Tag : News

2376 ผลลัพธ์
“สมดุลแห่งความต่าง” สิงห์ เอสเตท เปิดโครงการดิ เอส สุขุมวิท 36 ด้วยแนวคิดการสร้างสมดุลแห่งความต่างในการอยู่อาศัย ผ่านการออกแบบผสานอัตลักษณ์ความเป็นไทยเข้ากับเทรนด์การอยู่อาศัยยุคใหม่

“สมดุลแห่งความต่าง” สิงห์ เอสเตท เปิดโครงการดิ เอส สุขุมวิท 36 ด้วยแนวคิดการสร้างสมดุลแห่งความต่างในการอยู่อาศัย ผ่านการออกแบบผสานอัตลักษณ์ความเป็นไทยเข้ากับเทรนด์การอยู่อาศัยยุคใหม่

“สิงห์ เอสเตท” เปิดตัว ดิ เอส สุขุมวิท 36 (THE ESSE SUKHUMVIT 36) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีติดรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีทองหล่อ ภายใต้แนวคิด “สมดุลแห่งความต่าง” จากต้นแบบของงานสถาปัตยกรรมแบบบ้านเรือนไทย ประยุกต์เข้ากับการอยู่อาศัยในยุคใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ภายใต้ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับโลก ตั้งเป้าปิดการขาย 50% ในปีนี้ ด้วยยอดขายกว่า 3,000 ล้านบาท นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บมจ.สิงห์ เอสเตท ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมในระดับลักชัวรีมาแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ ดิ เอส อโศก (The ESSE Asoke) และ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (THE ESSE at SINGHA COMPLEX) ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้รับการตอบรับที่ดี โดยมียอดขายรวมกว่า 85% และในวันนี้เราได้เปิดตัวโครงการที่ 3 คือ ดิ เอส สุขุมวิท 36 คอนโดมิเนียมความสูง 43 ชั้น จำนวน 338 ยูนิต มูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท ซึ่งตั้งอยู่บนหนึ่งในทำเลที่ดีที่สุดของสุขุมวิท คือ ติดกับรถไฟฟ้าสถานีทองหล่อ แหล่งรวมไลฟ์สไตล์และที่พักอาศัยในระดับบนของกรุงเทพฯ รวมทั้งยังเป็นทำเลยอดนิยมของชาวต่างชาติ จึงทำให้ทำเลนี้เป็นที่ต้องการและมีศักยภาพในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของลูกค้าในระดับบนทั้งชาวไทยและต่างชาติ ที่ต้องการซื้อเพื่อพักอาศัยเองและซื้อเพื่อลงทุน โดยโครงการนี้ สิงห์ เอสเตท ร่วมทุนกับ ฮ่องกง แลนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากมายในเอเชีย รวมถึงได้ว่าจ้างที่ปรึกษาระดับโลก อย่าง SOM มาช่วยดูแลด้านการออกแบบร่วมกับบริษัทออกแบบชั้นนำของไทย เพื่อให้โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 มีความโดดเด่นในระดับลักชัวรี โดยตั้งเป้าปิดการขายได้ 50% ในปีนี้ ด้วยยอดขายกว่า 3,000 ล้าน” “โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ถูกพัฒนาภายใต้แนวคิด “A Harmony of Contrast”  หรือ สมดุลแห่งความต่าง โดยการหลอมรวมอัตลักษณ์ของความเป็นไทยกับเทรนด์การอยู่อาศัยในยุคปัจจุบันเข้าด้วยกัน สถาปัตยกรรมที่สร้างในเขตร้อนหรือ ทรอปิคัล เฮ้าส์ เช่น บ้านเรือนไทย  ถูกนำมาใช้เป็นโจทย์หลักในการออกแบบตัวอาคาร อาทิ การเปิดช่องให้ลมผ่านหรือการยกพื้นใต้อาคารเพื่อให้มีการไหลเวียนของอากาศภายใน แนวคิดดังกล่าวถูกนำมาประยุกต์ให้เข้ากับการออกแบบสมัยใหม่  ซึ่งนอกจากจะสวยงามแล้วยังเป็นการออกแบบที่คำนึงถึงความยั่งยืน (Sustainability Design) อีกด้วย ในส่วนของงานภูมิทัศน์ได้แรงบันดาลใจจากภูมิประเทศแถบชนบทของไทย เช่น ทุ่งข้าว และเนินเขา มาเป็นต้นแบบ ขณะที่งานตกแต่งภายในเองก็ได้นำเอารูปแบบงานฝีมือของไทยเข้าไปใส่ในรายละเอียดต่างๆ โดยปรับแต่งให้มีความทันสมัย ทั้งนี้อัตลักษณ์ของความเป็นไทยทั้งหมดได้ถูกผสานกับการออกแบบสมัยใหม่ได้อย่างสมดุลและลงตัว โดยมั่นใจว่าการออกแบบดังกล่าวจะสามารถเข้าถึงทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงทำให้โครงการมีความแตกต่างจากโครงการลักชัวรีอื่นในตลาด” นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า “ในส่วนของห้องพักอาศัยทั้ง 338 ยูนิต ประกอบด้วย ห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 38.50-43.25 ตารางเมตร แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 73.50-77.00 ตารางเมตร แบบ 3 ห้องนอน ขนาด 116.75-124.25 ตารางเมตร และเพนท์เฮ้าส์ ขนาด 252 ตารางเมตร ทุกห้องมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัว มีการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์คุณภาพสูงจากแบรนด์ชั้นนำ รวมถึงมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในโครงการเพื่อให้การใช้ชีวิตในโครงการสะดวกสบายยิ่งขึ้น  นอกจากนั้นพื้นที่ส่วนกลางยังครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกตอบโจทย์ทุกวัฒนธรรมการอยู่อาศัย อาทิ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย ออนเซ็น สกายเลาจน์ เธียเตอร์รูม กอล์ฟ ซิมูเลเตอร์ ฯลฯ” นายเทอเรนซ์ ลี ผู้จัดการทรัพย์สินอาวุโสของฮ่องกง แลนด์ กล่าวว่า “เราเชื่อว่า ดิ เอส สุขุมวิท 36 จะเป็นโครงการที่นำเสนอจิตวิญญาณของกรุงเทพฯ เมืองหลวงที่มีความน่าตื่นตาตื่นใจของประเทศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมแห่งนี้ได้อย่างงดงาม โครงการนี้ได้ที่ปรึกษาด้านการออกแบบซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำอันดับต้น ๆ ของโลก มาร่วมออกแบบและวางแผนก่อสร้างด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด รวมถึงการคัดเลือกวัสดุอุปกรณ์ตกแต่งที่มีคุณภาพดีเยี่ยม พร้อมสรรพด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกตามมาตรฐานอาคารที่พักลักชัวรีระดับโลก นอกจากนี้เรายังได้นำประสบการณ์และความรู้ที่ได้จากการร่วมพัฒนาโครงการต่างๆ ทั่วเอเชียมาร่วมกันสรรสร้างสัญลักษณ์ใหม่แห่งกรุงเทพมหานครแห่งนี้ ในฐานะหุ้นส่วนโครงการนี้ ผมขอถือโอกาสนี้แสดงความยินดีกับ สิงห์ เอสเตท และหวังว่าโครงการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน ที่ทั้งสองฝ่ายร่วมกันมองหาโอกาสใหม่ๆ ในตลาดที่กำลังเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน รวมถึงสร้างมาตรฐานการใช้ชีวิตแบบมีระดับร่วมกันต่อไปอีกในอนาคต ฮ่องกง แลนด์ เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่พักอาศัยของไทยมีอนาคตที่สดใส เราหวังว่าจะได้พัฒนาความสัมพันธ์ในฐานะพาร์ทเนอร์คนสำคัญกับ สิงห์ เอสเตท ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และมีโอกาสที่จะร่วมลงทุนในโครงการอื่นๆ ด้วยกันอีกในอนาคต” นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันทองหล่อเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมสูงสุดของทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวญี่ปุ่น เพราะเป็นแหล่งที่รวมไลฟ์สไตล์ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของชาวต่างชาติมากกว่าทำเลอื่นในกรุงเทพฯ ทั้งยังเป็นย่านที่มีตลาดเช่าที่พักอาศัยเพื่อการลงทุนที่โดดเด่นมาก มีตลาดชัดเจน คอนโดระดับราคา 250,000-350,000 บาทต่อตารางเมตร แม้จะดูราคาสูง แต่เป็นระดับราคาที่ลูกค้ายอมรับได้ เมื่อเทียบกับทำเล แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแพคเกจราคารวมต่อยูนิตด้วย ทั้งนี้ซีบีอาร์อีมองว่าคอนโดระดับราคา 10-20 ล้านบาท/ ยูนิต ค่อนข้างเหลือน้อยแล้วในทำเลนี้ อีกอย่างที่สำคัญคือรายละเอียดของโครงการว่ามีความสนใจมากน้อยแค่ไหน ยิ่งถ้าเป็นการซื้อเพื่อปล่อยเช่ายิ่งต้องดูว่าโปรดักส์ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของกลุ่มที่เรามองไว้เป็นกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ ในช่วงที่ผ่านมาชาวต่างชาติเองก็หันมาลงทุนซื้ออสังหาฯในเมืองไทยมากขึ้น เพราะราคาอสังหาฯในเมืองไทยยังราคาไม่ค่อยสูงเมื่อเทียบกับในต่างประเทศ และมาตรฐานของโครงการในเมืองไทยก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงทั้งในแง่การออกแบบและของที่ให้ โดยชาวต่างชาติมักจะลงทุนในทำเลที่ตนเองมีความคุ้นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำเลติดกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสซึ่งสะดวกต่อการเดินทางและดีในแง่ของการลงทุน ซึ่งก็ไม่พ้นสุขุมวิท” โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ราคาเริ่มต้นต่อยูนิตอยู่ที่ 12 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 1/2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. 2563 ทั้งนี้โครงการจะเปิดขายให้ชมห้องตัวอย่างที่สำนักงานขาย ติดรถไฟฟ้าสถานีทองหล่อ ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. 2560 เป็นต้นไป  งาน Pre Sales จะจัดขึ้นในวันที่ 18-19 พ.ย. 2560 สิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่ซื้อในช่วงวันดังกล่าว จะได้รับส่วนลดพิเศษตั้งแต่ 2-8 แสนบาท สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1221 หรือ www.singhaestate.co.th
‘เอพี ไทยแลนด์’ สร้างยอดขายสูงสุดไตรมาส 3 – คว้าตำแหน่งเบอร์ 1 ในธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมายผู้นำ 3 อันดับแรกบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำในเมืองไทยอย่างมั่นคง

‘เอพี ไทยแลนด์’ สร้างยอดขายสูงสุดไตรมาส 3 – คว้าตำแหน่งเบอร์ 1 ในธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมายผู้นำ 3 อันดับแรกบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำในเมืองไทยอย่างมั่นคง

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง ฉลองชัยยอดขายไตรมาส 3 สูงสุดเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจ นับรวมผลงาน 9 เดือนเกินเป้าที่ตั้งไว้คิดเป็น 108.8% ที่ 28,300 ล้านบาท ตอกย้ำเป้าหมายก้าวสู่การเป็น 1 ใน 3 บริษัทผู้นำตลาดในธุรกิจอสังหาไทย โค้งสุดท้ายมั่นใจบรรยากาศซื้อขายกลับมาคึกคัก เตรียมรุกตลาดต่อด้วย 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 16,700 ล้านบาท เล็งดันยอดขายรวมสิ้นปีแตะหลัก 35,000 ล้านบาท นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ มากถึง 13,300 ล้านบาท ขึ้นแท่นอันดับ 1  ในธุรกิจที่มียอดขายมากสุดจากในไตรมาส 3 และเมื่อนับรวมยอดขายรวม 9 เดือน บริษัทสร้างยอดขายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้คิดเป็น 108.8% หรือ 28,300 ล้านบาท (จากเป้าหมาย 26,000 ล้านบาท) เราเชื่อว่าในช่วง   โค้งสุดท้ายของปีที่บริษัทมีสินค้าพร้อมเปิดตัวใหม่อีก 6 โครงการมูลค่า 16,700  ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ (Ongoing Projects) กว่า 80 โครงการ ซัพพลายตอบตลาดระดับกลางและบนไปได้สวย เราน่าจะสามารถสร้างยอดขายแตะหลัก 35,000 ล้านบาทได้ ซึ่งความสำเร็จด้านยอดขายของเรามีผลสำคัญมาจากการที่เอพีมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างแตกต่าง ด้วยนวัตกรรมบ้าน คอนโด และทาวน์โฮมคุณภาพ ในดีไซน์ที่โดดเด่นสำหรับคนเมือง ครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านคุณภาพ-บริการ-ความสะดวกสบาย และ   ด้านความปลอดภัย เพื่อสร้าง ‘คุณภาพชีวิตที่ดีกว่าให้กับผู้อยู่อาศัย’ส่งผล ให้เราสามารถก้าวขึ้นสู่เป้าหมายในการเป็น 1 ใน 3 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในไทยได้สำเร็จ” “ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี 2560 เราเชื่อว่าบรรยากาศการซื้อขายจะกลับคืนปกติ สินค้าที่ตอบโจทย์ตลาดระดับกลางและบนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ด้านซัพพลายส่วนใหญ่เราจะเห็นภาพการเปิดโครงการใหม่ที่เกิดจากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจเน้น  รุกตลาด พรีเมียมระดับบน สะท้อนได้จากสินค้าเอพีที่ได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี ทั้งสินค้าแนวราบและคอนโด โดยยอดขาย 9 เดือนที่เกิดขึ้น 28,300 ล้านบาทนั้น หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  (9 เดือนปี 2559) ถือว่าโตมากถึง 48% และถ้าเทียบเฉพาะไตรมาส 3 ของปี 2559 กับปี 2560  กลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียมโตมากถึง 101% ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิด ‘โครงการ LIFE ONE WIRELESS’ (ไลฟ์ วัน ไวร์เลส) บนถนนวิทยุ ที่ตอบความต้องการของตลาดระดับบน” นายอนุพงษ์ กล่าวเสริม
สยามดิสคัฟเวอรี่ เปิดสเปซใหม่ “Ecotopia” ฉีกกฎนิยามอีโค่แบบเดิมให้ทันสมัย รองรับการใช้ชีวิตใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

สยามดิสคัฟเวอรี่ เปิดสเปซใหม่ “Ecotopia” ฉีกกฎนิยามอีโค่แบบเดิมให้ทันสมัย รองรับการใช้ชีวิตใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

สยามดิสคัฟเวอรี่ - The  Exploratorium สนามประลองพลังอำนาจแห่งความคิดสร้างสรรค์ และเป็นไลฟ์สไตล์สเปเชี่ยลตี้สโตร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นำเสนอสินค้าตามไลฟ์สไตล์ตอบสนองความต้องการสำหรับทุกคน แบ่งเป็น Everyday Products, Trend Products, Innovative Products, Collaboration Limited Products  และSustainable Products  เพื่อตอกย้ำนโยบายในการให้ความสำคัญและใส่ใจสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างเต็มรูปแบบ สยามดิสคัฟเวอรี่  จึงเปิดพื้นที่ “Ecotopia”  บริเวณชั้น 4 สยามดิสคัฟเวอรี่  บนพื้นที่กว่า 900 ตารางเมตร นำเสนอสินค้าเพื่อสุขภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกว่า 100 แบรนด์ และสินค้ากว่า 3,000 รายการ ที่ครบวงจรยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย กับนิยามอีโค่ที่เป็นวิถีของคนทันสมัย  (Eco is Fashionable) เพื่อค้นพบนิยามใหม่ของการรักษ์โลก ที่จะทำให้ทุกคนสุขภาพดีและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน (Sustainability)  พร้อมสนับสนุนและกระตุ้นจิตสำนึกของคนไทย และเป็นองค์ความรู้ในการสร้างสรรค์ประโยชน์เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เชิญชวนทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในคอมมูนิตี้หัวใจรักษ์โลกเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งจัดกิจกรรมเวิร์คช็อปเพิ่มไอเดียในแบบสร้างสรรค์ตามแบบฉบับอีโค่กรีนให้คนเมืองใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดและมีสไตล์ คุณชัยโรจน์  ศรีเดชะรินทร์กุล  กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจ International Fashion Brand Retailกล่าวว่า ด้วยกระแสเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไป ผู้คนหันมาให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ให้ความใส่ใจในการเลือกซื้อสินค้าที่คำนึงถึงสุขภาพของตนเอง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จุดนี้เองทำให้ สยามดิสคัฟเวอรี่ สร้างสเปซเปิดโซนใหม่  “Ecotopia” ขึ้น เพื่อตอบสนองกับกระแสเทรนด์โลกที่ทุกคนหันมาเลือกบริโภคสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อตัวเองและดีต่อโลก อีโค่ในแบบฉบับของสยามดิสคัฟเวอรี่ จะไม่ทำให้ทุกคนจำเจอีกต่อไป แต่เป็นการสร้างนิยามอีโค่แนวใหม่ ซึ่งฉีกกฎการรักษ์โลกแบบเดิม  ให้เป็นเทรนด์ใหม่ให้มีสไตล์มีความคูล เพื่อให้คำว่าสุขภาพดีมาพร้อมกับความทันสมัย และเป็นแฟชั่นที่จะทำให้ทุกคนโดดเด่นแบบไม่ซ้ำใครและปลอดภัย “ทุกวันนี้ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเองกันมากขึ้น ทำให้ทุกคนพิถีพิถันเลือกสิ่งที่ไม่ใช่แค่มีประโยชน์อย่างเดียว แต่ต้องดีต่อสุขภาพตนเอง และดีต่อสุขภาพของโลก คนจึงเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต และเกิดไลฟ์สไตล์ใหม่ขึ้น จุดนี้เองจึงทำให้สยามดิสคัฟเวอรี่ เพิ่มพื้นที่สำหรับการใช้ชีวิตในแบบไลฟ์สไตล์ใหม่ รวบรวมสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ผลิตมาจากธรรมชาติ 100% สินค้าที่ไม่ใช้สารเคมีในการผลิตทำให้ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และเปิดพื้นที่ เพื่อให้เป็นจุดหมายปลายทางรวบรวมสินค้าทุกประเภทมาให้ทุกคนได้หาซื้อกันได้ง่ายขึ้น ด้วยความสะดวกใจกลางเมือง” คุณชัยโรจน์ กล่าว สินค้าอีโค่โฮมแอนด์เดคคอร์ (Eco Home & Decor) เป็นอีกสินค้าที่ปัจจุบัน ผู้ผลิตและผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อกระบวนการผลิต โดยนำวัสดุจากธรรมชาติ และวัสดุใช้แล้วนำมารีไซเคิลผลิตเป็นสินค้าใหม่ เป็นอีกกลุ่มสินค้าที่คนรักการแต่งบ้านพลาดไม่ได้ ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภทเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพภายนอกและสำหรับงานบ้านและยังเป็นการร่วมกันรักษ์โลก ไม่ต้องทำลายป่าไม้ ยังคงมีธรรมชาติที่สมบูรณ์ไว้ให้คนรุ่นต่อไป สินค้าอีโค่แก็ตเจ็ทแอนด์สเตชั่นเนรี่ (Eco Gadget & Stationery)ได้รวบรวมสินค้าอีโค่ที่มีนวัตกรรมสร้างสรรค์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ได้อย่างตื่นตาตื่นใจ เพื่อให้หนุ่มสาวทันสมัยได้มีไอเท็มที่ไม่ใช่แค่เพียงล้ำด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรม แต่ยังมีส่วนสำคัญในการร่วมรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย ไม่ว่าจะเป็นแก็ตเจ็ตลำโพง หูฟังที่ทำจากไม้และอลูมิเนียมที่นำกลับมารีไซเคิล หรือจะเป็นกระเป๋าที่ผลิตมาจากเทปเก่า หรือ ที่รองกรีดกระดาษ รวมทั้งกระเป๋าจากเศษหนัง เปิดคอมมูนิตี้สำหรับอีโค่โซไซตี้ ไม่เพียงแต่สินค้าที่ สยามดิสคัฟเวอรี่ คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดตามแนวอีโค่เฟรนด์ลี่ที่ดีต่อสุขภาพของทุกคน และดีต่อสิ่งแวดล้อมโลก แต่ Ecotopia ยังเป็นศูนย์รวมของคนที่มีแนวความคิดร่วมกันในการใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยมีกิจกรรมเวิร์คช็อปสไตล์อีโค่มากมายทุกสุดสัปดาห์ตลอดเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2560  เพื่อเอาใจเหล่าอีโค่คอมมูนิตี้ ร่วมสัมผัสกับที่สุดของสินค้าอีโค่กว่า 100 แบรนด์ และมากกว่า 3,000 รายการที่ตอบสนองทุก ไลฟ์สไตล์ครบทุกความต้องการได้ที่นี่ที่เดียว พร้อมกับกิจกรรมเวิร์คช็อปรักษ์โลกที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ Ecotopia  จุดหมายปลายทางของคนรักษ์โลก ได้แล้ววันนี้ที่ ชั้น 4 สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยม สอบถามข้อมูล และติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ www.siamdiscovery.co.th/explore/Ecotopia หรือ โทร. 02 -658 -1000
“ออริจิ้น” หนุนรัฐ ผุดโครงการกว่า 12,000 ล้านบาท รุกตลาด EEC จุดพลุอสังหาฯ ตอบโจทย์นักลงทุนไทย-ต่างชาติ

“ออริจิ้น” หนุนรัฐ ผุดโครงการกว่า 12,000 ล้านบาท รุกตลาด EEC จุดพลุอสังหาฯ ตอบโจทย์นักลงทุนไทย-ต่างชาติ

รัฐหนุนการลงทุนภาคเอกชนร่วมขับเคลื่อน EEC เดินหน้าพื้นที่สู่ World-Class Economic Zone ตามยุทธศาสตร์ “ไทยแลนด์ 4.0” ด้าน “ออริจิ้น” จัดหนัก รุกลงทุนอสังหาฯครบวงจร คอนโดมิเนียม-โรงแรม-คอมมูนิตี้มอลล์ใน EEC รวมมูลค่าทะลุ 1.2 หมื่นล้านบาท หวังสนับสนุนรัฐกระตุ้นการลงทุนไทย-ต่างชาติ คาดศรีราชาทำเลทอง ขึ้นแท่น “โอซาก้าเมืองไทย” หลังเกิด “ดิจิทัล พาร์ค ไทยแลนด์” แย้มพร้อมบุกตลาด EEC ต่อเนื่อง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่ความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน ตามยุทธศาสตร์ “ไทยแลนด์ 4.0” โดยรัฐจะเดินหน้าลงทุน 5 ปีแรกกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อยกระดับพื้นที่ภาคตะวันออก 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ให้กลายเป็น “World-Class Economic Zone” อย่างไรก็ดี การจะดำเนินนโยบายให้ประสบผลสำเร็จสูงสุดได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในพื้นที่ด้วย “นับเป็นเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่โครงการ EEC ของรัฐบาลในวันนี้ ไม่ได้มีเพียงรัฐบาลที่เดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดนักลงทุน แต่ยังมีภาคเอกชนเข้ามาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จนทำให้เกิดเมือง เกิดสังคม หรือคอมมูนิตี้ ขึ้นมารองรับการลงทุนคู่ขนานกันไปด้วย ต้องขอขอบคุณบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ที่ถือเป็นบริษัทต้นแบบ เข้ามาช่วยสนับสนุนการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ EEC อย่างจริงจังเป็นรายแรกๆ” นายสนธิรัตน์ กล่าว ทั้งนี้ คาดหวังว่า กลไกความร่วมมือทุกมิติระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ EEC จะเป็นส่วนช่วยกระตุ้นการตัดสินใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น ทำให้ EEC กลายเป็น “เมืองยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ” ที่เติบโตไปจนสร้างรายได้ สร้างการเจริญเติบโตให้แก่ประเทศได้ตามเป้าหมาย และช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” ต่อไป สำหรับการลงทุนใน EEC คาดว่าระยะยาว จะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยราว 5% ต่อปี สร้างการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ 100,000 อัตราต่อปี สร้างฐานภาษีใหม่ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี ดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 10 ล้านคนต่อปี และสร้างฐานรายได้เพิ่มไม่น้อยกว่า 4.5 แสนล้านบาทต่อปี ด้านนายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า บริษัทในฐานะภาคเอกชนที่ดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ มองว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยยกระดับพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกให้กลายเป็น “World-Class Economic Zone” ได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน บริษัทจึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาภูมิภาคนี้ กระตุ้นการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ผ่านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบต่างๆ ในพื้นที่ EEC รวมมูลค่าโครงการกว่า 12,130 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในศรีราชา จ.ชลบุรี มูลค่า 10,130 ล้านบาท และใน จ.ระยองประมาณ 2,300 ล้านบาท สำหรับโครงการในศรีราชา บริษัทได้เริ่มพัฒนาโครงการไปแล้ว 2 โครงการได้แก่ 1.โครงการมิกซ์ยูส ภายใต้ชื่อ “ออริจิ้น ดิสทริค แหลมฉบัง-ศรีราชา” มูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย คอนโดมิเนียมเคนซิงตัน แหลมฉบัง 1 เคนซิงตัน แหลมฉบัง 2 นอตติ้ง ฮิลล์ แหลมฉบัง โรงแรมฮออลิเดย์ อิน แอนด์ สวีทและคอมมมูนิตี้มอลล์ “พอร์โทเบลโล มอลล์” โดยโครงการคอนโดมิเนียม เคนชิงตัน แหลมฉบัง 1 ก่อสร้างแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างทยอยโอนกรรมสิทธิ์ ขณะที่เคนชิงตัน แหลมฉบัง 2 และนอตติ้ง ฮิลล์ แหลมฉบัง อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง 2.โครงการคอนโดมิเนียม “ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชี่ยน ศรีราชา” (KnightsBridge The Ocean Sriracha) มูลค่า 2,500 ล้านบาท เป็นโครงการที่ได้รับรางวัล Best Luxury Condo Development (Eastern Seaboard) จากงาน Thailand Property Awards 2017 ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการทยอยโอนกรรมสิทธิ์ มียอดขายแล้วกว่า 70% กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพฯที่ซื้อไว้เพื่อลงทุนปล่อยเช่า เนื่องจากตลาดเช่าของศรีราชามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้เช่าชาวญี่ปุ่นที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรม เพราะศรีราชาไม่ไกลจากนิคมอุตสาหกรรมทำให้การเดินทางสะดวก ส่งผลให้ศรีราชาเป็นตลาดเช่าที่สำคัญ ขณะที่อัตราค่าเช่าค่อนข้างสูงคือประมาณกว่า 30,000 บาทต่อเดือน “ปัจจุบัน ศรีราชาถือเป็นทำเลที่โดดเด่นที่สุดในพื้นที่ภาคตะวันออก เป็นเมืองท่าลำดับที่ 22 ของโลกเชื่อมโยงการขนส่งไทยเข้ากับประเทศต่างๆ มีการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่นเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนถูกขนานนามว่าเป็นลิตเติ้ลโอซาก้า ในอนาคตหลังภาครัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการดิจิทัล พาร์คไทยแลนด์ในศรีราชาตามโครงการ EEC มีสัญญาณที่ดีว่าจะมีนักลงทุนชาวญี่ปุ่นเข้ามาเพิ่มขึ้น ศรีราชาจะไม่ใช่แค่ลิตเติ้ล โอซาก้า แต่จะกลายเป็น โอซาก้าเมืองไทย” นายพีระพงศ์ กล่าว สำหรับโครงการที่จังหวัดระยอง บริษัทยังมีแผนจะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในปี 2561 และเพื่อความต่อเนื่องในการพัฒนาโครงการในเขตพื้นที่ EEC บริษัทยังมองหาที่ดินแปลงอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนและส่งเสริมการดำเนินนโยบายของภาครัฐ ปัจจุบัน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 44 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 43,500  ล้านบาท  2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยพบกำลังซื้อที่อยู่อาศัยนครปฐมมาแรง คอนโดฯ เติบโตสูงสุดรองรับดีมานด์ซื้ออยู่จริง-ปล่อยเช่ารอบมหาวิทยาลัย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยพบกำลังซื้อที่อยู่อาศัยนครปฐมมาแรง คอนโดฯ เติบโตสูงสุดรองรับดีมานด์ซื้ออยู่จริง-ปล่อยเช่ารอบมหาวิทยาลัย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ พื้นที่ จ.นครปฐม มีกำลังซื้อเติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมโซน พุทธมณฑล กำแพงแสน และตัวเมืองนครปฐม เหตุเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ดึงดูดกำลังซื้อจาก อาจารย์- บุคลากรในมหาวิทยาลัย ผู้ปกครองซื้อให้บุตรหลาน และกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อไว้ปล่อยเช่า ส่งผลยอดขายคอนโดมิเนียมเติบโตดีสุดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ชี้ทิศทางในอนาคตสดใสจากปัจจัยบวกภาครัฐพัฒนาโครงการคมนาคม อาทิรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง และมอเตอร์เวย์ ช่วยหนุนราคาอสังหาริมทรัพย์เติบโตต่อเนื่อง  นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จ.นครปฐม  ล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2560 พบว่ามีกำลังซื้อที่เติบโตอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะในโซนพุทธมณฑล กำแพงแสน และตัวเมืองนครปฐม ในบริเวณใกล้กับมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กำแพงแสน และมหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์  ซึ่งโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกพัฒนารอบสถานศึกษา ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือประเภทคอนโดมิเนียม รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ทั้งนี้ จากการสำรวจตลาดอสังหาฯ จังหวัดนครปฐม ในรอบสำรวจ มิถุนายน 2560 พบอุปทานเสนอขายในตลาดทั้งหมด 14,783 ยูนิต จาก 77 โครงการ ด้านอุปสงค์ตอบรับแล้ว 75% ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เน้นเสนอขายโครงการคอนโดมิเนียม รองลงมาคือ ทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยว โดยคอนโดมิเนียม มีจำนวนอุปทาน 9,625 ยูนิต (ส่วนแบ่ง 65%) , ทาวน์เฮาส์ 2,884 ยูนิต (ส่วนแบ่ง 20%) และบ้านเดี่ยว 2,774 ยูนิต (ส่วนแบ่ง 15%) โดยเฉลี่ยเปิดขายแล้วประมาณ 2-3 ปี ตลาดคอนโดมิเนียม  มีจำนวนยูนิตเสนอขายสูงสุดในพื้นที่นี้ เริ่มพบคอนโดมิเนียมโครงการใหม่เข้าสู่ตลาดในช่วง 2-3 ปีก่อน เน้นกลุ่มดีมานด์จากอาจารย์ บุคลากรในมหาวิทยาลัย รวมถึงผู้ปกครองที่ซื้อไว้ให้บุตรหลานพักอาศัย ซึ่งเป็นกลุ่มดีมานด์ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยในรอบสำรวจนี้พบว่าตลาดคอนโดฯมีอัตราการดูดซับดี ยอดขายได้สูง  ประมาณ 10.1 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ส่วนโครงการแนวราบ พบว่าตลาดทาวน์เฮาส์  อุปทานส่วนใหญ่อยู่ในโซนพุทธมณฑล ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท พบอัตราการดูดซับเฉลี่ย 3.66 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ สำหรับตลาดคอนโดมีแนวโน้มดูดซับได้ดีขึ้น เนื่องจากมีการดึงส่วนแบ่งอุปสงค์จากทาวน์เฮาส์ เนื่องจากคอนโดมิเนียมมีสิ่งอำนวยความสะดวก และรูปแบบโครงการที่สวยงามกว่า และคอนโดมิเนียมยังสามารถนำไปปล่อยเช่าได้ง่ายกว่า ตลาดบ้านเดี่ยว ส่วนใหญ่อยู่ในโซนพุทธมณฑล ในราคา 3 - 5 ล้านบาท อุปสงค์ตอบรับได้ช้า เป็นอุปสงค์จากโครงการเก่าที่เปิดขายมานาน ประมาณ 2-3 ปี อัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ   หากพิจารณาถึงทำเลบริเวณมหาวิทยาลัย พบว่าในแต่ละปีจะมีจำนวนนิสิต นักศึกษาที่เข้ามา ในแต่ละโซนเป็นจำนวนมาก ประมาณ 36,000 คนต่อปี โดยเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน มากที่สุด ประมาณ 14,000 คน รองลงมามหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ ประมาณ 13,000 คน และนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ประมาณ 9,000 คน   สำหรับในทำเลกำแพงแสน ยังไม่พบจำนวนคอนโดมิเนียมมากนัก แต่จำนวนดีมานด์ที่เข้ามาในแต่ละปียังมีจำนวนมากเนื่องจากมีนักศึกษาจำนวนมาก จากการสำรวจพบว่าราคาขายเฉลี่ยของโครงการคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน อยู่ที่ 50,000 – 60,000 บาทต่อตารางเมตร สำหรับรูปแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 27 - 30 ตารางเมตร หากนำมาปล่อยเช่าจะได้ค่าเช่าเฉลี่ย 6,000 - 7,000 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ 5-6% ต่อปี   “ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่นครปฐมเริ่มเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยตลาดคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มเติบโตกว่าตลาดอื่นๆ ซึ่งช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นโครงการใหม่เริ่มเปิดขายทำเลเน้นบริเวณใกล้มหาวิทยาลัย เพื่อดึงกลุ่มอุปสงค์จากอาจารย์มหาวิทยาลัย บุคลากร ผู้ปกครองที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่เล็งเห็นถึงผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าในอนาคต ซึ่งถือว่าได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนดี เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยธนาคาร  ส่วนตลาดแนวราบยังพอไปได้ในบางทำเล มีแรงตอบรับดีในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในอนาคตพื้นที่นครปฐมมีโอกาสเติบโตสูง จากโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม เช่น รถไฟรางคู่นครปฐม-หัวหิน รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหิน  มอเตอร์เวย์สายนครปฐม-ชะอำ และมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาที่ดินในนครปฐมสูงขึ้นได้อีกในอนาคต” นายอนุกูล กล่าว  
เจ.เอส.พี. เร่งปั้มรายได้โค้งสิ้นปี 60 ยิ้มรับธ.กรุงไทย สนับสนุนสินเชื่อ

เจ.เอส.พี. เร่งปั้มรายได้โค้งสิ้นปี 60 ยิ้มรับธ.กรุงไทย สนับสนุนสินเชื่อ

เร่งปั้มรายได้ : โค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี บมจ.เจ.เอส.พี. ก็ยังต้องขอเร่งโกยยอดขายเข้าบริษัทไว้ก่อน ล่าสุดทั้งพี่แจ้-ไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยคุณธีระชาติ มโนธรรมรักษา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ร่วมให้การต้อนรับผู้บริหารจาก บมจ.ธนาคารกรุงไทย โดยมี คุณวิชาญ ไพสิฏฐานันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายผู้บริหารฝ่ายทีมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2 กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ 2 สายงานธุรกิจขนาดใหญ่1 ร่วมด้วยคณะทีมงาน เข้าเยี่ยมชมโครงการ เจ วิลล่า บางใหญ่ พร้อมให้คำแนะนำปรึกษา และสนับสนุนสินเชื่อรายย่อยให้กับทางโครงการฯ ซึ่งปัจจุบันโครงการฯมียอดจองเข้ามาแล้วกว่า 60% อีกทั้งยังได้รับกำลังการสนับสนุนสินเชื่อจากกรุงไทยที่ดูแลอย่างเต็มที่ขนาดนี้ ก็คาดว่าก่อนสิ้นปีนี้รายได้รวมโครงการฯน่าจะแตะ 400 ล้านบาท เป็นการทำยอดรายได้เพิ่มให้กับบริษัทได้อย่างสวยงามอีกแน่นอน
“สยามนุวัตร” พลิกเกมอสังหาฯ ใหม่ Facilities และ Technology “วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม” คอนโดหรู ทำเล Midtown Siam มีสไตล์ใจกลางเมือง CBD สะท้อนตัวตน การใช้ชีวิตได้อย่างครบครัน

“สยามนุวัตร” พลิกเกมอสังหาฯ ใหม่ Facilities และ Technology “วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม” คอนโดหรู ทำเล Midtown Siam มีสไตล์ใจกลางเมือง CBD สะท้อนตัวตน การใช้ชีวิตได้อย่างครบครัน

โครงการ “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” (วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม) เป็นคอนโดมิเนียมที่พักอาศัย High Rise สูง 41 ชั้น พื้นที่โครงการโดยรวมประมาณ 2 ไร่ จำนวน 333 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท มีแบบห้องชุดตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน ขนาด 30.00- 96.75 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 6 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณ 2 แสนบาท/ตารางเมตร     “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” (วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม) มีจุดเด่นในเรื่องของพื้นที่ส่วนกลาง “Lifestyle Pods” (ไลฟ์สไตล์ พอดส์) พื้นที่อำนวยความสะดวก 4 ชั้นบนสุดของตัวอาคาร อาทิ Pool Pods สระว่ายน้ำลอยฟ้ารูปตัวยูขนาดใหญ่ สามารถมองทัศนียภาพได้ 360 องศา, Body and Mind Pods ฟิตเนส ห้องโยคะ และ Boxing Stage, Chill and Work Pods พื้นที่สำหรับผ่อนคลาย และการทำงานที่เป็นส่วนตัว รวมถึง Sky Pods พื้นที่สำหรับสังสรรค์และทำกิจกรรมอื่นๆ พร้อมกับทำเล ‘มิดทาวน์ สยาม’     สำหรับโครงการนี้จะมีความเป็น Ultra Modern Luxury ทั้งด้านการดีไซน์ตัวตึก การออกแบบให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนอยู่โรงแรม ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Your Signature” สะท้อนเอกลักษณ์ที่แตกต่างในแบบของคุณ ตั้งอยู่บนทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง ซึ่งมีความสะดวกในการเดินทาง เพราะมีระยะห่างเพียง 400 เมตร จากบีทีเอสสถานีราชเทวี และเพียง 450 เมตร จากศูนย์การค้าสยามพารากอน เชื่อมต่อศูนย์การค้าแพลตตินั่ม แฟชั่นมอลล์ เพียง 500 เมตร ตอบสนองความต้องการได้อย่างสมบูรณ์แบบ และที่สำคัญที่สุด คือ การดีไซน์ที่แตกต่าง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถสะท้อนบุคลิกและรสนิยมของผู้อาศัยได้เป็นอย่างดี โดยจะเริ่มงานก่อสร้างโครงการเดือนมีนาคม ปี พ.ศ.2561 คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม ปีพ.ศ. 2563     ด้านการออกแบบห้องพักอาศัยมีความสูงโปร่ง ซึ่งมีระดับพื้นถึงฝ้าเพดานอยู่ที่ 3 เมตร ทำให้ห้องมีความกว้าง พร้อมเปิดรับลมและแสงแดดจากธรรมชาติ โดยห้องขนาด 1 ห้องนอน จะมีขนาดห้องอยู่ที่ 30.00-34.98 ตารางเมตร, ห้องขนาด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ จะมีขนาดห้องอยู่ที่ 46.66-47.34 ตารางเมตร, ห้องขนาด 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ จะมีขนาดห้องอยู่ที่ 58.52-58.84 ตารางเมตร และห้องขนาด 3 ห้องนอน จะมีขนาดห้องอยู่ที่ 96.75 ตารางเมตร   พื้นผิวภายในห้องชุดจะปูด้วยพื้นไม้ Engineer Wood ความหนา 14 มิลลิเมตร ผนังของห้องจะก่อด้วยอิฐมอญ หรือ อิฐมวลเบาฉาบปูนเรียบ ทาสี และผนังห้องน้ำจะปูด้วยกระเบื้อง ส่วนฝ้าเพดานภายในห้องชุดจะใช้ยิปซั่มบอร์ดฉาบเรียบ ทาสี โครงคร่าวเหล็กชุบสังกะสี ด้านบานประตูหลักจะเป็นบานไม้อัด กรุลามิเนต ในส่วนของบานประตูห้องนอนและห้องน้ำทั่วไปจะเป็นบานไม้อัดกรุลามิเนต หรือบานเลื่อนตามแบบเฟอร์นิเจอร์ และหน้าต่าง-ประตูระเบียงจะเป็นอลูมิเนียม กระจก     ในส่วนของสุขภัณฑ์ห้องน้ำภายในห้องชุดจะมีความลักชัวรี่มาตรฐานเดียวกับโรงแรมปาร์คไฮแอท และโอเรียนเต็ล สไตล์ Modern France ประกอบด้วยชักโครก Villeroy & Boch หรือเทียบเท่า, อ่างล้างหน้าแบบฝังเคาน์เตอร์ หรือวางบนเคาน์เตอร์, ฝักบัวแบบ Rain Shower ยี่ห้อ Grohe หรือเทียบเท่า, ก๊อกอ่างล้างหน้า Grohe หรือเทียบเท่า, ฉากกั้นอาบน้ำกระจก Tempered Glass   ระบบปรับอากาศ ภายในห้องนั่งเล่นจะเป็น Daikin, Trane หรือเทียบเท่า, ห้องนอนเป็น Daikin, Trane หรือเทียบเท่า ด้านเฟอร์นิเจอร์ชุดครัวจะประกอบด้วย เคาน์เตอร์ครัวยี่ห้อ Modernform หรือเทียบเท่า, อ่างล้างจาน ยี่ห้อ Franke, Teka หรือเทียบเท่า, เตาไฟฟ้า ยี่ห้อ Electrolux, Franke, Teka หรือเทียบเท่า, เครื่องดูดควัน ยี่ห้อ Electrolux, Franke, Teka หรือเทียบเท่า     ด้านระบบโทรศัพท์ จัดเตรียมแบบ Outlet โทรศัพท์พื้นฐาน 1 จุด พร้อมรองรับระบบอินเตอร์เน็ต, ระบบระบายอากาศ ติดตั้งในห้องน้ำและห้องครัว, ระบบเครื่องทำน้ำร้อน ติดตั้งระบบและสายไฟ เตรียมไว้ในห้องอาบน้ำทุกห้อง ส่วนของระบบเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย ติดตั้งระบบ Video Door Phone ของ ABB หรือเทียบเท่า, ติดตั้งระบบ Digital Door Lock และระบบเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของอาคาร เป็นระบบคีย์การ์ดที่ทางเข้า-ออกโถงลิฟท์อาคาร, ระบบกล้องวงจรปิด CCTV, ระบบตรวจจับควันอัตโนมัติ (Smoke Detector) และ Sprinkler System ภายในห้องพักและพื้นที่ส่วนกลาง     สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับลูกบ้านนั้น จะประกอบไปด้วย ลิฟท์โดยสาร 3 ตัว และลิฟท์ขนส่ง 1 ตัว, ล็อบบี้, จากุชชี่, สระว่ายน้ำเด็ก, สตีม & ซาวน่า, ฟิตเนส, สนามมวย, Co-Working Space, มินิเธียเตอร์, เลาจน์, Golf Simulator, สนามบาสเกตบอล และพื้นที่สังสรรค์บนดาดฟ้า, จำนวนที่จอดรถ 197 คัน และระบบสำรองไฟฟ้าของโครงการ     ร่วมเข้าชมห้องตัวอย่าง โครงการ “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” (วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม) ได้แล้ววันนี้ที่ Sales Gallery ถนนเพชรบุรี ซอย 20 เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 02-652-6588
“ออริจิ้น-โนมูระ” เผยบิ๊กโปรเจ็คท์ยักษ์ร่วมทุน มูลค่า 11,000 ล้าน โชว์แบรนด์ “พาร์ค” เจาะตลาดบนรุกใจกลางทองหล่อ

“ออริจิ้น-โนมูระ” เผยบิ๊กโปรเจ็คท์ยักษ์ร่วมทุน มูลค่า 11,000 ล้าน โชว์แบรนด์ “พาร์ค” เจาะตลาดบนรุกใจกลางทองหล่อ

 “ออริจิ้น” เผยโครงการร่วมทุน “โนมูระ” ยึดพื้นที่อารีน่า 10 ใจกลางทองหล่อ ผุดอาณาจักรคอนโดหรู มูลค่า 11,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “พาร์ค” ปักธงเจาะตลาดไฮเอนด์ ตั้งเป้าขึ้นแท่นเบอร์ 1 แบรนด์คอนโดมิเนียม และผู้นำธุรกิจอสังหาครบวงจร นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน (Kensington), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) และ พาร์ค (PARK) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 12/2560 เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 มีมติให้ร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด (NRED) โดยการจำหน่ายหุ้นสามัญของ บริษัท ออริจิ้น พาร์ค ที 1 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ซึ่งบริษัทถือหุ้น 100% จำนวน 49,000 หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท) คิดเป็นอัตรา 49% ของหุ้นสามัญ หรือคิดเป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 490,000 บาท โดยมีราคาจำหน่ายหุ้นทั้งสิ้นจำนวน 397,463,500 บาท ซึ่งทาง NRED จะชำระราคาหุ้นสามัญดังกล่าวเป็นเงินสด ทั้งนี้ บริษัท ออริจิ้น พาร์ค ที 1 จำกัด ได้ทำการจดทะเบียนบริษัท เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2560 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ บนพื้นที่ดินแปลง อารีน่า 10 (ทองหล่อซอย 10) ซึ่งถือเป็นพื้นที่ใจกลางทองหล่อ มูลค่าโครงการ 11,000 ล้านบาท  ภายใต้แบรนด์ “พาร์ค” โดยโครงการดังกล่าวถือเป็นการนำแบรนด์ พาร์ค มาพัฒนาโครงการเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่บริษัทได้ผนึกร่วมกับบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด มุ่งหวังให้เป็นแบรนด์ระดับไฮเอนด์ ช่วยขยายตลาดบนและตลาดต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าโครงการดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 2561 “การร่วมมือพัฒนาโครงการกับโนมูระในครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านนวัตกรรม การออกแบบ โนว์ฮาว กับบริษัทที่ขึ้นชื่อว่ามีส่วนแบ่งในตลาดที่อยู่อาศัยสูงเป็นระดับท็อปทรีของญี่ปุ่น และจะเป็นบันไดก้าวสำคัญของออริจิ้นสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร และขึ้นเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในใจผู้บริโภคเช่นเดียวกับแบรนด์คอนโดมิเนียมของโนมูระ” ก่อนหน้านี้ บริษัทได้เปิดตัวโครงการร่วมทุนกับโนมูระไปแล้ว 3 โครงการในปีนี้ ได้แก่ 1.โครงการไนท์บริดจ์ ไพรม์ อ่อนนุช 2.โครงการไนท์บริดจ์ ไพรม์ รัชโยธิน และ 3.โครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง รวมมูลค่าโครงการ 6,100  ล้านบาท ขณะที่แผนการดำเนินงานในอนาคต บริษัทยังคงมีแผนร่วมลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์กับโนมูระอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบของการพัฒนาอาคารชุดและธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจพัฒนาและบริหารจัดการอาคารสำนักงาน โรงแรม และธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบัน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 44 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 43,500  ล้านบาท  2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
“จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” ฉลองยอดพรีเซลล์ทะลุเป้า เปิด Sales Gallery แนวคิด “Life Exploring” ตอกย้ำผู้ นำเมืองวัยเกษียณด้วยดีไซน์ระดับโลก เผยนวัตกรรมดูแลผู้สูงวัยสุดล้ำ

“จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” ฉลองยอดพรีเซลล์ทะลุเป้า เปิด Sales Gallery แนวคิด “Life Exploring” ตอกย้ำผู้ นำเมืองวัยเกษียณด้วยดีไซน์ระดับโลก เผยนวัตกรรมดูแลผู้สูงวัยสุดล้ำ

 “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ ฉลองยอดพรีเซลล์ กว่า 300 ห้อง ประกาศความเป็นผู้นำเดินหน้าอัดทีมขายทั้งในและต่างประเทศ พร้อมเผยโฉม Sales Gallery แนวคิด “Life Exploring” บนพื้นที่โครงการจริงย่านรังสิต นำเสนอมิติใหม่ของการใช้ชีวิตสูงวัยครบวงจรแห่งแรกในเมืองไทย เปิดประสบการณ์สุดพิเศษจำลองการอยู่อาศัยท่ามกลางธรรมชาติด้วยดีไซน์ระดับโลก อัดแน่นคลาสกิจกรรมไลฟ์สไตล์เพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีพลังของคนวัยเกษียณ พร้อมโชว์นวัตกรรมอัจฉริยะทั้ง “สายรัดข้อมืออัจฉริยะ” และ “จิณณ์ แอพลิเคชั่น” ที่จะช่วยตอบโจทย์การอยู่อาศัยและการดูแลสุขภาพเหนือระดับของผู้สูงวัยเพื่อการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายและปลอดภัยกว่าที่เคย มร. จอห์น ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ และประธานกรรมการบริษัทพรีเมียร์โฮม เฮลท์แคร์ จำกัด ผู้บริหารโครงการแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณด้วยความเชี่ยวชาญด้านเฮลท์แคร์ภายใต้เครือโรงพยาบาลธนบุรี กล่าวว่า “เราพร้อมแล้วที่จะเปิด Sales Gallery ในพื้นที่จริงด้วยแนวคิด “Life Exploring” ซึ่งเป็นมากกว่าห้องตัวอย่างทั่วไป แต่เป็นการจำลองโครงการฯมาไว้ในพื้นที่แห่งนี้ นอกจากห้องตัวอย่างที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้ชีวิตของผู้สูงวัยรวมถึงวัยทำงานที่เตรียมมองหาสถานที่ในอนาคต (Young Senior) แล้ว ยังมีการจัดคลาสกิจกรรมต่างๆเพื่อให้ลูกค้าและผู้ที่สนใจได้สัมผัสกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างมีพลัง ซึ่งสอดรับกับนวัตกรรมแนวคิด Integrated Healthcare ด้วยรูปแบบการบริการด้านสุขภาพแบบบูรณาการที่ครอบคลุมถึงการใช้ชีวิตในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัยดีไซน์ระดับโลก การบริการระดับโรงแรมด้วย Concierge Service สปาและทรีทเมนต์ ร้านอาหารและ   คาเฟ่ การบริการด้านสุขภาพที่เรามีคลินิกผู้สูงวัย คลินิกรักษาโรค โรงพยาบาลกายภาพบำบัด และหน่วยฉุกเฉินเตรียมพร้อม 24 ชม. ที่สำคัญที่สุดคือเรานำเอานวัตกรรมอย่าง “สายรัดข้อมืออัจฉริยะ” และ “จิณณ์ แอพลิเคชั่น” มาช่วยเติมเต็มให้คุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในโครงการ ทั้งหมดนี้จะสร้างความโดดเด่นตอกย้ำความเป็นผู้นำของ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ทั้งในแง่ของการตอบโจทย์การใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างมีคุณภาพและในแง่ของศักยภาพโครงการเชิงการลงทุนอีกด้วย” “หลังจากงานแถลงข่าวเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เรามียอดจอง ถึงกว่า 300 ห้อง ถือเป็นการตอบรับที่ดีเยี่ยมสำหรับการสร้างเมืองที่มีความโดดเด่นและแปลกใหม่สำหรับคนหลังวัยเกษียณและครอบครัวอย่างแท้จริง โดยเรามุ่งมั่นที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจถึงการใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างมีพลังอย่างต่อเนื่อง เช่น นิทรรศการภาพถ่าย The Golden Spirit Gallery กิจกรรมประกวดภาพถ่าย Jin The Golden Spirit Photo Contest โดยเราได้เริ่มเปิดตัวเมืองและ Sales Gallery โครงการให้เป็นที่รู้จักอย่างเต็มที่ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ทั้งในสื่อ Offline คือ โฆษณาโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ป้ายโฆษณา และ Digital บิลบอร์ดทั่วกรุงเทพ รวมถึงการโปรโมทผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ  มีการส่ง Direct Mail ถึงกลุ่มเป้าหมายกว่า 50,000 ราย  โดยเรามีความพร้อมที่จะเสริมกำลังทีมงานขายมืออาชีพทั้งในส่วนของทีมขายประจำโครงการฯและตัวแทนขายบริษัทชั้นนำของเมืองไทย เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าคนไทยและกลุ่มลูกค้าต่างชาติ เสริมด้วยโปรโมชั่นสำหรับผู้จองห้องด้วยสิทธิพิเศษมูลค่าสูงสุดถึง 350,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 30 พย.60 โดยจะมีงาน Grand Opening โครงการอย่างยิ่งใหญ่เร็วๆนี้” มร. จอห์น กล่าว Sales Gallery ของจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน ในบริเวณที่ตั้งโครงการจริง ตัว Sales Gallery ครอบคลุมพื้นที่ถึง 560 ตารางเมตร ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก คือ โถงต้อนรับ พร้อมโมเดลจำลองโครงการ ตกแต่งด้วยสีเอิร์ธโทนและลายหินอ่อน สามารถมองเห็นภูมิทัศน์ที่จำลองจากโครงการจริง ไม่ว่าจะเป็น ลำธาร ร่มไม้ และจุดนั่งพัก ห้อง Life Explore ห้องรูปวงรีบริเวณโถงต้อนรับ สำหรับแสดงวิดีทัศน์นำเสนอนิยามใหม่ของการใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างมีพลังพร้อมด้วยความพิเศษของโครงการ Life Exploring Class ห้องทำกิจกรรมไลฟ์สไตล์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมร่วมสัมผัสกับการใช้ชีวิตอย่างมีพลังภายในโครงการ ตลอดเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้ อาทิ คลาสโยคะ คลาสหัวเราะบำบัด และคลาสการเรียนรู้ต่างๆ  และส่วนห้องพักอาศัยตัวอย่าง (Active Living)  2 ขนาด ขนาด 46 ตารางเมตร นำเสนอการใช้ชีวิตของผู้สูงวัยที่ยัง Active และคนวัยทำงาน (Young Senior) ที่เริ่มมองหาสถานที่สำหรับอนาคต และห้องขนาด 66 ตารางเมตรสำหรับผู้สูงวัยที่อาจมีผู้ดูแล ภายในแต่ละห้องจะตกแต่งด้วยวัสดุและอุปกรณ์ที่สนับสนุนการใช้ชีวิตของผู้สูงวัยอย่างครอบคลุม ล้อมรอบด้วยทิวทัศน์ภายนอกที่ใกล้เคียงบรรยากาศจริงภายในโครงการเมื่อสร้างเสร็จ ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อผู้สูงวัย โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ นำร่องด้วย “สายรัดข้อมืออัจฉริยะ” ระบบ Tracking System สามารถใช้งานด้าน Location Tracking แสดงตำแหน่งการเคลื่อนไหวของผู้สวมใส่ไปยังศูนย์ควบคุม พร้อมแจ้งเตือนข้อมูลสุขภาพจำเพาะแก่ผู้สวมใส่ และ Fall Detection แจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ เมื่อผู้สวมใส่เกิดเหตุพลัดตก หกล้ม หรือเหตุอื่นๆ เพื่อการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังมี “จิณณ์ แอพลิเคชั่น” (Jin Application) ที่จะเข้ามาช่วยให้การดำเนินชีวิตประจำวันของผู้สูงวัยสะดวกสบายยิ่งขึ้น  เช่น แนะนำเมนูสุขภาพ ทำนัดแพทย์ จองคลาสกิจกรรม และเรียกบริการรถโครงการ ซึ่งทั้ง 2 เทคโนโลยีนี้เชื่อมต่อข้อมูลของผู้พักอาศัยทุกคนด้วยเทคโนโลยี Data Analytics เพื่อวางแผนการดูแลแบบเฉพาะบุคคลหรือ Tailor-Made Medicine ซึ่งจะมีจัดแสดงไว้ภายในพื้นที่ Sales Gallery เช่นกัน สำหรับการออกแบบโครงการถือเป็นอีกที่สุดที่ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ยกให้เป็นอีกหัวใจสำคัญ “โจทย์ใหญ่สำหรับการออกแบบโครงการนี้คือการสร้างพื้นที่ที่สามารถอยู่อาศัยและใช้งานได้จริงตลอดทุกช่วงชีวิตหรือ Architecture for Life จึงเน้นเปิดพื้นที่สีเขียวเป็นธรรมชาติมากที่สุด เพื่อกระตุ้นให้คนออกมาใช้ชีวิตนอกห้องพัก มีสังคม ทำกิจกรรมร่วมกัน ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีพลังตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้เราได้นำมาให้ลูกค้าได้สัมผัสจริงๆ ในเซลล์แกลเลอรี่นี้ด้วย” มร. จอห์น ลี กล่าว หนึ่งในจุดเด่นของโครงการ คือ การออกแบบด้วยหลัก Universal Design มีการออกแบบและจัดสิ่งอำนวยความสะดวกที่คำนึงถึงผู้อยู่อาศัยทุกประเภท ทั้งในช่วงวัยที่ร่างกายแข็งแรงดี ไปจนถึงช่วงวัยที่มีข้อจำกัดทางร่างกาย เช่น ผู้ที่นั่งรถเข็น หรือมีผู้ดูแล เป็นต้น โดยมีบริษัท ซีร่า อาร์คิเทคท์ (Cira Architects) จากสหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบตกแต่งภายใน มีประสบการณ์โครงการสำหรับผู้สูงอายุ โรงพยาบาล และโครงการขนาดใหญ่ในหลายประเทศ เป็นผู้ดูแลการออกแบบภายในห้องพักให้เป็นพื้นที่ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัย ในสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย เสมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เสริมทัพด้วยบริษัท โอเพ็นบ็อกซ์ อาร์คิเทคท์ จำกัด (OpenBox Architects) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบอาคาร ที่นำประสบการณ์กับโครงการขนาดใหญ่มาใช้ โดยคำนึงถึงความสะดวก ปลอดภัย เปิดพื้นที่รับแสงธรรมชาติและอากาศถ่ายเทได้มากที่สุด และยังสร้างบรรยากาศที่ชวนให้ใช้ชีวิตได้อย่างกระฉับกระเฉง มีพลัง และใกล้ชิดธรรมชาติ มีสังคมที่อบอุ่น เกื้อกูลซึ่งกันและกัน สำหรับด้านภูมิทัศน์ บริษัท ฉมา จำกัด (Shma) ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบภูมิสถาปัตย์ของไทย ได้รับหน้าที่ในการสร้างสรรค์บรรยากาศในแนวคิด “Community in the Ravine Forest” สร้างระบบนิเวศน์เสมือนป่าที่สมบูรณ์เพื่อดึงดูดนก แมลง เข้ามาในพื้นที่ เชื่อมโยงคนกับธรรมชาติ พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้ผู้สูงอายุทำกิจกรรม เช่น ปลูกผักสวนครัวทั้งบนดินและบนโต๊ะเพื่อความสะดวกสำหรับผู้ที่นั่งรถเข็น  การออกแบบเส้นทางจักรยาน เส้นทางวิ่งหรือเดินออกกำลังกาย ที่ปลอดภัย ไม่ลื่น มีจุดนั่งพักเป็นระยะและเชื่อมต่อส่วนกิจกรรมต่างๆ เข้าด้วยกัน เป็นต้น “ทุกมิติในการออกแบบโครงการ เราคำนึงถึงการส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้ศักยภาพของตนเองให้เต็มที่ กระตุ้นให้ทุกคนมีสังคม มีกิจกรรม อยากออกมาใช้ชีวิตข้างนอกอย่างมีความสุข  เราเชื่อว่านี่คือแนวคิดสำคัญที่จะทำให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีพลังในทุกช่วงวัยและทุกสภาพร่างกาย จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ พร้อมจะเป็นผู้นำในการสร้างมิติใหม่แห่งการใช้ชีวิตวัยเกษียณ และเผยแพร่แนวคิดนี้ไปสู่สังคมผู้สูงวัยที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้ประเทศไทยมีสังคมที่แข็งแรงและดำเนินไปอย่างมีคุณภาพ” มร. จอห์น ลี กล่าวสรุป
“สยามนุวัตร” พลิกเกมอสังหาฯ ใหม่ Facilities และ Technology “วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม” คอนโดหรู ทำเล Midtown Siam มีสไตล์ใจกลางเมือง CBD สะท้อนตัวตน การใช้ชีวิตได้อย่างครบครัน

“สยามนุวัตร” พลิกเกมอสังหาฯ ใหม่ Facilities และ Technology “วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม” คอนโดหรู ทำเล Midtown Siam มีสไตล์ใจกลางเมือง CBD สะท้อนตัวตน การใช้ชีวิตได้อย่างครบครัน

