Tag : News

2376 ผลลัพธ์
ส่องศักยภาพทำเล “The Selected Kaset-Ngamwongwan By LPN”

ส่องศักยภาพทำเล “The Selected Kaset-Ngamwongwan By LPN”

ส่องศักยภาพทำเล “The Selected Kaset-Ngamwongwan By LPN”   สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียม : รถไฟฟ้าคืบหน้า-ราคาที่ดินพุ่ง-คอนโดราคาสูง สำนักวิจัย LPN เผยข้อมูลโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในปี 2560 ทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-แยกเกษตร-นวมินทร์ มี 3 โครงการ ประมาณ 1,300 ยูนิต มียอดขาย ณ วันเปิดตัว 55% สูงเป็นอันดับที่ 3 จากภาพรวมยอดขายทั้งหมดตามทำเลต่างๆในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ราคาเฉลี่ย 68,000 บ./ตร.ม. (1.85 ลบ.) โดยส่วนใหญ่จะเป็นอาคารสูง 8 ชั้น ที่ตั้งไม่ติดถนนสายหลัก หรือใกล้สถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย หากพิจารณาภาพรวม Supplyทั้งหมดในทำเลนี้ มี 22 โครงการ 13,000 ยูนิต มี Demand ดูดซับไปแล้วกว่า 90% ราคาขายเฉลี่ยประมาณ 80,000บาทต่อตารางเมตร และในอนาคตจะมี Supply ใหม่จากผู้ประกอบการรายใหญ่เตรียมเข้าตลาดอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณถนนพหลโยธินช่วงห้าแยกลาดพร้าว-แยกรัชโยธิน ราคาเฉลี่ย 140,000 บ./ตร.ม. โดยสาเหตุหลักมาจากความคืบหน้างานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย(หมอชิต-คูคต) ประมาณ 20% และคาดว่าจะเปิดให้ใช้บริการได้ในปี 2563 ประกอบกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง(บางซื่อ-รังสิต) ที่วิ่งคู่ขนานไปกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย(หมอชิต-คูคต) ก็มีความคืบหน้างานก่อสร้างไปมากแล้วเช่นกันประมาณ 55% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดผู้ประกอบการนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายใหญ่และรายย่อยเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมกันเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันราคาที่ดินก็สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะแปลงที่ดินติดถนนพหลโยธิน ช่วงห้าแยกลาดพร้าว-แยกรัชโยธิน 600,000-950,000 บ./ตร.ว. ช่วงแยกรัชโยธิน-แยกเกษตร 500,000-650,000 บ./ตร.ว. นั่นคือต้นทุนสำคัญในการพัฒนาโครงการคอนโดฯ ซึ่งจะส่งผลต่อราคาขายคอนโดมิเนียมสูงมากขึ้นตามไปด้วย ในอนาคตในทำเลนี้คงจะหาคอนโดมิเนียมราคา 1-3 ลบ. ได้ยากมากขึ้น อาจจะต้องขยับขยายไปทางถนนงามวงศ์วาน และถนนเกษตร-นวมินทร์ เพื่อให้ราคาขยับลงมาและวัยเริ่มต้นทำงานสามารถจับต้องได้   ศักยภาพทำเล : รถไฟฟ้า 2 สาย ศูนย์การค้า 3 แห่ง และ 4 มหาวิทยาลัยดัง             จุดเด่นของทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-แยกเกษตร-นวมินทร์ นอกจากโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย 2สาย คือสายสีเขียว(หมอชิต-คูคต) และรถไฟฟ้าสายสีแดง(บางซื่อ-รังสิต) ที่สร้างความน่าสนใจให้ย่านนี้แล้วนั้น ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างมากมายที่ช่วยเพิ่มศักยภาพของทำเลนี้ให้มีความน่าอยู่อาศัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ 3 แห่ง Central ลาดพร้าว, Union Mall และ Major รัชโยธิน และรายล้อมไปด้วยมหาวิทยาลัยชื่อดัง 4แห่ง ม.ราชภัฏจันทรเกษม, ม.เกษตรศาสตร์, ม.ศรีปทุม และม.ธุรกิจบัณฑิต ประกอบกับอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งงานสำคัญของทำเลนี้ เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ หรือ SCB PARK การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสำนักงานใหญ่ กรมป่าไม้ การทางพิเศษฯ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และกรมยุทธโยธา
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ทุ่มงบลงทุนกว่า 1,700 ล้านบาท ปักหมุดโครงการใหม่ย่านใจกลางรัชดา “มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO19 RATCHADA19-VIPHA)”

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ทุ่มงบลงทุนกว่า 1,700 ล้านบาท ปักหมุดโครงการใหม่ย่านใจกลางรัชดา “มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO19 RATCHADA19-VIPHA)”

กรุงเทพฯ 2 มิถุนายน 2560 – บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรมากว่า 18 ปี เปิดตัวโครงการ มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO 19 RATCHADA 19-VIPHA) คอนโดมีเนียมแบบโลวไรส์ (Low Rise) โครงการที่ 8 ในกลุ่มมาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES)บนทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 1,700 ล้านบาท โดดเด่นด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘อินดัสเตรียล เอลลิแกนท์’ (Industrial Elegance) สะท้อนนิยามการใช้ชีวิตที่มีคุณค่าอย่างพิถีพิถันและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามแบบฉบับของคนเมือง เปิดให้ชมห้องตัวอย่างได้ที่โครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2560 และมีงาน Pre-sale ในวันที่ 24-25 มิถุนายน 2560 พร้อมมอบสิทธิพิเศษส่วนลดเงินสด 10,000 บาท สำหรับผู้ลงทะเบียนผ่านออนไลน์ นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจของพื้นที่ทำเลแถบรัชดาที่นับว่ากำลังถูกพัฒนาให้เป็นย่านธุรกิจแห่งใหม่หรือ New CBD ด้วยการเข้าถึงของ MRT และแวดล้อมไปด้วยย่านธุรกิจที่สำคัญ เช่น อาคารสำนักงาน อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตึก AIA Capital Center ตึกเมืองไทย-ภัทร สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมไปถึงแหล่งจับจ่ายของคนเมือง อาทิ ตลาดนัดรถไฟรัชดา เอสพลานาด รัชดาฯ เดอะ สตรีท รัชดา ตลาดห้วยขวาง เซ็นทรัล พระราม 9 ร้านอาหาร และคาเฟ่ที่มีให้เลือกสรรอย่างหลากหลาย โดยมูลค่าพื้นที่บริเวณโครงการได้สูงขึ้นมากกว่าเกือบ 30% เมื่อเทียบกับช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จึงถือว่าคุ้มค่ามากกับการเลือกลงทุน” มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO 19 RATCHADA 19-VIPHA) เป็นคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ (Low Rise) ความสูง 8 ชั้น บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ พรั่งพร้อมด้วยพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกมากที่สุดภายใต้แบรนด์ มาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES) โดดเด่นด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘อินดัสเตรียล เอลลิแกนท์’ (Industrial Elegance) ให้ความรู้สึกเท่ห์แต่ยังคงความหรูหรา มีความแตกต่างอย่างลงตัว แต่ยังคงเอกลักษณ์ ‘Classic With A Modern Twist’ ของแบรนด์มาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES) ที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมคลาสสิคแบบยุโรปกับเส้นสายทันสมัยเข้าไว้ด้วยกัน  โดยห้องชุดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่ประเภท 1 ห้องนอน และ 2 ห้องนอน  หน้าห้องกว้าง 5-12 เมตรและประตูบานเลื่อนที่สามารถปรับได้ตาม function การใช้งานและ Layout แบบหลากหลาย  พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นคลับเฮาส์ครบวงจร ประกอบด้วย ห้องสมุด, พื้นที่สร้างสรรค์งาน (Co-Working Space), ห้องสตีมและห้องซาวน่า, ฟิตเนสและลานโยคะ (Yoga Terrace Area), และสระว่ายน้ำยาวถึง 25 เมตร ลานบาร์บีคิวบนดาดฟ้าอาคารพักอาศัยทั้ง 4 อาคาร ทางวิ่งออกกำลัง (Jogging Track) และสวนขนาดใหญ่ รวมถึงบริการรถรับส่ง (Shuttle service)  เป็นต้น “กลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการนี้จะเน้นไปที่ครอบครัวขนาดเล็กและคนวัยทำงานที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองหรือลงทุนด้วยทำเลที่อยู่ใจกลางย่านธุรกิจ การเดินทางออกได้หลายเส้นทาง และใกล้ออฟฟิศต่างๆ อีกทั้ง มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา เป็นโครงการที่มีพื้นที่มากที่สุด และ สิ่งอำนวยความสะดวก (Facility) จัดเต็มที่สุดของมาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES) ที่คุ้มค่ากับราคา” นางสาวเพชรลดากล่าว เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พิถีพิถันในการออกแบบโดยใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และบ่งบอกถึงตัวตนของคนรุ่นใหม่ผ่านที่อยู่อาศัย เริ่มตั้งแต่การเลือกทำเลการจัดตั้งโครงการ ซึ่ง มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO 19 RATCHADA 19-VIPHA) ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 5 ไร่ ด้วยจำนวนห้องชุดทั้งหมด 560 ยูนิต บนทำเลใจกลางกรุงเทพฯ เดินทางสะดวกสบายเพียง 650 เมตรจากตัวโครงการฯ ถึงสถานี MRT รัชดาภิเษก พร้อมบริการรถรับ-ส่งจากโครงการ และเส้นทางเชื่อมต่อด้วยรถยนต์ส่วนตัวที่สามารถเข้าออกได้หลายเส้นทางเชื่อมต่อไปยัง ถนนวิภาวดีรังสิต  ถนนรัชดาภิเษก และถนนลาดพร้าว โครงการ มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา เป็นโครงการที่ 8 ในกลุ่มมาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES) ซึ่งโครงการที่เปิดตัวไปทั้งหมดก่อนหน้านี้ได้แก่ มาเอสโตร 01 สาทร-เย็นอากาศ, มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี, มาเอสโตร 03 รัชดา-พระราม 9, มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ, มาเอสโตร 12 ราชเทวี, มาเอสโตร 14 สยาม-ราชเทวี และ มาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39 ซึ่งโครงการมาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภาเปิดให้ชมห้องตัวอย่างได้ที่โครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2560 และมีงาน Pre-sales ในวันที่ 24 - 25 มิถุนายน 2560 พร้อมมอบสิทธิพิเศษส่วนลดเงินสด 10,000 บาท สำหรับผู้ลงทะเบียนผ่านออนไลน์ ผู้ที่สนใจโครงการสามารถติดต่อได้ที่ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โทร 02-116-1111 หรือ เว็บไซต์ http://www.mde.co.th
จุฬาฯ พัฒนาเครื่องมือวัดความไว้วางใจแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ CU-BTI สำเร็จเป็นครั้งแรก

จุฬาฯ พัฒนาเครื่องมือวัดความไว้วางใจแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ CU-BTI สำเร็จเป็นครั้งแรก

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประสบผลสำเร็จเป็นครั้งแรกในการพัฒนาเครื่องมือวัดความไว้วางใจแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ CU-BTI (Chulalongkorn University: Brand Trust Index) ว่าแบรนด์ใดได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากที่สุด ผ่านกระบวนการวิจัยอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ ด้วยการนำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index) เครื่องมือวัดความไว้วางใจ (Trust Barometer) และส่วนประสมการตลาดบริการ (Service Marketing Mix) มาผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเครื่องมือสถิติชั้นสูงเพื่อกลั่นกรองให้เกิดเครื่องมือดัชนีความไว้วางใจแบรนด์ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเชื่อถือได้ และถูกต้องอย่างเป็นวิชาการ     ศ. ดร.กุณฑลี  รื่นรมย์ และ ดร.เอกก์  ภทรธนกุล คณะผู้วิจัยจากภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ร่วมเผยว่า “อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในไทยมีขนาดใหญ่กว่า 800,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา จึงถือเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่สำคัญ แม้ว่าในตลาดจะมีการแข่งขันโดยแบรนด์ที่แข็งแกร่งจำนวนมาก แต่ยังไม่มีเครื่องมือที่จะสามารถช่วยวัดผลอย่างชัดเจนว่าแบรนด์ใดได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากที่สุด และมีปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อความไว้วางใจของผู้บริโภคในอุตสาหกรรมนี้ จึงได้พัฒนางานวิจัยในการสร้างเครื่องมือดัชนีความไว้วางใจแบรนด์ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เรียกว่า CU-BTI(Chulalongkorn University: Brand Trust Index) เครื่องมือนี้แสดงให้เห็นถึงปัจจัยที่มีผลต่อความไว้วางใจแบรนด์ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ โดยใช้เวลา 18 เดือนในการพัฒนา โดยผ่านกระบวนการวิจัยอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ”   ผลวิจัยดัชนีความไว้วางใจแบรนด์ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ประจำปี 2560 (Thailand’s Top Brand Trust Index in the Real Estate Industry 2017) โดยจำแนกตามประเภทที่อยู่อาศัย ผลปรากฏว่า บ้านเดี่ยว ได้แก่    แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และพฤกษา ทาวน์เฮ้าส์ ได้แก่    แสนสิริ คอนโดมิเนียม ได้แก่ อนันดา และศุภาลัย โดยทั้ง 5 แบรนด์มีค่าดัชนีความไว้วางใจแบรนด์ที่ร้อยละ 81 ผลงานวิจัยในครั้งนี้ นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับวงการอสังหาริมทรัพย์ โดยผู้ประกอบการธุรกิจสามารถนำไปใช้เพื่อวัดความไว้วางใจของผู้บริโภค และนำไปสู่การกำหนดกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต
จุฬาฯ พัฒนาเครื่องมือวัดความไว้วางใจแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ CU-BTI สำเร็จเป็นครั้งแรก

จุฬาฯ พัฒนาเครื่องมือวัดความไว้วางใจแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ CU-BTI สำเร็จเป็นครั้งแรก

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประสบผลสำเร็จเป็นครั้งแรกในการพัฒนาเครื่องมือวัดความไว้วางใจแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ CU-BTI (Chulalongkorn University: Brand Trust Index) ว่าแบรนด์ใดได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากที่สุด ผ่านกระบวนการวิจัยอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ ด้วยการนำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index) เครื่องมือวัดความไว้วางใจ (Trust Barometer) และส่วนประสมการตลาดบริการ (Service Marketing Mix) มาผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเครื่องมือสถิติชั้นสูงเพื่อกลั่นกรองให้เกิดเครื่องมือดัชนีความไว้วางใจแบรนด์ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเชื่อถือได้ และถูกต้องอย่างเป็นวิชาการ ศ. ดร.กุณฑลี  รื่นรมย์ และ ดร.เอกก์  ภทรธนกุล คณะผู้วิจัยจากภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ร่วมเผยว่า “อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในไทยมีขนาดใหญ่กว่า 800,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา จึงถือเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่สำคัญ แม้ว่าในตลาดจะมีการแข่งขันโดยแบรนด์ที่แข็งแกร่งจำนวนมาก แต่ยังไม่มีเครื่องมือที่จะสามารถช่วยวัดผลอย่างชัดเจนว่าแบรนด์ใดได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากที่สุด และมีปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อความไว้วางใจของผู้บริโภคในอุตสาหกรรมนี้ จึงได้พัฒนางานวิจัยในการสร้างเครื่องมือดัชนีความไว้วางใจแบรนด์ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เรียกว่า CU-BTI (Chulalongkorn University: Brand Trust Index) เครื่องมือนี้แสดงให้เห็นถึงปัจจัยที่มีผลต่อความไว้วางใจแบรนด์ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ โดยใช้เวลา 18 เดือนในการพัฒนา โดยผ่านกระบวนการวิจัยอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ” ผลวิจัยดัชนีความไว้วางใจแบรนด์ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ประจำปี 2560 (Thailand’s Top Brand Trust Index in the Real Estate Industry 2017) โดยจำแนกตามประเภทที่อยู่อาศัย ผลปรากฏว่า บ้านเดี่ยว ได้แก่    แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และพฤกษา ทาวน์เฮ้าส์ ได้แก่    แสนสิริ คอนโดมิเนียม ได้แก่ อนันดา และศุภาลัย โดยทั้ง 5 แบรนด์มีค่าดัชนีความไว้วางใจแบรนด์ที่ร้อยละ 81 ผลงานวิจัยในครั้งนี้ นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับวงการอสังหาริมทรัพย์ โดยผู้ประกอบการธุรกิจสามารถนำไปใช้เพื่อวัดความไว้วางใจของผู้บริโภค และนำไปสู่การกำหนดกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต
แสนสิริ ตอกย้ำศักยภาพ 98 Wireless  ผ่านทิศทางการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ไทย จากบทวิเคราะห์ในงาน ‘Global Luxury Property Market Research 2017’

แสนสิริ ตอกย้ำศักยภาพ 98 Wireless ผ่านทิศทางการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ไทย จากบทวิเคราะห์ในงาน ‘Global Luxury Property Market Research 2017’

