Tag : News

2376 ผลลัพธ์
“STYLE” งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ที่ครบครันที่สุดในภูมิภาค เปิดเวทีเจรจาการค้าการส่งออกดึงผู้ซื้อจากทั่วโลกกว่า 60,000 ราย พร้อมดันไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับภูมิภาค

“STYLE” งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ที่ครบครันที่สุดในภูมิภาค เปิดเวทีเจรจาการค้าการส่งออกดึงผู้ซื้อจากทั่วโลกกว่า 60,000 ราย พร้อมดันไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับภูมิภาค

เริ่มต้นอย่างยิ่งใหญ่กับ “STYLE” งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ที่ครบครันที่สุดในภูมิภาค รวม 3 เทรดแฟร์ระดับประเทศ BIFF&BIL, BIG+BIH และ TIFF ไว้ด้วยกันเป็นครั้งแรกจัดโดย DITP ระหว่างวันที่ 17-21 ตุลาคมศกนี้ ณ ไบเทค บางนา รวมผู้ประกอบการไทย-เทศ กว่า 2,000 คูหา ร่วมจัดแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ ต่อสายตานักธุรกิจและผู้นำเข้าจากทั่วโลก คาดเงินสะพัดมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในพิธีเปิดงานว่า “อุตสาหกรรมไลฟ์สไตล์เป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นอุตสาหกรรมครบวงจร โดยมีผู้ประกอบการไทยทั้งที่เป็นรายเล็ก หรือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จำนวนมาก และที่เป็นสตาร์ทอัพ (Start-Up) อยู่มากกว่าร้อยละ 90 ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ก่อให้เกิดการจ้างแรงงานกว่าหนึ่งล้านคน รัฐบาลจึงมีแนวคิดที่จะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต การตลาด และ การค้าสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับภูมิภาค กอปรกับการที่รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมการเป็นสังคมสร้างสรรค์ ภายใต้นโยบาย “Creative Thailand” จึงเห็นว่าอุตสาหกรรมไลฟ์สไตล์ของไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นหนึ่งในสินค้าและบริการส่งออกอันดับต้นๆ ได้ โดยการมุ่งสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรม และการออกแบบ นำเสนอแนวคิดใหม่ๆ  ซึ่งผู้ประกอบการไทยต้องกล้านำความเสนอคิดและนวัตกรรมใหม่ๆ และมี   การสร้างแบรนด์ของตัวเอง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว ด้านนางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า งาน“STYLE 2017” เป็นงานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ยิ่งใหญ่และครบครันที่สุดในภูมิภาค เป็น   การยกระดับงานแสดงสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ที่เป็นที่นิยมของกรม ได้แก่ งานแสดงสินค้าแฟชั่นและงานแสดงสินค้าเครื่องหนัง (Bangkok International Fashion Fair and Bangkok International Leather Fair: BIFF&BIL) งานแสดงสินค้าของขวัญและงานแสดงสินค้าของใช้ในบ้าน (Bangkok International Gift Fair and Bangkok International Houseware Fair: BIG+BIH) และงานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ (Thailand International Furniture Fair: TIFF)  ไว้ด้วยกันในงานเดียว จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Life+Style และเป็นส่วนหนึ่งของ Creative Thailand ระหว่างวันที่ 17-21 ตุลาคม 2560 โดยได้รับความร่วมมือจาก 24 สมาคมที่เกี่ยวข้อง มีผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติเข้าร่วมแสดงสินค้ากว่า 1,000 บริษัท 2,000 คูหา เต็มพื้นที่กว่า 40,000 ตร.ม. ภายในศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา “กรมฯ มั่นใจว่างานนี้จะสามารถตอบโจทย์ผู้ซื้อ ผู้นำเข้า ตัวแทนจัดซื้อของต่างประเทศ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นักออกแบบ ผู้ซื้อจาก Showroom/Selected shop Fashion House ห้างสรรพสินค้าต่างๆ     ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งผู้ที่อยู่ในวงการแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ได้อย่างครบถ้วน นำไปสู่การต่อยอดธุรกิจ ได้อย่างเห็นผลเป็นรูปธรรม โดยคาดว่างานนี้จะสามารถก่อให้เกิดมูลค่าสั่งซื้อภายในงาน กว่า 2,000 ล้านบาท” นางจันทิรากล่าว ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์ (แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ไม่รวมอัญมณีและเครื่องประดับ) ปี 2559 คิดเป็นมูลค่าราว 11,260 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 377,000 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 5  ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย โดยช่วง 8 เดือนแรกของปี 2560 มีมูลค่าการส่งออก ประมาณ 7,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือ 256,000 ล้านบาท) ขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ สิ่งทอ ผ้าผืน เส้นใยประดิษฐ์ และเฟอร์นิเจอร์  ซึ่งกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมั่นใจว่า ปี 2560 นี้ การส่งออกสินค้าดังกล่าวจะขยายตัวต่อเนื่อง และเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ร้อยละ 3 จากที่เคยติดลบในปีก่อนหน้านี้ ภายในงาน STYLE 2017 นี้ มีกิจกรรม บริการและนิทรรศการที่หลากหลาย ที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ความต้องการของทุกฝ่าย และจัดบริการพิเศษเพื่ออำนวยความสะดวกผู้ที่ทำธุรกิจ อาทิ การบริการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจ ณ Buyer Lounge พร้อมล่ามภาษาต่างๆ เช่น อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น อารบิค เป็นต้น ทั้งยังมีศูนย์ให้คำปรึกษาด้านโลจิสติกส์การค้า และ DITP SERVICE CENTER รวบรวมบริการต่างๆ ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศไว้ ณ จุดเดียว เพื่อให้คำปรึกษาผู้ประกอบการในการขยายตลาดส่งออก นอกจากนี้ งาน “STYLE 2017” ยังรวบรวมนิทรรศการที่น่าสนใจกว่า 20 นิทรรศการไว้ด้วยกัน ทั้งนิทรรศการที่เน้นการสร้างแรงบันดาลใจ อัพเดทเทรนด์ใหม่ๆ เพื่อให้เกิดการต่อยอดสู่การทำธุรกิจ อาทิ นิทรรศการแนวโน้มแฟชั่น ปี 2561 (Trend Forum 2018), นิทรรศการโครงการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการสินค้าแฟชั่น (QURATED Fashion Incubation Project), และยังมีนิทรรศการที่กรมได้ร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อส่งเสริมให้นักออกแบบ และผู้สร้างสรรค์ได้มีพื้นที่แสดงออกและต่อยอดความคิดให้เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้ร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนาจัดนิทรรศการเพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และมีกิจกรรมการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์จากหญ้าแฝกภายในงานด้วย “STYLE 2017” งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ยิ่งใหญ่และครบครันที่สุดในภูมิภาคจัดขึ้นระหว่างวันนี้ ถึง 21 ตุลาคมนี้   (สำหรับวันเจรจาธุรกิจ คือวันที่ 17-19 ตุลาคม 2560ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. ส่วนวันจำหน่ายปลีก วันที่ 20- 21ตุลาคม 2560 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น.) ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเลอยุธยาดาวเด่นแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเลอยุธยาดาวเด่นแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเลอยุธยาดาวเด่นแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ รองรับนิคมอุตสาหกรรมขยายตัว – ภาครัฐเร่งลงทุนโครงสร้างคมนาคม พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยทำเลที่อยู่อาศัยในเขตพระนครศรีอยุธยามีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นรองรับนิคมอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่อง หนุนอสังหาริมทรัพย์เติบโต ตอบสนองในรูปแบบแนวราบได้ดี โดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์ 1 ปีย้อนหลังมีอุปทาน 503 ยูนิต ขายแล้ว 73% ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทมีแรงตอบรับดีสุด ขณะที่บ้านเดี่ยวมีอุปทานใหม่จำนวน 357 ยูนิต ขายแล้ว 51% โดยบ้านเดี่ยวราคา ไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นที่นิยมมีอัตราการดูดซับเฉลี่ยสูงถึง 6.9 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ล่าสุดพบผู้ประกอบการรายใหญ่จากกรุงเทพตบเท้าเข้าชิงส่วนแบ่งการตลาดแล้วกว่า 30% นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจตลาด ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่พระนครศรีอยุธยา ในรอบการสำรวจล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 พบว่ามีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ เนื่องจากเป็นพื้นที่ศูนย์กลางการเชื่อมต่อการเดินทางไปยังภาคเหนือและภาคอีสาน และยังเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำให้มีผู้คนย้ายเข้ามาในพื้นที่นี้เป็นจำนวนมากและมีความต้องการที่อยู่อาศัยในทิศทางที่เพิ่มมากขึ้น จากกลุ่มอุปสงค์หลักทั้ง กลุ่มคนในท้องถิ่นรวมไปถึงแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ย้ายมาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีแรงขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม ซึ่งคาดว่าจะเร่งดำเนินการในปลายปี 2560 เข้ามาเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากบริษัทต่างๆ ในพื้นที่พระนครศรีอยุธยาเพิ่มมากขึ้น และจะก่อให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยรวมภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์พื้นที่พระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน ส่วนใหญ่มีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบทาวน์เฮาส์ 55% บ้านเดี่ยว 40% และคอนโดมิเนียม 5% โดยโครงการใหม่ที่เปิดขายในช่วงเดือนมิถุนายน 2559 - พฤษภาคม 2560 มี ทาวน์เฮาส์ จำนวน 503 ยูนิตสามารถขายได้แล้ว 73%, บ้านเดี่ยว จำนวน 357 ยูนิต ขายไปแล้ว 51% และคอนโดมิเนียม จำนวน 294 ยูนิต ขายไปแล้ว 70% ซึ่งตลาดทาวน์เฮาส์เป็นที่ต้องการของตลาดมากที่สุด โดยเฉพาะโซนนิคมอุตสาหกรรม ทำให้มีกลุ่มแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงประชาชนในท้องถิ่นต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย โดยทาวน์เฮาส์ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทได้รับการตอบรับดี มีอัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 6.8-8 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ขณะที่ตลาดบ้านเดี่ยว ส่วนใหญ่เน้นพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับกลางที่ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท อัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 6.9 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ส่วนโซนและราคาอื่นๆ ที่ยังพอไปได้ คือ โซนนิคมอุตสาหกรรมที่ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท อัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมนั้นก็เริ่มมีอุปทานเข้ามาในตลาดโดยปัจจุบันมีเพียงโครงการเดียว จำนวน 280 ยูนิต “สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคืออสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่พระนครศรีอยุธยา นอกจากมีนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่แล้ว ยังมีผู้ประกอบการรายใหญ่จากกรุงเทพฯ เข้าไปทำตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บมจ. วังทองกรุ๊ป โดยเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบ เนื่องจากภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่พระนครศรีอยุธยาตอบสนองในรูปแบบแนวราบยังไปได้ดี โดยเฉพาะรูปแบบทาวน์เฮาส์ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่จากกรุงเทพฯ เข้าไปลงทุนในพื้นที่นี้มาจาก การมีประชากรย้ายถิ่นฐานเข้ามาพร้อมกับการขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรม และยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ได้แก่ โครงการทางพิเศษ สายอุดรรัถยา-พระนครศรีอยุธยา เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและขนส่งสินค้าจากกรุงเทพฯ ไปอยุธยา และจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง ในกรณีเกิดเหตุการณ์ภัยธรรมชาติและเหตุฉุกเฉิน โครงการรถไฟความเร็วสูง อยุธยา – อีอีซี เป็นเส้นทางส่วนต่อขยายจากโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพ-ระยอง เพื่อใช้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งประเมินได้ว่าความต้องการที่อยู่อาศัยของอยุธยายังคงมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปี ต่อจากนี้ นอกจากนี้โครงการที่ประกอบด้วยโปรดักส์หลากหลายรูปแบบภายในโครงการเดียว อาทิ ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด คาดว่าจะได้รับความสนใจในทำเลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพิ่มมากขึ้นในอนาคต เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับตอบรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ” นายอนุกูล กล่าว
แสนสิริตอกย้ำความสำเร็จโครงการ 98 Wireless สู่เวทีระดับสากล คว้ารางวัล ‘Best Luxury Residence – Global’

แสนสิริตอกย้ำความสำเร็จโครงการ 98 Wireless สู่เวทีระดับสากล คว้ารางวัล ‘Best Luxury Residence – Global’

แสนสิริภาคภูมิใจกับความสำเร็จอีกขั้น และตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ในประเทศไทย กับงานประกาศผลรางวัลบนเวที  The International Design & Architecture Awards 2017 ภายใต้หมวด 'Best Luxury Residence - Global'  ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสาร Design et al นิตยสารออกแบบตกแต่งภายในชั้นนำระดับนานาชาติ และนับเป็นรางวัลที่ดีที่สุดในการออกแบบจากทั่วโลก ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในประเทศอังกฤษ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยงานนี้ โครงการ 98 Wireless ถือเป็นโครงการที่พักอาศัยระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ หนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รับคัดเลือกเข้าชิงรางวัลในหมวดนี้ นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “สำหรับแสนสิริ การรับรางวัลระดับนานาชาติภายในงาน The International Design & Architecture Awards 2017 ครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของบริษัทฯ เป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ที่ทราบว่าโครงการ 98 Wireless ได้รับการคัดเลือกเพื่อเข้าชิงรางวัลภายใต้หมวด 'Best Luxury Residence - Global' เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และได้รับเชิญเข้าร่วมงานประกาศผลรางวัลร่วมกับบริษัท   Design Worldwide Partnership (DWP)  ซึ่งเป็นผู้ออกแบบโครงการ 98 Wireless โครงการแฟล็กชิพคอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Best Comes as Standard” ที่แสนสิริตั้งใจ และพิถีพิถันในการให้ความสำคัญทุกรายละเอียดของการก่อสร้างมากว่า 7 ปี ซึ่งความสำเร็จจากการรับรางวัลของแสนสิริในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นรางวัลที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับบริษัทฯ แล้ว ยังถือเป็นกำลังใจสำคัญแก่ทีมงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่มีส่วนผลักดันให้โครงการ 98 Wireless สามารถตอกย้ำศักยภาพที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในฐานะผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทยที่มุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ และมอบบริการที่เหนือกว่าให้แก่คนไทยอย่างต่อเนื่อง” นางสาวศรินรัตน์ โกมลรัตนพิบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Design Worldwide Partnership (DWP) กรุงเทพฯ กล่าวว่า “สำหรับการรับรางวัลในครั้งนี้ ทางทีมงานรู้สึกภูมิใจ และนับเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการออกแบบโครงการ 98 Wireless ของแสนสิริ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่ท้าทายสำหรับทีมงาน จากแนวคิดของผู้บริหารที่จะพัฒนาโครงการแห่งนี้ ให้กลายเป็นโครงการแฟล็กชิพคอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของแสนสิริ ที่ดีที่สุดในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราจึงตั้งใจออกแบบโครงการนี้อย่างละเมียดละไมที่สุด เพื่อให้สมกับเป็นสุดยอดโครงการซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่โดยผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย และสามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยได้” สำหรับการคัดเลือกโครงการ เพื่อเข้าชิงรางวัลในงาน The International Design & Architecture Awards 2017 เริ่มต้นด้วยการนำเสนอชื่อโครงการจากบริษัทออกแบบทั่วโลก และคณะกรรมการฯ   จะคัดเลือกโครงการที่มีความโดดเด่นที่สุดในแต่ละสาขา และเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้ลงทะเบียนโหวตเป็นขั้นตอนสุดท้าย โดยโครงการที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดถือเป็นอันสิ้นสุด ซึ่งในปีนี้นับว่าเป็นสถิติใหม่ของการจัดงาน โดยมีคนเข้าร่วมโหวตมากที่สุดถึง 61,000 คนจากทั่วโลก The International Design & Architecture Awards 2017 จัดขึ้นเป็นครั้งที่3 เป็นเวทีการแข่งขันงานออกแบบระดับสากล ที่มีบริษัทออกแบบกว่า 200 บริษัทจากทั่วโลก เข้าร่วมการแข่งขันเป็นประจำทุกปี โดยมีจุดมุ่งหมายในการเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงการออกแบบ ได้แสดงผลงาน และเป็นที่รู้จักจนได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับสากล โดยปีนี้ มีโครงการที่น่าสนใจเข้าร่วมเข้าชิงรางวัลถึง 279 โครงการ 163 บริษัท จาก 30 ประเทศ โดยแบ่งรางวัลเป็น 50 หมวดใน 6 สาขา อาทิ เรสซิเดนเทียล พร็อพเพอร์ตี้, อินทีเรียร์ ดีไซน์, โปรดักซ์ ดีไซน์ และมูลค่าโครงการ เป็นต้น
ศุภาลัย เผยตัวเลขยอดขาย 9 เดือน ปี 2560 กวาดยอดขายได้ 25,120 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 44%

ศุภาลัย เผยตัวเลขยอดขาย 9 เดือน ปี 2560 กวาดยอดขายได้ 25,120 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 44%

บมจ.ศุภาลัย เผยตัวเลขยอดขาย 9 เดือน ปี 2560 กวาดยอดขายได้ 25,120 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 44% อันเนื่องจากการเปิดตัวคอนโดฯใหม่ 4 โครงการ  อีกทั้งโครงการแนวราบที่มีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงตามความต้องการทั้งด้านทำเล ราคาที่คุ้มค่าและเหมาะสม พร้อมมั่นใจปี 2560 สามารถทำยอดขายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 27,000 ล้านบาท  นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลงานยอดขาย 9 เดือนของปี 2560 ว่า บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้พุ่งสูงถึง 25,120 ล้านบาท เติบโต 44% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่ทำได้ 17,486 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตมาจากยอดขายโครงการคอนโดมิเนียม 13,453 ล้านบาท และยอดขายโครงการแนวราบ 11,667 ล้านบาท  เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3  มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม  จำนวน  4 โครงการ  ได้แก่ โครงการศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร โครงการศุภาลัย ลอฟท์ สถานีแยกไฟฉาย โครงการศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ และโครงการศุภาลัย ปาร์ค สถานีตลาดพลู โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร ที่สร้างปรากฏการณ์สามารถปิดการขายได้ 100% ณ วันเปิดจองโครงการ  อีกทั้งผลงานที่โดดเด่นในครั้งนี้ยังมาจากโครงการแนวราบที่มีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม รวมถึงโปรโมชั่นส่งเสริมการขายที่กระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง  สำหรับแผนการรุกตลาดในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2560 บริษัทฯ มีการจัดโปรโมชั่นสุดคุ้ม “สายเปย์ จ่าย 0 คืน คูณ 2” เพื่ออภินันทนาการสำหรับผู้ที่จองบ้านและคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ รับสิทธิ์ค่าใช้จ่ายศูนย์บาททุกรายการ อาทิ ค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์, ค่าธรรมเนียมจดจำนอง, ค่าส่วนกลาง 1 ปีแรก, ค่าธรรมเนียม มิเตอร์ น้ำ-ไฟ พร้อมรับเงินคืน 2 เท่า ได้คืนส่วนลด ณ วันจอง  และได้คืนส่วนลด ณ วันโอนกรรมสิทธิ์ (โอนฯ ภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2560) ตั้งแต่วันนี้-15 ธันวาคม 2560 นี้เท่านั้น (เงื่อนไขรายการส่งเสริมการขายเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด) นายไตรเตชะ กล่าวทิ้งท้ายว่า จากผลงานตัวเลขยอดขาย 9 เดือนที่มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 44% กวาดยอดขายได้ 25,120 ล้านบาท ทำให้เชื่อมั่นว่า ปีนี้บริษัทฯ น่าจะสามารถทำยอดขายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 27,000 ล้านบาท
ผู้นำอสังหาฯ แถวหน้า ผนึกกำลังจัดตั้งกลุ่ม Open Source BIM นำระบบ BIM มาใช้เต็มรูปแบบ ยกระดับมาตรฐานงานออกแบบก่อสร้างไทย ก้าวสู่ระดับสากล

ผู้นำอสังหาฯ แถวหน้า ผนึกกำลังจัดตั้งกลุ่ม Open Source BIM นำระบบ BIM มาใช้เต็มรูปแบบ ยกระดับมาตรฐานงานออกแบบก่อสร้างไทย ก้าวสู่ระดับสากล

กลุ่มผู้นำอสังหาริมทรัพย์ไทยแถวหน้า และกลุ่มผู้ใช้งานโปรแกรมการออกแบบ 3 มิติ หรือ BIM (Building Information Modeling) พร้อมโชว์ศักยภาพยกระดับอสังหาริมทรัพย์ไทยสู่ระดับสากล  ร่วมจัดตั้งกลุ่ม Open Source BIM ศึกษาแนวทางและมาตรฐานการทำงานบนระบบ BIM เทคโนโลยีในการนำซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการออกแบบ (Smart Design Software) ซึ่งรวบรวมข้อมูลการออกแบบก่อสร้างทั้งหมดมาอยู่ในรูปแบบภาพจำลอง 3 มิติ (3D Digital Model) เพื่อเพิ่มความถูกต้อง แม่นยำทุกกระบวนการมากยิ่งขึ้น สอดคล้องโดยตรงกับนโยบายการพัฒนาประเทศไทยในระบบเศรษฐกิจ THAILAND 4.0  ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม  เนื่องด้วยอุตสาหกรรมการก่อสร้างและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคที่มีการใช้เทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์อย่างเต็มรูปแบบ โดยที่ผ่านมาอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการของประเทศ อาทินักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หน่วยงานภาครัฐ ผู้รับเหมาก่อสร้าง ที่ปรึกษาโครงการ ผู้ออกแบบ สถาปนิกและวิศวกร ฯลฯ ต่างประสบปัญหาในเรื่องการขาดมาตรฐานการทำงานบนคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้การออกแบบโครงการต่างๆ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องประสานงานระหว่างแต่ละหน่วยงานหรือระหว่างผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์กับบริษัทรับเหมาก่อสร้างตลอดจนบริษัทออกแบบเกิดความติดขัดและมีประสิทธิภาพลดลง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพผลงาน เวลา และ งบประมาณโครงการในวงกว้าง ดังนั้นกลุ่มผู้ใช้งาน BIM ในประเทศไทย ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะผู้นำในวงการอสังหาฯไทย อาทิ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นต้น  ได้รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่ม Open Source BIM เพื่อเป็นการสร้างโอกาสในการพบปะและรวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือ ทั้งนำเสนอความคิดเห็นตลอดจนแนวทางปฏิบัติงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเพื่อเป็นการสร้างความตื่นตัวให้กับอุตสาสหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในวงกว้าง นำมาซึ่งแนวทางและมาตรฐานการทำงานบนระบบ BIM ที่เหมาะสมเพื่อเป็นมาตรฐานกลางที่ทั้งประเทศจะสามารถใช้เป็นแนวทางในการทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการแบ่งปันความรู้ข้อมูล  ทั้งในระดับบุคคล หน่วยงานต่างๆ ในการต่อยอดองค์ความรู้ ทักษะ เพื่อการผลิตและพัฒนาบุคลากรทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และ ภาคการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการในตลาดแรงงานทั้งปัจจุบันและอนาคต เป็นการช่วยยกระดับการพัฒนาคุณภาพวงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น โดยกิจกรรมครั้งแรกของกลุ่ม Open Source BIM ได้จัดขึ้นที่ในวันที่ 6 ตุลาคม 2560 ณ อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ อาคาร 2 ชั้น 11 Ananda Campus   โดยได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ รองศาสตราจารย์ มานพ พงศทัต คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ คุณประเสริฐ  แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมอาคารชุดไทย คุณกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการบริษัท สัมมากร จำกัด(มหาชน) และอดีตนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย คุณประภากร วทานยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด และอดีตนายกสมาคมสถาปนิกสยามฯ คุณ Scott Whittaker, Group Creative Director บริษัท dwpคุณณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คุณไพทยา บัญชากิติคุณ Partner บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด ดร.พร วิรุฬห์รักษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท LPS ในเครือบริษัท LPNและ คุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการนำระบบ BIM  ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามามีบทบาทในวงการก่อสร้างตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบไปจนถึงการก่อสร้างอาคาร โดยเทคโนโลยีนี้จะเข้ามาช่วยให้ข้อมูลของการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน และถูกต้องตรงกันมากขึ้น ระหว่าง สถาปนิก วิศวกร ผู้รับเหมาและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารหรือที่เรียกว่า การประสานข้อมูลของผู้เกี่ยวข้องหลัก (Stakeholders Collaboration) นอกจากนี้ BIM ยังช่วยในการจัดทำเอกสารรายงาน และข้อมูลต่างๆ ของอาคารได้อีกด้วย ซึ่งระบบ BIM จะสร้างแบบจำลองเสมือนจริงใน Computer ทำให้ผู้ทำงานเกี่ยวข้องสามารถเห็นส่วนประกอบทุกส่วนตรงกัน โดย BIM จะสร้างเป็นโมเดล 3 มิติขึ้นมาพร้อมกับ Intelligent Information อาทิ รายละเอียดวัสดุ ปริมาณวัสดุก่อสร้าง เพื่อปรับปรุงกระบวนการออกแบบก่อสร้างและคำนวณพลังงานที่จะใช้ในอาคาร สร้างแบบจำลอง หรือ Digital Prototype Model ที่เสมือนจริง และเปลี่ยนจากการสร้างแบบบนกระดาษมาสู่เทคโนโลยีดิจิตอลและประสานข้อมูลบน Cloud สะดวกในการทำงานนอกสถานที่โดยสามารถใช้อุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์อย่าง Tablet ได้อีกด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การส่งมอบอาคารที่มีคุณภาพสูงขึ้นจากมาตรฐานของตลาดในปัจจุบัน
MQDC เปิดตัว “บ.แอสเพน คอร์ปอเรชั่น จำกัด” รุกธุรกิจดูแลผู้สูงวัยครบวงจร

MQDC เปิดตัว “บ.แอสเพน คอร์ปอเรชั่น จำกัด” รุกธุรกิจดูแลผู้สูงวัยครบวงจร

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในระดับสากล เปิดตัว “บริษัท แอสเพน คอร์ปอเรชั่น จำกัด” ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้สูงวัย โดยมีแผนจะเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยและบริการครบวงจร ซึ่งถูกพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เพื่อที่จะให้เป็นที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัย ที่สมบูรณ์แบบด้วยมาตรฐานระดับสากล แอสเพน คอร์ปอเรชั่น มุ่งหวังที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ด้านการดูแลผู้สูงวัย ในประเทศไทย อาทิเช่น “การดูแลตลอดชีวิต” และ “การออกแบบสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัย ในรูปแบบที่ให้ผู้พักอาศัย สามารถอยู่อาศัยในบ้านของตนเองได้อย่างยาวนานยิ่งขึ้น และสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้พักอาศัย” ผู้พักอาศัยสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น ด้านการป้องกันโรคภาวะสมองเสื่อม เป็นต้น คุณวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) กล่าวว่าการให้บริการดูแลผู้สูงวัยอย่างครบวงจร ของ บริษัท แอสเพน คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะตอบโจทย์ของสังคมผู้สูงวัยในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ “สำหรับตลาดอสังหาฯ เพื่อผู้สูงวัยในประเทศไทย ได้จำกัดทางเลือกสำหรับผู้สูงอายุและคนวัยเกษียณ ด้วยรูปแบบการพัฒนาโครงการในประเภทรีสอร์ท ซึ่งไม่มีการให้บริการแบบครบวงจร หรือประเภทเนอร์สซิ่งโฮม ซึ่งไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านไลฟ์สไตล์”  คุณวิสิษฐ์กล่าว “จากงานวิจัยเราพบว่า คนเราให้ความสำคัญในเรื่อง “aging in place” อย่างมาก โดยคนส่วนใหญ่ต้องการที่จะใช้ชีวิตในสถานที่ และสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย มากกว่าที่จะต้องย้ายสถานที่ เมื่อต้องการการดูแลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการออกแบบและการให้บริการโดยผู้เชี่ยวชาญ จะเอื้อให้ผู้พักอาศัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยภายในบ้านของตัวเองได้อย่างยาวนานที่สุด” การที่ MQDC เปิดตัวธุรกิจดูแลผู้สูงอายุครบวงจรนั้น สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้าน “นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน” (Sustainnovation) ของบริษัท ซึ่งมีการนำความรู้ด้านจิตวิทยาและผลงานวิจัยด้านต่างๆ มาผสมผสานกันเพื่อสร้าง “ระบบนิเวศของมนุษย์” ที่จะเติมเต็มความต้องการของผู้คนในปัจจุบัน คุณ เฮ จูน พาร์ค ประธานผู้อำนวยการ บริษัท แอสเพน คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “บริษัทจะสร้างสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบเสมือนกับการพักอาศัยอยู่บ้านของตนเอง โดยจะออกแบบให้ผู้สูงวัยมีสังคม มีความสนุกสนาน และสามารถพึ่งพาตนเองได้” “โครงการจะนำความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดทั่วโลก มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม ซึ่งในการออกแบบได้นำแรงบันดาลใจจากครอบครัวมาสู่การมีปฏิสัมพันธ์เชื่อมต่อทางสังคมกับเพื่อนบ้านและสังคมแวดล้อมมากขึ้นด้วย” คุณ เฮ จูน พาร์ค กล่าวสรุป “โครงการของเราจะตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตหลากหลายสไตล์ ซึ่งเหมาะกับทั้งผู้สูงวัยที่ยังสามารถพึ่งพาตนเองได้ และผู้สูงวัยที่ต้องการการดูแลมากขึ้น” คุณ เฮ จูน พาร์ค ผู้บริหารชาวเกาหลีใต้ มากด้วยประสบการณ์ในด้านการให้บริการ และการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในระดับสากล ทั้งใน ทวีปเอเชีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และอเมริกาเหนือ ธุรกิจการดูแลผู้สูงวัย มีตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย โดยภายในปี 2583 มีการคาดการณ์ว่ามากกว่า 1 ใน 4 ของประชากรไทยจะมีอายุมากกว่า 65 ปี (ข้อมูลอ้างอิงจากการประมาณการณ์ของธนาคารโลก)
ของขวัญจากพ่อ รวม 8 โครงการก่อสร้างถนนในพระราชดำริ “ในหลวงรัชกาลที่ 9

ของขวัญจากพ่อ รวม 8 โครงการก่อสร้างถนนในพระราชดำริ “ในหลวงรัชกาลที่ 9

1. โครงการทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนบรมราชชนนี  เนื่องจากปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากเชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าจนถึงทางแยกสิรินธรทำให้ช่องทางการจราจรที่มีอยู่ 8 ช่องทาง ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้พื้นที่ถนนที่เพิ่มขึ้น วิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จะต้องเพิ่มพื้นผิวการจราจรให้มากขึ้น การเพิ่มพื้นที่จราจรด้วยการสร้างทางยกระดับขึ้นช่วงหนึ่ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการจราจรได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โครงการฯ นี้เป็นโครงการหนึ่งซึ่งสนองพระบรมราโชบาย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระมหากรุณาคุณให้พสกนิกร เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรที่ติดขัด   2.โครงการก่อสร้างถนนรัชดาภิเษก และทางยกระดับถนนพหลโยธิน ช่วงดินแดง-ดอนเมือง-หลักสี่-อนุสรณ์สถานรังสิต ถนนรัชดาภิเษกและถนนอุตราภิมุข ถนนรัชดาภิเษกที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ เกิดจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงห่วงใยชาวกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่จะต้องประสบปัญหาการจราจร ทรงมีรับสั่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการกับวงแหวน 3 สาย ล้อมรอบ บริเวณที่ดินทั้ง 2 ฝั่งน้ำเจ้าพระยา โดยมีสะพานเชื่อมสองฝั่งแม่น้ำ ถนนวงแหวนรอบในส่วนมากมีเส้นทางเดิมอยู่แล้ว มีทางเลียบสองฝั่งแม่น้ำ ที่สะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ กับสะพานที่ปลายถนนสาทร ถนนวงแหวนรอบกลางมีเส้นทางเดิมอยู่ 6-8 กิโลเมตร มีทางเชื่อม 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สะพานพระราม 6 กับสะพานกรุงเทพฯ และจะต้องสร้างทางเส้นใหม่ขึ้นเป็นทางยาวไม่น้อยกว่า 36 กิโลเมตรจึงจะทำให้ถนนนี้ครบวง จะช่วยแก้ปัญหาการจราจรได้มาก เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่สัญจรเข้า-ออกระหว่างใจกลางเมืองกับชุมชนส่วนนอก ตลอดจนถึงผู้ที่มาจาก ต่างจังหวัดทั้งทางทิศเหนือ ตะวันออก ตะวันตก และทิศใต้ ให้สามารถเดินทางผ่านกรุงเทพฯ ออกไปได้โดยไม่ต้องเข้าสู่ศูนย์กลางของเมืองที่มีการ จราจรคับคั่งเป็นประจำ อีกทั้งทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตและได้พระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยว่า ถนนรัชดาภิเษกจะใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ถ้าจะมีเส้นทางที่เชื่อมถนนจากเมืองทางตะวันออกกับถนนจากทางใต้ ให้ติดต่อกันได้โดยผ่าน ถนนวงแหวนช่วงด้านใต้   3. โครงการ ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก (ถนนวงแหวนรอบนอกด้านใต้) จังหวัดสมุทรปราการ ถนนกาญจนาภิเษกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการจราจรที่ติดขัดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่มีปริมาณการจราจรและการขนส่งเพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นทางเลี่ยงเมืองกรุงเทพมหานครที่เป็นตัวเชื่อมทางสายหลักเข้าไปสู่ทุกภาคของประเทศ   4. โครงการถนนวงแหวนอุตสาหกรรม โครงการถนนวงแหวนอุตสาหกรรมเป็นวงแหวนรอบเล็กตามแนวพระราชดำริ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานแนวทางไว้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2538 เพื่อเป็นโครงข่ายถนนรองรับการขนส่งและลำเลียงสินค้าจากท่าเรือกรุงเทพ ต่อเนื่องไปถึงพื้นที่อุตสาหกรรมในจังหวัดสมุทรปราการและพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ เพื่อไม่ให้รถบรรทุกขนาดใหญ่เข้าไปในตัวเมืองหรือทิศทางอื่น อันเป็นสาเหตุของการจราจรติดขัดโดยรอบ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการจราจรบริเวณถนนพระราม ๙ และต่อเชื่อมกับถนนเอกมัย-รามอินทรา ทำให้โครงข่ายจราจรคล่องตัวขึ้น 5. โครงการก่อสร้างถนนชุมชนบึงพระราม 9 เชื่อมระหว่างถนนพระราม 9 ถนนประชาอุทิศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานพระราชดำริให้กรุงเทพมหานครก่อสร้างถนนและปรับปรุงชุมชนพระราม 9 (หน้าศูนย์แพทย์พัฒนา) เพื่อเชื่อมเส้นทางระหว่างถนนพระราม 9 กับถนนประชาอุทิศตามแนวซอยโรงเรียนไทย-ญี่ปุ่น กับซอยจำเนียรเสริม 6. โครงการก่อสร้างถนนเชื่อมระหว่างถนนพระราม 9 กับถนนเทียมร่วมมิตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริให้กรุงเทพมหานครดำเนินการก่อสร้างถนนเชื่อมระหว่างถนนพระราม 9 กับถนนเทียมร่วมมิตร เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรบริเวณถนนรัชดาภิเษก และถนนพระราม 9 โดยสร้างถนนเพื่อเป็นทางลัดในพื้นที่ซึ่งเดิมเคยรกร้างว่างเปล่า ด้านข้างศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยข้างกรมการผังเมืองบนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย การเดินทางของประชาชนได้รับความสะดวกและลดระยะการเดินทางระหว่างถนนเทียมร่วมมิตรกับถนนพระราม 9 โดยไม่ต้องผ่านแยก อ.ส.ม.ท 7. โครงการก่อสร้างสะพานจตุรทิศตะวันออก ถือเป็นโครงข่ายที่สำคัญและเป็นโครงข่ายใหญ่มีการก่อสร้างถนนและสะพานเชื่อมโครงการย่อๆ ปลายโครงการเข้าด้วยกัน เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางระหว่างฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร และบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด รวมไปถึงถนนเชื่อมต่อสายอื่นได้แก่ ถนนราชดำเนินนอก ถนนศรีอยุธยา ถนนสวรรคโลก ถนนอโศก-ดินแดง ถนนสุขุมวิท ถนนเพชรบุรี และถนนพระราม 9 การก่อสร้างโครงการเริ่มต้นจากทิศตะวันตก ต่อเนื่องกับโครงการพระราชดำริทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนบรมราชชนนีและโครงการพระราม 8 ไปยังทิศตะวันออกของกรุงเทพมหานคร 8. โครงการก่อสร้างถนนคู่ขนานถนนพระราม 9 จากแยกเข้าวัดอุทัยธารามถึงก่อนขึ้นทางด่วนขั้นที่ 2 ที่มา : กระทรวงคมนาคม
AddVentures โดยเอสซีจี ลงทุนต่อเนื่อง หนุน “Vertex Ventures” ต่อยอดสตาร์ทอัพศักยภาพอาเซียน ปั้นธุรกิจใหม่เอสซีจี

AddVentures โดยเอสซีจี ลงทุนต่อเนื่อง หนุน “Vertex Ventures” ต่อยอดสตาร์ทอัพศักยภาพอาเซียน ปั้นธุรกิจใหม่เอสซีจี

AddVentures โดยเอสซีจี เดินหน้า Fund of Funds ต่อเนื่อง ลงทุนใน “Vertex Ventures” กองทุนระดับเวิลด์คลาสในอาเซียน หวังคัดกรองการลงทุนสตาร์ทอัพศักยภาพ เพื่อต่อยอดสร้างธุรกิจใหม่เอสซีจี พร้อมช่วยยกระดับสตาร์ทอัพอีโคซิสเท็มในภูมิภาค ดร.จาชชัว แพส กรรมการผู้จัดการ AddVentures เปิดเผยว่า AddVentures ได้เดินหน้าการลงทุนในลักษณะ Fund of Funds อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด กำลังอยู่ระหว่างเข้าลงทุนใน Vertex Ventures SEA Fund III กองทุนที่ 3 ของ Vertex Ventures ที่มุ่งลงทุนสตาร์ทอัพระดับ Series A ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย และเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีขนาดกองทุนใหญ่อันดับต้นๆ ของอาเซียนขณะนี้ โดยใช้ความชำนาญ ข้อมูลวิจัยเชิงลึก และการดำเนินการที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ผ่านเครือข่ายของทีมงาน “สาเหตุที่เราเลือกลงทุนใน Vertex Ventures เนื่องจากเป็น Venture Capital ที่มีผลการดำเนินงานที่ดี กองทุนสองกองแรกคัดกรองการลงทุนสตาร์ทอัพได้อย่างดีเยี่ยม จนมีสตาร์ทอัพที่แข็งแกร่งและน่าสนใจหลายรายใน Portfolio ขณะเดียวกัน Vertex Ventures ยังมีทิศทางการลงทุนในสตาร์ทอัพ Disruptive Technology ระดับ early-stage สอดคล้องกับทิศทางของ AddVentures” ดร.จาชชัว กล่าว นอกจากนี้ Vertex Ventures ยังมีเครือข่ายของบุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์ในวงการ Technology และ Venture Capital อย่างกว้างขวาง มีกองทุนภายใต้การบริหารทั้งในอิสราเอล สหรัฐอเมริกา และจีน ซึ่ง Vertex Ventures ยังได้สร้าง Venture Capital Platform กับ General Partners (GPs) รายต่างๆ ในแต่ละประเทศอีกด้วย ดร.จาชชัว กล่าวอีกว่า Vertex Ventures SEA Fund III ถือเป็นกองทุนแรกของ Vertex Ventures ที่เปิดโอกาสให้ Limited Partner (LPs) จากภายนอกเข้าลงทุน มีวิธีการดำเนินงานคือ เลือกลงทุนในสตาร์ทอัพศักยภาพ 20 รายตลอดระยะเวลากองทุน และสร้างโอกาสการลงทุนรอบถัดไป (Follow-on round) ในบริษัทที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตสูง คาดว่าการลงทุนครั้งนี้จะสามารถเอื้อประโยชน์ให้กับการร่วมลงทุน (Co-investment) ของ AddVentures ในระดับ Series A ได้ต่อไป ทั้งนี้ AddVentures ยังคงมองถึงโอกาสการเข้าถึงสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมด้าน Enterprise ผ่านการสร้างความร่วมมือเชิงพาณิชย์ (Commercial Deal) และอาจพิจารณานำนวัตกรรมเหล่านั้นมาต่อยอดเป็นธุรกิจกับธุรกิจหลักหรือสร้างเป็นธุรกิจใหม่ของเอสซีจีอีกด้วย เชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อทิศทางของ AddVentures และเอสซีจี ตลอดจนมีส่วนช่วยยกระดับการเจริญเติบโตของสตาร์ทอัพอีโคซิสเท็มในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนหน้านี้ AddVentures เพิ่งประกาศการลงทุนในลักษณะ Fund of Funds ก้อนแรกใน Wavemaker SEA Fund II กองทุนที่สองของ Wavemaker Partners ซึ่งเป็นกองทุนชั้นนำที่มีเครือข่ายระดับโลกอีกกองทุนหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อต่อยอดการลงทุนสตาร์ทอัพด้าน B2B ในภูมิภาค สำหรับ AddVentures โดยเอสซีจี เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ก่อตั้งขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์หลักคือ ส่งเสริมศักยภาพและลงทุนในสตาร์ทอัพทั้งไทยและทั่วโลก เพื่อให้เอสซีจีสามารถเชื่อมโยงนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน รวมทั้งยังทำให้ผู้บริโภคได้ใช้สินค้าและบริการที่ดีขึ้น รวดเร็วขึ้น ตอบโจทย์การยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น มีแผนในการลงทุนทั้งการลงทุนผ่านกองทุน (Venture Capital) และการลงทุนโดยตรง (Direct Investment) ในสตาร์ทอัพทั้งในไทย อาเซียน และศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีของโลก เช่น ซิลิคอนวัลเลย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา, เทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล, เสิ่นเจิ้น ประเทศจีน ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.Enterprise 2.Industrial และ 3.B2B ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจหลัก 3 กลุ่มของเอสซีจี ได้แก่ 1.ธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 2.ธุรกิจเคมิคอลส์ และ 3.ธุรกิจแพคเกจจิ้ง สตาร์ทอัพทั่วโลกที่สนใจร่วมงานกับ AddVentures สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.addventures.co.th และ facebook.com/AddVenturesbySCG หรือ LinkedIn: AddVentures by SCG เกี่ยวกับ Vertex Ventures Vertex เป็นกลุ่ม Venture Capital ชั้นนำระดับโลกที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2531 มุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการในการเปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นธุรกิจระดับโลก เดินหน้าลงทุนสตาร์ทอัพระดับ early-stage ทั้งในจีน ซิลิคอนวัลเลย์ อินเดีย อิสราเอล และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาแล้วมากกว่า 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และได้รับเกียรติให้เป็นพันธมิตรกับผู้ก่อตั้งและผู้บริหารสตาร์ทอัพชั้นนำระดับโลกจำนวนมาก เช่น Waza, 91, Grab, IGG, CyberArk, Reebonz, SolarEdge, Force10, FirstCry, Yatra และ Changba สำหรับ Vertex Ventures SEA ถือเป็นหนึ่งในกองทุนหลักของ Vertex Group’s network มุ่งลงทุนสตาร์ทอัพด้านไอทีระดับ early-stage ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.vertexventures.com
21 DESTINYทาวน์โฮมใหม่ 21 โครงการบนทำเลทอง

21 DESTINYทาวน์โฮมใหม่ 21 โครงการบนทำเลทอง

ในชีวิตของทุกคนจะให้ความสำคัญอยู่เพียงไม่กี่อย่าง หนึ่งในนั้นคือ “ที่อยู่อาศัย” การจะเลือกบ้านสักหลัง ที่จะทำให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวมีความสุขนั้น มีปัจจัยในการตัดสินใจอยู่ไม่กี่อย่าง ไม่ว่าจะเป็นทำเล ที่จะปรับเปลี่ยนการเดินทางให้สะดวกสบายขึ้นเช่น ใกล้ทางด่วน ติดถนนใหญ่ ขยับเข้ามาใกล้ที่ทำงานใกล้ครอบครัวเพื่อรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ง่ายขึ้นมีเวลาให้กับตัวเอง มีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้นทุกโครงการของเอพี จึงถูกกระจายตัวไปอยู่ในทุกโซนของกรุงเทพที่เต็มไปด้วยการเดินทางที่สะดวก เพื่อตอบโจทย์คุณภาพชีวิตในทุกๆ ด้าน       AP เปิดจองทาวน์โฮมใหม่ 21 โครงการ จากบ้านกลางเมือง และ Pleno พร้อมกันทั่วกรุงเทพฯ!! นับเป็นปรากฎการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบปี 2018 เมื่อเอพีฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่ “บ้านกลางเมือง” และ “Pleno” พร้อมกันถึง 21 โครงการ!! การันตีว่าทุกโครงการมีความแตกต่างและโดดเด่น จากแนวคิดการพัฒนาโครงการที่เริ่มต้นมาจากความต้องการของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง เป็นโอกาสดีๆที่ผู้กำลังมองหาที่อยู่อาศัยหลังใหม่จะได้เลือกรูปแบบชีวิตในฝัน พร้อมๆกันทั่วกรุงเทพฯ   5 BEST TOWNHOME ตอบโจทย์แนวคิดการหาทำเลที่ดีที่สุดสำหรับการอยู่อาศัย 1.BEST LOCATION ทำเลที่ถูกคัดสรรมาให้ครบทั้ง 5 รัศมีสะดวกสบายครบครันใกล้ตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง โรงพยาบาล สถานศึกษา และสวนสาธารณะต่างๆที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตตามสไตล์คนเมือง 2.BEST PRODUCT QUALITY การพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ลูกค้าที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยอยู่ตลอดเวลา ผ่านการค้ยนคว้าและวิจัยทั้งในแง่เทรนด์การออกแบบในแต่ละปี และที่สำคัญความพึงพอใจของลูกค้าที่นำมาต่อยอดการออกแบบอยู่เสมอ 3.BEST SOCIETY + USER EXPERIENCEเพื่อให้คุณได้ใช้ชีวิตในสังคมที่เต็มไปด้วยความสุขที่น่าค้นหาและพบกับกิจกรรมดีๆ สร้างประสบการณ์ใหม่ได้ในทุกวัน 4.BEST AFTER SERVICE ใส่ใจในทุกรายละเอียด ยกระดับคุณภาพชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมของโครงการที่ร่มรื่นน่าอยู่เสมอ รวมไปถึงสร้างความพึงพอใจให้กับทุกปัญหาของลูกบ้านที่ทำให้การอยู่อาศัยนั้นมั่นใจได้ว่าเหนือระดับอยู่เสมอ 5.BEST INNOVATION นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้รูปแบบการใช้ชีวิตของคุณสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นและปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม             ปักหมุดความสุขแบบครบวงจร บนทำเล "ปิ่นเกล้า-ราชพฤกษ์" ทำเลศักยภาพมาแรง สำหรับคนที่มองเห็นอนาคต ราชพฤกษ์ถือว่าเป็นทำเลทองทางโซนกรุงเทพตะวันตก เป็นถนนเส้นเศรษฐกิจซึ่งหลายคนอาจจะค้นหูเพราะเป็นทำเลยอดนิยมมานาน เป็นถนนที่มีหมู่บ้านเป็นจำนวนไม่น้อยซึ่งอยู่ในระดับกลางจนถึงระดับสูง ประกอบกับการมี Community Mall หรือร้านอาหารดังเป็นจำนวนมากตลอดทั้งสาย จึงทำให้บรรยากาศบนถนนเส้นนี้คึกคัก และเพียบพร้อมสำหรับการอยู่อาศัยมากขึ้นไปอีก   ถ้าจะพูดถึง "ถนนราชพฤกษ์" เรารู้กันดีว่า ถนนเส้นนี้เชื่อมกับถนนชัยพฤกษ์ ต่อไปยังนนทบุรีได้ง่าย ทำให้การเดินทางสะดวกสบาย สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองได้หลายเส้นทางทั้ง ถนนนครอินทร์ ถนนรัตนาธิเบศร์ ถนนชัยพฤกษ์ หรือถ้าจะไปโซนจตุจักร พระราม9 ก็ยิ่งง่าย เพราะมีทางด่วนพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกย่นระยะทางเข้ามาได้เยอะเลย นอกจากนี้ยังสามารถใช้ถนนวงแหวนรอบนอก (กาญจนาภิเษก) กับวงแหวนชั้นใน (ถนนจรัญฯ) ที่สามารถเชื่อมเข้าสาทรแหล่ง CBD ได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีตัวเลือกอื่นนอกจากการใช้รถยนตร์ส่วนตัวอีกหลายอย่าง เช่น รถไฟฟ้า BTS (สถานีบางหว้า) รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดีในการเลี่ยงเข้าเมืองด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้ทำเลโซนราชพฤกษ์มีความสะดวกสบายคล่องตัวเป็นอย่างมากในการเดินทาง   ในขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวกบนถนนเส้นนี้ ก็มีตัวเลือกมากมาย สามารถตอบโจทย์ครบทุก Lifestyle ทั้งห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง Central Westgate, IKEA บางใหญ่ หรือใครที่ชอบ Community Mall ก็มีให้เหล่านักช็อปได้เลือกอีกหลายแห่ง เช่น  The Crystal, The Walk, The Circle, Chic Republic เป็นต้น สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกอยู่ในวัยเรียน ก็ต้องบอกว่า ในย่านนี้ยังมีสถานศึกษาครบทุกระดับ เช่น โรงเรียนนานาชาติ ISB, โรงเรียนสวนกุหลาบ นนทบุรี, โรงเรียนหอวัง, รวมถึงมหาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือก็อยู่ใกล้นิดเดียว ส่วนสถานพยาบาล โรงพยาบาลต่างๆ ก็มีทั้งโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ และ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้ ทำให้เห็นได้ชัดเจนเลบครับว่า พื้นที่ย่านฝั่งธนบุรีโซนนี้สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้อย่างดีไม่แพ้ย่านอื่นๆ เลยทีเดียว   สำหรับใครที่กำลังมองหาที่อยู่ใหม่บนทำเลแถวราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพมากมายขนาดนี้ ต้องลองไปเลือกโครงการจากทาง AP THAILAND ทั้ง 8 โครงการ ซึ่งเป็นทาวน์โฮมแบบใหม่ที่มีให้เลือกได้ตามความชอบ และตาม Lifestyle ของทุกคน     เริ่มต้นด้วย PLENO ชัยพฤกษ์ – แจ้งวัฒนะ ทาวน์โฮมใหม่ที่ผสานธรรมชาติ และความทันสมัยอย่างลงตัว บนทำเลที่เชื่อมต่อทั้งถนนราชพฤกษ์ และถนนแจ้งวัฒนะ เดินทางสะดวกตอบรับสุนทรียภาพของการใช้ชีวิต ราคาเริ่มต้นเพียง 2.39 ล้าน*       PLENO ชัยพฤกษ์ เป็นอีกโครงการเพื่อการอยู่อาศัยในสังคมเหนือระดับ ด้วยทำเลติดถนนใหญ่ ตอบรับคุณภาพชีวิตใกล้รถไฟฟ้าเพียง 10 นาที พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน  พิเศษ! ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้าน*       PLENO เวสต์เกต พรีเมียมทาวน์โฮม พร้อมคลับเฮ้าส์หรู ฟิตเนส และสระว่ายน้ำ บนทำเลศักยภาพ ใกล้ทั้งรถไฟฟ้า และทางด่วน เพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น เริ่ม 1.99 ล้าน*       PLENO ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ พรีเมียมทาวน์โฮมรองรับทุก lifestyle บนสังคมส่วนตัวพร้อมคลับเฮ้าส์หรู ใกล้รถไฟฟ้าและทางด่วนเพียง 10 นาที ให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่บนทำเลศักยภาพ เริ่ม 2.39 ล้าน*       บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์ ทาวน์โฮมโมเดลใหม่ใจกลางราชพฤกษ์ ในบรรยากาศ Luxury Resort พร้อมพื้นที่ส่วนกลางครบครัน ติดคลับเฮ้าส์ ใกล้คอมมูนิตี้ The Walk และ Circle เดินทางสะดวกสบายเชื่อมสาทรและทางด่วนศรีรัช เพียง 10 นาที เริ่ม 5.19 ล้าน*       บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ ทาวน์โฮมพรีเมียมที่จัดเต็มพื้นที่ส่วนกลางทั้งคลับเฮ้าส์และสระว่ายน้ำขนาด Half Olympic ให้คุณออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่ ใกล้ทางด่วนและรถไฟฟ้า เพียง 500 เมตร* เริ่ม 3.79 ล้าน*         บ้านกลางเมือง The Era ปิ่นเกล้า-จรัญฯ ทาวน์โฮมโมเดลใหม่ "Terraria" เอกสิทธิ์เพียง 119 ครอบครัวบนสังคมพร้อมคลับเฮ้าส์หรูสไตล์ Modern Classic ใกล้ Central ปิ่นเกล้าฯ พร้อมการเดินทางสะดวกสบายติดถนนใหญ่ ใกล้จุดขึ้น-ลง ทางด่วน และรถไฟฟ้าถึง 3 สาย ให้คุณใช้ชีวิตแบบลงตัวในทุกๆวัน เริ่ม 5.69 ล้านบาท*       PLENO ปิ่นเกล้า-จรัญ สัมผัสชีวิตที่สมบูรณ์แบบ กับพรีเมียมทาวน์โฮมพร้อมคลับเฮ้าส์หรู สระว่ายน้ำแบบ PANORAMIC DESIGN ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกครบครันในสังคมคุณภาพที่เหนือระดับยิ่งกว่าและตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ DESIGN ใกล้เซ็นทรัลและทางด่วน เริ่ม 2.89 ล้าน*     ปักหมุดความสุขแบบครบวงจร บนทำเล "รามอินทรา-วัชรพล" ทำเลศักยภาพมาแรง ให้ทุกการเดินทางของคุณเป็นเรื่องจิ๊บๆ วัชรพลในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาเกิดโครงการแนวราบขึ้นเยอะเพราะยังเป็นย่านที่ไม่แออัดอยู่กันแบบกระจายตัว จึงมีความเป็นส่วนตัวมาก และนอกจากนี้ย่านวัชพลถือว่าเป็นย่านที่การเดินสะดวกอยู่ใกล้ทางขึ้นทางด่วนฉลองรัช หรือที่เรียกกันติดปากว่าเลียบด่วนรามอินทรา ตรงเข้าสู่เมืองย่านพระราม 9 เอกมัยเพียง 20 นาที ในขณะที่ถนนสายไหมก็ตัดไปออกดอนเมือง พหลโยธินได้ง่ายๆ แถมยังมีรถไฟฟ้า BTS ส่วนต่อขยายเพิ่มเข้ามาอีก จึงนับว่ามีความเพียบพร้อมมากๆ ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกในย่านนี้ก็มีมากมายทั้งห้างสรรพสินค้าชั้นนำ แหล่งช็อปปิ้ง แฮงค์เอ้าท์ รวมถึงระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ทั้งโรงพยาบาล สถานศึกษาในทุกระดับชั้น พร้อมตอบโจทย์ให้คุณเลือกบ้านได้อย่างลงตัว ด้วยทาวน์โฮม 4 โครงการในโซนวัชรพล       PLENO พหลโยธิน-วัชรพล 2 บ้านแนวคิดใหม่ในบรรยากาศร่มรื่น พบมนต์เสน่ห์แห่งโลกตะวันออก สู่สถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์จาก Marrakesh ตอบรับความสุขของทุกคนในครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนสและสวนส่วนกลาง เดินทางสะดวกสบายติดถนนใหญ่และใกล้ทางด่วน เริ่ม 3.59 ล้าน*       PLENO รามอินทรา อีกหนึ่งโครงการที่พร้อมตอบสนองทุกความสุขของครอบครัว สะท้อนดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ รองรับทุกการพักผ่อนทั้งคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนสและพื้นที่ส่วนกลางสีเขียว ใกล้แฟชั่นไอส์แลนด์ & ทางด่วน เริ่ม 2.59 ล้าน*         บ้านกลางเมือง วัชรพล ทาวน์โฮมโมเดลใหม่ เพิ่มพื้นที่ใช้สอยมากถึง 152 ตร.ม บนทำเลที่ดีที่สุด ติดถนนใหญ่ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนในครอบครัว ด้วยการออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้มากขึ้น เน้นความโปร่ง โล่ง สบาย รายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียว เริ่ม 4.69 ล้าน*       PLENO พลีโน่ รังสิตคลอง4 – วงแหวน ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะโครงการ ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้ตามการใช้งาน พร้อมคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ ทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนสและสวน เดินทางสะดวกสบายใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนเพียง 2 นาที เริ่ม 1.89 ล้าน*       ปักหมุดความสุขแบบครบวงจร บนทำเล "สุขสวัสดิ์" ทำเลศักยภาพมาแรงบนพื้นที่ปอดของกรุงเทพฯ สุขสวัสดิ์ ถือว่าเป็นโซนที่มีอากาศดีที่สุดของกรุงเทพฯเลยก็ว่าได้ ด้วยทำเลอยู่ติดริมแม่น้ำและท่ามกลางธรรมชาติผสมผสานความเป็นเมือง ถ้าพูดถึงเรื่องการเดินทางก็แสนจะสะดวกเพียง 15 นาทีก็สามารถเข้าถึงสาทรได้แล้ว ใกล้ทางด่วน และตอบโจทย์ทุกการเดินทางด้วยถนนหลายสาย รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-ราษฏร์บูรณะ) ซึ่งเป็นแผนอนาคตที่น่าสนใจมาก ถึงจะบอกว่าเป็นโซนที่มีแหล่งที่มีพื้นที่สีเขียวของธรรมชาติมากกว่าโซนอื่นๆ แต่สิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครันไม่แพ้ที่ไหนนะครับ ทั้งห้างสรรพสินค้าชั้นนำ Community Mall รวมถึงสถานศึกษา และสถานพยาบาลก็มีหลากหลายแห่งเลยทีเดียว ในโซนนี้ ทาง AP THAILAND มีทาวน์โฮมมาเสนอ 2 โครงการให้ได้เลือกจับจองกัน       GRAND PLENO สุขสวัสดิ์-พระราม 3 พรีเมียมทาวน์โฮมบนทำเลศักยภาพที่แท้จริง กับดีไซน์ที่ดึงเอาเสน่ห์ของความเรียบง่ายทันสมัย ผสานความงดงามด้วยเส้นสายสไตล์คลาสสิค พร้อมพื้นที่ใช้สอยที่ตอบสนองทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของครอบครัวยุคใหม่ เริ่ม 4.29 ล้าน*       PLENO สุขสวัสดิ์ 70 โครงการที่อยู่บนทำเลที่เชื่อมต่อความสุขของครอบครัวคนเมือง พร้อมคลับเฮ้าส์หรู สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ เดินทางเข้าออกเมืองสะดวก ใกล้ทางด่วนเพียง 10 นาที เริ่ม 3.39 ล้าน*       ปักหมุดความสุขแบบครบวงจร บนทำเล ”พระราม9-กรุงเทพกรีฑา-บางนา” ทำเลศักยภาพมาแรง ดินแดนแห่ง NEW CBD พูดถึงโซนพระราม 9 NEW CBD ซึ่งเป็นย่านมาแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะมีการเติบโตที่รวดเร็วจะเห็นได้ชัดเลยว่ามีตึกสูงขึ้นมากมายทั้ง ห้างสรรพสินค้า โรงแรมหรือแม้กระทั้ง Office Building ทำให้มีความคึกคักมาก การเดินทางก็ง่ายสะดวกสบายสามารถขึ้นทางด่วนได้หลายเส้นทาง เช่น ทางพิเศษศรีรัชจนไปเชื่อมต่อกับมอเตอร์เวย์ (กรุงเทพ-ชลบุรี) เพื่อเข้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิ หรือรถไฟก็มีทั้ง Airport Rail Link และ MRT ให้เลือกใช้บริการ นอกจากนี้ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าส่วนขยายสายสีเขียวจากอ่อนนุชมายังบางนาและสายสีเหลืองมาเปิดให้ใช้บริการยิ่งเพิ่มความสะดวกในการเดินทางมากขึ้น โซนพระราม9-กรุงเทพกรีฑา-บางนา มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบัน และกำลังจะเกิดในอนาคตอันใกล้ เช่น Mega City, Bangkok Mall, Whizdom 101, Forestias และศูนย์นิทรรศการ Bitec เฟส 2 ทำให้เพิ่มศักยภาพทำเลในย่านนี้ดีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับโซนนี้ทาง AP THAILAND มีโครงการทาวน์โฮม 7 โครงการมานำเสนอครับ       บ้านกลางเมือง The Edition พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา บ้านแนวคิดใหม่ พร้อม Grand Master Bedroom ท่ามกลางบรรยากาศที่เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัว เต็มอิ่มด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย และสวนสีเขียวขนาดใหญ่ กว่า 4 ไร่ บนทำเลศักยภาพพราม9-กรุงเทพกรีฑา (ตัดใหม่) ติดถนนใหญ่ ใกล้พระราม9 เริ่ม 7.99 ล้าน*         บ้านกลางเมือง พระราม 9-กรุงเทพกรีฑาทาวน์โฮมโมเดลใหม่ในบรรยากาศร่มรื่น ผสานแรงบันดาลใจจากธรรมชาติภายนอกสู่ภายใน บนทำเลกรุงเทพกรีฑา (ตัดใหม่) ใกล้พระราม9 พักผ่อน ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งคลับเฮ้าส์ สะว่ายน้ำ ฟิตเนสและสวนส่วนกลาง เดินทางสะดวกสบายติดถนนใหญ่ และใกล้ทางด่วน เริ่ม 4.79 ล้าน*         บ้านกลางเมือง The Edition บางนา - วงแหวน นิยามใหม่ของการอยู่อาศัยเหนือระดับ PRIVACY IS THE ULTIMATE LUXURY เอกสิทธิ์เฉพาะเพียง 50 ครอบครัว รายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวเปี่ยมไปด้วยความร่มรื่นบนทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่ ใกล้ทางด่วนบูรพาวิถีและมอเตอร์เวย์ เริ่ม 9.89 ล้าน*       บ้านกลางเมือง The Edition บางนา - วงแหวน (BUSINESS DISTRICT) ขยายทุกความเป็นไปได้.... สู่ความสำเร็จของธุรกิจแห่งอนาคต บนทำเลศักยภาพแห่งการลงทุน ติดถนนใหญ่ ใกล้เมกา บางนา ทางด่วนบูรพาวิถีและมอเตอร์เวย์ บ้านกลางเมือง THE EDITION บางนา-วงแหวน (BUSINESS DISTRICT) ติดถนนใหญ่ ใกล้เมกา บางนา ทางด่วนบูรพาวิถีและมอเตอร์เวย์ เริ่ม 9.89 ล้าน*         บ้านกลางเมือง The Edition พระราม 9-พัฒนาการ ทาวน์โฮมโมเดลใหม่บนทำเลศักยภาพ รองรับทุกความต้องการของทุกคนในครอบครัว ครบครันกับพื้นที่ส่วนกลาง ทั้งคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนสและสวนสาธารณะบนพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เดินทางสะดวกสบายติดถนนกรุงเทพกรีฑา สามารถเชื่อมต่อ พระราม9-พัฒนาการ ใกล้รถไฟฟ้า และทางด่วน เริ่ม 4.79 ล้าน*          PLENO บางนา-อ่อนนุช พรีเมียมทาวน์โฮม บนสังคมคุณภาพ ดีไซน์สวนสะท้อนถึงความเหนือระดับในทุกมิติ พร้อมปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้ตามการใช้งานในทุกสัดส่วนของบ้านให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยได้อย่างลงตัว เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลายกับพื้นที่ส่วนกลาง คลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำและฟิตเนส เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมือง และสุวรรณภูมิ เริ่ม 1.99 ล้าน*         PLENO พระราม9-กรุงเทพกรีฑา พรีเมียมทาวน์โฮมฟังก์ชั่นใหม่ บนทำเลพระราม9-กรุงเทพกรีฑา (ตัดใหม่) ใกล้พระราม9, ใกล้แอร์พอร์ตลิ้งค์,ทางด่วนมอเตอร์เวย์ และรถไฟฟ้า สายสีส้ม พร้อมประสบการณ์ใหม่การอยู่อาศัยใหม่ระดับ first class Living เริ่ม 3.29 ล้าน*           21 DESTINY จินตนาการรูปแบบชีวิตในฝันที่จะเปลี่ยนคุณ...สู่ชีวิตเหนือระดับ ------------------------------------------------------------------------------------------- 27-28 ต.ค.นี้ เปิดจองทาวน์โฮม 21 ทำเลใหม่ จาก บ้านกลางเมือง และ Pleno ร่วมเป็นเจ้าของสังคมคุณภาพ พร้อมข้อเสนอส่วนลด 21 เท่า* ราคาพรีเซล เริ่ม 1.99-9 ล้าน* พบกันที่ Sales Gallery ------------------------------------------------------------------------------------------- ลงทะเบียนรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 100,000 บาท คลิก https://goo.gl/GeKUYh  หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร.1623  
เปิดแผนชินวะ เตรียมปักหมุดโครงการต่อไป ตั้งเป้าลงทุนในไทยปีละ 2,000 ล้านบาท แตกไลน์ทำตลาด Sigma Beam นวัตกรรมการก่อสร้าง ขายลิขสิทธิ์-หาแนวร่วมลงทุน

เปิดแผนชินวะ เตรียมปักหมุดโครงการต่อไป ตั้งเป้าลงทุนในไทยปีละ 2,000 ล้านบาท แตกไลน์ทำตลาด Sigma Beam นวัตกรรมการก่อสร้าง ขายลิขสิทธิ์-หาแนวร่วมลงทุน

ดับเบิ้ลยู-ชินวะ เล็งผุดโครงการต่อไป สบช่องแตกไลน์ขายระบบลิขสิทธิ์ Sigma Beam นวัตกรรมที่กลับคานเป็นพื้น-กลับพื้นเป็นคาน เปิดกว้างหาผู้ร่วมทุน เน้นกลยุทธ์การพัฒนาอสังหาโดยใช้จิตวิญญาณญี่ปุ่น หลัง “รูเนะสุ ทองหล่อ 5” คอนโดจิตวิญญาณญี่ปุ่นแท้ๆ แจ้งเกิดสวยหรู ล่าสุดคว้ารางวัลยอดเยี่ยมด้านตกแต่งภายในประเภทคอนโดโลว์ไรส์ จากงาน PropertyGuru Thailand Property Awards 2017 เล็งตั้งส่วนบริหารงานอาคารชุดและห้องเช่า โฟกัสชาวญี่ปุ่นด้วยไลฟ์สไตล์ผู้เช่าเกรด A  ตั้งเป้าลงทุนในไทยปีละ 2,000 ล้านบาท มร.โทโมยาสุ ยามาเบะ และ นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (co-CEO) บริษัท ดับเบิ้ลยู-ชินวะ จำกัด ผู้ดำเนินโครงการ “รูเนะสุ ทองหล่อ 5” คอนโดจิตวิญญาณญี่ปุ่นแท้ๆ เปิดเผยว่า ภายหลังประสบความสำเร็จจากการเปิดตัวคอนโดมิเนียมปรากฎการณ์ใหม่ ด้วยการใช้ลิขสิทธิ์ Sigma Beam กลับคานเป็นพื้น-กลับพื้นเป็นคาน เพิ่มพื้นที่ใช้ประโยชน์ได้หลากหลายขึ้น ซึ่งถือเป็นครั้งแรกใน Southeast Asia ไปแล้ว ขณะนี้บริษัทแม่ชินวะ กรุ๊ป ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองโอซาก้า เตรียมแผนงานลงทุนในไทยในโครงการต่อๆ ไป นอกจากนั้นยังได้แตกไลน์เป็นตัวแทนจำหน่ายและติดตั้งเทคโนโลยี SIGMA BEAM นวัตกรรมการก่อสร้างที่เป็นการกลับคานเป็นพื้น-กลับพื้นเป็นคาน ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้ประโยชน์ได้สูงสุดถึง 40% โดยการใช้ไทยเป็นฐานในการทำตลาด ซึ่งเปิดกว้างในลักษณะของการร่วมลงทุนได้อีกด้วย คาดว่าจะได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุนอย่างมาก ขณะนี้มีผู้ที่สนใจทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายการลงทุนในไทยปีละ 2,000 ล้านบาท “จากการตอบรับที่ดีของโครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 โดยระบบลิขสิทธิ์ Sigma Beam ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ชินวะ กรุ๊ปออกลงทุนนอกประเทศญี่ปุ่นโดยเลือกปักหมุดในไทยก่อนประเทศอื่นและประสบความสำเร็จอย่างมาก    จึงเตรียมพร้อมที่จะขยายช่องทางการทำตลาด สำหรับนวัตกรรมการก่อสร้างดังกล่าว โดยการเปิดขายระบบหรืออาจเป็นการร่วมลงทุนกับนักลงทุนไทยและนักลงทุนในแถบอาเซียน ความเป็นไปได้ที่มีความพร้อมมากที่สุดในขณะนี้ คือ ประเทศฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และฮ่องกง คาดว่าน่าจะมีการเข้าไปร่วมลงทุนหรือขายระบบโครงการแรกภายใน 1-2 ปีนี้” นายวิชัยกล่าว ด้าน มร.ยามาเบะ กล่าวว่า นับแต่การเปิดขายรอบ VVIP Day ปรากฏว่าโควต้าในส่วนของผู้ซื้อชาวไทยนั้นหมดภายในวันเดียว ในส่วนที่เหลือโควต้าต่างชาติมีเอเจนส์เหมาไปทำการตลาดทั้งหมด เท่ากับขณะนี้งานขายหมดเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดีสำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ Sales Gallery ส่วนเป้าหมายการดำเนินงานขณะนี้มีการจัดเตรียมแผนเรื่องการบริหารงานอาคารชุด และการบริหารงานด้านผู้เช่าด้วย เพราะนอกจากบริษัทจะเก็บห้องชุดบางส่วนไว้เพื่อให้เช่า ยังรวมถึงการบริหารให้กับนักลงทุนที่ซื้อห้องชุดโครงการเพื่อนำมาปล่อยเช่า โดยกลุ่มเป้าหมายผู้เช่าโฟกัสที่ชาวญี่ปุ่นเป็นหลัก เนื่องจากมีข้อดีหลายๆ ด้าน ทั้งไลฟ์สไตล์       การเคารพกฏระเบียบ รักความสงบ สะอาดเรียบร้อย มีวินัยทางการเงิน ตรงต่อเวลา เป็นต้น “ชินวะ กรุ๊ป-บริษัทแม่จากญี่ปุ่น มีความชำนาญในการบริหารงานห้องชุดอย่างมาก โดยปัจจุบันมีบริหารจัดการห้องชุดกว่า 5,000 ยูนิต ดังนั้นจึงจะนำระบบการบริหารจัดการที่ประสบความสำเร็จที่ญี่ปุ่นมาปรับใช้ในไทย กับโครงการแรกคือ รูเนะสุ ทองหล่อ 5 ที่ผ่านมาเราได้จัดงาน Agent Day ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี มีเอเจนส์ญี่ปุ่น 40 บริษัทเข้าร่วมงานเซ็น MOU ในการหาผู้เช่าชาวญี่ปุ่นมาให้โครงการ และผลจากความตั้งใจและใส่ใจที่จะสร้างโครงการคุณภาพมาตรฐานก็ส่งผลที่น่าภูมิใจ โดยล่าสุดโครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมด้านตกแต่งภายในประเภทคอนโดโลว์ไรส์ จากงาน PropertyGuru Thailand Property Awards 2017 ครั้งที่ 12 ที่เพิ่งประกาศผลเมื่อเร็วๆ นี้” มร.ยามาเบะ กล่าว โครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 ตั้งอยู่บนที่ดินประมาณ 1 ไร่ ในซอยทองหล่อ 5 เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น จำนวน 156 ยูนิต โดยมี 2 type ขนาด 1 ห้องนอน และ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้ประโยชน์ 29-75 ตารางเมตร ราคาขายขณะนี้ 240,000 บาทต่อตารางเมตร ออกแบบโครงการและฟังก์ชั่นการใช้งานด้วยบรรยากาศการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นแท้จริง ทั้งการใช้วัสดุก่อสร้าง-ตกแต่งบางส่วนนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น อาทิ ห้องน้ำระบบใหม่ที่พื้นสามารถแห้งได้อย่างรวดเร็ว, Mushu-kan Tile สุดยอดกระเบื้องเทคโนโลยีใหม่จากญี่ปุ่นที่ช่วยควบคุมความชื้น ดูดซับกลิ่น และป้องกันไรฝุ่นภายในห้องนอน เป็นต้น สำหรับพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกครบสมบูรณ์ด้วยสวนญี่ปุ่น สระว่ายน้ำ ออนเซนต้นตำรับแท้จากญี่ปุ่น ที่ฝึกซ้อมกอล์ฟ Auto Parking ระบบรักษาความปลอดภัย ฯลฯ เริ่มก่อสร้างเดือนตุลาคม 2560 คาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปี 2562 มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท  
เอสซีฯ รุกทาวน์โฮมแบรนด์ใหม่ เริ่ม 1.99 ลบ. โครงการ เวิร์ฟ (VERVE) เพชรเกษม 81 Pre-Sale 11-12 พ.ย.นี้

เอสซีฯ รุกทาวน์โฮมแบรนด์ใหม่ เริ่ม 1.99 ลบ. โครงการ เวิร์ฟ (VERVE) เพชรเกษม 81 Pre-Sale 11-12 พ.ย.นี้

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แนะนำโครงการ เวิร์ฟ เพชรเกษม 81 โครงการใหม่ ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศติดถนนใหญ่ใกล้รถไฟฟ้า แบ่งเป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น และ โฮมออฟฟิศ 4 ชั้น ด้วยแนวคิดการออกแบบ Modern Loft Style บนทำเลศักยภาพห่างจากถนนเพชรเกษมเพียง 1.2 กม. ติดถนนใหญ่ เชื่อมต่อถนนเส้นหลักหลายสาย ทั้งเข้าเมืองและออกเมือง ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้ง Community Mall, โรงเรียน, โรงพยาบาล เป็นต้น พร้อมด้วยสวนส่วนกลาง และ CO-Working Space ขนาดพื้นที่โครงการกว่า 18 ไร่ มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท รวม 181 ยูนิต แบ่งเป็น ทาวน์โฮม 159 ยูนิต และโฮมออฟฟิศ 22 ยูนิต ทุกแบบออกแบบให้มีขนาดหน้ากว้าง สะดวกสบาย พร้อม 2 ที่จอดรถ โดยทาวน์โฮมมีให้เลือก 2 แบบ ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท* ได้แก่ LOFT  ขนาด 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ LUXE  ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ 2 ที่จอดรถ สำหรับโฮมออฟฟิศ 4 ชั้น ขนาด 272 ตารางเมตร  3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 7.59 ล้านบาท   เน้นความโปร่งโล่ง ที่ออกแบบทุกฟังก์ชั่นการใช้งานอย่างลงตัวเพื่อรองรับธุรกิจของคนรุ่นใหม่ พร้อมรายละเอียดการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่สามารถปรับเปลี่ยนและใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยพื้นที่จอดรถหน้าตัวอาคารกับพื้นที่จอดรถส่วนกลางขนาดใหญ่ นอกจากนี้พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน อาทิ คลับเฮ้าส์, สระว่ายน้ำ, ห้องฟิต และอีกหนึ่งความใส่ใจกับระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. เข้า-ออกโครงการผ่านระบบ Access Card, CCTV กล้องวงจรปิดที่ให้ความอบอุ่นใจตลอดเวลา โครงการ เวิร์ฟ เพชรเกษม 81 เปิด Pre-Sale วันที่ 11-12 พ.ย.นี้ พิเศษ! รับส่วนลดพิเศษ 20,000 บาท* สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนผ่านเว็ปไซต์ www.scasset.com สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือที่สำนักงานขายโครงการ โทร.1749
แสนสิริดึงเทคโนโลยีระดับโลก “Amazon Web Services” ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมการอยู่อาศัยตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัล

แสนสิริดึงเทคโนโลยีระดับโลก “Amazon Web Services” ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมการอยู่อาศัยตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัล

แสนสิริดึงเทคโนโลยีระดับโลก “Amazon Web Services” ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมการอยู่อาศัยตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัล นำร่องด้วย Artificial Intelligence solutions จาก Amazon Web Services ระบบสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยครั้งแรกปี’61 พร้อมวางแผนสานต่อพัฒนานวัตกรรมการอยู่อาศัยระดับโลกระยะยาวร่วมกันในอนาคต “แสนสิริ” ตอกย้ำความเป็นผู้นำ Proptech ในประเทศไทย ดึงเทคโนโลยีจากบริษัทระดับโลก “Amazon Web Services” ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มด้านไอทีผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Amazon.com ที่มีบริการหลากหลายรวมทั้งแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) โดยร่วมมือกับเดลิเทค พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีบนคลาวด์ ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมการอยู่อาศัยที่สำคัญ เรียกว่า 'The New Era of Limitless Living' พร้อมเติมเต็มการใช้ชีวิตในโลกยุคดิจิทัลไม่รู้จบ นำร่องพัฒนาระบบสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยครั้งแรกด้วยเทคโนโลยี Artificial Intelligence solutions จาก Amazon Web Services ให้เป็นผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะครบวงจร บนแพลทฟอร์มชั้นนำของโลก พร้อมให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2561 อนาคตเดินหน้าสานต่อพัฒนานวัตกรรมการอยู่อาศัยระดับโลกร่วมกันในระยะยาว ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปีนี้นับเป็นปีแห่งการปรับเปลี่ยนองค์กรของแสนสิริอย่างรอบด้านเพื่อให้บริษัทฯ เติบโตและรักษาความเป็นผู้นำได้อย่างยั่งยืน สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือการลงทุนด้านนวัตกรรม เพราะประสบการณ์เกือบ 35 ปีของเราในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทำให้แสนสิริเห็นความเปลี่ยนแปลงในไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าในยุคที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เราเชื่อว่าเทคโนโลยีจะตอบโจทย์ของลูกค้าได้ดี จึงได้พยายามนำเทคโนโลยีมาต่อยอดใช้ประโยชน์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในมิติใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง  เพื่อยกระดับการบริการที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านและรักษาความเป็นผู้นำในการบุกเบิกและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยของวงการอสังหาริมทรัพย์” แสนสิริเป็นบริษัทที่เน้นการพัฒนาจากมุมมองของลูกค้า มองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง Customer Centric ทั้งนี้เป็นความโชคดีที่น่าภาคภูมิใจของแสนสิริที่เราสามารถสร้างข้อได้เปรียบในการทำธุรกิจจาก DNA ของทุกคนในองค์กรที่ทำงานด้วยทัศนคติการเปิดรับและพัฒนาสิ่งใหม่ๆอย่างไม่หยุดนิ่ง  ที่เราไม่เพียงจะมาช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ควบคู่ไปกับการวิจัยและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งด้วยตัวเองและร่วมกับพันธมิตรชั้นนำ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกบ้านอย่างตรงจุด เราเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร    ไลฟ์สไตล์เป็นแบบไหน ซึ่งเราจะต้องพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆอย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการของลูกค้าไม่เคยหยุดนิ่ง เพื่อให้ "เติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ (Complete Your Living Experience)" “ในปีนี้แสนสิริได้เดินหน้ารุก Innovation อย่างเต็มที่ โดยเราอยู่ระหว่างการสร้าง Innovation Center เพื่อให้เป็นแหล่งแสดงผลงาน และเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการอยู่อาศัยของแสนสิริโดยเฉพาะ  พร้อมทั้งแสวงหาพันธมิตรที่มีศักยภาพระดับโลกและมีวิสัยทัศน์ตรงกันในการมองความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ และพัฒนาสินค้าและบริการจากมุมมองของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างอะเมซอนและเดลิเทคในวันนี้ จะทำให้ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมการอยู่อาศัยที่สำคัญ เรียกว่า 'The New Era of Limitless Living' ที่จะช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตในโลกยุคดิจิทัลไม่รู้จบในทุกๆ ด้าน” ดร.ทวิชา กล่าวเสริม การทำงานร่วมกันในครั้งนี้  ใช้เทคโนโลยีจากบริษัทระดับโลกอย่าง “Amazon Web Services” โดยเริ่มจากการพัฒนาแอพพลิเคชั่น Home Service ของแสนสิริให้เป็น “ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ” โดยการใช้เทคโนโลยี Artificial Intelligence solutions จาก Amazon Web Services ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มสำหรับฟังก์ชั่นการสั่งงานด้วยเสียงที่ใช้งานง่ายและเป็นธรรมชาติ นับเป็นการปฏิวัติรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้ใช้แอพพลิเคชั่นให้สามารถจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ได้จากทุกที่ ทุกเวลา เพื่อความสะดวกสบายของลูกค้าตอบโจทย์การอยู่อาศัยในยุคดิจิทัล ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยบริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงว่า “เรามีความยินดีที่แสนสิริและเดลิเทค ได้เลือกเทคโนโลยีของ Amazon Web Services นำร่องด้วยเทคโนโลยี Artificial Intelligence มาใช้ในการเดินหน้าสู่การปฏิวัติองค์กร  ด้วยความมุ่งมั่นของ Amazon Web Services ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้งให้กับลูกค้า และการที่แสนสิริเดินหน้าปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ สะท้อนให้เห็นว่าทั้งสองบริษัทมีวิสัยทัศน์สอดคล้องกัน โดยคำนึงถึงลูกค้าเป็นสำคัญ” ความสำเร็จครั้งนี้จึงเป็นการเดินทางมาบรรจบกันอย่างลงตัวของโลกเทคโนโลยีและโลกอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ผู้ที่จะได้ประโยชน์สูงสุดก็คือลูกค้าและผู้ใช้งานที่เชื่อมั่นได้ว่าจะได้รับประสบการณ์การใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ดร.วิชญ์ เนียรนาทตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดลิเทค จำกัด ผู้เป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีในการทำงานร่วมกันครั้งนี้  กล่าวถึงการพัฒนาความสามารถของเทคโนโลยี Artificial Intelligence solutions จาก Amazon Web Services ในการรองรับภาษาไทยสำหรับแสนสิริว่า “บริษัทเดลิเทคมีความยินดี ที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนานวัตกรรมสำหรับแสนสิริ เรานำเทคโนโลยีจาก Amazon Web Services ที่มีจุดเด่นคือใช้งานง่าย มีการบริการที่หลากหลาย และเปิดให้นักพัฒนาสามารถนำมาต่อยอดเพื่อให้เกิดบริการใหม่ ๆ โดยเดลิเทคได้คัดสรรฟังก์ชั่นที่จะนำร่องให้บริการเกี่ยวกับความสะดวกสบายของลูกบ้านแสนสิริพร้อมใช้งานในปี 2561 ดังนี้ การรับคำสั่งพื้นฐานของฟังก์ชั่นต่างๆ ที่สอดรับกับการดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบยอดค่าน้ำ ตรวจเช็คพัสดุ การจองและตรวจสอบสถานะการใช้งานของห้องส่วนกลาง รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในโครงการ เช่น การเปิดจองบริการของห้องโยคะ เป็นต้น Sansiri Home Automation Control เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ใดก็สามารถสั่งงานได้ด้วยการใช้เสียง ทั้ง เปิด-ปิดไฟ เครื่องปรับอากาศ ม่านไฟฟ้า หรือเปิด-ปิดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ เพิ่มขีดความสามารถในการใช้งานให้โต้ตอบได้หลากหลายมากขึ้น สามารถให้ข้อมูลพื้นฐานต่างๆ ได้ เช่น พยากรณ์อากาศ เช็คสภาพการจราจร สรุปข่าวรายวัน ฯลฯ ซึ่งผู้ใช้สามารถสั่งการทำงานไม่ว่าจะอยู่ในมุมไหนของห้องก็ตาม ตอบรับชีวิตยุคดิจิทัลด้วยการเชื่อมต่อความสนุกอย่างไม่รู้จบ สามารถฟังเพลงไทย หรือรับคลื่นวิทยุในประเทศไทย ดร. ทวิชา กล่าวสรุปว่า “แสนสิริจะยังคงนำเทคโนโลยีระดับโลกจาก Amazon Web Services มาใช้เพื่อพัฒนาบริการและฟังก์ชั่นใหม่ๆ ของ Home Service Application อย่างต่อเนื่อง โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับเดลิเทค ซึ่งจะทำให้แสนสิริมีนวัตกรรมต่างๆ มาสู่ลูกค้าได้อย่างง่ายดาย และมีประสิทธิภาพ โดยในอนาคตจะมุ่งเน้นบริการที่ครบวงจรและแตกต่าง ครอบคลุมตั้งแต่สุขภาพ อาหาร การเดินทาง ช้อปปิ้ง รวมทั้งการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะของ Amazon Web Services เข้ามายกระดับศักยภาพด้านการขาย การทำธุรกิจ และบริการของแสนสิริอีกด้วย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เติมเต็มไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ของลูกค้าอย่างครบวงจร นอกจากนี้ในอนาคตแสนสิริจะตอกย้ำจุดยืนของแสนสิริในฐานะ market shaper ที่ไม่หยุดยั้งในการสรรหาความเชี่ยวชาญจากบริษัทระดับโลก มาช่วยยกระดับการให้บริการ สามารถมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยเหนือความคาดหมายให้ลูกค้า และเปิดให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์แบบ Glocal (Global+Local) หรือการที่ลูกค้าได้มีโอกาสใช้ชีวิตระดับโลกได้อย่างง่ายๆ” เตรียมสัมผัสความอัจฉริยะของการสั่งงานภาษาไทยด้วยเทคโนโลยี Artificial Intelligence solutions จาก Amazon Web Services ที่รองรับทุกสำเนียงภาษา ที่พร้อมจะให้บริการแก่ลูกบ้านโครงการของแสนสิริอย่างเต็มรูปแบบในปี 2561 โดยสามารถติดตามรายละเอียดความเคลื่อนไหวด้านนวัตกรรมการอยู่อาศัยที่แสนสิริมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่องได้ที่ www.sansiri.com
AddVentures โดยเอสซีจี ประเดิมลงทุน “WAVEMAKER PARTNERS” หวังต่อยอดลงทุนสตาร์ทอัพ B2B

AddVentures โดยเอสซีจี ประเดิมลงทุน “WAVEMAKER PARTNERS” หวังต่อยอดลงทุนสตาร์ทอัพ B2B

AddVentures โดยเอสซีจี เผยการเริ่มลงทุนในกองทุน Venture Capital ระดับท็อปของอาเซียน “WAVEMAKER PARTNERS” หนุนสตาร์ทอัพกลุ่ม B2B ในภูมิภาค หวังช่วยยกระดับสตาร์ทอัพทั้ง Ecosystem ดร.จาชชัว แพส กรรมการผู้จัดการ AddVentures เปิดเผยว่า AddVentures ได้ประเดิมการลงทุนในลักษณะ Fund of Funds ผ่าน Venture Capital ก้อนแรก ในกองทุน Wavemaker SEA Fund II ซึ่งเป็นกองทุนที่สองของ Wavemaker Partners ที่มุ่งลงทุนสตาร์ทอัพด้าน B2B ระดับ Seed Stage ถึง Series A Stage ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “เราเลือกลงทุนใน Wavemaker Partners เพราะเป็น Venture Capital ที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จจนทำให้สตาร์ทอัพในพอร์ตหลายรายไปสู่จุดหมายหรือการ Exit ได้ เราและ Wavemaker ยังมีความสนใจร่วมกัน คือการลงทุนสตาร์ทอัพด้าน B2B และ Deep Tech Startups จึงคาดหวังหวังว่าเราจะได้ร่วมลงทุนและใช้เครือข่ายของเอสซีจีในการช่วยให้สตาร์ทอัพกลุ่มนี้เติบโต” ดร.จาชชัว กล่าว Wavemaker Partners ได้รับคัดเลือกอยู่ในเครือข่ายของ Draper Venture Network (DVN) ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตร Venture Capital ระดับโลก มีเครือข่าย Venture Capital ชั้นนำมากกว่า 17 ราย เชื่อมโยงผู้ประกอบการและนักลงทุนจากทั่วโลก ดร.จาชชัว กล่าวอีกว่า Wavemaker SEA Fund II เน้นการสร้าง Portfolio จำนวนมาก เพื่อเลือกลงทุนในสตาร์ทอัพ B2B ที่มีศักยภาพ 80 รายตลอดระยะเวลากองทุน และสร้างโอกาสการลงทุนรอบถัดไป (Follow-on round) ในบริษัทที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตสูง โดยการลงทุนครั้งนี้สามารถเอื้อประโยชน์ให้กับการร่วมลงทุน (Co-investment) ของ AddVentures ในระดับ Series A ได้เป็นอย่างดี ฃนอกจากนี้ กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับทิศทางการลงทุนของ AddVentures ทำให้มีโอกาสเข้าถึงสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมด้าน B2B และอาจพิจารณานำนวัตกรรมเหล่านั้นมาต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ของเอสซีจีได้ ปัจจุบัน AddVentures และเอสซีจีก็ได้เริ่มทดลองต่อยอดสร้างความร่วมมือเชิงพาณิชย์ หรือ Commercial Deal กับสตาร์ทอัพบางรายที่ Wavemaker ได้ลงทุนไปแล้ว มั่นใจว่าการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อทิศทางของบริษัทและการเจริญเติบโตของ ecosystem ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แน่นอน สำหรับ AddVentures โดยเอสซีจี เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ก่อตั้งขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์หลักคือ ส่งเสริมศักยภาพและลงทุนในสตาร์ทอัพทั้งไทยและทั่วโลก เพื่อให้เอสซีจีสามารถเชื่อมโยงนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน รวมทั้งยังทำให้ผู้บริโภคได้ใช้สินค้าและบริการที่ดีขึ้น รวดเร็วขึ้น ตอบโจทย์การยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น มีแผนในการลงทุนทั้งการลงทุนผ่านกองทุน (Venture Capital) และการลงทุนโดยตรง (Direct Investment) ในสตาร์ทอัพทั้งในไทย อาเซียน และศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีของโลก เช่น ซิลิคอนวัลเลย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา, เทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล, เสิ่นเจิ้น ประเทศจีน ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.Enterprise 2.Industrial และ 3.B2B ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจหลัก 3 กลุ่มของเอสซีจี ได้แก่ 1.ธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 2.ธุรกิจเคมิคอลส์ และ 3.ธุรกิจแพคเกจจิ้ง สตาร์ทอัพทั่วโลกที่สนใจร่วมงานกับ AddVentures สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.addventures.co.th และ facebook.com/AddVenturesbySCG หรือ LinkedIn: AddVentures by SCG
“โกลบอลเฮ้าส์” ทุ่มงบกว่า 600 ล้านบาท เสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ สร้างศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติที่มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ามากที่สุด

“โกลบอลเฮ้าส์” ทุ่มงบกว่า 600 ล้านบาท เสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ สร้างศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติที่มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ามากที่สุด

“โกลบอลเฮ้าส์” ทุ่มงบกว่า 600 ล้านบาท เสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ สร้างศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติที่มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ามากที่สุดในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างของเมืองไทย พร้อมขยายผลต่อในอาเซียน “โกลบอลเฮ้าส์” ทุ่มงบกว่า 600 ล้านบาท เปิดตัวศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติที่มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ามากที่สุดในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างของเมืองไทยบนพื้นที่กว่า 100 ไร่ ใน อ.วังน้อย จ.อยุธยา เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับธุรกิจ พร้อมนำระบบบริหารคลังสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage Retrieval System) หรือ ASRS ขยายผลต่อสำหรับร้านโกลบอลเฮ้าส์ที่กำลังจะเปิดในอาเซียนเร็วๆ นี้ นายวิทูร สุริยวนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตามที่ทางบริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ให้ “โกลบอลเฮ้าส์” เป็นช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านที่ดีที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ทางบริษัทฯ ได้กำหนดกลยุทธ์การแข่งขันไว้ 5 เรื่อง ได้แก่ • Best Price จำหน่ายสินค้าในราคาที่สมเหตุสมผลและยุติธรรมที่สุด • Best Personal บุคลากรพร้อมให้บริการอย่างดีที่สุด • Best Selection มีสินค้าให้เลือกมากที่สุด ทั้งระดับล่าง ระดับกลางและระดับบน • Best Service บริการดีที่สุด เมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล • Best Store พัฒนาการจัดวางและการจัดแสดงสินค้าให้ดีที่สุด นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางบริษัทฯ จึงได้นำนวัตกรรมทางการค้าระบบโมเดิร์นเทรดมาปรับใช้กับการบริหาร “โกลบอลเฮ้าส์” ในทุก ๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในส่วนของการบริหารคลังสินค้าซึ่งถือเป็นหนึ่งในหัวใจของธุรกิจค้าปลีกนั้น ทางบริษัทฯ ได้นำระบบบริหารคลังสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage Retrieval System) หรือ ASRS ที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งระบบมาใช้กับร้านโกลบอลเฮ้าส์ สาขาปราณบุรี เป็นแห่งแรกเมื่อปี 2559 เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว แม่นยำ สะดวกและประหยัดเวลาสำหรับลูกค้ามากยิ่งขึ้น ในปัจจุบันทางบริษัทฯ นำระบบ ASRS ไปใช้กับร้านโกลบอลเฮ้าส์แล้วจำนวน 16 สาขา นอกจากนี้ เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของธุรกิจในอนาคต และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานทั้ง Supply Chain บริษัทฯ จึงได้ทุ่มงบกว่า 600 ล้านบาทก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติซึ่งติดตั้งระบบ ASRS (Automated Storage Retrieval System) ขึ้นบนพื้นที่กว่า 100 ไร่ ใน อ.วังน้อย จ.อยุธยา โดยใน เฟสแรกศูนย์กระจายสินค้าจะมีพื้นที่คลังสินค้า 30,000 ตารางเมตร จัดเก็บสินค้าในส่วนของพื้นที่ ASRS ได้กว่า 43,000 พาเลท จัดเก็บเหล็กได้กว่า 5,000 ตัน และจัดเก็บกระเบื้องเซรามิคได้กว่า 5,000 พาเลท นับได้ว่าเป็นศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติที่มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ามากที่สุดในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างของเมืองไทย ซึ่งศูนย์กระจายสินค้าวังน้อยแห่งนี้จะทำให้บริษัทฯ ลดการเสียโอกาสในการขายและช่วยเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้กับลูกค้า รวมทั้งช่วยให้ต้นทุนในการบริหารจัดการของบริษัทฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่งผลให้ผู้บริโภคได้ซื้อสินค้าในราคาที่สมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น นายเกรียงไกร สุริยวนากุล ซัพพลายเชน ไดเรกเตอร์ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ศูนย์กระจายสินค้าวังน้อยได้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษให้เหมาะสมกับการดำเนินงานธุรกิจของ “โกลบอลเฮ้าส์” โดยเฉพาะ ตั้งแต่การสั่งสินค้าจากผู้จัดจำหน่ายจนถึงการนำส่งสินค้าให้กับผู้บริโภคที่ร้าน ซึ่งทางเราใช้ทีมงานออกแบบและพัฒนาระบบของบริษัทฯ เองทั้งหมด ทำให้เราสามารถปรับปรุงและขยายความสามารถและประสิทธิภาพของศูนย์กระจายสินค้าได้อย่างต่อเนื่องและไม่มีขีดจำกัด นอกจากนี้ เรายังได้ร่วมพัฒนา Packaging กับผู้ผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการบริหาร Supply Chain สำหรับความพิเศษของศูนย์กระจายสินค้าวังน้อยมี 3 เรื่องหลัก ได้แก่ • ผู้จัดจำหน่ายสามารถจองคิวส่งสินค้าในระบบได้เองอย่างสะดวกสบาย ลดปัญหาการรอคิวเป็นเวลานานๆ • ระบบจัดเก็บและกระจายสินค้าถูกออกแบบมาเพื่อลดความผิดพลาดและเพิ่มความรวดเร็วของการกระจายสินค้า โดยทุกๆ จุดสัมผัสจะถูกบันทึกและสามารถตรวจสอบได้ (Track and Trace) นอกจากนั้น เรายังได้นำระบบการชั่งสินค้าแทนการนับมาใช้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนสินค้าอีกด้วย • ระบบ ASRS (Automated Storage Retrieval System) มีส่วนที่ออกแบบมาเป็นพิเศษให้สามารถจัดเก็บและจ่ายสินค้าที่มีขนาดใหญ่พิเศษได้ยาวสูงสุดถึง 2.40 เมตร รองรับความหลากหลายของสินค้าที่มีอยู่ในร้าน ศูนย์กระจายสินค้าวังน้อยใช้ระบบ ASRS (Automated Storage Retrieval System) ในการบริหารสินค้า ซึ่งเป็นระบบที่ควบคุมผ่านคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ทำให้เพิ่มความรวดเร็ว แม่นยำ และลดต้นทุนในการบริหารจัดการสินค้าทั้ง Supply Chain ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยระบบนี้ทำให้สามารถลดจำนวนการพึ่งพาทรัพยากรมนุษย์ลงเมื่อเทียบกับระบบบริหารคลังแบบทั่วไปได้มากถึง 60% โดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะซึ่งกำลังเป็นที่ขาดแคลน ทั้งนี้ ระบบ ASRS (Automated Storage Retrieval System) จะถูกนำไปใช้ในการบริหารสินค้าของร้านโกลบอลเฮ้าส์ซึ่งกำลังจะเปิดสาขาในอาเซียนเร็วๆ นี้อีกด้วย อย่างไรก็ดี นายวิทูร กล่าวเพิ่มเติมถึงการเติบโตในปีนี้ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ สำหรับไตรมาส 1/2560 เท่ากับ 5,376.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2559 จำนวน 222.32 ล้านบาท หรือ 4.31% เป็นผลมาจากการเปิดสาขาเพิ่ม 12 สาขา ปัจจุบัน “โกลบอลเฮ้าส์” มีสาขาทั่วประเทศจำนวน 52 สาขา และในเดือนพฤศจิกายนนี้เรากำลังจะเปิดสาขาที่ 53 ที่ จ.พัทลุง ทั้งนี้ ทางบริษัทฯ มีแผนการขยายสาขาลงในระดับอำเภอเพิ่มขึ้น เช่น จ.ขอนแก่น มี 3 สาขาที่ อ.เมือง , อ.บ้านไผ่ และ อ.ชุมแพ ในขณะที่ จ.สกลนคร มี 2 สาขาที่ อ.เมือง และ อ.พังโคน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนขยายสาขาไปให้ทั่วอาเซียนอย่างต่อเนื่อง
แสนสิริพร้อมส่งมอบโครงการ “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” คาดทยอยรับยอดโอน 80% ภายในสิ้นปีนี้

แสนสิริพร้อมส่งมอบโครงการ “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” คาดทยอยรับยอดโอน 80% ภายในสิ้นปีนี้

แสนสิริพร้อมส่งมอบโครงการ “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” คาดทยอยรับยอดโอน 80% ภายในสิ้นปีนี้ รับกระแสเซกเมนต์ไฮเอนด์โต ตอกย้ำจุดเด่นแบรนด์ ‘เดอะ โมนูเมนต์’ ด้วยคุณค่าแห่งการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น แสนสิริตอกย้ำความสำเร็จโครงการ ‘เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า’ (THE MONUMENT SANAMPAO) ไฮไรส์คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ ซึ่งชูความล้ำค่าระดับมาสเตอร์พีซหนึ่งเดียวบนถนนพหลโยธิน ทั้งด้านความเป็นส่วนตัวเพียง 86 ยูนิต ด้วยมูลค่าโครงการรวมกว่า 1,600 ล้านบาท ผ่านการออกแบบโครงการอย่างพิถีพิถันในทุกตารางเมตร และตั้งอยู่บนทำเลทองใจกลางเมืองใกล้บีทีเอสสนามเป้า และห่างจากทางด่วนเพียง 5 นาที เผยบริษัทฯ เตรียมทยอยรับยอดโอนถึง 80% โดยมั่นใจรับรู้รายได้จากโครงการฯ กว่า 1,300 ล้านบาทภายในปี 2560 นี้แน่นอน หลังจากที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกบ้าน จากการเปิดให้ตรวจรับมอบโอนกรรมสิทธิ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เหตุจากราคาเฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาพรีเซลส์   ถึง 8% ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากปัจจัยบวกของศักยภาพทำเล และการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ในปีที่ผ่านมา ลูกบ้านยังรอคอยที่จะสัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตระดับไฮเอนด์ที่ผสมผสานความสะดวกสบายเหนือระดับครบครันในทุกมิติ และยังเป็นครั้งแรกที่มอบบริการ “SANDEE” Delivery Robot ซึ่งนำมาใช้ในโครงการนี้เป็นแห่งแรกในประเทศไทย ทั้งนี้ ลูกค้าจะสามารถเข้าอยู่ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2560 นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “โครงการ ‘เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า’ (THE MONUMENT SANAMPAO) ได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม นับตั้งแต่วันเปิดตัวโครงการเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว ด้วยคอนเซ็ปต์ ‘The Monument to Generations’ หรือการส่งต่อทำเลที่มีคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านโครงการที่พักอาศัย  ที่เปรียบเสมือนงานศิลป์ที่สามารถส่งต่อสู่รุ่นต่อไปและมอบความคุ้มค่าในระยะยาวให้แก่ผู้ที่ถือครองได้ ด้วยมูลค่าที่ทวีขึ้นตามกาลเวลา โดยปัจจุบันโครงการฯ มีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 250,000 บาทต่อตารางเมตรเป็น 270,000 บาทต่อตารางเมตร หรือปรับตัวสูงขึ้นถึง 8% ภายในระยะเวลา 2 ปีจากปัจจัยบวกจากการเป็นคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่เพียงแห่งเดียวในย่านพหลโยธินและอารีย์ ซึ่งมีที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมไม่มากนัก ในขณะที่ปริมาณความต้องการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดระดับบนยังมีอย่างต่อเนื่อง ทั้งการซื้อเพื่อเข้าอยู่ และการซื้อเพื่อลงทุน ซึ่งหากเทียบอัตราการปล่อยเช่าของตลาดคอนโดมิเนียมในย่านพหลฯ-อารีย์แล้ว คาดว่าโครงการฯ จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ที่ 4.3% จากราคาพรีเซล” “ลูกบ้านสามารถมั่นใจว่า ‘เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า’ (THE MONUMENT SANAMPAO) นั้นจะเป็นโครงการที่พร้อมมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีและมีคุณภาพ เพื่อส่งต่อเป็นมรดกที่อยู่อาศัยอันล้ำค่าให้แก่รุ่นต่อไป นอกจากจะเป็นโครงการที่มีพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบวงจรมากที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งทำให้สามารถตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าระดับบนได้อย่างครบทุกมิติแล้วยังมีการนำนวัตกรรม PropTech เข้ามาใช้อำนวยความสะดวกให้แก่ลูกบ้านในโครงการ เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีอย่างครบวงจร โดยเป็นโครงการแรกในประเทศไทยที่มอบบริการ “SANDEE” Delivery Robot ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในนำส่งจดหมาย หรือพัสดุให้ถึงประตูห้อง และการพัฒนาระบบ Mobile Access HID ที่เชื่อมต่อผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้าออกโครงการในบริเวณป้อมทางเข้าโครงการ ประตูด้านหน้าล็อบบี้ และลิฟต์โดยสาร รวมทั้งลูกบ้านสามารถดาวน์โหลดโปรแกรม Home Service Application เพื่อความสะดวกเพื่อการอยู่อาศัยอื่นๆ ภายในโครงการฯ ของแสนสิริ” นายอุทัยกล่าวเสริม “แสนสิริเชื่อมั่นว่า ‘เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า’ (THE MONUMENT SANAMPAO) ซึ่งเป็นโครงการแรกภายใต้แบรนด์ ‘เดอะ โมนูเมนต์’ (THE MONUMENT) จะเป็นต้นแบบแห่งความสำเร็จที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของกลุ่มลูกค้าระดับบน และสามารถส่งต่อความมั่นใจไปสู่โครงการที่ 2 ภายใต้แบรนด์เดียวกัน หรือ ‘เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ’ (THE MONUMENT THONGLO) ซึ่งวางแผนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2561 นี้” นายอุทัยกล่าวปิดท้าย สำหรับโครงการ ‘เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า’ เป็นคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่แห่งเดียวในย่านพหลโยธิน หรืออารีย์ บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ โดยมุ่งหมายให้เป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งหนึ่งที่สำคัญของย่านนี้ที่มอบความหรูหรามีเอกลักษณ์ ด้วยจำนวนเพียง 86 ยูนิตเท่านั้น มีห้องให้เลือกตั้งแต่ 1 - 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 46.25 - 89.25 ตารางเมตร จนถึงเพนท์เฮ้าส์แบบ 3 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 138.25 - 140.25 ตารางเมตร ที่สำคัญ การออกแบบส่วนกลางของโครงการฯ ตั้งใจให้ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบนอย่างตรงจุด ตั้งแต่ทางเข้าโครงการด้วยหินอ่อนสีน้ำเงินหายาก Blue Sodalite ตรึงทุกสายตาสู่พื้นที่โถงต้อนรับ (Lobby Lounge) ชั้น 1 ซึ่งงดงามโดดเด่นด้วยหินอ่อน Corchia Grey ที่มีเส้นสายเปรียบเสมือนชิ้นงานศิลปะจากธรรมชาติล้ำค่า และเพียบพร้อมด้วยส่วนกลางบริเวณชั้น 9 ทั้งชั้น นับว่าเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ครบวงจรที่สุด อาทิ ห้องสมุด (Library) ห้องดื่มชา (Tea Room) ห้องสังสรรค์ (Social Lounge) ห้องดูหนัง (Screening Room) ห้องสปา (Spa) และห้องเอนกประสงค์ (Multi-Purpose Room) ผสมผสานงานฝีมือด้วยการวางพื้นไม้แบบ Hexagon Basket Weave พื้นไม้สักลายดั้งเดิมที่ใช้เทคนิคการต่อลายและติดตั้งแบบงานฝีมือ ช่วยเพิ่มความหรูหรา ส่วนบริเวณชั้น 23 ได้รับการออกแบบให้เป็น Infinity Edge Pool โดยเลือกใช้หิน Silver Grey Quartzite ในพื้นสระว่ายน้ำ ซึ่งเป็นหินสีเทาที่มีเส้นสายของแร่สีเงิน จนสามารถเกิดประกายของเนื้อหิน และให้ผิวสัมผัสที่แตกต่างจากหินทั่วไป ส่วนฟิตเนสที่ชั้น 24 เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของ เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า สามารถมองลงมาเห็นวิวของเมืองได้ชัดเจน ให้การออกกำลังกายและการพักผ่อนมีสุนทรียภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ‘เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า’  ยังคัดสรรอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องพักเป็นพิเศษ โดยคำนึงดีไซน์ความสวยงามหรือฟังก์ชั่นการใช้งาน อาทิ มือจับประตู Samsung Digital Door lock, สุขภัณฑ์ TOTO Neo-rest Automatic Water Closet ซึ่งเป็นระบบไฮบริด ช่วยประหยัดพลังงาน และอนุรักษ์น้ำ รวมถึงมีรีโมทควบคุมการทำงาน, กระจก Insulated Glass หรือกระจก 2 ชั้น ที่เว้นช่องไว้ตรงกลางเพื่อช่วยลดความร้อน และลดเสียงรบกวนจากภายนอก Video Door Phone & Home Automation, ชุดครัวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว Kuppersbusch จากประเทศเยอรมัน รวมถึงระบบเสียงที่ใช้ในห้องดูหนัง (Screening Room) ที่ได้ชุดเครื่องเสียง และทีวี LED ขนาด 75 นิ้วจากแบรนด์ Bang & Olufsen (B&O) ที่มีความเชี่ยวชาญในการนำเทคโนโลยีมาผสานกับดีไซน์ได้อย่างลงตัว ซึ่งทั้งหมดนี้ นับเป็นการผสมผสานระหว่างความสุขสงบไปกับธรรมชาติแวดล้อมด้วยกลิ่นอายคลาสสิคในรูปแบบวัฒนธรรมดั้งเดิม และการคัดสรรสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการออกแบบเพื่อประโยชน์ใช้สอยที่ทันสมัยตรงใจคนรุ่นใหม่ บนทำเลศักยภาพที่พร้อมจะส่งต่อประสบการณ์ดีๆเหล่านี้ เพื่อเป็นมรดกให้รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป  
จับตาเทรนด์อสังหาฯ – จุดเปลี่ยนดีมานด์ที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคไทย

จับตาเทรนด์อสังหาฯ – จุดเปลี่ยนดีมานด์ที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคไทย

ผลสำรวจพบแนวโน้มความต้องการอสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคในประเทศไทยเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง หลังผู้บริโภคเริ่มแสดงความจำนงในการซื้อบ้าน-คอนโดฯ ที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอบรับสังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบของประเทศ โดยอสังหาฯ ที่จะได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ ได้แก่ โครงการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก และ สภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์สื่อกลางอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย สังเกตเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุจากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย โดยในผลสำรวจช่วงครึ่งปีหลังของปี 2559 และช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญต่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุหรือเพื่อรองรับวัยเกษียณของตนเองในอนาคตเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 5 โดยดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดการณ์ว่าแนวโน้มดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยร้อยละ 5 ในการสำรวจรอบต่อไป “จากที่ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคในทุกๆ 6 เดือน เราเชื่อว่าแนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีของบรรดาผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์” นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยของ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ในเครือพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าว “ที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นดีเวลลอปเปอร์บางรายเริ่มเบนเข็มการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวนี้แล้ว ซึ่งทางดีดีพร็อพเพอร์ตี้มองว่า นี่จะกลายเป็นเทรนด์สำคัญของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย และเราได้เฝ้าติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด” ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าสอดคล้องกับเทรนด์โลก ที่เริ่มมีผู้ให้ความสนใจกับที่อยู่อาศัยที่พัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการและความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ ซึ่งโครงการส่วนใหญ่จะพัฒนาโดยเอกชน ใกล้เคียงกับสถานการณ์ในบ้านเรา จากข้อมูลของธนาคารโลก ณ ปี 2559 ระบุว่า ร้อยละ 11 ของประชากรในประเทศไทยมีอายุ 65 ปีขึ้นไปจากที่เมื่อปี 2538 หรือ 21 ปีก่อนมีอยู่เพียงร้อยละ 5 เท่านั้น และจากการคาดการณ์ของธนาคารโลกในปี 2583 ประชากรไทยกว่า 17 ล้านคนหรือมากกว่าหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งหมดจะมีอายุมากกว่า 65 ปี ความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนเทรนด์ดังกล่าว จากแต่เดิมที่คนไทยมักจะอยู่อาศัยกันเป็นครอบครัวใหญ่ ที่มีทั้งพ่อ-แม่และปู่-ย่า-ตา-ยาย และลูกหลานจะต้องดูแลผู้ใหญ่ในบ้านยามแก่เฒ่า แต่ในปัจจุบันรูปแบบสังคมมีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งคนไทยและคนในภูมิภาคอาเซียนเริ่มมีมุมมองที่เปิดกว้างในเรื่องที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุมากขึ้น นอกจากนี้ จำนวนชาวต่างชาติวัยเกษียณ อาทิ ชาวญี่ปุ่น ชาวจีน และ ชาวยุโรป ที่มองหาที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ประเทศไทยนั้นมีข้อได้เปรียบมากมายเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น บริการทางสุขภาพที่ได้มาตรฐานระดับโลก ราคาที่อยู่อาศัยที่ยังถือว่าถูกกว่าประเทศอื่นๆ วัฒนธรรมที่เป็นมิตร ภูมิอากาศเขตร้อนที่ไม่หนาวเกินไป รวมไปถึงการขอวีซ่าสำหรับวัยเกษียณที่มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ในช่วงที่ผ่านมา มีโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุหรือเป็นโครงการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้สูงอายุทยอยเปิดตัวหลายแห่ง อาทิ จ.ปทุมธานี, อ.บางเสร่ จ.ชลบุรี, เกาะสมุย, จ.เชียงใหม่ และ จ.ภูเก็ต และยังมีอีกหลายโครงการที่เตรียมจะเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ทางคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ (ฉบับที่...) พ.ศ.... เพื่อรองรับการดำเนินมาตรการให้เงินช่วยเหลือเพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งงบประมาณจะมาจากกองทุนผู้สูงอายุ “จำนวนประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างมากรวมไปถึงสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง และความต้องการด้านที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในไทยต่อจากนี้ไปจะมุ่งตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวมากยิ่งขึ้น เราคาดว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าดีมานด์ในที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุจะมากถึง 80,000 ยูนิต” นางกมลภัทร กล่าวสรุป
5 เหตุผล ทำไม Open Innovation Center โดยเอสซีจี สามารถพลิกโฉมวงการนวัตกรรมได้จริง

5 เหตุผล ทำไม Open Innovation Center โดยเอสซีจี สามารถพลิกโฉมวงการนวัตกรรมได้จริง

ถึงจะเพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นาน สำหรับ “Open Innovation Center” โดย เอสซีจี แต่ก็สามารถสร้างกระแสความแปลกใหม่ให้เกิดขึ้นกับแวดวงนวัตกรรมได้ไม่น้อย เพราะนอกจากความมุ่งมั่นของเอสซีจีที่ต้องการตอกย้ำการเป็นผู้นำนวัตกรรมอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียนแล้ว เหตุใดศูนย์ฯ แห่งนี้จึงถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการนวัตกรรมอย่างแท้จริง ต้องมาติดตามไปพร้อมกัน... เหตุผลแรก คือ การเป็นศูนย์กลางที่พร้อมเปิดรับความร่วมมือด้านงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกับทุกหน่วยงาน ให้เกิดการต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมแห่งอนาคต เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งพื้นที่กว่า 1,600 ตร.ม. ออกเป็น 4 โซนหลัก ได้แก่ 1.) โซนจัดแสดงผลงาน เพื่อต่อยอดการวิจัยระหว่างนักวิจัยเอสซีจีและพันธมิตร 2.) โซนห้องสัมมนาและห้องประชุม เพื่อใช้เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักวิจัย 3.) ห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่อยู่ในความสนใจของเอสซีจีใช้วิจัยและพัฒนา 4.) โซนออฟฟิศ สำหรับนักวิจัยและทีมประจำศูนย์ของเอสซีจี เหตุผลที่ 2 คือ การตั้งอยู่ในแหล่งต้นกำเนิดนวัตกรรมเพื่ออนาคต คือ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัยและพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เนื่องจากเป็นแหล่งรวมของนักวิจัยกว่า 3,000 คน จึงเป็นโอกาสที่ทุกคนจะได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวคิดระหว่างกัน หรือหากงานวิจัยสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของเอสซีจี ที่มุ่งมั่นส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้บริโภค ก็สามารถพัฒนาต่อยอดสู่งานนวัตกรรมเพื่ออนาคตอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ เอสซีจียังได้สร้าง network of network ที่เป็นพันธมิตรของ สวทช. ในการพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมเพื่อต่อยอดทางธุรกิจให้กว้างขวางต่อไปอีกด้วย อย่างไรก็ตาม งานนวัตกรรมใหม่ๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีห้องปฏิบัติการที่มีความพร้อม ดังนั้น เหตุผลที่ 3 จึงเป็น ห้องปฏิบัติการที่ใช้สำหรับการทดสอบแนวความคิดหรือการสาธิตต้นแบบเพื่อประเมินความเป็นไปได้ในเชิงเทคนิคเบื้องต้น ก่อนที่จะส่งต่อให้กับหน่วยธุรกิจที่มีเครื่องมือครบครันต่อไป เหตุผลที่ 4 ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ คือ การจัดแสดงผลงานนวัตกรรมเพื่อต่อยอดการวิจัย อันเกิดจากแนวคิดที่ว่าไม่ต้องการให้สถานที่แห่งนี้ถูกจำกัดเพียงแค่นักวิจัยเท่านั้น แต่ต้องการเปิดกว้างให้กับบรรดาผู้ที่ต้องการแสวงหาความรู้ด้านนวัตกรรมใหม่ๆ อีกด้วย ในส่วนนี้แบ่งออกเป็น 5 โซนย่อย ได้แก่ 1.) Inspiration starts here บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาอันยาวนานกว่า 100 ปีของเอสซีจี 2.) Performance+ จัดแสดงนวัตกรรมอันโดดเด่นของเอสซีจี เช่น Sea Cement สูตรการผสมปูนที่สามารถนำน้ำทะเลและทรายจากทะเลมาผสมเป็นคอนกรีตใช้งานได้โดยไม่ทำให้เกิดสนิมในเหล็กเสริม รวมทั้งยังทำให้คอนกรีตมีความสามารถในการป้องกันคลอไรด์จากภายนอกได้ ทำให้การก่อสร้างในพื้นที่ชายฝั่งทำได้สะดวกยิ่งขึ้น เป็นต้น 3.) Design for Sustainability การพัฒนาวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบสินค้าตามรสนิยมของผู้บริโภค และการพัฒนาสินค้าเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร 4.) Moving Edge เน้นการพัฒนา Solution เพื่อส่งมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับคู่ค้าและผู้บริโภคเพื่อชีวิตที่ดีของทุกคนในภูมิภาค และ 5.) Drawing the Future Together ขยายเครือข่ายการวิจัยและพัฒนากับทุกภาคส่วน ผลักดันงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพานิชย์อย่างเป็นรูปธรรม ผ่าน 60 Technology Platforms และสุดท้ายกับ เหตุผลที่ 5 การสนับสนุนเครือข่ายสตาร์ทอัพจากทั่วโลก ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) ในการดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Sci-Tech) ผ่านโปรแกรม Accelerator เพื่อร่วมพัฒนานวัตกรรมที่มีศักยภาพสูงกับเอสซีจีในกลุ่ม Materials, Clean Technology, Well Being และ Sensor & IoT ก่อนนำไปสู่การต่อยอดธุรกิจร่วมกันในอนาคตอีกด้วย เห็นแบบนี้แล้ว ดีใจแทนบรรดาเหล่านักวิจัยทั้งหลาย ที่จะมีคนมาช่วยสานต่อผลงานวิจัยให้เป็นรูปธรรม รวมทั้งบรรดานักเรียน นักศึกษา องค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน หรือผู้ที่ต้องการแสวงหาความรู้ด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะได้มีแหล่งข้อมูลดีๆ เพิ่มอีกแห่งหนึ่ง ใครอยากรู้ว่าศูนย์แห่งนี้จะสามารถเข้ามาพลิกโฉมวงการนวัตกรรมได้จริงหรือไม่ งานนี้ขอบอกว่าต้องรีบไปดูด้วยตาตัวเองได้ที่ Open Innovation Center โดยเอสซีจีด่วนเลย เปิดให้เยี่ยมชมได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่เวลา 09.00-16.30 น. หรือถ้าต้องการสร้างความร่วมมือกับเอสซีจี สามารถสอบถามรายละเอียดและนัดหมายเพื่อสำรองวันและเวลาในการเยี่ยมชมล่วงหน้าได้ที่อีเมล openinnovation@scg.com และ โทร. 02-586-1065 หรือ 02-586-6324
เดอะ ไลน์ จตุจักร – หมอชิต โครงการใหญ่ภายใต้การร่วมทุน บีทีเอส – แสนสิริ มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท เผยผลตอบรับดีทั้งจากลูกค้าไทยและต่างชาติ พร้อมโอนกรรมสิทธิ์แล้ว ลุยสานต่อแผนร่วมทุนระยะยาวกับบีทีเอส

เดอะ ไลน์ จตุจักร – หมอชิต โครงการใหญ่ภายใต้การร่วมทุน บีทีเอส – แสนสิริ มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท เผยผลตอบรับดีทั้งจากลูกค้าไทยและต่างชาติ พร้อมโอนกรรมสิทธิ์แล้ว ลุยสานต่อแผนร่วมทุนระยะยาวกับบีทีเอส

บีทีเอส-แสนสิริ เปิดม่านเดอะ ไลน์ จตุจักร – หมอชิต โครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรกภายใต้การพัฒนาของบริษัท บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด หลังสร้างปรากฏการณ์ขายโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมกันหลายประเทศเป็นครั้งแรกเมื่อสองปีก่อน และได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติ  โดยขณะนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้ลูกบ้านเข้ามาตรวจรับมอบห้องเพื่อดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์แล้ว มั่นใจสามารถโอนได้กว่า 3,000 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ ตอกย้ำความสำเร็จด้วยจุดเด่นของทำเลจะเป็นศูนย์กลางเครือข่ายการคมนาคมที่สำคัญที่สุดของไทยในอนาคตอันใกล้ เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยและการลงทุนที่ให้ความคุ้มค่าสูงสุดในระยะยาว พรั่งพร้อมด้วยองค์ประกอบเพื่อความสะดวกสบายสำหรับชีวิตคนเมือง ทั้งยังมีไฮไลต์การอัพเกรดเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยในโครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลอย่างไร้รอยต่อ พร้อมสานต่อความสำเร็จกับการผนึกกำลังร่วมทุนกันในระยะยาว นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บีทีเอสและแสนสิริมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการมุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง และคุ้มค่าต่อการลงทุนในระยะยาว โครงการ เดอะ ไลน์ จตุจักร – หมอชิต ถือเป็นโครงการแรกที่เราร่วมกันพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์ความเป็นเลิศในทุกมิติ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก เรียกได้ว่าเป็นการพลิกโฉมวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยเมื่อสองปีก่อน โดยเราพร้อมจะสานต่อความสำเร็จนี้ ด้วยความแข็งแกร่งในด้านเงินทุนของกลุ่มบริษัทบีทีเอส รวมถึงการมีที่ดินทำเลดีที่พร้อมพัฒนาอยู่ในมือ เมื่อผนวกรวมกับความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริ เพื่อการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ต่อไปในอนาคต” นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “โครงการเดอะ ไลน์ จตุจักร-หมอชิต เปิดตัวในปี 2558 และสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในแวดวงอสังหาฯไทยเป็นครั้งแรกด้วยการเปิดขายพร้อมกันทั้ง 3 ประเทศ คือประเทศไทย ฮ่องกง และสิงคโปร์ มีลูกค้าต่างชาติให้ความสนใจโครงการและเข้าร่วมงานโรดโชว์กว่า 2,500 ราย โดยสัดส่วนผู้ซื้อโครงการเป็นคนไทย 85% และชาวต่างชาติ 15% ซึ่งจากความสำเร็จในครั้งนี้ บีทีเอสและแสนสิริจึงได้ร่วมกันพัฒนาโครงการแบรนด์เดอะ ไลน์ อย่างต่อเนื่อง อาทิ เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71, เดอะ ไลน์ ราชเทวี, เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา ซึ่งสามารถปิดการขายได้ตั้งแต่ในวันพรีเซล รวมถึงการคว้ารางวัลชนะเลิศใน 4 สาขาใหญ่ จากเวที “ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ ครั้งที่ 12” สำหรับโครงการเดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101 และเดอะ ไลน์ พหลฯ-ประดิพัทธ์     ซึ่งทุกโครงการประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมทั้งด้านยอดขาย และการพัฒนาโครงการฯ ทั้งตลาดลูกค้าในประเทศและต่างประเทศเช่นเดียวกัน โดยพร้อมที่จะตอบโจทย์การอยู่อาศัยของผู้บริโภคยุคใหม่เสมอ และในอนาคตเรายังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์เดอะ ไลน์ และแบรนด์อื่นๆ  อย่างต่อเนื่อง ตามแผนลงทุน 5 ปี ที่วางไว้ไม่ต่ำกว่า 25 โครงการ มีมูลค่ารวมกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งการเป็นพันธมิตรในระยะยาวของบีทีเอสและแสนสิริ จะช่วยเพิ่มความเป็นเลิศในการรังสรรค์โครงการ รวมถึงความเชื่อมั่นในตัวผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ โดยในปีหน้า เรามีแผนที่จะเตรียมโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมภายใต้บริษัท บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด เพิ่มอีก3 โครงการ ได้แก่ เดอะ ไลน์ ราชเทวี, เดอะ ไลน์ อโศก – รัชดา และโครงการเดอะ เบส การ์เดน - พระราม 9  โดยมีรวมมูลค่ากว่า 10,200 ล้านบาท และปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ของบริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสที่จะรอการรับรู้รายได้ใน 3 ปี อีก 24,000 ล้านบาท” เดอะ ไลน์ จตุจักร – หมอชิต ภายใต้การพัฒนาของบริษัท บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด เป็นคอนโดมิเนียมแบบไฮไรส์สูง 43 ชั้น จำนวน 841 ยูนิต มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 25.25 – 105.75 ตร.ม ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดกว่า 4 ไร่ ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีหมอชิต และรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสวนจตุจักร พร้อมสกายวอล์คจากบีทีเอสสถานีหมอชิตเชื่อมต่อโครงการผ่านคอมมูนิตี้ มอลล์ด้านหน้าโครงการเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการมากขึ้น โดยมีพร้อมใช้งานในต้นปี 2561  นอกจากนี้โดยรอบโครงการยังแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งอาคารสำนักงาน โรงพยาบาล ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ตลาดนัดจตุจักร ตลาด อตก. รวมถึงพื้นที่สีเขียวโดยรอบกว่า 700 ไร่ นางสาววรางคณา อัครสถาพร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “โครงการเดอะ ไลน์ จตุจักร-หมอชิต เป็นตัวเลือกที่ให้ความคุ้มค่ามาก เมื่อพิจารณาจากจุดแข็งด้านต่าง ๆ ของโครงการในแง่ของการอยู่อาศัยด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บนศูนย์กลางการคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในไทย ทั้งยังเป็น Smart Condo แห่งแรกของแสนสิริที่เราเพิ่มเติมเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่เราให้ตลอดสองปีในการก่อสร้างทั้งนี้ ปัจจัยแห่งความสำเร็จของโครงการเดอะ ไลน์ จตุจักร-หมอชิต ได้แก่ 1. ความเชื่อมั่นในศักยภาพของแบรนด์บีทีเอสและแสนสิริ – การผนึกกำลังระหว่างบีทีเอส ที่มีความแข็งแกร่งในด้านเงินทุนและทีดินทำเลศักยภาพ กับแสนสิริที่เป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยมาหลายทศวรรษ เป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นในตัวแบรนด์สำหรับผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างชาติ ทำให้มีผู้สนใจโครงการตั้งแต่ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ 2. ศักยภาพด้านทำเลพหลโยธิน-ลาดพร้าว ถือได้ว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงมากในระยะยาว ด้วยโครงการศูนย์คมนาคมพหลโยธิน หรือสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งเมื่อเสร็จสมบูรณ์ จะทำให้พื้นที่นี้เป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่งที่สำคัญและใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เป็นทั้งจุดเชื่อมโยงรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ รถไฟจากกรุงเทพฯ สู่ภูมิภาค และรถไฟความเร็วสูงครอบคลุม 4 เส้นทางทั่วทุกภาค และมีแผนการขยายเส้นทางถึงประเทศเพื่อนบ้านด้วย ที่สำคัญยังเป็นชุมทางรถโดยสารสาธารณะทางด่วน 2 สาย จึงทำให้มีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ในบริเวณโดยรอบเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งราคาที่ดินและราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นมี Gross Rental Yield เฉลี่ยอยู่ที่ 5-6 % ต่อปี สำหรับโครงการ เดอะ ไลน์ จตุจักร – หมอชิต มีราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 170,000 บาท/ตร.ม เมื่อตอนเปิดโครงการปี 2558 และปัจจุบันราคาพุ่งขึ้นเป็น 185,000 ล้านบาท/ตร.ม. หรือประมาณ 10% และในอนาคตราคายังมีโอกาสที่จะขยับตัวได้อีกอย่างมาก หากแผนพัฒนาพื้นที่ตามแผนของรัฐบาลก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ นอกจากนี้โครงการยังรายล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขียวจากสวนสาธารณะที่มีขนาด 700 ไร่ และวิวเมืองที่สวยงามโดดเด่น เมื่อพิจารณาทุกองค์ประกอบแล้ว จึงเหมาะสำหรับการอยู่อาศัยเองและสำหรับการลงทุนในระยะยาว 3. Smart Condominium แห่งแรกของแสนสิริ – การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ประกอบด้วย         ระบบการเข้าออกอาคารโดยใช้บัตรแรบบิตการ์ดรุ่นพิเศษ ที่สามารถใช้ทั้งเป็นตั๋วโดยสาร บีทีเอส และเข้าออกคอนโดมิเนียม และพื้นที่สันทนาการอื่น ๆ ในโครงการ, ระบบ RFID สำหรับการเปิด ปิด ทางเข้าคอนโดโดยอัตโนมัติ ระบบ Booking Facility เพื่ออำนวยความสะดวกในการจองห้องและสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางผ่าน Home Service Application, ระบบเปิดปิดไฟในพื้นที่ส่วนกลางแบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน Smart Locker สามารถใช้โค้ดส่วนตัวมาเปิดรับของได้ด้วยตนเองจาก locker ได้ตลอดเวลาพร้อมตรวจสอบได้จากทาง Home Service Applications Trendy Wash ระบบการเติมเงินซักผ้าใน E-wallet ที่สอดคล้องกับเทรนด์สังคมไร้เงินสด (Cashless) พร้อมระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อเครื่องซักผ้าเสร็จเรียบร้อย Good Waste Refun Machine ตู้รีไซเคิลขวดอัตโนมัติ ลูกบ้านสามารถนำขวดพลาสติกมารีไซเคิลในเครื่อง เพื่อเปลี่ยนเป็นเงินเข้าส่วนกลางเพื่อบำรุงโครงการ หรือบริจาคเข้ามูลนิธิตามที่กำหนด Smart Move บริการเช่ายานพาหนะในโครงการของแสนสิริเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตให้กับคนรุ่นใหม่ โดยมี รถยนต์ BMW รุ่น i3 ที่ควบคุมและใช้พลังงานไฟฟ้า 100% สำหรับ Car Sharing ให้ลูกบ้านได้เช่าใช้ และคิดค่าบริการจริงเป็นนาที พร้อม EV Charger เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนั้น ยังมีการยกระดับระบบในอาคารและองค์ประกอบต่าง ๆ เพิ่มเติม อาทิ ระบบการระบายอากาศ (Ventilation system) ทำให้อากาศไหลเวียนและถ่ายเทภายในโครงการ โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องปรับอากาศในบางวัน, Blocks wall ภายในห้องเด็กเล่น เป็นเอาไฮไลท์ส่งตรงจากงาน Milan Fair เพื่อให้น้อง ๆ ได้ส่งเสริมจินตนาการไม่รู้จบ, ฟิตเนสที่เห็นวิว 360 องศา พร้อมด้วยเครื่องออกกำลังกายชั้นนำระดับโลกที่ครบครัน และพิเศษยิ่งกว่าสำหรับเครื่องออกกำลังกายที่ออกแบบมาสำหรับผู้ใช้รถเข็นโดยเฉพาะ ฯลฯ  จากความสำเร็จอันล้นหลามจากโครงการ เดอะ ไลน์ จตุจักร-หมอชิต รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมอื่นๆ ภายใต้แบรนด์ เดอะ ไลน์  ในเร็วๆ นี้ เตรียมพบกับการเปิดตัวโครงการ เดอะ ไลน์ สาทร โครงการคอนโดมิเนียมแบบไฮไรส์ล่าสุด ที่จะชูจุดเด่นทั้งในด้านสุดยอดทำเล 0 เมตรจาก รถไฟฟ้าสถานีสุรศักดิ์ และนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอีกเช่นเคย
ลักซ์ชัวรีคอนโดร้อนฉ่า ! CELES Asoke พรีเซลส์วันเดียวยอดขายทะลุ 80% เปิดจองอีกครั้ง 30 ก.ย. – 1 ต.ค. นี้

ลักซ์ชัวรีคอนโดร้อนฉ่า ! CELES Asoke พรีเซลส์วันเดียวยอดขายทะลุ 80% เปิดจองอีกครั้ง 30 ก.ย. – 1 ต.ค. นี้

  ลักซ์ชัวรีคอนโดร้อนฉ่า ! CELES Asoke พรีเซลส์วันเดียวยอดขายทะลุ 80% เปิดจองอีกครั้ง  30 ก.ย. – 1 ต.ค. นี้ ที่ The Celestial Gallery สำนักงานขายโครงการสี่แยกอโศก-สุขุมวิท พลาดไม่ได้อีกแล้ว พร้อมรับสิทธิพิเศษตกแต่งเฟอร์ฯ หรูให้ยกชุด สร้างเซอร์ไพรส์กันอีกครั้ง คอนโดหรู  CELES  Asoke กวาดยอดขายพรีเซลส์วันเดียว มูลค่ารวมกว่า  2,800 ล้านบาท   นับ เป็นโครงการใหม่ที่ปลุกตลาดคอนโดหรูให้คึกคักได้จริง  ทำให้ CBRE ต้องปรับกลยุทธ์การขายฉับพลันในวัน Pre-Sales  (เสาร์ 16 ก.ย.) เพราะมีลูกค้าบางส่วนเดินทางมารอคิวจองยูนิตตั้งแต่คืนวันศุกร์   เมื่อถึงเวลาจองจริงในวันเสาร์ จำนวนลูกค้ามีมาสมทบเพิ่มมากขึ้น   จากเดิมที่เตรียมเปิดขายยูนิตจำนวนครึ่งหนึ่งจากจำนวนยูนิตทั้งหมดของโครงการ   จึงตัดสินใจเปิดขายทั้งโครงการจำนวน 217 ยูนิตในวันเดียว นางสาวอลิวัสสา  พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี บี อาร์ อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โครงการ CELES  Asoke ได้สร้างปรากฏการณ์ยอดขายพรีเซลส์วันเดียวทะลุ 80%  จับกลุ่มเป้าหมายทั้งผู้ซื้อเพื่ออยู่เองและซื้อเพื่อการลงทุน   โดยปัจจัยสำคัญที่สร้างเซอร์ไพรส์ครั้งนี้มาจาก ทำเล  เพราะโครงการตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมากในเขต CBD  สี่แยกอโศก-สุขุมวิท  ปัจจัยถัดมาคือ สินค้า ดีไซน์หรู สเปคคุณภาพระดับไฮเอนด์    ปัจจัยที่สามคือ ราคา ทีคุ้มค่า และปัจจัยที่สี่  เงื่อนไขการผ่อนชำระเงิน   ทั้งหมดเป็น 4  ปัจจัยที่กระตุ้นความต้องการของตลาดให้เผยโฉมออกมาได้อย่างชัดเจน  ทั้งนี้  จากจำนวนลูกค้าที่จองยูนิตในวันพรีเซลส์ พบว่า สัดส่วนผู้ซื้อแบ่งเป็นคนไทย  87%  และต่างชาติ 13%  มี จีน  ฮ่องกง  สิงคโปร์ และญี่ปุ่น   โดยมากกว่า 70% มีวัตถุประสงค์ซื้อเพื่อการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว สำหรับยูนิตขายดีตามลำดับของโครงการ CELES Asoke คือ ยูนิตขนาด 1 ห้องนอน ตามมาด้วยยูนิต 2 ห้องนอน ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้ากลุ่มนักลงทุนมากโดย  73%  ของยอดจองยูนิตขนาด  2 ห้องนอนเป็นการซื้อเพื่อการลงทุน ชี้ชัดว่ากลุ่มลูกค้าที่ซื้อคอนโดหรูเพื่อปล่อยเช่า จะเริ่มมองหาความคุ้มค่ามากขึ้น ปัจจุบันจึงให้ความสนใจเลือกซื้อยูนิต 2 ห้องนอน  เพราะเป็นขนาดยูนิตที่ตลาดปล่อยเช่าในเขต CBD มีความต้องการสูง ที่สำคัญ อัตราปล่อยเช่าที่พักอาศัยในย่านอโศก – สุขุมวิท ถือว่าดีมากทั้งราคาและอัตราหมุนเวียน  สำหรับยูนิตใหญ่  2 -3 ห้องนอนดูเพล็กซ์ซึ่งมีเพียง 5 ยูนิต CBRE ก็สามารถปิดการขายได้ทั้งหมดในวันเดียวกัน อย่างไรก็ตาม  ยังคงมีเสียงตอบรับจากกลุ่มลูกค้าจำนวนมากหลังจบงานพรีเซลส์ CBRE และบริษัท ลัคกี้ ลิฟวิ่ง พร็อพเพอร์ตี้ส์ จำกัด เจ้าของโครงการ CELES Asoke จึงตอบสนองความต้องการของลูกค้าอีกครั้ง โดยจัดยูนิตสวยขนาด  1  ห้องนอน  และ  2 ห้องนอนให้รีบมาจองกันได้ในงาน CELES Asoke Show Suite Debut วันเสาร์ที่ 30 กันยายนและอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม นี้ ที่ The Celestial Gallery สำนักงานขายโครงการ บริเวณที่ตั้งโครงการสี่แยกอโศก-สุขุมวิท  ลูกค้าสามารถนัดเยี่ยมชมห้องตัวอย่างจัดเต็มความลักซ์ชัวรีพร้อมรับสิทธิโปรโมชั่นพิเศษเฟอร์นิเจอร์หรูตกแต่งครบชุด  โอกาสเดียวที่จะพลาดไม่ได้อีกแล้ว  ลงทะเบียนทันที www.celesasoke.com  สอบถามเพิ่มเติมโทร. 02 259 4444 
‘เอพี ไทยแลนด์’ สร้างยอดขายสูงสุดไตรมาส 3 – คว้าตำแหน่งเบอร์ 1 ในธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมายผู้นำ 3 อันดับแรกบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำในเมืองไทยอย่างมั่นคง

‘เอพี ไทยแลนด์’ สร้างยอดขายสูงสุดไตรมาส 3 – คว้าตำแหน่งเบอร์ 1 ในธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมายผู้นำ 3 อันดับแรกบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำในเมืองไทยอย่างมั่นคง

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง ผนึกกำลังพันธมิตรญี่ปุ่น มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MEC) เปิดตัว “LIFE อโศก - พระราม 9” คอนโดมิเนียมยิ่งใหญ่สุดอลังการส่งท้ายปี มูลค่าโครงการกว่า 9,000 ล้านบาท ภายใต้คอนเซปต์ “Live a Visionary Life – ออกแบบแนวคิดให้ชีวิตล้ำหน้า” ที่เอพีท้าทายทุกข้อจำกัดในการพัฒนา สู่การสร้างความแตกต่างให้กับตลาดคอนโดมิเนียมบนพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ย่านเชื่อมต่อ อโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 ด้วยการดีไซน์พื้นที่ส่วนกลางที่ครบและใหญ่ที่สุดกว่า 7.5 ไร่ และนวัตกรรมการออกแบบพื้นที่ภายในยูนิตรูปแบบใหม่ ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างไร้รอยต่อ ในราคาเริ่มต้น 2.45 ล้านบาท (เริ่มต้น 98,000 บาท ต่อ ตร.ม.) เตรียมเปิดขายครั้งแรกที่ AP-iBooking ผ่านเว็บไซต์ apthai.com ในวันพุธที่ 8 พฤศจิกายนนี้ และเปิดขายอย่างเป็นทางการ ณ สำนักงานขาย LIFE อโศก - พระราม 9 ในวันที่ 11-12 พฤศจิกายนนี้ โครงการคอนโดมิเนียม LIFE อโศก - พระราม 9 มูลค่าโครงการ 9,000 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 2.45 ล้านบาท (หรือเริ่มต้น 98,000 บาท ต่อ ตร.ม.) ขนาดพื้นที่กว่า 8 ไร่ ประกอบด้วย: อาคารคอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์จำนวน 1 อาคาร แบ่งเป็น 2 ทาวเวอร์ (ทาวเวอร์ A สูง 42 ชั้น และทาวเวอร์ B สูง 46 ชั้น) จำนวน 2,248 ยูนิต  มีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ (1) ห้องสตูดิโอ ขนาดพื้นที่ 25–27.5 ตร.ม. (2) ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 32 ตร.ม. (3) ห้องชุด 1 ห้องนอนแบบพิเศษ (One Bedroom Plus) ขนาดพื้นที่ 35 - 40 ตร.ม. และ (4) ห้องชุด 2 ห้องนอน (Two Bedrooms) ขนาดพื้นที่ 45-58 ตร.ม. นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “เอพีเข้าใจในความต้องการของลูกค้าและเทรนด์ที่อยู่อาศัยของคนเมืองอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าในย่านเชื่อมต่ออโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 ที่เอพีเป็นเจ้าตลาดคอนโดระดับราคากลาง-บนในย่านนี้คิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ของตลาดคอนโดในย่าน และเพื่อเป็นการสานต่อความ-เป็นผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง เราได้นำความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบนวัตกรรมพื้นที่ของเอพี ผสานความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ทั้งด้านสถาปัตยกรรม ออกแบบตกแต่งภายใน และแลนด์สเคปดีไซน์ เพื่อลงรายละเอียดตั้งแต่การวางรูปแบบอาคารที่โดดเด่น การดีไซน์พื้นที่ส่วนกลางรวมกว่า 7.5 ไร่ ใหญ่และครบที่สุดที่เคยมีมาของคอนโดมิเนียมในประเทศไทย ไปจนถึงการจัดวางผังยูนิต และการแบ่งสเปซภายในห้องรูปแบบใหม่ พร้อมการสนันสนุน ความสำเร็จในการใช้ชีวิตด้วยการผสานระบบโครงสร้างที่พร้อมเชื่อมต่อโลกดิจิตอลได้ทุกที่ทุกเวลารองรับการอยู่อาศัยแห่งอนาคต เพื่อให้มั่นใจว่า LIFE อโศก - พระราม 9 โครงการที่มีมูลค่าสูงสุดของเอพีในปีนี้ ด้วยมูลค่ากว่า 9,000 ล้านบาท ภายใต้คอนเซปต์ “Live a Visionary Life – ออกแบบแนวคิดให้ชีวิตล้ำหน้า” จะเป็นโครงการที่สร้างความแตกต่างและเป็นตัวเลือกอันดับแรกของผู้ที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมใหม่ บนทำเลใจกลางเมือง ในราคาที่สามารถจับต้องได้ เริ่มต้นที่ 2.45 ล้านบาท คุ้มค่าทั้งสำหรับการลงทุน และการอยู่อาศัย” “เราวางโพสิชั่นคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE ให้เป็น ‘Platform for Success’ มุ่งมั่นจะให้ LIFE เป็นคอนโดมิเนียมแห่งแรกและแห่งเดียวที่มอบความสะดวกสบายในการพักอาศัย และเชื่อมต่อกับผู้คนได้อย่างไร้ขีดจำกัด โดยที่ผ่านมาเอพีประสบความสำเร็จจากการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ LIFE มิติใหม่ ไปแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ LIFE ลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 7,600 ล้านบาท และ LIFE วัน ไวร์เลส มูลค่าโครงการ 7,500 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้รับการตอบรับที่ดีจนสามารถสร้างยอดขายรวมกว่า 83% เนื่องจากทำเลที่ตั้งที่โดดเด่นใจกลางเมือง ความสะดวกในการเดินทาง และความสบายในการอยู่อาศัย  เราจึงแข่งกับตนเองเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในชีวิตยุคดิจิตอลของคนรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นสู่ความสำเร็จอย่างดีที่สุด” นายวิทการกล่าว “จุดเด่นของ LIFE อโศก - พระราม 9 คือ นวัตกรรมพื้นที่ที่เอพีพัฒนาเลเอ้าท์ใหม่ภายใต้แนวคิด Interlock จากการเฝ้าสังเกตและศึกษาพฤติกรรมการอยู่อาศัยและการใช้งานจริงของลูกค้าในย่านนี้ โดยการจัดวางผังยูนิตและสเปซภายในแบบใหม่ ระหว่างห้อง Studio (27.5 ตร.ม.) และ One Bedroom Plus (35 ตร.ม.)  เพิ่มความคุ้มค่าและพื้นที่ใช้สอยที่ลงตัวมากยิ่งขึ้น ห้อง Studio ถูกปรับให้มีหน้ากว้าง 5 เมตร (โดยทั่วไปจะมีขนาด 3.4 เมตร) ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้พื้นที่ที่เป็นสัดส่วน และความรู้สึกปลอดโปร่งสบายจากส่วนที่เปิดรับวิวที่มากขึ้น และความพิเศษของ ห้อง One Bedroom Plus คือ มีหน้ากว้าง 7 เมตร (จากทั่วไป 5.3 เมตร) เพิ่มความเป็นสัดส่วนของฟังก์ชั่นการใช้งาน พื้นที่พิเศษปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์และห้องครัวแบบปิด ซึ่งเราออกแบบและบริหารพื้นที่ใหม่ทั้งหมด ทุกตารางเมตรเน้นที่ประโยชน์การใช้งานสูงสุดของผู้อยู่อาศัย จากการพัฒนาเลย์เอ้าท์ห้องใหม่ในครั้งนี้ เรามั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั้งลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ” นายวิทการกล่าวเสริม “ความโดดเด่นอีกประการของโครงการ LIFE อโศก - พระราม 9 คือ เป็นโครงการที่มีพื้นที่ส่วนกลางใหญ่ที่สุดกว่า 7.5 ไร่ โดยเป็นพื้นที่ส่วนกลางบนชั้น Rooftop กว่า 1.5 ไร่ ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมาตรฐานสากล อาทิ ‘Elite Fitness’ ฟิตเนสที่ถูกดีไซน์ให้เป็น 2 ชั้น 5 โซนบน Rooftop ซึ่งเอพีเป็นรายแรกในวงการอสังหาฯ ที่เปลี่ยนวิธีคิดจัดโซนฟิตเนส โดยได้ร่วมกับ ผู้เชี่ยวชาญในด้านการออกกำลังกายมาเป็นที่ปรึกษาในการออกแบบพื้นที่ฟิตเนสแห่งนี้ เพื่อให้สอดรับกับการใช้งานของผู้ใช้จริง พร้อมสระว่ายน้ำ 3 สระ บนชั้น 42 (rooftop) และชั้น 45 (rooftop) ซึ่งแบ่งเป็น 2 โซน  แบบ Active Pool และ Scenic Glass Pool โดยเอพีเป็นเจ้าแรกในประเทศไทยสร้างความโดดเด่นกับการออกแบบ คือ มีส่วนพิเศษสำหรับผู้ที่ชอบว่ายน้ำเพื่อออกกำลังกาย และส่วนแยกต่างหากสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการว่ายน้ำเพื่อผ่อนคลายพร้อมชมวิวเมือง” นายวิทการกล่าว “นอกจากนี้ LIFE อโศก - พระราม 9 เราใช้แนวคิดการออกแบบจากภายในออกสู่ภายนอกในทุกพื้นที่ของโครงการ เริ่มตั้งแต่การจัดวางผังอาคารในลักษณะบิดออกจากกันแยกเป็น 2 ทาวเวอร์เพื่อเฟรมมุมมองการมองเห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ทั้ง 2 ฝั่ง คือมักกะสัน และพระราม 9 ให้กว้างมากขึ้น ตั้งแต่ทางเข้าโครงการ พื้นที่ส่วนกลาง และภายในห้องชุด เรามั่นใจว่าทุกๆ พื้นที่ของ LIFE อโศก - พระราม 9 เน้นประโยชน์การใช้งาน เพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดีสูงสุดให้ผู้อยู่อาศัย และมีองศาเปิดรับวิวที่ดีที่สุด โดยครั้งนี้เอพีตั้งเป้าโกยยอดขายในช่วงพรีเซลมากกว่า 50% หรือคิดเป็นกว่า 4,500 ล้านบาท” นายวิทการกล่าวสรุป “สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดในย่านพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างอโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 พบดีมานด์ที่มองหาคอนโดมิเนียมใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจำนวนคนทำงานบริษัทสัญชาติไทยและกลุ่มทุนต่างชาติ ที่กำลังจะย้ายเข้ามาอย่างเต็มรูปแบบใน 6 ออฟฟิศเกรดเอบนย่านศูนย์กลางย่านธุรกิจแห่งใหม่นี้ คาดการณ์ประมาณ 78,837 คนในปี 2563 ส่งผลให้ซัพพลายคอนโดมิเนียมคงเหลือขาย ณ ปัจจุบัน พบเพียง 1,198 ยูนิต หรือคิดเป็น 17% ของจำนวนยูนิตที่เปิดตัวทั้งหมด ซึ่งเป็นคอนโดกลุ่มไฮเอ็นท์ราคาต่อตารางเมตรประมาณแสนต้นๆ คงเหลือเพียง 109 ยูนิตเท่านั้น นอกจากนี้ อัตราการเข้าอยู่และผลตอบแทน (Yeild)  ของคอนโดพร้อมอยู่ในย่านมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในเครือเอพี อาทิ  RHYTHM อโศก หรือ ASPIRE พระราม 9 ที่พบอัตราการเข้าอยู่เฉลี่ยกว่า 85% ทุกโครงการ แบ่งสัดส่วนเป็นผู้ซื้ออยู่เอง 75% และปล่อยเช่า 25% โดยเป็นผู้เช่าชาวเอเชีย อาทิ ไต้หวัน ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ และญี่ปุ่น และราคาปล่อยเช่าในทำเลเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 22,000 – 53,000 บาทต่อเดือน ขณะที่ผลตอบแทนการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 7 - 8%  ต่อปี ซึ่งนับว่าราคาคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ยังเหมาะสมในการซื้อเพื่อการลงทุน ดังนั้น จึงมั่The ADDRESS อโศกนใจว่า LIFE อโศก -พระราม 9 จะได้รับการตอบรับที่ดีจากดีมานด์ในตลาด ด้วยโลเคชั่นใจกลางเมือง เพียง 300 เมตรจาก MRT พระราม 9 โดยเฉพาะในปีนี้ยังไม่มีคอนโดเปิดใหม่ในย่านที่เสนอราคาขายที่เริ่มต้นไม่ถึงแสน โดยเอพีจะนำความเชี่ยวชาญในการดีไซน์สเปซ เพื่อรังสรรค์ให้ LIFE อโศก – พระราม 9 แตกต่างและเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งและดีที่สุดสำหรับผู้ที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมใหม่ บนทำเลใจกลางเมืองในราคาที่สามารถจับต้องได้ เริ่มต้นที่ 2.45 ล้านบาท (หรือเริ่มต้น 98,000 บาท ต่อ ตร.ม.)” นายวิทการกล่าวเพิ่มเติม ปัจจุบัน (ณ วันที่ 15 กันยายน 2560) เอพีมีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Ongoing Projects) จำนวน 15 โครงการ มูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 11,530 ล้านบาท และเป็นโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนระหว่างเอพีและ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MEC) 10 โครงการ มูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 4,340 ล้านบาท  ในส่วนของผลการดำเนินงานของเอพีเฉพาะจากกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม สามารถสร้างยอดขายรวมกว่า 16,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 98% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมากกว่าเป้าหมายยอดขายเฉพาะสินค้าแนวสูงกว่า 31% (เป้าหมายยอดขายแนวสูงปี 2560 มูลค่า 12,400 ล้านบาท) และมั่นใจว่าการเปิดตัวคอนโดมิเนียม LIFE อโศก - พระราม 9 (มูลค่าโครงการประมาณ 9,000 ล้านบาท) จะสามารถโกยยอดขายในช่วงพรีเซลมากกว่า 50% หรือคิดเป็นกว่า 4,500 ล้านบาทอย่างแน่นอน
เปิดตัวคอนโดใหม่ย่านแบริ่ง นิช โมโน สุขุทวิท-แบริ่ง ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยจัด Presale 30 กันยา 1 ตุลานี้พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษภายในงาน

เปิดตัวคอนโดใหม่ย่านแบริ่ง นิช โมโน สุขุทวิท-แบริ่ง ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยจัด Presale 30 กันยา 1 ตุลานี้พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษภายในงาน

เตรียมพบกับโครงการคอนโด High Rise ใหม่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าแบริ่ง นิช โมโน สุขุมวิท-แบริ่ง บนทำเลถนนสุขุมวิทตอนปลาย โดยทางบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด มหาชน ร่วมมือกับบริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด จัดงาน Pre-Sale คอนโดแนวคิดใหม่ที่นำ GEO Fit+ นวัตกรรมจากญี่ปุ่นมาออกแบบฟังก์ชั่นห้องชุดในโครงการ และ SENA Solar Station ซึ่งช่วยลดค่าส่วนกลางด้วย Solar Cell ผลิตกระแสไฟฟ้า  เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้พักอาศัยและคุณภาพชีวิต ทั้งนี้ยังเอาใจคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพให้ได้ชาร์จพลังชีวิตจากความวุ่นวายในเมือง ภายใต้คอนเซ็ป”Life Charger” ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิเช่น ห้องออกกำลังกายขนาดใหญ่ 250 ตร.ม., สระว่ายน้ำแบบ Infinity Edge ระบบเกลือ ความยาว 88 เมตร, Jogging Track, Boxing Room, Yoga Room และ Co-Working Space ที่มองเห็นวิวเมือง 270 องศาแบบ Panorama สำหรับท่านที่สนใจสามารถสอบข้อมูลและเข้าชมห้องตัวอย่างได้ที่ Sale Gallary พบโปรโมชั่นพิเศษ รับส่วนลดทันที 50,000 บาท และลุ้นจับรางวัลห้องราคาพิเศษ เฉพาะภายในงาน Pre-Sale 30 กันยา ถึง 1 ตุลานี้
ศักยภาพทำเล “LUMPINI PARK พหลฯ 32”

ศักยภาพทำเล “LUMPINI PARK พหลฯ 32”

ส่องทำเลทอง น้องใหม่ สุดฮอต ห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดระดับบน (หรือ 3 ล้านบาทขึ้นไป) ที่เรียกได้ว่าเปิดมาเท่าไหร่ก็ขายได้ และทำเลหนึ่งที่เป็นกระแสร้อนแรงอย่างมากในขณะนี้คือ ทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ จากการสำรวจข้อมูลของสำนักวิจัย LPN เผยถึงภาพรวมตลาดในทำเลนี้มีคอนโดมิเนียมขาย 19 โครงการ ประมาณ 7,000 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 90,000 บาท/ตารางเมตร มียอดขายไปแล้วกว่า 90% เมื่อพิจารณาโครงการใหม่ปีที่เปิดตัวปี 60 มี 12 โครงการ 4,600 ยูนิต มียอดขายไปแล้วกว่า 65% เป็นทำเลที่มีการเปิดโครงการใหม่มากเป็นอันดับต้นๆ และยังมีแนวโน้มว่าจะมีโครงการใหม่เปิดตัวเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ประมาณ 2,000 ยูนิต ส่งผลให้ทำเลนี้ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการเองมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ต่างก็ดึงจุดแข็งของตนเองมาสร้างจุดขายให้กับโครงการ ในทางกลับกันก็ถือเป็นโอกาสทองของผู้บริโภคเช่นเดียวกัน ทั้งนี้การก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย(หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ที่ก่อสร้างไปแล้วกว่า 40% ซึ่งมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น ในขณะเดียวกันราคาที่ดินก็สูงปรับตัวขึ้นมาก โดยเฉพาะแปลงที่ดินติดถนนพหลโยธิน ช่วงห้าแยกลาดพร้าว-แยกรัชโยธิน 650,000-950,000 บาท/ตารางวา ช่วงแยกรัชโยธิน-แยกเกษตร 500,000-750,000 บาท/ตารางวาซึ่งจะส่งผลต่อราคาขายคอนโดมิเนียมสูงมากขึ้นตามไปด้วย ล่าสุดราคาพุ่งขึ้นสูงถึง 140,000-150,000 บาท/ตารางเมตรเรียบร้อยแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ตั้งใกล้สถานีรถไฟฟ้ามีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมาก และด้วยทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ มีความครบถ้วนไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมากมาย ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต โดยมีสถานที่สำคัญต่างๆ ทั้งห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย อาคารสำนักงาน และแหล่ง Hang Out อีกจำนวนมาก เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ทำเลนี้มีศักยภาพสูงมากขึ้น ยกตัวอย่างสถานที่สำคัญ ดังเช่น ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ Central ลาดพร้าว, Union Mall, Avenue รัชโยธิน และ Major รัชโยธิน มหาวิทยาลัยชื่อดัง ม.เกษตรศาสตร์, ม.ราชภัฏจันทรเกษม และม.ศรีปทุม เป็นต้น อาคารสำนักงานมากมายซึ่งเป็นแหล่งงานสำคัญของทำเลนี้ เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ หรือ SCB PARK การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสำนักงานใหญ่ กรมป่าไม้ การทางพิเศษฯ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น สำหรับแหล่ง Hang Out สำคัญของคนรุ่นใหม่ในย่านนี้จะตั้งอยู่บริเวณ Major รัชโยธิน และในซอยพหลโยธินซอย 32 หรือ ซอยเสนานิคม 1 เช่น Wine Society, ร้านเสวนาพาเพลิน, ร้านMeeting Point, ร้าน Café To All, ร้านJim Burger, ร้านTreat Café และอื่นๆอีกมากมาย ในอนาคตคาดว่าทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ จะกลายเป็นทำเลทองสุดฮอตเหมาะสำหรับสำหรับการอยู่อาศัย ที่มีความสะดวกสบายทั้งด้านการคมนาคมขนส่ง ด้านสาธารณูปโภค และสาธารณูปการต่างๆ และนอกจากนี้ยังมีแปลงที่ดินรอการพัฒนาที่หลายแปลง เช่น แปลงที่ดินบางกอกโดม 48 ไร่ ที่เป็นการร่วมทุนกันของผู้ประกอบการรายใหญ่คาดว่าจะพัฒนาเป็นโครงการ Mix-Use ขนาดใหญ่ และแปลงสวนสนุกแดนเนรมิตเดิมที่ยังคงรออยู่ว่าผู้ประกอบการรายใดจะคว้าที่ดินผืนนี้ไปพัฒนา ซึ่งหากที่ดิน 2 แปลงนี้พัฒนาสมบูรณ์แบบจะช่วยเพิ่มศักยภาพของทำเลนี้ให้ดีมากขึ้นอีกต่อไปในอนาคต  
พลัส พร็อพเพอร์ตี้เผยคอนโดโซนทองหล่อ-เอกมัยแรงไม่หยุดคอนโดใหม่ราคาเพิ่มกว่า 150% ส่วนราคาขายต่อขยับแรง 80%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้เผยคอนโดโซนทองหล่อ-เอกมัยแรงไม่หยุดคอนโดใหม่ราคาเพิ่มกว่า 150% ส่วนราคาขายต่อขยับแรง 80%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยทิศทางอสังหาริมทรัพย์โซนทองหล่อ-เอกมัยร้อนแรงต่อเนื่อง เหตุเป็นทำเลทองครบครันทั้งความสะดวกด้านคมนาคมและตอบโจทย์การอยู่อาศัยรอบด้าน ส่งผลราคาที่ดินแตะ 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา หนุนราคาคอนโดมิเนียมเติบโตโดดเด่น พบคอนโดมิเนียมแนวไฮไรซ์ทำเลสุขุมวิท 55 พุ่งสูงสุดกว่า 150%  ขณะที่ราคาขายต่อ (รีเซล) ไปได้สวยพบย้อนหลัง 5 ปี โตเฉลี่ย 80%  นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวถึงผลสำรวจภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ทำเลทองหล่อ – เอกมัย พบว่าแม้จะมีราคาขยับขึ้นไปค่อนข้างสูง แต่ยังคงได้รับความสนใจจากผู้อยู่อาศัยทั้งชาวไทยและต่างชาติ เนื่องจากเป็นทำเลที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน จึงยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่ดึงดูดผู้คนอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นย่านอยู่อาศัยหนาแน่นในอนาคต สำหรับบริเวณสถานี BTS ทองหล่อ – เอกมัย  แบ่งพื้นที่ย่อยเป็น 3 โซนด้วยกันคือซอยทองหล่อ (สุขุมวิท 55), สุขุมวิท 36 – 38 และซอยเอกมัย (สุขุมวิท 63) ซึ่งในแต่ละโซนมีระดับราคาและความนิยมต่างกันไป ทั้งนี้ จากผลการวิจัยของพลัสฯ พบว่าคอนโดมิเนียมเป็นที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมในย่านทองหล่อ – เอกมัย มีราคาปรับสูงขึ้นทั้งแบบไฮไรซ์และโลว์ไรซ์ ซึ่งประเภทไฮไรซ์ราคาปรับขึ้นไปมากที่สุด พบในซอยทองหล่อ  (สุขุมวิท 55) มีโครงการที่เปิดตัวในปี 2556 จำนวน 550 ยูนิตสามารถปิดการขายได้ทั้งหมด ซึ่งเทรนด์ของอุปทานใหม่ที่เข้าสู่ตลาดส่วนใหญ่เป็นโครงการ High End โดยในช่วงครึ่งปีแรก อุปสงค์ให้การตอบรับดีมียอดขาย 74% ราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์บริเวณสุขุมวิท 55 จากปี 2556 ถึงช่วงครึ่งปีแรก 2560  มีราคาเปิดตัวโครงการใหม่ก้าวกระโดดถึง 159% เนื่องจากที่ดินในการพัฒนาจำกัด จึงทำให้มีการพัฒนาเป็นโครงการระดับ High End ที่เปิดขายในปี 2559 อาทิ KHUN by yoo และ The Bangkok  ทองหล่อ ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยโครงการใหม่สูงขึ้นถึง 325,000 บาทต่อตารางเมตร เมื่อเทียบกับราคาโครงการที่เปิดในปี 2556 ซึ่งมีราคาเฉลี่ยเพียง 125,000 บาทต่อตารางเมตร สำหรับ ซอยสุขุมวิท 36-38  ปัจจุบันราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์เปิดตัวอยู่ที่ 200,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งราคาขายเพิ่มขึ้น 50% ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งใกล้เคียงกับโครงการโลว์ไรซ์ที่ราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้น 65% จากโครงการใหม่ที่เข้าสู่ตลาด อุปสงค์ให้การตอบรับดีมียอดขาย 80-90% ภาพรวมราคาขายเฉลี่ยทั้งโครงการไฮไรซ์และโลว์ไรซ์มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอีกในอนาคต ขณะที่ ทำเลเอกมัย พบว่า ราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์ มีแนวโน้มเติบโตในช่วง 5 ปี จากราคาเฉลี่ย 100,000 บาทต่อตารางเมตร มาอยู่ที่ 175,000บาทต่อตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นถึง 75%  ทั้งนี้ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบอุปทานคอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์มากขึ้นเพราะได้รับอานิสงค์จากทองหล่อที่พื้นที่เริ่มหนาแน่น ราคาขยับสูงขึ้นทำให้มีการพัฒนาโครงการในเอกมัยมากขึ้น โดยอุปสงค์ให้การตอบรับกว่า 80% หรือคิดเป็นอัตราดูดซับ 21 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ทั้งนี้ช่วงครึ่งปีแรก 2017 มีอุปทานในตลาดเพิ่มมากขึ้น รวมจำนวน 701 ยูนิต และอุปสงค์ให้การตอบรับดี โดยมียอดขาย 89% ส่วนครึ่งปีหลังมีการตอบรับดีเช่นกัน เห็นได้จากโครงการ taka HAUS ที่เพิ่งเปิดขายไปเมื่อวันที่ 16 – 17 กันยายน โดยสามารถทำยอดขายถึง 85% หากพิจารณาในส่วนของราคาขายต่อ (รีเซล) ของคอนโดมิเนียมย่านทองหล่อและเอกมัยยังเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ (ข้อมูลตามตารางด้านล่าง) “ที่ดินทำเลทองหล่อมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 40% ในช่วง 5 ปี จากราคา 1 ล้านบาทต่อตารางวามาอยู่ที่ 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา เช่นเดียวกับราคาที่ดินในทำเลเอกมัยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 33.3% จากราคา 750,000 บาทต่อตารางวา มาอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อตารางวา ส่งผลให้ปัจจุบันทำเลศักยภาพย่านทองหล่อและเอกมัยเหลือพื้นที่เปล่าให้พัฒนาไม่มากนักส่วนใหญ่ถูกพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน คอมมูนิตี้มอลล์และร้านค้าต่างๆ และหากพิจาณาในส่วนของที่อยู่อาศัย พบว่าช่วง 3 ปีข้างหน้า (2561-2563) ทำเลทองหล่อ-เอกมัย จะมีโครงการสร้างเสร็จไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ (3,500 ยูนิต) ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่นิยมและมีผู้อยู่อาศัยค่อนข้างหนาแน่นและเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะ ชาวญี่ปุ่น สิงค์โปร์ และฮ่องกง  โดยโครงการใหม่พบว่ามีมีการพัฒนารูปแบบ 2 ห้องนอนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2559 ถึงครึ่งปีแรกของ 2560  สัดส่วนห้องขนาดใหญ่ตั้งแต่ 2 ห้องนอนขึ้นไปมีสัดส่วนประมาณ 50% ของห้องทุกรูปแบบ จากเดิมที่รูปแบบ 1 ห้องนอนเป็นกลุ่มหลักของตลาด สะท้อนให้ว่าในพื้นที่นี้มีดีมานด์ที่เป็นชาวต่างชาติเข้ามารองรับอุปทานห้องขนาดใหญ่ได้ดี โดยทำเลทองหล่อมีผู้เช่าชาวต่างชาติถึง 87% และเอกมัย 66%” นายอนุกูล กล่าวสรุป
พร็อพทูมอร์โรว์ ผนึกภาครัฐ-เอกชนจัดงานเสวนา “กรุงเทพจตุรทิศ” เรื่อง “Bangkok’s New Landmark แนวโน้มกรุงเทพเมืองใหม่จากแลนด์มาร์คใหม่”

พร็อพทูมอร์โรว์ ผนึกภาครัฐ-เอกชนจัดงานเสวนา “กรุงเทพจตุรทิศ” เรื่อง “Bangkok’s New Landmark แนวโน้มกรุงเทพเมืองใหม่จากแลนด์มาร์คใหม่”

เมื่อเร็วๆนี้ บริษัท พร็อพทูมอร์โรว์ จำกัด เจ้าของเว็บไซต์ www.prop2morrow.com เว็บสื่ออสังหาฯรูปแบบใหม่เครือ ทูมอร์โรว์ กรุ๊ป ได้จัดเสวนาประจำปี 2560 กรุงเทพจตุรทิศ เรื่อง “Bangkok’s New Landmark แนวโน้มกรุงเทพเมืองใหม่จากแลนด์มาร์คใหม่” โดยได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่างๆ ทั้ง หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานวิจัย ผู้ประกอบการภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องมาร่วมงานเสวนาในครั้งนี้ บรรยายใต้ภาพ (จากขวาไปซ้าย ) นายสุธาทร สุทธิสนธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพทูมอร์โรว์ จำกัด นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด นายอนุชา กุลวิสุทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ นางสาวก่องกนก เมนะรุจิ นักวิเคราะห์นโยบายแผนและชำนาญการพิเศษหัวหน้ากลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการขนส่งทางรางสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร หรือ สนข. นายอิสระ บุญยัง นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร