Tag : News

2376 ผลลัพธ์
“แลนด์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป” คาดอสังหาฯกรุงเทพฝั่งตะวันตกเติบโต 4-5% ดันแบรนด์ ‘เดอะบาลานซ์’ เปิดโครงการสองยึดพื้นที่ปิ่นเกล้า-สาย 5

“แลนด์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป” คาดอสังหาฯกรุงเทพฝั่งตะวันตกเติบโต 4-5% ดันแบรนด์ ‘เดอะบาลานซ์’ เปิดโครงการสองยึดพื้นที่ปิ่นเกล้า-สาย 5

“แลนด์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป” ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โซนกรุงเทพฯ ตะวันตกยาวนานกว่า 20 ปี เจ้าถิ่นตลาดอสังหาฯ แนบราบย่านศาลายา ชูความสำเร็จปั้นแบรนด์ ‘เดอะ บาลานซ์’ ครองใจผู้บริโภค ปิดการขายโครงการแรกแล้ว รุกต่อเนื่อง โครงการสอง ‘เดอะ บาลานซ์ ปิ่นเกล้า-สาย 5’ มูลค่า 1,000 ล้านบาท บ้านเดี่ยว บ้านแฝดหลังใหญ่ เนื้อที่เริ่มต้น 36.7-52.5 ตารางวา ฟังค์ชั่นเด่น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ในราคา 3-5 ล้านบาท รองรับการเติบโตตลาดอสังหาฯ ย่านปิ่นเกล้า-สาย 5 ทำเลชั้นดีของกรุงเทพตะวันตก ทางเลือกของผู้อยู่อาศัยคนรุ่นใหม่ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่อย่างมีนัยยะ ทั้งไลฟ์สไตล์ ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เดินทางเชื่อมต่อย่านธุรกิจรวดเร็วหลากหลายเส้นทาง อาทิ ทางด่วนตัดใหม่ศรีรัชวงแหวน-รถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน - ศาลายา) นายชนะ เลิศลุมพลีพันธุ์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท แลนด์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป จำกัด ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทำเลกรุงเทพฝั่งตะวันตกกว่า 20 ปี เปิดเผยถึงภาพรวมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในระยะ 1-2 ปี ที่ผ่านมา พบว่า ทำเลที่ดินกรุงเทพฝั่งตะวันตก โซนศาลายา-พุทธมณฑล มีความเจริญอย่างต่อเนื่องมาจากตัวเมืองฝั่งปิ่นเกล้า จรัญสนิทวงศ์ และถนนบรมราชชนนี กลายเป็นทำเลขยายของตลาดอยู่อาศัยแห่งใหม่ที่คนเมืองยุคใหม่ต้องการ เพราะมีระบบขนส่งมวลชนและการคมนาคมรองรับสะดวก ไม่ว่าจะเป็นรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน - ศาลายา) ซึ่งกำลังก่อสร้างช่วงแรก บางซื่อ-ตลิ่งชัน รวมถึงการเปิดใช้ทางด่วนตัดใหม่ศรีรัชวงแหวน ทำให้ผู้ที่ทำงานในตัวเมืองโซนพระนคร ปิ่นเกล้า จรัญสนิทวงศ์ หรือโซนสาทร สีลม จตุจักร ฯลฯ ให้ความสนใจมองหาที่อยู่อาศัยในย่านศาลายา-พุทธมณฑล มากขึ้น นอกจากนี้รอบพื้นที่ย่านศาลายา-พุทธมณฑล ยังมีไลฟ์สไตล์ใหม่มารองรับ ทั้งไลฟ์สไตล์ มอลล์ และห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เซ็นทรัล ศาลายา เป็นต้น บริษัทมีเป้าหมายพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องภายใต้แบรนด์ใหม่ เดอะ บาลานซ์ (The Balanz) ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2558 เพื่อผลักดันผลการดำเนินงานของบริษัทมีการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อเนื่องโดยตั้งเป้าหมายในระยะเวลา 3 ปี (ปี 2560-2562) บริษัทจะมีรายได้จากยอดขาย เดอะ บาลานซ์ แตะระดับ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการรับรู้รายได้ 250 ล้านบาท ในปี 2560 ที่ผ่านมา และประมาณการยอดรับรู้รายได้ในปี 2561 คิดเป็น 400 ล้านบาท และในปี 2562 อีก 450 ล้านบาท นายสยาม เลิศลุมพลีพันธุ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท แลนด์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึงผลสำเร็จของการสร้างแบรนด์ ‘เดอะ บาลานซ์’ ว่า บริษัทพัฒนา เดอะ บาลานซ์ (ศาลายา) เป็นโครงการแรก ในปี 2558 มีลูกค้าให้ความไว้วางใจในบริษัทเป็นอย่างดี จึงสามารถปิดการขายได้ทั้งโครงการแล้ว ล่าสุด บริษัทเปิดขาย เดอะ บาลานซ์ (ปิ่นเกล้า – สาย 5) โครงการลำดับที่สองที่เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2560 ได้รับผลตอบรับที่แรงเช่นเดียวกัน โดยยอด Pre-Sale เพียง 10 เดือน ขายแล้วกว่าร้อยละ 50 หรือประมาณ 120 ยูนิต ซึ่งรับรู้เป็นรายได้ในปี 2560 แล้ว ประมาณ 150 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 320 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดการณ์ว่าจะสามารถปิดการขายทั้งโครงการได้ภายในสิ้นปี 2561 สำหรับ เดอะ บาลานซ์ (ปิ่นเกล้า - สาย 5) มีมูลค่าโครงการรวม 1,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 45 ไร่ มีจำนวนทั้งหมด 236 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 3.39 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด ‘สมดุลแห่งชีวิตเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขที่แท้จริง (The True Balance of Happiness)’ ผสานความเป็นไทยกับยุคสมัยใหม่อย่างลงตัว ตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยของครอบครัวขนาดใหญ่ ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยสูง แต่อยู่ในทำเลสงบ ผ่อนคลายกับบ้านหลังใหญ่ อยู่สบาย เน้นความโปร่งโล่ง ในสังคมคุณภาพ บนทำเลศักยภาพย่านปิ่นเกล้า-สาย 5 ใจกลางความสะดวกครบวงจร สามารถเข้าออกได้หลายเส้นทาง (Selective Location) อาทิ ถนนบรมราชชนนี เพียง 3 กิโลเมตร จากถนนเพชรเกษม 6 กิโลเมตร และทางลัดสู่ถนนพุทธมณฑลสาย 4 เพียง 3 กิโลเมตร ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อนส่วนต่อขยายตลิ่งชัน – ศาลายา และใกล้ทางด่วนตัดใหม่ศรีรัชวงแหวน สามารถขึ้นจากทางยกระดับได้ง่าย นอกจากนั้นยังรายล้อมด้วยไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ อาทิ ใกล้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ศาลายา และมหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งนี้ เดอะ บาลานซ์ ปิ่นเกล้า -สาย 5 มีจุดเด่นด้วยการก่อสร้างบ้านทุกหลังด้วยอิฐมอญแดง  มีความโดดเด่นของการตกแต่งสไตล์โมเดิร์น เลือกสรรวัสดุคุณภาพเกรดพรีเมี่ยม ลงตัวด้วยพื้นที่ใช้สอยและฟังค์ชั่นที่ให้มากกว่า และเพิ่มความมั่นใจกับระบบความปลอดภัยในโครงการถึง 3 ระดับ (Triple-Security) ด้วยประตูทางเข้าโครงการ 2 ชั้น (Double Gate) พร้อมติดตั้งระบบสัญญาณกันขโมยตัวบ้านทุกหลัง ขณะที่แบบบ้าน ออกแบบด้วยดีไซน์ใหม่ เน้นส่วนผสมความเป็นไทยกับยุคสมัยใหม่อย่างลงในสไตล์ไทยโมเดิร์น โดยมีแบบบ้านหลังใหญ่ 3 แบบ ได้แก่ บ้านสุขสราญ (Zuk Saran) เนื้อที่เริ่มต้น 52.5 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย180 ตารางเมตร ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องพักผ่อน และ 2 ที่จอดรถ แบบบ้านเดี่ยวขนาดพอดีๆ สำหรับทุกการเริ่มต้นชีวิต ด้วยฟังก์ชั่นที่ลงตัว พร้อมเพิ่มพื้นที่โถงอเนกประสงค์ชั้น 2 และห้องนอนชั้นล่าง บ้านสุขสบาย (Zuk Sabai) เนื้อที่เริ่มต้น 42 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 140 ตารางเมตร ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ บ้านแนวคิดใหม่สไตล์บ้านเดี่ยว หลังใหญ่ คุ้มค่า ที่ให้ห้องนอน Master มาพร้อมกับห้องน้ำในตัว Walk-In Closet และห้องอเนกประสงค์ชั้นล่างเปิดรับวิวสวนเต็มอิ่ม และบ้านสุขใจ (Zuk Jai) เนื้อที่เริ่มต้น 36.7 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 130 ตารางเมตร ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ บ้านดีไซน์ใหม่สไตล์ไทยโมเดิร์น เติมเต็มการใช้ชีวิตให้สมบูรณ์แบบกับฟังค์ชั่นที่ครบครัน พร้อมพื้นที่สวนเดินได้รอบบ้าน นอกจากนี้บ้านทุกหลังยังติดตั้งระบบไฟโรงรถอัจฉริยะ (Auto Lighting) สะดวกปลอดภัยเมื่อเข้าบ้าน อีกทั้งยังคุ้มค่าเหนือราคากับสังคมบ้านเดี่ยว ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ คลับเฮาส์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องคิดส์รูม โถงพักผ่อน สวนสาธารณะขนาดใหญ่ ตลอดจนให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้อยู่อาศัยจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยคุณภาพการก่อสร้างด้วยอิฐแดงทั้งหลัง (Brick Construct Quality) หน้าต่างทรงสูงโปร่ง ขนาดใหญ่ หันหน้าสู่พื้นที่สีเขียว เพื่อพร้อมเปิดรับโอโซนบริสุทธิ์จากธรรมชาติ นายปิติ เลิศลุมพลีพันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท แลนด์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า บริษัทมองภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ศาลายา-พุทธมณฑล จะมีอัตราการเติบโตราวๆ ร้อยละ 4-5 สอดคล้องกับภาพรวมอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโตราวๆ ร้อยละ 5-7 สำหรับแผนงานกลยุทธ์ในปีนี้ บริษัทได้วางกลยุทธ์เพื่อรองรับการแข่งขันที่สูงขึ้น โดยอาศัยความเชี่ยวชาญจากการพัฒนาโครงการในพื้นที่กรุงเทพฝั่งตะวันตกมากว่า 20 ปี ทำให้รู้ลึกรู้จริงและเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคในพื้นที่เป็นอย่างดี และตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจมุ่งเน้นการก่อสร้างที่มีคุณภาพ จนได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาโดยตลอด ทั้งยังลงทุนพัฒนาโครงการด้วยเงินทุนของบริษัททั้งหมด ทำให้มีความคล่องตัวทางการเงิน สามารถพัฒนาโครงการใหม่เหมาะสมกับคุณภาพในราคาที่เอื้อมถึง ทั้งนี้ บริษัทเตรียมจัดงานเปิดตัวโครงการเดอะ บาลานซ์ ปิ่นเกล้า-พุทธมณฑลสาย 5 ในวันที่ 3-4  กุมภาพันธ์ 2561 นี้ ด้วยราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 2.99 ล้านบาท เฉพาะวันงานเท่านั้น พร้อมมอบโปรโมชั่นสุดพิเศษให้กับลูกค้าที่จองในงาน ได้แก่ ฟรีเครื่องปรับอากาศ ฟรีค่าส่วนกลาง ฟรีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ นอกจากนี้ในงานยังมีมินิคอนเสิร์ตจาก “เบน ชลาทิศ” และพิธีกรรับเชิญพิเศษ “กันต์ กันตถาวร” พร้อมกิจกรรมมากมายในบรรยากาศสบายๆ พร้อมอาหารและเครื่องดื่มตลอดงาน
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ วิเคราะห์อสังหาฯ ปี 61 คาดทาวน์เฮาส์มาแรง ส่วนคอนโดระดับกลาง-บนไปได้สวย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ วิเคราะห์อสังหาฯ ปี 61 คาดทาวน์เฮาส์มาแรง ส่วนคอนโดระดับกลาง-บนไปได้สวย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 พบตลาดทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียมยังขยายตัวดี กำลังซื้อระดับกลาง-ระดับบนยังไปได้ต่อโดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมแนวสูง และทาวน์เฮาส์บนทำเลรอบนอกกรุงเทพฯ พร้อมมองเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนหันพักอาศัยในคอนโดมิเนียมมากขึ้น จากเดิมได้รับความนิยมในกลุ่มวัยทำงาน เริ่มขยายสู่กลุ่มครอบครัวและวัยผู้ใหญ่ เนื่องจากจากโจทย์ด้านทำเลและการเดินทางที่สะดวก นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้คาดการณ์ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 ทิศทางโดยรวมจะทรงตัวต่อเนื่องจากปี 2560 โดยยอดขายทั้งปี 2560 คอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยว อยู่ที่ประมาณ 95,723 ยูนิต ซึ่งชะลอตัวจากปี 2559 ประมาณ 4% แม้ว่าครึ่งปีแรก’60 จะมีการขยายตัวได้ดีแต่ตลาดบ้านเดี่ยวยังคงชะลอตัว เหตุผลหลักมาจากหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และแม้ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ในปัจจุบันจะมีการเติบโตที่ดีขึ้นตามลำดับมาอยู่ที่ 33.9 ในเดือน ธ.ค. 2560 นั้นแต่ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดัชนีที่ตำกว่ามาตรฐานที่  50.0 จึงอาจเป็นเหตุให้เกิดภาวะกำลังซื้อต่ำเพราะยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ปัจจุบันภายในประเทศ  โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับล่าง ซึ่งเป็นอุปทานหลักในตลาด นอกจากความกดดันต่อภาระหนี้สินแล้วยังถูกกดดันจากผู้ให้บริการสินเชื่อที่ควบคุมการให้สินเชื่อที่รัดกุมมากขึ้นทำให้ผ่านการอนุมัติยากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามคาดว่าภาพรวมตลาดปี 2561 แม้จะยังคงเติบโตใกล้เคียงกับปี 2560 ซึ่งยังคงมีกำลังซื้อในกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียม รองลงมาคือทาวน์เฮาส์ และตามด้วยบ้านเดี่ยว โดยคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮาส์กลุ่มตลาดระดับกลางถึงกลุ่มระดับบนจะเป็นที่ต้องการในตลาดสูงขึ้น และตลาดบ้านเดี่ยวกลุ่มระดับกลางยังเป็นอุปทานหลักและมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี เนื่องจากตลาดระดับกลาง-บน ยังมีแรงขับโดยเฉพาะจากกลุ่มตลาดแนวสูงอย่างคอนโดมิเนียมเป็นหลักเช่นเดิม และจะเริ่มขยายพื้นที่เติบโตตั้งแต่พื้นที่ชั้นในไปยังแถบชั้นกลางของกรุงเทพฯ คอนโดระดับล่างที่เคยขยายตัวได้ดีเมื่อ 4-5 ปีก่อนจะเริ่มลดลงสาเหตุจากราคาที่ดินที่ดันตัวสูงขึ้นและการปรับผังเมืองในบางพื้นที่ที่จะทำให้ตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนตลาดแนวราบคาดว่าทาวน์เฮาส์จะเป็นตลาดที่ผู้บริโภคให้ความสนใจมากขึ้น พื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯจนถึงปริมณฑลจะเกิดการขยายตัว ทั้งนี้หากมองด้านอัตราการเติบโตในปี 2561 พบว่า หากเทียบทั้ง 3 ตลาดจนถึงสิ้นปีนี้คาดว่า ทาวน์เฮาส์จะเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด รองลงมาคือคอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยว ซึ่งอัตราการขยายตัวน่าจะใกล้เคียงกับปี 2560 ที่อุปทานทาวน์เฮาส์ขยายตัวขึ้นจากปี 2559 ที่ 4% รองลงมาคือคอนโดมิเนียมที่ 1% และบ้านเดี่ยวอุปทานจะชะลอลงจากปีก่อน อย่างไรก็ตามในปี 2561 ที่จะถึงนี้สถานการณ์ภาพรวมตลาดที่เติบโตยังคงเป็นตลาดกลางและระดับบน “อีกสาเหตุหนึ่งที่ตลาดบ้านเดี่ยวชะลอมาจากไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยปัจจุบันผู้คนหันมาซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมมากขึ้น แม้กลุ่มเป้าหมายหลักในปัจจุบันยังเป็นกลุ่มคนวัยทำงานแต่ปัจจุบันกลุ่มคนที่อยู่แบบครอบครัวขนาดเล็ก 2-4 คน ก็เริ่มหันมาพักอาศัยในคอนโดด้วยเพราะสะดวกในการเดินทาง และไลฟ์สไตล์ของคนเริ่มเปลี่ยนไป  นอกจากนี้ผู้บริโภคกลุ่มหลักของคอนโดมิเนียมในปัจจุบันมีแนวโน้มช่วงอายุที่ขยายกลุ่มกว้างขึ้นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ที่มากขึ้นด้วย เนื่องจากคอนโดมิเนียมในปัจจุบันตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนหลากหลายกลุ่ม Generation จึงทำให้เห็นวัยผู้ใหญ่ใกล้เกษียณเริ่มเข้ามาลงทุนในอสังหาฯประเภทนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตามยังเกิดตลาดใหม่สำหรับกลุ่มนักลงทุนมีนักลงทุนหน้าใหม่วัยทำงานเริ่มต้น 3 – 5 ปีที่หันมาลงทุนอสังหาฯ เพิ่มมากขึ้น โดยเน้นลงทุนระดับล่าง – กลาง โดยมีแนวโน้มในการซื้อเพื่อผ่อนดาวน์เป็นการเก็บเงิน และขายต่อเพื่อได้ Capital Gain หรือซื้อเพื่อปล่อยเช่า โดยใช้ค่าเช่ามาผ่อนชำระเพื่อเป็นรายได้เสริมและเป็นสินทรัพย์ของตนเอง” นายอนุกูล กล่าว
ผ่ามุมคิด Digital Gen ส่องผลงานจาก “Young Webmaster Camp ครั้งที่ 15”

ผ่ามุมคิด Digital Gen ส่องผลงานจาก “Young Webmaster Camp ครั้งที่ 15”

“ไอเดีย” และ “ความคิดสร้างสรรค์”  ถือเป็นพลังที่คนรุ่นใหม่ หรือ Digital Generation มีอย่างไม่สิ้นสุด ซึ่งมุมมองและผลงานของ “Digital Gen” เหล่านี้สามารถนำไปต่อยอดและนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงของสังคมได้ ล่าสุดบมจ.ซีพี ออลล์ ผู้ก่อตั้งร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในประเทศไทย ร่วมกับสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย  ธนาคารไทยพาณิชย์ และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม) จัดโครงการ  “Young Webmaster Camp ครั้งที่ 15” ภายใต้ธีม “Digital Innovation ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่โลกอนาคต” ค่ายเจาะลึกวิชาชีพเว็บมาสเตอร์   เพื่อเปิดพื้นที่ให้เหล่านิสิต-นักศึกษาที่มีใจรักในการทำเว็บไซต์เข้าอบรม และลงมือปฏิบัติจริงในการสร้างสรรค์เว็บไซต์ พร้อมเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ จากกูรูผู้เชี่ยวชาญและวิทยากรชื่อดังในวงการ พร้อมประชันไอเดีย โชว์มุมมองและผลงานกันอย่างเต็มที่ สำหรับการประกวดผลงานของน้องๆ ในปีนี้แบ่งรางวัลออกเป็น 5 รางวัลประกอบด้วย 1.รางวัล CP ALL Social Innovation Award 3 รางวัล  2.รางวัล Best Team Work  3.รางวัล Best Imagination  4.รางวัล Best Innovationและ5.รางวัล The Winner โดยทีมที่ได้รับรางวัล The Winner ในปีนี้ได้แก่ทีม C กับการรังสรรค์ผลงานที่รวมร้านเช่าชุดแฟนซีเเละชุดราตรีให้บริการอย่างครบวงจรภายใต้ชื่อเว็บไซต์ “RARTY”  น้องเจค - นายอริญชย์ ตรงสันติพงษ์ Web Programmer จากทีม C ทีมที่คว้ารางวัล The Winner กล่าวถึงแนวคิดของการจัดทำเว็บไซต์ “RARTY” ว่าหนึ่งในปัญหาที่พบเจอในสังคมคือเวลามีงานเลี้ยงหรือต้องไปงานที่มีธีม ผู้เข้าร่วมงานต้องวุ่นวายกับการหาซื้อชุด ทางทีมจึงมองว่าหากพัฒนาเว็บไซต์ที่ให้บริการเช่าชุดน่าจะตอบโจทย์ความต้องการของคนกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี เมื่อได้แนวคิดที่ต้องการแล้วก็ต้องมาหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งจากการสืบค้นพบว่าเว็บไซต์ประเภทนี้ยังไม่มี จึงคิดว่าหากพัฒนาขึ้นมาได้ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีความเป็นไปได้ สำหรับรูปแบบของเว็บไซต์จะเป็นการรวบรวมร้านให้เช่าชุดประเภทต่างๆ เช่นชุดแฟนซี ชุดราตรี ชุดว่ายน้ำ ฯลฯ โดยในเว็บไซต์จะทำการแยกประเภทและหมวดหมู่ของชุดอย่างชัดเจน เพื่อความสะดวกต่อการค้นหา โดยรายได้ของทางเว็บไซต์จะมาจากเปอร์เซ็นต์ของร้านที่เข้าร่วมนั่นเอง “ถึงโครงการจะจบแล้ว และทีมสามารถคว้ารางวัล The Winner มาได้ แต่เพื่อนๆ ในทีมก็มีแนวคิดที่จะนำโมเดลนี้ไปพัฒนาต่อยอดร่วมกันเพื่อสร้างเป็นธุรกิจใหม่ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันต่อไป” น้องเจคกล่าว อีกหนึ่งรางวัลที่น่าสนใจและได้รับการกล่าวถึงในงานคือ รางวัล CP ALL Social Innovation Award รางวัลที่มอบให้กับเว็บไซต์เพื่อสังคม โดยทีมที่ได้รับรางวัลนี้มี 3 ทีมประกอบด้วย 1.ทีม F พัฒนาเว็บไซต์ “Dreamand” เว็บการบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือน้อง ๆ ที่ขาดโอกาส  2.ทีม H  จากเว็บไซต์ “ONCE A NATIVE” เว็บที่จะพาเที่ยวท้องถิ่นไทยในเเบบของคุณเอง และ3.ทีม B จากเว็บไซต์ “KIDS2MAX” เว็บรวมคอร์สเรียนสำหรับเด็ก น้องไก่อู - นางสาวพรรณลักษณ์ เตชะศรีอมรรัตน์ ตัวแทนทีม F หนึ่งในทีมที่ได้รับรางวัล CP ALL Social Innovation Award กับผลงานที่มีชื่อว่า “Dreamand” กล่าวว่าเว็บไซต์นี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่ต้องการช่วยเหลือเด็กกำพร้าและเด็กด้อยโอกาสที่มีอยู่ในสังคมไทยเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเว็บไซต์นี้จึงเปรียบเสมือนสื่อกลางให้คนในสังคมได้ร่วมถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กกลุ่มนี้ผ่านหน้าเว็บ สำหรับเด็กที่ผ่านการตรวจสอบจากทีมงาน จะถูกดึงเข้ามาอยู่ในแคมเปญของการเข้าไปช่วยเหลือ ทำให้คนในสังคมสามารถเข้าไปช่วยเหลือเด็กกลุ่มนั้นได้สะดวกและรวดเร็ว “แม้ในปัจจุบันจะมีหน่วยงานที่รับดูแลเด็กกลุ่มนี้โดยเฉพาะ แต่ก็ยังมีเด็กที่ด้อยโอกาสอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ พวกเราจึงคิดสร้างเว็บไซต์นี้ขึ้นมา เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการส่งมอบความช่วยเหลือของคนในสังคมสู่เด็กๆเหล่านี้” น้องไก่อูกล่าว ด้านว่าน-นางสาวเมธปรียา คำนวณวุฒิ ผู้จัดการโครงการ “Young Webmaster Camp ครั้งที่ 15” กล่าวถึงภาพรวมของการจัดงานในครั้งนี้ว่า ผลงานของน้องๆ ที่เข้าร่วมค่ายในครั้งนี้ ถือว่ามีพัฒนาการจากครั้งที่ผ่านๆ มาอย่างเห็นได้ชัด โดยมีการวางแผนการทำผลงานที่ละเอียดเป็นขั้นเป็นตอนและมีทักษะพื้นฐานที่แน่นมากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าน้องๆ มองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคม และสามารถหยิบยกเอาปัญหาเหล่านั้นมานำเสนอได้อย่างน่าชื่นชม เช่น ปัญหากลุ่มเด็กด้อยโอกาสที่ยังรอผู้สนับสนุนอยู่ที่เป็นจำนวนมาก “ยอมรับว่าเด็กสมัยนี้เก่งมากขึ้น สิ่งที่เราพยายามช่วยเติมเต็มให้คือเรื่องการทำงานเป็นทีม เพราะนอกจากเรื่องเทคโนโลยี (Hard Skill) ที่น้องๆ สามารถเรียนรู้และค้นคว้าได้ด้วยตัวเองแล้ว เรื่องของการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Soft Skill)  ถือเป็นอีกหนึ่งความสำคัญที่น้องๆ ทุกคนจะต้องมีเมื่อจบจากรั้วมหาวิทยาลัยและก้าวสู่ชีวิตการทำงาน” นางสาวเมธปรียาเสริม สำหรับเกณฑ์การตัดสินในทุกๆ ปีคณะกรรมการจะโฟกัสที่เว็บนั้นๆ สามารถพัฒนาต่อยอดให้เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ ความสมดุลของทีมระหว่างเรื่องHard Skill  และ Soft Skill ส่งผลให้ผลงานมีความโดดเด่นและสมบูรณ์ที่สุด ภายในระยะเวลาที่จำกัด Young Webmaster Camp  เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมในนโยบายด้านส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชน ที่ซีพี ออลล์ มุ่งหวังให้เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการได้รับความรู้ด้านการพัฒนาเว็บไซต์อย่างรอบด้าน นำความรู้ไปปรับใช้ในวิชาชีพ  พร้อมบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งอนาคตให้เติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพในสังคม ก่อเกิดไอเดีย เปลี่ยนแปลงและขับเคลื่อนประเทศไทยสู่โลกอนาคต 
สิริ เวนเจอร์ส เผยก้าวแกร่ง PropTech ระยะยาว  3 ปี ลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท ในสตาร์ทอัพ พัฒนา 4 นวัตกรรมอสังหาฯ ล่าสุดจับมือ Partner ชั้นนำ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ เตรียมเปิดมิติใหม่เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ

สิริ เวนเจอร์ส เผยก้าวแกร่ง PropTech ระยะยาว 3 ปี ลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท ในสตาร์ทอัพ พัฒนา 4 นวัตกรรมอสังหาฯ ล่าสุดจับมือ Partner ชั้นนำ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ เตรียมเปิดมิติใหม่เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ

สิริ เวนเจอร์ส บริษัทร่วมทุนในรูปแบบ Corporate Venture Capital เพื่อทำการวิจัยและลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯและการอยู่อาศัยอย่างครบวงจรเต็มรูปแบบเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ภายใต้ความร่วมมือระหว่างบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เผยทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2018 พร้อมก้าวสำคัญในการผนึกกำลังกับพันธมิตรชั้นนำทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ได้แก่ Plug and Play และ SOSA แพลตฟอร์ม พาร์ทเนอร์จากซิลิคอน วัลเล่ย์ สหรัฐอเมริกา และอิสราเอล เตรียมเปิดมิติใหม่สำหรับการเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบรอบด้าน ผ่านการจัดสรรเงินลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาทในระยะเวลา 3 ปี เพื่อสร้างสรรค์และต่อยอดนวัตกรรมสำหรับการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตอย่างไร้รอยต่อในยุคดิจิทัล นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา แสนสิรินับว่ามีการรุกปรับองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ การบริหารด้านเทคโนโลยีเพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีสำหรับอสังหาฯ และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ (Digital Transformation) ซึ่งกลยุทธ์การดำเนินงานของแสนสิรินั้นครอบคลุมในทุกมิติของการใช้ชีวิต ผ่าน Siri LifeTech ซึ่งเป็นการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในยุคดิจิทัล รวมถึงการพัฒนายกระดับการดำเนินงานภายในองค์กรแสนสิริให้ก้าวสู่การเป็น Performance Organization ทั้งในเรื่อง Big data, Sale Force เป็นต้น โดยมี สิริ เวนเจอร์ส เป็นผู้เสาะหาและพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านพาร์ทเนอร์ชั้นนำและสตาร์ทอัพที่มาร่วมกันพัฒนาให้นวัตกรรมนั้นเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ โดยหลังจากที่มีการจัดตั้ง บริษัท สิริ เวนเจอร์ส เป็นระยะเวลาหนึ่งปี นับว่าประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมทั้งด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพผ่านการเปิดโครงการ “Siri Venture Partnership” เพื่อเฟ้นหาสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูงมาร่วมพัฒนาต่อยอดธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีการยกระดับกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับธุรกิจสตาร์ทอัพที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มีการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ  รวมถึงการผลักดันระบบนิเวศของสตาร์ทอัพด้านอสังหาฯและการอยู่อาศัยให้เกิดขึ้นจริงในไทย ดังนั้น ในปีนี้เราจึงวางแผนระยะยาวในการขับเคลื่อน ด้วยงบประมาณลงทุนต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมทั้งส่วนงานการพัฒนาเทคโนโลยี การลงทุนร่วมกับพันธมิตร รวมทั้งการร่วมทุนกับสตาร์ทอัพชั้นนำทั้งในประเทศและระดับโลก หลังจากที่ผ่านมามีความร่วมมือกับ Farmshelf สตาร์ทอัพจากอเมริกา พลิกโฉมการปลูกผักอัจฉริยะภายในที่พักอาศัย ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากลูกบ้านแสนสิริ นอกจากนี้ในอนาคตยังมีแผนต่อยอดความร่วมมือในประเทศอื่นๆ อาทิ ฝรั่งเศส หรือ จีน เพื่อร่วมขับเคลื่อนให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพในประเทศไทยที่สมบูรณ์แบบและยั่งยืนอีกด้วย นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภค เป็นความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการในยุคปัจจุบัน ที่จะต้องมีการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนธุรกิจเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไป จากความสำเร็จในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาของสิริ เวนเจอร์ส สะท้อนให้เห็นว่าเราได้เสาะแสวงหาเทคโนโลยี (Technology Acquisition) มาให้กับทั้งแสนสิริและลูกบ้าน รวมทั้งเป็นเสมือนประตูที่เชื่อมต่อลูกบ้านแสนสิริไปยังเทคโนโลยีและผู้ให้บริการใหม่ๆ และก้าวต่อไปของเราคือการมุ่งต่อยอดธุรกิจและเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยเน้นใน 3 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพ – ซึ่งจะเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับแกนธุรกิจหลักของแสนสิริ ด้วยงบประมาณ 1,500 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี 2) ด้านความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพ (Ecosystem Partner) โดยการจับมือกับพันธมิตรเพื่อผนึกกำลังยกระดับระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพด้าน PropTech และ LivingTech ในไทยและภูมิภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน 3) ด้านการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม (Lab & Development) มุ่งพัฒนาสร้างสรรค์ “Sansiri Home Service Application” เพื่อเปิดประตูสู่มิติใหม่ของการใช้ชีวิตของลูกบ้านแสนสิริ รวมถึงเชื่อมโยงกลุ่มลูกค้าผ่านเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในไทยและทั่วโลก ด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพ (Startup Investment) ในปีนี้สิริ เวนเจอร์สจะรุกลงทุนในสตาร์ทอัพโดยเน้นนวัตกรรม 4 ด้านที่สอดคล้องกับธุรกิจอสังหาฯ ของแสนสิริ ได้แก่ PropTech – นวัตกรรมเพื่อส่งเสริมด้านการซื้อขายแนวใหม่ การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ หรือ Know-how ใหม่ ๆ ที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้หลากหลายยิ่งขึ้น LivingTech – นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยใหม่ๆ ที่จะมาเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตของลูกบ้านแสนสิริได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นในด้านความสะดวกสบาย ความบันเทิง ความปลอดภัย และยังช่วยลดค่าใช้จ่าย ผ่านทสตาร์ทอัพที่ สิริ เวนเจอร์ส ลงทุนไปแล้ว เช่น Appysphere สตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญในเรื่องซอฟต์แวร์การพัฒนา Home Automation, Onionshack สตาร์ทอัพที่ร่วมพัฒนา Thai Voice AI, Techmatics สตาร์ทอัพที่พัฒนาหุ่นยนต์แสนดีที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว Health & Wellness Tech – นวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิต และสุขภาพองค์รวมของลูกบ้าน ซึ่งรวมไปถึงนวัตกรรมด้านอาหาร (FoodTech) ที่จะช่วยให้การใช้ชีวิตในเมืองเป็นไปได้อย่างสมดุล โดยในปี 2018 สิริ เวนเจอร์สยังมีแผนลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยีทางด้าน Health Monitoring สำหรับสังคมสูงวัยที่มีจะบทบาทสำคัญในสังคมไทยในอนาคตอีกด้วย Construction Tech – นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีด้านการออกแบบ ก่อสร้าง ควบคุมคุณภาพ รวมไปถึงวัสดุในการก่อสร้างใหม่ๆ เพื่อให้โครงการของแสนสิริตอบสนองความต้องการของลูกค้ายุคดิจิทัล และลดต้นทุนโดยรวม โดยการนำ AR (Augmented Reality) ร่วมกับ BIM (Building Information Management) เข้ามาใช้ในการควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาสิริ เวนเจอร์สมีการรุกลงทุนในสตาร์ทอัพมากมายทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น Farmshelf สตาร์ทอัพด้าน LivingTech จากสหรัฐอเมริกาที่กำลังมาแรง ซึ่งนอกจากการลงทุนในสตาร์ทอัพแล้ว ล่าสุด สิริ เวนเจอร์สยังได้ร่วมมือกับ Innovation Platform ระดับโลก 2 ราย คือ “Plug and Play” จากซิลิคอน วัลเล่ย์ส สหรัฐอเมริกา และ “SOSA” จากอิสราเอล ซึ่งทั้งสองเป็นเครือข่ายของสตาร์ทอัพเกือบหมื่นรายจากทั่วโลก ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงสิริ เวนเจอร์สให้พบกับสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพและเกี่ยวเนื่องได้เร็วและมากขึ้น โดยกิจกรรมที่ร่วมมือกันนั้นจะเริ่มตั้งแต่การเฟ้นหาจากโจทย์ปัญหา การจัดโปรแกรม Accelerate การจัดการ pitch รวมถึงการเฟ้นหาโอกาสในการร่วมลงทุน มร.ชอน เดฮ์พานาฮ์ รองประธานฝ่ายบริหาร ฝ่ายพันธมิตรองค์กรและนวัตกรรม จากบริษัท Plug and Play ที่มีส่วนการสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพอันแข็งแกร่งของซิลิคอน วัลเล่ย์ กล่าวถึงก้าวสำคัญในการจับมือกับสิริ เวนเจอร์สว่า “Plug and Play เป็นแพลตฟอร์มที่มุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายที่เชื่อมโยงสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและองค์กรจากทั่วโลก ทำให้เกิดประโยชน์ร่วมสร้างให้ธุรกิจเหล่าเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ในขณะเดียวกันนักลงทุนและองค์กรจะได้ร่วมต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันในเครือข่ายของเรามีสตาร์ทอัพกว่า 6,000 รายจากทั่วโลกในหลากหลายสาขา มี corporate partner มากกว่า 220 บริษัท และมีออฟฟิศตั้งอยู่ในกว่า 28 แห่งทั่วโลก ในวันนี้เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จับมือกับ สิริ เวนเจอร์ส บริษัทที่มีพันธกิจในการมุ่งเน้นการสร้างสรรค์ Disruptive Technology ทั้ง 4 ด้านอย่างเป็นรูปธรรม โดยเรามั่นใจว่าจะสามารถร่วมกันต่อยอดเพื่อผลักดันให้มีนวัตกรรมตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยใหม่ๆ ที่เกิดจากสตาร์ทอัพ ได้อย่างแน่นอน” ด้าน มิสโรนี เคเน็ท ฮาร์เมลิน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจจากบริษัท SOSA กล่าวถึงการเป็นพาร์ทเนอร์กับสิริ เวนเจอร์สว่า “SOSA เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงในประเทศอิสราเอล เพื่อเพิ่มโอกาสในการเชื่อมต่อสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและองค์กรต่างชาติทั่วโลก โดยปัจจุบันเรามีเครือข่ายสตาร์ทอัพกว่า 5,000 ราย ทั้งที่มุ่งเน้นสร้างเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการก่อสร้างโดยตรง สามารถเติบโตในตลาดได้อย่างยั่งยืน ในวันนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่เราจะได้ร่วมกับสิริ เวนเจอร์ส ในการมองหาความโดดเด่นของสตาร์ทอัพที่จะสามารถต่อยอดในการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ สำหรับลูกบ้านแสนสิริได้” ด้านความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพในไทย (Ecosystem Partner) มุ่งเน้นการผนึกกำลัง (Synergy) กับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญและมีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกัน เพราะสิริ เวนเจอร์สเชื่อว่าหากเราสนับสนุนสตาร์ทอัพโดยตรงอย่างเดียวก็จะได้เพียงแค่จำนวนหนึ่ง แต่หากทำงานร่วมกับพันธมิตรแล้วช่วยกันผลักดันระบบนิเวศโดยรวม จะช่วยให้ประเทศไทยผลิตสตาร์ทอัพที่มีคุณภาพและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก ในปีนี้สิริเวนเจอร์สได้ร่วมจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งมากมาย ยกตัวอย่างเช่น Microsoft Thailand ในการร่วมสนับสนุนการแข่งขันพัฒนานวัตกรรมสำหรับนักศึกษา “Microsoft Imagine Cup Thailand 2018” ในหัวข้อการแข่งขัน Smart Living on the Cloud ซึ่่่งทางสิริ เวนเจอร์ส ได้เชิญ Unicef พันธมิตรของแสนสิริ มาร่วมในโครงการเดียวกันด้วย นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรทั้งที่เป็น Accelerator มหาวิทยาลัย และองค์กรรัฐที่มีส่วนผลักดันการเติบโตของสตาร์ทอัพอีกมากมาย ด้านการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม (Lab & Development) มุ่งเน้นการยกระดับ Sansiri Home Service Application ไปอีกขั้น ให้เป็นมากกว่าแอพลิเคชั่นที่อำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านแสนสิริ แต่ยังเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงลูกบ้านไปยังพันธมิตรที่มาร่วมพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ นอกจากนั้น พันธมิตรต่างๆ ยังสามารถร่วมต่อยอดเทคโนโลยี ทั้งในด้าน Home Automation หรือ Voice AI ภาษาไทย เพื่อให้เกิดเป็นนวัตกรรมบริการรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมในทุกมิติของการใช้ชีวิต และพร้อมที่จะขยายขอบข่ายบริการในตลาดที่กว้างขึ้น โดยทีม Lab & Development จะนำเทคโนโลยีของสตาร์ทอัพที่เราไปลงทุนเข้ามาใช้งานกับลูกบ้านผ่านทางแอพฯ ที่พัฒนาขึ้น “ด้วยแผนการดำเนินการธุรกิจที่มุ่งเน้นทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการลงทุน (Investment), ด้านความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพในไทย (Ecosystem Partner) และด้านการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม (Lab & Development) พร้อมเงินลงทุน 1,500 ล้านบาท ใน 3 ปีนี้  สิริ เวนเจอร์ส จึงพร้อมที่จะเปิดประตูสู่มิติใหม่สำหรับการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบครบวงจร ทั้งในเรื่องของการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์และเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยให้กับทุกคน ซึ่งในเร็วๆ นี้ เราจะมีการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ๆที่น่าตื่นเต้น อาทิ ด้านพลังงานทดแทนอัจฉริยะ โครงการบ้านอัพเกรดได้ รวมไปถึงพาร์ทเนอร์ใหม่ๆของ Home Service App ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกด้านรวมถึงการยกระดับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยผ่านการสร้างระบบนิเวศเพื่อการพัฒนาด้าน PropTech และ Living Tech ที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในประเทศไทย” นายจิรพัฒน์ กล่าวปิดท้าย        
ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง แนะลงทุนเฟอร์นิเจอร์ เพิ่มมูลค่าอสังหาฯ ปล่อยเช่า

ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง แนะลงทุนเฟอร์นิเจอร์ เพิ่มมูลค่าอสังหาฯ ปล่อยเช่า

การลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า นับเป็นการลงทุนอันดับต้นที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุน เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาวทำรายได้สม่ำเสมอจากการปล่อยเช่าในแบบรายเดือนและรายวัน มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3-5% ในแต่ละปี ทั้งนี้อสังหาฯ ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจแก่นักลงทุน ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในทำเลทองใจกลางธุรกิจ ติดเส้นทางรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ติดศูนย์การค้าและแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากมีลูกค้าผู้เช่าเป็นกลุ่มนักธุรกิจ นักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อ สามารถกำหนดราคาเช่าที่ให้ผลตอบแทนสูง นับเป็นโจทย์ที่ต้องขบคิดให้รอบคอบและรัดกุมของนักลงทุน นางสาวกมนนัทธ์ เต็มไตรรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (SONDER living) แบรนด์ แกลเลอรี่ (Brand Gallery) ที่รวบรวมเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านนำเข้าระดับไฮเอนด์ ที่รวบรวมผลงานจาก 7 แบรนด์ 7 ดีไซน์เนอร์ชื่อดังของโลก แนะนำเทคนิคในการลงทุนในเฟอร์นิเจอร์เพื่อเพิ่มโอกาสตัดสินใจเช่า และเพิ่มมูลค่าอสังหาฯ ให้เช่า เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า หัวใจสำคัญเริ่มจากการพิจารณาดูว่าคอนโดหรือบ้านให้เช่า ตั้งอยู่ในทำเลทอง ศูนย์กลางธุรกิจหรือใกล้สนามบิน รวมทั้งคอนโดหรือบ้านตากอากาศในแหล่งท่องเที่ยว มีกลุ่มผู้เช่าที่เป็นนักธุรกิจ ผู้บริหารต่างชาติ หรือ Expat หรือมีผู้เช่าระยะสั้นเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวผู้มีกำลังซื้อสูงอยู่ในกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ก็เหมาะที่จะลงทุนเฟ้นหาเฟอร์นิเจอร์ดี ๆ ไว้ตกแต่งเพื่อเพิ่มมูลค่าและความน่าสนใจจูงใจผู้เช่าให้ตัดสินใจเช่าเพราะผู้เช่ากลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความพึงพอใจ ซึ่งตรงกับรสนิยมของตนเองมาก่อนราคาค่าเช่า ลำดับต่อมาการพิจารณาซื้อเฟอร์นิเจอร์ในสไตล์ที่เหมาะกับกลุ่มผู้เช่าเพื่อดึงดูดให้ผู้เช่าตัดสินใจเช่าได้ง่ายดายขึ้น  ยกตัวอย่างเช่น เลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์ เรียบหรู ดูคลาสสิกและให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สำหรับกลุ่มผู้เช่าที่เป็นผู้บริหาร นักธุรกิจ หรือเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซด์เก๋ ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนพักอยู่ในโรงแรมหรือรีสอร์ท เน้นสไตล์ที่เข้ากับบรรยากาศของสถานที่ท่องเที่ยวนั้น เพื่อเป็นตัวดึงดูดความชอบของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ตัดสินใจเลือกเช่า และช่วยเพิ่มราคาห้องเช่าจากราคาปล่อยเช่าปกติเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากลูกค้าที่มีกำลังซื้อมักตัดสินใจเช่าอสังหาฯ ที่ถูกใจมาก่อนราคา และลำดับท้ายสุด ควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีความคงทนแข็งแรง ผลิตขึ้นมาจากจากวัสดุที่แข็งแรง ทนทาน สามารถใช้งานได้นาน และเป็นแบบที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอไม่ล้าสมัย ทำให้ลงทุนเพียงครั้งเดียวแต่ใช้งานได้ระยะยาว ที่สำคัญเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้ยังสามารถขายต่อได้ราคาหากไม่มีความจำเป็นใช้งานแล้ว โดย SONDER living Thailand Flagship Gallery จะเน้นเฟอร์นิเจอร์ที่มีสไตล์และมีคุณภาพ ผลิตจากโรงงานของ Rochdale Spears ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่มีประสบการณ์ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์มากว่า 30 ปี ควบคุมการผลิตทุกขั้นตอนเพื่อให้ได้ชิ้นงานคุณภาพดีที่สุดจากงานออกแบบของดีไซเนอร์ชื่อดัง “เราพบว่ามีกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาซื้อเฟอร์นิเจอร์เพื่อใช้สำหรับตกแต่งอสังหาฯ ให้เช่าที่มีอยู่ในพอร์ตฯ ซึ่งการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายสามารถช่วยเพิ่มราคาค่าเช่าจากราคาปล่อยเช่าปกติประมาณ 2-3 % เลยทีเดียว” นางสาวกมนนัทธ์กล่าว การลงทุนแต่งเฟอร์นิเจอร์ในอสังหาฯ ให้เช่า หากเฟ้นหาอย่างเหมาะสมและชาญฉลาด เป็นอีกหนึ่งวิธีเพิ่มมูลค่าบ้านหรือคอนโดให้ได้ค่าเช่าที่สูงขึ้น และหากลงทุนเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ให้มีสไตล์ก็จะยิ่งช่วยให้ปล่อยเช่าได้ง่ายขึ้น เป็นการสร้างความแตกต่างและสร้างจุดดึงดูดให้น่าอยู่อาศัยมากกว่าการใช้เฟอร์นิเจอร์ทั่วไป สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ เฟอร์นิเจอร์ที่เลือกใช้จะต้องมีสไตล์ที่ถูกตาต้องใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพียงแค่นี้บ้านหรือคอนโดของเราก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว พบกับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านไฮเอนด์ 7 แบรนด์ จาก 7 ดีไซเนอร์อย่าง Thomas Bina, Tracey Boyd, Andrew Martin, Maison 55, Nellcote Studio, Coup&Co., และ Kelly Hoppen ได้ที่ SONDER living Thailand Flagship Gallery บนถนนพระรามเก้า ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 10:00 – 19:00 น. และวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 10:00-18:00 น. รายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าเยี่ยมชมที่ Official Website: www.sonderliving.com/th หรือที่ Facebook:  sonderlivingthailand
“แสนสิริ” เปิดเกมรุกหนัก รับปี’61 ลุยส่งแคมเปญกวาดยอด 6,000 ลบ. “ปรากฏการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” จัดเต็มแบบที่ไม่เคยมีใครให้มาก่อนในวงการ รับกว่า 17 ล้าน!! แจกหนัก รับรางวัลทุกเดือน

“แสนสิริ” เปิดเกมรุกหนัก รับปี’61 ลุยส่งแคมเปญกวาดยอด 6,000 ลบ. “ปรากฏการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” จัดเต็มแบบที่ไม่เคยมีใครให้มาก่อนในวงการ รับกว่า 17 ล้าน!! แจกหนัก รับรางวัลทุกเดือน

“แสนสิริ” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย เปิดเกมรุกหนัก รับปี’61 ประกาศผู้นำอสังหาฯ กับปรากฏการณ์สะเทือนวงการ ส่งแคมเปญ “ดาวสุขเต็มฟ้า” จัดเต็มแบบที่ไม่เคยมีใครให้มาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ ตั้งเป้ากวาดยอด 6,000 ล้านบาท สร้างสีสันและกระตุ้นตลาดคึกคักต้อนรับไตรมาส 1 -- รับกว่า17 ล้าน!! แจกหนัก รับรางวัลทุกเดือนกว่า 80 รางวัล รางวัลที่ 1 ส่วนลด รางวัลละ 1 ล้านบาท จำนวน 3 รางวัล รางวัลที่ 2 บัตรกำนัล SB Furniture รางวัลละ 300,000 บาท จำนวน 21 รางวัล รางวัลที่ 3 บัตรกำนัลเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก SAMSUNG รางวัลละ 100,000 บาท  จำนวน 60 รางวัล ยิ่งตัดสินใจเร็ว ยิ่งมีลุ้นสิทธิ์มากกว่า พบดีลพิเศษ และทัพโครงการพร้อมอยู่ และโครงการใหม่ บ้านเดี่ยว คอนโดฯ และทาวน์เฮาส์ ทั่วประเทศ เริ่มแล้ววันนี้ – 31 มี.ค. นี้ นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ปีนี้ แสนสิริ พร้อมลุยประกาศความเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ก่อนใครตั้งแต่เริ่มต้นศักราชใหม่    กับโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษที่ยิ่งใหญ่และไม่เคยมีใครให้เท่านี้มาก่อนในประวัติศาสตร์ ถือเป็นการสร้างสีสันและความคึกให้กับตลาดอสังหาฯตั้งแต่เริ่มต้นปี กับแคมเปญ “ปรากฏการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” ที่เราขนทัพมาแบบจัดหนักและจัดเต็มกับหลากหลายโครงการให้ได้เลือกจับจอง นับเป็นครั้งแรกที่เราคืนกำไรขอบคุณลูกค้าโดยการมอบส่วนลดและสิทธิพิเศษมากที่สุดและคุ้มค่าที่สุดที่ไม่เคยมีใครให้มากเท่านี้ มาก่อนในวงการอสังหาฯ ที่ให้กว่า 17 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงลุ้นรับรางวัลทุกเดือน รวมกว่า 80 รางวัล โดยเราจับฉลากแจกหนักทุกเดือน ทุก 1 ล้านบาท รับ 1 สิทธิ์จับฉลากชิงโชค ซึ่งโอกาสในการรับรางวัลนั้นสูงมาก เราหวังว่า จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าและนักลงทุนมากกว่าปีก่อนๆ และสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 6,000 ล้านบาท การมีโครงการและโปรโมชั่นเร้าใจ ตรงกับความต้องการลูกค้าและการกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้นผ่านแคมเปญนี้ จะช่วยผลักดันให้ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกทะลุเป้าได้แน่นอน” “นอกจากส่วนลดและสิทธิพิเศษที่อัพเกรดแบบเหนือกว่าแล้ว ความพิเศษของปีนี้ คือ เรายังส่งโครงการคอนโดใหม่เข้าร่วมด้วย ซึ่งไม่ได้มีเพียงเฉพาะแค่โครงการพร้อมอยู่เท่านั้น เนื่องจากเราเล็งเห็นถึงความต้องการของลูกค้าในเมืองที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงนำโครงการใหม่เข้าร่วมด้วยพร้อมนำเสนอความคุ้มค่า เพื่อเพิ่มทางเลือกในการอยู่ศัยในทุกระดับโครงการ อาทิ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ, คุณ บาย ยู, โอกะ เฮาส์ และ คาวะ เฮาส์ โดยมีโครงการที่อยู่อาศัยที่เข้าร่วมรายการทั้งหมดกว่า 61 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และทาวน์เฮาส์ ครอบคลุมทุกระดับราคาตั้งแต่แบรนด์นาราสิริ ตลอดจน ดีคอนโด หลากหลายทำเลทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ โคราช เขาใหญ่ ชะอำ ขอนแก่น อุดรธานี สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต เป็นต้น โดยมอบโปรโมชั่นสุดคุ้มกับยูนิตสวยโดนใจ ในจำนวนจำกัด” นายอุทัย กล่าว พบกับไฮไลท์สุดปัง กับแคมเปญโปรโมชั่น “ปรากฎการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” ได้แล้ววันนี้ ลุ้นจับฉลากและรับรางวัลทุกเดือน รวมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท โดยทุก 1ล้านบาท รับ 1 สิทธิ์จับฉลาก สำหรับลูกค้าที่จองและโอนโครงการพร้อมอยู่ หรือจองและทำสัญญาสำหรับโครงการใหม่ ภายในช่วงระยะเวลาโปรโมชั่นตั้งแต่วันนี้ -31 มี.ค.2561 จับรางวัลและประกาศรางวัลประจำทุกเดือนทางหน้า แสนสิริ เฟซบุ๊ค และเว็บไซต์ www.sansiri.com/โครงการพร้อมอยู่ ต่อที่ 1 รับข้อเสนอพิเศษมากมายจากโครงการ และ ต่อที่ 2 รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2 ล้านบาท ต่อยูนิตจากต่อที่ 1 ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 36 โครงการ คอนโด 18 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 7 โครงการ ทั่วประเทศ อาทิเช่น โครงการใหม่คอนโดมิเนียม คุณ บาย ยู ลดสูงสุด 1,000,000 บาท เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า ห้องแต่งพิเศษเริ่ม 5 ล้าน บาท บ้านเดี่ยว ทาว์นเฮ้าส์พร้อมอยู่ในกรุงเทพฯ นาราสิริ พระราม 2 และ นาราสิริ ปิ่นเกล้า-สาย1 รับฟรี! Living Package 1,000,000 บาท สิริ สแควร์ เจริญกรุง 80 ลดสูงสุด 1,000,000 บาท เชียงใหม่ เศรษฐสิริ สันทราย รับส่วนลดกว่า 300,000 บาท หรือไม่ว่าจะเป็น คอนโดตากอากาศพร้อมอยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก อย่าง ภูเก็ตบ้านเดี่ยวและคอนโดพร้อมอยู่ 4 โครงการ รับข้อเสนอพิเศษสูงสุดกว่า 1,000,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีโครงการอื่นๆอีกมากมายที่ยกทัพพร้อมมามอบโปรฯเด็ดๆอีกครั้งแบบจัดเต็ม ต่อที่ 3 ลุ้นรับรางวัลทุกเดือน ทุก 1 ล้านบาท รับ 1 สิทธิ์จับฉลาก รางวัลที่ 1 ส่วนลด รางวัลละ 1 ล้านบาท จำนวน 3 รางวัล รางวัลที่ 2 บัตรกำนัลจาก SB Furniture รางวัลละ 300,000 จำนวน 21 รางวัล รางวัลที่ 3 บัตรกำนัลเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก SAMSUNG รางวัลละ 100,000 จำนวน 60 รางวัล โอกาสทอง แบบนี้ไม่ควรพลาด พิสูจน์ความแรงของโปรโมชั่นเด็ดโดนใจจำนวนจำกัด แจกหนัก จัดเต็ม!!    “ปรากฎการณ์ดาวสุขเต็มฟ้า” ได้แล้ววันนี้ ถึง 31 มี.ค.61 พบกับข้อเสนอพิเศษนี้ได้ที่ Sale Galley ของโครงการที่เข้าร่วมรายการ หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1685 หรือ http://www.sansiri.com/โครงการพร้อมอยู่
ไซมิส แอสเสท เปิดตัว คอนโดมิเนียมหรูไฮเอน ติด MRT ศูนย์สิริกิติ์  “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ ควีนส์” สถาปัตย์แห่งการใช้ชีวิต  Free Hold แปลงเดียวในย่านอโศก – รัชดาฯ

ไซมิส แอสเสท เปิดตัว คอนโดมิเนียมหรูไฮเอน ติด MRT ศูนย์สิริกิติ์ “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ ควีนส์” สถาปัตย์แห่งการใช้ชีวิต Free Hold แปลงเดียวในย่านอโศก – รัชดาฯ

บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด หนึ่งในผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ ควีนส์” (Siamese Exclusive Queens) เป็นคอนโดระดับไฮเอน เริ่มต้นคุณภาพชีวิตที่เหนือกว่า บนทำเลที่เรียกว่าที่ดีที่สุด Free Hold เพียงไม่กี่แปลงบนเส้น อโศก - รัชดาฯ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่จะทำให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายง่ายขึ้น เพราะติดกับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เพียง 50 เมตร สามารถเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจได้อย่างง่ายดาย ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ และ District แห่งใหม่อย่างศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์ ตลอดจน ดิ เอ็มสเฟียร์ที่จะเปิดให้บริการในอนาคต รวมถึงแหล่งการศึกษา โรงพยาบาลชั้นนำ ฯลฯ  สำหรับลูกค้าที่จองในวันเอ๊กซ์คลูซีพเดย์ วันเสาร์ ที่ 20 มกราคม 2561 นี้ จะได้ราคาห้องชุดสุดพิเศษ ในราคา Pre-Sale รวมถึงส่วนลดสูงสุด 800,000 บาท พร้อม iPhone X วันนี้ วันเดียวเท่านั้น “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ ควีนส์” มีพื้นที่โครงการ 2 - 0 - 44 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 4,600 ล้านบาท ออกแบบโดยบริษัท สถาปนิก 49 จำกัด สัมผัสชีวิตแบบ Luxurious ทุกตารางเมตร ด้วยดีไซน์ห้องชุดที่มอบความโปร่งสบายด้วยเพดานสูง 2.7 เมตร และห้องชุดแบบ Penthouse ที่มีความสูงพิเศษของฝ้าเพดานที่ 3.85 เมตร พร้อมระเบียงแบบกระจกสไตล์ Juliet Balcony โครงการ ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ ควีนส์ เป็นอาคารชุดพักอาศัยจำนวน 1 อาคาร สูง 33 ชั้น ชั้นใต้ดิน 3 ชั้น มีห้องชุดให้เลือกตั้งแต่ 1 – 3 ห้องนอนและเพนท์เฮาส์ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 34.71 – 150.67 ตร.ม. และห้องชุดเพื่อพาณิชย์จำนวน 1 ยูนิต รวม 332 ยูนิต อาคารจอดรถอัตโนมัติจำนวน    1 อาคาร สูง 12 ชั้น ชั้นใต้ดิน 6 ชั้น ในราคา Pre-Sale วันงาน Exclusive Day พิเศษที่สุดวันเดียวเท่านั้น ให้สัดส่วนความสุขลงตัวในทุกองศาการใช้ชีวิต ผ่อนคลายกับสระว่ายน้ำและห้องออกกำลังกายบนชั้น 33 รวมถึง Roof Top Garden ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ใจกลางกรุงเทพมหานครได้แบบ 360 องศา และสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้ตั้งแต่ชั้น 28 อีกด้านหนึ่งจะเห็นวิวของสวนเบญจกิติที่สวยงามอีกด้วย ใช้ชีวิตที่ลักชัวรีกว่าที่เคยกับโครงการ “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ ควีนส์” ในทำเลศักยภาพสูงใจกลางเมือง ติดกับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เพียง 50 เมตร ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ อีกขั้นของความโล่งสบายด้วยเพดานสูง 2.7 เมตร ชมห้องตัวอย่างและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โครงการฯ พร้อมจองวันที่ 20 มกราคม 2561 นี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่ โทร. 061-636-0111 อีเมล์ : siamese_queens@siameseasset.co.th Fanpage :  www.facebook.com/SiameseAssetThailand Website : www.siameseasset.co.th
เศรษฐสิริ แจ้งวัฒนะ-ประชาชื่น 2 บ้านเดี่ยวระดับซุเปอร์ลักชัวรี่ ดีไซน์เหนือระดับ ใกล้เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ ราคาเริ่มต้นที่ 15 ล้านบาท

เศรษฐสิริ แจ้งวัฒนะ-ประชาชื่น 2 บ้านเดี่ยวระดับซุเปอร์ลักชัวรี่ ดีไซน์เหนือระดับ ใกล้เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ ราคาเริ่มต้นที่ 15 ล้านบาท

“บ้าน”...เปี่ยมไปด้วยความหมายมากกว่าการอยู่อาศัย เป็นที่แห่งความทรงจำที่จะบันทึกช่วงเวลาดีๆ ของชีวิตที่ตราตรึงในความประทับใจ และเป็นมรดกล้ำค่าจากรุ่นสู่รุ่น การจะมองหาบ้านสักหนึ่งหลังจึงจะต้องเป็นบ้านที่เหนือกาลเวลา มีศักยภาพไม่สิ้นสุด “เศรษฐสิริ แจ้งวัฒนะ – ประชาชื่น 2” บ้านเดี่ยวที่รังสรรค์ผ่านการออกแบบมาอย่างสร้างสรรค์ด้วยที่สุดแห่ง Timeless Design มีความสง่างาม และคำนึงถึงการทรงคุณค่าเหนือกาลเวลา ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยบ้านก็จะไม่ถูกลดทอนคุณค่าไปตามกาลเวลา ทุกการออกแบบมีความใส่ใจในทุกรายละเอียดก่อเกิดเป็นที่อยู่อาศัยที่มีการดีไซน์อย่างเหนือระดับ ในสไตล์ Modern Classic ที่เรียบง่าย แต่คงไว้ซึ่งความโดดเด่น และความร่วมสมัย ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘A New Honour as You Define’ ความสำเร็จ ที่คุณเลือกนิยามได้ด้วยตัวเอง โครงการออกแบบด้วยความเข้าใจความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้อยู่อาศัยอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เกิดเป็นสถาปัตยกรรมที่อยู่อาศัยที่สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แตกต่าง และเหนือระดับกว่าที่เคย เน้นการออกแบบให้ดูสง่า หรูหรา แต่เรียบง่าย สะท้อนชีวิตอย่างเต็มภาคภูมิ ตั้งแต่พื้นถนนทางเข้า วงเวียนน้ำพุ รวมไปถึง CLUBHOUSE ที่ดูมีระดับสำหรับผู้มาเยือนโครงการ เข้ามาจนถึงคลับเฮาส์ที่ดีไซน์มีการเล่นระดับในช่องเสา ประตูหน้าต่าง ทำให้เกิดความรู้สึกแบบ Embassy Look ที่ดูยิ่งใหญ่ เหนือกาลเวลา รองรับการใช้งานที่หลากหลาย ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างได้อย่างสมบูรณ์  คำนึงถึงความป็นส่วนตัวและเกิดประโยชน์สูงสุด แบ่งฟังก์ชันการใช้งานเป็นสัดส่วน ตั้งแต่โถงรับรองขนาดใหญ่ (Lobby) เป็นแบบ Double Volume  ให้ความรู้สึกโอ่อ่า กว้างขว้าง สง่างามแบบ Luxury Design พร้อมพื้นที่ออกกำลังกาย (Fitness) ที่มีอุปกรณ์มาตรฐานระดับสากล เพลิดเพลินกับการออกกำลังกายสามารถเปิดรับชมทัศนียภาพได้ 360 องศา แบบ Panoramic view ที่มาครบครันพร้อมกับสระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาด Half Olympic (27 x 8 ม.) และสระเด็ก นอกจากนี้ยังเพิ่มพื้นที่สำหรับสังสรรค์กับเพื่อนหรือครอบครัว ไม่ว่าจะปาร์ตี้ หรือจัดบาร์บีคิวก็ทำได้ในวันพักผ่อน รองรับกิจกรรมของครอบครัวได้อย่างไม่จำกัด รวมทั้งยังเพลิดเพลินใกล้ชิดกับธรรมชาติได้เต็มอิ่ม ด้วยสวนส่วนกลางขนาดใหญ่เกือบ 2 ไร่ และพื้นที่สีเขียวและสวนหย่อมรวมกันทั้งหมดมากกว่า 7 ไร่ รวมทั้งยังมีที่สำหรับการเรียนรู้ของเจ้าตัวน้อย สนามเด็กเล่นที่ได้ผู้เชี่ยวชาญอย่างโรงพยาบาลสมิติเวช ดูแลเรื่องการออกแบบให้เหมาะสมกับการเรียบรู้และพัฒนาการของเด็ก (Edutainment Playground) สำหรับตัวบ้านคัดสรรทุกวัสดุคุณภาพระดับพรีเมียม ตั้งแต่พื้น ฟังก์ชั่น จรดเพดาน ตามคอนเซ็ปต์ Timeless Design บ้านที่ทรงคุณค่าเหนือกาลเวลา พร้อมนวัตกรรมล้ำสมัย Innovation Home Design เติมเต็มในทุกพื้นที่ เพื่อความสุขของทุกคนในครอบครัว ประหยัดพลังงานด้วยระบบ Solar Attics และ Air Flow เหนือระดับกับห้องน้ำด้วยระบบ Jacuzzi และ Flush Toilet Automatic ห้องน้ำที่รองรับ TV พร้อมเครื่องปรับอากาศตอบโจทย์ Lifestyle คนรุ่นใหม่ พร้อมดีไซน์ Universal Design ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นให้ครบทุกการใช้งาน ออกแบบพื้นที่ให้เกิดความสะดวกกับทุกคนในครอบครัว รวมทั้งเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนาและเข้มงวดกว่าเดิม ด้วย Security Home Automation ระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ เศรษฐสิริ แจ้งวัฒนะ – ประชาชื่น 2 เดินทางสะดวก อยู่บน ถ. เลียบคลองประปา รอบข้างสามารถวิ่งเชื่อมไปยังแจ้งวัฒนะหรือสรงประภาได้ มีจุดขึ้นลงทางด่วนโดยรอบ และใกล้ศูนย์การค้าเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ แหล่งทำงานขนาดใหญ่และอาคารสำนักงานอีกหลายแห่ง โดยเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนพื้นที่ 59 ไร่ ยูนิตเงียบ สงบ เป็นส่วนตัว  มีเพียง 149 ยูนิตที่จะสามารถเข้ามาอยู่อาศัยได้อย่างเต็มภาคภูมิ ประกอบด้วย 3 แบบบ้าน พื้นที่ใช้สอย 263, 353 และ 437  ตารางเมตร ราคา 15-30 ล้านบาท พร้อมเปิดให้สัมผัสความสง่างาม อย่างเต็มภาคภูมิแล้ววันนี้ พิเศษ! ต้อนรับปีจอ มอบโปรโมชั่น “ความสุขเต็มฟ้า” รับคะแนนสะสมบัตรเครดิตเพิ่ม 500,000 คะแนน* เฉพาะวันที่ 15 ม.ค. – 31 มี.ค.60 สอบถามรายละเอียดและนัดหมายเข้าชมโครงการ โทร 02-085-8035 หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sansiri.com
พฤกษา ประกาศแผนปี 61 มุ่งรักษาความเป็นที่หนึ่งในตลาดและสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ตั้งเป้ายอดขายและรายได้โต 13% และ >10% ตามลำดับ

พฤกษา ประกาศแผนปี 61 มุ่งรักษาความเป็นที่หนึ่งในตลาดและสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ตั้งเป้ายอดขายและรายได้โต 13% และ >10% ตามลำดับ

พฤกษา ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาฯ ประกาศแผนปี 61 ตั้งเป้ายอดขาย 53,742 ล้านบาท รายได้ 50,500 ล้านบาท ชูกลยุทธ์รักษาความเป็นที่หนึ่งในตลาด มุ่งสร้างแบรนด์ โดยเน้นการใช้นวัตกรรมและดิจิทัล พร้อมจับมือพันธมิตรร่วมพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการของที่อยู่อาศัยให้ดียิ่งขึ้น นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2561 ว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ละพันธกิจของบริษัทฯ ที่จะก้าวไปสู่แบรนด์อันดับหนึ่งในใจคนไทย และเป็นที่หนึ่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์ พฤกษาจึงใส่ใจทุกคุณภาพเพื่อทั้งชีวิตที่ดีขึ้น ในปีนี้จึงมุ่งเน้นศึกษาเรื่องเมกะเทรนด์ของตลาด โดยอีก 5 ปีข้างหน้ามูลค่าตลาด Smart Home จะเติบโตเพิ่มสูงขึ้น 13.65% บริษัทฯ จึงนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้การพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อเพิ่มคุณภาพและบริการ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งในวันนี้และอนาคต อาทิ การเยี่ยมชมโครงการใหม่ผ่านระบบ VR รวมถึงการสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ในบ้านผ่านระบบ AI เป็นต้น รวมถึงพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อรองรับสำหรับสังคมสูงวัย นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ใช้แผนกลยุทธ์การตลาดแบบ Digital Marketingเพื่อให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ส่งผลให้เว็บไซต์พฤกษามียอดผู้เข้าชมสูงสุด และก้าวขึ้นมาเป็นเว็บไซต์อันดับหนึ่งของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยปีที่ผ่านมามียอดขายที่มาจากสื่อดิจิทัล16,101 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 98% ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี 2561 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล คาดว่าจะมียอดขายเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 5% มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 4.20 แสนล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนโครงการลงทุนด้านการคมนาคมของภาครัฐบาล ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 53,742 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 13% และรายได้ 50,500 ล้านบาท หรือเติบโต >10% รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้เติบโต >13.5% โดยมาจากแผนการเปิดโครงการใหม่ จำนวน 75 โครงการ มูลค่า 66,700 ล้านบาท และการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ รวมถึงการร่วมกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพของสินค้าให้ดียิ่งขึ้น อาทิ การใช้เสาเข็มมาตรฐาน มอก. ของ GEL, ร่วมมือกับ SCG พัฒนาวัสดุก่อสร้างที่ทันสมัยมาใช้ในโครงการ และการพัฒนาคุณภาพสีทาบ้านร่วมกับ TOA เป็นต้น ด้านความคืบหน้าของโรงพยาบาลวิมุตขณะนี้โครงการได้ผ่าน EIA และกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างโดยใช้งบประมาณ 650 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการแก่ลูกค้าได้ในปี 2020 ด้าน นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในปีนี้ภาพรวมตลาดของกลุ่มธุรกิจแวลูมีการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน อยู่ที่ 4.79% ทั้งตลาดบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม สำหรับแผนกลยุทธ์ของกลุ่มธุรกิจแวลูในปีนี้ยังคงเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ระดับกลาง-ล่าง เพื่อรักษาฐานลูกค้ากลุ่มเดิม และขยายฐานกลุ่มลูกค้าไปยังระดับกลาง – บนมากขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมในทุกเซ็กเมนต์ โดยนำนวัตกรรม “พฤกษา 4.0” มาใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยทุกโครงการ พร้อมจับมือร่วมกับพันธมิตรต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพการพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาโครงการแนวราบบนถนนบางนา-วงแหวน มูลค่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งถือได้ว่าเป็นโครงการเมกะโปรเจคที่ใหญ่ที่สุดของปีนี้ นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในปีนี้พฤกษาเตรียมเดินหน้าลุยตลาดพรีเมียมอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 6,800 ล้านบาท และเป้ารายได้ไว้ที่ 3,500 ล้านบาท และมีแผนเปิดโครงการใหม่ จำนวน 8 โครงการ มูลค่า 10,260 ล้านบาท ซึ่งปีนี้ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องครั้งใหญ่ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และมีปัจจัยความเสี่ยงของการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ บริษัทฯ จึงเน้นพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีจำนวนยูนิตไม่เยอะ ซึ่งจะให้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า โดยพัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบใหม่ให้มีความโดดเด่นเฉพาะตัวเพื่อสร้างความแตกต่างจากตลาดและคู่แข่ง ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าพฤกษาได้ประสบความสำเร็จในตลาดพรีเมียมเป็นอย่างสูง และในปีนี้ก็มั่นใจได้ว่าจะเป็นอีกปีที่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้เช่นกัน
แกรนด์ ยูนิตี้ รุกขยายกลุ่มเป้าหมายในเมือง ยึดทำเลติดรถไฟฟ้า พร้อมปรับแบรนดิ้งใหม่ ตั้งเป้าดันยอดขายกว่าเท่าตัวในปีนี้

แกรนด์ ยูนิตี้ รุกขยายกลุ่มเป้าหมายในเมือง ยึดทำเลติดรถไฟฟ้า พร้อมปรับแบรนดิ้งใหม่ ตั้งเป้าดันยอดขายกว่าเท่าตัวในปีนี้

บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด (Grand Unity Development Co., Ltd.) หนึ่งในบริษัทชั้นนำผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คอนโดมิเนียม ในเครือบริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) พร้อมเดินหน้าธุรกิจในปี 2561 รุกขยายกลุ่มเป้าหมายในเมืองด้วยทำเลใหม่ติดรถไฟฟ้า พร้อมการปรับแบรนดิ้งใหม่ให้ชัดเจนเพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Simply Makes Sense. เดินหน้าเปิดตัวสี่โครงการคอนโดใหม่ โดยในปี 2561 นี้บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 10,000 ล้านบาท โดยเป็นการเติบโตประมาณ 160% จากปีที่ผ่านมา (ยอดขายในปี 2560 อยู่ที่ประมาณ 3,800 ล้านบาท) ในปีนี้ แกรนด์ ยูนิตี้ พร้อมเสริมศักยภาพในการแข่งขัน เพื่อตอบโจทย์การตลาดที่มีการแข่งขันสูงและไลฟ์สไตล์ของผู้พักอาศัยที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยการขยายกลุ่มเป้าหมายขึ้นสู่ตลาดบนมากขึ้น กับการเสนอทำเลใหม่ติดสถานีรถไฟฟ้า จากโครงการเดิมที่ได้ทำเลใกล้รถไฟฟ้า 500 เมตร ถึง 1 กิโลเมตร เป็นทำเลติดสถานีรถไฟฟ้า เพื่อรับกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อมากขึ้น โดยได้ 4 ทำเล ที่มี 4 จุดเด่นพร้อมเปิดตัวในปีนี้ ซึ่งทั้ง 4 โครงการนี้มีมูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท และอีกหนึ่งกลยุทธ์หลักของปีนี้คือการสร้างตัวตนและเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้ชัดเจนขึ้น โดยยกแนวคิด Simply Makes Sense. สื่อวิสัยทัศน์ของแบรนด์ในการสื่อสารถึงกลุ่มลูกค้าและผู้ลงทุน ว่าบริษัทใส่ใจทุกรายละเอียด และเข้าใจในกลุ่มลูกค้า เพื่อให้ผู้พักอาศัยได้ “ใช้ชีวิต...บนเหตุผลของคุณ” อย่างแท้จริง ด้วยการมอบพื้นที่การอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตโดยออกแบบมาเพื่อให้เกิดความสะดวกสบายและลงตัวในทุกการใช้งาน ด้วยราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งผู้พักอาศัยสามารถมั่นใจว่าจะได้รับความคุ้มค่าในการอยู่อาศัยกับทุกโครงการของ แกรนด์ ยูนิตี้ นายสิริพงศ์ ศรีสว่างวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า “ด้วยแนวโน้มของผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่เน้นเลือกโครงการคอนโดในทำเลที่เดินทางสะดวก และสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างแท้จริง  แกรนด์ ยูนิตี้เราจึงเลือกสรรทำเลใหม่ติดรถไฟฟ้า ตอบความต้องการของผู้พักอาศัย และให้ความสำคัญกับงานดีไซน์ที่เรียบง่าย แต่ใส่ใจทุกรายละเอียดเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง ใช้วัสดุคุณภาพ คำนึงถึงความสมเหตุสมผลของราคากับสิ่งที่ได้รับ และทุกโครงการต้องการผ่านรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ก่อนเริ่มขายทุกโครงการด้วย” ซึ่งรายละเอียดที่สะท้อนถึงความใส่ใจที่แกรนด์ ยูนิตี้มอบให้กับผู้อยู่อาศัย ได้แก่ การติดตั้ง Tempered Glass หรือกระจกนิรภัยทั้งโครงการ ที่มอบความปลอดภัยและอุ่นใจให้กับผู้อยู่อาศัย การติดตั้ง WC Pod หรือห้องน้ำสำเร็จรูปที่ง่ายต่อการดูแลง่ายและซ่อมแซมได้โดยไม่รบกวนผู้พักอาศัยห้องรอบข้าง และ Private Balcony หรือการออกแบบระเบียงให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง ทั้งยังเรียบร้อยสะอาดตา ให้ความเป็นส่วนตัวด้วยระแนงที่ออกแบบมาอย่างดี นอกจากนี้ แกรนด์ ยูนิตี้ ยังได้พันธมิตรในการออกแบบอาคาร การตกแต่งภายใน การพัฒนานวัตรกรรมสำหรับการก่อสร้าง และการบริหารงานก่อสร้างจากทีมชั้นนำของประเทศ อาทิ บริษัท ดีพี อาร์คิเทคส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท พี ไอ เอ อินทีเรีย จำกัด บริษัท สยามสตีลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด รวมถึงบริหารจัดการโครงการโดยบริษัท เซนเซส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด “ในปี 2561 นี้ แกรนด์ ยูนิตี้ ตั้งเป้าหมายหลักในการสร้างเอกลักษณ์และจุดยืนที่ชัดเจนในสายตาของผู้บริโภค เพื่อขยายฐานลูกค้าให้เติบโตอย่างมั่นคง โดยนำเสนอความเรียบง่าย และ make sense ในทุกพื้นที่ของการอยู่อาศัย” นายสิริพงศ์ กล่าวเสริม ล่าสุดแกรนด์ ยูนิตี้ ประกาศเปิดตัว 4 โครงการใหม่ในปี 2561 คือ เซียล่า (Ciela) เดอ ลาพีส (De Lapis)  เดนิม (Denim) และ แมสซารีน (Mazarine) โดยมีโลเคชั่นติดรถไฟฟ้า บนทำเลที่เป็นเป็นแหล่งชุมชน หรือศูนย์รวมการคมนาคมของกรุงเทพฯ และมีจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง อาทิ โครงการย่านมหาวิทยาลัยศรีปทุม โครงการวิวแม่น้ำเจ้าพระยาที่ได้วิวโค้งน้ำสวยไม่เหมือนใคร  หรือแหล่งช้อปปิ้งย่านจตุจักร เป็นต้น “ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 เราจะเปิดสองโครงการ คือ เซียล่า (Ciela) สำหรับผู้ที่ต้องการพักอาศัยในทำเลย่านการศึกษาของมหาวิทยาลัยศรีปทุม และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเดอ ลาพีส (De Lapis) ที่จะมาตอบโจทย์ผู้มองหาคอนโดริมแม่น้ำย่านจรัญสนิทวงศ์ 81 ซึ่งทั้งสองโครงการจะตอบรับกับแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้น ให้ลูกค้าของเราสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ในกรุงเทพฯ ได้อย่างง่ายดาย โดยเราหวังว่าความโดดเด่นของสองโครงการนี้จะช่วยยกระดับการอยู่อาศัยของคนเมือง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตบนเหตุผลของตัวคุณเองมากขึ้น” นายสิริพงศ์ กล่าวปิดท้าย  
เปิดกลยุทธ์ธุรกิจศุภาลัยปี 61 มัดใจตลาดยุค 4.0 พร้อมฉลองความสำเร็จยอดขายทะลุเป้าปี 60

เปิดกลยุทธ์ธุรกิจศุภาลัยปี 61 มัดใจตลาดยุค 4.0 พร้อมฉลองความสำเร็จยอดขายทะลุเป้าปี 60

บมจ.ศุภาลัย เผยแผนธุรกิจปี 2561 สู่ SUSTAINABLE GROWTH 2018 ตั้งเป้ายอดขาย 33,000 ล้านบาท ลุยพัฒนาโครงการใหม่ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมรวม 35 โครงการ  มูลค่า  40,000  ล้านบาท สานต่อกลยุทธ์มัดใจลูกค้ารุกตลาดอสังหาฯ ยุค 4.0 พร้อมฉลองความสำเร็จยอดขายทะลุเป้าปี 60 พุ่งสูงถึง 30,777 ล้านบาท เติบโต 27%  ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร  บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2560 เป็นอีกปีที่ผู้ประกอบการแข่งขันกันมาก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี ตลาดอสังหาฯ เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น ผู้ประกอบการอสังหาฯ มีการเปิดตัวโครงการใหม่เป็นจำนวนมากทั้งคอนโดมิเนียม และโครงการแนวราบ อีกทั้งร่วมทุนกับกลุ่มทุนจากต่างประเทศในการพัฒนาโครงการใหม่ และขยายตลาดสู่ลูกค้าต่างชาติมากขึ้น ภาพรวมเศรษฐกิจอสังหาฯ ในปี 2561 คาดว่าจะมีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้นมากกว่าปีก่อน ด้วยปัจจัยจากการส่งออกและการท่องเที่ยวดีขึ้น อัตราดอกเบี้ยทรงตัว ประกอบกับการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐมีต่อเนื่อง ทำให้ตลาดผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นและเริ่มกลับเข้าสู่การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย  สำหรับตลาดกลุ่มไฮเอนด์ จะมีการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่นำมาช่วยในกระบวนการผลิต หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์รูปแบบการอยู่อาศัยได้อย่างสูงสุดในยุคตลาด 4.0 ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังคงรักษา-พัฒนามาตรฐาน และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ตลอดจนการพัฒนาองค์กรพร้อมที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน โดยยังคงมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ทำให้ตลอดปี 2560 บริษัทฯ ได้รับรางวัลเกียรติยศจากองค์กรชั้นนำต่างๆ จำนวนมาก อาทิ รางวัลหุ้นยั่งยืน และรางวัลบริษัทจดทะเบียนด้านนักลงทุนสัมพันธ์ดีเด่น จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, รางวัล “Certificate of ESG100 Company” ประจำปี 2560 จาก ESG Rating ของสถาบันไทยพัฒน์, รางวัล Top 10 บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2017 จากนิตยสารการเงินธนาคาร และรางวัล THAILAND TOP COMPANY AWARDS 2017 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับ นิตยสาร Business+ ฯลฯ และรางวัล “Thailand's Top Brand Trust Index in the Real Estate Industry 2017” จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลงานปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้สร้างปรากฎการณ์ที่ร้อนแรงที่สุด กับโครงการศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร คอนโดมิเนียมหรู ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างท่วมท้น โดยสามารถปิดการขายได้ภายในวันแรกที่เปิดจอง รวมทั้งความสำเร็จจากอีกหลากหลายโครงการทั้งในกรุงเทพฯ และโครงการภูมิภาค ที่ได้รับกระแสตอบรับดีเกินคาด ทำให้ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้พุ่งทะลุเป้ากว่า 30,777  ล้านบาท เติบโต 27% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่มียอดขาย 24,132 ล้านบาท และเติบโตเกินเป้า 14%  เมื่อเทียบกับเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ 27,000 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตมาจากยอดขายโครงการคอนโดมิเนียม 15,440 ล้านบาท และยอดขายโครงการแนวราบ 15,337 ล้านบาท โดยมีการเปิดตัวโครงการทั้งหมด 20 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 15 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่ารวม 31,220 ล้านบาท สำหรับแผนงานปี 2561 สู่ SUSTAINABLE  GROWTH 2018 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขาย 33,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 26,000 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการใหม่ 35 โครงการ แยกเป็นโครงการแนวราบ 30 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ  คิดเป็นมูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท และกำหนดงบประมาณการจัดซื้อที่ดินประมาณ 9,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้จะได้เห็นการต่อยอดความสำเร็จจากปีที่ผ่านมา และเตรียมพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ในหลากหลายด้านเพื่อปรับตัวทำตลาดให้โดนใจลูกค้า พร้อมก้าวเข้าสู่อสังหาฯ ยุค 4.0 รับมือกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อาทิ  ด้านแผนการเปิดตัวโครงการ  จะมีการเปิดตัวบิ๊กโปรเจค ครั้งแรกในรูปแบบมิกซ์ยูส  บนที่ดินสถานทูตออสเตรเลีย (เดิม) ถนนสาทร อีกทั้งมีการขยายโครงการสู่ตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น โดยจะเริ่มบุกตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดเชียงราย ขณะเดียวกันยังมุ่งเน้นขยายตลาดต่างประเทศ เช่นการร่วมลงทุนกับบริษัทอสังหาฯ ของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งปัจจุบันมีการลงทุนไปแล้ว 6 โครงการ และกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในประเทศอาเซียนต่างๆ ด้านสินค้าและผลิตภัณฑ์ มีการปรับโฉม พัฒนาแบบบ้านรูปแบบใหม่ ภายใต้แบรนด์ใหม่ ที่พัฒนาขึ้นมาให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยในยุคดิจิทัล และยังมีการนำนวัตกรรม เทคโนโลยี  เข้ามาปรับใช้ในโครงการใหม่ๆของบริษัทฯ เช่น ระบบ Home automation, Home security เป็นต้น รวมทั้งมีการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้เอื้ออำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้สูงอายุมากขึ้น ด้านกิจกรรมการตลาดและส่งเสริมการขาย สานต่อการใช้สื่อออนไลน์อย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นเฟชบุ๊ก ไลน์ ยูทูบ เว็บไซต์ และอินสตาแกรม เพื่อสื่อสารถึงลูกค้าเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว  และนำเสนอโปรโมชั่นใหม่ๆ  ตลอดทั้งปี   เช่นโปรโมชั่นล่าสุด “ศุภาลัย แรง แซง ทุกโปร” ทำแคมเปญกับบ้านและคอนโดมิเนียม สร้างเสร็จพร้อมอยู่ 92 โครงการ ทั้งในกรุงเทพและภูมิภาค ในราคาพิเศษสุด ด้านการตลาด จะเปิดตลาดลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น รวมทั้งเปิดขายสินค้าคอนโดมิเนียมในประเทศไทย ออกสู่ตลาดโลกมากขึ้นด้วย ด้านการให้บริการลูกค้า เตรียมศูนย์ปฏิบัติการ 1720 Supalai Contact Center เพื่ออำนวยความสะดวก รวดเร็ว สำหรับลูกค้าที่สนใจสอบถามข้อมูลโครงการศุภาลัยทั่วประเทศ รวมทั้งการอัพเดทข้อมูลโปรโมชั่น สิทธิพิเศษต่างๆ และยังเป็นช่องทางการให้บริการหลังการขายสำหรับลูกค้าที่ติดต่อเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ บริการชุมชน ฯลฯ ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ยังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์พัฒนากิจกรรมเพื่อสังคม การรายงานตัวเลขที่ถูกต้อง เป็นจริง เน้นความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ (Stakeholders) การปฏิบัติตามกฎหมาย จริยธรรมและจรรยาบรรณต่างๆ  
ชินวะ เรียล เอสเตท ไทยแลนด์ บินตรงญี่ปุ่น เยี่ยมชมสำนักงานใหม่ พร้อมรวบรวมนวัตกรรมสุดล้ำ เข้าโครงการใหม่ปีนี้

ชินวะ เรียล เอสเตท ไทยแลนด์ บินตรงญี่ปุ่น เยี่ยมชมสำนักงานใหม่ พร้อมรวบรวมนวัตกรรมสุดล้ำ เข้าโครงการใหม่ปีนี้

มร.โทโมยาสุ ยามาเบะ กรรมการผู้จัดการ และ นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียล เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด บินตรงสู่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ต้นปี เพื่อเยี่ยมชมสำนักงานใหม่ของ ชินวะ กรุ๊ป พร้อมทั้งเดินสายเยี่ยมชมโครงการและรวบรวมนวัตกรรมการก่อสร้างและกิมมิคใหม่ๆ เพื่อเตรียมนำมารุกตลาดโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยปีนี้ หลังประสบความสำเร็จอย่างสวยงามจากโครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 เมื่อปีที่แล้ว
ออลล์ อินสไปร์ กางแผนปี 61 เดินหน้าบุกอสังหาฯ เต็มรูปแบบ ลุยเปิดโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท

ออลล์ อินสไปร์ กางแผนปี 61 เดินหน้าบุกอสังหาฯ เต็มรูปแบบ ลุยเปิดโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท

บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และผู้นำในเรื่องการออกแบบที่อยู่อาศัยที่มีดีไซน์ตรงกับความต้องการของลูกค้า ในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย เดินหน้าวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 10,000  ล้านบาท เตรียมขยายตลาดอสังหาฯ เต็มรูปแบบ โดยในปีนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของการบุกตลาดทั้งโครงการแนบราบ โครงการคอนโดมิเนียมรูปแบบ High Rise และโครงการคอนโดมิเนียมระดับ ลักชัวรี่   คาดรายได้ปีนี้เติบโตแตะ 5,000 ล้านบาท มองอนาคตเติบโตแบบก้าวกระโดด นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2561 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ยังคงมีเสถียรภาพในระดับหนึ่ง เนื่องจากภาครัฐเดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้าหลายเส้นทางที่จะเริ่มทยอยเสร็จจะเป็นตัวช่วยผลักดันให้ตลาดเติบโต รวมถึงหนี้ภาคครัวเรือนในกลุ่มของลูกค้าระดับกลาง ระดับล่าง ที่มีแนวโน้มการปรับตัวลดลง จะเป็นปัจจัยเสริมให้ปีนี้เกิดกำลังการซื้อที่อยู่อาศัย และเกิดการใช้จ่ายภายในประเทศมากขึ้น บริษัทฯ เริ่มต้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบันพัฒนาโครงการมาแล้ว 11 โครงการ รวมกว่า 4,000 ยูนิต มูลค่ากว่า 8,700 ล้านบาท  ในส่วนของยอดขายปี 2560 อยู่ที่ 5,500 ล้านบาท ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปี 2559 ที่มียอดขาย 2,300 ล้านบาท ขณะที่มียอดขายรอรับรู้รายได้ประมาณ 7,500 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นบริษัทอสังหาฯ น้องใหม่ที่เติบโตได้รวดเร็ว สำหรับแผนดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์เพิ่มมากขึ้น ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ในปีนี้อย่างน้อย 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยในปีนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของการบุกตลาดทั้งโครงการแนวราบ โครงการคอนโดมิเนียมรูปแบบ High Rise และโครงการคอนโดมิเนียมระดับ ลักชัวรี่ นอกจากนี้ยังตั้งเป้ารายได้ 5,000 ล้านบาท  ยอดขาย อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท  ซึ่งยังคงพัฒนาโครงการโดยเน้นทำเลใกล้รถไฟฟ้าเดินทางสะดวก มากไปกว่านั้นต้องเป็นที่อยู่อาศัยที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ และสร้างประสบการณ์ชีวิตเหนือระดับให้แก่ผู้พักอาศัย สำหรับโครงการที่เป็นไฮไลท์ของปีนี้  คือ โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ จับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์และชาวต่างชาติ โครงการแนวราบพัฒนาในรูปแบบทาวน์โฮม และ โครงการคอนโดมิเนียมรูปแบบ High Rise   ซึ่งทั้ง 3 โครงการถือว่าเป็นครั้งแรกในการบุกตลาดเซกเมนท์ใหม่ของ ออลล์ อินสไปร์ฯ เพื่อปรับตัวรับการแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้น ด้วยการขยายสินค้าไปในทุกสินค้า ทุกระดับราคา สร้างความยืดหยุ่นและบริหารความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ “ตลอดระยะเวลาของการดำเนินงาน บริษัทฯ วางรากฐานการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยให้ความสำคัญกับทุกบริบทและในทุกมิติความต้องการของผู้อยู่อาศัย รวมถึงการออกแบบที่อยู่อาศัยที่มีดีไซน์ตรงกับความต้องการของลูกค้าในราคาที่น่าจับต้องแล้ว ตามสโลแกน “Class of Living” มากกว่าการส่งมอบเพียงแค่ที่อยู่อาศัย เพราะชีวิตที่มีระดับ คือชีวิตที่คุณเลือกเอง” คุณธนากร กล่าวตอนท้าย ติดตามข่าวสารข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.allinspire.co.th หรือโทร 02 029 9999
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ บุกทำเลเทพารักษ์ รับรถไฟฟ้า ‘เหลือง-เขียว’ คืบหน้า เปิดตัว ‘ลลิล ทาวน์ ไลโอ บลิสซ์ ทาวน์โฮม – แลนซีโอ คริป บ้านหลังใหญ่’ ปรากฏการณ์ใหม่ของการอยู่อาศัยบนใจกลางทำเลเทพารักษ์

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ บุกทำเลเทพารักษ์ รับรถไฟฟ้า ‘เหลือง-เขียว’ คืบหน้า เปิดตัว ‘ลลิล ทาวน์ ไลโอ บลิสซ์ ทาวน์โฮม – แลนซีโอ คริป บ้านหลังใหญ่’ ปรากฏการณ์ใหม่ของการอยู่อาศัยบนใจกลางทำเลเทพารักษ์

บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บุกตลาดโซนเทพารักษ์ เตรียมเปิดตัว 2 โครงการใหม่ “ลลิล ทาวน์ ไลโอ บลิสซ์ (LALIN TOWN Lio Bliss) เทพารักษ์-ตำหรุ” ปรากฏการณ์ใหม่ของการอยู่อาศัยบนใจกลางทำเลเทพารักษ์ ทาวน์โฮม 4 ห้องนอน 2 ที่จอดรถส่วนตัว พร้อมนวัตกรรมครัวไทย ในราคา Pre-Sale เพียง 1.89 ล้านบาท และ “ลลิล ทาวน์ แลนซีโอ คริป (LALIN TOWN Lanceo Crib) เทพารักษ์-ตำหรุ” บ้าน 4 ห้องนอน 3 ที่จอดรถ ปรับฟังก์ชั่นใช้สอยได้ตามใจ ในราคาเริ่มต้น 3-5 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าขานรับแผนการลงทุนระบบขนส่งมวลชน สายสีเหลือง-สายสีเขียว เปิดลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ช้อปฟรีทั่วกรุง  20,000 บาท คลิก!! Lio Bliss : http://bit.ly/lalinliotamru Pre-sale วันที่ 20-21 มกราคม 2561 Lanceo Crib : http://bit.ly/lalinlanceotamru Pre-sale ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) มองตลาดที่อยู่อาศัยทำเลกรุงเทพตะวันออก ช่วง เทพารักษ์ ศรีนครินทร์ สุขุมวิท มาแรง เพราะรับแรงกระตุ้นจากความคืบหน้าของแผนการลงทุนรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และ รถไฟฟ้าสายสีเขียว (ส่วนต่อขยายสมุทรปราการ-บางปู) ที่มีแผนก่อสร้างและจะเปิดให้บริการในอนาคต ช่วยเสริมความน่าสนใจ และความสะดวกในการคมนาคมให้กับทำเลดังกล่าวยิ่งขึ้น จากเดิมที่มีถนนใหญ่ ขนาด 6-8 เลน รองรับแล้ว ประกอบกับทำเลดังกล่าวสามารถเชื่อมต่อถนนวงแหวนรอบนอกและทางด่วนบูรพาวิถี ซึ่งมุ่งตรงและเชื่อมต่อทุกมุมเมืองของกรุงเทพฯ รวมทั้งยังเป็นที่ตั้งของสนามบินสุวรรณภูมิ รวมถึงใกล้ห้างสรรพสินค้าเมกา บางนา และ อีเกีย ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะโครงการแนวราบทำเลกรุงเทพตะวันออก ช่วง เทพารักษ์ ศรีนครินทร์ สุขุมวิท มีความต้องการที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทฯเตรียมเปิดตัวโครงการแนบราบในคอนเซปต์มิกซ์ยูส ภายใต้แบรนด์ ลลิลทาวน์ (LALIN TOWN) เพื่อรองรับตลาด พร้อมกัน 2 โครงการ ประกอบด้วย “ลลิล ทาวน์ ไลโอ บลิสซ์ (LALIN TOWN Lio Bliss) เทพารักษ์-ตำหรุ” ปรากฏการณ์ใหม่ของการอยู่อาศัยบนใจกลางทำเลเทพารักษ์ ทาวน์โฮม ฟังก์ชั่นใหญ่ ขนาด 4 ห้องนอน 2 ที่จอดรถส่วนตัว พร้อมครัวไทย ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท และ “ลลิล ทาวน์ แลนซีโอ คริป (LALIN TOWN Lanceo Crib) เทพารักษ์-ตำหรุ” บ้านหลังใหญ่ ขนาด 4 ห้องนอน 3 ที่จอดรถ โดดเด่นด้วยฟังก์ชั่นใช้สอยปรับได้ตามใจ ในราคาเริ่มต้น 3-5 ล้านบาท สำหรับจุดเด่นของทั้ง 2 โครงการ อยู่ที่การวางผังและพื้นที่สีเขียวของโครงการให้มีความร่มรื่นน่าอยู่ ในขณะที่การออกแบบตัวบ้าน มีดีไซน์โมเดิร์นทันสมัยในสไตล์ Modern Stripe Contemporary ซึ่งออกแบบโดยบริษัทออกแบบที่มีผลงานยอมรับในระดับโลก ให้เต็มที่กับฟังก์ชั่นการใช้งานที่เพิ่มขึ้น เพื่อทุกพื้นที่ในบ้านใช้งานได้สูงสุด ตอบโจทย์ความต้องการยิ่งกว่ากับ ทาวน์โฮมที่มาพร้อมนวัตกรรมครัวไทย และบ้านหลังใหญ่ที่สามารถปรับฟังก์ชั่นใช้สอยได้ เพื่อตอบโจทย์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ นอกเหนือจากนั้นทั้ง 2 โครงการ ตั้งอยู่บนทำเลคุณภาพ ใจกลางเทพารักษ์ ที่รองรับการขยายตัวของทั้งระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ส่วนต่อขยายสมุทรปราการ-บางปู) นอกจากนี้ ยังเดินทางเพียง 15 นาที ถึงสถานีรถไฟฟ้าแบริ่ง ที่สามารถเชื่อมต่อสู่เมืองได้อย่างสะดวกสบาย แวดล้อมด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิเช่น เมกา บางนา , อีเกีย , Market village สุวรรณภูมิ, Big C บางพลี, Lotus city park บางพลี, Robinson สมุทรปราการ, ไบเทคบางนา, สนามบินสุวรรณภูมิ และ ทางด่วนกาญจนาฯ สำหรับผู้ที่สนใจและกำลังมองหาที่อยู่อาศัยในทำเลเทพารักษ์ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เปิดให้ลงทะเบียน Pre-Sale โครงการ “ลลิล ทาวน์ ไลโอ บลิสซ์ (LALIN TOWN Lio Bliss) เทพารักษ์-ตำหรุ” ทาวน์โฮม ฟังก์ชั่นใหญ่ ขนาด 4 ห้องนอน 2 ที่จอดรถส่วนตัว พร้อมนวัตกรรมครัวไทย ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท และ “ลลิล ทาวน์ แลนซีโอ คริป (LALIN TOWN Lanceo Crib) เทพารักษ์-ตำหรุ” บ้านหลังใหญ่ ขนาด 4 ห้องนอน 3 ที่จอดรถ โดดเด่นด้วยฟังก์ชั่นใช้สอยปรับได้ตามใจ ในราคาเริ่มต้น 3-5 ล้านบาท เปิดลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ช้อปฟรีทั่วกรุง  20,000 บาท คลิก! (Lio Bliss) http://bit.ly/lalinliotamru และ (Lanceo Crib) http://bit.ly/lalinlanceotamru สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ไลโอ บลิสซ์ โทร. 065-510-6041, แลนซีโอ คริป โทร. 065-510-6042 หรือเว็บไซต์ www.lalinproperty.com และ Line@ LalinSociety
‘เอพี ไทยแลนด์’ จับมือ ‘มูจิ’ ไลฟ์สไตล์แบรนด์ดังระดับโลก นำเสนอพื้นที่พักอาศัยสไตล์ญี่ปุ่น ผสานชีวิตส่วนตัวและการทำงานอย่างลงตัว

‘เอพี ไทยแลนด์’ จับมือ ‘มูจิ’ ไลฟ์สไตล์แบรนด์ดังระดับโลก นำเสนอพื้นที่พักอาศัยสไตล์ญี่ปุ่น ผสานชีวิตส่วนตัวและการทำงานอย่างลงตัว

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการ อสังหาริมทรัพย์และเจ้าแห่งนวัตกรรมคอนโดมิเนียมเพื่อส่งมอบ ‘คุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์อย่างยั่งยืน’ จับมือ ไลฟ์สไตล์แบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากกลุ่มผู้บริโภคทั่วโลก มูจิ ประเทศไทย (MUJI) ร่วมนำเสนอการดีไซน์ห้องชุดสู่อัตลักษณ์ใหม่ของสเปซคุณภาพ ที่ตอบรับไลฟ์สไตล์ชีวิตในอนาคต ด้วยดีไซน์พื้นที่การใช้ชีวิตที่ผสานชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ผ่านความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์สเปซสำหรับการอยู่อาศัยของเอพี และความชำนาญในเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นการใช้งาน เพื่อการอยู่อาศัยอย่างพอเพียง พอดีและเป็นมิตรกับโลกของมูจิ นำร่องโครงการแรก Life  ปิ่นเกล้า ไฮเอ็นด์คอนโดพร้อมเข้าอยู่แห่งแรกและแห่งเดียวใจกลางปิ่นเกล้า ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท พร้อมเปิดชมห้องจริงแล้ววันนี้ นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “ด้วยประสบการณ์มากกว่า 25 ปีของเราที่เข้าใจการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์คนเมือง เรามีความเชี่ยวชาญในการออกแบบพื้นที่การใช้ชีวิตคุณภาพ เอพีจึงมุ่งนำเสนอการออกแบบที่อยู่อาศัยร่วมกันแห่งอนาคต ผ่านวิธีการมองสเปซในทุกมิติ โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียมที่ทุกตารางนิ้วมีคุณค่า จึงต้องใช้ได้อย่างมากประโยชน์ ในครั้งนี้เราได้ผสานความเชี่ยวชาญในการบริหารสเปซของเรา ผนวกกับความเป็น Function Expert ของ  MUJI ที่มีความเป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ นอกจากจะโดดเด่นในเรื่องความเรียบง่ายของผลิตภัณฑ์แล้ว แนวคิดการออกแบบของมูจิที่ละเอียดอ่อนในทุกๆขั้นตอน ยังสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิตของคนไทยยุคใหม่ ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้งานได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดทุกตารางนิ้ว” “โปรเจคพิเศษการออกแบบห้องชุด 1 Bedroom plus ขนาด 35 ตร.ม. โครงการ Life ปิ่นเกล้า โดดเด่นด้วยการโชว์เอกลักษณ์วัสดุจากธรรมชาติ อาทิ ลวดลายไม้ หิน และสวนแนวตั้ง ภายใต้วิธีคิดการวางแผนการใช้ชีวิตด้วยการออกแบบอย่างมีประสิทธิภาพและผลิตภัณฑ์ตกแต่งมากประโยชน์ของมูจิ ทำให้เกิดความลงตัวของการผสานพื้นที่ส่วนตัวและชีวิตการทำงานเข้าไว้ด้วยกัน ในคอนเซปต์ “Co-working Space Insert layout” จัดสรรพื้นที่ห้องนั่งเล่นเป็นพื้นที่ทำงาน ที่ผสานได้อย่างลงตัวกับการใช้ชีวิตประจำวัน ชั้นวางของ และตู้เก็บของสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งาน พื้นที่ทำงานขนาดใหญ่รองรับการทำงานเป็นกลุ่ม ทั้งยังสามารถใช้เป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อนได้ ผนังห้องสามารถใช้เขียน หรือปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่สำหรับฉายโปรเจคเตอร์ หรือสามารถตกแต่งเพื่อความสวยงามได้เช่นเดียวกัน” นายวิทการ กล่าวเสริม มร. อากิฮิโระ คาโมโกริ กรรมการผู้จัดการ บจก. มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) กล่าวว่า “แบรนด์ MUJI เติบโตอยู่บนแนวคิดเชิงพัฒนาที่แตกต่างจากไลฟ์สไตล์แบรนด์อื่นๆ ที่เน้นความชัดเจนในด้านคอนเซปท์ด้วยแนวคิด Compact Life โดยผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้รับการออกแบบอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อการใช้งานจริงได้อย่างหลากหลาย ด้วยความโดดเด่นของการเลือกใช้วัสดุอิงธรรมชาติ  พร้อมด้วยโทนสีที่เน้นความสุขุมของผลิตภัณฑ์ ที่จะช่วยขับความโดดเด่นของงานอินทีเรียดีไซน์เพื่อสร้างสเปซให้เด่นยิ่งขึ้น พร้อมส่งเสริมความสำเร็จในการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและยั่งยืน และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคน ” โครงการ Life ปิ่นเกล้า คอนโดมิเนียม 23 ชั้น บนเนื้อที่ 4.3 ไร่ มีทั้งหมด 803 ยูนิต ตั้งอยู่ห่างจากรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีบางยี่ขันเพียง 40 เมตร ผสมผสานรูปแบบแนวคิดญี่ปุ่น ที่มีความละเมียดละไม ทั้งยังนำความเป็นธรรมชาติเข้ามาอยู่ใกล้ตัวมากขึ้น ด้วยสระว่ายน้ำบรรยากาศในสวนแบบญี่ปุ่น และล็อบบี้เปิดรับวิวต้นไม้ เอพี ไทยแลนด์ เชิญเยี่ยมชมสเปซจริงการออกแบบห้องชุด 1 Bedroom Plus ขนาด 35 ตารางเมตร  ที่ๆ พื้นที่การใช้ชีวิตและการทำงาน ถูกดีไซน์ให้สอดผสานกันได้อย่างลงตัว ตอบรับไลฟ์สไตล์ของชีวิตในอนาคต พร้อมเปิดให้เข้าชมแล้ววันนี้ที่ Life ปิ่นเกล้า ข้อมูลเพิ่มเติม 1623 หรือ www.apthai.com
แมกโนเลีย ปลุกกระแสการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดสัมมนาประจำปีระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกในเอเชีย ผนวกเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีกับความยั่งยืน ดึงผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมาร่วมให้ความรู้

แมกโนเลีย ปลุกกระแสการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดสัมมนาประจำปีระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกในเอเชีย ผนวกเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีกับความยั่งยืน ดึงผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมาร่วมให้ความรู้

แมกโนเลีย ควอลิติ้ ดีเวล็อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC)  บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติ เป็นเจ้าภาพจัดงานสัมมนาใหญ่ประจำปีในหัวข้อการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีและอย่างยั่งยืนขึ้นเป็นครั้งแรกในเอเชีย ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ในงานสัมมนานี้มุ่งชูประเด็นความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี โดยผู้เชี่ยวชาญที่เข้าร่วมเสวนามาร่วมกระตุ้นให้วงการธุรกิจให้ความสำคัญกับประเด็นความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมที่ดีในการทำธุรกิจและวางแผนงาน ซึ่งต่างก็ได้แบ่งปันประสบการณ์จากการทำงานในสาขาที่ตนเชี่ยวชาญ ได้แก่ สถาปัตยกรรม การออกแบบ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับผู้บริโภค สาขาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุและสาขาสาธารณสุข MQDC ตั้งเป้าในการมีส่วนร่วมกระตุ้นให้เกิดการปรับกระบวนความคิดในการดำเนินกิจการ ท่ามกลางกระแสท้าทายของโลก คุณ รัช ตันตนันตา ประธานผู้อำนวยการบริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น บริษัทแม่ของ MQDC กล่าว “MQDC มุ่งมั่นในพันธกิจที่จะร่วมสร้างโลกที่ดีขึ้น โดยเน้นที่สองประเด็น ประเด็นแรกคือเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์และประเด็นที่สองคือ สภาพแวดล้อมที่ยั่งยิน สองค่านิยมหลักนี้เป็นหัวใจสำคัญของหลักการ “นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน” ซึ่งเป็นปรัชญาในการทำงานของเรา” คุณ รัช กล่าว “วัตถุประสงค์ของเราในการจัดงานสัมมนาใหญ่ประจำปีขึ้นครั้งนี้ เพื่อร่วมสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นให้ประชาชนเกิดความมุ่งมั่นที่จะร่วมปลูกฝังวัฒนธรรมใหม่ที่มุ่งเน้นเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีและความยั่งยืนเป็น ค่านิยมหลักในการใช้ชีวิตทั้งในเรื่องส่วนตัวและในการประกอบอาชีพ  ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้มีความสำคัญมากท่ามกลางกระแสโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะปัญหาจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงภาวะสภาพภูมิอากาศ การขยายตัวของชุมชนเมือง การดูแลทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาคุณภาพชีวิต งานสัมมนานี้ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยมีจำนวนผู้จองที่นั่งผ่านระบบออนไลน์มากกว่าพันที่นั่ง ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนคนที่เข้าร่วมสัมมนาเป็นกลุ่มนักธุรกิจและหนึ่งในสามเป็นนักวิชาการ ที่เหลือเป็นสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป คุณ วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MQDC กล่าวว่าความตื่นตัวของกระแสตอบรับต่องานสัมมนาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรับรู้ของสังคมว่าสิ่งที่สังคมต้องการขณะนี้คือการจัดลำดับความสำคัญเสียใหม่ ให้ความเป็นอยู่ที่ดีและยั่งยืนเป็นอันดับแรก “MQDC ดำเนินธุรกิจภายใต้พันธกิจหลักที่ต้องการผลักดันให้เรื่อง “ความเป็นอยู่ที่ดี” เป็นประโยชน์ไม่ใช่เพียงแค่กับมนุษย์แต่กับทุก ๆ สรรพสิ่งที่มีชีวิต เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมนำเสนอวิธีใหม่ ๆ เพื่อให้มีการนำไปใช้แก้ไขปัญหาจริง ๆ ไม่ใช่เฉพาะในวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่เพื่อทุก ๆภาคส่วนต่างสามารถนำไปใช้ได้” “กระแสตอบรับเป็นอย่างดีที่มีต่อการสัมมนานี้ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในประเด็นเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีและความยั่งยืน MQDC รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับองค์กรชั้นนำต่าง ๆ จากทั่วโลกเพื่อมาช่วยทำให้โครงการของเราร่วมสร้างชีวิตที่ดีและความยั่งยืนมากขึ้น การสัมมนานี้ได้รวบรวมผู้รู้และมีความเชี่ยวชาญจากหลากสาขาเข้ามาช่วยกันให้ความรู้และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ให้เห็นว่าเราสามารถผนวกเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีและความยั่งยืน เข้าไปในงานวิชาการและสาขาอาชีพต่างๆได้อย่างไร” ด้วยแนวคิดล่าสุดในวงการสถาปัตยกรรม คุณ โทบี้ บลันท์ หุ้นส่วนอาวุโสและรองหัวหน้าสตูดิโอชื่อดังจากอังกฤษ ฟอสเตอร์แอนด์พาร์ทเนอร์ส ในฐานะของสถาปนิกระดับโลกได้กล่าวถึงการออกแบบมาสเตอร์แพลนเพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีและเพื่อความยั่งยืนไปพร้อม ๆ กัน คุณ บิล โคน กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง ไอเทค เอ็นเทอเทนเมนท์ ได้กล่าวถึงประสบการณ์ของเขาในการออกแบบและก่อสร้างสวนสนุกแบบธีม พาร์ค ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างเสริมสุขภาพอันดีเข้าไปในการออกแบบและพัฒนาโครงการด้วย รศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และหัวหน้าศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) ของ MQDC ก็ได้กล่าวถึง เรื่องการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนนั้นสามารถพัฒนาให้หยั่งรากลึกจนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้อย่างไร ทางด้าน ดร วิลเลี่ยม ริชแมน จากศูนย์ดูแลรักษาผู้สูงอายุ เบย์เครสจากแคนาดา ได้นำเสนอในหัวข้อว่าควรพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างไรจึงจะเป็นผลดีต่อการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งประเด็นเรื่องอัตราการเติบโตของจำนวนประชากรสูงวัยกำลังเป็นที่น่ากังวลอยู่ในปัจจุบัน ศาสตราจารย์ จอห์น ดี. สเปงเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที.ชาน. สคูล ออฟ พับลิคเฮลท์ ได้ร่วมแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับมาตรฐานชี้วัดเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนและการนำประเด็นเหล่านี้ไปใช้ประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจ
“ไรมอน แลนด์” ผนึกกำลัง กลุ่มร้านอาหาร “บ้านหญิง กรุ๊ป”

“ไรมอน แลนด์” ผนึกกำลัง กลุ่มร้านอาหาร “บ้านหญิง กรุ๊ป”

  เปิดตัว 3 ร้านแรก “บ้านหญิง”, “ดิงค์ ดิงค์” (Dink Dink) และ ร้านสไตล์ ฮ็อต พ็อต ที่สิงคโปร์ พร้อมวางแผนเปิดในประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศจีน เร็วๆนี้เสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก คาดหวังรายได้กว่า 100 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2561 และเติบโตกว่า 1,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี   “บ้านหญิง กรุ๊ป” จะเป็นส่วนร่วมในการผลักดันธุรกิจสายอาหารและเครื่องดื่มของไรมอน แลนด์ ในประเทศสิงคโปร์ ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศจีน พร้อมเปิดตัว 3 ร้านแรก “บ้านหญิง”, “ดิงค์ ดิงค์” (Dink Dink) และ ร้านสไตล์ ฮ็อต พ็อต ที่สิงคโปร์ ในส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ในการกระจายความเสี่ยง และสร้างรายได้ประจำที่เกิดขึ้น ไรมอน แลนด์ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ในประเทศไทย ได้ร่วมทุนขยายการลงทุนสู่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ร่วมกับ “บ้านหญิง กรุ๊ป” เพื่อนำอาหารไทยสู่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งสัดส่วนการถือหุ้น 51% โดยบริษัทไรมอน แลนด์ และ 49% โดย บ้านหญิง กรุ๊ป ซึ่งจะดำเนินการ ณ ประเทศสิงคโปร์ ไรมอน แลนด์ มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศจีน โดยจะเปิดร้านอาหารรวม 10-15 สาขา ภายในปี พ.ศ. 2563 ส่วนเมืองที่เป็นเป้าหมายอื่นๆ นอกเหนือจากสิงคโปร์ ได้แก่ กัวลาลัมเปอร์พนมเปญ ฮานอย โฮจิมินห์ เซินเจิ้น เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว ซึ่งการจับมือกันครั้งสำคัญกับ “บ้านหญิง กรุ๊ป”  เข้าสู่ตลาดอาหารและเครื่องดื่มนี้ คาดการว่าจะสร้างรายได้กว่า 100 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2561 และเติบโตไปเป็น 1,000 ล้านบาทภายใน 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2565)   นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2561 ไรมอน แลนด์ จะเปิดให้บริการร้านอาหารทะเลระดับพรีเมี่ยมริมแม่น้ำ ซึ่งสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาของกรุงเทพฯได้     เอเดรียน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "นี่เป็นกลยุทธ์ในการก้าวไปข้างหน้าของไรมอน แลนด์ เพื่อกระจายการลงทุนให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในตลาดอาหารที่นำอาหารไทยคุณภาพสู่กลุ่มลูกค้าทั่วโลก"     ทรงศร จั่นสัญชัย ผู้อำนวยการและผู้ก่อตั้ง บ้านหญิง กรุ๊ป เพิ่มเติมว่า "ในฐานะที่เป็นธุรกิจครอบครัว เราได้นำเสนออาหารไทยมานานกว่า 20 ปี ด้วยเมนูที่เป็นที่นิยมต่างๆทั่วประเทศไทย คุณภาพอาหารของเรามีความสดใหม่ ทันสมัย และปรุงจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพ การร่วมมือกับไรมอน แลนด์ในครั้งนี้ เรามุ่งหวังที่จะนำเสนออาหารไทยแก่นักชิมนานาประเทศให้ได้ลิ้มรสอาหารไทยแท้ๆ"     ร้านอาหาร 2 แห่งแรกจะเปิดในอาคาร รอยัล สแควร์ (Royal Square) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตคอมเพล็กซ์เพื่อสุขภาพของ โนวีน่า เฮล ซีตี้ (Novena Health City) ในไตรมาสที่ 1 ปี พ.ศ. 2561 ซึ่งจะมีร้าน ดิงค์ ดิงค์ (Dink Dink) ร้านอาหารขนาด 68 ที่นั่ง ตั้งอยู่บนชั้น 1 นำเสนออาหารไทยในบรรยากาศสบาย ๆ เน้นความสะดวก รวดเร็ว และมีเมนูก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้ง และเครื่องดื่มไทยโบราณ สำหรับรับประทานทั้งภายในและภายนอก นอกจากนี้ ร้าน บ้านหญิง ขนาด 126 ที่นั่ง ตั้งอยู่บนชั้น 2 ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ และแบรนด์ดั้งเดิมของ “บ้านหญิง กรุ๊ป” โดยนำเสนออาหารไทยที่คนไทยรับประทานทุกวัน ซึ่งเมนูได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดีในสไตล์ไทยร่วมสมัย และร้านที่ 3 ภายใต้คอนเซ็ปท์สไตล์ ฮ็อต พ็อท (Hot Pot) ไทย-อีสาน ที่มีรสชาดจัดจ้าน มีแผนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไตรมาสที่ 4 ปี พ.ศ. 2561 (ซึ่งจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี พ.ศ.2561 นี้)     เขตใจกลางเมือง โนวีน่า (Novena) เป็นศูนย์กลางที่คึกคักที่สุดในย่านใจกลางเมือง สะดวกต่อการเดินทางไปยังสถานีขนส่งสาธารณะ โดยอาคาร รอยัล สแควร์ (Royal Square) อยู่ห่างจากถนนออชาร์ดเพียง 5 นาทีโดยรถยนต์ และห่างจากย่านธุรกิจต่างๆเพียง 8 นาที ซึ่งเป็นศูนย์การค้าแห่งใหม่ล่าสุดใน โดยในเขต โนวีน่า อยู่ท่ามกลางอาคารของรัฐบาล โรงพยาบาลขนาดใหญ่ โรงแรม และโบสถ์คาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ การจราจรทางเท้าคาดว่าจะมีกว่า 10,000 คนต่อวัน ซึ่งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในสิงคโปร์มีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท  
พฤกษา ลุยเปิดคอนโดพรีเมียม “เดอะรีเซิร์ฟ สุขุมวิท 61”ที่สุดแห่งลักษ์ชัวรี่คอนโด ใจกลางทองหล่อ-เอกมัย

พฤกษา ลุยเปิดคอนโดพรีเมียม “เดอะรีเซิร์ฟ สุขุมวิท 61”ที่สุดแห่งลักษ์ชัวรี่คอนโด ใจกลางทองหล่อ-เอกมัย

พฤกษา ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาฯ เดินหน้าลุยตลาดพรีเมียม เตรียมผุดคอนโด “เดอะรีเซิร์ฟ สุขุมวิท 61”  บนทำเลใจกลางเมือง ชูคอนเซ็ปต์ให้การอยู่อาศัยได้อารมณ์เหมือนอยู่บ้าน ด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่สุดกลางทองหล่อ-เอกมัย ราคาเริ่มต้น 10 ล้านบาท  นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิทมีการเติบโตสูงถึง 55% ซึ่งในปี 2016 มีมูลค่าตลาดประมาณอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 70% โดยคอนโดมิเนียมพรีเมียมมีการเติบโตมากที่สุด พฤกษา เรียลเอสเตท ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำอันดับหนึ่ง ได้เล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโตของตลาดพรีเมียม จึงเตรียมพัฒนาคอนโดมิเนียมลักษ์ชัวรี่ “เดอะรีเซิร์ฟ สุขุมวิท 61” บนทำเลใจกลางเมือง เดินทางเพียง 2-3 นาที ถึงทองหล่อและเอกมัย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ และครอบครัวที่ใส่ใจธรรมชาติ รักความสงบ ด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่สุดและเป็นส่วนตัว เมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียมในย่านนั้น เดอะรีเซิร์ฟ สุขุมวิท 61 ออกแบบภายใต้คอนเซปต์ ”Reserve Your Exclusivity” ให้การอยู่อาศัยและการพักผ่อนเสมือนได้อยู่บ้าน มีความเป็นส่วนตัวสูงสุด ด้วยจำนวนยูนิตเพียง 186 ยูนิต ฟังก์ชั่นภายในห้องพักถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่ หน้ากว้าง และยังเพิ่มความหรูหราด้วยการตกแต่งเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดังจาก CHANINTR (ชนินทร์) รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในโครงการ อาทิ พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่มาพร้อม sunken seat, สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบเฉพาะให้สามารถเชื่อมต่อตรงกับห้องพัก, ฟิตเนส ซาวน่า และ Private Onsen ที่สามารถจองเวลาการใช้งานได้ล่วงหน้า ด้านตัวอาคารได้มีการออกแบบวางผังให้มีการพัดผ่านของลมที่ดี รวมไปถึงภายในห้องพักมีการทำ Ventilation door เพื่อให้ลมพัดผ่านเข้าสู่ห้องพักโดยไม่จำเป็นต้องเปิดประตู พร้อม IN-UNIT WELNESS อื่นๆ มากมายที่จะยกระดับมาตรฐานการใช้ชีวิตในห้องพัก นอกเหนือจากการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้าแล้ว พฤกษายังสร้างสรรค์บริการที่เหนือระดับให้แก่ลูกค้าด้วย Concierge Service by The Reserve ที่อำนวยความสะดวกในการพักอาศัยให้กับลูกบ้าน เดอะรีเซิร์ฟ สุขุมวิท 61 เป็นคอนโด Low Rise สูง 7 ชั้น ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 61 ซึ่งเป็นซอยที่ได้รับรางวัลซอยน่าอยู่ของ กทม. มีความสะอาด และเงียบสงบ รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นนำ ทั้ง โรงเรียนนานาชาติ สถานทูต ร้านอาหาร โรงพยาบาลและซุปเปอร์มาร์เกตรวมถึงห้างสรรพสินค้าทั้งแบรนด์ในไทยและต่างชาติ โครงการมีแบบห้องให้เลือกถึง 5 แบบ คือ แบบสตูดิโอ  พื้นที่ 30.5 ตร.ม. แบบ 1 Bedroom  พื้นที่ 35-48 ตร.ม. แบบ 2 Bedroom Simplex พื้นที่ 62.5-138.8 ตร.ม. แบบ 3 Bedroom Simplex พื้นที่ 157.6 ตร.ม. และแบบ Duplex พื้นที่ 115 -132 ตร.ม. เปิด Open House 3 – 4 ก.พ. นี้ สำหรับลูกค้าที่จองในงานรับส่วนลดพิเศษ 100,000 บาท สอบถามเพิ่มเติมโทร.1739 หรือ thereservecondo.com/thereserve61
คูน เอสเตท ผุด คูเปอร์ สยาม เติมเต็มย่านนวัตกรรมแห่งสยาม ฉีกทุกคอนเซ็ปต์ครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยกับคอนโดแนวคิดใหม่ ‘Combo Loft’ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ชีวิตอิสระทั้งทำงาน และพักอาศัย

คูน เอสเตท ผุด คูเปอร์ สยาม เติมเต็มย่านนวัตกรรมแห่งสยาม ฉีกทุกคอนเซ็ปต์ครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยกับคอนโดแนวคิดใหม่ ‘Combo Loft’ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ชีวิตอิสระทั้งทำงาน และพักอาศัย

คูน เอสเตท จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่นำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ในการออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว บุกตลาดนิชพรีเมียม เข้ามาเติมเต็มผังเมืองใหม่ในย่านนวัตกรรมแห่งสยาม เพื่อยกระดับให้เป็นมหานครต้นแบบในด้านนวัตกรรม ฉีกคอนเซ็ปต์คอนโดด้วยแนวคิดใหม่เป็นครั้งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยแนวคิด ‘Combo Loft’ คอนโดมิเนียมสไตล์ลอฟท์เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่สามารถจดทะเบียนเป็นบริษัทได้ และโซนที่พักอาศัยพรีเมี่ยมในชั้นสูง (Sky Residence) แห่งแรกในเมืองไทย เหมาะกับกลุ่ม Gen Y และ กลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์ยุคใหม่  มูลค่าโครงการกว่า 1,300 ล้านบาท นายธเนศ อรุณวณิชย์พร กรรมการบริหาร บริษัท คูน เอสเตท จำกัด  เปิดเผยว่า คูเปอร์ สยาม ฉีกคอนเซ็ปต์ของคอนโดมิเนียมทุกรูปแบบที่เคยมีมา ด้วยการนำคอนเซปต์ที่มีอยู่ในต่างประเทศตามใจกลางเมืองใหญ่เข้ามาพัฒนาเป็นคอนเซปต์แรกในประเทศไทย เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ชีวิต และพฤติกรรมคนยุค 4.0 และ Gen Y มีอิสระในการใช้ชีวิต เสพเทคโนโลยี ชีวิตติดออนไลน์ เปิดกว้างทางความคิด และวัฒนธรรม เป็นมนุษย์หลายงาน ที่ต้องรองรับทั้งการอยู่อาศัยและการทำงานไปพร้อมๆ กัน โดยมีจุดเด่นเป็นห้องสไตล์ Combo Loft อย่างแท้จริง และสามารถจดทะเบียนเป็นบริษัทได้ เพดานสูงถึง 4.6 เมตร พื้นที่สูงโปร่งและกว้าง ซึ่งเราตั้งเป้าเจาะกลุ่มคนไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ ใช้ชีวิตทันสมัยในแบบของตัวเอง และชื่นชอบการใช้จ่ายเพื่อสร้างความสุขให้ตัวเอง ด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง บนถนนรองเมือง ห่างจากรถไฟฟ้าสถานีสนามกีฬาแห่งชาติเพียง 8 นาที ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ในราคาเฉลี่ยเพียง 138,000 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น คูเปอร์ สยาม เป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรส์สูง 24 ชั้น 188 ยูนิต แบ่งเป็นโซน Combo Loft แบบ Single และ Double ขนาด 41-71 ตารางเมตร โซนพักอาศัยชั้นสูง หรือ Sky Residence แบบ 1,2 ห้องนอน ขนาด 30 – 67 ตารางเมตรและ เพนท์เฮ้าส์ดูเพล็กซ์ 3 ห้องนอน ขนาด 188 – 220 ตารางเมตร โดยใช้ลิฟท์แยกโซนเพื่อความเป็นส่วนตัว  ภายในออกแบบตกแต่งให้มีอิสระในการปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้พักอาศัย เลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ และมีเอกลักษณ์ และคงไว้ซึ่งความโอ่อ่าหรูหรา พื้นที่ส่วนกลางได้รับการออกแบบให้รองรับการใช้ชีวิตในรูปแบบต่างๆ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน อาทิ Co-working space ห้องประชุมส่วนตัว และห้องอเนกประสงค์ ศาลาชมวิว สระว่ายน้ำพร้อมจากุชซี่ ฟิตเนส ห้องสำหรับเล่นเกมส์ สวนลอยฟ้า เพิ่มความสะดวกด้วยรถรับส่งจากโครงการไปยังสถานที่ต่างๆ อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาบุญครอง สยามสแควร์ และบีทีเอสสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ เป็นต้น นายธเนศ กล่าวเสริมว่า โครงการตั้งอยู่ในทำเลย่านสยาม-ปทุมวัน ซึ่งกำลังจะถูกพัฒนาให้เป็น ‘ย่านนวัตกรรม’ (Innovation District) ซึ่งเป็นแนวโน้มล่าสุดในการวางผังเมืองของรัฐบาลที่ได้ให้ทุนตั้งต้นกว่า 230 ล้านบาท เพื่อเชื่อมโยงการทำงานของภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจเข้าด้วยกัน สร้างตลาดนวัตกรรม นำไปสู่การสร้างชุมชนใหม่ ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของมหานครทั่วโลก ประกอบกับแผนงานการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ทั้ง โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และมอเตอร์เวย์ สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์มองว่า จะมีการเปลี่ยนเทรนด์ของคอนโดที่ชัดเจนขึ้นเพื่อให้สอดรับกับเทรนด์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป  นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า บริเวณโซนพื้นที่ย่านปทุมวัน โดยเฉพาะบนถนนรองเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชนเก่าแก่ใจกลางเมือง ถูกจับจองพื้นที่มาเป็นเวลานาน แต่อยู่ใกล้กับสยามในระยะที่สามารถเดินไปได้ ซึ่งในอนาคตพื้นที่บริเวณนี้จะถูกพัฒนาให้มีโครงการต่างๆ เกิดขึ้นเพื่อรองรับย่านนวัตกรรม ไลฟ์สไตล์ของคนในพื้นที่จะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป ตามเมืองที่เริ่มมีการขยายตัว  โดยเฉพาะโครงการที่เป็นไฮไรส์ คูเปอร์ สยาม จึงเป็นโครงการน่าลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นโครงการแรกที่อยู่ในบริเวณนี้ซึ่งเปิดราคาได้อย่างคุ้มค่าเป็นอย่างมาก เพราะหากรอให้เมืองขยายมาก่อนคงหาราคาแบบนี้ไม่ได้แน่นอน อีกทั้งยังมีตลาดการศึกษาซึ่งมีดีมานด์ใหม่ทุกปี ไม่สิ้นสุด ในแง่ของดีมานด์-ซัพพลายในย่านปทุมวันนั้น ซัพพลายที่สร้างเสร็จแล้วมีเพียง 12,906 ยูนิต หรือคิดเป็น 10% ของซัพพลายทั้งหมด และที่กำลังก่อสร้างมีเพียง 4,013 ยูนิต หรือคิดเป็น 13% ของซัพพลายทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำมาก ในขณะที่ความต้องการคอนโดในย่านนี้มีสูงโดยอัตราการขายของคอนโดในย่านนี้สูงถึง 86% โดยราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 4 ล้านบาท นางสาวอลิวัสสากล่าวโดยสรุปว่าโครงการที่มีราคา 4 ล้านบาท โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 138,000 บาท/ต่อตารางเมตร และมีการออกแบบอย่างพิถีพิถัน เลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพระดับพรีเมี่ยม นับว่าหาได้ยากมากในทำเลใจกลางเมืองอย่างนี้ โครงการ คูเปอร์ สยาม จะเปิดขายอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ในราคาเริ่มต้น 4 ล้านบาท พร้อมรับส่วนลดพรีเซลล์สูงสุด 100,000 บาทเมื่อลงทะเบียนออนไลน์ผ่าน www.coopersiam.com สอบถามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมที่เบอร์ 089 459 5399 หรือ line@CooperSiam
‘เอพี’ มั่นใจ ศักยภาพไทยปี 61 แข็งแกร่ง ผนึกกำลัง ‘มิตซูบิชิ เอสเตท’ เดินหน้าลงทุนต่อเนื่องใน 4 คอนโดใหม่ รวมมูลค่าโครงการร่วมทุน 5 ปีสูงกว่า 74,430 ล้านบาท

‘เอพี’ มั่นใจ ศักยภาพไทยปี 61 แข็งแกร่ง ผนึกกำลัง ‘มิตซูบิชิ เอสเตท’ เดินหน้าลงทุนต่อเนื่องใน 4 คอนโดใหม่ รวมมูลค่าโครงการร่วมทุน 5 ปีสูงกว่า 74,430 ล้านบาท

เอพี ไทยแลนด์ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมที่อยู่อาศัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน เชื่อมั่นศักยภาพเศรษฐกิจไทยปี 2561 สดใส บรรยากาศการซื้อขายกลับสู่ภาวะปกติ ดีมานด์ตลาดคอนโดระดับกลางถึงบนตลาดตอบรับดี ผนึกกำลัง มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป พันธมิตรทางธุรกิจ กางแผนพัฒนาปี 61 เร่งสานต่อการลงทุนหลังแผนการโอนกรรมสิทธิ์ 6 คอนโดร่วมทุนแรกออกมาสวยงาม ด้าน มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ประกาศงบลงทุนในไทย มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท ประเดิมลงนามร่วมทุนคอนโดแพคแรกกับ 4 โครงการใหญ่ รวมมูลค่าโครงการร่วมทุน 5 ปี สูงกว่า 74,430 ล้านบาท นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “เอพี ไทยแลนด์ ได้ยกระดับความร่วมมือทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง กับ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป  (หรือ MECG) ยิ่งขึ้นเป็นปีที่ 5 โดยต้นปี 2561 นี้เอพี ไทยแลนด์ และมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป มีแผนที่จะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับกลาง-บนอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงต้นปีได้มีการลงนามในสัญญาความร่วมมือพัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมกัน จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 23,000 ล้านบาท โดย LIFE สุขุมวิท 62 จะเป็นโครงการแรกที่พร้อมเปิดในเดือนมีนาคม ผ่านระบบ AP i-Booking และโครงการอื่นๆ จะทยอยเปิดตัวตามแผนงานที่กำหนดไว้ ณ ปัจจุบันรวมมูลค่าโครงการร่วมทุน 5 ปีสูงถึง 74,430 ล้านบาท” “เอพีและมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจรายเดียวที่มีโมเดลร่วมทุนในแบบการจัดตั้งบริษัทแม่ในไทย ภายใต้ชื่อ “บริษัท พรีเมียม เรสซิเดนท์ จำกัด” เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการโครงการภายใต้การร่วมทุน ซึ่งในปีนี้ทางมิตซูบิชิ เอสเตทได้ส่งทีมงานจากญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มานั่งทำงานประจำร่วมกับทีมงานเอพีเพิ่มมากขึ้น เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการอนุมัติและดำเนินการต่างๆ แผนการร่วมทุนกับกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจแบบก้าวกระโดด โดยในปีที่ผ่านมา เอพีได้พัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมทุนใน Scale ที่ใหญ่ขึ้น   ทั้ง LIFE วิทยุ LIFE ลาดพร้าว และ LIFE อโศก-พระราม 9 ซึ่งทั้ง 3 โครงการส่งผลให้ยอดขายในส่วนของคอนโดมิเนียมโตขึ้นมากถึง 180% หากเทียบกับปีก่อนหน้า” นายอนุพงษ์ กล่าวเสริม มร. โชจิโร โคจิมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย ในนามของมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป กล่าวถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพเศรษฐกิจไทยและความสำเร็จในการพัฒนาโครงการร่วมกับ เอพี (ไทยแลนด์) ว่า "สำหรับงบลงทุนพัฒนาอสังหาฯ ในต่างประเทศของ MECG รวม 3 ปี (2561 - 2563) อยู่ที่ 4 แสนล้านเยน (หรือประมาณ 1.17 หมื่นล้านบาท) เป็นการลงทุนในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ยุโรป จีน โอเชียเนีย และกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของการลงทุนนี้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ต่อไป โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่ทาง MECG เห็นโอกาสจากรายได้ต่อครัวเรือนของคนในกรุงเทพฯ ที่เพิ่มขึ้นทุกปี การขยายตัวของจำนวนประชากรที่ย้ายถิ่นฐานจากต่างจังหวัด อีกทั้งระบบขนส่งมวลชนที่พัฒนาไปมาก ส่งผลให้เกิดการกระจายออกของศูนย์กลางความเจริญของเมืองรูปแบบใหม่ ที่ทำให้วิถีการใช้ชีวิตของคนไทยมีความคล่องตัวในลักษณะครอบครัวขนาดเล็กลงมากขึ้น” “จากการร่วมมือกันที่ผ่านมา มีผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก ทั้งในส่วนของยอดขายและการโอนกรรมสิทธิ์ โดยในส่วนของยอดขายคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนปี 2557 - 2560 ทั้งสิ้น 11 โครงการ มียอดขายรวมเฉลี่ย 90% จากมูลค่ารวมทั้งสิ้น 51,430 ล้านบาท โดยเป็นโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่จำนวน 6 โครงการ ได้แก่ (1) RHYTHM สุขุมวิท 36 – 38 (2) ASPIRE รัชดา – วงศ์สว่าง (3) ASPIRE สาทร – ท่าพระ (4) RHYTHM อโศก 2 และ 2 โครงการล่าสุด ที่ได้เปิดโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 4/2560 ที่ผ่านมา คือ (5) Life ปิ่นเกล้า และ (6) RHYTHM รางน้ำ โดยลูกค้าให้การตอบรับโอนกรรมสิทธิ์ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งเป็นผลจากการทำงานร่วมกันในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AP Check List หนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการควบคุมคุณภาพสินค้าที่เริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการออกแบบพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้าอย่างเข้มข้น ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งใจจะเดินหน้าทำงานร่วมกับเอพีฯ ต่อไปในการพัฒนาคอนโดมิเนียมตอบคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต เพื่อป้อนตลาดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้เรายังคงตั้งเป้าจะพัฒนาโครงการร่วมกับเอพี ด้วยมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท” มร. โชจิโร โคจิมา กล่าวเสริม ก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 แห่งความร่วมมือและมิตรภาพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เอพี (ไทยแลนด์) และ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ยังคงให้ความสำคัญกับการนำความเชี่ยวชาญของเอพี และ MECG สู่การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่ครอบคลุมการพัฒนาที่อยู่อาศัย การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างเข้มข้นและจริงจัง ที่จะสร้างความแตกต่าง ครอบคลุมทุกมิติทั้งในด้าน ‘คุณภาพ’ ‘บริการ’ ‘ความสะดวกสบาย’ และ ‘ความปลอดภัย’ นำเสนอให้เกิดขึ้นจริงในคอนโดมิเนียมเครือเอพี ภายใต้กรอบวิสัยทัศน์ “สร้างสรรค์นวัตกรรมดีไซน์ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต” (Innovation for Quality Living in the Future) มุ่งยกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมนานาประเทศ  โดยมีเป้าหมายในเฟสแรกจะร่วมพัฒนาคอนโดมิเนียม 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 23,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้การร่วมทุนครั้งแรกเมื่อปี 2557 จนถึงวันนี้ เอพีและมิตซูบิชิ เอสเตท ได้พัฒนาโครงการร่วมกันมูลค่าสูงถึง 74,430 ล้านบาท “ด้วยความพร้อมด้านทีมงานคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ และพันธมิตรคุณภาพภายใต้ passion เดียวกันที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมที่อยู่อาศัยคุณภาพ ผมเชื่อว่า เอพี ไทยแลนด์จะสามารถสร้างความแตกต่างและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และยังคงเป็น 1 ใน 3 ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยจะนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยแห่งอนาคต ผ่านการคิดค้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เท่าทันต่อโลกในอนาคต เพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียมไทยให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ" คุณอนุพงษ์กล่าวสรุป สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 61 มีแนวโน้มเติบโตขึ้นตามการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจประเทศที่น่าจะเติบโตได้ถึง 3.8 – 4% กิจกรรมการตลาดและบรรยากาศการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงต้นปี 61 การแข่งขันในตลาดอสังหาฯ ยังคงเกิดจากผู้ประกอบการรายใหญ่ประมาณ 10 รายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ถือครองส่วนแบ่งอยู่ประมาณ 80% ดังนั้น ผู้ประกอบการที่หวังจะโตต่อต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงเร็วและแบ่งย่อยเป็นกลุ่มที่ซับซ้อน และต้องบาลานซ์พอร์ตสินค้าคอนโดมิเนียมและแนวราบให้สมดุล โดยเชื่อว่าสินค้าคอนโดมิเนียมที่ตอบตลาดระดับกลางถึงบนมีแนวโน้มเติบโตได้ดี เพราะมีซัพพลายในตลาดไม่มาก และสต๊อกส่วนใหญ่ถูกระบายออกไปในปีที่ผ่านมา ขณะที่สินค้าแนวราบยังโตได้ต่อเนื่อง จากกำลังซื้อเรียลดีมานด์  “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมการดีไซน์ เพื่อการอยู่อาศัยในเมือง”
อั๊คโซ่ โนเบล เปิดตัวนวัตกรรมสีผลิตภัณฑ์สำหรับครอบครัว ตอกย้ำความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของผลิตภัณฑ์ทุกชนิด

อั๊คโซ่ โนเบล เปิดตัวนวัตกรรมสีผลิตภัณฑ์สำหรับครอบครัว ตอกย้ำความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของผลิตภัณฑ์ทุกชนิด

นวัตกรรมใหม่ล่าสุดสำหรับชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลายสำหรับเด็ก ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places) และผลิตภัณฑ์สีอะครีลิคทาภายใน ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส (Dulux EasyCare Plus)  ที่มีคุณสมบัติพิเศษเช็ดทำความสะอาดง่าย ป้องกันแบคทีเรียและเชื้อรา พร้อมเปิด ดูลักซ์ คัลเลอร์ ดีไซน์ สตูดิโอ (Dulux Color Design Studio)  มร. เดนิส จู (ซ้ายสุด) ประธานกรรมการบริหาร คิดซาเนีย กรุงเทพ มร. เดฟ เพลน (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท อ๊คโซ่ โนเบล เพ้นท์ส (ประเทศไทย) จำกัด และคุณสุรีย์พร กังวานวาณิชย์ (ขวาสุด) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท อั๊คโซ่ โนเบล (AkzoNobel)  ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีชั้นนำระดับโลกภายใต้แบรนด์สี “ดูลักซ์” เปิดตัวชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลายสำหรับเด็ก ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places)  ที่ประกอบด้วยสติกเกอร์ใสสร้างลาย   สติกเกอร์สีสันสำหรับตกแต่ง เทปกาว    ดูลักซ์ คัลเลอร์ เพลย์ (Dulux Colour Play) ลูกกลิ้งเล็กสำเร็จรูปสำหรับกลิ้งสีบนผนัง ที่มาพร้อมผลิตภัณฑ์สีอะครีลิคทาภายใน ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส (Dulux EasyCare Plus)  คุณสมบัติพิเศษเช็ดทำความสะอาดง่าย ป้องกันแบคทีเรียและเชื้อรา    นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว ดูลักซ์ คัลเลอร์ ดีไซน์ สตูดิโอ (Dulux Color Design Studio) ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มครอบครัวที่มีความต้องการออกแบบบ้านให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ใช้ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น คิดพรูฟ พลัส เทคโนโลยี (KidProof+ TechnologyTM) ที่ทำหน้าที่เคลือบชั้นฟิล์มสีป้องกันและลดการสะสมของคราบฝังลึกบนผนัง และป้องกันแบคทีเรียและเชื้อรา ให้ศิลปินตัวน้อยได้ปลดปล่อยจินตนาการอิสระได้อย่างไร้กังวลด้วยผลิตภัณฑ์สีดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส มร.เดฟ เพลน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อั๊คโซ่ โนเบล เพ้นท์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “นวัตกรรมและความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญที่อั๊คโซ่ โนเบลยึดถือปฏิบัติเสมอมา เราเข้าใจว่าครอบครัวที่มีเด็กมีความต้องการที่แตกต่างจากเจ้าของบ้านทั่วไป จึงได้คิดค้นชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลายสำหรับเด็ก ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places) และผลิตภัณฑ์สีอะครีลิคทาภายใน ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส (Dulux EasyCare Plus)  ที่ได้การรับรองว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีคุณสมบัติพิเศษเช็คทำความสะอาดง่ายและป้องกันแบคทีเรีย ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของอั๊คโซ่ โนเบล ในการนำเสนอโซลูชั่นส์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในกลุ่มครอบครัว” “ในขณะเดียวกันเราเชื่อมั่นในพลังแห่งสี เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเสริมสร้างจินตนาการการเล่นภายในบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญต่อพัฒนาการทางสังคม จิตใจและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ รวมถึงการสร้างโอกาสที่ก่อให้เกิดการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว”    ชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส   (Dulux Far Away Places) ชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places) คือชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย 8 ธีมสุดมหัศจรรย์ พร้อมชุดอุปกรณ์ตกแต่งที่ช่วยสร้างสีสันเพื่อเสริมจินตนาการของศิลปินตัวน้อยได้ถึง 48 เฉดสีสดใส ช่วยเติมเต็มจินตนาการของลูกน้อยและผู้ปกครองในการตกแต่งห้องได้ตามใจฝัน นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจและการเล่นที่ช่วยเสริมสร้างจินตนาการ  (Imaginative Play) ภายในบ้าน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญต่อพัฒนาการของลูกน้อยทั้งทางด้านสังคม สติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ ชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places) ประกอบด้วย ดูลักซ์ คัลเลอร์ เพลย์ 6 สี (ลูกกลิ้งเล็กสำเร็จรูปสำหรับกลิ้งสีบนผนัง)  สติกเกอร์ใสสร้างลาย สติกเกอร์สีสันสำหรับตกแต่ง เทปกาว และคู่มือแนะนำการตกแต่ง ที่ใช้งานง่ายและช่วยให้ผู้ปกครองสร้างสรรค์แต่งผนังห้องของลูกน้อยให้เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจและลวดลายสวยงามได้อย่างง่ายดาย โดยชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์ อเวย์ เพลสเซส (Dulux Far Away Places)    มีแบบการตกแต่งให้เลือกถึง 8 ธีมสุดมหัศจรรย์   ประกอบด้วย ซิตี้ ออฟ ฮีโร่ส์ (City of Heroes), พรินซ์เซส แคสเซิล (Princess Castle), อินทู เดอะ วู้ดส์ (Into the Woods), อันเดอร์ เดอะ ซี (Under the Sea), อัพ อิน เดอะ สกาย (Up in the Sky), ซาฟารี แลนด์ (Safari Land), อินทู สเปซ (Into Space) และ เทรเชอร์ ไอซ์แลนด์ (Treasure Island) เหมาะสำหรับทุกจินตนาการของเด็กทุกคน ไม่ว่าจะชื่นชอบการผจญภัยหรือมีความหลงใหลในโลกของเทพนิยาย นอกจากนี้ ผู้ปกครองและเด็กๆ ยังสามารถสร้างเรื่องราวแห่งจินตนาการกับดินแดนมหัศจรรย์ทั้ง 8 เพิ่มเติม พร้อมทั้งแชร์ผลงานชิ้นเอกได้ที่เว็บไซต์ www.dulux-farawayplaces.com/th ผลิตภัณฑ์สีอะครีลิคทาภายใน ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส (Dulux EasyCare Plus)  ที่มีคุณสมบัติพิเศษเช็ดทำความสะอาดง่าย ป้องกันแบคทีเรียและเชื้อรา เพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places) ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส ผลิตภัณฑ์สีอิมัลชันสูตรน้ำมี คิดพรูฟ พลัส เทคโนโลยี (KidProof+ TechnologyTM) ช่วยปกป้องผนังจากเชื้อแบคทีเรียและการฝังตัวลึกของคราบสกปรก สูตรต่อต้านแบคทีเรียช่วยเพิ่มปกป้องไปอีกขั้นกับประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียบนผนัง ผลิตภัณฑ์สีอะครีลิคสูตรน้ำสำหรับทาภายในเกรดพรีเมี่ยมคุณภาพสูงที่มีคุณสมบัติเช็ดทำความสะอาดง่ายนี้ เป็นที่ชื่นชอบของครอบครัว ด้วยมีประสิทธิภาพสูงในการเคลือบพื้นผิวให้สีติดทนนานและช่วยให้พื้นผิวที่ก่อด้วยอิฐดูสวยเรียบเนียน นอกจากนี้ ยังช่วยการทำความสะอาดคราบในครัวเรือนให้เป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กที่อยู่ในวัยซุกซนและสนุกสนานกับการเรียนรู้และทดลอง ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส มีเทคโนโลยีดูลักซ์ คัลเลอร์ การ์ด  (Dulux Colourguard™) ช่วยล็อคเม็ดสีเพื่อให้ผนังดูสวยงามและคงความสดใสได้ยาวนานขึ้น  ทั้งมีคุณสมบัติเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้รับการรับรองคุณภาพตามาตรฐานฉลากเขียว และมีปริมาณสารระเหยต่ำ (VOCs) ดูลักซ์ คัลเลอร์ ดีไซน์ สตูดิโอ ดูลักซ์ ร่วมมือ คิดส์ซาเนีย กรุงเทพ ศูนย์การเรียนรู้และความบันเทิงใจกลางกรุงเทพ สร้างดูลักซ์ คัลเลอร์ ดีไซน์ สตูดิโอ เพื่อให้เด็กที่มีอายุระหว่าง 4-12 ปี ได้รับประสบการณ์เรียนรู้ผ่านการเล่นที่สนุกสนานที่สตูดิโอขนาด 32 ตารางเมตรแห่งนี้ ในโลกแห่งสีสัน เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสีสันและกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์สี พร้อมทั้งได้ร่วมสนุกไปกับการตกแต่งห้องภายใต้คอนเซป ดูลักซ์ ฟาร์ อเวย์ เพลสเซส (Dulux Far Away Places) ที่มีให้เลือก 2 ธีม คือ ซิตี้ ออฟ ฮีโร่ส์ (City of Heroes)  และ  พรินซ์เซส แคสเซิล (Princess Castle) ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สีดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส ชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์ อเวย์ เพลสเซส (Far Away Places) และ ดูลักซ์ คัลเลอร์ ดีไซน์ สตูดิโอ ได้ที่เว็บไซต์ www.dulux-farawayplaces.com.th/ หรือ www.dulux.co.th
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เชื่อมั่นเศรษฐกิจโลกหนุนอสังหาฯ ไทย ปี 2561 โต 5-7% ปักหมุดขยายอาณาจักร ‘ลลิล ทาวน์’ 8-10 ทำเล – ตั้งเป้าเติบโต 15 %

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เชื่อมั่นเศรษฐกิจโลกหนุนอสังหาฯ ไทย ปี 2561 โต 5-7% ปักหมุดขยายอาณาจักร ‘ลลิล ทาวน์’ 8-10 ทำเล – ตั้งเป้าเติบโต 15 %

บริษัท  ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มองเศรษฐกิจโลกปี 2561 ส่งสัญญาณบวก หนุนเศรษฐกิจไทย - ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ฟื้นตัวชัดเจน จากโครงการอีอีซี-โครงการลงทุนรถไฟฟ้า ระบบ Mass Transit  มองการเติบโตตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้ที่ 5-7% ประกาศแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจปีที่สามทศวรรษ ด้วยนโยบาย ‘Year of Competitiveness and Innovation for LALIN 4.0’ ตอกย้ำความเป็นมืออาชีพ และเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงเทรนด์อสังหาฯ เตรียมเปิดอาณาจักร “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town)’ ทำเลใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,500-5,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล และต่างจังหวัด ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 4,400 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้ที่ 4,000 ล้านบาท เติบโต 15% นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2561 ยังคงมีสัญญาณบวก ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจจะสามารถขยายตัวได้ดีขึ้นเล็กน้อยจากปี 2560 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ราว 3.8 - 3.9% โดยการขยายตัวในปี 2561 นั้นจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการส่งออกที่คาดว่าจะยังคงขยายตัวได้ดี ตามทิศทางเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง ในส่วนของภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะยังคงขยายตัวได้ดี นอกจากนี้ในปี 2561 นี้ จะมีเม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเม็ดเงินจากการลงทุนของภาครัฐ ที่จะเริ่มทยอยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น กอปรกับการคาดการณ์ว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2561 หรือต้นปี 2562 ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นแรงส่งช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่อเนื่อง รวมทั้งช่วยให้ตัวเลขการบริโภคและการลงทุน ขยายตัวได้ดีขึ้นในระยะต่อไป สำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้นจากปี 2560 โดยมีปัจจัยบวกมาจากทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการลงทุนของภาครัฐ  นอกจากนี้ภาพรวมของตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนต่อจีดีพี ที่เริ่มค่อยๆ ปรับลดลง จะช่วยให้กำลังซื้อปรับดีขึ้น ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยในประเทศยังคงทรงตัวในระดับต่ำ แม้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกามีความเป็นไปได้ที่จะปรับเพิ่มขึ้นอีกราว 3 ครั้ง ในปี 2561 นี้ โดยมองว่าตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งเป็นตลาด Real Demand จะยังคงขยายตัวได้ราว 5-7%  สำหรับตลาดอาคารชุด อาจต้องระมัดระวังในบาง Sector และในบางทำเล ซึ่งอาจเริ่มเห็นสัญญาณ Over Supply บ้าง สำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2561 ซึ่งนับเป็นปีที่ครบรอบ 3 ทศวรรษของบริษัทฯ บริษัทยังคงเชื่อมั่นที่จะขยายตัวได้สูงกว่าภาพรวมของตลาดฯ ติดต่อกันเป็นปีที่สาม โดยมีการวางแผนธุรกิจที่สนับสนุนการขยายตัวของบริษัท ทั้งนี้ในปี 2561 นี้ บริษัทมีแผนขยายโครงการใหม่ทั้งสิ้น 8-10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,500-5,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 4,400 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 4,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นราว 15% จากปีก่อน นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) กล่าวว่า ในปี 2561 ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในเชิงรุกเพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ไว้วางใจ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มากว่าสามทศวรรษ และบริษัทฯ ยังคงมุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะโครงการแนบราบที่บริษัทมีความชำนาญ ทั้งแนวความคิด การวางคอนเซ็ปต์ ความคุ้มค่าในการอยู่อาศัย และการเลือกทำเลศักยภาพ ตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์และราคา และเน้นการทำ Digital Marketing และ CRM Strategy สำหรับแผนงานกลยุทธ์โครงการ “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) เตรียมเปิดโครงการใหม่ไว้ 8-10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,500 – 5,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัดในส่วนของหัวเมืองหลัก และหัวเมืองชั้นรอง แบ่งสัดส่วนทำเลออกเป็น โซนกรุงเทพฯ และปริมณฑล 75-80% และในทำเลต่างจังหวัด 20-25% ในส่วนของทางด้านการเงิน บริษัทฯ วางงบซื้อที่ดินไว้ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ที่ได้มาจากการโอนโครงการต่างๆ และส่วนหนึ่งจะมาจากการออกหุ้นกู้ ซึ่งจะพิจารณาออกในจำนวนและช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้สอดรับกับการขยายธุรกิจ และการเติบโตในระยะยาวของบริษัททั้งนี้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ของบริษัทในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่มาก ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงทางด้านการเงินที่ต่ำ และยังคงมีศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อีกมากโดยไม่ติดปัญหาเรื่องของแหล่งเงินทุน
ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทยชี้กลุ่มนักลงทุนต่างชาตินิยมลงทุนตลาดที่อยู่อาศัยในไทย

ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทยชี้กลุ่มนักลงทุนต่างชาตินิยมลงทุนตลาดที่อยู่อาศัยในไทย

ม.ร แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ให้ความเห็นว่า “ปี 2560เป็นปีที่โดดเด่นสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากมีอุปทานใหม่ที่มีการออกแบบของนวัตกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย และยังมีการเติบโตทางการลงทุนด้วยโอกาสทางการลงทุนที่น่าสนใจในประเทศไทยเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้โดยไม่ได้รับผลกระทบจากค่าภาษีและอากรแสตมป์ที่มีราคาแพง ในปี 2560 จะสังเกตุเห็นนักพัฒนาหลายแห่งที่ได้ประโยชน์จากส่วนแบ่งทางการตลาด จากกลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ตลาดอสังหาฯที่อยู่อาศัยไทยได้รับกระแสการลงทุนเพิ่มมากขึ้นจากนักลงทุนชาวจีน แม้จะมีข้อจำกัดการลงทุนในต่างประเทศที่เข้มงวดมากขึ้นก็ตาม กรุงเทพฯจัดเป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายการลงทุนหลัก โดยคอนโดฯราคาระดับกลางหลายแห่งในเมืองได้รับความสนใจจากชาวจีนมากถึงร้อยละ 40 แต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2560 ยังค่อนข้างนิ่ง เนื่องจากมีกฏบังคับควบคุมการโอนเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของธนาคารแห่งประเทศจีน การจัดแสดงโครงการ ( Road Show ) ที่อยู่อาศัยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงประเทศจีนถือเป็นกิจกรรมทางการตลาดที่สำคัญและมีแนวโน้มที่จะขยายใหญ่มากขึ้นในปี 2561  และคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากขึ้นอีก นักพัฒนาควรตระหนักว่ากลุ่มนักลงทุนจะคำนึงถึงเกณฑ์พื้นฐานหลัก 3 ข้อต่อไปนี้ ก่อนการตัดสินใจซื้อ ทำเลที่ตั้ง: ปัจจัยหลักสำหรับผู้ซื้อต่างชาติ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ที่มีสถานที่สำคัญหรือการเข้าถึงจุดบริการขนส่งมวลชน ราคา: มีความสัมพันธ์โดยตรงกับทำเลที่ตั้ง โดยระดับของโครงการเป็นปัจจัยที่สองในการกำหนดราคา สิ่งอำนวยความสะดวก: สิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการตกแต่งโดยรวมเหมาะสมกับโครงการหรือไม่? ม.ร มาร์ซีอาโน เบิร์จโมฮัน ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการตลาดและการขายต่างประเทศ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวเสริมว่า “ระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทยมีการขยายเพิ่มขึ้นมาก แต่รถไฟฟ้าบีทีเอสยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักในการพัฒนาเมือง และเป็นขนส่งมวลชนที่สำคัญที่สุดต่อโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานี interchange อย่าง สถานีกลางบางซื่อที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในขณะนี้ได้กลายเป็นจุดสนใจหลักของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างชาติจำนวนมากยังให้ความสนใจไปที่พื้นที่รอบนอกเขตกรุงเทพฯที่มีระดับการลงทุนต่ำแต่ได้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อระหว่างย่านธุรกิจและพื้นที่ท่องเที่ยวโดยตรง นอกจากนี้สถานีเชื่อมต่อเตาปูนที่แล้วเสร็จและสถานีเชื่อมต่อสำโรงที่เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว พื้นที่ทั้งสองนี้จะกลายเป็นพื้นที่ที่สำคัญในอนาคต หากสังเกตจากการจราจรในบริเวณที่มีสถานี interchange อย่างสถานีอโศกและสถานีสยาม เรามั่นใจว่าสถานีเตาปูนและสถานีสำโรงจะกลายเป็นสถานีขนส่งหลักภายในปี 2563 นอกจากนี้ คุณภาพของระบบโครงสร้างพื้นฐานในกรุงเทพฯ อย่างระบบขนส่งมวลชนและระบบโทรคมนาคมถือเป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางการลงทุนอสังหาฯและโครงการพัฒนา ซึ่งคล้ายคลึงกับเมืองใหญ่หลายๆ แห่งในโลก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดวางตำแหน่งโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนจะมีผลต่อผู้คน ชุมชน และมูลค่าทรัพย์สินเป็นอย่างมาก เราสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนจากแนวรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทและสายสีลม   อสังหาที่อยู่อาศัยที่ตั้งอยู่ใกล้กับระบบขนส่งมักถือเป็นพื้นที่ "พรีเมียม" และเป็นเรื่องปกติที่ราคาอสังหาฯในบริเวณนั้นๆ จะปรับขึ้นตามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน"
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิด 7 ทำเลทาวน์เฮ้าส์น่าลงทุนรอบ กทม. หลังพบยอดขายย้อนหลัง 3 ปี พุ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิด 7 ทำเลทาวน์เฮ้าส์น่าลงทุนรอบ กทม. หลังพบยอดขายย้อนหลัง 3 ปี พุ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรเผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ประเภททาวน์เฮ้าส์พื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล พบ 7 ทำเลเด่นคุ้มค่าการซื้ออยู่อาศัยและลงทุน ทั้งกระทุ่มแบน-สาม พราน ,ทุ่งครุ-พระ ประแดง , ธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ , ลาดหลุมแก้ว, ดอนเมือง-สายไหม, อ่อนนุชบางนา และสุวรรณภูมิ-บางเสาธง เผยราคาขายปัจจุบันน่าสนใจ ส่วนทิศทางปี 2561 คาดยังเติบโตดี เหตุได้แรงส่งจากปี 2560 ที่เติบโตทั้งอุปสงค์และอุปทาน นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2557-2560) โดยพิจารณาอัตราขายได้และอัตราดูดซับเฉลี่ยของแต่ละทำเลเทียบกับค่าเฉลี่ยกลาง (อัตราดูดซับ 6.00 ยูนิต/เดือน/โครงการ และอัตราขายได้ 47%) พบว่ามีทำเลศักยภาพที่ขายดีและน่าลงทุน (มียอดขายเฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลาง) ทั้งสิ้น 7 ทำเล ประกอบด้วย ได้แก่ ทิศไต้: 1.กระทุ่มแบน-สาม พราน 2. ทุ่งครุ-พระ ประแดง, ตะวันตก : 3. ธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ, ทิศเหนือ : 4. ลาดหลุมแก้ว 5. ดอนเมือง-สายไหม, ตะวันออก: 6. อ่อนนุชบางนา และ 7. สุวรรณภูมิ-บางเสาธง  โดยทั้ง 7 ทำเลนี้มีราคาระหว่าง 1.2 – 2.99 ล้านบาท และสามารถเชื่อมต่อด้านการคมนาคมเข้าสู่ตัวเมืองได้โดยสะดวกจึงได้รับความนิยมค่อนข้างมาก จากการวิเคราะห์พบว่า ในทุกๆ ทำเลมีราคาเสนอขายที่ไม่สูงมาก (ระหว่างราคา 1.2 -2.99 ล้านบาท) ยกเว้นทำเลกระทุ่มแบน – สามพรานที่ราคาเสนอขายยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท หากพิจารณาในด้านของศักยภาพของแต่ละทำเลนั้น พบว่า กระทุ่มแบน-สามพราน เป็นพื้นที่เขตปริมณฑลที่มีจุดเด่นจากทำเลไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทำให้ผู้ที่พักอาศัยในพื้นที่นี้สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ ด้วยถนนพระราม 2 และถนนเพชรเกษมได้โดยง่าย นอกจากนี้ราคาทาวน์เฮ้าส์ในทำเลนี้ยังเสนอขายในระดับต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันพบทาวน์เฮาส์ระดับราคาต่ำ กว่า 1.2 ล้านบาทหาได้ยากและเสนอขายเพียงบางทำเลที่ราคาที่ดินยังไม่ทะยานตัวสูงมากนัก ซึ่งกระทุ่มแบน-สามพรานเป็นทำเลที่มียอดตอบรับทาวน์เฮาส์ในระดับราคานี้สูงที่สุด จากการพัฒนาโครงการที่สามารถตอบสนองกลุ่มกำลังซื้อในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี   ทำเลทุ่งครุ-พระประแดง เป็นทำเลที่อยู่ใกล้กับกับทางพิเศษเฉลิมมหานครและถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอก) จึงดึงดูดให้เกิดกำซื้อในทำเลนี้เพราะสามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ และเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคอื่นได้อย่าง สะดวกสบาย นอกจากนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ที่กำลังจะเริ่มก่อสร้างช่วงปลายปี 2561 และจะช่วยดึงผู้คนจากฝั่งธนบุรีเข้าสู่ฮับการเดินทาง หรือสถานีกลางบางซื่อ เพื่อเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ ในเมืองได้อย่างสะดวก ทำเลธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ เป็นทำเลฝั่งธนบุรีที่ใกล้ย่านศูนย์กลางธุรกิจแวดล้อมด้วยแนวรถไฟฟ้า 3 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียวเข้ม (สายสีลม) ที่เปิดให้บริการมาเป็นเวลานาน รถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) ที่เริ่มก่อสร้างช่วงปลายปี 2561 และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (สถานีหัวลำโพง-บางแค) ที่การก่อสร้างคืบหน้าแล้วเกินกว่า 85% ทำให้ผู้อยู่อาศัยในทำเลนี้สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯได้หลากหลายเส้นทาง ทำเลลาดหลุมแก้ว เป็นทำเลในเขตปทุมธานีที่สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ ได้ผ่านทางด่วนสายอุดรรัถยาและเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆได้ผ่านถนนกาญจนาภิเษก(วงแวนรอบนอก) นอกจากนี้ยังอยู่ในทำเลที่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (สถานีบางซื่อ-รังสิต) ที่มีความคืบหน้าในการก่อสร้างแล้ว 60% ซึ่งมีแผนเปิดให้บริการในอีก 3 ปีข้างหน้า และในอนาคตภาครัฐมีแผนพัฒนาส่วน ต่อขยายจากสถานีรังสิตไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิตอีกด้วย เอื้ออำนวยให้การเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองของกลุ่มกำลังซื้อ ทั้งพนักงานบริษัทเอกชน ข้าราชการ หรือเจ้าของกิจการในละแวกนี้มีความสะดวกมากขึ้นในอนาคต ดอนเมือง – สายไหม เป็นทำเลในโซนเหนือที่มีรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (สถานีบางซื่อ-รังสิต) และรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย (สถานีหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) พาดผ่านซึ่งทั้งสองเส้นทางมีแผนเปิดให้บริการอีก 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งการเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯได้สะดวก ผ่านทางยกระดับอุตราภิมุข (โทลเวย์) และทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ทำให้ทำเลนี้ได้รับความนิยมจากพนักงานบริษัทเอกชน พนักงานที่ทำงานในสนามบินดอนเมือง หรือเจ้าของกิจการในละแวกนั้นเป็นอย่างดี อ่อนนุช – บางนา เป็นทำเลใกล้ย่านศูนย์กลางธุรกิจที่สามารถเข้าสู่ตัวเมืองได้ผ่านรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีเขียว (สถานีหมอชิต-แบริ่ง) ซึ่งเปิดให้บริการมาเป็นเวลานาน และล่าสุดก็ได้เปิดให้บริการในส่วนต่อขยาย ประกอบกับการมีทางพิเศษเฉลิมมหานคร ช่วยให้การเดินทางเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ ของกลุ่มกำลังซื้อในพื้นที่นี้มีความสะดวกสบายจากรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียวหรือสายสุขุมวิทที่เปิดให้บริการเป็นเส้นทางแรกในกรุงเทพฯ และตอบสนองการใช้ชีวิตของผู้คนได้เป็น อย่างดีทำให้ทาวน์เฮาส์ที่พัฒนาใกล้ใจกลางเมืองในย่านอ่อนนุช-บางนาได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง จากช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา สุวรรณภูมิ – บางเสาธง เป็นทำเลในจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามบินสุวรรณภูมิ สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ และเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆ ได้ผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี, มอเตอร์เวย์, ถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอก) ประกอบกับการมี รถไฟฟ้า Airport Rail Link (สถานีพญาไท-สุวรรณภูมิ), รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (สถานีแบริ่งสมุทรปราการ) และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (สถานีลาดพร้าว-สำโรง) ที่ภาครัฐมีการเตรียมแผนพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อทาวน์เฮาส์จากพนักงานในสนามบินสุวรรณภูมิหรือเจ้าของกิจการในพื้นที่นี้ได้เป็นอย่างดี   “จากข้อมูลที่ทำการสำรวจนี้สะท้อนว่ากำลังซื้อในที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์เริ่มกลับมา แม้ว่าปี 2560 ที่ผ่านมาจะไม่มีนโยบายกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะ แต่อุปสงค์และอุปทานยังเติบโตได้ดี จึงคาดว่าทิศทางในปี 2561 ตลาดทาวน์เฮ้าส์จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เหตุจากราคาเสนอขายยังไม่ปรับตัวขึ้นสูงมากนัก ซึ่งเหมาะกับกำลังซื้อของคนในพื้นที่ นอกจากนี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคน่าจะมีสัญญาณเติบโตตามทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มคลี่คลายอย่างต่อเนื่องในปี 2560 และจะมีแรงส่งต่อไปยังปี 2561 ต่อไป” นายอนุกูล กล่าว