Tag : News

2376 ผลลัพธ์
ศุภาลัย รุกหนักเปิด 3 คอนโดฯใหม่ มูลค่ารวม 5,770 ล้านบาท นำเสนอ 3 แบรนด์ 3 สไตล์ 3 ทำเลฮอตโดนใจคนกรุง

ศุภาลัย รุกหนักเปิด 3 คอนโดฯใหม่ มูลค่ารวม 5,770 ล้านบาท นำเสนอ 3 แบรนด์ 3 สไตล์ 3 ทำเลฮอตโดนใจคนกรุง

บมจ.ศุภาลัย  ลุยเพิ่มคอนโดฯใหม่ 3 โครงการ  มูลค่ารวม 5,770 ล้านบาท ภายใต้ 3 แบรนด์ “ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร” “ศุภาลัย ลอฟท์ สถานีแยกไฟฉาย” และ“ศุภาลัย ปาร์ค สถานีตลาดพลู” บน 3 ทำเลฮอตย่านฝั่งธนบุรี เชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้า พร้อมชูเอกลักษณ์การออกแบบเฉพาะตัว และไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่นแตกต่างกันในแต่ละโครงการ ให้เลือกสรรตรงความชื่นชอบของการอยู่อาศัย นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งเน้นขยายตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ใหม่ๆ ด้วยการพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคในทุกเซ็กเมนต์ และล่าสุดเตรียมพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ในย่านฝั่งธนบุรี พร้อมเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้ จำนวน 3 โครงการ โดยมีเอกลักษณ์การออกแบบ และไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่นแตกต่างกัน บนทำเลที่น่าจับจองเป็นเจ้าของห้องชุดพักอาศัย ภายใต้ 3 แบรนด์ “พรีเมียร์” “ลอฟท์” และ “ปาร์ค” โครงการที่เปิดตัวสู่ตลาดในวันที่ 22 - 24 กันยายนนี้ ณ สำนักงานขาย บริษัทฯ พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมหรู บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ มูลค่า 2,800 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร” ชูคอนเซ็ปต์ “ชีวิตอิสระ ชีวิตที่คุณเลือกได้ กับสุดยอดทำเล ในย่านเจริญนคร-คลองสาน” อาคารพักอาศัย สูง 26 ชั้น 1 อาคาร  โดยมีห้องชุดพักอาศัย 578 ยูนิต ร้านค้า 6 ยูนิต ขนาดห้องชุดตั้งแต่ 1 - 3 ห้องนอน และ Penthouse 4 ห้องนอน ขนาด 34.5 - 331 ตร.ม. ในราคาเริ่ม 3.1 ล้านบาท โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์การออกแบบอาคารที่มีแรงบันดาลใจมาจากเพชร สร้างสรรค์ให้เป็นอาคารสไตล์ Modern รูปตัวแอล ผสมผสานความเรียบหรูด้วยการตกแต่งจากหินอ่อนลายสวย ตัดกับเส้นสายงานดีไซน์ โชว์ความหรูหราได้อย่างลงตัว พร้อมใกล้ชิดธรรมชาติ กับพื้นที่สีเขียวกว่า 2 ไร่ และ Open Space กับสวนลอยฟ้า ที่คำนึงถึงความสุขของการเป็นเจ้าของคอนโดฯ วิวแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างแท้จริง ทำเลติดรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีคลองสาน ทำให้ผู้พักอาศัยเดินทางสู่กลางมหานครได้ง่ายดาย และใกล้ถนนสายหลักอย่างเจริญนคร  สาทร  กรุงธนบุรี  ใกล้ทางด่วน  พร้อมจุดเชื่อมต่อการคมนาคมทางเรือ  อาทิ ท่าเรือคลองสาน ท่าเรือท่าดินแดง ท่าเรือเป๊ปซี่ แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน อาทิ ICONSIAM  The Jam Factory  Asiatique  The Riverside Plaza หรือจะท่องเที่ยวย่านเมืองเก่า ไม่ว่าจะเป็นเยาวราช พาหุรัด ฝั่งธนบุรี และอีก 2 โครงการที่จะเปิดจองพร้อมกัน วันที่ 7 - 13 กันยายน 2560 ที่เดอะมอลล์ ท่าพระ คือ “ศุภาลัย ลอฟท์ สถานีแยกไฟฉาย” คอนโดมิเนียมหรู บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่กว่า มูลค่า 1,170 ล้านบาท สร้างสรรค์โครงการภายใต้แนวคิด “สู่อีกขั้น...ของชีวิตสมบูรณ์แบบ” กับไลฟ์สไตล์ที่คล่องตัวอิสระในทุกมุมมอง กับที่พักอาศัยในบรรยากาศสุดคลาสสิคบนทำเลย่านเมืองกรุงของฝั่งธนบุรี เชื่อมต่อทุกการเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ทั้งรถ เรือ และเข้าสู่ใจกลางเมืองด้วยโครงข่ายรถไฟฟ้า ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีแยกไฟฉาย 350 เมตร และเพียง 9  สถานีเชื่อมต่อรถไฟฟ้า BTS สถานีศาลาแดง  สู่ย่านศูนย์กลางธุรกิจสีลมและสาทร  อีกทั้งติดถนนพระเทพฯ พรานนก – พุทธมณฑล สาย 4 และเชื่อมสู่ถนนสายหลักสำคัญ การออกแบบตัวอาคารสูง 24 ชั้น 1 อาคาร ตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นลอฟท์ ทันสมัย เรียบหรู การออกแบบห้องพักอาศัยเน้นสูง โปร่ง เปิดหน้าห้องให้กว้างเพื่อรับลมและแสงแดดจากธรรมชาติได้ดี อีกทั้งให้ความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนห้องพักอาศัยเพียง 366 ยูนิต ร้านค้า 4 ยูนิต มีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 1 - 2 ห้องนอน 35 - 77.5 ตร.ม. ในราคาเริ่ม 2.17 ล้านบาท ขณะที่ “ศุภาลัย ปาร์ค สถานีตลาดพลู” พัฒนาโครงการบนทำเลพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ มูลค่า 1,800 ล้านบาท ด้วยแนวคิด “The Beginning of next step” ทุกก้าวที่ลงตัว Balance ชีวิตสมบูรณ์แบบ เพื่อให้ผู้พักอาศัยได้ก้าวสู่ทุกความลงตัวของการใช้ชีวิต กับการเดินทางที่คล่องตัวและง่ายดาย เนื่องจากใกล้รถไฟฟ้าสถานีตลาดพลู เพียง 250 เมตร แค่ 4 สถานีถึงสาทร รายล้อมไปด้วยร้านอร่อยขึ้นชื่อย่านตลาดพลู ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง อาคารพักอาศัย สูง 34 ชั้น 1 อาคาร ห้องชุดพักอาศัย 785 ยูนิต ร้านค้า 3 ยูนิต มีพื้นที่ใช้สอยแบบห้องสตูดิโอ - 2 ห้องนอน ขนาด 27.5 – 72.5 ตร.ม. ราคาเริ่ม 1.61 ล้านบาท การออกแบบอาคารให้ผู้พักอาศัยรู้สึกผ่อนคลายกับพื้นที่สีเขียวในแบบ Step Terrace Garden สวนสวยส่วนกลางที่มีมากถึง 7 ชั้น   อีกทั้งอยู่สบายกับอาคารประหยัดพลังงาน  ด้วยกระจกเขียวตัดแสง ใช้หลอด LED ทั้งอาคาร อีกทั้งวางผังโครงการให้แนวอาคารอยู่ห่างจากถนนสายหลัก ลดผลกระทบจากมลภาวะทางเสียงและอากาศ ตลอดจนออกแบบห้องพักเน้นเปิดหน้าห้องให้กว้าง เพื่อสามารถรับลมและแสงแดดจากธรรมชาติได้ดี บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า คอนโดฯใหม่ทั้ง 3 โครงการที่สร้างสรรค์พัฒนาภายใต้ 3 แบรนด์ของศุภาลัย จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเป็นอย่างมาก เพราะเป็นทำเลที่โดดเด่นและมีศักยภาพของการลงทุนเพื่อการอยู่อาศัยในระยะยาวของฝั่งธนบุรี ด้วยการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าที่จะเชื่อมต่อพื้นที่กรุงเทพฯ และฝั่งธนบุรี ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม รถไฟฟ้าสายสีทอง ซึ่งจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการขยายตัวของศูนย์กลางธุรกิจทั้งอาคารสำนักงาน ร้านค้า ร้านอาหาร รวมถึงห้างสรรพสินค้า บนทำเลของฝั่งธนบุรีในอนาคต  สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลโทร. 1720 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.supalai.com Facebook : Supalai Society และ Line : @supalai
“โอเชี่ยน เกท สุพรรณบุรี” ทาวน์โฮมและอาคารพาณิชย์สไตล์โมเดิร์น จากโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ เชื่อมจังหวะอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตที่ลงตัว

“โอเชี่ยน เกท สุพรรณบุรี” ทาวน์โฮมและอาคารพาณิชย์สไตล์โมเดิร์น จากโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ เชื่อมจังหวะอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตที่ลงตัว

“โอเชี่ยน เกท สุพรรณบุรี” โครงการทาวน์โฮม 3 ชั้นสไตล์โมเดิร์นแห่งแรกในจังหวัดสุพรรณบุรี จาก บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ที่มีคอนเซ็ปต์การการออกแบบผสมผสานระหว่างทาวน์โฮมประหยัดพลังงานเพื่อการพักอาศัย และอาคารพาณิชย์สไตล์โมเดิร์นสำหรับประกอบธุรกิจ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครอบครัวยุคใหม่ ตลอดจนนักธุรกิจรุ่นใหม่แบบครบวงจร โครงการ โอเชี่ยน เกท สุพรรณบุรี มูลค่าโครงการรวม 745 ล้านบาท พัฒนาบนที่ดินกว่า 24  ไร่  แบ่งเป็นทาวน์โฮม 3 ชั้นสไตล์โมเดิร์น และอาคารพาณิชย์จำนวนรวม 224 ยูนิต จุดเด่นโครงการ คือ ทำเลที่ตั้ง อยู่บนทำเลศักยภาพถนนหมื่นหาญ ซึ่งเป็นถนนหลักในจังหวัดสุพรรณบุรี ทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส, โรบินสัน, แมคโคร, บิ๊กซี่  สถานศึกษาโรงเรียนสุพรรณภูมิ และโรงพยาบาลพรชัย โอเชี่ยน เกท สุพรรณบุรี แบ่งเป็นทาวน์โฮมแบบบ้าน Neo (นีโอ) 3 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 145 ตร.ม. บนที่ดินเริ่มต้น 17.5 ตารางวา ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พร้อมด้วยบ้านหน้ากว้าง 5 เมตร สามารถจอดรถได้ 2 คัน ทาวน์โฮมสไตล์โมเดิร์นออกแบบให้ใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า มีการใช้กระจกประตูและหน้าต่างบานใหญ่ทำให้ได้ช่องแสงขนาดใหญ่จากภายนอก ช่วยให้ประหยัดพลังงานเพื่อการพักอาศัย และเพิ่มความผ่อนคลายกับบรรยากาศรอบด้าน อีกทั้งยังทำให้ภายในตัวบ้านดูโปร่งโล่งสบาย พร้อมพื้นที่อเนกประสงค์ภายในชั้น 2 ตอบรับความสุขที่สมบูรณ์ของครอบครัวอย่างลงตัว สำหรับอาคารพาณิชย์แบบบ้าน Delight (ดีไลท์) 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 195 ตร.ม. บนขนาดที่ดินเริ่มต้น 23.8 ตร.ว. สะดวกสบายด้วยทำเลคุณภาพตั้งติดถนนใหญ่ โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ทันสมัย ดีไซน์เปิดโล่งให้ความรู้สึกโปร่งโล่งและรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ พร้อมที่จอดรถส่วนกลางรองรับลูกค้าได้เพียงพอต่อความต้องการ รองรับทุกความฝัน และความสำเร็จทางธุรกิจ ลงตัวกับทุกการใช้งานและธุรกิจมากที่สุด โครงการ โอเชี่ยน เกท สุพรรณบุรี ยังใส่ใจในเรื่องโครงสร้างบ้านเพื่อรับทุกการอยู่อาศัยของลูกบ้าน ด้วยการนำนวัตกรรมล่าสุดอย่างหลังคาสกายไลท์ หรือหลังคากระจก ที่ช่วยเพิ่มช่องแสงธรรมชาติภายในบ้าน ทำให้บ้านดูโปร่งโล่งสบายมากยิ่งขึ้น พร้อมระบบไฟฟ้ารูปแบบ LED ไม่มีรังสีอัลตร้าไวโอเลตที่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง มีความทนทาน และยังช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าระหว่างวันทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น พร้อมโครงสร้างหลังคารูปแบบพิเศษรับประกันมาตราฐาน 20 ปี เสริมด้วยเสาเข็มที่มีความยาวเท่ากับตัวบ้าน เพื่อรองรับการต่อเติม และฟังก์ชั่นการใช้งานของลูกบ้านในอนาคต นอกจากนั้นยังทำให้ลูกบ้านอุ่นใจด้วยระบบรักษาความปลอดภัยด้วย ประตูทางเข้าระบบคีย์การ์ด อีกทั้งอุ่นใจด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมมีสวนหย่อมไว้สำหรับลูกบ้านพักผ่อนหย่อนใจและทำกิจกรรมร่วมกันกับคนในครอบครัว สัมผัสประสบการณ์ความลงตัวที่เหนือระดับกับโครงการ “โอเชี่ยน เกท สุพรรณบุรี” ทาวน์โฮมในราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท และอาคารพาณิชย์ราคาเริ่มต้น 4.45 ล้านบาท ตั้งแต่วันนี้ - 30 ก.ย. 2560 คลิกรับสิทธิพิเศษได้ทางเว็บไซต์ http://oceanproperty.co.th/oceangate/index.php/home/register ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับโครงการ โอเชี่ยน เกท สุพรรณบุรี และโครงการต่างๆ ของ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ได้ทางเว็บไซต์ www.oceanproperty.co.th หรือโทร. 02-038-5555 และสอบถามข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/OceanProperty/ อินสตาแกรม https://www.instagram.com/oceanproperty/ ไลน์ @oceanproperty
‘เอพี ไทยแลนด์’ เดินหน้าติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ที่คอนโดเอพี รณรงค์ให้คนไทยตระหนักและพร้อมรับมือ ‘ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน’ มหันตภัยเงียบคร่าชีวิต

‘เอพี ไทยแลนด์’ เดินหน้าติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ที่คอนโดเอพี รณรงค์ให้คนไทยตระหนักและพร้อมรับมือ ‘ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน’ มหันตภัยเงียบคร่าชีวิต

รายแรกในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จัดสรรพื้นที่คอนโดเอพีเป็น “พื้นที่ช่วยชีวิต” ติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ เพื่อคุณภาพชีวิตของลูกบ้านเอพีกว่า 25,000 ครอบครัว เอพีรณรงค์ให้คนไทยเท่าทันและพร้อมรับมือ ‘ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน’ ที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับ 3 รองจากโรคมะเร็ง และอุบัติเหตุ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมืองและคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้า จัดแถลงข่าวเปิดตัวแคมเปญเพื่อสังคม “ขอพื้นที่เล็กๆ ให้หัวใจได้เต้นต่อ” (The Smallest Space to Save Lives) ต่อยอดแนวคิดในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพไปสู่การส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกิดขึ้นในสังคมเอพีและสังคมวงกว้าง ด้วยการตระหนักถึงอันตรายจาก “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” ที่คร่าชีวิตคนไทยได้ในทุกเพศ ทุกวัย ด้วยการเดินหน้าติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (AED) ในคอนโดมีเนียมของเอพีที่ส่งมอบไปแล้ว รวมถึงคอนโดมิเนียมโครงการอื่นๆ ที่บริหารจัดการโดย บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมนเนจเมนท์ จำกัด บริษัทบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ในเครือเอพี รวมทั้งสิ้นกว่า 40 โครงการ คิดเป็นผู้อยู่อาศัยกว่า 25,000 ครอบครัว และเตรียมร่วมรณรงค์ส่งต่อความรู้การกู้ชีพขั้นพื้นฐานก่อนส่งถึงมือแพทย์สู่ประชาชน เพื่อให้ตระหนักและพร้อมรับมือเมื่อพบผู้ประสบภาวะดังกล่าว ทั้งนี้ จากสถิติพบว่าภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันคือสาเหตุการเสียชีวิตสูงสุดอันดับที่ 3 (รองจากมะเร็งและอุบัติเหตุ) คร่าชีวิตคนไทยถึง 54,000 คนต่อปี (เฉลี่ยถึง 6 คนต่อชั่วโมง) ปัจจุบัน  เอพีได้เริ่มทะยอยติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ในคอนโดมีเนียมที่บริหารจัดการโดยทีมเอพีแล้ว โดยแผนจะติดตั้งให้ครบทั้งสิ้นกว่า 40 โครงการที่โอนกรรมสิทธิ์เข้าอยู่แล้ว งานแถลงข่าวครั้งนี้ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) โดย นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม ร่วมกับ พล.ต.ต. นายแพทย์โสภณ กฤษณะรังสรรค์ ประธานมูลนิธิสอนช่วยชีวิตและที่ปรึกษาคณะกรรมการมาตรฐานการช่วยชีวิต สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และบริษัทรักษาความปลอดภัยไทยซีคอม จำกัด รณรงค์ถ่ายทอดความรู้การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support – BLS) สู่สังคม นอกจากนี้ เอพีพร้อมเป็นตัวแทนเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมเปลี่ยนพื้นที่เล็กๆ ให้เป็นพื้นที่ที่สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ ผ่านแคมเปญ “ขอพื้นเล็กๆ ให้หัวใจได้เต้นต่อ” (The Smallest Space to Save Lives) เพื่อนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดของเอพี คือ “การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับสังคมไทย โดยเริ่มต้นที่สังคมเล็กๆ ในโครงการต่างๆ ของเอพี” พร้อมกันนี้ เอพียังได้มอบเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ให้กับศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค ท่าเรือสาทร และศูนย์ประสานงาน อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน เขตธนบุรี เพื่อติดตั้งเป็นสาธารณะประโยชน์ในการช่วยกู้ชีพหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์)  กล่าวว่า “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันสามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า  ผู้ประสบภาวะดังกล่าวควรได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที เพราะมิฉะนั้นอาจถึงแก่ชีวิต บมจ. เอพี เราให้ความสำคัญอย่างมากกับคุณภาพชีวิต และการสร้างคุณค่าให้กับพื้นที่ทุกพื้นที่เพื่อคุณภาพชีวิต เราจึงริเริ่มจัดสรรพื้นที่ 0.1 ตารางเมตรภายในคอนโดของเราเป็น ‘พื้นที่ช่วยชีวิต’ โดยได้เริ่มติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED เพื่อช่วยชีวิตในเบื้องต้นของผู้ที่ประสบภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันก่อนส่งถึงมือแพทย์ ประกอบกับการสนับสนุนด้านข้อมูลพื้นฐานที่ได้รับจากพันธมิตรทางธุรกิจของเอพีอย่าง มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ถือเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตพื้นฐานที่ติดตั้งในพื้นที่ที่มีคนหนาแน่น ทั้งพื้นที่สาธารณะและพื้นที่อยู่อาศัย ซึ่งจากข้อมูลพบว่าประเทศญี่ปุ่นมีเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ติดตั้งมากที่สุดในโลกประมาณ 6 แสนกว่าเครื่อง” “ปัจจุบัน เอพีมีคอนโดที่สร้างเสร็จและบริหารจัดการโดยบริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมนเนจเมนท์ จำกัด บริษัทบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ในเครือเอพีอยู่รวมกว่า 40 โครงการ และราวกว่า 25,000ครอบครัวที่เราดูแล เราจึงไม่ลังเลที่จะติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED เพื่อให้ลูกบ้านรู้สึกอุ่นใจและมั่นใจในคุณภาพชีวิต โดยเราเดินหน้าทะยอยติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED แล้ว และจะติดตั้งให้ครบทั้งหมดกว่า 40 โครงการโดยเร็วที่สุด และสำหรับคอนโดมิเนียมใหม่ที่กำลังจะก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2560 นี้เป็นต้นไป บริษัทก็จะมีการจัดเตรียมพื้นที่สำหรับติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ไว้เช่นกัน ” นายวิทการกล่าว “คอนโดมิเนียมกว่า 40 โครงการที่มีการติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED นั้น จะมีเจ้าหน้าที่ภายใต้การดูแลของบริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมนเนจเมนท์ จำกัด รวมกว่า 300 คน ซึ่งผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support) ที่ได้รับการรับรองจากบริษัทรักษาความปลอดภัย ไทยซีคอม และคณะกรรมการช่วยชีวิต สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยคอนโดมิเนียมในแต่ละโครงการจะมีเจ้าหน้าที่ประจำการและพร้อมให้ความช่วยเหลือหากลูกบ้านของเอพีประสบภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันตลอด 24 ชม.” นายวิทการกล่าวเสริม ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน คือ ภาวะที่หัวใจไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างทันที ซึ่งภาวะนี้เกิดได้กับทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นโรคหัวใจหรือมีโรคประจำตัวอื่น และไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า เมื่อหัวใจหยุดเต้นลงจะไม่มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะใดๆ ในร่างกาย สมองเมื่อขาดเลือดมาเลี้ยงจะหยุดทำงานในทันที ดังนั้นผู้ที่สมองขาดเลือดจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันจะหมดสติลงในเวลาเพียง 10 วินาที ซึ่งผู้ป่วยที่หมดสติควรได้รับการช่วยเหลือภายในระยะเวลา 4 นาที หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ เนื้อสมองจะเริ่มเสียหาย หากผู้ที่อยู่ใกล้เคียงมีประสบการณ์การใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED สลับกับการทำ CPR จะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้มีภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ *จากสถิติที่ประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ที่ประสบภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หากได้รับการช่วยชีวิตภายในระยะเวลา 4 นาทีหลังเกิดเหตุด้วยการทำ CPR (การช่วยฟื้นคืนชีพ หรือปั้มหัวใจด้วยมือ) สลับกับการใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED จะสามารถเพิ่มโอกาสในรอดชีวิตได้มากถึง 50% แต่หากได้รับการช่วยชีวิตด้วยการทำ CPR เพียงอย่างเดียวจะมีโอกาสรอดชีวิตเพียง 27% พล.ต.ต. นายแพทย์โสภณ กฤษณะรังสรรค์ ประธานมูลนิธิสอนช่วยชีวิตและที่ปรึกษาคณะกรรมการมาตรฐานการช่วยชีวิต สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “จากการศึกษาพบว่า การสอนแพทย์กู้ชีพเพียงหน่วยงานเดียวไม่สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้ เนื่องจากภาวะนี้มักเกิดนอกโรงพยาบาล และผู้ป่วยไม่สามารถถึงโรงพยาบาลภายใน 4 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่จะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทัน ดังนั้นการช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน คือการส่งต่อความรู้ให้ประชาชนทั่วไปสามารถทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้เมื่อประสบเหตุ และควรมีอุปกรณ์เครื่อง AED ติดตั้งอยู่ในจุดที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ทันที” “ในฐานะตัวแทนประธานมูลนิธิสอนช่วยชีวิตและที่ปรึกษาคณะกรรมการมาตรฐานการช่วยชีวิต สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ผมขอชื่นชมเอพี (ไทยแลนด์) ที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมไทย โดยการริเริ่มติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED ทำให้สังคมไทยทัดเทียมนานาประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งในพลังขับเคลื่อนสังคมให้เกิดความตระหนักถึงภัยใกล้ตัว ซึ่งถ้าทุกคนมีความรู้ในการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน รู้จักวิธีการโทรขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานเฉพาะด้านซึ่งที่ประเทศไทยคือ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เบอร์ 1669 เราทุกคนสามารถร่วมกันลดปริมาณการสูญเสียได้” พล.ต.ต. นายแพทย์โสภณกล่าวและเสริมว่า “นอกจากอาคารที่พักอาศัยที่มีหลายครอบครัวพำนักอย่างคอนโดมิเนียมแล้ว สถานที่ที่มีผู้คนสัญจรคับคั่งและควรมีการติดตั้ง AED เพื่อช่วยชีวิตด้วย ได้แก่ สนามบิน สถานีขนส่ง ท่าเรือ รถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น” เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ AED เป็นเครื่องที่ใช้กับผู้ที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน โดยเครื่องจะทำการวินิจฉัยคลื่นหัวใจโดยอัตโนมัติและทำการรักษาด้วยการปล่อยกระแสไฟเพื่อกระตุกหัวใจทำให้หัวใจกลับมาเต้นเป็นปกติ เพียงผู้ใช้อุปกรณ์ปฏิบัติตามขั้นตอนตามที่เสียงบรรยายของเครื่อง AED ก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือชีวิตผู้ที่ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) คือ บริษัทพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมดีไซน์เพื่อพื้นที่ใช้สอยที่ไม่จำกัดเพื่อการใช้ชีวิตของคนเมือง ครอบคลุมทั้งมิติด้าน คุณภาพ การบริการ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้าง ‘คุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน โดยเริ่มต้นกับสังคมเล็กๆ ในโครงการต่างๆ ของเอพี เพื่อมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของสังคมไทย’ ติดตามข้อมูลแคมเปญเพิ่มเติมได้ที่ http://www.SmallestSpaceToSavLives.com
บ้านอารียาฯ ชู 4 นวัตกรรมรักษ์โลกเพื่อลูกบ้าน  “สร้างสุขยั่งยืน” บนสังคมคุณภาพ

บ้านอารียาฯ ชู 4 นวัตกรรมรักษ์โลกเพื่อลูกบ้าน “สร้างสุขยั่งยืน” บนสังคมคุณภาพ

เพราะการซื้อบ้าน เท่ากับการซื้อคุณภาพชีวิตที่ดีซึ่งได้มาจากสังคมคุณภาพที่เกิดจากอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคีในชุมชนแห่งการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี สุขภาพที่ดี จึงเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความสุขที่ยั่งยืน“ Sustainable Happiness ” ซึ่งบริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ตระหนักถึงความสำคัญ และยึดถือเป็นหัวใจหลักของนโยบายการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมการก่อสร้างที่อยู่อาศัยคุณภาพมาอย่างยาวนาน “ผมแค่รับผิดชอบในงานของผม เพราะประเทศจะยั่งยืนได้ก็คือการมีความรับผิดชอบ ดังนั้นถ้า ผมทำโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพ ควบคู่ไปกับความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่สำคัญสามารถสร้างชุมชนให้มีปัญหาน้อยได้เยอะเท่าไรก็ช่วยประเทศได้มากเท่านั้น ในขณะที่ลูกบ้านก็จะได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างสมบูรณ์” คำกล่าวของ วิวัฒน์ เลาหพูนรังษี กรรมการบริหาร บริษัทอารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ที่มาของโครงการ “รักษ์โลก รักเรา” หรือ “ Sustainable Happiness” นายวิวัฒน์ กล่าวว่า “โครงการรักษ์โลก รักเรา” ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิด แต่ได้เริ่มนำร่องที่โครงการโซนกาญจนาภิเษก – ราชพฤกษ์ (ไทรน้อย) จำนวน 5 โครงการ ก่อนที่จะขยายไปทุกโครงการใหม่แนวราบของอารียาฯ โดยเน้นใน 5 ด้านหลัก ดังนี้ แปลงปลูกผักปลอดสารพิษ ในโครงการ “ปลูกผัก ปลูกรัก” ซึ่งมาจากแนวคิดการหันกลับมายังรากเหง้าของไทย พื้นฐานของประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่การบริโภคผักในปัจจุบันไม่ปลอดภัยจากการสารพิษ ดังนั้นอารียาฯ จึงเปลี่ยนพื้นที่ส่วนกลางของโครงการมาเป็นสวนผัก เพื่อให้ลูกบ้านได้บริโภคผักปลอดสารพิษที่สดใหม่และตรงความต้องการบริโภค นอกจากนั้นยังแฝงนัยของการสานสัมพันธ์ภาพที่ดีระหว่างคนครอบครัว และระหว่างสมาชิกในหมู่บ้านซึ่งขาดหายไปในสังคมไทยปัจจุบัน เกิดเป็นสังคมแห่งการเอื้อเฟื้อ เพิ่มพลังความสามัคคีและสร้างชุมชนเข้มแข็งโดยการเน้นให้ลูกบ้านมีส่วนร่วมในการเลือกประเภทของผัก การปลูก การดูแล และแบ่งปันผักเพื่อนำไปบริโภค ขณะเดียวกันอารียาฯ เปลี่ยนต้นไม้ยืนต้นภายในโครงการ ซึ่งเดิมเป็นไม้ประดับ 100%  เป็นการเสริมไม้ผลกินได้ อาทิ มะม่วง ชมพู่ ขนุน ขี้เหล็ก แคนา เป็นต้น ซึ่งนอกจากการสร้างสภาพแวดล้อมที่ร่มรื่นแล้วลูกบ้านยังสามารถเก็บผลผลิตที่ได้ไปบริโภคได้อีกด้วย “ภาพของอารียาฯ คือชุมชุนของการแบ่งปัน ซึ่งขณะนี้คนกรุงเทพขาดหายไปมาก โดยโครงการ“ปลูกผัก ปลูกรัก” ได้รับผลตอบรับเกินความคาดหมาย เกิดเป็นความรัก ความเอื้อเฟื้อระหว่างลูกบ้านมีการตั้งกลุ่ม Line เพื่อสื่อสารระหว่างกัน แลกเปลี่ยนความเห็นในการดูแลแปลงผัก การแจ้งข่าวให้มาเก็บผัก เกิดเป็นความเข้มแข็งของเครือข่ายลูกบ้านอย่างยั่งยืนต่อไป” วิวัฒน์ กล่าวและว่า ระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ อารียาฯ จัดให้มีระบบบำบัดน้ำเสีย ที่สามารถนำน้ำเข้าสู่กระบวนการบำบัดพิเศษซึ่งอารียาฯได้พัฒนาขึ้นมา จนได้ค่ามาตรฐานตามกฎกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ โดยมีการติดตั้งระบบให้นำน้ำไปใช้ในสวนส่วนกลาง แปลงผัก ในโครงการ “ปลูกผัก ปลูกรัก” และใช้ประโยชน์อื่น เช่น การล้างถนนทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อลดอัตราการใช้น้ำประปา ซึ่งเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม และลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางของโครงการได้มากถึง 21,600 บาทต่อปีต่อโครงการ การคัดแยกขยะ อารียาฯ มีนโนบายในการรณรงค์และปลูกฝังให้ลูกบ้านตระหนักถึงความสำคัญในการคัดแยกขยะ เพื่อลดปัญหาการจัดเก็บโดยจัดให้มีพื้นที่สำหรับคัดแยกขยะ และอยู่ระหว่างการพัฒนานวัตกรรมการนำขยะเปียกมาผลิตเป็นปุ๋ยพืชสด เพื่อใช้ในโครงการ “ปลูกผัก ปลูกรัก” และสวนสวนกลาง ซึ่งขณะนี้สามารถผลิตปุ๋ยจากขยะเปียกรุ่นแรกและนำไปใช้ได้ดีเกินความคาดหมายในสวนผักส่วนกลาง นอกจากนั้นจะนำขยะที่สามารถนำไปใช้ใหม่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลมาเป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรมเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เสื้อที่ทำจากขวดพลาสติก ชุดโต๊ะนักเรียนที่ทำจากกล่องนม  เพื่อส่งต่อความสุขไปสู่สังคมต่อไป ไฟส่องสว่างด้วยระบบ Solar Call การจัดให้มีไฟส่องสว่างภายในสวนบริเวณส่วนกลาง ทางเดินสวน จากการใช้ ใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนของไฟฟ้าส่องสว่างภายในสวนบริเวณส่วนกลาง เพื่อให้เกิดความยั่งยืนด้านพลังงาน โดยอารียาฯ ประเมินว่าโครงการระบบ Solar Call นี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าประมาณ 18,000 บาทต่อปีต่อโครงการ   เลนจักรยาน สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงของลูกบ้านเป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่อารียาฯ คำนึงถึงเป็นอันดับต้นๆ จึงจัดให้มีเลนจักรยานภายในบริเวณส่วนของถนนส่วนกลางที่มีความปลอดภัย เพื่อรณรงค์สงเสริมให้ลูกบ้านได้ออกกำลังกายง่ายๆ รวมทั้งสามารถใช้เดินทางภายในโครงการแทนการใช้รถยนต์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือสุขภาพที่แข็งแรงและมีส่วนร่วมในการลดมลภาวะของโลกอีกด้วย   วิวัฒน์ กล่าวว่า อารียาฯ ไม่เพียงแต่ขายบ้าน แต่เรารับผิดชอบสังคมและประเทศชาติด้วย ซึ่งถ้าหากสามารถทำให้ชุมชนในโครงการของอารียาฯ มีปัญหาน้อยที่สุด ประเทศไทยก็จะดีขึ้น และสิ่งดีๆ เหล่านี้เป็นความตั้งใจของอารียาฯ ที่จะมอบให้ลูกค้าของอารียาฯ เพราะจุดสูงสุดของการทำธุรกิจฯ ก็คือ “ลูกค้าได้ประโยชน์สูงสุดภายใต้ความสุขที่ยั่งยืนหรือ Sustainable Happiness ” จึงไม่แปลกใจที่อารียาฯ จะให้ลูกค้าเกินคาดหมายเสมอ”
เอสซี แอสเสทฯ เปิดจองบ้านเดี่ยวซีรี่ส์ใหม่ล่าสุด ภายใต้แคมเปญ “Staycation Homes” พร้อมกัน  4 โครงการ เริ่ม 4-60 ลบ. วันที่ 9-10 ก.ย.นี้

เอสซี แอสเสทฯ เปิดจองบ้านเดี่ยวซีรี่ส์ใหม่ล่าสุด ภายใต้แคมเปญ “Staycation Homes” พร้อมกัน 4 โครงการ เริ่ม 4-60 ลบ. วันที่ 9-10 ก.ย.นี้