โครงการ “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” (วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม) เป็นคอนโดมิเนียมที่พักอาศัย High Rise สูง 41 ชั้น พื้นที่โครงการโดยรวมประมาณ 2 ไร่ จำนวน 333 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท มีแบบห้องชุดตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน ขนาด 30.00- 96.75 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 6 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณ 2 แสนบาท/ตารางเมตร “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” (วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม) มีจุดเด่นในเรื่องของพื้นที่ส่วนกลาง “Lifestyle Pods” (ไลฟ์สไตล์ พอดส์) พื้นที่อำนวยความสะดวก 4 ชั้นบนสุดของตัวอาคาร อาทิ Pool Pods สระว่ายน้ำลอยฟ้ารูปตัวยูขนาดใหญ่ สามารถมองทัศนียภาพได้ 360 องศา, Body and Mind Pods ฟิตเนส ห้องโยคะ และ Boxing Stage, Chill and Work Pods พื้นที่สำหรับผ่อนคลาย และการทำงานที่เป็นส่วนตัว รวมถึง Sky Pods พื้นที่สำหรับสังสรรค์และทำกิจกรรมอื่นๆ พร้อมกับทำเล ‘มิดทาวน์ สยาม’ สำหรับโครงการนี้จะมีความเป็น Ultra Modern Luxury ทั้งด้านการดีไซน์ตัวตึก การออกแบบให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนอยู่โรงแรม ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Your Signature” สะท้อนเอกลักษณ์ที่แตกต่างในแบบของคุณ ตั้งอยู่บนทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง ซึ่งมีความสะดวกในการเดินทาง เพราะมีระยะห่างเพียง 400 เมตร จากบีทีเอสสถานีราชเทวี และเพียง 450 เมตร จากศูนย์การค้าสยามพารากอน เชื่อมต่อศูนย์การค้าแพลตตินั่ม แฟชั่นมอลล์ เพียง 500 เมตร ตอบสนองความต้องการได้อย่างสมบูรณ์แบบ และที่สำคัญที่สุด คือ การดีไซน์ที่แตกต่าง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถสะท้อนบุคลิกและรสนิยมของผู้อาศัยได้เป็นอย่างดี โดยจะเริ่มงานก่อสร้างโครงการเดือนมีนาคม ปี พ.ศ.2561 คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม ปีพ.ศ. 2563   ด้านการออกแบบห้องพักอาศัยมีความสูงโปร่ง ซึ่งมีระดับพื้นถึงฝ้าเพดานอยู่ที่ 3 เมตร ทำให้ห้องมีความกว้าง พร้อมเปิดรับลมและแสงแดดจากธรรมชาติ โดยห้องขนาด 1 ห้องนอน จะมีขนาดห้องอยู่ที่ 30.00-34.98 ตารางเมตร, ห้องขนาด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ จะมีขนาดห้องอยู่ที่ 46.66-47.34 ตารางเมตร, ห้องขนาด 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ จะมีขนาดห้องอยู่ที่ 58.52-58.84 ตารางเมตร และห้องขนาด 3 ห้องนอน จะมีขนาดห้องอยู่ที่ 96.75 ตารางเมตร พื้นผิวภายในห้องชุดจะปูด้วยพื้นไม้ Engineer Wood ความหนา 14 มิลลิเมตร ผนังของห้องจะก่อด้วยอิฐมอญ หรือ อิฐมวลเบาฉาบปูนเรียบ ทาสี และผนังห้องน้ำจะปูด้วยกระเบื้อง ส่วนฝ้าเพดานภายในห้องชุดจะใช้ยิปซั่มบอร์ดฉาบเรียบ ทาสี โครงคร่าวเหล็กชุบสังกะสี ด้านบานประตูหลักจะเป็นบานไม้อัด กรุลามิเนต ในส่วนของบานประตูห้องนอนและห้องน้ำทั่วไปจะเป็นบานไม้อัดกรุลามิเนต หรือบานเลื่อนตามแบบเฟอร์นิเจอร์ และหน้าต่าง-ประตูระเบียงจะเป็นอลูมิเนียม กระจก ในส่วนของสุขภัณฑ์ห้องน้ำภายในห้องชุดจะมีความลักชัวรี่มาตรฐานเดียวกับโรงแรมปาร์คไฮแอท และโอเรียนเต็ล สไตล์ Modern France ประกอบด้วยชักโครก Villeroy & Boch หรือเทียบเท่า, อ่างล้างหน้าแบบฝังเคาน์เตอร์ หรือวางบนเคาน์เตอร์, ฝักบัวแบบ Rain Shower ยี่ห้อ Grohe หรือเทียบเท่า, ก๊อกอ่างล้างหน้า Grohe หรือเทียบเท่า, ฉากกั้นอาบน้ำกระจก Tempered Glass ระบบปรับอากาศ ภายในห้องนั่งเล่นจะเป็น Daikin, Trane หรือเทียบเท่า, ห้องนอนเป็น Daikin, Trane หรือเทียบเท่า ด้านเฟอร์นิเจอร์ชุดครัวจะประกอบด้วย เคาน์เตอร์ครัวยี่ห้อ Modernform หรือเทียบเท่า, อ่างล้างจาน ยี่ห้อ Franke, Teka หรือเทียบเท่า, เตาไฟฟ้า ยี่ห้อ Electrolux, Franke, Teka หรือเทียบเท่า, เครื่องดูดควัน ยี่ห้อ Electrolux, Franke, Teka หรือเทียบเท่า ด้านระบบโทรศัพท์ จัดเตรียมแบบ Outlet โทรศัพท์พื้นฐาน 1 จุด พร้อมรองรับระบบอินเตอร์เน็ต, ระบบระบายอากาศ ติดตั้งในห้องน้ำและห้องครัว, ระบบเครื่องทำน้ำร้อน ติดตั้งระบบและสายไฟ เตรียมไว้ในห้องอาบน้ำทุกห้อง ส่วนของระบบเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย ติดตั้งระบบ Video Door Phone ของ ABB หรือเทียบเท่า, ติดตั้งระบบ Digital Door Lock และระบบเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของอาคาร เป็นระบบคีย์การ์ดที่ทางเข้า-ออกโถงลิฟท์อาคาร, ระบบกล้องวงจรปิด CCTV, ระบบตรวจจับควันอัตโนมัติ (Smoke Detector) และ Sprinkler System ภายในห้องพักและพื้นที่ส่วนกลาง สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับลูกบ้านนั้น จะประกอบไปด้วย ลิฟท์โดยสาร 3 ตัว และลิฟท์ขนส่ง 1 ตัว, ล็อบบี้, จากุชชี่, สระว่ายน้ำเด็ก, สตีม & ซาวน่า, ฟิตเนส, สนามมวย, Co-Working Space, มินิเธียเตอร์, เลาจน์, Golf Simulator, สนามบาสเกตบอล และพื้นที่สังสรรค์บนดาดฟ้า, จำนวนที่จอดรถ 197 คัน และระบบสำรองไฟฟ้าของโครงการ ร่วมเข้าชมห้องตัวอย่าง โครงการ “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” (วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม) ได้แล้ววันนี้ที่ Sales Gallery ถนนเพชรบุรี ซอย 20 เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 02-652-6588
ไบร์ท วงเวียนใหญ่ พอใจยอดขายกว่า 60% ชี้ เชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของวงเวียนใหญ่

ไบร์ท วงเวียนใหญ่ พอใจยอดขายกว่า 60% ชี้ เชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของวงเวียนใหญ่

นายสมชัย อำนวยพรสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลไบร์ท โฮลดิ้งส์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โครงการ คอนโดไบร์ท สุขุมวิท 24 และโครงการไบร์ท วงเวียนใหญ่ เปิดเผยว่า ในช่วงระยะ 2 ปีที่ผ่านมา จากการที่บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการคอนโดไบร์ท วงเวียนใหญ่ ได้เล็งเห็นว่า ศักยภาพของพื้นที่ฝั่งธนบุรีดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการก่อสร้างของเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินตามแนวถนนจรัลสนิทวงศ์และเพชรเกษมที่มีกำหนดเปิดให้บริการในปีพ.ศ.2562 – 2563 รวมไปถึงเส้นทางรถไฟฟ้าสายอื่นๆ เช่น สายสีส้มตะวันตก สายสีม่วงตอนใต้ ที่มีการอนุมัติและกำลังจะเริ่มก่อสร้างในอนาคต รวมไปถึงสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายไปยังพุทธมณฑลสาย 4 ซึ่งทั้ง 2 เส้นทางจะเข้ามาเสริมศักยภาพของพื้นที่ฝั่งธนบุรีให้มากขึ้นไปอีกรวมไปถึงศูนย์การค้าขนาดใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีทองที่เข้ามาเพิ่มเติมในอนาคต โดยความน่าสนใจของพื้นที่ฝั่งธนบุรีที่มากขึ้น โดยปัจจุบันโครงการ มียอดขาย ไปมากกว่า 60% เนื่องจากผู้ซื้อเล็งเห็นว่า อยู่ในโลเคชั่น ที่ห่างจากรถไฟฟ้า สถานีวงเวียนใหญ่ 550 ม. และสถานีโพธิ์นิมิตร 450 ม. โดยกลุ่มลูกค้าจะเป็นคนที่มีสถานที่ทำงานใกล้กับบริเวณนี้ เช่น สาทร หรือ ฝั่งศิริราช โดยลักษณะห้องที่ได้รับความสนใจมากที่สุดจะเป็นขนาด  1 ห้องนอน สำหรับราคาต่อตารางเมตรในปัจจุบันเฉลี่ย 125,000 บาท โดยคอนโดไบร์ท วงเวียนใหญ่ มีห้องเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ห้องนอน 35 ตร.ม – 3 ห้องนอน 118 ตร.ม ซึ่งขณะนี้การก่อสร้าง แล้วเสร็จไปกว่า 95 % แล้ว ซึ่งจะเริ่มทยอยส่งมอบให้กับลูกค้า ในไตรมาสแรกของ ปี 2561 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองว่า ในปีหน้า คอนโดย่านนี้ จะยังเพิ่มขึ้นเรื่อย เนื่องจาก ราคา คอนโดในเมืองเองก็สูงขึ้นมา กล่มลูกค้าที่ เป็นคนย่านฝั่งธน หรือ พึ่งเริ่มสร้างครอบครัว ก็ยังมองหาที่อยู่อาศัยในราคา ประมาณ 3-7 ล้าน อยู่เป็นส่วนใหญ่ อนึ่งโครงการ ไบร์ท วงเวียนใหญ่ เป็นโครงการคอนโดมิเนียม 46 ชั้น 1 อาคาร 472 ยูนิต ในเนื้อที่ 3-1-22 มีที่จอดรถ 299 คัน หรือคิดเป็น 63% ตั้งอยู่บนถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน อยู่ระหว่างซอยสมเด็จพระเจ้าตากสิน 8 และซอยสมเด็จพระเจ้าตากสิน 10 ห่างจากสถานีบีทีเอส วงเวียนใหญ่ 550 เมตร และ โพธิ์นิมิตร 450 เมตร
LIFE อโศก – พระราม 9 คอนโดใจกลางย่านธุรกิจใหม่ของกรุงเทพฯ เติมเต็มคุณภาพชีวิต ด้วยพื้นที่ส่วนกลางกว่า 7.5 ไร่

LIFE อโศก – พระราม 9 คอนโดใจกลางย่านธุรกิจใหม่ของกรุงเทพฯ เติมเต็มคุณภาพชีวิต ด้วยพื้นที่ส่วนกลางกว่า 7.5 ไร่

ปัจจุบันการเลือกซื้อคอนโดมิเนียมมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งด้านทำเล ราคา การเดินทางและสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ ฟังก์ชั่นการใช้งานภายในห้อง และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่จะช่วยเติมเต็มคุณภาพการชีวิตการอยู่อาศัยที่ดีในวันนี้และอนาคต เพื่อตอกย้ำถึงเงื่อนไขที่กล่าวมาข้างต้น และแสดงให้เห็นว่าคอนโดมิเนียมที่ดีและเพียบพร้อมเช่นนั้นมีอยู่จริง บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง พร้อมเปิดขาย “LIFE อโศก - พระราม 9” คอนโดมิเนียมยิ่งใหญ่สุดอลังการ กับคอนเซปต์ “Live a Visionary Life – ออกแบบแนวคิดให้ชีวิตล้ำหน้า” นำเสนอนวัตกรรมพื้นที่ที่เอพีพัฒนาเลเอ้าท์รูปแบบใหม่ เพิ่มความลงตัวและคุ้มค่ากว่าเดิม พร้อมจัดเต็มกับพื้นที่ส่วนกลางกว่า 7.5 ไร่ ใหญ่และครบที่สุดที่เคยมีมา บนที่ดินผืนงามใจกลางย่านธุรกิจใหม่ของกรุงเทพฯ เดินทางสะดวกเพียง 300 เมตรจากรถไฟฟ้าใต้ดินพระราม 9 แวดล้อมไปด้วยศูนย์การค้าชั้นนำมากมาย ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.75 ล้านบาท (หรือ 110,000 บาท ต่อ ตร.ม.) เปิดให้จองพร้อมกันครั้งแรกที่ AP-iBooking ผ่านเว็บไซต์ apthai.com ในวันพุธที่ 8 พฤศจิกายนนี้ และพรีเซลอีเว้นท์ใหญ่ที่เอพีเตรียมสิทธิพิเศษไว้มากมาย อาทิ ลงทะเบียนผ่าน apthai.com รับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท จองพร้อมทำสัญญา 5% รับส่วนลดเพิ่มอีกยูนิตละ 100,000 บาท เฉพาะลูกค้าที่จองในงานพรีเซล ณ LIFE อโศก - พระราม 9 ในวันที่ 11-12 พฤศจิกายนนี้เท่านั้น จุดโดดเด่นแรกของ LIFE อโศก - พระราม 9 คือ นวัตกรรมพื้นที่ที่เอพีพัฒนาเลเอ้าท์ใหม่ภายใต้แนวคิด Interlock โดยการจัดวางผังยูนิตและสเปซภายในแบบใหม่ ระหว่างห้องสตูดิโอ (27.5 ตร.ม.) และ ห้องชุด 1 ห้องนอนแบบพิเศษ (35 ตร.ม.) เพิ่มความคุ้มค่าและพื้นที่ใช้สอยให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น ห้องสตูดิโอถูกปรับให้มีหน้ากว้าง 5 เมตร (โดยทั่วไปจะมีขนาด 3.4 เมตร) ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้พื้นที่ที่เป็นสัดส่วน และความรู้สึกปลอดโปร่งสบาย และความพิเศษของ ห้องชุด 1 ห้องนอนแบบพิเศษ คือ มีหน้ากว้าง 7 เมตร (จากทั่วไป 5.3 เมตร) เพิ่มความเป็นสัดส่วนของฟังก์ชั่นการใช้งาน พื้นที่พิเศษปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์ในอนาคต และห้องครัวแบบปิด ซึ่ง LIFE อโศก - พระราม 9 ถูกออกแบบและบริหารพื้นที่ใหม่ทั้งหมด ทุกตารางเมตรเน้นที่ประโยชน์การใช้งานและความคุ้มค่าสูงสุดของผู้อยู่อาศัย ผสานความงดงามของการดีไซน์พื้นที่ส่วนกลางเข้ากับการใช้งานในยุคดิจิตอล ด้วยเสน่ห์ของการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้โอ่อ่าหรูหรา มีเอกลักษณ์คงความโมเดิร์นเฉพาะตัว เมื่อก้าวเข้ามาในโครงการจะสะดุดตากับโถงต้อนรับ (The Grand Parlour Lobby)ที่สะท้อนความหรูหราโอ่อ่าให้การต้อนรับอย่างลงตัว ถัดจากโถงต้อนรับ จะพบกับ The Third Place พื้นที่ Co-working space 2 ชั้น ดีไซน์ตอบรับพฤติกรรมผู้อยู่อาศัยจริง ตอบโจทย์ทั้งการใช้งานแบบกลุ่มและเดี่ยว ไม่ว่าจะเป็น Community Bench Space หรือ Individual Cocoon ที่รองรับไลฟ์สไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่ ช่วยเชื่อมต่อทุกมิติของการดำเนินชีวิตในยุคดิจิตอลอย่างไม่มีสะดุด ทำให้ชีวิตประจำวันกับการทำงานผสานกันได้อย่างลงตัว ไฮไลท์ถัดมา คือ พื้นที่พักผ่อนภายนอกอาคาร (Sanctuary Pavilion) ช่วยเพิ่มออกซิเจนพลังงานสะอาดให้กับชีวิต และเป็นตัวช่วยให้  ผู้อยู่อาศัยรู้สึกผ่อนคลายท่ามกลางเมืองที่วุ่นวาย บนชั้น 42 และ 45 (Rooftop) ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมาตรฐานสากล อาทิ ‘Elite Fitness’  ฟิตเนสทันสมัยออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ ออกแบบให้เป็น 2 ชั้น 5 โซนบนชั้น Rooftop สอดรับกับความต้องการของผู้ใช้จริง พร้อมสระว่ายน้ำ 3 สระ บนชั้น 42 (Rooftop) และชั้น 45 (Rooftop) ซึ่งแบ่งเป็น 3 โซน แบบ Active Pool และ Scenic Glass Pool ตอบโจทย์ทั้งสำหรับลูกบ้านที่ชื่นชอบว่ายน้ำเพื่อออกกำลังกาย และลูกบ้านที่ชื่นชอบการว่ายน้ำเพื่อผ่อนคลาย พร้อมเต็มอิ่มกับการชมวิวกรุงเทพฯ ผ่านมุมสูงขณะพักผ่อน LIFE อโศก - พระราม 9 สร้างสรรค์ระบบเทคโนโลยีที่พร้อมเชื่อมต่อโลกดิจิตอลได้ทุกที่ทุกเวลา ติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และสัญญาณ  Wi-fi ในพื้นที่ส่วนกลางทุกจุด รองรับวิถีชีวิตการทำงานที่ยืดหยุ่น  ไม่ยึดติดกับกรอบของเวลาหรือสถานที่ ส่งเสริมให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายในรูปแบบที่ทันสมัยขึ้น ผ่านการสั่งงานจากสมาร์ทโฟน ควบคุมทุกอย่างได้แบบ real time รองรับการจองใช้พื้นที่ส่วนกลาง ระบบรักษาความปลอดภัย LIFE อโศก - พระราม 9 จึงถือว่าเป็นคอนโดมิเนียมที่ใหญ่และครบที่สุดที่เคยมีมาในประเทศไทย โดยรวมแล้วการพัฒนาผังยูนิตและวางเสปซภายในแบบใหม่ของ LIFE อโศก - พระราม 9 ให้กว้างขวางปลอดโปร่งขึ้น ทำให้การอยู่อาศัยใจกลางเมืองมีความลงตัวและยังสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้อย่างหลากหลายรองรับถึงความต้องการในอนาคต ทั้งนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ส่วนกลางที่ใหญ่และครบครัน เชื่อว่าผู้ที่มีโอกาสได้เข้ามาอาศัยในโครงการนี้จะได้รับความสะดวกสบายครบวงจร และยิ่งโครงการตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจใหม่ของกรุงเทพฯ ขนาดนี้ ถือว่าเหมาะมากทั้งกับผู้ที่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือการลงทุนในอนาคต เพราะเอพีตั้งราคาเริ่มต้นไว้เพียง 2.75 ล้านบาท (เริ่มต้น 110,000 บาท ต่อ ตร.ม.) โครงการคอนโดมิเนียม LIFE อโศก - พระราม 9 ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 8 ไร่ ประกอบด้วย อาคารคอนโดมิเนียม แบบไฮไรซ์จำนวน 1 อาคาร แบ่งเป็น 2 ทาวเวอร์ (ทาวเวอร์ A สูง 42 ชั้น และทาวเวอร์ B สูง 46 ชั้น) การออกแบบอาคารต่างไปจากโครงการอื่นๆ ของเอพี อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าตัวคอนโดตั้งอยู่ย่านศูนย์กลางธุรกิจใหม่ของกรุงเทพมหานครที่หนาแน่นไปด้วยกลุ่มนักธุรกิจทั้งชาวไทยและต่างชาติ เอพีจึงออกแบบให้อาคารบิดออกจากกันเพื่อเปิดรับทัศนียภาพของกรุงเทพฯ ได้ 2 ฝั่ง ทั้งมักกะสัน และพระราม 9 เพื่อให้มั่นใจว่า LIFE อโศก - พระราม 9 คือคอนโดที่มีองศาเปิดรับวิวดีที่สุด และไม่ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกอึดอัดด้วยจำนวน 2,248 ยูนิต มีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ (1) ห้องสตูดิโอ ขนาดพื้นที่ 25 - 27.5 ตร.ม. (2) ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 32 ตร.ม. (3) ห้องชุด 1 ห้องนอนแบบพิเศษ ขนาดพื้นที่ 35 - 40 ตร.ม. และ (4) ห้องชุด 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 45-58 ตร.ม.
“ไซมิส แอสเสท” ทุ่ม 1,000 ล้านบาท เปิดแบรนด์ “ไซมิส คิน – SIAMESE KIN” ลุยตลาดอสังหาริมทรัพย์ ผนึกกำลัง ‘เซกิซุย เคมิคอล’ โชว์จุดเด่นบ้าน “Smart Living” โครงการแรกของประเทศไทย

“ไซมิส แอสเสท” ทุ่ม 1,000 ล้านบาท เปิดแบรนด์ “ไซมิส คิน – SIAMESE KIN” ลุยตลาดอสังหาริมทรัพย์ ผนึกกำลัง ‘เซกิซุย เคมิคอล’ โชว์จุดเด่นบ้าน “Smart Living” โครงการแรกของประเทศไทย

บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทยที่โดดเด่นด้วยนวัตกรรมแห่งการอยู่อาศัย เดินหน้าแผนการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวราบ แบรนด์ใหม่ “ไซมิส คิน – SIAMESE KIN” ที่อยู่อาศัยแห่งอนาคตภายใต้แนวคิด “สมาร์ท ลิฟวิ่ง – Smart Living” โครงการแรกของประเทศไทย ที่ผสานเทคโนโลยีการก่อสร้างอันล้ำสมัยจากประเทศญี่ปุ่นเข้ากับนวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัย ด้วยมูลค่าการลงทุน    กว่า1,000  ล้านบาท โดยได้รับการสนับสนุนด้านการตลาดและเทคโนโลยี จาก บริษัท เซกิซุย เคมิคอล จำกัด บริษัทรับสร้างบ้านระบบโมดูลาร์อันดับหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น ชูจุดเด่นโครงสร้างแบบโมดูลาร์ (Modular) ที่มีความแข็งแกร่ง ช่วยป้องกันภัยแผ่นดินไหวได้สูงสุดที่ 350 แกล (7 ริกเตอร์) และนวัตกรรมแห่งการอยู่อาศัยที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง โดยเปิดโครงการด้วยราคาเริ่มต้น 5.8 ล้านบาท มั่นใจสามารถ      ปิดการขายได้ภายปี 2561 คุณขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด กล่าวว่า “ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างที่สั่งสมมาจากบริษัท ฤทธา จำกัด ประกอบกับความสำเร็จในการสร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ “SIAMESE – ไซมิส” นับเป็นการการันตีถึงคุณภาพ และความมุ่งมั่นในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยอย่าง ด้วยความพิถีพิถันในการสร้างสรรค์ในทุกรายละเอียด จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับประสบการณ์ในการอยู่อาศัย และการใช้ชีวิตในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ตามสโลแกน “Asset of life…สร้างกำไรให้ทุกการใช้ชีวิต” ของบริษัทฯ ล่าสุดเราได้เล็งเห็นความสำคัญของนวัตกรรมที่มีผลต่อการดำรงชีวิตของคนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุ่ม 1,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบภายใต้แบรนด์ “ไซมิส คิน – SIAMESE KIN” แบรนด์ใหม่ของบริษัทฯ ซึ่งคำว่า “คิน – SIAMESE KIN” มีความหมายว่า “ทองคำ” ในภาษาญี่ปุ่น สื่อถึงคุณภาพอันสูงสุดของโครงการที่ทรงคุณค่าอันคู่ควรต่อการครอบครองดั่งทองคำ โดยได้รับการสนับสนุนด้านการตลาดและเทคโนโลยี จาก บริษัท เซกิซุย เคมิคอล จำกัด บริษัทรับสร้างบ้านระบบโมดูลาร์อันดับหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น โดยบ้านทุกหลังในโครงการ “ไซมิส คิน – SIAMESE KIN” โดดเด่นด้วยการสร้างสรรค์และพัฒนาที่อยู่อาศัย            เพื่อการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ ภายใต้แนวคิด “สมาร์ท ลิฟวิ่ง – Smart Living” ที่นำจุดเด่นจากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของทั้งสองบริษัทมาประยุกต์จนเกิดเป็นโครงการบ้านจัดสรร โครงการแรกของประเทศไทยที่เพียบพร้อมด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยในการประหยัดพลังงาน และเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัย และป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ตามมาตรฐานระดับโลก รวมถึงทำเลที่ตั้งบนพื้นที่กว่า 23 ไร่บริเวณซอยรามอินทรา 64 ที่รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้าสายสีชมพู แคราย- มีนบุรี สถานีวงแหวนตะวันออกซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2563 ทางด่วนฉลองรัชหรือทางด่วนเอกมัย-รามอินทราที่เชื่อมต่อเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว, รวมถึงวงแหวนรอบนอกตะวันออก (ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9) ที่จะทำให้การเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ ออกไปตอนเหนือ หรือภาคตะวันออกก็ทำได้ง่ายไม่แพ้กัน, และแหล่งไลฟ์สไตล์อย่างศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ และเดอะ พรอมมานาด รวมถึงโรงพยาบาลสินแพทย์ และพญาไทนวมินทร์ หรือถ้าเป็นสถาบันการศึกษา ก็มีทั้งโรงเรียนสาธิตพัฒนา เลิศหล้า โรงเรียนบดินทร์เดชา 2 เป็นต้น ซึ่งโครงการ “ไซมิส คิน – SIAMESE KIN” ประกอบด้วยบ้านจำนวน 107 ยูนิต แบ่งออกเป็นบ้าน KIN CHOU พื้นที่ใช้สอย 350 ตารางเมตร จำนวน 12 ยูนิต KIN OKU พื้นที่ใช้สอย 200 ตารางเมตร จำนวน 31 ยูนิต  KIN MAN พื้นที่ใช้สอย 182 – 188 ตารางเมตร จำนวน 28 ยูนิต และทาวน์โฮม KIN SEN พื้นที่ใช้สอย 145 ตารางเมตร จำนวน 36 ยูนิต โดยราคาเริ่มต้นของโครงการอยู่ที่ 5.8 ล้านบาท ซึ่งเหตุผลที่บริษัทสามารถกำหนดราคาได้ต่ำกว่าคู่แข่งในตลาดเป็นเพราะบริษัท วางกลยุทธ์ในการบริหารสินทรัพย์ (Land Bank) ควบคู่กับการหาพันธมิตรในการ ทำการตลาดเพื่อนำเสนอโครงการที่มีคุณภาพสูงภายใต้วิสัยทัศน์ที่ต้องการมอบความคุ้มค่าให้กับลูกค้าได้มากที่สุด คุณคาทสึมิ  ฮอมมะ ผู้จัดการแผนกส่งเสริมกิจการต่างประเทศ บริษัท เซกิซุย เคมิคอล จำกัด กล่าวว่า “ด้วยประสบการณ์ในการสร้างบ้านที่นำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยภายในประเทศญี่ปุ่นมากว่า 70 ปี ทำให้บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญและรับรู้ถึงความต้องการของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ซึ่งภายใต้การสนับสนุนในด้านการตลาดและเทคโนโลยีสำหรับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแห่งอนาคต “ไซมิส คิน – SIAMESE KIN” บริษัทฯ ได้วางรากฐานความมั่นคงของการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง ด้วยเทคโนโลยีการก่อสร้างบ้านตั้งแต่โครงสร้างและงานระบบ อาทิ โครงสร้างบ้านแบบโมดูลาร์ (Modular) ที่ออกแบบโครงเหล็กคุณภาพสูงแบบ Box Ramen Structure Module ที่แข็งแรง ทนทาน และสามารถยืดหยุ่นได้ ทำให้รองรับแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้สูงถึง  350 แกล (ประมาณ 7 ริกเตอร์) ตามมาตรฐาน JIS ประเทศญี่ปุ่น พร้อมเคลือบสาร ZAM ที่ช่วยป้องกันสนิมให้กับโครงสร้างเหล็ก สามารถยืดอายุการใช้งานได้นับร้อยปี ระบบผนัง Thermal & Sound Insulated System ผนังป้องกันความร้อนและเสียงรบกวนด้วย Ceramic wall ภายนอก และ Insulated Wall ผนังสมาร์ทบอร์ดที่มีฉนวนภายใน ควบคู่กับ Air Tightness System วงกบที่ฝังลงไปในโครงสร้างบ้านรวมถึงระบบซีลปิดช่องว่างทุกรอยต่อช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอก ระบบหมุนเวียนอากาศ Air Factory ช่วยเติมอากาศบริสุทธิ์และออกซิเจนภายในบ้าน พร้อมการ กรองอากาศด้วยฟิลเตอร์ถึง 3 ชั้น อาทิ ฝุ่นละออง สารเคมี กลิ่น เป็นต้น ระบบห้องน้ำแบบญี่ปุ่น ที่มีโครงสร้างเป็นอิสระกับบ้านหมดปัญหาน้ำรั่วซึมสู่ส่วนอื่นๆ ระบบ Solar Power System ที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึง 17,500 บาท/ ปี พร้อมทั้งเพิ่มนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์และช่วยเพิ่มคุณภาพในการอยู่อาศัยอาทิ ระบบความปลอดภัยด้วยระบบประตูบ้านนิรภัยที่เปิดปิดง่ายเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินและระบบล็อกจากภายในถึง 3 ชั้น ซึ่งทั้งหมดผลิตภายในการควบคุมด้วยหุ่นยนต์ของโรงงาน SCG HEIM ที่มีมาตรฐานสามารถตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยในทุกขั้นตอน นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกสบายด้วย  Home Automation ระบบอัจฉริยะควบคุมการทำงานด้วยโทรศัพท์มือถือ อาทิ ควบคุมการทำงานการเปิดปิดแสงสว่าง ระบบม่านไฟฟ้า ระบบเครื่องปรับอากาศ และระบบรักษาความปลอดภัยภายในบ้านอย่าง Door Sensor ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวภายในบ้าน และ CCTV รวมทั้ง Floor Service ที่ได้วางงานระบบท่อทุกอย่างใต้พื้นบ้าน ซึ่งถูกยกสูงขึ้นมา 55 เซนติเมตรจากระดับดินหากต้องการซ่อมแซมท่อในอนาคต ก็สามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องทุบพื้น คุณขจรศิษฐ์ กล่าวเสริมว่า “โครงการนี้มุ่งเน้นการสื่อสารเจาะกลุ่มครอบครัวที่มองหาที่อยู่อาศัยที่รองรับด้วยนวัตกรรมแห่งอนาคตเป็นหลัก โดยได้ทุ่มงบ 1,000 ล้านบาท พร้อมทั้งสร้างบ้านนวัตกรรมตัวอย่าง (Pavilion) เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์โดยตรงให้กับลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมภายในโครงการได้เห็นถึงนวัตกรรมสำคัญของบ้าน อาทิระบบการซ่อมบำรุงท่อ และระบบไฟฟ้า ระบบหมุนเวียนอากาศ โครงสร้างเหล็กแบบโมดูลาร์ (Modular) ระบบผนัง Insulated ที่มีฉนวนกั้นความร้อนและเสียง เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าโครงการจะเสร็จสิ้นภายในปี พ.ศ. 2561 โดยโครงการ Siamese KIN มีกำหนดการเปิดจองอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 และมั่นใจว่าจะสามารถปิดการขายภายในปลายปีนี้ ด้วยยอดสูงถึง 100%”   และพิเศษสุดสำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนสมาชิก Exclusive Members กับทางโครงการผ่านทางเว็บไซต์ www.siameseasset.co.th รับสิทธิ์เข้าชมโครงการก่อนใครในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 พร้อมรับของสมนาคุณพิเศษมูลค่ากว่า 1,500,000 บาท โดยผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานขาย “ไซมิส คิน – SIAMESE KIN” โทร 081 931 1411หรือ www.siameseasset.co.th
คอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า/ใต้ดิน

คอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า/ใต้ดิน

ตลาดคอนโดมิเนียมก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการจะให้ความสำคัญกับพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินที่เปิดให้บริการแล้วเท่านั้น แต่ในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมาเริ่มเปลี่ยนไปซึ่งเรื่องนี้นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า “เนื่องจากราคาที่ดินในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในพื้นที่เมืองชั้นในที่ราคาที่ดินไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทต่อตารางวาไปแล้วส่วนที่ดินในทำเลที่อยู่รอบๆ เมืองชั้นในราคาอาจจะต่ำกว่าแต่ก็มีผลต่อการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมส่งผลให้ผู้ประกอบการที่ซื้อที่ดินในราคาสูงไปจำเป็นพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับราคามากกว่า 180,000 บาทต่อตารางเมตรหรือยูนิตละ 5 ล้านบาทขึ้นไปสำหรับห้องขนาด 30 ตารางเมตรถึงมากกว่า 300,000 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้นบนที่ดินในพื้นที่เมืองชั้นใน โดยเฉพาะในพื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิทรวมไปถึงพื้นที่อื่นๆ ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน อีกทั้งคอนโดมิเนียมระดับราคาที่มากกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไปมีกลุ่มผู้ซื้อที่ไม่มากนักในตลาดผู้ซื้อของคนไทย” สุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยการ กล่าวว่า ที่เส้นทางรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่หลายเส้นทางเริ่มมีการก่อสร้างและเห็นความคืบหน้าชัดเจนส่งผลให้ผู้ประกอบการเริ่มเข้าไปซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้นส่งผลให้จำนวนคอนโดมิเนียมสะสมในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้าง (สีเขียวตอนเหนือและใต้, สีน้ำเงิน, สีแดง) มีจำนวนมากขึ้น แม้ว่าราคาที่ดินมีการปรับเพิ่มขึ้นมากมายในช่วงที่ผ่านมาแต่ก็ยังคงต่ำกว่าพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินที่เปิดให้บริการแล้ว โดยจำนวนคอนโดมิเนียมเริ่มมีมากขึ้นแบบเห็นได้ชัดตั้งแต่ปีพ.ศ.2557 เป็นต้นมา คอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่รายไตรมาสในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า/ใต้ดินที่เปิดให้บริการแล้วเปรียบเทียบกับพื้นที่ตามแนวเส้นทางที่กำลังก่อสร้างอยู่ จำนวนรวมของคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ตั้งแต่ปีพ.ศ.2556 เป็นต้นมาในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินที่เปิดให้บริการแล้วอยู่ที่ประมาณ 94,649 ยูนิต ในขณะที่พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างนั้นเพิ่มเริ่มมีโครงการเปิดขายใหม่มากขึ้นในช่วงตั้งแต่ปีพ.ศ.2557 เป็นต้นมา ดังนั้นจำนวนรวมของคอนโดมิเนียมในพื้นที่นี้จึงอยู่ที่ประมาณ  65,635 ยูนิต แม้ว่าจะยังน้อยกว่าพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินที่เปิดให้บริการแล้วแต่มีแนวโน้มที่จำนวนคอนโดมิเนียมจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคตและทำให้ช่องว่างนี้ลดลง นายสุรเชษฐให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “เนื่องจากทำเลนี้ยังเป็นที่สนใจของผู้ประกอบการต่อเนื่อง อีกทั้งผู้ประกอบการยังสามารถพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่มีจำนวนยูนิตมากกว่า 1,000 ยูนิตได้แตกต่างจากพื้นที่เมืองชั้นในหรือชั้นกลางที่ราคาที่ดินสูงมากและมีการปรับราคาขึ้นกันมากกว่า 15 – 20% ต่อปีหรือมากกว่านี้ในบางทำเลรอบสถานีรถไฟฟ้า ในขณะที่พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างนั้นมีการปรับราคาขึ้นกันที่ประมาณ 8 – 15% ต่อปีเท่านั้นและราคาขายที่ดินก่อนหน้านี้ก็ต่ำมากซึ่งทำเลเหล่านี้ส่วนใหญ่ที่ดินจะมีการปรับราคาในอัตราที่สูงขึ้นในช่วงปีพ.ศ.2557 เป็นต้นมา เมื่อมีผู้ประกอบการเข้าไปหาซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้นเพราะเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างมีความชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้นแล้ว ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนรูปแบบของโครงการที่ของผู้ประกอบการคือ กำลังซื้อคนไทยที่ลดลงเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องหาทำเลที่สามารถพัฒนาโครงการราคาไม่สูงมากได้และเป็นทำเลมีศักยภาพในการขยายตัวในอนาคตด้วยเพื่อจะได้สร้างความน่าสนใจให้กับโครงการของตนที่เปิดขายอีกทั้งยังสามารถดึงดูดนักลงทุนได้อีกส่วนหนึ่งด้วยส่งผลให้พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างเป็นที่สนใจมากขึ้น” แนวโน้มของตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างในอนาคตคาดว่าจะมีการขยายตัวมากขึ้นกว่าปัจจุบันเพราะผู้ประกอบการยังคงต้องการที่ดินที่ราคาไม่สูงเกินไปเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของคนไทย อีกทั้งยังต้องการทำเลที่มีการขยายตัวต่อเนื่องในระยะยาวเพื่อโครงการจะได้เป็นที่สนใจของกลุ่มนักลงทุน ทำเลที่ตลาดคอนโดมิเนียมจะมีการขยายตัวต่อเนื่องนั้นก็ยังคงเป็นทำเลเดิมที่มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายมากอยู่แล้วในช่วงที่ผ่านมา เช่น พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว หมอชิต – คูคตโดยเฉพาะช่วงตั้งแต่ 5 แยกลาดพร้าวขึ้นไปถึงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่ยังคงมีผู้ประกอบการรอเปิดขายโครงการใหม่อยู่ พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว แบริ่ง – สมุทรปราการที่ก่อนหน้านี้อาจจะชะลอตัวไปแล้ว 1 – 2 ปีแต่คาดว่าจะมีโครงการเปิดขายใหม่มากขึ้นในอนาคตแต่อาจจะเป็นทำเลที่ไกลออกไปจากสถานีพอสมควร อีกทำเลที่น่าสนใจคือพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินโดยเฉพาะตามแนวถนนจรัลสนิทวงศ์และเพชรเกษมที่เป็นอีกทำเลที่มีผู้ประกอบการเข้าไปเดขายโครงการกันหลายโครงการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาและคาดว่าปีต่อไปก็จะยังเป็นทำเลที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจอยู่ ปีพ.ศ.2561 “ในอนาคตก็ยังมีเส้นทางรถไฟฟ้าที่จะเริ่มการก่อสร้างอีก 3 เส้นทางใหม่ คือสายสีส้ม สีมชมพู และสีเหลือง ถึงแม้ว่าบางสายจะเป็นระบบรถไฟฟ้ารางเบาแต่ก็คาดว่าพื้นที่ตามแนวเส้นทางจะเป็นที่สนใจของผู้ประกอบการมากขึ้นแน่นอนในอนาคต ส่วนพื้นที่เมืองชั้นในอาจจะเหลือแต่โครงการที่มีราคาขายมากกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตรหรือมากกว่านี้รวมไปถึงอาจจะมีโครงการที่เป็นสัญญาเช่าระยะยาวเปิดขายมากขึ้นในอนาคตก็เป็นได้เมื่อราคาที่ดินสูงเกินกว่าจะซื้อมาพัฒนาโครงการให้เหมาะกับกำลังซื้อของคนไทย” นายสุรเชษฐ กล่าวสรุป
เอสซี แอสเสทฯ เปิดคฤหาสน์นิวซีรี่ส์  วิลล่าหรู 3 ชั้น พร้อม Private Pool โครงการใหม่ “เดอะ เจนทริ พระราม 9” เริ่มต้น 27 ล้านบาท 11-12 พ.ย.นี้

เอสซี แอสเสทฯ เปิดคฤหาสน์นิวซีรี่ส์ วิลล่าหรู 3 ชั้น พร้อม Private Pool โครงการใหม่ “เดอะ เจนทริ พระราม 9” เริ่มต้น 27 ล้านบาท 11-12 พ.ย.นี้

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แนะนำโครงการใหม่ “เดอะ เจนทริ พระราม 9” (The Gentry Rama 9) คฤหาสน์นิวซีรี่ส์ วิลล่าหรู 3 ชั้น สไตล์ Urban Sanctuary พร้อม Private Pool และ Private Lift ส่วนตัว บนทำเลศักยภาพ เพียง 3.5 กม. จากทองหล่อ ติด Foodland หัวหมากบนถนนรามคำแหง ใกล้ทางด่วนศรีรัชและรามอินทรา-อาจณรงค์ ท่ามกลางบรรยากาศแบบส่วนตัว เอกสิทธิ์เพียง 13 ยูนิต เริ่มต้น 27 ล้านบาท เปิดพรีเซลส์ 11-12 พ.ย.นี้ พิเศษสุด!! จองในงานรับส่วนลด 1 ล้านบาท ณ สำนักงานขายโครงการ ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ www.scasset.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1749
“STYLE” งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ที่ครบครันที่สุดในภูมิภาค เปิดเวทีเจรจาการค้าการส่งออกดึงผู้ซื้อจากทั่วโลกกว่า 60,000 ราย พร้อมดันไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับภูมิภาค

“STYLE” งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ที่ครบครันที่สุดในภูมิภาค เปิดเวทีเจรจาการค้าการส่งออกดึงผู้ซื้อจากทั่วโลกกว่า 60,000 ราย พร้อมดันไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับภูมิภาค

เริ่มต้นอย่างยิ่งใหญ่กับ “STYLE” งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ที่ครบครันที่สุดในภูมิภาค รวม 3 เทรดแฟร์ระดับประเทศ BIFF&BIL, BIG+BIH และ TIFF ไว้ด้วยกันเป็นครั้งแรกจัดโดย DITP ระหว่างวันที่ 17-21 ตุลาคมศกนี้ ณ ไบเทค บางนา รวมผู้ประกอบการไทย-เทศ กว่า 2,000 คูหา ร่วมจัดแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ ต่อสายตานักธุรกิจและผู้นำเข้าจากทั่วโลก คาดเงินสะพัดมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในพิธีเปิดงานว่า “อุตสาหกรรมไลฟ์สไตล์เป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นอุตสาหกรรมครบวงจร โดยมีผู้ประกอบการไทยทั้งที่เป็นรายเล็ก หรือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จำนวนมาก และที่เป็นสตาร์ทอัพ (Start-Up) อยู่มากกว่าร้อยละ 90 ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ก่อให้เกิดการจ้างแรงงานกว่าหนึ่งล้านคน รัฐบาลจึงมีแนวคิดที่จะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต การตลาด และ การค้าสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับภูมิภาค กอปรกับการที่รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมการเป็นสังคมสร้างสรรค์ ภายใต้นโยบาย “Creative Thailand” จึงเห็นว่าอุตสาหกรรมไลฟ์สไตล์ของไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นหนึ่งในสินค้าและบริการส่งออกอันดับต้นๆ ได้ โดยการมุ่งสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรม และการออกแบบ นำเสนอแนวคิดใหม่ๆ  ซึ่งผู้ประกอบการไทยต้องกล้านำความเสนอคิดและนวัตกรรมใหม่ๆ และมี   การสร้างแบรนด์ของตัวเอง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว ด้านนางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า งาน“STYLE 2017” เป็นงานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ยิ่งใหญ่และครบครันที่สุดในภูมิภาค เป็น   การยกระดับงานแสดงสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ที่เป็นที่นิยมของกรม ได้แก่ งานแสดงสินค้าแฟชั่นและงานแสดงสินค้าเครื่องหนัง (Bangkok International Fashion Fair and Bangkok International Leather Fair: BIFF&BIL) งานแสดงสินค้าของขวัญและงานแสดงสินค้าของใช้ในบ้าน (Bangkok International Gift Fair and Bangkok International Houseware Fair: BIG+BIH) และงานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ (Thailand International Furniture Fair: TIFF)  ไว้ด้วยกันในงานเดียว จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Life+Style และเป็นส่วนหนึ่งของ Creative Thailand ระหว่างวันที่ 17-21 ตุลาคม 2560 โดยได้รับความร่วมมือจาก 24 สมาคมที่เกี่ยวข้อง มีผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติเข้าร่วมแสดงสินค้ากว่า 1,000 บริษัท 2,000 คูหา เต็มพื้นที่กว่า 40,000 ตร.ม. ภายในศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา “กรมฯ มั่นใจว่างานนี้จะสามารถตอบโจทย์ผู้ซื้อ ผู้นำเข้า ตัวแทนจัดซื้อของต่างประเทศ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นักออกแบบ ผู้ซื้อจาก Showroom/Selected shop Fashion House ห้างสรรพสินค้าต่างๆ     ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งผู้ที่อยู่ในวงการแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ได้อย่างครบถ้วน นำไปสู่การต่อยอดธุรกิจ ได้อย่างเห็นผลเป็นรูปธรรม โดยคาดว่างานนี้จะสามารถก่อให้เกิดมูลค่าสั่งซื้อภายในงาน กว่า 2,000 ล้านบาท” นางจันทิรากล่าว ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์ (แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ไม่รวมอัญมณีและเครื่องประดับ) ปี 2559 คิดเป็นมูลค่าราว 11,260 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 377,000 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 5  ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย โดยช่วง 8 เดือนแรกของปี 2560 มีมูลค่าการส่งออก ประมาณ 7,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือ 256,000 ล้านบาท) ขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ สิ่งทอ ผ้าผืน เส้นใยประดิษฐ์ และเฟอร์นิเจอร์  ซึ่งกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมั่นใจว่า ปี 2560 นี้ การส่งออกสินค้าดังกล่าวจะขยายตัวต่อเนื่อง และเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ร้อยละ 3 จากที่เคยติดลบในปีก่อนหน้านี้ ภายในงาน STYLE 2017 นี้ มีกิจกรรม บริการและนิทรรศการที่หลากหลาย ที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ความต้องการของทุกฝ่าย และจัดบริการพิเศษเพื่ออำนวยความสะดวกผู้ที่ทำธุรกิจ อาทิ การบริการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจ ณ Buyer Lounge พร้อมล่ามภาษาต่างๆ เช่น อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น อารบิค เป็นต้น ทั้งยังมีศูนย์ให้คำปรึกษาด้านโลจิสติกส์การค้า และ DITP SERVICE CENTER รวบรวมบริการต่างๆ ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศไว้ ณ จุดเดียว เพื่อให้คำปรึกษาผู้ประกอบการในการขยายตลาดส่งออก นอกจากนี้ งาน “STYLE 2017” ยังรวบรวมนิทรรศการที่น่าสนใจกว่า 20 นิทรรศการไว้ด้วยกัน ทั้งนิทรรศการที่เน้นการสร้างแรงบันดาลใจ อัพเดทเทรนด์ใหม่ๆ เพื่อให้เกิดการต่อยอดสู่การทำธุรกิจ อาทิ นิทรรศการแนวโน้มแฟชั่น ปี 2561 (Trend Forum 2018), นิทรรศการโครงการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการสินค้าแฟชั่น (QURATED Fashion Incubation Project), และยังมีนิทรรศการที่กรมได้ร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อส่งเสริมให้นักออกแบบ และผู้สร้างสรรค์ได้มีพื้นที่แสดงออกและต่อยอดความคิดให้เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้ร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนาจัดนิทรรศการเพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และมีกิจกรรมการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์จากหญ้าแฝกภายในงานด้วย “STYLE 2017” งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ยิ่งใหญ่และครบครันที่สุดในภูมิภาคจัดขึ้นระหว่างวันนี้ ถึง 21 ตุลาคมนี้   (สำหรับวันเจรจาธุรกิจ คือวันที่ 17-19 ตุลาคม 2560ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. ส่วนวันจำหน่ายปลีก วันที่ 20- 21ตุลาคม 2560 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น.) ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเลอยุธยาดาวเด่นแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเลอยุธยาดาวเด่นแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเลอยุธยาดาวเด่นแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ รองรับนิคมอุตสาหกรรมขยายตัว – ภาครัฐเร่งลงทุนโครงสร้างคมนาคม พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยทำเลที่อยู่อาศัยในเขตพระนครศรีอยุธยามีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นรองรับนิคมอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่อง หนุนอสังหาริมทรัพย์เติบโต ตอบสนองในรูปแบบแนวราบได้ดี โดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์ 1 ปีย้อนหลังมีอุปทาน 503 ยูนิต ขายแล้ว 73% ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทมีแรงตอบรับดีสุด ขณะที่บ้านเดี่ยวมีอุปทานใหม่จำนวน 357 ยูนิต ขายแล้ว 51% โดยบ้านเดี่ยวราคา ไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นที่นิยมมีอัตราการดูดซับเฉลี่ยสูงถึง 6.9 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ล่าสุดพบผู้ประกอบการรายใหญ่จากกรุงเทพตบเท้าเข้าชิงส่วนแบ่งการตลาดแล้วกว่า 30% นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจตลาด ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่พระนครศรีอยุธยา ในรอบการสำรวจล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 พบว่ามีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ เนื่องจากเป็นพื้นที่ศูนย์กลางการเชื่อมต่อการเดินทางไปยังภาคเหนือและภาคอีสาน และยังเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำให้มีผู้คนย้ายเข้ามาในพื้นที่นี้เป็นจำนวนมากและมีความต้องการที่อยู่อาศัยในทิศทางที่เพิ่มมากขึ้น จากกลุ่มอุปสงค์หลักทั้ง กลุ่มคนในท้องถิ่นรวมไปถึงแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ย้ายมาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีแรงขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม ซึ่งคาดว่าจะเร่งดำเนินการในปลายปี 2560 เข้ามาเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากบริษัทต่างๆ ในพื้นที่พระนครศรีอยุธยาเพิ่มมากขึ้น และจะก่อให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยรวมภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์พื้นที่พระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน ส่วนใหญ่มีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบทาวน์เฮาส์ 55% บ้านเดี่ยว 40% และคอนโดมิเนียม 5% โดยโครงการใหม่ที่เปิดขายในช่วงเดือนมิถุนายน 2559 - พฤษภาคม 2560 มี ทาวน์เฮาส์ จำนวน 503 ยูนิตสามารถขายได้แล้ว 73%, บ้านเดี่ยว จำนวน 357 ยูนิต ขายไปแล้ว 51% และคอนโดมิเนียม จำนวน 294 ยูนิต ขายไปแล้ว 70% ซึ่งตลาดทาวน์เฮาส์เป็นที่ต้องการของตลาดมากที่สุด โดยเฉพาะโซนนิคมอุตสาหกรรม ทำให้มีกลุ่มแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงประชาชนในท้องถิ่นต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย โดยทาวน์เฮาส์ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทได้รับการตอบรับดี มีอัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 6.8-8 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ขณะที่ตลาดบ้านเดี่ยว ส่วนใหญ่เน้นพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับกลางที่ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท อัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 6.9 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ส่วนโซนและราคาอื่นๆ ที่ยังพอไปได้ คือ โซนนิคมอุตสาหกรรมที่ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท อัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมนั้นก็เริ่มมีอุปทานเข้ามาในตลาดโดยปัจจุบันมีเพียงโครงการเดียว จำนวน 280 ยูนิต “สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคืออสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่พระนครศรีอยุธยา นอกจากมีนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่แล้ว ยังมีผู้ประกอบการรายใหญ่จากกรุงเทพฯ เข้าไปทำตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บมจ. วังทองกรุ๊ป โดยเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบ เนื่องจากภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่พระนครศรีอยุธยาตอบสนองในรูปแบบแนวราบยังไปได้ดี โดยเฉพาะรูปแบบทาวน์เฮาส์ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่จากกรุงเทพฯ เข้าไปลงทุนในพื้นที่นี้มาจาก การมีประชากรย้ายถิ่นฐานเข้ามาพร้อมกับการขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรม และยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ได้แก่ โครงการทางพิเศษ สายอุดรรัถยา-พระนครศรีอยุธยา เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและขนส่งสินค้าจากกรุงเทพฯ ไปอยุธยา และจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง ในกรณีเกิดเหตุการณ์ภัยธรรมชาติและเหตุฉุกเฉิน โครงการรถไฟความเร็วสูง อยุธยา – อีอีซี เป็นเส้นทางส่วนต่อขยายจากโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพ-ระยอง เพื่อใช้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งประเมินได้ว่าความต้องการที่อยู่อาศัยของอยุธยายังคงมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปี ต่อจากนี้ นอกจากนี้โครงการที่ประกอบด้วยโปรดักส์หลากหลายรูปแบบภายในโครงการเดียว อาทิ ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด คาดว่าจะได้รับความสนใจในทำเลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพิ่มมากขึ้นในอนาคต เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับตอบรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ” นายอนุกูล กล่าว
ศุภาลัย เผยตัวเลขยอดขาย 9 เดือน ปี 2560 กวาดยอดขายได้ 25,120 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 44%

ศุภาลัย เผยตัวเลขยอดขาย 9 เดือน ปี 2560 กวาดยอดขายได้ 25,120 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 44%

บมจ.ศุภาลัย เผยตัวเลขยอดขาย 9 เดือน ปี 2560 กวาดยอดขายได้ 25,120 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 44% อันเนื่องจากการเปิดตัวคอนโดฯใหม่ 4 โครงการ  อีกทั้งโครงการแนวราบที่มีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงตามความต้องการทั้งด้านทำเล ราคาที่คุ้มค่าและเหมาะสม พร้อมมั่นใจปี 2560 สามารถทำยอดขายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 27,000 ล้านบาท  นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลงานยอดขาย 9 เดือนของปี 2560 ว่า บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้พุ่งสูงถึง 25,120 ล้านบาท เติบโต 44% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่ทำได้ 17,486 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตมาจากยอดขายโครงการคอนโดมิเนียม 13,453 ล้านบาท และยอดขายโครงการแนวราบ 11,667 ล้านบาท  เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3  มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม  จำนวน  4 โครงการ  ได้แก่ โครงการศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร โครงการศุภาลัย ลอฟท์ สถานีแยกไฟฉาย โครงการศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ และโครงการศุภาลัย ปาร์ค สถานีตลาดพลู โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร ที่สร้างปรากฏการณ์สามารถปิดการขายได้ 100% ณ วันเปิดจองโครงการ  อีกทั้งผลงานที่โดดเด่นในครั้งนี้ยังมาจากโครงการแนวราบที่มีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม รวมถึงโปรโมชั่นส่งเสริมการขายที่กระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง  สำหรับแผนการรุกตลาดในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2560 บริษัทฯ มีการจัดโปรโมชั่นสุดคุ้ม “สายเปย์ จ่าย 0 คืน คูณ 2” เพื่ออภินันทนาการสำหรับผู้ที่จองบ้านและคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ รับสิทธิ์ค่าใช้จ่ายศูนย์บาททุกรายการ อาทิ ค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์, ค่าธรรมเนียมจดจำนอง, ค่าส่วนกลาง 1 ปีแรก, ค่าธรรมเนียม มิเตอร์ น้ำ-ไฟ พร้อมรับเงินคืน 2 เท่า ได้คืนส่วนลด ณ วันจอง  และได้คืนส่วนลด ณ วันโอนกรรมสิทธิ์ (โอนฯ ภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2560) ตั้งแต่วันนี้-15 ธันวาคม 2560 นี้เท่านั้น (เงื่อนไขรายการส่งเสริมการขายเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด) นายไตรเตชะ กล่าวทิ้งท้ายว่า จากผลงานตัวเลขยอดขาย 9 เดือนที่มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 44% กวาดยอดขายได้ 25,120 ล้านบาท ทำให้เชื่อมั่นว่า ปีนี้บริษัทฯ น่าจะสามารถทำยอดขายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 27,000 ล้านบาท
ผู้นำอสังหาฯ แถวหน้า ผนึกกำลังจัดตั้งกลุ่ม Open Source BIM นำระบบ BIM มาใช้เต็มรูปแบบ ยกระดับมาตรฐานงานออกแบบก่อสร้างไทย ก้าวสู่ระดับสากล

ผู้นำอสังหาฯ แถวหน้า ผนึกกำลังจัดตั้งกลุ่ม Open Source BIM นำระบบ BIM มาใช้เต็มรูปแบบ ยกระดับมาตรฐานงานออกแบบก่อสร้างไทย ก้าวสู่ระดับสากล

กลุ่มผู้นำอสังหาริมทรัพย์ไทยแถวหน้า และกลุ่มผู้ใช้งานโปรแกรมการออกแบบ 3 มิติ หรือ BIM (Building Information Modeling) พร้อมโชว์ศักยภาพยกระดับอสังหาริมทรัพย์ไทยสู่ระดับสากล  ร่วมจัดตั้งกลุ่ม Open Source BIM ศึกษาแนวทางและมาตรฐานการทำงานบนระบบ BIM เทคโนโลยีในการนำซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการออกแบบ (Smart Design Software) ซึ่งรวบรวมข้อมูลการออกแบบก่อสร้างทั้งหมดมาอยู่ในรูปแบบภาพจำลอง 3 มิติ (3D Digital Model) เพื่อเพิ่มความถูกต้อง แม่นยำทุกกระบวนการมากยิ่งขึ้น สอดคล้องโดยตรงกับนโยบายการพัฒนาประเทศไทยในระบบเศรษฐกิจ THAILAND 4.0  ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม  เนื่องด้วยอุตสาหกรรมการก่อสร้างและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคที่มีการใช้เทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์อย่างเต็มรูปแบบ โดยที่ผ่านมาอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการของประเทศ อาทินักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หน่วยงานภาครัฐ ผู้รับเหมาก่อสร้าง ที่ปรึกษาโครงการ ผู้ออกแบบ สถาปนิกและวิศวกร ฯลฯ ต่างประสบปัญหาในเรื่องการขาดมาตรฐานการทำงานบนคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้การออกแบบโครงการต่างๆ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องประสานงานระหว่างแต่ละหน่วยงานหรือระหว่างผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์กับบริษัทรับเหมาก่อสร้างตลอดจนบริษัทออกแบบเกิดความติดขัดและมีประสิทธิภาพลดลง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพผลงาน เวลา และ งบประมาณโครงการในวงกว้าง ดังนั้นกลุ่มผู้ใช้งาน BIM ในประเทศไทย ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะผู้นำในวงการอสังหาฯไทย อาทิ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นต้น  ได้รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่ม Open Source BIM เพื่อเป็นการสร้างโอกาสในการพบปะและรวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือ ทั้งนำเสนอความคิดเห็นตลอดจนแนวทางปฏิบัติงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเพื่อเป็นการสร้างความตื่นตัวให้กับอุตสาสหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในวงกว้าง นำมาซึ่งแนวทางและมาตรฐานการทำงานบนระบบ BIM ที่เหมาะสมเพื่อเป็นมาตรฐานกลางที่ทั้งประเทศจะสามารถใช้เป็นแนวทางในการทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการแบ่งปันความรู้ข้อมูล  ทั้งในระดับบุคคล หน่วยงานต่างๆ ในการต่อยอดองค์ความรู้ ทักษะ เพื่อการผลิตและพัฒนาบุคลากรทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และ ภาคการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการในตลาดแรงงานทั้งปัจจุบันและอนาคต เป็นการช่วยยกระดับการพัฒนาคุณภาพวงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น โดยกิจกรรมครั้งแรกของกลุ่ม Open Source BIM ได้จัดขึ้นที่ในวันที่ 6 ตุลาคม 2560 ณ อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ อาคาร 2 ชั้น 11 Ananda Campus   โดยได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ รองศาสตราจารย์ มานพ พงศทัต คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ คุณประเสริฐ  แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมอาคารชุดไทย คุณกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการบริษัท สัมมากร จำกัด(มหาชน) และอดีตนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย คุณประภากร วทานยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด และอดีตนายกสมาคมสถาปนิกสยามฯ คุณ Scott Whittaker, Group Creative Director บริษัท dwpคุณณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คุณไพทยา บัญชากิติคุณ Partner บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด ดร.พร วิรุฬห์รักษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท LPS ในเครือบริษัท LPNและ คุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการนำระบบ BIM  ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามามีบทบาทในวงการก่อสร้างตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบไปจนถึงการก่อสร้างอาคาร โดยเทคโนโลยีนี้จะเข้ามาช่วยให้ข้อมูลของการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน และถูกต้องตรงกันมากขึ้น ระหว่าง สถาปนิก วิศวกร ผู้รับเหมาและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารหรือที่เรียกว่า การประสานข้อมูลของผู้เกี่ยวข้องหลัก (Stakeholders Collaboration) นอกจากนี้ BIM ยังช่วยในการจัดทำเอกสารรายงาน และข้อมูลต่างๆ ของอาคารได้อีกด้วย ซึ่งระบบ BIM จะสร้างแบบจำลองเสมือนจริงใน Computer ทำให้ผู้ทำงานเกี่ยวข้องสามารถเห็นส่วนประกอบทุกส่วนตรงกัน โดย BIM จะสร้างเป็นโมเดล 3 มิติขึ้นมาพร้อมกับ Intelligent Information อาทิ รายละเอียดวัสดุ ปริมาณวัสดุก่อสร้าง เพื่อปรับปรุงกระบวนการออกแบบก่อสร้างและคำนวณพลังงานที่จะใช้ในอาคาร สร้างแบบจำลอง หรือ Digital Prototype Model ที่เสมือนจริง และเปลี่ยนจากการสร้างแบบบนกระดาษมาสู่เทคโนโลยีดิจิตอลและประสานข้อมูลบน Cloud สะดวกในการทำงานนอกสถานที่โดยสามารถใช้อุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์อย่าง Tablet ได้อีกด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การส่งมอบอาคารที่มีคุณภาพสูงขึ้นจากมาตรฐานของตลาดในปัจจุบัน
แสนสิริตอกย้ำความสำเร็จโครงการ 98 Wireless สู่เวทีระดับสากล คว้ารางวัล ‘Best Luxury Residence – Global’

แสนสิริตอกย้ำความสำเร็จโครงการ 98 Wireless สู่เวทีระดับสากล คว้ารางวัล ‘Best Luxury Residence – Global’

แสนสิริภาคภูมิใจกับความสำเร็จอีกขั้น และตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ในประเทศไทย กับงานประกาศผลรางวัลบนเวที  The International Design & Architecture Awards 2017 ภายใต้หมวด 'Best Luxury Residence - Global'  ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสาร Design et al นิตยสารออกแบบตกแต่งภายในชั้นนำระดับนานาชาติ และนับเป็นรางวัลที่ดีที่สุดในการออกแบบจากทั่วโลก ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในประเทศอังกฤษ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยงานนี้ โครงการ 98 Wireless ถือเป็นโครงการที่พักอาศัยระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ หนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รับคัดเลือกเข้าชิงรางวัลในหมวดนี้ นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “สำหรับแสนสิริ การรับรางวัลระดับนานาชาติภายในงาน The International Design & Architecture Awards 2017 ครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของบริษัทฯ เป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ที่ทราบว่าโครงการ 98 Wireless ได้รับการคัดเลือกเพื่อเข้าชิงรางวัลภายใต้หมวด 'Best Luxury Residence - Global' เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และได้รับเชิญเข้าร่วมงานประกาศผลรางวัลร่วมกับบริษัท   Design Worldwide Partnership (DWP)  ซึ่งเป็นผู้ออกแบบโครงการ 98 Wireless โครงการแฟล็กชิพคอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Best Comes as Standard” ที่แสนสิริตั้งใจ และพิถีพิถันในการให้ความสำคัญทุกรายละเอียดของการก่อสร้างมากว่า 7 ปี ซึ่งความสำเร็จจากการรับรางวัลของแสนสิริในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นรางวัลที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับบริษัทฯ แล้ว ยังถือเป็นกำลังใจสำคัญแก่ทีมงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่มีส่วนผลักดันให้โครงการ 98 Wireless สามารถตอกย้ำศักยภาพที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในฐานะผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทยที่มุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ และมอบบริการที่เหนือกว่าให้แก่คนไทยอย่างต่อเนื่อง” นางสาวศรินรัตน์ โกมลรัตนพิบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Design Worldwide Partnership (DWP) กรุงเทพฯ กล่าวว่า “สำหรับการรับรางวัลในครั้งนี้ ทางทีมงานรู้สึกภูมิใจ และนับเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการออกแบบโครงการ 98 Wireless ของแสนสิริ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่ท้าทายสำหรับทีมงาน จากแนวคิดของผู้บริหารที่จะพัฒนาโครงการแห่งนี้ ให้กลายเป็นโครงการแฟล็กชิพคอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของแสนสิริ ที่ดีที่สุดในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราจึงตั้งใจออกแบบโครงการนี้อย่างละเมียดละไมที่สุด เพื่อให้สมกับเป็นสุดยอดโครงการซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่โดยผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย และสามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยได้” สำหรับการคัดเลือกโครงการ เพื่อเข้าชิงรางวัลในงาน The International Design & Architecture Awards 2017 เริ่มต้นด้วยการนำเสนอชื่อโครงการจากบริษัทออกแบบทั่วโลก และคณะกรรมการฯ   จะคัดเลือกโครงการที่มีความโดดเด่นที่สุดในแต่ละสาขา และเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้ลงทะเบียนโหวตเป็นขั้นตอนสุดท้าย โดยโครงการที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดถือเป็นอันสิ้นสุด ซึ่งในปีนี้นับว่าเป็นสถิติใหม่ของการจัดงาน โดยมีคนเข้าร่วมโหวตมากที่สุดถึง 61,000 คนจากทั่วโลก The International Design & Architecture Awards 2017 จัดขึ้นเป็นครั้งที่3 เป็นเวทีการแข่งขันงานออกแบบระดับสากล ที่มีบริษัทออกแบบกว่า 200 บริษัทจากทั่วโลก เข้าร่วมการแข่งขันเป็นประจำทุกปี โดยมีจุดมุ่งหมายในการเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงการออกแบบ ได้แสดงผลงาน และเป็นที่รู้จักจนได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับสากล โดยปีนี้ มีโครงการที่น่าสนใจเข้าร่วมเข้าชิงรางวัลถึง 279 โครงการ 163 บริษัท จาก 30 ประเทศ โดยแบ่งรางวัลเป็น 50 หมวดใน 6 สาขา อาทิ เรสซิเดนเทียล พร็อพเพอร์ตี้, อินทีเรียร์ ดีไซน์, โปรดักซ์ ดีไซน์ และมูลค่าโครงการ เป็นต้น
MQDC เปิดตัว “บ.แอสเพน คอร์ปอเรชั่น จำกัด” รุกธุรกิจดูแลผู้สูงวัยครบวงจร

MQDC เปิดตัว “บ.แอสเพน คอร์ปอเรชั่น จำกัด” รุกธุรกิจดูแลผู้สูงวัยครบวงจร

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในระดับสากล เปิดตัว “บริษัท แอสเพน คอร์ปอเรชั่น จำกัด” ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้สูงวัย โดยมีแผนจะเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยและบริการครบวงจร ซึ่งถูกพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เพื่อที่จะให้เป็นที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัย ที่สมบูรณ์แบบด้วยมาตรฐานระดับสากล แอสเพน คอร์ปอเรชั่น มุ่งหวังที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ด้านการดูแลผู้สูงวัย ในประเทศไทย อาทิเช่น “การดูแลตลอดชีวิต” และ “การออกแบบสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัย ในรูปแบบที่ให้ผู้พักอาศัย สามารถอยู่อาศัยในบ้านของตนเองได้อย่างยาวนานยิ่งขึ้น และสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้พักอาศัย” ผู้พักอาศัยสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น ด้านการป้องกันโรคภาวะสมองเสื่อม เป็นต้น คุณวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) กล่าวว่าการให้บริการดูแลผู้สูงวัยอย่างครบวงจร ของ บริษัท แอสเพน คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะตอบโจทย์ของสังคมผู้สูงวัยในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ “สำหรับตลาดอสังหาฯ เพื่อผู้สูงวัยในประเทศไทย ได้จำกัดทางเลือกสำหรับผู้สูงอายุและคนวัยเกษียณ ด้วยรูปแบบการพัฒนาโครงการในประเภทรีสอร์ท ซึ่งไม่มีการให้บริการแบบครบวงจร หรือประเภทเนอร์สซิ่งโฮม ซึ่งไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านไลฟ์สไตล์”  คุณวิสิษฐ์กล่าว “จากงานวิจัยเราพบว่า คนเราให้ความสำคัญในเรื่อง “aging in place” อย่างมาก โดยคนส่วนใหญ่ต้องการที่จะใช้ชีวิตในสถานที่ และสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย มากกว่าที่จะต้องย้ายสถานที่ เมื่อต้องการการดูแลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการออกแบบและการให้บริการโดยผู้เชี่ยวชาญ จะเอื้อให้ผู้พักอาศัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยภายในบ้านของตัวเองได้อย่างยาวนานที่สุด” การที่ MQDC เปิดตัวธุรกิจดูแลผู้สูงอายุครบวงจรนั้น สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้าน “นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน” (Sustainnovation) ของบริษัท ซึ่งมีการนำความรู้ด้านจิตวิทยาและผลงานวิจัยด้านต่างๆ มาผสมผสานกันเพื่อสร้าง “ระบบนิเวศของมนุษย์” ที่จะเติมเต็มความต้องการของผู้คนในปัจจุบัน คุณ เฮ จูน พาร์ค ประธานผู้อำนวยการ บริษัท แอสเพน คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “บริษัทจะสร้างสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบเสมือนกับการพักอาศัยอยู่บ้านของตนเอง โดยจะออกแบบให้ผู้สูงวัยมีสังคม มีความสนุกสนาน และสามารถพึ่งพาตนเองได้” “โครงการจะนำความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดทั่วโลก มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม ซึ่งในการออกแบบได้นำแรงบันดาลใจจากครอบครัวมาสู่การมีปฏิสัมพันธ์เชื่อมต่อทางสังคมกับเพื่อนบ้านและสังคมแวดล้อมมากขึ้นด้วย” คุณ เฮ จูน พาร์ค กล่าวสรุป “โครงการของเราจะตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตหลากหลายสไตล์ ซึ่งเหมาะกับทั้งผู้สูงวัยที่ยังสามารถพึ่งพาตนเองได้ และผู้สูงวัยที่ต้องการการดูแลมากขึ้น” คุณ เฮ จูน พาร์ค ผู้บริหารชาวเกาหลีใต้ มากด้วยประสบการณ์ในด้านการให้บริการ และการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในระดับสากล ทั้งใน ทวีปเอเชีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และอเมริกาเหนือ ธุรกิจการดูแลผู้สูงวัย มีตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย โดยภายในปี 2583 มีการคาดการณ์ว่ามากกว่า 1 ใน 4 ของประชากรไทยจะมีอายุมากกว่า 65 ปี (ข้อมูลอ้างอิงจากการประมาณการณ์ของธนาคารโลก)
ของขวัญจากพ่อ รวม 8 โครงการก่อสร้างถนนในพระราชดำริ “ในหลวงรัชกาลที่ 9

ของขวัญจากพ่อ รวม 8 โครงการก่อสร้างถนนในพระราชดำริ “ในหลวงรัชกาลที่ 9

1. โครงการทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนบรมราชชนนี  เนื่องจากปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากเชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าจนถึงทางแยกสิรินธรทำให้ช่องทางการจราจรที่มีอยู่ 8 ช่องทาง ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้พื้นที่ถนนที่เพิ่มขึ้น วิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จะต้องเพิ่มพื้นผิวการจราจรให้มากขึ้น การเพิ่มพื้นที่จราจรด้วยการสร้างทางยกระดับขึ้นช่วงหนึ่ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการจราจรได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โครงการฯ นี้เป็นโครงการหนึ่งซึ่งสนองพระบรมราโชบาย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระมหากรุณาคุณให้พสกนิกร เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรที่ติดขัด   2.โครงการก่อสร้างถนนรัชดาภิเษก และทางยกระดับถนนพหลโยธิน ช่วงดินแดง-ดอนเมือง-หลักสี่-อนุสรณ์สถานรังสิต ถนนรัชดาภิเษกและถนนอุตราภิมุข ถนนรัชดาภิเษกที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ เกิดจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงห่วงใยชาวกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่จะต้องประสบปัญหาการจราจร ทรงมีรับสั่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการกับวงแหวน 3 สาย ล้อมรอบ บริเวณที่ดินทั้ง 2 ฝั่งน้ำเจ้าพระยา โดยมีสะพานเชื่อมสองฝั่งแม่น้ำ ถนนวงแหวนรอบในส่วนมากมีเส้นทางเดิมอยู่แล้ว มีทางเลียบสองฝั่งแม่น้ำ ที่สะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ กับสะพานที่ปลายถนนสาทร ถนนวงแหวนรอบกลางมีเส้นทางเดิมอยู่ 6-8 กิโลเมตร มีทางเชื่อม 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สะพานพระราม 6 กับสะพานกรุงเทพฯ และจะต้องสร้างทางเส้นใหม่ขึ้นเป็นทางยาวไม่น้อยกว่า 36 กิโลเมตรจึงจะทำให้ถนนนี้ครบวง จะช่วยแก้ปัญหาการจราจรได้มาก เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่สัญจรเข้า-ออกระหว่างใจกลางเมืองกับชุมชนส่วนนอก ตลอดจนถึงผู้ที่มาจาก ต่างจังหวัดทั้งทางทิศเหนือ ตะวันออก ตะวันตก และทิศใต้ ให้สามารถเดินทางผ่านกรุงเทพฯ ออกไปได้โดยไม่ต้องเข้าสู่ศูนย์กลางของเมืองที่มีการ จราจรคับคั่งเป็นประจำ อีกทั้งทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตและได้พระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยว่า ถนนรัชดาภิเษกจะใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ถ้าจะมีเส้นทางที่เชื่อมถนนจากเมืองทางตะวันออกกับถนนจากทางใต้ ให้ติดต่อกันได้โดยผ่าน ถนนวงแหวนช่วงด้านใต้   3. โครงการ ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก (ถนนวงแหวนรอบนอกด้านใต้) จังหวัดสมุทรปราการ ถนนกาญจนาภิเษกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการจราจรที่ติดขัดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่มีปริมาณการจราจรและการขนส่งเพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นทางเลี่ยงเมืองกรุงเทพมหานครที่เป็นตัวเชื่อมทางสายหลักเข้าไปสู่ทุกภาคของประเทศ   4. โครงการถนนวงแหวนอุตสาหกรรม โครงการถนนวงแหวนอุตสาหกรรมเป็นวงแหวนรอบเล็กตามแนวพระราชดำริ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานแนวทางไว้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2538 เพื่อเป็นโครงข่ายถนนรองรับการขนส่งและลำเลียงสินค้าจากท่าเรือกรุงเทพ ต่อเนื่องไปถึงพื้นที่อุตสาหกรรมในจังหวัดสมุทรปราการและพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ เพื่อไม่ให้รถบรรทุกขนาดใหญ่เข้าไปในตัวเมืองหรือทิศทางอื่น อันเป็นสาเหตุของการจราจรติดขัดโดยรอบ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการจราจรบริเวณถนนพระราม ๙ และต่อเชื่อมกับถนนเอกมัย-รามอินทรา ทำให้โครงข่ายจราจรคล่องตัวขึ้น 5. โครงการก่อสร้างถนนชุมชนบึงพระราม 9 เชื่อมระหว่างถนนพระราม 9 ถนนประชาอุทิศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานพระราชดำริให้กรุงเทพมหานครก่อสร้างถนนและปรับปรุงชุมชนพระราม 9 (หน้าศูนย์แพทย์พัฒนา) เพื่อเชื่อมเส้นทางระหว่างถนนพระราม 9 กับถนนประชาอุทิศตามแนวซอยโรงเรียนไทย-ญี่ปุ่น กับซอยจำเนียรเสริม 6. โครงการก่อสร้างถนนเชื่อมระหว่างถนนพระราม 9 กับถนนเทียมร่วมมิตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริให้กรุงเทพมหานครดำเนินการก่อสร้างถนนเชื่อมระหว่างถนนพระราม 9 กับถนนเทียมร่วมมิตร เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรบริเวณถนนรัชดาภิเษก และถนนพระราม 9 โดยสร้างถนนเพื่อเป็นทางลัดในพื้นที่ซึ่งเดิมเคยรกร้างว่างเปล่า ด้านข้างศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยข้างกรมการผังเมืองบนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย การเดินทางของประชาชนได้รับความสะดวกและลดระยะการเดินทางระหว่างถนนเทียมร่วมมิตรกับถนนพระราม 9 โดยไม่ต้องผ่านแยก อ.ส.ม.ท 7. โครงการก่อสร้างสะพานจตุรทิศตะวันออก ถือเป็นโครงข่ายที่สำคัญและเป็นโครงข่ายใหญ่มีการก่อสร้างถนนและสะพานเชื่อมโครงการย่อๆ ปลายโครงการเข้าด้วยกัน เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางระหว่างฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร และบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด รวมไปถึงถนนเชื่อมต่อสายอื่นได้แก่ ถนนราชดำเนินนอก ถนนศรีอยุธยา ถนนสวรรคโลก ถนนอโศก-ดินแดง ถนนสุขุมวิท ถนนเพชรบุรี และถนนพระราม 9 การก่อสร้างโครงการเริ่มต้นจากทิศตะวันตก ต่อเนื่องกับโครงการพระราชดำริทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนบรมราชชนนีและโครงการพระราม 8 ไปยังทิศตะวันออกของกรุงเทพมหานคร 8. โครงการก่อสร้างถนนคู่ขนานถนนพระราม 9 จากแยกเข้าวัดอุทัยธารามถึงก่อนขึ้นทางด่วนขั้นที่ 2 ที่มา : กระทรวงคมนาคม
AddVentures โดยเอสซีจี ลงทุนต่อเนื่อง หนุน “Vertex Ventures” ต่อยอดสตาร์ทอัพศักยภาพอาเซียน ปั้นธุรกิจใหม่เอสซีจี

AddVentures โดยเอสซีจี ลงทุนต่อเนื่อง หนุน “Vertex Ventures” ต่อยอดสตาร์ทอัพศักยภาพอาเซียน ปั้นธุรกิจใหม่เอสซีจี

AddVentures โดยเอสซีจี เดินหน้า Fund of Funds ต่อเนื่อง ลงทุนใน “Vertex Ventures” กองทุนระดับเวิลด์คลาสในอาเซียน หวังคัดกรองการลงทุนสตาร์ทอัพศักยภาพ เพื่อต่อยอดสร้างธุรกิจใหม่เอสซีจี พร้อมช่วยยกระดับสตาร์ทอัพอีโคซิสเท็มในภูมิภาค ดร.จาชชัว แพส กรรมการผู้จัดการ AddVentures เปิดเผยว่า AddVentures ได้เดินหน้าการลงทุนในลักษณะ Fund of Funds อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด กำลังอยู่ระหว่างเข้าลงทุนใน Vertex Ventures SEA Fund III กองทุนที่ 3 ของ Vertex Ventures ที่มุ่งลงทุนสตาร์ทอัพระดับ Series A ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย และเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีขนาดกองทุนใหญ่อันดับต้นๆ ของอาเซียนขณะนี้ โดยใช้ความชำนาญ ข้อมูลวิจัยเชิงลึก และการดำเนินการที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ผ่านเครือข่ายของทีมงาน “สาเหตุที่เราเลือกลงทุนใน Vertex Ventures เนื่องจากเป็น Venture Capital ที่มีผลการดำเนินงานที่ดี กองทุนสองกองแรกคัดกรองการลงทุนสตาร์ทอัพได้อย่างดีเยี่ยม จนมีสตาร์ทอัพที่แข็งแกร่งและน่าสนใจหลายรายใน Portfolio ขณะเดียวกัน Vertex Ventures ยังมีทิศทางการลงทุนในสตาร์ทอัพ Disruptive Technology ระดับ early-stage สอดคล้องกับทิศทางของ AddVentures” ดร.จาชชัว กล่าว นอกจากนี้ Vertex Ventures ยังมีเครือข่ายของบุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์ในวงการ Technology และ Venture Capital อย่างกว้างขวาง มีกองทุนภายใต้การบริหารทั้งในอิสราเอล สหรัฐอเมริกา และจีน ซึ่ง Vertex Ventures ยังได้สร้าง Venture Capital Platform กับ General Partners (GPs) รายต่างๆ ในแต่ละประเทศอีกด้วย ดร.จาชชัว กล่าวอีกว่า Vertex Ventures SEA Fund III ถือเป็นกองทุนแรกของ Vertex Ventures ที่เปิดโอกาสให้ Limited Partner (LPs) จากภายนอกเข้าลงทุน มีวิธีการดำเนินงานคือ เลือกลงทุนในสตาร์ทอัพศักยภาพ 20 รายตลอดระยะเวลากองทุน และสร้างโอกาสการลงทุนรอบถัดไป (Follow-on round) ในบริษัทที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตสูง คาดว่าการลงทุนครั้งนี้จะสามารถเอื้อประโยชน์ให้กับการร่วมลงทุน (Co-investment) ของ AddVentures ในระดับ Series A ได้ต่อไป ทั้งนี้ AddVentures ยังคงมองถึงโอกาสการเข้าถึงสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมด้าน Enterprise ผ่านการสร้างความร่วมมือเชิงพาณิชย์ (Commercial Deal) และอาจพิจารณานำนวัตกรรมเหล่านั้นมาต่อยอดเป็นธุรกิจกับธุรกิจหลักหรือสร้างเป็นธุรกิจใหม่ของเอสซีจีอีกด้วย เชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อทิศทางของ AddVentures และเอสซีจี ตลอดจนมีส่วนช่วยยกระดับการเจริญเติบโตของสตาร์ทอัพอีโคซิสเท็มในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนหน้านี้ AddVentures เพิ่งประกาศการลงทุนในลักษณะ Fund of Funds ก้อนแรกใน Wavemaker SEA Fund II กองทุนที่สองของ Wavemaker Partners ซึ่งเป็นกองทุนชั้นนำที่มีเครือข่ายระดับโลกอีกกองทุนหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อต่อยอดการลงทุนสตาร์ทอัพด้าน B2B ในภูมิภาค สำหรับ AddVentures โดยเอสซีจี เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ก่อตั้งขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์หลักคือ ส่งเสริมศักยภาพและลงทุนในสตาร์ทอัพทั้งไทยและทั่วโลก เพื่อให้เอสซีจีสามารถเชื่อมโยงนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน รวมทั้งยังทำให้ผู้บริโภคได้ใช้สินค้าและบริการที่ดีขึ้น รวดเร็วขึ้น ตอบโจทย์การยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น มีแผนในการลงทุนทั้งการลงทุนผ่านกองทุน (Venture Capital) และการลงทุนโดยตรง (Direct Investment) ในสตาร์ทอัพทั้งในไทย อาเซียน และศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีของโลก เช่น ซิลิคอนวัลเลย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา, เทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล, เสิ่นเจิ้น ประเทศจีน ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.Enterprise 2.Industrial และ 3.B2B ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจหลัก 3 กลุ่มของเอสซีจี ได้แก่ 1.ธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 2.ธุรกิจเคมิคอลส์ และ 3.ธุรกิจแพคเกจจิ้ง สตาร์ทอัพทั่วโลกที่สนใจร่วมงานกับ AddVentures สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.addventures.co.th และ facebook.com/AddVenturesbySCG หรือ LinkedIn: AddVentures by SCG เกี่ยวกับ Vertex Ventures Vertex เป็นกลุ่ม Venture Capital ชั้นนำระดับโลกที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2531 มุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการในการเปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นธุรกิจระดับโลก เดินหน้าลงทุนสตาร์ทอัพระดับ early-stage ทั้งในจีน ซิลิคอนวัลเลย์ อินเดีย อิสราเอล และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาแล้วมากกว่า 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และได้รับเกียรติให้เป็นพันธมิตรกับผู้ก่อตั้งและผู้บริหารสตาร์ทอัพชั้นนำระดับโลกจำนวนมาก เช่น Waza, 91, Grab, IGG, CyberArk, Reebonz, SolarEdge, Force10, FirstCry, Yatra และ Changba สำหรับ Vertex Ventures SEA ถือเป็นหนึ่งในกองทุนหลักของ Vertex Group’s network มุ่งลงทุนสตาร์ทอัพด้านไอทีระดับ early-stage ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.vertexventures.com
21 DESTINYทาวน์โฮมใหม่ 21 โครงการบนทำเลทอง

21 DESTINYทาวน์โฮมใหม่ 21 โครงการบนทำเลทอง

ในชีวิตของทุกคนจะให้ความสำคัญอยู่เพียงไม่กี่อย่าง หนึ่งในนั้นคือ “ที่อยู่อาศัย” การจะเลือกบ้านสักหลัง ที่จะทำให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวมีความสุขนั้น มีปัจจัยในการตัดสินใจอยู่ไม่กี่อย่าง ไม่ว่าจะเป็นทำเล ที่จะปรับเปลี่ยนการเดินทางให้สะดวกสบายขึ้นเช่น ใกล้ทางด่วน ติดถนนใหญ่ ขยับเข้ามาใกล้ที่ทำงานใกล้ครอบครัวเพื่อรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ง่ายขึ้นมีเวลาให้กับตัวเอง มีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้นทุกโครงการของเอพี จึงถูกกระจายตัวไปอยู่ในทุกโซนของกรุงเทพที่เต็มไปด้วยการเดินทางที่สะดวก เพื่อตอบโจทย์คุณภาพชีวิตในทุกๆ ด้าน       AP เปิดจองทาวน์โฮมใหม่ 21 โครงการ จากบ้านกลางเมือง และ Pleno พร้อมกันทั่วกรุงเทพฯ!! นับเป็นปรากฎการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบปี 2018 เมื่อเอพีฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่ “บ้านกลางเมือง” และ “Pleno” พร้อมกันถึง 21 โครงการ!! การันตีว่าทุกโครงการมีความแตกต่างและโดดเด่น จากแนวคิดการพัฒนาโครงการที่เริ่มต้นมาจากความต้องการของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง เป็นโอกาสดีๆที่ผู้กำลังมองหาที่อยู่อาศัยหลังใหม่จะได้เลือกรูปแบบชีวิตในฝัน พร้อมๆกันทั่วกรุงเทพฯ   5 BEST TOWNHOME ตอบโจทย์แนวคิดการหาทำเลที่ดีที่สุดสำหรับการอยู่อาศัย 1.BEST LOCATION ทำเลที่ถูกคัดสรรมาให้ครบทั้ง 5 รัศมีสะดวกสบายครบครันใกล้ตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง โรงพยาบาล สถานศึกษา และสวนสาธารณะต่างๆที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตตามสไตล์คนเมือง 2.BEST PRODUCT QUALITY การพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ลูกค้าที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยอยู่ตลอดเวลา ผ่านการค้ยนคว้าและวิจัยทั้งในแง่เทรนด์การออกแบบในแต่ละปี และที่สำคัญความพึงพอใจของลูกค้าที่นำมาต่อยอดการออกแบบอยู่เสมอ 3.BEST SOCIETY + USER EXPERIENCEเพื่อให้คุณได้ใช้ชีวิตในสังคมที่เต็มไปด้วยความสุขที่น่าค้นหาและพบกับกิจกรรมดีๆ สร้างประสบการณ์ใหม่ได้ในทุกวัน 4.BEST AFTER SERVICE ใส่ใจในทุกรายละเอียด ยกระดับคุณภาพชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมของโครงการที่ร่มรื่นน่าอยู่เสมอ รวมไปถึงสร้างความพึงพอใจให้กับทุกปัญหาของลูกบ้านที่ทำให้การอยู่อาศัยนั้นมั่นใจได้ว่าเหนือระดับอยู่เสมอ 5.BEST INNOVATION นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้รูปแบบการใช้ชีวิตของคุณสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นและปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม             ปักหมุดความสุขแบบครบวงจร บนทำเล "ปิ่นเกล้า-ราชพฤกษ์" ทำเลศักยภาพมาแรง สำหรับคนที่มองเห็นอนาคต ราชพฤกษ์ถือว่าเป็นทำเลทองทางโซนกรุงเทพตะวันตก เป็นถนนเส้นเศรษฐกิจซึ่งหลายคนอาจจะค้นหูเพราะเป็นทำเลยอดนิยมมานาน เป็นถนนที่มีหมู่บ้านเป็นจำนวนไม่น้อยซึ่งอยู่ในระดับกลางจนถึงระดับสูง ประกอบกับการมี Community Mall หรือร้านอาหารดังเป็นจำนวนมากตลอดทั้งสาย จึงทำให้บรรยากาศบนถนนเส้นนี้คึกคัก และเพียบพร้อมสำหรับการอยู่อาศัยมากขึ้นไปอีก   ถ้าจะพูดถึง "ถนนราชพฤกษ์" เรารู้กันดีว่า ถนนเส้นนี้เชื่อมกับถนนชัยพฤกษ์ ต่อไปยังนนทบุรีได้ง่าย ทำให้การเดินทางสะดวกสบาย สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองได้หลายเส้นทางทั้ง ถนนนครอินทร์ ถนนรัตนาธิเบศร์ ถนนชัยพฤกษ์ หรือถ้าจะไปโซนจตุจักร พระราม9 ก็ยิ่งง่าย เพราะมีทางด่วนพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกย่นระยะทางเข้ามาได้เยอะเลย นอกจากนี้ยังสามารถใช้ถนนวงแหวนรอบนอก (กาญจนาภิเษก) กับวงแหวนชั้นใน (ถนนจรัญฯ) ที่สามารถเชื่อมเข้าสาทรแหล่ง CBD ได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีตัวเลือกอื่นนอกจากการใช้รถยนตร์ส่วนตัวอีกหลายอย่าง เช่น รถไฟฟ้า BTS (สถานีบางหว้า) รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดีในการเลี่ยงเข้าเมืองด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้ทำเลโซนราชพฤกษ์มีความสะดวกสบายคล่องตัวเป็นอย่างมากในการเดินทาง   ในขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวกบนถนนเส้นนี้ ก็มีตัวเลือกมากมาย สามารถตอบโจทย์ครบทุก Lifestyle ทั้งห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง Central Westgate, IKEA บางใหญ่ หรือใครที่ชอบ Community Mall ก็มีให้เหล่านักช็อปได้เลือกอีกหลายแห่ง เช่น  The Crystal, The Walk, The Circle, Chic Republic เป็นต้น สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกอยู่ในวัยเรียน ก็ต้องบอกว่า ในย่านนี้ยังมีสถานศึกษาครบทุกระดับ เช่น โรงเรียนนานาชาติ ISB, โรงเรียนสวนกุหลาบ นนทบุรี, โรงเรียนหอวัง, รวมถึงมหาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือก็อยู่ใกล้นิดเดียว ส่วนสถานพยาบาล โรงพยาบาลต่างๆ ก็มีทั้งโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ และ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้ ทำให้เห็นได้ชัดเจนเลบครับว่า พื้นที่ย่านฝั่งธนบุรีโซนนี้สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้อย่างดีไม่แพ้ย่านอื่นๆ เลยทีเดียว   สำหรับใครที่กำลังมองหาที่อยู่ใหม่บนทำเลแถวราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพมากมายขนาดนี้ ต้องลองไปเลือกโครงการจากทาง AP THAILAND ทั้ง 8 โครงการ ซึ่งเป็นทาวน์โฮมแบบใหม่ที่มีให้เลือกได้ตามความชอบ และตาม Lifestyle ของทุกคน     เริ่มต้นด้วย PLENO ชัยพฤกษ์ – แจ้งวัฒนะ ทาวน์โฮมใหม่ที่ผสานธรรมชาติ และความทันสมัยอย่างลงตัว บนทำเลที่เชื่อมต่อทั้งถนนราชพฤกษ์ และถนนแจ้งวัฒนะ เดินทางสะดวกตอบรับสุนทรียภาพของการใช้ชีวิต ราคาเริ่มต้นเพียง 2.39 ล้าน*       PLENO ชัยพฤกษ์ เป็นอีกโครงการเพื่อการอยู่อาศัยในสังคมเหนือระดับ ด้วยทำเลติดถนนใหญ่ ตอบรับคุณภาพชีวิตใกล้รถไฟฟ้าเพียง 10 นาที พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน  พิเศษ! ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้าน*       PLENO เวสต์เกต พรีเมียมทาวน์โฮม พร้อมคลับเฮ้าส์หรู ฟิตเนส และสระว่ายน้ำ บนทำเลศักยภาพ ใกล้ทั้งรถไฟฟ้า และทางด่วน เพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น เริ่ม 1.99 ล้าน*       PLENO ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ พรีเมียมทาวน์โฮมรองรับทุก lifestyle บนสังคมส่วนตัวพร้อมคลับเฮ้าส์หรู ใกล้รถไฟฟ้าและทางด่วนเพียง 10 นาที ให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่บนทำเลศักยภาพ เริ่ม 2.39 ล้าน*       บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์ ทาวน์โฮมโมเดลใหม่ใจกลางราชพฤกษ์ ในบรรยากาศ Luxury Resort พร้อมพื้นที่ส่วนกลางครบครัน ติดคลับเฮ้าส์ ใกล้คอมมูนิตี้ The Walk และ Circle เดินทางสะดวกสบายเชื่อมสาทรและทางด่วนศรีรัช เพียง 10 นาที เริ่ม 5.19 ล้าน*       บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ ทาวน์โฮมพรีเมียมที่จัดเต็มพื้นที่ส่วนกลางทั้งคลับเฮ้าส์และสระว่ายน้ำขนาด Half Olympic ให้คุณออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่ ใกล้ทางด่วนและรถไฟฟ้า เพียง 500 เมตร* เริ่ม 3.79 ล้าน*         บ้านกลางเมือง The Era ปิ่นเกล้า-จรัญฯ ทาวน์โฮมโมเดลใหม่ "Terraria" เอกสิทธิ์เพียง 119 ครอบครัวบนสังคมพร้อมคลับเฮ้าส์หรูสไตล์ Modern Classic ใกล้ Central ปิ่นเกล้าฯ พร้อมการเดินทางสะดวกสบายติดถนนใหญ่ ใกล้จุดขึ้น-ลง ทางด่วน และรถไฟฟ้าถึง 3 สาย ให้คุณใช้ชีวิตแบบลงตัวในทุกๆวัน เริ่ม 5.69 ล้านบาท*       PLENO ปิ่นเกล้า-จรัญ สัมผัสชีวิตที่สมบูรณ์แบบ กับพรีเมียมทาวน์โฮมพร้อมคลับเฮ้าส์หรู สระว่ายน้ำแบบ PANORAMIC DESIGN ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกครบครันในสังคมคุณภาพที่เหนือระดับยิ่งกว่าและตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ DESIGN ใกล้เซ็นทรัลและทางด่วน เริ่ม 2.89 ล้าน*     ปักหมุดความสุขแบบครบวงจร บนทำเล "รามอินทรา-วัชรพล" ทำเลศักยภาพมาแรง ให้ทุกการเดินทางของคุณเป็นเรื่องจิ๊บๆ วัชรพลในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาเกิดโครงการแนวราบขึ้นเยอะเพราะยังเป็นย่านที่ไม่แออัดอยู่กันแบบกระจายตัว จึงมีความเป็นส่วนตัวมาก และนอกจากนี้ย่านวัชพลถือว่าเป็นย่านที่การเดินสะดวกอยู่ใกล้ทางขึ้นทางด่วนฉลองรัช หรือที่เรียกกันติดปากว่าเลียบด่วนรามอินทรา ตรงเข้าสู่เมืองย่านพระราม 9 เอกมัยเพียง 20 นาที ในขณะที่ถนนสายไหมก็ตัดไปออกดอนเมือง พหลโยธินได้ง่ายๆ แถมยังมีรถไฟฟ้า BTS ส่วนต่อขยายเพิ่มเข้ามาอีก จึงนับว่ามีความเพียบพร้อมมากๆ ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกในย่านนี้ก็มีมากมายทั้งห้างสรรพสินค้าชั้นนำ แหล่งช็อปปิ้ง แฮงค์เอ้าท์ รวมถึงระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ทั้งโรงพยาบาล สถานศึกษาในทุกระดับชั้น พร้อมตอบโจทย์ให้คุณเลือกบ้านได้อย่างลงตัว ด้วยทาวน์โฮม 4 โครงการในโซนวัชรพล       PLENO พหลโยธิน-วัชรพล 2 บ้านแนวคิดใหม่ในบรรยากาศร่มรื่น พบมนต์เสน่ห์แห่งโลกตะวันออก สู่สถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์จาก Marrakesh ตอบรับความสุขของทุกคนในครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนสและสวนส่วนกลาง เดินทางสะดวกสบายติดถนนใหญ่และใกล้ทางด่วน เริ่ม 3.59 ล้าน*       PLENO รามอินทรา อีกหนึ่งโครงการที่พร้อมตอบสนองทุกความสุขของครอบครัว สะท้อนดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ รองรับทุกการพักผ่อนทั้งคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนสและพื้นที่ส่วนกลางสีเขียว ใกล้แฟชั่นไอส์แลนด์ & ทางด่วน เริ่ม 2.59 ล้าน*         บ้านกลางเมือง วัชรพล ทาวน์โฮมโมเดลใหม่ เพิ่มพื้นที่ใช้สอยมากถึง 152 ตร.ม บนทำเลที่ดีที่สุด ติดถนนใหญ่ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนในครอบครัว ด้วยการออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้มากขึ้น เน้นความโปร่ง โล่ง สบาย รายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียว เริ่ม 4.69 ล้าน*       PLENO พลีโน่ รังสิตคลอง4 – วงแหวน ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะโครงการ ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้ตามการใช้งาน พร้อมคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ ทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนสและสวน เดินทางสะดวกสบายใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนเพียง 2 นาที เริ่ม 1.89 ล้าน*       ปักหมุดความสุขแบบครบวงจร บนทำเล "สุขสวัสดิ์" ทำเลศักยภาพมาแรงบนพื้นที่ปอดของกรุงเทพฯ สุขสวัสดิ์ ถือว่าเป็นโซนที่มีอากาศดีที่สุดของกรุงเทพฯเลยก็ว่าได้ ด้วยทำเลอยู่ติดริมแม่น้ำและท่ามกลางธรรมชาติผสมผสานความเป็นเมือง ถ้าพูดถึงเรื่องการเดินทางก็แสนจะสะดวกเพียง 15 นาทีก็สามารถเข้าถึงสาทรได้แล้ว ใกล้ทางด่วน และตอบโจทย์ทุกการเดินทางด้วยถนนหลายสาย รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-ราษฏร์บูรณะ) ซึ่งเป็นแผนอนาคตที่น่าสนใจมาก ถึงจะบอกว่าเป็นโซนที่มีแหล่งที่มีพื้นที่สีเขียวของธรรมชาติมากกว่าโซนอื่นๆ แต่สิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครันไม่แพ้ที่ไหนนะครับ ทั้งห้างสรรพสินค้าชั้นนำ Community Mall รวมถึงสถานศึกษา และสถานพยาบาลก็มีหลากหลายแห่งเลยทีเดียว ในโซนนี้ ทาง AP THAILAND มีทาวน์โฮมมาเสนอ 2 โครงการให้ได้เลือกจับจองกัน       GRAND PLENO สุขสวัสดิ์-พระราม 3 พรีเมียมทาวน์โฮมบนทำเลศักยภาพที่แท้จริง กับดีไซน์ที่ดึงเอาเสน่ห์ของความเรียบง่ายทันสมัย ผสานความงดงามด้วยเส้นสายสไตล์คลาสสิค พร้อมพื้นที่ใช้สอยที่ตอบสนองทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของครอบครัวยุคใหม่ เริ่ม 4.29 ล้าน*       PLENO สุขสวัสดิ์ 70 โครงการที่อยู่บนทำเลที่เชื่อมต่อความสุขของครอบครัวคนเมือง พร้อมคลับเฮ้าส์หรู สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ เดินทางเข้าออกเมืองสะดวก ใกล้ทางด่วนเพียง 10 นาที เริ่ม 3.39 ล้าน*       ปักหมุดความสุขแบบครบวงจร บนทำเล ”พระราม9-กรุงเทพกรีฑา-บางนา” ทำเลศักยภาพมาแรง ดินแดนแห่ง NEW CBD พูดถึงโซนพระราม 9 NEW CBD ซึ่งเป็นย่านมาแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะมีการเติบโตที่รวดเร็วจะเห็นได้ชัดเลยว่ามีตึกสูงขึ้นมากมายทั้ง ห้างสรรพสินค้า โรงแรมหรือแม้กระทั้ง Office Building ทำให้มีความคึกคักมาก การเดินทางก็ง่ายสะดวกสบายสามารถขึ้นทางด่วนได้หลายเส้นทาง เช่น ทางพิเศษศรีรัชจนไปเชื่อมต่อกับมอเตอร์เวย์ (กรุงเทพ-ชลบุรี) เพื่อเข้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิ หรือรถไฟก็มีทั้ง Airport Rail Link และ MRT ให้เลือกใช้บริการ นอกจากนี้ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าส่วนขยายสายสีเขียวจากอ่อนนุชมายังบางนาและสายสีเหลืองมาเปิดให้ใช้บริการยิ่งเพิ่มความสะดวกในการเดินทางมากขึ้น โซนพระราม9-กรุงเทพกรีฑา-บางนา มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบัน และกำลังจะเกิดในอนาคตอันใกล้ เช่น Mega City, Bangkok Mall, Whizdom 101, Forestias และศูนย์นิทรรศการ Bitec เฟส 2 ทำให้เพิ่มศักยภาพทำเลในย่านนี้ดีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับโซนนี้ทาง AP THAILAND มีโครงการทาวน์โฮม 7 โครงการมานำเสนอครับ       บ้านกลางเมือง The Edition พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา บ้านแนวคิดใหม่ พร้อม Grand Master Bedroom ท่ามกลางบรรยากาศที่เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัว เต็มอิ่มด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย และสวนสีเขียวขนาดใหญ่ กว่า 4 ไร่ บนทำเลศักยภาพพราม9-กรุงเทพกรีฑา (ตัดใหม่) ติดถนนใหญ่ ใกล้พระราม9 เริ่ม 7.99 ล้าน*         บ้านกลางเมือง พระราม 9-กรุงเทพกรีฑาทาวน์โฮมโมเดลใหม่ในบรรยากาศร่มรื่น ผสานแรงบันดาลใจจากธรรมชาติภายนอกสู่ภายใน บนทำเลกรุงเทพกรีฑา (ตัดใหม่) ใกล้พระราม9 พักผ่อน ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งคลับเฮ้าส์ สะว่ายน้ำ ฟิตเนสและสวนส่วนกลาง เดินทางสะดวกสบายติดถนนใหญ่ และใกล้ทางด่วน เริ่ม 4.79 ล้าน*         บ้านกลางเมือง The Edition บางนา - วงแหวน นิยามใหม่ของการอยู่อาศัยเหนือระดับ PRIVACY IS THE ULTIMATE LUXURY เอกสิทธิ์เฉพาะเพียง 50 ครอบครัว รายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวเปี่ยมไปด้วยความร่มรื่นบนทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่ ใกล้ทางด่วนบูรพาวิถีและมอเตอร์เวย์ เริ่ม 9.89 ล้าน*       บ้านกลางเมือง The Edition บางนา - วงแหวน (BUSINESS DISTRICT) ขยายทุกความเป็นไปได้.... สู่ความสำเร็จของธุรกิจแห่งอนาคต บนทำเลศักยภาพแห่งการลงทุน ติดถนนใหญ่ ใกล้เมกา บางนา ทางด่วนบูรพาวิถีและมอเตอร์เวย์ บ้านกลางเมือง THE EDITION บางนา-วงแหวน (BUSINESS DISTRICT) ติดถนนใหญ่ ใกล้เมกา บางนา ทางด่วนบูรพาวิถีและมอเตอร์เวย์ เริ่ม 9.89 ล้าน*         บ้านกลางเมือง The Edition พระราม 9-พัฒนาการ ทาวน์โฮมโมเดลใหม่บนทำเลศักยภาพ รองรับทุกความต้องการของทุกคนในครอบครัว ครบครันกับพื้นที่ส่วนกลาง ทั้งคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนสและสวนสาธารณะบนพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เดินทางสะดวกสบายติดถนนกรุงเทพกรีฑา สามารถเชื่อมต่อ พระราม9-พัฒนาการ ใกล้รถไฟฟ้า และทางด่วน เริ่ม 4.79 ล้าน*          PLENO บางนา-อ่อนนุช พรีเมียมทาวน์โฮม บนสังคมคุณภาพ ดีไซน์สวนสะท้อนถึงความเหนือระดับในทุกมิติ พร้อมปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้ตามการใช้งานในทุกสัดส่วนของบ้านให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยได้อย่างลงตัว เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลายกับพื้นที่ส่วนกลาง คลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำและฟิตเนส เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมือง และสุวรรณภูมิ เริ่ม 1.99 ล้าน*         PLENO พระราม9-กรุงเทพกรีฑา พรีเมียมทาวน์โฮมฟังก์ชั่นใหม่ บนทำเลพระราม9-กรุงเทพกรีฑา (ตัดใหม่) ใกล้พระราม9, ใกล้แอร์พอร์ตลิ้งค์,ทางด่วนมอเตอร์เวย์ และรถไฟฟ้า สายสีส้ม พร้อมประสบการณ์ใหม่การอยู่อาศัยใหม่ระดับ first class Living เริ่ม 3.29 ล้าน*           21 DESTINY จินตนาการรูปแบบชีวิตในฝันที่จะเปลี่ยนคุณ...สู่ชีวิตเหนือระดับ ------------------------------------------------------------------------------------------- 27-28 ต.ค.นี้ เปิดจองทาวน์โฮม 21 ทำเลใหม่ จาก บ้านกลางเมือง และ Pleno ร่วมเป็นเจ้าของสังคมคุณภาพ พร้อมข้อเสนอส่วนลด 21 เท่า* ราคาพรีเซล เริ่ม 1.99-9 ล้าน* พบกันที่ Sales Gallery ------------------------------------------------------------------------------------------- ลงทะเบียนรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 100,000 บาท คลิก https://goo.gl/GeKUYh  หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร.1623