Tag : News

2376 ผลลัพธ์
พฤกษารุกหนัก เปิด THE PRIVACY 3 ทำเลใกล้รถไฟฟ้ามูลค่า 5,500 ล้าน รักษาแชมป์ตลาดคอนโดระดับกลาง

พฤกษารุกหนัก เปิด THE PRIVACY 3 ทำเลใกล้รถไฟฟ้ามูลค่า 5,500 ล้าน รักษาแชมป์ตลาดคอนโดระดับกลาง

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  “ช่วง 6 เดือนแรกปี 2560  พฤกษาสามารถครองส่วนแบ่งตลาด (Market Share) คอนโดมิเนียมในเซ็กเมนต์ระดับราคา 2-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของพฤกษา สูงสุดป็นอันดับ 1  ที่ ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาฐานกลุ่มลูกค้านี้ จึงได้พัฒนาคอนโดมิเนียมแบรนด์ THE PRIVACY ภายใต้คอนเซ็ปต์ “COMPOSE YOUR MOMENTS สร้างโลกที่น่าหลงใหลในแบบคุณ” ที่มีการ Re-positioning แบรนด์ใหม่  จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ช่วงอายุประมาณ  25-35 ปี ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีสไตล์เฉพาะตัว  จึงได้ออกแบบฟังก์ชั่นและดีไซน์ที่เน้นมูลค่าเพิ่ม  (Smart Product) ทั้งในด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ส่วนกลางที่ครบครันและมีความแตกต่าง และยังมีการนำเทคโนโลยี มาใช้เพื่อการอยู่อาศัย เช่น ระบบ Smart Access ผ่านประตูเข้า-ออก ทุกจุด ตั้งแต่หน้าโครงการ จนถึงประตูห้องชุด ด้วย Smart Phone เพียงเครื่องเดียว รวมถึงการพัฒนาแอพลิเคชั่น เช่น ระบบการจองพื้นที่ส่วนกลาง การแจ้งเตือนชำระค่าน้ำ ค่าไฟ การแจ้งรับจดหมายหรือพัสดุต่างๆ  เป็นต้น   ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล  บนทำเลที่สามารถเดินทางได้สะดวก ใกล้รถไฟฟ้า ในราคาที่เข้าถึงได้คือราคาเริ่มต้นประมาณ 2-3 ล้านบาท โดยไตรมาส 3 ปีนี้จะเปิดทั้งหมด 2 โครงการ ได้แก่  THE PRIVACY จรัญฯ-ราชวิถี สเตชั่น,  THE PRIVACY ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพ บนเส้นรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ที่มีกำหนดแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2562 และมีแผนจะเปิด THE PRIVACY พระราม 9 เพิ่มอีก 1 โครงการ ภายในปีนี้ มูลค่าโครงการรวม 3 โครงการ 5,500 ล้านบาท THE PRIVACY จรัญฯ – ราชวิถี สเตชั่น เป็นอาคารสูง 24 ชั้น จำนวน 1 อาคาร มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท มอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดด้วยจำนวนห้องชุดพักอาศัยเพียง 281 ยูนิต แบ่งออกเป็นแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 24.5 – 31.6 ตร.ม. และแบบ 1 ห้องนอน (พลัส) พื้นที่ใช้สอย 34.97-39 ตร.ม.  พร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่จะยกระดับการใช้ชีวิตแบบพรีเมี่ยม ไม่ว่าจะเป็นส่วนพักผ่อนที่ชั้น 6 เช่น  Leisure Lounge, Home Theatre หรือพื้นที่ส่วนกลางลอยฟ้า 4 ชั้น ให้คุณเพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่งดงามของสะพานพระราม 8 เช่น  Scenic Sky Lounge , Panoramic Sky Pool และ Panoramic Sky Gym รองรับการอยู่อาศัยอย่างมีระดับ ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิต THE PRIVACY จรัญฯ – ราชวิถี สเตชั่น ตั้งอยู่บนถนนสิรินธร ใกล้แยกบางพลัด เดินทางสะดวกสบายเพียง 600 เมตรจากรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสถานีสิรินธร และเพียง 1 กม.จากทางด่วนศรีรัช ราคาเริ่มต้น 2.59 ล้านบาท  เปิดพรีเซล Private Day วันที่ 5 สิงหาคม นี้ รับส่วนลดสูงสุดกว่า 200,000 บาท THE PRIVACY ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ เป็นอาคารสูง 22 ชั้น จำนวน 1 อาคาร มูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท ห้องชุดพักอาศัยจำนวน 795 ยูนิต แบ่งออกเป็นแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 24.5 – 26.5  ตร.ม  1 ห้องนอน (พลัส) พื้นที่ใช้สอย 34.5 ตร.ม และแบบ 2 ห้องชุดรวมกัน (Combined) พื้นที่ใช้สอย 49.5 ตร.ม พร้อมสิ่งอำนวยสะดวกขนาดใหญ่ ที่ให้มากกว่าโครงการในระดับราคาเดียวกัน สิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็น Highlight ของโครงการ ได้แก่ The Sky Space พื้นที่ส่วนกลางลอยฟ้าขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Star Pool สระว่ายน้ำแบบซีทรู พร้อมระบบไฟ Fiber Optic เสมือนว่ายอยู่ท่ามกลางดวงดาวทั้งบนฟ้าและใต้น้ำ พร้อมด้วย Step Garden พื้นที่สวนที่เชื่อมต่อจากชั้น 19 ไปถึงชั้นดาดฟ้า และ Sky Lounge พื้นที่พักผ่อนชมวิวที่ชั้น 22 นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดใหญ่อีกมากมาย เช่น  Double Volume Lobby, 3 Connecting Facilities ที่ชั้น 2-4 ประกอบด้วย Reading Space, Co-Working Space และ Play Space, Swimming Pool สระว่ายน้ำออกกำลังที่ชั้น 4, Workout Space ห้องออกกำลังกาย เป็นต้น THE PRIVACY ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ เป็นโครงการแรกบนถนนจรัญสนิทวงศ์ ที่อยู่ใกล้สถานีท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ เพียง 100 เมตร ซึ่งเป็นสถานีอินเตอร์เชนจ์ที่ใหญ่ที่สุดของฝั่งธนบุรี และเป็นจุดศูนย์กลางที่เชื่อมเข้าสู่ใจกลางเมือง เพียง 4 สถานี ถึงเยาวราช 6 สถานีถึงจุฬา (สามย่าน) เดินทางโดยรถยนต์ เพียง 10 นาที ถึงสาทร ราคาเริ่มต้นเพียง  1.99 ล้านบาท เปิดลงทะเบียนรับสิทธิ์จองวันที่ 3 สิงหาคม ที่เดอะมอลล์ท่าพระ เปิดให้ชมสำนักงานขาย และห้องตัวอย่าง วันที่ 19 สิงหาคม และเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 กันยายนนี้  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมคลิก theprivacy.pruksa.com หรือโทร 1739
เพอร์เฟค เปิดตัวคอนโดใหม่ “เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร” จับมือ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริหารการขาย

เพอร์เฟค เปิดตัวคอนโดใหม่ “เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร” จับมือ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริหารการขาย

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ต่อยอดความสำเร็จในทำเลพหล-สุทธิสาร รุกเปิดตัวคอนโดโครงการใหม่ “เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร” จับมือ “พลัส พร็อพเพอร์ตี้” ให้เป็นผู้บริหารการขาย เพื่อขยายฐานลูกค้า มั่นใจในจุดเด่นทั้งทำเล ดีไซน์ สิ่งอำนวยความสะดวก ประเมินภาพรวมตลาดคอนโดยังมีการตอบรับดี  เดินหน้ากระตุ้นยอดขายไตรมาส 3 ด้วยแคมเปญ “แพ็คคู่สุดคุ้ม" นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ใน  ไตรมาส 3 นี้ บริษัทฯ ได้เดินหน้าเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้ ได้แก่ โครงการ เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร หลังประสบความสำเร็จจากการเปิดการขายคอนโดมิเนียมในทำเลสุทธิสาร ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี จึงได้ต่อยอดด้วยการเปิดโครงการต่อเนื่องเป็นโครงการที่สองในทำเลดังกล่าว โครงการเมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร  มีขนาดพื้นที่ 3 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,070 ล้านบาท เป็นคอนโด Low-Rise สูง 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 317 ยูนิต เป็นแบบ 1 ห้องนอน จำนวน 262 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 25–53 ตารางเมตร และ 2 ห้องนอน จำนวน 55 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 52–60 ตารางเมตร  ทำเลที่ตั้งโครงการอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สะพานควาย บนถนนสุทธิสารซึ่งเชื่อมระหว่างถนนพหลโยธินและวิภาวดีรังสิต จึงสามารถเข้าออกได้หลายทาง ซึ่งเป็นจุดเด่นของโครงการ พร้อมกันนี้ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยังได้มีความร่วมมือเป็นครั้งแรกกับ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร อย่าง บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ให้เป็นผู้บริหารการขายและการตลาดให้กับ เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มเติม โดย นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่าว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ยินดีที่ได้ร่วมเป็นผู้บริหารงานขายโครงการเมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร และถือเป็นความภาคภูมิใจของพลัสฯ ด้วยเช่นกัน เนื่องจากพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้า ได้ให้ความไว้วางใจในการทำงาน ในส่วนของงานบริหารงานขายโครงการเมโทร ลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร นี้ พลัสฯ ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของตัวโครงการที่ตั้งอยู่บนทำเลพื้นที่ชั้นกลางที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และยังเป็นย่านที่มีอาคารสำนักงานตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก ใกล้กับศูนย์กลางธุรกิจ รองรับด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เดินทางสะดวก ด้วยราคาเริ่มต้นที่คนรุ่นใหม่จับต้องได้ จึงคาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สำหรับทำเลย่านพหลโยธิน-สุทธิสารนี้ จากข้อมูลการทำวิจัยตลาดโดย พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พบว่าได้รับความนิยมอย่างสม่ำเสมอ แต่กลับมีโครงการใหม่ที่เปิดในช่วง 1-2 ปีมานี้ไม่มาก เนื่องจากที่ดินแปลงใหญ่มีจำกัดมากขึ้น ทั้งนี้ ช่วงปี 2559 ถึงปัจจุบัน (กรกฎาคม 2560) มีโครงการเปิดตัวใหม่เข้าสู่ตลาด 2 โครงการ รวม 3,196 ยูนิต แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม High Rise ราว 70% ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 160,000 บาท/ตารางเมตร ขณะที่คอนโดมิเนียม Low Rise มีราคาขายเฉลี่ยที่ 100,000 บาท/ตารางเมตร เป็นผลจากปัจจุบันที่ดินใกล้สถานีรถไฟฟ้ามีราคาสูงมาก ทำให้ความนิยมเริ่มขยายไปสู่ที่ดินตามถนนสายรองแต่ยังถือว่าอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า เช่น ทำเลสุทธิสาร เพราะไม่เพียงเป็นทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังเชื่อมต่อได้หลายเส้นทางทั้งถนนวิภาวดีรังสิต พหลโยธิน และรัชดาภิเษก จากราคาของโครงการอื่นๆ ที่ขยับไปค่อนข้างสูง ในขณะที่พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค สามารถบริหารต้นทุนได้ดี ส่งผลให้ราคาขายของโครงการเมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร อยู่ในระดับที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยมีราคาขายเฉลี่ยเพียง 97,000 บาท/ตารางเมตร จึงเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจของโครงการ และหากย้อนหลังไปดูราคาเปิดตัวของคอนโดมิเนียม High Rise โซนใกล้เคียง เช่น ย่านสนามเป้า-อารีย์-สะพานควาย เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ราคาเฉลี่ยเปิดตัวอยู่ที่ 90,000–100,000 บาท/ตารางเมตร หากลงทุนในตอนนั้น ปัจจุบันราคาเฉลี่ยโครงการที่ถูกนำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ขยับสูงถึง 140,000–150,000 บาท/ตารางเมตร ส่วน Low Rise ราคาเฉลี่ยเปิดตัวอยู่ที่ 80,000 บาท/ตารางเมตร ปัจจุบันราคาเฉลี่ยโครงการที่ถูกนำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ขยับสูงถึง 93,000 บาท/ตารางเมตร เป็นทำเลที่มีการอยู่อาศัยหนาแน่นสูงถึง 80-90% และเป็นที่สนใจของผู้เช่า ตลอดจนราคาที่ดินรอบสถานีรถไฟฟ้าสนามเป้า-   อารีย์-สะพานควาย ในช่วงปี 5 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5-25% ต่อปี จึงเป็นที่แน่นอนว่าการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคตต้องมีต้นทุนการพัฒนาสูงขึ้น ดังนั้น คอนโดมิเนียมในทำเลนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเก็บไว้เป็นทรัพย์สินที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคตได้อย่างน่าสนใจเช่นกัน นายวงศกรณ์เปิดเผยเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากทำเลซึ่งเป็นจุดขายหลักแล้ว โครงการยังให้ความสำคัญในเรื่องรูปแบบดีไซน์ ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ลูกค้า ด้วยแนวคิดการตกแต่งในโทนโรสโกลด์ (Rose Gold) โทนสีมาแรงในวงการออกแบบ ตลอดจนงานสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายใน โดยโครงการได้นำมาใช้ในการตกแต่งภายในพื้นที่ส่วนต่างๆ ทั้ง ล็อบบี้ ฟิตเนส ตลอดจนเป็นทางเลือกในการตกแต่งห้องพักสำหรับลูกค้า เพื่อแสดงถึงความทันสมัยและหรูหราอย่างมีสไตล์ นอกจากนี้ยังคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบทั้งสระว่ายน้ำพร้อม Bubble Jet, จากุซซี่, สตรีม, ฟิตเนส และสวนพักผ่อน   เมโทรลักซ์ โรสโกลด์ พหล-สุทธิสาร กำหนดเปิด พรีเซลส์ 22 กรกฏาคมนี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 2.19 ล้านบาท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยังได้จัดกิจกรรมการตลาดเพื่อกระตุ้นการขายในไตรมาส 3 ด้วยแคมเปญ “Double Pack Sale”  โดยนำคอนโดพร้อมอยู่มาจัดโปรโมชั่นในรูปแบบ "แพ็คคู่สุดคุ้ม" ด้วยแพ็คคู่ 2 ยูนิต ราคาพิเศษสำหรับห้องแรก และส่วนลดมากขึ้นสำหรับห้องที่สอง ซึ่งให้ส่วนลดสูงสุดถึง 1 ล้านบาทโดยไม่ต้องจับสลาก สำหรับซื้อเพื่ออยู่อาศัยและลงทุนในเวลาเดียวกัน อาทิ เดอะสกาย สุขุมวิท ห้องแรกเริ่ม 3.69 ล้าน ห้องที่สองจากราคา 3.8 ล้าน เหลือเพียง 2.69 ล้านบาท, เมโทรสกาย บางซื่อ-ประชาชื่น ห้องแรกเริ่ม 2.15 ล้าน ห้องที่สองจากราคา 2.5 ล้าน เหลือเพียง 1.79 ล้านบาท, เมโทรลักซ์ เกษตร ห้องแรกเริ่ม 2.45 ล้าน ห้องที่สองจากราคา 2.5 ล้าน เหลือเพียง 1.6 ล้านบาท เป็นต้น โดยมีให้เลือกกว่า 10 โครงการ และจะมีการจัดอีเวนต์ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว ในวันที่ 27 กรกฏาคม ถึง 2 สิงหาคมนี้ด้วย
ไรมอน แลนด์ เผยโฉม “เดอะ ลอฟท์ สีลม” โครงการที่ 3 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ “เดอะ ลอฟท์ ซีรี่ส์” แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางสีลม

ไรมอน แลนด์ เผยโฉม “เดอะ ลอฟท์ สีลม” โครงการที่ 3 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ “เดอะ ลอฟท์ ซีรี่ส์” แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางสีลม

ไรมอน แลนด์ เผยโฉม “เดอะ ลอฟท์ สีลม” โครงการที่ 3 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ “เดอะ ลอฟท์ ซีรี่ส์” แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางสีลม บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับหรูชั้นนำของประเทศไทย เปิดตัว “เดอะ ลอฟท์ สีลม” (The Lofts Silom) อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นโครงการที่ 3 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ “เดอะ ลอฟท์ ซีรี่ย์” ที่เคยคว้ารางวัลมามากมาย เป็นทำเลทองซึ่งใกล้กับร้านอาหาร และโรงเรียนชั้นนำ โครงการคอนโดมิเนี่ยมแบบฟรีโฮลด์ สุดหรู แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางสีลม ภายใต้สโลแกน “Symphony of Life” มูลค่าโครงการกว่า 3,500 ล้านบาท เริ่มเปิดขายพรีเซลวันที่ 23 กรกฎาคมนี้ ณ สมาคมสโมสรอังกฤษกรุงเทพ (The British Club Bangkok) ถ.สีลม ซอย 18 มร.เอเดรียน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ในกรุงเทพฯได้เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าในปัจจุบันตลาดอสังหาฯจะมีความ   ท้าทายในการแข่งขันอย่างมาก แต่ไรมอน แลนด์ ยังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และสม่ำเสมอ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเราเป็นผลมาจากการคำนึงถึงคุณภาพชีวิต และการอยู่อาศัยที่ดีของลูกบ้านทุกๆคน Building Better Lives จึงเป็นสิ่งแรกที่เราให้ความสำคัญเสมอมา” "เดอะ ลอฟท์ สีลม" ถูกออกแบบมาจากการนำความเป็นธรรมชาติ และพื้นที่สีเขียวมาสู่ใจกลางเมือง เราไม่ได้เน้นการเสนอลูกเล่น แต่เราให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมโดยรวมที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้แก่ลูกบ้าน พื้นที่สีเขียวชอุ่ม รวมถึงรูปแบบอาคารที่สามารถระบายอากาศตามธรรมชาติล้วนได้รับการออกแบบเป็นอย่างดี และที่สำคัญที่สุดคือรูปแบบพื้นที่ใช้สอยที่มีเพดานสูงเป็นพิเศษ อัตราส่วนระหว่างหน้าต่างกับผนังได้รับการออกแบบมาให้เหมาะสมกับ ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า "เอเดรียนกล่าว ครั้งหนึ่งซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของ "วังประมวญ" มาก่อน "เดอะ ลอฟท์ สีลม" สามารถเดินทางได้ทั้งจากถนนสีลม และถนนสาทร เป็นย่านที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยความพิเศษของโครงการนี้คือการมอบความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยโดยมีจำนวนห้องพักเพียง 268 ยูนิต 37 ชั้น ในพื้นที่ 2 ไร่กว่า (3,240 ตารางเมตร) ความสูงเพดานมีตั้งแต่ 3 ถึง 5.6 เมตร การออกแบบมีทั้งหมด 3 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น “ไพร์ม” (PRIME) เป็นแนวการออกแบบที่เน้นความสดใส สว่าง เป็นตัวอย่างของการใช้ชีวิตในเมือง สไตล์สแกนดิเนเวีย โดยเน้นความรู้สึกที่ดูเบา สบาย ด้วยวัสดุที่ใช้เป็นไม้และอิฐ เน้นโทนสีขาวแลดูสว่าง สะอาด และสบายตา หรือ “มิดไนท์” (MIDNIGHT) เฉดสีเข้ม ให้ความรู้สึกเงียบสงบ การออกแบบที่ดูทันสมัย แต่คงไว้ซึ่งเสน่ห์แห่งความเรียบหรูของโทนสีเข้ม เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่เสาะแสวงหาความท้าทาย และ “ดอว์น” (DAWN) ดีไซน์แนวคลาสสิค เป็นการออกแบบโดยเลือกใช้วัสดุโทนสีน้ำตาลที่สื่อถึงความรู้สึกของธรรมชาติที่อบอุ่น พร้อมมอบประสบการณ์อันหรูหราอย่างมีระดับ สิ่งอำนวยความสะดวก และพื้นที่ส่วนกลางที่ได้รับการออกแบบอย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่สนามเด็กเล่น สวนขนาดใหญ่ ห้องสำหรับใช้อ่านหนังสือวิวสวน ห้องออกกำลังกายลอยฟ้าเพดานสูงพร้อมวิวเมืองมุมกว้าง พื้นที่สำหรับจัดปาร์ตี้สำหรับผู้อยู่อาศัย ห้องอบไอน้ำสำหรับชายและหญิง สระว่ายน้ำสำหรับเด็ก สระว่ายน้ำระบบกรองน้ำบริสุทธิ์   ไร้ขอบ 25 เมตร พร้อมวิวเมืองมุมกว้าง เป็นต้น มร.เอเดรียน ลี กล่าวเพิ่มว่า "จากมุมมองของนักลงทุน โครงการที่มีสถานที่ตั้งที่ดีควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์ที่ดี รวมทั้งแบรนด์ที่แข็งแกร่งของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่จะได้ผลตอบแทนที่น่าตื่นเต้น ซึ่งไรมอน แลนด์ ยังคงได้รับการยอมรับ และเป็นที่พูดถึงเสมอมา จากทั้งนักลงทุนคนไทย และต่างชาติ เนื่องจากโครงการต่างๆของเรามีประวัติที่ดีที่ได้รับการยอมรับมาเป็นเวลายาวนาน” เดอะ ลอฟท์ สีลม ได้รับการวางคอนเซ็ปท์ และออกแบบมาจากบริษัทที่เป็นที่รู้จัก อย่างธาดา คอลลาบอเรชั่น บูรพา พรมมูล ดีไซน์ พาร์ทเนอร์ จากบริษัท ธาดา คอลลาบอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “การออกแบบโดยส่วนมากเน้นการสร้างพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ทั้งภายใน และภายนอกอาคาร ช่วยสร้างบรรยากาศของการอยู่อาศัยที่โอบล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขียวและอากาศที่สดชื่น อีกทั้งตัวอาคารยังออกแบบให้สามารถเปิดรับลมตามฤดูกาลซึ่งสามารถถ่ายเทไปยังพื้นที่ส่วนกลางของโครงการได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ รูปลักษณ์และสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นและแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของผนังลายอิฐ และขอบหน้าต่างสีดำอันเป็นสัญลักษณ์ของอาคาร ผลลัพธ์จากการผสมผสานอันลงตัวของงานดีไซน์อันพิถีพิถันนี้คือ ความทันสมัย เฉียบคม และความงามไร้กาลเวลา โครงการ “เดอะ ลอฟท์ สีลม” นี้จึงเป็นการหลอมรวมกันระหว่างพื้นที่ประวัติศาสตร์แห่ง ”วังประมวญ” และความทันสมัยแห่งใหม่ได้อย่างงดงาม โครงการ เดอะ ลอฟท์ สีลม มีกำหนดเริ่มสร้างประมาณเดือนตุลาคมปีพ.ศ. 2560 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2563 หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ www.theloftssilom.com หรือติดต่อบริษัทไรมอน แลนด์ ที่หมายเลข 02-029-1888  
แสนสิริเปิดแผนธุรกิจ “Sansiri Transformation” สู่การขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ ผนึกแผนครึ่งหลังเปิดอีก 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 39,260 ลบ.

แสนสิริเปิดแผนธุรกิจ “Sansiri Transformation” สู่การขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ ผนึกแผนครึ่งหลังเปิดอีก 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 39,260 ลบ.

แสนสิริเปิดแผนธุรกิจ “Sansiri Transformation” สู่การขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ ผนึกแผนครึ่งหลังเปิดอีก 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 39,260 ลบ.พร้อมโชว์ผลงานครึ่งปีแรกกวาดยอดขายกว่า 15,000 ลบ. เติบโตเกือบ 20% เผยตลาดต่างชาติตอบรับดี สร้างยอดขายทะลุ 3,700 ล้านบาท แสนสิริ เปิดแผนธุรกิจ  “Sansiri Transformation” กลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ ภายใต้ 4 ด้านหลัก ได้แก่ การบริหารการเงิน - การบริหารการพัฒนาโครงการ –การบริหารกลยุทธ์การตลาด และการบริหารด้านเทคโนโลยี ก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย พร้อมเตรียมเปิดตัวอีก 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 39,260 ล้านบาท มุ่งสานต่อพัฒนาโครงการร่วมทุนกับบีทีเอส พร้อมเล็งหาพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มเติม - รุกตลาดต่างชาติต่อเนื่อง – เปิดตัว “บ้านแสนสิริ” super hi-end ของแบรนด์บ้านเดี่ยวในไตรมาส 4 - ลุยปั้นแบรนด์ “HAUS” หลังลูกค้าตอบรับดี และเดินหน้าส่งมอบนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เตรียมเปิดตัวผลงาน PropTech ชิ้นแรกเร็วๆ นี้ ขณะที่ผลประกอบการครึ่งแรกปี 2560 แข็งแกร่งน่าพอใจ ด้วยยอดขายรวมกว่า  15,000  ล้านบาท เติบโตเกือบ 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายตลาดต่างชาติโตต่อเนื่องกว่า 3,700 ล้านบาท มั่นใจสามารถบรรลุเป้าหมายยอดขายรวมทั้งปีที่ 36,000 ล้านบาทที่วางไว้ในปีนี้ นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา แสนสิริมีผลประกอบการที่น่าพึงพอใจ ด้วยยอดขายรวมประมาณ 15,000  ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 20% และคิดเป็นกว่า 42% ของเป้าหมายยอดขายรวม 36,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้ในปีนี้ สำหรับตลาดต่างชาติซึ่งเป็นตลาดสำคัญก็มียอดขายไปถึงประมาณ 3,700  ล้านบาท คิดเป็น 46% ของเป้าหมายยอดขายตลาดต่างชาติที่วางไว้ 8,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเติบโตตามเป้าหมาย โดยในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ  16 โครงการ มูลค่ารวม 39,260 ล้านบาท พร้อมเปิดแผนธุรกิจ “Sansiri Transformation” สู่การขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ โดยมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่วางไว้ นอกจากนี้ในปัจจุบัน แสนสิริยังมี Presale backlog หรือยอดขายรอรับรู้รายได้รวมทั้งหมดถึง 37,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับการรับรู้รายได้ไปถึงอีก 4 ปีข้างหน้า “ไฮไลต์สำคัญของการดำเนินธุรกิจของแสนสิริในครึ่งปีหลังคือการเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรตามกลยุทธ์ “Sansiri Transformation” หรือการรุกปรับองค์กรอย่างเต็มรูปแบบใน 4 ด้านเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง โดยมีการจัดทัพทีมผู้บริหารที่มากประสบการณ์ในแต่ละด้าน ที่จะมาช่วยบริหารสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทุกมิติของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ” นายอภิชาติกล่าว สำหรับกลยุทธ์ที่สำคัญ Sansiri Transformation มุ่งเน้นใน 4 ด้าน คือ การบริหารการเงิน - การบริหารการพัฒนาโครงการ –การบริหารกลยุทธ์การตลาด และการบริหารด้านเทคโนโลยี Financial Transformation การบริหารด้านการเงิน นำโดยคุณวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ (Chief Financial Officer) หนึ่งในผู้บริหารที่ร่วมก่อตั้งบริษัทแสนสิริ Project Transformation – การบริหารการพัฒนาโครงการทั้งปัจจุบันและในอนาคต นำโดย คุณอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ (Chief Operating Officer) Marketing Transformation – การบริหารด้านกลยุทธ์การตลาด เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มและหลากหลายมากขึ้น นำโดยคุณอรุณภรณ์ ลิ่มสกุล รองกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาด (Executive Vice President - Marketing Division) Technology Transformation – การบริหารด้านเทคโนโลยีเพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ นำโดย ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล (Chief Technology Officer) นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2560 เรามีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 19 โครงการ มูลค่ารวม 44,460 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 9 โครงการมูลค่ารวม 19,400 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่ารวม 24,200 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮ้าส์ 2 โครงการ มูลค่า 860 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกแสนสิริได้พัฒนาไปแล้ว 3 โครงการ ส่งผลให้มียอดขาย (พรีเซลล์) รวมในช่วงครึ่งปีแรกประมาณ 15,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42% จากเป้าหมายยอดขายรวม 36,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้ในปีนี้แม้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ค่อนข้างน้อยซึ่งแสดงถึงความสำเร็จจากการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ  16 โครงการ มูลค่ารวม 39,260 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 22,350 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 16,150 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ มูลค่า 760 ล้านบาท นอกจากการพัฒนาโครงการใหม่ ปัจจัยที่ทำให้ยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง ยังมาจากการรุกตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรก สามารถทำยอดขายได้ถึง 3,700 ล้านบาท คิดเป็น 46% ของเป้ายอดขายต่างชาติที่วางไว้เป็น 8,000 ล้านบาท โดยโครงการที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติมากที่สุด ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมภายใต้ความร่วมมือระหว่างแสนสิริและบีทีเอส “แบรนด์ เดอะ ไลน์” โครงการเดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101 โครงการ และเดอะ ไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์ รวมถึงโครงการเดอะ เบส พัทยากลาง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าชาวฮ่องกงและ จีน ลูกค้าชาวสิงคโปร์ และลูกค้าชาวไต้หวัน อีกปัจจัยที่สำคัญคือ การเปิดตัวโครงการ 98 WIRELESS มูลค่าโครงการรวม 8,700 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นแฟล็กชิพคอนโดมิเนียมของแสนสิริที่เปิดการขายอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 60% รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมใน Affordable Segment ที่มียอดขายเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน โดยสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียม “ดีคอนโด” ได้ทั้งหมด 4 โครงการ ได้แก่ ดีคอนโด นิม เชียงใหม่, ดีคอนโด อ่อนนุช-พระราม 9, ดีคอนโด กาญจนวณิช และ ดีคอนโด กะทู้-ป่าตอง นอกจากนี้ยังสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียมเดอะ เบส เซ็นทรัล พัทยา และบ้านเคียงฟ้า หัวหิน ในตลาดต่างจังหวัดอีกด้วย ทั้งนี้ แนวทางสำคัญในการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบด้วย การสานต่อความสำเร็จของโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ด้วยการเดินหน้าตามแผนการเปิดโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสในระยะยาว โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาพัฒนาไปแล้ว 8 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกนี้เปิดเพิ่มอีก 1 โครงการ ได้แก่เดอะ เบส เพชรเกษม มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีหลังนั้นมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมองหาพันธมิตรธุรกิจเพิ่มเติม เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจในอนาคตอีกด้วย การรุกตลาดระดับบน โดยเล็งเปิดตัว “บ้านแสนสิริ” ซึ่งเป็นโครงการระดับ super hi-end ของแบรนด์บ้านเดี่ยวในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จจากโครงการ “บ้านแสนสิริ สุขุมวิท 67” ในปี 2549 การเดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศอย่างเต็มพิกัด เพื่อรักษาความเป็นผู้นำบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ลูกค้าต่างชาติให้การไว้วางใจจนครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดเป็นปีที่ 4 โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายได้แล้วถึง 3,700 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถบรรลุเป้ายอดขายตลาดต่างชาติในปีนี้ที่ตั้งไว้ 8,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง ต่อยอดการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “HAUS” ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ท ที่มีส่วนกลางเป็นสวนขนาดใหญ่ ท่ามกลางธรรมชาติ ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จไปแล้ว 2 โครงการ คือ ฮาสุ เฮาส์ (Hasu HAUS) โครงการแรก ตามด้วย โมริ เฮาส์ (Mori HAUS) ซึ่งเป็นโครงการที่ 2 ที่สามารถตอบไลฟ์สไตล์ลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติกลางเมืองใหญ่ โดยกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ HAUS นั้น ส่วนใหญ่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง รวมถึงทั้ง 2 โครงการที่เปิดขายยังมีชาวญี่ปุ่นให้ความสนใจจำนวนมาก การเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ด้าน Property Technology อย่างเต็มรูปแบบเป็นรายแรกของไทย โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะได้เห็นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี    ใหม่ๆ เข้ามาใช้ ทั้งในการดำเนินธุรกิจ การพัฒนาโครงการและบริการใหม่ ๆ สำหรับลูกค้า อาทิ “Delivery Robot” หุ่นยนต์ที่สามารถส่งอาหารหรือสิ่งของถึงหน้าประตูห้องของลูกบ้าน โดยวางแผนนำร่องใช้ในโครงการ เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า เป็นโครงการแรก ในช่วงปลายปีนี้ “ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของบริษัทที่เติบโตขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผนวกกับภาพรวมแผนธุรกิจของ     แสนสิริในการก้าวสู่ Sansiri Transformation อย่างเต็มรูปแบบโดยทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่ง รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เกื้อหนุนต่อการเติบโตขององค์กร แสนสิริจึงมั่นใจกว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับปีนี้คือ 36,000 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน” นายอภิชาติ กล่าวปิดท้าย
ศุภาลัย โกยยอดขายครึ่งปีแรกโตเกินคาด…รุกแผนครึ่งปีหลัง เดินหน้าเปิดตัว 22 โครงการใหม่

ศุภาลัย โกยยอดขายครึ่งปีแรกโตเกินคาด…รุกแผนครึ่งปีหลัง เดินหน้าเปิดตัว 22 โครงการใหม่

บมจ.ศุภาลัย ระบุไตรมาส 2 กวาดยอดขายกว่า 13,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% เตรียมเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ พร้อมอัดโปรโมชั่น “ได้บ้าน ได้บินฟินไกล ทั่วเจแปน” เร่งกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลงานครึ่งปีแรกของปี 2560 ว่า บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้พุ่งสูงถึง 13,344 ล้านบาท เติบโต 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 เป็นตัวเลขยอดขายจากโครงการแนวราบ 8,154 ล้านบาท และตัวเลขยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 5,190 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขยอดขายที่โดดเด่นมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ และโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม รวมถึงโปรโมชั่นส่งเสริมการขายที่กระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้ามาอย่างต่อเนื่องในทุกไตรมาส สำหรับแผนการรุกตลาดในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 22 โครงการ มูลค่ารวม 21,540 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 18 โครงการ ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ขณะเดียวกันได้เตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 4 โครงการ โดยเริ่มต้นจากโครงการศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ในรูปแบบ “ชีวิตติดสบาย” ชื่นชอบการพักอาศัยที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และใกล้ระบบคมนาคมที่สะดวกรวดเร็วอย่างรถไฟฟ้า เป็นต้น อีกทั้งช่วงไตรมาส 3 บริษัทฯ ยังร่วมมือกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดโปรโมชั่น “ได้บ้าน ได้บิน ฟินไกล ทั่วเจแปน” เพื่อส่งเสริมการขายในช่วงไตรมาส 3 โดยมอบอภิสิทธิ์เฉพาะลูกค้าที่จองบ้านหรือคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ทั่วไทยกว่า 80 โครงการของศุภาลัย รับสิทธิ์ได้บินคู่ บินฟรี ไม่ต้องลุ้น สูงสุด 4 ที่นั่ง โดยบินตรงกับสายการบินไทย ทั่วญี่ปุ่น เพิ่มความเป็นอิสระทุกการเดินทาง เนื่องจากสามารถเลือกเมืองได้ เลือกเวลาเดินทางเองได้ และรับเพิ่มส่วนลด ณ วันโอน มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท เพื่อนำไปเพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งที่ญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังฟรี ค่าโอนกรรมสิทธิ์ และค่าส่วนกลาง 1 ปีแรก โปรโมชั่นนี้สำหรับการจองตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม - 30 กันยายน 2560 เท่านั้น (ภายใต้เงื่อนไขที่บริษัทฯกำหนด) นายไตรเตชะ กล่าวย้ำว่า แผนการเปิดตัวโครงการใหม่กับโปรโมชั่นล่าสุดในครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้ที่กำลังมองหาบ้านเดี่ยว ทาว์นโฮม และคอนโดมิเนียม ที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของตนเองได้อย่างลงตัว
ศุภาลัย ลุยคอนโดฯ ย่านเพชรเกษม-บางแค ชูแนวคิด Convenience of Life #ชีวิตติดสบาย

ศุภาลัย ลุยคอนโดฯ ย่านเพชรเกษม-บางแค ชูแนวคิด Convenience of Life #ชีวิตติดสบาย

บมจ.ศุภาลัย ลุยตลาดอสังหาฯ ทำเลเพชรเกษม-บางแค เปิดตัวคอนโดฯใหม่ “ศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ” พัฒนาภายใต้แนวคิด “Convenience of Life #ชีวิตติดสบาย” ทำเลสะดวกสบาย ติดถนนเพชรเกษม ติดรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีภาษีเจริญ เน้นการพักอาศัยแบบอยู่สบาย ด้วยการออกแบบเป็นอาคารประหยัดพลังงาน ในราคาสบายกระเป๋า เริ่ม 1.5 ล้านบาท ผ่อนสบายๆ เริ่มเดือนละ 4,900 บาท เตรียมเปิดจองวันที่ 5 - 6 สิงหาคม 2560 นี้ นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพชรเกษม-บางแค เป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เชื่อมต่อกับสายสีเขียวที่สถานีบางหว้า และเป็นถนนสายสำคัญของฝั่งธนบุรี สามารถเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจได้อย่างง่ายดายและสะดวกสบาย อีกทั้งเป็นแหล่งชุมชนขนาดใหญ่สำหรับการอยู่อาศัย แหล่งช้อปปิ้ง แหล่งการศึกษา และร้านอาหารเก่าแก่มากมาย ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้บริษัทฯ เตรียมพัฒนาโครงการใหม่ในรูปแบบคอนโดมิเนียม คือ ศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ บนพื้นที่โครงการประมาณกว่า 10 ไร่ มูลค่าโครงการ 4,400 ล้านบาท ศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ พัฒนาโครงการภายใต้คอนเซปต์ Convenience of Life #ชีวิตติดสบาย เพื่อทำให้ทุกการใช้ชีวิตเป็นเรื่องง่าย โดยเลือกสรรสิ่งที่ใช่ และเชื่อมต่อทุกสิ่งเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ฉับไว และสะดวกสบายในทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตสำหรับผู้พักอาศัยในโครงการแห่งนี้ โครงการตั้งอยู่ในทำเลสะดวกสบายติดถนนเพชรเกษม เดินทางไปยังเส้นทางต่างๆ ได้ง่ายดาย ทั้งถนนราชพฤกษ์ ถนนกาญจนาภิเษก และถนนบรมราชชนนี อีกทั้งใกล้รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีภาษีเจริญ เพียง 150 เมตร ใช้เวลาเดินทางเพียง 2 สถานี ถึงจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีบางหว้า และเชื่อมต่อสู่ BTS สถานีสะพานตากสิน สามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองทั้งสาทรและสีลม รวมถึง CBD ได้อย่างรวดเร็ว ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง กิน เที่ยว ช้อป Community Mall สุดฮิปสำหรับคนรุ่นใหม่ อาทิ ซีคอนบางแค เดอะมอลล์บางแค THE BLOC J ARENA และโลตัส บางแค ใกล้แหล่งการศึกษาอย่างมหาวิทยาลัยสยาม นอกจากนี้ยังใกล้กับโรงพยาบาลพญาไท 3 อาคารชุดพักอาศัย 1 อาคาร 2 Tower แบ่งเป็น Tower A สูง 34 ชั้น Tower B สูง 30 ชั้น โดยมีห้องพักอาศัย 1,802 ยูนิต ร้านค้า 8 ยูนิต มีพื้นที่ใช้สอยแบบห้องสตูดิโอ - 2 ห้องนอน ขนาด 28 – 69.5 ตร.ม. การออกแบบตัวอาคารเน้นการพักอาศัยแบบอยู่สบาย เนื่องจากเป็นอาคารประหยัดพลังงาน โดยเลือกใช้หลอดไฟ LED ประหยัดไฟทั้งอาคาร ตลอดจนคำนึงถึงทิศทางลม ทิศทางแดด ให้อากาศถ่ายเทได้ดี ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ JACUZZI ห้องออกกำลังกาย ห้องแอโรบิค ห้อง Lifestyle Space (พื้นที่ห้องเกมส์ ปิงปอง และที่นั่งพบปะพูดคุย) Kid’s Room Sauna Jogging Track Co- living space (พื้นที่นั่งพักผ่อน ทำงาน ประชุม ) Street Basketball Court Meeting Room และที่จอดรถ พร้อมด้วยพื้นที่สีเขียวรวมกว่า 4 ไร่ เพิ่มความสบายใจกับมาตรฐานความปลอดภัยแบบมืออาชีพ ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง กล้อง CCTV อีกทั้งระบบป้องกันอัคคีภัย Smoke & Heat Detector และ Fire Alarm ตลอดจน Elevator Access Control System (ลิฟท์ล็อคชั้น) ศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ เปิดจองอย่างเป็นทางการ วันที่ 5 – 6 สิงหาคม 2560 ที่สำนักงานขายโครงการ ในราคาสบายกระเป๋า เริ่ม 1.5 ล้านบาท ผ่อนสบายๆ เริ่มเดือนละ 4,900 บาท สอบถามข้อมูลโทร 1720 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.supalai.com
ภิรัชบุรีเปิดประตู อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เตรียมพร้อมรับผู้เช่าใหม่

ภิรัชบุรีเปิดประตู อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เตรียมพร้อมรับผู้เช่าใหม่

เมื่อเร็วๆนี้ นายปิติภัทร บุรี กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี แถลงข่าวเปิดตัวอาคารสำนักงานเกรดเอแห่งใหม่ ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค โดยมี นายนิธิพัฒน์ ทองพันธุ์ กรรมการบริหาร หัวหน้าแผนกพื้นที่สำนักงานซีบีอาร์อี ประเทศไทย (CBRE) ร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับเทรนด์ออฟฟิศในอนาคตและความต้องการของตลาดอาคารสำนักงานในย่านสุขุมวิท-บางนา ที่เพิ่มมากขึ้น อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ สุดยอดผู้พัฒนาอาคารสำนักงานแห่งประเทศไทยประจำปี 2560 (Office Development Thailand) จากเวทีเอเชีย แปซิฟิก พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2560 (Asia Pacific Property Awards 2017 - 2018) และเป็นอาคารสำนักงานออฟฟิศเกรดเอแห่งใหม่ในย่านสุขุมวิท-บางนา และมาพร้อมแนวคิด Defining your workplace ที่เปิดโอกาสให้ผู้เช่าได้สามารถออกแบบออฟฟิศได้ดั่งใจ
พฤกษา เรียลเอสเตท เร่งเดินหน้าผลิตสินค้าเพิ่มมูลค่า ตามแผนกลยุทธ์ “พฤกษา 4.0”

พฤกษา เรียลเอสเตท เร่งเดินหน้าผลิตสินค้าเพิ่มมูลค่า ตามแผนกลยุทธ์ “พฤกษา 4.0”

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า“บริษัทฯ เล็งเห็นพฤติกรรมและทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค โดยได้มีการศึกษาวิจัยพฤติกรรมและทัศนคติของผู้บริโภคยุคใหม่พบว่า ลูกค้าจะพิจารณาเลือกซื้อสินค้าที่ตอบโจทย์ในแง่ของคุณภาพและบริการหลังการขายที่ดีมากขึ้น โดยให้ความสำคัญในเรื่องราคาสินค้าน้อยลงกว่าเดิม จึงเร่งเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ “พฤกษา 4.0” ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์หลักนี้ ได้แก่ Smart - Product การพัฒนาสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่า (High Value Added Product) ซึ่งจะเป็นการเพิ่มคุณค่าของสินค้าให้ลูกค้าได้รับประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในเรื่องคุณภาพและฟังก์ชั่นการใช้งาน ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินการไปแล้วหลายโครงการ ทั้งทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม “ยกตัวอย่างการออกแบบบ้านเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ในโครงการทาวน์เฮาส์ ได้แก่ การเสริมความแข็งแรงของพื้นที่หลังบ้านด้วยเสาเข็มขนาดยาวลึกเท่าตัวบ้าน เพื่อรองรับการใช้งานเป็นพื้นที่เอนกประสงค์ของลูกค้า การใช้บันไดพรีคาสท์ ที่ผลิตจากโรงงาน ได้มาตรฐาน แข็งแรง ทนทาน การออกแบบแนวคิดบ้านหายใจได้ หรือ ออกแบบระบบไหลเวียนอากาศภายในบ้าน โดยใช้แนวคิดการดึงอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้าสู่ตัวบ้าน ทำให้อากาศภายในบ้านถ่ายเทได้ดีขึ้น ส่งผลให้ความร้อนในตัวบ้านลดลง นอกจากนี้ยังช่วยช่วยลดประหยัดไฟจากการใช้เครื่องปรับอากาศ  Home Automation ระบบบ้านอัจฉริยะที่สามารถควบคุมและสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่าน Smart Phone การเพิ่มมูลค่าสินค้าในโครงการบ้านเดี่ยว ได้แก่ การออกแบบบ้านโดยเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานชั้นล่าง โดยออกแบบให้ชั้น 1 มีห้องนอน ห้องน้ำแบบFull Function และครัวไทย เพื่อตอบสนองการใช้งานได้ครบครัน และช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยแก่ผู้สูงอายุ ระบบป้องกันขโมย ป้องกันอัคคีภัย หากตรวจพบควันในห้อง ระบบจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนเข้าโทรศัพท์ และยังสามารถมองเห็นภาพภายในบ้านผ่านกล้องวงจรปิดได้นอกจากนี้ในโครงการคอนโดมิเนียมได้นำ Digital Technology อาทิ ระบบ Smart Access System ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการเข้า-ออกโครงการของลูกค้า การแจ้งข่าวสาร และบริการต่างๆ ผ่าน Mobile Application ครอบคลุมถึงระบบควบคุมไฟฟ้าภายในห้องพักที่สะดวกสบาย และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี ด้วยนวัตกรรมล่าสุดของ Smart Home ในส่วนของสาธารณูปโภคส่วนกลางได้พัฒนา Sky Facility Concept ที่มีเอกลักษณ์ อาทิ Roof Glass Pool ที่มีความสวยงาม โดดเด่น เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้า รวมถึงสร้างเอกลักษณ์เฉพาะให้กับแบรนด์
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกปี พ.ศ.2560 และคาดการณ์ครึ่งหลังปี พ.ศ. 2560

ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกปี พ.ศ.2560 และคาดการณ์ครึ่งหลังปี พ.ศ. 2560

ตลาดอสังหาริมทรัพย์สามตลาดหลักอย่าง คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีกในกรุงเทพมหานครในช่วงครึ่งแรกปีพ.ศ.2560 ยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่องแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยอาจจะยังไม่ได้มีการขยายตัวมากกว่าปีที่ผ่านมาเท่าใดนัก โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมที่มีโครงการเปิดขายใหม่ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาและจำนวนโครงการเปิดขายใหม่ก็มากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตลาดอาคารสำนักงานก็ยังคงเห็นความต้องการพื้นที่อาคารสำนักงานที่มาจากบริษัทในประเทศไทยและต่างชาติแบบต่อเนื่อง พื้นที่ค้าปลีกเองก็มีอัตราการเช่าที่ค่อนข้างสูงเรียกได้ว่าเกือบเต็ม 100% ในหลายๆ ศูนย์การค้า นายสัญชัย คูเอกชัย รองกรรมการผู้จัดการ คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนลเทศไทย กล่าวถึงตลาดอาคารสำนักงานยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนแรกของปีพ.ศ.2560 ว่า “ตลาดอาคารสำนักงานมีการขยายตัวต่อเนื่องมาจากปีที่ผ่านมาอัตราการเช่าเฉลี่ยในกรุงเทพมหานครอยู่ที่ประมาณ 92% อาคารสำนักงานใหม่ๆ ที่เพิ่งสร้างเสร็จมีอัตราการเช่าที่ค่อนข้างสูงหรือเกือบเต็ม 100% และยังมีอาคารสำนักงานใหม่ๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอยู่อีกหลายอาคาร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดอาคารสำนักงานเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั้งไทย และต่างชาติมากขึ้น แม้ว่าราคาที่ดินจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกดดันให้ตลาดอาคารสำนักงานมีการขยายตัวในแง่ของอุปทานลดลง แต่ที่ดินเช่าหลายแปลงในพื้นที่เมืองชั้นในกำลังก่อสร้างโครงการมิกซ์-ยูสที่มีอาคารสำนักงานเป็นหนึ่งในรูปแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่โครงการ ค่าเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานก็ปรับขึ้นต่อเนื่องเช่นกันโดยเฉพาะอาคารสำนักงานเกรด A ที่ค่าเช่าสูงกว่า 1,000 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือนไปหลายอาคารแล้วและยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตลาดอาคารสำนักงานจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องในปีนี้และปีต่อๆ ไป ค่าเช่าก็จะปรับเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เช่นกัน” นอกจากนี้ นายสัญชัย ยังได้ให้ความเห็นถึงตลาดพื้นที่ค้าปลีกที่เป็นอีกตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีการขยายตัวต่อเนื่องเช่นกันว่า “ศูนย์การค้าเป็นรูปแบบโครงการที่มีการขยายตัวมากที่สุดในแง่ของพื้นที่โครงการเพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่ ในขณะที่คอมมูนิตี้มอลล์ยังมีการขยายตัวต่อเนื่องแต่ในอัตราที่ลดลงเพราะมีหลายโครงการที่ไม่ได้รับความนิยมแบบช่วงแรกๆ และต้องดิ้นรนหาวิธีในการเอาตัวรอดอยู่ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการโครงการพื้นที่ค้าปลีกรายใหญ่ในประเทศไทยยังคงมีแผนการขยายสาขาหรือเพิ่มจำนวนโครงการรวมไปถึงการปรับปรุงโครงการพื้นที่ค้าปลีกของตัวเองแบบต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ร้านค้าหรือแบรนด์สินค้าต่างชาติจำนวนมากยังคงต้องการเข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทยทั้งในรูปแบบร้านค้านอกโครงการพื้นที่ค้าปลีก และในโครงการพื้นที่ค้าปลีก แม้ว่าตลาดพื้นที่ค้าปลีกในหลายๆ ประเทศจะได้รับผลกระทบจากช้อปปิ้งออนไลน์ แต่ในประเทศไทยยังคงไม่เห็นผลกระทบนั้นแบบชัดเจน อีกทั้งผู้ประกอบการโครงการค้าปลีกต่างๆ ก็มีการพัฒนาระบบช้อปปิ้งออนไลน์มารองรับและได้รับความนิยมจากคนไทยในระดับหนึ่ง เนื่องจากการลงทุนในตลาดพื้นที่ค้าปลีกเป็นการลงทุนระยะยาวทำให้การขยายตัวในเรื่องของอุปทานยังคงมีต่อเนื่องในอนาคต    ในส่วนของอุปสงค์ก็เช่นกันเพราะประเทศไทยเป็นจุดหมายสำคัญที่ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวและทำงาน แบรนด์ต่างชาติต่างๆ จึงยังให้ความสนใจในประเทศไทยอยู่ นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลาดที่ได้รับความสนใจและมีหลายภาคส่วนทั้งรัฐบาลและเอกชนวิตกกังวลมากที่สุดคือ ตลาดคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่มีหลายทำเลออกอาการโอเวอร์ซัพพลาย ซึ่งคอนโดมิเนียมประมาณ 13,600 ยูนิตเปิดขายใหม่ในไตรมาสที่ 2 พ.ศ.2560 มากกว่าไตรมาสที่ 1 ประมาณ 30% และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังปีพ.ศ.2560 ซึ่งทำให้คอนโดมิเนียมที่จะเปิดขายใหม่ในปีนี้มีความเป็นไปได้ที่จะมากกว่า 45,000 ยูนิตซึ่งจะมากกว่าปีที่แล้วประมาณ 15% โดยผู้ประกอบการให้ความสนใจพื้นที่นอกเมืองชั้นในแบบเห็นได้ชัด เพราะมีโครงการเปิดขายใหม่ในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างโดยเฉพาะพื้นที่ตามแนวเส้นทางสายสีเขียวตอนเหนือ และสายสีน้ำเงินค่อนข้างมาก อีกทั้งในพื้นที่ดังกล่าวยังมีโครงการที่ผู้ประกอบการมีแผนจะเปิดขายโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อีกต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ประกอบการต้องการเปิดขายโครงการที่มีราคาไม่สูงเกินไปและมีแนวโน้มที่ราคาขายจะปรับขึ้นต่อเนื่องพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าจึงเป็นทำเลที่พวกเขาสนใจมากกว่าพื้นที่ชั้นในที่ราคาที่ดินสูงมากในปัจจุบัน อัตราการขายในภาพรวมอาจจะไม่สูงมากนัก แต่ผู้ประกอบการบางรายที่สามารถสร้างกระแสและความน่าสนใจให้กับโครงการตนเองได้ก็ได้รับการตอบรับที่ดีและสามารถปิดการขายได้ในบางโครงการ” ตลาดคอนโดมิเนียมต่างจังหวัดโดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวยังคงชะลอตัวต่อเนื่องสวนทางกับตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานครค่อนข้างชัดเจน เพราะว่าโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ก็ลดลงต่อเนื่องในขณะที่อัตราการขายก็ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นมากนักในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าผู้ประกอบการพยายามที่จะกระตุ้นความน่าสนใจแบบต่อเนื่อง โดยเรื่องนี้นายสุรเชษฐ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยายังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมามีโครงการเปิดขายใหม่ลดลงแบบชัดเจน ในขณะที่ความต้องการเองก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเช่นกันและเป็นตลาดที่หลายฝ่ายให้ความสนใจมากที่สุดเพราะมีคอนโดมิเนียมเหลือขายประมาณ 10,000 ยูนิตแม้ว่าจะมีผู้ซื้อชาวจีนมากขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้มากมายนักอีกทั้งก่อนหน้านี้มีโครงการเปิดขายใหม่มากเกินไป พื้นที่ชะอำ หัวหินยังคงเป็นตลาดที่มีการขยายตัวแบบช้าๆ ต่อเนื่องโครงการของผู้ประกอบการที่มีความน่าเชื่อถือยังคงได้รบความสนใจจากผู้ซื้อต่อเนื่อง ตลาดคอนโดมิเนียมในเขาใหญ่อาจจะมีการขยายตัวช้าลงเพราะมีโครงการเปิดขายใหม่มากเกินไปก่อนหน้านี้แต่โครงการที่มีรูปแบบโครงการสอดคล้องกับภูมิประเทศก็ยังได้รับความสนใจอยู่ ผู้ซื้อชาวจีนเข้ามาช่วยกระตุ้นตลาดคอนโดมิเนียมในเชียงใหม่ได้ระดับหนึ่งเพราะมีหลายโครงการที่มีคนจีนเข้ามาซื้อหรือว่ามีความร่วมมือกับบริษัทนายหน้าจากประเทศจีนซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายให้สูงขึ้นทำให้ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในเชียงใหม่ดูดีขึ้น ” “ แม้ในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมาตลาดอสังหาริมทัพย์จะมีการขยายตัวไม่มาก แต่ในภาพรวมแล้วยังไม่ได้ชะงักหรือว่าเกิดปัญหาแบบชัดเจน แม้ในตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานครที่มียูนิตโอเวอร์ซัพพลายในบางทำเลก็ยังคงมีอีกหลายทำเลที่มีโครงการใหม่เปิดขายต่อเนื่องซึ่งเรื่องนี้ผู้ประกอบการต่างพยายามหาช่องว่างและหาโอกาสในการเปิดขายโครงการใหม่ให้ตรงกับความต้องการและกำลังซื้อ แต่ก็มีผู้ประกอบการบางรายเลือกที่จะชะลอการเปิดขายโครงการใหม่ออกไปก่อนเพื่อรอให้กำลังซื้อในภาพรวมดีขึ้น อีกทั้งรอให้งานพระราชพิธีสำคัญในเดือนตุลาคมปีนี้ผ่านไปก่อน ในขณะที่ตลาดอื่นๆ ก็ยังคงขยายตัวต่อเนื่องเพราะเป็นทั้งตลาดอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกเป็นธุรกิจที่เน้นการลงทุนในระยะยาว” นายสุรเชษฐ กล่าวสรุป   
“โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้” บุกตลาดขอนแก่น รับเมกะโปรเจครัฐดันดีมานด์ที่อยู่อาศัยคึกคัก เปิดตัวคอนโดโลว์ไรส์ “โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ-ขอนแก่น” มูลค่า 350 ล้านบาท

“โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้” บุกตลาดขอนแก่น รับเมกะโปรเจครัฐดันดีมานด์ที่อยู่อาศัยคึกคัก เปิดตัวคอนโดโลว์ไรส์ “โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ-ขอนแก่น” มูลค่า 350 ล้านบาท

โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ตามรอยเมกะโปรเจครัฐ รุกขอนแก่น ผุดโครงการ ‘โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ – ขอนแก่น’ คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์  เจาะกลุ่มระดับกลาง-ล่าง มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาท แรงขับเคลื่อนเมกะโปรเจค ส่งผลดีมานด์ที่อยู่อาศัยคึกคัก ดร.ธีระชัย พิพิธศุภผล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างจังหวัดเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น  โดยเฉพาะจังหวัดหัวเมืองใหญ่อย่าง จังหวัดขอนแก่น  ซึ่งมีปัจจัยบวกด้านการลงทุนโครงการเมกะโปรเจคของภาครัฐที่มีแผนการพัฒนาเมือง ทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบกและทางอากาศ ได้แก่ ขอนแก่นซิตี้บัส รถไฟทางคู่ เส้นทางช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น และรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) สายเหนือใต้ สำราญ-ท่าพระ ซึ่งจะเป็นรถไฟฟ้ารางเบาสายแรกของไทยรวมถึงการขยายสนามบินขอนแก่น เพื่อยกระดับเป็นสนามบินนานาชาติ อีกทั้งการพัฒนาระบบการศึกษา และตั้งเป้าให้เป็นเมืองศูนย์กลางของบริการทางการแพทย์และการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นปัจจัยนำไปสู่ความต้องการที่อยู่อาศัยในขอนแก่นเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ จึงได้เปิดโครงการแรกในจังหวัดขอนแก่น ภายใต้ชื่อ “โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ –ขอนแก่น” มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาท พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 223 ยูนิต บนเนื้อที่ 2  ไร่ 23 ตารางวา มีขนาดห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่  23.5 – 34.5 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้น 1.09 ล้านบาท และภายในโครงการประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางแบบครบครันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน อาทิ สระว่ายน้ำ Infinity Edge Pool สุนทรียภาพแบบไร้ขีดจำกัด, ฟิตเนส, Co-working space, ที่จอดรถ อีกทั้งยังร่มรื่นด้วยสวนธรรมชาติทันสมัยสไตล์ญี่ปุ่น Sunken Zen Garden พร้อมอุ่นใจกับระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานทั้งระบบกล้องวงจรปิด, ระบบการ์ดเข้า-ออกโครงการ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง “จากอานิสงส์ของแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของภาครัฐในจังหวัดขอนแก่น ส่งผลให้มีดีมานด์ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ  และด้วยทำเลที่ตั้งโครงการที่เดินทางสะดวกสบาย ใกล้มหาวิทยาลัยขอนแก่น, โรงพยาบาลราชพฤกษ์แห่งใหม่, สนามบินขอนแก่น และศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่น และในอนาคตจะใกล้กับสถานีรถไฟฟ้ารางเบา (ซึ่งคาดว่าเปิดให้บริการปลายปี 62) โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา,บุคลากรด้านการศึกษาในมหาวิทยาลัยขอนแก่น และบุคลากรทางการแพทย์  ซึ่งคาดว่าโครงการน่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งนี้ โครงการจะเริ่มการก่อสร้างในไตรมาสที่ 3 ของปี 2560 และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ประมาณไตรมาส 4 ปี 2561” ดร.ธีระชัย กล่าวปิดท้าย ข้อมูลเกี่ยวกับ โครงการ โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ – ขอนแก่น และข้อมูลโครงการต่างๆ ของ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.oceanproperty.co.th หรือ โทร. 02-038-5555 และสามารถติดตามข่าวสารได้ที่ เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/OceanProperty/ อินสตาแกรม https://www.instagram.com/oceanproperty/ ไลน์ @oceanproperty
เรียลแอสเสท เปิดชมห้องตัวอย่างจริง “เดอะ สเตจ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์  พร้อมอัดโปรโมชั่นฯ ปลุกกำลังซื้อรับจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน – สายสีม่วง ส.ค. นี้

เรียลแอสเสท เปิดชมห้องตัวอย่างจริง “เดอะ สเตจ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์ พร้อมอัดโปรโมชั่นฯ ปลุกกำลังซื้อรับจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน – สายสีม่วง ส.ค. นี้

“เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์” เปิดชมห้องตัวอย่างบนตึกจริง “เดอะ สเตจ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์” ภายใต้แนวคิด “โลกส่วนตัว กับไลฟ์สไตล์ที่ลงตัว” พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษ  Fully Package  ผ่อนเบา...เปลี่ยนเช่าเป็นซื้อ เริ่มต้น 4,000 บาท ต่อเดือน ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.5 ล้านบาท เผยหลังการเปิดจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน – สายสีม่วง ในเดือนสิงหาคมนี้ เชื่อมั่นภาพรวมตลาดคอนโดฯ ในทำเลย่านรถไฟฟ้าสายสีม่วงนี้จะกลับมาคึกคักขึ้น โดยประชาชนจะได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางที่มากขึ้น นายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์ธุรกิจ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันโครงการ “เดอะ สเตจ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์”  มูลค่าโครงการกว่า 2,400 ล้านบาท  พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างบนตึกจริงแล้ว ภายใต้แนวคิด “โลกส่วนตัว กับไลฟ์สไตล์ที่ลงตัว” พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษ  Fully Package  ผ่อนเบา...เปลี่ยนเช่าเป็นซื้อ เริ่มเพียงเดือนละ 4,000 บาท  ในราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท พร้อมเข้าอยู่สิงหาคมนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขาย และรองรับกำลังซื้อที่เชื่อว่าจะกลับมาคึกคักขึ้น หลังการเปิดบริการจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน – สายสีม่วง ในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งเชื่อว่าหลังการเปิดให้บริการจุดเชื่อมต่อดังกล่าวประชาชนจะได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางที่มากขึ้น เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญในการเดินทางโดยเฉพาะช่วง 2-3 สถานีต้นทางจากบางซื่อ ได้แก่ บางซื่อ เตาปูน บางซ่อน กระทรวงสาธารณสุขนั้นจะได้รับอานิสงส์มาก ทำให้ทำเลย่านบางซื่อ – เตาปูน ถือได้ว่าเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ บริเวณในเมืองที่น่าจับตามอง โดยจะกลายเป็นพื้นที่เชื่อมต่อจากบริเวณจตุจักร ใกล้ New CBD แห่งใหม่ (หมอชิต – จตุจักร – รัชโยธิน) และเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญ ทั้งนี้จากการศึกษาข้อมูลวิจัยของเอเจนซี่ ฟอร์ เรียลแอสเสท แอฟแฟร์ พบว่า ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2560 พบว่าปัจจุบันในย่านทำเลบางซื่อ – เตาปูน มีโครงการเปิดขายจำนวน 17 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการแนวสูงทั้งหมด มีจำนวนหน่วยเปิดขายประมาณ 3,797 หน่วย โดยใช้เวลาในการระบายหน่วยเหลือขายประมาณ 28 เดือน หรือประมาณ 2 ปี 4 เดือน ซึ่งในปี 2017 ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนพฤษภาคม พบว่า มีจำนวนเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่เพียง 1 โครงการในบริเวณนี้ โดยระดับช่วงราคาขายที่มีอัตราการขายได้ดี คือ ช่วงระดับราคา 3.001 – 5.000 ล้านบาท มีอัตราการขายได้ต่อเดือนต่อจำนวนหน่วยเปิดขายทุกโครงการรวมกันที่ 27 ยูนิตต่อเดือน   ซึ่งราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตไม่ควรเกิน 3.51 ล้านบาท ราคาคอนโดมิเนียมที่มีการปล่อยขายใหม่ (Re-Sales) พบว่า ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในบริเวณนี้มีราคาอยู่ในช่วง 100,789 บาท ต่อตารางเมตร และมีอัตราผลตอบแทนค่าเช่าประมาณ 4.83% โดยคอนโดมิเนียมที่มีค่า Yield ได้ดีส่วนใหญ่จะมีราคาขายที่น้อยกว่า 100,000 บาทต่อตารางเมตร โดยอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าหรือใกล้แหล่งงาน อาคารสำนักงานเป็นหลัก ซึ่งจากข้อมูลที่ได้มีการอธิบายไว้ในข้างต้น ทำให้สรุปได้ว่าโครงการ “เดอะ สเตจ เตาปูน อินเตอ์เชนจ์” ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในโครงการที่น่าสนใจในการเลือกซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อการลงทุนในระยะยาวได้ สำหรับโครงการเดอะ สเตจ เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ โครงการนี้ตั้งอยู่บนดีย่านเตาปูน ถนนประชาราษฎร์สาย 2 มีมูลค่าโครงการกว่า 2,400 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2.5 ล้านบาท แนวคิดในการออกแบบ คือ การผสมผสานความงดงาม และอ่อนโยนของต้นไม้และสายน้ำมาใช้เพื่อให้เกิดเอกลักษณ์ ดั่งการนั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ โดยโครงการนี้มีพื้นที่โครงการทั้งหมดประมาณ 3-3-84.9 ไร่ ห่างจากรถไฟฟ้าสถานีเตาปูน  เพียง 400 เมตร เป็นอาคารสูง 1 อาคาร จำนวน 36 ชั้น 773 ชั้น และชอปเฮ้าส์จำนวน 4 ยูนิต เริ่มต้นห้องด้วยขนาด 1 ห้องนอนขนาด 26.3 ตร.ม., 33.2 ตร.ม. และแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 56.1 ตร.ม. และ 61.4 ตร.ม. ที่ออกแบบให้คุณได้สัมผัสความสุขกับการพักผ่อน วิวแม่น้ำ พร้อมการจัดวางทุกการใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว ทั้งความเป็นส่วนตัวและฟังก์ชั่นใช้สอยพร้อมเพดานสูงโปร่งถึง 2.6 เมตร เพิ่มความสบายและมุมมองที่กว้างขึ้น ด้วยกระจกทำมุมในห้องนอนใหญ่ กับฟังก์ชั่นภายในห้องชุดที่ออกแบบอย่างลงตัว ภายในโครงการมีลิฟต์โดยสาร 4 ตัว และลิฟต์สำหรับขนส่งอีก 1 ตัว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งห้องฟิตเนส ห้องอ่านหนังสือ สระว่ายน้ำ แบบ Infinity Edge ยาว 25 เมตร ห้องซาวน่า และห้องซักรีดส่วนกลาง   นายณัฏฐพร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ล่าสุดบริษัท ฯ เตรียมจัดงาน  “Real Asset  Mid Year Sale” มอบโปรโมชั่นสุดพิเศษ จัดหนักจัดเต็มทั้ง โครงการบ้านเดี่ยว - คอนโด – ทาวน์โฮม – โฮมออฟฟิศ ที่พร้อมให้ผู้ที่สนใจได้จับจองทำเลสวย ยูนิตดีก่อนใคร ซึ่งงานจะจัดขึ้นในวันที่ 13 – 19 กรกฎาคม 2560 นี้ บริเวณลานโปรโมชั่น ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว  โดย โครงการ เดอะ สเตจ เตาปูน - อินเตอร์เชนจ์ ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ ผ่อนเบา...เปลี่ยนเช่าเป็นซื้อ ผ่อนเริ่มต้น 4,000 บาทต่อเดือน พร้อม Fully Package   สำหรับโครงการบ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศพร้อมอยู่ เปิดให้จองเพียง 999 บาท ไม่พอใจ "การันตีคืนเงิน" พร้อมรับโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษต่างๆมากมายและหากโอนภายใน 31 สิงหาคมนี้ รับเพิ่มทันที!! Samsung Galaxy S8+
‘เอพี ไทยแลนด์’ ย้ำตำแหน่งเจ้าตลาดคอนโดติดแนวรถไฟฟ้า เปิดตัว ‘LIFE ONE WIRELESS’ ไฮเอ็นด์คอนโดมิเนียม มูลค่า 6,400 ล้าน พร้อมเผยแผนเตรียมส่งคอนโดแบรนด์ LIFE บุกตลาดในครึ่งปีหลัง

‘เอพี ไทยแลนด์’ ย้ำตำแหน่งเจ้าตลาดคอนโดติดแนวรถไฟฟ้า เปิดตัว ‘LIFE ONE WIRELESS’ ไฮเอ็นด์คอนโดมิเนียม มูลค่า 6,400 ล้าน พร้อมเผยแผนเตรียมส่งคอนโดแบรนด์ LIFE บุกตลาดในครึ่งปีหลัง

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง เสริมแกร่งความเป็นเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้า เตรียมรุกตลาดคอนโดครึ่งปีหลังผนึกกำลัง “มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป” (MEC) พันธมิตรญี่ปุ่น เปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE 2 ทำเลใหม่ใจกลางเมือง ประเดิมด้วย “LIFE ONE WIRELESS (ไลฟ์ วัน ไวร์เลส)” คอนโดมิเนียมระดับไฮเอ็นด์ ภายใต้คอนเซปต์ “Live a Splendid Life” พบชีวิตสมบูรณ์แบบบนที่สุดของทำเลศูนย์กลางมหานคร ให้ผู้อยู่อาศัยได้เติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตอย่างสมดุล ด้วยวิธีคิดในการจัดวางผังโครงการที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบมุมมองจากภายในออกสู่ภายนอกในทุกมิติ ผ่านการผสานความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ทั้งด้านสถาปัตยกรรม อินทีเรียดีไซน์ และแลนด์สเคปดีไซน์ เพื่อให้ทุกพื้นที่ภายในโครงการ LIFE ONE WIRELESS มอบมุมมองที่สวยที่สุดของกรุงเทพมหานคร พร้อมเอกลักษณ์การตกแต่งในสไตล์ Modern Thai Heritage ที่คงเสน่ห์และความเป็นเอกลักษณ์อันทรงคุณค่าไว้อย่างงดงาม แวดล้อมด้วยความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่และพื้นที่สีเขียวกว่า 1 ไร่ ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางที่รองรับชีวิตดิจิตอลกับนวัตกรรมล้ำสมัยหนึ่งเดียวบนถนนวิทยุ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คนเมืองบนทำเลที่ยากจะได้เป็นเจ้าของ นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยว่า “เอพีเข้าใจในความต้องการของลูกค้าและเทรนด์ที่อยู่อาศัยของคนเมืองเป็นอย่างลึกซึ้ง เราเน้นย้ำให้ทีมงานของเราคิดคำนึงเสมอว่า ‘ทำอย่างไรจึงจะสร้างความแตกต่าง และส่งมอบโครงการคุณภาพที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเอพีได้’ สำหรับคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE ก็เป็นอีกโครงการหนึ่งได้รับการตอบรับที่ดี และถือเป็นความภาคภูมิใจของเอพีเสมอมา ด้วยทำเลที่ตั้งที่โดดเด่นใจกลางเมือง สะดวกในการเดินทาง และมอบความสบายในการอยู่อาศัย ภายใต้แนวคิด ‘Platform for Success’ ที่เรามุ่งมั่นจะให้คอนโดแบรนด์ LIFE เป็นคอนโดมิเนียมแห่งแรกและแห่งเดียวที่มอบความสะดวกสบายในการพักอาศัย และการเชื่อมต่อกับผู้คนได้อย่างไร้ขีดจำกัด ตอบโจทย์ความต้องการของชีวิตยุคดิจิตอลของคนรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างดีที่สุด” โครงการ LIFE ONE WIRELESS ราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท (เฉลี่ย 170,000 บาทต่อตารางเมตร) จะเปิดขายทาง iBooking apthai.com ในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ และเปิดขายอย่างเป็นทางการ ณ สำนักงานขาย LIFE ONE WIRELESS ในวันที่ 29 กรกฎาคม   LIFE ONE WIRELESS ผสานความงดงามของการดีไซน์ เข้ากับความทันสมัยเพื่อชีวิตดิจิตอลไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว ด้วยความโดดเด่น ดังนี้ 1. 24 Hours Connected World ผสานเทคโนโลยีในการดีไซน์พื้นที่ส่วนกลาง เพื่อชีวิต Digital Community อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการติดตั้ง Infrastructure ที่พร้อมรองรับสิ่งอำนวยความสะดวก และสัญญาณ Wi-fi ในพื้นที่ส่วนกลางทุกจุด ทั้งยังจัดสรรพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมรองรับการใช้งานในรูปแบบ Co-working Space ที่จะทำให้การเชื่อมต่อเป็นเรื่องง่าย พร้อมการติดตั้งอุปกรณ์ที่พร้อมรองรับการใช้งานจริง รองรับวิถีชีวิตการทำงานที่ยืดหยุ่นไม่ยึดติดกับกรอบของเวลาหรือสถานที่ สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา   2. AP COMMUNITY APPLICATION ทุกอย่างควบคุมได้เพียงปลายนิ้ว ภายใต้วิสัยทัศน์ AP Digital Community สัมผัสอนาคตแห่งการอยู่อาศัยได้ด้วย AP COMMUNITY APPLICATION อย่างเต็มรูปแบบ ที่จะเข้ามาส่งเสริมให้การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ในโครงการเอพีให้สะดวกสบายและปลอดภัยในรูปแบบใหม่ที่สะดวกกว่าเดิม โดยสามารถสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟนได้อย่างง่ายดาย ให้ควบคุมทุกอย่างได้แบบ real time รองรับการเปิด-ปิดระบบไฟฟ้าในห้องพัก การจองใช้พื้นที่ส่วนกลาง ระบบรักษาความปลอดภัย ทั้งยังสามารถเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ในโครงการได้สะดวกสบายกว่าที่เคย “สำหรับภาพตลาดคอนโดในย่านพื้นที่เชื่อมต่อกันระหว่างวิทยุ-หลังสวน-เพลินจิต-ชิดลม ส่วนใหญ่เกิดจากการพัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด ด้วยข้อจำกัดในการครอบครองและต้นทุนที่ดินที่ดีดตัวสูงขึ้นในทุกๆ ปี ทำให้การพัฒนาโครงการที่พักอาศัยในย่านดังกล่าว โดยเฉพาะทำเลที่มีทางเข้า-ออกติดถนนเส้นหลักเป็นไปได้ยาก จากการสำรวจในย่านพื้นที่เชื่อมต่อดังกล่าว พบซัพพลายคงเหลือเพียง 998 ยูนิต หรือคิดเป็น 30 % ของจำนวนยูนิตที่เปิดตัวทั้งหมด ซึ่งคอนโดในกลุ่มไฮเอ็นด์ระดับราคาต่อตารางเมตรประมาณ 1.5 - 2 แสนบาท คงเหลือเพียงแค่ 330 ยูนิตเท่านั้น ดังนั้นจึงมั่นใจว่า LIFE ONE WIRELESS จะได้รับการตอบรับที่ดีจากดีมานด์ในตลาด ด้วยโลเคชั่นใจกลางเมืองบนทำเลมากมูลค่าและยากที่จะครอบครองอย่างถนนวิทยุ โดยเฉพาะคอนโดในระดับราคาตารางเมตรไม่เกิน 2 แสนบาท ที่เปิดขายอยู่บนถนนวิทยุยังไม่มีคอนโดเปิดใหม่ โดยเอพีจะนำความเชี่ยวชาญและความสำเร็จในการพัฒนาลักชัวรี่คอนโดภายใต้แบรนด์ The Address และ RHYTHM เพื่อรังสรรค์ให้ LIFE ONE WIRELESS เป็น Flagship แรกภายใต้แบรนด์ LIFE ที่รังสรรค์ทุกองค์ประกอบ เพิ่มระดับการอยู่อาศัยที่เน้นความลักชัวรี่ที่ผสานสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย และการออกแบบที่คำนึงถึงทุกมุมมองที่ดีที่สุด เพื่อตอบดีมานด์และเป็นโครงการคอนโดที่ดีที่สุดในถนนวิทยุ” นายวิทการกล่าวเพิ่มเติม ปัจจุบัน (ณ 30 มิถุนายน 2560) เอพีมีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Ongoing Projects) จำนวน 15 โครงการ มูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 12,300 ล้านบาท โดยเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างเอพีและ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MEC) 9 โครงการ มูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 4,090 ล้านบาท ในส่วนของผลการดำเนินงานของเอพีจากกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 8,200 ล้านบาท และมั่นใจว่าจากการเปิดตัว LIFE ONE WIRELESS ไฮเอ็นด์คอนโดมิเนียมบนทำเลที่ดีที่สุดของถนนวิทยุ จำนวน 1,344 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท (ราคาเฉลี่ย 170,000 บาทต่อตารางเมตร) และ LIFE อโศก – พระราม 9 สุดยอดคอนโดมิเนียมที่พร้อมสนับสนุนความสำเร็จให้กับชีวิตคนเมืองยุคดิจิตอล ราคาเริ่มต้น 110,000 บาทต่อตารางเมตร จะช่วยโกยยอดขายคอนโดมิเนียมล็อตใหญ่ และทะลุเป้าหมายยอดขายคอนโดมิเนียมที่ตั้งไว้ที่ 12,400 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน
“พฤกษา” เหนือชั้นด้วยระบบ REM ยกระดับการก่อสร้างสู่นวัตกรรมบ้านแข็งแรง

“พฤกษา” เหนือชั้นด้วยระบบ REM ยกระดับการก่อสร้างสู่นวัตกรรมบ้านแข็งแรง

บ้านที่มั่นคงแข็งแรง นับเป็นปัจจัยลำดับต้นๆ ที่ลูกค้าในยุคปัจจุบันให้ความสำคัญ และปัจจัยดังกล่าวจะยิ่งเพิ่มความสำคัญมากขึ้นในอนาคตเมื่อโลกมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงของภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น พายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ที่เริ่มมีสัญญาณว่าจะเกิดบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น ซึ่งบ้านที่แข็งแรงเท่านั้นที่จะต้านทานและรับมือกับภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ การทุ่มเทพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้างบ้านของ พฤกษา เรียลเอสเตท จึงไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การนำนวัตกรรม พฤกษา พรีคาสท์ มาใช้เท่านั้น แต่ยังต่อยอดไปอีกขั้นด้วยการผสานจุดเด่นของพฤกษา พรีคาสท์ เข้ากับระบบ Real Estate Manufacturing เพื่อช่วยปรับปรุงกระบวนการก่อสร้างให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล เพื่อเพิ่มความมั่นคงแข็งแรงให้กับบ้าน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการนำระบบดังกล่าวมาใช้ในวงการอสังหาริมทรัพย์ Real Estate Manufacturing หรือ REM เป็นระบบที่พฤกษา เรียลเอสเตท คิดค้นและพัฒนาขึ้น โดยนำกระบวนการผลิตแบบอุตสาหกรรมมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการก่อสร้างบ้าน ยกตัวอย่างกระบวนการผลิตรถยนต์ที่แบ่งการทำงานออกเป็นสายการผลิต มีทีมงานประจำแต่ละจุด จากนั้นชิ้นส่วนรถยนต์จะเลื่อนไหลไปตามสายพานจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งจนเสร็จสิ้นกระบวนการผลิตออกมาเป็นรถยนต์ ระบบการทำงานของ REM ก็เช่นเดียวกัน ต่างกันตรงที่บ้านจะอยู่กับที่แต่ทีมงานก่อสร้างจะเป็นฝ่ายเคลื่อนไปตามจุดที่ตั้งบ้าน โดยแบ่งทีมงานออกเป็นหลายทีมตามประเภทงาน อาทิ งานตอกเข็ม งานฐานราก  งานประปาใต้พื้น งานประปารอบบ้าน งานติดตั้งแผ่นพฤกษา พรีคาสท์ งานโครงหลังคา งานประปาภายใน งานวางเหล็ก งานวงกบประตูหน้าต่าง งานเดินท่อร้อยสายไฟฟ้า งานฝ้า งานกันซึม งานฉาบ งานปูกระเบื้อง งานเทปูน งานกระเบื้อง รวมไปถึงงานติดตั้งบันไดสำเร็จรูป งานพื้นลามิเนต งานอุปกรณ์ไฟฟ้า งานสุขภัณฑ์ งานสี และสิ้นสุดที่งานทำความสะอาดบ้านเพื่อรอส่งมอบให้กับลูกค้า จากกระบวนการทำงานภายใต้ระบบ REM ทำให้ทีมงานก่อสร้างของพฤกษา เรียลเอสเตท ได้ทำงานในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบประเภทเดิมๆ จนเกิดการพัฒนาทักษะ มีความชำนาญ ซึ่งแน่นอนว่าบ้านที่ก่อสร้างด้วยช่างฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญย่อมมีคุณภาพและแข็งแรงทนทาน นอกจากนี้ ตลอดการก่อสร้างจะมี Quality Improvement Team คอยเข้าไปควบคุมคุณภาพการก่อสร้างในทุกขั้นตอน ร่วมด้วยทีม Quality Construction Service ที่จะเข้าไปตรวจสอบและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น ระหว่างการก่อสร้างก่อนที่ลูกค้าจะเข้ามาตรวจรับบ้าน ทุกองค์ประกอบดังกล่าวจึงผนึกกำลังร่วมกันเพื่อเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้บ้านของพฤษา เรียลเอสเตท มีคุณภาพและแข็งแรงสูงสุด เป็นบ้านแห่งนวัตกรรมเพื่ออนาคต เพราะเชื่อเสมอว่า “บ้านที่มีคุณค่า” คือที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดของการใช้ชีวิต “พฤกษา” คิดสร้างสรรค์คุณค่าเพื่อลูกค้า รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการคุณภาพจาก พฤกษา เรียลเอสเตท ค้นหาข้อมูลได้ที่ www.pruksa.com หรือ โทร 1739
“ลีอาร์คีเทค”จับมือพันธมิตรชูนวัตกรรมก่อสร้าง หวังลดปัญหาแรงงาน-เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน

“ลีอาร์คีเทค”จับมือพันธมิตรชูนวัตกรรมก่อสร้าง หวังลดปัญหาแรงงาน-เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน

บริษัทรับสร้างบ้าน “ลีอาร์คีเทค” ปรับกลยุทธ์ลดปัญหาแรงงานร่วมมือกับพันธมิตรในการใช้นวัตกรรมก่อสร้าง โครงสร้างเหล็ก “สยามยาโมโตะ” กับระบบผนังมวลเบาเสริมโครงเหล็ก (FULFILwall System) ของ SCG เป็นการพัฒนาระบบก่อสร้างบ้านให้ใช้แรงงานน้อยที่สุด เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันพร้อมเกาะติดพฤติกรรมผู้บริโภคยุค 4.0 รองรับไลฟ์สไตล์ผ่าน “4 TREND”การออกแบบ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างความรวดเร็ว ทั้งในด้านข้อมูลข่าวสาร การสื่อสารที่ไร้พรมแดน โดยเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเสพสื่อหลายช่องทาง การแข่งขันในยุคนี้จึงอยู่ที่ความเร็วและการเลือกใช้เทคโนโลยี หรือนวัตกรรมต่างๆที่เหมาะสม นางศิริพร สิงหรัญ กรรมการผู้จัดการบริษัท ลีอาร์คีเทค จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้านที่มีประสบการณ์มาร่วม22 ปี และเป็นสมาชิกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านเปิดเผยว่า จากปัญหาเรื่องแรงงานเรื้อรังที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนั้นยอมรับว่ามีผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ซึ่งบริษัทฯก็มองเห็นปัญหานี้มาตลอด ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รวมถึงการแข่งขันของธุรกิจ ทำให้บริษัทฯต้องปรับตัวรองรับกับกระแสที่เปลี่ยนแปลง ที่ล่าสุด บริษัทฯได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเครือ SCG ในการใช้นวัตกรรมก่อสร้างเหล็กสยามยาโมโตะ ทั้งยังนำระบบผนังมวลเบาเสริมโครงเหล็ก (FULFILwall Systemมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน และกระแสการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว “ตลอด 22ปีที่ทำธุรกิจเรามองเห็นปัญหามาตลอดและเราก็ปรับตัวมาอย่างต่อเนื่อง และการที่เราร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่จะทำให้เราได้ปรับระดับการบริการก้าวสู่อีกขั้นที่ไม่ได้มุ่งขายแต่สินค้า แต่เรายกระดับไปสู่การเสนอข้อมูลต่าง ๆ ที่ประกอบกับการสร้างบ้านในยุค 4.0 เพื่อรองรับ ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป” ผู้บริหารของลีอาร์คีเทค กล่าว พร้อมกันนี้ นางศิริพร ยังขยายความด้วยว่า การนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการออกแบบบ้านของบริษัทฯจะเป็นตาม “4 TREND” ที่อยู่ในกระแสโลก กระแสสังคม และได้ร่วมกับกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรวัสดุที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการสร้างบ้าน ดังนี้ 1.TREND ผู้สูงอายุ : ลีอาร์คีเทคเราออกแบบตอบสนองตาม พฤติกรรมผู้บริโภคในสังคมไทย ซึ่งส่วนใหญ่ยังนิยมอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวขยาย นั่นคือ บ้าน 3 GEN ที่ตอบโจทย์คน 3 วัย พ่อ-แม่ ลูกและปู่ย่าตายาย ด้วยรูปแบบภายนอกที่ดูเป็นกลุ่มอาคาร ที่ทันสมัยดูอบอุ่นด้วยกลิ่นอายของ แจแปนนิสสไตล์ ประกอบด้วยประโยชน์ใช้สอยที่ครบครันเป็นสัดส่วน มีความเป็นส่วนตัวของผู้อาศัยในแต่ละวัย แต่สามารถเชื่อมโยงการใช้พื้นที่ ต่างๆต่อเนื่องกัน และใช้มุมมองธรรมชาติ สวน สระว่ายน้ำ เฉลียงในร่มทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อให้แต่ละวัยสามารถใช้ชีวิต ประจำวันได้อย่างเป็นอิสระไม่รบกวนกัน เรานำเสนอนวัตกรรมสำหรับผู้สูงอายุ SCG Elder Care Solution ให้กับแบบบ้านทุกหลัง 2.TREND ประหยัดพลังงาน : ยังเป็นโจทย์หลักที่เราได้มุ่งมั่นมาตลอดกว่า 10 ปี นอกจากจะออกแบบบ้านด้วยหลักธรรมชาติและเลือกใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนแล้ว เรานำเสนอการใช้พลังงานสะอาด SOLAR CELL ที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกติดตั้งตามงบประมาณที่กำหนด 3.TREND ยุค DIGITAL : เรานำความทันสมัยของเทคโนโลยีมาเพิ่มความสะดวกสบาย ในการอยู่อาศัย นั่นคือ ระบบไฟอัจฉริยะSwitch Smart Home สำหรับ Automation Light System จาก HomeXpert และ 4. TREND หน่วยงานสะอาด : กระแสรักษ์โลกเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เรามองว่าการก่อสร้างบ้านทำให้เกิดมลภาวะมากมาย ทั้งฝุ่นละออง ขยะ ใช้เวลาหลายเดือน เราจึงใช้ระบบโครงสร้างเหล็กมาทดแทนโครงสร้างคอนกรีต ซึ่งทำให้เป็นหน่วยงานที่สะอาด ลดมลภาวะกับพื้นที่ข้างเคียง ที่สำคัญ การได้รูปแบบบ้านที่ทันสมัย บางเบา มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากโครงสร้างคอนกรีตที่ดูหนาเทอะทะ โดยได้เป็นพันธมิตรร่วมกับเหล็กสยามยามาโตะ ในการก่อสร้างโครงสร้างเหล็ก และใช้นวัตกรรมการก่อสร้างผนังเป็นระบบผนังมวลเบาเสริมโครงเหล็ก FULFIL wall System ของ SCG ลดฝุ่นละอองจากการฉาบปูน เป็นหน่วยงานสะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น
“สยามนุวัตร” ทุ่ม 3,000 ล้าน ชี้ช่องใจกลางเมืองมิดทาวน์สยาม สร้าง “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” คาดกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลัง

“สยามนุวัตร” ทุ่ม 3,000 ล้าน ชี้ช่องใจกลางเมืองมิดทาวน์สยาม สร้าง “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” คาดกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลัง

กรุงเทพฯ: บริษัท สยามนุวัตร จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ เปิดโครงการมูลค่า 3 พันล้าน "WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM" (วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม) ลักชัวรี่คอนโด สำหรับผู้บริหารรุ่นใหม่ กล้าคิดกล้าตัดสินใจ และมีไลฟ์สไตล์ ใช้ชีวิตสุดหรูอยู่ใจกลางเมืองย่านธุรกิจ (Central Business District) ย่านมิดทาวน์ สยาม ภายใต้คอนเซ็ปต์ 'Your Signature' สะท้อน ‘เอกลักษณ์’ ที่แตกต่างในแบบของคุณ นายธารธร อักษรานุวัตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามนุวัตร จำกัด เผยถึงรายละเอียดโครงการ Wish Signature II Midtown Siam ว่า ​“โครงการ Wish Signature II Midtown Siam เป็นโครงการที่ตั้งอยู่ย่านธุรกิจหลัก ที่เน้นการใช้ชีวิตแบบคนรุ่นใหม่ มีสไตล์เป็นตัวเองชัดเจน ต้องการความสะดวกสบาย มีกิจกรรมพิเศษให้ทำมากขึ้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตที่แตกต่างได้อย่างครบถ้วนในสถานที่เดียว และนับเป็นครั้งแรกกับ ”Lifestyle Pods” พื้นที่อำนวยความสะดวก ที่มีให้ถึง 4 ชั้น  สร้างกิจกรรมและไลฟ์สไตล์แบบครบครัน พร้อมกับการเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า สถานีสยาม-สถานีราชเทวี เพียง 400 เมตร และในอนาคตอันใกล้ จะมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม โครงการตลิ่งชัน-มีนบุรี โดยสถานีขึ้นหน้าโครงการ ที่ช่วยให้การเดินทางสะดวก เอื้อประโยชน์ให้คนที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในย่านมิดทาวน์สยาม ใกล้แหล่งช้อปปิ้งใจกลางเมือง อาทิ ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพียง 450 เมตร และสถาบันการศึกษาดังมากมาย อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ซึ่งสามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ความมีระดับในแบบ Your Signature ได้อย่างลงตัว" นายธารธร กล่าวเพิ่มเติมว่า "นอกจากนี้ ย่านมิดทาวน์สยาม เป็นทำเลระดับซูเปอร์พรีเมียม ที่มีพื้นที่เหลืออยู่ไม่มาก ซึ่งนอกจากการอยู่อาศัยแล้ว ยังถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ปัจจุบัน ราคาต่อตร.ม. มากกว่า 200,000 บาท คาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า มูลค่าของคอนโดจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง ทางบริษัทฯ เล็งเห็นว่า แม้ภาพรวมของเศรษฐกิจยังชะลอตัว แต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงเติบโตเพิ่มขึ้น คิดเป็น 8% จากปัจจัย ที่รัฐบาลมีการลงทุนทางด้าน Infrastructure อย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าการซื้อขายในตลาดรวมของอสังหาริมทรัพย์ ยังได้รับการตอบรับจากนักลงทุนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะทำเลในย่านธุรกิจ (CBD) ที่อยู่แนวรถไฟฟ้ายังคงได้รับการตอบรับอย่างดี โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ.2561 และแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ.2563" "WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM" เป็นโครงการใหม่ล่าสุด หลังจากโครงการแรก WISH SIGNATURE MIDTOWN SIAM ประสบความสำเร็จและอยู่ในขั้นตอนก่อสร้าง (คาดแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ปี พ.ศ.2561) โดยโครงการล่าสุดนี้ เพิ่มความพิเศษด้วยคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยแบบ High Rise ความสูง 41 ชั้น พื้นที่โดยรวมโครงการ 2 ไร่ ทั้งหมดมี 333 ยูนิต ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท มีจุดเด่นในเรื่องของพื้นที่ส่วนกลางและ Lifestyle Pods 4 ชั้น เพิ่มกิจกรรมที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น อาทิ Pool Pods สระว่ายน้ำลอยฟ้ารูปตัวยูขนาดใหญ่สามารถมองเห็นทัศนียภาพรอบๆ ได้แบบ 360 องศา Body & Mind Pods พื้นที่ออกกำลังกายตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ กับพื้นที่ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการออกกำลังกายแบบครบวงจร ที่มีทั้ง Fitness, Boxing Stage, Yoga Room หรือ Stream & Sauna อีกด้วย Chill & Work Pods รองรับการใช้ชีวิตที่มี “เอกลักษณ์” ยิ่งกว่า บนพื้นที่แห่งการผ่อนคลายและ การทำงานที่เป็นส่วนตัว แบ่งเป็น Co-working Space, Lounge, Mini Theatre รวมถึง Amphitheater และชั้นบนสุด Sky Pods เปิดประสบการณ์ใหม่กับพื้นที่สำหรับสังสรรค์และทำกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็น Party court, Rooftop Recreation, BBQ Area และ Basketball court กับมุมมอง City View จากตึกสูงใจกลางเมือง สะท้อน ‘เอกลักษณ์’ ของคุณได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเน้นจุดขายด้วยทำเลที่โดดเด่น “มิดทาวน์ สยาม” ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจ (Central Business District) มีทำเลเชื่อมต่อแหล่งบันเทิงระดับประเทศ รวมถึงการคมนาคมที่ทันสมัย และยังมีเรื่องของเทคโนโลยีที่ถูกเพิ่มเข้ามา เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัย ด้วยระบบ Prop Tech (พร็อพ เทค) หรือการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในอสังหาฯ อาทิ ระบบสั่งการในการจองพื้นที่ส่วนกลาง ลานจอดรถ หรือแม้แต่ Facility ต่างๆ ก็สามารถทำได้ ผ่านระบบแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน เพื่อตอบโจทย์ชีวิตของผู้อาศัยยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เน้นการใช้งานที่ง่าย สะดวก และรวดเร็วพร้อมกับการดีไซน์ทั้งส่วนใช้สอยและส่วนกลางแบบ Luxury Modern มีความพริ้วไหวจากเส้นสายที่ดีไซน์ให้มีความโค้งมนสบายตา คงเอกลักษณ์ความหรูหราแบบมีระดับในแบบ Your Signature (ยัวร์ ซิกเนเจอร์) ​            โครงการ “WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” เตรียมเปิดขายโครงการ จัดพรีเซลล์ในวันที่ 18-20 สิงหาคม 2560 กับงาน Pre-Sales คอนโดมิเนียม Wish Signature II Midtown Siam “Your Signature” ณ ลานอีเดน 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยผู้ที่ทำการจองและเซ็นสัญญา จะได้รับโทรศัพท์สมาร์ทโฟน Samsung Galaxy S8 Plus ทันที คลิกดูข้อมูลโครงการเพิ่มเติมได้ที่ www.siamnuwat.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 094-481-0555, 094-403-8555
“บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน-วัชรพล” เฟสใหม่ ฟังก์ชันใหม่ พิเศษ วันเดียวเท่านั้น ลดทันที 100,000 บาท 15 ก.ค.นี้

“บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน-วัชรพล” เฟสใหม่ ฟังก์ชันใหม่ พิเศษ วันเดียวเท่านั้น ลดทันที 100,000 บาท 15 ก.ค.นี้

 “บ้านลุมพินี” ในเครือ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP เตรียมเปิดขาย “บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน-วัชรพล” ทาวน์โฮม 2 ชั้น เฟสใหม่ไฉไลกว่าเดิม เพิ่มเติมฟังก์ชันใหม่ที่ครบครัน รวมอาคารคลับเฮ้าส์ที่มีทั้งฟิตเนสและสระว่ายน้ำ พร้อมด้วยสวนโอเอซิสขนาดใหญ่กว่า 1 ไร่ เพียงจองวันงาน มอบส่วนลดกันเป็นแสน ดีเดย์ 15 ก.ค. นี้ เริ่ม 2.39 ล้าน นายจรัญ เกษร กรรมการผู้จัดการ ในเครือ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP ผู้พัฒนา “บ้านลุมพินี” เปิดเผยว่าในวันเสาร์ที่ 15 ก.ค. นี้ บริษัทเตรียมเปิดขายโครงการ “บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน-วัชรพล” เฟสใหม่ หลังได้รับการตอบรับที่ดีจากการเปิดขายเฟสที่ผ่านมา เนื่องจากทำเลดังกล่าวเป็นทำเลที่มีศักยภาพ มีการคมนาคมที่สะดวกสบาย โดยกายภาพของพื้นที่มีถนนสายหลักล้อมรอบอยู่หลากหลายเส้นทาง ทั้งจากถนนพหลโยธิน  รามอินทรา เพิ่มสิน วัชรพล สายไหม ทางด่วนรามอินทรา และสุขาภิบาล 5 เป็นต้น ด้วยเป็นทำเลที่มีการพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพรวมของทำเลนี้สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะตามแนวถนนหลักอย่างรามอินทรา และพหลโยธิน ที่มีทั้งห้างสรรพสินค้า ตลาดสดขนาดใหญ่  ร้านค้า  ร้านอาหาร โรงพยาบาล เรียงรายคอยอำนวยความสะดวกตลอดแนว “บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน-วัชรพล” เฟสใหม่นี้ นอกเหนือจากทำเลที่โดดเด่น และคุณค่าของการอยู่อาศัยภายใต้แนวคิด “บ้านลุมพินี บ้านน่าอยู่” ในแนวทาง “บ้านดี สิ่งแวดล้อมดี ดูแลดี ผู้คนดี” แล้ว ด้านราคายังคงคุ้มค่าในการจับจองเป็นเจ้าของ โดยเริ่มต้นที่ 2.39 ล้านบาท และเพียงจองวันงาน รับส่วนลดทันที 100,000 บาท พร้อมด้วยฟังก์ชั่นใหม่ของโครงการที่ครบครัน ทั้งในส่วนของบ้านที่มีการขยายพื้นที่จอดรถให้กว้างขวางขึ้น รองรับครอบครัวขยายที่มีการเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตมากขึ้น การเพิ่มส่วนครัวไทย และเพิ่มฟังก์ชันห้องอเนกประสงค์ชั้นล่างที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องนอน ห้องซักรีด ห้องนั่งเล่น หรือห้องทำงานที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว นอกจากนั้น ภายในโครงการเองได้เตรียมคลับเฮ้าส์ที่มีทั้งฟิตเนสและสระว่ายน้ำ พร้อมด้วยสวนโอเอซิสขนาดใหญ่กว่า 1 ไร่ ซึ่งสามารถสัมผัสธรรมชาติกันได้อย่างเต็มที่” ด้วยการออกแบบบ้านสำหรับคนเมืองที่ต้องการความสงบ สวยงาม เรียบง่าย สิ่งแวดล้อมดี “บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน-วัชรพล” คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยสูงสุด สะดวกสบาย ลงตัวครบทุกฟังก์ชันการอยู่อาศัย เดินทางสะดวกบนทำเลศักยภาพ  ใกล้สาธารณูปโภคมากมาย พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยภายในโครงการ รวมทั้งการบริหารจัดการที่ดี ในแนวคิด “บ้านลุมพินี บ้านน่าอยู่” จากทีมบริหารงานมืออาชีพจากบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด  
เผยโฉม ‘VITTORIO’ อัลตร้า-ลักซ์คอนโดฯ ที่สุดแห่งการใช้ชีวิตระดับมาสเตอร์พีซ ใจกลาง The Em District

เผยโฉม ‘VITTORIO’ อัลตร้า-ลักซ์คอนโดฯ ที่สุดแห่งการใช้ชีวิตระดับมาสเตอร์พีซ ใจกลาง The Em District

‘เอพี ไทยแลนด์’ เผยโฉม ‘VITTORIO’ อัลตร้า-ลักซ์คอนโดฯ ที่สุดแห่งการใช้ชีวิตระดับมาสเตอร์พีซ ใจกลาง The Em District บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง พร้อมเผยโฉม ‘VITTORIO’ (วิตโตริโอ) คอนโดมิเนียมระดับอัลตร้า-ลักซ์แห่งใหม่ ภายใต้แนวคิด ‘LIVING IN THE MASTERPIECE’ ที่สุดของที่สุดในทุกมิติ ที่ซึ่งสุนทรียะผสานเข้ากับการใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบมูลค่าโครงการกว่า 3,500 ล้านบาท เอพี (ไทยแลนด์) ชูความเป็นเลิศในเรื่องของทำเล ราคา คุณค่าของงานศิลป์ การออกแบบ และการดูแลรักษาให้คงคุณค่าเสมือนครั้งแรกพบ ทั้งให้ความสำคัญสูงสุดกับความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย โดยมีจำนวนเรสซิเดนซ์ เพียง 88 ยูนิต ภายในอาคารที่พักอาศัยความสูง 28 ชั้น ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยระดับอัลตร้า-ลักซ์ VITTORIO ได้รับการรังสรรค์อย่างประณีตและพิถีพิถัน โดยมีแรงบันดาลใจในการดีไซน์มาจากสถาปัตยกรรมอันเลื่องชื่อแห่งเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ไม่ว่าจะเป็น ‘Uffizi Gallery’ พิพิธภัณฑ์ศิลป์ด้านจิตรกรรมและประติมากรรมชื่อก้องโลก และ ‘Vasari Corridor’ โถงทางเดินระหว่างพระราชวังถึงคฤหาสน์ที่สะท้อนหลักคิดในการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนตัวสูงสุด ทุกพื้นที่ภายใน VITTORIO สง่างามด้วยงานฝีมือที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลก ตั้งแต่การเลือกใช้ ‘Palissandro Bluette’ ซึ่งหายากและมีเพียงแห่งเดียวในโลกเท่านั้น รวมถึงการร่วมมือกับนักสร้างสรรค์งานคราฟต์ระดับโลกอย่างอเล็กซานเดอร์ ลามอนต์ (Alexander Lamont) ในการออกแบบลักชัวรี่เฟอร์นิเจอร์ ดีไซน์พิเศษให้กับ VITTORIO โดยเฉพาะ นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยว่า “เอพี (ไทยแลนด์) คือ ผู้นำด้านที่พักอาศัยติดแนวรถไฟฟ้า เราคำนึงถึงการตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยทุกกลุ่ม เราจึงตั้งใจสร้างสรรค์ VITTORIO ให้เป็นคอนโดมิเนียมระดับ Masterpiece      เพื่อจับตลาดคอนโดอัลตร้า-ลักซ์โดยเฉพาะ เมื่อเอพีได้ที่ดินผืนนี้ซึ่งเป็นที่ดินระดับมาสเตอร์พีซในย่านพร้อมพงษ์ เรามองเห็นดีมานด์ของลูกค้าระดับอัลตร้า-ลักซ์ที่ต้องการใช้ชีวิตในย่านนี้ เราจึงเข้ามาบุกเบิกพัฒนา VITTORIO โดยเราเป็นผู้นำรายแรกที่ชูความลักชัวรี่ระดับ Masterpiece ที่แตกต่างในระดับไฮเอนด์ ที่ให้ความสำคัญในการเลือกสรรทุกองค์ประกอบทั้งงานสถาปัตยกรรมและงานอินทีเรียอย่างละเมียดละไมที่สุด อาทิ การเลือกใช้หินอ่อน Palissandro Bluette ที่หายาก และมีเพียงแห่งเดียวในโลกมาเป็นวัสดุในการตกแต่งโครงการ และเพื่อให้ได้หินอ่อนที่ทรงคุณค่า เราจึงใช้ความพิถีพิถันอย่างมากกับขั้นตอนการเลือกหินอ่อนสกัด ที่จะเลือกใช้เฉพาะส่วนที่งดงามที่สุดเพียง 30% เท่านั้น” “เฟอร์นิเจอร์และผลงานศิลป์ที่ใช้ตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางของ VITTORIO เอพีคำนึงถึงเมื่อลูกค้าได้เป็นเจ้าของ หรือซื้อไว้เพื่อเป็นมรดกให้กับลูกหลานแล้วต้องมีมูลค่าเพิ่มขึ้น เราจึงเลือกนำชิ้นงานศิลปะหายากที่มีมูลค่าสูงของศิลปินชาวไทยที่โด่งดังในต่างประเทศ อาทิ อ.เขียน ยิ้มศิริ อ.นุกูล ปัญญาดี เป็นต้น (เฉพาะมูลค่างานศิลป์มากกว่า 20 ล้านบาท) มาตกแต่งภายในโครงการ จะเห็นว่าเมื่อเดินเข้ามาในโครงการนอกจากจะเตะตาด้วยหินอ่อนทอประกายระยิบระยับที่สร้างความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวแล้ว ยังเสมือนได้ชื่นชมงานศิลปะทุกครั้งที่ได้ก้าวเข้ามา โดยผลงานของศิลปินชาวไทยนั้นได้วางเคียงคู่กับเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบเป็นพิเศษโดย อเล็กซานเดอร์ ลามอนต์ (Alexander Lamont) พร้อมนำผลงานสร้างชื่อของเขาอย่างหนังกระเบนมาใช้ตกแต่งในโถงไพรเวทลิฟต์ทุกตัวเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ตัวโครงการอีกด้วย” นายวิทการกล่าวเสริม ทุกๆ เรสซิเดนซ์ใน VITTORIO มีความสวยงามตระการตาและกลมกลืนต่อเนื่องจากพื้นจรดเพดาน จากห้องรับแขกจนถึงระเบียงที่กว้างขวางโอ่โถง ไปจนถึงห้องนอนใหญ่ ที่ผู้พักอาศัยทุกเรสซิเดนซ์จะสามารถผ่อนคลายด้วยทัศนียภาพที่งดงามกว้างไกลสุดสายตาแบบพาโนรามาได้ นอกจากนั้นแล้วเรายังคำนึงถึงการบริหารจัดการโครงการเพื่อรักษา ดูแลไม่ให้มูลค่าของทรัพย์สินส่วนกลางภายในโครงการเสื่อมลง โดยเฉพาะชิ้นงานศิลปะระดับ Masterpiece ต่างๆ ภายในโครงการ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ เอพี (ไทยแลนด์) ให้ความสำคัญมากอย่างยิ่ง ซึ่งสำหรับโครงการ VITTORIO แห่งนี้เราจะมีเจ้าหน้าที่บริหารอาคารที่มีประสบการณ์และความชำนาญการเฉพาะด้าน ในเรื่องของการบริหารจัดการโครงการระดับอัลตร้า-ลักซ์มาดูแลความงดงามเรียบร้อยของ VITTORIO โดยเฉพาะ ตลอดจนมีการจัดทำคู่มือนำเสนอขั้นตอน และวิธีในการดูแลรักษางานคราฟท์แต่ละชิ้นอย่างละเอียด นอกจากนี้ VITTORIO ยังมีสิ่งอำนวย-ความสะดวกระดับ Masterpiece ที่ครบครันเทียบเท่าโรงแรมระดับห้าดาว ณ ชั้น 27 และ 28 ไม่ว่าจะเป็น ‘Arno Vitality Pool’ สระว่ายน้ำที่มาพร้อมกับระบบ Hydrotherapy ที่มีถึง 7 สเตชั่น ออกแบบภายใต้แนวคิดวารีบำบัดเพื่อบรรเทาอาการเมื่อยล้า หรือความเครียดจากการทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมถึง ‘Club Kinetic’ พื้นที่ออกกำลังกายที่มาพร้อมกับวิวพาโนรามา อีกทั้งยังมีพื้นที่อันเป็นส่วนตัวด้วยการออกแบบสเปซสำหรับเครื่องวิ่งที่แยกเฉพาะบุคคล และนวัตกรรมเครื่องออกกำลังกายแนวใหม่ ‘Kinesis’ จาก Technogym ผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาชื่อดังของอิตาลี “สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมระดับอัลตร้า-ลักซ์ในเมือง (ระดับราคา 3 แสนบาทต่อตารางเมตรเป็นต้นไป) ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาถือว่าได้รับความสนใจอย่างมาก และยังมีแนวโน้มการเติบโตไปได้อีก เพราะถ้าดูยอดขายที่เกิดขึ้น ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2560 สินค้ากลุ่มอัลตร้า-ลักซ์ที่เปิดตัวในเมืองที่มีสัดส่วนยอดขายรวมประมาณ 70-80% จากสินค้ากลุ่มอัลตร้า-ลักซ์ทั้งหมด และถ้าดูในภาพรวมสินค้ากลุ่มนี้ที่เปิดตัวแล้วสร้างเสร็จยังมีอยู่ไม่มาก ถือว่าจริงๆ แล้วสินค้ากลุ่มอัลตร้า-ลักซ์ในบ้านเรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น หัวใจสำคัญของการพัฒนาคอนโด เพื่อเจาะกลุ่มตลาดระดับอัลตร้า-ลักซ์จึงไม่ใช่แค่ทำเลต้องดี แต่ทุกๆ รายละเอียดของโครงการต้องสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้ด้วย ตั้งแต่การออกแบบภายนอก ภายใน การบริหารพื้นที่รวมถึงการดูแลโครงการหลังการขาย เอพีมองว่าถ้าจะนิยามตัวเองว่าเป็นอัลตร้า-ลักซ์ ต้องมี 2 คุณสมบัตินี้มาคู่กัน หนึ่งในนั้น คือ VITTORIO ที่ใส่ใจทุกรายละเอียด เพื่อจะเป็นมาสเตอร์พีซอย่างแท้จริง” นายวิทการกล่าวสรุป
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ขยายตลาดเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “เมทริส” พร้อมกัน 3 โครงการเจาะย่านธุรกิจแห่งอนาคต ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง มูลค่ารวมของโครงการกว่า 4,500 ล้านบาท

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ขยายตลาดเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “เมทริส” พร้อมกัน 3 โครงการเจาะย่านธุรกิจแห่งอนาคต ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง มูลค่ารวมของโครงการกว่า 4,500 ล้านบาท

กรุงเทพฯ 5 กรกฎาคม 2560 – บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับบนของเมืองไทย เปิดตัวแบรนด์ใหม่ เมทริส (METRIS) คอนโดมีเนียมแบบไฮไรส์ (High Rise) บนสามทำเลใจกลางเมืองและย่านธุรกิจใหม่ ลาดพร้าว, พัฒนาการ, และพระราม 9 -รามคำแหง มูลค่ารวมของโครงการกว่า 4,500 ล้านบาท พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองในปัจจุบันด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์แบบ ‘มิด-เซ็นจูรี่ โมเดิร์น’ (Mid-Century Modern) ที่ผสานความคลาสสิคและความทันสมัยเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ภายใต้คอนเซ็ปท์ Remaster The Modern DNA เพื่อคนรุ่นใหม่ที่รักอิสระ ชื่นชอบความเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความสง่างามเหนือกาลเวลา นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ของเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ในการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ เราไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาโปรเจคต่างๆให้ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์และเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไป  โครงการเมทริสจะเป็นทางเลือกใหม่สำหรับกลุ่มคนที่มีวิถีชีวิตในย่านใกล้ใจกลางเมืองแต่ยังต้องการความสงบส่วนตัวในการอยู่อาศัย  แวดล้อมด้วยร้านกาแฟเก๋ๆ  ห้างสรรพสินค้า และศูนย์รวมความบันเทิงที่ครบครัน  พร้อมกับความสะดวกสบายในแง่ของการเดินทาง และการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่ไม่ต่างจากในเมือง อาทิ การเดินทางไปยังรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) แอร์พอร์ต เรล ลิงค์ (Airport Rail Link) และ ทางด่วน หรือเส้นทางโทลล์เวย์ที่สามารถเดินทางเข้าในเมืองหรือออกนอกเมืองไปยังต่างจังหวัดได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ สามโลเคชั่นที่เราเลือกยังเป็นย่านธุรกิจที่จะขยายตัวในอนาคต ซึ่งจะสอดรับกับความต้องการของนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการลงทุนในทำเลทองที่มีแนวโน้มในการเพิ่มมูลค่าขึ้นทุกปีเช่นกัน” โครงการเมทริส ลาดพร้าว  โครงการเมทริส พัฒนาการ และ โครงการเมทริส พระราม 9 -รามคำแหง จะสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2563 เป็นคอนโดมีเนียมไฮไรส์ กับ การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งนอกจากจุดเด่นในด้านโลเคชั่นที่สะดวกสบายต่อการเดินทางสู่ใจกลางเมืองและนอกเมือง รวมถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบที่จะเติมเต็มความต้องการของผู้อาศัยได้เป็นอย่างดีแล้ว การออกแบบยังให้กลิ่นอายของความคลาสสิกที่ ได้รับแรงบันดาลใจจากยุค Mid-Century Modern ผสานเข้ากับความใหม่ล้ำสมัยอย่างลงตัว ด้วยคอนเซ็ปท์ Remaster The Modern DNA ทำให้เน้นการออกแบบเรียบง่าย และฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน ห้องชุดในโครงการจะประกอบไปด้วยห้อง 3 ประเภท ได้แก่ 1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน และแบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ในราคาต่อตารางเมตรที่ 90,000-120,000 บาท แต่ละโครงการพรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะทำให้ผู้เข้าพักอาศัยได้รับความสะดวกสบายเหนือระดับ  อาทิ พื้นที่สร้างสรรค์งาน (Co-Working Space), ห้องประชุมส่วนตัว (Private Meeting Room), ห้องซาวน่า, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, พื้นที่นั่งเล่นในสวน, ทางวิ่งออกกำลัง และบริเวณสำหรับสัตว์เลี้ยง พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ยิ่งขึ้นด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่แตกต่างกันในแต่ละโลเคชั่น อาทิ อุปกรณ์ฟิตเนสสุดล้ำ และนวัตกรรมซาวด์โดม (Sound Dome) เพื่อให้การใช้พื้นที่ส่วนกลางของคุณมีความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น   “นอกจากโครงการนี้จะถูกออกแบบมาโดยเน้นด้านคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยเป็นหลักแล้ว ทั้งหมดนี้ยังสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียล ที่นิยมการใช้ชีวิตแบบไร้ขีดจำกัด ต้องการแสวงหาตัวตน พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ไม่ได้ต้องการเป็นเพียงแค่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่เราต้องการสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนผ่านที่พักอาศัยที่ตอบโจทย์ทุกมิติของการใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย” นางสาวเพชรลดากล่าวปิดท้าย โครงการเมทริสเป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ แบรนด์ใหม่ล่าสุดภายใต้เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-friendly) โดยจะเปิดตัวทั้งสามทำเลพร้อมกัน ได้แก่ โครงการเมทริส ลาดพร้าว, โครงการเมทริส พัฒนาการ และโครงการเมทริส พระราม9- รามคำแหง ผู้ที่สนใจโครงการสามารถติดต่อได้ที่ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โทร 02-116-1111 หรือ เว็บไซต์ http://www.mde.co.th
“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” รุกตลาดลักชัวรี เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “ MARU (มารุ) ” รุกตลาดลาดพร้าว-เอกมัย”

“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” รุกตลาดลักชัวรี เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “ MARU (มารุ) ” รุกตลาดลาดพร้าว-เอกมัย”

บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเกมรุกคอนโดซูเปอร์ลักชัวรี พร้อมเตรียมลงทุน 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่าหมื่นล้านบาท หลัง MARQUE Sukhumvit (มาร์ค สุขุมวิท) – MUNIQ Sukhumvit 23 (มิวนีค สุขุมวิท 23) ยอดจองทะลุ 70% ลุยแตกแบรนด์ใหม่ “ MARU (มารุ) ” ผุด 2 โครงการย่านลาดพร้าว–เอกมัย มูลค่าโครงการรวมกว่า 4,100 ล้านบาท ชูจุดขาย Pet Friendly & Wellness Living ตอบสนองไลฟ์สไสต์คนเมือง ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งเน้นในการพัฒนาโครงการระดับ Upper Middle ถึงระดับซูเปอร์ลักชัวรี โดยโลเคชั่นที่เหมาะสำหรับการลงทุน ได้แก่ โซนราชดำริ อโศก พร้อมพงษ์ ทองหล่อ เอกมัย เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง สถานการณ์โดยรวมอาจจะมีคู่แข่งในการสร้างคอนโดเกิดขึ้นจำนวนมาก ขณะที่ตลาดระดับกลางถึงระดับล่างยังมีปัญหาเรื่องความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยปีนี้คาดว่าจะเปิดทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมกว่าหมื่นล้านบาท โดยล่าสุดบริษัทฯ มีแผนเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “ MARU (มารุ) ” จำนวน 2 โครงการ ได้แก่  MARU ลาดพร้าว 15 มูลค่าโครงการกว่า 1,800 ล้านบาท และ MARU เอกมัย ซอย 2 มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท รูปแบบจะเป็นคอนโด High Rise ราคาเริ่มต้นที่ 1.5 แสนบาท/ตรม. จำนวน 200 – 300 ยูนิต/โครงการ ชูจุดเด่นเรื่อง Pet Friendly & Wellness Living ซึ่งจะมีบริการสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสัตว์เลี้ยง และพื้นที่ที่ใส่ใจในรายละเอียดสำหรับคนรักสุขภาพ คนเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมือง สำหรับ โครงการ MARQUE Sukhumvit (มาร์ค สุขุมวิท) ถือเป็นคอนโดระดับซูเปอร์ลักชัวรี จำนวนเพียง 148 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 42 ล้านบาท ถึง 350 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 3.4 แสนบาท/ตรม.สูงขึ้นจากเดิม 2.3 แสนบาท/ตรม. ชูแนวคิด “Heritage Living” เนื่องจากทำเลที่ตั้งบนถนนสุขุมวิทเส้นหลัก ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีพร้อมพงษ์ ใกล้ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรี่ยมและเอ็มควาเทียร์  ซึ่งถือเป็นที่ดินผืนสุดท้ายที่หาไม่ได้อีกแล้วในย่านนี้ ขณะนี้ก่อสร้างเสร็จแล้วกว่า 95% และคาดว่าจะเริ่มโอนได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ส่งผลให้มูลค่าโครงการเพิ่มสูงถึงกว่า 7,500 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายสูงถึง 70% ตั้งเป้าหมายจะโอนได้ภายในปีนี้กว่า 5,000 ล้านบาท “ลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และซื้อด้วยเงินสด เนื่องจากเป็นทำเลผืนสุดท้ายบนถนนสุขุมวิทเส้นหลัก ซึ่งโครงการเกิดขึ้นใหม่โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบสุขุมวิทที่ไม่ใช่ถนนเส้นหลัก โดยเฉพาะย่านทองหล่อ โดยราคาเริ่มต้นที่ 3.2 – 3.3 แสนบาท/ตรม.แล้ว” ขณะที่โครงการ MUNIQ Sukhumvit 23 (มิวนีค สุขุมวิท 23) เป็นโครงการระดับลักชัวรี ภายใต้แนวคิด “Sensible Luxury” จำนวน 201 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 2 แสนบาท/ตรม. มูลค่าโครงการกว่า 2,600 ล้านบาท เปิดตัวเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา คาดว่าจะพร้อมโอนภายใน 3 ปีข้างหน้า ขณะนี้มียอดจองแล้วกว่า 70% โดยเฉพาะห้องขนาด 1 ห้องนอนจองหมดแล้วเหลือเพียง 2 ห้องนอนขึ้นไป สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังแนวโน้มความต้องการซื้อ (Demand) จะปรับตัวน้อยลง สวนทางกับปริมาณคอนโดในตลาด (Supply) ยังคงมีสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโลเคชั่นหลักอย่างสุขุมวิท แม้จะมีคอนโดเกิดใหม่ขึ้นจำนวนมาก แต่ก็เชื่อว่ายังคงมีความต้องการซื้อเช่นกัน ขณะที่ปัญหาฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชื่อว่าจะไม่เกิดอย่างแน่นอน เพราะธนาคารค่อนข้างมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ อย่างไรก็ดี ขณะนี้บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) กว่า 10,000 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2560 และปี 2561 ส่วนปลายปีนี้จะเริ่มทยอยโอนจากโครงการ MARQUE Sukhumvit (มาร์ค สุขุมวิท) และโครงการ M จตุจักร เป็นต้น
แสนสิริ ปูพรมกลยุทธ์สร้างแบรนด์ปี 2017 ชูประสบการณ์ ‘เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน ‘Complete Your Living Experience’ เปิดตัว 6 ฟังก์ชั่นมัดใจทุกกลุ่มไลฟ์สไตล์ในที่อยู่อาศัย

แสนสิริ ปูพรมกลยุทธ์สร้างแบรนด์ปี 2017 ชูประสบการณ์ ‘เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน ‘Complete Your Living Experience’ เปิดตัว 6 ฟังก์ชั่นมัดใจทุกกลุ่มไลฟ์สไตล์ในที่อยู่อาศัย

แสนสิริ ปูพรมกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ปี 2017 นำเสนอประสบการณ์อยู่อาศัยสมบูรณ์ผ่านกลยุทธ์ เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน (Complete Your Living Experience) ต่อยอดปรัชญาการดำเนินธุรกิจของบริษัทตลอดกว่า 33 ปี เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม รวมถึงการเจาะกลุ่มผู้บริโภคใหม่  ประเดิมด้วยการปรับทิศทางของแบรนด์องค์กร ด้วยการทุ่มงบ50 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญ “Fill Your Life with Good” ชู 6 ฟังก์ชั่นในที่อยู่อาศัยตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในแต่ละโครงการ ไฮไลต์เปิดตัวด้วย Educational Playground มากกว่าสนามเด็กเล่น ในโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย และวงการแพทย์ ที่มีการผนึกกำลังเพื่อเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการสร้างความแปลกใหม่ที่ยกระดับมาตรฐานตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง (Market Shaper) เพื่อมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดให้แก่ผู้อยู่อาศัยของแสนสิริ สมกับวิสัยทัศน์การก้าวสู่การเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าในปี 2560 นี้ บริษัทฯ มีแผนการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ ผ่านการสื่อสารทางการตลาดภายใต้กลยุทธ์ ‘เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน Complete Your Living Experience’  ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เกิดจากการที่แสนสิริไม่ได้มุ่งพัฒนาแค่ที่อยู่อาศัย แต่ต้องการสร้างชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าควบคู่กันไป  ภายใต้ความต้องการของลูกค้าที่ปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว บริษัทจึงต้องมีการปรับกลยุทธ์การสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แบรนด์ของแสนสิริมีความชัดเจนในใจผู้บริโภคว่าทุกอย่างที่เราสร้างสรรค์นั้น ผ่านการคิดและกลั่นกรองมาอย่างละเอียดในทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่การคิดผ่านมุมมองของลูกค้า ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคที่หลากหลายและรวบรวมข้อมูล ว่าลูกค้าแต่ละกลุ่มมีความต้องการในการอยู่อาศัยอย่างไร จึงช่วยให้เราสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยบนมาตรฐานที่เหนือระดับ ในการตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกกลุ่มได้อย่างครอบคลุมเสมอมา “ในวันนี้ แสนสิริพร้อมแล้วที่จะก้าวไปอีกขั้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในทุกกลุ่มอายุผู้มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายและและแตกต่างกันได้ดียิ่งขึ้น เราจึงทุ่มงบประมาณจำนวน 50 ล้านบาทเพื่อเปิดตัวแคมเปญ “Fill Your Life with Good” ต่อยอดกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่เน้นเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ เริ่มจากการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของแนวคิดที่ว่าดีไซน์สวยงามต้องมาพร้อมกับประโยชน์การใช้งานได้จริง (Aesthetic Functionality) พร้อมทั้งตอกย้ำว่า แสนสิริเป็นผู้บุกเบิกในตลาดอสังหาริมทรัพย์และเป็นผู้นำในด้านการส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดให้แก่ลูกบ้านแสนสิริทุกกลุ่ม ผ่านการศึกษาและวิจัยความต้องการของลูกบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยทีมแสนสิริ ดีไซน์ โซลูชั่น ดีพาร์ทเม้นต์ (DSD) และทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) เพื่อนำมาพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าในแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุด โดยในปีนี้จะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการ ผ่าน 6 ฟังก์ชั่นที่อยู่อาศัย ที่จะตอบทุกโจทย์ของไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว” นายอุทัย กล่าวเพิ่มเติม   สำหรับ 6 ฟังก์ชั่นที่เป็นตัวอย่างของการที่แสนสิริออกแบบและจัดสรรให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้อยู่อาศัยในแต่ละโครงการนั้นได้แก่ Underwater Music เป็นทั้งสระน้ำ เป็นทั้งเวที สระว่ายน้ำพร้อมระบบเสียงเพลงใต้น้ำให้ผู้อยู่อาศัยได้เพลิดเพลินกับเสียงเพลงได้อย่างต่อเนื่องแม้ในระหว่างที่คุณว่ายน้ำ Co-Kitchen Space ครัวส่วนกลาง ที่ทำได้มากกว่าอาหาร เพราะสามารถเป็นพื้นที่สำหรับจัดปาร์ตี้ได้ หรือหากอยากจัดปาร์ตี้ขนาดใหญ่ก็สามารถใช้พื้นที่ส่วนกลางสำหรับปาร์ตี้ปิ้งย่าง บาร์บิคิว หรือใช้เป็นสถานที่สังสรรค์กับเพื่อน ฯลฯ Private Parking Space เป็นบ้านของสิ่งที่ผมรัก ที่จอดรถที่ออกแบบเป็นพิเศษ ทำให้สามารถมั่นใจได้ในทุกองศาการเลี้ยวไม่ว่าจะเป็นรถสูง ต่ำ กว้าง หรือแม้แต่ซุปเปอร์คาร์ก็สามารถจอดได้ พร้อมช่องจอดรถที่ออกแบบให้พื้นที่กว้างเป็นพิเศษพร้อมการจัดไฟให้เปรียบเหมือนโชว์รูมส่วนตัว Cooliving Designed Home เย็นสบายไม่ต้องเปิดแอร์ นวัตกรรมที่แสนสิริคิดขึ้น ประกอบด้วย “Solar Attic” ระบบพัดลมและช่องระบายอากาศใต้หลังคาโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยลดความร้อนใต้หลังคา ทำให้ภายในตัวบ้านเย็นลง และลดการสะสมของเชื้อโรค “Breeze Panel” ช่องระบายลมช่วยถ่ายเทและระบายอากาศภายในตัวบ้าน “Shading screen” ระแนงกันแดดที่ออกแบบโดยดูจากทิศทางของบ้านและออกแบบให้เหมาะกับแต่ละทิศ “Texture Wall” ผนังบ้านที่มี Texture ช่วยลดความร้อนจากแสงแดดที่ตกกระทบพื้นผิว “Roof shade” ฝ้าชายคาหรือหลังคาที่ยื่นยาวเป็นพิเศษ ช่วยป้องกันแสงแดด รวมถึง “UV Shield Color” สีกันความร้อนและกระจกเขียวตัดแสง ซึ่งช่วยถ่ายเทอากาศภายในตัวบ้านและลดอุณหภูมิภายในบ้าน ทำให้ทุกมุมของบ้านอยู่สบาย Panoramic View Fitness เป็นฟิตเนสเพื่อเพิ่มความสดชื่น ด้วยวิว 180 วงศาโดยการดีไซน์กระจกกว้างสามารถสัมผัสวิวธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ และฟังก์ชั่นสุดท้ายที่เปิดตัวในวันนี้คือ Educational Playground มากกว่าสนามเด็กเล่น ออกแบบเพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านร่างกายโดยพัฒนากล้ามเนื้อสำคัญของขา ส่วนบน ส่วนล่าง เพิ่มความสามารถในการจับการใช้กำลังแขน ผ่านการปีนป่าย การเขย่ง การปีนป่าย การกระโดด และช่วยเพิ่มพูนพัฒนาการของสมอง ในด้านทักษาะการตัดสินใจ รวมถึงการแก้ปัญหาผ่านการเล่นเกมส์ ซึ่งทางแสนสิริได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช ในด้านของการเป็นที่ปรึกษาในการออกแบบและแนะนำเรื่องการใช้วัสดุให้ปลอดภัยในสนามเด็กเล่น นายชัยจักร วทัญญู ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ หนึ่งในทีมงานฝ่ายแสนสิริ ดีไซน์ โซลูชั่น ดีพาร์ทเมนท์  บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับ “Educational Playground มากกว่าสนามเด็กเล่น” ซึ่งเป็นหนึ่งใน 6 ฟังก์ชันที่เราเปิดตัวในวันนี้ นับเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทยในการฉีกแนวคิดเดิมของสนามเด็กเล่นภายในโครงการที่อยู่อาศัย ให้เป็น “มากกว่าสนามเด็กเล่น” โดย Educational Playground เกิดจากการที่แสนสิริศึกษามาแล้วว่าเป็นฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัวรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าที่แสนสิริให้ความสำคัญ โดยลูกค้ากลุ่มนี้กำลังต้องการโครงการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเด็กๆ  ประกอบกับแรงบันดาลใจจากสนามเด็กเล่นในโครงที่อยู่อาศัยในต่างประเทศที่มีการผนวกเอากิจกรรมลงไปไม่ได้มีเฉพาะแต่เครื่องเล่นเท่านั้น  รวมทั้งโครงการที่มีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเด็กอย่างจริงจังนั้น อาจยังมีไม่มากในประเทศไทย จึงนับว่าเป็นครั้งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยที่มีสนามเด็กเล่นลักษณะนี้เกิดขึ้นในโครงการที่อยู่อาศัย โดยทีมแสนสิริ ดีไซน์ โซลูชั่น ดีพาร์ทเม้นต์ (DSD) และทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) ได้ร่วมกันพัฒนา โดยได้รับคำปรึกษาจากโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านเด็กอย่างโรงพยาบาลสมิติเวช โดยเราศึกษาพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัยตั้งแต่วัย 2 ขวบจนถึงวัยประถม ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทยที่มีสนามเด็กเล่นลักษณะนี้ตั้งอยู่ในโครงการที่พักอาศัยที่ตอบโจทย์ครอบครัวรุ่นใหม่ได้อย่างแท้จริง โดยปัจจุบันได้มีโครงการนำร่องอยู่ที่ โครงการคณาสิริ รังสิต คลองสอง, โครงการ เศรษฐสิริ ปิ่นเกล้า กาญจนา และโครงการ เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่จะตามมาอีกในอนาคต เช่น โครงการบุราสิริ วัชรพล และ โครงการบุราสิริ ราชพฤกษ์ 345 เป็นต้น โดยแสนสิริได้เตรียมงบประมาณ ไว้ถึง 20 ล้านบาทในการพัฒนา Educational Playground ในโครงการต่าง ๆ ของปีนี้ ซึ่งเชื่อมั่นว่า จะสามารถตอบโจทย์ทั้งในด้านการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัยในด้านร่างกายและช่วยเพิ่มพูนทักษะในการตัดสินใจให้เด็กๆ เติบโตแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจอย่างเต็มที่” นพ.วสุ  กำชัยเสถียร  ผู้ช่วยผู้อำนวยการ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช กล่าวว่า “โรงพยาบาลสมิติเวชและแสนสิริต่างให้ความสำคัญต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี  และในปัจจุบันเป็นยุคของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับพัฒนาการของลูก   การร่วมมือในครั้งนี้ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่าง “แสนสิริ” เล็งเห็นความสำคัญของการสร้างสนามเด็กเล่นที่มีมาตรฐานและใส่ใจในทุกรายละเอียดตามพัฒนาเด็กอย่างEdutainment Playground ภายในโครงการนำร่องของแสนสิริ โดยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางพัฒนาการเด็กของ “สมิติเวช”  สำหรับแนวคิดการออกแบบเครื่องเล่นที่สมิติเวชได้สร้างสรรค์ร่วมกับแสนสิรินั้น  เราต้องการส่งเสริมพัฒนาการเด็กผ่านการเล่น และสามารถเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัวไปในตัว ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการกระตุ้นพัฒนาการตามวัยที่เหมาะสมผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสนามเด็กเล่น ตลอดจนสามารถดูแลลูกด้านความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด และเน้นให้เด็ก ๆ ได้ออกกำลังทางความคิดพร้อมเพิ่มพูนทักษะและไหวพริบในการตัดสินใจผ่านการฝึกก้าว ปีนป่าย การเขย่ง การกระโดด ตามความเหมาะสมของเด็กแต่ละช่วงวัย เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีสมวัย”   นายอุทัย กล่าวปิดท้ายว่า “แสนสิริตั้งงบประมาณสำหรับแคมเปญนี้ไว้กว่า 50 ล้านบาท โดยในปีนี้จะเน้นการสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับลูกค้าผ่านสื่อดิจิทัล เพื่อให้เจาะกลุ่มผู้บริโภคได้โดยตรง เพราะในปัจจุบัน ผู้บริโภคเปิดรับสารผ่านสื่อดิจิทัลกันมากขึ้น และยังสอดรับกับนโยบายของบริษัทในการเป็น Digital Transformation เพื่อตอกย้ำศักยภาพความเป็นผู้นำในการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบในไทย และก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าแคมเปญนี้จะช่วยเพิ่มยอดขายและเพิ่มความเชื่อมั่นในแบรนด์แสนสิริที่มีในกลุ่มลูกค้าได้อย่างแน่นอน”
อนันดาฯ ปลื้ม กวาดยอดขายการจัดงาน “Ananda Urban Pulse” ทะลุเป้า เปิด 5 โครงการ โกยกว่า 9,000 ล้านบาท ประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมาย

อนันดาฯ ปลื้ม กวาดยอดขายการจัดงาน “Ananda Urban Pulse” ทะลุเป้า เปิด 5 โครงการ โกยกว่า 9,000 ล้านบาท ประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมาย

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โชว์ศักยภาพความเป็นผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ประกาศความสำเร็จจากการจัดงาน “ANANDA URBAN PULSE” ด้วยการเปิดตัว 5 โครงการใหม่ ที่สามารถสร้างยอดขายได้กว่า 9,000 ลบ. โดยได้รับการตอบรับที่ดีมาก และสามารถปิดการขาย (Sold Out) โครงการ ไอดีโอ คิว วิคตอรี่ ( Ideo Q Victory )ได้ภายในงาน ชี้กำลังซื้ออสังหาฯ ในเมืองและแนวรถไฟฟ้ายังมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า กล่าวว่า กำลังซื้อคอนโดติดรถไฟฟ้ายังไปได้ดีอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากความสำเร็จจากการจัดแคมเปญ “ANANDA URBAN PULSE”  ซึ่งสะท้อนได้เป็นอย่างดีถึงสภาวะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้ว่ามีความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคกลับคืนสู่ภาวะปกติ รวมถึงกำลังซื้อสินค้าที่อยู่อาศัยยังดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการที่สามารถตอบความต้องการการใช้ชีวิตในเมืองและใกล้แนวรถไฟฟ้า  อีกทั้ง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อประสบการณ์การทำงานของ  อนันดาฯ ที่เข้าใจถึงการใช้ชีวิตคนเมือง และวิธีการมองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าอย่างลึกซึ้งถึงความต้องการที่อยู่อาศัยที่ต่างกัน ทำให้สินค้าทุกแบรนด์ ของอนันดาฯ  ยังครองใจลูกค้าด้วยดีเสมอมา   ซึ่งการจัดแคมเปญใหญ่ ANANDA URBAN PULSE ในครั้งนี้ ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากกลุ่มลูกค้าหลัก และกลุ่มนักลงทุนเป็นจำนวนมาก ความสำเร็จดังกล่าวมาจากโครงการคุณภาพใหม่ล่าสุด 5 โครงการ จากแบรนด์คุณภาพทำเลติดรถไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองรุ่นใหม่ ซึ่งบริษัทฯ วางเป้าหมายการขายของ   แบรนด์ แอชตัน ( Ashton) และ ไอดีโอ (IDEO) ไว้ที่ 40% ในการเปิดตัว 3 เดือนแรก แต่สำหรับครั้งนี้สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 40% ภายในงานนี้ และในส่วนของแบรนด์ เอลลิโอ ( ELIO)  ที่วางเป้าหมายการขายไว้ที่ 20% ในการเปิดตัวเฟสแรกของ 3 เดือนแรก โดยสามารถทำยอดขายได้ 20% ภายในงานนี้เช่นกัน   โดยโครงการใหม่ที่โดดเด่นและได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก คือ โครงการ ไอดีโอ คิว วิคตอรี่ ( Ideo Q Victory )ตั้งอยู่ใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้ามีระยะห่างจากสถานีบีทีเอสอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 0 เมตร   โดยตลอด 4 วันของการจัดงาน มีลูกค้าให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยมีการลงทะเบียนเพื่อเข้าคิวจองซื้อมากกว่า 4,000 คน จากจำนวน 348 ยูนิต ซึ่งสามารถปิดการขายได้ภายในงานและมียอดจองซื้อเต็มทุกห้องครบ 100% (Sold out)  โดยก่อนหน้านี้โครงการดังกล่าวได้มีการเปิดจองผ่านระบบ  Ananda Online Booking ซึ่งมีผลตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ระบบ Ananda Online Booking ที่ได้เปิดให้จองไปก่อนหน้านี้เป็นกิจกรรมการตลาดที่ประสบความสำเร็จ สามารถสร้างยอดขายได้มูลค่ารวม 1,080  ล้านบาท โดยผลจากความสำเร็จดังกล่าวมาจากโครงการตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพสูงติดสถานีรถไฟฟ้า เหมาะสมเพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุนอีกทั้งมีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ เน้นความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย มีการนำเอาเทคโนโลยีและธรรมชาติมาปรับใช้ในโครงการ ด้วยการนำเสนอราคาที่เหมาะสมและจับต้องได้อย่างแท้จริง   นอกจากโครงการ ไอดีโอ คิว วิคตอรี่ ( Ideo Q Victory ) แล้ว โครงการอื่นที่นำมาเสนอก็ได้รับความสนใจเช่นกัน  คือ  โครงการ ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 ( Ideo Q Sukhumvit 36) มียอดขาย 42%  โครงการ แอชตัน อโศก -พระราม 9 (Ashton Asoke Rama 9) มียอดขาย 40 % โครงการ ไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่ (Ideo New Rama9) มียอดขาย 41% และ โครงการ เอลลิโอ เดล เนสท์  (Elio Del Nest) มียอดขาย 20% จากการเปิดตัวในเฟสแรก  ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าในโซนอุดมสุขและสุขุมวิทตอนปลายเป็นอย่างดีเหมือนทุกทำเลที่เคยได้นำเสนอมา   เพื่อตอกย้ำความเป็น Urban Living Solutions และความเป็นผู้นำในการพัฒนาที่อยู่อาศัยและการนำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนเมืองให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยงาน ANANDA URBAN PULSE นี้นับเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ฯ ที่บริษัทฯได้มีการพัฒนาและนำเอา Ananda Smart Booking ระบบจองซื้อห้องชุดแบบอัตโนมัติ มาสร้างสีสันและสร้างประสบการณ์การจองซื้อคอนโด ในรูปแบบใหม่ภายในงาน   “จากกระแสตอบรับของการจัดงานในครั้งนี้ โดยเฉพาะโครงการไฮไลท์ในปีนี้  คือ โครงการ ไอดีโอ คิว วิคตอรี่ และ โครงการ แอชตัน อโศก - พระราม 9  ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ก็เพราะว่า อนันดาฯ พยายามที่จะหาทำเลที่ดีที่สุดให้สังคม ตอบโจทย์ปัญหาของคนเมืองไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถติด ซึ่งตอนนี้ต้องยอมรับว่าที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้ามีอิทธิผลต่อผู้บริโภคมาก ทำให้เห็นว่าตอนนี้กำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มกลับมา  และด้วยจุดแข็งของ อนันดาฯ ที่ใช้กลยุทธ์เลือกทำเลติดรถไฟฟ้าที่ดีที่สุดก็ถือเป็นกลยุทธ์ที่ยั่งยืน ที่ทำให้ อนันดาฯ ประสบความสำเร็จทุกครั้งในการเปิดตัวโครงการใหม่เสมอมา” นายชานนท์ กล่าวทิ้งท้าย
เรียลแอสเสท จับมือ 3 พันธมิตรเดินหน้าก่อสร้าง “ลาวีค สุขุมวิท 57”

เรียลแอสเสท จับมือ 3 พันธมิตรเดินหน้าก่อสร้าง “ลาวีค สุขุมวิท 57”

นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ( คนที่ 4 จากซ้าย ) และนายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์ธุรกิจ (คนที่ 3 จากซ้าย) บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จับมือ 3 พันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ บริษัท นาราคอนซัลท์ แอนด์ ดีไซน์ จำกัด บริหารงานและควบคุมการก่อสร้าง , บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) บริหารงานโครงสร้างและงานสถาปัตย์ และ บริษัท เมลคอน จำกัด บริหารงานระบบประกอบอาคาร เดินหน้าก่อสร้างโครงการ ลาวีค สุขุมวิท 57 คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ ที่ได้รับการตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางโดยเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำระดับโลก  เฟนดิ คาซ่า เดินทางสะดวกสบายเพียง 3 นาทีจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสทองหล่อ
เดอะคิวบ์ ประชาอุทิศ คอนโดใหม่ใกล้ ม.พระจอมเกล้าธนบุรี เริ่ม 1.59 ลบ. แต่งครบมาก

เดอะคิวบ์ ประชาอุทิศ คอนโดใหม่ใกล้ ม.พระจอมเกล้าธนบุรี เริ่ม 1.59 ลบ. แต่งครบมาก

The Cube Pracha Uthit (เดอะคิวบ์ ประชาอุทิศ) คอนโดมิเนียมใหม่โลว์ไรส์ 8 ชั้น ติดถนนใหญ่โซนศักยภาพใกล้มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT หรือ มจธ.บางมด) ซอยประชาอุทิศ 37 สร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์และพร้อมเข้าอยู่ นำห้องสวยวิวดีทุกทิศมาออกบูทแนะนำโครงการที่พักอาศัยเอง และสำหรับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ระหว่างวันที่ 3-7 กรกฎาคม 2560 ที่ บริเวณสวนสุขภาพ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี กับแคมเปญ ‘ขายถูกนะ..รู้ยัง!’ เริ่มต้นเพียง 1.59 ล้านบาท พร้อมเฟอร์นิเจอร์สวยคุณภาพสูงครบทุกฟังก์ชั่น (Fully Furnish) ทั้งโครงการ พิเศษสุดเมื่อจองซื้อคอนโดฯ ที่บูทเพียง 5,000 บาท รับบัตร Gift Voucher ในเครือเซ็นทรัล พลาซา รวมมูลค่า 20,000 บาท (เฉพาะที่บูทมีจำนวนจำกัด) และเชิญชมโครงการได้ทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุด) ซึ่งเน้นความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัยไม่แออัดกับอาคารสูง 8 ชั้น 2 อาคาร ออกแบบให้เพดานห้องสูงโปร่งพิเศษทั้งภายในและภายนอก พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ 2 สระแยกไพรเวททั้ง 2 อาคาร ห้องฟิตเนส ห้องเซาว์น่า (แยกชาย/หญิง) สวนหย่อมบนชั้น 2 ใกล้ห้องสมุด ระบบคีย์การ์ด กล้องวงจรปิด (CCTV) ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ใกล้สถาบันการศึกษาทั้งระดับประถม เตรียมอุดม และมหาวิทยาลัย ใกล้วิทยาลัยพาณิชยการเชตุพน ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนสุขสวัสดิ์ และห่างจากสถานีรถไฟฟ้าประชาอุทิศเพียง 2 กิโลเมตร (รถไฟฟ้าสายสีม่วง เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ส่วนต่อขยาย) ใกล้แหล่งช้อปปิ้งเซ็นทรัล พลาซา (พระราม 2) เทสโก โลตัส และบิ๊กซี เดินทางสะดวกทุกเวลา สอบถามรายละเอียดโครงการฯ ชมห้องตัวอย่าง และโปรโมชั่นพิเศษ โทร. 1246 และติดตามความเคลื่อนไหวทางเฟซบุ๊ค : The Cube-Condo และเว็บไซต์  www.thecube-condo.com