Tag : News

2376 ผลลัพธ์
98 Wireless โครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการประเมินคุณภาพอาคาร LEED ตอกย้ำความลักชัวรี่ในมิติใหม่ควบคู่ไปกับความยั่งยืน

98 Wireless โครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการประเมินคุณภาพอาคาร LEED ตอกย้ำความลักชัวรี่ในมิติใหม่ควบคู่ไปกับความยั่งยืน

อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของแสนสิริที่โครงการ 98 Wireless เป็นโครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในไทยที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) จากสภาอาคารเขียวสหรัฐอเมริกา (U.S. Green Building Council : USGBC) ถือเป็นมาตรฐานสากลด้านการออกแบบ การก่อสร้าง และการปฏิบัติการของอาคารสีเขียว สอดรับกับนิยาม “The Best Comes as Standard” ที่พักอาศัยที่มาพร้อมกับความเป็นเลิศในทุกมิติ โดยมีนายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) (กลาง) รับมอบการรับรอง LEED พร้อมกับนาย จอห์น เลียวนาด พอลลาร์ด (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ และคุณ ศศิพร ศิริลัทพร (ขวา) กรรมการ จากบริษัท Meinhardt (Thailand) Ltd. (บริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด) ร่วมแสดงความยินดีในฐานะวิศวกรที่ปรึกษาของโครงการ 98 Wireless ด้านการออกแบบโครงสร้างอาคารและระบบต่างๆ รวมถึงให้คำปรึกษาด้านการออกแบบและก่อสร้างอาคารมาตรฐาน LEED เพื่อให้สอดรับตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้    
“ออริจิ้น” สยายปีกลุยใจกลางสุขุมวิท ผุด “ออริจิ้น 24” อาณาจักรมิกซ์ยูสรอบพาร์ค 24

“ออริจิ้น” สยายปีกลุยใจกลางสุขุมวิท ผุด “ออริจิ้น 24” อาณาจักรมิกซ์ยูสรอบพาร์ค 24

“ออริจิ้น” สร้างอาณาจักรใหม่กลางเมือง ผุดมิกซ์ยูสโรงแรม-เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์-ออฟฟิศเช่า-คอมมูนิตี้มอลล์ “ออริจิ้น 24” มูลค่า 4,000 ล้านบาท ตรงข้ามพาร์ค 24 ปูพรมทำเลอสังหาฯครบวงจร เสริมแกร่งศักยภาพทำเลสุขุมวิท 24 มั่นใจกำลังซื้อไทย-ต่างชาติโตทะยานหลังโครงการแล้วเสร็จ เผยความคืบหน้าล่าสุดโครงการพาร์ค 24 อนาคตสดใสทยอยโอนกรรมสิทธิ์คึกคัก นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ เคนซิงตัน, นอตติ้ง ฮิลล์, ไนท์บริดจ์ และพาร์ค เปิดเผยว่า ในปี 2561 บริษัทมีแผนพัฒนาอาณาจักรใหม่กลางเมืองภายใต้ชื่อ “ออริจิ้น 24” เป็นโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วย สำนักงานเช่า โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ คอมมูนิตี้มอลล์ รวมมูลค่าโครงการกว่า 4,000 ล้านบาท บริเวณตรงข้ามโครงการพาร์ค 24 ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซัวรี่ มูลค่าโครงการกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท “พาร์ค 24 ถือเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซัวรี่ที่มีศักยภาพยอดเยี่ยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสออริจิ้น 24 ขึ้นมาอยู่ตรงข้ามกัน จะยิ่งทำให้ทำเลนี้มีทั้งที่อยู่อาศัย แหล่งช้อปปิ้ง สถานที่ทำงาน โรงแรม กลายเป็นทำเลที่มีอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เติมเต็มไลฟ์สไตล์และตอบโจทย์ความต้องการการทำงานและการใช้ชีวิตใจกลางเมืองของผู้คน เสริมแกร่งศักยภาพทำเลสุขุมวิท 24 ขณะเดียวกัน จะทำให้ออริจิ้นมีโครงการในทำเลนี้รวมมูลค่าโครงการกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท” นายพีระพงศ์ กล่าว ปัจจุบัน ทำเลสุขุมวิทตอนกลางยังคงเป็นที่ต้องการของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สังเกตจากสถานการณ์ออฟฟิศเช่าในพื้นที่ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ขณะนี้ มีอัตราการการเช่าอยู่ที่มากกว่า 90% ขณะที่พื้นที่นี้ยังมีนักลงทุนชาวญี่ปุ่นหน้าใหม่สนใจเข้ามาตั้งออฟฟิศในย่านนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้อยู่ใกล้ชุมชนคนญี่ปุ่นด้วยกัน สะท้อนว่าในอนาคต หากไม่มีโครงการออฟฟิศเช่าใหม่ๆ ขึ้นมารองรับ พื้นที่นี้จะมีซัพพลายออฟฟิศเช่าไม่เพียงพอตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ขณะเดียวกัน เมื่อมีความต้องการออฟฟิศสำหรับชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น ความต้องการเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ขณะที่สถานการณ์อัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) โดยเฉลี่ยของโรงแรมในย่านนี้จะอยู่ที่ประมาณ 80% ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูง และยังมีความต้องการโรงแรมใหม่ๆ ขึ้นมารองรับชาวต่างชาติที่จะเข้ามาติดต่องานกับสำนักงานต่างๆ ใจกลางสุขุมวิท ด้านความต้องการสถานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นั้น แม้ปัจจุบันภายในย่านเดียวกันนี้จะมีศูนย์การค้าขนาดใหญ่อยู่หลายแห่ง แต่ยังมีช่องว่างสำหรับตลาดผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม โรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ระดับลักซัวรี่ใน ซ.สุขุมวิท 24 ที่ต้องการไลฟ์สไตล์ ร้านอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ตดีๆ ที่สามารถเดินมาได้ในระยะไม่กี่ก้าว เฉพาะผู้ที่อยู่อาศัยในพาร์ค 24 เกือบ 2,000 ยูนิตและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์อีกกว่า 2,000 ยูนิตในย่านนี้ จะทำให้มีผู้เข้าใช้บริการคอมมูนิตี้มอลล์แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการออริจิ้น 24 เป็นโครงการมิกซ์ยูสแบบลีสโฮลด์ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 24 ห่างจาก BTS พร้อมพงษ์ประมาณ 500 เมตร บนที่ดินขนาดกว่า 4 ไร่ ประกอบด้วย 2 อาคาร แบ่งเป็นโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์กว่า 400 ห้อง พื้นที่คอมมูนิตี้มอลล์ ขนาดกว่า 3,500 ตร.ม. และพื้นที่สำนักงานให้เช่าขนาดกว่า 4,000 ตร.ม. คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างช่วงไตรมาส 4/2561 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมดในช่วงไตรมาส 2/2564 ส่วนโครงการ พาร์ค 24 มูลค่าโครงการรวม 17,000 ล้านบาท ปัจจุบัน มียอดขายแล้ว มูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายสัดส่วนชาวต่างชาติประมาณ 4,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนที่ระดับ 40% และคนไทยประมาณ 60% ล่าสุดเฟส 1 มีมูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท มียอดขายแล้วประมาณ 4,500 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าหมายจะรับรู้รายได้จากสัดส่วนดังกล่าว 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ และทยอยโอนกรรมสิทธิ์แล้ว ส่วนเฟส 2 คาดว่าจะเริ่มโอนได้ในไตรมาส 4 ปี 2561 ขณะที่ทิศทางการพัฒนาแบรนด์พาร์คในช่วงหลังจากนี้ จะยังคงมุ่งพัฒนาในทำเลใจกลางเมือง เจาะตลาดกลุ่มลักซัวรี่ทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยมีการร่วมออกแบบพัฒนากับดีไซเนอร์ต่างชาติ เพื่อให้รูปลักษณ์โครงการมีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์  มีส่วนกลางขนาดใหญ่และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนเมือง และเน้นพื้นที่สีเขียวที่มีขนาดใหญ่ โดยแต่ละโครงการจะมีรูปแบบการดีไซน์ที่แตกต่างกันไป เน้นทำเลใจกลางเมือง ด้านนายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด กล่าวว่า ทั้งกำลังซื้อ ความต้องการอยู่อาศัย ความต้องการไลฟ์สไตล์ในย่านนี้ยังมีโอกาสเติบโต อาณาจักรอสังหาฯออริจิ้น 24 ที่มีทั้งที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน สถานที่พักผ่อนอยู่รวมกันอย่างครบวงจรในทำเล Luxury Residence Zone ใกล้รถไฟฟ้า จะยิ่งช่วยกระตุ้นให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อตัดสินใจเข้ามาอยู่อาศัยในย่านนี้ รวมถึงในโครงการพาร์ค 24 ได้ง่ายขึ้น ล่าสุด โครงการพาร์ค 24 ได้จัดแคมเปญสุดพิเศษสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนที่เว็บไซต์ www.park24.co.th รับสิทธิ์อยู่ฟรี 1 ปี พร้อมส่วนลดสูงสุด 1 แสนบาท สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ - 31 ธ.ค.60 ปัจจุบัน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 43 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 44,000 ล้านบาท  2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
‘เอพี’ ย้ำเบอร์ 1 ตลาดไฮเอนด์ทาวน์โฮม เปิดตัว “บ้านกลางเมืองใหม่” 2 ทำเลศักยภาพ “สาทร–สุขสวัสดิ์” และ “ลาดพร้าว–เสรีไทย” พร้อมโมเดลใหม่ ‘เทอราเรีย’

‘เอพี’ ย้ำเบอร์ 1 ตลาดไฮเอนด์ทาวน์โฮม เปิดตัว “บ้านกลางเมืองใหม่” 2 ทำเลศักยภาพ “สาทร–สุขสวัสดิ์” และ “ลาดพร้าว–เสรีไทย” พร้อมโมเดลใหม่ ‘เทอราเรีย’

วันนี้ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดทาวน์โฮมไฮเอนด์ สานต่อความสำเร็จของแบรนด์ “บ้านกลางเมือง” ประกาศเปิดตัว “บ้านกลางเมือง” บนสองทำเลศักยภาพ “สาทร – สุขสวัสดิ์” และ “ลาดพร้าว – เสรีไทย” พร้อมโมเดลใหม่ “เทอราเรีย” (Terraria) กับนวัตกรรมดีไซน์พื้นที่แห่งอนาคต (Innovation for Future Living) การออกแบบพื้นที่ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ เจาะครอบครัวคนเมืองรุ่นใหม่ระดับกลางบน พลิกโฉมและฟังก์ชั่นการอยู่อาศัยของทาวน์โฮมในเมืองไทยไปตลอดกาล รวมมูลค่าสองโครงการ 2,400 ล้านบาท เผยเตรียมเปิดอีก 5 โครงการแนวราบ มูลค่า 7,700 ล้านบาท รุกตลาดโค้งสุดท้ายก่อนปิดปี 2560 “บ้านกลางเมืองสาทร – สุขสวัสดิ์” และ “บ้านกลางเมืองลาดพร้าว – เสรีไทย” โมเดลใหม่ “เทอราเรีย” (Terraria) โดยเอพี ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบรับพื้นที่ชีวิตในอนาคต ของครอบครัวคนเมืองรุ่นใหม่ระดับกลางบน ชูจุดต่างของการดีไซน์ที่เข้าใจและมองเห็นรูปแบบการใช้ชีวิตที่จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย 1. การออกแบบพื้นที่สีเขียว (Design for Green Living) ซึ่งนอกจากจะให้ความสำคัญกับการนำต้นไม้เข้ามาอยู่ในตัวอาคารแล้วนั้น ยังคำนึงถึงการออกแบบมุมมอง (Design Approach) ทั้งจากภายในและภายนอก และ 2.การออกแบบพื้นที่ รองรับการปรับเปลี่ยน (Design for Flexible Living) ตามความต้องการใช้พื้นที่ที่หลากหลาย ด้วยผนังที่สามารถขยับ ปรับเปลี่ยน โดยไม่กระทบต่อโครงสร้างเพื่อครอบครัวขยายในอนาคต บ้านกลางเมือง โมเดลเทอราเรีย (Terraria) ไฮเอนด์ทาวน์โฮม 3 ชั้น (18 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 152 ตร.ม. หน้ากว้าง 5 เมตร) 3 นอน/3 น้ำ/2 ที่จอดรถ ประเดิมเปิด 2 ทำเลแรก ใจกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้า ติดถนนใหญ่ และทางด่วน บ้านกลางเมือง สาทร – สุขสวัสดิ์ มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท จำนวน 204 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท และ บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว – เสรีไทย มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท จำนวน 334 ยูนิต ราคาเริ่ม 4.29 ล้าน นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า “ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี 2560 บรรยากาศการซื้อขายสินค้าอสังหาฯ แนวราบมีแนวโน้มคึกคัก โดยเฉพาะสินค้าทาวน์โฮมในกลุ่มเซกเมนต์กลาง – บน ที่โฟกัสทำเลใจกลางเมืองระดับราคาขาย 4-9 ล้านบาทขึ้นไปนั้น ถือว่าได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด โดยเฉพาะจากกลุ่มลูกค้าครอบครัวเมืองเจนเนอเรชั่นใหม่ (อายุไม่เกิน 35 ปี)  ที่ให้ความสนใจและตัดสินใจซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างชัดเจน สะท้อนจากตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าไฮเอนด์ทาวน์โฮม  “บ้านกลางเมือง” ที่เป็นกลุ่มครอบครัวเมืองเจนเนอเรชั่นใหม่ในสัดส่วน 39% ในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 70% ในไตรมาส 3/2560  เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่กำลังจะเริ่มต้นครอบครัวหรือวางแผนขยับขยาย มีครอบครัวเป็นของตนเอง ซึ่งนับว่าเป็นฐานตลาดค่อนข้างใหญ่ โดยจากสัดส่วนการเพิ่มขึ้นดังกล่าวนั้น ยังสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของคนเมืองเจนเนอเรชั่นใหม่ ที่มีการ trade of จากการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม มาเป็นการใช้ชีวิตในไฮเอนด์ทาวน์โฮมแทน เนื่องจากสามารถเติมเต็มความต้องการ ทั้งในแง่ขนาดพื้นที่ใช้สอยภายในที่มากขึ้น และการมีโลเคชั่นในเมืองยังช่วยลดระยะเวลาการเดินทางอีกด้วย ซึ่ง ‘บ้านกลางเมือง’ ของ เอพีถือครองสัดส่วนผู้นำตลาดไฮเอ็นด์ทาวน์โฮมทำเลในเมืองเป็นอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 59% ของตลาดทาวน์โฮม 3 ชั้นในเมืองที่มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 30,916 ล้านบาท  โดยเอพีมุ่งสานต่อเป้าหมายในการรักษาความเป็นผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง เราพร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่   เน้นย้ำจุดแข็งทั้ง ‘การเป็นหนึ่งเดียวเรื่องทำเลที่ตั้ง’ ‘การพัฒนานวัตกรรมดีไซน์และโมเดลใหม่ๆ’ ความโดดเด่นด้านแนวคิดของ ‘การดีไซน์พื้นที่’ ที่สร้างความแตกต่างให้กับการอยู่อาศัย พร้อมการออกแบบที่หรูหราสอดรับกับพฤติกรรมลูกค้าครอบครัวเมือง ทั้งรูปลักษณ์ของบ้านและฟังก์ชั่นการใช้งานภายใน ซึ่งเชื่อมั่นว่าทั้งหมดนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีและช่วยดันยอดขายให้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้” “เอพีตระหนักดีว่า ‘ทำเล’ คือปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆ ในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย จึงเลือกพัฒนาบ้านกลางเมืองโครงการใหม่ ณ สองทำเลศักยภาพสูง คือ ‘สาทร – สุขสวัสดิ์’ ติดถนนสุขสวัสดิ์ ใช้เวลาเดินทางสู่ใจกลางธุรกิจย่านสาทรได้อย่างรวดเร็วด้วยสะพานภูมิพลหรือทางพิเศษเฉลิมมหานคร และ ‘ลาดพร้าว – เสรีไทย’ ติดถนนใหญ่ ใช้เวลาเดินทางสู่ศูนย์กลางย่านธุรกิจแห่งใหม่เชื่อมต่อลาดพร้าว-รัชดา-พระราม 9 อย่างง่ายดาย” “สำหรับไฮเอนด์ทาวน์โฮมแบรนด์ “บ้านกลางเมือง” นั้น เราได้รังสรรค์กว่า 10 โมเดล และได้รับการตอบรับที่ดีเสมอมา เราจริงจังในเรื่องการศึกษาและรับฟังความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างมาก โดยมีการลงพื้นที่นำแนวคิดเรื่อง Design Thinking มาใช้ในการวิจัยและพัฒนาสินค้าที่อยู่อาศัยคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เราพบว่าสิ่งที่ลูกค้าทาวน์โฮมต้องการ คือ คุณภาพการใช้ชีวิตในทาวน์โฮมที่สบายไม่ต่างจากการใช้ชีวิตในบ้านเดี่ยว ซึ่งนำสู่การพัฒนา “บ้านกลางเมือง” โมเดลใหม่ล่าสุด “Terraria Model” ภายใต้วิธีคิดนวัตกรรมดีไซน์พื้นที่แห่งอนาคต (Innovation for Future Living) โดยมีจุดเด่นคือ 1. การออกแบบพื้นที่สีเขียว (Design for Green Living) ซึ่งนอกจากจะให้ความสำคัญกับการนำต้นไม้เข้ามาอยู่ในตัวอาคารในรูปแบบ Pocket Garden เข้ามาไว้ในทาวน์โฮมถึง 2 จุดในชั้น 2 และชั้น 3 แล้วนั้น ยังคำนึงถึงการออกแบบมุมมอง (Design Approach) ทั้งจากภายในและภายนอก และ 2. การออกแบบพื้นที่รองรับการปรับเปลี่ยน (Design for Flexible Living) ตามความต้องการใช้พื้นที่ที่หลากหลาย ด้วย Flexible Wall ผนังภายในแบบพิเศษที่รองรับการปรับเปลี่ยน ขยับขยายได้จริง ยืดหยุ่นได้หลากหลายรูปแบบโดยไม่กระทบโครงสร้างหลักของบ้าน ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้อาศัย ขณะที่ความลงตัวเชิงฟังก์ชั่นและความคุ้มค่าทุกตารางนิ้วของพื้นที่ใช้สอยภายในทั้ง 3 ชั้น ยังเชื่อมต่อการใช้งานได้อย่างไม่จำกัด อาทิ เพิ่มพื้นที่เก็บของ (ด้านหน้าและใต้บันได) การบริหารพื้นที่ครัวแบบเข้ามุม และเพิ่มพื้นที่พักผ่อนพิเศษ ที่สามารถรองรับ ทั้งการเป็นส่วนนั่งเล่นของครอบครัวหรือพื้นที่ทำงานได้อย่างลงตัว และเพิ่มความโดดเด่นด้วยดีไซน์โมเดิร์นอย่างเป็นเอกลักษณ์ของโครงสร้างสถาปัตยกรรมดีไซน์ภายนอก ซึ่งด้วยวิธีคิดการออกแบบพื้นที่แห่งอนาคตทั้งหมดนี้ นับเป็นการพลิกประวัติศาสตร์การดีไซน์ ฉีกกรอบคำจำกัดความของทาวน์โฮมแบบเดิมๆ และมั่นใจว่า “บ้านกลางเมือง” โมเดลใหม่ล่าสุด “Terraria Model” จะได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้าครอบครัวเมืองอย่างแน่นอน” คุณภมรกล่าว ในปี 2560 เอพีตั้งเป้ายอดขายในส่วนโครงการแนวราบไว้ที่ 13,600 ล้านบาท ในส่วนของผลการดำเนินงานของเอพีเฉพาะจากกลุ่มสินค้าแนวราบ (ณ 31 ตุลาคม 2560) เอพีสามารถสร้างยอดขายรวมกว่า 12,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า  โดยสรุปการเปิดโครงการแนวราบในปี 2560 รวมทั้งสิ้น 22 โครงการ มูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้น 24,940 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 13 โครงการ มูลค่า 12,590 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว 9 โครงการ มูลค่า 12,350 ล้านบาท ปัจจุบัน เอพีมีโครงการแนวราบพร้อมขาย (existing projects) รวมทั้งสิ้น 64 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 31,500 ล้านบาท และสำหรับ 2 เดือนสุดท้ายของปี 2560 เตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบ 5 โครงการ มูลค่ารวม 7,700 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 3 โครงการ มูลค่า 5,300 ล้านบาท และทาวน์โฮม 2 โครงการ มูลค่า 2,400 ล้านบาท บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) คือ ผู้นำด้านการปฏิวัติออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่อยู่อาศัย ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ดีไซน์ที่โดดเด่นด้วยพื้นที่ใช้สอยที่สะดวกสบาย ทำเลที่ดีเยี่ยม รวมไปถึงคุณภาพในการก่อสร้าง การบำรุงรักษา บริการหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้าเอพีได้ใช้ชีวิตที่ดีที่สุดและเติมเต็มความสุขในแบบที่ปรารถนา
“สยามพารากอน ลักซ์ชัวรี่ พร็อพเพอร์ตี้ โชว์เคส 2017” มหกรรมอสังหาริมทรัพย์ครั้งยิ่งใหญ่ระดับมาสเตอร์พีซและไฮเอนด์ พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษแห่งปี ระหว่างวันที่ 9-19 พฤศจิกายน ศกนี้ ที่สยามพารากอน

“สยามพารากอน ลักซ์ชัวรี่ พร็อพเพอร์ตี้ โชว์เคส 2017” มหกรรมอสังหาริมทรัพย์ครั้งยิ่งใหญ่ระดับมาสเตอร์พีซและไฮเอนด์ พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษแห่งปี ระหว่างวันที่ 9-19 พฤศจิกายน ศกนี้ ที่สยามพารากอน

ท่ามกลางสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ยังอยู่ในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะตลาดระดับบนและลักซ์ชัวรี่ และปัจจัยบวกต่าง ๆ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงมาตรการส่งเสริมการพัฒนาที่อยู่อาศัย รองรับสังคมผู้สูงอายุจะช่วยสร้างตลาดใหม่และเพิ่มความต้องการในการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ทั้งในมือชาวไทยและชาวต่างชาติ ปัจจัยบวกดังกล่าวนี้จะช่วยให้ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้ และปี 2561 ให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการที่พักอาศัยสุดหรูอย่างสมบูรณ์แบบที่สุดและรวบรวมผู้ประกอบการโครงการที่พักระดับชั้นนำไว้ในที่เดียว ศูนย์การค้าสยามพารากอน จึงได้จัดงาน “สยามพารากอน ลักซ์ชัวรี่ พร็อพเพอร์ตี้ โชว์เคส 2017” (Siam Paragon Luxury Property Showcase 2017) งานแสดงที่สุดแห่งโครงการที่พักอาศัยและที่พักตากอากาศระดับมาสเตอร์พีซและระดับไฮเอนด์ครั้งยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 โดยในปีนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทยจำนวนมากถึง 14 โครงการ พร้อมชูไฮไลท์นำเสนอบ้านพัก คอนโดมิเนียม และรีสอร์ตระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่มากกว่า 3,000 ยูนิต พิเศษกับเรือยอชต์หรูที่จะมาเติมเต็มทุกความต้องการให้ผู้สนใจและนักลงทุนที่ต้องการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์ระดับไฮเอนด์และเพื่อลงทุนหวังผลกำไรในระยะยาวได้เลือกสรรกัน พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ 3 ต่อส่งท้ายปลายปีอีกมากมาย นางสาวชนิสา แก้วเรือน รองกรรมการผู้จัดการ สายกิจกรรมการตลาดและธุรกิจสัมพันธ์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน เปิดเผยถึงการจัดงานครั้งนี้ว่า “ในปี 2560 และคาดการณ์ต่อเนื่องถึงปี 2561 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ มีการเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาเพราะมีการเปิดโครงการและมีจำนวนยูนิตที่มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการแบบมิกซ์ยูสหลายโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อสร้างเป็นแลนด์มาร์คในแต่ละทำเลของกรุงเทพฯ และพื้นที่ปริมณฑลและเมืองเศรษฐกิจสำคัญในแต่ละภูมิภาค  และด้วยตัวเลขเศรษฐกิจที่เริ่มส่งสัญญาณในทางบวก ส่งผลให้การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาส 3 และ 4 ดูคึกคักกว่าปกติมีสัญญาณการเติบโตต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2561 อีกทั้งด้วยปัจจัยบวก ทั้งแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่ง และรถไฟฟ้าสายสำคัญต่างๆ ที่คาดการณ์ว่าจะเปิดพื้นที่ใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล และโครงการเมกะโปรเจกต์รถไฟความเร็วสูงที่มีเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ที่มีเป้าหมายในการก่อสร้าง 4 สาย ได้แก่ สายเหนือ, สายตะวันออก, สายตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้ อีกทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาคผ่านการส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษคลัสเตอร์ และแผนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ ECC รวมถึงมาตรการส่งเสริมการพัฒนาที่อยู่อาศัยรองรับสังคมผู้สูงอายุ และนโยบายการคงอัตราดอกเบี้ยต่ำ และมาตรการขยายสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สยามพารากอนจึงได้ร่วมมือกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องที่จะรวบรวมที่สุดแห่งอภิมหาโปรเจกต์โครงการที่พักอาศัยและที่พักตากอากาศระดับมาสเตอร์พีซและไฮเอนด์ของเมืองไทย รวมไปถึงสินทรัพย์ราคาแพงอย่างเรือยอชต์เพื่อเป็นศูนย์กลางให้กับเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์และผู้ที่ต้องการหาทำเลเพื่อที่อยู่อาศัยและการลงทุน “ตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งคอนโดและแนวราบระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ตั้งแต่ต้นปี 2560 จนถึงปัจจุบันมีการเติบโตต่อเนื่อง ความต้องการยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยระดับราคาคอนโดระดับบนจะอยู่ที่ราว 250,000 บาท/ตารางเมตร (ตร.ม.) ขณะที่บ้านแนวราบมีตั้งแต่ 20-200 ล้านบาท ทั้งนี้ มองว่าเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มดีขึ้น กำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ยังมีอยู่และเป็นดีมานด์จริงโดยเฉพาะตลาดระดับบนและไฮเอนด์ ซึ่งเป็นกำลังซื้อจากคนไทยเองราว 60-70 เปอร์เซ็นต์ และมีสัดส่วนกำลังซื้อของชาวต่างชาติที่ต้องการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ และซื้อเพื่อการลงทุนเพิ่มมากขึ้น คิดเป็นสัดส่วนการซื้อขายคอนโดราว 30-40 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่มีปัจจัยบวกในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ยังต่ำ การปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 4 ขยับและดีขึ้นในปี 2561 โดยการจัดงานครั้งนี้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เหล่าดีเวลลอปเปอร์จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างตรงกลุ่ม และเป็นโอกาสของผู้ซื้อที่จะได้พบข้อเสนอสุดคุ้ม ในราคาที่เข้าถึง  และโปรโมชั่นต่างๆ ที่จะทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น” นางสาวชนิสากล่าว สำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่นำมาจัดแสดงภายในงานครั้งนี้ล้วนเป็นโครงการระดับมาสเตอร์พีซจากโครงการที่พักอาศัยและที่พักตากอากาศเหนือระดับบนทำเลที่ดีที่สุด ได้แก่ ARNA EKAMAI / BLUEPHERE PATTAYA / CANAPAYA RESIDENCES /  FOUR SEASONS PRIVATE RESIDENCES BANGKOK AT CHAO PHRAYA RIVER / LAVIQ SUKHUMVIT 57 /  THE LOFTS SILOM/ MOVENPICK RESIDENCES & POOL VILLAS / NARA 9 BY EASTERN STAR / NIVATI / THE PANO / THE RESIDENCES at SHERATON PHUKET GRAND BAY / SWAN LAKE RESIDENCE KHAOYAI / WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM และพิเศษในปีนี้มีเรือยอชต์หรู จาก  BOAT LAGOON มาร่วมจัดแสดงตอบโจทย์ผู้ต้องการครอบครองสินทรัพย์ระดับมาสเตอร์พีซไว้ในที่เดียวภายในงานอย่างครบครัน แต่ละโครงการได้เตรียมตอบสนองความต้องการของนักลงทุนหรือลูกค้าในปีนี้และปีหน้า ด้วยการพัฒนารูปแบบโครงการแบบมิกซ์ยูส เพิ่มพื้นที่ส่วนตัว ตกแต่งภายในด้วยเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งระดับไฮเอนด์ที่ดีที่สุด พร้อมตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย พร้อมบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตลอดจนมีการวางกลยุทธ์ในการตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ซื้อ และการอัดแคมเปญข้อเสนอสุดพิเศษ ทำให้คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเหมือนเช่นทุกปีในตลอด 11 วันของการจัดงาน” นางสาวชนิสากล่าวปิดท้าย นายเนติ  นฤมิตร นักลงทุนคอนโด โบรคเกอร์อสังหาฯ ผู้เชี่ยวชาญตลาดคอนโดระดับ Ultra Luxury กล่าวถึงแนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะตลาดบนไว้อย่างน่าสนใจว่า ปัจจุบันการเติบโตของตลาดอสังหาฯระดับ Luxury และ Super Luxury เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เพราะเป็นกลุ่มที่ไม่กระทบกับภาวะเศรษฐกิจเท่าใดนัก และตลาดอสังหาฯกลุ่มบนก็ยังคงเป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้ซื้อระดับบนและชาวต่างชาติ และเพื่อการลงทุนระยะยาว ซึ่งราคาอสังหาฯโดยเฉพาะกลุ่มลักซ์ชัวรี่ที่มุ่งเน้นไปที่โลเคชั่น ดีไซน์ความหรูหรา และการใช้วัสดุคุณภาพสูงยังคงเป็นตลาดที่เหล่าดีเวลลอปเปอร์และนักลงทุนด้านอสังหาฯให้ความเชื่อมั่น และจะมีราคาเพิ่มขึ้นทุกปีจึงเป็นกลุ่มอสังหาฯ ที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะตลาดระดับบน จะยังคงโตต่อเนื่องในปีหน้าตามทิศทางของเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มจะเติบโตมากขึ้น จาก Fund flow หรือเงินไหลเข้า ซึ่งนักลงทุนต่างชาติก็พร้อมจะลงทุนในไทย ทั้งยังมีเมกะโปรเจกต์ที่สร้างเสร็จทำให้ที่ดินราคาสูงขึ้น และจากนโยบายส่งเสริมเขตเศรฐกิจพิเศษของภาครัฐและการเติบโตของเมืองสำคัญ ๆ ที่กระจายตัวมากขึ้นทำให้ตลาดอสังหาฯเป็นกลุ่มที่นักลงทุนและดีเวลลอปเปอร์จะให้ความสนใจ โดยตลาดอสังหาฯกลุ่ม Luxury ขึ้นไปจะยังคงสร้าง capital gain ได้อย่างดีทำให้นักลงทุนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติมั่นใจที่จะลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มคนนักธุรกิจรุ่นใหม่ ซึ่งรู้จักวิธีการใช้เงิน มีไลฟ์สไตล์ และมองหาการลงทุนที่มั่นคงและสร้างผลประโยชน์ในระยะยาว ก็จะหันมาสนใจกับการลงทุนในกลุ่มอสังหาฯ โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดบนมากขึ้น เพราะมีความเชื่อมั่นว่า กลุ่มตลาดบนนี้ได้คัดสรรโลเคชั่นที่เป็นที่ต้องการทั้งในย่านใจกลางเมือง ใจกลางสวนสาธารณะ ติดริมน้ำ หรือติดเส้นทางคมนาคม ทั้งรถไฟฟ้าและย่านเศรษฐกิจสำคัญ รวมไปถึงแหล่งท่องเที่ยว ริมทะเล หรือบนเขา จะมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังมั่นใจกับแบรนด์ผู้ลงทุนที่มีการ Collaborate การออกแบบ เลือกดีไซน์ที่หรูหรา มีการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมทันสมัยในการพัฒนาการบริการให้เป็นที่พอใจสูงสุด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้พักอาศัย ทำให้นักลงทุนมั่นใจในคุณค่าทั้งอสังหาริมทรัพย์และแบรนด์เจ้าของผู้ลงทุนโครงการมูลค่าสูง” ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงยังกล่าวเสริมอีกว่า เชื่อมั่นว่าการเติบโตของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องกว่า 15 เปอร์เซ็นต์หรืออาจจะมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ได้ไม่ยาก ตามปัจจัยบวกทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ผลสำรวจจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้มีค่าเท่ากับ 67.0 จุด เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งมีค่าเท่ากับ 65.1 จุด แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล มีทิศทางความเชื่อมั่นในเชิงบวกต่อการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยมีค่าเพิ่มขึ้นในเกือบทุกด้านจากเมื่อช่วงต้นปี โดยเฉพาะจากปัจจัยความเชื่อมั่นด้านผลประกอบการ ยอดขาย การลงทุน และแผนที่จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากพิจารณาแยกตามกลุ่มผู้ประกอบการ พบว่า ผู้ประกอบการกลุ่ม Listed Companies มีค่าดัชนีความเชื่อมั่น เท่ากับ 73.1 จุด เพิ่มขึ้นจาก 71.9 จุดในไตรมาสก่อนหน้า และเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งมีผลจากปัจจัยความเชื่อมั่นในด้านผลประกอบการ การลงทุน และแผนที่จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในอนาคต ขณะที่ผู้ประกอบการกลุ่ม Non-listed Companies มีค่าดัชนีเท่ากับ 57.9 จุด เพิ่มขึ้นจาก 54.9 จุด ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งมีปัจจัยความเชื่อมั่นที่สำคัญในด้านผลประกอบการ ยอดขาย การลงทุน ต้นทุนประกอบการ และการเปิดโครงการใหม่ สะท้อนว่าผู้ประกอบการกลุ่ม Listed Companies และกลุ่ม Non-listed Companies ทั้งสองกลุ่มมีความเชื่อมั่นเชิงบวกต่อทิศทางการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต กล่าวโดยสรุปผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่าสถานการณ์ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น โดยมีความเชื่อมั่นต่อทิศทางของยอดขาย การเปิดตัวโครงการใหม่ การลงทุน และผลประกอบการในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน งาน “สยามพารากอน ลักซ์ชัวรี่ พร็อพเพอร์ตี้ โชว์เคส 2017” จะจัดตั้งแต่วันที่ 9-19 พฤศจิกายนนี้ บริเวณแฟชั่น ฮอลล์ และแฟชั่น แกลเลอรี่ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยครั้งนี้เหล่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำพร้อมมอบสุดยอดโอกาสการลงทุนในโครงการที่พักอาศัยเหนือระดับ พร้อมที่สุดแห่งข้อเสนอพิเศษ 3 ต่อ ไม่ว่าจะเป็น ต่อที่ 1 ส่วนลดและข้อเสนอแห่งปีจากโครงการที่พักอาศัยและที่พักตากอากาศสุดหรูบนทำเลศักยภาพ, ต่อที่ 2 สำหรับผู้ที่มียอดใช้จ่ายสูงสุดภายในงาน  ท่านแรก รับแพคเกจสุดเอ็กซ์คลูซีฟทริปล่องเรือยอชต์สุดหรูที่ภูเก็ต จาก Boat Lagoon Yachting ดื่มด่ำประสบการณ์สุดหรู 1 วันบนเรือสำหรับ 10 ท่าน รวมบริการทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และแชมเปญ มูลค่า 350,000 บาท  สำหรับท่านที่ 2-3 จะได้รับตั๋วเครื่องบินเปิดเส้นทางบินใหม่ ไป-กลับ ฟูกว๊อก ประเทศเวียดนาม สำหรับ 2 ท่าน มูลค่ารางวัลละ 108,000 บาท จาก Bangkok Airways และ ห้องพัก Turquoise Suite 4 วัน 3 คืน ที่โรงแรม JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay Resort & Spa พร้อมอาหารทุกมื้อ มูลค่ารางวัลละ 192,500 บาท  และท่านที่ 4 และ 5 รับทันที เครื่องดูดฝุ่นที่ทรงพลังมากที่สุดจาก Dyson V8 Animal Vacuum ไร้สาย ใช้งานสะดวก มูลค่าเครื่องละ 25,900 บาท และ ต่อที่ 3 สิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตกสิกรไทย เมื่อชำระค่าจองผ่านบัตรเครดิต รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 12,000 บาท พร้อมแบ่งจ่าย 0% นานสูงสุด 10 เดือน สิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตธนชาต เมื่อชำระค่าจองผ่านบัตรเครดิต รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 14,000 บาท  หรือ แบ่งจ่าย 0% นาน 6 เดือน สอบถามเพิ่มเติมโทร 0-2610-8000  
แสนสิริ ลงทุน 80 ล้านดอลล่าร์ ใน 6 แบรนด์ชั้นนำของโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ระดับโลกเพื่อการใช้ชีวิตในอนาคต

แสนสิริ ลงทุน 80 ล้านดอลล่าร์ ใน 6 แบรนด์ชั้นนำของโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ระดับโลกเพื่อการใช้ชีวิตในอนาคต

แสนสิริ ก้าวล้ำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยแผนการลงทุนมูลค่า 80 ล้านดอลล่าร์ หรือ 2,800  ล้านบาทใน 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก ซึ่งเป็นการขยายฐานการลงทุนในธุรกิจอื่นครั้งสำคัญเพื่อสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอันหลากหลาย โดยทั้ง 6 ธุรกิจล้วนมีอัตราการเติบโตสูงในตลาดโลกซึ่งจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของแสนสิรินอกประเทศไทย เร่งเดินหน้ากลยุทธ์โมเดลธุรกิจแบบ asset light ในยุคปฏิวัติดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสจากการผนึกกำลังร่วมและโอกาสการเติบโตที่รวดเร็ว โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของบริษัททั้งหกจากการเข้าถือหุ้นของแสนสิริจะส่งผลดีต่อธุรกิจหลักของแสนสิริ การลงทุนครั้งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของแสนสิริที่มุ่งให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตในอนาคต ครอบคลุมทั้งแนวทางการดำเนินชีวิต การทำงาน การพักผ่อนหย่อนใจ และการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีและสื่อรูปแบบใหม่ ๆ ธุรกิจที่แสนสิริร่วมลงทุนครั้งนี้ประกอบด้วย Standard International แบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในธุรกิจบูติกโฮเทลซึ่งพลิกโฉมหน้าวงการโรงแรมระดับไฮเอนด์แบบใหม่ไปสู่อีกรูปแบบ One Night แอพพลิเคชั่นจองโรงแรมที่ปฎิวัติวิธีการจองภายในวันเข้าพักในโรงแรมที่คัดสรรมาอย่างดีจากทั่วโลกให้เลือก Hostmaker บริษัทผู้บริหารจัดการอสาหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งจากลอนดนให้ Airbnb  JustCo ผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้ง    สเปซสุดสร้างสรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Farmshelf นวัตกรรมฟาร์มอัจฉริยะเพื่อการปลูกผักสดสะอาดในที่พักอาศัย และ Monocle แบรนด์สื่ออันทรงอิทธิพลระดับโลก ครอบคลุมทั้งสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ วิทยุ ภาพยนตร์ รีเทล และธุรกิจบริการแสนสิริคือผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2527 และเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรรายเดียวของประเทศซึ่งมีมูลค่ายอดขายโครงการมากกว่า 40,000 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังมีชื่อเสียงอันแข็งแกร่งในต่างประเทศ ทั้งจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และญี่ปุ่น ด้วยเป้าหมายยอดขายในตลาดต่างประเทศในปี 2560 ที่ 12,000 ล้านบาท นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย สอดคล้องกับการเติบโตของจีดีพี ซึ่งการเติบโตในระดับที่ไม่สูงนัก  แต่แสนสิริวางเป้าหมายการเติบโตในระดับสูง และการลงทุนครั้งนี้นับเป็นการพัฒนาที่อยู่นอกเหนือธุรกิจหลักของเราเป็นครั้งแรก เรากำลังขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกและมุ่งลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพที่ดีในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และอาศัยพันธมิตรในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเราไปพร้อม ๆ กัน” “ก้าวสำคัญต่อไปของเราคือการมุ่งตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคโดยการสร้างสรรค์แพลตฟอร์มระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะผลักดันให้แสนสิริก้าวสู่ความเป็นแบรนด์ระดับโลก เป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งการผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรที่หลากหลายยังนับเป็นการพลิกโฉมแสนสิริเพื่อสร้างการเติบโตสู่อนาคต โดยให้ความสำคัญใน 3 ด้านคือ 1. การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก 2. การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการพักอาศัย หรือ PropTech ร่วมกับผู้พัฒนาเทคโนโลยีชั้นนำ และ 3. การเสริมสร้างบทบาทความเป็นผู้นำและขยายฐานกลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม”  นายเศรษฐาเสริม   Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) The Standard (เดอะ สแตนดาร์ด) เป็นแบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในธุรกิจบูติกโฮเทล มีโรงแรมในเครือทั้งหมด 5 แห่ง ในนิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส และไมอามี และโรงแรมแห่งใหม่ที่กำลังจะเปิดเร็วๆ นี้ในลอนดอน The Standard คือผู้บุกเบิกในธุรกิจโรงแรมแบบไลฟ์สไตล์และสร้างประสบการณ์การเข้าพักในโรงแรมที่ใหม่หมดทุกรายละเอียด ตั้งแต่รายละเอียดของการออกแบบ ไปจนถึงการเป็นจุดหมายสุดสร้างสรรค์เพื่อสัมผัสกับชุมชนและวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด โดยโรงแรมทุกแห่งมีภัตตาคาร ไนท์ไลฟ์ และร้านค้าที่มีคุณภาพเป็นเลิศ และมีช่องทางการสื่อสารออนไลน์ที่โดดเด่นเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ทำงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ซึ่งเป็นลูกค้าเป้าหมาย ทั้งในเมืองที่ตั้งของโรงแรมและที่อื่น ๆ ด้วยการลงทุนมูลค่า 58 ล้านดอลล่าร์ แสนสิริจะเป็นผู้ถือหุ้น 35% ในสี่กลุ่มธุรกิจของ Standard International ประกอบด้วย The Standard Hotel Operations and Management, Bunkhouse Group, แอพพลิเคชั่น One Night และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรม แผนการลงทุน การลงทุนครั้งนี้จะใช้เป็นเงินลงทุนในโรงแรมใหม่ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มใหม่ และในการพัฒนานวัตกรรมแอพพลิเคชั่น One Night สำหรับการจองโรงแรมแบบนาทีสุดท้าย (Last minute booking) เพื่อเข้าพักในวันเดียวกันโดยมีโรงแรมไลฟ์สไตล์ที่คัดสรรมาแล้วจากทั่วโลกให้เลือก มร. อามาร์ ลาลวานี่ ซีอีโอและ Managing Partner สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “The Standard มีชื่อเสียงในฐานะผู้บุกเบิกด้านบริการโรงแรมที่พัก การเดินทาง อาหารชั้นเลิศ ไนท์ไลฟ์ และอื่น ๆ ด้วยแนวคิดที่แหวกขนบเดิม ๆ และแฝงความสนุกสนาน สร้างความละเมียดละไมด้วยการออกแบบ การเพิ่มเติมรายละเอียด และการบริการที่สุดพิถีพิถัน การจับมือกับแสนสิริจะช่วยให้เราเข้าถึงโอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนานวัตกรรมจากเทคโนโลยีและโรงแรมใหม่ ๆ ทั้งในเอเชีย และภูมิภาคอื่นทั่วโลก”   One Night (วัน ไนท์) One Night เป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับการจองโรงแรมที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัท สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล กลุ่มบริษัทเจ้าของบริษัท เดอะ สแตนดาร์ด โฮเท็ล กรุ๊ป และเป็นแพล็ตฟอร์มการจองโรงแรมระบบแรกซึ่งออกแบบโดยบริษัทโรงแรมเอง One Night คือแพล็ตฟอร์มที่ใช้งานบนเครือข่ายโมบายซึ่งสร้างรายได้จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของการจองโรงแรมบนเครือข่ายโมบาย ความต้องการในโรงแรมที่พักที่สร้างประสบการณ์อันน่าจดจำ ตลอดจนไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งของกลุ่มลูกค้าผู้บริโภครุ่นใหม่ One Night จึงเกิดขึ้นเพื่อนำเสนอแนวความคิดใหม่ในธุรกิจโรงแรม ซึ่งไม่มองคู่แข่งเป็นคู่แข่ง แต่มองคู่แข่งเป็นพันธมิตรที่มีศักยภาพในการทำอะไรร่วมกันได้เพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษให้ลูกค้าและเสริมสร้างธุรกิจไปด้วยกัน แผนการลงทุน แสนสิริจะช่วยส่งเสริมให้ One Night พัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพและเติบโตในตลาดนานาชาติ โดยเฉพาะในเอเชีย มร. จิมมี่ ซูฮ์ ประธานบริหาร One Night กล่าวว่า “การลงทุนจากแสนสิริช่วยให้เรามีเงินทุนในการพัฒนาธุรกิจอย่างเต็มศักยภาพและเติบโตในระดับนานาชาติ อีกทั้งยังทำให้เราเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ จากการลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ของแสนสิริ ซึ่งจะช่วยให้เราเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง” Hostmaker (โฮสต์เมกเกอร์) Hostmaker คือบริษัทผู้ให้บริการบริหารการเช่าที่พักอาศัยและผู้บริหารการจองที่พักอันดับหนึ่งของ Airbnb ที่ได้รับรางวัลการันตีคุณภาพมาแล้ว แสนสิริเล็งเห็นถึงเทรนด์ home-sharing หรือการแบ่งที่พักอาศัยให้เช่ากำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้บริการด้านบริหารที่พักอาศัยเติบโตขึ้นตามไปด้วย Hostmaker ดำเนินธุรกิจในลอนดอน โรม ปารีส และบาเซโลน่า โดยให้บริการลูกค้าผู้พักอาศัยมาแล้วกว่า 150,000 คนทั่วโลก แผนการลงทุน Hostmaker จะขยายธุรกิจสู่เอเชียภายใต้การสนับสนุนของแสนสิริ ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากตลาดนอกประเทศไทยให้กับแสนสิริ มร. นกุล ชาร์มา ผู้ก่อตั้ง และซีอีโอ Hostmaker กล่าวว่า “เราคือบริษัทด้าน PropTech ที่มุ่งสร้างโซลูชั่นด้านการพักอาศัยในยุคเศรษฐกิจแห่งการแบ่งปัน (sharing economy) เพื่อตอบสนองความคาดหวังด้านบริการที่สูงขึ้นของผู้บริโภคเจเนอเรชั่นใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เงินทุนจากแสนสิริจะเปิดโอกาสใหม่ให้เราเติบโตด้วยบริการใหม่ ๆ และเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ เช่นเดียวกับการนำเอาความเชี่ยวชาญในตลาดนานาชาติของเรามาช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของแสนสิริ และพลิกโฉมแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทยสู่การเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม”   JustCo (จัสท์โค) JustCo คือ ผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันเปิดให้บริการทั้งหมด 11 แห่ง และมีแผนจะเปิดสาขาใหม่อีก 20 แห่งในในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2561 แสนสิริเล็งเห็นว่าในอนาคตองค์กรขนาดใหญ่จะหันมาใช้สถานที่ทำงานแบบโคเวิร์คกิ้งสเปซมากขึ้นเพื่อส่งเสริมให้พนักงานเกิดพลังสร้างสรรค์ การผสมผสานทางความคิด และพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดี แสนสิริวางเป้าหมายให้ JustCo ขยายการเติบโตอย่างรวดเร็ว แผนการลงทุน แสนสิริและ JustCo ร่วมกันวางแผนเปิดตัว JustCo สาขาใหม่ 4 แห่งในกรุงเทพฯ ในปี 2561 รวมทั้งขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในเอเชีย มร. วัน ซิง คง ซีอีโอ และผู้ก่อตั้ง JustCo กล่าวว่า “JustCo สร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์มาอย่างต่อเนื่องในเมืองต่าง ๆ ความร่วมมือกับแสนสิริจะช่วยเปิดประตูให้เราขยายธุรกิจสู่กรุงเทพฯ นับเป็นเงินทุนที่มาในช่วงเวลาอันเหมาะสม เพราะเรากำลังพร้อมขยายธุรกิจสู่เมืองหลักอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น จาการ์ต้า กัวลาลัมเปอร์ โฮจิมินซิตี้ และมะนิลา ด้วยรากฐานอันแข็งแกร่งและการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากแสนสิริ เราคาดว่าจะสามารถขยายโคเวิร์คกิ้งสเปซได้ครบ 30 แห่งทั่วเอเชียแปซิฟิกภายในปี 2561 ซึ่งแสนสิริเองก็สามารถเข้าถึงฐานสมาชิกของเราซึ่งเป็นผู้บริโภคที่มีศักยภาพสูงกว่า 12,000 คนเช่นกัน”   Farmshelf (ฟาร์มเชลฟ์) Farmshelf คือผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมการเพาะปลูกแบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้ทุกคนสามารถปลูกผักเพื่อการบริโภคได้ง่ายดายภายในบ้านหรือที่ทำงาน แสนสิริลงทุนใน Farmshelf เนื่องจากเล็งเห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจด้านสุขภาพ และแนวโน้มของผู้บริโภคที่มีความต้องการอาหารคุณภาพที่สดใหม่ รวมทั้งปรากฏการณ์การพักอาศัยแบบร่วมมือแบ่งปันกัน (collaborative living) แผนการลงทุน Farmshelf มีโอกาสทางธุรกิจอันมหาศาลเพื่อการนำไปใช้ในโครงการที่พักอาศัยต่าง ๆ ของแสนสิริ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกบ้าน การร่วมเป็นพันธมิตรครั้งนี้คือโอกาสสำคัญในการขยายธุรกิจให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วสู่ทั่วภูมิภาคเอเชีย มร. แอนดรู เชียเรอร์ ซีอีโอ Farmshelf กล่าวว่า “เราเชื่อในเรื่องการผลิตอาหารเพื่อบริโภคด้วยตัวเอง ซึ่งแม้แต่คนเมืองที่มีชีวิตอันรีบเร่ง และมีพื้นที่อาศัยจำกัดก็สามารถทำได้ Farmshelf ช่วยให้ทุกคนปลูกพืชผักเป็นอาหารในที่พักอาศัย หรือที่ทำงาน โดยใช้แอพพลิเคชั่นและเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) ที่ทันสมัย ด้วยเงินทุนจากแสนสิริ เราสามารถต่อยอดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนำวัฒนธรรมใหม่นี้มาสู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตรวดเร็วแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังมีผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์ทันสมัยและเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนและมีสุขภาพดี”   Monocle (โมโนเคิล) ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของอุตสาหกรรมสื่อในระหว่างทศวรรษที่ผ่านมา Monocle กลับสามารถสร้างความสำเร็จด้วยการนำเสนอประสบการณ์แบบลักชัวรี่ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ ผสมผสานกับการเป็นผู้บุกเบิกในการใช้สื่อเสียง ร้านค้ารีเทล และบริการโรงแรมที่พัก  ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคุณค่าของแบรนด์และการสื่อสารอย่างเปี่ยมคุณภาพของ Monocle ได้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของอุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์ทั่วโลกไปแล้ว แผนการลงทุน Monocle จะทำหน้าที่ส่งเสริมแบรนด์แสนสิริและพันธมิตรให้โดดเด่นยิ่งขึ้น โดยช่วยกำหนดและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เชื่อมโยงสู่กลุ่มลูกค้าของ Monocle ในตลาดนานาชาติโดยอาศัยฐานธุรกิจที่มีอยู่ทั่วโลก และยังเล็งเห็นถึงโอกาสสำคัญในการพัฒนาธุรกิจที่ใช้ชื่อแบรนด์ร่วมกันในเซกเตอร์ใหม่ในอนาคต นอกจากนี้แสนสิริยังมีแผนในการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยแบบมิกซ์ยูสแนวคิดใหม่ร่วมกับ Monocle ในกรุงเทพฯ ในปี 2561 มร. ไทเลอร์ บรูเล่ ผู้ก่อตั้ง Monocle กล่าวว่า “แสนสิริและ Minocle มีความสัมพันธ์ต่อกันมายาวนาน และด้วยธุรกิจของเราที่เติบโตมากกว่าการเป็นเพียงสื่อ เราจึงเห็นความสำคัญของการร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทที่มีแนวคิดสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของเราซึ่งกำลังมุ่งสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับชุมชนเมือง รีเทล และแนวคิดด้านบริการใหม่ ๆ มากขึ้น” “ธุรกิจหลักของเรายังคงเป็นการพัฒนาและสร้างสรรค์ที่พักอาศัย แต่จุดมุ่งหมายของเราขยายกว้างขึ้นสู่ความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คน ตั้งแต่บ้านที่เราพักอาศัย สู่วิถีในการเดินทาง และอาหารการกินที่สดใหม่ที่สุด แสนสิริและพันธมิตรของเราจะมุ่งมั่นร่วมกันสรรสร้างวิถีแห่งการใช้ชีวิต การทำงาน การเรียนรู้ และการพักผ่อนหย่อนใจเพื่อวันข้างหน้าที่ดีขึ้น” นายเศรษฐากล่าวปิดท้าย
โกลด์ไชน์ เปิดตัว “คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา” ใจกลางศรีราชา คอนโดสุดหรูโฉมใหม่ เหมาะสำหรับนักลงทุน

