Tag : News

2376 ผลลัพธ์
พฤกษา เรียลเอสเตท แรงไม่หยุด เปิดตัว “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น เฟสใหม่” ตอบรับชีวิตสุดชิค กับรถไฟฟ้า 3 สาย 1 เม.ย. นี้

พฤกษา เรียลเอสเตท แรงไม่หยุด เปิดตัว “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น เฟสใหม่” ตอบรับชีวิตสุดชิค กับรถไฟฟ้า 3 สาย 1 เม.ย. นี้

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ พฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากการพัฒนาคอนโดมิเนียม “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น” ด้วยทำเลศักยภาพในย่านนี้ที่แวดล้อมไปด้วยแหล่งงานสำคัญ ทั้งศูนย์ราชการ สนามบินดอนเมือง สถาบันการศึกษา และห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง โดยมีจุดเด่นคืออยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า  3 สาย คือ สายสีชมพู (ศูนย์ราชการ-มีนบุรี), สายสีแดง(บางซื่อ-รังสิต) และสายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ซึ่งเมื่อเปิดใช้บริการในอนาคตจะเป็นจุดเชื่อมต่อ (Interchange) ที่สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพ ฯ ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยในย่านนี้มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีลูกค้าให้การตอบรับอย่างล้นหลาม โดยเปิดขายไปแล้ว 2 เฟส มียอดขายแล้วเกือบ 100% บริษัทฯ จึงเตรียมเปิด “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น เฟสใหม่ ติดถนนใหญ่” ริมถนนแจ้งวัฒนะ ในวันที่ 1 เม.ย. นี้ “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น” มาพร้อมกับการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “รวมความสุข สนุกกับไลฟ์สไตล์” ภายในโครงการมีความร่มรื่นด้วยต้นไม้นานาพรรณ เป็นอาคารสูง 8 ชั้น 5 อาคาร รวม 1,172 ยูนิต แบ่งเป็น ห้องชุดพักอาศัย 1,154 ยูนิต ประกอบด้วยห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 22.50 - 26.00 ตร.ม. แบบ 2 ห้องชุดรวมกัน (Combine) พื้นที่ใช้สอย 34.95 – 45.00 ตร.ม. และร้านช้อปปิ้งที่มากถึง 18 ร้าน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและให้ความคุ้มค่ามากกว่า อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องดูหนัง Reading Lounge Kids Room ห้องเกมส์ ห้องสันทนาการ สนามเด็กเล่น ลู่จ๊อกกิ้ง และสวนลอยฟ้า เข้า-ออกด้วยระบบ Access Card และลิฟท์ล็อคชั้น พร้อมกล้อง CCTV และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม. ในราคาเริ่มต้น 1.19 ล้านบาท “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น เฟสใหม่ ติดถนนใหญ่” ตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการ ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู เพียง 200 เมตร เปิดให้ลูกค้าเข้าชมห้องตัวอย่างพร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย ภายใต้แคมเปญ “จองห้องชุด ลุ้นทองเป็นล้าน*” โดยลงทะเบียนชมโครงการรับส่วนลดสูงสุด 20,000 บาท และมีสิทธิ์ลุ้นรับทองคำทุกสัปดาห์ นอกจากนี้หากชวนเพื่อนชมโครงการ และร่วมเล่นเกมส์ จะได้รับส่วนลดเพิ่มเติมอีกด้วย และสำหรับลูกค้าที่จองห้องในวันพรีเซลจะได้รับสิทธิ์ลุ้นรับทองคำรวมมูลค่า 1,000,000 บาท* สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร.1739 หรือ plum.pruksa.com
LPN ส่ง “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว” ใกล้แม่น้ำ รถไฟฟ้าสายสีม่วง พร้อมโปรฯ สุดช็อค

LPN ส่ง “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว” ใกล้แม่น้ำ รถไฟฟ้าสายสีม่วง พร้อมโปรฯ สุดช็อค

LPN ส่ง “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว” ใกล้แม่น้ำ รถไฟฟ้าสายสีม่วง ศูนย์ราชการ และเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต เอาใจคนเช่าบ้านอยู่ ด้วยโปรโมชั่นวันเปิดตัวสุดช็อค 25 มี.ค. นี้ ลดทันที 20% และแสนง่ายดายเพียงผ่อนเบาๆ 2 พันต่อเดือน เพื่อสะสมเป็นค่าใช้จ่ายวันโอน ลุมพินี ทาวเวอร์ : นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่าในวันเสาร์ที่ 25 มีนาคมนี้ บริษัทเตรียมเปิดขายคอนโดใหม่ “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว” มูลค่า 1,000 ล้านบาท บนทำเลรัตนาธิเบศร์-สะพานพระนั่งเกล้า ที่สามารถเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง “แผนงานขายโครงการ   “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว”    บริษัทได้ใช้กลยุทธ์การขายด้วยการเปิดลงทะเบียนในทุกช่องทาง ได้แก่ ผ่านเว็บไซต์ www.lpn.co.th , ผ่านสำนักงานขาย และผ่าน LPN Call Center เพื่อรับสิทธิพิเศษต่างๆ โดยห้องชุดทั่วไปราคาเฉลี่ยเริ่มที่ 50,000 บาทต่อตารางเมตร ชำระเงินจอง และผ่อนดาวน์ล่วงหน้าทั้งหมด 8 งวด เริ่มงวดละ 2,000 บาทต่อเดือน พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษสำหรับห้องชุดขนาด 22.5 ตารางเมตร ลดสูงสุด 20% ในวันโอนกรรมสิทธิ์ ย่านพระนั่งเกล้าเป็นทำเลคุณภาพ เหมาะสำหรับกลุ่มผู้เช่าที่ต้องการอยู่อาศัยเองรวมถึงนักลงทุน โดยปัจจัยหลักที่ส่งเสริมให้การตลาดคอนโดมิเนียมในย่านนี้ขยายตัวมากขึ้น คือการเชื่อม 3 โหมดการเดินทางทั้งรถยนต์-รถไฟฟ้า-เรือโดยสาร  เข้าด้วยกัน ซึ่งถือเป็นการเชื่อมต่อการเดินทางด้านบริการขนส่งมวลชนที่ครบถ้วน ทำให้ทำเลดังกล่าวเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยชั้นดี โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่เชื่อมต่อทุกเส้นทางจากนนทบุรี-กรุงเทพฯ นั้นอยู่ใกล้กับโครงการถึง 2 สถานี ได้แก่ สถานีไทรม้า และสถานีสะพานพระนั่งเกล้า สามารถช่วยลดระยะเวลาการเดินทางของคนทำงานในเมือง อีกทั้งเส้นทางของรถไฟฟ้านี้ยังผ่านพื้นที่ที่เป็นแหล่งงานสำคัญๆ เช่น ศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี และหน่วยงานระดับประเทศ อย่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ อย่างเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต เป็นต้น” “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว” คอนโดโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 4 อาคาร บนเนื้อที่โครงการประมาณ 9 ไร่เศษ ตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนประมาณ  900   ยูนิต   โดยมีรูปแบบห้องชุดขนาด 22.50-35.00 ตร.ม. พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ได้แก่ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย ห้องเรียนรู้ ห้องคุณหนู ห้องเปี่ยมสุข ห้องเฮ้าส์เวิร์ค สนามเด็กเล่น และสวนรวมใจ ที่จอดรถประมาณ 300 คัน เริ่มก่อสร้างเดือนมีนาคม พร้อมเข้าพักอาศัยได้ปลายปี 2560 สะดวกสบายด้วยบริการรถตู้รับ-ส่งจากโครงการไปยังรถไฟฟ้าสถานีไทรม้าและสถานีสะพานพระนั่งเกล้า “และสำหรับแผนการดำเนินงานหลังจากนี้ บริษัทเตรียมขยายโครงการต่อทันทีในย่านดินแดง-ราชปรารภ และเกษตร-งามวงศ์วาน ประมาณไตรมาส 2/2560 นี้ คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี เพราะทำเลดังกล่าวมีระดับความต้องการที่อยู่อาศัยของลูกค้าเป็นจำนวนมากในราคาที่เหมาะสม (Affordable Price) และตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนเมืองได้” กรรมการผู้จัดการ LPN กล่าวในที่สุด
APX เปิดแผนปี”60 เป็น “Tourism Real Estate” ลุยพัฒนาอสังหาฯ เกาะติดแหล่งท่องเที่ยว ดึงเชนระดับโลกบริหาร – สร้างผลตอบแทนที่มั่นคง

APX เปิดแผนปี”60 เป็น “Tourism Real Estate” ลุยพัฒนาอสังหาฯ เกาะติดแหล่งท่องเที่ยว ดึงเชนระดับโลกบริหาร – สร้างผลตอบแทนที่มั่นคง

บมจ.เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ (APEX) เปิดแผนและยุทธศาสตร์ปี”60 เดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาฯ แนวคิดใหม่ที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น ด้านผู้บริหารมือเก๋าในวงการอสังหาฯ “พงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์” เผยเน้นเกาะติดความเจริญ-แหล่งท่องเที่ยว ชูจุดแข็งดึงเชนระดับโลกบริหารโรงแรม-เรสซิเด้นซ์ มั่นใจสร้างผลตอบแทนที่ดีและมั่นคงให้กับผู้ลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว วางเป้าปีนี้กวาดรายได้จากโครงการ  Mövenpick Resort &Residences นายพงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (APX)  ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กว่า 30 ปี เปิดเผยถึงแผนการงานในปี 2560 ว่า การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯจะดำเนินการต่อเนื่องจากปี 2559 ที่ผ่านมา ตามนโยบาย คือ มุ่งเน้นพัฒนาอสังหาฯที่เกาะติดกับความเจริญรุ่งเรืองของธุรกิจการท่องเที่ยว ให้ผลตอบแทนที่ดีให้กับริษัทฯ และให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอใหกับผู้ซื้อโครงการทั้งระยะสั้นและระยะยาว สำหรับโครงการพัฒนาตามแผนดำเนินงานในปี 2560 ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ APX  ต่อเนื่องจากปี 2559 มีดังนี้ 1.โครงการ Mövenpick Resort &Residences  ตั้งอยู่ริมหาดนาจอมเทียน พัทยา ประกอบด้วยอาคารชุดประเภท โรงแรมสูง 34 ชั้น  264 ห้องพัก อาคารชุดพักอาศัย สูง 37 ชั้น 196 ห้องชุด และ Pool Villas 34 หลัง ซึ่งได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปี 2559 ปัจจุบัน บริษัทฯได้ขายอาคาร โรงแรม ให้แก่ผู้ลงทุนโรงแรม และคงเหลือห้องชุดในอาคาร Mövenpick Residenes และ Pool Villas บางส่วนคิด เพื่อการขาย และโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2560 นี้ โดยโครงการนี้ถือเป็นโครงการที่ได้รับรางวัล Best Luxury Condo in Eastern Seaboard จากรางวัล Thailand Property Award 2015 เป็นบทพิสูจน์หนึ่งของคุณภาพโครงการของเรา 2.โครงการ Sheraton Phuket Grand Bay Resort  ตั้งอยู่บนเนินเขา ติดชายทะเล 650 เมตร ที่อ่าวปอ ภูเก็ต ที่ดินโครงการประมาณ 70 ไร่ ประกอบด้วย โรงแรม Sheraton Phuket จำนวน 183 ห้องพัก มูลค่าโครงการประมาณ 2.19 พันล้านบาทและ Grand Bay Residences เป็น Pool Villas 80 หลัง จำนวน 150 ห้องพัก มูลค่าโครงการประมาณ 2.0 พันล้านบาท กำหนดงานก่อสร้าง และตกแต่งในส่วนของ Residences แล้วเสร็จให้โอน และรับรู้รายได้ประมาณปลายปี 2562 และโรงแรม Sheraton Phuket กำหนดงานก่อสร้าง ตกแต่งแล้วเสร็จ เปิดให้บริการประมาณกลางปี 2563 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 4.2 พันล้านบาท โครงการนี้ใน Phase แรกเราเปิดขายไปได้มากแล้ว หากสนใจซื้อหรือดูห้องตัวอย่างติดต่อฝ่ายขายได้ที่เบอร์ 3.โครงการ Four Points by Sheraton and Vantage Point Residences ตั้งอยู่ริมชายหาดจอมเทียน พัทยา ที่ดินโครงการประมาณ 10.5 ไร่ ซึ่งบริษัทไปซื้อโรงแรมเก่าชื่อ Sigma Resort สูง 15 ชั้น บริษัทเริ่มแผนพัฒนาโดยการปรับปรุง และตกแต่งอาคารโรงแรม และจะดำเนินการเปลี่ยนชื่อ และการบริหารโรงแรมโดยเชน Four Points by Sheraton  ซึ่งเหมาะสมกับนักท่องเที่ยวที่นิยมเข้าพักในบริเวณดังกล่าว มีจำนวนห้องพัก 307 ห้องพัก มูลค่าโครงการเมื่อตกแต่งแล้วเสร็จ ประมาณ 1.98 พันล้านบาท กำหนดการตกแต่งแล้วเสร็จและเปิดให้บริการ ประมาณปลายปี 2561 มีส่วนที่ว่างคงเหลืออีก 4 ไร่ บริษัทฯจะพัฒนาเป็นอาคารชุดพักอาศัยชื่อ Vantage Point  มีจำนวนห้องชุด 338 ห้องชุด เพื่อการขาย มูลค่าโครงการประมาณ 1.85 พันล้านบาท กำหนดงานก่อสร้างตกแต่งแล้วเสร็จ ประมาณปลายปี 2563 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 3.83 พันล้านบาท โปรเจ็คนี้โชคดีที่ซื้อมาจากกระบวนการฟื้นฟูในราคาไม่แพง และ 4.โครงการ Hyatt Centric Phuket Resort & Residences ตั้งอยู่ริมหาดไม้ขาว ภูเก็ต บนเนื้อที่ดิน 14 ไร่ เป็นที่ดินแปลงใหม่ล่าสุดที่บริษัทเพิ่งจะประมูลซื้อได้มาจากกรมบังคับคดี มีหน้ากว้าง 195 เมตรติดชายทะเลสวยงามมาก บริษัทฯจะพัฒนาเป็นโรงแรม Hyatt Centric มีจำนวนห้องพัก 170 ห้องพัก มูลค่าโครงการประมาณ 1.44 พันล้านบาท และส่วน Hyatt Residences มีจำนวนห้องชุด 106 ห้องชุดเพื่อการขาย มูลค่าโครงการประมาณ 1.4 พันล้านบาท กำหนดงานก่อสร้าง และตกแต่งแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2563 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 2.85 พันล้านบาท “จากประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กว่า 30 ปี ผมเชื่อมั่นว่าธุรกิจของเอเพ็กซ์ฯ จะสามารถสร้างผลกำไรที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างแน่นอน โดยดำเนินโครงการลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวควบคู่กันไป นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการค้นหาโครงการอสังหาริมทรัพย์อื่นที่น่าสนใจและเจราจากับพันธมิตรทางธุรกิจหลายฝ่าย เพื่อเปิดโอกาสให้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง” นายพงษ์พันธ์กล่าว พร้อมกันนี้ด้วยจุดแข็งของบริษัท ที่สามารถเลือกซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่มีศักยภาพ ในราคาเหมาะสมทั้งจากกระบวนการบังคับคดี และ ทั่วๆไป เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงเป็นโรงแรม และเรสซิเด้นซ์ พร้อมกับดึงเชนโรงแรมชื่อดัง เข้ามาบริหารจัดการ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ สร้างรายได้ที่ดีให้ลูกค้าที่เข้าลงทุน ทำให้ได้รับผลตอบแทนทั้งในระยะสั้น และระยะยาวที่มั่นคง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (APX) กล่าวอีกว่า จากแผนการดำเนินงานที่มีความชัดเจนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ฯในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของบริษัทฯในอนาคตเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน ตอกย้ำถึงความเป็นมืออาชีพของผู้บริหารที่มีความเป็นมืออาชีพที่พร้อมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้อยู่ในระดับแนวหน้าของเมืองไทย ภายใต้จุดขายที่ไม่เหมือนใคร
บริษัทลดขนาดที่นั่งพนักงานให้เล็กลง กระทบความต้องการออฟฟิศให้เช่า

บริษัทลดขนาดที่นั่งพนักงานให้เล็กลง กระทบความต้องการออฟฟิศให้เช่า

กรุงเทพฯ 23 มีนาคม 2560 - บริษัทขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ หลายบริษัท ยังคงมีการขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการขยายสถานที่ทำการเพื่อรองรับจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี พบว่า บริษัทต่างๆ เหล่านี้ ใช้พื้นที่สำนักงานเฉลี่ยต่อจำนวนพนักงานหนึ่งคนลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานไม่ขยายตัวรวดเร็วมากนัก แม้ธุรกิจของบริษัทผู้เช่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นก็ตาม ตามรายงานจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการดานอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล นางสาวยุพา เสถียรภาพอยุทธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการธุรกิจอาคารสำนักงาน เจแอลแอล กล่าวว่า “ในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ บริษัทต่างๆ ต้องการใช้พื้นที่สำนักงานเฉลี่ย 10 ตารางเมตรต่อจำนวนพนักงาน 1 คน แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ บริษัทส่วนใหญ่ใช้พื้นที่สำนักงานเพียง 5-7 ตารางเมตรต่อพนักงาน 1 คน และมีแนวโน้มที่จะใช้พื้นที่ต่อจำนวนพนักงานน้อยลงเรื่อยๆ” สอดคล้องกับรายงานการวิจัยของเจแอลแอลที่ระบุว่า ในปีที่ผ่านมา ตลาดอาคารสำนักงานทั่วกรุงเทพฯ มียอดการเช่าพื้นที่สุทธิรวมทั้งสิ้นเพิ่มขึ้น 139,000 ตารางเมตร ซึ่งลดลงราว 30% เมื่อเทียบกับยอดเฉลี่ยห้าปีระหว่างปี 2555-2559 ซึ่งมีการเช่าพื้นที่เพิ่มสุทธิ 200,000 ตารางเมตรต่อปี ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทผู้เช่าพยายามหากลยุทธ์ที่จะสามารถช่วยให้ใช้พื้นที่สำนักงานต่อจำนวนพนักงานหนึ่งคนได้น้อยลง คือราคาค่าเช่าที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับการที่อาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ มีพื้นที่เหลือเช่าไม่มาก รายงานจากเจแอลแอลระบุว่า ในขณะนี้ ตลาดอาคารสำนักงานของกรุงเทพฯ นับได้ว่าอยู่ในภาวะที่มีปริมาณไม่เพียงพอรองรับความต้องการ โดยทั่วกรุงเทพฯ ขณะนี้ มีพื้นที่สำนักงานว่างเหลือเช่าเฉลี่ยเพียง 8.6% ส่วนอาคารสำนักงานเกรดเอมีพื้นที่ว่างเหลือเช่าเฉลี่ยเพียง 6.6% ในขณะที่ค่าเช่ามีการปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกันตลอดหกปีที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อไปอีก “บริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องการขยายออฟฟิศในอาคารเดิม สามารถทำได้ยากขึ้นเพราะหลายๆ อาคารมีผู้เช่าเต็มหรือเกือบเต็ม  นอกจากจะย้ายออฟฟิศไปยังอาคารอื่นบางอาคารที่อาจยังมีพื้นที่ขนาดใหญ่เหลือว่างพอรองรับได้ แต่การย้ายสำนักงานเป็นปฏิบัติการที่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น บริษัทต่างๆ จึงพยายามใช้พื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สามารถรองรับจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้นได้ในพื้นที่ที่จำกัด ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่บริษัทที่ต้องการขยายกิจการเท่านั้นที่พยายามใช้พื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทเปิดใหม่หรือบริษัทที่ย้ายออฟฟิศไปยังอาคารใหม่ ต่างก็ใช้กลยุทธ์นี้ด้วยเช่นกันเพื่อควบคุมต้นทุน” นางสาวยุพากล่าว นวัตกรรมออกแบบการใช้พื้นที่ออฟฟิศและเทคโนโลยีสื่อสารที่ก้าวหน้าขึ้น ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถใช้พื้นที่สำนักงานต่อพนักงานหนึ่งคนน้อยลงได้ ด้วยกลวิธีที่หลากหลาย อาทิ การลดจำนวนห้องทำงานส่วนบุคคล การจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางให้พนักงานสามารถใช้ร่วมกันได้มากขึ้นเพื่อลดพื้นที่ส่วนบุคคลลง การเช่าพื้นที่เก็บเอกสารหรือสิ่งของแทนการมีห้องเก็บของในออฟฟิศ หรือการจัดสรรที่นั่งแบบ hot-desk ที่พนักงานสามารถหมุนเวียนกันใช้ได้โดยไม่มีที่นั่งประจำส่วนตัว เป็นต้น นวัตกรรมออกแบบการใช้พื้นที่ออฟฟิศที่ชาญฉลาดขึ้น ไม่เพียงช่วยให้บริษัทใช้พื้นที่ได้เต็มประสิทธิภาพและควบคุมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเช่าสำนักงานได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้สภาพแวดล้อมในที่ทำงานดีขึ้นได้ด้วย ซึ่งรวมถึงการเอื้อให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น สร้างความพอใจให้กับพนักงานและมีส่วนช่วยในการรักษาพนักงานไว้กับบริษัท นางสาวยุพากล่าวว่า “จากการที่กรุงเทพฯ จะมีอาคารสำนักงานสร้างเสร็จใหม่จำนวนน้อยในช่วง 4 ปีข้างหน้า ในขณะที่บริษัทต่างๆ ยังคงมีแนวโน้มขยายการเติบโต ดังนั้น คาดว่า ตลาดอาคารสำนักงานของกรุงเทพฯ จะยังคงอยู่ในภาวะที่ซัพพลายมีไม่เพียงพอรองรับการขายตัวของดีมานด์ และค่าเช่าจะยังคงขยับตัวสูงขึ้นต่อไปอีก ดังนั้น บริษัทผู้เช่าจึงมีแนวโน้มหาวิธีใช้พื้นที่สำนักงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก ทั้งนี้ ในระยะเวลา 10 ข้างหน้า คาดว่าบริษัทต่างๆ จะสามารถใช้พื้นที่สำนักงานต่อพนักงานหนึ่งคนลดลงไปอีกราว 20% จากปัจจุบัน”
กระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลียเสนอขายที่ดินสถานทูตบนถนนสาทร พร้อมแต่งตั้ง JLL เป็นตัวแทนขาย

กระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลียเสนอขายที่ดินสถานทูตบนถนนสาทร พร้อมแต่งตั้ง JLL เป็นตัวแทนขาย

กรุงเทพฯ 23 มีนาคม 2560 - จากการที่สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำกรุงเทพฯ เตรียมย้ายไปยังที่ทำการใหม่ที่ใกล้สร้างเสร็จในย่านสวนลุมพินี กระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลียจึงประกาศขายที่ดินบนถนนสาทร ซึ่งเป็นที่ตั้งสถานที่ทำการของสถานทูตในปัจจุบัน โดยแต่งตั้งให้บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เป็นตัวแทนในการขาย ที่ดินดังกล่าวเสนอขายกรรมสิทธิ์ขาด มีเนื้อที่รวมทั้งสิ้น 7 ไร่ 382 ตารางวา ตั้งอยู่ริมถนนสาทรใต้ หนึ่งในย่านธุรกิจและที่พักอาศัยชั้นดีในศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ การเป็นแหล่งรวมของอาคารสำนักงานเกรดเอ โรงแรมชั้นนำ เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ และคอนโดมิเนียมหรู ทำให้สาทรเป็นทำเลยอดนิยมที่บริษัทชั้นนำทั้งข้ามชาติและบริษัทไทยชั้นนำเลือกเป็นที่ตั้งสำนักงาน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทประกันภัย ธนาคาร และสถาบันการเงินอื่นๆ และเป็นหนึ่งในทำเลที่พักยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกด้วย นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล กล่าวว่า “ตลาดอาคารสำนักงานเกรดเอและตลาดคอนโดมิเนียมระดับหรูในย่านศูนย์กลางธุรกิจกรุงเทพฯ มีผลประกอบการที่ดีติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปี ดังนั้น จึงยังคงมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์-นักลงทุนที่ต้องการพัฒนาโครงการใหม่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แต่อุปสรรคสำคัญคือที่ดินที่เหมาะสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ในย่านนี้หาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ” “การเสนอขายที่ดินของสถานทูตออสเตรเลียบนถนนสาทรครั้งนี้ เป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับบริษัทที่ต้องการซื้อกรรมสิทธิ์ขาดในที่ดินแปลงใหญ่เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์บนถนนสายนี้” นางสุพินท์กล่าว นอกจากการมีทำเลชั้นเยี่ยมในใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ที่ดินแปลงนี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษคือการที่สาทรอยู่ในโซนสีแดงตามผังเมืองของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ประเภทพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก และอนุญาตให้สร้างอาคารสูงในอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (Floor Area Ratio: FAR) สูงถึง 10 ต่อ 1 “จากการที่แปลงที่ดินของสถานทูต มีหน้าที่ดินติดถนนสาทรค่อนข้างกว้างมาก ทำให้โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใดๆ ที่จะสร้างบนที่ดินแปลงนี้ จะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากการสามารถสร้างอาคารได้เต็มเพดาน FAR ที่ 10 ต่อ 1 และสามารถเลือกสร้างอาคารสูงได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมระดับหรู อาคารสำนักงานเกรดเอให้เช่าหรือขาย อาคารที่ทำการของบริษัทขนาดใหญ่ หรืออาคารที่ใช้ประโยชน์ผสมผสาน (mixed-use)” นางสุพินท์กล่าว รูปแบบการเสนอขายที่ดินสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำกรุงเทพฯ เป็นการเปิดให้ผู้สนใจยื่นซองเสนอราคา โดยจะเปิดรับไปจนถึงต้นเดือนมิถุนายนศกนี้ “เพียงไม่นานหลังเริ่มเปิดการขาย มีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำรายใหญ่แสดงความสนใจแล้วหลายราย” นางสุพินท์กล่าว “เพื่อเพิ่มโอกาสการขายให้มากที่สุด เจแอลแอลจะมีการกระจายข้อมูลการเสนอขายที่ดินของแปลงนี้ไปตามเครือข่ายสำนักงานของเราในทั่วโลก เชื่อว่า การเสนอราคาครั้งนี้ จะมีการแข่งขันสูง”
บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือ ทีซีซี กรุ๊ป เผยโฉมโรงแรมใหม่ “เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก” ตั้งเป้าเป็นเดสติเนชั่นใหม่ของนักท่องเที่ยวไทยและทั่วโลก

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือ ทีซีซี กรุ๊ป เผยโฉมโรงแรมใหม่ “เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก” ตั้งเป้าเป็นเดสติเนชั่นใหม่ของนักท่องเที่ยวไทยและทั่วโลก

หลังประกาศรุกธุรกิจโรงแรมครั้งใหญ่ ตอบรับกระแสการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวและประชุมสัมมนา (MICE) ในประเทศไทย ล่าสุด บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ภายใต้เครือ ทีซีซี กรุ๊ป ได้ฤกษ์เผยโฉมโรงแรมแห่งใหม่ “เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก” โรงแรมแห่งแรกใน เดอะ เวลล์เนส คอลเล็คชั่น (The Wellness Collection) จุดเด่นตั้งอยู่ในย่านประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ  เป็นเรือนเก่าสร้างในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เดิมถือเป็นเรือนพักอาศัยของพระนมของรัชกาลที่ 6 ส่วนหนึ่งของอาณาบริเวณวังเทเวศร์ ตั้งเป้าเป็นเดสทิเนชั่นใหม่ล่าสุดของกรุงเทพฯ เจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยว ชื่นชอบวัฒนธรรม รักสุขภาพ และธรรมชาติ ด้านผู้บริหารเผยภาพรวม ตั้งเป้าเปิดครบ 5 คอลเล็คชั่น;  The Imperial Collection, The Art Collection, The Wellness Collection, The Floral Collection, และ The AT Collection ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกระดับ ภายใน 3 ปีนี้ มร.นิชันท์ โกรเว่อร์  ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “หลังจากแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น ในเครือทีซีซีกรุ๊ป ซึ่งถือเป็นกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านบริการที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ประกาศรุกธุรกิจโรงแรมครั้งใหญ่ เพื่อตอบรับกระแสการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวและประชุมสัมมนา (MICE) ในประเทศไทย หลายปีที่ผ่านมาเรามีทั้งโรงแรมที่บริหารเองและร่วมมือกับกลุ่มบริหารโรงแรมระดับโลกชั้นนำ ซึ่งในปี 2259 ได้ทยอยเปิดตัวโรงแรมและรีสอร์ทแห่งใหม่ทั้งสิ้น 4 แห่ง บริหารโดยพันธมิตรคือ Marriott International จำนวน 3 แห่ง และเปิดตัวโรงแรมซึ่งบริหารเอง 1 แห่ง  เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก ถือเป็นโรงแรมแรมของปี 2560 ที่เราบริหารเองทั้งหมด  หนึ่งในแผนพัฒนาที่ แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น ตั้งเป้าหมายเปิดโรงแรมใหม่อีกกว่า 50 แห่งทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศให้ครอบคลุมในทุกๆ เซ็กเม้นท์ โรงแรม เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก ตั้งอยู่ที่ 164-172 ถนนกรุงเกษม แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กทม. จุดเด่นถือเป็นเรือนเก่าที่สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เดิมเป็นเรือนพักอาศัยของพระนมของพระองค์ท่าน เรือนพักอาศัยนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาบริเวณวังเทเวศร์ ประกอบด้วยห้องพัก 38 ห้อง ออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพิ่มความงดงามขึ้นด้วยงานฝีมือจิตรกรรมบนผนังและงานเขียนกาพย์กลอนที่มีชื่อเสียงของอดีตจนถึงรัชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของไทยและเชิดชูพระอัจฉริยภาพด้านบทกวีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมแห่งสยามอันประเมินค่าไม่ได้ บนพื้นที่กว่า 900 ตารางเมตร ร่มรื่นด้วยหลายหลายพันธุ์ไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นไทรอายุกว่า 120 ปี  นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นเรื่อง ‘เวลล์เนส’ (Wellness) หนึ่งในแนวคิดสำคัญของโรงแรม เพื่อให้แขกผู้พักอาศัยสัมผัสประสบการณ์ของการผ่อนคลาย และดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร โรงแรมจึงให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวเป็นพิเศษ รวมถึงสวนออร์แกนิค ซึ่งผู้มาเยือนสามารถเลือกวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารได้ด้วยตัวเอง สระว่ายน้ำกลางสวนและบาร์ริมสระเสิร์ฟเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ แขกจึงสามารถพักผ่อนใต้ร่มไม้ในระหว่างวัน หรือสูดอากาศบริสุทธิ์ท่านกลางสวนเขียวขจีใจกลางเมืองที่ หลบเร้นจากความวุ่นวายภายนอก” มร.นิชันท์ ได้กล่าวถึงทิศทางในการก้าวเข้าสู่กลุ่มผู้นำด้านธุรกิจโรงแรมว่า “เรามุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์และส่งมอบคุณภาพการบริการที่ดีกว่าแก่ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติให้ทุกโรงแรมในกลุ่มแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น เป็นจุดหมายปลายทาง หรือ เดสติเนชั่นใหม่ทั้งในประเทศและนานาชาติ  โดยเฉพาะโรงแรม เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก ซึ่งเน้นเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพักผ่อนและท่องเที่ยวเอง ซึ่งต้องการดื่มด่ำกับวิถีชีวิตแบบไทยๆ และความสงบที่หาได้ยากใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินทางมาพักผ่อนเองในลักษณะแบบนี้มากขึ้น” สำหรับโรงแรม เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก ประกอบด้วยห้องพัก 38  ห้อง ออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพื่อสะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมแห่งสยาม ผสมผสานการออกแบบระหว่างบรรยากาศแบบวิถีไทยดั้งเดิมในสมัยรัชกาลที่ 6  และความสะดวกสบาย ผ่อนคลายแบบร่วมสมัย ตกแต่งด้วยองค์ประกอบทางศิลปะอันละเอียดอ่อน เพื่อให้แขกสัมผัสได้ถึงบรรยากาศการพักผ่อนอันสงบอันอบอุ่นและซึมซับศิลปวัฒนธรรม จากโคลงกลอนที่เขียนอย่างประณีตด้วยฝีมือช่างไทยให้แต่ละห้องมีความพิเศษเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง  โรงแรมแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอาคารหลัก กลุ่มอาคารด้านหน้าทั้ง  20 ห้องตั้งอยู่ใน ซิตี้ วิง (City Wing)  ในขณะที่อีก  18  ห้องตั้งอยู่ในบริเวณกลุ่มอาคารในสวนที่เรียกว่า การ์เด้น วิง (Garden Wing)  ซึ่งกลุ่มอาคารนี้เคยเป็นเรือนพักอาศัยหลักของพระนมของรัชกาลที่ 6 ห้องพักตั้งอยู่ในชั้น 1 และ 2 สำหรับผู้พักที่ต้องการความสงบท่ามกลางสวนอันร่มรื่น ‘เวลล์เนส’ (Wellness) คือหนึ่งในแนวคิดสำคัญของโรงแรม เพื่อให้แขกของโรงแรมสัมผัสประสบการณ์ของการผ่อนคลาย และดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร จึงให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวเป็นพิเศษ รวมถึง สวนออร์แกนิคซึ่งสามารถเลือกวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารโดยเชฟได้ด้วยตัวเองในขณะที่ อิมพีเรียล สปา (Imperial Spa) ช่วยให้แขกของโรงแรมผ่อนคลายกับวิถีการนวดแผนโบราณแบบไทยแท้ โดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการถ่ายทอดจากสถาบันสุขภาพโพธาลัย ซึ่งสั่งสมองค์ความรู้จากวัดโพธิ์จากรุ่นสู่รุ่น โรงแรมยังให้ความสำคัญกับด้านอาหาร (Cuisine) เพื่อให้ย่านประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ เป็นจุดหมายใหม่ของนักเดินทางที่ต้องการเติมเต็มประสบการณ์ใหม่ของรสชาติอาหาร ทั้งไทยดั้งเดิมและอาหารยุโรป ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวิถีการรับประทานอาหารในสมัยรัชกาลที่ 6 ห้องอาหาร เดอะ ระวีกัลยา ไดนิ่ง (The Raweekanlaya Dining) ได้รับการสร้างสรรค์เมนูอาหารอย่างพิถีพิถัน โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้รับประทานและความยั่งยืน วัตถุดิบในการปรุงอาหารจึงได้รับการคัดสรรเพื่อให้แน่ใจว่ามีคุณประโยชน์และเป็นวัตุดิบจากธรรมชาติอย่างแท้จริง เช่น ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ เกลือสมุทร และวัตถุดิบออร์แกนิคตามฤดูกาล ซึ่งล้วนผลิตจากกลุ่มเกษตรท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมกำลังการผลิตในชุมชน ผลิตภัณฑ์คุณภาพต่างๆ ยังมีที่มาจากผู้ผลิตชั้นนำทั้งในและต่างประเทศซึ่งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก
“ณุศาศิริ” งัดกลยุทธ์เด็ดรุกตลาดอสังหาฯ เสริมแกร่งไตรมาส 2 ขึ้นแท่นผู้นำอสังหาฯเทรนด์สุขภาพ เปิดงาน THE SPECTACULAR DAYS ดันยอดขายพุ่ง

“ณุศาศิริ” งัดกลยุทธ์เด็ดรุกตลาดอสังหาฯ เสริมแกร่งไตรมาส 2 ขึ้นแท่นผู้นำอสังหาฯเทรนด์สุขภาพ เปิดงาน THE SPECTACULAR DAYS ดันยอดขายพุ่ง