แสนสิริ จัดงาน ‘Global Luxury Property Market Research 2017’ ณ โครงการ 98 WIRELESS เผยบทวิเคราะห์จากหลากหลายผลสำรวจที่มีความสอดคล้องกันจาก 4 เอเจนซี่ชั้นนำของไทย - ต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจาก Global Property Guide, Knight Frank, Numbeo และ PLUS Property (บริษัทพลัส พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด) ที่ยืนยันถึงศักยภาพของอสังหาริมทรัพย์ไทยที่โดดเด่น และดึงดูดกลุ่มลูกค้าจากทั่วโลก ซึ่งเป็นปัจจัยเกื้อหนุนตลาดต่างชาติให้ความสนใจโครงการ 98 WIRELESS โครงการแฟล็กชิพคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดในประเทศไทยและตะวันออกเฉียงใต้ โดยถือเป็นโอกาสสำคัญซึ่งหาได้ยากยิ่งที่เปรียบได้กับการได้ครอบครองผลงานศิลปะอันเปี่ยมคุณค่า นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ใน Prime Area นับเป็นอีกทางเลือกในการลงทุนของบุคคลในระดับ Ultra-High Net worth Individual (UHNWI) หรือบุคคลธรรมดาที่มีสินทรัพย์สุทธิในระดับสูง ซึ่งแต่เดิมนักลงทุนต่างชาติหรือแม้แต่ในประเทศไทยกลุ่มนี้จะสนใจลงทุนในเมืองที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ ของโลก เพราะมีอัตรา Capital Appreciation ในแง่ของราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เปรียบเทียบให้เห็นภาพการเติบโตด้านราคาของห้องเพนเฮาส์ในเมืองสำคัญต่างๆ ในรอบ 5 ปี ระหว่าง 2011-2016 อาทิ ในมหานครนิวยอร์คที่อสังหาริมทรัพย์ที่ราคาสูงสุดราคาแตกต่างกันถึง 41% จาก 2,855,134 บาท/ตร.ม.เป็น 4,022,163 บาท/ตร.ม. เช่นเดียวกับในบริเวณ The Peak ฮ่องกง ที่ราคาเพิ่มขึ้นถึง 71% และในลอนดอนที่เพิ่มขึ้น 68% ในขณะที่ปัจจุบันประเทศไทย ได้กลายเป็นอีกหนึ่งประเทศที่นักลงทุนชาวต่างชาติสนใจ เห็นได้จากห้องเพนเฮาส์ที่มีราคาสูงสุดของโครงการ 98 WIRELESS มีราคาขายอยู่ที่ 666,666 บาท/ตร.ม. ซึ่งเป็นราคาที่สูงขึ้นถึง 65% เทียบจากห้องเพนเฮาส์ในโครงการที่ราคาสูงสุดในประเทศไทยในปี 2011 โดยทั้งสองโครงการอยู่ในย่าน CBD ของกรุงเทพมหานคร แสดงให้เห็นความสำคัญของปัจจัยด้านทำเลที่มีผลต่อราคา Capital Appreciation” นายอุทัย กล่าวเสริมอีกว่า “เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยที่สำคัญต่อการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์สำหรับกลุ่มผู้ซื้อในตลาดต่างชาติ ประเทศไทยนับว่ามีความพร้อมอย่างรอบด้านเมื่อเทียบกับประเทศที่มีความโดดเด่นในด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทั้งในแง่ทำเล ทั้งที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียน ความพร้อมในระบบสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม สำหรับทั้งการอยู่อาศัยและการลงทุนภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีโครงการเปิดขายในตลาดมากกว่าประเทศอื่น ที่สำคัญคือ กฏหมายของไทยที่เอื้อต่อชาวต่างชาติในการซื้อขายและถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน นอกจากนี้เมื่อพิจารณาในภูมิภาคอาเซียน กรุงเทพฯ นับว่าเป็นเมืองที่มีทั้งอุปสงค์และอุปทานในตลาดอสังหาริมทรัพย์มากกว่าเมืองสำคัญอื่นๆ ทั้งหมด” ทั้งนี้ข้อมูลจาก www.globalpropertyguide.com ระบุว่า ประเทศที่มีตลาดอสังหาริมทรัพย์สำคัญของโลก อย่างสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และในแถบเอเชีย อย่างสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง ต่างมีราคาอสังหาริมทรัพย์สูงกว่าไทยมาก ในอัตราเฉลี่ยตั้งแต่ 2-6 เท่า เมื่อพิจารณาในแง่การลงทุน ประเทศไทยจึงให้ความคุ้มค่ามากกว่า โดยเฉพาะในตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับบนที่มีความต้องการและราคาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มพัฒนาและเติบโตได้ เมื่อพิจารณาลึกลงมาที่อสังหาริมทรัพย์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ในทำเลใจกลางเมือง ราคาต่อพื้นที่ของอสังหาริมทรัพย์ระดับนี้ จะต่ำกว่าในเมืองสำคัญอื่น ๆ ทั้งในเอเชียและทั่วโลก ยกตัวอย่าง 98 WIRELESS โครงการแฟล็กชิพคอนโดมิเนียมจากแสนสิริได้ชื่อว่าเป็นโครงการที่ดีที่สุดในประเทศไทยและตะวันออกเฉียงใต้ โดยเปรียบเทียบในราคา 70 ล้านบาท จะได้พื้นที่ขนาด 121 ตร.ม. ซึ่งเปรียบเทียบกับเมืองอื่นๆที่มูลค่าจำนวนเดียวกันนี้ จะสามารถซื้อห้องที่มีขนาดพื้นที่เล็กกว่า เทียบจากราคาเฉลี่ยคอนโดฯในเมืองอื่นๆในย่านศูนย์กลางธุรกิจใจกลางเมืองหรือ CBD ไม่ว่าจะเป็น ฮ่องกง (40 ตร.ม.) นิวยอร์ค (52 ตร.ม.) ลอนดอน 60 (ตร.ม.) สิงคโปร์ (86 ตร.ม.) และปักกิ่ง (116 ตร.ม.) นอกจากนี้ ข้อมูลจาก www.realist.co.th ชี้ว่าเมื่อพื้นที่ที่เป็นทำเลทอง และมีที่ดินซึ่งสามารถพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้เหลือน้อยลง ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์จะพุ่งขึ้นในอัตราสูง อาทิ ถนนวิทยุที่มีแนวโน้มการปรับราคาซื้อขายที่ดินสูงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในฮ่องกง และสิงคโปร์ เห็นได้จากอัตราส่วนต่างกำไร (Capital Gain) ตั้งแต่ปี 2554 – 2558  ของที่ดินโซนวิทยุที่เติบโตขึ้นถึง 36% เพิ่มขึ้นจาก 1,400,000 บาท เป็น 1,900,000 บาทต่อตารางวา โดยล่าสุดได้มีความเคลื่อนไหวในการซื้อที่ดินสถานทูตอังกฤษ 25 ไร่ ที่ราคากว่า 2 ล้านบาทต่อตารางวา* นับเป็นสถิติมูลค่าการซื้อขายที่ดินที่สูงที่สุดในประเทศไทย สูงกว่าเมื่อเทียบกับทำเลใจกลางเมืองย่านอื่น ๆ ในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็น สุขุมวิทช่วงต้น สีลม สุขุมวิทโซนอโศก สุขุมวิทใกล้เอกมัย ที่ปัจจุบันมีราคา 1,850,000 บาท/ตารางวา 1,600,000 บาท/ตารางวา 1,100,000 บาท/ตารางวา และ 950,000 บาท/ตารางวา  ตามลำดับ (*หมายเหตุ : อ้างอิงจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่) นอกจากเรื่องราคาที่ดินที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายอุทัย ยังให้มุมมองเกี่ยวกับการมองเทรนด์อสังหาริมทรัพย์ในองค์รวมว่า "ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา คือตั้งแต่ปี 2557-2559 ราคาคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานคร ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ที่ราคามากกว่า 300,000 บาท/ตารางเมตร มีราคาเพิ่มขึ้นถึง 10% ซึ่งถือว่ามีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียมในเซ้กเม้นท์อื่นๆที่บวกมากสุดแค่ 2% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทำเลทองย่านเพลินจิตชิดลมที่คอนโดมิเนียมเซ้กเม้นต์นี้มีอัตราดูดซับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จาก 4.36% ในปี 2556 เป็น 24.0% ในปี 2559 เมื่อเทียบกับสุขุมวิทที่ 19.73% หรือสีลมสาทรที่ 4.30% อย่างไรก็ตามส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลังสวน วิทยุ เป็นทำเลที่ผู้ซื้อต่างชาติคุ้นเคยเป็นอย่างดี ทั้งนี้ หากเริ่มพัฒนาโครงการต่างๆโดยใช้มาตรฐานและทำเลแบบเดียวกับ 98 WIRELESS ในวันนี้ จะต้องตั้งราคาขายอย่างน้อย 700,000 บาท/ตารางเมตร เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งปัจจัยราคาที่ดินที่บนถนนวิทยุที่เพิ่มจาก 1.5 เป็น 2.5 ล้านบาท/ตารางวา ผนวกกับต้นทุนด้านค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน  รวมทั้ง ทรัพยากร และ งานศิลปะ บางอย่างที่ไม่สามารถหาได้แล้ว ซึ่งเมื่อดูเปรียบเทียบกับราคาขายเฉลี่ยของ 98 WIRELESS ปัจจุบันที่ 580,000 บาท/ตารางเมตร แล้วนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์น่าจะได้รับผลกำไรจาก Capital Appreciation แน่นอน” เหนือสิ่งอื่นใด ในฐานะโครงการที่ได้คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดมาเพื่อมอบสุนทรียรสแห่งการใช้ชีวิตที่ละเมียดละไมสูงสุดแก่ผู้พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ บนทำเลใจกลางเมืองที่หาได้ยากยิ่งและมีราคาสูงสุดในกรุงเทพฯ สะท้อนถึงความคุ้มค่าต่อการลงทุนในระยะยาว การออกแบบอันโดดเด่น และการบริการหลังการขายที่สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะกลุ่ม 98 WIRELESS จึงได้รับความสนใจและสร้างกระแสความต้องการจากผู้ซื้อในตลาดระดับบนทั่วโลก ซึ่งนิยมซื้อหาและสะสมอสังหาริมทรัพย์ที่มีความพิเศษโดดเด่น ทรงคุณค่า เปรียบได้กับผลงานศิลปะล้ำค่า วัตถุหายาก เพื่อประสบการณ์แห่งการพักอาศัยที่ดีที่สุด และเป็นมรดกล้ำค่าที่ส่งมอบไปสู่ลูกหลาน โครงการ 98 WIRELESS ได้พัฒนาการออกแบบจากรูปแบบของงานสถาปัตยกรรม ที่ได้รับความนิยมตลอดกาลสำหรับโครงการที่พักอาศัยในเซ็กเมนต์นี้ คือการตีความของนิยามความหรูหราที่มีความคลาสสิคเหนือกาลเวลา พร้อมกับการผสมผสานวัสดุธรรมชาติเข้ากับเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างลงตัว ด้วยการสร้างสรรค์ขึ้นในสไตล์โบซาร์ (Beaux-Arts) ซึ่งผสมผสานกับความเรียบหรูของการออกแบบภายใน รวมถึงการคัดสรรวัสดุคุณภาพที่ดีที่สุดจากทุกมุมโลก การใช้บริษัทที่ปรึกษาและบริษัทดีไซน์ระดับโลกมากมาย และยังเป็นโครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในประเทศไทย ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานตามหลักเกณฑ์การประเมินอาคารเขียวของสหรัฐอเมริกา (LEED: Leadership in Energy and Environmental Design) ในด้านความคุ้มค่าต่อการลงทุน ลูกค้าในเซ็กเมนต์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ส่วนใหญ่มักมีที่อยู่อาศัยหรืออสังหาริมทรัพย์มากกว่า 1 แห่ง ดังนั้น การซื้ออสังหาริมทรัพย์จึงเป็นมากกว่าการอยู่อาศัยหรือบ้านหลังที่สอง หรือบ้านสำหรับพักอาศัยในวันหยุดพักผ่อน แต่ยังถือเป็นการลงทุนในระยะยาวเพื่อส่งต่อเป็นมรดกล้ำค่าที่ส่งต่อไปสู่รุ่นต่อไปได้ นอกจากนี้ โครงการ 98 WIRELESS ยังมีความพิเศษตรงที่ผู้ซื้อสามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ (Freehold) ซึ่งหาได้ยากมากบนถนนสายนี้อีกด้วย และอีกปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้โครงการ 98 WIRELESS ได้นำเสนอการบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟในหลายรูปแบบซึ่งยังไม่เคยปรากฏมาก่อนในโครงการระดับซูเปอร์ลักชัวรีในเมืองสำคัญ ๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกกับบริการผู้ช่วยส่วนตัวประจำโครงการจาก Quintessentially ที่มีชื่อเสียงระดับโลก หรือรถ ‘เบนท์ลี่ย์’ ที่สั่งทำเป็นพิเศษ มาเพื่อเป็นรถลิมูซีนประจำโครงการให้ผู้พักอาศัยทุกยูนิตสามารถใช้บริการได้ บริการจอดรถแบบ Valet Parking รวมถึงที่จอดรถใต้ดินที่สามารถรองรับได้ถึง 240% และที่จอดรถสำหรับซูเปอร์คาร์โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีบริการลิฟต์ส่วนตัวพร้อมโถงลิฟท์สำหรับทุกยูนิต และระบบการควบคุมการสั่งงาน Home Automation และการบริการพิเศษอื่นๆ  ภายใต้รูปแบบ Home Service Application แสนสิริเชื่อว่าด้วยปัจจัยสนับสนุนด้านบวกทั้งจากแนวโน้มการเติบโตและศักยภาพของอสังหาริมทรัพย์ระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ของไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับความเป็น The Best Comes as Standard ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ของโครงการ 98 WIRELESS ที่มอบความเป็นเลิศในทุกบริบท จะช่วยให้แสนสิริมีความได้เปรียบในการแข่งขันบนเวทีระดับโลกในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับสากล พร้อมต่อยอดความสำเร็จในระดับโลกเพื่อให้บรรลุรายได้ 8,000 ล้านบาทจากตลาดต่างชาติที่ตั้งเป้าไว้สำหรับปีนี้ อีกทั้งโครงการ 98 WIRELESS ยังเป็นตัวสะท้อนถึงศักยภาพของโครงการระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ไทยที่มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับโลก ทั้งในด้านการอยู่อาศัยที่เหนือระดับและโอกาสในการเติบโตของการลงทุนระยะยาว
พลัสฯ เพิ่มโอกาสช็อปคอนโดฯ ทำเลทองกว่า 100 โครงการ ที่งาน Next Station Your Condo วันที่ 9-11 มิ.ย.

พลัสฯ เพิ่มโอกาสช็อปคอนโดฯ ทำเลทองกว่า 100 โครงการ ที่งาน Next Station Your Condo วันที่ 9-11 มิ.ย.

บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เตรียมจัดงาน  Next Station Your Condo ครั้งที่ 4 ภายใต้คอนเซปต์ “เลือกอย่างที่ใช่ ได้อย่างที่คิด” ในวันที่ 9-11 มิถุนายน 2560 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ชั้น 1 พบกับโครงการคุณภาพภายใต้การดูแลของบริษัทสำหรับขายและปล่อยเช่ากว่า 100 โครงการ ในทำเลศักยภาพใกล้ระบบขนส่งมวลชน (BTS, MRT) รวมถึงคัดเลือกโซนต่างจังหวัด อาทิ หัวหิน เขาใหญ่ และระยอง มานำเสนอภายในงาน ราคาเริ่มต้นเพียง 2.59 ล้านบาท พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าจองซื้อสามารถผ่อนชำระเงินจองได้ 0% 6 เดือน* พร้อมดอกเบี้ยกู้บ้าน อัตราพิเศษเริ่ม 0.5% หรือเลือกผ่อนล้านละ 1,000 บาท ต่อเดือน และทุกๆ การจองซื้อจะได้สิทธิ์ลุ้นรับรางวัล ซึ่งรางวัลใหญ่ในปีนี้คือตั๋วเครื่องบินไปกลับญี่ปุ่น 2 ที่นั่ง, โทรศัพท์ iPhone 7 และยังมีรางวัลพิเศษอีกมากมาย นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรมเสวนาเทคนิคการลงทุนอสังหาฯ จากโค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์ The Money Coach ในวันที่ 9 มิถุนายน เวลา 18.00-19.30 น. และการให้ความรู้และเทคนิคการแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ยโดย หมอช้าง ทศพร ศรีตุลา ในวันที่ 11 มิถุนายน 12.00-13.00 น. สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร 0-2688-7555 หรือ www.plus.co.th
พฤกษา เรียลเอสเตท ลุยเปิดทาวน์โฮมใหม่ พฤกษาวิลล์ 2 โครงการ 2 สไตล์ ทำเลใกล้ทางด่วน เริ่ม 1.69 ลบ.

พฤกษา เรียลเอสเตท ลุยเปิดทาวน์โฮมใหม่ พฤกษาวิลล์ 2 โครงการ 2 สไตล์ ทำเลใกล้ทางด่วน เริ่ม 1.69 ลบ.

