเดือน ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.5% ต่อปี ส่วนราคารีเซลในปัจจุบันแตะที่ 100,000 – 120,000 บาทต่อตารางเมตรแล้ว ซึ่งเป็นการปรับขึ้นตามราคาขายห้องใหม่ในปัจจุบัน ย่านวงศ์สว่าง เป็นทำเลช่วงต้นๆ ของรถไฟฟ้าสายสีม่วง เป็นจุดตัดระหว่างกรุงเทพฯ และ จ.นนทบุรี ตรงบริเวณแยกวงศ์สว่างที่เชื่อมต่อกับถนนรัชดาภิเษกสามารถเดินทางเข้าเมืองได้อย่างง่ายดาย พบโครงการคอนโดมิเนียมเสนอขายในตลาดจำนวน 4 โครงการ 4,443 ยูนิต มียอดขายแล้ว 67%  อย่างไรก็ตาม พบว่าโครงการที่มีการตอบรับดีจะอยู่บริเวณรอบสถานีวงศ์สว่างไม่เกิน 100 เมตร ซึ่งขายเกือบหมดแล้ว ด้านราคาขายเฉลี่ยโครงการคอนโดมิเนียมใกล้สถานีฯ ปัจจุบันประมาณ 90,000-100,000 บาทต่อตารางเมตร และในอนาคตคาดว่าราคาขายจะขยับขึ้นไปได้อีกตามราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นประมาณ 6% ต่อปี ด้านผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ 5-6% ต่อปี หรือ 10,000 – 13,000 บาทต่อเดือน เนื่องจากเป็นทำเลที่อยู่ใกล้เคียงกับส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าทั้งสายสีน้ำเงิน และสายสีแดงอ่อน เพราะฉะนั้น หากมีโครงการที่สามารถพัฒนาให้มีราคาในระดับนี้และอยู่ติดสถานีฯจะเป็นโครงการที่น่าสนใจมาก” นายอนุกูล กล่าว
เน็กซัส เผยลักษณะพิเศษที่ทำให้ถนนรัชดาเป็นโซนน่าอยู่ น่าลงทุน

เน็กซัส เผยลักษณะพิเศษที่ทำให้ถนนรัชดาเป็นโซนน่าอยู่ น่าลงทุน

ถนนรัชดาภิเษก เป็นถนนสายสำคัญอีกเส้นหนึ่งที่เชื่อมต่อพื้นที่โซนพระราม 9 - ลาดพร้าวเข้าด้วยกัน ตลอดระยะทางประมาณ 10.5 กิโลเมตร ตั้งแต่แยกพระราม 9 ไปจนถึงแยกรัชโยธินนั้น มีโครงการรถไฟฟ้าในอนาคตที่จะเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ปัจจุบันถึง 2 จุด และมีโครงการ Mega Project ที่กำลังจะเกิดขึ้นมากมายในบริเวณพระราม 9 – รัชดา ซึ่งเป็นพื้นที่ใจกลางธุรกิจแห่งใหม่ ที่ขยายตัวมาจากพื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำเลนี้เป็นอีกหนึ่งทำเลน่าสนใจสำหรับที่อยู่อาศัย แหล่งงาน หรือแม้แต่การลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการปล่อยเช่า   ทำไมรัชดาภิเษกถึงน่าสนใจ? นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า “ถนนรัชดาภิเษก เชื่อมต่อถนนหลักสำคัญหลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นถนนลาดพร้าว ถนนสุทธิสาร และถนนพระราม 9 ถนนทั้ง 3 เส้นที่ตัดผ่าน ทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ทั้งในแง่ของการกระจุกตัวของที่อยู่อาศัย ออฟฟิศ ศูนย์การค้า ซึ่งปัจจัยดังกล่าวข้างต้นยังสะท้อนไปถึงราคาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่นั้นๆ ด้วย ทั้งนี้ทำเลรัชดาภิเษกครอบคลุมจาก (1) โซนรัชดา-พระราม 9 (2) โซนรัชดา-สุทธิสาร และ (3) โซนรัชดา-ลาดพร้าว ในด้านการอยู่อาศัย ความโดดเด่นของ 3 ทำเลนี้ สามารถตอบสนองได้ทั้งการใช้ชีวิต การทำงาน และการเดินทางที่สะดวกสบายด้วยระบบราง ในด้านราคานั้น ทำเลนี้มีอัตราการเติบโตของราคาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยอยู่ที่ 9.3% ต่อปี จากราคาเฉลี่ย 86,900 บาทต่อตารางเมตร ในปี 2556 ต่อเป็น 116,000 บาทต่อตารางเมตร ในปี 2560” ราคาที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับอัตราการเติบโตของราคาในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในที่มีการเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี ซึ่งเห็นได้ว่าแนวโน้มการเติบโตของราคาไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้หากเทียบเป็นโซนย่อยของรัชดา (1) ทำเลรัชดา-ลาดพร้าว มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าเขตกรุงเทพฯ ชั้นในอย่างเห็นได้ชัด เฉลี่ยอยู่ที่ 15% ต่อปีซึ่งสะท้อนศักยภาพในแง่ของการลงทุนและการเติบโตของชุมชนในทำเลนี้ (2) ทำเลรัชดา- สุทธิสาร มีอัตราเติบโตของราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 5% ต่อปี สะท้อนการเติบโตของตลาดและความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับกลาง (3) ทำเลรัชดา- พระราม 9 มีอัตราเติบโตของราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ต่อปี เป็นทำเลศักยภาพใกล้ย่านธุรกิจ ด้านการลงทุนคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ มีอัตราเฉลี่ยผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า 5.39% เมื่อเปรียบเทียบกับทำเลในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในแล้ว มีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5% ทำให้คอนโดมิเนียมในทำเลนี้น่าสนใจในด้านการลงทุนปล่อยเช่า ซึ่งเนื่องมาจากเป็นทำเลที่ใกล้โซนออฟฟิศ และยังมีศักยภาพสำหรับการปล่อยขายและเช่าตลาดลูกค้าต่างชาติอีกด้วย หากจะวิเคราะห์ถึงลักษณะพิเศษที่ทำให้รัชดาภิเษกสามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วน โซนรัชดา-พระราม 9 (พื้นที่เชื่อมต่อเมือง เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ศูนย์กลางออฟฟิศในอนาคต) โซนรัชดา-พระราม 9 นับพื้นที่ตั้งแต่แยกพระราม 9 ถึงสถานี MRT ศูนย์วัฒนธรรม มีอุปทานรวมจำนวน 6,279 หน่วย อัตราขายรวม 89% มีระดับราคาเฉลี่ย 132,600 บาท/ตร.ม. เป็นโซนที่มีระดับราคาต่อตารางเมตรเฉลี่ยสูงที่สุดของทำเลรัชดาภิเษก ด้วยทำเลที่เชื่อมต่อจากอโศก-สุขุมวิท ย่านพื้นที่ดินราคาแพงของกรุงเทพฯ มีศูนย์การค้าเกิดขึ้นมากมายในบริเวณนี้ ทั้งเซ็นทรัลพระราม 9  ฟอร์จูน เอสพลานาดรัชดา และเดอะ สตรีท รวมทั้งตึกออฟฟิศจากนายทุนเจ้าใหญ่หลาย ๆ แห่ง เช่น SET, True Tower,  AIA เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีแนวโน้มการขยายตัวของเมือง ในบริเวณนี้เพิ่มเติมจากโครงการ Mega Project ต่างๆ เช่น โครงการ Super Tower โครงการมักกะสัน รวมมูลค่าโครงการดังกล่าวทั้งสิ้นกว่า 340,000 ล้านบาท ทำเลนี้จึงมีความน่าสนใจหากต้องการคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้ใจกลางเมือง เชื่อมต่อเข้าสู่ใจกลางเมืองได้เพียง 2 สถานี และแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ในราคาที่ถูกกว่าคอนโดมิเนียมในแนวรถไฟฟ้าเส้นสุขุมวิท โซนรัชดา-สุทธิสาร (แหล่งท่องเที่ยวและออฟฟิศ โซนเปลี่ยนผ่านไปยังชุมชนกรุงเทพฯ ชั้นกลาง) โซนรัชดา-สุทธิสาร นับพื้นที่ตั้งแต่สถานี MRT ศูนย์วัฒนธรรม แยกเทียมร่วมมิตรไปจนถึงแยกสุทธิสาร มีอุปทานรวมจำนวน 3,305 หน่วย อัตรขายรวม 93% มีระดับราคาเฉลี่ย 117,875 บาท/ตร.ม. โดยมีราคาขายต่ำลงมาจาก โซนรัชดา-พระราม 9 ประมาณ 11%  พื้นที่โซนนี้เต็มไปด้วยออฟฟิศ และแหล่งท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวเกาหลีอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และยังสามารถเชื่อมต่อไปยังถนนลาดพร้าว หรือลัดออกสู่ถนนพหลโยธิน จากซอยสุทธิสารได้ นอกจากนี้ยังมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มในอนาคต ตัดผ่านบริเวณสถานี MRT ศูนย์วัฒนธรรม ทำให้พื้นที่โซนนี้มีโอกาสเติบโตอีกในอนาคต โซนรัชดา-ลาดพร้าว (พื้นที่เชื่อมต่อไปยังชานเมืองหลายเส้นทาง มีความเป็นชุมชน คุ้มค่าราคา) โซนรัชดา-ลาดพร้าว นับพื้นที่ตั้งแต่แยกสุทธิสารไปจนถึงแยกรัชโยธิน มีอุปทานรวมจำนวน 5,256 หน่วย อัตราขาย68% มีระดับราคาเฉลี่ย 100,200 บาท/ตร.ม. มีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่เกิดขึ้นในโซนนี้จำนวนมาก เนื่องจากรถไฟฟ้าในอนาคตสายสีเหลืองได้มีกำหนดวันเข้าก่อสร้างที่ชัดเจน ส่งผลให้มียูนิตเหลือขายอีกจำนวนหนึ่งจากโครงการเปิดใหม่ภายใน 1 ปีที่ผ่านมา ทำเลนี้เป็นย่านที่อยู่อาศัยและออฟฟิศขนาดเล็ก มีความเป็นชุมชน เต็มไปด้วยร้านอาหารสไตล์ Street food ย่านรัชดา-ลาดพร้าวจึงเป็นอีกหนึ่งทำเลที่เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาคอนโดมิเนียมที่คุ้มค่าราคา และยังมีความสะดวกสบายอยู่ โดยสามารถเดินทางเข้าเมืองได้ภายใน 15 นาที โดยรถไฟฟ้า MRT นอกจากนั้นยังมีโครงการในรถไฟฟ้าความเร็วสูงในอนาคตบริเวณบางซื่อซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ ทำให้พื้นที่นี้เป็นย่านที่น่าจับตา เนื่องจากมีจุดเชื่อมต่อ (intersection) หลายจุดใกล้ๆ กัน ในอนาคตอันใกล้ภายในปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงเวลากำหนดเสร็จของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ทำเลรัชดาภิเษกน่าจะเป็นทำเลที่กลุ่มนักลงทุนให้ความสนใจมาพัฒนาโครงการในบริเวณนี้มากขึ้น โดยเฉพาะทำเลที่เป็นจุดตัดของรถไฟฟ้าทั้ง สายสีเหลืองและสายสีส้ม ซึ่งเริ่มก่อสร้างไปแล้วทั้งสองสาย นอกจากนั้นยังมีโครงการส่วนต่อขยายจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองแยกรัชดา-ลาดพร้าว เชื่อมรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มแยกรัชโยธินซึ่งอยู่ระหว่างทำการศึกษาเพิ่มเติมอีกโครงการ ปัจจุบันมีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในทำเลรัชดาจำนวน 1,697 ยูนิต ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา รวมทั้งมี Developer รายใหญ่อีกหลายๆ รายเริ่มเข้ามาจับจองพื้นที่เตรียมพัฒนาโครงการใหม่หรือเปิดตัวเพิ่มตั้งแต่ปลายปี 2560  จึงไม่แปลกใจที่ทำเลรัชดาตั้งแต่แยกพระราม 9 ถึงแยกรัชโยธินจะคึกคักมากกว่าเดิมภายใน 1-2 ปีนี้ และเป็นทำเลที่น่าจับตามองเรื่องราคาคอนโดมิเนียมที่มีโอกาสปรับสูงขึ้นตามอัตราการเติบโตของราคาเฉลี่ยโซนรัชดาต่อไป
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เสิร์ฟแคมเปญหวานจัดเต็ม “บ้านแห่งรัก 2018” ต้อนรับเดือนแห่งความรัก 10-11 กุมภาพันธ์นี้

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เสิร์ฟแคมเปญหวานจัดเต็ม “บ้านแห่งรัก 2018” ต้อนรับเดือนแห่งความรัก 10-11 กุมภาพันธ์นี้

บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ต้อนรับเทศกาลวันวาเลนไทน์ เสิร์ฟแคมเปญหวานๆ แห่งปี ‘บ้านแห่งรัก 2018’ หนุนกำลังซื้อกลุ่มผู้อยู่อาศัยตลาดเรียลดีมานด์ คู่รักที่เริ่มต้นสร้างครอบครัว นำบ้านเดี่ยวหลังใหญ่-ทาวโฮมหน้ากว้าง-คอนโดมิเนียม คุณภาพเยี่ยมกว่า 40 โครงการ ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด ให้ลูกค้าเลือกรับโปรฯ ‘ดอกไม่บาน ณ บ้านแห่งรัก 2018’ หวานจัดหนักกับดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี ฟรีทุกค่าใช้จ่าย หรือรับ Iphone X  เฉพาะโครงการเขตกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ณ สำนักขายทุกโครงการ วันที่  10-11 กุมภาพันธ์นี้ พร้อมจัดโปรฯ ‘Love Festival Double Bonus จูงมือเป็นคู่พร้อมเข้าอยู่’ มอบความคุ้มสุดๆ ให้คู่รักที่สนใจซื้อโครงการต่างจังหวัด รับสิทธิ์ทำสัญญาเพียง 1 บาท ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน เครื่องใช้ไฟฟ้า ฟรีประกันมิเตอร์น้ำ มิเตอร์ไฟ และฟรีค่าส่วนกลาง เริ่มแคมเปญแล้ววันนี้ ถึง 15 กุมภาพันธ์นี้ นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า ตลอดเดือนกุมภาพันธ์นี้ บริษัทฯ จัดแคมเปญใหญ่ “ลลิล บ้านแห่งรัก 2018” ซึ่งเป็นแคมเปญใหญ่ประจำปีของบริษัทฯ ที่จะจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรัก ต้อนรับวันวาเลนไทน์ที่จะมาถึงโดยเฉพาะ เพื่อขอบคุณลูกค้าที่ให้การสนับสนุน และมอบความไว้วางใจบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อสำหรับผู้อยู่อาศัยตลาดเรียลดีมาน์ คู่รักที่เริ่มต้นสร้างความรอบครัว ทั้งนี้บริษัทฯ มอบโปรฯ ‘ดอกไม่บาน ณ บ้านแห่งรัก 2018’ ในวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ 2561 ให้ลูกค้าโครงการกรุงเทพฯ และปริมณฑล เลือกรับดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี ฟรีทุกค่าใช้จ่าย หรือรับ Iphone X ในส่วนโครงการต่างจังหวัด บริษัทฯ จัดโปรฯ พิเศษ ‘Love Festival Double Bonus จูงมือเป็นคู่พร้อมเข้าอยู่’ โดยมอบความคุ้มสูงสุดให้คู่รักที่สนใจซื้อโครงการต่างจังหวัด รับสิทธิ์ทำสัญญาเพียง 1 บาท ฟรี ทุกค่าใช้จ่ายวันโอน ฟรี ประกันมิเตอร์น้ำ-มิเตอร์ไฟ ฟรี ค่าส่วนกลาง และเลือกรับเครื่องใช้ไฟฟ้า ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด ทั้งนี้กำหนดระยะเวลาจัดโปรฯ ดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 10-15 กุมภาพันธ์นี้เท่านั้น อย่างไรก็ดีภายหลังจากนั้น บริษัทฯ เตรียมจัดโปรฯ พิเศษให้กับกลุ่มลูกค้าเก่าให้ได้ร่วมสนุกด้วยเช่นเดียวกัน นับว่าปีนี้บริษัทฯ ได้มอบความคุ้มสูงสุดกว่าทุกปีและมีความหลากหลายครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น บริษัทฯ จึงมั่นใจว่าแคมเปญ ‘ลลิล บ้านแห่งรัก 2018’ จะตรงใจและจะมีผลตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยคุณภาพในช่วงนี้อย่างมาก สำหรับโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ “ลลิล บ้านแห่งรัก 2018” มีกว่า 40 โครงการ ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บ้านแนวคิดใหม่ ทาวน์โฮมหน้ากว้าง และคอนโดมิเนียมคุณภาพเยี่ยม ในกรุงเทพฯและปริมณฑล และต่างจังหวัด ภายใต้แบรนด์ ‘ลลิล ทาวน์’ โดยในปีนี้ มีโครงการคุณภาพ บนทำเลยุทธศาตร์แห่งใหม่ให้เลือกหลากหลาย อาทิ ลลิล ทาวน์ ไลโอ บลิสซ์ เพชรเกษม – ยอแซฟฯ ทาวน์โฮมดีไซน์ใหม่ ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน เพิ่มพื้นที่ความสุขให้เต็มที่กับ 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และมีดีไซน์หน้าบ้านกว้างที่สุด บนทำเลคุณภาพที่สามารถตอบสนองความต้องการของชีวิตให้ครบจบที่เดียว และลลิล ทาวน์ ไลโอ บลิสซ์ สุขสวัสดิ์-ประชาอุทิศ ทาวน์โฮมใหม่น่าอยู่กับสถาปัตสวนที่ลงตัวที่สุด บนสุขสวัสดิ์ พร้อมพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่และฟังก์ชั่นที่เหนือกว่าประโยชน์ใช้สอยมากกว่า ขนาด 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 รับประทานอาหาร ครัวแยกสัดส่วน พร้อมเคาน์เตอร์เตรียมอาหาร 1 จอดรถ ในราคาที่จับต้องได้ พลาดไม่ได้กับแคมเปญสุดพิเศษ “ลลิล บ้านแห่งรัก 2018” ที่ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เตรียมมอบให้ด้วยรัก ตลอดทั้งเดือนกุมภาพันธ์นี้ ณ สำนักงานขายทุกโครงการ ระหว่างวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์นี้ สนใจติดต่อเข้าเยี่ยมชมโครงการ หรือสอบถามข้อมูลแคมเปญ “บ้านแห่งรัก 2018” โทร Call Center โทร 1778 หรือเว็บไซต์ www.lalinproperty.com
คอนโด ใช้ชีวิตให้เป็นตัวเองกับแกรนด์ ยูนิตี้

คอนโด ใช้ชีวิตให้เป็นตัวเองกับแกรนด์ ยูนิตี้

ปี 2018 นี้ เป็นอีกปีที่ตลาดคอนโดมิเนียมยังคงร้อนแรงที่สุดอย่างต่อเนื่องในรอบหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เราได้เห็นหลายโครงการใหม่ที่น่าจับตามองเริ่มเปิดตัวกันมาตั้งแต่ต้นปี โดยหนึ่งในนั้น คือ แกรนด์ ยูนิตี้ ที่มาพร้อมกับ 4 โครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ติดรถไฟฟ้า ภายใต้คอนเซป "Simply Makes Sense" ให้เราได้คัดเลือกคอนโดมิเนียมในโครงการที่ลงตัวกับเรามากที่สุดทั้งทำเล ดีไซน์ สิ่งอำนวยความสะดวกภายในและรอบโครงการ เพราะคอนโดมิเนียมที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ความเป็นตัวเราได้ดีที่สุดคือโครงการที่ใช่ที่สุด   หนึ่งในทำเลสุดฮอตคือแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยายช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และยังใกล้ทางยกระดับอุตราภิมุข สนามบินดอนเมือง พร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าว, เมเจอร์รัชโยธิน ฯลฯ รวมถึงดีมานด์ที่มีอยู่มากมายหลายกลุ่มทั้งนักศึกษา บุคลากรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และกลุ่มคนทำงาน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีการเช่าคอนโดอยู่มากที่สุด Ciela (เซียล่า)  คอนโดมิเนียม High Rise 28 ชั้น บนพื้นที่ 6-1-17.30 ไร่ ทั้งหมด 903 ยูนิต ขนาด 22.5-60 ตร.ม. ตัวโครงการติดรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยศรีปทุม ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบใช้ชีวิตสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเข้าใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็วด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ไม่ต้องไปเปลี่ยนสายสถานีไหนก็สามารถตรงเข้าเมืองได้ง่ายๆ ส่วนเหล่านักลงทุนทั้งหลายต้องคอยจับตามองให้ดีค่ะ เพราะโครงการนี้ได้ยินมาว่าราคาเปิดตัวไม่เกิน 100,000 บาท/ตร.ม. เท่านั้น เป็นราคาที่เชื่อว่าสำหรับคอนโดมิเนียมติดสถานีรถไฟฟ้าในปัจจุบันไม่มีใครทำราคาได้เท่านี้  สระว่ายน้ำระบบเกลือบนชั้นดาดฟ้า สวนสีเขียวชั้นล่าง Ciela มาพร้อมส่วนกลางครบครัน เช่น ล็อบบี้, สวนสีเขียว, สระว่ายน้ำระบบเกลือ, ห้องออกกำลังกายชั้นดาดฟัา, สวนชั้นดาดฟ้า, ห้องซาวน่า, ห้องบริการซักผ้า อบผ้า เป็นต้น มีระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง กล้องวงจรปิด ลิฟท์โดยสารให้มาถึง 5 ตัว แยกลิฟท์เซอร์วิช 1 ตัว ลิฟท์โดยสารที่อาคารจอดรถ 2 ตัว    โครงการถัดมาที่ยังคงคอนเซปในการเป็นคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้า ซึ่งเตรียมเปิดตัวในช่วงครึ่งปีแรกนี้ต่อจากโครงการ Ciela คือ   De Lapis (เดอ ลาพีส)  คอนโดมิเนียม High Rise ย่านจรัญสนิทวงศ์ 81 ที่ได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยาหนึ่งในมุมมองที่สวยที่สุดบนอาคารสูงในกรุงเทพฯ มี Background เป็นตึกสูงระฟ้าใจกลางเมือง พร้อมกับได้วิวสระว่ายน้ำบนอาคารไปด้วย และยังใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสถานีบางพลัด โดยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเป็นสายที่วิ่งเป็นวงแหวนเพียงสายเดียวของโครงข่ายรถไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งจะผ่านสถานที่สำคัญหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นย่านออฟฟิศทั้งสีลม รัชดาภิเษก ย่านที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของกรุงเทพฯชั้นใน และหากใช้รถยนต์ส่วนตัวก็ใกล้ทางพิเศษศรีรีช และยังสามารถใช้สะพานกรุงธนแล้วตรงเข้าสู่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเชื่อมต่อการเดินทางได้อีกหลากหลายเส้นทาง และยังใกล้กับสถานที่สำคัญชื่อดังหลายแห่ง ทำให้ De Lapis เหมาะสำหรับกลุ่มคนทำงานในตัวเมืองไปจนถึงครอบครัวที่อยากได้ความสงบเป็นส่วนตัว แต่ยังได้ความสะดวกสบายแบบคอนโดมิเนียมท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดี หากลงทุนปล่อยเช่าก็จะมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนทำงาน และคนที่อาศัยอยู่ในย่านเดิมอยู่แล้วต้องการขยับขยาย    เรียกว่าทั้ง Ciela (เซียล่า) กับ De Lapis (เดอ ลาพีส) จะมีราคาเปิดตัวค่อนข้างสูสีกันด้วยที่ตั้งโครงการติดรถไฟฟ้าเหมือนกันเพียงแต่คนละทำเล เราก็สามารถเลือกตัวที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของแต่ละคน ซึ่งทั้งสองโครงการมีแพลนเปิดตัวช่วงครึ่งปีแรกนี้ ย้ำกันอีกทีนะคะว่าราคาแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้วสำหรับคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า จับตาวันเปิดตัวกันให้ดีค่ะ            ส่วนช่วงครึ่งปีหลังทางแกรนด์ ยูนิตี้ เตรียมเปิดตัวอีก 2 โครงการใหม่ ที่มีการเปิดข้อมูลออกมาบางส่วนบ้างแล้ว คืือ Denim (เดนิม)  คอนโดมิเนียม High Rise โดดเด่นด้วยดีไซน์สไตล์ Urban Lifestyle บนแนวคิด Mixed-Use Concept โครงการตั้งอยู่ภายในซอยพหลโยธิน 18 ทะลุไปซอยวิภาวดีรังสิต 3 ได้ มีศักยภาพด้านการเดินทางสูงทั้งในปัจจุบันและอนาคต สำหรับผู้ที่ใช้บริการขนส่งสาธารณะสามาถใช้รถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานีหมอชิตที่เป็น Interchange กับรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินสถานีจตุจักร ซึ่งในอนาคตประมาณปี 2563 จะเปิดให้บริการสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งเป็นสถานีที่เป็นศูนย์กลางระบบรางแห่งใหม่แทนหัวลำโพงที่มีความแออัดมากในปัจจุบัน โดยจะทำหน้าที่เป็นสถานีหลักของรถไฟสายเหนือ สายอีสาน สายใต้ สายตะวันออก และสายตะวันตก นอกจากนี้ยังมีการออกแบบเพื่อรองรับรถไฟฟ้าความเร็วสูงทุกสายในอนาคต เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สายสีแดงได้ มีโซนช้อปปิ้งมอลล์ รวมถึงยังมีพื้นที่จอดรถ 1,700 คัน แน่นอนว่าจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน และยังเป็นแหล่งออฟฟิศทั้งเอกชน รัฐวิสาหกิจ ราชการหลายแห่ง ทำให้ในอนาคตบริเวณนี้มีแนวโน้มจะกลายเป็นอีกหนึ่งใน New CBD ของกรุงเทพฯ   Mazarine (แมสซารีน)  คอนโดมิเนียม High Rise เกรด Premium เป็นตัวที่เป็นไฮไลท์ของปีนี้ ซึ่งมีแพลนจะเปิดตัวในช่วงปลายปี  โดยทั้งราคาและทำเลที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเมเจอร์รัชโยธินจะส่งให้โครงการนี้ทำ Surprise ได้แน่นอนค่ะ      ทั้งหมดนี้คือแนวคิด Simply Makes Sense จากแกรนด์ ยูนิตี้ "ใช้ชีวิต...บนเหตุผลของคุณ" คือ keyword ที่กำลังจะบอกกับเราว่าเราสามารถเลือกสิ่งที่ใช่ได้ด้วยตัวเราเอง เลือกอย่างเหมาะสม เลือกบนเหตุผลของตัวเอง เพราะเชื่อว่าหลายคนย่อมเคยเกิดความคิดที่ว่า   อยากมีคอนโดเป็นของตัวเอง อยากอยู่คอนโดใกล้แนวรถไฟฟ้า อยากดีไซน์ห้องของเราตามสไตล์ในแบบที่เป็นตัวเอง เพราะเราอยากใช้ชีวิตในแบบที่เราเลือกเอง ไม่ต้องตามใคร #ใช้ชีวิตบนเหตุผลของคุณ มันคงไม่ make sense เท่าไหร่กับการที่ต้องวิ่งตามกระแสของคนอื่นใช่ไหมคะ   รายละเอียดเพิ่มเติม Grand Unity   โครงการอื่นจาก Grand Unity Denim Jatujak KARA Ari–Rama 6 De LAPIS Charan 81 CIELA Sripatum The Private Residence Rajadamri
“ออริจิ้น” ผุดอาณาจักรมิกซ์ยูส 3 ทำเลใจกลางเมือง มูลค่า 70,000 ล้าน พร้อมจัดทัพใหญ่ สร้าง “The Empire of Origin” อาณาจักรอสังหาฯครบวงจร

“ออริจิ้น” ผุดอาณาจักรมิกซ์ยูส 3 ทำเลใจกลางเมือง มูลค่า 70,000 ล้าน พร้อมจัดทัพใหญ่ สร้าง “The Empire of Origin” อาณาจักรอสังหาฯครบวงจร