นิยาม “Staycation Homes” ภายใต้ปรัชญาการออกแบบบ้านซีรี่ส์ใหม่ ที่ให้ความสำคัญเรื่องดีไซน์และคอนเซ็ปต์ผ่านโครงการใหม่ในเฟสแรกจำนวน  4 โครงการด้วยกัน โดยนำ Concept Design ที่มีแรงบันดาลใจในการออกแบบจากเมืองท่องเที่ยวทั่วโลกมาสร้างสรรค์จุดเด่นและสไตล์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละโครงการ รวมถึงการพัฒนาทั้ง Product Design & Common Facility หลายส่วนได้แก่ House Design, Security, Service, Develop Facility & Environment เอสซี แอสเสทฯ  ผู้พัฒนาอสังหาฯ คุณภาพทุกระดับราคา  ที่คำนึงถึงหลัก “Human Centric”  ซึ่งพัฒนาบ้านที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย อีกทั้งแวดล้อมไปด้วยส่วนกลางและสภาพแวดล้อมในบรรยากาศสวยงาม เพื่อให้คุณได้พักผ่อนอย่างแท้จริง นายณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จึงได้นำเรื่องราวทั้งหมดถ่ายทอดสู่ภาพยนตร์โฆษณา เรื่อง “30 Days Around The World” ซึ่งเก็บเกี่ยวและบันทึก  ผ่านประสบการณ์ดีๆ   ซึ่งได้จากเดินทางท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ที่มีวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์  เช่น ประเทศอังกฤษ โมร็อกโก ญี่ปุ่น และนอร์เวย์สู่แรงบันดาลใจการสร้างสรรค์สไตล์บรรยากาศแห่งการพักผ่อน  พร้อมแนวคิดในการพัฒนาแบบบ้านซีรี่ส์ใหม่ที่สวยงามและโดดเด่น สำหรับบ้านเดี่ยวทั้ง 4 โครงการ  ภายใต้แรงบันดาลใจ  “Staycation Homes”  ได้แก่ โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์ (Grand Bangkok Boulevard Srinakarin) คฤหาสน์หรูแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมสไตล์ Moroccan ติดถนนใหญ่ศรีนครินทร์ เยื้องห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีนครินทร์ 38 (อนาคต) สัมผัสกลิ่นอายบรรยากาศแห่ง Marrakesh ตั่งแต่สโมสรของโครงการ กับสระว่ายน้ำ ในร่มดีไซน์หรู พร้อม Sky light และสวนส่วนกลาง Style Moorish Garden ที่ดีไซน์อุโมงค์น้ำพุแนวยาว พร้อมศาลาพักผ่อนกลางสวน พื้นที่โครงการกว่า  37 ไร่ มูลค่า 2,400 ล้านบาท เพียง 73 ยูนิต พร้อมแบบบ้าน 3 แบบ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 390-534 ตรม. เริ่มต้น  25 ล้านบาท โครงการ เวนิว พระราม 5-2 (VENUE Rama 5-2) คอนเซ็ปต์ดีไซน์กลิ่นอายแบบ Modern Japanese เรียบง่ายในสไตล์ญี่ปุ่น5 ทำเลบนถนนนครอินทร์ พื้นที่โครงการกว่า 20 ไร่ มูลค่า 760 ล้านบาท จำนวน 90 ยูนิต พร้อมแบบบ้าน 4 แบบ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 149-349 ตรม. เริ่มต้น 99 ล้านบาท พร้อมกับอีก 2  โครงการใหม่ล่าสุด ได้แก่ โครงการ บางกอก บูเลอวาร์ด รังสิต (Bangkok Boulevard Rangsit) คอนเซ็ปต์ดีไซน์สไตล์ Luxury Nordic บ้านหรูพร้อม Sky Light Living Room โปร่งโล่งพร้อมกระจกทรงสูง  รวมถึงส่วนกลางที่มีเอกลักษณ์  ได้แก่ สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือที่ยาวถึง 25 เมตร ฟิตเนสและสตรีม พร้อม Party Court สำหรับสังสรรค์ และส่วนกลางดีไซน์เป็นแนวยาวพร้อมลู่จักรยาน บนทำเลติดถนนใหญ่รังสิต-นตรนายก พื้นที่โครงการกว่า 36ไร่ มูลค่า 1,000 ล้านบาท เพียง 132 ยูนิต พร้อมแบบบ้าน 3 แบบ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 208-306 ตรม. เริ่มต้น 99 ล้านบาท กับโครงการ เพฟ รามอินทรา-วงแหวน (PAVE Ramintra-Wongwaen) บ้านเดี่ยวในสไตล์ Modern Resort ที่เชื่อมต่อทุกมิติในการใช้ชีวิตแบบ Live Link Layer ในทำเลที่เชื่อมต่อทุกเส้นทาง ใกล้ทางด่วน และรถไฟฟ้า กับการออกแบบที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ สามารถรองรับได้ทุกกิจกรรม อาทิ ว่ายน้ำ ปีนผาจำลอง ฟิตเนส รวมไปถึงCo-Working Space พร้อมฟรี WiFi และสวนส่วนกลางขนาดใหญ่ประมาณ 3 ไร่ รองรับกิจกรรม Outdoor มากมาย บนพื้นที่กว่า 78 ไร่ มูลค่า 1,500 ล้านบาท จำนวน 308 ยูนิต พร้อมแบบบ้าน 3 แบบ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 168-217 ตรม. เริ่มต้น39 ล้านบาท พบกับแคมเปญ  #StaycationHomes การพักผ่อนที่ทำให้คุณไม่อยากออกไปไหนอีก เริ่มต้น 4-60 ล้านบาท พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย วันที่ 9-10 ก.ย.60 ณ สำนักงานขายโครงการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.1749 หรือ www.scasset.com / www.facebook.com/scasset
“ซี เอกมัย” ปลื้ม ได้รับความสนใจทั้งจากชาวไทย- ต่างชาติ กวาดยอดขายแล้วกว่า 80% เตรียมเปิดต่อเนื่องอีก 2 โครงการ มูลค่ากว่า 5 พันล้าน บนทำเลทอง กลางเมือง

“ซี เอกมัย” ปลื้ม ได้รับความสนใจทั้งจากชาวไทย- ต่างชาติ กวาดยอดขายแล้วกว่า 80% เตรียมเปิดต่อเนื่องอีก 2 โครงการ มูลค่ากว่า 5 พันล้าน บนทำเลทอง กลางเมือง

โครงการ “ซี เอกมัย” เผยผลตอบรับโครงการดีเยี่ยมทั้งจากชาวไทย และต่างชาติ ทำยอดขายไปแล้วกว่า 80% หรือ 3,000 ล้านบาท มั่นใจปิดโครงการได้ภายในสิ้นปี พร้อมประกาศเตรียมเปิดตัวอีก 2 โครงการ  มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท บนทำเลทอง ใจกลางเมือง ด้วยกลยุทธ์ในการเน้นศักยภาพของทำเล ในดีไซน์ที่โดดเด่นมีลักษณะพิเศษ และเลือกใช้วัสดุระดับพรีเมี่ยม  นายชัยวัฒน์  จักรแต๋  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะช้อยส์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ซี เอกมัย กล่าวว่า การทำการตลาดของโครงการซี เอกมัย ซึ่งเป็นโครงการแรกของบริษัท ได้สร้างปรากฏการณ์การขายที่ดีเยี่ยม  โดยสามารถสร้างยอดขายไปได้ถึง 80% ยอดขายทั้งหมดมาจากกลุ่มลูกค้าทั้งไทย และต่างชาติ  ซึ่งต่างชาติที่สนใจซื้อโครงการเป็นผลมาจากการออกโรดโชว์ต่างประเทศ ทั้ง ฮ่องกง ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ ทำให้เราได้ยอดขายกลับมาจำนวนมาก ผลจากการสอบถามลูกค้าที่ให้ความสนใจ เพราะโครงการนี้ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ  มีดีไซน์ที่แตกต่างจากแนวความคิด “ปริซึมดีไซน์” วัสดุที่ให้เทียบได้กับคอนโดระดับ Luxury ทำให้ลูกค้าได้สิ่งที่มากกว่าในราคาที่จับต้องได้ บนทำเลที่เรียกได้ว่ามี Captital Gain ที่สูงขึ้นทุกปี ทำให้ตัวโครงการได้รับความสนใจ โดยหลักการพัฒนาโครงการของบริษัทฯ คือ เราใส่ใจในทุกรายละเอียดการออกแบบ คำนึงถึงการใช้ชีวิตของคนอยู่อาศัยเป็นสำคัญ ผ่านกระบวนการคิดไตร่ตรอง และเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดต่อความไว้วางใจของลูกบ้าน เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากผลสำรวจ พบว่าทำเล ทองหล่อ-เอกมัย ถือเป็นทำเลที่คอนโดมิเนียมมีราคาขายเฉลี่ยสูงที่สุดในปี 2559 เกือบ 250,000 บาท/ตร.ม. ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ คอนโดมิเนียมบริเวณนี้สามารถปล่อยเช่า และได้ผลตอบแทนดี ทำให้กำลังซื้อย่านนี้ยังแรงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนราคาขายเฉลี่ยอาจจะปรับเพิ่มต่อเนื่องเช่นเดียวกัน  สำหรับโครงการ ซี เอกมัย ตั้งอยู่บนถนนเอกมัย สามารถเชื่อมต่อถึงใจกลางทองหล่อ สุขุมวิท และเพชรบุรี ได้อย่างรวดเร็ว และสะท้อนทุกมุมมองของการอยู่อาศัย ทั้งรูปแบบห้อง ที่ตั้ง พร้อมคุณภาพของวัสดุระดับพรีเมียมที่มอบให้ผู้อยู่อาศัย รวมทั้งมุมมองวิวสูง 360 องศาของเอกมัย ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปีนี้ โครงการ ซี เอกมัย High Rise คอนโดมิเนียม สูง 44 ชั้น จำนวน 736 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 3,800 ล้านบาท ตั้งอยู่ริมถนนเอกมัย มีห้องพักอาศัยหลายรูปแบบตั้งแต่ 1 ห้องนอนจนถึงห้องใหญ่  PENTHOUSE พื้นที่ใช้สอยขนาด 27-126 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 4 ล้านบาท หรือประมาณ 125,000 บาทต่อตารางเมตร สำหรับผู้ที่หลงใหลการใช้ชีวิตในเมือง ใจกลาง เอกมัย-ทองหล่อ สามารถสอบถามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่ 02-381-5588 หรือ www.cekkamai.com  
The Cube Condo นำ 2 โปรเจคสวยรุกตลาดย่านรามอินทรา@Amorini Mall

The Cube Condo นำ 2 โปรเจคสวยรุกตลาดย่านรามอินทรา@Amorini Mall

The Cube Plus Minburi (เดอะคิวบ์ พลัส มีนบุรี) และ The Cube Station Ramintra 109 (เดอะคิวบ์ สเตชั่น รามอินทรา 109) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ (Low rise) 8 ชั้น 2 ทำเลสวยบนถนนรามอินทรา ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีตลาดมีนบุรีและสถานีบางชัน (ในอนาคต) ผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว (EIA APPROVED) มาจัดบูทประชาสัมพันธ์โครงการตั้งแต่วันนี้ – 3 กันยายน 2560 โซนหน้าร้านสตาร์บัคส์ ณ อมอรินีมอลล์ รามอินทรา (Amorini Mall) พร้อมนำห้องตำแหน่งสวยและเงื่อนไขพิเศษสำหรับผู้ที่ต้องการพักอาศัยเอง หรือต้องการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่จองที่บูท  The Cube Plus Minburi มีขนาดห้อง 24 - 49.5 ตร.ม. เริ่มต้น 1.39 ล้านบาท และ The Cube Station Ramintra 109  มีขนาดห้อง 24 – 34 ตร.ม. เริ่มต้น 1.19 ล้านบาท (ทั้ง 2 โครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้าง) ตกแต่งพร้อมเฟอร์นิเจอร์ (Fully Furnish) ทุกฟังก์ชั่นจาก Modernform พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องออกกำลังกาย ห้องซาวน่า (แยกชาย/หญิง) สวนหย่อม กล้องวงจรปิด (CCTV) Digital door lock (กลอนประตูดิจิตอล) ของซัมซุงทุกยูนิต ระบบคีย์การ์ดทางเข้าอาคาร และลิฟท์แบบคีย์การ์ดล็อคชั้น ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง Wi-Fi อินเตอร์เน็ตที่ล็อบบี้ส่วนกลาง การเดินทางสะดวกติดถนนใหญ่ และใกล้ห้างสรรพสินค้า สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล ร้านอาหาร ตลาด ฯลฯ พบกันได้ที่บูท The Cube Condominium สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 1246  หรือชมห้องตัวอย่างได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุด และติดตามความเคลื่อนไหวทางเฟซบุ๊ค : www.facebook.com/The Cube-Condo และ www.thecube-condo.com
ศุภาลัย เปิดกลยุทธ์รุกตลาดครึ่งปีหลัง มุ่งขยายทำเลใหม่ๆ พร้อมพัฒนาสินค้าและบริการให้โดนใจลูกค้า

ศุภาลัย เปิดกลยุทธ์รุกตลาดครึ่งปีหลัง มุ่งขยายทำเลใหม่ๆ พร้อมพัฒนาสินค้าและบริการให้โดนใจลูกค้า

บมจ.ศุภาลัย มั่นใจกวาดยอดขายได้ตามเป้าหมาย เดินหน้ารุกตลาดในพื้นที่ใหม่ๆ ครอบคลุมทั่วประเทศในทุกทำเลศักยภาพ ควบคู่การพัฒนาสินค้าให้มีความหลายหลาก เตรียมลุยทำเลใจกลางกรุงฝั่งธนบุรี พร้อมขยายตลาดสู่ต่างจังหวัดและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเน้นใช้สื่อออนไลน์และสร้างสรรค์แคมเปญที่เข้าถึงและโดนใจกลุ่มลูกค้ามากขึ้น นายไตรเตชะ  ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท  ศุภาลัย จำกัด  (มหาชน)  กล่าวว่า ในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ (ก.ย.-ธ.ค.) บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 27,000 ล้านบาท โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 17 โครงการ มูลค่า 15,530 ล้านบาท  ด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้ครอบคลุมทั่วประเทศในทุกทำเลศักยภาพ มุ่งขยายตลาดในพื้นที่ใหม่ๆ  ทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัด ควบคู่ไปกับการพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลายครบทุกความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ล่าสุดเตรียมเปิดโครงการใหม่ประเภทคอนโดมิเนียมไปสู่ทำเลใหม่ ใจกลางกรุงฝั่งธนบุรี  จำนวน 3 โครงการ 3 แบรนด์ 3 สไตล์ 3 ทำเลที่โดนใจลูกค้าอย่างแน่นอน อีกทั้งขยายโครงการสู่ตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น เน้นในจังหวัดสำคัญทุกภาค โดยปัจจุบันได้เข้าไปพัฒนาโครงการในจังหวัดเชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี สงขลา ภูเก็ต นครศรีธรรมราช อุดรธานี ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง อุบลราชธานี  และนครราชสีมา ขณะเดียวกันยังคงมุ่งเน้นขยายตลาดต่างประเทศ เช่นการร่วมลงทุนกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศออสเตรเลีย จำนวน 6 โครงการ มีทั้งโครงการบ้านพักริมทะเล และโครงการจัดสรรที่ดิน ซึ่งทุกโครงการหลังจากเปิดขายได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการใช้สื่อออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ไลน์ ยูทูบ เพื่อสื่อสารถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งสร้างสรรค์แคมเปญใหม่ๆ  เพื่อส่งเสริมการตลาดการขายอย่างต่อเนื่อง  อาทิ โปรโมชั่น “ได้บ้าน ได้บิน ฟินไกล ทั่วเจแปน” ร่วมกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มอบอภิสิทธิ์เฉพาะลูกค้าที่จองบ้านหรือคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ทั่วไทยกว่า 80 โครงการของศุภาลัย
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย และ EcoWorld Ballymore จับมือเปิดตัวโครงการ Wardian London เป็นครั้งแรกในเมืองไทยพร้อมแนะการลงทุนอสังหาริมทรพย์ในกรุงลอนดอน

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย และ EcoWorld Ballymore จับมือเปิดตัวโครงการ Wardian London เป็นครั้งแรกในเมืองไทยพร้อมแนะการลงทุนอสังหาริมทรพย์ในกรุงลอนดอน

บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด บริษัทให้คำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก และ EcoWorld Ballymore บริษัทพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากกรุงลอนดอน จะจัดแสดงโครงการ Wardian London ที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 26-27 สิงหาคม พ.ศ. 2560 ณ โรงแรม  เดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ (St. Regis Bangkok) โดยการจัดแสดงครั้งนี้จะแสดงอพาร์ทเมนท์หลากหลายขนาด ได้แก่ ห้องสวีท, 1 และ 2 ห้องนอน, และเพ้นท์เฮาส์ 3 ห้องนอน เปิดขายในราคาเริ่มต้นที่ 650,000 ปอนด์ มาพร้อมกับสวนลอยฟ้า (Sky Garden) ส่วนตัวที่มีความกว้างมากถึง 32.7 ตร.ม. ทางไนท์แฟรงค์ประเทศไทยรู้สึกเป็นเกียรติในการเป็นตัวแทนการเปิดตัวครั้งแรกของโครงการ Wardian London ในประเทศไทย โดยภายในงานลูกค้าจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับกระบวนการซื้อและลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอนอีกด้วย โครงการ Wardian London กลายเป็นสัญลักษณ์ของ EcoWorld Ballymore ด้วยการออกแบบของสถาปนิก Glenn Howells ที่ออกแบบตามความต้องการของผู้ซื้อรุ่นใหม่อย่างถ่องแท้ โดยนำเอาพื้นที่ ( Space ) กับความสงบร่มรื่น ( Tranquillity )รวมไว้ด้วยกันบนสองตึกที่มีความสูง 50 และ 55 ชั้น ในทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง ทำให้ได้โอเอซิสสุดหรูที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านคานารี วอร์ฟ (Canary Wharf) ซึ่งเป็นตัวกำหนดมาตรฐานโครงการที่อยู่อาศัยเมืองใหญ่ในอนาคต โครงการ Wardian London ได้รับแรงบันดาลใจจาก Wardian case ซึ่งเป็นการปฏิวัติการขนส่งพืชสายพันธ์แปลกใหม่ไปทั่วโลก คิดขึ้นโดย Dr. Nathaniel Bagshaw Ward ในศตวรรษที่ 19 แรงบันดาลใจนี้สะท้อนให้เห็นทั่วทั้งพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ จากห้องโถงถึงสระว่ายน้ำกลางแจ้งจะจัดแสดงพืชสายพันธุ์แปลกใหม่กว่า 100 ชนิด และในแต่ห้องได้รับการออกแบบโดยทีมดีไซเนอร์ฝีมือดี ส่วนการตกแต่งภายในใช้งานหัตถกรรมแบบดั้งเดิมเพื่อให้ความรู้สึกถึงความพิถีพิถัน ด้วยวิธีการกั้นขอบเขตความเป็นส่วนตัวของผู้อาศัยกับสวนลอยฟ้า เมื่อเปิดหน้าต่างออกมาจะรู้สึกถึงความลงตัวของพื้นที่และสีสันทั้งด้านนอกและด้านใน สำหรับผู้ซื้อรุ่นใหม่ สิ่งที่มีค่าที่สุดคือเวลา The Gardener เป็นบริการดูแลจัดสวนของ Wardian London ซึ่งเป็นตัวพิสูจน์คอนเซ็ปต์ในการลดความพยายามในการดูแลรักษาสวนลอยฟ้า บริการ The Gardener นำเสนอแพคเกจพืชตามฤดูกาลเพื่อเพิ่มความหลากหลายของดอกไม้ในแต่ละอพาร์ทเมนท์ พร้อมให้คำแนะนำการดูแลจัดสวนที่เหมาะสมแก่ผู้อาศัยเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โครงการ Wardian London ตั้งอยู่ในย่านคานารี วอร์ฟ (Canary Wharf) พื้นที่แนวหน้าที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งอยู่ริมน้ำ ย่านธุรกิจที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ทั้งยังเป็นแหล่งของสำนักงานใหญ่ทางการเงิน สื่อ และเทคโนโลยีต่างๆ  ปัจจุบัน คานารี วอร์ฟ (Canary Wharf) เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่มีชื่อเสียงของยุโรป อย่างไรก็ตามย่านคานารี วอร์ฟ ไม่เพียงแค่เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจเท่านั้น ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา ด้วยความหลากหลายของสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และมีสถานที่พักผ่อนที่เป็นเอกลักษณ์ สำหรับผู้หลงใหลในวัฒนธรรม โครงการ Wardian London ใช้เวลาเดินเพียง 13 นาทีไปยังพิพิธภัณฑ์ลอนดอนในเขตตะวันออกของเมือง และหอศิลป์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังมีลานสเก็ตน้ำแข็งในหน้าหนาวและคอนเสิร์ตกลางแจ้ง, ตลาดอาหาร และงานแสดงสินค้าในหน้าร้อน ย่านคานารี วอร์ฟ มีกิจกรรมอื่นๆอีกมากมายที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกความสนใจ พื้นที่สีเขียวไม่เพียงจำกัดเฉพาะที่สวนลอยฟ้าที่เป็นเอกลักษณ์ในโครงการ Wardian London ยังมีสวน Jubilee Park ที่ตั้งอยู่ห่างจากการโครงการเพียงไม่กี่นาทีที่จะช่วยหลบจากความวุ่นวายของเขตธุรกิจในย่านคานารี วอร์ฟ ผู้อาศัยในโครงการ Wardian London จะกลายเป็นสมาชิกของ The Wardian Club ซึ่งอนุญาตให้เข้าใช้สิ่งอำนวยความสะดวกพิเศษต่างๆได้ตลอด ได้แก่ สระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาด 25 เมตร, โรงยิม, โรงหนัง, ร้านอาหาร 2 แห่ง และหอดูดาว รวมทั้งบริการเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง โครงการนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีระบบการเดินทางเชื่อมต่อที่ดีเยี่ยม โดยตั้งอยู่ห่างจาก Cabot Square ด้วยการเดินเพียง 3 นาที และมีเส้นทางการขนส่งไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆทั่วเมืองและสนามบินกรุงลอนดอน เส้นทางที่ไปยังในหลายๆทวีป อีกทั้งมีโครงการสร้างทางรถไฟ (Crossrail) ในปี 2561 จะช่วยปรับปรุงการเชื่อมต่อได้มากยิ่งขึ้นลดเวลาการเดินทางลง เชื่อมโยงกับย่านคานารี วอร์ฟ รวมไปถึงแหล่งธุรกิจที่สำคัญ ๆ ของ London Dato 'Teow Leong Seng CEO ของ EcoWorld International ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเปิดตัวครั้งนี้ไว้ว่า "เรารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่สามารถบรรลุเป้าหมายโครงการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะอย่างโครงการ Wardian London แนวคิดนี้ได้มาจากการรับฟังความต้องการของผู้ซื้อ และเรามั่นใจว่าโครงการนี้จะมีความสอดคล้องในตลาดต่างประเทศด้วยเช่นกัน" Emma Colin หัวหน้าฝ่ายขายของ Ballymore กล่าวเสริมว่า "โครงการนี้ได้แรงบันดาลใจจากสวน Wardian London ที่ซึ่งได้เป็นมาตรฐานให้กับโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆในกรุงลอนดอน การสร้างพื้นที่สีเขียวทั่วทั้งโครงการจัดเป็นจุดเด่นสำคัญของโครงการพัฒนาของ EcoWorld Ballymore ทั้งหมด และเรายินดีที่จะนำเสนอแนวคิดนี้ไปยังทั่วโลก" แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ตลาดอสังหาฯในกรุงลอนดอนยังคงมีศักยภาพการลงทุนที่สูงมากแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นศูนย์กลางทางการลงทุนที่มีระบบการเงินที่มั่นคง และมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี อาทิเช่น โครงการสร้างทางรถไฟในอนาคตที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคมปี 2562 ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อการเดินทางทั่วกรุงลอนดอน นอกจากนี้ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่เป็นที่พอใจในตลาดผู้ซื้อ ส่งผลให้กรุงลอนดอนมีศักยภาพการลงทุนสูงมาก Raul Cimesca พาร์ทเนอร์จากไนท์แฟรงค์ ลอนดอน กล่าวว่า "ในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมาย่านคานารี วอร์ฟ เปลี่ยนแปลงไปด้วยแผนพัฒนาขนาดยักษ์ใหญ่ และในตอนนี้ได้แซงหน้ากรุงลอนดอนไปแล้วในฐานะเป็นย่านธุรกิจทางการเงินของยุโรป"
ศุภาลัย สานต่อความสำเร็จสู่เมืองอีสาน เปิดโครงการ ศุภาลัย พรีโม่ อุบลราชธานี ทำเลใหม่ วารินชำราบ กระแสตอบรับดี

ศุภาลัย สานต่อความสำเร็จสู่เมืองอีสาน เปิดโครงการ ศุภาลัย พรีโม่ อุบลราชธานี ทำเลใหม่ วารินชำราบ กระแสตอบรับดี

บมจ.ศุภาลัย โดย นายบุญชัย  ชัยอนันต์บวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานโครงการภูมิภาค 2 เปิดโครงการ ศุภาลัย พรีโม่ อุบลราชธานี บ้านเดี่ยวประหยัดพลังงาน และทาวน์โฮมใหม่ สไตล์โมเดิร์น มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการประมาณ 25 ไร่ จำนวน 171 แปลง ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท โดยได้รับกระแสตอบรับ และความเชื่อมั่นในมาตรฐานศุภาลัยทั้งจากลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่เป็นอย่างดี ทั้งนี้ยังได้รับเกียรติจาก นายทรงกรด ไกรกังวาร นายกเทศมนตรีตำบลแสนสุข พร้อมด้วยตัวแทนสมาคมผู้สื่อข่าว จ. อุบลราชธานี และธนาคารสินเชื่อมาร่วมแสดงความยินดี ณ ศุภาลัย พรีโม่ อุบลราชธานี (วารินชำราบ)
แมกโนเลียฯ ปักธงผู้นำคอนโดมิเนียมระดับคุณภาพ เปิดตัว “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์นิวเจนฯ

แมกโนเลียฯ ปักธงผู้นำคอนโดมิเนียมระดับคุณภาพ เปิดตัว “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์นิวเจนฯ

ที่สุดแห่งความสะดวกด้านการเดินทาง ติดรั้ว MRT สถานีลาดพร้าว ใส่ใจคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยด้วยการออกแบบที่เน้นเรื่องการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยพื้นที่สีเขียวทั้งบนดินและสวนลอยฟ้าขนาดใหญ่กว่า 1,700 ตรม. ตอบโจทย์นิวเจนฯด้วย customer activities ทุกแง่มุมของชีวิต & Sense of Living ล้ำด้วยคุณภาพโครงสร้างอาคารที่รับประกันนานถึง 30 ปี พร้อมส่งมอบด้วย Zero Defects Delivery และสิทธิพิเศษวันนี้ถึง 30 กันยายน 2560 บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัดหรือ MQDC หนึ่งในผู้นำธุรกิจพัฒนา ลงทุน และจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยทั้งแบบบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม และโครงการมิกซ์ยูส ภายใต้แบรนด์ แมกโนเลียส์ และ วิสซ์ดอม ปักธงผู้นำคอนโดมิเนียมระดับคุณภาพ โดยเปิดตัว “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” (Whizdom, Avenue Ratchada-Ladprao) ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์นิวเจนฯ ที่เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัยเพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ด้วยทำเลที่ติดกับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลาดพร้าว โดยโครงการวิสซ์ดอมฯ ลาดพร้าว ใส่ใจคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ด้วยการออกแบบที่เน้นเรื่องการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยพื้นที่สีเขียวทั้งบนดินและสวนลอยฟ้าขนาดใหญ่กว่า 1,700 ตรม. พร้อมตอบโจทย์นิวเจนฯด้วย customer activities ที่มีกิจกรรมหลากหลาย และ Sense of Living ตอบสนองทุกแง่มุมของการใช้ชีวิต พร้อมรับประกันโครงสร้างอาคาร-การใช้งานและการรั่วซึมของน้ำฝน บานวงกบ ประตู และหน้าต่าง นานถึง 30 ปี และเสริมทัพด้วย Zero Defects Delivery พร้อมส่งมอบความสมบูรณ์แบบให้ลูกค้าและสิทธิพิเศษส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท วันนี้ถึง 30 กันยายน 2560 นายอัษฎา แก้วเขียว ประธานผู้อำนวยการ-วิสซ์ดอม บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวถึง “โครงการ วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” ว่า “เราเจาะกลุ่มเป้าหมายคนเมืองและคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย และพิถีพิถันในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง โดยมี 5 ปัจจัยหลักที่ตอบโจทย์  ได้แก่ ทำเลของโครงการถือว่าอยู่ใน The best location ด้วยที่ตั้งของโครงการติดกับสถานี MRT ลาดพร้าว ทางออกหมายเลข 1 ซึ่งถือว่าเป็น One Step จากรถไฟฟ้าอย่างแท้จริง และในอนาคตอันใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่จะเชื่อมต่อการคมนาคมเส้นลาดพร้าวไปยังสำโรงอีกด้วย โครงการตั้งอยู่บนถนนลาดพร้าว แยกรัชดา-ลาดพร้าว ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพแห่งหนึ่งของกรุงเทพที่ใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่าง อาทิเช่น ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ โรงเรียน โรงพยาบาล และยังเป็นทำเลที่ถูกเรียกว่าเป็นใจกลางธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) ของกรุงเทพฯ ที่เชื่อมต่อถนนรัชดาภิเษก-พระราม 9 และสามารถเชื่อมต่อไปยั่งพื้นที่อื่นๆได้สะดวก-รวดเร็วอีกด้วย รับประกันนานถึง 30 ปี (ซึ่งถือเป็นผู้นำธุรกิจอสังหาฯ รายแรกที่กล้าให้การประกันคุณภาพยาวนานที่สุด) โดยรับประกันด้านคุณภาพโครงสร้างอาคาร ใน 4   เรื่องหลัก รอยร้าว และกำลังคอนกรีต เสา คาน พื้น เรื่องความแข็งแรงทั่วไปและการรั่วซึมของหลังคาและดาดฟ้า การรั่วซึมของท่อน้ำในระบบประปาและสุขาภิบาล การรั่วของกระแสไฟฟ้า การใช้งานและการรั่วซึมของน้ำฝน ของบานวงกบ ประตู และหน้าต่าง การออกแบบอย่างพิถีพิถันและใส่ใจในทุกรายละเอียด ผสมผสานการวิจัยและพัฒนา เข้ากับการดีไซน์ และความใส่ใจในเรื่องการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม ออกแบบตามมาตรฐาน “สถาบันอาคารเขียวไทย” (Thai Green Building Institute) เพื่อนำเสนอโครงการคุณภาพที่ตอบสนองทุกฟังก์ชั่นของชีวิต และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในทุกวัน อาทิ รูปแบบและการจัดวางพื้นที่ภายในห้องพักสอดคล้องกับหลักสรีระศาสตร์เหมาะสมกับระยะร่างกายของมนุษย์เพื่อความสะดวกสบายสำหรับทุกกิจกรรม อยู่สบายและไม่รู้สึกอึดอัด การวางตำแหน่งไฟ ตำแหน่งแอร์ที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย ทิศทางการวางตำแหน่งตัวตึกสอดคล้องกับทิศทางแสงอาทิตย์และทิศทางลม เพื่อลดความร้อน และเพิ่มการหมุนเวียนถ่ายเทของอากาศภายในห้องพัก เป็นการช่วยประหยัดพลังงาน และเพิ่มความสบายให้ผู้อยู่อาศัย การจัดวางห้องพักซึ่งเริ่มต้นที่ชั้น 5 เพิ่มความเป็นส่วนตัวและห่างไกลจากเสียงรบกวน มีการออกแบบสวนและแนวต้นไม้ช่วยบังแนวเสียงและฝุ่นละอองในอากาศที่จะพัดเข้าสู่ตัวอาคาร เป็นต้น customer activities/services เป็นกิจกรรมที่ตอบสนองคนรุ่นใหม่ (New Generation) ที่มีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบตอบสนองคน WHIZDOM ทุกแง่มุมของชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่ององค์ความรู้ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตการทำงาน Entertainment สุขภาพ Networking, knowledge sharing และอื่นๆ นอกจากนี้เรามีการเพิ่ม Senses ของการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง หรือ “Sense of Living” การใส่ใจด้านการอยู่อาศัยจริงของคนปัจจุบันที่อาศัยอยู่คอนโด อาทิเช่น การเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้าน เช่น พื้นที่สำหรับล้างรถ ที่ชงชากาแฟที่ล็อบบี้ เตา BBQ เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญพร้อมที่อบผ้า อุปกรณ์ปฐมพยาบาล First aid kit, อุปกรณ์ซ่อมบำรุง Maintenance box ที่ลูกค้าใช้ได้ง่ายๆ และอื่นๆ เสริมทัพด้วย Zero Defects Delivery เป็นการรับประกันว่าลูกค้าสามารถตรวจรับห้องได้ด้วยความพึงพอใจที่สุด ด้วยการใช้ technology ต่างๆมาช่วยตั้งแต่ขั้นตอนแรก เช่นการออกแบบ เราออกแบบเพื่อลดสิ่งที่จะก่อให้เกิด defects ตั้งแต่แรกและด้วยการนำ BIM (Building Information Model) มาใช้เพื่อขึ้นรูปแบบ 3 มิติก่อนสร้างจริง พร้อมทั้งขั้นตอนการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพงานก่อสร้างในทุกขั้นตอนโดยทีม MQDC ด้วยเครื่องมือการตรวจสอบที่มีความแม่นยำสูงและทันสมัย ลดงาน re-work ที่อาจจะกระทบงานตกแต่งอื่นๆ การติดตามงานแก้ไข ด้วยโปรแกรม "Novade” ซึ่งเป็นโครงการแรกของประเทศไทยที่นำโปรแกรมนี้มาใช้ในการตรวจ defects นอกจากนี้ นายอัษฎา แก้วเขียว ยังกล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีแรก2560 ว่า  “ภาพสรุปของอสังหาฯในกรุงเทพ ครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการขยายตึกต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาจากหลายปัจจัย อาทิเช่น การลงทุนโครงการรถไฟฟ้าหลายสายของภาครัฐ การเร่งเปิดตัวของผู้ประกอบการหลายราย โดยที่ตลาดคอนโดมิเนียมเป็นตลาดหลักที่ใหญ่ที่สุดประมาณ 60% ของตลาดรวม ในอีกด้านหนึ่งคือการขยายตัวของภาคอสังหาฯ ก็คือ ราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลโดยตรงต่อราคาที่อยู่อาศับ จากสภาวะปัจจุบันโอกาสในการเกิดโครงการในเมืองลดลงแต่การเปิดโครงการมากขึ้นในบริเวณส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าต่างๆ  ทิศทางการพัฒนาที่เกิดขึ้นในกรุงเทพและปริมณฑลได้เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและรูปแบบการอยู่อาศัยของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง” “สำหรับการวางแผนธุรกิจของ MQDC ในส่วนของ Whizdom Project ในครึ่งปีหลัง เรามุ่งเน้น การส่งมอบคุณภาพการอยู่อาศัย”ของโครงการ Whizdom ลาดพร้าว มูลค่ากว่า 2,700 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ผ่านมานั้นได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม เช่น โครงการวิสซ์ดอม รัชดา-ท่าพระ หลังจากเปิดตัวไปเดือนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมา  มียอดจองกว่า 90% และปัจจุบันได้ปิดยอดจองไปแล้ว ส่วนโครงการวิสซ์ดอม รัชดา-ลาดพร้าว แห่งนี้ ถือว่าเราประสบความสำเร็จ มียอดจองไปราว 90% เหลือเพียง 10% เท่านั้น และขณะนี้ก็เป็นการทยอยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด คาดว่าจะหมดเร็วๆนี้ โดยเราจะทำการเปิดตัวครั้งแรกในงาน Whizdom Avenue Ratchada-Ladprao Grand Opening ในวันที่ 2 กันยายน 2560 นี้ ซึ่งเรามีห้องตัวอย่างถึง 7 แบบ เพื่อให้ลูกค้าเลือกชมเป็นไอเดียการตกแต่งห้องตามความชอบ โดยร่วมกับแบรนด์ CK furniture ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับโลกที่จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ เรามีการทำ Co-branding แพคเกจ furniture “Fully furnished by CK furniture” อีกด้วย  
SENA ลุยเปิดครึ่งปีหลัง 3 โครงการรวด รวมมูลค่า 4,868 ล้านบาท พร้อมปล่อยโฆษณาชุดใหม่ “หัวคิดหัวใจ” ตอกย้ำภาพลักษณ์องค์กร

SENA ลุยเปิดครึ่งปีหลัง 3 โครงการรวด รวมมูลค่า 4,868 ล้านบาท พร้อมปล่อยโฆษณาชุดใหม่ “หัวคิดหัวใจ” ตอกย้ำภาพลักษณ์องค์กร

SENA ไฟเขียวจ่ายเงินปันผล  0.05455 บาท/หุ้น แย้มไตรมาส 3/60 ลุยเปิดโครงการใหม่รวดเดียว 3 โครงการ รวมมูลค่า 4,868 ล้านบาท มั่นใจโค้งสุดท้ายปลายปีรายได้ตามเป้า ล่าสุด เตรียมเปิดแคมเปญใหม่ “หัวคิดหัวใจ” ปี 2 ภาพยนตร์โฆษณาชุด “แนนซี่” จ่อ On Air พร้อมกันทั้งประเทศ 25 ส.ค. นี้ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย และในฐานะ Developer รายแรกที่พัฒนาโครงการบ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่า ทางบริษัทมีความพร้อมในการผลักดันและสร้างการเติบโตในธุรกิจอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่องทุกรูปแบบทั้งการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์,ธุรกิจโซลาร์และการร่วมมือกับพันธมิตรในการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยล่าสุด คณะกรรมการมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในบริษัทฯ ในอัตราหุ้นละ 0.05455 บาท สำหรับหุ้นสามัญของบริษัทจำนวน 1,214,442,959 หุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 66,247,863 บาท ทั้งนี้ เงินปันผลดังกล่าวจะจ่ายจากกำไรสุทธิส่วนที่บริษัทเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 20 ซึ่งผู้รับเงินปันผลเป็นบุคคลธรรมดาจะได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 และให้รวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นตามมาตรา 225 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 28 สิงหาคม 2560 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในวันที่ 8 กันยายน 2560 ด้านผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/2560 ทั้งรายได้และกำไรลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมียอดโอนจากโครงการ นิช โมโน รัชวิภา ในช่วงครึ่งปีแรก รวมถึงในช่วงเวลาดังกล่าวยังมีมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐด้วยการปรับลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์จาก 2% เหลือ 0.01% และค่าธรรมเนียมการจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม  อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity ratio : D/E) เท่ากับ 1.33 ซึ่งบริษัทยังคงสามารถดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไว้ได้ตามที่กำหนด ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 / 2560 จะมีรายได้จากค่าเช่าและบริการจากการรับจ้างบริหารโครงการในนาม บริษัท เสนา แมเนจเม้นท์ จำกัด ด้วย สำหรับปีนี้ ทางบริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 20%  โดยตั้งเป้ารายได้รวม 4,500 ล้านบาท และยอดขายอยู่ที่ 4,600 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก มียอดโอนเข้ามาแล้วกว่า 2,000 ล้านบาท และยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) อีกกว่า 3,600  ล้านบาท  ซึ่งจะเป็นยอดที่รอรับรู้รายได้ปีนี้ประมาณ 3,000 ล้านบาท  จากการโอนโครงการ นิช ไพรด์ ทองหล่อ – เพชรบุรี โครงการ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113 โครงการ นิช โมโน บางนา เฟส 3 อีกทั้งบริษัทฯมีแผนเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลังเพื่อสะสมยอดขายรอโอนสำหรับปี 2561 ทั้งนี้ ตามแผนดำเนินงานของบริษัททั้งปี จะเปิดโครงการทั้งสิ้น 10 โครงการ  มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากช่วงไตรมาส 4/2560 จะมีการประกอบพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯรัชกาลที่ 9 จึงไม่เหมาะที่บริษัทจะทำการตลาดในช่วงไตรมาส 4 จึงเลื่อนเปิดโครงการ 1 โครงการออกไปในช่วงปี 2561 แทน ซึ่งทำให้ทั้งปีนี้ ทางบริษัทเปิดโครงใหม่รวมทั้งสิ้น 9 โครงการ รวมมูลค่า 9,031 ล้านบาท  โดยในช่วงครึ่งปีแรก เปิดโครงการไปแล้ว 3 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 2,113 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการ เดอะ คิทท์ ไลท์ บางกระดี ติวานนท์ เฟส 2 มูลค่าโครงการ 367 ล้านบาท 2.โครงการ นิช โมโน สุขุมวิท 50  มูลค่าโครงการ 1,154 ล้านบาท และ 3.โครงการ นิช ไอดี สุขุมวิท 113 มูลค่าโครงการ 592 ล้านบาท ขณะที่แผนในครึ่งปีหลัง ทางเสนาฯ เปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 6 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 6,918 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้เปิดตัวโครงการไปแล้ว 2 โครงการ คือ โครงการนิช ไอดี @ ปากเกร็ด สเตชั่น  เป็นคอนโดมิเนียมสูง 35 ชั้น  จำนวน 857 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาทและโครงการ เสนา ช้อปเฮ้าส์ บางแค อาคารพาณิชย์ 3.5 ชั้น มูลค่าโครงการ 460 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมาได้เปิดตัวโครงการ  เสนา ช้อปเฮ้าส์ พหลโยธิน –คูคต อาคารพาณิชย์ 3.5 ชั้น มูลค่าโครงการ 190 ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3/2560 เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่พร้อมกัน 3 โครงการรวด รวมมูลค่าทั้งสิ้น 4,868 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. โครงการ เดอะ คิทท์ พลัส พหลโยธิน –คูคต  เป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น 2  อาคาร ทั้งหมด 728 ยูนิต (เฟสละ 364 ยูนิต) ราคาเริ่มต้น 1.1 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 483 ล้านบาท 2.โครงการ เสนา อีโคทาวน์ – รามอินทรา– วงแหวน คอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ สูง 5 ชั้น จำนวน 20 อาคาร ทั้งหมด 480 ยูนิต ราคาเริ่ม 1.59 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการกว่า 985 ล้านบาท และ 3.โครงการ นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่ง คอนโดมิเนียมไฮไลท์ สูง 33 ชั้น ทั้งหมด 1,467 ยูนิต ราคาเริ่ม 2.3 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 3,400 ล้านบาท ขณะเดียวกันแผนการดำเนินงานในปีนี้ SENA ยังคงมุ่งเน้นการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนาสินค้าและบริการของเราให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น ปีนี้เสนา เราทำงานภายใต้ธีม" Eco Innovation" ซึ่ง หมายถึง ลบ 2 บวก 1 เพราะ Eco คือการประหยัดพลังงาน และประหยัดเวลา Innovation คือการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาสิ่งที่เราทำอยู่แล้วให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น และพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อลูกค้า ซึ่งมีที่เสนาทำไปบ้างแล้วคือการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแผลโซลาร์ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเป็นพลังงานสะอาด การทำแอพพลิเคชั่น SENA 360 SERVICE ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการหลังการขายของบริษัทได้โดยง่าย ซึ่งในปี 2560 เรามีแผนการพัฒนาแอพพลิเคชั่นให้ตอบโจทย์ลูกค้าให้สูงสุดให้ลูกค้าประหยัดพลังงาน และประหยัดเวลา รวมทั้งเราจะเพิ่มประสิทธิภาพของแอพพลิเคชั่นให้มีบริการที่ครบวงจรยิ่งขึ้น เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ทันการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคดิจิทัล นอกจากนี้ ทางเสนายังได้เตรียมแผนรุกตลาดเพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ให้กับองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ได้ออกแคมเปญใหม่ “หัวคิดหัวใจ” ปี 2 พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา ชุด “แนนซี่” ภายใต้แนวคิด เพื่อการบริการที่ดีให้กับลูกค้าได้ภูมิใจ ถ่ายทอดเรื่องราวจากพนักงานของเสนาที่พร้อมบริการด้วยหัวใจ ยอมก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ ทำทุกอย่างเพื่อได้ความไว้วางใจจากลูกค้า เตรียมพบกับแคมเปญใหม่ “หัวคิดหัวใจ” ภาพยนตร์โฆษณา ชุด “แนนซี่” จากบริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้ทางออนไลน์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนทางโทรทัศน์ สามารถรับชมพร้อมกันทั้งประเทศได้ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคมนี้
MQDC พัฒนานวัตกรรมหุ่นยนต์อัจฉริยะ

MQDC พัฒนานวัตกรรมหุ่นยนต์อัจฉริยะ

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในระดับสากล เผยเทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่พัฒนามาเพื่อโครงการที่อยู่อาศัย โดยบริษัทร่วมพัฒนาในบริษัทหุ้นส่วน Obodroid เตรียมเริ่มใช้งานหุ่นยนต์ที่โครงการ วิสซ์ดอมอเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว และจะมีการเปิดตัวต่อสาธารณะในไตรมาส 4 ปีนี้ จะมีการเปิดตัวหุ่นยนต์ รปภ เป็นกลุ่มแรก แต่ MQDC และ Obodroid มีแผนที่จะพัฒนาระบบดูแลที่จอดรถอัตโนมัติและหุ่นยนต์บัตเลอร์ในอนาคต หุ่นยนต์ รปภ มีความสูงราว 150 ซม. เพื่อที่จะทำให้มีรูปลักษณ์ที่ดูจริงจังและน่าเชื่อถือมากขึ้น “หุ่นยนต์เหล่านี้ไม่สามารถจับผู้ร้ายได้ แต่สามารถส่งสัญญาณแจ้งเหตุ บันทึกภาพ และติดตามเป้าหมาย เพื่อที่จะช่วยผู้คนในเหตุฉุกเฉินได้” นายพลณัฏฐ์กล่าว การทดสอบหุ่นยนต์สูง 90 ซม. ที่งาน TEDx ที่จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ Siam One ได้รับการตอบรับที่ดีมาก คุณพลณัฏฐ์ เฉลิมวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Obodriod กล่าว “เราได้ทดสอบลักษณะการตอบสนอง 4 รูปแบบของหุ่นยนต์ เพื่อดูว่าผู้คนจะมีการตอบสนองอย่างไร เราพบว่าหุ่นยนต์สามารถเข้ากับผู้คนได้ดี และผู้เข้าร่วมงาน TEDx ก็ชอบเล่นและสื่อสารพูดคุยกับหุ่นยนต์ของเรา” ดร. มหิศร ว่องผาติ ผู้ร่วมก่อตั้ง HG Robotics กล่าวว่า หุ่นยนต์ในที่อยู่อาศัยนั้นได้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่มีการใช้ในกิจกรรมทางการทหารมาก่อน ดร. มหิศร ว่องผาติ ผู้ร่วมก่อตั้ง HG Robotics กล่าวว่า หุ่นยนต์ในที่อยู่อาศัยนั้นได้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่มีการใช้ในกิจกรรมทางการทหารมาก่อน “เราเคยสร้าง เครื่องบินไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicles: UAVs) ขนาด 6 เมตร ให้กองทัพไทยโดรนไร้คนขับ และเรือไร้คนขับมาก่อน เรามองว่าหุ่นยนต์ทั้งหมดถูกสร้างมาจากระบบควบคุมและสังเกตุการณ์แบบเดียวกัน” “สำหรับหุ่นยนต์ในที่อยู่อาศัย นายมหิศรกล่าวถึงงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า รปภ มีหน้าที่มากกว่าการรักษาความปลอดภัยในคอนโด รปภ มีหน้าที่หลายอย่างมาก รวมถึงการช่วยโบกรถ ถ้ามีคนจอดผิดที่หรือขวางรถคันอื่น” นายมหิศรกล่าว สำหรับหุ่นยนต์ รปภ ของ MQDC มารยาทถือเป็นสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน “การปรับให้หุ่นยนต์เข้ากับวัฒนธรรมของท้องถิ่นนับเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ หุ่นยนต์ไทยต้องสุภาพ อย่างโรงแรมหรูๆ นั้นปรกติมีป้ายน้อยทำให้แขกต้องคอยสอบถามข้อมูลต่างๆ จากพนักงาน ซึ่งหุ่นยนต์สามารถทำงานนี้ได้เป็นอย่างดี” นายมหิศรกล่าว คุณมหิศร ได้ลงแข่งขันหุ่นยนต์ตั้งแต่ยังศึกษาในระดับปริญญาตรี และได้สำเร็จการศึกษาปริญญาเอกในสาขาที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์ เขาได้ทำงานกับบริษัท NDR ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาระบบจักรกล และ Toshiba TEC เพื่อพัฒนาระบบหุ่นยนต์รถเข็นซื้อของที่ประเทศญี่ปุ่นเขากล่าวว่า “ผมอ่านหนังสือการ์ตูนโดราเอมอนตอนเด็กๆ และผมอยากได้เป็นของผมเองซักตัว” “ปัจจุบัน กว่า 20-30% ของของวิเศษของโดราเอมอนนั้นได้เกิดขึ้นจริงในโลกทุกวันนี้แล้ว เราจะมีหุ่นยนต์บัตเลอร์ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า” MQDC กำลังลงทุนในเทคโนโลยีหุ่นยนต์ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นนโยบายที่บริษัท ฯ ยึดมั่น โดยมีจุดมุ่งหมายหลัก เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ที่ดีแบบยั่งยืน  
“ORI” ดึงโนว์ฮาวญี่ปุ่น “Luxmore” สร้างมิติใหม่การอยู่อาศัย โนมูระร่วมทุนตะลุยยาวอสังหาฯไทยครบวงจร

“ORI” ดึงโนว์ฮาวญี่ปุ่น “Luxmore” สร้างมิติใหม่การอยู่อาศัย โนมูระร่วมทุนตะลุยยาวอสังหาฯไทยครบวงจร

“ออริจิ้น” ผ่าแผนร่วมมือ “โนมูระ” ดึงโนว์ฮาว “Luxmore” จากญี่ปุ่นสร้างมิติใหม่ของการใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียมให้ผู้บริโภค ประเดิมขาย 3 โครงการแรก กว่า 1,600 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 6,100 ล้านบาท ในงานอีเวนท์ใหญ่ “My Life. My Origin” ณ สยามพารากอน 16-17 ก.ย.นี้ ด้านโนมูระเดินหน้าตามแผนลงทุน 3 แสนล้านเยนในต่างประเทศภายในปี 2025 หวังผนึกออริจิ้นลุยยาวโครงการอสังหาฯประเภทอื่นเพิ่มเติม นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน, นอตติ้ง ฮิลล์, และไนท์บริดจ์ เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทได้ตัดสินใจร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของญี่ปุ่นภายใต้การร่วมทุนผ่าน 4 บริษัทย่อย ล่าสุด บริษัทจะเริ่มนำดีไซน์ โนว์ฮาว และนวัตกรรมต่างๆ ของโนมูระ เข้ามาใช้กับ 3 โครงการแรกที่จะเปิดขายในไตรมาส 3 ปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโนว์ฮาวและนวัตกรรมสำคัญของโนมูระ ภายใต้โครงการ “Luxmore” “โครงการ Luxmore เป็นแนวทางการพัฒนาที่อยู่อาศัยของโนมูระ ที่คำนึงถึงปัจจัยสำคัญต่อการใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัย 5 ด้าน ได้แก่ 1.การสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์ที่สมบูรณ์ 2.ความสะดวกในการใช้สอย 3.การใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย 4.ดีไซน์ และ 5.การบำรุงรักษาและการทำความสะอาด ทำให้โครงการต่างๆ ของโนมูระสามารถสร้างสรรค์มิติใหม่ในการอยู่อาศัยให้แก่ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ออริจิ้นประทับใจในโนมูระ และจะนำแนวทางนี้มาใช้กับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ที่ร่วมทุนกัน” นายพีระพงศ์ กล่าว ทั้งนี้ คำว่า Luxmore ประกอบขึ้นมาจากคำว่า Lux คือ Luxury หรือหรูหรางดงาม และการเล่นคำกับคำว่า Raku ในภาษาญี่ปุ่น หมายถึง ความสบาย กับคำว่า More หรือมากขึ้นไปอีก คำว่า Luxmore จึงต้องการสะท้อนแนวทางการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่หรูหรางดงาม สะดวกสบายมากขึ้นไปอีกระดับ นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ 3 โครงการร่วมทุนที่จะเปิดขายในไตรมาส 3 ปีนี้ และอาจพิจารณานำแนวทาง Luxmore มาใช้ ได้แก่ 1.โครงการไนท์บริดจ์ ไพรม์ รัชโยธิน จำนวน 334 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท   2.โครงการไนท์บริดจ์ ไพรม์ อ่อนนุช จำนวน 601 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท 3.โครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง จำนวน 685 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท รวม   3. โครงการระหว่างออริจิ้นและโนมูระในปีนี้ 1,620 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมกว่า 6,100 ล้านบาท “เราถือฤกษ์เปิดขาย 3 โครงการดังกล่าวในงานมหกรรมสุดยิ่งใหญ่ครั้งแรกของออริจิ้นภายใต้ชื่อ My Life. My Origin ณ แฟชั่น ฮอลล์ และรอยัล พารากอน ฮอลล์ 3 ศูนย์การค้าสยาม พารากอน รวมพื้นที่กว่า 2,400 ตร.ม. ในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 16-17 ก.ย.นี้ พร้อมกับโครงการในทำเลใกล้รถไฟฟ้าของออริจิ้นอีกรวม 28 โครงการ ด้วยความมุ่งหวังจะสร้างปรากฏการณ์และมิติใหม่แห่งการอยู่อาศัยให้แก่ผู้บริโภค” นายพีระพงศ์ กล่าว สำหรับพื้นที่บริเวณรอยัล พารากอน ฮอลล์ 3 จะจัดแสดงทั้ง 3 โครงการที่ร่วมทุนกับโนมูระ พร้อมด้วยโครงการที่อยู่ระหว่างพรีเซลและระหว่างก่อสร้างอีก 13   โครงการ ขณะที่บริเวณแฟชั่น ฮอลล์จะจัดแสดงโครงการพร้อมอยู่ 12 โครงการ นอกจากนี้ ภายในงานยังมีไฮไลต์อีก 1 อย่าง คือการแสดงจากนายณเดชน์ คูกิมิยะ ซูเปอร์สตาร์ของเมืองไทยและพรีเซ็นเตอร์ของออริจิ้น ในวันที่ 17 ก.ย. นี้ ด้านนายเอย์จิ คุสึคาเขะ ประธานกรรมการ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทวางแผนการเติบโตระยะกลาง-ยาวตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559-2567 (สิ้นสุด มี.ค.2568) ด้วยการลงทุนในต่างประเทศภายใต้งบลงทุน 3 แสนล้านเยน (ราว 9.06 หมื่นล้านบาท) เน้นการลงทุนในประเทศแถบเอเชียเป็นหลัก เนื่องจากเป็นแถบที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด จึงได้ตัดสินใจร่วมทุนกับออริจิ้น เพื่อเดินหน้าการลงทุนในกรุงเทพฯ ประเทศไทย นำโนว์ฮาวที่สั่งสมมาเพื่อช่วยประเทศในเอเชีย “เชื่อมต่อปัจจุบัน ด้วยความเป็นไปได้แห่งอนาคต” “เรามองเห็นแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯว่ายังสามารถเติบโตอย่างมีเสถียรภาพได้ในระยะยาว เพราะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการเติบโตเชิงปริมาณ สู่การเติบโตเชิงคุณภาพ เราเองเป็นผู้มีประสบการณ์ ดีไซน์ โนว์ฮาว และนวัตกรรมด้านการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่มีคุณภาพในญี่ปุ่นมายาวนาน จึงมองเห็นโอกาสและเดินหน้าร่วมทุนกับบริษัทที่เชี่ยวชาญการพัฒนาที่อยู่อาศัยในไทย” นายเอย์จิ กล่าว สำหรับสาเหตุที่ตัดสินใจเลือกออริจิ้นเป็นพันธมิตรเดินหน้าลงทุนในไทยนั้น เนื่องจากออริจิ้นเป็นบริษัทที่ก่อตั้งมาเพียงประมาณ 8-9 ปี แต่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นบริษัทที่มียอดขายปีละมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าออริจิ้น เป็นบริษัทที่เข้าใจธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เข้าใจทำเล เข้าใจความต้องการผู้บริโภค และสามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในไทยได้ ประกอบกับออริจิ้น มีวิสัยทัศน์ขยายธุรกิจสู่การเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร สอดคล้องกับทิศทางของโนมูระ ที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร จึงเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันพลิกโฉมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในกรุงเทพฯและประเทศไทย หลังจากการร่วมกันพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม 3 โครงการในปีนี้และอีก 1 โครงการในปีหน้าแล้ว ในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะร่วมกันพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มเติม และยังอาจพิจารณาร่วมมือกันพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ที่โนมูระมีประสบการณ์มาแล้วในประเทศญี่ปุ่น บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2500 ปัจจุบันมีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ได้แก่ 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว 2.ธุรกิจจัดหาสำนักงานให้เช่า 3.ธุรกิจค้าปลีก 4.ธุรกิจโลจิสติกส์ และ 5.ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ เช่น การขาย การซื้อ การเช่าอสังหาริมทรัพย์ มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว (ณ 1 เม.ย.2560) จำนวน 2,000 ล้านเยน (ราว 600 ล้านบาท) มีรายได้จากการดำเนินการ (Operating Revenue) ในปีงบประมาณล่าสุด (1 เม.ย.2559-31 มี.ค.2560) จำนวน 4.01 แสนล้านเยน (ราว 1.2 แสนล้านบาท) ขณะที่บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 38 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 36,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร
บ้านกลางเมือง สาทร-สุขสวัสดิ์ โดดเด่นทุกมิติของชีวิต กับความสะดวกสบายที่ไม่สิ้นสุด

บ้านกลางเมือง สาทร-สุขสวัสดิ์ โดดเด่นทุกมิติของชีวิต กับความสะดวกสบายที่ไม่สิ้นสุด

บ้านกลางเมือง สาทร-สุวสวัสดิ์ โครงการทาวน์โฮมจาก AP ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Magnificent Of Urban Residences” เจิดจรัสและโดดเด่นในทุกมิติของชีวิต เชื่อมต่อทุกการเดินทางสู่ใจกลางเมืองอย่างไม่มีสิ้นสุดตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ที่สุดแห่งวิสัยทัศน์ด้วยบ้านแนวคิดใหม่ ทาวน์โฮมที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์แห่งความทันสมัยบนทำเลศักยภาพ หรูหราอย่างมีเอกลักษณ์ ละเอียดในทุกงานดีไซน์ ใกล้ถนนใหญ่สุขสวัสดิ์ ใกล้ทางด่วนสะพานภูมิพล และเส้นวงแหวนกาญจนาภิเษกและสายเตาปูน-ราษบูรณะ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันรองรับทุกกิจกรรมของครอบครัว มาร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ของสุดยอดทำเล! สัมผัสประสบการณ์ใหม่ในทุกมิติของการชีวิตกับโครงการ บ้านกลางเมือง สาทร-สุขสวัสดิ์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม 3 ชั้น และบ้านแฝด 3 ชั้น บนทำเลศักยภาพ เชื่อมต่อทุกการเดินทาง ทั้งทางด่วน สะพานภูมิพล และเส้นวงแหวนกาญจนาภิเษก และรถไฟฟ้าสายเตาปูน-ราษบูรณะ อีกทั้งยังใกล้สถานที่อำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ ห้างสรรพสินค้า บิ๊กซี พระประแดง, ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลพระราม3, ห้างสรรพสินค้า The Up พระราม3, มหาวิทยาลัย เทคโนโลยี พระจอมเกล้าธนบุรี, โรงเรียนสารสาสน์เอกตรา, อุทยานบางกระเจ้า, Asiatique เป็นต้น เรียกได้ว่าเป็นทำเลศักยภาพที่น่าจับตามองอย่างแท้จริง รายละเอียดโครงการ ชื่อโครงการ    บ้านกลางเมือง สาทร-สุขสวัสดิ์ ที่ตั้งโครงการ    ซอยสุขสวัสดิ์ 39 ถนนสุขสวัสดิ์ ตำบลบางพึ่ง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ใกล้ทางขึ้น-ลง ทางด่วน และ วงแหวนรอบนอก พื้นที่โครงการ    20-1-41.2    ไร่ วันที่เริ่มก่อสร้าง    เมษายน 2560 วันที่คาดว่าจะแล้วเสร็จ    เมษายน 2562 ลักษณะโครงการ   บ้านแฝด 3 ชั้น ทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร จำนวนหลัง บ้านแฝด 3 ชั้น จำนวน 36 ยูนิต ทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง 5.00 เมตร จำนวน 168 ยูนิต พื้นที่ดิน    เริ่มต้น 18.1 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย บ้านแฝด 3 ชั้น 222 ตร.ม. ทาวน์โฮม 3 ชั้น 152 ตร.ม. รายละเอียดแบบบ้าน บ้านแฝด 3 ชั้น จำนวน  36  ยูนิต พื้นที่ใช้สอย  222  ตารางเมตร ขนาด 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ จอดรถ 3  คัน ทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง 5.00 เมตร จำนวน 168 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 152 ตารางเมตร ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ             จอดรถ 2  คัน สิ่งอำนวยความสะดวก คลับเฮาส์ พร้อมสระว่ายน้ำระบบเกลือ Bubble Jet, Jet Spa และฟิตเนส และบริเวณ พักผ่อน สวนสาธารณะ Easy Pass เข้า - ออกโครงการ พร้อมป้อมยามรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ประตูกั้นรั้วเหล็ก ล้องวงจรปิดทางเข้า-ออกโครงการ และถนนภายในโครงการ รั้วโครงการสูง 3 เมตร สถานที่สำคัญรอบโครงการ สถานศึกษา มหาวิทยาลัย เทคโนโลยี พระจอมเกล้าธนบุรี โรงเรียนรุ่งอรุณ โรงเรียนสารสาสน์เอกตรา โรงเรียนปัญญาศักดิ์ ห้างสรรพสินค้า     ห้างสรรพสินค้า บิ๊กซี พระประแดง ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลพระราม3 ห้างสรรพสินค้า Int พระราม3 ห้างสรรพสินค้า The Up พระราม3 โรงพยาบาล  โรงพยาบาลกรุงเทพ พระประแดง โรงพยาบาล ราษฏ์รบูรณะ โรงพยาบาล บางปะกอก3 โรงพยาบาล สุขสวัสดิ์ สถานที่สำคัญ  อุทยานบางกระเจ้า Asiatique  ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง เส้นทางการเดินทาง สะพานภูมิพล  ทางด่วนเฉลิมมหานคร วงแหวนรอบนอกกาญจนาภิเษก รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ สถานี พระประแดง เว็ปไซต์    http://www.apthai.com/campaign/ทาวน์โฮม/the-phenomenal-10/ เจ้าของโครงการ    บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) โทร    1623
MQDC พร้อมเปิดตัว ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน พื้นที่วิจัยเพื่อความสุขและความยั่งยืน แห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน

MQDC พร้อมเปิดตัว ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน พื้นที่วิจัยเพื่อความสุขและความยั่งยืน แห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับสากล เตรียมเปิดตัวศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนเต็มรูปแบบแห่งแรกของประเทศไทย บนพื้นที่ราว 1,000 ตรม. มีมูลค่าการลงทุนเริ่มต้นกว่า 200 ล้านบาท โดยเริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ กลางเดือนพฤศจิกายน 2560 นี้  ตั้งเป้าเพื่อยกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์ ให้เน้นการพัฒนาโครงการให้เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง และเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน “การเปิดตัวศูนย์ RISC นี้จะเป็นจุดสำคัญของวิวัฒนาการใหม่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย เรามีความตั้งใจที่จะทำให้ RISC เป็นศูนย์กลางการคิดค้นนวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัย ที่ซึ่งผลงานวิจัยที่ออกมาจะไม่ใช่เพียงเพื่อนำมาใช้เฉพาะกับโครงการต่าง ๆ ของแมกโนเลียเท่านั้น แต่เรายังเปิดกว้างเพื่อให้บุคคลภายนอกได้มีโอกาสนำงานวิจัยของเราไปใช้ในการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย ใช้ในการพัฒนาโครงการหรือเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยของตนเอง ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของเราที่ต้องการยกระดับคุณภาพของวงการอสังหาริมทรัพย์และการออกแบบสถาปัตยกรรมโดยรวมให้ดีขึ้น”  รศ. ดร.สิงห์ กล่าวย้ำอย่างชัดเจนถึงเป้าหมายของการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าว รศ. ดร.สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าคณะที่ปรึกษา ศูนย์ริสค์ หรือที่เรียกว่า RISC กล่าวว่า หลังจากที่บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์     ผู้ลงทุนและดำเนินการบริหารโครงการที่พักอาศัยแนวราบ คอนโดมีเนียม และโครงการมิกซ์ยูสคอมเพล็กซ์ ภายใต้แบรนด์ แมกโนเลียส์ (Magnolias) และ วิสซ์ดอม (Whizdom) ได้เริ่มลงทุนก่อสร้างศูนย์ฯ มาตั้งแต่ปีที่ 2559 และจะพร้อมเปิดพื้นที่วิจัยนี้ให้กับทุกคน ทุกองค์กร ที่สนใจด้านการพัฒนาและก่อสร้างอย่างยั่งยืน “RISC จะทำการวิจัยภายใต้หลักการ “นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน” เราจะพยายามค้นคว้าวิจัยให้บรรลุเป้าหมายทางความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น รวมทั้งเพื่อการพัฒนาทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ” รศ. ดร.สิงห์ กล่าวว่า “บริษัทได้ทุ่มทุนกว่า 200 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการรองรับกิจกรรมวิจัยและสร้างนวัตกรรมใหม่แบบครบวงจร โดยเฉพาะส่วนของห้องแล็บและศูนย์ทดสอบได้มีการติดตั้งอุปกรณ์ทันสมัยไว้พร้อมรองรับการใช้งานให้ทีมงานนักวิจัยได้สามารถทำการศึกษา ค้นคว้าและทดสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายในพื้นที่ 1,000 ตรม ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) ประกอบไปด้วย ห้องทดสอบการใช้งานของงานระบบต่างๆ อาทิ เช่น ห้องทดสอบประสิทธิภาพของงานระบบปรับอุณหภูมิใต้แผ่นปูพื้นหรือ radiant flooring ซึ่งระบบนี้จะทำหน้าที่ช่วยปรับอุณหภูมิภายในห้องให้เหมาะสมและลดการใช้พลังงาน ห้องทดสอบสภาวะอากาศ ห้องทดสอบระบบเซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับสารระเหยจากวัสดุตกแต่งในอาคาร “ ศูนย์ RISC จะเป็นเสมือนห้องค้นคว้าของประชาชนด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยแบบยั่งยืน เป็นที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยศูนย์ RISC ได้รวบรวมวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับงานก่อสร้าง จำนวนกว่า 300 ชิ้น เพื่อเป็นข้อมูลในการออกแบบและก่อสร้าง พร้อมทั้งเป็นแหล่งรวมงานดีไซน์ใหม่ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ RISC ยังจัดสรรพื้นที่ทดสอบพืชพรรณต่างๆ ที่สามารถปลูกภายในอาคารที่ช่วยเพิ่มคุณภาพอากาศภายในอาคารได้พื้นที่ Laboratory ที่มีเครื่องมือทันสมัยสำหรับสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พร้อมทั้งมีพื้นที่ Simulation Lab ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีในการวิเคราะห์และการออกแบบด้านการประหยัดพลังงาน การใช้แสงสว่าง เป็นต้น ภายในศูนย์ RISC ยังประกอบไปด้วย ห้องทดสอบผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่มีต่อวัสดุก่อสร้างและวัสดุตกแต่งต่างๆ มีห้องทดสอบระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อนและแสง ตลอดจนแล็ปทดสอบการใช้งานของวัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย ผลทดสอบจากแล็บจะช่วยให้ทางบริษัทสามารถเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สุดและคงทน ปลอดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยในระยะยาว ตลอดจนยังช่วยลดค่าใช้จ่ายพลังงานให้กับผู้อยู่อาศัยด้วย ศูนย์ RISC วางเป้าหมายในการสร้างผลงานนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับมาตรฐานการสร้างที่อยู่อาศัยในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่อาศัยในโครงการ รวมถึงสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ภายในและรายล้อมโครงการ “การเปิดตัวศูนย์ RISC นี้จะเป็นจุดสำคัญของวิวัฒนาการใหม่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย เรามีความตั้งใจที่จะทำให้ RISC เป็นศูนย์กลางการคิดค้นนวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัย ที่ซึ่งผลงานวิจัยที่ออกมาจะไม่ใช่เพียงเพื่อนำมาใช้เฉพาะกับโครงการต่าง ๆ ของแมกโนเลียเท่านั้น แต่เรายังเปิดกว้างเพื่อให้บุคคลภายนอกได้มีโอกาสนำงานวิจัยของเราไปใช้ในการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย ใช้ในการพัฒนาโครงการหรือเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยของตนเอง ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของเราที่ต้องการยกระดับคุณภาพของวงการอสังหาริมทรัพย์และการออกแบบสถาปัตยกรรมโดยรวมให้ดีขึ้น”  คุณวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC กล่าวย้ำอย่างชัดเจนถึงเป้าหมายของการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าว รศ. ดร.สิงห์ กล่าวอีกว่าทางศูนย์ RISC ตั้งเป้าขยายเครือข่ายทีมนักวิจัยระดับชั้นนำกว่า 100 คนในอีก5 ปีข้างหน้า สำหรับตัวศูนย์ฯ เองก็ได้มีการก่อสร้างและตกแต่งด้วยวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทุกชิ้น โดยที่นี่ถือเป็นสำนักงานแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานโดย the WELL Building Standard from the International WELL Building Institute (IWBI)  ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกในการรับรองอาคารที่ส่งเสริมสุขภาวะ โดย IWBI พิจารณาให้ใบรับรองการออกแบบและก่อสร้างที่พิถีพิถัน ทั้งทางด้านคุณภาพอากาศ แสงสว่าง น้ำ พื้นที่พักผ่อนและออกกำลังกาย รวมทั้งวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง ตัวอย่างเช่น เราได้นำเอาวัสดุที่ทำจากเปลือกไข่อัพไซเคิลมาเป็นวัสดุพื้นผิวโต๊ะและเคาน์เตอร์ วอลเปเปอร์ฟอกอากาศ และสีทาภายในอาคารปลอดสารระเหย รวมถึงวัสดุตกแต่งทุกชนิดปลอดจากสารระเหยฟอร์มัลดีไฮด์ เป็นต้น โครงการของ MQDC ถือเป็นผู้บุกเบิกวงการอสังหาฯ เป็นรายแรกที่นำเทคโนโลยีล้ำหน้า เพื่อคุณภาพชีวิตและการพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย อาทิเช่น โครงการ วิสซ์ดอม รัชดา-ท่าพระ เป็นโครงการอาคารห้องชุดพักอาศัยแห่งแรกที่นำเทคโนโลยี Co2 sensors ผนวกกับ Energy Recovery Ventilation (ERV) ซึ่งเป็นระบบถ่ายเทอากาศภายในอาคาร โดยมีระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับอากาศเป็นตัวช่วยสั่งการให้มีการถ่ายอากาศเสียออกและเติมออกซิเจนเข้าโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยปรับคุณภาพอากาศภายในอาคาร หรือ indoor air quality ให้ดีต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย นอกจากนี้โครงการ วิสซ์ดอม 101 ก็จะเป็นโครงการแรกในประเทศไทยที่ถูกออกแบบให้เป็นโครงการเมืองอัจฉริยะแบบบูรณาการหรือ Smart City remote asset management โดยโครงการนี้จะติดตั้งเทคโนโลยีเมืองอัจฉริยะร่วมกับระบบเชื่อมต่อครบวงจร ร่วมกันคิดค้นแอพพลิเคชั่นขึ้นใหม่เพื่อให้สั่งการทำงานได้จากรีโมทคอนโทรล เพื่อตอบโจทย์เรื่องการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ ได้แก่ การประหยัดพลังงาน ลดปัญหาจราจร ลดมลพิษทั้งภายนอกและภายในโครงการ ตลอดจนช่วยยืดอายุการใช้งานของระบบสาธารณูปโภคและวัสดุต่างๆ ภายในอาคาร MQDC มีความมุ่งมั่นที่จะฉีกกฏการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบเดิมๆ มาเป็นโครงการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วยนวัตกรรมหรือ Sustainnovation โดยมุ่งคิดค้นนวัตกรรมใหม่ นำมาผสมผสานเข้ากับเทคโนโลยีปัจจุบัน อาทิ โฮมออโตเมชั่น การใช้พลังงานบริสุทธิ์ การจัดการทางด้านการเงินให้ผู้อยู่อาศัย รวมไปถึงข้อมูลการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ นำมาใช้ร่วมกัน เพื่อให้ทุกโครงการบรรลุเป้าหมายการสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและยั่งยืน
IAO Takeda ที่ปรึกษาออกแบบบินตรงจากญี่ปุ่นดูงาน RUNESU THONGLOR 5

IAO Takeda ที่ปรึกษาออกแบบบินตรงจากญี่ปุ่นดูงาน RUNESU THONGLOR 5

มร.โทโมยาสุ ยามาเบะ (ซ้าย) และ นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (co-CEO) บริษัท ดับเบิ้ลยู-ชินวะ จำกัด ให้การต้อนรับมร.ทาคายูกะ ยามากุจิ (กลาง) หัวหน้าทีมออกแบบตกแต่งภายในจากบริษัท ไอเอโอ ทาเคดะ (IAO Takeda) บริษัทออกแบบอันดับหนึ่ง 5 ปีซ้อนจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษางานออกแบบโครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 (RUNESU THONGLOR 5) เดินทางมาตรวจเช็คความถูกต้อง และความเรียบร้อย ของห้องตัวอย่าง ณ Sales Gallery @โครงการ The Taste Thonglor บริเวณต้นซอยทองหล่อ 11 ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ลูกค้ามาสัมผัสนวัตกรรมที่อยู่อาศัยครั้งแรกในประเทศไทย ภายในต้นเดือนกันยายนนี้ โครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 ตั้งอยู่บนที่ดินประมาณ 1 ไร่ ในซอยทองหล่อ 5 คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น จำนวน 156 ยูนิต ออกแบบโครงการและฟังก์ชั่นการใช้งานด้วยบรรยากาศการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นแท้จริง ปรากฏการณ์ใหม่ของวงการอสังหาฯ ในไทย วัสดุก่อสร้าง-ตกแต่งบางส่วนนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เริ่มก่อสร้างไตรมาส 3 ปีนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 4 ปี 2561 มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท
เดอะคิวบ์ นวมินทร์-รามอินทรา เชิญร่วมงาน Open House คอนโดพร้อมอยู่ 26-27 ส.ค.60 นี้

เดอะคิวบ์ นวมินทร์-รามอินทรา เชิญร่วมงาน Open House คอนโดพร้อมอยู่ 26-27 ส.ค.60 นี้

เดอะคิวบ์ นวมินทร์-รามอินทรา (The Cube Nawamin-Raminthra) โครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ (Low Rise) 8 ชั้นพร้อมความทันสมัยทั้งภายในและภายนอกจาก บริษัท คิวบ์ เรียล พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่สร้างเสร็จใหม่ทั้ง 2 อาคาร จัดงาน Open House (เปิดบ้านหลังใหม่) ให้ชมโครงการบนสถานที่จริงกับบรรยากาศสบาย ๆ และกิจกรรมสนุก ๆ  ในวันที่ 26-27 สิงหาคม 2560 และเลือกซื้อคอนโดให้ตรงกับความต้องการทั้งอยู่อาศัยและเพื่อลงทุนตั้งแต่ขนาด 24, 26.5 และ 28 ตารางเมตร  เริ่มเพียง 1.59 ล้านบาท*  พร้อมเฟอร์นิเจอร์ (Fully Furnish) ครบทุกฟังก์ชั่นของแบรนด์ Modernform  เพียงจอง 5,000 บาท สามารถเข้าอยู่ได้เลย (*ตามเงื่อนไขของทางบริษัท) โดยสามารถปรึกษาด้านการเงินโดยตรงกับเจ้าหน้าที่ธนาคารได้ทันทีที่บูทธนาคารกว่า 5 บูทภายในงาน หรือเลือกรับข้อเสนอพิเศษที่พลาดไม่ได้  เพื่ออำนวยความสะดวกและให้กับกลุ่มผู้ต้องการที่พักอาศัยแบบสร้างเสร็จพร้อมอยู่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ และเพื่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในทำเลศักยภาพ เพราะใกล้แหล่งงาน ย่านธุรกิจ และบรรยากาศโดยรอบโครงการฯ น่าอยู่ มีความเป็นส่วนตัวสูงและปลอดภัย ติดถนนใหญ่และใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) สถานีนวมินทร์ (ในอนาคต)  พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องออกกำลังกาย ห้องเซาว์น่า (แยกชาย/หญิง) สวนหย่อม กล้องวงจรปิด (CCTV) รอบโครงการและภายในตัวอาคารทั้ง 2 อาคาร ระบบคีย์การ์ดทางเข้าอาคาร และลิฟท์แบบคีย์การ์ดล็อคชั้น ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง Wi-Fi อินเตอร์เน็ตที่ล็อบบี้ส่วนกลาง การเดินทางสะดวกติดถนนใหญ่ และใกล้ห้างสรรพสินค้า สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล ร้านอาหาร  พบกันได้ที่โครงการ The Cube Nawamin-Raminthra  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและชมห้องตัวอย่างโทร. 1246 (ทุกวันไม่เว้นวันหยุด) และติดตามกิจกรรมสนุก ๆ รวมทั้งความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ทางเฟซบุ๊ค : www.facebook.com/The Cube-Condo และ www.thecube-condo.com
เผยผลงาน “อภิมหกรรมบ้าน-คอนโดฯและสินเชื่อปี 2017” ผู้เข้าชมงานกว่า 6 หมื่นคน รวมยอดขายกว่า 15,000 ล้านบาท

เผยผลงาน “อภิมหกรรมบ้าน-คอนโดฯและสินเชื่อปี 2017” ผู้เข้าชมงานกว่า 6 หมื่นคน รวมยอดขายกว่า 15,000 ล้านบาท

สมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย เผยผลการจัดงาน “อภิมหกรรมบ้าน-คอนโดฯและสินเชื่อปี 2017” ยอดผู้เข้าชมงานประมาณ 60,000 คน ส่วนยอดขายรวมกว่า 15,000 ล้านบาท สินค้าบ้าน-คอนโดฯใหม่ทรงตัว ส่วนบ้านมือสอง-NPA ยอดขายลดลง นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ในฐานะผู้จัดงานอภิมหกรรมบ้าน-คอนโดและสินเชื่อแห่งปี 2017 ระหว่างวันที่ 17-20 สิงหาคมที่ผ่านมา เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมภาวะเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังคงมีอยู่ สะท้อนให้เห็นจากตัวเลขผู้เข้าชมงานฯ ตลอดทั้ง 4 วันมีจำนวนไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา คือประมาณ 60,000 คน และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมีผลให้ผู้บริโภคไม่มั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยหรือตัดสินใจซื้อสินค้าที่่มีราคาสูงๆ นอกจากนี้ยังมีผลให้จำนวนนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในตลาดลดลงอย่างมากหรือแทบจะหายไปจากตลาดก็ว่าได้ ส่งผลทำให้ได้ยอดขายของงานในปีนี้รวมทั้งสิ้นกว่า 15,000 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบจากปีที่แล้วที่มียอดขายรวมประมาณ 18,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนยอดขายที่ลดลงเป็นส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทบ้านมือสองและทรัพย์สินรอการขายจากธนาคาร(NPA) ในขณะที่ยอดขายสินค้าประเภทบ้านคอนโดโครงการใหม่ และยอดจองสินเชื่อภายในงานตัวเลขก็ยังใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ด้านนายบริสุทธ์  กาสินพิลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ กล่าวว่า ในฐานะฝ่ายจัดการ งานอภิมหกรรมบ้าน-คอนโดฯและสินเชื่อแห่งปี 2017 สังเกตเห็นว่าในตอนนี้ผู้บริโภคใช้เวลาในการหาข้อมูลเพื่อตัดสินใจซื้อบ้านนานขึ้น และต้องการข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่รอบด้านมากขึ้น สะท้อนได้จากจำนวนผู้ลงทะเบียนเพื่อเข้าชมงาน และการดาวน์โหลด Application ในการชมงาน “ปีนี้เราได้พัฒนา Application ชื่อ “อภิมหกรรมบ้าน” เพื่อเป็นเครื่องมือให้ผู้บริโภคได้เก็บข้อมูลโครงการที่อยู่อาศัยที่สนใจ รวมถึงข้อมูลทำเล แผนที่ ความรู้และคำแนะนำในการซื้อบ้าน ซึ่งปรากฏมีผู้สนใจดาวน์โหลด Applicationดังกล่าวเฉพาะในวันงานถึงกว่า 6,000 คน ซึ่งบริษัทจะยังพัฒนาApp.นี้ต่อไป เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกซื้อบ้านที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการมากที่สุด”  
Chateau-in-Town_สุทธิสาร

Chateau-in-Town_สุทธิสาร

บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-พระราม 5 ไฮเอ็นด์ทาวน์โฮม โครงการใหม่ล่าสุด จาก AP ภายใต้คอนเซ็ปต์ “LIFE IN FULL BLOOM” ทุกตารางเมตรของโครงการนี้จะได้รับแรงบันดาลใจมาจากการออกแบบให้ความสุขโอบล้อมตัวเรา ด้วยบรรยากาศแห่งธรรมชาติที่ร่มรื่นและงดงาม ศูนย์กลางแห่งทำเลศักยภาพ! บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-พระราม 5 ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของการเดินทางสู่ใจกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง ใกล้ถนนใหญ่นครอินทร์ ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองสะดวกทุกการเดินทาง เชื่อมต่อ ทางด่วนศรีรัชฯ-วงแหวนรอบนอก และสามารถเข้าสู่ทำเลรัชดาภิเษก หรือ สาทร ภายในไม่เกิน 15 นาที นับว่าเป็นโครงการที่มีทำเล ที่สามารถตอบสนองทุกการเดินทางอย่างสะดวกสบายและรวดเร็ว อีกทั้งยังใกล้สถานที่อำนวยความสะดวกมากมาย อย่างห้างสรรพสินค้าและแหล่งช้อปปิ้งฯ อย่าง Makro นนทบุรี , Big C วงศ์สว่าง, The Walk , Home Pro, Crystal Park (ราชพฤกษ์) จึงเรียกได้ว่าทำเลนี้เป็นที่เพรียบพร้อมและน่าจับตามองในการซื้อที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง รายละเอียดโครงการ   ชื่อโครงการ    บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-พระราม 5 สถานที่ตั้ง    ตำบลบางไผ่ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี พื้นที่โครงการ    22–2–10.73 ไร่ พื้นที่ขาย    13–3–87.59 ไร่ พื้นที่สวน    0–2–82.72 ไร่ (พื้นที่สวนสาธารณะ และสวนหย่อมทั้งโครงการ) พื้นที่สโมสร    0–1–17.48 ไร่ จำนวน    271 ยูนิต รายละเอียดแบบบ้าน  แบบ Urbanist  หน้ากว้าง   5.00 เมตร พื้นที่ใช้สอย 141 ตารางเมตร  ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถ 2  คัน สิ่งอำนวยความสะดวก สวนสาธารณะขนาดใหญ่ CCTV เข้า- ออกโครงการ พร้อม รปภ. ตลอด 24 ชั่วโมง ระบบ Access Card สำหรับเข้าออกโครงการ เส้นทางคมนาคม                                                   - เชื่อมต่อเข้าโซนรัชดาภิเษก และสาทร เพียง 15 นาที ทางด่วนศรีรัช ด่านพระราม 6 (6 กม.) รถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีแยกติวานนท์ (4.5 กม.) ถนนพระราม5-นครอินทร์ ถนนราชพฤกษ์ ถนนบางกรวย-ไทรน้อย สถานศึกษา โรงเรียนเด่นหล้า พระราม 5 โรงเรียนสตรีนนทบุรี โรงเรียนเขมาภิรตาราม โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ โรงเรียนโยธินบูรณะ ห้างสรรพสินค้า   Makro นนทบุรี Big C วงศ์สว่าง The Walk Home Pro Crystal Park (ราชพฤกษ์) สถานพยาบาล    โรงพยาบาลนนทเวช โรงพยาบาลธนบุรี 2 โรงพยาบาลเจ้าพระยา เว็ปไซต์    :     http://www.apthai.com/campaign/ทาวน์โฮม/the-phenomenal-10/ เจ้าของโครงการ    บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) โทร    :      1623 เริ่มก่อสร้าง    พฤษภาคม 2560 คาดว่าจะแล้วเสร็จ    ธันวาคม 2561 บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-พระราม 5 ไฮเอ็นด์ทาวน์โฮม ที่ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชั่นของการพักผ่อน รองรับทุก Lifestyle และโดดเด่นด้วย Walk-In-Closet ที่กว้างขวาง มิติใหม่แห่งการพักอาศัยสุดหรูหรา ที่ผสมผสานความงดงามของธรรมชาติได้อย่างลงตัว บนทำเลศักยภาพที่เป็นศูนย์กลางของการเดินทางสู่ใจกลางเมือง เชื่อมต่อเข้าเมืองได้ง่าย เริ่มต้น 3.59 ล้าน* เปิด PRE-SALE ให้จอง 19-20 ส.ค.60 นี้ 2 วันเท่านั้น!! รับข้อเสนอ "จ่ายน้อยคืน 100%" ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษก่อนใคร คลิก >>> http://www.apthai.com/campaign/ทาวน์โฮม/the-phenomenal-10/
บ้านกลางเมือง รามอินทรา-วัชรพล ไฮเอ็นด์ทาวน์โฮม ทำเลคุณภาพติดถนนใหญ่และทางด่วน

บ้านกลางเมือง รามอินทรา-วัชรพล ไฮเอ็นด์ทาวน์โฮม ทำเลคุณภาพติดถนนใหญ่และทางด่วน

บ้านกลางเมือง รามอินทรา-วัชรพล ไฮเอ็นด์ทาวน์โฮม โครงการใหม่ล่าสุด จาก AP ภายใต้คอนเซ็ปต์ “CONNECTIVITY OF PERFECT LIVING” เชื่อมต่อชีวิตและการผ่อนคลายที่เหนือระดับไปอีกขั้น กับคลับเฮาส์สุดหรู การออกแบบมีความโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะ พร้อมสระว่ายน้ำและฟิตเนส ให้คุณได้พักผ่อนในพื้นที่สุดพิเศษเหนือระดับ ทำเลที่เชื่อมต่อแบบไร้ขีดจำกัด! บ้านกลางเมือง รามอินทรา-วัชรพล ตั้งอยู่บนทำเลคุณภาพที่สามารถเชื่อมต่อทุกการใช้ชีวิตได้อย่างไร้ขีดจำกัด  เดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่นาที ใกล้ถนนใหญ่ ติดกับจุดขึ้น-ลงทางด่วนสุขาภิบาล 5 และใกล้กับแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบโจทย์ทุกความต้องการของการใช้ชีวิตคนเมืองอย่างแท้จริง รายละเอียดโครงการ ชื่อโครงการ    บ้านกลางเมือง รามอินทรา-วัชรพล สถานที่ตั้ง    จุดขึ้น-ลง ทางด่วน สุขาภิบาล 5 ลักษณะโครงการ    ทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร พื้นที่โครงการ    14–0–52.60 ไร่ จำนวน    145 ยูนิต ที่ดินต่อยูนิต    เริ่มต้น 18 ตร.วา รายละเอียดแบบบ้าน ทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร พื้นที่ใช้สอย 145 ตร.ม. มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก จอดรถได้ 2  คัน สิ่งอำนวยความสะดวก คลับเฮาส์ พร้อมสระว่ายน้ำและฟิตเนส สวนสาธารณะและบริเวณพักผ่อน ระบบ Access Card สำหรับเข้าออกโครงการ กล้องวงจรปิดทางเข้า-ออกโครงการ ระบบสายไฟฟ้าปักเสาพาดสาย ตามแบบมาตรฐานการไฟฟ้านครหลวง ระบบท่อเมนประปา ตามมาตรฐานการประปานครหลวง เส้นทางคมนาคม ถนนวัชรพล ถนนเพิ่มสิน ถนนสายไหม ถนนหทัยราษฎร์ ถนนพหลโยธิน ถนนรามอินทรา ถนนเทพรักษ์ ถนนสุขาภิบาล 5 ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สถานศึกษา โรงเรียนสารสาสน์วิเทศสายไหม โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 75 เฉลิมพระเกียรต โรงเรียนสายอักษร ม.เกษตร ห้างสรรพสินค้า Fashion Island The Promanade CDC, Crystal Park Central (รามอินทรา) Central East Ville Big C สุขาภิบาล 5 สถานพยาบาล โรงพยาบาลสายไหม โรงพยาบาลสินแพทย์ เว็ปไซต์    :    http://www.apthai.com/campaign/ทาวน์โฮม/the-phenomenal-10/ เจ้าของโครงการ    บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) โทร    :    1623 บ้านกลางเมือง รามอินทรา-วัชรพล ไฮเอ็นด์ทาวน์โฮม ที่มีการออกแบบสไตล์ Modern Luxury ให้คุณได้สัมผัสชีวิตหรูหราเหนือระดับ ที่ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชั่นของการพักอาศัยอย่างลงตัว พร้อม Living Area ที่ดีไซน์ไว้รองรับทุก Lifestyle และสะท้อนบุคลิกกับรสนิยมผู้พักอาศัย บนทำเลศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดในการเชื่อมต่อสู่ใจกลางเมือง! ด้วยราคาสุดพิเศษเริ่มต้น 3.89 ล้าน* เปิด PRE-SALE ให้จอง 19-20 ส.ค.60 นี้ 2 วันเท่านั้น!! รับข้อเสนอ "จ่ายน้อยคืน 100%" ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษก่อนใคร คลิก >>> http://www.apthai.com/campaign/ทาวน์โฮม/the-phenomenal-10/
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยทิศทางอาคารให้เช่าอีก 3 ปีขยายตัว 16.5% ชี้เทรนด์กรีนบิวดิ้งมาแรง เหตุช่วยลดค่าใช้จ่ายพลังงานและเพิ่มค่าเช่าได้สูง

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยทิศทางอาคารให้เช่าอีก 3 ปีขยายตัว 16.5% ชี้เทรนด์กรีนบิวดิ้งมาแรง เหตุช่วยลดค่าใช้จ่ายพลังงานและเพิ่มค่าเช่าได้สูง

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยทิศทางอาคารสูงให้เช่าอีก 3 ปี มีแนวโน้มขยายตัว 16.5% อุปทานเพิ่มเป็น 9.73 ล้านตารางเมตร พบเทรนด์อาคารเขียวประหยัดพลังงานสนใจเริ่มมีมากขึ้น เหตุช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานต่อเดือนสูง และยังเรียกค่าเช่าได้สูงกว่าอาคารทั่วไป นายชาญ ศิริรัตน์  รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและวิศวกรรม บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากผลการวิจัยล่าสุดของ พลัส พร็อพเพอร์ตี้  พบว่า ในปี 2560 พื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากครึ่งหลังปี 2559 ที่มีอยู่ 8.404 ล้านตารางเมตร เนื่องจากปี 2560 มีโครงการใหม่ที่เตรียมเปิดให้บริการต่อเนื่องมา และในอนาคตคาดว่ามีอุปทานใหม่เตรียมเปิดให้บริการ อีกกว่า 1.389 ล้านตารางเมตรในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้อุปทานสะสมขยายตัว 16.5% มาอยู่ที่ 9.793 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ยังพบว่าอัตราการเช่ารวมเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5% จากครึ่งปีแรก 2559 และเพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน “อาคารสำนักงานในปัจจุบันเริ่มเข้าสู่การเป็นรูปแบบของอาคารประหยัดพลังงาน (อาคารเขียวหรือ Green Building) เนื่องจากต้นทุนพลังงานมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยอาคารประหยัดพลังงานเริ่มเข้ามาในประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัดมากขึ้น อาทิ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแห่งใหม่ ที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้มีโอกาสเข้าไปบริหารจัดการ เป็นอาคารอนุรักษ์พลังงานเขียว สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้พลังงานในแต่ละเดือนมากกว่า 50%  และทิศทางตึกสูงที่สร้างขึ้นใหม่ในปัจจุบันเริ่มพัฒนาออกมาในรูปแบบของอาคารเขียวมากขึ้น ซึ่งการปรับปรุงอาคารให้เป็นอาคารเขียว หรือการออกแบบอาคารใหม่ให้เป็นอาคารเขียวนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการอาคารในระยะยาววิธีหนึ่ง เพราะอาคารเขียวแต่ละแห่งนั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการประหยัดพลังงานเท่านั้น แต่ยังเพียบพร้อมด้วยซอฟท์แวร์ในด้านการป้องกันการเกิดเหตุฉุกเฉินต่างๆ เอาไว้อย่างดี เพื่อให้เป็นอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและก่อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีต่อผู้อยู่อาศัยในตัวอาคารอีกด้วย ดังนั้นอาคารเขียวจึงมักได้รับการพิจารณาจากผู้เช่าเป็นอันดับต้นๆ” ปัจจุบัน พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้รับความไว้วางใจในการบริหารอาคารโครงการขนาดใหญ่และมีเทคโนโลยีซับซ้อน ในปัจจุบันรวม 30 อาคาร ซึ่งในการบริหารโครงการที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่นั้น พลัสฯ ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี่ในระดับมาตรฐานสากลเพื่อรองรับการปฏิบัติงานสำหรับอาคารขนาดใหญ่เหล่านั้น โดยคิดค้นซอฟต์แวร์ขึ้นมาสำหรับบริหารจัดการแต่ละอาคารโดยเฉพาะ มีการจัดเก็บฐานข้อมูล ของแต่ละอาคารอย่างละเอียด ทำแผนการบริหารงานและบริหารงบประมาณในการซ่อมบำรุงอาคารอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม เพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มกับตัวอาคาร เนื่องจากอาคารที่ได้รับการบริหารจัดการที่ดี ไม่เพียงแต่จะคงสภาพที่ดีเท่านั้นแต่ยังสะท้อนไปยังราคาที่เพิ่มขึ้นในอนาคต รวมถึงสามารถเพิ่มค่าเช่าได้สูงกว่าอาคารทั่วไปอีกด้วย ในที่นี้ ขอยกตัวอย่างอาคารที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้เป็นผู้บริหารจัดการ คือ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นอาคารเขียว ที่มีพื้นที่บริหารรวมถึง 100,000 ตารางเมตร ซึ่งจากการออกแบบอาคารและการบริหารจัดการอาคารที่ดีจึงส่งผลให้อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างมากทางด้านการประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากล่าสุดสามารถคว้ารางวัลจากงาน Thailand Energy Award 2017 ประเภทอาคารสร้างสรรค์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน อาคารใหม่ (New and Existing Building) จาก "Thailand Energy Awards 2017" กระทรวงพลังงาน รวมทั้งได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวด ASEAN Energy Awards 2017 ประเภท Energy Efficient Building Award 2017 ซึ่งผลอย่างไม่เป็นทางการได้รับรางวัล รองอันดับที่ 2 (2nd. Runner-up) สำหรับในปีนี้ เนื่องจากมีความโดดเด่นตามเกณฑ์การตัดสินที่ประกอบกันหลายด้าน อาทิ ด้านสถาปัตยกรรม ด้านจัดการพลังงาน และด้านการบริหารจัดการอาคารเขียวให้มีความเสถียรหลังจากที่ได้เปิดการใช้งานแล้ว ดังนั้นในส่วนนี้ผู้ดูแลอาคารจึงมีความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพของตัวอาคารให้เป็นไปตามเกณฑ์ ทั้งระบบคุณภาพอากาศ ระบบแสงสว่าง ระบบปรับอากาศซึ่งส่งผลต่อการใช้พลังงานโดยรวม ระบบการจัดการขยะ/จัดการมลพิษ เป็นต้น ซึ่งพลัส พร็อพเพอร์ตี้ในฐานะผู้บริหารจัดการอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลา 7 ปี จึงถือว่ารางวัลนี้เป็นความภาคภูมิใจของคนทำงานเบื้องหลัง เพราะหัวใจหลักของการอนุรักษ์พลังงาน/ประหยัดพลังงานในอาคารเขียวมาจากหลายส่วนที่สอดรับกับ โดยเริ่มตั้งแต่นโยบายการออกแบบอาคาร ให้เอื้อต่อการเป็นอาคารประหยัดพลังงาน รวมถึงการติดตั้งซอฟท์แวร์เพื่อควบคุมการทำงานของแสงที่เข้ามาสู่ตัวอาคาร การป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร รวมถึงระบบการจัดการน้ำและระบบรักษาความปลอดภัย เป็นต้น และปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการมีผู้ดูแลอาคารที่มีความรู้ความเข้าใจในการทำงานของอาคารเขียว เพราะหากการออกแบบมาเป็นอย่างดีแล้วแต่ผู้ดูแลไม่มีความรู้ความเข้าใจก็จะเป็นการลงทุนโดยสิ้นเปลืองแต่ไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ “ภาพรวมของตลาดของธุรกิจบริหารอาคารสำนักงานในปัจจุบันว่า เป็นตลาดที่โอกาสในการเติบโตสูงซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของเมืองใหญ่ทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและเริ่มขยายตัวออกไปสู่เขตปริมณฑล รวมถึงหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด รวมถึงการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะเปิดโอกาสให้ความต้องการอสังหาฯ ในไทยสูงขึ้น โดยเฉพาะอาคารสำนักงานซึ่งจะเป็นอาคารที่มีความซับซ้อนทางเทคโนโลยีมากขึ้น” นายชาญ กล่าวสรุป  
บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว-เสรีไทย บ้านโมเดลใหม่แห่งปี 2017 ตอบรับทุกความต้องการของการใช้ชีวิต

บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว-เสรีไทย บ้านโมเดลใหม่แห่งปี 2017 ตอบรับทุกความต้องการของการใช้ชีวิต

บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว-เสรีไทย โครงการทาวน์โฮมจาก AP ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Magnificent Nature”—ค้นพบความสงบที่ลงตัว บนวิถีชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ – มาร่วมพบความสงบของการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ ให้คุณเพลิดเพลินและผ่อนคลายไปกับพื้นที่สีเขียวรอบด้าน พร้อมคงความเป็นส่วนตัวบนวิถีชีวิตเหนือจินตนาการบนที่สุดของทำเลศักยภาพกับดีไซน์ใหม่ล่าสุดของปี 2017 ที่ออกแบบได้อย่างคุ้มค่าเต็มพื้นที่ สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามการอยู่อาศัยจริง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันรองรับทุกกิจกรรมของครอบครัว มาร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ของสุดยอดทำเล! สัมผัสความสะดวกสบายกับโครงการ บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว-เสรีไทย ทาวน์โฮม 3 ชั้น ทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่เสรีไทย 52 ใกล้ทั้งวงแหวนฯและสถานนีรถไฟฟ้าสายสีส้มในระยะทาง 3 กิโลเมตร ทำให้สามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกรวมเร็ว อีกทั้งยังใกล้สถานที่อำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ Fashion Island, The Mall บางกะปิ, Healthfield Inter School, NIDA, โรงพยาบาล เสรีรักษ์, โรงพยาบาล นวมินทร์ 9, สวนสยาม เป็นต้น เรียกได้ว่าเป็นทำเลศักยภาพที่น่าจับตามองอย่างแท้จริง รายละเอียดโครงการ ชื่อโครงการ    บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว-เสรีไทย ที่ตั้งโครงการ    ติดถนนใหญ่ เสรีไทย 52 พื้นที่โครงการ    32–1–61.36 ไร่ ลักษณะโครงการ    ทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง5เมตร จำนวนหลัง    334 ยูนิต พื้นที่ดิน    เริ่มต้น 18 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย    152 ตร.ม. รายละเอียดแบบบ้าน ทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร พื้นที่ 152 ตร.ม. มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก จอดรถได้ 2 คัน สิ่งอำนวยความสะดวก คลับเฮาส์ พร้อมสระว่ายน้ำและฟิตเนส และบริเวณพักผ่อน สวนสาธารณะ Access Card เข้า - ออกโครงการ พร้อมป้อมยามรักษาความปลอดภัย กล้องวงจรปิดทางเข้า-ออกโครงการ สถานที่สำคัญรอบโครงการ โรงเรียน เตรียมอุดมฯน้อมเกล้า NIDA Healthfield Inter School โรงพยาบาลเสรีรักษ์ รงพยาบาล นวมินทร์ 9 โรงพยาบาลสินแพทย์ สวนสยาม ตลาดน้ำขวัญเรียม Paseo Town The Promanade Fashion Island The Mall บางกะปิ วงแหวนกาญจนาภิเษก รถไฟฟ้าสายสีส้ม ถนน ลาดพร้าว เว็ปไซต์    http://www.apthai.com/campaign/ทาวน์โฮม/the-phenomenal-10/ เจ้าของโครงการ    บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) โทร    1623 บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว-เสรีไทย ทาวน์โฮม 3 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก ใกล้ทั้งวงแหวนฯและสถานนีรถไฟฟ้าสายสีส้มในระยะทาง 3 กิโลเมตร มาพร้อมดีไซน์ใหม่ล่าสุดของบ้านกลางเมือง 2017 เริ่มต้น 3.89 ล้าน* ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษก่อนใคร คลิก >>> http://www.apthai.com/campaign/ทาวน์โฮม/the-phenomenal-10/
NVD แถลงแผนครึ่งปีหลัง พร้อมเปิดตัวทีมผู้บริหารมือดีเสริมความแกร่ง

NVD แถลงแผนครึ่งปีหลัง พร้อมเปิดตัวทีมผู้บริหารมือดีเสริมความแกร่ง

นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) หรือ NVD (ที่ 3 จากซ้าย)  พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร แถลงข่าวแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง เตรียมเปิดตัว 2 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ทั้งคอนโดมิเนียม“Banyan Tree Residences Riverside Bangkok” และทาวน์โฮมหรู “Nirvana Define Srinakarin - Rama 9” เดินหน้ารุกธุรกิจรับสร้างบ้านโฉมใหม่ เปิดโอกาสให้เป็นเจ้าของบ้านเนอวานาบนที่ดินของลูกค้าเอง พร้อมเปิดตัวทีมผู้บริหารเสริมความแกร่ง ดูแลด้านการเงิน ออกแบบ งานขาย งานก่อสร้าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้บริษัทบรรลุเป้าหมาย ณ ห้อง Ballroom Maneeya B ชั้น M  โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ รายชื่อคณะผู้บริหาร จากซ้ายไปขวา นายรณชัย ไตรยสุนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานออกแบบและพัฒนาธุรกิจ นายอนุชาติ อังสุเมธางกูร กรรมการผู้จัดการ นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายจิรเดช นุตสถิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน นายสุรพงษ์ เจียมอ่อน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานปฏิบัติการ นายนันทชาติ กลีบพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจ