Tag : News

2376 ผลลัพธ์
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกปี พ.ศ.2560 และคาดการณ์ครึ่งหลังปี พ.ศ. 2560

ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกปี พ.ศ.2560 และคาดการณ์ครึ่งหลังปี พ.ศ. 2560

ตลาดอสังหาริมทรัพย์สามตลาดหลักอย่าง คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีกในกรุงเทพมหานครในช่วงครึ่งแรกปีพ.ศ.2560 ยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่องแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยอาจจะยังไม่ได้มีการขยายตัวมากกว่าปีที่ผ่านมาเท่าใดนัก โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมที่มีโครงการเปิดขายใหม่ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาและจำนวนโครงการเปิดขายใหม่ก็มากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตลาดอาคารสำนักงานก็ยังคงเห็นความต้องการพื้นที่อาคารสำนักงานที่มาจากบริษัทในประเทศไทยและต่างชาติแบบต่อเนื่อง พื้นที่ค้าปลีกเองก็มีอัตราการเช่าที่ค่อนข้างสูงเรียกได้ว่าเกือบเต็ม 100% ในหลายๆ ศูนย์การค้า นายสัญชัย คูเอกชัย รองกรรมการผู้จัดการ คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนลเทศไทย กล่าวถึงตลาดอาคารสำนักงานยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนแรกของปีพ.ศ.2560 ว่า “ตลาดอาคารสำนักงานมีการขยายตัวต่อเนื่องมาจากปีที่ผ่านมาอัตราการเช่าเฉลี่ยในกรุงเทพมหานครอยู่ที่ประมาณ 92% อาคารสำนักงานใหม่ๆ ที่เพิ่งสร้างเสร็จมีอัตราการเช่าที่ค่อนข้างสูงหรือเกือบเต็ม 100% และยังมีอาคารสำนักงานใหม่ๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอยู่อีกหลายอาคาร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดอาคารสำนักงานเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั้งไทย และต่างชาติมากขึ้น แม้ว่าราคาที่ดินจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกดดันให้ตลาดอาคารสำนักงานมีการขยายตัวในแง่ของอุปทานลดลง แต่ที่ดินเช่าหลายแปลงในพื้นที่เมืองชั้นในกำลังก่อสร้างโครงการมิกซ์-ยูสที่มีอาคารสำนักงานเป็นหนึ่งในรูปแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่โครงการ ค่าเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานก็ปรับขึ้นต่อเนื่องเช่นกันโดยเฉพาะอาคารสำนักงานเกรด A ที่ค่าเช่าสูงกว่า 1,000 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือนไปหลายอาคารแล้วและยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตลาดอาคารสำนักงานจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องในปีนี้และปีต่อๆ ไป ค่าเช่าก็จะปรับเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เช่นกัน” นอกจากนี้ นายสัญชัย ยังได้ให้ความเห็นถึงตลาดพื้นที่ค้าปลีกที่เป็นอีกตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีการขยายตัวต่อเนื่องเช่นกันว่า “ศูนย์การค้าเป็นรูปแบบโครงการที่มีการขยายตัวมากที่สุดในแง่ของพื้นที่โครงการเพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่ ในขณะที่คอมมูนิตี้มอลล์ยังมีการขยายตัวต่อเนื่องแต่ในอัตราที่ลดลงเพราะมีหลายโครงการที่ไม่ได้รับความนิยมแบบช่วงแรกๆ และต้องดิ้นรนหาวิธีในการเอาตัวรอดอยู่ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการโครงการพื้นที่ค้าปลีกรายใหญ่ในประเทศไทยยังคงมีแผนการขยายสาขาหรือเพิ่มจำนวนโครงการรวมไปถึงการปรับปรุงโครงการพื้นที่ค้าปลีกของตัวเองแบบต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ร้านค้าหรือแบรนด์สินค้าต่างชาติจำนวนมากยังคงต้องการเข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทยทั้งในรูปแบบร้านค้านอกโครงการพื้นที่ค้าปลีก และในโครงการพื้นที่ค้าปลีก แม้ว่าตลาดพื้นที่ค้าปลีกในหลายๆ ประเทศจะได้รับผลกระทบจากช้อปปิ้งออนไลน์ แต่ในประเทศไทยยังคงไม่เห็นผลกระทบนั้นแบบชัดเจน อีกทั้งผู้ประกอบการโครงการค้าปลีกต่างๆ ก็มีการพัฒนาระบบช้อปปิ้งออนไลน์มารองรับและได้รับความนิยมจากคนไทยในระดับหนึ่ง เนื่องจากการลงทุนในตลาดพื้นที่ค้าปลีกเป็นการลงทุนระยะยาวทำให้การขยายตัวในเรื่องของอุปทานยังคงมีต่อเนื่องในอนาคต    ในส่วนของอุปสงค์ก็เช่นกันเพราะประเทศไทยเป็นจุดหมายสำคัญที่ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวและทำงาน แบรนด์ต่างชาติต่างๆ จึงยังให้ความสนใจในประเทศไทยอยู่ นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลาดที่ได้รับความสนใจและมีหลายภาคส่วนทั้งรัฐบาลและเอกชนวิตกกังวลมากที่สุดคือ ตลาดคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่มีหลายทำเลออกอาการโอเวอร์ซัพพลาย ซึ่งคอนโดมิเนียมประมาณ 13,600 ยูนิตเปิดขายใหม่ในไตรมาสที่ 2 พ.ศ.2560 มากกว่าไตรมาสที่ 1 ประมาณ 30% และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังปีพ.ศ.2560 ซึ่งทำให้คอนโดมิเนียมที่จะเปิดขายใหม่ในปีนี้มีความเป็นไปได้ที่จะมากกว่า 45,000 ยูนิตซึ่งจะมากกว่าปีที่แล้วประมาณ 15% โดยผู้ประกอบการให้ความสนใจพื้นที่นอกเมืองชั้นในแบบเห็นได้ชัด เพราะมีโครงการเปิดขายใหม่ในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างโดยเฉพาะพื้นที่ตามแนวเส้นทางสายสีเขียวตอนเหนือ และสายสีน้ำเงินค่อนข้างมาก อีกทั้งในพื้นที่ดังกล่าวยังมีโครงการที่ผู้ประกอบการมีแผนจะเปิดขายโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อีกต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ประกอบการต้องการเปิดขายโครงการที่มีราคาไม่สูงเกินไปและมีแนวโน้มที่ราคาขายจะปรับขึ้นต่อเนื่องพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าจึงเป็นทำเลที่พวกเขาสนใจมากกว่าพื้นที่ชั้นในที่ราคาที่ดินสูงมากในปัจจุบัน อัตราการขายในภาพรวมอาจจะไม่สูงมากนัก แต่ผู้ประกอบการบางรายที่สามารถสร้างกระแสและความน่าสนใจให้กับโครงการตนเองได้ก็ได้รับการตอบรับที่ดีและสามารถปิดการขายได้ในบางโครงการ” ตลาดคอนโดมิเนียมต่างจังหวัดโดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวยังคงชะลอตัวต่อเนื่องสวนทางกับตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานครค่อนข้างชัดเจน เพราะว่าโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ก็ลดลงต่อเนื่องในขณะที่อัตราการขายก็ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นมากนักในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าผู้ประกอบการพยายามที่จะกระตุ้นความน่าสนใจแบบต่อเนื่อง โดยเรื่องนี้นายสุรเชษฐ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยายังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมามีโครงการเปิดขายใหม่ลดลงแบบชัดเจน ในขณะที่ความต้องการเองก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเช่นกันและเป็นตลาดที่หลายฝ่ายให้ความสนใจมากที่สุดเพราะมีคอนโดมิเนียมเหลือขายประมาณ 10,000 ยูนิตแม้ว่าจะมีผู้ซื้อชาวจีนมากขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้มากมายนักอีกทั้งก่อนหน้านี้มีโครงการเปิดขายใหม่มากเกินไป พื้นที่ชะอำ หัวหินยังคงเป็นตลาดที่มีการขยายตัวแบบช้าๆ ต่อเนื่องโครงการของผู้ประกอบการที่มีความน่าเชื่อถือยังคงได้รบความสนใจจากผู้ซื้อต่อเนื่อง ตลาดคอนโดมิเนียมในเขาใหญ่อาจจะมีการขยายตัวช้าลงเพราะมีโครงการเปิดขายใหม่มากเกินไปก่อนหน้านี้แต่โครงการที่มีรูปแบบโครงการสอดคล้องกับภูมิประเทศก็ยังได้รับความสนใจอยู่ ผู้ซื้อชาวจีนเข้ามาช่วยกระตุ้นตลาดคอนโดมิเนียมในเชียงใหม่ได้ระดับหนึ่งเพราะมีหลายโครงการที่มีคนจีนเข้ามาซื้อหรือว่ามีความร่วมมือกับบริษัทนายหน้าจากประเทศจีนซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายให้สูงขึ้นทำให้ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในเชียงใหม่ดูดีขึ้น ” “ แม้ในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมาตลาดอสังหาริมทัพย์จะมีการขยายตัวไม่มาก แต่ในภาพรวมแล้วยังไม่ได้ชะงักหรือว่าเกิดปัญหาแบบชัดเจน แม้ในตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานครที่มียูนิตโอเวอร์ซัพพลายในบางทำเลก็ยังคงมีอีกหลายทำเลที่มีโครงการใหม่เปิดขายต่อเนื่องซึ่งเรื่องนี้ผู้ประกอบการต่างพยายามหาช่องว่างและหาโอกาสในการเปิดขายโครงการใหม่ให้ตรงกับความต้องการและกำลังซื้อ แต่ก็มีผู้ประกอบการบางรายเลือกที่จะชะลอการเปิดขายโครงการใหม่ออกไปก่อนเพื่อรอให้กำลังซื้อในภาพรวมดีขึ้น อีกทั้งรอให้งานพระราชพิธีสำคัญในเดือนตุลาคมปีนี้ผ่านไปก่อน ในขณะที่ตลาดอื่นๆ ก็ยังคงขยายตัวต่อเนื่องเพราะเป็นทั้งตลาดอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกเป็นธุรกิจที่เน้นการลงทุนในระยะยาว” นายสุรเชษฐ กล่าวสรุป   
“โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้” บุกตลาดขอนแก่น รับเมกะโปรเจครัฐดันดีมานด์ที่อยู่อาศัยคึกคัก เปิดตัวคอนโดโลว์ไรส์ “โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ-ขอนแก่น” มูลค่า 350 ล้านบาท

“โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้” บุกตลาดขอนแก่น รับเมกะโปรเจครัฐดันดีมานด์ที่อยู่อาศัยคึกคัก เปิดตัวคอนโดโลว์ไรส์ “โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ-ขอนแก่น” มูลค่า 350 ล้านบาท

โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ตามรอยเมกะโปรเจครัฐ รุกขอนแก่น ผุดโครงการ ‘โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ – ขอนแก่น’ คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์  เจาะกลุ่มระดับกลาง-ล่าง มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาท แรงขับเคลื่อนเมกะโปรเจค ส่งผลดีมานด์ที่อยู่อาศัยคึกคัก ดร.ธีระชัย พิพิธศุภผล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างจังหวัดเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น  โดยเฉพาะจังหวัดหัวเมืองใหญ่อย่าง จังหวัดขอนแก่น  ซึ่งมีปัจจัยบวกด้านการลงทุนโครงการเมกะโปรเจคของภาครัฐที่มีแผนการพัฒนาเมือง ทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบกและทางอากาศ ได้แก่ ขอนแก่นซิตี้บัส รถไฟทางคู่ เส้นทางช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น และรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) สายเหนือใต้ สำราญ-ท่าพระ ซึ่งจะเป็นรถไฟฟ้ารางเบาสายแรกของไทยรวมถึงการขยายสนามบินขอนแก่น เพื่อยกระดับเป็นสนามบินนานาชาติ อีกทั้งการพัฒนาระบบการศึกษา และตั้งเป้าให้เป็นเมืองศูนย์กลางของบริการทางการแพทย์และการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นปัจจัยนำไปสู่ความต้องการที่อยู่อาศัยในขอนแก่นเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ จึงได้เปิดโครงการแรกในจังหวัดขอนแก่น ภายใต้ชื่อ “โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ –ขอนแก่น” มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาท พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 223 ยูนิต บนเนื้อที่ 2  ไร่ 23 ตารางวา มีขนาดห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่  23.5 – 34.5 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้น 1.09 ล้านบาท และภายในโครงการประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางแบบครบครันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน อาทิ สระว่ายน้ำ Infinity Edge Pool สุนทรียภาพแบบไร้ขีดจำกัด, ฟิตเนส, Co-working space, ที่จอดรถ อีกทั้งยังร่มรื่นด้วยสวนธรรมชาติทันสมัยสไตล์ญี่ปุ่น Sunken Zen Garden พร้อมอุ่นใจกับระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานทั้งระบบกล้องวงจรปิด, ระบบการ์ดเข้า-ออกโครงการ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง “จากอานิสงส์ของแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของภาครัฐในจังหวัดขอนแก่น ส่งผลให้มีดีมานด์ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ  และด้วยทำเลที่ตั้งโครงการที่เดินทางสะดวกสบาย ใกล้มหาวิทยาลัยขอนแก่น, โรงพยาบาลราชพฤกษ์แห่งใหม่, สนามบินขอนแก่น และศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่น และในอนาคตจะใกล้กับสถานีรถไฟฟ้ารางเบา (ซึ่งคาดว่าเปิดให้บริการปลายปี 62) โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา,บุคลากรด้านการศึกษาในมหาวิทยาลัยขอนแก่น และบุคลากรทางการแพทย์  ซึ่งคาดว่าโครงการน่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งนี้ โครงการจะเริ่มการก่อสร้างในไตรมาสที่ 3 ของปี 2560 และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ประมาณไตรมาส 4 ปี 2561” ดร.ธีระชัย กล่าวปิดท้าย ข้อมูลเกี่ยวกับ โครงการ โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ – ขอนแก่น และข้อมูลโครงการต่างๆ ของ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.oceanproperty.co.th หรือ โทร. 02-038-5555 และสามารถติดตามข่าวสารได้ที่ เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/OceanProperty/ อินสตาแกรม https://www.instagram.com/oceanproperty/ ไลน์ @oceanproperty
เรียลแอสเสท เปิดชมห้องตัวอย่างจริง “เดอะ สเตจ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์  พร้อมอัดโปรโมชั่นฯ ปลุกกำลังซื้อรับจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน – สายสีม่วง ส.ค. นี้

เรียลแอสเสท เปิดชมห้องตัวอย่างจริง “เดอะ สเตจ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์ พร้อมอัดโปรโมชั่นฯ ปลุกกำลังซื้อรับจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน – สายสีม่วง ส.ค. นี้

“เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์” เปิดชมห้องตัวอย่างบนตึกจริง “เดอะ สเตจ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์” ภายใต้แนวคิด “โลกส่วนตัว กับไลฟ์สไตล์ที่ลงตัว” พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษ  Fully Package  ผ่อนเบา...เปลี่ยนเช่าเป็นซื้อ เริ่มต้น 4,000 บาท ต่อเดือน ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.5 ล้านบาท เผยหลังการเปิดจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน – สายสีม่วง ในเดือนสิงหาคมนี้ เชื่อมั่นภาพรวมตลาดคอนโดฯ ในทำเลย่านรถไฟฟ้าสายสีม่วงนี้จะกลับมาคึกคักขึ้น โดยประชาชนจะได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางที่มากขึ้น นายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์ธุรกิจ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันโครงการ “เดอะ สเตจ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์”  มูลค่าโครงการกว่า 2,400 ล้านบาท  พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างบนตึกจริงแล้ว ภายใต้แนวคิด “โลกส่วนตัว กับไลฟ์สไตล์ที่ลงตัว” พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษ  Fully Package  ผ่อนเบา...เปลี่ยนเช่าเป็นซื้อ เริ่มเพียงเดือนละ 4,000 บาท  ในราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท พร้อมเข้าอยู่สิงหาคมนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขาย และรองรับกำลังซื้อที่เชื่อว่าจะกลับมาคึกคักขึ้น หลังการเปิดบริการจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน – สายสีม่วง ในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งเชื่อว่าหลังการเปิดให้บริการจุดเชื่อมต่อดังกล่าวประชาชนจะได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางที่มากขึ้น เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญในการเดินทางโดยเฉพาะช่วง 2-3 สถานีต้นทางจากบางซื่อ ได้แก่ บางซื่อ เตาปูน บางซ่อน กระทรวงสาธารณสุขนั้นจะได้รับอานิสงส์มาก ทำให้ทำเลย่านบางซื่อ – เตาปูน ถือได้ว่าเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ บริเวณในเมืองที่น่าจับตามอง โดยจะกลายเป็นพื้นที่เชื่อมต่อจากบริเวณจตุจักร ใกล้ New CBD แห่งใหม่ (หมอชิต – จตุจักร – รัชโยธิน) และเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญ ทั้งนี้จากการศึกษาข้อมูลวิจัยของเอเจนซี่ ฟอร์ เรียลแอสเสท แอฟแฟร์ พบว่า ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2560 พบว่าปัจจุบันในย่านทำเลบางซื่อ – เตาปูน มีโครงการเปิดขายจำนวน 17 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการแนวสูงทั้งหมด มีจำนวนหน่วยเปิดขายประมาณ 3,797 หน่วย โดยใช้เวลาในการระบายหน่วยเหลือขายประมาณ 28 เดือน หรือประมาณ 2 ปี 4 เดือน ซึ่งในปี 2017 ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนพฤษภาคม พบว่า มีจำนวนเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่เพียง 1 โครงการในบริเวณนี้ โดยระดับช่วงราคาขายที่มีอัตราการขายได้ดี คือ ช่วงระดับราคา 3.001 – 5.000 ล้านบาท มีอัตราการขายได้ต่อเดือนต่อจำนวนหน่วยเปิดขายทุกโครงการรวมกันที่ 27 ยูนิตต่อเดือน   ซึ่งราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตไม่ควรเกิน 3.51 ล้านบาท ราคาคอนโดมิเนียมที่มีการปล่อยขายใหม่ (Re-Sales) พบว่า ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในบริเวณนี้มีราคาอยู่ในช่วง 100,789 บาท ต่อตารางเมตร และมีอัตราผลตอบแทนค่าเช่าประมาณ 4.83% โดยคอนโดมิเนียมที่มีค่า Yield ได้ดีส่วนใหญ่จะมีราคาขายที่น้อยกว่า 100,000 บาทต่อตารางเมตร โดยอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าหรือใกล้แหล่งงาน อาคารสำนักงานเป็นหลัก ซึ่งจากข้อมูลที่ได้มีการอธิบายไว้ในข้างต้น ทำให้สรุปได้ว่าโครงการ “เดอะ สเตจ เตาปูน อินเตอ์เชนจ์” ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในโครงการที่น่าสนใจในการเลือกซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อการลงทุนในระยะยาวได้ สำหรับโครงการเดอะ สเตจ เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ โครงการนี้ตั้งอยู่บนดีย่านเตาปูน ถนนประชาราษฎร์สาย 2 มีมูลค่าโครงการกว่า 2,400 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2.5 ล้านบาท แนวคิดในการออกแบบ คือ การผสมผสานความงดงาม และอ่อนโยนของต้นไม้และสายน้ำมาใช้เพื่อให้เกิดเอกลักษณ์ ดั่งการนั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ โดยโครงการนี้มีพื้นที่โครงการทั้งหมดประมาณ 3-3-84.9 ไร่ ห่างจากรถไฟฟ้าสถานีเตาปูน  เพียง 400 เมตร เป็นอาคารสูง 1 อาคาร จำนวน 36 ชั้น 773 ชั้น และชอปเฮ้าส์จำนวน 4 ยูนิต เริ่มต้นห้องด้วยขนาด 1 ห้องนอนขนาด 26.3 ตร.ม., 33.2 ตร.ม. และแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 56.1 ตร.ม. และ 61.4 ตร.ม. ที่ออกแบบให้คุณได้สัมผัสความสุขกับการพักผ่อน วิวแม่น้ำ พร้อมการจัดวางทุกการใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว ทั้งความเป็นส่วนตัวและฟังก์ชั่นใช้สอยพร้อมเพดานสูงโปร่งถึง 2.6 เมตร เพิ่มความสบายและมุมมองที่กว้างขึ้น ด้วยกระจกทำมุมในห้องนอนใหญ่ กับฟังก์ชั่นภายในห้องชุดที่ออกแบบอย่างลงตัว ภายในโครงการมีลิฟต์โดยสาร 4 ตัว และลิฟต์สำหรับขนส่งอีก 1 ตัว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งห้องฟิตเนส ห้องอ่านหนังสือ สระว่ายน้ำ แบบ Infinity Edge ยาว 25 เมตร ห้องซาวน่า และห้องซักรีดส่วนกลาง   นายณัฏฐพร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ล่าสุดบริษัท ฯ เตรียมจัดงาน  “Real Asset  Mid Year Sale” มอบโปรโมชั่นสุดพิเศษ จัดหนักจัดเต็มทั้ง โครงการบ้านเดี่ยว - คอนโด – ทาวน์โฮม – โฮมออฟฟิศ ที่พร้อมให้ผู้ที่สนใจได้จับจองทำเลสวย ยูนิตดีก่อนใคร ซึ่งงานจะจัดขึ้นในวันที่ 13 – 19 กรกฎาคม 2560 นี้ บริเวณลานโปรโมชั่น ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว  โดย โครงการ เดอะ สเตจ เตาปูน - อินเตอร์เชนจ์ ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ ผ่อนเบา...เปลี่ยนเช่าเป็นซื้อ ผ่อนเริ่มต้น 4,000 บาทต่อเดือน พร้อม Fully Package   สำหรับโครงการบ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศพร้อมอยู่ เปิดให้จองเพียง 999 บาท ไม่พอใจ "การันตีคืนเงิน" พร้อมรับโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษต่างๆมากมายและหากโอนภายใน 31 สิงหาคมนี้ รับเพิ่มทันที!! Samsung Galaxy S8+
‘เอพี ไทยแลนด์’ ย้ำตำแหน่งเจ้าตลาดคอนโดติดแนวรถไฟฟ้า เปิดตัว ‘LIFE ONE WIRELESS’ ไฮเอ็นด์คอนโดมิเนียม มูลค่า 6,400 ล้าน พร้อมเผยแผนเตรียมส่งคอนโดแบรนด์ LIFE บุกตลาดในครึ่งปีหลัง

‘เอพี ไทยแลนด์’ ย้ำตำแหน่งเจ้าตลาดคอนโดติดแนวรถไฟฟ้า เปิดตัว ‘LIFE ONE WIRELESS’ ไฮเอ็นด์คอนโดมิเนียม มูลค่า 6,400 ล้าน พร้อมเผยแผนเตรียมส่งคอนโดแบรนด์ LIFE บุกตลาดในครึ่งปีหลัง

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง เสริมแกร่งความเป็นเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้า เตรียมรุกตลาดคอนโดครึ่งปีหลังผนึกกำลัง “มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป” (MEC) พันธมิตรญี่ปุ่น เปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE 2 ทำเลใหม่ใจกลางเมือง ประเดิมด้วย “LIFE ONE WIRELESS (ไลฟ์ วัน ไวร์เลส)” คอนโดมิเนียมระดับไฮเอ็นด์ ภายใต้คอนเซปต์ “Live a Splendid Life” พบชีวิตสมบูรณ์แบบบนที่สุดของทำเลศูนย์กลางมหานคร ให้ผู้อยู่อาศัยได้เติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตอย่างสมดุล ด้วยวิธีคิดในการจัดวางผังโครงการที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบมุมมองจากภายในออกสู่ภายนอกในทุกมิติ ผ่านการผสานความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ทั้งด้านสถาปัตยกรรม อินทีเรียดีไซน์ และแลนด์สเคปดีไซน์ เพื่อให้ทุกพื้นที่ภายในโครงการ LIFE ONE WIRELESS มอบมุมมองที่สวยที่สุดของกรุงเทพมหานคร พร้อมเอกลักษณ์การตกแต่งในสไตล์ Modern Thai Heritage ที่คงเสน่ห์และความเป็นเอกลักษณ์อันทรงคุณค่าไว้อย่างงดงาม แวดล้อมด้วยความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่และพื้นที่สีเขียวกว่า 1 ไร่ ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางที่รองรับชีวิตดิจิตอลกับนวัตกรรมล้ำสมัยหนึ่งเดียวบนถนนวิทยุ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คนเมืองบนทำเลที่ยากจะได้เป็นเจ้าของ นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยว่า “เอพีเข้าใจในความต้องการของลูกค้าและเทรนด์ที่อยู่อาศัยของคนเมืองเป็นอย่างลึกซึ้ง เราเน้นย้ำให้ทีมงานของเราคิดคำนึงเสมอว่า ‘ทำอย่างไรจึงจะสร้างความแตกต่าง และส่งมอบโครงการคุณภาพที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเอพีได้’ สำหรับคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE ก็เป็นอีกโครงการหนึ่งได้รับการตอบรับที่ดี และถือเป็นความภาคภูมิใจของเอพีเสมอมา ด้วยทำเลที่ตั้งที่โดดเด่นใจกลางเมือง สะดวกในการเดินทาง และมอบความสบายในการอยู่อาศัย ภายใต้แนวคิด ‘Platform for Success’ ที่เรามุ่งมั่นจะให้คอนโดแบรนด์ LIFE เป็นคอนโดมิเนียมแห่งแรกและแห่งเดียวที่มอบความสะดวกสบายในการพักอาศัย และการเชื่อมต่อกับผู้คนได้อย่างไร้ขีดจำกัด ตอบโจทย์ความต้องการของชีวิตยุคดิจิตอลของคนรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างดีที่สุด” โครงการ LIFE ONE WIRELESS ราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท (เฉลี่ย 170,000 บาทต่อตารางเมตร) จะเปิดขายทาง iBooking apthai.com ในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ และเปิดขายอย่างเป็นทางการ ณ สำนักงานขาย LIFE ONE WIRELESS ในวันที่ 29 กรกฎาคม   LIFE ONE WIRELESS ผสานความงดงามของการดีไซน์ เข้ากับความทันสมัยเพื่อชีวิตดิจิตอลไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว ด้วยความโดดเด่น ดังนี้ 1. 24 Hours Connected World ผสานเทคโนโลยีในการดีไซน์พื้นที่ส่วนกลาง เพื่อชีวิต Digital Community อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการติดตั้ง Infrastructure ที่พร้อมรองรับสิ่งอำนวยความสะดวก และสัญญาณ Wi-fi ในพื้นที่ส่วนกลางทุกจุด ทั้งยังจัดสรรพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมรองรับการใช้งานในรูปแบบ Co-working Space ที่จะทำให้การเชื่อมต่อเป็นเรื่องง่าย พร้อมการติดตั้งอุปกรณ์ที่พร้อมรองรับการใช้งานจริง รองรับวิถีชีวิตการทำงานที่ยืดหยุ่นไม่ยึดติดกับกรอบของเวลาหรือสถานที่ สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา   2. AP COMMUNITY APPLICATION ทุกอย่างควบคุมได้เพียงปลายนิ้ว ภายใต้วิสัยทัศน์ AP Digital Community สัมผัสอนาคตแห่งการอยู่อาศัยได้ด้วย AP COMMUNITY APPLICATION อย่างเต็มรูปแบบ ที่จะเข้ามาส่งเสริมให้การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ในโครงการเอพีให้สะดวกสบายและปลอดภัยในรูปแบบใหม่ที่สะดวกกว่าเดิม โดยสามารถสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟนได้อย่างง่ายดาย ให้ควบคุมทุกอย่างได้แบบ real time รองรับการเปิด-ปิดระบบไฟฟ้าในห้องพัก การจองใช้พื้นที่ส่วนกลาง ระบบรักษาความปลอดภัย ทั้งยังสามารถเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ในโครงการได้สะดวกสบายกว่าที่เคย “สำหรับภาพตลาดคอนโดในย่านพื้นที่เชื่อมต่อกันระหว่างวิทยุ-หลังสวน-เพลินจิต-ชิดลม ส่วนใหญ่เกิดจากการพัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด ด้วยข้อจำกัดในการครอบครองและต้นทุนที่ดินที่ดีดตัวสูงขึ้นในทุกๆ ปี ทำให้การพัฒนาโครงการที่พักอาศัยในย่านดังกล่าว โดยเฉพาะทำเลที่มีทางเข้า-ออกติดถนนเส้นหลักเป็นไปได้ยาก จากการสำรวจในย่านพื้นที่เชื่อมต่อดังกล่าว พบซัพพลายคงเหลือเพียง 998 ยูนิต หรือคิดเป็น 30 % ของจำนวนยูนิตที่เปิดตัวทั้งหมด ซึ่งคอนโดในกลุ่มไฮเอ็นด์ระดับราคาต่อตารางเมตรประมาณ 1.5 - 2 แสนบาท คงเหลือเพียงแค่ 330 ยูนิตเท่านั้น ดังนั้นจึงมั่นใจว่า LIFE ONE WIRELESS จะได้รับการตอบรับที่ดีจากดีมานด์ในตลาด ด้วยโลเคชั่นใจกลางเมืองบนทำเลมากมูลค่าและยากที่จะครอบครองอย่างถนนวิทยุ โดยเฉพาะคอนโดในระดับราคาตารางเมตรไม่เกิน 2 แสนบาท ที่เปิดขายอยู่บนถนนวิทยุยังไม่มีคอนโดเปิดใหม่ โดยเอพีจะนำความเชี่ยวชาญและความสำเร็จในการพัฒนาลักชัวรี่คอนโดภายใต้แบรนด์ The Address และ RHYTHM เพื่อรังสรรค์ให้ LIFE ONE WIRELESS เป็น Flagship แรกภายใต้แบรนด์ LIFE ที่รังสรรค์ทุกองค์ประกอบ เพิ่มระดับการอยู่อาศัยที่เน้นความลักชัวรี่ที่ผสานสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย และการออกแบบที่คำนึงถึงทุกมุมมองที่ดีที่สุด เพื่อตอบดีมานด์และเป็นโครงการคอนโดที่ดีที่สุดในถนนวิทยุ” นายวิทการกล่าวเพิ่มเติม ปัจจุบัน (ณ 30 มิถุนายน 2560) เอพีมีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Ongoing Projects) จำนวน 15 โครงการ มูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 12,300 ล้านบาท โดยเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างเอพีและ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MEC) 9 โครงการ มูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 4,090 ล้านบาท ในส่วนของผลการดำเนินงานของเอพีจากกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 8,200 ล้านบาท และมั่นใจว่าจากการเปิดตัว LIFE ONE WIRELESS ไฮเอ็นด์คอนโดมิเนียมบนทำเลที่ดีที่สุดของถนนวิทยุ จำนวน 1,344 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท (ราคาเฉลี่ย 170,000 บาทต่อตารางเมตร) และ LIFE อโศก – พระราม 9 สุดยอดคอนโดมิเนียมที่พร้อมสนับสนุนความสำเร็จให้กับชีวิตคนเมืองยุคดิจิตอล ราคาเริ่มต้น 110,000 บาทต่อตารางเมตร จะช่วยโกยยอดขายคอนโดมิเนียมล็อตใหญ่ และทะลุเป้าหมายยอดขายคอนโดมิเนียมที่ตั้งไว้ที่ 12,400 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน
“พฤกษา” เหนือชั้นด้วยระบบ REM ยกระดับการก่อสร้างสู่นวัตกรรมบ้านแข็งแรง

“พฤกษา” เหนือชั้นด้วยระบบ REM ยกระดับการก่อสร้างสู่นวัตกรรมบ้านแข็งแรง

บ้านที่มั่นคงแข็งแรง นับเป็นปัจจัยลำดับต้นๆ ที่ลูกค้าในยุคปัจจุบันให้ความสำคัญ และปัจจัยดังกล่าวจะยิ่งเพิ่มความสำคัญมากขึ้นในอนาคตเมื่อโลกมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงของภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น พายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ที่เริ่มมีสัญญาณว่าจะเกิดบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น ซึ่งบ้านที่แข็งแรงเท่านั้นที่จะต้านทานและรับมือกับภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ การทุ่มเทพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้างบ้านของ พฤกษา เรียลเอสเตท จึงไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การนำนวัตกรรม พฤกษา พรีคาสท์ มาใช้เท่านั้น แต่ยังต่อยอดไปอีกขั้นด้วยการผสานจุดเด่นของพฤกษา พรีคาสท์ เข้ากับระบบ Real Estate Manufacturing เพื่อช่วยปรับปรุงกระบวนการก่อสร้างให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล เพื่อเพิ่มความมั่นคงแข็งแรงให้กับบ้าน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการนำระบบดังกล่าวมาใช้ในวงการอสังหาริมทรัพย์ Real Estate Manufacturing หรือ REM เป็นระบบที่พฤกษา เรียลเอสเตท คิดค้นและพัฒนาขึ้น โดยนำกระบวนการผลิตแบบอุตสาหกรรมมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการก่อสร้างบ้าน ยกตัวอย่างกระบวนการผลิตรถยนต์ที่แบ่งการทำงานออกเป็นสายการผลิต มีทีมงานประจำแต่ละจุด จากนั้นชิ้นส่วนรถยนต์จะเลื่อนไหลไปตามสายพานจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งจนเสร็จสิ้นกระบวนการผลิตออกมาเป็นรถยนต์ ระบบการทำงานของ REM ก็เช่นเดียวกัน ต่างกันตรงที่บ้านจะอยู่กับที่แต่ทีมงานก่อสร้างจะเป็นฝ่ายเคลื่อนไปตามจุดที่ตั้งบ้าน โดยแบ่งทีมงานออกเป็นหลายทีมตามประเภทงาน อาทิ งานตอกเข็ม งานฐานราก  งานประปาใต้พื้น งานประปารอบบ้าน งานติดตั้งแผ่นพฤกษา พรีคาสท์ งานโครงหลังคา งานประปาภายใน งานวางเหล็ก งานวงกบประตูหน้าต่าง งานเดินท่อร้อยสายไฟฟ้า งานฝ้า งานกันซึม งานฉาบ งานปูกระเบื้อง งานเทปูน งานกระเบื้อง รวมไปถึงงานติดตั้งบันไดสำเร็จรูป งานพื้นลามิเนต งานอุปกรณ์ไฟฟ้า งานสุขภัณฑ์ งานสี และสิ้นสุดที่งานทำความสะอาดบ้านเพื่อรอส่งมอบให้กับลูกค้า จากกระบวนการทำงานภายใต้ระบบ REM ทำให้ทีมงานก่อสร้างของพฤกษา เรียลเอสเตท ได้ทำงานในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบประเภทเดิมๆ จนเกิดการพัฒนาทักษะ มีความชำนาญ ซึ่งแน่นอนว่าบ้านที่ก่อสร้างด้วยช่างฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญย่อมมีคุณภาพและแข็งแรงทนทาน นอกจากนี้ ตลอดการก่อสร้างจะมี Quality Improvement Team คอยเข้าไปควบคุมคุณภาพการก่อสร้างในทุกขั้นตอน ร่วมด้วยทีม Quality Construction Service ที่จะเข้าไปตรวจสอบและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น ระหว่างการก่อสร้างก่อนที่ลูกค้าจะเข้ามาตรวจรับบ้าน ทุกองค์ประกอบดังกล่าวจึงผนึกกำลังร่วมกันเพื่อเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้บ้านของพฤษา เรียลเอสเตท มีคุณภาพและแข็งแรงสูงสุด เป็นบ้านแห่งนวัตกรรมเพื่ออนาคต เพราะเชื่อเสมอว่า “บ้านที่มีคุณค่า” คือที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดของการใช้ชีวิต “พฤกษา” คิดสร้างสรรค์คุณค่าเพื่อลูกค้า รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการคุณภาพจาก พฤกษา เรียลเอสเตท ค้นหาข้อมูลได้ที่ www.pruksa.com หรือ โทร 1739
“ลีอาร์คีเทค”จับมือพันธมิตรชูนวัตกรรมก่อสร้าง หวังลดปัญหาแรงงาน-เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน

“ลีอาร์คีเทค”จับมือพันธมิตรชูนวัตกรรมก่อสร้าง หวังลดปัญหาแรงงาน-เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน

บริษัทรับสร้างบ้าน “ลีอาร์คีเทค” ปรับกลยุทธ์ลดปัญหาแรงงานร่วมมือกับพันธมิตรในการใช้นวัตกรรมก่อสร้าง โครงสร้างเหล็ก “สยามยาโมโตะ” กับระบบผนังมวลเบาเสริมโครงเหล็ก (FULFILwall System) ของ SCG เป็นการพัฒนาระบบก่อสร้างบ้านให้ใช้แรงงานน้อยที่สุด เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันพร้อมเกาะติดพฤติกรรมผู้บริโภคยุค 4.0 รองรับไลฟ์สไตล์ผ่าน “4 TREND”การออกแบบ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างความรวดเร็ว ทั้งในด้านข้อมูลข่าวสาร การสื่อสารที่ไร้พรมแดน โดยเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเสพสื่อหลายช่องทาง การแข่งขันในยุคนี้จึงอยู่ที่ความเร็วและการเลือกใช้เทคโนโลยี หรือนวัตกรรมต่างๆที่เหมาะสม นางศิริพร สิงหรัญ กรรมการผู้จัดการบริษัท ลีอาร์คีเทค จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้านที่มีประสบการณ์มาร่วม22 ปี และเป็นสมาชิกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านเปิดเผยว่า จากปัญหาเรื่องแรงงานเรื้อรังที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนั้นยอมรับว่ามีผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ซึ่งบริษัทฯก็มองเห็นปัญหานี้มาตลอด ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รวมถึงการแข่งขันของธุรกิจ ทำให้บริษัทฯต้องปรับตัวรองรับกับกระแสที่เปลี่ยนแปลง ที่ล่าสุด บริษัทฯได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเครือ SCG ในการใช้นวัตกรรมก่อสร้างเหล็กสยามยาโมโตะ ทั้งยังนำระบบผนังมวลเบาเสริมโครงเหล็ก (FULFILwall Systemมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน และกระแสการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว “ตลอด 22ปีที่ทำธุรกิจเรามองเห็นปัญหามาตลอดและเราก็ปรับตัวมาอย่างต่อเนื่อง และการที่เราร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่จะทำให้เราได้ปรับระดับการบริการก้าวสู่อีกขั้นที่ไม่ได้มุ่งขายแต่สินค้า แต่เรายกระดับไปสู่การเสนอข้อมูลต่าง ๆ ที่ประกอบกับการสร้างบ้านในยุค 4.0 เพื่อรองรับ ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป” ผู้บริหารของลีอาร์คีเทค กล่าว พร้อมกันนี้ นางศิริพร ยังขยายความด้วยว่า การนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการออกแบบบ้านของบริษัทฯจะเป็นตาม “4 TREND” ที่อยู่ในกระแสโลก กระแสสังคม และได้ร่วมกับกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรวัสดุที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการสร้างบ้าน ดังนี้ 1.TREND ผู้สูงอายุ : ลีอาร์คีเทคเราออกแบบตอบสนองตาม พฤติกรรมผู้บริโภคในสังคมไทย ซึ่งส่วนใหญ่ยังนิยมอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวขยาย นั่นคือ บ้าน 3 GEN ที่ตอบโจทย์คน 3 วัย พ่อ-แม่ ลูกและปู่ย่าตายาย ด้วยรูปแบบภายนอกที่ดูเป็นกลุ่มอาคาร ที่ทันสมัยดูอบอุ่นด้วยกลิ่นอายของ แจแปนนิสสไตล์ ประกอบด้วยประโยชน์ใช้สอยที่ครบครันเป็นสัดส่วน มีความเป็นส่วนตัวของผู้อาศัยในแต่ละวัย แต่สามารถเชื่อมโยงการใช้พื้นที่ ต่างๆต่อเนื่องกัน และใช้มุมมองธรรมชาติ สวน สระว่ายน้ำ เฉลียงในร่มทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อให้แต่ละวัยสามารถใช้ชีวิต ประจำวันได้อย่างเป็นอิสระไม่รบกวนกัน เรานำเสนอนวัตกรรมสำหรับผู้สูงอายุ SCG Elder Care Solution ให้กับแบบบ้านทุกหลัง 2.TREND ประหยัดพลังงาน : ยังเป็นโจทย์หลักที่เราได้มุ่งมั่นมาตลอดกว่า 10 ปี นอกจากจะออกแบบบ้านด้วยหลักธรรมชาติและเลือกใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนแล้ว เรานำเสนอการใช้พลังงานสะอาด SOLAR CELL ที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกติดตั้งตามงบประมาณที่กำหนด 3.TREND ยุค DIGITAL : เรานำความทันสมัยของเทคโนโลยีมาเพิ่มความสะดวกสบาย ในการอยู่อาศัย นั่นคือ ระบบไฟอัจฉริยะSwitch Smart Home สำหรับ Automation Light System จาก HomeXpert และ 4. TREND หน่วยงานสะอาด : กระแสรักษ์โลกเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เรามองว่าการก่อสร้างบ้านทำให้เกิดมลภาวะมากมาย ทั้งฝุ่นละออง ขยะ ใช้เวลาหลายเดือน เราจึงใช้ระบบโครงสร้างเหล็กมาทดแทนโครงสร้างคอนกรีต ซึ่งทำให้เป็นหน่วยงานที่สะอาด ลดมลภาวะกับพื้นที่ข้างเคียง ที่สำคัญ การได้รูปแบบบ้านที่ทันสมัย บางเบา มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากโครงสร้างคอนกรีตที่ดูหนาเทอะทะ โดยได้เป็นพันธมิตรร่วมกับเหล็กสยามยามาโตะ ในการก่อสร้างโครงสร้างเหล็ก และใช้นวัตกรรมการก่อสร้างผนังเป็นระบบผนังมวลเบาเสริมโครงเหล็ก FULFIL wall System ของ SCG ลดฝุ่นละอองจากการฉาบปูน เป็นหน่วยงานสะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น
“สยามนุวัตร” ทุ่ม 3,000 ล้าน ชี้ช่องใจกลางเมืองมิดทาวน์สยาม สร้าง “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” คาดกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลัง

“สยามนุวัตร” ทุ่ม 3,000 ล้าน ชี้ช่องใจกลางเมืองมิดทาวน์สยาม สร้าง “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” คาดกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลัง

กรุงเทพฯ: บริษัท สยามนุวัตร จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ เปิดโครงการมูลค่า 3 พันล้าน "WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM" (วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม) ลักชัวรี่คอนโด สำหรับผู้บริหารรุ่นใหม่ กล้าคิดกล้าตัดสินใจ และมีไลฟ์สไตล์ ใช้ชีวิตสุดหรูอยู่ใจกลางเมืองย่านธุรกิจ (Central Business District) ย่านมิดทาวน์ สยาม ภายใต้คอนเซ็ปต์ 'Your Signature' สะท้อน ‘เอกลักษณ์’ ที่แตกต่างในแบบของคุณ นายธารธร อักษรานุวัตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามนุวัตร จำกัด เผยถึงรายละเอียดโครงการ Wish Signature II Midtown Siam ว่า ​“โครงการ Wish Signature II Midtown Siam เป็นโครงการที่ตั้งอยู่ย่านธุรกิจหลัก ที่เน้นการใช้ชีวิตแบบคนรุ่นใหม่ มีสไตล์เป็นตัวเองชัดเจน ต้องการความสะดวกสบาย มีกิจกรรมพิเศษให้ทำมากขึ้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตที่แตกต่างได้อย่างครบถ้วนในสถานที่เดียว และนับเป็นครั้งแรกกับ ”Lifestyle Pods” พื้นที่อำนวยความสะดวก ที่มีให้ถึง 4 ชั้น  สร้างกิจกรรมและไลฟ์สไตล์แบบครบครัน พร้อมกับการเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า สถานีสยาม-สถานีราชเทวี เพียง 400 เมตร และในอนาคตอันใกล้ จะมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม โครงการตลิ่งชัน-มีนบุรี โดยสถานีขึ้นหน้าโครงการ ที่ช่วยให้การเดินทางสะดวก เอื้อประโยชน์ให้คนที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในย่านมิดทาวน์สยาม ใกล้แหล่งช้อปปิ้งใจกลางเมือง อาทิ ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพียง 450 เมตร และสถาบันการศึกษาดังมากมาย อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ซึ่งสามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ความมีระดับในแบบ Your Signature ได้อย่างลงตัว" นายธารธร กล่าวเพิ่มเติมว่า "นอกจากนี้ ย่านมิดทาวน์สยาม เป็นทำเลระดับซูเปอร์พรีเมียม ที่มีพื้นที่เหลืออยู่ไม่มาก ซึ่งนอกจากการอยู่อาศัยแล้ว ยังถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ปัจจุบัน ราคาต่อตร.ม. มากกว่า 200,000 บาท คาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า มูลค่าของคอนโดจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง ทางบริษัทฯ เล็งเห็นว่า แม้ภาพรวมของเศรษฐกิจยังชะลอตัว แต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงเติบโตเพิ่มขึ้น คิดเป็น 8% จากปัจจัย ที่รัฐบาลมีการลงทุนทางด้าน Infrastructure อย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าการซื้อขายในตลาดรวมของอสังหาริมทรัพย์ ยังได้รับการตอบรับจากนักลงทุนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะทำเลในย่านธุรกิจ (CBD) ที่อยู่แนวรถไฟฟ้ายังคงได้รับการตอบรับอย่างดี โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ.2561 และแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ.2563" "WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM" เป็นโครงการใหม่ล่าสุด หลังจากโครงการแรก WISH SIGNATURE MIDTOWN SIAM ประสบความสำเร็จและอยู่ในขั้นตอนก่อสร้าง (คาดแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ปี พ.ศ.2561) โดยโครงการล่าสุดนี้ เพิ่มความพิเศษด้วยคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยแบบ High Rise ความสูง 41 ชั้น พื้นที่โดยรวมโครงการ 2 ไร่ ทั้งหมดมี 333 ยูนิต ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท มีจุดเด่นในเรื่องของพื้นที่ส่วนกลางและ Lifestyle Pods 4 ชั้น เพิ่มกิจกรรมที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น อาทิ Pool Pods สระว่ายน้ำลอยฟ้ารูปตัวยูขนาดใหญ่สามารถมองเห็นทัศนียภาพรอบๆ ได้แบบ 360 องศา Body & Mind Pods พื้นที่ออกกำลังกายตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ กับพื้นที่ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการออกกำลังกายแบบครบวงจร ที่มีทั้ง Fitness, Boxing Stage, Yoga Room หรือ Stream & Sauna อีกด้วย Chill & Work Pods รองรับการใช้ชีวิตที่มี “เอกลักษณ์” ยิ่งกว่า บนพื้นที่แห่งการผ่อนคลายและ การทำงานที่เป็นส่วนตัว แบ่งเป็น Co-working Space, Lounge, Mini Theatre รวมถึง Amphitheater และชั้นบนสุด Sky Pods เปิดประสบการณ์ใหม่กับพื้นที่สำหรับสังสรรค์และทำกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็น Party court, Rooftop Recreation, BBQ Area และ Basketball court กับมุมมอง City View จากตึกสูงใจกลางเมือง สะท้อน ‘เอกลักษณ์’ ของคุณได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเน้นจุดขายด้วยทำเลที่โดดเด่น “มิดทาวน์ สยาม” ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจ (Central Business District) มีทำเลเชื่อมต่อแหล่งบันเทิงระดับประเทศ รวมถึงการคมนาคมที่ทันสมัย และยังมีเรื่องของเทคโนโลยีที่ถูกเพิ่มเข้ามา เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัย ด้วยระบบ Prop Tech (พร็อพ เทค) หรือการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในอสังหาฯ อาทิ ระบบสั่งการในการจองพื้นที่ส่วนกลาง ลานจอดรถ หรือแม้แต่ Facility ต่างๆ ก็สามารถทำได้ ผ่านระบบแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน เพื่อตอบโจทย์ชีวิตของผู้อาศัยยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เน้นการใช้งานที่ง่าย สะดวก และรวดเร็วพร้อมกับการดีไซน์ทั้งส่วนใช้สอยและส่วนกลางแบบ Luxury Modern มีความพริ้วไหวจากเส้นสายที่ดีไซน์ให้มีความโค้งมนสบายตา คงเอกลักษณ์ความหรูหราแบบมีระดับในแบบ Your Signature (ยัวร์ ซิกเนเจอร์) ​            โครงการ “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” เตรียมเปิดขายโครงการ จัดพรีเซลล์ในวันที่ 18-20 สิงหาคม 2560 กับงาน Pre-Sales คอนโดมิเนียม Wish Signature II Midtown Siam “Your Signature” ณ ลานอีเดน 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยผู้ที่ทำการจองและเซ็นสัญญา จะได้รับโทรศัพท์สมาร์ทโฟน Samsung Galaxy S8 Plus ทันที คลิกดูข้อมูลโครงการเพิ่มเติมได้ที่ www.siamnuwat.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 094-481-0555, 094-403-8555
“บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน-วัชรพล” เฟสใหม่ ฟังก์ชันใหม่ พิเศษ วันเดียวเท่านั้น ลดทันที 100,000 บาท 15 ก.ค.นี้

“บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน-วัชรพล” เฟสใหม่ ฟังก์ชันใหม่ พิเศษ วันเดียวเท่านั้น ลดทันที 100,000 บาท 15 ก.ค.นี้

 “บ้านลุมพินี” ในเครือ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP เตรียมเปิดขาย “บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน-วัชรพล” ทาวน์โฮม 2 ชั้น เฟสใหม่ไฉไลกว่าเดิม เพิ่มเติมฟังก์ชันใหม่ที่ครบครัน รวมอาคารคลับเฮ้าส์ที่มีทั้งฟิตเนสและสระว่ายน้ำ พร้อมด้วยสวนโอเอซิสขนาดใหญ่กว่า 1 ไร่ เพียงจองวันงาน มอบส่วนลดกันเป็นแสน ดีเดย์ 15 ก.ค. นี้ เริ่ม 2.39 ล้าน นายจรัญ เกษร กรรมการผู้จัดการ ในเครือ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP ผู้พัฒนา “บ้านลุมพินี” เปิดเผยว่าในวันเสาร์ที่ 15 ก.ค. นี้ บริษัทเตรียมเปิดขายโครงการ “บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน-วัชรพล” เฟสใหม่ หลังได้รับการตอบรับที่ดีจากการเปิดขายเฟสที่ผ่านมา เนื่องจากทำเลดังกล่าวเป็นทำเลที่มีศักยภาพ มีการคมนาคมที่สะดวกสบาย โดยกายภาพของพื้นที่มีถนนสายหลักล้อมรอบอยู่หลากหลายเส้นทาง ทั้งจากถนนพหลโยธิน  รามอินทรา เพิ่มสิน วัชรพล สายไหม ทางด่วนรามอินทรา และสุขาภิบาล 5 เป็นต้น ด้วยเป็นทำเลที่มีการพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพรวมของทำเลนี้สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะตามแนวถนนหลักอย่างรามอินทรา และพหลโยธิน ที่มีทั้งห้างสรรพสินค้า ตลาดสดขนาดใหญ่  ร้านค้า  ร้านอาหาร โรงพยาบาล เรียงรายคอยอำนวยความสะดวกตลอดแนว “บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน-วัชรพล” เฟสใหม่นี้ นอกเหนือจากทำเลที่โดดเด่น และคุณค่าของการอยู่อาศัยภายใต้แนวคิด “บ้านลุมพินี บ้านน่าอยู่” ในแนวทาง “บ้านดี สิ่งแวดล้อมดี ดูแลดี ผู้คนดี” แล้ว ด้านราคายังคงคุ้มค่าในการจับจองเป็นเจ้าของ โดยเริ่มต้นที่ 2.39 ล้านบาท และเพียงจองวันงาน รับส่วนลดทันที 100,000 บาท พร้อมด้วยฟังก์ชั่นใหม่ของโครงการที่ครบครัน ทั้งในส่วนของบ้านที่มีการขยายพื้นที่จอดรถให้กว้างขวางขึ้น รองรับครอบครัวขยายที่มีการเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตมากขึ้น การเพิ่มส่วนครัวไทย และเพิ่มฟังก์ชันห้องอเนกประสงค์ชั้นล่างที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องนอน ห้องซักรีด ห้องนั่งเล่น หรือห้องทำงานที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว นอกจากนั้น ภายในโครงการเองได้เตรียมคลับเฮ้าส์ที่มีทั้งฟิตเนสและสระว่ายน้ำ พร้อมด้วยสวนโอเอซิสขนาดใหญ่กว่า 1 ไร่ ซึ่งสามารถสัมผัสธรรมชาติกันได้อย่างเต็มที่” ด้วยการออกแบบบ้านสำหรับคนเมืองที่ต้องการความสงบ สวยงาม เรียบง่าย สิ่งแวดล้อมดี “บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน-วัชรพล” คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยสูงสุด สะดวกสบาย ลงตัวครบทุกฟังก์ชันการอยู่อาศัย เดินทางสะดวกบนทำเลศักยภาพ  ใกล้สาธารณูปโภคมากมาย พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยภายในโครงการ รวมทั้งการบริหารจัดการที่ดี ในแนวคิด “บ้านลุมพินี บ้านน่าอยู่” จากทีมบริหารงานมืออาชีพจากบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด  
เผยโฉม ‘VITTORIO’ อัลตร้า-ลักซ์คอนโดฯ ที่สุดแห่งการใช้ชีวิตระดับมาสเตอร์พีซ ใจกลาง The Em District

เผยโฉม ‘VITTORIO’ อัลตร้า-ลักซ์คอนโดฯ ที่สุดแห่งการใช้ชีวิตระดับมาสเตอร์พีซ ใจกลาง The Em District

‘เอพี ไทยแลนด์’ เผยโฉม ‘VITTORIO’ อัลตร้า-ลักซ์คอนโดฯ ที่สุดแห่งการใช้ชีวิตระดับมาสเตอร์พีซ ใจกลาง The Em District บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง พร้อมเผยโฉม ‘VITTORIO’ (วิตโตริโอ) คอนโดมิเนียมระดับอัลตร้า-ลักซ์แห่งใหม่ ภายใต้แนวคิด ‘LIVING IN THE MASTERPIECE’ ที่สุดของที่สุดในทุกมิติ ที่ซึ่งสุนทรียะผสานเข้ากับการใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบมูลค่าโครงการกว่า 3,500 ล้านบาท เอพี (ไทยแลนด์) ชูความเป็นเลิศในเรื่องของทำเล ราคา คุณค่าของงานศิลป์ การออกแบบ และการดูแลรักษาให้คงคุณค่าเสมือนครั้งแรกพบ ทั้งให้ความสำคัญสูงสุดกับความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย โดยมีจำนวนเรสซิเดนซ์ เพียง 88 ยูนิต ภายในอาคารที่พักอาศัยความสูง 28 ชั้น ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยระดับอัลตร้า-ลักซ์ VITTORIO ได้รับการรังสรรค์อย่างประณีตและพิถีพิถัน โดยมีแรงบันดาลใจในการดีไซน์มาจากสถาปัตยกรรมอันเลื่องชื่อแห่งเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ไม่ว่าจะเป็น ‘Uffizi Gallery’ พิพิธภัณฑ์ศิลป์ด้านจิตรกรรมและประติมากรรมชื่อก้องโลก และ ‘Vasari Corridor’ โถงทางเดินระหว่างพระราชวังถึงคฤหาสน์ที่สะท้อนหลักคิดในการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนตัวสูงสุด ทุกพื้นที่ภายใน VITTORIO สง่างามด้วยงานฝีมือที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลก ตั้งแต่การเลือกใช้ ‘Palissandro Bluette’ ซึ่งหายากและมีเพียงแห่งเดียวในโลกเท่านั้น รวมถึงการร่วมมือกับนักสร้างสรรค์งานคราฟต์ระดับโลกอย่างอเล็กซานเดอร์ ลามอนต์ (Alexander Lamont) ในการออกแบบลักชัวรี่เฟอร์นิเจอร์ ดีไซน์พิเศษให้กับ VITTORIO โดยเฉพาะ นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยว่า “เอพี (ไทยแลนด์) คือ ผู้นำด้านที่พักอาศัยติดแนวรถไฟฟ้า เราคำนึงถึงการตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยทุกกลุ่ม เราจึงตั้งใจสร้างสรรค์ VITTORIO ให้เป็นคอนโดมิเนียมระดับ Masterpiece      เพื่อจับตลาดคอนโดอัลตร้า-ลักซ์โดยเฉพาะ เมื่อเอพีได้ที่ดินผืนนี้ซึ่งเป็นที่ดินระดับมาสเตอร์พีซในย่านพร้อมพงษ์ เรามองเห็นดีมานด์ของลูกค้าระดับอัลตร้า-ลักซ์ที่ต้องการใช้ชีวิตในย่านนี้ เราจึงเข้ามาบุกเบิกพัฒนา VITTORIO โดยเราเป็นผู้นำรายแรกที่ชูความลักชัวรี่ระดับ Masterpiece ที่แตกต่างในระดับไฮเอนด์ ที่ให้ความสำคัญในการเลือกสรรทุกองค์ประกอบทั้งงานสถาปัตยกรรมและงานอินทีเรียอย่างละเมียดละไมที่สุด อาทิ การเลือกใช้หินอ่อน Palissandro Bluette ที่หายาก และมีเพียงแห่งเดียวในโลกมาเป็นวัสดุในการตกแต่งโครงการ และเพื่อให้ได้หินอ่อนที่ทรงคุณค่า เราจึงใช้ความพิถีพิถันอย่างมากกับขั้นตอนการเลือกหินอ่อนสกัด ที่จะเลือกใช้เฉพาะส่วนที่งดงามที่สุดเพียง 30% เท่านั้น” “เฟอร์นิเจอร์และผลงานศิลป์ที่ใช้ตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางของ VITTORIO เอพีคำนึงถึงเมื่อลูกค้าได้เป็นเจ้าของ หรือซื้อไว้เพื่อเป็นมรดกให้กับลูกหลานแล้วต้องมีมูลค่าเพิ่มขึ้น เราจึงเลือกนำชิ้นงานศิลปะหายากที่มีมูลค่าสูงของศิลปินชาวไทยที่โด่งดังในต่างประเทศ อาทิ อ.เขียน ยิ้มศิริ อ.นุกูล ปัญญาดี เป็นต้น (เฉพาะมูลค่างานศิลป์มากกว่า 20 ล้านบาท) มาตกแต่งภายในโครงการ จะเห็นว่าเมื่อเดินเข้ามาในโครงการนอกจากจะเตะตาด้วยหินอ่อนทอประกายระยิบระยับที่สร้างความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวแล้ว ยังเสมือนได้ชื่นชมงานศิลปะทุกครั้งที่ได้ก้าวเข้ามา โดยผลงานของศิลปินชาวไทยนั้นได้วางเคียงคู่กับเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบเป็นพิเศษโดย อเล็กซานเดอร์ ลามอนต์ (Alexander Lamont) พร้อมนำผลงานสร้างชื่อของเขาอย่างหนังกระเบนมาใช้ตกแต่งในโถงไพรเวทลิฟต์ทุกตัวเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ตัวโครงการอีกด้วย” นายวิทการกล่าวเสริม ทุกๆ เรสซิเดนซ์ใน VITTORIO มีความสวยงามตระการตาและกลมกลืนต่อเนื่องจากพื้นจรดเพดาน จากห้องรับแขกจนถึงระเบียงที่กว้างขวางโอ่โถง ไปจนถึงห้องนอนใหญ่ ที่ผู้พักอาศัยทุกเรสซิเดนซ์จะสามารถผ่อนคลายด้วยทัศนียภาพที่งดงามกว้างไกลสุดสายตาแบบพาโนรามาได้ นอกจากนั้นแล้วเรายังคำนึงถึงการบริหารจัดการโครงการเพื่อรักษา ดูแลไม่ให้มูลค่าของทรัพย์สินส่วนกลางภายในโครงการเสื่อมลง โดยเฉพาะชิ้นงานศิลปะระดับ Masterpiece ต่างๆ ภายในโครงการ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ เอพี (ไทยแลนด์) ให้ความสำคัญมากอย่างยิ่ง ซึ่งสำหรับโครงการ VITTORIO แห่งนี้เราจะมีเจ้าหน้าที่บริหารอาคารที่มีประสบการณ์และความชำนาญการเฉพาะด้าน ในเรื่องของการบริหารจัดการโครงการระดับอัลตร้า-ลักซ์มาดูแลความงดงามเรียบร้อยของ VITTORIO โดยเฉพาะ ตลอดจนมีการจัดทำคู่มือนำเสนอขั้นตอน และวิธีในการดูแลรักษางานคราฟท์แต่ละชิ้นอย่างละเอียด นอกจากนี้ VITTORIO ยังมีสิ่งอำนวย-ความสะดวกระดับ Masterpiece ที่ครบครันเทียบเท่าโรงแรมระดับห้าดาว ณ ชั้น 27 และ 28 ไม่ว่าจะเป็น ‘Arno Vitality Pool’ สระว่ายน้ำที่มาพร้อมกับระบบ Hydrotherapy ที่มีถึง 7 สเตชั่น ออกแบบภายใต้แนวคิดวารีบำบัดเพื่อบรรเทาอาการเมื่อยล้า หรือความเครียดจากการทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมถึง ‘Club Kinetic’ พื้นที่ออกกำลังกายที่มาพร้อมกับวิวพาโนรามา อีกทั้งยังมีพื้นที่อันเป็นส่วนตัวด้วยการออกแบบสเปซสำหรับเครื่องวิ่งที่แยกเฉพาะบุคคล และนวัตกรรมเครื่องออกกำลังกายแนวใหม่ ‘Kinesis’ จาก Technogym ผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาชื่อดังของอิตาลี “สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมระดับอัลตร้า-ลักซ์ในเมือง (ระดับราคา 3 แสนบาทต่อตารางเมตรเป็นต้นไป) ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาถือว่าได้รับความสนใจอย่างมาก และยังมีแนวโน้มการเติบโตไปได้อีก เพราะถ้าดูยอดขายที่เกิดขึ้น ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2560 สินค้ากลุ่มอัลตร้า-ลักซ์ที่เปิดตัวในเมืองที่มีสัดส่วนยอดขายรวมประมาณ 70-80% จากสินค้ากลุ่มอัลตร้า-ลักซ์ทั้งหมด และถ้าดูในภาพรวมสินค้ากลุ่มนี้ที่เปิดตัวแล้วสร้างเสร็จยังมีอยู่ไม่มาก ถือว่าจริงๆ แล้วสินค้ากลุ่มอัลตร้า-ลักซ์ในบ้านเรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น หัวใจสำคัญของการพัฒนาคอนโด เพื่อเจาะกลุ่มตลาดระดับอัลตร้า-ลักซ์จึงไม่ใช่แค่ทำเลต้องดี แต่ทุกๆ รายละเอียดของโครงการต้องสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้ด้วย ตั้งแต่การออกแบบภายนอก ภายใน การบริหารพื้นที่รวมถึงการดูแลโครงการหลังการขาย เอพีมองว่าถ้าจะนิยามตัวเองว่าเป็นอัลตร้า-ลักซ์ ต้องมี 2 คุณสมบัตินี้มาคู่กัน หนึ่งในนั้น คือ VITTORIO ที่ใส่ใจทุกรายละเอียด เพื่อจะเป็นมาสเตอร์พีซอย่างแท้จริง” นายวิทการกล่าวสรุป
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ขยายตลาดเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “เมทริส” พร้อมกัน 3 โครงการเจาะย่านธุรกิจแห่งอนาคต ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง มูลค่ารวมของโครงการกว่า 4,500 ล้านบาท

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ขยายตลาดเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “เมทริส” พร้อมกัน 3 โครงการเจาะย่านธุรกิจแห่งอนาคต ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง มูลค่ารวมของโครงการกว่า 4,500 ล้านบาท

กรุงเทพฯ 5 กรกฎาคม 2560 – บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับบนของเมืองไทย เปิดตัวแบรนด์ใหม่ เมทริส (METRIS) คอนโดมีเนียมแบบไฮไรส์ (High Rise) บนสามทำเลใจกลางเมืองและย่านธุรกิจใหม่ ลาดพร้าว, พัฒนาการ, และพระราม 9 -รามคำแหง มูลค่ารวมของโครงการกว่า 4,500 ล้านบาท พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองในปัจจุบันด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์แบบ ‘มิด-เซ็นจูรี่ โมเดิร์น’ (Mid-Century Modern) ที่ผสานความคลาสสิคและความทันสมัยเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ภายใต้คอนเซ็ปท์ Remaster The Modern DNA เพื่อคนรุ่นใหม่ที่รักอิสระ ชื่นชอบความเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความสง่างามเหนือกาลเวลา นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ของเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ในการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ เราไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาโปรเจคต่างๆให้ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์และเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไป  โครงการเมทริสจะเป็นทางเลือกใหม่สำหรับกลุ่มคนที่มีวิถีชีวิตในย่านใกล้ใจกลางเมืองแต่ยังต้องการความสงบส่วนตัวในการอยู่อาศัย  แวดล้อมด้วยร้านกาแฟเก๋ๆ  ห้างสรรพสินค้า และศูนย์รวมความบันเทิงที่ครบครัน  พร้อมกับความสะดวกสบายในแง่ของการเดินทาง และการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่ไม่ต่างจากในเมือง อาทิ การเดินทางไปยังรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) แอร์พอร์ต เรล ลิงค์ (Airport Rail Link) และ ทางด่วน หรือเส้นทางโทลล์เวย์ที่สามารถเดินทางเข้าในเมืองหรือออกนอกเมืองไปยังต่างจังหวัดได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ สามโลเคชั่นที่เราเลือกยังเป็นย่านธุรกิจที่จะขยายตัวในอนาคต ซึ่งจะสอดรับกับความต้องการของนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการลงทุนในทำเลทองที่มีแนวโน้มในการเพิ่มมูลค่าขึ้นทุกปีเช่นกัน” โครงการเมทริส ลาดพร้าว  โครงการเมทริส พัฒนาการ และ โครงการเมทริส พระราม 9 -รามคำแหง จะสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2563 เป็นคอนโดมีเนียมไฮไรส์ กับ การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งนอกจากจุดเด่นในด้านโลเคชั่นที่สะดวกสบายต่อการเดินทางสู่ใจกลางเมืองและนอกเมือง รวมถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบที่จะเติมเต็มความต้องการของผู้อาศัยได้เป็นอย่างดีแล้ว การออกแบบยังให้กลิ่นอายของความคลาสสิกที่ ได้รับแรงบันดาลใจจากยุค Mid-Century Modern ผสานเข้ากับความใหม่ล้ำสมัยอย่างลงตัว ด้วยคอนเซ็ปท์ Remaster The Modern DNA ทำให้เน้นการออกแบบเรียบง่าย และฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน ห้องชุดในโครงการจะประกอบไปด้วยห้อง 3 ประเภท ได้แก่ 1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน และแบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ในราคาต่อตารางเมตรที่ 90,000-120,000 บาท แต่ละโครงการพรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะทำให้ผู้เข้าพักอาศัยได้รับความสะดวกสบายเหนือระดับ  อาทิ พื้นที่สร้างสรรค์งาน (Co-Working Space), ห้องประชุมส่วนตัว (Private Meeting Room), ห้องซาวน่า, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, พื้นที่นั่งเล่นในสวน, ทางวิ่งออกกำลัง และบริเวณสำหรับสัตว์เลี้ยง พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ยิ่งขึ้นด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่แตกต่างกันในแต่ละโลเคชั่น อาทิ อุปกรณ์ฟิตเนสสุดล้ำ และนวัตกรรมซาวด์โดม (Sound Dome) เพื่อให้การใช้พื้นที่ส่วนกลางของคุณมีความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น   “นอกจากโครงการนี้จะถูกออกแบบมาโดยเน้นด้านคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยเป็นหลักแล้ว ทั้งหมดนี้ยังสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียล ที่นิยมการใช้ชีวิตแบบไร้ขีดจำกัด ต้องการแสวงหาตัวตน พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ไม่ได้ต้องการเป็นเพียงแค่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่เราต้องการสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนผ่านที่พักอาศัยที่ตอบโจทย์ทุกมิติของการใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย” นางสาวเพชรลดากล่าวปิดท้าย โครงการเมทริสเป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ แบรนด์ใหม่ล่าสุดภายใต้เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-friendly) โดยจะเปิดตัวทั้งสามทำเลพร้อมกัน ได้แก่ โครงการเมทริส ลาดพร้าว, โครงการเมทริส พัฒนาการ และโครงการเมทริส พระราม9- รามคำแหง ผู้ที่สนใจโครงการสามารถติดต่อได้ที่ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โทร 02-116-1111 หรือ เว็บไซต์ http://www.mde.co.th
“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” รุกตลาดลักชัวรี เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “ MARU (มารุ) ” รุกตลาดลาดพร้าว-เอกมัย”

“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” รุกตลาดลักชัวรี เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “ MARU (มารุ) ” รุกตลาดลาดพร้าว-เอกมัย”

บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเกมรุกคอนโดซูเปอร์ลักชัวรี พร้อมเตรียมลงทุน 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่าหมื่นล้านบาท หลัง MARQUE Sukhumvit (มาร์ค สุขุมวิท) – MUNIQ Sukhumvit 23 (มิวนีค สุขุมวิท 23) ยอดจองทะลุ 70% ลุยแตกแบรนด์ใหม่ “ MARU (มารุ) ” ผุด 2 โครงการย่านลาดพร้าว–เอกมัย มูลค่าโครงการรวมกว่า 4,100 ล้านบาท ชูจุดขาย Pet Friendly & Wellness Living ตอบสนองไลฟ์สไสต์คนเมือง ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งเน้นในการพัฒนาโครงการระดับ Upper Middle ถึงระดับซูเปอร์ลักชัวรี โดยโลเคชั่นที่เหมาะสำหรับการลงทุน ได้แก่ โซนราชดำริ อโศก พร้อมพงษ์ ทองหล่อ เอกมัย เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง สถานการณ์โดยรวมอาจจะมีคู่แข่งในการสร้างคอนโดเกิดขึ้นจำนวนมาก ขณะที่ตลาดระดับกลางถึงระดับล่างยังมีปัญหาเรื่องความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยปีนี้คาดว่าจะเปิดทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมกว่าหมื่นล้านบาท โดยล่าสุดบริษัทฯ มีแผนเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “ MARU (มารุ) ” จำนวน 2 โครงการ ได้แก่  MARU ลาดพร้าว 15 มูลค่าโครงการกว่า 1,800 ล้านบาท และ MARU เอกมัย ซอย 2 มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท รูปแบบจะเป็นคอนโด High Rise ราคาเริ่มต้นที่ 1.5 แสนบาท/ตรม. จำนวน 200 – 300 ยูนิต/โครงการ ชูจุดเด่นเรื่อง Pet Friendly & Wellness Living ซึ่งจะมีบริการสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสัตว์เลี้ยง และพื้นที่ที่ใส่ใจในรายละเอียดสำหรับคนรักสุขภาพ คนเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมือง สำหรับ โครงการ MARQUE Sukhumvit (มาร์ค สุขุมวิท) ถือเป็นคอนโดระดับซูเปอร์ลักชัวรี จำนวนเพียง 148 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 42 ล้านบาท ถึง 350 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 3.4 แสนบาท/ตรม.สูงขึ้นจากเดิม 2.3 แสนบาท/ตรม. ชูแนวคิด “Heritage Living” เนื่องจากทำเลที่ตั้งบนถนนสุขุมวิทเส้นหลัก ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีพร้อมพงษ์ ใกล้ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรี่ยมและเอ็มควาเทียร์  ซึ่งถือเป็นที่ดินผืนสุดท้ายที่หาไม่ได้อีกแล้วในย่านนี้ ขณะนี้ก่อสร้างเสร็จแล้วกว่า 95% และคาดว่าจะเริ่มโอนได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ส่งผลให้มูลค่าโครงการเพิ่มสูงถึงกว่า 7,500 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายสูงถึง 70% ตั้งเป้าหมายจะโอนได้ภายในปีนี้กว่า 5,000 ล้านบาท “ลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และซื้อด้วยเงินสด เนื่องจากเป็นทำเลผืนสุดท้ายบนถนนสุขุมวิทเส้นหลัก ซึ่งโครงการเกิดขึ้นใหม่โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบสุขุมวิทที่ไม่ใช่ถนนเส้นหลัก โดยเฉพาะย่านทองหล่อ โดยราคาเริ่มต้นที่ 3.2 – 3.3 แสนบาท/ตรม.แล้ว” ขณะที่โครงการ MUNIQ Sukhumvit 23 (มิวนีค สุขุมวิท 23) เป็นโครงการระดับลักชัวรี ภายใต้แนวคิด “Sensible Luxury” จำนวน 201 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 2 แสนบาท/ตรม. มูลค่าโครงการกว่า 2,600 ล้านบาท เปิดตัวเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา คาดว่าจะพร้อมโอนภายใน 3 ปีข้างหน้า ขณะนี้มียอดจองแล้วกว่า 70% โดยเฉพาะห้องขนาด 1 ห้องนอนจองหมดแล้วเหลือเพียง 2 ห้องนอนขึ้นไป สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังแนวโน้มความต้องการซื้อ (Demand) จะปรับตัวน้อยลง สวนทางกับปริมาณคอนโดในตลาด (Supply) ยังคงมีสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโลเคชั่นหลักอย่างสุขุมวิท แม้จะมีคอนโดเกิดใหม่ขึ้นจำนวนมาก แต่ก็เชื่อว่ายังคงมีความต้องการซื้อเช่นกัน ขณะที่ปัญหาฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชื่อว่าจะไม่เกิดอย่างแน่นอน เพราะธนาคารค่อนข้างมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ อย่างไรก็ดี ขณะนี้บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) กว่า 10,000 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2560 และปี 2561 ส่วนปลายปีนี้จะเริ่มทยอยโอนจากโครงการ MARQUE Sukhumvit (มาร์ค สุขุมวิท) และโครงการ M จตุจักร เป็นต้น
แสนสิริ ปูพรมกลยุทธ์สร้างแบรนด์ปี 2017 ชูประสบการณ์ ‘เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน ‘Complete Your Living Experience’ เปิดตัว 6 ฟังก์ชั่นมัดใจทุกกลุ่มไลฟ์สไตล์ในที่อยู่อาศัย

แสนสิริ ปูพรมกลยุทธ์สร้างแบรนด์ปี 2017 ชูประสบการณ์ ‘เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน ‘Complete Your Living Experience’ เปิดตัว 6 ฟังก์ชั่นมัดใจทุกกลุ่มไลฟ์สไตล์ในที่อยู่อาศัย

แสนสิริ ปูพรมกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ปี 2017 นำเสนอประสบการณ์อยู่อาศัยสมบูรณ์ผ่านกลยุทธ์ เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน (Complete Your Living Experience) ต่อยอดปรัชญาการดำเนินธุรกิจของบริษัทตลอดกว่า 33 ปี เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม รวมถึงการเจาะกลุ่มผู้บริโภคใหม่  ประเดิมด้วยการปรับทิศทางของแบรนด์องค์กร ด้วยการทุ่มงบ50 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญ “Fill Your Life with Good” ชู 6 ฟังก์ชั่นในที่อยู่อาศัยตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในแต่ละโครงการ ไฮไลต์เปิดตัวด้วย Educational Playground มากกว่าสนามเด็กเล่น ในโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย และวงการแพทย์ ที่มีการผนึกกำลังเพื่อเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการสร้างความแปลกใหม่ที่ยกระดับมาตรฐานตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง (Market Shaper) เพื่อมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดให้แก่ผู้อยู่อาศัยของแสนสิริ สมกับวิสัยทัศน์การก้าวสู่การเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าในปี 2560 นี้ บริษัทฯ มีแผนการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ ผ่านการสื่อสารทางการตลาดภายใต้กลยุทธ์ ‘เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน Complete Your Living Experience’  ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เกิดจากการที่แสนสิริไม่ได้มุ่งพัฒนาแค่ที่อยู่อาศัย แต่ต้องการสร้างชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าควบคู่กันไป  ภายใต้ความต้องการของลูกค้าที่ปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว บริษัทจึงต้องมีการปรับกลยุทธ์การสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แบรนด์ของแสนสิริมีความชัดเจนในใจผู้บริโภคว่าทุกอย่างที่เราสร้างสรรค์นั้น ผ่านการคิดและกลั่นกรองมาอย่างละเอียดในทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่การคิดผ่านมุมมองของลูกค้า ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคที่หลากหลายและรวบรวมข้อมูล ว่าลูกค้าแต่ละกลุ่มมีความต้องการในการอยู่อาศัยอย่างไร จึงช่วยให้เราสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยบนมาตรฐานที่เหนือระดับ ในการตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกกลุ่มได้อย่างครอบคลุมเสมอมา “ในวันนี้ แสนสิริพร้อมแล้วที่จะก้าวไปอีกขั้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในทุกกลุ่มอายุผู้มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายและและแตกต่างกันได้ดียิ่งขึ้น เราจึงทุ่มงบประมาณจำนวน 50 ล้านบาทเพื่อเปิดตัวแคมเปญ “Fill Your Life with Good” ต่อยอดกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่เน้นเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ เริ่มจากการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของแนวคิดที่ว่าดีไซน์สวยงามต้องมาพร้อมกับประโยชน์การใช้งานได้จริง (Aesthetic Functionality) พร้อมทั้งตอกย้ำว่า แสนสิริเป็นผู้บุกเบิกในตลาดอสังหาริมทรัพย์และเป็นผู้นำในด้านการส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดให้แก่ลูกบ้านแสนสิริทุกกลุ่ม ผ่านการศึกษาและวิจัยความต้องการของลูกบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยทีมแสนสิริ ดีไซน์ โซลูชั่น ดีพาร์ทเม้นต์ (DSD) และทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) เพื่อนำมาพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าในแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุด โดยในปีนี้จะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการ ผ่าน 6 ฟังก์ชั่นที่อยู่อาศัย ที่จะตอบทุกโจทย์ของไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว” นายอุทัย กล่าวเพิ่มเติม   สำหรับ 6 ฟังก์ชั่นที่เป็นตัวอย่างของการที่แสนสิริออกแบบและจัดสรรให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้อยู่อาศัยในแต่ละโครงการนั้นได้แก่ Underwater Music เป็นทั้งสระน้ำ เป็นทั้งเวที สระว่ายน้ำพร้อมระบบเสียงเพลงใต้น้ำให้ผู้อยู่อาศัยได้เพลิดเพลินกับเสียงเพลงได้อย่างต่อเนื่องแม้ในระหว่างที่คุณว่ายน้ำ Co-Kitchen Space ครัวส่วนกลาง ที่ทำได้มากกว่าอาหาร เพราะสามารถเป็นพื้นที่สำหรับจัดปาร์ตี้ได้ หรือหากอยากจัดปาร์ตี้ขนาดใหญ่ก็สามารถใช้พื้นที่ส่วนกลางสำหรับปาร์ตี้ปิ้งย่าง บาร์บิคิว หรือใช้เป็นสถานที่สังสรรค์กับเพื่อน ฯลฯ Private Parking Space เป็นบ้านของสิ่งที่ผมรัก ที่จอดรถที่ออกแบบเป็นพิเศษ ทำให้สามารถมั่นใจได้ในทุกองศาการเลี้ยวไม่ว่าจะเป็นรถสูง ต่ำ กว้าง หรือแม้แต่ซุปเปอร์คาร์ก็สามารถจอดได้ พร้อมช่องจอดรถที่ออกแบบให้พื้นที่กว้างเป็นพิเศษพร้อมการจัดไฟให้เปรียบเหมือนโชว์รูมส่วนตัว Cooliving Designed Home เย็นสบายไม่ต้องเปิดแอร์ นวัตกรรมที่แสนสิริคิดขึ้น ประกอบด้วย “Solar Attic” ระบบพัดลมและช่องระบายอากาศใต้หลังคาโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยลดความร้อนใต้หลังคา ทำให้ภายในตัวบ้านเย็นลง และลดการสะสมของเชื้อโรค “Breeze Panel” ช่องระบายลมช่วยถ่ายเทและระบายอากาศภายในตัวบ้าน “Shading screen” ระแนงกันแดดที่ออกแบบโดยดูจากทิศทางของบ้านและออกแบบให้เหมาะกับแต่ละทิศ “Texture Wall” ผนังบ้านที่มี Texture ช่วยลดความร้อนจากแสงแดดที่ตกกระทบพื้นผิว “Roof shade” ฝ้าชายคาหรือหลังคาที่ยื่นยาวเป็นพิเศษ ช่วยป้องกันแสงแดด รวมถึง “UV Shield Color” สีกันความร้อนและกระจกเขียวตัดแสง ซึ่งช่วยถ่ายเทอากาศภายในตัวบ้านและลดอุณหภูมิภายในบ้าน ทำให้ทุกมุมของบ้านอยู่สบาย Panoramic View Fitness เป็นฟิตเนสเพื่อเพิ่มความสดชื่น ด้วยวิว 180 วงศาโดยการดีไซน์กระจกกว้างสามารถสัมผัสวิวธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ และฟังก์ชั่นสุดท้ายที่เปิดตัวในวันนี้คือ Educational Playground มากกว่าสนามเด็กเล่น ออกแบบเพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านร่างกายโดยพัฒนากล้ามเนื้อสำคัญของขา ส่วนบน ส่วนล่าง เพิ่มความสามารถในการจับการใช้กำลังแขน ผ่านการปีนป่าย การเขย่ง การปีนป่าย การกระโดด และช่วยเพิ่มพูนพัฒนาการของสมอง ในด้านทักษาะการตัดสินใจ รวมถึงการแก้ปัญหาผ่านการเล่นเกมส์ ซึ่งทางแสนสิริได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช ในด้านของการเป็นที่ปรึกษาในการออกแบบและแนะนำเรื่องการใช้วัสดุให้ปลอดภัยในสนามเด็กเล่น นายชัยจักร วทัญญู ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ หนึ่งในทีมงานฝ่ายแสนสิริ ดีไซน์ โซลูชั่น ดีพาร์ทเมนท์  บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับ “Educational Playground มากกว่าสนามเด็กเล่น” ซึ่งเป็นหนึ่งใน 6 ฟังก์ชันที่เราเปิดตัวในวันนี้ นับเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทยในการฉีกแนวคิดเดิมของสนามเด็กเล่นภายในโครงการที่อยู่อาศัย ให้เป็น “มากกว่าสนามเด็กเล่น” โดย Educational Playground เกิดจากการที่แสนสิริศึกษามาแล้วว่าเป็นฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัวรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าที่แสนสิริให้ความสำคัญ โดยลูกค้ากลุ่มนี้กำลังต้องการโครงการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเด็กๆ  ประกอบกับแรงบันดาลใจจากสนามเด็กเล่นในโครงที่อยู่อาศัยในต่างประเทศที่มีการผนวกเอากิจกรรมลงไปไม่ได้มีเฉพาะแต่เครื่องเล่นเท่านั้น  รวมทั้งโครงการที่มีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเด็กอย่างจริงจังนั้น อาจยังมีไม่มากในประเทศไทย จึงนับว่าเป็นครั้งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยที่มีสนามเด็กเล่นลักษณะนี้เกิดขึ้นในโครงการที่อยู่อาศัย โดยทีมแสนสิริ ดีไซน์ โซลูชั่น ดีพาร์ทเม้นต์ (DSD) และทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) ได้ร่วมกันพัฒนา โดยได้รับคำปรึกษาจากโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านเด็กอย่างโรงพยาบาลสมิติเวช โดยเราศึกษาพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัยตั้งแต่วัย 2 ขวบจนถึงวัยประถม ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทยที่มีสนามเด็กเล่นลักษณะนี้ตั้งอยู่ในโครงการที่พักอาศัยที่ตอบโจทย์ครอบครัวรุ่นใหม่ได้อย่างแท้จริง โดยปัจจุบันได้มีโครงการนำร่องอยู่ที่ โครงการคณาสิริ รังสิต คลองสอง, โครงการ เศรษฐสิริ ปิ่นเกล้า กาญจนา และโครงการ เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่จะตามมาอีกในอนาคต เช่น โครงการบุราสิริ วัชรพล และ โครงการบุราสิริ ราชพฤกษ์ 345 เป็นต้น โดยแสนสิริได้เตรียมงบประมาณ ไว้ถึง 20 ล้านบาทในการพัฒนา Educational Playground ในโครงการต่าง ๆ ของปีนี้ ซึ่งเชื่อมั่นว่า จะสามารถตอบโจทย์ทั้งในด้านการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัยในด้านร่างกายและช่วยเพิ่มพูนทักษะในการตัดสินใจให้เด็กๆ เติบโตแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจอย่างเต็มที่” นพ.วสุ  กำชัยเสถียร  ผู้ช่วยผู้อำนวยการ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช กล่าวว่า “โรงพยาบาลสมิติเวชและแสนสิริต่างให้ความสำคัญต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี  และในปัจจุบันเป็นยุคของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับพัฒนาการของลูก   การร่วมมือในครั้งนี้ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่าง “แสนสิริ” เล็งเห็นความสำคัญของการสร้างสนามเด็กเล่นที่มีมาตรฐานและใส่ใจในทุกรายละเอียดตามพัฒนาเด็กอย่างEdutainment Playground ภายในโครงการนำร่องของแสนสิริ โดยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางพัฒนาการเด็กของ “สมิติเวช”  สำหรับแนวคิดการออกแบบเครื่องเล่นที่สมิติเวชได้สร้างสรรค์ร่วมกับแสนสิรินั้น  เราต้องการส่งเสริมพัฒนาการเด็กผ่านการเล่น และสามารถเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัวไปในตัว ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการกระตุ้นพัฒนาการตามวัยที่เหมาะสมผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสนามเด็กเล่น ตลอดจนสามารถดูแลลูกด้านความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด และเน้นให้เด็ก ๆ ได้ออกกำลังทางความคิดพร้อมเพิ่มพูนทักษะและไหวพริบในการตัดสินใจผ่านการฝึกก้าว ปีนป่าย การเขย่ง การกระโดด ตามความเหมาะสมของเด็กแต่ละช่วงวัย เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีสมวัย”   นายอุทัย กล่าวปิดท้ายว่า “แสนสิริตั้งงบประมาณสำหรับแคมเปญนี้ไว้กว่า 50 ล้านบาท โดยในปีนี้จะเน้นการสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับลูกค้าผ่านสื่อดิจิทัล เพื่อให้เจาะกลุ่มผู้บริโภคได้โดยตรง เพราะในปัจจุบัน ผู้บริโภคเปิดรับสารผ่านสื่อดิจิทัลกันมากขึ้น และยังสอดรับกับนโยบายของบริษัทในการเป็น Digital Transformation เพื่อตอกย้ำศักยภาพความเป็นผู้นำในการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบในไทย และก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าแคมเปญนี้จะช่วยเพิ่มยอดขายและเพิ่มความเชื่อมั่นในแบรนด์แสนสิริที่มีในกลุ่มลูกค้าได้อย่างแน่นอน”
เดอะคิวบ์ ประชาอุทิศ คอนโดใหม่ใกล้ ม.พระจอมเกล้าธนบุรี เริ่ม 1.59 ลบ. แต่งครบมาก

เดอะคิวบ์ ประชาอุทิศ คอนโดใหม่ใกล้ ม.พระจอมเกล้าธนบุรี เริ่ม 1.59 ลบ. แต่งครบมาก

The Cube Pracha Uthit (เดอะคิวบ์ ประชาอุทิศ) คอนโดมิเนียมใหม่โลว์ไรส์ 8 ชั้น ติดถนนใหญ่โซนศักยภาพใกล้มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT หรือ มจธ.บางมด) ซอยประชาอุทิศ 37 สร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์และพร้อมเข้าอยู่ นำห้องสวยวิวดีทุกทิศมาออกบูทแนะนำโครงการที่พักอาศัยเอง และสำหรับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ระหว่างวันที่ 3-7 กรกฎาคม 2560 ที่ บริเวณสวนสุขภาพ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี กับแคมเปญ ‘ขายถูกนะ..รู้ยัง!’ เริ่มต้นเพียง 1.59 ล้านบาท พร้อมเฟอร์นิเจอร์สวยคุณภาพสูงครบทุกฟังก์ชั่น (Fully Furnish) ทั้งโครงการ พิเศษสุดเมื่อจองซื้อคอนโดฯ ที่บูทเพียง 5,000 บาท รับบัตร Gift Voucher ในเครือเซ็นทรัล พลาซา รวมมูลค่า 20,000 บาท (เฉพาะที่บูทมีจำนวนจำกัด) และเชิญชมโครงการได้ทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุด) ซึ่งเน้นความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัยไม่แออัดกับอาคารสูง 8 ชั้น 2 อาคาร ออกแบบให้เพดานห้องสูงโปร่งพิเศษทั้งภายในและภายนอก พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ 2 สระแยกไพรเวททั้ง 2 อาคาร ห้องฟิตเนส ห้องเซาว์น่า (แยกชาย/หญิง) สวนหย่อมบนชั้น 2 ใกล้ห้องสมุด ระบบคีย์การ์ด กล้องวงจรปิด (CCTV) ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ใกล้สถาบันการศึกษาทั้งระดับประถม เตรียมอุดม และมหาวิทยาลัย ใกล้วิทยาลัยพาณิชยการเชตุพน ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนสุขสวัสดิ์ และห่างจากสถานีรถไฟฟ้าประชาอุทิศเพียง 2 กิโลเมตร (รถไฟฟ้าสายสีม่วง เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ส่วนต่อขยาย) ใกล้แหล่งช้อปปิ้งเซ็นทรัล พลาซา (พระราม 2) เทสโก โลตัส และบิ๊กซี เดินทางสะดวกทุกเวลา สอบถามรายละเอียดโครงการฯ ชมห้องตัวอย่าง และโปรโมชั่นพิเศษ โทร. 1246 และติดตามความเคลื่อนไหวทางเฟซบุ๊ค : The Cube-Condo และเว็บไซต์  www.thecube-condo.com
ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เปิดตัวครั้งแรกพร้อมแนวคิด ‘Defining your workplace’ ชวนผู้เช่าออกแบบออฟฟิศได้ดั่งใจ

ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เปิดตัวครั้งแรกพร้อมแนวคิด ‘Defining your workplace’ ชวนผู้เช่าออกแบบออฟฟิศได้ดั่งใจ

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูง เผยวิสัยทัศน์ใหม่ล่าสุดกับโครงการอาคารสำนักงานออฟฟิศเกรดเอแห่งใหม่ อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ที่มาพร้อมแนวคิด Defining your workplaceที่เปิดโอกาสให้ผู้เช่าได้สามารถออกแบบออฟฟิศได้ดั่งใจ   ตลาดสำนักงานในกรุงเทพฯ มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอัตราการเช่าพื้นที่สูง และมีอัตราการอยู่อาศัยที่หนาแน่นในเขตเมืองชั้นใน ส่งผลให้ความต้องการของผู้เช่าอาคารสำนักงานอยู่ในระดับที่สูงอยู่ตลอด ดังนั้นทำเลที่ตั้งและการเดินทางที่สะดวกเข้าถึงได้ง่าย จึงเป็นปัจจัยสำคัญของการเลือกเช่าพื้นที่ของผู้เช่าในปัจจุบัน ในขณะเดียวกันประสิทธิภาพการใช้งานของพื้นที่ และความสมเหตุสมผลของราคาค่าเช่า ก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจ อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เพิ่งได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ สุดยอดผู้พัฒนาอาคารสำนักงานแห่งประเทศไทยประจำปี 2560 (Office Development Thailand) จากเวทีเอเชีย แปซิฟิก พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2560 (Asia Pacific Property Awards 2017 - 2018)นอกจากนี้ สิ่งที่สามารถยืนยันถึงผลงานคุณภาพได้เป็นอย่างดี คือจำนวนการจองพื้นที่โดยผู้ประกอบการรายใหญ่หลายราย ไม่ว่าจะเป็น ผู้พัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์ ผู้ผลิตรายใหญ่ รวมถึง บริษัท อีคอมเมิร์ซ   “อาคารสำนักงานแห่งนี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่าทั้งปัจจุบันและในอนาคต พร้อมด้วยมาตรฐานการก่อสร้างสูงสุด ตัวอาคารมุ่งเน้นด้านนวัตกรรมที่ล้ำสมัย การออกแบบทางวิศวกรรมที่ใช้งานได้จริง และ ดีไซน์ที่สวยงามมีสไตล์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ มอบสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่สมดุล” กล่าวโดย นายปิติภัทร บุรี กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี รังสรรค์โดยคำนึงถึง ดีไซน์ รูปทรง และ การใช้งาน ในแต่ละชั้นของ อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ถูกออกแบบมาในลักษณะไร้เสากั้น หรือ Column-free design เพื่อเปิดกว้างให้ผู้เช่าสามารถปรับแต่งสถานที่ทำงานได้อย่างอิสระ โดยบ่งบอกถึงคาแรคเตอร์ของแบรนด์ผ่านสถานที่ทำงาน นอกจากนี้อาคารสำนักงานเกรดเอแห่งนี้ยังถูกออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีสำหรับพนักงานด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น อาทิ พื้นที่ส่วนกลางสีเขียวภายในอาคารขนาด 2,200 ตารางเมตร  และ เส้นทางวิ่ง (Jogging track) ระยะทาง 200 เมตร บนชั้น 29 เพื่อให้พนักงานมีโอกาสได้ทำกิจกรรม และมีส่วนร่วมกับที่ทำงานมากขึ้น สามารถผ่อนคลายกับเพื่อนร่วมงาน จัดสรรพื้นที่ทำกิจกรรมสำหรับพนักงาน เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมการทำงานที่ดียิ่งขึ้น มอบมนต์เสน่ห์อันน่าดึงดูดและทันสมัย หนึ่งในภารกิจของ กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี คือ การสร้างสิ่งที่พัฒนาได้อย่างยั่งยืน และอาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ก็ดำเนินงานภายใต้ภารกิจนี้เช่นกัน โดยตัวอาคารถูกสร้างขึ้นด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัยที่สุด พร้อมด้วยสถาปัตยกรรมที่ใส่ใจในรายละเอียดและความสมดุลระหว่างองค์ประกอบภายในต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่ง การจัดแสง และวิศวกรรม สุขุมวิท-บางนา แลนด์มาร์คแห่งใหม่ในอนาคต อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เป็นอาคารสำนักงานแห่งเดียวในย่านสุขุมวิท – บางนาที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าบางนา นอกจากนี้ยังเป็นทำเลยุทธศาสตร์ เพียง 30 นาทีสู่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ และเป็นประตูสู่ย่านอุตสาหกรรมและการผลิตในภาคตะวันออก อาทิ ย่านสมุทรปราการ บางนา-ตราด บางปู และบางปะกง จึงเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์พร้อมเหมาะสำหรับธุรกิจที่หลากหลาย นอกจากนี้แล้วอาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ยังตั้งอยู่ใกล้กับสถานีขนส่งสายตะวันออกแห่งใหม่ รวมถึงห้างสรรพสินค้าแบงค็อกมอลล์ ในเครือของกลุ่มเดอะมอลล์กรุ๊ป อีกทั้งทางกทม.ยังได้ผลักดันให้มีรถไฟฟ้ารางเบาที่จะเชื่อมต่อระหว่างสี่แยกบางนา และสนามบินสุวรรณภูมิเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวในอนาคตอันใกล้ นายนิธิพัฒน์ ทองพันธุ์ กรรมการบริหาร หัวหน้าแผนกพื้นที่สำนักงานซีบีอาร์อี ประเทศไทย (CBRE) กล่าวว่า “เรายังคงเห็นความต้องการพื้นที่ให้เช่าของอาคารสำนักงานบริเวณสุขุมวิท-บางนา เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีนักลงทุนสร้างสถานประกอบการเชิงพาณิชย์ในบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้แล้ว พนักงานออฟฟิศและผู้เข้าเยี่ยมชมต่างๆ สามารถเข้าถึงรถไฟฟ้าบีทีเอสได้โดยง่าย รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ จากโครงการต่างๆ ในพื้นที่ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการเลือกสถานที่ทำงานอีกด้วย อาคารภิรัช ทาวเวอร์ แอท ไบเทค อาคารสำนักงานพรีเมียมแห่งเดียวในย่านบางนา ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตในบริเวณสุขุมวิทบางนานี้” นายปิติภัทร บุรี กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี กล่าวว่า “วิสัยทัศน์ของเราคือการสร้างอาคารที่ทำให้พนักงานมีความภาคภูมิใจในการมาทำงาน ในสถานที่ที่สะดวก ไม่ว่าจะเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว หรือขนส่งมวลชน อาทิ รถเมล์ หรือ รถไฟฟ้าบีทีเอส นอกจากนี้แรงบันดาลใจสำคัญสำหรับการออกแบบอาคารนี้ คือ ผมคำนึงถึงความสะดวกสบาย โครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพสูง และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทั้งยังเป็นส่วนหนี่งที่ช่วยดึงดูดพนักงานที่มีความสามารถเข้ามาทำงานได้อีกด้วย  โดยแนวคิด Mixed-use นี้ได้นำไปประยุกต์ใช้กับอาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท เอ็มควอเทียร์ และประสบความสำเร็จอย่างมาก และผมคิดว่าทางเชื่อมระหว่าง อาคารภิรัช       ทาวเวอร์ แอท ไบเทค และศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคนั้นจะช่วยให้ผู้เช่าสามารถหาแรงบันดาลใจจากงานแสดงสินค้า และงานแสดงมายมายที่จัดขึ้นอีกด้วย”   อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เป็นอาคารสำนักงานเกรดเอสูง 29 ชั้น ตั้งอยู่ภายในอาณาบริเวณของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) มี ขนาดพื้นที่สำนักงานให้เช่า 32,000 ตารางเมตร โดยมีพื้นที่สีเขียวส่วนกลาง (Roof Garden) และเส้นทางวิ่ง (Jogging Track) ขนาด 2,200 ตารางเมตร ที่ชั้น 29 นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นทัศนียภาพของกรุงเทพมหานครจากมุมสูง ทั้งแม่น้ำเจ้าพระยา และ บางกระเจ้า ซึ่งถือเป็นพื้นที่ปอดสีเขียวของกรุงเทพมหานคร โดยอาคารสำนักงานแห่งนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Mixed-use ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาทางธุรกิจแบบยั่งยืน
เจ.เอส.พี ต่อยอดโครงการซิกเนเจอร์ เตรียมปล่อยสินค้าใหม่ บ้านหรูสไตล์ฝรั่งเศส  ทำเลวงแหวน บางใหญ่ มูลค่ารวมราว 1,209ล้านบาท

เจ.เอส.พี ต่อยอดโครงการซิกเนเจอร์ เตรียมปล่อยสินค้าใหม่ บ้านหรูสไตล์ฝรั่งเศส ทำเลวงแหวน บางใหญ่ มูลค่ารวมราว 1,209ล้านบาท

หลังจาก บมจ. เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ ประสบความสำเร็จจากการแตกไลน์สินค้า ในรูปแบบอิงลิชทาวน์โฮม ภายใต้โครงการ  เจ ซิตี้  ศรีราชา – อัสสัมชัญ ที่ได้รับการตอบรับแรงเกินคาด กวาดยอดขายไปกว่า 400ล้านบาท เมื่อไม่นานมานี้ ล่าสุดก็ยังคงเดินเครื่องธุรกิจต่อเนื่องในช่วงกลางปี โดยพี่แจ้-ไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการบริษัท เจ.เอส.พี.แอสพลัส จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส แอบกระซิบให้ฟังว่า บริษัทฯ ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาสินค้า และยังคงสร้างปรากฏการณ์สินค้าโฉมใหม่ เตรียมเปิดตัวโครงการ เจ วิลล่า วงแหวนบางใหญ่ บ้านหรูสไตล์ฝรั่งเศส ราคาเริ่มต้นเพียง 3.3 ล้านบาท และโครงการ เจ ซิตี้ วงแหวน บางใหญ่  ทาวน์โฮมหรู สไตล์ฝรั่งเศส ราคาเริ่มเพียงล้านต้น บนทำเลแห่งเดียวติดถนนใหญ่ใกล้เซ็นทรัลเวสเกต โดยมูลค่าโครงการรวมกว่า 1,209 ล้านบาท ออกมาเซอร์ไพรส์ลูกค้ากันแบบติดๆ แถมเตรียม เปิดพรีเซลในเดือนสิงหาคมนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊ค : JSP Property หรือไลน์ : @JSP Property หรือCall Center : 1173
อนันดาฯ ปลื้ม กวาดยอดขายการจัดงาน “Ananda Urban Pulse” ทะลุเป้า เปิด 5 โครงการ โกยกว่า 9,000 ล้านบาท ประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมาย

อนันดาฯ ปลื้ม กวาดยอดขายการจัดงาน “Ananda Urban Pulse” ทะลุเป้า เปิด 5 โครงการ โกยกว่า 9,000 ล้านบาท ประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมาย

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โชว์ศักยภาพความเป็นผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ประกาศความสำเร็จจากการจัดงาน “ANANDA URBAN PULSE” ด้วยการเปิดตัว 5 โครงการใหม่ ที่สามารถสร้างยอดขายได้กว่า 9,000 ลบ. โดยได้รับการตอบรับที่ดีมาก และสามารถปิดการขาย (Sold Out) โครงการ ไอดีโอ คิว วิคตอรี่ ( Ideo Q Victory )ได้ภายในงาน ชี้กำลังซื้ออสังหาฯ ในเมืองและแนวรถไฟฟ้ายังมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า กล่าวว่า กำลังซื้อคอนโดติดรถไฟฟ้ายังไปได้ดีอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากความสำเร็จจากการจัดแคมเปญ “ANANDA URBAN PULSE”  ซึ่งสะท้อนได้เป็นอย่างดีถึงสภาวะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้ว่ามีความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคกลับคืนสู่ภาวะปกติ รวมถึงกำลังซื้อสินค้าที่อยู่อาศัยยังดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการที่สามารถตอบความต้องการการใช้ชีวิตในเมืองและใกล้แนวรถไฟฟ้า  อีกทั้ง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อประสบการณ์การทำงานของ  อนันดาฯ ที่เข้าใจถึงการใช้ชีวิตคนเมือง และวิธีการมองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าอย่างลึกซึ้งถึงความต้องการที่อยู่อาศัยที่ต่างกัน ทำให้สินค้าทุกแบรนด์ ของอนันดาฯ  ยังครองใจลูกค้าด้วยดีเสมอมา   ซึ่งการจัดแคมเปญใหญ่ ANANDA URBAN PULSE ในครั้งนี้ ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากกลุ่มลูกค้าหลัก และกลุ่มนักลงทุนเป็นจำนวนมาก ความสำเร็จดังกล่าวมาจากโครงการคุณภาพใหม่ล่าสุด 5 โครงการ จากแบรนด์คุณภาพทำเลติดรถไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองรุ่นใหม่ ซึ่งบริษัทฯ วางเป้าหมายการขายของ   แบรนด์ แอชตัน ( Ashton) และ ไอดีโอ (IDEO) ไว้ที่ 40% ในการเปิดตัว 3 เดือนแรก แต่สำหรับครั้งนี้สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 40% ภายในงานนี้ และในส่วนของแบรนด์ เอลลิโอ ( ELIO)  ที่วางเป้าหมายการขายไว้ที่ 20% ในการเปิดตัวเฟสแรกของ 3 เดือนแรก โดยสามารถทำยอดขายได้ 20% ภายในงานนี้เช่นกัน   โดยโครงการใหม่ที่โดดเด่นและได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก คือ โครงการ ไอดีโอ คิว วิคตอรี่ ( Ideo Q Victory )ตั้งอยู่ใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้ามีระยะห่างจากสถานีบีทีเอสอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 0 เมตร   โดยตลอด 4 วันของการจัดงาน มีลูกค้าให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยมีการลงทะเบียนเพื่อเข้าคิวจองซื้อมากกว่า 4,000 คน จากจำนวน 348 ยูนิต ซึ่งสามารถปิดการขายได้ภายในงานและมียอดจองซื้อเต็มทุกห้องครบ 100% (Sold out)  โดยก่อนหน้านี้โครงการดังกล่าวได้มีการเปิดจองผ่านระบบ  Ananda Online Booking ซึ่งมีผลตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ระบบ Ananda Online Booking ที่ได้เปิดให้จองไปก่อนหน้านี้เป็นกิจกรรมการตลาดที่ประสบความสำเร็จ สามารถสร้างยอดขายได้มูลค่ารวม 1,080  ล้านบาท โดยผลจากความสำเร็จดังกล่าวมาจากโครงการตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพสูงติดสถานีรถไฟฟ้า เหมาะสมเพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุนอีกทั้งมีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ เน้นความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย มีการนำเอาเทคโนโลยีและธรรมชาติมาปรับใช้ในโครงการ ด้วยการนำเสนอราคาที่เหมาะสมและจับต้องได้อย่างแท้จริง   นอกจากโครงการ ไอดีโอ คิว วิคตอรี่ ( Ideo Q Victory ) แล้ว โครงการอื่นที่นำมาเสนอก็ได้รับความสนใจเช่นกัน  คือ  โครงการ ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 ( Ideo Q Sukhumvit 36) มียอดขาย 42%  โครงการ แอชตัน อโศก -พระราม 9 (Ashton Asoke Rama 9) มียอดขาย 40 % โครงการ ไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่ (Ideo New Rama9) มียอดขาย 41% และ โครงการ เอลลิโอ เดล เนสท์  (Elio Del Nest) มียอดขาย 20% จากการเปิดตัวในเฟสแรก  ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าในโซนอุดมสุขและสุขุมวิทตอนปลายเป็นอย่างดีเหมือนทุกทำเลที่เคยได้นำเสนอมา   เพื่อตอกย้ำความเป็น Urban Living Solutions และความเป็นผู้นำในการพัฒนาที่อยู่อาศัยและการนำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนเมืองให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยงาน ANANDA URBAN PULSE นี้นับเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ฯ ที่บริษัทฯได้มีการพัฒนาและนำเอา Ananda Smart Booking ระบบจองซื้อห้องชุดแบบอัตโนมัติ มาสร้างสีสันและสร้างประสบการณ์การจองซื้อคอนโด ในรูปแบบใหม่ภายในงาน   “จากกระแสตอบรับของการจัดงานในครั้งนี้ โดยเฉพาะโครงการไฮไลท์ในปีนี้  คือ โครงการ ไอดีโอ คิว วิคตอรี่ และ โครงการ แอชตัน อโศก - พระราม 9  ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ก็เพราะว่า อนันดาฯ พยายามที่จะหาทำเลที่ดีที่สุดให้สังคม ตอบโจทย์ปัญหาของคนเมืองไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถติด ซึ่งตอนนี้ต้องยอมรับว่าที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้ามีอิทธิผลต่อผู้บริโภคมาก ทำให้เห็นว่าตอนนี้กำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มกลับมา  และด้วยจุดแข็งของ อนันดาฯ ที่ใช้กลยุทธ์เลือกทำเลติดรถไฟฟ้าที่ดีที่สุดก็ถือเป็นกลยุทธ์ที่ยั่งยืน ที่ทำให้ อนันดาฯ ประสบความสำเร็จทุกครั้งในการเปิดตัวโครงการใหม่เสมอมา” นายชานนท์ กล่าวทิ้งท้าย
เรียลแอสเสท จับมือ 3 พันธมิตรเดินหน้าก่อสร้าง “ลาวีค สุขุมวิท 57”

เรียลแอสเสท จับมือ 3 พันธมิตรเดินหน้าก่อสร้าง “ลาวีค สุขุมวิท 57”

นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ( คนที่ 4 จากซ้าย ) และนายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์ธุรกิจ (คนที่ 3 จากซ้าย) บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จับมือ 3 พันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ บริษัท นาราคอนซัลท์ แอนด์ ดีไซน์ จำกัด บริหารงานและควบคุมการก่อสร้าง , บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) บริหารงานโครงสร้างและงานสถาปัตย์ และ บริษัท เมลคอน จำกัด บริหารงานระบบประกอบอาคาร เดินหน้าก่อสร้างโครงการ ลาวีค สุขุมวิท 57 คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ ที่ได้รับการตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางโดยเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำระดับโลก  เฟนดิ คาซ่า เดินทางสะดวกสบายเพียง 3 นาทีจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสทองหล่อ
พฤกษา ปรับโฉมแบรนด์ครั้งใหญ่ รักษาผู้นำอสังหาฯ ยกระดับภาพลักษณ์ใหม่ ชูแนวคิด Live Inspired

พฤกษา ปรับโฉมแบรนด์ครั้งใหญ่ รักษาผู้นำอสังหาฯ ยกระดับภาพลักษณ์ใหม่ ชูแนวคิด Live Inspired

พฤกษา ปรับโฉมแบรนด์ครั้งใหญ่ รักษาผู้นำอสังหาฯ ยกระดับภาพลักษณ์ใหม่ ชูแนวคิด Live Inspired นายคมกริช นงค์สวัสดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงาน Corporate Marketing บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้มีการปรับโฉมแบรนด์ใหม่ในรอบ 10  ปี ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การดำเนินงานของพฤกษาในปีนี้  ในการรีเฟรชแบรนด์พฤกษา เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ทันสมัย มีสไตล์มากยิ่งขึ้น ภายใต้แนวคิด “Live Inspired”  เป็นต้นแบบการใช้ชีวิตด้วยตัวคุณเอง  โดยปรับ Mood & Tone ของสื่อโฆษณาต่างๆ ใหม่ทั้งหมด ล่าสุดได้สร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ในรูปแบบ Internet Film จำนวน 3 เรื่องราว สื่อสารกับลูกค้า 3 กลุ่มหลักของพฤกษา ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตได้จากที่บ้าน   โดยเผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา  และเน้นการทำการตลาด Digital Marketing มากยิ่งขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในยุคดิจิทัล นอกจากนี้ยังปรับโฉมเว็บไซต์ pruksa.com ทั้งดีไซน์และฟังก์ชั่นการใช้งานใหม่ให้สอดคล้องกับสื่อโฆษณาทั้งหมดที่ได้ Launch ออกไปก่อนหน้านี้  คาดว่าผู้บริโภคจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของแบรนด์พฤกษาในภาพลักษณ์ใหม่ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น   ปัจจุบันพฤกษา เรียลเอสเตท ก่อตั้งมาแล้วกว่า 24 ปี  พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยหลากหลายแบรนด์และหลายระดับราคา ทั้งทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม ครอบคลุมทุกทำเลทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล รวมถึงจังหวัดหลักที่เป็นเมืองท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ ชลบุรี ภูเก็ต ขอนแก่น   เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย และปีนี้ได้ขยายธุรกิจไปยังกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมมากยิ่งขึ้น จึงได้ทำการปรับโฉมแบรนด์พฤกษาควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ โดยนำนวัตกรรมที่ทันสมัยมาใช้ในทุกกระบวนการทำงาน เพื่อส่งมอบบ้านและการบริการที่ดีที่สุด ให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีและมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ของพฤกษา จนนำไปสู่การบอกต่อ ซึ่งเราเชื่อว่าจะทำให้พฤกษาสามารถเติบโตและรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างยั่งยืน โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2560 พฤกษา ครองส่วนแบ่งตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯและปริมณฑลสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีส่วนแบ่งตลาดรวมอยู่ที่ 13%  จากมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด 97,478 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้ามีความเชื่อมั่นในแบรนด์พฤกษา ซึ่งเรายังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์โครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ และเป็นต้นแบบการใช้ชีวิต ชมภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ได้ที่  Facebook.com/PruksaFamilyClub  หรือ  Youtube: ตอนที่ 1   ตอนที่ 2   ตอนที่ 3
วี พร็อพเพอร์ตี้ ปลี้ม VTARA36 ยอดขายทะลุ 99 % มั่นใจตลาดคอนโดหรูแนวรถไฟฟ้าสุขุมวิท  เล็งผุด 2 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาทในครึ่งปีหลัง  ดันยอดตามเป้า 5,000 ล้านบาท ภายในปี’63

วี พร็อพเพอร์ตี้ ปลี้ม VTARA36 ยอดขายทะลุ 99 % มั่นใจตลาดคอนโดหรูแนวรถไฟฟ้าสุขุมวิท เล็งผุด 2 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาทในครึ่งปีหลัง ดันยอดตามเป้า 5,000 ล้านบาท ภายในปี’63

วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยโครงการหรู มั่นใจกำลังซื้อตลาดคอนโดลักชัวรี่แนวรถไฟฟ้าเตรียมแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ 2 ทำเลแนวรถไฟฟ้าเส้นสุขุมวิท ย่านพระโขนง มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลัง 2560 พร้อมเผยยอดขายคอนโดโลว์ไรส์  “VTARA36” ทะลุ 99%   นายพรชัย เลิศอนันต์โชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (V Property) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือ GDP ที่ประมาณ 3.3-3.8% ในปี 2560 ทั้งนี้ มีปัจจัยหนุนนำสำคัญจากการลงทุนภาครัฐในโครงการเมกะโปรเจกต์และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะกระตุ้นความต้องการที่อยู่อาศัยและส่งผลต่อการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ ในขณะเดียวกัน ตลาดคอนโดมิเนียมหรูแนวรถไฟฟ้า โดยเฉพาะในย่านสุขุมวิท ยังมีกำลังซื้อที่ดีอย่างต่อเนื่องทั้งในกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและผู้ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า บริษัทจึงวางแผนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ เริ่มจากในทำเลคุณภาพย่านพระโขนง เป็นโครงการ Rare-Item อยู่ใกล้ BTS พระโขนง โดยมีมูลค่าโครงการ รวมประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้   “ทั้งนี้ โครงการ วีธารา สุขุมวิท 36 (VTARA36) ซึ่งเป็นคอนโดโลว์ไรส์ 8 ชั้น 5 อาคาร จำนวนทั้งหมด 466 ยูนิต บนทำเลทองย่านสุขุมวิท 36 ได้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ด้วยยอดขายกว่า 99% ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากทำเลที่ตั้งของโครงการอยู่ใจกลางเมือง คอนเซ็ปท์โครงการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการทำเลสะดวกสบายแต่ให้ความเป็นส่วนตัวสูงในบรรยากาศร่มรื่นให้ความรู้สึกสงบผ่อนคลาย เน้นสิ่งอำนวยความสะดวกสุดหรูหรา ไม่ว่าจะเป็น ส่วนกลางขนาดกวา 2 ไร่ ฟิตเนสระดับหรูหรา (Panoramic Fitness Pavilion) , Japanese Onsen ระดับ Top Class ,สวนดูดาว (Sunset Garden), ที่จอดรถอัจฉริยะ (Intelligence Parking System), สระว่ายน้ำมรกต (Emerald Lagoon Pool), กรรมสิทธิ์ที่จอดรถ Super car ที่มาพร้อม Personal IP Camera , พร้อมทั้งมีห้องชุดสุดพิเศษ Courtyard Villa ที่เป็นห้องชุดที่มาพร้อมกับกรรมสิทธิ์ส่วนสีเขียว เสมือนสนามหญ้าในบ้านเดี่ยว โดยคอนเซ็ปท์การพัฒนาโครงการนี้เกิดจากการศึกษาตลาดและวิเคราะห์ทำเล รวมทั้งความต้องการของลูกค้า ซึ่งบริษัทฯ จะมุ่งเน้นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาโครงการแนวสูงระดับ Luxury บริเวณรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทเป็นหลัก โดยตั้งเป้ามีรายได้แตะระดับ 5,000 ล้านบาทก่อนปี 2563” นายพรชัย กล่าว   บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เป็นผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยระดับลักเซอรี่ โดยเน้นทำเลย่านสุขุมวิท-ทองหล่อ โครงการที่ผ่านมา ได้แก่ เอช สุขุมวิท 43 (H Sukhumvit 43) คอนโดไฮไรส์ 32 ชั้นในซอยสุขุมวิท 43 จำนวน 290 ยูนิต ซึ่งเปิดตัวในปี 2555 และปิดการขายไปแล้ว
อสังหาฯโละสต๊อก! ภาพรวมสะสมค้างกว่า 1 แสนยูนิต

อสังหาฯโละสต๊อก! ภาพรวมสะสมค้างกว่า 1 แสนยูนิต

อสังหาฯ น่าห่วง สต๊อกเหลือขายกว่า 1 แสนยูนิต ค่ายใหญ่จัดลดราคากว่า 40% เร่งยอดรับรู้รายได้ นายมานพ พงศทัต อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชาเคหการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ภาพรวมของสต๊อกอสังหาริมทรัพย์พร้อมอยู่ที่สะสมในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมามีกว่า 1 แสนยูนิต ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 80% หรือประมาณ 8 หมื่นยูนิต ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท/ยูนิต อีก 2 หมื่นยูนิต เป็นโครงการแนวราบ “ตลาดคอนโดมิเนียมน่าเป็นห่วงที่สุด เพราะมีจำนวนยูนิตเหลือขายค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในตลาดระดับกลาง-ล่าง กระจายอยู่ในหลายทำเลในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่หากถามไปยังผู้ประกอบการจะบอกว่าไม่ใช่ว่าทุกทำเลที่เกิดปัญหาฟองสบู่หรือล้นตลาด ซึ่งการเก็บข้อมูลของบริษัทวิจัยอสังหาฯ หรือศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ก็ยังไม่ได้ตัวเลขที่ชัดเจนนักในสต๊อกยูนิตเหลือขายของผู้ประกอบการ แต่รู้ว่าเวลานี้น่าเป็นห่วง เนื่องจากมีปัญหาการปฏิเสธการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน” นายมานพ กล่าว นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า เริ่มเห็นกิจกรรมส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น เพื่อระบายสต๊อกคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ออกไปให้ได้มากที่สุด โดยใช้กลยุทธ์การลดราคาขาย หรือการขายราคาเท่ากับวันที่เปิดตัวโครงการ เนื่องจากโครงการขายออกไม่หมดนั้น เมื่อโครงการมีการก่อสร้างเสร็จผู้ประกอบการจะต้องรับภาระในส่วนของค่าส่วนกลาง หากขายลดราคาแล้วโอนโครงการทันทีจะทำให้มียอดรับรู้รายได้รวดเร็ว นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า สต๊อกสะสมที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมนั้น ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น และอย่าเหมาเอาว่าคอนโดมิเนียมล้นตลาด กรณีนี้ต้องพิจารณาเป็นรายทำเลว่าตรงไหนที่ล้นตลาด นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ กล่าวว่า ในครึ่งปีหลัง บริษัทเตรียมนำสต๊อกคอนโดพร้อมอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ปริมณฑลและต่างจังหวัด 4,000 ยูนิต ส่วนใหญ่เป็นระดับราคาประมาณ 1 ล้านบาท/ยูนิต มาลดราคาครั้งใหญ่ และหากซื้อแบบบิ๊กล็อตจะลดมากกว่า 40% เพื่อสร้างการรับรู้รายได้ในทันที เนื่องจากกลุ่มลูกค้าที่ซื้อที่อยู่ระดับดังกล่าวส่วนใหญ่มีปัญหาการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน   ที่มา : www.posttoday.com
ตลาดรับสร้างบ้านครึ่งแรกของปี’60 “ทรงตัว” ส.ธุรกิจรับสร้างบ้านลุ้นกำลังซื้อดีดกลับครึ่งปีหลัง

ตลาดรับสร้างบ้านครึ่งแรกของปี’60 “ทรงตัว” ส.ธุรกิจรับสร้างบ้านลุ้นกำลังซื้อดีดกลับครึ่งปีหลัง

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เผยตลาดรับสร้างบ้านครึ่งแรกของปีทรงตัว “พิชิต อรุณพัลลภ”คาดหวังตลาดจะดีดกลับมาเติบโตได้ในช่วงครึ่งหลังของปี หลังปลดล็อค5ปีรถคันแรกผู้บริโภคส่งสัญญาณเริ่มสนใจปลูกสร้างบ้านมากขึ้น อีกทั้งยังได้แรงหนุนจากภาครัฐมีความชัดเจนในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมดึงพันธมิตรวัสดุฯร่วมโชว์ “นวัตกรรม”ในงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ: Home Builder&Materials Expo 2017”  ระหว่างวันที่ 17 - 20 สิงหาคม 2560 ณ ห้องเพลนารี ฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายพิชิต อรุณพัลลภ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยถึงภาพโดยรวมตลาดรับสร้างในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ว่าตลาดค่อนข้างทรงตัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้บริโภคยังมีความระมัดระวังสูง แต่มองในแง่ดีตลาดน่าจะเติบโตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่มูลค่าตลาดรวมธุรกิจรับสร้างบ้านในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลประมาณ 10,200 ล้านบาทหรือหากจะเติบโตก็ก็น่าจะอยู่ที่ 5-10% จากปี2559 โดยมีปัจจัยบวกที่สนับสนุนดังนี้คือ 1.การส่งออกที่ดีขึ้น 2.ความชัดเจนในโรดแมปการที่รัฐบาลผ่านรัฐธรรมนูญไปสู่การเลือกตั้ง และ 3.คาดว่าธุรกิจยังจะได้รับอานิสงส์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่มีความคืบหน้าและชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจ จะส่งผลด้านจิตวิทยาและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคดีขึ้น อย่างไรก็ดียังเชื่อมั่นว่ากำลังซื้อค่อยๆฟื้นคืนกลับมา โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคหมดภาระการผ่อนชำระจากโครงการรถยนต์คันแรก เมื่อภาระการผ่อนรถยนต์ผ่อนคลายแรงกดดันผู้บริโภคกลุ่มนี้ส่วนใหญ่น่าจะเป็นการปรับปรุงบ้านหลังเก่า หรือรื้อบ้านหลังเก่าแล้วปลูกสร้างขึ้นมาใหม่ “ปัจจุบันสถาบันการเงินต่างๆก็ได้แข่งขันกันออกแพ็คเกจดอกเบี้ยพิเศษให้กับผู้บริโภคที่ต้องการปลูกสร้างบ้านบนที่ดินกันมากขึ้น” ทั้งนี้เพราะการปล่อยกู้ให้กับธุรกิจรับสร้างบ้านไม่มี NPL จึงทำให้สถาบันการเงินสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อรองรับกับกำลังซื้อสมาคมฯได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและการขายมาต่อเนื่อง ด้วยการเตรียมจัดงานใหญ่ “รับสร้างบ้านและวัสดุ: Home Builder&Materials Expo 2017”   ระหว่างวันที่ 17 - 20 สิงหาคม 2560 ณ ห้องเพลนารี ฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งในปีนี้ได้รับการตอบรับจากพันธมิตรบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างร่วมออกบูธพร้อมกับโชว์นวัตกรรมต่างๆภายในงานด้วย พร้อมกันนี้นายพิชิต ยังกล่าวยอมรับว่า ด้วยปัจจัยต่างๆที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการในทุกภาคธุรกิจรวมถึงบริษัทรับสร้างบ้านเองก็ต้องปรับตัว สิ่งที่สำคัญของการนำเสนอแบบบ้านหรืองานบริการนั้นต้องสนองต่อพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยในแต่ละกลุ่มแต่ละวัย การเข้าถึงพฤติกรรมผู้บริโภคและการออกแบบให้เข้าถึงไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตประจำวันจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ รวมทั้งแบบบ้านนั้นจะต้องเหมาะสมสำหรับครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และรองรับผู้สูงอายุในอนาคต โดยที่ผ่านมาบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯได้มีการปรับตัวรองรับกับกระแสธุรกิจตลาดที่อยู่อาศัยยุค4.0 ด้วยการให้ความสำคัญเรื่อง“นวัตกรรม” และเพิ่มความเข้มข้นให้บริการแบบครบวงจร รวมถึงการเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างที่ทำให้มีความได้เปรียบในเรื่องต่างๆซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในมาตรฐานคุณภาพและบริการซึ่งมีความแตกต่างจากผู้รับจ้างก่อสร้างรายย่อยทั่วไป
SENA เปิดโครงการ “Niche id @ Pakkret Station” ภายใต้คอนเซ็ปต์ ขยายทุกพื้นที่..ให้ชีวิตลงตัว พร้อมฟังก์ชั่นครบทุกการใช้สอย วิวโค้งน้ำเจ้าพระยา ราคาเริ่มต้นเพียง 1.29 ล้านบาท

SENA เปิดโครงการ “Niche id @ Pakkret Station” ภายใต้คอนเซ็ปต์ ขยายทุกพื้นที่..ให้ชีวิตลงตัว พร้อมฟังก์ชั่นครบทุกการใช้สอย วิวโค้งน้ำเจ้าพระยา ราคาเริ่มต้นเพียง 1.29 ล้านบาท

บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดโครงการ”นิช ไอดี แอท ปากเกร็ด สเตชั่น” มูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท คอนโดมิเนียมพร้อมฟังก์ชั่นครบทุกการใช้สอย วิวโค้งน้ำเจ้าพระยา บนทำเลที่คุ้นเคยเพียง 600 เมตร จากสถานีรถไฟฟ้าปากเกร็ด ราคาเริ่มต้นเพียง 1.29 ล้านบาท พร้อมพรีเซล 1 – 2 กรกฎาคม 2560 นี้  ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แถวหน้าของเมืองไทย และในฐานะ Developer รายแรกที่ทำหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดโครงการใหม่ “นิช ไอดี แอท ปากเกร็ด สเตชั่น” มูลค่าโครงการกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ขยายทุกพื้นที่..ให้ชีวิตลงตัว” เป็นโครงการแรกภายใต้แบรนด์ นิช ไอดี ที่โดดเด่นด้วยวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมการออกแบบฟังก์ชั่นการดีไซน์ห้องที่ลงตัวและคุ้มค่า ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท เปิดพรีเซลล์ในวันที่ 1 – 2 กรกฎาคม 2560 “นิช ไอดี แอท ปากเกร็ด สเตชั่น” เป็นโครงการคอนโดมิเนียม High Rise โครงการแรกภายใต้แบรนด์ นิช ไอดี ที่มีความสูงถึง 35 ชั้น 1 อาคาร แบ่งเป็นห้องพัก 857 ยูนิต และร้านค้า 7 ยูนิต รวมทั้งสิ้น 864 ยูนิต สำหรับทำเลที่ตั้งมีศักยภาพและน่าสนใจเพราะติดถนนติวานนท์ ช่วงแยกปากเกร็ด-ถนนศรีสมาน สามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีปากเกร็ดที่อยู่ห่างจากโครงการเพียง 600 เมตร พร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกรอบด้าน เช่น เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ, เมืองทองธานี, ห้างสรรพสินค้า บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า สาขาแจ้งวัฒนะ, โรงเรียนสวนกุหลาบ นนทบุรี (ตรงข้ามโครงการ) ฯลฯ นอกจากนี้ภายในโครงการยังมีส่วนกลางอำนวยความสะดวกมากขึ้น เพิ่ม ECO Innovation ด้วยการติดตั้ง Solar Pavillion สำหรับพักผ่อนพร้อมชาร์จแบตมือถือจากพลังงานแสงอาทิตย์ และการดูแลความปลอดภัยถึง 3 ระดับ 1. Keycard Access 2. Lift Access 3. CCTV 24 ชม. “โครงการ นิช ไอดี แอท ปากเกร็ด สเตชั่น เป็นโครงการที่ SENA เปิดตัวในไตรมาส 3/2560 และมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม เพราะจุดขายบนทำเลวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา และการออกแบบฟังชั่นการดีไซน์ห้องที่ลงตัวและคุ้มค่า สอดคล้องคอนเซ็ปต์“ขยายทุกพื้นที่..ให้ชีวิตลงตัว” ดร.เกษรา กล่าว รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ยังใส่ใจ ดูแลลูกค้าภายใต้คอนเซ็ปต์ "หัวคิด และหัวใจ" พร้อมบริการดูแลหลังการขาย  360 องศา เพื่อสร้างมูลค่าสูงสุดให้แก่ลูกค้า ด้วยองศาแห่งความอุ่นใจ ในบริการแจ้งซ่อมออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดย SENA We Care , องศาแห่งความสุข ดูแลทุกโครงการให้อยู่สบายโดย Victory , องศาแห่งความสบายใจ วันไหนก็ยังมั่นคงด้วยบริการรับฝากขาย – เช่า โดย 360° Living agent  , องศาแห่งความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะติดต่อหรือติดตาม และยังตรวจสอบปริมาณการลดค่าไฟฟ้าจากโซลาร์ ก็สะดวกสบายด้วยแอพพลิเคชั่น SENA 360° SERVICE
บิ๊กเนม LPN ปักหมุดผุด “The Selected Kaset-Ngamwongwan By LPN” พร้อมเปิดขายวันเสาร์ที่ 24 มิ.ย.นี้ ขนาด 1 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 3 ล้านบาท

บิ๊กเนม LPN ปักหมุดผุด “The Selected Kaset-Ngamwongwan By LPN” พร้อมเปิดขายวันเสาร์ที่ 24 มิ.ย.นี้ ขนาด 1 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 3 ล้านบาท

สิ่งที่หลายๆ คนจะคำนึงถึงเป็นอันดับต้นๆ ในการหาที่พักอาศัยก็คือ เรื่องทำเล หากทำเลดี เดินทางสะดวก อยู่ใกล้รถไฟฟ้า สภาพแวดล้อมรอบข้างดี ก็ถือได้ว่าเป็นทำเลทอง เฉกเช่นถนนงามวงศ์วาน บริเวณสี่แยกเกษตร ที่เป็นจุดตัดกับพหลโยธิน และ ถนนประเสริฐมนูกิจมุ่งตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือผ่านมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไปตัดกับถนนวิภาวดีรังสิต ระยะทางเพียงไม่กี่กิโลเมตร ถนนเส้นนี้ปัจจุบันได้มีคอนโดมิเนียม และอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ก่อตัวขึ้นมาอย่างน่าสนใจ ศักยภาพทำเล “ตอบทุกโจทย์ ... ทุกไลฟ์สไตล์คนเมือง” ใกล้รถไฟฟ้า 2 สาย ใกล้ศูนย์การค้า 3 แห่ง - แหล่งกิน, แหล่งเที่ยว ใกล้หน่วยงานสำคัญๆ ทั้งภาครัฐบาล และเอกชน และใกล้ 4 มหาวิทยาลัยชื่อดัง สถานที่สำคัญที่ตั้งอยู่บริเวณนี้ บริเวณที่คนทั่วไปเรียกว่า “เกษตร-งามวงศ์วาน” ก็คือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, โรงพยาบาลวิภาวดี, ท็อปส์ มาร์เก็ต เกษตรฯ นอกจากนี้ พื้นที่บริเวณใกล้เคียงยังเป็นที่ตั้งของศูนย์การค้าขนาดใหญ่ 3 แห่ง ได้แก่เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว, ยูเนี่ยน มอลล์, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน และอีก 3 มหาวิทยาลัย ทั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม, มหาวิทยาลัยศรีปทุม และมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต รวมถึงยังเป็นที่ตั้งสำนักงานขนาดใหญ่ และหน่วยงานราชการสำคัญๆ ก็อยู่บริเวณนี้เช่นกัน นั่นคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ หรือ SCB PARK, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสำนักงานใหญ่, กรมป่าไม้,    การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.), ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) และกรมยุทธโยธา เป็นต้น กล่าวได้ว่าทำเลนี้ “เกษตร-งามวงศ์วาน” เป็นทำเลที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าทำเลอื่นๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย และ การเดินทางก็สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนสายสำคัญได้หลายสาย เช่น วิภาวดี-รังสิต, พหลโยธิน, เกษตรฯ-นวมินทร์, กรุงเทพฯ-นนทบุรี รวมไปถึงทางด่วนขั้นที่สองที่ถนนงามวงศ์วาน ทำให้สะดวกต่อการเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ ชั้นในและชั้นนอกได้อย่างง่ายดาย และจะยิ่งเพิ่มความสะดวกในการเดินทางมากขึ้นไปอีกในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเมื่อโครงการรถไฟฟ้า 2 สายสร้างเสร็จ และเปิดให้บริการคือโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) ที่วิ่งคู่ขนานไปกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ในอนาคตก็จะมีการลงทุนสร้างโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบัง-กรุงเทพฯ-ท่าเรือน้ำลึกทวาย ที่เรียกกันว่าโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอนที่ 1 (N1)* ที่ กทพ. ออกแบบให้เป็นทางยกระดับ 6 ช่องเป็นทางด่วนวงแหวน สามารถเชื่อมต่อกับเส้นทางประตูสู่การค้าใหม่ด้านตะวันตก เชื่อมกับมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี และเชื่อมต่อกับท่าเรือทวาย ซึ่งเริ่มต้นจากทางด่วนพิเศษศรีรัช  มาตามถนนรัตนาธิเบศร์ ผ่านแครายไปตามถนนงามวงศ์วานถึงแยกเกษตรศาสตร์ (ช่วงถนนงามวงศ์วานช่วงที่ผ่านหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) เบื้องต้นทาง กทพ. ได้มีการปรับแบบโดยเพิ่มทางขึ้นลงในมหาวิทยาลัยเพื่ออำนวยความสะดวกจากการใช้ทางด่วน ด้วยศักยภาพของทำเลในปัจจุบันและในอนาคตที่เกิดจากการลงทุนของภาคเอกชนและของภาครัฐบาล จะช่วยสนับสนุนให้ทำเล “เกษตร-งามวงศ์วาน”เป็นทำเลใจกลางเมืองแห่งใหม่ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกตอบสนองไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยได้อย่างครบถ้วน ทั้งแหล่งกิน แหล่งช้อปปิ้ง และทำเลการอยู่อาศัย อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าจับตามอง ตอบทุกโจทย์ ... ทุกไลฟ์สไตล์คนเมือง “The Selected Kaset-Ngamwongwan By LPN อีกโครงการสะท้อนยุทธศาสตร์ “LPN YEAR OF SHIFT” เพราะจุดเด่นของทำเลทำให้ถนนเส้นนี้มีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทยอยไล่เก็บที่ดินผุดโครงการกันอย่างต่อเนื่อง บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) คืออีกหนึ่งผู้เล่นรายใหญ่ที่เดินหน้าปักหมุดโครงการในทำเลดังกล่าวมาตลอดตั้งแต่แยกรัชโยธิน เรื่อยมาจนถึงเส้นเกษตร-งามวงศ์วาน ที่ล่าสุดได้แตกแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ ภายใต้ชื่อ “เดอะ ซีเล็คเต็ด เกษตร-งามวงศ์วาน บาย แอล.พี.เอ็น. (The Selected Kaset-Ngamwongwan By LPN)” สะท้อนภาพกลยุทธ์การตลาด ที่สร้างความแตกต่าง ปรับภาพลักษณ์สินค้า (Brand Image) เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย ตอกย้ำยุทธศาสตร์ที่ประกาศไว้เมื่อช่วงต้นปี 2560 “LPN YEAR OF SHIFT” ที่พร้อมจะ Shift ในหลายๆ ด้าน  “The Selected Kaset-Ngamwongwan By LPN” จะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความเป็นมืออาชีพของบิ๊กเนม LPN ที่พร้อมเพิ่มคุณค่ากับผลิตภัณฑ์ (Product  Value) ได้ปรับโฉมงานออกแบบใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ New Architectural Design รูปลักษณ์ตึกภายนอก และภายในโครงการ อีกทั้งยังสร้างความแตกต่างจากโครงการอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ ให้ผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษผ่านสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ครบครัน เพื่อส่งมอบ “ความสุขที่แท้จริงของการอยู่อาศัย” ในราคา 3 ล้านต้นๆ  หรือรายได้ 1 แสนบาทต่อเดือนก็สามารถที่จะเป็นเจ้าของได้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนที่คุ้นเคยในการอยู่อาศัย หรือใช้ชีวิตในโซนนี้มีไม่น้อยกว่า 1 แสนราย เฉพาะบุคลากร และนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีกว่า 4-7 หมื่นราย และยังมีกลุ่ม Blue Collars คนทำงานอิสระ หรือทำงานที่ไม่ได้ทำในออฟฟิศ และกลุ่ม White Collars หรือกลุ่มคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือน ทำงานในออฟฟิศ ผู้บริหาร เจ้าของกิจการ และในอนาคตเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย จึงเหมาะที่จะซื้อทั้งอยู่อาศัยเอง หรือ ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า เป็นโอกาสที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีทั้งในแง่ของ “มูลค่า” ที่เพิ่มขึ้น และ “ค่าเช่า” ที่สม่ำเสมอ โครงการดังกล่าวตั้งอยู่บนถนนงามวงศ์วาน ระหว่างแยกเกษตรนวมินทร์ (มุ่งสู่ถนนวิภาวดี-รังสิต) และแยกบางเขน ตรงข้ามมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ห่างจากประตูงามวงศ์วาน 3 ประมาณ 250 เมตร บนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่เศษ (3 งาน 46 ตร.วา) พัฒนาเป็นอาคารชุดพักอาศัยสูง 20 ชั้น 1 อาคาร ห้องชุดพักอาศัย 307 ยูนิต (ชั้น 5 - 20) รูปแบบห้องชุดขนาด 24.00 – 43.50 ตารางเมตร พร้อมเปิดขายวันเสาร์ที่ 24 มิ.ย.นี้ ขนาด 1 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 3 ล้านบาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LPN Call Center 02-689-6888 สำนักงานขาย 02-561-1700 หรือ www.facebook.com/ Condo Lumpini โดยชั้นล่างจะเป็น สำนักงานนิติบุคคล, ลานเอนกประสงค์, ห้องเรียนรู้, ลานฟิตแอนด์เฟิร์ม, สนามสตรีทบาส, ห้องเครื่อง และที่จอดรถ, ชั้น 2 - 4ห้องเครื่อง และที่จอดรถ ,ชั้น 5 ฟิตเนสโซน (สระว่ายน้ำไร้ขอบ, ห้องออกกำลังกาย) และห้องชุดพักอาศัย ,ชั้น 6-18 ห้องชุดพักอาศัย,ชั้น 19 สวนอินฟินิตี้ และห้องชุดพักอาศัย และชั้น 20 ห้องชุดพักอาศัย ภายในโครงการมีที่จอดรถประมาณ 121 คัน (ไม่รวมจอดซ้อนคัน) พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกให้ลูกบ้านที่อยู่อาศัยทำกิจกรรมร่วมกัน อาทิ INFINITY EDGE POOL: ฟิตสุขภาพให้ร่างกายได้อิสระไปกับสายน้ำอย่างไร้ขีดจำกัด, LOBBY : ห้องรับแขกกลางที่ถูกออกแบบเพื่อให้ทุกคนสัมผัสถึงการต้อนรับที่อบอุ่นมากกว่าเพียงที่พักอาศัย, LEARNING ZONE : เพราะเราทุกคน คือเพื่อนบ้านกัน บนพื้นที่ส่วนกลางที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ทุกคนได้มีเวลาแบ่งปันความรู้ ความสุขร่วมกัน, RUNNING TRACK : วิ่งหรือเดินลานออกกำลังกายรอบโครงการตอบสนองไลฟ์สไตล์ชีวิตคุณได้ทุกเวลา “The Selected Kaset-Ngamwongwan By LPN” เป็นโครงการอยู่อาศัยล่าสุดที่พัฒนาขึ้นรองรับกับความต้องการของตลาดบนทำเล“เกษตร-งามวงศ์วาน” ที่ว่ากันว่าจะเป็นทำเลทองน้องใหม่ใจกลางเมืองที่แข็งแกร่งมีผู้อยู่อาศัยหลากหลายกลุ่ม รองรับกลุ่มคนโสด กลุ่มคนเพิ่งแต่งงานสร้างครอบครัวมีลูก และการลงทุนในคอนโดมิเนียมเป็นการสร้าง “ทรัพย์สิน” ในอนาคต
พฤกษาเปิดตัว “เดอะทรี จรัญฯ 30” ทับทิมสยามเม็ดงามแห่งจรัญสนิทวงศ์

พฤกษาเปิดตัว “เดอะทรี จรัญฯ 30” ทับทิมสยามเม็ดงามแห่งจรัญสนิทวงศ์

พฤกษาเปิดตัว “เดอะทรี จรัญฯ 30”  ทับทิมสยามเม็ดงามแห่งจรัญสนิทวงศ์ คอนโดพรีเมียม เจิดจรัสทุกมุมมอง ให้ความเป็นส่วนตัวสูง             นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท  บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “วันที่ 24-25 มิถุนายน นี้ จะเปิดพรีเซลโครงการ “เดอะทรี จรัญฯ 30” มูลค่าโครงการ 1,070 ล้านบาท  เป็นคอนโดระดับพรีเมียม ดีไซน์โดดเด่นทั้งภายในและภายนอก หรูหราและเป็นส่วนตัวด้วยการตกแต่งที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดทั้งวัสดุตกแต่ง ฟังก์ชั่นการใช้สอยภายในห้องพัก และสิ่งอำนวยความสะดวก อยู่ติดถนนใหญ่จรัญสนิทวงศ์ ซึ่งเป็นย่านชุมชนและเป็นแหล่งค้าขายหลักที่สำคัญและเก่าแก่อีกย่านหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสถานีแยกไฟฉาย และสถานีบางขุนนนท์ ซึ่งเป็นสถานีรถไฟฟ้า เชื่อมต่อรถไฟฟ้ามากถึง 3 สาย (Interchange 3 สายในอนาคต สายสีน้ำเงินสายบางซื่อ-ท่าพระ, สายสีแดงเส้นทางตลิ่งชัน-ศาลายา และสายสีส้มเส้นทางตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม) (เปิดใช้บริการในปี 2563) จากการขยายตัวของระบบคมนาคมส่งผลให้ปัจจุบันในย่านจรัญสนิทวงศ์มีความเป็นเมืองสูง และมีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งทำเลที่น่าจับตามอง  โดยโครงการตั้งอยู่ในแหล่งชุมชน ใกล้ตลาดบางขุนศรี  ซึ่งเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์มาก เปิดขายในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท* ผ่อนดาวน์เริ่มเพียงเดือนละ 2,900 บาท เรียกได้ว่าเป็นราคาที่น่าดึงดูดใจมากเมื่อเทียบกับโครงการคุณภาพระดับพรีเมียม บนทำเลที่มีศักยภาพ ในย่านจรัญสนิทวงศ์แห่งนี้”               “เดอะทรี จรัญฯ 30” ทับทิมสยามแห่งจรัญสนิทวงศ์ คอนโดหรูบนย่านวัฒนธรรมเก่า ดีไซน์โดดเด่นทั้งภายในและภายนอก หรูหราและเป็นส่วนตัวด้วยการตกแต่งที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด เจิดจรัสทุกมุมมอง เปรียบเสมือนอัญมณีล้ำค่าที่คู่คุณเสมอ โครงการมีพื้นที่ 1-3-79 ไร่ เป็นอาคารพักอาศัยสูง 22 ชั้น 1 อาคาร และอาคารสูง 8 ชั้น พร้อมชั้นใต้ดิน 2 ชั้น 1 อาคาร เป็นส่วนตัวสูงด้วยห้องพักอาศัยที่มีเพียง 305 ยูนิต และห้องชุดเพื่อการพาณิชย์ 2 ยูนิต  มีทั้งแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 23.60 -41.10 ตารางเมตร และแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 43.95–45.85 ตารางเมตร ที่มีการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานที่คุ้มค่าทุกตารางนิ้ว ครบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ส่วนกลางที่ให้ความเป็นส่วนตัว และมีความหลายหลาย ตอบโจทย์การใช้ชีวิตระดับพรีเมียมอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็น The Prime Lobby ล็อบบี้โอ่โถงเป็น Double Volume สูง 6 เมตร พื้นและผนังของล็อบบี้กรุด้วยหินจริง Beige Emperador, Private Prime Corner, Elegant Lift Hall, Precious Mailbox, Hideaway Garden, Garden View Gym, Exclusive Working Space, Private Meeting Room เปิดรับวิวกรุงเทพมหานครบนชั้นสูงสุดของอาคารด้วย Sky View Courtyard, Sky Steaming Room, Finest Sky Lounge, Leisure Sky Scene และCrystalline Sky Pool สระว่ายน้ำ See Through พร้อมชมเมืองหลวงมุมมองใหม่ ใต้สระน้ำกลางฟ้ากรุงเทพมหานคร   โครงการอยู่ติดถนนใหญ่ ตรงข้ามตลาดบางขุนศรี ติดห้างฟู้ดแลนด์ เยื้องห้างแม็คโคร  ใกล้สถานที่สำคัญหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาลศิริราช มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) สะดวกสบายด้วยรถโดยสารสาธารณะที่หลากหลาย ทั้งทางบกและทางเรือ ใกล้ท่าเรือด่วนเจ้าพระยา ใกล้รถไฟฟ้าสถานีสามแยกไฟฉายประมาณ 300 เมตร และสถานีบางขุนนนท์ 450 เมตร เปิดพรีเซลวันที่ 24-25 มิถุนายนนี้ ที่สำนักงานขายโครงการ ลงทะเบียนรับส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท ได้ทาง thetreecondo.pruksa.com/charan30  ชมห้องตัวอย่างก่อนใครได้แล้ววันนี้   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 1739 หรือ www.pruksa.com