Tag : News

2376 ผลลัพธ์
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการปี 2560 รับรู้รายได้ 3,589.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 680.8 ล้านบาท เติบโต 36% ประกาศจ่ายปันผลทั้งปีรวม 0.30 บาท

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการปี 2560 รับรู้รายได้ 3,589.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 680.8 ล้านบาท เติบโต 36% ประกาศจ่ายปันผลทั้งปีรวม 0.30 บาท

บริษัท  ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2560 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดรับรู้รายได้ที่ 657.1 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 14% และเติบโตดีกว่าภาพรวมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มเดียวกันที่ชะลอตัว นอกจากนี้บริษัทยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในไตรมาสแรกบริษัทสามารถทำกำไรสุทธิที่ 114.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 10% ขณะที่ยอดขายใหม่เพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ราว 900 ล้านบาท เตรียมลุยโครงการใหม่อีก 5-6 ทำเล จากไตรมาสแรกเปิดขาย 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 1,850 ล้านบาท นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียนหลายรายที่ประกาศออกมาพบว่าตลาดโดยรวมชะลอตัว เพราะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาไม่เอื้ออำนวยมากนัก โดยมีการชะลอตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2559 แล้ว อย่างไรก็ดี บริษัทได้มีการประเมินสถานการณ์สภาพเศรษฐกิจและตลาดโดยรวมได้ถูกต้อง จึงดำเนินการวางแผนงานกลยุทธ์ได้สอดคล้องกับสถานการณ์ ส่งผลทำให้บริษัทยังคงมีผลประกอบการที่ขยายตัวได้ โดยมียอดรับรู้รายได้ในไตรมาสแรกนี้ที่ 662.1 ล้านบาท ขยายตัวราว 14% และบริษัทยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในไตรมาสแรกบริษัทสามารถทำกำไรสุทธิที่ 114.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 10% ขณะที่ยอดขายใหม่เพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ราว 900 ล้านบาท สำหรับการขยายธุรกิจ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 1,850 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสสองเป็นต้นไป โดยตามแผนงาน บริษัทเตรียมที่จะเปิดโครงการใหม่อีกราว 5 - 6 โครงการในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีการขยายตัวที่มั่นคงต่อไป ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสแรกนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.86 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่า นอกจากนี้บริษัทมีการใช้แหล่งเงินทุนที่หลากหลาย ตลอดจนมีวงเงินสำรองที่ไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวนมาก สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางด้านการเงินของบริษัทได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ตามมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติจัดสรรกำไรสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2559 โดยให้จ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตรา 8.25 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ รวมทั้งอนุมัติให้จ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.1385 ซึ่งบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.125 บาท ดังนั้นจะคงเหลือจ่ายปันผลเป็นเงินสด ในงวดนี้อีก 0.0135 บาท ในส่วนของหุ้นปันผลที่ผู้ถือหุ้นได้รับนั้น จะสามารถเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2560 นี้
ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ชีวิตมีระดับ เปิดตัวออฟฟิศใหม่ ณ ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค

ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ชีวิตมีระดับ เปิดตัวออฟฟิศใหม่ ณ ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค

เมื่อเร็วๆนี้ โดยอาคาร ภิรัชทาวเวอร์ แอค ไบเทค ได้ทำการต้อนรับ บมจ. ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เข้ามาเป็นผู้เช่ารายล่าสุดของโครงการด้วยความยินดี ณ อาคารสำนักงานเกรดเอ ในย่านธุรกิจสุขุมวิท-บางนา โดยอาคารสำนักงานแห่งนี้เป็นโครงการที่ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด “Defining your Workplace” โดยนำเสน่ห์ดึงดูดด้านทัศนียภาพย่านธุรกิจ ผสมผสานกันระหว่างสไตล์โมเดิร์นกับการตกแต่งแบบร่วมสมัย ทั้งยังคำนึงถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ได้กล่าวระหว่างพิธีลงนามเซ็นสัญญาว่า “อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอค ไบเทค ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการในด้านการคมนาคมที่สะดวก แต่ยังทำให้เรารู้สึกประทับใจกับสิ่งอำนวยความสะดวกสบายที่ครบครัน ทั้งยังติดตั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัย และล้อมรอบไปด้วยสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับพนักงาน” นายปิติภัทร บุรี กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ทางออล อินสไปร์ ได้เลือกภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เป็นสำนักงานแห่งใหม่ เพราะมีวิสัยทัศน์คล้ายกับกลุ่มบริษัทภิรัชบุรีที่ไม่เคยหยุดนิ่งกับความสำเร็จ เราตระหนักอยู่เสมอว่า เราไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงในด้านคุณภาพของอาคารสถานที่เท่านั้น แต่จะยังต้องสามารถนำเสนอชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่มีคุณภาพเหนือระดับความต้องการให้แก่ผู้เช่า  และอาคารสำนักงานเกรดเอนี้ ได้ออกแบบ ภายใต้ความคิดการใช้งานที่ผสมผสาน บนพื้นที่สุขุมวิท-บางนา โดยสามารถตอบสนองทุกความต้องการของผู้เช่า และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันได้อย่างลงตัว” ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค อาคารสำนักงานเกรดเอสูง 29 ชั้น ขนาด 32,000 ตารางเมตร เชื่อมต่อกับ สถานีรถไฟฟ้า  บีทีเอส บางนา และ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค นอกจากนี้ ยังนำเสนอบรรยากาศในการทำงานรูปแบบใหม่ ด้วยแนวคิดผสมผสานการใช้ประโยชน์พื้นที่ในรูปแบบต่างๆแก่พนักงานและผู้ประกอบการ
SENA ปักธงปี”60 รายได้โต 20% จากปีก่อน ส่งอสังหาฯแนวสูง-แนวราบบุกตลาดฯต่อเนื่อง ไตรมาส 2/60 เตรียมเปิดใหม่ 2-3 โครงการ มูลค่า 1.9 – 2.5 พันลบ.

SENA ปักธงปี”60 รายได้โต 20% จากปีก่อน ส่งอสังหาฯแนวสูง-แนวราบบุกตลาดฯต่อเนื่อง ไตรมาส 2/60 เตรียมเปิดใหม่ 2-3 โครงการ มูลค่า 1.9 – 2.5 พันลบ.

SENA เร่งเครื่องอัพยอดขายครึ่งปีหลัง ไตรมาส 2/60 เตรียมเปิดใหม่ 2-3 โครงการ มูลค่ากว่า1.9 – 2.5 พันล้านบาทผู้บริหารหญิงแกร่ง  “ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์”มั่นใจผลงานปีนี้มาตามนัด  รายได้โตเกิน 20% โชว์แบ็คล็อกหนากว่า 3 พันล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/60 จนถึงปี”61 ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA)ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทยและในฐานะ Developer รายแรกที่ทำหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 1/60 มีรายได้รวม 466.30 ล้านบาท กำไรสุทธิ 70.70 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่น โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยปัจจุบันบริษัทฯมียอดขายรอโอน (Backlog) ทั้งโครงการแนวราบ และแนวสูงจำนวนกว่า 3,000 ล้านบาท (ณ 31 มีนาคม 2560) ซึ่งจะเป็นการทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ในไตรมาส 2/60 และต่อเนื่องไปถึงปีหน้า สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2560 บริษัทฯเตรียมเปิดใหม่ แผนเปิดโครงการใหม่ประมาณ 10 โครงการ มูลค่าประมาณ 12,000 ล้านบาทและในไตรมาส 2/60 เตรียมเปิด 2 -3 โครงการ มูลค่ารวม 1,900-2,500 ล้านบาท “แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับปัจจัยหนุนจาการการร่วมมือกับพันธมิตรในการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงจากธุรกิจพลังงานทดแทน ทั้งในส่วนของโซลาร์ฟาร์ม และโซลาร์รูฟ โดยในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 20% เทียบกับปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 4,059  ล้านบาท” ผศ.ดร.เกษรากล่าว สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานในปีนี้ SENA จะเน้นการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนาสินค้าและบริการของเราให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น ปีนี้เสนา เราทำงานภายใต้ธีม " Eco Innovation" ซึ่งหมายถึง ลบ 2 บวก 1 เพราะ Eco คือการประหยัดพลังงาน และประหยัดเวลา Innovation คือการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาสิ่งที่เราทำอยู่แล้วให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น และพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อลูกค้า ซึ่งมีที่เสนาทำไปบ้างแล้วคือการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแผลโซลาร์ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเป็นพลังงานสะอาด การทำแอพพลิเคชั่น SENA 360 SERVICE ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการหลังการขายของบริษัทได้โดยง่าย ซึ่งในปี 2560 เรามีแผนการพัฒนาแอพพลิเคชั่นให้ตอบโจทย์ลูกค้าให้สูงสุด ให้ลูกค้าประหยัดพลังงาน และประหยัดเวลา รวมทั้งเราจะเพิ่มประสิทธิภาพของแอพพลิเคชั่น ให้มีบริการที่ครบวงจรยิ่งขึ้น เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ทันการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคดิจิทัล
งานสถาปนิก’60 ครั้งที่ 31 ปิดฉากอย่างสวยงาม เผยยอดผู้ชมงานไทย-ต่างชาติเข้าร่วมงานเกินคาด

งานสถาปนิก’60 ครั้งที่ 31 ปิดฉากอย่างสวยงาม เผยยอดผู้ชมงานไทย-ต่างชาติเข้าร่วมงานเกินคาด

สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จัดงานสถาปนิก ’60 ครั้งที่ 31 ภายใต้แนวคิด “บ้าน บ้าน : BAAN BAAN” Reconsidering Dwelling ระหว่างวันที่ 2-7 พฤษภาคม 2560 ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ที่ผ่านมา สำหรับกิจกรรมที่โดดเด่นภายในงานสถาปนิก’60 มีมากมาย โดยทางสมาคมต้องการที่จะเผยแพร่แนวคิด นวัตกรรมในวงการสถาปัตยกรรม ที่เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และเปิดเป็นพื้นที่ที่มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และความคิดเห็นต่างๆซึ่งกันและกัน ทั้งในกลุ่มวิชาชีพสถาปนิก วิศวกร ผู้รับเหมา นักธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญที่สุดคือ ประชาชนคนทั่วไปที่มีความต้องการและสนใจเรื่องบ้าน โดยผู้ที่เข้ามาชมงานสามารถร่วมกิจกรรมได้ ทั้งในส่วนของนิทรรศการสมาคม และกิจกรรมภายในงาน งานสถาปนิก’60 ปิดฉากลงอย่างสวยงาม และยังคงความยิ่งใหญ่ อัดแน่นด้วยสาระความรู้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีวัสดุก่อสร้าง รวมถึงการบริการด้านงานสถาปัตยกรรมไว้อย่างครบถ้วน โดยในปีนี้มีผู้ร่วมแสดงสินค้ากว่า 850 ราย คิดเป็น 93% ของพื้นที่ 75,000 ตารางเมตร โดยเฉพาะบริษัทต่างชาติที่มาจัดแสดงเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 35% ภายในงานต่างยกทัพผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและเทคโนโลยีเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างที่น่าสนใจมาเสนอมากมาย มีทั้งที่ทันสมัยสวยงาม อำนวยความสะดวกสบาย เพิ่มประสิทธิภาพและความหลากหลายในการใช้ประโยชน์ ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งจัดแคมเปญพิเศษสำหรับผู้เข้าชมงานนี้โดยเฉพาะ ซึ่งล้วนได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เข้าชมงานทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ส่งผลให้ตลอดระยะงานการจัดงานทั้ง 6 วัน มียอดผู้เข้าชมงานประมาณ 400,000 ราย ซึ่งเพิ่มสูงกว่าปีที่แล้วประมาณ 13% เตรียมพบกันได้ใหม่ในงานสถาปนิก ’61 งานแสดงเทคโนโลยี สถาปัตยกรรมและวัสดุก่อสร้าง ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ครั้งที่ 32 ซึ่งจะคงความเข้มข้นและยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 1-6 พฤษภาคม 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
ยูนิเวนเจอร์ อวดกำไรส่วนของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 2.6 เท่า

ยูนิเวนเจอร์ อวดกำไรส่วนของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 2.6 เท่า

บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV เผยผลประกอบการไตรมาส 1/2560 ผลกำไรสุทธิส่วนของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 2.6 เท่ามาอยู่ที่ 418.9 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 4,363.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2559 นายวรวรรต ศรีสอ้าน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV กล่าวว่า ในไตรมาส 1/2560 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,363.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน 737.3 ล้านบาท หรือมีการเติบโต 20% โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 3,513.6 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 81% ของรายได้รวม แบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวสูง มูลค่ารวม 1,320.1 ล้านบาท และจากโครงการแนวราบ มูลค่ารวม 2,193.5 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 4,000 ล้านบาท จาก 33 โครงการ สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่ามีรายได้ 402.5 ล้านบาท คิดเป็น 9% ของรายได้รวม มาจากอาคารสำนักงานเกรดเอ “ปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์” จำนวน 61.1 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเช่าเต็ม 100% ของพื้นที่ให้เช่า และอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่ากลุ่มแผ่นดินทอง 341.5 ล้านบาท อีกทั้งกลุ่มธุรกิจสังกะสีออกไซด์มีรายได้ 356.9 ล้านบาท คิดเป็น 8% ของรายได้รวม นอกจากนี้ยังมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ 90.9 ล้านบาท คิดเป็น 2% ของรายได้” นายวรวรรต กล่าว
GRAND VALLEY PATTAYA บ้านพักตากอากาศ เปิดบ้านเฟส 2 รองรับความต้องการลูกค้ากลุ่มครอบครัว

GRAND VALLEY PATTAYA บ้านพักตากอากาศ เปิดบ้านเฟส 2 รองรับความต้องการลูกค้ากลุ่มครอบครัว

“พงษ์พิทยา พร็อพเพอร์ตี้” ยักษ์ใหญ่อสังหาฯบุรีรัมย์ ขยายฐานลูกค้า บุกเมืองพัทยา ซุ่มจองทำเลทองเปิดโครงการ GRAND VALLEY PATTAYA บ้านพักตากอากาศบนพื้นที่ส่วนตัว ปั้มยอดขายแล้วกว่า 50% พร้อมเร่งเปิดเฟส 2 เพิ่มฟังก์ชั่นแห่งการพักผ่อน ยิ้มรับอานิสงค์โครงการภาครัฐ ทำที่ดินราคาขยับ นางปารดา พิทยาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พงษ์พิทยา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้ประกอบกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีประสบการณ์ด้านธุรกิจก่อสร้างมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี ภายใต้กลุ่มห้างหุ้นส่วนจำกัด เค.เอ.พี.เพาเวอร์ ( KAP Group ) เปิดเผยถึงแผนพัฒนาโครงการ GRAND VALLEY PATTAYA บ้านพักตากอากาศ บนทำเลแห่งอนาคต ใน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ว่า บริษัทได้เข้ามาพัฒนาพื้นที่ในบริเวณดังกล่าวตั้งแต่ปี 2556 เพื่อจัดทำโครงการ GRAND VALLEY PATTAYA ด้วยมูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพของพื้นที่ของเมืองพัทยา ซึ่งเป็นเมืองแห่งการพักผ่อนและท่องเที่ยวอันดับต้นๆของประเทศ โดยในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวปีละกว่า 9 ล้านคน และด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้งโครงการที่อยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆของเมืองพัทยา แต่เป็นโซนที่มีความเงียบสงบเหมาะกับการพักผ่อน และที่สำคัญอยู่ห่างจากสนามบินอู่ตะเภาเพียง 20 นาที จากศักยภาพด้านทำเล และการออกแบบบ้านพักตากอากาศของ GRAND VALLEY PATTAYA ที่มอบพื้นที่การพักผ่อนที่เป็นส่วนตัว ด้วยการจัดสรรพื้นที่ของห้องนอนในแต่ละห้องให้แยกส่วนกันอย่างชัดเจน แต่เชื่อมต่อบ้านด้วยห้องพักผ่อนและห้องอาหารที่ทำให้สมาชิกทุกคนสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้ในวันพักผ่อนได้อย่างลงตัว พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวให้กับบ้านทุกยูนิต ภายใต้แนวคิด“Privately Your Own Space บ้านพักตากอากาศบนพื้นที่ส่วนตัวของคุณ” ที่จะเติมเต็มวันพักผ่อนของทุกคนในครอบครัว ให้เป็นวันแห่งความสุข สนุก และอบอุ่น ที่ให้คุณมากกว่าบ้านพักตากอากาศ ภายใต้สโลแกน MORE THAN YOUR RELAXED MINDมากกว่าสุนทรีย์แห่งการพักผ่อนของคุณ ด้วยทำเลที่สะดวกสบายกว่า …มากกว่าด้วยพื้นที่ใช้สอยที่กว้างกว่า…มากกว่าด้วยบรรยากาศที่ร่มรื่นกว่า…มากกว่าด้วยความคุ้มค่าของพื้นที่ในอนาคต ทำให้ล่าสุดสามารถปิดการขายไปได้แล้วถึง 50% ของจำนวนบ้านทั้งหมด 43 ยูนิต หลังจากเริ่มเปิดขายบ้านในโครงการตั้งแต่ไตรมาสมี่ 4 ของปี 2558 นางปารดา กล่าวต่อว่า จากความสำเร็จดังกล่าว ล่าสุด GRAND VALLEY PATTAYA ได้เปิดบ้านเฟส 2 เพื่อนำเสนอแบบบ้านใหม่ 2 แบบ ด้วยการเพิ่มฟังก์ชั่นภายในบ้าน เพิ่มเติมพื้นที่แห่งการพักผ่อน และเติมเต็มความเป็นส่วนตัวให้ก้บสมาชิกในครอบครัว โดยแบบบ้านใหม่แบบแรก คือ แบบ Lake View A Plus บ้านเดี่ยว 2 ชั้น วิวทะเลสาบส่วนตัว และ แบบ Grand Hill A Plus บ้านเดี่ยว 2 ชั้น วิวเขาชีจรรย์บน พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 343 ตารางเมตร โดยฟังก์ชั่นการใช้งาน ได้มีการขยายและปรับส่วนพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสม ด้วยการเพิ่มโถงให้ดูโปร่งโอ่โถงขึ้น และขยายพื้นที่ส่วนห้องรับแขกให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น ในฟังก์ชั่น 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องพักผ่อน 1 ห้องครัว สระว่ายน้ำส่วนตัวขนาด 40 ตรม.พื้นที่ Party รอบสระว่ายน้ำ 1 ห้องแม่บ้าน พร้อมที่จอดรถ 2 คัน แบบบ้านที่ 2 คือ แบบ Grand Hill C Plus บ้านเดี่ยว 1 ชั้น วิวเขาชีจรรย์ บนพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 314 ตารางเมตร ปรับให้สไตล์บ้านดูกว้างขวางและทันสมัยมากขึ้น พื้นที่ใช้สอยสะดวกเชื่อมหากันอย่างลงตัว เสริมด้วยพื้นที่ปาร์ตี้ริมสระว่ายน้ำ ด้วยฟังก์ชั่น 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องพักผ่อน 1 ห้องครัว สระว่ายน้ำส่วนตัวขนาด 40 ตรม.พร้อมที่จอดรถ 2 คัน ซึ่งจากแบบบ้านที่ตอบโจทย์การพักผ่อนรวมถึงทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพและเป็นทำเลแห่งอนาคต ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถปิดโครงการได้ภายในปี 2563 “ ทำเลที่ตั้งของโครงการถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพมาก เพราะนอกจากจะใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆของเมืองพัทยา อาทิ เขาชีจรรย์ ไร่องุ่นซิลเวอร์แลค สวนน้ำรามายาณะ สวนน้ำการ์ตูนเน็ตเวิร์ค และสวนนงนุช แล้ว ยังสามารถเดินทางเข้าออกได้หลายทางทั้งถนนสุขุมวิท และทางหลวงหมายเลข 331 เลี่ยงเมืองพัทยาเชื่อมต่อถนนมอเตอร์เวย์ได้อย่างสะดวกสบาย ประกอบกับล่าสุดรัฐบาลมีแผนที่จะดำเนินการพัฒนาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยเบื้องต้นประกาศให้พื้นที่ของสนามบินอู่ตะเภาเป็นเขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ เมืองการบินภาคตะวันออก รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คือ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา ยิ่งทำให้ที่ตั้งของโครงการมีศักยภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น” นางปารดา กล่าว อย่างไรก็ตาม บริษัท พงษ์พิทยา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เริ่มต้นจากการทำธุรกิจในกลุ่มก่อสร้างอาคารและโยธา ใน จ.บุรีรัมย์ ภายใต้กลุ่มห้างหุ้นส่วนจำกัด เค. เอ. พี. เพาเวอร์ หรือ KAP Group ตั้งแต่ปี 2537 และเข้าสู่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตกลุ่มงานโครงสร้าง จากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่อยู่ในธุรกิจก่อสร้างมาอย่างยาวนาน ทำให้เกิดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพยขึ้น ภายใต้บริษัท พงษ์พิทยา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด เค.เอ.เพาเวอร์ พัฒนาภาคอสังหาริมทรัพย์แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ  โครงการบ้านเดี่ยว  โครงการคอนโดมิเนียม  และบ้านพักตากอากาศ โดยที่ผ่านมาบริษัท พงษ์พิทยา ได้พัฒนาอสังหาฯที่ จ.บุรีรัมย์ ตั้งแต่ปี 2553 โดยปัจจุบันมีโครงการพัฒนาอสังหาฯแล้ว 5 โครงการ สำหรับโครงการอสังหาฯของ บริษัท พงษ์พิทยา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการเลือกทำเลที่ตั้งของแต่ละโครงการ บริษัทฯได้คัดสรรทำเลที่มีศักยภาพ และสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบันให้กับลูกค้าได้ โดยเน้นเส้นทางคมนาคม และพื้นที่แห่งอนาคตเป็นสำคัญนอกจากนี้กลยุทธ์หลักและจุดแข็งของเรายังคงเน้นสินค้า Hi-Quality ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการคัดเลือกวัสดุในการก่อสร้าง เนื่องจากที่มีธุรกิจก่อสร้างรวมถึงเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์และคอนกรีตที่อยู่ในเครือเดียวกัน ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนและควบคุมคุณภาพวัสดุก่อสร้างได้ทุกชิ้น ทำให้มั่นใจว่าสินค้าทุกเซ็กเมนต์ภายใต้โครงการของบริษัท พงษ์พิทยา พร็อพเพอร์ตี้ นอกจากจะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูงแล้ว ยังเป็นสินค้าที่อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม และเป็นราคาที่ลูกค้าพอใจ
เปลี่ยนเช่าอยู่ เป็นเจ้าของคอนโด “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว”

เปลี่ยนเช่าอยู่ เป็นเจ้าของคอนโด “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว”

เปลี่ยนเช่าอยู่ เป็นเจ้าของคอนโด  “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว”           คงจะดีไม่น้อยหากเป็นเจ้าของคอนโดที่ใกล้แม่น้ำ-รถไฟฟ้า และยังมีความเป็นส่วนตัวสูง โดยบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) ใส่ใจถึงความต้องการดังกล่าาวจึงคัดสรรหนึ่งที่ดินที่ดีที่สุดย่านสะพานพระนั่งเกล้า- รัตนาธิเบศร์ มาพัฒนาอาคารชุดพักอาศัยคุณภาพ ภายใต้ชื่อ “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว” รองรับความต้องการของคนอยากมีบ้านที่ใกล้ชิดธรรมชาติ และใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันในราคาที่จับต้องได้                “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว” เป็นคอนโดที่ครบทุกอรรถรสการอยู่อาศัย และยังสามารถเชื่อมต่อการเดินทางด้านบริการขนส่งมวลชนที่ครบถ้วนทั้งรถไฟฟ้า-เรือโดยสารเข้าด้วยกัน ทำให้ทำเลดังกล่าวเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยชั้นดี โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่เชื่อมต่อทุกเส้นทางจากนนทบุรี-กรุงเทพฯ นั้นอยู่ใกล้กับโครงการถึง 2 สถานี ได้แก่ สถานีไทรม้า และสถานีสะพานพระนั่งเกล้า สามารถช่วยลดระยะเวลาการเดินทางของคนทำงานในเมือง อีกทั้งเส้นทางของรถไฟฟ้านี้ยังผ่านพื้นที่ที่เป็นแหล่งงานสำคัญๆ เช่น ศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี และหน่วยงานระดับประเทศ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข  รวมถึงแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ เช่น เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต เป็นต้น รายละเอียดโครงการ เจ้าของโครงการ  บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ลักษณะคอนโด    อาคารชุดพักอาศัย สูง 8 ชั้น จำนวน 4 อาคาร จำนวนห้อง    905 ยูนิต และร้านค้า 4 ยูนิต ที่จอดรถ    300 คัน (รวมที่จอดซ้อนคัน) พื้นที่โครงการ    ประมาณ 9 ไร่เศษ ที่ตั้งโครงการ  ถนนรัตนาธิเบศร์  ห่างจากสถานีไทรม้า ประมาณ 900 เมตร และสถานีสะพานพระนั่งเกล้า ประมาณ 1 กิโลเมตร สถานที่สำคัญใกล้เคียง เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต ซ็นทรัลพลาซา รัตนาธิเบศร์ เทสโก้ โลตัส เอสพานาด รัตนาธิเบศร์ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า โรงเรียนสตรีนนทบุรี ศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข ท่าน้ำนนท์ โครงการดังกล่าว ตั้งอยู่บนยุทธศาสตร์ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยเองและลงทุน ล้อมรอบด้วยวิวเมืองนนทบุรี ที่สำคัญคือการเดินทางสะดวกสบาย โดยคอนโดลุมพินีแห่งนี้เป็นอาคารชุดพักอาศัย สูง 8 ชั้น 4 อาคาร ตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่เศษ ตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนห้องชุดที่ไม่มากนัก เพียงประมาณ 900 ยูนิต โดยมีรูปแบบห้องชุดขนาด  22.5-35  ตร.ม. พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ได้แก่ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย ห้องเรียนรู้ ห้องคุณหนู ห้องเปี่ยมสุข  ห้องเฮ้าส์เวิร์ค สนามเด็กเล่น สวนรวมใจ และบริการรถตู้รับ-ส่งไปยังรถไฟฟ้าสถานีไทรม้าและสถานีสะพานพระนั่งเกล้า                  “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว” พร้อมเข้าพักอาศัยได้ปลายปี 2560 พิเศษ สำหรับผู้สนใจจองซื้อโครงการดังกล่าว เฉพาะห้องชุดขนาด 22.5 ตร.ม. รับส่วนลดพิเศษสูงสุด 220,000 บาท โดยบริษัทได้วางแผนด้านการเงินให้แก่ลูกค้าด้วยการผ่อนสบายๆ เพียงเดือนละ 2,000 บาท รวมทั้งหมด 8 เดือน ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้สามารถแบ่งเบาภาระแก่ลูกค้าก่อนการโอนกรรมสิทธิ์ นับว่าเป็นโครงการที่ตอบโจทย์สำหรับกลุ่มลูกค้าที่กำลังเช่าอพาร์ทเม้นท์ให้เปลี่ยนมาเป็นเจ้าของคอนโดลุมพินีได้อย่างง่ายๆ มาสัมผัสและแวะชมห้องตัวอย่างคอนโดลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว ได้แล้ววันนี้ที่สำนักงานขายโครงการ โทร 02-195-8300   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LPN Call Center 02-689-6888 , www.lpn.co.th และ Facebook : Condo Lumpini
“คอตโต้” ดีไซน์ห้องน้ำสวย 9 สไตล์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความชอบที่แตกต่าง เนรมิตให้ชมจริงในงานสถาปนิก 60

“คอตโต้” ดีไซน์ห้องน้ำสวย 9 สไตล์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความชอบที่แตกต่าง เนรมิตให้ชมจริงในงานสถาปนิก 60

“คอตโต้” ดีไซน์ห้องน้ำสวย 9 สไตล์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความชอบที่แตกต่าง เนรมิตให้ชมจริงในงานสถาปนิก 60 คอตโต้ แบรนด์กระเบื้อง สุขภัณฑ์ และก๊อกน้ำระดับโลก นำเทรนด์ความต้องการของลูกค้ามาสร้างสรรค์เป็นห้องน้ำสวย 9 สไตล์ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความสวยงามของธรรมชาติ เนรมิตให้ชมบนพื้นที่ขนาดจริง เปิดให้ชมเพื่อเป็นไอเดียสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างหรือปรับปรุงห้องน้ำใหม่ ในงานสถาปนิก 60 ระหว่างวันที่ 2-7 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ ที่อิมแพค เมืองทองธานี           นายธนนิตย์ รัตนเนนย์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด สินค้ากระเบื้องคอตโต้ บริษัท เซรามิคอุตสาหกรรมไทย จำกัด กล่าวว่า คอตโต้เข้าใจถึงสไตล์และความชื่นชอบที่แตกต่างกันของลูกค้า จึงได้ใส่ใจในการออกแบบห้องน้ำสวย (Beautiful Bathroom) ถึง 9 สไตล์ เพื่อให้ห้องน้ำเป็นพื้นที่แห่งความสุขที่ตรงใจลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน ประกอบด้วยห้อง EBLU จุดประกายไอเดียสร้างสรรค์ และเพิ่มความสนุกด้วยความสดใสแวววาวในบรรยากาศสไตล์ Minimal pop-art,POLLINO สร้างสรรค์สไตล์ที่แตกต่างของ Urban Loft และ Vivid Yellow Art เปลี่ยนห้องไม้โอ๊กแดง ให้เด่นด้วยสีสันของยาแนวสีเหลือง, LEGEND ห้องน้ำที่ทำให้หวนนึกถึงความทรงจำในอดีต เผยให้เห็นความงามของธรรมชาติที่ผ่านกาลเวลา, HARMONIZE STONE มอบความอบอุ่นของลวดลายหินผสมความดิบของธรรมชาติและการตกแต่งด้วยของสะสม, THE 60s WOOD ย้อนวันวานไปกับความเท่สไตล์เรโทรในยุค 60 ด้วยลวดลายไม้แบบเรขาคณิต สำหรับห้องน้ำสวยอีก 4 สไตล์ ได้แก่ CHARISMA หรูหราและทันสมัยด้วยเฉดสีของลวดลายหินอ่อนผสมผสานกับลูกเล่นของสีโรสโกลด์ พร้อมประโยชน์ใช้สอยที่ซ่อนพื้นที่จัดเก็บไว้อย่างลงตัว,NIPPON WOOD โชว์ให้เห็นลวดลายไม้สนที่สวยงามที่ผ่านกระบวนการเผาไฟแบบญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยกาวยาแนวที่ทำให้ห้องดูเรียบง่ายในแบบฉบับญี่ปุ่น, CALACATTA CLASSICO สร้างบรรยากาศห้องที่เรียบ เท่ ด้วยสีขาวละมุนและอบอุ่นของหินอ่อน Golden Calacatta และ ARCH WOOD เข้ากับวิถีชีวิตคนยุคใหม่ โดยผสานเทคโนโลยีและวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน นอกจากห้องน้ำสวยทั้ง 9 สไตล์แล้ว คอตโต้ยังมีตัวอย่างห้องน้ำให้เลือกอีกมากมาย พร้อมสัมผัส กระเบื้องแก้ว ดีไซน์ล่าสุดที่การันตีด้วยรางวัล Best of the Best จากเวทีประกวดระดับโลก Red Dot Design Awards 2016 และพบกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายด้วย กระเบื้องพอร์ซเลน นำเข้าจากอิตาลี นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเป็นเจ้าของห้องน้ำสวยในแบบของตัวเองได้เพียงนำแรงบันดาลใจที่ได้จากที่ใดก็ตามมาพูดคุยกับ ครีเอทีฟ         ดีไซเนอร์ ผู้เชี่ยวชาญการออกแบบห้องน้ำของคอตโต้ได้ภายในงาน ซึ่งสินค้าและบริการทั้งหมดนี้ ผู้สนใจยังสามารถไปใช้บริการได้ที่เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมในเบื้องต้นได้ที่ www.cotto.com    
“แอสเซทไวส์” ปลื้มยอดขายไตรมาสแรก 1,500 ล้านบาท พร้อมบุกใจกลางเมือง ลุยทำเลฮ็อตต่อเนื่อง

“แอสเซทไวส์” ปลื้มยอดขายไตรมาสแรก 1,500 ล้านบาท พร้อมบุกใจกลางเมือง ลุยทำเลฮ็อตต่อเนื่อง

“แอสเซทไวส์” ปลื้มยอดขายไตรมาสแรก 1,500 ล้านบาท พร้อมบุกใจกลางเมือง ลุยทำเลฮ็อตต่อเนื่อง   นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด เปิดเผยว่า ยอดขายใน ไตรมาสแรก ของปี 2560 ว่า ค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ โดยมียอดขายอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากยอดขายของโครงการ “เคฟ คอนโด” (Kave Condo) คอนโดมิเนียมบนทำเลที่มีศักยภาพ ติดถนนพหลโยธิน ตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต ที่มียอดขายในขณะนี้ถึง 95% หลังจากเปิดขายเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา   “นอกจากนี้ รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากโครงการ  “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4”คอนโดมิเนียมตั้งอยู่บนถนนโชคชัย 4 ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพที่แวดล้อมไปด้วยความสะดวกสบายรอบด้าน แหล่งรวมร้านอาหารชั้นนำ การคมนาคมที่สะดวกสบาย สามารถเดินทางสู่ย่านธุรกิจใจกลางเมืองได้อย่างคล่องตัว ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนรามอินทรา - อาจณรงค์ (ลาดพร้าว) และอยู่ใกล้รถไฟฟ้าถึง 2สาย ได้แก่ รถไฟฟ้า MRT สถานีลาดพร้าว และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีโชคชัย 4 ซึ่งจะเปิดให้บริการในอีกไม่ช้า ทั้งยังรองรับด้วยการคมนาคมหลากหลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น ถนนลาดพร้าว ถนนพหลโยธิน ถนนรัชดาภิเษก ถนนประดิษฐ์มนูธรรม และถนนเกษตร - นวมินทร์ พร้อมทั้งอยู่ใกล้สถานที่สำคัญ ทั้งสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสถานที่อำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยในปัจจุบัน มียอดขายมากกว่า 70%”   นอกจากนี้ นายกรมเชษฐ์ได้กล่าวถึงความคืบหน้ายอดขายโครงการคอนโดมิเนียมอื่น ๆ ของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็น           บราวน์ คอนโด รัชดา 32 ซึ่งเปิดขายเมื่อช่วงปลายปี 2559 ปัจจุบันมียอดขายมากกว่า 80%  พร้อมทั้งโครงการโมดิซ อินเตอร์เชนจ์ ซึ่งมีการทำการตลาดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มียอดขาย 50% รวมถึงล่าสุดกับโครงการ “บราวน์ คอนโด พหลฯ – สะพานใหม่” ซึ่งตั้งอยู่ซอยพหลโยธิน 67 ติดสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่เริ่มเปิดขายเมื่อไม่นานมานี้มียอดขายขณะนี้อยู่ที่ 30%   “ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายเปิดตัวโครงการใหม่ ได้แก่ โครงการ แอทโมซ (Atmoz) ขนาด 600 – 700 ยูนิต ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ซอยลาดพร้าว 71 ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายในเดือนสิงหาคม ศกนี้” นายกรมเชษฐ์ กล่าวในตอนท้าย
SC ยุค 4.0 มั่นใจเติบโตทั้งปริมาณและคุณภาพ ประกาศปรับโครงสร้างองค์กร พร้อมแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง

SC ยุค 4.0 มั่นใจเติบโตทั้งปริมาณและคุณภาพ ประกาศปรับโครงสร้างองค์กร พร้อมแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากที่ได้ประกาศยุทธศาสตร์เชิงรุกของ SC ยุค 4.0 ด้วยแนวคิด human-centric ที่เข้าใจถึงพฤติกรรม และความต้องการของมนุษย์ โดยจะมุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่มีทั้งนวัตกรรมและคุณภาพสูงในทุกระดับราคา”  บริษัทจึงปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงาน พร้อมแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง มีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2560 ดังนี้ แต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง โดยแต่งตั้ง นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ เป็นกรรมการบริษัท และดำรงตำแหน่งประธาน เจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร (Chief Corporate Officer) ทำหน้าที่กำกับดูแลสายงาน  Corporate ได้แก่ สายงานการเงิน บัญชี กฎหมาย บริหารทรัพยากรบุคคลและธุรการ เทคโนโลยีสารสนเทศ และสายงานบริหารทรัพย์สิน พร้อมแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงในสายงาน 3 ท่าน ดังนี้ นางปรารถนา แพทย์สมาน ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (Chief Financial Officer) นายวิทิต วิศาลพัฒนะสิน ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านบัญชี (Chief Accounting Officer) นายสมบูรณ์ คุปติมนัส ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกฎหมาย (Chief Legal Officer) จัดกลุ่มโครงสร้างสายงานพัฒนาโครงการใหม่เพื่อความคล่องตัว แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ภายใต้การดูแลของผู้บริหารตำแหน่งรองหัวหัวหน้าคณะผู้บริหาร (Deputy Chief Operating Officer) ดังนี้ นายเกรียงศักดิ์  เหี้ยมโท้       ดูแลด้านพัฒนาโครงการ แนวราบ 1 นายมงกุฎ เตโชฬาร           ดูแลด้านพัฒนาโครงการ แนวราบ 2 นายประยงค์ยุทธ   อิทธิรัตน์ชัย  ดูแลด้านพัฒนาโครงการ แนวสูง ตั้งแผนกใหม่ เพื่อทำหน้าที่ออกแบบผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม ทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง (Product Design & Innovation Low Rise - Product Design & Innovation High Rise) เพื่อสร้าง concept home ต้นแบบในแต่ละปีให้มีทั้งนวัตกรรมและคุณภาพสูง การปรับเปลี่ยนโครงสร้างครั้งนี้ นับเป็นกลยุทธ์หนึ่งเพื่อสร้างเสริมประสิทธิภาพต่อการเติบโต ทั้งปริมาณและคุณภาพ ของ SC ยุค 4.0
“ออริจิ้น” เปิดตัว Notting Hill Skyscraper Central Rattanathibet ชูจุดขาย “ซูเปอร์ฟาซิลิตี้” สู้ศึกทำเลสายสีม่วง

“ออริจิ้น” เปิดตัว Notting Hill Skyscraper Central Rattanathibet ชูจุดขาย “ซูเปอร์ฟาซิลิตี้” สู้ศึกทำเลสายสีม่วง

ออริจิ้น จับมือนักปั้นแบรนด์อสังหาฯมือทอง “ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์” เปิดตัวโครงการใหม่ “นอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์” มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ชูจุดขาย “Reach A New High” ตึกสูงสุดในย่าน-เพดานสูง 3 เมตร-ทำเลโดดเด่นติดถนนใหญ่ พร้อมส่วนกลางแบบ “ซูเปอร์ฟาซิลิตี้” และบริการแบบ “นิว บูทีค โฮเทล เซอร์วิส” มั่นใจแกร่งสู้ศึกดีมานด์รถไฟฟ้าสายสีม่วง เปิดวีไอพีพรีเซล 17 มิ.ย.นี้ ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), และเคนซิงตัน (Kensington) กล่าวว่า บริษัทได้ร่วมกับนายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ นักปั้นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์มือทอง ผู้มีประสบการณ์คร่ำหวอดในธุรกิจคอนโดมิเนียม พัฒนาโครงการใหม่ภายใต้ชื่อ นอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ (Notting Hill Skyscraper Central Rattanathibet) เป็นคอนโดมิเนียม High-rise สูง 48 ชั้น 1 อาคาร และอาคารรีเทลสูง 2 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 1,097 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ บนถนนรัตนาธิเบศร์ ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าแยกนนทบุรี 1 เพียง 250 เมตร “ทำเลรัตนาธิเบศร์ได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่เปิดใช้บริการแล้ว มีถนนที่กว้าง หลายช่องทางจราจร  เดินทางเข้า-ออกเมืองสะดวกด้วยทางด่วน อีกทั้งยังมีห้างสรรพสินค้าชั้นนำหลายแห่ง ที่ดินแปลงนี้จึงนับว่าเป็นทำเลทองที่มีความโดดเด่นมากที่สุดแห่งนึง เพราะติดถนนใหญ่ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ซึ่งการเชื่อมต่อระบบรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง – บางซื่อ และสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ – บางซื่อ สามารถเปิดเดินรถเชื่อมต่อให้บริการประชาชนได้ในเดือนสิงหาคมนี้ นอกจากนี้ยังใกล้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และใกล้ทางขึ้น-ลงทางด่วน เราจึงอยากพัฒนาโครงการที่โดดเด่นที่สุด ให้สมกับเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของถนนรัตนาธิเบศร์ คุณยงยุทธจึงเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโครงการนี้ การจับมือกับคุณยงยุทธในครั้งนี้ เป็นการจับมือกันพัฒนาด้วยความมุ่งมั่นที่จะ Reach A New High หรือสร้างสถิติใหม่ๆ ที่เป็นความพิเศษสำหรับผู้อยู่อาศัย ขณะเดียวกันก็สร้างมิติใหม่ให้กับโครงการภายใต้แบรนด์นอตติ้ง ฮิลล์ โดยโครงการนี้จะเป็นเสมือนนิว นอตติ้ง ฮิลล์ ที่มีกลิ่นอายบางอย่างที่แตกต่างจากนอตติ้ง ฮิลล์โครงการอื่นๆ” นายพีระพงศ์ กล่าว ด้านนายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ กล่าวว่า ได้รับเกียรติจากทางบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ให้เข้ามา ทำงานในฐานะที่ปรึกษาแนวคิดการพัฒนาโครงการ ตลอดจนงานบริหารทั้งด้านการตลาดและการขาย ให้แก่โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ โดยมุ่งมั่นให้โครงการนี้ เป็นโครงการที่สร้าง ปรากฏการณ์ใหม่ และยกระดับขึ้นไปสู่มาตรฐานใหม่ของการอยู่อาศัย สำหรับคอนเซ็ปต์ Reach A New High ของโครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ เกิดขึ้นจากการศึกษาตลาดคอนโดมิเนียมช่วงราคา 1.5 ล้านบาท จนถึง 2 ล้านบาทกว่า โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายช่วงอายุ 25 – 35 ปี ที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีธุรกิจของตนเองหรือทำงานอิสระ และให้ความสำคัญกับการออกแบบไม่น้อยไปกว่าฟังก์ชันการใช้งาน “New High ในที่นี้หมายถึงสถิติใหม่ มาตรฐานใหม่ ของใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีในคอนโดมิเนียมระดับราคานี้มาก่อน แต่ที่นี่มีให้ครบ” นายยงยุทธกล่าวพร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า อันดับแรกคือสถาปนิก เราได้ร่วมงานกับบริษัทอะตอม ดีไซน์ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น บริษัทออกแบบ แถวหน้าระดับประเทศ ซึ่งโดดเด่นเป็นอย่างมากในเวลานี้ ทำให้เราได้อาคารที่โดดเด่นที่สุดบนถนนรัตนาธิเบศร์ ด้วยรูปทรง Y-Shape สถาปัตยกรรมแนวคิดใหม่ที่ขยายมุมอับเปิดรับมุมมองที่กว้างกว่าเดิม ทำให้แต่ละห้องสามารถมองเห็นวิวได้โดยไม่บดบังทัศนียภาพกันเอง และยิ่งโดดเด่นขึ้นไปอีก ด้วยโทนสีเบอร์กันดี เพื่อสร้างความภาคภูมิใจในที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้า และเป็นแลนด์มาร์คที่โดดเด่นที่สุดแห่งใหม่บนถนนรัตนาธิเบศร์ ถัดมา คือเพดานสูง 3 เมตรทุกห้อง ในประเทศไทยมีคอนโดมิเนียมเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ให้เพดานสูงถึง 3 เมตร และในคอนโดมิเนียมราคา 7- 8 หมื่นบาทต่อตารางเมตรนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  ลูกค้าจะสามารถสัมผัสกับความโปร่ง โล่ง สบาย ที่หรูหรา และแตกต่างได้อย่างชัดเจนที่นี่ Fully-Furnished ตกแต่งครบด้วยเฟอร์นิเจอร์แพ็คเกจที่ถูกออกแบบโดยนักออกแบบ Interior ชั้นแนวหน้า อย่างลงตัวกับพื้นที่ ทั้งการใช้งานและความสวยงาม คุ้มค่าสำหรับผู้ซื้อ สิ่งอำนวยความสะดวกแบบ Super Facilities ที่เหนือกว่า และมากกว่าใคร ตามแนวคิด Another Home ที่เพิ่มพื้นที่พิเศษให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายเสมือนบ้านอีกหลังหนึ่ง สร้างมิติใหม่ในการอยู่อาศัย ให้ผู้บริโภคสามารถไปใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ส่วนกลางของอาคารได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ในห้องของตัวเอง โดยมีพื้นที่ส่วนกลางถึง 4 ชั้น ที่ชั้น 1, 8, 9 และชั้นดาดฟ้า ซึ่งประกอบด้วย สระว่ายน้ำระบบเกลือแนวคิดใหม่ที่ออกแบบเป็นทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 เมตร สะดวกทั้งว่ายเพื่อออกกำลังกายและผ่อนคลายด้วยระบบ Bubble และ Jacuzzi ห้องอาบน้ำ และห้อง Locker Room ส่วนกลาง พร้อมอุปกรณ์ครบครันที่ลูกค้าสามารถมาใช้บริการได้ ห้องซาวน่า เพื่อคนรักสุขภาพและการผ่อนคลาย Fitness Centre พร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายชั้นนำ, พื้นที่เล่นโยคะ พิลาทิส และ Fitness Trainer ประจำห้องออกกำลังกาย ให้ลูกค้าได้ใช้บริการคุณภาพโดยไม่ต้องไปสมัคร Fitness Member ที่ไหน Co-Working Space และ Meeting Room พร้อมอุปกรณ์สำนักงานครบครัน Kids Space พื้นที่เล่นและเรียนรู้สำหรับเด็ก ซึ่งมีทั้งโซน Indoor และ Outdoor พร้อมอุปกรณ์และ เครื่องเล่นครบครัน Entertainment Room ห้องนั่งเล่นส่วนกลางที่มีอุปกรณ์ครบครัน Co-Kitchen บริเวณจัดเตรียมอาหารและรับประทานอาหารส่วนกลางพร้อมอุปกรณ์ครบครัน Barbecue Terrace ระเบียงสังสรรค์ลอยฟ้า พร้อมบาร์บีคิวสเตชั่น ที่เปิดรับวิวเมืองในมุมกว้าง Sky Lounge พร้อมมุมจัดเตรียมอาหารให้บรรยากาศการสังสรรค์ของคุณโดดเด่นไม่เหมือนใคร การให้บริการก็เป็นอีกจุดเด่นหนึ่งของโครงการนี้ ซึ่งดูแลโดย บริษัท พรีโม พร็อพเพอร์ตี้ โซลูชั่น ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้เอง ทำให้มั่นใจในคุณภาพได้เป็นอย่างดี ทั้งเรื่องการดูแลหลังการขาย รวมถึงเรื่องการให้บริการในคอนโดมิเนียม ซึ่งโครงการนี้ก็ได้เพิ่มเติมบริการพิเศษมาตรฐานโรงแรมบูทีคขึ้นมา เช่นบริการทำความสะอาดในห้องพักสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ฟรี 1 ปี และบริการ Door Man Service บริเวณล็อบบี้ “จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าโครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ จะอยู่สบาย ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์อย่างลงตัว ให้ความรู้สึกโอ่อ่า และคุ้มค่ากว่าโครงการอื่นๆ ในราคาที่ผู้อยู่อาศัยสามารถเข้าถึงได้ เริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาทเท่านั้น” นายยงยุทธกล่าว ด้านนายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทมั่นใจว่าโครงการนี้จะตอบโจทย์ผู้บริโภค เพราะมีจุดขายทั้งด้านทำเล รูปแบบอาคาร ความสูงเพดาน ซูเปอร์ฟาซิลิตี้ และการบริการระดับโรงแรม อีกทั้งยังมีบทพิสูจน์มาแล้วว่า โครงการของบริษัทบนทำเลรถไฟฟ้าสายสีม่วง มียอดขายได้มากกว่า 60-70% เพราะเน้นเจาะตลาดผู้ที่อาศัยอยู่ในทำเลนั้นๆ อยู่แล้ว ไม่ใช่ตลาดผู้ซื้อเพื่อปล่อยเช่า โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ ตั้งอยู่บนทำเลโดดเด่นบนถนนรัตนาธิเบศร์ ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าแยกนนทบุรี 1 เพียง 250 เมตร, เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ 600 เมตร, และเพียง 5 กิโลเมตร จากทางขึ้นทางด่วนศรีรัช ภายในอาคารประกอบด้วยห้อง 3 ขนาด ได้แก่ ขนาด 24 ตร.ม. 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 30 ตร.ม. 1 ห้องนอนพลัส 1 ห้องน้ำ ขนาด 35 ตร.ม. 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ทุกห้องตกแต่งแบบ Fully-Furnished พร้อมฟังก์ชันและดีไซน์ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8 หมื่นบาท/ตร.ม. ราคาเริ่มต้นที่ 1.49 ล้านบาท เปิดขายวีไอพี พรีเซล ณ สำนักงานขายโครงการในวันที่ 17 มิ.ย.นี้ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างช่วงกลางปีนี้ และแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2562 ปัจจุบันเปิดรับลงทะเบียนแล้วที่ www.origin.co.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 02-157-4730
เอสซี แอสเสทฯ เปิดบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยม 2 สไตล์ 2 โครงการใหม่

เอสซี แอสเสทฯ เปิดบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยม 2 สไตล์ 2 โครงการใหม่

เข้าสู่ไตรมาส 2/2560 บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวซีรี่ยส์ใหม่ 2 โครงการบนทำเลศักยภาพ ได้แก่ โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์ (Grand Bangkok Boulevard Srinakarin)  คฤหาสน์หรูแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมสไตล์ Moroccan ติดถนนศรีนครินทร์ เยื้องซีคอน ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีนครินทร์ 38 (อนาคต) สัมผัสกลิ่นอายบรรยากาศแห่ง Marrakesh ตั่งแต่สโมสรของโครงการ กับสระว่ายน้ำในร่มดีไซน์หรูพร้อม Sky light และสวนส่วนกลางที่ดีไซน์อุโมงค์น้ำพุแนวยาว พร้อมศาลาพักผ่อนกลางสวน   เชิญร่วมงาน Grand Opening โครงการใหม่ 20-21 พ.ค. นี้ ที่ Sale gallery พร้อมรับเอกสิทธิ์พิเศษช่วงเปิดโครงการ ราคาเริ่ม 25-60 ล้านบาท และอีกหนึ่งโครงการล่าสุดคือ โครงการเวนิว (VENUE) พระราม 5-2 จากความสำเร็จของโครงการเวนิว VENUE พระราม 5 นำมาสู่โครงการใหม่ที่ได้แรงบันดาลในการออกแบบมาจาก Sense Of Japanese เน้นพื้นที่การใช้ชีวิตภายในบ้านอย่างพิถีพิถัน ตั้งอยู่บนทำเลที่เป็นส่วนตัว เชื่อมต่อถนน เส้นหลักเข้าสู่เมืองได้หลากหลายเส้นทาง ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย 4 มิ.ย.นี้ เชิญร่วมงาน Grand Opening โครงการใหม่ พิเศษเฉพาะ 10 หลังแรก รับเทคโนโลยี Life Smart กล้อง CCTV ติดในบ้าน พร้อมระบบควบคุมการเปิดปิดไฟและเปลี่ยนสีไฟได้โดยผ่าน Application ใน Smart Phone ราคาเริ่มต้น 5.99–15 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการมาพร้อมกับระบบรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐาน SC ASSET ที่มี Double Security Gate ระบบประตู 2 ชั้น ตลอด 24 ชม. พร้อมกล้อง CCTV ทั่วทั้งโครงการ, สัญญาณกันขโมยในตัวบ้านระบบ Magnetic และ Shock Sensor, ควบคุมการเข้าออกด้วยระบบ Easy Pass ข้อมูลเพิ่มเติมโทร 1749 หรือ www.scasset.com
ยิปรอค นำเสนอนวัตกรรมความแข็งแกร่งระบบผนังและฝ้าเพดาน ครั้งแรกของวงการยิปซัมเมืองไทยในงานสถาปนิก’60

ยิปรอค นำเสนอนวัตกรรมความแข็งแกร่งระบบผนังและฝ้าเพดาน ครั้งแรกของวงการยิปซัมเมืองไทยในงานสถาปนิก’60

03 พฤษภาคม 2560 กรุงเทพฯ - บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงแบรนด์ “ยิปรอค” และผู้ให้บริการโซลูชั่นส์ระบบผนังและฝ้าเพดานครบวงจรมานานกว่า 45 ปี ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมระบบการก่อสร้างผนังและเพดานสำเร็จรูปภายในด้วยผลิตภัณฑ์แผ่นยิปซัมรุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับที่พักอาศัย ภายใต้แนวคิด “Inside-Out Space” ในงานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม ครั้งที่ 31 (งานสถาปนิก'60) โดยครั้งนี้ยิปรอคนำเสนอนวัตกรรมและรูปแบบการใช้งานผลิตภัณฑ์ยิปซัมคุณภาพสูง ในการก่อสร้างและตกแต่งที่พักอาศัยได้อย่างสวยงามแบบไร้ข้อจำกัด พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด ปูนยิปฟิลล์ ซุปเปอร์จ๊อยท์ (Gypfill SUPERJOINT) ปูนฉาบรอยต่อแผ่นยิปซัม สูตรพิเศษสีขาว  อีกทั้งภายในบูธยังมีการสาธิตในรูปแบบผนังสำเร็จรูปที่สามารถรับน้ำหนักโซฟาได้มากถึง 85 กก. ได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อโชว์ประสิทธิภาพการใช้งานและความแข็งแกร่งอันน่าทึ่งของนวัตกรรมแผ่นยิปซัม ยิปรอค ฮาบิโต้  (Gyproc® HabitoTM) แนวคิด “Inside-Out Space” ของยิปรอคเกิดจากการผสานความเป็นบ้านเข้ากับธรรมชาติ ผ่านการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบภายในด้วยการใช้วัสดุตกแต่งอาคารคุณภาพสูงและนวัตกรรมการก่อสร้างรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างความสมดุลของการพักอาศัยที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นแผ่นผนังยิปซัม แผ่นฝ้าเพดาน โครงคร่าวเหล็ก และผลิตภัณฑ์ปูนปลาสเตอร์ ตลอดจนโซลูชั่นส์รูปแบบใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ในบูธของยิปรอคไม่ได้จำกัดเฉพาะการตกแต่งบ้านพักอาศัยเท่านั้น หากยังครอบคลุมถึงพื้นที่ใช้สอยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ อาทิ ห้องโฮมเธียเตอร์ ห้องเล่นเด็ก ห้องครัว ห้องทำงาน ห้องอเนกประสงค์ ฯลฯ บูธกิจกรรมยิปรอคนำเสนอแนวคิดการตกแต่งห้องด้วยแผ่นยิปซัมในการสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์การพักอาศัยที่เหนือระดับ เพื่อสาธิตแนวทางการใช้งานผลิตภัณฑ์เพื่อการตกแต่งห้องให้มีความสวยงามทันสมัย ซึ่งผู้เข้าชมงานจะได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงของยิปรอค ซึ่งนำมาติดตั้งเป็นห้องตัวอย่างให้เห็นถึงการใช้งานจริงที่เปี่ยมด้วยคุณสมบัติพิเศษทั้งในด้านการป้องกันความร้อน การป้องกันความชื้นและเชื้อรา และการป้องกันเสียงรบกวนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำเสนอแนวคิดและแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคเกิดแนวคิดในการตกแต่งบ้านพักอาศัยของตนเองด้วยผลิตภัณฑ์ของยิปรอคนอกเหนือจากการใช้กั้นผนังห้องหรือกรุฝ้าเพดานทั่วไป โดยไฮไลท์สำหรับปีนี้คือการติดตั้งระบบผนังด้วยแผ่นยิปซัมรุ่น ยิปรอค ฮาบิโต้  (Gyproc® HabitoTM) ซึ่งมอบความแข็งแกร่งและรับน้ำหนักได้มากเป็นพิเศษถึง 15 กิโลกรัมต่อจุด มีความแข็งแรงกว่ายิปซัมบอร์ดทั่วไปถึง 5 เท่า ด้วยวิธีการสาธิตแขวนโซฟาขนาดยักษ์โดยใช้สกรูไม้เบอร์10 จำนวน 6 ตัว ในการรองรับน้ำหนัก 85 กก. เพื่อพิสูจน์ความแข็งแรงให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด มร. ริชาร์ด จูเชรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ยิปรอครู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ในงานสถาปนิก’60 ซึ่งถือเป็นงานจัดแสดงสินค้าและวัสดุก่อสร้างครั้งสำคัญของเมืองไทย งานครั้งนี้ทำให้เราได้พบปะกับลูกค้ารายใหม่และมีโอกาสนำเสนอโซลูชั่นส์การก่อสร้างชั้นเลิศของเราสู่ผู้บริโภคโดยตรง บริษัทไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่มจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและสนับสนุนการก่อสร้างอาคารด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนของประเทศไทย ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ยิปรอคที่ผลิตขึ้นภายใต้แนวคิดเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ Gyproc Go Green อันได้แก่ (1) Green Products, (2) Green Solutions, และ (3) Green Manufacturing โดยเฉพาะระบบผนังของยิปรอคนั้นมีความเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการตกแต่งภายในบ้านสมัยใหม่ เนื่องจากมีน้ำหนักเบา รับน้ำหนักแขวนได้มากเป็นพิเศษ พร้อมคุณสมบัติป้องกันเสียงรบกวน ไม่ติดไฟ และป้องกันความร้อนเข้าสู่ภายในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นอกเหนือจาก ยิปรอค ฮาบิโต้  (Gyproc® HabitoTM) ยิปรอคยังนำเสนออีก 4 ผลิตภัณฑ์เด่นในงานสถาปนิก’60 ครั้งนี้ ได้แก่ ปูนยิปฟิลล์ ซุปเปอร์จ๊อยท์ (Gypfill SUPERJOINT) ปูนฉาบรอยต่อแผ่นยิปซัม สูตรพิเศษสีขาว ใช้สำหรับงานฉาบรอยต่อแผ่นยิปซัม ซ่อมรอยแตก รอยถลอก หรือฉาบตกแต่งแผ่นยิปซัมให้เรียบร้อย ทำให้พื้นผิวผนังเรียบเนียน สวยงามไม่ยุบตัว ให้การยึดเกาะสีดีเยี่ยม และสามารถทาสีทับได้โดยไม่ต้องทาสีรองพื้น ยิปรอค กลาสร็อค เอช โอเชียน (Gyproc® Glasroc H OCEAN) แผ่นยิปซัมสำหรับพื้นที่เปียก ด้วยคุณสมบัติป้องกันความชื้นและเชื้อรามากกว่าแผ่นยิปซัมทั่วไป ปูนยิปรอค แม็กเนติค (Gyproc® Magnetic Plaster) ปูนฉาบตกแต่งภายในสูตรพิเศษที่ทำให้ผนังทั่วไปสามารถยึดเกาะกับแถบแม่เหล็กได้ พร้อมคุณสมบัติการปกปิดรอยแตกร้าวได้เนียนสนิท เหมาะสำหรับใช้ตกแต่งห้องเด็กเล่นและมุมทำงานของโฮมออฟฟิศได้อย่างดีเยี่ยม และแผ่นฝ้าเพดานยิปรอค ยิปโทน แอคทีฟ แอร์ (Gyproc® Gyptone® Activ’ Air) แผ่นฝ้าที่สามารถดูดซับเสียงสะท้อนภายในห้อง และช่วยปรับสภาพอากาศภายในห้องได้อย่างดีเยี่ยม เหมาะสำหรับสถาบันการศึกษา โรงเรียน โรงพยาบาล ร้านค้า และสำนักงาน ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดของยิปรอคผลิตขึ้นภายใต้แนวคิดเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ Gyproc Go Green ในรูปแบบของกลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจต่อสุขภาพแบบครบวงจร เพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าทั้งแก่พนักงานในสายการผลิต ลูกค้า ผู้ติดตั้ง และผู้บริโภคทั่วไป หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ หมายเลขโทรศัพท์ 02-640-8600 และติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์  http://www.gyproc.co.th/ หรือเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/GyprocClub  
เฌอร่า นำเสนอการใช้วัสดุทดแทนไม้เพื่อสร้างสรรค์งานดีไซน์แนวใหม่ ด้วยแนวคิด “Creativity Beyond Imagination” ในงานสถาปนิก’60

เฌอร่า นำเสนอการใช้วัสดุทดแทนไม้เพื่อสร้างสรรค์งานดีไซน์แนวใหม่ ด้วยแนวคิด “Creativity Beyond Imagination” ในงานสถาปนิก’60

กรุงเทพฯ 3 พฤษภาคม 2560 – บริษัท มหพันธ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ ภายใต้แบรนด์ เฌอร่า (SHERA) และกระเบื้องหลังคาตรา ห้าห่วง (HaHuang) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านวัสดุทดแทนไม้ นำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อบ้านพักอาศัยในงานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม ครั้งที่ 31 (งานสถาปนิก’60) เนรมิต “มหพันธ์ พาวิลเลียน” โดดเด่นภายในงาน ตามสโลแกน “Creativity Beyond Imagination” เพื่อนำเสนอแนวคิดการใช้วัสดุทดแทนไม้แนวใหม่และยกระดับผลิตภัณฑ์แบรนด์เฌอร่าและห้าห่วงให้เป็นมากกว่าวัสดุตกแต่งบ้าน หากสามารถตอบโจทย์งานออกแบบที่สร้างสรรค์และสถาปัตยกรรมทุกรูปแบบได้อย่างไร้ข้อจำกัด นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มหพันธ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม ครั้งที่ 31 หรืองานสถาปนิก’60 นับเป็นงานแสดงเทคโนโลยีก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน การร่วมงานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีในการแสดงให้เห็นว่า มหพันธ์ไฟเบอร์ซีเมนต์เป็นผู้นำในตลาดวัสดุทดแทนไม้เบอร์หนึ่งของไทย และเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของเรา รวมถึงแนวคิดการใช้งานไฟเบอร์ซีเมนต์รูปแบบใหม่ๆ ให้กับกลุ่มสถาปนิก นักออกแบบ ผู้พัฒนาโครงการ ตลอดจนผู้บริโภคทั่วไปให้ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมบูธเฌอร่าจะได้เห็นถึงคุณสมบัติอันน่าอัศจรรย์ของวัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์ ตลอดจนแนวคิดการใช้งานที่เปลี่ยนจากกฎเกณฑ์เดิมๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเปลี่ยนแนวคิดของผู้บริโภคให้หันมาพิจารณาวัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์ในแนวทางใหม่ๆ ในฐานะวัสดุทดแทนไม้ได้แบบ 100% ซึ่งสามารถนำไปใช้เพื่อการสร้างสรรค์ผลงานได้ทุกรูปแบบ” นวัตกรรมล่าสุดที่ถือเป็นไฮไลท์ของมหพันธ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ในปีนี้ มีทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ซีเมนต์เฌอร่าและกระเบื้องมุงหลังคาตราห้าห่วง ได้แก่ เทคโนโลยีคัลเลอร์ทรู (Color Through Technology) เทคนิคการผสมสีในเนื้อผลิตภัณฑ์ด้วยนาโนพิกเมนต์สีชนิดพิเศษ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีสีสันสวยงามจากภายในถึงภายนอกใกล้เคียงไม้ธรรมชาติมากที่สุด ประกอบด้วย ไม้พื้น เฌอร่า คัลเลอร์ทรู หลังคา เฌอร่า ซีดาร์เชค และ หลังคาห้าห่วงชิงเกิ้ล เทคโนโลยีคริสตัล เอนจิเนียร์ริง (Crystal Engineering) การพัฒนาสสารของวัตถุดิบในระดับคริสตัล (ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าระดับนาโน) เพื่อเพิ่มคุณสมบัติให้ผลิตภัณฑ์อย่าง เฌอร่า บอร์ด และผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีความแข็งแกร่งและทนทานขึ้นกว่าเดิม 10% เทคโนโลยีหลังคาเย็น (Cool Technology) ซึ่งสามารถสะท้อนความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้สูงสุด 80% โดยไม่พึ่งฉนวนกันความร้อน บ้านจึงเย็นสบาย และประหยัดค่าไฟฟ้าจากเครื่องปรับอากาศได้ถึง 30% โดยนำเทคโนโลยีนี้มาใช้กับผลิตภัณฑ์หลายรุ่น เช่น หลังคาไตรลอน ตราห้าห่วง รุ่นคูล ซีรีส์ และหลังคาไตรลอน เมทัลลิค คูล เป็นต้น “ปัจจุบันนี้ วัสดุไม้จริงนับว่าหายากขึ้นในท้องตลาด เนื่องจากเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด ประกอบกับมีข้อเสียเรื่องปลวก ความชื้น และไม่ทนไฟ ซึ่งหากผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้ไฟเบอร์ซีเมนต์ก็จะหมดกังวลกับปัญหาดังกล่าว โดยที่ยังได้ความรู้สึกราวกับไม้จริง แต่ทนทาน และดูแลรักษาง่ายกว่า ในส่วนของความสวยงามนั้นก็มีลวดลายให้เลือกหลากหลาย โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มคัลเลอร์ทรูซึ่งใช้เทคโนโลยีผสมสีในเนื้อวัสดุ ทำให้มีความใกล้เคียงกับไม้จริงมากที่สุด เราคาดว่าไฟเบอร์ซีเมนต์จะได้รับความนิยมในท้องตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ เรายังมีเทคโนโลยีที่สามารถนำไฟเบอร์ซีเมนต์ไปใช้ร่วมกับกลุ่มวัสดุก่อสร้างหลายประเภท และได้พัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกทางหนึ่ง” “นอกเหนือจากการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่นิยมในท้องตลาดแล้ว บริษัทยังมีนโยบายพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภค (Green Policy) ปราศจากแร่ใยหิน และการใช้เทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด (Zero waste) ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสรรหาวัตถุดิบ การผลิต จนถึงมือผู้บริโภค เพื่อสุขภาพที่ดีของพนักงานตลอดจนกลุ่มผู้ใช้งาน ซึ่งทำให้แบรนด์เฌอร่าเป็นสินค้ารายแรกและรายเดียวในประเทศไทย และห้าห่วงเป็นรายแรกในเอเชียที่ผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ระดับสากลจากสถาบันระดับนานาชาติ EPD (Environmental Product Declaration) ISO 14025 และ EN 15804 และยังได้รับรางวัล Thailand's  Most Admired Brand ในหมวดแบรนด์ที่น่าเชื่อถือที่สุด กลุ่มไม้และวัสดุทดแทน จากนิตยสาร BrandAge ติดต่อกันถึง 6 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 – 2017 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทเป็นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างที่คำนึงถึงผู้บริโภคและสังคมเป็นหลัก” นายประกรณ์ กล่าวเสริม ค้นพบวัสดุก่อสร้างแห่งยุค “ไฟเบอร์ซีเมนต์ เฌอร่า และ หลังคาห้าห่วง” พร้อมไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในงานดีไซน์ นำเสนอมุมมองใหม่ของวัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์ ที่ไม่ใช่เพียงสิ่งทดแทนไม้เท่านั้น แต่เป็นวัสดุจริงที่สามารถใช้สร้างสรรค์งานได้อย่างหลากหลาย ร่วมออกจากกฎเกณฑ์เดิมๆ สู่อิสระแห่งการดีไซน์อันไร้ขอบเขตกับเฌอร่าและห้าห่วงได้แล้ววันนี้
แบรนด์จระเข้” ก้าวสู่ยุค 4.0 ด้วยการเปลี่ยนชื่อองค์กรใหม่!!! ภายใต้ชื่อ “บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” อย่างเป็นทางการ ในงานสถาปนิก’60 จ่อเดินหน้ารุกตลาดโลกต่อเนื่อง

แบรนด์จระเข้” ก้าวสู่ยุค 4.0 ด้วยการเปลี่ยนชื่อองค์กรใหม่!!! ภายใต้ชื่อ “บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” อย่างเป็นทางการ ในงานสถาปนิก’60 จ่อเดินหน้ารุกตลาดโลกต่อเนื่อง

“แบรนด์จระเข้” ประกาศศักยภาพอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง ก้าวสู่ยุค 4.0 ด้วยการเปลี่ยนชื่อองค์กรใหม่!!! ภายใต้ชื่อ “บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” อย่างเป็นทางการ ในงานสถาปนิก’60 จ่อเดินหน้ารุกตลาดโลกต่อเนื่อง เตรียมขึ้นแท่นผู้นำอันดับ 1 ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมพบการเปิดตัวครั้งแรกกับ 2 นวัตกรรมใหม่ล่าสุด เจ้าแรกในตลาด “กาวซีเมนต์จระเข้ เอ็กซ์ตรีม” และ “สีจระเข้ คัลเลอร์ สตัคโค ประกาศอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อย ในงานสถาปนิก 60 …กับก้าวใหม่แบรนด์จระเข้ ภายใต้ชื่อองค์กรใหม่ “บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” (จากชื่อเดิม บริษัท เซอรา ซี-เคียว จำกัด)” ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตราจระเข้มากว่า 25 ปี ครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง และพร้อมเตรียมก้าวขึ้นเป็นที่ 1 ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  พร้อมรุกหนักเร่งทำการตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV เน้นตลาดในพม่า และเวียดนามเป็นหลัก ตั้งเป้าปีนี้จะเติบโตขึ้นจากปีที่แล้ว 15-20% นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด  ออกเปิดเผยอย่างเป็นทางการครั้งแรก ในงานสถาปนิก 60 ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขององค์กร แบรนด์จระเข้ ที่ได้มีการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ โดยได้กล่าวว่า “ปัจจุบันองค์กรของเราผู้บริหารแบรนด์จระเข้ ใช้ชื่อ “บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” อย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากชื่อเดิมคือ บริษัท เซอรา ซี-เคียว จำกัด โดยดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ มีผลตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเหตุที่เราปรับเปลี่ยนชื่อบริษัทนั้น เราต้องการให้ชื่อแบรนด์จระเข้ ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าที่เราเป็นทั้งผู้ผลิตและจัดจำหน่าย กับชื่อของบริษัทเป็นชื่อเดียวกัน จึงเป็นที่มาของชื่อ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้ถือเป็นก้าวใหม่ขององค์กร  ที่ไม่ใช่ก้าวเริ่มต้น แต่จะเป็นก้าวกระโดด อย่างยิ่งใหญ่ของแบรนด์จระเข้กว่า 25 ปีที่ผ่านมา ที่เราผลิตและจัดจำหน่ายกาวซีเมนต์-ยาแนว วัสดุติดตั้ง-ตกแต่งกระเบื้อง เคมีซีเมนต์เพื่อแก้ปัญหาร้าวรั่วซึม และสีคัลเลอร์ซีเมนต์ ครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นบริษัทชั้นนำทางด้านธุรกิจวัสดุก่อสร้างที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน การดำเนินธุรกิจในประเทศที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จอย่างมาก ผลิตภัณฑ์แบรนด์จระเข้ ได้รับการตอบรับและเป็นที่รู้จักดีของตลาดวัสดุก่อสร้าง โดยกลุ่มสินค้าหลักที่เป็นตัวสร้างยอดขายคือกาวซีเมนต์และกาวยาแนว  ซึ่งปัจจุบันเรามีตัวแทนจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ มากกว่า 4,000 ราย ครอบคลุมทั่วทุกแห่ง เข้าถึงทุกชุมชนในทุกพื้นที่ในประเทศ และกลุ่มประเทศ CLMV สร้างยอดขายทำให้ผลประกอบการของบริษัท เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด สำหรับปีนี้เราได้ตั้งเป้ายอดขายเติบโตต่อเนื่องเหมือนทุกๆปี โดยปีนี้จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดต่างประเทศกลุ่ม CLMV มากขึ้น โดยวางเป้าหมายไว้ที่ ประมาณ 2,800 ล้านบาท เติบโตจากปี 2559 ประมาณ 15-20% ก้าวใหม่แบบก้าวกระโดดของเราต่อจากนี้ แบรนด์จระเข้ พร้อมเตรียมก้าวขึ้นเป็นที่ 1 ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอีกไม่นานนี้   ซึ่งภายใน 3-5 ปีจากนี้  เราให้ความสำคัญในการทำตลาดต่างประเทศมากขึ้น เร่งเดินหน้ารุกหนักตลาดโลก และตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เน้นหนักไปที่ตลาดในกลุ่ม CLMV โดยเฉพาะประเทศพม่าและเวียดนาม  โดยตั้งเป้ายอดขายในตลาดต่างประเทศ เป็นสัดส่วนอยู่ที่ 25-30% ของยอดขายทั้งหมด  ซึ่งจะเน้นส่งออกผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้ามูลค่าสูง (High Value) เพื่อให้ได้เม็ดเงินจำนวนมากเข้าสู่ประเทศไทย และทำการตลาดขยายฐานลูกค้าใหม่ สร้างการรับรู้แบรนด์จระเข้ ให้เป็นที่รู้จักในตลาดต่างประเทศมากยิ่งขี้น หลังวางรากฐานมาแล้ว โดยเริ่มส่งออกผลิตภัณฑ์แบรนด์จระเข้ ออกสู่ตลาดต่างประเทศตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา นอกจากเน้นหนักในการทำการตลาดต่างประเทศแล้ว  เรายังมุ่งเดินหน้าสู่สิ่งที่ดีกว่าในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการระบบการทำงานต่างๆ ขององค์กร ตลอดจนการพัฒนาและวิจัยสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ดีกว่า ล้ำกว่า ตอบสนองและเข้าถึงความต้องการของลูกค้า และความต้องการของตลาดได้มากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตที่จะเกิดขึ้น  และที่สำคัญเรามีแผนในการนำบริษัท เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมตัวเพื่อเตรียมความพร้อม จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่ากว่า 25 ปี องค์กรของเราไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่เคยหยุดพัฒนา ให้ความสำคัญและใส่ใจในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะต่อลูกค้า บุคลากรภายในองค์กร หรือคนรอบข้างนอกองค์กร  ส่งผลให้ในปี 2559 ที่ผ่านมา  แบรนด์จระเข้เป็นองค์กรที่เป็นผู้นำแห่งนวัตกรรมการผลิต ที่ใส่ใจทั้งคุณภาพสินค้า คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม ได้รับมาตรฐานคุณภาพ ISO 14001 : 2015 บ่งบอกความเป็นเลิศด้านระบบจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดจากหน่วยงานและองค์กรทั่วโลก เป็นการก้าวสู่ Green Industry ระดับ 3 อย่างเต็มตัว  ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีลดฝุ่น ทันสมัยที่สุดในโลก ลดการใช้พลังงาน ลดการสร้างของเสียมลพิษ นอกจากนี้ ยังได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐาน ISO 9001 : 2008 แสดงถึงความเป็นเลิศด้านคุณภาพและประสิทธิภาพภายในองค์กรอีกด้วย สำหรับการร่วมออกบูธของ “จระเข้” กับงานสถาปนิก 60 ในปีนี้ ต้องบอกว่านับตั้งแต่ครั้งแรกที่มีงานสถาปนิก  “จระเข้” ได้เข้าร่วมงานทุกปีอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ ของบริษัทฯ ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มสถาปนิก นักออกแบบ รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจก่อสร้างและสถาปัตยกรรม  ในปีนี้คอนเซปต์ของเรายังคงเป็นไปตามปณิธานขององค์กร คือ “การสร้างสรรค์ความสุข เพื่อคุณและทุกคนในครอบครัว - Innovation for your family’s happiness” โดยไฮไลท์ปีนี้  “จระเข้” มีการเปิดตัว 2 นวัตกรรมสินค้าใหม่ เจ้าแรกในตลาด ได้แก่ “กาวซีเมนต์ จระเข้ เอ็กซ์ตรีม” ที่สุดแห่งกาวปูกระเบื้องใหญ่ยักษ์”  มีพลังยึดเกาะสูงเป็นพิเศษ ช่วยในการยึดเกาะกระเบื้องแผ่นใหญ่ ขนาด 3 เมตรขึ้นไป ที่มีน้ำหนักมากๆ ทนต่อสภาวะอากาศ เหมาะสำหรับกระเบื้องพอร์ซเลนขนาดใหญ่ หินอ่อน หินแกรนิตธรรมชาติ  ปูได้ทุกพื้นผิว ทั้งภายใน ภายนอกอาคาร  หรือปูทับกระเบื้องเดิมทั้งพื้นและผนัง  สินค้าได้รับมาตรฐานทั้งอเมริกาและยุโรป ซึ่งเป็นเทรนด์ของการใช้กระเบื้องเซรามิคในปัจจุบัน ที่เน้นแผ่นใหญ่ยักษ์ทั้งการปูพื้นและผนัง “จระเข้” จึงคิดค้นนวัตกรรมการผลิต กาวซีเมนต์ จระเข้ เอ็กซ์ตรีม ขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์และรองรับการใช้งานดังกล่าวเป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย และอีกหนึ่งนวัตกรรมไฮไลท์ ก็คือ “จระเข้ คัลเลอร์ สตัคโค” จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้การออกแบบต้องการความแตกต่าง  ไม่ใช่แค่เรื่องความสวย แต่ต้องมี function ด้วย เราจึงคิดค้นและขอนำเสนอนวัตกรรมสีที่ให้คุณค่าทั้งสองส่วนในหนึ่งเดียว จระเข้ คัลเลอร์ สตัคโค คือมอร์ต้าสีชนิดพิเศษ เปลี่ยนผนังภายนอกให้เป็นผลงานที่คุณสามารถสร้างสรรค์ให้มีมิติโดดเด่น ได้มากมาย  ตอบรับการออกแบบได้เป็นอย่างดี เนื้อวัสดุ Hybrid ที่จะทำให้ความสวยและความแกร่งผสานเป็นเรื่องเดียวกัน ช่วยให้ผู้ออกแบบเติมจินตนาการบนผนังให้สวยลึก มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวยิ่งขึ้น ตอบโจทย์การใช้งาน ลดการดูแลรักษา เหมาะสำหรับผนังภายนอก ให้ความคงทนสูงไปอีกขั้น ทนทุกสภาวะ และความชื้นสูง ใช้ได้ดีกับผนังภายในที่ต้องการความแตกต่างในรายละเอียด กับ คอนเซปต์สินค้าที่ว่า  “Freestyle to design, worry free to use”  การเข้าร่วมงานในครั้งนี้ เราคาดหวังว่าสินค้าแบรนด์จระเข้ของเราจะเป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น  โดยสินค้าที่ได้นำเสนอไปนั้นจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงประเด็น ซึ่งในช่วงแรกสินค้า 2 ตัวนี้คงเน้นจำหน่ายในประเทศก่อน โดยกลุ่มเป้าหมายหลักเน้นไปที่ เจ้าของบ้าน  เจ้าของโครงการ และสถาปนิก นายศุภพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายถึงภาพรวมและการแข่งขันของตลาดรวมธุรกิจสินค้าอุปกรณ์เพื่องานก่อสร้างว่า “สำหรับปี 2559 ที่ผ่านมา ด้วยทิศทางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอาจทำให้ตลาดรวมธุรกิจวัสดุก่อสร้างไม่คึกคักเท่าที่ควร  อีกทั้งในปีปัจจุบันนี้ ยังมีคู่แข่งรายใหม่ๆ เข้ามามากพอสมควร สภาวะตลาดโดยทั่วไปยังถือว่าไม่ค่อยดีมากนักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ดังนั้นจึงมีการแข่งขันในเรื่องสงครามราคามากพอสมควร  แต่อย่างไรก็ตาม “จระเข้” ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง  และเชื่อมั่นว่าจะยังรักษาแชมป์ความเป็นผู้นำในตลาดไว้ได้อย่างแน่นอน”
“แอสเซทไวส์” บุกใจกลางเมือง ลุยทำเลฮ็อต “ลาดพร้าว–โชคชัย 4” ส่ง “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” คอนโดที่ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ ในแนวคิด “Eco Design…เพื่อไลฟ์สไตล์คนเมือง”

“แอสเซทไวส์” บุกใจกลางเมือง ลุยทำเลฮ็อต “ลาดพร้าว–โชคชัย 4” ส่ง “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” คอนโดที่ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ ในแนวคิด “Eco Design…เพื่อไลฟ์สไตล์คนเมือง”

บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ ที่ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ ส่งคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุดลุยตลาดกับ “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” (Wynn Condo Ladprao-Chokchai 4) ต่อยอดความสำเร็จแบรนด์ “วินน์ คอนโด” กับคอนโดแต่งครบชูคอนเซ็ปต์ “Eco Design…เพื่อไลฟ์สไตล์คนเมือง”  ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ บนทำเลฮ็อต ลาดพร้าว – โชคชัย 4  เป็นครั้งแรก ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบทุกฟังก์ชั่น ในราคาเริ่มต้น 1.6 ล้านบาท นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด เผยว่า “วินน์” (Wynn) เป็นหนึ่งในแบรนด์คอนโดมิเนียมของบริษัทฯ ที่ประสบความสำเร็จ ได้รับการตอบรับที่ดี ด้วยทำเลที่ตั้งที่โดดเด่น สะดวกในการเดินทาง ดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์  ในปีนี้บริษัทฯ จึงได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ Wynn เพิ่มอีกหนึ่งโครงการ โดยเป็นทำเลใหม่ที่รุกใจกลางเมืองยิ่งขึ้น ได้แก่โครงการ  “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” ตั้งอยู่บนถนนโชคชัย 4 ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพที่แวดล้อมไปด้วยความสะดวกสบายรอบด้าน แหล่งรวมร้านอาหารชั้นนำ การคมนาคมที่สะดวกสบาย สามารถเดินทางสู่ย่านธุรกิจใจกลางเมืองได้อย่างคล่องตัว ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ (ลาดพร้าว) และอยู่ใกล้รถไฟฟ้าถึง 2 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้า MRT สถานีลาดพร้าว และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีโชคชัย 4 ซึ่งจะเปิดให้บริการในอีกไม่ช้าทั้งยังรองรับด้วยการคมนาคมหลากหลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น ถนนลาดพร้าว ถนนพหลโยธิน ถนนรัชดาภิเษก ถนนประดิษฐ์มนูธรรม และถนนเกษตร-นวมินทร์ พร้อมทั้งอยู่ใกล้สถานที่สำคัญ ทั้งสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสถานที่อำนวยความสะดวกต่าง ๆ อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ ตลาดโชคชัย 4 โรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล  (โชคชัย 4) ห้างสรรพสินค้าเมเจอร์ รัชโยธิน และ The Jass วังหิน เป็นต้น “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” โดดเด่นด้วยการออกแบบและสร้างสรรค์ ภายใต้แนวคิด “Eco Design…เพื่อไลฟ์สไตล์คนเมือง” ใส่ใจรายละเอียดทั้งภายนอกและภายใน ด้วยแรงบันดาลใจจากการใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติในสังคมเมืองได้อย่างลงตัว เริ่มต้นจากการออกแบบอาคารให้อากาศถ่ายเทได้ทั่วถึง เลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดพลังงาน อาทิ ใช้แผงพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ที่บริเวณสวนดาดฟ้า ใช้หลอดไฟ LED ที่สามารถประหยัดพลังงานได้ถึง 20% รวมถึงแปลงปลูกผักสวนครัวที่ลูกบ้านรับประทานได้  ทั้งยังจัดสรรพื้นที่จอดจักรยาน ตอบสนองการใช้ชีวิตแบบ Ecology มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินที่มีเอกลักษณ์ เลือกใช้วัสดุคุณภาพ คำนึงถึงฟังก์ชั่นการใช้งานและประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่า พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่าง Bluetooth Sound System ระบบหน้าจอสัมผัสรุ่นล่าสุด ที่ไม่ว่าจะอยู่บริเวณไหนของห้องก็สามารถเพลิดเพลินกับการฟังเพลงได้ทุกที่ “นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและตอบสนองทุกด้านของการใช้ชีวิต ด้วยอาคารส่วนกลางที่ถูกออกแบบให้เป็นสถานที่ชิลเอ้าท์สำหรับผู้อยู่อาศัย แยกออกมาจำนวน 1 อาคารเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว ขยายพื้นที่พักผ่อนที่ให้ความรู้สึกโปร่งสบายกับดูเพล็กซ์ ล็อบบี้ เลานจ์ (Duplex Lobby Lounge) พร้อม ห้องสมุด (Library / Social Club) มุมเงียบสงบเป็นส่วนตัวสำหรับทำงาน อ่านหนังสือ ฟิตแอนด์เฟิร์มด้วยห้องออกกำลังกายที่สามารถมองเห็นวิวได้อย่างชัดเจน (Panoramic Fitness) สระว่ายน้ำที่มาพร้อมอ่างน้ำวน (Scenic Swimming Pool & Jacuzzi) และเติมความพิเศษยิ่งขึ้นด้วยพื้นที่พักผ่อนสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ บนชั้น Roof Top ของอาคาร ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สำหรับจัดปาร์ตี้บาร์บีคิว (Barbecue Terrace) พื้นที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง (Outdoor Gym) สวนหมากรุกที่ไม่เหมือนใคร (Chess Garden) และพื้นที่ส่วนกลางสำหรับนั่งทำงาน (Co-Working Space) พร้อมยังเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยด้วยประตูระบบ Digital Door Lock กล้องวงจรปิด ควบคุมการเข้าออกโครงการด้วยระบบคีย์การ์ด ปลอดภัยอีกขั้นด้วยระบบลิฟท์ล็อคชั้น และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง” นายกรมเชษฐ์ กล่าว “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว - โชคชัย 4” เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร รวม 325 ยูนิต และอาคารส่วนกลาง สูง 3 ชั้น จำนวน 1 อาคาร มูลค่าโครงการประมาณ 650 ล้านบาท รวมพื้นที่โครงการทั้งสิ้น  2-1-54 ไร่ ประกอบด้วยห้องชุดขนาดต่าง ๆ ได้แก่ ห้อง 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ 23.18 – 23.60  ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Extra ขนาดพื้นที่ประมาณ 25.33 – 25.70 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Exclusive ขนาดพื้นที่ประมาณ 25.67 – 34.86 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ประมาณ 34.79 – 39.97 ตร.ม. และห้อง 2 Bedroom ขนาดพื้นที่ 42.91 – 48.24 ตร.ม. โดยจะเริ่มก่อสร้างในปี 2560 และคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2561 ผู้สนใจ สามารถเยี่ยมชมห้องตัวอย่าง ณ สำนักงานขาย วินน์ คอนโด ถนนโชคชัย 4 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 081 614 1144 หรือ www.wynn-condo.com
“โพลี เพลสฯ พหลโยธิน 23” เปิดขายตึกใหม่แล้ว หลังยอดจองกระฉูดกว่า 80%

“โพลี เพลสฯ พหลโยธิน 23” เปิดขายตึกใหม่แล้ว หลังยอดจองกระฉูดกว่า 80%

แตกไลน์มาเป็นดิวิลอปเปอร์ กลุ่มเซนต์จอห์นฯ เจ้าของที่ผืนงามหลายแปลง ปลื้มฟี๊ดแบ๊คคอนโดฯ ใหม่ โพลี เพลส คอนโด แอท พหลโยธิน 23 (Poly Place Condo @ Phahon Yothin 23) ยอดขายดีเกินคาด  หลังเปิดขายไม่ถึงสามเดือน ยอดจองสองอาคารเกิน 80% ล่าสุดเปิดขายตึกใหม่ เป็นอาคารสุดท้าย พรีเซลส์ วันที่ 13-14 พ.ค. นี้ พร้อมเปิดตัวห้องตัวอย่าง แต่งเสร็จสมบูรณ์เป็นครั้งแรก ติดใจ อัดโปรโมชั่นจองในงาน รับส่วนลดทันที 100,000 บาท พร้อมวอชเชอร์เครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่า 50,000 บาท คาดปิดการขายได้ภายใน 3 เดือน คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายในพฤศจิกายน 2561 ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการขอ EIA  คุณชัยณรงค์ มนเทียรวิเชียรฉาย ประธานกรรมการ บริษัท ซาแลน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เผยว่า “จากการก่อสร้างของรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีความคืบหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ  ทำให้ย่านดังกล่าว โดยเฉพาะหัวถนนไล่ไปจนถึงเมเจอร์รัชโยธิน มีความตื่นตัวและเติบโตสูง เห็นได้ชัดจาก เริ่มมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่จากที่อยู่อาศัยเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์มากขึ้น  ในส่วนของบริษัทฯ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว และมีที่ดินสะสมจึงตัดสินใจขึ้นโครงการ  โพลี เพลส คอนโด แอท พหลโยธิน 23 (Poly Place Condo @ Phahon Yothin 23) สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร จำนวนยูนิตโดยรวม 553 ยูนิต มีห้องชุดขนาดเริ่มต้น 29 – 58 ตร.ม. ที่จัดเต็มด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น สระว่ายน้ำระบบเกลือแบบ Infinity Edge ห้องออกกำลังกาย ลู่วิ่ง ท่ามกลางสวนสีเขียวสไตล์ Urban Tropical Garden กว่า 1 ไร่ ด้วยงบลงทุนกว่า 800 ล้านบาท  จุดเด่นของโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยมากที่สุด คือ สวนสวยขนาดใหญ่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้มากกว่าที่อื่น เมื่อเทียบกับโครงการ Low-Rise ด้วยกันในย่านนี้ อีกทั้งในเรื่องของLocation ของโครงการเอง ที่เข้า-ออกได้ 2 เส้นทาง ทั้ง ฝั่งวิภาวดี 32 และฝั่งพหลโยธิน 23 (ใกล้สถานีพหลโยธิน 24 : BTS สายสีเขียว โครงการส่วนต่อขยายมาจากจตุจักร) เมื่อเทียบระหว่างProduct, Location และราคาขาย จึงถือว่าเป็นโครงการที่มีความคุ้มค่า  โดยเริ่มเปิดขายครั้งแรกปลายเดือน ก.พ. จำนวน 2 อาคาร ตึก A และ B ด้วยยอดขายกว่า 80% พร้อมเตรียมเปิดอาคารC  เร็วๆ นี้ พรีเซลส์ 13-14 พ.ค. เปิดให้ชมห้องตัวอย่างแต่งเสร็จสมบูรณ์ครั้งแรก จองในงาน รับส่วนลด 100,000 บาท พร้อมวอชเชอร์เครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่า 50,000 บาท ทั้งนี้โครงการฯ มีการขยับราคาขายต่อตรม. ขึ้นมาเล็กน้อยตามปัจจัยตลาด
“ออริจิ้น” ชูแบรนดิ้ง My Life. My Origin บุกตลาด ดึง “ณเดชน์” ซุปเปอร์สตาร์อันดับ 1 ของไทย ขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมเปิดตัวคอนโดใหม่อีก 4 โครงการรวมมูลค่า 8,400 ล้านบาท

“ออริจิ้น” ชูแบรนดิ้ง My Life. My Origin บุกตลาด ดึง “ณเดชน์” ซุปเปอร์สตาร์อันดับ 1 ของไทย ขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมเปิดตัวคอนโดใหม่อีก 4 โครงการรวมมูลค่า 8,400 ล้านบาท

ออริจิ้น เปิดตัวแบรนดิ้งแคมเปญ “My Life. My Origin” เสริมแกร่งภาพลักษณ์ หลังโตพรวดต่อเนื่องตลอด 8 ปี เชื่อหมดยุคคนแห่อยู่ในเมือง ถึงยุคใช้ชีวิตแบบเป็นตัวเองในถิ่นทำเลที่คุ้นเคย พร้อมดึง “ณเดชน์” เป็นพรีเซ็นเตอร์ สะท้อนภาพลักษณ์บริษัทและคอนโดทั้ง 3 แบรนด์ ถือโอกาสดี ประกาศเปิดตัวคอนโดใหม่พร้อมกันอีก 4 โครงการ 3 แบรนด์ มูลค่ารวม 8,400 ล้านบาท   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), และเคนซิงตัน (Kensington) กล่าวว่า ตลอด 8 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2552 บริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง และมีก้าวสำคัญใหม่ๆ ทุกปี อาทิ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การมียอดขายทะลุ 1 หมื่นล้านบาท ดังนั้น วันนี้ ในช่วงที่บริษัทกำลังจะครบรอบ 8 ปีและก้าวเข้าสู่ปีที่ 9 จึงได้ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาทในการจัดทำแบรนดิ้งแคมเปญภายใต้แนวคิด “My Life. My Origin” หรือ “ชีวิตในฝันแบบที่เป็นคุณ” เพื่อให้บริษัทมีภาพลักษณ์ที่ชัดเจน สะท้อนตัวตนของแบรนด์โดดเด่นยิ่งขึ้น “เราค้นพบว่า สาเหตุที่ยอดขายตลอด 8 ปีที่ผ่านมาของเราเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเราสามารถเข้าถึงตลาดผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในแต่ละทำเล ยอดขายหลายๆ โครงการของเราเป็นผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในทำเลนั้นกว่า 70% สะท้อนว่าความสุขของลูกค้าของเรา คือการได้มีที่อยู่อาศัยในทำเลที่เขาคุ้นเคย ติดรถไฟฟ้า และนี่จึงเป็นที่มาของแบรนดิ้งแคมเปญ My Life. My Origin เราอยากให้ทุกคนใช้ชีวิตในฝันแบบที่เป็นคุณ” นายพีระพงศ์ กล่าว ที่ผ่านมา คอนโดมิเนียมมักถูกกล่าวถึงในฐานะบ้านหลังที่ 2 ผู้คนมักคิดว่าบ้านหลังที่ 2 ต้องอยู่ในเมือง เพื่อให้ใกล้ที่ทำงานที่สุด แต่นับจากนี้ไปจะไม่ใช่ยุคคนแห่ไปอยู่ในเมือง เพราะโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมอย่างรถไฟฟ้าสามารถกระจายเข้าถึงผู้คนในทุกพื้นที่ ตลาดคอนโดมิเนียมจะกลายเป็นบ้านหลังแรกของคนรุ่นใหม่ที่เกิดจากครอบครัวขยายหรือต้องการอยู่ในแนวรถไฟฟ้าใกล้แหล่งงาน กล่าวคือเดิมเคยอาศัยอยู่บ้านแนวราบในทำเลไหน พอมีครอบครัวเพิ่มเติม ก็ขยายไปอยู่ในคอนโดมิเนียมทำเลใกล้เคียงเดิม เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอยู่ในย่านที่คุ้นเคย ไปหาญาติพี่น้องได้สะดวก ประเทศไทยจะเหมือนประเทศญี่ปุ่นที่ผู้คนไม่ได้คาดหวังว่าต้องดิ้นรนเข้าไปอยู่ในเมือง อาศัยรถไฟฟ้าไปทำงานในแต่ละวัน การเป็นแบรนด์ที่ตอบสนองการใช้ชีวิตในฝันในแบบที่เป็นตัวเอง ไม่ต้องตามใคร จึงน่าจะเป็นแบรนด์ที่เข้าใจผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคตมากที่สุด “ค่าครองชีพในเมืองจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ราคาคอนโดมิเนียมในเมืองที่ราคา 3-5 ล้านจะไม่ใช่ราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ แถมอีกหน่อยคอนโดมิเนียมในเมืองอาจจะกลายเป็นคอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์ ที่ผู้ซื้อไม่ได้มีสิทธิ์ขาดตลอดไป ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความฝันของคนทั่วไป เพราะคนทั่วไปยังต้องการมีคอนโดมิเนียมที่ตัวเองมีสิทธิ์ขาด ราคาเข้าถึงได้ มีการตกแต่ง มีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เป็นรากดั้งเดิมของเขา ออริจิ้น ซึ่งมีความหมายถึงรากหรือต้นกำเนิด ไม่ซ้ำใคร ไม่ตามใคร จึงต้องการแสดงจุดยืนในฐานะผู้เข้าใจผู้บริโภคที่สุดผ่านแคมเปญ My Life. My Origin นี้” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงมุ่งหน้าพัฒนาคอนโดมิเนียมเจาะตลาดพรีเมียมแมส อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทต้องการเป็นแชมป์การพัฒนาคอนโดมิเนียมเจาะผู้ต้องการห้องระดับราคา 1.5 -3 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า เพื่อให้ภาพลักษณ์ของบริษัทและคอนโดมิเนียมแต่ละแบรนด์ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงได้ให้นายณเดชน์ คูกิมิยะ พระเอกระดับแถวหน้าของเมืองไทย ซึ่งมีบุคลิกที่สอดคล้องกับแบรนด์คอนโดมิเนียมทั้ง 3 แบรนด์ของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในแคมเปญ My Life. My Origin ด้วย “ณเดชน์ คือคนธรรมดาที่มีสไตล์ คือตัวแทนของคนทั่วไปที่มีทั้งมุมเนี้ยบดูดี มุมเท่ๆ และมุมสบายๆ ไม่ต้องแต่งตัวหรูหรา สะท้อนภาพได้ตั้งแต่คอนโดมิเนียมแบรนด์เท่แบบเรียบหรูอย่างไนท์บริดจ์ แบรนด์ที่มีความทันสมัยหรือโมเดิร์นอย่างนอต-ติ้ง ฮิลล์ และแบรนด์เท่แบบลุยๆ อย่างเคนซิงตัน นอกจากนี้ยังเป็นคนตั้งใจทำงานเพื่อให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด และอ่อนน้อมถ่อมตนซึ่งตรงกันกับวิธีการทำงานแบบออริจิ้น” นายพีระพงศ์ กล่าว พร้อมกันนี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการอีก 4 โครงการใหญ่ ได้แก่ 1. ไนท์บริดจ์ พหลโยธิน-อินเตอร์เชนจ์ (Knightsbridge Phaholyothin-Interchange) มูลค่า 2,100 ล้านบาท 2.นอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ @ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ (Notting Hill Skyscraper@Central Rattanathibet) มูลค่า 2,500 ล้านบาท 3.นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105 (Notting Hill Sukhumvit 105) เฟส 2 มูลค่า 1,300 ล้านบาท และ 4.เคนซิงตัน สุขุมวิท- เทพารักษ์ (Kensington Sukhumvit-Theparak) มูลค่า 2,500 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการกว่า 8,400 ล้านบาท เปิดวีไอพี พรีเซลพร้อมกัน 17 มิ.ย. นี้ ปัจจุบัน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 35 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 30,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
“Life ลาดพร้าว 2017” คอนโดสไตล์ใหม่รับเทรนด์ Digital Life พร้อมกับชีวิตแบบ PLATFORM OF SUCCESS เพราะที่นี่ทุก Space คือความสำเร็จ

“Life ลาดพร้าว 2017” คอนโดสไตล์ใหม่รับเทรนด์ Digital Life พร้อมกับชีวิตแบบ PLATFORM OF SUCCESS เพราะที่นี่ทุก Space คือความสำเร็จ

ในอีกหลายปีข้างหน้า 20XX-XXXX รูปแบบการชีวิตเราจะถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความหมายของ Digital Life ในชีวิตประจำวัน คงจะไม่ได้เป็นแค่ช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้น แต่สำหรับอนาคต Digital Life จะมาเป็นจุดเริ่มต้นของพื้นฐานความสำเร็จ ที่ไม่ใช่เพียงช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นอีกต่อไป แต่จะมาเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในชีวิตที่พาคุณไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้นการมองหาที่อยู่อาศัยสักที่หนึ่งที่ตอบสนอง Lifestyle และเข้าใจเทรนด์ของผู้อยู่อาศัย ก็คงเป็นสิ่งที่ควรมีไว้ครอบครองไม่แพ้โทรศัพท์มือถือ iPhone รุ่นใหม่เหมือนกัน!! “Life ลาดพร้าว” Live a Connected World คอนโดสูงระฟ้าที่สุดบนย่านห้าแยกลาดพร้าว เชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัดด้วยระบบ Digital Life ตั้งแต่ก้าวแรกที่คุณสัมผัสโครงการ “One Step Connect” ใช้ชีวิตติดเทรนด์ ที่แทบจะไม่จำเป็นต้อง Move ไปไหนชีวิตก็ครบได้ ซึ่ง Project นี้เป็นการจอยเวนเจอร์ของ 2 บริษัทระดับแนวหน้าอย่าง APTHAI และ Mitsubishi Estate Group รังสรรค์ Project Life 2017 พร้อมยกระดับแบรนด์ Life ของที่นี่ขึ้นไปอีกขั้น ด้วยภาพลักษณ์ที่เรียบหรู ลวดลายไม่เหมือนใคร และการมารวมตัวของนวัตกรรมเทคโนโลยี Living-Digital-Co Working สุดล้ำ เรียกได้ว่าชีวิตคุณจะ Move Successfully ทั้งเรื่องงาน และเรื่องชีวิตในแบบ Never Ending อย่างแน่นอน อย่างแรกลองดูรายละเอียดของโครงการคร่าวๆ กันก่อน Project details ชื่อโครงการ  Life ลาดพร้าว (ไลฟ์ ลาดพร้าว) มูลค่าโครงการ  7,600 ล้านบาท จำนวนยูนิต & ที่จอดรถ  1,615 ยูนิต และร้านค้า 1 ร้าน จอดรถ 716 คัน (ไม่รวมซ้อนคัน) ราคาเริ่มต้น   2.9 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร ประมาณ 140,000 บาท / ตารางเมตร ผู้พัฒนาโครงการ  คอนโดมิเนียมร่วมทุนโครงการที่ 9 ระหว่างบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) และ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป จากประเทศญี่ปุ่น (MITSUBISHI ESTATE GROUP หรือ MEC) ที่ตั้งโครงการ  ถนนพหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจัตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 ขนาดพื้นที่โครงการ 7 ไร่ 0 งาน 71.4 ตารางวา (2,871.40 ตารางวา) การเดินทางด้วยรถไฟฟ้า  หนึ่งก้าวถึงสถานี BTS ห้าแยกลาดพร้าว ใกล้สถานี MRT พหลโยธินเพียง 450 ม. ลักษณะโครงการ คอนโดมิเนียม High Rise จำนวน 2 อาคาร (อาคาร A สูง 45 ชั้น และอาคาร B สูง 46 ชั้น) ชั้น 1 เป็นโถงต้อนรับ, สำนักงานและห้องประชุมของนิติบุคคล, ร้านค้า, ห้องจดหมาย, ที่จอดรถ, ห้อง Generator และห้อง MDB ชั้น 2-10 ที่จอดรถ ชั้น 11 เป็นชั้นที่พักอาศัย, พื้นที่สวนสาธารณะ ชั้น 12-44 สำหรับอาคาร A และ 12-45 สำหรับอาคาร B เป็นชั้นที่พักอาศัย ชั้น 45 และ 46 เป็นพื้นที่จัดสวน, สระว่ายน้ำ, ห้องออกกำลังกาย, ห้อง Steam ห้อง Sauna ชั้นหลังคา เป็นพื้นที่จัดสวน, ห้องเครื่องลิฟต์และถังเก็บน้ำ ลักษณะห้องชุด Studio Type  ขนาดพื้นที่ใช้สอยประมาณ 26 - 29 ตารางเมตร (509 ยูนิต) ห้องชุด 1 ห้องนอน  ขนาดพื้นที่ใช้สอยประมาณ 35 ตารางเมตร (832 ยูนิต) Highlight ห้องชุด 2 ห้องนอน  ขนาดพื้นที่ใช้สอยประมาณ 48.5 - 75 ตารางเมตร (273 ยูนิต) ห้องชุดแบบ Duplex room  พื้นที่ประมาณ 355 ตารางเมตร (1 ยูนิต) สิ่งอำนวยความสะดวก ห้องประชุม Portable Working Station ติดตั้งระบบ Digital เต็มรูปแบบเทคโนโลยี (Sound Dome) จอทัชสกรีน (Touchscreen) ตามจุดพื้นที่ส่วนกลาง, Wireless Phone Charger ที่ชาตแบบไร้สาย, Mirror Board และ Outdoor Facility ที่ครอบคลุมด้วยระบบ Wi-Fi ทั้งในและนอกโครงการ, Rooftop Iconic Infinity Lap Pool, Panoramic fitness, Room Sauna, Room Stream, Yoga Fly Facilities, Sky Working Space & Cocoon Space ออฟฟิศชิดขอบฟ้า และ สวนลอยฟ้า, อาคาร A ลิฟต์โดยสาร 4 ตัว ลิฟต์บริการ 1 ตัว และอาคาร B ลิฟต์โดยสาร 5 ตัว ลิฟต์บริการ 1 ตัว สำนักงานนิติบุคคลอาคารชุด, Room Mail, Shop และระบบรักษาความปลอดภัย กล้อง CCTV ตลอด 24 ชั่วโมงรอบโครงการ ก่อสร้างแล้วเสร็จ คาดการณ์ประมาณปี 2563 Map and Directions ก่อนที่จะพาไปดูหน้าตาโครงการ พามาสำรวจรอบๆ ของโครงการ Life ลาดพร้าว กันก่อนว่ามีอะไรอยู่แถวนี้บ้าง รูปภาพจาก SkyscraperCity ตัวโครงการ Life ลาดพร้าว ตั้งอยู่ติดกับถนนพหลโยธิน ตรงข้าม เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว และโรงเรียนหอวัง ซึ่งในอนาคตจะมีรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว สถานีห้าแยกลาดพร้าว ตัดผ่านหน้าโครงการระหว่างขาขึ้นกับขาลงพอดี ส่วนด้านข้างโครงการติดกับ Lotus ลาดพร้าว ใกล้ 7-Eleven 200 เมตร ถัดไปอีก 150 เมตร เป็น Union mall หาของกินง่ายมาก ถ้าเดินถัดไปอีก 100 เมตร ก็จะถึงรถไฟฟ้า MRT สถานี พหลโยธิน ยิ่งสะดวกเข้าไปอีก ซึ่งถ้าสถานีรถไฟฟ้า BTS ห้าแยกลาดพร้าว สร้างเสร็จปี63 พอดีกับคอนโดเลย ซึ่งจะเป็นตัวเชื่อมกับสถานี BTS หมอชิต ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางนั่งยิงยาวไปกลางเมืองได้สบายๆ โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนขบวน แถมยังสามารถเดินข้ามไป เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว และโรงเรียน หอวัง ได้แบบไม่ถึง 100 เมตร รูปภาพจาก ไทยรัฐ การเดินทางยังโครงการ Life ลาดพร้าว แนะนำให้ใช้การเดินทางรถไฟฟ้า MRT ลงที่สถานีพหลโยธิน ออกประตูทางออก 4 จะขึ้นมาโผล่มาตรงหัวมุมห้าแยกลาดพร้าพอดี จากนั้นเดินขึ้นมาทาง Union Mall ประมาณ 450 เมตร โดยระหว่างทางเดินก็มีของกิน และร้านถ่ายรูปเยอะแยะ เดินชิวๆ มาไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงโครงการแล้ว โดยระหว่าง MRT พหลโยธินกับโครงการ ตามทางก็มี ร้านอาหารน่ากินแบบนี้ด้วย “ร้าน ฝากท้อง จิ้มจุ่มหม้อเบ้อเร่อ” หม้อโคตรใหญ่ ให้โคตรเยอะ เปิดตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน หิวเมื่อไรก็แวะมารับรองอิ่มแน่นอน สำหรับคนที่เดินการเดินทางด้วยรถยนต์ ถ้ามาจากทางสี่แยกรัชโยธินจะค่อนข้างสะดวก เพราะโครงการอยู่ฝั่งขาเข้าเมือง ขับเลย Lotus ลาดพร้าว มาก็เตรียมตัวเลี้ยวซ้ายเข้าโครงการได้เลย ส่วนคนที่ขับมาทางจตุจักร หรือถนนลาดพร้าว จะต้องขับเลยโครงการไปกลับรถที่สี่แยกรัชโยธินเพื่อไปฝั่งตรงข้าม เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว นั้นเอง Sale Gallery ของโครงการ สังเกตง่ายมาก ป้ายชื่อโครงการสีดำสุดเท่ และตึกสีขาวที่ตั้งอยู่กลางน้ำ หน้าตาดูมินิมอลมาก แอบถ่ายย้อนแสงมานิดๆ กำลังสวย Location of Community (EAT-DRINK- WORK-TRAVEL) รูปภาพจาก Wikimedia เมืองที่ไร้กาลเวลา ทำเลห้าแยกลาดพร้าวถือว่า HUB ของคนย่านลาดพร้าว และพหลโยธิน ครบทุกอย่างตั้งแต่ เรื่องศูนย์กลางการเดินทางของ BTS, MRT, สนามบินดอนเมือง เป็นช่วงที่วิ่งเข้าเมือง-ไปต่างจังหวัดได้ค่อนข้างสะดวก แถมละแวกนั้นของกินก็เยอะและอร่อยมาก รวมไปถึงเป็นที่ตั้งของสำนักงานขนาดใหญ่ และสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงด้วย อย่างเช่น แหล่งรวบรวมสำนักงานระดับแนวหน้าของไทย: ปตท, ปูนซีเมนต์ไทย (SCG), บางกอกแอร์เวย์, การบินไทย, ธนาคาร TMB สำนักงานใหญ่, ธนาคาร ไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่, Sun tower เป็นต้น สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตบางเขน และโรงเรียนหอวัง เป็นต้น ยังไม่หมด นอกจากนั้นยังเป็นทำเลที่ตอบโจทย์ Lifestyle คนรุ่นใหม่ด้วย เพราะอยู่ใกล้แหล่ง Community Mall ฮิปๆ ของคนกรุงเทพ คิดดูว่าถ้าได้ใช้ชีวิตบน HUB ห้าแยกลาดพร้าวแบบนี้ ก็คงจะมี lifestyle กิน ดื่ม เที่ยว ได้ตลอดทั้งวัน และก็มีอะไรให้ทำตลอด 24 ชม โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปไหนไกลก็ชิคได้ All Day Lifestyle สร้างมิติของชีวิตในแบบไม่ซ้ำเช้าจรดเย็น รูปภาพจาก Postjung เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว (CentralPlaza Lardprao) ห้างสรรพสินค้าและศูนย์จัดแสดงสินค้าแบบครบวงจร เพราะอยู่ใกล้กับ Union Mall ศูนย์รวมแฟชั่นสำหรับเหล่านักช้อป สินค้าหลากหลายสไตล์ มาอัพเดทเทรนด์ใหม่ พร้อมเชื่อมต่อโลกแห่งสีสันมีชีวิตชีวาบนพื้นที่ 78,700 ตารางเมตร 5 ชั้น รวบรวมร้านเสื้อผ้าแฟชั่น ร้านอาหารและร้านค้ากว่า 100 ร้าน ภายใต้แนวคิด One-Stop-Shopping พร้อมจอดรถถึง 3,600 คัน แบ่งนอกจากห้างใหญ่โตแล้วยังสร้างเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว อีกด้วย รูปภาพจาก Centara Grand Hotels & Resorts เซ็นทารา แกรนด์ ลาดพร้าว (Centara Grand Ladprao) ตั้งอยู่ด้านหลังติดกับห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ฝั่งด้านเหนือของกรุงเทพ โรงแรมระดับ 5 ดาวแห่งแรกๆ ของประเทศไทยที่รวมศูนย์ช้อปปิ้งเข้าไว้ด้วยกัน มีห้องประชุมที่มีชื่อเสียงรับงานมาแล้วทั่วโลกอย่าง บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ฮอลล์ รับจัดงานอีเวนต์ระดับชาติและระดับภูมิภาค โดยมีชื่อเสียงในการบริการที่เอาใจใส่ กับสไตล์ที่อบอุ่น เป็นกันเอง ที่สำคัญเป็นที่ตั้งของร้านอาหารอร่อย วิวสวย รสเลิศ ที่ชื่อว่า Blue Sky ด้วย รูปภาพจาก Bkk menu รูปภาพจาก Bkk menu บลู สกาย (Blue Sky) ห้องอาหารวิวระฟ้าสุดโรแมนติกใจกลางกรุงเทพฯ แห่งนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารรสเลิศและเครื่องดื่มชั้นดี พร้อมดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอันสวยงามของกรุงเทพฯ ยามราตรีในมุมมอง 360 องศา บนชั้นสูงสุดของโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ อิ่มแล้ว มาออกแบบโลกแฟชั่นของคุณไปกับ Craft Fig รูปภาพจาก soimilk รูปภาพจาก Craft Fig โรงเรียนกราฟิกดีไซน์ เล็กๆ ที่รวบรวมผู้คนในวงการ ศิลปะ กราฟิก และ อินเตอร์เฟส แถวหน้า มาถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพทางด้านกราฟิกและศิลปะของคุณ แล้วโลกการออกแบบของคุณจะเปลี่ยนไปตลอดกาล ที่ 12/13 ถ. ลาดพร้าว MRT พหลโยธิน นั่งไปเพียง 1 สถานี ไปต่อกันด้วยร้าน คาเฟ่ Wantong Cafe ที่ตลาดนัดสวนจัตุจักร รูปภาพจาก Bkkmanu รูปภาพจาก Bkkmanu Wantong Cafe เป็นคาเฟ่ที่ผสมผสานวัฒนธรรมของตะวันตกเข้ากับความเป็นไทยได้อย่างลงตัว เปรียบเสมือนกับนางวันทองที่ไม่อาจตัดสินใจได้ว่าจะเลือกใครระหว่างขุนช้างกับขุนแผน เริ่มจากบรรยากาศร้านที่ได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงามเขียวชอุ่มและดูสูงโปร่งสบายตา ที่ตั้งใจจะออกแบบมาให้ตรงกับคอนเซ็ปต์ "นางวันทองสองใจ" ถ้าชอบทั้งสองอย่าง ไม่ต้องเลือกก็อยู่ร่วมกันได้ เดินย่อย ถ่ายรูป ปั่นจักรยาน กันต่อที่สวนรถไฟ รูปภาพจาก Travel MThai รูปภาพจาก baanmaha สวนรถไฟ (กรุงเทพฯ) หรือ ‘สวนวชิรเบญจทัศ’ สวนรถไฟอยู่เขตจตุจักร ติดกับสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ใกล้ ๆ สวนจตุจักรนี่เอง สวนสาธารณะขนาดใหญ่ 375 ไร่ เหมาะสำหรับปั่นจักรยานทั้งมือใหม่-มือโปร แวะมาสูดออกซิเจนกันให้ชุ่มปอด ปั่นออกกำลังกายหรือปั่นชมธรรมชาติก็ดีทั้งนั้น ส่วนใครอยากมาถ่ายภาพสวยๆ ก็ไม่ควรพลาด รูปภาพจาก Bkkmenu ตกกลางคืน ก็มามันกันต่อกับร้านแฮงค์เอาท์สุดมัน The Third Pig The Third Pig เปลี่ยนพื้นที่ของธนาคารและร้านอาหารเก่าในย่านห้าแยกลาดพร้าวมาเป็นร้านนั่งกินดื่มสุดเท่ ด้วยคอนเซ็ปต์ไอเดียที่ชัดเจน ที่ทางร้านนำเอา Gimmick จากนิทานวัยเยาว์เรื่อง ลูกหมูสามตัว มาครีเอทพื้นที่แห่งนี้ให้เหมือนกับบ้านของลูกหมูตัวที่สามที่แข็งแรงที่สุด โดยได้อินทีเรียดีไซเนอร์จาก Studio Krubka มาร่วมเป็นหนึ่งในทีมของร้าน ออกแบบเตาผิงและผนังด้วยการก่ออิฐสีส้ม แล้วกะเทาะออกบางส่วนให้เห็นผนังปูนเปลือยเพื่อเพิ่มความดิบ ใช้กิ่งไม้และถังสังกะสีสำหรับโคมไฟ แล้วตกแต่งร้านด้วยของใช้อย่างเครื่องครัววัสดุไม้ ช่อดอกไม้แห้งและหนังสือนิทานเก่าเพิ่มกลิ่นอายของความเป็นบ้านได้อย่างอบอุ่นและลงตัว เน้นเสิร์ฟอาหารไทยสไตล์ฟิวชั่น ใครที่แวะมาทานมื้อเย็นที่นี่ ลองสั่งจานหนักหน่อย อย่าง ลาซานญ่ามัสมั่นเนื้อ (250 บาท) ท็อปด้วยชีสเยิ้ม ๆ เข้ากันกับรสชาติเครื่องแกงมัสมั่นที่ตัดเลี่ยนได้อย่างดี ที่ ปากซอย พหลโยธิน 20 Project of Life ลาดพร้าว 2017 ต้องเกรินบอกก่อนว่า Life Condo เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ จาก เอพีไทยแลนด์ ที่ประสบความสำเร็จ และสร้างชื่อเสียงให้กับเอพี เป็นอย่างมากด้วยจุดขาย และความแตกต่างของโครงการที่นำเสนอรูปแบบการใช้ชีวิตในมิติใหม่มาโดยตลอด บนทำเลที่ตั้งยึดติดแนวรถไฟฟ้า เพื่อตอบ Lifestyle ของเทรนด์คนรุ่นใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และตอนนี้ แบรนด์ Life ได้กลับมาอีกครั้งบนย่านลาดพร้าว “Life ลาดพร้าว” คอนโด High Rise ตึกคู่ 2 อาคาร (อาคาร A สูง 45 ชั้น และอาคาร B สูง 46 ชั้น) LIFE 2017 ภายใต้แนวคิดที่ว่า "PLATFORM OF SUCCESS" คอนโดที่พร้อมสนับสนุนการใช้ชีวิตของคนเมืองยุคใหม่สู่ความสำเร็จ ผ่าน 3 วิธีคิดสำคัญที่เข้าใจถึง Insight ของคนเมืองในยุคปัจจุบัน คือ In-Control ทุกองค์ประกอบในการพัฒนา Life Condo ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ผู้อยู่อาศัยสามารถเลือกและควบคุมได้ด้วยตนเอง Connected World การจัดเตรียมระบบโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมเชื่อมต่อโลกดิจิตอลได้ทุกที่ทุกเวลาตลอดการอยู่อาศัยใน Life Condo จุดต่างสำคัญ Intelligent Facility ผสานเทคโนโลยีในการดีไซน์พื้นที่ส่วนกลาง Intelligent Control ทุกอย่างควบคุมได้เพียงปลายนิ้ว Intelligent Space ดีไซน์พื้นที่ใช้สอยให้ปรับเปลี่ยนได้ตามสไตล์การใช้งาน AP Corridor Window Innovation และครั้งแรกในเมืองไทยกับนวัตกรรม AP Corridor Window Innovation ยกระดับการพักอาศัยในคอนโดมิเนียม ช่วยระบายอากาศให้โถงทางเดินเพื่อที่สุดของคุณภาพชีวิตคนเมือง ทั้งตัวอาคารและงานดีไซน์ทุกชิ้น ถูกออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก อย่าง Louis Vuitton มาสร้าง Pattern ให้ดูมีมิติน่าหลงใหลและมีเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ Outdoor Facility เพิ่ม Space กิจกรรมตาม Lifestyle ได้อย่างไม่จำกัด บนพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่ โดยทางโครงการได้ออกแบบที่นั่งและทางเดินในมุมที่ร่มรื่นที่เต็มไปด้วยต้นไม้และสายน้ำ เพื่อความสวยงามเสมือนนั่งทำงานท่ามกลางธรรมชาติ และยังสามารถใช้ Wi-fi ได้เสมือนอยู่ภายในอาคาร Lobby ของโครงการจะเน้นความโปร่งโล่ง ดีไซน์ เรียบ หรู ภายในตกแต่งด้วยลายกะเบื้องหินอ่อน และกระจกเพื่อให้โถงดูกว้างมีมิติเล่นกันแสงและเงา สร้างความประทับใจได้ทุกครั้งที่เปิดเข้ามา พื้นที่ส่วนกลางภายใน Lobby ถูกออกแบบมาให้ค่อนข้าง Private คุณจะสามารถทำงานไปพร้อมรับวิวสวนแบบเป็น Box เรียกว่า Portable Working Station พร้อมการติดตั้งอุปกรณ์ที่พร้อมรองรับการใช้งานจริงอย่าง เทคโนโลยีซาวน์โดม (Sound Dome) ผนังของห้องที่คัดสรรวัสดุให้สามารถใช้เป็น Mirror Board หรือ Wireless Phone Charger เป็นต้น ถูกจัดเตรียมไว้ให้ในจุดต่างๆ ของพื้นที่ส่วนกลางโครงการ Private meeting room ห้องประชุมสุดล้ำที่คำนึงถึงการทำงานเป็นกลุ่มในดีไซน์ที่ล้ำนำสมัยสู่การสร้างสรรค์ต่อยอด ไอเดียการทำงานได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด มาพร้อมระบบ Digital เต็มรูปแบบ อย่าง อุปกรณ์ไร้สายเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์และจอTouchscreen เพื่อความสะดวกในการนำเสนองานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น Rooftop Sky Bar ที่คุณจะไม่พลาดทุกช่วงเวลาของเฉลิมฉลองความสำเร็จ Sky Bar & Social Club Sky Working Space ออฟฟิศชิดติดขอบฟ้าบนชั้น 45 เพิ่มสีสันและความ Creative ให้การทำงานในมุมมองที่ไม่ซ้ำซากจำเจ พร้อมติดตั้ง Cocoon Space ให้เป็น Private Space แม้จะนั่งอยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง ก็สามารถทำงานได้โดยไม่ถูกรบกวน Iconic Infinity Lap Pool สระว่ายน้ำแบบ Exclusive ที่ให้คุณสามารถแหวกว่าย และดื่มด่ำไปกับวิวเมืองระยิบระยับยามค่ำคืน และที่นั่ง Sky Cabana ที่หรูหราและผ่อนคลาย และ Panoramic Fitness ห้องฟิตเนสแบบ 360 องศา ใช้ชีวิตในแบบ Active พร้อมความเป็นส่วนตัวไปกับ Private Treadmill, Yoga Fly facilities ได้ตลอดทั้งวัน เป็นต้น นอกการ facilities ที่มาแบบจัดเต็มแล้ว ยังสามารถควบคุมทุกอย่างได้ด้วยปลายนิ้วอีก ภายใต้วิสัยทัศน์ AP Digital Community อย่างเต็มรูปแบบ ที่จะเข้ามาส่งเสริมให้การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ บน Smart Phone ผ่านระบบ Community Application เติมเต็มมากกว่าแค่ความสะดวกสบาย แต่ได้ทั้งมีความปลอดภัยและง่ายดาย โดยเปรียบเสมือนคีย์การ์ดของคอนโด ที่สามารถสั่งเปิดและปิดประตูได้ตั้งแต่ประตูทางเข้าคอนโด ประตูห้องพัก นอกจากนี้ ผู้อยู่อาศัยยังสามารถใช้ระบบ Application นี้ในการจองสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ห้องประชุม หรือติดต่อประสานงานกับผู้ดูแลคอนโด E-payment การติดตามการแจ้งซ่อม รวมทั้งให้คำแนะนำ และรับทราบข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของคอนโดได้อีกด้วย ROOM TYPE ครั้งแรกของวงการคอนโดไทย ฉีกทุกข้อจำกัดของ Space สู่การออกแบบ Highlight ของที่นี่ ต้องยกให้กับ TYPE 35 ตารางเมตร ที่คุณสามารถออกแบบและปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นของห้องให้ตรงตาม Lifestyle ของคุณได้ พร้อมด้วยระบบ AP Master Switch โดยจะเป็นสวิตช์ไฟที่ติดตั้งอยู่ที่หน้าประตูห้อง สามารถปิดสวิตช์นี้เพียงครั้งเดียว Shutdown ทั่งห้อง โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องไฟเลยเวลาออกไปไหน ช่วยให้ประหยัดทั้งเงินและเวลา เหมาะกับ Lifestyle คนรุ่นใหม่ในยุคที่เร่งรีบและต้องการความสะดวกของคนเมือง ห้องขนาด 35 ตารางเมตร 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นของห้องให้ตรงตามความต้องการ และ Lifestyle ของผู้อยู่อาศัยได้ถึง 5 สไตล์ เช่น ปรับเปลี่ยนห้องรับแขกป็นห้องนอนอีก 1 ห้อง หรือเป็นห้องทำงาน หรือ ห้องแต่งตัวก็ได้ เพราะมีระบบปลั๊กไฟรองรับหลากหลายตำแหน่ง จะปรับมุมไหนยังไงก็ลงตัว ซึ่งขนาดห้อง35 ตารางเมตร แต่สามารถทำถึง 2 ห้องนอน ถือว่าคุ้มมาก ลองดูภาพห้องตัวอย่างจริงดูว่าจะออกมาสวยขนาดไหน พาชมภาพจริงของห้องตัวอย่าง 35 ตารางเมตร จาก Sale Gallery เริ่มจาก 35 ตารางเมตร เปิดเข้ามาความรู้สึกแรกเลย คือ กว้างมาก ไม่เชื่อเลยว่านี้คือตัวอย่างห้องขนาด 35 ตารางเมตร ออกมากได้ สวยปังมาก โดยยังเหลือ Space ว่างๆ อีกเยอะ สำหรับไว้ทำกิจกรรม หรือเพิ่มครัว เพิ่มโต๊ะรับประทานอาหาร หรือกั้นเป็นห้องครัวก็ยังทำได้ เป็นการจัดห้อง Plus ให้เป็น Living Room ขนาดใหญ่ ด้านซ้ายมือ ถูกออกแบบให้เป็นโต๊ะรับประทานอาหาร 2 ที่นั่ง ที่จัดวางไว้ใน Box ได้อย่างลงตัว ซึ่งถ้าอยากจะดูโทรทัศน์ไปด้วยกินข้าวไปด้วย ไม่ต้องย้ายข้าวไปไหน เพราะตรงนี้ ก็ดูได้ เพราะที่นี่มีการ Built in ที่วางโทรทัศน์ติดผนังไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น กินข้าวไปพร้อมดูหนัง เพลินๆ ได้แน่นอน ส่วน AP Master Switch จะอยู่ตรงบริเวณเสา กดปุ่มก็เดินออกจากห้องได้เลย สำหรับคอนโดที่นี่ จะใช้ห้องน้ำสำเร็จรูป ซึ่งก็จะได้มาแบบมาตรฐานครบทุกฟังก์ชั่น กั้นโซนเปียกโซนแห้งไว้ให้เรียบร้อย มาถึงห้อง Plus ของที่นี่ สามารถออกแบบและปรับเปลี่ยนได้ตาม Lifestyle เพราะค่อนข้างใหญ่ จะทำเป็นอีกหนึ่งห้องนอนก็ทำได้ หรือห้องแต่งตัว ห้องทำงานแบบส่วนตัว ซึ่งห้องตัวอย่างออกแบบให้ดู คือ สามารถวางโซฟายาวขนาด 3- 4 ที่นั่งได้ โดยที่ด้านหน้าและด้านข้างยังสามารถวางโต๊ะเพิ่มได้อีก เบื่อๆ ก็ออกไปรับลมที่ระเบียงได้เลย ภาพอีกมุมที่ด้านซ้ายเป็นห้อง Living Room สังเกตได้เลยว่าใช้ Space แบบครึ่งหนึ่งของห้องไปเลย ส่วนด้านขาวเป็นครัว ซึ่งออกแบบมาแบบนี้ จะช่วยกั้นให้ห้องเป็นสัดส่วนแบ่งโซนออกอย่างชัดเจน Mater Bedroom วางเตียง King Size ได้ไม่รู้สึกอึดอัดเลย เพื่อนๆ สามารถ Built in โทรทัศน์ติดผนัง ก็ได้ เรียกได้ว่ามีลงตัว ตั้งแต่เตียง โต๊ะทำงาน โคมไฟหัวเตียง ตู้เสื้อผ้า เลยที่เดียว  ห้องตัวอย่าง 55 ตารางเมตร ROOM TYPE: 55 ตารางเมตร 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ที่ให้ความรู้สึกกว้างขว้างเหมือนอยู่บ้าน เป็นการจัดวางสัดส่วนการใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม เปิดประตูเข้ามาจะเจอโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 4 ที่นั่งด้านหน้า ส่วนซ้ายมือเป็นครัวแบบ Open ที่จัดวางพื้นที่เครื่องครัวได้อย่างน่าใช้งานสุดๆ ถัดมาเป็นโซน Living Room สำหรับคนที่ไม่อยาก Built in ก็สามารถออกแบบและจัดวางโซฟา 2-3 ที่นั่ง กับโต๊ะวางโทรทัศน์ แบบนี้ก็ได้โดยที่ไม่ห้องยังดูกว้าง ส่วนระเบียงจะอยู่ด้านในของ Living Room ข้อดีของระเบียงที่อยู่ตรง Living Room คือไม่จำเป็นต้องเปิดไฟจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน แยกเป็นสัดส่วนการดีไซน์ ผนังแบบนี้ก็ดูสวยเก๋ ล้ำ ไปอีก ช่วยนำสายตาแถมทำให้ห้องดูมีมิติ ดูมีระดับ โดยฝั่งซ้ายด้านในจะเป็น ห้องน้ำกับห้องนอนแบบ Mater Bedroom ส่วนอีก 1 ห้อง Bedroom จะอยู่ด้านขวา ห้องน้ำสำเร็จรูป เหมือนกับ 35 ตารางเมตร เลยครับ ชอบที่โทนสีสว่างมองแล้วดูสะอาดตาดี สำหรับ Mater Bedroom ห้องนี้จะพิเศษกว่าอีกห้อง เพราะออกแบบให้เหมือนห้องน้ำในตัว เพราะประตูทางเข้าห้องน้ำสามารถเข้าได้ 2 ทางจากในห้องนอนและนอกห้องนอน ภายในตกแต่งโทนออกน้ำตาลที่ทำให้รู้สึกถึงกลิ่นอายของป่าไม้ อีกหนึ่งห้อง Bedroom ที่แต่งออกมาดูดีไม่แพ้ ห้อง Mater Bedroom อยู่ฝั่งเดียวกับ Living Room ที่แบบไม่ต้อง Built in โทรทัศน์ติดผนังก็แต่งออกมาสวยได้ ตัวโครงการคาดว่าจะสร้างเสร็จประมาณปี 2563 เสร็จพร้อม กับ รถไฟฟ้าพอดี โดย “Life ลาดพร้าว” จะเปิด Pre-Sale ในวันที่ 21-22 พ.ค.เดือนหน้านี้แล้ว ณ Sale Gallery ของโครงการ เชื่อว่าจะต้องขายหมดภายในเวลาไม่กี่วัน และสร้างเป็นข่าว Talk of The Town ครั้งใหญ่อย่างแน่นอน เพื่อให้คุณไม่พลาดโอกาสดีดีแบบนี้ สามารถลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ VIP ก่อนใคร ลงทะเบียนพร้อมรับส่วนลดสูงสุด 100,000 บาท* ได้ที่ https://goo.gl/XF3xJj หรือใครอยากสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่เบอร์ 1623 ได้เลย   Cr. Bkkmanu, Wikimedia
นิชดาธานี กรุ๊ป ผุดโครงการใหม่ Greenville 2 ยกระดับคุณภาพชีวิตแถบปริมณฑล

นิชดาธานี กรุ๊ป ผุดโครงการใหม่ Greenville 2 ยกระดับคุณภาพชีวิตแถบปริมณฑล

บริษัท นิชดาธานี กรุ๊ป จำกัด เปิดตัวโครงการ Greenville 2 โครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น พร้อมสระว่ายน้ำในตัว พื้นที่ใช้สอยมากกว่า 600 ตารางเมตร ภายใต้คอนเซ็ปต์ Lifestyle Modern เน้นความโปร่งสบายตา และสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการนิชดาธานี  โครงการที่ใหญ่ที่สุดในละแวกแจ้งวัฒนะ คุณณฐกร แจ้งเร็ว กรรมการบริหารบริษัท นิชดาธานี กรุ๊ป จำกัด  เปิดเผยว่า สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เข้าถึงจุด Overpopulation ทำให้พื้นที่มีราคาสูงเกินกว่ากำลังซื้อของตลาด ในขณะที่บริเวณปริมณฑลก็เริ่มมีการขยับขยายเข้ามาสู่ตัวเมืองมากขึ้น เช่น ศูนย์ราชการที่แจ้งวัฒนะและรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่กำลังก่อสร้าง เพื่อตอบสนองความต้องการของประชากรที่เพิ่มมากขึ้นในส่วนนนทบุรี นิชดาธานีจึงตอบโจทย์ความต้องการของตลาดด้วยโครงการบ้านพักอาศัยขนาดกว้างขวาง พรั่งพร้อมด้วยสิ่งแวดล้อมที่สวยงาม ไม่แออัด เส้นทางคมนาคมที่สะดวก อยู่ติดทางด่วนและมีบริการรถรับส่งสำหรับผู้พักอาศัยไปยังสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู นอกจากโครงการภายในนิชดาธานีที่มีมากกว่า 50 โครงการ ทางบริษัทฯได้เล็งเห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมที่มีคุณภาพ จึงเปิดตัวโครงการ Greenville 2 ซึ่งมีจำนวนบ้านเดี่ยวภายในโครงการทั้งหมด 12 หลัง อยู่บนพื้นที่โครงการ 6 ไร่ 2 งาน 32.2 ตารางวา เหมาะสำหรับผู้อยู่อาศัยเป็นครอบครัว อีกทั้งมีแหล่งคอมมูนิตี้เพื่อความสะดวกสบายอย่างครบครัน อาทิ โรงเรียนนานาชาติ International School Bangkok ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนนานาชาติอันดับต้นของเอเชีย , โรงเรียนโรสแมรี่ อะคาเดมี่ , ฟิตเนสเซ็นเตอร์ , ร้านอาหาร Vapor , คลินิกบำรุงราษฏร์ , ร้านกาแฟสตาบัคส์ , โรงเรียนสอนมวยไทย , สปา , ร้าน Pet Grooming, คลินิกทันตกรรม , Villa Supermarket , ร้านซักแห้ง , ร้านเสริมสวย , ร้านขายยา , โรงเรียนสอนดำน้ำ , สนามเทนนิส , สนามสควอช เป็นต้น และเนื่องจากภายในโครงการมีขนาดใหญ่จึงมีบริการรถรับส่งไปยังสถานที่ภายนอก อาทิ รถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และ เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ เป็นต้น ภายในโครงการนิชดาธานี มีบ้านและคอนโดรวมทั้งหมดประมาณ 1,000 ยูนิต โดยมีอัตราการเช่ารวมทั้งสิ้น 80% ขายอีก 20% แบ่งเป็นจำนวนยูนิต ได้แก่ ผู้ซื้อเพื่อพักอาศัย 200 ยูนิต ซื้อเพื่อลงทุน 400 ยูนิต โครงการถือครองเพื่อปล่อยเช่า 400 ยูนิต แบ่งเป็นบ้าน 210 หลัง และ คอนโด 190 ยูนิต คุณณฐกร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การทำงานของกลุ่มบริษัทนิชดาธานีมีความพิเศษคือลักษณะงานที่มีหลายด้าน เพราะเราทำทุกอย่างเพื่อการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์ของผู้พักอาศัย งานส่วนใหญ่ที่ทำจึงเป็นลักษณะ In-House ซึ่งทำให้สามารถควบคุมคุณภาพและฝึกอบรมบุคลากรในองค์กรได้ดียิ่งขึ้น ตั้งแต่งานโรงงานผลิตอิฐซึ่งเป็นอิฐที่ทางบริษัทฯ ออกแบบเองให้มีคุณสมบัติทั้งในแง่ของความสวยงามและความแข็งแรงทนทาน เพื่อนำไปก่อสร้างในโครงการ ไปจนถึงงานด้านการบริการหลังการขาย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความปลอดภัย งานทำความสะอาด งาน Landscape งานลูกค้าสัมพันธ์ งานซ่อมบำรุง ตลอดจนการให้บริการด้านกิจกรรมกับลูกค้า เช่น ร้านอาหาร Vapor  ฟิตเนส สระว่ายน้ำ คลินิก ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งบริการรถบัสรับส่งผู้พักอาศัยไปยังสถานีรถไฟฟ้าสานสีชมพู ฯลฯ ครบถ้วนเพื่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้พักอาศัยอย่างแท้จริง แนวคิดหลักในการทำงานของผู้บริหารอย่างผมจึงเป็นการคำนึงถึงการใช้ชีวิตภายในโครงการนิชดาธานี เพราะผมเชื่อในผลิตภัณฑ์ของผม ผมจึงเลือกที่จะพักอาศัยภายในหมู่บ้านและใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในโครงการเช่นเดียวกับลูกค้าทุกคน ที่สำคัญตัวผมเองก็เติบโตมาในโครงการนิชดาธานี เข้าเรียนที่โรงเรียนนานาชาติ ISB จนจบมัธยมปลาย ทำให้ได้คลุกคลีกับเพื่อนหลากหลายชนชาติและพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษด้วยการใช้สื่อสารสนทนากับเพื่อนทุกวัน ซึ่งพวกเขาส่วนใหญ่ก็พักอาศัยอยู่ในโครงการเช่นเดียวกัน ผมจึงมองว่าลักษณะการใช้ชีวิตเช่นนี้ได้ช่วยให้ผมพัฒนาด้านภาษาได้เร็วกว่าการเรียนแต่ในห้องเรียนเท่านั้น นอกจากนี้ยังทำให้ผมเข้าใจถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของโครงการอย่างถ่องแท้เพื่อนำไปปรับและพัฒนาต่อไป นอกจากการอาศัยอยู่ในโครงการและใช้สิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการแล้ว ผมยังมองว่าการเดินทางไปยังนอกประเทศและในประเทศยังเป็นประเด็นสำคัญในการพัฒนาโครงการของเรา มันคือการเปิดหูเปิดตาให้กับตัวผม แม้การรู้จักโครงการอย่างดีจะเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหาร แต่การมีไอเดียใหม่ๆ จากการพบเจอและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การได้พบเห็นผู้คนที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกันก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเราทำธุรกิจอยู่กับการขายไลฟ์สไตล์ เราก็จำเป็นจะต้องรู้จักไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายและมีการพัฒนาขึ้นทุกวัน โครงการ Greenville 2 ตั้งอยู่ภายในโครงการนิชดาธานี ซึ่งเป็นโครงการขนาดยักษ์ใหญ่ในบริเวณแจ้งวัฒนะ เปี่ยมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ความปลอดภัย และการคมนาคมที่คล่องตัว ตอบโจทย์ความต้องการคุณภาพชีวิตในทุกด้าน โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 30 ล้านบาท  โดยในปี 2560 นิชดาธานี กรุ๊ป ได้เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวทั้งสิ้น 4 โครงการ ได้แก่ โครงการ Greenville 2 จำนวน 12 หลัง มูลค่าการลงทุน 506,540,000 บาท ราคาต่อหลัง 40.6 ล้านบาท โครงการ Premier 3 จำนวน 40 หลัง มูลค่าการลงทุน 970,070,000 บาท ราคาต่อหลัง 22 ล้านบาท โครงการ Green Park 1 จำนวน 2 หลัง มูลค่าการลงทุน 78,000,000 บาท ราคาต่อหลัง 67 ล้านบาท โครงการ Green Park 2 จำนวน 3 หลัง มูลค่าการลงทุน 204,000,000 บาท ราคาต่อหลัง 38 ล้านบาท
“คอตโต้” จับมือดีไซเนอร์ระดับโลก “นาโอโตะ ฟูกาซาว่า” สร้างพื้นที่โชว์ไอเดียดีไซเนอร์รุ่นใหม่จากโครงการ “COTTO Another Perspective 5” ในงาน Milan Design Week 2017

“คอตโต้” จับมือดีไซเนอร์ระดับโลก “นาโอโตะ ฟูกาซาว่า” สร้างพื้นที่โชว์ไอเดียดีไซเนอร์รุ่นใหม่จากโครงการ “COTTO Another Perspective 5” ในงาน Milan Design Week 2017