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ภาพรวมตลาดทาวน์เฮาส์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลเติบโต 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าทั้งปีจะเติบโต 10% ในขณะที่พฤกษา เรียลเอสเตท มีส่วนแบ่งการตลาดทาวน์เฮาส์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลราว 20.6% โดยในปีนี้บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการทาวน์เฮาส์ทั้งสิ้น 39 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 21,800 ล้านบาท  ซึ่งในเดือนมิถุนายนนี้ จะเปิดทาวน์โฮม จำนวน 2 โครงการ 2 ทำเลศักยภาพ ภายใต้แบรนด์ “พฤกษาวิลล์” มูลค่าโครงการ 2,372 ล้านบาท คือ พฤกษาวิลล์  เลียบคลองทวีวัฒนา เปิดจองวันที่ 17-18 มิ.ย. นี้ และ พฤกษาวิลล์ เพชรเกษม  เปิดจองวันที่ 24-25 มิ.ย. นี้ พฤกษาวิลล์ เลียบคลองทวีวัฒนา ทาวน์โฮม 2 ชั้น บนสุดยอดทำเลติดถนนใหญ่ หน้ากว้าง 5.7 เมตร พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่120-140 ตร.ม. ออกแบบภายใต้แนวคิด Zen ที่ดีไซน์โปร่งโล่งและรับมุมมองธรรมชาติ ให้บ้านไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นพื้นที่ที่ตอบสนองทุกความต้องการของคนทั้งครอบครัว โดดเด่นด้วยอิสระการเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานที่สามารถปรับได้ตามความต้องการ ประหยัดพลังงานไปกับหน้าต่างและประตูที่ใช้กระจกตัดแสง ช่วยลดความร้อนและรังสียูวี พร้อมประตูบานเลื่อนขนาดใหญ่พิเศษที่เปิดมุมมองกว้างรับแสงธรรมชาติและถ่ายเทอากาศได้อย่างดี ใช้บันไดไม้จริง เพื่อให้คุณสัมผัสความสบายตามธรรมชาติ ทำเลติดถนนลียบคลองทวีวัฒนา ง่ายทุกการเดินทางด้วยเส้นทางใกล้โครงข่ายคมนาคม และ ถนนสายหลัก อาทิ ถนนบรมราชชนนี, แยกทศกัณฐ์, ใกล้ทางยกระดับ ปิ่นเกล้า – นครชัยศรี อีกทั้งยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงบางแค-พุทธมณฑลสาย 4 (โครงการในอนาคต) ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.49 ล้านบาท พฤกษาวิลล์ เพชรเกษม  ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5.7เมตร พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 86-98 ตร.ม. ออกแบบภายใต้แนวคิด  Modern Neo-Renaissance Style ที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์และรูปแบบสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป มีความเรียบหรู อบอุ่น ยิ่งใหญ่ มีเอกลักษณ์เฉพาะซึ่งผสานเข้ากับดีไซน์ในยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว เพิ่มความโปร่ง โล่ง ของบ้าน ด้วยประตูบานใหญ่ และหน้าต่าง  Enlarge-High window  ที่เปิดรับแสงธรรมชาติ เพิ่มความสวยงามและความสูงของชั้นบน จัดวางพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัว ด้วยห้องนอนถึง 4 ห้องนอน สะดวกทุกการเดินทางด้วยการคมนาคมบนเส้นทางสายหลัก เชื่อมเข้าถนนเพชรเกษม ด้วยถนนพุทธมณฑล สาย 2,3,4,5 เชื่อมต่อจุดหมายโดยรอบด้วยถนนกาญจนาภิเษก และใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ท่าพระ-พุทธมณฑล สาย 4 (โครงการในอนาคต) ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท ทั้ง 2 โครงการ ออกแบบจัดเตรียมโครงสร้างรั้วหลังบ้านที่มีความสูงเพิ่มขึ้นจากรั้วทั่วไป เพื่อความปลอดภัยในการอยู่อาศัยของลูกบ้าน พร้อมกับเพิ่มโครงสร้างความยาวเสาเข็มหลังบ้านเท่ากับตัวบ้าน เพื่อให้มีความแข็งแรงปลอดภัยของตัวบ้าน อีกทั้งยังเติมเต็มชีวิตวันพักผ่อนในการใกล้ชิดธรรมชาติด้วยสวนส่วนกลางพื้นที่สีเขียว ที่ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้สูดหายใจได้เต็มปอด พร้อมลู่วิ่งรอบสวนส่วนกลาง และทางจักรยาน ให้ได้ใช้ชีวิตได้ทุกไลฟ์สไตล์ อุ่นใจทุกปลอดภัย ในการเข้า-ออก โครงการ ด้วยระบบ Auto Access Card และระบบประตูล็อก 2 ชั้น กล้องวงจรปิด CCTV ที่ทางเข้าหลัก พร้อมจุด Check Point ด้วยเครื่องสแกน และ Security Guard ที่ดูแลตรวจตราตลอด 24 ชั่วโมง ลงทะเบียนจองรับสิทธิ์ VIP รับส่วนลดทันที 10,000 บาท พร้อมลุ้นรับรางวัล Lucky Draw Samsung galaxy s8 1 รางวัล และ Gift Card Starbuck   มูลค่า 200 บาท จำนวน 20 รางวัล ภายในงาน  ลงทะเบียน พฤกษาวิลล์ เลียบคลองทวีวัฒนา คลิก http://bit.ly/2oD71bQ  พฤกษาวิลล์ เพชรเกษม  คลิก http://bit.ly/2ry1CmC  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 1739 หรือ www.pruksa.com
ต่างชาติยังเชื่อมั่นในธุรกิจอสังหาฯเมืองไทย ทริลเลียน โกลบอล กลุ่มทุนสิงคโปร์ ทุ่มเงินกว่า 1,600 ล้านบาทลงทุนต่อเนื่องในโครงการคอนโดมิเนียมของสิงห์ เอสเตท ประเดิมด้วยโครงการดิ เอส อโศก และ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์

ต่างชาติยังเชื่อมั่นในธุรกิจอสังหาฯเมืองไทย ทริลเลียน โกลบอล กลุ่มทุนสิงคโปร์ ทุ่มเงินกว่า 1,600 ล้านบาทลงทุนต่อเนื่องในโครงการคอนโดมิเนียมของสิงห์ เอสเตท ประเดิมด้วยโครงการดิ เอส อโศก และ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์

ทริลเลียน โกลบอล บริษัทด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากสิงคโปร์ ซึ่งมีพอร์ตการลงทุนในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในเอเชีย และยุโรป เชื่อมั่นในตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย จับมือ บมจ. สิงห์ เอสเตท ลงทุนต่อเนื่องในโครงการคอนโดมิเนียมที่พัฒนาโดยสิงห์ เอสเตท รวมมูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท นายวิลเลียม โลค กรรมการผู้จัดการ ทริลเลียน โกลบอล กล่าวว่า “เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน ในขณะที่ราคาอสังหาฯ ในไทยยังมีมูลค่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เราจึงมองเห็นโอกาสการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ซึ่งน่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคต ทริลเลียนฯ เริ่มเป็นพันธมิตรกับ บมจ. สิงห์ เอสเตท ด้วยการลงทุนซื้อห้องชุดในโครงการดิ เอส อโศก คอนโดมิเนียม (Big Lot) เป็นที่แรก ใช้เงินลงทุนมูลค่ากว่า 900 ล้านบาท และได้รับผลตอบรับดีมาก หลังจากที่บริษัทฯ ได้นำโครงการฯ ไปโรดโชว์ในหลายๆ ประเทศในแถบเอเชีย อาทิ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ ล่าสุดเราจึงตัดสินใจลงทุนเพิ่มในโครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ลักชัวรี คอนโดมิเนียม โครงการใหม่ของ บมจ.สิงห์ เอสเตท มูลค่าทุนรวม 760 ล้านบาท ในเบื้องต้น โครงการดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนต่างชาติเช่นกัน เนื่องจากโครงการตั้งอยู่บนทำเลแยกอโศก-เพชรบุรี ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติอยู่แล้ว และยังเป็นส่วนหนึ่งของสิงห์ คอมเพล็กซ์ แฟล็กชิป มิกซ์ ยูส ของสิงห์ เอสเตทอีกด้วย” ด้านนายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวเสริมว่า “การร่วมทำธุรกิจกับทางทริลเลียน โกลบอล ถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของทางบริษัท ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดและการขายคอนโดมิเนียมของบริษัทฯ ในต่างประเทศ โดยมียอดการขายผ่านทางทริลเลียน ทั้งคอนโดมิเนียม ดิ เอส อโศก และ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ทั้ง 2 โครงการ รวม 1,660 ล้านบาท ทั้งนี้จึงส่งผลให้คอนโดมิเนียม ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ทำยอดขายได้เกินเป้าที่เราตั้งไว้ โดยปัจจุบัน มียอดจองรวมกว่า 80% มูลค่ากว่า 3,300 ล้านบาท  ซี่งเป็นยอดจองจากต่างชาติมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท”
ไป่ตู้ แอคเซส เผยจีนแห่ซื้ออสังหาฯ ต่างประเทศ ไทยติดอันดับ 3 ซื้อเพื่อลงทุนกว่า 52%

ไป่ตู้ แอคเซส เผยจีนแห่ซื้ออสังหาฯ ต่างประเทศ ไทยติดอันดับ 3 ซื้อเพื่อลงทุนกว่า 52%

เนื่องจากในปีที่ผ่านมามียอดการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยโดยชาวจีน โดยอันดับ 1 เป็นการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน 51.8%  อันดับที่ 2 ซื้อเพื่ออยู่อาศัย 38.8% และอันดับที่ 3 เพื่อรองรับการย้ายที่อยู่อาศัย 7.8 % โดยมีชาวจีนสนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ติด 1 ใน 10 ของโลก และเป็นอันดับที่ 3 ในเอเชียรองจาก ญี่ปุ่น และมาเลเซีย นางสาวพัชรพร สิริทรัพย์วงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด และประชาสัมพันธ์ ไป่ตู้ แอคเซส กล่าวว่า“ทางด้านการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ทางไป่ตู้ ประเทศไทย ได้วิเคราะห์ความเคลื่อนไหวด้านการลงทุนของชาวจีนว่าเป็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากที่ดินในประเทศจีนมีราคาที่สูงกว่าที่ดินในประเทศไทยประมาณ 20% อีกทั้งอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมีอัตราการเติบโต และมีการแข่งขันสูง ทำให้ชาวจีนจำนวนมากเลือกที่จะเข้ามาลงทุนกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมากกว่าประเทศอื่นในเอเชีย โดยเชื่อว่า ระดับราคาของอสังหาริมทรัพย์มีผลต่อการขายต่อ การเปลี่ยนมือ และการทำกำไร โดยนักลงทุนชาวจีนมักจะเลือกช่องทางการซื้ออสังหาริมทรัพย์ผ่านนายหน้า นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นที่น่าจับตาในปัจจัยทางด้านการลงทุนจากชาวจีน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีผู้ประกอบการจากประเทศจีนลงทุนด้านฐานการผลิตที่ประเทศไทยจำนวนมาก โดยในปี 2559 มีเงินลงทุนจากชาวจีนที่เข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยกว่า 24,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินการลงทุนที่มากเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีการคาดการณ์อีกว่าจะมีอัตราการเติบโตอีกราว 30% ในปี 2560” ไป่ตู้ แอคเซส แนะนำผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ให้ศึกษาพฤติกรรมลูกค้าชาวจีน เพื่อการรองรับการขยายตัวของธุรกิจอสังหาฯ ในประเทศไทยต่อไป นอกจากนี้แล้วการให้ข้อมูลที่ถูกต้องหรือการโฆษณาเพื่อสร้างการจดจำและความน่าเชื่อถือที่ดีของลูกค้าชาวจีนที่มีต่อการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ในไทยนั้น   สามารถทำได้หลากหลายช่องทาง  เพราะในปัจจุบันการสื่อสารทางออนไลน์  มีความเร็วและง่ายที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ความท้าทายอยู่มุมมองและข้อมูลที่นำเสนอว่าของใครจะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เร็วกว่ากัน และสามารถสร้างการจดจำและความน่าเชื่อถือให้ได้สูงสุด ไป่ตู้ แอคเซส เป็นที่ปรึกษา และให้บริการในการสื่อสารและเข้าถึงกลุ่มนักเที่ยวเที่ยวจีนหรือชาวจีนที่มีคุณภาพ โดยผ่านทางช่องทางการสื่อสารที่ถูกต้อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อช่วยให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการชาวไทยที่มีความต้องเจาะกลุ่มตลาดจีน นักท่องเที่ยวจีน อันประกอบไปด้วย ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำจากการค้นหาผ่านทางเสิร์ชเอนจินอันดับหนึ่งในประเทศจีน รวมไปถึงช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ทั้งโซเชียลเน็ตเวิร์คชั้นนำ เว็บไซต์ และยังมีในเรื่องของแอพพลิเคชั่นแผนที่ ซึ่งทุกๆช่องทางที่เข้าถึงชาวจีน หรือ นักท่องเที่ยวจีนที่กล่าวมานั้น ล้วนเป็นช่องทางที่น่าเชื่อถือ และเข้าถึงในได้อย่างตรงและแม่นยำสูงสุด หากผู้ประกอบการชาวไทยเล็งเห็นถึงโอกาสในการสร้างมูลค่าในตลาดของนักท่องเที่ยวจีนแบบมีคุณภาพนี้ ไป่ตู้ แอคเซส คือ ที่ปรึกษาที่ครบวงจรและเข้าใจในกลุ่มลุกค้าชาวจีนอย่างสูงสุด ติดต่อสอบถามข้อมูลและบริการได้ที่ 02-784-6664 หรือ FB  Baidu Access
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมย่านไพร์มสุขุมวิท

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมย่านไพร์มสุขุมวิท

บริเวณย่านไพร์มสุขุมวิท ย่านไพร์มสุขุมวิทนับเป็นที่ตั้งศูนย์กลางธุรกิจในกรุงเทพฯ พื้นที่นี้ครอบคลุมถนนสุขุมวิทตั้งแต่บริเวณซอย 1 - 63 (ด้านเหนือ) และซอย 2 - 42 (ด้านใต้) ย่านไพร์มสุขุมวิทเป็นทำเลยอดนิยมสำหรับชาวต่างชาติ, นักท่องเที่ยว และเศรษฐีชาวไทยในด้านแหล่งช้อปปิ้งและที่พักอาศัย อุปทาน จากผลวิจัยไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยว่า ในไตรมาส 1 ปี 2560 หน่วยคอนโดฯในตลาดมีจำนวนรวม 16,294 หน่วย ซึ่งสะสมมาตั้งแต่ปี 2555 จนถึงไตรมาส 1 ปี 2560 สำหรับในไตรมาส 1 ปี 2560 มีจำนวนหน่วยคอนโดฯใหม่รวมทั้งหมด 1,617 หน่วยจากโครงการ 5 แห่งที่เพิ่มเข้ามาในย่านไพร์มสุขุมวิท กราฟที่ 1 อุปทานสะสมและอุปทานใหม่บริเวณไพร์มสุขุมวิท, 2012-Q1 2017 ที่มา: ผลวิจัยของไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย อุปสงค์ ในปี 2559 ผู้ซื้อคอนโดฯในย่านไพร์มสุขุมวิทที่เป็นชาวไทย คิดเป็นร้อยละ 76 และชาวต่างชาติ คิดเป็นร้อยละ 24 สำหรับสัดส่วนผู้ซื้อชาวต่างชาติ ร้อยละ 12 มาจากเอเชีย, ร้อยละ 7 จากยุโรป, ร้อยละ 5 จากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา, ร้อยละ 2 จากโอเชียเนีย และร้อยละ 1 จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มร.แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ผู้ซื้อต่างชาติส่วนใหญ่มาจากฮ่องกง, สหรัฐอเมริกา, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, จีน และไต้หวัน นอกจากนี้ที่น่าสนใจคือ พื้นที่บริเวณทองหล่อและสุขุมวิท 49 เป็นที่นิยมมากสำหรับชาวญี่ปุ่น จากจำนวนผู้ซื้อทั้งหมด ร้อยละ 48 ของคอนโดฯย่านไพร์มสุขุมวิทซื้อเพื่อการใช้อยู่เอง ในขณะที่ร้อยละ 36 ของยอดขายคอนโดฯถูกซื้อไปเพื่อปล่อยเช่าและสร้างรายได้ค่าเช่าในระยะยาว นอกจากนี้ เรายังเห็นจำนวนนักลงทุนระยะสั้นหรือนักเก็งกำไร ที่คิดเป็นประมาณร้อยละ 16 ของยอดขายคอนโดฯในย่านไพร์มสุขุมวิทในปี 2559 ความต้องการโดยรวมของคอนโดฯย่านไพร์มสุขุมวิทระหว่างปี 2555 จนถึงไตรมาส 1 ปี 2560 อยู่ในระดับดี แม้จะมีอุปทานใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาดในจำนวนที่จำกัด ในไตรมาส 1 ปี 2560 หน่วยที่ขายออกมีจำนวนรวม 14,912 หน่วยจาก 16,294 หน่วยทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นอัตราขายที่ร้อยละ 91.5 มีเพียง 1,382 หน่วยที่เปิดขายอยู่ในช่วงสิ้นไตรมาส 1 ปี 2560 สำหรับปี 2559 มีจำนวนหน่วยที่ขายออกสูงถึง 3,039 หน่วย เทียบกับปี 2558 ที่มีเพียง 1,653 หน่วยที่ขายออก สำหรับไตรมาส 1 ปี 2560 มีจำนวน 1,887 หน่วยที่ขายออก กราฟที่ 2: อุปทาน, อุปสงค์ & อัตราการขายบริเวณไพร์มสุขุมวิท, 2012-Q1 2017 ที่มา: ผลวิจัยของไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ราคาขายโดยเฉลี่ย อัตราการเติบโตต่อปีของราคาขายโดยเฉลี่ยสำหรับคอนโดฯในย่านไพร์มสุขุมวิท ช่วงระหว่างปี 2555 - 2559 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 8 สำหรับราคาขายโดยเฉลี่ยของคอนโดฯย่านไพร์มสุขุมวิทในช่วงสิ้นไตรมาส 1 ปี 2560 มีราคาอยู่ที่ 206,100 บาท ต่อตร.ม. โดยเพิ่มขึ้นจาก 151,451 บาท จากช่วงสิ้นปี 2555 นางสาวอัญชลี เกษมสุขธวัช ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาด้านที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในย่านไพร์มสุขุมวิทเป็นผลมาจากความขาดแคลนที่ดินพัฒนา และย่านไพร์มสุขุมวิทมีความสะดวกสบายในด้านระบบขนส่งมวลชน, ห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าชุมชน กราฟที่ 3  ราคาขายเฉลี่ยบริเวณไพร์มสุขุมวิท, 2012 to Q1 2017 ที่มา: ผลวิจัยของไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย
“ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป” ผุดโครงการ “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” ทุ่มงบกว่า 4 พันล้านบาท เนรมิต “เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ” ที่สุดแห่งการใช้ชีวิตแบบครบวงจรแห่งแรกของเมืองไทย

“ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป” ผุดโครงการ “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” ทุ่มงบกว่า 4 พันล้านบาท เนรมิต “เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ” ที่สุดแห่งการใช้ชีวิตแบบครบวงจรแห่งแรกของเมืองไทย

ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป สยายปีกผุดเมืองแนวคิดใหม่ “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” (Jin Wellbeing County) โครงการที่พักอาศัยพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกด้านไลฟ์สไตล์และบริการด้านสุขภาพครบวงจรแห่งแรกของเมืองไทย ภายใต้แนวคิด “เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ” ท่ามกลางธรรมชาติ บนทำเลทองริมถนนพหลโยธิน รังสิต ทุ่มงบกว่า 4,400 ล้านบาทในการพัฒนาเฟสแรก รวมความเป็นที่สุดแบบครบวงจร ตอบโจทย์ทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้สูงวัยที่ยังมีพลังในการใช้ชีวิตและครอบครัว พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพ นพ. บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ลงทุนในการพัฒนาโครงการ กล่าวว่า จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาท์ตี้ (Jin Wellbeing County)  คือโครงการที่เครือธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ปพัฒนาขึ้นด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 4,400 ล้านบาทสำหรับเฟสแรก ด้วยเล็งเห็นศักยภาพของตลาดที่จะเกิดจากการที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ  จากข้อมูลที่มีการคาดการณ์ว่า ปัจจุบันมีจำนวนผู้สูงอายุ 11.2 ล้านคน หรือประมาณ 17.1% และคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีคือ 2565 จะมีผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 13.6 ล้านคนหรือประมาณ 20.6% ซึ่งถือว่าประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผนวกเข้ากับแนวโน้มการดูแลสุขภาพให้มีอายุยืนยาวที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปในทางเดียวกันกับความต้องการด้านโครงการที่พักอาศัยคุณภาพที่สนับสนุนการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุอย่างสะดวกสบาย “ในการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกด้านไลฟ์สไตล์และบริการด้านสุขภาพครบวงจรเพื่อผู้สูงวัยและครอบครัวในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของบริษัทและยังเป็นการสร้างมูลค่าให้แก่ธุรกิจของเรา ที่เกิดจากการนำความเชี่ยวชาญด้านบริการทางการแพทย์คุณภาพมาตรฐานสากลที่เราสั่งสมมานานกว่า 40 ปี และความเข้าใจในด้านความต้องการทั้งทางกายภาพ จิตใจ และอื่นๆ ของผู้สูงวัยและครอบครัวอย่างแท้จริง มาผสานกับความสามารถในการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ ที่จะสร้างประโยชน์และเติมเต็มความต้องการของผู้สูงวัยและครอบครัว รวมถึงผู้ที่สนใจจะลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพด้วยเช่นกัน” นพ. บุญกล่าว มร. จอห์น ลี ประธานกรรมการบริษัท พรีเมียร์ โฮม เฮลท์ แคร์ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาท์ตี้ (Jin Wellbeing County)  กล่าวถึงแนวคิดของโครงการฯ ว่า “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาท์ตี้ ถูกสรรสร้างขึ้นมาด้วยแนวคิด ‘เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ’ อันรวมไปด้วยหัวใจของความเป็นที่สุดในทุกๆด้าน ได้แก่ ที่สุดแห่งสังคมคุณภาพ ผ่านการให้ การรับ และการแบ่งปัน, ที่สุดแห่งประสบการณ์ใช้ชีวิตที่เหนือระดับ, ที่สุดแห่งการดูแลสุขภาพที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้สูงวัย, ที่สุดแห่งความปลอดภัยในการใช้ชีวิตของผู้พักอาศัย, ที่สุดแห่งการออกแบบ Universal Design รองรับผู้สูงวัยอย่างแท้จริง, ที่สุดแห่งการใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ และที่สุดแห่งความคุ้มค่าของการลงทุน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ผู้สูงวัยได้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีพลัง สามารถพึ่งพาตัวเองและสนุกสนานกับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมผู้สูงวัยอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราเชื่อว่าวัยเกษียณ ไม่ได้เป็นวัยของความแก่ชรา แต่เป็นช่วงเวลาที่ผู้สูงวัยจะมีความสุขและสนุกกับการใช้ชีวิตบนพื้นฐานของความมั่นคงในด้านต่างๆของชีวิตภายในสังคมคุณภาพของโครงการฯ” จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ (Jin Wellbeing County) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 140 ไร่ ริมถนนพหลโยธิน รังสิต อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี สำหรับเฟสแรก โครงการฯนั้นประกอบด้วย 3 ส่วนหลักได้แก่  Active Living ส่วนที่พักอาศัยอาคาร Low-rise 7 ชั้น       ขนาด 43   ตรม. และ 63 ตรม. จำนวน 13 อาคาร รวม 1,300 ยูนิต โดยจะเปิดขาย 2 cluster แรก 500 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.5 ล้านบาท ซึ่งจะมีอาคาร Pet Friendly จัดให้ไว้สำหรับผู้ที่รักสัตว์เลี้ยงเลี้ยงโดยเฉพาะด้วย Aged Care Center  อาคารสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ภายในประกอบด้วย ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแบบรายวัน (Day care) และแบบพักค้างคืน (Nursing home) , คลินิกรักษาโรคทั่วไป และศูนย์กายภาพ  ส่วนที่สามเป็น Clubhouse & Wellness Center ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สปา ฟิตเนส สระว่ายน้ำ และบริการเพื่อสุขภาพเพื่อให้บริการทางการแพทย์เพื่อป้องกัน รักษา และฟื้นฟูด้วยทีมบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งยังมีคลาสกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของผู้สูงวัยและครอบครัวอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลและคอมมูนิตี้ มอลล์ภายในโครงการ ซึ่งอยู่ในแผนการดำเนินการก่อสร้างสำหรับเฟสต่อไป นอกจากโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาท์ตี้จะล้อมรอบด้วยระบบการรักษาความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยตลอด 24 ชั่วโมงแล้วนั้น  เครือธนบุรีฯยังได้เลือกที่ปรึกษาชั้นนำมาดูแลการดำเนินงานด้านต่างๆ ภายในโครงการ อาทิ บริษัท ThomsonAdsett ดีไซเนอร์ระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ มาดูแลด้านภาพรวมการออกแบบของโครงการ ภายใต้แนวคิด “Universal Design” เพื่อการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างลงตัวของคนทุกวัยในครอบครัวบนความสะดวกสบายสูงสุด , Openbox Architects มาดูแลด้านการออกแบบอาคาร ด้วยแนวคิด “Passive Ecology” เน้นการประหยัดพลังงาน ให้ตัวอาคารเปิดรับลมและแสงธรรมชาติได้อย่างลงตัว, Shma มาดูแลด้านการออกแบบภูมิสถาปัตย์ (Landscape) ออกแบบให้ร่มรื่นด้วยเงาไม้ พร้อมลำธารไหลผ่านตลอดโครงการ เอื้อให้ผู้อาศัยออกมามีปฏิสัมพันธ์ และเกิดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ทั้งยังมีแอ่งรับน้ำและคันกั้นน้ำภายนอก โดยคำณวนจากระดับอุทกภัยปี 2554 นอกจากนี้โครงการฯยังได้ Vamed ที่ปรึกษาด้านบริการเฮลท์แคร์ระดับโลกจากออสเตรียมาดูแลด้านการวางแผนระบบบริการสุขภาพภายในโครงการอีกด้วย “สำหรับนักลงทุนที่มองหาช่องทางการลงทุนที่มีศักยภาพ โครงการ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ (Jin Wellbeing County)  ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากตลาดผู้สูงอายุจะโตขึ้นเรื่อยๆ  ทำเลที่ตั้งของโครงการก็อยู่ใกล้สนามบินดอนเมือง รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้มที่กำลังจะเกิดขึ้น มหาวิทยาลัย ตลาดค้าส่งขนาดใหญ่ สถานที่ราชการ สนามกอล์ฟ และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้โครงการนี้มีความน่าสนใจและมีศักยภาพที่จะสร้างมูลค่าให้แก่นักลงทุนได้อีกด้วย” มร. จอห์น กล่าวสรุป *ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
World’s Best Pruksa Precast “พฤกษา พรีคาสท์” เทคโนโลยีเพื่อบ้านแข็งแรง หนึ่งในนวัตกรรมเพื่อบ้านแห่งอนาคต (Advertorial)

World’s Best Pruksa Precast “พฤกษา พรีคาสท์” เทคโนโลยีเพื่อบ้านแข็งแรง หนึ่งในนวัตกรรมเพื่อบ้านแห่งอนาคต (Advertorial)

บ้านคือทรัพย์สินที่มีค่าที่หลายคนแลกมาด้วยเงินเก็บทั้งชีวิต ดังนั้นบ้านที่มีคุณภาพ สามารถใช้เป็นที่พักอาศัยไปตลอดชีวิตและส่งต่อเป็นสมบัติให้ลูกหลาน จึงเป็นสิ่งที่ผู้ซื้อบ้านทุกคนปรารถนา ด้วยเหตุนี้ พฤกษา เรียลเอสเตท จึงได้นำ เทคโนโลยีก่อสร้างบ้านที่ทันสมัยที่สุดระดับโลก ที่เรียกว่า พฤกษา พรีคาสท์ มาใช้ในการก่อสร้าง เพื่อส่งมอบบ้านที่มีคุณภาพให้กับผู้ซื้อ คุณสมบัติทางวิศวกรรมชั้นเลิศของบ้านที่ก่อสร้างด้วย “พฤกษา พรีคาสท์” ผลิตและควบคุมคุณภาพจากโรงงานที่มีมาตรฐานสากล ทันสมัยระดับโลก ใช้ระบบโครงสร้างผนังรับแรงที่หล่อด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งแผ่นวางประกอบกัน จึงแข็งแรงกว่าระบบเสา-คานทั่วไป แข็งแรงกว่าบ้านที่ก่ออิฐฉาบปูนธรรมดาถึง 3 เท่า ทำให้บ้านมีอายุการใช้งานยาวนาน ใช้ผนังคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นโครงสร้างรับน้ำหนักชั้นบน (Load Bearing Wall) จึงสามารถออกแบบให้บ้านรับน้ำหนักได้มากกว่า 200 กิโลกรัมต่อตารางเมตร สามารถรับแรงกระทำจากด้านข้างได้ดี จึงต้านทานแรงลมได้ทุกกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ทนต่อแรงกระทำจากผลของแผ่นดินไหวได้มากกว่าการก่อสร้างแบบผนังก่ออิฐทั่วไป โดยสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย หรือ AIT (Asian Institute of Technology) ได้ทำการวิเคราะห์แล้วว่าสามารถต้านทานแรงจากแผ่นดินไหวได้ถึง 0 แมกนิจูด จากแหล่งกำเนิดกาญจนบุรี (ซึ่งเป็นรอยเลื่อนที่ใกล้จากกรุงเทพฯ ที่สุด) ต้านทานไฟไหม้สูงกว่าวัสดุพื้นฐานอื่นๆ เช่น อิฐและไม้ โดยสามารถทนไฟไหม้ได้นานกว่า 2 ชั่วโมง และแม้ว่าจะเกิดไฟไหม้แล้ว ก็มีความเสี่ยงน้อยที่บ้านจะพังทลาย จึงมีเวลาให้ผู้พักอาศัยออกมาจากอาคารได้อย่างปลอดภัย นวัตกรรมการก่อสร้างที่ทันสมัยที่สุดจะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดก็ต่อเมื่อถูกใช้โดยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ บ้านที่ก่อสร้างด้วย พฤกษา พรีคาสท์ จึงเหนือกว่า เพราะพฤกษา เรียลเอสเตท คือผู้นำนวัตกรรมระบบพรีคาสท์มาใช้เป็นรายแรกของไทย จึงมีบุคลากรที่ผ่านการอบรมและฝึกความเชี่ยวชาญในระดับสากล ประกอบกับการมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจได้ว่าบ้านที่ก่อสร้างด้วยระบบพฤกษา พรีคาสท์ เป็นบ้านแห่งอนาคต ที่มอบความแข็งแรงและปลอดภัยให้กับผู้พักอาศัย เพราะเชื่อเสมอว่า “บ้านที่มีคุณค่า” คือที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดของการใช้ชีวิต รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีพฤกษา พรีคาสท์ และโครงการคุณภาพจากพฤกษา เรียลเอสเตท ค้นหาข้อมูลได้ที่ pruksa.com หรือโทร.1739
SC รุกธุรกิจใหม่บริการหลังการขายภายใต้บริษัท “เอสซี เอเบิล (SC Able)” พร้อมร่วมทุนกับ “ฟิกซิ (Fixzy)” Innovative startup แอพฯ รวมช่างอันดับหนึ่งของไทย เพื่อต่อยอดธุรกิจ และตอบโจทย์แบบ Total Solution พร้อมมุ่งยกระดับบริการหลังการขายอสังหาฯ ไทย

SC รุกธุรกิจใหม่บริการหลังการขายภายใต้บริษัท “เอสซี เอเบิล (SC Able)” พร้อมร่วมทุนกับ “ฟิกซิ (Fixzy)” Innovative startup แอพฯ รวมช่างอันดับหนึ่งของไทย เพื่อต่อยอดธุรกิจ และตอบโจทย์แบบ Total Solution พร้อมมุ่งยกระดับบริการหลังการขายอสังหาฯ ไทย

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า “ตามที่ได้ประกาศยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับ SC ยุค 4.0 เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง เราจะใช้ design thinking โดย เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ด้วยมิติของ human-centric มากกว่า customer-centric ค้นหา pain point ในการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย ประสานนวัตกรรมเข้ากับที่อยู่อาศัยที่พัฒนาโดย SC ในทุกระดับราคา จากการวิจัย brand health check ตลอดหลายปีที่ผ่านมา 1 ในเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับลูกค้าคือ เรื่องคุณภาพของบริการหลังการขาย ซึ่งเราให้ความสำคัญมาโดยตลอด ในปี 2562 SC จะมีลูกค้าที่โอนกรรมสิทธิ์แล้วรวมกว่า 16,000 ครอบครัว และตัวเลขนี้จะเติบโตทุกๆปี เพื่อให้คุณภาพของบริการหลังการขายเติบโตไปพร้อมกับปริมาณของลูกค้า เราจึงเดินหน้ารุกในธุรกิจใหม่เรื่องบริการหลังการขาย โดยบริษัท เอสซี เอเบิล จำกัด (SC Able Co., Ltd.) ภายใต้การนำของ นายสมศักดิ์ เธียรธีรวิทย์ กรรมการผู้จัดการ (managing director) ผู้มีประสบการณ์ในงานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 15 ปี SC Able จะบริหารจัดการงานซ่อมทั้งหมดของที่อยู่อาศัยของ SC ที่อยู่ในระยะรับประกัน พร้อมทั้งเปิดตัว Able Academy สถาบันอบรมพัฒนาช่างฝีมือ และอบรมทีมรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ที่ดูแลความปลอดภัยให้โครงการภายใต้ SC ทั้งหมด และสถาบันนี้จะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของสังคมไทยด้วยการยกระดับช่างฝีมือในประเทศ ทั้งเรื่องความสามารถและการบริการ โดยอีกหนึ่งการรุกที่สำคัญคือ SC Able ได้ร่วมลงทุนกับพันธมิตรรายล่าสุดซึ่งเป็น startup ที่มาแรงมากขณะนี้คือ Fixzy โดยเป็น application รวบรวมสารพัดช่างอันดับหนึ่งของประเทศไทย ช่างบน platform ของ Fixzy จะได้รับการฝึกพัฒนาจาก Able Academy ในขณะที่ SC Able จะมีช่างคุณภาพจำนวนมาก เพื่อดูแลลูกค้าของ SC พร้อมกับสร้างมาตรฐานใหม่ของการบริการหลังการขายของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย” นายสมศักดิ์ เธียรธีรวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซี เอเบิล จำกัด กล่าวว่า “SC Able ดำเนินธุรกิจมุ่งให้ความสำคัญกับงานบริการหลังการขายแบบครบวงจร ภายใต้สโลแกน “Your Home  in Good Hands – มือโปรของทุกบ้าน”  โดยสรุปโครงสร้างธุรกิจแบ่งเป็น 3 เรื่องหลัก ดังนี้ 1. After-sales Service Management ดูแลบริการหลังการขายลูกค้า SC ที่อยู่ในระยะรับประกัน Home Service Contractor เป็นผู้รับเหมาดูแลงานซ่อมบำรุงสำหรับลูกค้า SC นอกระยะรับประกัน กับลูกค้าทั่วไป Able Academy มุ่งส่งเสริมสังคม พร้อมยกระดับความเป็นเลิศด้านมาตรฐานและการบริการ ด้วยสถาบันอบรมพัฒนาช่างฝีมือและอบรมทีมรักษาความปลอดภัย (รปภ.) พร้อมกับได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรธุรกิจชั้นนำ ได้แก่ เอสซีจี, แอร์ไดกิ้น และสีเบเยอร์, เป็นต้น นอกจากนี้สำหรับแผนงานในอนาคตการพิจารณาร่วมทุนกับ Innovative startup อื่นๆ จะต้องคำนึงถึงธุรกิจที่สอดคล้องและส่งเสริมเรื่องงานบริการหลังการขายเป็นสำคัญ” ส่วนนายรัชวุฒิ พิชยาพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิกซิ จำกัด ผู้ให้บริการ application ครอบคลุมทุกบริการเรื่องช่างรายแรกของไทย กล่าวว่า “Fixzy ก่อตั้งเมื่อปี 2557 ในรูปแบบของ startup mobile platform เกิดจากความต้องการแก้ปัญหางานซ่อมแซมและดูแลรักษาบ้าน เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถหาช่างและผู้ให้บริการที่ดี มีคุณภาพมาตรฐานในราคาเหมาะสม ซึ่งการดำเนินธุรกิจสอดคล้องสนับสนุนกันและกัน ดังนั้นการร่วมทุนกับ SC Able จะช่วยส่งเสริมธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น จากฐานลูกค้า SC ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมียอดดาวน์โหลด application จำนวนกว่า 50,000 ครั้ง และมีส่วนแบ่งตลาดเกิน 60% เรามีทั้งงานช่างเพื่อซ่อมแซม ติดตั้งและดูแลทุกปัญหาภายในบ้านทั้งเรื่องระบบน้ำ ระบบไฟ เครื่องใช้ไฟฟ้า งานโครงสร้าง พร้อมงานบริการต่างๆ เช่น ล้างแอร์ ทำความสะอาดบ้านและอื่นๆ ปัจจุบันได้ขยายธุรกิจไปยังหัวเมืองใหญ่ทั้ง ขอนแก่น, เชียงใหม่ ชลบุรี และ สุพรรณบุรี เรียบร้อยแล้ว และมีแผนขยายต่อไปยัง นครราชสีมา ภูเก็ต หาดใหญ่ต่อไป และผมมั่นใจว่า Platform Fixzy จะช่วยพัฒนาบริการหลังการขายซึ่งจะเป็นประโยชน์ให้กับลูกบ้าน เจ้าของโครงการและ ผู้ให้บริการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย รวมไปถึงนิติบุคคลต่างๆ ซึ่ง Fixzy จะเป็นกุญแจดอกสำคัญในทุกๆ เรื่องของ Property Technology”
พลัสฯ แนะลงทุนคอนโดรีเซล เปิดผลวิจัยล่าสุดราคาต่ำกว่าคอนโดมือหนึ่งที่เปิดใหม่ 26-44%

พลัสฯ แนะลงทุนคอนโดรีเซล เปิดผลวิจัยล่าสุดราคาต่ำกว่าคอนโดมือหนึ่งที่เปิดใหม่ 26-44%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ วิเคราะห์ตลาดคอนโดนำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง ส่วนต่างราคาเทียบกับโครงการใหม่น่าสนใจอยู่ในอัตรา 26 - 44%  พบโซนริมน้ำราคาต่างกับโครงการใหม่สูงสุด 44% รองลงมาคือราชเทวี-พญาไท ส่วนต่าง 38% สามเป้า-หมอชิต 32%  ส่วนโซน CBD ส่วนต่างราคา 26%-28% หากพิจารณาในภาพรวมพบค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังของคอนโดรีเซลกับโครงการใหม่ต่างกันถึง 33% นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า ปัจจุบันราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง (High Rise) ที่อยู่ในระยะรถไฟฟ้าและทำเลศักยภาพอย่างพื้นที่ริมน้ำที่เปิดขายในช่วงปี 2557-2559 หรือช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีราคาเฉลี่ยเปิดตัวอยู่ที่ประมาณ 235,000 บาทต่อตารางเมตร มีอัตราการเติบโตของราคามากกว่าปีละ 10% โดยโซนที่ราคาโครงการใหม่เปิดตัวสูงสุดคือโซนริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าจนถึงสะพานพระรามสาม มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 366,000 ตารางเมตรหรือเติบโตโดยเฉลี่ยประมาณ 44% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รองลงมาคือโซน CBD ที่ปัจจุบันราคาเสนอขายของโครงการเปิดตัวใหม่ราคาสูงกว่า 200,000 บาท ซึ่งประกอบด้วยโซนพร้อมพงษ์-ทองหล่อ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 325,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาเติบโตประมาณ 25% ต่อปี, โซน เพลินจิต-ชิดลม-อโศก ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 278,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาเติบโตโดยเฉลี่ยปีละ 14% ส่วนโซนราชเทวี-พญาไทมีราคาโครงการใหม่เปิดตัวโดยเฉลี่ย 255,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาเติบโต 15% ต่อปี “จากข้อมูลข้างต้น ส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมที่นำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากราคาขายของตลาดรีเซลโดยส่วนใหญ่เฉลี่ยที่ต่ำกว่าโครงการเปิดตัวใหม่ในทำเลเดียวกันค่อนข้างมาก คิดเป็นราคาต่ำกว่าราคาขายคอนโดมือหนึ่งที่พึ่งเปิดใหม่ประมาณ 26 - 44% โดยเมื่อเปรียบเทียบโครงการที่เปิดขายในช่วงไม่เกิน 5 ปีที่ผ่านมาพบว่าโดยภาพรวมราคารีเซลมีราคาต่ำกว่าโครงการที่เปิดใหม่อยู่ที่ 33% โดยโซนที่ราคามีความแตกต่างมากสุดคือโซนริมแม่น้ำ (ต่างกันถึง 44%) สำหรับย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD)  ได้แก่ โซนเพลินจิต-ชิดลม-อโศก แตกต่างจากโครงการเปิดตัวใหม่ 26%  โซนพร้อมพงษ์-ทองหล่อ ราคาแตกต่างประมาณ 28% โซนสีลม-สาธร ราคาแตกต่างกันอยู่ที่ 26% สำหรับโซนพระรามเก้า-ศูนย์วัฒนธรรม ราคาแตกต่างกันอยู่ที่ 32% โซนราชเทวี –พญาไท ราคาแตกต่างกันประมาณ 38% ส่วนโซนสนามเป้า-หมอชิต ราคาแตกต่างประมาณ 32% ส่วนโซนพระโขนง – อ่อนนุช ราคาแตกต่างกันประมาณ 30% ซึ่งสภาพอาคารของโครงการรีเซลเหล่านี้มักได้รับการดูแลอย่างดี ไม่แตกต่างจากโครงการใหม่มากนัก แม้ว่าวัสดุหรือรูปแบบอาจจะแตกต่างจากโครงการใหม่บ้าง แต่จากราคาที่ต่ำกว่าในทำเลที่ดีไม่ต่างจากโครงการใหม่ จึงทำให้ตลาดรีเซลได้รับการตอบรับที่ดี ปัจจัยหลักมาจากราคาที่สามารถจับต้องได้ง่ายกว่า และทำเลบางแห่งที่ไม่มีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นแล้ว” จากสภาพเศรษฐกิจของไทยที่มีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย ไตรมาสที่ 1/2560 โดยล่าสุดสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประกาศตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 3.3% ปัจจัยการลงทุนของภาครัฐในโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ยังเป็นตัวผลักดันการเติบโต เช่น การลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ นำมาสู่การลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้าตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่จะเริ่มดำเนินก่อสร้างและเบิกจ่ายได้ อีกทั้งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ทำให้การใช้จ่ายเริ่มดีขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งโครงการใหม่และโครงการรีเซล  ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการจะเน้นพัฒนาในโครงการที่เจาะตลาดระดับบนมากขึ้นเนื่องจากเป็นกลุ่มคนที่ยังคงมีกำลังซื้อและไม่ได้รับผลกระทบจากความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินมากนัก รวมไปถึงราคาที่ดินในกรุงเทพฯ มีราคาที่แพงขึ้นอย่างก้าวกระโดด จึงมีส่วนทำให้ราคาโครงการเปิดใหม่ปรับตัวสูงขึ้น ตลาดรีเซลจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในปัจจุบัน “หากพิจารณาในแง่ของผลตอบแทนการในการลงทุนในคอนโดมิเนียมพบว่าคอนโดมิเนียม High Rise ในกรุงเทพมหานครโดยภาพรวมผลตอบแทนจากการขายต่อในระยะการถือครองระยะเวลา 3-5 ปี มีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 20 - 50% และในบางโครงการที่ถือครองมากกว่า 7 ปีอาจได้ผลตอบแทน สูงถึง 80-90% อาทิ โครงการควอทโทรบาย แสนสิริ หรือโครงการริมน้ำอย่างเดอะ ริเวอร์ นอกจากนี้ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นอกจากการได้กำไรจากการขายแล้วยังสามารถปล่อยห้องให้เช่าได้ โดยอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับโดยเฉลี่ยของตลาดรีเซลอยู่ที่ 5-7% ซึ่งโซนพร้อมพงษ์-ทองหล่อ-เอกมัยและโซนราชเทวี-พญาไทเป็นโซนยอดฮิตสำหรับปล่อยเช่าที่ได้อัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ 5% ส่วนโซนพระโขนง – อ่อนนุช ได้ผลตอบแทนสูงถึง 7%” นายอนุกูล กล่าว
สิริ เวนเจอร์ รุกคืบ PropTech ลุยระดมสตาร์ทอัพพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย คัดเลือกเข้มข้นเฟ้นหาสตาร์ทอัพเพื่อต่อยอดธุรกิจด้วยกันอย่างยั่งยืน เผยล่าสุด ได้ 25 ทีม ในโครงการ “Siri Venture Partnership”

สิริ เวนเจอร์ รุกคืบ PropTech ลุยระดมสตาร์ทอัพพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย คัดเลือกเข้มข้นเฟ้นหาสตาร์ทอัพเพื่อต่อยอดธุรกิจด้วยกันอย่างยั่งยืน เผยล่าสุด ได้ 25 ทีม ในโครงการ “Siri Venture Partnership”

“สิริ เวนเจอร์” (SIRI VENTURE) บริษัทร่วมทุนในรูปแบบ Corporate Venture Capital ทำการวิจัยและลงทุนด้าน PropTech นำโดยแสนสิริ (SIRI) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการสร้างนวัตกรรมใหม่ (R&D) ด้าน Property Technology (PropTech) อย่างเต็มรูปแบบเป็นรายแรกของไทย ด้วยการเปิดโครงการ “Siri Venture Partnership” หลังจากที่รับสมัครทีมสตาร์ทอัพจำนวน 100 ทีม เพื่อพิจารณาคัดเลือกทีมศักยภาพสูงสุดมาเข้าร่วมพาร์ทเนอร์ชิพโปรแกรม ที่จะพัฒนาต่อยอดธุรกิจกับผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาฯ ในช่วงไตรมาส 3 เพื่อร่วมลงทุนและผลักดันนวัตกรรมให้ได้รับการจดสิทธิบัตรต่อไป พร้อมทั้งร่วมสร้างสรรค์เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในอนาคตให้ไปได้ไกลในระดับโลก รวมทั้งเสริมการเติบโตให้กับธุรกิจหลักอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนโดยตั้งเป้าสร้างเครือข่ายกับผู้พัฒนานวัตกรรมใหม่ด้าน PropTech อย่างน้อย 300 รายภายในปี 2020 นายชาคริต จันทร์รุ่งสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิริ เวนเจอร์ จำกัด กล่าวว่า “ สิริ เวนเจอร์ คือบริษัทร่วมทุนระหว่างแสนสิริกับธนาคารไทยพาณิชย์ ในรูปแบบ Corporate Venture Capital ที่มีจุดเด่นในด้านการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่ออนาคตหรือที่เรียกสั้นๆ ว่า PropTech ภายใต้ภารกิจสำคัญ คือ 1. การลงทุนพัฒนาด้าน PropTech ด้วยทุน 100 ล้านบาท โดยเริ่มจากในไทยและสิงคโปร์ 2. จัดตั้งโครงการผลักดันสตาร์ทอัพด้าน PropTech เป็นครั้งแรกในไทย พร้อมคัดเลือกสตาร์ทอัพ 25 ทีมร่วมเข้าคอร์สติวเข้ม และผลักดันให้นวัตกรรมที่พัฒนาได้รับการนำไปใช้จริงในไตรมาสที่ 4 และ 3. การยกระดับศักยภาพของ Home Service Application ของแสนสิริ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานที่เป็นลูกบ้านของแสนสิริกว่า 14,000 รายใน 155 โครงการ โดยมีแผนที่จะเพิ่มฟังก์ชันให้ครอบคลุมมากขึ้น และขยายตลาดผู้ใช้สู่วงกว้างทั้งในและต่างประเทศ” บทบาทของ PropTech เพื่อส่งเสริมการพัฒนาวงการอสังหาริมทรัพย์ให้เกิดความยั่งยืน คือการเป็นกำลังในด้าน Research & Development เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะสนับสนุนทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ งานดีไซน์ใหม่ ๆ หรือโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ทั้งนี้ PropTech เป็นประเภทของสตาร์ทอัพที่ใหม่และมีศักยภาพสูงในประเทศไทย เพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นสามารถพัฒนา PropTech ให้ครอบคลุมเทคโลยีสำหรับการทำธุรกิจด้านที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร (Holistic Property Technology Landscape) ตั้งแต่การบริหารระบบข้อมูล การออกแบบโครงการ การก่อสร้าง การสนับสนุนการซื้อขาย การบริหาร และให้บริการภายในโครงการ ไปจนถึงเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ในการอยู่อาศัยแบบองค์รวม และมีโอกาสในการเติบโตค่อนข้างสูงมาก “สตาร์ทอัพไทยมีศักยภาพสูงในเชิงเทคนิคและการพัฒนาซอฟต์แวร์ เห็นได้จากบางรายได้รับโจทย์ไปก็สามารถสร้างโมเดลและเทคโนโลยีกลับมานำเสนอได้ในเวลาที่รวดเร็ว แต่ยังขาดปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในเรื่องการหาตลาดรองรับนวัตกรรม การหาเงินทุน การสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง รวมทั้งกระแสของ PropTech เองที่มีผลต่อความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนหากยังไม่ใช่สตาร์ทอัพที่พัฒนาจนได้ผลิตภัณฑ์ที่นิ่งพอและเริ่มหาตลาดของตัวเองได้แล้ว” ดังนั้น โครงการ “Siri Venture Partnership” จึงได้รับการพัฒนาจากความตั้งใจที่จะสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้สตาร์ทอัพแต่ละราย เป็นโครงการแบบ “Non-exclusivity” ที่ไม่ได้จำกัดการคัดเลือกสตาร์ทอัพที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการเพื่อบริษัทหรือลูกบ้านของแสนสิริเท่านั้น แต่มองถึงการพัฒนาเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับวงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยโดยรวม Research – ให้การสนับสนุนงานวิจัย และนักวิจัยที่มีผลงานที่สอดคล้อง หรือมีแนวคิดที่มีความเป็นไปได้ในการนำมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ Investment – โครงการผลักดันสตาร์ทอัพของ Siri Venture Partnership ไม่ได้กำหนดรูปแบบตายตัวในด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพแต่ละราย เพราะหัวใจสำคัญในการลงทุนด้าน PropTech คือการใส่ความช่วยเหลือที่เหมาะสมเข้าไปในธุรกิจแต่ละรายที่กำลังอยู่ในระยะการเติบโตที่ต่างกัน การสนับสนุนให้เกิดธุรกิจที่มีการซื้อขายและนำไปใช้จริงในอุตสาหกรรม รวมทั้งการลงทุนเมื่อธุรกิจต้องการเงินทุนเพื่อให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการลงทุนร่วมกับนักลงทุนอื่น ๆ ที่สนใจในรูปแบบ Co-Invest ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ ได้รับความสนใจจากกองทุนหลายแห่งทั้งจากประเทศไทย, สิงคโปร์และญี่ปุ่น สำหรับสิริ เวนเจอร์เอง ได้ดำเนินเรื่องของบประมาณเพื่อลงทุนใน R&D เป็นอัตราประมาณร้อยละ 1 ของรายได้ต่อปีของแสนสิริ Partnership – เป็นที่น่าสังเกตว่าสตาร์ทอัพด้าน PropTech บางรายไม่ได้มีอุปสรรคด้านเงินทุน แต่ต้องการที่จะสร้างพันธมิตรที่จะร่วมพัฒนาไปด้วยกัน ทั้งการส่งเสริมด้านความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือประสบการณ์ในการทำธุรกิจ เนื่องจากสตาร์ทอัพไทยส่วนใหญ่ไม่มีผู้ที่จะเข้าไปให้คำแนะนำเฉพาะด้านแบบ one-on-one ทำให้ยากที่จะผลักดันให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ เพราะหลายครั้งที่ธุรกิจต้องการความเข้าใจในระดับรากฐาน ซึ่ง Siri Venture Partnership เข้าใจในความจำเป็นนี้และได้จัดเตรียม Mentor รวมถึงวิทยากรที่ปรึกษาในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในวงการอสังหาริมทรัพย์เอง หรือผู้เชี่ยวชาญในวงการเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ เพื่อมาช่วยให้คำปรึกษาตลอดโครงการ ฯ  รวมทั้งสำหรับสตาร์ทอัพที่มองพันธมิตรด้านการทำการตลาด ทางแสนสิริ ก็พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ ตั้งแต่การนำไปทดสอบกับ Labroom การทดสอบและวัดผลจากการใช้งานจริง รวมทั้งสนับสนุนการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เมื่อกระบวนการพัฒนาเสร็จสมบูรณ์ ด้วยองค์ประกอบที่ตอบสนองความต้องการพื้นฐานของ Startup ทำให้ปัจจุบัน Siri Venture Partnership มีสตาร์ทอัพเข้ามาเชื่อมต่อจำนวนหลายร้อยราย ผ่านการคัดเลือกจากเอกสารและได้รับเชิญมาสัมภาษณ์ราว 130 ราย จากนั้นมีการการคัดเลือกเข้าร่วม Workshop เป็นเวลาสี่วันจำนวนทั้งสิ้น 33 ราย ซึ่งมีเทคโนโลยีที่สนใจอาทิ ซอฟต์แวร์ที่นำมาใช้งานในด้านต่าง ๆ ของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยีสำหรับที่อยู่อาศัยในอนาคต เช่น Home Automation, Security หรือ Home AI หรือระบบสั่งการอุปกรณ์ต่าง ๆ ของบ้านด้วยเสียงภาษาไทย, ระบบ Preventive Maintenance ภายในบ้าน ฯลฯ การพัฒนาหุ่นยนต์มาใช้สำหรับงานก่อสร้าง, ใช้สำหรับงานซ่อมบำรุง, ความปลอดภัยของอาคาร, รวมถึงการให้บริการในด้านต่าง ๆ แก่ผู้อยู่อาศัย การใช้ Electric Vehicles (EV) หรือรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในเมือง การพัฒนาระบบช่วยเหลือและเก็บข้อมูลด้านสุขภาพเพื่อสนับสนุนให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพที่ดีขึ้น หรือเชื่อมต่อกับโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล เป็นต้น “วันนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของ PropTech ในประเทศไทย ซึ่งในอนาคต ด้วยการสนับสนุนอย่างจริงจังจากสิริ เวนเจอร์ และศักยภาพของสตาร์ทอัพไทย ประเทศไทยจะเกิดระบบนิเวศของสตาร์ทอัพด้าน PropTech ที่แข็งแกร่ง สร้างนวัตกรรมมายกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์และมอบความสะดวก ประหยัด และปลอดภัยในด้านการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คน” นายชาคริต กล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารของโครงการ Siri Venture Partnership ได้ที่Facebook.com/siriventure เกี่ยวกับ สิริ เวนเจอร์ สิริ เวนเจอร์ คือ บริษัทร่วมทุนในรูปแบบ Corporate Venture Capital ทำการวิจัยและลงทุน เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ (R&D) ด้าน Property Technology อย่างเต็มรูปแบบเป็นรายแรกของไทย โดยตรง ด้วยเงินทุนจดทะเบียนในช่วงเริ่มต้น 100 ล้านบาท ถือหุ้นด้วยบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ร้อยละ 90 และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 10% เพื่อสร้างสรรค์เทคโนโลยีและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เกี่ยวกับการใช้ไลฟ์สไตล์ในที่อยู่อาศัยจนสำเร็จใช้งานจริงและสนับสนุนให้เข้าถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ร่วมกับกลุ่มนักวิจัย นักประดิษฐ์ ผู้ผลิตและธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยตั้งเป้าผลักดันให้นวัตกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยไทยไปได้ไกลในระดับโลก รวมทั้งเสริมการเติบโตให้กับธุรกิจหลักอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนโดยภารกิจสำคัญของ สิริ เวนเจอร์ มี 3 ส่วน ประกอบด้วย 1. ร่วมลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย เริ่มจากในประเทศไทยและสิงคโปร์  2. ร่วมทุนและยกระดับศักยภาพของ Home Service โมบายแอพพลิเคชัน สำหรับลูกบ้านแสนสิริ เพื่อบริการรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมทุกมิติของการใช้ชีวิต และสามารถขยายขอบข่ายบริการในตลาดที่กว้างขึ้น และ 3. จัดตั้ง Siri Venture Partnership โครงการผลักดันสตาร์ทอัพด้าน Property Technology โดยเฉพาะครั้งแรกในประเทศไทยเพื่อเฟ้นหาสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยที่มีศักยภาพในการลงทุน
เรียลแอสเสท ส่ง “วิรัณยา วงแหวน–อ่อนนุช” ชิงชิ้นเค้กย่านบางนา มั่นใจในทำเล ศักยภาพสูง และเป็นศูนย์กลางพัฒนาเศรษฐกิจแห่งใหม่

เรียลแอสเสท ส่ง “วิรัณยา วงแหวน–อ่อนนุช” ชิงชิ้นเค้กย่านบางนา มั่นใจในทำเล ศักยภาพสูง และเป็นศูนย์กลางพัฒนาเศรษฐกิจแห่งใหม่

“เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์” เปิดตัวคลับเฮ้าส์โครงการ “วิรัณยา วงแหวน – อ่อนนุช” พร้อมโชว์การพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด “บ้านที่มีหัวใจ” พร้อมการออกแบบที่มีความหมายและแฝงข้อคิดดีๆในการดำเนินชีวิต ในทุกรายละเอียดที่ผสมผสานกับธรรมชาติอย่างลงตัว โดดเด่นด้วยสวนสาธารณะขนาดใหญ่และทะเลสาบ มูลค่าโครงการกว่า 1,100  ล้านบาท บนทำเลย่านบางนา–วงแหวนรอบนอก ฝั่งตะวันออก เชื่อมั่นเป็นทำเลทอง มีศักยภาพสูง และยังมีการเชื่อมต่อมาจากศูนย์กลางพัฒนาเศรษฐกิจแห่งใหม่ (NEW CBD) นายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม  บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยถึงศักยภาพของทำเลย่านบางนาและอ่อนนุชว่า ปัจจุบันทำเลที่ตั้งในย่านบางนา – อ่อนนุช ถือได้ว่าเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกที่เป็นทำเลทอง เพราะมีศักยภาพสูง มีการเชื่อมต่อมาจากศูนย์กลางพัฒนาเศรษฐกิจแห่งใหม่ (NEW CBD) และสุขุมวิทตอนกลาง ที่มีเส้นทางคมนาคมหลากหลายเส้นทางในการเดินทางเข้า-ออกเมืองได้อย่างสะดวกสบาย ได้แก่ วงแหวนรอบนอก (เชื่อมต่อกรุงเทพ, นนทบุรี, สมุทรปราการ), มอเตอร์เวย์ (เชื่อมต่อกรุงเทพฯ, ปทุมธานี, ชลบุรี), ทางด่วนบางนา-ชลบุรี (เชื่อมต่อกรุงเทพฯ ไปสู่ภาคตะวันออก), โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มส่วนต่อขยายจากแบริ่งไปสมุทรปราการที่เริ่มเปิดใช้บริการในปี 2560, โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ที่คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายใน 1-2 ปี, โครงการรถไฟฟ้าในอนาคตสายสีเขียว (บางนา-สุวรรณภูมิ) ที่ได้บรรจุลงไปในแผนพัฒนา ปี 2560 เพื่อรองรับการเติบโตของเมืองในอนาคต นอกจากการเดินทางที่สะดวกสบายแล้ว จุดเด่นของย่านบางนา – อ่อนนุช คือ มีสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นจำนวนมากทั้ง ศูนย์การค้า, โรงพยาบาล, และอื่นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้นำมาสู่คำตอบที่ว่าทำไมโครงการที่อยู่อาศัยจึงเกิดขึ้นมากในทำเลย่านบางนา-อ่อนนุช ทั้งโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบ – แนวสูง ที่นักพัฒนาทั้งรายใหญ่และรายย่อยต่างกันมองหาที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในย่านนี้ และในปัจจุบันได้มีโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานและศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่ถือได้ว่าเป็นเมกะโปรเจคของย่านบางนา ได้แก่ แบงค๊อก มอลล์, ไบเทค เฟส 2, อาคารสำนักงานเกรด A ของกลุ่มภิรัชบุรีบริเวณไบเทค และเมกะซิตี้ ทั้งนี้ จากการศึกษาข้อมูลวิจัยของเอเจนซี่ ฟอร์ เรียลแอสเสท แอฟแฟร์ พบว่า ในปัจจุบันบริเวณย่านนี้มีโครงการเปิดขาย ณ ปัจจุบัน มีจำนวน 37 โครงการ ซึ่งเป็นทั้งโครงการแนวราบและแนวสูงผสมกัน ซึ่งคิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดขายประมาณ 9,991 หน่วย ประกอบไปด้วย โครงการแนวราบ จำนวน 5,814 หน่วย (58%), และโครงการแนวสูง จำนวน 4,177 หน่วย (42%) เมื่อพิจารณาในส่วนอัตราการขายได้จะเห็นได้ว่าโครงการแนวราบมีอัตราการขายได้สูงกว่าแนวสูง ซึ่งใช้เวลาในการระบายหน่วยเหลือขายประมาณ 3 ปี ในขณะที่แนวสูงใช้เวลาในการระบายหน่วยเหลือขายประมาณ 5 ปี “เมื่อพิจารณาในส่วนโครงการแนวราบสามารถเรียงลำดับ 5 อันดับแรก ที่สามารถขายได้ดีในบริเวณย่านบางนา-อ่อนนุช คือ บ้านแฝดระดับราคา 5-10 ล้านบาท, ทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 2-3 ล้านบาท, ทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 3-5 ล้านบาท, บ้านแฝดระดับ 3-5 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวระดับราคา 5-10 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งทางบริษัทฯได้มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในย่านดังกล่าวหลายโครงการ สำหรับแบรนด์ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น ภายใต้แบรนด์ “สตอรีส์”, ทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น ภายใต้แบรนด์ “เพล็กซ์” และบ้านเดี่ยวภายใต้ แบรนด์ “วิรัณยา” เพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง และความต้องการที่อยู่อาศัยในอนาคต” นายณัฏฐพร กล่าว  นายวีระชัย หาญจริยากูล ผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์ธุรกิจบ้านจัดสรรและอาคารพาณิชย์  บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า  โครงการ “ วิรัณยา วงแหวน – อ่อนนุช” มีมูลค่าโครงการกว่า 1,100 ล้านบาท สร้างขึ้นภายใต้แนวคิด “บ้านที่มีหัวใจ” คือ บ้านที่ใส่ใจลึกซึ้งทุกความรู้สึก เข้าถึงทุกหัวใจของทุกคนในบ้าน  สู่แนวคิดโครงการที่ออกแบบตัวบ้านที่เน้นความ เท่ อบอุ่นและผ่อนคลาย เต็มอิ่มกับธรรมชาติภายนอกด้วยกระจกเข้ามุม พื้นที่ครัวปิดเป็นสัดส่วนและภายในบ้านถูกออกแบบให้มีพื้นที่เชื่อมต่อกันสำหรับผู้อยู่อาศัย แบบ Multi Generation Space ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ  บริเวณชั้น 2 มีพื้นที่พักผ่อนสำหรับครอบครัวสามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้ตามไลฟ์สไตล์และเปิดมุมมองกับสวนภายนอก รับแสงธรรมชาติเพื่อความปลอดโปร่งและช่วยระบายอากาศได้เป็นอย่างดี ใส่ใจในทุกรายละเอียดอย่างพิถีพิถันและผสมผสานกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว รองรับการสร้าง Silvan Experience & Outdoor ในบรรยากาศร่มรื่นทั่วทั้งโครงการ อิ่มเอมในช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนด้วยคลับเฮ้าส์ ,ฟิตเนส ,สนามเด็กเล่น ,คิดส์คลับ, bikelane และสระว่ายน้ำยกระดับเปิดโล่งสไตล์คอนโดบนชั้นสองของคลับเฮ้าส์ พร้อมศาลาสำหรับนั่งพักผ่อนริมสระว่ายน้ำ รายล้อมด้วยสวนสาธารณะใหญ่และทะเลสาบที่เชื่อมต่อกับ Jogging Track และจุดพักผ่อนรอบโครงการ ให้ชีวิตเต็มไปด้วยการพักผ่อนอย่างแท้จริง วิรัณยา วงแหวน - อ่อนนุช เป็นโครงการบ้านเดี่ยว บนเนื้อที่โครงการกว่า 43 ไร่ จำนวน 169 ยูนิต มีแบบบ้านทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ แบบบ้าน Matura (มาทูร่า) พื้นที่ใช้สอย 171 ตารางเมตร   แบบบ้าน Blooma (บลูมม่า) พื้นที่ใช้สอย 154 ตารางเมตร  และแบบบ้าน Floretta (ฟลอเรตต้า)  พื้นที่ใช้สอย 141ตารางเมตร ที่ดินแปลงมาตรฐาน 51 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 5.99 ล้านบาท ตัวโครงการตั้งอยู่บนถนนเลียบวงแหวนกาญจนาฯฝั่งตะวันออก ช่วงถนนบางนา-ตราดมุ่งหน้าถนนอ่อนนุช ใกล้ทางขึ้น-ลงทางด่วนบางนา-ชลบุรี และสนามบินสุวรรณภูมิ โดยนับได้ว่าเป็นทำเลที่มีความโดดเด่น เพราะ เชื่อมต่อทุกความสะดวกสบาย รองรับทุกเส้นทางสู่กิจกรรมของชีวิต ด้วยทำเลที่ใกล้ใจกลางเมืองถึง 2 เส้นทาง ทั้งจากวงแหวนพระราม 9 และ บางนา นอกจากนี้ยังใกล้ทางด่วนวงแหวนฝั่งใต้ ,ทางด่วนฉลองรัช , ทางด่วนบูรพาวิถี รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียนและห้างสรรพสินค้า อาทิ IKEA , เซ็นทรัล บางนา , พาราไดส์ พาร์ค และซีคอนสแควร์ เป็นต้น ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 50 % และยังมียูนิตเหลือขายอีกประมาณ 30 ยูนิต “สำหรับปี 2560  บริษัทตั้งเป้ายอดขายเฉพาะโครงการแนวราบอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปีทีผ่านมาเกือบ 40% โดยขณะนี้มีโครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว โฮมออฟฟิศ ทาวน์โฮม ที่กำลังอยู่ในขั้นการตอนโอนกรรมสิทธิ์ทั้งสิ้น 7 โครงการ  ในส่วนของแผนการดำเนินธุรกิจของตลาดแนวราบปีนี้ต่อยอดถึงปีหน้า บริษัทคาดว่าจะมีการเปิดโครงการใหม่อีก 2 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการทั้งสิ้นประมาณ 1,300 ล้านบาท
SENA จับมือ “แอคคิวท์ เรียลตี้” ลุยธุรกิจนายหน้าอสังหาฯ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า 360 องศา เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์-ดันรายได้โตแกร่ง

SENA จับมือ “แอคคิวท์ เรียลตี้” ลุยธุรกิจนายหน้าอสังหาฯ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า 360 องศา เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์-ดันรายได้โตแกร่ง

SENA ประกาศความร่วมมือ “แอคคิวท์เรียลตี้” ลุยธุรกิจนายหน้าอสังหาฯ ผ่าน “360º Living Agent เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินทรัพย์ลูกค้าเสนาฯ ด้านผู้บริหารหญิงแกร่ง “ผศ.ดร.เกษราธัญลักษณ์ภาคย์”มั่นใจช่วยผลักดันธุรกิจเติบโตแข็งแกร่ง ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทยและในฐานะ Developer รายแรกที่ทำหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ร่วมมือกับบริษัท แอคคิวท์ เรียลตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำด้านบริการอสังหาริมทรัพย์ในการเข้ามาบริหาร และดำเนินธุรกิจด้านตัวแทนในการซื้อ ขาย หรือให้เช่า อสังหาริมทรัพย์ และบริหารงานขายโครงการ พร้อมให้คำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยในส่วนของ “แอคคิวท์ เรียลตี้” จะเข้ามาดูแลและบริหารงานในส่วนของ 360º Living–Agent เพื่อให้การทำงานของ 360º Living–Agent ของบริษัทฯมีประสิทธิภาพ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอสังหาริมทรัพย์ของลูกค้า และเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทฯ “ความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างเสนาฯกับแอคคิวท์ เรียลตี้ ในครั้งนี้ ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าเสนาฯ ที่ต้องการฝากขาย หรือปล่อยให้เช่า ผ่าน 360º Living–Agent โดย แอคคิวท์ เรียลตี้ จะเข้ารจัดการ หาผู้ซื้อหรือผู้เช่า เพื่อสร้างมูลค่าให้กับทรัพย์สิน พร้อมมอบข้อเสนอที่ดีที่สุดให้กับผู้ซื้อหรือผู้เช่า”ผศ.ดร.เกษรา กล่าว นอกจากนี้ ยังวางแผนในการมุ่งพัฒนาประสิทธิภาพด้านการตลาดทั้งออนไลน์ และออฟไลน์เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมโปรโมชั่นที่น่าสนใจ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ารายย่อยและกลุ่มลูกค้านักลงทุน เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับสินค้าด้วยความคุ้มค่า โดยวางเป้าหมายรายได้จากธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ผ่าน 360º Living–Agent “แอคคิวท์ เรียลตี้ ถือว่าเป็นผู้ที่มีความชำนาญและมีทีมงานที่เป็นมืออาชีพ เป็นที่รู้จักในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ในด้านการซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ มาเป็นเวลานานกว่า 17 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ SENA ให้ความสำคัญในเรื่องการดูแล แอพพลิเคชั่น SENA 360 SERVICE ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการหลังการขายของบริษัทฯได้โดยง่าย สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์การดำเนินงานในปีนี้ SENA จะเน้นการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนาสินค้าและบริการของเราให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว นายปรีชา ศุภปีติพร กรรมการผู้จัดการ  บริษัท แอคคิวท์ เรียลตี้ จำกัด ประกอบกิจการประเภทกิจกรรมของตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า 360º Living–Agent ถือเป็นการตอบโจทย์ได้อย่างแท้จริง ทั้งรูปแบบบริการรับฝากขาย-เช่า อสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่ออยู่อาศัย หรือลงทุน โดยจะบริหารงานโดย บริษัท ลีฟวิ่ง เอเจ้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับพันธมิตรอย่าง บริษัท แอคคิวท์ เรียลตี้ จำกัด จะเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ SENA ให้แข็งแกร่ง รวมทั้งสร้างยอดขายเพิ่ม เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริการ 360 Living Agent จะเน้นมุ่งพัฒนาประสิทธิภาพด้านการตลาด ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ที่ทันสมัยและรวดเร็ว เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย  เน้นการสร้างโปรโมชั่นที่น่าสนใจเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ารายย่อย และกลุ่มลูกค้านักลงทุนเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับสินค้าที่คุ้มค่า  มีบริการที่เป็นมาตรฐาน แบบมืออาชีพ และมีความน่าเชื่อถือ เปรียบเสมือนเจ้าของโครงการ ดูแลลูกบ้านสามารถให้คำแนะนำในการฝากขาย-เช่า แบบครบวงจร เช่น การตั้งราคาที่เหมาะสม การโฆษณาประชาสัมพันธ์ การตกแต่ง การเตรียมเอกสาร สัญญาต่างๆ การโอนกรรมสิทธิ์ การให้คำแนะนำในการขอกู้ซื้อบ้านจากสถาบันการเงิน เป็นต้น "ผมมั่นใจว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และมอบบริการที่ดีเป็นที่พึงพอใจให้กับลูกค้า เพราะด้วยความชำนาญและเชี่ยวชาญด้านนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่ยาวนาน และเป็นที่ยอมรับในการขายทรัพย์สินมือสอง ให้กับทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ " 360Living-Agent"  จะเริ่มตั้งแต่ต้น-จนจบกระบวนการ เช่นการตั้งราคาที่เหมาะสม การโฆษณาประชาสัมพันธ์ การแนะนำการตกแต่ง การเตรียมเอกสาร สัญญาต่างๆ การโอนกรรมสิทธิ์ การให้คำแนะนำในการขอกู้ซื้อบ้านจากสถาบันการเงิน เป็นต้น โดยเราจะมีการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ทั้งทาง Online และ Offline ผ่านช่องทางต่างๆของเรา เพื่อให้เกิดการขาย และ เช่าอย่างรวดเร็ว และตรงตามความต้องการลูกค้า "นายปรีชา กล่าว
แลนด์มาร์คใหม่ในศรีราชา “เดอะซี” คอนโดหรูติดหาดติดถนนใหญ่ สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ก.ค.นี้ (Advertorial)

แลนด์มาร์คใหม่ในศรีราชา “เดอะซี” คอนโดหรูติดหาดติดถนนใหญ่ สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ก.ค.นี้ (Advertorial)