“ณุศาศิริ”กางแผนธุรกิจบุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาส 2 ปี 2560 เดินเกมรุกหนักตลาดบ้านและคอนโด ด้วยการจัดงานใหญ่ครั้งแรกของปีกับงาน NUSASIRI THE SPECTACULAR DAYS พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด “คอลมาร์ เขาใหญ่ บาย มาย โอโซน” คอนโดมีเนียมหรูสไตล์ฝรั่งเศส ตอกย้ำผู้นำเทรนด์บ้านเพื่อสุขภาพและการลงทุน พร้อมข้อเสนอการันตีผลตอบแทนสูงสุด 9.5% ต่อปี นานสูงสุด 6 ปี* ตั้งเป้ากวาดยอดขาย มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท (17 มีนาคม 60) นายวิษณุ เทพเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSASIRI เปิดเผยถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (เมดิคอล ฮับ) ภายใน 10 ปีข้างหน้าเริ่มตั้งแต่ปี 2559–2569 ว่านโยบายของรัฐบาลมีความสอดคล้องกับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของ “ณุศาศิริ” ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญและโอกาสการเติบโตของตลาดบ้านเพื่อสุขภาพ เนื่องจากประชาชนหันมาให้ความสนใจ   ในเรื่องของสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ประกอบกับสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังนั้นบ้านสุขภาพแบบองค์รวม จึงเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือการลงทุน นายวิษณุ กล่าวต่อว่า ในปี 2560 ทางบริษัทฯ มีแผนรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 2 โดยเน้นกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รับเทรนด์สุขภาพและการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเก็งกำไร การต่อยอดรายได้และใช้เวลาทั้งหมดไปกับเรื่องการลงทุนเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ให้ความสนใจการดูแลสุขภาพของตัวเอง ประกอบกับเทรนด์และกระแสการดูแลสุขภาพในปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงได้จัดงาน NUSASIRI THE SPECTACULAR DAYS และเปิดตัวรูปแบบการลงทุนแนวใหม่ “Live Long Rich Life” ใช้ชีวิตที่ยั่งยืนบนความมั่งคั่งและสุขภาพที่ดี ภายใต้แนวความคิดหลัก คือ The Greatest Wealth is Health เพราะสุขภาพดีคือความมั่งคั่งที่แท้จริง และถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์นักลงทุนในช่วงภาวะเศรษฐกิจซบเซา เพราะคุ้มค่าต่อการลงทุนมากที่สุด ทั้งนี้ การจัดงาน NUSASIRI THE SPECTACULAR DAYS ได้นำ 6 โครงการคุณภาพ ของณุศาศิริมาร่วมจัดงานในครั้งนี้ ได้แก่ โครงการ เมอเวนพิค เรสซิเดนซ์ เอกมัย กรุงเทพ,โครงการ ณุศา ชีวานี พัทยา,โครงการ ณุศาศิริ ซิตี้ พระราม 2,โครงการ ณุศา ศรีราชา,โครงการ ณุศา สเตท    ทาวเวอร์ สีลม และสุดท้ายกับการเปิดตัวครั้งแรกของโครงการใหม่ล่าสุด“คอลมาร์ เขาใหญ่ บาย มายโอโซน” คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 320 ยูนิตบนทำเลที่ดีที่สุดของเขาใหญ่กับแหล่งโอโซนอันดับ 7 ของโลก ด้วยการออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร โดยหยิบดีไซน์หนึ่งในเมืองที่สวยที่สุด “COLMAR” ในประเทศฝรั่งเศสมาไว้ที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยโครงการอยู่บริเวณด้านหน้าของโครงการ “ณุศา มาย โอโซน” ทำให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโรงแรม 5 ดาว ทั้งศูนย์สุขภาพ ร้านอาหาร สระว่ายน้ำ สวนผักออร์กานิก รวมทั้งสนามกอล์ฟ 18 หลุม ให้ลูกค้าได้พักผ่อนในพื้นที่สีเขียวของโครงการกว่า1,200ไร่เพื่อชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างมีสุขภาพที่ดีราคาเริ่มต้นเพียง 2.62 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าการจัดงานดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้นและเป็นไปตามเป้าหมายในการจัดงานที่ตั้งไว้ 400 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรหลักอย่าง “พานาซี เมดิคอล เซ็นเตอร์” ศูนย์การแพทย์แบบองค์รวมระดับ Hi-end จากเยอรมนี นำวิทยาการทางการแพทย์และเครื่องมือที่ทันสมัยพร้อมคณะแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาให้บริการตรวจร่างกายเชิงรุกแบบ Real Time 4 Stations ฟรีภายในงานอีกด้วย ด้านนางศิริญา เทพเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการจัดงานครั้งนี้ที่ “ณุศาศิริ” กล้าท้าดูแลชีวิตคุณ ด้วยข้อเสนอที่ดีที่สุดที่มีแต่ได้กับได้ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและให้ประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้าโดยเฉพาะคือ1.การันตีผลตอบแทนสูงสุด 9.5% ต่อปีต่อเนื่องนานสูงสุดถึง 6 ปีติดต่อกัน โดยมีโครงการที่เข้าร่วม ณ เวลานี้ 3 โครงการ ซึ่งผลตอบแทนจะแตกต่างกันไป ได้แก่ โครงการ ณุศา ศรีราชา รับผลตอบแทนสูงสุด 9.5% นาน 6 ปี,โครงการ เมอเวนพิค เรสซิเดนซ์ เอกมัย กรุงเทพ รับผลตอบแทนสูงสุด 8%นาน 6 ปี และโครงการ คอลมาร์ เขาใหญ่ บาย มายโอโซน รับผลตอบแทนสูงสุด 8% นาน 3 ปี 2. แพ็คเกจดูแลสุขภาพที่จะช่วยป้องกันกลุ่มโรคร้ายจาก ศูนย์การแพทย์แบบองค์รวมระดับ Hi-end จากเยอรมนี “พานาซี เมดิคอล เซ็นเตอร์” ที่จะช่วยดูแลสุขภาพลึกถึงระดับเซลล์ รับประกันการลดอัตราความเสี่ยง  ในการป่วยเป็นโรคร้ายแรง 3.ประกันชีวิตเท่ากับวงเงินการลงทุน* เพื่อดูแลคุณภาพชีวิตอย่างดีที่สุดและสร้างความเชื่อมั่น  โดยครอบคลุมประกันชีวิตตามวงเงินที่ลงทุนตั้งแต่ 30 ล้านบาทขึ้นไป นับเป็นการการันตีคุณภาพชีวิตและสุขภาพให้กับนักลงทุนที่ไม่เคยมีที่ใดให้มาก่อน 4.ถือครองกรรมสิทธิ์กับโครงการที่ดีที่สุดของณุศาศิริ นอกจากผลตอบแทนที่สร้างความมั่งคั่งและสุขภาพดีแล้วยังได้ถือครองกรรมสิทธิ์ในสิ่งที่ลงทุนเพื่อเป็นหลักประกันในความมั่นคงที่ยั่งยืนอีกด้วย งาน NUSASIRI THE SPECTACULAR DAYS จัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ - 21 มีนาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 10:00-20:00 น. ที่เอ็มโพเรียมแกลเลอรี่ ชั้น M ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 1608 และ www.nusasiri.com งานเดียวที่การลงทุนได้ทั้งผลตอบแทนและสุขภาพดีในเวลาเดียวกัน
วาเลอรี ออฟฟิศ เซ็นเตอร์ อาคารสำนักงานไฮเอนด์ – 1 เดียวบนเทพารักษ์แจกเบนซ์ !! SMPP รุกหนักปี 60 เล็งเปิดโครงการต่อเนื่องทั้งกทม.และนครพนม มูลค่ารวม 1,245 ล้านบาท

วาเลอรี ออฟฟิศ เซ็นเตอร์ อาคารสำนักงานไฮเอนด์ – 1 เดียวบนเทพารักษ์แจกเบนซ์ !! SMPP รุกหนักปี 60 เล็งเปิดโครงการต่อเนื่องทั้งกทม.และนครพนม มูลค่ารวม 1,245 ล้านบาท

เอสเอ็ม พรอพเพอร์ พลัส เล่นแรง !! จัดหนักส่งแคมเปญหรู จองโครงการวาเลอรี ออฟฟิศ เซ็นเตอร์ อาคารสำนักงานไฮเอนด์-แห่งแรกแห่งเดียวบนเทพารักษ์ รับ BENZ รุ่น E220D EXECUTIVE ไปขับฟรี หรือเปลี่ยนเป็นส่วนลดเงินสดมูลค่าสูงถึง 3,000,000 บาท สิ้นสุดแคมเปญภายใน 31 มีนาคมนี้ เดินหน้าเต็มสูบ เปิดโครงการเฟสต่อเนื่อง พร้อมรุกสู่ภูมิภาคเปิดบ้านเดี่ยว และคอนโดที่นครพนม-จังหวัดส่งเสริมการค้าเศรษฐกิจชายแดน นายเอกรัฐ จำปา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเอ็ม พรอพเพอร์ พลัส จำกัด (SMPP) กล่าวว่า ภายหลังจากการเปิดตัวโครงการปลายปีที่ผ่านมา ขณะนี้ โครงการวาเลอรี ออฟฟิศเซ็นเตอร์ เทพารักษ์ (Valerie Office Center Thepharak)  อาคารสำนักงานไฮเอนด์แห่งแรกแห่งเดียวบนถนนเทพารักษ์ ได้จัดแคมเปญส่งเสริมการขาย คือ รับฟรีรถ BENZ รุ่น E220D EXECUTIVE 1 คัน เมื่อลูกค้าจองอาคารสำนักงาน 1 หลัง ซึ่งผู้ซื้อสามารถเปลี่ยนเป็นส่วนลดเงินสดมูลค่าสูงถึง 3,000,000 บาท โดยจะสิ้นสุดการใช้แคมเปญในวันที่ 31 มีนาคมนี้ คาดว่าจะเป็นที่สนใจของกลุ่มเป้าหมาย นักลงทุน เจ้าของกิจการธุรกิจที่ต้องการย้ายสำนักงานแห่งใหม่ เพื่อขยายธุรกิจพอสมควร “ลูกค้าเป้าหมายของโครงการ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนักธุรกิจที่ต้องการอาคารสำหรับเป็นออฟฟิศสำนักงาน และ กลุ่มนักลงทุนด้านอสังหาฯ ที่ต้องการซื้อเพื่อขายหรือปล่อยเช่าต่อ ซึ่งขณะนี้มีผู้สนใจติดต่อสอบถามและขอเข้าเยี่ยมชมโครงการฯ เป็นจำนวนมาก คาดว่าจะสามารถปิดการขายโครงการทั้งหมดได้ประมาณเดือน สิงหาคม ปี 2560 และแม้ในความจริงกลุ่มเป้าหมายของเรามีกำลังซื้อพอที่จะซื้อรถเบนซ์เองได้ แต่ลูกค้าสามารถเปลี่ยนเป็นส่วนลดเงินสดที่สูงถึง 3 ล้านบาท ซึ่งการส่งเสริมการขายเป็นเพียงสิ่งที่ช่วยกระตุ้นเร่งการตัดสินใจเร็วขึ้น แต่เนื้อแท้ของโครงการนั้นมีการออกแบบอย่างเป็นเอกลักษณ์ และฟังก์ชันการใช้พื้นที่เป็นสัดส่วนที่มีความทันสมัยมาก มีการนำนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้ในทุกขั้นตอน เพื่อให้คุ้มค่าการลงทุนของลูกค้ามากที่สุด อาทิ เป็นโครงการที่เป็นระบบสายไฟฟ้าใต้ดิน มีการแบ่งมิเตอร์น้ำ-ไฟเป็นสัดส่วนแต่ละชั้น เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของบริษัท ที่ต้องการให้คนจดจำ  ‘เอสเอ็มพีพี’ ว่าเป็นอีกหนึ่งผู้พัฒนาโครงการคุณภาพในตลาดพัฒนาอสังหาฯไทย” นายเอกรัฐ กล่าว นายเอกรัฐกล่าวถึงแผนงานในปีนี้ จะเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง มูลค่ารวม 1,245 ล้านบาท ที่จังหวัดนครพนม โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว  เนื่องจากเป็นเมืองที่มีทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจได้รับการสนับสนุนเป็นเขตการค้าการลงทุนชายแดน มีสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) นอกจากนั้นยังมีโครงข่ายอนาคตของรถไฟระบบรางที่เชื่อมต่อ จีน-เวียดนาม-ลาว จึงนับว่าเป็นเมืองที่มีอนาคตที่น่าสนใจทางการลงทุนอย่างมาก ด้านนายพงษ์ศักดิ์ เปลี่ยนผดุง ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอสเอ็ม พรอพเพอร์ พลัส จำกัด กล่าวถึงความน่าสนใจของโครงการ วาเลอรี ออฟฟิศเซ็นเตอร์ ว่า เป็นอาคารสำนักงานไฮเอนด์แห่งแรก บนถนนเทพารักษ์ บริเวณ กม. 7.5 ซึ่งปัจจุบันมีการเติบโตเป็นทำเลธุรกิจแห่งอนาคต อยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ แวดล้อมไปด้วยนิคมอุตสาหกรรม ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลชั้นนำมาเปิดให้บริการ ในส่วนของภาครัฐมีการวางระบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการมารองรับ ทั้ง โครงข่ายแมส ทรานซิส คือ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ศรีด่าน และระบบทางด่วนกาญจนาภิเษก (วงแหวนตะวันออก) โครงการ วาเลอรี ออฟฟิศเซ็นเตอร์  บริหารงานโดย เอสเอ็มพีพี ก่อตั้งด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้นที่ 200 ล้านบาท โครงการเฟสแรก มีขนาดพื้นที่ 7 ไร่ 17 งาน 11 ตารางวา ประกอบด้วย อาคารออฟฟิศ 17 อาคาร สูง 5 ชั้น การออกแบบภายนอกเป็น เรเนซองส์ (Renaissance ) แบบอังกฤษ ผสมโมเดิร์น คลาสสิค สไตล์ (Modern Classic Style) มีความทันสมัยและความหรูหราสไตล์ยุโรป ภายในมีการตกแต่ง 2 ลักษณะ คือ โมเดิร์น คลาสสิค สไตล์ (Modern Classic Style) และ ลักชัวรี (Luxury) มีการจัดภูมิทัศน์ที่สวยงามพร้อมระบบไฟฟ้าใต้ดินแบบ Under Ground ทำให้มีทัศนียภาพที่สวยงาม ระบบรักษาความปลอดภัยกล้อง CCTV รอบโครงการ รปภ. อำนวยความสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในอาคาร ประกอบด้วยระบบปรับอากาศแบบ VRV ลิฟต์ระบบ Touch Screen ไฟฟ้าภายในอาคารแบบ LED รองรับอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับสำนักงาน และ ระบบความปลอดภัยโดยรอบโครงการอย่างเต็มรูปแบบด้วยกล้อง CCTV 10 ตัว โดยเป็นอาคารขนาดตั้งแต่ 107 - 145.5 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 52,000,000 - 67,500,000 ล้านบาท สำหรับผู้สนใจขอรับรายละเอียดและข้อมูลโครงการฯ เพิ่มเติมได้ที่ โครงการวาเลอรี ออฟฟิศเซ็นเตอร์ เทพารักษ์ โทร 02-040-8900 – 2 เว็บไซต์ Valerie.smproperplus.com
เอพี เผยทำเลปิ่นเกล้า – จรัญฯ บูมรับอานิสงส์โครงข่ายคมนาคม ดันพลีเซล บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ กวาด 200 ล้านบาท ภายใน 2 วัน

เอพี เผยทำเลปิ่นเกล้า – จรัญฯ บูมรับอานิสงส์โครงข่ายคมนาคม ดันพลีเซล บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ กวาด 200 ล้านบาท ภายใน 2 วัน

นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)  เผยทำเลปิ่นเกล้า – จรัญฯ มีดีมานด์ที่อยู่อาศัยแนวราบที่คึกคักมาก ส่งผลให้ไฮเอนด์ทาวน์โฮมแบรนด์ บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ กวาดยอดขายทะลุ 200 ล้านบาท พร้อมประกาศปิดการขาย (sold out) เฟสแรกได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วเพียง 2 วันเท่านั้น ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นผลจากทำเลที่ตั้งภายใต้กลยุทธ์หลัก Location within Location ทำเลศูนย์กลางการเชื่อมต่อสู่ใจกลางเมือง ทั้งทางด่วนส่วนต่อขยายโครงข่ายทางด่วนพิเศษศรีรัช – วงแหวนรอบนอก และใกล้โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน – บางซื่อ) พาดผ่าน ตอกย้ำเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้เพื่อให้ทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวทุกโครงการในเครือเอพีเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวคนเมือง พร้อมประกาศเดินหน้าเปิดขาย บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ เฟส 2 อย่างต่อเนื่อง มั่นใจศักยภาพทำเลเป็นปัจจัยหนุนให้ ปิ่นเกล้า – จรัญฯ ยังเติบโตได้อีกยาว นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ล่าสุด (18 – 19 มี.ค. ที่ผ่านมา) เอพี (ไทยแลนด์) ได้ปลุกกระแสตลาดไฮเอนด์ทาวน์โฮมอีกครั้ง ในงานเปิดขายอย่างเป็นทางการโครงการ บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ ไฮเอนท์ทาวน์โฮมใหม่ล่าสุดแห่งแรกและแห่งเดียวบนทำเลปิ่นเกล้า – จรัญฯ จับกลุ่มลูกค้าครอบครัวคนรุ่นใหม่ โดยลูกค้าให้ความนิยมจองซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองเป็นจำนวนมาก จนสามารถประสบความสำเร็จในการปิดการขายเฟสแรกได้ภายใน 2 วัน มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท  ซึ่งปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อ บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ ‘ทำเล’ ‘แพ็คเกจราคา’ และ ‘นวัตกรรมสเปซ’ เป็นคำตอบสำคัญอันดับแรกที่ลูกค้ามองหา อีกทั้ง บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ ถือเป็นไฮเอนด์ทาวน์โฮมโครงการเดียวในย่านนี้ ที่มีความครบครันของสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มครอบครัวเมืองระดับไฮเอนท์ได้อย่างครบถ้วน ซึ่งสะท้อนความเป็นผู้นำของ เอพี (ไทยแลนด์) ในฐานะเจ้าตลาดไฮเอนด์ทาวน์โฮมที่มีความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี รายละเอียดโครงการ บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ บนพื้นที่โครงการกว่า 25 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท จำนวน 253 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.79 ล้านบาท พร้อมตอบการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบของครอบครัวเมืองรุ่นใหม่ ด้วยทาวน์โฮมระดับไฮเอนด์สูง 3 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 145 ตารางเมตร จำนวน 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และที่จอดรถ 2 คัน นับได้ว่าเป็นไฮเอนด์ทาวน์โฮมเพียงโครงการเดียวในทำเลนี้ที่พร้อมตอบสนองความสมบูรณ์แบบของการใช้ชีวิตของครัวครัวได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าที่สนใจ บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ เฟส 2 ได้เปิดจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่วมลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษอีกมากมายที่ www.apthai.com
เจแอลแอลเปิดตัวโครงการคอนโดหรูจากลอนดอน คาดจะได้รับความสนใจสูงจากผู้ซื้อชาวไทย

เจแอลแอลเปิดตัวโครงการคอนโดหรูจากลอนดอน คาดจะได้รับความสนใจสูงจากผู้ซื้อชาวไทย

กรุงเทพฯ 17 มีนาคม 2560 - เบอร์คเลย์ โฮมส์ หนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของอังกฤษ ร่วมกับเจแอลแอล จัดแสดงโครงการเวสต์ เอ็นด์ เกท สำหรับชาวไทยที่สนใจซื้อคอนโดมิเนียมระดับหรูในทำเลชั้นดีของกรุงลอนดอน ด้วยราคาเริ่มต้น 905,000 ปอนด์ หรือประมาณ 39 ล้านบาทสำหรับห้องชุดขนาดหนึ่งห้องนอน นายมาร์ติน พรินส์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจตัวแทนซื้อขายที่พักอาศัยระหว่างประเทศ เจแอลแอล กล่าวว่า “นับตั้งแต่อังกฤษลงประชามติให้ถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปเมื่อกลางปีที่แล้ว ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลงไปเกือบ 20% เมื่อเทียบกับเงินบาท เปิดโอกาสให้คนไทยสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่อังกฤษได้ในราคาที่ถูกลง ดังนั้น จึงมีคนไทยจำนวนมากขึ้นที่สนใจลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษในช่วงนี้ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในกรุงลอนดอน ดังนั้น เราจึงเชื่อว่า โครงการเวสต์ เอ็นด์ เกท จะได้รับความสนใจสูงจากชาวไทยที่ต้องการลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมในกรุงลอนดอน ซึ่งนับเป็นหนึ่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงด้านการลงทุนต่ำที่สุดของโลก” เวสต์ เอ็นด์ เกท เป็นโครงการพัฒนาคอมเพล็กซ์คอนโดมิเนียมพักอาศัย โดยคอนโดมิเนียมที่นำมาเปิดตัวเสนอขายให้กับชาวไทยที่สนใจซื้อครั้งนี้ ประกอบด้วยห้องชุดขนาด 1-3 ห้องนอน และห้องสูท ตั้งอยู่ในอาคารเวสท์มาร์คความสูง 30 ชั้น ซึ่งเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโครงการ สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของกรุงลอนดอนได้อย่างกว้างไกล นายมาร์ตินกล่าวว่า “สำหรับผู้ที่ซื้อคอนโดในโครงการเวสต์ เอ็นด์ เกท เพื่อปล่อยเช่า จะได้รับผลตอบแทนการลงทุนระหว่าง 3%-4% อย่างไรก็ดี ผู้ซื้อส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับมูลค่าที่มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นในระยะยาวมากกว่า เนื่องจากราคาที่พักอาศัยในลอนดอนยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อไปอีก จากการที่ซัพพลายมีไม่เพียงพอรองรับความต้องการในตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่สถานการณ์จะดำเนินต่อไปอย่างน้อยอีก 5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในย่านแพ็ดดิงตัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการเวสต์ เอ็นด์ เกท” โครงการเวสต์ เอ็นด์ เกท ตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟใต้ดินเอ็ดจ์แวร์โรดในระยะการเดินด้วยเวลาเพียงหนึ่งนาที นอกจากนี้ ยังสามารถเดินทางไปยังจุดต่างๆ ทั่วลอนดอนได้โดยสะดวกด้วยรถไฟใต้ดินหลากหลายสาย รวมถึงการเดินทางออกนอกกรุงลอนดอนผ่านสถานีแพ็ดดิงตัน ซึ่งอยู่ใกล้โครงการ รวมถึงสถานีที่จะเปิดใหม่ในปี 2561 ที่จะทำให้การเดินทางจากสนามบินฮีโธรใช้เวลาเพียง 24 นาที นายไซมอน โฮวาร์ด ผู้อำนวยการฝ่ายขายของเบอร์คเลย์ โฮมส์กล่าวว่า “เวสท์ เอ็นด์ เกท เป็นการประสมประสานที่ลงตัวระหว่างความเก่าและความใหม่ทั้งในแง่ของการออกแบบและทำเลที่ตั้ง เป็นโครงการที่พักอาศัยที่ให้ความพร้อมมูลทั้งหมดที่หาได้ในลอนดอน ไม่ว่าจะเป็นสถานพักผ่อนหย่อนใจในยามค่ำคืน  ร้านอาหาร/เครื่องดื่มริมน้ำแห่งลิตเติล เวนิซ และย่านวัฒนธรรมของเมย์แฟร์ จึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อที่พักอาศัย ไม่ว่าจะเพื่ออยู่เองหรือเพื่อเป็นการลงทุน” เบอร์คเลย์ โฮมส์ และเจแอลแอล จัดแสดงโครงการเวสต์ เอ็นด์ เกทที่โรงแรมเซ็นต์ รีจิส กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 17 และ 18 มีนาคม ซึ่งหลังจากนั้น จะดำเนินการขายอย่างต่อเนื่องต่อไป
‘อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์’ จับทางตลาดอสังหาฯ ไทยแลนด์ 4.0 การแข่งขันด้านเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยสูง – ลุย 3 โครงการใหม่ มูลค่า 700 ล้านบาท

‘อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์’ จับทางตลาดอสังหาฯ ไทยแลนด์ 4.0 การแข่งขันด้านเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยสูง – ลุย 3 โครงการใหม่ มูลค่า 700 ล้านบาท

‘อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์’ จับตลาดผู้ประกอบการยุคไทยแลนด์ 4.0 ตอบโจทย์การใช้ชีวิต การลงทุน Successor ยุคที่ธุรกิจและเรื่องเงินๆ ทองๆ มีพลวัตรเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เตรียมขยายแบรนด์ ‘อัลติจูด’ คอนโดมิเนียมไฮเอนท์ ใจกลางสามย่าน-สีลม สู่โครงการแนวราบ ภายใต้แบรนด์ ‘อัลติจูด มาสเตอรี่’ ลุยบ้านเดี่ยวหลังใหญ่หรูหรา เน้นความลักซ์ชัวรี่ และ ‘อัลติจูด พรูฟ’ โฮมออฟฟิศ บ่งบอกความเป็นผู้นำ บนทำเล อนาคต เปิดตัวพร้อมกัน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 700 ล้านบาท บ้านเดี่ยวหรูบนทำเลแห่งใหม่ใจกลางย่านถนนรัชโยธิน และโฮมออฟฟิศบนถนนเกษตร-นวมินทร์ และถนนพระราม 9 ใช้เทคโนโลยีล้ำ มีฟังก์ชันที่ออกแบบมาเพื่อผู้ประสบความสำเร็จ นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์  ‘ALTITUDE’ เปิดเผยว่า หลังจากนี้จะได้เห็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการแข่งขันของผู้ประกอบการ มีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นสู่การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ปรับเข้ากับการอยู่อาศัย เพื่อเอื้ออำนวยต่อผู้อยู่อาศัยให้มีความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น โดยจะเน้นการนำเสนอดีไซน์และฟังก์ชันการใช้งานที่สร้างมูลค่าให้กับอสังหาฯ มากกว่า เพื่อจะสอดรับกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิตอลมากกว่า การแข่งขันด้านราคาและการจัดแคมเปญการตลาดแบบเดิมที่เริ่มมีความน่าสนใจลดลง และจากทิศทางที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าว แบรนด์ ‘ALTITUDE’ จึงปรับกลยุทธ์โดยนำเทคโนโลยีใหม่และนวัตกรรมใหม่นำมาใช้ในโครงการใหม่ที่เตรียมจะพัฒนาในอนาคตเช่นกัน สำหรับแผนงานของแบรนด์ ‘ALTITUDE’ ในปี 2560 นี้ จะได้เห็นการเติบโตที่ชัดเจนอย่างมาก เพราะหลังจากโครงการ ‘ALTITUDE สามย่าน-สีลม’ คอนโดมิเนียมไฮเอนท์ แบบ Low rise สูง 8 ชั้น มูลค่าโครงการกว่า 510 ล้านบาท บนทำเลใจกลางเมืองสามย่าน-สีลม ซึ่งเป็นโครงการแรกที่บริษัทเปิดตัวเมื่อกลางปี 2559 และโครงการที่สอง ‘ALTITUDE DEFINE’ มูลค่ากว่า 350 ล้านบาท ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว บริษัทจึงมีแผนขยายธุรกิจจากโครงการแนวสูงสู่การพัฒนาโครงการแนบราบเพิ่มขึ้น โดยยังคงมุ่งจับตลาดระดับไฮเอนท์ ที่มีกำลังซื้อสูง และเน้นทำเลอนาคตอยู่ใจกลางพื้นที่ที่มีศักยภาพของกรุงเทพ พร้อมกับเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในชื่อ ‘ALTITUDE Mastery’ (อัลติจูด มาสเตอรี่) เพื่อพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ และแบรนด์ ‘ALTITUDE Prove’ (อัลติจูด พรูฟ) เพื่อพัฒนาโครงการโฮมออฟฟิศ เน้นตอบโจทย์คนทำงานคนรุ่นใหม่ ที่มีเอกลักษณ์ผู้นำชัดเจนและมีความต้องการความเป็นส่วนตัวด้วยยูนิตน้อย บนทำเลอนาคตในหลายทำเล อาทิ ถนนพระราม 9 ถนนเกษตร-นวมินทร์ และย่านรัชโยธิน เป็นต้น ทั้งนี้บริษัทฯ เปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 700 ล้านบาท ประกอบด้วย อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 บ้านเดี่ยวโมเดิร์นลักซ์ชัวรี่ บนทำเลใจกลางรัชโยธิน มูลค่าโครงการ 240 ล้านบาท และ อัลติจูด พรูฟ อีก 2 โครงการ ได้แก่ อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ มูลค่าโครงการ 180 ล้านบาท และ อัลติจูด พรูฟ พระราม 9 มูลค่าโครงการ 280 ล้านบาท โฮมออฟฟิศ ให้ชีวิตการทำงานเหนือระดับยิ่งกว่าบน 2 ทำเลศักยภาพในย่านถนนพระราม 9 และถนนเกษตร-นวมินทร์ โดยการเปิดตัว บ้านเดี่ยวหรู และโฮมออฟฟิศจะใช้เทคโนโลยีล้ำ มีฟังก์ชันที่ออกแบบมาเพื่อผู้ประสบความสำเร็จ ส่วนรายละเอียดและความน่าสนใจของทั้ง 3 โครงการนั้น จะมีความโดดเด่นเหนือกว่าแตกต่างกัน โดย ‘อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24’ เป็นบ้านเดี่ยวระดับซุปเปอร์ ลักซ์ชัวรี่ (Super Luxury) ในทำเลใจกลางย่านรัชโยธิน เน้นความสะดวกสบาย และให้การอยู่อาศัยทุกพื้นที่เติมเต็มความสมบูรณ์แบบของชีวิต บนพื้นที่ใช้สอยเกือบ 400 ตารางเมตร และให้ความเป็นส่วนตัวที่สุดด้วยยูนิตน้อยเพียง 8 ยูนิต ขณะที่แบบบ้านมีความหรูหรามีเสน่ห์ในสไตล์โมเดิร์น ลักซ์ชัวรี่ (Modern Luxury) ในกลิ่นอาย ‘New England Glamorous’ ที่ปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ทันสมัยของคนเมือง พร้อมระบบความปลอดภัยครบครันส่วนตัว ระบบเปิดปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านมือถือ ระบบกันขโมยและกล้องวงจรปิดบิ้วอิน รวมถึงการออกแบบระดับถนนรองรับ Super Car และระบบ Intelligence Home System ให้ชีวิตลักซ์ชัวรี่ยิ่งขึ้นกับสระว่ายน้ำส่วนตัว (Private Pool) ทุกหลัง ในราคาเริ่มต้น 28.7 ล้านบาท โครงการเริ่มก่อสร้างในเดือนพฤษภาคมปีนี้ และคาดว่าแล้วเสร็จทั้งโครงการในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2561 ทั้งนี้บ้านทุกหลัง มีความสูง 3 ชั้น จำนวน 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น และ 1 ห้องแม่บ้าน พร้อมห้องครัว 2 สไตล์ ‘Western Kitchen’ และ ‘Asian Kitchen’ ให้ที่จอดรถ 3 คัน และพื้นที่สวนบนชั้น 3 (Roof garden) โดยโครงการยังตั้งอยู่ในซอยพหลโยธิน 24 อยู่ห่างจากรถไฟฟ้าเพียง 550 เมตร ซึ่งทำเลดังกล่าว นับว่าเป็นทำเลอนาคตที่มีศักยภาพเป็นศูนย์กลางย่านธุรกิจแห่งใหม่ (CBD) บนถนนรัชโยธิน เพราะปัจจุบันรายล้อมด้วย Office Building และศูนย์การค้าใหญ่หลายแห่ง ใกล้สวนจตุจักร และสวนวชิรเบญจทัศ เพียง 1.5 กิโลเมตร อีกทั้งยังอยู่ใกล้บางซื่อ ซึ่งเป็นศูนย์กลาง (Hub) จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดินและรถไฟความเร็วสูง อีกด้วย สำหรับ ‘อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์’ โฮมออฟฟิศ ขนาด 4 ชั้น มีเพียง 8 ยูนิต พร้อมลิฟต์โดยสาร และระบบอัจฉริยะ ‘Intelligent Home’ ที่ประกอบด้วยกล้องวงจรปิดกันขโมยบิ้วอิน และการปิด-เปิดไฟ สามารถควบคุมผ่านมือถือ ตั้งอยู่บนทำเลอนาคตย่านถนนลาดปลาเค้า เกษตร-นวมินทร์ ห่างเพียง 700 เมตร จากถนนรามอินทรา โดยมีให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ ขนาด 44.67 – 77.90 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 375.80 – 424.80 ตารางเมตร ที่จอดรถ 6 คัน และขนาด 48.96 – 49.05 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 339.40 – 375.80 ตารางเมตร ที่จอดรถได้ 6 คัน ราคาเริ่มต้นประมาณ 18.7 ล้านบาท ขณะที่ ‘อัลติจูด พรูฟ พระราม 9’ โฮมออฟฟิศ ขนาด 3 ชั้นครึ่ง และขนาด 4 ชั้นครึ่ง มีเพียง 16 ยูนิต โดยภายในอาคารติดตั้งระบบอัจฉริยะ ‘Intelligent Home’ เช่นเดียวกัน และโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยทำเลที่ให้ชีวิตคนทำงานสะดวกสบายยิ่งขึ้น บนสุดยอดทำเลถนนพระราม 9 ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน และแอร์พอร์ตลิงค์ (Airport Link) สถานีหัวหมาก ห่างเพียง 700 เมตร มีให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ ขนาดที่ดิน 34.70 - 50.30 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 180 - 215 ตารางเมตร และขนาดที่ดิน 24.36 - 67.60 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 270 ตารางเมตร ที่จอดรถ 4-10 คัน ในราคาเริ่มต้น 14.7 ล้านบาท
Parco คอนโดพร้อมเข้าอยู่ เน้นคุณภาพการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตใจกลางเมืองมาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ

Parco คอนโดพร้อมเข้าอยู่ เน้นคุณภาพการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตใจกลางเมืองมาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ

Parco พาร์โก้ คอน์โดไฮไรส์ 28 ชั้นสไตล์ Urban living ที่ผสมผสานระหว่างไลฟ์สไตล์คนเมืองกับความเขียวและธรรมชาติ  จำนวน 148  ยูนิต ตั้งอยู่บนถนนนางลิ้นจี่ รอบล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายไม่ว่าจะเป็น Community mall, ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารต่างๆ ทั้งนี้สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวกไม่ว่าจะเข้าเมือง เช่นสาทร นราธิวาสฯ พระราม 3 หรือไปพระราม 4 หรือจะเดินทางไปนอกเมืองก็ทำได้สบาย เพียงไม่กี่นาที ด้วยทางด่วนขั้นที่ 1 และ 2 คุณภาพการอยู่อาศัยเป็นสิ่งที่ทางบริษัท สุพรีม ทีม จำกัดให้ความสำคัญเสมอ จึงทำให้ Parco ได้รับการออกแบบด้วยคอนเซปต์ Space + Comfort + Practicality ให้พื้นที่ห้องมีความกว้างขวาง อยู่สบาย ให้ความรู้สึกโล่ง เพดานสูงถึง 2.7 เมตร ลมและแสงสว่างเข้าถึงได้หลายทิศทาง ประตูทางเข้าแบบ 2 ชั้นสามารถเปิดระบายอากาศได้ รวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูง โดยยูนิตแบบ 2  ห้องนอนเริ่มต้นที่ 95 ตารางเมตร ไปจนถึง 116 ตารางเมตร นอกเหนือไปจากนี้ ทางโครงการยังเตรียมพื้นที่สีเขียวเพื่อเพิ่มความร่มรื่นและความสบายตา ห้องออกกำลังกาย ห้อง Sauna แยกชายหญิง และสระว่ายน้ำ ยาว 25 เมตร พร้อมจากุซซี่และสระเด็ก ที่จอดรถมากกว่า 160% ของจำนวนยูนิต ซึ่งทุกยูนิตจะมีที่จอดรถประจำ 1 คัน พาร์โก้เป็นคอนโดพร้อมเข้าอยู่ ราคาเริ่มต้นที่  13.5 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้ทางโครงการมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับ  6 ยูนิตเท่านั้น รับส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท* จนถึง 30 เมษายนนี้ ผู้สนใจสามารถติดต่อเพื่อนัดเยี่ยมชมโครงการที่ 02-679-8128 หรือ sales@supremethailand.com
แอสเซทไวส์ เปิดแผนครึ่งปีแรก 2560 ลุย 4 โครงการ 4 ทำเลฮอต มูลค่าโครงการรวมกว่า 2,600 ล้านบาท เปิดตัว KAVE (เคฟ) คอนโด ตรงข้าม ม.กรุงเทพ ลุยโลเคชั่นรังสิต

แอสเซทไวส์ เปิดแผนครึ่งปีแรก 2560 ลุย 4 โครงการ 4 ทำเลฮอต มูลค่าโครงการรวมกว่า 2,600 ล้านบาท เปิดตัว KAVE (เคฟ) คอนโด ตรงข้าม ม.กรุงเทพ ลุยโลเคชั่นรังสิต

เน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริงในแต่ละทำเล ปักธงลุยครึ่งปี’60 ด้วย 4 โครงการแนวสูง มูลค่าโครงการรวมกว่า 2,600 ล้านบาท ส่ง “เคฟ คอนโด” ตรงข้าม ม.กรุงเทพ รังสิต รุกไตรมาสแรก ชูจุดขายคอนโดมิเนียม Low Rise ที่ให้ Facility จัดเต็ม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้เต็มที่ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.29 ล้านบาท มั่นใจยอดขายครึ่งปีแรกทะลุ 2,000 ล้านบาท นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยคุณภาพสูง เผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัท ในปี 2559 มียอดขายรวม 2,000 ล้านบาท เทียบกับปี 2558 เพิ่มขึ้น 33% และมียอดรับรู้รายได้ 2,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2558 ถึง 150% ซึ่งผลการดำเนินงานที่ดีนี้เป็นผลมาจากลูกค้าให้การตอบรับการโอนคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมโอนจำนวน 6 โครงการ ได้แก่ โครงการ บี แคมปัส ประชาชื่น, เอสต้า พหลฯ-สะพานใหม่, เอสต้า บลิซ รามอินทรา, เอช ทู รามอินทรา 21, โมดิซ ลาดพร้าว 18  และโครงการแนวราบ  ดิ ออเนอร์ เอกมัย - รามอินทรา สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทปี 2560 ในครึ่งปีแรก เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณกว่า 2,600 ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวสูงทั้งหมด ได้แก่ เคฟ คอนโด ถนนพหลโยธิน ตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท วินน์ ลาดพร้าว-โชคชัย 4 มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท โมดิซ อินเตอร์เชนจ์ พหลโยธิน-รามอินทรา มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท และ บราวน์ พหลโยธิน 67 มูลค่าโครงการ 440 ล้านบาท “แนวทางการพัฒนาโครงการของแอสเซทไวส์ ยังคงมุ่งมั่นในการศึกษาและพัฒนาการออกแบบที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพสูง โดยคำนึงถึงเทรนด์ของการอยู่อาศัย ทั้งทำเลที่ดี ความต้องการของกลุ่มลูกค้าว่าต้องการสิ่งใด   และให้มากกว่าสิ่งที่ลูกค้าต้องการเพิ่มเป็นทวีคูณ เพื่อให้ได้มาซึ่งที่อยู่อาศัยที่มีคุณค่าและคุ้มค่ามากที่สุดทั้งนี้ สำหรับโครงการล่าสุดที่จะเปิดตัว ได้แก่โครงการ “เคฟ คอนโด” (Kave Condo) ถนนพหลโยธิน ตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต ซึ่งเป็นทำเลที่ยังคงมีดีมานด์อยู่ค่อนข้างสูง ทั้งจากนักศึกษาที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่และบุคลากรของสถานศึกษา บุคคลทั่วไปที่ทำงานในละแวกนั้น รวมถึงกลุ่มนักลงทุน    เพื่อปล่อยเช่า เพราะไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ต้องการความสะดวกสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้คอนโดฯ ใกล้สถานศึกษายังมีความต้องอย่างต่อเนื่อง โครงการเคฟ คอนโด โดดเด่นด้วยการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูง ติดถนนพหลโยธิน-รังสิต ตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เพียงข้ามสะพานลอย เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมือง และออกนอกเมืองได้สะดวกสบาย ใกล้ทางด่วนอุดรรัถยา ดอนเมืองโทลล์เวย์ และถนนวงแหวนตะวันออก อีกทั้งยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต) ที่จะเปิดใช้ในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ยังรายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญ ทั้งศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ สถานศึกษา สถานที่อำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต, เมเจอร์ซีเนเพล็กซ์, เทสโก้โลตัส,บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์, โฮมโปร,ตลาดไท, ตลาดสี่มุมเมือง, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต , มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต, โรงพยาบาลภัทร-ธนบุรี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์  เป็นต้น เคฟ คอนโด ออกแบบในแนวคิด “Live The Fullest ” ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ มากกว่าที่เคย ตัวอาคารได้รับการออกแบบทางสถาปัตยกรรมให้มีความโดดเด่นทันสมัย ตกแต่งภายนอกให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างมาพร้อมเฟอร์นิเจอร์บิลท์อินที่ใส่ใจทุกรายละเอียดด้วยการเลือกใช้วัสดุคุณภาพ ออกแบบห้องพักที่คำนึงถึงฟังก์ชั่นการใช้งานและประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่า มาพร้อมความโดดเด่นของเทคโนโลยีรองรับไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยอย่าง Bluetooth Sound System ระบบหน้าจอสัมผัสรุ่นล่าสุดที่สามารถฟังเพลงได้ทุกพื้นที่ของห้อง ครีเอทพื้นที่ความสุข ด้วยคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ (Kave Club) สามารถใช้เป็นที่พบปะสังสรรค์ โดยไม่รบกวนความเป็นส่วนตัวในอาคารพักอาศัย พร้อมสรรพทั้งพื้นที่เรียนรู้ พักผ่อน ประชุม ทำงาน (Co-Learning Space & Hip Cafe) ที่เปิดให้ใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมเอาใจหนุ่มสาวรักสุขภาพให้ฟิตแอนด์เฟิร์มด้วยพื้นที่สุขภาพที่ไม่เป็นเพียงห้องออกกำลังกาย แต่เป็นยิมขนาดใหญ่   มาพร้อมอุปกรณ์ครบครัน (The Gym) ขยายความสุขแบบไม่รู้จบ ด้วยการยกพื้นที่ส่วนกลางขึ้นมาอยู่ชั้นบนสุดของทุกอาคารและทำสะพานเชื่อมถึงกันทั้ง 3 อาคาร กับสวนสวยชั้นดาดฟ้ารับวิวพานอรามา และสวนพักผ่อนสุดร่มรื่น (Panoramic Garden & Moonlight Pavilion) จัดเต็มด้วย สระว่ายน้ำมาตรฐานโอลิมปิค ยาว 50 เมตร (Skyline Swimming Pool) ออกกำลังกายบนลู่วิ่งชั้นดาดฟ้า ที่รายล้อมด้วยธรรมชาติ  (Sky Jogging Track) เพลิดเพลินกับการชมภาพยนตร์ในโรงหนังส่วนตัวขนาดใหญ่ (Kave Theatre) จำนวน 20 ที่นั่ง ห้องออกกำลังกายอเนกประสงค์พร้อมอุปกรณ์ ครบครัน (Fully Functioned Exercise Room) เพิ่มความสนุกให้กับชีวิตด้วยห้องเกมส์ (Game Room) ทำงาน อ่านหนังสือในบรรยากาศสุดฮิป (Reading Lounge) พร้อมอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ส่วนกลางเพื่อเชื่อมต่อกับโลกกว้างได้อย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ยังมีบริการอำนวยความสะดวกที่ล็อบบี้ตลอด 24 ชั่วโมง (24-Hour Concierge) และบริการดูแลทำความสะอาดห้องพัก เดือนละ 2 ครั้ง (Housekeeping) ทั้งยังมั่นใจในความปลอดภัยด้วยประตูระบบ Digital Door Lock กล้องวงจรปิด ควบคุมการเข้าออกโครงการด้วยระบบคีย์การ์ด ปลอดภัยอีกขั้นด้วยระบบลิฟท์ล็อคชั้น และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง โครงการ เคฟ คอนโด ถนนพหลโยธิน ตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต เป็นคอนโดมิเนียมในรูปแบบโลว์ไรส์ จำนวน 8 ชั้น 3 อาคาร รวม 589 ยูนิต ประกอบด้วยห้องชุดขนาดต่างๆ ได้แก่ ห้อง 1 Bedroom Extra ขนาด 24.27- 25.85 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Exclusive ขนาด 24.10 - 25.14 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 34.19 – 37.24 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงโครงการ วินน์ (Wynn) ลาดพร้าว – โชคชัย 4 อีกหนึ่งโครงการของ  ครึ่งปีนี้ที่เปิดจองรอบ VIP Booking เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเป็นอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าทำเลบริเวณนี้ยังมีความต้องการของผู้บริโภคสูง “บริษัทได้เปิดรอบ VIP Booking โครงการ วินน์ คอนโด โชคชัย 4 ( Wynn) มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท โดยมีจำนวน 325 ยูนิต  บนพื้นที่โครงการ 2-1-54 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนโชคชัย 4  ที่ใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบ ทั้งศูนย์การค้า สถานศึกษา โรงพยาบาล ตลาด ทั้งยังอยู่ใกล้รถไฟฟ้า MRT สถานีลาดพร้าว และรถไฟฟ้า สายสีเหลือง สถานีโชคชัย 4 โดดเด่นด้วยการออกแบบทุกรายละเอียดที่แวดล้อมไปด้วยความสงบร่มรื่นของพื้นที่  สีเขียว เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลายฟังก์ชั่นระดับห้าดาว ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท ซึ่งหลังจากที่จัดงาน VIP Booking ไปไม่นาน ปัจจุบันมียอดจองแล้วกว่า 60% ในส่วนอีก 2 โครงการ ที่เตรียมจะเปิดตัว ก็เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน ด้วยคุณภาพของโครงการ ความคุ้มค่าที่โครงการมอบให้ลูกค้า บวกกับการยอมรับและการบอกต่อในแบรนด์ จะทำให้ลูกค้ามั่นใจและเกิดการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกจะสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 2,000 ล้านบาท” นายกรมเชษฐ์ กล่าวในตอนท้าย ทั้งนี้ สำหรับโครงการ เคฟ คอนโด จะเปิดให้จองรอบ VIP Booking ในวันที่ 18 – 19 มีนาคมศกนี้ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดสูงสุดถึง 100,000 ได้ที่ www.kavecondo.com พร้อมเยี่ยมชมห้องตัวอย่างได้ ณ สำนักงานขาย เคฟ คอนโด ถนนพหลโยธิน ตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 083 553 7999
ชาญอิสสระ ส่ง ISSARA COLLECTION รุกทำเลย่านสาทร ชูสุดยอดแหล่งธุรกิจ รองรับดีมานด์ตอบโจทย์คนกรุง

ชาญอิสสระ ส่ง ISSARA COLLECTION รุกทำเลย่านสาทร ชูสุดยอดแหล่งธุรกิจ รองรับดีมานด์ตอบโจทย์คนกรุง

บริษัท ชาญอิสสระ วิภาพล จำกัด บริษัทในเครือของ บมจ. ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ รุกพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ย่านสาทร พร้อมส่ง ISSARA COLLECTION SATHORN คอนโดหรูแบบ Low-Rise จับกลุ่มคนกรุง ชูทำเลทองใจกลางแหล่งธุรกิจของกรุงเทพฯ สะดวกสบายด้านการเดินทาง-การใช้ชีวิตที่ลงตัว สร้างพื้นที่ความเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ มั่นใจด้วยศักยภาพของทำเล แนวคิด การออกแบบ สร้างความคุ้มค่าให้กับการอยู่อาศัย และการลงทุนได้ในระยะยาว นายดิฐวัฒน์  อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดถึงความคืบหน้าของการก่อสร้างโครงการ ISSARA COLLECTION SATHORN (อิสสระ คอลเลคชัน สาทร) คอนโดมิเนียมใจกลางเมืองระดับลักชัวรี่ไฮเอนด์ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนนางลิ้นจี่ ซอย 4 ย่านสาทร บนพื้นที่ 1-0-1 ไร่ จำนวน 33 ยูนิต มูลค่าโครงการ 807 ล้านบาท ได้รับออกแบบโดยบริษัท A49 ว่าขณะนี้โครงการดำเนินการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างบนอาคารจริง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยมั่นใจว่าหลังเปิดให้ลูกค้าเข้าชมห้องตัวอย่างจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากทำเลการก่อตั้งของโครงการ ISSARA COLLECTION SATHORN  ถือเป็นโซนที่มีถนนรายล้อม (Grid Road System) ประกอบด้วยทางด่วน รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าใต้ดิน รถด่วนพิเศษ ร่วมถึงการเดินทางทางเรือ ที่เป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางที่มีความสะดวกสบาย นอกจากนี้ ยังสร้างความสะดวกสบายให้กับการใช้ชีวิตทั้งการพักผ่อน การจับจ่ายซื้อของ สถานศึกษา สถานพยาบาล รวมถึงความสะดวกสบายด้านการเดินทางไปทำงานในย่านสีลม-สาทร อีกด้วย “โลเคชั่นของโครงการถือเป็นโลเคชั่นที่ตอบโจทย์คนเมืองได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวที่ทำงานย่านถนนสีลม-สาทร เนื่องจากมีความสะดวกสบายในเรื่องของการเดินทางที่สามารถเชื่อมต่อไปถนนสาทร, นราธิวาสราชนครินทร์, พระราม 3, พระราม 4, สวนพลู และสีลม รวมถึงมีสถานศึกษา สถานพยาบาล แหล่งชอปปิ้งที่รายล้อม ประกอบกับมีความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัย เนื่องจากพื้นที่ย่านสาทรเป็นพื้นที่ที่หายากขึ้นเรื่อยๆ คอนโดอยู่อาศัยจึงมีไม่มากนัก ขณะที่ความต้องการคอนโดในย่านนี้ยังมีอย่างต่อเนื่อง ย่านนี้จึงถือเป็นโลเคชั่นที่หายาก และอนาคตมูลค่าของราคาที่ดินในย่านนี้ก็ยังมีทิศทางการปรับตัวที่สูงขึ้น” นายดิฐวัฒน์ กล่าว สำหรับ โครงการ ISSARA COLLECTION SATHORN ถือเป็นโครงการที่พัฒนาออกมาเพื่อตอบโจทย์คนกรุงได้อย่างแท้จริง เน้นการออกแบบภายใต้แนวคิด Thai Pattern, Modern Thai-Style Luxury garden “ลายไทย” ที่สะท้อนความเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของความเป็นไทยที่ถูกนำมาประยุกต์เพื่อใช้เป็นแนวความคิดหลักของโครงการ โดยการที่นำลวดลายไทยนั้นมาลดทอนรายละเอียดลงจึงทำให้สามารถใช้เป็น”เส้นสายหลัก”ของโครงการนี้ที่ช่วยทำให้ดูทันสมัยเข้ากับสังคมในปัจจุบัน ราคาเริ่มต้นที่ 16.75 ล้านบาท มีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 108.5-244.4 ตร.ม. ประกอบด้วย ห้องแบบ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 108.5-126.1 ตร.ม. ห้องแบบ 3 ห้องนอน Duplex ขนาดพื้นที่ 170.5-201 ตร.ม. และ แบบ 3 ห้องนอน + Study room ขนาดพื้นที่ 244.2-244.4 ตร.ม. ซึ่งมาพร้อมลิฟท์ส่วนตัว ทุกห้องเน้นการตกแต่งให้มีความโปร่งโล่งสบาย ด้วยหน้าต่างแบบ Floor-to-Ceiling ขณะที่ในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการประกอบด้วยล็อบบี้ ห้องฟิตเนส ห้องสตรีม สระว่ายน้ำบนชั้นดาดฟ้า ที่จอดรถมากกว่า 180% และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง พร้อมชูจุดเด่นความแตกต่างด้านการออกแบบจากสถาปนิกชั้นนำระดับประเทศ ที่มาร่วมออกแบบห้องตัวอย่างในสไตล์ที่แตกต่างจากคอนโดมิเนียมทั่วไป แต่ยังคงคอนเซปต์ให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ที่อบอุ่นแบบครอบครัวไทย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใช้สอยส่วนกลางที่ออกแบบให้สมาชิกในครอบครัวมีกิจกรรมร่วมกัน ความกว้างขวางและโปร่งสบายของแต่ละยูนิต รวมทั้งบรรยากาศเงียบสงบและความสุขสบายที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของบ้านพักอาศัยที่สมบูรณ์แบบ อาทิ Quattro Design ออกแบบตกแต่งและเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ในกลิ่นอายของ Art deco ผสานกันอย่างลงตัวกับการเลือกใช้สีสันและลวดลายเลขาคณิต เพื่อสร้างความรู้สึกให้กับผู้อยู่อาศัยรู้สึกพิเศษและแตกต่างด้วยมนต์เสน่ห์ อีกทั้งการตกแต่งของศิลปะแขนงนี้ยังสะท้อนได้ถึงความงดงามที่ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปนานเท่าไหร่ ความงดงามนี้ก็ยังคงเป็นอมตะตลอดกาล PIA INTERIOR ออกแบบตกแต่งในคอนเซปต์ Modern Vintage ที่เน้นรายละเอียดแบบเรียบง่าย สมัยใหม่ ผสมผสานกับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งโดยมิกซ์แอนด์แมทช์ระหว่างของเก่าและใหม่ รวมถึงเน้นใช้วัสดุโทนสีเข้มเพื่อให้ดูคลาสสิคแต่ยังคงร่วมสมัย นอกจากนี้ PIA INTERIOR ยังออกแบบตกแต่งในคอนเซปต์ Oriental Twist ที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ใช้สอยส่วนกลางเพื่อตอบสนองวิถีชีวิตครอบครัวไทยสมัยใหม่ รวมถึงสอดแทรกรายละเอียดในการตกแต่งด้วยการใช้วัสดุงานฝีมือ (Craftsmanship) มาลดทอนรายละเอียดให้ดูร่วมสมัย โดยผสมผสานวัสดุโทนสีเข้ม เพื่อสะท้อนความอบอุ่นแบบตะวันออก Zoulliving ออกแบบตกแต่งในคอนเซปต์ Metropolitan Luxury ที่เน้นความพิถีพิถันในการใช้ชีวิตแบบคนเมือง หรูและเรียบง่าย แต่ยังรู้สึกได้ถึงความมีชีวิตชีวาอยู่ในตัว (Vibrant) มีสีสันที่น่าสนใจ สะท้อนให้เห็นถึงรายละเอียดของการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ในแต่ละยูนิตของโครงการจะเน้นขนาดห้องให้มีพื้นที่การใช้สอยมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเน้นกลุ่มครอบครัว กลุ่มคนทำงานในย่านธุรกิจสีลม-สาทร ขณะเดียวกันที่ผ่านมาโครงการคอนโดมิเนียมในย่านนี้ยังมีการออกแบบขนาดห้องที่ค่อนข้างเล็ก รวมถึงโครงการพัฒนาคอนโดมิเนียมให้มีขนาดห้องที่ใหญ่ขึ้นก็มีน้อยลง ซึ่งสวนทางกับความต้องการของกลุ่มผู้ที่ต้องการมองหาคอนโดมิเนียมในทำเลแห่งนี้ที่มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น จึงมั่นใจว่าโครงการ ISSARA COLLECTION SATHORN จะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการมองหาที่อยู่อาศัยที่มีความสะดวกสบาย โดยมั่นใจว่าหลังจากโครงการแล้วเสร็จในต้นปี 2560 จะสามารถปิดยอดขายได้ตามเป้าได้อย่างแน่นอน โครงการ ISSARA COLLECTION SATHORN พร้อมเปิดให้จองและชมห้องตัวอย่างบนอาคารจริงแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 081 234 3752 หรือ www.charnissara.com/Issaracollection
PROP2MORROW ขยายเพิ่ม 2 ธุรกิจดันรายได้โต 2เท่าใน3ปี

PROP2MORROW ขยายเพิ่ม 2 ธุรกิจดันรายได้โต 2เท่าใน3ปี

PROP2MORROW โตต่อเนื่อง ลุยเปิดสองธุรกิจใหม่บริษัท Agent ในแบรนด์ PropVestors และ Property Tech ในแบรนด์ Propa Chill หวังดันรายได้โตสองเท่าตัวภายใน3ปี นายสุธาทร สุทธิสนธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร๊อพทูมอร์โรว์ จำกัด เจ้าของเว็บไซต์ www.prop2morrow.com เว็บสื่ออสังหาฯรูปแบบใหม่ ที่ให้บริการด้านการเป็นที่ปรึกษาด้านอสังหาฯแบบครบวงจรในรูปแบบที่หลากหลาย เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทฯปี2559บริษัทฯมีผลประกอบการเติบ โตขึ้นกว่า 100% เมื่อเทียบกับปี2558 ซึ่งเป็นปีแรกที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และตั้งเป้าเติบโตเป็นอีก2เท่าตัวภายใน3ปี ด้วยการขยายอีก 2 ธุรกิจ คือ บริษัทนายหน้าอสังหาฯ (Agent) ช่วยระบาย stock ของ บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ให้บริการ ซื้อ ขาย เช่า ทั้งตลาดชาวไทย กับต่างชาติ การเป็นตัวแทนขายทั้งในประเทศ กับ ต่างประเทศ รวมไปถึง การร่วมลงทุนกับนักลงทุน ในโครงการที่มีศักยภาพ “แนวทางในการดำเนินงานของทีมงาน เราพร้อมให้บริการด้านการเป็นที่ปรึกษาด้านอสังหาฯแบบครบวงจร”นายสุธาทร กล่าวย้ำ พร้อมกับระบุว่า เพื่อความชัดเจนในการดำเนินงานบริษัทฯจึงแยกการบริหาร มี บริษัทเพื่อรับผิดชอบโดยตรง พร้อมแต่งตั้ง นายเนติ นฤมิตร เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ใช้แบรนด์ PropVestors (พร็อพเวสเตอร์) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจาก บริษัทพัฒนาโครงการเป็นจำนวนมาก อีกทั้งตั้งเป้าพานักลงทุนไทย ลุยอสังหาฯ ที่ประเทศอังกฤษ สองเมืองหลัก อย่าง ลอนดอน และ แมนเชสเตอร์ รายละเอียดอยู่ในระหว่างการเจรจากับพาร์ทเนอร์ ส่วนอีกหนึ่งบริษัท ที่จะมาดันยอดธุรกิจให้กับ prop2morrow ภายในปีนี้และอนาคต คือ Property Tech ที่เริ่มศึกษาและเริ่มให้บริการมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (ปี2559)ใช้แบรนด์ Propa Chill (พร็อพพ้า ชิล) โดยมอบหมายให้ นายกรณ์กวินท์ พีระเดชไพศาล เป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งบริษัทนี้ได้ผู้ถือหุ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอสังหาฯ และเครือข่ายความเชี่ยวชาญระดับประเทศ ปัจจุบันอยู่ในขั้นต้นแบบในการทำธุรกรรมทางการเงินกับการลงทุนอสังหาฯ
Verde ลักซูรี่คอนโด สไตล์คลาสสิค วินเทจ ดีไซน์หรูเหนือระดับ  ให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุดเพื่อการอยู่อาศัยใจกลางเมือง

Verde ลักซูรี่คอนโด สไตล์คลาสสิค วินเทจ ดีไซน์หรูเหนือระดับ ให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุดเพื่อการอยู่อาศัยใจกลางเมือง

Verde ลักซูรี่คอนโด สไตล์คลาสสิค วินเทจ ดีไซน์หรูเหนือระดับให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุดเพื่อการอยู่อาศัยใจกลางเมือง บริษัท ซับเจคทีฟ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ เผยโฉม Verde (แวร์เด) โครงการคอนโดมิเนียมไฮเอนด์อาคาร 7 ชั้น จำนวน 31 ยูนิต ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ซอยสุขุมวิท 49/15 สร้างขึ้นภายใต้ 3 แนวคิดหลัก คุณภาพ ความหรูหรา และความเป็นส่วนตัวสูงสุดเพื่อการอยู่อาศัยใจกลางเมือง คุณเพชรรัตน์ กิตติบุญโญภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซับเจคทีฟ จำกัด กล่าวว่า “Verde (แวร์เด) คอนโดมิเนี่ยม สร้างขึ้นภายใต้ 3 แนวคิดหลัก ประกอบด้วย คุณภาพ ความหรูหรา และความเป็นส่วนตัว จุดเด่นที่ทำให้ Verde (แวร์เด) ต่างจากโครงการที่อยู่อาศัยอื่นๆ คือนวัตกรรม Thick Solid Wall สร้างผนังที่มีความหนาไม่น้อยกว่า 17 เซนติเมตร เพื่อป้องกันเสียงรบกวนระหว่างยูนิต สร้างความเป็นส่วนตัวสูงสุดให้แก่ผู้พักอาศัย” Verde (แวร์เด) เป็นภาษาละติน แปลว่าสีเขียว สื่อถึงความอยู่สบายและร่มเย็นเป็นสุข ซึ่งเป็นแนวคิดในการสร้างโครงการที่คำนึงถึงทุกรายละเอียดเพื่อให้ผู้อาศัยมีความรู้สึกอบอุ่นและสบายเหมือนบ้าน โดยให้ความสำคัญกับความสวยงามหรูหราควบคู่กับคุณภาพ โครงการ Verde (แวร์เด) ออกแบบสไตล์ลักซูรี่ วินเทจ พรีเมี่ยม (Luxury Vintage Premium) สะท้อนถึงบุคลิคของคนเมืองที่ต้องการความพิเศษเหนือใคร พื้นที่ต้อนรับมีความหรูหรา โปร่งสบาย ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์แอนทีค ปูกระเบื้องพื้นหินอ่อน ผนังใช้วัสดุชั้นเยี่ยม กรุกระจกโดยรอบเพิ่มมิติเรียบหรู ลิฟต์โดยสารแบรนด์คุณภาพจากมิซูบิชิสไตล์วินเทจออกแบบหรูหรา จำนวน 2 ตัว เพื่อความสะดวกสบายของผู้อาศัยทั้ง 31 ยูนิต เลือกใช้วัสดุชั้นเยี่ยม ประกอบด้วย สุขภัณฑ์โคห์เลอร์ พื้นห้องนอน ห้องนั่งเล่น ปูด้วยแผ่นพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ พื้นห้องน้ำบริเวณครัว และส่วนเปียก พื้นระเบียงด้านนอกห้องชุด ปูด้วยกระเบื้องโฮโมจีเนียส (Homogeneous) ราวระเบียงกันตกบาลัสเทรด(Balustrade) ส่วนด้านนอกเป็นเหล็กร็อท ไอร์ออน (Wrought iron) คอนโดมิเนียม Verde (แวร์เด) อิสระ เป็นส่วนตัวด้วยการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีที่สุด อาคาร 7 ชั้น สร้างเพียง 31 ยูนิต มีที่จอดรถมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ ถึง 33 คัน ไม่รวมการจอดซ้อนคัน ระยะจากพื้นจรดเพดานสูงถึง 2.85 เมตร เพิ่มพื้นที่อยู่อาศัย แต่ละชั้นมีมากที่สุดเพียง 6 ยูนิต เพื่อความสบายในการอยู่อาศัย โดย 4 ใน 6 ห้องเป็นห้องมุม ทุกห้องมีระเบียง สามารถเปิดรับ ลมและแสงธรรมชาติหลายด้าน คอร์ทยาร์ดกลางดีออกแบบลักษณะช่องลมเปิดบริเวณกลางอาคาร แต่งแต้มอารมณ์ด้วยระเบียงเหล็กร็อท ไอร์ออน (Wrought iron) ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ที่เป็นเสมือนแลนด์มาร์ก เพื่อมุมมองผ่อนคลายและใกล้ชิดกับธรรมชาติ คุณเพชรรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “Verde (แวร์เด) คอนโดมิเนียมตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดินทางสะดวกสบายเข้าถึงทุกเส้นทางโดยใช้เวลาเดินทางเพียง 5 นาทีปากซอยสุขุมวิท 49 สามารถใช้เครือข่ายเส้นทางลัดด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาทีเพื่อเข้าถึงสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ สถาบันการศึกษา แหล่งช้อปปิ้ง สถานที่พักผ่อน และโรงพยาบาล สะดวกสบายสำหรับทุกคนในครอบครัว ขณะเดียวกันทำเลของโครงการยังให้ความเป็นส่วนตัวเนื่องจากตั้งอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยซึ่งอยู่ห่างจากสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพียงไม่กี่นาที” ผู้อาศัยสามารถอุ่นใจกับความปลอดภัยสูงสุด ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมด้วยระบบ คีย์การ์ดประตูเข้าออก (Key cards access) กริ่งหน้าประตูแบบเห็นหน้า (VDO Door Phone) ให้ทุกการติดต่อเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะตัว กล้อง CCTV ครอบคลุมทั้งโครงการ พร้อมทั้งลิฟต์แบบล็อคชั้น และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ดังนี้ สระว่ายน้ำน้ำล้นระบบยูวี ดีที่สุดฆ่าเชื้อด้วยแสงอัลตร้าไวโอเล็ตใช้คลอรีนน้อยที่สุด ดีไซน์สี่เหลี่ยมคางหมูพร้อมจุดสันทนาการ ที่นั่งเลานจ์ริมสระ (Lounge Seat) เปิดรับทัศนียภาพมุมกว้าง สามารถเชื่อมต่อทุกองศาของไลฟ์สไตล์แบบไม่สะดุดกับสัญญาณ WiFi ห้องฟิตเนสพร้อมด้วยอุปกรณ์ฟิตเนสมาตรฐาน ห้องน้ำแยกชาย-หญิง ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ห้องสตีม Verde (แวร์เด) คอนโดมิเนียม กำหนดสร้างเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกรกฎาคม 2560 ราคาเริ่มต้นที่ 7.4 ล้านบาท ผู้สนใจสามารถติดต่อเพื่อนัดเยี่ยมชมโครงการที่ 081-618-6666 หรือ เว็บไซต์ verdebangkok.com หรือเฟสบุ๊ค verdebangkok    
เปิดแผนดับเบิ้ลยู-ชินวะ ปักหมุด2โปรเจกต์มูลค่ารวม2,400 ลบ. สัมผัส “รูเนะสุ ทองหล่อ 5”ครั้งแรกใน Southeast Asia เปิดลงทะเบียนจองสิทธิ์ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด # 36

เปิดแผนดับเบิ้ลยู-ชินวะ ปักหมุด2โปรเจกต์มูลค่ารวม2,400 ลบ. สัมผัส “รูเนะสุ ทองหล่อ 5”ครั้งแรกใน Southeast Asia เปิดลงทะเบียนจองสิทธิ์ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด # 36

เปิดแผนดับเบิ้ลยู-ชินวะ ปักหมุด 2 โปรเจกต์ในไทย มูลค่ารวม 2,400 ล้านบาท ทุ่มทุนแต่งห้องจำลอง“รูเนะสุ ทองหล่อ 5” คอนโดจิตวิญญาณญี่ปุ่นแท้ๆ นวัตกรรม Sigma BEAM ลิขสิทธิ์เฉพาะตัวของโครงสร้าง RUNESU หนึ่งเดียวในโลกช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยถึง 40% เปิดให้จองสิทธิ์จับสลากเลือกห้องครั้งแรก ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด#36  นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล และ มร.โทโมยาสุ ยามาเบะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (co-CEO) บริษัท ดับเบิ้ลยู-ชินวะ จำกัด เปิดเผยว่า โครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 “คอนโดมิเนียมจิตวิญญาณญี่ปุ่นแท้ๆ” ได้เข้าร่วมงานในมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 36 ระหว่างวันที่ 9-12 มีนาคมนี้ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บูธเลขที่ C203-C206 โซน C ชั้น 2 ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่ผู้ที่สนใจจะได้สัมผัสกับห้องจำลอง “รูเนะสุ” ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังจะมีรายละเอียดของ 4 ฟังก์ชั่นสุดพิเศษ พระเอกของห้องรูเนะสุ +9 กิมมิค ที่จะทำให้เป็นไลฟ์สไตล์สุดพิเศษ โดยเปิดให้ลงทะเบียนจองสิทธิ์เพื่อจับสลากเลือกห้องรอบสุดท้ายในงานนี้เป็นครั้งแรก “วัตถุประสงค์ที่ต้องการให้แบรนด์ “รูเนะสุ” เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นคอนโดมิเนียมนวัตกรรมล้ำสมัยจากญี่ปุ่น โดยการใช้ Sigma BEAM ลิขสิทธิ์เฉพาะตัวของโครงสร้าง RUNESU หนึ่งเดียวในโลก ที่ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้ถึง 40% จากเทคโนโลยีการกลับคานเป็นพื้นและพื้นเป็นคาน ที่ผ่านมามีผู้สอบถามข้อมูลเข้ามามาก เพราะถือเป็นครั้งแรกที่โครงสร้างรูเนะสุ ออกนอกญี่ปุ่น และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่จะเปิดให้ลูกค้าจองสิทธิ์ในการจับสลากเลือกห้อง ซึ่งหากลูกค้าไม่ได้ห้องไม่ว่ากรณีใดๆ เราคืนเงินจอง 5,000 บาทให้โดยไม่มีเงื่อนไข” นายวิชัย co-CEO ดับเบิ้ลยู-ชินวะ กล่าว ด้านมร.โทโมยาสุ ยามาเบะ co-CEO อีกท่านหนึ่งของบริษัท ดับเบิ้ลยู-ชินวะ จำกัด กล่าวว่า ในนามชินวะ กรุ๊ป-ประเทศแม่ที่ญี่ปุ่น รู้สึกตื่นเต้นที่รูเนะสุ ทองหล่อ 5 จะได้พบกับลูกค้าผู้ที่สนใจเป็นครั้งแรกในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 36 เพราะภายหลังก่อตั้งมาประมาณ 60 ปี โดยสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง   โอซาก้า แม้เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีบริษัทในเครือมากมาย โดยเฉพาะมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการอสังหาฯ แต่ครั้งนี้ถือเป็นการรุกขยายการลงทุนออกต่างประเทศเป็นครั้งแรก ด้วยการเลือกเปิดตลาดที่ประเทศไทย เนื่องจากเชื่อมั่นในศักยภาพการลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ในไทยเป็นฐานที่มั่นคงแข็งแกร่ง เพื่อต่อยอดขยายการลงทุนสู่การพัฒนาในประเทศอื่นๆ เพราะไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสำหรับในประเทศไทยนั้น นอกจากโครงการนี้ยังมีแผนที่จะเปิดอีกหนึ่งโครงการมูลค่าใกล้เคียงกัน “แม้เป็นบริษัทรายใหญ่จากญี่ปุ่นแต่เรามีนโยบายการลงทุนอย่างระมัดระวัง กว่าที่จะมาเป็นโครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 มีการศึกษาข้อมูลค่อนข้างมาก บริษัทแม่ทุ่มเทและคาดหวังอย่างเต็มที่ โดยจะเห็นได้จากการออกแบบ ที่มอบหมายให้ IAO TAKEDA ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบที่ได้แชมป์จากญี่ปุ่นหลายสมัยเป็นที่ปรึกษาทางการออกแบบ ส่วนเทคโนโลยีรูเนะสุ-เป็นหนึ่งในโนว์ฮาวที่ชินวะ กรุ๊ป เราจึงมีความมั่นใจว่าการเปิดตลาดด้วยปรากฏการณ์ครั้งแรกของภูมิภาคเอเชีย ด้วยโครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 จะไม่ซ้ำแบบใคร และหลังจากนั้น เราจะนำกิมมิคอื่นๆ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างแน่นอน” มร.ยามาเบะกล่าว โครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 ดำเนินงานโดย บริษัท ดับเบิ้ลยู-ชินวะ จำกัด ตั้งอยู่บนที่ดินประมาณ 1 ไร่ ในซอยทองหล่อ 5 เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 156 ยูนิต มี 2 type ทั้งขนาด 1 และ 2 ห้องนอน พื้นที่ 29-65 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นตารางเมตรละ 189,000 บาท ออกแบบโครงการและฟังก์ชั่นการใช้งานด้วยบรรยากาศการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นแท้จริง ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของวงการอสังหาฯ      ในไทย ทั้งการใช้วัสดุก่อสร้าง-ตกแต่งบางส่วนนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น อาทิ ห้องน้ำระบบใหม่ที่พื้นสามารถแห้งได้อย่างรวดเร็วภายใน 3 นาที, Mushu Kan Tile สุดยอดกระเบื้องเทคโนโลยีใหม่จากญี่ปุ่นที่ช่วยควบคุมความชื้นและป้องกัน ไรฝุ่นภายในห้องนอน เป็นต้น สำหรับพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกครบสมบูรณ์ด้วยสวนญี่ปุ่น สระว่ายน้ำ ออนเซนต้นตำรับแท้จากญี่ปุ่น ที่ฝึกซ้อมกอล์ฟ Auto Parking ระบบรักษาความปลอดภัย ฯลฯ กำหนดเปิดขายอย่างเป็นทางการ ไตรมาส 2 ปี 2560 คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างไตรมาส 3 ปี 2560 แล้วเสร็จไตรมาส 4 ปี 2561 มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท
สามสมาคมอสังหาฯ มั่นใจกระแสอสังหาฯ บูมต้นปี ดันมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 36 คึกคัก

สามสมาคมอสังหาฯ มั่นใจกระแสอสังหาฯ บูมต้นปี ดันมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 36 คึกคัก

9 มีนาคม 2560 – สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ได้รับเกียรติจาก พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 36 อย่างเป็นทางการ โดยงานฯ จะมีขึ้นตั้งแต่ วันที่ 9 – 12 มีนาคม นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายวิชัย พูลวรลักษณ์ ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 36 กล่าวในพิธีเปิดงานว่า เหล่าผู้ประกอบการเชื่อมั่นและมองไปในทิศทางเดียวกันว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2560 จะกลับมาเติบโตสูง อีกครั้ง เนื่องจากมีปัจจัยบวกที่ให้การสนับสนุนหลายปัจจัย สถานการณ์การเมืองที่นิ่ง อัตราดอกเบี้ยยังทรงตัว ระดับต่ำ รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนที่มีการขยายตัว ก่อให้เกิดการจ้างงาน และกำลังซื้อกลับมาฟื้นตัว ที่สำคัญ การลงทุนของภาครัฐมีความชัดเจน การลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเร่งอนุมัติ ก่อสร้างรถไฟฟ้าในหลายสาย “งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 36 จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “LET’S GET YOUR BESTINATION ค้นหา จุดหมายที่ดีที่สุด...เพื่อคนที่คุณรักที่สุด” รวมเหล่าผู้ประกอบการกว่า 200 บริษัทจากทั่วประเทศที่นำโครงการที่มี อยู่เดิม และกำลังเปิดใหม่มาเปิดจองขายกว่า 1,100 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด คอนโดมิเนียม ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม รีสอร์ท สนามกอล์ฟ ตลอดจนที่ดินเปล่า ทั้งยังมีบ้านมือสองและสินทรัพย์ทรัพย์รอการขาย หรือ NPA อีกด้วย แบ่งเป็นโครงการแนวสูง 50% และแนวราบ 50% คาดว่าตลอดทั้ง 4 วันของการจัดงานจะมียอดเดินชม งานมากกว่า 100,000 คน และมียอดขายในงานมากกว่า 4,000 ล้านบาท และยอดขายต่อเนื่องตามหลังงานฯ อีกไม่น้อยกว่า 7,000 ล้านบาท รวมแล้วมากกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท” “ผู้ประกอบการได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษมากมายไว้เอาใจคนมาเดินงาน มีทั้ง iPhone7 ทองคำ ส่วนลดเงินสด ฟรีค่าโอน ฟรีค่าจดจำนอง ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง แถมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ตลอดจนลุ้นชิงแพ็คเกจ ท่องเที่ยวอื่นๆ อีกมากมาย ในส่วนของสมาคมผู้จัดงานฯ ได้จัดโปรโมชั่นใหญ่สำหรับผู้โชคดีที่ซื้อที่อยู่อาศัย ภายในงาน ซึ่งจะมีสิทธิ์ลุ้นรับบัตรกำนัลส่วนลดเงินสด 1 ล้านบาท และเครื่องใช้ไฟฟ้าจากพานาโซนิค รวมมูลค่า ของรางวัลทั้งหมด 1.27 ล้านบาท และยังมีสถาบันการเงินชั้นนำมาให้บริการด้านสินเชื่อและบริการตรวจสอบ เครดิตบูโร” นายวิชัยกล่าวทิ้งท้าย สำหรับงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 36 จะจัดขึ้นระหว่าง 9 -12 มีนาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บริเวณโซนซี ชั้น 1-2 และโซนพลาซ่า ผู้สนใจเข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียนออนไลน์ล่วงหน้าได้ทาง www.housecondoshow.com หรือติดตาม รายละเอียดข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ facebook/housecondoshow, ไลน์แอด @Housecondoexpo และนอกจากนี้ ยังสามารถดาวน์โหลดและติดตั้ง แอพพลิเคชั่น HouseCondoShow เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการค้นหาข้อมูล โครงการและโปรโมชั่นมากมายจากผู้ประกอบการได้อย่างง่ายและสะดวกรวดเร็วอีกด้วย
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยพัทยาทำเลทองแห่งอนาคต

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยพัทยาทำเลทองแห่งอนาคต

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยพัทยาทำเลทองแห่งอนาคต คุณพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด คาดการณ์ว่า พัทยาจะเป็นเมืองที่มีศักยภาพสูงมากในอนาคต ทั้งด้านการขยายตัวของเมืองและความเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในพื้นที่โซนตะวันออกของประเทศ โดยได้รับอานิสงค์การขยายตัวจากโครงการพัฒนาของรัฐ เช่น (1) การพัฒนาสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา เพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และพัฒนาให้เป็นศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน โดยมีเป้าหมายผู้โดยสารเข้าใช้งานในปี 2560 ประมาณ 1.2 ล้านคน (จาก 700,000คนในปี 2559) (2) แผนพัฒนาท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ ให้เป็นท่าเรือพาณิชย์ แนวท่าจอดเรือยอร์ชเพื่อเชื่อมการเดินทางระหว่างชายฝั่งทะเลอ่าวไทยด้านตะวันออกและตะวันตก (East-West Transport) เพื่อลดระยะเวลาการเดินทางและขนส่งสินค้าให้ลดลงเหลือ1-2 ชั่วโมง ซึ่งปัจจุบันมีเรือเฟอร์รี่เพื่อการโดยสารระหว่างพัทยา – หัวหินเปิดให้บริการแล้ว (3) การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก ในพื้นที่ 3 จังหวัด ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง ในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ขณะที่เมืองพัทยาได้กำหนดเป้าหมายให้เป็นเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวเพื่อรองรับการเติบโตและการรวมตัวของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พื้นที่บริเวณนาจอมเทียนและสัตหีบก็จะได้รับอานิสงค์การเติบโตของุรกิจท่องเที่ยวอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันนาจอมเทียนเป็นที่ตั้งของแหล่งท่อเที่ยวที่สำคัญหลายอย่าง เช่น สวนน้ำ Cartoon Network Amazone ซึ่งเป็นส่วนน้ำขนาดใหญ่แห่งแรกและแห่งเดียวของโลกที่ใช้แบรนด์การ์ตูนดัง Cartoon Network, สวนเสือศรีราชา, อุทยานหินล้านปีและฟาร์มจระเข้พัทยา ด้วยโครงการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวข้างต้นจะทำให้โครงการ Bluphere Pattaya Managed by BW Premier Collection เป็นโครงการสำหรับผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบของ Lifestyle Investment คือนอกจากเพื่อใช้พักอาศัย หรือใช้เป็นบ้านพักตากอากาศแล้ว ยังสามารถสร้างผลตอบแทนจากอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นอย่างดี โดยการบริหารงานเช่าด้วยทีมบริหารมืออาชีพ นอกจากจะสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีแล้วนักลงทุนก็จะได้มูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยโครงการนี้มีจุดเด่นคือ “การันตีตอบแทนการเช่า 7% ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี” โดยโรงแรม BW Premier Collection ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกมีการบริหารจัดการและการบริหารงานเช่าได้มาตรฐานโลก ผู้เข้าพักอาศัยก็จะได้รับบริการระดับโรงแรมที่เป็นที่ยอมรับในตลาดทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ นอกจากนี้เจ้าของห้องสามารถใช้สิทธิ์เข้าพักฟรีได้เป็นจำนวน 14 วันต่อปีอีกด้วย
SENA  เปิดเกมรุกปี”60 ลุยตลาดอสังหาฯทุกรูปแบบ

SENA เปิดเกมรุกปี”60 ลุยตลาดอสังหาฯทุกรูปแบบ

SENA  เปิดเกมรุกปี”60 ลุยตลาดอสังหาฯทุกรูปแบบ ขยายฐานลูกค้าระดับกลาง-บน นำนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้า ผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง รายได้-กำไร New High ต่อเนื่อง  SENAเปิดกลยุทธ์ปี”60 บุกตลาดอสังหาฯ ทั้งแนวราบ-แนวสูง ขยายฐานจับลูกค้ากลุ่มที่มีรายได้ระดับกลาง-บน ดึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในในการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า  ด้านผู้บริหารหญิงแกร่ง “ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์”เผยปีนี้เตรียมเปิดใหม่ 10 โครงการ มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท เพิ่มเท่าตัวจากปีก่อน หนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หวังสร้างรายได้-กำไร นิวไฮต่อเนื่อง ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย และในฐานะ Developer รายแรกที่ทำหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยถึงแผนและกลยุทธ์ในปี 2560 ว่า บริษัทฯ มีความพร้อมในการผลักดันและสร้างการเติบโตธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง ทุกรูปแบบ ทั้งการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ , โซลาร์ และการร่วมมือกับพันธมิตรในการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ สำหรับรูปแบบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในปีนี้จะเห็นการเปิดโครงการใหม่ที่มีมูลค่าสูงขึ้น รวมทั้งโครงการจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น เน้นกลุ่มระดับกลาง-บน เพื่อขยายเซ็กเมนต์ใหม่ๆ ขณะที่โครงการที่เป็นในรูปแบบการร่วมทุนกับบริษัท ฮันคิว เรียลตี้ จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) ในฐานะกลุ่มบริษัท  Hankyu Hanshin Holding Group  ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ รายใหญ่ในญี่ปุ่น เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ เบื้องต้นคาดว่าจะเห็นภายในปลายไตรมาส 3-ไตรมาส 4 ของปี 2560 นี้ ขณะเดียวกันแผนการดำเนินงานในปีนี้ SENA จะเน้นการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนาสินค้าและบริการของเราให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น ปีนี้เสนา เราทำงานภายใต้ธีม " Eco Innovation" ซึ่งหมายถึง ลบ 2 บวก 1 เพราะ Eco คือการประหยัดพลังงาน และประหยัดเวลา Innovation คือการยำเทคโนโลยีมาพัฒนาสิ่งที่เราทำอยู่แล้วให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น และพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อลูกค้า ซึ่งมีที่เสนาทำไปบ้างแล้วคือการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแผลโซลาร์ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเป็นพลังงานสะอาด การทำแอพพลิเคชั่น SENA 360 SERVICE ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการหลังการขายของบริษัทได้โดยง่าย ซึ่งในปี 2560 เรามีแผนการพัฒนาแอพพลิเคชั่นให้ตอบโจทย์ลูกค้าให้สูงสุด ให้ลูกค้าประหยัดพลังงาน และประหยัดเวลา รวมทั้งเราจะเพิ่มประสิทธิภาพของแอพพลิเคชั่น ให้มีบริการที่ครบวงจรยิ่งขึ้น เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ทันการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคดิจิทัล “เราพร้อมที่จะขยายธุรกิจทุกรูปแบบ ปัจจุบันบริษัทฯ มีเม็ดเงินในการขยายธุรกิจค่อนข้างมาก มีความแข็งแกร่งในเรื่องพันธมิตรอย่าง “ฮันคิว เรียลตี้”  อีกทั้งยังเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกรูปแบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น การนำแผงโซลาร์มาติดตั้งบนหลังคาในโครงการ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้า หรือ แอพพลิเคชั่น SENA 360 SERVICE ที่พัฒนาเพื่อบริการหลังการขายที่ครบวงจร สร้างความสะดวกสบายสูงสุดให้กับลูกค้า ดังนั้นในปี 2560 จะเป็นอีกปีที่ดีของเราเช่นกัน ” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 10 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท ประกอบด้วยคอนโดมิเนียม  9 โครงการ และที่อยู่อาศัยแนวราบ 1 โครงการ และจะมีโครงการที่มี ฮันคิว เรียลตี้ ร่วมทุนด้วย ซึ่งมูลค่าโครงการเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวจากปีก่อนที่เปิดโครงการเพียง 5 โครงการมูลค่าโครงการ 3,200 ล้านบาท  ขณะที่รายได้ในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายเติบโต 20% จากปีก่อน อนึ่ง ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในปี 2559 มีรายได้รวม 4,059  ล้านบาท เทียบกับปี 2558 มีรายได้รวม2,219 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83 % และมีกำไรสุทธิ 763 ล้านบาท เทียบกับปี 2558 มีกำไรสุทธิ 254  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200% ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังให้ความใส่ใจ ดูแลลูกค้าภายใต้คอนเซ็ปต์ "หัวคิด และหัวใจ"พร้อมบริการดูแลหลังการขาย  360 องศา เพื่อสร้างมูลค่าสูงสุดให้แก่ลูกค้า ด้วย องศาแห่งความอุ่นใจ ในบริการแจ้งซ่อมออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดย SENA We Care , องศาแห่งความสุข ดูแลทุกโครงการให้อยู่สบายโดย Victory , องศาแห่งความสบายใจ วันไหนก็ยังมั่นคงด้วยบริการรับฝากขาย – เช่า โดย Living agent  , องศาแห่งความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะติดต่อหรือติดตาม และยังตรวจสอบปริมาณการลดค่าไฟฟ้าจากโซลาร์ ก็สะดวกสบายด้วยแอพพลิเคชั่น SENA 360° SERVICE
แสนสิริผ่ากลยุทธ์โซเชียล มีเดีย มาร์เก็ตติ้ง ตั้งเป้าขยายการรับรู้สู่ผู้บริโภค 1 พันล้านคนทั่วโลก  ผ่านเว็บไซต์ 5 ภาษา และ Facebook Fan Page 4 เวอร์ชั่น มุ่งขยายตลาดต่างประเทศเต็มพิกัด

แสนสิริผ่ากลยุทธ์โซเชียล มีเดีย มาร์เก็ตติ้ง ตั้งเป้าขยายการรับรู้สู่ผู้บริโภค 1 พันล้านคนทั่วโลก ผ่านเว็บไซต์ 5 ภาษา และ Facebook Fan Page 4 เวอร์ชั่น มุ่งขยายตลาดต่างประเทศเต็มพิกัด

  แสนสิริ เผยกลยุทธ์เบื้องหลังความสำเร็จระดับแถวหน้าของโซเชียล มีเดีย มาร์เก็ตติ้ง ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ด้วยจำนวนผู้ติดตามบน Facebook ที่เติบโตต่อเนื่องจนทะลุ 1 ล้านคน พร้อมตั้งเป้าขยายการรับรู้สู่กลุ่มผู้บริโภคทั่วโลก 1,000 ล้านคน ผ่านเว็บไซต์เต็มรูปแบบ 5 ภาษา - อังกฤษ จีนกลาง จีนกวางตุ้ง ญี่ปุ่น และรัสเซีย และ Facebook Fan Page สำหรับฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และ International พร้อมคอนเทนต์และกิจกรรมการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคในประเทศเป้าหมายและประเทศอื่น ๆ สอดคล้องกับ ทิศทางการก้าวสู่ความเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกในยุค Digital Transformation ผลักดันกลยุทธ์หลักในการรุกขยายตลาดต่างประเทศที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แผนการขยายตลาดสู่ต่างประเทศคือกลยุทธ์การเติบโตหลักของเราในปี 2560 นี้ ซึ่งเราตั้งเป้าการเติบโตแบบก้าวกระโดดทุกปี โดยปีนี้ตั้งยอดขายไว้ที่ 8,000 ล้านบาท ซึ่งเราได้เพิ่มเป้าจากเมื่อต้นปีที่อยู่ที่ 7,500 ล้านบาทเพราะเราเริ่มเห็นแนวโน้มดีมานด์ความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองไทยอยู่ในระดับสูงกว่าที่คาดการณ์ รวมทั้งลูกค้าในต่างประเทศรู้จักและเชื่อมั่นในแบรนด์แสนสิริมากขึ้นจนทำให้ตัดสินใจซื้อโครงการได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ เป้ายอดขายใหม่ที่ 8,000 ล้านบาทเติบโตจากยอดขาย 5,400 ล้านบาทเมื่อปี 2559 ประมาณ 50% โดยเชื่อว่ายอดขายในตลาดต่างชาติหลัก คือ ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ ไต้หวัน และญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยประเทศละ 20-30%  ทั้ง ซึ่งช่องทางการตลาดบนสื่อดิจิทัลจะเป็นช่องทางที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายตลาดต่างประเทศได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด เพราะพฤติกรรมการเสพสื่อของผู้บริโภคเปลี่ยนไปสู่สื่อดิจิตอลมากขึ้นตลอดจนช่องทางดิจิตอลและโซเชียลมีเดียยังเป็นช่องทางในการทำการตลาดได้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรงได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ เราจึงมีแผนที่จะผลักดันกลยุทธ์ด้านโซเชียล มีเดีย มาร์เก็ตติ้งอย่างเข้มข้นเพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทั่วโลก ซึ่งแนวทางการทำการตลาดในต่างประเทศนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกันทิศทางธุรกิจของบริษัทที่จะใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการดำเนินธุรกิจมากยิ่งขึ้นในยุค Digital Transformation ตลอดจนยังอาจช่วยในการดำเนินธุรกิจของบริษัทลูกของแสนสิริและธนาคารไทยพาณิชย์ที่กำลังทำ Property Technology อย่างสิริ เวนเจอร์ในอนาคตด้วย” นายสมัชชา พรหมศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรและระบบฐานข้อมูลการตลาด บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริให้ความสำคัญกับการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดอย่างครอบคลุมและเข้าถึงเป้าหมายมาโดยตลอด เราเล็งเห็นว่า วันนี้โซเชียล มีเดีย คือสื่อที่จะทำให้แบรนด์ใกล้ชิดและเข้าถึงผู้บริโภคได้ดีที่สุด เราจึงสร้างและผลักดันโซเชียล มีเดีย ของตนเองในทุกช่องทางสำคัญ ทั้ง Facebook, Instagram, Youtube ,Twitter และ Pinterest ทุกช่องทางมีการอัพเดทข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ผู้ติดตามได้รับรู้ถึงเรื่องราว ความเป็นไปของแบรนด์ได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะ Facebook ซึ่งเป็นโซเชียล มีเดีย ที่คนไทยใช้มากที่สุดและเป็นช่องทางที่แสนสิริประสบความสำเร็จมากที่สุดเช่นกัน” “เราเป็นแบรนด์แรกๆ ที่นำกลยุทธ์ทางการตลาดแบบ Facebook Live Influencer  Marketing มาใช้ โดยการให้ Influencer ด้านอสังหาริมทรัพย์มาทำ Facebook Live นำเสนอจุดขายของโครงการเดอะไลน์ อโศก – รัชดา  ติดต่อกัน 4 วันก่อนเปิดจอง ซึ่งนับเป็นแคมเปญที่สร้างความฮือฮาและประสบความสำเร็จ และพิสูจน์ให้ถึงความกล้าของเราในการลองเสี่ยงกับความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ จนกลายเป็นกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมได้ในที่สุด” ความโดดเด่นและเป็นผู้นำในด้านโซเชียล มีเดีย มาร์เก็ตติ้งของแสนสิริมีบทพิสูจน์มาแล้วจากรางวัล Thailand Zocial Award 2016 ในประเภท “Top Brand Engaged on Social Media by Category “Real Estate” ที่ใช้เครื่องมือโซเชียล มีเดีย และสื่อออนไลน์ในการทำกลยุทธ์สื่อสารการตลาดและสร้างการรับรู้แบรนด์ไปยังผู้บริโภคยุคใหม่ในวงกว้างยอดเยี่ยม และมียอดผู้ติดตามมากที่สุดรวมใน 5 ช่องทาง (Social Media Scores) คือ Facebook Instagram Youtube  Twitter และ Pinterest แสนสิริให้ความสำคัญกับการทำการตลาดผ่าน Facebook Fan Page อย่างจริงจัง ซึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลอย่างมากต่อการสร้างจำนวนฐานแฟนให้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนมียอดกดไลค์จากผู้ใช้ที่เป็นลูกบ้านของแสนสิริเองและผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ใช่ลูกบ้านของแสนสิริด้วย ถึง 1 ล้านไลค์ คือการวางกลยุทธ์ด้านเนื้อหาใน Facebook Fan Page  แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1. คอนเทนต์ - ซึ่งเลือกและปรับแต่งเนื้อหาให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้  และที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์โดยตรง นวัตกรรมการตกแต่งบ้าน ดีไซน์ กิจกรรมซีเอสอาร์ รวมถึงสิทธิพิเศษต่างๆ จากแสนสิริ แฟมิลี่  2. การจัดกิจกรรมออนไลน์ - เพื่อให้ผู้ติดตามเพจได้มีส่วนร่วมกับ Fan Page อยู่เสมอ ทั้งกิจกรรมหลักที่สะท้อนเป็นแบรนด์ และกิจกรรมตามเทศกาลต่าง ๆ หรือช่วงเวลาพิเศษ  และ 3. การเลือกลงโฆษณาใน Facebook ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย - เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้รับข่าวสารจากแบรนด์อย่างรวดเร็ว “จากความสำเร็จในการพิชิตยอด 1 ล้านไลค์บน Facebook เราได้วางเป้าหมายต่อไปที่จะเข้าถึงผู้บริโภคทั่วโลก 1,000 ล้านคน โดยเปิดตัวเว็บไซต์ International อย่างเต็มรูปแบบภายในปีนี้ใน 5 ภาษา คือ อังกฤษ จีนกลาง จีนกวางตุ้ง ญี่ปุ่น และรัสเซีย พร้อม Facebook Fan Page 4 เวอร์ชั่น สำหรับฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และ International รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การตลาด Facebook  เพื่อทำให้ไปได้ไกลมากกว่าเดิมแบบก้าวกระโดดเท่าทวีคูณ ซึ่งมีแนวทางสำคัญ 3 ประการคือ สร้างความสนิทและความไว้ใจระหว่างผู้ใช้ที่เป็นแฟนเพจกับแบรนด์ - การสร้างความสนิทสนมและเป็นกันเองกับ ผู้ใช้ที่เป็นแฟนเพจ ผ่านการพูดคุยและตอบคำถาม เพื่อให้เข้าถึงและสร้างความไว้วางใจในตัวแบรนด์ ให้เป็นเหมือนที่ปรึกษาที่เชื่อใจและไว้ใจได้ เมื่อมีเรื่องที่อยากได้คำแนะนำเกี่ยวกับบ้านจะนึกถึงแสนสิริเป็นแบรนด์แรก เสริมทัพคอนเทนต์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น - โดยเสริมคอนเทนต์ในลักษณะ Real-Time Marketing ที่มีผลิตภัณฑ์เข้าไปอยู่ในคอนเทนต์ด้วย เพื่อตอกย้ำภาพของแบรนด์ให้ดูเป็นแบรนด์ที่มีความทันสมัยและทันเหตุการณ์อยู่เสมอ เช่น Facebook Live หรือภาพและวิดีโอแบบ 360 องศา โดยจะมีการปรับและเลือกรูปแบบการนำเสนอให้เหมาะกับแต่ละเนื้อหาที่ต้องการจะสื่อ ซึ่งเคยมีการลองทำแล้วและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับ Global Pages - สอดคล้องกับแผนการขยายตลาดและเติบโตในต่างประเทศซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดในปีนี้ มากขึ้น โดยจะเริ่มที่ ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ โดยการผลิตคอนเทนต์ ให้ตรงกับความต้องการของตลาดต่างประเทศ เช่น เรื่องของภาษา, ความสนใจของคนในท้องถิ่นนั้น ๆ (Insight) เพื่อสร้างรากฐานความแข็งแกร่งให้ Global Pages โดยมีเป้าหมายที่จะมุ่งไปให้ถึงคือลูกค้าหลักพันล้านคนในตลาดต่างชาติ ทั้งนี้ แนวทางการปรับกลยุทธ์ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งของแสนสิริ จะมุ่งจับเทรนด์เทคโนโลยีที่มาแรงในปี 2560 นี้  ไม่ว่าจะเป็น เทรนด์ด้านโมบิลิตี้อย่างเทคโนโลยี AMP (Accelerated Mobile Pages) เพื่อการโหลดคอนเทนต์ที่รวดเร็วทันใจ เทคโนโลยี Geotagging ระบุพิกัดของผู้บริโภคเป้าหมายเพื่อให้สามารถนำเสนอข้อมูล สินค้าหรือบริการได้อย่างถูกที่ ถูกเวลา เทรนด์ด้าน Data Tracking เพื่อให้เข้าใจรูปแบบเส้นทางการตัดสินใจของผู้บริโภคและสามารถนำเสนอคอนเทนต์ที่ตรงใจ โดยไม่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกถูกรบกวน หรือล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว ตลอดจนเทรนด์นวัตกรรม อย่าง Chatbot ทำหน้าที่คอยโต้ตอบกับผู้บริโภคเหมือนเป็น Call Center และเทคโนโลยี Smart Home เป็นต้น
“โกลบอลเฮ้าส์” เดินหน้าบุกภาคใต้ ประเดิมเปิด 2 สาขาแรก ที่สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช

“โกลบอลเฮ้าส์” เดินหน้าบุกภาคใต้ ประเดิมเปิด 2 สาขาแรก ที่สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช

“โกลบอลเฮ้าส์” เดินหน้าบุกภาคใต้ ประเดิมเปิด 2 สาขาแรก ที่สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช โกลบอลเฮ้าส์ เล็งเห็นโอกาสการขยายตัวของธุรกิจวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านในภาคใต้ ทุ่มงบกว่า 500 ล้าน  ประเดิมเปิด 2 สาขาแรกที่สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช มั่นใจจุดเด่นในการเป็น ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยและมีบริการที่ทันสมัย รวดเร็ว แม่นยำ จะได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี  เตรียมลุยเปิดสาขาให้ครอบคลุมทุกจังหวัดในภาคใต้ พร้อมเปิดสาขาที่ 3 ในภาคใต้ที่จังหวัดพัทลุงช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ นายอภิสิทธิ์ รุจิเกียรติกำจร ประธานกรรมการ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช นับเป็นจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตของตลาดการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผู้บริโภคเริ่มมีความคุ้นเคยกับการเลือกซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างจากร้านค้าประเภทโมเดิร์นเทรดมากขึ้น บริษัทฯ จึงได้เปิดโกลบอลเฮ้าส์ขึ้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี บริเวณใกล้สี่แยกบางกุ้ง ถนนเส้นปากน้ำตาปี และจังหวัดนครศรีธรรมราช บริเวณถนนอ้อมค่ายวชิราวุธ ภายใต้งบลงทุนสาขาละกว่า 250 ล้านบาท เพื่อเป็นทางเลือกใหม่และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าที่ต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้าน ที่มีให้เลือกอย่างครบครัน หลากหลาย พร้อมบริการที่ทันสมัย ซึ่งการเปิดสาขาในภาคใต้ในครั้งนี้ส่งผลให้โกลบอลเฮ้าส์มีสาขารวมทั้งสิ้น 48 สาขา นับเป็นศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านที่มีสาขา   มากที่สุดในประเทศไทยเมื่อเทียบกับร้านค้าประเภทเดียวกัน “โกลบอลเฮ้าส์มีความได้เปรียบในการแข่งขันโดยมีจุดแข็งที่เป็นศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ มีการนำนวัตกรรมการค้าระบบโมเดิร์นเทรดใหม่มาปรับใช้ตลอดเวลา รวมทั้งมีการพัฒนาการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้รับความพึงพอใจสูงสุด ซึ่งการมาเปิดสาขาใหม่ที่ 2 จังหวัดนี้ โกลบอลเฮ้าส์ก็ได้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ด้วยการเพิ่มสัดส่วนสินค้าในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรและการท่องเที่ยวมากกว่าสาขาอื่น เนื่องจาก 2 จังหวัดนี้เป็นจังหวัดที่เศรษฐกิจหลักจะมาจากภาคการเกษตรและภาคการท่องเที่ยว” นายอภิสิทธิ์ กล่าว นายอภิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราชแล้ว โกลบอลเฮ้าส์ยังมีแผนที่จะขยายสาขาให้ครอบคลุมทุกจังหวัดในภาคใต้  โดยขณะนี้กำลังก่อสร้างสาขาที่ 3  ในภาคใต้ที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ อนึ่ง โกลบอลเฮ้าส์ นับเป็นศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้าน ที่มีสินค้าคุณภาพกว่าแสนรายการ นับล้านชิ้น ในราคาที่คุ้มค่า บนพื้นที่ขายกว่า 15,000 ตารางเมตร ซึ่งสินค้าแต่ละชิ้นได้รับการคัดสรรมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทั้งเจ้าของบ้าน ช่าง ผู้รับเหมาและงานโครงการ รวมถึงเกษตรกร อาทิ ปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น   เหล็กรูปพรรณ กระเบื้องมุงหลังคา เครื่องมือช่าง สินค้าฮาร์ดแวร์ สุขภัณฑ์ กระเบื้องเซรามิก สีและเคมีภัณฑ์ โคมไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้า ท่อประปา ประตูหน้าต่าง เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน สินค้ากลุ่มเกษตร โดยมีสินค้าครบครันสำหรับการสร้างบ้านทั้งหลัง ตามสโลแกน “โกลบอลเฮ้าส์ ครบ หลากหลาย ให้บ้านคุณ” ทั้งนี้โกลบอลเฮ้าส์ยังได้พัฒนาระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ(Automated Storage Retrieval System) หรือ ASRS ที่  ศูนย์กระจายสินค้าโกลบอลเฮ้าส์ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีพื้นที่จัดเก็บสินค้าได้กว่า 43,000 พาเลท นับได้ว่าเป็นเป็นระบบคลังสินค้าอัตโนมัติที่มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ามากที่สุดในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างของเมืองไทย พร้อมเปิดใช้ระบบ ASRS เต็มรูปแบบในเดือนเมษายนนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ นอกจากนี้ โกลบอลเฮ้าส์ยังมีระบบสมาชิกโกลบอลคลับ เพื่อให้ลูกค้าได้สะสมคะแนนและ  รับสิทธิประโยชน์มากมาย
จีนแชมป์ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศในปี 59 เทียบกับชาติในเอเชีย

จีนแชมป์ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศในปี 59 เทียบกับชาติในเอเชีย

กรุงเทพฯ, 8 มีนาคม 2560 – ซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ประจำปี 2559 พบว่า นักลงทุนจากประเทศจีนเข้าไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับนักลงทุนจากชาติอื่นๆ ในเอเชียด้วยกัน  ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่ง (47% หรือ 9.87 แสนล้านบาท) ของเงินลงทุนทั้งหมดจากเอเชีย ทั้งนี้ การลงทุนในต่างประเทศโดยรวมของนักลงทุนชาวเอเชียยังคงอยู่ในระดับสูง  และนักลงทุนสถาบันยังคงเป็นผู้นำในการลงทุน โดย 6 ธุรกรรมจาก 10 ธุรกรรมการลงทุนในต่างประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในปีที่แล้วมาจากนักลงทุนสถาบัน นางสาวอีวอน ซิว กรรมการบริหาร แผนกแคปิตอล มาร์เก็ตส์ ของซีบีอาร์อี กล่าวว่า “นักลงทุนจีนยังคงลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้นโยบายล่าสุดของรัฐบาลจีนจะควบคุมการลงทุนในต่างประเทศของชาวจีน แต่กระแสการลงทุนจากเม็ดเงินจีนในต่างประเทศยังคงมีอยู่อย่างไม่ขาดสายเพราะนักลงทุนต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนให้มีความหลากหลาย” “จากการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบมากขึ้นในการลงทุนในต่างประเทศ  รวมถึงการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากรัฐบาลที่อาจจะทำให้ขั้นตอนการอนุมัติกินระยะเวลานานขึ้น อาจส่งผลให้ปริมาณการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศของนักลงทุนจีนอยู่ในระดับปานกลางนักลงทุนจีนอาจแค่เปลี่ยนการลงทุนให้มีขนาดเล็กลงแต่มีจำนวนมากขึ้น แทนการทำธุรกรรมขนาดใหญ่แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ความสนใจลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศของนักลงทุนจีนจะยังคงมีอยู่มาก เพียงแต่เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น โดยนักลงทุนสถาบันจากจีนที่มีความเคลื่อนไหวในตลาดคือกลุ่มบริษัทประกันและผู้จัดการสินทรัพย์ที่ได้รับการรับรอง” นาวสาวอีวอน กล่าวเพิ่มเติม ซีบีอาร์อี ยังเปิดเผยอีกว่า สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่นักลงทุนเอเชียเข้าไปลงทุนมากที่สุดเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน หรือคิดเป็น 43% ของเงินลงทุนจากเอเชียทั้งหมดตลาดที่นิยมเป็นอันดับสอง คือ ยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) อยู่ที่ 27%    สำหรับเอเชียมีสัดส่วนคิดเป็น 23% ของเงินลงทุนโดยรวม เพิ่มขึ้นจาก 21% ในปี 2558 ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนเอเชียยังคงนิยมลงทุนในภูมิภาคของตนเองมากกว่า นิวยอร์กได้ก้าวขึ้นเป็นแหล่งลงทุนยอดนิยมอันดับหนึ่งสำหรับนักลงทุนต่างชาติในปี 2559 แทนที่กรุงลอนดอน แต่การลงทุนนั้นคิดเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2558 แหล่งลงทุนยอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ นิวยอร์ก  ลอนดอน  ฮ่องกง  โซล และซิดนีย์  คิดรวมเป็น 37% ของเม็ดเงินลงทุนทั้งหมด  ลดลงจาก 42% ในปีก่อนหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการกระจายการลงทุนไปยังแหล่งอื่นมากขึ้น นายโรเบิร์ต ฟง ผู้อำนวยการ แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี ประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ให้ความเห็นว่า “ปัจจุบันนักลงทุนเอเชียให้ความสนใจและมองหาสินทรัพย์ในตลาดที่หลากหลายมากขึ้นจากทั่วทุกมุมโลกมีการจัดสรรเงินลงทุนไปยังเมืองที่เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญไปยังเมืองอื่น (Gateway City) มากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2558 เพื่อหาโอกาสการลงทุนที่มีราคาน่าสนใจ แหล่งลงทุนอื่นๆ ในภาคพื้นยุโรปอย่างฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ ชิคาโก ซานฟรานซิสโกและกรุงวอชิงตันในสหรัฐฯ รวมถึงแวนคูเวอร์ในแคนาดา ต่างได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้นในปัจจุบัน” นายโรเบิร์ต ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ในขณะที่จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง และเกาหลีใต้ยังคงเป็นแหล่งเงินลงทุนหลักของการลงทุนในต่างประเทศ  เราเห็นถึงการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจากตลาดอื่น เช่น อินเดีย รวมถึงปริมาณการลงทุนจากญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่สหรัฐฯ ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่า ญี่ปุ่นจะลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นอีกในปีนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ปริมาณการลงทุนในต่างประเทศของญี่ปุ่นอยู่ในระดับที่ต่ำ” ตลาดอาคารสำนักงานยังเป็นที่นิยม แต่ตลาดโรงแรมเป็นที่สนใจมากขึ้น ตลาดอาคารสำนักงานยังเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่นักลงทุนเอเชียนิยมมากที่สุด คิดเป็นครึ่งหนึ่งของการลงทุนทั้งหมด    เมืองที่เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญไปยังเมืองอื่นอย่างลอนดอน นิวยอร์ก และฮ่องกง คือ แหล่งลงทุน 3 อันดับแรกสำหรับอาคารสำนักงาน ขณะเดียวกัน ตลาดโรงแรมก็ได้รับความสนใจมากขึ้น โดยโรงแรมในสหรัฐฯ สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้จำนวนมาก  ซึ่งธุรกรรมที่ใหญ่ที่สุดในปีที่แล้ว คือ การเข้าซื้อกิจการโรงแรมในสหรัฐฯ โดยนักลงทุนชาวจีน นอกจากนี้ ในปี 2559 ซีบีอาร์อียังเห็นว่า ตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พักสำหรับนักเรียนนักศึกษาและศูนย์สุขภาพ ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นจากกลุ่มนักลงทุนเอเชียที่มีประสบการณ์ในการลงทุนมาก่อน  นับเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกสถิติธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่พักสำหรับนักเรียนนักศึกษา ซึ่งการลงทุนขนาดใหญ่ 3 ธุรกรรมในปี 2559 มาจากนักลงทุนสิงคโปร์ “มีนักลงทุนจำนวนมากขึ้นที่กำลังมองหาโอกาสการลงทุนที่นอกเหนือไปจากสินทรัพย์ตามปกติทั่วไปเพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้น และเป็นการปรับตัวตามโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป” โรเบิร์ตกล่าวเพิ่มเติม นายเจมส์ พิทชอน หัวหน้าแผนกวิจัยและที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า “นักลงทุนเอเชียเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งมีนักลงทุนจากญี่ปุ่น 4 รายที่เข้ามา คือ มิตซูบิชิ เอสเตท ซึ่งร่วมมือกับเอพี (ไทยแลนด์) มิตซุย ฟุโดซัง ซึ่งร่วมมือกับอนันดา ดีเวลลอปเมนท์ ฮันคิว เรียลตี้ ซึ่งร่วมมือกับเสนา ดีเวลลอปเม้นท์ และชินวะ กรุ๊ป ซึ่งร่วมมือกับวรลักษณ์ พร็อพเพอร์ตี้” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) และฮ่องกง แลนด์ กรุ๊ป ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนในบริษัท เอส 36 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาโครงการคอนมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ในกรุงเทพมหานคร บริเวณหัวมุมซอยสุขุมวิท 36 ขณะเดียวกัน การลงทุนในต่างประเทศจากนักลงทุนไทยก็มีให้เห็นมากขึ้น ได้แก่ การซื้ออพาร์ตเมนต์ให้เช่าในแคลิฟอร์เนียโดยแลนด์ แอนด์ เฮาส์ในปี 2555  และการก่อตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างสิงห์ เอสเตทและฟิโก้ คอร์เปอเรชั่น เพื่อซื้อโรงแรมในเครือจูปิเตอร์ ซึ่งบริหารกลุ่มโรงแรมเมอร์เคียว 26 แห่งในสหราชอาณาจักร จากพาทรอน แคปปิตัล และธนาคารรอยัล แบงค์ ออฟ สกอตแลนด์ ในปี 2558 ด้วยมูลค่าในขณะนั้นเกือบ 8.5 พันล้านบาท (155 ล้านปอนด์)
“โกลด์ไชน์” เปิดตัวคอนโดใหม่ “คีน ศรีราชา” คอนโดมิเนียมสุดหรูเพียงหนึ่งเดียวบนทำเลที่ดีที่สุดในศรีราชา ระดับไฮเอนด์กลิ่นอายญี่ปุ่น ชูคอนเซ็ปต์ Uniqueness for ideal

“โกลด์ไชน์” เปิดตัวคอนโดใหม่ “คีน ศรีราชา” คอนโดมิเนียมสุดหรูเพียงหนึ่งเดียวบนทำเลที่ดีที่สุดในศรีราชา ระดับไฮเอนด์กลิ่นอายญี่ปุ่น ชูคอนเซ็ปต์ Uniqueness for ideal

7 มีนาคม 2560 : กรุงเทพฯ  บริษัท โกลด์ไชน์ จำกัด  โดย SC Capital Partners (SCCP) ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในระดับเอเชียแปซิฟิค ร่วมทุนกับ GOLDEN GROUP ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่แห่งภาคตะวันออก ทุ่มงบกว่า 3,000 ล้านบาท ผุดโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู “คีน ศรีราชา”  (KEEN SRIRACHA)  เป็นคอนโดเพียงหนึ่งเดียวบนทำเลที่ดีที่สุดใจกลางเมืองศรีราชา  จ.ชลบุรี  รองรับลูกค้าระดับไฮเอนด์ สไตล์ Contemporary  วิวทะเล ติดถนนสุขุมวิท ใกล้ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, AEON Mall , โรงพยาบาล, โรงเรียน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ดีไซน์เป็นเอกลักษณ์มีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นจัดเต็ม Facilities ระดับพรีเมี่ยมราคาขายเริ่มต้นที่ 2.99 ล้านบาท นายสุชาติ เจียรานุสสติ  ประธานกรรมการ บริษัท โกลด์ไชน์ จำกัด  เปิดเผยว่า  เนื่องจาก จ.ชลบุรี เป็น 1 ใน 3 จังหวัด (ระยอง,ชลบุรี,ฉะเชิงเทรา) ที่จะพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจการลงทุนพิเศษหรือระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ Eastern Economics Corridor Development (EEC) เป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมหลักของประเทศสัดส่วนสูงสุด 82.04 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคตะวันออกจึงเหมาะเป็นพื้นที่นำร่องเขตเศรษฐกิจการลงทุนด้วยเหตุผลมีนักลงทุนทั่วโลกอยู่ในพื้นที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ เป็นศูนย์กลางการขนส่งทางเรือของอาเซียนและมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางถนนรถไฟนิคมอุตสาหกรรม ในอนาคตมีโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงกรุงเทพ-ชลบุรี-ศรีราชา-ระยอง เป็นต้น ขณะที่กลุ่ม EEC ซึ่งมีจำนวนโรงงานรวมกว่า 9,000 โรงงาน และมีคนทำงานกว่า 600,000 คน “ศรีราชา” เป็นเมืองใหญ่ใน จ.ชลบุรี พื้นที่ติดทะเล ล้อมรอบไปด้วยภูเขา เป็นศูนย์กลางที่พร้อมที่สุดแห่งหนึ่งที่รองรับผู้คนจากนิคมอุตสาหกรรมที่ต้องการพักผ่อน อยู่อาศัย แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งร้านอาหาร โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า โรงแรม อาคารเช่า รวมถึงคอนโดมิเนียม เพื่อรองรับคนที่เข้ามาทำงาน โดยเฉพาะคนญี่ปุ่น ที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ทำให้ศรีราชาได้รับขนานนามว่า “ลิตเติ้ลโตเกียว” รวมถึงกลุ่มคนต่างชาติที่เข้ามาทำงาน จึงเป็นเมืองที่มีศักยภาพในการขยายตัวค่อนข้างสูง โดยโครงการ “คีน ศรีราชา” (KEEN SRIRACHA) เป็นคอนโดเพียงหนึ่งเดียวที่ตั้งอยู่ในทำเลระดับพรีเมี่ยมที่ดีที่สุดใจกลางศรีราชา บนที่ดิน 3-1-77 ไร่  มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท จำนวน 1 อาคาร  สูง 38 ชั้น สไตล์ Contemporary ที่มีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่น มีห้องให้เลือกตั้งแต่ 1 – 2 ห้องนอนและเพนท์เฮาส์  ขนาดพื้นที่ใช้สอย 34.5-216 ตร.ม. และห้องชุดเพื่อพาณิชย์จำนวน 3 ยูนิต  รวม 628 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.99 ล้านบาท  ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ทั้งนี้โครงการ “คีน ศรีราชา”  (KEEN SRIRACHA)  มีจุดเด่นในทำเลอยู่ติดถนนสุขุมวิททำให้เดินทางสะดวก ใกล้ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน,  AEON Mall , โรงพยาบาลพญาไท, โรงพยาบาลสมิติเวช และ โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา ฯลฯ นอกจากนี้โครงการ คีน ศรีราชา ยังจัดเต็ม Facilities ที่ออกแบบไว้อย่างลงตัวเพื่อการพักผ่อนเติมเต็มชีวิตแบบเป็นส่วนตัว ตั้งแต่ก้าวแรกด้วยแลนด์สเคปที่สงบร่มรื่นของต้นไม้และสวนสไตล์เซนดีไซน์สวยหรูดูมีระดับต่อเนื่องไปถึงชั้น 8 ถูกออกแบบให้ใช้ชีวิตได้ครบทุกองศา ไม่ว่าจะเป็น Co-Working Space สเปซกว้างพร้อมทำงานแบบสุดชิล, สังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนที่ Playroom หรือ Tearoom, เติมเต็มการออกกำลังกายกับฟิตเนสทันสมัยมาตรฐานสากลที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ สัมผัสความปลอดโปร่งบนท้องฟ้าบนชั้น 38 รื่นรมย์กับ Open View Swimming Pool ผ่อนคลายความเมื่อยล้าที่ Onsen & Sauna แบบญี่ปุ่น นั่งชมวิวสวยใจกลางเมืองมองเส้นขอบฟ้าเหนือท้องทะเลที่ Rooftop Garden ทุกความสะดวกสบาย คีน ศรีราชา คือความสุขที่ไม่ต้องค้นหาแต่อยู่เคียงข้างคุณตลอดเวลา เรียกว่าตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ซื้อลงทุนปล่อยให้เช่าและอยู่อาศัยอย่างครบถ้วน นอกจากนี้ นายสุชาติ  กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเทศไทยปี 2560 ยังคงทรงตัวจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง และผลของนโยบายการค้าแบบเข้มงวดของสหรัฐต่อจีนที่ส่งผลลบต่อผู้ผลิตในประเทศไทย โดยมีปัจจัยบวกที่จะเข้ามาสนับสนุนตลาด เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการเพิ่มขึ้นของกระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงให้ความสนใจในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามปัจจัยลบอย่างหนี้ครัวเรือนที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของตลาด เนื่องจากการขอสินเชื่อบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อย-ปานกลางทำได้ยากขึ้น ปีนี้คาดว่าราคาที่ดินในพื้นที่ศูนย์กลางเขตธุรกิจ (CBD) จะปรับตัวสูงขึ้น จากอุปสงค์ที่ยังมีมาก ขณะที่อุปทานมีอยู่อย่างจำกัด สำหรับแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในปีนี้ เชื่อว่าความต้องการคอนโดในระดับพรีเมี่ยมของกลุ่มลูกค้าระดับบนจะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียมเพื่อขายจะเน้นการพัฒนาโครงการระดับบนสูงขึ้นในไตรมาสที่ 1 หลังจากหลายๆ โครงการถูกชะลอไว้ในไตรมาสที่ผ่านมา และเป็นที่คาดกันว่าราคาคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองจะปรับตัวสูงขึ้นทุบสถิติใหม่อีกครั้งในปีนี้  แม้ว่าแรงซื้อคอนโดส่วนใหญ่จะมาจากนักลงทุนในประเทศ แต่ปีนี้เชื่อว่าผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากจะหันไปทำการตลาดกับชาวต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนจีนซึ่งมีเงินลงทุนมาก ซึ่งประเทศไทยยังได้รับอานิสงส์จากการจัดเก็บภาษีจากชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศเพื่อการอยู่อาศัยในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นอย่างฮ่องกงหรือสิงคโปร์ ด้านตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่างยังคงน่าเป็นห่วง จากภาวะหนี้ครัวเรือนที่ขยายตัวอยู่ในระดับสูง ทำให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยกู้ ส่งผลให้สต๊อกคอนโดล้นตลาดแต่ไม่มีการโอน  ส่วนปัจจัยที่ผู้บริโภคมักนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดมิเนียมมีหลายปัจจัยด้วยกัน ทั้งในเรื่องของราคา ทำเล ความคุ้มค่าการลงทุน ความน่าเชื่อถือของผู้พัฒนาโครงการ เป็นต้น **โครงการ “คีน ศรีราชา”  (KEEN SRIRACHA) เริ่มก่อสร้างไตรมาสที่ 3 ปี 2560 คาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 2563 เปิดชมห้องตัวอย่าง พร้อมจองวันที่ 11-12 มีนาคม 2560 นี้