ปีนี้นับเป็นปี 5 ของโครงการ COTTO Another Perspective ซึ่ง คอตโต้ แบรนด์ผู้นำกระเบื้อง สุขภัณฑ์ และก๊อกน้ำของไทยที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกได้จัดขึ้นเพื่อมอบโอกาสให้ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบกับดีไซเนอร์ระดับโลก และมีโอกาสได้แสดงผลงานของตนเองบนเวทีโลกอย่าง Milan Design Week ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งโครงการครั้งล่าสุดจัดขึ้นเมื่อวันที่ 4-9 เมษายนที่ผ่านมา ใช้ชื่อโครงการว่า COTTO Another Perspective 5 Curated by Naoto Fukasawa โดยได้ นาโอโตะ ฟูกาซาว่า ดีไซเนอร์สไตล์มินิมัลชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงระดับโลกและเคยมีผลงานร่วมกับแบรนด์ชั้นนำในหลายประเทศ มาเป็นโค้ชให้คำปรึกษาแก่ผู้เข้าร่วมโครงการจาก 5 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส อิสราเอล โปรตุเกส ญี่ปุ่น และไทย นาโอโตะ ฟูกาซาว่า ไม่เพียงเป็นโค้ชแต่ยังเป็นผู้กำหนดคอนเซ็ปต์ Good Morning ในการออกแบบให้กับโครงการครั้งนี้ด้วย โดยเขาได้แรงบันดาลใจมาจากห้องน้ำที่แม้จะเป็นพื้นที่เล็กๆ ในบ้านแต่มีความพิเศษที่สามารถปลุกความสดชื่น สร้างความผ่อนคลาย และเติมพลังความคิด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มต้นในวันใหม่ ซึ่งประเทศที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันก็สามารถสร้างเสน่ห์และตีความคำว่า Good Morning ได้หลากหลายมุมมอง นาโอโตะ ฟูกาซาว่า ได้ปลุกพลังความคิดให้ดีไซเนอร์ที่เข้าร่วมโครงการสร้างสรรค์ผลงานที่ตอบโจทย์คอนเซ็ปต์แต่ยังคงความเป็นตัวตนที่มีเอกลักษณ์ตามแนวทางของตนเอง โดยดีไซเนอร์แต่ละกลุ่มได้นำผลิตภัณฑ์คอตโต้มาเป็นส่วนหนึ่งของผลงาน ซึ่งทำให้ชิ้นงานมีความลงตัวเข้ากันได้ทั้งสไตล์และฟังก์ชั่นการใช้งาน ผลงานการออกแบบห้องน้ำในคอนเซ็ปต์ Good Morning จากฝีมือดีไซเนอร์รุ่นใหม่ 7 กลุ่ม 5 ประเทศ EVERYDAY CEREMONY by Ferréol Babin, France “Everyday Ceremony” เป็นคอลเลกชั่นงานไม้ที่ออกแบบให้ลงตัวกับอ่างล้างมือ COTTO รุ่น Simply Modish สร้างมิติให้กับพื้นที่ในห้องน้ำ ซึ่งใช้ประกอบกิจกรรมที่เปรียบเสมือนเป็นพิธีกรรมประจำวัน คอลเลกชั่นงานไม้นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา (เช่น แท่นบูชา) วัฒนธรรมประเพณี (เช่น การดื่มชา) และอุปกรณ์ต่างๆ (เช่น หีบใส่สิ่งของ) จนเกิดเป็นสถานที่ประจำวันที่สร้างความสดชื่นจากกลิ่นหอมและความอบอุ่นของไม้ ความสวยงามของผิวไม้แกะสลัก และสัมผัสที่ได้จากการผิวไม้ที่แผ่นรองเท้า และกระจกไม้ ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน ก๊อกผสมอ่างล้างหน้าชนิดก้านโยกรุ่นซีรอคโคเซ้นส์ (Scirocco Sense) อ่างล้างหน้าชนิดวางบนเคาน์เตอร์ รุ่นซิมพลี โมดิช (Simply Modish) HINOKI by Nitsan Debbi, Israel การดื่ม การชำระล้าง และการฟอกถู ถือเป็นกิจกรรมพื้นฐานในห้องน้ำเพื่อปลุกความสดชื่น และสร้างพลังใหม่ให้กับร่างกายและจิตใจ ผลงาน “HINOKI” ได้รับแรงบันดาลใจจากถังไม้โบราณของประเทศญี่ปุ่น ที่เรียกว่า Oke ซึ่งคนญี่ปุ่นใช้เป็นพื้นที่อาบน้ำเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว ผลงานชิ้นนี้ทำจากต้นไซปรัสหรือเรียกว่า Hinoki ในภาษาญี่ปุ่น ถือเป็นถังไม้ Oke ในดีไซน์ใหม่ที่ผสานกลิ่นอายของประเพณีดั้งเดิมกับบ้านยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้องอิตาเลียคอลเลกชั่น รุ่น Bianchezza ก๊อกอ่างล้างหน้า ชนิดฝังผนัง SMALL STEPS by Rui Pereira + Ryosuke Fukusada, Portugal + Japan ช่วงเวลายามตื่นนอนมักไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เริ่มจากการถูกปลุกด้วยเสียงดังของนาฬิกา กระโดดลงจากเตียง และรีบตรงเข้าห้องน้ำอย่างทุลักทุเล ผลงาน “Small Steps” ออกแบบห้องน้ำให้เป็นชั้นวางซ้อนกันในมุมมองที่แปลกใหม่ สร้างบรรยากาศสงบ ผ่อนคลาย ให้การเริ่มต้นวันใหม่เป็นไปอย่างน่ารื่นรมย์ ด้วยลวดลายหินอ่อนจากกระเบื้อง Italia Collection รุ่น Bianchezza ช่วยผ่อนคลายความวุ่นวายในยามเช้า และสร้างบรรยากาศที่สดชื่นเพื่อปรับร่างกายและจิตใจให้พร้อมกับการเริ่มต้นใหม่ในแต่ละวัน ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้องอิตาเลียคอลเลกชั่น รุ่น Bianchezza ก๊อกผสมอ่างล้างหน้าชนิดก้านโยก รุ่นซีรอคโคเซ้นส์ (Scirocco Sense) CIRCULAR MOTION MIRROR by STUDIO248, Thailand ผลงาน “CIRCULAR MOTION MIRROR” เป็นกระจกที่สามารถสร้างความรู้สึกสดชื่นแก่ผู้ใช้งาน เป็นความสดชื่นที่สัมผัสได้แม้ว่าผู้ใช้จะไม่ได้ยืนบริเวณหน้ากระจกตรงๆ โดยออกแบบรูปลักษณ์ให้ดูแปลกตาและให้ความรู้สึกเหมือนงานศิลปะ แต่ขณะเดียวกันก็สร้างฟังก์ชั่นการใช้งานในห้องน้ำ ให้ทุกยามเช้ามีความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้อง รุ่น Calacatta Classico RITUAL by studio NOCC, France ห้องน้ำเป็นสถานที่ที่เราใช้งานเป็นกิจวัตร ซึ่งเปรียบเหมือนพิธีกรรมที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน พฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นในห้องน้ำในทุกเช้าแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนง่ายๆ คือ การชำระล้าง การทำความสะอาด และการเช็ดให้แห้ง ผลงาน “RITUAL” ได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์กิจวัตรทั้ง 3 ส่วน ได้แก่ ก๊อกน้ำสำหรับชำระล้าง แท่นสำหรับวางอุปกรณ์ทำความสะอาด และราวแขวนผ้าขนหนู โดยได้รับแรงบันดาลใจจากก๊อกน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บริเวณหน้าโบสถ์หรือวัด ประดับด้วยกระเบื้องโมเสก รุ่น Marble Massa Herringbone จาก COTTO ให้ Look ความเป็นหินอ่อนที่ดูแปลกตา และก๊อกน้ำที่ออกแบบใหม่โดยผู้ออกแบบเอง ให้สามารถใช้งานในพื้นที่อ่างที่จำกัดโดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้องโมเสก รุ่น Marble Massa Herringbone GROWTH by THINKK Studio, Thailand ยามเช้าเป็นช่วงเวลาของความหวังใหม่และการเริ่มต้นใหม่ ผลงาน “Growth” ได้รับการออกแบบเพื่อปลุกความสดชื่นในห้องน้ำยามเช้าด้วยชุดกระถางต้นไม้แนวตั้ง ซึ่งสามารถแขวนและจัดเรียงบนผนังอย่างอิสระ เข้ากันกับกระจกส่องหน้า ถาด และชั้นวางของ ผลงานชิ้นนี้สร้างความสดชื่นจากการได้เห็นความเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของต้นไม้ ซึ่งแต่ละกระถางติดตั้งด้วยกระเบื้อง Italia Collection ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้องอิตาเลียคอลเลกชั่น รุ่น Pietra, Neo Basalt และ Balza ก๊อกผสมอ่างล้างหน้าชนิดก้านโยก รุ่นซีรอคโคเซ้นส์ (Scirocco Sense) อ่างล้างหน้าชนิดวางบนเคาน์เตอร์ รุ่นซิมพลี โมดิช (Simply Modish) AMES BOND ISLAND by COTTO Creative Design Office, Thailand ประเทศไทยมีธรรมชาติที่สวยงามมากมาย ผลงานออกแบบชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเขาตะปู จังหวัดพังงา หรือ “James Bond Island” เป็นวิถีใหม่แห่งการปลุกความสดชื่น ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นต่างๆ ของห้องน้ำ ไม่ว่าจะเป็นก๊อกน้ำ อ่างล้างหน้า ฝักบัวอาบน้ำ ชั้นวาง และผนังที่ถูกตกแต่งด้วยกระเบื้องลายหินธรรมชาติ รุ่น M-Stone ที่ดึงเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของ James Bond Island นับเป็นประสบการณ์สร้างความสดชื่น ผ่อนคลายของห้องน้ำแนวใหม่ ให้บรรยากาศธรรมชาติและฟังก์ชั่นการใช้งานที่ลงตัว ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้อง รุ่น M-Stone ก๊อกผสมยืนอาบน้ำชนิดฝังผนัง ชุดฝักบัวอาบน้ำก้านแข็ง
ศักยภาพทำเล “อนุสาวรีย์ฯ ดินแดง ราชปรารภ”

ศักยภาพทำเล “อนุสาวรีย์ฯ ดินแดง ราชปรารภ”

สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียม ทำเล “อนุสาวรีย์ฯ ดินแดง ราชปรารภ” เป็นทำเลที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการหลายเข้ามาพัฒนาโครงการเป็นจำนวนมากประมาณ 3,000 ยูนิต ในขณะเดียวกันก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า มี Demand ดูดซับไปหมดแล้ว100% ภาพรวมทำเลมีขายราคาเฉลี่ย 120,000 บาทต่อตารางเมตร ยิ่งใกล้สถานีมากเท่าไหร่ราคาก็จะยิ่งสูงมากขึ้นโดยโครงการที่ห่างจากสถานี100 เมตร ราคาเฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 180,000 บาทต่อตารางเมตร และในอนาคตมีโครงการใหม่ที่รอเข้าสู่ตลาดอีกคาดว่าราคาจะใกล้ 200,000บาทต่อตารางเมตรเข้าไปทุกที ศักยภาพทำเล : ศูนย์กลางคมนาคม ศูนย์รวมด้านการแพทย์ และย่าน Lifestyle Mall ของคนรุ่นใหม่ ศูนย์กลางการคมนาคมขนาดใหญ่ของกรุงเทพมหานคร มีการจราจรหนาแน่นตลอดทั้งวัน เนื่องจากถนนสายหลักอย่างถนนพหลโยธิน และถนนวิภาวดี-รังสิต ที่มีถนนราชวิถี และถนนดินแดงเป็นเส้นทางเชื่อมต่อของถนนสายหลักทั้ง 2 สายจึงทำให้สามารถเดินทางเข้า-ออกเมืองได้สะดวก ประกอบกับมีจุดขึ้น-ลงทางด่วน หรือทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษเฉลิมมหานครให้ใช้บริการ ส่งผลให้ย่านนี้มีศักยภาพในการเดินทางมากยิ่งขึ้น รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอนุสาวรีย์ฯ เป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดให้เกิดการลงทุน และการพัฒนาต่างๆในย่านนี้ และในอนาคตจะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ช่วงตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม) ซึ่งวิ่งผ่านถนนราชปรารภ ถนนดินแดง เพื่อไปยังจุดเชื่อมต่อสถานีศูนย์วัฒนธรรม (MRT) บนถนนรัชดาภิเษก นอกจากนี้ย่านอนุสาวรีย์ฯ ยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เพื่อรองรับประชากรจำนวนมากที่สัญจรไปมาในแต่ละวัน จากข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินตามผังเมืองกทม. บริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ฯ ระยะประมาณ 3 กิโลเมตร ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่พาณิชยกรรม สถาบันราชการ และที่อยู่อาศัย ซึ่งประกอบไปด้วยสถานที่สำคัญ เช่น ห้างสรพสินค้า อาคารสำนักงาน โรงพยาบาลและ สถาบันการศึกษาดังนี้ ห้างสรรพสินค้า/Lifestyle Mall เช่น Century, Victory mall, Center one, Fashion mall และ King Power Complex เป็นต้น โรงพยาบาลชั้นนำของประเทศไทย เช่น โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และโรงพยาบาลสงฆ์ เป็นต้น อาคารสำนักงาน เช่น สำนักงานป้องการและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรมแพทย์ทหารบก อาคาร CP Tower 3อาคารวรรณสรณ์ และอาคารสิริภิญโญ  และสถาบันการศึกษาชื่อดัง เช่น โรงเรียนศรีอยุธยาฯ วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก วิทยาลัยแพทย์พระมงกฏเกล้า และมหาวิทยาลัยมหิดล บางคณะโดยเฉพาะด้านการแพทย์เช่น คณะเภสัชศาสตร์ คณะสาธารณะสุข และคณะทันตแพทย์ เป็นต้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทำเล “อนุสาวรีย์ฯ ดินแดง ราชปรารภ” เป็นทำเลที่ครบถ้วน และตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน จึงเป็นที่สนใจของนักลงทุนเป็นอย่างมากโดยเฉพาะผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับการเจริญเติบโตในย่านนี้  
เผยโฉมเฟสแรก เมกะโปรเจกต์ที่ มัลดีฟส์ สิงห์ เอสเตท ลุยจับมือพันธมิตรระดับโลกเนรมิต World Destination

เผยโฉมเฟสแรก เมกะโปรเจกต์ที่ มัลดีฟส์ สิงห์ เอสเตท ลุยจับมือพันธมิตรระดับโลกเนรมิต World Destination

สิงห์ เอสเตท ล่าสุดเนื้อหอมได้รับการทาบทามจาก Café Del Mar ผู้บริหารบีชคลับแนวหน้าของโลกจากเกาะ IBIZA อันโด่งดัง เติมเต็มเมกะโปรเจกต์ที่มัลดีฟส์ เพื่อให้ครบทุกมิติของการท่องเที่ยว ภายหลังได้พันธมิตรโรงแรมดังอย่าง ฮาร์ด ร็อค มาแล้วก่อนหน้านี้ โดยเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปีหน้า ตั้งเป้าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในฝันอันดับหนึ่งแห่งมหาสมุทรอินเดียที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างนึกถึง  สิงห์ เอสเตท เผยความคืบหน้าโครงการเมกะ โปรเจกต์ ที่มัลดีฟส์ ในเฟสแรกที่จะประกอบด้วย ยอร์ช มารีน่า, ร้านค้ารีเทล, โรงแรม และชายหาดสีขาว ซึ่งมีพันธมิตรระดับโลกให้ความเชื่อมั่นในการร่วมทำธุรกิจมาแล้ว โดยส่วนโรงแรมห้องพักได้ Hard Rock Hotel Group มาร่วมรังสรรค์  ธีมโฮเทลแนวใหม่ซึ่งไม่เคยมีที่ใดมาก่อน ล่าสุดทางบริษัทได้เซ็นสัญญาบริหารโครงการกับCafé Del Mar เพื่อเติมเต็มความเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกที่จะสามารถรองรับทุกความต้องการของนักท่องเที่ยวอย่างครบครัน โดยนายฐิติ ทองเบญจมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการเซ็นสัญญาเพื่อเปิดบีชคลับแห่งใหม่ ภายใต้แบรนด์ Café Del Mar ยิ่งเป็นอีกหนึ่งความคืบหน้า ที่สำคัญของเมกะโปรเจกต์ที่มัลดีฟส์ และจะเป็นอีกหนึ่งสีสันของ  มัลดีฟส์ที่นักท่องเที่ยวทุกคนจะไม่ยอมพลาด “สำหรับ Café Del Mar นั้นเป็นบีช คลับที่ได้รับความนิยม และมีชื่อเสียง ตั้งอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำในหลายๆ ประเทศ  อาทิ ออสเตรเลีย สเปน ฮาวาย และอีกหลายแห่งทั่วโลก โดยเรียกได้ว่าเป็นต้นตำรับของบีช คลับ ส่วนในประเทศมัลดีฟส์ Café Del Mar ถือเป็นบีชคลับสาขา  Flagship แห่งแรกในมหาสมุทรอินเดียที่มีขนาดใหญ่ถึง 5,000 กว่าตารางเมตร ประวัติโดยสังเขป Café’ Del Mar เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1980 ในเมือง Ibiza ประเทศสเปน และมีสไตล์ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง รวบรวมสีสัน และความสนุกสนานริมทะเลไว้อย่างพร้อมเพรียง ที่สำคัญยังมีจุดเด่นที่นักท่องเที่ยวทุกคนต่างก็หลงใหล คือเป็นบีช คลับ ที่มีการทำเพลงเป็นของตัวเอง มีการสร้างสรรค์ดนตรี แต่งเพลงขึ้นเพื่อรองรับกิจกรรมต่างๆ ที่ถูกจัดขึ้น  บทเพลงในแต่อัลบั้มคงได้ผ่านหูพวกเรามาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย โดย DJ ระดับพระกาฬอาทิเช่น Roger Sanchez, DJ Dimitri, Boy George, Paul Oakenfold , และศิลปินระดับโลกอีกมากมาย จึงนับว่าเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่น่าตื่นเต้น เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้แฟนเพลงชาวไทยได้กระทบไหล่กับศิลปินเหล่านี้ในอนาคตอีกด้วย” ด้านนายโดมินิค แซปเปีย ผู้อำนวยการกลุ่ม คาเฟ่ เดล มาร์ กล่าวว่า บีชคลับ ภายใต้แบรนด์ Café del Mar แห่งนี้ เป็นความร่วมมือที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่บมจ.สิงห์ เอสเตท บริษัทชั้นนำ ของประเทศไทยได้ตอบรับเทียบเชิญของเรา ซึ่งจะเป็นความท้าทายของการสร้างบีช คลับ อีกครั้งหนึ่งของเรา โดยได้มีการวางคอนเซ็ปต์ให้บีชคลับบนเกาะแห่งนี้ เป็นแรงบันดาลใจอันใหม่ของพวกเขาอีกด้วย “มัลดีฟส์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจ มีความสวยงามของมหาสมุทรอินเดียที่คนทั่วโลกยอมรับ เป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบ ที่เรามองหา เพื่อที่จะขยายประสบการณ์ Café del Mar ไปสู่ตลาดใหม่ ๆ โดยเราพร้อมที่จะบริการนักท่องเที่ยวทุกท่านด้วยบริการที่ประทับใจ เราจะนำเสนอความสนุกสนานในทุกแง่มุมของวันหยุดอย่างมีรสนิยมตั้งแต่การจัดปาร์ตี้ร่วมกับดีเจชั้นนำ พร้อมด้วย เครื่องดื่ม และอาหารรสเลิศที่ทำในห้องครัวผสมผสานในสไตล์ Wood Fired Cooking พร้อมกับผลิตภัณฑ์อาหารในเครือของสิงห์อยู่ด้วย” ผู้บริหาร Café Del Mar กล่าวด้วยว่า บีช คลับ ที่มัลดีฟส์แห่งนี้ เป็นส่วนเชื่อมต่อจากยอร์ช มารีน่า รองรับนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก โดยจะประกอบด้วย สระว่ายน้ำริมชายหาดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ออกแบบโดยดีไซเนอร์ระดับโลก มีกิจกรรมเอ็นเตอร์เทนเมนท์ต่างๆ  โดยเฉพาะทางด้านดนตรี ดีเจ ปาร์ตี้ โดยเราเชื่อว่า เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ บีช คลับแห่งนี้จะต้องเป็นอีกหนึ่งจุดสนใจของโครงการเมกะโปรเจกต์นี้ และเป็นสถานที่ๆ ผู้คลั่งไคล้ในเสียงเพลงจะมาใช้เวลาเพื่อซึมซับความสนุกแบบไม่มีวันลืม โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้พร้อมกับการเปิดตัวโครงการในเฟสแรกในปี 2561 ทั้งนี้ ผู้บริหาร สิงห์ เอสเตท นายฐิติ กล่าวทิ้งท้ายว่า โครงการเมกะโปรเจกต์นี้อยู่ระหว่างดำเนินการในขั้นต้นของเฟสแรก แต่เราได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรระดับโลก โดยโครงการนี้จะเป็นโครงการที่รองรับการท่องเที่ยวในทุกๆ ความต้องการ ทั้งในส่วนของที่พัก  แหล่งช้อปปิ้ง การพักผ่อน สีสัน และบันเทิง ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในหมู่เกาะมัลดีฟส์ และเชื่อว่าจากความร่วมมือกับผู้มีประสบการณ์อย่าง Hard Rock Hotel Group  และ Café Del Mar จะทำให้ทุกคนให้ความสนใจโปรเจกต์นี้ และตั้งตารอวันที่จะได้มาเยือน โดยมีกำหนดการเผยโฉมและรูปแบบให้ทุกคนได้เห็นในเร็วๆ นี้
DITP สรุปการเจรจาการค้า “BIG +BIH April 2017” วันแรก เงินสะพัดกว่า 200 ล้านบาท ผู้ร่วมงาน 1,926 คน

DITP สรุปการเจรจาการค้า “BIG +BIH April 2017” วันแรก เงินสะพัดกว่า 200 ล้านบาท ผู้ร่วมงาน 1,926 คน

DITP สรุปการเจรจาการค้า “BIG +BIH April 2017” วันแรก เงินสะพัดกว่า 200 ล้านบาท ผู้ร่วมงาน 1,926 คน นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การจัดงานแสดงสินค้าของขวัญและงานแสดงสินค้าของใช้ในบ้าน เดือนเมษายน 2560 หรือ BIG + BIH April 2017 ในวันแรก (19 เมษายน 2560) ได้รับผลตอบรับที่ดีเป็นที่น่าพอใจ โดยมีมูลค่าการซื้อขายภายในงานกว่า 200 ล้านบาท มีผู้ร่วมงานถึง 1,926 คน แบ่งเป็นผู้เข้าชมจากในประเทศ 1,258 คน และจากต่างประเทศ 668 คน ประเทศที่เข้าชมงานมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน และเวียดนาม “การจัดงานวันแรกนับว่าประสบความสำเร็จ เพราะนอกจากจะมีมูลค่าการซื้อขายและจำนวนผู้ชมงานตามเป้าหมายแล้ว คูหาต่างๆ และกิจกรรมภายในงานก็ได้รับความสนใจจากผู้ชมงานด้วย โดยเฉพาะคูหา TOP of OTOP Lifestyle Pavilion ซึ่งมีการจัดแสดงสินค้าโอทอปในกลุ่มไลฟ์สไตล์และเป็นครั้งแรกที่มีการจำหน่ายสินค้ากลุ่มนี้ และการแสดงแฟชั่นโชว์สินค้าสัตว์เลี้ยงซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมของคูหา Pet Parade ที่มีเป้าหมายเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีวัตกรรมและไอเดียใหม่ รวมทั้งผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสปาและสมุนไพรไทย ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความสวยงามทันสมัย” นางมาลี กล่าว งาน BIG + BIH April 2017 เป็นงานแสดงสินค้าของขวัญและงานแสดงสินค้าของใช้ในบ้านระดับนานาชาติ ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย และสมาคมผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แนวดีไซน์ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 43 เพื่อเป็นช่องทางการตลาดให้ผู้ซื้อจากประเทศต่างๆ ได้มาพบกับผู้ประกอบการสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทย เพื่อขยายการส่งออกสินค้าของขวัญ ของใช้และของตกแต่งบ้านของไทย โดยรวบรวมผู้ประกอบการ 456 บริษัท 1,161 คูหา มาโชว์ศักยภาพ เปิดให้มีการจัดเจรจาธุรกิจในวันที่ 19-21 เมษายน 2560 เวลา 10.00-18.00 น. จำหน่ายปลีกวันที่ 22-23 เมษายน 2560 เวลา 10.00-21.00 น. ณ ไบเทค บางนา