ความลงตัวของการใช้เวลาพักผ่อนริมทะเลกับโค้งหาดทรายสวยในศรีราชา มีอยู่ที่เดียวที่นี่  ที่ซึ่งคุณจะพบกับความหรูหราสะท้อนรสนิยมเหนือระดับและความสะดวกสบายจากบริการต่างๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้รับบริการแบบเดียวกับโรงแรมหรู ไม่ว่าจะเป็นการอยู่อาศัยในวันพักผ่อนสบายๆ หรืออยู่อาศัยเป็นประจำในวันทำงาน “โมเดิร์นเซน”  น้อยแต่มาก เรียบแต่หรู โครงการ “เดอะซี” คอนโดระดับพรีเมียมที่ตั้งอยู่ติดทั้งถนนใหญ่สายสุขุมวิทและติดชายหาด  ถือเป็นความพิเศษของทำเลที่ตั้ง   โครงการออกแบบจากแนวคิด “โมเดิร์นเซน” ที่สามารถผสมผสานความหรูหราทันสมัยแห่งยุคให้เข้ากันอย่างเหมาะเจาะกับความเรียบง่าย นิ่งสงบเย็นในแบบเซน ซึ่งเป็นกลิ่นอายโลกตะวันออกและความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างลงตัวและเป็นข้อพิสูจน์ของจริงในวลี “น้อยแต่มาก  เรียบแต่หรู” กับบรรยากาศการอยู่อาศัยที่แวดล้อมด้วยความสะดวกสบาย ครบครันสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับชีวิตผู้คนยุคใหม่อย่างแท้จริง อัพเดทความคืบหน้าโครงการล่าสุด ตอนนี้ “เดอะซี” ดำเนินการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว   สถาปัตยกรรมอาคาร L Shape ในสไตล์เรียบหรูสง่างาม โดดเด่นมองเห็นได้แต่ไกลเมื่อขับรถผ่านมาทางศรีราชา  ความสูงอาคาร  40 ชั้น ส่งผลให้ “เดอะซี” ในปัจจุบันได้กลายมาเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของศรีราชา ตัวอาคารก่อสร้างเสร็จแล้ว  เป็นการออกแบบโดยยึดหลัก Universal Design เพื่อผู้พักอาศัยทุกเพศทุกวัยได้เต็มอิ่มกับบรรยากาศการใช้ชีวิตติดหาดอย่างไม่มีข้อยกเว้น สำหรับสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ  โครงการนี้มอบให้แบบจัดเต็ม ตั้งแต่ ล็อบบี้ต้อนรับ ที่ให้ความรู้สึกโอ่อ่า โปร่งโล่ง ด้วยเพดานโถงสูงรับลมทะเลได้เต็มที่ พื้นที่ส่วนกลาง บริเวณชั้น 7 ประกอบไปด้วย สระว่ายน้ำระบบเกลือแบบ Infinity Edge ความยาว 30 เมตรพร้อมสระเด็กและเก้าอี้จากุซซี่ ห้องออนเซนจัดแยกชาย –หญิง เห็นวิวทะเลเต็มตา ฟิตเนตเซ็นเตอร์พร้อมอุปกรณ์ครบครัน  ห้องกิจกรรมสำหรับเด็ก และห้องสมุด และจุดที่พลาดไม่ได้คือ สวนสวยในแบบ water scape  บนชั้น 40 ดาดฟ้าของอาคาร สูงที่สุดในศรีราชา โครงการเดอะซี เปิดขายยูนิตแบบ Fully Furnished เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งที่โครงการจัดให้พร้อมห้องชุด ได้แก่ เตียง ตู้เสื้อผ้าบิวท์อิน ชุดโซฟา ชุดโต๊ะรับประทานอาหาร  ชุดครัวบิวท์อิน โดยโครงการได้ตกแต่งห้องตัวอย่างไว้ให้เลือกชมมากถึง 6 แบบ มีไอเทมข้าวของตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อใช้เป็นไอเดียดีๆ สำหรับลูกค้าได้ลองจินตนาการสร้างสรรค์ศิลปะการอยู่อาศัยในสไตล์ที่ต้องการ  มีทั้งแบบ 1 ห้องนอน  2 ห้องนอน  3 ห้องนอน  พื้นที่เริ่มต้น 32 – 111 ตารางเมตร  ในราคายูนิตเริ่มต้นที่ 2.6 ล้านบาท อยากให้คุณได้ไปเห็นกับตา  แวะมาพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองที่ “เดอะซี” คอนโดฯ หรูติดหาดและติดถนนใหญ่ ใกล้ไม่ต้องเข้าซอย สร้างเสร็จแล้วพร้อมเข้าอยู่กรกฎาคม ศกนี้  รับโปรโมชั่นพิเศษที่พลาดไม่ได้  นัดหมายชมห้องตัวอย่างที่ 091-736-9999 หรือ 038-324-333  “เดอะซี”  คัดสรร 10 ห้องวิวสวยให้คุณพร้อมรับส่วนลดสูงสุดให้ถึง 900,000   บาท ถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้เท่านั้น  รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก  www.thezeacondo.com
MQDC เปิดตัวกรอบแผนงาน ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี วิวัฒนาการเพื่อยกระดับด้านสุขภาพโดยรวมและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ที่เป็นมากกว่าแค่ ‘การอยู่อาศัย’

MQDC เปิดตัวกรอบแผนงาน ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี วิวัฒนาการเพื่อยกระดับด้านสุขภาพโดยรวมและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ที่เป็นมากกว่าแค่ ‘การอยู่อาศัย’

MQDC คาดว่าจะใช้งบระมาณลงทุนกว่า 6,000 ล้านบาทในระยะ 10 ปีข้างหน้า MQDC ร่วมมือกับพันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ เพื่อนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีให้กับลูกค้าผ่านระบบกลไกโรโบติกส์และนวัตกรรมสมองอัจฉริยะ (Artificial Intelligence – Ai) และบูรณาการการบริการลูกค้าทั้งหมดเข้าด้วยกันในแพลตฟอร์มเดียวกัน ทั้งในด้านการตรวจสอบและการควบคุมระบบต่าง ๆ โครงการ วิสซ์ดอม รัชดา-ท่าพระ ซึ่งจะเปิดตัวในปีหน้านี้ จะเป็นโครงการแรกในประเทศไทยที่จะเปิดตัวระบบการอยู่อาศัยอัจฉริยะเต็มรูปแบบโดยมุ่งเน้นเพื่อการยกระดับในด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยรวม รวมไปถึงด้านความปลอดภัย และการประหยัดพลังงาน ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (The Research and Innovation for Sustainability Center หรือ RISC) – เป็นหน่วยงานของ MQDC ที่มุ่งทำงานค้นคว้า วิจัย และออกแบบนวัตกรรมการอยู่อาศัย โดยผ่านการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการใช้ชีวิตจริง และการประยุกต์ใช้กับนวัตกรรมสมองอัจฉริยะ (Artificial Intelligence – Ai) อย่างลงตัว โดยศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน หรือ RISC จะทำงานร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำและ Start-ups กรุงเทพ, 18 พฤษภาคม 2560 - แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC), ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูสในระดับสากล และเป็นเจ้าของแบรนด์ แมกโนเลีย และ วิสซ์ดอม ได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะตอบโจทย์เทคโนโลยีความเป็นอยู่ เพื่อนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่เป็นมากกว่าแค่ ‘การอยู่อาศัย’ แต่เป็นวิวัฒนาการเพื่อยกระดับในด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยรวม โดยจะมีการลงทุนมากกว่า 6,000 ล้านบาทในช่วง 10 ปีข้างหน้า ทางบริษัทฯ ได้ประกาศว่าจะเปิดตัว โครงการ วิสซ์ดอม รัชดา-ท่าพระ บ้านอัจฉริยะเต็มรูปแบบแห่งแรกในประเทศไทยที่มุ่งเน้นการพัฒนาความเป็นอยู่และสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ความปลอดภัย และการประหยัดพลังงาน ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3/2561 นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า แผนการลงทุนดังกล่าวนั้น สอดคล้องกับแนวคิดเรื่องนวัตกรรมที่ยั่งยืน (Sustainovation) ของบริษัทแม่กลุ่มบริษัทดีที (DTGO Corporation Limited - DTGO) ที่จะนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยและผู้เช่าในโครงการของ MQDC  “เราเชื่อในการลงทุนในความคิดใหม่ ๆ เหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้โครงการของเราพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และจะเป็นผลดีต่อความเป็นอยู่โดยรวมของผู้อยู่อาศัยในโครงการของเรา” นายวิสิษฐ์กล่าว “MQDC นำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่เป็นมากกว่าแค่ ‘การอยู่อาศัย’ แต่เป็นวิวัฒนาการเพื่อการยกระดับในด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยรวม การหาพาทเนอร์ที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี มาพัฒนาร่วมกัน ถือเป็นหัวใจสำคัญของแผนแม่บทของ MQDC สำหรับการสร้างและบูรณาการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการในอนาคตของเรา การลงทุนเหล่านี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า MQDC ประยุกต์นวัตกรรมที่ยั่งยืนเข้ากับการใช้งานในชีวิตจริง แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ใส่ใจเพียงเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เท่านั้น หากเรายังใส่ใจเรื่องการใช้นวัตกรรมเหล่านั้น ที่ตอบสนองความต้องการที่ลูกค้าเองยังไม่ทราบ และเชื่อมต่อกับบริการอื่น ๆ ในแพลตฟอร์มเดียวกันซึ่งนำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ” “ การเปลี่ยนแนวคิดให้เป็นความเป็นจริงนั้น การยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ว่าจะเกิดจากรายละเอียดเล็กๆ หรือนวัตกรรมที่เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของเรา และการน้อมรับมุมมองใหม่ๆ ทั้งจากในและต่างประเทศ ทำให้เราสามารถสร้างสังคมที่ยั่งยืน ซึ่งส่งผลให้การดำเนินชีวิตของเรามีความงดงาม มีแรงบัลดาลใจ และปลอดภัยมากขึ้น” นายวิสิษฐ์กล่าวสรุป ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (Research and Innovation for Sustainability Center หรือ RISC) ของ MQDC จะร่วมทำงานร่วมกับบริษัท Obotron ซึ่งเป็น Start-ups เพื่อที่จะออกแบบ และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีความเป็นอยู่ การเก็บรวบรวมข้อมูล และนวัตกรรมสมองอัจฉริยะ (Artificial Intelligence – Ai)  เรามุ่งเน้นที่จะพัฒนานวัตกรรมด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาสุขภาพ และระบบการจัดการชีวิตประจำวัน เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการอสังหาริมทรัพย์ของ MQDC โดยจะครอบคลุม 3 ส่วนหลักดังต่อไปนี้ ระบบการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency Awareness): การรายงานสภาพการใช้กระแสไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ ระบบที่ตอบสนองด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (Health System): โดยเซ็นเซอร์ตรวจจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบระบายอากาศแบบประหยัดพลังงานเพื่อทำให้ผู้อยู่อาศัยได้รับอากาศบริสุทธิ์ภายในห้อง และยังประหยัดการใช้ไฟฟ้า ระบบการควบคุมเพื่อตอบสนองวิถีการใช้ชีวิตเพื่อความสะดวกสบาย (Lifestyle Control): โดยนำเสนอระบบควบคุมอัจฉริยะซึ่งจะสามารถทำให้ผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุมทุกระบบในบ้านได้จากโทรศัพท์มือถือ เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ระบบแสงสว่างอัตโนมัติ ระบบประตูหน้าต่างล็อคแม่เหล็กระบบดิจิตอลเพื่อเพิ่มความปลอดภัย โครงการยังมีการติดตั้งระบบกล้องวงจรปิดซึ่งเชื่อมต่อระบบความปลอดภัยที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน โดยที่ระบบทั้งหมดสามารถควบคุมได้ผ่านโทรศัพท์มือถือของลูกค้า
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยมุมมองการทำธุรกิจของผู้ประกอบรุ่นใหม่ “สร้างตัวตน เสริมแกร่งด้วยความแตกต่าง สร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้า”

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยมุมมองการทำธุรกิจของผู้ประกอบรุ่นใหม่ “สร้างตัวตน เสริมแกร่งด้วยความแตกต่าง สร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้า”

ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีการเติบโตอย่างชัดเจน ในช่วง 3-5 ปีทีผ่านมา และจากการที่บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้ร่วมเป็นที่ปรึกษาด้านการขายแบบครบวงจรกับลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Young Developer) ราว 12 แห่ง จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท  พบปัจจัยที่ดึงดูดให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หันมาสนใจธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่อยู่บนปัจจัยที่สำคัญของทุกคน เป็น Real Sector ที่สำคัญของประเทศ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล สามารถขับเคลื่อน ธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีนัยสำคัญ สามารถพิสูจน์ความสำเร็จให้กับรุ่นพ่อแม่ให้เห็นได้รวดเร็ว และยังสามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น อพาร์ทเมนต์ หรือโรงแรมได้ เราจึงได้เห็นว่าอสังหาริมทรัพย์ยังคงเติบโตไปได้ตลอดแม้ในสภาวะที่มีการแข่งขันสูง หรือเศรษฐกิจชะลอ แต่ก็ยังมีผู้ประกอบการหน้าใหม่เพิ่มเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย และสร้างโปรดักซ์ใหม่ๆ กับกับวงการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จะเห็นว่าภาครัฐและเอกชนต่างๆ ได้มีการเปิดหลักสูตรเฉพาะด้านอสังหาเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่อย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจและความต้องการที่จะเข้ามาทำธุรกิจที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลังนี้อย่างชัดเจน  ลักษณะของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ต่อยอดจากรุ่นพ่อแม่ ที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้ว โดยรุ่นลูกอาจจะมีการพัฒนาเป็นรูปแบบใหม่ มีการปรับคาแรกเตอร์ให้ทันสมัยขึ้น และต่อยอดแบรนด์ใหม่ๆ และอีกส่วนหนึ่งมาจากการร่วมมือกับกลุ่มเพื่อนทายาทธุรกิจที่มีความสนใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน ซึ่งอาจจะพบกับตามคอร์สระยะสั้นที่เปิดสอนด้านการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ถ่ายทอดโดยผู้มีประสบการณ์จริง อีกกลุ่มหนึ่งคือขยาย Business Line เป็นกลุ่มทายาทธุรกิจที่เห็นโอกาสจากการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่ารุ่นพ่อแม่จะประสบความสำเร็จจากธุรกิจอื่น แต่สามารถต่อยอดสิ่งที่มีอยู่เช่น Landbank ที่รับตกทอดมา เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เมื่อเข้าสู่ตลาดอสังหาฯ ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ในหลายๆ มิติ อาทิ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่เหล่านี้ เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับฐานข้อมูลตลาดมากขึ้น  พร้อมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อนำไปสู่การออกแบบโครงการ ขนาดห้อง และการกำหนดราคา ให้ตรงกับความต้องการผู้บริโภค มี มี connection ที่กว้างขวาง รวมถึงการดึงมืออาชีพเข้ามาเป็นที่ปรึกษา รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งในส่วนของการอยู่อาศัยและการก่อสร้างเข้ามาช่วยลดข้อจำกัดในการใช้พื้นที่ เช่นใช้ระบบ Jet Pool เพื่อแก้ปัญหาสระว่ายน้ำที่เล็ก / ห้อง แบบ One Bed Plus ที่ปรับฟังก์ชั่นได้หลากหลาย ใช้ Home Automation เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายแก่ลูกค้า  ด้านการทำตลาด จะเลือกทำเลในการลงทุนที่เลี่ยงการชนกับเจ้าตลาดหรือรายใหญ่   เน้นทำเลศักยภาพที่มีความต้องการอยู่อาศัยจริงอยู่ไม่ห่างจาก Prime Area มีความครบถ้วนในทุกมิติ ทั้งใกล้รถไฟฟ้า ใกล้แหล่งชอปปิ้ง ร้านอาหาร มีผู้คนอาศัยอย่างหนาแน่น สามารถเดินทางเชื่อมต่อได้หลากหลาย โดยทำเลนี้ยังตอบโจทย์ผู้ที่เคยอาศัยอยู่เดิมแต่ต้องการแยกออกมาอยู่อาศัยส่วนตัว โดยทำเลที่ได้รับความนิยมคือ พระราม 9 ลาดพร้าว รัชดา และพหลโยธินตอนกลาง ในส่วนของกลยุทธ์ด้านราคาเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้โครงการเหล่านี้ประสบความสำเร็จ โดยการทำราคาให้เอื้อมถึงง่าย เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าอยู่อาศัยเอง มากกว่าที่เน้นเก็งกำไรหรือลงทุน ส่วนการดีไซน์เป็นอีกปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการที่เน้นกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์เฉพาะ เนื่องจากการวางคอนเซปต์ การกำหนดคาแรกเตอร์ของโครงการล้วนมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อที่ไม่ต้องการได้สินค้าเหมือนท้องตลาดทั่วไป สำหรับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เราเน้นการให้ความสำคัญของที่ปรึกษาด้านการขายแบบครบวงจร  ด้วยทีมวิจัยแบบเจาะลึกที่มีประสบการณ์การลงพื้นที่ต่างๆ กว่า 20 ปี ซึ่งจุดเด่นของหน่วยงานนี้คือการบอกต่อของลูกค้า ส่งผลให้พลัสฯ สามารถขยายตลาดไปสู่กลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพในการทำธุรกิจ รวมถึงกลุ่มทุนต่างประเทศทั้งญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน ล่าสุด ธุรกิจ Sole agent ของพลัสฯ ได้เปิดตัวเว็บไซต์ www.plussoleagent.com เพื่อเป็นช่องทางในการนำเสนอบริการให้กับกลุ่มทุนทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศที่มีความสนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ พร้อมทั้งเป็นช่องทางในการนำเสนอ ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ และข่าวสารความเคลื่อนไหวของโครงการต่างๆ ที่ทำการพัฒนา โดยปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าชาวไทย 75% และต่างชาติ 25%
SIRI เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 ยอดขายพุ่ง 6,651 ลบ. เติบโตถึง 40 %

SIRI เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 ยอดขายพุ่ง 6,651 ลบ. เติบโตถึง 40 %

แสนสิริเผยผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 60 ยอดขายพุ่งทะลุ 6,651 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 4,745 ถึง 40% ทั้งที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ค่อนข้างน้อย โดยโกยยอดขาย จากกลุ่มคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ ไลน์ อาทิ เดอะไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์, เดอะไลน์ สุขุมวิท 101 และคอนโดมิเนียมในตลาดต่างจังหวัด โดยเฉพาะ คอนโดมิเนียมในทำเลหัวหินและพัทยาที่ดีมานด์จากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติยังสูงต่อเนื่อง รวมทั้งยอดขายจากโครงการ“98 Wireless” (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส) ขณะที่รายได้รวมและกำไรทรงตัว อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นและสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยบริษัทมีรายได้รวม 7,124 ล้านบาท และกำไรรวม 512 ล้านบาท ไตรมาส 2 ลุยเปิดขาย เดอะ เบส เพชรเกษม และเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ บุราสิริ วัชรพล นายวันจักร์  บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI  เปิดเผยถึงผลการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริในช่วงไตรมาส 1/2560 บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 6,651 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 4,745 ล้านบาทถึง 40 % ทั้งที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ค่อนข้างน้อย อาทิ โครงการ “สิริ อเวนิว สายไหม” อาคารพาณิชย์ดีไซน์โมเดิร์น สไตล์นิวยอร์คลอฟต์ใหม่ ใจกลางย่านสายไหม มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาทที่ปิดการขายทันทีใน 2 ชั่วโมงแรกที่เปิดขายอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกโดยหลักมาจากกลุ่มคอนโดมิเนียมภายใต้บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง แบรนด์ เดอะ ไลน์ อาทิ  เดอะไลน์ พหลฯ - ประดิพัทธ์, เดอะไลน์ สุขุมวิท 101  รวมถึงการนำคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ ไลน์ ไปโรดโชว์ในตลาดต่างชาติ อาทิ โครงการเดอะ ไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์ ที่เปิด Global Launch เต็มรูปแบบใน 4 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และจีน และมีลูกค้าให้ความสนใจเข้าร่วมงานโรดโชว์ในทั้ง 4 ประเทศจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมจากตลาดต่างชาติในช่วงไตรมาสแรกไปได้ถึง 1,700 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังประสบความสำเร็จจากการเปิดตัวโครงการ “98 Wireless” (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส) โครงการแฟลกชิปคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดบนถ.วิทยุที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนมีนาคม รวมทั้งการได้รับการตอบรับที่ดีจากยอดขายคอนโดมิเนียมในตลาดต่างจังหวัด โดยเฉพาะ คอนโดมิเนียมในทำเลเมืองท่องเที่ยวอย่างหัวหินและพัทยาซึ่งยังมีดีมานด์สูงจากทั้งลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ อาทิ การปิดการขายบ้านเคียงฟ้า หัวหิน จำนวน 616 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 1,400 ล้านบาท รวมทั้งโครงการ เรน ชะอำ-หัวหิน รีสอร์ทคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ที่สร้างยอดขายไปได้ถึง 60% ขณะที่พัทยามียอดตอบรับจากลูกค้าที่ดีมากเช่นเดียวกัน โดยบริษัทปิดการขายโครงการ เดอะ เบส พัทยากลาง (THE BASE Central Pattaya) จำนวน 1,112 ยูนิต มูลค่าโครงการ มูลค่าโครงการ 3,100 ล้านบาท รวมทั้งเตรียมปิดการขาย บ้านปลายหาด พัทยา รีสอร์ทคอนโดมิเนียมทำเลหาดวงศ์อมาตย์ ที่มีชายหาดที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวที่สุดในพัทยา ซึ่งมียอดขายไปแล้วถึง 97% “บริษัทยังมีรายได้รวมในช่วงไตรมาสแรกสูงถึง 7,124 ล้านบาท และมีกำไร 512 ล้านบาท ซึ่งนับว่าทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อัตรากำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit Margin ปรับตัวดีขึ้นจาก 30.7% ในช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเป็น 31.7% รวมถึงอัตราส่วนกำไรขั้นต้นจากการขายโครงการปรับตัวดีขึ้นจาก 30.3% เป็น 34.2% จากการโอนโครงการ 98 Wireless และบ้านเดี่ยวที่มี Margin สูง นอกจากนี้บริษัทยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1,325 ล้านบาท ปรับลดลงจากไตรมาส 4 ของปี 2016 ที่มีค่าใช้จ่าย 1,632 ล้านบาท ลงถึง 18.8%” นายวันจักร์ กล่าว สำหรับแผนธุรกิจในช่วงไตรมาส 2 ล่าสุด บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้งกรุ๊ป ได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ เดอะ เบส (THE BASE) ในชื่อโครงการ “เดอะ เบส เพชรเกษม” (THE BASE Phetkasem) จำนวน 640 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,850 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการแรกของปีนี้ โดยบริษัทได้เปิดให้จองโครงการผ่านทาง “SANSIRI ONLINE BOOKING” เป็นครั้งแรก ซึ่งปรากฎว่าได้ผลตอบรับที่ดี โดยหลังจากเริ่มเปิดจองผ่าน SANSIRI ONLINE BOOKING ในช่วงเสาร์ – อาทิตย์ ที่ 13-14 พ.ค.ที่ผ่านมา มีลูกค้าเข้าจองผ่านระบบคิดเป็นจำนวนถึง 60% จากจำนวนห้องที่เปิดขายผ่าน SANSIRI ONLINE BOOKING ทั้งนี้บริษัทยังเปิดให้จองผ่านทาง SANSIRI ONLINE BOOKING ได้จนถึงวันที่ 19 พ.ค.นี้ พร้อมมอบส่วนลดและสิทธิพิเศษเพิ่มสูงสุดกว่า 1 แสนบาท ก่อนเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 20-21 พ.ค. ในราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังได้เตรียมเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการแรกของปีนี้ ได้แก่ โครงการ “บุราสิริ วัชรพล” มูลค่าโครงการ 3,300 ล้านบาท ในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้อีกด้วย
อนันดาฯ เปิดตัว Branding แคมเปญ “Today Together Tomorrow” #WECulture ปลุกพลังบวก ชวนคนเมืองแชร์ประสบการณ์ พร้อมความคิดดีๆ เพื่อชีวิตคนเมืองที่ดีอย่างเป็นรูปธรรม

อนันดาฯ เปิดตัว Branding แคมเปญ “Today Together Tomorrow” #WECulture ปลุกพลังบวก ชวนคนเมืองแชร์ประสบการณ์ พร้อมความคิดดีๆ เพื่อชีวิตคนเมืองที่ดีอย่างเป็นรูปธรรม

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง และผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า เปิดตัว แคมเปญใหญ่ "Today Together Tomorrow" #WECulture ตอกย้ำแนวคิด Urban Living Solutions ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ร่วมกันปลุกพลังความคิดด้านบวก ชวนคนเมืองเปิดใจ เปลี่ยนความคิด ทัศนคติ และการใช้ชีวิตจากการยึดติดกับตัวเองและทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง หรือ “ME” มาให้ความสำคัญและทำเพื่อส่วนรวมหรือ  “WE” มากขึ้น โดยชวนบุคคลที่มีชื่อเสียงและมีบทบาทในสังคมมาร่วมกันแบ่งปันและสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นเพื่อมุ่งไปสู่ความร่วมมือ ก่อเกิดประโยชน์แก่ส่วนร่วมมากขึ้น นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัท ฯ ตระหนักและเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมเมือง จึงมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าคุณภาพเยี่ยม เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนเมือง พร้อมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิมสำหรับวันนี้และอนาคต ล่าสุดเตรียมเปิดตัว  Branding Campaign  "Today Together Tomorrow" #WECulture ซึ่งถือเป็นภาคต่อของ "Ananda Live With Passion" เมื่อปี 2559 ที่ผ่านมา ที่เน้นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจาก Passion และวิธีคิดของตัวเราและผลักดันให้เกิดการสร้างสรรค์และผลักดันไปสู่เป้าหมายของแต่ละคน และสำหรับปีนี้เป็นการตอกย้ำแนวคิด Urban Living Solutions ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น คือ จาก Passion สู่การจัดการให้สิ่งที่คิดเกิดขึ้นจริง ซึ่งแนวคิดของแคมเปญนี้เกิดขึ้นจากความเชื่อในเรื่องของการให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน ( Collaboration ) การทำงานแบบเป็นทีม ( Team work ) เน้นความคิดสร้างสรรค์ ร่วมผลักดัน เพื่อให้เกิดสิ่งดีๆ และแบ่งปันสู่สังคม โดยไม่ได้ยึดถือว่าใครหรือคนใดเป็นเจ้าของความคิดสิ่งใดแต่เพียงผู้เดียว แต่หากเราเอาไอเดีย เอาความรู้ มาผสมผสานกันก็จะทำให้เกิดพลังบวกที่จะมาร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นได้ในสังคม เพราะเราเพียงคนใดคนหนึ่ง องค์กรใดองค์กรหนึ่ง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีคิด สังคม หรือปัญหาที่มีอยู่ให้จางหายหรือหมดไปได้ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องกระตุ้นให้ทุกคนเห็นความสำคัญและทำเพื่อส่วนรวม หรือ  “WE” มากกว่าการทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง หรือ “ME”  โดย อนันดาฯ เราเชื่อในการร่วมมือกัน ช่วยกันหาคำตอบสำหรับปัญหาต่างๆ เพราะแต่ละคนก็มีทักษะและความถนัดในด้านที่ต่างกัน ไม่ใช่แค่คนในองค์กร แต่รวมถึงคน กลุ่ม องค์กร สถาบันภายนอกที่ อนันดาฯ ได้ร่วมงาน เราได้เปลี่ยนวิธีการทำงานเป็น Open Platform เปิดรับทุกความคิด ดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่  คนที่เป็นความหวังของการเปลี่ยนแปลงอนาคตไปในทางที่ดีขึ้นเข้ามาร่วมแชร์ประสบการณ์ แชร์ความรู้ แชร์ทัศนคติกับเราในการพัฒนาหา Solutions ต่างๆ ที่จะทำให้ชีวิตคนเมืองดีขึ้น" นายชานนท์กล่าว   แคมเปญ "Today Together Tomorrow"#WECulture เกิดขึ้นเพื่อนำไปสู่การเริ่มต้นในการขับเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่างในสังคม ณ ปัจจุบัน ถ้าทุกคนเชื่อว่า "ME" (ตัวเรา) เป็นจุดศูนย์กลางของสังคมและทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ปัญหาก็จะเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง อนันดาฯ จึงอยากชวนคนเมืองเปิดใจ คิดถึงภาพรวมและมองถึง "WE" (เราทุกคน) ให้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นสัญลักษณ์สะท้อนผู้คนที่แตกต่างจากหลากหลายองค์กร ที่มีความถนัดและพรสวรรค์ที่ต่างกันและมาร่วมมือกันเพื่อหาทางออกให้กับคนเมืองที่ต้องประสบปัญหาในชีวิตประจำวัน  โดยสิ่งที่ทำไม่ใช่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ต่อใครคนใดคนหนึ่ง หรือแม้แต่อนันดาฯ เอง แต่ควรจะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงให้กับสาธารณะที่ประสบปัญหาเหล่านั้นอยู่ ซึ่งทั้งหมดต้องผ่านการคิด การระดมมันสมองจากผู้มีความสามารถหลากหลายท่านร่วมกัน เพื่อนำไปใช้และทำให้เกิดเป็นรูปธรรมในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิมสำหรับเราทุกคน นอกจากนี้ พร้อมเปิดตัว Internet Film  เพื่อตอกย้ำความเป็นตัวตนของแบรนด์ อนันดาฯ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยได้บุคคลที่มีความสามารถจากหลากหลายอาชีพ และเป็นผู้มีชื่อเสียงในสังคมมาร่วมแชร์ความคิด แชร์ความรู้ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาชีวิตคนเมืองอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสามารถรับชม  ได้ทาง Youtube https://youtu.be/LvAydSUWLmE
SC โชว์ยอดขายไตรมาสแรกเติบโต 30% ปลื้มกลุ่มบ้านเดี่ยวราคา 3-10 ลบ. เติบโต 43% พร้อมกับ โครงการ 28 Chidlom (ทเวนตี้เอท ชิดลม) ได้รับการตอบรับดีมาก มียอดพรีเซลส์ปัจจุบันถึง 70% ของเฟสแรก

SC โชว์ยอดขายไตรมาสแรกเติบโต 30% ปลื้มกลุ่มบ้านเดี่ยวราคา 3-10 ลบ. เติบโต 43% พร้อมกับ โครงการ 28 Chidlom (ทเวนตี้เอท ชิดลม) ได้รับการตอบรับดีมาก มียอดพรีเซลส์ปัจจุบันถึง 70% ของเฟสแรก

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพทุกระดับราคา กล่าวว่า  “ไตรมาส 1/60 บริษัทมียอดขาย 3,420   ล้านบาท เติบโต 30 % เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เนื่องจากการได้รับการตอบรับที่ดีจากโครงการแนวราบและแนวสูง คือ กลุ่มบ้านเดี่ยวราคา 3-10 ล้านบาท ในแบรนด์ “เวนิว” และ “เพฟ”  มียอดขายเติบโต 43% พร้อมกับโครงการ 28 Chidlom (ทเวนตี้เอท ชิดลม) คอนโดฯ ระดับไฮเอนด์ทำเลบนถนนชิดลม มียอดพรีเซลส์ ณ ปัจจุบันถึง  70%  จากเฟสแรกของอาคาร The Tower โดยมีรายได้รวม 1,756 ล้านบาท กำไรสุทธิ 75 ล้านบาท พร้อมมียอดขายรอโอน หรือ Backlog ประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นยอดโอนในปีนี้ประมาณ 30%” นายณัฐพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 2/60 ว่า “SC จะเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 3,100 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์ ตั้งอยู่ติดถนนศรีนครินทร์ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง เยื้องซีคอน พื้นที่กว่า37 ไร่ มูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท จำนวน 73 ยูนิต ราคาเริ่ม 25 ล้านบาท เปิดจองครั้งแรก วันที่ 20-21 พ.ค.นี้ โครงการ เวนิว พระราม 5-2 ตั้งอยู่บนถนนนครอินทร์ พื้นที่กว่า 20 ไร่ มูลค่าโครงการ 760 ล้านบาท จำนวน 90 ยูนิต ราคาเริ่ม 5.99 ล้านบาท เปิดจองครั้งแรก วันที่ 3-4 มิ.ย.นี้” แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์ เวนิว พระราม5-2   นอกจากนี้เป็นครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ที่นำเทคโนโลยีทันสมัย Virtual Reality (VR) ให้ลูกค้ารับชมตัวอย่างบ้านผ่านเว็บไซต์เสมือนจริงแบบ 360 องศาได้ที่ https://goo.gl/0qGHOv  และ www.facebook.com/scasset นายณัฐพงศ์ กล่าวสรุปว่า “เราจะนำนวัตกรรมมาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้า พร้อมกับแก้ปัญหาที่เป็น pain points ของผู้อยู่อาศัย ด้วยแนวคิด human-centric ที่เข้าใจถึงพฤติกรรม และความต้องการของมนุษย์ โดยจะมุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่มีทั้งนวัตกรรมและคุณภาพสูงในทุกระดับราคา”
พฤกษา เรียลเอสเตท โชว์ยอดขาย 13,303 ลบ. เติบโต 35.6% ลุยตลาดพรีเมียมผ่านฉลุย มั่นใจได้ตามเป้า

พฤกษา เรียลเอสเตท โชว์ยอดขาย 13,303 ลบ. เติบโต 35.6% ลุยตลาดพรีเมียมผ่านฉลุย มั่นใจได้ตามเป้า

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1 ประจำปี 2560 ว่า “บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 13,303 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 35.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ที่มีรายได้ 9,809 ล้านบาท จากยอดขายที่เติบโตเพิ่มสูงขึ้นมาจากการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้า คือ เดอะทรี สุขุมวิท 71 มียอดขายแล้ว 61.5% และ เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันได้ปิดการขายแล้วทั้งโครงการ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังสามารถทำรายได้ 8,072 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 681 ล้านบาท” นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท  จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “แผนการรุกตลาดพรีเมียมในปีนี้ บริษัทฯ ใช้ Business Model ใหม่มาพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อตอบสนองกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น โดยเน้นรูปแบบความแปลกใหม่ เพื่อสร้างสีสันและความแตกต่างให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ เห็นได้ชัดเจนจากการเปิดตัวคอนโดมิเนียม “เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ” ซึ่งเป็นโครงการระดับมาสเตอร์พีชโครงการแรกของ พฤกษา เรียลเอสเตท เพียงสองอาทิตย์สามารถปิดการขายได้ทั้งโครงการ มูลค่า 1,830 ล้านบาท ล่าสุดเตรียมเปิดโครงการ “แชปเตอร์วัน ชายน์ บางโพ” คอนโดมิเนียมบนวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาที่สวยที่สุด ที่เปิดขายอย่างไม่เป็นทางการเพียง 1 สัปดาห์ กวาดยอดขายไปแล้วกว่า 60% คิดเป็นมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท พร้อมสร้างกระแสในโลกออนไลน์ ด้วยยอดวิวของไวรัลคลิป (Viral clip) “MV หนุ่มบางโพ 2017” ด้วยยอดเข้าชมใน Facebook และ YouTube กว่า 1.5 ล้านวิว ภายใน 1 สัปดาห์  ก่อนการเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 27-28 พ.ค.นี้ และด้วยกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า จึงคาดว่าจะสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้” นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในไตรมาส 1 กลุ่มธุรกิจแวลู เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 11 โครงการ และมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 55 โครงการ ตามแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ รวม 66 โครงการคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 59,300 ล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 บริษัทฯ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (Active Projects) ทั้งหมดอยู่อีก 168 โครงการ มูลค่า 83,736 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) ของกลุ่มธุรกิจแวลูอยู่ที่ 23,611 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากสิ้นปี 2559 อยู่ที่ 12.8% นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ “กลยุทธ์ Pruksa 4.0” มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมใหม่ๆ ใน 4 ด้าน มาใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย คือ 1) Smart - Product พัฒนาสินค้าแบบ HVA (High Value Added) 2) Smart - Marketing เน้นการใช้  Digital Marketing 3) Smart - Service พัฒนา Home Service Application 4) Smart - Construction ด้วยการใช้   E-Construction ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับมอบบ้านที่ดีที่สุดจากพฤกษา เรียลเอสเตท นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบการทำงานภายในองค์กร เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด”