Tag : News

2376 ผลลัพธ์
SENA ควงแขน “ฮันคิวเรียลตี้” อสังหาฯ รายใหญ่จากแดนปลาดิบ ผุดคอนโดฯ แนวรถไฟฟ้า 2 โครงการ มูลค่า 7,000 ลบ. ชู Geo Fit สร้างจุดขาย “สร้างที่อยู่อาศัยจากวิธีคิดแบบญี่ปุ่น”

SENA ควงแขน “ฮันคิวเรียลตี้” อสังหาฯ รายใหญ่จากแดนปลาดิบ ผุดคอนโดฯ แนวรถไฟฟ้า 2 โครงการ มูลค่า 7,000 ลบ. ชู Geo Fit สร้างจุดขาย “สร้างที่อยู่อาศัยจากวิธีคิดแบบญี่ปุ่น”

SENA ผนึก “ฮันคิวเรียลตี้” ผู้ประกอบการอสังหาฯรายใหญ่จากแดนปลาดิบ นำร่องเปิด  2 โครงการคอนโดมิเนียม แนวรถไฟฟ้า เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน “นิช ไพรด์ เตาปูน อินเทอเชนจ์ และ นิช โมโน สุขุมวิท 70” มูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท พร้อมเปิดตัว “Geo Fit” trustmark ใหม่ ชูแนวคิดสร้างที่อยู่อาศัยจากวิธีคิดแบบญี่ปุ่น  ผู้บริหารหญิงแกร่ง “ดร.ยุ้ย ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” มั่นใจกระแสตอบรับเยี่ยม หวังผลักดันแบรนด์และยอดขายเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทยและในฐานะ Developer รายแรกที่ทำหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่า บริษัท เสนา ฮันคิว จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SENA กับบริษัท ฮันคิว เรียลตี้ จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) หนึ่งในกลุ่มบริษัท Hankyu Hanshin Holding Group ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในญี่ปุ่น เดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ร่วมกัน โดยเน้นพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งในปีนี้มีแผนเปิดตัว 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ นิช ไพรด์ เตาปูน-อินเทอเชนจ์ และล่าสุดที่จะมีการเซ็นสัญญาร่วมลงทุนในโครงการ “นิช โมโน สุขุมวิท 70” “นับเป็นโครงการที่สองที่ ฮันคิว เรียลตี้ ได้ให้ความไว้วางใจร่วมทุนกับบริษัท จากโครงการแรก คือ นิชไพรด์ เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ ที่ได้ลงนามร่วมทุนกันไปเมื่อเดือน ธันวาคม 2559 และในครั้งนี้เป็นต่อยอดเดินหน้าร่วมทุนเป็นโครงการที่ 2 แสดงให้เห็นถึงผลสำเร็จของการดำเนินงานที่ดีร่วมกันในครั้งแรก  ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะมีการร่วมทุนเพิ่มขึ้นเป็นโครงการที่ 3 ที่ 4 ต่อไป ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว โครงการ นิช โมโน สุขุมวิท 70 เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับสูง (High-Rise) ที่มีจำนวนยูนิตมากกว่า 1,270 ยูนิต และตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานีแบริ่งเพียง 250 เมตร โดยสถานีแบริ่งเป็นสถานีที่สะดวกสบายในการเชื่อมต่อกับสถานีอโศกซึ่งเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจของกรุงเทพฯ นอกจากนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวยังเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ ซึ่งเป็นเส้นทางไปสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิอีกด้วย อย่างไรก็ตามโครงการอสังหาฯที่ เสนา ฮันคิว ดำเนินการร่วมกันนั้น เกิดขึ้นภายใต้แนวความคิดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่ทางฮันคิวเรียกว่า “Geo Fit” ซึ่งเป็นแนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ใส่ใจในรายละเอียดและเข้าใจความต้องการของผู้อยู่อาศัยอย่างลึกซึ้ง สามารถนำมาใช้กับการสร้างอยู่อาศัยอย่างยอดเยี่ยมโดยสามารถสรุปรวมออกมาได้เป็น Japanese Functionality – คือ ฟังค์ชั่นการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ Japanese Innovation – นวัตกรรมแนวคิดใหม่ๆ ที่คิดออกมา เพื่อการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ Japanese Design - กลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่น ในการออกแบบ  ผศ.ดร.เกษรา  กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ บริษัทจะเปิดตัวการทำ Branding ของ Geo Fit จากฮันคิว ในวันนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งจะเป็น Branding ในลักษณะ Trustmark หรือการสร้างความน่าเชื่อถือผ่านสัญลักษณ์ของแบรนด์ที่มีความชำนาญพิเศษในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ เหมือนกับตราประทับรับรองในคุณภาพของสินค้าและตราประทับ Geo Fit จากฮันคิวนี้ จะอยู่ร่วมกับทุกโครงการที่ เสนา ฮันคิว ทำร่วมกัน และจะถูกใช้ในการสื่อสารการตลาด และแม้แต่ประกอบอยู่ในส่วนต่างๆของโครงการหรือองค์ประกอบในห้อง ที่พัฒนาขึ้นมาภายใต้แนวคิดนี้ ด้านนายริวอิจิ โมโรโทมิ ประธาน บริษัท  ฮันคิว เรียลตี้ (ประเทศญี่ปุ่น) จำกัด  กล่าวว่า บริษัทฯ มีประวัติการดำเนินงานในนามกลุ่มบริษัทฮันคิว มายาวนานกว่า 100 ปี โดยธุรกิจหลักคือการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟที่ดำเนินการโดยบริษัทฮันคิว โดยกลุ่มบริษัทฮันคิว มีแนวคิดในการทำงานที่ว่า “ใส่ใจต่อการบริการลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง ให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง” นอกจากนี้ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานทางบริษัทได้เพิ่มความรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างเต็มที่และจากประวัติการดำเนินงานทางบริษัทมีผลงานในการก่อสร้างบ้านพักที่อยู่อาศัยกว่า 60,000 ยูนิต คอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “จีโอ” กว่า 20,000 ยูนิต “บริษัทมีคอนเซ็ปต์ในการพัฒนาโครงการ “Geofit+” (Geo fit plus) ที่สะท้อนปรัชญาในการทำงานของบริษัท ฮันคิว เรียลตี้ จำกัด ที่ต้องการจะนำเสนอที่อยู่อาศัยที่เปี่ยมด้วยคุณภาพให้กับลูกค้า ในครั้งนี้ ทางบริษัทของเรา มีแนวความคิดสอดคล้องกับทางบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จึงอยากจะมีโอกาสขอบคุณที่ได้ร่วมงานกันและขอให้คำมั่นสัญญาที่จะเป็นหุ้นส่วนในระยะยาวและมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการดำเนินงานร่วมกัน เพื่อที่จะสร้างคุณค่าให้กับโครงการที่พักอาศัยใหม่ๆ ในประเทศไทย” นายริวอิจิ กล่าวในที่สุด
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปฏิวัติรูปแบบคอนโด LOW-RISE

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปฏิวัติรูปแบบคอนโด LOW-RISE

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปฏิวัติรูปแบบคอนโด LOW-RISE เปิดตัว “มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา” LIVE THE LIFE YOU DESIRE  เลือกใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ             กรุงเทพฯ 2 มิถุนายน 2560 – บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรมากว่า 18 ปี เปิดตัวโครงการ มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO19 Ratchada 19-Vipha) คอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ (Low Rise) ความสูง 8 ชั้น บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ ถือเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ที่สุดภายใต้แบรนด์ มาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES) ที่คุ้มค่าแก่การลงทุน พรั่งพร้อมด้วยพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกมากที่สุด โดดเด่นด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘อินดัสเตรียล เอลลิแกนท์’ (Industrial Elegance) ให้ความรู้สึกเท่ห์แต่ยังคงความหรูหรา มีความแตกต่างอย่างลงตัว แต่ยังคงเอกลักษณ์ ‘Classic With A Modern Twist’ ของแบรนด์มาเอสโตร (MAESTRO)  ที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมคลาสสิคแบบยุโรปกับเส้นสายทันสมัยเข้าไว้ด้วยกัน  สะท้อนนิยามการใช้ชีวิตที่มีคุณค่าอย่างพิถีพิถันและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามแบบฉบับของคนเมือง บนทำเลศักยภาพใจกลางกรุงเทพฯด้วยมูลค่าโครงการกว่า 1,700 ล้านบาท เปิดให้ชมห้องตัวอย่างได้ที่โครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2560 และมีงาน Pre-sales ในวันที่ 24-25 มิถุนายน 2560 พร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ลงทะเบียนออนไลน์ รับส่วนลดเงินสด 10,000 บาท   ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในแบบฉบับของคุณ               ‘Live the Life You Desire’ การเลือกใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ คือแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา ด้วยอยากให้ผู้อยู่อาศัยมีอิสระในการเลือกใช้ชีวิตและควบคุมทุกสิ่งได้ตามต้องการในทุกมิติ เพราะเชื่อว่าทุกคนมีรูปแบบการใช้ชีวิตตามแบบฉบับของตนเอง เราจึงพัฒนาจากข้อจำกัดการใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียมในเมืองใหญ่ซึ่งมีข้อจำกัดทั้งในเรื่องพื้นที่ สิ่งอำนวยความสะดวก และการเดินทาง ให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่บ้านใจกลางเมือง               เลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในแบบคุณ - มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา เป็นโครงการคอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองที่ให้ความรู้สึกเสมือนคุณอยู่บ้าน บนเนื้อที่โครงการที่ขนาดใหญ่กว่า 5 ไร่ เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกถือว่าครบครันตามสไตล์แบรนด์มาเอสโตร (MAESTRO)  ที่ พิถีพิถันในการออกแบบโดยใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ บ่งบอกถึงตัวตนของคนรุ่นใหม่ผ่านที่อยู่อาศัย เริ่มตั้งแต่การวางตำแหน่งที่ตั้งของแต่ละอาคารภายในโครงการ เพื่อให้เกิดการถ่ายเทอากาศและช่องแสงที่ให้ผู้อยู่อาศัยได้รับแสงอย่างเหมาะสมในทุกช่วงเวลา อาคารทั้ง 4 อาคารที่ล้อมรอบพื้นที่โครงการให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว การออกแบบมีการผสมผสานสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปคลาสสิกที่ทรงคุณค่าเข้ากับเส้นสายที่สื่อถึงความทันสมัยตามแบบฉบับของคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่มาพร้อมกับการดีไซน์ร่วมสมัยแบบ ‘อินดัสเตรียล เอลลิแกนท์’ (Industrial Elegance)  ด้วยการผสมผสานระหว่างโครงเหล็กและหินอ่อนลายเฉพาะที่ผสานความต่างของ 2 สิ่งได้อย่างลงตัว มาพร้อมฟังก์ชั่นพิเศษเน้นความยืนหยุ่นของการใช้งานและบริหารจัดการพื้นที่จำกัดของคอนโดให้สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการในแต่ละมิติของผู้อยู่อาศัย ด้วยรูปแบบห้องพร้อมฟังก์ชั่นที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นห้องหน้าหน้ากว้างสูงสุด 12 ม. ให้ความรู้สึกโปร่งสบายเสมือนอยู่บ้าน นอกจากนี้ยังมี Hybrid Sliding Door ให้คุณปรับเปลี่ยนห้องได้อย่างเป็นสัดส่วนตามการใช้งาน, ทางลาดสำหรับผู้สูงอายุหรือคนพิการและอื่นๆ               เลือกใช้ชีวิตในไลฟ์สไตล์ที่เป็นคุณ - มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา คือโครงการฯ ที่เข้าใจการใช้ชีวิตของคนเมืองอย่างแท้จริง ตัวอาคารพักอาศัยทั้ง 4 อาคาร ล้อมรอบพื้นที่ส่วนกลาง ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางของโครงการที่มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น คลับเฮาส์ครบวงจร ประกอบด้วย ล๊อบบี้กลาง (Main Lobby), พื้นที่สร้างสรรค์งาน (Co-working Space), ห้องสมุด, ฟิตเนส, ลานโยคะ(Yoga Terrace Area), ห้องสตมและซาวน่า นอกจากนั้นยังมีสระว่ายน้ำที่ยาวถึง 25 เมตร ลานบาร์บีคิวบนดาดฟ้าอาคารพักอาศัยทั้ง 4 อาคาร ทางวิ่งออกกำลัง (Jogging Track) และสวนขนาดใหญ่ อีกทั้ง บริเวณด้านหน้าโครงการยังมีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ พร้อมที่นั่งพักผ่อนตามจุดต่างๆ (Retreat Garden และ Courtyard) ออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อให้เชื่อมต่อกับพื้นที่ว่างภายนอก โดยมีบ่อน้ำเป็นองค์ประกอบหลักเติมความร่มรื่นและสดชื่นในการพักอาศัยและให้ความเป็นส่วนตัวเมื่อย่างก้าวเข้ามาในตัวโครงการฯ ประหนึ่งได้หยุดพักผ่อนในบ้านที่อบอุ่นท่ามกลางความวุ่นวายเร่งรีบของชีวิตเมือง นอกจากนี้ มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา ยังมีจุดเด่นอีกอย่างตามแบบฉบับของ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ คือเป็นคอนโดมิเนียมที่อนุญาตให้สามารถนำสัตว์เลี้ยงแสนรักมาเลี้ยงในโครงการได้ โดยมีพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงภายนอกอาคารอีกด้วย นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการแล้ว มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภายังถูกล้อมรอบด้วยสถานที่ด้านไลฟ์สไตล์ชั้นนำ อาทิ ตลาดนัดรถไฟรัชดา, เอสพลานาด รัชดาฯ, เดอะ สตรีท รัชดา, เซ็นทรัล พระราม 9, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, ยูเนี่ยนมอลล์, ตลาดนัดห้วยขวาง รวมไปถึงร้านอาหารและคาเฟ่ที่มีให้เลือกสรรแบบไม่รู้จบ               ตอบโจทย์วิถีคนเมือง กับความสะดวกสบายในการเดินทาง - มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO19 Ratchada 19-Vipha) มอบประสบการณ์ด้านไลฟ์สไตล์เหนือระดับ บนทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ ทำให้ผู้พักอาศัยมีความสะดวกสบายด้วยการเดินทางหลากหลายรูปแบบ ทั้งรถยนต์ส่วนตัว สามารถเข้าออกได้หลายเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยัง ถนนวิภาวดีรังสิต  ถนนรัชดาภิเษก และถนนลาดพร้าว หรือเลือกเดินทางด้วย MRT ซึ่งห่างจากสถานีรัชดาภิเษกเพียง 650 ม. ด้วยบริการรถรับ-ส่งจากโครงการ สะดวกสบายไม่ว่าจะเข้าเมืองหรือออกนอกเมือง  นอกจากนี้ ตัวโครงการฯยังแวดล้อมไปด้วยย่านธุรกิจที่สำคัญ เช่นอาคารสำนักงานที่ทันสมัยอย่าง อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ตึก AIA Capital Center, ตึกเมืองไทย-ภัทร, และสถานที่ด้านไลฟ์สไตล์ชั้นนำ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนก็สะดวกสบายและตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์                   โครงการ มาเอสโตร 19 รัชดา ซอย 19 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2019 ด้วยราคาเริ่มต้น  2.8 ล้านบาท* แบ่งออกเป็นห้องขนาด 1 และ 2 ห้องนอน โดยสามารถเข้าชมห้องตัวอย่างได้ที่โครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2560 และทำการเปิดขาย Pre-sale ระหว่างวันที่ 24 - 25 มิถุนายน 2560 พร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ลงทะเบียนผ่านออนไลน์รับส่วนลดเงินสด 10,000 บาท ผู้ที่สนใจโครงการสามารถติดต่อได้ที่ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โทร 02-116-1111 หรือ เว็บไซต์ http://www.mde.co.th *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด   เกี่ยวกับเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์           บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2542 และจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2550 มีเป้าหมายในการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่พัฒนาโครงการที่พักอาศัย  คอนโดมิเนียมแบบไฮไรซ์และโลว์ไรซ์คุณภาพระดับไฮเอนด์ ทั้งด้านการออกแบบ การก่อสร้างและการตกแต่งภายในที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว บนทำเลทองใจกลางเมืองทั่วเขตกรุงเทพมหานคร ทุกโครงการได้รับการพัฒนาขึ้นด้วยความเอาใจใส่ในทุกรายละเอียด (Attention to Details) ความตั้งใจที่จะมอบคุณค่าระดับ Top-of-Class และยังเป็นรายแรกๆ ในประเทศไทยที่สร้างสรรค์คอนโดมิเนียมหรูคอนเซ็ปต์ Pet-Friendly นอกจากนี้ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ยังได้ก่อตั้งบริษัทในเครืออีกสี่บริษัทได้แก่ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เอสเตท จำกัด (MDE), บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (MDH), บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด (MDC) และบริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ตเนอร์ จำกัด (MDP) ด้วยเล็งเห็นความสำคัญของการให้บริการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจรสำหรับลูกค้าระดับบน ปัจจุบัน บริษัทฯได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่เสร็จแล้วทั้งหมด 9 โครงการ  โครงการในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ โครงการ อกัสตัน สุขุมวิท 22, เอ็ม ทองหล่อ 10, เอ็ม สีลม, เอ็ม พญาไท, เอ็ม ลาดพร้าว , มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี, มาเอสโตร 12 ราชเทวี และมาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39   โครงการในพัทยาได้แก่ โครงการ รีเฟล็คชั่น จอมเทียน บีช พัทยา  สำหรับโครงการที่กำลังดำเนินการพัฒนาอีก 6 โครงการ ได้แก่ โครงการ เอ็ม จตุจักร, มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ, มาเอสโตร 03 รัชดา-พระราม 9 , มาเอสโตร 14 สยาม-ราชเทวี, มาเอสโตร 01 สาทร-เย็นอากาศ และมาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา โดยมูลค่าโครงการทั้งหมดรวมประมาณ 50,000 ล้านบาท    
โกลเด้นแลนด์ เผยโฉม สามย่านมิตรทาวน์