ออริจิ้น เดินหน้าสร้าง “The Empire of Origin” ติดเครื่องตลาดลักชัวรี่ เล็งผุดอาณาจักรมิกซ์ยูสหรู “พาร์ค ออริจิ้น คอมเพล็กซ์” 3 ทำเลใจกลางเมือง มูลค่ารวมกว่า 70,000 ล้านบาท พร้อมจัดทัพผู้บริหาร กุมบังเหียน JV-บ้านแนวราบ-อสังหาฯเช่า-บริการ ปั้นอาณาจักรอสังหาฯครบวงจร ปี 61 จ่อเปิดโครงการใหม่ 14 โครงการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท ตั้งเป้าโกยยอดขาย 20,000 ล้าน พร้อมรายได้ทะลุ 15,000 ล้าน นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน นอตติ้ง ฮิลล์ ไนท์บริดจ์ และพาร์ค และบ้านแนวราบภายใต้แบรนด์ บริทาเนีย กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทนับจากนี้ จะมุ่งเดินหน้าสร้างอาณาจักรออริจิ้น หรือ The Empire of Origin โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม โครงการบ้านแนวราบ โครงการร่วมทุนกับต่างชาติ โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้หมุนเวียน รวมถึงมีธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์อย่างครบถ้วน เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกเซ็กเมนท์ “ปี 2560 เป็นปีที่เราเริ่มก้าวสู่การเดินหน้าธุรกิจใหม่ๆ นอกจากธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียม นับตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป จะเป็นปีที่เราขับเคลื่อนธุรกิจใหม่อย่างเต็มกำลัง ทุกธุรกิจจะหยั่งรากฐานและเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของอาณาจักรออริจิ้น และเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม” นายพีระพงศ์ กล่าว สำหรับก้าวแรกของการสร้างอาณาจักรออริจิ้น บริษัทจะหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการระดับลักชัวรี่มากขึ้น โดยมีแผนจะพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสผสานกับโครงการคอนโดมิเนียม 3 ทำเล เพื่อสร้างโครงการแฟล็กชิพภายใต้คอนเซ็ปต์ “พาร์ค ออริจิ้น คอมเพล็กซ์” รวมมูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท ในทำเลใจกลางเมือง ได้แก่ พร้อมพงศ์ ทองหล่อ และพญาไท ให้สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ด้านการอยู่อาศัยของโลก ที่ผู้บริโภคจะให้น้ำหนักกับการเข้าอยู่อาศัยในโครงการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างครบวงจร ขณะนี้ บริษัทกำลังอยู่ระหว่างศึกษาและพิจารณารายละเอียดของการพัฒนาแต่ละโครงการ นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนไปได้ถึงเป้าหมายดังกล่าว บริษัทได้จัดโครงสร้างบริษัทให้ชัดเจนและแต่งตั้งผู้บริหารที่มีประสบการณ์คร่ำหวอดในแวดวงต่างๆ มาอย่างยาวนาน ขึ้นดูแลและบริหารส่วนงานที่มีความสำคัญกับการเติบโตเป็นอาณาจักรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ได้แก่ นายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ดูแลด้านการร่วมทุน (Joint Venture) นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการโครงการแนวราบ ดูแลธุรกิจบ้านแนวราบ นางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด ดูแลธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ธุรกิจค้าปลีก สำนักงานเช่า ตลอดจนธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับการขายและการเช่า สำหรับปี 2561 บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ 14 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 10   โครงการ มูลค่า 26,000 ล้านบาท และโครงการบ้านแนวราบ 4 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท ขณะที่วางเป้ายอดขายไว้ที่ 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ราว 43% เป้ารายได้ที่ 15,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ราว 67% ด้านนายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ดูแลด้านการร่วมทุน กล่าวว่า การร่วมทุนถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการเติบโตของออริจิ้นสู่อาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เพราะจะช่วยสร้างโอกาสในการเรียนรู้แนวคิด โนว์ฮาว ดีไซน์ ของบริษัทพาร์ทเนอร์ มาใช้ต่อยอดกับการดำเนินธุรกิจให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ขณะเดียวกัน ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ๆ ของพาร์ทเนอร์อีกด้วย “กรณีเราร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ทางโนมูระมีฐานลูกค้าอยู่ราว 4 แสนราย มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นมายาวนานถึง 60 ปี การร่วมทุนกับโนมูระทำให้เราสามารถนำประสบการณ์ 60 ปีของโนมูระ มาต่อยอดเป็นปีที่ 61 ของเรา” นายปิติพงษ์ กล่าว ที่ผ่านมา บริษัทมีพาร์ทเนอร์หลักคือบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ ร่วมทุนในโครงการคอนโดมิเนียมแล้ว 5 โครงการ และโครงการโรงแรมอีก 1 โครงการ ในอนาคต บริษัทยังเปิดกว้างโอกาสในการร่วมทุนในธุรกิจประเภทอื่นๆ ทั้งโครงการแนวราบ คอมมูนิตี้มอลล์ สำนักงานให้เช่า ไปจนถึงธุรกิจแวร์เฮาส์ คาดว่าระยะยาวจะมีรายได้ที่เกิดจากธุรกิจร่วมทุนราว 20-30% ของรายได้รวม ด้านนางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการโครงการแนวราบ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจโครงการแนวราบถือเป็นอีกธุรกิจที่จะมีบทบาทสำคัญต่ออาณาจักรออริจิ้น โดยภายในปี 2561-2565 บริษัทตั้งเป้าจะเปิดตัวโครงการใหม่ เน้นทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และทำเลระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) มูลค่ารวมกว่า 45,000 ล้านบาท และสร้างรายได้กลับมายังบริษัทในช่วง 5 ปีดังกล่าวกว่า 31,000 ล้านบาท “เราวางแผนตั้งแต่ต้นว่าจะใช้กลยุทธ์การเติบโตแบบทวีคูณ หรือ Multiply Growth ดังนั้น การทำงานในทุกขั้นตอนของเราตลอดช่วงที่ผ่านมาก็จะเป็นแบบคูณสอง ทั้งการหาที่ดิน การพัฒนางานออกแบบ ตลอดจนการทำงานด้านการตลาด ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถเติบโตไปได้ตามเป้าหมาย” นางศุภลักษณ์ กล่าว ขณะที่ระดับราคาของบ้านจะแบ่งออกเป็น 3 เซ็กเมนท์ ได้แก่ ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ ราคา 3-5 ล้านบาท บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ราคา 5-8 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว ราคา 8-20 ล้านบาท เพื่อให้พร้อมรองรับความต้องการของผู้บริโภคทุกระดับ ตั้งแต่ระดับอีโคโนมี่ พรีเมียม ไปจนถึงระดับเพรสทีจ ทั้งนี้ จุดขายโครงการแนวราบแบรนด์บริทาเนียภายใต้อาณาจักรออริจิ้นจะประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.ทำเล ที่เน้นเจาะพื้นที่บลูโอเชียนที่การแข่งขันไม่สูงมาก แต่เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพรองรับการขยายตัวของระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่ชานเมือง 2.ฟังก์ชั่น ที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริงๆ ของผู้บริโภค และ 3.สไตล์ที่ดูเป็นคนรุ่นใหม่ ทั้งในแง่สถาปัตยกรรมและสภาพแวดล้อมโครงการ ในช่วงปลายปี 2560 บริษัทเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดไปแล้ว 1 โครงการ ได้แก่ โครงการบริทาเนีย ศรีนครินทร์ ซึ่งได้รับผลการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค สามารถปิดการขายเฟสแรกได้ภายใน 2 เดือน ในปี 2561 จึงจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท ด้านนางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน จะเป็นธุรกิจที่ช่วยสร้างการเติบโตและรับรู้รายได้อย่างยั่งยืนให้กับอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของออริจิ้น เพราะประกอบไปด้วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่า เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ สำนักงานเช่า คอมมูนิตี้มอลล์ ที่สร้างรายได้กลับมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมรองรับทุกสภาพเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ยังมีธุรกิจบริการที่จะช่วยเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภค ทิศทางของบริษัทต่อจากนี้ จะให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง 1.Great Location เกาะทำเลศักยภาพอย่างสุขุมวิทที่ตอบโจทย์ทั้งนักท่องเที่ยวทั่วไป (Leisure Traveler) และนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ (Business Traveler) รวมถึงทำเลอีอีซีที่มีศักยภาพในการเติบโต 2.Great Service ให้ความสำคัญกับการบริการมาตรฐาน โดยในส่วนของโรงแรมนั้น บริษัทจะใช้เชนจากต่างประเทศเข้ามาช่วยบริหาร เพื่อให้เกิดบริการมาตรฐานสากล ผสมผสานเข้ากับการบริการซึ่งมีเอกลักษณ์แบบของไทย 3.มิกซ์ยูส โครงการต่างๆ ต่อจากนี้จะพัฒนาไปแบบมิกซ์ยูส ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่ “สำหรับธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ เราตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี จะมีจำนวนห้องพักอยู่ในระดับท็อปเท็นของเมืองไทย ขณะที่ในแง่ธุรกิจบริการ เราตั้งเป้าว่าจะเติบโตจนมีเซอร์วิสเชนของตัวเอง คอยบริการผู้บริโภค” นางจตุพร กล่าว
One9Five อโศก – พระราม 9 ฉีกรูปแบบเก่า ด้วยงานดีไซน์เหนือกาลเวลา

