Tag : News

2376 ผลลัพธ์
‘เอพี ไทยแลนด์’ แจงผลประกอบการครึ่งปีแรก เติบโตอย่างมั่นคง สร้างรายได้รวมสูงกว่า 10,500 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิกว่า 1,100 ล้านบาท เตรียมเปิดตัว 18 โครงการใหม่มูลค่า 28,750 ล้านบาท

‘เอพี ไทยแลนด์’ แจงผลประกอบการครึ่งปีแรก เติบโตอย่างมั่นคง สร้างรายได้รวมสูงกว่า 10,500 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิกว่า 1,100 ล้านบาท เตรียมเปิดตัว 18 โครงการใหม่มูลค่า 28,750 ล้านบาท

 เอพีประกาศผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2560 เติบโตอย่างมั่นคง ยิ้มรับผลความสำเร็จใน 4 โครงการร่วมทุนที่เริ่มทะยอยโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกมีรายได้รวมมากถึง 10,593 ล้านบาท  โตขึ้นกว่า 23% หากเทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อนหน้า ด้านกำไรสุทธิโตขึ้น 18% หรือเท่ากับ 1,157 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าลุยเปิดพรีเซล 18 โครงการใหม่ ครั้งแรกกับการเปิดตัวโครงการแนวราบพร้อมกันมากสุด ด้วย 10 ทาวน์โฮมแบรนด์ บ้านกลางเมือง - พลีโน่ เริ่ม 1.69 – 8.99 ล้านบาท และ 7 บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่แบรนด์ เดอะ ซิตี้ - เซนโทร เริ่ม 9.8 - 35 ล้านบาท และ 1 คอนโดใหม่ ไลฟ์ อโศก-พระราม 9 เริ่ม 110,000 บาทต่อตารางเมตร นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า จากกลยุทธ์ "คิดและสร้างความแตกต่าง” (AP THINK DIFFERENT) ที่เน้นย้ำจุดแข็งของเอพีในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ โดดเด่นด้วยดีไซน์และการจัดสรรพื้นที่ใช้สอย ตลอดจนการประสบความสำเร็จในคอนโดมิเนียมร่วมทุนกับทางกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท ซึ่งในปีนี้ถือเป็นปีแรกที่คอนโดมิเนียมร่วมทุนก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้มากถึง 4 โครงการ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมสูงถึง 10,593 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่รวมผลการดำเนินงานจากคอนโดมิเนียมร่วมทุนในสัดส่วน 51% กับทางกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท โดยแบ่งเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 1 เท่ากับ 5,129 ล้านบาท และไตรมาส 2 เท่ากับ 5,464 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2559 ถึง 23% ด้านกำไรสุทธิครึ่งปีแรกเท่ากับ 1,157 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% หากเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2559 ที่มีกำไรเท่ากับ 981 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิในครึ่งปีแรกนี้แบ่งเป็นเกิดในช่วงไตรมาส 2 เท่ากับ 608 ล้านบาท และไตรมาส 1 เท่ากับ 549 ล้านบาท ทั้งนี้ความคืบหน้าทางด้านยอดขายครึ่งปีแรกบริษัทฯ สามารถสร้าง ยอดขายรวมได้มากเป็นอันดับที่ 2 ของธุรกิจหรือเท่ากับ 15,000 ล้านบาท แต่หากรวมยอดขายจากโครงการใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดพรีเซลไปเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้กับโครงการ LIFE ONE WIRELESS (ไลฟ์ วัน ไวร์เลส) ตลอดจนโครงการอื่นๆ ส่งผลให้บริษัทฯ มียอดขายรวม 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) มากถึง  23,300 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 76.9% คิดเป็น 89.5% ของเป้าหมายยอดขายรวม 26,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้ในปีนี้ สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง (5 เดือน ส.ค.-ธ.ค.) บริษัทฯ พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่อีกจำนวน 18 โครงการ มูลค่ารวม 28,750 ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบมากถึง 17 โครงการ มูลค่า 19,750 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 7 โครงการ และทาวน์โฮม 10 โครงการ และคอนโดมิเนียมร่วมทุน  1 โครงการ LIFE อโศก-พระราม 9 มูลค่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดจะพร้อมเปิดพรีเซลระหว่างช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าในช่วงเวลาที่เหลือพร้อมกับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง (5 เดือน ส.ค.-ธ.ค.) จะสามารถสร้างยอดขายได้เกินเป้าที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน ภาพรวมการร่วมทุนกับทางกลุ่มมิติซูบิชิ เอสเตล หนึ่งในผู้นำการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรในประเทศญี่ปุ่น ตลอดที่ผ่านมา (เริ่มร่วมทุนปี 2014) ได้ดำเนินพัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมกันทั้งสิ้น 10 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 41,000 ล้านบาท สร้างยอดขายรวมได้มากถึง 80% และ 4 ใน 10 โครงการร่วมทุนได้แก่ RHYTHM สุขุมวิท 36-38, Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง RHYTHM อโศก 2 และ Aspire สาทร-ท่าพระ ก่อสร้างแล้วเสร็จเริ่มส่งมอบแล้วตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ในช่วงครึ่งปีหลัง 5 เดือนที่เหลือ (ส.ค.-ธ.ค.) นี้บริษัทฯ เตรียมจัดงานเปิดตัว 17 โครงการแนวราบ ณ สำนักงานขายของทุกโครงการ โดยทั้ง 17 โครงการล้วนมีความพิเศษในเรื่องของนวัตกรรมดีไซน์ที่ได้รับพัฒนาขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าในแต่ละทำเล โดยวันที่ 19-20 สิงหาคมนี้กับงาน THE PHENOMENAL 10 กับครั้งแรกในการเปิดตัว 10 ทาวน์โฮมใหม่ใจกลางเมืองแบรนด์ “บ้านกลางเมือง และพลีโน่” พร้อมกัน พบราคาพรีเซลพร้อมข้อเสนอทางการเงินจ่ายน้อย คืน 100% และรับส่วนลดเพิ่ม 100,000 บาทเมื่อลงทะเบียนล่วงหน้า ได้แก่ (1) บ้านกลางเมือง สาทร-สุขสวัสดิ์ (2) บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว-เสรีไทย (3) บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-พระราม 5  (4) บ้านกลางเมือง รามอินทรา-วัชรพล (5) พลีโน่ ราชพฤกษ์ (6) พลีโน่ ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ (7) พลีโน่ พหลโยธิน-รังสิต (8) พลีโน่ สุขุมวิท-บางนา (9) พลีโน่ รามอินทรา-วงแหวน และ (10) พลีโน่ พหลโยธิน-วัชรพล เริ่ม 1.69-8.99 ล้านบาท พร้อมงานพรีเซลเปิดตัว 7 บ้านเดี่ยวโมเดลใหม่ ในวันที่ 29-1 ตุลาคมนี้ ประกอบด้วยแบรนด์ THE CITY บ้านเดี่ยวเพื่อครอบครัวที่สมบูรณ์แบบกับ 4 พิกัดใหม่ (1) THE CITY พัฒนาการ (2) THE CITY บางนา-กม.7 (3) THE CITY สาทร-สุขสวัสดิ์ (4) THE CITY ปิ่นเกล้า - บรมฯ ราคาเริ่ม 9.8-35 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวแบรนด์ CENTRO สำหรับครอบครัวคนรุ่นใหม่กับ 3 พิกัดใหม่ (5) CENTRO บางนา-กม.7 (6) CENTRO พหล-วิภาวดี (7) CENTRO รามอินทรา-จตุโชติ เริ่ม 4.99-15 ล้านบาท พิเศษลงทะเบียนและจองในงานพรีเซลรับ Iphone 8 และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย สำหรับคอนโดมิเนียม LIFE อโศก-พระราม 9 บริษัทฯ พร้อมเปิดพรีเซลในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้เช่นกัน ทั้งนี้ ณ ปัจจุบัน (31 กรกฎาคม) บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ามากถึง 34,500 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่า 3,820 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 30,680 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2564
4 คอนโดติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง-สีน้ำเงิน ไม่เกิน 3 ล้าน

4 คอนโดติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง-สีน้ำเงิน ไม่เกิน 3 ล้าน

ปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ๆ มากมาย เหตุผลหลักที่หลายคนเลือกอยู่คอนโดฯ ก็คงหนีไม่พ้นความสะดวกสบายโดยเฉพาะเรื่องการเดินทาง ด้วยทำเลที่ตั้งส่วนใหญ่มักอยู่ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนและรถไฟฟ้าหลากหลายสาย แต่คอนโดฯ ที่แวดล้อมด้วยความสะดวกสบายเช่นนั้นราคาก็มักจะสูงลิ่ว เห็นราคาแล้วก็ถอดใจสู้ไม่ไหวใช่ไหมคะ พวกเราทีมงาน Review Your Living เข้าใจดีค่ะ วันนี้เราจึงรวบรวมรีวิวคอนโดติดรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสีน้ำเงิน (บางซื่อ - เตาปูน) ที่จะเชื่อมต่อกันในเดือนสิงหาคม 2560 นี้ โดยไม่ต้องต่อรถให้ยุ่งยากเสียเวลา เพื่อเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจค่ะ บอกเลยว่านอกจากการเดินทางสะดวกสบายไม่แพ้คอนโดฯ กลางเมืองแล้ว ราคายังโดนใจประหยัดเงินได้อีกด้วย 1. The Politan Aqua  คอนโดมิเนียมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาจากบริษัท Everland ที่ตอบรับทุกการใช้ชีวิตอย่างพิถีพิถันด้วยแนวคิดใหม่แบบ High-rise โดยมีจุดเริ่มต้นแนวคิดมาจากการสร้างสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกอาคารให้เอื้อต่อการอยู่อาศัยที่ดี ที่สำคัญคือตั้งอยู่บนทำเลคุณภาพ แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติและสายน้ำ ใจกลางความสะดวกในการเดินทางเข้าออก เชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีสะพานพระนั่งเกล้า) และถนนหลักหลายสาย มีสาธารณูปโภคต่างๆ รายรอบมากมาย ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.29 ล้านบาท อ่านรีวิวได้ที่ : https://goo.gl/c2Rjsq   2. Aspire Rattanatibet 2  อีกหนึ่งคอนโดฯ ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้กับ Aspire รัตนาธิเบศร์ 2 โครงการที่พักอาศัยคุณภาพ 25 ชั้น จาก AP ในทำเลที่ตั้งน่าสนใจ อยู่ห่างจากสถานีบางกระสอเพียง 200 เมตร ใกล้จุดขึ้น - ลงทางด่วนศรีรัช พร้อมยกระดับความปลอดภัยด้วยอาคารจอดรถเป็นสัดส่วนแยกจากอาคารที่พักอาศัย นอกจากนี้ยังตกแต่งให้บรรยากาศสไตล์รีสอร์ท ร่มรื่นด้วยสวนกลางขนาดใหญ่ ครบครันด้วย Fitness สระว่ายน้ำ ลานสันทนาการกลางแจ้ง ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท อ่านรีวิวได้ที่ : https://goo.gl/iJ7CEs 3. Notting Hill Skyscraper Central Rattanathibet คอนโดมิเนียม High Rise ของออริจิ้น พร๊อพเพอร์ตี้ ที่จะมาเป็นแลนด์มาร์คใหม่บนถนนรัตนาธิเบศร์ ด้วยการสร้างมาตรฐานใหม่ในรูปแบบตัวอาคารทรง Y-Shape สีเบอร์กันดี ดูโดดเด่นสะดุดตาจากการออกแบบร่วมกับ บริษัท อะตอม ดีไซน์ และยังชูจุดเด่นตั้งแต่ทำเลติดถนนใหญ่ คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีแยกนนทบุรี) เพียง 250 เมตร ที่สำคัญคือสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการจัดเต็มมาก ภายในห้องทุกยูนิตเป็นแบบ Fully Furnished มีเพดานสูงถึง 3 เมตร ออกแบบให้ดูโปร่งโล่งสบาย ในราคาเริ่มต้นที่ 1.5 ล้านบาทค่ะ อ่านรีวิวได้ที่ : https://goo.gl/WDLXdA   4. Ideo Mobi Wong Sawang Interchange เอาใจคนไลฟ์สไตล์เก๋ๆ กับคอนโดติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีบางซ่อน) เพียง 10 เมตร กับโครงการ Ideo Mobi วงศ์สว่าง อินเตอร์เซนจ์ ของ อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ กับคอนโดมิเนียม High Rise สูง 29 ชั้น ตัวอาคารดูโดดเด่นตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอก สร้างเอกลักษณ์ให้แตกต่างจากโครงการอื่นโดยการร่นระยะเล่นระดับโซนด้านหน้าให้เป็นพื้นที่สีเขียวขจี โดยห้องทุกยูนิตขายแบบ Fully Fitted มาพร้อมชุดครัว สุขภัณฑ์ เครื่องปรับอากาศ และ Digital Door Lock ในราคาเริ่มต้น 2.8 ล้านบาทค่ะ อ่านรีวิวได้ที่ : https://goo.gl/xerFX5 เป็นไงบ้างคะกับคอนโดฯ ที่เราเลือกมาแนะนำทั้งหมดนี้ รับรองว่าอยู่ในงบที่มนุษย์เงินเดือนแบบเราๆ เอื้อมถึง ลองคลิกลิงค์เข้าไปอ่านรีวิวให้ละเอียดก่อนได้นะคะ ถ้าอ่านแล้วรู้สึกชอบคอนโดติดรถไฟฟ้าโครงการไหนเป็นพิเศษ พวกเราทีมงาน Review Your Living แนะนำให้ติดต่อไปที่สำนักงานขายเพื่อขอเยี่ยมชมห้องตัวอย่างก่อนตัดสินใจซื้อนะคะ เพราะการได้เห็นทำเลที่ตั้ง สภาพแวดล้อมโดยรอบจริงๆ นั้นจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นแน่นอนค่ะ เผลอๆ จะได้ถือโอกาสต่อรองขอโปรโมชั่นพิเศษหน้างานกันไปด้วยเลย :)
The Phenomenal 10 ปรากฏการณ์ครั้งแรกของ AP ที่คุณจะได้เป็นเจ้าของทาวน์โฮมทำเลดีก่อนใคร

The Phenomenal 10 ปรากฏการณ์ครั้งแรกของ AP ที่คุณจะได้เป็นเจ้าของทาวน์โฮมทำเลดีก่อนใคร

  ปีนี้เราได้เห็น AP เปิดตัวโครงการเจ๋งๆ บนทำเลสุดฮ็อตไปหลายโครงการ ซึ่งแทบทุกโครงการที่ผ่านมาก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม ชนิดที่ Sold Out ไปตั้งแต่วันเปิดจอง Pre-sale กันเลยทีเดียว.... และเร็วๆ นี้ AP กำลังจะส่งกองทัพบ้านทาวน์โฮมใหม่ใจกลางเมือง ลงตลาดอีกชุดใหญ่พร้อมโปรโมชั่นพิเศษที่ไม่ควรพลาด ในงาน “The Phenomenal 10”   “The Phenomenal 10” คือการรวบรวมโครงการบ้านทาวน์โฮมใหม่ล่าสุด บน 10 ทำเลศักยภาพทั่วเมือง ซึ่งมี 2 แบรนด์ดังของ AP อย่าง “บ้านกลางเมือง” และ “Pleno” เป็นพระเอกของงานนี้ โดยทั้ง 2 แบรนด์จะนำเสนอบ้านทาวน์โฮมมาพร้อมราคา Pre-sale ที่ดึงดูดใจมากๆ (เริ่มที่ 1.69-8.99 ล้านบาท*) ตามด้วยข้อเสนอเร้าใจ “จ่ายน้อย คืน 100%” ซึ่งข้อเสนอนี้จัดขึ้นเพื่องานนี้เพียง 2 วันเท่านั้น และเพื่อจะไม่ให้พลาดข้อเสนอพิเศษแบบนี้ เราแนะนำให้คุณคลิกลงทะเบียนไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย https://goo.gl/xRDTVy  ก่อนจะไปเจอกันที่หน้างานวันที่ 19-20 สิงหาคมที่จะถึงนี้ นอกจาก High Light พิเศษ โปรโมชั่นเด็ดของงาน “The Phenomenal 10” ที่กล่าวไปข้างต้นนี้แล้ว เดี๋ยวเราไปดูกันค่ะว่า กองทัพบ้านทาวน์โฮมทั้งหมดนี้ มีโครงการอะไร ทำเลไหนบ้าง เพื่อการตัดสินใจในขั้นต้นก่อนจะไปจองบ้านที่ Sale Gallery ของแต่ละโครงการค่ะ ก่อนจะไปถึงข้อมูลของแต่ละโครงการ เราอยากจะพูดถึงจุดเด่นของแบรนด์ Pleno และ บ้านกลางเมือง กันซักหน่อยค่ะ ถ้าพูดถึงโครงการภายใต้แบรนด์ “Pleno” เราจะนึกถึงโครงการบ้านทาวน์โฮม 2 ชั้น ในราคาที่จับต้องได้ง่าย สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้แบบไม่เกินเอื้อม โดยมากจะเริ่มต้นที่ช่วงราคา 2 ล้านบาทค่ะ การออกแบบบ้านของแบรนด์ Pleno ที่ผ่านๆ มา ถือว่าทำออกมาได้ตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเลยค่ะ ทั้งในส่วนของหน้าตาที่สวยงามในสไตล์ Modern และพื้นที่ใช้สอยภายในตัวบ้านที่จัดมาให้ครบทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน ขณะเดียวกันภายในโครงการก็มักจะมี Facility เพียบพร้อม ทั้งพื้นที่สีเขียวร่มรื่น, Club House ที่มีพร้อมทั้งสระว่ายน้ำ และห้องฟิตเนส สำหรับการเปิดตัวแบรนด์ Pleno ทั้ง 6 โครงการในครั้งนี้ ต้องบอกว่าเป็นการนำเสนอ บ้านทาวน์โฮมซีรี่ส์ใหม่ ซึ่งมีความเรียบหรูมากขึ้น ในขณะที่แต่ละโครงการก็โดดเด่นด้วยการออกแบบซุ้มประตูทางเข้าโครงการ และ Club House ให้มีความอลังการไม่แพ้กัน มาถึงแบรนด์ “บ้านกลางเมือง” กันบ้างค่ะ ซึ่งหลายคนคงคุ้นหูกับชื่อ “บ้านกลางเมือง” กันมานานแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นแบรนด์ทาวน์โฮมสร้างชื่อให้กับ AP เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นแบรนด์ที่บุกเบิกตลาดทาวน์โฮม 3 ชั้น ในสังคมคุณภาพ ที่มักจะมีดีไซน์ของตัวบ้านมาให้ได้ว้าวกันบ่อยๆ ซึ่งโครงการบ้านกลางเมืองเน้นการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนเมืองที่ต้องการบ้านอยู่อาศัยสำหรับครอบครัวมากกว่าการเลือกอยู่คอนโด บ้านในแต่ละโครงการภายใต้แบรนด์นี้ จึงมักจะมีการปรับเปลี่ยนแบบแปลนของตัวบ้านอยู่บ่อยครั้ง เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในแต่ละทำเลให้ได้ตรงใจที่สุด โดยไม่ลืมใส่ความหรูหรา และเลือกดีไซน์ล้ำสมัยนำเทรนตลาดอยู่เสมอ   แน่นอนว่า บ้านกลางเมือง ทั้ง 4 โครงการที่เปิดให้จองก่อนใครในครั้งนี้ ก็มีความพิเศษไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งในส่วนของทำเลที่ตั้ง ที่ยังคงอยู่ใกล้ใจกลางเมือง เดินทางสะดวกสบายได้หลายเส้นทาง รวมถึงแบบบ้านดีไซน์ใหม่ ซึ่งเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้เยอะขึ้น และฟังก์ชั่นการดีไซน์ที่สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ภายในบ้านได้ตามความต้องการของผู้อยู่อาศัยค่ะ คงไม่ง่ายเลยที่จะมีโครงการบ้านทาวน์โฮมมาให้เราเลือกพร้อมๆ กันมากถึง 10 โครงการแบบนี้ ดังนั้นเพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวัน และเป็นการง่ายต่อการเลือกบ้าน เราเลยจัดกรุ๊ปโครงการตามจุดเด่นเรื่องการเดินทางดังนี้ค่ะ เริ่มจากกรุ๊ปแรก เน้นทำเลที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า เดินทางเข้าออกเมืองสะดวก แถมใกล้ทางด่วน ซึ่งได้แก่ Pleno ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ Pleno ราชพฤกษ์ บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-พระราม5 ทั้ง 3 โครงการในโซนนี้ อยู่บนทำเลศักยภาพที่มีการเดินทางสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งเป็นสายที่เปิดใช้งานแล้วในปัจจุบัน ถ้าดูจากแผนที่ตั้งของแต่ละโครงการก็จะเห็นว่า ไม่ได้ไกลจากรถไฟฟ้าสายสีม่วงมากนัก ทั้ง 3 โครงการต้องบอกว่า เดินทางสะดวกมากไม่ว่าเลือกเดินทางด้วยรถไฟฟ้า หรือจะเป็นการเข้าสู่ใจกลางเมืองด้วยรถส่วนตัว  ถนนราชพฤกษ์, ถนนกาญจนาภิเษก และทางด่วนสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอก ก็ถือว่าเป็นเส้นทางสายสำคัญที่จะทำให้การเดินทางเข้า-ออกเมืองเป็นเรื่องง่ายขึ้นกว่าเดิมค่ะ ในรัศมีใกล้ๆ โครงการ “Pleno ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ” “Pleno ราชพฤกษ์” และ “บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-พระราม 5” แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก สาธารณูปโภค และแหล่งช็อปปิ้งมากมายเลยทีเดียวค่ะ เด่นๆ เลยคือช่วงวงเวียนพระราม 5 ซึ่งเป็นบริเวณที่รวมแหล่งช็อปปิ้งใหญ่ๆ ไว้ทั้ง The Walk, The Cystal, Home Pro และ Home Work โดยแต่ละห้างก็มีร้านอาหารให้เลือกมากมาย รวมถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ อันเป็นแหล่งจับจ่ายของใช้เข้าบ้านได้เป็นอย่างดี นอกจากบริเวณวงเวียนพระราม 5 แล้ว ขยับออกมาอีกนิดตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ก็มีทั้งห้างเซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์, Big C เลยไปอีกทางจนถึงบางใหญ่ก็ยังมี เซ็นทรัล West Gate, Index Living Mall และ Ikea ที่จัดเป็นแหล่งช็อปปิ้งยักษ์ใหญ่ประจำย่านเลยทีเดียว ใครที่คุ้นชินกับทำเลในแถบนี้ จะเห็นชัดเจนเลยว่า ความเจริญขยายตัวออกมาอย่างรวดเร็ว โซนราชพฤกษ์, ชัยพฤกษ์ และ พระราม 5 นี้ มีโครงการบ้านเกิดขึ้นมากมาย ร้านค้า ร้านอาหารเริ่มมีให้เห็นหนาตามากกว่าแต่ก่อน ยิ่งมีการเปิดใช้ “ทางด่วนสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอก” เข้ามาอีก การจะตัดเข้าสู่โซนวิภาวดี, จตุจักร, ลาดพร้าว จึงประหยัดเวลาเดินทางขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ ใครที่กำลังตัดสินใจเลือกซื้อบ้านในย่านนี้ แนะนำให้ลองเลือกดูจาก 3 โครงการนี้เลยค่ะ ว่าโครงการไหนตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และงบประมาณในกระเป๋ามากกว่ากัน ถ้างบประมาณเริ่มต้นจำกัดหน่อย “Pleno ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ” อาจจะเป็นคำตอบที่ดี ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาทเท่านั้น กับทำเลที่เดินทางได้สะดวก มีรถไฟฟ้าอยู่ไม่ไกล หรือจะขยับมาที่ “Pleno ราชพฤกษ์” ก็ไม่เลวนะคะ ใกล้วงเวียนพระราม 5 มากหน่อย เดินทางเข้าออกเมืองได้หลายเส้นทาง ในราคาเริ่มต้นที่ 2.09 ล้านบาท แต่ถ้าอยากได้บ้านหลังใหญ่ และมีพื้นที่ใช้มากขึ้น เราแนะนำ “บ้านกลางเมือง ราชพฤษ์- พระราม 5” เลยค่ะ ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท คุณจะได้บ้านทาวน์โฮมที่หรูหรา มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสมราคาที่จ่ายไป มาดูกรุ๊ปที่สองกันบ้าง เน้นการเดินทางเข้าเมืองด้วยรถส่วนตัวเป็นหลัก บนทำเลสวยใกล้ถนนวงแหวน ซึ่งได้แก่ บ้านกลางเมือง สาทร - สุขสวัสดิ์ Pleno สุขุมวิท-บางนา ทำเลของโครงการในกรุ๊ปที่สองนี้ ต้องบอกว่าโดดเด่นมากๆ ค่ะ “บ้านกลางเมือง สาทร-สุขสวัสดิ์” ตั้งอยู่ในแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง (ส่วนต่อขยายในอนาคต เตาปูน-ราษฏร์บูรณะ) รอบๆ โครงการเดินทางได้สะดวกมากๆ ทั้งทางด่วนเฉลิมมหานคร, สะพานภูมิพล รวมถึงถนนวงแหวน กาญจนาภิเษก แถมยังแวดล้อมไปด้วยสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้ง แหล่งช็อปปิ้ง สถาบันการศึกษาชั้นนำ รวมถึงสถานพยาบาลเอกชนอีกหลายแห่ง เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยเป็นที่สุดค่ะ ในขณะที่ “Pleno สุขุมวิท-บางนา” ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ด้วยทำเลที่ดีที่สุดบนถนนบางนา-ตราด (กม.7) ซึ่งพร้อมสำหรับการอยู่อาศัย สามารถเดินทางได้สะดวกเพราะมีเส้นทางลัดไปออก Mega Bangna ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การเดินทางเข้าออกเมืองเป็นเรื่องง่ายนิดเดียวค่ะ เพราะมีทั้งนถนนบางนา-ตราด และถนนวงแหวน กาญจนาภิเษกอยู่ใกล้แค่เอื้อม นอกจากนี้รอบๆ โครงการยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งโรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว รวมไปถึงสนามกอล์ฟ และสถานพยาบาลชั้นนำ แน่นอนว่า 2 โครงการในกรุ๊ปนี้ มีความแตกต่างกันค่อนข้างมากในเรื่องของทำเลที่ตั้ง ราคา และกลุ่มเป้าหมาย แต่ความเพียบพร้อมสำหรับการอยู่อาศัยนั้นดีไม่แพ้กันเลยนะคะ โครงการ “Pleno สุขุมวิท-บางนา” เปิดราคาเริ่มต้นมาที่ 2.99 ล้านบาท โครงการทำเลดีเกินราคา ซึ่งพร้อมกับฟังก์ชั่นบ้านแบบใหม่ที่เป็นสัดส่วนมากขึ้น และเพิ่มพื้นที่สีเขียวในตัวบ้านให้มากขึ้น เพื่อการอยู่อาศัยที่รื่นรมย์กว่าเดิม ส่วนในฝาก “บ้านกลางเมือง สาทร-สุขสวัสดิ์” ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 8.99 ล้านบาท แต่ก็โดดเด่นด้วยแบบบ้านที่มีให้เลือกด้วยกัน 2 แบบ คือ บ้านแฝด X-Trend ที่มีพื้นที่ใช้สอยเยอะสุดๆ และบ้านทาวน์โฮมดีไซน์ใหม่ล่าสุดของบ้านกลางเมือง ซึ่งเพิ่มฟังก์ชั่นให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยได้ตามต้องการค่ะ ส่วนกรุ๊ปสุดท้ายนี้ ยังคงเน้นกลุ่มที่ใช้รถส่วนตัว เพราะทำเลสะดวกในการเดินทางเข้าเมืองด้วยทางด่วนค่ะ ได้แก่ Pleno พหลโยธิน-รังสิต Pleno พหลโยธิน-วัชรพล Pleno รามอินทรา-วงแหวน บ้านกลางเมือง รามอินทรา-วัชรพล บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว - เสรีไทย บ้านทั้ง 5 โครงการนี้ จะตั้งอยู่ในค่อนไปทางโซนเหนือของกรุงเทพนะคะ ซึ่งทุกโครงการในกรุ๊ปนี้จะเน้นที่การเดินทางที่สะดวก ที่ตั้งอยู่ใกล้กับทางด่วน เกือบทั้งหมดอยู่ใกล้ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ และถนนวงแหวนรอบนอกตะวันออก ยกเว้นโครงการ “Pleno พหลโยธิน-รังสิต” ที่ฉีกไปอยู่ทางด้านทางด่วนโทลเวย์ดอนเมืองค่ะ ถ้าสังเกตุดีๆ จะเห็นว่าทำเลทั้งหมดจะปักหมุดอยู่ใกล้กับเส้นทางหลักๆ ในการเดินทางเข้าออกเมืองที่สะดวกและรวดเร็วนั่นเอง แบบบ้านของ AP ที่เลือกมานั้น ต้องบอกว่าเป็นแบบที่สวยโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดีทุกตัว โครงการ Pleno ในโซนนี้ จะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2.19-2.49 ล้านบาทค่ะ โดยทั้ง 3 โครงการนี้จะเน้นพื้นที่สีเขียวรอบโครงการ ที่จะทำให้บรรยากาศร่มรื่นเหมาะกับการอยู่อาศัยมากขึ้นค่ะ ในขณะที่โครงการบ้านกลางกรุงทั้งสองทำเล มีราคาเริ่มต้นเพียง 3.89 ล้านบาทเท่านั้น ด้วยราคาเริ่มต้นเพียงเท่านี้ แต่ได้บ้านทาวน์โฮม 3 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยเยอะกว่า บ้านกลางเมืองในโซนนี้ดูจะคุ้มค่าคุ้มราคามากค่ะ ด้วยทำเลที่ตั้งที่ไม่ได้หนีกันมากกับโครงการอื่นๆ ในกรุ๊ปเดียวกัน เราเชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเทใจให้กับบ้านกลางเมืองมากกว่าแน่นอน   เป็นอย่างไรบ้างคะ กับกองทัพ “The Phenomenal 10” ที่ AP เตรียมไว้ให้จับจองก่อนใครในวันที่ 19-20 สิงหาคมนี้ ต้องบอกว่าเป็นบ้านทาวน์โฮมที่ตอบโจทย์คนเมืองได้ดีทีเดียวค่ะ ทั้งเรื่องทำเล และราคาเริ่มต้นพิเศษๆ แบบนี้ แคมเปญดีจัดเต็มขนาดนี้เชื่อว่าใครๆ ก็ต้องอยากจับจองเป็นเจ้าของอย่างแน่นอน แถมโปรโมชั่นเจ๋งๆ ก็จัดมาให้เพียง 2 วันเท่านั้นเองด้วย สนใจโครงการไหน อย่าลืมคลิกไปลงทะเบียนกันนะคะ https://goo.gl/xRDTVy  แล้วไปเจอกันที่ Sales Gallery ทั้ง 10 โครงการนี้กันเลย
แสนสิริจับมือญี่ปุ่น ผนึกโตคิว กรุ๊ป รุกอสังหาฯ ไทย

แสนสิริจับมือญี่ปุ่น ผนึกโตคิว กรุ๊ป รุกอสังหาฯ ไทย

แสนสิริจับมือญี่ปุ่น ผนึกโตคิว กรุ๊ป รุกอสังหาฯ ไทย พลิกโฉมวงการที่อยู่อาศัยตอบรับกลุ่มลูกค้าไทย-ต่างชาติ เตรียมตัวเปิดตัวโครงการแรก "taka HAUS" มูลค่า 2,000 ลบ. กันยายนนี้ แผนระยะยาวเล็งปั้นเมือง พัฒนา Community ร่วมกันในอนาคต ก้าวสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรระดับโลก สองบริษัทยักษ์ใหญ่ไทย-ญี่ปุ่น แสนสิริ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัยพ์ครบวงจรระดับโลก จับมือ บริษัทโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟในโตเกียว การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกิจการโรงแรม รีสอร์ทและธุรกิจอื่นๆ ผนึกความร่วมมือพัฒนาอสังหารืมทรัพย์ าภยใต้บริษัทร่วมทุน สิริ ทีเค วัน (Siri TK One Company Limited) พลิกโฉมพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรับความต้องการกลุ่มลูกค้าไทย-ต่างชาติ เตรียมเปิดตัวโครงการแรก "taka HAUS" (ทากะ เฮาส์) ทำเลสุขุมวิท-เอกมัย มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่อยู่อาศัยของทั้งคนไทยและญี่ปุ่นกันยายนนี้ เผยแผนระยะยาว ศึกษาความเป้นไปได้จากความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทาวน์ในญี่ปุ่นของโตคิวที่สอดคล้องกับโมเดลความสำเร็จของ T77 ของแสนสิริ เล็งปั้นเมืองพัฒนา Community ร่วมกันในอนาคต นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมมือกับ บริษัทโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟในเขตชานเมืองโตเกียว การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกิจการโรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจอื่นๆ และบริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมกันก่อตั้ง บริษัท สิริ ทีเค วัน (Siri TK One Company Limited) ในสัดส่วน กลุ่มแสนสิริถือหุ้น 70% กลุ่มโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 29% และบริษัท สหโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 1% เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม นำร่องเปิดตัวโครงการแรกในชื่อ "taka HAUS" (ทากะ เฮาส์) มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท "การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ระหว่างแสนสิริ และโตคิว กรุ๊ป เริ่มต้นจากการที่สองบริษัทมีการดำเนินธุรกิจภายใต้ปรัชญาที่ตรงกัน คือการนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ด้วยจุดแข็งในการดำเนินธุรกิจของ แสนสิริ ภายใต้กลยุทธ์ "Complete Your Living Experience" และโตคิว กรุ๊ป สโลแกน "Toward a Beautiful Age" ที่ไม่เพียงพัฒนาแค่ที่อยู่อาศัย แต่มุ่งมั่นสร้างไลฟ์สไตล์ที่ดีให้กับลูกค้าควบคู่กัน โดยการศึกษาพฤติกรรมลูกค้าอย่างละเอียดในทุกๆ ด้าน (Customer Insight) ตั้งแต่การคิดผ่านมุมมองของลูกค้า ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคที่หลากหลายและรวบรวมข้อมูล ว่าลูกค้าแต่ละกลุ่มมีความต้องการในการอยู่อาศัยอย่างไร ทำให้เรามั่นใจว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการมอบรูปแบบการใช้ชีวิตเมืองที่เป็นไปได้อย่างไม่สิ้นสุด นับเป็นการสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยบนมาตรฐานที่เหนือระดับ และพลิกโฉมการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในระดับสากล ที่จะตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยทั้งกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติ โดยโครงการภายใต้การร่วมทุน บริษัทจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในชื่อ“taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) ในทำเลเอกมัย 12 มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในช่วงเดือนกันยายนนี้” นายอุทัย กล่าว นอกจากการดำเนินธุรกิจภายใต้ปรัชญาที่ตรงกันแล้ว ความร่วมมือในครั้งนี้ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) ยังเล็งเห็นศักยภาพของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับมาตลอดระยะเวลากว่า 33 ปี ซึ่งแสนสิริมีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อตอบรับทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยปัจจุบัน บริษัทได้ก้าวสู่ความเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับในด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด  ทาวน์เฮาส์  โฮมออฟฟิศ และคอนโดมิเนียมคุณภาพทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ด้วยจำนวนโครงการกว่า 318 โครงการ จำนวนที่อยู่อาศัยกว่า 86,000 ยูนิต ที่ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศกว่า 17 จังหวัด รวมทั้งการพัฒนาโครงการในตลาดต่างประเทศ 9 Elvaston Place ใจกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นโครงการนำร่องของแสนสิริในการแสดงศักยภาพสู่สากล นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับความเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินงานในการขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ เพื่อช่วยส่งเสริมธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของแสนสิริ อาทิ การรุกธุรกิจคอมมูนิตี้ รีเทล ภายใต้ชื่อ “ฮาบิโตะ มอลล์” ซึ่งเป็นการเปิดให้ร้านค้าและร้านอาหารเช่าพื้นที่ในปีที่ผ่านมา รวมถึงบริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจตัวแทนซื้อ – ขาย - เช่า อสังหาริมทรัพย์และบริหารงานขายโครงการ รวมถึงบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่พักอาศัยและบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร ซึ่งได้รับการยอมรับและเชื่อถือด้านการให้บริการและให้คำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจร ทั้งจากภาครัฐและเอกชนมากว่า 20 ปี บริษัทยังมองถึงความร่วมมือระยะยาวในอนาคต จากการที่โตคิว เป็นบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น มีฐานกลุ่มธุรกิจที่กว้างขวางที่ไม่เพียงแค่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ความร่วมมือในครั้งนี้ยังนับเป็นการประสานให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดร่วมกัน เป็นการผนวกพลังระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างประเทศที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กันและกันอย่างยั่งยืน อาทิ การที่โตคิว คอร์ปอเรชั่น มีฐานลูกค้าที่จะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจในการผลักดันแบรนด์ “แสนสิริ” ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น รวมถึงความร่วมมือจากการนำโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญคือ ภายใต้ปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่ตรงกันในด้านการนำเสนอไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย โดยโตคิว กรุ๊ป มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทาวน์ อาทิ โครงการ Tokyu Tama Denen –Toshi ซึ่งมีพื้นที่กว่า 5,000 เฮกตาร์ ในเขตเขา Tama ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโตเกียว ซึ่งเชื่อมต่อสี่เมืองใหญ่ ทั้ง Kawasaki, Yokohama, Machida และ Yamato โดยอยู่ห่างจากศูนย์กลางโตเกียว เพียงแค่ 15 – 30 กิโลเมตร ในเมืองมีประชากรประมาณ 600,000 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2012) โดยปัจจุบันนับเป็นโครงการพัฒนาเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นที่ดำเนินการโดยบริษัทเอกชน รวมถึงยังมีโปรเจคต์การพัฒนา “ย่านชิบูย่า” ให้เป็น Entertainment Cityแลนด์มาร์คแห่งความบันเทิงที่ครบวงจรมากขึ้นในอนาคต ขณะที่แสนสิริมีประสบการณ์ความสำเร็จจากการพัฒนา “T77” A Good Town for Good Life ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ชีวิตเมืองบนสุขุมวิทในการอยู่อาศัยครบวงจร บนเนื้อที่ 50 ไร่ กลางสุขุมวิท 77 ที่รวมไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยใกล้รถไฟฟ้า ใกล้ทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์ที่พร้อมสรรพไปด้วยคอนโดมิเนียมรวมทั้งสิ้น 6 โครงการจากแสนสิริ 1 โครงการทาวน์เฮาส์ รวมถึงอพาร์ทเมนท์ระดับพรีเมียมจากมั่นคงเคหะการ 1 ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกจากแสนสิริ และยังมีโรงเรียนนานาชาติ อย่าง Bangkok International Preparatory and Secondary School (บางกอกเพรพ) ที่รวมเป็นการยกระดับการใช้ชีวิตที่ครบครัน ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของชาวสุขุมวิทสำหรับคนไทยและชาวต่างชาติ รวมทั้งเคยพัฒนาพื้นที่ย่านรามอินทราให้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งการอยู่อาศัยมาแล้วจากความสำเร็จของการก่อตั้งโรงเรียนสาธิตพัฒนาให้เป็นโรงเรียนชั้นนำของกรุงเทพฯ และเป็นจุดดึงดูดให้ลูกค้าซื้อโครงการบ้านเดี่ยวของแสนสิริในทำเลรอบข้าง “อนาคตกรุงเทพฯ อาจจะคล้ายเมืองใหญ่ทั่วโลก คือเป็น Cluster/District หรือเป็นเมืองย่อยในเมืองใหญ่ ดังนั้นการเลือก Cluster ที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่สำคัญทั้งในแง่การใช้ชีวิตและการลงทุน สิ่งอำนวยความสะดวกจะไม่รวมศูนย์อยู่แค่กรุงเทพชั้นในเหมือนปัจจุบัน แต่จะกระจายออกไปยังพื้นที่อยู่อาศัยโดยรอบโดยการจับกลุ่มของเมืองย่อยหรือ Cluster จะเป็นไปตามสถานีรถไฟฟ้า แทนที่จะเป็นตามเขตปกครองหรือตามถนนเหมือนในอดีต โดยกรุงเทพฯ ยังอยู่ในช่วงระหว่างการขยายโครงข่ายคมนาคมที่ทำให้เชื่อว่ายังมีความต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ทั้งตามแนวรถไฟฟ้าและอยู่ในเขตชุมชนต่างๆอีกมากในอนาคต ซึ่งแสนสิริและโตคิวมองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้สำหรับแผนความร่วมมือในอนาคตเพื่อมอบ Community ที่อยู่อาศัย ความบันเทิง โรงเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจรเพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่ไม่จำเป็นต้องเกาะกลุ่มความเจริญแค่ในกรุงเทพฯ ชั้นในเพียงอย่างเดียวในอนาคต”นายอุทัย กล่าว ด้านนายโทชิยูคิ โฮชิโนะ กรรมการ และเจ้าหน้าที่ผู้จัดการบริหารอาวุโส/ผู้จัดการบริหารทั่วไป สำนักงานใหญ่ธุรกิจต่างประเทศ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า โตคิว คอร์ปอเรชั่น  เริ่มดำเนินธุรกิจจากการก่อสร้างทางรถไฟสาย Meguro-kamata (เมกุโระ-คานาตะ) ในปี 2465 ในเดือนมีนาคม 2560  กลุ่มโตคิวมีบริษัทอยู่ภายใต้การดำเนินงานจำนวนทั้งสิ้น 221 บริษัท และบริษัทร่วมทุนอีก 8 แห่ง ภายใต้การดำเนินงานของ โตคิว คอร์เปอเรชั่น มีเครือข่ายธุรกิจครอบคลุมหลายภาคส่วน ตั้งแต่คมนาคม ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีกและโรงแรม ประวัติศาสตร์อันยาวนานของ โตคิว คอร์ปอเรชัน เป็นบริษัทแม่ของกลุ่มบริษัทโตคิวที่จะบรรลุถึง 100ปีเร็วๆนี้ และทางบริษัทให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตของชาวเมืองในประเทศญี่ปุ่นผ่านทางการพัฒนาเครือข่ายคมนาคมควบคู่ไปกับอสังหาริมทรัพย์ โดยการลงทุนและพัฒนาประกอบไปด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกด้านค้าปลีก โรงเรียนและโรงพยาบาล ซึ่งล้วนนำมาซึ่งความสะดวกและความน่าอยู่ตลอดตามเครือข่ายทางรถไฟของโตคิว และได้นำมาซึ่งชื่อเสียงของเมืองที่บริษัทได้สร้างขึ้นว่า เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุด นอกจากนั้น โตคิว คอร์ปอเรชัน ยังได้นำเสนอโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ Dresser ตามแนวคิด “ความคิดสร้างสรรค์” “ความน่าอยู่” และ “ความปลอดภัย” “ในประเทศไทย โตคิว คอร์ปอเรชัน ได้เข้าร่วมทุนกับบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2524 และได้รังสรรค์ผลงานมากมาย ตั้งแต่ ถนนสายหลักๆ สะพาน อาคารที่ทำงาน โรงเรียน โรงงาน และล่าสุด ได้มีการส่งมอบการก่อสร้างทางรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ที่แล้วเสร็จ สำหรับธุรกิจค้าปลีก บริษัท ห้างสรรพสินค้า บางกอก-โตคิว จำกัด ได้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในกลุ่มลูกค้า ตั้งแต่เริ่มเปิดห้างแรกในปี 2528 และต่อมาได้มีการเปิดสาขาที่ 2 ในย่านศรีนครินทร์ ที่ ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ในปี 2557 นอกจากนี้ โตคิว คอร์ปอเรชันและสหกรุ๊ปยังได้ร่วมกันก่อตั้ง บริษัทร่วมทุน สห โตคิว    คอร์ปอเรชัน ขึ้น และได้เข้าบริหารอาคารอพาร์ตเมนต์พร้อมบริการ “HarmoniQ Residence Sriracha” สำหรับชาวญี่ปุ่นและครอบครัว เมื่อปี 2559 และก็เป็นที่น่าพอใจ ที่โครงการ “HarmoniQ Residence Sriracha” ได้มีลูกค้าเต็มมาโดยตลอดด้วยชื่อเสียงของโครงการที่เป็นที่กล่าวขาน” นายโฮชิโนะกล่าว ผู้บริหารระดับสูงของโตคิว คอร์ปอเรชัน กล่าวต่อไปว่า เรานับถือความร่วมมือทางยุทธศาสร์กับแสนสิริ ที่เราเข้าใจดีว่าเรามีค่านิยมและวิสัยทัศน์ที่คล้ายคลึงกัน เรารู้ดีว่าประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงเป็นการดีที่มีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์อย่างแสนสิริมาดูแล ซึ่งนับเป็นความท้าทายของโตคิวในการช่วยเพิ่มพูนคุณค่าเพื่อนำมาซึ่งสิ่งแวดล้อมที่สะดวกสบาย ปลอดภัยและสวยงาม “นอกเหนือจากนั้น ประเทศไทยยังเป็นจุดศูนย์รวมของระเบียงเศรษฐกิจหลายด้านด้วยกัน และยังเป็นศูนย์กลางของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งทำให้เกิดมีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เกิดขึ้นด้วยการผลักดันของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรุงเทพมหานคร ที่จะยังเป็นจุดดึงดูดผู้คนมาสู่จุดศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจนี้ และเป็นประเด็นที่จะนำมาซึ่งอุปสงค์ทางด้านที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนต่อไป” นายโฮชิโนะ กล่าวสรุป นอกเหนือจากนั้นความพยายามในด้านการค้นคว้าและพัฒนาร่วมกันในความสัมพันธ์นี้ โตคิวเองก็พร้อมที่ใช้พลังด้านธุรกิจที่มีอยู่ในการสนับสนุนโครงการให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นโดยผ่านทาง Tokyu Livable ความเชี่ยวชาญในการขาย ให้เช่า และการให้คำปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ จะช่วยขยายศักยภาพทางธุรกิจของเราในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น เพื่อผลประโยชน์สูงสุดร่วมกันและเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยั่งยืน สำหรับเรา นี่คือความร่วมมือทางธุรกิจระยะยาวที่จะเพิ่มพูนมูลค่าสำหรับทั้งสององค์กรต่อไปอย่างยั่งยืน
อนันดาฯ โชว์กำไรไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 33% เป็น 279 ล้านบาท รายได้เติบโต 30% เดินหน้าเก็บเกี่ยวผลตอบแทนต่อเนื่อง เผยยอดขายไตรมาส 2 ดีกว่าเป้า ถึง 50% พร้อมสร้างแบ็คล็อคนิวไฮ และประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นสถิติสูงสุด

อนันดาฯ โชว์กำไรไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 33% เป็น 279 ล้านบาท รายได้เติบโต 30% เดินหน้าเก็บเกี่ยวผลตอบแทนต่อเนื่อง เผยยอดขายไตรมาส 2 ดีกว่าเป้า ถึง 50% พร้อมสร้างแบ็คล็อคนิวไฮ และประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นสถิติสูงสุด

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า โชว์ศักยภาพการดำเนินงาน ประกาศความสำเร็จอีกครั้ง พร้อมเติบโตอย่างมั่นคง เผยไตรมาส 2/2560 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการสร้างกำไรสุทธิ 279 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นถึง 99% จากไตรมาสก่อน เผยกำไรจากผลดำเนินงานสะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพตามแผนดำเนินงานที่วางไว้ พร้อมทั้งสร้างรายได้ 3,752 ล้านบาท เติบโต 30% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเติบโตสูงถึง 62% จากไตรมาสก่อน โชว์ตัวเลขยอดขายไตรมาส 2 เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7,352 ล้านบาท ถึง 50% จากยอดขายโครงการใหม่ และโครงการที่เปิดตัวก่อนหน้า นอกจากนี้ประกาศปรับเพิ่มเป้ายอดขายทั้งปี เป็น 31,036 ล้านบาท  และเพิ่มเป้ายอดโอน เป็น 25,047 ล้านบาท จากเดิม 25,000 ล้านบาท โดยมียอดโอนที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น 58% โดยบริษัทฯ คาดว่ายอดโอนจะเติบโต จากระดับที่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ในปี 2558 เป็นเกือบ 60,000 ล้านบาท ในปี 2563 นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มีภาพรวมการดำเนินธุรกิจที่น่าพอใจและประสบความสำเร็จจากตัวเลขรายได้ และกำไรสุทธิที่แข็งแกร่ง โดยผลประกอบการไตรมาส 2/2560  มีผลกำไรเพิ่มขึ้น 33% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เป็น 279 ล้านบาท มีรายได้ 3,752 ล้านบาท เติบโต 30% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งในปี 2560 เป็นช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน (Harvest Period) นอกจากนี้ยังประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ด้านการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 5 โครงการ ในงาน Ananda Urban Pulse โดยมียอดขายสูงกว่าเป้าที่วางไว้ ทำให้บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2560 กำหนดโอนภายในช่วง 4 ปีข้างหน้า จำนวนกว่า 49,700 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นสถิติอีกครั้ง โดยเพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 29% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน ในไตรมาส 2 นี้ บริษัทฯ เปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ติดรถไฟฟ้าบน 5 ทำเล และโครงการแนบราบใหม่ 1 ทำเล ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 22,800 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม มูลค่ารวมกว่า 21,900 ล้านบาท ได้แก่ ไอดีโอ คิว วิคตอรี่ ติดสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มูลค่าโครงการกว่า 3,200 ล้านบาท โครงการแอชตัน อโศก-พระราม 9 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินพระราม 9 มูลค่าโครงการกว่า 6,400 ล้านบาท โครงการไอดีโอ สุขุมวิท 36 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสทองหล่อ มูลค่าโครงการกว่า 4,300 ล้านบาท โครงการไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินรามคำแหง 12 มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท โครงการเอลลิโอ เดล เนสท์ มูลค่าโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท และโครงการยูนิโอ ทาวน์ ลำลูกกา คลอง 4 มูลค่าโครงการกว่า 900 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการแนวราบแบรนด์ใหม่ อยู่ใกล้สถานีคลอง 4 ยอดขายจากโครงการที่เปิดตัวไปก่อนหน้า ไตรมาส 2 นี้ สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 11,051 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้ที่ 7,352 ล้านบาท ถึง 50% โดยยอดขายที่แข็งแกร่งส่วนหนึ่งมาจากความต้องการซื้อจากลูกค้าที่ดีกว่าคาด และจากการเลื่อนเปิดโครงการใหม่มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท เร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในช่วงต้นปี ทั้งนี้ในครึ่งปีแรก บริษัทฯ สร้างยอดขายได้ 50% ของเป้ายอดขายทั้งปี และมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 8 โครงการ โดยผลจากความสำเร็จดังกล่าวมาจากตัวโครงการอยู่ในทำเลติดรถไฟฟ้า สะดวกสบายในการอยู่อาศัย มีการนำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้ในโครงการ และราคาที่เหมาะสมสามารถจับต้องได้อย่างแท้จริง บริษัทฯ มีอัตราการขายสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในช่วง 2 สัปดาห์แรกตั้งแต่การเปิดขายโครงการใหม่จนถึงสิ้นสุดไตรมาส 2 โดยสามารถปิดการขาย 100% สำหรับโครงการไอดีโอ คิว วิคตอรี่ ซึ่งมีลูกค้ามากกว่า 4,000 ราย ที่มีความต้องการซื้อโครงการดังกล่าวที่ทั้งโครงการมีเพียง 348 ยูนิต นอกจากนี้โครงการแอชตัน อโศก-พระราม 9 มีอัตราการขายกว่า 74%   โครงการไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่ มีอัตราการขาย 54% โครงการไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 มีอัตราการขาย 45% ของยูนิตที่เปิดขายในช่วงเปิดโครงการใหม่ โดยปกติบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายอัตราการขายในช่วง 3 เดือนแรกที่ระดับ 40% ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า แสดงให้เห็นว่าความต้องการที่พักอาศัยในทุกระดับราคาทุกประเภทยังคงมีอยู่มาก โดยเฉพาะโครงการที่คุ้มค่า คุณภาพดี ทำเลใกล้รถไฟฟ้า ไตรมาส 2/2560 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 2,661 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 69% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้บริษัทฯ มีรายได้อื่นจำนวนกว่า 1,090 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากรายได้จากโครงการร่วมทุน ทำให้บริษัทฯ สร้างรายได้รวมจำนวน 3,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และ 62% จากไตรมาสก่อน พร้อมทั้งมีกำไรสุทธิ 279 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากไตรมาสก่อน นอกจากนี้ยังสร้างอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 7% เพิ่มขึ้นจาก 6% ในไตรมาสก่อน ในไตรมาสนี้บริษัทฯ สร้างรายได้ และผลกำไรที่แข็งแกร่ง ซึ่งอยู่ในช่วงที่เรียกว่า "ระยะเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน" เห็นได้จากยอดโอนที่เติบโตขึ้นสามเท่าตัว ระหว่างปี 2558 จนถึง 2561 รวมการเติบโต 58% จากปี 2559 สำหรับการโอนในปี 2560 อยู่ที่ 25,047 ล้านบาท ซึ่งมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่จะโอนในปี 2560 มูลค่ากว่า 16,300 ล้านบาท คิดเป็น 81% ของเป้ายอดโอนในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งรวมส่วนแบ่งยอดโอนของอนันดา และ มิตซุย ฟูโดซัง มาจากคอนโดมิเนียม 10 โครงการที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนในปี 2560 โดยเปรียบเทียบกับคอนโดมิเนียมใหม่  5 โครงการที่แล้วเสร็จในปี 2559 บริษัทฯ ยังคงรักษาวินัยทางการเงิน และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจให้เติบโต พร้อมยังคงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิซึ่งหักด้วยเงินสดต่อส่วนทุนอยู่ที่ 0.77 :1 เท่านั้น  นอกจากนี้กระแสเงินสดของบริษัทฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นสุดไตรมาสยังคงรักษาเงินสดขนาดใหญ่ที่มีมากกว่า 1,800 ล้านบาท  ซึ่งบริษัทฯ ยังคงได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการเงินสดของบริษัทฯตลอดทั้งปี สามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ ทั้งนี้ในเดือนเมษายน ปี 2560 บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี ด้วยต้นทุนหุ้นกู้ เพียง 3.95% ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 5.40% ที่ออกหุ้นกู้เมื่อ 3 ปีก่อน” นายชานนท์ กล่าว ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นสถิติสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท เพิ่มขึ้น 50% จากอัตราการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปีก่อน จากนโยบายที่ยังคงเพิ่มเงินปันผลทุกปีให้แก่ผู้ถือหุ้น ภายหลังการระดมทุน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
แบบไหน…ถึงเรียกว่าห้องสวย??

แบบไหน…ถึงเรียกว่าห้องสวย??

เชื่อว่าแทบจะทุกคนต้องมีคำถามนี้อยู่ในใจแน่ๆ เมื่อคิดจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมซักห้อง ไม่ว่าจะซื้อไว้อยู่เองก็ดี หรือกำลังคิดจะผันตัวเองมาเป็นนักลงทุนอสังหาฯมือใหม่ ก็ต้องเคยวนเวียนอยู่กับการหาคำตอบว่า ห้องแบบไหนถึงจะดี หรือคอนโดไหนที่เรียกว่า “สวย” แน่นอนคำว่า “สวย” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงแค่รูปร่างหน้าตาตึก หรือการตกแต่งที่สวยงามที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าเท่านั้นนะคะ แต่เรากำลังหมายถึง ความสวยที่มาพร้อมกับองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อการอยู่อาศัย ความคุ้มค่าคุ้มราคาที่ต้องจ่าย รวมถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่จะทำให้ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่า “สวย” อย่างเช่นเรื่อง “ทำเลที่ตั้ง” เป็นต้น ยิ่งในภาวะที่ตลาดปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมให้เลือกเป็นจำนวนมาก ชนิดที่ถ้าเอาข้อมูลมาวางเรียง เปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อยกันเป็นข้อๆ ก็คงมีคนตาลาย เมาข้อมูลกันไปบ้างไม่มากก็น้อยแหละ หรือถ้าลองไปถามเพื่อนฝูง คนใกล้ชิด หรือแม้แต่ผู้มีประสบการณ์ที่เราไว้วางใจ บางทีก็อาจจะได้คำตอบไม่ตรงกับใจ แย่กว่านั้นคอนโดที่เค้าช่วยเลือกให้อาจจะไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราเลยก็เป็นได้ เจอแบบนี้ก็ยิ่งปวดหัวไปกันใหญ่...จริงมั้ยคะ วันนี้เราจึงอยากจะแชร์ข้อมูลให้ทุกคนได้ลองเก็บไว้ใช้ประกอบการตัดสินใจ เพื่อเลือกคอนโดมิเนียมให้ตอบโจทย์ตรงใจ แถมยังได้ห้องสวยคุ้มราคาด้วยกันด้วยค่ะ คำถามแรกๆ ที่เราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนก็คือ “งบประมาณที่จ่ายไหว” ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะได้ยินตัวเลข “ประมาณ 2 ล้านบาท” ที่เป็นคำตอบในใจหลายคน อาจจะบวกลบได้นิดหน่อย อันนี้ไม่ว่ากันค่ะ อันดับต่อมาคำว่า “คอนโดติดรถไฟฟ้า” ก็จะเป็นคำที่ผุดขึ้นมาในหัวและเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของทุกคน เพราะใครๆ ก็เชื่อว่า ถ้าได้คอนโดติดรถไฟฟ้า ยังไงซะราคาขายต่อก็ต้องดีมีกำไร ถ้าจะปล่อยเช่าก็คงทำได้ไม่ยาก และอาจจะเรียกราคาค่าเช่าได้มากขึ้นด้วย ถ้าต้องเลือก “คอนโดติดรถไฟฟ้า” ปัจจุบันก็มีทำเลแนวรถไฟฟ้าหลายสายเลยค่ะ ทั้งที่เปิดใช้กันแล้ว หรือสายที่อยู่ในแผนอนาคต ซึ่งถ้าเลือกได้ คนส่วนใหญ่ก็จะขอเลือก “แนวรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว” กันแทบทั้งนั้น โดยเฉพาะแถบเส้นทางสายสุขุมวิทที่ใครๆ ก็รู้ว่าความเจริญขยายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็กำไรเห็นๆ!!! “ทำเลที่ตั้ง” ก็เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในอันดับต้นๆ เหมือนกันนะคะ นอกจากจะต้องอยู่ติดรถไฟฟ้าแล้ว ถ้าได้ทำเลในแหล่งชุมชนเก่า ใกล้แหล่งช็อปปิ้ง ใกล้แหล่งงาน รวมถึงแวดล้อมด้วยสาธารณูปโภคต่างๆ ได้พร้อมมากเท่าไหร่ ก็เชื่อได้ว่าความเป็นอยู่ของเราจะสะดวกสบายมากขึ้นเท่านั้นค่ะ ยิ่งถ้าได้โครงการติดถนนใหญ่ซัก 4 เลน ก็จะยิ่งเป็นข้อได้เปรียบ เพราะโครงการคอนโดติดถนนใหญ่แบบนี้ ก็จะเป็นคอนโด High Rise อย่างแน่นอน โอกาสในการซื้อขายและปล่อยเช่าก็ย่อมดีกว่าโครงการ Low Rise ในซอยชัวร์ๆ ค่ะ และอีกหนึ่งข้อสำคัญที่เราต้องนำมาพิจารณาด้วยก็คือ “ความน่าเชื่อถือของ Developer” ถึงแม้คอนโดมิเนียมจากแบรนด์ดังๆ มักจะมีราคาขายค่อนข้างสูงกว่าแบรนด์ใหม่ๆ แต่บางครั้งเราก็ต้องยอมรับว่า ราคาที่ต้องจ่ายก็แลกมาด้วยความมั่นใจ ทั้งในเรื่องของคุณภาพ การจัดการ รวมถึงเชื่อได้ว่าเจ้าของโครงการจะส่งมอบห้องให้เราได้ตามสัญญา แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายเล็กจะไม่น่าเชื่อถือนะคะ อันนี้เราแนะนำให้ลองพิจารณาจากโครงการที่ผ่านๆ มาของเค้าก่อนค่ะ บางรายเป็นเจ้าถิ่นที่มีความเชี่ยวชาญในพื้นที่เป็นอย่างดี สามารถทำคอนโดตอบโจทย์กลุ่มคนในย่านนั้นได้อย่างเหมาะสม อันนี้เราก็ควรจะเก็บไว้พิจารณานะคะ บางทีอาจจะเจ๋งกว่าแบรนด์ดังๆ ที่เพิ่งเข้ามาในพื้นที่ก็ได้ค่ะ จากหัวข้อหลักๆ 4 ข้อที่เราแนะนำไปนี้ พอจะมีชื่อคอนโดมิเนียมโครงการไหนอยู่ในใจกันบ้างมั้ยคะ... แต่ถ้ายังนึกไม่ออก วันนี้เรามีคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ได้ครบทั้ง 4 ข้อที่ว่านี้มาแนะนำกันค่ะ “Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์” เป็นหนึ่งในคอนโดมิเนียมที่มีคุณสมบัติตรงใจ และสามารถตอบโจทย์ได้ครบทุกข้อเชียวค่ะ แน่นอนว่าอยู่ใน “งบประมาณที่จ่ายไหว” เพราะ “Kensignton สุขุมวิท-เทพารักษ์” มีห้องในราคาเริ่มต้นที่ 1.49 ล้านบาทเท่านั้น!! ในขณะที่ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 30.5-31.5 ตร.ม. ก็ยังอยู่ในงบประมาณ 2 ล้านนิดๆ ค่ะ Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ เป็น “คอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า” อย่างแท้จริง เพราะหน้าโครงการอยู่ติดรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (สถานีทิพวัล) ชนิดที่เรียกว่าบันไดสถานีจ่ออยู่ปากทางกันไปเลย แถมยังอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเขียว (สถานีสำโรง) ซึ่งเป็นสายสำคัญที่ตรงเข้าใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็วสุดๆ..... [คอนโดติดรถไฟฟ้า 2 สายในราคาเริ่มต้นที่ล้านเศษๆ... บ้าไปแล้ว!!!] ในส่วนของ “ทำเลที่ตั้ง” คอนโด Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ อยู่ติดถนนใหญ่เลยจ้าาาาา แถมเป็นถนนสายหลักขนาด 4 เลน ที่เชื่อมต่อถนนสายสำคัญอย่างถนนสุขุมวิท และถนนศรีนครินทร์ไว้ด้วยกันอีก การเดินทางเลยสะดวกสุดๆ ทำเลที่ตั้งโครงการก็แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งแหล่งช็อปปิ้ง ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง แหล่งงาน สถานศึกษา สถานพยาบาลก็มีพร้อม ตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้อย่างครบถ้วนค่ะ เรื่อง “ความน่าเชื่อถือของ Developer” ก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นเจ้าตลาดที่มีความเชี่ยวชาญในทำเลย่านสุขุมวิท-สมุทรปราการเป็นอย่างดี หลายโครงการของออริจิ้นในย่านนี้ก็ประสบความสำเร็จปิดงานขายได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงโครงการในทำเลอื่นๆ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีไม่แพ้กันเลยค่ะ ด้วยคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ครบถ้วนขนาดนี้ เชื่อว่าหลายคนคงจะเริ่มสนใจโครงการ “Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์” กันแล้วใช่มั้ยคะ ก่อนจะไปดูว่า “ห้องสวย” ของโครงการต้องเลือกกันยังไง เราขอพูดถึง Facility และจุดเด่นอื่นๆ ในโครงการกันซักหน่อยค่ะ เผื่อจะเห็นภาพความน่าอยู่ได้ชัดเจนมากขึ้น ถ้าใครเคยอ่านข้อมูลโครงการมาบ้างแล้ว ต้องยอมรับว่าโครงการ "Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์" ตั้งใจออกแบบส่วนกลางมาให้ลูกบ้านแบบเกินราคามากๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็น Double Volume Lobby Lounge สไตล์ Industrial British Loft, Another Home & Co-Working Space ส่วนกลางพร้อมวิวสวน 180 องศา, สวนสวย 4 แบบ 4 สไตล์, Playground Garden, Backyard Garden, Double Skyline Roof Garden, สระว่ายน้ำขนาดใหญ่พร้อม Deep Relaxing Pool & Garden, The Gym Club ห้องฟิตเนสขนาดใหญ่พร้อมอุปกรณ์ครบครัน, สนาม Mini Golf, Sky Deck ลานนั่งเล่นเอกเขนก ฯลฯ แค่ที่ยกตัวอย่างมานี้ก็เยอะจนบรรยายแทบไม่หมดเลยค่ะ (สามารถอ่านรีวิวฉบับเต็มได้ที่ https://goo.gl/VgW67a) ด้วยความได้เปรียบที่เป็นคอนโด High Rise ภายในโครงการเลยมีพื้นที่สำหรับจัด Facility ส่วนกลางได้อย่างเต็มที่ ยิ่งชั้นสูงๆ ก็จะยิ่งได้เปรียบเรื่องวิวสวย โปร่งโล่งแบบ 360 องศา แถมในทำเลนี้ยังได้เห็นวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยนะคะ ดังนั้นตำแหน่งห้องที่เราควรจะเลือกสำหรับคอนโดตึกสูง ก็ควรจะเป็นห้องที่สามารถเปิดรับวิวได้เต็มที่กันหน่อยค่ะ สำหรับที่โครงการ Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ นี้ เราอยากแนะนำห้องที่อยู่ในตำแหน่งประมาณชั้น 18-27 นะคะ เพราะเป็นห้องที่อยู่ในช่วงกลางๆ ของตึก ความสูงระดับนี้เพียงพอสำหรับการเปิดรับวิวรอบๆ ที่เปิดโล่งโดยไม่มีอะไรบดบังสายตา ในขณะที่ราคาห้องในชั้นเหล่านี้ยังอยู่ในงบประมาณ อัตราการผ่อนก็ไม่หนักจนเกินไป ถ้าคิดจะลงทุนไว้ปล่อยเช่า ก็ถือว่าเป็นห้องในตำแหน่งที่ผู้เช่าให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ เช่นกันค่ะ ส่วนเรื่องตำแหน่งทิศของห้องอันนี้ต้องบอกกันก่อนว่า ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวนะคะ ถ้าว่ากันตามหลักการที่ใครๆ ก็ยึดถือกันมา ก็มักจะพยายามเลี่ยงทิศตะวันตก เนื่องจากกลัวว่าแดดจะร้อน และมักจะพยายามเลือกห้องในตำแหน่งทิศใต้ และทิศเหนือก่อน เพราะคาดหวังจะได้รับลมที่เย็นสบายกว่า ในขณะที่ไม่โดนแดดจัดเท่ากับทิศตะวันออกและทิศตะวันตก.... โชคดีค่ะ ที่โครงการ Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ ทำการบ้านมาอย่างดี การจัดวางตัวอาคารอยู่ในทิศทางที่ห้องส่วนใหญ่เลี่ยงแดดช่วงบ่ายได้ ไม่ต้องรับแดดตรงๆ ห้องในตำแหน่งที่เปิดรับวิวโค้งแม่น้ำได้ดี จะเป็นห้องทางปีกด้านขวาของแปลนโซน A นะคะ (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ) ห้องในโซนนี้ถ้าชั้นสูงๆ หน่อยน่าจะเห็นวิวแม่น้ำได้ชัดขึ้น บวกกับได้วิวเมืองที่สวยไม่แพ้ที่ไหนเลยค่ะ หรือถ้าชอบวิวเห็นสวนสีเขียวของโครงการ ตำแหน่งห้องในโซน A และ B ที่หันเข้าหาส่วนกลาง ก็จะสามารถมองลงมาเห็นสระว่ายน้ำ และพื้นที่สีเขียวที่บริเวณชั้น 6 ได้ค่ะ ในขณะที่ห้องทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของโซน A บนชั้นที่ 37-38 ก็จะเห็นวิว Roof Top Garden เพิ่มด้วย ตำแหน่งห้องในโซน A และ B ที่หันเข้าหาส่วนกลาง พื้นที่ส่วนกลางบริเวณชั้น 6 ของโครงการ ชั้น 37-38 ของโซน A จะมองเห็น Roof Top Garden ของโซน B Roof Top Garden ของทั้ง 2 โซน ตำแหน่งห้องที่ดีที่สุด อาจจะเป็นเรื่องที่ตอบแบบเจาะจงได้ยากซักหน่อยนะคะ เพราะความชอบ ความสนใจวิวที่เห็นในแต่ละทิศมักจะแตกต่างกันออกไป โชคดีที่รอบๆ โครงการ Kensingtion สุขุมวิท-เทพารักษ์ ไม่ได้มีอาคารสูงอื่นๆ มาบังสายตา เลยมีมุมสวยๆ ให้เลือกมากหน่อย ยังไงก็ลองดูภาพถ่ายจากทิศต่างๆ ที่เราเอามาให้ดูเป็นตัวอย่างกันก่อนได้นะคะ แต่เชื่อเถอะว่าของจริงยังไงก็สวยกว่าในภาพแน่ๆ วิวด้านทิศเหนือ วิวด้านทิศตะวันออก วิวด้านทิศตะวันตก วิวด้านทิศใต้ มาถึงในส่วนของแปลนห้องกันบ้างค่ะ ที่โครงการ Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ จะมีให้เลือกด้วยกัน 3 แบบนะคะ ซึ่งห้องแต่ละแบบก็จะตอบโจทย์ความต้องการที่ต่างกันออกไปค่ะ โดยส่วนตัวแล้วถ้าหากจะซื้อไว้อยู่อาศัยเอง และมีกำลังมากพอ เราอยากแนะนำห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 30.50-31.50 ตร.ม. ค่ะ เพราะเป็นแบบห้องที่เป็นเอกลักษณ์ของออริจิ้นเลยก็ว่าได้ ด้วยเนื้อที่ใช้สอยที่กว้างขวาง เหมาะกับการอยู่อาศัย ภายในห้องมีพื้นที่ห้องเล็กที่เพิ่มขึ้นมา เป็นเหมือนห้องอเนกประสงค์ ที่เราสามารถตกแต่งให้เป็นห้องทำงาน ห้องเก็บของ ห้องแต่งตัว หรือจะใช้เป็นห้องนอนเล็กก็ยังได้ จึงน่าจะให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านมากขึ้นด้วยค่ะ แปลนห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 30.5-31.5 ตารางเมตร ส่วนห้อง Studio 1 Bedroom ขนาด 21 ตร.ม. น่าจะตอบโจทย์สำหรับคนที่มองหาคอนโดไว้สำหรับลงทุนปล่อยเช่าหรือขายต่อในอนาคต เพราะต้นทุนในการผ่อนแบงค์ไม่สูงมาก มีโอกาสทำกำไรได้พอสมควร สัดส่วนของห้องเองก็จัดออกมาได้เหมาะสมค่ะ ประตูกระจกบานเลื่อนทำให้ห้องโปร่งไม่อึดอัดถึงแม้จะมีเนื้อที่ไม่มากนัก แต่ก็น่าอยู่ไม่แพ้ห้องอื่นเลยค่ะ แปลนห้อง 1 Bedroom ขนาด 21 ตารางเมตร ก่อนหน้านี้ทาง ออริจิ้น เคยจัดงาน VIP Pre-Sale Day กันไปแล้วเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งโครงการ Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีคนให้ความสนใจเข้าคิวจับจองห้องกันอย่างล้นหลาม เกินความคาดหมายกันเลยทีเดียวค่ะ สำหรับใครที่พลาดโอกาสแรกไปก็อย่าเพิ่งเสียใจนะคะ เพราะทางออริจิ้นกำลังเตรียมจัดงาน Grand Opening อีกครั้งในวันที่ 19-20 สิงหาคมที่จะถึงนี้ เพียง 2 วันเท่านั้น ที่สำนักงานขาย กับราคาและโปรโมชั่นพิเศษ ผ่อนเริ่มต้นเพียง 1,990 บาท และส่วนลดสูงสุด 100,000 บาท เตรียมติดตามข่าวกันได้เลยนะคะ.. ส่วนใครที่สนใจหรืออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ และลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษได้ที่ http://kensington.origin.co.th/thepharak/ หรือโทรสอบถามได้ที่ 02 030 0000 และสามารถอ่านรีวิวโครงการ Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ ฉบับเต็มของเราได้ที่ https://goo.gl/VgW67a
ร่วมอิสสระ อวดโฉมวิลล่าหรู “บาบาบีช คลับ เรสซิเดนส์ หัวหิน” ดึงกลุ่มไฮเอนด์ ชมบ้านตัวอย่างก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

ร่วมอิสสระ อวดโฉมวิลล่าหรู “บาบาบีช คลับ เรสซิเดนส์ หัวหิน” ดึงกลุ่มไฮเอนด์ ชมบ้านตัวอย่างก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด บริษัทในเครือของ บมจ. ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ ผู้พัฒนาโครงการทิวทะเลเอสเตท เปิดตัววิลล่าสุดหรู “บาบาบีช คลับ เรสซิเดนส์  หัวหิน” จับตลาดกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ ร่วมสร้างประสบการณ์การพักผ่อนอย่างมีไลฟ์สไตล์ สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดบนชายหาดส่วนตัว ในงาน Luxury Villa for Sale Managed by Sri Panwa 12-14 สิงหาคม นี้ นายดิฐวัฒน์  อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้างานก่อสร้างวิลล่าสุดหรู “บาบาบีช คลับ เรสซิเดนส์  หัวหิน” ว่าขณะนี้การก่อสร้างอยู่ระหว่างการดำเนินงานใกล้แล้วเสร็จ โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 11 ยูนิต บนเนื้อที่ 2-0-64 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 500 ล้านบาท ตั้งอยู่ในอาณาจักรโครงการทิวทะเลเอสเตท ถนนเพชรเกษม กม.196  อ.ชะอำ จ.เพรชบุรี  ซึ่งรายล้อมไปด้วยสาธารณูปโภคที่มีความสะดวกสบายตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยที่ชื่นชอบการพักผ่อนสุดเอ็กซ์คลูซีฟ อย่างใกล้ชิดธรรมชาติท่ามกลางบรรยากาศริมทะเล ซึ่งปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างพร้อมเข้าเยี่ยมชมเป็นจำนวน 2 ยูนิต และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2560 “โครงการ “บาบาบีช คลับ เรสซิเดนส์  หัวหิน” เป็นโครงการวิลล่าสุดหรู จำนวนทั้งสิ้น 11 ยูนิต ประกอบด้วยวิลล่า 3 ห้องนอน จำนวน 10 ยูนิต และวิลล่า 5 ห้องนอน จำนวน 1 ยูนิต มีการดีไซน์รูปแบบสถาปัตยกรรม ภายใต้แนวคิด Modern Colonial Style ออกแบบโดย บริษัท ฮาบิต้า จำกัด ผู้ออกแบบโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต ” นายดิฐวัฒน์ กล่าว ทั้งนี้เพื่อเป็นการเปิดประสบการณ์การพักผ่อนสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ทางโครงการเตรียมจัดงาน Luxury Villa for Sale Managed by Sri Panwa ขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 สิงหาคม 60 เพื่อเชิญชวนให้กลุ่มลูกค้าที่สนใจเข้าเยี่ยมชมวิลล่าที่สร้างเสร็จพร้อมตกแต่งในโครงการ โดยลูกค้าจะได้สัมผัสกับความหรูหร่าของวิลล่า 5 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น ที่มีพื้นที่ใช้สอยรวม 523.35 ตร.ม. พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวขนาด 4x21 เมตร  ตกแต่งแบบ Fully Furnished ทั้งหลัง และอุปกรณ์เครื่องไฟฟ้า  ครบชุด โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 83 ล้านบาท ในส่วนของวิลล่า 3 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น มีพื้นที่ใช้สอยรวม 278.85 ตร.ม. พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวขนาด 4x12.8 เมตร ตกแต่งแบบ Fully Furnished ทั้งหลัง และอุปกรณ์เครื่องไฟฟ้าครบชุด   โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 43.4 ล้านบาท สำหรับโครงการ“บาบาบีช คลับ เรสซิเดนส์  หัวหิน” ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50% มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย เพื่อเป็นการสร้างความเอ็กซ์คลูซีฟให้ลูกค้าที่เข้ามาพักผ่อน ด้วยสระว่ายน้ำ ไพรเวทสปา ห้องฟิตเนส ห้องสตรีม ห้องอาหาร พื้นที่สันทนาการทั้ง indoor และ outdoor พร้อมชิลล์ที่บาร์บริเวณสระว่ายน้ำริมหาด ที่จอดรถส่วนตัว และระบบความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีทีมงานที่เชี่ยวชาญจากโรงแรมศรีพันวาเข้ามาช่วยบริหารจัดการ ด้วยการสร้างมูลค่าให้กับวิลล่าแห่งนี้ในการปล่อยเช่าเพื่อเป็นการลงทุนอีกด้วย สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน Luxury Villa for Sale Managed by Sri Panwa หรือต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ บาบาบีช คลับ เรสซิเดนส์  หัวหิน สามารถติดต่อได้ที่ โทร 095-489-9228 หรือ เข้าไปชมบรรยากาศได้ที่ www.Charnissara.com, FB : Baba Beach Club Hua Hin, IG : bababeachclub.huahin
SC ASSET ประกาศความสำเร็จครึ่งปีแรก พร้อมแผนครึ่งปีหลังรุกแนวราบทุกระดับราคา เปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่า 11,450 ลบ.

SC ASSET ประกาศความสำเร็จครึ่งปีแรก พร้อมแผนครึ่งปีหลังรุกแนวราบทุกระดับราคา เปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่า 11,450 ลบ.

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวสรุปความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีแรก โดยมียอดขายเติบโต 44% (yoy)  พร้อมประกาศแผนครึ่งปีหลังจะเปิดแนวราบทุกระดับราคา จำนวน 9 โครงการใหม่ มูลค่า 11,450 ล้านบาท ซึ่งปลายปีจะเปิดแบรนด์ใหม่ชื่อ เวิร์ฟ (Verve) ทาวน์โฮม  2 ชั้น  เริ่ม 2.59 ล้านบาท และเดินหน้ายุทธศาสตร์เรื่อง human-centric innovation ทั้งพัฒนา iOT smarthome platform ชื่อ “ Rue Jai ™ (รู้ใจ™)”  ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ AIS กับพัฒนาบ้านคอนเซปท์ในอนาคต SC 4.0 housing prototypes  โดยการใช้ design thinking งานจัดขึ้น ณ อาคารชินวัตร 3 เมื่อเร็วๆ นี้  
ยิปรอคนำเสนอนวัตกรรมเพื่อการพักอาศัยที่ยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “Gyproc Go Green” ในงาน 2017 Thai Green Building Expo and Conference

ยิปรอคนำเสนอนวัตกรรมเพื่อการพักอาศัยที่ยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “Gyproc Go Green” ในงาน 2017 Thai Green Building Expo and Conference

บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงแบรนด์ “ยิปรอค” และผู้ให้บริการโซลูชั่นส์ระบบผนังและฝ้าเพดานครบวงจรมานานกว่า 45 ปี นำโดย สหัทยา ทองปรีชา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ตอกย้ำสถานะผู้นำในตลาดวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จัดแสดงนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยิปซัมใหม่ล่าสุดภายใต้แนวคิด “Gyproc Go Green” ในงาน Thai Green Building Expo and Conference ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ โดยงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในการสนับสนุนการออกแบบและการก่อสร้างที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมในประเทศไทย มร. ริชาร์ด จูเชรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “งานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ยิปรอคจะได้นำเสนอแนวคิด “Gyproc Go Green” เนื่องจากยิปรอคต้องการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในด้านการปฏิบัติงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่มจึงมุ่งมั่นนำเสนอ นวัตกรรมที่ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและลดมลภาวะที่อาจเกิดกับสภาพแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลต่อสภาวะโลกร้อนในอนาคต ผ่านการดำเนินงานภายใต้แนวคิด Gyproc Go Green ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของยิปรอคได้รับกระแสตอบรับจากผู้บริโภคอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเยียวยาสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน” ด้วยการตระหนักถึงความสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ยิปรอคจึงยึดมั่นการดำเนินงานภายใต้แนวคิดยิปรอค 3G  ได้แก่ Green Products ด้วยมาตรฐาน ASTM D5116-90 จึงรับประกันว่าผลิตภัณฑ์ของยิปรอคมีการแพร่กระจายของสารเคมีในระดับต่ำ ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่น้อยกว่า 30% และปราศจากสารกัมมันตรังสีหรือสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ Green Solutions  นำเสนอระบบผนังและฝ้าเพดานแบบประหยัดพลังงานที่สามารถป้องกันความร้อนจากภายนอกแพร่เข้าสู่ภายในอาคาร จึงช่วยลดภาระของเครื่องปรับอากาศและลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ และ Green Manufacturing เน้นกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทุกขั้นตอน พร้อมติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียที่ทันสมัยและระบบประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง รับรองด้วยมาตรฐาน ISO 14001 บูธยิปรอคนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อการก่อสร้างผนังและเพดานยิปซัมแบบครบวงจร รวมถึงโซลูชั่นส์การก่อสร้างที่ตอบโจทย์ความต้องการพิเศษ เช่น การป้องกันความร้อน การป้องกันความชื้น หรือการป้องกันเสียงรบกวน โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากยิปรอคพร้อมให้คำแนะนำและข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ร่วมงานด้วยอัธยาศัยไมตรี ถึงการเลือกผลิตภัณฑ์ยิปรอคสำหรับการใช้งานเฉพาะด้าน และการสร้างอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานระดับสากล กรุณาดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ http://www.gyproc.co.th/ หรือ https://www.facebook.com/GyprocClub
SC เติบโตทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดฯ ครึ่งปีแรกกวาดยอดขายพุ่ง 44% ครึ่งปีหลังรุกแนวราบ ทุกระดับราคา เปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่า 11,450 ลบ. มุ่งตอบโจทย์ human-centric เพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับอนาคต มั่นใจรายได้ทะลุเป้า 20,000 ลบ. ในปี 2562

SC เติบโตทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดฯ ครึ่งปีแรกกวาดยอดขายพุ่ง 44% ครึ่งปีหลังรุกแนวราบ ทุกระดับราคา เปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่า 11,450 ลบ. มุ่งตอบโจทย์ human-centric เพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับอนาคต มั่นใจรายได้ทะลุเป้า 20,000 ลบ. ในปี 2562

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลสำเร็จของการดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีแรก โดยสรุป  2 เรื่อง คือ การเติบโตของยอดขาย โดยครึ่งปีแรกมียอดขายรวม 7,493 ล้านบาท เติบโต 44% (yoy) ซึ่งมาจากผลตอบรับที่ดีจากยอดขายแนวราบ 4,491 ล้านบาท เติบโต 14% (yoy)  กับยอดขายคอนโดฯ  3,002  ล้านบาท เติบโต 137% (yoy) สื่อออนไลน์มีประสิทธิภาพสูง โดยแนวราบในครึ่งปีแรกได้รับยอด walk-in จากสื่อนี้ถึง 30% ดังนั้นทำให้ค่าใช้จ่ายการตลาดลูกค้าแวะต่อคนลดลง 5 เท่าจาก Traditional media ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายการตลาดต่อยอดขายลดลง นายณัฐพงศ์ เปิดเผยถึงมุมมองเศรษฐกิจว่า  “จากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการปรับคาดการณ์ว่า  GDP ปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 3.2% เป็น 3.5% โดยปัจจัยหลักเป็นเรื่องการลงทุนภาครัฐ รวมถึงภาคการส่งออกและท่องเที่ยวที่มีการขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนภาคลงทุนเอกชนและการบริโภคนั้นยังคงไม่เติบโตเท่าที่ควร  และสถานการณ์หนี้ยังมีความน่ากังวล ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้  ณ ปลายไตรมาส 1/2560 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงเหลือ 78.6% แต่สินเชื่อกลุ่มที่อยู่อาศัยขยายตัวแบบชะลอตัว สวนทางกับสัดส่วน housing NPLs ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 3.23%  ส่งผลต่อความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ไม่สามารถวางแผนการใช้เงินอนาคต อย่างไรก็ตาม SC มียอดปฏิเสธสินเชื่อธนาคารเฉพาะแนวราบในช่วงครึ่งปีแรกเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สัดส่วนใกล้เคียงเดิมที่ประมาณ 10%  โดยสัดส่วนการชำระเงินสดโดยเฉพาะในกลุ่ม luxury segment สูงถึง 50% สูงกว่าปีที่ผ่านมา สรุปได้ว่า demand ในตลาดยังมีการเติบโต แต่สถานการณ์ของหนี้ทำให้ความสามารถในการใช้เงินอนาคตน้อยลง จึงมีแนวโน้มที่จะใช้เงินปัจจุบันมากขึ้น" นายณัฐพงศ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า “SC มีความมั่นใจในเป้าหมายปีนี้ตามที่วางไว้ ด้วยยอดขาย 16,000 ล้านบาท และรายได้ 14,800 ล้านบาท โดยแผนครึ่งปีหลังจะเปิดแนวราบทุกระดับราคา จำนวน 9 โครงการใหม่ มูลค่า 11,450 ล้านบาท ซึ่งปลายปีจะเปิดแบรนด์ใหม่ชื่อ เวิร์ฟ (Verve) ทาวน์โฮม 2 ชั้น เริ่ม 2.59 ล้านบาท โครงการใหม่ทั้งหมดแบ่งเป็น  5 แบรนด์ ดังนี้ The Gentry  โครงการเดอะ เจนทริ พระราม 9 เริ่ม 30 ล้านบาท Bangkok Boulevard ได้แก่ โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด รังสิต, สาทร-ราชพฤกษ์, ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์, แจ้งวัฒนะ  และ  สาทร-ปิ่นเกล้า เริ่ม 6-20 ล้านบาท Pave โครงการเพฟ รามอินทรา-วงแหวน เริ่ม 4 ล้านต้น Work Place โครงการเวิร์คเพลส แจ้งวัฒนะ เริ่ม 9 ล้านบาท Verve โครงการเวิร์ฟ เพชรเกษม 81 เริ่ม 59 ล้านบาท สรุปปีนี้ SC มีโครงการเพื่อขายทั้งหมด  44 โครงการ มูลค่า 44,135 ล้านบาท  แบ่งเป็น โครงการระหว่างการพัฒนา จำนวน 35 โครงการ พร้อมกับอีก 9 โครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ได้ปรับเพิ่มงบซื้อที่ดินเพิ่มเป็น 9,100 ล้านบาท” จากที่ SC ได้ประกาศยุทธศาสตร์เรื่อง human-centric innovation  เมื่อตอนต้นปี  หลังจากนั้นมีการขยายธุรกิจใหม่และลงทุนใน platform เรื่องบริการหลังการขายกับ tech startup “Fixzy” แผนครึ่งปีหลังจึงดำเนินตามยุทธศาสตร์  ดังนี้ ร่วมพัฒนา iOT smarthome platform ชื่อ “ Rue Jai ™ (รู้ใจ™)”  สำหรับลูกค้า SC ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ AIS ผู้ให้บริการ Digital Life Service Provider อันดับ 1 ของประเทศไทย ให้เป็น smarthome platform ที่พัฒนาโดยคนไทย และเพื่อคนไทย พร้อมจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้ SC 4.0 housing prototypes  ได้มีการใช้ design thinking ในการออกแบบ prototype สำหรับบ้านคอนเซปท์ในอนาคต โดยจะเริ่มเปิดตัวในโครงการต่างๆ ในช่วงไตรมาส 4/2560 นายณัฐพงศ์ สรุปอย่างมั่นใจว่า   “ด้วยแผนยุทธศาสตร์เชิงรุกทั้งหมดนี้ จะสนับสนุนและส่งเสริมแผนการเติบโตต่อเนื่อง 3 ปี ทำให้ SC มีรายได้ทะลุเป้าหมาย 20,000 ล้านบาท ในปี 2562”  
“แอสเซทไวส์” รุกทำเลใจกลางลาดพร้าว ปักธงด้วยโครงการใหม่สุดหรูริมทะเลสาบ “แอทโมซ (Atmoz) ลาดพร้าว 71”

“แอสเซทไวส์” รุกทำเลใจกลางลาดพร้าว ปักธงด้วยโครงการใหม่สุดหรูริมทะเลสาบ “แอทโมซ (Atmoz) ลาดพร้าว 71”

"แอสเซทไวส์" (AssetWise) เตรียมส่งโครงการ "แอทโมซ (Atmoz) ลาดพร้าว 71" คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ (Low-Rise) จำนวน 8 ชั้น มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพถนนนาคนิวาส ใจกลางลาดพร้าว พร้อมส่วนกลางจัดเต็ม ครบทุกฟังก์ชั่น ในราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท   นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด กล่าวว่า โครงการฯ ตั้งอยู่ในซอยนาคนิวาส ใจกลางลาดพร้าว 71 ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกและห้างสรรพสินค้ามากมาย เช่น คริสตัล ปาร์ค, เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์, นวมินทร์ ซิตี้ อเวนิว, คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (CDC) แหล่งรวมศูนย์การค้าระดับไฮเอนด์ หรือตลาดนัดสุดอินเทรนด์ รวมทั้งแหล่งรวมวัสดุก่อสร้าง และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ พร้อมด้วยร้านอาหารนั่งชิลล์ก็มีให้เลือกไม่ไกลจากโครงการฯ ทั้งช่วงกลางวัน หรือยามค่ำคืน ทำเลใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนเอกมัย- รามอินทรา ทำให้สามารถเดินทางสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ ถนนนาคนิวาสยังเชื่อมต่อไปยังถนนอื่น ๆ ได้หลายสาย ทำให้สามารถเลือกเส้นทางในการเดินทางได้มากขึ้น เช่น ออกถนนเกษตร - นวมินทร์ ทางถนนนาคนิวาส ออกถนนเลียบด่วนรามอินทรา - อาจณรงค์ ทางซอยประดิษฐ์มนูธรรม 15 หรือจะไปออกถนนลาดพร้าว ทางซอยลาดพร้าว 71 หรือ ถนนโชคชัย 4 หรือ ถนนรัชดา ทางถนนลาดพร้าว – วังหิน "Atmoz ลาดพร้าว 71" ถูกออกแบบด้วยแนวคิด Urban Refresh ให้ผู้อยู่อาศัยได้ชาร์ตพลังชีวิตจากความเหนื่อยล้าท่ามกลางเมืองใหญ่ด้วยวิวธรรมชาติริมทะเลสาบติดโครงการฯ ขนาดใหญ่ถึง 21 ไร่ พร้อมทั้งชาร์จความสุข ความสดชื่น ให้กับตัวเองได้ทุกวันจากส่วนกลางที่ครบครัน กับพื้นที่ส่วนกลางเกือบ 2 ไร่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนรุ่นใหม่ได้อย่างแท้จริง ในราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการ "Atmoz ลาดพร้าว 71" จะพร้อมให้เข้าชมห้องตัวอย่างในต้นเดือนสิงหาคมนี้ ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดสุดพิเศษ 100,000 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ โทร. 08 7701 0071 หรือ www.atmozcondo.com หรือ Line ID: @atmoz71
‘เอพี ไทยแลนด์’ โชว์ผลงาน 7 เดือนแรก สร้างยอดขายสูงกว่า 23,200 ล้านบาท เตรียมเปิดตัว 18 โครงการใหม่มูลค่า 28,750 ล้านบาท

‘เอพี ไทยแลนด์’ โชว์ผลงาน 7 เดือนแรก สร้างยอดขายสูงกว่า 23,200 ล้านบาท เตรียมเปิดตัว 18 โครงการใหม่มูลค่า 28,750 ล้านบาท

เอพียิ้มรับผลการรายงานอันดับยอดขายจากสถาบันหลักทรัพย์ชั้นนำของประเทศ ขึ้นแท่นยอดขายครึ่งปีแรกสูงเป็นอันดับ 2 ของตลาดอสังหาฯ หากรวมยอดขายจากโครงการใหม่ ไลฟ์ วัน ไวร์เลส ที่เปิดพรีเซลไปเมื่อ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ดันยอดขายรวม 7 เดือนแรกมากถึง 23,200 ล้านบาท คิดเป็นเกือบ90% ของเป้ายอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ พร้อมเดินหน้าลุยเปิดพรีเซล 18 โครงการใหม่ ครั้งแรกกับการเปิดตัวโครงการแนวราบพร้อมกันมากสุด ด้วย 10 ทาวน์โฮมแบรนด์ บ้านกลางเมือง - พลีโน่  เริ่ม 1.69 – 8.99 ล้านบาท และ 7 บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่แบรนด์ เดอะ ซิตี้ - เซนโทร เริ่ม 9.8 - 35 ล้านบาท และ 1 คอนโดใหม่ ไลฟ์ อโศก-พระราม 9 เริ่ม 110,000 บาท/ตารางเมตร นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานั้นถือเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก โดยครึ่งปีแรกบริษัทฯ สามารถสร้าง ยอดขายรวมได้มากเป็นอันดับที่ 2 ของธุรกิจหรือเท่ากับ 15,000 ล้านบาท ซึ่งหากรวมยอดขายจากโครงการใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดพรีเซลไปเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้กับโครงการ LIFE ONE WIRELESS (ไลฟ์ วัน ไวร์เลส) ตลอดจนโครงการอื่นๆ ส่งผลให้บริษัทฯ มียอดขายรวม 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) มากถึง  23,200 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 76% คิดเป็น 89% ของเป้าหมายยอดขายรวม 26,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้ในปีนี้ ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าในช่วงเวลาที่เหลือพร้อมกับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง (5 เดือน ส.ค.-ธ.ค.) จำนวน 18 โครงการ มูลค่ารวม 28,750 ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบจำนวน 17 โครงการ มูลค่า 19,750 ล้านบาทและ คอนโดมิเนียมร่วมทุนอีก 1 โครงการ  LIFE อโศก-พระราม 9 มูลค่า 9,000 ล้านบาท เชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้เกินเป้าที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน “เรายังคงโฟกัสที่เป้าหมายใหญ่ในการนำพาเอพีก้าวขึ้นสู่การเป็น TOP 3 Developer ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ภายใต้กลยุทธ์สำคัญ "คิดและสร้างความแตกต่าง" (AP THINK DIFFERENT) ที่เน้นย้ำจุดแข็งของเอพี คือการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ โดดเด่นด้วยดีไซน์และการจัดสรรพื้นที่ใช้สอย รวมถึงวิสัยทัศน์ในการแบ่งปันองค์ความรู้เพื่อพัฒนาบุคลากรคุณภาพสู่วงการอสังหาฯ ไทย ซึ่งยอดขายที่เกิดขึ้นสะท้อนได้ถึงความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อสินค้าภายใต้การพัฒนาของเอพี โดยในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือเวลาอีก 5 เดือน เราพร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมโดยเฉพาะโครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม เรามีการดีไซน์แบบบ้านใหม่ทั้งหมด มีการสร้าง สรรค์นวัตกรรมดีไซน์ใหม่ๆ ขึ้นมา ทั้งหน้ากากบ้านและฟังก์ชั่นการใช้งานภายใน ซึ่งเชื่อมั่นว่าทั้งหมดนี้จะช่วยดันยอดขายให้เกินเป้าที่ตั้งไว้” ปี 2560 บริษัทฯ​ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 25 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 49,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 9 โครงการ มูลค่า 12,350 ล้านบาท ทาวน์โฮม 13 โครงการ มูลค่า 12,550 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 24,100 ล้านบาท ซึ่งเปิดตัวไปแล้วทั้งสิ้น 7  โครงการ โดยโครงการที่เปิดตัวล่าสุดคือ  LIFE ONE WIRELESS (ไลฟ์ วัน ไวร์เลส) มูลค่าโครงการ 7,500 ล้านบาท ซึ่งได้เปิดพรีเซลไปแล้วเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายได้มูลค่า  6,466 ล้านบาท ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีหลัง (5 เดือน ส.ค.-ธ.ค.) บริษัทฯ พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่อีกจำนวน 18 โครงการ มูลค่ารวม 28,750 ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบมากถึง 17 โครงการ มูลค่า 19,750 ล้านบาท (บ้านเดี่ยว 7 โครงการ และทาวน์โฮม 10 โครงการ) และคอนโดมิเนียมร่วมทุน  1 โครงการ LIFE อโศก-พระราม 9 มูลค่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดจะพร้อมเปิดพรีเซลระหว่างช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ ทั้งนี้ ในส่วนของแนวทางการดำเนินงานในการพัฒนาสินค้าแนวราบนอกจากการมุ่งสร้างความแตกต่างแล้ว บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าหมายให้บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมเครือเอพีต้องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวคนเมือง (THE ULTIMATE CHOICE FOR URBAN FAMILY) ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของจุดแข็งในการเป็นหนึ่งเดียวเรื่องทำเลที่ตั้ง การสร้างความต่างด้วยการออกแบบสินค้าที่ตอบความต้องการลูกค้าเฉพาะกลุ่มภายใต้มาตรฐานคุณภาพ ผ่านบ้านเดี่ยวแบรนด์ THE CITY และ CENTRO  พร้อมสานต่อความสำเร็จของแบรนด์ ‘บ้านกลางเมือง’ ในการเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮม ไฮเอนต์ 3 ชั้นในเมือง และการบุกตลาด PREMIUM AFFORDABLE ทาวน์โฮมราคา 2-4 ล้านบาท ด้วยแบรนด์พลีโน่ (PLENO) ในช่วงครึ่งปีหลัง 5 เดือนที่เหลือ (ส.ค.-ธ.ค.) นี้บริษัทฯ เตรียมจัดงานเปิดตัว 17 โครงการแนวราบ ณ สำนักงานขายของทุกโครงการ โดยทั้ง 17 โครงการล้วนมีความพิเศษในเรื่องของนวัตกรรมดีไซน์ที่ได้รับพัฒนาขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าในแต่ละทำเล โดยวันที่ 19-20 สิงหาคมนี้กับงาน THE PHENOMENAL 10 กับครั้งแรกในการเปิดตัว 10 ทาวน์โฮมใหม่ใจกลางเมืองแบรนด์ “บ้านกลางเมือง และพลีโน่” พร้อมกัน พบราคาพรีเซลพร้อมข้อเสนอทางการเงินจ่ายน้อย คืน 100% และรับส่วนลดเพิ่ม 100,000 บาทเมื่อลงทะเบียนล่วงหน้า ได้แก่ (1) บ้านกลางเมือง สาทร-สุขสวัสดิ์ (2) บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว-เสรีไทย (3) บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-พระราม 5  (4) บ้านกลางเมือง รามอินทรา-วัชรพล (5) พลีโน่ ราชพฤกษ์ (6) พลีโน่ ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ (7) พลีโน่ พหลโยธิน-รังสิต (8) พลีโน่ สุขุมวิท-บางนา (9) พลีโน่ รามอินทรา-วงแหวน และ (10) พลีโน่ พหลโยธิน-วัชรพล เริ่ม 1.69-8.99 ล้านบาท พร้อมงานพรีเซลเปิดตัว 7 บ้านเดี่ยวโมเดลใหม่ ในวันที่ 29-1 ตุลาคมนี้ ประกอบด้วยแบรนด์ THE CITY บ้านเดี่ยวเพื่อครอบครัวที่สมบูรณ์แบบกับ 4 พิกัดใหม่ (1) THE CITY พัฒนาการ (2) THE CITY บางนา-กม.7 (3) THE CITY สาทร-สุขสวัสดิ์ (4) THE CITY ปิ่นเกล้า - บรมฯ ราคาเริ่ม 9.8-35 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวแบรนด์ CENTRO สำหรับครอบครัวคนรุ่นใหม่กับ 3 พิกัดใหม่ (5) CENTRO บางนา-กม.7 (6) CENTRO พหล-วิภาวดี (7) CENTRO รามอินทรา-จตุโชติ เริ่ม 4.99-15 ล้านบาท พิเศษลงทะเบียนและจองในงานพรีเซลรับ Iphone 8 และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย สำหรับคอนโดมิเนียม LIFE อโศก-พระราม 9 บริษัทฯ พร้อมเปิดพรีเซลในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้เช่นกัน  “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย”
ศิริเลิศกรุ๊ป กลุ่มอสังหา New Gen เปิดแผนรุกตลาดอสังหาฯ นำร่องด้วย “ซายน์ สุขุมวิท 50”

ศิริเลิศกรุ๊ป กลุ่มอสังหา New Gen เปิดแผนรุกตลาดอสังหาฯ นำร่องด้วย “ซายน์ สุขุมวิท 50”

ศิริเลิศกรุ๊ป กลุ่มอสังหา New Gen เปิดแผนรุกตลาดอสังหาฯ อีกรายนำร่องด้วยโครงการ “ซายน์ สุขุมวิท 50” มูลค่า 340 ล้านบาท เริ่มต้นเพียง 2.55 ล้านคาดภายใน 5 ปี มีทั้งแนวสูง แนวราบ โรงแรม และที่ท่องเที่ยว มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท ศิริเลิศกรุ๊ป กลุ่มบริษัทอสังหาฯ โดยกลุ่ม New Gen ที่มีพร้อมทั้งธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง บริษัทรับออกแบบ ธุรกิจงานไฟฟ้า ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจสถานที่ท่องเที่ยว เปิดแผนธุรกิจคาดภายใน 5 ปี จะมีโครงการทั้งหมดในมือกว่า 5,000 ล้านบาท นำร่องด้วยโครงการเด่น “ซายน์ สุขุมวิท 50” พรีเมียมคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ ใกล้รถไฟฟ้าอ่อนนุช ในราคาเริ่มต้นที่ 2.55 ล้านบาท ลงตลาด วางเป้าเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มผู้เช่าต่างชาติ เชื่อมั่นศักยภาพของทำเลอ่อนนุชและรูปแบบของโครงการตอบโจทย์ความต้องการ คาดจะสามารถปิดการขายได้ภายใน 3 เดือน นายยุทธลักษณ์ ศิริพรเลิศ กรรมการบริหารกลุ่มบริษัทในเครือศิริเลิศ เปิดเผยว่า ศิริเลิศกรุ๊ป คือ กลุ่มบริษัทที่ทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์มาแล้วอย่างยาวนาน โดยเริ่มต้นจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว ดำเนินงานโดยรุ่นคุณพ่อ แต่เมื่อธุรกิจส่งผ่านมาถึงรุ่นลูก จึงได้สานต่อโดยนำความรู้ ผนวกกับเทคโนโลยี และความสามารถที่รุ่นลูกในแต่ละคนมี มารวมกัน สร้างเป็นศิริเลิศกรุ๊ป โดยกลุ่มบริษัทในเครือศิริเลิศประกอบไปด้วย ได้แก่ บริษัท ศิริเลิศ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท ศิริเลิศ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และบริษัท สเปซรีเลชั่น ดีไซน์ จำกัด กลุ่มธุรกิจที่ดำเนินการโดยคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างความพิเศษและความแตกต่าง ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยมีเครือข่ายธุรกิจที่ครบองค์ประกอบ เพื่อสร้างสรรค์ความแตกต่างและให้เกิดผลงานที่มีคุณภาพ ตั้งแต่การออกแบบ การดำเนินการก่อสร้าง การพัฒนาโครงการ การออกแบบติดตั้งอุปกรณ์ไฟแสงสว่าง และรวมถึง ธุรกิจในเครือ ได้แก่ โรงแรมตากอากาศระดับสากล และสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งธุรกิจทั้งหมด active หมดแล้ว แต่สำหรับโรงแรมที่สมุยอยู่ในช่วงดำเนินการ และส่วนสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่จังหวัดราชบุรีนั้น คือ ณ สัทธา อุทยานไทย กำลังปรับปรุง พร้อมเปิดให้เข้าชมอีกครั้งในปี 2561 สำหรับบริษัท ศิริเลิศ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด มีภาระกิจหลัก คือ ทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบคลุมทั้งแนวราบ แนวสูง ก่อตั้งเมื่อปี 2555 โดยเริ่มพัฒนาโครงการแรกเมื่อปี 2557 ใช้ชื่อว่า ดิ แอล ฟิฟทีน คอนโด (The L15 Condo) คอนโดมิเนียม 8 ชั้น จำนวน 79 ยูนิต ตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 15 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือน บริษัทฯ วางเป้าหมายในการเปิดตัวโครงการใหม่ปีละ 1-2 โครงการ และวางเป้ายอดขายในช่วง 5 ปีแรกไว้ปีละ 500 ล้านบาท ส่วน 5 ปีถัดไป ปีละ 1,000 ล้านบาท ในปีนี้บริษัทได้เปิดตัวโครงการ “ซายน์ สุขุมวิท 50” มูลค่าประมาณ 340 ล้านบาท สำหรับในปีหน้าช่วงต้นปีจะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวโครงการแรกย่านเพชรเกษม มูลค่าโครงการประมาณ 400 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ อีก 1 โครงการ มูลค่า 400 ล้านบาท สำหรับธุรกิจในเครือ จะเปิดสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุง) ประมาณต้นปี 2561 และโรงแรมตากอากาศระดับสากลในอีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า ในส่วนการเปิดตัวโครงการ “ซายน์ สุขุมวิท 50 นายยุทธลักษณ์ กล่าวต่อว่า บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด “ซายน์ สุขุมวิท 50” (SIGN Sukhumvit 50) มูลค่าโครงการประมาณ 340 ล้านบาท ออกแบบภายใต้แนวคิด “A Sanctuary of City Living ที่ที่ความสงบบรรจบชีวิตเมือง” เนื่องจากทำเลที่ตั้งของโครงการอยู่บนถนนที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และ ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ แหล่งไลฟ์สไตล์ เดินทางสะดวก ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน และใกล้รถไฟฟ้า โดยที่เรายังคงรักษาแนวคิดเรื่องการใช้ชีวิตที่เป็นส่วนตัว และที่พักผ่อนเมื่อก้าวเข้าบ้านอีกด้วย ทำให้ที่นี่ เมื่อลูกค้าที่เข้ามาอยู่จะได้มีความเป็นส่วนตัวเมื่อเข้าบ้าน และสามารถสัมผัสสีสันของชีวิตเมืองได้ทันทีเมื่อก้าวออกจากโครงการ และด้วยการใช้ชีวิตสไตล์คนรุ่นใหม่ เราได้ผสานความสะดวกสบายในยุคที่ทุกอย่างเร็วขึ้นเมื่อมี Disruptive คือ นำ Digital Integrated Life เข้ามาใช้ในห้อง โดยภายในห้องจะมีระบบ Home automation และSound System Controller ไว้ให้ เพื่อตอบโจทย์ Lifestyle ของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง โครงการ “ซายน์ สุขุมวิท 50” (SIGN Sukhumvit 50) ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 50 บนพื้นที่โครงการประมาณ 0-2-54.1 ไร่ เป็นอาคารพักอาศัยสูง 8 ชั้น จำนวน 105 ยูนิต เป็นห้อง Fully Furnished พร้อมเข้าอยู่ มีให้เลือก 3 รูปแบบ ได้แก่ แบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 26.14 – 28.68 ตารางเมตร แบบ 1 ห้องนอนพลัส พื้นที่ใช้สอย 34.60 – 37.34 ตารางเมตร และแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 50.23 ตารางเมตร จำนวนที่จอดรถ 40% พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ได้แก่ CO-Working Space ล็อบบี้ มุมห้องสมุด Wifi Internet Access(เฉพาะชั้นล็อบบี้, ฟิตเนส, รูฟท๊อปการ์เด้น) สระว่ายน้ำและสระเด็ก จากุชชี่ ฟิตเนส บริการรับ-ส่งรถไฟฟ้า BTS อ่อนนุช ระบบรักษาความปลอดภัย ระบบคีย์การ์ดเข้า-ออกอาคาร ลิฟท์โดยสารล็อคชั้นจำนวน 2 ตัว กล้องวงจรปิด 24 ชั่วโมง ในราคาเริ่มต้นที่ 2.55 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างเดือนพฤศจิกายน 2560 กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ เดือนสิงหาคม 2562 โดยโครงการนี้บริษัทตั้งเป้าปิดการขายภายใน 3 เดือน เนื่องจากเป็นทำเลที่มีศักยภาพ รวมทั้งรูปแบบการดีไซน์ของโครงการที่น่าจะตรงใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน เจ้าของกิจการ กลุ่มเริ่มสร้างครอบครัว ที่อายุประมาณ 28 - 45 ปี ด้านทำเลที่ตั้งโครงการ ทำเลอ่อนนุช ถือเป็นทำเลที่มีความพร้อมทุกด้าน ทั้งการเดินทาง แหล่งช็อปปิ้ง สิ่งอำนวย ความสะดวก อยู่ไม่ไกลจากพื้นที่เมืองชั้นในอย่าง อโศก ทองหล่อ ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยย่านนี้ เบากว่าย่านในเมืองมากพอสมควร เรียกได้ว่า หากขยับมาอยู่ในโซนนี้ จะได้ทั้งค่าใช้จ่ายที่ประหยัดขึ้น ในขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวกเท่าๆ กัน เนื่องจาก Mass Transit ที่สามารถรองรับการเดินทางที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน สำหรับชาวต่างชาติแล้ว ในโซนนี้เรียกได้ว่าเป็นโซนยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาวญี่ปุ่น จีน หรือยุโรป เนื่องจากคนกลุ่มนี้ชอบอาศัยในโซนเดียวกัน เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าอยู่ในสังคมแวดล้อมเดียวกัน อีกทั้งยังเดินทางสะดวก และ ยังมีสถานที่ราชการ โรงเรียนนานาชาติ อีกหลายแห่ง อาทิ Wells International School, วิทยาลัยกรุงเทพ และ โรงเรียนนานาชาติ Bangkok Prep นอกจากนี้ยังมีอาคารสำนักงานอีกหลายอาคาร พร้อมห้างสรรพสินค้าหน้าโครงการ ด้วยศักยภาพทำเลเหล่านี้ ทำให้บริเวณนี้จึงสามารถดึงการลงทุนต่างๆ เข้ามาได้ และผลักดันให้อ่อนนุชมีความเจริญยิ่งขึ้น สำหรับซอยสุขุมวิท 50 ที่เป็นทำเลที่ตั้งของโครงการ SIGN Sukhumvit 50 เป็นซอยฝั่งขาเข้าเมือง และยังเป็นซอยเชื่อมถึงทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทำให้สามารถขึ้นทางด่วน รามอินทรา-อาจณรงค์ ได้ง่าย และสำหรับขาออกนอกเมืองไป ย่านบางนา - พัฒนาการก็ทำได้ไม่ยาก สะดวกกับผู้ใช้รถยนต์ในการเดินทาง หรือจะเลือกเดินทางเข้าเมืองด้วย BTS ที่สถานีอ่อนนุช และออกนอกเมือง โดย BTS ส่วนต่อขยายไปถึงย่านแบริ่ง สำโรง โดยไม่ลำบากอีกต่อไป ด้วยเหตุผล ที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ปัจจุบันอ่อนนุชเกือบไม่เหลือที่ดินให้พัฒนาโครงการได้อีกแล้ว SIGN Sukhumvit 50 จึงเป็นโครงการที่น่าจับตามองอย่างมากสำหรับคนที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยย่านที่ไม่ไกลเมืองออกไปมากนัก อย่างย่าน "อ่อนนุช" นายยุทธลักษณ์ กล่าว นายยุทธลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการของเราเหมาะสมกับผู้ซื้อที่เป็นผู้อยู่อาศัยจริง ซึ่งตลาดสำหรับผู้อยู่อาศัยจริงยังคงมีกำลังซื้ออยู่ แต่อาจจะมีข้อจำกัดในเรื่องของการขอสินเชื่อ แต่คาดว่าสถานการณ์ในปีหน้าจะดีขึ้น ทั้งนี้ ตลาดคอนโดมิเนียมยังคงต้องคำนึงถึงซัพพลายที่อาจจะมีมากกว่าความต้องการซื้อในบางทำเล บริษัท ฯ เตรียมจัดงาน Pre-Sale ในวันที่ 5 - 6 สิงหาคม 2560 ณ สำนักงานขายโครงการ SIGN SUKHUMVIT 50 โดยได้จัดโปรโมชั่นราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองและทำสัญญา จะได้รับ Samsung Galaxy S8* อีกทั้งยังมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัล Lucky Draw มูลค่ากว่า 100,000 บาท และพิเศษสำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนผ่านทาง Online จะได้รับส่วนลดเพิ่มอีกสูงสุด 20,000 บาท* สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 081-553-5555 หรือ www.signcondo.com
“ORI” ผนึกยักษ์อสังหาฯแดนปลาดิบ “โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์” พร้อมปรับแผนเปิดโครงการเพิ่มเป็น 12 โครงการ มูลค่า 1.8 หมื่นล้าน

“ORI” ผนึกยักษ์อสังหาฯแดนปลาดิบ “โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์” พร้อมปรับแผนเปิดโครงการเพิ่มเป็น 12 โครงการ มูลค่า 1.8 หมื่นล้าน

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” ผุด “บิ๊กมูฟ” เดินหน้าร่วมทุนยักษ์อสังหาฯญี่ปุ่น “โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์” ประเดิมขายหุ้น 4 บริษัทย่อยให้โนมูระ บริษัทละ 49% ลุยพัฒนาคอนโดหลากทำเล หวังแลกเปลี่ยนโนว์ฮาวหนุนโตแกร่งและยั่งยืน ปรับแผนและเป้าปี 60 สวนตลาดอสังหาฯ เปิดโครงการเพิ่มเป็น 12 โครงการ มูลค่า 1.805 หมื่นล้านบาท เพิ่มเป้ารายได้เป็น 9,000 ล้านบาท นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน (Kensington), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), และไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) กล่าวว่า บริษัทกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการเดินหน้าร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของญี่ปุ่น เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 29 ก.ค.2560 มีมติอนุมัติให้บริษัทจำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัทย่อยในเครือจำนวน 4 บริษัท บริษัทละประมาณ 49% ให้แก่บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด 1.บริษัท ออริจิ้น สเฟียร์ จำกัด ให้จำหน่ายหุ้นสามัญจำนวน 49,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 10 บาท ซึ่งเป็นอัตรา 49% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด หรือคิดเป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 0.49 ล้านบาท มีราคาจำหน่ายหุ้นทั้งหมด 32.81 ล้านบาท 2.บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิ้ล จำกัด ให้จำหน่ายหุ้นสามัญจำนวน 49,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 10 บาท ซึ่งเป็นอัตรา 49% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด หรือคิดเป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 0.49 ล้านบาท มีราคาจำหน่ายหุ้นทั้งหมด 44.22 ล้านบาท 3.บริษัท ออริจิ้น รามคำแหง จำกัด ให้จำหน่ายหุ้นสามัญหลังเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 476.53 ล้านบาท จำนวน 23.34997 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 10 บาท ซึ่งเป็นอัตรา 49% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด หรือคิดเป็นทุนจดทะเบียน 233.4997 ล้านบาท มีราคาจำหน่ายหุ้นทั้งหมด 311.39 ล้านบาท และ 4.บริษัท ออริจิ้น ไพร์ม 2 จำกัด ให้จำหน่ายหุ้นสามัญหลังเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 589.7 ล้านบาท จำนวน 28.8953 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 10 บาท ซึ่งเป็นอัตรา 49% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด หรือคิดเป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 288.953 ล้านบาท มีราคาจำหน่ายหุ้นทั้งหมด 400.54 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทเป็นผู้ถือหุ้นเดิมทั้ง 4 บริษัทในสัดส่วน 100% หลังดำเนินการเสร็จสิ้นจะทำให้บริษัทเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทละประมาณ 51% และบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทละประมาณ 49% “การร่วมทุนผ่านบริษัทย่อยในเครือจะทำให้ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และโนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ สามารถร่วมมือกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ๆ ได้ในหลากทำเลที่ออริจิ้นมีที่ดินพร้อมพัฒนาอยู่แล้ว” นายพีระพงศ์ กล่าว นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า การร่วมทุนกันในครั้งนี้ จะช่วยให้ออริจิ้นได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านโนว์ฮาว นวัตกรรม และดีไซน์ในการพัฒนาคอนโดมิเนียมแบบญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญช่วยให้บริษัทสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น สำหรับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2500 ปัจจุบันมีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ได้แก่ 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว 2.ธุรกิจจัดหาสำนักงานให้เช่า 3.ธุรกิจค้าปลีก 4.ธุรกิจโลจิสติกส์ และ 5.ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ เช่น การขาย การซื้อ การเช่าอสังหาริมทรัพย์ มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว (ณ 1 เม.ย.2560) จำนวน 2,000 ล้านเยน (ราว 600 ล้านบาท) มีรายได้จากการดำเนินการในปีงบประมาณล่าสุด (1 เม.ย.2559-31 มี.ค.2560) จำนวน 4.01 แสนล้านเยน (ราว 1.2 แสนล้านบาท) นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยังได้ปรับแผนและเป้าหมายผลประกอบการปี 2560 ของบริษัทด้วย โดยปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่จากเดิม 9 โครงการ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มเป็น 12 โครงการ มูลค่า 1.805 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 11 โครงการ และโครงการบ้านแนวราบโครงการแรกของออริจิ้นอีก 1 โครงการ โดยจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังรวม 8 โครงการ นอกจากนี้ ยังได้ปรับเพิ่มเป้ายอดขายขึ้นจากเดิม 1.3 หมื่นล้านบาท เป็น 1.4 หมื่นล้านบาท เป้ารายได้จากเดิม 6,000 ล้านบาท เป็น 9,000 ล้านบาท รวมถึงอัพเดตสถานะแบ็กล็อก ณ ปิดครึ่งปีแรกที่ระดับ 25,285 ล้านบาท “ขณะนี้เรามีพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น ทั้งจากการผนึกกำลังกับบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด และการร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ขณะเดียวกันสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ทำให้เรามั่นใจในโอกาสการเติบโตไปสู่อีกระดับและตัดสินใจปรับแผนเปิดตัวโครงการใหม่และเป้าผลประกอบการของปีนี้เพิ่มขึ้น” นายพีระพงศ์ กล่าว บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 38 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 36,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร  
ครึ่งแรก ปี 60 การลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยทะลุหมื่นล้านบาท

ครึ่งแรก ปี 60 การลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยทะลุหมื่นล้านบาท

บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ประเทศไทยมีการซื้อขายเกิดขึ้นรวมมูลค่าทั้งสิ้นมากกว่า 10,700 ล้านบาท จากการซื้อขายโรงแรม 4 โรงในกรุงเทพฯ และ 1 โรงในพัทยา เทียบกับปี 2559 ที่มีการซื้อขายโรงแรมเกิดขึ้นทั้งปี รวมมูลค่าประมาณ 9,600 ล้านบาท นายไมค์ แบทเชเลอร์ หัวหน้าฝ่ายขายภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า “การซื้อขายที่มีมูลค่าสูงในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังคงมีความสนใจในการลงทุนซื้อโรงแรมในไทยสูงแล้ว  ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยในระยะยาวอีกด้วย” “ผู้ซื้อประกอบด้วยทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนจากต่างชาติ โดยนักลงทุนต่างชาติรายล่าสุดที่ซื้อโรงแรมในไทยคือ โฮเทล เอทตี้วัน (Hotel81) และกลุ่มคาร์ลตัน โฮเทล ซึ่งเป็นทุนจากสิงคโปร์ทั้งสองราย ตอกย้ำสถานภาพของไทยในฐานะหนึ่งในจุดหมายการลงทุนด้านโรงแรมที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในภูมิภาคนี้” นายแบทเชเลอร์กล่าว การลงทุนซื้อขายโรงแรมล่าสุดในครึ่งแรกปีนี้ คือการเข้าซื้อพอร์ตโรงแรมพรีเมียร์ อินน์ โดยโฮเทล เอทตี้วันจากสิงคโปร์ ประกอบด้วยโรงแรมสองโรงที่กรุงเทพฯ และพัทยา จำนวนห้องพักรวม 388 ห้อง ซึ่งนับเป็นก้าวแรกโฮเทล เอทตี้วันในการเข้ามาลงทุนในภาคธุรกิจโรงแรมของไทย ทั้งนี้ บริษัทได้มอบหมายให้ทราเวลลอดจ์ (Travelodge) เข้ามาเป็นผู้บริหารโรงแรมที่เพิ่งซื้อ นายจักรกริช จักรพันธุ์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขาย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า “การซื้อพอร์ตโรงแรมพรีเมียร์ อินน์ ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่โฮเทล เอทตี้วัน ซึ่งมีโรงแรมในความครอบครองมากที่สุดในสิงคโปร์ ลงทุนซื้อโรงแรมในต่างประเทศ ส่วนผู้ขายคือกลุ่มวิทเบรด (Whitbread) ซึ่งมีโรงแรมในความครอบครองมากที่สุดในอังกฤษ โดยมีเจแอลแอลเป็นตัวแทนในการจัดการซื้อขายข้ามประเทศในครั้งนี้” ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กลุ่มคาร์ลตัน โฮเทล จากสิงคโปร์ได้เข้าซื้อโครงการโรงแรมที่หยุดการก่อสร้างค้างไว้ในกรุงเทพฯ ด้วยมูลค่า 2,400 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่หัวมุมปากซอยสุขุมวิท 27 ประกอบด้วยที่ดิน 2 ไร่ 2 งาน 34.3 ตารางวา และอาคารโรงแรมความสูง 34 ชั้นที่ยังสร้างไม่เสร็จ โดยเจแอลแอลทำหน้าที่เป็นตัวแทนเจ้าของเดิม คือ บริษัท กรุงเทพบริหาร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) ในการหาผู้ซื้อ ทั้งนี้ โรงแรมดังกล่าวซึ่งมีห้องพัก 342 ห้องจะมีการก่อสร้างต่อจนแล้วเสร็จในปี 2562 และคาดว่าจะใช้ชื่อคาร์ลตัน โฮเทล นายการัณย์ คานิเยาว ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขาย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า “การซื้อโครงการโรงแรมโดยกลุ่มคาร์ลตัน โฮเทล นับเป็นการลงทุนซื้อโรงแรมรายการใหญ่ที่สุดบนถนนสุขุมวิท และนับเป็นราคาสูงสุดเท่าที่เคยมีการซื้อขายเกิดขึ้น หากคิดมูลค่าราคาต่อห้องพักหลังก่อสร้างต่อจนเสร็จ” ส่วนอีกสองโรงแรมที่มีการเปลี่ยนมือในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ได้แก่ โรงแรมบางกอกเอดิชั่น บูติค โฮเต็ล และโรงแรมสวิสโซเทล นายเลิศปาร์ค ซึ่งกรณีของโรงแรมสวิสโซเทล นายเลิศปาร์ค แม้จะมีการเปิดเผยการซื้อขายในปี 2559 แต่ธุรกรรมการซื้อขายได้รับการดำเนินการเสร็จสิ้นในปีนี้ เจแอลแอล คาดว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยสำหรับทั้งปีนี้ จะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นมากกว่า 14,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2559 ที่ผ่านมา มีการซื้อขายโรงแรมในไทยทั้งหมดมากกว่า 10 โรงในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ๆ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 9,600 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ เป็นโรงแรมที่เจแอลแอลเป็นตัวแทนการขายจำนวน 5 โรงในกรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย ศรีราชา และเชียงราย
พฤกษารุกหนัก เปิด THE PRIVACY 3 ทำเลใกล้รถไฟฟ้ามูลค่า 5,500 ล้าน รักษาแชมป์ตลาดคอนโดระดับกลาง

พฤกษารุกหนัก เปิด THE PRIVACY 3 ทำเลใกล้รถไฟฟ้ามูลค่า 5,500 ล้าน รักษาแชมป์ตลาดคอนโดระดับกลาง

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  “ช่วง 6 เดือนแรกปี 2560  พฤกษาสามารถครองส่วนแบ่งตลาด (Market Share) คอนโดมิเนียมในเซ็กเมนต์ระดับราคา 2-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของพฤกษา สูงสุดป็นอันดับ 1  ที่ ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาฐานกลุ่มลูกค้านี้ จึงได้พัฒนาคอนโดมิเนียมแบรนด์ THE PRIVACY ภายใต้คอนเซ็ปต์ “COMPOSE YOUR MOMENTS สร้างโลกที่น่าหลงใหลในแบบคุณ” ที่มีการ Re-positioning แบรนด์ใหม่  จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ช่วงอายุประมาณ  25-35 ปี ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีสไตล์เฉพาะตัว  จึงได้ออกแบบฟังก์ชั่นและดีไซน์ที่เน้นมูลค่าเพิ่ม  (Smart Product) ทั้งในด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ส่วนกลางที่ครบครันและมีความแตกต่าง และยังมีการนำเทคโนโลยี มาใช้เพื่อการอยู่อาศัย เช่น ระบบ Smart Access ผ่านประตูเข้า-ออก ทุกจุด ตั้งแต่หน้าโครงการ จนถึงประตูห้องชุด ด้วย Smart Phone เพียงเครื่องเดียว รวมถึงการพัฒนาแอพลิเคชั่น เช่น ระบบการจองพื้นที่ส่วนกลาง การแจ้งเตือนชำระค่าน้ำ ค่าไฟ การแจ้งรับจดหมายหรือพัสดุต่างๆ  เป็นต้น   ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล  บนทำเลที่สามารถเดินทางได้สะดวก ใกล้รถไฟฟ้า ในราคาที่เข้าถึงได้คือราคาเริ่มต้นประมาณ 2-3 ล้านบาท โดยไตรมาส 3 ปีนี้จะเปิดทั้งหมด 2 โครงการ ได้แก่  THE PRIVACY จรัญฯ-ราชวิถี สเตชั่น,  THE PRIVACY ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพ บนเส้นรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ที่มีกำหนดแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2562 และมีแผนจะเปิด THE PRIVACY พระราม 9 เพิ่มอีก 1 โครงการ ภายในปีนี้ มูลค่าโครงการรวม 3 โครงการ 5,500 ล้านบาท THE PRIVACY จรัญฯ – ราชวิถี สเตชั่น เป็นอาคารสูง 24 ชั้น จำนวน 1 อาคาร มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท มอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดด้วยจำนวนห้องชุดพักอาศัยเพียง 281 ยูนิต แบ่งออกเป็นแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 24.5 – 31.6 ตร.ม. และแบบ 1 ห้องนอน (พลัส) พื้นที่ใช้สอย 34.97-39 ตร.ม.  พร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่จะยกระดับการใช้ชีวิตแบบพรีเมี่ยม ไม่ว่าจะเป็นส่วนพักผ่อนที่ชั้น 6 เช่น  Leisure Lounge, Home Theatre หรือพื้นที่ส่วนกลางลอยฟ้า 4 ชั้น ให้คุณเพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่งดงามของสะพานพระราม 8 เช่น  Scenic Sky Lounge , Panoramic Sky Pool และ Panoramic Sky Gym รองรับการอยู่อาศัยอย่างมีระดับ ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิต THE PRIVACY จรัญฯ – ราชวิถี สเตชั่น ตั้งอยู่บนถนนสิรินธร ใกล้แยกบางพลัด เดินทางสะดวกสบายเพียง 600 เมตรจากรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสถานีสิรินธร และเพียง 1 กม.จากทางด่วนศรีรัช ราคาเริ่มต้น 2.59 ล้านบาท  เปิดพรีเซล Private Day วันที่ 5 สิงหาคม นี้ รับส่วนลดสูงสุดกว่า 200,000 บาท THE PRIVACY ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ เป็นอาคารสูง 22 ชั้น จำนวน 1 อาคาร มูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท ห้องชุดพักอาศัยจำนวน 795 ยูนิต แบ่งออกเป็นแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 24.5 – 26.5  ตร.ม  1 ห้องนอน (พลัส) พื้นที่ใช้สอย 34.5 ตร.ม และแบบ 2 ห้องชุดรวมกัน (Combined) พื้นที่ใช้สอย 49.5 ตร.ม พร้อมสิ่งอำนวยสะดวกขนาดใหญ่ ที่ให้มากกว่าโครงการในระดับราคาเดียวกัน สิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็น Highlight ของโครงการ ได้แก่ The Sky Space พื้นที่ส่วนกลางลอยฟ้าขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Star Pool สระว่ายน้ำแบบซีทรู พร้อมระบบไฟ Fiber Optic เสมือนว่ายอยู่ท่ามกลางดวงดาวทั้งบนฟ้าและใต้น้ำ พร้อมด้วย Step Garden พื้นที่สวนที่เชื่อมต่อจากชั้น 19 ไปถึงชั้นดาดฟ้า และ Sky Lounge พื้นที่พักผ่อนชมวิวที่ชั้น 22 นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดใหญ่อีกมากมาย เช่น  Double Volume Lobby, 3 Connecting Facilities ที่ชั้น 2-4 ประกอบด้วย Reading Space, Co-Working Space และ Play Space, Swimming Pool สระว่ายน้ำออกกำลังที่ชั้น 4, Workout Space ห้องออกกำลังกาย เป็นต้น THE PRIVACY ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ เป็นโครงการแรกบนถนนจรัญสนิทวงศ์ ที่อยู่ใกล้สถานีท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ เพียง 100 เมตร ซึ่งเป็นสถานีอินเตอร์เชนจ์ที่ใหญ่ที่สุดของฝั่งธนบุรี และเป็นจุดศูนย์กลางที่เชื่อมเข้าสู่ใจกลางเมือง เพียง 4 สถานี ถึงเยาวราช 6 สถานีถึงจุฬา (สามย่าน) เดินทางโดยรถยนต์ เพียง 10 นาที ถึงสาทร ราคาเริ่มต้นเพียง  1.99 ล้านบาท เปิดลงทะเบียนรับสิทธิ์จองวันที่ 3 สิงหาคม ที่เดอะมอลล์ท่าพระ เปิดให้ชมสำนักงานขาย และห้องตัวอย่าง วันที่ 19 สิงหาคม และเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 กันยายนนี้  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมคลิก theprivacy.pruksa.com หรือโทร 1739
ไรมอน แลนด์ เผยโฉม “เดอะ ลอฟท์ สีลม” โครงการที่ 3 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ “เดอะ ลอฟท์ ซีรี่ส์” แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางสีลม

ไรมอน แลนด์ เผยโฉม “เดอะ ลอฟท์ สีลม” โครงการที่ 3 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ “เดอะ ลอฟท์ ซีรี่ส์” แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางสีลม

ไรมอน แลนด์ เผยโฉม “เดอะ ลอฟท์ สีลม” โครงการที่ 3 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ “เดอะ ลอฟท์ ซีรี่ส์” แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางสีลม บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับหรูชั้นนำของประเทศไทย เปิดตัว “เดอะ ลอฟท์ สีลม” (The Lofts Silom) อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นโครงการที่ 3 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ “เดอะ ลอฟท์ ซีรี่ย์” ที่เคยคว้ารางวัลมามากมาย เป็นทำเลทองซึ่งใกล้กับร้านอาหาร และโรงเรียนชั้นนำ โครงการคอนโดมิเนี่ยมแบบฟรีโฮลด์ สุดหรู แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางสีลม ภายใต้สโลแกน “Symphony of Life” มูลค่าโครงการกว่า 3,500 ล้านบาท เริ่มเปิดขายพรีเซลวันที่ 23 กรกฎาคมนี้ ณ สมาคมสโมสรอังกฤษกรุงเทพ (The British Club Bangkok) ถ.สีลม ซอย 18 มร.เอเดรียน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ในกรุงเทพฯได้เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าในปัจจุบันตลาดอสังหาฯจะมีความ   ท้าทายในการแข่งขันอย่างมาก แต่ไรมอน แลนด์ ยังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และสม่ำเสมอ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเราเป็นผลมาจากการคำนึงถึงคุณภาพชีวิต และการอยู่อาศัยที่ดีของลูกบ้านทุกๆคน Building Better Lives จึงเป็นสิ่งแรกที่เราให้ความสำคัญเสมอมา” "เดอะ ลอฟท์ สีลม" ถูกออกแบบมาจากการนำความเป็นธรรมชาติ และพื้นที่สีเขียวมาสู่ใจกลางเมือง เราไม่ได้เน้นการเสนอลูกเล่น แต่เราให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมโดยรวมที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้แก่ลูกบ้าน พื้นที่สีเขียวชอุ่ม รวมถึงรูปแบบอาคารที่สามารถระบายอากาศตามธรรมชาติล้วนได้รับการออกแบบเป็นอย่างดี และที่สำคัญที่สุดคือรูปแบบพื้นที่ใช้สอยที่มีเพดานสูงเป็นพิเศษ อัตราส่วนระหว่างหน้าต่างกับผนังได้รับการออกแบบมาให้เหมาะสมกับ ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า "เอเดรียนกล่าว ครั้งหนึ่งซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของ "วังประมวญ" มาก่อน "เดอะ ลอฟท์ สีลม" สามารถเดินทางได้ทั้งจากถนนสีลม และถนนสาทร เป็นย่านที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยความพิเศษของโครงการนี้คือการมอบความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยโดยมีจำนวนห้องพักเพียง 268 ยูนิต 37 ชั้น ในพื้นที่ 2 ไร่กว่า (3,240 ตารางเมตร) ความสูงเพดานมีตั้งแต่ 3 ถึง 5.6 เมตร การออกแบบมีทั้งหมด 3 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น “ไพร์ม” (PRIME) เป็นแนวการออกแบบที่เน้นความสดใส สว่าง เป็นตัวอย่างของการใช้ชีวิตในเมือง สไตล์สแกนดิเนเวีย โดยเน้นความรู้สึกที่ดูเบา สบาย ด้วยวัสดุที่ใช้เป็นไม้และอิฐ เน้นโทนสีขาวแลดูสว่าง สะอาด และสบายตา หรือ “มิดไนท์” (MIDNIGHT) เฉดสีเข้ม ให้ความรู้สึกเงียบสงบ การออกแบบที่ดูทันสมัย แต่คงไว้ซึ่งเสน่ห์แห่งความเรียบหรูของโทนสีเข้ม เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่เสาะแสวงหาความท้าทาย และ “ดอว์น” (DAWN) ดีไซน์แนวคลาสสิค เป็นการออกแบบโดยเลือกใช้วัสดุโทนสีน้ำตาลที่สื่อถึงความรู้สึกของธรรมชาติที่อบอุ่น พร้อมมอบประสบการณ์อันหรูหราอย่างมีระดับ สิ่งอำนวยความสะดวก และพื้นที่ส่วนกลางที่ได้รับการออกแบบอย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่สนามเด็กเล่น สวนขนาดใหญ่ ห้องสำหรับใช้อ่านหนังสือวิวสวน ห้องออกกำลังกายลอยฟ้าเพดานสูงพร้อมวิวเมืองมุมกว้าง พื้นที่สำหรับจัดปาร์ตี้สำหรับผู้อยู่อาศัย ห้องอบไอน้ำสำหรับชายและหญิง สระว่ายน้ำสำหรับเด็ก สระว่ายน้ำระบบกรองน้ำบริสุทธิ์   ไร้ขอบ 25 เมตร พร้อมวิวเมืองมุมกว้าง เป็นต้น มร.เอเดรียน ลี กล่าวเพิ่มว่า "จากมุมมองของนักลงทุน โครงการที่มีสถานที่ตั้งที่ดีควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์ที่ดี รวมทั้งแบรนด์ที่แข็งแกร่งของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่จะได้ผลตอบแทนที่น่าตื่นเต้น ซึ่งไรมอน แลนด์ ยังคงได้รับการยอมรับ และเป็นที่พูดถึงเสมอมา จากทั้งนักลงทุนคนไทย และต่างชาติ เนื่องจากโครงการต่างๆของเรามีประวัติที่ดีที่ได้รับการยอมรับมาเป็นเวลายาวนาน” เดอะ ลอฟท์ สีลม ได้รับการวางคอนเซ็ปท์ และออกแบบมาจากบริษัทที่เป็นที่รู้จัก อย่างธาดา คอลลาบอเรชั่น บูรพา พรมมูล ดีไซน์ พาร์ทเนอร์ จากบริษัท ธาดา คอลลาบอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “การออกแบบโดยส่วนมากเน้นการสร้างพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ทั้งภายใน และภายนอกอาคาร ช่วยสร้างบรรยากาศของการอยู่อาศัยที่โอบล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขียวและอากาศที่สดชื่น อีกทั้งตัวอาคารยังออกแบบให้สามารถเปิดรับลมตามฤดูกาลซึ่งสามารถถ่ายเทไปยังพื้นที่ส่วนกลางของโครงการได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ รูปลักษณ์และสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นและแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของผนังลายอิฐ และขอบหน้าต่างสีดำอันเป็นสัญลักษณ์ของอาคาร ผลลัพธ์จากการผสมผสานอันลงตัวของงานดีไซน์อันพิถีพิถันนี้คือ ความทันสมัย เฉียบคม และความงามไร้กาลเวลา โครงการ “เดอะ ลอฟท์ สีลม” นี้จึงเป็นการหลอมรวมกันระหว่างพื้นที่ประวัติศาสตร์แห่ง ”วังประมวญ” และความทันสมัยแห่งใหม่ได้อย่างงดงาม โครงการ เดอะ ลอฟท์ สีลม มีกำหนดเริ่มสร้างประมาณเดือนตุลาคมปีพ.ศ. 2560 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2563 หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ www.theloftssilom.com หรือติดต่อบริษัทไรมอน แลนด์ ที่หมายเลข 02-029-1888  
เพอร์เฟค เปิดตัวคอนโดใหม่ “เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร” จับมือ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริหารการขาย

เพอร์เฟค เปิดตัวคอนโดใหม่ “เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร” จับมือ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริหารการขาย

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ต่อยอดความสำเร็จในทำเลพหล-สุทธิสาร รุกเปิดตัวคอนโดโครงการใหม่ “เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร” จับมือ “พลัส พร็อพเพอร์ตี้” ให้เป็นผู้บริหารการขาย เพื่อขยายฐานลูกค้า มั่นใจในจุดเด่นทั้งทำเล ดีไซน์ สิ่งอำนวยความสะดวก ประเมินภาพรวมตลาดคอนโดยังมีการตอบรับดี  เดินหน้ากระตุ้นยอดขายไตรมาส 3 ด้วยแคมเปญ “แพ็คคู่สุดคุ้ม" นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ใน  ไตรมาส 3 นี้ บริษัทฯ ได้เดินหน้าเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้ ได้แก่ โครงการ เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร หลังประสบความสำเร็จจากการเปิดการขายคอนโดมิเนียมในทำเลสุทธิสาร ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี จึงได้ต่อยอดด้วยการเปิดโครงการต่อเนื่องเป็นโครงการที่สองในทำเลดังกล่าว โครงการเมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร  มีขนาดพื้นที่ 3 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,070 ล้านบาท เป็นคอนโด Low-Rise สูง 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 317 ยูนิต เป็นแบบ 1 ห้องนอน จำนวน 262 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 25–53 ตารางเมตร และ 2 ห้องนอน จำนวน 55 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 52–60 ตารางเมตร  ทำเลที่ตั้งโครงการอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สะพานควาย บนถนนสุทธิสารซึ่งเชื่อมระหว่างถนนพหลโยธินและวิภาวดีรังสิต จึงสามารถเข้าออกได้หลายทาง ซึ่งเป็นจุดเด่นของโครงการ พร้อมกันนี้ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยังได้มีความร่วมมือเป็นครั้งแรกกับ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร อย่าง บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ให้เป็นผู้บริหารการขายและการตลาดให้กับ เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มเติม โดย นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่าว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ยินดีที่ได้ร่วมเป็นผู้บริหารงานขายโครงการเมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร และถือเป็นความภาคภูมิใจของพลัสฯ ด้วยเช่นกัน เนื่องจากพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้า ได้ให้ความไว้วางใจในการทำงาน ในส่วนของงานบริหารงานขายโครงการเมโทร ลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร นี้ พลัสฯ ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของตัวโครงการที่ตั้งอยู่บนทำเลพื้นที่ชั้นกลางที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และยังเป็นย่านที่มีอาคารสำนักงานตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก ใกล้กับศูนย์กลางธุรกิจ รองรับด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เดินทางสะดวก ด้วยราคาเริ่มต้นที่คนรุ่นใหม่จับต้องได้ จึงคาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สำหรับทำเลย่านพหลโยธิน-สุทธิสารนี้ จากข้อมูลการทำวิจัยตลาดโดย พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พบว่าได้รับความนิยมอย่างสม่ำเสมอ แต่กลับมีโครงการใหม่ที่เปิดในช่วง 1-2 ปีมานี้ไม่มาก เนื่องจากที่ดินแปลงใหญ่มีจำกัดมากขึ้น ทั้งนี้ ช่วงปี 2559 ถึงปัจจุบัน (กรกฎาคม 2560) มีโครงการเปิดตัวใหม่เข้าสู่ตลาด 2 โครงการ รวม 3,196 ยูนิต แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม High Rise ราว 70% ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 160,000 บาท/ตารางเมตร ขณะที่คอนโดมิเนียม Low Rise มีราคาขายเฉลี่ยที่ 100,000 บาท/ตารางเมตร เป็นผลจากปัจจุบันที่ดินใกล้สถานีรถไฟฟ้ามีราคาสูงมาก ทำให้ความนิยมเริ่มขยายไปสู่ที่ดินตามถนนสายรองแต่ยังถือว่าอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า เช่น ทำเลสุทธิสาร เพราะไม่เพียงเป็นทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังเชื่อมต่อได้หลายเส้นทางทั้งถนนวิภาวดีรังสิต พหลโยธิน และรัชดาภิเษก จากราคาของโครงการอื่นๆ ที่ขยับไปค่อนข้างสูง ในขณะที่พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค สามารถบริหารต้นทุนได้ดี ส่งผลให้ราคาขายของโครงการเมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร อยู่ในระดับที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยมีราคาขายเฉลี่ยเพียง 97,000 บาท/ตารางเมตร จึงเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจของโครงการ และหากย้อนหลังไปดูราคาเปิดตัวของคอนโดมิเนียม High Rise โซนใกล้เคียง เช่น ย่านสนามเป้า-อารีย์-สะพานควาย เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ราคาเฉลี่ยเปิดตัวอยู่ที่ 90,000–100,000 บาท/ตารางเมตร หากลงทุนในตอนนั้น ปัจจุบันราคาเฉลี่ยโครงการที่ถูกนำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ขยับสูงถึง 140,000–150,000 บาท/ตารางเมตร ส่วน Low Rise ราคาเฉลี่ยเปิดตัวอยู่ที่ 80,000 บาท/ตารางเมตร ปัจจุบันราคาเฉลี่ยโครงการที่ถูกนำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ขยับสูงถึง 93,000 บาท/ตารางเมตร เป็นทำเลที่มีการอยู่อาศัยหนาแน่นสูงถึง 80-90% และเป็นที่สนใจของผู้เช่า ตลอดจนราคาที่ดินรอบสถานีรถไฟฟ้าสนามเป้า-   อารีย์-สะพานควาย ในช่วงปี 5 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5-25% ต่อปี จึงเป็นที่แน่นอนว่าการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคตต้องมีต้นทุนการพัฒนาสูงขึ้น ดังนั้น คอนโดมิเนียมในทำเลนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเก็บไว้เป็นทรัพย์สินที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคตได้อย่างน่าสนใจเช่นกัน นายวงศกรณ์เปิดเผยเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากทำเลซึ่งเป็นจุดขายหลักแล้ว โครงการยังให้ความสำคัญในเรื่องรูปแบบดีไซน์ ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ลูกค้า ด้วยแนวคิดการตกแต่งในโทนโรสโกลด์ (Rose Gold) โทนสีมาแรงในวงการออกแบบ ตลอดจนงานสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายใน โดยโครงการได้นำมาใช้ในการตกแต่งภายในพื้นที่ส่วนต่างๆ ทั้ง ล็อบบี้ ฟิตเนส ตลอดจนเป็นทางเลือกในการตกแต่งห้องพักสำหรับลูกค้า เพื่อแสดงถึงความทันสมัยและหรูหราอย่างมีสไตล์ นอกจากนี้ยังคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบทั้งสระว่ายน้ำพร้อม Bubble Jet, จากุซซี่, สตรีม, ฟิตเนส และสวนพักผ่อน   เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร กำหนดเปิด พรีเซลส์ 22 กรกฏาคมนี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 2.19 ล้านบาท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยังได้จัดกิจกรรมการตลาดเพื่อกระตุ้นการขายในไตรมาส 3 ด้วยแคมเปญ “Double Pack Sale”  โดยนำคอนโดพร้อมอยู่มาจัดโปรโมชั่นในรูปแบบ "แพ็คคู่สุดคุ้ม" ด้วยแพ็คคู่ 2 ยูนิต ราคาพิเศษสำหรับห้องแรก และส่วนลดมากขึ้นสำหรับห้องที่สอง ซึ่งให้ส่วนลดสูงสุดถึง 1 ล้านบาทโดยไม่ต้องจับสลาก สำหรับซื้อเพื่ออยู่อาศัยและลงทุนในเวลาเดียวกัน อาทิ เดอะสกาย สุขุมวิท ห้องแรกเริ่ม 3.69 ล้าน ห้องที่สองจากราคา 3.8 ล้าน เหลือเพียง 2.69 ล้านบาท, เมโทรสกาย บางซื่อ-ประชาชื่น ห้องแรกเริ่ม 2.15 ล้าน ห้องที่สองจากราคา 2.5 ล้าน เหลือเพียง 1.79 ล้านบาท, เมโทรลักซ์ เกษตร ห้องแรกเริ่ม 2.45 ล้าน ห้องที่สองจากราคา 2.5 ล้าน เหลือเพียง 1.6 ล้านบาท เป็นต้น โดยมีให้เลือกกว่า 10 โครงการ และจะมีการจัดอีเวนต์ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว ในวันที่ 27 กรกฏาคม ถึง 2 สิงหาคมนี้ด้วย
แสนสิริเปิดแผนธุรกิจ “Sansiri Transformation” สู่การขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ ผนึกแผนครึ่งหลังเปิดอีก 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 39,260 ลบ.

แสนสิริเปิดแผนธุรกิจ “Sansiri Transformation” สู่การขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ ผนึกแผนครึ่งหลังเปิดอีก 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 39,260 ลบ.

แสนสิริเปิดแผนธุรกิจ “Sansiri Transformation” สู่การขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ ผนึกแผนครึ่งหลังเปิดอีก 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 39,260 ลบ.พร้อมโชว์ผลงานครึ่งปีแรกกวาดยอดขายกว่า 15,000 ลบ. เติบโตเกือบ 20% เผยตลาดต่างชาติตอบรับดี สร้างยอดขายทะลุ 3,700 ล้านบาท แสนสิริ เปิดแผนธุรกิจ  “Sansiri Transformation” กลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ ภายใต้ 4 ด้านหลัก ได้แก่ การบริหารการเงิน - การบริหารการพัฒนาโครงการ –การบริหารกลยุทธ์การตลาด และการบริหารด้านเทคโนโลยี ก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย พร้อมเตรียมเปิดตัวอีก 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 39,260 ล้านบาท มุ่งสานต่อพัฒนาโครงการร่วมทุนกับบีทีเอส พร้อมเล็งหาพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มเติม - รุกตลาดต่างชาติต่อเนื่อง – เปิดตัว “บ้านแสนสิริ” super hi-end ของแบรนด์บ้านเดี่ยวในไตรมาส 4 - ลุยปั้นแบรนด์ “HAUS” หลังลูกค้าตอบรับดี และเดินหน้าส่งมอบนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เตรียมเปิดตัวผลงาน PropTech ชิ้นแรกเร็วๆ นี้ ขณะที่ผลประกอบการครึ่งแรกปี 2560 แข็งแกร่งน่าพอใจ ด้วยยอดขายรวมกว่า  15,000  ล้านบาท เติบโตเกือบ 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายตลาดต่างชาติโตต่อเนื่องกว่า 3,700 ล้านบาท มั่นใจสามารถบรรลุเป้าหมายยอดขายรวมทั้งปีที่ 36,000 ล้านบาทที่วางไว้ในปีนี้ นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา แสนสิริมีผลประกอบการที่น่าพึงพอใจ ด้วยยอดขายรวมประมาณ 15,000  ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 20% และคิดเป็นกว่า 42% ของเป้าหมายยอดขายรวม 36,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้ในปีนี้ สำหรับตลาดต่างชาติซึ่งเป็นตลาดสำคัญก็มียอดขายไปถึงประมาณ 3,700  ล้านบาท คิดเป็น 46% ของเป้าหมายยอดขายตลาดต่างชาติที่วางไว้ 8,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเติบโตตามเป้าหมาย โดยในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ  16 โครงการ มูลค่ารวม 39,260 ล้านบาท พร้อมเปิดแผนธุรกิจ “Sansiri Transformation” สู่การขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ โดยมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่วางไว้ นอกจากนี้ในปัจจุบัน แสนสิริยังมี Presale backlog หรือยอดขายรอรับรู้รายได้รวมทั้งหมดถึง 37,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับการรับรู้รายได้ไปถึงอีก 4 ปีข้างหน้า “ไฮไลต์สำคัญของการดำเนินธุรกิจของแสนสิริในครึ่งปีหลังคือการเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรตามกลยุทธ์ “Sansiri Transformation” หรือการรุกปรับองค์กรอย่างเต็มรูปแบบใน 4 ด้านเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง โดยมีการจัดทัพทีมผู้บริหารที่มากประสบการณ์ในแต่ละด้าน ที่จะมาช่วยบริหารสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทุกมิติของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ” นายอภิชาติกล่าว สำหรับกลยุทธ์ที่สำคัญ Sansiri Transformation มุ่งเน้นใน 4 ด้าน คือ การบริหารการเงิน - การบริหารการพัฒนาโครงการ –การบริหารกลยุทธ์การตลาด และการบริหารด้านเทคโนโลยี Financial Transformation การบริหารด้านการเงิน นำโดยคุณวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ (Chief Financial Officer) หนึ่งในผู้บริหารที่ร่วมก่อตั้งบริษัทแสนสิริ Project Transformation – การบริหารการพัฒนาโครงการทั้งปัจจุบันและในอนาคต นำโดย คุณอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ (Chief Operating Officer) Marketing Transformation – การบริหารด้านกลยุทธ์การตลาด เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มและหลากหลายมากขึ้น นำโดยคุณอรุณภรณ์ ลิ่มสกุล รองกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาด (Executive Vice President - Marketing Division) Technology Transformation – การบริหารด้านเทคโนโลยีเพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ นำโดย ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล (Chief Technology Officer) นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2560 เรามีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 19 โครงการ มูลค่ารวม 44,460 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 9 โครงการมูลค่ารวม 19,400 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่ารวม 24,200 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮ้าส์ 2 โครงการ มูลค่า 860 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกแสนสิริได้พัฒนาไปแล้ว 3 โครงการ ส่งผลให้มียอดขาย (พรีเซลล์) รวมในช่วงครึ่งปีแรกประมาณ 15,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42% จากเป้าหมายยอดขายรวม 36,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้ในปีนี้แม้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ค่อนข้างน้อยซึ่งแสดงถึงความสำเร็จจากการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ  16 โครงการ มูลค่ารวม 39,260 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 22,350 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 16,150 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ มูลค่า 760 ล้านบาท นอกจากการพัฒนาโครงการใหม่ ปัจจัยที่ทำให้ยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง ยังมาจากการรุกตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรก สามารถทำยอดขายได้ถึง 3,700 ล้านบาท คิดเป็น 46% ของเป้ายอดขายต่างชาติที่วางไว้เป็น 8,000 ล้านบาท โดยโครงการที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติมากที่สุด ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมภายใต้ความร่วมมือระหว่างแสนสิริและบีทีเอส “แบรนด์ เดอะ ไลน์” โครงการเดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101 โครงการ และเดอะ ไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์ รวมถึงโครงการเดอะ เบส พัทยากลาง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าชาวฮ่องกงและ จีน ลูกค้าชาวสิงคโปร์ และลูกค้าชาวไต้หวัน อีกปัจจัยที่สำคัญคือ การเปิดตัวโครงการ 98 WIRELESS มูลค่าโครงการรวม 8,700 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นแฟล็กชิพคอนโดมิเนียมของแสนสิริที่เปิดการขายอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 60% รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมใน Affordable Segment ที่มียอดขายเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน โดยสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียม “ดีคอนโด” ได้ทั้งหมด 4 โครงการ ได้แก่ ดีคอนโด นิม เชียงใหม่, ดีคอนโด อ่อนนุช-พระราม 9, ดีคอนโด กาญจนวณิช และ ดีคอนโด กะทู้-ป่าตอง นอกจากนี้ยังสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียมเดอะ เบส เซ็นทรัล พัทยา และบ้านเคียงฟ้า หัวหิน ในตลาดต่างจังหวัดอีกด้วย ทั้งนี้ แนวทางสำคัญในการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบด้วย การสานต่อความสำเร็จของโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ด้วยการเดินหน้าตามแผนการเปิดโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสในระยะยาว โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาพัฒนาไปแล้ว 8 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกนี้เปิดเพิ่มอีก 1 โครงการ ได้แก่เดอะ เบส เพชรเกษม มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีหลังนั้นมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมองหาพันธมิตรธุรกิจเพิ่มเติม เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจในอนาคตอีกด้วย การรุกตลาดระดับบน โดยเล็งเปิดตัว “บ้านแสนสิริ” ซึ่งเป็นโครงการระดับ super hi-end ของแบรนด์บ้านเดี่ยวในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จจากโครงการ “บ้านแสนสิริ สุขุมวิท 67” ในปี 2549 การเดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศอย่างเต็มพิกัด เพื่อรักษาความเป็นผู้นำบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ลูกค้าต่างชาติให้การไว้วางใจจนครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดเป็นปีที่ 4 โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายได้แล้วถึง 3,700 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถบรรลุเป้ายอดขายตลาดต่างชาติในปีนี้ที่ตั้งไว้ 8,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง ต่อยอดการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “HAUS” ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ท ที่มีส่วนกลางเป็นสวนขนาดใหญ่ ท่ามกลางธรรมชาติ ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จไปแล้ว 2 โครงการ คือ ฮาสุ เฮาส์ (Hasu HAUS) โครงการแรก ตามด้วย โมริ เฮาส์ (Mori HAUS) ซึ่งเป็นโครงการที่ 2 ที่สามารถตอบไลฟ์สไตล์ลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติกลางเมืองใหญ่ โดยกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ HAUS นั้น ส่วนใหญ่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง รวมถึงทั้ง 2 โครงการที่เปิดขายยังมีชาวญี่ปุ่นให้ความสนใจจำนวนมาก การเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ด้าน Property Technology อย่างเต็มรูปแบบเป็นรายแรกของไทย โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะได้เห็นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี    ใหม่ๆ เข้ามาใช้ ทั้งในการดำเนินธุรกิจ การพัฒนาโครงการและบริการใหม่ ๆ สำหรับลูกค้า อาทิ “Delivery Robot” หุ่นยนต์ที่สามารถส่งอาหารหรือสิ่งของถึงหน้าประตูห้องของลูกบ้าน โดยวางแผนนำร่องใช้ในโครงการ เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า เป็นโครงการแรก ในช่วงปลายปีนี้ “ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของบริษัทที่เติบโตขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผนวกกับภาพรวมแผนธุรกิจของ     แสนสิริในการก้าวสู่ Sansiri Transformation อย่างเต็มรูปแบบโดยทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่ง รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เกื้อหนุนต่อการเติบโตขององค์กร แสนสิริจึงมั่นใจกว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับปีนี้คือ 36,000 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน” นายอภิชาติ กล่าวปิดท้าย
ศุภาลัย โกยยอดขายครึ่งปีแรกโตเกินคาด…รุกแผนครึ่งปีหลัง เดินหน้าเปิดตัว 22 โครงการใหม่

ศุภาลัย โกยยอดขายครึ่งปีแรกโตเกินคาด…รุกแผนครึ่งปีหลัง เดินหน้าเปิดตัว 22 โครงการใหม่

บมจ.ศุภาลัย ระบุไตรมาส 2 กวาดยอดขายกว่า 13,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% เตรียมเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ พร้อมอัดโปรโมชั่น “ได้บ้าน ได้บินฟินไกล ทั่วเจแปน” เร่งกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลงานครึ่งปีแรกของปี 2560 ว่า บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้พุ่งสูงถึง 13,344 ล้านบาท เติบโต 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 เป็นตัวเลขยอดขายจากโครงการแนวราบ 8,154 ล้านบาท และตัวเลขยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 5,190 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขยอดขายที่โดดเด่นมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ และโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม รวมถึงโปรโมชั่นส่งเสริมการขายที่กระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้ามาอย่างต่อเนื่องในทุกไตรมาส สำหรับแผนการรุกตลาดในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 22 โครงการ มูลค่ารวม 21,540 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 18 โครงการ ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ขณะเดียวกันได้เตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 4 โครงการ โดยเริ่มต้นจากโครงการศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ในรูปแบบ “ชีวิตติดสบาย” ชื่นชอบการพักอาศัยที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และใกล้ระบบคมนาคมที่สะดวกรวดเร็วอย่างรถไฟฟ้า เป็นต้น อีกทั้งช่วงไตรมาส 3 บริษัทฯ ยังร่วมมือกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดโปรโมชั่น “ได้บ้าน ได้บิน ฟินไกล ทั่วเจแปน” เพื่อส่งเสริมการขายในช่วงไตรมาส 3 โดยมอบอภิสิทธิ์เฉพาะลูกค้าที่จองบ้านหรือคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ทั่วไทยกว่า 80 โครงการของศุภาลัย รับสิทธิ์ได้บินคู่ บินฟรี ไม่ต้องลุ้น สูงสุด 4 ที่นั่ง โดยบินตรงกับสายการบินไทย ทั่วญี่ปุ่น เพิ่มความเป็นอิสระทุกการเดินทาง เนื่องจากสามารถเลือกเมืองได้ เลือกเวลาเดินทางเองได้ และรับเพิ่มส่วนลด ณ วันโอน มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท เพื่อนำไปเพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งที่ญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังฟรี ค่าโอนกรรมสิทธิ์ และค่าส่วนกลาง 1 ปีแรก โปรโมชั่นนี้สำหรับการจองตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม - 30 กันยายน 2560 เท่านั้น (ภายใต้เงื่อนไขที่บริษัทฯกำหนด) นายไตรเตชะ กล่าวย้ำว่า แผนการเปิดตัวโครงการใหม่กับโปรโมชั่นล่าสุดในครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้ที่กำลังมองหาบ้านเดี่ยว ทาว์นโฮม และคอนโดมิเนียม ที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของตนเองได้อย่างลงตัว
ศุภาลัย ลุยคอนโดฯ ย่านเพชรเกษม-บางแค ชูแนวคิด Convenience of Life #ชีวิตติดสบาย

ศุภาลัย ลุยคอนโดฯ ย่านเพชรเกษม-บางแค ชูแนวคิด Convenience of Life #ชีวิตติดสบาย

บมจ.ศุภาลัย ลุยตลาดอสังหาฯ ทำเลเพชรเกษม-บางแค เปิดตัวคอนโดฯใหม่ “ศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ” พัฒนาภายใต้แนวคิด “Convenience of Life #ชีวิตติดสบาย” ทำเลสะดวกสบาย ติดถนนเพชรเกษม ติดรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีภาษีเจริญ เน้นการพักอาศัยแบบอยู่สบาย ด้วยการออกแบบเป็นอาคารประหยัดพลังงาน ในราคาสบายกระเป๋า เริ่ม 1.5 ล้านบาท ผ่อนสบายๆ เริ่มเดือนละ 4,900 บาท เตรียมเปิดจองวันที่ 5 - 6 สิงหาคม 2560 นี้ นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพชรเกษม-บางแค เป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เชื่อมต่อกับสายสีเขียวที่สถานีบางหว้า และเป็นถนนสายสำคัญของฝั่งธนบุรี สามารถเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจได้อย่างง่ายดายและสะดวกสบาย อีกทั้งเป็นแหล่งชุมชนขนาดใหญ่สำหรับการอยู่อาศัย แหล่งช้อปปิ้ง แหล่งการศึกษา และร้านอาหารเก่าแก่มากมาย ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้บริษัทฯ เตรียมพัฒนาโครงการใหม่ในรูปแบบคอนโดมิเนียม คือ ศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ บนพื้นที่โครงการประมาณกว่า 10 ไร่ มูลค่าโครงการ 4,400 ล้านบาท ศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ พัฒนาโครงการภายใต้คอนเซปต์ Convenience of Life #ชีวิตติดสบาย เพื่อทำให้ทุกการใช้ชีวิตเป็นเรื่องง่าย โดยเลือกสรรสิ่งที่ใช่ และเชื่อมต่อทุกสิ่งเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ฉับไว และสะดวกสบายในทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตสำหรับผู้พักอาศัยในโครงการแห่งนี้ โครงการตั้งอยู่ในทำเลสะดวกสบายติดถนนเพชรเกษม เดินทางไปยังเส้นทางต่างๆ ได้ง่ายดาย ทั้งถนนราชพฤกษ์ ถนนกาญจนาภิเษก และถนนบรมราชชนนี อีกทั้งใกล้รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีภาษีเจริญ เพียง 150 เมตร ใช้เวลาเดินทางเพียง 2 สถานี ถึงจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีบางหว้า และเชื่อมต่อสู่ BTS สถานีสะพานตากสิน สามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองทั้งสาทรและสีลม รวมถึง CBD ได้อย่างรวดเร็ว ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง กิน เที่ยว ช้อป Community Mall สุดฮิปสำหรับคนรุ่นใหม่ อาทิ ซีคอนบางแค เดอะมอลล์บางแค THE BLOC J ARENA และโลตัส บางแค ใกล้แหล่งการศึกษาอย่างมหาวิทยาลัยสยาม นอกจากนี้ยังใกล้กับโรงพยาบาลพญาไท 3 อาคารชุดพักอาศัย 1 อาคาร 2 Tower แบ่งเป็น Tower A สูง 34 ชั้น Tower B สูง 30 ชั้น โดยมีห้องพักอาศัย 1,802 ยูนิต ร้านค้า 8 ยูนิต มีพื้นที่ใช้สอยแบบห้องสตูดิโอ - 2 ห้องนอน ขนาด 28 – 69.5 ตร.ม. การออกแบบตัวอาคารเน้นการพักอาศัยแบบอยู่สบาย เนื่องจากเป็นอาคารประหยัดพลังงาน โดยเลือกใช้หลอดไฟ LED ประหยัดไฟทั้งอาคาร ตลอดจนคำนึงถึงทิศทางลม ทิศทางแดด ให้อากาศถ่ายเทได้ดี ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ JACUZZI ห้องออกกำลังกาย ห้องแอโรบิค ห้อง Lifestyle Space (พื้นที่ห้องเกมส์ ปิงปอง และที่นั่งพบปะพูดคุย) Kid’s Room Sauna Jogging Track Co- living space (พื้นที่นั่งพักผ่อน ทำงาน ประชุม ) Street Basketball Court Meeting Room และที่จอดรถ พร้อมด้วยพื้นที่สีเขียวรวมกว่า 4 ไร่ เพิ่มความสบายใจกับมาตรฐานความปลอดภัยแบบมืออาชีพ ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง กล้อง CCTV อีกทั้งระบบป้องกันอัคคีภัย Smoke & Heat Detector และ Fire Alarm ตลอดจน Elevator Access Control System (ลิฟท์ล็อคชั้น) ศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ เปิดจองอย่างเป็นทางการ วันที่ 5 – 6 สิงหาคม 2560 ที่สำนักงานขายโครงการ ในราคาสบายกระเป๋า เริ่ม 1.5 ล้านบาท ผ่อนสบายๆ เริ่มเดือนละ 4,900 บาท สอบถามข้อมูลโทร 1720 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.supalai.com
ภิรัชบุรีเปิดประตู อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เตรียมพร้อมรับผู้เช่าใหม่

ภิรัชบุรีเปิดประตู อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เตรียมพร้อมรับผู้เช่าใหม่

เมื่อเร็วๆนี้ นายปิติภัทร บุรี กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี แถลงข่าวเปิดตัวอาคารสำนักงานเกรดเอแห่งใหม่ ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค โดยมี นายนิธิพัฒน์ ทองพันธุ์ กรรมการบริหาร หัวหน้าแผนกพื้นที่สำนักงานซีบีอาร์อี ประเทศไทย (CBRE) ร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับเทรนด์ออฟฟิศในอนาคตและความต้องการของตลาดอาคารสำนักงานในย่านสุขุมวิท-บางนา ที่เพิ่มมากขึ้น อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ สุดยอดผู้พัฒนาอาคารสำนักงานแห่งประเทศไทยประจำปี 2560 (Office Development Thailand) จากเวทีเอเชีย แปซิฟิก พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2560 (Asia Pacific Property Awards 2017 - 2018) และเป็นอาคารสำนักงานออฟฟิศเกรดเอแห่งใหม่ในย่านสุขุมวิท-บางนา และมาพร้อมแนวคิด Defining your workplace ที่เปิดโอกาสให้ผู้เช่าได้สามารถออกแบบออฟฟิศได้ดั่งใจ
พฤกษา เรียลเอสเตท เร่งเดินหน้าผลิตสินค้าเพิ่มมูลค่า ตามแผนกลยุทธ์ “พฤกษา 4.0”

พฤกษา เรียลเอสเตท เร่งเดินหน้าผลิตสินค้าเพิ่มมูลค่า ตามแผนกลยุทธ์ “พฤกษา 4.0”

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า“บริษัทฯ เล็งเห็นพฤติกรรมและทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค โดยได้มีการศึกษาวิจัยพฤติกรรมและทัศนคติของผู้บริโภคยุคใหม่พบว่า ลูกค้าจะพิจารณาเลือกซื้อสินค้าที่ตอบโจทย์ในแง่ของคุณภาพและบริการหลังการขายที่ดีมากขึ้น โดยให้ความสำคัญในเรื่องราคาสินค้าน้อยลงกว่าเดิม จึงเร่งเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ “พฤกษา 4.0” ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์หลักนี้ ได้แก่ Smart - Product การพัฒนาสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่า (High Value Added Product) ซึ่งจะเป็นการเพิ่มคุณค่าของสินค้าให้ลูกค้าได้รับประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในเรื่องคุณภาพและฟังก์ชั่นการใช้งาน ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินการไปแล้วหลายโครงการ ทั้งทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม “ยกตัวอย่างการออกแบบบ้านเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ในโครงการทาวน์เฮาส์ ได้แก่ การเสริมความแข็งแรงของพื้นที่หลังบ้านด้วยเสาเข็มขนาดยาวลึกเท่าตัวบ้าน เพื่อรองรับการใช้งานเป็นพื้นที่เอนกประสงค์ของลูกค้า การใช้บันไดพรีคาสท์ ที่ผลิตจากโรงงาน ได้มาตรฐาน แข็งแรง ทนทาน การออกแบบแนวคิดบ้านหายใจได้ หรือ ออกแบบระบบไหลเวียนอากาศภายในบ้าน โดยใช้แนวคิดการดึงอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้าสู่ตัวบ้าน ทำให้อากาศภายในบ้านถ่ายเทได้ดีขึ้น ส่งผลให้ความร้อนในตัวบ้านลดลง นอกจากนี้ยังช่วยช่วยลดประหยัดไฟจากการใช้เครื่องปรับอากาศ  Home Automation ระบบบ้านอัจฉริยะที่สามารถควบคุมและสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่าน Smart Phone การเพิ่มมูลค่าสินค้าในโครงการบ้านเดี่ยว ได้แก่ การออกแบบบ้านโดยเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานชั้นล่าง โดยออกแบบให้ชั้น 1 มีห้องนอน ห้องน้ำแบบFull Function และครัวไทย เพื่อตอบสนองการใช้งานได้ครบครัน และช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยแก่ผู้สูงอายุ ระบบป้องกันขโมย ป้องกันอัคคีภัย หากตรวจพบควันในห้อง ระบบจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนเข้าโทรศัพท์ และยังสามารถมองเห็นภาพภายในบ้านผ่านกล้องวงจรปิดได้นอกจากนี้ในโครงการคอนโดมิเนียมได้นำ Digital Technology อาทิ ระบบ Smart Access System ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการเข้า-ออกโครงการของลูกค้า การแจ้งข่าวสาร และบริการต่างๆ ผ่าน Mobile Application ครอบคลุมถึงระบบควบคุมไฟฟ้าภายในห้องพักที่สะดวกสบาย และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี ด้วยนวัตกรรมล่าสุดของ Smart Home ในส่วนของสาธารณูปโภคส่วนกลางได้พัฒนา Sky Facility Concept ที่มีเอกลักษณ์ อาทิ Roof Glass Pool ที่มีความสวยงาม โดดเด่น เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้า รวมถึงสร้างเอกลักษณ์เฉพาะให้กับแบรนด์