Tag : News

2400 ผลลัพธ์
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พัฒนาศักยภาพบุคลากรเชิงรุก ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการบริหารอาคารที่พักอาศัยเบอร์หนึ่งต่อเนื่อง คาดอีก 2 ปี สัดส่วนคอนโดไฮเอนด์แตะ 33% รองรับลูกค้าทั้งไทย-ต่างชาติ

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พัฒนาศักยภาพบุคลากรเชิงรุก ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการบริหารอาคารที่พักอาศัยเบอร์หนึ่งต่อเนื่อง คาดอีก 2 ปี สัดส่วนคอนโดไฮเอนด์แตะ 33% รองรับลูกค้าทั้งไทย-ต่างชาติ

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ทุ่มงบตั้ง PLUS Experience Development Center หน่วยงานพัฒนาบุคลากรเชิงรุก รองรับทิศทางผู้อาศัยในประเทศไทยเข้าสู่ความเป็นสากล จากลูกค้าหลากหลายเชื้อชาติมากขึ้น คาดอีก 2 ปี มีห้องชุดสร้างเสร็จเข้ามาในตลาดอีก 90,000 ยูนิต พบ 33% เป็นห้องชุดระดับลักชัวรี่ ชี้เป็นโอกาสธุรกิจบริการจัดการที่พักอาศัย พร้อมตั้งเป้าหมายเป็นผู้ให้บริการที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการไทยรายเดียวที่ติดท๊อป 5 โดยให้บริหารอาคาร 157 โครงการ ดูแลโครงการระดับลักชัวรี่ราว 25% และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นสอดคล้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบัน นางสาวพรรณวดี โพธิหน่อทอง รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารอาคารที่พักอาศัย (คอนโดมิเนียมและโครงการต่างจังหวัด) บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ปัจจุบันทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้เติบโตอย่างมาก และได้พัฒนาออกมาในรูปแบบที่รองรับผู้อยู่อาศัยระดับสากลมากขึ้น รองรับกระแสการเชื่อมต่อของโลกไร้พรมแดน ทำให้มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มาจากหลากหลายชาติ ทั้งชาวไทย และต่างชาติ โดยเฉพาะ ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน จีนและญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่หลากหลายขึ้นนี้ ส่งผลให้งานบริหารอาคารที่พักอาศัยต้องปรับตัวและพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีดิจิตอลและนวัตกรรมการอยู่อาศัยเข้ามามีบทบาทกับการดำเนินชีวิตของผู้คนค่อนข้างมาก สำหรับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้มีนโยบายการพัฒนาบุคลากรในส่วนงานการบริหารอาคารเชิงรุกอย่างเข้มข้น รวมทั้งการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเสริมการให้บริการที่รวดเร็วและง่ายต่อการใช้งาน ดังเช่นการใช้แอปพลิเคชั่น Home Service Application มาช่วยในการสื่อสารกับผู้อาศัยในการแจ้งข้อมูลต่างๆ  โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นผู้ให้บริการงานบริหารอาคารที่พักอาศัยที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง โดยพลัสฯ ยังคงให้ความสำคัญกับบุคลากรรอบด้าน เพื่อยกระดับและรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมด้านการบริหารจัดการอาคาร ล่าสุดได้พัฒนาหน่วยงานที่เรียกว่า PLUS Experience Development Center เป็นหน่วยงานเฉพาะด้านในการจัดทำหลักสูตรสร้างทักษะการบริการที่เป็นเลิศ พัฒนาความเชี่ยวชาญในสายงาน ซึ่งมีโครงการนำร่องด้วยการร่วมมือกับสถาบัน Jeeves Training  สถาบันชั้นนำระดับโลกที่ออกแบบและฝึกอบรมการให้บริการ  Butler ในโรงแรมและโครงการที่พักอาศัยชั้นนำระดับ High End มาสร้างประสบการณ์และฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของพลัสฯ เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ผู้พักอาศัยในโครงการระดับลักชัวรี่ ที่พลัสฯ บริหาร  นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับบุคลากรโดยการวางแผนการเจริญเติบโตระยะยาวของพนักงาน เพื่อสร้างคุณค่าและพัฒนาความผูกพันที่มีต่อองค์กรและลูกค้า (Engagement Culture)  ตลอดจนเพื่อให้เข้าใจและเข้าถึงความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ดีไปยังลูกค้า จากแผนการพัฒนาครั้งนี้จะนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการแต่ละแห่งต่อไป ปัจจุบันพลัสฯ เป็นผู้ให้บริการด้านบริหารอาคารที่พักอาศัยชั้นนำติดหนึ่งใน 5 ของตลาด โดยดูแลโครงการทั้งสิ้น 157 โครงการ เป็นโครงการระดับลักชัวรี่ราว 25% ซึ่งพลัสฯ เป็นผู้ให้บริการไทยรายเดียวที่ให้บริการได้มาตรฐานในระดับแถวหน้าเทียบชั้นกับผู้ให้บริการต่างชาติ  ที่มีหน่วยงานที่ดูแลลูกค้าต่างประเทศโดยเฉพาะ (กลุ่มลูกค้าชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์) โดยทีมพิเศษนี้สามารถให้คำปรึกษารอบด้าน ในการบริหารทรัพย์สินให้พร้อมใช้งานและมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น โดยให้คำปรึกษาทั้งด้านการคำนวณทิศทางราคาอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต ดูแลจัดการด้านการปล่อยเช่า การหาผู้เช่าให้กับลูกค้า รวมถึงช่วยประสานงานกับเอเจนซี่ในต่างประเทศ ในรูปแบบ One Stop Service “ภาพรวมการตลาดในปัจจุบันยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จะพบว่าผู้ประกอบการต่างๆ มีนโยบายทางการตลาดเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อทั้งในเอเชีย อเมริกา และยุโรปทำให้มีโครงการอาคารที่พักอาศัยที่จะเกิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก โดยในช่วง 2 ปีต่อจากนี้คาดว่าจะจะมีห้องชุดสร้างเสร็จเข้าสู่ตลาดกว่า 90,000 ยูนิต เป็นโครงการระดับลักชัวรี่ที่ราคามากกว่า 130,000 บาทต่อตารางเมตร ถึง 30,000 ยูนิต หรือคิดเป็น 33% นับเป็นโอกาสของธุรกิจงานบริหารอาคารที่พักอาศัยเช่นกัน หากวิเคราะห์ทางด้านการแข่งขันของอุตสาหกรรมงานบริหารอาคารที่พักอาศัยในปัจจุบัน พบว่ามาจากผู้ให้บริการ 2 กลุ่ม คือ บริษัทต่างชาติที่มาเปิดสาขาในเมืองไทย และบริษัทของคนไทย ซึ่งปัจจุบันมาตรฐานการบริหารจัดการมีความใกล้เคียงกันเนื่องจากเทคโนโลยีและการรับรู้ข่าวสารข้อมูลจากสื่อต่างๆ ทำให้การแข่งขันจึงมุ่งเน้นในส่วนของการให้บริการที่ครอบคลุม มีมาตรฐาน และสามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ยังเริ่มมีผู้เล่นรายย่อยใหม่ๆ มากขึ้นโดยเน้นกลยุทธ์ทางด้านราคาค่าบริการ อาจตอบโจทย์บางโครงการที่มีงบประมาณจำกัด แต่ในระยะยาวมูลค่าของโครงการจะลดลง ไม่มีความยั่งยืน  ซึ่งผู้เล่นรายย่อยจะต้องพัฒนาความสามารถเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีมากขึ้นเพื่อให้ได้มาตรฐานระดับสากล รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการการบริการที่รวดเร็ว ตามแนวโน้มความหลากหลายของลูกค้าที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นางสาวพรรณวดี กล่าว
แอสเซทไวส์ เปิดตัวคอนโดโมดิซ รัชดา 32 คอนโดมิติใหม่ ใจกลางเมือง

แอสเซทไวส์ เปิดตัวคอนโดโมดิซ รัชดา 32 คอนโดมิติใหม่ ใจกลางเมือง

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด ต่อยอดความสำเร็จของคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ Modiz ที่ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง เปิดตัวคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ล่าสุด “โมดิซ คอนโด รัชดา 32” (Modiz Condo Ratchada 32) อีกหนึ่งผลงานดีไซน์ที่โดดเด่น ออกแบบในสไตล์ “Modern Luxury” เปิดมุมมองมิติใหม่ในการใช้ชีวิต กลางใจเมือง ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท พร้อมเปิดให้จองรอบ VIP Booking ในวันที่ 16 กันยายนศกนี้ ที่โมดิซ เซลล์ แกลลอรี่ รัชดา 32 ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับข้อเสนอสุดพิเศษได้ทางเว็บไซต์ www.assetwise.co.th  หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 08 3556 3232  หรือ Line ID: @modiz32
ส่องทำเลทอง น้องใหม่ สุดฮอต ห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ

ส่องทำเลทอง น้องใหม่ สุดฮอต ห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ

สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดระดับบน (หรือ 3 ล้านบาทขึ้นไป) ที่เรียกได้ว่าเปิดมาเท่าไหร่ก็ขายได้ และทำเลหนึ่งที่เป็นกระแสร้อนแรงอย่างมากในขณะนี้คือ ทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ จากการสำรวจข้อมูลของสำนักวิจัย LPN เผยถึงภาพรวมตลาดในทำเลนี้มีคอนโดมิเนียมขาย 19 โครงการ ประมาณ 7,000 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 90,000 บาท/ตารางเมตร มียอดขายไปแล้วกว่า 90% เมื่อพิจารณาโครงการใหม่ปีที่เปิดตัวปี 60 มี 12 โครงการ 4,600 ยูนิต มียอดขายไปแล้วกว่า 65% เป็นทำเลที่มีการเปิดโครงการใหม่มากเป็นอันดับต้นๆ และยังมีแนวโน้มว่าจะมีโครงการใหม่เปิดตัวเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ประมาณ 2,000 ยูนิต ส่งผลให้ทำเลนี้ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการเองมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ต่างก็ดึงจุดแข็งของตนเองมาสร้างจุดขายให้กับโครงการ ในทางกลับกันก็ถือเป็นโอกาสทองของผู้บริโภคเช่นเดียวกัน ทั้งนี้การก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย(หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ที่ก่อสร้างไปแล้วกว่า 40% ซึ่งมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น ในขณะเดียวกันราคาที่ดินก็สูงปรับตัวขึ้นมาก โดยเฉพาะแปลงที่ดินติดถนนพหลโยธิน ช่วงห้าแยกลาดพร้าว-แยกรัชโยธิน 650,000-950,000 บาท/ตารางวา ช่วงแยกรัชโยธิน-แยกเกษตร 500,000-750,000 บาท/ตารางวาซึ่งจะส่งผลต่อราคาขายคอนโดมิเนียมสูงมากขึ้นตามไปด้วย ล่าสุดราคาพุ่งขึ้นสูงถึง 140,000-150,000 บาท/ตารางเมตรเรียบร้อยแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ตั้งใกล้สถานีรถไฟฟ้ามีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมาก และด้วยทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ มีความครบถ้วนไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมากมาย ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต โดยมีสถานที่สำคัญต่างๆ ทั้งห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย อาคารสำนักงาน และแหล่ง Hang Out อีกจำนวนมาก เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ทำเลนี้มีศักยภาพสูงมากขึ้น ยกตัวอย่างสถานที่สำคัญ ดังเช่น ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ Central ลาดพร้าว, Union Mall, Avenue รัชโยธิน และ Major รัชโยธิน มหาวิทยาลัยชื่อดัง ม.เกษตรศาสตร์, ม.ราชภัฏจันทรเกษม และม.ศรีปทุม เป็นต้น อาคารสำนักงานมากมายซึ่งเป็นแหล่งงานสำคัญของทำเลนี้ เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ หรือ SCB PARK การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสำนักงานใหญ่ กรมป่าไม้ การทางพิเศษฯ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น สำหรับแหล่ง Hang Out สำคัญของคนรุ่นใหม่ในย่านนี้จะตั้งอยู่บริเวณ Major รัชโยธิน และในซอยพหลโยธินซอย 32 หรือ ซอยเสนานิคม 1 เช่น Wine Society, ร้านเสวนาพาเพลิน, ร้าน Meeting Point, ร้าน Café To All, ร้านJim Burger, ร้านTreat Café และอื่นๆอีกมากมาย ในอนาคตคาดว่าทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ จะกลายเป็นทำเลทองสุดฮอตเหมาะสำหรับสำหรับการอยู่อาศัย ที่มีความสะดวกสบายทั้งด้านการคมนาคมขนส่ง ด้านสาธารณูปโภค และสาธารณูปการต่างๆ และนอกจากนี้ยังมีแปลงที่ดินรอการพัฒนาที่หลายแปลง เช่น แปลงที่ดินบางกอกโดม 48 ไร่ ที่เป็นการร่วมทุนกันของผู้ประกอบการรายใหญ่คาดว่าจะพัฒนาเป็นโครงการ Mix-Use ขนาดใหญ่ และแปลงสวนสนุกแดนเนรมิตเดิมที่ยังคงรออยู่ว่าผู้ประกอบการรายใดจะคว้าที่ดินผืนนี้ไปพัฒนา ซึ่งหากที่ดิน 2 แปลงนี้พัฒนาสมบูรณ์แบบจะช่วยเพิ่มศักยภาพของทำเลนี้ให้ดีมากขึ้นอีกต่อไปในอนาคต
Sign Sukhumvit 50 คอนโดมิเนียมระดับ Premium คอนเซปต์ Private Residence ทำเลดี ราคาคุ้ม ตกแต่งภายใน เต็มเปี่ยมด้วยวัสดุคุณภาพ

Sign Sukhumvit 50 คอนโดมิเนียมระดับ Premium คอนเซปต์ Private Residence ทำเลดี ราคาคุ้ม ตกแต่งภายใน เต็มเปี่ยมด้วยวัสดุคุณภาพ

โครงการใหม่ล่าสุดจาก Sirilert Development ซายน์ คอนโด สุขุมวิท 50 เป็นคอนโด Low Rise สูง 8 ชั้น 1 อาคาร บนพื้นที่ขนาด 0-2-54.1 ไร่ มีทั้งหมด 105 ยูนิต มีห้องพักให้เลือกทั้งหมด 3 แบบ คือแบบ 1 Bedroom, 1 Bedroom Plus และแบบ 2 Bedrooms ขนาดเริ่มต้นที่ 26.14 ตร.ม.ซึ่งคาดว่าจะสร้างเสร็จพร้อมอยู่ภายในปี 2562 นี้ค่ะ โดยตัวโครงการตั้งอยู่ใน ซ.สุขุมวิท 50 ภายใน ซ.แสงอุทัย โดยมีสำนักงานขายอยู่ที่ปากซอยอารีรักษ์ อ่อนนุช Sign Sukhumvit 50 เป็นคอนโดมิเนียมที่มีคอนเซปต์ Hidden หลบหนีความวุ่นวายในชีวิตเมือง สิ่งที่น่าสนใจของโครงการนี้ คือ  การออกแบบ Façade สีขาวลายฉลุ ทำจากวัสดุ Perforate ที่จะอยู่ด้านนอกโครงการที่จะช่วยเรื่องความสวยงามให้กับตัวตึก และให้ความเป็นส่วนตัวกับผู้อยู่อาศัยเพราะจะช่วยพรางสายตาจากภายนอกอาคาร และช่วยในเรื่องบังแสงแดด ได้อีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้น Sign Sukhumvit 50 กลับไม่ใช่คอนโดมิเนียมที่อยู่ห่างไกลความเจริญ เพราะระยะห่างเพียงแค่ 800 เมตร ก็ถึงบันไดรถไฟฟ้าสถานี อ่อนนุช และ ยังเข้าเมืองสู่แหล่งช้อปปิ้ง ต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย เรียกได้ว่าเป็นทำเลที่น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะตรงตามคอนเซปต์ “เงียบสงบ แต่ไม่ไกลความเจริญ” คุ้มสุดบนย่านนี้ คือคำจำกัดความ ที่เหมาะกับ คอนโด ซายน์ สุขุมวิท50 จะคุ้มอย่างไรบ้างนั้น มาดูเป็นข้อๆเลยดีกว่าค่ะ Sign Sukhumvit 50 เป็น Private Residence เพราะการออกแบบ Product ของ Sign Sukhumvit 50 ด้วยที่ดินขนาดประมาณ 2 งาน เป็นแปลงเล็ก จึงตัดสินใจสร้างโครงการที่มียูนิตน้อยเพียงแค่ 105 ยูนิตถือว่าเป็นโครงการที่จำนวนยูนิตน้อยที่สุดที่เปิดตัวย่านอ่อนนุชในปี 2560 ทำให้ Sign Sukhumvit 50 มีความเป็นส่วนตัวสูงมากที่สุด Sign Sukhumvit 50 การตกแต่งที่ใส่ใจรายละเอียดมากกว่า และให้มากกว่า ด้วยการตกแต่งแบบ Fully Furnished การเลือกสรรวัสดุคุณภาพ เกรดพรีเมี่ยม และการออกแบบที่ทุกๆ Function การใช้งานได้ถูกออกแบบ มาเพื่อการใช้ชีวิตคนเมืองได้อย่างแท้จริง จุดนี้พูดเพียงอย่างเดียวคงเชื่อยาก แนะนำให้ลองมาเยี่ยมชมห้องตัวอย่างด้วยตัวคุณเองค่ะ Sign Sukhumvit 50 มี Design ที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากตัว Façade ที่ได้กล่าวไปแล้วการออกแบบภายในห้องยังมีความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์ด้วย โดยห้อง 1 Bedroom Plus จะมีความพิเศษอยู่ที่ห้องน้ำ  นั่นก็คือ Skyview Bathtub อ่างอาบน้ำอยู่ติดประตูกระจกบานเลื่อนที่ให้ประสบการณ์ใหม่ และมีสุขลักษณะที่ดีระบายอากาศได้ยอดเยี่ยม Sign Sukhumvit 50 มี High value facilities โครงการนี้แม้จะขนาดเล็กแต่ก็จัดพื้นที่ส่วนกลางยอดนิยมอย่างสระว่ายน้ำให้เป็นรูปแบบ Rooftop Pool ถูกใจทุกคนที่ต้องการว่ายน้ำอย่างเป็นส่วนตัว ว่ายน้ำได้สบายใจไม่ต้องแคร์สายตาใคร นอกจากนี้ในบริเวณที่ตั้งโครงการไม่มีตึกสูงเท่าๆ กันสร้างรอบๆ ทำให้มุมมองของชั้น Rooftop ของ Sign Sukhumvit 50 เปิดโล่ง แม้ไม่ใช่ตึกสูง แต่ก็ได้วิวโล่งและมองได้ไกลเช่นกัน Sign Sukhumvit 50 มีระบบ HOME AUTOMATION เพื่อคนรุ่นใหม่ โดยภายในห้องจะแถมฟรีระบบ Sound System Controller ที่เชื่อมต่อลำโพงบนเพดาน และระบบ Home Automation ที่สามารถเปิดปิดไฟและแอร์ล่วงหน้าได้ทุกเวลาที่ต้องการผ่าน Mobile Application แถมประตูยังเป็นแบบ Digital Door lock ยี่ห้อ Samsung โดยทำงานได้ 3 แบบ คือ แบบ Key card, แบบกุญแจ, แบบใส่รหัส ยังไม่หมด พื้นที่ส่วนกลางยังมี ห้อง Co-working Space และ Wifi ไว้คอยบริการอีกด้วย Sign Sukhumvit 50 ใกล้ทางด่วน ใกล้ BTS โครงการอยู่ห่างจากจุดขึ้น-ลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ เพียง 450 เมตร ซึ่งสามารถใช้ทางด่วนนี้วิ่งไปรามอินทรา-ลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ ได้เลยเพียง 15 นาทีก็ถึง หรือจะวิ่งเชื่อมต่อไปย่านพระราม 9 – ดินแดง ก็ได้ นอกจากทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์แล้ว ยังอยู่ไม่ไกลจากทางขึ้น-ลง ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ซึ่งทางขึ้นอยู่ที่ ถ.รางรถไฟเก่า สามารถวิ่งไปยังย่านพระราม3- พระราม 2 ได้เช่นกันค่ะ หรือจะออกดอนเมืองโทลเวย์ วิ่งไปยังสนามบินดอนเมืองก็ได้ Sign Sukhumvit 50 ก็ไม่ไกลรถไฟฟ้ามากเกินไป เพราะระยะเดินทางถึงรถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช เพียง 800 เมตร Sign Sukhumvit 50 ใกล้ความสะดวกสบายใกล้ห้างสรรพสินค้า Tesco Lotus จับจ่ายซื้อของเข้าบ้านได้ง่ายสะดวก หาของกินง่าย อยากจะทำอะไรก็มีหมด อำนวยความสะดวกจัดเต็ม และในอนาคต ยังมีแหล่ง Entertainment แห่งใหม่ ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง อย่าง Century The Movie Plaza อีกด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการนั้นก็มีอย่างครบครันทั้ง Lobby, Co-Working Space, Library, Fitness, Swimming Pool, Jacuzzi, Rooftop Garden, ที่จอดรถ 40% และระบบรักษาความปลอดภัย CCTV 24 ชม. รวมถึงบริการรถ Shuttle Bus รับ-ส่งถึง BTS อ่อนนุชเลย ในราคาที่หยิบจับได้ไม่ยาก เริ่มต้นเพียง 55 ล้านบาท  มั่นใจในตัวโครงการได้อีกอย่าง คือ ตอนนี้ โครงการผ่านการอนุญาติสิ่งแวดล้อม ( EIA APPROVED ) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลูกค้าสามารถเชื่อมั่นเรื่องการก่อสร้างโครงการนี้ได้อย่างแน่นอน    
สี่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำร่วมพัฒนา “กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง” โครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรีเพื่ออิสระแห่งการใช้ชีวิตในวัยเกษียณแห่งใหม่ของเอเชียที่ภูเก็ต

สี่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำร่วมพัฒนา “กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง” โครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรีเพื่ออิสระแห่งการใช้ชีวิตในวัยเกษียณแห่งใหม่ของเอเชียที่ภูเก็ต

สี่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ประกอบด้วย  บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด, บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน), บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ร่วมลงทุนเพื่อพัฒนา “กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง” มาตรฐานใหม่ของโครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรีที่มอบประสบการณ์ไลฟ์สไตล์เหนือระดับเพื่อการใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างอิสระและมีความสุข ในสังคมที่สงบเป็นส่วนตัว และปลอดภัย   โครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ตั้งอยู่บริเวณหาดกมลา ชายหาดอันสวยงามบนฝั่งตะวันตกของภูเก็ต พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่าง ๆ อย่างครบวงจร ภายใต้การบริหารและดำเนินงานโดย Otium Living ผู้เชี่ยวชาญด้านที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัยชั้นนำระดับนานาชาติ พร้อมทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่งด้วยประสบการณ์ โดยมี Audley Group Ltd. ผู้พัฒนาและบริหารโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุระดับหรูอันดับหนึ่งของสหราชอาณาจักรร่วมเป็นที่ปรึกษา อรฤดี ณ ระนอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด กล่าวว่า “สังคมผู้สูงอายุที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ส่งผลให้ความต้องการโครงการที่พักอาศัยวัยเกษียณที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกคุณภาพสูงในรูปแบบต่าง ๆ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง  กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง คือหนึ่งในชุมชนแห่งการพักอาศัยระดับลักชัวรีสำหรับผู้สูงอายุแห่งแรก ๆ ของเอเชีย ที่มอบไลฟ์สไตล์แห่งการใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างอิสระและเหนือระดับ ในสภาพแวดล้อมที่ถูกออกแบบมาอย่างปราณีตคำนึงถึงปลอดภัยและเป็นส่วนตัว พร้อมด้วยบริการต่าง ๆ ที่ครอบคลุมอย่างครบวงจร ภายใต้การดูแลของทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์สูงในโครงการที่พักอาศัยวัยเกษียณระดับหรูชั้นนำของโลกซึ่งเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ พัฒนาก่อสร้าง จนถึงการบริหารโครงการ” โครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ตั้งอยู่ภายในพื้นที่ของมอนท์เอซัวร์ ภูเก็ต โครงการมิกซ์ยูสระดับซูเปอร์ไฮเอนด์บนพื้นที่กว่า 450 ไร่ ใจกลางชายหาดและทิวเขาแถบฝั่งตะวันตกของหาดกมลา หนึ่งในหาดที่สวยงามและสงบเป็นส่วนตัวที่สุดบนเกาะภูเก็ต  กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมจำนวน 200 ยูนิต และวิลล่า 30 ยูนิต มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท ภายในโครงการพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งศูนย์ดูแลสุขภาพ คลับเฮาส์ ห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำและศูนย์บริการธุรกิจ นอกจากนั้นผู้พักอาศัยยังสามารถใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกระดับหรูต่าง ๆ ภายในโครงการมอนท์เอซัวร์ ไม่ว่าจะเป็น บีชคลับ ร้านอาหารริมหาดและบาร์ ร้านค้า สปาเพื่อสุขภาพ ตลอดจนเส้นทางขี่จักรยานและเดินเขา เพื่อเติมเต็มประสบการณ์แห่งการใช้ชีวิตทั้งในพื้นที่ร่มและกลางแจ้ง “ภูเก็ตคือสถานที่ที่มีความพรั่งพร้อมในทุกองค์ประกอบสำหรับการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงาม ภูมิอากาศที่เหมาะสม มีสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ครบครัน อีกทั้งยังมีปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งเสริมการพักผ่อนและดูแลสุขภาพ ทั้งโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานสูง ระบบคมนาคมที่สะดวกสบาย ใกล้สนามบินนานาชาติภูเก็ต ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งเสริมให้โครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง มีความน่าสนใจและเป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับผู้สูงอายุทั้งในแถบเอเชีย-แปซิฟิกและยุโรป” อรฤดีกล่าวเสริม โครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ให้ความสำคัญกับการบริหารโครงการอย่างครอบคลุม ทั้งในด้านตัวอาคารสถานที่ ด้านการบริการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และด้านการดูแลสุขภาพของผู้พักอาศัย ภายใต้การบริหารและดำเนินงานโดย Otium Living  โดยมี ดร. นาฏ ฟองสมุทร Aged Care Specialist ร่วมเป็นผู้บริหาร ในการบริหารโครงการ Audley Group Ltd.  ผู้พัฒนาและบริหารโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุระดับหรูอันดับหนึ่งของสหราชอาณาจักร จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับ Otium Living ในทุกด้าน ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานของพื้นที่พักอาศัยและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ จนถึงการดูแลบริหารโครงการ แดเนียล โฮล์มส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Otium Living Pte Ltd. กล่าวว่า “เอเชียคือภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงสำหรับการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยระดับหรูสำหรับผู้สูงอายุ และภูเก็ตก็มีปัจจัยที่เอื้ออำนวยพรั่งพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสถานที่ในฝันสำหรับการอยู่อาศัยในวัยเกษียณสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความมั่งคั่งจำนวนมากทั้งในประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ อย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย ตลอดจนยุโรป เราจึงมีความตั้งใจที่จะพัฒนาโครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ให้เป็นมาตรฐานใหม่ของโครงการที่พักผู้สูงอายุระดับลักชัวรีในเอเชีย เพื่อให้ที่นี่เป็นบ้านพักหลักหรือบ้านหลังที่สองที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้เกษียณอายุ เพื่อไลฟ์สไตล์แห่งการใช้ชีวิตอย่างมีสีสันและเหนือระดับ พรั่งพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ภายใต้สภาพแวดล้อมอันสวยงาม และดูแลทุกความต้องการของผู้พักอาศัยได้เป็นอย่างดี” องค์ประกอบต่าง ๆ ของโครงการมอนท์เอซัวร์ ล้วนมอบไลฟ์สไตล์อันโดดเด่นให้กับผู้พักอาศัยและผู้มาเยี่ยมเยือน ไม่ว่าจะเป็น Twinpalms Residences MontAzure คอนโดมิเนียมที่พักอาศัยพร้อมวิวทะเลที่สวยงาม Intercontinental Phuket Resort โรงแรมที่พรั่งพร้อมด้วยบริการระดับโลก รวมไปถึง HQ Beach Lounge และCafé Del Mar บีชคลับระดับสากล ที่จะมอบประสบการณ์แห่งความเพลิดเพลินกับร้านอาหารและเอนเตอร์เทนเมนต์ชั้นเลิศริมทะเล เศรษฐพล บุตรโท กรรมการบริหาร โครงการมอนท์เอซัวร์ กล่าวว่า “เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่มีโครงการที่พักอาศัยระดับหรูสำหรับผู้สูงวัยเกิดขึ้นเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์อันหลากหลายภายในโครงการมอนท์เอซัวร์ ชุมชนแห่งใหม่นี้คือความร่วมมือกันระหว่างบริษัทที่มีชื่อเสียง แบรนด์ที่มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการสร้างสรรค์ให้โครงการมิกซ์ยูสที่มีพื้นที่กว้างใหญ่และเหนือระดับที่สุดในภูเก็ตแห่งนี้มีความโดดเด่นยิ่งขึ้น เพราะวิสัยทัศน์ของมอนท์เอซัวร์คือการสร้างสรรค์ความหลากหลายและมาตรฐานลักชัวรีในระดับโลก โครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์ของความสำเร็จที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง และยังเป็นโอกาสในการลงทุนที่มั่นคงสำหรับนักลงทุนจากทั่วโลกอีกด้วย”
อนันดา เปิดตัว 3 โครงการใหม่ บนทำเลเด่น คุ้มค่าทุกการใช้ชีวิต

อนันดา เปิดตัว 3 โครงการใหม่ บนทำเลเด่น คุ้มค่าทุกการใช้ชีวิต

ปฎิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าการจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมคุณภาพดีสักแห่ง คงต้องพิจารณาเรื่องของทำเลที่ตั้งเป็นอันดับแรก ส่วนอันดับต่อๆ ไปนั้นก็ล้วนแต่ความชอบส่วนตัว เช่น ชื่อแบรนด์, การออกแบบและตกแต่ง, ขนาดห้อง, ฟังก์ชั่นการใช้งาน, ที่จอดรถ รวมไปจนถึงพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ทาง อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ก็ได้ทำความเข้าใจและให้ความสำคัญในเรื่องนี้ดี จึงเลือกปักหมุดโครงการใหม่ทั้ง 3 ทำเลศักยภาพอย่างพระราม 4, รางน้ำ และสุขุมวิท 40 ภายใต้แบรนด์ IDEO MOBI (ไอดีโอ โมบิ) หากใครติดตามผลงานของ อนันดา อยู่แล้ว คงทราบดีว่าแบรนด์ IDEO MOBI นั้นอยู่ตลาดกลางถึงไฮเอนด์ ซึ่งทางแบรนด์ก็ได้คำนึงถึงความต้องการของคนเมืองอย่างแท้จริง เพราะทั้งสามโครงการจะเน้นทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้าและสวนสาธารณะ เพื่อให้ลูกบ้านได้เดินทางสะดวกสบายและอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น โดยมาในคอนเซ็ปต์ Future – Nature ที่นอกจากมีพื้นที่สีเขียวแล้วยังมีนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ในโครงการ อาทิ เทคโนโลยี I-4D Hologram ที่ใช้อธิบายรายละเอียดคอนโดที่สำนักงานขาย, นวัตกรรม Smart Solar Fresh Air System ปรับอุณหภูมิภายในห้องให้เย็นสบาย โดยดูดความร้อนไประบายออกนอกห้อง นอกจากนี้ยังมีหน้าจอแสดงผลและตรวจสอบอุณหภูมิภายในห้อง รวมไปจนถึงระบบควบคุมการสั่งงานเปิด-ปิดอัตโนมัติ เพื่อให้ลูกบ้านทุกยูนิตทั้ง 3 โครงการสะดวกในการใช้งาน เป็นต้น และเมื่อทางอนันดาเปิดข้อมูล Ideo Mobi มาพร้อมกันถึง 3 โครงการแบบนี้ เราเลยไม่พลาดที่จะไปเก็บข้อมูลและพาไปดูจุดเด่นของแต่ละทำเลค่ะ ใครมีแพลนจะซื้อทำเลย่านไหนลองเก็บไว้พิจารณาได้เลยค่ะ IDEO MOBI RAMA 4 เริ่มกันด้วยโครงการแรก IDEO MOBI RAMA 4 เป็นคอนโดมิเนียม High Rise 36 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 486 ยูนิต ออกแบบในสไตล์โมเดิร์นเน้นเส้นสายและความล้ำสมัย ตัวโครงการตั้งอยู่ย่าน CBD สาทร - อโศก ติดถนนพระราม 4  อยู่ใกล้ MRT สถานีคลองเตย ที่ต้องบอกเลยว่านอกจากทำเลที่ตั้งจะได้เปรียบในเรื่องของการเดินทางแล้วยังได้ทัศนียภาพที่สวยงามอย่างแท้จริง เพราะสามารถมองเห็นทั้งสวนเบญจกิตติและสวนลุมพินี แถมยังมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้จากทางด้านหลังโครงการอีกด้วย นอกจากนี้ยังให้ลูกบ้านเต็มอิ่มกับธรรมชาติโดยโครงการวางผังเป็น Y Shape ให้ทุกห้องสามารถเห็นวิวเมืองได้อย่างกว้างไกล ซึ่งทั้งหมดนี้มาในราคาเริ่มต้น 5.99 ล้าน* IDEO MOBI RANGNAM ต่อมาที่โครงการ IDEO MOBI RANGNAM เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์โมเดิร์น ดีไซน์ล้ำสมัย สูง 31 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 366 ยูนิต ตัวโครงการตั้งอยู่ในซอยรางน้ำ ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพียง 630 เมตร จุดเด่นของคอนโดนอกจากเดินทางสะดวกสบาย, วิวสวยมองเห็นสวนสันติภาพ ทางโครงการยังออกแบบพื้นที่ส่วนกลางเรียกว่าจัดเต็มให้ลูกบ้านเติมเต็มชีวิตในวันพักผ่อน อย่างสระว่ายน้ำลอยฟ้าที่สามารถว่ายน้ำชมวิวเมืองแบบพาโนรามา 360 องศา และมาพร้อม Jacuzzi นอกจากนี้ยังมีฟิตเนตที่ให้ความรู้สึกเหมือนออกกำลังกายอยู่กลางอากาศ ซึ่งห้องพักอาศัยจะขายแบบ Fully Furnished ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.49 ล้าน* IDEO MOBI SUKHUMVIT 40 และมาถึงโครงการสุดท้ายกับ IDEO MOBI SUKHUMVIT 40 ที่จะแตกต่างจาก 2 ทำเลข้างต้น คือมาในรูปแบบ Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวนทั้งหมด 272 ยูนิต แต่ก็ยังจัดเต็มทั้งการออกแบบและพื้นที่ส่วนกลางเช่นเคย  สำหรับจุดเด่นนอกจากตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพโซนสุขุมวิท ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีเอกมัยเพียง 660 เมตร ทางโครงการยังออกแบบอย่างพิถีพิถันในสไตล์โมเดิร์นที่ให้ความรู้สึก Dynamic ด้วยเส้นสายที่นำสายตาเชื่อมต่อกันทั้งตัวอาคารและพื้นที่สีเขียว ทั้งยังมีพื้นที่ส่วนกลางอย่างกว้างขวาง โดยจัดวางสวนหย่อมและสระว่ายน้ำไว้ตรงกลางระหว่างอาคาร และมีโถง Lobby ทุกอาคารเพื่อลดความวุ่นวายและเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้แก่ลูกบ้าน ซึ่งห้องพักอาศัยจะขายแบบ Fully Furnished ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.49 ล้าน*   โดยภาพรวมของ 3 โครงการ 3 ทำเล แล้ว IDEO MOBI ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์คอนโดมีเนียมที่น่าอยู่และน่าลงทุนจริงๆ ค่ะ เพราะมีความเพียบพร้อมในการอยู่อาศัย ทั้งเรื่องการเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า รวมถึงถนนหนทางที่เชื่อมต่อได้หลากหลายทำให้คนใช้รถส่วนตัวก็สะดวกสบายไม่แพ้กัน  นอกจากนี้ทุกโครงการยังจัดเต็มในเรื่องของ Facility อย่างแท้จริง เรียกได้ว่าใครที่เล็งอยู่ก็คงคุ้มค่าทั้งอยู่อาศัยเองและปล่อยเช่าเลยค่ะ สำหรับผู้ที่สนใจโครงการ IDEO ทั้ง 3 ทำเล ทางอนันดาจะเปิดให้จองออนไลน์ ผ่านระบบ Ananda Online Booking ในวันที่ 26 กันยายน 2560 นี้ ตั้งแต่เที่ยงวัน - 1 ทุ่ม ซึ่งสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท* ได้ตั้งแต่วันนี้ที่ https://onlinebooking.ananda.co.th (ในส่วนของผู้ที่เคยลงทะเบียนแล้ว สามารถใช้อีเมล์และรหัสผ่านเดิมเข้าสู่ระบบเพื่อเลือกโครงการที่ท่านสนใจได้ทันที)
“ออริจิ้น” เปิดตัวบิ๊กโปรเจกต์ร่วมทุน “Knightsbridge Prime Onnut” มูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท ชูจุดขาย THE PRIME OF LIVING พร้อมเพดานสูง 3 ม.

“ออริจิ้น” เปิดตัวบิ๊กโปรเจกต์ร่วมทุน “Knightsbridge Prime Onnut” มูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท ชูจุดขาย THE PRIME OF LIVING พร้อมเพดานสูง 3 ม.

ออริจิ้น เปิดตัวโครงการใหม่ “ไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช” มูลค่า 2,500 ล้านบาท หนึ่งใน 3 โครงการร่วมทุน “โนมูระ” ชูจุดขาย THE PRIME OF LIVING ที่โดดเด่นในเรื่อง PRIME AREA, PRIME DESIGN และ PRIME FACILITY ด้วยความสูง 47 ชั้น สูงสุดในย่านอ่อนนุช ชี้เป็นพื้นที่ทำเลศักยภาพ พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานอีเวนท์ใหญ่ “My Life. My Origin” ณ สยามพารากอน 16-17 ก.ย.นี้     นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน, นอตติ้ง ฮิลล์, และไนท์บริดจ์ เปิดเผยว่า จากการร่วมมือกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด พัฒนาโครงการร่วมกันและเปิดขายในไตรมาส 3 ปีนี้ จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 6,100 ล้านบาทนั้น โครงการที่ถือเป็นไฮไลท์และมีมูลค่าโครงการมากที่สุด คือโครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช (Knightsbridge Prime Onnut) ซึ่งจะกลายเป็นแลนด์มาร์คที่สูงที่สุดในย่านอ่อนนุช โครงการดังกล่าว เป็นคอนโดมิเนียม High-rise สูง 47 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 600 ยูนิต และ 1 รีเทล มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท พร้อมเฟอร์นิเจอร์แบบ Fully Fitted ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.69 ล้านบาท ประกอบด้วยห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 22-31 ตร.ม. และแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 55 ตร.ม. ที่ถูกพัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ ช่วงเวลาที่สุดของการใช้ชีวิต (THE PRIME OF LIVING) บนพื้นที่ที่ถือได้ว่าเป็น PRIME AREA แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ที่ตั้งของโครงการอยู่บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ ในซอยสุขุมวิท 77 ติดบิ๊กซี อ่อนนุช ระยะห่างจาก BTS อ่อนนุช เพียง 600 เมตร และใกล้โครงข่ายรถไฟฟ้า 2 สาย ได้แก่ สายสีเขียว (สุขุมวิท) สถานีอ่อนนุช เชื่อมต่อใจกลาง CBD ชั้นนำของกรุงเทพฯ ตลอดจนรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว– สำโรง) อีกทั้งยังใกล้ ทองหล่อ-เอกมัย ที่ถูกจัดให้เป็นแหล่ง Hangout ชั้นนำของกรุงเทพฯ สำหรับการเดินทางเข้า-ออกเมือง ด้วยรถยนต์ส่วนตัวก็เพียงแค่ 10 นาที จาก 2 จุดขึ้น-ลงทางด่วน (รามอินทราอาจณรงค์ และ เฉลิมมหานคร) และห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 20 นาที ด้านการออกแบบ พัฒนาขึ้นมาด้วยแนวคิด PRIME DESIGN เน้นโทนสีดำ-ทอง ให้ความรู้สึกหรูหราอย่างมีระดับ มาพร้อมวัสดุระดับพรีเมียม ตัวโครงการหันหน้าไปทางทิศเหนือ ติดกับถนนอ่อนนุชฝั่งขาเข้า ทำให้สะดวกต่อการเดินทาง ทุกๆ ห้องจะมีความสูงจากพื้นถึงเพดาน (Floor to ceiling) ถึง 3 เมตร ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย สร้างความสุขอย่างมีระดับให้กับผู้พักอาศัย พร้อมให้ความเป็นส่วนตัวด้วยการจำกัดจำนวนยูนิตต่อชั้นสูงสุดเพียง 23 ยูนิต เหนือชั้นด้วย PRIME FACILITY ที่จอดรถเป็นระบบ Auto Parking ตั้งแต่ชั้น 2-15 รองรับการจอดได้ถึง 65% มีจุดชาร์ตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า รองรับการเปลี่ยนผ่านแห่งอนาคต พื้นที่ส่วนกลางถูกจัดไว้ถึง 3 ชั้น พร้อมพื้นที่สีเขียวกว่า 1 ไร่ โดยส่วน Facility หลัก อยู่ที่ชั้น 37-38 เริ่มต้นจากชั้น 37 ประกอบด้วยส่วน Executive Meeting Room และ Private Meeting Room ห้องประชุมส่วนกลาง ที่มีพื้นที่เชื่อมต่อกันกับ Sky Co-Working Space ตอบโจทย์คนทำงานรุ่นใหม่ ห้อง Steam แยกชาย-หญิง สระว่ายน้ำขนาด 14.5 x 20 x 1.2 เมตร ที่มีส่วน Pool Bar กับ Pool Bed และ Fitness ขนาดกว่า 100 ตร.ม. ในแบบ Double Space “Facility ที่โดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งในโครงการนี้ คือฟิตเนส เพราะได้นำแนวคิด Luxmore และวิธีแบบโนมูระเข้ามาผสมผสาน โนมูระมองว่าฟิตเนสไม่ใช่แค่สถานที่ออกกำลังกาย แต่เป็นสถานที่สร้างสมดุลระหว่างร่างกายและจิตใจ จึงได้พัฒนาฟิตเนสที่แบ่งโซนนิ่งชัดเจน ระหว่างโซนออกกำลังกายและโซนรีแลกซ์ โดยในโซนรีแลกซ์จะมีอาร์ตเวิร์คสวยงามเป็นจุดนำสายตา ให้ความรู้สึกเบาสบาย ขณะเดียวกันมีการออกแบบพื้นที่ให้มีช่องแสงที่ลมผ่านได้ แต่คนผ่านไม่ได้ ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว” นายพีระพงศ์ กล่าว ขณะที่ชั้น 38 มี Sky Co-Culinary Space  เหมาะสำหรับการจัดปาร์ตี้เล็กๆ แบบอบอุ่นระหว่างคนรู้ใจหรือเพื่อนสนิท สามารถชวนกันมาทำอาหารทานกันเองได้ที่ครัวส่วนกลาง พร้อมอุปกรณ์ครบครัน หรือจะจัดสังสรรค์หลังการประชุมก็สามารถทำได้ ภายในชั้นเดียวกันนี้ยังมี BUSINESS LOUNGE ที่ให้บรรยากาศหรูหรา โอ่โถ่งอีกด้วย สำหรับชั้น 47 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของโครงการ ถูกออกแบบให้เป็นสวนเล่นระดับ เพื่อให้สามารถชมวิวในแบบพาโนรามา สามารถมองเห็นโค้งน้ำเจ้าพระยา พร้อมพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ของบางกระเจ้า มีไฮไลท์อยู่ที่ส่วน Bangkok Skyscraper Deck ซึ่งออกแบบให้เป็นจุดชมวิวแบบพื้นกระจก สร้างบรรยากาศการพักผ่อนรูปแบบใหม่ “โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุชจะเปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมกับอีก 2 โครงการร่วมทุน ในงานมหกรรมสุดยิ่งใหญ่ครั้งแรกของออริจิ้นภายใต้ชื่อ My Life. My Origin ณ แฟชั่น ฮอลล์ และรอยัล พารากอน ฮอลล์ 3 ศูนย์การค้าสยาม พารากอน รวมพื้นที่กว่า 3,000 ตร.ม. ในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 16-17 กันยายนนี้ ภายในงานยังมีโครงการพร้อมอยู่ทำเลรถไฟฟ้าอีกนับสิบโครงการ มาพร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษอยู่ฟรี 3 ปีและส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท มุ่งหวังจะสร้างมิติใหม่แห่งการอยู่อาศัยแก่ผู้บริโภค” นายพีระพงศ์ กล่าว พื้นที่บริเวณรอยัล พารากอน ฮอลล์ 3 จะจัดแสดงทั้ง 3 โครงการร่วมทุนกับโนมูระ พร้อมด้วยโครงการที่อยู่ระหว่างพรีเซลและระหว่างก่อสร้างอีก 8 โครงการ ขณะที่บริเวณแฟชั่น ฮอลล์จะจัดแสดงโครงการพร้อมอยู่ 12 โครงการ นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงศักยภาพทำเลอ่อนนุชว่า ในช่วงที่ผ่านมามีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เข้ามาพัฒนาโครงการในพื้นที่นี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากราคาที่ดินในย่านใจกลางธุรกิจมีราคาเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาขายคอนโดมิเนียมขยับสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้กลุ่มลูกค้าระดับกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของตลาดไม่สามารถหาซื้อที่อยู่อาศัยในย่านธุรกิจได้ ประกอบกับการขยายตัวของทำเลสุขุมวิท และการเปิดใช้อย่างเป็นทางการของรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยายจากอ่อนนุชไปแบริ่ง ยิ่งช่วยทวีความน่าสนใจให้กับอ่อนนุชเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยยังพอจับต้องได้ และไม่ไกลจากย่านใจกลางธุรกิจ เมื่อเทียบกับโครงการที่อยู่ในส่วนต่อขยายจากแบริ่งไปยังสมุทรปราการ ยิ่งการขยายตัวของแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่เชื่อมต่อจุด Interchange บางนา-สุวรรณภูมิ ยิ่งทำให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น ขณะที่ราคาที่ดินในย่านอ่อนนุชก็ขยับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 10% ทุกปี เมื่อพิจารณาในส่วนของ Traffic และ Demand ของการปล่อยเช่า ถือว่าอยู่ในระดับสูงทั้งจากกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติ โดยอัตราค่าเช่าในสุขุมวิท 77 ของห้องชุดขนาด 24 ตร.ม. อยู่ที่ประมาณ 10,000-15,000 บาทต่อเดือน อัตราผลตอบแทน (YIELD) อยู่ที่ 5-6% ในส่วนของอัตราค่าเช่าตามแนวถนนสุขุมวิทอยู่ที่ 15,000-25,000 บาทต่อเดือน  YIELD อยู่ที่ 4-6% “ในอนาคต อ่อนนุชจะกลายเป็นศูนย์กลางของการขยายตัวเป็นชุมชนชาวต่างชาติ โดยมีองค์ประกอบจากหลากหลายส่วน เช่น การขยายตัวของความต้องการอยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสมของชาวต่างชาติ ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต การขยายตัวของที่พักอาศัย ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ” นายพีระพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย ปัจจุบัน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 38 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 36,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร
แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) มูลค่า 2,000 ลบ. เตรียมเปิด Global Launch พร้อมกันใน 6 ประเทศ 16-17 กย.นี้

แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) มูลค่า 2,000 ลบ. เตรียมเปิด Global Launch พร้อมกันใน 6 ประเทศ 16-17 กย.นี้

แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) มูลค่า 2,000 ลบ. เตรียมเปิด Global Launch พร้อมกันใน 6 ประเทศ 16-17 กย.นี้ตั้งเป้ายอดขายช่วงพรีเซลล์ 1,000 ล้านบาท วางเป้าหมายกลุ่มลูกค้าไทยและต่างชาติ 55 : 45 เปอร์เซ็นต์ แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) เอกมัย 12  มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียมแบบ Low-rise ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Stay Unique, Stay Diverse” จำนวนเพียง 269 ยูนิตให้ความเป็นส่วนตัวสูง พร้อม Facility ตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่างและหลากหลายจับกลุ่มคนไทยและต่างชาติ บนทำเลเอกมัยที่ตอบรับทุกการใช้ชีวิตที่แตกต่างอย่างลงตัว เผยเอกมัย ถูกจัดอยู่ในโซนสุขุมตอนกลางด้วยศักยภาพของทำเลที่มีซอยเชื่อมสู่ทองหล่อ เข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกซึ่งกันและกันได้อย่างครบครัน ขณะที่ราคาประเมินที่ดินโต 50% เทียบเท่าทองหล่อ และอัตราผลตอบแทนต่อการลงทุน 5 – 6% ต่อปี เป็นทำเลที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดต่างชาติโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น เตรียมเปิด Global Launch เปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมกันใน 6 ประเทศ ไทย – ญี่ปุ่น – ฮ่องกง – จีน – สิงคโปร์ – ไต้หวัน วันที่ 16 – 17 ก.ย.นี้ในราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท วางเป้าหมายกลุ่มลูกค้าไทยและต่างชาติ 55 : 45 เปอร์เซ็นต์ และตั้งเป้าปิดยอดขายช่วงพรีเซลล์ประมาณ 1,000 ล้านบาท หรือเกินกว่า 50% จากจำนวนยูนิต นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดตัวโครงการ “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) ซึ่งนับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุดภายใต้แบรนด์ “HAUS” (เฮาส์) ที่มีแนวคิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ตอบรับไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าคนเมืองที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติกลางเมืองใหญ่ โดยพัฒนาโครงการภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Urban Resort Condominium’ ให้ทุกๆวันเป็นวันพักผ่อนได้ในแบบที่เป็นคุณ โดยที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จจากการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ HAUS ไปแล้ว 2 โครงการ โครงการแรกคือ ฮาสุ เฮาส์ ภายใต้แนวคิดแบบ Slow Living หรือการใช้ชีวิตอย่างละเมียดละไม และ โมริ เฮาส์ ภายใต้แนวคิด Trees of Life แบบ Eco-Living หรือการใช้ชีวิตที่อิงอาศัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในทำเลสุขุมวิท 77 หรือ T77 ของแสนสิริ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าชาวญี่ปุ่น ฮ่องกงและสิงคโปร์ เนื่องจากตอบโจทย์การอยู่อาศัย บรรยากาศดี เงียบสงบร่มรื่นด้วยคลองธรรมชาติที่ทอดตัวผ่านพื้นที่สีเขียว สามารถเดินทางเข้าเมืองสู่ย่านธุรกิจได้อย่างสะดวก สำหรับคอนโดมิเนียม ทากะ เฮาส์ จำนวน 269 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Stay Unique, Stay Diverse” ตอบการใช้ชีวิตที่ไม่หยุดนิ่งในแบบที่เป็นคุณ พัฒนาภายใต้ บริษัท สิริ ทีเค วัน (Siri TK One Company Limited) ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้ความร่วมมือระหว่าง  บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรระดับโลกและบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟในเขตชานเมืองโตเกียว การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกิจการโรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจอื่นๆ และบริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชัน จำกัด ในสัดส่วน กลุ่มแสนสิริถือหุ้น 70% และกลุ่มโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 30% ร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม โดยบริษัทเตรียมเปิด Global Launch เปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมกันใน 6 ประเทศ ไทย – ญี่ปุ่น – ฮ่องกง – จีน – สิงคโปร์ – ไต้หวัน ในวันที่ 16 – 17 กันยายนนี้ ในราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท พร้อมโปรโมชั่นรับส่วนลดสูงสุดกว่า 50,000 บาท พร้อมลุ่นทริปไปฮาวายและสกีรีสอร์ท “คำว่า “ทากะ” มีความหมายถึง “เหยี่ยว” ซึ่งตามความเชื่อญี่ปุ่นสื่อถึงสิ่งที่ดี ความเป็นสิริมงคลในการใช้ชีวิต นับเป็นหนึ่งใน 3 ความฝันที่ดีในช่วงปีใหม่สำหรับการเริ่มต้นใช้ชีวิต สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของโครงการทากะ เฮาส์ ซึ่งรักอิสระ คล่องแคล่ว ปราดเปรียว ทันสมัยชอบทำกิจกรรมที่หลากหลายเริ่มแยกจากครอบครัวออกมาอยู่เอง ใช้ชีวิตท่ามกลางแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน นอกจากนี้รูปแบบโครงการยังมีความโดดเด่น ทั้งฟังก์ชั่นการอยู่อาศัย ที่มียูนิต เลย์เอาท์ให้เลือกมากกว่า 30 แบบตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่หลากหลาย จำนวนยูนิตพักอาศัยเพียง 269 ยูนิต ให้ความเป็นส่วนตัวสูงเทียบกับ Facility ภายในโครงการที่สามารถตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่างและหลากหลายเทียบเท่าคอนโดมิเนียมแบบไฮท์ไรซ์ โดยนับเป็นครั้งแรกของคอนโดมิเนียมแสนสิริที่มีการนำ ENDLESS JET POOL หรือ สระว่ายน้ำทวนกระแส สำหรับการออกกำลังกายในน้ำ UNDERWATER TREADMILL หรือลู่วิ่งใต้น้ำและ BIKE SIMULATOR เข้ามาใช้ในโครงการ นอกเหนือไปจากสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย สวนและมุมพักผ่อนแบบเอาท์ดอร์พร้อม Wifi Internet ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมงพร้อมหน่วยงาน Sansiri Security Inspection (SSI) คุมเข้มความปลอดภัย ที่มีอยู่ในทุกคอนโดมิเนียมตามมาตรฐานการพัฒนาโครงการของแสนสิริ นอกจากนี้ Ground Floor ยังประกอบด้วย ล้อบบี้พร้อมห้องสมุด,     เอนเตอร์เทนเมนต์ รูม, Co-Kitchen, เกมส์ รูม และมุมพักผ่อนเก๋ๆแบบ Tree House ที่มีกระจกโดยรอบเพื่อให้กลมกลืนกับธรรมชาติอีกด้วย พร้อมก้าวสู่ PropTech การเป็นบริษัท Property Technology เต็มรูปแบบรายแรกของไทย โดยนำนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เข้ามาใช้ในโครงการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า โดยโครงการทากะ เฮาส์ จะมีการนำระบบ แสนสิริ โฮม เซอร์วิส แอปพลิเคชัน, สมาร์ท ล้อคเกอร์, EV Charging Station, Home Automation และ Alexa (Echo Dot By Amazon) เข้ามาใช้ภายในโครงการ” นายอุทัย กล่าว โครงการคอนโดมิเนียม ทากะ เฮาส์ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 63 หรือเอกมัย 12 (ซอยเจริญใจ) ซึ่งเป็นซอยที่เชื่อมระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนเพชรบุรีตัดใหม่ที่สามารถเดินทางเข้าออกสู่หลากหลายเส้นทางได้อย่างสะดวก อาทิ ถนนพระรามเก้า และถนนเลียบทางด่วนเอกมัย – รามอินทรา รวมทั้งยังอยู่ใกล้สถานที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตต่างๆ ทั้ง โรงพยาบาลชั้นนำโดยรอบ อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวช, โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ อาทิ โรงเรียนนานาชาติ บางกอกเพรพ (Bangkok Prep) คอมมูนิตี้ มอลล์ อาทิ Nihonmura Mall, เจ อเวนิว, คาเฟ่, บาร์, ซุปเปอร์มาเก็ต, ร้านอาหาร และแหล่ง Hangout ซึ่งเป็นที่นิยมมากมาย รวมทั้งยังสามารถเดินทางเข้าออกได้สะดวกสบายเนื่องจากมีทางทะลุเข้าออกได้หลากหลายเส้นทาง “ซอยเอกมัย นับเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยที่ผ่านมาแสนสิริประสบความสำเร็จในการเปิดขายโครงการ CEIL by Sansiri (ซีล บาย แสนสิริ) จำนวน 374 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาทในทำเลนี้มาแล้ว ทั้งนี้ เอกมัย มีจุดเด่นในการเป็นทำเลที่ขนานไปกับทองหล่อและอยู่ห่างกันเพียง 500 เมตร มีซอยเชื่อมกันเป็นระยะๆ ทั้งทองหล่อซอย 10, ซอยแจ่มจันทร์ เอกมัยจึงถูกพ่วงเข้าไว้กับทองหล่อมาโดยตลอด ทำให้ทั้งสองย่านนี้จึงมีข้อได้เปรียบ และสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกซึ่งกันและกันได้ จึงมีการใช้ประโยชน์หลากหลายกว่าซอยสุขุมวิทอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักยภาพของที่ดินในทำเลดังกล่าว ราคาประเมินที่ดินในย่านเอกมัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนใกล้เคียงกับสุขุมวิทตอนต้น อาทิ ซอยนานา ในขณะที่อัตราการเติบโตของราคาประเมินที่ดินก็สูงถึง 50% เทียบเท่าทองหล่อ นอกจากนี้ยังมีตัวแปรที่สำคัญอีกหลายอย่าง อาทิโครงการจากภาครัฐและเอกชน เน้นย้ำความเป็นสุขุมวิทตอนกลาง และเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่การเป็นสุขุมวิทตอนต้นให้มากขึ้น อาทิ โครงการพัฒนาและปรับปรุงฟื้นฟูย่านทองหล่อ-เอกมัย โดย UDDC หนึ่งในพื้นที่นำร่องของการพัฒนาและปรับปรุงฟื้นฟูย่าน ซึ่งศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UDDC) ทำร่วมกับกรุงเทพมหานคร โดยมองว่าทำเลทองหล่อ-เอกมัยมีศักยภาพในหลายด้าน ทั้งการเป็นจุดเชื่อมต่อกับกรุงเทพชั้นกลางและชั้นนอก รวมไปถึงการเป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย โดยแนวทางของการพัฒนาและปรับปรุงฟื้นฟูย่านทองหล่อ-เอกมัย คือการปรับปรุงโครงข่ายถนนตรอกซอยต่างๆ ให้สามารถเชื่อมต่อกันได้มากขึ้น กำหนดพื้นที่ที่เน้นการส่งเสริมการพัฒนา เพิ่มพื้นที่สีเขียว ปรับปรุงคลองให้มีทัศนียภาพที่ดีและเดินได้สะดวกขึ้น ซึ่งในอนาคต เราจะได้เห็นทองหล่อ-เอกมัยในบทบาทของย่านธุรกิจสร้างสรรค์ที่นำเทรนด์ของเมือง ย่านที่อยู่อาศัยหนาแน่นและแหล่งงานนานาชาติ รวมไปถึงสามารถเดินได้สะดวกและมีระบบ feeder รองรับอีกด้วย” นายอุทัย กล่าว นอกจากนี้จากการเปลี่ยนแปลงของเมืองและการขยายตัวของเส้นสุขุมวิทที่ขยายตัวออกมาทางเอกมัยมากขึ้น ยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและค่าเช่าที่อยู่อาศัย โดยการเปลี่ยนแปลงของราคาคอนโดมิเนียมรีเซลล์เติบโตเฉลี่ย 6 - 10% ต่อปี และราคาปล่อยเช่าในทำเลเอกมัยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 25,000-55,000 บาทต่อเดือน ขณะที่ผลตอบแทนในการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 5-6% ต่อปี ซึ่งนับว่าราคาคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ยังเหมาะสมในการซื้อเพื่อการลงทุน ดังนั้น “เอกมัย” จึงกลายเป็นทำเลที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่โฟกัสชาวต่างชาติเป็นหลัก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้เช่าเกรดพรีเมียมสำหรับกลุ่มนักลงทุน “บริษัทตั้งเป้าปิดยอดขายโครงการทากะ เฮาส์ ในช่วง Presale มากกว่า 50% หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริซึ่งทำได้แล้ว 11,800 ล้านบาท บริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 12,800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 50% จากเป้าหมายยอดขายคอนโดมิเนียมที่วางไว้ 25,000 ล้านบาท โดยการเปิดตัวโครงการ ทากะ เฮาส์ รวมทั้งโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เพื่อตอบรับความต้องการอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าในปีนี้ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีตามแผนธุรกิจที่วางไว้รวมทั้งมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมาย” นายอุทัย กล่าว
“โคเวล แบงเกอร์” โบรกเกอร์อสังหาฯ จากอเมริกาบุกไทย ชี้ตลาดอสังหาฯไทยแนวโน้มสดใส – ตั้งเป้ายอดขายต่อปีเติบโต 50%

