Tag : News

2376 ผลลัพธ์
รีบจองเลย!! ใครอยากมีบ้าน “โครงการบ้านประชารัฐ” ให้กู้ 100% จองเพียง 1,000 บาท ผ่อนเดือนละ 3,000 บาท แถมผู้ซื้อไม่ต้องจ่ายค่าโอนฯ อีกด้วย

รีบจองเลย!! ใครอยากมีบ้าน “โครงการบ้านประชารัฐ” ให้กู้ 100% จองเพียง 1,000 บาท ผ่อนเดือนละ 3,000 บาท แถมผู้ซื้อไม่ต้องจ่ายค่าโอนฯ อีกด้วย

โครงการบ้านประชารัฐเป็นการปล่อยกู้ให้ผู้ มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัย ในราคาไม่เกิน 700,000 บาท และไม่เกิน 1,500,000 บาท เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ทั้งผู้ที่มีรายได้ประจำ เช่น ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ บุคลากรทางการศึกษา และผู้ที่มีรายได้ไม่แน่นอนหรืออาชีพอิสระ ที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์มาก่อน ให้สามารถมีที่อยู่อาศัยในราคาที่ไม่เกิน 1,500,000 บาท เป็นของตัวเอง หรือซ่อมแซมและต่อเติมที่อยู่อาศัย ผ่านการปล่อยกู้จากธนาคาร 3 แห่ง คือ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการบ้านประชารัฐ จะต้องไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อน หรือเป็นบ้านหลังแรก ราคาที่อยู่อาศัยรวมที่ดินไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ได้ทั้งบ้านใหม่ บ้านมือสอง หรือบ้านที่ปลูกในที่ของตัวเอง โดยไม่ได้จำกัดเฉพาะบ้านที่รัฐจะสร้างใหม่บนที่ราชพัสดุ สำหรับการกู้เพื่อต่อเติมหรือซ่อมแซมนั้น ผ่อนปรนให้ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย แต่ให้กู้ไม่เกิน 5 แสนบาท ทั้งนี้ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และธนาคารอาคารสงเคราะห์ จะแบ่งวงเงินกู้โครงการบ้านประชารัฐเป็นสองส่วน คือ วงเงินกู้ไม่เกิน 7 แสนบาทและวงเงินกู้ระหว่าง 7 แสน – 1.5 ล้านบาท เงื่อนไข ธนาคารออมสิน  1.วงเงินกู้ไม่เกิน 7 แสนบาท ใช้อัตราดอกเบี้ย ในปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0% ผ่อน 3,000 บาท/เดือน /ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2% ผ่อน 3,000 บาท/เดือน /ปีที่ 4-6 ดอกเบี้ย 5% ผ่อน 4,000 บาท/เดือน และปีที่ 7-30 ดอกเบี้ยลอยตัว (MRR) -1.475% ผ่อน 4,000 บาท/เดือน (ข้อมูลเฉพาะธนาคารออมสิน) 2.วงเงินกู้ระหว่าง 7 แสน – 1.5 ล้านบาท ใช้อัตราดอกเบี้ย ในปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3% ผ่อน 7,200 บาท/เดือน /ปีที่ 4-6 ดอกเบี้ย 5% ผ่อน 8,600 บาท/เดือน และปีที่ 7-30 ดอกเบี้ยลอยตัว (MRR) -1.475% ผ่อน 9,100 บาท/เดือน (ข้อมูลเฉพาะธนาคารออมสิน) เช็ครายละเอียดการขอกู้ กับธนาคารออมสิน ที่นี่ ธนาคารออมสิน เงื่อนไข ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (1) อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนพิเศษสำหรับกรณีวงเงินสินเชื่อเพื่อซื้อหรือก่อสร้างที่อยู่อาศัย ราคาไม่เกิน 7 แสนบาทต่อหน่วย และกรณีวงเงินสินเชื่อเพื่อซ่อมแซมและ/หรือต่อเติมอาคารวงเงินไม่เกิน 5 แสนบาทต่อหน่วย คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ดังนี้ ปีที่ 1 = 0.00% ต่อปี ปีที่ 2 – ปีที่ 3 = 2.00% ต่อปี ปีที่ 4 – ปีที่ 6 = 5.00% ต่อปี ปีที่ 7 – ปีที่ 30 อัตราดอกเบี้ยลอยตัว = MRR-0.75% ต่อปี (2) อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนสำหรับกรณีวงเงินสินเชื่อเพื่อซื้อหรือก่อสร้างที่อยู่อาศัย ราคามากกว่า 7 แสนบาท แต่ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อหน่วย คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ดังนี้ ปีที่ 1 – ปีที่ 3 = 3.00% ต่อปี ปีที่ 4 – ปีที่ 6 = 5.00% ต่อปี ปีที่ 7 - ปีที่ 30 อัตราดอกเบี้ยลอยตัว - กรณีลูกค้ารายย่อย = MRR-0.75% ต่อปี - กรณีลูกค้าสวัสดิการ = MRR-1.00% ต่อปี เช็ครายละเอียดการขอกู้ กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่นี่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ขั้นตอนการสมัครโครงการฯ 1.สมัครโครงการบ้านประชารัฐ ธนาคารที่ร่วมโครงการ เอกสารสมัคร (ข้างล่าง) 2.เข้าเวปไซต์ http://www.google.co.th ค้นหาคำว่า ทรัพย์สินรอการขาย 2.1.ธนาคารออมสิน http://properties.gsb.or.th/properties/index.php 2.2.ธนาคารกรุงไทย www.ktb.co.th/npa 2.3.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ www.ghbhomecenter.com/ghb 3.ค้นหาและจดเลขที่ทรัพย์สินที่สนใจ ในวงเงินที่กำหนด 4.โทรสอบถามธนาคารที่ร่วมโครงการ เอกสารการใช้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2559 จนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ 2ปี(ธนาคารออมสิน) 1.สำเนาบัตรบัตรประชาชน 2.สำเนาทะเบียนบ้านที่อยู่อาศัย 3.หนังสือรับรองเงินเดือน (ตัวจริง) 4.สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 6 เดือน หมายเหตุกรณีกู้เพื่อต่อเติมหรือซ่อมแซม วงเงินไม่เกิน 5 แสนบาท บ้านต้องไม่ติดกู้และเป็นเจ้าบ้าน สำหรับพื้นที่การเปิดจองบ้านประชารัฐ เช็คได้ที่นี่ การเคหะแห่งชาติ ตัวอย่างโครงการที่เปิดจอง ตัวอย่างโครงการบ้านเอื้ออาทร เปิดโครงการบ้านประชารัฐ บ้านประชารัฐคืออะไร โครงการบ้านประชารัฐ คือ โครงการปล่อยสินเชื่อวงเงิน 70,000 ลบ.ของรัฐบาล เอื้อต่อผู้มีรายได้น้อยให้สามารถซื้อบ้านได้แบบดอกเบื้ยถูกลง แบ่งเป็น 1.สินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเอกชนภาคอสังหาริมทรัพย์สร้างที่อยู่อาศัย ในวงเงิน 3 หมื่นลบ. ผ่านธนาคารกรุงไทย ออมสิน และธอส. 2.สินเชื่อให้ประชาชนกู้ซื้อบ้าน ผ่านธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ แห่งละ 2 หมื่นลบ. รวม 4 หมื่นลบ.โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการ 2 ปี บ้านประชารัฐจะครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ทุกอันต้องมีราคาไม่เกิน 1.5 ลบ. ไม่ว่าจะสร้างบนที่ดินของตนเอง โครงการของเอกชน หรือสร้างบนที่ดินของรัฐ และยังครอบคลุมไปจนถึงที่อยู่อาศัยที่สร้างใหม่ สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และทรัพย์สินรอการขายของสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ รวมทั้ง NPA ของกรมบังคับคดี  โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ทั้งผู้ที่มีรายได้ประจำ เช่น ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ บุคลากรทางการศึกษา และผู้ที่มีรายได้ไม่แน่นอนหรืออาชีพอิสระ ที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์มาก่อน ให้สามารถมีที่อยู่อาศัยในราคาที่ไม่เกิน 1.5 ลบ. เป็นของตัวเอง หรือซ่อมแซมและต่อเติมที่อยู่อาศัยโดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2559 บ้านประชารัฐ มีที่ไหนบ้าง ที่อยู่อาศัยภายใต้โครงการบ้านประชารัฐมีราคาไม่เกิน 1.5 ลบ. ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งสร้างบนที่ดินของตนเอง โครงการของเอกชน หรือโครงการที่สร้างบนที่ดินของรัฐ ซึ่งครอบคลุมที่อยู่อาศัยที่สร้างใหม่ สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ของสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ โดยโครงการของเอกชนจะประกอบไปด้วยโครงการบ้านของ Developers ชั้นนำ เช่น LPN, พฤกษา, ศุภาลัย ซึ่งบางโครงการจะเข้าร่วมบางส่วน (เฉพาะที่ราคาไม่เกิน 1.5 ลบ.) หรือบางโครงการมีราคาไม่เกินนี้อยู่แล้วก็จะเข้าร่วมทั้งหมด ใครมีสิทธิ์จองบ้านประชารัฐบ้าง ผู้ขอสินเชื่อจะต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป ระยะเวลาชำระเงินกู้ไม่เกิน 65 ปี ส่วนการซื้อบ้าน เช่าซื้อ หรือสร้างใหม่ ราคาหลังละไม่เกิน 1.5 ลบ. และเป็นบ้านหลังแรกเท่านั้น โดยผู้ขอสินเชื่อ ต้องไม่เคยมีชื่อเป็นเจ้าของบ้านมาก่อน ยกเว้นว่า จะเป็นการซ่อมแซมหรือต่อเติมที่อยู่อาศัยรวมทั้งผู้ขอสินเชื่อ ต้องไม่มีชื่อเป็นหรือเคยเป็น “เจ้าบ้าน” ในทะเบียนบ้านที่นำมาแสดงเป็นหลักฐานการยื่นกู้กับธนาคาร และต้องมีชื่อเป็น “ผู้อยู่อาศัย” ในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า 3 ปี ยกเว้น มีชื่อเป็นเจ้าบ้านแต่พิสูจน์ได้ว่าไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยตามทะเบียนบ้านนั้น สำหรับคนที่มีบ้านแล้ว สามารถขอสินเชื่อเพื่อซ่อมแซมและตกแต่งที่อยู่อาศัยได้ ในวงเงินกู้ไม่เกิน 5 แสนบาท คิดดอกเบี้ยเท่ากับกรณีที่กู้บ้านไม่เกิน 7 แสนบาท ทั้งนี้มูลค่ารวมของที่ดินและที่อยู่อาศัยที่จะขอกู้เพื่อซ่อมแซมหรือต่อเติมต้องไม่เกิน 1.5 ลบ. เงื่อนไขพิเศษสำหรับผู้จองบ้านประชารัฐ สิทธิพิเศษเพื่อผู้จองบ้านประชารัฐ คือ ไม่จำกัดรายได้ผู้ขอสินเชื่อ ครอบคลุมทั้งข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ บุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมาก่อน นอกจากนั้นแล้ว ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัย จะลดราคาบ้านให้อีกอย่างน้อย 2% จากราคาขายสุทธิ ทำให้วงเงินขอสินเชื่อกู้ซื้อบ้านลดลง
 พร้อม ฟรีค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจำนอง
 ฟรีค่าส่วนกลาง 1 ปี
 แถมดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติ ระยะเวลาผ่อนสูงสุดถึง 30 ปี
 เท่านั้นยังไม่พอ! ธนาคารยังผ่อนปรนสัดส่วนความสามารถชำระหนี้ต่อรายได้เพิ่มเป็นสูงสุดไม่เกิน 50% ของรายได้สุทธิต่อเดือนกรณีลูกค้ารายย่อย จากเดิม 33% อีกด้วย อัตราดอกเบี้ยและสินเชื่อบ้านประชารัฐ ในส่วนของประชาชนนั้น แยกเป็นเงินกู้เพื่อซื้อหรือก่อสร้างที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 700,000 บ. และไม่เกิน 1.5 ลบ. หรือกรณีกู้เพื่อซ่อมแซมวงเงินไม่เกิน 500,000 บ. จะมีรายละเอียด ดังนี้ โครงการบ้านประชารัฐจะแบ่งวงเงินกู้ออกเป็น 2 ส่วนคือ 1. วงเงินกู้ต่ำกว่า 700,000 บ. ปีที่ 1     ดอกเบี้ย 0% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2% ปีที่ 4-6 ดอกเบี้ย 5% ปีที่ 7 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ยลอยตัว * กรณีปีที่ 7 เป็นต้นไป ธอส. คิดอัตราดอกเบี้ย MRR–0.75% ต่อปี (ปัจจุบัน MRR 6.75%) * กรณีปีที่ 7 เป็นต้นไป ออมสิน คิดอัตราดอกเบี้ย MRR – 1.475% (ปัจจุบัน MRR 7.475%) เราสามารถเลือกผ่อนได้ถึง 30 ปี หากเราขอสินเชื่อในวงเงิน 300,000 – 700,000 บ. เป็นเวลา 10-30 ปี จะต้องเลือกผ่อนจ่ายอย่างไร ดูได้จากตารางด้านล่างนี้ จากตารางด้านบนจะเห็นว่า ถ้าเราขอสินเชื่อ 700,000 บ.  ปีที่ 1-3 จะผ่อนแค่เดือนละ 3,000 บ. พอปีที่ 4-6 จะผ่อนเดือนละ 4,100 บ. ขณะที่ปีที่ 7 เป็นต้นไป ผ่อนเดือนละ 4,500 บ. 2. วงเงินกู้ 700,001-1,500,000 บ. ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3% ปีที่ 4-6 ดอกเบี้ย 5% ปีที่ 7 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ยลอยตัว * กรณีปีที่ 7 เป็นต้นไป ธอส. คิดอัตราดอกเบี้ย MRR–0.75% ต่อปี สำหรับลูกค้ารายย่อยทั่วไป และ MRR–1% ต่อปี  สำหรับลูกค้าสวัสดิการ * กรณีปีที่ 7 เป็นต้นไป ออมสิน คิดอัตราดอกเบี้ย MRR –1.475% สำหรับลูกค้ารายย่อยทั่วไป และ MRR -1.725% ต่อปี สำหรับลูกค้าสวัสดิการ และหากเราขอสินเชื่อในวงเงิน  700,000-1,500,000 บ. เป็นเวลา 10-30 ปี จะต้องเลือกผ่อนจ่ายอย่างไร ดูได้จากตารางด้านล่างนี้ และถ้าหากเราขอสินเชื่อ 1.5 ลบ. และขอผ่อนชำระ 30 ปี ปีที่ 1-3 จะผ่อนแค่เดือนละ 7,200 บ. พอปีที่ 4-6 จะผ่อนเดือนละ 8,900 บ. ขณะที่ปีที่ 7 เป็นต้นไป ผ่อนเดือนละ 9,700 บ. กรณีกู้ซ่อมแซม หรือต่อเติม วงเงินกู้ไม่เกิน 500,000 บ. เริ่มต้นผ่อนชำระ 2,100 บ./เดือน เอกสารประกอบการขอสินเชื่อบ้านประชารัฐ บ้านประชารัฐ ธนาคารออมสิน 1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้กู้และคู่สมรส 2. สำเนาใบสำคัญสมรส หรือสำเนาใบแสดงการหย่า หรือสำเนาใบมรณบัตรของผู้สมรส 3. สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ขอกู้และคู่สมรส บ้านประชารัฐ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 1. บัตรประจำประชาชน/ข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ 2. ทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน 3. สำเนาทะเบียนสมรส/ใบหย่า/ใบมรณบัตร/ใบแจ้งความแยกกันอยู่ 4. สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล 5. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนคู่สมรส 6. ใบรับรองเงินเดือน/หนังสือผ่านสิทธิสวัสดิการ 7. สลิปเงินเดือนหรือหลักฐานการรับเงินเดือนย้อนหลัง 3 เดือน 8. สำเนาบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน (กรณีอาชีพประจำ) และ 12 เดือน (กรณีอาชีพอิสระ) 9. สำเนาทะเบียนการค้า/ทะเบียนบริษัท/ห้างหุ้นส่วนฯ 10. หลักฐานการเสียภาษีเงินได้ 11. รูปถ่ายกิจการ 12. สำเนาใบประกอบวิชาชีพ เอกสารหลักประกันเงินกู้ 1. สำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย/สัญญาวางมัดจำ/สัญญาเช่าซื้อการเคหะ 2. สำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินฉบับกรมที่ดิน 3. สำเนาโฉนดที่ดิน/น.ส.3ก./หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดทุกหน้า กรณีซื้อสินทรัพย์มือสองต้องรับรองสำเนาโดยเจ้าพนักงานที่ดิน โครงการบ้านประชารัฐ กำหนดระยะเวลาดำเนินงานไว้ไม่เกิน 2 ปี นับตั้งแต่ วันที่ 22 มีนาคม 2559 เป็นต้นไป และหากวงเงินเต็มแล้ว ก็ต้องลุ้นดูกันว่า จะมีการขยายวงเงินเพิ่มเติมอีกหรือไม่? ทั้งนี้ บ้านประชารัฐนี้ คาดว่า จะมีประชาชนได้รับผลประโยชน์ราว 40,000-50,000 รายเลยทีเดียว จึงนับว่าเป็นนโยบายภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ประโยชน์ตกอยู่กับผู้มีรายได้น้อยและผู้ที่เพิ่งเริ่มทำงานเต็มที่ เผยรายชื่อ บ้านประชารัฐ ผู้ประกอบการตบเท้าเข้าร่วมกว่า 4 หมื่นยูนิต ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่ามีทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียม 55 โครงการ จำนวนกว่า 1.2 หมื่นยูนิต ที่เข้าร่วมโครงการบ้านประชารัฐจาก 8 บริษัท อสังหาฯ ได้แก่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท, บมจ.แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์, บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์, บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์, บมจ.ศุภาลัย, บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ และ บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ รวมถึง “กคช.-การเคหะแห่งชาติ” ที่ขน 2.67 หมื่นยูนิตภายใต้แบรนด์ “โครงการเคหะประชารัฐ” ร่วมแจมด้วย ประชาชนแห่จองบ้านเคหะประชารัฐ ที่มา :  http://thaihitz.com/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90/  
เมทริส คอนโด 3 ทำเลศักยภาพ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ครบทุกมิติของชีวิตที่สมบูรณ์

เมทริส คอนโด 3 ทำเลศักยภาพ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ครบทุกมิติของชีวิตที่สมบูรณ์

รีวิวฉบับนี้เราจะพาไปดูทำเลศักยภาพและความพิเศษของคอนโดมิเนียมแบบ High Rise แบรนด์ใหม่ เมทริส บนสามทำเล Expanding CBD อย่าง ลาดพร้าว, พัฒนาการ, พระราม 9 –รามคำแหง ซึ่งเพิ่งเปิดตัวกันไปไม่นานและน่าสนใจมากๆ กับดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์แบบ ‘มิด-เซ็นจูรี่ โมเดิร์น’ (Mid-Century Modern) ที่ผสานความคลาสสิก ความทันสมัยเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ภายใต้คอนเซ็ปต์ Remaster The Modern DNA ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่รักอิสระ ชอบความเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความสง่างามเหนือกาลเวลา ซึ่งเป็นคอนโดคุณภาพในเครือ Major Development นั่นเองค่ะ   เรื่องทำเลที่ตั้งหลายคนคงจะรู้จักและทราบกันดีอยู่แล้วว่า เมทริส (METRIS) มีทั้งหมด 3 โครงการ 3 ทำเลศักยภาพที่น่าจับตามากที่สุดในตอนนี้เลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะแต่ละโครงการอยู่ในย่าน Expanding CBD แวดล้อมด้วยร้านกาแฟเก๋ๆ  ห้างสรรพสินค้า และศูนย์รวมความบันเทิงที่ครบครัน  พร้อมกับความสะดวกสบายในแง่ของการเดินทาง และการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ไม่ต่างจากในเมือง อาทิ การเดินทางไปยังรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) แอร์พอร์ต เรล ลิงค์ (Airport Rail Link) และทางด่วน หรือเส้นทางโทลล์เวย์ที่สามารถเดินทางเข้าในเมืองหรือออกนอกเมืองไปยังต่างจังหวัดได้อย่างรวดเร็ว แต่จะมีรายละเอียดอะไรบ้างสามารถดูได้ที่นี่เลยค่ะ.. เมทริส พระราม 9 -รามคำแหง, เมทริส พัฒนาการ, เมทริส ลาดพร้าว    เมทริส พระราม 9-รามคำแหง เริ่มต้นด้วย เมทริส พระราม 9-รามคำแหง ตั้งอยู่ในทำเลอันแสนสะดวกสบายบริเวณแยกพระราม9 - รามคำแหง จุดเด่นของโครงการนี้คือทำเลดีที่สุดของส่วนต่อขยายเมือง ซึ่งกำลังพัฒนาไปเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจและการคมนาคม Expanding CBD Rama 9 เชื่อมต่อในตัวเมืองอย่างรวดเร็วเพียงแค่ 10 นาทีก็ถึงเอกมัยแล้ว โครงการล้อมรอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ โฮมโปร, ฟู๊ดแลนด์, เดอะมอลล์รามคำแหง 2 และ 3 ทั้งยังเดินทางเข้า-ออกเมืองสะดวกด้วยทางด่วนพิเศษศรีรัช, ทางด่วนรามอินทรา เชื่อมต่อชีวิตคนเมืองด้วยการเดินทางใกล้รถไฟฟ้า ARL, MRT Ramkamhang station 12 (รฟฟ.สายสีส้ม) ที่ห่างเพียง 300 เมตรเท่านั้น อีกเรื่องที่ถือเป็นจุดขายของเมทริส พระราม 9-รามคำแหง คงจะหนีไม่พ้นทางเข้า-ออก ซึ่งตามชื่อโครงการเลย ที่สามารถเข้าออกได้ถึง 2 ทาง ทั้งฝั่งถนนพระราม 9 และฝั่งถนนรามคำแหง ทำเลนี้มีดีเรื่อง option การเดินทางจริงๆ ค่ะ นอกจากทำเลที่น่าสนใจแล้ว ดีไซน์ตัวอาคารก็โดดเด่นไม่แพ้กัน เพราะใช้เส้นสายแนวตั้งเรียบง่ายแข็งแรง สะท้อนสไตล์เรียบเท่ด้วยรูปทรงเลขาคณิต สร้างความสมดุลจากความต่างอย่างลงตัว การออกแบบภายในถูกลดทอนให้เกิดความเรียบง่าย เปิดให้เห็นพื้นที่ต่อเนื่องกัน เผยโครงสร้างและวัสดุที่ใช้ด้วยไม้สีเข้ม พื้นผิวปูนเปลือย เสาหินสีดำเงาและกระจกสีทอง รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ที่เลือกใช้ในโครงการก็ยังคงรูปแบบและโทนสีเอกลักษณ์ของยุค Mid- Century Modern ได้เป็นอย่างดี เมทริส พระราม9-รามคำแหง - ล็อบบี้ เมทริส พัฒนาการ ต่อมากับ เมทริส พัฒนาการ คอนโดสำหรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง จุดเด่นอยู่ที่ความเป็นส่วนตัวท่ามกลางส่วนต่อขยายเมืองที่ไม่วุ่นวาย ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพซอยพัฒนาการ 12 ที่สะดวกต่อการเข้าเมืองและออกนอกเมืองได้หลายเส้นทาง เพียง 10 นาทีถึงทองหล่อ-เอกมัย จะทะลุพัฒนาการ 20 ออกถนนอ่อนนุช 17 ก็เป็นอีกทางออกที่ดีไม่ไช่น้อย และยังอยู่ใกล้ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ เพียง 100 เมตร สามารถเดินทางไปต่างจังหวัดได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะไปชลบุรี พัทยา หรือแม้แต่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเดินทางเข้าเมืองก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ถึงทองหล่อและเอกมัยแล้วค่ะ ที่สำคัญกำลังจะมีอุโมงค์ทางลอดรามคำแหง – พัฒนาการสามารถเชื่อมไปยังแอร์พอร์ทลิงค์สถานีหัวหมากได้ด้วย คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2561 ถือว่าเหมาะมากๆ สำหรับคนที่ทำงานฝั่งสุวรรณภูมิ หรือระแวกใกล้เคียง นอกจากจะเป็นทำเลที่สะดวกแล้ว การดีไซน์อาคารยังแสดงออกถึงความเรียบง่ายในรูปแบบเฉพาะตัว แต่ยังคงกลิ่นอาย Mid-century Modern ทั้งยังตอบโจทย์คนเมืองยุคใหม่โดยจัดให้มีพื้นที่สีเขียวควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมต่างๆด้วยแนวคิด NEW URBAN LIFESTYLE ซึ่งมีพื้นที่ส่วนกลาง ทั้งด้านนอกและในตึก อาทิ ลานบาสเกตบอล, ฟิตเนสกลางแจ้ง, ลานบาร์บีคิวสำหรับจัดปาร์ตี้ และสระว่ายน้ำพร้อมวิว 180 องศา ลานบาสเกตบอลและสระว่ายน้ำพร้อมวิว 180 องศา เมทริส ลาดพร้าว – 1 ห้องนอน สุดท้ายกับ เมทริส ลาดพร้าว ตั้งอยู่ในทำเลทองย่านลาดพร้าวจริงๆ ค่ะ เพราะตัวโครงการอยู่ติดถนนลาดพร้าวในซอย 8 จุดเด่นแรกอยู่ในด้านโลเคชั่นที่สะดวกสบายต่อการเดินทางแสนง่าย เชื่อมต่อ 3 เส้นทางสำคัญ เช่น ถ้าจะเข้าเมืองก็สะดวกโดยใช้เส้นพหลโยธินขาเข้า ส่วนขาออกก็ออกทางถนนวิภาวดีรังสิต มุ่งหน้าไปดอนเมือง-รังสิต หรือจะหลบรถติดเส้นสะพานควาย อารีย์ ก็มาวิ่งเส้นวิภาวดี มุ่งหน้าแยกดินแดงเพื่อขึ้นทางด่วนดินแดงก็ได้เช่นกัน บอกได้เลยว่า เมทริส ลดพร้าว เหมาะกับกลุ่มนักเรียนนักศึกษา และกลุ่มคนที่ทำงานตามออฟฟิศทาวน์เวอร์ตามเส้นทางที่กล่าวมา รวมถึงการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าก็สะดวกรวดเร็วเพราะอยู่ห่างจาก MRT พหลโยธิน เพียง 250 เมตร  ไม่เพียงเท่านี้ยังแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภคมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า, สวนสาธารณะ, สถานศึกษา และสถานพยาบาล ที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของผู้อาศัยได้เป็นอย่างดี เมทริส ลาดพร้าว - 2 ห้องนอน นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานที่ลูกบ้านจะได้รับแล้ว เช่น สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส และ Co-Working Space เมทริส ลาดพร้าว  ยังมีระบบจอดรถอัตโนมัติที่เพิ่มความสะดวกสบายในการจอดรถอีกด้วย พื้นที่ส่วนกลางสำหรับสัตว์เลี้ยง   จะว่าไปแล้วความน่าสนใจของทั้ง 3 โครงการก็ดูโดดเด่นไม่แพ้กัน สำหรับห้องชุดในโครงการประกอบไปด้วยห้อง 3 ประเภท ได้แก่ 1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน และแบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ในราคาต่อตารางเมตรที่ 90,000-120,000 บาท อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าแบรนด์ เมทริสพรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสบายเหนือระดับ ทั้งยังให้มากกว่าใคร อาทิ เทคโนโลยีการเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ (Motion Sensor Lighting) ในโถงทางเดินของโครงการช่วยให้ลูกบ้านประหยัดเงินค่าส่วนกลาง ภายในโครงการเลือกใช้แต่งสุขภัณฑ์แบรนด์ดังชั้นนำระดับสากลอย่าง HAFELE (รับประกัน 5 ปี*) และยังมีฟิตเนสสุดล้ำสำหรับคนรักสุขภาพกับ Dynamic Fitness Center ให้ความรู้สึกอุ่นใจปลอดภัยด้วยระบบ Digital Door Lock พร้อม Car Wash พื้นที่ล้างรถสำหรับลูกบ้าน ที่สำคัญคืออนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ทุกยูนิต Pet-Friendly Condo ซึ่งมีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับสัตว์เลี้ยงแสนรัก ลูกบ้านจะได้ความรู้สึกสะดวกสบายอย่างเพียบพร้อม และยังสัมผัสได้ถึงความงามแบบย้อนยุคแต่คงไว้ซึ่งความทันสมัยต่อเนื่องเชื่อมกันไปทั้งโครงการ   คงต้องบอกว่า เมทริส (METRIS) เป็นอีกหนึ่งแบรนด์คุณภาพจาก Major Development ที่น่าสนใจมากเลยทีเดียวค่ะ ทั้งด้วยศักยภาพของทำเล และตัวโครงการเองที่มีการจัดสรรพื้นที่ในส่วนต่างๆ ไว้อย่างลงตัว รวมถึงเลือกใช้วัสดุที่คุ้มค่าเกินราคาห้อง ใครที่กำลังเล็งห้องในทำเลทั้ง 3 ย่านนี้อยู่ ไม่ว่าจะอยู่อาศัยเองหรือเพื่อการลงทุน ขอกระซิบให้รีบตัดสินใจเลยค่ะ เพราะทั้งสามโลเคชั่นที่โครงการเลือกนั้นเป็นย่านธุรกิจที่จะขยายตัวในอนาคต สอดรับกับความต้องการของนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการลงทุนในทำเลทองที่มีแนวโน้มในการเพิ่มมูลค่าขึ้นทุกปีแน่นอน ซึ่งปัจจุบันกำลังเดินการสร้างอยู่และจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2563 แถมยังอยู่ในเรทราคาที่สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ไม่ยาก ยังไงก็เก็บไว้พิจารณากันดูนะคะ   สำหรับผู้ที่สนใจ โครงการ เริ่ม 2.8 ล้าน* เปิดจองพร้อมกัน 3 ทำเล พัฒนาการ, พระราม9-รามคำแหง และลาดพร้าว วันที่ 7-10 ก.ย. นี้ ที่งาน September Hot ชั้น 1 Fashion Hall, Siam Paragon  ฟรี! เครื่องดูดฝุ่น iRobot! ลงทะเบียนออนไลน์ รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 40,000 บาท* เมทริส ลาดพร้าว คลิก https://goo.gl/z3GaMZ เมทริส พัฒนาการ คลิก https://goo.gl/dUqp3Y เมทริส พระราม9-รามคำแหง คลิก https://goo.gl/fGhmGQ สอบถามเพิ่มเติม โทร. 02-116-1111
The Excel Ratchada 17 ตอบโจทย์ทำเลสวยกับความพร้อมทุกการใช้ชีวิต

The Excel Ratchada 17 ตอบโจทย์ทำเลสวยกับความพร้อมทุกการใช้ชีวิต

เดี๋ยวนี้การจะเลือกเป็นเจ้าของคอนโดซักห้อง คงไม่จำเป็นแล้วว่าจะต้องเลือกแต่คอนโดใหญ่ใจกลางเมืองเท่านั้น ถ้าคอนโดมิเนียมโครงการไหนอยู่บนทำเลที่ดี สามารถเดินทางได้สะดวกสบาย มีถนนสายหลักเชื่อมโยงไปได้หลายทาง บวกกับอยู่ใกล้กับแหล่งช็อปปิ้ง ใกล้แหล่งชุมชนบ้าง แค่นี้ก็คงเป็นเหตุผลดึงดูดที่เพียงพอให้เราตัดสินใจซื้อคอนโด…. จริงมั้ยคะ? ถ้าใครกำลังมองหาคอนโดมิเนียมดีๆ ซักห้องบนเงื่อนไขที่ว่ามานี้ล่ะก็ เรามีคอนโดมิเนียมน่าสนใจที่แทรกตัวอยู่ในย่านรัชดาภิเษกมาแนะนำกันค่ะ โครงการที่ว่านี้ก็คือ “The Excel Ratchada 17” คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุดจาก All Inspire ซึ่งคอนเซปต์โครงการสร้างมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง ที่ต้องการเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมบนทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง และเพียบพร้อมสำหรับการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง เราจะไปดูกันค่ะว่าทำเลใน “ซอยรัชดาภิเษก 17” จะตอบโจทย์ในการอยู่อาศัยของคนเมืองมากน้อยแค่ไหน มีจุดเด่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง การเดินทางไปยังโครงการสะดวกอย่างไร.... ไปทำความรู้จักกับทำเลศักยภาพนี้กันเลยค่ะ เดินทางสะดวก ครอบคลุมทุกเส้นทาง เริ่มต้นกันด้วยการเดินทางมายังโครงการ “The Excel Ratchada 17” สามารถเดินทางได้หลายทิศทาง และหลายวิธีการเลยค่ะ การเดินทางที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดก็คือ รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ซึ่งมีสถานีสุทธิสาร อยู่ใกล้ๆ ปากซอยรัชดาภิเษก 17 เลยทีเดียว ขึ้นจากสถานีแล้วเดินมาอีกนิดหน่อย ก็สามารถเลือกต่อรถรับจ้าง หรือเรียกวินมอเตอร์ไซค์ก็ได้ แต่ถ้าอยากออกกำลังกายซักหน่อย ลองเดินเข้าซอยไปที่โครงการก็ได้นะคะ บรรยากาศในซอยโอเคเลยค่ะ เดินได้ไม่ยากมีทางเท้าตลอดเส้นทาง ส่วนการเดินทางด้วยรถยนต์นั้น ถนนหนทางแถบนี้เชื่อมโยงกันเป็นใยแมงมุมเลยค่ะ เข้าออกได้หลายทางมากๆ ถนนสายหลักๆ ที่เราสามารถเลือกใช้เดินทางมายังโครงการก็คือ ถนนรัชดาภิเษก, ถนนสุทธิสารวินิจฉัย, ถนนวิภาวดีรังสิต และถนนดินแดง โดยถนนสายหลักทั้ง 4 สายนี้จะถูกเชื่อมโยงด้วยถนนย่อยในซอยต่างๆ ซึ่งซอยรัชดาภิเษก 17 ก็เป็นซอยสำคัญที่มีเส้นทางลัดเลาะไปออกถนนสายหลักที่ว่ามานี้ทั้งหมดเลยทีเดียว.... ลองมาดูกันค่ะ ว่าซอยรัชดาภิเษก 17 เป็นเส้นทางลัดไปออกซอยไหนได้บ้าง หากต้องใช้ทางด่วน จากเส้นทางลัดเลาะที่ว่ามานี้ ก็ทำให้ด่านทางด่วนดินแดง และด่านทางด่วนพระราม 9 เป็นทางเลือกในการขับรถเดินทางเข้า-ออกเมืองได้อย่างง่ายดาย รวมถึงทางด่วนดอนเมืองโทลเวย์ก็ยังอยู่ในเส้นทางที่ใกล้กับโครงการอีกเช่นกันค่ะ วันไหนถ้าขี้เกียจขับรถ ก็เรียก Taxi หรือใช้บริการรถประจำทางบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปค่ะ รถราผ่านในซอยเยอะหาเรียก Taxi ได้ไม่ยากค่ะ อีกอย่างถนนในซอยประชาสุขซึ่งเชื่อมกับซอยรัชดาภิเษก 17 ก็มีรถเมลวิ่งผ่านหลายสายเลยค่ะ จากหน้าโครงการไปแค่ 100  เมตรเท่านั้น ก็เจอป้ายรถเมล์แล้ว แถมบริเวณนั้นยังมีป้อมตำรวจเพิ่มความอุ่นใจในการสัญจรและอยู่อาศัยได้อีกด้วย   สิ่งอำนวยความสะดวกครบ เพื่อชีวิตที่ใช่ การอยู่คอนโดมิเนียม ชีวิตต้องง่าย มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อมเพื่อการอยู่อาศัยถึงจะตอบโจทย์คนเมือง “The Excel Ratchada 17” อยู่ในย่านที่พร้อมไปด้วยอาหารการกิน แหล่งช็อปปิ้ง สถานที่ Hangout สถานศึกษา รวมถึงแหล่งงานใหญ่ๆ ที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองได้อย่างครบครัน อาทิเช่น ตลาดเมืองไทยภัทร, The Street รัชดา, Esplanade รัชดา, เซ็นทรัล พระราม 9, ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย, ตลาดห้วยขวาง, ตลาดนัดรถไฟ, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, อาคารเมืองไทยภัทร, G Land Tower, มหาวิทยาลัยหอการค้า, โรงพยาบาลพระราม 9 ฯลฯ นอกจากสถานที่ใหญ่ๆ ที่เรายกตัวอย่างไปแล้วนั้น บริเวณซอยรัชดาภิเษก 17 ยังมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อปลีกย่อยให้เราได้พึ่งพาอีกเพียบ เริ่มตั้งแต่บริเวณปากซอยที่มีทั้ง McDonald และ Max Value ซึ่งเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ แบรนด์ดังอีกหลายร้านให้เลือก พอขยับเข้าซอยมาอีกหน่อย ร้านอาหารง่ายๆ ก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกง อาหารตามสั่งก็มีให้เลือกเป็นระยะๆ รวมถึงร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟดีๆ ก็มีให้เห็นค่ะ..... ใกล้ๆ ที่ตั้งโครงการเอง ก็มี 7-11 อยู่ห่างออกไปเพียง 100 เมตรเท่านั้น ความเพียบพร้อมในเรื่องอาหารการกินต้องบอกว่าไม่ผิดหวังแน่นอน aboutthailandliving.com บรรยากาศในย่านรัชดาภิเษก หลายคนก็รู้ดีว่าย่านนี้จัดเป็น New CBD ที่แทบจะไม่เคยหลับใหล กิจกรรมต่างๆ บนถนนสายนี้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ร้านค้า ร้านอาหาร หลายแห่งจึงเปิดให้บริการกันแบบ 24 ชั่วโมง ผู้คนที่อยู่อาศัยในย่านนี้จึงมีตัวเลือกเยอะเลยค่ะ ตั้งแต่ของอร่อยริมข้างทาง ในตลาดสด ไปจนถึงร้านหรูบนห้าง แหล่ง Hangout หรือร้านอาหารนานาชาติอีกมากมาย จนต้องบอกว่ามีให้เลือกกันไม่หวาดไม่ไหวจริงๆ ค่ะ เป็นอย่างไรบ้างคะกับทำเลศักยภาพบนถนนรัชดาภิเษก ที่ตั้งของโครงการ “The Excel Ratchada 17” ที่เราเลือกมาแนะนำกันในครั้งนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะ และเราคงบรรยายได้ไม่สมจริงเท่ากับการได้ลองไปสัมผัสความเป็นอยู่ในย่านรัชดาภิเษก ด้วยการเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียม The Excel Ratchada 17 ซักห้อง   เราเชื่อว่าด้วยการออกแบบของโครงการ และ Faclity ที่ทาง The Excel Ratchada 17 จัดมาอย่างเต็มที่ น่าจะเป็นคำตอบที่โดนใจใครหลายๆ คน ที่จะทำให้การอยู่ในคอนโดมิเนียมทำเลดีๆ ซักแห่งเป็นเรื่องที่ไม่ไกลเกินเอื้อม คลิกดูรายละเอียดโครงการ  https://goo.gl/HBj7wU Website โครงการ : www.allinspire.co.th Tel. : 02-029-9999
“ORI” กำไร Q2 โตทะลุ 227% สวนตลาดอสังหาฯ อัดแคมเปญ-จัดมหกรรม My Life. My Origin โกยยอดขาย Q3 ต่อเนื่อง

“ORI” กำไร Q2 โตทะลุ 227% สวนตลาดอสังหาฯ อัดแคมเปญ-จัดมหกรรม My Life. My Origin โกยยอดขาย Q3 ต่อเนื่อง

“ออริจิ้น” โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2/60 กำไรโตทะลุ 227% เทียบไตรมาส 2/59 สวนทิศทางตลาดอสังหาฯกำไรหด โกยรายได้โตเท่าตัว เผยแบ็กล็อกแข็งแกร่ง พร้อมรับรู้รายได้ต่อเนื่อง ตะลุยจัดงาน อัดแคมเปญ My Life. My Origin ณ สยาม พารากอน หวังกวาดยอดขาย Q3 นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้ แบรนด์เคนซิงตัน, นอตติ้ง ฮิลล์, และไนท์บริดจ์ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2560 ของบริษัท มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 550.7 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากไตรมาส 2/2559 ถึง 145.2% คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับร้อยละ 46.1 ขณะเดียวกัน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 238.7 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 226.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ระดับร้อยละ 20.3 โดยรวมครึ่งปีกวาดกำไรไปแล้ว 410.7 ล้านบาท สวนกับทิศทางของภาพรวมตลาด ขณะที่รายได้ในไตรมาส 2/2560 อยู่ที่ 1,176.4 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากไตรมาส 2/2559 ถึง 140.6% โดยครึ่งปีกวาดรายได้รวม 2,054.4 ล้านบาท “ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทยังมีโครงการที่ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องจากปี 2559 ถึง 4 โครงการ และมีโครงการใหม่ที่ทยอยโอนกรรมสิทธิ์อีก 3 โครงการ ได้แก่ โครงการไนท์บริดจ์ สกายซิตี้ สะพานใหม่ โครงการพอส สุขุมวิท 103 รวมถึงโครงการ นอตติ้งฮิลล์ เจริญกรุงที่แล้วเสร็จก่อนกำหนดทำให้ทั้งรายได้และกำไรของบริษัทในไตรมาสนี้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง” นายพีระพงศ์ กล่าว ขณะเดียวกัน สถานะยอดรอรับรู้รายได้ (แบ็กล็อก) ของบริษัท ณ ปิดครึ่งปีแรกได้ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 25,285 ล้านบาท จากการผนึกกำลังกับบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด ทำให้กลายเป็นบริษัทที่มียอดแบ็กล็อกสูงในระดับท็อปไฟว์ของตลาด นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับช่วงไตรมาส 3/2560 จะเดินหน้าสร้างยอดขายใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงวันที่ 17-20 ส.ค.นี้ บริษัทได้นำโครงการรวมจำนวน 8 โครงการ เข้าร่วมงานอภิมหกรรมบ้าน-คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี 2017 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และงาน Think of Living Living Expo ณ สยาม พารากอน พร้อมจัดแคมเปญ Stunning Price ให้ผู้ซื้ออยู่ฟรี 3 ปี เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ ในวันที่ 16-17 ก.ย. ณ แฟชั่น ฮอลล์ และรอยัล พารากอน ฮอลล์ 3 ศูนย์การค้าสยาม พารากอน บริษัทจะจัดงานมหกรรมสุดยิ่งใหญ่ภายใต้ชื่อ “My Life. My Origin” นำโครงการเด่นของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งรวมถึงโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในช่วงปลายไตรมาส 3 เข้าร่วม ให้ผู้บริโภคสามารถเดินชมและเลือกซื้อโครงการที่สนใจได้ในงาน คาดว่างานดังกล่าวจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างยอดขายในไตรมาส 3 นี้ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 38 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 36,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
อย่าแตกตื่น! อาคารเอียงแค่ดีไซน์ โรงแรมของ “เอม-พินทองทา” ลูกสาวทักษิณ

อย่าแตกตื่น! อาคารเอียงแค่ดีไซน์ โรงแรมของ “เอม-พินทองทา” ลูกสาวทักษิณ

ชาวเน็ตแตกตื่นอาคารใกล้บีทีเอสเพลินจิตทรุดเอียง หวั่นถล่มลงมา ผอ.เขตปทุมวันยันไม่ใช่ พบเป็นโรงแรมโรสวู้ด ของ "เอม พินทองทา" ลูกสาวทักษิณ ซื้อแบรนด์โรงแรมมาบริหาร วันนี้ (15 ส.ค.) จากกรณีที่ในสังคมออนไลน์ได้ส่งต่อภาพอาคารมีลักษณะคล้ายกับทรุดเอียง คล้ายกับจะพังถล่มลงมา บริเวณถนนเพลินจิต ใกล้กับอาคารมหาทุน สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส เพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. และมีสำนักข่าวบางแห่งรายงานว่าจะถล่ม ทำเอาผู้คนแตกตื่นกันเป็นจำนวนมาก ตกใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ โดยเฉพาะบ้านเรือนที่อยู่ใกล้เคียงหวาดหวั่นว่าจะได้รับผลกระทบนั้น นางมรกต สนิทธางกูร ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน ยืนยันกับ MGR Online แล้วว่า ไม่ใช่อาคารทรุดเอียง และได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปดูหน้างานแล้ว ขณะที่ชาวเน็ตอีกจำนวนหนึ่ง ก็ให้ข้อมูลชี้แจงว่ามันเป็นดีไซน์ของอาคารดังกล่าว ที่ทำให้มีความเอนเอียง ส่วนที่เห็นคล้ายจะพังถล่มนั้นเกิดจากมุมกล้อง อย่างไรก็ตาม อาคารดังกล่าวคือ โครงการโรงแรมโรสวู้ด แบงคอก สูง 33 ชั้น ประกอบด้วยห้องพัก 146 ห้อง ร้านอาหาร 2 แห่ง บาร์ สปา สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องประชุมพร้อมพื้นที่อเนกประสงค์สไตล์ห้องพัก และ Sky Villa ชั้นบนสุดของโรงแรม กลุ่มเป้าหมายเน้นลูกค้าชาวต่างชาติที่เดินทางมาติดต่อธุรกิจในกรุงเทพฯ โดยมี นางพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะซีอีโอบริษัท เรนด์ จำกัด เป็นผู้ได้รับสิทธิบริหารจัดการจากเครือโรสวู้ด โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ซึ่งมีโรงแรมในเครือทั้งหมด 18 แห่งใน 8 ประเทศ มีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2560 ที่มา : https://www.manager.co.th/HotShare/ViewNews.aspx?NewsID=9600000083254  
LEVO_ลาดพร้าว

LEVO_ลาดพร้าว

ปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เอพี เดินหน้าบุกตลาดแนวราบ เปิดตัว 10 ทาวน์โฮมใหม่พร้อมกันเป็นครั้งแรก ส่งแบรนด์ ‘บ้านกลางเมือง’ และ ‘พลีโน่’ 10 ทำเลไฮไลท์ใจกลางเมือง มูลค่าโครงการรวม 9,050 ล้านบาท นำเสนอนวัตกรรมพื้นที่และดีไซน์แบบบ้านใหม่ล่าสุด ตอกย้ำตำแหน่งเจ้าแห่งนวัตกรรมดีไซน์พื้นที่ใช้สอยเพื่อการอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง เปิดตัวแคมเปญ “Phenomenal 10” สร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่กับการเปิดตัวทาวน์โฮมแบรนด์ “บ้านกลางเมือง” และ “พลีโน่” 10 โครงการใหม่ 10 ทำเลไฮไลท์ใจกลางเมือง เปิดจองราคาพรีเซลเริ่ม 1.69 – 8.99 ล้านบาท พร้อมข้อเสนอที่ดีที่สุด “จ่ายน้อย คืน 100%” และรับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ คงที่ 2.89% นาน 3 ปี ผ่อนต่ำเริ่มต้นเพียงล้านละ 3,400 บาท/เดือน นาน 3 ปี จากธนาคารไทยพาณิชย์ และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย สำหรับลูกค้าทาวน์โฮมเอพีที่จองซื้อช่วงพรีเซลวันที่ 19 - 20 สิงหาคมนี้ ณ เซลส์ แกลเลอรี่ แต่ละโครงการเท่านั้น นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “สินค้าทาวน์โฮมในกลุ่มเซ็กเมนต์กลาง – บนยังคงได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด โดยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นสินค้ากลุ่มนี้เป็นสินค้าเพื่อการอยู่อาศัยจริง และที่ผ่านมายังไม่พบว่าความต้องการซื้อลดลงแต่อย่างใด ซึ่ง ‘บ้านกลางเมือง’ ของเอพีถือครองสัดส่วนผู้นำตลาดไฮเอ็นท์ทาวน์โฮมเป็นอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 40% ของตลาดทาวน์โฮม 3 ชั้นในเมือง โดยเอพีมุ่งสานต่อเป้าหมายในการรักษาความเป็นผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง เราพร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่เน้นย้ำจุดแข็งทั้ง ‘การเป็นหนึ่งเดียวเรื่องทำเลที่ตั้ง’ ‘การพัฒนานวัตกรรมดีไซน์และแบบบ้านใหม่ๆ’ พร้อมการออกแบบที่หรูหราสอดรับกับพฤติกรรมลูกค้าครอบครัวเมือง ทั้งหน้ากากบ้านและฟังก์ชั่นการใช้งานภายใน ซึ่งเชื่อมั่นว่าทั้งหมดนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีและช่วยดันยอดขายให้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน” ทั้งนี้ รายละเอียดแคมเปญ Phenomenal 10 นอกจากไฮไลท์สำคัญคือ การเปิดตัว 10 โครงการทาวน์โฮมใหม่ 10 ทำเลไฮไลท์ใจกลางเมืองพร้อมกัน ซึ่งประกอบไปด้วย บ้านกลางเมือง ไฮเอ็นท์ทาวน์โฮม 3 ชั้น 4 ทำเลไฮไลท์ ได้แก่ บ้านกลางเมือง  สาทร – สุขสวัสดิ์ บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว – เสรีไทย บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์ – พระราม 5 และ บ้านกลางเมือง รามอินทรา – วัชรพล และ พลีโน่ พรีเมียมทาวน์โฮม 2 ชั้น 6 ทำเลไฮไลท์ ได้แก่ 1.) พลีโน่ ราชพฤกษ์ 2.) พลีโน่ ชัยพฤกษ์ – แจ้งวัฒนะ 3.) พลีโน่ พหลโยธิน – รังสิต 4.) พลีโน่ สุขุมวิท – บางนา พลีโน่ รามอินทรา – วงแหวน พลีโน่ พหลโยธิน – วัชรพล นอกจากจะตั้งอยู่บนโลเคชั่นที่ดีที่สุดในย่านติดถนนใหญ่ ใกล้ทางด่วนและสามารถเดินทางได้หลากหลายเส้นทางเชื่อมต่อสู่เมืองแล้ว ยังมาพร้อมแบบบ้านดีไซน์ใหม่ ผสานความหรูหราและความงามจากธรรมชาติเข้าสู่พื้นที่ภายใน และการบริหารพื้นที่ภายในที่พร้อมรองรับการใช้งานได้อย่างคุ้มค่าเต็มพื้นที่ทุกตารางนิ้ว ตลอดจนสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการอยู่อาศัยจริง เหนือระดับด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ซึ่งทั้ง 10 โครงการ จะมานำเสนอในราคาพรีเซล เริ่มต้นเพียง 1.69 – 8.99 ล้านบาท พิเศษเฉพาะลูกค้าที่จองซื้อ บ้านกลางเมืองและพลีโน่ 10 ทำเลใหม่ ช่วงพรีเซลระหว่างวันที่ 19 - 20 สิงหาคมนี้เท่านั้น  
เจาะตลาดอสังหาฯ “ศรีราชา” เปิดบ้าน “The ZEA” คอนโดมิเนียมสไตล์ญี่ปุ่นระดับพรีเมียม

เจาะตลาดอสังหาฯ “ศรีราชา” เปิดบ้าน “The ZEA” คอนโดมิเนียมสไตล์ญี่ปุ่นระดับพรีเมียม

ณ วันนี้ เมืองศรีราชา จังหวัดชลบุรี น่าจะเป็นทำเลอสังหาริมทรัพย์ใกล้กรุงเทพฯ ที่ร้อนแรง และน่าจับตามากที่สุด ความฮอตของทำเลนี้มาจากเหตุผลหลัก 5 ประการด้วยกันคือ ศรีราชา เป็นเมืองท่าฝั่งตะวันออก เพราะเป็นที่ตั้งของท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง และอยู่ระหว่างสนามบินนานาชาติ 2 แห่ง ได้แก่ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ และสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา เป็นเมืองอุตสาหกรรม เพราะเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ หลายแห่ง ซึ่งบริษัทต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนและตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก มีอัตราการจ้างงานสูง มีชาวต่างชาติเข้ามาทำงานในตำแหน่งระดับสูงเป็นจำนวนไม่น้อย เป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเล ที่เพียบพร้อมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ครบครันไปด้วยความสะดวกสบายและความบันเทิงมากมายพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ ภาครัฐให้ความสำคัญกับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งศรีราชาเป็นส่วนหนึ่งที่จะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาดังกล่าว อยู่ไม่ห่างจากกรุงเทพฯ มาก เพียงแค่ขับรถชั่วโมงกว่า ๆ เท่านั้นเอง จากเหตุผลทั้ง 5 ข้อดังกล่าว ส่งผลให้เกิดความต้องการที่พักอาศัยเป็นจำนวนมาก ทั้งจากคนที่เข้ามาท่องเที่ยว เข้ามาทำงาน และผู้ที่ต้องการมีบ้านหลังที่สองเพื่อพักผ่อนตากอากาศโดยอยู่ไม่ไกลกรุงเทพฯ ในขณะที่โครงการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็ยังมีไม่เพียงพอในการรองรับความต้องการ ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะความต้องการที่พักอาศัยคุณภาพสูงระดับพรีเมียม   ล่าสุด “เจแอลแอล” บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ให้ตัวเลขสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมในเมืองศรีราชา จังหวัดชลบุรี  ระบุว่า แม้ในช่วงระยะ 3-5 ปีก่อนหน้านี้ มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายในศรีราชาจำนวนมาก  โครงการส่วนใหญ่มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2559-2560 ปัจจุบันจึงมียูนิตใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาดมากถึง 5,000 ยูนิต แต่ส่วนใหญ่เป็นคอนโดที่จับตลาดกลางถึงล่าง ในขณะที่ยูนิตคอนโดในระดับพรีเมียมมีสัดส่วนค่อนข้างน้อย และมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมที่เพิ่งสร้างเสร็จพร้อมโอนเข้าอยู่ในปีนี้ ได้แก่ The ZEA ศรีราชา ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยการออกแบบมาเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์แบบญี่ปุ่นโดยเฉพาะ เริ่มจากการให้อ่างอาบน้ำทุกยูนิต จัดเต็มสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งออนเซน  สระว่ายน้ำ สวนเซนสไตล์ญี่ปุ่น และอื่น ๆ  อีกมากมาย  แต่ที่พิเศษสุด ๆ สำหรับโครงการนี้ ก็คือ  ทำเลที่ตั้งโครงการ  ที่จัดว่าเป็นทำเลสวยงามด้วยทัศนียภาพของชายหาด  ทะเล และภูเขา สะดวกในการเดินทางเพราะอยู่ติดถนนสุขุมวิท มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน คือ นักธุรกิจ ผู้บริหารต่างชาติที่เข้ามาทำงานในศรีราชา รวมถึงผู้ที่ต้องการบ้านพักตากอากาศใกล้กรุงเทพฯ   Review Your Living จึงเดินทางไปเปิดบ้านนำชมโครงการ The ZEA   เรามีภาพสวย ๆ ถ่ายจากสถานที่จริงมายั่วน้ำลาย  ส่วนถ้าใครดูแล้วติดใจ สามารถนัดหมายเข้าไปชมห้องตัวอย่างที่ตกแต่งเป็นไอเดียให้ได้เห็นบรรยากาศการอยู่อาศัยจริง   ไปดูแล้วตัดสินใจเลือกห้องจริง  วิวสวยจริงทุกยูนิตได้ที่โครงการด้วยตัวเอง   ติดต่อเข้าชมโครงการได้ที่ The ZEA ศรีราชา โทรศัพท์ 091-736-9999 เมื่อพร้อมแล้วตามไปเปิดบ้าน The ZEA กันเลย ทางเข้าโครงการ The ZEA กว้างขวาง เมื่อเดินทางมาจากกรุงเทพฯ สามารถเห็นโครงการเป็นเสมือนแลนด์มาร์คของเมืองศรีราชาได้แต่ไกล ที่สำคัญอยู่ติดถนนใหญ่ สะดวกสบายในการเดินทาง ล็อบบี้มีความโอ่โถง มีการตกแต่งห้องชุดในส่วนล็อบบี้เป็นร้านอาหารพร้อมให้บริการ ให้อารมณ์ไม่ต่างจากโรงแรมหรู สามารถนั่งชมวิวสวนสวย  ก่อนขึ้นไปชมห้องจริงได้   ภายในห้องจัดแต่งไว้อย่างเรียบร้อย ห้องน้ำมาพร้อมกับอ่างอาบน้ำทุกยูนิต  ไม่ต้องกังวลเมื่อผู้เช่าชาวญี่ปุ่นถามถึงอ่างอาบน้ำ   วิวสวยๆ มีให้เลือกทั้งทะเลและภูเขา ถึง The ZEA ศรีราชา จะอยู่ติดถนนใหญ่ แต่การจราจรไม่พลุกพล่าน บรรยากาศจึงค่อนข้างสงบผ่อนคลาย เหมาะกับการผักผ่อนอย่างแท้จริง   The ZEA ศรีราชาจัดเต็มสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งสระวายน้ำ ออนเซน  ซาวน่า  ฟิตเนส   สวนสวยในแบบ Water Scape บนชั้นดาดฟ้า  สวนร่มรื่นตลอดทางเดินลงไปริมทะเล เป็นต้น ถ้าอยากรู้ว่าของสวย ๆ พร้อมโอกาสในการลงทุนแบบนี้ จะเด็ดแค่ไหน  ลองแวะไปดูด้วยตา สัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง โอกาสแบบนี้ ไม่ได้มีมาบ่อย ๆ โทรนัดชมห้องจริง ที่ 091-736-9999 หรือ www.thezeacondo.com/register/
Geo Fit+ นวัตกรรมการออกแบบเพื่อไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง

Geo Fit+ นวัตกรรมการออกแบบเพื่อไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง

  ถ้าใครติดตามข่าวสารในแวดวงอสังหาฯ เป็นประจำอยู่แล้ว คงจะเปิดผ่านตากันมาบ้างกับข่าวการร่วมทุนระหว่าง บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท ฮันคิว เรียลตี้ (ประเทศญี่ปุ่น) จำกัด เพื่อจัดตั้ง บริษัท เสนา ฮันคิว 1 ไปเมื่อปลายปี 2559 มาถึงวันนี้ โปรเจคแรกจาก “เสนา ฮันคิว” เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนแล้วค่ะ และเตรียมจะเปิดตัวคอนโดมิเนียม High Rise บนทำเลศักยภาพ ริมถนนสุขุมวิท ห่างจากรถไฟฟ้าสถานีแบริ่งเพียง 250 เมตรเท่านั้น โดยโครงการที่ว่านี้ก็คือ “Niche MONO Sukhumvit - Bearing” นั่นเอง โครงการ "Niche MONO Sukhumvit - Bearing" ถือว่าเป็นโครงการแรกที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างทีมงานทางไทย และญี่ปุ่น เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวใหม่เข้าสู่ตลาด โดยการนำเสนอแนวคิด “Geo Fit+” เข้ามาใช้ในการตอบโจทย์รายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวกับการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ   Geo Fit+ คืออะไร Geo fit+ มาจากความเชื่อว่า การสร้างที่อยู่อาศัยนั้นไม่พอ แต่ต้องสร้างบ้าน บ้านที่เสียงของท่านมีความสำคัญ เป็นเสียงที่จะทำให้มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง จนเป็นบ้านในฝันที่ท่านภูมิใจ เป็นเจ้าของอย่างแท้จริง Geo Fit+ เป็นแนวคิดในการสร้างที่อยู่อาศัยแบบคนญี่ปุ่น ซึ่งถือกำเนิดโดย บริษัท ฮันคิว เรียลตี้ (ประเทศญี่ปุ่น) จำกัด ที่พยายามพัฒนานวัตกรรมนี้ขึ้น เพื่อใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้ตรงที่สุด โดยอาศัยการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้และผู้อยู่อาศัยจริงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนเข้าอยู่ไปจนถึงหลังเข้าอยู่ จนออกมาเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มีฟังก์ชั่นตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุดนั่นเอง จากแนวคิดที่ถือกำเนิดมาเพื่อแก้โจทย์การอยู่อาศัยอยู่คนญี่ปุ่น ทางเสนาได้รับแนวคิดนี้มาพัฒนาต่อ และปรับใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนไทยมากยิ่งขึ้น โดย Geo Fit+ ที่ทางเสนาพัฒนาได้นั้น แบ่งได้เป็น 4 มิติ ดังนี้ Geo Day - มิติที่ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตประจำวันที่ใส่ใจรายละเอียด ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ โดยเน้นที่การออกแบบฟังก์ชั่นห้องชุด ให้ตอบสนองความต้องการของผู้พักอาศัย ด้วยFunction Furniture ต่างๆ ที่สามารถปรับให้ Fit กับ Lifestyle ผู้อยู่อาศัยได้จริง Geo Eco - มิติในเรื่องของการประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นหนึ่งเรื่องที่ทางเสนาให้ความสำคัญมานานแล้ว ด้วยการติดตั้ง SENA Solar Station ที่มี EV Charger ที่ใช้กระแสไฟจาก Solar Cell ที่ช่วยทั้งเรื่องการประหยัดพลังงาน รักษ์โลก และ ที่สำคัญช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนกลาง Geo Age - การออกแบบเพื่อผู้สูงอายุ โดยให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการอยู่อาศัย เตรียมพร้อมเมื่ออยู่ในวัยที่สูงขึ้น Geo Sonae - การให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัย การเตรียมตัวให้พร้อมรับมือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินกับลูกบ้าน และการช่วยเหลือเบื้องต้นอย่างปลอดภัย ด้วยการมีห้องพยาบาลพร้อมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น และเครื่องช่วยปั้มหัวใจภายในโครงการ   จากข้อมูลข้างต้น เราเชื่อว่าหลายคนคงจะได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิด Geo Fit+ ไปไม่มากก็น้อยนะคะ และเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น เราจะไปดูกันต่อค่ะว่าทางทีมของ “เสนา ฮันคิว” ได้นำเอาแนวคิดที่ว่านี้ ไปสร้างสรรค์ประสบการณ์การอยู่อาศัยแนวใหม่อย่างไรบ้าง ในโครงการ “​Niche MONO Sukhumvit - Bearing” เริ่มกันด้วยหัวข้อใหญ่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของเราที่จะต้องเผชิญกับเรื่องต่างๆ ในทุกๆ วันเลยค่ะ กับ “Geo Day” ซึ่งในหัวข้อนี้ทาง “เสนา ฮันคิว” นำเสนอออกมาในรูปแบบที่เราสามารถจับต้องได้ชัดเจน นั่นคือ “เฟอร์นิเจอร์” “เฟอร์นิเจอร์” ภายในห้องพักอาศัย ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดค่ะ เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ด้วยฟังก์ชั่นที่ปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งาน หรือตามความต้องการ เพื่อให้ชีวิตประจำวันดำเนินไปอย่างราบรื่น เรื่องพื้นที่ใช้สอยเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม เนื่องจากมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด การจัดการกับพื้นที่ภายในให้ใช้ได้คุ้มค่าที่สุดจึงเป็นเรื่องสำคัญ   ทุกยูนิตของ Niche MONO Sukhumvit - Bearing จึงถูกดีไซน์ให้มีตู้เก็บของซึ่งมาด้วยฟังก์ชั่นหลากหลาย ให้ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ เช่น ตู้เก็บรองเท้า ที่สามารถเก็บรองเท้าได้มากขึ้น 10 คู่ ในขณะที่แต่ละชั้นยังสามารถปรับความสูงได้ตามขนาดรองเท้า เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยค่ะ รวมถึงช่องเก็บของกระจุกกระจิกภายในตู้ ที่จะช่วยให้กุญแจห้อง คีย์การ์ด กุญแจรถ ไม่ถูกวางลืมไว้จนหาไม่เจอ นอกจากนี้การออกแบบให้มีตู้สูงสำหรับเก็บอุปกรณ์จำพวก ไม้กวาด ที่โกยผง เครื่องดูดฝุ่น ไม้ถูพื้น ก็เป็นอีกรายละเอียดที่ทาง เสนา ฮันคิว ให้ความสำคัญ เช่นเดียวกันกับตำแหน่งวางเครื่องซักผ้า ก็เพิ่มชั้นวางของไว้ด้านบน เครื่องใช้ ผงซักฟอก น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม ก็สามารถวางไว้ใกล้มือ และหยิบใช้ง่าย และเก็บเข้าที่ให้เป็นระเบียบง่ายด้วยค่ะ จุดเด่นและสิ่งที่แตกต่างจากเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป ตู้เก็บรองเท้า ที่ปรับระดับความสูงของชั้นได้ตามขนาดของรองเท้า ทำให้เก็บรองเท้าได้พอดี ประหยัดเนื้อที่ และยังออกแบบเพิ่มรูระบายอากาศ เพื่อให้อากาศภายในตู้รองเท้าหมุนเวียน ลดกลิ่นอับ ชั้นวางของสำหรับใช้งานประจำวัน เช่น กุญแจรถยนต์ คีย์การ์ด ออกแบบช่องวางแบบไม่มีฝาปิด เพื่อให้สะดวกต่อการหยิบใช้งาน ออกแบบตู้เก็บอุปกรณ์หรือสิ่งของ ที่มีความยาวมากๆ เช่น ร่มกันฝน เครื่องดูดฝุ่น ไม้กวาด ที่ตักผง เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบในการจัดเก็บ ชั้นวางอุปกรณ์ทำความสะอาด บนเครื่องซักผ้า เช่น ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม ที่ง่ายต่อการหยิบใช้งาน ในความเป็นจริงตู้เก็บของ และชั้นวางต่างๆ นั้นสามารถปรับแต่งได้แทบทุกจุดเลยนะคะ ไม่ได้ Fix ตายตัว เพราะเราเชื่อว่า แต่ละคนก็มีความคุ้นชินในการใช้ชีวิตประจำวันไม่เหมือนกันค่ะ พื้นที่ในห้องครัวก็เช่นกัน แม่บ้านแต่ละครอบครัวก็คงจะมีความจำเป็นในการใช้งานไม่เหมือนกัน บางคนชอบเข้าครัวทำกับข้าวบ่อยๆ กลับกันบางครอบครัวอาจจะใช้ครัวเพื่อเตรียมและอุ่นอาหารเท่านั้น แต่ที่แน่ๆ คุณแม่บ้านทุกคนก็คงจะอยากได้ครัวที่ทำความสะอาดง่าย ดังนั้นวัสดุเคลือบสี กระจก Coat จึงถูกนำมาใช้กับเคาน์เตอร์ครัว เพื่อให้ประหยัดเวลาในการทำความสะอาดค่ะ รวมถึงอุปกรณ์แขวน ชั้นวาง และถังขยะใต้ซิงค์ล้างจานก็ล้วนแต่คิดมาแล้วว่าจำเป็นต่อการใช้งานจริงๆ จุดเด่นของส่วนห้องครัว และสิ่งที่แตกต่างจากเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป ชุดครัวที่ออกแบบชั้นวางจานไว้อย่างลงตัว สามารถดึงชั้นวางจานลงมาจากตู้เหนืออ่างล้างจาน เพื่อเก็บจานชามที่ทำความสะอาด และรองน้ำหยดให้อยู่ในอ่างน้ำไม่เลอะเทอะเคาน์เตอร์ครัว คำนึงถึงพื้นที่ใช้สอย ด้วยการออกแบบและติดตั้งตู้เก็บถังขยะใต้อ่างล้างจาน สำหรับคนที่ชื่นชอบทำอาหาร ทางโครงการติดตั้งราวแขวนเครื่องครัว ที่บริเวณผนัง เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน เช่น ชั้นแขวนเครื่องครัว ชั้นวาง iPad สำหรับผู้ชอบดูเมนูสอนปรุงอาหาร เลือกใชวัสดุที่เช็คทำความสะอาดง่าย ทั้งพื้น Top ครัวและกระเบื้องติดผนัง ที่กันเปื้อน ทำความสะอาดคราบน้ำมันได้ง่าย เฟอร์นิเจอร์ใน Living Area ทาง เสนา ฮันคิว ก็ให้ความสำคัญไม่แพ้กันนะคะ ช่องเก็บของใต้โซฟา ถือเป็นไอเดียที่ดีในการจัดเก็บข้าวของต่างๆ ได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วย หรือแม้แต่ช่องเก็บของเล็กๆ ข้างโซฟา ที่จะทำให้นิตยสารเล่มโปรด รวมถึงรีโมตทีวี ไม่ระเกะระกะอีกต่อไป จุดเด่นของส่วนห้องนั่งเล่น และสิ่งที่แตกต่างจากเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป ช่องเก็บของอเนกประสงค์บริเวณโซฟา และใต้ฐาน เพื่อสามารถเก็บของใช้ในส่วนห้องนั่งเล่นได้ เช่น รีโมท นิตยสาร   ในส่วนของพื้นที่ห้องนอนก็ยังคงเน้นฟังก์ชั่นการใช้งานค่ะ ตู้เสื้อผ้าออกแบบมาให้เก็บเสื้อผ้าเป็นจำนวนมาก แถมยังคงคอนเซปต์การปรับแต่งชั้นวางได้ตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ถ้าตู้แค่นี้ยังไม่พอ ใต้เตียงยังเพิ่มลิ้นชักเก็บของด้วยความลึกที่เหมาะสมจึงสามารถใช้งานได้จริง รวมถึงชั้นวางหนังสือข้างเตียง ก็ออกแบบมาเอาใจหนอนหนังสือให้ทุกพื้นที่เป็นระเบียบสบายตาค่ะ จุดเด่นของส่วนห้องนอน และสิ่งที่แตกต่างจากเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป ตู้เสื้อผ้าที่สามารถเก็บชุดได้หลายรูปแบบ ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตาม Lifestyle พร้อมทั้งเพิ่มพื้นที่เก็บของได้มากกว่า ด้วยชั้นปรับระดับได้ไม่ว่าจะเป็น ชุดเดรสยาวของคุณผู้หญิง เข็มกลัด ผ้าพันคอ หรือจะเป็นเสื้อเชิ้ตตัวสั้น ชั้นเก็บเนคไท หรือที่แขวนกางเกงสำหรับคุณผู้ชาย ก็สามารถเก็บของได้สามารถเก็บได้อย่างเป็นระเบียบ และหยิบใช้ได้ง่าย   จุดเด่นของส่วนห้องครัว และสิ่งที่แตกต่างจากเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป เตียงนอนที่ออกแบบมาให้มีลิ้นชักเก็บของที่มีความลึกที่เหมาะสม สามารถเก็บของใช้ ช่วยประหยัดพื้นที่ใช้สอยภายในห้องชุด   เป็นอย่างไรบ้างคะ แค่รายละเอียดในส่วนของ Geo Day ก็ปลีกย่อยจนไม่อาจบรรยายได้หมดเลยทีเดียว ส่วนถัดมาคือ “Geo Eco” ซึ่งเป็นหัวข้อเกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทางเสนาเองก็มีจุดแข็งในเรื่องนี้อยู่แล้ว ด้วยการออกแบบให้พื้นที่ส่วนกลางทุกโครงการของเสนาได้ใช้พลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ ด้วยการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ ที่โครงการ Niche Mono Sukhumvit - Bearing ก็เช่นกันค่ะ และเราเชื่อว่าทางโครงการจะเพิ่มจุดชาร์จรถไฟฟ้าไว้ในโครงการ เพื่อรองรับรถไฟฟ้าในอนาคตด้วย   “Geo Age” เป็นความใส่ใจทุกคนในครอบครัวค่ะ อีกทั้งยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตเมื่อเข้าสู่วัยที่ล่วงเลย และการใช้ชีวิตประจำวันต้องระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งทาง เสนา ฮันคิว ก็ไม่ลืมความสำคัญในข้อนี้ เพราะที่อยู่อาศัยที่เราเลือกจะต้องเป็น “บ้าน” ของเราไปอีกนาน การเพิ่มราวจับในห้องน้ำ หรือบริเวณทางเดิน อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องคิดเผื่อไว้ รวมถึงความสูงของปลั๊กไฟ ที่ระยะห่างจากพื้น 40 เซนติเมตร คือระยะที่ผ่านการทดลองมาอย่างดีแล้วว่าเป็นระยะที่ไม่ต้องก้มมากเกินไปค่ะ   มิติสุดท้ายที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือ “Geo Sonae” ความปลอดภัยของการอยู่อาศัย และความช่วยเหลือเบื้องต้นที่นอกเหนือจากการมีแค่กล่องปฐมพยาบาลอย่างที่เคย การพัฒนาจากแนวคิด Geo Fit+ เล็งเห็นความปลอดภัยของชีวิตลูกบ้านเป็นสิ่งสำคัญ การอบรมเจ้าหน้าที่ประจำคอนโดให้สามารถช่วยปฐมพยาบาล ปั๊มหัวใจ เพื่อการช่วยเหลือยามฉุกเฉิน รวมถึงการออกแบบพื้นที่ทางเดิน และประตูให้กว้างพอ หากจำเป็นต้องมีการเข็นเตียงพยาบาลเข้าออกค่ะ รวมถึงการออกแบบพื้นที่ทางเดิน และประตูให้กว้างพอ หากจำเป็นต้องมีการเข็นเตียงพยาบาลเข้าออกค่ะ เรื่องเหล่านี้บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว หรือลืมคิดเผื่อไว้ล่วงหน้า พอเกิดเหตุการไม่คาดคิด ก็อาจจะทำให้การช่วยเหลือต่างๆ ติดขัด ไม่ราบรื่น หรือล่าช้าได้ แต่จากนี้ไปลูกบ้าน Niche MONO Sukhumvit - Bearing อุ่นใจได้เลยค่ะ เพราะทาง เสนา ฮันคิว คิดทุกอย่างไว้เป็นอย่างดีแล้ว   เล่ามาถึงจุดนี้แล้ว เราเชื่อว่าแนวคิด “Geo Fit+” นวัตกรรมการออกแบบเพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัย ที่ทางเสนายกมาเป็นอีกหนึ่งจุดขายนี้ จะเป็นมิติใหม่ของการสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยเพื่อผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริงค่ะ   อย่างที่บอกไปแล้วนะคะว่าโครงการ “Niche MONO Sukhumvit - Bearing” จะเป็นโครงการแรกที่นำแนวคิด Geo Fit+ มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ใครที่ยังสงสัย อยากซักถามรายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงอยากเห็นห้องตัวอย่างด้วยตาตัวเอง เตรียมพบกันได้ที่ Sale Gallery เร็วนี้ค่ะ หรือสามารถดูรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่ https://goo.gl/ZQGjhn และถ้าไม่อยากพลาดโอกาสในการเป็นเจ้าของโครงการดีๆ แบบนี้ สามารถคลิกไปลงทะเบียนได้ที่ http://www.sena.co.th/register/niche-mono-sukhumvit-bearing  
จองคอนโดง่ายแค่ปลายนิ้ว

จองคอนโดง่ายแค่ปลายนิ้ว

ปัจจุบันเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 ชีวิตผูกติดกับโลกดิจิตอลจนบางครั้ง Smart Phone และ Tablet แทบจะกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ไปแล้วสำหรับใครบางคน และอีกหลายๆ คนก็เริ่มคุ้นชินกับการช็อปปิ้งออนไลน์ ผ่าน Application ต่างๆ มากขึ้น เนื่องจากสะดวกสบาย ไม่ต้องเสียเวลาฝ่าการจราจรออกไปเจอรถติดๆ ให้หงุดหงิดใจ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิมๆ ที่ต้องไปเดินห้างจับจ่ายสินค้าอุปโภคบริโภค กลายมาเป็นการจิ้มสั่งซื้อของบนหน้าจอมือถือจนเป็นเรื่องปกติไปแล้วค่ะ ยิ่งเดี๋ยวนี้ระบบ e-Banking, Online Payment ต่างๆ ก็มีความปลอดภัยมากขึ้น พวกเราเลยสะดวกใจในการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านทางโลกดิจิตอลได้บ่อยกว่าที่เคย….​จริงมั้ยคะ และด้วยความที่พฤติกรรมของคนปัจจุบันเริ่มทำธุรกรรมผ่าน Smart Phone และ Tablet มากขึ้น ผู้ประกอบการหลายๆ รายก็ต้องปรับตัวค่ะ ไม่เว้นแม้แต่ Developer หรือผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายๆ ราย ที่ต้องใช้สื่อออนไลน์เพื่อทำการตลาด และสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายให้รวดเร็วทันเหตุการณ์มากขึ้น จากที่เราเคยคิดว่าการเลือกซื้อคอนโดซักห้องเป็นเรื่องไกลตัว ยุ่งยากเสียเวลา ต้องไปต่อคิวแย่งชิงกันคนมากมาย อากาศก็ร้อน รถก็ติด บ้านก็อยู่ไกล บางคนอยู่ต่างจังหวัดแต่อยากได้คอนโดในกรุงเทพ ก็ต้องเสียเวลาเดินทางมาไกลอีก บลา บลา บลา.......(ร้อยแปดปัญหาที่คนร้อยคนก็มีข้อจำกัดต่างกันไปค่ะ) Developer ปัจจุบันเลยเพิ่มช่องทางให้มีการ “จองคอนโดออนไลน์” กันได้แล้ววววววว “การจองคอนโดออนไลน์” เป็นช่องทางหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ทุกๆ คนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเป็นเจ้าของห้องที่ถูกใจ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นง่ายแค่ปลายนิ้วเท่านั้นค่ะ ด้วยวิธีการเปิดจองแบบออนไลน์นี่เอง ไม่ว่าเราจะอยู่ส่วนใดของประเทศ หรือแม้แต่อยู่อีกมุมโลก ขอแค่มีสัญญานอินเตอร์เน็ตเท่านั้น เราก็สามารถกดจองห้องได้ด้วยระยะเวลาไม่เกิน 2 นาที แถมยังไม่ต้องเสียเวลาเดินทางแม้แต่นิดเดียวค่ะ ซึ่งหลายคนคงอยากจะรู้แล้วว่า การจองคอนโดออนไลน์มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง เราเลยจะพาไปเรียนรู้ระบบการจองคอนโดออนไลน์ของ All Inspire ที่เร็วๆ นี้ กำลังจะเปิดให้จองคอนโดสวยบนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองพร้อมกันถึง 2 โครงการด้วยกันค่ะ เอาล่ะค่ะ ก่อนที่จะไปถึงการคลิกจองห้องที่หมายตาไว้ ในวันที่ 16 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ เราจะต้องทำการลงทะเบียนล่วงหน้ากันก่อนค่ะ โดยการเข้าไปที่ https://allbooking.allinspire.co.th เพื่อกรอกข้อมูลสำคัญด้วย 3 ขั้นตอนง๊ายง่ายค่ะ...... ไปดูกันเลย   พอลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่นับวัน-เวลา รอเข้าระบบไปเลือกห้องที่โดนใจกันค่ะ ระหว่างนี้ก็ลองทำการศึกษาข้อมูลโครงการที่ทาง All Inspire เปิดจองออนไลน์ในครั้งนี้ไปพลางๆ ก่อน ซึ่งทั้ง 2 โครงการที่ว่าก็คือ “The Excel HIDEAWAY Sukhumvit 71” และ “The Excel HIDEAWAY Sukhumvit 50” ลองคลิกเข้าไปอ่านดูข้อมูลเบื้องต้นที่เรารวบรวมมาให้ก่อนได้นะคะ ภาพโครงการ The Excel HIDEAWAY Sukhumvit 71 ภาพโครงการ The Excel HIDEAWAY Sukhumvit 50 พอเลือกได้โครงการและห้องที่หมายตาไว้แล้ว ก็เตรียมตัวให้พร้อมค่ะ สิ่งแรกคือ “เตรียมวงเงินในการจอง”  -  เคลียร์วงเงินในบัตรเครดิต หรือ บัตรเดบิต ไว้ให้เพียงพอต่อยอดที่จะจองค่ะ จะได้ไม่ติดขัดในขั้นตอนการจ่ายเงิน   “ตั้ง Alert ในมือถือ”  -  เพื่อไม่ให้พลาด หรือทำเรื่องอื่นๆ เพลินจนลืมเวลา เราแนะนำให้ตั้งปลุกไว้ล่วงหน้าซัก 5 นาที ก่อนจะถึงเวลาเปิดจองค่ะ และควรอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญานอินเตอร์เน็ตพร้อมด้วยค่ะ สิ่งที่เราจะต้องทำในวันจองออนไลน์จะมีขั้นตอนดังนี้ค่ะ เข้าไปที่หน้าเว็บไซต์ของ All Inspire เพื่อ “เข้าสู่ระบบจอง” ตามลิงค์นี้ค่ะ https://allbooking.allinspire.co.th   เมื่อเข้าระบบมาแล้ว ก็ให้กดเลือกโครงการที่ต้องการ และเลือกห้องที่อยากได้เลยค่ะ   ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง ซึ่งหน้านี้ ทางระบบจะ Fill ข้อมูลมาให้เลยตามที่เราได้ลงทะเบียนไว้ล่วงหน้าค่ะ จึงไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์ใหม่อีกครั้ง   สำหรับขั้นตอนในการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตนั้น จะต้องใช้บัตรที่สามารถซื้อสินค้าทางออนไลน์ได้ด้วยนะคะ ถ้าใครยังไม่เคยใช้บัตรซื้อของออนไลน์มาก่อน จะต้องติดต่อธนาคารเจ้าของบัตรเพื่อเปิดใช้งานกันก่อนนะคะ และจะต้องเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตเพื่อให้ธนาคารดำเนินการให้ด้วยนะคะ เมื่อถึงเวลาชำระเงินจะได้สะดวกรวดเร็ว ได้ห้องที่เราต้องการสมใจค่ะ พอคลิกจ่ายเงิน และผ่านขั้นตอนระบบ Payment ของแบงค์เรียบร้อยแล้ว เราก็จะได้รับ E-mail ยืนยันการจอง เพื่อรอเจ้าหน้าที่นัดหมายเข้ามาทำหนังสือสัญญาในลำดับต่อไปค่ะ   ด้วยขั้นตอนง่ายๆ ผ่านการคลิกด้วยปลายนิ้วของเราไม่เกิน 2 นาที คอนโดห้องสวยโดนใจก็จะอยู่ในมือเราแล้วววววว ^^ ทิ้งทายไว้อีกนิดกับเงื่อนไขที่ควรรู้ เพื่อสิทธิประโยชน์ของคุณเองค่ะ   แล้วพบกันในวันที่ 16 สิงหาคม เวลา 16:00 น. นะคะ หวังว่าทุกคนจะได้เป็นเจ้าของคอนโด The Excel บนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองกันทุกคนนะคะ
‘เอพี ไทยแลนด์’ แจงผลประกอบการครึ่งปีแรก เติบโตอย่างมั่นคง สร้างรายได้รวมสูงกว่า 10,500 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิกว่า 1,100 ล้านบาท เตรียมเปิดตัว 18 โครงการใหม่มูลค่า 28,750 ล้านบาท

‘เอพี ไทยแลนด์’ แจงผลประกอบการครึ่งปีแรก เติบโตอย่างมั่นคง สร้างรายได้รวมสูงกว่า 10,500 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิกว่า 1,100 ล้านบาท เตรียมเปิดตัว 18 โครงการใหม่มูลค่า 28,750 ล้านบาท

 เอพีประกาศผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2560 เติบโตอย่างมั่นคง ยิ้มรับผลความสำเร็จใน 4 โครงการร่วมทุนที่เริ่มทะยอยโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกมีรายได้รวมมากถึง 10,593 ล้านบาท  โตขึ้นกว่า 23% หากเทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อนหน้า ด้านกำไรสุทธิโตขึ้น 18% หรือเท่ากับ 1,157 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าลุยเปิดพรีเซล 18 โครงการใหม่ ครั้งแรกกับการเปิดตัวโครงการแนวราบพร้อมกันมากสุด ด้วย 10 ทาวน์โฮมแบรนด์ บ้านกลางเมือง - พลีโน่ เริ่ม 1.69 – 8.99 ล้านบาท และ 7 บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่แบรนด์ เดอะ ซิตี้ - เซนโทร เริ่ม 9.8 - 35 ล้านบาท และ 1 คอนโดใหม่ ไลฟ์ อโศก-พระราม 9 เริ่ม 110,000 บาทต่อตารางเมตร นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า จากกลยุทธ์ "คิดและสร้างความแตกต่าง” (AP THINK DIFFERENT) ที่เน้นย้ำจุดแข็งของเอพีในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ โดดเด่นด้วยดีไซน์และการจัดสรรพื้นที่ใช้สอย ตลอดจนการประสบความสำเร็จในคอนโดมิเนียมร่วมทุนกับทางกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท ซึ่งในปีนี้ถือเป็นปีแรกที่คอนโดมิเนียมร่วมทุนก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้มากถึง 4 โครงการ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมสูงถึง 10,593 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่รวมผลการดำเนินงานจากคอนโดมิเนียมร่วมทุนในสัดส่วน 51% กับทางกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท โดยแบ่งเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 1 เท่ากับ 5,129 ล้านบาท และไตรมาส 2 เท่ากับ 5,464 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2559 ถึง 23% ด้านกำไรสุทธิครึ่งปีแรกเท่ากับ 1,157 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% หากเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2559 ที่มีกำไรเท่ากับ 981 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิในครึ่งปีแรกนี้แบ่งเป็นเกิดในช่วงไตรมาส 2 เท่ากับ 608 ล้านบาท และไตรมาส 1 เท่ากับ 549 ล้านบาท ทั้งนี้ความคืบหน้าทางด้านยอดขายครึ่งปีแรกบริษัทฯ สามารถสร้าง ยอดขายรวมได้มากเป็นอันดับที่ 2 ของธุรกิจหรือเท่ากับ 15,000 ล้านบาท แต่หากรวมยอดขายจากโครงการใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดพรีเซลไปเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้กับโครงการ LIFE ONE WIRELESS (ไลฟ์ วัน ไวร์เลส) ตลอดจนโครงการอื่นๆ ส่งผลให้บริษัทฯ มียอดขายรวม 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) มากถึง  23,300 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 76.9% คิดเป็น 89.5% ของเป้าหมายยอดขายรวม 26,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้ในปีนี้ สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง (5 เดือน ส.ค.-ธ.ค.) บริษัทฯ พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่อีกจำนวน 18 โครงการ มูลค่ารวม 28,750 ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบมากถึง 17 โครงการ มูลค่า 19,750 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 7 โครงการ และทาวน์โฮม 10 โครงการ และคอนโดมิเนียมร่วมทุน  1 โครงการ LIFE อโศก-พระราม 9 มูลค่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดจะพร้อมเปิดพรีเซลระหว่างช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าในช่วงเวลาที่เหลือพร้อมกับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง (5 เดือน ส.ค.-ธ.ค.) จะสามารถสร้างยอดขายได้เกินเป้าที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน ภาพรวมการร่วมทุนกับทางกลุ่มมิติซูบิชิ เอสเตล หนึ่งในผู้นำการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรในประเทศญี่ปุ่น ตลอดที่ผ่านมา (เริ่มร่วมทุนปี 2014) ได้ดำเนินพัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมกันทั้งสิ้น 10 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 41,000 ล้านบาท สร้างยอดขายรวมได้มากถึง 80% และ 4 ใน 10 โครงการร่วมทุนได้แก่ RHYTHM สุขุมวิท 36-38, Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง RHYTHM อโศก 2 และ Aspire สาทร-ท่าพระ ก่อสร้างแล้วเสร็จเริ่มส่งมอบแล้วตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ในช่วงครึ่งปีหลัง 5 เดือนที่เหลือ (ส.ค.-ธ.ค.) นี้บริษัทฯ เตรียมจัดงานเปิดตัว 17 โครงการแนวราบ ณ สำนักงานขายของทุกโครงการ โดยทั้ง 17 โครงการล้วนมีความพิเศษในเรื่องของนวัตกรรมดีไซน์ที่ได้รับพัฒนาขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าในแต่ละทำเล โดยวันที่ 19-20 สิงหาคมนี้กับงาน THE PHENOMENAL 10 กับครั้งแรกในการเปิดตัว 10 ทาวน์โฮมใหม่ใจกลางเมืองแบรนด์ “บ้านกลางเมือง และพลีโน่” พร้อมกัน พบราคาพรีเซลพร้อมข้อเสนอทางการเงินจ่ายน้อย คืน 100% และรับส่วนลดเพิ่ม 100,000 บาทเมื่อลงทะเบียนล่วงหน้า ได้แก่ (1) บ้านกลางเมือง สาทร-สุขสวัสดิ์ (2) บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว-เสรีไทย (3) บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-พระราม 5  (4) บ้านกลางเมือง รามอินทรา-วัชรพล (5) พลีโน่ ราชพฤกษ์ (6) พลีโน่ ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ (7) พลีโน่ พหลโยธิน-รังสิต (8) พลีโน่ สุขุมวิท-บางนา (9) พลีโน่ รามอินทรา-วงแหวน และ (10) พลีโน่ พหลโยธิน-วัชรพล เริ่ม 1.69-8.99 ล้านบาท พร้อมงานพรีเซลเปิดตัว 7 บ้านเดี่ยวโมเดลใหม่ ในวันที่ 29-1 ตุลาคมนี้ ประกอบด้วยแบรนด์ THE CITY บ้านเดี่ยวเพื่อครอบครัวที่สมบูรณ์แบบกับ 4 พิกัดใหม่ (1) THE CITY พัฒนาการ (2) THE CITY บางนา-กม.7 (3) THE CITY สาทร-สุขสวัสดิ์ (4) THE CITY ปิ่นเกล้า - บรมฯ ราคาเริ่ม 9.8-35 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวแบรนด์ CENTRO สำหรับครอบครัวคนรุ่นใหม่กับ 3 พิกัดใหม่ (5) CENTRO บางนา-กม.7 (6) CENTRO พหล-วิภาวดี (7) CENTRO รามอินทรา-จตุโชติ เริ่ม 4.99-15 ล้านบาท พิเศษลงทะเบียนและจองในงานพรีเซลรับ Iphone 8 และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย สำหรับคอนโดมิเนียม LIFE อโศก-พระราม 9 บริษัทฯ พร้อมเปิดพรีเซลในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้เช่นกัน ทั้งนี้ ณ ปัจจุบัน (31 กรกฎาคม) บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ามากถึง 34,500 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่า 3,820 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 30,680 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2564
4 คอนโดติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง-สีน้ำเงิน ไม่เกิน 3 ล้าน

4 คอนโดติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง-สีน้ำเงิน ไม่เกิน 3 ล้าน

ปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ๆ มากมาย เหตุผลหลักที่หลายคนเลือกอยู่คอนโดฯ ก็คงหนีไม่พ้นความสะดวกสบายโดยเฉพาะเรื่องการเดินทาง ด้วยทำเลที่ตั้งส่วนใหญ่มักอยู่ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนและรถไฟฟ้าหลากหลายสาย แต่คอนโดฯ ที่แวดล้อมด้วยความสะดวกสบายเช่นนั้นราคาก็มักจะสูงลิ่ว เห็นราคาแล้วก็ถอดใจสู้ไม่ไหวใช่ไหมคะ พวกเราทีมงาน Review Your Living เข้าใจดีค่ะ วันนี้เราจึงรวบรวมรีวิวคอนโดติดรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสีน้ำเงิน (บางซื่อ - เตาปูน) ที่จะเชื่อมต่อกันในเดือนสิงหาคม 2560 นี้ โดยไม่ต้องต่อรถให้ยุ่งยากเสียเวลา เพื่อเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจค่ะ บอกเลยว่านอกจากการเดินทางสะดวกสบายไม่แพ้คอนโดฯ กลางเมืองแล้ว ราคายังโดนใจประหยัดเงินได้อีกด้วย 1. The Politan Aqua  คอนโดมิเนียมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาจากบริษัท Everland ที่ตอบรับทุกการใช้ชีวิตอย่างพิถีพิถันด้วยแนวคิดใหม่แบบ High-rise โดยมีจุดเริ่มต้นแนวคิดมาจากการสร้างสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกอาคารให้เอื้อต่อการอยู่อาศัยที่ดี ที่สำคัญคือตั้งอยู่บนทำเลคุณภาพ แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติและสายน้ำ ใจกลางความสะดวกในการเดินทางเข้าออก เชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีสะพานพระนั่งเกล้า) และถนนหลักหลายสาย มีสาธารณูปโภคต่างๆ รายรอบมากมาย ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.29 ล้านบาท อ่านรีวิวได้ที่ : https://goo.gl/c2Rjsq   2. Aspire Rattanatibet 2  อีกหนึ่งคอนโดฯ ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้กับ Aspire รัตนาธิเบศร์ 2 โครงการที่พักอาศัยคุณภาพ 25 ชั้น จาก AP ในทำเลที่ตั้งน่าสนใจ อยู่ห่างจากสถานีบางกระสอเพียง 200 เมตร ใกล้จุดขึ้น - ลงทางด่วนศรีรัช พร้อมยกระดับความปลอดภัยด้วยอาคารจอดรถเป็นสัดส่วนแยกจากอาคารที่พักอาศัย นอกจากนี้ยังตกแต่งให้บรรยากาศสไตล์รีสอร์ท ร่มรื่นด้วยสวนกลางขนาดใหญ่ ครบครันด้วย Fitness สระว่ายน้ำ ลานสันทนาการกลางแจ้ง ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท อ่านรีวิวได้ที่ : https://goo.gl/iJ7CEs 3. Notting Hill Skyscraper Central Rattanathibet คอนโดมิเนียม High Rise ของออริจิ้น พร๊อพเพอร์ตี้ ที่จะมาเป็นแลนด์มาร์คใหม่บนถนนรัตนาธิเบศร์ ด้วยการสร้างมาตรฐานใหม่ในรูปแบบตัวอาคารทรง Y-Shape สีเบอร์กันดี ดูโดดเด่นสะดุดตาจากการออกแบบร่วมกับ บริษัท อะตอม ดีไซน์ และยังชูจุดเด่นตั้งแต่ทำเลติดถนนใหญ่ คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีแยกนนทบุรี) เพียง 250 เมตร ที่สำคัญคือสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการจัดเต็มมาก ภายในห้องทุกยูนิตเป็นแบบ Fully Furnished มีเพดานสูงถึง 3 เมตร ออกแบบให้ดูโปร่งโล่งสบาย ในราคาเริ่มต้นที่ 1.5 ล้านบาทค่ะ อ่านรีวิวได้ที่ : https://goo.gl/WDLXdA   4. Ideo Mobi Wong Sawang Interchange เอาใจคนไลฟ์สไตล์เก๋ๆ กับคอนโดติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีบางซ่อน) เพียง 10 เมตร กับโครงการ Ideo Mobi วงศ์สว่าง อินเตอร์เซนจ์ ของ อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ กับคอนโดมิเนียม High Rise สูง 29 ชั้น ตัวอาคารดูโดดเด่นตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอก สร้างเอกลักษณ์ให้แตกต่างจากโครงการอื่นโดยการร่นระยะเล่นระดับโซนด้านหน้าให้เป็นพื้นที่สีเขียวขจี โดยห้องทุกยูนิตขายแบบ Fully Fitted มาพร้อมชุดครัว สุขภัณฑ์ เครื่องปรับอากาศ และ Digital Door Lock ในราคาเริ่มต้น 2.8 ล้านบาทค่ะ อ่านรีวิวได้ที่ : https://goo.gl/xerFX5 เป็นไงบ้างคะกับคอนโดฯ ที่เราเลือกมาแนะนำทั้งหมดนี้ รับรองว่าอยู่ในงบที่มนุษย์เงินเดือนแบบเราๆ เอื้อมถึง ลองคลิกลิงค์เข้าไปอ่านรีวิวให้ละเอียดก่อนได้นะคะ ถ้าอ่านแล้วรู้สึกชอบคอนโดติดรถไฟฟ้าโครงการไหนเป็นพิเศษ พวกเราทีมงาน Review Your Living แนะนำให้ติดต่อไปที่สำนักงานขายเพื่อขอเยี่ยมชมห้องตัวอย่างก่อนตัดสินใจซื้อนะคะ เพราะการได้เห็นทำเลที่ตั้ง สภาพแวดล้อมโดยรอบจริงๆ นั้นจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นแน่นอนค่ะ เผลอๆ จะได้ถือโอกาสต่อรองขอโปรโมชั่นพิเศษหน้างานกันไปด้วยเลย :)
แสนสิริจับมือญี่ปุ่น ผนึกโตคิว กรุ๊ป รุกอสังหาฯ ไทย

แสนสิริจับมือญี่ปุ่น ผนึกโตคิว กรุ๊ป รุกอสังหาฯ ไทย

แสนสิริจับมือญี่ปุ่น ผนึกโตคิว กรุ๊ป รุกอสังหาฯ ไทย พลิกโฉมวงการที่อยู่อาศัยตอบรับกลุ่มลูกค้าไทย-ต่างชาติ เตรียมตัวเปิดตัวโครงการแรก "taka HAUS" มูลค่า 2,000 ลบ. กันยายนนี้ แผนระยะยาวเล็งปั้นเมือง พัฒนา Community ร่วมกันในอนาคต ก้าวสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรระดับโลก สองบริษัทยักษ์ใหญ่ไทย-ญี่ปุ่น แสนสิริ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัยพ์ครบวงจรระดับโลก จับมือ บริษัทโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟในโตเกียว การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกิจการโรงแรม รีสอร์ทและธุรกิจอื่นๆ ผนึกความร่วมมือพัฒนาอสังหารืมทรัพย์ าภยใต้บริษัทร่วมทุน สิริ ทีเค วัน (Siri TK One Company Limited) พลิกโฉมพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรับความต้องการกลุ่มลูกค้าไทย-ต่างชาติ เตรียมเปิดตัวโครงการแรก "taka HAUS" (ทากะ เฮาส์) ทำเลสุขุมวิท-เอกมัย มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่อยู่อาศัยของทั้งคนไทยและญี่ปุ่นกันยายนนี้ เผยแผนระยะยาว ศึกษาความเป้นไปได้จากความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทาวน์ในญี่ปุ่นของโตคิวที่สอดคล้องกับโมเดลความสำเร็จของ T77 ของแสนสิริ เล็งปั้นเมืองพัฒนา Community ร่วมกันในอนาคต นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมมือกับ บริษัทโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟในเขตชานเมืองโตเกียว การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกิจการโรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจอื่นๆ และบริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมกันก่อตั้ง บริษัท สิริ ทีเค วัน (Siri TK One Company Limited) ในสัดส่วน กลุ่มแสนสิริถือหุ้น 70% กลุ่มโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 29% และบริษัท สหโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 1% เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม นำร่องเปิดตัวโครงการแรกในชื่อ "taka HAUS" (ทากะ เฮาส์) มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท "การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ระหว่างแสนสิริ และโตคิว กรุ๊ป เริ่มต้นจากการที่สองบริษัทมีการดำเนินธุรกิจภายใต้ปรัชญาที่ตรงกัน คือการนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ด้วยจุดแข็งในการดำเนินธุรกิจของ แสนสิริ ภายใต้กลยุทธ์ "Complete Your Living Experience" และโตคิว กรุ๊ป สโลแกน "Toward a Beautiful Age" ที่ไม่เพียงพัฒนาแค่ที่อยู่อาศัย แต่มุ่งมั่นสร้างไลฟ์สไตล์ที่ดีให้กับลูกค้าควบคู่กัน โดยการศึกษาพฤติกรรมลูกค้าอย่างละเอียดในทุกๆ ด้าน (Customer Insight) ตั้งแต่การคิดผ่านมุมมองของลูกค้า ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคที่หลากหลายและรวบรวมข้อมูล ว่าลูกค้าแต่ละกลุ่มมีความต้องการในการอยู่อาศัยอย่างไร ทำให้เรามั่นใจว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการมอบรูปแบบการใช้ชีวิตเมืองที่เป็นไปได้อย่างไม่สิ้นสุด นับเป็นการสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยบนมาตรฐานที่เหนือระดับ และพลิกโฉมการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในระดับสากล ที่จะตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยทั้งกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติ โดยโครงการภายใต้การร่วมทุน บริษัทจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในชื่อ“taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) ในทำเลเอกมัย 12 มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในช่วงเดือนกันยายนนี้” นายอุทัย กล่าว นอกจากการดำเนินธุรกิจภายใต้ปรัชญาที่ตรงกันแล้ว ความร่วมมือในครั้งนี้ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) ยังเล็งเห็นศักยภาพของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับมาตลอดระยะเวลากว่า 33 ปี ซึ่งแสนสิริมีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อตอบรับทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยปัจจุบัน บริษัทได้ก้าวสู่ความเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับในด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด  ทาวน์เฮาส์  โฮมออฟฟิศ และคอนโดมิเนียมคุณภาพทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ด้วยจำนวนโครงการกว่า 318 โครงการ จำนวนที่อยู่อาศัยกว่า 86,000 ยูนิต ที่ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศกว่า 17 จังหวัด รวมทั้งการพัฒนาโครงการในตลาดต่างประเทศ 9 Elvaston Place ใจกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นโครงการนำร่องของแสนสิริในการแสดงศักยภาพสู่สากล นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับความเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินงานในการขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ เพื่อช่วยส่งเสริมธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของแสนสิริ อาทิ การรุกธุรกิจคอมมูนิตี้ รีเทล ภายใต้ชื่อ “ฮาบิโตะ มอลล์” ซึ่งเป็นการเปิดให้ร้านค้าและร้านอาหารเช่าพื้นที่ในปีที่ผ่านมา รวมถึงบริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจตัวแทนซื้อ – ขาย - เช่า อสังหาริมทรัพย์และบริหารงานขายโครงการ รวมถึงบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่พักอาศัยและบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร ซึ่งได้รับการยอมรับและเชื่อถือด้านการให้บริการและให้คำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจร ทั้งจากภาครัฐและเอกชนมากว่า 20 ปี บริษัทยังมองถึงความร่วมมือระยะยาวในอนาคต จากการที่โตคิว เป็นบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น มีฐานกลุ่มธุรกิจที่กว้างขวางที่ไม่เพียงแค่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ความร่วมมือในครั้งนี้ยังนับเป็นการประสานให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดร่วมกัน เป็นการผนวกพลังระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างประเทศที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กันและกันอย่างยั่งยืน อาทิ การที่โตคิว คอร์ปอเรชั่น มีฐานลูกค้าที่จะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจในการผลักดันแบรนด์ “แสนสิริ” ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น รวมถึงความร่วมมือจากการนำโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญคือ ภายใต้ปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่ตรงกันในด้านการนำเสนอไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย โดยโตคิว กรุ๊ป มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทาวน์ อาทิ โครงการ Tokyu Tama Denen –Toshi ซึ่งมีพื้นที่กว่า 5,000 เฮกตาร์ ในเขตเขา Tama ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโตเกียว ซึ่งเชื่อมต่อสี่เมืองใหญ่ ทั้ง Kawasaki, Yokohama, Machida และ Yamato โดยอยู่ห่างจากศูนย์กลางโตเกียว เพียงแค่ 15 – 30 กิโลเมตร ในเมืองมีประชากรประมาณ 600,000 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2012) โดยปัจจุบันนับเป็นโครงการพัฒนาเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นที่ดำเนินการโดยบริษัทเอกชน รวมถึงยังมีโปรเจคต์การพัฒนา “ย่านชิบูย่า” ให้เป็น Entertainment Cityแลนด์มาร์คแห่งความบันเทิงที่ครบวงจรมากขึ้นในอนาคต ขณะที่แสนสิริมีประสบการณ์ความสำเร็จจากการพัฒนา “T77” A Good Town for Good Life ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ชีวิตเมืองบนสุขุมวิทในการอยู่อาศัยครบวงจร บนเนื้อที่ 50 ไร่ กลางสุขุมวิท 77 ที่รวมไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยใกล้รถไฟฟ้า ใกล้ทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์ที่พร้อมสรรพไปด้วยคอนโดมิเนียมรวมทั้งสิ้น 6 โครงการจากแสนสิริ 1 โครงการทาวน์เฮาส์ รวมถึงอพาร์ทเมนท์ระดับพรีเมียมจากมั่นคงเคหะการ 1 ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกจากแสนสิริ และยังมีโรงเรียนนานาชาติ อย่าง Bangkok International Preparatory and Secondary School (บางกอกเพรพ) ที่รวมเป็นการยกระดับการใช้ชีวิตที่ครบครัน ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของชาวสุขุมวิทสำหรับคนไทยและชาวต่างชาติ รวมทั้งเคยพัฒนาพื้นที่ย่านรามอินทราให้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งการอยู่อาศัยมาแล้วจากความสำเร็จของการก่อตั้งโรงเรียนสาธิตพัฒนาให้เป็นโรงเรียนชั้นนำของกรุงเทพฯ และเป็นจุดดึงดูดให้ลูกค้าซื้อโครงการบ้านเดี่ยวของแสนสิริในทำเลรอบข้าง “อนาคตกรุงเทพฯ อาจจะคล้ายเมืองใหญ่ทั่วโลก คือเป็น Cluster/District หรือเป็นเมืองย่อยในเมืองใหญ่ ดังนั้นการเลือก Cluster ที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่สำคัญทั้งในแง่การใช้ชีวิตและการลงทุน สิ่งอำนวยความสะดวกจะไม่รวมศูนย์อยู่แค่กรุงเทพชั้นในเหมือนปัจจุบัน แต่จะกระจายออกไปยังพื้นที่อยู่อาศัยโดยรอบโดยการจับกลุ่มของเมืองย่อยหรือ Cluster จะเป็นไปตามสถานีรถไฟฟ้า แทนที่จะเป็นตามเขตปกครองหรือตามถนนเหมือนในอดีต โดยกรุงเทพฯ ยังอยู่ในช่วงระหว่างการขยายโครงข่ายคมนาคมที่ทำให้เชื่อว่ายังมีความต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ทั้งตามแนวรถไฟฟ้าและอยู่ในเขตชุมชนต่างๆอีกมากในอนาคต ซึ่งแสนสิริและโตคิวมองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้สำหรับแผนความร่วมมือในอนาคตเพื่อมอบ Community ที่อยู่อาศัย ความบันเทิง โรงเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจรเพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่ไม่จำเป็นต้องเกาะกลุ่มความเจริญแค่ในกรุงเทพฯ ชั้นในเพียงอย่างเดียวในอนาคต”นายอุทัย กล่าว ด้านนายโทชิยูคิ โฮชิโนะ กรรมการ และเจ้าหน้าที่ผู้จัดการบริหารอาวุโส/ผู้จัดการบริหารทั่วไป สำนักงานใหญ่ธุรกิจต่างประเทศ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า โตคิว คอร์ปอเรชั่น  เริ่มดำเนินธุรกิจจากการก่อสร้างทางรถไฟสาย Meguro-kamata (เมกุโระ-คานาตะ) ในปี 2465 ในเดือนมีนาคม 2560  กลุ่มโตคิวมีบริษัทอยู่ภายใต้การดำเนินงานจำนวนทั้งสิ้น 221 บริษัท และบริษัทร่วมทุนอีก 8 แห่ง ภายใต้การดำเนินงานของ โตคิว คอร์เปอเรชั่น มีเครือข่ายธุรกิจครอบคลุมหลายภาคส่วน ตั้งแต่คมนาคม ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีกและโรงแรม ประวัติศาสตร์อันยาวนานของ โตคิว คอร์ปอเรชัน เป็นบริษัทแม่ของกลุ่มบริษัทโตคิวที่จะบรรลุถึง 100ปีเร็วๆนี้ และทางบริษัทให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตของชาวเมืองในประเทศญี่ปุ่นผ่านทางการพัฒนาเครือข่ายคมนาคมควบคู่ไปกับอสังหาริมทรัพย์ โดยการลงทุนและพัฒนาประกอบไปด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกด้านค้าปลีก โรงเรียนและโรงพยาบาล ซึ่งล้วนนำมาซึ่งความสะดวกและความน่าอยู่ตลอดตามเครือข่ายทางรถไฟของโตคิว และได้นำมาซึ่งชื่อเสียงของเมืองที่บริษัทได้สร้างขึ้นว่า เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุด นอกจากนั้น โตคิว คอร์ปอเรชัน ยังได้นำเสนอโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ Dresser ตามแนวคิด “ความคิดสร้างสรรค์” “ความน่าอยู่” และ “ความปลอดภัย” “ในประเทศไทย โตคิว คอร์ปอเรชัน ได้เข้าร่วมทุนกับบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2524 และได้รังสรรค์ผลงานมากมาย ตั้งแต่ ถนนสายหลักๆ สะพาน อาคารที่ทำงาน โรงเรียน โรงงาน และล่าสุด ได้มีการส่งมอบการก่อสร้างทางรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ที่แล้วเสร็จ สำหรับธุรกิจค้าปลีก บริษัท ห้างสรรพสินค้า บางกอก-โตคิว จำกัด ได้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในกลุ่มลูกค้า ตั้งแต่เริ่มเปิดห้างแรกในปี 2528 และต่อมาได้มีการเปิดสาขาที่ 2 ในย่านศรีนครินทร์ ที่ ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ในปี 2557 นอกจากนี้ โตคิว คอร์ปอเรชันและสหกรุ๊ปยังได้ร่วมกันก่อตั้ง บริษัทร่วมทุน สห โตคิว    คอร์ปอเรชัน ขึ้น และได้เข้าบริหารอาคารอพาร์ตเมนต์พร้อมบริการ “HarmoniQ Residence Sriracha” สำหรับชาวญี่ปุ่นและครอบครัว เมื่อปี 2559 และก็เป็นที่น่าพอใจ ที่โครงการ “HarmoniQ Residence Sriracha” ได้มีลูกค้าเต็มมาโดยตลอดด้วยชื่อเสียงของโครงการที่เป็นที่กล่าวขาน” นายโฮชิโนะกล่าว ผู้บริหารระดับสูงของโตคิว คอร์ปอเรชัน กล่าวต่อไปว่า เรานับถือความร่วมมือทางยุทธศาสร์กับแสนสิริ ที่เราเข้าใจดีว่าเรามีค่านิยมและวิสัยทัศน์ที่คล้ายคลึงกัน เรารู้ดีว่าประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงเป็นการดีที่มีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์อย่างแสนสิริมาดูแล ซึ่งนับเป็นความท้าทายของโตคิวในการช่วยเพิ่มพูนคุณค่าเพื่อนำมาซึ่งสิ่งแวดล้อมที่สะดวกสบาย ปลอดภัยและสวยงาม “นอกเหนือจากนั้น ประเทศไทยยังเป็นจุดศูนย์รวมของระเบียงเศรษฐกิจหลายด้านด้วยกัน และยังเป็นศูนย์กลางของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งทำให้เกิดมีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เกิดขึ้นด้วยการผลักดันของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรุงเทพมหานคร ที่จะยังเป็นจุดดึงดูดผู้คนมาสู่จุดศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจนี้ และเป็นประเด็นที่จะนำมาซึ่งอุปสงค์ทางด้านที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนต่อไป” นายโฮชิโนะ กล่าวสรุป นอกเหนือจากนั้นความพยายามในด้านการค้นคว้าและพัฒนาร่วมกันในความสัมพันธ์นี้ โตคิวเองก็พร้อมที่ใช้พลังด้านธุรกิจที่มีอยู่ในการสนับสนุนโครงการให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นโดยผ่านทาง Tokyu Livable ความเชี่ยวชาญในการขาย ให้เช่า และการให้คำปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ จะช่วยขยายศักยภาพทางธุรกิจของเราในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น เพื่อผลประโยชน์สูงสุดร่วมกันและเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยั่งยืน สำหรับเรา นี่คือความร่วมมือทางธุรกิจระยะยาวที่จะเพิ่มพูนมูลค่าสำหรับทั้งสององค์กรต่อไปอย่างยั่งยืน
อนันดาฯ โชว์กำไรไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 33% เป็น 279 ล้านบาท รายได้เติบโต 30% เดินหน้าเก็บเกี่ยวผลตอบแทนต่อเนื่อง เผยยอดขายไตรมาส 2 ดีกว่าเป้า ถึง 50% พร้อมสร้างแบ็คล็อคนิวไฮ และประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นสถิติสูงสุด

อนันดาฯ โชว์กำไรไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 33% เป็น 279 ล้านบาท รายได้เติบโต 30% เดินหน้าเก็บเกี่ยวผลตอบแทนต่อเนื่อง เผยยอดขายไตรมาส 2 ดีกว่าเป้า ถึง 50% พร้อมสร้างแบ็คล็อคนิวไฮ และประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นสถิติสูงสุด

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า โชว์ศักยภาพการดำเนินงาน ประกาศความสำเร็จอีกครั้ง พร้อมเติบโตอย่างมั่นคง เผยไตรมาส 2/2560 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการสร้างกำไรสุทธิ 279 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นถึง 99% จากไตรมาสก่อน เผยกำไรจากผลดำเนินงานสะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพตามแผนดำเนินงานที่วางไว้ พร้อมทั้งสร้างรายได้ 3,752 ล้านบาท เติบโต 30% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเติบโตสูงถึง 62% จากไตรมาสก่อน โชว์ตัวเลขยอดขายไตรมาส 2 เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7,352 ล้านบาท ถึง 50% จากยอดขายโครงการใหม่ และโครงการที่เปิดตัวก่อนหน้า นอกจากนี้ประกาศปรับเพิ่มเป้ายอดขายทั้งปี เป็น 31,036 ล้านบาท  และเพิ่มเป้ายอดโอน เป็น 25,047 ล้านบาท จากเดิม 25,000 ล้านบาท โดยมียอดโอนที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น 58% โดยบริษัทฯ คาดว่ายอดโอนจะเติบโต จากระดับที่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ในปี 2558 เป็นเกือบ 60,000 ล้านบาท ในปี 2563 นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มีภาพรวมการดำเนินธุรกิจที่น่าพอใจและประสบความสำเร็จจากตัวเลขรายได้ และกำไรสุทธิที่แข็งแกร่ง โดยผลประกอบการไตรมาส 2/2560  มีผลกำไรเพิ่มขึ้น 33% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เป็น 279 ล้านบาท มีรายได้ 3,752 ล้านบาท เติบโต 30% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งในปี 2560 เป็นช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน (Harvest Period) นอกจากนี้ยังประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ด้านการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 5 โครงการ ในงาน Ananda Urban Pulse โดยมียอดขายสูงกว่าเป้าที่วางไว้ ทำให้บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2560 กำหนดโอนภายในช่วง 4 ปีข้างหน้า จำนวนกว่า 49,700 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นสถิติอีกครั้ง โดยเพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 29% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน ในไตรมาส 2 นี้ บริษัทฯ เปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ติดรถไฟฟ้าบน 5 ทำเล และโครงการแนบราบใหม่ 1 ทำเล ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 22,800 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม มูลค่ารวมกว่า 21,900 ล้านบาท ได้แก่ ไอดีโอ คิว วิคตอรี่ ติดสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มูลค่าโครงการกว่า 3,200 ล้านบาท โครงการแอชตัน อโศก-พระราม 9 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินพระราม 9 มูลค่าโครงการกว่า 6,400 ล้านบาท โครงการไอดีโอ สุขุมวิท 36 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสทองหล่อ มูลค่าโครงการกว่า 4,300 ล้านบาท โครงการไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินรามคำแหง 12 มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท โครงการเอลลิโอ เดล เนสท์ มูลค่าโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท และโครงการยูนิโอ ทาวน์ ลำลูกกา คลอง 4 มูลค่าโครงการกว่า 900 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการแนวราบแบรนด์ใหม่ อยู่ใกล้สถานีคลอง 4 ยอดขายจากโครงการที่เปิดตัวไปก่อนหน้า ไตรมาส 2 นี้ สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 11,051 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้ที่ 7,352 ล้านบาท ถึง 50% โดยยอดขายที่แข็งแกร่งส่วนหนึ่งมาจากความต้องการซื้อจากลูกค้าที่ดีกว่าคาด และจากการเลื่อนเปิดโครงการใหม่มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท เร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในช่วงต้นปี ทั้งนี้ในครึ่งปีแรก บริษัทฯ สร้างยอดขายได้ 50% ของเป้ายอดขายทั้งปี และมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 8 โครงการ โดยผลจากความสำเร็จดังกล่าวมาจากตัวโครงการอยู่ในทำเลติดรถไฟฟ้า สะดวกสบายในการอยู่อาศัย มีการนำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้ในโครงการ และราคาที่เหมาะสมสามารถจับต้องได้อย่างแท้จริง บริษัทฯ มีอัตราการขายสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในช่วง 2 สัปดาห์แรกตั้งแต่การเปิดขายโครงการใหม่จนถึงสิ้นสุดไตรมาส 2 โดยสามารถปิดการขาย 100% สำหรับโครงการไอดีโอ คิว วิคตอรี่ ซึ่งมีลูกค้ามากกว่า 4,000 ราย ที่มีความต้องการซื้อโครงการดังกล่าวที่ทั้งโครงการมีเพียง 348 ยูนิต นอกจากนี้โครงการแอชตัน อโศก-พระราม 9 มีอัตราการขายกว่า 74%   โครงการไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่ มีอัตราการขาย 54% โครงการไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 มีอัตราการขาย 45% ของยูนิตที่เปิดขายในช่วงเปิดโครงการใหม่ โดยปกติบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายอัตราการขายในช่วง 3 เดือนแรกที่ระดับ 40% ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า แสดงให้เห็นว่าความต้องการที่พักอาศัยในทุกระดับราคาทุกประเภทยังคงมีอยู่มาก โดยเฉพาะโครงการที่คุ้มค่า คุณภาพดี ทำเลใกล้รถไฟฟ้า ไตรมาส 2/2560 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 2,661 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 69% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้บริษัทฯ มีรายได้อื่นจำนวนกว่า 1,090 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากรายได้จากโครงการร่วมทุน ทำให้บริษัทฯ สร้างรายได้รวมจำนวน 3,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และ 62% จากไตรมาสก่อน พร้อมทั้งมีกำไรสุทธิ 279 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากไตรมาสก่อน นอกจากนี้ยังสร้างอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 7% เพิ่มขึ้นจาก 6% ในไตรมาสก่อน ในไตรมาสนี้บริษัทฯ สร้างรายได้ และผลกำไรที่แข็งแกร่ง ซึ่งอยู่ในช่วงที่เรียกว่า "ระยะเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน" เห็นได้จากยอดโอนที่เติบโตขึ้นสามเท่าตัว ระหว่างปี 2558 จนถึง 2561 รวมการเติบโต 58% จากปี 2559 สำหรับการโอนในปี 2560 อยู่ที่ 25,047 ล้านบาท ซึ่งมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่จะโอนในปี 2560 มูลค่ากว่า 16,300 ล้านบาท คิดเป็น 81% ของเป้ายอดโอนในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งรวมส่วนแบ่งยอดโอนของอนันดา และ มิตซุย ฟูโดซัง มาจากคอนโดมิเนียม 10 โครงการที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนในปี 2560 โดยเปรียบเทียบกับคอนโดมิเนียมใหม่  5 โครงการที่แล้วเสร็จในปี 2559 บริษัทฯ ยังคงรักษาวินัยทางการเงิน และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจให้เติบโต พร้อมยังคงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิซึ่งหักด้วยเงินสดต่อส่วนทุนอยู่ที่ 0.77 :1 เท่านั้น  นอกจากนี้กระแสเงินสดของบริษัทฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นสุดไตรมาสยังคงรักษาเงินสดขนาดใหญ่ที่มีมากกว่า 1,800 ล้านบาท  ซึ่งบริษัทฯ ยังคงได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการเงินสดของบริษัทฯตลอดทั้งปี สามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ ทั้งนี้ในเดือนเมษายน ปี 2560 บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี ด้วยต้นทุนหุ้นกู้ เพียง 3.95% ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 5.40% ที่ออกหุ้นกู้เมื่อ 3 ปีก่อน” นายชานนท์ กล่าว ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นสถิติสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท เพิ่มขึ้น 50% จากอัตราการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปีก่อน จากนโยบายที่ยังคงเพิ่มเงินปันผลทุกปีให้แก่ผู้ถือหุ้น ภายหลังการระดมทุน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
The Phenomenal 10 ปรากฏการณ์ครั้งแรกของ AP ที่คุณจะได้เป็นเจ้าของทาวน์โฮมทำเลดีก่อนใคร

The Phenomenal 10 ปรากฏการณ์ครั้งแรกของ AP ที่คุณจะได้เป็นเจ้าของทาวน์โฮมทำเลดีก่อนใคร

  ปีนี้เราได้เห็น AP เปิดตัวโครงการเจ๋งๆ บนทำเลสุดฮ็อตไปหลายโครงการ ซึ่งแทบทุกโครงการที่ผ่านมาก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม ชนิดที่ Sold Out ไปตั้งแต่วันเปิดจอง Pre-sale กันเลยทีเดียว.... และเร็วๆ นี้ AP กำลังจะส่งกองทัพบ้านทาวน์โฮมใหม่ใจกลางเมือง ลงตลาดอีกชุดใหญ่พร้อมโปรโมชั่นพิเศษที่ไม่ควรพลาด ในงาน “The Phenomenal 10”   “The Phenomenal 10” คือการรวบรวมโครงการบ้านทาวน์โฮมใหม่ล่าสุด บน 10 ทำเลศักยภาพทั่วเมือง ซึ่งมี 2 แบรนด์ดังของ AP อย่าง “บ้านกลางเมือง” และ “Pleno” เป็นพระเอกของงานนี้ โดยทั้ง 2 แบรนด์จะนำเสนอบ้านทาวน์โฮมมาพร้อมราคา Pre-sale ที่ดึงดูดใจมากๆ (เริ่มที่ 1.69-8.99 ล้านบาท*) ตามด้วยข้อเสนอเร้าใจ “จ่ายน้อย คืน 100%” ซึ่งข้อเสนอนี้จัดขึ้นเพื่องานนี้เพียง 2 วันเท่านั้น และเพื่อจะไม่ให้พลาดข้อเสนอพิเศษแบบนี้ เราแนะนำให้คุณคลิกลงทะเบียนไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย https://goo.gl/xRDTVy  ก่อนจะไปเจอกันที่หน้างานวันที่ 19-20 สิงหาคมที่จะถึงนี้ นอกจาก High Light พิเศษ โปรโมชั่นเด็ดของงาน “The Phenomenal 10” ที่กล่าวไปข้างต้นนี้แล้ว เดี๋ยวเราไปดูกันค่ะว่า กองทัพบ้านทาวน์โฮมทั้งหมดนี้ มีโครงการอะไร ทำเลไหนบ้าง เพื่อการตัดสินใจในขั้นต้นก่อนจะไปจองบ้านที่ Sale Gallery ของแต่ละโครงการค่ะ ก่อนจะไปถึงข้อมูลของแต่ละโครงการ เราอยากจะพูดถึงจุดเด่นของแบรนด์ Pleno และ บ้านกลางเมือง กันซักหน่อยค่ะ ถ้าพูดถึงโครงการภายใต้แบรนด์ “Pleno” เราจะนึกถึงโครงการบ้านทาวน์โฮม 2 ชั้น ในราคาที่จับต้องได้ง่าย สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้แบบไม่เกินเอื้อม โดยมากจะเริ่มต้นที่ช่วงราคา 2 ล้านบาทค่ะ การออกแบบบ้านของแบรนด์ Pleno ที่ผ่านๆ มา ถือว่าทำออกมาได้ตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเลยค่ะ ทั้งในส่วนของหน้าตาที่สวยงามในสไตล์ Modern และพื้นที่ใช้สอยภายในตัวบ้านที่จัดมาให้ครบทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน ขณะเดียวกันภายในโครงการก็มักจะมี Facility เพียบพร้อม ทั้งพื้นที่สีเขียวร่มรื่น, Club House ที่มีพร้อมทั้งสระว่ายน้ำ และห้องฟิตเนส สำหรับการเปิดตัวแบรนด์ Pleno ทั้ง 6 โครงการในครั้งนี้ ต้องบอกว่าเป็นการนำเสนอ บ้านทาวน์โฮมซีรี่ส์ใหม่ ซึ่งมีความเรียบหรูมากขึ้น ในขณะที่แต่ละโครงการก็โดดเด่นด้วยการออกแบบซุ้มประตูทางเข้าโครงการ และ Club House ให้มีความอลังการไม่แพ้กัน มาถึงแบรนด์ “บ้านกลางเมือง” กันบ้างค่ะ ซึ่งหลายคนคงคุ้นหูกับชื่อ “บ้านกลางเมือง” กันมานานแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นแบรนด์ทาวน์โฮมสร้างชื่อให้กับ AP เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นแบรนด์ที่บุกเบิกตลาดทาวน์โฮม 3 ชั้น ในสังคมคุณภาพ ที่มักจะมีดีไซน์ของตัวบ้านมาให้ได้ว้าวกันบ่อยๆ ซึ่งโครงการบ้านกลางเมืองเน้นการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนเมืองที่ต้องการบ้านอยู่อาศัยสำหรับครอบครัวมากกว่าการเลือกอยู่คอนโด บ้านในแต่ละโครงการภายใต้แบรนด์นี้ จึงมักจะมีการปรับเปลี่ยนแบบแปลนของตัวบ้านอยู่บ่อยครั้ง เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในแต่ละทำเลให้ได้ตรงใจที่สุด โดยไม่ลืมใส่ความหรูหรา และเลือกดีไซน์ล้ำสมัยนำเทรนตลาดอยู่เสมอ   แน่นอนว่า บ้านกลางเมือง ทั้ง 4 โครงการที่เปิดให้จองก่อนใครในครั้งนี้ ก็มีความพิเศษไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งในส่วนของทำเลที่ตั้ง ที่ยังคงอยู่ใกล้ใจกลางเมือง เดินทางสะดวกสบายได้หลายเส้นทาง รวมถึงแบบบ้านดีไซน์ใหม่ ซึ่งเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้เยอะขึ้น และฟังก์ชั่นการดีไซน์ที่สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ภายในบ้านได้ตามความต้องการของผู้อยู่อาศัยค่ะ คงไม่ง่ายเลยที่จะมีโครงการบ้านทาวน์โฮมมาให้เราเลือกพร้อมๆ กันมากถึง 10 โครงการแบบนี้ ดังนั้นเพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวัน และเป็นการง่ายต่อการเลือกบ้าน เราเลยจัดกรุ๊ปโครงการตามจุดเด่นเรื่องการเดินทางดังนี้ค่ะ เริ่มจากกรุ๊ปแรก เน้นทำเลที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า เดินทางเข้าออกเมืองสะดวก แถมใกล้ทางด่วน ซึ่งได้แก่ Pleno ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ Pleno ราชพฤกษ์ บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-พระราม5 ทั้ง 3 โครงการในโซนนี้ อยู่บนทำเลศักยภาพที่มีการเดินทางสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งเป็นสายที่เปิดใช้งานแล้วในปัจจุบัน ถ้าดูจากแผนที่ตั้งของแต่ละโครงการก็จะเห็นว่า ไม่ได้ไกลจากรถไฟฟ้าสายสีม่วงมากนัก ทั้ง 3 โครงการต้องบอกว่า เดินทางสะดวกมากไม่ว่าเลือกเดินทางด้วยรถไฟฟ้า หรือจะเป็นการเข้าสู่ใจกลางเมืองด้วยรถส่วนตัว  ถนนราชพฤกษ์, ถนนกาญจนาภิเษก และทางด่วนสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอก ก็ถือว่าเป็นเส้นทางสายสำคัญที่จะทำให้การเดินทางเข้า-ออกเมืองเป็นเรื่องง่ายขึ้นกว่าเดิมค่ะ ในรัศมีใกล้ๆ โครงการ “Pleno ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ” “Pleno ราชพฤกษ์” และ “บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-พระราม 5” แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก สาธารณูปโภค และแหล่งช็อปปิ้งมากมายเลยทีเดียวค่ะ เด่นๆ เลยคือช่วงวงเวียนพระราม 5 ซึ่งเป็นบริเวณที่รวมแหล่งช็อปปิ้งใหญ่ๆ ไว้ทั้ง The Walk, The Cystal, Home Pro และ Home Work โดยแต่ละห้างก็มีร้านอาหารให้เลือกมากมาย รวมถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ อันเป็นแหล่งจับจ่ายของใช้เข้าบ้านได้เป็นอย่างดี นอกจากบริเวณวงเวียนพระราม 5 แล้ว ขยับออกมาอีกนิดตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ก็มีทั้งห้างเซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์, Big C เลยไปอีกทางจนถึงบางใหญ่ก็ยังมี เซ็นทรัล West Gate, Index Living Mall และ Ikea ที่จัดเป็นแหล่งช็อปปิ้งยักษ์ใหญ่ประจำย่านเลยทีเดียว ใครที่คุ้นชินกับทำเลในแถบนี้ จะเห็นชัดเจนเลยว่า ความเจริญขยายตัวออกมาอย่างรวดเร็ว โซนราชพฤกษ์, ชัยพฤกษ์ และ พระราม 5 นี้ มีโครงการบ้านเกิดขึ้นมากมาย ร้านค้า ร้านอาหารเริ่มมีให้เห็นหนาตามากกว่าแต่ก่อน ยิ่งมีการเปิดใช้ “ทางด่วนสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอก” เข้ามาอีก การจะตัดเข้าสู่โซนวิภาวดี, จตุจักร, ลาดพร้าว จึงประหยัดเวลาเดินทางขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ ใครที่กำลังตัดสินใจเลือกซื้อบ้านในย่านนี้ แนะนำให้ลองเลือกดูจาก 3 โครงการนี้เลยค่ะ ว่าโครงการไหนตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และงบประมาณในกระเป๋ามากกว่ากัน ถ้างบประมาณเริ่มต้นจำกัดหน่อย “Pleno ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ” อาจจะเป็นคำตอบที่ดี ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาทเท่านั้น กับทำเลที่เดินทางได้สะดวก มีรถไฟฟ้าอยู่ไม่ไกล หรือจะขยับมาที่ “Pleno ราชพฤกษ์” ก็ไม่เลวนะคะ ใกล้วงเวียนพระราม 5 มากหน่อย เดินทางเข้าออกเมืองได้หลายเส้นทาง ในราคาเริ่มต้นที่ 2.09 ล้านบาท แต่ถ้าอยากได้บ้านหลังใหญ่ และมีพื้นที่ใช้มากขึ้น เราแนะนำ “บ้านกลางเมือง ราชพฤษ์- พระราม 5” เลยค่ะ ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท คุณจะได้บ้านทาวน์โฮมที่หรูหรา มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสมราคาที่จ่ายไป มาดูกรุ๊ปที่สองกันบ้าง เน้นการเดินทางเข้าเมืองด้วยรถส่วนตัวเป็นหลัก บนทำเลสวยใกล้ถนนวงแหวน ซึ่งได้แก่ บ้านกลางเมือง สาทร - สุขสวัสดิ์ Pleno สุขุมวิท-บางนา ทำเลของโครงการในกรุ๊ปที่สองนี้ ต้องบอกว่าโดดเด่นมากๆ ค่ะ “บ้านกลางเมือง สาทร-สุขสวัสดิ์” ตั้งอยู่ในแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง (ส่วนต่อขยายในอนาคต เตาปูน-ราษฏร์บูรณะ) รอบๆ โครงการเดินทางได้สะดวกมากๆ ทั้งทางด่วนเฉลิมมหานคร, สะพานภูมิพล รวมถึงถนนวงแหวน กาญจนาภิเษก แถมยังแวดล้อมไปด้วยสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้ง แหล่งช็อปปิ้ง สถาบันการศึกษาชั้นนำ รวมถึงสถานพยาบาลเอกชนอีกหลายแห่ง เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยเป็นที่สุดค่ะ ในขณะที่ “Pleno สุขุมวิท-บางนา” ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ด้วยทำเลที่ดีที่สุดบนถนนบางนา-ตราด (กม.7) ซึ่งพร้อมสำหรับการอยู่อาศัย สามารถเดินทางได้สะดวกเพราะมีเส้นทางลัดไปออก Mega Bangna ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การเดินทางเข้าออกเมืองเป็นเรื่องง่ายนิดเดียวค่ะ เพราะมีทั้งนถนนบางนา-ตราด และถนนวงแหวน กาญจนาภิเษกอยู่ใกล้แค่เอื้อม นอกจากนี้รอบๆ โครงการยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งโรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว รวมไปถึงสนามกอล์ฟ และสถานพยาบาลชั้นนำ แน่นอนว่า 2 โครงการในกรุ๊ปนี้ มีความแตกต่างกันค่อนข้างมากในเรื่องของทำเลที่ตั้ง ราคา และกลุ่มเป้าหมาย แต่ความเพียบพร้อมสำหรับการอยู่อาศัยนั้นดีไม่แพ้กันเลยนะคะ โครงการ “Pleno สุขุมวิท-บางนา” เปิดราคาเริ่มต้นมาที่ 2.99 ล้านบาท โครงการทำเลดีเกินราคา ซึ่งพร้อมกับฟังก์ชั่นบ้านแบบใหม่ที่เป็นสัดส่วนมากขึ้น และเพิ่มพื้นที่สีเขียวในตัวบ้านให้มากขึ้น เพื่อการอยู่อาศัยที่รื่นรมย์กว่าเดิม ส่วนในฝาก “บ้านกลางเมือง สาทร-สุขสวัสดิ์” ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 8.99 ล้านบาท แต่ก็โดดเด่นด้วยแบบบ้านที่มีให้เลือกด้วยกัน 2 แบบ คือ บ้านแฝด X-Trend ที่มีพื้นที่ใช้สอยเยอะสุดๆ และบ้านทาวน์โฮมดีไซน์ใหม่ล่าสุดของบ้านกลางเมือง ซึ่งเพิ่มฟังก์ชั่นให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยได้ตามต้องการค่ะ ส่วนกรุ๊ปสุดท้ายนี้ ยังคงเน้นกลุ่มที่ใช้รถส่วนตัว เพราะทำเลสะดวกในการเดินทางเข้าเมืองด้วยทางด่วนค่ะ ได้แก่ Pleno พหลโยธิน-รังสิต Pleno พหลโยธิน-วัชรพล Pleno รามอินทรา-วงแหวน บ้านกลางเมือง รามอินทรา-วัชรพล บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว - เสรีไทย บ้านทั้ง 5 โครงการนี้ จะตั้งอยู่ในค่อนไปทางโซนเหนือของกรุงเทพนะคะ ซึ่งทุกโครงการในกรุ๊ปนี้จะเน้นที่การเดินทางที่สะดวก ที่ตั้งอยู่ใกล้กับทางด่วน เกือบทั้งหมดอยู่ใกล้ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ และถนนวงแหวนรอบนอกตะวันออก ยกเว้นโครงการ “Pleno พหลโยธิน-รังสิต” ที่ฉีกไปอยู่ทางด้านทางด่วนโทลเวย์ดอนเมืองค่ะ ถ้าสังเกตุดีๆ จะเห็นว่าทำเลทั้งหมดจะปักหมุดอยู่ใกล้กับเส้นทางหลักๆ ในการเดินทางเข้าออกเมืองที่สะดวกและรวดเร็วนั่นเอง แบบบ้านของ AP ที่เลือกมานั้น ต้องบอกว่าเป็นแบบที่สวยโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดีทุกตัว โครงการ Pleno ในโซนนี้ จะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2.19-2.49 ล้านบาทค่ะ โดยทั้ง 3 โครงการนี้จะเน้นพื้นที่สีเขียวรอบโครงการ ที่จะทำให้บรรยากาศร่มรื่นเหมาะกับการอยู่อาศัยมากขึ้นค่ะ ในขณะที่โครงการบ้านกลางกรุงทั้งสองทำเล มีราคาเริ่มต้นเพียง 3.89 ล้านบาทเท่านั้น ด้วยราคาเริ่มต้นเพียงเท่านี้ แต่ได้บ้านทาวน์โฮม 3 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยเยอะกว่า บ้านกลางเมืองในโซนนี้ดูจะคุ้มค่าคุ้มราคามากค่ะ ด้วยทำเลที่ตั้งที่ไม่ได้หนีกันมากกับโครงการอื่นๆ ในกรุ๊ปเดียวกัน เราเชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเทใจให้กับบ้านกลางเมืองมากกว่าแน่นอน   เป็นอย่างไรบ้างคะ กับกองทัพ “The Phenomenal 10” ที่ AP เตรียมไว้ให้จับจองก่อนใครในวันที่ 19-20 สิงหาคมนี้ ต้องบอกว่าเป็นบ้านทาวน์โฮมที่ตอบโจทย์คนเมืองได้ดีทีเดียวค่ะ ทั้งเรื่องทำเล และราคาเริ่มต้นพิเศษๆ แบบนี้ แคมเปญดีจัดเต็มขนาดนี้เชื่อว่าใครๆ ก็ต้องอยากจับจองเป็นเจ้าของอย่างแน่นอน แถมโปรโมชั่นเจ๋งๆ ก็จัดมาให้เพียง 2 วันเท่านั้นเองด้วย สนใจโครงการไหน อย่าลืมคลิกไปลงทะเบียนกันนะคะ https://goo.gl/xRDTVy  แล้วไปเจอกันที่ Sales Gallery ทั้ง 10 โครงการนี้กันเลย
SC ASSET ประกาศความสำเร็จครึ่งปีแรก พร้อมแผนครึ่งปีหลังรุกแนวราบทุกระดับราคา เปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่า 11,450 ลบ.

SC ASSET ประกาศความสำเร็จครึ่งปีแรก พร้อมแผนครึ่งปีหลังรุกแนวราบทุกระดับราคา เปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่า 11,450 ลบ.

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวสรุปความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีแรก โดยมียอดขายเติบโต 44% (yoy)  พร้อมประกาศแผนครึ่งปีหลังจะเปิดแนวราบทุกระดับราคา จำนวน 9 โครงการใหม่ มูลค่า 11,450 ล้านบาท ซึ่งปลายปีจะเปิดแบรนด์ใหม่ชื่อ เวิร์ฟ (Verve) ทาวน์โฮม  2 ชั้น  เริ่ม 2.59 ล้านบาท และเดินหน้ายุทธศาสตร์เรื่อง human-centric innovation ทั้งพัฒนา iOT smarthome platform ชื่อ “ Rue Jai ™ (รู้ใจ™)”  ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ AIS กับพัฒนาบ้านคอนเซปท์ในอนาคต SC 4.0 housing prototypes  โดยการใช้ design thinking งานจัดขึ้น ณ อาคารชินวัตร 3 เมื่อเร็วๆ นี้  
แบบไหน…ถึงเรียกว่าห้องสวย??

แบบไหน…ถึงเรียกว่าห้องสวย??

เชื่อว่าแทบจะทุกคนต้องมีคำถามนี้อยู่ในใจแน่ๆ เมื่อคิดจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมซักห้อง ไม่ว่าจะซื้อไว้อยู่เองก็ดี หรือกำลังคิดจะผันตัวเองมาเป็นนักลงทุนอสังหาฯมือใหม่ ก็ต้องเคยวนเวียนอยู่กับการหาคำตอบว่า ห้องแบบไหนถึงจะดี หรือคอนโดไหนที่เรียกว่า “สวย” แน่นอนคำว่า “สวย” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงแค่รูปร่างหน้าตาตึก หรือการตกแต่งที่สวยงามที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าเท่านั้นนะคะ แต่เรากำลังหมายถึง ความสวยที่มาพร้อมกับองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อการอยู่อาศัย ความคุ้มค่าคุ้มราคาที่ต้องจ่าย รวมถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่จะทำให้ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่า “สวย” อย่างเช่นเรื่อง “ทำเลที่ตั้ง” เป็นต้น ยิ่งในภาวะที่ตลาดปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมให้เลือกเป็นจำนวนมาก ชนิดที่ถ้าเอาข้อมูลมาวางเรียง เปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อยกันเป็นข้อๆ ก็คงมีคนตาลาย เมาข้อมูลกันไปบ้างไม่มากก็น้อยแหละ หรือถ้าลองไปถามเพื่อนฝูง คนใกล้ชิด หรือแม้แต่ผู้มีประสบการณ์ที่เราไว้วางใจ บางทีก็อาจจะได้คำตอบไม่ตรงกับใจ แย่กว่านั้นคอนโดที่เค้าช่วยเลือกให้อาจจะไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราเลยก็เป็นได้ เจอแบบนี้ก็ยิ่งปวดหัวไปกันใหญ่...จริงมั้ยคะ วันนี้เราจึงอยากจะแชร์ข้อมูลให้ทุกคนได้ลองเก็บไว้ใช้ประกอบการตัดสินใจ เพื่อเลือกคอนโดมิเนียมให้ตอบโจทย์ตรงใจ แถมยังได้ห้องสวยคุ้มราคาด้วยกันด้วยค่ะ คำถามแรกๆ ที่เราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนก็คือ “งบประมาณที่จ่ายไหว” ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะได้ยินตัวเลข “ประมาณ 2 ล้านบาท” ที่เป็นคำตอบในใจหลายคน อาจจะบวกลบได้นิดหน่อย อันนี้ไม่ว่ากันค่ะ อันดับต่อมาคำว่า “คอนโดติดรถไฟฟ้า” ก็จะเป็นคำที่ผุดขึ้นมาในหัวและเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของทุกคน เพราะใครๆ ก็เชื่อว่า ถ้าได้คอนโดติดรถไฟฟ้า ยังไงซะราคาขายต่อก็ต้องดีมีกำไร ถ้าจะปล่อยเช่าก็คงทำได้ไม่ยาก และอาจจะเรียกราคาค่าเช่าได้มากขึ้นด้วย ถ้าต้องเลือก “คอนโดติดรถไฟฟ้า” ปัจจุบันก็มีทำเลแนวรถไฟฟ้าหลายสายเลยค่ะ ทั้งที่เปิดใช้กันแล้ว หรือสายที่อยู่ในแผนอนาคต ซึ่งถ้าเลือกได้ คนส่วนใหญ่ก็จะขอเลือก “แนวรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว” กันแทบทั้งนั้น โดยเฉพาะแถบเส้นทางสายสุขุมวิทที่ใครๆ ก็รู้ว่าความเจริญขยายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็กำไรเห็นๆ!!! “ทำเลที่ตั้ง” ก็เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในอันดับต้นๆ เหมือนกันนะคะ นอกจากจะต้องอยู่ติดรถไฟฟ้าแล้ว ถ้าได้ทำเลในแหล่งชุมชนเก่า ใกล้แหล่งช็อปปิ้ง ใกล้แหล่งงาน รวมถึงแวดล้อมด้วยสาธารณูปโภคต่างๆ ได้พร้อมมากเท่าไหร่ ก็เชื่อได้ว่าความเป็นอยู่ของเราจะสะดวกสบายมากขึ้นเท่านั้นค่ะ ยิ่งถ้าได้โครงการติดถนนใหญ่ซัก 4 เลน ก็จะยิ่งเป็นข้อได้เปรียบ เพราะโครงการคอนโดติดถนนใหญ่แบบนี้ ก็จะเป็นคอนโด High Rise อย่างแน่นอน โอกาสในการซื้อขายและปล่อยเช่าก็ย่อมดีกว่าโครงการ Low Rise ในซอยชัวร์ๆ ค่ะ และอีกหนึ่งข้อสำคัญที่เราต้องนำมาพิจารณาด้วยก็คือ “ความน่าเชื่อถือของ Developer” ถึงแม้คอนโดมิเนียมจากแบรนด์ดังๆ มักจะมีราคาขายค่อนข้างสูงกว่าแบรนด์ใหม่ๆ แต่บางครั้งเราก็ต้องยอมรับว่า ราคาที่ต้องจ่ายก็แลกมาด้วยความมั่นใจ ทั้งในเรื่องของคุณภาพ การจัดการ รวมถึงเชื่อได้ว่าเจ้าของโครงการจะส่งมอบห้องให้เราได้ตามสัญญา แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายเล็กจะไม่น่าเชื่อถือนะคะ อันนี้เราแนะนำให้ลองพิจารณาจากโครงการที่ผ่านๆ มาของเค้าก่อนค่ะ บางรายเป็นเจ้าถิ่นที่มีความเชี่ยวชาญในพื้นที่เป็นอย่างดี สามารถทำคอนโดตอบโจทย์กลุ่มคนในย่านนั้นได้อย่างเหมาะสม อันนี้เราก็ควรจะเก็บไว้พิจารณานะคะ บางทีอาจจะเจ๋งกว่าแบรนด์ดังๆ ที่เพิ่งเข้ามาในพื้นที่ก็ได้ค่ะ จากหัวข้อหลักๆ 4 ข้อที่เราแนะนำไปนี้ พอจะมีชื่อคอนโดมิเนียมโครงการไหนอยู่ในใจกันบ้างมั้ยคะ... แต่ถ้ายังนึกไม่ออก วันนี้เรามีคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ได้ครบทั้ง 4 ข้อที่ว่านี้มาแนะนำกันค่ะ “Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์” เป็นหนึ่งในคอนโดมิเนียมที่มีคุณสมบัติตรงใจ และสามารถตอบโจทย์ได้ครบทุกข้อเชียวค่ะ แน่นอนว่าอยู่ใน “งบประมาณที่จ่ายไหว” เพราะ “Kensignton สุขุมวิท-เทพารักษ์” มีห้องในราคาเริ่มต้นที่ 1.49 ล้านบาทเท่านั้น!! ในขณะที่ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 30.5-31.5 ตร.ม. ก็ยังอยู่ในงบประมาณ 2 ล้านนิดๆ ค่ะ Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ เป็น “คอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า” อย่างแท้จริง เพราะหน้าโครงการอยู่ติดรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (สถานีทิพวัล) ชนิดที่เรียกว่าบันไดสถานีจ่ออยู่ปากทางกันไปเลย แถมยังอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเขียว (สถานีสำโรง) ซึ่งเป็นสายสำคัญที่ตรงเข้าใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็วสุดๆ..... [คอนโดติดรถไฟฟ้า 2 สายในราคาเริ่มต้นที่ล้านเศษๆ... บ้าไปแล้ว!!!] ในส่วนของ “ทำเลที่ตั้ง” คอนโด Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ อยู่ติดถนนใหญ่เลยจ้าาาาา แถมเป็นถนนสายหลักขนาด 4 เลน ที่เชื่อมต่อถนนสายสำคัญอย่างถนนสุขุมวิท และถนนศรีนครินทร์ไว้ด้วยกันอีก การเดินทางเลยสะดวกสุดๆ ทำเลที่ตั้งโครงการก็แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งแหล่งช็อปปิ้ง ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง แหล่งงาน สถานศึกษา สถานพยาบาลก็มีพร้อม ตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้อย่างครบถ้วนค่ะ เรื่อง “ความน่าเชื่อถือของ Developer” ก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นเจ้าตลาดที่มีความเชี่ยวชาญในทำเลย่านสุขุมวิท-สมุทรปราการเป็นอย่างดี หลายโครงการของออริจิ้นในย่านนี้ก็ประสบความสำเร็จปิดงานขายได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงโครงการในทำเลอื่นๆ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีไม่แพ้กันเลยค่ะ ด้วยคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ครบถ้วนขนาดนี้ เชื่อว่าหลายคนคงจะเริ่มสนใจโครงการ “Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์” กันแล้วใช่มั้ยคะ ก่อนจะไปดูว่า “ห้องสวย” ของโครงการต้องเลือกกันยังไง เราขอพูดถึง Facility และจุดเด่นอื่นๆ ในโครงการกันซักหน่อยค่ะ เผื่อจะเห็นภาพความน่าอยู่ได้ชัดเจนมากขึ้น ถ้าใครเคยอ่านข้อมูลโครงการมาบ้างแล้ว ต้องยอมรับว่าโครงการ "Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์" ตั้งใจออกแบบส่วนกลางมาให้ลูกบ้านแบบเกินราคามากๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็น Double Volume Lobby Lounge สไตล์ Industrial British Loft, Another Home & Co-Working Space ส่วนกลางพร้อมวิวสวน 180 องศา, สวนสวย 4 แบบ 4 สไตล์, Playground Garden, Backyard Garden, Double Skyline Roof Garden, สระว่ายน้ำขนาดใหญ่พร้อม Deep Relaxing Pool & Garden, The Gym Club ห้องฟิตเนสขนาดใหญ่พร้อมอุปกรณ์ครบครัน, สนาม Mini Golf, Sky Deck ลานนั่งเล่นเอกเขนก ฯลฯ แค่ที่ยกตัวอย่างมานี้ก็เยอะจนบรรยายแทบไม่หมดเลยค่ะ (สามารถอ่านรีวิวฉบับเต็มได้ที่ https://goo.gl/VgW67a) ด้วยความได้เปรียบที่เป็นคอนโด High Rise ภายในโครงการเลยมีพื้นที่สำหรับจัด Facility ส่วนกลางได้อย่างเต็มที่ ยิ่งชั้นสูงๆ ก็จะยิ่งได้เปรียบเรื่องวิวสวย โปร่งโล่งแบบ 360 องศา แถมในทำเลนี้ยังได้เห็นวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยนะคะ ดังนั้นตำแหน่งห้องที่เราควรจะเลือกสำหรับคอนโดตึกสูง ก็ควรจะเป็นห้องที่สามารถเปิดรับวิวได้เต็มที่กันหน่อยค่ะ สำหรับที่โครงการ Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ นี้ เราอยากแนะนำห้องที่อยู่ในตำแหน่งประมาณชั้น 18-27 นะคะ เพราะเป็นห้องที่อยู่ในช่วงกลางๆ ของตึก ความสูงระดับนี้เพียงพอสำหรับการเปิดรับวิวรอบๆ ที่เปิดโล่งโดยไม่มีอะไรบดบังสายตา ในขณะที่ราคาห้องในชั้นเหล่านี้ยังอยู่ในงบประมาณ อัตราการผ่อนก็ไม่หนักจนเกินไป ถ้าคิดจะลงทุนไว้ปล่อยเช่า ก็ถือว่าเป็นห้องในตำแหน่งที่ผู้เช่าให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ เช่นกันค่ะ ส่วนเรื่องตำแหน่งทิศของห้องอันนี้ต้องบอกกันก่อนว่า ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวนะคะ ถ้าว่ากันตามหลักการที่ใครๆ ก็ยึดถือกันมา ก็มักจะพยายามเลี่ยงทิศตะวันตก เนื่องจากกลัวว่าแดดจะร้อน และมักจะพยายามเลือกห้องในตำแหน่งทิศใต้ และทิศเหนือก่อน เพราะคาดหวังจะได้รับลมที่เย็นสบายกว่า ในขณะที่ไม่โดนแดดจัดเท่ากับทิศตะวันออกและทิศตะวันตก.... โชคดีค่ะ ที่โครงการ Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ ทำการบ้านมาอย่างดี การจัดวางตัวอาคารอยู่ในทิศทางที่ห้องส่วนใหญ่เลี่ยงแดดช่วงบ่ายได้ ไม่ต้องรับแดดตรงๆ ห้องในตำแหน่งที่เปิดรับวิวโค้งแม่น้ำได้ดี จะเป็นห้องทางปีกด้านขวาของแปลนโซน A นะคะ (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ) ห้องในโซนนี้ถ้าชั้นสูงๆ หน่อยน่าจะเห็นวิวแม่น้ำได้ชัดขึ้น บวกกับได้วิวเมืองที่สวยไม่แพ้ที่ไหนเลยค่ะ หรือถ้าชอบวิวเห็นสวนสีเขียวของโครงการ ตำแหน่งห้องในโซน A และ B ที่หันเข้าหาส่วนกลาง ก็จะสามารถมองลงมาเห็นสระว่ายน้ำ และพื้นที่สีเขียวที่บริเวณชั้น 6 ได้ค่ะ ในขณะที่ห้องทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของโซน A บนชั้นที่ 37-38 ก็จะเห็นวิว Roof Top Garden เพิ่มด้วย ตำแหน่งห้องในโซน A และ B ที่หันเข้าหาส่วนกลาง พื้นที่ส่วนกลางบริเวณชั้น 6 ของโครงการ ชั้น 37-38 ของโซน A จะมองเห็น Roof Top Garden ของโซน B Roof Top Garden ของทั้ง 2 โซน ตำแหน่งห้องที่ดีที่สุด อาจจะเป็นเรื่องที่ตอบแบบเจาะจงได้ยากซักหน่อยนะคะ เพราะความชอบ ความสนใจวิวที่เห็นในแต่ละทิศมักจะแตกต่างกันออกไป โชคดีที่รอบๆ โครงการ Kensingtion สุขุมวิท-เทพารักษ์ ไม่ได้มีอาคารสูงอื่นๆ มาบังสายตา เลยมีมุมสวยๆ ให้เลือกมากหน่อย ยังไงก็ลองดูภาพถ่ายจากทิศต่างๆ ที่เราเอามาให้ดูเป็นตัวอย่างกันก่อนได้นะคะ แต่เชื่อเถอะว่าของจริงยังไงก็สวยกว่าในภาพแน่ๆ วิวด้านทิศเหนือ วิวด้านทิศตะวันออก วิวด้านทิศตะวันตก วิวด้านทิศใต้ มาถึงในส่วนของแปลนห้องกันบ้างค่ะ ที่โครงการ Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ จะมีให้เลือกด้วยกัน 3 แบบนะคะ ซึ่งห้องแต่ละแบบก็จะตอบโจทย์ความต้องการที่ต่างกันออกไปค่ะ โดยส่วนตัวแล้วถ้าหากจะซื้อไว้อยู่อาศัยเอง และมีกำลังมากพอ เราอยากแนะนำห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 30.50-31.50 ตร.ม. ค่ะ เพราะเป็นแบบห้องที่เป็นเอกลักษณ์ของออริจิ้นเลยก็ว่าได้ ด้วยเนื้อที่ใช้สอยที่กว้างขวาง เหมาะกับการอยู่อาศัย ภายในห้องมีพื้นที่ห้องเล็กที่เพิ่มขึ้นมา เป็นเหมือนห้องอเนกประสงค์ ที่เราสามารถตกแต่งให้เป็นห้องทำงาน ห้องเก็บของ ห้องแต่งตัว หรือจะใช้เป็นห้องนอนเล็กก็ยังได้ จึงน่าจะให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านมากขึ้นด้วยค่ะ แปลนห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 30.5-31.5 ตารางเมตร ส่วนห้อง Studio 1 Bedroom ขนาด 21 ตร.ม. น่าจะตอบโจทย์สำหรับคนที่มองหาคอนโดไว้สำหรับลงทุนปล่อยเช่าหรือขายต่อในอนาคต เพราะต้นทุนในการผ่อนแบงค์ไม่สูงมาก มีโอกาสทำกำไรได้พอสมควร สัดส่วนของห้องเองก็จัดออกมาได้เหมาะสมค่ะ ประตูกระจกบานเลื่อนทำให้ห้องโปร่งไม่อึดอัดถึงแม้จะมีเนื้อที่ไม่มากนัก แต่ก็น่าอยู่ไม่แพ้ห้องอื่นเลยค่ะ แปลนห้อง 1 Bedroom ขนาด 21 ตารางเมตร ก่อนหน้านี้ทาง ออริจิ้น เคยจัดงาน VIP Pre-Sale Day กันไปแล้วเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งโครงการ Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีคนให้ความสนใจเข้าคิวจับจองห้องกันอย่างล้นหลาม เกินความคาดหมายกันเลยทีเดียวค่ะ สำหรับใครที่พลาดโอกาสแรกไปก็อย่าเพิ่งเสียใจนะคะ เพราะทางออริจิ้นกำลังเตรียมจัดงาน Grand Opening อีกครั้งในวันที่ 19-20 สิงหาคมที่จะถึงนี้ เพียง 2 วันเท่านั้น ที่สำนักงานขาย กับราคาและโปรโมชั่นพิเศษ ผ่อนเริ่มต้นเพียง 1,990 บาท และส่วนลดสูงสุด 100,000 บาท เตรียมติดตามข่าวกันได้เลยนะคะ.. ส่วนใครที่สนใจหรืออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ และลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษได้ที่ http://kensington.origin.co.th/thepharak/ หรือโทรสอบถามได้ที่ 02 030 0000 และสามารถอ่านรีวิวโครงการ Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ ฉบับเต็มของเราได้ที่ https://goo.gl/VgW67a
ร่วมอิสสระ อวดโฉมวิลล่าหรู “บาบาบีช คลับ เรสซิเดนส์ หัวหิน” ดึงกลุ่มไฮเอนด์ ชมบ้านตัวอย่างก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

ร่วมอิสสระ อวดโฉมวิลล่าหรู “บาบาบีช คลับ เรสซิเดนส์ หัวหิน” ดึงกลุ่มไฮเอนด์ ชมบ้านตัวอย่างก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด บริษัทในเครือของ บมจ. ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ ผู้พัฒนาโครงการทิวทะเลเอสเตท เปิดตัววิลล่าสุดหรู “บาบาบีช คลับ เรสซิเดนส์  หัวหิน” จับตลาดกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ ร่วมสร้างประสบการณ์การพักผ่อนอย่างมีไลฟ์สไตล์ สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดบนชายหาดส่วนตัว ในงาน Luxury Villa for Sale Managed by Sri Panwa 12-14 สิงหาคม นี้ นายดิฐวัฒน์  อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้างานก่อสร้างวิลล่าสุดหรู “บาบาบีช คลับ เรสซิเดนส์  หัวหิน” ว่าขณะนี้การก่อสร้างอยู่ระหว่างการดำเนินงานใกล้แล้วเสร็จ โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 11 ยูนิต บนเนื้อที่ 2-0-64 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 500 ล้านบาท ตั้งอยู่ในอาณาจักรโครงการทิวทะเลเอสเตท ถนนเพชรเกษม กม.196  อ.ชะอำ จ.เพรชบุรี  ซึ่งรายล้อมไปด้วยสาธารณูปโภคที่มีความสะดวกสบายตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยที่ชื่นชอบการพักผ่อนสุดเอ็กซ์คลูซีฟ อย่างใกล้ชิดธรรมชาติท่ามกลางบรรยากาศริมทะเล ซึ่งปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างพร้อมเข้าเยี่ยมชมเป็นจำนวน 2 ยูนิต และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2560 “โครงการ “บาบาบีช คลับ เรสซิเดนส์  หัวหิน” เป็นโครงการวิลล่าสุดหรู จำนวนทั้งสิ้น 11 ยูนิต ประกอบด้วยวิลล่า 3 ห้องนอน จำนวน 10 ยูนิต และวิลล่า 5 ห้องนอน จำนวน 1 ยูนิต มีการดีไซน์รูปแบบสถาปัตยกรรม ภายใต้แนวคิด Modern Colonial Style ออกแบบโดย บริษัท ฮาบิต้า จำกัด ผู้ออกแบบโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต ” นายดิฐวัฒน์ กล่าว ทั้งนี้เพื่อเป็นการเปิดประสบการณ์การพักผ่อนสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ทางโครงการเตรียมจัดงาน Luxury Villa for Sale Managed by Sri Panwa ขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 สิงหาคม 60 เพื่อเชิญชวนให้กลุ่มลูกค้าที่สนใจเข้าเยี่ยมชมวิลล่าที่สร้างเสร็จพร้อมตกแต่งในโครงการ โดยลูกค้าจะได้สัมผัสกับความหรูหร่าของวิลล่า 5 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น ที่มีพื้นที่ใช้สอยรวม 523.35 ตร.ม. พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวขนาด 4x21 เมตร  ตกแต่งแบบ Fully Furnished ทั้งหลัง และอุปกรณ์เครื่องไฟฟ้า  ครบชุด โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 83 ล้านบาท ในส่วนของวิลล่า 3 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น มีพื้นที่ใช้สอยรวม 278.85 ตร.ม. พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวขนาด 4x12.8 เมตร ตกแต่งแบบ Fully Furnished ทั้งหลัง และอุปกรณ์เครื่องไฟฟ้าครบชุด   โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 43.4 ล้านบาท สำหรับโครงการ“บาบาบีช คลับ เรสซิเดนส์  หัวหิน” ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50% มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย เพื่อเป็นการสร้างความเอ็กซ์คลูซีฟให้ลูกค้าที่เข้ามาพักผ่อน ด้วยสระว่ายน้ำ ไพรเวทสปา ห้องฟิตเนส ห้องสตรีม ห้องอาหาร พื้นที่สันทนาการทั้ง indoor และ outdoor พร้อมชิลล์ที่บาร์บริเวณสระว่ายน้ำริมหาด ที่จอดรถส่วนตัว และระบบความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีทีมงานที่เชี่ยวชาญจากโรงแรมศรีพันวาเข้ามาช่วยบริหารจัดการ ด้วยการสร้างมูลค่าให้กับวิลล่าแห่งนี้ในการปล่อยเช่าเพื่อเป็นการลงทุนอีกด้วย สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน Luxury Villa for Sale Managed by Sri Panwa หรือต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ บาบาบีช คลับ เรสซิเดนส์  หัวหิน สามารถติดต่อได้ที่ โทร 095-489-9228 หรือ เข้าไปชมบรรยากาศได้ที่ www.Charnissara.com, FB : Baba Beach Club Hua Hin, IG : bababeachclub.huahin
ยิปรอคนำเสนอนวัตกรรมเพื่อการพักอาศัยที่ยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “Gyproc Go Green” ในงาน 2017 Thai Green Building Expo and Conference

ยิปรอคนำเสนอนวัตกรรมเพื่อการพักอาศัยที่ยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “Gyproc Go Green” ในงาน 2017 Thai Green Building Expo and Conference

บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงแบรนด์ “ยิปรอค” และผู้ให้บริการโซลูชั่นส์ระบบผนังและฝ้าเพดานครบวงจรมานานกว่า 45 ปี นำโดย สหัทยา ทองปรีชา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ตอกย้ำสถานะผู้นำในตลาดวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จัดแสดงนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยิปซัมใหม่ล่าสุดภายใต้แนวคิด “Gyproc Go Green” ในงาน Thai Green Building Expo and Conference ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ โดยงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในการสนับสนุนการออกแบบและการก่อสร้างที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมในประเทศไทย มร. ริชาร์ด จูเชรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “งานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ยิปรอคจะได้นำเสนอแนวคิด “Gyproc Go Green” เนื่องจากยิปรอคต้องการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในด้านการปฏิบัติงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่มจึงมุ่งมั่นนำเสนอ นวัตกรรมที่ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและลดมลภาวะที่อาจเกิดกับสภาพแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลต่อสภาวะโลกร้อนในอนาคต ผ่านการดำเนินงานภายใต้แนวคิด Gyproc Go Green ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของยิปรอคได้รับกระแสตอบรับจากผู้บริโภคอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเยียวยาสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน” ด้วยการตระหนักถึงความสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ยิปรอคจึงยึดมั่นการดำเนินงานภายใต้แนวคิดยิปรอค 3G  ได้แก่ Green Products ด้วยมาตรฐาน ASTM D5116-90 จึงรับประกันว่าผลิตภัณฑ์ของยิปรอคมีการแพร่กระจายของสารเคมีในระดับต่ำ ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่น้อยกว่า 30% และปราศจากสารกัมมันตรังสีหรือสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ Green Solutions  นำเสนอระบบผนังและฝ้าเพดานแบบประหยัดพลังงานที่สามารถป้องกันความร้อนจากภายนอกแพร่เข้าสู่ภายในอาคาร จึงช่วยลดภาระของเครื่องปรับอากาศและลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ และ Green Manufacturing เน้นกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทุกขั้นตอน พร้อมติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียที่ทันสมัยและระบบประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง รับรองด้วยมาตรฐาน ISO 14001 บูธยิปรอคนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อการก่อสร้างผนังและเพดานยิปซัมแบบครบวงจร รวมถึงโซลูชั่นส์การก่อสร้างที่ตอบโจทย์ความต้องการพิเศษ เช่น การป้องกันความร้อน การป้องกันความชื้น หรือการป้องกันเสียงรบกวน โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากยิปรอคพร้อมให้คำแนะนำและข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ร่วมงานด้วยอัธยาศัยไมตรี ถึงการเลือกผลิตภัณฑ์ยิปรอคสำหรับการใช้งานเฉพาะด้าน และการสร้างอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานระดับสากล กรุณาดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ http://www.gyproc.co.th/ หรือ https://www.facebook.com/GyprocClub
SC เติบโตทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดฯ ครึ่งปีแรกกวาดยอดขายพุ่ง 44% ครึ่งปีหลังรุกแนวราบ ทุกระดับราคา เปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่า 11,450 ลบ. มุ่งตอบโจทย์ human-centric เพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับอนาคต มั่นใจรายได้ทะลุเป้า 20,000 ลบ. ในปี 2562

SC เติบโตทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดฯ ครึ่งปีแรกกวาดยอดขายพุ่ง 44% ครึ่งปีหลังรุกแนวราบ ทุกระดับราคา เปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่า 11,450 ลบ. มุ่งตอบโจทย์ human-centric เพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับอนาคต มั่นใจรายได้ทะลุเป้า 20,000 ลบ. ในปี 2562

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลสำเร็จของการดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีแรก โดยสรุป  2 เรื่อง คือ การเติบโตของยอดขาย โดยครึ่งปีแรกมียอดขายรวม 7,493 ล้านบาท เติบโต 44% (yoy) ซึ่งมาจากผลตอบรับที่ดีจากยอดขายแนวราบ 4,491 ล้านบาท เติบโต 14% (yoy)  กับยอดขายคอนโดฯ  3,002  ล้านบาท เติบโต 137% (yoy) สื่อออนไลน์มีประสิทธิภาพสูง โดยแนวราบในครึ่งปีแรกได้รับยอด walk-in จากสื่อนี้ถึง 30% ดังนั้นทำให้ค่าใช้จ่ายการตลาดลูกค้าแวะต่อคนลดลง 5 เท่าจาก Traditional media ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายการตลาดต่อยอดขายลดลง นายณัฐพงศ์ เปิดเผยถึงมุมมองเศรษฐกิจว่า  “จากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการปรับคาดการณ์ว่า  GDP ปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 3.2% เป็น 3.5% โดยปัจจัยหลักเป็นเรื่องการลงทุนภาครัฐ รวมถึงภาคการส่งออกและท่องเที่ยวที่มีการขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนภาคลงทุนเอกชนและการบริโภคนั้นยังคงไม่เติบโตเท่าที่ควร  และสถานการณ์หนี้ยังมีความน่ากังวล ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้  ณ ปลายไตรมาส 1/2560 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงเหลือ 78.6% แต่สินเชื่อกลุ่มที่อยู่อาศัยขยายตัวแบบชะลอตัว สวนทางกับสัดส่วน housing NPLs ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 3.23%  ส่งผลต่อความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ไม่สามารถวางแผนการใช้เงินอนาคต อย่างไรก็ตาม SC มียอดปฏิเสธสินเชื่อธนาคารเฉพาะแนวราบในช่วงครึ่งปีแรกเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สัดส่วนใกล้เคียงเดิมที่ประมาณ 10%  โดยสัดส่วนการชำระเงินสดโดยเฉพาะในกลุ่ม luxury segment สูงถึง 50% สูงกว่าปีที่ผ่านมา สรุปได้ว่า demand ในตลาดยังมีการเติบโต แต่สถานการณ์ของหนี้ทำให้ความสามารถในการใช้เงินอนาคตน้อยลง จึงมีแนวโน้มที่จะใช้เงินปัจจุบันมากขึ้น" นายณัฐพงศ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า “SC มีความมั่นใจในเป้าหมายปีนี้ตามที่วางไว้ ด้วยยอดขาย 16,000 ล้านบาท และรายได้ 14,800 ล้านบาท โดยแผนครึ่งปีหลังจะเปิดแนวราบทุกระดับราคา จำนวน 9 โครงการใหม่ มูลค่า 11,450 ล้านบาท ซึ่งปลายปีจะเปิดแบรนด์ใหม่ชื่อ เวิร์ฟ (Verve) ทาวน์โฮม 2 ชั้น เริ่ม 2.59 ล้านบาท โครงการใหม่ทั้งหมดแบ่งเป็น  5 แบรนด์ ดังนี้ The Gentry  โครงการเดอะ เจนทริ พระราม 9 เริ่ม 30 ล้านบาท Bangkok Boulevard ได้แก่ โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด รังสิต, สาทร-ราชพฤกษ์, ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์, แจ้งวัฒนะ  และ  สาทร-ปิ่นเกล้า เริ่ม 6-20 ล้านบาท Pave โครงการเพฟ รามอินทรา-วงแหวน เริ่ม 4 ล้านต้น Work Place โครงการเวิร์คเพลส แจ้งวัฒนะ เริ่ม 9 ล้านบาท Verve โครงการเวิร์ฟ เพชรเกษม 81 เริ่ม 59 ล้านบาท สรุปปีนี้ SC มีโครงการเพื่อขายทั้งหมด  44 โครงการ มูลค่า 44,135 ล้านบาท  แบ่งเป็น โครงการระหว่างการพัฒนา จำนวน 35 โครงการ พร้อมกับอีก 9 โครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ได้ปรับเพิ่มงบซื้อที่ดินเพิ่มเป็น 9,100 ล้านบาท” จากที่ SC ได้ประกาศยุทธศาสตร์เรื่อง human-centric innovation  เมื่อตอนต้นปี  หลังจากนั้นมีการขยายธุรกิจใหม่และลงทุนใน platform เรื่องบริการหลังการขายกับ tech startup “Fixzy” แผนครึ่งปีหลังจึงดำเนินตามยุทธศาสตร์  ดังนี้ ร่วมพัฒนา iOT smarthome platform ชื่อ “ Rue Jai ™ (รู้ใจ™)”  สำหรับลูกค้า SC ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ AIS ผู้ให้บริการ Digital Life Service Provider อันดับ 1 ของประเทศไทย ให้เป็น smarthome platform ที่พัฒนาโดยคนไทย และเพื่อคนไทย พร้อมจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้ SC 4.0 housing prototypes  ได้มีการใช้ design thinking ในการออกแบบ prototype สำหรับบ้านคอนเซปท์ในอนาคต โดยจะเริ่มเปิดตัวในโครงการต่างๆ ในช่วงไตรมาส 4/2560 นายณัฐพงศ์ สรุปอย่างมั่นใจว่า   “ด้วยแผนยุทธศาสตร์เชิงรุกทั้งหมดนี้ จะสนับสนุนและส่งเสริมแผนการเติบโตต่อเนื่อง 3 ปี ทำให้ SC มีรายได้ทะลุเป้าหมาย 20,000 ล้านบาท ในปี 2562”  
“แอสเซทไวส์” รุกทำเลใจกลางลาดพร้าว ปักธงด้วยโครงการใหม่สุดหรูริมทะเลสาบ “แอทโมซ (Atmoz) ลาดพร้าว 71”

“แอสเซทไวส์” รุกทำเลใจกลางลาดพร้าว ปักธงด้วยโครงการใหม่สุดหรูริมทะเลสาบ “แอทโมซ (Atmoz) ลาดพร้าว 71”

"แอสเซทไวส์" (AssetWise) เตรียมส่งโครงการ "แอทโมซ (Atmoz) ลาดพร้าว 71" คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ (Low-Rise) จำนวน 8 ชั้น มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพถนนนาคนิวาส ใจกลางลาดพร้าว พร้อมส่วนกลางจัดเต็ม ครบทุกฟังก์ชั่น ในราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท   นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด กล่าวว่า โครงการฯ ตั้งอยู่ในซอยนาคนิวาส ใจกลางลาดพร้าว 71 ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกและห้างสรรพสินค้ามากมาย เช่น คริสตัล ปาร์ค, เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์, นวมินทร์ ซิตี้ อเวนิว, คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (CDC) แหล่งรวมศูนย์การค้าระดับไฮเอนด์ หรือตลาดนัดสุดอินเทรนด์ รวมทั้งแหล่งรวมวัสดุก่อสร้าง และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ พร้อมด้วยร้านอาหารนั่งชิลล์ก็มีให้เลือกไม่ไกลจากโครงการฯ ทั้งช่วงกลางวัน หรือยามค่ำคืน ทำเลใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนเอกมัย- รามอินทรา ทำให้สามารถเดินทางสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ ถนนนาคนิวาสยังเชื่อมต่อไปยังถนนอื่น ๆ ได้หลายสาย ทำให้สามารถเลือกเส้นทางในการเดินทางได้มากขึ้น เช่น ออกถนนเกษตร - นวมินทร์ ทางถนนนาคนิวาส ออกถนนเลียบด่วนรามอินทรา - อาจณรงค์ ทางซอยประดิษฐ์มนูธรรม 15 หรือจะไปออกถนนลาดพร้าว ทางซอยลาดพร้าว 71 หรือ ถนนโชคชัย 4 หรือ ถนนรัชดา ทางถนนลาดพร้าว – วังหิน "Atmoz ลาดพร้าว 71" ถูกออกแบบด้วยแนวคิด Urban Refresh ให้ผู้อยู่อาศัยได้ชาร์ตพลังชีวิตจากความเหนื่อยล้าท่ามกลางเมืองใหญ่ด้วยวิวธรรมชาติริมทะเลสาบติดโครงการฯ ขนาดใหญ่ถึง 21 ไร่ พร้อมทั้งชาร์จความสุข ความสดชื่น ให้กับตัวเองได้ทุกวันจากส่วนกลางที่ครบครัน กับพื้นที่ส่วนกลางเกือบ 2 ไร่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนรุ่นใหม่ได้อย่างแท้จริง ในราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการ "Atmoz ลาดพร้าว 71" จะพร้อมให้เข้าชมห้องตัวอย่างในต้นเดือนสิงหาคมนี้ ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดสุดพิเศษ 100,000 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ โทร. 08 7701 0071 หรือ www.atmozcondo.com หรือ Line ID: @atmoz71
‘เอพี ไทยแลนด์’ โชว์ผลงาน 7 เดือนแรก สร้างยอดขายสูงกว่า 23,200 ล้านบาท เตรียมเปิดตัว 18 โครงการใหม่มูลค่า 28,750 ล้านบาท

‘เอพี ไทยแลนด์’ โชว์ผลงาน 7 เดือนแรก สร้างยอดขายสูงกว่า 23,200 ล้านบาท เตรียมเปิดตัว 18 โครงการใหม่มูลค่า 28,750 ล้านบาท

เอพียิ้มรับผลการรายงานอันดับยอดขายจากสถาบันหลักทรัพย์ชั้นนำของประเทศ ขึ้นแท่นยอดขายครึ่งปีแรกสูงเป็นอันดับ 2 ของตลาดอสังหาฯ หากรวมยอดขายจากโครงการใหม่ ไลฟ์ วัน ไวร์เลส ที่เปิดพรีเซลไปเมื่อ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ดันยอดขายรวม 7 เดือนแรกมากถึง 23,200 ล้านบาท คิดเป็นเกือบ90% ของเป้ายอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ พร้อมเดินหน้าลุยเปิดพรีเซล 18 โครงการใหม่ ครั้งแรกกับการเปิดตัวโครงการแนวราบพร้อมกันมากสุด ด้วย 10 ทาวน์โฮมแบรนด์ บ้านกลางเมือง - พลีโน่  เริ่ม 1.69 – 8.99 ล้านบาท และ 7 บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่แบรนด์ เดอะ ซิตี้ - เซนโทร เริ่ม 9.8 - 35 ล้านบาท และ 1 คอนโดใหม่ ไลฟ์ อโศก-พระราม 9 เริ่ม 110,000 บาท/ตารางเมตร นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานั้นถือเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก โดยครึ่งปีแรกบริษัทฯ สามารถสร้าง ยอดขายรวมได้มากเป็นอันดับที่ 2 ของธุรกิจหรือเท่ากับ 15,000 ล้านบาท ซึ่งหากรวมยอดขายจากโครงการใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดพรีเซลไปเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้กับโครงการ LIFE ONE WIRELESS (ไลฟ์ วัน ไวร์เลส) ตลอดจนโครงการอื่นๆ ส่งผลให้บริษัทฯ มียอดขายรวม 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) มากถึง  23,200 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 76% คิดเป็น 89% ของเป้าหมายยอดขายรวม 26,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้ในปีนี้ ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าในช่วงเวลาที่เหลือพร้อมกับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง (5 เดือน ส.ค.-ธ.ค.) จำนวน 18 โครงการ มูลค่ารวม 28,750 ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบจำนวน 17 โครงการ มูลค่า 19,750 ล้านบาทและ คอนโดมิเนียมร่วมทุนอีก 1 โครงการ  LIFE อโศก-พระราม 9 มูลค่า 9,000 ล้านบาท เชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้เกินเป้าที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน “เรายังคงโฟกัสที่เป้าหมายใหญ่ในการนำพาเอพีก้าวขึ้นสู่การเป็น TOP 3 Developer ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ภายใต้กลยุทธ์สำคัญ "คิดและสร้างความแตกต่าง" (AP THINK DIFFERENT) ที่เน้นย้ำจุดแข็งของเอพี คือการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ โดดเด่นด้วยดีไซน์และการจัดสรรพื้นที่ใช้สอย รวมถึงวิสัยทัศน์ในการแบ่งปันองค์ความรู้เพื่อพัฒนาบุคลากรคุณภาพสู่วงการอสังหาฯ ไทย ซึ่งยอดขายที่เกิดขึ้นสะท้อนได้ถึงความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อสินค้าภายใต้การพัฒนาของเอพี โดยในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือเวลาอีก 5 เดือน เราพร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมโดยเฉพาะโครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม เรามีการดีไซน์แบบบ้านใหม่ทั้งหมด มีการสร้าง สรรค์นวัตกรรมดีไซน์ใหม่ๆ ขึ้นมา ทั้งหน้ากากบ้านและฟังก์ชั่นการใช้งานภายใน ซึ่งเชื่อมั่นว่าทั้งหมดนี้จะช่วยดันยอดขายให้เกินเป้าที่ตั้งไว้” ปี 2560 บริษัทฯ​ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 25 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 49,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 9 โครงการ มูลค่า 12,350 ล้านบาท ทาวน์โฮม 13 โครงการ มูลค่า 12,550 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 24,100 ล้านบาท ซึ่งเปิดตัวไปแล้วทั้งสิ้น 7  โครงการ โดยโครงการที่เปิดตัวล่าสุดคือ  LIFE ONE WIRELESS (ไลฟ์ วัน ไวร์เลส) มูลค่าโครงการ 7,500 ล้านบาท ซึ่งได้เปิดพรีเซลไปแล้วเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายได้มูลค่า  6,466 ล้านบาท ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีหลัง (5 เดือน ส.ค.-ธ.ค.) บริษัทฯ พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่อีกจำนวน 18 โครงการ มูลค่ารวม 28,750 ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบมากถึง 17 โครงการ มูลค่า 19,750 ล้านบาท (บ้านเดี่ยว 7 โครงการ และทาวน์โฮม 10 โครงการ) และคอนโดมิเนียมร่วมทุน  1 โครงการ LIFE อโศก-พระราม 9 มูลค่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดจะพร้อมเปิดพรีเซลระหว่างช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ ทั้งนี้ ในส่วนของแนวทางการดำเนินงานในการพัฒนาสินค้าแนวราบนอกจากการมุ่งสร้างความแตกต่างแล้ว บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าหมายให้บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมเครือเอพีต้องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวคนเมือง (THE ULTIMATE CHOICE FOR URBAN FAMILY) ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของจุดแข็งในการเป็นหนึ่งเดียวเรื่องทำเลที่ตั้ง การสร้างความต่างด้วยการออกแบบสินค้าที่ตอบความต้องการลูกค้าเฉพาะกลุ่มภายใต้มาตรฐานคุณภาพ ผ่านบ้านเดี่ยวแบรนด์ THE CITY และ CENTRO  พร้อมสานต่อความสำเร็จของแบรนด์ ‘บ้านกลางเมือง’ ในการเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮม ไฮเอนต์ 3 ชั้นในเมือง และการบุกตลาด PREMIUM AFFORDABLE ทาวน์โฮมราคา 2-4 ล้านบาท ด้วยแบรนด์พลีโน่ (PLENO) ในช่วงครึ่งปีหลัง 5 เดือนที่เหลือ (ส.ค.-ธ.ค.) นี้บริษัทฯ เตรียมจัดงานเปิดตัว 17 โครงการแนวราบ ณ สำนักงานขายของทุกโครงการ โดยทั้ง 17 โครงการล้วนมีความพิเศษในเรื่องของนวัตกรรมดีไซน์ที่ได้รับพัฒนาขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าในแต่ละทำเล โดยวันที่ 19-20 สิงหาคมนี้กับงาน THE PHENOMENAL 10 กับครั้งแรกในการเปิดตัว 10 ทาวน์โฮมใหม่ใจกลางเมืองแบรนด์ “บ้านกลางเมือง และพลีโน่” พร้อมกัน พบราคาพรีเซลพร้อมข้อเสนอทางการเงินจ่ายน้อย คืน 100% และรับส่วนลดเพิ่ม 100,000 บาทเมื่อลงทะเบียนล่วงหน้า ได้แก่ (1) บ้านกลางเมือง สาทร-สุขสวัสดิ์ (2) บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว-เสรีไทย (3) บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-พระราม 5  (4) บ้านกลางเมือง รามอินทรา-วัชรพล (5) พลีโน่ ราชพฤกษ์ (6) พลีโน่ ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ (7) พลีโน่ พหลโยธิน-รังสิต (8) พลีโน่ สุขุมวิท-บางนา (9) พลีโน่ รามอินทรา-วงแหวน และ (10) พลีโน่ พหลโยธิน-วัชรพล เริ่ม 1.69-8.99 ล้านบาท พร้อมงานพรีเซลเปิดตัว 7 บ้านเดี่ยวโมเดลใหม่ ในวันที่ 29-1 ตุลาคมนี้ ประกอบด้วยแบรนด์ THE CITY บ้านเดี่ยวเพื่อครอบครัวที่สมบูรณ์แบบกับ 4 พิกัดใหม่ (1) THE CITY พัฒนาการ (2) THE CITY บางนา-กม.7 (3) THE CITY สาทร-สุขสวัสดิ์ (4) THE CITY ปิ่นเกล้า - บรมฯ ราคาเริ่ม 9.8-35 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวแบรนด์ CENTRO สำหรับครอบครัวคนรุ่นใหม่กับ 3 พิกัดใหม่ (5) CENTRO บางนา-กม.7 (6) CENTRO พหล-วิภาวดี (7) CENTRO รามอินทรา-จตุโชติ เริ่ม 4.99-15 ล้านบาท พิเศษลงทะเบียนและจองในงานพรีเซลรับ Iphone 8 และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย สำหรับคอนโดมิเนียม LIFE อโศก-พระราม 9 บริษัทฯ พร้อมเปิดพรีเซลในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้เช่นกัน  “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย”
ศิริเลิศกรุ๊ป กลุ่มอสังหา New Gen เปิดแผนรุกตลาดอสังหาฯ นำร่องด้วย “ซายน์ สุขุมวิท 50”

ศิริเลิศกรุ๊ป กลุ่มอสังหา New Gen เปิดแผนรุกตลาดอสังหาฯ นำร่องด้วย “ซายน์ สุขุมวิท 50”

ศิริเลิศกรุ๊ป กลุ่มอสังหา New Gen เปิดแผนรุกตลาดอสังหาฯ อีกรายนำร่องด้วยโครงการ “ซายน์ สุขุมวิท 50” มูลค่า 340 ล้านบาท เริ่มต้นเพียง 2.55 ล้านคาดภายใน 5 ปี มีทั้งแนวสูง แนวราบ โรงแรม และที่ท่องเที่ยว มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท ศิริเลิศกรุ๊ป กลุ่มบริษัทอสังหาฯ โดยกลุ่ม New Gen ที่มีพร้อมทั้งธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง บริษัทรับออกแบบ ธุรกิจงานไฟฟ้า ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจสถานที่ท่องเที่ยว เปิดแผนธุรกิจคาดภายใน 5 ปี จะมีโครงการทั้งหมดในมือกว่า 5,000 ล้านบาท นำร่องด้วยโครงการเด่น “ซายน์ สุขุมวิท 50” พรีเมียมคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ ใกล้รถไฟฟ้าอ่อนนุช ในราคาเริ่มต้นที่ 2.55 ล้านบาท ลงตลาด วางเป้าเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มผู้เช่าต่างชาติ เชื่อมั่นศักยภาพของทำเลอ่อนนุชและรูปแบบของโครงการตอบโจทย์ความต้องการ คาดจะสามารถปิดการขายได้ภายใน 3 เดือน นายยุทธลักษณ์ ศิริพรเลิศ กรรมการบริหารกลุ่มบริษัทในเครือศิริเลิศ เปิดเผยว่า ศิริเลิศกรุ๊ป คือ กลุ่มบริษัทที่ทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์มาแล้วอย่างยาวนาน โดยเริ่มต้นจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว ดำเนินงานโดยรุ่นคุณพ่อ แต่เมื่อธุรกิจส่งผ่านมาถึงรุ่นลูก จึงได้สานต่อโดยนำความรู้ ผนวกกับเทคโนโลยี และความสามารถที่รุ่นลูกในแต่ละคนมี มารวมกัน สร้างเป็นศิริเลิศกรุ๊ป โดยกลุ่มบริษัทในเครือศิริเลิศประกอบไปด้วย ได้แก่ บริษัท ศิริเลิศ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท ศิริเลิศ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และบริษัท สเปซรีเลชั่น ดีไซน์ จำกัด กลุ่มธุรกิจที่ดำเนินการโดยคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างความพิเศษและความแตกต่าง ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยมีเครือข่ายธุรกิจที่ครบองค์ประกอบ เพื่อสร้างสรรค์ความแตกต่างและให้เกิดผลงานที่มีคุณภาพ ตั้งแต่การออกแบบ การดำเนินการก่อสร้าง การพัฒนาโครงการ การออกแบบติดตั้งอุปกรณ์ไฟแสงสว่าง และรวมถึง ธุรกิจในเครือ ได้แก่ โรงแรมตากอากาศระดับสากล และสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งธุรกิจทั้งหมด active หมดแล้ว แต่สำหรับโรงแรมที่สมุยอยู่ในช่วงดำเนินการ และส่วนสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่จังหวัดราชบุรีนั้น คือ ณ สัทธา อุทยานไทย กำลังปรับปรุง พร้อมเปิดให้เข้าชมอีกครั้งในปี 2561 สำหรับบริษัท ศิริเลิศ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด มีภาระกิจหลัก คือ ทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบคลุมทั้งแนวราบ แนวสูง ก่อตั้งเมื่อปี 2555 โดยเริ่มพัฒนาโครงการแรกเมื่อปี 2557 ใช้ชื่อว่า ดิ แอล ฟิฟทีน คอนโด (The L15 Condo) คอนโดมิเนียม 8 ชั้น จำนวน 79 ยูนิต ตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 15 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือน บริษัทฯ วางเป้าหมายในการเปิดตัวโครงการใหม่ปีละ 1-2 โครงการ และวางเป้ายอดขายในช่วง 5 ปีแรกไว้ปีละ 500 ล้านบาท ส่วน 5 ปีถัดไป ปีละ 1,000 ล้านบาท ในปีนี้บริษัทได้เปิดตัวโครงการ “ซายน์ สุขุมวิท 50” มูลค่าประมาณ 340 ล้านบาท สำหรับในปีหน้าช่วงต้นปีจะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวโครงการแรกย่านเพชรเกษม มูลค่าโครงการประมาณ 400 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ อีก 1 โครงการ มูลค่า 400 ล้านบาท สำหรับธุรกิจในเครือ จะเปิดสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุง) ประมาณต้นปี 2561 และโรงแรมตากอากาศระดับสากลในอีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า ในส่วนการเปิดตัวโครงการ “ซายน์ สุขุมวิท 50 นายยุทธลักษณ์ กล่าวต่อว่า บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด “ซายน์ สุขุมวิท 50” (SIGN Sukhumvit 50) มูลค่าโครงการประมาณ 340 ล้านบาท ออกแบบภายใต้แนวคิด “A Sanctuary of City Living ที่ที่ความสงบบรรจบชีวิตเมือง” เนื่องจากทำเลที่ตั้งของโครงการอยู่บนถนนที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และ ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ แหล่งไลฟ์สไตล์ เดินทางสะดวก ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน และใกล้รถไฟฟ้า โดยที่เรายังคงรักษาแนวคิดเรื่องการใช้ชีวิตที่เป็นส่วนตัว และที่พักผ่อนเมื่อก้าวเข้าบ้านอีกด้วย ทำให้ที่นี่ เมื่อลูกค้าที่เข้ามาอยู่จะได้มีความเป็นส่วนตัวเมื่อเข้าบ้าน และสามารถสัมผัสสีสันของชีวิตเมืองได้ทันทีเมื่อก้าวออกจากโครงการ และด้วยการใช้ชีวิตสไตล์คนรุ่นใหม่ เราได้ผสานความสะดวกสบายในยุคที่ทุกอย่างเร็วขึ้นเมื่อมี Disruptive คือ นำ Digital Integrated Life เข้ามาใช้ในห้อง โดยภายในห้องจะมีระบบ Home automation และSound System Controller ไว้ให้ เพื่อตอบโจทย์ Lifestyle ของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง โครงการ “ซายน์ สุขุมวิท 50” (SIGN Sukhumvit 50) ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 50 บนพื้นที่โครงการประมาณ 0-2-54.1 ไร่ เป็นอาคารพักอาศัยสูง 8 ชั้น จำนวน 105 ยูนิต เป็นห้อง Fully Furnished พร้อมเข้าอยู่ มีให้เลือก 3 รูปแบบ ได้แก่ แบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 26.14 – 28.68 ตารางเมตร แบบ 1 ห้องนอนพลัส พื้นที่ใช้สอย 34.60 – 37.34 ตารางเมตร และแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 50.23 ตารางเมตร จำนวนที่จอดรถ 40% พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ได้แก่ CO-Working Space ล็อบบี้ มุมห้องสมุด Wifi Internet Access(เฉพาะชั้นล็อบบี้, ฟิตเนส, รูฟท๊อปการ์เด้น) สระว่ายน้ำและสระเด็ก จากุชชี่ ฟิตเนส บริการรับ-ส่งรถไฟฟ้า BTS อ่อนนุช ระบบรักษาความปลอดภัย ระบบคีย์การ์ดเข้า-ออกอาคาร ลิฟท์โดยสารล็อคชั้นจำนวน 2 ตัว กล้องวงจรปิด 24 ชั่วโมง ในราคาเริ่มต้นที่ 2.55 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างเดือนพฤศจิกายน 2560 กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ เดือนสิงหาคม 2562 โดยโครงการนี้บริษัทตั้งเป้าปิดการขายภายใน 3 เดือน เนื่องจากเป็นทำเลที่มีศักยภาพ รวมทั้งรูปแบบการดีไซน์ของโครงการที่น่าจะตรงใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน เจ้าของกิจการ กลุ่มเริ่มสร้างครอบครัว ที่อายุประมาณ 28 - 45 ปี ด้านทำเลที่ตั้งโครงการ ทำเลอ่อนนุช ถือเป็นทำเลที่มีความพร้อมทุกด้าน ทั้งการเดินทาง แหล่งช็อปปิ้ง สิ่งอำนวย ความสะดวก อยู่ไม่ไกลจากพื้นที่เมืองชั้นในอย่าง อโศก ทองหล่อ ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยย่านนี้ เบากว่าย่านในเมืองมากพอสมควร เรียกได้ว่า หากขยับมาอยู่ในโซนนี้ จะได้ทั้งค่าใช้จ่ายที่ประหยัดขึ้น ในขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวกเท่าๆ กัน เนื่องจาก Mass Transit ที่สามารถรองรับการเดินทางที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน สำหรับชาวต่างชาติแล้ว ในโซนนี้เรียกได้ว่าเป็นโซนยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาวญี่ปุ่น จีน หรือยุโรป เนื่องจากคนกลุ่มนี้ชอบอาศัยในโซนเดียวกัน เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าอยู่ในสังคมแวดล้อมเดียวกัน อีกทั้งยังเดินทางสะดวก และ ยังมีสถานที่ราชการ โรงเรียนนานาชาติ อีกหลายแห่ง อาทิ Wells International School, วิทยาลัยกรุงเทพ และ โรงเรียนนานาชาติ Bangkok Prep นอกจากนี้ยังมีอาคารสำนักงานอีกหลายอาคาร พร้อมห้างสรรพสินค้าหน้าโครงการ ด้วยศักยภาพทำเลเหล่านี้ ทำให้บริเวณนี้จึงสามารถดึงการลงทุนต่างๆ เข้ามาได้ และผลักดันให้อ่อนนุชมีความเจริญยิ่งขึ้น สำหรับซอยสุขุมวิท 50 ที่เป็นทำเลที่ตั้งของโครงการ SIGN Sukhumvit 50 เป็นซอยฝั่งขาเข้าเมือง และยังเป็นซอยเชื่อมถึงทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทำให้สามารถขึ้นทางด่วน รามอินทรา-อาจณรงค์ ได้ง่าย และสำหรับขาออกนอกเมืองไป ย่านบางนา - พัฒนาการก็ทำได้ไม่ยาก สะดวกกับผู้ใช้รถยนต์ในการเดินทาง หรือจะเลือกเดินทางเข้าเมืองด้วย BTS ที่สถานีอ่อนนุช และออกนอกเมือง โดย BTS ส่วนต่อขยายไปถึงย่านแบริ่ง สำโรง โดยไม่ลำบากอีกต่อไป ด้วยเหตุผล ที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ปัจจุบันอ่อนนุชเกือบไม่เหลือที่ดินให้พัฒนาโครงการได้อีกแล้ว SIGN Sukhumvit 50 จึงเป็นโครงการที่น่าจับตามองอย่างมากสำหรับคนที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยย่านที่ไม่ไกลเมืองออกไปมากนัก อย่างย่าน "อ่อนนุช" นายยุทธลักษณ์ กล่าว นายยุทธลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการของเราเหมาะสมกับผู้ซื้อที่เป็นผู้อยู่อาศัยจริง ซึ่งตลาดสำหรับผู้อยู่อาศัยจริงยังคงมีกำลังซื้ออยู่ แต่อาจจะมีข้อจำกัดในเรื่องของการขอสินเชื่อ แต่คาดว่าสถานการณ์ในปีหน้าจะดีขึ้น ทั้งนี้ ตลาดคอนโดมิเนียมยังคงต้องคำนึงถึงซัพพลายที่อาจจะมีมากกว่าความต้องการซื้อในบางทำเล บริษัท ฯ เตรียมจัดงาน Pre-Sale ในวันที่ 5 - 6 สิงหาคม 2560 ณ สำนักงานขายโครงการ SIGN SUKHUMVIT 50 โดยได้จัดโปรโมชั่นราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองและทำสัญญา จะได้รับ Samsung Galaxy S8* อีกทั้งยังมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัล Lucky Draw มูลค่ากว่า 100,000 บาท และพิเศษสำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนผ่านทาง Online จะได้รับส่วนลดเพิ่มอีกสูงสุด 20,000 บาท* สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 081-553-5555 หรือ www.signcondo.com
“ORI” ผนึกยักษ์อสังหาฯแดนปลาดิบ “โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์” พร้อมปรับแผนเปิดโครงการเพิ่มเป็น 12 โครงการ มูลค่า 1.8 หมื่นล้าน

“ORI” ผนึกยักษ์อสังหาฯแดนปลาดิบ “โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์” พร้อมปรับแผนเปิดโครงการเพิ่มเป็น 12 โครงการ มูลค่า 1.8 หมื่นล้าน

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” ผุด “บิ๊กมูฟ” เดินหน้าร่วมทุนยักษ์อสังหาฯญี่ปุ่น “โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์” ประเดิมขายหุ้น 4 บริษัทย่อยให้โนมูระ บริษัทละ 49% ลุยพัฒนาคอนโดหลากทำเล หวังแลกเปลี่ยนโนว์ฮาวหนุนโตแกร่งและยั่งยืน ปรับแผนและเป้าปี 60 สวนตลาดอสังหาฯ เปิดโครงการเพิ่มเป็น 12 โครงการ มูลค่า 1.805 หมื่นล้านบาท เพิ่มเป้ารายได้เป็น 9,000 ล้านบาท นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน (Kensington), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), และไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) กล่าวว่า บริษัทกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการเดินหน้าร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของญี่ปุ่น เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 29 ก.ค.2560 มีมติอนุมัติให้บริษัทจำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัทย่อยในเครือจำนวน 4 บริษัท บริษัทละประมาณ 49% ให้แก่บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด 1.บริษัท ออริจิ้น สเฟียร์ จำกัด ให้จำหน่ายหุ้นสามัญจำนวน 49,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 10 บาท ซึ่งเป็นอัตรา 49% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด หรือคิดเป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 0.49 ล้านบาท มีราคาจำหน่ายหุ้นทั้งหมด 32.81 ล้านบาท 2.บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิ้ล จำกัด ให้จำหน่ายหุ้นสามัญจำนวน 49,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 10 บาท ซึ่งเป็นอัตรา 49% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด หรือคิดเป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 0.49 ล้านบาท มีราคาจำหน่ายหุ้นทั้งหมด 44.22 ล้านบาท 3.บริษัท ออริจิ้น รามคำแหง จำกัด ให้จำหน่ายหุ้นสามัญหลังเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 476.53 ล้านบาท จำนวน 23.34997 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 10 บาท ซึ่งเป็นอัตรา 49% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด หรือคิดเป็นทุนจดทะเบียน 233.4997 ล้านบาท มีราคาจำหน่ายหุ้นทั้งหมด 311.39 ล้านบาท และ 4.บริษัท ออริจิ้น ไพร์ม 2 จำกัด ให้จำหน่ายหุ้นสามัญหลังเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 589.7 ล้านบาท จำนวน 28.8953 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 10 บาท ซึ่งเป็นอัตรา 49% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด หรือคิดเป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 288.953 ล้านบาท มีราคาจำหน่ายหุ้นทั้งหมด 400.54 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทเป็นผู้ถือหุ้นเดิมทั้ง 4 บริษัทในสัดส่วน 100% หลังดำเนินการเสร็จสิ้นจะทำให้บริษัทเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทละประมาณ 51% และบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทละประมาณ 49% “การร่วมทุนผ่านบริษัทย่อยในเครือจะทำให้ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และโนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ สามารถร่วมมือกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ๆ ได้ในหลากทำเลที่ออริจิ้นมีที่ดินพร้อมพัฒนาอยู่แล้ว” นายพีระพงศ์ กล่าว นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า การร่วมทุนกันในครั้งนี้ จะช่วยให้ออริจิ้นได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านโนว์ฮาว นวัตกรรม และดีไซน์ในการพัฒนาคอนโดมิเนียมแบบญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญช่วยให้บริษัทสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น สำหรับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2500 ปัจจุบันมีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ได้แก่ 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว 2.ธุรกิจจัดหาสำนักงานให้เช่า 3.ธุรกิจค้าปลีก 4.ธุรกิจโลจิสติกส์ และ 5.ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ เช่น การขาย การซื้อ การเช่าอสังหาริมทรัพย์ มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว (ณ 1 เม.ย.2560) จำนวน 2,000 ล้านเยน (ราว 600 ล้านบาท) มีรายได้จากการดำเนินการในปีงบประมาณล่าสุด (1 เม.ย.2559-31 มี.ค.2560) จำนวน 4.01 แสนล้านเยน (ราว 1.2 แสนล้านบาท) นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยังได้ปรับแผนและเป้าหมายผลประกอบการปี 2560 ของบริษัทด้วย โดยปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่จากเดิม 9 โครงการ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มเป็น 12 โครงการ มูลค่า 1.805 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 11 โครงการ และโครงการบ้านแนวราบโครงการแรกของออริจิ้นอีก 1 โครงการ โดยจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังรวม 8 โครงการ นอกจากนี้ ยังได้ปรับเพิ่มเป้ายอดขายขึ้นจากเดิม 1.3 หมื่นล้านบาท เป็น 1.4 หมื่นล้านบาท เป้ารายได้จากเดิม 6,000 ล้านบาท เป็น 9,000 ล้านบาท รวมถึงอัพเดตสถานะแบ็กล็อก ณ ปิดครึ่งปีแรกที่ระดับ 25,285 ล้านบาท “ขณะนี้เรามีพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น ทั้งจากการผนึกกำลังกับบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด และการร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ขณะเดียวกันสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ทำให้เรามั่นใจในโอกาสการเติบโตไปสู่อีกระดับและตัดสินใจปรับแผนเปิดตัวโครงการใหม่และเป้าผลประกอบการของปีนี้เพิ่มขึ้น” นายพีระพงศ์ กล่าว บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 38 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 36,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร  
ครึ่งแรก ปี 60 การลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยทะลุหมื่นล้านบาท

ครึ่งแรก ปี 60 การลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยทะลุหมื่นล้านบาท

บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ประเทศไทยมีการซื้อขายเกิดขึ้นรวมมูลค่าทั้งสิ้นมากกว่า 10,700 ล้านบาท จากการซื้อขายโรงแรม 4 โรงในกรุงเทพฯ และ 1 โรงในพัทยา เทียบกับปี 2559 ที่มีการซื้อขายโรงแรมเกิดขึ้นทั้งปี รวมมูลค่าประมาณ 9,600 ล้านบาท นายไมค์ แบทเชเลอร์ หัวหน้าฝ่ายขายภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า “การซื้อขายที่มีมูลค่าสูงในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังคงมีความสนใจในการลงทุนซื้อโรงแรมในไทยสูงแล้ว  ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยในระยะยาวอีกด้วย” “ผู้ซื้อประกอบด้วยทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนจากต่างชาติ โดยนักลงทุนต่างชาติรายล่าสุดที่ซื้อโรงแรมในไทยคือ โฮเทล เอทตี้วัน (Hotel81) และกลุ่มคาร์ลตัน โฮเทล ซึ่งเป็นทุนจากสิงคโปร์ทั้งสองราย ตอกย้ำสถานภาพของไทยในฐานะหนึ่งในจุดหมายการลงทุนด้านโรงแรมที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในภูมิภาคนี้” นายแบทเชเลอร์กล่าว การลงทุนซื้อขายโรงแรมล่าสุดในครึ่งแรกปีนี้ คือการเข้าซื้อพอร์ตโรงแรมพรีเมียร์ อินน์ โดยโฮเทล เอทตี้วันจากสิงคโปร์ ประกอบด้วยโรงแรมสองโรงที่กรุงเทพฯ และพัทยา จำนวนห้องพักรวม 388 ห้อง ซึ่งนับเป็นก้าวแรกโฮเทล เอทตี้วันในการเข้ามาลงทุนในภาคธุรกิจโรงแรมของไทย ทั้งนี้ บริษัทได้มอบหมายให้ทราเวลลอดจ์ (Travelodge) เข้ามาเป็นผู้บริหารโรงแรมที่เพิ่งซื้อ นายจักรกริช จักรพันธุ์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขาย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า “การซื้อพอร์ตโรงแรมพรีเมียร์ อินน์ ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่โฮเทล เอทตี้วัน ซึ่งมีโรงแรมในความครอบครองมากที่สุดในสิงคโปร์ ลงทุนซื้อโรงแรมในต่างประเทศ ส่วนผู้ขายคือกลุ่มวิทเบรด (Whitbread) ซึ่งมีโรงแรมในความครอบครองมากที่สุดในอังกฤษ โดยมีเจแอลแอลเป็นตัวแทนในการจัดการซื้อขายข้ามประเทศในครั้งนี้” ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กลุ่มคาร์ลตัน โฮเทล จากสิงคโปร์ได้เข้าซื้อโครงการโรงแรมที่หยุดการก่อสร้างค้างไว้ในกรุงเทพฯ ด้วยมูลค่า 2,400 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่หัวมุมปากซอยสุขุมวิท 27 ประกอบด้วยที่ดิน 2 ไร่ 2 งาน 34.3 ตารางวา และอาคารโรงแรมความสูง 34 ชั้นที่ยังสร้างไม่เสร็จ โดยเจแอลแอลทำหน้าที่เป็นตัวแทนเจ้าของเดิม คือ บริษัท กรุงเทพบริหาร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) ในการหาผู้ซื้อ ทั้งนี้ โรงแรมดังกล่าวซึ่งมีห้องพัก 342 ห้องจะมีการก่อสร้างต่อจนแล้วเสร็จในปี 2562 และคาดว่าจะใช้ชื่อคาร์ลตัน โฮเทล นายการัณย์ คานิเยาว ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขาย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า “การซื้อโครงการโรงแรมโดยกลุ่มคาร์ลตัน โฮเทล นับเป็นการลงทุนซื้อโรงแรมรายการใหญ่ที่สุดบนถนนสุขุมวิท และนับเป็นราคาสูงสุดเท่าที่เคยมีการซื้อขายเกิดขึ้น หากคิดมูลค่าราคาต่อห้องพักหลังก่อสร้างต่อจนเสร็จ” ส่วนอีกสองโรงแรมที่มีการเปลี่ยนมือในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ได้แก่ โรงแรมบางกอกเอดิชั่น บูติค โฮเต็ล และโรงแรมสวิสโซเทล นายเลิศปาร์ค ซึ่งกรณีของโรงแรมสวิสโซเทล นายเลิศปาร์ค แม้จะมีการเปิดเผยการซื้อขายในปี 2559 แต่ธุรกรรมการซื้อขายได้รับการดำเนินการเสร็จสิ้นในปีนี้ เจแอลแอล คาดว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยสำหรับทั้งปีนี้ จะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นมากกว่า 14,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2559 ที่ผ่านมา มีการซื้อขายโรงแรมในไทยทั้งหมดมากกว่า 10 โรงในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ๆ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 9,600 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ เป็นโรงแรมที่เจแอลแอลเป็นตัวแทนการขายจำนวน 5 โรงในกรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย ศรีราชา และเชียงราย