โกลด์ไชน์ เปิดตัว “คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา” ใจกลางศรีราชา คอนโดสุดหรูโฉมใหม่ เหมาะสำหรับนักลงทุน

บริษัท โกลด์ไชน์ จำกัด  เปิดตัวโครงการ  คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา  (KEEN CENTRE SRIRACHA)   มูลค่าโครงการ 2,716 ล้านบาท คอนโดมิเนียมใหม่สุดหรูวิวทะเล อาคารสูง 38 ชั้น บนทำเลที่ดีที่สุด โดดเด่นด้วยการอยู่ใจกลางเมืองศรีราชา ติดถนนสุขุมวิท ท่ามกลางแหล่งช้อปปิ้ง โรงพยาบาลชั้นนำ โรงเรียน และอีกมากมาย พร้อมดีไซน์โฉมใหม่ด้วยคอนเซ็ปต์ Luxury in Simplicity เน้นกลิ่นอายเรียบหรูสไตล์ญี่ปุ่น คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชาเหมาะสำหรับนักลงทุน คุ้มค่าแถมให้ผลตอบแทนสูง เนื่องจากเป็นโครงการเดียวในใจกลางเมือง ที่ให้เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งครบสูงสุดกว่า 64 รายการ  พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมมูลค่าสูงสุด 900,000 บาท ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแต่งครบพร้อมปล่อยเช่าทันที  นอกจากนี้ยังพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสุดไฮเอนด์ครบครัน ตอบสนองการใช้ชีวิต ทุกรูปแบบเพิ่มเติมด้วย พื้นที่ส่วนกลาง อาทิ ห้องออนเซ็น ห้องดื่มชา สวนสไตล์เซน ห้องคนขับรถ  รวมถึงมีบริการ ระดับมาตราฐานโรงแรม (Boutique Service)  ฟรีทำความสะอาดห้องพัก สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นต้น   ชื่อโครงการ :                    คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา  (KEEN CENTRE SRIRACHA) ราคา :                                3.1 – 9.4 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยเริ่มต้น :           82,000 บาท/ตรม. มูลค่าโครงการ :               2,716 ล้านบาท เจ้าของโครงการ :            บริษัท โกลด์ไชน์ จำกัด ที่ตั้งโครงการ :                  ถนนสุขุมวิท ต. ศรีราชา อ. ศรีราชา จังหวัดชลบุรี ขนาดที่ดิน :                       3-1-77 ไร่ ลักษณะโครงการ :           คอนโดมิเนียม สูง 38 ชั้น  1 อาคาร (อาคารจอดรถชั้น 1-7, ที่พักอาศัย 8-37) จำนวนยูนิต :                     625 ยูนิต และพานิชยกรรม 3 ยูนิต ที่จอดรถ :                         44% (ไม่รวมซ้อนคัน) ประเภทห้อง :                   Type A – 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ตกแต่งครบพร้อมเข้าอยู่ ขนาดพท. :                       ตั้งแต่ 34.74 – 39.28 ตร.ม. Type B – 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ตกแต่งครบพร้อมเข้าอยู่ ขนาดพท. ตั้งแต่ 40.41 – 45.38  ตร.ม. Type C – 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ตกแต่งครบพร้อมเข้าอยู่ ขนาดพท. ตั้งแต่ 65.36 – 87.22  ตร.ม. Type PH (Penthouse)  – 2 ห้องนอน และ 3 ห้องนอน ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ built-in ขนาดพท. ตั้งแต่ 83.49 – 267.82  ตร.ม. สิ่งอำนวยความสะดวก :    ล็อบบี้ (Lobby), ห้องเดย์เลานจ์ (Day Lounge), ห้องเด็กเล่น(Kids Room), ห้องจดหมาย (Mail Room), ห้องคนขับรถ (Drivers Room), สวนสไตล์ญี่ปุ่น (Zen Garden), ห้องซักรีด (Laundry Room), ห้องดูภาพยนตร์ (Theatre Room), ห้องประชุม (Meeting Room), ห้องดื่มชาแบบญี่ปุ่น (Tea Room), ห้องฟิตเนส (Fitness Room), ห้องโยคะ (Yoga Room), ห้องสันทนาการ (Sport Lounge), ห้องเกมส์ (Play Room), สวนพักผ่อน (Garden), สระว่ายน้ำ (Swimming Pool) - Temperature Control, สระว่ายน้ำเด็ก (Kids Pool), ห้องออนเซ็นชาย/หญิง (Onsen Room), ห้องซาวน่า (Sauna Room), สวนชั้นดาดฟ้า (Rooftop Garden) ออกแบบสถาปัตยกรรม :    Process Architect and Planner ออกแบบตกแต่งภายใน :    DWP เริ่มก่อสร้าง :                         ไตรมาสที่ 1/ พ.ศ. 2561 คาดว่าจะแล้วเสร็จ:              ไตรมาสที่ 2/ พ.ศ. 2563 Website :                              www.keen-sriracha.com ผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมห้องตัวอย่าง และรับข้อมูลของโครงการ  คีน เซ็นเตอร์ ศรีราชา เพิ่มเติมได้ ณ Sales Gallery โทร.038 325361-3
เนอวานา ไดอิ เปิดบิ๊กโปรเจกต์ 6,500 ล้าน “บันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ” The Ultimate Luxury คอนโดใจกลางเมืองหนึ่งเดียว ที่อยู่บนทำเลที่สวยที่สุดของโค้งน้ำเจ้าพระยา

เนอวานา ไดอิ เปิดบิ๊กโปรเจกต์ 6,500 ล้าน “บันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ” The Ultimate Luxury คอนโดใจกลางเมืองหนึ่งเดียว ที่อยู่บนทำเลที่สวยที่สุดของโค้งน้ำเจ้าพระยา

บมจ. เนอวานา ไดอิ เปิดขาย “บันยันทรี เรสซิเดนซ์  ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ” (Banyan Tree Residences Riverside Bangkok) โครงการคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองระดับ Ultimate Luxury บนทำเลที่สวยที่สุดริมโค้งน้ำเจ้าพระยา ย่านเจริญนคร เนื้อที่กว่า 5 ไร่ สุดพิเศษกับ Panoramic Riverview ทุกห้อง ราคาเริ่มต้น 22.9 ล้านบาท และมีมูลค่าโครงการรวมกว่า 6,500 ล้านบาท มั่นใจเป็นโครงการเดียวที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยท่ามกลางทัศนียภาพที่งดงาม ภายใต้แนวคิด The Sanctuary for your Soul โดยได้ร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลกไม่ว่าจะเป็น บันยันทรี กรุ๊ป เครือโรงแรมหรูระดับโลก, SCDA Architect ที่ปรึกษาการออกแบบ, บริษัท บวิค-ไทย ผู้รับเหมาก่อสร้างระดับ Top Tier หรือแม้แต่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำอย่าง Poliform พร้อมเปิดขาย 18-19 พฤศจิกายน 2560 นี้ นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เนอวานา ไดอิ กล่าวถึงการเปิดขายโครงการบันยันทรีเรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ อย่างเป็นทางการว่า “สำหรับโครงการนี้มีมูลค่าโครงการกว่า 6,500 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 300,000 บาท/ตร.ม. ถือเป็นโครงการพรีเมียมที่สุดที่ เนอวานา ไดอิ เคยพัฒนามา โดยมีแนวคิดโครงการคือ The Sanctuary for your Soul ที่จะมอบความสงบ ความเป็นส่วนตัวอย่างสูงสุดให้แก่ผู้อยู่อาศัย โดยมีจุดเด่นโครงการที่สำคัญ 3 เรื่อง คือ Tranquility - ความเงียบสงบ ทำเลที่อยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของชุมชนเก่าแก่โบราณ อันเป็นส่วนหนึ่งของเขตเมือง เก่า (Old City District) และศูนย์กลางการค้าและธุรกิจ (Central Business District) ย่านสาทร ที่สำคัญที่สุดของมหานคร กรุงเทพฯ ง่ายต่อการหลีกหนีจากความวุ่นวาย เพื่อค้นพบความสงบ นอกจากนี้ยังมอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดด้วยจำนวน ห้องชุดเพียง 133 ยูนิต บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ จำนวนห้องพักต่อชั้นสูงสุด เพียง 4 ยูนิตเท่านั้น และมีล็อบบี้ลิฟท์ส่วนตัว (Private Lift Lobby) ช่วยนำส่งถึงห้องพักแบบสุด Exclusive Rarity - ความพิเศษที่หาได้ยาก เป็นคอนโดมิเนียมทรงสูง 45 ชั้น ที่ถูกออกแบบให้เป็น Single Loaded Corridor ทุกห้อง เป็นวิวแม่น้ำแบบพาโนรามิค บนพื้นที่แห่งสุดท้ายเพียงแห่งเดียวในเมืองหลวงที่สวยที่สุด และใกล้กับริมแม่น้ำเจ้าพระยามาก ที่สุด ซึ่งทำให้ทุกห้องพักได้สัมผัสกับทัศนียภาพอันงดงามของสายน้ำหลักของประเทศไทย Impeccable Quality - คุณภาพไร้ที่ติ การเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุด และคุณภาพอันไร้ที่ติมาไว้ ณ ที่นี่ที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพระดับมาตรฐานบันยันทรี (Banyan Tree Branded Residences), ที่ปรึกษาการออกแบบอย่าง SCDA, ผู้รับเหมาก่อสร้างระดับ Top Tier อย่าง บวิค-ไทย หรือแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำอย่าง Poliform โดยผู้ซื้อโครงการนี้จะได้รับบริการสุดพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของบันยันทรี  คือ สิทธิ์การเป็นสมาชิก The Sanctuary Club เพื่อรับสิทธิประโยชน์จากแบรนด์ในเครือทั่วโลกได้รับส่วนลดสูงสุด 30% ไม่ว่าจะเป็น บันยันทรี อังสนา แคสเซีย ดาหวา หรือลากูน่า รวมถึงการเป็นสมาชิกแบบ Banyan tree private collection เพื่อรับสิทธิประโยชน์จากการเข้าพักในเครือ ไม่ว่าจะเป็นประเทศ ญี่ปุ่น, โมร็อคโค, สก็อตแลนด์, ลอนดอน, บาหลี และคอสตาริก้า โดยโครงการนี้ได้วางกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไว้ที่กลุ่ม Super Premium ทั้งชาวไทยและต่างชาติ” ด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรมและงานก่อสร้างโครงการบันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพนั้น ล้วนแล้วแต่เลือกทีมงานระดับแนวหน้าของไทย และบริษัทระดับชั้นนำของโลกมาร่วมงานทั้งสิ้น อาทิ โครงการได้เลือกใช้ SCDA Architect บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการออกแบบงานสถาปัตยกรรมระดับโลกจากนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา มาเป็นที่ปรึกษาและทำงานร่วมกับบริษัท อินทีเรียอาร์คิเทกเชอร์ 103 ในการร่วมมือกันออกแบบอาคารภายนอก การตกแต่งภายใน รวมไปถึงภูมิสถาปัตยกรรม จนเกิดเป็นความสวยงามที่เรียบหรู สะท้อนถึงแนวคิดเพื่อการใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และเต็มไปด้วยรสนิยมที่ไม่เหมือนใคร ด้านการออกแบบการใช้แสงสีบนอาคารก็ได้บริษัทชั้นนำที่ออกแบบที่สิงคโปร์มาช่วยในการดูแลงานด้วย พร้อมกันนี้ยังร่วมดำเนินงานก่อสร้างโครงการโดย บริษัท บวิค-ไทย บริษัทที่คร่ำหวอดในวงการก่อสร้างและมีผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งโครงการนี้เราตั้งใจที่จะก่อสร้างโครงการก่อนเปิดขาย โดยเริ่มก่อสร้างแล้วตั้งแต่ปลายปี 2559 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2561 สำหรับแนวคิดการออกแบบโครงการนี้คือ The Sanctuary for your Soul  คือ เน้นให้ผู้ที่พักในโครงการได้เข้าถึงการพักผ่อน อย่างแท้จริง และเรียกได้ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางทั้งหมดถูกออกแบบให้เห็นวิวแม่น้ำแบบพาโนรามิคในทุก มุมมอง โดยมีพื้นที่ส่วนกลางมากถึง 59% ของพื้นที่อาคาร เป็น Facility ถึง 6,000 ตร.ม. มีที่จอดรถถึง 200% ของจำนวน ยูนิต โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกระดับ Super Premium อาทิ Residence Lobby ถึง 3 จุด, Panoramic View Swimming  Pool ถึง 2 สระ, Riverfront Jacuzzi Pool ที่สามารถมองเห็นวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาแบบพาโนรามิค อีกทั้งยังมี River Front  Private Dining Room ที่พร้อมให้บริการ แบบ Private Chef Table จากโรงแรม 5 ดาว* และ Sanctuary Spa ที่สามารถเรียก เทอราปิสจากบันยันทรี* มาบริการที่โครงการได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังเดินทางได้สะดวกด้วยท่าเทียบเรือส่วนตัวของโครงการ (Private Floating Jetty) พร้อม Shuttle Boat Service,  และยังมี Chao Phraya Veranda พร้อม Sunken Seat Area, Riverfront Sunrise Yoga Deck, Riverfront Function Room & Board Room รวมไปถึงบริการระดับโรงแรม 5 ดาว Doorman และ Concierge เป็นต้น โครงการ บันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับ The Ultimate Luxury บนโค้งน้ำเจ้าพระยา ย่านเจริญนคร มีพื้นที่ 5-1-10 ไร่ จำนวน 1 อาคาร สูง 45 ชั้น จำนวน 133 ยูนิต ซึ่งแต่ละชั้นมีห้องพักอาศัยสูงสุดเพียง 4 ยูนิตเท่านั้น สำหรับแบบห้องทางโครงการมีให้เลือกถึง 5 แบบ (Room mix) คือ 1) แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 69.40-85.45 ตร.ม.  จำนวน 48 ยูนิต 2) แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 156.40-179.20 ตร.ม.  จำนวน 66 ยูนิต 3) แบบ 3 ห้องนอน ขนาด 243.10 ตร.ม. จำนวน 16 ยูนิต 4) แบบ 4 ห้องนอน ขนาด 417.35 - 419.85 ตร.ม. จำนวน 2 ยูนิต และ 5) Penthouse ขนาด 836.70 ตร.ม. จำนวน 1 ยูนิต  มีที่จอดรถมากกว่า 260 คัน หรือ คิดเป็น 200% ของยูนิตทั้งหมด นายศรศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการบันยันทรี เรสซิเดนซ์  ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ ปัจจุบันงานก่อสร้างคืบหน้าถึงชั้น 20 จากทั้งหมด 45 ชั้น โดยพร้อมจัดพรีเซลล์และเปิดให้ชมห้องตัวอย่างครั้งแรก ที่ Sales Gallery ณ ที่ตั้งของโครงการ ในวันที่ 18-19 พ.ย. นี้ ด้วยราคาพิเศษ เริ่มต้นที่ 22.9 ล้านบาท ซึ่งล่าสุดจากการเปิดขายในรอบ VVIP ที่ผ่านมา มียอดจองแล้วถึง 27% ผู้สนใจสามารถเข้าชมรายละเอียดโครงการได้ที่ www.banyantreeresidencesriversidebangkok.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร 1787
แอมไชน่าทาวน์ ทุ่มกว่า 3 พันล้าน บูมทำเลทองเยาวราช ผุดโปรเจคมิกซ์ยูส ศูนย์การค้า โรงแรม และคอนโด รับดีมานด์ย่านธุรกิจ พร้อมรองรับยอดนักท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง

แอมไชน่าทาวน์ ทุ่มกว่า 3 พันล้าน บูมทำเลทองเยาวราช ผุดโปรเจคมิกซ์ยูส ศูนย์การค้า โรงแรม และคอนโด รับดีมานด์ย่านธุรกิจ พร้อมรองรับยอดนักท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง

แกรนด์ ยูนิแลนด์ ปลุกกระแสการพัฒนาพื้นที่ทำเลทองย่านเยาวราชระลอกใหม่ หลังทุ่มกว่า 3 พันล้าน ปั้นโครงการมิกซ์ยูส I’m China Town (แอมไชน่าทาวน์) ขนาด 3 หมื่นตารางเมตร บนถนนเจริญกรุง รับดีมานด์ด้านธุรกิจ ที่อยู่อาศัย และที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว และนักธุรกิจต่างชาติ เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมปักธงเปิดโครงการเต็มรูปแบบมีนาคม 2562 นายสุวรรณ เลิศปัญญาโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท แกรนด์ ยูนิแลนด์ จำกัด และกรรมการผู้จัดการ  เปิดเผยว่า “แกรนด์ ยูนิแลนด์ มีประสบการณ์ใบริษัท ไอแอมไชน่าทาวน์ จำกัดนการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ทั้งโครงการที่อยู่อาศัยและรีเทลมานานกว่า 30 ปี อาทิ โครงการบ้านนวลจันทร์ โครงการอิมพีเรียลพาร์ค สุขุมวิท และสวนหลวง ร.9 โครงการอิมพีเรียล ลากูนา โครงการโอเชี่ยนปาล์ม ภูเก็ต รวมถึงโครงการศูนย์การค้า ONE @ Bobae (วันแอทโบ๊เบ๊) และ I’m Park (แอมพาร์ค สามย่าน) ล่าสุดบริษัทฯ ทุ่มงบประมาณกว่า 3 พันล้านบาทเพื่อ   พัฒนา I’m China Town โครงการมิกซ์ยูส สไตล์ Modern Chinese ขนาด 3 หมื่นตารางเมตร บนถนนเจริญกรุง บริเวณหน้าสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินวัดมังกรกมลาวาส ประกอบด้วยธุรกิจอสังหาฯ 3 ส่วน ได้แก่ ศูนย์การค้า โรงแรม และคอนโดมิเนียม ซึ่งคาดว่ามูลค่าขายโครงการจะอยู่ที่ 4 พันล้านบาท” ทั้งนี้ ศูนย์การค้า I’m China Town จัดเป็นศูนย์การค้าเต็มรูปแบบเพียงแห่งเดียวในย่านเยาวราช แบ่งออกเป็น 4 ชั้น โดยชั้น B จะเป็นศูนย์รวมของฝากชื่อดังในย่านเยาวราชภายใต้แนวคิด Little China Town อาทิ กระเพาะปลา ใบชา หมูแผ่น สมุนไพรจีน สุราจีน เป็นต้น ส่วนชั้น 1 เป็นแหล่งรวมร้านรีเทลทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น เสื้อผ้า แฟชั่น ร้านมือถือ ร้านอาหารและเครื่องดื่มยอดฮิตสตาร์บัคส์ และเคเอฟซี ต่อมาคือชั้น 2 จะเป็นแหล่งรวมความ มั่งคั่ง เพราะมีทั้งศูนย์อัญมณี ร้านทองชื่อดังของเยาวราช และธนาคารชั้นนำ สำหรับชั้น 3 จะเป็นศูนย์รวมร้าน อาหาร อาทิ เอ็มเค บาร์บีคิวพลาซ่า ยาโยอิ และร้านท้องถิ่นสตรีทฟู้ดระดับตำนานของเยาวราช ย่านวรจักร แยกเฉลิมบุรี และเวิ้งนาครเขษม ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ของศูนย์การค้าสามารถปล่อยเช่าพื้นที่ได้แล้วกว่า 70% และ คาดว่าจะสามารถปล่อยเช่าได้เต็มพื้นที่ในวันเปิดศูนย์ฯ โดยคาดว่ารายได้จากการปล่อยเช่าเต็มพื้นที่จะอยู่ที่ 30-40 ล้านบาทต่อเดือน ในส่วนของโรงแรม บริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจกับกลุ่มธุรกิจโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเทลส์ กรุ๊ป หรือ IHG หนึ่งในเชนโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดของโลก เพื่อเปิดให้บริการโรงแรมระดับ 4 ดาว ในชื่อ Holiday Inn Express China Town จำนวน 224 ห้อง ตั้งอยู่ชั้น 4-9 ของส่วนศูนย์การค้า โดยจะเน้นจับกลุ่มลูกค้า นักท่องเที่ยว และนักธุรกิจชาวต่างชาติที่ต้องการพักในย่านใจกลางเมือง สะดวกในการเดินทาง เน้นความสะอาด และทันสมัย เหมาะกับทริปธุรกิจและพักผ่อนได้ในตัว สำหรับอัตราค่าห้องพักต่อคืนจะเริ่มต้นที่ 1,800 บาท ซึ่ง บริษัทฯ มั่นใจว่าด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้งและแบรนด์ Holiday Inn Express จะทำให้โรงแรมของโครงการฯ มีอัตราในการเข้าพัก หรือ Occupancy Rate ไม่ต่ำกว่า 80% ตลอดทั้งปี ส่วนของคอนโดมิเนียมมีชื่อว่า I’m China Town Residence เป็นโครงการเดียวที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านเยาวราชเป็น อาคารโลวไรส์สูง 8 ชั้น พื้นที่รวมประมาณ 2,000 ตารางเมตร จำนวน 46 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 21-25 ตารางเมตร เป็นคอนโดมิเนียมแบบตกแต่งพร้อมเข้าอยู่ในราคาเริ่มต้นที่ 2.9 ล้านบาท เปิดจองใน วันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้โครงการ I’m China Town ยังมีที่จอดรถชั้นใต้ดิน 6 ชั้น รองรับรถยนต์ได้มากถึง 300 คัน ซึ่งเป็นที่  จอดรถที่ใหญ่ที่สุดในย่านเยาวราชอีกด้วย นายสุวรรณ กล่าวว่า “เยาวราชถือเป็นทำเลทองคำของกรุงเทพฯ มีดีมานด์ในด้านที่อยู่อาศัยและแหล่งค้าขาย ทั้งจากคนไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจในปริมาณที่สูงมากและเพิ่มขึ้นอย่าง ต่อเนื่องทุกปี อีกทั้งยังมีประชากรและร้านค้าหนาแน่น ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่นี้มาเป็นเวลานานหลายชั่วอายุคน แต่ธุรกิจอสังหาฯ ของย่านนี้กลับไม่มีพื้นที่ว่างเพื่อการพัฒนามานานกว่า 30 ปี โดยส่วนใหญ่เป็นอาคารพาณิชย์ เก่าที่มีค่าเซ้งเปลี่ยนมือในอัตราที่สูงถึงห้องละ 40 ล้านบาท และในบางพื้นที่ยังเป็นเขตอนุรักษ์เมืองเก่าทำให้การ พัฒนาต้องใช้ความระมัดระวังสูง การพัฒนาโครงการ I’m China Town จึงถือเป็นการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ที่ดึงดูดความสนใจของกำลังซื้อย่านเยาวราชอย่างชัดเจนหลังจากที่ขาดซัพพลายมานาน” “โครงการ I’m China Town ตั้งอยู่บนพื้นที่แปลงใหญ่แปลงสุดท้ายของย่านเยาวราช ซึ่งทำให้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะ  มีการพัฒนาอสังหาฯ แปลงใหญ่ในบริเวณนี้หลังจากนี้ จึงเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนที่ต้องการมีคอนโดฯ ปล่อยเช่าในราคาดี รวมถึงผู้ที่ต้องการเข้ามาทำธุรกิจในย่านนี้ และพ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากที่ต้องย้ายจากพื้นที่ เพราะการเวนคืนที่จากการสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และต้องการจะกลับมาทำธุรกิจในย่านนี้อีกครั้ง” “ปัจจุบัน การก่อสร้างโครงการทั้งหมดเดินหน้าไปแล้วกว่า 30% ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าจะแล้วเสร็จในสิ้นปี 2561 และพร้อมเปิดเต็มรูปแบบทุกส่วนในเดือนมีนาคม 2562 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสาย สีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง - ท่าพระเปิดให้บริการ” นายสุวรรณ กล่าวทิ้งท้าย
กรุงเทพพัฒนาฯส่งบ้านหรูระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ แบรนด์ “The Primary V” เจาะกลุ่มลูกค้าระดับเอลิสท์ย่านเกษตร-นวมินทร์ เน้นความเป็นส่วนตัวเพียง 20 หลัง พร้อมจับมือ 911 ให้บริการด้านฟิตเนส สนนราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท

กรุงเทพพัฒนาฯส่งบ้านหรูระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ แบรนด์ “The Primary V” เจาะกลุ่มลูกค้าระดับเอลิสท์ย่านเกษตร-นวมินทร์ เน้นความเป็นส่วนตัวเพียง 20 หลัง พร้อมจับมือ 911 ให้บริการด้านฟิตเนส สนนราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท

กรุงเทพพัฒนา ซีเอ็มเอส เปิดตัวบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ สไตล์ Asian-Nouve ภายใต้แบรนด์ The Primary V (เดอะ ไพรมารี่ วี) มูลค่าโครงการประมาณ 800 ล้านบาท มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ระดับ A ถึง A+ หรือกลุ่ม Young Success ที่ประสบความสำเร็จในการทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย ชูฟังก์ชันการออกแบบและดีไซน์ที่สวยงาม การันตีด้วยรางวัล Thailand Property Awards สาขาการออกแบบยอดเยี่ยม พร้อมนำเทคโนโลยีในการอยู่อาศัยที่ทันสมัย บนสังคมคุณภาพเพียง 20 หลัง ใจกลางเกษตร-นวมินทร์ ส่วนต่อขยาย CBD ใหม่ ทำเลศักยภาพแห่งอนาคตในราคาเริ่มต้นที่ 25 ล้านบาท   นายสหชาต ธันยามาศรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริษัท กรุงเทพพัฒนา ซีเอ็มเอส จำกัด เปิดเผยว่า โครงการ The Primary V เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ (Super luxury) นับเป็นโครงการที่ 5 ภายใต้แบรนด์ The Primary (เดอะ ไพรมารี่) โดยโครงการนี้มีมูลค่าสูงสุดตั้งแต่เราพัฒนาโครงการมา คือ มีมูลค่าถึง 800 ล้านบาท โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 25 ล้านบาท  จุดเด่นของโครงการ อันดับแรก คือ ทำเลที่ตั้งบนเส้นเกษตร-นวมินทร์ ซึ่งปัจจุบันเป็นเส้นที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เพราะได้รับอานิสงส์จากเส้นรัชดาภิเษก ​ซึ่งเป็น New CBD ของกรุงเทพฯ และอีกจุดเด่นที่สำคัญ คือ การดีไซน์สไตล์ Asian-Nouve ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมเอเชียและยุโรปเข้าด้วยกัน สอดคล้องกับโครงการที่ออกแบบมาให้ร่วมสมัยเหมาะสมกับวัฒนธรรมคนเมือง เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เนื่องจากเราต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มลูกค้าในระดับเอลิสต์ (A List) หรือ Young Success ผู้ที่ประสบความสำเร็จด้านการงาน อายุประมาณ 35 ปีขึ้นไป เป็นเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารระดับสูง ที่ชอบความแตกต่าง มองหาความเป็นอัตลักษณ์ (Unique) โดยเราได้ออกแบบให้บ้านในโครงการนี้ สามารถอยู่รวมกันได้ทั้ง 3 Generations คือ รุ่นปู่ย่า รุ่นพ่อแม่ และรุ่นลูกหลาน นอกจากนี้ ในด้านบริการเราได้ร่วมมือกับ 911 The Revolution by JT ซึ่งเป็นฟิตเนส ของคุณเจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ์ ในการออกแบบคลาสออกกำลังกาย และส่งเทรนเนอร์เข้ามาให้บริการเป็นพิเศษในคลับเฮ้าส์ของโครงการด้วย เนื่องด้วยโครงการ The Primary V เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ ทางบริษัทฯ จึงเลือกพันธมิตรทางธุรกิจ ระดับแนวหน้าเข้ามาร่วมในการออกแบบพัฒนาโครงการ รวมไปถึงเรื่องการคัดสรรวัสดุด้วย อาทิ ด้านงานออกแบบสถาปัตยกรรมโดย บริษัท มินิแมกซิสท์ จำกัด ออกแบบภูมิทัศน์ภายในโครงการโดย บริษัท สำนักงานออกแบบระฟ้า จำกัด และออกแบบภายในโดย บริษัท อะโพสโทรฟีเอส กรุ๊ป จำกัด ซึ่งทางผู้ออกแบบทั้งหมดได้ทำงานร่วมกัน เพื่อให้ได้โครงการที่ตอบโจทย์เรื่องความสบาย และเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัย อาทิ การวางผังโครงการเพื่อให้ได้ทิศทางของแสง และลมที่ดี การสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น โดยออกแบบให้มีสวนอยู่หลังบ้าน เป็นสวนที่สามารถใช้งานได้จริงที่ได้รับการออกแบบให้มีความเป็นส่วนตัวจากมุมมองของบ้านข้างเคียง เตรียมพื้นที่หน้าบ้านสำหรับที่จอดรถจำนวนเพียงพอสำหรับทุกคนในครอบครัว สำหรับด้านงานก่อสร้าง และการวางแผนงานบริการในอนาคต ทางโครงการ ได้วางระบบไฟฟ้าใต้ดินทั้งโครงการ และจัดเตรียมระบบใยแก้วความเร็วสูงจาก AIS เพื่อการใช้ชีวิตในยุค Disruptive ได้อย่างสะดวกสบายที่สุด, นำระบบ Nasket เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด โดยมีจอแสดงผลภายในบ้านที่เชื่อมต่อมายังป้อม รปภ. หน้าหมู่บ้าน นอกจากนี้ทางโครงการได้เลือกใช้ลิฟท์ “Aritco” ซึ่งเป็นสินค้าระดับคุณภาพจากประเทศสวีเดน เน้นความปลอดภัยสูงสุด ทั้งหมดถูกดีไซน์ไว้เพื่อสังคมคุณภาพที่มีขนาดเพียง 20 ครอบครัวเท่านั้น โครงการ The Primary V ได้รับรางวัลด้านงานออกแบบ จาก“Thailand Property Awards 2017” ถึง 3 รางวัลด้วยกัน คือ The Winner in Best Housing Interior Design, Highly recommended for Best Housing Landscape Architectural Design และ Highly recommended for Best Housing Architectural Design โครงการตั้งอยู่บนถนนประเสริฐมนูกิจ 29 หรือ ซอยมัยลาภ (ย่านเกษตร-นวมินทร์) ติดถนนใหญ่ ใกล้ทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ซึ่งทำเลนี้ ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีชมพูมีนบุรี-แคราย ให้บริการ โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงกลางปี 2563 สำหรับโครงการนี้ เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยมขนาด 4 ชั้น เพียง 20 หลัง บนพื้นที่โครงการประมาณ 5 ไร่ ในราคาเริ่มต้นที่ 25 ล้านบาท ประกอบด้วยบ้าน 3 แบบ ได้แก่ แบบ STELLAR บ้านแฝด จำนวน 4 ยูนิต บนเนื้อที่ขนาด 53.8-63.1 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 450 ตารางเมตร 3-4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 3 คัน แบบ LUNAR บ้านเดี่ยว จำนวน 14 ยูนิต บนเนื้อที่ขนาด 68.5-75.3 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 580 ตารางเมตร 4-6 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 4 คัน แบบ SOLARIS บ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ที่สุด เพียง 2 ยูนิต บนที่มากกว่า 100 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยประมาณ 1,025 ตารางเมตร 5-7 ห้องนอน 9 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 6 คัน สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจต่อไปของบริษัท คุณสหชาต กล่าวว่า “เราวางเป้าหมายในการพัฒนาโครงการแนวราบ อย่างต่อเนื่อง โดยอย่างน้อยจะพัฒนาปีละ 1 โครงการ มูลค่าโครงการละ 400-600 ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการของเราต้องมีจุดเด่นที่สำคัญ คือ “งานดีไซน์” ผมอยากสร้างบ้านที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราพบว่ากลุ่มลูกค้าระดับเอลิสต์ต้องการที่จะให้บ้านเป็นตัวแทนของตัวเอง เพราะฉะนั้นงานดีไซน์เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราเสนอความแตกต่างที่ไม่เหมือนกับใคร ถึงแม้ว่าเราจะเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก แต่เราก็จะมีจุดเด่นให้คนจดจำ และเราจะเติบโตได้ ผมเชื่อว่าในอนาคตไม่เกิน 5 ปี คนไทยจะให้คุณค่าของความคิดริเริ่ม ความคิดสร้างสรรค์ ทำอะไรที่มีเอกลักษณ์ จะเป็นจุดเแข็งที่สำคัญที่ทำให้เราอยู่ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นได้” ด้านนางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านการขายโครงการ The Primary V กล่าวเพิ่มเติมถึงศักยภาพของโครงการ และทำเลเกษตร-นวมินทร์ ว่า ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนใจกลางเมือง และบริเวณใกล้ใจกลางเมือง โดยเฉพาะทำเลที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่น่าสนใจ ทำเลเกษตร-นวมินทร์ ถือว่าเป็นทำเลทองของที่อยู่อาศัยที่น่าสนใจ ส่งผลให้การหาบ้านบนที่ดินแปลงใหญ่ในทำเลใกล้ใจกลางเมืองเป็นไปได้ยากมาก บ้านระดับ Luxury จึงมีแนวโน้มอยู่บนที่ดินที่มีขนาดเล็กลง เป็นแนวบ้านทรงสูงขึ้น แต่ยังมี function ที่ครบครัน มีพื้นที่ใช้สอยที่มากพอสำหรับกลุ่มบ้านในระดับราคาสูงดังกล่าว ในส่วนของเทรนด์บ้านในระดับ luxury และ super luxury ในปีนี้และปีหน้า สิ่งที่ลูกค้าคำนึงถึงเป็นสิ่งแรก คือ ทำเล ซึ่งต้องเป็นทำเลที่ดี และมีการพัฒนา function ที่สามารถตอบสนองกับ lifestyle ได้มากที่สุด ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มองหาบ้านในระดับนี้ จะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด ต้องการความแตกต่างและความโดดเด่น เป็นส่วนหนึ่งที่เสริมสร้างภาพลักษณ์ นอกจากนั้น ยังมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า มีมูลค่าเพิ่มในอนาคต The Primary V (เดอะ ไพรมารี่ วี) พร้อมเปิดขายแล้วอย่างเป็นทางการ โดยในช่วงเปิดตัว บริษัทฯ ได้เตรียมโปรโมชั่นช่วงเปิดขายโครงการจาก The Primary V สุดพิเศษไว้ให้สำหรับลูกค้าที่จองซื้อภายใน 31 ธ.ค. 60 คือ ชุดครัว Built in พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก Siemens เครื่องปรับอากาศ Daikin ทั้งหลัง พร้อม Home Automation สัญญาณกันขโมย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.theprimary-v.com หรือ โทร 098-262-2782
“สมดุลแห่งความต่าง” สิงห์ เอสเตท เปิดโครงการดิ เอส สุขุมวิท 36 ด้วยแนวคิดการสร้างสมดุลแห่งความต่างในการอยู่อาศัย ผ่านการออกแบบผสานอัตลักษณ์ความเป็นไทยเข้ากับเทรนด์การอยู่อาศัยยุคใหม่

“สมดุลแห่งความต่าง” สิงห์ เอสเตท เปิดโครงการดิ เอส สุขุมวิท 36 ด้วยแนวคิดการสร้างสมดุลแห่งความต่างในการอยู่อาศัย ผ่านการออกแบบผสานอัตลักษณ์ความเป็นไทยเข้ากับเทรนด์การอยู่อาศัยยุคใหม่

“สิงห์ เอสเตท” เปิดตัว ดิ เอส สุขุมวิท 36 (THE ESSE SUKHUMVIT 36) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีติดรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีทองหล่อ ภายใต้แนวคิด “สมดุลแห่งความต่าง” จากต้นแบบของงานสถาปัตยกรรมแบบบ้านเรือนไทย ประยุกต์เข้ากับการอยู่อาศัยในยุคใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ภายใต้ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับโลก ตั้งเป้าปิดการขาย 50% ในปีนี้ ด้วยยอดขายกว่า 3,000 ล้านบาท นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บมจ.สิงห์ เอสเตท ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมในระดับลักชัวรีมาแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ ดิ เอส อโศก (The ESSE Asoke) และ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (THE ESSE at SINGHA COMPLEX) ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้รับการตอบรับที่ดี โดยมียอดขายรวมกว่า 85% และในวันนี้เราได้เปิดตัวโครงการที่ 3 คือ ดิ เอส สุขุมวิท 36 คอนโดมิเนียมความสูง 43 ชั้น จำนวน 338 ยูนิต มูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท ซึ่งตั้งอยู่บนหนึ่งในทำเลที่ดีที่สุดของสุขุมวิท คือ ติดกับรถไฟฟ้าสถานีทองหล่อ แหล่งรวมไลฟ์สไตล์และที่พักอาศัยในระดับบนของกรุงเทพฯ รวมทั้งยังเป็นทำเลยอดนิยมของชาวต่างชาติ จึงทำให้ทำเลนี้เป็นที่ต้องการและมีศักยภาพในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของลูกค้าในระดับบนทั้งชาวไทยและต่างชาติ ที่ต้องการซื้อเพื่อพักอาศัยเองและซื้อเพื่อลงทุน โดยโครงการนี้ สิงห์ เอสเตท ร่วมทุนกับ ฮ่องกง แลนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากมายในเอเชีย รวมถึงได้ว่าจ้างที่ปรึกษาระดับโลก อย่าง SOM มาช่วยดูแลด้านการออกแบบร่วมกับบริษัทออกแบบชั้นนำของไทย เพื่อให้โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 มีความโดดเด่นในระดับลักชัวรี โดยตั้งเป้าปิดการขายได้ 50% ในปีนี้ ด้วยยอดขายกว่า 3,000 ล้าน” “โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ถูกพัฒนาภายใต้แนวคิด “A Harmony of Contrast”  หรือ สมดุลแห่งความต่าง โดยการหลอมรวมอัตลักษณ์ของความเป็นไทยกับเทรนด์การอยู่อาศัยในยุคปัจจุบันเข้าด้วยกัน สถาปัตยกรรมที่สร้างในเขตร้อนหรือ ทรอปิคัล เฮ้าส์ เช่น บ้านเรือนไทย  ถูกนำมาใช้เป็นโจทย์หลักในการออกแบบตัวอาคาร อาทิ การเปิดช่องให้ลมผ่านหรือการยกพื้นใต้อาคารเพื่อให้มีการไหลเวียนของอากาศภายใน แนวคิดดังกล่าวถูกนำมาประยุกต์ให้เข้ากับการออกแบบสมัยใหม่  ซึ่งนอกจากจะสวยงามแล้วยังเป็นการออกแบบที่คำนึงถึงความยั่งยืน (Sustainability Design) อีกด้วย ในส่วนของงานภูมิทัศน์ได้แรงบันดาลใจจากภูมิประเทศแถบชนบทของไทย เช่น ทุ่งข้าว และเนินเขา มาเป็นต้นแบบ ขณะที่งานตกแต่งภายในเองก็ได้นำเอารูปแบบงานฝีมือของไทยเข้าไปใส่ในรายละเอียดต่างๆ โดยปรับแต่งให้มีความทันสมัย ทั้งนี้อัตลักษณ์ของความเป็นไทยทั้งหมดได้ถูกผสานกับการออกแบบสมัยใหม่ได้อย่างสมดุลและลงตัว โดยมั่นใจว่าการออกแบบดังกล่าวจะสามารถเข้าถึงทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงทำให้โครงการมีความแตกต่างจากโครงการลักชัวรีอื่นในตลาด” นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า “ในส่วนของห้องพักอาศัยทั้ง 338 ยูนิต ประกอบด้วย ห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 38.50-43.25 ตารางเมตร แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 73.50-77.00 ตารางเมตร แบบ 3 ห้องนอน ขนาด 116.75-124.25 ตารางเมตร และเพนท์เฮ้าส์ ขนาด 252 ตารางเมตร ทุกห้องมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัว มีการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์คุณภาพสูงจากแบรนด์ชั้นนำ รวมถึงมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในโครงการเพื่อให้การใช้ชีวิตในโครงการสะดวกสบายยิ่งขึ้น  นอกจากนั้นพื้นที่ส่วนกลางยังครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกตอบโจทย์ทุกวัฒนธรรมการอยู่อาศัย อาทิ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย ออนเซ็น สกายเลาจน์ เธียเตอร์รูม กอล์ฟ ซิมูเลเตอร์ ฯลฯ” นายเทอเรนซ์ ลี ผู้จัดการทรัพย์สินอาวุโสของฮ่องกง แลนด์ กล่าวว่า “เราเชื่อว่า ดิ เอส สุขุมวิท 36 จะเป็นโครงการที่นำเสนอจิตวิญญาณของกรุงเทพฯ เมืองหลวงที่มีความน่าตื่นตาตื่นใจของประเทศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมแห่งนี้ได้อย่างงดงาม โครงการนี้ได้ที่ปรึกษาด้านการออกแบบซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำอันดับต้น ๆ ของโลก มาร่วมออกแบบและวางแผนก่อสร้างด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด รวมถึงการคัดเลือกวัสดุอุปกรณ์ตกแต่งที่มีคุณภาพดีเยี่ยม พร้อมสรรพด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกตามมาตรฐานอาคารที่พักลักชัวรีระดับโลก นอกจากนี้เรายังได้นำประสบการณ์และความรู้ที่ได้จากการร่วมพัฒนาโครงการต่างๆ ทั่วเอเชียมาร่วมกันสรรสร้างสัญลักษณ์ใหม่แห่งกรุงเทพมหานครแห่งนี้ ในฐานะหุ้นส่วนโครงการนี้ ผมขอถือโอกาสนี้แสดงความยินดีกับ สิงห์ เอสเตท และหวังว่าโครงการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน ที่ทั้งสองฝ่ายร่วมกันมองหาโอกาสใหม่ๆ ในตลาดที่กำลังเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน รวมถึงสร้างมาตรฐานการใช้ชีวิตแบบมีระดับร่วมกันต่อไปอีกในอนาคต ฮ่องกง แลนด์ เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่พักอาศัยของไทยมีอนาคตที่สดใส เราหวังว่าจะได้พัฒนาความสัมพันธ์ในฐานะพาร์ทเนอร์คนสำคัญกับ สิงห์ เอสเตท ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และมีโอกาสที่จะร่วมลงทุนในโครงการอื่นๆ ด้วยกันอีกในอนาคต” นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันทองหล่อเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมสูงสุดของทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวญี่ปุ่น เพราะเป็นแหล่งที่รวมไลฟ์สไตล์ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของชาวต่างชาติมากกว่าทำเลอื่นในกรุงเทพฯ ทั้งยังเป็นย่านที่มีตลาดเช่าที่พักอาศัยเพื่อการลงทุนที่โดดเด่นมาก มีตลาดชัดเจน คอนโดระดับราคา 250,000-350,000 บาทต่อตารางเมตร แม้จะดูราคาสูง แต่เป็นระดับราคาที่ลูกค้ายอมรับได้ เมื่อเทียบกับทำเล แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแพคเกจราคารวมต่อยูนิตด้วย ทั้งนี้ซีบีอาร์อีมองว่าคอนโดระดับราคา 10-20 ล้านบาท/ ยูนิต ค่อนข้างเหลือน้อยแล้วในทำเลนี้ อีกอย่างที่สำคัญคือรายละเอียดของโครงการว่ามีความสนใจมากน้อยแค่ไหน ยิ่งถ้าเป็นการซื้อเพื่อปล่อยเช่ายิ่งต้องดูว่าโปรดักส์ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของกลุ่มที่เรามองไว้เป็นกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ ในช่วงที่ผ่านมาชาวต่างชาติเองก็หันมาลงทุนซื้ออสังหาฯในเมืองไทยมากขึ้น เพราะราคาอสังหาฯในเมืองไทยยังราคาไม่ค่อยสูงเมื่อเทียบกับในต่างประเทศ และมาตรฐานของโครงการในเมืองไทยก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงทั้งในแง่การออกแบบและของที่ให้ โดยชาวต่างชาติมักจะลงทุนในทำเลที่ตนเองมีความคุ้นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำเลติดกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสซึ่งสะดวกต่อการเดินทางและดีในแง่ของการลงทุน ซึ่งก็ไม่พ้นสุขุมวิท” โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ราคาเริ่มต้นต่อยูนิตอยู่ที่ 12 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 1/2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. 2563 ทั้งนี้โครงการจะเปิดขายให้ชมห้องตัวอย่างที่สำนักงานขาย ติดรถไฟฟ้าสถานีทองหล่อ ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. 2560 เป็นต้นไป  งาน Pre Sales จะจัดขึ้นในวันที่ 18-19 พ.ย. 2560 สิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่ซื้อในช่วงวันดังกล่าว จะได้รับส่วนลดพิเศษตั้งแต่ 2-8 แสนบาท สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1221 หรือ www.singhaestate.co.th
‘เอพี ไทยแลนด์’ สร้างยอดขายสูงสุดไตรมาส 3 – คว้าตำแหน่งเบอร์ 1 ในธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมายผู้นำ 3 อันดับแรกบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำในเมืองไทยอย่างมั่นคง

‘เอพี ไทยแลนด์’ สร้างยอดขายสูงสุดไตรมาส 3 – คว้าตำแหน่งเบอร์ 1 ในธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมายผู้นำ 3 อันดับแรกบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำในเมืองไทยอย่างมั่นคง

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง ฉลองชัยยอดขายไตรมาส 3 สูงสุดเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจ นับรวมผลงาน 9 เดือนเกินเป้าที่ตั้งไว้คิดเป็น 108.8% ที่ 28,300 ล้านบาท ตอกย้ำเป้าหมายก้าวสู่การเป็น 1 ใน 3 บริษัทผู้นำตลาดในธุรกิจอสังหาไทย โค้งสุดท้ายมั่นใจบรรยากาศซื้อขายกลับมาคึกคัก เตรียมรุกตลาดต่อด้วย 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 16,700 ล้านบาท เล็งดันยอดขายรวมสิ้นปีแตะหลัก 35,000 ล้านบาท นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ มากถึง 13,300 ล้านบาท ขึ้นแท่นอันดับ 1  ในธุรกิจที่มียอดขายมากสุดจากในไตรมาส 3 และเมื่อนับรวมยอดขายรวม 9 เดือน บริษัทสร้างยอดขายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้คิดเป็น 108.8% หรือ 28,300 ล้านบาท (จากเป้าหมาย 26,000 ล้านบาท) เราเชื่อว่าในช่วง   โค้งสุดท้ายของปีที่บริษัทมีสินค้าพร้อมเปิดตัวใหม่อีก 6 โครงการมูลค่า 16,700  ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ (Ongoing Projects) กว่า 80 โครงการ ซัพพลายตอบตลาดระดับกลางและบนไปได้สวย เราน่าจะสามารถสร้างยอดขายแตะหลัก 35,000 ล้านบาทได้ ซึ่งความสำเร็จด้านยอดขายของเรามีผลสำคัญมาจากการที่เอพีมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างแตกต่าง ด้วยนวัตกรรมบ้าน คอนโด และทาวน์โฮมคุณภาพ ในดีไซน์ที่โดดเด่นสำหรับคนเมือง ครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านคุณภาพ-บริการ-ความสะดวกสบาย และ   ด้านความปลอดภัย เพื่อสร้าง ‘คุณภาพชีวิตที่ดีกว่าให้กับผู้อยู่อาศัย’ส่งผล ให้เราสามารถก้าวขึ้นสู่เป้าหมายในการเป็น 1 ใน 3 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในไทยได้สำเร็จ” “ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี 2560 เราเชื่อว่าบรรยากาศการซื้อขายจะกลับคืนปกติ สินค้าที่ตอบโจทย์ตลาดระดับกลางและบนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ด้านซัพพลายส่วนใหญ่เราจะเห็นภาพการเปิดโครงการใหม่ที่เกิดจากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจเน้น  รุกตลาด พรีเมียมระดับบน สะท้อนได้จากสินค้าเอพีที่ได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี ทั้งสินค้าแนวราบและคอนโด โดยยอดขาย 9 เดือนที่เกิดขึ้น 28,300 ล้านบาทนั้น หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  (9 เดือนปี 2559) ถือว่าโตมากถึง 48% และถ้าเทียบเฉพาะไตรมาส 3 ของปี 2559 กับปี 2560  กลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียมโตมากถึง 101% ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิด ‘โครงการ LIFE ONE WIRELESS’ (ไลฟ์ วัน ไวร์เลส) บนถนนวิทยุ ที่ตอบความต้องการของตลาดระดับบน” นายอนุพงษ์ กล่าวเสริม
เจ.เอส.พี. เร่งปั้มรายได้โค้งสิ้นปี 60 ยิ้มรับธ.กรุงไทย สนับสนุนสินเชื่อ

เจ.เอส.พี. เร่งปั้มรายได้โค้งสิ้นปี 60 ยิ้มรับธ.กรุงไทย สนับสนุนสินเชื่อ

เร่งปั้มรายได้ : โค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี บมจ.เจ.เอส.พี. ก็ยังต้องขอเร่งโกยยอดขายเข้าบริษัทไว้ก่อน ล่าสุดทั้งพี่แจ้-ไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยคุณธีระชาติ มโนธรรมรักษา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ร่วมให้การต้อนรับผู้บริหารจาก บมจ.ธนาคารกรุงไทย โดยมี คุณวิชาญ ไพสิฏฐานันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายผู้บริหารฝ่ายทีมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2 กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ 2 สายงานธุรกิจขนาดใหญ่1 ร่วมด้วยคณะทีมงาน เข้าเยี่ยมชมโครงการ เจ วิลล่า บางใหญ่ พร้อมให้คำแนะนำปรึกษา และสนับสนุนสินเชื่อรายย่อยให้กับทางโครงการฯ ซึ่งปัจจุบันโครงการฯมียอดจองเข้ามาแล้วกว่า 60% อีกทั้งยังได้รับกำลังการสนับสนุนสินเชื่อจากกรุงไทยที่ดูแลอย่างเต็มที่ขนาดนี้ ก็คาดว่าก่อนสิ้นปีนี้รายได้รวมโครงการฯน่าจะแตะ 400 ล้านบาท เป็นการทำยอดรายได้เพิ่มให้กับบริษัทได้อย่างสวยงามอีกแน่นอน
สยามดิสคัฟเวอรี่ เปิดสเปซใหม่ “Ecotopia” ฉีกกฎนิยามอีโค่แบบเดิมให้ทันสมัย รองรับการใช้ชีวิตใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

สยามดิสคัฟเวอรี่ เปิดสเปซใหม่ “Ecotopia” ฉีกกฎนิยามอีโค่แบบเดิมให้ทันสมัย รองรับการใช้ชีวิตใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

สยามดิสคัฟเวอรี่ - The  Exploratorium สนามประลองพลังอำนาจแห่งความคิดสร้างสรรค์ และเป็นไลฟ์สไตล์สเปเชี่ยลตี้สโตร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นำเสนอสินค้าตามไลฟ์สไตล์ตอบสนองความต้องการสำหรับทุกคน แบ่งเป็น Everyday Products, Trend Products, Innovative Products, Collaboration Limited Products  และSustainable Products  เพื่อตอกย้ำนโยบายในการให้ความสำคัญและใส่ใจสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างเต็มรูปแบบ สยามดิสคัฟเวอรี่  จึงเปิดพื้นที่ “Ecotopia”  บริเวณชั้น 4 สยามดิสคัฟเวอรี่  บนพื้นที่กว่า 900 ตารางเมตร นำเสนอสินค้าเพื่อสุขภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกว่า 100 แบรนด์ และสินค้ากว่า 3,000 รายการ ที่ครบวงจรยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย กับนิยามอีโค่ที่เป็นวิถีของคนทันสมัย  (Eco is Fashionable) เพื่อค้นพบนิยามใหม่ของการรักษ์โลก ที่จะทำให้ทุกคนสุขภาพดีและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน (Sustainability)  พร้อมสนับสนุนและกระตุ้นจิตสำนึกของคนไทย และเป็นองค์ความรู้ในการสร้างสรรค์ประโยชน์เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เชิญชวนทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในคอมมูนิตี้หัวใจรักษ์โลกเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งจัดกิจกรรมเวิร์คช็อปเพิ่มไอเดียในแบบสร้างสรรค์ตามแบบฉบับอีโค่กรีนให้คนเมืองใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดและมีสไตล์ คุณชัยโรจน์  ศรีเดชะรินทร์กุล  กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจ International Fashion Brand Retailกล่าวว่า ด้วยกระแสเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไป ผู้คนหันมาให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ให้ความใส่ใจในการเลือกซื้อสินค้าที่คำนึงถึงสุขภาพของตนเอง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จุดนี้เองทำให้ สยามดิสคัฟเวอรี่ สร้างสเปซเปิดโซนใหม่  “Ecotopia” ขึ้น เพื่อตอบสนองกับกระแสเทรนด์โลกที่ทุกคนหันมาเลือกบริโภคสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อตัวเองและดีต่อโลก อีโค่ในแบบฉบับของสยามดิสคัฟเวอรี่ จะไม่ทำให้ทุกคนจำเจอีกต่อไป แต่เป็นการสร้างนิยามอีโค่แนวใหม่ ซึ่งฉีกกฎการรักษ์โลกแบบเดิม  ให้เป็นเทรนด์ใหม่ให้มีสไตล์มีความคูล เพื่อให้คำว่าสุขภาพดีมาพร้อมกับความทันสมัย และเป็นแฟชั่นที่จะทำให้ทุกคนโดดเด่นแบบไม่ซ้ำใครและปลอดภัย “ทุกวันนี้ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเองกันมากขึ้น ทำให้ทุกคนพิถีพิถันเลือกสิ่งที่ไม่ใช่แค่มีประโยชน์อย่างเดียว แต่ต้องดีต่อสุขภาพตนเอง และดีต่อสุขภาพของโลก คนจึงเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต และเกิดไลฟ์สไตล์ใหม่ขึ้น จุดนี้เองจึงทำให้สยามดิสคัฟเวอรี่ เพิ่มพื้นที่สำหรับการใช้ชีวิตในแบบไลฟ์สไตล์ใหม่ รวบรวมสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ผลิตมาจากธรรมชาติ 100% สินค้าที่ไม่ใช้สารเคมีในการผลิตทำให้ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และเปิดพื้นที่ เพื่อให้เป็นจุดหมายปลายทางรวบรวมสินค้าทุกประเภทมาให้ทุกคนได้หาซื้อกันได้ง่ายขึ้น ด้วยความสะดวกใจกลางเมือง” คุณชัยโรจน์ กล่าว สินค้าอีโค่โฮมแอนด์เดคคอร์ (Eco Home & Decor) เป็นอีกสินค้าที่ปัจจุบัน ผู้ผลิตและผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อกระบวนการผลิต โดยนำวัสดุจากธรรมชาติ และวัสดุใช้แล้วนำมารีไซเคิลผลิตเป็นสินค้าใหม่ เป็นอีกกลุ่มสินค้าที่คนรักการแต่งบ้านพลาดไม่ได้ ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภทเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพภายนอกและสำหรับงานบ้านและยังเป็นการร่วมกันรักษ์โลก ไม่ต้องทำลายป่าไม้ ยังคงมีธรรมชาติที่สมบูรณ์ไว้ให้คนรุ่นต่อไป สินค้าอีโค่แก็ตเจ็ทแอนด์สเตชั่นเนรี่ (Eco Gadget & Stationery)ได้รวบรวมสินค้าอีโค่ที่มีนวัตกรรมสร้างสรรค์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ได้อย่างตื่นตาตื่นใจ เพื่อให้หนุ่มสาวทันสมัยได้มีไอเท็มที่ไม่ใช่แค่เพียงล้ำด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรม แต่ยังมีส่วนสำคัญในการร่วมรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย ไม่ว่าจะเป็นแก็ตเจ็ตลำโพง หูฟังที่ทำจากไม้และอลูมิเนียมที่นำกลับมารีไซเคิล หรือจะเป็นกระเป๋าที่ผลิตมาจากเทปเก่า หรือ ที่รองกรีดกระดาษ รวมทั้งกระเป๋าจากเศษหนัง เปิดคอมมูนิตี้สำหรับอีโค่โซไซตี้ ไม่เพียงแต่สินค้าที่ สยามดิสคัฟเวอรี่ คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดตามแนวอีโค่เฟรนด์ลี่ที่ดีต่อสุขภาพของทุกคน และดีต่อสิ่งแวดล้อมโลก แต่ Ecotopia ยังเป็นศูนย์รวมของคนที่มีแนวความคิดร่วมกันในการใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยมีกิจกรรมเวิร์คช็อปสไตล์อีโค่มากมายทุกสุดสัปดาห์ตลอดเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2560  เพื่อเอาใจเหล่าอีโค่คอมมูนิตี้ ร่วมสัมผัสกับที่สุดของสินค้าอีโค่กว่า 100 แบรนด์ และมากกว่า 3,000 รายการที่ตอบสนองทุก ไลฟ์สไตล์ครบทุกความต้องการได้ที่นี่ที่เดียว พร้อมกับกิจกรรมเวิร์คช็อปรักษ์โลกที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ Ecotopia  จุดหมายปลายทางของคนรักษ์โลก ได้แล้ววันนี้ที่ ชั้น 4 สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยม สอบถามข้อมูล และติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ www.siamdiscovery.co.th/explore/Ecotopia หรือ โทร. 02 -658 -1000
“ออริจิ้น” หนุนรัฐ ผุดโครงการกว่า 12,000 ล้านบาท รุกตลาด EEC จุดพลุอสังหาฯ ตอบโจทย์นักลงทุนไทย-ต่างชาติ

“ออริจิ้น” หนุนรัฐ ผุดโครงการกว่า 12,000 ล้านบาท รุกตลาด EEC จุดพลุอสังหาฯ ตอบโจทย์นักลงทุนไทย-ต่างชาติ

รัฐหนุนการลงทุนภาคเอกชนร่วมขับเคลื่อน EEC เดินหน้าพื้นที่สู่ World-Class Economic Zone ตามยุทธศาสตร์ “ไทยแลนด์ 4.0” ด้าน “ออริจิ้น” จัดหนัก รุกลงทุนอสังหาฯครบวงจร คอนโดมิเนียม-โรงแรม-คอมมูนิตี้มอลล์ใน EEC รวมมูลค่าทะลุ 1.2 หมื่นล้านบาท หวังสนับสนุนรัฐกระตุ้นการลงทุนไทย-ต่างชาติ คาดศรีราชาทำเลทอง ขึ้นแท่น “โอซาก้าเมืองไทย” หลังเกิด “ดิจิทัล พาร์ค ไทยแลนด์” แย้มพร้อมบุกตลาด EEC ต่อเนื่อง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่ความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน ตามยุทธศาสตร์ “ไทยแลนด์ 4.0” โดยรัฐจะเดินหน้าลงทุน 5 ปีแรกกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อยกระดับพื้นที่ภาคตะวันออก 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ให้กลายเป็น “World-Class Economic Zone” อย่างไรก็ดี การจะดำเนินนโยบายให้ประสบผลสำเร็จสูงสุดได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในพื้นที่ด้วย “นับเป็นเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่โครงการ EEC ของรัฐบาลในวันนี้ ไม่ได้มีเพียงรัฐบาลที่เดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดนักลงทุน แต่ยังมีภาคเอกชนเข้ามาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จนทำให้เกิดเมือง เกิดสังคม หรือคอมมูนิตี้ ขึ้นมารองรับการลงทุนคู่ขนานกันไปด้วย ต้องขอขอบคุณบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ที่ถือเป็นบริษัทต้นแบบ เข้ามาช่วยสนับสนุนการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ EEC อย่างจริงจังเป็นรายแรกๆ” นายสนธิรัตน์ กล่าว ทั้งนี้ คาดหวังว่า กลไกความร่วมมือทุกมิติระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ EEC จะเป็นส่วนช่วยกระตุ้นการตัดสินใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น ทำให้ EEC กลายเป็น “เมืองยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ” ที่เติบโตไปจนสร้างรายได้ สร้างการเจริญเติบโตให้แก่ประเทศได้ตามเป้าหมาย และช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” ต่อไป สำหรับการลงทุนใน EEC คาดว่าระยะยาว จะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยราว 5% ต่อปี สร้างการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ 100,000 อัตราต่อปี สร้างฐานภาษีใหม่ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี ดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 10 ล้านคนต่อปี และสร้างฐานรายได้เพิ่มไม่น้อยกว่า 4.5 แสนล้านบาทต่อปี ด้านนายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า บริษัทในฐานะภาคเอกชนที่ดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ มองว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยยกระดับพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกให้กลายเป็น “World-Class Economic Zone” ได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน บริษัทจึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาภูมิภาคนี้ กระตุ้นการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ผ่านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบต่างๆ ในพื้นที่ EEC รวมมูลค่าโครงการกว่า 12,130 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในศรีราชา จ.ชลบุรี มูลค่า 10,130 ล้านบาท และใน จ.ระยองประมาณ 2,300 ล้านบาท สำหรับโครงการในศรีราชา บริษัทได้เริ่มพัฒนาโครงการไปแล้ว 2 โครงการได้แก่ 1.โครงการมิกซ์ยูส ภายใต้ชื่อ “ออริจิ้น ดิสทริค แหลมฉบัง-ศรีราชา” มูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย คอนโดมิเนียมเคนซิงตัน แหลมฉบัง 1 เคนซิงตัน แหลมฉบัง 2 นอตติ้ง ฮิลล์ แหลมฉบัง โรงแรมฮออลิเดย์ อิน แอนด์ สวีทและคอมมมูนิตี้มอลล์ “พอร์โทเบลโล มอลล์” โดยโครงการคอนโดมิเนียม เคนชิงตัน แหลมฉบัง 1 ก่อสร้างแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างทยอยโอนกรรมสิทธิ์ ขณะที่เคนชิงตัน แหลมฉบัง 2 และนอตติ้ง ฮิลล์ แหลมฉบัง อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง 2.โครงการคอนโดมิเนียม “ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชี่ยน ศรีราชา” (KnightsBridge The Ocean Sriracha) มูลค่า 2,500 ล้านบาท เป็นโครงการที่ได้รับรางวัล Best Luxury Condo Development (Eastern Seaboard) จากงาน Thailand Property Awards 2017 ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการทยอยโอนกรรมสิทธิ์ มียอดขายแล้วกว่า 70% กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพฯที่ซื้อไว้เพื่อลงทุนปล่อยเช่า เนื่องจากตลาดเช่าของศรีราชามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้เช่าชาวญี่ปุ่นที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรม เพราะศรีราชาไม่ไกลจากนิคมอุตสาหกรรมทำให้การเดินทางสะดวก ส่งผลให้ศรีราชาเป็นตลาดเช่าที่สำคัญ ขณะที่อัตราค่าเช่าค่อนข้างสูงคือประมาณกว่า 30,000 บาทต่อเดือน “ปัจจุบัน ศรีราชาถือเป็นทำเลที่โดดเด่นที่สุดในพื้นที่ภาคตะวันออก เป็นเมืองท่าลำดับที่ 22 ของโลกเชื่อมโยงการขนส่งไทยเข้ากับประเทศต่างๆ มีการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่นเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนถูกขนานนามว่าเป็นลิตเติ้ลโอซาก้า ในอนาคตหลังภาครัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการดิจิทัล พาร์คไทยแลนด์ในศรีราชาตามโครงการ EEC มีสัญญาณที่ดีว่าจะมีนักลงทุนชาวญี่ปุ่นเข้ามาเพิ่มขึ้น ศรีราชาจะไม่ใช่แค่ลิตเติ้ล โอซาก้า แต่จะกลายเป็น โอซาก้าเมืองไทย” นายพีระพงศ์ กล่าว สำหรับโครงการที่จังหวัดระยอง บริษัทยังมีแผนจะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในปี 2561 และเพื่อความต่อเนื่องในการพัฒนาโครงการในเขตพื้นที่ EEC บริษัทยังมองหาที่ดินแปลงอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนและส่งเสริมการดำเนินนโยบายของภาครัฐ ปัจจุบัน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 44 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 43,500  ล้านบาท  2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยพบกำลังซื้อที่อยู่อาศัยนครปฐมมาแรง คอนโดฯ เติบโตสูงสุดรองรับดีมานด์ซื้ออยู่จริง-ปล่อยเช่ารอบมหาวิทยาลัย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยพบกำลังซื้อที่อยู่อาศัยนครปฐมมาแรง คอนโดฯ เติบโตสูงสุดรองรับดีมานด์ซื้ออยู่จริง-ปล่อยเช่ารอบมหาวิทยาลัย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ พื้นที่ จ.นครปฐม มีกำลังซื้อเติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมโซน พุทธมณฑล กำแพงแสน และตัวเมืองนครปฐม เหตุเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ดึงดูดกำลังซื้อจาก อาจารย์- บุคลากรในมหาวิทยาลัย ผู้ปกครองซื้อให้บุตรหลาน และกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อไว้ปล่อยเช่า ส่งผลยอดขายคอนโดมิเนียมเติบโตดีสุดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ชี้ทิศทางในอนาคตสดใสจากปัจจัยบวกภาครัฐพัฒนาโครงการคมนาคม อาทิรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง และมอเตอร์เวย์ ช่วยหนุนราคาอสังหาริมทรัพย์เติบโตต่อเนื่อง  นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จ.นครปฐม  ล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2560 พบว่ามีกำลังซื้อที่เติบโตอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะในโซนพุทธมณฑล กำแพงแสน และตัวเมืองนครปฐม ในบริเวณใกล้กับมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กำแพงแสน และมหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์  ซึ่งโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกพัฒนารอบสถานศึกษา ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือประเภทคอนโดมิเนียม รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ทั้งนี้ จากการสำรวจตลาดอสังหาฯ จังหวัดนครปฐม ในรอบสำรวจ มิถุนายน 2560 พบอุปทานเสนอขายในตลาดทั้งหมด 14,783 ยูนิต จาก 77 โครงการ ด้านอุปสงค์ตอบรับแล้ว 75% ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เน้นเสนอขายโครงการคอนโดมิเนียม รองลงมาคือ ทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยว โดยคอนโดมิเนียม มีจำนวนอุปทาน 9,625 ยูนิต (ส่วนแบ่ง 65%) , ทาวน์เฮาส์ 2,884 ยูนิต (ส่วนแบ่ง 20%) และบ้านเดี่ยว 2,774 ยูนิต (ส่วนแบ่ง 15%) โดยเฉลี่ยเปิดขายแล้วประมาณ 2-3 ปี ตลาดคอนโดมิเนียม  มีจำนวนยูนิตเสนอขายสูงสุดในพื้นที่นี้ เริ่มพบคอนโดมิเนียมโครงการใหม่เข้าสู่ตลาดในช่วง 2-3 ปีก่อน เน้นกลุ่มดีมานด์จากอาจารย์ บุคลากรในมหาวิทยาลัย รวมถึงผู้ปกครองที่ซื้อไว้ให้บุตรหลานพักอาศัย ซึ่งเป็นกลุ่มดีมานด์ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยในรอบสำรวจนี้พบว่าตลาดคอนโดฯมีอัตราการดูดซับดี ยอดขายได้สูง  ประมาณ 10.1 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ส่วนโครงการแนวราบ พบว่าตลาดทาวน์เฮาส์  อุปทานส่วนใหญ่อยู่ในโซนพุทธมณฑล ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท พบอัตราการดูดซับเฉลี่ย 3.66 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ สำหรับตลาดคอนโดมีแนวโน้มดูดซับได้ดีขึ้น เนื่องจากมีการดึงส่วนแบ่งอุปสงค์จากทาวน์เฮาส์ เนื่องจากคอนโดมิเนียมมีสิ่งอำนวยความสะดวก และรูปแบบโครงการที่สวยงามกว่า และคอนโดมิเนียมยังสามารถนำไปปล่อยเช่าได้ง่ายกว่า ตลาดบ้านเดี่ยว ส่วนใหญ่อยู่ในโซนพุทธมณฑล ในราคา 3 - 5 ล้านบาท อุปสงค์ตอบรับได้ช้า เป็นอุปสงค์จากโครงการเก่าที่เปิดขายมานาน ประมาณ 2-3 ปี อัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ   หากพิจารณาถึงทำเลบริเวณมหาวิทยาลัย พบว่าในแต่ละปีจะมีจำนวนนิสิต นักศึกษาที่เข้ามา ในแต่ละโซนเป็นจำนวนมาก ประมาณ 36,000 คนต่อปี โดยเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน มากที่สุด ประมาณ 14,000 คน รองลงมามหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ ประมาณ 13,000 คน และนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ประมาณ 9,000 คน   สำหรับในทำเลกำแพงแสน ยังไม่พบจำนวนคอนโดมิเนียมมากนัก แต่จำนวนดีมานด์ที่เข้ามาในแต่ละปียังมีจำนวนมากเนื่องจากมีนักศึกษาจำนวนมาก จากการสำรวจพบว่าราคาขายเฉลี่ยของโครงการคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน อยู่ที่ 50,000 – 60,000 บาทต่อตารางเมตร สำหรับรูปแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 27 - 30 ตารางเมตร หากนำมาปล่อยเช่าจะได้ค่าเช่าเฉลี่ย 6,000 - 7,000 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ 5-6% ต่อปี   “ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่นครปฐมเริ่มเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยตลาดคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มเติบโตกว่าตลาดอื่นๆ ซึ่งช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นโครงการใหม่เริ่มเปิดขายทำเลเน้นบริเวณใกล้มหาวิทยาลัย เพื่อดึงกลุ่มอุปสงค์จากอาจารย์มหาวิทยาลัย บุคลากร ผู้ปกครองที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่เล็งเห็นถึงผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าในอนาคต ซึ่งถือว่าได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนดี เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยธนาคาร  ส่วนตลาดแนวราบยังพอไปได้ในบางทำเล มีแรงตอบรับดีในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในอนาคตพื้นที่นครปฐมมีโอกาสเติบโตสูง จากโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม เช่น รถไฟรางคู่นครปฐม-หัวหิน รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหิน  มอเตอร์เวย์สายนครปฐม-ชะอำ และมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาที่ดินในนครปฐมสูงขึ้นได้อีกในอนาคต” นายอนุกูล กล่าว  
“สยามนุวัตร” พลิกเกมอสังหาฯ ใหม่ Facilities และ Technology “วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม” คอนโดหรู ทำเล Midtown Siam มีสไตล์ใจกลางเมือง CBD สะท้อนตัวตน การใช้ชีวิตได้อย่างครบครัน

“สยามนุวัตร” พลิกเกมอสังหาฯ ใหม่ Facilities และ Technology “วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม” คอนโดหรู ทำเล Midtown Siam มีสไตล์ใจกลางเมือง CBD สะท้อนตัวตน การใช้ชีวิตได้อย่างครบครัน

โครงการ “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” (วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม) เป็นคอนโดมิเนียมที่พักอาศัย High Rise สูง 41 ชั้น พื้นที่โครงการโดยรวมประมาณ 2 ไร่ จำนวน 333 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท มีแบบห้องชุดตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน ขนาด 30.00- 96.75 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 6 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณ 2 แสนบาท/ตารางเมตร     “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” (วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม) มีจุดเด่นในเรื่องของพื้นที่ส่วนกลาง “Lifestyle Pods” (ไลฟ์สไตล์ พอดส์) พื้นที่อำนวยความสะดวก 4 ชั้นบนสุดของตัวอาคาร อาทิ Pool Pods สระว่ายน้ำลอยฟ้ารูปตัวยูขนาดใหญ่ สามารถมองทัศนียภาพได้ 360 องศา, Body and Mind Pods ฟิตเนส ห้องโยคะ และ Boxing Stage, Chill and Work Pods พื้นที่สำหรับผ่อนคลาย และการทำงานที่เป็นส่วนตัว รวมถึง Sky Pods พื้นที่สำหรับสังสรรค์และทำกิจกรรมอื่นๆ พร้อมกับทำเล ‘มิดทาวน์ สยาม’     สำหรับโครงการนี้จะมีความเป็น Ultra Modern Luxury ทั้งด้านการดีไซน์ตัวตึก การออกแบบให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนอยู่โรงแรม ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Your Signature” สะท้อนเอกลักษณ์ที่แตกต่างในแบบของคุณ ตั้งอยู่บนทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง ซึ่งมีความสะดวกในการเดินทาง เพราะมีระยะห่างเพียง 400 เมตร จากบีทีเอสสถานีราชเทวี และเพียง 450 เมตร จากศูนย์การค้าสยามพารากอน เชื่อมต่อศูนย์การค้าแพลตตินั่ม แฟชั่นมอลล์ เพียง 500 เมตร ตอบสนองความต้องการได้อย่างสมบูรณ์แบบ และที่สำคัญที่สุด คือ การดีไซน์ที่แตกต่าง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถสะท้อนบุคลิกและรสนิยมของผู้อาศัยได้เป็นอย่างดี โดยจะเริ่มงานก่อสร้างโครงการเดือนมีนาคม ปี พ.ศ.2561 คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม ปีพ.ศ. 2563     ด้านการออกแบบห้องพักอาศัยมีความสูงโปร่ง ซึ่งมีระดับพื้นถึงฝ้าเพดานอยู่ที่ 3 เมตร ทำให้ห้องมีความกว้าง พร้อมเปิดรับลมและแสงแดดจากธรรมชาติ โดยห้องขนาด 1 ห้องนอน จะมีขนาดห้องอยู่ที่ 30.00-34.98 ตารางเมตร, ห้องขนาด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ จะมีขนาดห้องอยู่ที่ 46.66-47.34 ตารางเมตร, ห้องขนาด 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ จะมีขนาดห้องอยู่ที่ 58.52-58.84 ตารางเมตร และห้องขนาด 3 ห้องนอน จะมีขนาดห้องอยู่ที่ 96.75 ตารางเมตร   พื้นผิวภายในห้องชุดจะปูด้วยพื้นไม้ Engineer Wood ความหนา 14 มิลลิเมตร ผนังของห้องจะก่อด้วยอิฐมอญ หรือ อิฐมวลเบาฉาบปูนเรียบ ทาสี และผนังห้องน้ำจะปูด้วยกระเบื้อง ส่วนฝ้าเพดานภายในห้องชุดจะใช้ยิปซั่มบอร์ดฉาบเรียบ ทาสี โครงคร่าวเหล็กชุบสังกะสี ด้านบานประตูหลักจะเป็นบานไม้อัด กรุลามิเนต ในส่วนของบานประตูห้องนอนและห้องน้ำทั่วไปจะเป็นบานไม้อัดกรุลามิเนต หรือบานเลื่อนตามแบบเฟอร์นิเจอร์ และหน้าต่าง-ประตูระเบียงจะเป็นอลูมิเนียม กระจก     ในส่วนของสุขภัณฑ์ห้องน้ำภายในห้องชุดจะมีความลักชัวรี่มาตรฐานเดียวกับโรงแรมปาร์คไฮแอท และโอเรียนเต็ล สไตล์ Modern France ประกอบด้วยชักโครก Villeroy & Boch หรือเทียบเท่า, อ่างล้างหน้าแบบฝังเคาน์เตอร์ หรือวางบนเคาน์เตอร์, ฝักบัวแบบ Rain Shower ยี่ห้อ Grohe หรือเทียบเท่า, ก๊อกอ่างล้างหน้า Grohe หรือเทียบเท่า, ฉากกั้นอาบน้ำกระจก Tempered Glass   ระบบปรับอากาศ ภายในห้องนั่งเล่นจะเป็น Daikin, Trane หรือเทียบเท่า, ห้องนอนเป็น Daikin, Trane หรือเทียบเท่า ด้านเฟอร์นิเจอร์ชุดครัวจะประกอบด้วย เคาน์เตอร์ครัวยี่ห้อ Modernform หรือเทียบเท่า, อ่างล้างจาน ยี่ห้อ Franke, Teka หรือเทียบเท่า, เตาไฟฟ้า ยี่ห้อ Electrolux, Franke, Teka หรือเทียบเท่า, เครื่องดูดควัน ยี่ห้อ Electrolux, Franke, Teka หรือเทียบเท่า     ด้านระบบโทรศัพท์ จัดเตรียมแบบ Outlet โทรศัพท์พื้นฐาน 1 จุด พร้อมรองรับระบบอินเตอร์เน็ต, ระบบระบายอากาศ ติดตั้งในห้องน้ำและห้องครัว, ระบบเครื่องทำน้ำร้อน ติดตั้งระบบและสายไฟ เตรียมไว้ในห้องอาบน้ำทุกห้อง ส่วนของระบบเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย ติดตั้งระบบ Video Door Phone ของ ABB หรือเทียบเท่า, ติดตั้งระบบ Digital Door Lock และระบบเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของอาคาร เป็นระบบคีย์การ์ดที่ทางเข้า-ออกโถงลิฟท์อาคาร, ระบบกล้องวงจรปิด CCTV, ระบบตรวจจับควันอัตโนมัติ (Smoke Detector) และ Sprinkler System ภายในห้องพักและพื้นที่ส่วนกลาง     สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับลูกบ้านนั้น จะประกอบไปด้วย ลิฟท์โดยสาร 3 ตัว และลิฟท์ขนส่ง 1 ตัว, ล็อบบี้, จากุชชี่, สระว่ายน้ำเด็ก, สตีม & ซาวน่า, ฟิตเนส, สนามมวย, Co-Working Space, มินิเธียเตอร์, เลาจน์, Golf Simulator, สนามบาสเกตบอล และพื้นที่สังสรรค์บนดาดฟ้า, จำนวนที่จอดรถ 197 คัน และระบบสำรองไฟฟ้าของโครงการ     ร่วมเข้าชมห้องตัวอย่าง โครงการ “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” (วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม) ได้แล้ววันนี้ที่ Sales Gallery ถนนเพชรบุรี ซอย 20 เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 02-652-6588
“ออริจิ้น-โนมูระ” เผยบิ๊กโปรเจ็คท์ยักษ์ร่วมทุน มูลค่า 11,000 ล้าน โชว์แบรนด์ “พาร์ค” เจาะตลาดบนรุกใจกลางทองหล่อ

“ออริจิ้น-โนมูระ” เผยบิ๊กโปรเจ็คท์ยักษ์ร่วมทุน มูลค่า 11,000 ล้าน โชว์แบรนด์ “พาร์ค” เจาะตลาดบนรุกใจกลางทองหล่อ

 “ออริจิ้น” เผยโครงการร่วมทุน “โนมูระ” ยึดพื้นที่อารีน่า 10 ใจกลางทองหล่อ ผุดอาณาจักรคอนโดหรู มูลค่า 11,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “พาร์ค” ปักธงเจาะตลาดไฮเอนด์ ตั้งเป้าขึ้นแท่นเบอร์ 1 แบรนด์คอนโดมิเนียม และผู้นำธุรกิจอสังหาครบวงจร นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน (Kensington), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) และ พาร์ค (PARK) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 12/2560 เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 มีมติให้ร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด (NRED) โดยการจำหน่ายหุ้นสามัญของ บริษัท ออริจิ้น พาร์ค ที 1 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ซึ่งบริษัทถือหุ้น 100% จำนวน 49,000 หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท) คิดเป็นอัตรา 49% ของหุ้นสามัญ หรือคิดเป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 490,000 บาท โดยมีราคาจำหน่ายหุ้นทั้งสิ้นจำนวน 397,463,500 บาท ซึ่งทาง NRED จะชำระราคาหุ้นสามัญดังกล่าวเป็นเงินสด ทั้งนี้ บริษัท ออริจิ้น พาร์ค ที 1 จำกัด ได้ทำการจดทะเบียนบริษัท เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2560 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ บนพื้นที่ดินแปลง อารีน่า 10 (ทองหล่อซอย 10) ซึ่งถือเป็นพื้นที่ใจกลางทองหล่อ มูลค่าโครงการ 11,000 ล้านบาท  ภายใต้แบรนด์ “พาร์ค” โดยโครงการดังกล่าวถือเป็นการนำแบรนด์ พาร์ค มาพัฒนาโครงการเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่บริษัทได้ผนึกร่วมกับบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด มุ่งหวังให้เป็นแบรนด์ระดับไฮเอนด์ ช่วยขยายตลาดบนและตลาดต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าโครงการดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 2561 “การร่วมมือพัฒนาโครงการกับโนมูระในครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านนวัตกรรม การออกแบบ โนว์ฮาว กับบริษัทที่ขึ้นชื่อว่ามีส่วนแบ่งในตลาดที่อยู่อาศัยสูงเป็นระดับท็อปทรีของญี่ปุ่น และจะเป็นบันไดก้าวสำคัญของออริจิ้นสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร และขึ้นเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในใจผู้บริโภคเช่นเดียวกับแบรนด์คอนโดมิเนียมของโนมูระ” ก่อนหน้านี้ บริษัทได้เปิดตัวโครงการร่วมทุนกับโนมูระไปแล้ว 3 โครงการในปีนี้ ได้แก่ 1.โครงการไนท์บริดจ์ ไพรม์ อ่อนนุช 2.โครงการไนท์บริดจ์ ไพรม์ รัชโยธิน และ 3.โครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง รวมมูลค่าโครงการ 6,100  ล้านบาท ขณะที่แผนการดำเนินงานในอนาคต บริษัทยังคงมีแผนร่วมลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์กับโนมูระอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบของการพัฒนาอาคารชุดและธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจพัฒนาและบริหารจัดการอาคารสำนักงาน โรงแรม และธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบัน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 44 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 43,500  ล้านบาท  2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
“จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” ฉลองยอดพรีเซลล์ทะลุเป้า เปิด Sales Gallery แนวคิด “Life Exploring” ตอกย้ำผู้ นำเมืองวัยเกษียณด้วยดีไซน์ระดับโลก เผยนวัตกรรมดูแลผู้สูงวัยสุดล้ำ

“จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” ฉลองยอดพรีเซลล์ทะลุเป้า เปิด Sales Gallery แนวคิด “Life Exploring” ตอกย้ำผู้ นำเมืองวัยเกษียณด้วยดีไซน์ระดับโลก เผยนวัตกรรมดูแลผู้สูงวัยสุดล้ำ

 “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ ฉลองยอดพรีเซลล์ กว่า 300 ห้อง ประกาศความเป็นผู้นำเดินหน้าอัดทีมขายทั้งในและต่างประเทศ พร้อมเผยโฉม Sales Gallery แนวคิด “Life Exploring” บนพื้นที่โครงการจริงย่านรังสิต นำเสนอมิติใหม่ของการใช้ชีวิตสูงวัยครบวงจรแห่งแรกในเมืองไทย เปิดประสบการณ์สุดพิเศษจำลองการอยู่อาศัยท่ามกลางธรรมชาติด้วยดีไซน์ระดับโลก อัดแน่นคลาสกิจกรรมไลฟ์สไตล์เพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีพลังของคนวัยเกษียณ พร้อมโชว์นวัตกรรมอัจฉริยะทั้ง “สายรัดข้อมืออัจฉริยะ” และ “จิณณ์ แอพลิเคชั่น” ที่จะช่วยตอบโจทย์การอยู่อาศัยและการดูแลสุขภาพเหนือระดับของผู้สูงวัยเพื่อการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายและปลอดภัยกว่าที่เคย มร. จอห์น ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ และประธานกรรมการบริษัทพรีเมียร์โฮม เฮลท์แคร์ จำกัด ผู้บริหารโครงการแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณด้วยความเชี่ยวชาญด้านเฮลท์แคร์ภายใต้เครือโรงพยาบาลธนบุรี กล่าวว่า “เราพร้อมแล้วที่จะเปิด Sales Gallery ในพื้นที่จริงด้วยแนวคิด “Life Exploring” ซึ่งเป็นมากกว่าห้องตัวอย่างทั่วไป แต่เป็นการจำลองโครงการฯมาไว้ในพื้นที่แห่งนี้ นอกจากห้องตัวอย่างที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้ชีวิตของผู้สูงวัยรวมถึงวัยทำงานที่เตรียมมองหาสถานที่ในอนาคต (Young Senior) แล้ว ยังมีการจัดคลาสกิจกรรมต่างๆเพื่อให้ลูกค้าและผู้ที่สนใจได้สัมผัสกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างมีพลัง ซึ่งสอดรับกับนวัตกรรมแนวคิด Integrated Healthcare ด้วยรูปแบบการบริการด้านสุขภาพแบบบูรณาการที่ครอบคลุมถึงการใช้ชีวิตในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัยดีไซน์ระดับโลก การบริการระดับโรงแรมด้วย Concierge Service สปาและทรีทเมนต์ ร้านอาหารและ   คาเฟ่ การบริการด้านสุขภาพที่เรามีคลินิกผู้สูงวัย คลินิกรักษาโรค โรงพยาบาลกายภาพบำบัด และหน่วยฉุกเฉินเตรียมพร้อม 24 ชม. ที่สำคัญที่สุดคือเรานำเอานวัตกรรมอย่าง “สายรัดข้อมืออัจฉริยะ” และ “จิณณ์ แอพลิเคชั่น” มาช่วยเติมเต็มให้คุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในโครงการ ทั้งหมดนี้จะสร้างความโดดเด่นตอกย้ำความเป็นผู้นำของ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ทั้งในแง่ของการตอบโจทย์การใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างมีคุณภาพและในแง่ของศักยภาพโครงการเชิงการลงทุนอีกด้วย” “หลังจากงานแถลงข่าวเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เรามียอดจอง ถึงกว่า 300 ห้อง ถือเป็นการตอบรับที่ดีเยี่ยมสำหรับการสร้างเมืองที่มีความโดดเด่นและแปลกใหม่สำหรับคนหลังวัยเกษียณและครอบครัวอย่างแท้จริง โดยเรามุ่งมั่นที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจถึงการใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างมีพลังอย่างต่อเนื่อง เช่น นิทรรศการภาพถ่าย The Golden Spirit Gallery กิจกรรมประกวดภาพถ่าย Jin The Golden Spirit Photo Contest โดยเราได้เริ่มเปิดตัวเมืองและ Sales Gallery โครงการให้เป็นที่รู้จักอย่างเต็มที่ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ทั้งในสื่อ Offline คือ โฆษณาโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ป้ายโฆษณา และ Digital บิลบอร์ดทั่วกรุงเทพ รวมถึงการโปรโมทผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ  มีการส่ง Direct Mail ถึงกลุ่มเป้าหมายกว่า 50,000 ราย  โดยเรามีความพร้อมที่จะเสริมกำลังทีมงานขายมืออาชีพทั้งในส่วนของทีมขายประจำโครงการฯและตัวแทนขายบริษัทชั้นนำของเมืองไทย เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าคนไทยและกลุ่มลูกค้าต่างชาติ เสริมด้วยโปรโมชั่นสำหรับผู้จองห้องด้วยสิทธิพิเศษมูลค่าสูงสุดถึง 350,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 30 พย.60 โดยจะมีงาน Grand Opening โครงการอย่างยิ่งใหญ่เร็วๆนี้” มร. จอห์น กล่าว Sales Gallery ของจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน ในบริเวณที่ตั้งโครงการจริง ตัว Sales Gallery ครอบคลุมพื้นที่ถึง 560 ตารางเมตร ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก คือ โถงต้อนรับ พร้อมโมเดลจำลองโครงการ ตกแต่งด้วยสีเอิร์ธโทนและลายหินอ่อน สามารถมองเห็นภูมิทัศน์ที่จำลองจากโครงการจริง ไม่ว่าจะเป็น ลำธาร ร่มไม้ และจุดนั่งพัก ห้อง Life Explore ห้องรูปวงรีบริเวณโถงต้อนรับ สำหรับแสดงวิดีทัศน์นำเสนอนิยามใหม่ของการใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างมีพลังพร้อมด้วยความพิเศษของโครงการ Life Exploring Class ห้องทำกิจกรรมไลฟ์สไตล์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมร่วมสัมผัสกับการใช้ชีวิตอย่างมีพลังภายในโครงการ ตลอดเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้ อาทิ คลาสโยคะ คลาสหัวเราะบำบัด และคลาสการเรียนรู้ต่างๆ  และส่วนห้องพักอาศัยตัวอย่าง (Active Living)  2 ขนาด ขนาด 46 ตารางเมตร นำเสนอการใช้ชีวิตของผู้สูงวัยที่ยัง Active และคนวัยทำงาน (Young Senior) ที่เริ่มมองหาสถานที่สำหรับอนาคต และห้องขนาด 66 ตารางเมตรสำหรับผู้สูงวัยที่อาจมีผู้ดูแล ภายในแต่ละห้องจะตกแต่งด้วยวัสดุและอุปกรณ์ที่สนับสนุนการใช้ชีวิตของผู้สูงวัยอย่างครอบคลุม ล้อมรอบด้วยทิวทัศน์ภายนอกที่ใกล้เคียงบรรยากาศจริงภายในโครงการเมื่อสร้างเสร็จ ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อผู้สูงวัย โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ นำร่องด้วย “สายรัดข้อมืออัจฉริยะ” ระบบ Tracking System สามารถใช้งานด้าน Location Tracking แสดงตำแหน่งการเคลื่อนไหวของผู้สวมใส่ไปยังศูนย์ควบคุม พร้อมแจ้งเตือนข้อมูลสุขภาพจำเพาะแก่ผู้สวมใส่ และ Fall Detection แจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ เมื่อผู้สวมใส่เกิดเหตุพลัดตก หกล้ม หรือเหตุอื่นๆ เพื่อการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังมี “จิณณ์ แอพลิเคชั่น” (Jin Application) ที่จะเข้ามาช่วยให้การดำเนินชีวิตประจำวันของผู้สูงวัยสะดวกสบายยิ่งขึ้น  เช่น แนะนำเมนูสุขภาพ ทำนัดแพทย์ จองคลาสกิจกรรม และเรียกบริการรถโครงการ ซึ่งทั้ง 2 เทคโนโลยีนี้เชื่อมต่อข้อมูลของผู้พักอาศัยทุกคนด้วยเทคโนโลยี Data Analytics เพื่อวางแผนการดูแลแบบเฉพาะบุคคลหรือ Tailor-Made Medicine ซึ่งจะมีจัดแสดงไว้ภายในพื้นที่ Sales Gallery เช่นกัน สำหรับการออกแบบโครงการถือเป็นอีกที่สุดที่ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ยกให้เป็นอีกหัวใจสำคัญ “โจทย์ใหญ่สำหรับการออกแบบโครงการนี้คือการสร้างพื้นที่ที่สามารถอยู่อาศัยและใช้งานได้จริงตลอดทุกช่วงชีวิตหรือ Architecture for Life จึงเน้นเปิดพื้นที่สีเขียวเป็นธรรมชาติมากที่สุด เพื่อกระตุ้นให้คนออกมาใช้ชีวิตนอกห้องพัก มีสังคม ทำกิจกรรมร่วมกัน ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีพลังตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้เราได้นำมาให้ลูกค้าได้สัมผัสจริงๆ ในเซลล์แกลเลอรี่นี้ด้วย” มร. จอห์น ลี กล่าว หนึ่งในจุดเด่นของโครงการ คือ การออกแบบด้วยหลัก Universal Design มีการออกแบบและจัดสิ่งอำนวยความสะดวกที่คำนึงถึงผู้อยู่อาศัยทุกประเภท ทั้งในช่วงวัยที่ร่างกายแข็งแรงดี ไปจนถึงช่วงวัยที่มีข้อจำกัดทางร่างกาย เช่น ผู้ที่นั่งรถเข็น หรือมีผู้ดูแล เป็นต้น โดยมีบริษัท ซีร่า อาร์คิเทคท์ (Cira Architects) จากสหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบตกแต่งภายใน มีประสบการณ์โครงการสำหรับผู้สูงอายุ โรงพยาบาล และโครงการขนาดใหญ่ในหลายประเทศ เป็นผู้ดูแลการออกแบบภายในห้องพักให้เป็นพื้นที่ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัย ในสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย เสมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เสริมทัพด้วยบริษัท โอเพ็นบ็อกซ์ อาร์คิเทคท์ จำกัด (OpenBox Architects) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบอาคาร ที่นำประสบการณ์กับโครงการขนาดใหญ่มาใช้ โดยคำนึงถึงความสะดวก ปลอดภัย เปิดพื้นที่รับแสงธรรมชาติและอากาศถ่ายเทได้มากที่สุด และยังสร้างบรรยากาศที่ชวนให้ใช้ชีวิตได้อย่างกระฉับกระเฉง มีพลัง และใกล้ชิดธรรมชาติ มีสังคมที่อบอุ่น เกื้อกูลซึ่งกันและกัน สำหรับด้านภูมิทัศน์ บริษัท ฉมา จำกัด (Shma) ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบภูมิสถาปัตย์ของไทย ได้รับหน้าที่ในการสร้างสรรค์บรรยากาศในแนวคิด “Community in the Ravine Forest” สร้างระบบนิเวศน์เสมือนป่าที่สมบูรณ์เพื่อดึงดูดนก แมลง เข้ามาในพื้นที่ เชื่อมโยงคนกับธรรมชาติ พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้ผู้สูงอายุทำกิจกรรม เช่น ปลูกผักสวนครัวทั้งบนดินและบนโต๊ะเพื่อความสะดวกสำหรับผู้ที่นั่งรถเข็น  การออกแบบเส้นทางจักรยาน เส้นทางวิ่งหรือเดินออกกำลังกาย ที่ปลอดภัย ไม่ลื่น มีจุดนั่งพักเป็นระยะและเชื่อมต่อส่วนกิจกรรมต่างๆ เข้าด้วยกัน เป็นต้น “ทุกมิติในการออกแบบโครงการ เราคำนึงถึงการส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้ศักยภาพของตนเองให้เต็มที่ กระตุ้นให้ทุกคนมีสังคม มีกิจกรรม อยากออกมาใช้ชีวิตข้างนอกอย่างมีความสุข  เราเชื่อว่านี่คือแนวคิดสำคัญที่จะทำให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีพลังในทุกช่วงวัยและทุกสภาพร่างกาย จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ พร้อมจะเป็นผู้นำในการสร้างมิติใหม่แห่งการใช้ชีวิตวัยเกษียณ และเผยแพร่แนวคิดนี้ไปสู่สังคมผู้สูงวัยที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้ประเทศไทยมีสังคมที่แข็งแรงและดำเนินไปอย่างมีคุณภาพ” มร. จอห์น ลี กล่าวสรุป
“สยามนุวัตร” พลิกเกมอสังหาฯ ใหม่ Facilities และ Technology “วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม” คอนโดหรู ทำเล Midtown Siam มีสไตล์ใจกลางเมือง CBD สะท้อนตัวตน การใช้ชีวิตได้อย่างครบครัน

“สยามนุวัตร” พลิกเกมอสังหาฯ ใหม่ Facilities และ Technology “วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม” คอนโดหรู ทำเล Midtown Siam มีสไตล์ใจกลางเมือง CBD สะท้อนตัวตน การใช้ชีวิตได้อย่างครบครัน

โครงการ “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” (วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม) เป็นคอนโดมิเนียมที่พักอาศัย High Rise สูง 41 ชั้น พื้นที่โครงการโดยรวมประมาณ 2 ไร่ จำนวน 333 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท มีแบบห้องชุดตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน ขนาด 30.00- 96.75 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 6 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณ 2 แสนบาท/ตารางเมตร “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” (วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม) มีจุดเด่นในเรื่องของพื้นที่ส่วนกลาง “Lifestyle Pods” (ไลฟ์สไตล์ พอดส์) พื้นที่อำนวยความสะดวก 4 ชั้นบนสุดของตัวอาคาร อาทิ Pool Pods สระว่ายน้ำลอยฟ้ารูปตัวยูขนาดใหญ่ สามารถมองทัศนียภาพได้ 360 องศา, Body and Mind Pods ฟิตเนส ห้องโยคะ และ Boxing Stage, Chill and Work Pods พื้นที่สำหรับผ่อนคลาย และการทำงานที่เป็นส่วนตัว รวมถึง Sky Pods พื้นที่สำหรับสังสรรค์และทำกิจกรรมอื่นๆ พร้อมกับทำเล ‘มิดทาวน์ สยาม’ สำหรับโครงการนี้จะมีความเป็น Ultra Modern Luxury ทั้งด้านการดีไซน์ตัวตึก การออกแบบให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนอยู่โรงแรม ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Your Signature” สะท้อนเอกลักษณ์ที่แตกต่างในแบบของคุณ ตั้งอยู่บนทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง ซึ่งมีความสะดวกในการเดินทาง เพราะมีระยะห่างเพียง 400 เมตร จากบีทีเอสสถานีราชเทวี และเพียง 450 เมตร จากศูนย์การค้าสยามพารากอน เชื่อมต่อศูนย์การค้าแพลตตินั่ม แฟชั่นมอลล์ เพียง 500 เมตร ตอบสนองความต้องการได้อย่างสมบูรณ์แบบ และที่สำคัญที่สุด คือ การดีไซน์ที่แตกต่าง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถสะท้อนบุคลิกและรสนิยมของผู้อาศัยได้เป็นอย่างดี โดยจะเริ่มงานก่อสร้างโครงการเดือนมีนาคม ปี พ.ศ.2561 คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม ปีพ.ศ. 2563   ด้านการออกแบบห้องพักอาศัยมีความสูงโปร่ง ซึ่งมีระดับพื้นถึงฝ้าเพดานอยู่ที่ 3 เมตร ทำให้ห้องมีความกว้าง พร้อมเปิดรับลมและแสงแดดจากธรรมชาติ โดยห้องขนาด 1 ห้องนอน จะมีขนาดห้องอยู่ที่ 30.00-34.98 ตารางเมตร, ห้องขนาด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ จะมีขนาดห้องอยู่ที่ 46.66-47.34 ตารางเมตร, ห้องขนาด 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ จะมีขนาดห้องอยู่ที่ 58.52-58.84 ตารางเมตร และห้องขนาด 3 ห้องนอน จะมีขนาดห้องอยู่ที่ 96.75 ตารางเมตร พื้นผิวภายในห้องชุดจะปูด้วยพื้นไม้ Engineer Wood ความหนา 14 มิลลิเมตร ผนังของห้องจะก่อด้วยอิฐมอญ หรือ อิฐมวลเบาฉาบปูนเรียบ ทาสี และผนังห้องน้ำจะปูด้วยกระเบื้อง ส่วนฝ้าเพดานภายในห้องชุดจะใช้ยิปซั่มบอร์ดฉาบเรียบ ทาสี โครงคร่าวเหล็กชุบสังกะสี ด้านบานประตูหลักจะเป็นบานไม้อัด กรุลามิเนต ในส่วนของบานประตูห้องนอนและห้องน้ำทั่วไปจะเป็นบานไม้อัดกรุลามิเนต หรือบานเลื่อนตามแบบเฟอร์นิเจอร์ และหน้าต่าง-ประตูระเบียงจะเป็นอลูมิเนียม กระจก ในส่วนของสุขภัณฑ์ห้องน้ำภายในห้องชุดจะมีความลักชัวรี่มาตรฐานเดียวกับโรงแรมปาร์คไฮแอท และโอเรียนเต็ล สไตล์ Modern France ประกอบด้วยชักโครก Villeroy & Boch หรือเทียบเท่า, อ่างล้างหน้าแบบฝังเคาน์เตอร์ หรือวางบนเคาน์เตอร์, ฝักบัวแบบ Rain Shower ยี่ห้อ Grohe หรือเทียบเท่า, ก๊อกอ่างล้างหน้า Grohe หรือเทียบเท่า, ฉากกั้นอาบน้ำกระจก Tempered Glass ระบบปรับอากาศ ภายในห้องนั่งเล่นจะเป็น Daikin, Trane หรือเทียบเท่า, ห้องนอนเป็น Daikin, Trane หรือเทียบเท่า ด้านเฟอร์นิเจอร์ชุดครัวจะประกอบด้วย เคาน์เตอร์ครัวยี่ห้อ Modernform หรือเทียบเท่า, อ่างล้างจาน ยี่ห้อ Franke, Teka หรือเทียบเท่า, เตาไฟฟ้า ยี่ห้อ Electrolux, Franke, Teka หรือเทียบเท่า, เครื่องดูดควัน ยี่ห้อ Electrolux, Franke, Teka หรือเทียบเท่า ด้านระบบโทรศัพท์ จัดเตรียมแบบ Outlet โทรศัพท์พื้นฐาน 1 จุด พร้อมรองรับระบบอินเตอร์เน็ต, ระบบระบายอากาศ ติดตั้งในห้องน้ำและห้องครัว, ระบบเครื่องทำน้ำร้อน ติดตั้งระบบและสายไฟ เตรียมไว้ในห้องอาบน้ำทุกห้อง ส่วนของระบบเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย ติดตั้งระบบ Video Door Phone ของ ABB หรือเทียบเท่า, ติดตั้งระบบ Digital Door Lock และระบบเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของอาคาร เป็นระบบคีย์การ์ดที่ทางเข้า-ออกโถงลิฟท์อาคาร, ระบบกล้องวงจรปิด CCTV, ระบบตรวจจับควันอัตโนมัติ (Smoke Detector) และ Sprinkler System ภายในห้องพักและพื้นที่ส่วนกลาง สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับลูกบ้านนั้น จะประกอบไปด้วย ลิฟท์โดยสาร 3 ตัว และลิฟท์ขนส่ง 1 ตัว, ล็อบบี้, จากุชชี่, สระว่ายน้ำเด็ก, สตีม & ซาวน่า, ฟิตเนส, สนามมวย, Co-Working Space, มินิเธียเตอร์, เลาจน์, Golf Simulator, สนามบาสเกตบอล และพื้นที่สังสรรค์บนดาดฟ้า, จำนวนที่จอดรถ 197 คัน และระบบสำรองไฟฟ้าของโครงการ ร่วมเข้าชมห้องตัวอย่าง โครงการ “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” (วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม) ได้แล้ววันนี้ที่ Sales Gallery ถนนเพชรบุรี ซอย 20 เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 02-652-6588
ไบร์ท วงเวียนใหญ่ พอใจยอดขายกว่า 60% ชี้ เชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของวงเวียนใหญ่

ไบร์ท วงเวียนใหญ่ พอใจยอดขายกว่า 60% ชี้ เชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของวงเวียนใหญ่

นายสมชัย อำนวยพรสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลไบร์ท โฮลดิ้งส์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โครงการ คอนโดไบร์ท สุขุมวิท 24 และโครงการไบร์ท วงเวียนใหญ่ เปิดเผยว่า ในช่วงระยะ 2 ปีที่ผ่านมา จากการที่บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการคอนโดไบร์ท วงเวียนใหญ่ ได้เล็งเห็นว่า ศักยภาพของพื้นที่ฝั่งธนบุรีดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการก่อสร้างของเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินตามแนวถนนจรัลสนิทวงศ์และเพชรเกษมที่มีกำหนดเปิดให้บริการในปีพ.ศ.2562 – 2563 รวมไปถึงเส้นทางรถไฟฟ้าสายอื่นๆ เช่น สายสีส้มตะวันตก สายสีม่วงตอนใต้ ที่มีการอนุมัติและกำลังจะเริ่มก่อสร้างในอนาคต รวมไปถึงสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายไปยังพุทธมณฑลสาย 4 ซึ่งทั้ง 2 เส้นทางจะเข้ามาเสริมศักยภาพของพื้นที่ฝั่งธนบุรีให้มากขึ้นไปอีกรวมไปถึงศูนย์การค้าขนาดใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีทองที่เข้ามาเพิ่มเติมในอนาคต โดยความน่าสนใจของพื้นที่ฝั่งธนบุรีที่มากขึ้น โดยปัจจุบันโครงการ มียอดขาย ไปมากกว่า 60% เนื่องจากผู้ซื้อเล็งเห็นว่า อยู่ในโลเคชั่น ที่ห่างจากรถไฟฟ้า สถานีวงเวียนใหญ่ 550 ม. และสถานีโพธิ์นิมิตร 450 ม. โดยกลุ่มลูกค้าจะเป็นคนที่มีสถานที่ทำงานใกล้กับบริเวณนี้ เช่น สาทร หรือ ฝั่งศิริราช โดยลักษณะห้องที่ได้รับความสนใจมากที่สุดจะเป็นขนาด  1 ห้องนอน สำหรับราคาต่อตารางเมตรในปัจจุบันเฉลี่ย 125,000 บาท โดยคอนโดไบร์ท วงเวียนใหญ่ มีห้องเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ห้องนอน 35 ตร.ม – 3 ห้องนอน 118 ตร.ม ซึ่งขณะนี้การก่อสร้าง แล้วเสร็จไปกว่า 95 % แล้ว ซึ่งจะเริ่มทยอยส่งมอบให้กับลูกค้า ในไตรมาสแรกของ ปี 2561 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองว่า ในปีหน้า คอนโดย่านนี้ จะยังเพิ่มขึ้นเรื่อย เนื่องจาก ราคา คอนโดในเมืองเองก็สูงขึ้นมา กล่มลูกค้าที่ เป็นคนย่านฝั่งธน หรือ พึ่งเริ่มสร้างครอบครัว ก็ยังมองหาที่อยู่อาศัยในราคา ประมาณ 3-7 ล้าน อยู่เป็นส่วนใหญ่ อนึ่งโครงการ ไบร์ท วงเวียนใหญ่ เป็นโครงการคอนโดมิเนียม 46 ชั้น 1 อาคาร 472 ยูนิต ในเนื้อที่ 3-1-22 มีที่จอดรถ 299 คัน หรือคิดเป็น 63% ตั้งอยู่บนถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน อยู่ระหว่างซอยสมเด็จพระเจ้าตากสิน 8 และซอยสมเด็จพระเจ้าตากสิน 10 ห่างจากสถานีบีทีเอส วงเวียนใหญ่ 550 เมตร และ โพธิ์นิมิตร 450 เมตร
LIFE อโศก – พระราม 9 คอนโดใจกลางย่านธุรกิจใหม่ของกรุงเทพฯ เติมเต็มคุณภาพชีวิต ด้วยพื้นที่ส่วนกลางกว่า 7.5 ไร่

LIFE อโศก – พระราม 9 คอนโดใจกลางย่านธุรกิจใหม่ของกรุงเทพฯ เติมเต็มคุณภาพชีวิต ด้วยพื้นที่ส่วนกลางกว่า 7.5 ไร่

ปัจจุบันการเลือกซื้อคอนโดมิเนียมมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งด้านทำเล ราคา การเดินทางและสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ ฟังก์ชั่นการใช้งานภายในห้อง และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่จะช่วยเติมเต็มคุณภาพการชีวิตการอยู่อาศัยที่ดีในวันนี้และอนาคต เพื่อตอกย้ำถึงเงื่อนไขที่กล่าวมาข้างต้น และแสดงให้เห็นว่าคอนโดมิเนียมที่ดีและเพียบพร้อมเช่นนั้นมีอยู่จริง บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง พร้อมเปิดขาย “LIFE อโศก - พระราม 9” คอนโดมิเนียมยิ่งใหญ่สุดอลังการ กับคอนเซปต์ “Live a Visionary Life – ออกแบบแนวคิดให้ชีวิตล้ำหน้า” นำเสนอนวัตกรรมพื้นที่ที่เอพีพัฒนาเลเอ้าท์รูปแบบใหม่ เพิ่มความลงตัวและคุ้มค่ากว่าเดิม พร้อมจัดเต็มกับพื้นที่ส่วนกลางกว่า 7.5 ไร่ ใหญ่และครบที่สุดที่เคยมีมา บนที่ดินผืนงามใจกลางย่านธุรกิจใหม่ของกรุงเทพฯ เดินทางสะดวกเพียง 300 เมตรจากรถไฟฟ้าใต้ดินพระราม 9 แวดล้อมไปด้วยศูนย์การค้าชั้นนำมากมาย ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.75 ล้านบาท (หรือ 110,000 บาท ต่อ ตร.ม.) เปิดให้จองพร้อมกันครั้งแรกที่ AP-iBooking ผ่านเว็บไซต์ apthai.com ในวันพุธที่ 8 พฤศจิกายนนี้ และพรีเซลอีเว้นท์ใหญ่ที่เอพีเตรียมสิทธิพิเศษไว้มากมาย อาทิ ลงทะเบียนผ่าน apthai.com รับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท จองพร้อมทำสัญญา 5% รับส่วนลดเพิ่มอีกยูนิตละ 100,000 บาท เฉพาะลูกค้าที่จองในงานพรีเซล ณ LIFE อโศก - พระราม 9 ในวันที่ 11-12 พฤศจิกายนนี้เท่านั้น จุดโดดเด่นแรกของ LIFE อโศก - พระราม 9 คือ นวัตกรรมพื้นที่ที่เอพีพัฒนาเลเอ้าท์ใหม่ภายใต้แนวคิด Interlock โดยการจัดวางผังยูนิตและสเปซภายในแบบใหม่ ระหว่างห้องสตูดิโอ (27.5 ตร.ม.) และ ห้องชุด 1 ห้องนอนแบบพิเศษ (35 ตร.ม.) เพิ่มความคุ้มค่าและพื้นที่ใช้สอยให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น ห้องสตูดิโอถูกปรับให้มีหน้ากว้าง 5 เมตร (โดยทั่วไปจะมีขนาด 3.4 เมตร) ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้พื้นที่ที่เป็นสัดส่วน และความรู้สึกปลอดโปร่งสบาย และความพิเศษของ ห้องชุด 1 ห้องนอนแบบพิเศษ คือ มีหน้ากว้าง 7 เมตร (จากทั่วไป 5.3 เมตร) เพิ่มความเป็นสัดส่วนของฟังก์ชั่นการใช้งาน พื้นที่พิเศษปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์ในอนาคต และห้องครัวแบบปิด ซึ่ง LIFE อโศก - พระราม 9 ถูกออกแบบและบริหารพื้นที่ใหม่ทั้งหมด ทุกตารางเมตรเน้นที่ประโยชน์การใช้งานและความคุ้มค่าสูงสุดของผู้อยู่อาศัย ผสานความงดงามของการดีไซน์พื้นที่ส่วนกลางเข้ากับการใช้งานในยุคดิจิตอล ด้วยเสน่ห์ของการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้โอ่อ่าหรูหรา มีเอกลักษณ์คงความโมเดิร์นเฉพาะตัว เมื่อก้าวเข้ามาในโครงการจะสะดุดตากับโถงต้อนรับ (The Grand Parlour Lobby)ที่สะท้อนความหรูหราโอ่อ่าให้การต้อนรับอย่างลงตัว ถัดจากโถงต้อนรับ จะพบกับ The Third Place พื้นที่ Co-working space 2 ชั้น ดีไซน์ตอบรับพฤติกรรมผู้อยู่อาศัยจริง ตอบโจทย์ทั้งการใช้งานแบบกลุ่มและเดี่ยว ไม่ว่าจะเป็น Community Bench Space หรือ Individual Cocoon ที่รองรับไลฟ์สไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่ ช่วยเชื่อมต่อทุกมิติของการดำเนินชีวิตในยุคดิจิตอลอย่างไม่มีสะดุด ทำให้ชีวิตประจำวันกับการทำงานผสานกันได้อย่างลงตัว ไฮไลท์ถัดมา คือ พื้นที่พักผ่อนภายนอกอาคาร (Sanctuary Pavilion) ช่วยเพิ่มออกซิเจนพลังงานสะอาดให้กับชีวิต และเป็นตัวช่วยให้  ผู้อยู่อาศัยรู้สึกผ่อนคลายท่ามกลางเมืองที่วุ่นวาย บนชั้น 42 และ 45 (Rooftop) ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมาตรฐานสากล อาทิ ‘Elite Fitness’  ฟิตเนสทันสมัยออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ ออกแบบให้เป็น 2 ชั้น 5 โซนบนชั้น Rooftop สอดรับกับความต้องการของผู้ใช้จริง พร้อมสระว่ายน้ำ 3 สระ บนชั้น 42 (Rooftop) และชั้น 45 (Rooftop) ซึ่งแบ่งเป็น 3 โซน แบบ Active Pool และ Scenic Glass Pool ตอบโจทย์ทั้งสำหรับลูกบ้านที่ชื่นชอบว่ายน้ำเพื่อออกกำลังกาย และลูกบ้านที่ชื่นชอบการว่ายน้ำเพื่อผ่อนคลาย พร้อมเต็มอิ่มกับการชมวิวกรุงเทพฯ ผ่านมุมสูงขณะพักผ่อน LIFE อโศก - พระราม 9 สร้างสรรค์ระบบเทคโนโลยีที่พร้อมเชื่อมต่อโลกดิจิตอลได้ทุกที่ทุกเวลา ติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และสัญญาณ  Wi-fi ในพื้นที่ส่วนกลางทุกจุด รองรับวิถีชีวิตการทำงานที่ยืดหยุ่น  ไม่ยึดติดกับกรอบของเวลาหรือสถานที่ ส่งเสริมให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายในรูปแบบที่ทันสมัยขึ้น ผ่านการสั่งงานจากสมาร์ทโฟน ควบคุมทุกอย่างได้แบบ real time รองรับการจองใช้พื้นที่ส่วนกลาง ระบบรักษาความปลอดภัย LIFE อโศก - พระราม 9 จึงถือว่าเป็นคอนโดมิเนียมที่ใหญ่และครบที่สุดที่เคยมีมาในประเทศไทย โดยรวมแล้วการพัฒนาผังยูนิตและวางเสปซภายในแบบใหม่ของ LIFE อโศก - พระราม 9 ให้กว้างขวางปลอดโปร่งขึ้น ทำให้การอยู่อาศัยใจกลางเมืองมีความลงตัวและยังสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้อย่างหลากหลายรองรับถึงความต้องการในอนาคต ทั้งนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ส่วนกลางที่ใหญ่และครบครัน เชื่อว่าผู้ที่มีโอกาสได้เข้ามาอาศัยในโครงการนี้จะได้รับความสะดวกสบายครบวงจร และยิ่งโครงการตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจใหม่ของกรุงเทพฯ ขนาดนี้ ถือว่าเหมาะมากทั้งกับผู้ที่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือการลงทุนในอนาคต เพราะเอพีตั้งราคาเริ่มต้นไว้เพียง 2.75 ล้านบาท (เริ่มต้น 110,000 บาท ต่อ ตร.ม.) โครงการคอนโดมิเนียม LIFE อโศก - พระราม 9 ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 8 ไร่ ประกอบด้วย อาคารคอนโดมิเนียม แบบไฮไรซ์จำนวน 1 อาคาร แบ่งเป็น 2 ทาวเวอร์ (ทาวเวอร์ A สูง 42 ชั้น และทาวเวอร์ B สูง 46 ชั้น) การออกแบบอาคารต่างไปจากโครงการอื่นๆ ของเอพี อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าตัวคอนโดตั้งอยู่ย่านศูนย์กลางธุรกิจใหม่ของกรุงเทพมหานครที่หนาแน่นไปด้วยกลุ่มนักธุรกิจทั้งชาวไทยและต่างชาติ เอพีจึงออกแบบให้อาคารบิดออกจากกันเพื่อเปิดรับทัศนียภาพของกรุงเทพฯ ได้ 2 ฝั่ง ทั้งมักกะสัน และพระราม 9 เพื่อให้มั่นใจว่า LIFE อโศก - พระราม 9 คือคอนโดที่มีองศาเปิดรับวิวดีที่สุด และไม่ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกอึดอัดด้วยจำนวน 2,248 ยูนิต มีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ (1) ห้องสตูดิโอ ขนาดพื้นที่ 25 - 27.5 ตร.ม. (2) ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 32 ตร.ม. (3) ห้องชุด 1 ห้องนอนแบบพิเศษ ขนาดพื้นที่ 35 - 40 ตร.ม. และ (4) ห้องชุด 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 45-58 ตร.ม.
“ไซมิส แอสเสท” ทุ่ม 1,000 ล้านบาท เปิดแบรนด์ “ไซมิส คิน – SIAMESE KIN” ลุยตลาดอสังหาริมทรัพย์ ผนึกกำลัง ‘เซกิซุย เคมิคอล’ โชว์จุดเด่นบ้าน “Smart Living” โครงการแรกของประเทศไทย

“ไซมิส แอสเสท” ทุ่ม 1,000 ล้านบาท เปิดแบรนด์ “ไซมิส คิน – SIAMESE KIN” ลุยตลาดอสังหาริมทรัพย์ ผนึกกำลัง ‘เซกิซุย เคมิคอล’ โชว์จุดเด่นบ้าน “Smart Living” โครงการแรกของประเทศไทย

บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทยที่โดดเด่นด้วยนวัตกรรมแห่งการอยู่อาศัย เดินหน้าแผนการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวราบ แบรนด์ใหม่ “ไซมิส คิน – SIAMESE KIN” ที่อยู่อาศัยแห่งอนาคตภายใต้แนวคิด “สมาร์ท ลิฟวิ่ง – Smart Living” โครงการแรกของประเทศไทย ที่ผสานเทคโนโลยีการก่อสร้างอันล้ำสมัยจากประเทศญี่ปุ่นเข้ากับนวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัย ด้วยมูลค่าการลงทุน    กว่า1,000  ล้านบาท โดยได้รับการสนับสนุนด้านการตลาดและเทคโนโลยี จาก บริษัท เซกิซุย เคมิคอล จำกัด บริษัทรับสร้างบ้านระบบโมดูลาร์อันดับหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น ชูจุดเด่นโครงสร้างแบบโมดูลาร์ (Modular) ที่มีความแข็งแกร่ง ช่วยป้องกันภัยแผ่นดินไหวได้สูงสุดที่ 350 แกล (7 ริกเตอร์) และนวัตกรรมแห่งการอยู่อาศัยที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง โดยเปิดโครงการด้วยราคาเริ่มต้น 5.8 ล้านบาท มั่นใจสามารถ      ปิดการขายได้ภายปี 2561 คุณขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด กล่าวว่า “ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างที่สั่งสมมาจากบริษัท ฤทธา จำกัด ประกอบกับความสำเร็จในการสร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ “SIAMESE – ไซมิส” นับเป็นการการันตีถึงคุณภาพ และความมุ่งมั่นในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยอย่าง ด้วยความพิถีพิถันในการสร้างสรรค์ในทุกรายละเอียด จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับประสบการณ์ในการอยู่อาศัย และการใช้ชีวิตในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ตามสโลแกน “Asset of life…สร้างกำไรให้ทุกการใช้ชีวิต” ของบริษัทฯ ล่าสุดเราได้เล็งเห็นความสำคัญของนวัตกรรมที่มีผลต่อการดำรงชีวิตของคนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุ่ม 1,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบภายใต้แบรนด์ “ไซมิส คิน – SIAMESE KIN” แบรนด์ใหม่ของบริษัทฯ ซึ่งคำว่า “คิน – SIAMESE KIN” มีความหมายว่า “ทองคำ” ในภาษาญี่ปุ่น สื่อถึงคุณภาพอันสูงสุดของโครงการที่ทรงคุณค่าอันคู่ควรต่อการครอบครองดั่งทองคำ โดยได้รับการสนับสนุนด้านการตลาดและเทคโนโลยี จาก บริษัท เซกิซุย เคมิคอล จำกัด บริษัทรับสร้างบ้านระบบโมดูลาร์อันดับหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น โดยบ้านทุกหลังในโครงการ “ไซมิส คิน – SIAMESE KIN” โดดเด่นด้วยการสร้างสรรค์และพัฒนาที่อยู่อาศัย            เพื่อการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ ภายใต้แนวคิด “สมาร์ท ลิฟวิ่ง – Smart Living” ที่นำจุดเด่นจากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของทั้งสองบริษัทมาประยุกต์จนเกิดเป็นโครงการบ้านจัดสรร โครงการแรกของประเทศไทยที่เพียบพร้อมด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยในการประหยัดพลังงาน และเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัย และป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ตามมาตรฐานระดับโลก รวมถึงทำเลที่ตั้งบนพื้นที่กว่า 23 ไร่บริเวณซอยรามอินทรา 64 ที่รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้าสายสีชมพู แคราย- มีนบุรี สถานีวงแหวนตะวันออกซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2563 ทางด่วนฉลองรัชหรือทางด่วนเอกมัย-รามอินทราที่เชื่อมต่อเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว, รวมถึงวงแหวนรอบนอกตะวันออก (ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9) ที่จะทำให้การเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ ออกไปตอนเหนือ หรือภาคตะวันออกก็ทำได้ง่ายไม่แพ้กัน, และแหล่งไลฟ์สไตล์อย่างศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ และเดอะ พรอมมานาด รวมถึงโรงพยาบาลสินแพทย์ และพญาไทนวมินทร์ หรือถ้าเป็นสถาบันการศึกษา ก็มีทั้งโรงเรียนสาธิตพัฒนา เลิศหล้า โรงเรียนบดินทร์เดชา 2 เป็นต้น ซึ่งโครงการ “ไซมิส คิน – SIAMESE KIN” ประกอบด้วยบ้านจำนวน 107 ยูนิต แบ่งออกเป็นบ้าน KIN CHOU พื้นที่ใช้สอย 350 ตารางเมตร จำนวน 12 ยูนิต KIN OKU พื้นที่ใช้สอย 200 ตารางเมตร จำนวน 31 ยูนิต  KIN MAN พื้นที่ใช้สอย 182 – 188 ตารางเมตร จำนวน 28 ยูนิต และทาวน์โฮม KIN SEN พื้นที่ใช้สอย 145 ตารางเมตร จำนวน 36 ยูนิต โดยราคาเริ่มต้นของโครงการอยู่ที่ 5.8 ล้านบาท ซึ่งเหตุผลที่บริษัทสามารถกำหนดราคาได้ต่ำกว่าคู่แข่งในตลาดเป็นเพราะบริษัท วางกลยุทธ์ในการบริหารสินทรัพย์ (Land Bank) ควบคู่กับการหาพันธมิตรในการ ทำการตลาดเพื่อนำเสนอโครงการที่มีคุณภาพสูงภายใต้วิสัยทัศน์ที่ต้องการมอบความคุ้มค่าให้กับลูกค้าได้มากที่สุด คุณคาทสึมิ  ฮอมมะ ผู้จัดการแผนกส่งเสริมกิจการต่างประเทศ บริษัท เซกิซุย เคมิคอล จำกัด กล่าวว่า “ด้วยประสบการณ์ในการสร้างบ้านที่นำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยภายในประเทศญี่ปุ่นมากว่า 70 ปี ทำให้บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญและรับรู้ถึงความต้องการของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ซึ่งภายใต้การสนับสนุนในด้านการตลาดและเทคโนโลยีสำหรับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแห่งอนาคต “ไซมิส คิน – SIAMESE KIN” บริษัทฯ ได้วางรากฐานความมั่นคงของการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง ด้วยเทคโนโลยีการก่อสร้างบ้านตั้งแต่โครงสร้างและงานระบบ อาทิ โครงสร้างบ้านแบบโมดูลาร์ (Modular) ที่ออกแบบโครงเหล็กคุณภาพสูงแบบ Box Ramen Structure Module ที่แข็งแรง ทนทาน และสามารถยืดหยุ่นได้ ทำให้รองรับแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้สูงถึง  350 แกล (ประมาณ 7 ริกเตอร์) ตามมาตรฐาน JIS ประเทศญี่ปุ่น พร้อมเคลือบสาร ZAM ที่ช่วยป้องกันสนิมให้กับโครงสร้างเหล็ก สามารถยืดอายุการใช้งานได้นับร้อยปี ระบบผนัง Thermal & Sound Insulated System ผนังป้องกันความร้อนและเสียงรบกวนด้วย Ceramic wall ภายนอก และ Insulated Wall ผนังสมาร์ทบอร์ดที่มีฉนวนภายใน ควบคู่กับ Air Tightness System วงกบที่ฝังลงไปในโครงสร้างบ้านรวมถึงระบบซีลปิดช่องว่างทุกรอยต่อช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอก ระบบหมุนเวียนอากาศ Air Factory ช่วยเติมอากาศบริสุทธิ์และออกซิเจนภายในบ้าน พร้อมการ กรองอากาศด้วยฟิลเตอร์ถึง 3 ชั้น อาทิ ฝุ่นละออง สารเคมี กลิ่น เป็นต้น ระบบห้องน้ำแบบญี่ปุ่น ที่มีโครงสร้างเป็นอิสระกับบ้านหมดปัญหาน้ำรั่วซึมสู่ส่วนอื่นๆ ระบบ Solar Power System ที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึง 17,500 บาท/ ปี พร้อมทั้งเพิ่มนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์และช่วยเพิ่มคุณภาพในการอยู่อาศัยอาทิ ระบบความปลอดภัยด้วยระบบประตูบ้านนิรภัยที่เปิดปิดง่ายเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินและระบบล็อกจากภายในถึง 3 ชั้น ซึ่งทั้งหมดผลิตภายในการควบคุมด้วยหุ่นยนต์ของโรงงาน SCG HEIM ที่มีมาตรฐานสามารถตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยในทุกขั้นตอน นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกสบายด้วย  Home Automation ระบบอัจฉริยะควบคุมการทำงานด้วยโทรศัพท์มือถือ อาทิ ควบคุมการทำงานการเปิดปิดแสงสว่าง ระบบม่านไฟฟ้า ระบบเครื่องปรับอากาศ และระบบรักษาความปลอดภัยภายในบ้านอย่าง Door Sensor ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวภายในบ้าน และ CCTV รวมทั้ง Floor Service ที่ได้วางงานระบบท่อทุกอย่างใต้พื้นบ้าน ซึ่งถูกยกสูงขึ้นมา 55 เซนติเมตรจากระดับดินหากต้องการซ่อมแซมท่อในอนาคต ก็สามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องทุบพื้น คุณขจรศิษฐ์ กล่าวเสริมว่า “โครงการนี้มุ่งเน้นการสื่อสารเจาะกลุ่มครอบครัวที่มองหาที่อยู่อาศัยที่รองรับด้วยนวัตกรรมแห่งอนาคตเป็นหลัก โดยได้ทุ่มงบ 1,000 ล้านบาท พร้อมทั้งสร้างบ้านนวัตกรรมตัวอย่าง (Pavilion) เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์โดยตรงให้กับลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมภายในโครงการได้เห็นถึงนวัตกรรมสำคัญของบ้าน อาทิระบบการซ่อมบำรุงท่อ และระบบไฟฟ้า ระบบหมุนเวียนอากาศ โครงสร้างเหล็กแบบโมดูลาร์ (Modular) ระบบผนัง Insulated ที่มีฉนวนกั้นความร้อนและเสียง เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าโครงการจะเสร็จสิ้นภายในปี พ.ศ. 2561 โดยโครงการ Siamese KIN มีกำหนดการเปิดจองอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 และมั่นใจว่าจะสามารถปิดการขายภายในปลายปีนี้ ด้วยยอดสูงถึง 100%”   และพิเศษสุดสำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนสมาชิก Exclusive Members กับทางโครงการผ่านทางเว็บไซต์ www.siameseasset.co.th รับสิทธิ์เข้าชมโครงการก่อนใครในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 พร้อมรับของสมนาคุณพิเศษมูลค่ากว่า 1,500,000 บาท โดยผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานขาย “ไซมิส คิน – SIAMESE KIN” โทร 081 931 1411หรือ www.siameseasset.co.th
คอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า/ใต้ดิน

คอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า/ใต้ดิน

ตลาดคอนโดมิเนียมก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการจะให้ความสำคัญกับพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินที่เปิดให้บริการแล้วเท่านั้น แต่ในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมาเริ่มเปลี่ยนไปซึ่งเรื่องนี้นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า “เนื่องจากราคาที่ดินในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในพื้นที่เมืองชั้นในที่ราคาที่ดินไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทต่อตารางวาไปแล้วส่วนที่ดินในทำเลที่อยู่รอบๆ เมืองชั้นในราคาอาจจะต่ำกว่าแต่ก็มีผลต่อการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมส่งผลให้ผู้ประกอบการที่ซื้อที่ดินในราคาสูงไปจำเป็นพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับราคามากกว่า 180,000 บาทต่อตารางเมตรหรือยูนิตละ 5 ล้านบาทขึ้นไปสำหรับห้องขนาด 30 ตารางเมตรถึงมากกว่า 300,000 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้นบนที่ดินในพื้นที่เมืองชั้นใน โดยเฉพาะในพื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิทรวมไปถึงพื้นที่อื่นๆ ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน อีกทั้งคอนโดมิเนียมระดับราคาที่มากกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไปมีกลุ่มผู้ซื้อที่ไม่มากนักในตลาดผู้ซื้อของคนไทย” สุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยการ กล่าวว่า ที่เส้นทางรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่หลายเส้นทางเริ่มมีการก่อสร้างและเห็นความคืบหน้าชัดเจนส่งผลให้ผู้ประกอบการเริ่มเข้าไปซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้นส่งผลให้จำนวนคอนโดมิเนียมสะสมในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้าง (สีเขียวตอนเหนือและใต้, สีน้ำเงิน, สีแดง) มีจำนวนมากขึ้น แม้ว่าราคาที่ดินมีการปรับเพิ่มขึ้นมากมายในช่วงที่ผ่านมาแต่ก็ยังคงต่ำกว่าพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินที่เปิดให้บริการแล้ว โดยจำนวนคอนโดมิเนียมเริ่มมีมากขึ้นแบบเห็นได้ชัดตั้งแต่ปีพ.ศ.2557 เป็นต้นมา คอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่รายไตรมาสในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า/ใต้ดินที่เปิดให้บริการแล้วเปรียบเทียบกับพื้นที่ตามแนวเส้นทางที่กำลังก่อสร้างอยู่ จำนวนรวมของคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ตั้งแต่ปีพ.ศ.2556 เป็นต้นมาในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินที่เปิดให้บริการแล้วอยู่ที่ประมาณ 94,649 ยูนิต ในขณะที่พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างนั้นเพิ่มเริ่มมีโครงการเปิดขายใหม่มากขึ้นในช่วงตั้งแต่ปีพ.ศ.2557 เป็นต้นมา ดังนั้นจำนวนรวมของคอนโดมิเนียมในพื้นที่นี้จึงอยู่ที่ประมาณ  65,635 ยูนิต แม้ว่าจะยังน้อยกว่าพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินที่เปิดให้บริการแล้วแต่มีแนวโน้มที่จำนวนคอนโดมิเนียมจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคตและทำให้ช่องว่างนี้ลดลง นายสุรเชษฐให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “เนื่องจากทำเลนี้ยังเป็นที่สนใจของผู้ประกอบการต่อเนื่อง อีกทั้งผู้ประกอบการยังสามารถพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่มีจำนวนยูนิตมากกว่า 1,000 ยูนิตได้แตกต่างจากพื้นที่เมืองชั้นในหรือชั้นกลางที่ราคาที่ดินสูงมากและมีการปรับราคาขึ้นกันมากกว่า 15 – 20% ต่อปีหรือมากกว่านี้ในบางทำเลรอบสถานีรถไฟฟ้า ในขณะที่พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างนั้นมีการปรับราคาขึ้นกันที่ประมาณ 8 – 15% ต่อปีเท่านั้นและราคาขายที่ดินก่อนหน้านี้ก็ต่ำมากซึ่งทำเลเหล่านี้ส่วนใหญ่ที่ดินจะมีการปรับราคาในอัตราที่สูงขึ้นในช่วงปีพ.ศ.2557 เป็นต้นมา เมื่อมีผู้ประกอบการเข้าไปหาซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้นเพราะเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างมีความชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้นแล้ว ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนรูปแบบของโครงการที่ของผู้ประกอบการคือ กำลังซื้อคนไทยที่ลดลงเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องหาทำเลที่สามารถพัฒนาโครงการราคาไม่สูงมากได้และเป็นทำเลมีศักยภาพในการขยายตัวในอนาคตด้วยเพื่อจะได้สร้างความน่าสนใจให้กับโครงการของตนที่เปิดขายอีกทั้งยังสามารถดึงดูดนักลงทุนได้อีกส่วนหนึ่งด้วยส่งผลให้พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างเป็นที่สนใจมากขึ้น” แนวโน้มของตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างในอนาคตคาดว่าจะมีการขยายตัวมากขึ้นกว่าปัจจุบันเพราะผู้ประกอบการยังคงต้องการที่ดินที่ราคาไม่สูงเกินไปเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของคนไทย อีกทั้งยังต้องการทำเลที่มีการขยายตัวต่อเนื่องในระยะยาวเพื่อโครงการจะได้เป็นที่สนใจของกลุ่มนักลงทุน ทำเลที่ตลาดคอนโดมิเนียมจะมีการขยายตัวต่อเนื่องนั้นก็ยังคงเป็นทำเลเดิมที่มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายมากอยู่แล้วในช่วงที่ผ่านมา เช่น พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว หมอชิต – คูคตโดยเฉพาะช่วงตั้งแต่ 5 แยกลาดพร้าวขึ้นไปถึงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่ยังคงมีผู้ประกอบการรอเปิดขายโครงการใหม่อยู่ พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว แบริ่ง – สมุทรปราการที่ก่อนหน้านี้อาจจะชะลอตัวไปแล้ว 1 – 2 ปีแต่คาดว่าจะมีโครงการเปิดขายใหม่มากขึ้นในอนาคตแต่อาจจะเป็นทำเลที่ไกลออกไปจากสถานีพอสมควร อีกทำเลที่น่าสนใจคือพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินโดยเฉพาะตามแนวถนนจรัลสนิทวงศ์และเพชรเกษมที่เป็นอีกทำเลที่มีผู้ประกอบการเข้าไปเดขายโครงการกันหลายโครงการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาและคาดว่าปีต่อไปก็จะยังเป็นทำเลที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจอยู่ ปีพ.ศ.2561 “ในอนาคตก็ยังมีเส้นทางรถไฟฟ้าที่จะเริ่มการก่อสร้างอีก 3 เส้นทางใหม่ คือสายสีส้ม สีมชมพู และสีเหลือง ถึงแม้ว่าบางสายจะเป็นระบบรถไฟฟ้ารางเบาแต่ก็คาดว่าพื้นที่ตามแนวเส้นทางจะเป็นที่สนใจของผู้ประกอบการมากขึ้นแน่นอนในอนาคต ส่วนพื้นที่เมืองชั้นในอาจจะเหลือแต่โครงการที่มีราคาขายมากกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตรหรือมากกว่านี้รวมไปถึงอาจจะมีโครงการที่เป็นสัญญาเช่าระยะยาวเปิดขายมากขึ้นในอนาคตก็เป็นได้เมื่อราคาที่ดินสูงเกินกว่าจะซื้อมาพัฒนาโครงการให้เหมาะกับกำลังซื้อของคนไทย” นายสุรเชษฐ กล่าวสรุป
เอสซี แอสเสทฯ เปิดคฤหาสน์นิวซีรี่ส์  วิลล่าหรู 3 ชั้น พร้อม Private Pool โครงการใหม่ “เดอะ เจนทริ พระราม 9” เริ่มต้น 27 ล้านบาท 11-12 พ.ย.นี้

เอสซี แอสเสทฯ เปิดคฤหาสน์นิวซีรี่ส์ วิลล่าหรู 3 ชั้น พร้อม Private Pool โครงการใหม่ “เดอะ เจนทริ พระราม 9” เริ่มต้น 27 ล้านบาท 11-12 พ.ย.นี้

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แนะนำโครงการใหม่ “เดอะ เจนทริ พระราม 9” (The Gentry Rama 9) คฤหาสน์นิวซีรี่ส์ วิลล่าหรู 3 ชั้น สไตล์ Urban Sanctuary พร้อม Private Pool และ Private Lift ส่วนตัว บนทำเลศักยภาพ เพียง 3.5 กม. จากทองหล่อ ติด Foodland หัวหมากบนถนนรามคำแหง ใกล้ทางด่วนศรีรัชและรามอินทรา-อาจณรงค์ ท่ามกลางบรรยากาศแบบส่วนตัว เอกสิทธิ์เพียง 13 ยูนิต เริ่มต้น 27 ล้านบาท เปิดพรีเซลส์ 11-12 พ.ย.นี้ พิเศษสุด!! จองในงานรับส่วนลด 1 ล้านบาท ณ สำนักงานขายโครงการ ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ www.scasset.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1749