One9Five อโศก – พระราม 9 ฉีกรูปแบบเก่า ด้วยงานดีไซน์เหนือกาลเวลา

เมื่อดีไซน์กลายเป็นเครื่องมือที่สะท้อนแนวคิดและรูปลักษณ์ขององค์กร จึงไม่น่าแปลกใจเลยค่ะที่วันนี้เราจะเห็นเจ้าของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์หลายแห่งให้ความสำคัญกับเรื่องดีไซน์ของอาคาร และการตกแต่งภายในมากขึ้น ซึ่งทาง TC Development เองก็เข้าใจและเล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ จึงได้ทำการพัฒนา Re-Design เปลี่ยนภาพลักษณ์คอนโดมิเนียมโครงการ TC Royal พระราม 9 ใหม่ทั้งหมด จนแทบไม่เหลือภาพเดิมเลย เพราะสัญลักษณ์มงกุฎสีทองที่เราคุ้นตากันดีก็ถูกถอดออกเรียบร้อยแล้ว แถมยัง rebranding ภาพลักษณ์องค์กรให้ดูหรูหรามากขึ้น ที่สำคัญยังเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุดในชื่อ “One9Five” Asoke - Rama 9 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Luxury Life Curator” รวบรวมความเป็นที่สุดของ Luxury ไว้ในสถานที่แห่งเดียว     “One9Five” อโศก – พระราม 9 เป็นโครงการ Luxury Condominium ขนาดใหญ่กว่า 11 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนพระราม 9 ซอย 5 ในพื้นที่ New CBD ใจกลางเมือง ที่เดินทางสะดวกสบายมาก ใกล้ MRT สถานีพระราม 9 (ห่างเพียง 200 เมตร) แวดล้อมด้วยตึก Super Tower, G Tower, Central พระราม 9, Fortune และโรงพยาบาลพระราม 9 และใกล้ทางด่วนถึง 2 จุด นับว่าเป็นคอนโดขนาดใหญ่และสูงที่สุด บนถนนพระรามเก้าฝั่ง Unilever House เลยค่ะ ตัวโครงการแบ่งออกเป็น 2 อาคาร 61 ชั้น อาคาร A จำนวน 954 ยูนิต และอาคาร B จำนวน 957 ยูนิต ไฮไลท์อยู่ที่ความเป็น Privacy Living ด้วยจำนวนห้องไม่เกิน 18 ยูนิตต่อชั้น ในราคาที่จับต้องได้กว่าโครงการข้างเคียงอื่นๆ แถมยังจัดเต็มพื้นที่ส่วนกลางบนเนื้อที่กว่า 8.6 ไร่ จำนวน 3 ชั้น ให้แบบไม่มีกั๊กเพื่อรองรับความสุขของลูกบ้าน ซึ่งมาพร้อมสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ยาว 100 เมตร ที่เชื่อมกันระหว่าง 2 อาคาร และสิ่งอำนวยความสะดวกสบายอื่นๆ อย่างครบครัน   และจุดเด่นที่สำคัญของโครงการนอกจากเรื่องของทำเลศักยภาพแล้ว คือเรื่องของ Spec ที่ให้ลูกบ้านเหนือความคาดหมายเกินมาตรฐานราคาใน Segment เดียวกันไปเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นพื้น Engineering wood, Air Conceal ฝังในฝ้า ซึ่งปกติแล้วจะมีให้เฉพาะคอนโดแบบ Super luxury segment เท่านั้นนะคะ เมื่อโครงการจัดเต็มทุกสิ่งขนาดนี้ วันนี้เราจึงมีภาพอาคาร One9Five และภาพ Draft Floor Plan, Unit Plan พร้อมภาพ perspective บางส่วนจากทางโครงการมาให้ดูก่อนใครด้วยค่ะ   ภาพอาคาร One9Five อโศก – พระราม 9 Master Plan โครงการนะคะ ภาพตัวอย่าง Grand Lobby บริเวณชั้น Ground Floor ที่ดูโอ่อ่า กว้างขวาง ไม่เหมือนดั่งคอนโดฯ ทั่วไป ภาพตัวอย่าง ห้อง Mail Box บริเวณชั้น Ground Floor ดูหรูสมกับคอนเซ็ปต์ Luxury Life Curator ด้วยการใช้วัสดุที่สื่อถึงความหรูหราและอบอุ่นอย่างหินอ่อนและไม้เป็นหลัก นอกจากนี้ยังซ่อนแสงไฟตามหลืบผนังและเพดานเพื่อความสวยงาม สบายตา แปลนพื้นที่บริเวณชั้น 8 นะคะ จะเป็น Facility ทั้งหมด ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างอาคาร A และ B Facility หลักของชั้น 8 จะเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ยาว 100 เมตร ที่เชื่อมกันระหว่าง 2 อาคาร ซึ่งได้รับการออกแบบให้ดูทันสมัยล้อกับรูปลักษณ์ใหม่ของอาคาร ด้วยการใช้เส้นสายเรขาคณิตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานดีไซน์ ภาพตัวอย่างห้อง Private Spa บริเวณ Facility ชั้น 8 ภาพตัวอย่างห้อง Residential Lounge บริเวณ Facility ชั้น 8 ภาพตัวอย่างห้อง Fitness Center บริเวณ Facility ชั้น 8 ภาพตัวอย่างห้อง Kid's Club บริเวณ Facility ชั้น 8 ภาพตัวอย่างห้อง Golf Simulator Room บริเวณ Facility ชั้น 8 แปลนพื้นที่บริเวณชั้น 61 นะคะ ซึ่งจะเป็น Facility ส่วนที่เหลือบางส่วน ภาพตัวอย่างห้อง Sky Residential Lounge บริเวณ Facility ชั้น 61 ภาพตัวอย่างห้อง Private Sky Meeting Room บริเวณ Facility ชั้น 61 แปลนของยูนิตพักอาศัยนะคะ ซึ่งทุกห้องมีจุดเด่นอยู่ที่ Private Corner view ไม่เหมือนคอนโดฯ ทั่วไป แปลนห้อง 1 Bedroom Deluxe ขนาด 36 - 41 ตารางเมตร แปลนห้อง 1 Bedroom Junior ขนาด 25.5 - 35.5 ตารางเมตร แปลนห้อง 2 Bedrooms 2 Bathrooms ขนาด 55 - 68 ตารางเมตร ภาพตัวอย่างห้องพักอาศัย Type A ในส่วนของ Living Room ภาพตัวอย่างห้องพักอาศัย Type A ในส่วนของ Master Bedroom ที่ดูหรูหราโอ่อ่า โอบล้อมไปด้วยหน้าต่างกระจกใส ภาพตัวอย่างห้องพักอาศัย Type D ในส่วนของ Living Area ที่ดูกว้างขวางและน่าใช้งานเป็นอย่างดี ภาพตัวอย่างห้องพักอาศัย Type D ในส่วนของ Master Bedroom ที่ดูหรูหราและทันสมัยไปพร้อมๆ กัน สำหรับการออกแบบนั้นบอกได้คำเดียวว่าน่าสนใจจริงๆ ค่ะ เพราะ “One9Five” อโศก – พระราม 9 เป็นโครงการที่ร่วมกันพัฒนาสร้างสรรค์จากทีม Designer ระดับท็อปของเมืองไทย อย่าง Shma, LEOINTER และ PIA เรียกได้ว่าครบเครื่องทั้งเรื่องของ Architect, Interior และ Landscape จนสร้างเสียงฮือฮาให้กับวงการอสังหาฯ ตั้งแต่ยังไม่ได้ก่อสร้าง นับว่าเป็นคอนโดมิเนียมอีกหนึ่งโครงการที่น่าจับตาเป็นอย่างมาก อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะอยากทราบรายละเอียดแล้วว่า..เหล่าทีมดีไซเนอร์ระดับท็อปของเมืองไทยนั้นมีผลงานอะไรที่น่าสนใจ และมีแนวคิดในการออกแบบ โครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 ให้สวยงามและแตกต่างจากโครงการอื่นอย่างไร ลองมาดูกันค่ะ   Shma เส้นสายที่ดูเรียบง่าย กับงานออกแบบสไตล์โมเดิร์นที่นำเสนอผ่านวัสดุที่ให้สีสัน ผิวสัมผัสล้อเลียนกับธรรมชาติ และบริบทโดยรอบผสมผสานกับการใช้พรรณไม้ท้องถิ่น นับเป็นเอกลักษณ์ของ Shma (ฉมา) ทีมดีไซเนอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ Landscape อับดันต้นๆ ของเมืองไทย ที่ทำงานออกแบบและให้คำปรึกษาด้านภูมิสถาปัตยกรรม ภูมิทัศน์เมืองของโครงการหลากหลายขนาดทั้งในและต่างประเทศ ตั้งแต่ที่อยู่อาศัย สถานที่พักผ่อน ไปจนถึงงานวางผังและงานวิจัย มีผลงานที่สร้างชื่อเสียงจากการพัฒนาพื้นที่สีเขียวเครือข่ายมักกะสัน Friends of the River (FOR), การเข้าร่วมพัฒนาย่านเจริญกรุงให้กลายเป็น Creative District และสร้างสวนสาธารณะใต้ทางด่วน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและสร้างประโยชน์ใช้สอยในที่รกร้าง นอกจากนี้ยังมีผลงานเก่าๆ ที่ออกแบบให้กับโครงการชั้นนำไว้มากมาย จึงไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไม Shma ถึงถูกคัดเลือกให้เข้ามาเป็นผู้ดูแลเรื่อง Landscape ในโครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 ทั้งหมด ซึ่งพื้นที่ภายในโครงการมีเนื้อที่ขนาดใหญ่ราว 7-8 ไร่ แถมทีมดีไซเนอร์ยังใส่รายละเอียดเต็มที่กับแนวคิด Fruit Forest – Sky Hill ให้ความรู้สึกเสมือนยกภูเขาทั้งลูกมาไว้ในคอนโดมิเนียม อย่างที่ไม่เคยเห็นที่โครงการไหนมาก่อน เพียงแค่ทราบแนวคิดก็มั่นใจได้เลยค่ะว่าพื้นที่สวนของโครงการนั้นจะต้องงดงาม น่าพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติที่โอบล้อมไปด้วยงานดีไซน์ และน่าจะเป็นอีกหนี่งผลงานที่สามารถเป็น reference แนวคิดสวนของโครงการคอนโดมิเนียมในอนาคตได้อีกด้วย พื้นที่ Landscape รอบโครงการ โอบล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีพร้อมบ่อน้ำที่เปรียบเสมือนลำธาร ด้วยเส้นสายที่เฉียบคมลับกับดีไซน์ของตัวอาคาร   LEO INTER LEO Inter (เลโอ อินเตอร์) ก็เป็นอีกหนึ่งทีมดีไซเนอร์ที่มีฝีมือไม่ธรรมดา เพราะฝากผลงานเด่นๆ ในการออกแบบตกแต่งภายใน งานสถาปัตยกรรม และการวางแผนพื้นที่มาไม่น้อย ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 30 ปี จนทำให้ เลโอ อินเตอร์เนชั่นแนล ดีไซน์ กรุ๊ป ได้รับการจัดให้อยู่ในระดับแนวหน้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม และรีสอร์ท ทั้งยังได้ทำงานร่วมกับโรงแรมนานาชาติระดับ 5 ดาวที่มีชื่อเสียง เช่น Shangri-La, Accor, Marriott, Hilton, Moevenpick, Intercontinental, Dusit Thani, Sheraton, Taj Hotels, Kempinski, Marco Polo เป็นต้น นอกจากนี้ยังฝากผลงานการออกแบบคอนโด luxury ที่น่าสนใจอย่าง Marque, ESSE ASOKE มาแล้ว จากประสบการณ์อันยาวนานประกอบเข้ากับฝีมือที่ใครต่างก็ยอมรับ LEO Inter จึงเข้ามาเป็นทีมดีไซเนอร์ออกแบบ Facility, ส่วนกลาง และตัวอาคารหลักๆ ของ โครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 ให้โดดเด่น ไม่เหมือนใคร ออกแบบให้ฉีกรูปแบบไปจากเดิมมาก จนกลายเป็นคอนโดมิเนียมหรูระดับไฮเอนด์ สไตล์โมเดิร์น luxury ที่ทันสมัย จุดเด่นอยู่ที่การเลือกใช้แต่วัสดุคุณภาพเกรดดีที่สุด รวมถึงแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อความคุ้มค่าในการอยู่อาศัย ซึ่งดูจากภาพ perspective แล้วจะเห็นได้เลยค่ะว่าทุกรายละเอียดของงานดีไซน์นั้นล้วนแต่ทำให้คอนโดมิเนียมดูหรูหราเกินราคาจริงๆ ภาพตัวอย่างห้อง Library Room ส่วนหนึ่งของ Facility ชั้น 8 เป็นผลงานการออกแบบของ LEO INTER ในสไตล์โมเดิร์น luxury ที่ดูหรูหราและทันสมัยไปพร้อมๆ กัน โดยใช้แต่วัสดุคุณภาพอย่างหินอ่อนที่นำมากรุผนังและปูพื้น ซึ่งสะท้อนถึงความสง่างาม และชวนสัมผัสได้เป็นอย่างดี   PIA Interior ทีมดีไซเนอร์สุดท้ายที่หลายคนน่าจะคุ้นหูคุ้นตากันดีกับ PIA Interior สตูดิโอออกแบบตกแต่งภายในอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ที่ฝากผลงานมาแล้วมากมายทั้งในห้างสรรพสินค้า, โรงแรมหรู, สำนักงาน, สปา, ร้านอาหาร, โรงภาพยนตร์ รวมถึงบ้านพักอาศัยหลายแห่ง และยังพิสูจน์ฝีมือกับคอนโดมิเนียม luxury segment ของเมืองไทยมาแล้วแทบทั้งนั้น รวมถึง โครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 นี้ PIA ก็ได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาดูแลเรื่องการออกแบบและตกแต่งภายในห้องพัก โดยทีมดีไซเนอร์ก็ได้คิดและออกแบบมาเพื่อคนที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ทั้งระบบ ventilation ภายในอาคาร ซึ่งถ้ามองจากภาพ Draft Unit Plan ที่เรานำมาให้ดูเป็นตัวอย่างข้างต้น จะเห็นเลยว่าจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบ size space ภายในห้องให้ดูกว้างขวาง โดยทำให้ห้องส่วนใหญ่เป็นห้องหัวมุมมากถึง 60% ซึ่งนับว่ามีจำนวนมากกว่าคอนโดฯ ทั่วไป ส่วนเอกลักษณ์ที่หลายคนสัมผัสได้จาก PIA ในผลงานสไตล์ luxury นั้น จะแฝงไปด้วยความมีระดับในทุกรายละเอียด หากลองสังเกตให้ลึกลงไปอีกนิดผลงานของ PIA ไม่ได้มีเพียงแค่ความหรูหราเท่านั้นนะคะ แต่ยังผ่านการพิจารณาถึงบริบทต่างๆ มาแล้วอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะลงมือเนรมิตพื้นที่ต่างๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้อย่างตรงใจ จนเป็นที่กล่าวขานกันในวงการอสังหาฯ ถึงงานดีไซน์ที่เฉียบคม ทำให้เชื่อมั่นได้เลยค่ะว่าห้องพักที่ทางทีมดีไซเนอร์ออกแบบนั้นต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีความละเมียดละไม คุ้มค่าทุกตารางเมตรแน่นอน แน่นอนว่าเหตุผลในการตัดสินใจซื้อคอนโดฯ สักแห่ง คำตอบแรกก็คงเป็นเรื่องของทำเลที่ตั้ง แต่อยากให้พิจารณาให้ดีก่อนนะคะ เพราะองค์ประกอบอื่นอย่าง ชื่อแบรนด์, การจัดวาง Layout, ขนาดห้อง, ฟังก์ชั่นการใช้งาน, เรื่องการเดินทาง ตลอดจนพื้นที่ส่วนกลาง รวมไปจนถึงการออกแบบและตกแต่งทั้งภายนอกและภายใน ก็ล้วนแต่มีความสำคัญทั้งสิ้น ซึ่งโครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 ของ TC Development นี้ ก็ล้วนแต่ตอบโจทย์ความต้องการได้ดี ยิ่งเรื่องของงานดีไซน์ก็นับว่ามีความโดดเด่นและน่าสนใจมากที่สุด เพราะทุกพื้นที่ของโครงการในทุกตารางเมตรต่างได้รับการออกแบบจากเหล่า Designer ระดับท็อปของเมืองไทย ให้เป็นศูนย์รวม Luxury ไว้ในพื้นที่แห่งเดียวแล้ว ยังทำให้วงการออกแบบบ้านเราเติบโตและเป็นที่รู้จักมากขึ้นอีกด้วย ท้ายที่สุดคงยากจะปฏิเสธจริงๆ ค่ะว่า โครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 เป็นอีกหนึ่งคอนโดมิเนียมหรูที่น่าสนใจมากที่สุดในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายใน Q1 ปี 2018 สำหรับผู้ที่สนใจอดใจรออีกนิดเดียวค่ะ ถ้าห้องตัวอย่างเสร็จเมื่อไหร่ทีมงานจะรีบเข้าไปเก็บข้อมูลมาทำรีวิวให้ดูก่อนใครแน่นอน พิเศษ! สำหรับแฟนๆ ชาว Review Your Living ทางโครงการแอบกระซิบให้ทีมงานนิดนึงว่า...ทางโครงการจะมีงาน VVIP Sale ให้เฉพาะลูกค้าที่ลงทะเบียน online ผ่าน www.one9five.com ในวันอาทิตย์ที่ 11 ก.พ. 61 นี้ที่โรงแรม Park Hyatt Bangkok ซึ่งถ้าอ่านรายละเอียดจากบทความพร้อมภาพตัวอย่างที่เรานำมาฝากแล้ว คงตัดสินใจไปงานได้ง่ายขึ้นแน่นอน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ โทร. 063 828 8999  
“เดอะทรี ลาดพร้าว 15” คอนโดใหม่ในเมือง ราคาไม่เกิน 2 ล้าน เพื่อเติมเต็มทุกด้านของชีวิต

“เดอะทรี ลาดพร้าว 15” คอนโดใหม่ในเมือง ราคาไม่เกิน 2 ล้าน เพื่อเติมเต็มทุกด้านของชีวิต

พฤกษา ผู้นำวงการอสังหาฯ รุกหนัก เตรียมเปิดตัวคอนโดใหม่ ภายใต้แบรนด์ “เดอะทรี” ทำเลในเมือง ซอยลาดพร้าว 15 ชูจุดขายเรื่องให้สิ่งอำนวยความสะดวกที่มากกว่า เดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้าหลายสาย รูปแบบโครงการมีความเป็นส่วนตัว มีเพียง 214 ยูนิต เตรียมเปิดจองในงาน VIP Day 3-4 ก.พ.นี้ เริ่มเพียง 1.49 ล้านบาท นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “วันที่ 3-4 ก.พ.นี้ จะเปิดขายโครงการใหม่ “เดอะทรี ลาดพร้าว 15” ซึ่งถือเป็นทำเลที่อยู่ในเมือง สะดวกสบายในการเดินทาง... ซึ่งมีเพียงแค่ 214 ยูนิต  มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท  โดย “ย่านลาดพร้าว-จตุจักร” ถือเป็นหนึ่งในทำเลที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก เป็นทั้งศูนย์กลางห้างสรรพสินค้า, ร้านอาหาร และแหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าว, ยูเนี่ยน มอลล์, Big C, Lotus, Gourmet Market  เป็นจุดศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งทางราง ระหว่างรถไฟฟ้า BTS, MRT และ SRT มีจุด Interchange มากถึง 5 จุด และยังใกล้สวนสาธารณะขนาดใหญ่ถึง 3 แห่ง รวมกว่าหลายร้อยไร่ ไม่ว่าจะเป็นสวนจตุจักร สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ และสวนรถไฟ ซึ่งถือเป็นปอดของคนเมือง และเป็นจุดเด่นอีกจุดหนึ่งในย่านนี้ เดอะทรี ลาดพร้าว 15 สุนทรียภาพแห่งการอยู่อาศัย จากสถาปัตยกรรมที่ร่วมสมัยสไตล์นีโอคลาสสิก สู่การออกแบบที่ผสมผสานเข้ากับไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน โดยพัฒนาเป็นอาคารสูง 8 ชั้น 1 อาคาร มีแบบห้องพักให้เลือกถึง 4 แบบ ได้แก่ Superior, Deluxe, Premier และ Suite ขนาดตั้งแต่ 22.30 - 30.30 ตารางเมตร มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่มากถึง 2 โซน คือ ในบริเวณอาคารพักอาศัย และคลับเฮาส์ที่แยกออกจากตัวอาคาร ประกอบไปด้วย โถงต้อนรับแบบ Exclusive & Elegant Lobby Hall ใช้หิน White Carrara และ White Volakas ซึ่งเป็นหินจริงในการตกแต่งทั้งโถง โซนพักผ่อน Lucent & Shady Glass House สวนส่วนกลางที่มากถึง 3 จุด ได้แก่ Superior & Panoramic Grand Garden สวนพักผ่อนบนชั้นดาดฟ้า Superior & Panoramic Sky-Height Garden สวนพักผ่อนลอยฟ้า ชั้น 8 Superior & Panoramic Rooftop Garden ห้องอเนกประสงค์ Social & Connection Space สระว่ายน้ำ Refresh & Relieve Aqua Pool ห้องออกกำลังกาย Healthy & Fine Fitness เครื่องว่ายน้ำทวนกระแส Swimming Jet พร้อมมุมพักผ่อนที่ปลายสระ Blazing classic space ซึ่งตกแต่งด้วยหิน Onyx ให้แสงสามารถส่องผ่านได้ เข้าออกโครงการสะดวกสบายด้วยระบบ One Card for All Access ใช้เพียงแค่บัตรเดียวเริ่มตั้งแต่หน้าโครงการจนถึงห้องพักอาศัย ระบบไฟ LED ทั้งโครงการ ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว ด้วยจุดเด่นของโครงการทั้งในด้านของทำเล ดีไซน์ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้มากกว่าโครงการอื่นๆ ในระดับเดียวกัน สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่มองหาที่อยู่อาศัยในย่านนี้ได้เป็นอย่างดี โครงการเดอะทรี ลาดพร้าว 15 เปิดตัวในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท ผ่อนเริ่มต้นเพียง 1,999 บาท/เดือน พร้อมเปิดจองในงาน VIP Day วันที่ 3-4 กุมภาพันธ์นี้ รับส่วนลดสูงสุด 100,000 บาท และ Gift Voucher สูงสุด 15,000 บาท เปิดให้ชมห้องตัวอย่างแล้ววันนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 1739 หรือ thetreecondo.pruksa.com
ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เผยยอดเช่าพื้นที่เติบโตสูงมากกว่า 80% หลังเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปีที่ผ่านมา

ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เผยยอดเช่าพื้นที่เติบโตสูงมากกว่า 80% หลังเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปีที่ผ่านมา

กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจรในประเทศไทยเผยข่าวดีรับต้นปี อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ได้รับผลตอบรับจากกลุ่มผู้เช่าอาคารสำนักงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติดีเกินคาด ด้วยอัตรายอดเช่าพื้นที่สำนักงานสูงเกิน 80% ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี หลังจากที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อไตรมาสที่ 1 ในปีที่ผ่านมา อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค อาคารสำนักงานเกรดเอให้เช่าแห่งเดียวในย่านสุขุมวิท-บางนา ได้มีผู้ประกอบการรายใหญ่จากหลากหลายธุรกิจและอุตสาหกรรมสนใจเข้ามาจับจองพื้นที่สำนักงานเป็นจำนวนมาก อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์  จำกัด(มหาชน) รีจัส(ประเทศไทย) ผู้ให้บริการสถานที่ทำงานระดับโลก รวมถึง บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ และ คายาบา ผู้ผลิตโช้คอัพระดับโลกจากญี่ปุ่น ข้อมูลจาก CBRE ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก ระบุว่า การขาดแคลนพื้นที่สำนักงานในย่านศูนย์กลางธุรกิจในกรุงเทพฯ หรือซีบีดี (CBD) เป็นเทรนด์ที่เห็นได้ชัดเจนในช่วงหลายปีมานี้ เนื่องจากจำนวนดีมานด์ที่มีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับจำนวนซัพพลายที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งจะส่งผลให้อัตราค่าเช่าปรับสูงขึ้นตามไป เป็นเหตุให้เริ่มเห็นแนวโน้มที่หลายบริษัทพิจารณาย้ายสำนักงานไปสู่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจมากขึ้น แต่ยังคงได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง เช่น อยู่ใกล้ระบบขนส่งมวลชน ติดถนนหลัก หรือแม้แต่ใกล้ทางด่วน ด้วยเหตุนี้ จึงส่งผลให้พื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจกลายเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ในหลายๆ พื้นที่เหล่านี้ได้รับความสะดวกจากระบบขนส่งมวลชน ทำให้การเดินทางไปสู่ย่านศูนย์กลางธุรกิจเป็นไปได้ง่าย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความต้องการอาคารสำนักงานในย่านสุขุมวิท-บางนา ซึ่งมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตอันใกล้ มีแนวโน้มที่พื้นที่สำนักงานใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจมากขึ้น เช่น บางนา สุขุมวิทโซนนอก รัชดาภิเษก พระรามเก้า เป็นต้น อีกทั้ง การเติบโตอย่างรวดเร็วในภาคธุรกิจไอที สตาร์ทอัพ และบริษัทต่างๆ ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ยังได้สร้างเทรนด์ใหม่แก่ธุรกิจขนาดเล็กที่พึ่งเริ่มต้น โดยบริษัทเหล่านี้มีแนวโน้มขยับขยายจากออฟฟิศขนาดเล็กไปสู่อาคารสำนักงาน เพื่อเพิ่มประโยชน์ด้านการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร และสะดวกต่อการเข้าถึงได้โดยระบบขนส่งมวลชน นายปิติภัทร บุรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภิรัช แมนเนจเม้นท์ จำกัด ภายใต้กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี กล่าวว่า “ในฐานะผู้บุกเบิกและพัฒนาโครงการต่างๆ ในย่านสุขุมวิท-บางนา ไม่ว่าจะเป็นศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค รวมไปถึงอาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค อาคารสำนักงานเกรดเอแห่งแรกในย่านสุขุมวิท-บางนา ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่อาคารแห่งนี้ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เช่าในหลากหลายธุรกิจส่งผลให้ปัจจุบันอาคารมีอัตราเช่าพื้นที่สูงกว่า 80% ภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งปี ซึ่งเป็นหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าย่านสุขุมวิท-บางนาเป็นย่านที่มีศักยภาพในการเติบโต และมีแนวโน้มว่าจะมีความต้องการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานในย่านนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มบริษัทภิรัชบุรีเองมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานต่อไปในรูปแบบต่างๆเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอาคารสำนักงานอย่างครบวงจร” “และเพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของตลาดที่สูงขึ้นในย่านสุขุมวิท-บางนา กลุ่มบริษัทภิรัชบุรีได้เปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด ซัมเมอร์ ลาซาล ออฟฟิศแคมปัสในย่านสุขุมวิท-บางนา ที่เข้ามาตอบโจทย์ช่องว่างทางการตลาดของผู้เช่าสมัยใหม่ที่นิยมทำงานแบบอิสระ มีตารางเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น และสามารถจัดสรรชีวิตการทำงานได้อย่างสะดวกสบาย โดยโครงการให้ความสำคัญกับเรื่องของคุณภาพชีวิตที่ดีและสร้างแรงบันดาลในในการทำงานให้กับพนักงาน  ด้วยอาคารสำนักงานรูปแบบใหม่ในรูปแบบ Low Rise ที่ตอบโจทย์ตั้งแต่ธุรกิจ MNCs ไปจนถึงธุรกิจขนาดกลางได้เป็นอย่างดี จุดเด่นที่สำคัญของโครงการซัมเมอร์ ลาซาล คือการพัฒนาพื้นที่ตามแนวราบขนาดบนเนื้อที่กว่า 61 ไร่ โดยให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวในโครงการในสัดส่วนที่มากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผมเชื่อว่าจะสามารถดึงดูดผู้เช่าสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี ” นายปิติภัทร บุรี กล่าวเพิ่มเติม อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เป็นอาคารสำนักงานเกรดเอสูง 29 ชั้น ตั้งอยู่ภายในอาณาบริเวณของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าบางนา มีขนาดพื้นที่สำนักงานให้เช่า 32,000 ตารางเมตร โดยมีพื้นที่สีเขียวส่วนกลาง (Roof Garden) และเส้นทางวิ่ง (Jogging Track) ขนาด 2,200 ตารางเมตร ที่ชั้น 29 นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นทัศนียภาพของกรุงเทพมหานครจากมุมสูง ทั้งแม่น้ำเจ้าพระยา และ บางกระเจ้า ซึ่งถือเป็นพื้นที่ปอดสีเขียวของกรุงเทพมหานคร โดยอาคารสำนักงานแห่งนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมิกซ์ยูส ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน
โฮมไพร์ส แพลตฟอร์มกลางของวงการตกแต่งบ้าน และแหล่งรวมสินค้าเพื่อการแต่งบ้านทุกชนิดจากหลากหลายแบรนด์ เปิดตัว PropTech สุดล้ำครั้งแรกของเอเชีย พร้อมเทคโนโลยี 3D Interactive

โฮมไพร์ส แพลตฟอร์มกลางของวงการตกแต่งบ้าน และแหล่งรวมสินค้าเพื่อการแต่งบ้านทุกชนิดจากหลากหลายแบรนด์ เปิดตัว PropTech สุดล้ำครั้งแรกของเอเชีย พร้อมเทคโนโลยี 3D Interactive

ครั้งแรกของเอเชีย กับการเปิดตัว PropTech (Property Technology) สุดล้ำ โดย โฮมไพร์ส (Homeprise) แพลตฟอร์มกลางของวงการตกแต่งบ้าน และแหล่งรวมสินค้าเพื่อการแต่งบ้านทุกชนิดกว่า 50 แบรนด์ มาพร้อมกับเทคโนโลยี 3D Interactive ล่าสุด ทั้ง Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) ครั้งแรกของการแต่งบ้านด้วยแอปพลิเคชั่นบนมือถือผ่าน Homeprise (iOS และ Android ) และ Homeprise REAL (เฉพาะ iOS) อีกทั้งยังเป็น Design Service Hub แหล่งรวมดีไซเนอร์ด้านนักออกแบบตกแต่งภายในที่มี Cloud Design Technology ช่วยสนับสนุนการทำงานอย่างมืออาชีพ เพื่อสร้างโซลูชั่นใหม่ครบวงจร ให้การออกแบบและตกแต่งบ้าน สวย สะดวก งบไม่บานปลาย นายพรชัย แสนชัยชนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมไพร์ส จำกัด กล่าวว่า โฮมไพร์ส (Homeprise) เริ่มต้นจากการรวมตัวของกลุ่มคนที่มีความหลงใหลในเทคโนโลยี และการแต่งบ้าน เพื่อสร้างโมเดลธุรกิจที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเอเชีย ให้คนทั่วไปสามารถแต่งบ้านเองได้อย่างง่ายดาย ผ่านแพลตฟอร์ม ที่มีทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ โดยใช้เทคโนโลยีในการเชื่อมต่อดีไซเนอร์ทั่วประเทศเข้ากับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการแต่งบ้านได้จากทุกที่ รวมเข้ากับแพลตฟอร์มของแต่งบ้านทุกชนิดจากผู้ผลิต และผู้นำเข้าตัวจริงทั่วประเทศ โดยทุกคนสามารถเข้าถึงได้ผ่านเว็บไซต์ และแอปพลิเคชั่นของ Homeprise ทำให้การออกแบบตกแต่งบ้านมีทางเลือกมากขึ้น ควบคุมง่ายขึ้น เข้าถึงง่ายขึ้น และรวดเร็วขึ้น  สำหรับแพลตฟอร์มของ Homeprise จะเป็นประโยชน์ให้แก่ 4 กลุ่มหลัก ดังนี้ ผู้ที่ต้องการแต่งบ้าน หรือคอนโด – ช่วยให้การแต่งบ้านง่ายและสวยขึ้น ในงบประมาณที่ควบคุมเองได้จริง ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้ออกแบบเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านทั่วประเทศ โดยเฉพาะ SMEs - มีช่องทางใหม่ในการขายสินค้าในยุค e-commerce 4.0 เป็นเครื่องมือทางการตลาดสุดล้ำที่ทัดเทียมบริษัทใหญ่ ที่ได้ทั้งภาพลักษณ์ และผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างไม่เคยมีมาก่อน ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดูแลหน้าร้าน หรือออกร้านแบบเดิมๆ รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าตัวจริงมากขึ้น ดีไซเนอร์ นักออกแบบ และมืออาชีพทุกสาขาที่เกี่ยวกับบ้าน - โฮมไพร์สได้คิดค้นเทคโนโลยีช่วยการออกแบบโดยเฉพาะ ทำให้ทำงานออกแบบได้สะดวกรวดเร็วขึ้น มีระบบฐานข้อมูลสินค้าที่ผลิตจำหน่ายจริง ส่งมอบได้จริง ทำให้การสเปคสินค้าหรือออกแบบมีความแม่นยำขึ้น ลดเวลาแก้ไขงานจากการหาสินค้าตามไอเดียที่ออกแบบไปแล้วไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นช่องทางใหม่ในการเข้าถึงลูกค้าที่ต้องการมืออาชีพในการออกแบบได้อย่างแท้จริง ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ - สามารถใช้แพลตฟอร์ม Homeprise เข้าไปช่วยงานบริการลูกค้า ทั้งบริการหลังการขาย และการส่งเสริมการขาย อาทิ สร้าง Exclusive Interior Service ซึ่งในขณะนี้ โฮมไพร์ส ได้มีพันธมิตรร้านค้ากว่า 50 แบรนด์ จำนวนสินค้ามากกว่า 4,000 รายการ ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้าเกี่ยวกับบ้าน อาทิ ชุดครัว Starmark, ผลิตภัณฑ์และสุขภัณฑ์ Mogen, เฟอร์นิเจอร์ LIFESTYLE, Philos, Niiq, DEMA, PDM, Filobula, Son’Amore, Hawaii Thai, Tokyo Parawood, Fur-9, กระเบื้อง Duragress, ผลิตภัณฑ์ Pasaya, ที่นอน Omazz, Lotus, Dunlopillo และ Simmons เป็นต้น โดยที่ผ่านมาได้ช่วยออกแบบแพ็กเกจแต่งบ้านให้ลูกบ้านโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ มากกว่า 30 โครงการ และในปีนี้จะเพิ่มความร่วมมือมากขึ้นในระดับ B2B และกลุ่ม Developer 10 อันดับต้นของประเทศไทย ล่าสุดได้ร่วมมือกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำหลายแห่งในการออกแบบแพ็กเกจแต่งบ้านให้ลูกบ้านโครงการ อาทิ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จํากัด (มหาชน)  เพื่อช่วยบริการลูกบ้านในทุกโครงการให้เข้าถึงประสบการณ์ใหม่ของ Digital Home Decoration  สำหรับแอปพลิเคชั่น Homeprise ครั้งแรกของการแต่งบ้านสวยบนมือถือ ด้วยเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ผ่าน 2 แอปพลิเคชั่น Homeprise (iOS และ Android) และ Homeprise REAL (เฉพาะ iOS) นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถเลือกใช้บริการดีไซเนอร์มืออาชีพในการช่วยออกแบบตกแต่งบ้านได้อีกด้วย รวมทั้ง Homeprise ตอบโจทย์ความง่ายและสะดวก ด้วยการดีไซน์แพ็กเกจของแต่งบ้าน เพียงลูกค้าเลือกโครงการหรือแปลนบ้านของตัวเอง ก็จะสามารถเลือกบ้านดีไซน์สวยยกเซ็ตได้อย่างสะดวกรวดเร็ว สำหรับใครที่ต้องการสัมผัสสินค้าด้วยตัวเอง ก็สามารถเข้าไปชมและเลือกสรรได้ที่ Homeprise Design Studio อาคาร STWO (เอสทู) CDC (คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์) เลียบททางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ อีกด้วย ในส่วนของผลประกอบการในรอบปีที่ผ่านมา Homeprise มียอดขายรวมทั้งปีอยู่ที่ 40 ล้านบาท โดยในปี 2561 มุ่งเดินหน้าธุรกิจด้วยกลยุทธ์แบบ O2O (Online-to-Offline) โดยตั้งเป้ายอดขายรวมทั้งสิ้นอยู่ที่ 400 ล้านบาท และในเดือนพฤษภาคมนี้ จะมีการระดมทุนขยายงานผ่าน ICO (Initial Coin Offering) มูลค่ารวม 15-20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำมาลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งนับว่าเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ เพื่อบุกตลาดอาเซียน และจีนต่อไป
“วี พร็อพเพอร์ตี้” กางแผนลุยครึ่งปีแรก 2561 ส่ง “ไอคอน สุขุมวิท 77” (IKON Sukhumvit 77) By V Property รุกตลาดคอนโดมิเนียมรับต้นปี

“วี พร็อพเพอร์ตี้” กางแผนลุยครึ่งปีแรก 2561 ส่ง “ไอคอน สุขุมวิท 77” (IKON Sukhumvit 77) By V Property รุกตลาดคอนโดมิเนียมรับต้นปี

ปลื้มปี 60 โต 90% พร้อมลุยปี 2561 เปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 3,500 ล้านบาท ในครึ่งปีแรก ประเดิม “ไอคอน สุขุมวิท 77” บาย วี พร็อพเพอร์ตี้ รุกไตรมาสแรก ชูจุดขายคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ในแนวคิด Living Extraordinary คอนโดแต่งครบบนทำเลศักยภาพกับเส้นทางลัด เพียง 3 นาที ถึง BTS อ่อนนุช เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองอย่างเต็มที่ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท พร้อมส่งเพลงและมิวสิค วิดีโอพิเศษร่วมกับนักร้องหนุ่ม “แสตมป์ อภิวัชร์” สื่อสารกับลูกค้า มั่นใจดันยอดขายครึ่งปีแรก 2,000 ล้านบาท นายพรชัย เลิศอนันต์โชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2560 มียอดรอรับรู้รายได้รวม 3,000 ล้านบาท เทียบกับปี 2559 เพิ่มขึ้น 90% เนื่องจากยอดรอรับรู้รายได้จากโครงการวีธารา สุขุมวิท 36 มูลค่า 2,700 ล้านบาท “สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทปี 2561 บริษัทฯ วางแผนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนเมือง ทั้งทำเลที่ดีที่ยังเน้นในเส้นสุขุมวิท ใกล้รถไฟฟ้า เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ทั้งนี้ ในไตรมาสแรก ได้เปิดตัวโครงการใหม่ ได้แก่ ไอคอน สุขุมวิท 77 (IKON Sukhumvit 77) By V Property ซึ่งตั้งอยู่แนวรถไฟฟ้า ใกล้แหล่งคอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบาย พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน” ไอคอน สุขุมวิท 77 (IKON Sukhumvit 77) เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวนรวม 442  ยูนิต บนพื้นที่ 3-3-55 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ซึ่งมีเส้นทางลัด เพียง 3 นาที สามารถเดินทางถึง BTS อ่อนนุช ซึ่งเป็นสถานีหน้าด่านสำหรับรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว ที่ทำให้เดินทางออกนอกเมืองได้อย่างสะดวกสบาย อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับแหล่งคอมมิวนิตี้มอลล์ เพียง 20 เมตร เปรียบเสมือนมีห้างสรรพสินค้าส่วนตัวของตนเอง ไอคอน สุขุมวิท 77 มาพร้อมแนวคิด Living Extraordinary ทุกอย่างลงตัวในแบบคุณ ที่โดดเด่นด้วยการออกแบบในสไตล์โมเดิร์น (Modern Style) สะท้อนพลัง Dynamic Flow โดยการเล่น สี ที่นิ่งเรียบ เน้นการใช้พื้นที่ในห้องพักสูงสุดด้วยการขยายพื้นที่ระเบียง  เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการมีพื้นที่ใช้สอยอย่างกว้างขวาง ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่น และให้ความรู้สึกสงบผ่อนคลาย มาพร้อมอุปกรณ์ในห้องที่ครบครัน ซึ่งออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุด โดยมี 4 รูปแบบให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น สตูดิโอ 1 ห้องนอน 1 ห้องนอนพลัส และ 2 ห้องนอน “และเพื่อให้ตอบโจทย์แนวคิด Living Extraordinary เรายังเน้นสิ่งอำนวยความสะดวกในระดับพรีเมี่ยมที่ผ่านกระบวนการคิดมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น 24hr Co-thinking space พื้นที่สำหรับเปิดรับไอเดียใหม่ ๆ โดยไม่ต้องให้เวลาเป็นข้อจำกัด 24hr Dynamic Fitness ฟิตแอนด์เฟิร์มด้วยพื้นที่สุขภาพที่สามารถออกกำลังกายได้ตลอดเวลาถึงแม้จะเลิกงานดึก สระว่ายน้ำหินอ่อนสีขาว ที่มาพร้อมกับระบบนวดตัว Smart Locker  ซึ่งสามารถรับของที่สั่งจากออนไลน์ได้แม้จะหลังเวลาทำงานของนิติบุคคล นอกจากนี้ยังมี Double Volume Lobby Lounge ห้องรับรองแขกตกแต่งด้วยผนังหินอ่อนสีขาวสะท้อนความทันสมัยอย่างมีเอกลักษณ์ ทั้งยังเสริมความมั่นใจให้กับผู้พักอาศัยด้วยระบบรักษาความปลอดภัยทั้ง Digital door lock และ Individual floor locked ที่เพิ่มความปลอดภัยสูงสุดให้เจ้าของห้องพักในแต่ละชั้น กล้องวงจรปิด และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชั่วโมง “คอนเซ็ปท์การพัฒนาโครงการนี้เกิดจากการศึกษาพฤติกรรมความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย และวิเคราะห์ทำเล ซึ่งมาจากยุทธศาสตร์สำคัญของเรา ในการพัฒนาโครงการแนวสูงระดับ Luxury บริเวณรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทเป็นหลัก เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์เป็นสำคัญ รวมถึงสะท้อนตัวตนของลูกค้าผ่านที่อยู่อาศัย ที่พร้อมด้วยคุณภาพ และราคาที่เอื้อมถึงได้ ซึ่งในการเปิดตัว ไอคอน สุขุมวิท 77 ครั้งนี้ เราได้จัดทำเพลง และมิวสิควีดีโอ Modern Man ขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อสื่อถึงแนวคิดของโครงการฯ และการอยู่อาศัยที่เป็นตัวของตัวเองในสไตล์ของคนเมืองรุ่นใหม่ โดยได้ร่วมมือกับนักร้องหนุ่ม แสตมป์ - อภิวัชร์  เอื้อถาวรสุข ร่วมสร้างสรรค์และขับร้อง รวมถึงจัดทำเป็นมิวสิควิดีโอสุดพิเศษที่มีเรื่องราวสะท้อนไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของคนในแบบ Living Extraordinary เพื่อที่จะมอบเป็นความพิเศษให้กับแก่ลูกค้าของเรา โดยสามารถรับชมผ่านทาง Youtube : V Property development ในครึ่งปีแรก นอกจาก โครงการ ไอคอน สุขุมวิท 77 แล้ว เรายังมีแผนส่งโครงการใหม่ เพื่อเป็นตัวเลือกที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า อีก 1 โครงการ ได้แก่ เวอร์เทีย (Vertier) คอนโดมิเนียมบนทำเลติดรถไฟฟ้า BTS สถานีพระโขนง มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน ซึ่งคาดว่าจะทำให้ช่วงครึ่งปีแรกจะสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 2,000 ล้านบาท” นายพรชัย กล่าวในตอนท้าย ทั้งนี้ สำหรับโครงการไอคอน สุขุมวิท 77 (IKON Sukhumvit 77) จะเปิดให้จองเป็นครั้งแรก (VVIP Day) ในวันเสาร์ที่ 27 มกราคมศกนี้ เวลา 9:00-17:00 น. ณ โรงแรมแกรนด์เซ็นเตอร์พอยต์ เทอร์มินัล 21 โดยจะเริ่มลงทะเบียนและรับบัตรคิวเวลา 8.30 น. ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดสูงสุดถึง 100,000 ได้ที่ www.ikon77.com สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ โทร. 0 2204 7900 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ikon77.com หรือ https://www.facebook.com/VPropertyDevelopmentTH/
ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดตัว Wealth STAR โครงการสร้างสุดยอดที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดตัว Wealth STAR โครงการสร้างสุดยอดที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า หลังจากธนาคารได้ปรับช่องทางสาขาโดยเพิ่มพื้นที่ในการให้คำปรึกษาทางการเงินในปีที่ผ่านมา มาในปี 2561 จะเป็นปีที่ธนาคารรุกธุรกิจ Wealth ไปอีกขั้น กับการพัฒนากุญแจสำคัญคือ คน เพื่อก้าวให้ทันกับโลกการทำงานธนาคารที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วจากเทคโนโลยีที่เกิดใหม่ตลอดเวลา ช่องทางการให้บริการธุรกรรมการเงินได้รับการพัฒนาให้สะดวก เร็ว และง่ายขึ้นด้วยดิจิตอลแบงก์กิ้ง ประกอบกับความเคลื่อนไหวทางสังคมตอนนี้จะเห็นได้ว่า คนตื่นตัวเรื่องการออมการลงทุนกันมากขึ้น คนเริ่มวางแผนการเงินเพื่อดูแลตัวเองยามเกษียณ ภาครัฐเองก็ให้ความสำคัญและบรรจุเรื่องการออมไว้ในวาระแห่งชาติ ปัจจัยทั้งหมดนี้เป็นแรงผลักให้ธนาคารต้องสร้างคนการเงินเลือดใหม่เข้าสู่ตลาดการเงิน รองรับกับความต้องการที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น จนเกิดเป็นโครงการสร้างสุดยอดที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ ภายใต้ชื่อโครงการ “Wealth STAR” เพื่อเป้าหมายในการสร้างที่ปรึกษาทางการเงิน (financial advisor) สายพันธุ์ใหม่ เข้าสู่ตลาดการเงิน ส่งมอบคำปรึกษาทางการเงินที่เป็นประโยชน์และตอบโจทย์ลูกค้าด้วยความเข้าใจ ทั้งนี้ ธนาคารจะใช้จุดแข็งเรื่อง Wealth ผนวกเข้ากับประสบการณ์จากสนามการทำงานจริงของคนซีไอเอ็มบี ผสานองค์ความรู้ของผลิตภัณฑ์การเงินที่หลากหลายถึงขั้นผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนซึ่งได้รับการบูรณาการจากกลุ่มซีไอเอ็มบีทั่วทั้งอาเซียน ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้ Wealth STAR คนรุ่นใหม่ผู้มีความต้องการอันแรงกล้า (passion) ที่จะเข้ามารับบทบาทคนทำงานธนาคารยุคใหม่ ที่ไม่ได้ให้บริการเพียงแค่ฝากถอนและนำเสนอผลิตภัณฑ์ แต่เป็นงานที่ทวีความซับซ้อนและท้าทายกว่านั้น “คนที่จะมาเป็น Wealth STAR ไม่จำเป็นต้องเก่ง ผลการเรียนเป็นเลิศ จบมหาวิทยาลัยดัง จบโทเมืองนอก คนที่เราอยากได้คือเด็กรุ่นใหม่ที่มีความกระหายจะเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน รู้ว่าตัวเองอยากทำอาชีพนี้ อยากให้ความรู้คน อยากช่วยลูกค้าวางแผนการเงินด้วยการค้นหาตัวตนลูกค้ามากกว่าแค่ขายของ อยากพาลูกค้าทำฝันให้เป็นจริง อยากเห็นคนรอบข้างมีความสุข เพราะสิ่งเหล่านี้สะท้อนทัศนคติที่ดีซึ่งมีค่าและหายากกว่า เราจะเป็นพี่เลี้ยงติดปีกความรู้และฝึกฝนทักษะเพื่อสร้างคนกลุ่มใหม่เข้าสู่เส้นทางสายอาชีพการเงินในระยะเวลาอันสั้น ขณะเดียวกันคนเก่าเราก็ไม่ทิ้ง เพราะเป้าหมายที่ไกลกว่านั้น คือ เราอยากสร้างชุมชนของ financial advisor เป็นที่รวมกันของที่ปรึกษาทางการเงินรุ่นลายครามมากประสบการณ์และที่ปรึกษาทางการเงินเลือดใหม่ที่เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าเจนวายให้เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกัน” นายอดิศร กล่าว นางกนกไพ วงศ์สถิตย์พร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรัพยากรบุคคล ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เปิดเผยว่า โครงการ Wealth STAR เป็นโครงการนำร่องของธนาคารในการปรับรูปแบบการสรรหาและพัฒนาบุคลากรให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจในยุค Industry 4.0 โดยไม่จำกัดพื้นฐานความรู้หรือประสบการณ์การทำงานด้านการเงินการธนาคารเท่านั้น ดังนั้น โครงการ Wealth STAR จึงเปิดกว้างสำหรับทุกคนที่มีใจรักและปรารถนาจะเติบโตเข้าสู้สายอาชีพที่ปรึกษาทางการเงิน โดยเปิดรับสมัครนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่จบใหม่ในทุกสาขาวิชาหรือผู้ที่มีประสบการณ์ทำงานมาแล้วไม่เกิน 2 ปี และเปิดรับทั้งผู้สมัครจากภายนอกหรือพนักงานภายในที่ต้องการจะเข้าสู่สายอาชีพนี้ โครงการ Wealth STAR เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 22 มีนาคม 2561 โดยผู้สมัครจะต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกที่เข้มข้นทั้งการสัมภาษณ์โดยผู้บริหาร หรือการเข้าร่วมกระบวนการคัดสรร (Assessment Center) เพื่อเฟ้นหาผู้สมัครที่ฉายแววเป็น Wealth STAR ที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ รุ่นแรกจำนวน 25 คน โดยธนาคารจะประกาศผลการคัดเลือกวันที่ 9 พฤษภาคม 2561 นางกนกไพ เปิดเผยว่า ผู้ได้รับคัดเลือกเป็น Wealth STAR จะเข้ารับการอบรมในหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมาเฉพาะ ซึ่งได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับพื้นฐานของผู้เรียน โดยความร่วมมือระหว่างธนาคารและผู้เชี่ยวชาญจากหลายสถาบัน ภายใต้ CIMB Wealth Academy ความน่าตื่นเต้นที่รออยู่ คือ Wealth STAR ทั้ง 25 คน นอกจากจะได้เรียนรู้พื้นฐานด้านธุรกิจธนาคารและการลงทุน ทักษะการขายและการบริการ การเสริมสร้างบุคลิกภาพในบทบาทที่ปรึกษาทางการเงินอย่างมืออาชีพในห้องเรียนแล้ว จะได้ลงไปเรียนรู้การทำงานจริง (on the job training) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมสำคัญ การประชุม งานสัมมนา ซึ่งเชื่อมโยงโดยเครือข่ายอันแข็งแกร่งในอาเซียนและเครือข่ายนอกอาเซียนของ CIMB Group และ CIMB-Principal เป็นโอกาสทองของ Wealth STAR ที่จะได้เรียนรู้ พบปะ และทำงานกับกูรูการเงิน ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสายงาน จากในและต่างประเทศ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมจากองค์กรข้ามชาติอย่างกลุ่มซีไอเอ็มบีและพันธมิตรทางธุรกิจของกลุ่ม “โครงการ Wealth STAR เป็นมิติใหม่ที่รอคุณอยู่ ถ้าคุณได้เป็น Wealth STAR ตลอดการเรียนรู้คุณจะมีพี่เลี้ยง (Mentor) ทำหน้าที่ให้คำแนะนำและรับฟัง พิเศษยิ่งไปกว่านั้น ธนาคารจะเป็นสปอนเซอร์ในการสอบใบอนุญาตที่ปรึกษาทางการเงินและนักวางแผนการเงินคุณ เราจะพาคุณบรรลุเป้าหมายสุดยอดที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพสายพันธุ์ใหม่ พร้อมใบประกอบวิชาชีพใน 1 ปี แล้วถ้าคุณผ่านด่านแรกไปได้ คุณจะสามารถเริ่มต้นก้าวแรกที่แข็งแกร่งในการทำงานตำแหน่งที่ปรึกษาทางการเงินกับธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เป็นระยะเวลา 1 ปี รวมเวลาทั้งสิ้นแม้จะกินเวลาแค่ 2 ปีกับการเรียนรู้ที่บ้านหลังนี้ แต่สามารถพูดได้ว่าคุณภาพเทียบเท่ากับเส้นทางการทำงานปกติถึง 5 ปี มีโอกาสก้าวเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่มีฝีมือหาตัวจับยาก มีโอกาสเติบโตในสายอาชีพนี้แบบก้าวกระโดด อยู่ที่ว่าตัวคุณจะคว้าโอกาสนี้ไว้หรือไม่” นาง กนกไพ กล่าว ผู้สนใจสามารถยื่นใบสมัครได้ที่ www.cimbthai.com หรือ wealthacademy@cimbthai.com ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. - 22 มีนาคม 2561 สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02 626 7777
เนอวานา บียอนด์ พระราม 2 เปิดตัวบ้านเดี่ยว 2 ชั้นแบบใหม่ครั้งแรก ชูจุดเด่นดีไซน์ ฟังก์ชัน และความแข็งแรง รองรับครอบครัวใหม่ที่มองหาบ้านเดี่ยว ในโครงการพรีเมี่ยม และกลุ่มสร้างบ้านบนที่ดินตัวเอง

เนอวานา บียอนด์ พระราม 2 เปิดตัวบ้านเดี่ยว 2 ชั้นแบบใหม่ครั้งแรก ชูจุดเด่นดีไซน์ ฟังก์ชัน และความแข็งแรง รองรับครอบครัวใหม่ที่มองหาบ้านเดี่ยว ในโครงการพรีเมี่ยม และกลุ่มสร้างบ้านบนที่ดินตัวเอง

เนอวานา ไดอิ เปิดบ้านเดี่ยว 2 ชั้นรูปแบบใหม่ครั้งแรก ประเดิมโครงการเนอวานา บียอนด์ พระราม 2 พร้อมเปิดตัว 3 แบบบ้านใหม่สไตล์โมเดิร์น เน้นการใช้ Human-Centered Design ในการออกแบบ พร้อมตอบโจทย์ในการอยู่อาศัยของกลุ่ม 3 GENS และรองรับกลุ่มขยายครอบครัวใหม่ สนนราคาเริ่มต้น 15-30 ล้านบาท รวมถึงยังรองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านบนที่ดินตัวเอง    นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) หรือ NVD เปิดเผยว่า บ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ เนอวานา บียอนด์ มีรูปแบบที่โดดเด่น พร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบรับการอยู่อาศัยได้ตรงกับความต้องการ ทุกโครงการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่ ศรีนครินทร์ และพระราม 2 ซึ่งในทุกๆ โครงการของ เนอวานา บียอนด์ ได้ออกแบบให้มีความโดดเด่นในแง่รูปลักษณ์และการใช้งานเน้นการออกแบบด้วย Human-Centered Design คือ คำนึงถึงประสบการณ์ของผู้อยู่อาศัยเป็นสำคัญ ทำให้เราดีไซน์ฟังก์ชันและพื้นที่ใช้สอยตรงกับความต้องการ  ทำเลและสินค้าจะต้องตอบโจทย์ในการอยู่อาศัยของลูกค้าอย่างสูงสุด “เนอวานา บียอนด์ พระราม 2 เป็นโครงการบ้านเดี่ยว ที่ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่พระราม 2 เราได้วิเคราะห์ ความต้องการของลูกค้าในทำเลนี้ พบว่าเป็นกลุ่มครอบครัวขยาย อยู่ด้วยกัน 3 เจนเนอเรชั่น (3GENS) ต้องการหาบ้านหลังใหญ่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เดินทางเข้าเมืองสะดวก และไม่ไกลจากทำเลที่คุ้นเคย เราจึงพัฒนาโครงการนี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้อย่างชัดเจน ทำให้เราได้แบบบ้าน ที่เหมาะกับความต้องการอย่างแท้จริง สำหรับโครงการนี้เป็นโครงการแรกที่เรานำบ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่มานำเสนอลูกค้าเพื่อตอบรับกับความต้องการที่หลากหลาย เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าเพิ่มขึ้น  โดยดีไซน์ใหม่นี้เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกของบ้านเนอวานา บียอนด์ ที่ต่างจากบ้านเนอวานา บียอนด์ รูปแบบแรก ที่จะเป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น เล่นระดับ โดยบ้านเดี่ยว 2 ชั้น รูปแบบใหม่มีให้เลือกทั้งสิ้น 3  คือ แบบ Sane แบบ Reach และ แบบ Quest มีพื้นที่ใช้สอยเริ่มที่ 232 – 365 ตารางเมตร บนที่ดินขนาดใหญ่ 60 – 100 ตารางวา ถูกออกแบบโดย เน้น space management ที่ดี ยังคงจุดแข็งเรื่องการออกแบบของบ้านเนอวานา ที่ยังมี Space โปร่งโล่ง ไม่ว่าจะเป็น High Ceiling หรือ Double Volume Space ห้องนอนทุกห้องถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่มีห้องน้ำในตัว เสมือนเป็น Master Bedroom ทุกห้อง เพื่อให้ทุกคนได้อยู่อาศัยอย่างสบาย อีกทั้งโครงการยังออกแบบให้มีห้องนอนบริเวณชั้นล่างในทุกแบบ เพื่อตอบรับ ผู้สูงอายุ ของกลุ่มลูกค้า 3GENS ในราคาเริ่มต้นเพียง 15-30 ล้านบาท” นายศรศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับบ้าน 2 ชั้นรูปแบบใหม่นี้ ใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างระบบ Prestressed concrete ซึ่งมีความแข็งแรง ทนทาน มีคุณภาพ และได้มาตรฐาน เพราะผลิตจากทางโรงงานของเราโดยตรง แต่ยังคง Concept ของบ้าน Nirvana ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Design, Space Management ที่ดี รวมถึงเรื่อง  การนำแสง และลมธรรมชาติเข้ามาใช้ในบ้านให้มากที่สุด ซึ่งทำให้บ้าน โปร่ง โล่ง สบาย อากาศหมุนเวียนได้ดี การใช้ผนัง Prestressed concrete ที่หนาถึง 15 เซนติเมตร พร้อมใช้กระจก Low E ทำให้บ้านเย็น ป้องกันความร้อน และเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดี การออกแบบภายในแบบ Double volume space ที่ทำให้บ้านภูมิฐาน  โดดเด่น และโปร่งโล่ง ด้านนายนันทชาติ กลีบพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน)  กล่าวเสริมว่า  การเปิดตัวบ้านในครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดตัวอีก 1 ธุรกิจของเราด้วย คือ การรับสร้างบ้านบนที่ดินของลูกค้า ซึ่งเรามีความพร้อมที่จะรุกธุรกิจรับสร้างบ้านอย่างเต็มตัว โดยใช้ความได้เปรียบในแง่ของ Design ที่ดีเป็นหลัก และงานก่อสร้างที่มีมาตรฐานและส่งมอบบ้านได้ตรงเวลาทำให้ลูกค้าได้รับสินค้าและบริการอย่างพอใจ อีกทั้งเป็นครั้งแรกในวงการรับสร้างบ้านที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่จะได้เห็นบ้านจริง Space จริง วัสดุจริง ก่อนตัดสินใจสร้างบ้านเพราะเรามีบ้านตัวอย่างให้ลูกค้าได้ดูก่อนตัดสินใจครบทุกแบบ “สำหรับในทำเลพระราม 2 เรามองว่าสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก ในระดับ B ขึ้นไปได้หลากหลายมากขึ้น และปัจจุบันทำเลพระราม 2 ถือว่าเป็นทำเลที่มีการเติบโตสูง มีความคล่องตัวในการอยู่อาศัยและการเดินทาง สามารถเชื่อมตรงไปยังย่านใจกลางเมือง ไม่ว่าจะเป็นพระรามสี่ พระรามสาม สีลม สาธร ได้รวดเร็วใช้เวลาไม่เกิน 30-50 นาที และในอนาคตมองว่าทำเลพระราม 2 จะมีมูลค่าของสินทรัพย์สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการขยับขยายเมืองออกมาสู่ภายนอกมากขึ้น หากสังเกตจะเห็นได้ว่าทำเลนี้มีการเปลี่ยนแปลงมาตลอด โดยเฉพาะถนนพระรามสองที่เชื่อมโยงถึงเมืองมหาชัยที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีคอมมูนิตี้มอลล์ โมเดิร์นเทรด หรือห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ มาเปิดใหม่ตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับกำลังซื้อที่สูงขึ้นจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจ SME ในทำเลพระราม 2 และมหาชัย เชื่อว่าอนาคตของทำเลพระราม 2 ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง“ นายนันทชาติ กล่าว  นายนันทชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการ เนอวานา บียอนด์ พระราม 2 พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว 2-3 ชั้น ขนาดที่ดินเริ่มต้น 50.5 – 102 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 232 – 550 ตารางเมตร จำนวน 120 ยูนิต แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น จำนวน 66  ยูนิต และ บ้านเดี่ยว 2 ชั้นรูปแบบใหม่ จำนวน 54 ยูนิต บนเนื้อที่โครงการทั้งหมด 41-2-88 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท ในราคาเริ่มต้นที่ 15 ไปจนถึง 50 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพติดถนนใหญ่พระราม 2 เยื้องเซ็นทรัล ใกล้จุดขึ้น-ลง ทางด่วน 2 ทาง ทั้งทางด่วนเฉลิมมหานคร เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว ทางด่วนวงแหวนอุตสาหกรรม(บางพลี-พระราม 2) กาญจณาภิเษก ใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ เซ็นทรัล พระราม 2, โลตัส, บิ๊กซี, โฮมโปร เป็นต้น โครงการมีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่กว่า 4 ไร่ ทำให้ลูกค้าได้อยู่อาศัยท่ามกลางธรรมชาติ มีระบบความปลอดภัยระดับ premium ทั้งตัวโครงการ และภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น Double gate entrance / CCTV / 24hr security guard / Digital door lock / Magnetic sensor / Motion sensor light / Smoke detector ทำให้ลูกค้ามั่นใจในเรื่องความปลอดภัยในการอยู่อาศัย ปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 30% มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ทั้งนี้โครงการจะเปิดให้ชมบ้านเดี่ยว 2 ชั้นรูปแบบใหม่เป็นครั้งแรก โดยได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับลูกค้าที่สนใจบ้าน ในโครงการ เนอวานา บียอนด์ พระราม 2 โดยได้คัดเลือกบ้านแปลงสวยในราคาเริ่มต้นเพียง 15 ล้านบาท ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1787    
แสนสิริประกาศบุกหนักแนวราบ ชิงยอดขายต้นปี ประเดิมโครงการแรก “บุราสิริ บางนา” มูลค่าโครงการ 2,200 ลบ. พรีเซลล์ 3-4 ก.พ.นี้

แสนสิริประกาศบุกหนักแนวราบ ชิงยอดขายต้นปี ประเดิมโครงการแรก “บุราสิริ บางนา” มูลค่าโครงการ 2,200 ลบ. พรีเซลล์ 3-4 ก.พ.นี้

ตลาดอสังหาฯ เดือดตั้งแต่ต้นปี ดีเวลลอปเปอร์ค่ายใหญ่ แสนสิริ นำทัพโดย คุณวิลาสิณี เดชอมรธัญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ สั่งบุกหนักแนวราบ ชิงยอดขายก่อนใคร ประเดิมโครงการแรก “บุราสิริ บางนา” มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท จำนวน 327 ยูนิต ใกล้จุดขึ้นลงทางพิเศษบูรพาวิถี  และเชื่อมต่อถนนหลายเส้นทาง ทั้งถ.เทพารักษ์     ถ.บางนา-ตราด รวมทั้งใกล้สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ดีไซน์โดดเด่นภายใต้คอนเซ็ปต์ “วิถีชีวิตริมน้ำ” (THE  HIGH LIFE ON THE RIVERBANK) ร่มรื่นกับพื้นที่สวนขนาดใหญ่ 3 ไร่ ตอบรับการพักผ่อนแบบจัดเต็ม อีกทั้งชูความเป็นผู้นำเทคโนโลยีสุดล้ำ ด้วย SIRI Lifetech เตรียมพรีเซลส์ 3-4 ก.พ.นี้ เริ่มต้นที่ 4.19 ล้านบาท พิเศษ! เฉพาะวันงาน มอบส่วนลดเพิ่มถึง 100,000 บาท แอบกระซิบว่าโครงการนี้น่าจองมาก เหมาะกับทุกเจน พร้อมดีไซน์ฟังก์ชั่นสำหรับผู้สูงอายุ Elderly care  Solution แถมยังอยู่ย่านบางนาทำเลว้าวมาแรง ที่เร็วๆ นี้ปี’63 กำลังจะสร้าง Trust City  ศูนย์การแสดงสินค้าระดับโลกครบวงจรที่สุดแห่ง AEC คาดว่าดีมานด์ต้องพุ่งปรี๊ดแน่นอน สนใจลงทะเบียนได้เลยที่เว็บไซต์ https://www.sansiri.com/singlehouse/burasiri-bangna/th หรือ โทร Call Centre.1685  
ศุภาลัย เดินเกมบุกอสังหาฯ จังหวัดชลบุรี พร้อมเปิดโครงการใหม่ ทำเลดี ใกล้ชายหาดบางแสน

ศุภาลัย เดินเกมบุกอสังหาฯ จังหวัดชลบุรี พร้อมเปิดโครงการใหม่ ทำเลดี ใกล้ชายหาดบางแสน

บมจ.ศุภาลัย บุกตลาดอสังหาฯ จังหวัดชลบุรี เตรียมเปิด “ศุภาลัย พรีโม่ บางแสน” ติดถนนใหญ่ ใกล้แหล่งชุมชน เพียง 5 นาที ถึงชายหาดบางแสน Pre-Sales 27-28 มกราคม 2561 นี้ ณ สำนักงานขาย พร้อมพบสิทธิพิเศษมากมาย นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดชลบุรีมีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น ความต้องการที่อยู่อาศัยยังมีอยู่มาก ประกอบกับในอนาคตจะมีโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงกรุงเทพ-ชลบุรี-ศรีราชา-ระยอง ทำให้เกิดการเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน คาดว่าจะสามารถดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ในจังหวัดชลบุรีจำนวน 7 โครงการ และล่าสุดได้เข้าไปเปิดตัวโครงการใหม่ “ศุภาลัย พรีโม่ บางแสน” ชูแนวคิด “บ้านสวยทำเลดี ใกล้ชายหาดบางแสน” “ศุภาลัย พรีโม่ บางแสน” มูลค่าโครงการ 563 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการประมาณ 21 ไร่ ออกแบบสไตล์โมเดิร์น ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม 3 - 4 ห้องนอน 2 - 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 113 - 175 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นเพียง 2.19 ล้านบาท ใส่ใจทุกรายละเอียดของการออกแบบ ตลอดจนเลือกสรรวัสดุที่มีคุณภาพ ประหยัดพลังงาน ให้คุณได้เต็มอิ่มกับการพักผ่อนหรือพักตากอากาศอย่างเป็นส่วนตัว พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ สวนส่วนกลาง ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV และระบบเข้า - ออกอัตโนมัติ Easy Pass โดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่ ใกล้แหล่งชุมชน เพียง 5 นาที ถึงชายหาดบางแสน สะดวกสบายทุกการเดินทาง ใกล้ถนนมอเตอร์เวย์ แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่สำคัญ อาทิ ตลาดหนองมน บิ๊กซี แหลมทอง มหาวิทยาลัยบูรพา และชายหาดบางแสน สำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยใกล้ชายหาดบางแสน เชิญเลือกแปลงโดนใจในราคาพิเศษ  ก่อนใครในงาน Pre-Sales 27-28 มกราคม 2561 นี้ พร้อมพบสิทธิพิเศษมากมาย ณ สำนักขายโครงการ โทร. 1720 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.supalai.com
เมเจอร์ฯ เปิดตัว “มิวนีค หลังสวน” คอนโดฯ หรูฟรีโฮลด์ในทำเลหลังสวน ราคาเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท เปิดจอง 10 – 11 ก.พ.นี้

เมเจอร์ฯ เปิดตัว “มิวนีค หลังสวน” คอนโดฯ หรูฟรีโฮลด์ในทำเลหลังสวน ราคาเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท เปิดจอง 10 – 11 ก.พ.นี้

เมเจอร์ฯ ตอกย้ำผู้นำอสังหาฯระดับลักซ์ชัวรี่  เปิดตัว “มิวนีค หลังสวน” (MUNIQ Langsuan) คอนโดฯหรู ไฮไรซ์แบบฟรีโฮลด์ มูลค่า 4,085 ล้านบาท  ดีไซน์เหนือระดับบนทำเลสุดพรีเมียมใจกลางเมือง แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และใกล้สวนลุมพินี ดีเดย์เปิดจอง 10 - 11 ก.พ.นี้ หลังประสบความสำเร็จอย่างสูงกับโครงการ  “MUNIQ Sukhumvit 23” (มิวนีค สุขุมวิท 23) คอนโดมิเนียมหรูไฮไรซ์ บนทำเลระดับพรีเมียมย่านอโศก - สุขุมวิท มูลค่า 2,800 ล้านบาท ไปเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา ล่าสุด เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่  ต้อนรับศักราชใหม่ด้วยการเปิดตัวเมกะโปรเจ็กต์ “มิวนีค หลังสวน” (MUNIQ Langsuan) คอนโดมิเนียมหรูไฮไรซ์แบบฟรีโฮลด์ (Freehold) ที่สามารถส่งต่อเป็นมรดกล้ำค่าแก่ทายาท บนทำเลพรีเมียมใจกลางเมืองย่านหลังสวน เชื่อมต่อถนนสารสิน ถนนต้นสน และถนนวิทยุ ซึ่งถือเป็นย่าน CBD ของกรุงเทพฯ  เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS ชิดลม ใกล้ทางด่วนเพลินจิต และพระราม 4 แวดล้อมด้วยสถานที่สำคัญและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ศูนย์การค้าชั้นนำ สถาบันการศึกษา โรงแรมหรู โรงพยาบาล ธนาคาร ร้านอาหารชื่อดัง ตลอดจนเป็นย่านที่ตั้งของสถานทูตและเป็นพื้นที่หนึ่งเดียวใจกลางเมืองที่อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ อย่างสวนลุมพินี ทั้งยังโดดเด่นด้วยดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ ภายใต้แนวคิด “Live Your Everlasting Romance” ผสานศิลปะในการออกแบบ และการใช้สอยพื้นที่อย่างลงตัว โดยเตรียมเปิดจองเฟสแรกกุมภาพันธ์นี้ ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “โครงการมิวนีค หลังสวน ถือเป็นโครงการระดับพรีเมียมที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการที่พักอาศัยใจกลางเมืองอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบพื้นที่ใช้สอยอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การตกแต่งที่งดงามเหนือกาลเวลา โดดเด่นด้วยการใช้วัสดุคุณภาพมาตรฐานจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก และโดยเฉพาะทำเลบริเวณหลังสวน ซึ่งถือเป็นแหล่งธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งของสถานทูตหลายแห่ง และอยู่ติดกับสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่เป็นปอดของคนกรุงเทพฯ เพียงเดินข้ามไป 100 เมตรก็ถึงประตูทางเข้าสวนลุมพินี ทั้งยังอยู่ใกล้โครงการหลังสวน วิลเลจ ที่มีทัศนียภาพสวยงาม และศูนย์ Medical Center นอกจากนี้ ปัจจุบัน ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่พัฒนาโครงการบนถนนเส้นนี้แบบลีสโฮลด์ (Leasehold) เนื่องจากพื้นที่แปลงสวย ที่เหมาะแก่การพัฒนาเป็นอสังหาริมทรัพย์มีอยู่อย่างจำกัด แต่โครงการ มิวนีค หลังสวน แทบจะเป็นพื้นที่ผืนสุดท้ายที่พัฒนาโครงการแบบฟรีโฮลด์ (Freehold) ท่ามกลางตึกสูงที่เป็นลีสโฮลด์บนถนนหลังสวน จึงส่งผลให้ที่ดินบนทำเลหลังสวนมีมูลค่าสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของกรุงเทพฯ โดยปัจจุบันนี้ราคาตกอยู่ตารางวาละ 500,000 บาท (ที่มา : กรมธนารักษ์   รอบบัญชี ปี 2559-2562) และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี มิวนีค หลังสวน จึงถือเป็นโครงการที่มีมูลค่า เหมาะกับการซื้อเพื่อเป็นที่พักอาศัย และการลงทุนอย่างมาก” สำหรับโครงการ มิวนีค หลังสวน  อยู่สุดถนนหลังสวน ซอย 7 ตั้งอยู่ในซอยต้นสน มีขนาด 1-1- 66.5 ไร่ สูง 28 ชั้น จำนวน 166 ยูนิต  ทุกห้องถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่ โล่งสบาย มอบความเป็นส่วนตัวที่เหมาะกับการพักอาศัยอย่างแท้จริง รวมถึงใช้เฟอร์นิเจอร์และวัสดุคุณภาพมาตรฐานระดับโลก โดยขนาด 1 ห้องนอน มีพื้นที่ใช้สอย  50 - 78 ตร.ม. ขนาด 2 ห้องนอน มีพื้นที่ 83 - 101 ตร.ม. ขนาด 3 ห้องนอน มีพื้นที่ 121 - 179 ตร.ม. นอกจากนี้ยังมียูนิตพิเศษ เดอะ คอลเลคชั่น ที่มีขนาดพื้นที่ 71 - 254 ตร.ม. ส่วนพื้นที่ใช้สอยส่วนกลางออกแบบไว้อย่างหรูหรามีระดับและพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสุดเอ็กซ์คลูซีฟ อาทิ ฟิตเนส สระน้ำอุ่น สระเด็ก สปา ซาวน่า จากุชชี่ สวนลวยฟ้า เลานจ์สำหรับการผ่อนคลายสังสรรค์ พร้อมห้อง Private Chef ขณะเดียวกันยังสะดวกสบายด้วยบริการจุดชาร์จรถไฟฟ้า (EV Chargers) ที่จอดรถซูเปอร์ไบค์ ที่จอดรถออโตเมติกปาร์คกิ้ง (Automatic Parking) ซึ่งสามารถรองรับรถยนต์ได้ถึง 185 คัน หรือ 111% ของจำนวนห้อง เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้อยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบสูงสุด ผู้บริหารเมเจอร์ฯ กล่าวต่อว่า “กลุ่มเป้าหมายของโครงการมิวนีค หลังสวน เป็นคนรุ่นใหม่ อายุ 30 ปีขึ้นไป ที่เริ่มประสบความสำเร็จในธุรกิจ ที่มีไลฟ์สไตส์ทันสมัย ให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัย เน้นความเป็นส่วนตัว แต่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง ดังนั้นการออกแบบจึงอยู่ภายใต้แนวคิด “Live Your Everlasting Romance” ผสานศิลปะเข้ากับการออกแบบที่มีความสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัว คือ มีศิลปะในการใช้ชีวิต มีความรับผิดชอบในการทำงานและรู้จักหาความสุขให้กับตนเอง เรียกว่าสมดุลทั้ง ชีวิตการทำงาน ชีวิตส่วนตัว และครอบครัว ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยอย่างมาก เนื่องจากสะท้อนไลฟ์สไตล์ของเขาได้เป็นอย่างดี” ส่วนความคาดหวังในยอดการจอง ดร.สุริยา เชื่อมั่นว่าจะได้รับกระแสตอบรับที่ดี เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้การส่งออกของไทยดีขึ้น การลงทุนจากภาครัฐมีความชัดเจนมากขึ้น ทิศทางอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ ผนวกกับกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าระดับบน ยังมีสภาพคล่องค่อนข้างสูง ขณะที่แนวโน้มอสังหาฯระดับลักซ์ชัวรี่ในทำเลพรีเมียมนั้น ยังคงเป็นที่ต้องการของลูกค้าระดับบน ที่ต้องการซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สองมากขึ้น หรือนักลงทุนชาวต่างชาติที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในทำเลไพร์มแอเรียในกรุงเทพฯ เนื่องจากมี Capital Gain สูง โครงการ มิวนีค หลังสวน ยังมีเส้นทางคมนาคมสะดวกอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ แต่ยังคงรักษาไว้ซึ่งความเงียบสงบ และแวดล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขียว โดยราคาต่อ ตร.ม. เริ่มต้นอยู่ที่ 12.9 ล้านบาท หรือ 265,000 บาทต่อ ตร.ม.ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรของมิวนีค หลังสวน อยู่ที่ 310,000 บาท ซึ่งหลังจากเปิดตัวโครงการ และเริ่ม Pre-Sales ในเดือนกุมภาพันธ์ คาดว่าจะมียอดจองไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ” ดร.สุริยา กล่าวทิ้งท้าย คุณอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) กล่าวเสริมว่า “ตลาดคอนโดมิเนียมมีปัจจัยบวกสนับสนุนค่อนข้างมาก จึงทำให้คอนโดในย่านกลางเมืองปีนี้มีซัพพลายใหม่เพิ่มขึ้น 10% หรือ ราว 1.2 – 1.5 หมื่นยูนิต จากปีที่แล้วเปิดตัวกว่า 1.2 หมื่นยูนิต อีกทั้งหลังสวนเป็นย่านที่มีศักยภาพสูง เพราะจะเป็นศูนย์กลางเมืองใหม่ แลนด์มาร์คของกรุงเทพฯ กำลังจะเปลี่ยนไป โซนศูนย์กลางจะย้ายมาอยู่แถวเส้นหลังสวนโดยรอบสวนลุมพินีเนื่องจากมีโครงการขนาดใหญ่ทั้งคอนโดมิเนียมและโครงการมิกซ์ยูสขึ้นค่อนข้างมาก พื้นที่อยู่ริมถนนใหญ่ แวดล้อมด้วยสถานฑูต โรงแรม อาคารสำนักงาน และใกล้กับรถไฟฟ้า ประกอบกับในปีนี้ น่าจะได้รับสัญญาณดี ๆ จากภาคเศรษฐกิจ จีดีพีที่เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจมีตัวเลขที่ดีขึ้น บรรยากาศการทำธุรกิจและการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างสดใส โดยนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังคงให้ความสำคัญและสนใจคอนโดมิเนียมในใจกลางเมืองกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง”  โครงการ มิวนีค หลังสวน จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างประมาณกลางปี 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564 ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  MJD.TH/MUNIQ หรือ โทร. 1266