โกลเด้นแลนด์ เผยโฉม สามย่านมิตรทาวน์

“โกลเด้นแลนด์” เผยโฉม “สามย่านมิตรทาวน์” ชูรีเทลคอนเซ็ปท์ใหม่ “Urban Life Library - คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้” รีเมคตำนานสามย่านบทใหม่ ลั่นเปิดปลายปี 62 ปักหมุดพระราม 4 ถนนเศรษฐกิจเส้นใหม่ของประเทศไทย   (5 มิ.ย. 2560) บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เดินหน้าสร้างตำนานสามย่านบทใหม่ พร้อมเผยโฉมโครงการ “สามย่านมิตรทาวน์”         รีเทลหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ “Urban Life Library - คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้” พร้อมเผย 3 ย่าน 3 ส่วนผสมภายในรีเทล Eating - Learning – Living Library จับกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภครุ่นใหม่ที่อยู่อาศัยในย่านสามย่าน-สีลม-พระราม 4 นักเรียน นิสิต นักศึกษา ครูอาจารย์ และ         ผู้สัญจรด้วย MRT สู่เมืองชั้นในหลังรถไฟฟ้าสีน้ำเงินเปิดให้บริการ               ธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า “โกลเด้นแลนด์เดินหน้าพัฒนาพื้นที่ทำเลสามย่านให้กลับมามีชีวิตรูปแบบใหม่ ภายใต้โครงการ “สามย่านมิตรทาวน์ (SAMYAN MITRTOWN)” ซึ่งถือเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่จะเสร็จสมบูรณ์เป็นแห่งแรกบนถนนพระราม 4 มูลค่าการลงทุนมากกว่า 8,500 ล้านบาท โครงการสามย่านมิตรทาวน์ ถูกพัฒนาจากแนวคิดเรื่อง “การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ ถ้าทุกอย่างถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นมิตร” โดยออกแบบให้พื้นที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้ใช้งาน (Smart) และเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน (Friendly) ภายใต้คอนเซ็ปท์ “Urban Life Library” หรือ “คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้” รีเมคตำนานสามย่านบทใหม่ ชูจุดเด่น 3 ย่าน 3 Library ที่ลงตัวเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย The Eating Library (43%) พื้นที่สร้างประสบการณ์ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการรับประทานอาหาร นอกเหนือจากการรับประทานธรรมดาทั่วไป โดยคัดสรรอาหารที่หลากหลายตามความต้องการ The Learning Library (29%) พื้นที่สำหรับเปิดกว้างสำหรับการเรียนรู้ และการเรียนเสริมทักษะที่จะเติมเต็มจินตนาการสานให้ครบทุกด้านของชีวิต The Living Library (28%) พื้นที่รวบรวมสิ่งจำเป็นต่อไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนเมือง สามย่านมิตรทาวน์ คาดหวังว่าจะมีผู้ใช้บริการกว่า 20,000 คนต่อวันจากประชากรในพื้นที่โดยรอบ มีพื้นที่ใช้สอยรวม 222,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็น โซนรีเทล “Urban Life Library” สูง 6 ชั้น พื้นที่ให้เช่ากว่า 36,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็น 30% ของโครงการ ซึ่งมีพื้นที่ร้านค้าตั้งแต่ชั้น B1 - ชั้น 4 และชั้น 5 เป็นพื้นที่ฮอลล์อเนกประสงค์ รวมทั้งสวนดาดฟ้าขนาดใหญ่ โซนอาคารสำนักงาน “Intelligence Office Tower” อาคารสำนักงานเกรด A สูง 32 ชั้น โดยเริ่มที่ชั้น 7 พื้นที่เช่ารวม 48,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็น 30% ของโครงการ ซึ่งจะพัฒนาเป็นอาคารที่ใช้งานโดยใช้ระบบอัจฉริยะเข้ามาเชื่อมโยงกับอุปกรณ์ในอาคาร เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น โซนที่พักอาศัย “Neo Explorer Living Platform”  ทั้งโรงแรม และคอนโดมิเนียม ที่อยู่อาศัยสำหรับคนรุ่นใหม่ที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก สูง 33 ชั้น หรือคิดเป็น 15% ของโครงการ โดยเริ่มที่ชั้น 7 จำนวน 554 ยูนิต ซึ่งได้แยกส่วนกลางของ 2 ส่วนออกจากกันเพื่อความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย” นอกจากนี้สามย่านมิตรทาวน์ยังถูกพัฒนาโดยคำนึงถึง ตำนานของ “สามย่าน” ย่านการค้าที่มีเรื่องราวยาวนาน การพัฒนาจึงเป็นการรวบรวมสิ่งที่ดีจากประวัติศาสตร์ผสานกับเทคโนโลยีของโลกยุคใหม่ ด้วยทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์เป็นจุดเชื่อมระหว่างเมืองเก่าอย่างเยาวราช และเมืองใหม่ อย่างสาทร         สีลม สยามสแควร์ เดินทางสะดวก ติดถนนพระรามสี่ ใกล้ทางด่วนจากหัวลำโพง บ่อนไก่ และติดกับรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) เพื่อความอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า โดยส่วนต่อขยายของ MRT ในอนาคตจะต่อขยายไปอีก 12 สถานี ซึ่งเป็นปัจจัยสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า และจะดึงดูดผู้คนอีกจำนวนมหาศาล เนื่องจากปัจจุบันด้วยศักยภาพของทำเล และซัพพลายที่ดินที่มีจำกัด ทำให้ราคาซื้อขายที่ดินบนถนนพระราม 4 ปรับตัวสูงขึ้นมีราคาไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา และมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงทำเลศักยภาพของโครงการที่ใกล้แหล่งรวมคนทำงานจากสำนักงานโดยรอบจำนวนมาก ตั้งแต่สาทร สีลม สุรวงศ์ พระราม 1 และพระราม 4 รวมทั้งครู อาจารย์ นักเรียน นิสิต นักศึกษาจากสถาบันการศึกษาอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่อีก 3 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน และโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งนับเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีปริมาณมาก และทำให้ทำเลนี้มีศักยภาพโดดเด่นอย่างชัดเจน ด้านความคืบหน้าของการก่อสร้าง บริษัทประกาศแต่งตั้ง บริษัท นันทวัน จำกัด (ไทยโอบายาชิ) ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในการก่อสร้างระดับโลก มีผลงานเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ  เป็นผู้รับเหมาหลักของโครงการสามย่านมิตรทาวน์ โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ต้นปี 2559 และมั่นใจว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ปี 2562 อนึ่ง บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ ร่วมทุนกับบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดตั้งบริษัท เกษมทรัพย์ภักดี จำกัด โดยโกลเด้นแลนด์ถือหุ้น 49% และทีซีซี 51% ของทุนจดทะเบียน 3,000 ล้านบาท เพื่อรับผิดชอบโครงการดังกล่าว เนื่องจากถือเป็นโครงการเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ใช้เงินลงทุนสูงถึง 8,500 ล้านบาท และมีระยะเวลาคุ้มทุนนานถึง      10 ปี โดยโกลเด้นแลนด์ได้รับสิทธิ์เป็นผู้พัฒนาที่ดินทั้ง 13 ไร่ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีระยะเวลาเช่า 30 ปี     #################################   บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ ก่อตั้งในปี  พ.ศ. 2521 บริษัทฯ ได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และดำเนินการจดทะเบียนเป็นบริษัท มหาชนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2537 ภายใต้ชื่อย่อ GOLD   ในปี 2555 บริษัทฯ ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) พร้อมส่งคณะกรรมการบริษัท และคณะผู้บริหารชุดใหม่เข้ากอบกู้กิจการของบริษัทฯ ที่มีการขาดทุนสะสมกว่า 7 ปี กลับมาทำกำไรใน ปี 2557 และจากการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2559 ได้อนุมัติให้จ่ายเงินปันผลจำนวน 0.23 บาท/หุ้น และมีการเปลี่ยนรอบระยะเวลาบัญชีเป็น 1 ตุลาคม – 30 กันยายน โดยในปี 2560 นี้ บริษัทฯ จะปิดงบบัญชี 9 เดือน (ตั้งแต่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2560) ทั้งนี้งบบัญชีของปี 2561 จะปรับตามรอบใหม่   ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 11,037,670,000 บาท และมีมูลค่าสินทรัพย์รวม 29,158 ล้านบาท มีโครงการที่พักอาศัยหลายแห่งหลายทำเล ในแบรนด์ โกลเด้น อย่างเช่น โกลเด้นทาวน์, โกลเด้นซิตี้, โกลเด้น นีโอ,  โกลเด้น วิลเลจ, โกลเด้น อเวนิว, โกลเด้น เพรสทีจ และ เดอะ แกรนด์ ซึ่งมีราคาตั้งแต่ไม่ถึง 2 ล้านจนถึง   50 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการอาคารสูงเชิงพาณิชยกรรม ทั้งอาคารสำนักงาน โรงแรม และเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานคร อีกหลายโครงการ อย่างเช่น อาคาร สาทรสแควร์, อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์, โครงการสามย่านมิตรทาวน์, ดิ แอสคอท สาทร แบงคอก, อาคารโกลเด้นแลนด์ และโรงแรม ดับเบิ้ลยู กรุงเทพฯ www.goldenland.co.th
เอสซีฯ แนะนำโครงการ VENUE (เวนิว) พระราม 5-2 บ้านเดี่ยวสไตล์ Modern Japanese Design ทำเลใหม่ ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท

เอสซีฯ แนะนำโครงการ VENUE (เวนิว) พระราม 5-2 บ้านเดี่ยวสไตล์ Modern Japanese Design ทำเลใหม่ ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการ VENUE (เวนิว) พระราม 5-2 ภายใต้แนวคิดโฆษณา “บ้านที่ความสุขเติบโต ไปพร้อมกับคุณ” โดยโครงการตั้งอยู่บนถนนนครอินทร์ บนพื้นที่ 20-2-7 ไร่ มูลค่าโครงการ 760 ล้านบาท จำนวน 90 ยูนิต ราคาเริ่ม 5.99 ล้านบาท เปิดจองครั้งแรก วันที่ 3-4 มิ.ย.นี้ โครงการ VENUE (เวนิว) พระราม 5-2  เป็นบ้านเดี่ยวสไตล์ Modern Japanese Design ที่สะท้อนความเรียบง่ายในแบบญี่ปุ่น  พร้อมกับฟังก์ชั่น ROBI นวัตกรรมที่ปรับเปลี่ยนเพิ่ม Value พื้นที่เฉลียงหน้าบ้านให้กลายเป็นพื้นที่สำหรับถอดรองเท้าได้อย่างเป็นสัดส่วน  การออกแบบได้เน้นให้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ สงบร่มรื่น พร้อมพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางเป็นสัดส่วนลงตัวกับทุกไลฟ์สไตล์  มีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ด้วย Double Security เข้า-ออกโครงการระบบ Easy Pass, CCTV กล้องวงจรปิดทั่วโครงการ, สัญญาณกันขโมยในตัวบ้านระบบ Magnetic Sensor และ Shock Sensor พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ คลับเฮ้าส์, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ, สวนส่วนกลาง อีกทั้งใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการทั้ง สถานีรถไฟฟ้าติวานนท์, โรงพยาบาล, โรงเรียน และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ตอบสนองไลฟ์สไตล์ความสะดวกสบายอย่างลงตัว บนทำเลศักยภาพเชื่อมต่อทุกความสุขได้ง่ายๆ ในสังคมส่วนตัว แบบบ้านจำนวน 4 แบบ ขนาดตั้งแต่ 3-4 ห้องนอน, 3 ห้องน้ำ,  2-3 ที่จอดรถ ได้แก่ KAISHI พื้นที่ใช้สอย 149 ตร.ม. KANZEN พื้นที่ใช้สอย 214 ตร.ม. ZENBI พื้นที่ใช้สอย 232 ตร.ม. TAKUETSU พื้นที่ใช้สอย 349 ตร.ม. พร้อมกันนี้ยังได้จัดกิจกรรม Shoot & Share ระหว่างช่วงเปิดตัว-25 มิ.ย.นี้ ด้วยการเชิญแชร์ภาพความสุข พร้อมบรรยายความสุขเรียบง่าย สไตล์ญี่ปุ่นในแบบของคุณ เพื่อชิงรางวัลกล้องฟูจิ XA3 มูลค่า 23,990 บาท จำนวน 1 รางวัล ซึ่งจะประกาศผลวันที่ 30 มิ.ย. 2560 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร.1749 หรือ www.scasset.com KAISHI พื้นที่ใช้สอย 149 ตร.ม. KANZEN พื้นที่ใช้สอย 214 ตร.ม. ZENBI พื้นที่ใช้สอย 232 ตร.ม. TAKUETSU พื้นที่ใช้สอย 349 ตร.ม.
MQDC เปิดตัว “ดิ เอสเตท ไทยแลนด์”  (The Estate Thailand)

MQDC เปิดตัว “ดิ เอสเตท ไทยแลนด์” (The Estate Thailand)

MQDC เปิดตัว “ดิ เอสเตท ไทยแลนด์”  (The Estate Thailand)  รุกธุรกิจบริการขายต่อและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรแห่งแรกในไทย  ตั้งเป้าปีแรกยอดขายกว่า 1,000 ล้านบาท   MQDC จับกลยุทธ์ขยายไลน์ธุรกิจบริการขายต่อและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ตั้งเป้าปีแรกมียอดขายกว่า 1,000 ล้านบาท ในอนาคตวางแผนขยายไปตลาดต่างประเทศ ครั้งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์กับการบริการการขายต่อและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ครอบคลุมทุกด้านในการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิต ตอบโจทย์ลูกค้าตั้งแต่เริ่มหาที่พักอาศัย รวมไปจนถึงบริการย้ายเข้า-ออก และให้บริการด้านการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตั้งแต่ทำความสะอาดไปถึงงานซ่อมบำรุง บริการที่ปรึกษาส่วนตัวในการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ (Exclusive Property Investment Consultant) ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญกว่า 20 ปี การันตีคุณภาพที่อยู่อาศัยถึง 30 ปี ภายใต้มาตรฐาน MQDC พร้อมใบประกาศนียบัตรรับรองคุณภาพ บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด เริ่มให้บริการในเดือนพฤษภาคม 2560            31 พฤษภาคม 2560 -  กรุงเทพฯ  – บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC)  ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพ แบรนด์ แมกโนเลียส์ (Magnolias)  และวิสซ์ดอม (Whizdom) เปิดตัว “บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด” ดำเนินธุรกิจด้านการบริหารการขายและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทางด้านการซื้อ-ขายที่อยู่อาศัย การลงทุน รวมถึงความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต เริ่มตั้งแต่บริการให้คำปรึกษาในการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์แบบพิเศษส่วนตัว (Exclusive Property Investment Consultant) ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี บริการหาที่พักอาศัยให้ตรงกับวัตถุประสงค์และความต้องการของลูกค้า รวมไปจนถึงบริการย้ายเข้า – ออก แบบครบวงจร และการให้บริการด้านการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตั้งแต่ทำความสะอาดไป จนถึงงานซ่อมบำรุงเบื้องต้น พร้อมทั้งการติดตามผลและบริการหลังการเข้าอยู่อาศัยของลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า             คุณอัษฏา แก้วเขียว รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ MQDC กล่าวว่า  “จากการศึกษาโครงสร้างธุรกิจฝากขาย – ให้เช่าในประเทศไทย พบว่าช่องว่างคือการสร้างความมั่นใจ และความน่าเชื่อถือของกลุ่มลูกค้า และบริการหลังการขาย ซึ่งถือเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญของวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น MQDC  ในฐานะผู้พัฒนาอสังริมทรัพย์ที่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภค เราจึงปรับแผนงานและโครงสร้างทางธุรกิจ เพื่อสอดคล้องกับความต้องการเหล่านี้ โดยจัดตั้ง บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด ที่ครอบคลุมทุกด้านในการอยู่อาศัย การลงทุน และการใช้ชีวิต โดยให้บริการและคำแนะนำตั้งแต่ก่อนขาย หลังการขาย ไปจนถึงดูแลให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด” “บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด ถือเป็นธุรกิจเสริมที่จะมาช่วยสร้างความเป็นเลิศในการให้บริการลูกค้า การให้บริการด้านการขาย ให้เช่า และเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจัง เราดูแลตั้งแต่การวิเคราะห์ที่อยู่อาศัยที่ลูกค้านำมาฝากไว้ให้ตรงกับความต้องการของตลาด ทั้งด้านงานออกแบบ ขนาด ที่ตั้งและราคา รวมถึงวิเคราะห์คู่แข่งอีกด้วย โดยที่บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด จะสร้างความแตกต่างด้วยการเพิ่มการดูแลการเข้าอยู่อาศัยตั้งแต่การย้ายเข้า – ออก แบบครบวงจร การให้บริการด้านการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตั้งแต่การทำความสะอาด ล้างแอร์ รวมจนถึงงานซ่อมบำรุงเบื้องต้นของที่อยู่อาศัย โดยที่อยู่อาศัยที่ได้รับการดูแลจาก บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัดและผ่านเกณฑ์การรับรองมาตราฐานของบริษัทจะได้รับใบประกาศนียบัตรพร้อมด้วย การรับประกันคุณภาพถึง 30 ปีตามโครงการ ที่ครอบคลุม 4 ด้านได้แก่ ความแข็งแรงของโครงสร้างอาคาร การรั่วซึมของหลังคา การใช้งานประตูหน้าต่าง และการรั่วซึมของท่อน้ำ ภายใต้การรับรองจาก MQDC” คุณอัษฏากล่าว
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดแผนธุรกิจครึ่งหลังปี 60 รุกหนักตลาดไฮเอนด์ ขยายพอร์ตกว่าหมื่นห้าพันล้าน ตอบโจทย์ทุกความต้องการธุรกิจอสังหาฯ

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดแผนธุรกิจครึ่งหลังปี 60 รุกหนักตลาดไฮเอนด์ ขยายพอร์ตกว่าหมื่นห้าพันล้าน ตอบโจทย์ทุกความต้องการธุรกิจอสังหาฯ

กรุงเทพฯ 2 มิถุนายน 2560 – บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับบนมากว่า 18 ปี เปิดแผนการดำเนินธุรกิจและทิศทางการดำเนินงาน 2560 ครึ่งปีหลัง ตั้งเป้าสู่การเป็นผู้นำและผู้ให้บริการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ในทุกมิติของผู้อยู่อาศัยและนักลงทุนอย่างยั่งยืน ผ่านการขยายกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ และการพัฒนาโครงการที่ครอบคลุมทั้งตลาดที่พักอาศัย และอาคารสำนักงาน นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัวโครงการใหญ่บนทำเลทองตอบโจทย์ตลาดคนกรุงยุคใหม่ที่มีการเติบโตต่อเนื่อง น.ส.เพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปีนี้ยังมีแนวโน้มที่ดี สอดคล้องกับตัวเลขจีดีพีในไตรมาสแรกที่ 3.2% โดยมีการคาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปีจะขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 3.6%  และด้วยผลจากมาตราการส่งเสริมทางด้านอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐจะช่วยให้สถานการณ์โดยรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในระดับบน เนื่องจากยังมีกลุ่มลูกค้ารวมถึงนักลงทุนทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ยังคงมองหาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทำเลใจกลางเมืองและส่วนขยายที่มีศักยภาพสูง (Expanding CBD)” “ที่ผ่านมาบริษัทฯ มุ่งสร้างสรรค์โครงการที่อยู่อาศัยทั้งแบบไฮไรส์และโลว์ไรส์ อาคารสำนักงาน และโรงแรม คุณภาพระดับ ไฮเอนด์ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด (Attention to details)  เพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นคนกรุงยุคใหม่วัยทำงานที่มีไลฟ์สไตล์โดดเด่น ต้องการความสำเร็จและความมั่นคง  มองหาสิ่งที่ดีที่สุดและคุ้มค่ามากที่สุดสำหรับตนเองและครอบครัว  ดังนั้นบริษัทฯ จึงให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพสูงสุดในทุกด้าน (Top of Class) ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้างและการตกแต่งภายในที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว บนทำเลศักยภาพใจกลางกรุงเทพมหานครที่มีมูลค่าสูง คุ้มค่าต่อการลงทุนระยะยาวเพื่ออนาคต จึงทำให้บริษัทฯสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี ผลประกอบการดำเนินธุรกิจมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนมาโดยตลอด” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จึงได้ทำการขยายกลุ่มบริษัทในเครือขึ้นอีกสี่บริษัท เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการทุกด้านของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดังต่อไปนี้ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เอสเตท จำกัด (MDE) พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (MDH) พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออาคารสำนักงาน และโรงแรม บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ตเนอร์ จำกัด (MDP) บริการด้านนิติบุคคล และบริหารอาคารสำนักงาน บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด (MDC) ที่ปรึกษาด้านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ยังได้เตรียมทุ่มเงินลงทุนอีกกว่า15,000 ล้านบาท เปิดตัวโครงการใหม่อีกกว่า 10 โครงการในปีนี้ เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ โครงการ มาเอสโตร19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO 19 RATCHADA19-VIPHA) ซึ่งเป็นคอนโดมีเนียมแบบโลวไรส์ (Low Rise) ภายใต้แบรนด์ มาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES) บนทำเลศักยภาพสูงหรือย่านรัชดาภิเษกที่จะกลายเป็น CBD แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ด้วยมูลค่าโครงการเกือบ 1,700 ล้านบาท พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างได้ที่โครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2560 และมีงาน Pre-sale ในวันที่ 24-25 มิถุนายน 2560 นอกจากนี้ทางบริษัทฯยังเตรียมเปิดโครงการที่เป็นแบรนด์ใหม่ทั้งแนวสูงและแนวราบอีกด้วย จนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมกว่า 30 โครงการ อาทิ เอ็ม ทองหล่อ 10, เอ็ม สีลม, เอ็ม ลาดพร้าว , มาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39, มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี, สำหรับโครงการที่กำลังดำเนินการพัฒนา อาทิเช่น โครงการ เอ็ม จตุจักร, มาเอสโตร 03 รัชดา-พระราม 9, มาเอสโตร 14 สยาม-ราชเทวี, มาเอสโตร 01 สาทร-เย็นอากาศ มูลค่ารวมกว่า 50,000 ล้านบาท
เปิดกลยุทธ์ 3 หมากรบ V Property

เปิดกลยุทธ์ 3 หมากรบ V Property

เปิดกลยุทธ์ 3 หมากรบ V Property   เข้าตลาดฯภายในปี 62 -ท้าชนยักษ์ชิง Segment คอนโด Luxury –เสริมแลนด์แบงก์และขุนพลฝีมือดี ครึ่งปีหลังเปิด 2 โครงการยึดทำเลรถไฟฟ้าสุขุมวิท มูลค่า 2,500 ล้านบาท           เปิดกลยุทธ์  3 หมากรบ V Property  เตรียมแต่งตัวเตรียมตลาดฯภายในปี 62 ตั้งเป้ารายได้แตะ 5,000 ล้านบาทก่อนปี 63 ท้าชนยักษ์ใหญ่อสังหาฯชิง Segment คอนโด Luxury พร้อมเสริมแลนด์แบงก์ทำเลทอง-ดึงขุนพลฝีมือดีจากค่ายใหญ่ แย้มครึ่งปีหลังเปิด 2 โครงการยึดทำเลรถไฟฟ้าสุขุมวิท มูลค่า 2,500 ล้านบาท ชูบริการ V-Service 360 องศา-ลูกค้าทุกคนคือ V-VIP  ชี้โครงการเกิดใหม่ทำเลใจกลางเมืองปรับราคาสูงขึ้นเฉลี่ย 15%              นายพรชัย เลิศอนันต์โชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (V Property) ซึ่งมีผลงานการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Luxury อาทิ H Sukhumvit 43 และ VTARA36 “Top of Low Rise Condominium at The Heart of Thonglor” กล่าววิเคราะห์สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า อนาคตคอนโดฯระดับ Luxury ที่จะสร้างขึ้นใหม่ส่วนมากจะอยู่ในทำเลใจกลางเมือง เช่น เพลินจิต, ชิดลม, หลังสวน, ทองหล่อ, สุขุมวิท 39-49 โดยจะมีการปรับราคาสูงขึ้นเฉลี่ย 15% ทั้งนี้โครงการ Luxury ใหม่ๆที่เปิดในย่านใจกลางเมืองปีนี้ราคาเฉลี่ยสูงกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตร สืบเนื่องจากต้นทุนที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกๆทำเล ต้นทุนการพัฒนาโครงการและโสหุ้ยอื่นๆยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  และเชื่อมโยงไปถึงเขตพื้นที่ต่อเนื่องที่มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่ ดินแดง พหลโยธิน พระโขนง และ ประชาชื่น ในขณะที่โครงการทำเลกรุงเทพฯชั้นนอกราคาปรับขึ้นที่ประมาณ 8 % นายพรชัย กล่าวถึงประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับการจูงจกลุ่มนักลงทุน “เรื่องของ  Rental Yield และ Capital Gain เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบจากข้อมูลตลาดบวกกับแผนยุทธศาสตร์ของ V Property แล้ว ผู้ลงทุนทุกท่านจะต้องได้กำไรจากการลงทุนอย่างแน่นอน ลูกค้า VTARA 36  มั่นใจได้เลยว่าราคาห้องชุดจะต้องสูงขึ้นกว่าปัจจุบัน และยังมีการการันตี Yield 10% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของตลาดซึ่งปัจจุบันอยู่เพียงแค่ 2-3% เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นคอนโดในซอยสุขุมวิท 36 ที่เป็นทำเลที่ตั้งของ VTARA36 นั้น ปัจจุบันคอนโดที่จะขึ้นใหม่ในปี 2560 และอนาคตอันใกล้ล้วนมีราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรมากกว่า 200,000 บาท บางโครงการมีข่าวว่ามีแนวโน้มสูงถึง 300,000 บาทต่อตารางเมตร ทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ลูกค้าที่ซื้อ VTARA36 สามารถทำกำไรได้ทันที หรือมี Capital Gain      ที่ค่อนข้างสูง” นายพรชัยกล่าวถึงผลประกอบการไตรมาส 1/2560 ว่าบริษัท V Property  ทำได้เกินเป้าที่วางไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง VTARA36 ที่ได้รับการตอบรับที่ดีมาก จนถึงขณะนี้มียอดจองมากกว่า 95 %  และได้ประกาศแผนกลยุทธ์เพื่อชิง Market Share หรือชิงเค้กคอนโดฯระดับ Luxury ประกอบด้วย 3 หมากรบ ดังนี้ หมากที่ 1 :  ตั้งเป้ารายได้แตะ 5,000 ลบ. และ เข้าตลาดฯไม่เกิน ปี 2562 กำหนดยุทธศาสตร์เน้นพัฒนาโครงการแนวสูง บริเวณรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือ สายสุขุมวิทเป็นหลัก เป้าหมายรายได้แตะ 5,000 ล้านบาทก่อนปี 2563  พร้อมทั้งตั้งเป้านำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2562 เพื่อนำเงินที่ระดมเงินทุนไปขยายธุรกิจรองรับการเติบโตในอนาคต  โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมตามกฏการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการจะนำธุรกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เชื่อว่าจะสามารถสร้างความแข็งแกร่ง ความมั่นคงและความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจและองค์กรได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้กับธุรกิจของ V Property มากขึ้นจากเดิ หมากที่ 2: ท้าชนยักษ์อสังหาฯ ชิง Segment ระดับ Luxury นายพรชัยกล่าวถึงการแข่งขันในตลาดอสังหาฯที่มีความเข้มข้นว่า  “แม้ว่าผู้ประกอบการรายใหญ่จะเข้ามาลงทุนในพื้นที่รถไฟฟ้าสายสุขุมวิทจำนวนมาก แต่บริษัทมีความได้เปรียบ ด้านมีการกำหนดราคาคอนโดฯที่สมเหตุสมผล หรือ ที่เรียกว่า “Good Investment” โดยมองว่าราคาที่ดินในเมืองโดยเฉพาะสุขุมวิทและทองหล่ออย่างไรก็ต้องมีการปรับขึ้น เพราะ Supply น้อยกว่า Demand และด้วยราคาที่ดินที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ราคาโครงการใหม่ต้องถูกกำหนดราคาที่สูงตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “รายงานวิจัยตลาดอสังหาฯ พบว่าราคาโครงการระดับ Luxury ใจกลางเมืองมีราคาสูงขึ้นที่ประมาณ 200,000 บาทต่อตารางเมตร ถ้านักลงทุนต้องการจะซื้อเพื่อปล่อยเช่าจะได้ Yield อยู่ไม่เกิน 3-4% เท่านั้น ซึ่งยังไม่นับรวมค่าส่วนกลางรายปีที่ต้องจ่าย ในส่วนของ Capital Gain ผมมองว่านักลงทุนกลุ่มนี้จะต้องมองการลงทุนระยะยาวมากกว่า 2 ปี ขึ้นไปเพื่อรอให้ราคาที่ดินและราคาตลาดคอนโดฯปรับตัวขึ้นไปก่อน จึงสามารถปล่อยขายทำกำไรได้ โดย VTARA36 และโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้อีก 2 โครงการจะต้องตอบโจทย์ดังกล่าว” CEO แห่ง V Property กล่าวเสริมว่า “เรามี Competitive Advantage ที่กลยุทธ์การมองหาทำเลของ                V Property  มุ่งเน้นเสาะหาเฉพาะทำเลดีถึงดีมากแต่ราคาที่ดินต้อง Reasonable Price จึงเป็นเหตุผลให้สามารถกำหนดรูปแบบโครงการออกมาในระดับ Luxury แต่ราคาต่ำกว่าราคาตลาดในประเภทสินค้าระดับเดียวกันได้   ด้วยเหตุนี้ลูกค้าของ V Property จะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าตลาดอยู่แล้ว โดยไม่ว่าจะซื้อคอนโด VTARA36 หรือ โครงการใดในเครือ V Property เพื่อการปล่อยเช่าหรือเพื่อขายในระยะยาวก็ล้วนแต่จะกำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดอย่างแน่นอน  นอกจากนั้น V Property ยังมีพันธมิตรที่เป็นบริษัทชั้นนำช่วยหาผู้เช่าชาวญี่ปุ่นที่ถือเป็นผู้เช่าชั้นดี อีกทั้งยังมีบริการช่วยขายห้องชุดอีกด้วย” โดยจุดเด่นของ V Property คือ สามารถดูแลลูกค้าได้อย่างทั่วถึง เนื่องจากจะบริการแค่ลูกค้าภายใน (Exclusive Service) ไม่ได้รับบริการคนภายนอก เหมือน Agent หรือบริษัทอื่นๆ ซึ่งจะทำให้การดูแลไม่ทั่วถึง โดยทั้งหมดนี้เริ่มต้นมาจากแนวคิดที่ต้องการให้ลูกค้าทุกคนเป็น V-VIP หรือ V Property – Very Important Person ซึ่งหมายถึง V Care 360 องศา ถือเป็นข้อได้เปรียบของ V Property  ที่ใช้แข่งกับยักษ์อสังหาฯรายอื่น หมากที่ 3:  เสริมแลนด์แบงก์สุดเจ๋ง + เสริมขุนพลฝีมือฉมัง “บริษัทเตรียมงัดแลนด์แบงก์บนทำเลเพชรและทำเลทองจำนวน 2 ผืนมาพัฒนา โดยผืนแรก-ทำเลเพชร เทียบได้ว่าเป็นผืนสุดท้ายบนทำเลย่านสุขุมวิทตอนกลาง เป็นที่ดินย่านชุมชนยอดนิยมาของชาวไทยและต่างชาติ ทำเลสวยงามชนิดที่ติดบันไดทางขึ้น BTS ส่วนอีกผืนที่เป็นทำเลทอง-อยู่ห่างจาก BTS ไม่กี่นาที อยู่ในย่านยอดนิยมของมนุษย์เงินเดือน ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและกำหนดคอนเซ็ปต์ออกแบบโครงการ” นายพรชัยกล่าวว่าสุดท้าย คือการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อเตรียมความพร้อม โดยขณะนี้ V Property ได้เสริมขุนพลฝีมือดีด้วยการดึงตัวมาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทุกตำแหน่งได้สกรีนด้วยตัวเอง เพราะส่วนตัวให้ความสำคัญกับ  Corporate Identity เป็นอย่างมาก
“ยู ซิตี้” ปิดดีลซื้อเชนโรงแรมใหญ่ในยุโรป มูลค่ากว่า 12,300 ล้านบาท

“ยู ซิตี้” ปิดดีลซื้อเชนโรงแรมใหญ่ในยุโรป มูลค่ากว่า 12,300 ล้านบาท

“ยู ซิตี้” ปิดดีลซื้อเชนโรงแรมใหญ่ในยุโรป มูลค่ากว่า 12,300 ล้านบาท เปิดกลยุทธ์ลงทุนตลาดโรงแรมต่างประเทศ มุ่งสร้างรายได้ระยะยาว คาดรับรู้รายได้กว่า 4,300 ล้านบาทต่อปี บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ขยายพอร์ตธุรกิจโรงแรมมูลค่ากว่า 12,300 ล้านบาท ปิดดีลซื้อกิจการโรงแรม 24 แห่ง พร้อมด้วยธุรกิจการจัดการบริหารโรงแรมครอบคลุม 9 ประเทศในยุโรป ซึ่งการลงทุนซื้อกิจการดังกล่าวได้มีการ ตกลงเซ็นต์สัญญาการเข้าซื้อเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา และทำการปิดดีลซื้อกิจการในวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 การเข้าซื้อกิจการดังกล่าว ได้ทำผ่านบริษัทย่อยของ บมจ. ยู ซิตี้ในประเทศออสเตรีย คือ Vienna House Capital GmbH หรือ วีเอช แคปปิตอล (VH Capital) โดย ยู ซิตี้ ถือหุ้น 100% ธุรกิจโรงแรมภายใต้บริษัท Vienna International Hotel Management AG หรือ เวียนนา เฮ้าส์ (Vienna House) ซึ่งเป็นโรงแรมที่เน้นกลุ่มธุรกิจและเพื่อการพักผ่อน จำนวน 16 แห่ง รวมถึง โรงแรมในเครือของบริษัท Warimpex Finanz- und Beteiligungs AG หรือ วอริมเพ็กซ์ (Warimpex)  บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สัญชาติออสเตรียและโปแลนด์ อีก 8 แห่ง บริษัทฯใช้เงินทุนในการซื้อกิจการโรงแรมในครั้งนี้ด้วยเงินกู้จากสถาบันการเงิน และเงินสดในปัจจุบัน โดยบริษัทฯ คาดว่าบริษัทย่อย วีเอช แคปปิตอล จะรับรู้รายได้ต่อปีจากการลงทุนครั้งนี้ประมาณ 115 ล้านยูโร หรือประมาณ 4,300 ล้านบาท และมีรายได้ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) ประมาณ 26 ล้านยูโร หรือ ประมาณ 970 ล้านบาท และคาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 20% ในอีก 4 ปีข้างหน้า นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “นอกจากในส่วนของโรงแรมแล้ว เรายังได้แพลตฟอร์มธุรกิจการจัดการบริหารโรงแรมซึ่งบริหารโรงแรมทั้ง 24 แห่ง และสัญญาการบริหารโรงแรมให้กับโรงแรมอื่นๆอีก 12 แห่ง สำหรับแพลตฟอร์มของการบริหารจัดการและแบรนด์โรงแรมต่างๆ จะเป็นกลไกสร้างการเติบโตของการขยายธุรกิจโรงแรมดังกล่าว พร้อมเสริมความแกร่งให้กับโรงแรมที่มีอยู่เดิมในไทยของบริษัทฯ ซึ่งปัจจุบันมี โรงแรมอวานี ขอนแก่น โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์, โรงแรมอนันตรา เชียงใหม่ รีสอร์ท แอนด์ สปาและโรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพมหานคร” โดยการลงทุนซื้อกิจการโรงแรมของบริษัทฯ ในครั้งนี้ เราได้ทั้งตลาดท่องเที่ยวในยุโรปที่แข็งแกร่งและมีมาอย่างยาวนานและตลาดที่จัดได้ว่าเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวใหม่ของชาวยุโรป อาทิ เยอรมัน โปแลนด์ ฝรั่งเศส และสาธารณรัฐเชค ซึ่ง ยู ซิตี้ จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตที่น่าสนใจของตลาดดังกล่าวในการสร้างรายได้ระยะยาว และล่าสุดรายงานของ STR Global สถาบันรายงานสถิติโรงแรมทั่วโลกระบุว่า ในช่วงสี่เดือนแรกของปี 2560 โรงแรมในแถบยุโรปโชว์การเติบโตผ่านตัวชี้วัดสำคัญ อัตราการเข้าพัก (Occupancy) เพิ่มขึ้น 3% ขณะที่ อัตราราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (ADR) เพิ่มขึ้น 2.5% และรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR)  เพิ่มขึ้นถึง 5.9% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา มิสเตอร์ ดาเนียล รอสส์ กรรมการ บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวเสริมว่า “การลงทุนนี้นับเป็นครั้งสำคัญของยู ซิตี้ ในการขยายพอร์ตสินทรัพย์เพื่อมุ่งสร้างรายได้ระยะยาวในต่างประเทศ และทำให้ในตอนนี้รายได้ส่วนใหญ่ของยู ซิตี้ จะมาจากสินทรัพย์ในต่างประเทศ เราเชื่อมั่นว่า กิจการโรงแรมทั้งหมดซึ่งนำโดยทีมบริหารของเวียนนาเฮ้าส์จะช่วยสร้างแพลตฟอร์มการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงสร้างรายได้และกำไรกลับมาสู่ผู้ถือหุ้นได้” นอกจากนั้น บมจ. ยู ซิตี้ ได้มีการลงทุนซื้ออาคารสำนักงานให้เช่าเกรด เอ ขนาด 9,700 ตร.ม. กลางกรุงลอนดอน ซึ่งตั้งอยู่เลขที่  33 เกรซเชิร์ช สตรีท (Gracechurch Street) และกำลังทำสัญญาซื้ออาคารสำนักงานให้เช่าแห่งที่สอง ขนาด 2,400 ตร.ม. ตั้งอยู่เลขที่ 6-14 อันเดอร์วูด สตรีท (Underwood Street) รวมถึงยังมีโครงการมิกซ์ยูซที่จะเป็นโรงแรม รีเทล และสำนักงานให้เช่าที่พญาไท ที่จะเริ่มก่อสร้างปี 2560 และโครงการมิกซ์ยูซที่หมอชิต ที่จะเริ่มก่อสร้างภายในปี 2561 เกี่ยวกับบริษัท บมจ. ยู ซิตี้ เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปี ปัจจุบันมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดประมาณ 16,800 ล้านบาท กลยุทธ์ของบริษัทฯ คือ การเข้าพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำ อย่างเช่น อพาร์ทเมนท์ โรงแรม อาคารสำนักงานที่อยู่ในแนวเส้นทางขนส่งมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 บมจ.บีทีเอสกรุ๊ป โฮลดิ้ง ได้เข้ามาถือหุ้น 35.64% ใน ยู ซิตี้ โดยแลกกับการขายทรัพย์สินที่เป็นที่ดินและโรงแรมให้บริษัทฯ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2559 เป็นก้าวแรกของบริษัทฯในการเข้าไปลงทุนในยุโรปโดยซื้อกิจการอาคารสำนักงานให้เช่า เกรด เอ กลางกรุงลอนดอน มูลค่า 3,400 ล้านบาท ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.ucity.co.th
“ออริจิ้น” รับรางวัล Top 10 Developer จาก BCI Asia Awards

“ออริจิ้น” รับรางวัล Top 10 Developer จาก BCI Asia Awards

“ออริจิ้น” รับรางวัล Top 10 Developer จาก BCI Asia Awards น.ส.วารุณีย์ ธชีพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (ที่ 2 จากขวา) พร้อมด้วยนายเกษมิน นาคะประทีป (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เข้ารับรางวัล Top 10 Developer 2017 ภายใต้งาน BCI Asia Awards 2017 ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเทศต่างๆ ในเอเชียที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับภูมิภาคและมีผลงานการออกแบบโครงการโดดเด่น ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอนด์ บางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อเร็วๆ นี้
ส่องศักยภาพทำเล “The Selected Kaset-Ngamwongwan By LPN”

ส่องศักยภาพทำเล “The Selected Kaset-Ngamwongwan By LPN”

ส่องศักยภาพทำเล “The Selected Kaset-Ngamwongwan By LPN”   สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียม : รถไฟฟ้าคืบหน้า-ราคาที่ดินพุ่ง-คอนโดราคาสูง สำนักวิจัย LPN เผยข้อมูลโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในปี 2560 ทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-แยกเกษตร-นวมินทร์ มี 3 โครงการ ประมาณ 1,300 ยูนิต มียอดขาย ณ วันเปิดตัว 55% สูงเป็นอันดับที่ 3 จากภาพรวมยอดขายทั้งหมดตามทำเลต่างๆในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ราคาเฉลี่ย 68,000 บ./ตร.ม. (1.85 ลบ.) โดยส่วนใหญ่จะเป็นอาคารสูง 8 ชั้น ที่ตั้งไม่ติดถนนสายหลัก หรือใกล้สถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย หากพิจารณาภาพรวม Supplyทั้งหมดในทำเลนี้ มี 22 โครงการ 13,000 ยูนิต มี Demand ดูดซับไปแล้วกว่า 90% ราคาขายเฉลี่ยประมาณ 80,000บาทต่อตารางเมตร และในอนาคตจะมี Supply ใหม่จากผู้ประกอบการรายใหญ่เตรียมเข้าตลาดอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณถนนพหลโยธินช่วงห้าแยกลาดพร้าว-แยกรัชโยธิน ราคาเฉลี่ย 140,000 บ./ตร.ม. โดยสาเหตุหลักมาจากความคืบหน้างานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย(หมอชิต-คูคต) ประมาณ 20% และคาดว่าจะเปิดให้ใช้บริการได้ในปี 2563 ประกอบกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง(บางซื่อ-รังสิต) ที่วิ่งคู่ขนานไปกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย(หมอชิต-คูคต) ก็มีความคืบหน้างานก่อสร้างไปมากแล้วเช่นกันประมาณ 55% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดผู้ประกอบการนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายใหญ่และรายย่อยเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมกันเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันราคาที่ดินก็สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะแปลงที่ดินติดถนนพหลโยธิน ช่วงห้าแยกลาดพร้าว-แยกรัชโยธิน 600,000-950,000 บ./ตร.ว. ช่วงแยกรัชโยธิน-แยกเกษตร 500,000-650,000 บ./ตร.ว. นั่นคือต้นทุนสำคัญในการพัฒนาโครงการคอนโดฯ ซึ่งจะส่งผลต่อราคาขายคอนโดมิเนียมสูงมากขึ้นตามไปด้วย ในอนาคตในทำเลนี้คงจะหาคอนโดมิเนียมราคา 1-3 ลบ. ได้ยากมากขึ้น อาจจะต้องขยับขยายไปทางถนนงามวงศ์วาน และถนนเกษตร-นวมินทร์ เพื่อให้ราคาขยับลงมาและวัยเริ่มต้นทำงานสามารถจับต้องได้   ศักยภาพทำเล : รถไฟฟ้า 2 สาย ศูนย์การค้า 3 แห่ง และ 4 มหาวิทยาลัยดัง             จุดเด่นของทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-แยกเกษตร-นวมินทร์ นอกจากโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย 2สาย คือสายสีเขียว(หมอชิต-คูคต) และรถไฟฟ้าสายสีแดง(บางซื่อ-รังสิต) ที่สร้างความน่าสนใจให้ย่านนี้แล้วนั้น ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างมากมายที่ช่วยเพิ่มศักยภาพของทำเลนี้ให้มีความน่าอยู่อาศัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ 3 แห่ง Central ลาดพร้าว, Union Mall และ Major รัชโยธิน และรายล้อมไปด้วยมหาวิทยาลัยชื่อดัง 4แห่ง ม.ราชภัฏจันทรเกษม, ม.เกษตรศาสตร์, ม.ศรีปทุม และม.ธุรกิจบัณฑิต ประกอบกับอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งงานสำคัญของทำเลนี้ เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ หรือ SCB PARK การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสำนักงานใหญ่ กรมป่าไม้ การทางพิเศษฯ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และกรมยุทธโยธา
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ทุ่มงบลงทุนกว่า 1,700 ล้านบาท ปักหมุดโครงการใหม่ย่านใจกลางรัชดา “มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO19 RATCHADA19-VIPHA)”

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ทุ่มงบลงทุนกว่า 1,700 ล้านบาท ปักหมุดโครงการใหม่ย่านใจกลางรัชดา “มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO19 RATCHADA19-VIPHA)”

กรุงเทพฯ 2 มิถุนายน 2560 – บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรมากว่า 18 ปี เปิดตัวโครงการ มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO 19 RATCHADA 19-VIPHA) คอนโดมีเนียมแบบโลวไรส์ (Low Rise) โครงการที่ 8 ในกลุ่มมาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES)บนทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 1,700 ล้านบาท โดดเด่นด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘อินดัสเตรียล เอลลิแกนท์’ (Industrial Elegance) สะท้อนนิยามการใช้ชีวิตที่มีคุณค่าอย่างพิถีพิถันและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามแบบฉบับของคนเมือง เปิดให้ชมห้องตัวอย่างได้ที่โครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2560 และมีงาน Pre-sale ในวันที่ 24-25 มิถุนายน 2560 พร้อมมอบสิทธิพิเศษส่วนลดเงินสด 10,000 บาท สำหรับผู้ลงทะเบียนผ่านออนไลน์ นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจของพื้นที่ทำเลแถบรัชดาที่นับว่ากำลังถูกพัฒนาให้เป็นย่านธุรกิจแห่งใหม่หรือ New CBD ด้วยการเข้าถึงของ MRT และแวดล้อมไปด้วยย่านธุรกิจที่สำคัญ เช่น อาคารสำนักงาน อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตึก AIA Capital Center ตึกเมืองไทย-ภัทร สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมไปถึงแหล่งจับจ่ายของคนเมือง อาทิ ตลาดนัดรถไฟรัชดา เอสพลานาด รัชดาฯ เดอะ สตรีท รัชดา ตลาดห้วยขวาง เซ็นทรัล พระราม 9 ร้านอาหาร และคาเฟ่ที่มีให้เลือกสรรอย่างหลากหลาย โดยมูลค่าพื้นที่บริเวณโครงการได้สูงขึ้นมากกว่าเกือบ 30% เมื่อเทียบกับช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จึงถือว่าคุ้มค่ามากกับการเลือกลงทุน” มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO 19 RATCHADA 19-VIPHA) เป็นคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ (Low Rise) ความสูง 8 ชั้น บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ พรั่งพร้อมด้วยพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกมากที่สุดภายใต้แบรนด์ มาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES) โดดเด่นด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘อินดัสเตรียล เอลลิแกนท์’ (Industrial Elegance) ให้ความรู้สึกเท่ห์แต่ยังคงความหรูหรา มีความแตกต่างอย่างลงตัว แต่ยังคงเอกลักษณ์ ‘Classic With A Modern Twist’ ของแบรนด์มาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES) ที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมคลาสสิคแบบยุโรปกับเส้นสายทันสมัยเข้าไว้ด้วยกัน  โดยห้องชุดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่ประเภท 1 ห้องนอน และ 2 ห้องนอน  หน้าห้องกว้าง 5-12 เมตรและประตูบานเลื่อนที่สามารถปรับได้ตาม function การใช้งานและ Layout แบบหลากหลาย  พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นคลับเฮาส์ครบวงจร ประกอบด้วย ห้องสมุด, พื้นที่สร้างสรรค์งาน (Co-Working Space), ห้องสตีมและห้องซาวน่า, ฟิตเนสและลานโยคะ (Yoga Terrace Area), และสระว่ายน้ำยาวถึง 25 เมตร ลานบาร์บีคิวบนดาดฟ้าอาคารพักอาศัยทั้ง 4 อาคาร ทางวิ่งออกกำลัง (Jogging Track) และสวนขนาดใหญ่ รวมถึงบริการรถรับส่ง (Shuttle service)  เป็นต้น “กลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการนี้จะเน้นไปที่ครอบครัวขนาดเล็กและคนวัยทำงานที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองหรือลงทุนด้วยทำเลที่อยู่ใจกลางย่านธุรกิจ การเดินทางออกได้หลายเส้นทาง และใกล้ออฟฟิศต่างๆ อีกทั้ง มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา เป็นโครงการที่มีพื้นที่มากที่สุด และ สิ่งอำนวยความสะดวก (Facility) จัดเต็มที่สุดของมาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES) ที่คุ้มค่ากับราคา” นางสาวเพชรลดากล่าว เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ พิถีพิถันในการออกแบบโดยใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และบ่งบอกถึงตัวตนของคนรุ่นใหม่ผ่านที่อยู่อาศัย เริ่มตั้งแต่การเลือกทำเลการจัดตั้งโครงการ ซึ่ง มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา (MAESTRO 19 RATCHADA 19-VIPHA) ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 5 ไร่ ด้วยจำนวนห้องชุดทั้งหมด 560 ยูนิต บนทำเลใจกลางกรุงเทพฯ เดินทางสะดวกสบายเพียง 650 เมตรจากตัวโครงการฯ ถึงสถานี MRT รัชดาภิเษก พร้อมบริการรถรับ-ส่งจากโครงการ และเส้นทางเชื่อมต่อด้วยรถยนต์ส่วนตัวที่สามารถเข้าออกได้หลายเส้นทางเชื่อมต่อไปยัง ถนนวิภาวดีรังสิต  ถนนรัชดาภิเษก และถนนลาดพร้าว โครงการ มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภา เป็นโครงการที่ 8 ในกลุ่มมาเอสโตร เรสซิเดนซ์ (MAESTRO RESIDENCES) ซึ่งโครงการที่เปิดตัวไปทั้งหมดก่อนหน้านี้ได้แก่ มาเอสโตร 01 สาทร-เย็นอากาศ, มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี, มาเอสโตร 03 รัชดา-พระราม 9, มาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ, มาเอสโตร 12 ราชเทวี, มาเอสโตร 14 สยาม-ราชเทวี และ มาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39 ซึ่งโครงการมาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภาเปิดให้ชมห้องตัวอย่างได้ที่โครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2560 และมีงาน Pre-sales ในวันที่ 24 - 25 มิถุนายน 2560 พร้อมมอบสิทธิพิเศษส่วนลดเงินสด 10,000 บาท สำหรับผู้ลงทะเบียนผ่านออนไลน์ ผู้ที่สนใจโครงการสามารถติดต่อได้ที่ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โทร 02-116-1111 หรือ เว็บไซต์ http://www.mde.co.th
จุฬาฯ พัฒนาเครื่องมือวัดความไว้วางใจแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ CU-BTI สำเร็จเป็นครั้งแรก

จุฬาฯ พัฒนาเครื่องมือวัดความไว้วางใจแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ CU-BTI สำเร็จเป็นครั้งแรก

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประสบผลสำเร็จเป็นครั้งแรกในการพัฒนาเครื่องมือวัดความไว้วางใจแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ CU-BTI (Chulalongkorn University: Brand Trust Index) ว่าแบรนด์ใดได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากที่สุด ผ่านกระบวนการวิจัยอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ ด้วยการนำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index) เครื่องมือวัดความไว้วางใจ (Trust Barometer) และส่วนประสมการตลาดบริการ (Service Marketing Mix) มาผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเครื่องมือสถิติชั้นสูงเพื่อกลั่นกรองให้เกิดเครื่องมือดัชนีความไว้วางใจแบรนด์ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเชื่อถือได้ และถูกต้องอย่างเป็นวิชาการ     ศ. ดร.กุณฑลี  รื่นรมย์ และ ดร.เอกก์  ภทรธนกุล คณะผู้วิจัยจากภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ร่วมเผยว่า “อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในไทยมีขนาดใหญ่กว่า 800,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา จึงถือเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่สำคัญ แม้ว่าในตลาดจะมีการแข่งขันโดยแบรนด์ที่แข็งแกร่งจำนวนมาก แต่ยังไม่มีเครื่องมือที่จะสามารถช่วยวัดผลอย่างชัดเจนว่าแบรนด์ใดได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากที่สุด และมีปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อความไว้วางใจของผู้บริโภคในอุตสาหกรรมนี้ จึงได้พัฒนางานวิจัยในการสร้างเครื่องมือดัชนีความไว้วางใจแบรนด์ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เรียกว่า CU-BTI(Chulalongkorn University: Brand Trust Index) เครื่องมือนี้แสดงให้เห็นถึงปัจจัยที่มีผลต่อความไว้วางใจแบรนด์ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ โดยใช้เวลา 18 เดือนในการพัฒนา โดยผ่านกระบวนการวิจัยอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ”   ผลวิจัยดัชนีความไว้วางใจแบรนด์ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ประจำปี 2560 (Thailand’s Top Brand Trust Index in the Real Estate Industry 2017) โดยจำแนกตามประเภทที่อยู่อาศัย ผลปรากฏว่า บ้านเดี่ยว ได้แก่    แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และพฤกษา ทาวน์เฮ้าส์ ได้แก่    แสนสิริ คอนโดมิเนียม ได้แก่ อนันดา และศุภาลัย โดยทั้ง 5 แบรนด์มีค่าดัชนีความไว้วางใจแบรนด์ที่ร้อยละ 81 ผลงานวิจัยในครั้งนี้ นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับวงการอสังหาริมทรัพย์ โดยผู้ประกอบการธุรกิจสามารถนำไปใช้เพื่อวัดความไว้วางใจของผู้บริโภค และนำไปสู่การกำหนดกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต
แสนสิริ ตอกย้ำศักยภาพ 98 Wireless  ผ่านทิศทางการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ไทย จากบทวิเคราะห์ในงาน ‘Global Luxury Property Market Research 2017’

แสนสิริ ตอกย้ำศักยภาพ 98 Wireless ผ่านทิศทางการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ไทย จากบทวิเคราะห์ในงาน ‘Global Luxury Property Market Research 2017’

แสนสิริ จัดงาน ‘Global Luxury Property Market Research 2017’ ณ โครงการ 98 WIRELESS เผยบทวิเคราะห์จากหลากหลายผลสำรวจที่มีความสอดคล้องกันจาก 4 เอเจนซี่ชั้นนำของไทย - ต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจาก Global Property Guide, Knight Frank, Numbeo และ PLUS Property (บริษัทพลัส พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด) ที่ยืนยันถึงศักยภาพของอสังหาริมทรัพย์ไทยที่โดดเด่น และดึงดูดกลุ่มลูกค้าจากทั่วโลก ซึ่งเป็นปัจจัยเกื้อหนุนตลาดต่างชาติให้ความสนใจโครงการ 98 WIRELESS โครงการแฟล็กชิพคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดในประเทศไทยและตะวันออกเฉียงใต้ โดยถือเป็นโอกาสสำคัญซึ่งหาได้ยากยิ่งที่เปรียบได้กับการได้ครอบครองผลงานศิลปะอันเปี่ยมคุณค่า นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ใน Prime Area นับเป็นอีกทางเลือกในการลงทุนของบุคคลในระดับ Ultra-High Net worth Individual (UHNWI) หรือบุคคลธรรมดาที่มีสินทรัพย์สุทธิในระดับสูง ซึ่งแต่เดิมนักลงทุนต่างชาติหรือแม้แต่ในประเทศไทยกลุ่มนี้จะสนใจลงทุนในเมืองที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ ของโลก เพราะมีอัตรา Capital Appreciation ในแง่ของราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เปรียบเทียบให้เห็นภาพการเติบโตด้านราคาของห้องเพนเฮาส์ในเมืองสำคัญต่างๆ ในรอบ 5 ปี ระหว่าง 2011-2016 อาทิ ในมหานครนิวยอร์คที่อสังหาริมทรัพย์ที่ราคาสูงสุดราคาแตกต่างกันถึง 41% จาก 2,855,134 บาท/ตร.ม.เป็น 4,022,163 บาท/ตร.ม. เช่นเดียวกับในบริเวณ The Peak ฮ่องกง ที่ราคาเพิ่มขึ้นถึง 71% และในลอนดอนที่เพิ่มขึ้น 68% ในขณะที่ปัจจุบันประเทศไทย ได้กลายเป็นอีกหนึ่งประเทศที่นักลงทุนชาวต่างชาติสนใจ เห็นได้จากห้องเพนเฮาส์ที่มีราคาสูงสุดของโครงการ 98 WIRELESS มีราคาขายอยู่ที่ 666,666 บาท/ตร.ม. ซึ่งเป็นราคาที่สูงขึ้นถึง 65% เทียบจากห้องเพนเฮาส์ในโครงการที่ราคาสูงสุดในประเทศไทยในปี 2011 โดยทั้งสองโครงการอยู่ในย่าน CBD ของกรุงเทพมหานคร แสดงให้เห็นความสำคัญของปัจจัยด้านทำเลที่มีผลต่อราคา Capital Appreciation” นายอุทัย กล่าวเสริมอีกว่า “เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยที่สำคัญต่อการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์สำหรับกลุ่มผู้ซื้อในตลาดต่างชาติ ประเทศไทยนับว่ามีความพร้อมอย่างรอบด้านเมื่อเทียบกับประเทศที่มีความโดดเด่นในด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทั้งในแง่ทำเล ทั้งที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียน ความพร้อมในระบบสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม สำหรับทั้งการอยู่อาศัยและการลงทุนภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีโครงการเปิดขายในตลาดมากกว่าประเทศอื่น ที่สำคัญคือ กฏหมายของไทยที่เอื้อต่อชาวต่างชาติในการซื้อขายและถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน นอกจากนี้เมื่อพิจารณาในภูมิภาคอาเซียน กรุงเทพฯ นับว่าเป็นเมืองที่มีทั้งอุปสงค์และอุปทานในตลาดอสังหาริมทรัพย์มากกว่าเมืองสำคัญอื่นๆ ทั้งหมด” ทั้งนี้ข้อมูลจาก www.globalpropertyguide.com ระบุว่า ประเทศที่มีตลาดอสังหาริมทรัพย์สำคัญของโลก อย่างสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และในแถบเอเชีย อย่างสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง ต่างมีราคาอสังหาริมทรัพย์สูงกว่าไทยมาก ในอัตราเฉลี่ยตั้งแต่ 2-6 เท่า เมื่อพิจารณาในแง่การลงทุน ประเทศไทยจึงให้ความคุ้มค่ามากกว่า โดยเฉพาะในตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับบนที่มีความต้องการและราคาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มพัฒนาและเติบโตได้ เมื่อพิจารณาลึกลงมาที่อสังหาริมทรัพย์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ในทำเลใจกลางเมือง ราคาต่อพื้นที่ของอสังหาริมทรัพย์ระดับนี้ จะต่ำกว่าในเมืองสำคัญอื่น ๆ ทั้งในเอเชียและทั่วโลก ยกตัวอย่าง 98 WIRELESS โครงการแฟล็กชิพคอนโดมิเนียมจากแสนสิริได้ชื่อว่าเป็นโครงการที่ดีที่สุดในประเทศไทยและตะวันออกเฉียงใต้ โดยเปรียบเทียบในราคา 70 ล้านบาท จะได้พื้นที่ขนาด 121 ตร.ม. ซึ่งเปรียบเทียบกับเมืองอื่นๆที่มูลค่าจำนวนเดียวกันนี้ จะสามารถซื้อห้องที่มีขนาดพื้นที่เล็กกว่า เทียบจากราคาเฉลี่ยคอนโดฯในเมืองอื่นๆในย่านศูนย์กลางธุรกิจใจกลางเมืองหรือ CBD ไม่ว่าจะเป็น ฮ่องกง (40 ตร.ม.) นิวยอร์ค (52 ตร.ม.) ลอนดอน 60 (ตร.ม.) สิงคโปร์ (86 ตร.ม.) และปักกิ่ง (116 ตร.ม.) นอกจากนี้ ข้อมูลจาก www.realist.co.th ชี้ว่าเมื่อพื้นที่ที่เป็นทำเลทอง และมีที่ดินซึ่งสามารถพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้เหลือน้อยลง ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์จะพุ่งขึ้นในอัตราสูง อาทิ ถนนวิทยุที่มีแนวโน้มการปรับราคาซื้อขายที่ดินสูงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในฮ่องกง และสิงคโปร์ เห็นได้จากอัตราส่วนต่างกำไร (Capital Gain) ตั้งแต่ปี 2554 – 2558  ของที่ดินโซนวิทยุที่เติบโตขึ้นถึง 36% เพิ่มขึ้นจาก 1,400,000 บาท เป็น 1,900,000 บาทต่อตารางวา โดยล่าสุดได้มีความเคลื่อนไหวในการซื้อที่ดินสถานทูตอังกฤษ 25 ไร่ ที่ราคากว่า 2 ล้านบาทต่อตารางวา* นับเป็นสถิติมูลค่าการซื้อขายที่ดินที่สูงที่สุดในประเทศไทย สูงกว่าเมื่อเทียบกับทำเลใจกลางเมืองย่านอื่น ๆ ในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็น สุขุมวิทช่วงต้น สีลม สุขุมวิทโซนอโศก สุขุมวิทใกล้เอกมัย ที่ปัจจุบันมีราคา 1,850,000 บาท/ตารางวา 1,600,000 บาท/ตารางวา 1,100,000 บาท/ตารางวา และ 950,000 บาท/ตารางวา  ตามลำดับ (*หมายเหตุ : อ้างอิงจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่) นอกจากเรื่องราคาที่ดินที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายอุทัย ยังให้มุมมองเกี่ยวกับการมองเทรนด์อสังหาริมทรัพย์ในองค์รวมว่า "ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา คือตั้งแต่ปี 2557-2559 ราคาคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานคร ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ที่ราคามากกว่า 300,000 บาท/ตารางเมตร มีราคาเพิ่มขึ้นถึง 10% ซึ่งถือว่ามีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียมในเซ้กเม้นท์อื่นๆที่บวกมากสุดแค่ 2% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทำเลทองย่านเพลินจิตชิดลมที่คอนโดมิเนียมเซ้กเม้นต์นี้มีอัตราดูดซับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จาก 4.36% ในปี 2556 เป็น 24.0% ในปี 2559 เมื่อเทียบกับสุขุมวิทที่ 19.73% หรือสีลมสาทรที่ 4.30% อย่างไรก็ตามส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลังสวน วิทยุ เป็นทำเลที่ผู้ซื้อต่างชาติคุ้นเคยเป็นอย่างดี ทั้งนี้ หากเริ่มพัฒนาโครงการต่างๆโดยใช้มาตรฐานและทำเลแบบเดียวกับ 98 WIRELESS ในวันนี้ จะต้องตั้งราคาขายอย่างน้อย 700,000 บาท/ตารางเมตร เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งปัจจัยราคาที่ดินที่บนถนนวิทยุที่เพิ่มจาก 1.5 เป็น 2.5 ล้านบาท/ตารางวา ผนวกกับต้นทุนด้านค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน  รวมทั้ง ทรัพยากร และ งานศิลปะ บางอย่างที่ไม่สามารถหาได้แล้ว ซึ่งเมื่อดูเปรียบเทียบกับราคาขายเฉลี่ยของ 98 WIRELESS ปัจจุบันที่ 580,000 บาท/ตารางเมตร แล้วนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์น่าจะได้รับผลกำไรจาก Capital Appreciation แน่นอน” เหนือสิ่งอื่นใด ในฐานะโครงการที่ได้คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดมาเพื่อมอบสุนทรียรสแห่งการใช้ชีวิตที่ละเมียดละไมสูงสุดแก่ผู้พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ บนทำเลใจกลางเมืองที่หาได้ยากยิ่งและมีราคาสูงสุดในกรุงเทพฯ สะท้อนถึงความคุ้มค่าต่อการลงทุนในระยะยาว การออกแบบอันโดดเด่น และการบริการหลังการขายที่สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะกลุ่ม 98 WIRELESS จึงได้รับความสนใจและสร้างกระแสความต้องการจากผู้ซื้อในตลาดระดับบนทั่วโลก ซึ่งนิยมซื้อหาและสะสมอสังหาริมทรัพย์ที่มีความพิเศษโดดเด่น ทรงคุณค่า เปรียบได้กับผลงานศิลปะล้ำค่า วัตถุหายาก เพื่อประสบการณ์แห่งการพักอาศัยที่ดีที่สุด และเป็นมรดกล้ำค่าที่ส่งมอบไปสู่ลูกหลาน โครงการ 98 WIRELESS ได้พัฒนาการออกแบบจากรูปแบบของงานสถาปัตยกรรม ที่ได้รับความนิยมตลอดกาลสำหรับโครงการที่พักอาศัยในเซ็กเมนต์นี้ คือการตีความของนิยามความหรูหราที่มีความคลาสสิคเหนือกาลเวลา พร้อมกับการผสมผสานวัสดุธรรมชาติเข้ากับเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างลงตัว ด้วยการสร้างสรรค์ขึ้นในสไตล์โบซาร์ (Beaux-Arts) ซึ่งผสมผสานกับความเรียบหรูของการออกแบบภายใน รวมถึงการคัดสรรวัสดุคุณภาพที่ดีที่สุดจากทุกมุมโลก การใช้บริษัทที่ปรึกษาและบริษัทดีไซน์ระดับโลกมากมาย และยังเป็นโครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในประเทศไทย ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานตามหลักเกณฑ์การประเมินอาคารเขียวของสหรัฐอเมริกา (LEED: Leadership in Energy and Environmental Design) ในด้านความคุ้มค่าต่อการลงทุน ลูกค้าในเซ็กเมนต์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ส่วนใหญ่มักมีที่อยู่อาศัยหรืออสังหาริมทรัพย์มากกว่า 1 แห่ง ดังนั้น การซื้ออสังหาริมทรัพย์จึงเป็นมากกว่าการอยู่อาศัยหรือบ้านหลังที่สอง หรือบ้านสำหรับพักอาศัยในวันหยุดพักผ่อน แต่ยังถือเป็นการลงทุนในระยะยาวเพื่อส่งต่อเป็นมรดกล้ำค่าที่ส่งต่อไปสู่รุ่นต่อไปได้ นอกจากนี้ โครงการ 98 WIRELESS ยังมีความพิเศษตรงที่ผู้ซื้อสามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ (Freehold) ซึ่งหาได้ยากมากบนถนนสายนี้อีกด้วย และอีกปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้โครงการ 98 WIRELESS ได้นำเสนอการบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟในหลายรูปแบบซึ่งยังไม่เคยปรากฏมาก่อนในโครงการระดับซูเปอร์ลักชัวรีในเมืองสำคัญ ๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกกับบริการผู้ช่วยส่วนตัวประจำโครงการจาก Quintessentially ที่มีชื่อเสียงระดับโลก หรือรถ ‘เบนท์ลี่ย์’ ที่สั่งทำเป็นพิเศษ มาเพื่อเป็นรถลิมูซีนประจำโครงการให้ผู้พักอาศัยทุกยูนิตสามารถใช้บริการได้ บริการจอดรถแบบ Valet Parking รวมถึงที่จอดรถใต้ดินที่สามารถรองรับได้ถึง 240% และที่จอดรถสำหรับซูเปอร์คาร์โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีบริการลิฟต์ส่วนตัวพร้อมโถงลิฟท์สำหรับทุกยูนิต และระบบการควบคุมการสั่งงาน Home Automation และการบริการพิเศษอื่นๆ  ภายใต้รูปแบบ Home Service Application แสนสิริเชื่อว่าด้วยปัจจัยสนับสนุนด้านบวกทั้งจากแนวโน้มการเติบโตและศักยภาพของอสังหาริมทรัพย์ระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ของไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับความเป็น The Best Comes as Standard ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ของโครงการ 98 WIRELESS ที่มอบความเป็นเลิศในทุกบริบท จะช่วยให้แสนสิริมีความได้เปรียบในการแข่งขันบนเวทีระดับโลกในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับสากล พร้อมต่อยอดความสำเร็จในระดับโลกเพื่อให้บรรลุรายได้ 8,000 ล้านบาทจากตลาดต่างชาติที่ตั้งเป้าไว้สำหรับปีนี้ อีกทั้งโครงการ 98 WIRELESS ยังเป็นตัวสะท้อนถึงศักยภาพของโครงการระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ไทยที่มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับโลก ทั้งในด้านการอยู่อาศัยที่เหนือระดับและโอกาสในการเติบโตของการลงทุนระยะยาว
จุฬาฯ พัฒนาเครื่องมือวัดความไว้วางใจแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ CU-BTI สำเร็จเป็นครั้งแรก

จุฬาฯ พัฒนาเครื่องมือวัดความไว้วางใจแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ CU-BTI สำเร็จเป็นครั้งแรก

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประสบผลสำเร็จเป็นครั้งแรกในการพัฒนาเครื่องมือวัดความไว้วางใจแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ CU-BTI (Chulalongkorn University: Brand Trust Index) ว่าแบรนด์ใดได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากที่สุด ผ่านกระบวนการวิจัยอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ ด้วยการนำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index) เครื่องมือวัดความไว้วางใจ (Trust Barometer) และส่วนประสมการตลาดบริการ (Service Marketing Mix) มาผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเครื่องมือสถิติชั้นสูงเพื่อกลั่นกรองให้เกิดเครื่องมือดัชนีความไว้วางใจแบรนด์ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเชื่อถือได้ และถูกต้องอย่างเป็นวิชาการ ศ. ดร.กุณฑลี  รื่นรมย์ และ ดร.เอกก์  ภทรธนกุล คณะผู้วิจัยจากภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ร่วมเผยว่า “อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในไทยมีขนาดใหญ่กว่า 800,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา จึงถือเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่สำคัญ แม้ว่าในตลาดจะมีการแข่งขันโดยแบรนด์ที่แข็งแกร่งจำนวนมาก แต่ยังไม่มีเครื่องมือที่จะสามารถช่วยวัดผลอย่างชัดเจนว่าแบรนด์ใดได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากที่สุด และมีปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อความไว้วางใจของผู้บริโภคในอุตสาหกรรมนี้ จึงได้พัฒนางานวิจัยในการสร้างเครื่องมือดัชนีความไว้วางใจแบรนด์ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เรียกว่า CU-BTI (Chulalongkorn University: Brand Trust Index) เครื่องมือนี้แสดงให้เห็นถึงปัจจัยที่มีผลต่อความไว้วางใจแบรนด์ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ โดยใช้เวลา 18 เดือนในการพัฒนา โดยผ่านกระบวนการวิจัยอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ” ผลวิจัยดัชนีความไว้วางใจแบรนด์ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ประจำปี 2560 (Thailand’s Top Brand Trust Index in the Real Estate Industry 2017) โดยจำแนกตามประเภทที่อยู่อาศัย ผลปรากฏว่า บ้านเดี่ยว ได้แก่    แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และพฤกษา ทาวน์เฮ้าส์ ได้แก่    แสนสิริ คอนโดมิเนียม ได้แก่ อนันดา และศุภาลัย โดยทั้ง 5 แบรนด์มีค่าดัชนีความไว้วางใจแบรนด์ที่ร้อยละ 81 ผลงานวิจัยในครั้งนี้ นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับวงการอสังหาริมทรัพย์ โดยผู้ประกอบการธุรกิจสามารถนำไปใช้เพื่อวัดความไว้วางใจของผู้บริโภค และนำไปสู่การกำหนดกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต
พลัสฯ เพิ่มโอกาสช็อปคอนโดฯ ทำเลทองกว่า 100 โครงการ ที่งาน Next Station Your Condo วันที่ 9-11 มิ.ย.

พลัสฯ เพิ่มโอกาสช็อปคอนโดฯ ทำเลทองกว่า 100 โครงการ ที่งาน Next Station Your Condo วันที่ 9-11 มิ.ย.

บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เตรียมจัดงาน  Next Station Your Condo ครั้งที่ 4 ภายใต้คอนเซปต์ “เลือกอย่างที่ใช่ ได้อย่างที่คิด” ในวันที่ 9-11 มิถุนายน 2560 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ชั้น 1 พบกับโครงการคุณภาพภายใต้การดูแลของบริษัทสำหรับขายและปล่อยเช่ากว่า 100 โครงการ ในทำเลศักยภาพใกล้ระบบขนส่งมวลชน (BTS, MRT) รวมถึงคัดเลือกโซนต่างจังหวัด อาทิ หัวหิน เขาใหญ่ และระยอง มานำเสนอภายในงาน ราคาเริ่มต้นเพียง 2.59 ล้านบาท พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าจองซื้อสามารถผ่อนชำระเงินจองได้ 0% 6 เดือน* พร้อมดอกเบี้ยกู้บ้าน อัตราพิเศษเริ่ม 0.5% หรือเลือกผ่อนล้านละ 1,000 บาท ต่อเดือน และทุกๆ การจองซื้อจะได้สิทธิ์ลุ้นรับรางวัล ซึ่งรางวัลใหญ่ในปีนี้คือตั๋วเครื่องบินไปกลับญี่ปุ่น 2 ที่นั่ง, โทรศัพท์ iPhone 7 และยังมีรางวัลพิเศษอีกมากมาย นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรมเสวนาเทคนิคการลงทุนอสังหาฯ จากโค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์ The Money Coach ในวันที่ 9 มิถุนายน เวลา 18.00-19.30 น. และการให้ความรู้และเทคนิคการแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ยโดย หมอช้าง ทศพร ศรีตุลา ในวันที่ 11 มิถุนายน 12.00-13.00 น. สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร 0-2688-7555 หรือ www.plus.co.th
พฤกษา เรียลเอสเตท ลุยเปิดทาวน์โฮมใหม่ พฤกษาวิลล์ 2 โครงการ 2 สไตล์ ทำเลใกล้ทางด่วน เริ่ม 1.69 ลบ.

พฤกษา เรียลเอสเตท ลุยเปิดทาวน์โฮมใหม่ พฤกษาวิลล์ 2 โครงการ 2 สไตล์ ทำเลใกล้ทางด่วน เริ่ม 1.69 ลบ.

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ภาพรวมตลาดทาวน์เฮาส์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลเติบโต 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าทั้งปีจะเติบโต 10% ในขณะที่พฤกษา เรียลเอสเตท มีส่วนแบ่งการตลาดทาวน์เฮาส์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลราว 20.6% โดยในปีนี้บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการทาวน์เฮาส์ทั้งสิ้น 39 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 21,800 ล้านบาท  ซึ่งในเดือนมิถุนายนนี้ จะเปิดทาวน์โฮม จำนวน 2 โครงการ 2 ทำเลศักยภาพ ภายใต้แบรนด์ “พฤกษาวิลล์” มูลค่าโครงการ 2,372 ล้านบาท คือ พฤกษาวิลล์  เลียบคลองทวีวัฒนา เปิดจองวันที่ 17-18 มิ.ย. นี้ และ พฤกษาวิลล์ เพชรเกษม  เปิดจองวันที่ 24-25 มิ.ย. นี้ พฤกษาวิลล์ เลียบคลองทวีวัฒนา ทาวน์โฮม 2 ชั้น บนสุดยอดทำเลติดถนนใหญ่ หน้ากว้าง 5.7 เมตร พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่120-140 ตร.ม. ออกแบบภายใต้แนวคิด Zen ที่ดีไซน์โปร่งโล่งและรับมุมมองธรรมชาติ ให้บ้านไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นพื้นที่ที่ตอบสนองทุกความต้องการของคนทั้งครอบครัว โดดเด่นด้วยอิสระการเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานที่สามารถปรับได้ตามความต้องการ ประหยัดพลังงานไปกับหน้าต่างและประตูที่ใช้กระจกตัดแสง ช่วยลดความร้อนและรังสียูวี พร้อมประตูบานเลื่อนขนาดใหญ่พิเศษที่เปิดมุมมองกว้างรับแสงธรรมชาติและถ่ายเทอากาศได้อย่างดี ใช้บันไดไม้จริง เพื่อให้คุณสัมผัสความสบายตามธรรมชาติ ทำเลติดถนนลียบคลองทวีวัฒนา ง่ายทุกการเดินทางด้วยเส้นทางใกล้โครงข่ายคมนาคม และ ถนนสายหลัก อาทิ ถนนบรมราชชนนี, แยกทศกัณฐ์, ใกล้ทางยกระดับ ปิ่นเกล้า – นครชัยศรี อีกทั้งยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงบางแค-พุทธมณฑลสาย 4 (โครงการในอนาคต) ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.49 ล้านบาท พฤกษาวิลล์ เพชรเกษม  ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5.7เมตร พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 86-98 ตร.ม. ออกแบบภายใต้แนวคิด  Modern Neo-Renaissance Style ที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์และรูปแบบสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป มีความเรียบหรู อบอุ่น ยิ่งใหญ่ มีเอกลักษณ์เฉพาะซึ่งผสานเข้ากับดีไซน์ในยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว เพิ่มความโปร่ง โล่ง ของบ้าน ด้วยประตูบานใหญ่ และหน้าต่าง  Enlarge-High window  ที่เปิดรับแสงธรรมชาติ เพิ่มความสวยงามและความสูงของชั้นบน จัดวางพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัว ด้วยห้องนอนถึง 4 ห้องนอน สะดวกทุกการเดินทางด้วยการคมนาคมบนเส้นทางสายหลัก เชื่อมเข้าถนนเพชรเกษม ด้วยถนนพุทธมณฑล สาย 2,3,4,5 เชื่อมต่อจุดหมายโดยรอบด้วยถนนกาญจนาภิเษก และใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ท่าพระ-พุทธมณฑล สาย 4 (โครงการในอนาคต) ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท ทั้ง 2 โครงการ ออกแบบจัดเตรียมโครงสร้างรั้วหลังบ้านที่มีความสูงเพิ่มขึ้นจากรั้วทั่วไป เพื่อความปลอดภัยในการอยู่อาศัยของลูกบ้าน พร้อมกับเพิ่มโครงสร้างความยาวเสาเข็มหลังบ้านเท่ากับตัวบ้าน เพื่อให้มีความแข็งแรงปลอดภัยของตัวบ้าน อีกทั้งยังเติมเต็มชีวิตวันพักผ่อนในการใกล้ชิดธรรมชาติด้วยสวนส่วนกลางพื้นที่สีเขียว ที่ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้สูดหายใจได้เต็มปอด พร้อมลู่วิ่งรอบสวนส่วนกลาง และทางจักรยาน ให้ได้ใช้ชีวิตได้ทุกไลฟ์สไตล์ อุ่นใจทุกปลอดภัย ในการเข้า-ออก โครงการ ด้วยระบบ Auto Access Card และระบบประตูล็อก 2 ชั้น กล้องวงจรปิด CCTV ที่ทางเข้าหลัก พร้อมจุด Check Point ด้วยเครื่องสแกน และ Security Guard ที่ดูแลตรวจตราตลอด 24 ชั่วโมง ลงทะเบียนจองรับสิทธิ์ VIP รับส่วนลดทันที 10,000 บาท พร้อมลุ้นรับรางวัล Lucky Draw Samsung galaxy s8 1 รางวัล และ Gift Card Starbuck   มูลค่า 200 บาท จำนวน 20 รางวัล ภายในงาน  ลงทะเบียน พฤกษาวิลล์ เลียบคลองทวีวัฒนา คลิก http://bit.ly/2oD71bQ  พฤกษาวิลล์ เพชรเกษม  คลิก http://bit.ly/2ry1CmC  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 1739 หรือ www.pruksa.com
ต่างชาติยังเชื่อมั่นในธุรกิจอสังหาฯเมืองไทย ทริลเลียน โกลบอล กลุ่มทุนสิงคโปร์ ทุ่มเงินกว่า 1,600 ล้านบาทลงทุนต่อเนื่องในโครงการคอนโดมิเนียมของสิงห์ เอสเตท ประเดิมด้วยโครงการดิ เอส อโศก และ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์

ต่างชาติยังเชื่อมั่นในธุรกิจอสังหาฯเมืองไทย ทริลเลียน โกลบอล กลุ่มทุนสิงคโปร์ ทุ่มเงินกว่า 1,600 ล้านบาทลงทุนต่อเนื่องในโครงการคอนโดมิเนียมของสิงห์ เอสเตท ประเดิมด้วยโครงการดิ เอส อโศก และ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์

ทริลเลียน โกลบอล บริษัทด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากสิงคโปร์ ซึ่งมีพอร์ตการลงทุนในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในเอเชีย และยุโรป เชื่อมั่นในตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย จับมือ บมจ. สิงห์ เอสเตท ลงทุนต่อเนื่องในโครงการคอนโดมิเนียมที่พัฒนาโดยสิงห์ เอสเตท รวมมูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท นายวิลเลียม โลค กรรมการผู้จัดการ ทริลเลียน โกลบอล กล่าวว่า “เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน ในขณะที่ราคาอสังหาฯ ในไทยยังมีมูลค่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เราจึงมองเห็นโอกาสการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ซึ่งน่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคต ทริลเลียนฯ เริ่มเป็นพันธมิตรกับ บมจ. สิงห์ เอสเตท ด้วยการลงทุนซื้อห้องชุดในโครงการดิ เอส อโศก คอนโดมิเนียม (Big Lot) เป็นที่แรก ใช้เงินลงทุนมูลค่ากว่า 900 ล้านบาท และได้รับผลตอบรับดีมาก หลังจากที่บริษัทฯ ได้นำโครงการฯ ไปโรดโชว์ในหลายๆ ประเทศในแถบเอเชีย อาทิ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ ล่าสุดเราจึงตัดสินใจลงทุนเพิ่มในโครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ลักชัวรี คอนโดมิเนียม โครงการใหม่ของ บมจ.สิงห์ เอสเตท มูลค่าทุนรวม 760 ล้านบาท ในเบื้องต้น โครงการดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนต่างชาติเช่นกัน เนื่องจากโครงการตั้งอยู่บนทำเลแยกอโศก-เพชรบุรี ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติอยู่แล้ว และยังเป็นส่วนหนึ่งของสิงห์ คอมเพล็กซ์ แฟล็กชิป มิกซ์ ยูส ของสิงห์ เอสเตทอีกด้วย” ด้านนายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวเสริมว่า “การร่วมทำธุรกิจกับทางทริลเลียน โกลบอล ถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของทางบริษัท ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดและการขายคอนโดมิเนียมของบริษัทฯ ในต่างประเทศ โดยมียอดการขายผ่านทางทริลเลียน ทั้งคอนโดมิเนียม ดิ เอส อโศก และ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ทั้ง 2 โครงการ รวม 1,660 ล้านบาท ทั้งนี้จึงส่งผลให้คอนโดมิเนียม ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ทำยอดขายได้เกินเป้าที่เราตั้งไว้ โดยปัจจุบัน มียอดจองรวมกว่า 80% มูลค่ากว่า 3,300 ล้านบาท  ซี่งเป็นยอดจองจากต่างชาติมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท”
ไป่ตู้ แอคเซส เผยจีนแห่ซื้ออสังหาฯ ต่างประเทศ ไทยติดอันดับ 3 ซื้อเพื่อลงทุนกว่า 52%

ไป่ตู้ แอคเซส เผยจีนแห่ซื้ออสังหาฯ ต่างประเทศ ไทยติดอันดับ 3 ซื้อเพื่อลงทุนกว่า 52%

เนื่องจากในปีที่ผ่านมามียอดการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยโดยชาวจีน โดยอันดับ 1 เป็นการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน 51.8%  อันดับที่ 2 ซื้อเพื่ออยู่อาศัย 38.8% และอันดับที่ 3 เพื่อรองรับการย้ายที่อยู่อาศัย 7.8 % โดยมีชาวจีนสนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ติด 1 ใน 10 ของโลก และเป็นอันดับที่ 3 ในเอเชียรองจาก ญี่ปุ่น และมาเลเซีย นางสาวพัชรพร สิริทรัพย์วงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด และประชาสัมพันธ์ ไป่ตู้ แอคเซส กล่าวว่า“ทางด้านการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ทางไป่ตู้ ประเทศไทย ได้วิเคราะห์ความเคลื่อนไหวด้านการลงทุนของชาวจีนว่าเป็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากที่ดินในประเทศจีนมีราคาที่สูงกว่าที่ดินในประเทศไทยประมาณ 20% อีกทั้งอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมีอัตราการเติบโต และมีการแข่งขันสูง ทำให้ชาวจีนจำนวนมากเลือกที่จะเข้ามาลงทุนกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมากกว่าประเทศอื่นในเอเชีย โดยเชื่อว่า ระดับราคาของอสังหาริมทรัพย์มีผลต่อการขายต่อ การเปลี่ยนมือ และการทำกำไร โดยนักลงทุนชาวจีนมักจะเลือกช่องทางการซื้ออสังหาริมทรัพย์ผ่านนายหน้า นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นที่น่าจับตาในปัจจัยทางด้านการลงทุนจากชาวจีน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีผู้ประกอบการจากประเทศจีนลงทุนด้านฐานการผลิตที่ประเทศไทยจำนวนมาก โดยในปี 2559 มีเงินลงทุนจากชาวจีนที่เข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยกว่า 24,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินการลงทุนที่มากเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีการคาดการณ์อีกว่าจะมีอัตราการเติบโตอีกราว 30% ในปี 2560” ไป่ตู้ แอคเซส แนะนำผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ให้ศึกษาพฤติกรรมลูกค้าชาวจีน เพื่อการรองรับการขยายตัวของธุรกิจอสังหาฯ ในประเทศไทยต่อไป นอกจากนี้แล้วการให้ข้อมูลที่ถูกต้องหรือการโฆษณาเพื่อสร้างการจดจำและความน่าเชื่อถือที่ดีของลูกค้าชาวจีนที่มีต่อการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ในไทยนั้น   สามารถทำได้หลากหลายช่องทาง  เพราะในปัจจุบันการสื่อสารทางออนไลน์  มีความเร็วและง่ายที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ความท้าทายอยู่มุมมองและข้อมูลที่นำเสนอว่าของใครจะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เร็วกว่ากัน และสามารถสร้างการจดจำและความน่าเชื่อถือให้ได้สูงสุด ไป่ตู้ แอคเซส เป็นที่ปรึกษา และให้บริการในการสื่อสารและเข้าถึงกลุ่มนักเที่ยวเที่ยวจีนหรือชาวจีนที่มีคุณภาพ โดยผ่านทางช่องทางการสื่อสารที่ถูกต้อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อช่วยให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการชาวไทยที่มีความต้องเจาะกลุ่มตลาดจีน นักท่องเที่ยวจีน อันประกอบไปด้วย ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำจากการค้นหาผ่านทางเสิร์ชเอนจินอันดับหนึ่งในประเทศจีน รวมไปถึงช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ทั้งโซเชียลเน็ตเวิร์คชั้นนำ เว็บไซต์ และยังมีในเรื่องของแอพพลิเคชั่นแผนที่ ซึ่งทุกๆช่องทางที่เข้าถึงชาวจีน หรือ นักท่องเที่ยวจีนที่กล่าวมานั้น ล้วนเป็นช่องทางที่น่าเชื่อถือ และเข้าถึงในได้อย่างตรงและแม่นยำสูงสุด หากผู้ประกอบการชาวไทยเล็งเห็นถึงโอกาสในการสร้างมูลค่าในตลาดของนักท่องเที่ยวจีนแบบมีคุณภาพนี้ ไป่ตู้ แอคเซส คือ ที่ปรึกษาที่ครบวงจรและเข้าใจในกลุ่มลุกค้าชาวจีนอย่างสูงสุด ติดต่อสอบถามข้อมูลและบริการได้ที่ 02-784-6664 หรือ FB  Baidu Access
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมย่านไพร์มสุขุมวิท

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมย่านไพร์มสุขุมวิท

บริเวณย่านไพร์มสุขุมวิท ย่านไพร์มสุขุมวิทนับเป็นที่ตั้งศูนย์กลางธุรกิจในกรุงเทพฯ พื้นที่นี้ครอบคลุมถนนสุขุมวิทตั้งแต่บริเวณซอย 1 - 63 (ด้านเหนือ) และซอย 2 - 42 (ด้านใต้) ย่านไพร์มสุขุมวิทเป็นทำเลยอดนิยมสำหรับชาวต่างชาติ, นักท่องเที่ยว และเศรษฐีชาวไทยในด้านแหล่งช้อปปิ้งและที่พักอาศัย อุปทาน จากผลวิจัยไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยว่า ในไตรมาส 1 ปี 2560 หน่วยคอนโดฯในตลาดมีจำนวนรวม 16,294 หน่วย ซึ่งสะสมมาตั้งแต่ปี 2555 จนถึงไตรมาส 1 ปี 2560 สำหรับในไตรมาส 1 ปี 2560 มีจำนวนหน่วยคอนโดฯใหม่รวมทั้งหมด 1,617 หน่วยจากโครงการ 5 แห่งที่เพิ่มเข้ามาในย่านไพร์มสุขุมวิท กราฟที่ 1 อุปทานสะสมและอุปทานใหม่บริเวณไพร์มสุขุมวิท, 2012-Q1 2017 ที่มา: ผลวิจัยของไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย อุปสงค์ ในปี 2559 ผู้ซื้อคอนโดฯในย่านไพร์มสุขุมวิทที่เป็นชาวไทย คิดเป็นร้อยละ 76 และชาวต่างชาติ คิดเป็นร้อยละ 24 สำหรับสัดส่วนผู้ซื้อชาวต่างชาติ ร้อยละ 12 มาจากเอเชีย, ร้อยละ 7 จากยุโรป, ร้อยละ 5 จากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา, ร้อยละ 2 จากโอเชียเนีย และร้อยละ 1 จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มร.แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ผู้ซื้อต่างชาติส่วนใหญ่มาจากฮ่องกง, สหรัฐอเมริกา, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, จีน และไต้หวัน นอกจากนี้ที่น่าสนใจคือ พื้นที่บริเวณทองหล่อและสุขุมวิท 49 เป็นที่นิยมมากสำหรับชาวญี่ปุ่น จากจำนวนผู้ซื้อทั้งหมด ร้อยละ 48 ของคอนโดฯย่านไพร์มสุขุมวิทซื้อเพื่อการใช้อยู่เอง ในขณะที่ร้อยละ 36 ของยอดขายคอนโดฯถูกซื้อไปเพื่อปล่อยเช่าและสร้างรายได้ค่าเช่าในระยะยาว นอกจากนี้ เรายังเห็นจำนวนนักลงทุนระยะสั้นหรือนักเก็งกำไร ที่คิดเป็นประมาณร้อยละ 16 ของยอดขายคอนโดฯในย่านไพร์มสุขุมวิทในปี 2559 ความต้องการโดยรวมของคอนโดฯย่านไพร์มสุขุมวิทระหว่างปี 2555 จนถึงไตรมาส 1 ปี 2560 อยู่ในระดับดี แม้จะมีอุปทานใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาดในจำนวนที่จำกัด ในไตรมาส 1 ปี 2560 หน่วยที่ขายออกมีจำนวนรวม 14,912 หน่วยจาก 16,294 หน่วยทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นอัตราขายที่ร้อยละ 91.5 มีเพียง 1,382 หน่วยที่เปิดขายอยู่ในช่วงสิ้นไตรมาส 1 ปี 2560 สำหรับปี 2559 มีจำนวนหน่วยที่ขายออกสูงถึง 3,039 หน่วย เทียบกับปี 2558 ที่มีเพียง 1,653 หน่วยที่ขายออก สำหรับไตรมาส 1 ปี 2560 มีจำนวน 1,887 หน่วยที่ขายออก กราฟที่ 2: อุปทาน, อุปสงค์ & อัตราการขายบริเวณไพร์มสุขุมวิท, 2012-Q1 2017 ที่มา: ผลวิจัยของไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ราคาขายโดยเฉลี่ย อัตราการเติบโตต่อปีของราคาขายโดยเฉลี่ยสำหรับคอนโดฯในย่านไพร์มสุขุมวิท ช่วงระหว่างปี 2555 - 2559 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 8 สำหรับราคาขายโดยเฉลี่ยของคอนโดฯย่านไพร์มสุขุมวิทในช่วงสิ้นไตรมาส 1 ปี 2560 มีราคาอยู่ที่ 206,100 บาท ต่อตร.ม. โดยเพิ่มขึ้นจาก 151,451 บาท จากช่วงสิ้นปี 2555 นางสาวอัญชลี เกษมสุขธวัช ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาด้านที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในย่านไพร์มสุขุมวิทเป็นผลมาจากความขาดแคลนที่ดินพัฒนา และย่านไพร์มสุขุมวิทมีความสะดวกสบายในด้านระบบขนส่งมวลชน, ห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าชุมชน กราฟที่ 3  ราคาขายเฉลี่ยบริเวณไพร์มสุขุมวิท, 2012 to Q1 2017 ที่มา: ผลวิจัยของไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย
“ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป” ผุดโครงการ “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” ทุ่มงบกว่า 4 พันล้านบาท เนรมิต “เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ” ที่สุดแห่งการใช้ชีวิตแบบครบวงจรแห่งแรกของเมืองไทย

“ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป” ผุดโครงการ “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” ทุ่มงบกว่า 4 พันล้านบาท เนรมิต “เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ” ที่สุดแห่งการใช้ชีวิตแบบครบวงจรแห่งแรกของเมืองไทย

ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป สยายปีกผุดเมืองแนวคิดใหม่ “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” (Jin Wellbeing County) โครงการที่พักอาศัยพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกด้านไลฟ์สไตล์และบริการด้านสุขภาพครบวงจรแห่งแรกของเมืองไทย ภายใต้แนวคิด “เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ” ท่ามกลางธรรมชาติ บนทำเลทองริมถนนพหลโยธิน รังสิต ทุ่มงบกว่า 4,400 ล้านบาทในการพัฒนาเฟสแรก รวมความเป็นที่สุดแบบครบวงจร ตอบโจทย์ทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้สูงวัยที่ยังมีพลังในการใช้ชีวิตและครอบครัว พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพ นพ. บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ลงทุนในการพัฒนาโครงการ กล่าวว่า จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาท์ตี้ (Jin Wellbeing County)  คือโครงการที่เครือธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ปพัฒนาขึ้นด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 4,400 ล้านบาทสำหรับเฟสแรก ด้วยเล็งเห็นศักยภาพของตลาดที่จะเกิดจากการที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ  จากข้อมูลที่มีการคาดการณ์ว่า ปัจจุบันมีจำนวนผู้สูงอายุ 11.2 ล้านคน หรือประมาณ 17.1% และคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีคือ 2565 จะมีผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 13.6 ล้านคนหรือประมาณ 20.6% ซึ่งถือว่าประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผนวกเข้ากับแนวโน้มการดูแลสุขภาพให้มีอายุยืนยาวที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปในทางเดียวกันกับความต้องการด้านโครงการที่พักอาศัยคุณภาพที่สนับสนุนการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุอย่างสะดวกสบาย “ในการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกด้านไลฟ์สไตล์และบริการด้านสุขภาพครบวงจรเพื่อผู้สูงวัยและครอบครัวในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของบริษัทและยังเป็นการสร้างมูลค่าให้แก่ธุรกิจของเรา ที่เกิดจากการนำความเชี่ยวชาญด้านบริการทางการแพทย์คุณภาพมาตรฐานสากลที่เราสั่งสมมานานกว่า 40 ปี และความเข้าใจในด้านความต้องการทั้งทางกายภาพ จิตใจ และอื่นๆ ของผู้สูงวัยและครอบครัวอย่างแท้จริง มาผสานกับความสามารถในการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ ที่จะสร้างประโยชน์และเติมเต็มความต้องการของผู้สูงวัยและครอบครัว รวมถึงผู้ที่สนใจจะลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพด้วยเช่นกัน” นพ. บุญกล่าว มร. จอห์น ลี ประธานกรรมการบริษัท พรีเมียร์ โฮม เฮลท์ แคร์ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาท์ตี้ (Jin Wellbeing County)  กล่าวถึงแนวคิดของโครงการฯ ว่า “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาท์ตี้ ถูกสรรสร้างขึ้นมาด้วยแนวคิด ‘เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ’ อันรวมไปด้วยหัวใจของความเป็นที่สุดในทุกๆด้าน ได้แก่ ที่สุดแห่งสังคมคุณภาพ ผ่านการให้ การรับ และการแบ่งปัน, ที่สุดแห่งประสบการณ์ใช้ชีวิตที่เหนือระดับ, ที่สุดแห่งการดูแลสุขภาพที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้สูงวัย, ที่สุดแห่งความปลอดภัยในการใช้ชีวิตของผู้พักอาศัย, ที่สุดแห่งการออกแบบ Universal Design รองรับผู้สูงวัยอย่างแท้จริง, ที่สุดแห่งการใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ และที่สุดแห่งความคุ้มค่าของการลงทุน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ผู้สูงวัยได้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีพลัง สามารถพึ่งพาตัวเองและสนุกสนานกับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมผู้สูงวัยอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราเชื่อว่าวัยเกษียณ ไม่ได้เป็นวัยของความแก่ชรา แต่เป็นช่วงเวลาที่ผู้สูงวัยจะมีความสุขและสนุกกับการใช้ชีวิตบนพื้นฐานของความมั่นคงในด้านต่างๆของชีวิตภายในสังคมคุณภาพของโครงการฯ” จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ (Jin Wellbeing County) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 140 ไร่ ริมถนนพหลโยธิน รังสิต อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี สำหรับเฟสแรก โครงการฯนั้นประกอบด้วย 3 ส่วนหลักได้แก่  Active Living ส่วนที่พักอาศัยอาคาร Low-rise 7 ชั้น       ขนาด 43   ตรม. และ 63 ตรม. จำนวน 13 อาคาร รวม 1,300 ยูนิต โดยจะเปิดขาย 2 cluster แรก 500 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.5 ล้านบาท ซึ่งจะมีอาคาร Pet Friendly จัดให้ไว้สำหรับผู้ที่รักสัตว์เลี้ยงเลี้ยงโดยเฉพาะด้วย Aged Care Center  อาคารสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ภายในประกอบด้วย ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแบบรายวัน (Day care) และแบบพักค้างคืน (Nursing home) , คลินิกรักษาโรคทั่วไป และศูนย์กายภาพ  ส่วนที่สามเป็น Clubhouse & Wellness Center ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สปา ฟิตเนส สระว่ายน้ำ และบริการเพื่อสุขภาพเพื่อให้บริการทางการแพทย์เพื่อป้องกัน รักษา และฟื้นฟูด้วยทีมบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งยังมีคลาสกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของผู้สูงวัยและครอบครัวอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลและคอมมูนิตี้ มอลล์ภายในโครงการ ซึ่งอยู่ในแผนการดำเนินการก่อสร้างสำหรับเฟสต่อไป นอกจากโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาท์ตี้จะล้อมรอบด้วยระบบการรักษาความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยตลอด 24 ชั่วโมงแล้วนั้น  เครือธนบุรีฯยังได้เลือกที่ปรึกษาชั้นนำมาดูแลการดำเนินงานด้านต่างๆ ภายในโครงการ อาทิ บริษัท ThomsonAdsett ดีไซเนอร์ระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ มาดูแลด้านภาพรวมการออกแบบของโครงการ ภายใต้แนวคิด “Universal Design” เพื่อการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างลงตัวของคนทุกวัยในครอบครัวบนความสะดวกสบายสูงสุด , Openbox Architects มาดูแลด้านการออกแบบอาคาร ด้วยแนวคิด “Passive Ecology” เน้นการประหยัดพลังงาน ให้ตัวอาคารเปิดรับลมและแสงธรรมชาติได้อย่างลงตัว, Shma มาดูแลด้านการออกแบบภูมิสถาปัตย์ (Landscape) ออกแบบให้ร่มรื่นด้วยเงาไม้ พร้อมลำธารไหลผ่านตลอดโครงการ เอื้อให้ผู้อาศัยออกมามีปฏิสัมพันธ์ และเกิดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ทั้งยังมีแอ่งรับน้ำและคันกั้นน้ำภายนอก โดยคำณวนจากระดับอุทกภัยปี 2554 นอกจากนี้โครงการฯยังได้ Vamed ที่ปรึกษาด้านบริการเฮลท์แคร์ระดับโลกจากออสเตรียมาดูแลด้านการวางแผนระบบบริการสุขภาพภายในโครงการอีกด้วย “สำหรับนักลงทุนที่มองหาช่องทางการลงทุนที่มีศักยภาพ โครงการ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ (Jin Wellbeing County)  ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากตลาดผู้สูงอายุจะโตขึ้นเรื่อยๆ  ทำเลที่ตั้งของโครงการก็อยู่ใกล้สนามบินดอนเมือง รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้มที่กำลังจะเกิดขึ้น มหาวิทยาลัย ตลาดค้าส่งขนาดใหญ่ สถานที่ราชการ สนามกอล์ฟ และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้โครงการนี้มีความน่าสนใจและมีศักยภาพที่จะสร้างมูลค่าให้แก่นักลงทุนได้อีกด้วย” มร. จอห์น กล่าวสรุป *ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
World’s Best Pruksa Precast “พฤกษา พรีคาสท์” เทคโนโลยีเพื่อบ้านแข็งแรง หนึ่งในนวัตกรรมเพื่อบ้านแห่งอนาคต (Advertorial)

World’s Best Pruksa Precast “พฤกษา พรีคาสท์” เทคโนโลยีเพื่อบ้านแข็งแรง หนึ่งในนวัตกรรมเพื่อบ้านแห่งอนาคต (Advertorial)

บ้านคือทรัพย์สินที่มีค่าที่หลายคนแลกมาด้วยเงินเก็บทั้งชีวิต ดังนั้นบ้านที่มีคุณภาพ สามารถใช้เป็นที่พักอาศัยไปตลอดชีวิตและส่งต่อเป็นสมบัติให้ลูกหลาน จึงเป็นสิ่งที่ผู้ซื้อบ้านทุกคนปรารถนา ด้วยเหตุนี้ พฤกษา เรียลเอสเตท จึงได้นำ เทคโนโลยีก่อสร้างบ้านที่ทันสมัยที่สุดระดับโลก ที่เรียกว่า พฤกษา พรีคาสท์ มาใช้ในการก่อสร้าง เพื่อส่งมอบบ้านที่มีคุณภาพให้กับผู้ซื้อ คุณสมบัติทางวิศวกรรมชั้นเลิศของบ้านที่ก่อสร้างด้วย “พฤกษา พรีคาสท์” ผลิตและควบคุมคุณภาพจากโรงงานที่มีมาตรฐานสากล ทันสมัยระดับโลก ใช้ระบบโครงสร้างผนังรับแรงที่หล่อด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งแผ่นวางประกอบกัน จึงแข็งแรงกว่าระบบเสา-คานทั่วไป แข็งแรงกว่าบ้านที่ก่ออิฐฉาบปูนธรรมดาถึง 3 เท่า ทำให้บ้านมีอายุการใช้งานยาวนาน ใช้ผนังคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นโครงสร้างรับน้ำหนักชั้นบน (Load Bearing Wall) จึงสามารถออกแบบให้บ้านรับน้ำหนักได้มากกว่า 200 กิโลกรัมต่อตารางเมตร สามารถรับแรงกระทำจากด้านข้างได้ดี จึงต้านทานแรงลมได้ทุกกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ทนต่อแรงกระทำจากผลของแผ่นดินไหวได้มากกว่าการก่อสร้างแบบผนังก่ออิฐทั่วไป โดยสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย หรือ AIT (Asian Institute of Technology) ได้ทำการวิเคราะห์แล้วว่าสามารถต้านทานแรงจากแผ่นดินไหวได้ถึง 0 แมกนิจูด จากแหล่งกำเนิดกาญจนบุรี (ซึ่งเป็นรอยเลื่อนที่ใกล้จากกรุงเทพฯ ที่สุด) ต้านทานไฟไหม้สูงกว่าวัสดุพื้นฐานอื่นๆ เช่น อิฐและไม้ โดยสามารถทนไฟไหม้ได้นานกว่า 2 ชั่วโมง และแม้ว่าจะเกิดไฟไหม้แล้ว ก็มีความเสี่ยงน้อยที่บ้านจะพังทลาย จึงมีเวลาให้ผู้พักอาศัยออกมาจากอาคารได้อย่างปลอดภัย นวัตกรรมการก่อสร้างที่ทันสมัยที่สุดจะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดก็ต่อเมื่อถูกใช้โดยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ บ้านที่ก่อสร้างด้วย พฤกษา พรีคาสท์ จึงเหนือกว่า เพราะพฤกษา เรียลเอสเตท คือผู้นำนวัตกรรมระบบพรีคาสท์มาใช้เป็นรายแรกของไทย จึงมีบุคลากรที่ผ่านการอบรมและฝึกความเชี่ยวชาญในระดับสากล ประกอบกับการมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจได้ว่าบ้านที่ก่อสร้างด้วยระบบพฤกษา พรีคาสท์ เป็นบ้านแห่งอนาคต ที่มอบความแข็งแรงและปลอดภัยให้กับผู้พักอาศัย เพราะเชื่อเสมอว่า “บ้านที่มีคุณค่า” คือที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดของการใช้ชีวิต รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีพฤกษา พรีคาสท์ และโครงการคุณภาพจากพฤกษา เรียลเอสเตท ค้นหาข้อมูลได้ที่ pruksa.com หรือโทร.1739
SC รุกธุรกิจใหม่บริการหลังการขายภายใต้บริษัท “เอสซี เอเบิล (SC Able)” พร้อมร่วมทุนกับ “ฟิกซิ (Fixzy)” Innovative startup แอพฯ รวมช่างอันดับหนึ่งของไทย เพื่อต่อยอดธุรกิจ และตอบโจทย์แบบ Total Solution พร้อมมุ่งยกระดับบริการหลังการขายอสังหาฯ ไทย

SC รุกธุรกิจใหม่บริการหลังการขายภายใต้บริษัท “เอสซี เอเบิล (SC Able)” พร้อมร่วมทุนกับ “ฟิกซิ (Fixzy)” Innovative startup แอพฯ รวมช่างอันดับหนึ่งของไทย เพื่อต่อยอดธุรกิจ และตอบโจทย์แบบ Total Solution พร้อมมุ่งยกระดับบริการหลังการขายอสังหาฯ ไทย

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า “ตามที่ได้ประกาศยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับ SC ยุค 4.0 เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง เราจะใช้ design thinking โดย เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ด้วยมิติของ human-centric มากกว่า customer-centric ค้นหา pain point ในการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย ประสานนวัตกรรมเข้ากับที่อยู่อาศัยที่พัฒนาโดย SC ในทุกระดับราคา จากการวิจัย brand health check ตลอดหลายปีที่ผ่านมา 1 ในเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับลูกค้าคือ เรื่องคุณภาพของบริการหลังการขาย ซึ่งเราให้ความสำคัญมาโดยตลอด ในปี 2562 SC จะมีลูกค้าที่โอนกรรมสิทธิ์แล้วรวมกว่า 16,000 ครอบครัว และตัวเลขนี้จะเติบโตทุกๆปี เพื่อให้คุณภาพของบริการหลังการขายเติบโตไปพร้อมกับปริมาณของลูกค้า เราจึงเดินหน้ารุกในธุรกิจใหม่เรื่องบริการหลังการขาย โดยบริษัท เอสซี เอเบิล จำกัด (SC Able Co., Ltd.) ภายใต้การนำของ นายสมศักดิ์ เธียรธีรวิทย์ กรรมการผู้จัดการ (managing director) ผู้มีประสบการณ์ในงานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 15 ปี SC Able จะบริหารจัดการงานซ่อมทั้งหมดของที่อยู่อาศัยของ SC ที่อยู่ในระยะรับประกัน พร้อมทั้งเปิดตัว Able Academy สถาบันอบรมพัฒนาช่างฝีมือ และอบรมทีมรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ที่ดูแลความปลอดภัยให้โครงการภายใต้ SC ทั้งหมด และสถาบันนี้จะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของสังคมไทยด้วยการยกระดับช่างฝีมือในประเทศ ทั้งเรื่องความสามารถและการบริการ โดยอีกหนึ่งการรุกที่สำคัญคือ SC Able ได้ร่วมลงทุนกับพันธมิตรรายล่าสุดซึ่งเป็น startup ที่มาแรงมากขณะนี้คือ Fixzy โดยเป็น application รวบรวมสารพัดช่างอันดับหนึ่งของประเทศไทย ช่างบน platform ของ Fixzy จะได้รับการฝึกพัฒนาจาก Able Academy ในขณะที่ SC Able จะมีช่างคุณภาพจำนวนมาก เพื่อดูแลลูกค้าของ SC พร้อมกับสร้างมาตรฐานใหม่ของการบริการหลังการขายของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย” นายสมศักดิ์ เธียรธีรวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซี เอเบิล จำกัด กล่าวว่า “SC Able ดำเนินธุรกิจมุ่งให้ความสำคัญกับงานบริการหลังการขายแบบครบวงจร ภายใต้สโลแกน “Your Home  in Good Hands – มือโปรของทุกบ้าน”  โดยสรุปโครงสร้างธุรกิจแบ่งเป็น 3 เรื่องหลัก ดังนี้ 1. After-sales Service Management ดูแลบริการหลังการขายลูกค้า SC ที่อยู่ในระยะรับประกัน Home Service Contractor เป็นผู้รับเหมาดูแลงานซ่อมบำรุงสำหรับลูกค้า SC นอกระยะรับประกัน กับลูกค้าทั่วไป Able Academy มุ่งส่งเสริมสังคม พร้อมยกระดับความเป็นเลิศด้านมาตรฐานและการบริการ ด้วยสถาบันอบรมพัฒนาช่างฝีมือและอบรมทีมรักษาความปลอดภัย (รปภ.) พร้อมกับได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรธุรกิจชั้นนำ ได้แก่ เอสซีจี, แอร์ไดกิ้น และสีเบเยอร์, เป็นต้น นอกจากนี้สำหรับแผนงานในอนาคตการพิจารณาร่วมทุนกับ Innovative startup อื่นๆ จะต้องคำนึงถึงธุรกิจที่สอดคล้องและส่งเสริมเรื่องงานบริการหลังการขายเป็นสำคัญ” ส่วนนายรัชวุฒิ พิชยาพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิกซิ จำกัด ผู้ให้บริการ application ครอบคลุมทุกบริการเรื่องช่างรายแรกของไทย กล่าวว่า “Fixzy ก่อตั้งเมื่อปี 2557 ในรูปแบบของ startup mobile platform เกิดจากความต้องการแก้ปัญหางานซ่อมแซมและดูแลรักษาบ้าน เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถหาช่างและผู้ให้บริการที่ดี มีคุณภาพมาตรฐานในราคาเหมาะสม ซึ่งการดำเนินธุรกิจสอดคล้องสนับสนุนกันและกัน ดังนั้นการร่วมทุนกับ SC Able จะช่วยส่งเสริมธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น จากฐานลูกค้า SC ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมียอดดาวน์โหลด application จำนวนกว่า 50,000 ครั้ง และมีส่วนแบ่งตลาดเกิน 60% เรามีทั้งงานช่างเพื่อซ่อมแซม ติดตั้งและดูแลทุกปัญหาภายในบ้านทั้งเรื่องระบบน้ำ ระบบไฟ เครื่องใช้ไฟฟ้า งานโครงสร้าง พร้อมงานบริการต่างๆ เช่น ล้างแอร์ ทำความสะอาดบ้านและอื่นๆ ปัจจุบันได้ขยายธุรกิจไปยังหัวเมืองใหญ่ทั้ง ขอนแก่น, เชียงใหม่ ชลบุรี และ สุพรรณบุรี เรียบร้อยแล้ว และมีแผนขยายต่อไปยัง นครราชสีมา ภูเก็ต หาดใหญ่ต่อไป และผมมั่นใจว่า Platform Fixzy จะช่วยพัฒนาบริการหลังการขายซึ่งจะเป็นประโยชน์ให้กับลูกบ้าน เจ้าของโครงการและ ผู้ให้บริการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย รวมไปถึงนิติบุคคลต่างๆ ซึ่ง Fixzy จะเป็นกุญแจดอกสำคัญในทุกๆ เรื่องของ Property Technology”
พลัสฯ แนะลงทุนคอนโดรีเซล เปิดผลวิจัยล่าสุดราคาต่ำกว่าคอนโดมือหนึ่งที่เปิดใหม่ 26-44%

พลัสฯ แนะลงทุนคอนโดรีเซล เปิดผลวิจัยล่าสุดราคาต่ำกว่าคอนโดมือหนึ่งที่เปิดใหม่ 26-44%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ วิเคราะห์ตลาดคอนโดนำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง ส่วนต่างราคาเทียบกับโครงการใหม่น่าสนใจอยู่ในอัตรา 26 - 44%  พบโซนริมน้ำราคาต่างกับโครงการใหม่สูงสุด 44% รองลงมาคือราชเทวี-พญาไท ส่วนต่าง 38% สามเป้า-หมอชิต 32%  ส่วนโซน CBD ส่วนต่างราคา 26%-28% หากพิจารณาในภาพรวมพบค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังของคอนโดรีเซลกับโครงการใหม่ต่างกันถึง 33% นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า ปัจจุบันราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง (High Rise) ที่อยู่ในระยะรถไฟฟ้าและทำเลศักยภาพอย่างพื้นที่ริมน้ำที่เปิดขายในช่วงปี 2557-2559 หรือช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีราคาเฉลี่ยเปิดตัวอยู่ที่ประมาณ 235,000 บาทต่อตารางเมตร มีอัตราการเติบโตของราคามากกว่าปีละ 10% โดยโซนที่ราคาโครงการใหม่เปิดตัวสูงสุดคือโซนริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าจนถึงสะพานพระรามสาม มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 366,000 ตารางเมตรหรือเติบโตโดยเฉลี่ยประมาณ 44% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รองลงมาคือโซน CBD ที่ปัจจุบันราคาเสนอขายของโครงการเปิดตัวใหม่ราคาสูงกว่า 200,000 บาท ซึ่งประกอบด้วยโซนพร้อมพงษ์-ทองหล่อ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 325,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาเติบโตประมาณ 25% ต่อปี, โซน เพลินจิต-ชิดลม-อโศก ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 278,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาเติบโตโดยเฉลี่ยปีละ 14% ส่วนโซนราชเทวี-พญาไทมีราคาโครงการใหม่เปิดตัวโดยเฉลี่ย 255,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาเติบโต 15% ต่อปี “จากข้อมูลข้างต้น ส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมที่นำกลับมาขายใหม่ (รีเซล) ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากราคาขายของตลาดรีเซลโดยส่วนใหญ่เฉลี่ยที่ต่ำกว่าโครงการเปิดตัวใหม่ในทำเลเดียวกันค่อนข้างมาก คิดเป็นราคาต่ำกว่าราคาขายคอนโดมือหนึ่งที่พึ่งเปิดใหม่ประมาณ 26 - 44% โดยเมื่อเปรียบเทียบโครงการที่เปิดขายในช่วงไม่เกิน 5 ปีที่ผ่านมาพบว่าโดยภาพรวมราคารีเซลมีราคาต่ำกว่าโครงการที่เปิดใหม่อยู่ที่ 33% โดยโซนที่ราคามีความแตกต่างมากสุดคือโซนริมแม่น้ำ (ต่างกันถึง 44%) สำหรับย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD)  ได้แก่ โซนเพลินจิต-ชิดลม-อโศก แตกต่างจากโครงการเปิดตัวใหม่ 26%  โซนพร้อมพงษ์-ทองหล่อ ราคาแตกต่างประมาณ 28% โซนสีลม-สาธร ราคาแตกต่างกันอยู่ที่ 26% สำหรับโซนพระรามเก้า-ศูนย์วัฒนธรรม ราคาแตกต่างกันอยู่ที่ 32% โซนราชเทวี –พญาไท ราคาแตกต่างกันประมาณ 38% ส่วนโซนสนามเป้า-หมอชิต ราคาแตกต่างประมาณ 32% ส่วนโซนพระโขนง – อ่อนนุช ราคาแตกต่างกันประมาณ 30% ซึ่งสภาพอาคารของโครงการรีเซลเหล่านี้มักได้รับการดูแลอย่างดี ไม่แตกต่างจากโครงการใหม่มากนัก แม้ว่าวัสดุหรือรูปแบบอาจจะแตกต่างจากโครงการใหม่บ้าง แต่จากราคาที่ต่ำกว่าในทำเลที่ดีไม่ต่างจากโครงการใหม่ จึงทำให้ตลาดรีเซลได้รับการตอบรับที่ดี ปัจจัยหลักมาจากราคาที่สามารถจับต้องได้ง่ายกว่า และทำเลบางแห่งที่ไม่มีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นแล้ว” จากสภาพเศรษฐกิจของไทยที่มีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย ไตรมาสที่ 1/2560 โดยล่าสุดสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประกาศตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 3.3% ปัจจัยการลงทุนของภาครัฐในโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ยังเป็นตัวผลักดันการเติบโต เช่น การลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ นำมาสู่การลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้าตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่จะเริ่มดำเนินก่อสร้างและเบิกจ่ายได้ อีกทั้งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ทำให้การใช้จ่ายเริ่มดีขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งโครงการใหม่และโครงการรีเซล  ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการจะเน้นพัฒนาในโครงการที่เจาะตลาดระดับบนมากขึ้นเนื่องจากเป็นกลุ่มคนที่ยังคงมีกำลังซื้อและไม่ได้รับผลกระทบจากความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินมากนัก รวมไปถึงราคาที่ดินในกรุงเทพฯ มีราคาที่แพงขึ้นอย่างก้าวกระโดด จึงมีส่วนทำให้ราคาโครงการเปิดใหม่ปรับตัวสูงขึ้น ตลาดรีเซลจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในปัจจุบัน “หากพิจารณาในแง่ของผลตอบแทนการในการลงทุนในคอนโดมิเนียมพบว่าคอนโดมิเนียม High Rise ในกรุงเทพมหานครโดยภาพรวมผลตอบแทนจากการขายต่อในระยะการถือครองระยะเวลา 3-5 ปี มีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 20 - 50% และในบางโครงการที่ถือครองมากกว่า 7 ปีอาจได้ผลตอบแทน สูงถึง 80-90% อาทิ โครงการควอทโทรบาย แสนสิริ หรือโครงการริมน้ำอย่างเดอะ ริเวอร์ นอกจากนี้ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นอกจากการได้กำไรจากการขายแล้วยังสามารถปล่อยห้องให้เช่าได้ โดยอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับโดยเฉลี่ยของตลาดรีเซลอยู่ที่ 5-7% ซึ่งโซนพร้อมพงษ์-ทองหล่อ-เอกมัยและโซนราชเทวี-พญาไทเป็นโซนยอดฮิตสำหรับปล่อยเช่าที่ได้อัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ 5% ส่วนโซนพระโขนง – อ่อนนุช ได้ผลตอบแทนสูงถึง 7%” นายอนุกูล กล่าว
สิริ เวนเจอร์ รุกคืบ PropTech ลุยระดมสตาร์ทอัพพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย คัดเลือกเข้มข้นเฟ้นหาสตาร์ทอัพเพื่อต่อยอดธุรกิจด้วยกันอย่างยั่งยืน เผยล่าสุด ได้ 25 ทีม ในโครงการ “Siri Venture Partnership”

สิริ เวนเจอร์ รุกคืบ PropTech ลุยระดมสตาร์ทอัพพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย คัดเลือกเข้มข้นเฟ้นหาสตาร์ทอัพเพื่อต่อยอดธุรกิจด้วยกันอย่างยั่งยืน เผยล่าสุด ได้ 25 ทีม ในโครงการ “Siri Venture Partnership”

“สิริ เวนเจอร์” (SIRI VENTURE) บริษัทร่วมทุนในรูปแบบ Corporate Venture Capital ทำการวิจัยและลงทุนด้าน PropTech นำโดยแสนสิริ (SIRI) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการสร้างนวัตกรรมใหม่ (R&D) ด้าน Property Technology (PropTech) อย่างเต็มรูปแบบเป็นรายแรกของไทย ด้วยการเปิดโครงการ “Siri Venture Partnership” หลังจากที่รับสมัครทีมสตาร์ทอัพจำนวน 100 ทีม เพื่อพิจารณาคัดเลือกทีมศักยภาพสูงสุดมาเข้าร่วมพาร์ทเนอร์ชิพโปรแกรม ที่จะพัฒนาต่อยอดธุรกิจกับผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาฯ ในช่วงไตรมาส 3 เพื่อร่วมลงทุนและผลักดันนวัตกรรมให้ได้รับการจดสิทธิบัตรต่อไป พร้อมทั้งร่วมสร้างสรรค์เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในอนาคตให้ไปได้ไกลในระดับโลก รวมทั้งเสริมการเติบโตให้กับธุรกิจหลักอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนโดยตั้งเป้าสร้างเครือข่ายกับผู้พัฒนานวัตกรรมใหม่ด้าน PropTech อย่างน้อย 300 รายภายในปี 2020 นายชาคริต จันทร์รุ่งสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิริ เวนเจอร์ จำกัด กล่าวว่า “ สิริ เวนเจอร์ คือบริษัทร่วมทุนระหว่างแสนสิริกับธนาคารไทยพาณิชย์ ในรูปแบบ Corporate Venture Capital ที่มีจุดเด่นในด้านการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่ออนาคตหรือที่เรียกสั้นๆ ว่า PropTech ภายใต้ภารกิจสำคัญ คือ 1. การลงทุนพัฒนาด้าน PropTech ด้วยทุน 100 ล้านบาท โดยเริ่มจากในไทยและสิงคโปร์ 2. จัดตั้งโครงการผลักดันสตาร์ทอัพด้าน PropTech เป็นครั้งแรกในไทย พร้อมคัดเลือกสตาร์ทอัพ 25 ทีมร่วมเข้าคอร์สติวเข้ม และผลักดันให้นวัตกรรมที่พัฒนาได้รับการนำไปใช้จริงในไตรมาสที่ 4 และ 3. การยกระดับศักยภาพของ Home Service Application ของแสนสิริ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานที่เป็นลูกบ้านของแสนสิริกว่า 14,000 รายใน 155 โครงการ โดยมีแผนที่จะเพิ่มฟังก์ชันให้ครอบคลุมมากขึ้น และขยายตลาดผู้ใช้สู่วงกว้างทั้งในและต่างประเทศ” บทบาทของ PropTech เพื่อส่งเสริมการพัฒนาวงการอสังหาริมทรัพย์ให้เกิดความยั่งยืน คือการเป็นกำลังในด้าน Research & Development เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะสนับสนุนทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ งานดีไซน์ใหม่ ๆ หรือโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ทั้งนี้ PropTech เป็นประเภทของสตาร์ทอัพที่ใหม่และมีศักยภาพสูงในประเทศไทย เพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นสามารถพัฒนา PropTech ให้ครอบคลุมเทคโลยีสำหรับการทำธุรกิจด้านที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร (Holistic Property Technology Landscape) ตั้งแต่การบริหารระบบข้อมูล การออกแบบโครงการ การก่อสร้าง การสนับสนุนการซื้อขาย การบริหาร และให้บริการภายในโครงการ ไปจนถึงเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ในการอยู่อาศัยแบบองค์รวม และมีโอกาสในการเติบโตค่อนข้างสูงมาก “สตาร์ทอัพไทยมีศักยภาพสูงในเชิงเทคนิคและการพัฒนาซอฟต์แวร์ เห็นได้จากบางรายได้รับโจทย์ไปก็สามารถสร้างโมเดลและเทคโนโลยีกลับมานำเสนอได้ในเวลาที่รวดเร็ว แต่ยังขาดปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในเรื่องการหาตลาดรองรับนวัตกรรม การหาเงินทุน การสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง รวมทั้งกระแสของ PropTech เองที่มีผลต่อความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนหากยังไม่ใช่สตาร์ทอัพที่พัฒนาจนได้ผลิตภัณฑ์ที่นิ่งพอและเริ่มหาตลาดของตัวเองได้แล้ว” ดังนั้น โครงการ “Siri Venture Partnership” จึงได้รับการพัฒนาจากความตั้งใจที่จะสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้สตาร์ทอัพแต่ละราย เป็นโครงการแบบ “Non-exclusivity” ที่ไม่ได้จำกัดการคัดเลือกสตาร์ทอัพที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการเพื่อบริษัทหรือลูกบ้านของแสนสิริเท่านั้น แต่มองถึงการพัฒนาเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับวงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยโดยรวม Research – ให้การสนับสนุนงานวิจัย และนักวิจัยที่มีผลงานที่สอดคล้อง หรือมีแนวคิดที่มีความเป็นไปได้ในการนำมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ Investment – โครงการผลักดันสตาร์ทอัพของ Siri Venture Partnership ไม่ได้กำหนดรูปแบบตายตัวในด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพแต่ละราย เพราะหัวใจสำคัญในการลงทุนด้าน PropTech คือการใส่ความช่วยเหลือที่เหมาะสมเข้าไปในธุรกิจแต่ละรายที่กำลังอยู่ในระยะการเติบโตที่ต่างกัน การสนับสนุนให้เกิดธุรกิจที่มีการซื้อขายและนำไปใช้จริงในอุตสาหกรรม รวมทั้งการลงทุนเมื่อธุรกิจต้องการเงินทุนเพื่อให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการลงทุนร่วมกับนักลงทุนอื่น ๆ ที่สนใจในรูปแบบ Co-Invest ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ ได้รับความสนใจจากกองทุนหลายแห่งทั้งจากประเทศไทย, สิงคโปร์และญี่ปุ่น สำหรับสิริ เวนเจอร์เอง ได้ดำเนินเรื่องของบประมาณเพื่อลงทุนใน R&D เป็นอัตราประมาณร้อยละ 1 ของรายได้ต่อปีของแสนสิริ Partnership – เป็นที่น่าสังเกตว่าสตาร์ทอัพด้าน PropTech บางรายไม่ได้มีอุปสรรคด้านเงินทุน แต่ต้องการที่จะสร้างพันธมิตรที่จะร่วมพัฒนาไปด้วยกัน ทั้งการส่งเสริมด้านความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือประสบการณ์ในการทำธุรกิจ เนื่องจากสตาร์ทอัพไทยส่วนใหญ่ไม่มีผู้ที่จะเข้าไปให้คำแนะนำเฉพาะด้านแบบ one-on-one ทำให้ยากที่จะผลักดันให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ เพราะหลายครั้งที่ธุรกิจต้องการความเข้าใจในระดับรากฐาน ซึ่ง Siri Venture Partnership เข้าใจในความจำเป็นนี้และได้จัดเตรียม Mentor รวมถึงวิทยากรที่ปรึกษาในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในวงการอสังหาริมทรัพย์เอง หรือผู้เชี่ยวชาญในวงการเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ เพื่อมาช่วยให้คำปรึกษาตลอดโครงการ ฯ  รวมทั้งสำหรับสตาร์ทอัพที่มองพันธมิตรด้านการทำการตลาด ทางแสนสิริ ก็พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ ตั้งแต่การนำไปทดสอบกับ Labroom การทดสอบและวัดผลจากการใช้งานจริง รวมทั้งสนับสนุนการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เมื่อกระบวนการพัฒนาเสร็จสมบูรณ์ ด้วยองค์ประกอบที่ตอบสนองความต้องการพื้นฐานของ Startup ทำให้ปัจจุบัน Siri Venture Partnership มีสตาร์ทอัพเข้ามาเชื่อมต่อจำนวนหลายร้อยราย ผ่านการคัดเลือกจากเอกสารและได้รับเชิญมาสัมภาษณ์ราว 130 ราย จากนั้นมีการการคัดเลือกเข้าร่วม Workshop เป็นเวลาสี่วันจำนวนทั้งสิ้น 33 ราย ซึ่งมีเทคโนโลยีที่สนใจอาทิ ซอฟต์แวร์ที่นำมาใช้งานในด้านต่าง ๆ ของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยีสำหรับที่อยู่อาศัยในอนาคต เช่น Home Automation, Security หรือ Home AI หรือระบบสั่งการอุปกรณ์ต่าง ๆ ของบ้านด้วยเสียงภาษาไทย, ระบบ Preventive Maintenance ภายในบ้าน ฯลฯ การพัฒนาหุ่นยนต์มาใช้สำหรับงานก่อสร้าง, ใช้สำหรับงานซ่อมบำรุง, ความปลอดภัยของอาคาร, รวมถึงการให้บริการในด้านต่าง ๆ แก่ผู้อยู่อาศัย การใช้ Electric Vehicles (EV) หรือรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในเมือง การพัฒนาระบบช่วยเหลือและเก็บข้อมูลด้านสุขภาพเพื่อสนับสนุนให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพที่ดีขึ้น หรือเชื่อมต่อกับโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล เป็นต้น “วันนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของ PropTech ในประเทศไทย ซึ่งในอนาคต ด้วยการสนับสนุนอย่างจริงจังจากสิริ เวนเจอร์ และศักยภาพของสตาร์ทอัพไทย ประเทศไทยจะเกิดระบบนิเวศของสตาร์ทอัพด้าน PropTech ที่แข็งแกร่ง สร้างนวัตกรรมมายกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์และมอบความสะดวก ประหยัด และปลอดภัยในด้านการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คน” นายชาคริต กล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารของโครงการ Siri Venture Partnership ได้ที่Facebook.com/siriventure เกี่ยวกับ สิริ เวนเจอร์ สิริ เวนเจอร์ คือ บริษัทร่วมทุนในรูปแบบ Corporate Venture Capital ทำการวิจัยและลงทุน เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ (R&D) ด้าน Property Technology อย่างเต็มรูปแบบเป็นรายแรกของไทย โดยตรง ด้วยเงินทุนจดทะเบียนในช่วงเริ่มต้น 100 ล้านบาท ถือหุ้นด้วยบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ร้อยละ 90 และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 10% เพื่อสร้างสรรค์เทคโนโลยีและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เกี่ยวกับการใช้ไลฟ์สไตล์ในที่อยู่อาศัยจนสำเร็จใช้งานจริงและสนับสนุนให้เข้าถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ร่วมกับกลุ่มนักวิจัย นักประดิษฐ์ ผู้ผลิตและธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยตั้งเป้าผลักดันให้นวัตกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยไทยไปได้ไกลในระดับโลก รวมทั้งเสริมการเติบโตให้กับธุรกิจหลักอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนโดยภารกิจสำคัญของ สิริ เวนเจอร์ มี 3 ส่วน ประกอบด้วย 1. ร่วมลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย เริ่มจากในประเทศไทยและสิงคโปร์  2. ร่วมทุนและยกระดับศักยภาพของ Home Service โมบายแอพพลิเคชัน สำหรับลูกบ้านแสนสิริ เพื่อบริการรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมทุกมิติของการใช้ชีวิต และสามารถขยายขอบข่ายบริการในตลาดที่กว้างขึ้น และ 3. จัดตั้ง Siri Venture Partnership โครงการผลักดันสตาร์ทอัพด้าน Property Technology โดยเฉพาะครั้งแรกในประเทศไทยเพื่อเฟ้นหาสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยที่มีศักยภาพในการลงทุน