Tag : News

2376 ผลลัพธ์
คอนโดใกล้มหาลัยฯ ดีมานด์แรง

คอนโดใกล้มหาลัยฯ ดีมานด์แรง

แต่ละปีมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยประมาณ 100,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะต้องมองหาที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของตัวเอง เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปเรียนและทำกิจกรรมตลอด 4 ปีเป็นอย่างน้อย แหล่งหอพักใกล้มหาวิทยาลัยมักจะเกิดเป็นชุมชนขนาดเล็ก ทำให้เกิดดีมานด์อยู่ไม่น้อยส่งผลถึงศักยภาพการลงทุนตามไปด้วย   ปกติแล้วเมื่อมีนักศึกษาใหม่เมื่อใกล้วันเปิดเทอมใหม่จะเริ่มมองหาหอพักใกล้มหาวิทยาลัยของตัวเองเพื่ออยู่อาศัย โดยผู้ปกครองมีส่วนในการตัดสินใจด้วย ปัจจัยในการเลือกหอพักคือเรื่องการเดินทางไปเรียนได้สะดวก รวดเร็ว อยู่ท่ามกลางแหล่งอาหารการกิน และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี แต่ละหอพักก็มีราคาค่าเช่าให้เลือกหลายระดับตั้งแต่หลักพันต้นๆ  ไปจนถึงหลักหมื่นกันเลยทีเดียว ซึ่งผู้ปกครองหลายครอบครัวเริ่มตระหนักถึงค่าใช้จ่ายในระยะยาวที่จะเกิดขึ้น จึงเริ่มหันมาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยเองกันมากขึ้น เพราะสามารถเก็บไว้อยู่อาศัยต่อตอนทำงาน หรือจะปล่อยเช่ารายเดือนต่อก็ได้ผลตอบแทนดีถึง 4-6% แถมโครงการคอนโดมิเนียมก็มีส่วนกลางสวยๆ ให้ได้ใช้บริการ ระบบการรักษาความปลอดภัยก็แน่นหนากว่าหอพักทั่วไป     ทางด้านผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ต่างก็เริ่มหันมาจับกลุ่มเป้าหมายในทำเลใกล้สถาบันการศึกษามากขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยกลุ่มเป้าหมายส่วนมากจะเป็นนักศึกษาที่ผู้ปกครองซื้อให้เพื่ออยู่อาศัยเอง และนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ทั้งเก็งกำไร และปล่อยเช่ารายเดือน ในระยะแรกของตลาดนี้ราคาคอนโดต่อยูนิตจะอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาท เหมาะสำหรับกลุ่มนักศึกษาที่ต้องการความสะดวกสบาย ไม่เน้นหรูหรามากนัก แต่หากทำเลไหนที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้า แหล่งอำนวยความสะดวกทั่วไปด้วย ราคาก็จะสูงตามตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ที่โดดเด่นที่สุดก็ย่านพหลโยธิน-เกษตร ที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำเลสามย่าน พญาไท ราชเทวี อยู่ใกล้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น   ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัด ที่จับกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษา ทำเลมาแรงที่สุดคือจังหวัดนครปฐม เพราะมีมหาวิทยาลัยที่เป็นวิทยาเขตขยายออกมาจากในกรุงเทพฯ เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน มีจำนวนนักศึกษาประมาณ 14,000 คน/ปี มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ จำนวนนักศึกษาประมาณ 13,000 คน/ปี และมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จำนวนนักศึกษาประมาณ 9,000 คน/ปี เป็นต้น นอกจากคอนโดมิเนียมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในราคาเริ่มเต้นเพียงล้านต้นๆ ยังมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้นจากในเมืองคือทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวที่สามารถซื้อได้ในราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มดีมานด์ที่ไม่ได้มาจากแค่นักศึกษาเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มบุคลากร อาจารย์มหาวิทยาลัย ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นทำเลใกล้มหาวิทยาลัยยังคงเป็นทำเลที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
MQDC เปิดโปรเจกต์แฟลกชิพ “THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” ครั้งแรกของโลกที่ธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกัน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” นิยามความสุขที่แท้จริง มูลค่าโครงการมากกว่า 90,000 ล้านบาท

MQDC เปิดโปรเจกต์แฟลกชิพ “THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” ครั้งแรกของโลกที่ธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกัน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” นิยามความสุขที่แท้จริง มูลค่าโครงการมากกว่า 90,000 ล้านบาท

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC)  หนึ่งในธุรกิจภายใต้กลุ่มบริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (DTGO) ดำเนินกิจการพัฒนา ลงทุน และจัดการอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพ แบรนด์แมกโนเลียส์ (Magnolias) ดิ แอสเพน ทรี (The Aspen Tree) และ วิสซ์ดอม (Whizdom) เปิดตัวแผนพัฒนาธุรกิจบนพื้นที่บางนาสู่การพลิกวงการอสังหาริมทรัพย์ จับมือพาร์ทเนอร์ระดับโลกร่วมสร้างสรรค์โครงการ “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์” โปรเจกต์แฟลกชิพครั้งแรกของโลก มูลค่าไม่ต่ำกว่า 90,000 ล้านบาท นำเสนอโมเดลการใช้ชีวิตเข้ากับระบบนิเวศที่สมดุลเพื่อความสุขที่ยั่งยืน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” โดดเด่นด้วยการสร้างสรรค์ประสบการณ์แบบ Mixed-Use Lifestyle บนพื้นที่กว่า 300 ไร่ รายล้อมด้วยโครงการที่อยู่อาศัย พื้นที่รีเทล อาคารและสำนักงาน ศูนย์สุขภาพ อาคารนวัตกรรมแห่งอนาคต ผืนป่าสันทนาการ พื้นที่กิจกรรมสำหรับชุมชน ศูนย์เรียนรู้ และนับเป็นครั้งแรกของการสร้างระบบนิเวศของผืนป่าที่สมบูรณ์ขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย เพื่อตอบโจทย์ทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัว โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้าง ในปี พ.ศ. 2561 และแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2565 คุณวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า “ปัจจุบัน ความเจริญด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีนับว่ามีบทบาทความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมทั้งเชื่อมโยงชีวิตและไลฟ์สไตล์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งท่ามกลางความเจริญด้านวัตถุ ได้ส่งสัญญาณถึงปัญหาระดับโลกที่กำลังแทรกซึมและส่งผลกระทบต่อโลก อาทิ ระบบนิเวศธรรมชาติเสื่อมถอย เกิดช่องว่างของสมาชิกในครอบครัว สมาชิกต่างคนต่างใช้ชีวิต จนเกิดเป็นความห่างเหิน การเก็บตัว และอาจนำ ไปสู่ภาวะซึมเศร้า หรือการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสังคมผู้สูงอายุ เป็นต้น บริษัทมีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์และพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อลดช่องว่างและสร้างความสุขอย่างยั่งยืน ภายใต้คำมั่นสัญญา ‘for all well-being’ คือความตั้งใจในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตเพื่อส่งผลดีต่อทุกการดำเนินชีวิต พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโลก ผ่านการออกแบบที่ใส่ใจธรรมชาติ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ในการร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงการเพิ่มพื้นที่เพื่อให้คนในครอบครัวทั้ง 4 เจนเนอเรชั่น ได้แก่ ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ลูกหลาน และเหลน ได้ใช้เวลาร่วมกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันและกัน จนเกิดเป็นคอมมิวนิตี้ที่น่าอยู่ขึ้น “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์” เกิดบนคำถามที่ว่า “ความสุขที่แท้จริงของชีวิตเราคืออะไร?” อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายในการตอบ เพราะความสุขของแต่ละคนแตกต่างและไม่เท่ากัน แต่มีอย่างหนึ่งที่แน่นอนคือ ความสุขนั้น ต้องส่งผลให้กับตัวเราทั้งร่างกาย จิตใจ คนรอบข้าง และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา และนี่คือพื้นฐานของนิยาม “ความสุขที่ยั่งยืน” คุณกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า “ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในการสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่นำคำว่า “ความสุขที่แท้จริง” เป็นโจทย์ในการดำเนินงาน โดยเราได้ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกมาร่วมดีไซน์และสร้างสรรค์โครงการ เพื่อมอบความสุขที่แท้จริงในกับคนในยุคปัจจุบันและอนาคต จึงเกิดเป็นโปรเจกต์แฟลกชิพครั้งแรกของโลก “THE FORESTIAS - เดอะฟอเรสเทียส์” นิยามแห่งการสร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์สู่ปรากฏการณ์ใหม่ มูลค่าโครงการมากกว่า 90,000 ล้านบาท พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” ที่ให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่มีความสุขอย่างยั่งยืน โดยเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบ Mixed-Use Lifestyle โมเดลแรกของโลกที่ครบบริบูรณ์รายล้อมด้วยโครงการที่อยู่อาศัย พื้นที่รีเทล อาคารและสำนักงาน ศูนย์สุขภาพ อาคารนวัตกรรมแห่งอนาคต ผืนป่าสันทนาการ พื้นที่กิจกรรมสำหรับชุมชน ศูนย์เรียนรู้ และนับเป็นครั้งแรกของการสร้างธรรมชาติระบบนิเวศของผืนป่าที่สมบูรณ์ขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยในโครงการได้ใช้องค์ประกอบสำคัญ 4 หมวดใหญ่ หรือ Eternal 4 ประกอบด้วย คือ 50 Shades of Nature ความสุขในการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติระบบนิเวศขนาดใหญ่ Connecting 4 Generations ความสุขในการดีไซน์พื้นที่ความอบอุ่นให้กับครอบครัวได้ใช้ชีวิตร่วมกันครอบคลุมถึง 4 เจนเนอเรชั่น Community of Dreams ความสุขบนพื้นที่และสาธารณูปโภคที่ให้ทุกคนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน Sustainnovation for Well-being ความสุขด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ซึ่งนับเป็นดีเอ็นเอของ MQDC ที่สร้างแนวคิดใหม่ของการใช้ชีวิตทั้งในวันนี้และในอนาคตต่อไป”   “เราจับมือร่วมกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มาร่วมสร้างสรรค์ประสบการณ์การอยู่อาศัยภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุข นับเป็นโมเดลแรกของโลก ได้แก่ Foster + Partners ที่ปรึกษาการออกแบบวางผังและงานสถาปัตยกรรม EEC Engineering Network ร่วมวิจัยและพัฒนางานระบบอาคาร ตามแนวทางของบริษัทเรา คือ ยึดหลัก Sustainnovation ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้ามาสร้างต้นแบบของงานระบบอาคารที่เน้นความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของโครงการ Atelier Ten ร่วมทำวิจัย ศึกษาและวางแผนการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งรวมไปถึงระบบนิเวศให้มีความสมดุลและยั่งยืน โดยการใช้นวัตกรรมต่างๆ รวมถึงเป็นผู้ตรวจสอบและควบคุมการออกแบบและการก่อสร้างเพื่อเป็นต้นแบบของการพัฒนาโครงการชั้นนำของโลก ITEC Entertainment จะเป็นผู้สร้างสรรค์ประสบการณ์และสันทนาการที่จะเกิดขึ้นภายในโครงการ เพื่อทำให้ผู้อยู่อาศัยและผู้เยี่ยมเยือนโครงการได้พบกับประสบการณ์ที่พิเศษสุด Six Senses ร่วมบริหารและให้บริการด้านการบริหารโรงแรมและที่อยู่อาศัย (Hospitality and Residential) ที่ยึดหลักการอยู่อาศัยร่วมกับธรรมชาติ สุขภาพ และความยั่งยืน” คุณกิตติพันธุ์ กล่าวเสริม รวมทั้งคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่เข้ามาร่วมทำการศึกษา ซึ่งนับเป็นงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหม่ที่มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบจากการออกแบบพื้นที่และดีไซน์ของโปรเจกต์นี้ ที่มีต่อสุขภาพมนุษย์ ซึ่งการพัฒนาเมืองในโมเดลใหม่นี้ เป็นการผสมผสานการออกแบบอาคารให้ดีต่อสุขภาพ ควบคู่ไปกับความหลากหลายทางธรรมชาติ และโครงสร้างที่ก่อให้เกิดกิจกรรมที่ดีต่อสุขภาพ สิ่งนี้คือรากฐานของความสุข ทั้งนี้ โครงการ “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์” ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 300 ไร่ บริเวณบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 7 โดยเริ่มต้นดำเนินการก่อสร้างปี พ.ศ. 2561 และจะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2565
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยคอนโดเมืองท่องเที่ยวกินส่วนแบ่งอันดับ 1 หัวหิน-ชะอำราคาขายต่อพุ่ง 19% เทรนด์คนรุ่นใหม่ซื้อไว้พักผ่อน-ปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยคอนโดเมืองท่องเที่ยวกินส่วนแบ่งอันดับ 1 หัวหิน-ชะอำราคาขายต่อพุ่ง 19% เทรนด์คนรุ่นใหม่ซื้อไว้พักผ่อน-ปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรเผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ 5 เมืองท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หัวหิน-ชะอำ และเขาใหญ่ พบคอนโดมิเนียมมาแรงสุดขึ้นอันดับหนึ่งมาร์เก็ตแชร์สูง 76% ขณะที่บ้านเดี่ยวมีส่วนแบ่งอันดับสองที่ 19% ตามด้วยทาวน์เฮาส์ครองส่วนแบ่ง 5% เหตุเติบโตตามภาคการท่องเที่ยวที่ยังโดดเด่น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมมียอดขายเฉลี่ย 5 พื้นที่ 80% จากอุปทานราว 100,00 ยูนิต ส่งผลตลาดเช่าคึกคัก พื้นที่ภูเก็ตให้ผลตอบแทนต่อปี 6-8% ต่อปี พัทยาผลตอบแทนสูง 5-7% ต่อปี ด้านเขาใหญ่ราคารีเซลเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5 – 6% ต่อปี ส่วนราคาขายต่อยังคึกคักพื้นที่หัวหิน – ชะอำ ราคาขายต่อพุ่งแรงสุด ปี 2560 ราคาโครงการติดทะเลสูงจากปีก่อน 10% โครงการไม่ติดทะเลพุ่ง 19% พบเทรนด์คนรุ่นใหม่ชื่นชอบการซื้อไว้พักผ่อนและถือโอกาสปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยในทำเลเมืองท่องเที่ยวสำคัญ 5 พื้นที่ ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หัวหิน-ชะอำ และเขาใหญ่ พบว่าปัจจุบันที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมมีส่วนแบ่งการตลาดสูงเป็นอันดับ 1 ครองส่วนแบ่งถึง 76% (98,163 ยูนิต) ในขณะที่บ้านเดี่ยวครองส่วนแบ่งอันดับสองมี 19% (24,925 ยูนิต) และทาวน์เฮ้าส์ครองส่วนแบ่งอันดับสามที่ 5% (5,998 ยูนิต) โดยการสำรวจล่าสุดพบว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา (2558-2560) คอนโดมิเนียมเมืองท่องเที่ยวยังเติบโตได้ดีมียอดขายเฉลี่ยทั้ง 5 พื้นที่ประมาณ 80% จากอุปทานเกือบ 100,000 ยูนิต ซึ่งการตอบรับที่อยู่ในเกณฑ์ดีนี้มาจากการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างโดดเด่น และนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนระยะยาวนิยมเช่าคอนโดมิเนียมเป็นที่พักอาศัยส่งผลให้การปล่อยเช่าได้รับอัตราผลตอบแทนสูงแม้ในบางพื้นที่จะทำการได้จากการปล่อยเช่าได้เฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยวเที่ยวแต่ด้วยราคาปล่อยเช่าที่สูงกว่าทำเลทั่วไปจึงทำให้ยังมีคนสนใจซื้อเพื่อรองรับความต้องการพักผ่อนเองและปล่อยเช่าในบางช่วง อีกทั้งคนในพื้นที่เองก็นิยมซื้อไว้เป็นบ้านพักตากอากาศ และยังสามารถเก็บไว้เก็งกำไรได้เนื่องจากมองเห็นแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งพฤติกรรมการซื้อคอนโดมิเนียมในเมืองท่องเที่ยวของผู้บริโภคปัจจุบันนี้กำลังกลายเป็นเทรนด์ที่ไม่นิยมซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อวัตถุประสงค์ใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นลักษณะ time sharing ที่ไปพักเองเมื่อไหร่ก็ได้ และยังสามารถได้รายได้จากการปล่อยเช่า ซึ่งจะมาช่วยค่าผ่อนหรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะพื้นที่ เขาใหญ่ และ หัวหิน-ชะอำ การปล่อยเช่าแทบจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเกือบ 100% ดังนั้น การเข้าพักสูงในช่วงเดือน ตุลาคม - กุมภาพันธ์ โดยเข้าพักเฉลี่ยประมาณ 1.5 เดือน ซึ่งยังคงได้รับความนิยมเพราะผู้ซื้อยังต้องการเก็บไว้เพื่อพักผ่อนเองในบางโอกาส สำหรับตลาดปล่อยเช่านั้นและนำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) พบว่าที่เชียงใหม่นั้นคอนโดมิเนียมที่นำมาปล่อยเช่าขนาด 30 -60 ตารางเมตรจะคิดค่าเช่าอยู่ระหว่าง 10,000 – 25,000 บาทต่อเดือน  ด้านราคารีเซลในบางโครงการที่คอนโดมิเนียมขนาด 1 ห้องนอน 30 ตารางเมตร  ขายประมาณ 75,000-80,000 บาทต่อตารางเมตรหรือยูนิตละ 2.0-2.5 ล้านบาท โดยราคารีเซลเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 4-5% ต่อปี ส่วนในอนาคตคาดว่าราคามีโอกาสปรับขึ้นไปได้อีก เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สนับสนุนการเติบโตของเชียงใหม่ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โดยจะนำเทคโนโลยีชินคันเซ็นมาใช้ในโครงการนี้ นอกจากนี้ยังมีโครงการมอเตอร์เวย์เชื่อมเชียงใหม่-เชียงรายและโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ อีกจำนวนมาก ส่วนภูเก็ตโครงการคอนโดมิเนียมที่นิยมปล่อยเช่าห้องพักในรูปแบบสตูดิโอ และ 1 ห้องนอน ขนาดประมาณ 30-32 ตารางเมตร อัตราค่าเช่า City Condo ประมาณ 10,000 – 18,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการเช่า คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 6-8% สำหรับค่าเช่า Resort Condo ที่อยู่ติดหาด จะได้รับความนิยมโดยเฉพาะในช่วง High Season ค่าเช่าประมาณ 50,000 – 70,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 4-5% ราคาของคอนโดมิเนียมเฉลี่ยทั้งตลาดอยู่ที่ 99,700 บาทต่อตารางเมตร ขยับขึ้น 7% ปัจจุบันพบว่าคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ มีราคาเปิดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 130,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งส่วนมากเป็น Resort Property ที่อยู่ริมหาด สำหรับพื้นที่หัวหิน-ชะอำ สำหรับคอนโดที่นำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ที่ติดชายทะเล เฉลี่ยอยู่ที่ 135,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากตอนเปิดโครงการ 10% ส่วนโครงการที่ไม่ติดชายทะเลราคารีเซลอยู่ที่ 79,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากตอนเปิดโครงการ 19%  ด้านการปล่อยเช่า หากเป็นโครงการใจกลางเมืองที่ติดชายทะเล รูปแบบ 1 ห้องนอน ปล่อยเช่าได้ 35,000 – 45,000 บาทต่อเดือน รูปแบบ 2 ห้องนอน 55,000 – 70,000 บาทต่อเดือน ส่วนโครงการที่ไม่ติดทะเล รูปแบบ 1 ห้องนอน ปล่อยเช่าได้ 15,000 – 20,000 บาทต่อเดือน รูปแบบ 2 ห้องนอน 30,000 – 50,000 ต่อเดือน ขณะที่คอนโดมิเนียมในพัทยาพบราคารีเซลบางโครงการในพื้นที่พัทยากลางอยู่ที่ 110,000 บาทต่อตารางเมตร หากนำมาปล่อยเช่า (1 ห้องนอน ขนาด 30-35 ตารางเมตร) จะได้ค่าเช่าประมาณ 18,000-20,000 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าประมาณ 6-7% ต่อปี นอกจากนี้ยังพบว่าราคาขายเฉลี่ยยังเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5% ส่วนพื้นที่เขาใหญ่ ราคาขายรีเซลบางโครงการ (1 ห้องนอน 50-55 ตารางเมตร) เสนอขายประมาณ 92,000 บาทต่อตารางเมตร หรือยูนิตละ 4.6-5.2 ล้านบาท โดยราคาขายรีเซลเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5-6% อย่างไรก็ตาม คอนโดมิเนียมในพื้นที่เขาใหญ่นิยมปล่อยเช่าห้องพักแบบระยะสั้น หรือในช่วง High Season (พฤศจิกายน - มกราคม) “ช่วงปี 2559 - 2560 คอนโดมิเนียมในพื้นที่เชียงใหม่ หัวหิน-ชะอำและภูเก็ต ตลาดยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากอุปสงค์ที่นิยมซื้อเป็นบ้านพักตากอากาศ ส่วนในพื้นที่พัทยา และเขาใหญ่ ตลาดค่อนข้างทรงตัวจากการระบายอุปทานที่คงค้าง ในทางกลับกันยังมีการขยายตัวในบางทำเล ในบางช่วงราคาที่ยังมีกำลังซื้อ อย่างไรก็ตามยังมองเห็นทิศทางการขยายตัวในอนาคตที่คาดว่าตลาดจะเติบโตได้จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น อีกทั้งเริ่มพบเห็นอุปทานใหม่เริ่มทยอยเข้าสู่ตลาดบ้างแล้ว” นายอนุกูล กล่าว  
โรจนะเซ็น MOU ขายที่ดิน 300 ไร่กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ธุรกิจยานยนต์และโดรนจากจีน แจงยอดรับรู้รายได้ขายที่ดินบริษัทย่อย มูลค่ากว่า 1,200 ล้านส่งผลประกอบการปีนี้เกินเป้า

โรจนะเซ็น MOU ขายที่ดิน 300 ไร่กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ธุรกิจยานยนต์และโดรนจากจีน แจงยอดรับรู้รายได้ขายที่ดินบริษัทย่อย มูลค่ากว่า 1,200 ล้านส่งผลประกอบการปีนี้เกินเป้า

โรจนะคาดปีหน้าอนาคตสดใส เซ็น MOU ขายที่ดินกว่า 300 ไร่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยา ให้กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมยานยนต์-โดรนจากจีน เผยผลประกอบการปีนี้เกินเป้า ส่วนหนึ่งมียอดรับรู้รายได้ไตรมาส 4 จากการขายที่ดินของบริษัทย่อย มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท ชมนโยบายรัฐฟื้นญี่ปุ่นลงทุนไทย ยิ้มรับอานิสงส์จากแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก   นายจิระพงษ์ วินิชบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA เปิดเผยว่า จากภาพรวมภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในปีหน้ามีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยในส่วนของบริษัทฯมีแนวโน้มที่สดใสเช่นกัน บริษัทฯ มีการเซ็น MOU ขายที่ดินกว่า 300 ไร่ ที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยา ให้กับ PROJEN GROUP กลุ่มทุนรายใหญ่จากประเทศจีน ซึ่งประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์, โดรน ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ต้าหลี่ ส่วนผลประกอบการในปีนี้คาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ด้วยผลประกอบการ 9 เดือนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และสำหรับในไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 จะมีการรับรู้รายได้จากการขายที่ดินบริเวณซอยสุขุมวิท 66 ของบริษัท โรจนะ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เนื้อที่รวม 4-2-32 ไร่ คิดเป็นมูลค่ารวมสูงกว่า 1,200 ล้านบาท   “ที่ดินบริเวณซอยสุขุมวิท 66 ของบริษัทย่อย เป็นการเข้าไปซื้อที่ดินพร้อมงานฐานราก ซึ่งเราซื้อมานานก่อนที่จะมีโครงการรถไฟฟ้าผ่าน ปัจจุบันโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสเปิดดำเนินการแล้ว ส่งผลให้ที่ดินบริเวณนั้นมีมูลค่าสูงขึ้น เราจึงขายที่ดินได้ในราคาที่น่าพอใจมากๆ”   นายจิระพงษ์กล่าวต่อไปว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมภาคการลงทุนอย่างจริงจัง ทำให้ภาพรวมของภาวะการลงทุนจากต่างประเทศเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยมายาวนานถึง 130 ปี และเป็นประเทศที่ครองแชมป์ลงทุนในไทยมากที่สุด แต่ได้ชะลอการลงทุนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้นั้น ในปีนี้เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นรวมถึงประเทศอื่น ยังคงให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในไทย เนื่องจากองค์ประกอบหลายส่วน ทั้งความพร้อมทางสาธารณูปโภคสาธารณูปการ มาตรการที่เอื้ออำนวยจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นอกจากนั้นการที่รัฐบาลปัจจุบันมีการผลักดันให้เกิดการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ส่งผลให้มีมาตรการด้านต่างๆ รวมถึงการวางแผนและระยะเวลาในการจัดสาธารณูปโภคสาธารณูปการเข้าไปรองรับอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ส่งผลดีต่อโครงการสวนอุตสาหกรรมของบริษัท ที่มีหลายแห่งในโซนพื้นที่ดังกล่าวพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย ได้แก่ โครงการ แหลมฉบัง, บ่อวิน, ปลวกแดง, บ้านค่าย และ ปราจีนบุรี
บ้านลุมพินี ชวนเป็นเจ้าของทาวน์โฮมออฟฟิศ 
จอง-โอนวันนี้ รับส่วนลดสูงสุดเป็นล้าน

บ้านลุมพินี ชวนเป็นเจ้าของทาวน์โฮมออฟฟิศ 
จอง-โอนวันนี้ รับส่วนลดสูงสุดเป็นล้าน

“บ้านลุมพินี” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบในเครือ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP ภายใต้แนวคิด “บ้านลุมพินี บ้านน่าอยู่” ในแนวทาง “บ้านดี สิ่งแวดล้อมดี ดูแลดี ผู้คนดี” ชวนเป็นเจ้าของทาวน์โฮมออฟฟิศโครงการลุมพินี ทาวน์ เรสซิเดนซ์ บางนา-ศรีนครินทร์ พิเศษ 4 หลังสุดท้าย ขนาด 4 ชั้น 1 หลัง ราคาเริ่ม 12.5 ล้านบาท และขนาด 3 ชั้น 3 หลัง ราคาเริ่ม 8.74 ล้านบาท เพียงจองและโอนกรรมสิทธิ์ภายในสิ้นปีนี้ รับส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท โครงการลุมพินี ทาวน์เรสซิเดนซ์ บางนา-ศรีนครินทร์ มีการออกแบบในสไตล์โมเดิร์นที่เรียบง่ายและลงตัว ด้วยการใช้กระจกทั้งหมดเพื่อให้สามารถรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ และคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยสูงสุด สำหรับทาวน์โฮมออฟฟิศ ขนาด 4 ชั้น ออกแบบพื้นที่โถงให้มีความสูงจากพื้นถึงเพดาน 6 เมตร โดยชั้น 1 และชั้น 2 ปูพื้นกระเบื้องรองรับการใช้งานแบบสำนักงาน ส่วนขนาด 3 ชั้น ทุกห้องนอนสามารถปรับรูปแบบได้ตามสัดส่วนการใช้งาน เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์คนเมือง บนทำเลศักยภาพ ใกล้สาธารณูปโภคมากมาย พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยภายในโครงการ รวมทั้งการบริหารจัดการที่ดีจากทีมบริหารงานมืออาชีพจากบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LPN Call Center 02-689-6888 , www.lpn.co.th และ Facebook : Baan Lumpini
โครงการ Mixed-Use บิ๊กโปรเจคตอบโจทย์คนยุคใหม่

โครงการ Mixed-Use บิ๊กโปรเจคตอบโจทย์คนยุคใหม่

  ราคาที่ดินในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ยิ่งทำเลที่มีการเดินทางสะดวกเข้าถึงง่าย ที่ดินแปลงสวยก็ยิ่งเป็นที่หมายปองของเหล่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการจับจองที่ดินสวยๆ ทำเลเหมาะสมแก่การพัฒนาโครงการต่อไป ซึ่งทุกวันนี้ก็เริ่มหายากมากขึ้นทุกที การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเพียงอย่างเดียวก็อาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป ในระยะ 6-7 ปีหลังเราจึงได้ยินคำว่าโครงการ Mixed-Use กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โครงการ Mixed-Use คืออาคารที่ผสมผสานระหว่างที่อยู่อาศัยกับอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ อาคารแบบมิกซ์ยูสจึงเป็นโครงการที่มีทั้งศูนย์การค้า โรงแรม ออฟฟิศ คอนโดมิเนียม รวมอยู่ในโครงการเดียวกัน แล้วแต่ว่าโครงการไหนจะมีการจัดการพื้นที่ในอาคารอย่างไร โดยหากมองในมุมของผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมโครงการมิกซ์ยูสลักษณะนี้จะสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ต้องเดินทางออกไปไหนก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ที่อาคารที่พักอาศัยของตัวเองอย่างครบครัน รวมถึงผู้เข้าพักในส่วนของโรงแรมเองทางโครงการก็สามารถอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวได้มากยิ่งขึ้น และในมุมมองของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เอง มิกซ์ยูสจะขยายโอกาสในการสร้างรายได้ประจำจากสัญญาเช่า, การขายกรรมสิทธิ์ ได้ผลกำไรระยะยาวให้กับ Developer ไม่ใช่เฉพาะการซื้อ-ขาย คอนโดเพียงอย่างเดียว เป็นการสร้างประโยชน์จากที่ดินราคาแพงได้อย่างคุ้มค่า เมื่อใน 1 โครงการ เกิดการใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย พื้นที่ใช้สอยก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย กลายเป็นบิ๊กโปรเจคทุ่มทุนสร้างจากหลากหลายค่ายที่ต่างก็จับจองทำเลที่ดีที่สุดสร้างอาณาจักรขึ้นมา ซึ่งคาดว่าภายในอีก 2-3 ปีนับจากนี้ เราก็จะเริ่มได้เห็นโครงการลักษณะนี้เสร็จสมบูรณ์ไปทีละโครงการ เช่น โรงแรมดุสิตธานี และ CPN ร่วมกันพัฒนาพื้นที่ของโรงแรมดุสิตาธานี บริเวณหัวมุมสี่แยกศาลาแดง หลังจากได้ต่อสัญญาเช่าระยาวอีก 60 ปี จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้เป็นโครงการที่มีทั้งโรงแรมดุสิตธานี, อาคารสำนักงาน, ที่พักอาศัย, และพื้นที่ค้าปลีก มูลค่าโครงการ 36,000 ล้านบาท แอมไชน่าทาวน์ โครงการสไตล์โมเดิร์น ไชนีส บนถนนเจริญกรุง โครงการนี้แบ่งออกเป็น 2 อาคาร ประกอบไปด้วยศูนย์การค้า ที่มีทั้งอาหารสตรีทฟู้ดแบบเยาวราช, ร้านอาหารชื่อดัง, สินค้าแฟชั่น, อัญมณี รวมถึงเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ส่วนอาคารที่ 2 จะเป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น แบบสัญญาเช่า 30 ปี มูลค่าโครงการรวม 4,000 ล้านบาท SINGHA COMPLEX ตั้งอยู่บนที่ดินเดิมของสถานทูตญี่ปุ่น ถนนอโศก-เพรชบุรีตัดใหม่ เป็น 2 อาคาร แบ่งเป็นพื้นที่สำนักงานเกรดเอ, พื้นที่ค้าปลีก, คอนโดระดับลักชัวรี่ มูลค่าโครงการไม่รวมที่ดินกว่า 4,000 ล้านบาท Whizdom 101 โครงการอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีปุณณวิถี มากับคอนเซ็ป The great good place มีทั้งสโมสรกีฬาและสุขภาพ, สำนักงาน co-working space, และที่พักอาศัยอีก 3 อาคาร งบประมาณการลงทุนประมาณ 30,000 ล้านบาท ICONSIAM อีกหนึ่งโครงการชื่อดังที่หลายคนรอคอย บนถนนเจริญนคร ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบไปด้วยศูนย์การค้า, คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่, พิพิธภัณฑ์ศูนย์รวมมรดกทางประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาไทย, ภัตาคารหรูจากทั่วโลก, ศูนย์ประชุม ฯลฯ งบประมาณการลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาท One Bangkok อีกโครงการระดับบิ๊กพื้นที่ 104 ไร่ ตรงหัวมุมสี่แยกวิทยุ ประกอบไปด้วยอาคารสำนักงาน 5 อาคาร, โรงแรมระดับลักชัวรี่ 5 แห่ง, ที่พักอาศัยระดับอัลตร้าลักชัวรี่ 3 อาคาร, พื้นที่ค้าปลีก, พื้นที่ทำกิจกรรม แสดงศิลปวัฒนธรรมต่างๆ มูลค่าการลงทุนสูงถึง 120,000 ล้านบาท The Super Tower หลายคนรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี เพราะหากสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อไรก็จะกลายเป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทยถึง 615 เมตร ประกอบไปด้วยสำนักงาน ระดับพรีเมี่ยม, โรงแรมระดับ 6 ดาว, ศูนย์ประชุม, ภัตตาคารลอยฟ้า ตั้งอยู่ในย่าน New CBD อย่างพระราม 9 มูลค่าการลงทุนประมาณ 18,000 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าโครงการ Mixed-Use นั้นสร้างประโยชน์มหาศาลได้รอบด้านให้กับทั้งเจ้าของโครงการ ผู้อาศัย ผู้ใช้บริการภายในอาคาร และยังเป็นการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าที่สุดในยุคที่ราคาที่ดินพุ่งสูงจนน่าตกใจ ซึ่งทั้งหมดรวมอยู่เพียงโครงการเดียว เป็น All In One อย่างมีประสิทธิภาพ
บิ๊กพฤกษา เปิดโรงงาน “พฤกษา พรีคาสท์” โชว์เทคโนโลยีระดับโลก

บิ๊กพฤกษา เปิดโรงงาน “พฤกษา พรีคาสท์” โชว์เทคโนโลยีระดับโลก

ทุกวันนี้จะเห็นว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของประเทศไทยต่างหันมาใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้นำเอานวัตกรรมการก่อสร้างแบบสำเร็จรูป โดยเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เป็นรายแรกในประเทศไทยที่นำเทคโนโลยีพรีคาสท์ (Precast) มาใช้ ตั้งแต่ปี 2547 ทำให้มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่น นายอมรพล ธูปะวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ สายงานโรงงานพฤกษา พรีคาสท์ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “นวัตกรรมพฤกษา พรีคาสท์” เป็นนวัตกรรมที่ทันสมัยที่สุดในโลกจากเยอรมนี ทำให้ได้บ้านที่แข็งแรงทนทาน ปลอดภัย  โดยพฤกษาได้นำมาใช้ตั้งแต่ปี 2547 ปัจจุบันมีโรงงานพฤกษา พรีคาสท์รวมทั้งหมด 7 โรงงานตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.ปทุมธานีทั้งหมด มีกำลังการผลิตรวม 1,120 ยูนิตต่อเดือน  ใช้งบลงทุนกว่า 4,700 ล้านบาท ทำการผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปเพื่อใช้ในการก่อสร้างบ้านในโครงการต่างๆ ของพฤกษาทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม  “เราเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯรายแรกของประเทศที่นำเอาเทคโนโลยีพรีคาสท์มาใช้ตั้งแต่ปี 2547 ทำให้มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญมากกว่ารายอื่นๆ ในประเทศ ใช้เทคโนโลยีได้มาตรฐานเทียบเท่าระดับโลก” นายอมรพล กล่าว การสร้างบ้านด้วยพรีคาสท์ นั้นมีข้อดีทั้งในส่วนของ “ลูกค้า” รวมถึง “ผู้ประกอบการเจ้าของโครงการ” กล่าวคือ ในส่วนของบริษัทฯนั้น สามารถควบคุมคุณภาพแผ่นคอนกรีตได้ทุกขั้นตอน ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ มั่นใจได้ในคุณภาพที่ได้มาตรฐานในทุกชิ้น ลดระยะเวลาการก่อสร้างหน้างาน ก้าวข้ามข้อจำกัดจำนวนช่างก่อสร้างส่งมอบทันเวลา และลดต้นทุนรวมถึงควบคุมราคาได้ ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบระบบการก่อสร้างแบบดั้งเดิม บ้านที่ก่อสร้างด้วยระบบ “พฤกษา พรีคาสท์”  มีประโยชน์ต่อลูกค้า หลายประการ ได้แก่ คุณภาพการก่อสร้างที่ดีกว่าด้วยการผลิตจากโรงงานที่ทันสมัยที่สุด เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ทุกขั้นตอนควบคุมการผลิตด้วยระบบคอมพิวเตอร์มั่นใจได้ในคุณภาพและมาตรฐาน ความแข็งแรง ทนทาน ผนังบ้านเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กทุกชิ้น จึงมีความคงทนแข็งแรงกว่าการก่อสร้างแบบผนังก่ออิฐทั่วไปหลายเท่า สามารถต้านทานแรงลมและแรงสั่นสะเทือน เพิ่มพื้นที่ใช้สอยมากกว่า การก่อสร้างโดยใช้ผนังคอนกรีตสำเร็จรูปที่แข็งแรงเป็นตัวรับน้ำหนักของบ้าน ไม่ต้องใช้เสาและคาน ทำให้บ้านมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น และสามารถ ออกแบบและตกแต่งภายในได้สวยงามลงตัวกว่า ป้องกันความร้อน และทนไฟไหม้ ได้มากกว่า 2 ชั่วโมง และป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ ดีกว่า ด้วยระบบการผลิตที่สามารถควบคุมต้นทุนได้ดี ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่สมเหตุสมผล  และได้เข้าอยู่อาศัยได้ตรงตามสัญญาจากการก่อสร้างที่รวดเร็ว จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่พฤกษา สามารถส่งมอบบ้านคุณภาพให้กับลูกค้าได้กว่า 13,000 ยูนิตต่อปีถือว่ามีจำนวนยูนิตมากที่สุดในวงการอสังหาฯ
บ้านกลางเมือง โมเดลใหม่ ‘เทอราเรีย’ นวัตกรรมการออกแบบแห่งอนาคต พื้นที่ในบ้านปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ พลิกโฉมและฟังก์ชั่นทาวน์โฮมไทยไปตลอดกาล

บ้านกลางเมือง โมเดลใหม่ ‘เทอราเรีย’ นวัตกรรมการออกแบบแห่งอนาคต พื้นที่ในบ้านปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ พลิกโฉมและฟังก์ชั่นทาวน์โฮมไทยไปตลอดกาล

“เพราะเราเข้าใจและมองเห็นรูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป” เอพี (ไทยแลนด์) จึงตั้งใจออกแบบพื้นที่และฟังก์ชั่นภายในไฮเอนด์ทาวน์โฮมภายใต้แบรนด์ บ้านกลางเมือง โมเดลใหม่ ‘เทอราเรีย’ ให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการโดยสัมพันธ์กับการใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่ความสวยงามของสถาปัตยกรรมภายนอก แต่คำนึงถึงการบริหารและจัดสรรสเปซฟังก์ชั่นในการอยู่อาศัย เพื่อให้ทุกคนในบ้านได้ใช้พื้นที่ที่ออกแบบมา ในทุกตารางนิ้วอย่างได้อย่างคุ้มค่า โดยออกแบบสเปซทุกรายละเอียดอย่างละเมียดละไม ไปพร้อมๆกับ    การจัดการฟังก์ชั่นแต่ละพื้นที่ภายในบ้าน ให้สามารถรองรับการใช้งานได้จริงในวันนี้และอนาคต” บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เข้าใจถึงความต้องการในเรื่องที่อยู่อาศัยเพื่อวันข้างหน้าอย่างสูงสุด จึงได้รังสรรค์บ้านกลางเมือง ไฮเอ็นด์ทาวน์โฮม 3 ชั้น โมเดลใหม่ ‘เทอราเรีย’ ตอกย้ำความเป็นผู้นำเจ้าตลาดไฮเอนด์ทาวน์โฮม 3 ชั้นในเมือง มอบความรู้สึกที่แตกต่างแห่งการพักผ่อนที่เหนือระดับ บน 2 ทำเลศักยภาพที่จะมั่นใจได้ถึงความสะดวกและปลอดภัย ได้แก่ บ้านกลางเมืองสาทร - สุขสวัสดิ์ และ บ้านกลางเมืองลาดพร้าว - เสรีไทย ชูความต่างด้วยนวัตกรรมดีไซน์พื้นที่แห่งการออกแบบพื้นที่ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ เจาะครอบครัวคนเมืองรุ่นใหม่ระดับกลางบน อาทิ การออกแบบพื้นที่สีเขียว และ Flexible Wall ผนังภายในที่ปรับเปลี่ยนได้ รองรับความยืดหยุ่นของการ-ใช้งาน เพิ่มประโยชน์ใช้สอยเต็มพื้นที่ พร้อมยกระดับความสะดวกสบายและคุณภาพชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ ย่อโลกสีเขียวไว้ภายในบ้านของคุณ “เทอราเรีย(Terraria)” หมายความถึงการย่อโลกสีเขียวเข้ามาไว้ในไฮเอนด์ทาวน์โฮมของคุณ ซึ่งนับเป็นการปฏิวัติการดีไซน์ ฉีกกรอบคำจำกัดความของทาวน์โฮมแบบเดิมๆ โดยมีจุดเด่นคือ การออกแบบพื้นที่สีเขียว (Design for Green Living) ซึ่งนอกจากจะให้ความสำคัญกับการนำต้นไม้เข้ามาอยู่ในตัวอาคารในรูปแบบ Pocket Garden เข้ามาไว้ในทาวน์โฮมถึง 2 จุดในชั้น 2 และชั้น 3 เพื่อดึงพื้นที่สีเขียวและธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตแล้วนั้น ยังคำนึงถึงการออกแบบมุมมอง (Design Approach) ทั้งจากภายในและภายนอกตัวบ้าน ตอบสนองความต้องการธรรมชาติของชีวิตคนเมือง” ที่สุดแห่งนวัตกรรมการออกแบบพื้นที่แห่งอนาคต ออกแบบพื้นที่ใช้สอยเพื่อตอบรับพื้นที่ชีวิตในอนาคตของครอบครัวคนเมืองรุ่นใหม่ รองรับการปรับเปลี่ยน (Design for Flexible Living) ตามความต้องการใช้พื้นที่ที่หลากหลายด้วย Flexible Wall ผนังภายในแบบพิเศษที่รองรับการปรับเปลี่ยน ขยับขยายได้จริง ยืดหยุ่นได้หลากหลายรูปแบบโดยไม่กระทบโครงสร้างหลักของบ้าน ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้อาศัย ขณะที่ความลงตัวเชิงฟังก์ชั่นและความคุ้มค่าทุก ตารางนิ้วของพื้นที่ใช้สอยภายในทั้ง 3 ชั้นยังเชื่อมต่อการใช้งานได้อย่างไม่จำกัด อาทิ เพิ่มพื้นที่เก็บของ (ด้านหน้าและใต้บันได) การบริหารพื้นที่ครัวแบบเข้ามุม และเพิ่มพื้นที่พักผ่อนพิเศษ ที่สามารถรองรับ     ทั้งการเป็นส่วนนั่งเล่นของครอบครัวหรือพื้นที่ทำงานได้อย่างลงตัว และเพิ่มความโดดเด่นด้วยดีไซน์โมเดิร์น อย่างเป็นเอกลักษณ์ของโครงสร้างสถาปัตยกรรมดีไซน์ภายนอก สะดวกสบายในทุกมิติแห่งการพักอาศัย ท่ามกลางบรรยากาศที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติผสมผสานความทันสมัยที่ยังคงให้ความรู้สึกที่เป็นส่วนตัว ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกตามมาตรฐานสากล อาทิ คลับเฮ้าส์หรูสไตล์ Luxury Resort   ที่สะท้อนตัวตนและความภาคภูมิใจแห่งการเป็นเจ้าของได้อย่างมีระดับ ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอันร่มรื่น และใช้เวลากับครอบครัวได้อย่างเต็มที่ด้วยสวนสีเขียวใจกลางโครงการที่เชื่อมต่อสระว่ายน้ำและฟิตเนส สะดวกสบายในทุกการเดินทางด้วยตัวโครงการ ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพและอยู่ในแนวรถไฟฟ้าในอนาคต อีกทั้งยังแวดล้อมด้วยไลฟ์สไตล์มอลล์ขนาดใหญ่ พร้อมด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.ที่จะตอบทุกความอุ่นใจในการใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ อาทิ Easy card และระบบ CCTV รอบโครงการ ร่วมค้นพบนวัตกรรมดีไซน์พื้นที่แห่งอนาคตที่ “บ้านกลางเมือง” โมเดลเทอราเรีย (Terraria) ไฮเอ็นด์ทาวน์โฮม 3 ชั้น ขนาดที่ดิน 18 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 152 ตารางเมตร หน้ากว้าง 5 เมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พร้อมที่จอดรถ 2 คัน บน 2 ทำเลใจกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้า ติดถนนใหญ่และทางด่วน ได้แก่ บ้านกลางเมือง สาทร – สุขสวัสดิ์ มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท จำนวน 204 ยูนิต เพียง 200 เมตรจากถนนใหญ่สุขสวัสดิ์ ใกล้สะพานภูมิพล ทางพิเศษเฉลิมมหานคร เชื่อมต่อสู่เขตสาทรได้อย่างง่ายดาย และวงแหวน กาญจนาภิเษก ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท และ บ้านกลางเมืองลาดพร้าว - เสรีไทย จำนวน 334 ยูนิต ติดถนนใหญ่ และใกล้ทางด่วนวงแหวนขาเข้า - ออกเมือง ในราคาเริ่มต้น 4.29 ล้านบาท พิเศษ! 9-10 ธ.ค. Greatest Ever ส่งท้ายปีสุดยิ่งใหญ่ 2 วันราคาเดียว บ้านกลางเมือง สาทร – สุขสวัสดิ์ พบราคาพรีเซล 4.79 ล้าน บ้านกลางเมืองลาดพร้าว – เสรีไทย ทุกค่าใช้จ่ายเป็น 0 เริ่ม 4.29 ล้าน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1623 หรือ apthai.com
Le Luk คอนโดมิเนียมตอบโจทย์ความสมบูรณ์แบบแห่งชีวิตที่คุ้มค่า

Le Luk คอนโดมิเนียมตอบโจทย์ความสมบูรณ์แบบแห่งชีวิตที่คุ้มค่า

การใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพแวดล้อมในอุดมคติ บนสุดยอดทำเลที่มีศักยภาพ ถือเป็นความสมบูรณ์แบบแห่งชีวิตที่คุ้มค่าที่สุด และสำหรับผู้ที่กำลังเฟ้นหาการลงทุนที่ใช่สำหรับตัวเองและคนสำคัญของชีวิตอยู่นั้น Le Luk คอนโดมิเนียมริมถนนสุขุมวิทติด BTS ที่ตั้งอยู่ใน W District บนทำเลที่ดีที่สุดของย่านพระโขนง คือการตอบโจทย์ที่ใช่และลงตัวที่สุดสำหรับผู้มองหาการลงทุนเพื่อเติมเต็มชีวิตที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบที่สุด เช่นเดียวกับคู่รักสุดสวีทซึ่งกำลังจะมีทายาทตัวน้อยออกมาเติมเต็มคำว่าครอบครัวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อย่าง พีท – พงพี และ ตูน – สุภัชชา ลีนะวงศ์ ที่มีมุมมองในการตัดสินใจเลือกเฟ้นคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนสำหรับตนเอง และเพื่อการเตรียมการสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับสมาชิกตัวน้อยของครอบครัวไว้อย่างน่าสนใจ   โดย พีท – พงพี ลีนะวงศ์ เล่าให้ฟังจากจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้ออกแบบห้องของทางโครงการ จนสู่การตัดสินใจเป็นผู้พักอาศัยในโครงการที่ตัวเองออกแบบนี้ว่า “ผมโชคดีที่มีโอกาสได้ทำงานออกแบบห้องที่นี่ ทำให้เห็นรายละเอียดอย่างใกล้ชิดของโครงการนี้ตั้งแต่เริ่มต้น  จึงค่อนข้างมั่นใจว่า Skywalk Residence ทั้ง 2 โครงการคือ Leluk condominium และ Sky Walk Condominium ตอบโจทย์สิ่งที่ผมต้องการ คือสามารถรองรับไลฟ์สไตล์ได้ทุกรูปแบบมีฟังก์ชั่นที่ครบครัน เพราะสำหรับผมบริเวณพื้นที่กว่า 80 ตารางเมตรห้องนี้ ต้องการให้สามารถเป็นได้ทั้งที่พักอาศัยส่วนตัว และในบางครั้งก็เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆ แบบส่วนตัวได้ นอกจากนี้ความน่าเชื่อถือและประสบการณ์ของดีเวลลอปเปอร์ ความสะดวกสบายในการเดินทางก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเป็น อันดับต้นๆ และเหนือสิ่งอื่นใดคือตอนนี้ครอบครัวของเรากำลังเตรียมต้อนรับสมาชิกตัวน้อย การเลือกซื้อคอนโดมิเนียมเปรียนเสมือนการลงทุนสำหรับอนาคตที่มั่นคงของครอบครัว และเป็นของขวัญชิ้นสำคัญที่พ่อและแม่มอบให้กับลูกของเรา” ด้าน ตูน - สุภัชชา ลีนะวงศ์ ในฐานะคุณแม่ซึ่งย่อมใส่ใจในรายละเอียดและเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวได้เล่าว่า “ตอนนี้ก็ตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เพิ่มบทบาทหน้าที่ของการเป็นคุณแม่อย่างเต็มตัว ตอนนี้ก็พยายามเตรียมความพร้อมให้ดีที่สุด เวลาทำอะไรก็จะใส่ใจในรายละเอียดมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน  แน่นอนว่าที่พักอาศัยคือพื้นฐานสำคัญของการใช้ชีวิตตูนถูกใจห้องที่นี่เพราะเน้นการตกแต่งดีไซน์ที่มีความสะดวก สบาย  มีสิ่งอำนวย ความสะดวกพร้อม ตูนจะคลอดน้องในเดือนธันวาคม นึกถึงบรรยากาศเวลาเพื่อนๆ มาเยี่ยม สังสรรค์ทำกับข้าวกินกัน พูดคุยกัน ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นส่วนตัว ระบบรักษาความปลอดภัยมั่นใจได้ ที่สำคัญอีกอย่างคือเรื่องของ ที่จอดรถที่มีเพียงพอสำหรับสมาชิกในครอบครัว และในอนาคตก็ยังสามารถเป็นนำไปลงทุนที่คุ้มค่าได้อีกด้วย เรียกว่าที่นี่คือที่พักอาศัยในอุดมคติจริงๆ ค่ะ” ดีไซน์โดยรวมของห้องให้เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันอบอุ่น เลือกใช้พื้นไม้สี white oak หรือสีไม้บีช ตัดกับผนังสีขาว และพื้นที่ภายในห้องครัวที่เลือกใช้หินอ่อน White Volakus ซึ่งทำให้ภายในห้องดูกว้างขวาง โปร่งโล่ง สบาย เนื่องจากห้องนี้ไม่ใช่ห้องเพื่อการพักผ่อนและสังสรรค์เท่านั้น แต่ยังคาดการณ์ถึงการลงทุนในอนาคต การออกแบบจึงมีการคำนึงถึงผู้เช่าในอนาคตไว้หากมีกลุ่มเป้าหมายที่สนใจเช่า ก็สามารถย้ายเข้าอยู่ได้เลย อีกทั้งฟังก์ชั่นภายในใช้เฟอร์นิเจอร์แบบบิลต์อินทั้งหมด อาทิ ตู้เก็บของภายในห้องครัว เลือกใช้พื้นผิวเป็นกระจกทำให้พื้นที่ภายในห้องดูกว้างขวางขึ้น หรือชั้นวางของตกแต่งขนาดเล็กด้านหลังโซฟาห้องรับแขก ที่อยู่ติดกับห้องนอนใหญ่ที่เน้นโทนสีไม้บีชสร้างบรรยากาศในการพักผ่อนในห้องนอนดูอบอุ่นมากขึ้น ขณะที่พื้นที่ภายในห้องนอนกว้างขวางเพราะการบิลต์อิน Walk in Closet บริเวณทางเชื่อมระหว่างห้องนอน และห้องน้ำ ทำให้มีพื้นที่พักผ่อนภายในห้องนอนมากยิ่งขึ้น Le Luk เป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ในทำเลที่ดีที่สุดในย่านพระโขนงใน W District เป็นโครงการ Mix used ประกอบด้วย โรงแรม CO Working Space ,TCDC Common  และ ร้านอาหาร Street Market ริมถนนสุขุมวิทติด BTS และเชื่อมทางด่วนรามอินทรา - อาจณรงค์ พร้อมด้วยทางเข้าออก 5 เส้นทาง บนพื้นที่กว่า 11 ไร่ ถือเป็นโอกาสสำคัญที่น่าจับจองสำหรับนักลงทุน เนื่องจากแนวโน้มของราคาคอนโดมิเนียมสูง ย่าน ทองหล่อ เอกมัย พระโขนง ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปี 2560 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยราคาที่ดินที่มีสามารถสร้างอาคารสูงได้มีการปรับราคาสูงขึ้น และการหาที่ดินในการสร้างอาคารสูงยากขึ้น ทางด้านตลาดการเช่าด้วยทำเลศักยภาพย่านพระโขนงสามารถจับกลุ่มลูกค้าผู้เช่าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวเอเซีย ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน และ สิงคโปร์ ซึ่งอัตราการเช่าอยู่ที่ 80%โดย Skywalk Residence มีบริการแบบครบวงจรทั้งการจัดหาผู้เช่า และดูแลสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทางผู้เช่าอย่างครบครัน
ไทวัสดุ เขย่าตลาดวัสดุก่อสร้างปลายปี ทุ่ม 600 ล้านผุดสาขาที่ 43 บนถนนชัยพฤกษ์

ไทวัสดุ เขย่าตลาดวัสดุก่อสร้างปลายปี ทุ่ม 600 ล้านผุดสาขาที่ 43 บนถนนชัยพฤกษ์

ไทวัสดุ ศูนย์รวมสินค้าบ้านของคนไทย เดินหน้าตอกย้ำผู้นำของตกแต่งบ้าน และ วัสดุก่อสร้าง ทุ่มเงินลงทุนกว่า 600 ล้านบาท เปิดสาขาที่ 43 บนถนนชัยพฤกษ์ หวังดูดลูกค้ากว่า 400,000 ครัวเรือนในรัศมี 10 กิโลเมตร ด้วยดีไซน์รูปแบบอาคารใหม่ และติดแอร์ทั้งศูนย์เพิ่มความสบายให้ลูกค้า บนพื้นที่ 17,000 ตารางเมตร ตอกย้ำสโลแกน “ครบเรื่องบ้าน ถูกและดี” นายสุทธิสาร  จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด  ผู้ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีก  ไทวัสดุ ,โฮมเวิร์ค และบ้าน  แอนด์ บียอนด์ ในกลุ่มเซ็นทรัล เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีกำหนดเปิดร้านไทวัสดุ สาขาชัยพฤกษ์ เป็นสาขาที่ 43 บนพื้นที่ 17,000 ตารางเมตร ในวันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2560 และสาขานี้จะเป็นศูนย์รวมสินค้าบ้านที่ใหญ่ที่สุด และมีสินค้าครบที่สุดบนถนนราชพฤกษ์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าเจ้าของบ้านรวมทั้งกลุ่มผู้รับเหมา ในรัศมี 10 กิโลเมตร ซึ่งจากการสำรวจพบว่ามีจำนวนบ้านมากกว่า 430,000 ครัวเรือน และมีโครงการที่กำลังเกิดขึ้นใหม่อีกมากกว่า 30 โครงการ ขณะเดียวกัน ยังได้มองไปถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในอนาคตที่จะเกิดขึ้นตามแนวถนนที่จะขยายไปเชื่อมกับถนนวงแหวนตะวันตก   สำหรับสาขานี้ ได้ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 19 ไร่ ใกล้จุดตัดถนนราชพฤษ์ และถนนชัยพฤกษ์ ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนาโครงการก่อสร้างถนนต่อเชื่อมถนนราชพฤกษ์ – ถนนกาญจนาภิเษก (แนวเหนือ – ใต้) ต่อไปอีก ทำให้มีการผุดโครงการหมู่บ้านต่างๆ ตามแนวถนนในอีกหลายๆ โครงการ อีกทั้งยังทำให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าได้อีกเป็นจำนวนมาก ทั้งทางด้านถนนวงแหวน ถนนชัยพฤษ์-ราชพฤกษ์ ลูกค้าตอนเหนือของจังหวัดปทุมธานี และฝั่งตะวันออก-ตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งคาดว่า สาขานี้จะทำยอดขายได้ไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาทต่อปี “ไทวัสดุ สาขาชัยพฤกษ์จะเป็นสาขาต้นแบบ เพราะเราDesign รูปแบบอาคารใหม่ และติดเครื่องปรับอากาศภายในทั้งศูนย์ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในเลือกซื้อสินค้า ด้วยสโลแกน  “ศูนย์รวมสินค้าบ้านของคนไทย” โดยเน้นความครบของสินค้า มีครบทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เครื่องมือช่าง, มีการจัดเรียงสินค้าที่สวย ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ เช่น สินค้าตกแต่ง กระเบื้องปูพื้น-ผนัง สุขภัณฑ์ ห้องครัว และยิ่งไปกว่านั้นเรามีครบด้วย Complete Kitchen Solution อาทิ ครัวปูน พร้อมบริการออกแบบ3D Design ฟรี, เฟอร์นิเจอร์ชุดครัวในรูปแบบ Complete set หรือ DIY Kitchen ที่ลูกค้าสามารถเลือก Mix&Match ชุดครัวได้เอง และชุดครัวสำเร็จ/ตู้กับข้าว ที่ลูกค้าสามารถยกไปวางได้เลย นอกจากนี้ พิเศษยิ่งขึ้นด้วย Contractor Gallery ที่ทำให้ลูกค้าเห็นตัวอย่างการใช้งานหรือติดตั้งจริงของวัสดุต่าง ๆ อีกด้วย ในส่วนของบริการ Home service เรามีทีมช่างที่ให้บริการติดตั้งและซ่อมแซมแก่ลูกค้า มั่นใจ ได้มาตรฐาน ตอบโจทย์ทุกปัญหาบ้าน ด้วยทีมช่างมืออาชีพ เพื่อตอกย้ำสโลแกน ครบเรื่องบ้าน  ถูกและดี” นายสุทธิสาร กล่าว นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มีการทำโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นยอดขาย ในสาขาใหม่ด้วย โดย 5 วันแรกของการเปิดสาขา คือวันที่ 1-5 ธันวาคม 2560 เพียงกด Like facebook thaiwatsadu fan page และ Share Location ไทวัสดุสาขาชัยพฤกษ์เปิดแล้ว! แจกฟรีบัตรกำนัลเงินสด มูลค่า 500 บาท  จำกัด 100 ท่านแรกต่อวัน (เริ่มแจกเวลา 08.00 น.บัตรกำนัลเงินสด 500 บาท ซื้อครบ 1,000 บาทขึ้นไป จึงใช้เป็นส่วนลดได้) และเมื่อสมัครสมาชิก The1Card  รับฟรี!!เสื้อยืดไทวัสดุ จำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย (เฉพาะการสมัครสมาชิกใหม่) ขณะเดียวกัน ยังมีแคมเปญรับของสมนาคุณฟรี ในระหว่างวันที่ 1-28 ธันวาคม 2560 อีกมากมาย อาทิ ช้อปครบรับฟรี ช้อปครบทุก 3,000 บาท  รับฟรี คูปองส่วนลด 300 บาท, รับเพิ่ม เมื่อช้อปครบทุก 30,000-59,999 บาท  รับฟรี เตาแม่เหล็กไฟฟ้า SHARP มูลค่า 2,290 บาท, รับเพิ่ม เมื่อช้อปครบ 60,000-99,999 บาท  กล้องติดรถยนต์ 4,200 บาท, รับเพิ่ม เมื่อช้อปครบ 100,000-299,999 บาท  บัตรกำนัลทองคำ หรือบัตรกำนัลเงินสด มูลค่า 5,000 บาท, รับเพิ่ม เมื่อช้อปครบ 300,000 บาทขึ้นไป  บัตรกำนัลทองคำ หรือบัตรกำนัลเงินสด มูลค่า 20,000 บาท และโปรโมชั่นพิเศษ เมื่อซื้อกลุ่มอิฐ ปูน เหล็ก ทุก 10,000 บาท รับฟรี คูปองส่วนลด 1,000 บาท  (ระหว่างวันที่ 1-8 ธันวาคม 2560) รับเพิ่ม เมื่อซื้อครบ 100,000-199,999 บาท รับบัตรกำนัลเงินสด 3,000 บาท, รับเพิ่ม เมื่อซื้อครบ 200,000-399,999 บาท รับบัตรกำนัลเงินสด 7,000 บาท, รับเพิ่ม เมื่อซื้อครบ 400,000 บาทขึ้นไป รับบัตรกำนัลเงินสด 15,000 บาท พิเศษ! สมาชิกที่มียอดซื้อสูงสุด  รับฟรี LED TV 55 นิ้ว  (1-28 ธ.ค 60) ซึ่งรายละเอียดโปรโมชั่นของสาขาพระราม 2 สามารถติดตามได้ใน www.thaiwatsadu.com หรือสอบถามได้ที่สาขาโดยตรง
อสังหายุค 4.0 เทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิต

อสังหายุค 4.0 เทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิต

ศตวรรษที่ 21 นี้ โลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย หลายสิ่งหลายอย่างต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเพื่อหมุนให้ทันตามโลกที่เปลี่ยนไปอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าพลิกฝ่ามือ บางอย่างก้าวตามยุคสมัยไม่ทันก็ต้องโบกมือลาจากไป สิ่งสำคัญที่ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายขนาดนี้ นั่นคือ "เทคโนโลยี" ซึ่งเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันจนแทบจะกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบันอย่างขาดไปเสียไม่ได้ ทุกวันนี้เทคโนโลยีถูกแทรกซึมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตอยู่ตลอดเวลา จนเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา การเปิดรับข้อมูลข่าวสาร การสื่อสาร การทำธุรกรรมทางการเงิน เพื่อความบันเทิง สินค้าและบริการ ฯลฯ จนเกิดเป็นแผนพัฒนาไทยแลนด์ 4.0 มาตั้งแต่ปี 2559 ที่ทางรัฐบาลมุ่งหวังให้ประเทศไทยใช้นวัตกรรมเหล่านี้ผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าต่อไป ในวงการอสังหาริมทรัพย์เองก็ไม่แพ้วงการไหน เพราะ Developer หลายเจ้าที่นำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้จนเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ หรือบริษัทเอกชนต่างๆ ที่สร้างเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ขึ้นมาให้บริการ ตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อสร้างอาคาร ระบบจัดการภายในที่อยู่อาศัย ระบบการซื้อ-ขาย และนวัตกรรมอื่นๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าในแต่ละเทคโนโลยีที่คิดค้นกันขึ้นมานั้นก็เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย หรือลูกบ้านที่ใช้ชีวิตอยู่ในโครงการให้ได้มากที่สุด จุดนี้เองสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจของเจ้าของโครงการที่มีให้กับลูกบ้านได้เป็นอย่างดี ตลอดจนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เองด้วย โดยเรียกกันว่า  "PROP TECH" หรือ "Property Technology" PROP TECH ได้กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งนำมาแข่งขันโชว์ศักยภาพกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำทีมขึ้นมาสร้าง พัฒนานวัตกรรมมาใช้ในโครงการของตัวเอง หรือร่วมมือกับบรรดาสตาร์ทอัพ ระดมไอเดียพัฒนาปรับปรุงจนนำมาใช้ได้จริง และยังสามารถผลัดดันไปแข่งขันบนเวทีโลกได้อีกด้วย ตรงนี้เป็นอีกหนึ่งจุดขายที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดไม่แพ้เรื่องของทำเล ดีไซน์ทางสถาปัตยกรรม และราคา ซึ่งนวัตกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการพัฒนาอีกต่อไป แต่ทุกวันนี้สามารถนำมาใช้งานได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ จึงถือว่าเป็นกำไรของผู้บริโภคในการมีตัวเลือกของการใช้ชีวิตให้ง่ายมากขึ้น หากพูดภาพรวมแบบนี้อาจจะนึกไม่ออก เราลองไปดูตัวอย่างของนวัตกรรมเหล่านี้ ซึ่งปัจจุบันนำมาใช้งานจริงแล้วในประเทศไทย Precast concrete นวัตกรรมการก่อสร้างด้วยแผ่นคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป เป็นเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนีที่สามารถควบคุมคุณภาพได้ทุกแผ่น ทุกขั้นตอน โดยให้ตัวผนังนี้มารับน้ำหนักแทนที่เสา และคาน ส่งผลให้การตกแต่งภายในสวยงามมากขึ้น มีคุณสมบัติต้านแรงลม แรงแผ่นดินไหว กันความร้อนและเสียงจากภายนอก โดยในเมืองไทยนิยมใช้วิธีการก่อสร้างแบบนี้กันมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะช่วยลดขยะหน้าไซต์งานก่อสร้าง ไม่ต้องมาคอยผสมปูน หล่อเสา ก่ออิฐ ฉาบปูนแบบเดิม และยังทำให้งานก่อสร้างเสร็จเร็วมากขึ้นด้วย ปัจจุบันนิยมนำมาสร้างคอนโด ทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว เป็นต้น Online Booking ระบบจองโครงการที่อยู่อาศัยผ่านเว็บไซต์ เมื่อก่อน(หรือปัจจุบันก็ยังมีอยู่) เมื่อโครงการทำการเปิดรอบ Pre sale ผู้ซื้อก็จะต้องเดินทางไปที่ตั้งของโครงการนั้นๆ ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อให้ได้คิวอันดับต้นๆ ในการเลือกจองห้องดีที่สุดที่เราเล็งเอาไว้ แต่ปัจจุบันหลายโครงการทำการเปิดจอง Pre sale ผ่านเว็บไซต์ ไม่ต้องตื่นแต่เช้า เดินตากแดดไปจองห้องกันอีกต่อไป ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ไหนก็สามารถจองได้ เรียกว่าใครเร็วกว่าก็ได้ไป Automatic parking ระบบจอดรถอัตโนมัติ หลายคนคงเคยใช้บริการกันตามห้างสรรพสินค้าบางแห่งที่มีให้ใช้บริการ เช่น The EmQuartier ซึ่งไม่ต้องเสียเวลาขับรถวนหาที่จอดนานๆ เพียงแค่ขับรถเข้าไปจอดในลิฟท์ตัวใหญ่แล้วทำตามคำแนะนำ รถของเราก็จะเข้าจอดได้อย่างปลอดภัยมากกว่า ประหยัดพื้นที่จอดรถ แถมยังเพิ่มปริมาณการจอดรถได้อีกมาก ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีบางโครงการคอนโดมิเนียมนำมาใช้บ้างแล้ว    Delivery Robot หุ่นยนต์เซอร์วิชภายในโครงการ ทำหน้าที่ได้หลายอย่างด้วยกัน เช่น ส่งพัสดุ, อาหาร ถึงหน้าห้องพัก Smart home หรือ Home Automation เป็นเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเอาไว้ในสมาร์ทโฟนของเรา ใช้สำหรับควบคุมปิด-เปิด ไฟ, เครื่องปรับอากาศ, โทรทัศน์, ดูกล้องวงจรปิด, ฯลฯ จากสมาร์ทโฟนของเรา ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะลืมปิดไฟก่อนออกจากบ้าน และสามารถสั่งเปิดไฟเอาไว้ก่อนเราจะถึงบ้าน เพื่อความปลอดภัยช่วงกลางคืนอีกด้วย Application สำหรับลูกบ้าน เจ้าของโครงการที่อยู่อาศัยรายใหญ่หลายราย ได้ทำ Application เพื่อรองรับบริการหลังการขาย เพื่อความสะดวกสบายของลูกบ้านอย่างรอบด้าน เช่น สำหรับติดต่อนิติบุคคล, แจ้งช่างซ่อม, จองพื้นที่ส่วนกลาง นอกจากนี้ยังมี Application และเว็บไซต์ ที่พัฒนาโดยบริษัทสตาร์ทอัพซึ่งเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยโดยตรง เช่น เรียกแม่บ้านให้เข้ามาทำความสะอาดที่ห้อง Website สุดท้ายที่คงจะไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะเราคือ www.reviewyourliving.com เว็บไซต์รีวิวโครงการที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว ลงประกาศขาย-เช่า ข่าวสารวงการอสังหาริมทรัพย์ที่อัพเดทอยู่ตลอด บทความต่างๆ และยังมี Application reviewyourliving เพิ่มความสะดวกสบายในการเข้าถึงบนสมาร์ทโฟนของคุณอีกด้วย           สุดท้ายข้อสำคัญของเทคโนโลยี คือ ทำให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้นกว่าเดิมในยุคที่ต้องแข่งขันกับเวลาอยู่ตลอด ฉะนั้นเทคโนโลยีจะต้องใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่ซับซ้อนจนเกินไป ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และสอดคล้องกับการดำเนินชีวิต
อโศก-พระราม 9 ทำเลแห่ง New CBD

อโศก-พระราม 9 ทำเลแห่ง New CBD

ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ว่ากันว่าย่านอโศก-พระราม 9-รัชดา เป็นแหล่ง New CBD(Central Business District) ต่อจากย่านเศรษฐกิจอย่างสาทร-สีลม ที่เริ่มหาที่ดินมาพัฒนาได้ยากมากขึ้น ด้วยปัจจัยของสิ่งรอบด้านในย่านนั้นส่งผลให้มีความเจริญเติบโตของเมืองเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด ประกอบกับวิถีชีวิตของประชากรที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯเปลี่ยนแปลงไป ทำให้บริเวณอโศก-พระราม 9-รัชดา จึงกลายเป็นทำเลที่หลายคนต้องจับตามองกันแบบไม่กระพริบตา   ถนนรัชดาภิเษกตั้งแต่สี่แยกรัชดา-ลาดพร้าว เชื่อมต่อไปยังถนนอโศกมนตรี เป็นช่วงที่มีความคึกคักอยู่ตลอดเวลาไม่เว้นแม้แต่วันเสาร์-อาทิตย์ เพราะตลอดสองฝั่งถนนมีทั้งโรงแรมระดับ 3-5 ดาว, ร้านอาหาร, โรงพยาบาล, สถาบันการศึกษา, ห้างสรรพสินค้า, ซุปเปอร์มาร์เก็ต และอาคารสำนักงานมากมาย ที่สำคัญมีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ที่วิ่งผ่านตลอดเส้นทาง และมีแอร์พอร์ตลิงค์ สถานีมักกะสัน เป็นจุด Interchange เชื่อมต่อกับ MRT สถานีเพชรบุรี แล้วในอนาคตก็จะมีรถไฟฟ้าสายสีส้มเกิดขึ้น โดยมีสถานีที่เป็น Interchange กับ MRT สถานีศูนย์วัฒนธรรม อีกทั้งยังมีจุดขึ้น-ลง ทางพิเศษศรีรัชในบริเวณเดียวกัน   หลายสถานที่สำคัญก็เปรียบเสมือนแม่เหล็กดึงดูดให้ย่านนี้เกิดการเติบโตอันรวดเร็ว เช่น   The Rama IX Super Tower โดยบริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ G Land เป็นอาคารที่กำลังจะก้าวขึ้นแท่นอาคารสูงที่สุดติดท็อป 10 ของโลกถึง 615 เมตร จำนวณ 125 ชั้น บนพื้นที่ โดย Super Tower ได้แบ่งอาคารออกเป็น 4 ส่วนหลักด้วยกัน คือ ห้างสรรพสินค้า โรงแรมระดับ 6 ดาว ศูนย์ประชุม และสำนักงานเกรดเอ ตัวอาคารตั้งอยู่หลังเซ็นทรัลพระราม 9 ปัจจุบันกำลังเริ่มการก่อสร้าง หากแล้วเสร็จเมื่อไรคาดการณ์กันว่าจะทำให้เกิดการลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาล   อาคารสำนักงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งอยู่บนถนนรัชดาภิเษกติดกับสถานทูตจีน อาคารนี้ถือเป็นศูนย์กลางธุรกิจตลาดทุนครบวงจรของประเทศ ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการวางแผนทางการเงินและการลงทุน สำหรับนักเรียน นักศึกษา และประชาชน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ นอกจากนี้ก็ยังมีอาคารสำนักงานชื่อดังอื่นๆ เช่น Cyberworld Tower (CW Tower), AIA Capital Center, True Tower, G Tower, Unilever House เป็นต้น   ห้างสรรพสินค้า ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัลพระราม 9, ฟอร์จูน, เอสพลานาด, เดอะ สตรีท รัชดา, โชว์ ดีซี ฯลฯ แต่ละแห่งก็สามารถตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละคนได้แตกต่างกันไป เช่น ฟอร์จูน สำหรับความต้องการสินค้าด้านไอทีโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายภาพ โทรศัพท์มือถือ รวมถึงอุปกรณ์เสริมต่างๆ, โชว์ ดีซี ศูนย์การค้าน้องใหม่สไตล์เกาหลี ที่เป็นทั้งแหล่งช้อปปิ้งและความบันเทิงเข้าไว้ด้วยกัน รวมถึงยังเป็นเอาท์เล็ทสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย   สถาบันการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมายาวนาน เช่น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา ฯลฯ หรือโรงเรียนนานาชาติที่เพิ่งเปิดตัวใหม่อย่าง SHREWSBURY INTERNATIONAL SCHOOL CITY CAMPUS ซึ่งเป็นโรงเรียนในระดับอนุบาลจนถึงประถมศึกษา มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ ตั้งอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดีบนพื้นที่ 15 ไร่ โดยมีกำหนดการเริ่มเปิดสอนในเดือนสิงหาคม ปี 2561     จุดที่หลายคนจับตามองมากที่สุด คือ ช่วงสี่แยกพระราม 9 ที่หลาย Developer ระดับบิ๊ก ต่างช่วงชิงจับจองพื้นที่สร้างโครงการเข้าแข่งขันในตลาดระดับกลาง-สูง กันอย่างร้อนระอุ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ที่ต้องการห้องพักอาศัยไม่ไกลจากออฟฟิศ เดินทางสะดวก มีสิ่งอำนวยความสะดวกใกล้ที่พัก และในระยะหลังก็เริ่มมีกลุ่มชาวต่างชาติอย่าง ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ยุโรป เข้ามาพักอาศัยอยู่ในทำเลนี้เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โดยแต่ละโครงการที่เปิดตัวออกมานั่นทำเอาทั้งผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัย และนักลงทุนตัดสินใจเลือกกันแทบไม่ถูก ตัวอย่างเช่น   Condolette Midst พระราม 9 จากพฤกษา เรียลเอสเตท คอนโด High Rise สูง 30 ชั้น บนถนนพระราม 9 ใกล้สี่แยกพระราม 9 ฝั่งขาเข้า เป็นคอนโดที่เปิดให้เข้าอยู่มาตั้งแต่ปลายปี 2558 แต่ยังคงมีชาวต่างชาติเข้าพักอาศัยในระยะยาวอยู่ตลอด ราคาเฉลี่ยตอนเปิดตัวอยู่ที่ 150,000 บาท/ตร.ม. Chewathai Residence Asoke จาก ชีวาทัย คอนโด High Rise สูง 29 ชั้น อยู่ริมถนนอโศก-ดินแดง ฝั่งมุ่งหน้าสี่แยกพระราม 9 เป็นโครงการที่ออกแบบห้องพักอาศัยกับส่วนกลางมาได้สวยมาก โดยสไตล์ห้องเป็นแบบ Loft Duplex เพดานสูงถึง 3.6 เมตร  ปัจจุบันนี้พร้อมเข้าอยู่แล้ว ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท เฉลี่ยราคา 180,000 บาท/ตร.ม. Life อโศก-พระราม 9 จาก เอพี คอนโด High Rise 2 อาคาร สูง 42 และ 46 ชั้น เพิ่งเปิดพรีเซลไปได้ไม่นานมานี้ อีกหนึ่งโครงการซึ่งเป็นที่หมายตาของนักลงทุน และผู้ซื้ออยู่อาศัยเอง ด้วยตัวโครงการมี Sky Walk ทางเชื่อมกับแอร์พอตลิงค์ สถานีมักกะสัน ราคาเริ่มต้น 2.45 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยประมาณ 98,000-120,000 บาท/ตร.ม. RHYTHM อโศก 1 จาก เอพี คอนโด High Rise สูง 37 ชั้น โครงการพร้อมเข้าอยู่ ที่ตั้งใกล้กับจากของโครงการชีวาทัยในฝั่งเดียวกัน ราคาเริ่มต้นตอนเปิดตัว 3.15 ล้านบาท เฉลี่ยราคาประมาณ 147,000 บาท/ตร.ม. RHYTHM อโศก 2 จาก เอพี คอนโด High Rise สูง 30 ชั้น โครงการพร้อมเข้าอยู่แล้ว ซึ่งโครงการนี้ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันกับ RHYTHM อโศก 1 คงจะเป็นการการันตีความร้อนแรงของทำเลนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะโครงการคอนโดมิเนียมจากเอพีในย่านนี้มีหลายตัวเป็นพิเศษ โดย RHYTHM อโศก 2 ตอนนี้ราคาเริ่มต้นประมาณ 4.3 ล้านบาท เฉลี่ยราคาประมาณ 150,000 บาท/ตร.ม. Ashton อโศก-พระราม 9 จาก อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ คอนโด High Rise 2 อาคาร สูง 46 ชั้น ทำเลดีมากตามสไตล์อนันดา เพราะอยู่หัวมุมสี่แยกพระราม 9 ตรงข้ามกับฟอร์จูน ดีไซน์อาคารโดดเด่น ราคาเริ่มต้นตอนเปิดตัวอยู่ที่ 6.49 ล้านบาท หรือประมาณกว่า 200,000 บาท/ตร.ม.   แม้จะมีบางโครงการย่านนี้ที่มีอายุเกิน 5 ปี แต่ยังคงมีอัตราการเติบโตของราคาเพิ่มขึ้นอยู่ไม่น้อย ด้วยทำเลที่ดีทั้งการเดินทางสะดวก และสิ่งอำนวยความสะดวกรายล้อม ทุกสิ่งที่กล่าวถึงมาทั้งหมดนี้ทำให้อโศก-พระราม9 กลายเป็น New CBD อย่างสมบูรณ์แบบ
พหลโยธิน-เกษตร ทำเลฮอตแห่งปี

พหลโยธิน-เกษตร ทำเลฮอตแห่งปี

คำว่า “ทำเลดี” ในยุคนี้คงต้องหมายถึงที่ดินติดกับสถานีรถไฟฟ้า เดินทางสะดวก ไม่ไกลจากสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า, ซุปเปอร์มาร์เก็ต, โรงพยาบาล, สถานศึกษา ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้ก็มักกระจุกตัวอยู่ใจกลางเมืองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้ทำเลแบบนี้มีอยู่อย่างจำกัด สิ่งหนึ่งที่จะตามมาแน่นอนคือเรื่องของราคาที่สูงอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ส่งผลต่อชีวิตของคนในกรุงเทพฯ ที่จำเป็นต้องพักอาศัยอยู่ออกไปทางชานเมืองสักหน่อย แล้วฝ่าปัญหารถติดเรื้อรังเข้าสู่ในตัวเมืองเพื่อไปทำงาน หรือไปเรียนให้ทันเวลา   ปัจจุบันด้วยแผนพัฒนาทางคมนาคม โดยเฉพาะรถไฟฟ้าที่กำลังขยายเส้นทางกระจายออกไปทั่วกรุงเทพฯ จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาเมือง ก่อให้เกิดการเติบโตขยายตัวเมืองออกไปมากยิ่งขึ้น ประชาชนทั่วไปอย่างเราๆ ก็ย่อมมีตัวเลือกในเรื่องของทำเลที่ดีในการอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ที่เห็นได้ชัดที่สุดคงหนีไม่พ้นช่วงถนนที่กำลังมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้งสองข้างทางต่างก็เริ่มถูก ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จับจองแล้วพัฒนาเป็นโครงการใหม่ เป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภคมากขึ้น นี่เป็นอีกหนึ่งทางออกของการย้ายที่อยู่มาอาศัยอยู่ใกล้รถไฟฟ้า เพื่อสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น   รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต  ถนนพหลโยธิน หรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 เป็นถนนสายหลักสายสำคัญสายหนึ่งของประเทศไทย ด้วยความที่เป็นถนนจากใจกลางกรุงเทพฯ ผ่านจุดสำคัญมากมาย และมุ่งสู่ภาคเหนือของประเทศไทยไปสุดทางที่พรมแดน อ.แม่สาย จ.เชียงราย รวมระยะทางทั้งสิ้นกว่า 994 กิโลเมตร โดยช่วงเริ่มต้น ตั้งแต่ กม. ที่ 0 จากอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปจนถึงจตุจักร ทุกคนจะเห็นว่ามีรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนผ่านตลอดช่วงแล้ว ปัจจุบันรถไฟฟ้าสายสีเขียวกำลังสร้างส่วนต่อขยายเพิ่มเติมออกไปอีก จากสถานีรถไฟฟ้าหมอชิตไปตามถนนพหลโยธิน ผ่านช่วงห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์-สะพานใหม่-พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ แล้วเบี่ยงขวาเข้าสู่ถนนลำลูกกา สุดสายที่สถานีคูคต รวมแล้วเป็นระยะทางทั้งสิ้น 19 กิโลเมตร ทั้งหมด 16 สถานี คาดว่าเปิดให้บริการในปี พ.ศ.2563 นอกจากนี้ ยังมีแผนสร้างสถานีเพิ่มจากสถานีคูคตอีก 4 สถานี ต่อออกไปอีกตามถนนลำลูกกา จนถึงสถานีวงแหวนตะวันออกบริเวณบิ๊กซี ลำลูกกา คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี พ.ศ.2565 แน่นอนว่าเมื่อมีรถไฟฟ้าขยายไปถึงบริเวณไหนก็จะส่งผลให้เกิดความเจริญของเมืองตามไปด้วย โดยเฉพาะรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนแล้ว สองข้างทางก็ยิ่งคึกคักมากขึ้น เกิดสิ่งปลูกสร้างมากมายเพื่อจับจองทำเลที่ดีที่สุด ก่อนราคาที่ดินจะพุ่งตัวสูงขึ้นอีกกว่าเท่าตัวเมื่อรถไฟฟ้าสร้างแล้วเสร็จ แน่นอนว่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นการทำโครงการคอนโดมิเนียม ที่เน้นการเดินทางอย่างสะดวกสบายที่สุดด้วยรถไฟฟ้า ซึ่งเหล่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็ย่อมที่จะกระโดดลงไปแข่งขันในสนามนี้กันอย่างดุเดือด นอกจากรถไฟฟ้าที่เป็นปัจจัยหลักในการนำพาความเจริญให้เกิดขึ้น เมื่อมีความสะดวกในการเดินทางแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ก็เป็นเรื่องสำคัญในการตัดสินใจอยู่อาศัยคือ สิ่งอำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน โรงพยาบาล แหล่งออฟฟิศ และสถาบันการศึกษา หากทุกสิ่งที่กล่าวถึงมีอยู่รายล้อมนั่นก็จะหมายถึงการเป็น “ทำเลที่ดี” ซึ่งถนนพหลโยธิน ช่วงห้าแยกลาดพร้าวไปจนถึงสะพานใหม่มีทุกสิ่งครบครัน ไล่มาตั้งแต่เซ็นทรัลลาดพร้าว, โรงเรียนหอวัง, เทสโก้โลตัส, อเวนิว, เมเจอร์รัชโยธิน, โรงพยาบาลเปาโล, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยศรีปทุม, บิ๊กซี, ตลาดยิ่งเจริญ, โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช เป็นต้น จึงไม่แปลกที่ทุกวันนี้จะกลายเป็นทำเลสุดฮอตของเหล่าคอนโดมิเนียม   คอนโดมิเนียม ย่านพหลโยธิน-เกษตร หากใครที่ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของเหล่าคอนโดมิเนียม จะพบว่าในปีนี้นั้นมีการเปิดตัวโครงการไปหลายแห่ง รวมถึงโครงการที่เตรียมเปิดตัวเพิ่มอีกในปีต่อไปจากหลากหลาย Developer ทั้งเจ้าใหญ่ เจ้าเล็กมากหน้าหลายตา ทั้งทำเลที่ติดกับถนนพหโยธิน และทำเลที่เข้าไปตามซอยพหลโยธิน ทั้งสองฝั่งถนน เราลองมาดูตัวอย่างคอนโดมิเนียมในบางโครงการที่ตั้งอยู่ย่านนี้กันดู เช่น Life Ladprao - ไลฟ์ ลาดพร้าว คอนโดมิเนียม 2 อาคาร สูง 45-46 ชั้น มีจุดขายอยู่ตรงทำเลที่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าห้าแยกลาดพร้าวเพียง 1 ก้าว แถมฝั่งตรงข้ามก็ยังเป็นเซ็นทรัล ลาดพร้าว กับโรงเรียนหอวัง และยังเป็นจุด interchange กับรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน สถานีพหลโยธิน ราคาเฉลี่ยต่อ ตร.ม. 140,000 บาท ราคาเริ่มต้นตอนเปิดตัวอยู่ที่ 2.9 ล้านบาท ซึ่งช่วงเปิดพรีเซลก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามเลยทีเดียว Poly Place Condo @Phaholyothin 23 - โพลี เพลส คอนโด แอท พหลโยธิน 23 คอนโดมิเนียม 3 อาคาร 8 ชั้น อยู่เข้าไปในซอยพหลโยธินประมาณ 800 เมตร แม้จะเข้าซอยไปสักหน่อย แต่ก็มีทางเข้า-ออก ได้หลายเส้นทาง ทั้งทางถนนพหลโยธิน ถนนวิภาวิดีรังสิต และถนนรัชดาภิเษก ช่วงหลังอาคาร SCB Park ได้ ที่น่าสนใจคือเรื่องของราคาเริ่มต้น เพียง 1.8 ล้านบาท เฉลี่ยต่อ ตร.ม. 62,000 บาท (ราคาตอนเปิดตัว) Lyss Ratchayothin - เดอะลิสส์ รัชโยธิน คอนโดมิเนียม Low rise 1 อาคาร อยู่ภายในซอยพหลโยธิน 27 เข้าไปเพียง 200 เมตร ใกล้สถานีรถไฟฟ้าพหลโยธิน 24 เป็นซอยที่ขนาดเล็กไม่ลึกมาก แต่เงียบสงบเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความเป็นส่วนตัว แต่ถือว่ายังใกล้รถไฟฟ้าอยู่ ราคาเริ่มต้น 2.59 ล้านบาท เฉลี่ย 105,000 บาท/ตร.ม. Lumpini Park Phahon 32 - ลุมพินี พาร์ค พหล 32 คอนโดมิเนียม 30 ชั้น 1 อาคาร ออกแบบตัวอาคารมาได้สวยไม่แพ้เจ้าอื่นๆ ตั้งอยู่ริมถนนพหลโยธิน ใกล้กับซอยเสนานิคม ใกล้สถานีรถไฟฟ้าเสนานิคม 200 เมตร เน้นความใกล้ชิดธรรมชาติ Facilities อยู่บนชั้น 24 เราสามารถว่ายน้ำในสระแบบ Infinity Edge พร้อมเทควิวมุมสูงได้ไม่แพ้ในเมือง ราคาเฉลี่ย 135,000 บาท/ตร.ม. เริ่มต้นที่ 3.02 ล้านบาท Premio Quinto – พริมิโอ ควินโต คอนโดมิเนียม Low Rise 8 ชั้น 4 อาคาร มาในสไตล์ Modern Classic  ริมถนนพหลโยธิน ติด BTS สถานีเสนานิคม ใกล้ตลาดบางเขน กับโรงพยาบาลเปาโล แถวนี้หาของกินอร่อยๆ ได้ง่ายมาก ราคาเฉลี่ย 113,000 บาท/ตร.ม. เริ่มต้นที่ 2.49 ล้านบาท Knightsbridge Kaset Society - ไนท์บริดจ์ เกษตร โซไซตี้ คอนโดมิเนียม High Rise 20 ชั้น 2 อาคาร 16 ชั้น 1 ตัวนี้ทำเลน่าสนใจมาก แล้วก็ได้รับความสนใจอย่างมากเช่นกัน เพราะอยู่ใกล้กับแยกเกษตรชนิดที่สามารถเดินไปมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ไม่ไกล และยังใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสถานีเสนานิคม ประมาณ 40 เมตร ตัวอาคารออกแบบมาสวยโดดเด่น สมกับเป็นตัวท็อปของออริจิ้น ราคาเฉลี่ย 115,450 บาท/ตร.ม. เริ่มต้นที่ 2.69 ล้านบาท   จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน หากเราต้องการที่อยู่อาศัยใกล้รถไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกก็ไม่จำเป็นจะต้องจ่ายเงินก้อนโตมากมาย เพื่อไปอาศัยอยู่ใจกลางเมืองให้ประหยัดเวลาการเดินทาง เราก็เริ่มมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้นในการอยู่อาศัยออกห่างจากใจกลางเมืองไปไม่ไกล มีความหนาแน่นของผู้คนน้อยกว่าที่สำคัญมีราคาค่างวดถูกกว่ากันมาก แต่ยังคงแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเช่นกัน เชื่อว่าทำเลย่านพหลโยธิน-เกษตร นี้ จะกลายเป็นอีกแหล่งสำคัญที่หลายคนต่างจับจองอยู่อาศัยกันไม่น้อย ด้วยศักยภาพที่เต็มเปี่ยมในอนาคตอันใกล้
คอนโดวัยเกษียณ เทรนด์ใหม่รับสังคมผู้สูงอายุ

คอนโดวัยเกษียณ เทรนด์ใหม่รับสังคมผู้สูงอายุ

  หากมองย้อนกลับไปในอดีตที่มีค่านิยมในการแต่งงานเมื่อยังอายุน้อย มีลูกจำนวนมากเพื่อให้เติบโตมาช่วยกันทำมาหากินหรือเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูล แต่สภาพสังคมในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนค่านิยมนี้เปลี่ยนตามไปด้วย ทุกวันนี้เริ่มมีการแต่งงานสร้างครอบครัวใหม่ในช่วงอายุที่มากขึ้น มีลูกจำนวนน้อยลงหรือไม่มีลูกเลยเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและสังคม บางคนก็ครองตัวเป็นโสด ส่งผลถึงภาพรวมเริ่มมีประชากรเกิดใหม่น้อยลง แต่ประชากรผู้สูงอายุกลับมีมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในไม่ช้า ซึ่งหากเป็นเช่นนี้แล้วเราจะมีวิธีการรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไรบ้าง ลองไปดูในบทความนี้กันค่ะ องค์กรสหประชาชาติ (United Nations : UN) ได้ระบุเอาไว้ว่า ประเทศใดที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20 ของประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ร้อยละ 14 ของประชากรทั้งประเทศ นั่นหมายความว่าประเทศนั้นก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว โดยประเทศไทยในปัจจุบันมีจำนวนผู้สูงอายุมากถึง 11.2 ล้านคน หรือประมาณ 17.1% ส่วนอัตราของเด็กเกิดใหม่ประมาณ 700,000 คน/ปี ลดลงจากปี 2506-2526 ที่มีประชากรเกิดใหม่ปีละมากกว่า 1 ล้านคน ในขณะเดียวกันมีแนวโน้มของผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เพิ่มมากขึ้นร้อยละ 20 ในปี 2561 และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2564 คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด จากตัวเลขเหล่านี้หมายความว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุภายในปีหน้านี้แล้ว และจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ประมาณปี 2567 ซึ่งมีประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวแล้ว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อิตาลี เยอรมัน ฯลฯ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุนั้นมีมากมาย เช่น ทรัพยากรบุคคลวัยทำงานจะลดน้อยลงจนส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อสภาพเศรษฐกิจ ปัญหาสุขภาพตามวัยก็มากขึ้นไปด้วย ภาครัฐอาจจะต้องจัดหาสวัสดิการด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันบุคลากรทางด้านสาธารณะสุขก็ยังไม่เพียงพอต่อประชากรในประเทศ แต่ก็มีข้อดีตรงที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อค่อนข้างมาก โดยเฉพาะสินค้าเพื่อสุขภาพที่มีให้เลือกหลากหลายขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน และด้านการท่องเที่ยว ซึ่งวัดจากนักเที่ยววัยเกษียณชาวจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากเป็นอันดับ 1 จากตัวเลขประชากรตามที่กล่าวไปแล้วนั้น ทำให้หลายภาคส่วนตื่นตัวมากขึ้นในการรับมือของสังคมที่กำลังจะเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผู้สูงอายุมากขึ้น เช่น การจัดอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุตามสถานบริการสุขภาพทั้งในภาครัฐและเอกชน การจัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุเพื่อการเรียนรู้ด้านสุขภาพ การดูแลตัวเอง เพิ่มพูนทักษะพัฒนาคุณภาพชีวิต เป็นต้น การทำเอาเทคโนโลยีมาพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมเพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกปลอดภัยขึ้น เช่น อุปกรณ์การแพทย์เพื่อใช้ดูแลผู้สูงอายุภายในบ้านที่เริ่มมีวางขายกันทั่วไป แอพพลิเคชั่นที่จะคอยช่วยเหลือติดต่อลูกหลานยามฉุกเฉิน แจ้งเตือนเวลากินยา ฯลฯ เรื่องที่อยู่อาศัยอันเหมาะสมกับวัยก็สำคัญเช่นกัน ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เองก็เริ่มหันมาจับตลาดกลุ่มนี้กันบ้างแล้ว กับโครงการที่เรียกกันว่า "คอนโดวัยเกษียณ" ที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุมีจุดสำคัญอยู่ตรงที่ภายในโครงการจะมีบุคคลากรทางการแพทย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด ราคาการบริการและรักษาไม่แพงจนเกินไป แถมยังมีสภาพแวดล้อมที่ดีส่งผลต่อจิตใจของผู้อยู่อาศัย โดยในปัจจุบันมีคอนโดวัยเกษียณเกิดขึ้นแล้ว เช่น Villa Meesuk Residences ตั้งอยู่ที่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ มีทั้งบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม 3 ชั้น มีเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งพร้อมอยู่ ออกแบบมาให้อากาศถ่ายเทสะดวก ใกล้ชิดธรรมชาติ ได้วิวภูเขา ส่วนกลางมีสระว่ายน้ำ สวนสีเขียว ห้องออกกำลังกาย เช่นเดียวกันกับคอนโดทั่วไป สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ บริการรถรับ-ส่ง เข้าตัวเมืองหรือไปโรงพยาบาล มีกิจกรรมให้ทำร่วมกัน ภายในห้องพักมีปุ่มฉุกเฉินสำหรับเรียกเจ้าหน้าที่ได้ 24 ชม. และยังมีระบบปลดล็อคประตูเพื่อเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที Lumpini Ville นาเกลือ-วงศ์อมาตย์ ถ.พัทยา-นาเกลือ จ.ชลบุรี คอนโดมิเนียมที่มีโซนสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ดีไซน์ภายในห้องพักอาศัยแบบ Universal Design เพื่อรองรับการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ เช่น ออกแบบเพื่อรองรับการใช้ Wheel chair เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ไม่มีเหลี่ยมมุม มีปุ่มฉุกเฉินภายในห้อง มีพยาบาลอยู่ในโซนอาคารผู้สูงอายุ มีส่วนกลางอย่างสระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย ส่วนสีเขียว ห้องสมุด ฯลฯ ภาพรวมแล้วก็เป็นคอนโดมิเนียมปกติ Jin Wellbeing County โครงการที่พักอาศัยพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกด้านไลฟ์สไตล์และบริการด้านสุขภาพครบวงจรเพื่อผู้สูงวัยและครอบครัว บนพื้นที่กว่า 140 ไร่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ลักษณะโครงการเป็นคอนโดมิเนียม 7 ชั้น มีอาคารที่จัดไว้สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ และอาคารที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ ส่วนกลางมีทั้งสปา ฟิตเนส สระว่ายน้ำ สวนสาธารณะกลางโครงการถูกออกแบบให้มีลำธารไหลผ่าน มีบริการเพื่อสุขภาพเพื่อบริการทางการแพทย์เชิงป้องกัน รักษา และฟื้นฟู ทั้งยังมีคลาสกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงมีคอมมูนิตี้มอลล์ และโรงพยาบาล อยู่ภายในโครงการ ที่สำคัญคือมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวก รวมถึงความปลอดภัย เช่น สายรัดข้อมืออัจฉริยะ โดยสายรัดข้อมือนี้จะระบุตำแหน่งของบุคคลที่ใส่ สามารถแจ้งเตือนเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ แล้วจะส่งสัญญาณเตือนไปที่ศูนย์ควบคุมเพื่อเข้าช่วยเหลือได้ทันที โครงการนี้คาดว่าแล้วเสร็จประมาณปี 2561-2562 หากเราลบทัศนคติเก่าๆ ที่ว่า การอยู่ในที่พักอาศัยแบบนี้เหมือนกับการอยู่ในบ้านพักคนชราออกไปได้ ก็จะค้นพบว่า "คอนโดวัยเกษียณ" เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อดูแลผู้สูงวัยอย่างใกล้ชิด สร้างความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุได้ ไม่ใช่เพียงการมองหาที่อยู่อาศัยอันเหมาะสมสำหรับญาติผู้ใหญ่ที่ทำให้ลูกหลานไม่ต้องกังวลเวลาออกไปทำงานนอกบ้าน แต่ยังเป็นทางเลือกที่ดีของคนโสดในการวางแผนชีวิตต่อไปด้วย สิ่งเหล่านี้ถือว่าสามารถตอบโจทย์สังคมของเราในปัจจุบันไปจนถึงอนาคตได้เป็นอย่างดี     *ที่มาข้อมูลจาก สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) และ มส.ผส. (มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย)
ทำความรู้จักกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)

ทำความรู้จักกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)

ความพยายามของรัฐบาลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในการพัฒนาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ด้วยการแปรเปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรมไปสู่ประเทศแห่งอุตสาหกรรมมีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ตั้งแต่ช่วงปี 2525 กับโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด (Eastern Seaboard Development Program: ESB) ตั้งแต่ปี 2525 ที่ทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตของหลายอุตสาหกรรม เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี การแปรรูปอาหาร เป็นต้น แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) เป็นโครงการที่ทางรัฐบาลยุคปัจจุบันต้องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค การท่องเที่ยว ธุรกิจ และเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ให้ก้าวสู่ความเป็นเวิลด์คลาส อีโคโนมิคโซน เพิ่มขีดความสามารถทางด้านอุตสาหกรรมให้มีความทันสมัย ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมชั้นสูง มีความไฮเทคยิ่งขึ้น ภายใน 5 ปี สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยส่งให้อีอีซีมีความเจริญก้าวหน้าอย่างสมบูรณ์ นั่นคือการคมนาคมทั้งทางถนนมอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-ชลบุรี, พัทยา-มาบตาพุด และแหลมฉบัง-นครราชสีมา การขนส่งทางเรือตามท่าเรือขนาดใหญ่ เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือมาบตาพุด ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ และแผนเชื่อมต่อระหว่างสนามบินดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ-สนามบินอู่ตะเภา ด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูง คาดว่าจะเปิดให้บริการปี 2566 จุดนี้ทำให้หลายส่วนคาดหวังว่าประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางทางการบิน ด้วยทำเลที่ตั้งของประเทศไทยเอื้ออำนวยให้เป็นจุดยุธศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียตามไปด้วย โดยมีการแบ่งโซนสร้างพื้นที่สีเขียวขึ้นเพื่อเป็นแนวกันชนระหว่างชุมชนกับอุตสาหกรรม และแยกพื้นที่เกษตรกรรมออกจากพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างชัดเจน จุดประสงค์สำคัญของทางรัฐบาลในการเร่งรัดแผนนี้ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก็เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติให้เข้ามาเพิ่มมากขึ้น และคาดว่าปี 2564 จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศโตขึ้นถึง 5% โดยได้เตรียมกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ คือ การแก้ไขพ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ร.บ.กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และพ.ร.บ.พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยทั้งหมดจะเน้นไปที่ความคล่องตัวในการลงทุนของเอกชน เพิ่มสิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจในการลงทุน ซึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์เองก็มีการตื่นตัวเรื่องนี้กันอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่ที่ดินในจังหวัดฉะเชิงเทรา แนวถนนสายฉะเชิงเทรา-บางปะกง มีราคาพุ่งขึ้นถึง 20 ล้านบาท/ไร่ จากเดิม 10 ล้านบาท/ไร่ หลายค่ายเริ่มหันมารุกตลาดในพื้นที่จังหวัดชลบุรีมากขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะคอนโดมิเนียม โรงแรม ที่มีความคึกคักเป็นพิเศษ เช่น ปี 2561 ออริจิ้นเตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมที่ชลบุรี 1 แห่ง ระยอง 1 แห่ง และโรงแรมอีก 1 โครงการ รวมมูลค่าถึง 7,000-8,000 ล้านบาท ทางด้านพฤษาเตรียมเปิด 8 โครงการในพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัดเขตอีอีซี รวมมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ฯลฯ ในทางกลับกันมีอีกมุมมองจากประชาชนและนักวิชาการท้องถิ่นที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้ เพราะเป็นห่วงเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ปัจจุบันก็ยังคงแก้ไม่ตก และมองว่าภาครัฐเน้นสัดส่วนของภาคอุตสาหกรรมมากเกินไปถึง 70% ซึ่งแท้จริงแล้วจะต้องมีกระบวนการในส่วนของภาคประชาชนที่จะได้รับผลกระทบให้มีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นกันก่อน แต่อีอีซีกลับถูกประกาศตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนข้ามขั้นตอนไป นั่นก็มาจากการใช้อำนาจมาตรา 44 จากคสช. จึงมีหลายเสียงที่อยากจะเสนอแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ร่วมมองแนวทางแก้ปัญหาหลายๆ ด้านกันก่อน โดยเฉพาะเรื่องของผังเมือง, ท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ที่มีการคัดค้านในการสร้างมาตลอด เพราะผลการศึกษาทางด้านสิ่งแวดล้อมออกมาว่า ท่าเทียบเรือชายฝั่งคือแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำที่เหลืออยู่ แม้จะมีหน่วยงานภาครัฐออกมากล่าวว่ามีการทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ในโครงการต่างๆ ตามกฎหมาย และมีการลงพื้นที่ไปพูดคุยทำความเข้าใจกับประชาชนก็ตาม สุดท้ายก่อนการเริ่มต้นโครงการนี้อย่างเป็นรูปธรรมจะมีแผนผังการใช้ประโยชน์จากที่ดิน สาธารณูปโภค และแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่อีอีซี ซึ่งคาดว่าจะออกมาประมาณเดือน เม.ย.-พ.ค. 2561 และเมื่อทั้ง 2 แผนนี้เสร็จสมบูรณ์ก็จะถูกส่งต่อให้กรมโยธาฯ จัดทำผังเมืองใหม่อีกภายใน 1 ปี ซึ่งแผนทั้งหมดนี้จะมีหน้าตาออกมาเป็นอย่างไร สามารถมีจุดตรงกลางที่เหมาะสมระหว่างรัฐบาลที่มองถึงเรื่องการพัฒนาประเทศให้รุดหน้าโดยเร็ว กับประชาชนท้องถิ่นที่หวงแหนธรรมชาติบนแผ่นดินเกิดอย่างไร ถึงตอนนี้ยังคงไม่มีบทสรุปก็คงต้องติดตามกันต่อไป  
“แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด” ตอกย้ำแลนด์มาร์คแห่งใหม่ ทุ่มงบจัดกิจกรรมสุดยิ่งใหญ่ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขปี’ 61 เพื่อประกาศความเป็นไอโคนิคหนึ่งของราชประสงค์

“แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด” ตอกย้ำแลนด์มาร์คแห่งใหม่ ทุ่มงบจัดกิจกรรมสุดยิ่งใหญ่ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขปี’ 61 เพื่อประกาศความเป็นไอโคนิคหนึ่งของราชประสงค์

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) รุกตลาดมิกซ์ยูสระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ตอกย้ำแลนด์มาร์คแห่งใหม่ พร้อมสนองนโยบายรัฐด้านการท่องเที่ยว ทุ่มงบจัดงานสุดยิ่งใหญ่ “Beautiful Bangkok by Magnolias @Ratchaprasong” (บิวตี้ฟูล แบงค็อก บาย แมกโนเลียส์ แอท ราชประสงค์) การแสดง แสง สี 3 มิติ (3D projection mapping) บนตึกสูง 60 ชั้น ครั้งแรกแห่งประเทศไทย มุ่งนำเสนอประสบการณ์ใหม่ทั้งแก่ชาวไทยและชาวต่างประเทศ เพื่อเดินหน้ายกระดับกรุงเทพมหานคร สู่ศูนย์กลางเวทีเศรษฐกิจระดับโลก  วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) หนึ่งในผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลอดปีที่ผ่านมากระแสการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และเป็นตลาดที่น่าจับตามอง ทั้งนี้ปัจจัยกำหนดความสำเร็จ ประกอบไปด้วยที่ตั้งของโครงการที่ถือว่าเป็นทำเลทอง ตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี สะดวกสบาย (Prime location) ประการที่ 2 คือความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมที่ทำให้ผู้ซื้อรู้สึกว่าโครงการมีคุณค่า มีเอกลักษณ์โดดเด่น สะท้อนตัวตนของผู้ซื้อได้ชัดเจนและมีมูลค่าเพิ่มตามกาลเวลา (ICONIC Design) ประการที่ 3 คือคุณภาพและการเลือกใช้วัสดุความพิถีพิถันในทุกๆ ขั้นตอน เช่น การเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ หรือแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับระดับโลกในโครงการ (Finest Specification) ประการสุดท้าย คือ การตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย คือโครงการเหล่านั้นมีความเพียบพร้อมมากแค่ไหนในการรองรับไลฟ์สไตล์ผู้อาศัย ไม่ว่าจะเป็นการมีเชนโรงแรมระดับ 5 ดาว เพื่อเสริมในด้านการบริการระดับเอ็กซ์คูลซีฟ, พื้นที่ศูนย์การค้า หรือศูนย์ธุรกิจ รวมไปถึงเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยขั้นสูงตามมาตรฐานระดับโลก เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดสำหรับผู้พักอาศัย (Sophisticated Lifestyles)   “แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) โครงการมิกซ์ยูสระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ภายใต้การดำเนินงาน MQDC ตั้งอยู่บนที่ดินใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งย่านราชประสงค์นับเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจมีการเติบโตของโครงการต่างๆ ทั้งที่เพื่อธุรกิจและที่พักอาศัย เรามีความตั้งใจที่จะพัฒนาโครงการนี้ โดยให้ความสำคัญตั้งแต่การออกแบบ ผสานการเลือกวัสดุที่มีมาตรฐานระดับสูง ดังที่เห็นได้จากรูปแบบของตัวอาคารที่มีความแตกต่างด้วยรูปทรงโค้งมน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ค่อนข้างยาก แต่เราก็มีความตั้งใจจริงเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของเรา นอกจากห้องพักสุดหรู ยังได้โรงแรมแบรนด์ดังระดับ 5 ดาวอย่าง วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ (Waldorf Astoria Bangkok) ในเครือฮิลตันมาเป็นพันธมิตร นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจ เพราะเป็นการมาเปิดครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สำคัญ “แมกโนเลียส์  ราชดำริฯ” ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติจาก Thailand Property Awards ประจำปี 2014 ถึง 3 รางวัล ได้แก่ รางวัลชนะเลิศสาขาการออกแบบสถาปัตยกรรมยอดเยี่ยม - Best Architectural Design, รางวัลชนะเลิศการตกแต่งภายในยอดเยี่ยม - Best Interior Design และรางวัลโครงการคอนโดหรูระดับลักชัวรี่ในกรุงเทพฯ ที่ได้รับการยกย่องสูงสุด - Highly Recommend - Best Luxury Condo Development (Bangkok) จึงเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จของโครงการได้เป็นอย่างดี” ด้านความคืบหน้าของโครงการฯ ภีชภัตธา ผกากาญจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายโครงการ เผยว่า “ปัจจุบันโครงการได้สร้างยอดขายไปเกินกว่า 80% แล้วจากจำนวนทั้งหมด 316 ยูนิต ซึ่งส่วนใหญ่จากลูกค้าที่เป็นทั้งชาวไทย 50% และชาวต่างชาติ 50% โดยส่วนใหญ่เป็นชาวฮ่องกง, สิงคโปร์และไต้หวัน ซึ่งปัจจัยที่ช่วยผลักดันยอดขายของเราให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากทำเลที่เป็น Top destination ระดับต้นๆ ของเมืองไทยแล้ว ก็คือความเป็นมิกซ์ยูสที่ทันสมัยสามารถตอบสนองทุกความต้องการของผู้พักอาศัย รวมไปถึงความสมบูรณ์แบบด้านสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้อย่างครบครัน สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ผู้ครอบครอง ซึ่งในส่วนห้องชุดที่ทางโครงการจะทำการขายต่อไปนั้นจะเป็นแบบ 2 ห้องนอน ที่มีขนาดพื้นที่ 72 – 106 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านบาท หรือคิดเป็นราคาเริ่มต้นที่ 280,000 บาท/ตารางเมตร โดยส่วนของห้อง Penthouse ทั้งหมด 8 ยูนิต ทางเราได้ทำการขายไปแล้ว 4 ยูนิต โดยทางโครงการคาดว่าจะสามารถปิดการขายทั้งโครงการได้ที่ Q2 ปี 2018 ซึ่งเราจะเปิดให้ชมห้องตัวอย่างอย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 1 ธันวาคม 2017 นี้”   เพื่อแสดงศักยภาพย่านราชประสงค์ให้เป็นที่ยอมรับจากคนทั่วโลก แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ สมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ หรือ RSTA โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมวางแผนพัฒนาและอนุรักษ์ พร้อมผลักดันย่านราชประสงค์สู่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ โดย วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามีความยินดีมากที่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในสมาชิกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ ย่านธุรกิจที่เป็นดั่งหัวใจสำคัญของเมืองไทยและแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลก เราเชื่อมั่นว่าด้วยความพร้อมของ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) และโครงการ “แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด” เมื่อได้ร่วมผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกับทางสมาคมฯ เราจะสามารถเข้ามาเติมเต็มทัศนียภาพของ ย่านราชประสงค์-ย่านราชดำริ และทำให้ที่แห่งนี้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ นำไปสู่ก้าวสำคัญของการพัฒนา ย่านราชประสงค์ให้เป็นเมืองแห่งอนาคต ที่รวมความเป็นที่สุดแห่งตลาดรีเทล ตลาดโฮลเซล ตลาดฮอสพิทอลลิตี้ ตลาดลักชัวรี่ เรสซิเดนส์ และตลาดไมซ์ใจกลางกรุงเข้าไว้ เพื่อเสริมให้ย่านราชประสงค์แข็งแกร่งพร้อมเป็นศูนย์กลางเวทีเศรษฐกิจระดับโลก   เพื่อตอกย้ำถึงความตั้งใจ เราพร้อมสร้างสีสันความสมบูรณ์แบบให้ย่านราชประสงค์ โดยจับมือ สมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA) และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดงาน Beautiful Bangkok by Magnolias @Ratchaprasong (บิวตี้ฟูล แบงค็อก บาย แมกโนเลียส์ แอท ราชประสงค์) การแสดง แสง สี 3 มิติ (3D projection mapping) บนตึกสูง 60 ชั้น ครั้งแรกในเมืองไทย”   “การจัดงานครั้งนี้เพื่อสะท้อนความสวยงามของกรุงเทพฯ ให้ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วโลก เพื่อมอบให้เป็นของขวัญแก่คนกรุงเทพฯ เพื่อสร้างรอยยิ้ม ความสุขและความภาคภูมิใจ จะสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากในช่วงเทศกาลแห่งความสุข การร่วมกับสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ ครั้งนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาย่านราชประสงค์ให้เติบโตสู่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจระดับโลก หลังจากการแสดง แสง สี 3 มิติ ครั้งนี้ คาดว่าจะดึงดูดผู้คนมาเดินเที่ยวมาดูไฟเพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปัจจุบันในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ที่มีคนมาเดินประมาณ 600,000 คน/วัน เป็น 780,000 คน/วัน” นายวิสิษฐ์ กล่าว งาน Beautiful Bangkok by Magnolias @Ratchaprasong (บิวตี้ฟูล แบงค็อก บาย  แมกโนเลียส์ แอท ราชประสงค์) จะใช้ Façade (ฟาซาด) ที่เป็นจุดเด่นส่วนหนึ่งของโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) มาใช้เป็นพื้นที่ในการฉายไฟเข้าไปที่ตึกด้วยเทคโนโลยีระดับสูงของ 3D Mapping Projection ออกแบบโดยทีมงานฝีมือระดับโลกศิลปินชาวยุโรปที่ขนานนาม “ไลม์ไลต์” (Limelight) ที่เคยสร้างผลงานให้ทั่วโลกได้ตื่นตะลึง อาทิเช่น Skyway International Light Festival - Torun, Poland - 2011, 2012, 2013, 2017 มารังสรรค์ผลงานให้คนไทยได้ชื่นชมภายใต้แนวคิด “Beautiful Bangkok” เพื่อร่วมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2561 โดยกำหนดการแสดงจะมีขึ้นในวันที่ 14 - 30 ธันวาคม 2560 วันละ 5 รอบ คือ รอบ 19.00 น. รอบ 19.15 น. รอบ 19.30 น. รอบ 19.45 น. และรอบ 20.00 น. พิเศษในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 เพิ่มรอบเวลา 23.55 น.   ภีชภัตธา ผกากาญจน์ เสริมทิ้งท้าย “ ทางเราตั้งใจจัดกิจกรรมนี้ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศและเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ โดยจัดกิจกรรมร่วมสนุกส่งภาพประกวดเพื่อชิงรางวัลรวมกว่า 100,000 บาท ด้วยการส่งภาพและคำบรรยายมาที่ beautifulbangkokbymagnolias@gmail.com พร้อมชื่อ ที่อยู่ และเบอร์ติดต่อ โดยภาพที่ส่งเข้ามาจะทำการคัดเลือกและตัดสินโดยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ  โดยทุกภาพถ่ายที่โพสใน Facebook และ Instragram สามารถใช้ hashtag  #beautifulbangkok #beautifulratchaprasong #beautifulmagnolias #bangkokiconiclandmark สามารถติดตามรอบแสดงและตารางกิจกรรมต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/MagnoliasRatchadamriBoulevard และ www.magnolias-ratchadamri.com” รายละเอียดเพิ่มเติม :  โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) เป็นโครงการแบบมิกซ์ยูสระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ มูลค่ากว่า 11,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดผืนสุดท้ายบนถนนราชดำริ ผู้พัฒนาโครงการคือ บริษัท แมกโนเลีย ไฟน์เนสท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ภายใต้ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC)   ตัวโครงการสูง 60 ชั้น บนพื้นที่ 6 ไร่ ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ เรสซิเดนท์ จำนวน 316 ยูนิต ตั้งแต่ชั้น 17 – 54 แบ่งเป็นขนาด 1 ห้องนอน (48 - 60 ตารางเมตร) จำนวน 88 ยูนิต, ขนาด 2 ห้องนอน (72 - 106 ตารางเมตร) จำนวน 220 ยูนิต, ดูเพล็กซ์ เพนท์เฮ้าส์ (250- 360 ตารางเมตร) จำนวน 6 ยูนิต และเพนท์เฮ้าส์ (290 - 300 ตารางเมตร) จำนวน 2 ยูนิต ภายนอกโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมการออกแบบชั้นสุดยอด ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก “กลีบดอกแมกโนเลีย” ที่ดูสวยงาม อ่อนหวาน หากแต่แฝงไว้ด้วยความเข้มแข็ง หากมองจากมุมสูงลงมา จะเห็นถึงเส้นสายลายโค้งอันอ่อนช้อย ที่วนล้อมไล่เรียงตั้งแต่ปลายด้านบนจรดถึงฐานด้านล่าง เสมือนดอกไม้ที่กำลังค่อยๆ เบ่งบาน   เพิ่มความยากและมากคุณค่ากับเทคโนโลยีการขั้นสูงสุดในการก่อสร้าง กับรูปทรงโค้งมนของตัวตึก พร้อมตกแต่งส่วนชายคา (Sunshade)  ที่นอกจากจะช่วยป้องกันความร้อน ยังเป็น Façade (ฟาซาด) ประดับตัวอาคาร หากมองไกลๆ จะเหมือนกระจกที่ถูกวางเรียงและจับบิดเป็นเกลียวโอบล้อมตัวตึกอยู่ เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องก็จะเห็นแสงเงาระยิบระยับพาดผ่าน   อีกทั้งยังเป็นอาคารประหยัดพลังงาน โดยนำแนวคิดสถาปัตยกรรมของไทยมาประยุกต์ใช้ ซึ่งเหมาะสมกับสภาพอากาศเมืองร้อน ด้วยการนำทิศทางของแสงแดดมาคำนวณในการออกแบบส่วนชายคาหรือ Sunshade ของตัวอาคารอย่างแม่นยำ ส่วนภายในได้รับการออกแบบและตกแต่งอย่างพิถีพิถันในแบบโมเดิร์นคลาสสิก เรียบหรู สง่างาม ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจการตกแต่งสไตล์  English Town Home เน้นโทนสีเบจและขาวเทา ให้รู้สึกนุ่มเบาและสบายตา ไม่ฉูดฉาด เพิ่มความหรูหราด้วยโคมไฟตั้งพื้นคริสตัล เหมาะกับหญิงสาวที่มีบุคลิกหวานซ่อนเปรี้ยว และมีความเป็นตัวของตัวเอง ในขณะที่สไตล์ Elegance Modern จะเล่นโทนสีอ่อนและเข้มสลับกันไป ให้ความรู้สึก เท่ ทันสมัย และลึกลับ สไตล์ของงานเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวที่ใช้จะเป็นรูปแบบเรียบๆ แต่มีลูกเล่นดีเทลแฝงอยู่ของวัสดุ ไม่ว่าจะเป็นงานแสตนเลสหรือกระจก   พร้อมติดตั้งชุดครัว Bulthaup แบรนด์ชุดครัวหรูที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากประเทศเยอรมนี รวมถึงอ่างล้างจาน FRANKE และชุดครัวคุณภาพสูงจาก Siemens ส่วนของห้องน้ำเลือกใช้เครื่องสุขภัณฑ์ชั้นนำ อาทิ ก๊อกน้ำจากแบรนด์ Dornbracht ซึ่งเป็นท็อปแบรนด์ซึ่งใช้ในโรงแรมระดับไฮเอนด์ชั้นนำทั่วโลก รวมทั้งสุขภัณฑ์ตัวท็อป HANSGROHE ซึ่งออกแบบพิเศษสำหรับโครงการ เช่น อ่างอาบน้ำ KASCH ฯลฯ ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เลาจน์ คลับ ระดับเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับผู้พักอาศัย (Private Residents Club), จุดรับ-ส่งสำหรับบริการจอดรถ (Valet Parking) ห้องสมุดพร้อมวิวสวนแนวโค้ง, ฟิตเนส, ลู่วิ่งออกกำลังกายริมสวนแนวลาด, สระว่ายน้ำ สระเด็กและส่วนจากุชชี่, ห้องอบไอน้ำและเซาว์น่า พร้อมทั้งระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง   โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ (Waldorf Astoria Bangkok) เป็นแบรนด์ชั้นนำในเครือฮิลตัน ที่มีเอกลักษณ์การบริการแบบ “ทรูวอลดอร์ฟเซอร์วิส” (True Waldorf Service) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านสี่แยกราชประสงค์ บนถนนราชดำริ ด้วยแรงบันดาลใจจากงานศิลปะร่วมสมัยที่มีเอกลักษณ์ของโรงแรม วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย นิวยอร์ค ที่รายล้อมอยู่ท่ามกลางความหรูหราของคนในสังคมชั้นสูงมาหลายสมัย แบรนด์ วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย จึงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอการบริการที่ดีที่สุด เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในบรรยากาศที่หรูหราและงดงาม   โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ตั้งอยู่ภายในพื้นที่ของโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด โรงแรมหรูแห่งใหม่นี้ได้รับการตกแต่งภายในโดย มร. อังเดร ฟู (André Fu) นักออกแบบและตกแต่งภายในที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากฮ่องกง และ อาฟโรโค่ (AvroKO) บริษัทออกแบบชั้นนำจากนิวยอร์ค ด้วยห้องพักและห้องสวีทเพียง 171 ห้อง ทุกห้องถูกออกแบบให้มีพื้นที่โอ่โถงและกว้างขวางด้วยหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์และเตียงนอนที่หรูหราสะดวกสบาย ห้องแต่งตัวและตู้เสื้อผ้าถูกจัดวางอย่างลงตัว พร้อมผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำจากแบรนด์ดัง ซัลวาทอเร่ เฟอร์รากาโม (Salvatore Ferragamo) ที่คัดสรรมาสำหรับแขกที่มาพักแบรนด์วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย เท่านั้น ด้านอาหารและเครื่องดื่ม โรงแรมฯ ภูมิใจนำเสนอ ห้องอาหารบนชั้น 55 บูลแอนด์แบร์ (Bull & Bear) อันเลื่องชื่อมาจากโรงแรม วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย นิวยอร์ค ซึ่งให้บริการสเต็กคุณภาพเยี่ยมจากทั่วโลก หรือจะเติมเต็มด้วยเครื่องดื่มสุดพิเศษโดยบาร์เทนเดอร์มืออาชีพ และเคลิบเคลิ้มไปกับดนตรีทันสมัยจากดีเจที่ เดอะ ลอฟท์ (The Loft) ชั้น 56 และ เดอะ แชมเปญบาร์ (The Champagne Bar) บนชั้น 57 สถานที่ที่คุณจะประทับใจกับทัศนียภาพของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนอย่างไม่มีวันลืม พีค๊อก อัลลี่ย์ (Peacock Alley) เสิร์ฟอาหารว่างและจิบน้ำชายามบ่ายตามแบบฉบับวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย นิวยอร์ค หรือจะเลือกอิ่มเอมกับอาหารนานาชาติที่ให้บริการตั้งแต่มื้อเช้าถึงมื้อเย็นที่ เดอะ บราซเซอร์รี (The Brasserie) ปิดท้ายด้วย ฟร้อนรูม (Front Room) ซึ่งนำเสนออาหารนอร์ดิค-ไทย (new Nordic-Thai) ในรูปแบบใหม่   ด้านการประชุมและจัดเลี้ยง โรงแรม วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ได้เตรียมห้องจัดเลี้ยงหลากหลายขนาดทั้งหมด 10 ห้อง พร้อมรองรับการจัดงานทุกรูปแบบ จุดเด่นคือห้องแมคโนเลียบอลรูม (Magnolia Ballroom) ที่ถูกเนรมิตอย่างสวยงามและมีเอกลักษณ์ เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ทางโรงแรมฯ ยังให้บริการสระว่ายน้ำ สปาและฟิตเนส ที่พร้อมจะมอบความเพลิดเพลินและผ่อนคลายไปกับความเขียวขจีของต้นไม้จากสนามราชกรีฑาสโมสรฯ และสีสันของแยกราชประสงค์ นอกเหนือจากนั้นโรงแรมฯ ยังมีบริการผู้ช่วยพิเศษ (Personal Concierge Service) และบริการรถลีมูซีน  
แสนสิริปลื้มยอดขาย“แสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม 2017” สร้างยอดขายเกินเป้า พุ่งทะลุกว่า 9,000 ล้านบาท มั่นใจปิดยอดขายปลายปีตามเป้าหมาย 40,000 ล้านบาท ทุบสถิติการสร้างยอดขายที่สูงที่สุดของแสนสิริตลอดทุกปีที่ผ่านมา

แสนสิริปลื้มยอดขาย“แสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม 2017” สร้างยอดขายเกินเป้า พุ่งทะลุกว่า 9,000 ล้านบาท มั่นใจปิดยอดขายปลายปีตามเป้าหมาย 40,000 ล้านบาท ทุบสถิติการสร้างยอดขายที่สูงที่สุดของแสนสิริตลอดทุกปีที่ผ่านมา

แสนสิริประกาศความสำเร็จจากการจัดงานใหญ่แห่งปี “Sansiri Life Comes Home 2017” (แสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม 2017) ลูกค้าแห่จอง 2 คอนโดใหม่ “โอกะ เฮาส์ ” สุขุมวิท 36 และ “คาวะ เฮาส์ ” สุขุมวิท 77 และคึกคักสัมผัสประสบการณ์ตรง 6 นวัตกรรมจาก Siri LifeTech สร้างยอดขายรวมในช่วงระหว่างการจัดแคมเปญได้สูงถึง 9,000 ล้านบาท เกินจากเป้ายอดขายแคมเปญที่ตั้งไว้ 8,000 ล้านบาท ส่งผลยอดขายพรีเซลล์รวมปัจจุบันทะลุกว่า 34,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นถึง 85 % จากเป้าหมายยอดขาย 40,000 ล้านบาท เดินหน้าก้าวสู่การทุบสถิติสร้างยอดขายที่สูงที่สุดของแสนสิริในปี 2560 นายเศรษฐา  ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยสรุปภาพรวมการจัดแคมเปญและการจัดงานใหญ่ประจำปี แสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม 2017 (Sansiri Life Comes Home 2017)  ในช่วงระหว่างวันที่ 24 – 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ตลอดการจัดแคมเปญได้ถึง 9,000 ล้านบาท เกินจากเป้าหมายแคมเปญที่ตั้งไว้ 8,000 ล้านบาท โดย 2 โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ คือ โอกะ เฮาส์ และคาวะ เฮาส์ ได้รับความสนใจจากลูกค้ามากที่สุดยัง นอกจากนี้บริษัทยังสามารถปิดการขายคอนโดมิเนียมพร้อมเข้าอยู่ในโครงการเดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71 จากการมอบข้อเสนอที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าภายในงานแสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม ได้อีกด้วย ซึ่งเมื่อรวมความสำเร็จจากการที่ลูกค้าให้การตอบรับโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ของกลุ่มบริษัทแสนสิริเป็นอย่างดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดตั้งต้นปีที่ผ่านมา อาทิ ผลงานล่าสุดจากการปิดการขายโครงการ เดอะ ไลน์ สาทร จำนวน 327 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุดภายใต้ความร่วมมือระหว่างบีทีเอสและแสนสิริลงอย่างรวดเร็ว หลังเปิดขายแบบ Online booking ในวันแรก ในราคาเริ่มต้น 7.9 ล้านบาทหรือเฉลี่ย 270,000 บาทต่อตารางเมตร โดยมีสัดส่วนกลุ่มลูกค้าเป็นคนไทยและต่างชาติ 70 : 30 เปอร์เซ็นต์ สร้างยอดขายในตลาดต่างชาติได้ถึง 1,300 ล้านบาท นับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการที่ 12 ภายใต้ความร่วมมือของบีทีเอสและแสนสิริที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถปิดการขายโครงการในตลาดต่างจังหวัด อาทิ โครงการเดอะ วัลลีย์ เขาใหญ่ (The Valley Khaoyai)  มูลค่ากว่า 1,100 ล้านบาท โครงการดีคอนโด นครระยอง คอนโดมิเนียมจำนวน 575 ยูนิต ที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าไทยทั้งในด้านการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและลงทุนปล่อยเช่า จากทำเลที่ตั้งโครงการซึ่งใกล้แหล่งนิคมอุตสาหกรรมระยอง จึงสามารถปิดการขายโครงการมูลค่ากว่า 830 ล้านบาทในที่สุด ส่งผลให้ยอดขายรวมของบริษัทในขณะนี้ (1 มกราคม – 27  พฤศจิกายน 2560) คิดเป็นมูลค่ารวมแล้วกว่า 34,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นถึง 85% จากเป้าหมายยอดขาย 40,000 ล้านบาทที่มีการปรับเพิ่มจาก 36,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทก้าวเข้าสู่การบันทึกการทุบสถิติ!! การสร้างยอดขายที่สูงที่สุดของแสนสิริในปีนี้   “การจัดงานในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าจำนวนมาก มีกลุ่มลูกค้าสนใจซื้อคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ที่เปิดตัวการขายภายในงาน ได้แก่โครงการ “โอกะ เฮาส์ ” สุขุมวิท 36 และ “คาวะ เฮาส์ ” สุขุมวิท 77 รวมทั้งโครงการในต่างจังหวัดที่ได้รับการตอบรับที่ดีมาก อาทิ บ้านไม้ขาว ภูเก็ต และ เรน ชะอำ หัวหิน เป็นต้น ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นผลจากการนำเสนอที่อยู่อาศัยโครงการต่าง ๆ ของกลุ่มแสนสิริที่ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงความร่วมมือจากพันธมิตรธุรกิจที่เข้าร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์และรูปแบบการให้บริการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยใหม่ โดยการมอบแคมเปญและโปรโมชั่นพิเศษภายในงาน ทำให้มีผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมงานจำนวนมากและประสบความสำเร็จด้านยอดขายสูงเกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้” นายเศรษฐา กล่าว นอกจากนี้ งานแสนสิริ ไลฟ์ คัมส์ โฮม ในปีนี้ ยังนับเป็นเวทีสำคัญในการตอกย้ำภาพลักษณ์ของแสนสิริในการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย จากการที่เรานำ 6 นวัตกรรมภายใต้ Siri LifeTech มาจัดแสดงและเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสและทดลองใช้งานเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นมุมกิจกรรมที่ได้รับความสนใจจากผู้ร่วมงานจำนวนมากที่มาร่วมสัมผัสมิติใหม่ในการเติมเต็มทุกรูปแบบการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ (Complete Your Living Experience) จาก 6 นวัตกรรมของแสนสิริเพื่อการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยแนวใหม่ ไม่ว่าจะเป็น SAN:DEE Delivery Bot หรือแสนดี หุ่นยนต์ไฮเทคส่งของถึงหน้าห้องพัก Sansiri AI BOX ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะที่ลูกบ้านสามารถสั่งการควบคุมการเปิดปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านด้วยเสียงภาษาไทยเป็นครั้งแรก Farmshelf นวัตกรรมฟาร์มแนวตั้งอัจฉริยะที่แสนสิรินำเข้ามาใช้เป็นครั้งแรกของประเทศไทยให้ลูกบ้านปลูกผักเพื่อบริโภคเองในคอนโด Sansiri Home Service Application ซึ่งสามารถควบคุมการเปิดปิดไฟ เครื่องปรับอากาศ และจองใช้พื้นที่ส่วนกลางผ่านแอพ และฟังก์ชั่นใหม่ Online Shopping by SB Furniture ให้ลูกบ้านเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ได้ง่าย ๆ เพียงปลายนิ้ว รวมถึง Smart Move แพลตฟอร์มบริการให้เช่ารถยนต์ในโครงการ และ Samitivej@HOME นวัตกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพในที่พักอาศัยภายใต้ความร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช “แผนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทยังได้เตรียมเดินหน้าต่อเนื่องตามแผนการลงทุน 80 ล้านดอลล่าร์ หรือ 2,800 ล้านบาท ใน 6 แบรนด์ชั้นนำของโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ระดับโลกเพื่อการใช้ชีวิตในอนาคต ซึ่งนับเป็น 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก นับเป็นการขยายฐานการลงทุนในธุรกิจอื่นครั้งสำคัญเพื่อสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอันหลากหลาย โดยทั้ง 6 ธุรกิจล้วนมีอัตราการเติบโตสูงในตลาดโลกซึ่งจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของแสนสิรินอกประเทศไทย เร่งเดินหน้ากลยุทธ์โมเดลธุรกิจแบบ asset light ในยุคปฏิวัติดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสจากการผนึกกำลังร่วมและโอกาสการเติบโตที่รวดเร็ว โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของบริษัททั้งหกจากการเข้าถือหุ้นของแสนสิริจะส่งผลดีต่อธุรกิจหลักของแสนสิริ ทั้งนี้แนวโน้มไตรมาส 4 ของปี 2560 นี้ บริษัทคาดว่าจะมีผลประกอบการที่โดดเด่นและดีที่สุดทั้งในด้านยอดขายพรีเซลล์ รายได้ และกำไร” นายเศรษฐา กล่าว
“โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน” ที่สุดของคอนโดตากอากาศริมทะเล บนทำเลสุดฮอตแห่งการพักผ่อนของคนกรุงเทพฯ

“โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน” ที่สุดของคอนโดตากอากาศริมทะเล บนทำเลสุดฮอตแห่งการพักผ่อนของคนกรุงเทพฯ

“โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน” คอนโดมิเนียมตากอากาศหรูพร้อมอยู่สไตล์โมเดิร์น ริมทะเลหาดจอมเทียน พัทยา พร้อมวิวทะเล และโอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ท คลับ ท่าจอดเรือยอช์ทที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดดเด่นด้วยพื้นที่ยูนิตขนาดใหญ่ เนรมิตห้องสวยตกแต่งสุดหรูพร้อมเข้าอยู่ได้ทันที ภายใต้คอนเซ็ปต์ “All New Design with a Sense of Exclusivity” และสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของทุกคนในครอบครัวได้อย่างลงตัว โครงการ “โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน” คอนโดมิเนียมแบบไฮไรส์ (High Rise) สไตล์โมเดิร์น สูง 37 ชั้น จำนวน 268 ยูนิต บนเนื้อที่กว่า 120 ไร่ เน้นการออกแบบโดยมอบความเป็นส่วนตัว และความสบายสูงสุดด้วยห้องแบบ Over-Size Unit หรือ ห้องขนาดใหญ่พิเศษ โดดเด่นด้วยตัวอาคารที่มีความโอ่อ่าเรียบหรูชวนหลงใหลแบบ V-Shape เปิดมุมมอง 180 องศา ของวิวทะเลและท่าจอดเรือยอช์ทหรูขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน แลนด์มาร์คสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองพัทยา เติมเต็มการพักผ่อนอย่างเหนือระดับกับ 'มารีน่า ไลฟ์สไตล์' รูปแบบการใช้ชีวิตสุนทรีย์ในวันพักผ่อนแนวใหม่สำหรับคนในครอบครัว ทั้งนี้รูปแบบห้องชุดมีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ แบบ 1 ห้องนอน และ 2 ห้องนอน ซึ่งสามารถปรับเป็น 3 ห้องนอนได้ โดยแต่ละยูนิตมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 76 - 313 ตารางเมตร โดย New Collection มีขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 76-90 ตร. ม. ราคาขายเริ่มต้น 9 ล้านบาท และยูนิต 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 127-159 ตร.ม. ราคาขายเริ่มต้น 13 ล้านบาท โดยคอนเซ็ปต์ตอบรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบนที่ชื่นชอบความเป็นส่วนตัว และพื้นที่ภายในห้องแบบกว้างขวาง พร้อมออกแบบตกแต่งภายในยูนิตมีการใช้ความเป็นธรรมชาติในรูปแบบสีสันและความอบอุ่นมาใช้ ตั้งแต่พื้นผนังห้องที่ใช้แผ่นหินอ่อนธรรมชาติ ตัดกับไม้ธรรมชาติ รวมไปถึงกระจกเงา ที่สร้างความแตกต่างอย่างความลงตัว อีกทั้งการออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด โดยใช้แนวความคิด multi-function ใช้พื้นที่ได้มากกว่าหนึ่ง มีการแบ่งพื้นที่ออกอย่างเป็นสัดส่วน อีกทั้งการใช้กระจกบานใหญ่เพื่อให้ได้รับวิวจากภายนอกได้มากกว่า ทำให้ลูกค้าสามารถชมวิวของพื้นผิวน้ำทะเลบรรจบกับท้องฟ้าได้มากขึ้น และสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับการชมวิวด้านนอกไปพร้อมกันได้อีกด้วย โครงการ โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเพื่อรองรับทุกความต้องการสำหรับคนในครอบครัว อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องอบไอน้ำ ล็อบบี้โอ่โถ่ง ที่จอดรถกว้างขวาง พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย และประตูทางเข้าระบบคีย์การ์ด อีกทั้งอุ่นใจด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง และอีกจุดเด่นที่เป็นไฮไลท์ คือท่าจอดเรือยอช์ทมาตรฐานสากลแห่งแรกของไทยแบบครบวงจร ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน และมีบริการเรือยอช์ทให้เช่ากว่า 50 ลำ การันตีด้วยรางวัลยอช์ทคลับยอดเยี่ยม ประจำปี 2560 จากสถาบัน Asian Lifestyle Tourism Awards นอกจากนี้ โครงการ “โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน” ยังมีพื้นที่กรีนสเปซ (Green Space) กว้างใหญ่กว่า 100 ไร่ สไตล์ทรอปิคอล การ์เด้น แบบ Free-Form Pattern จึงให้ความร่มรื่นแบบธรรมชาติจัดสรร พร้อมความสวยงามของท่าจอดเรือยอช์ทที่ใหญ่ที่สุดในเซียน ถือเป็นแหล่งโอโซนหายากขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของพัทยา บรรยากาศเงียบสงบ โอบล้อมด้วยต้นไม้และสวนสวย ที่นี่จึงเป็นคอนโดมิเนียมริมทะเลที่มีความโดดเด่นในการพักผ่อน ตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัวสำหรับทุกคนในครอบครัว ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.oceanproperty.co.th หรือ โทร. 02-038-5017 และสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/OceanProperty/ อินสตาแกรม https://www.instagram.com/oceanproperty/ ไลน์ @oceanproperty
โกลด์ไชน์ เปิดตัว “คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา” คอนโดใหม่สุดหรูสุดยอดทำเล ตรงข้ามห้างใจกลางเมือง แต่งเฟอร์ฯ ครบ พร้อม Boutique Service ผลตอบแทนสูงเอาใจนักลงทุน

โกลด์ไชน์ เปิดตัว “คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา” คอนโดใหม่สุดหรูสุดยอดทำเล ตรงข้ามห้างใจกลางเมือง แต่งเฟอร์ฯ ครบ พร้อม Boutique Service ผลตอบแทนสูงเอาใจนักลงทุน

บริษัท โกลด์เด้น กรุ๊ป จำกัด ร่วมกับ บริษัท โกลด์ไชน์ จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่แห่งภาคตะวันออก จับมือกับ นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ที่ปรึกษามือทองด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผู้คร่ำหวอดในวงการ เปิดตัวโครงการคอนโด “คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา” ตอบโจทย์กลุ่มนักลงทุนพร้อมผลตอบแทนสูง พร้อมดีไซน์ใหม่ในคอนเซ็ปต์ Luxury in Simplicity เน้นเรียบหรู กลิ่นอายญี่ปุ่น พร้อมบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ สุด ไฮเอนด์ในราคาเริ่มต้น 1 ห้องนอนที่  3.1 ล้านบาท พื้นที่ 3-1-77 ไร่ 38 ชั้น วิวทะเล มูลค่า 2.7 พันล้าน บนทำเลทองติดถนนใหญ่สุขุมวิท ใจกลางเมืองศรีราชา แต่งเฟอร์นิเจอร์ครบ พร้อมบริการ Boutique Service ทำความสะอาดสองครั้งต่อสัปดาห์ นายโสภณ เธียรเจษฎาไชย กรรมการ บริษัท โกลเด้น กรุ๊ป จำกัด (GOLDEN GROUP) เปิดเผยเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจพื้นที่ตะวันออกว่า “เนื่องจากศรีราชาเป็นพื้นที่ที่อยู่ในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่ผลักดันโดยภาครัฐซึ่งต่อยอดมาจากโครงการ Eastern Seaboard ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือน้ำลึกบริเวณแหลมฉบัง หรือนิคมอุตสาหกรรมและโรงงานกว่า 5,000 โรง โดย EEC ประกอบด้วยพื้นที่ 3 จังหวัดหลักคือ  ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ซึ่งถือเป็น เมืองใหม่ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ สำหรับฐานการผลิตอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้ง ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ตลอดจนพื้นที่อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ ที่จัดตั้งโดย จิสด้า (GISTDA) ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอศรีราชา ก็ถือเป็นอีกพื้นที่ยุทธศาสต์ที่สำคัญของจิสด้าทางด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศน์ ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ ทางรัฐบาลได้เชิญกลุ่มอุตสาหกรรมญี่ปุ่นด้านต่างๆเข้ามาเยี่ยมชมพื้นที” “ทั้งนี้ จากที่ทางรัฐบาลคาดการณ์ว่าโครงการ EEC จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ยราว 5% ต่อปี สร้างการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ 100,000 อัตราต่อปี ดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 10 ล้านคนต่อปี จึงทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกนี้ ได้รับความนิยมมากตามไปด้วย” นายโสภณกล่าวเพิ่มเติม “ที่ผ่านมา โครงการ EEC ได้รับความสนใจจากกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมญี่ปุ่นกว่า 500 ราย ที่ได้มาเยี่ยมชมตามคำเชิญของรัฐบาลและมีการตอบรับที่ดี ทำให้เรามั่นใจว่ากลุ่มโรงงานผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่นจะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการเช่าที่พักอาศัยในพื้นที่ศรีราชาเป็นจำนวนมาก ดังนั้น โครงการ คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา ภายใต้การออกแบบคอนเซ็ปท์ของโครงการ การทำแบรนด์ การบริหารแผนการตลาดและการขายโดยคุณยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์  จึงได้ร่วมเปิดตัวโครงการที่มีความเรียบและหรู ด้วยคอนเซ็ปต์ Luxury in Simplicity และตกแต่งแบบ Fully-Furnished ซึ่งนักลงทุนที่ซื้อคอนโดไม่ต้องตกแต่งเพิ่ม ทำให้ปล่อยเช่าได้ง่ายและได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น” นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กล่าวถึงศักยภาพและการปรับ กลยุทธ์ใหม่เพื่อบริหารการขายว่า “เนื่องมาจากความตั้งใจและวิสัยทัศน์ของเจ้าของโครงการที่จะพัฒนาโครงการที่ดีที่สุดในศรีราชา อีกทั้งที่ตั้งของโครงการอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดของศรีราชา ทำให้เชื่อมั่นและเล็งเห็นศักยภาพของโครงการ ที่ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่สุขุมวิท ถือเป็นทำเลใจกลางศรีราชา ตรงข้ามห้าง  โรบินสัน รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันไม่ว่าจะเป็น อิออน มอลล์ โรงพยาบาลพญาไท โรงเรียนอัสสัมชัญ และตัวอาคารก็ยังได้ออกแบบเพื่อเปิดรับวิวทะเลได้เต็มที่ และสิ่งที่พิเศษมากกว่าโครงการอื่นคือ เฟอร์นิเจอร์แต่งครบ และบริการแม่บ้านทำความสะอาดระดับโรงแรมที่รวมไปแล้วกับค่าส่วนกลาง หมายความว่าเมื่อผู้ซื้อปล่อยเช่าห้องก็จะได้ค่าเช่าเต็มที่ ไม่ต้องไปซื้อเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งเพิ่มและไม่ต้องถูกหักเป็นค่าทำความสะอาดออก ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่โครงการให้นั้นทางเราเลือกให้อย่างพิถีพิถันโดยคำนึงถึงความเรียบง่ายแบบที่ผู้เช่าชาวญี่ปุ่นชอบ และความคงทนง่ายต่อการดูแลรักษาของเจ้าของห้อง” ด้วยรูปแบบโครงการเป็นการตกแต่งแบบ Fully-Furnished ให้เฟอร์นิเจอร์แต่งครบสูงสุด 64 รายการ เพื่อความสะดวกแก่ลูกค้าที่ซื้อ สามารถปล่อยเช่าได้ง่ายโดยไม่ต้องเสียเวลาตกแต่งเพิ่มเติม ทั้งนี้ การตกแต่งให้มีความเรียบง่ายแต่ใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูง ทนทาน เพื่อสะดวกต่อการปล่อยเช่าในระยะยาว ส่วนคอนเซ็ปต์ Luxury in Simplicity นั้นเพื่อตอบสนองตามความชื่นชอบของผู้เช่าซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริหารระดับกลางถึงระดับสูงชาวญี่ปุ่น ที่ทำงานตามโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆโดยรอบพื้นที่ ทั้งกลุ่มครอบครัว หรืออยู่เดี่ยว โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับพื้นที่ส่วนกลางระดับไฮเอนด์ เช่น ห้องออนเซ็นขนาดใหญ่สำหรับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ห้องชงชา สวนสไตล์เซน ห้องประชุมพร้อมอุปกรณ์ ฟิตเนสอุปกรณ์คุณภาพสูง สระว่ายน้ำระบบควบคุมอุณหภุมิ สวนชั้นดาดฟ้าวิว 360 องศา ห้องเด็กเล่น นอกจากนั้น ยังมีไฮไลท์บริการระดับมาตราฐานโรงแรม (Boutique Service)  ทำความสะอาดห้องพักฟรี สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นต้น กลุ่มเป้าหมายของโครงการ คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา แบ่งเป็นคนไทย 90 เปอร์เซ็นต์ และต่างชาติ 10 เปอร์เซ็นต์ โดยคนไทยแบ่งเป็นกลุ่มลูกค้าชลบุรีตลอดจนจังหวัดภาคตะวันออก แบ่งเป็น 80 เปอร์เซ็นต์ โดยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อลงทุนปล่อยเช่า และกลุ่มลูกค้ากรุงเทพฯ 20 เปอร์เซ็นต์ ซื้อเพื่อพักอาศัย ทั้งนี้ โครงการ คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา เป็นคอนโดมิเนียม สูง 38 ชั้น  1 อาคาร (อาคารจอดรถชั้น 1-7, ที่พักอาศัย 8-37) พื้นที่ 3-1-77 ไร่ มีราคาเริ่ม 3.1 ล้านบาท มีจำนวนยูนิตพักอาศัยทั้งหมด 625 ยูนิต และพาณิชยกรรม 3    ยูนิต ออกแบบตกแต่งภายในโดย บริษัท DWP จำกัด  โดยมีห้อง 4 รูปแบบ ได้แก่ Type A ขนาดพื้นที่ ตั้งแต่74 – 39.28 ตร.ม. 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบ Type B ขนาดพื้นที่ ตั้งแต่41 – 45.38 ตร.ม. 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบ Type C ขนาดพื้นที่ ตั้งแต่36 – 87.22 ตร.ม. 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบ Type PH (Penthouse) ขนาดพื้นที่ ตั้งแต่49 – 267.82 ตร.ม. 2 ห้องนอน และ 3 ห้องนอน ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ Built-in โครงการจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 1 พ.ศ. 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จ ในไตรมาสที่ 2 พ.ศ. 2563 ผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมห้องตัวอย่าง และรับข้อมูลของโครงการ  คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา เพิ่มเติมได้ ณ Sales Gallery โทร.038 325361-3
บมจ. มั่นคงเคหะการ รุกหนักธุรกิจบริหารโครงการ ตั้งเป้า ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ รายได้โตกว่า 200% ในปี 61

บมจ. มั่นคงเคหะการ รุกหนักธุรกิจบริหารโครงการ ตั้งเป้า ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ รายได้โตกว่า 200% ในปี 61

นายวรสิทธิ์  โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคง เคหะการ หรือ MK เปิดเผยว่า จากการเปิดตัว “ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์” บริษัทในเครือเพื่อดูแลธุรกิจงานบริการหลังการขาย และบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งของบริษัทฯ และของกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ในปีที่ผ่านมา พบว่า “ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์” มีอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่สร้างการเติบโตมาจากการที่ผู้ประกอบการในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หันมาให้ความสนใจด้านการบริการหลังการขายมากขึ้น เพื่อเพิ่มคุณค่าของแบรนด์ต่อความรู้สึกของผู้บริโภคในเรื่องต่างๆ อาทิ การดูแลลูกบ้านในโครงการ  การวางระบบการจัดการและการบริหารงานในโครงการทั้งก่อนและหลังการจัดตั้งนิติบุคคลเพื่อดูแลรักษาและจัดระเบียบโครงการให้ได้ตามมาตรฐานอยู่เสมอ ซึ่งจะนำไปสู่การอยู่อาศัยที่มีคุณภาพ “ปัจจุบันแม้ว่าผู้ประกอบการด้านธุรกิจบริหารโครงการจะเกิดขึ้นจำนวนมากในตลาด แต่ว่าบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และมาตรฐานการบริการ ตลอดจนการบริหารงานที่ได้มาตรฐานยังมีอยู่  ไม่มากนัก  และจากความต้องการผู้ให้บริการมืออาชีพในด้านนี้ “ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์” จึงได้พัฒนาทีมงานคุณภาพที่สำเร็จการศึกษาจากสาขาวิชาชีพเฉพาะทาง และมีประสบการณ์ตรงมาให้บริการในทุกส่วนงาน ตลอดจนเปิดอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับพนักงานในด้านต่างๆ ที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง อาทิ  มาตรฐานการให้บริการ การดูแลลูกค้า การแก้ไขปัญหาและสนองตอบความต้องการของลูกค้า ตลอดจนการบริการด้านต่างๆ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันก่อนลงพื้นที่ปฏิบัติงานจริง ทั้งยังจัดตั้งทีมงานคอยตรวจสอบมาตรฐานเป็นประจำเสมอ” นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กล่าวเสริม ปัจจุบัน “ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์” ให้บริการโครงการรวม 15 โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้การพัฒนาของ บมจ. มั่นคงเคหะการ รวม 11 โครงการ และโครงการของผู้ประกอบการอื่นๆ รวม 4 โครงการ  รวมพื้นที่บริหารทั้งสิ้น 567,305.42 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 15,000 ล้านบาท โดยในปี 2560 “ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์” คาดการณ์รายได้ไว้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท และเชื่อมั่นว่าในปี 2561 จะมีรายได้เติบโตกว่า 200% หรือกว่า 40 ล้านบาท และจะขยายการรับบริหารโครงการเพิ่มขึ้นอีก 8 โครงการ เกี่ยวกับทิศทางแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2561 นั้น นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า “ในปี 2561 บริษัทฯ เน้นนำเทคโนโลยีต่างๆ  เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและอำนวยความสะดวกในการให้บริการลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในการพัฒนาระบบการทำงาน การจัดการ การให้บริการ” สำหรับมุมมองต่อภาพรวมธุรกิจบริหารโครงการในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และแนวโน้มในอนาคตนั้น นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กล่าวแสดงความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวว่า “ที่ผ่านมาตลาดธุรกิจบริหารโครงการมีอัตราการเติบโตอย่างชัดเจน เนื่องจากอัตราการเปิดตัวของโครงการใหม่ยังคงมีเกิดขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งโครงการต่างๆ เหล่านั้น ล้วนต้องการบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารโครงการเข้ามาช่วยดูแลและให้บริการลูกบ้าน เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุด และส่งผลต่อความเชื่อมั่นในแบรนด์ เพื่อสร้างโอกาสในการขายในครั้งต่อๆ ไป เพราะปัจจุบันเพียงแค่ปัจจัยด้านคุณภาพของสินค้าและราคายังไม่เพียงพอ เพราะลูกค้าหันมาให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขายมากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ ด้วยเหตุนี้ธุรกิจบริหารโครงการจึงถือเป็นส่วนหนึ่งสำคัญ ที่จะเข้ามาช่วยดูแลและบริหารจัดการเรื่องต่างๆ ให้แก่ลูกบ้านของโครงการนั้นๆ  ซึ่งเมื่อมีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้น ก็คาดว่าธุรกิจบริหารโครงการก็จะเติบโตตามไปด้วยเช่นกัน”
SC ASSET ผู้นำอสังหาฯไทย ผนึก AIS ผู้นำแห่งเทคโนโลยี รุกวางระบบโครงข่ายดิจิตอลคุณภาพสูงให้ทุกโครงการของเอสซีฯ เตรียมส่งมอบ “Baan Rue Jai” แพลตฟอร์มการอยู่อาศัยที่พัฒนาโดยคนไทยเพื่อคนไทย

SC ASSET ผู้นำอสังหาฯไทย ผนึก AIS ผู้นำแห่งเทคโนโลยี รุกวางระบบโครงข่ายดิจิตอลคุณภาพสูงให้ทุกโครงการของเอสซีฯ เตรียมส่งมอบ “Baan Rue Jai” แพลตฟอร์มการอยู่อาศัยที่พัฒนาโดยคนไทยเพื่อคนไทย

SC ASSET  ผู้นำอสังหาฯไทย ผนึก AIS ผู้นำแห่งเทคโนโลยี รุกวางระบบโครงข่ายดิจิตอลคุณภาพสูงให้ทุกโครงการของเอสซีฯ เตรียมส่งมอบ “Baan Rue Jai” แพลตฟอร์มการอยู่อาศัยที่พัฒนาโดยคนไทยเพื่อคนไทย ตอบโจทย์ทุกปัจจัยสำคัญต้อนรับการมาถึงของเมืองอนาคต พร้อมนำร่องที่โครงการเดอะเจนทริ พระราม 9 บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โชว์วิสัยทัศน์ที่ก้าวล้ำไปไกลกว่าแค่การแข่งขันกันด้วยความเร็วของธุรกิจ แต่ยังต้องครอบคลุมทุกเรื่องที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการอยู่อาศัยในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ อาหาร การเดินทาง การศึกษา ที่ต่อไปจะเชื่อมโยงกันกับที่อยู่อาศัยอย่างไร้รอยต่อด้วยเทคโนโลยีความเร็วสูงแห่งอนาคต ปัจจุบัน บริษัทฯกำลังมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มแห่งการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ใช้ชื่อว่า “Baan Rue Jai Platform” (บ้านรู้ใจ) ที่พัฒนาขึ้นตามหลัก Human-Centric อันเกิดจากการศึกษาปัญหาและความต้องการในการใช้ชีวิตประจำวันของลูกค้าเป็นโจทย์สำคัญ เป็นที่มาของชื่อแพลตอร์ม “บ้านรู้ใจ” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมเอา Innovations และSolutions จากที่พัฒนาโดยบริษัทเอสซีฯ เอง และจากพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ โดยมีเป้าหมายให้การอยู่อาศัยของครอบครัวสมาชิกเอสซีฯสะดวกสบายขึ้น ปลอดภัยขึ้น มีเวลาให้เรื่องที่สำคัญในชีวิตมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงเมื่ออยู่อาศัยภายในบ้าน แต่เมื่อเดินทางออกนอกบ้านด้วยเช่นกัน โดยในเฟสแรก เอสซีฯ ได้ประกาศความร่วมมือกับผู้นำอันดับหนึ่งเรื่องเครือข่ายดิจิตอลของไทยอย่าง เอไอเอส ด้วยเหตุเพราะแพลตฟอร์มการอยู่อาศัยที่เชื่อมโยงต่อกันอย่าง Baan Rue Jai นี้ จะสำเร็จไม่ได้เลยหากขาดตัวแปรสำคัญคือโครงข่ายเทคโนโลยีดิจิตอลคุณภาพสูงจากเอไอเอส ทำให้แพลตฟอร์ม “บ้านรู้ใจ” ที่เมื่อเสร็จสมบูรณ์ จะเป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีครอบคลุมทั้ง  4 ด้าน คือ IoT, Big Data, Cloud Computing และ AI ซึ่งจะกลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีศักยภาพสูงพร้อมเติบโตได้อย่างไร้ขีดจำกัดร่วมไปกับการพัฒนาของเมืองในอนาคต นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า “แผนการพัฒนาแพลตฟอร์มที่อยู่อาศัย Baan Rue Jai ของเอสซีฯ เรียกได้ว่า เป็นอีกก้าวสำคัญของเราที่จะ ‘Re-invent’ ธุรกิจจากการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไปสู่การเป็น “Living Solutions Provider” ผู้ส่งมอบสินค้าบริการ, โซลูชั่น และนวัตกรรมที่ครอบคลุมชีวิตทุกด้านของผู้อยู่อาศัย” “เอสซีฯ เชื่อว่า เมืองที่กำลังจะมาถึงในอนาคต จะพัฒนาไปในรูปแบบของการ “ร่วมกันสร้าง” (Co-creation) จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลากหลายหน่วยในสังคมเดียวกัน ซึ่งเป็นหนทางการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน เพราะคำนึงถึงประโยชน์ของสังคมและชุมชนร่วมกัน นายณัฐพงศ์ ยังกล่าวเสริมอีกว่า “การจับมือกับ เอไอเอส ในครั้งนี้เป็นหนึ่งในการร่วมกัน Co-create โดยคนไทย เพื่อคนไทย เป็นความร่วมมือครั้งสำคัญ ของเอสซีฯ และเอไอเอส โดยมีนายสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ร่วมตกลงการพัฒนา Infrastructure สำหรับทุกโครงการที่อยู่อาศัยของเอสซีฯ ผ่านการขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ด้วย AIS Fibre 100% พร้อมต่อยอดความสำเร็จอีกขั้นสู่การร่วมพัฒนา Baan Rue Jai Smart Home ฟีเจอร์แรกที่จะนำร่องยังโครงการใหม่ เดอะเจนทริ พระราม 9 เชื่อมั่นว่าจะช่วยสร้างให้ชีวิตคนในบ้านมีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น ทั้งนี้การจับมือกับ เอไอเอส เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสร้างแพลตฟอร์ม Baan Rue Jai เท่านั้น ซึ่งในอนาคต บริษัทฯมีแผนที่จะร่วม Co-create นวัตกรรมและโซลูชั่นใหม่ๆ ร่วมกับ Strategic partner และ Startups อื่นๆ อีกมาก” ด้านนายสมชัย สรุปถึงการผนึกความร่วมมือครั้งนี้ว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ Digital for Thais พร้อมกับความแข็งแกร่งของเครือข่ายเอไอเอส ประกอบกับ Infrastructure และ AIS Business Cloud ในระดับมาตรฐานโลก ทำให้เอไอเอสเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของไทยเรื่องโครงข่ายดิจิตอลที่มีประสิทธิภาพครอบคลุมสูงสุดในทุกๆ ด้าน และย่อมมีความพร้อมในการต่อยอดสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มการอยู่อาศัยที่อำนวยความสะดวกให้กับชีวิตผู้คน เพื่อสร้างโอกาสและประสิทธิผลสำหรับการใช้ชีวิตของคนไทยให้ก้าวไปอีกขั้น” สำหรับฟีเจอร์แรกของ Baan Rue Jai Platform ที่พร้อมเปิดตัวในปีนี้ เป็นฟีเจอร์ Baan Rue Jai Smart Home ที่เกิดจากการร่วมพัฒนาจากเอสซีฯ และ เอไอเอส เป็นระบบที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ  ในบ้านผ่านอินเตอร์เน็ต ด้วยการนำเทคโนโลยี “IoT” (Internet of Things) ที่ปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างก้าวล้ำเข้ามาช่วยตรวจสอบและประเมินผล เพื่ออำนวยความสะดวกการใช้งานภายในบ้านผ่าน Mobile Application โดยสามารถควบคุมและสั่งการอัติโนมัติ  พร้อมตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ขณะเมื่ออยู่นอกบ้าน ได้แก่ ระบบสัญญาณกันขโมย การเปิด-ปิดไฟ, และเปิด-ปิด เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น จึงช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้อยู่อาศัยในทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของการอยู่อาศัยของครอบครัว และความปลอดภัยของข้อมูลทั้งภายในและภายนอกบ้าน ทุกที่ ทุกเวลา ที่พิเศษที่สุดของการใช้งาน Baan Rue Jai Smart Home คือการดูแลหลังการขาย เพราะเป็นระบบที่พัฒนาโดยเอสซีฯ และพันธมิตรที่เชี่ยวชาญอย่างเอไอเอส ทำให้บริษัทฯ มีความพร้อมเหนือระดับด้วยทีมงาน Customer Service มืออาชีพที่พร้อมช่วยเหลือดูแลลูกค้าตามมาตรฐานงานหลังการขายอย่างอบอุ่นจากเอสซีฯ ตลอด 24 ชั่วโมง Rue Jai Smart Home  เพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับอนาคต  จะนำร่องที่โครงการเดอะเจนทริ พระราม 9 (The Gentry Rama 9) วิลล่าหรู 3 ชั้น โครงการใหม่ที่ได้รับการตอบรับดีเยี่ยมแห่งหนึ่ง  
“ลุมพินี เพลส รัชดา-สาธุ” คอนโดสไตล์ Modern Chinese ใจกลางเมืองย่านสาธุประดิษฐ์ เริ่ม 2.28 ลบ. 25 พ.ย.นี้

“ลุมพินี เพลส รัชดา-สาธุ” คอนโดสไตล์ Modern Chinese ใจกลางเมืองย่านสาธุประดิษฐ์ เริ่ม 2.28 ลบ. 25 พ.ย.นี้

บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)(LPN) เจาะทำเลเด่นย่านสาธุประดิษฐ์ ใกล้เซ็นทรัลพระราม 3 เปิดขายคอนโดระดับไพร์ม “ลุมพินี เพลส รัชดา-สาธุ” เริ่ม 2.28 ลบ. กับคอนเซ็ปต์ “FAMILY IS EVERYTHING” ขยายความสุขของครอบครัวในบ้านหลังใหญ่ สอดรับแนวคิด New LPN Design 2 และ 3 ห้องนอน สำหรับครอบครัวขยาย จับกลุ่มเป้าหมายคนไทยเชื้อสายจีนและฐานลูกค้าเก่าย่านนี้กว่า 1 หมื่นราย พบดีมานด์สูงหลังยอดลงทะเบียนจองกว่า 1,000 ราย ด้านงานสถาปัตยกรรมตอบโจทย์ Modern Chinese สอดประสานเส้นสายศิลปวัฒนธรรมจีนให้ทันสมัย  การันตีวิวสวยทุกห้อง โดดเด่นกับพื้นที่ส่วนกลางด้วยสวนสวยรอบอาคารสไตล์สวนจีน  พลาดไม่ได้เปิดจองเสาร์ที่ 25 พ.ย.นี้ วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายนนี้ LPN เตรียมเปิดขายคอนโดน้องใหม่ ลุมพินี เพลส รัชดา-สาธุ มูลค่า 1,600 ล้านบาท ตั้งบนทำเลทองย่านสาธุประดิษฐ์ แหล่งประชากรหนาแน่นไปด้วยคนไทยเชื้อสายจีนที่นิยมพักอาศัยรวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยายไปจนถึงพ่อแม่และลูกหลาน LPN จึงได้พัฒนาโครงการแห่งนี้ภายใต้แนวคิด “FAMILY IS EVERYTHING" เพื่อขยายความสุขของครอบครัวในบ้านหลังใหญ่ ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น จากบรรพบุรุษไปสู่ลูกหลานที่ต้องการขยายครอบครัวจากแนวราบมาพักอาศัยในคอนโดแนวสูง ขณะเดียวกันลูกหลานก็ยังคงไปมาหาสู่ญาติผู้ใหญ่ได้ ด้านผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ครอบครัวใหญ่ด้วย New LPN Design ด้วยรูปแบบห้องชุดที่โปร่ง โล่ง สบาย ครบอรรถประโยชน์ใช้สอยด้วยขนาด 2 และ 3 ห้องนอน ซึ่งทุกห้องสามารถมองเห็นวิวสวยๆของเมืองได้ สำหรับงานสถาปัตยกรรมอาคารภายนอกได้นำแนวคิด Modern Chinese มาออกแบบเพื่อจำลองรูปแบบและกลิ่นอายของวัฒนธรรมจีนเข้ากับสถาปัตยกรรมทันสมัย สะท้อนแนวคิดของการผสมผสานได้อย่างลงตัว พื้นที่ส่วนกลางออกแบบให้รองรับการใช้ชีวิตร่วมกันของครอบครัว ตั้งแต่ห้อง Co-Dining Zone ห้องเปี่ยมสุข (Happiness Zone) ห้องคุณหนู (Kid’s Fun Zone) ฯลฯ โดดเด่นด้วยพื้นที่สำหรับการพักผ่อนที่รังสรรค์ขึ้นอย่างใส่ใจ ทั้งสวนสวยรอบอาคารในสไตล์สวนจีน ร่มรื่น เย็นตา และมีเอกลักษณ์ด้วยสะพานไม้ ธารน้ำ หินงามและต้นหลิวเรียงรายพร้อมลู่วิ่งกลางสวน สนามเด็กเล่น ลานออกกำลังกาย สวนและสระว่ายน้ำลอยฟ้าให้เลือกบรรยากาศแห่งการผ่อนคลายได้ตามความต้องการของหลากหลายวัย ซึ่งทำเลพระราม 3 เป็นย่านที่ LPN มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดีจากความสำเร็จในการพัฒนาหลายโครงการจนทำให้บริษัทมีฐานลูกค้าเก่ากว่า 1 หมื่นราย บริษัทจึงคาดว่าจะประสบผลสำเร็จจากยอดเปิดลงทะเบียนจองล่วงหน้ากว่า 1,000 ราย สาธุประดิษฐ์เป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ ทำเลใจกลางเมือง ย่านสาธุประดิษฐ์ ใกล้ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ได้แก่ Central พระราม 3, Market Place, เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ ใกล้สถานศึกษา ได้แก่ โรงเรียนสารสาสน์พิทยา, โรงเรียนพระแม่มารีสาธุประดิษฐ์, โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ สีลม, โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ สถานพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์, โรงพยาบาลเลิดสิน, โรงพยาบาลบีเอ็นเอช, โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน แหล่งช้อปปิ้ง ได้แก่ Vanilla Moon, โฮมโปร พระราม 3, แมคโคร สาทร, INT Intersect, โลตัส พระราม 3, ดิอัพ พระราม 3 โครงการลุมพินี เพลส รัชดา-สาธุ เปิดขายให้คุณเป็นเจ้าของในวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายนนี้ ราคาเริ่มต้น 2.28 ล้านบาท (คิดเป็นราคาขายเฉลี่ยต่อตร.ม.100,000 บาท) ตั้งอยู่บนถนนสาธุประดิษฐ์ (ซอย 27 เดิม) จำนวนห้องชุด 543 ยูนิต ตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัวสูงแก่ผู้พักอาศัย   เนื้อที่โครงการ 2 ไร่เศษ จำนวน 1 อาคาร สูง 35 ชั้น รูปแบบห้องชุด 23.50 – 65.50 ตร.ม.พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายภายในโครงการ สามารถเข้าพักอาศัยได้ไตรมาส 3 ปี 2562 อบอุ่นหลังการเข้าพักอาศัยด้วยคุณค่างานบริการ (Service Value) ภายใต้กลยุทธ์ “ชุมชนน่าอยู่สำหรับคนทุกวัย” ข้อมูลโครงการ ลุมพินี เพลส รัชดา-สาธุ แนวคิด Family is Everything มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ราคาขาย เฉลี่ย 100,000 บาท / ตรม. วันเปิดขาย วันเสาร์ที่  25 พฤศจิกายน  2560 ที่ตั้ง ถนนสาธุประดิษฐ์ (ซอย 27 เดิม) แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา  กทม. ใกล้ เซ็นทรัล พระราม 3 , ตลาดรุ่งเจริญ, ทางด่วนสาธุประดิษฐ์, โรงเรียนสารสาสน์เอกตรา, โรงเรียนอัสสัมชัญ, โรงพยาบาลเซ็นหลุยส์, ย่านCBD สาทร, Market Place, เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ เนื้อที่โครงการ ประมาณ 2 ไร่เศษ ลักษณะโครงการ ผู้อาคารชุดพักอาศัยสูง 35 ชั้น 1 อาคาร ห้องชุดพักอาศัยรวม 543 ยูนิต (ชั้น 7 – ชั้น 34) รูปแบบห้องชุด ขนาด 24.00 – 65.50 ตร.ม. 24.00  แบบ Studio 28 แบบ 1 Bedroom 36 แบบ 2 Bedroom *** ชั้น 7 สระว่ายน้ำ (Swimming Pool),  ห้องเปี่ยมสุข (Happiness Zone),ห้องคุณหนู (Kid’s Fun Zone), ห้องเอนกประสงค์ ( Co-Living Zone), ฟิตเนสโซน (Fitness Zone), ห้องสตีมและซาวน่า (Steam and Sauna) และห้องเฮ้าส์เวิร์ค(Housework Zone) และห้องชุดพักอาศัย *** ชั้น 35 จุดชมวิว (Sky Lobby), ลานพักผ่อน (Co-Living Area) *** ชั้น 26 และ ชั้น 31 ลานพักผ่อน (Co-Living Area), ห้องชุดพักอาศัย ชั้นล่าง   ลานกิจกรรม (Co-Living Zone), สนามเด็กเล่น (Playground),ลานฟิตแอนด์เฟิร์ม (Fit & Firm area), ห้องอเนกประสงค์ (CO-Living Zone), ห้องบริหารจัดการพัสดุ (Parcel Storage ,  พื้นที่รวมตู้หยอดเหรียญ (Vending Machine Room), ห้องเครื่อง, ห้องไฟฟ้า, ที่จอดรถจักรยาน, ที่จอดรถยนต์ ชั้น 2 – 6 ที่จอดรถยนต์ ประมาณ 40 % ชั้น 8 – 25 ห้องชุดพักอาศัย ชั้น 27 – 30 ห้องชุดพักอาศัย ชั้น 32 - 34 ห้องชุดพักอาศัย โทรศัพท์(สำนักงานขาย) 02-211-2827 โทรสาร (สำนักงานขาย) 02-211-2007 กำหนดเริ่มก่อสร้าง  2561 คาดว่าจะแล้วเสร็จ ไตรมาส 3
‘เอพี ไทยแลนด์’ x ‘แฟบริก้า ดีไซน์’ ร่วมมือออกแบบนวัตกรรมพื้นที่แห่งอนาคต เผยผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์จากการทับซ้อนทางดีไซน์ปลดล็อคพื้นที่ใช้สอยที่ถูกซ่อนอยู่ สู่วิถีแห่งการอยู่อาศัยแห่งศตวรรษใหม่ ผ่านโปรเจคต์พิเศษเพื่อสังคม AP SPACE SCHOLARSHIP

‘เอพี ไทยแลนด์’ x ‘แฟบริก้า ดีไซน์’ ร่วมมือออกแบบนวัตกรรมพื้นที่แห่งอนาคต เผยผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์จากการทับซ้อนทางดีไซน์ปลดล็อคพื้นที่ใช้สอยที่ถูกซ่อนอยู่ สู่วิถีแห่งการอยู่อาศัยแห่งศตวรรษใหม่ ผ่านโปรเจคต์พิเศษเพื่อสังคม AP SPACE SCHOLARSHIP

วันนี้ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการ อสังหาริมทรัพย์และเจ้าแห่งนวัตกรรมเพื่อคุณภาพการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตที่ดีกว่าสำหรับคนเมือง ร่วมกับ FABRICA (แฟบริก้า) ดีไซน์สตูดิโอชื่อดังจากประเทศอิตาลี นำเสนอวิธีคิดในการออกแบบ พื้นที่แห่งอนาคตและการคิดค้นนวัตกรรมพื้นที่ที่สาม ที่เกิดจากการทับซ้อนทางดีไซน์ จนเกิดพื้นที่ในมิติใหม่ที่ทลายกรอบความคิดในการออกแบบ ชี้นำพฤติกรรมการอยู่อาศัยของมนุษย์ไปสู่การเปลี่ยนแปลงในบริบทใหม่  ในวันที่เส้นแบ่งชีวิตเรื่องงาน – ส่วนตัว เหลือน้อยลง ผ่านโปรเจคต์พิเศษเพื่อสังคมที่ชื่อว่า AP SPACE SCHOLARSHIP อีกหนึ่งโครงการ CSR ภายใต้การดำเนินการของเอพีที่นำเสนอวิธีคิดใหม่ในการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม โดยใช้ความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์สเปซสำหรับการอยู่อาศัยของเอพี ร่วมกับจุดต่างทางความคิดที่เชื่อมโยงความต่างทางวัฒนธรรมของทาง FABRICA มาร่วมสร้างสรรค์ทุนการศึกษารูปแบบใหม่ที่เป็นการให้ ‘ที่พักอาศัย’ ด้วยห้องชุดในคอนโดเอพี ซึ่งออกแบบโดยทีมงาน AP DESIGN LAB x FABRICA เพื่อเชื่อมต่อการใช้ชีวิตของน้องๆ ที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด มีผลการเรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยเฉพาะเรื่องที่พักอาศัย จำนวน 7 คน ซึ่งต้องย้ายเข้ามาศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในกรุงเทพมหานคร  ซึ่งผู้ที่สนใจศึกษาวิธีคิดในการออกแบบที่นำมาซึ่งผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ ปลดล็อคพื้นที่ที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่ วิถีแห่งการอยู่อาศัยแห่งอนาคต ได้ที่นิทรรศการ ‘SPACES WITHIN SPACE, A Vision of Co-Living Generation’ ที่จะจัดแสดงขึ้นระหว่าง 22-26 พฤศจิกายนนี้ เวลา 10.00-18.00 น. ณ Woof Pack Space ศาลาแดง ซอย 1 ถนนพระราม 4 บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) ได้ต่อยอดวิธีคิดการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมในรูปแบบใหม่ โดยใช้ความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์สเปซสำหรับการอยู่อาศัย กับจุดต่างทางความคิดเฉพาะตัวของทีมดีไซเนอร์จากทาง FABRICA ร่วมกันสร้างสรรค์และยกระดับศักยภาพของเด็กไทยบนพื้นฐานของการให้ ด้วยการออกแบบห้องชุดในโครงการเพื่อสังคม “AP SPACE SCHOLARSHIP – ทุนที่พักอาศัย เพื่อการเริ่มต้นของคนคุณภาพ” โดยมอบทุนการศึกษาเป็นตารางเมตร ในคอนโดมิเนียมที่บริหารจัดการโดยบริษัทในเครือเอพี เพื่อเชื่อมต่อการใช้ชีวิตของน้องๆ ที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด มีผลการเรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์โดยเฉพาะเรื่องที่พักอาศัย จำนวน 7 คน ซึ่งต้องย้ายเข้ามาศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในกรุงเทพมหานคร ได้เริ่มต้นชีวิตระหว่างเรียนร่วมกันได้ อย่างมีความสุข สร้างสรรค์ และปลอดภัย ภายในห้องชุดที่ได้รับการออกแบบพื้นที่ใช้สอยเป็นพิเศษโดยทีม AP Design Lab ร่วมมือกับ FABRICA ดีไซน์สตูดิโอที่รวบรวมหนุ่มสาวนักคิด นักออกแบบ เพื่อสร้างสรรค์พื้นที่ ให้สามารถใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าใน 2 โครงการที่ใกล้สถานศึกษา ได้แก่ โครงการ Aspire รัตนาธิเบศร์ 2 และ Aspire สาทร-ตากสิน นายสรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง ผู้อำนวยการคอร์ปอเรทมาร์เก็ตติ้ง และเอพี ดีไซน์ แล็บ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “โปรเจคต์นี้เอพีมุ่งนำเสนอการออกแบบที่อยู่อาศัยร่วมกันแห่งอนาคต ผ่านการศึกษาและค้นหาพื้นที่ที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่ หรือที่ทางทีมเอพีเรียกว่า ‘พื้นที่ที่สาม’ และวิธีการมองสเปซในทุกมิติด้วยประสบการณ์ 25 ปีของเราที่เข้าใจการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์คนเมือง เรามีความเชี่ยวชาญในการออกแบบพื้นที่การใช้ชีวิตคุณภาพ โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียมที่ทุกตารางนิ้วมีคุณค่าจึงต้องใช้ได้อย่างมากประโยชน์ ในครั้งนี้เราได้ผสานความเชี่ยวชาญของ FABRICA ที่มีจุดเด่นทางความคิดที่เชื่อมโยงความต่างทางวัฒนธรรม ก่อเกิดผลงานที่เข้าถึงและกินใจคนทั่วโลก มาร่วมกันสร้างสรรค์พื้นที่อยู่อาศัยสำหรับน้องๆ นักศึกษาทั้ง 7 คนที่เดินทางมาจากคนละจังหวัดให้อยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีความสุข และพร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตในเมืองใหญ่ได้อย่างมั่นใจ โดยเรื่องราวของการให้ทุนที่เป็น ‘ที่อยู่อาศัย’ นั้น ทางเอพีได้ถ่ายทอดผ่านนิทรรศการ ‘SPACES WITHIN SPACE, A Vision of Co-Living Generation’ ซึ่งผู้ที่สนใจในแนวคิดของการทำกิจกรรมเพื่อสังคมในโครงการ AP SPACE SCHOLARSHIP หรือวิธีคิดในการออกแบบที่ผสานความต่างทางวัฒนธรรม สามารถเข้ามาชมได้ตั้งแต่วันที่ 22-26 พฤศจิกายนนี้ ณ WOOF PACK Space ศาลาแดง ซอย 1 ซึ่งในนิทรรศการจะมีการจำลองห้องชุดทั้ง  2 ห้องในมิติที่เสมือนจริงมาให้ทุกคนได้ลองค้นหาความหมายของพื้นที่ที่สาม นวัตกรรมพื้นที่แห่งอนาคตในมุมมองของ AP และ FABRICA” “เอพีให้ความสำคัญกับการออกแบบและก่อสร้างห้องของน้องๆ เด็กทุน AP SPACE SCHOLARSHIP เป็นอย่างมาก ทีม AP Design Lab ของเราจึงเลือกร่วมงานกับดีไซน์สตูดิโอชื่อดังระดับโลกอย่าง FABRICA ที่เป็นศูนย์รวมของเหล่านักคิด นักออกแบบรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์จากทั่วโลก ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี นำโดย Mr. Sam Baron (มร. แซม บารอง) ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ FABRICA ผู้มีชื่อเสียงระดับโลกในวงการออกแบบ เป็นไอดอลของนักออกแบบรุ่นใหม่ และได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ที่มีความสามารถแห่งทศวรรษมาช่วยในการออกแบบ ให้สามารถค้นพบและนำพื้นที่ที่สามที่เกิดจากการทับซ้อนของการออกแบบ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทุกตารางนิ้ว และมีดีไซน์สวยงามล้ำสมัย” คุณสรรพสิทธิ์ กล่าว มร. แซม บารอง ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ FABRICA กล่าวว่า “ในฐานะตัวแทนจากทีมงาน FABRICA ผมขอชื่นชมเอพี (ไทยแลนด์) ที่สร้างสรรค์โครงการดีๆ เพื่อสังคมอย่าง SPACE SCHOLARSHIP  ในมุมมองของผมโครงการนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเยาวชนในสังคมไทย เป็นส่วนหนึ่งในการมอบ โอกาสในชีวิต รวมถึงการสร้างคนคุณภาพให้กับสังคมไทย โปรเจคต์ SPACE SCHOLARSHIP ค่อนข้างท้าทาย วิธีคิดในการออกแบบของผมและทีม เพราะโจทย์ในการออกแบบคือ การออกแบบพื้นที่พักอาศัยใน คอนโดมิเนียม สำหรับการอยู่อาศัยร่วมกันของเด็ก 7 คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน และเดินทางมาจากคนละจังหวัด มีภูมิหลังและวัฒนธรรมที่ต่างกัน โดยแบ่งเป็นห้องสำหรับการอยู่ร่วมกันสำหรับเด็กผู้ชาย 4 คน 1 ห้อง  และสำหรับเด็กผู้หญิง 3 คน 1 ห้อง ซึ่งปรัชญาการออกแบบอย่างหนึ่งของทีม FABRICA คือการเชื่อมโยงความต่างทางวัฒนธรรมให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งจุดเด่นอย่างหนึ่งที่ทำให้ FABRICA สามารถสร้างผลงานที่เข้าถึงคนทั่วโลกได้ คือ  FABRICA DESIGN TEAM เกิดขึ้นจากรวมตัวกันของหนุ่มสาวนักคิด นักออกแบบจากหลากหลายเชื้อชาติมาร่วมกันสร้างสรรค์งานดีไซน์ที่เข้าใจและสะท้อนคุณค่าทางวัฒนธรรมได้อย่างชัดเจน” “สำหรับคอนเซ็ปต์ในการออกแบบของโปรเจคต์ SPACE SCHOLARSHIP เกิดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘SUM’ (Some of Small Parts) ซึ่งสิ่งที่แนวคิด ‘SUM’ ตั้งคำถามคือเราจะสร้างพื้นที่แห่งการแบ่งปันไปพร้อมๆ กับการสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัยได้อย่างไร ‘SUM’ จึงสะท้อนวิธีคิดในการจัดวางพื้นที่สำหรับการอยู่ร่วมกัน ที่ช่วยส่งเสริมการสื่อสาร และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ โดยผลรวมของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมด ในห้องชุดคือการเรียบเรียงองค์ประกอบอันหลากหลายให้เติมเต็มและเพิ่มคุณค่ากันและกัน เกิดเป็นสังคมใหม่ เป็นทั้งพื้นที่แห่งการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ การแบ่งปัน และการอยู่ร่วมกัน ซึ่งเมื่อห้องชุดก่อสร้างแล้วเสร็จ เด็กๆ ย้ายเข้าอยู่เราก็เริ่มเห็นผลจากงานดีไซน์ที่เชื่อมความต่างของทุกคนเข้าหากันได้อย่างลงตัว ซึ่งเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจคต์เพื่อสังคมดีๆ นี้ครับ”  มร. บารอง กล่าว บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) มุ่งหวังว่าโครงการเพื่อสังคม AP SPACE SCHOLARSHIP จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยยก ระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ส่งเสริมความกล้าในการที่จะคิดและทำต่างอย่างสร้างสรรค์ นับว่าเป็นการต่อยอดวิสัยทัศน์ในการ “คิดต่าง” (Think Different) ของเอพี ในการเดินหน้า คิดค้นและนำเสนอนวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตของคนเมือง ที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งในด้าน ‘คุณภาพ’ ‘บริการ’ ‘ความ-สะดวกสบาย’ และ ‘ความปลอดภัย’ โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ การมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด ให้กับการอยู่อาศัยในเมือง ทั้งนี้ นิทรรศการ ‘SPACES WITHIN SPACE, A Vision of Co-Living Generation’ จะจัดแสดง ระหว่าง 22-26 พฤศจิกายนนี้ เวลา 10.00-18.00 น. ณ Woof Pack Space ศาลาแดง ซอย 1 ถนนพระราม 4 เพื่อแสดงผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ที่เกิดจากการทับซ้อนทางดีไซน์ เกิดเป็นนวัตกรรมพื้นที่แห่งอนาคต สู่วิถี-แห่งการอยู่อาศัยในวันข้างหน้า ผ่านการออกแบบในโปรเจคต์พิเศษเพื่อสังคม AP SPACE SCHOLARSHIP ข้อมูลเพิ่มเติม www.apthai.com/apspacescholarship
“ออริจิ้น” ขยายพอร์ตแนวราบมุ่งเติบโตแบบ “มัลติพลาย” ตั้งเป้าแนวราบ 5 ปี มูลค่าโครงการสะสม รวม 35,000 ล้านบาท พร้อมดึงผู้บริหารมืออาชีพคุมทัพ ลุยส่ง “บริทาเนีย” ลงตลาดแนวราบ

“ออริจิ้น” ขยายพอร์ตแนวราบมุ่งเติบโตแบบ “มัลติพลาย” ตั้งเป้าแนวราบ 5 ปี มูลค่าโครงการสะสม รวม 35,000 ล้านบาท พร้อมดึงผู้บริหารมืออาชีพคุมทัพ ลุยส่ง “บริทาเนีย” ลงตลาดแนวราบ

“ออริจิ้น” กางแผนรุกตลาดแนวราบ 5 ปี ตั้งเป้าเปิดขายใหม่มูลค่าโครงการสะสมรวม 35,000 ล้านบาท พร้อมดึง “ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์” มืออาชีพอสังหาฯ แนวราบเสริมทัพ ประเดิมปักหมุดทำเลศรีนครินทร์ ส่ง “บริทาเนีย” แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมชิมลางตลาด ลั่นเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์เพื่อดันให้ออริจิ้นพุ่งสู่ 1 ใน 3 บริษัทผู้พัฒนา และให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ครอบคลุมทุกสินค้า นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน (Kensington), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) และ พาร์ค (PARK) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานตลาดแนวราบว่า ในช่วงปลายปี 2560 เราได้พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว และบ้านแฝด ภายใต้แบรนด์ “บริทาเนีย” มูลค่าโครงการประมาณ 800 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะเติบโตแบบ “มัลติพลาย” ด้วยการพัฒนาโครงการแนวราบ  ภายใน 5 ปี จนมียอดโครงการสะสมถึง 35,000 ล้านบาท หรือประมาณ 30-35 โครงการ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของที่ดินที่ได้มา สำหรับทำเลเป้าหมาย คือ ทำเลในโซนบางนา สมุทรปราการ และขยายครอบคลุมไปยังฝั่งตะวันออกในพื้นที่แถบ EEC ด้วย โดยปัจจุบันมีที่ดินในมือแล้ว 2 แปลง และกำลังเร่งหาที่ดินเพิ่มเพื่อพัฒนาให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งการพัฒนาโครงการแนวราบของออริจิ้นในครั้งนี้ ส่งผลให้ออริจิ้นสามารถพัฒนาโครงการได้ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า  ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตาม road map ของบริษัทที่วางไว้ คือ การขึ้นแท่นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของไทย คือ 1 ใน 3 บริษัทผู้พัฒนาและให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ ภายในปี 2565 บริทาเนีย คือ แบรนด์โครงการแนวราบสำหรับออริจิ้น ซึ่งคำว่า Britania มาจาก Britain หมายถึง สหราชอาณาจักร เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาแบรนด์ของออริจิ้น ที่ทุกโครงการจะเป็นชื่อเมืองในประเทศอังกฤษ ชื่อแบรนด์ “บริทาเนีย” เป็นแบรนด์สำหรับพัฒนาโครงการแนวราบของออริจิ้น โดยได้แบ่ง Segment ของแบรนด์เอาไว้ 4 Segment หลัก คือ 1) บริทาเนีย วิลล่า (Britania Villa) คือ บ้านเดี่ยวในระดับราคา 15-25 ล้านบาท 2) บริทาเนีย เรสซิเดนซ์ (Britania Residence) คือ บ้านเดี่ยวในระดับราคา 8-15 ล้านบาท 3) บริทาเนีย โฮม (Britania Home) คือ บ้านเดี่ยว และบ้านแฝดในระดับราคา 5-8 ล้านบาท 4) บริทาเนีย ทาวน์ (Britania Town) คือ ทาวน์โฮม และบ้านแฝด ระดับราคา 3-5 ล้านบาท โดยสัดส่วนในการพัฒนาโครงการนั้น จะเน้น 80 เปอร์เซ็นต์ ไปที่การพัฒนาโครงการบ้านระดับราคา 3-8 ล้านบาท และอีก 20 เปอร์เซ็นต์ คือ โครงการระดับพรีเมียม ราคา 8-25 ล้านบาท การที่โครงการแนวราบของออริจิ้น ได้มือดีอย่าง นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ซึ่งเป็นผู้คร่ำหวอด ในวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปี มาร่วมทีมโดยเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็น กรรมการผู้จัดการ โครงการแนวราบ ของ บมจ.ออริจิ้น โดยมีภารกิจหลักคือ พัฒนาโครงการแนวราบทั้งหมดของออริจิ้น นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการโครงการแนวราบ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การมาร่วมงานกับทางออริจิ้นในครั้งนี้ ได้รับภารกิจให้เข้ามาบุกเบิกพัฒนาโครงการแนวราบของบริษัท โดยเป้าที่ได้รับมอบไว้ คือ การพัฒนาโครงการให้ได้ มูลค่าโครงการสะสมตามเป้า 35,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก โดยจะยังคงไว้ซึ่งกลยุทธ์  Blue Ocean ของ ออริจิ้นในด้านการหาที่ดินที่มีศักยภาพ มาใช้ในการพัฒนาต่อไป เพราะมั่นใจว่ากลยุทธ์นี้เป็นกลยุทธ์หลักที่ทำให้ออริจิ้นประสบความสำเร็จ และเติบโตมาจนถึงวันนี้ สำหรับโครงการแรก คือ  โครงการบริทาเนีย ศรีนครินทร์ (Britania Srinakarin) มีมูลค่าโครงการประมาณ  800  ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 22 ไร่ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 2 ชั้น และบ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 149 หลัง ระดับราคา 4.65-8 ล้านบาท ขนาดที่ดิน 35-50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 130-160 ตารางเมตร ภายใต้คอนเซ็ปต์ Modern British Luxury โดยมีแบบบ้านทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ 1) Brompton บ้านแฝด 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 130 ตร.ม. ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถ 2 คัน 2) Regent บ้านแฝด 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 140 ตร.ม. ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถ 2 คัน 3) Oxford บ้านเดี่ยว 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 160 ตร.ม. ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถ 2 คัน จุดเด่นของโครงการ คือ ทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้า เพียง 1.5 กม.จากบีทีเอสสายสีเหลือง สถานี “ศรีด่าน” การออกแบบพื้นที่ส่วนกลางถูกพัฒนาขึ้นโดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ และฟังก์ชั่นบ้านที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยจริง หรือ  “Customer Centric Design” ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด พร้อมพื้นที่ส่วนกลางครบตอบไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยกลุ่มเป้าหมาย  ไม่ว่าจะเป็น สระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนส สวนบาสเกตบอล สนามเด็กเล่น นอกจากนี้ ยังออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานภายในตัวบ้าน ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยจริง อาทิ  การออกแบบฟังก์ชั่น การใช้งานในบ้าน ให้มี USB port ตามจุดต่างๆ เพื่อเสียบสายชาร์ตโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ต้องอาศัยเต้าเสียบไฟตามปกติ หรือแม้กระทั่งการเลือกวัสดุที่ใช้ในบ้าน อย่างเช่น กรอบประตูหน้าต่างวินเซอร์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม สำหรับโครงการบ้านระดับบน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังใส่ใจในการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งาน อย่างการออกแบบครัวไทย เพื่อรองรับการใชัชีวิตประจำวันได้จริงของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอีกด้วย โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการ คือ กลุ่มลูกค้าที่มีอายุประมาณ 28-35 ปี กำลังเริ่มสร้างครอบครัว  มีรายได้ครอบครัวต่อเดือนประมาณ 80,000 บาท ทั้งนี้ ทางโครงการได้มีการเปิดขาย Pre-Sale ไปแล้ว เมื่อวันที่ 18 -19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดขายทะลุเป้าที่วางไว้กว่า 230 ล้านบาท ด้านทำเลศรีนครินทร์ ถือว่าเป็นโซนที่น่าจับตามองของกรุงเทพฯตะวันออก เนื่องจากถนนศรีนครินทร์ สามารถตัดเข้าสู่ถนนหลายหลักได้หลายสาย อาทิ ถนนเสรีไทย รามคำแหง พระราม 9 พัฒนาการ และในอนาคตจะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สำโรง-ลาดพร้าว-รัชโยธิน อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา และอนาคตจะมีแบงค็อก มอลล์ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป เปิดตัวที่แยกบางนาอีกด้วย ส่งผลให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง ทำเลที่ตั้งของบริทาเนีย ศรีนครินทร์  ตั้งอยู่โซนบางนา- สมุทปราการ ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพที่ตลาดแนวราบเติบโตสูง โดยในปีที่ผ่านมามีมูลค่าขายสูงถึง 22,075 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 15% ของตลาดแนวราบทั้งกรุงเทพ และปริมณฑล มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของรถไฟฟ้าสายสีเหลือง  ห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่างๆ เนื่องจากราคาที่ดินบริเวณถนนศรีนครินทร์ โดยเฉพาะช่วงใกล้ศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ และพาราไดซ์ พาร์ค มีราคาสูง โดยในปี 2558-2559 ราคาอยู่ที่ประมาณ 2-3 แสนบาทต่อตารางวา และคาดว่าหากการก่อสร้างรถไฟฟ้า มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม คาดว่าจะทำให้ราคาที่ดินขยับตัวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10%