Tag : News

2376 ผลลัพธ์
ชาญอิสสระ ส่งคอนเซ็ปต์ “Customized Your Own Issara Home” ลุย 2 โครงการหรู  “อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม9” และ“บ้านอิสสระ บางนา”

ชาญอิสสระ ส่งคอนเซ็ปต์ “Customized Your Own Issara Home” ลุย 2 โครงการหรู  “อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม9” และ“บ้านอิสสระ บางนา”

ชาญอิสสระ ส่งคอนเซ็ปต์ “Customized Your Own Issara Home” ลุย 2 โครงการหรู  “อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม9” และ“บ้านอิสสระ บางนา” เน้นแนวคิดการสร้างบ้านตามใจผู้อยู่ ให้แก่กลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ที่ต้องการปรับเปลี่ยนแปลนบ้านให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตของครอบครัว เราเป็นโครงการเดียวที่สร้างไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างให้แก่ลูกค้ากลุ่มนี้   นายดิฐวัฒน์  อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าหลังจากที่ได้จัด Pre Sales โครงการ  “อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม9” และ“บ้านอิสสระ บางนา” ไปเมื่อกลางปี 2559 ที่ผ่านมา ทั้ง 2 โครงการได้รับการตอบรับอย่างดี ด้วยแบบบ้านที่มีความโมเดิร์น ออกแบบโดย A49 อีกทั้งโลเคชั่นยังถูกใจลูกค้า ล่าสุดบริษัทได้นำคอนเซ็ปต์ “Customized Your Own Issara Home” มานำเสนอให้แก่ลูกค้า โดยมีแนวคิดว่าลูกค้าในกลุ่มไฮเอนด์ เป็นลูกค้าที่มีความเป็นตัวตนสูง ชอบความแตกต่างที่ลงตัวกับตนเอง ต้องการความมีส่วนร่วมในการดีไซน์ฟังก์ชั่นใช้สอยของครอบครัว ทั้งนี้ในปัจจุบันบ้านพร้อมอยู่ทั่วไปจะมีมาตรฐานเหมือนกันทุกหลัง หากผู้ซื้อต้องการปรับแก้ไขแบบแปลนบ้านจะต้องทำการทุบรื้อทิ้งหลังจากโอนบ้านแล้ว แต่หากลูกค้าที่ซื้อบ้าน โครงการ  “อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม9” และ“บ้านอิสสระ บางนา” ในช่วงนี้ ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนผังภายในบ้านได้ตามความต้องการ จะลด จะเพิ่มห้อง หรือย้ายผนังการกั้นห้องได้ เป็นการ Customized เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง   “บ้านพร้อมอยู่ทั่วไปจะเป็นแบบมาตราฐานเหมือนกันทุกหลัง ซึ่งหากต้องการปรับเปลี่ยนแปลนหรือตกแต่งภายในก็ต้องทุบหรือรื้อทิ้ง แต่หากเลือกซื้อบ้านที่เราจะสร้างเมื่อมีลูกค้าออเดอร์จากทั้งสองโครงการนี้ ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนแปลนและการตกแต่งภายในที่ไม่กระทบต่อโครงสร้างและรูปลักษณ์ภายนอก ก่อนสร้างบ้านเสร็จ สามารถปรับเปลี่ยน เพิ่มเติมการตกแต่งภายในได้ตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้า โดยไม่กระทบต่อโครงสร้างบ้าน และจากแนวคิดรวมถึงด้วยศักยภาพของทำเล ความพรีเมี่ยมของสินค้า และการมอบอิสระให้ลูกค้าในแนวคิด Customized Your Own Issara Home จะเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมให้โครงการประสบความสำเร็จ” นายดิฐวัฒน์ กล่าว สำหรับ โครงการ “อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9” และ“บ้านอิสสระ บางนา” สองโครงการมีมูลค่ารวม 4.4 พันล้านบาท โดยโครงการ “อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9” บ้านเดี่ยว Super Luxury มีเพียง 20 ยูนิต ตั้งอยู่บนใจกลางเมือง พร้อมลิฟท์และสระว่ายน้ำส่วนตัว ออกแบบโดยถ่ายทอดแนวคิดผ่านความเป็น Modern Tropical ที่ทำให้เกิดความรู้สึกอยู่สบายน่าพักอาศัย มีความเรียบง่ายตามวิถีของคนยุคใหม่ แต่ไม่ละทิ้งหลักการของธรรมชาติ และประสบการณ์ชีวิตแบบอิสระ บนพื้นที่ประมาณ 9 ไร่ ถนนพระราม 9 ซอย 13 โครงการ “บ้านอิสสระ บางนา” บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ที่ผสมผสานความ Modern กับความอยู่สบายได้อย่างลงตัว ทั้งแบบ 2 ชั้น และ 3 ชั้น ที่ใช้วัสดุชั้นเลิศ เทคโนโลยีที่ทันสมัยสอดคล้องกับสังคมยุคดิจิตอล บนถนนบางนา-ตราด ใกล้เมกะบางนา บนเนื้อที่ประมาณ 24 ไร่ สำหรับลูกค้าที่สนใจและทำการจองโครงการ “อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9” และ“บ้านอิสสระ บางนา”   ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะได้รับโปรโมชั่นพิเศษส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท,ส่วนลดค่าออกแบบตกแต่งภายใน มูลค่าสูงสุด 1 ล้านบาท และโปรโมชั่นครบรอบ 65 ปีชาญอิสสระ รับแพคเกจโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต 3 วัน 2 คืน (ไม่รวมตั๋วเครื่องบินสำหรับผู้ที่ซื้อบ้านในโครงการในเครือชาญอิสสระที่มีมูลค่ายอดซื้อสูงสุด 65 ท่านแรก อีกด้วย   สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมของโครงการ อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 ได้ที่ โทร.095-207-9277-9 หรือ issararama9@cbre.co.th  บ้านอิสสระ บางนา  โทร.095-207-9235-7 หรือ issarabangna@cbre.co.th   และ www.charnissara.com
เจ.เอส.พี. เปิดโครงการ เจ แกรนด์ สาทร-กัลปพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 575 ลบ. ชูกลยุทธ์ J ID ตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่

เจ.เอส.พี. เปิดโครงการ เจ แกรนด์ สาทร-กัลปพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 575 ลบ. ชูกลยุทธ์ J ID ตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่

16 มิถุนายน 2560 - บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์แนวราบและที่อยู่อาศัย เปิดโครงการ เจ แกรนด์ สาทร-กัลปพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 575 ล้านบาท ชูกลยุทธ์ J ID ตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ เพิ่มมูลค่าบ้านให้เทียบเท่าแบรนด์ใหญ่ มั่นใจสินค้าตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัย นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการบริษัท เจ.เอส.พี.แอสพลัส จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ในช่วงเร่งเดินหน้าก่อสร้างโครงการในกลุ่ม J Series อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากได้ทำการปรับภาพลักษณ์รีแบรนด์ใหม่ ก็ได้รับกระแสการตอบรับที่ดีจากลูกค้าค่อนข้างมาก โดยเฉพาะโครงการ เจ แกรนด์ สาทร-กัลปพฤกษ์ ทาวน์โฮม 3 ชั้น 5 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 4.19 ล้านบาท มูลค่า โครงการ 575 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 12-0-93.6  ไร่ จำนวน 120 ยูนิต บนทำเลติดถนนใหญ่แห่งเดียวบนกัลปพฤกษ์ ที่ในขณะนี้กำลังปั้นให้เป็นโมเดลต้นแบบของโครงการที่มีการนำนวัตกรรมการออกแบบดีไซน์บ้านในลักษณะ J ID หรือ J Intelligent Design  มาตรฐานของบ้านอันชาญฉลาดของเจ.เอส.พี. เข้ามาใช้ เพื่อเพิ่มมูลค่าบ้านให้ผู้บริโภคเกิดความคุ้มค่า คุ้มราคามากที่สุด ซึ่งโครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จกลางปี 2561 โดยเริ่มทยอยโอนในช่วงเดือนกรกฎาคม 2560 นี้ “สินค้าของ เจ.เอส.พี. มีจุดแข็งในด้านศักยภาพของเรื่องต้นทุนที่ดินและทำเลที่ตั้งเป็นหลัก พร้อมปัจจุบันบริษัทฯ ได้ทำการปรับสินค้าโดยการคิดค้นแนวคิด J ID หรือ J Intelligent Design นวัตกรรมมาตรฐานของบ้าน อันชาญฉลาดของเจ.เอส.พี. เสริมเข้าไป ทำให้รูปแบบบ้านมีความสมบูรณ์และลงตัวมากที่สุด เช่น การปรับรูปแบบบ้านให้มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นในขนาดบ้านที่เท่าเดิม เน้นการประหยัดพลังงาน เปิดรับแสงให้เข้าถึงได้ง่ายทำให้บ้านสว่าง และมีสีสันที่ทันสมัย เป็นต้น ซึ่งด้วยประสิทธิภาพเหล่านี้จึงทำให้บ้านของ เจ.เอส.พี. มีคุณภาพมาตรฐานเทียบ เท่ากับบ้านในกลุ่มบิ๊กแบรนด์ในราคาที่คุ้มค่ากว่า และมั่นใจว่าสามารถตอบโจทย์ลูกค้าผู้อยู่อาศัย และทำให้เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้าแน่นอน” นายไพโรจน์ กล่าว นายไพโรจน์ กล่าวถึง โครงการ เจ แกรนด์ สาทร-กัลปพฤกษ์ว่า มีจุดเด่นด้านการออกแบบ คือมีคอนเซ็ปต์การดีไซน์เป็นแนวสไตล์โมเดิร์น พื้นที่ใช้สอยภายในจะถูกออกแบบให้มีความพิเศษและแตกต่างจากทาวน์โฮมทั่วไป เพื่อรองรับครอบครัวใหญ่ และเน้นตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ในทุกมิติ ภายใต้แนวคิดผู้นำสู่การสร้างสังคมและความสุขของครอบครัว ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบวิถีคนเมือง ส่วนในด้านงานก่อสร้างได้ใช้เทคโนโลยีระบบPrecast  เข้ามาช่วย ซึ่งทำให้ได้บ้านมีความแข็งแรงทนทาน ผนังบ้านเรียบเนียนไม่เป็นคลื่น พร้อมได้บ้านที่มีระดับมาตรฐานคุณภาพเดียวกันทุกหลัง นอกจากนี้ยังมีการนำมาตรฐานของบ้านชาญฉลาด J ID หรือ J Intelligent Design มาใช้  ซึ่งเป็นหลักการแนวคิดที่ผู้อยู่อาศัยสามารถจับต้องได้จริงใน 4 ด้าน ได้แก่ iFunction การออกแบบให้พื้นที่ทุกตารางนิ้วในบ้านสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ พร้อมกับด้าน iEnergy การออกแบบ และการเลือกใช้วัสดุเพื่อให้ประหยัดพลังงาน เช่น LED ทั้งหลัง แผ่นฟลอยด์สะท้อนความร้อน ช่องระบายอากาศใต้ฝ้า มีช่องแสงขนาดใหญ่เพื่อให้บ้านสว่างขึ้นโดยไม่ต้องเปิดไฟฟ้าในเวลากลางวัน พร้อมการนำนวัตกรรม Passive Cooling เข้ามาช่วยลดความร้อนระหว่างวันให้แก่บ้าน จึงทำให้บ้านมีความโปร่งโล่ง บรรยากาศดี และด้าน iColor การเลือกใช้สีกลุ่มสีโทนเย็นทำให้ดูสบายตา และมีคุณสมบัติสีช่วยสะท้อนความร้อน รวมทั้งด้าน iConnect ที่โครงการฯ คำนึงถึงความสะดวกสบายของลูกบ้าน โดยสร้างพื้นที่ Club House และ Co-working Space ที่ลูกบ้านสามารถใช้ได้อย่างไม่จำกัดด้วย โครงการ เจ แกรนด์ สาทร-กัลปพฤกษ์ ประกอบด้วยแบบบ้าน 2 แบบ ได้แก่ แบบแรก ทาวน์โฮม 3 ชั้น 5 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 161 ตร.ม. และแบบที่สอง ทาวน์โฮม 3 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ (Penthouse แปลงมุม) พื้นที่ใช้สอย 161 ตร.ม. นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันด้วยอาคารคลับเฮ้าส์ โดยมีบริการสระว่ายน้ำและฟิตเนส สวนสาธารณะรอบโครงการ ระบบรักษาความปลอดภัยได้มาตรฐานด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและ CCTV 24 ชั่วโมง เป็นต้น ด้านการเดินทาง คือ โครงการจะติดถนนใหญ่กัลปพฤกษ์เข้าออกถนนสาทรได้อย่างสะดวก ใกล้ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกฝั่งตะวันตก จึงทำให้อยู่ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ติดกับโครงการสำเพ็ง 2 ซึ่งเป็นโครงการของทาง J.S.P. มีตลาดน้ำสำเพ็ง 2 ในระยะที่เดินเท้าเข้าถึงได้ ห้างสรรพสินค้า เทสโก้ โลตัส บิ๊กซี แม็คโคร  และยังใกล้กับร้านอาหารมากมายตลอดเส้นกัลปพฤกษ์ “บริษัทฯ ได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการ เจ แกรนด์ สาทร-กัลปพฤกษ์ ไปแล้ว 60% และได้เปิดขายไปตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยขายไปแล้ว 302 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้เกินเป้าของปีนี้ที่ตั้งไว้ 300 ล้านบาท และทำให้มั่นใจว่าสิ้นปีนี้จะสามารถปิดยอดขายได้100% ส่วนภาพรวมธุรกิของเจ.เอส.พี. ในปี 2560 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าจะเปิดเพิ่มอีก 4 โครงการ ได้แก่ โครงการ เจ ซิตี้ รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง โครงการ เจ วิลล่า วงแหวน-บางใหญ่ โครงการ เจ ซิตี้ ศรีราชา-อัสสัมชัญ และโครงการ เจ คอนโด บางเสร่ โดยคาดว่าสิ้นปีนี้บริษัทฯ จะมียอดโอนอยู่ถึงจำนวน 5,067 ล้านบาท” นายไพโรจน์ กล่าวสรุป
อนันดา รุกหนักไตรมาส 2 จับมือยักษ์ใหญ่มิตซุย ลุยเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 21,700 ลบ.   เตรียมจัดอีเว้นท์ใหญ่แห่งปี Ananda Urban Pulse ยกขบวน 22 โครงการคุณภาพติดรถไฟฟ้า พบกัน 22 – 25 มิ.ย.นี้ ที่ สยามพารากอน

อนันดา รุกหนักไตรมาส 2 จับมือยักษ์ใหญ่มิตซุย ลุยเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 21,700 ลบ. เตรียมจัดอีเว้นท์ใหญ่แห่งปี Ananda Urban Pulse ยกขบวน 22 โครงการคุณภาพติดรถไฟฟ้า พบกัน 22 – 25 มิ.ย.นี้ ที่ สยามพารากอน

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)โชว์ศักยภาพผู้นำคอนโดติดรถไฟฟ้า พร้อมตอกย้ำความแข็งแกร่งกับพันธมิตรเบอร์ 1 ของญี่ปุ่น มิตซุย ฟูโดซัง ที่ยังคงมอบความไว้วางใจร่วมทุนอีก 5 โครงการใหญ่ มูลค่ากว่า 21,700 ล้านบาท พร้อมเผยแผนธุรกิจเตรียมลุยครึ่งปีหลังเปิดอีก 7 โครงการ มูลค่ากว่า 16,635 ล้านบาท  พร้อมคงเป้ายอดโอนทั้งปี 2560 ที่ 25,000 ล้านบาท และปรับเพิ่มเป้ายอดขายทั้งปีเป็น 31,000 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ก่อนหน้า นอกจากนี้เตรียมกระตุ้นตลาดและกำลังซื้อจัดงานนำเสนอคอนโดติดรถไฟฟ้าครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี “ANANDA URBAN PULSE” รวบรวมคอนโดติดรถไฟฟ้าคุณภาพเยี่ยมกว่า 22 โครงการทั่วกรุงเทพ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสุด !! และพลาดไม่ได้!! กับ 5 โครงการไฮไลท์  จากแบรนด์คุณภาพที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าด้วยดีเสมอมา ที่พร้อมตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองอย่างลงตัว ระหว่างวันที่ 22-25 มิถุนายน 2560  นี้ ที่ สยามพารากอน ชั้น 1 นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า เปิดเผยว่า บริษัท มิตซุย  ฟูโดซัง  จำกัด เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ที่ยังคงมอบความเชื่อมั่นและไว้วางใจ ในการร่วมมือกันพัฒนาโครงการติดรถไฟฟ้าที่มีคุณภาพ โดยในไตรมาส 2 นี้ ตกลงร่วมทุนเปิดโครงการใหม่อีก 5 โครงการ มูลค่ากว่า 21,700 ล้านบาท   ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของอนันดาฯ และเป็นการตอกย้ำการเป็นผู้นำคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าที่ตอบโจทย์และไลฟ์สไตล์ของคนเมืองอย่างลงตัวที่สุด สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 2 เตรียมเปิดตัว 5 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 21,700 ล้านบาท  ซึ่งเป็นความร่วมมือภายใต้การร่วมทุนกับ บริษัท มิตซุย ฟูโดซัง จำกัด  ได้แก่ 1. แอชตัน อโศก-พระราม 9 ราคาเริ่มต้น 6.49 ล้านบาท มูลค่า 6,367 ล้านบาท จำนวน 593 ยูนิต 2.ไอดีโอ คิว วิคตอรี่ ราคาเริ่มต้น 5.59 ล้านบาท มูลค่า 3,090 ล้านบาท จำนวน 348 ยูนิต  3. ไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่ ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท มูลค่า 2,951 ล้านบาท จำนวน 994 ยูนิต   4.ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 ราคาเริ่มต้น 6.49 ล้านบาท มูลค่า 4,264 ล้านบาท จำนวน 449 ยูนิต และ 5. เอลลิโอ เดล เนสท์ ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท มูลค่า 5,045 ล้านบาท  จำนวน 1,459 ยูนิต ซึ่งบริษัทเชื่อมั่นว่าทั้ง 5 โครงการจากความร่วมมือนี้จะยังคงสร้างความสนใจและได้รับการตอบรับจากคนเมืองได้อีกครั้ง นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีหลัง อนันดาฯ  มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 7 โครงการ มูลค่ารวม 16,635 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่ารวม 14,302 ล้านบาท และโครงการแนวราบอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,333 ล้านบาท นอกจากนี้ ด้วยทิศทางของตลาดอสังหาฯ เริ่มปรับตัวดีขึ้นและคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น บริษัทได้เตรียมจัดงานใหญ่แห่งปี ซึ่งได้จัดเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อเอาใจลูกค้าที่ต้องการเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมคุณภาพเยี่ยมติดรถไฟฟ้าและเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงครึ่งปีหลัง  ด้วยงาน “ANANDA URBAN PULSE” ระหว่างวันที่ 22-25 มิถุนายน 2560 ณ. ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งบริษัทฯได้คัดสรรและรวบรวมโครงการคอนโดมิเนียมคุณภาพติดรถไฟฟ้า ถึง 22 โครงการทั่วกรุงเทพฯ ได้แก่ 5 โครงการใหม่ล่าสุด แอชตัน อโศก-พระราม 9 230 ม. จาก MRT พระราม 9  ราคาเริ่มต้น 6.49 ล้านบาท รับฟรีทันที! Ricoh Theta S* ไอดีโอ คิว วิคตอรี่ 0 ม. จาก BTS อนุสาวรีย์ชัยฯ ราคาเริ่มต้น 5.59 ล้านบาท รับฟรีทันที! Ricoh Theta S* ไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่ ประมาณ 380* ม. จาก MRT รามคำแหง 12 ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท รับฟรีทันที! Paragon Gift Card มูลค่า 10,000 บ.** และรับส่วนลดสูงสุด 200,000 บ.*** (จำนวนจำกัด) เมื่อจองในงาน ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 450 ม. จาก BTS ทองหล่อ ราคาเริ่มต้น 6.49 ล้านบาท รับฟรีทันที! Ricoh Theta S* เอลลิโอ เดล เนสท์ ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท รับฟรีทันที! Ricoh Theta S* พร้อมด้วย 6 โครงการพร้อมอยู่ ไอดีโอ คิว สยาม-ราชเทวี 390 ม. จาก BTS ราชเทวี ราคา 5.49 ล้านบาท คิว ชิดลม-เพชรบุรี ใกล้ BTS ชิดลม ราคา 5.59 ล้านบาท ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสท์เกต 150 ม. จาก BTS บางนา  1 ห้องนอน ราคา 3.69 ล้านบาท ให้ครบจนคุ้ม จอง 5,000* บ. พร้อมเข้าอยู่ ฟรี เฟอร์ฯ+เครื่องใช้ไฟฟ้า+ค่าโอนฯ+ฟรี!! แพ็จเกจทัวร์อิตาลี **+ Samsung S8** ไอดีโอ สุขุมวิท 115 ติด BTS ปู่เจ้าฯ ราคาเดียว 2.39 ล้านบาท ฟรี!! ทุกค่าใช้จ่ายวันโอนฯ ** ฟรี!! เครื่องใช้ไฟฟ้า ผ้าม่าน เฟอร์ฯ ครบ** (เฉพาะจองในงาน) ไอดีโอ โอทู ใกล้ BTS อุดมสุข และบางนา ราคา 2.6 ล้านบาท และ ยูนิโอ จรัญฯ 3  900 ม. จาก MRT ท่าพระ เริ่ม 999,999 บาท ผ่อนเพียง 333 บ. / ด. นาน 1 ปี** ฟรี!! เครื่องใช้ไฟฟ้า 4 รายการ ** ฟรี !! ทุกค่าใช้จ่ายวันโอน ** และอีก 11 โครงการคุณภาพ กับโปรโมชั่นพิเศษสุด แอชตัน จุฬา- สีลม  180 ม. จาก MRT สามย่าน ราคา 6.79 ล้านบาท SPECIAL PRIVILEGE UP TO 1 MB.*** แอชตัน สีลม 350 ม. จาก BTS ช่องนนทรี CORNER UNITS ราคา 11 ล้านบาท SPECIAL PRIVILEGE UP TO 1 MB.*** ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 66  50 ม. จาก BTS อุดมสุข ราคา 5.19 ล้านบาท จองวันนี้ ฟรีดาวน์ พิเศษ จอง + ทำสัญญาในงาน 0% นาน 10 เดือน** Free! Samsung S8 Edge** ไอดีโอ โมบิ อโศก 290 ม. จาก MRT เพชรบุรี ราคา 4.9 ล้านบาท จองวันนี้ ฟรีดาวน์ พิเศษ จอง + ทำสัญญาในงาน 0% นาน 10 เดือน** Free! Samsung S8 Edge** ไอดีโอ สุขุมวิท 93 15 ม. จาก BTS บางจาก 2 ห้องนอน ราคาเดียว 6.89 ล้านบาท FREE! PREMIER TRIP HONG KONG** ไอดีโอ พหลโยธิน – จตุจักร  150 ม. จาก BTS สะพานควาย 2 ห้องนอน ราคาเดียว 7.19 ล้านบาท FREE! PREMIER TRIP HONG KONG** FREE! PARAGON GIFT CARD สูงสุด 150,000 บ.*** ยูนิโอ พระราม2 – ท่าข้าม ใกล้โฮมโปร ใกล้บิ๊กซี ตรงข้างเซ็นทรัล ราคา 1.08 ล้านบาท ผ่อนดาวน์ เพียง 2,900 บ./ด.* ยูนิโอ สุขุมวิท 72  600 ม. จาก BTS แบริ่ง  ผ่อนดาวน์ เพียง 3,900 บ./ด.* ยูนิโอ รามคำแหง – เสรีไทย ติดถนนใหญ่ ใกล้นิด้า ใกล้รถไฟฟ้าศรีบูรพา* โปรฟ้าผ่า ราคาเดียว 950,000 บาท ยูนิโอ เอช ติวานนท์ ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย ** ราคา 1.59 ล้านบาท รับส่วนลดสูงสุด 200,000 บ.** เวนิโอ สุขุมวิท 10 คอนโดใจกลางอโศก ยูนิตพิเศษก่อนเปิดโครงการ ราคา 5.49 ล้านบาท ฟรี!! Samsung Galaxy S8+ ทุกยูนิต** นอกจากนี้ พิเศษสุด!! เมื่อลูกค้าลงทะเบียนและเข้าร่วมงาน ลุ้นรับทันที !! Samsung Galaxy S8+ และ Paragon Gift Card มูลค่า 5,000 บาท* (จำนวนจำกัด) ซึ่งเป็นการส่งเสริมการขายที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพบนทำเลศักยภาพสูงติดสถานีรถไฟฟ้าของอนันดาฯ สามารถเลือกชมโครงการต่างๆได้อย่างใกล้ชิดก่อนใครพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษเมื่อจองซื้อภายในงาน  ซึ่งความต้องการที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง อนันดาฯ จึงรุกตลาดมากขึ้นในปีนี้ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า สำหรับงาน  “ANANDA URBAN PULSE” นี้วางเป้าหมายสำหรับผู้ที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมคุณภาพบนทำเลศักยภาพสูงติดสถานีรถไฟฟ้า และคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ติดสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเช่นเคย
เอสซี แอสเสทฯ เปิดจองบ้านเดี่ยวหลังใหญ่สไตล์โมเดิร์น

เอสซี แอสเสทฯ เปิดจองบ้านเดี่ยวหลังใหญ่สไตล์โมเดิร์น

โครงการเพฟ (PAVE) ประชาอุทิศ 90 ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ติดถนน ร.พ.ช.-ประชาอุทิศ ซอยประชาอุทิศ 90 ทำเลใกล้ทางด่วน และ สาทร ฯ  เปิดจองบ้านโซนใหม่ บ้านเดี่ยวหลังใหญ่สไตล์โมเดิร์น รุ่นขายดี ติดสวนใหญ่ ใกล้คลับเฮาส์ ซึ่งทุกพื้นที่ในบ้านได้รับการคิดอย่างสร้างสรรค์ เพื่อตอบโจทย์ความชอบตามรูปแบบการใช้ชีวิตของครอบครัว มอบฟังก์ชั่นอิสระให้คุณได้คิดใช้ชีวิต อย่างลงตัวในพื้นที่ส่วนตัวของคุณ  พร้อมห้องอเนกประสงค์เพื่อรองรับทุกการใช้งาน ภายใต้ความปลอดภัย 24 ชั่วโมง พร้อมด้วย คลับเฮาส์, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ และสวนส่วนกลาง เริ่ม 3.99-6 ล้านบาท พิเศษ 17-18 มิ.ย.นี้ ในงานลดครึ่งล้าน ฟรี!! ทุกค่าใช้จ่ายวันโอน* สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1749 หรือ www.scasset.com
“ธารารมณ์” เปิดโครงการใหม่ทำเลรามคำแหง โชว์บ้านเน้นดีไซน์และฟังก์ชันตอบโจทย์ 3-Gen

“ธารารมณ์” เปิดโครงการใหม่ทำเลรามคำแหง โชว์บ้านเน้นดีไซน์และฟังก์ชันตอบโจทย์ 3-Gen

อนาคตโซนฝั่งตะวันออกเป็นทั้งแหล่งเศรษฐกิจและการลงทุนด้านต่าง ๆ มากมาย รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน  และที่สำคัญอยู่แนวรถไฟฟ้ามหานคร สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี) สามารถเชื่อมต่อถนนสายหลักในการเดินทางและรองรับการเดินทางที่สะดวกสบายทุกรูปแบบ โดยโครงการพาร์คเวย์ แอทอีซ ตั้งอยู่ติดถนนรามคำแหง มีสปอร์ตคลับขนาดใหญ่ด้านหน้าโครงการ  ภายในโครงการมีเนื้อที่ทั้งหมด 15 ไร่ การออกแบบบ้านเน้นความพรีเมี่ยมและมีเพียง 70 หลังเท่านั้น เพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวด้วยแนวคิดจัดผังโครงการแบบถนนวนรอบโครงการ(Main Ring Road) จัดผังให้บ้านทุกหลังติดถนนเมน  มีถนนแยกน้อยที่สุดเพื่อช่วยให้การสัญจรภายในโครงการคล่องตัวและปลอดภัย  พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยทางเข้าออก  มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแล ติดตั้ง CCTV รอบโครงการอีกด้วย   เพื่อให้ทุกคนได้ใกล้ชิดธรรมชาติและมีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรม  จึงออกแบบพื้นที่สวนส่วนกลางให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า ทั้งการพักผ่อน  ออกกำลังกาย และพบปะสังสรรค์กับเพื่อนบ้าน นับเป็นโครงการที่พร้อมสำหรับการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ บ้านในโครงการ พาร์คเวย์ แอทอีซ มีอยู่ 2 แบบด้วยกัน ได้แก่ แบบบ้าน Momento และ แบบบ้าน Marlow ออกแบบสไตล์ Modern Contemporary เพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตของ 3 Generations  กับ 2 แบบบ้าน บ้าน Memento กับ 3 Generations House Concept  บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่ 4 ห้องนอน ให้ความสำคัญเรื่องของการออกแบบพื้นที่ใช้งานมากและคุ้มค่า  รองรับการใช้งานของสมาชิกต่างวัยทุกคนในครอบครัว  พร้อมคำนึงถึงจุดอำนวยความสะดวกต่าง ๆ  ลดปัญหาเรื่องการต่อเติม  ภายในบ้านที่มีการวางฟังก์ชั่นห้องรับแขกให้มีลมธรรมชาติไหลผ่านตลอดเวลา โดยการใช้บานหน้าต่างดักลมที่ดึงลมเข้าบ้านและช่วยระบายอากาศทำให้บ้านเย็นสบาย ด้วยหลักการแบบ Passive Cooling กับกระจกบานใหญ่รอบตัวบ้าน  และการเลือกใช้ผนังอิฐมวลเบาที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวนป้องกันความร้อน  สะสมความร้อนน้อย  กับหลักการแบบ  Active Cooling ช่วยประหยัดพลังงาน ทำให้ทั้งดีไซน์และฟังก์ชันตอบสนองการใช้งานได้จริง ไฮไลท์ของการออกแบบบ้านหลังนี้คือ ห้องนอน 4 เป็นห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานได้เหมาะกับสมาชิก อาทิ  เป็นห้องนอนผู้สูงอายุ เพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิต เป็นห้องเลี้ยงเด็กเล็กสำหรับสมาชิกใหม่ เพื่อง่ายในการดูแล  หรือห้องครอบครัว (Family Room) ให้สมาชิกในครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกัน  และ ห้องครัว ถือเป็นหัวใจหลักของหลายบ้าน ดังนั้น การออกแบบครัวให้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ใช้งานได้คล่องตัว  รองรับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม พร้อมตำแหน่งปลั๊กไฟให้เพียงพอต่อการใช้งาน  ขนาดสายไฟรองรับกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นได้ทั้งครัวเบา (Pantry) ทำเมนูทานเล่น เปิดโล่งเชื่อมต่อส่วนรับประทานอาหารสามารถจัดปาร์ตี้สังสรรค์ได้   หรือเป็นครัวหนัก (ครัวไทย) โดยใช้บานกระจกใสแบบเลื่อนเปิด-ปิด ป้องกันกลิ่นเข้าภายในตัวบ้านใช้งานได้ง่ายและสะดวกขึ้น การออกแบบห้องน้ำทุกห้องแบบ Universal Design ด้วยการลดพื้นที่ต่างระดับ แยกส่วนอาบน้ำป้องกันการลื่น โดยเฉพาะชั้นล่างเพิ่มตะแกรงดักน้ำเพื่อความปลอดภัยกรณีมีผู้สูงอายุและเด็กเล็ก ทำให้บ้านมีห้องน้ำเพียงพอต่อการใช้งานถึง 3 ห้อง  นอกจากนี้ยังมีเฉลียงด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง  แบบ Panoramic View เชื่อมต่อกับธรรมชาติรอบบ้าน  ถือเป็นการตอบโจทย์ให้กับสมาชิกต่างวัยได้อย่างลงตัว ชั้น 2 การออกแบบห้องนอนใหญ่ (Master Bedroom) ให้ความสำคัญกับพื้นที่พักผ่อน ออกแบบให้ห้องกว้างและมีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น  สามารถทำเป็นห้องแต่งตัว (Walk-in Closet) สำหรับคุณผู้หญิง หรือเป็นห้องทำงานแบบส่วนตัวของคุณผู้ชายก็สามารถจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้ตามไลฟ์สไตล์ และที่พิเศษด้วยฟังก์ชันการเชื่อมต่อกันระหว่างห้องนอนใหญ่กับห้องนอน 2 ด้วย Connecting Door ยิ่งเพิ่มพื้นที่มากขึ้น หรือปรับเปลี่ยนเป็นห้องนอนเด็กเล็ก สร้างความใกล้ชิดและเป็นส่วนตัวในเวลาเดียวกัน  นอกจากนี้ห้องนอนใหญ่มีระเบียงที่เลือกใช้กระจกนิรภัยจึงมั่นใจถึงความปลอดภัย สำหรับห้องน้ำพิถีพิถันด้วยการเลือกสุขภัณฑ์มีดีไซน์ ทันสมัย กั้นส่วนเปียกแห้งเพื่อความสะดวกในการใช้งาน  ทำให้ฟังก์ชันทั้งหมดเอื้ออำนวยความสะดวกสำหรับทุกคนได้เป็นอย่างดี บ้าน Momento พื้นที่ใช้สอย 183 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ  ราคาเริ่มต้น 6.5 ล้านบาท แบบบ้าน Marlow บ้านเดี่ยว2 ชั้น  เหมาะสำหรับครอบครัวเริ่มต้น มีพื้นที่ใช้สอย 152 ตารางเมตร ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ  ตัวบ้านเน้นความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบายของผู้อยู่อาศัย ด้วย Living-Dining Room Combo เชื่อมต่อสวนด้านนอก ห้องครัวไทยแบบปิดที่ไม่ต้องต่อเติมเพิ่ม กั้นด้วยประตูบานเลื่อนกระจกใสช่วยป้องกันกลิ่นรบกวนในบ้าน ห้องนอนขนาดใหญ่ สามารถออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้ตรงตามไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่ได้ ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท โครงการพาร์คเวย์ แอทอีซ  ถนนรามคำแหง 190/1 โครงการในกลุ่มบริษัทธารารมณ์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานขายโครงการ โทรศัพท์ 0-2916-5588
เปิดตัวนวัตกรรม VR แบบ Walkthrough ครั้งแรกของวงการอสังหาฯไทย ประสบการณ์ใหม่แห่งการอยู่อาศัยเสมือนจริง

เปิดตัวนวัตกรรม VR แบบ Walkthrough ครั้งแรกของวงการอสังหาฯไทย ประสบการณ์ใหม่แห่งการอยู่อาศัยเสมือนจริง

คุณชานนท์  เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ( คนกลาง) พร้อมด้วย คุณจุฑา พรมชินวงศ์  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮลิกซ์ จำกัด (ที่ 1 จากขวา) และ คุณสุทธิชัย ศรีรัตนวงศ์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานปฏิบัติการเชิงพาณิชย์ธุรกิจที่อยู่อาศัย ประเภทคอนโดมิเนียม บริษัท เฮลิกซ์ จำกัด (บริษัทในเครือของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด) (ที่ 1 จากซ้าย) ร่วมเปิดตัวนวัตกรรม THE FIRST INTERACTIVE VR EXPERIENCE ให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ในการอยู่อาศัยที่เสมือนจริง สามารถเดินชมพื้นที่ส่วนกลางและห้องตัวอย่างได้ในทุกมุมมอง เหนือกว่าด้วยนวัตกรรม Interactive Walkthrough ที่สามารถทดสอบฟังก์ชั่นกับอุปกรณ์ตกแต่งภายในห้องมากมาย ผ่าน 2 โครงการคุณภาพ ยูนิโอ เอช ติวานนท์ และ ยูนิโอ สุขุมวิท 72 พบกันในงานอีเว้นท์ใหญ่แห่งปี  ANANDA URBAN PULSE  ที่ ชั้น 1 สยามพารากอน ตั้งแต่วันที่ 22-25 มิถุนายน 2560 นี้
“แสนสิริ” รุก Innovation ในโครงการที่อยู่อาศัยเต็มสูบ ส่งทีม DSD โชว์ผลงานการพัฒนา “Cooliving Designed Home” นวัตกรรมบ้านระบายความร้อนด้วยโซล่าเซลล์เต็มรูปแบบ นำร่องโครงการแรก “บุราสิริ วัชรพล” มูลค่าโครงการ 3,400 ล้านบาท

“แสนสิริ” รุก Innovation ในโครงการที่อยู่อาศัยเต็มสูบ ส่งทีม DSD โชว์ผลงานการพัฒนา “Cooliving Designed Home” นวัตกรรมบ้านระบายความร้อนด้วยโซล่าเซลล์เต็มรูปแบบ นำร่องโครงการแรก “บุราสิริ วัชรพล” มูลค่าโครงการ 3,400 ล้านบาท

"แสนสิริ" เดินหน้ารุก Innovation ในโครงการที่อยู่อาศัยเต็มสูบในปี’60 ส่งทีมแสนสิริดีไซน์ โซลูชั่น ดีพาร์ทเมนท์ (DSD) โชว์ผลงานการพัฒนา “Cooliving Designed Home” นวัตกรรมบ้านระบายความร้อนด้วยโซล่า เซลล์ ไม่ใช้ไฟฟ้า ปลอดภัยและ Go green เต็มรูปแบบ ภายใต้การวิจัยและพัฒนา (R&D) ไลฟ์สไตล์ในที่อยู่อาศัย เพื่อลูกบ้านแสนสิริโดยเฉพาะ ด้วยการสร้างสรรค์ 5 ฟังก์ชั่น 1.Solar Attic ระบบพัดลมและช่องระบายอากาศใต้หลังคา เพื่อช่วยลดความร้อนใต้หลังคา ทำให้ภายในตัวบ้านเย็นลง และลดการสะสมของเชื้อโรค 2.Breeze Panel ช่องระบายลมในตัวบ้าน ช่วยถ่ายเทและระบายอากาศในตัวบ้าน 3.Shading Screen ระแนงกันแดดที่ออกแบบโดยดูจากทิศทางของบ้าน 4.Texture Wall ผนังบ้านดีไซน์พิเศษที่มี Texture ช่วยลดความร้อนจากแสงแดดที่ตกกระทบพื้นผิว และ 5.UV Shield สีชนิดพิเศษ ช่วยกันความร้อน นำร่องโครงการแรกที่บ้านเดี่ยวใหม่ล่าสุด “บุราสิริ วัชรพล” มูลค่าโครงการ 3,400 ล้านบาท พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการวันที่ 24-25 มิ.ย.นี้ ราคาเริ่มต้นที่ 7.89 ล้านบาท นายเมธา อังวัฒนพานิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ในปีนี้แสนสิริได้รุกด้าน Innovation อย่างเต็มสูบ และได้มองหาโอกาสในการพัฒนาด้าน Innovation เพื่อการอยู่อาศัยใหม่ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง รวมถึงส่งผลประโยชน์สูงสุดให้แก่ลูกค้าจากการที่แสนสิริจะมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ โดยล่าสุดได้ส่งทีมแสนสิริดีไซน์ โซลูชั่น ดีพาร์ทเมนท์ (DSD) และทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) พัฒนานวัตกรรมบ้านระบายความร้อนด้วยโซล่าเซลล์ ไม่ใช้ไฟฟ้า ปลอดภัยและ Go green เต็มรูปแบบ ภายใต้ชื่อ “Cooliving Designed Home” สร้างสรรค์นวัตกรรมทั้งหมด 5 ฟังก์ชั่น ได้แก่ 1.Solar Attic ระบบพัดลมและช่องระบายอากาศใต้หลังคา เพื่อช่วยลดความร้อนใต้หลังคา ทำให้ภายในตัวบ้านเย็นลง และลดการสะสมของเชื้อโรค 2.Breeze Panel ช่องระบายลมในตัวบ้าน ช่วยถ่ายเทและระบายอากาศในตัวบ้าน 3.Shading Screen ระแนงกันแดดที่ออกแบบโดยดูจากทิศทางของบ้าน เช่น ทิศเหนือหรือใต้ จะรับแสงแดดและลมต่างกัน จึงออกแบบให้เหมาะกับแต่ละทิศ 4.Texture Wall ผนังบ้านดีไซน์พิเศษที่มี Texture ช่วยลดความร้อนจากแสงแดดที่ตกกระทบพื้นผิว และ 5.UV Shield สีชนิดพิเศษ ช่วยกันความร้อน นอกจากนี้ยังมี Roof Shade ฝ้าชายคาหรือหลังคาที่ยื่นเป็นพิเศษ ช่วยป้องกันแสงแดด รวมถึง Heat-Absorbing Green Glass กระจกเขียวตัดแสง ช่วยลดความร้อนอีกด้วย “นวัตกรรม “Cooliving Designed Home” จะทยอยพัฒนาในทุกโครงการบ้านเดี่ยวของแสนสิริ โดยเปิดตัวใช้อย่างเต็มรูปแบบในโครงการแรก คือ  “บุราสิริ วัชรพล” มูลค่า 3,400 ล้านบาท  ซึ่งเป็นโครงการที่ต่อยอดความสำเร็จจากโครงการ “เศรษฐสิริ วัชรพล” ปัจจุบันปิดการขายแล้ว บนทำเล วัชรพลซึ่งเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมมากว่า 10 ปี โดยแสนสิรินับเป็นผู้บุกเบิกพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวในทำเลนี้เป็นรายแรกๆ ด้วยการเปิดตัวโครงการ “นาราสิริ วัชรพล” บ้านเดี่ยวโครงการแรกของแสนสิริในทำเลนี้อีกด้วย นอกจากนี้ทำเลวัชรพลยังนับเป็นทำเลที่มีการเติบโตมากที่สุดแห่งหนึ่ง ตลาดบ้านจัดสรรก็ขยายตัวมีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยพบว่าอุปทานบ้านเดี่ยวในทำเลวัชรพล (สายไหม) มีจำนวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1,053 ยูนิตในช่วงครึ่งปีแรก 2559 มาอยู่ที่ 1,182 ยูนิตในช่วงครึ่งปีหลัง 2559 หรือเพิ่มขึ้น 12% อีกทั้งพบว่าอัตราตอบรับของบ้านเดี่ยวในทำเลนี้ดีขึ้นจากครึ่งปีแรก 2559 ซึ่งมีอัตราตอบรับ 43% มาอยู่ที่ 49% ในช่วงครึ่งปีหลัง 2559 โดยเมื่อพิจารณาในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาพบว่าอัตราตอบรับมีแนวโน้มที่ดีขึ้นทุกปี อย่างไรก็ตามภาพรวมบ้านเดี่ยวในทำเลนี้มีอัตราดูดซับอยู่ที่ 3.7 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ทั้งนี้ระดับราคาที่เป็นที่นิยมในทำเลนี้คือระดับราคา 7.00-9.99 ล้านบาท มียูนิตเสนอขายจำนวน 724 ยูนิต มีอัตราดูดซับสูงถึง 7.09 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ขณะที่เมื่อพิจารณาถึงราคาที่ดินในบริเวณวัชรพล จากราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ พบว่าโดยส่วนใหญ่ ราคาที่ดินมีการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะช่วงถนนสุขาภิบาล 5 มีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินสูงถึง 33-71% จากราคา 35,000-45,000 บาทต่อตารางวาในรอบการประเมินปี 2555-2558 มาอยู่ที่ 60,000 บาทต่อตารางวาในรอบการประเมินปัจจุบัน (รอบปี 2559-2562)  หรือบริเวณถนนวัชรพล จากราคา 35,000-60,000 บาทต่อตารางวา มาอยู่ที่ 50,000-72,000 บาทต่อตารางวาหรือเพิ่มขึ้น 20-43% นอกจากนั้นจากข้อมูลของ AREA (Agency for Real Estate Affairs) พบว่าราคาซื้อขายที่ดินในบริเวณวัชรพล-ออเงินมีการปรับตัวโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 3% อย่างไรก็ตาม ในอนาคตละแวกนี้ ยังอยู่ใกล้เคียงกับสถานีรถไฟฟ้าถึง 3 สาย โดยใช้เวลาเดินทางจากถนนสุขาภิบาล 5  ไปยังสถานีรถไฟฟ้าประมาณ 10-15 นาที ได้แก่ 1. สถานีสายหยุด โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) 2.สถานีรามอินทรา 31 โครงการรถไฟฟ้าสาย สีชมพู (มีนบุรี-แคราย)  และ 3. สถานีวัชรพล ซึ่งเป็นสถานี interchange ระหว่างสายสีชมพูและโครงการรถไฟ monorail สายสีเทา (วัชรพล-พระราม 9)  ปัจจุบันรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง แล้วเสร็จ 28% ส่วนสายสีชมพูอยู่ในระหว่างการคัดเลือกบริษัทเอกชน โดยทั้ง 2 สายคาดว่าเปิดให้ใช้บริการภายในปี 2563 และสายสีเทาจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2564 นอกจากนี้ทำเลวัชรพลเป็นทำเลที่ผู้ประกอบการหลายรายเข้ามาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมากก็คือเป็นทำเลที่คึกคักและนับว่าเป็นทำเลทองของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกตอนเหนือ สะดวกในการเดินทาง สามารถเดินทางเข้า-ออก ทั้งในเมืองและชานเมืองได้ไม่ยาก โดยเฉพาะบนถนน “สุขาภิบาล 5”  เพราะถูกล้อมรอบไปด้วยทางพิเศษ และถนนสายหลัก ได้แก่ ทางด่วนรามอินทรา-    อาจณรงค์ ที่มีจุดขึ้น-ลงทางด่วนอยู่บริเวณ ถ.สุขาภิบาล 5  และยังอยู่ใกล้เคียงกับวงแหวนรอบนอก กาญจนาภิเษก ที่สามารถเดินทางไปยังพื้นที่ชั้นนอกรอบๆกรุงเทพฯ ได้ นอกจากนี้ เส้นถนนสุขาภิบาล 5  ยังสามารถเดินทางไปยังถนนสายหลักอย่าง ถ.รามอินทรา, ถ.สายไหม  และ ถ.พหลโยธิน  โดยเชื่อมต่อกับ ซ.พหลโยธิน 50  ผ่าน ถ.เทพรักษ์ เส้นทางใหม่ที่เพิ่งเริ่มเปิดให้บริการไปในช่วงเดือนธันวาคม 2558 นอกจากนี้ยังรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าและไลฟ์สไตล์มอลล์ อาทิ ศูนย์การค้าแฟชั่น ไอส์แลนด์, เดอะ พรอมานาด, เพลินนารี่ มอลล์, เวนิส ดี ไอริส วัชรพล (Vennice Di Iris), เซ็นทรัล รามอินทรา, Index Living Mall, The Walk (เกษตร-นวมินทร์) Crystal Park รวมถึงสถานศึกษา ซึ่งมีทั้งโรงเรียน รัฐบาลและเอกชน อาทิ โรงเรียนสายอักษร, โรงเรียนนานาชาติกีรพัฒน์ (รามอินทรา34), โรงเรียนเลิศหล้า และAustralian International School รวมถึงโรงพยาบาลต่างๆ โรงพยาบาลเซ็นทรัลเยนนอรัล, โรงพยาบาล สินแพทย์ เป็นต้น สำหรับโครงการ “บุราสิริ วัชรพล” เป็นโครงการที่พัฒนาขึ้นภายใต้แบรนด์บุราสิริ “Find Your Peace of Mind บ้านเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง” ตั้งอยู่บนถนนวัชรพล มีพื้นที่ 94 ไร่ ออกแบบคอนเซ็ปต์ “THE HIGH LIFE IN GREEN” ได้รับแรงบันดาลใจจากต้นไม้ใหญ่ ทำให้โครงการสงบร่มรื่น ซึ่งเป็นโครงการแรกที่ได้พัฒนานวัตกรรม “Cooliving Designed Home” รวมถึงนวัตกรรมที่ใส่ใจผู้สูงอายุ Elder Care ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่สร้างสรรค์ให้ห้องนอนชั้นล่างปูด้วยพื้น Soft Fall กันกระแทก และไม่มีขั้นระหว่างห้องนอนกับห้องน้ำ เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ใช้ Wheelchair ก่อเกิดเป็นนวัตกรรมบ้านแบบใหม่ที่ผสานกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน คลับเฮ้าส์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำระบบเกลือ สวน 2 แห่งในโครงการ และระบบความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง มีจำนวนทั้งสิ้น 242 ยูนิต มีทั้งหมด 5 แบบบ้าน พื้นที่ใช้สอย ขนาด 175-393 ตร.ม. พื้นที่ดิน 50.4-189.7 ตร.วา  ราคาเริ่มต้นที่ 7.89 ล้านบาท เตรียมเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 24-25 มิถุนายน 2560 พร้อมจัดโปรโมชั่นมอบส่วนลดสูงสุด 2 แสนบาทเฉพาะในงานเท่านั้น
“ออริจิ้น” เปิดตัว “Knightsbridge Phaholyothin Interchange”

“ออริจิ้น” เปิดตัว “Knightsbridge Phaholyothin Interchange”

“ออริจิ้น” เปิดตัว “Knightsbridge Phaholyothin Interchange” ตอกย้ำภาพเจ้าทำเลเกษตร-สะพานใหม่ มั่นใจ Q2 โกยยอดขาย 4,000 ล้านบาท ออริจิ้น เปิดตัวโครงการใหม่ “ไนท์บริดจ์ พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์” มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้าน ตระหง่านหัวมุมวงเวียนหลักสี่ ตอกย้ำความเป็นเจ้าทำเลเกษตร-สะพานใหม่ ชูจุดขาย “More Choices More Chances” สร้าง “ชีวิตอัลติเมท” ให้ผู้อยู่อาศัย รองรับความเปลี่ยนแปลงของกรุงเทพฯ เปิดวีไอพีพรีเซล ณ สำนักงานขาย 17 มิ.ย.นี้ มั่นใจปิดไตรมาส 2 ด้วยยอดขาย 4,000 ล้านบาท   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), และเคนซิงตัน (Kensington) กล่าวว่า บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ภายใต้ชื่อ “ไนท์บริดจ์ พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์” (Knightsbridge Phaholyothin Interchange) เป็นคอนโดมิเนียม 15 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 726 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมวงเวียนอนุสาวรีย์หลักสี่ หันหน้าเข้าหาถนนพหลโยธิน ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อ (อินเตอร์เชนจ์) ระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และสายสีชมพู มีนบุรี-แคราย   “ทำเลรถไฟฟ้าสีเขียวส่วนต่อขยายทางตอนเหนือ ไล่มาตั้งแต่หมอชิต เกษตร สะพานใหม่ ไปจนถึงคูคต ถือเป็นทำเลศักยภาพ และเป็นทำเลที่ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เพราะมีทั้งแหล่งชุมชน แหล่งงานภาครัฐ แหล่งงานภาคเอกชนดั้งเดิมของคนกรุงเทพฯตอนเหนือ ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เป็นทำเลที่มีเรียลดีมานด์มหาศาล เราจึงเปิดตัวโครงการไนท์บริดจ์ พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์ เป็นโครงการที่ 8 ของออริจิ้นบนย่านนี้ เพื่อตอกย้ำความเป็นเจ้าทำเลเกษตร-สะพานใหม่ และตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองที่กำลังจะเปลี่ยนไป” นายพีระพงศ์ กล่าว   โครงการดังกล่าว พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ More Choices More Chances มุ่งหวังจะสร้างทางเลือกและโอกาสใหม่ๆ ในการอยู่อาศัยให้แก่ผู้บริโภค ด้วยสุดยอดทำเลและสุดยอดสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อให้ผู้บริโภคได้มี “ชีวิตอัลติเมท” โดยจะเปิดวีไอพีพรีเซลโครงการดังกล่าวในวันที่ 17 มิ.ย.นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ   ด้านนายนพรัตน์ เอื้อพิพัฒนากูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท วัน เรียลเอสเตท จำกัด ในฐานะผู้บริหารด้านการขายและการตลาดโครงการไนท์บริดจ์ พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวมุ่งตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงของกรุงเทพฯด้วยการสร้างทางเลือกใหม่ๆ ให้แก่ผู้บริโภค ได้แก่ 1.ทางเลือกในการเดินทาง ให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้ชีวิตกับ “อัลติเมท ทรานสปอร์ต” ผ่านจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้า 2 สาย คือสายสีเขียวและสายสีชมพู สามารถเดินทางไปได้ถึง สุดตอนเหนือของกรุงเทพฯ และคอนเน็คไปสู่จุดอื่นๆ ของกรุงเทพฯได้อย่างง่ายดาย   “เมื่อรถไฟฟ้าเปิดให้บริการในอีก 2 ปีข้างหน้า จะช่วยมอบความสะดวกสบายในการเดินทางให้แก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการระดับเดียวกับที่อินเตอร์เชนจ์อื่นๆ เช่น สยาม ช่องนนทรี อโศก เคยมอบให้ผู้อยู่อาศัยมาแล้ว ในขณะที่ราคาต่ำกว่าโซน รัชโยธิน-ลาดพร้าวถึง 40% ทั้งที่อยู่บนรถไฟฟ้าสายเดียวกันและห่างกันเพียงไม่กี่สถานี” นายนพรัตน์ กล่าว   2.ทางเลือกในการใช้ชีวิต เปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ ของผู้อยู่อาศัยต่อกรุงเทพฯ ด้วย “อัลติเมท รูฟ” พื้นที่ส่วนกลางบนดาดฟ้าชั้น 15 พร้อมด้วยสกายวอล์คเชื่อมต่อระหว่างคอนโดมิเนียม 2 อาคาร ให้ผู้อยู่อาศัยได้พบกับ Panoramic Bangkok View มองเห็นกรุงเทพฯในมุมมองใหม่แบบ 360 องศา   นอกจากนี้ ยังมี “อัลติเมท ฟาซิลิตี้” ให้ผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษผ่านสิ่งอำนวยความสะดวก 30 ฟังก์ชั่น บนพื้นที่ส่วนกลางรวมกว่า 3,700 ตร.ม. ที่จะช่วยรองรับการใช้ชีวิตทั้งการทำงาน ครอบครัว เพื่อน และเรื่องส่วนตัว อาทิ สระว่ายน้ำรูปตัว L ความยาวถึง 35 เมตร ฟิตเนสขนาดกว่า 100 ตร.ม. Co-working space ห้องโยคะ Sky Lounge, Sky Barbeque area ภายในห้องพักยังออกแบบให้เป็น “อัลติเมท รูม” มีการออกแบบและการตกแต่งภายในห้องพักไว้ถึง 20 รูปแบบ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ตกแต่งห้อง เป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้ประดับขอบด้วยสีโรสโกลด์ มีกระจกกั้นห้องแบบเต็มเฟรม ช่วยให้บรรยากาศภายในห้องดูหรูหราและมีสไตล์ ขณะที่ความสูงจากพื้นถึงเพดาน (Floor to Ceiling) อยู่ที่ 2.55 เมตร ซึ่งค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับโครงการในทำเลเดียวกัน   โครงการไนท์บริดจ์ พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์ ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ เพียง 200 เมตร และห่างจากเทสโก้ โลตัส สาขาหลักสี่ เพียง 100 เมตร ห่างจากเซ็นทรัล รามอินทรา และบิ๊กซี สะพานใหม่ ในระยะทางเพียงไม่ถึง 2 กิโลเมตร ขณะเดียวกัน ยังใกล้ทั้งโรงพยาบาลและแหล่งงานของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ สนามบินดอนเมือง กรมทหารราบที่ 11 กรมป่าไม้ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) สำนักงานใหญ่   สำหรับห้องพักอาศัย แบ่งออกเป็น 5 แบบหลัก ได้แก่ 1.ห้องซูพีเรีย 1 ห้องนอน ขนาด 21.3-31.7 ตร.ม. 2.ห้องดีลักซ์ 1 ห้องนอน ขนาด 28.2-29.8 ตร.ม. 3.ห้องสวีท 1 ห้องนอนพลัส ขนาด 33.4-38.8 ตร.ม. 4.ห้องเพนท์เฮาส์ 2 ห้องนอน ขนาด 48.9-51.2 ตร.ม. และ 5.ห้องดูเพล็กซ์ ขนาด 33-62 ตร.ม. ทุกห้องตกแต่งแบบ Fully-Furnished ราคาเฉลี่ยเริ่มต้นที่ 82,000 บาท/ตร.ม. ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1.89 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2561 และแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2563   ด้านนายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากโครงการไนท์บริดจ์ พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์แล้ว ในวันที่ 17 มิ.ย.นี้ บริษัทยังเปิดวีไอพีพรีเซลโครงการใหม่อีก 3 โครงการ ได้แก่ 1.เคนซิงตัน สุขุมวิท- เทพารักษ์ (Kensington Sukhumvit-Theparak) มูลค่า 2,500 ล้านบาท 2.นอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ (Notting Hill Skyscraper Central Rattanathibet) มูลค่า 2,500 ล้านบาท 3.นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105 (Notting Hill Sukhumvit 105) เฟส 2 มูลค่า 1,300 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้ง 4 โครงการกว่า 8,400 ล้านบาท เปิดวีไอพี พรีเซลพร้อมกัน 17 มิ.ย. นี้ ผู้สนใจ 4 โครงการดังกล่าว สามารถลงทะเบียนได้ที่ www.origin.co.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 020 300 000   ทั้งนี้ คาดว่าการเปิดขาย 4  โครงการใหม่พร้อมกันในวันที่ 17 มิ.ย. จะช่วยส่งผลให้บริษัทคว้ายอดขายไตรมาส 2/2560 ได้ทะลุ 4,000 ล้านบาท   ปัจจุบัน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 35 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 30,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร  
Party Teddy House @เจ ซิตี้ ศรีราชา-อัสสัมชัญ

Party Teddy House @เจ ซิตี้ ศรีราชา-อัสสัมชัญ

Party Teddy House @เจ ซิตี้ ศรีราชา-อัสสัมชัญ 10 -11 มิ.ย. นี้ เปิดจองโครงการใหม่ ทาวน์โฮมพรีเมี่ยม สไตล์อังกฤษ เริ่ม 1.59 ลบ.*   THE ONE AND ONLY English Town home in the heart of SRIRACHA เมื่อความโดดเด่นของสถาปัตยกรรมสไตล์อังกฤษ ผสานกับเสน่ห์แห่งเมืองศรีราชา… อย่างลงตัว     THE BEST FUNCTION สร้างสรรค์เป็น ทาวน์โฮม 2 ชั้น สไตล์อังกฤษ – ขนาด 17.9 ตรว. – พื้นที่ใช้สอย 101 ตรม. – ฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ     THE BEST FACILITY สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน – Club House – Blue Lagoon pool – Sport Club     THE BEST LOCATION โดดเด่นทำเล …. ใจกลางเมืองศรีราชา – ติด รร.อัสสัมชัญ ศรีราชา – ใกล้ห้างโรบินสัน – ใกล้สถานีรถไฟความเร็วสูง (อนาคต)     ที่ตั้งโครงการ     สนใจเข้าร่วมงานโทร 092-592-1691 www.jsp.co.th
อนันดา จับมือ เพซ เปิด DEAN & DELUCA สาขาแฟล็กชิปที่ Ashton Asoke – Rama 9

อนันดา จับมือ เพซ เปิด DEAN & DELUCA สาขาแฟล็กชิปที่ Ashton Asoke – Rama 9

คุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย คุณสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เจ้าของแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มกูร์เม่ต์ไอคอนจากนิวยอร์ค DEAN & DELUCA ลงนามในสัญญาความร่วมมือเพื่อเปิดให้บริการ DEAN & DELUCA สาขาใหม่ใจกลางสี่แยก  อโศก - พระราม 9 บนพื้นที่ขนาดถึง 900 ตร.ม. ณ โครงการ Ashton Asoke – Rama9 คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ใหม่ล่าสุดบนทำเลศักยภาพ New CBD โครงการ Ashton Asoke – Rama9 ตั้งอยู่บนที่ดินหัวมุมแปลงสุดท้ายของกรุงเทพมหานคร ใกล้สถานีรถไฟฟ้า MRT เพียง 230 เมตร โดยย่านนี้เป็นที่ตั้งของบริษัทฯชั้นนำมากมาย พร้อมด้วยห้างสรรพสินค้าและช้อปปิ้งสโตร์ชั้นนำ เดินทางสะดวกสบายด้วยเส้นทางคมนาคมที่หลากหลาย โดยร้าน DEAN & DELUCA สามารถตอบโจทย์ Urban Lifestyle แบบครบวงจรให้แก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการ ASHTON Asoke - Rama 9 รวมถึงคนทำงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วในย่านนี้  โดยเป็นร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายบรรยากาศของนิวยอร์ก  ให้บริการอาหารด้วยเมนูสไตล์ตะวันตกพร้อมกาแฟหอมกรุ่มที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี โดยทั้งสองบริษัทมีแผนที่จะขยายความร่วมมืออย่างต่อเนื่องต่อไปในอนาคต สำหรับ DEAN & DELUCA มีต้นกำเนิดที่ย่านโซโหของมหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งในปี 2520 โดยให้บริการผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่ดีที่สุดจากทั่วโลก ปัจจุบันมีสาขาอยู่ทั่วโลกทั้งใน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ประเทศไทย ดูไบ คูเวต ฟิลิปปินส์ และ สิงคโปร์
Modiz Interchange คอนโดใหม่ติดสถานีอินเตอร์เชนจ์  เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสองสาย

Modiz Interchange คอนโดใหม่ติดสถานีอินเตอร์เชนจ์ เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสองสาย

กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำอสังหาริมทรัพย์ทำเลตอนเหนือของกรุงเทพฯ เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ล่าสุด โมดิซ อินเตอร์เชนจ์ (Modiz Interchange) คอนโดแต่งครบ (Fully Furnished) บนทำเลฮอตของย่านพหลโยธิน – รามอินทรา ใกล้วงเวียนหลักสี่ อิสระใหม่ของการเดินทาง ติดสถานีเชื่อมต่อรถไฟฟ้า 2 สาย คือ รถไฟฟ้าสายสีเขียวและสีชมพู สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ พร้อมการออกแบบในสไตล์โมเดิร์นลักชัวรี่ และส่วนกลางแบบจัดเต็ม ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของชีวิตคนเมืองในราคาเริ่มต้น 1.89 ล้าน ผู้สนใจสามารถเข้าชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ ณ สำนักงานขายโมดิซ ถนนพหลโยธิน พร้อมลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดสูงสุดถึง 100,000 บาท และข้อเสนอสุดพิเศษอีกมากมายได้ที่ www.modizcondo.com สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 089-3311-777
พฤกษา เรียลเอสเตท ขึ้นแท่นแชมป์ตลาดคอนโดรัชดา เปิดตัว “แชปเตอร์วัน อีโค รัชดา – ห้วยขวาง” โกยยอดขายสูงสุดกว่า 80%

พฤกษา เรียลเอสเตท ขึ้นแท่นแชมป์ตลาดคอนโดรัชดา เปิดตัว “แชปเตอร์วัน อีโค รัชดา – ห้วยขวาง” โกยยอดขายสูงสุดกว่า 80%

พฤกษา เรียลเอสเตท ขึ้นแท่นแชมป์ตลาดคอนโดรัชดา เปิดตัว “แชปเตอร์วัน อีโค รัชดา – ห้วยขวาง” โกยยอดขายสูงสุดกว่า 80%           นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากการเปิดขายคอนโดมิเนียมโครงการ แชปเตอร์วัน อีโค รัชดา – ห้วยขวาง ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้า ปัจจุบันมียอดขายในเฟสแรกแล้วกว่า 80% ส่งผลให้ พฤกษา เรียลเอสเตท ครองส่วนแบ่งการตลาดคอนโดมิเนียมย่านรัชดาในระดับราคา 2 – 3 ล้านบาท สูงสุดอยู่ที่ 67% และมีส่วนแบ่งตลาดคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลสูงสุดอยู่ที่ 12% ด้วยศักยภาพทำเลที่ตั้งของโครงการที่ตั้งอยู่บริเวณศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ใกล้รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน 2 สถานี ได้แก่ สถานีห้วยขวาง และสถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อแหล่งธุรกิจในเมืองได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งมีความคืบหน้าที่ชัดเจนของโครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีส้มที่จะเปิดให้บริการ ซึ่งจะทำให้สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ กลายเป็นสถานีร่วมในอนาคต ประกอบกับปัจจุบันได้มีผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายเข้าไปลงทุนในย่านนี้ ในรูปแบบของโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งมีทั้งคอนโดมิเนียม ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และโรงแรมต่างๆ กันอย่างคึกคัก ส่งผลให้ทำเลดังกล่าวมีราคาเพิ่มสูงขึ้น และทำให้โครงการ แชปเตอร์วัน อีโค รัชดา – ห้วยขวาง กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมาก ด้วยศักยภาพทำเลที่ดี ราคาที่สมเหตุสมผล มีสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการที่ครบครันที่สุดบนรัชดา จึงเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุดในขณะนี้               โครงการ แชปเตอร์วัน อีโค รัชดา – ห้วยขวาง เป็นคอนโดมิเนียมแต่งครบ มีแนวคิดการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ ECOLOGY เน้นความเป็นธรรมชาติรวมเข้ากับการอยู่อาศัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อม ผสานกับสถาปัตยกรรมสไตล์ SCANDINAVIAN DESIGN เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย และให้ความคุ้มค่ามากกว่าโครงการอื่นในระดับราคาเดียวกัน อาทิ BIKE CLUB, HOME THEATRE พื้นที่สำหรับคอหนังทุกคน, READING ROOM ห้องอ่านหนังสือสำหรับคนรักการอ่าน, CO-WORKING SPACE, FITNESS, SWIMMING POOL & POOL TERRACE สระว่ายน้ำที่ยาวถึง 50 ม. พร้อมจากุซซี่ Street Basketball, FARM & BBQ และยังมี SHUTTLE BUS รถรับส่งถึง MRT พร้อมด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง     โครงการตั้งอยู่บนถนนประชาอุทิศ เดินทางสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีห้วยขวาง และสถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ใกล้ทางด่วนพระราม 9 รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการ อาทิ เซ็นทรัลพระราม 9 เซ็นทรัลอีสต์วิลล์ เอสพลานาด ฟอร์จูนทาวน์ ใกล้สถานศึกษาโรงเรียนนานาชาติ อาทิ The Regent’s International School, KIS International School และ Singapore International School ใกล้โรงพยาบาลพระราม 9 โรงพยาบาลปิยะเวท ราคาเริ่มต้น 2.3 ล้านบาท และเตรียมพบกับโซนใหม่เร็วๆ นี้ สอบถามเพิ่มเติมโทร. 1739 หรือ http://chapterone.pruksa.com/    
เนอวานา ไดอิ จับมือบันยันทรีกรุ๊ปเปิดตัว“บันยัน ทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ”

เนอวานา ไดอิ จับมือบันยันทรีกรุ๊ปเปิดตัว“บันยัน ทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ”

เนอวานา ไดอิ จับมือบันยันทรีกรุ๊ปเปิดตัว“บันยัน ทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ” คอนโดระดับซูเปอร์ลักชัวรีริมแม่น้ำเจ้าพระยา มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท             ประเทศไทย (8 มิถุนายน 2560) : บมจ. เนอวานา ไดอิ เซ็นสัญญาความร่วมมือกับบันยันทรีกรุ๊ป เชนโรงแรมระดับโลก เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา “บันยัน ทรี เรสซิเดนซ์  ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ” (Banyan Tree Residences Riverside Bangkok) คอนโดระดับซูเปอร์ลักชัวรีมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท  พร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าเฉพาะกลุ่มในการเข้าเป็นสมาชิก The Sanctuary Club ของบันยันทรี เพื่อรับบริการจากเครือบันยันทรีทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น รีสอร์ท สปา และ สนามกอล์ฟ เป็นต้น เตรียมเปิด เซลส์ แกลอรี ในเดือนกันยายน 2560           นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เนอวานา ไดอิ กล่าวถึงความร่วมมือกับ แบรนด์บันยันทรีในครั้งนี้ว่า “โครงการบันยัน ทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ เป็นคอนโดมิเนียมโครงการแรกของบริษัทฯ เรียกได้ว่าเป็นคอนโดระดับซูเปอร์ลักชัวรี ซึ่งมีมูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยประมาณ 300,000 บาท/ตร.ม. คอนโดมิเนียมนี้ตั้งอยู่บนโค้งน้ำที่สวยที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้สามารถมองเห็นบรรยากาศที่สวยงามของทั้งฝั่งเมืองเก่าและฝั่งเมืองใหม่ได้อย่างชัดเจน นอกเหนือจากทำเลที่ดีที่สุดแล้ว เรายังใส่ใจในการออกแบบที่คำนึงถึงความเป็นส่วนตัวอันสูงสุดของผู้อาศัยเป็นหลักยิ่งไปกว่านั้นเรามองว่า ลูกค้ากลุ่ม Super Premium นั้นให้ความสำคัญและพิถีพิถันกับการใช้ชีวิตอย่างมาก  ดังนั้นเราจึงสรรหาการบริการที่ดีเลิศ และแตกต่างมารองรับ เราตัดสินใจเลือกแบรนด์บันยันทรีสำหรับโครงการนี้ ทั้งนี้เพราะบันยันทรีเป็นแบรนด์โรงแรมที่มีชื่อเสียงระดับโลก และเป็น expert ในเรื่องการให้บริการระดับห้าดาวที่ทั่วโลกยอมรับ ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่น่ายินมากและเชื่อว่าโครงการนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี”           มร.โฮ กวง ปิง ประธานกรรมการบริหาร บันยันทรีกรุ๊ป กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้ ทางบันยันทรีได้นำเสนอบริการสุดพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเรา เพื่อสร้างประสบการณ์สุดพิเศษให้กับกลุ่มลูกค้าของโครงการนี้ด้วย โดยลูกค้าเฉพาะกลุ่มจะได้รับสิทธิ์การเป็นสมาชิก The Sanctuary Club เพื่อรับสิทธิประโยชน์จากแบรนด์ในเครือทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น บันยันทรี อังสนา แคสเซีย ดาหวา หรือ ลากูน่า” บมจ. เนอวานา ไดอิ เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเมื่อบริษัทเนอวานาได้ควบรวมกับบริษัทไดอิแล้ว ทำให้บริษัทฯ มีธุรกิจในเครือเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ ธุรกิจการพัฒนาโครงการ ธุรกิจรับสร้างบ้าน และบ้านสำเร็จรูป  ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมโครงการนี้ยังอยู่ในช่วงของการพัฒนารายละเอียด และมีแผนเปิดขายในเดือนกันยายนนี้ โดยโครงการได้เริ่มก่อสร้างแล้วตั้งแต่ช่วงธันวาคม 2559 โดยบริษัทบวิค-ไทย จำกัด (Bouygues-Thai) สำหรับความร่วมมือกับบันยันทรีกรุ๊ปในครั้งนี้ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการช่วยยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัยของลูกบ้าน พร้อมเติมเต็มความต้องการด้านการบริการระดับห้าดาวอย่างสมบูรณ์แบบ ###   เกี่ยวกับเนอวานา ไดอิ เนอวานา ไดอิ (Nirvana Daii) หรือ NVD เป็นการรวมบริษัทฯ ระหว่าง บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (Nirvana Development Co.,Ltd) ก่อตั้งเมื่อปี 2548 และ ไดอิ กรุ๊ป (Daii Group) ก่อตั้งเมื่อปี 2537 โดยมีการวางโครงสร้างองค์กรใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ เนอวานา ไดอิ เราตั้งใจทำธุรกิจเพื่อให้ทุกคนได้มีที่อยู่อาศัยที่ตอบสนองความเป็นตัวตน และความสุขของแต่ละคนอย่างไม่มีใครเหมือน ตอบสนองทั้งความต้องการด้านฟังก์ชั่นการใช้งาน และตอบสนองทางอารมณ์ เราตระหนักถึงความสำคัญของทุกรายละเอียดในชีวิตของลูกค้าทุกคน ความใส่ใจในทุกรายละเอียดคือหัวใจของชีวิตที่เติมเต็มและมีความสุข ที่เนอวานา ไดอิ เราเชื่อว่า “Life is Full of Details” ซึ่งธุรกิจของบริษัทประกอบด้วย ส่วนงานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Project Development) ได้แก่ โครงการบ้านอยู่อาศัย (Beyond, Icon, Intro) สำนักงานโฮมออฟฟิศ (@Work) ทาวน์โฮม (Define, Cover, Cluster) คอนโดมิเนียม (River Fronted Project) ส่วนงานรับสร้างบ้าน (Home Builder) ได้แก่ บ้านกินซ่า (Ginza Home) และบ้านดีจิ (Deeji Home), ส่วนงานวัสดุก่อสร้าง (Home Product) ได้แก่ รั้ว (Fenzer) ประตูและหน้าต่างอลูมิเนียมเอเทค (Atech) ซึ่งการรวมตัวครั้งนี้จะทำให้เราเป็น Living Solution ได้อย่างครบวงจร
เอสซีจี ตั้ง “AddVentures” เสริมแกร่งศักยภาพสตาร์ทอัพทั่วโลก หวังพลิกโฉมธุรกิจ-เพิ่มขีดแข่งขัน-สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ที่ดีและเร็วยิ่งขึ้นให้ลูกค้า

เอสซีจี ตั้ง “AddVentures” เสริมแกร่งศักยภาพสตาร์ทอัพทั่วโลก หวังพลิกโฉมธุรกิจ-เพิ่มขีดแข่งขัน-สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ที่ดีและเร็วยิ่งขึ้นให้ลูกค้า

เอสซีจี ตั้ง “AddVentures” เสริมแกร่งศักยภาพสตาร์ทอัพทั่วโลก หวังพลิกโฉมธุรกิจ-เพิ่มขีดแข่งขัน-สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ที่ดีและเร็วยิ่งขึ้นให้ลูกค้า     กรุงเทพฯ – 8 มิถุนายน 2560: เอสซีจี ตั้ง “AddVentures” บริษัทในรูปแบบ Corporate Venture Capital วางวิสัยทัศน์ “You Innovate, We Scale” เสริมศักยภาพสตาร์ทอัพทั่วโลก ยกระดับ Ecosystem ด้วยองค์ความรู้ เครือข่าย และฐานลูกค้าทั่วอาเซียน ปูพรมพัฒนานวัตกรรม 3 กลุ่มหลัก “Enterprise-Industrial-B2B” เพื่อพลิกโฉมธุรกิจ-เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน-สร้างสรรค์สินค้าและบริการที่ดีและเร็วยิ่งกว่าให้ลูกค้า     นายยุทธนา เจียมตระการ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารกลาง เอสซีจี กล่าวว่า เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุค Digital Transformation ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง ผู้คนมีความต้องการหลากหลายและเป็นปัจเจกมากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังมีบทบาทในการพลิกโฉมธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายแก่ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ทั่วโลก ที่ผ่านมา เอสซีจีจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เสมอมา แต่ด้วยบริบทของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เอสซีจี จึงตั้งบริษัทในรูปแบบ Corporate Venture Capital หรือ CVC ภายใต้ชื่อ “AddVentures” ขึ้น เพื่อเสริมศักยภาพและลงทุนในสตาร์ทอัพไทยและทั่วโลก ให้เอสซีจีสามารถเชื่อมโยงนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน รวมทั้งยังทำให้ลูกค้าได้ใช้สินค้าและบริการที่ดีขึ้น รวดเร็วขึ้น ตอบโจทย์การยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การจัดตั้ง AddVentures ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่เอสซีจีจะได้ร่วมสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีศักยภาพสูง กับกลุ่มสตาร์ทอัพที่มีจุดเด่นในเรื่อง Spirit ของ Entrepreneurship และการสร้าง Innovation ที่ถือเป็น Outside-in innovation จากการมองในมุมของผู้บริโภคอย่างแท้จริง เมื่อประกอบกับ Speed ในกระบวนการทำงานที่เรียกว่า Lean Startups รวมทั้งการใช้ Digital technology จึงทำให้ข้อจำกัดในการทำธุรกิจแบบเดิมๆ หายไป และทำให้ผลผลิตของสตาร์ทอัพทุกวันนี้มีพลังมหาศาลแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน “เราเชื่อมั่นว่าการทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพที่มีความเชี่ยวชาญในการคิดหนทางแก้ปัญหาที่น่าสนใจให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และมีความโดดเด่นเฉพาะตัวของสตาร์ทอัพแต่ละราย โดยไม่ยึดติดกับวิธีการหรือข้อจำกัดเดิมๆ จะสามารถสนับสนุนให้พวกเขา Scale up หรือขยายให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้ พร้อมทั้งยังช่วยเสริมรากฐานระยะยาว ให้เอสซีจีกลายเป็นองค์กรที่มีการนำดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต” นายยุทธนา กล่าว การจัดตั้ง AddVentures ยังมีจุดมุ่งหมายเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุน Startup Ecosystem ของไทยและอาเซียนให้แข็งแกร่ง โดยนำศักยภาพและจุดแข็งต่างๆ ของเอสซีจีเข้าไปช่วยต่อยอด และก่อให้เกิดประโยชน์จากการสร้างความร่วมมือเพื่อพัฒนาแวดวงธุรกิจในองค์รวมให้ดียิ่งขึ้น สอดรับกับนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ที่ต้องการต่อยอดอุตสาหกรรมเดิม และยกระดับให้เกิด New S-Curve อุตสาหกรรมใหม่ของประเทศ ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและรังสรรค์นวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในเวทีโลกได้ นายยุทธนา กล่าวอีกว่า เพื่อให้การดำเนินงานของ AddVentures เป็นไปได้ตามเป้าหมาย เอสซีจีจึงได้แต่งตั้งผู้บริหารใหม่ คือ ดร.จาชชัว แพส ซึ่งมีประสบการณ์คร่ำหวอดในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมานับ 10 ปี และมีความชำนาญในหลากหลายแวดวงธุรกิจ ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ AddVentures ดูแลทิศทางภาพรวมของบริษัท   ดร.จาชชัว แพส กรรมการผู้จัดการ AddVentures กล่าวว่า การจัดตั้ง AddVentures มาพร้อมด้วยวิสัยทัศน์ “You Innovate, We Scale” สื่อถึงความเป็นองค์กรที่เปิดกว้างสำหรับความร่วมมือกับสตาร์ทอัพที่ต้องการส่งต่อเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ดีกว่า เร็วกว่า และคุ้มค่ากว่าให้แก่คู่ค้าหรือผู้บริโภค โดย AddVentures จะไม่ได้สนับสนุนแค่ด้านการเงินให้แก่สตาร์ทอัพ แต่จะสนับสนุนทั้งองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงต่างๆ เครือข่ายลูกค้าของเอสซีจีที่มีอยู่ทั่วอาเซียน ตลอดจนทรัพยากรอื่นๆ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้สตาร์ทอัพเหล่านั้นเติบโตได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน ผ่านการทำงานร่วมกันกับสตาร์ทอัพอย่างใกล้ชิด สำหรับการลงทุนในช่วง 3-5 ปีแรก วางงบประมาณในการลงทุนเฉลี่ยครั้งละ 1-5 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งการลงทุนออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.การลงทุนใน Digital Technology ในกลุ่มที่เป็น Global Technology Hub อย่างเช่น Silicon Valley ประเทศสหรัฐอเมริกา, Tel Aviv ประเทศอิสราเอล และ Shenzhen ประเทศจีน เป็นต้น โดยจะร่วมมือกับ Venture Capital ชั้นนำในประเทศดังกล่าวเพื่อนำเทคโนโลยีมาใช้ขยายผลกับเอสซีจี หรือทำการเปิดตลาดในประเทศไทยและอาเซียน 2.การลงทุนใน Digital Business Model ในไทยและอาเซียนซึ่งเป็นประเทศที่ เอสซีจีมีฐานธุรกิจ โดยจะทำการลงทุนผ่านกองทุน Venture Capital และการลงทุนโดยตรง (Direct Investment) ในสตาร์ทอัพที่พัฒนานวัตกรรมซึ่งสอดคล้องกับทิศทางเทคโนโลยีเป้าหมายของ AddVentures พันธมิตรและเทคโนโลยีเป้าหมายที่ AddVentures สนใจลงทุน ประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.Enterprise 2.Industrial และ 3.B2B โดยภายใต้แต่ละกลุ่มหลัก ยังมีกลุ่มย่อยๆ เช่น Logistics & Supply Chain Tech, Smart Packaging Tech, Chemicals Tech, Construction Tech, Industrial & Manufacturing Tech, Industrial & Construction Product Marketplace เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดจะเป็นเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจหลัก 3 กลุ่มของเอสซีจี ได้แก่ 1.ธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 2.ธุรกิจเคมิคอลส์ และ 3.ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ขณะที่รูปแบบการลงทุนเปิดกว้างทั้งความร่วมมือเชิงพาณิชย์ (Commercial Deal) ทั่วไป การอนุญาตให้ใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (Licensing) การร่วมทุน (Joint Venture) ไปจนถึงการเข้าซื้อกิจการในสตาร์ทอัพนั้นๆ “AddVentures เปิดกว้างและอยากเชิญชวนเหล่าสตาร์ทอัพให้เข้ามาร่วมงานกับ AddVentures โดยไม่จำเป็นต้องเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ขอเพียงมีจุดมุ่งหมายในการส่งมอบนวัตกรรมที่ดีกว่า เร็วกว่า และคุ้มค่ากว่าให้แก่สังคม รวมทั้งมีไอเดียและความมุ่งมั่นที่จะทำให้เกิดขึ้นจริง เราก็สามารถเดินทางและเติบโตไปด้วยกันได้ดังวิสัยทัศน์ You Innovate, We Scale” ดร.จาชชัว กล่าว
“เดอะ ซีเล็คเต็ด เกษตร-งามวงศ์วาน บาย แอล.พี.เอ็น” เจาะกลุ่มนักศึกษา

“เดอะ ซีเล็คเต็ด เกษตร-งามวงศ์วาน บาย แอล.พี.เอ็น” เจาะกลุ่มนักศึกษา

“เดอะ ซีเล็คเต็ด เกษตร-งามวงศ์วาน บาย แอล.พี.เอ็น” เจาะกลุ่มนักศึกษา                      บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) ผู้พัฒนาอาคารชุดอาศัยภายใต้แบรนด์ “ลุมพินี” เตรียมพัฒนาคอนโดแบรนด์ใหม่ “เดอะ ซีเล็คเต็ด เกษตร-งามวงศ์วาน บาย แอล.พี.เอ็น” มูลค่า 1,000 ล้านบาท บนทำเลทองถนนงามวงค์วาน ระหว่างแยกเกษตร-นวมินทร์และบางเขน ตรงข้ามมหาวิทยาลัยเกษรศาสตร์ หวังเจาะตลาดกลุ่มนักศึกษา ด้วยห้องชุดเป็นส่วนตัวเพียง 310  ยูนิต จำนวน 1 อาคาร สูง 20 ชั้น บนเนื้อที่ 2 ไร่เศษ พร้อมจัดเต็มพื้นที่ส่วนกลางตอบโจทย์สีสันความสุข สนุกสนานและสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้พักอาศัย ภายใต้คอนเซ็ปต์ WORK, HEALTH, PLAY สอดแทรกทุกส่วนอย่างกลมกลืน ภายในห้องชุดยังตอบโจทย์ New LPN Design ครบทุกอรรถประโยชน์ใช้สอยและยังสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของนักศึกษา ภายในโครงการโอบล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวกว่า 1,000 ตร.ม ทั้งยังนำแนวคิด LPN SMART ROOM มาผนวกในการใช้ชีวิตในยุคดิจิตอล ด้วยระบบการสั่งงานอัจฉริยะเปิด-ปิดไฟฟ้าในห้องชุดผ่านมือถือ Smart Phone เพื่ออำนวยความสะดวก ปลอดภัย ทันสมัยครบวงจร พร้อมเปิดขายวันเสาร์ที่ 24 มิ.ย.นี้ ขนาด 1 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 3 ล้านบาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LPN Call Center 02-689-6888 สำนักงานขาย 02-561-1700 หรือ www.facebook.com/ Condo Lumpini ที่ตั้ง : ถนนงามวงศ์วานระหว่างแยกเกษตรนวมินทร์ (มุ่งสู่ถนนวิภาวดี-รังสิต) และแยกบางเขน ตรงข้าม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ห่างจากประตูงามวงศ์วาน 3 ประมาณ 250 เมตร ราคา : 3 ล้านบาทต้นๆ เนื้อที่โครงการ : ประมาณ 2 ไร่เศษ ลักษณะโครงการ : ผู้อาคารชุดพักอาศัยสูง 20 ชั้น 1 อาคาร ห้องชุดพักอาศัยรวม 310 ยูนิต (ชั้น 5 – ชั้น 20) รูปแบบห้องชุดขนาด 24.00 – 40.50 ตร.ม. ชั้นล่าง : ห้องเรียนรู้ (Learning zone)               สำนักงานนิติบุคคล (Juristic Person Office)               ลานเอนกประสงค์ (Co living area)               ลานฟิตแอนด์เฟิร์ม (Fit & Firm area)               สนามสตรีทบาส (Street Basketball)               ห้องเครื่อง               ที่จอดรถจักรยานยนต์ และที่จอดรถ ชั้น 2 – 4 : ห้องเครื่องและที่จอดรถ ชั้น 5 : สระว่ายน้ำไร้ขอบ (Infinity Edge Pool),             ฟิตเนสโซน (Fitness Zone) และห้องชุดพักอาศัย ชั้น 6 -18 : ห้องชุดพักอาศัย ชั้น 19 : สวนอินฟินิตี้ (Infinity garden) และห้องชุดพักอาศัย ชั้น 20 : ห้องชุดพักอาศัย ที่จอดรถ : ประมาณ 119 คัน (ไม่รวมที่จอดรถซ้อนคัน) โทรศัพท์ (สำนักงานขาย) : 02-561-1700 โทรสาร (สำนักงานขาย) : 02-561-1701 กำหนดเริ่มก่อสร้าง : ตุลาคม 2560 คาดว่าจะแล้วเสร็จ : กันยายน 2561    
SENA ควงแขน “ฮันคิวเรียลตี้” อสังหาฯ รายใหญ่จากแดนปลาดิบ ผุดคอนโดฯ แนวรถไฟฟ้า 2 โครงการ มูลค่า 7,000 ลบ. ชู Geo Fit สร้างจุดขาย “สร้างที่อยู่อาศัยจากวิธีคิดแบบญี่ปุ่น”

SENA ควงแขน “ฮันคิวเรียลตี้” อสังหาฯ รายใหญ่จากแดนปลาดิบ ผุดคอนโดฯ แนวรถไฟฟ้า 2 โครงการ มูลค่า 7,000 ลบ. ชู Geo Fit สร้างจุดขาย “สร้างที่อยู่อาศัยจากวิธีคิดแบบญี่ปุ่น”

SENA ผนึก “ฮันคิวเรียลตี้” ผู้ประกอบการอสังหาฯรายใหญ่จากแดนปลาดิบ นำร่องเปิด  2 โครงการคอนโดมิเนียม แนวรถไฟฟ้า เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน “นิช ไพรด์ เตาปูน อินเทอเชนจ์ และ นิช โมโน สุขุมวิท 70” มูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท พร้อมเปิดตัว “Geo Fit” trustmark ใหม่ ชูแนวคิดสร้างที่อยู่อาศัยจากวิธีคิดแบบญี่ปุ่น  ผู้บริหารหญิงแกร่ง “ดร.ยุ้ย ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” มั่นใจกระแสตอบรับเยี่ยม หวังผลักดันแบรนด์และยอดขายเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทยและในฐานะ Developer รายแรกที่ทำหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่า บริษัท เสนา ฮันคิว จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SENA กับบริษัท ฮันคิว เรียลตี้ จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) หนึ่งในกลุ่มบริษัท Hankyu Hanshin Holding Group ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในญี่ปุ่น เดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ร่วมกัน โดยเน้นพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งในปีนี้มีแผนเปิดตัว 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ นิช ไพรด์ เตาปูน-อินเทอเชนจ์ และล่าสุดที่จะมีการเซ็นสัญญาร่วมลงทุนในโครงการ “นิช โมโน สุขุมวิท 70” “นับเป็นโครงการที่สองที่ ฮันคิว เรียลตี้ ได้ให้ความไว้วางใจร่วมทุนกับบริษัท จากโครงการแรก คือ นิชไพรด์ เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ ที่ได้ลงนามร่วมทุนกันไปเมื่อเดือน ธันวาคม 2559 และในครั้งนี้เป็นต่อยอดเดินหน้าร่วมทุนเป็นโครงการที่ 2 แสดงให้เห็นถึงผลสำเร็จของการดำเนินงานที่ดีร่วมกันในครั้งแรก  ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะมีการร่วมทุนเพิ่มขึ้นเป็นโครงการที่ 3 ที่ 4 ต่อไป ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว โครงการ นิช โมโน สุขุมวิท 70 เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับสูง (High-Rise) ที่มีจำนวนยูนิตมากกว่า 1,270 ยูนิต และตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานีแบริ่งเพียง 250 เมตร โดยสถานีแบริ่งเป็นสถานีที่สะดวกสบายในการเชื่อมต่อกับสถานีอโศกซึ่งเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจของกรุงเทพฯ นอกจากนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวยังเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ ซึ่งเป็นเส้นทางไปสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิอีกด้วย อย่างไรก็ตามโครงการอสังหาฯที่ เสนา ฮันคิว ดำเนินการร่วมกันนั้น เกิดขึ้นภายใต้แนวความคิดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่ทางฮันคิวเรียกว่า “Geo Fit” ซึ่งเป็นแนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ใส่ใจในรายละเอียดและเข้าใจความต้องการของผู้อยู่อาศัยอย่างลึกซึ้ง สามารถนำมาใช้กับการสร้างอยู่อาศัยอย่างยอดเยี่ยมโดยสามารถสรุปรวมออกมาได้เป็น Japanese Functionality – คือ ฟังค์ชั่นการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ Japanese Innovation – นวัตกรรมแนวคิดใหม่ๆ ที่คิดออกมา เพื่อการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ Japanese Design - กลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่น ในการออกแบบ  ผศ.ดร.เกษรา  กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ บริษัทจะเปิดตัวการทำ Branding ของ Geo Fit จากฮันคิว ในวันนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งจะเป็น Branding ในลักษณะ Trustmark หรือการสร้างความน่าเชื่อถือผ่านสัญลักษณ์ของแบรนด์ที่มีความชำนาญพิเศษในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ เหมือนกับตราประทับรับรองในคุณภาพของสินค้าและตราประทับ Geo Fit จากฮันคิวนี้ จะอยู่ร่วมกับทุกโครงการที่ เสนา ฮันคิว ทำร่วมกัน และจะถูกใช้ในการสื่อสารการตลาด และแม้แต่ประกอบอยู่ในส่วนต่างๆของโครงการหรือองค์ประกอบในห้อง ที่พัฒนาขึ้นมาภายใต้แนวคิดนี้ ด้านนายริวอิจิ โมโรโทมิ ประธาน บริษัท  ฮันคิว เรียลตี้ (ประเทศญี่ปุ่น) จำกัด  กล่าวว่า บริษัทฯ มีประวัติการดำเนินงานในนามกลุ่มบริษัทฮันคิว มายาวนานกว่า 100 ปี โดยธุรกิจหลักคือการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟที่ดำเนินการโดยบริษัทฮันคิว โดยกลุ่มบริษัทฮันคิว มีแนวคิดในการทำงานที่ว่า “ใส่ใจต่อการบริการลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง ให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง” นอกจากนี้ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานทางบริษัทได้เพิ่มความรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างเต็มที่และจากประวัติการดำเนินงานทางบริษัทมีผลงานในการก่อสร้างบ้านพักที่อยู่อาศัยกว่า 60,000 ยูนิต คอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “จีโอ” กว่า 20,000 ยูนิต “บริษัทมีคอนเซ็ปต์ในการพัฒนาโครงการ “Geofit+” (Geo fit plus) ที่สะท้อนปรัชญาในการทำงานของบริษัท ฮันคิว เรียลตี้ จำกัด ที่ต้องการจะนำเสนอที่อยู่อาศัยที่เปี่ยมด้วยคุณภาพให้กับลูกค้า ในครั้งนี้ ทางบริษัทของเรา มีแนวความคิดสอดคล้องกับทางบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จึงอยากจะมีโอกาสขอบคุณที่ได้ร่วมงานกันและขอให้คำมั่นสัญญาที่จะเป็นหุ้นส่วนในระยะยาวและมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการดำเนินงานร่วมกัน เพื่อที่จะสร้างคุณค่าให้กับโครงการที่พักอาศัยใหม่ๆ ในประเทศไทย” นายริวอิจิ กล่าวในที่สุด
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปฏิวัติรูปแบบคอนโด LOW-RISE

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปฏิวัติรูปแบบคอนโด LOW-RISE

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปฏิวัติรูปแบบคอนโด LOW-RISE เปิดตัว “มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา” LIVE THE LIFE YOU DESIRE  เลือกใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ             กรุงเทพฯ 2 มิถุนายน 2560 – บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรมากว่า 18 ปี เปิดตัวโครงการ มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO19 Ratchada 19-Vipha) คอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ (Low Rise) ความสูง 8 ชั้น บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ ถือเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ที่สุดภายใต้แบรนด์ มาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES) ที่คุ้มค่าแก่การลงทุน พรั่งพร้อมด้วยพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกมากที่สุด โดดเด่นด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘อินดัสเตรียล เอลลิแกนท์’ (Industrial Elegance) ให้ความรู้สึกเท่ห์แต่ยังคงความหรูหรา มีความแตกต่างอย่างลงตัว แต่ยังคงเอกลักษณ์ ‘Classic With A Modern Twist’ ของแบรนด์มาเอสโตร (MAESTRO)  ที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมคลาสสิคแบบยุโรปกับเส้นสายทันสมัยเข้าไว้ด้วยกัน  สะท้อนนิยามการใช้ชีวิตที่มีคุณค่าอย่างพิถีพิถันและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามแบบฉบับของคนเมือง บนทำเลศักยภาพใจกลางกรุงเทพฯด้วยมูลค่าโครงการกว่า 1,700 ล้านบาท เปิดให้ชมห้องตัวอย่างได้ที่โครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2560 และมีงาน Pre-sales ในวันที่ 24-25 มิถุนายน 2560 พร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ลงทะเบียนออนไลน์ รับส่วนลดเงินสด 10,000 บาท   ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในแบบฉบับของคุณ               ‘Live the Life You Desire’ การเลือกใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ คือแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา ด้วยอยากให้ผู้อยู่อาศัยมีอิสระในการเลือกใช้ชีวิตและควบคุมทุกสิ่งได้ตามต้องการในทุกมิติ เพราะเชื่อว่าทุกคนมีรูปแบบการใช้ชีวิตตามแบบฉบับของตนเอง เราจึงพัฒนาจากข้อจำกัดการใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียมในเมืองใหญ่ซึ่งมีข้อจำกัดทั้งในเรื่องพื้นที่ สิ่งอำนวยความสะดวก และการเดินทาง ให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่บ้านใจกลางเมือง               เลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในแบบคุณ - มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา เป็นโครงการคอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองที่ให้ความรู้สึกเสมือนคุณอยู่บ้าน บนเนื้อที่โครงการที่ขนาดใหญ่กว่า 5 ไร่ เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกถือว่าครบครันตามสไตล์แบรนด์มาเอสโตร (MAESTRO)  ที่ พิถีพิถันในการออกแบบโดยใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ บ่งบอกถึงตัวตนของคนรุ่นใหม่ผ่านที่อยู่อาศัย เริ่มตั้งแต่การวางตำแหน่งที่ตั้งของแต่ละอาคารภายในโครงการ เพื่อให้เกิดการถ่ายเทอากาศและช่องแสงที่ให้ผู้อยู่อาศัยได้รับแสงอย่างเหมาะสมในทุกช่วงเวลา อาคารทั้ง 4 อาคารที่ล้อมรอบพื้นที่โครงการให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว การออกแบบมีการผสมผสานสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปคลาสสิกที่ทรงคุณค่าเข้ากับเส้นสายที่สื่อถึงความทันสมัยตามแบบฉบับของคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่มาพร้อมกับการดีไซน์ร่วมสมัยแบบ ‘อินดัสเตรียล เอลลิแกนท์’ (Industrial Elegance)  ด้วยการผสมผสานระหว่างโครงเหล็กและหินอ่อนลายเฉพาะที่ผสานความต่างของ 2 สิ่งได้อย่างลงตัว มาพร้อมฟังก์ชั่นพิเศษเน้นความยืนหยุ่นของการใช้งานและบริหารจัดการพื้นที่จำกัดของคอนโดให้สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการในแต่ละมิติของผู้อยู่อาศัย ด้วยรูปแบบห้องพร้อมฟังก์ชั่นที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นห้องหน้าหน้ากว้างสูงสุด 12 ม. ให้ความรู้สึกโปร่งสบายเสมือนอยู่บ้าน นอกจากนี้ยังมี Hybrid Sliding Door ให้คุณปรับเปลี่ยนห้องได้อย่างเป็นสัดส่วนตามการใช้งาน, ทางลาดสำหรับผู้สูงอายุหรือคนพิการและอื่นๆ               เลือกใช้ชีวิตในไลฟ์สไตล์ที่เป็นคุณ - มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา คือโครงการฯ ที่เข้าใจการใช้ชีวิตของคนเมืองอย่างแท้จริง ตัวอาคารพักอาศัยทั้ง 4 อาคาร ล้อมรอบพื้นที่ส่วนกลาง ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางของโครงการที่มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น คลับเฮาส์ครบวงจร ประกอบด้วย ล๊อบบี้กลาง (Main Lobby), พื้นที่สร้างสรรค์งาน (Co-working Space), ห้องสมุด, ฟิตเนส, ลานโยคะ(Yoga Terrace Area), ห้องสตมและซาวน่า นอกจากนั้นยังมีสระว่ายน้ำที่ยาวถึง 25 เมตร ลานบาร์บีคิวบนดาดฟ้าอาคารพักอาศัยทั้ง 4 อาคาร ทางวิ่งออกกำลัง (Jogging Track) และสวนขนาดใหญ่ อีกทั้ง บริเวณด้านหน้าโครงการยังมีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ พร้อมที่นั่งพักผ่อนตามจุดต่างๆ (Retreat Garden และ Courtyard) ออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อให้เชื่อมต่อกับพื้นที่ว่างภายนอก โดยมีบ่อน้ำเป็นองค์ประกอบหลักเติมความร่มรื่นและสดชื่นในการพักอาศัยและให้ความเป็นส่วนตัวเมื่อย่างก้าวเข้ามาในตัวโครงการฯ ประหนึ่งได้หยุดพักผ่อนในบ้านที่อบอุ่นท่ามกลางความวุ่นวายเร่งรีบของชีวิตเมือง นอกจากนี้ มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา ยังมีจุดเด่นอีกอย่างตามแบบฉบับของ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ คือเป็นคอนโดมิเนียมที่อนุญาตให้สามารถนำสัตว์เลี้ยงแสนรักมาเลี้ยงในโครงการได้ โดยมีพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงภายนอกอาคารอีกด้วย นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการแล้ว มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภายังถูกล้อมรอบด้วยสถานที่ด้านไลฟ์สไตล์ชั้นนำ อาทิ ตลาดนัดรถไฟรัชดา, เอสพลานาด รัชดาฯ, เดอะ สตรีท รัชดา, เซ็นทรัล พระราม 9, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, ยูเนี่ยนมอลล์, ตลาดนัดห้วยขวาง รวมไปถึงร้านอาหารและคาเฟ่ที่มีให้เลือกสรรแบบไม่รู้จบ               ตอบโจทย์วิถีคนเมือง กับความสะดวกสบายในการเดินทาง - มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO19 Ratchada 19-Vipha) มอบประสบการณ์ด้านไลฟ์สไตล์เหนือระดับ บนทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ ทำให้ผู้พักอาศัยมีความสะดวกสบายด้วยการเดินทางหลากหลายรูปแบบ ทั้งรถยนต์ส่วนตัว สามารถเข้าออกได้หลายเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยัง ถนนวิภาวดีรังสิต  ถนนรัชดาภิเษก และถนนลาดพร้าว หรือเลือกเดินทางด้วย MRT ซึ่งห่างจากสถานีรัชดาภิเษกเพียง 650 ม. ด้วยบริการรถรับ-ส่งจากโครงการ สะดวกสบายไม่ว่าจะเข้าเมืองหรือออกนอกเมือง  นอกจากนี้ ตัวโครงการฯยังแวดล้อมไปด้วยย่านธุรกิจที่สำคัญ เช่นอาคารสำนักงานที่ทันสมัยอย่าง อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ตึก AIA Capital Center, ตึกเมืองไทย-ภัทร, และสถานที่ด้านไลฟ์สไตล์ชั้นนำ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนก็สะดวกสบายและตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์                   โครงการ มาเอสโตร 19 รัชดา ซอย 19 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2019 ด้วยราคาเริ่มต้น  2.8 ล้านบาท* แบ่งออกเป็นห้องขนาด 1 และ 2 ห้องนอน โดยสามารถเข้าชมห้องตัวอย่างได้ที่โครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2560 และทำการเปิดขาย Pre-sale ระหว่างวันที่ 24 - 25 มิถุนายน 2560 พร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ลงทะเบียนผ่านออนไลน์รับส่วนลดเงินสด 10,000 บาท ผู้ที่สนใจโครงการสามารถติดต่อได้ที่ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โทร 02-116-1111 หรือ เว็บไซต์ http://www.mde.co.th *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด   เกี่ยวกับเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์           บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2542 และจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2550 มีเป้าหมายในการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่พัฒนาโครงการที่พักอาศัย  คอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์และโลว์ไรซ์คุณภาพระดับไฮเอนด์ ทั้งด้านการออกแบบ การก่อสร้างและการตกแต่งภายในที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว บนทำเลทองใจกลางเมืองทั่วเขตกรุงเทพมหานคร ทุกโครงการได้รับการพัฒนาขึ้นด้วยความเอาใจใส่ในทุกรายละเอียด (Attention to Details) ความตั้งใจที่จะมอบคุณค่าระดับ Top-of-Class และยังเป็นรายแรกๆ ในประเทศไทยที่สร้างสรรค์คอนโดมิเนียมหรูคอนเซ็ปต์ Pet-Friendly นอกจากนี้ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ยังได้ก่อตั้งบริษัทในเครืออีกสี่บริษัทได้แก่ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เอสเตท จำกัด (MDE), บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (MDH), บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด (MDC) และบริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ตเนอร์ จำกัด (MDP) ด้วยเล็งเห็นความสำคัญของการให้บริการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจรสำหรับลูกค้าระดับบน ปัจจุบัน บริษัทฯได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่เสร็จแล้วทั้งหมด 9 โครงการ  โครงการในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ โครงการ อกัสตัน สุขุมวิท 22, เอ็ม ทองหล่อ 10, เอ็ม สีลม, เอ็ม พญาไท, เอ็ม ลาดพร้าว , มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี, มาเอสโตร 12 ราชเทวี และมาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39   โครงการในพัทยาได้แก่ โครงการ รีเฟล็คชั่น จอมเทียน บีช พัทยา  สำหรับโครงการที่กำลังดำเนินการพัฒนาอีก 6 โครงการ ได้แก่ โครงการ เอ็ม จตุจักร, มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ, มาเอสโตร 03 รัชดา-พระราม 9 , มาเอสโตร 14 สยาม-ราชเทวี, มาเอสโตร 01 สาทร-เย็นอากาศ และมาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา โดยมูลค่าโครงการทั้งหมดรวมประมาณ 50,000 ล้านบาท    
โกลเด้นแลนด์ เผยโฉม สามย่านมิตรทาวน์

โกลเด้นแลนด์ เผยโฉม สามย่านมิตรทาวน์

“โกลเด้นแลนด์” เผยโฉม “สามย่านมิตรทาวน์” ชูรีเทลคอนเซ็ปท์ใหม่ “Urban Life Library - คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้” รีเมคตำนานสามย่านบทใหม่ ลั่นเปิดปลายปี 62 ปักหมุดพระราม 4 ถนนเศรษฐกิจเส้นใหม่ของประเทศไทย   (5 มิ.ย. 2560) บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เดินหน้าสร้างตำนานสามย่านบทใหม่ พร้อมเผยโฉมโครงการ “สามย่านมิตรทาวน์”         รีเทลหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ “Urban Life Library - คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้” พร้อมเผย 3 ย่าน 3 ส่วนผสมภายในรีเทล Eating - Learning – Living Library จับกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภครุ่นใหม่ที่อยู่อาศัยในย่านสามย่าน-สีลม-พระราม 4 นักเรียน นิสิต นักศึกษา ครูอาจารย์ และ         ผู้สัญจรด้วย MRT สู่เมืองชั้นในหลังรถไฟฟ้าสีน้ำเงินเปิดให้บริการ               ธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า “โกลเด้นแลนด์เดินหน้าพัฒนาพื้นที่ทำเลสามย่านให้กลับมามีชีวิตรูปแบบใหม่ ภายใต้โครงการ “สามย่านมิตรทาวน์ (SAMYAN MITRTOWN)” ซึ่งถือเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่จะเสร็จสมบูรณ์เป็นแห่งแรกบนถนนพระราม 4 มูลค่าการลงทุนมากกว่า 8,500 ล้านบาท โครงการสามย่านมิตรทาวน์ ถูกพัฒนาจากแนวคิดเรื่อง “การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ ถ้าทุกอย่างถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นมิตร” โดยออกแบบให้พื้นที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้ใช้งาน (Smart) และเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน (Friendly) ภายใต้คอนเซ็ปท์ “Urban Life Library” หรือ “คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้” รีเมคตำนานสามย่านบทใหม่ ชูจุดเด่น 3 ย่าน 3 Library ที่ลงตัวเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย The Eating Library (43%) พื้นที่สร้างประสบการณ์ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการรับประทานอาหาร นอกเหนือจากการรับประทานธรรมดาทั่วไป โดยคัดสรรอาหารที่หลากหลายตามความต้องการ The Learning Library (29%) พื้นที่สำหรับเปิดกว้างสำหรับการเรียนรู้ และการเรียนเสริมทักษะที่จะเติมเต็มจินตนาการสานให้ครบทุกด้านของชีวิต The Living Library (28%) พื้นที่รวบรวมสิ่งจำเป็นต่อไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนเมือง สามย่านมิตรทาวน์ คาดหวังว่าจะมีผู้ใช้บริการกว่า 20,000 คนต่อวันจากประชากรในพื้นที่โดยรอบ มีพื้นที่ใช้สอยรวม 222,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็น โซนรีเทล “Urban Life Library” สูง 6 ชั้น พื้นที่ให้เช่ากว่า 36,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็น 30% ของโครงการ ซึ่งมีพื้นที่ร้านค้าตั้งแต่ชั้น B1 - ชั้น 4 และชั้น 5 เป็นพื้นที่ฮอลล์อเนกประสงค์ รวมทั้งสวนดาดฟ้าขนาดใหญ่ โซนอาคารสำนักงาน “Intelligence Office Tower” อาคารสำนักงานเกรด A สูง 32 ชั้น โดยเริ่มที่ชั้น 7 พื้นที่เช่ารวม 48,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็น 30% ของโครงการ ซึ่งจะพัฒนาเป็นอาคารที่ใช้งานโดยใช้ระบบอัจฉริยะเข้ามาเชื่อมโยงกับอุปกรณ์ในอาคาร เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น โซนที่พักอาศัย “Neo Explorer Living Platform”  ทั้งโรงแรม และคอนโดมิเนียม ที่อยู่อาศัยสำหรับคนรุ่นใหม่ที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก สูง 33 ชั้น หรือคิดเป็น 15% ของโครงการ โดยเริ่มที่ชั้น 7 จำนวน 554 ยูนิต ซึ่งได้แยกส่วนกลางของ 2 ส่วนออกจากกันเพื่อความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย” นอกจากนี้สามย่านมิตรทาวน์ยังถูกพัฒนาโดยคำนึงถึง ตำนานของ “สามย่าน” ย่านการค้าที่มีเรื่องราวยาวนาน การพัฒนาจึงเป็นการรวบรวมสิ่งที่ดีจากประวัติศาสตร์ผสานกับเทคโนโลยีของโลกยุคใหม่ ด้วยทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์เป็นจุดเชื่อมระหว่างเมืองเก่าอย่างเยาวราช และเมืองใหม่ อย่างสาทร         สีลม สยามสแควร์ เดินทางสะดวก ติดถนนพระรามสี่ ใกล้ทางด่วนจากหัวลำโพง บ่อนไก่ และติดกับรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) เพื่อความอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า โดยส่วนต่อขยายของ MRT ในอนาคตจะต่อขยายไปอีก 12 สถานี ซึ่งเป็นปัจจัยสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า และจะดึงดูดผู้คนอีกจำนวนมหาศาล เนื่องจากปัจจุบันด้วยศักยภาพของทำเล และซัพพลายที่ดินที่มีจำกัด ทำให้ราคาซื้อขายที่ดินบนถนนพระราม 4 ปรับตัวสูงขึ้นมีราคาไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา และมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงทำเลศักยภาพของโครงการที่ใกล้แหล่งรวมคนทำงานจากสำนักงานโดยรอบจำนวนมาก ตั้งแต่สาทร สีลม สุรวงศ์ พระราม 1 และพระราม 4 รวมทั้งครู อาจารย์ นักเรียน นิสิต นักศึกษาจากสถาบันการศึกษาอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่อีก 3 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน และโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งนับเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีปริมาณมาก และทำให้ทำเลนี้มีศักยภาพโดดเด่นอย่างชัดเจน ด้านความคืบหน้าของการก่อสร้าง บริษัทประกาศแต่งตั้ง บริษัท นันทวัน จำกัด (ไทยโอบายาชิ) ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในการก่อสร้างระดับโลก มีผลงานเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ  เป็นผู้รับเหมาหลักของโครงการสามย่านมิตรทาวน์ โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ต้นปี 2559 และมั่นใจว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ปี 2562 อนึ่ง บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ ร่วมทุนกับบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดตั้งบริษัท เกษมทรัพย์ภักดี จำกัด โดยโกลเด้นแลนด์ถือหุ้น 49% และทีซีซี 51% ของทุนจดทะเบียน 3,000 ล้านบาท เพื่อรับผิดชอบโครงการดังกล่าว เนื่องจากถือเป็นโครงการเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ใช้เงินลงทุนสูงถึง 8,500 ล้านบาท และมีระยะเวลาคุ้มทุนนานถึง      10 ปี โดยโกลเด้นแลนด์ได้รับสิทธิ์เป็นผู้พัฒนาที่ดินทั้ง 13 ไร่ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีระยะเวลาเช่า 30 ปี     #################################   บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ ก่อตั้งในปี  พ.ศ. 2521 บริษัทฯ ได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และดำเนินการจดทะเบียนเป็นบริษัท มหาชนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2537 ภายใต้ชื่อย่อ GOLD   ในปี 2555 บริษัทฯ ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) พร้อมส่งคณะกรรมการบริษัท และคณะผู้บริหารชุดใหม่เข้ากอบกู้กิจการของบริษัทฯ ที่มีการขาดทุนสะสมกว่า 7 ปี กลับมาทำกำไรใน ปี 2557 และจากการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2559 ได้อนุมัติให้จ่ายเงินปันผลจำนวน 0.23 บาท/หุ้น และมีการเปลี่ยนรอบระยะเวลาบัญชีเป็น 1 ตุลาคม – 30 กันยายน โดยในปี 2560 นี้ บริษัทฯ จะปิดงบบัญชี 9 เดือน (ตั้งแต่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2560) ทั้งนี้งบบัญชีของปี 2561 จะปรับตามรอบใหม่   ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 11,037,670,000 บาท และมีมูลค่าสินทรัพย์รวม 29,158 ล้านบาท มีโครงการที่พักอาศัยหลายแห่งหลายทำเล ในแบรนด์ โกลเด้น อย่างเช่น โกลเด้นทาวน์, โกลเด้นซิตี้, โกลเด้น นีโอ,  โกลเด้น วิลเลจ, โกลเด้น อเวนิว, โกลเด้น เพรสทีจ และ เดอะ แกรนด์ ซึ่งมีราคาตั้งแต่ไม่ถึง 2 ล้านจนถึง   50 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการอาคารสูงเชิงพาณิชยกรรม ทั้งอาคารสำนักงาน โรงแรม และเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานคร อีกหลายโครงการ อย่างเช่น อาคาร สาทรสแควร์, อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์, โครงการสามย่านมิตรทาวน์, ดิ แอสคอท สาทร แบงคอก, อาคารโกลเด้นแลนด์ และโรงแรม ดับเบิ้ลยู กรุงเทพฯ www.goldenland.co.th
ส่องศักยภาพทำเล “The Selected Kaset-Ngamwongwan By LPN”

ส่องศักยภาพทำเล “The Selected Kaset-Ngamwongwan By LPN”

ส่องศักยภาพทำเล “The Selected Kaset-Ngamwongwan By LPN”   สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียม : รถไฟฟ้าคืบหน้า-ราคาที่ดินพุ่ง-คอนโดราคาสูง สำนักวิจัย LPN เผยข้อมูลโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในปี 2560 ทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-แยกเกษตร-นวมินทร์ มี 3 โครงการ ประมาณ 1,300 ยูนิต มียอดขาย ณ วันเปิดตัว 55% สูงเป็นอันดับที่ 3 จากภาพรวมยอดขายทั้งหมดตามทำเลต่างๆในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ราคาเฉลี่ย 68,000 บ./ตร.ม. (1.85 ลบ.) โดยส่วนใหญ่จะเป็นอาคารสูง 8 ชั้น ที่ตั้งไม่ติดถนนสายหลัก หรือใกล้สถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย หากพิจารณาภาพรวม Supplyทั้งหมดในทำเลนี้ มี 22 โครงการ 13,000 ยูนิต มี Demand ดูดซับไปแล้วกว่า 90% ราคาขายเฉลี่ยประมาณ 80,000บาทต่อตารางเมตร และในอนาคตจะมี Supply ใหม่จากผู้ประกอบการรายใหญ่เตรียมเข้าตลาดอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณถนนพหลโยธินช่วงห้าแยกลาดพร้าว-แยกรัชโยธิน ราคาเฉลี่ย 140,000 บ./ตร.ม. โดยสาเหตุหลักมาจากความคืบหน้างานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย(หมอชิต-คูคต) ประมาณ 20% และคาดว่าจะเปิดให้ใช้บริการได้ในปี 2563 ประกอบกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง(บางซื่อ-รังสิต) ที่วิ่งคู่ขนานไปกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย(หมอชิต-คูคต) ก็มีความคืบหน้างานก่อสร้างไปมากแล้วเช่นกันประมาณ 55% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดผู้ประกอบการนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายใหญ่และรายย่อยเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมกันเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันราคาที่ดินก็สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะแปลงที่ดินติดถนนพหลโยธิน ช่วงห้าแยกลาดพร้าว-แยกรัชโยธิน 600,000-950,000 บ./ตร.ว. ช่วงแยกรัชโยธิน-แยกเกษตร 500,000-650,000 บ./ตร.ว. นั่นคือต้นทุนสำคัญในการพัฒนาโครงการคอนโดฯ ซึ่งจะส่งผลต่อราคาขายคอนโดมิเนียมสูงมากขึ้นตามไปด้วย ในอนาคตในทำเลนี้คงจะหาคอนโดมิเนียมราคา 1-3 ลบ. ได้ยากมากขึ้น อาจจะต้องขยับขยายไปทางถนนงามวงศ์วาน และถนนเกษตร-นวมินทร์ เพื่อให้ราคาขยับลงมาและวัยเริ่มต้นทำงานสามารถจับต้องได้   ศักยภาพทำเล : รถไฟฟ้า 2 สาย ศูนย์การค้า 3 แห่ง และ 4 มหาวิทยาลัยดัง             จุดเด่นของทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-แยกเกษตร-นวมินทร์ นอกจากโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย 2สาย คือสายสีเขียว(หมอชิต-คูคต) และรถไฟฟ้าสายสีแดง(บางซื่อ-รังสิต) ที่สร้างความน่าสนใจให้ย่านนี้แล้วนั้น ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างมากมายที่ช่วยเพิ่มศักยภาพของทำเลนี้ให้มีความน่าอยู่อาศัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ 3 แห่ง Central ลาดพร้าว, Union Mall และ Major รัชโยธิน และรายล้อมไปด้วยมหาวิทยาลัยชื่อดัง 4แห่ง ม.ราชภัฏจันทรเกษม, ม.เกษตรศาสตร์, ม.ศรีปทุม และม.ธุรกิจบัณฑิต ประกอบกับอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งงานสำคัญของทำเลนี้ เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ หรือ SCB PARK การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสำนักงานใหญ่ กรมป่าไม้ การทางพิเศษฯ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และกรมยุทธโยธา
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ทุ่มงบลงทุนกว่า 1,700 ล้านบาท ปักหมุดโครงการใหม่ย่านใจกลางรัชดา “มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO19 RATCHADA19-VIPHA)”

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ทุ่มงบลงทุนกว่า 1,700 ล้านบาท ปักหมุดโครงการใหม่ย่านใจกลางรัชดา “มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO19 RATCHADA19-VIPHA)”

กรุงเทพฯ 2 มิถุนายน 2560 – บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรมากว่า 18 ปี เปิดตัวโครงการ มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO 19 RATCHADA 19-VIPHA) คอนโดมีเนียมแบบโลวไรส์ (Low Rise) โครงการที่ 8 ในกลุ่มมาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES)บนทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 1,700 ล้านบาท โดดเด่นด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘อินดัสเตรียล เอลลิแกนท์’ (Industrial Elegance) สะท้อนนิยามการใช้ชีวิตที่มีคุณค่าอย่างพิถีพิถันและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามแบบฉบับของคนเมือง เปิดให้ชมห้องตัวอย่างได้ที่โครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2560 และมีงาน Pre-sale ในวันที่ 24-25 มิถุนายน 2560 พร้อมมอบสิทธิพิเศษส่วนลดเงินสด 10,000 บาท สำหรับผู้ลงทะเบียนผ่านออนไลน์ นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจของพื้นที่ทำเลแถบรัชดาที่นับว่ากำลังถูกพัฒนาให้เป็นย่านธุรกิจแห่งใหม่หรือ New CBD ด้วยการเข้าถึงของ MRT และแวดล้อมไปด้วยย่านธุรกิจที่สำคัญ เช่น อาคารสำนักงาน อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตึก AIA Capital Center ตึกเมืองไทย-ภัทร สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมไปถึงแหล่งจับจ่ายของคนเมือง อาทิ ตลาดนัดรถไฟรัชดา เอสพลานาด รัชดาฯ เดอะ สตรีท รัชดา ตลาดห้วยขวาง เซ็นทรัล พระราม 9 ร้านอาหาร และคาเฟ่ที่มีให้เลือกสรรอย่างหลากหลาย โดยมูลค่าพื้นที่บริเวณโครงการได้สูงขึ้นมากกว่าเกือบ 30% เมื่อเทียบกับช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จึงถือว่าคุ้มค่ามากกับการเลือกลงทุน” มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO 19 RATCHADA 19-VIPHA) เป็นคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ (Low Rise) ความสูง 8 ชั้น บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ พรั่งพร้อมด้วยพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกมากที่สุดภายใต้แบรนด์ มาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES) โดดเด่นด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘อินดัสเตรียล เอลลิแกนท์’ (Industrial Elegance) ให้ความรู้สึกเท่ห์แต่ยังคงความหรูหรา มีความแตกต่างอย่างลงตัว แต่ยังคงเอกลักษณ์ ‘Classic With A Modern Twist’ ของแบรนด์มาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES) ที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมคลาสสิคแบบยุโรปกับเส้นสายทันสมัยเข้าไว้ด้วยกัน  โดยห้องชุดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่ประเภท 1 ห้องนอน และ 2 ห้องนอน  หน้าห้องกว้าง 5-12 เมตรและประตูบานเลื่อนที่สามารถปรับได้ตาม function การใช้งานและ Layout แบบหลากหลาย  พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นคลับเฮาส์ครบวงจร ประกอบด้วย ห้องสมุด, พื้นที่สร้างสรรค์งาน (Co-Working Space), ห้องสตีมและห้องซาวน่า, ฟิตเนสและลานโยคะ (Yoga Terrace Area), และสระว่ายน้ำยาวถึง 25 เมตร ลานบาร์บีคิวบนดาดฟ้าอาคารพักอาศัยทั้ง 4 อาคาร ทางวิ่งออกกำลัง (Jogging Track) และสวนขนาดใหญ่ รวมถึงบริการรถรับส่ง (Shuttle service)  เป็นต้น “กลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการนี้จะเน้นไปที่ครอบครัวขนาดเล็กและคนวัยทำงานที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองหรือลงทุนด้วยทำเลที่อยู่ใจกลางย่านธุรกิจ การเดินทางออกได้หลายเส้นทาง และใกล้ออฟฟิศต่างๆ อีกทั้ง มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา เป็นโครงการที่มีพื้นที่มากที่สุด และ สิ่งอำนวยความสะดวก (Facility) จัดเต็มที่สุดของมาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES) ที่คุ้มค่ากับราคา” นางสาวเพชรลดากล่าว เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พิถีพิถันในการออกแบบโดยใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และบ่งบอกถึงตัวตนของคนรุ่นใหม่ผ่านที่อยู่อาศัย เริ่มตั้งแต่การเลือกทำเลการจัดตั้งโครงการ ซึ่ง มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO 19 RATCHADA 19-VIPHA) ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 5 ไร่ ด้วยจำนวนห้องชุดทั้งหมด 560 ยูนิต บนทำเลใจกลางกรุงเทพฯ เดินทางสะดวกสบายเพียง 650 เมตรจากตัวโครงการฯ ถึงสถานี MRT รัชดาภิเษก พร้อมบริการรถรับ-ส่งจากโครงการ และเส้นทางเชื่อมต่อด้วยรถยนต์ส่วนตัวที่สามารถเข้าออกได้หลายเส้นทางเชื่อมต่อไปยัง ถนนวิภาวดีรังสิต  ถนนรัชดาภิเษก และถนนลาดพร้าว โครงการ มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา เป็นโครงการที่ 8 ในกลุ่มมาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES) ซึ่งโครงการที่เปิดตัวไปทั้งหมดก่อนหน้านี้ได้แก่ มาเอสโตร 01 สาทร-เย็นอากาศ, มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี, มาเอสโตร 03 รัชดา-พระราม 9, มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ, มาเอสโตร 12 ราชเทวี, มาเอสโตร 14 สยาม-ราชเทวี และ มาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39 ซึ่งโครงการมาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภาเปิดให้ชมห้องตัวอย่างได้ที่โครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2560 และมีงาน Pre-sales ในวันที่ 24 - 25 มิถุนายน 2560 พร้อมมอบสิทธิพิเศษส่วนลดเงินสด 10,000 บาท สำหรับผู้ลงทะเบียนผ่านออนไลน์ ผู้ที่สนใจโครงการสามารถติดต่อได้ที่ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โทร 02-116-1111 หรือ เว็บไซต์ http://www.mde.co.th
เอสซีฯ แนะนำโครงการ VENUE (เวนิว) พระราม 5-2 บ้านเดี่ยวสไตล์ Modern Japanese Design ทำเลใหม่ ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท

เอสซีฯ แนะนำโครงการ VENUE (เวนิว) พระราม 5-2 บ้านเดี่ยวสไตล์ Modern Japanese Design ทำเลใหม่ ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการ VENUE (เวนิว) พระราม 5-2 ภายใต้แนวคิดโฆษณา “บ้านที่ความสุขเติบโต ไปพร้อมกับคุณ” โดยโครงการตั้งอยู่บนถนนนครอินทร์ บนพื้นที่ 20-2-7 ไร่ มูลค่าโครงการ 760 ล้านบาท จำนวน 90 ยูนิต ราคาเริ่ม 5.99 ล้านบาท เปิดจองครั้งแรก วันที่ 3-4 มิ.ย.นี้ โครงการ VENUE (เวนิว) พระราม 5-2  เป็นบ้านเดี่ยวสไตล์ Modern Japanese Design ที่สะท้อนความเรียบง่ายในแบบญี่ปุ่น  พร้อมกับฟังก์ชั่น ROBI นวัตกรรมที่ปรับเปลี่ยนเพิ่ม Value พื้นที่เฉลียงหน้าบ้านให้กลายเป็นพื้นที่สำหรับถอดรองเท้าได้อย่างเป็นสัดส่วน  การออกแบบได้เน้นให้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ สงบร่มรื่น พร้อมพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางเป็นสัดส่วนลงตัวกับทุกไลฟ์สไตล์  มีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ด้วย Double Security เข้า-ออกโครงการระบบ Easy Pass, CCTV กล้องวงจรปิดทั่วโครงการ, สัญญาณกันขโมยในตัวบ้านระบบ Magnetic Sensor และ Shock Sensor พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ คลับเฮ้าส์, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ, สวนส่วนกลาง อีกทั้งใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการทั้ง สถานีรถไฟฟ้าติวานนท์, โรงพยาบาล, โรงเรียน และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ตอบสนองไลฟ์สไตล์ความสะดวกสบายอย่างลงตัว บนทำเลศักยภาพเชื่อมต่อทุกความสุขได้ง่ายๆ ในสังคมส่วนตัว แบบบ้านจำนวน 4 แบบ ขนาดตั้งแต่ 3-4 ห้องนอน, 3 ห้องน้ำ,  2-3 ที่จอดรถ ได้แก่ KAISHI พื้นที่ใช้สอย 149 ตร.ม. KANZEN พื้นที่ใช้สอย 214 ตร.ม. ZENBI พื้นที่ใช้สอย 232 ตร.ม. TAKUETSU พื้นที่ใช้สอย 349 ตร.ม. พร้อมกันนี้ยังได้จัดกิจกรรม Shoot & Share ระหว่างช่วงเปิดตัว-25 มิ.ย.นี้ ด้วยการเชิญแชร์ภาพความสุข พร้อมบรรยายความสุขเรียบง่าย สไตล์ญี่ปุ่นในแบบของคุณ เพื่อชิงรางวัลกล้องฟูจิ XA3 มูลค่า 23,990 บาท จำนวน 1 รางวัล ซึ่งจะประกาศผลวันที่ 30 มิ.ย. 2560 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร.1749 หรือ www.scasset.com KAISHI พื้นที่ใช้สอย 149 ตร.ม. KANZEN พื้นที่ใช้สอย 214 ตร.ม. ZENBI พื้นที่ใช้สอย 232 ตร.ม. TAKUETSU พื้นที่ใช้สอย 349 ตร.ม.
MQDC เปิดตัว “ดิ เอสเตท ไทยแลนด์”  (The Estate Thailand)

MQDC เปิดตัว “ดิ เอสเตท ไทยแลนด์” (The Estate Thailand)

MQDC เปิดตัว “ดิ เอสเตท ไทยแลนด์”  (The Estate Thailand)  รุกธุรกิจบริการขายต่อและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรแห่งแรกในไทย  ตั้งเป้าปีแรกยอดขายกว่า 1,000 ล้านบาท   MQDC จับกลยุทธ์ขยายไลน์ธุรกิจบริการขายต่อและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ตั้งเป้าปีแรกมียอดขายกว่า 1,000 ล้านบาท ในอนาคตวางแผนขยายไปตลาดต่างประเทศ ครั้งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์กับการบริการการขายต่อและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ครอบคลุมทุกด้านในการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิต ตอบโจทย์ลูกค้าตั้งแต่เริ่มหาที่พักอาศัย รวมไปจนถึงบริการย้ายเข้า-ออก และให้บริการด้านการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตั้งแต่ทำความสะอาดไปถึงงานซ่อมบำรุง บริการที่ปรึกษาส่วนตัวในการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ (Exclusive Property Investment Consultant) ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญกว่า 20 ปี การันตีคุณภาพที่อยู่อาศัยถึง 30 ปี ภายใต้มาตรฐาน MQDC พร้อมใบประกาศนียบัตรรับรองคุณภาพ บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด เริ่มให้บริการในเดือนพฤษภาคม 2560            31 พฤษภาคม 2560 -  กรุงเทพฯ  – บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC)  ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพ แบรนด์ แมกโนเลียส์ (Magnolias)  และวิสซ์ดอม (Whizdom) เปิดตัว “บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด” ดำเนินธุรกิจด้านการบริหารการขายและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทางด้านการซื้อ-ขายที่อยู่อาศัย การลงทุน รวมถึงความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต เริ่มตั้งแต่บริการให้คำปรึกษาในการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์แบบพิเศษส่วนตัว (Exclusive Property Investment Consultant) ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี บริการหาที่พักอาศัยให้ตรงกับวัตถุประสงค์และความต้องการของลูกค้า รวมไปจนถึงบริการย้ายเข้า – ออก แบบครบวงจร และการให้บริการด้านการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตั้งแต่ทำความสะอาดไป จนถึงงานซ่อมบำรุงเบื้องต้น พร้อมทั้งการติดตามผลและบริการหลังการเข้าอยู่อาศัยของลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า             คุณอัษฏา แก้วเขียว รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ MQDC กล่าวว่า  “จากการศึกษาโครงสร้างธุรกิจฝากขาย – ให้เช่าในประเทศไทย พบว่าช่องว่างคือการสร้างความมั่นใจ และความน่าเชื่อถือของกลุ่มลูกค้า และบริการหลังการขาย ซึ่งถือเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญของวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น MQDC  ในฐานะผู้พัฒนาอสังริมทรัพย์ที่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภค เราจึงปรับแผนงานและโครงสร้างทางธุรกิจ เพื่อสอดคล้องกับความต้องการเหล่านี้ โดยจัดตั้ง บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด ที่ครอบคลุมทุกด้านในการอยู่อาศัย การลงทุน และการใช้ชีวิต โดยให้บริการและคำแนะนำตั้งแต่ก่อนขาย หลังการขาย ไปจนถึงดูแลให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด” “บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด ถือเป็นธุรกิจเสริมที่จะมาช่วยสร้างความเป็นเลิศในการให้บริการลูกค้า การให้บริการด้านการขาย ให้เช่า และเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจัง เราดูแลตั้งแต่การวิเคราะห์ที่อยู่อาศัยที่ลูกค้านำมาฝากไว้ให้ตรงกับความต้องการของตลาด ทั้งด้านงานออกแบบ ขนาด ที่ตั้งและราคา รวมถึงวิเคราะห์คู่แข่งอีกด้วย โดยที่บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด จะสร้างความแตกต่างด้วยการเพิ่มการดูแลการเข้าอยู่อาศัยตั้งแต่การย้ายเข้า – ออก แบบครบวงจร การให้บริการด้านการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตั้งแต่การทำความสะอาด ล้างแอร์ รวมจนถึงงานซ่อมบำรุงเบื้องต้นของที่อยู่อาศัย โดยที่อยู่อาศัยที่ได้รับการดูแลจาก บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัดและผ่านเกณฑ์การรับรองมาตราฐานของบริษัทจะได้รับใบประกาศนียบัตรพร้อมด้วย การรับประกันคุณภาพถึง 30 ปีตามโครงการ ที่ครอบคลุม 4 ด้านได้แก่ ความแข็งแรงของโครงสร้างอาคาร การรั่วซึมของหลังคา การใช้งานประตูหน้าต่าง และการรั่วซึมของท่อน้ำ ภายใต้การรับรองจาก MQDC” คุณอัษฏากล่าว
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดแผนธุรกิจครึ่งหลังปี 60 รุกหนักตลาดไฮเอนด์ ขยายพอร์ตกว่าหมื่นห้าพันล้าน ตอบโจทย์ทุกความต้องการธุรกิจอสังหาฯ

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดแผนธุรกิจครึ่งหลังปี 60 รุกหนักตลาดไฮเอนด์ ขยายพอร์ตกว่าหมื่นห้าพันล้าน ตอบโจทย์ทุกความต้องการธุรกิจอสังหาฯ

กรุงเทพฯ 2 มิถุนายน 2560 – บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับบนมากว่า 18 ปี เปิดแผนการดำเนินธุรกิจและทิศทางการดำเนินงาน 2560 ครึ่งปีหลัง ตั้งเป้าสู่การเป็นผู้นำและผู้ให้บริการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ในทุกมิติของผู้อยู่อาศัยและนักลงทุนอย่างยั่งยืน ผ่านการขยายกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ และการพัฒนาโครงการที่ครอบคลุมทั้งตลาดที่พักอาศัย และอาคารสำนักงาน นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัวโครงการใหญ่บนทำเลทองตอบโจทย์ตลาดคนกรุงยุคใหม่ที่มีการเติบโตต่อเนื่อง น.ส.เพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปีนี้ยังมีแนวโน้มที่ดี สอดคล้องกับตัวเลขจีดีพีในไตรมาสแรกที่ 3.2% โดยมีการคาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปีจะขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 3.6%  และด้วยผลจากมาตราการส่งเสริมทางด้านอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐจะช่วยให้สถานการณ์โดยรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในระดับบน เนื่องจากยังมีกลุ่มลูกค้ารวมถึงนักลงทุนทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ยังคงมองหาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทำเลใจกลางเมืองและส่วนขยายที่มีศักยภาพสูง (Expanding CBD)” “ที่ผ่านมาบริษัทฯ มุ่งสร้างสรรค์โครงการที่อยู่อาศัยทั้งแบบไฮไรส์และโลว์ไรส์ อาคารสำนักงาน และโรงแรม คุณภาพระดับ ไฮเอนด์ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด (Attention to details)  เพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นคนกรุงยุคใหม่วัยทำงานที่มีไลฟ์สไตล์โดดเด่น ต้องการความสำเร็จและความมั่นคง  มองหาสิ่งที่ดีที่สุดและคุ้มค่ามากที่สุดสำหรับตนเองและครอบครัว  ดังนั้นบริษัทฯ จึงให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพสูงสุดในทุกด้าน (Top of Class) ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้างและการตกแต่งภายในที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว บนทำเลศักยภาพใจกลางกรุงเทพมหานครที่มีมูลค่าสูง คุ้มค่าต่อการลงทุนระยะยาวเพื่ออนาคต จึงทำให้บริษัทฯสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี ผลประกอบการดำเนินธุรกิจมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนมาโดยตลอด” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จึงได้ทำการขยายกลุ่มบริษัทในเครือขึ้นอีกสี่บริษัท เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการทุกด้านของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดังต่อไปนี้ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เอสเตท จำกัด (MDE) พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (MDH) พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออาคารสำนักงาน และโรงแรม บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ตเนอร์ จำกัด (MDP) บริการด้านนิติบุคคล และบริหารอาคารสำนักงาน บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด (MDC) ที่ปรึกษาด้านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ยังได้เตรียมทุ่มเงินลงทุนอีกกว่า15,000 ล้านบาท เปิดตัวโครงการใหม่อีกกว่า 10 โครงการในปีนี้ เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ โครงการ มาเอสโตร19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO 19 RATCHADA19-VIPHA) ซึ่งเป็นคอนโดมีเนียมแบบโลวไรส์ (Low Rise) ภายใต้แบรนด์ มาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES) บนทำเลศักยภาพสูงหรือย่านรัชดาภิเษกที่จะกลายเป็น CBD แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ด้วยมูลค่าโครงการเกือบ 1,700 ล้านบาท พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างได้ที่โครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2560 และมีงาน Pre-sale ในวันที่ 24-25 มิถุนายน 2560 นอกจากนี้ทางบริษัทฯยังเตรียมเปิดโครงการที่เป็นแบรนด์ใหม่ทั้งแนวสูงและแนวราบอีกด้วย จนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมกว่า 30 โครงการ อาทิ เอ็ม ทองหล่อ 10, เอ็ม สีลม, เอ็ม ลาดพร้าว , มาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39, มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี, สำหรับโครงการที่กำลังดำเนินการพัฒนา อาทิเช่น โครงการ เอ็ม จตุจักร, มาเอสโตร 03 รัชดา-พระราม 9, มาเอสโตร 14 สยาม-ราชเทวี, มาเอสโตร 01 สาทร-เย็นอากาศ มูลค่ารวมกว่า 50,000 ล้านบาท
เปิดกลยุทธ์ 3 หมากรบ V Property

เปิดกลยุทธ์ 3 หมากรบ V Property

เปิดกลยุทธ์ 3 หมากรบ V Property   เข้าตลาดฯภายในปี 62 -ท้าชนยักษ์ชิง Segment คอนโด Luxury –เสริมแลนด์แบงก์และขุนพลฝีมือดี ครึ่งปีหลังเปิด 2 โครงการยึดทำเลรถไฟฟ้าสุขุมวิท มูลค่า 2,500 ล้านบาท           เปิดกลยุทธ์  3 หมากรบ V Property  เตรียมแต่งตัวเตรียมตลาดฯภายในปี 62 ตั้งเป้ารายได้แตะ 5,000 ล้านบาทก่อนปี 63 ท้าชนยักษ์ใหญ่อสังหาฯชิง Segment คอนโด Luxury พร้อมเสริมแลนด์แบงก์ทำเลทอง-ดึงขุนพลฝีมือดีจากค่ายใหญ่ แย้มครึ่งปีหลังเปิด 2 โครงการยึดทำเลรถไฟฟ้าสุขุมวิท มูลค่า 2,500 ล้านบาท ชูบริการ V-Service 360 องศา-ลูกค้าทุกคนคือ V-VIP  ชี้โครงการเกิดใหม่ทำเลใจกลางเมืองปรับราคาสูงขึ้นเฉลี่ย 15%              นายพรชัย เลิศอนันต์โชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (V Property) ซึ่งมีผลงานการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Luxury อาทิ H Sukhumvit 43 และ VTARA36 “Top of Low Rise Condominium at The Heart of Thonglor” กล่าววิเคราะห์สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า อนาคตคอนโดฯระดับ Luxury ที่จะสร้างขึ้นใหม่ส่วนมากจะอยู่ในทำเลใจกลางเมือง เช่น เพลินจิต, ชิดลม, หลังสวน, ทองหล่อ, สุขุมวิท 39-49 โดยจะมีการปรับราคาสูงขึ้นเฉลี่ย 15% ทั้งนี้โครงการ Luxury ใหม่ๆที่เปิดในย่านใจกลางเมืองปีนี้ราคาเฉลี่ยสูงกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตร สืบเนื่องจากต้นทุนที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกๆทำเล ต้นทุนการพัฒนาโครงการและโสหุ้ยอื่นๆยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  และเชื่อมโยงไปถึงเขตพื้นที่ต่อเนื่องที่มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่ ดินแดง พหลโยธิน พระโขนง และ ประชาชื่น ในขณะที่โครงการทำเลกรุงเทพฯชั้นนอกราคาปรับขึ้นที่ประมาณ 8 % นายพรชัย กล่าวถึงประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับการจูงจกลุ่มนักลงทุน “เรื่องของ  Rental Yield และ Capital Gain เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบจากข้อมูลตลาดบวกกับแผนยุทธศาสตร์ของ V Property แล้ว ผู้ลงทุนทุกท่านจะต้องได้กำไรจากการลงทุนอย่างแน่นอน ลูกค้า VTARA 36  มั่นใจได้เลยว่าราคาห้องชุดจะต้องสูงขึ้นกว่าปัจจุบัน และยังมีการการันตี Yield 10% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของตลาดซึ่งปัจจุบันอยู่เพียงแค่ 2-3% เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นคอนโดในซอยสุขุมวิท 36 ที่เป็นทำเลที่ตั้งของ VTARA36 นั้น ปัจจุบันคอนโดที่จะขึ้นใหม่ในปี 2560 และอนาคตอันใกล้ล้วนมีราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรมากกว่า 200,000 บาท บางโครงการมีข่าวว่ามีแนวโน้มสูงถึง 300,000 บาทต่อตารางเมตร ทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ลูกค้าที่ซื้อ VTARA36 สามารถทำกำไรได้ทันที หรือมี Capital Gain      ที่ค่อนข้างสูง” นายพรชัยกล่าวถึงผลประกอบการไตรมาส 1/2560 ว่าบริษัท V Property  ทำได้เกินเป้าที่วางไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง VTARA36 ที่ได้รับการตอบรับที่ดีมาก จนถึงขณะนี้มียอดจองมากกว่า 95 %  และได้ประกาศแผนกลยุทธ์เพื่อชิง Market Share หรือชิงเค้กคอนโดฯระดับ Luxury ประกอบด้วย 3 หมากรบ ดังนี้ หมากที่ 1 :  ตั้งเป้ารายได้แตะ 5,000 ลบ. และ เข้าตลาดฯไม่เกิน ปี 2562 กำหนดยุทธศาสตร์เน้นพัฒนาโครงการแนวสูง บริเวณรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือ สายสุขุมวิทเป็นหลัก เป้าหมายรายได้แตะ 5,000 ล้านบาทก่อนปี 2563  พร้อมทั้งตั้งเป้านำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2562 เพื่อนำเงินที่ระดมเงินทุนไปขยายธุรกิจรองรับการเติบโตในอนาคต  โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมตามกฏการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการจะนำธุรกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เชื่อว่าจะสามารถสร้างความแข็งแกร่ง ความมั่นคงและความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจและองค์กรได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้กับธุรกิจของ V Property มากขึ้นจากเดิ หมากที่ 2: ท้าชนยักษ์อสังหาฯ ชิง Segment ระดับ Luxury นายพรชัยกล่าวถึงการแข่งขันในตลาดอสังหาฯที่มีความเข้มข้นว่า  “แม้ว่าผู้ประกอบการรายใหญ่จะเข้ามาลงทุนในพื้นที่รถไฟฟ้าสายสุขุมวิทจำนวนมาก แต่บริษัทมีความได้เปรียบ ด้านมีการกำหนดราคาคอนโดฯที่สมเหตุสมผล หรือ ที่เรียกว่า “Good Investment” โดยมองว่าราคาที่ดินในเมืองโดยเฉพาะสุขุมวิทและทองหล่ออย่างไรก็ต้องมีการปรับขึ้น เพราะ Supply น้อยกว่า Demand และด้วยราคาที่ดินที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ราคาโครงการใหม่ต้องถูกกำหนดราคาที่สูงตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “รายงานวิจัยตลาดอสังหาฯ พบว่าราคาโครงการระดับ Luxury ใจกลางเมืองมีราคาสูงขึ้นที่ประมาณ 200,000 บาทต่อตารางเมตร ถ้านักลงทุนต้องการจะซื้อเพื่อปล่อยเช่าจะได้ Yield อยู่ไม่เกิน 3-4% เท่านั้น ซึ่งยังไม่นับรวมค่าส่วนกลางรายปีที่ต้องจ่าย ในส่วนของ Capital Gain ผมมองว่านักลงทุนกลุ่มนี้จะต้องมองการลงทุนระยะยาวมากกว่า 2 ปี ขึ้นไปเพื่อรอให้ราคาที่ดินและราคาตลาดคอนโดฯปรับตัวขึ้นไปก่อน จึงสามารถปล่อยขายทำกำไรได้ โดย VTARA36 และโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้อีก 2 โครงการจะต้องตอบโจทย์ดังกล่าว” CEO แห่ง V Property กล่าวเสริมว่า “เรามี Competitive Advantage ที่กลยุทธ์การมองหาทำเลของ                V Property  มุ่งเน้นเสาะหาเฉพาะทำเลดีถึงดีมากแต่ราคาที่ดินต้อง Reasonable Price จึงเป็นเหตุผลให้สามารถกำหนดรูปแบบโครงการออกมาในระดับ Luxury แต่ราคาต่ำกว่าราคาตลาดในประเภทสินค้าระดับเดียวกันได้   ด้วยเหตุนี้ลูกค้าของ V Property จะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าตลาดอยู่แล้ว โดยไม่ว่าจะซื้อคอนโด VTARA36 หรือ โครงการใดในเครือ V Property เพื่อการปล่อยเช่าหรือเพื่อขายในระยะยาวก็ล้วนแต่จะกำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดอย่างแน่นอน  นอกจากนั้น V Property ยังมีพันธมิตรที่เป็นบริษัทชั้นนำช่วยหาผู้เช่าชาวญี่ปุ่นที่ถือเป็นผู้เช่าชั้นดี อีกทั้งยังมีบริการช่วยขายห้องชุดอีกด้วย” โดยจุดเด่นของ V Property คือ สามารถดูแลลูกค้าได้อย่างทั่วถึง เนื่องจากจะบริการแค่ลูกค้าภายใน (Exclusive Service) ไม่ได้รับบริการคนภายนอก เหมือน Agent หรือบริษัทอื่นๆ ซึ่งจะทำให้การดูแลไม่ทั่วถึง โดยทั้งหมดนี้เริ่มต้นมาจากแนวคิดที่ต้องการให้ลูกค้าทุกคนเป็น V-VIP หรือ V Property – Very Important Person ซึ่งหมายถึง V Care 360 องศา ถือเป็นข้อได้เปรียบของ V Property  ที่ใช้แข่งกับยักษ์อสังหาฯรายอื่น หมากที่ 3:  เสริมแลนด์แบงก์สุดเจ๋ง + เสริมขุนพลฝีมือฉมัง “บริษัทเตรียมงัดแลนด์แบงก์บนทำเลเพชรและทำเลทองจำนวน 2 ผืนมาพัฒนา โดยผืนแรก-ทำเลเพชร เทียบได้ว่าเป็นผืนสุดท้ายบนทำเลย่านสุขุมวิทตอนกลาง เป็นที่ดินย่านชุมชนยอดนิยมาของชาวไทยและต่างชาติ ทำเลสวยงามชนิดที่ติดบันไดทางขึ้น BTS ส่วนอีกผืนที่เป็นทำเลทอง-อยู่ห่างจาก BTS ไม่กี่นาที อยู่ในย่านยอดนิยมของมนุษย์เงินเดือน ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและกำหนดคอนเซ็ปต์ออกแบบโครงการ” นายพรชัยกล่าวว่าสุดท้าย คือการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อเตรียมความพร้อม โดยขณะนี้ V Property ได้เสริมขุนพลฝีมือดีด้วยการดึงตัวมาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทุกตำแหน่งได้สกรีนด้วยตัวเอง เพราะส่วนตัวให้ความสำคัญกับ  Corporate Identity เป็นอย่างมาก