“โคเวล แบงเกอร์” โบรกเกอร์อสังหาฯ จากอเมริกาบุกไทย ชี้ตลาดอสังหาฯไทยแนวโน้มสดใส – ตั้งเป้ายอดขายต่อปีเติบโต 50%

บิ๊ก เอเจนซี่อสังหาฯที่เก่าแก่กว่า100 ปี “โคเวล แบงเกอร์” จากอเมริการุกขยายสาขาในไทย ซีอีโอ “อดัม ทาวาลเดอร์” ตั้งเป้ายอดขายต่อปีเติบโต 50% จากปีก่อนที่มียอดขายกว่า 6,000 ล้านบาท เล็งขยายเป็น 30 สาขาในอีก 3 - 5 ปี มร. อดัม ทาวาลเดอร์  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โคเวล แบงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดังกล่าวดำเนินธุรกิจด้านเอเจนซี่อสังหาริมทรัพย์ (Real estate broker) เป็นสาขาหนึ่งของ “โคเวล แบงเกอร์” เป็นแบรนด์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เก่าแก่ที่สุดกว่า 100 ปีจากอเมริกาที่มีสาขามากที่สุดในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบแฟรนไชส์ และโคเวล แบงเกอร์ ยังคงเป็นที่รู้จักในแง่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีนวัตกรรมและความเป็นผู้นำมากกว่า 3,000 สาขาใน 50 ประเทศ จนกระทั้งในปี 2015 (ปีพ.ศ.2558) โคเวล แบงเกอร์ ได้ขยายสาขามาที่ประเทศไทย ได้มุ่งเน้นในการให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮแอนด์อย่างครบวงจร โดยสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่สาทร ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ แบรนด์โคเวล แบงเกอร์ มุ่งมั่นในการให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเลิศ และมีความเป็นมืออาชีพในการซื้อ ขาย เช่า และการตลาด ที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ การจัดการด้านการลงทุน และธุรกิจแฟรนไชส์อสังหาริมทรัพย์ โดยยึดหลักคุณธรรมและความจริงใจแก่ลูกค้าทุกท่าน นอกจากนี้ในการดำเนินงานจะเอาโนว์ฮาวจากที่อเมริกา มาปรับจูนเพื่อให้เหมาะกับ Local market เพราะเชื่อว่า ในตลาดที่แข่งขันกันมากในปัจจุบัน เรื่องคุณภาพน่าจะเป็น ตัวชี้วัดถึง อนาคต  ของบริษัทฯ ซึ่งใน 2 ปีที่ผ่านมา ได้จัดวางระบบงานที่ถือว่าค่อนข้างพร้อมมาก ในการที่จะรับงานที่มีเข้ามาให้ได้ผลที่ดีมีประสิทธิภาพมากที่สุด “ถึงแม้ภาพโดยรวมตลาดอสังหาฯ ในเมืองไทยจะชะลอตัว แต่ตลาดลักชัวรี่มีความน่าสนใจและมีโอกาสในการเติบโตสูง และเราได้เตรียมแผนระยะยาวเอาไว้ล่วงหน้าไว้ 25 ปี และเชื่อว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตในทิศทางที่สดใส” มร.อดัม กล่าว สำหรับการดำเนินงานในประเทศไทยมี 5 ทีมในการให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจรกับลูกค้า กับ 5 สาขาที่ดูแล 10 โครงการใจกลางย่านธุรกิจที่แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งแต่ละโครงการมาจากจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในไทยและในปี 2016 โคเวล แบงเกอร์ (ประเทศไทย) จะสามารถสร้างยอดขายได้มากว่า 6,000 ล้านบาท และได้ตั้งเป้าไว้ในทุกๆ ปี ว่าจะมีอัตราการเติบโตของยอดขายจะเพิ่มขึ้น 50% จากยอดขายของปีที่ผ่านมา พร้อมกับได้ตั้งเป้าขยายสาขาแบบแฟรนไชส์ ในประเทศไทยให้ได้  30 สาขาในอีก 3 - 5 ปี และแต่ละสาขานั้นจะต้องตั้งอยู่ในย่านท่องเที่ยว และย่านธุรกิจสำคัญๆ ไม่เพียงเท่านั้นโคเวล แบงเกอร์ (ประเทศไทย) จะพยายามขยายสัดส่วนการตลาดและทีมงานในด้านการซื้อขายโครงการเพื่อการอยู่อาศัย พร้อมทั้งขยายโอกาสทางการขายสำหรับตลาดทั้งในและต่างประเทศ พร้อมกับตั้งเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำตลาดการให้บริการด้านสินทรัพย์ อนึ่ง “โคเวล แบงเกอร์” เป็นแบรนด์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เก่าแก่ที่สุด มีสาขามากที่สุดในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบแฟรนไชส์ อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจสตาร์ทอัพของวงการอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย เดิมโคเวลล์ แบงเกอร์ก่อตั้งในปี 1906 โดยสองนักลงทุนหนุ่ม นายโคเบิร์ท โคเวล และนายเบนจามิน แบงเกอร์ โคเวล แบงเกอร์ เปลี่ยนวิธีการซื้อขายบ้านและที่อยู่อาศัยทั่วสหรัฐอเมริกาให้มีประสิทธภาพ มีความน่าเชื่อถือและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น จนกระทั่งโคเวล แบงเกอร์ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่คนไว้วางใจที่สุดในโลก กว่า 100 ปีที่ผ่านมาโคเวล แบงเกอร์ยังคงเป็นที่รู้จักในแง่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีนวัตกรรมและความเป็นผู้นำมากกว่า 3,000 สาขาใน 50 ประเทศ จนกระทั้งในปี 2015 โคเวล แบงเกอร์ ได้ขยายสาขามาที่ประเทศไทย บริหารงานโดยเหล่าผู้บริหารผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจากหลายหลายบริษัทอสังหาริมทรัพย์และเอเจนซี่ชื่อดังทั่วโลก โคเวล แบงเกอร์ ประเทศไทยได้มุ่งเน้นในการให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮแอนด์อย่างครบวงจร โดยสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่สาทร ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ แบรนด์โคเวล แบงเกอร์มุ่งมั่นในการให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเลิศ และมีความเป็นมืออาชีพในการซื้อ ขาย เช่าและการตลาดที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ การจัดการด้านการลงทุน และธุรกิจแฟรนไชส์อสังหาริมทรัพย์ โดยยึดหลักคุณธรรมและความจริงใจแก่ลูกค้าทุกท่าน
กลุ่มทุนไทย-จีนปั้น “Trust City” เมืองการค้าค่ากว่า100,000 ล้าน ศูนย์แสดงสินค้าใหญ่สุดแห่ง AEC ชู Fintech Hub ใหญ่ที่สุดในโลก

กลุ่มทุนไทย-จีนปั้น “Trust City” เมืองการค้าค่ากว่า100,000 ล้าน ศูนย์แสดงสินค้าใหญ่สุดแห่ง AEC ชู Fintech Hub ใหญ่ที่สุดในโลก

แจ้งเกิดอภิมหาโครงการยักษ์ “Trust City” World Exhibition & Trade Centre เมืองส่งเสริมการค้า และศูนย์การแสดงสินค้าระดับโลกที่ยิ่งใหญ่และครบวงจรที่สุดแห่ง AEC+6  ชู Fintech Hub ใหญ่ที่สุดในโลก พื้นที่อาคารรวมกว่า 2,500,000 ตารางเมตร บนที่ดินกว่า 500 ไร่บนถนนเทพรัตน (บางนา-ตราด) ปี 2563 เปิดประตูการค้าไทยสู่การค้าโลก ภายใต้การดำเนินงานของ   ไฮดู เบสท์ กรุ๊ป โดยการจับมือระหว่างเบสท์ กรุ๊ป-ไทย กับ ไฮดู กรุ๊ป-จีน(ฮ่องกง) ภายใต้การสนับสนุนทางการเงินของดับบลิว เวนเจอร์-ฮ่องกง คาดหลังเปิดดำเนินงานเงินสะพัดปีละหลายแสนล้านบาท    นายสิทธิชัย เจริญขจรกุล ประธาน บริษัท ไฮดู เบสท์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเกิดจากการจอยท์ เวนเจอร์ หรือร่วมลงทุนของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ข้ามชาติ ระหว่าง ไฮดู กรุ๊ป (Hydoo Group) กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่จดทะเบียน   ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง  ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเมืองใหม่รายใหญ่อันดับ 2 ในประเทศจีน  กับกลุ่มบริษัท เบสท์ กรุ๊ป จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนทางการเงินโดย ดับบลิว เวนเจอร์ (W venture) ผู้ดำเนินงานด้าน Fintech จากฮ่องกง ร่วมกันพัฒนาโครงการ “Trust City(ทรัส ซิตี้)” World Exhibition & Trade Centre เมืองส่งเสริมการค้าและศูนย์แสดงสินค้าระดับโลกที่ยิ่งใหญ่และครบวงจรที่สุดแห่ง AEC+6 ซึ่งจะกลายเป็น Fintech Hub (ฟินเท็ค ฮับ) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่จะสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ ตั้งอยู่บนกิโลเมตรที่ 29 ถนนเทพรัตน์(บางนา-ตราด) บนที่ดินแปลงใหญ่กว่า 500 ไร่ คาดว่าประตูแห่งการค้าไทยที่เชื่อมต่อการค้าโลกอย่างสมบูรณ์แบบ มูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาทแห่งนี้ จะเปิดดำเนินงานได้ภายในปี 2563 และจะทำให้เงินสะพัดปีละหลายแสนล้านบาท “ทรัสต์ ซิตี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยแนวคิดที่ต้องการพัฒนาการค้าส่งแบบเดิมๆที่กระจัดกระจาย เช่น โบ๊เบ๊ ประตูน้ำ สำเพ็ง พาหุรัด แม้แต่ย่านพระเครื่องอย่างแถวเสาชิงช้า มาอยู่ในที่เดียวกัน มีความสะดวกสบาย ครบวงจร และทันสมัยที่สุดโลก ซึ่งเรายังมุ่งส่งเสริมกลุ่มธุรกิจคนรุ่นใหม่ หรือ Startup ในบ้านเราให้มีโอกาสทางการค้ากับผู้ซื้อจากทั่วโลก และนอกจากตลาดในประเทศแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมสินค้าสำเร็จรูปและวัสดุที่เกี่ยวเนื่องจากทั่วโลก ยกตัวอย่างสินค้าวงการแฟชั่น นอกจากเสื้อผ้าก็ยังมีวัสดุอุปกรณ์ เช่น กระดุมหรืออุปกรณ์อื่นๆจากแบรนด์ชั้นนำ เป็นต้น ด้วยมาตรฐานการจัดการระดับสากล เพื่อดึงดูดให้เกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยนของ Buyer จากทั่วโลกให้มาเลือกช้อปที่นี่ที่เดียว” นาย  สิทธิชัยกล่าว ทรัส ซิตี้ มีการจัดการด้านต่างๆโดยมาตรการระดับโลก เป็นการส่งเสริมความร่วมมือของพันธมิตรธุรกิจระหว่างประเทศ ที่มีศักยภาพที่แข็งแกร่งพอที่จะรองรับธุรกิจการค้าแบบครบวงจร เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน ด้วยเป็นโครงการที่มีความครบสมบูรณ์และยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย+6 มีสินค้าครบทุกหมวดหมู่ รวมถึงวัตถุดินสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูป  มีการส่งเสริมการท่องเที่ยว  เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไมซ์  (MICE) Meetings, Incentive Travel, Conventions(Conferencing), Exhibitions(Events) หมายถึง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดประชุมบริษัทข้ามชาติ โบนัสการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลหรือโบนัสการท่องเที่ยว การประชุมนานาชาติ และการจัดนิทรรศการ ซึ่งไมซ์จัดเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบ รองรับการประกอบธุรกิจจากทั่วทุกมุมโลก การออกแบบวางผังโครงการ Trust City แบ่งออกเป็น 6 โซนธุรกิจ พื้นที่อาคารรวมกว่า 2,500,000 ตารางเมตร รองรับ 20,000 ร้านค้า และผู้อยู่อาศัยกว่า 50,000 คน ประกอบด้วย World Exhibition Zone พื้นที่จัดแสดงสินค้าขนาดใหญ่ ระดับเวิล์ด คลาส รองรับธุรกิจ กว่า 100,000 ตารางเมตร Permanent Exhibition Zone ศูนย์แสดงสินค้าถาวรทุกหมวดหมู่กว่า20,000ผู้ผลิต และตัวแทนการค้า สูง 7 ชั้น ขนาดพื้นที่กว่า 800,000 ตารางเมตร Hotel & Residence Zone ที่พักอาศัยและโรงแรม เพื่อนักธุรกิจ นักท่องเที่ยว กว่า 12,000 ยูนิต พร้อมส่วนบริการและนันทนาการ Global Factory Outlet Zone ศูนย์แสดงสินค้าถาวรขนาดเล็ก รองรับสินค้า-บริการ เครื่องจักรอุตสาหกรรม Fintech Hub & Business Hotel Zone แลนด์มาร์คอันโดดเด่นของโครงการอาคารสุพรรณหงส์ ที่ออกแบบด้วยการจำลองเรืองพระที่นั่งสุพรรณหงส์บนความสูงอาคาร 168 เมตร มีจุดชมวิวอ่าวไทยที่สวยที่สุด ภายในแยกเป็นส่วนศูนย์ประชุมลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุด โรงแรมระดับ 5 ดาว โลกเทคโนโลยีการเงิน ตลาดค้าทองคำขนาดใหญ่ สำนักงานให้เช่าครบวงจร ศูนย์อาหาร การแสดงสินค้าหรู Auto Town Zone อาคารแสดงนวัตกรรมยานยนต์ อุปกรณ์ตกแต่ง และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เพื่อจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ที่น่าสนใจดึงดูดผู้มาเยือนตลอดทั้งปี อาทิ Super Walking Street ถนนคนเดิน กว้าง 40 เมตร ยาวกว่า 2,000 เมตร รองรับสินค้าไอเดียแปลกใหม่จากทุกมุมโลก กิจกรรมทางน้ำ ออกแบบให้เป็นเวนิสตะวันออก จำลองบรรยากาศตลาดน้ำ คลองผดุงกรุงเกษม การแห่เรือ การแสดงเอกลักษณ์ไทย ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ มีที่จอดรถในอาคารกว่า 30,000 คัน โครงการไลท์เรล 2 สายหลักที่จะทำให้การสัญจรภายในโครงการสามารถเดินทางไปได้อย่างทั่วถึง การออกแบบรองรับการเชื่อมต่อกับจุดสำคัญภายนอก ทั้งสนามบินแห่งชาติสุวรรณภูมิ , รถไฟฟ้า และการเชื่อมต่อเมืองธุรกิจใกล้เคียง อาทิพัทยา เป็นต้น ความแข็งแกร่งที่สำคัญของทรัส ซิตี้ นอกจากกลุ่มทุนที่มีความรู้ความชำนาญทั้งการพัฒนาเขตเศรษฐกิจใหม่ มีความชำนาญด้านโลจิสติกส์ และด้านฟินเท็ค เป็นอย่างดีแล้ว ยังมีความแข็งแกร่งด้านเงินทุนอีกด้วย ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 2,196,003,600 บาท พร้อมกันนี้โครงการได้เตรียมเงินกองทุนจำนวนกว่า 80,000 ล้านบาท เพื่ออัดฉีดการลงทุน ให้มีความต่อเนื่องแล้วเสร็จตามกำหนดการ เพิ่มโอกาสให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ผลิตจากทั่วโลกกว่า 10,000 ราย โดยปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่เปิดดำเนินการถนนทุกสายจะมุ่งสู่ทรัส ซิตี้ ที่เปรียบเสมือนประตูการค้าของไทยสู่การค้าโลกอย่างแท้จริง
เซวาส พรอพเพอตี้ส์ อสังหาฯน้องใหม่ เปิดตัวคอนโดฯ Super Luxury “นิวาติ”

เซวาส พรอพเพอตี้ส์ อสังหาฯน้องใหม่ เปิดตัวคอนโดฯ Super Luxury “นิวาติ”

นายดักลาส เฉิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซวาส พรอพเพอตี้ส์ จำกัด (ที่ 2 จากขวา) พร้อมด้วยนายวิวัฒน์ พิภักดิ์สมุทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท 888 ทองหล่อ จำกัด (ที่ 3 จากซ้าย) ,นางนลินรัตน์    เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (ที่ 1 จากซ้าย)  ร่วมด้วยคณะผู้บริหาร จัดงานเปิดตัวบริษัท เซวาส พรอพเพอตี้ส์ จำกัด บริษัทอสังหาฯ น้องใหม่ พร้อมเปิดตัวคอนโดมิเนียม Super Luxury ใจกลางทองหล่อ ”นิวาติ” (NIVATI) ในราคาเริ่มต้นที่ 17 ล้านบาท หรือ 260,000 บาท/ตรม. ภายใต้แนวคิด Elegant Classic Contemporary เน้นจุดเด่นเรื่องดีไซน์สไตล์ "Timeless classicism of the architecture" สถาปัตยกรรมคลาสสิกหรูร่วมสมัย วัสดุสเปคระดับพรีเมี่ยม หรูหรา มีระดับ อิมพอร์ตจากเยอรมัน และอิตาลี ครบถ้วนทุกฟังก์ชันการใช้งาน เตรียมจัดงาน VIP Sales วันที่ 16 กันยายน 2560 ณ โรงแรม Grande Centre Point ทองหล่อ พร้อมรับสิทธิพิเศษในงาน ผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 095-914-9888 หรือ www.nivaticondo.com
เอสซีฯ แนะนำโครงการ บางกอก บูเลอวาร์ด (Bangkok Boulevard) รังสิต บ้านสไตล์ Luxury Nordic ด้วยแนวคิดบ้านเพื่อการพักผ่อน ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท

เอสซีฯ แนะนำโครงการ บางกอก บูเลอวาร์ด (Bangkok Boulevard) รังสิต บ้านสไตล์ Luxury Nordic ด้วยแนวคิดบ้านเพื่อการพักผ่อน ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท

โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด รังสิต บ้านซีรีส์ใหม่จาก SC ASSET ที่เก็บเอาแรงบันดาลใจจากยุโรปตอนเหนือ ด้วยดีไซน์ด้วยกลิ่นอายของสไตล์ Luxury Nordic  สร้างสรรค์ให้บ้านทุกหลังมีสไตล์ในบรรยากาศแห่งการพักผ่อน  ภายใต้แนวคิด ‘Simple & Graceful’ หรือเป็น #StaycationsHomes  ที่โดดเด่นด้วย 3 องค์ประกอบในการออกแบบคือ 1.“Harmonic Asymmetry” ความกลมกลืนในความไม่สมมาตรของอาคาร ด้วยการเล่นระดับบ้านที่มีความสูง-ต่ำและขนาดความกว้าง-ยาวที่ไม่เท่ากันช่วยตอบโจทย์ฟังก์ชั่นการใช้งานแต่ละห้องที่แตกต่างกัน 2.“Serenity” ด้วยการเลือกใช้โทนสีธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่น และนุ่มนวลมากกว่าบ้านโมเดิร์นทั่วไป กลิ่นอาย Retro ที่ซ่อนอยู่ในการออกแบบยิ่งช่วยสร้างบรรยากาศที่แม้อยู่บ้านก็เหมือนได้ไปพักผ่อนที่ยุโรปตอนเหนือ 3.“Rustic Sense” การตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ ทำให้ผู้อาศัยได้ผ่อนคลายในบรรยากาศของ Luxury Nordic ซึ่งเน้นโทนสีอ่อนไปจนถึงสีขาว ทำให้บ้านดูสว่างและอบอุ่น โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด รังสิต  บนทำเลติดถนนใหญ่รังสิต-นครนายก (รังสิตคลอง 4) อยู่ใกล้ถนนกาญจนาภิเษก(วงแหวน)  และทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมือง โทลเวย์และทางด่วนพิเศษศรีรัช)  พร้อมกับในอนาคตอันใกล้นี้  จะมีทั้งรถไฟฟ้าสายสีแดง ที่ถนนวิภาวดี และสายสีเขียวเข้มบนถนนพหลโยธิน – ลำลูกกา อีกทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกแวดล้อมด้วยศูนย์การค้า  สถาบันการศึกษาชั้นนำและโรงพยาบาลต่างๆ  ขนาดพื้นที่โครงการกว่า 36 ไร่ จำนวน 132 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ด้วยแบบบ้าน 3 แบบให้เลือกตามไลฟ์สไตล์  ราคาเริ่ม  5.99 ล้านบาท  ได้แก่ AREN พื้นที่ใช้สอย 229 ตร.ม. 4 ห้องนอน 3 ห้องน้า 2 ที่จอดรถ VINTEREN พื้นที่ใช้สอย 248 ตร.ม.  5 ห้องนอน 3 ห้องน้า 2 ที่จอดรถ SOMMEREN พื้นที่ใช้สอย 322 ตร.ม. 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถและ 1 ครัวไทย พรั่งพร้อมด้วย Facilities สมบูรณ์แบบ อาทิ คลับเฮ้าส์ทรงสูงแบบจั่ว Style Nordic , สระว่ายน้ำระบบเกลือ ยาว 25ม. , ห้องฟิตเนส และห้องสตรีม แยกชาย-หญิง, Main Park ที่ Design เป็นแนวยาวพร้อมลู่จักรยาน ลานจอดรถจักรยาน และลานกิจกรรมที่มีทั้งสนามเด็กเล่นเพื่อรองรับการพักผ่อนของเด็กๆ และครอบครัว   และอีกหนึ่งความใส่ใจกับระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ด้วย Double Security เข้า-ออกโครงการผ่านระบบ SMART Pass, CCTV กล้องวงจรปิดทั่วโครงการ 28 จุด, สัญญาณกันขโมยในตัวบ้านที่ให้ความอบอุ่นใจตลอดเวลา 9-10 ก.ย.60 นี้ เปิดจองโครงการใหม่ บางกอกบูเลอวาร์ด รังสิต  ผู้สนใจเยี่ยมชมโครงการสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  ที่สำนักงานขายโครงการ โทร.1749 หรือ www.scasset.com
ศุภาลัย บุกตลาดอสังหาฯ แนวราบภูเก็ต ส่งแบรนด์ พรีโม่ รองรับ Smart City

ศุภาลัย บุกตลาดอสังหาฯ แนวราบภูเก็ต ส่งแบรนด์ พรีโม่ รองรับ Smart City

บมจ.ศุภาลัย ปักหมุดเพิ่มเมืองภูเก็ต ส่งแบรนด์ ศุภาลัย พรีโม่ กู้กู ภูเก็ต มูลค่าโครงการ 560 ล้านบาท เปิดจองวันที่ 16 ก.ย. นี้ ในราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านกว่าบาท พร้อมพบสิทธิพิเศษมากมาย นายอดิศักดิ์ วารินทร์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ  สายงานโครงการภูมิภาค 3 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จังหวัดภูเก็ต เป็นเมืองที่มีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน และจะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด หลังจากการเข้าสู่การเป็น Smart City คาดว่า จะส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่นี้สูงขึ้น ทั้งจากลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ ที่ซื้อไว้เพื่ออยู่อาศัย และเพื่อการลงทุน ทางบริษัทฯ ได้เข้าไปลงทุนตลาดอสังหาฯ ในเมืองภูเก็ต ตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ล่าสุดเตรียมเปิดเพิ่มเป็นโครงการที่ 12 ภายใต้แบรนด์ ศุภาลัย พรีโม่ กู้กู ภูเก็ต ศุภาลัย พรีโม่ กู้กู ภูเก็ต มีมูลค่าโครงการ 560 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการประมาณ 19 ไร่ กับแนวคิดการใช้ชีวิตที่ดีในสังคมที่ดี บ้านทันสมัยสไตล์โมเดิร์น ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม 2 ชั้น 3 - 4 ห้องนอน 2 - 3 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 120 - 175 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านกว่าบาท ท่ามกลางธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์กับบ้านแสนสบาย ที่ใส่ใจทุกรายละเอียดของการออกแบบ ตลอดจนเลือกสรรวัสดุที่มีคุณภาพ ประหยัดพลังงาน สร้างความรู้สึกปลอดโปร่งและเย็นสบายกว่า พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ  สวนส่วนกลาง และมั่นใจกับระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV และระบบเข้า - ออกอัตโนมัติ Easy Pass โดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพในซอยพัชนี-บางชีเหล้า ติดไร่วานิช สามารถเข้า - ออกได้หลายทางทั้งถนนเทพกระษัตรี และถนนรัษฎานุสรณ์ เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมืองภูเก็ตอย่างง่ายดาย สะดวกสบายทุกการเดินทาง แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ห้างซุปเปอร์ชีป โลตัส บิ๊กซี โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต และโรงพยาบาลมิชชั่นภูเก็ต กำหนดเปิดจองในวันเสาร์ที่ 16 กันยายน 2560 นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ ผู้สนใจสามารถแวะเยี่ยมชมบ้านตัวอย่างพร้อมรับข้อเสนอที่ดีที่สุดภายในงาน หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร. 1720 หรือดูรายละเอียด ได้ที่  www.supalai.com
“โมดิซ คอนโด รัชดา 32” คอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้า มุมมองมิติใหม่ในการใช้ชีวิตกลางใจเมือง เริ่มต้นเพียง1.89 ล้านบาท

“โมดิซ คอนโด รัชดา 32” คอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้า มุมมองมิติใหม่ในการใช้ชีวิตกลางใจเมือง เริ่มต้นเพียง1.89 ล้านบาท

บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยคุณภาพตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ ส่งคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุด “โมดิซ คอนโด รัชดา 32” (Modiz Condo Ratchada 32)คอนโดมิเนียมโลวไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวม 191  ยูนิต มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการ 1-0-69.1ไร่ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพถนนรัชดาภิเษก อยู่ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย อีกหนึ่งผลงานดีไซน์ที่โดดเด่น ออกแบบในสไตล์ “Modern Luxury Contemporary” ที่เปิดมุมมองมิติใหม่ในการใช้ชีวิต กลางใจเมือง ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท ต่อยอดความสำเร็จของคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ Modiz ที่ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่โมดิซลาดพร้าว 18 หรือ โมดิซ อินเตอร์เชนจ์ และโมดิซ สเตชั่น นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด กล่าวว่า “โมดิซ คอนโด รัชดา 32” ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นการเปิดมิติใหม่แห่งการเดินทาง เนื่องจากใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย อาทิ รถไฟฟ้า MRT, รถไฟฟ้าสายสีเขียว และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง อีกทั้งยังใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน ที่จะสามารถเดินทางลัดเลาะไปได้หลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น ถนนสุขุมวิท, ถนนพระราม 9 และ ถนนวิภาวดีรังสิต ที่จะทำให้การเดินทางเข้า-ออกเมืองเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย “นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ ได้ง่าย แบบที่เรียกได้ว่าเป็นมิติใหม่ของความใกล้ เพียงแค่ 190 เมตรสามารถเดินทางถึงถนนรัชดา New CBD ที่เป็นศูนย์รวมสถานที่สำคัญ ทั้งสถานศึกษา อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า และสถานที่อำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม ,The Street รัชดา, ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว, ฟอร์จูน และเมเจอร์ รัชโยธิน เป็นต้น” โครงการถูกออกแบบในแนวคิด Modern Luxury Contemporary โดยใช้หินอ่อนกับทองแดง ตั้งแต่โถงต้อนรับในรูปแบบ Double Ceiling เพื่อให้เกิดความรู้สึกโปร่งสบาย รวมถึงการออกแบบห้องพักอาศัยที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์แบบครบครัน โดยแต่ละห้องจะเน้นฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนเมืองได้อย่างแท้จริง และยังเพิ่มมิติของความทันสมัยในเรื่องของระบบจอดรถอัจฉริยะ ที่จะช่วยลดระยะเวลาในการวนหาที่จอดรถ และระบบ Bluetooth Sound System ที่ไม่ว่าจะอยู่บริเวณไหนของห้องก็สามารถเพลิดเพลินกับการฟังเพลงได้ทุกที่ “สำหรับทุกโครงการในเครือ AssetWise เราให้ความสำคัญกับความสุขในการอยู่อาศัยจริง สำหรับ โมดิซ รัชดา 32 ก็เช่นกัน เราเพิ่มมิติแห่งความสุขสุดพิเศษด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อย่างเดอะมาร์เบิ้ล เลานจ์ (The Marble Lounge) พื้นที่พักผ่อนที่ให้ความรู้สึกเรียบหรู เหนือระดับด้วยสระว่ายน้้าที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างสวยงาม (Moonlight Sky Pool) สระว่ายน้ำสำหรับเด็ก (kid’s pool) ศาลาสำหรับพักผ่อนหย่อนใจริมสระ  ว่ายน้ำ (Poolside Pavilion) ห้องฟิตเนสที่มาพร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายแบบครบครัน (Smart Fitness) และเติมความพิเศษยิ่งขึ้นด้วยพื้นที่พักผ่อนสำหรับทุกไลฟ์สไตล์บนชั้นดาดฟ้าของอาคารไม่ว่าจะเป็นมุมนั่งเล่น อ่านหนังสือ (Rooftop Garden) สวนสำหรับพักผ่อนที่สามารถชมวิวทิวทัศน์ได้โดยรอบ (The skyscape gardens) และพื้นที่ส่วนกลางสำหรับนั่งทำงาน (Co – Working Space) ทั้งยังเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยด้วยกล้องวงจรปิด และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง” นายกรมเชษฐ์ กล่าว โครงการ โมดิซ คอนโด รัชดา 32 ประกอบด้วยห้องชุดขนาดต่าง ๆ ได้แก่ ห้อง 1 Bedroom Extra ขนาดพื้นที่ประมาณ 25.90-33.80 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Exclusive ขนาดพื้นที่ประมาณ 24.08-31.04 ตร.ม. และห้อง1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ประมาณ 31.00-44.31 ตร.ม. โดยจะเริ่มการก่อสร้างปี 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2562 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสัมผัสมิติใหม่ในการใช้ชีวิต กลางใจเมือง กับ “โมดิซ คอนโด รัชดา 32” (Modiz Condo Ratchada 32) พร้อมเยี่ยมชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ ณ สำนักงานขาย โมดิซ ถนนรัชดาภิเษก ซอย 32 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 083 556 3232 หรือ www.assetwise.co.th
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเล พหลฯ-ลาดพร้าว ฮับการคมนาคม และที่อยู่อาศัยใหม่ ผู้ประกอบการรายใหญ่แห่ปักหมุดจ่อผุดคอนโดฯ โครงการใหม่

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเล พหลฯ-ลาดพร้าว ฮับการคมนาคม และที่อยู่อาศัยใหม่ ผู้ประกอบการรายใหญ่แห่ปักหมุดจ่อผุดคอนโดฯ โครงการใหม่

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยทำเลพหลโยธิน – ลาดพร้าว เตรียมขึ้นแท่นศูนย์กลางที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ เป็นแหล่งเชื่อมต่อการเดินทางทั้งระบบรถและระบบราง โดยผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าจับจองพื้นที่ทยอยเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ส่งผลราคาเฉลี่ยขยับไปอยู่ที่ 1.5 แสนบาท/ตร.ม. ส่วนราคารีเซลย้อนหลัง 5 ปี ปรับเพิ่ม 20-40%  หลังพบเป็นทำเลศักยภาพสูง ด้านตลาดเช่าได้รับอานิสงส์ ด้วยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ขนาด 1 ห้องนอนตลาดตอบรับสูง นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในทำเลพหลโยธิน-ลาดพร้าว พบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในตลาดคอนโดมิเนียมให้ความสนใจเข้ามาทยอยพัฒนาโครงการออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีโครงการคอนโดมิเนียมที่เป็นอาคารสูงโซนพหลโยธิน – ลาดพร้าว ในระยะรถไฟฟ้าเปิดตัวในระดับราคา 120,000 – 180,000 บาทต่อตารางเมตร และในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 พบอัตราการตอบรับในระดับสูงเฉลี่ยที่ 84% จากอุปทานเสนอขายสะสมทุกโครงการ 4,616 ยูนิต อัตราดูดซับเฉลี่ย 153.1 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ จากการขยายตัวของอุปสงค์ในพื้นที่นี้ ส่งผลให้ราคาขายคอนโดมิเนียมมีการขยับตัวสูงขึ้น โดยพบว่า ราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมอาคารสูงปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2559 มาอยู่ที่ 150,000 บาทต่อตารางเมตร และปัจจุบันโครงการเหล่านี้ได้มีการนำห้องชุดกลับมาขายใหม่ (Resale) และได้ปรับราคาให้สูงขึ้นกว่าราคาเสนอขายปัจจุบันแล้ว 10% มาอยู่ที่ 165,000 บาทต่อตารางเมตร สาเหตุที่โซนพหลโยธิน – ลาดพร้าว ได้รับความสนใจ เนื่องจากเป็นทำเลที่มีจุดเด่นด้านศูนย์กลางคมนาคมขนส่ง เป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสองสาย ทั้งรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว และรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล (MRT) ที่เชื่อมการเดินทางให้ผู้คนสามารถเข้าถึงใจกลางเมืองได้ในระยะเวลาไม่นาน มีรถโดยสารสาธารณะให้บริการหลากหลาย และยังมีทางด่วน 2 สาย ได้แก่ ทางพิเศษศรีรัช และทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) และยังพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีความหลากหลายสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ สถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก อย่าง ตลาดนัดจตุจักร ตลาด อ.ต.ก.  หรือสวนจตุจักร ที่เป็นปอดแห่งใหญ่ของกรุงเทพ รวมถึงศูนย์การค้าที่มีชื่อเสียง โรงพยาบาล และสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง ทำให้ย่านพหลโยธิน-ลาดพร้าวเป็นอีกหนึ่งทำเลที่เหมาะแก่การอยู่อาศัย ทำให้โครงการคอนโดมิเนียมในย่านนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากเหล่าอุปสงค์ที่แท้จริง ส่งผลให้ปัจจุบันราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในย่านนี้มีการปรับตัวสูงขึ้นรวดเร็วมาก นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อหรือศูนย์คมนาคมพหลโยธิน ที่เชื่อมต่อการเดินทางรถไฟฟ้าเส้นทางต่างๆ รวมถึงเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงจากภาคเหนือลงสู่ภาคใต้ เพื่อยกระดับให้ทำเลนี้ให้เป็นฮับหรือศูนย์กลางด้านการเปลี่ยนถ่ายระบบคมนาคมทางรางที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าการก่อสร้างแล้วกว่า 52% และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2563 จากศักยภาพของทำเลพหลโยธิน-ลาดพร้าว ที่กำลังจะกลายเป็นฮับด้านการคมนาคมขนส่งในไม่ช้า โดยจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ ในบริเวณโดยรอบสถานีกลางบางซื่อเพิ่มมากขึ้น อาทิ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ในพื้นที่ ที่เตรียมเปิดใช้อาคารแล้ว ทำให้ย่านนี้ขยายตัวเป็นแหล่งงานแห่งใหม่ทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้น จึงมีการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่พักอาศัย เพื่อรองรับดีมานด์การอยู่อาศัยที่หนานแน่นขึ้น โดยกระจายการพัฒนาออกไปทั่วทำเลพหลโยธิน-ลาดพร้าว เป็นผลทำให้ในอนาคตราคาที่ดินในย่านนี้จะทะยานตัวสูงขึ้นได้อีกไม่น้อย ถือเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยเพิ่มศักยภาพให้แก่ทำเล และกระตุ้นให้เกิดการซื้อ-ขาย หรือเช่าคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้น โดยมีเส้นทางรถไฟฟ้าหลักๆ ที่เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกันผ่านสถานีกลางบางซื่อจำนวนมาก“ย่านพหลโยธิน-ลาดพร้าว ไม่ได้มีเฉพาะผู้ที่ซื้ออยู่อาศัยจริงเท่านั้น แต่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้เช่า สะท้อนได้จากผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าห้องชุดที่อยู่ในระดับดี เฉลี่ยอยู่ที่ 5% ต่อปี โดยรูปแบบห้องที่ได้รับความนิยมคือ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 30-40 ตารางเมตร มีราคาเช่าเฉลี่ย 520 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน (ราว 15,000-23,000 บาทต่อยูนิต) รองลงมาคือ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 60-70 ตารางเมตร ปัจจุบันมีราคาเช่าเฉลี่ย 542 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน (32,000-38,000 บาทต่อยูนิต) โดยในย่านนี้มีอัตราอยู่อาศัยหนาแน่นสูงถึง 90 - 95% เป็นผู้อยู่อาศัยเอง 65% และผู้เช่า 25%” นายอนุกูล กล่าว  
เปิดตัวคอนโดที่ฮอตที่สุดบนพหลโยธิน – อารีย์ “เดอะรีเซิร์ฟ พหลฯ – ประดิพัทธ์” พร้อมเปิด One Bedroom สไตล์ Loft ที่ดีที่สุด 16 – 17 ก.ย. นี้

เปิดตัวคอนโดที่ฮอตที่สุดบนพหลโยธิน – อารีย์ “เดอะรีเซิร์ฟ พหลฯ – ประดิพัทธ์” พร้อมเปิด One Bedroom สไตล์ Loft ที่ดีที่สุด 16 – 17 ก.ย. นี้

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า “ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญอย่างมืออาชีพกว่า 24 ปี ที่พฤกษามุ่งมั่นในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ และสร้างสรรค์ออกแบบที่อยู่อาศัยให้มีเอกลักษณ์เพื่อสร้างความแตกต่าง และมีจุดเด่นที่ตรงใจผู้บริโภค ล่าสุด เตรียมเปิดประสบการณ์การใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียมที่เหนือกว่า ด้วยดีไซน์ห้องชุดรูปแบบใหม่สไตล์ Loft โครงการแรกของ พฤกษา เรียลเอสเตท ภายใต้พรีเมียมแบรนด์ “เดอะรีเซิร์ฟ พหลฯ - ประดิพัทธ์” เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการใช้ชีวิตแบบไร้ขีดจำกัดของพื้นที่และเวลา ทุกพื้นที่ภายในโครงการออกแบบขึ้นอย่างพิถีพิถันตามนโยบายของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นในการส่งมอบบ้านและบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า โดยสามารถขยายพื้นที่อยู่อาศัยทั้งแนวสูงและแนวราบ ด้วยไฮไลท์ห้องรูปแบบใหม่สไตล์ Loft เพดานสูง 4.4 เมตร และห้อง 1 ห้องนอนแบบ Oversize Living Space สามารถปรับเปลี่ยนให้ใช้ชีวิตได้ทุกฟังก์ชั่น และที่มากกว่านั้นคือ สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการเหนือระดับที่โครงการเตรียมไว้ให้ตลอด  24 ชม. นอกจากนี้ โครงการ “เดอะ รีเซิร์ฟ พหลฯ - ประดิพัทธ์” ยังตั้งอยู่บนสุดยอดใจกลางเมือง ติด BTS สะพานควาย และใกล้สถานีกลางบางซื่อ และยังเชื่อมต่อระหว่างถนนนพระราม 6 – พหลโยธิน – วิภาวดี – รัชดาภิเษก – ลาดพร้าว พร้อมทั้งรายล้อมไปด้วยสำนักงานชั้นนำของบริษัทยักษ์ใหญ่มากมาย” “เดอะรีเซิร์ฟ พหลฯ - ประดิพัทธ์” เป็นคอนโด High Rise สูง 25 ชั้น โดดเด่นด้วยห้องสไตล์ Loft พร้อมชูจุดเด่นด้วย Community Space 24 ชม. ที่สามารถใช้ชีวิตบนพื้นที่ส่วนกลางได้แบบไร้กรอบของเวลา อาทิ Co-working space ที่รองรับการคิดและสร้างสรรค์งานในทุกรูปแบบ Adaptive Function Room ห้องอเนกประสงค์ที่สามารถใช้เป็นห้องส่วนตัวในการประชุม หรือชมภาพยนตร์เพื่อหาแรงบันดาลใจ Skyline Lounge มุมทำงานบนชั้นลอยเหนือสระว่ายน้ำ Outdoor Cinema พื้นที่ชมภาพยนตร์บนชั้นดาดฟ้า Rooftop Pantry พื้นที่เตรียมอาหารที่ดาดฟ้ารองรับทุกกิจกรรมและการสังสรรค์ Sky Fitness และ Infinity Edge Pool Concierge Service by The Reserve ที่อำนวยความสะดวกในการประสานงานธุระต่างๆ ให้กับลูกบ้าน เช่น บริการซักรีด, บริการรับส่งพัสดุ และบริการจองตั๋วต่างๆ ฯลฯ จากการเปิดให้ชมห้องตัวอย่างวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา โครงการสามารถปิดการขายอย่างไม่เป็นทางการได้กว่า 50% โดยมีกำหนดการเปิดจอง Pre-Sales 16 – 17 ก.ย. นี้ ซึ่งเปิดขายห้อง Loft โซนสูง ในราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท พร้อมพบข้อเสนอพิเศษกว่า 200,000 บาท พบกันที่สำนักงานขาย เดอะรีเซิร์ฟ พหลฯ – ประดิพัทธ์ ใกล้ BTS สะพานควาย สอบถามเพิ่มเติมโทร.1739 หรือลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดพิเศษที่ thereservecondo.com/Phahol-Pradipat/
เซวาส พรอพเพอตี้ส์ อสังหาฯ น้องใหม่เลือดผสม เปิดตัวโครงการ “นิวาติ” คอนโดระดับ Super Luxury

เซวาส พรอพเพอตี้ส์ อสังหาฯ น้องใหม่เลือดผสม เปิดตัวโครงการ “นิวาติ” คอนโดระดับ Super Luxury

เปิดตัวโครงการ “นิวาติ”  คอนโดระดับ Super Luxury  ชูดีไซน์เด่น บนทำเลย่านทองหล่อ กับวัสดุสเปคระดับพรีเมียม ราคาเริ่มต้น 17 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท “เซวาส พรอพเพอตี้ส์” บริษัทอสังหาฯ รายใหม่ ร่วมทุนไทย-ฮ่องกง ประเดิมเปิดตัวคอนโดหรู โครงการแรกภายใต้แบรนด์ “นิวาติ” (NIVATI) คอนโด 7 ชั้น 52 ยูนิต มูลค่า 1,600 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 17 ล้านบาท วางเป้าเปิดตัวโครงการต่อเนื่อง ทั้งแนวสูง และแนวราบ โดยมุ่งพัฒนาสินค้าระดับ Luxury เป็นหลัก ชูจุดเด่น เน้นงานดีไซน์คลาสสิคแบบร่วมสมัย และสเปควัสดุคุณภาพสูง โฟกัสทำเล อโศก ถึง เอกมัย นายดักลาส เฉิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซวาส พรอพเพอตี้ส์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท เซวาส พรอพเพอตี้ส์ จำกัด เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับ Super Luxury โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างไทยและฮ่องกง ในสัดส่วนการถือหุ้น 79:21 การพัฒนาโครงการในช่วง 5 ปีแรก จะเน้นพัฒนาโครงการบนทำเลอโศกถึงเอกมัย ครอบคลุมทั้งคอนโดมิเนียมและวิลล่า เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับบนเป็นหลัก เบื้องต้นตั้งเป้าพัฒนาปีละ 2-3 โครงการขึ้นอยู่กับสภาพตลาด เฉลี่ยมูลค่าโครงการละประมาณ 1,500-3,000 ล้านบาท “อโศกและเอกมัยถือเป็นทำเลศักยภาพของกรุงเทพฯ แม้จะเป็นทำเลที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง แต่เรามีจุดแข็งคือ สามารถนำวัสดุชั้นเลิศและดีไซน์สุดหรูมาผสมผสานจนกลายออกมาสู่โลกของความเป็นจริงได้ เรายังมีผู้บริหารและทีมงานที่มีประสบการณ์ทั้งชาวไทยและชาวฮ่องกงที่เข้าใจสภาพตลาดและความต้องการของผู้บริโภคเป็นอย่างดี มีแนวทางการควบคุมคุณภาพโครงการที่เข้มงวด จึงมั่นใจว่าจะสามารถพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ของผู้บริโภคได้ และในระยะ 10 ปี เรามีแผนจะขยายไปสู่ตลาดอาเซียนด้วย” นายดักลาส กล่าว สำหรับโครงการแรก ได้จัดตั้งบริษัทขึ้นมาอีกบริษัทภายใต้ชื่อ บริษัท 888 ทองหล่อ จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury ภายใต้แบรนด์ “นิวาติ” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 7 ชั้น 52 ยูนิต มูลค่ารวม 1,600 ล้านบาท บนทำเลทองหล่อซึ่งเป็นทำเลที่มีมูลค่าที่ดินสูงมากในกรุงเทพฯ นายวิวัฒน์ พิภักดิ์สมุทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท 888 ทองหล่อ จำกัด โดย เซวาส พรอพเพอตี้ส์ ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury ภายใต้แบรนด์ “นิวาติ” เผยว่า ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมานานกว่า 30 ปี จึงได้ร่วมกับนายดักลาสในการจัดตั้งบริษัทขึ้นมา โดยบริษัทได้วางกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนาโครงการอย่างชัดเจน เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคระดับ A ทั้งในและต่างประเทศ บนทำเลอโศกถึงเอกมัย ซึ่งเป็นตลาดที่มี
ศุภาลัย รุกหนักเปิด 3 คอนโดฯใหม่ มูลค่ารวม 5,770 ล้านบาท นำเสนอ 3 แบรนด์ 3 สไตล์ 3 ทำเลฮอตโดนใจคนกรุง

ศุภาลัย รุกหนักเปิด 3 คอนโดฯใหม่ มูลค่ารวม 5,770 ล้านบาท นำเสนอ 3 แบรนด์ 3 สไตล์ 3 ทำเลฮอตโดนใจคนกรุง

บมจ.ศุภาลัย  ลุยเพิ่มคอนโดฯใหม่ 3 โครงการ  มูลค่ารวม 5,770 ล้านบาท ภายใต้ 3 แบรนด์ “ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร” “ศุภาลัย ลอฟท์ สถานีแยกไฟฉาย” และ“ศุภาลัย ปาร์ค สถานีตลาดพลู” บน 3 ทำเลฮอตย่านฝั่งธนบุรี เชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้า พร้อมชูเอกลักษณ์การออกแบบเฉพาะตัว และไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่นแตกต่างกันในแต่ละโครงการ ให้เลือกสรรตรงความชื่นชอบของการอยู่อาศัย นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งเน้นขยายตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ใหม่ๆ ด้วยการพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคในทุกเซ็กเมนต์ และล่าสุดเตรียมพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ในย่านฝั่งธนบุรี พร้อมเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้ จำนวน 3 โครงการ โดยมีเอกลักษณ์การออกแบบ และไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่นแตกต่างกัน บนทำเลที่น่าจับจองเป็นเจ้าของห้องชุดพักอาศัย ภายใต้ 3 แบรนด์ “พรีเมียร์” “ลอฟท์” และ “ปาร์ค” โครงการที่เปิดตัวสู่ตลาดในวันที่ 22 - 24 กันยายนนี้ ณ สำนักงานขาย บริษัทฯ พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมหรู บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ มูลค่า 2,800 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร” ชูคอนเซ็ปต์ “ชีวิตอิสระ ชีวิตที่คุณเลือกได้ กับสุดยอดทำเล ในย่านเจริญนคร-คลองสาน” อาคารพักอาศัย สูง 26 ชั้น 1 อาคาร  โดยมีห้องชุดพักอาศัย 578 ยูนิต ร้านค้า 6 ยูนิต ขนาดห้องชุดตั้งแต่ 1 - 3 ห้องนอน และ Penthouse 4 ห้องนอน ขนาด 34.5 - 331 ตร.ม. ในราคาเริ่ม 3.1 ล้านบาท โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์การออกแบบอาคารที่มีแรงบันดาลใจมาจากเพชร สร้างสรรค์ให้เป็นอาคารสไตล์ Modern รูปตัวแอล ผสมผสานความเรียบหรูด้วยการตกแต่งจากหินอ่อนลายสวย ตัดกับเส้นสายงานดีไซน์ โชว์ความหรูหราได้อย่างลงตัว พร้อมใกล้ชิดธรรมชาติ กับพื้นที่สีเขียวกว่า 2 ไร่ และ Open Space กับสวนลอยฟ้า ที่คำนึงถึงความสุขของการเป็นเจ้าของคอนโดฯ วิวแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างแท้จริง ทำเลติดรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีคลองสาน ทำให้ผู้พักอาศัยเดินทางสู่กลางมหานครได้ง่ายดาย และใกล้ถนนสายหลักอย่างเจริญนคร  สาทร  กรุงธนบุรี  ใกล้ทางด่วน  พร้อมจุดเชื่อมต่อการคมนาคมทางเรือ  อาทิ ท่าเรือคลองสาน ท่าเรือท่าดินแดง ท่าเรือเป๊ปซี่ แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน อาทิ ICONSIAM  The Jam Factory  Asiatique  The Riverside Plaza หรือจะท่องเที่ยวย่านเมืองเก่า ไม่ว่าจะเป็นเยาวราช พาหุรัด ฝั่งธนบุรี และอีก 2 โครงการที่จะเปิดจองพร้อมกัน วันที่ 7 - 13 กันยายน 2560 ที่เดอะมอลล์ ท่าพระ คือ “ศุภาลัย ลอฟท์ สถานีแยกไฟฉาย” คอนโดมิเนียมหรู บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่กว่า มูลค่า 1,170 ล้านบาท สร้างสรรค์โครงการภายใต้แนวคิด “สู่อีกขั้น...ของชีวิตสมบูรณ์แบบ” กับไลฟ์สไตล์ที่คล่องตัวอิสระในทุกมุมมอง กับที่พักอาศัยในบรรยากาศสุดคลาสสิคบนทำเลย่านเมืองกรุงของฝั่งธนบุรี เชื่อมต่อทุกการเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ทั้งรถ เรือ และเข้าสู่ใจกลางเมืองด้วยโครงข่ายรถไฟฟ้า ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีแยกไฟฉาย 350 เมตร และเพียง 9  สถานีเชื่อมต่อรถไฟฟ้า BTS สถานีศาลาแดง  สู่ย่านศูนย์กลางธุรกิจสีลมและสาทร  อีกทั้งติดถนนพระเทพฯ พรานนก – พุทธมณฑล สาย 4 และเชื่อมสู่ถนนสายหลักสำคัญ การออกแบบตัวอาคารสูง 24 ชั้น 1 อาคาร ตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นลอฟท์ ทันสมัย เรียบหรู การออกแบบห้องพักอาศัยเน้นสูง โปร่ง เปิดหน้าห้องให้กว้างเพื่อรับลมและแสงแดดจากธรรมชาติได้ดี อีกทั้งให้ความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนห้องพักอาศัยเพียง 366 ยูนิต ร้านค้า 4 ยูนิต มีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 1 - 2 ห้องนอน 35 - 77.5 ตร.ม. ในราคาเริ่ม 2.17 ล้านบาท ขณะที่ “ศุภาลัย ปาร์ค สถานีตลาดพลู” พัฒนาโครงการบนทำเลพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ มูลค่า 1,800 ล้านบาท ด้วยแนวคิด “The Beginning of next step” ทุกก้าวที่ลงตัว Balance ชีวิตสมบูรณ์แบบ เพื่อให้ผู้พักอาศัยได้ก้าวสู่ทุกความลงตัวของการใช้ชีวิต กับการเดินทางที่คล่องตัวและง่ายดาย เนื่องจากใกล้รถไฟฟ้าสถานีตลาดพลู เพียง 250 เมตร แค่ 4 สถานีถึงสาทร รายล้อมไปด้วยร้านอร่อยขึ้นชื่อย่านตลาดพลู ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง อาคารพักอาศัย สูง 34 ชั้น 1 อาคาร ห้องชุดพักอาศัย 785 ยูนิต ร้านค้า 3 ยูนิต มีพื้นที่ใช้สอยแบบห้องสตูดิโอ - 2 ห้องนอน ขนาด 27.5 – 72.5 ตร.ม. ราคาเริ่ม 1.61 ล้านบาท การออกแบบอาคารให้ผู้พักอาศัยรู้สึกผ่อนคลายกับพื้นที่สีเขียวในแบบ Step Terrace Garden สวนสวยส่วนกลางที่มีมากถึง 7 ชั้น   อีกทั้งอยู่สบายกับอาคารประหยัดพลังงาน  ด้วยกระจกเขียวตัดแสง ใช้หลอด LED ทั้งอาคาร อีกทั้งวางผังโครงการให้แนวอาคารอยู่ห่างจากถนนสายหลัก ลดผลกระทบจากมลภาวะทางเสียงและอากาศ ตลอดจนออกแบบห้องพักเน้นเปิดหน้าห้องให้กว้าง เพื่อสามารถรับลมและแสงแดดจากธรรมชาติได้ดี บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า คอนโดฯใหม่ทั้ง 3 โครงการที่สร้างสรรค์พัฒนาภายใต้ 3 แบรนด์ของศุภาลัย จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเป็นอย่างมาก เพราะเป็นทำเลที่โดดเด่นและมีศักยภาพของการลงทุนเพื่อการอยู่อาศัยในระยะยาวของฝั่งธนบุรี ด้วยการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าที่จะเชื่อมต่อพื้นที่กรุงเทพฯ และฝั่งธนบุรี ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม รถไฟฟ้าสายสีทอง ซึ่งจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการขยายตัวของศูนย์กลางธุรกิจทั้งอาคารสำนักงาน ร้านค้า ร้านอาหาร รวมถึงห้างสรรพสินค้า บนทำเลของฝั่งธนบุรีในอนาคต  สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลโทร. 1720 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.supalai.com Facebook : Supalai Society และ Line : @supalai
“โอเชี่ยน เกท สุพรรณบุรี” ทาวน์โฮมและอาคารพาณิชย์สไตล์โมเดิร์น จากโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ เชื่อมจังหวะอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตที่ลงตัว

“โอเชี่ยน เกท สุพรรณบุรี” ทาวน์โฮมและอาคารพาณิชย์สไตล์โมเดิร์น จากโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ เชื่อมจังหวะอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตที่ลงตัว

“โอเชี่ยน เกท สุพรรณบุรี” โครงการทาวน์โฮม 3 ชั้นสไตล์โมเดิร์นแห่งแรกในจังหวัดสุพรรณบุรี จาก บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ที่มีคอนเซ็ปต์การการออกแบบผสมผสานระหว่างทาวน์โฮมประหยัดพลังงานเพื่อการพักอาศัย และอาคารพาณิชย์สไตล์โมเดิร์นสำหรับประกอบธุรกิจ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครอบครัวยุคใหม่ ตลอดจนนักธุรกิจรุ่นใหม่แบบครบวงจร โครงการ โอเชี่ยน เกท สุพรรณบุรี มูลค่าโครงการรวม 745 ล้านบาท พัฒนาบนที่ดินกว่า 24  ไร่  แบ่งเป็นทาวน์โฮม 3 ชั้นสไตล์โมเดิร์น และอาคารพาณิชย์จำนวนรวม 224 ยูนิต จุดเด่นโครงการ คือ ทำเลที่ตั้ง อยู่บนทำเลศักยภาพถนนหมื่นหาญ ซึ่งเป็นถนนหลักในจังหวัดสุพรรณบุรี ทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส, โรบินสัน, แมคโคร, บิ๊กซี่  สถานศึกษาโรงเรียนสุพรรณภูมิ และโรงพยาบาลพรชัย โอเชี่ยน เกท สุพรรณบุรี แบ่งเป็นทาวน์โฮมแบบบ้าน Neo (นีโอ) 3 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 145 ตร.ม. บนที่ดินเริ่มต้น 17.5 ตารางวา ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พร้อมด้วยบ้านหน้ากว้าง 5 เมตร สามารถจอดรถได้ 2 คัน ทาวน์โฮมสไตล์โมเดิร์นออกแบบให้ใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า มีการใช้กระจกประตูและหน้าต่างบานใหญ่ทำให้ได้ช่องแสงขนาดใหญ่จากภายนอก ช่วยให้ประหยัดพลังงานเพื่อการพักอาศัย และเพิ่มความผ่อนคลายกับบรรยากาศรอบด้าน อีกทั้งยังทำให้ภายในตัวบ้านดูโปร่งโล่งสบาย พร้อมพื้นที่อเนกประสงค์ภายในชั้น 2 ตอบรับความสุขที่สมบูรณ์ของครอบครัวอย่างลงตัว สำหรับอาคารพาณิชย์แบบบ้าน Delight (ดีไลท์) 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 195 ตร.ม. บนขนาดที่ดินเริ่มต้น 23.8 ตร.ว. สะดวกสบายด้วยทำเลคุณภาพตั้งติดถนนใหญ่ โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ทันสมัย ดีไซน์เปิดโล่งให้ความรู้สึกโปร่งโล่งและรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ พร้อมที่จอดรถส่วนกลางรองรับลูกค้าได้เพียงพอต่อความต้องการ รองรับทุกความฝัน และความสำเร็จทางธุรกิจ ลงตัวกับทุกการใช้งานและธุรกิจมากที่สุด โครงการ โอเชี่ยน เกท สุพรรณบุรี ยังใส่ใจในเรื่องโครงสร้างบ้านเพื่อรับทุกการอยู่อาศัยของลูกบ้าน ด้วยการนำนวัตกรรมล่าสุดอย่างหลังคาสกายไลท์ หรือหลังคากระจก ที่ช่วยเพิ่มช่องแสงธรรมชาติภายในบ้าน ทำให้บ้านดูโปร่งโล่งสบายมากยิ่งขึ้น พร้อมระบบไฟฟ้ารูปแบบ LED ไม่มีรังสีอัลตร้าไวโอเลตที่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง มีความทนทาน และยังช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าระหว่างวันทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น พร้อมโครงสร้างหลังคารูปแบบพิเศษรับประกันมาตราฐาน 20 ปี เสริมด้วยเสาเข็มที่มีความยาวเท่ากับตัวบ้าน เพื่อรองรับการต่อเติม และฟังก์ชั่นการใช้งานของลูกบ้านในอนาคต นอกจากนั้นยังทำให้ลูกบ้านอุ่นใจด้วยระบบรักษาความปลอดภัยด้วย ประตูทางเข้าระบบคีย์การ์ด อีกทั้งอุ่นใจด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมมีสวนหย่อมไว้สำหรับลูกบ้านพักผ่อนหย่อนใจและทำกิจกรรมร่วมกันกับคนในครอบครัว สัมผัสประสบการณ์ความลงตัวที่เหนือระดับกับโครงการ “โอเชี่ยน เกท สุพรรณบุรี” ทาวน์โฮมในราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท และอาคารพาณิชย์ราคาเริ่มต้น 4.45 ล้านบาท ตั้งแต่วันนี้ - 30 ก.ย. 2560 คลิกรับสิทธิพิเศษได้ทางเว็บไซต์ http://oceanproperty.co.th/oceangate/index.php/home/register ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับโครงการ โอเชี่ยน เกท สุพรรณบุรี และโครงการต่างๆ ของ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ได้ทางเว็บไซต์ www.oceanproperty.co.th หรือโทร. 02-038-5555 และสอบถามข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/OceanProperty/ อินสตาแกรม https://www.instagram.com/oceanproperty/ ไลน์ @oceanproperty
‘เอพี ไทยแลนด์’ เดินหน้าติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ที่คอนโดเอพี รณรงค์ให้คนไทยตระหนักและพร้อมรับมือ ‘ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน’ มหันตภัยเงียบคร่าชีวิต

‘เอพี ไทยแลนด์’ เดินหน้าติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ที่คอนโดเอพี รณรงค์ให้คนไทยตระหนักและพร้อมรับมือ ‘ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน’ มหันตภัยเงียบคร่าชีวิต

รายแรกในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จัดสรรพื้นที่คอนโดเอพีเป็น “พื้นที่ช่วยชีวิต” ติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ เพื่อคุณภาพชีวิตของลูกบ้านเอพีกว่า 25,000 ครอบครัว เอพีรณรงค์ให้คนไทยเท่าทันและพร้อมรับมือ ‘ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน’ ที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับ 3 รองจากโรคมะเร็ง และอุบัติเหตุ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมืองและคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้า จัดแถลงข่าวเปิดตัวแคมเปญเพื่อสังคม “ขอพื้นที่เล็กๆ ให้หัวใจได้เต้นต่อ” (The Smallest Space to Save Lives) ต่อยอดแนวคิดในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพไปสู่การส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกิดขึ้นในสังคมเอพีและสังคมวงกว้าง ด้วยการตระหนักถึงอันตรายจาก “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” ที่คร่าชีวิตคนไทยได้ในทุกเพศ ทุกวัย ด้วยการเดินหน้าติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (AED) ในคอนโดมีเนียมของเอพีที่ส่งมอบไปแล้ว รวมถึงคอนโดมิเนียมโครงการอื่นๆ ที่บริหารจัดการโดย บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมนเนจเมนท์ จำกัด บริษัทบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ในเครือเอพี รวมทั้งสิ้นกว่า 40 โครงการ คิดเป็นผู้อยู่อาศัยกว่า 25,000 ครอบครัว และเตรียมร่วมรณรงค์ส่งต่อความรู้การกู้ชีพขั้นพื้นฐานก่อนส่งถึงมือแพทย์สู่ประชาชน เพื่อให้ตระหนักและพร้อมรับมือเมื่อพบผู้ประสบภาวะดังกล่าว ทั้งนี้ จากสถิติพบว่าภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันคือสาเหตุการเสียชีวิตสูงสุดอันดับที่ 3 (รองจากมะเร็งและอุบัติเหตุ) คร่าชีวิตคนไทยถึง 54,000 คนต่อปี (เฉลี่ยถึง 6 คนต่อชั่วโมง) ปัจจุบัน  เอพีได้เริ่มทะยอยติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ในคอนโดมีเนียมที่บริหารจัดการโดยทีมเอพีแล้ว โดยแผนจะติดตั้งให้ครบทั้งสิ้นกว่า 40 โครงการที่โอนกรรมสิทธิ์เข้าอยู่แล้ว งานแถลงข่าวครั้งนี้ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) โดย นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม ร่วมกับ พล.ต.ต. นายแพทย์โสภณ กฤษณะรังสรรค์ ประธานมูลนิธิสอนช่วยชีวิตและที่ปรึกษาคณะกรรมการมาตรฐานการช่วยชีวิต สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และบริษัทรักษาความปลอดภัยไทยซีคอม จำกัด รณรงค์ถ่ายทอดความรู้การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support – BLS) สู่สังคม นอกจากนี้ เอพีพร้อมเป็นตัวแทนเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมเปลี่ยนพื้นที่เล็กๆ ให้เป็นพื้นที่ที่สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ ผ่านแคมเปญ “ขอพื้นเล็กๆ ให้หัวใจได้เต้นต่อ” (The Smallest Space to Save Lives) เพื่อนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดของเอพี คือ “การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับสังคมไทย โดยเริ่มต้นที่สังคมเล็กๆ ในโครงการต่างๆ ของเอพี” พร้อมกันนี้ เอพียังได้มอบเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ให้กับศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค ท่าเรือสาทร และศูนย์ประสานงาน อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน เขตธนบุรี เพื่อติดตั้งเป็นสาธารณะประโยชน์ในการช่วยกู้ชีพหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์)  กล่าวว่า “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันสามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า  ผู้ประสบภาวะดังกล่าวควรได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที เพราะมิฉะนั้นอาจถึงแก่ชีวิต บมจ. เอพี เราให้ความสำคัญอย่างมากกับคุณภาพชีวิต และการสร้างคุณค่าให้กับพื้นที่ทุกพื้นที่เพื่อคุณภาพชีวิต เราจึงริเริ่มจัดสรรพื้นที่ 0.1 ตารางเมตรภายในคอนโดของเราเป็น ‘พื้นที่ช่วยชีวิต’ โดยได้เริ่มติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED เพื่อช่วยชีวิตในเบื้องต้นของผู้ที่ประสบภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันก่อนส่งถึงมือแพทย์ ประกอบกับการสนับสนุนด้านข้อมูลพื้นฐานที่ได้รับจากพันธมิตรทางธุรกิจของเอพีอย่าง มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ถือเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตพื้นฐานที่ติดตั้งในพื้นที่ที่มีคนหนาแน่น ทั้งพื้นที่สาธารณะและพื้นที่อยู่อาศัย ซึ่งจากข้อมูลพบว่าประเทศญี่ปุ่นมีเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ติดตั้งมากที่สุดในโลกประมาณ 6 แสนกว่าเครื่อง” “ปัจจุบัน เอพีมีคอนโดที่สร้างเสร็จและบริหารจัดการโดยบริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมนเนจเมนท์ จำกัด บริษัทบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ในเครือเอพีอยู่รวมกว่า 40 โครงการ และราวกว่า 25,000ครอบครัวที่เราดูแล เราจึงไม่ลังเลที่จะติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED เพื่อให้ลูกบ้านรู้สึกอุ่นใจและมั่นใจในคุณภาพชีวิต โดยเราเดินหน้าทะยอยติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED แล้ว และจะติดตั้งให้ครบทั้งหมดกว่า 40 โครงการโดยเร็วที่สุด และสำหรับคอนโดมิเนียมใหม่ที่กำลังจะก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2560 นี้เป็นต้นไป บริษัทก็จะมีการจัดเตรียมพื้นที่สำหรับติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ไว้เช่นกัน ” นายวิทการกล่าว “คอนโดมิเนียมกว่า 40 โครงการที่มีการติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED นั้น จะมีเจ้าหน้าที่ภายใต้การดูแลของบริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมนเนจเมนท์ จำกัด รวมกว่า 300 คน ซึ่งผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support) ที่ได้รับการรับรองจากบริษัทรักษาความปลอดภัย ไทยซีคอม และคณะกรรมการช่วยชีวิต สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยคอนโดมิเนียมในแต่ละโครงการจะมีเจ้าหน้าที่ประจำการและพร้อมให้ความช่วยเหลือหากลูกบ้านของเอพีประสบภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันตลอด 24 ชม.” นายวิทการกล่าวเสริม ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน คือ ภาวะที่หัวใจไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างทันที ซึ่งภาวะนี้เกิดได้กับทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นโรคหัวใจหรือมีโรคประจำตัวอื่น และไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า เมื่อหัวใจหยุดเต้นลงจะไม่มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะใดๆ ในร่างกาย สมองเมื่อขาดเลือดมาเลี้ยงจะหยุดทำงานในทันที ดังนั้นผู้ที่สมองขาดเลือดจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันจะหมดสติลงในเวลาเพียง 10 วินาที ซึ่งผู้ป่วยที่หมดสติควรได้รับการช่วยเหลือภายในระยะเวลา 4 นาที หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ เนื้อสมองจะเริ่มเสียหาย หากผู้ที่อยู่ใกล้เคียงมีประสบการณ์การใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED สลับกับการทำ CPR จะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้มีภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ *จากสถิติที่ประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ที่ประสบภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หากได้รับการช่วยชีวิตภายในระยะเวลา 4 นาทีหลังเกิดเหตุด้วยการทำ CPR (การช่วยฟื้นคืนชีพ หรือปั้มหัวใจด้วยมือ) สลับกับการใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED จะสามารถเพิ่มโอกาสในรอดชีวิตได้มากถึง 50% แต่หากได้รับการช่วยชีวิตด้วยการทำ CPR เพียงอย่างเดียวจะมีโอกาสรอดชีวิตเพียง 27% พล.ต.ต. นายแพทย์โสภณ กฤษณะรังสรรค์ ประธานมูลนิธิสอนช่วยชีวิตและที่ปรึกษาคณะกรรมการมาตรฐานการช่วยชีวิต สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “จากการศึกษาพบว่า การสอนแพทย์กู้ชีพเพียงหน่วยงานเดียวไม่สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้ เนื่องจากภาวะนี้มักเกิดนอกโรงพยาบาล และผู้ป่วยไม่สามารถถึงโรงพยาบาลภายใน 4 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่จะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทัน ดังนั้นการช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน คือการส่งต่อความรู้ให้ประชาชนทั่วไปสามารถทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้เมื่อประสบเหตุ และควรมีอุปกรณ์เครื่อง AED ติดตั้งอยู่ในจุดที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ทันที” “ในฐานะตัวแทนประธานมูลนิธิสอนช่วยชีวิตและที่ปรึกษาคณะกรรมการมาตรฐานการช่วยชีวิต สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ผมขอชื่นชมเอพี (ไทยแลนด์) ที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมไทย โดยการริเริ่มติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ทำให้สังคมไทยทัดเทียมนานาประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งในพลังขับเคลื่อนสังคมให้เกิดความตระหนักถึงภัยใกล้ตัว ซึ่งถ้าทุกคนมีความรู้ในการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน รู้จักวิธีการโทรขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานเฉพาะด้านซึ่งที่ประเทศไทยคือ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เบอร์ 1669 เราทุกคนสามารถร่วมกันลดปริมาณการสูญเสียได้” พล.ต.ต. นายแพทย์โสภณกล่าวและเสริมว่า “นอกจากอาคารที่พักอาศัยที่มีหลายครอบครัวพำนักอย่างคอนโดมิเนียมแล้ว สถานที่ที่มีผู้คนสัญจรคับคั่งและควรมีการติดตั้ง AED เพื่อช่วยชีวิตด้วย ได้แก่ สนามบิน สถานีขนส่ง ท่าเรือ รถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น” เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED เป็นเครื่องที่ใช้กับผู้ที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน โดยเครื่องจะทำการวินิจฉัยคลื่นหัวใจโดยอัตโนมัติและทำการรักษาด้วยการปล่อยกระแสไฟเพื่อกระตุกหัวใจทำให้หัวใจกลับมาเต้นเป็นปกติ เพียงผู้ใช้อุปกรณ์ปฏิบัติตามขั้นตอนตามที่เสียงบรรยายของเครื่อง AED ก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือชีวิตผู้ที่ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) คือ บริษัทพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมดีไซน์เพื่อพื้นที่ใช้สอยที่ไม่จำกัดเพื่อการใช้ชีวิตของคนเมือง ครอบคลุมทั้งมิติด้าน คุณภาพ การบริการ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้าง ‘คุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน โดยเริ่มต้นกับสังคมเล็กๆ ในโครงการต่างๆ ของเอพี เพื่อมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของสังคมไทย’ ติดตามข้อมูลแคมเปญเพิ่มเติมได้ที่ http://www.SmallestSpaceToSavLives.com
บ้านอารียาฯ ชู 4 นวัตกรรมรักษ์โลกเพื่อลูกบ้าน  “สร้างสุขยั่งยืน” บนสังคมคุณภาพ

บ้านอารียาฯ ชู 4 นวัตกรรมรักษ์โลกเพื่อลูกบ้าน “สร้างสุขยั่งยืน” บนสังคมคุณภาพ

เพราะการซื้อบ้าน เท่ากับการซื้อคุณภาพชีวิตที่ดีซึ่งได้มาจากสังคมคุณภาพที่เกิดจากอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคีในชุมชนแห่งการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี สุขภาพที่ดี จึงเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความสุขที่ยั่งยืน“ Sustainable Happiness ” ซึ่งบริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ตระหนักถึงความสำคัญ และยึดถือเป็นหัวใจหลักของนโยบายการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมการก่อสร้างที่อยู่อาศัยคุณภาพมาอย่างยาวนาน “ผมแค่รับผิดชอบในงานของผม เพราะประเทศจะยั่งยืนได้ก็คือการมีความรับผิดชอบ ดังนั้นถ้า ผมทำโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพ ควบคู่ไปกับความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่สำคัญสามารถสร้างชุมชนให้มีปัญหาน้อยได้เยอะเท่าไรก็ช่วยประเทศได้มากเท่านั้น ในขณะที่ลูกบ้านก็จะได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างสมบูรณ์” คำกล่าวของ วิวัฒน์ เลาหพูนรังษี กรรมการบริหาร บริษัทอารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ที่มาของโครงการ “รักษ์โลก รักเรา” หรือ “ Sustainable Happiness” นายวิวัฒน์ กล่าวว่า “โครงการรักษ์โลก รักเรา” ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิด แต่ได้เริ่มนำร่องที่โครงการโซนกาญจนาภิเษก – ราชพฤกษ์ (ไทรน้อย) จำนวน 5 โครงการ ก่อนที่จะขยายไปทุกโครงการใหม่แนวราบของอารียาฯ โดยเน้นใน 5 ด้านหลัก ดังนี้ แปลงปลูกผักปลอดสารพิษ ในโครงการ “ปลูกผัก ปลูกรัก” ซึ่งมาจากแนวคิดการหันกลับมายังรากเหง้าของไทย พื้นฐานของประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่การบริโภคผักในปัจจุบันไม่ปลอดภัยจากการสารพิษ ดังนั้นอารียาฯ จึงเปลี่ยนพื้นที่ส่วนกลางของโครงการมาเป็นสวนผัก เพื่อให้ลูกบ้านได้บริโภคผักปลอดสารพิษที่สดใหม่และตรงความต้องการบริโภค นอกจากนั้นยังแฝงนัยของการสานสัมพันธ์ภาพที่ดีระหว่างคนครอบครัว และระหว่างสมาชิกในหมู่บ้านซึ่งขาดหายไปในสังคมไทยปัจจุบัน เกิดเป็นสังคมแห่งการเอื้อเฟื้อ เพิ่มพลังความสามัคคีและสร้างชุมชนเข้มแข็งโดยการเน้นให้ลูกบ้านมีส่วนร่วมในการเลือกประเภทของผัก การปลูก การดูแล และแบ่งปันผักเพื่อนำไปบริโภค ขณะเดียวกันอารียาฯ เปลี่ยนต้นไม้ยืนต้นภายในโครงการ ซึ่งเดิมเป็นไม้ประดับ 100%  เป็นการเสริมไม้ผลกินได้ อาทิ มะม่วง ชมพู่ ขนุน ขี้เหล็ก แคนา เป็นต้น ซึ่งนอกจากการสร้างสภาพแวดล้อมที่ร่มรื่นแล้วลูกบ้านยังสามารถเก็บผลผลิตที่ได้ไปบริโภคได้อีกด้วย “ภาพของอารียาฯ คือชุมชุนของการแบ่งปัน ซึ่งขณะนี้คนกรุงเทพขาดหายไปมาก โดยโครงการ“ปลูกผัก ปลูกรัก” ได้รับผลตอบรับเกินความคาดหมาย เกิดเป็นความรัก ความเอื้อเฟื้อระหว่างลูกบ้านมีการตั้งกลุ่ม Line เพื่อสื่อสารระหว่างกัน แลกเปลี่ยนความเห็นในการดูแลแปลงผัก การแจ้งข่าวให้มาเก็บผัก เกิดเป็นความเข้มแข็งของเครือข่ายลูกบ้านอย่างยั่งยืนต่อไป” วิวัฒน์ กล่าวและว่า ระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ อารียาฯ จัดให้มีระบบบำบัดน้ำเสีย ที่สามารถนำน้ำเข้าสู่กระบวนการบำบัดพิเศษซึ่งอารียาฯได้พัฒนาขึ้นมา จนได้ค่ามาตรฐานตามกฎกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ โดยมีการติดตั้งระบบให้นำน้ำไปใช้ในสวนส่วนกลาง แปลงผัก ในโครงการ “ปลูกผัก ปลูกรัก” และใช้ประโยชน์อื่น เช่น การล้างถนนทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อลดอัตราการใช้น้ำประปา ซึ่งเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม และลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางของโครงการได้มากถึง 21,600 บาทต่อปีต่อโครงการ การคัดแยกขยะ อารียาฯ มีนโนบายในการรณรงค์และปลูกฝังให้ลูกบ้านตระหนักถึงความสำคัญในการคัดแยกขยะ เพื่อลดปัญหาการจัดเก็บโดยจัดให้มีพื้นที่สำหรับคัดแยกขยะ และอยู่ระหว่างการพัฒนานวัตกรรมการนำขยะเปียกมาผลิตเป็นปุ๋ยพืชสด เพื่อใช้ในโครงการ “ปลูกผัก ปลูกรัก” และสวนสวนกลาง ซึ่งขณะนี้สามารถผลิตปุ๋ยจากขยะเปียกรุ่นแรกและนำไปใช้ได้ดีเกินความคาดหมายในสวนผักส่วนกลาง นอกจากนั้นจะนำขยะที่สามารถนำไปใช้ใหม่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลมาเป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรมเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เสื้อที่ทำจากขวดพลาสติก ชุดโต๊ะนักเรียนที่ทำจากกล่องนม  เพื่อส่งต่อความสุขไปสู่สังคมต่อไป ไฟส่องสว่างด้วยระบบ Solar Call การจัดให้มีไฟส่องสว่างภายในสวนบริเวณส่วนกลาง ทางเดินสวน จากการใช้ ใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนของไฟฟ้าส่องสว่างภายในสวนบริเวณส่วนกลาง เพื่อให้เกิดความยั่งยืนด้านพลังงาน โดยอารียาฯ ประเมินว่าโครงการระบบ Solar Call นี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าประมาณ 18,000 บาทต่อปีต่อโครงการ   เลนจักรยาน สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงของลูกบ้านเป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่อารียาฯ คำนึงถึงเป็นอันดับต้นๆ จึงจัดให้มีเลนจักรยานภายในบริเวณส่วนของถนนส่วนกลางที่มีความปลอดภัย เพื่อรณรงค์สงเสริมให้ลูกบ้านได้ออกกำลังกายง่ายๆ รวมทั้งสามารถใช้เดินทางภายในโครงการแทนการใช้รถยนต์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือสุขภาพที่แข็งแรงและมีส่วนร่วมในการลดมลภาวะของโลกอีกด้วย   วิวัฒน์ กล่าวว่า อารียาฯ ไม่เพียงแต่ขายบ้าน แต่เรารับผิดชอบสังคมและประเทศชาติด้วย ซึ่งถ้าหากสามารถทำให้ชุมชนในโครงการของอารียาฯ มีปัญหาน้อยที่สุด ประเทศไทยก็จะดีขึ้น และสิ่งดีๆ เหล่านี้เป็นความตั้งใจของอารียาฯ ที่จะมอบให้ลูกค้าของอารียาฯ เพราะจุดสูงสุดของการทำธุรกิจฯ ก็คือ “ลูกค้าได้ประโยชน์สูงสุดภายใต้ความสุขที่ยั่งยืนหรือ Sustainable Happiness ” จึงไม่แปลกใจที่อารียาฯ จะให้ลูกค้าเกินคาดหมายเสมอ”
เอสซี แอสเสทฯ เปิดจองบ้านเดี่ยวซีรี่ส์ใหม่ล่าสุด ภายใต้แคมเปญ “Staycation Homes” พร้อมกัน  4 โครงการ เริ่ม 4-60 ลบ. วันที่ 9-10 ก.ย.นี้

เอสซี แอสเสทฯ เปิดจองบ้านเดี่ยวซีรี่ส์ใหม่ล่าสุด ภายใต้แคมเปญ “Staycation Homes” พร้อมกัน 4 โครงการ เริ่ม 4-60 ลบ. วันที่ 9-10 ก.ย.นี้

นิยาม “Staycation Homes” ภายใต้ปรัชญาการออกแบบบ้านซีรี่ส์ใหม่ ที่ให้ความสำคัญเรื่องดีไซน์และคอนเซ็ปต์ผ่านโครงการใหม่ในเฟสแรกจำนวน  4 โครงการด้วยกัน โดยนำ Concept Design ที่มีแรงบันดาลใจในการออกแบบจากเมืองท่องเที่ยวทั่วโลกมาสร้างสรรค์จุดเด่นและสไตล์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละโครงการ รวมถึงการพัฒนาทั้ง Product Design & Common Facility หลายส่วนได้แก่ House Design, Security, Service, Develop Facility & Environment เอสซี แอสเสทฯ  ผู้พัฒนาอสังหาฯ คุณภาพทุกระดับราคา  ที่คำนึงถึงหลัก “Human Centric”  ซึ่งพัฒนาบ้านที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย อีกทั้งแวดล้อมไปด้วยส่วนกลางและสภาพแวดล้อมในบรรยากาศสวยงาม เพื่อให้คุณได้พักผ่อนอย่างแท้จริง นายณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จึงได้นำเรื่องราวทั้งหมดถ่ายทอดสู่ภาพยนตร์โฆษณา เรื่อง “30 Days Around The World” ซึ่งเก็บเกี่ยวและบันทึก  ผ่านประสบการณ์ดีๆ   ซึ่งได้จากเดินทางท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ที่มีวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์  เช่น ประเทศอังกฤษ โมร็อกโก ญี่ปุ่น และนอร์เวย์สู่แรงบันดาลใจการสร้างสรรค์สไตล์บรรยากาศแห่งการพักผ่อน  พร้อมแนวคิดในการพัฒนาแบบบ้านซีรี่ส์ใหม่ที่สวยงามและโดดเด่น สำหรับบ้านเดี่ยวทั้ง 4 โครงการ  ภายใต้แรงบันดาลใจ  “Staycation Homes”  ได้แก่ โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์ (Grand Bangkok Boulevard Srinakarin) คฤหาสน์หรูแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมสไตล์ Moroccan ติดถนนใหญ่ศรีนครินทร์ เยื้องห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีนครินทร์ 38 (อนาคต) สัมผัสกลิ่นอายบรรยากาศแห่ง Marrakesh ตั่งแต่สโมสรของโครงการ กับสระว่ายน้ำ ในร่มดีไซน์หรู พร้อม Sky light และสวนส่วนกลาง Style Moorish Garden ที่ดีไซน์อุโมงค์น้ำพุแนวยาว พร้อมศาลาพักผ่อนกลางสวน พื้นที่โครงการกว่า  37 ไร่ มูลค่า 2,400 ล้านบาท เพียง 73 ยูนิต พร้อมแบบบ้าน 3 แบบ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 390-534 ตรม. เริ่มต้น  25 ล้านบาท โครงการ เวนิว พระราม 5-2 (VENUE Rama 5-2) คอนเซ็ปต์ดีไซน์กลิ่นอายแบบ Modern Japanese เรียบง่ายในสไตล์ญี่ปุ่น5 ทำเลบนถนนนครอินทร์ พื้นที่โครงการกว่า 20 ไร่ มูลค่า 760 ล้านบาท จำนวน 90 ยูนิต พร้อมแบบบ้าน 4 แบบ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 149-349 ตรม. เริ่มต้น 99 ล้านบาท พร้อมกับอีก 2  โครงการใหม่ล่าสุด ได้แก่ โครงการ บางกอก บูเลอวาร์ด รังสิต (Bangkok Boulevard Rangsit) คอนเซ็ปต์ดีไซน์สไตล์ Luxury Nordic บ้านหรูพร้อม Sky Light Living Room โปร่งโล่งพร้อมกระจกทรงสูง  รวมถึงส่วนกลางที่มีเอกลักษณ์  ได้แก่ สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือที่ยาวถึง 25 เมตร ฟิตเนสและสตรีม พร้อม Party Court สำหรับสังสรรค์ และส่วนกลางดีไซน์เป็นแนวยาวพร้อมลู่จักรยาน บนทำเลติดถนนใหญ่รังสิต-นตรนายก พื้นที่โครงการกว่า 36ไร่ มูลค่า 1,000 ล้านบาท เพียง 132 ยูนิต พร้อมแบบบ้าน 3 แบบ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 208-306 ตรม. เริ่มต้น 99 ล้านบาท กับโครงการ เพฟ รามอินทรา-วงแหวน (PAVE Ramintra-Wongwaen) บ้านเดี่ยวในสไตล์ Modern Resort ที่เชื่อมต่อทุกมิติในการใช้ชีวิตแบบ Live Link Layer ในทำเลที่เชื่อมต่อทุกเส้นทาง ใกล้ทางด่วน และรถไฟฟ้า กับการออกแบบที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ สามารถรองรับได้ทุกกิจกรรม อาทิ ว่ายน้ำ ปีนผาจำลอง ฟิตเนส รวมไปถึงCo-Working Space พร้อมฟรี WiFi และสวนส่วนกลางขนาดใหญ่ประมาณ 3 ไร่ รองรับกิจกรรม Outdoor มากมาย บนพื้นที่กว่า 78 ไร่ มูลค่า 1,500 ล้านบาท จำนวน 308 ยูนิต พร้อมแบบบ้าน 3 แบบ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 168-217 ตรม. เริ่มต้น39 ล้านบาท พบกับแคมเปญ  #StaycationHomes การพักผ่อนที่ทำให้คุณไม่อยากออกไปไหนอีก เริ่มต้น 4-60 ล้านบาท พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย วันที่ 9-10 ก.ย.60 ณ สำนักงานขายโครงการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.1749 หรือ www.scasset.com / www.facebook.com/scasset
“ซี เอกมัย” ปลื้ม ได้รับความสนใจทั้งจากชาวไทย- ต่างชาติ กวาดยอดขายแล้วกว่า 80% เตรียมเปิดต่อเนื่องอีก 2 โครงการ มูลค่ากว่า 5 พันล้าน บนทำเลทอง กลางเมือง

“ซี เอกมัย” ปลื้ม ได้รับความสนใจทั้งจากชาวไทย- ต่างชาติ กวาดยอดขายแล้วกว่า 80% เตรียมเปิดต่อเนื่องอีก 2 โครงการ มูลค่ากว่า 5 พันล้าน บนทำเลทอง กลางเมือง

โครงการ “ซี เอกมัย” เผยผลตอบรับโครงการดีเยี่ยมทั้งจากชาวไทย และต่างชาติ ทำยอดขายไปแล้วกว่า 80% หรือ 3,000 ล้านบาท มั่นใจปิดโครงการได้ภายในสิ้นปี พร้อมประกาศเตรียมเปิดตัวอีก 2 โครงการ  มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท บนทำเลทอง ใจกลางเมือง ด้วยกลยุทธ์ในการเน้นศักยภาพของทำเล ในดีไซน์ที่โดดเด่นมีลักษณะพิเศษ และเลือกใช้วัสดุระดับพรีเมี่ยม  นายชัยวัฒน์  จักรแต๋  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะช้อยส์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ซี เอกมัย กล่าวว่า การทำการตลาดของโครงการซี เอกมัย ซึ่งเป็นโครงการแรกของบริษัท ได้สร้างปรากฏการณ์การขายที่ดีเยี่ยม  โดยสามารถสร้างยอดขายไปได้ถึง 80% ยอดขายทั้งหมดมาจากกลุ่มลูกค้าทั้งไทย และต่างชาติ  ซึ่งต่างชาติที่สนใจซื้อโครงการเป็นผลมาจากการออกโรดโชว์ต่างประเทศ ทั้ง ฮ่องกง ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ ทำให้เราได้ยอดขายกลับมาจำนวนมาก ผลจากการสอบถามลูกค้าที่ให้ความสนใจ เพราะโครงการนี้ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ  มีดีไซน์ที่แตกต่างจากแนวความคิด “ปริซึมดีไซน์” วัสดุที่ให้เทียบได้กับคอนโดระดับ Luxury ทำให้ลูกค้าได้สิ่งที่มากกว่าในราคาที่จับต้องได้ บนทำเลที่เรียกได้ว่ามี Captital Gain ที่สูงขึ้นทุกปี ทำให้ตัวโครงการได้รับความสนใจ โดยหลักการพัฒนาโครงการของบริษัทฯ คือ เราใส่ใจในทุกรายละเอียดการออกแบบ คำนึงถึงการใช้ชีวิตของคนอยู่อาศัยเป็นสำคัญ ผ่านกระบวนการคิดไตร่ตรอง และเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดต่อความไว้วางใจของลูกบ้าน เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากผลสำรวจ พบว่าทำเล ทองหล่อ-เอกมัย ถือเป็นทำเลที่คอนโดมิเนียมมีราคาขายเฉลี่ยสูงที่สุดในปี 2559 เกือบ 250,000 บาท/ตร.ม. ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ คอนโดมิเนียมบริเวณนี้สามารถปล่อยเช่า และได้ผลตอบแทนดี ทำให้กำลังซื้อย่านนี้ยังแรงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนราคาขายเฉลี่ยอาจจะปรับเพิ่มต่อเนื่องเช่นเดียวกัน  สำหรับโครงการ ซี เอกมัย ตั้งอยู่บนถนนเอกมัย สามารถเชื่อมต่อถึงใจกลางทองหล่อ สุขุมวิท และเพชรบุรี ได้อย่างรวดเร็ว และสะท้อนทุกมุมมองของการอยู่อาศัย ทั้งรูปแบบห้อง ที่ตั้ง พร้อมคุณภาพของวัสดุระดับพรีเมียมที่มอบให้ผู้อยู่อาศัย รวมทั้งมุมมองวิวสูง 360 องศาของเอกมัย ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปีนี้ โครงการ ซี เอกมัย High Rise คอนโดมิเนียม สูง 44 ชั้น จำนวน 736 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 3,800 ล้านบาท ตั้งอยู่ริมถนนเอกมัย มีห้องพักอาศัยหลายรูปแบบตั้งแต่ 1 ห้องนอนจนถึงห้องใหญ่  PENTHOUSE พื้นที่ใช้สอยขนาด 27-126 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 4 ล้านบาท หรือประมาณ 125,000 บาทต่อตารางเมตร สำหรับผู้ที่หลงใหลการใช้ชีวิตในเมือง ใจกลาง เอกมัย-ทองหล่อ สามารถสอบถามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่ 02-381-5588 หรือ www.cekkamai.com  
The Cube Condo นำ 2 โปรเจคสวยรุกตลาดย่านรามอินทรา@Amorini Mall

The Cube Condo นำ 2 โปรเจคสวยรุกตลาดย่านรามอินทรา@Amorini Mall

The Cube Plus Minburi (เดอะคิวบ์ พลัส มีนบุรี) และ The Cube Station Ramintra 109 (เดอะคิวบ์ สเตชั่น รามอินทรา 109) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ (Low rise) 8 ชั้น 2 ทำเลสวยบนถนนรามอินทรา ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีตลาดมีนบุรีและสถานีบางชัน (ในอนาคต) ผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว (EIA APPROVED) มาจัดบูทประชาสัมพันธ์โครงการตั้งแต่วันนี้ – 3 กันยายน 2560 โซนหน้าร้านสตาร์บัคส์ ณ อมอรินีมอลล์ รามอินทรา (Amorini Mall) พร้อมนำห้องตำแหน่งสวยและเงื่อนไขพิเศษสำหรับผู้ที่ต้องการพักอาศัยเอง หรือต้องการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่จองที่บูท  The Cube Plus Minburi มีขนาดห้อง 24 - 49.5 ตร.ม. เริ่มต้น 1.39 ล้านบาท และ The Cube Station Ramintra 109  มีขนาดห้อง 24 – 34 ตร.ม. เริ่มต้น 1.19 ล้านบาท (ทั้ง 2 โครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้าง) ตกแต่งพร้อมเฟอร์นิเจอร์ (Fully Furnish) ทุกฟังก์ชั่นจาก Modernform พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องออกกำลังกาย ห้องซาวน่า (แยกชาย/หญิง) สวนหย่อม กล้องวงจรปิด (CCTV) Digital door lock (กลอนประตูดิจิตอล) ของซัมซุงทุกยูนิต ระบบคีย์การ์ดทางเข้าอาคาร และลิฟท์แบบคีย์การ์ดล็อคชั้น ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง Wi-Fi อินเตอร์เน็ตที่ล็อบบี้ส่วนกลาง การเดินทางสะดวกติดถนนใหญ่ และใกล้ห้างสรรพสินค้า สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล ร้านอาหาร ตลาด ฯลฯ พบกันได้ที่บูท The Cube Condominium สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 1246  หรือชมห้องตัวอย่างได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุด และติดตามความเคลื่อนไหวทางเฟซบุ๊ค : www.facebook.com/The Cube-Condo และ www.thecube-condo.com