Tag : News

2376 ผลลัพธ์
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย เผยผลวิเคราะห์ตลาดคอนโดมิเนียมในหัวหินไตรมาสแรกของปี

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย เผยผลวิเคราะห์ตลาดคอนโดมิเนียมในหัวหินไตรมาสแรกของปี

จากรายงานผลวิจัยของไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย พบว่า อุปทานทั้งหมดในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 มีจำนวนรวมอยู่ที่ 23,584 หน่วย และไม่มีโครงการใหม่เปิดตัวเลยในปี 2560 สำหรับโครงการที่เปิดตัวล่าสุด คือ โครงการลุมพินี พาร์คบีช 2 (Lumpini Park Beach 2) โดยเปิดตัวไปในช่วงปลายปี 2559 ในจำนวน 124 หน่วย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีประมาณ 1,000 - 3,000 หน่วยที่เปิดตัวใหม่ และเราคาดการณ์ว่าอุปทานในอนาคตจะเติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากตลาดเกิดการหยุดนิ่งชั่วคราวจากหน่วยที่ยังไม่ขายของหลายๆโครงการที่มีจำนวนมากกว่า 1,000 หน่วยและปัญหาปริมาณความต้องการที่ลดลง อุปทานคอนโดฯใหม่ๆในหัวหินส่วนใหญ่เป็นโครงการเกรด C ที่มีราคาขายต่อหน่วยต่ำกว่า 3 ล้านบาท ในขณะที่โครงการเกรด A กลายเป็นหน่วยหายาก เนื่องจากพื้นที่พัฒนาริมทะเลเริ่มขาดแคลน กราฟ 1 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กราฟ 2 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อเร็วๆนี้ เขาเต่าได้กลายเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณความต้องการไม่มากและยอดขายเริ่มชะลอตัวลง ดังนั้นจึงมีนักพัฒนาจำนวนไม่มากที่สนใจทำการพัฒนาพื้นที่เขตนี้ สำหรับในช่วงสองปีที่ผ่านมามีเพียงโครงการเดียวที่เปิดตัวไป คือ โครงการเบลล่า คอสต้า (Bella Costa) (323 หน่วย) กราฟ 3 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เขาตะเกียบเป็นพื้นที่ที่มียอดขายสูงสุดในตลาด เนื่องจากเป็นพื้นที่ใกล้กับหัวหิน โดยมีตลาดและร้านอาหารทะเลตั้งอยู่มากมาย ด้วยราคาขายที่ถูกกว่าพื้นที่ชะอำได้ทำให้เขาตะเกียบเป็นทำเลที่มีความต้องการมากอีกแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเขาตะเกียบถูกพัฒนาเกือบเต็มพื้นที่ (คล้ายๆกับหัวหิน) พื้นที่ดินส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนาและฟื้นฟู ในขณะเดียวกัน เขาเต่าเป็นทำเลที่มีความต้องการต่ำและมียอดขายน้อยที่สุด เนื่องจากเป็นทำเลห่างไกลกรุงเทพฯและเมืองหัวหินมากที่สุด พื้นที่นี้ค่อนข้างชนบทหากเทียบกับพื้นที่อื่นๆในหัวหิน กราฟ 4 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยรวมแล้ว ตลาดคอนโดฯในหัวหินมีอัตราขายสะสมอยู่ที่ร้อยละ 77.9 ในช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2560 โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 77 ในช่วงสิ้นปี 2559 โดยมีประมาณ 221 หน่วยที่ขายออกไปตั้งแต่ช่วงต้นปี 2560 กราฟ 5 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด อัตราการครอบครองพื้นที่ต่อปีค่อนข้างทรงตัวดีในช่วงปี 2556 - 2558 โดยในปี 2559 มียอดขายลดลง จากจำนวนเฉลี่ยต่อปี 2,400 - 2,800 หน่วย สามารถขายออกไปเพียง 1,800 หน่วย ซึ่งเป็นผลพวงจากปัญหาหลากหลาย เช่น นโยบายการจำนองที่เข้มงวดขึ้นจากธนาคารรายย่อย อย่างไรก็ตาม มร.แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า "ในขณะนี้นักพัฒนาบางรายกำลังทำโครงการขายเพื่อการลงทุนที่น่าสนใจบนพื้นที่ชายหาด ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับตลาดและผู้ซื้อที่ต้องการลงทุนไปพร้อมกับการได้รับสิทธิการพักผ่อนอีกด้วย"
“ขายแน่! สถานทูตอังกฤษ คาดราคากว่า 2 ล้านบาท/ตารางวา!!!”

“ขายแน่! สถานทูตอังกฤษ คาดราคากว่า 2 ล้านบาท/ตารางวา!!!”

"รัฐบาลอังกฤษตัดสินใจขายสถานทูตอังกฤษที่ตั้งอยู่บนถนนวิทยุ เขตปทุมวันแน่นอนแล้ว คว้าราคาไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาทต่อตารางวา" "นายไบรอัน เดวิดสัน เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เปิดเผยกับ "คมชัดลึก" ว่าการขายพื้นที่ 23 ไร่ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานทูตอังกฤษเกิดจากนโยบายของรัฐบาลอังกฤษที่ต้องใช้ประโยชน์สูงสุดจากทรัพย์สินที่มีอยู่ทั่วโลก นายเดวิดสันกล่าวว่าถึงแม้จะมีข่าวลือมากมาย แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการทำสัญญาซื้อขายแต่อย่างใด แต่ยืนยันว่ารัฐบาลอังกฤษได้มีมติที่จะขายพื้นที่แห่งนี้แน่นอนแล้ว สถานทูตอังกฤษเป็นสถานทูตที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย และตั้งอยู่ในทำเลทองที่มีมูลค่าที่ดินสูงที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร บริษัทนายหน้าที่ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนขายที่ผืนนี้ประเมินราคาอยู่ที่ 2 ล้านบาทต่อตารางวา ทำให้มูลค่าการซื้อขายจะสูงถึง 18,000 ล้านบาท ก่อนหน้านี้เนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ของสถานทูตถูกเฉือนขายให้กับ "เซ็นทรัล กรุ๊ป" ในราคาเกือบ 1 ล้านบาทต่อตารางวา และพื้นที่ดังกล่าวได้กลายเป็นที่ตั้งของห้าง "เซ็นทรัล เอ็มบาสซี่" ในปัจจุบัน เชื่อกันว่า "เซ็นทรัล กรุ๊ป" เป็นกลุ่มที่จะซื้อที่ดินที่เหลือของสถานทูต แหล่งข่าวในสถานทูตอังกฤษเปิดเผยกับ "คมชัดลึก" ว่าน่าจะมีการประกาศเรื่องการขายสถานทูตในอีกประมาณเดือนกว่าๆ ข้างหน้า ด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าตาขึงขังชาว "กูรข่า" สถานทูตอังกฤษได้กลายเป็นภาพคุ้นตาคนไทยเป็นอย่างดี และเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างสองประเทศกว่า 160 ปีนับตั้งแต่การลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง คำถามใหญ่ที่ตามมาก็คือ สถานทูตอังกฤษจะไปอยู่ที่ไหน ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่ายังจะอยู่ในพื้นที่เดิมต่อไปเพื่อรักษาประวัติศาสตร์ของสถานที่แห่งนี้ไว้ แต่ทูตเดวิสันยืนยันว่าสถานทูตอังกฤษจะย้ายไปอยู่ที่ใหม่ "เราจะไปอยู่ที่แห่งใหม่แน่นอน เพราะเราคงไม่พยายามติดยึดกับอดีต" ทูตเดวิดสันกล่าว แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยการตัดสินใจครั้งนี้ โดยเฉพาะชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยที่เชื่อว่าสถานทูตอังกฤษเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่ควรรักษาไว้ ชาวอังกฤษเหล่านี้ได้ช่วยกันรณรงค์ผ่านเว็บไวต์ change.or ภายใต้สโลแกน Save the British Embassy Bangkok คัดค้านการขายสถานทูต และมีผู้เข้าไปร่วมลงชื่อแล้วว่า 370 คน "การขยายสถานทูตเป็นการดูถูกคนไทย ที่ดินผืนนี้ถูกมอบให้คนอังกฤษ การปิดสถานทูตเพียงเพื่อหาเงินเป็นเรื่องน่ารังเกียจ มันทำให้ผมอายที่เป็นคนอังกฤษ"เป็นข้อความที่โพสต์โดยชาวอังกฤษคนหนึ่งที่บอกว่าเขาเดินทางเข้าออกประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า 20 ปี"   ที่มา : www.nationtv.tv
ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ตอบโจทย์ คอนโดตลาด Luxury เปิดตัว 3 สัปดาห์ ยอดจองทะลุเป้าแตะ 70% ตอกย้ำทำเลศักยภาพสูงและเทรนด์การอยู่อาศัยใน มิกซ์ ยูส กำลังได้รับความสนใจ

ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ตอบโจทย์ คอนโดตลาด Luxury เปิดตัว 3 สัปดาห์ ยอดจองทะลุเป้าแตะ 70% ตอกย้ำทำเลศักยภาพสูงและเทรนด์การอยู่อาศัยใน มิกซ์ ยูส กำลังได้รับความสนใจ

นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่โครงการดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (THE ESSE at SINGHA COMPLEX) คอนโดมิเนียมลักชัวรี่ โครงการที่ 2 ของสิงห์ เอสเตท ได้เปิดพรีเซลล์ไปเมื่อ 4-5 มีนาคม ที่ผ่านมา โครงการฯได้รับผลตอบรับอย่างดีเกินคาด โดยขณะนี้มียอดจองไปแล้วกว่า 70% จากเปิดขายเพียง 3 สัปดาห์ “ด้วยทำเลที่ตั้งของโครงการบริเวณหัวมุมถนนอโศก-เพชรบุรี ซึ่งปัจจุบันเป็นศูนย์กลางธุรกิจและไลฟ์สไตล์ รวมถึงเป็นศูนย์กลางของการคมนาคม ที่มีศักยภาพสูงออยู่แล้ว และยังมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นได้อีกในอนาคต บวกกับความเชื่อมั่นในโครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นแฟล็กชิป มิกซ์ ยูส ของสิงห์ เอสเตท รวมถึงรูปแบบของโครงการดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ที่ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มลูกค้าที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างเหนือระดับ และกลุ่มลูกค้าที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพ  จึงทำให้วันนี้เรามียอดจองคอนโดมิเนียม ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ เข้ามาเกินเป้าที่ตั้งไว้เบื้องต้น โดยภายในเวลา 3 สัปดาห์หลังเปิดจองอย่างเป็นทางการ โครงการฯมียอดจองไปแล้วกว่า 70%  รวมมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท โดยหากดูจากสัดส่วนลูกค้าระหว่างชาวไทย และชาวต่างชาติแล้ว พบว่าสัดส่วนลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติสูงถึง 35% ของยอดจองทั้งหมด เนื่องจากทำเลอโศกเป็นทำเลที่ชาวต่างชาติให้ความนิยมอยู่แล้ว และเทรนด์การอยู่อาศัยในโครงการมิกซ์ ยูส เป็นเทรนด์ที่ลูกค้ากำลังให้ความสนใจ นอกจากนั้นห้อง Penthouse ราคา 62 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 4 ยูนิต ได้ถูกจองไปหมดแล้ว จากข้อมูลนี้จึงยืนยันได้ว่า ตลาดคอนโดมิเนียมระดับ Luxury นั้นยังได้รับความสนใจอยู่มาก และมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาพรวมของโครงการนี้ในปี 2560 เราตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 85% และคาดว่าจะเป็นไปตามเป้า ในส่วนของการก่อสร้างนั้น ปัจจุบันโครงการผ่านการอนุมัติการจัดทำรายการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสามารถก่อสร้างได้ตามกำหนด คือ ภายในไตรมาส 1 ปี 2560”  นายณัฐวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านปลื้มผลจัดงาน “รับสร้างบ้าน Home Builder Focus 2017”

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านปลื้มผลจัดงาน “รับสร้างบ้าน Home Builder Focus 2017”

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ปลื้มผลการจัดงาน “รับสร้างบ้าน Home Builder Focus 2017” พร้อมระบุ 3 อันดับระดับราคาแบบบ้านที่ผู้บริโภคเลือก อันดับแรกระดับราคา 2.5-5 ล้านบาทผู้บริโภคนิยมมากสุดยอดขายนำโด่งเกือบ 40% รองลงมาคือแบบบ้านระดับราคา 5-10 ล้านบาทมีสัดส่วนเกือบ 37% และอันดับสามเป็นแบบบ้านระดับราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาทมีสัดส่วน 10.5% เดินหน้าเตรียมจัดงาน “รับสร้างบ้าน Home Builder Expo 2017” ในเดือนสิงหาคม ต่อทันชูจุดเด่นงานเดียวที่รวบรวม บริษัทรับสร้างบ้านมืออาชีพ ชูแบบบ้านสวยสุดสร้างสรรทุกฟังก์ชั่นการใช้สอยครบทุกงบประมาณที่ต้องการ นายพิชิต อรุณพัลลภ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association :HBA) เปิดเผยถึงผลการจัดงาน  “รับสร้างบ้าน Home Builder Focus 2017” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-15มีนาคม 2560 ณ ชั้น 1 เซ็นทรัล ลาดพร้าว ว่า โดยรวมยอดขายของบริษัทรับสร้างบ้านที่ออกงานนั้นเป็นที่น่าพอใจ โดยมียอดขายรวมตลอดการจัดงานทั้ง 7 วันประมาณ 900 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 100 ล้านบาท (เป้าจัดงานตั้งไว้ที่ 1,000 ล้านบาท) โดยคาดหวังว่าจะมียอดหลังงานที่ตามมาอีกประมาณ 1,500 ล้านบาท ทั้งนี้ถึงแม้ยอดขายภายในงานจะต่ำกว่าเป้า แต่โดยภาพรวมผลที่ได้จากการจัดงานนั้นก็ตรงกับวัตถุประสงค์ของสมาคมฯที่ต้องการให้การจัดกิจกรรมดังกล่าวได้ส่งเสริมการตลาดให้กับสมาชิกของสมาคมฯขณะที่ผู้บริโภคก็จะได้ประโยชน์ทั้งจากโปรโมชั่นส่งเสริมการขายของบริษัทรับสร้างบ้านในแต่ละรายที่ร่วมออกบูธกว่า 20 ราย ทั้งนี้ในการเลือกแบบบ้านเพื่อนำไปปลุกสร้างบนที่ดินนั้นส่วนใหญ่ราคาไม่เกิน10 ล้านบาท ดังนี้ อันดับ 1 ระดับราคาบ้านอยู่ที่ 2.51-5 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 39.47% อันดับ 2 ระดับราคา 5.01-10 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 36.84% อันดับ 3 เป็นแบบบ้านที่ระดับราคาไม่เกิน 2.5 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10.53% ขณะที่แบบบ้านระดับราคา 10.01-20 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 6.58% ซึ่งเท่ากันกับแบบบ้านระดับราคา 20.01 ล้านบาทขึ้นไปก็มีสัดส่วนอยู่ที่ 6.58 % เช่นกัน อย่างไรก็ดี เพื่อกระตุ้นการขายของบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯอย่างต่อเนื่องและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ รวมถึงส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ทางสมาคมฯได้เตรียมแผนที่จะจัดงาน “รับสร้างบ้าน Home Builder Expo 2017” ในเดือนสิงหาคม 2560 โดยบริษัทรับสร้างบ้านที่ร่วมออกบูธก็ได้มีการนำแบบบ้านที่ออกแบบใหม่ล่าสุดมาเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคในทุกระดับราคามาไว้ที่เดียวแล้ว อีกทั้งยังพบกับสินเชื่อพิเศษจากสถาบันการเงินชั้นนำด้วย
“เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก” รีสอร์ทแห่งใหม่ย่านพระนคร สะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมแห่งสยาม

“เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก” รีสอร์ทแห่งใหม่ย่านพระนคร สะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมแห่งสยาม

จะดีแค่ไหน ถ้าได้สัมผัสมรดกทางวัฒนธรรมแห่งสยาม ผ่านบรรยากาศรีสอร์ทย่านพระนคร เป็นความลงตัวที่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ โฮเทล จำกัด – ภายใต้เครือ ทีซีซี กรุ๊ป เปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก รีสอร์ทแห่งแรกใน เดอะแวลเนส คอลเล็คชั่น (The Wellness Collection) ตั้งอยู่ในย่านประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ เป็นเรือนเก่าสร้างในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ระหว่างช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ 2400 เดิมถือเป็นเรือนพักอาศัยของพระนมของพระองค์ท่าน ส่วนหนึ่งของอาณาบริเวณวังเทเวศร์ มร.นิชันท์ โกรเว่อร์  ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แอสเสท เวิรด์ โฮเทล จำกัด กล่าวว่า “ตัวอาคารแห่งนี้ได้ถูกบูรณะอีกครั้งในช่วงระหว่างปีพุทธศักราช 2400 และได้ขยายต่อเติมหมู่เรือนมาถึงบริเวณด้านหน้าถนนกรุงเกษม ปัจจุบันอาคารได้รับการตกแต่งใหม่ในรูปแบบรีสอร์ท เพิ่มความงดงามขึ้นด้วยงานฝีมือจิตรกรรมบนผนังและงานเขียนกาพย์กลอนที่มีชื่อเสียงของรัตนโกสินทร์ เพื่อสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของไทยและเชิดชูพระอัจฉริยภาพด้านบทกวีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 อาณาบริเวณของโรงแรมมาในรูปแบบ รีสอร์ท ‘Resort’ กว่า 900 ตารางเมตร ร่มรื่นด้วยหลากหลายพันธุ์ไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นไทรอายุกว่า 120 ปี โรงแรมยังประกอบด้วยสระว่ายน้ำกลางสวนและบาร์ริมสระน้ำเสิร์ฟเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ผ่อนคลายท่ามกลางบรรยากาศของสวนธรรมชาติอันร่มรื่น รื่นรมย์ และความร่วมสมัยของสถาปัตยกรรมที่โอบล้อมอีกด้วย” เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก ประกอบด้วยห้องพัก 38  ห้อง ออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพื่อสะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมแห่งสยาม ผสมผสานการออกแบบระหว่างบรรยากาศแบบวิถีไทยดั้งเดิมในสมัยรัชกาลที่ 6 และความสะดวกสบาย ผ่อนคลายแบบร่วมสมัย ตกแต่งด้วยองค์ประกอบทางศิลปะอันละเอียดอ่อน เพื่อให้แขกสัมผัสได้ถึงบรรยากาศการพักผ่อนอันสงบอันอบอุ่นและซึมซับศิลปวัฒนธรรม จากโคลงกลอนที่เขียนอย่างประณีตด้วยฝีมือช่างไทยให้แต่ละห้องมีความพิเศษเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง โรงแรมแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอาคารหลัก กลุ่มอาคารด้านหน้าทั้ง 19 ห้องตั้งอยู่ใน ซิตี้ วิง (City Wing)  ในขณะที่อีก  19  ห้องตั้งอยู่ในบริเวณกลุ่มอาคารในสวนที่เรียกว่า การ์เด้น วิง (Garden Wing)  ซึ่งกลุ่มอาคารนี้เคยเป็นเรือนพักอาศัยหลักของพระนมของรัชกาลที่ 6 ห้องพักตั้งอยู่ในชั้น 1 และ 2 สำหรับผู้พักที่ต้องการความสงบท่ามกลางสวนอันร่มรื่น    ‘เวลเนส’ (Wellness) คือหนึ่งในแนวคิดสำคัญของโรงแรม เพื่อให้แขกของโรงแรมสัมผัสประสบการณ์ของการผ่อนคลาย และดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร จึงให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวเป็นพิเศษ รวมถึงสวนออร์แกนิคซึ่งสามารถเลือกวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารโดยเชฟได้ด้วยตัวเองในขณะที่  อิมพีเรียล สปา (Imperial Spa) ช่วยให้แขกของโรงแรมผ่อนคลายกับวิถีการนวดแผนโบราณแบบไทยแท้ โดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการถ่ายทอดจากสถาบันสุขภาพโพธาลัย ซึ่งสั่งสมองค์ความรู้จากวัดโพธิ์จากรุ่นสู่รุ่น โรงแรมยังให้ความสำคัญกับด้านอาหาร (Cuisine) เพื่อให้ย่านประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ เป็นจุดหมายใหม่ของนักเดินทางที่ต้องการเติมเต็มประสบการณ์ใหม่ของรสชาติอาหาร ทั้งไทยดั้งเดิมและอาหารยุโรป ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวิถีการรับประทานอาหารในสมัยรัชกาลที่ 6 ห้องอาหาร เดอะ ระวีกัลยา ไดนิ่ง (The Raweekanlaya Dining) ได้รับการสร้างสรรค์เมนูอาหารอย่างพิถีพิถัน โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้รับประทานและความยั่งยืน วัตถุดิบในการปรุงอาหารจึงได้รับการคัดสรรเพื่อให้แน่ใจว่ามีคุณประโยชน์และเป็นวัตุดิบจากธรรมชาติอย่างแท้จริง เช่น ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ เกลือสมุทร และวัตถุดิบออร์แกนิคตามฤดูกาล ซึ่งล้วนผลิตจากกลุ่มเกษตรท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมกำลังการผลิตในชุมชน ผลิตภัณฑ์คุณภาพต่างๆ ยังมีที่มาจากผู้ผลิตชั้นนำทั้งในและต่างประเทศซึ่งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก “เราหวังว่า เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก จะเป็นเดสติเนชั่นแห่งใหม่สำหรับคนไทยและนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะสัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนที่ผสมผสานกลิ่นไอสมัยรัชกาลที่ 6 และการผ่อนคลายแบบร่วมสมัยได้อย่างแน่นอน” มร.นิชันท์กล่าว
พฤกษา เรียลเอสเตท ปลุกกระแสคอนโดไฮเอนด์ มาสเตอร์พีซโครงการแรก “เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ” เปิดตัวร้อนแรง กวาดเงินเข้าพอร์ทกว่า 1,600 ลบ.

พฤกษา เรียลเอสเตท ปลุกกระแสคอนโดไฮเอนด์ มาสเตอร์พีซโครงการแรก “เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ” เปิดตัวร้อนแรง กวาดเงินเข้าพอร์ทกว่า 1,600 ลบ.

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม เปิดเผยว่า “ในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดพรีเมียมเพื่อให้ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยโครงการแรกที่มีการเปิดตัว คือ “เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ” คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ที่มีแนวคิดการออกแบบสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุด พร้อมคัดสรรวัสดุภายในห้องระดับพรีเมียมอย่างดี เพื่อให้โครงการนี้เป็นโครงการที่ดีที่สุดในย่านทองหล่อ และเป็นผลงานคุณภาพระดับมาสเตอร์พีซโครงการแรกของ พฤกษา เรียลเอสเตท โดยเมื่อวันที่ 18 – 19 มี.ค. ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้จัดงาน open house ที่โครงการ ได้รับการตอบรับจากที่ดีเยี่ยมจากลูกค้า จากการเปิดตัวอาทิตย์แรกกวาดยอดขายไปได้กว่า 1,600 ล้านบาท หรือกว่า 90% ของมูลค่าโครงการ และผลตอบรับจากลูกค้าที่สัมผัสประสบการณ์เหนือความคาดหมายกับห้องตัวอย่างและบรรยากาศจริงที่โครงการ ซึ่งขณะนี้โครงการได้รับความสนใจและเป็นที่กล่าวถึงในโลกโซเชียลเป็นอย่างมาก บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าโครงการ “เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ” จะประสบความสำเร็จ และแบรนด์ “เดอะ รีเซิร์ฟ” จะเป็นที่ยอมรับจากกลุ่มลูกค้าระดับบนอย่างแน่นอน และเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ยังมีแผนพัฒนาแบรนด์ “เดอะ รีเซิร์ฟ” ในอีกหลากหลายทำเลศักยภาพ ได้แก่    พญาไท ประดิพัทธ์ และสุขุมวิท 61 เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ของกลุ่มพรีเมียมให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้  “เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ” เป็นคอนโดมิเนียมสูง 26 ชั้น ตั้งอยู่ในซอยทองหล่อ 2 ห่างจากสถานี BTS ทองหล่อเพียง 500 เมตร ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “RESERVE YOUR NATURE” จุดเด่นอยู่ที่ Creek Garden และบรรยากาศแบบ Micro Climate ที่ทำให้โครงการมีความแตกต่าง ร่มรื่นและน่าอยู่ ท่ามกลางสีสันของใจกลางเมือง ลูกค้าจะได้สัมผัสธรรมชาติผสมผสานอยู่ทุกส่วนของโครงการ ตัวอาคารออกแบบให้มีเส้นสายสไตล์โมเดิร์น ใช้สีเทาและวัสดุโลหะทองแดง เพื่อเพิ่มความหรูหรา ทันสมัยมีรสนิยมแบบคนรุ่นใหม่ และยังมอบความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตเพียงชั้นละ 5 ยูนิต และทุกยูนิตเป็นห้องมุม เฟรมอลูมิเนียมพร้อมกระจก insulate และผนังระหว่างห้องหนาถึง 20 ซม. ป้องกันความร้อนและเสียงจากภายนอกได้เป็นอย่างดี อุปกรณ์ชุดครัวนำเข้าสั่งทำพิเศษ โดยใช้ Brand ดังจากยุโรป Gorenje By Philippe Starck เพียบพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ระบบ Home Automation, Video Door Phone พร้อม Emergency Call เพื่อความทันสมัยและความปลอดภัยสูงสุด พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม. และการออกแบบส่วนกลางระดับพรีเมี่ยม Marble pool และ Kid pool สระว่ายน้ำหินอ่อนหรูหรา พร้อมระบบน้ำเกลือ และจากุซชี่ บนชั้น 25 – 26 ห้องฟิตเนสเปิดรับมุมมองวิวพาโนรามา พร้อมอุปกรณ์ครบครันระดับ World Class, Sky Movie Amphitheatre, The Reserve Lounge and Concierge by The reserve เหนือระดับด้วยบริการผู้ช่วยส่วนตัวที่พร้อมอำนวยความสะดวกในการประสานงานบริการต่างๆ เพื่อดูแลและเพิ่มความอุ่นใจให้แก่ลูกบ้านตลอด 24 ชม. เดินทางสะดวกด้วยบริการ Shuttle รับส่ง BTS ทองหล่อ โครงการมีแบบห้องให้เลือก 3 แบบ คือ ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ 43.94 - 58.15 ตร.ม, ขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ 70.86 - 76.77 ตร.ม และ Penthouse พื้นที่ 121.71 ตร.ม ในราคาเริ่มต้น 250,000.-/ตร.ม ราคาขนาด 2 ห้องนอนเริ่มต้น 17 ล้านบาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร.1739 หรือ thereservecondo.com หรือ Line@ : Thereservecondo
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย เผยแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย เผยแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ

มร.แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัดกล่าวว่า ตลาดคอนโดฯในกรุงเทพฯในปี 2559 มีการเติบโตในระดับที่ลดลงกว่าปี 2558 เนื่องจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจไทย ซัพพลายพื้นที่เขตชานเมือง (Peripheral areas) ในกรุงเทพฯมีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด โดยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 76 ของซัพพลายทั้งหมดในปี 2559 ทั้งนี้เป็นผลเนื่องมาจากการขยายเส้นทางขนส่งมวลชนไปสู่ย่านชานเมืองกรุงเทพฯ นักพัฒนาหลายรายจึงเลือกพัฒนาโครงการตามเส้นทางขนส่งมวลชนสายใหม่ในย่านชานเมือง เนื่องจากมีที่ดินเพียงพอต่อการพัฒนาในราคาที่สมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม ปัญหาการพัฒนารถไฟใต้ดิน (MRT) สายสีม่วง (เตาปูน - คลองบางไผ่) จะเป็นกรณีศึกษาแก่นักพัฒนาและผู้ซื้อคอนโดฯในย่านนี้ เนื่องจากปริมาณผู้โดยสารจริงมีจำนวนน้อยกว่าเกือบสามเท่าของจำนวนผู้โดยสารที่ถูกคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้เนื่องจากเส้นทางสายนี้ยังไม่ได้เชื่อมต่อกับเส้นทางขนส่งมวลชนสายอื่นๆ สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ตลาดคอนโดฯตามแนวสายสีม่วงที่เปิดดำเนินการไปเมื่อปีที่แล้ว ยังคงมีหน่วยที่เหลือขายอยู่ในตลาด โดยรวมแล้ว ความต้องการคอนโดฯมีปริมาณลดลงมาก เนื่องจากความต้องการคอนโดฯในพื้นที่เขตชานเมืองกรุงเทพฯที่น้อยลงเพราะผู้ซื้อจำนวนมากไม่สามารถกู้ยืมจากธนาคารได้ ราคาคอนโดฯในพื้นที่เขตชานเมืองกรุงเทพฯจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่คอนโดฯในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) และพื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe areas) จะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากซัพพลายใหม่มีน้อย หน่วยคอนโดฯใหม่ๆในพื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจจะต้องแข่งขันกับหน่วยคอนโดฯเก่าในย่านศูนย์กลางธุรกิจที่มีการบำรุงรักษาอาคารอย่างดี เนื่องจากหน่วยคอนโดฯใหม่ในพื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจมีราคาสูงกว่าหน่วยคอนโดฯเก่าในย่านศูนย์กลางธุรกิจ คุณพจมาน วรกิจโภคาทร ผู้อำนวยการด้านการตลาดและงานขาย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ราคาคอนโดฯในเขตชานเมืองกรุงเทพฯคาดว่าจะยังคงมีเสถียรภาพ อย่างไรก็ตาม นักพัฒนาจำเป็นต้องทำการสำรวจตลาดก่อนเริ่มพัฒนาโครงการคอนโดฯในบางพื้นที่ของเขตชานเมืองกรุงเทพฯ ด้วยราคาขายที่ปรับตัวสูงขึ้นมากของคอนโดฯในย่านศูนย์กลางธุรกิจและพื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจ ตลาดรีเซล (Resales market) ของคอนโดฯในย่านศูนย์กลางธุรกิจจะต้องแข่งขันกับโครงการคอนโดฯใหม่ๆ เนื่องจากมีช่องว่างด้านราคาขายที่ต่างกันมาก สำหรับคอนโดฯเหล่านี้ ผู้อยู่อาศัย (End-users) อาจให้ความสนใจกับหน่วยคอนโดฯรีเซลในอาคารเก่าที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีมากกว่าที่จะซื้อหน่วยคอนโดฯโครงการใหม่ เนื่องจากคอนโดฯเก่ามีราคาที่ถูกกว่าและขนาดหน่วยที่ใหญ่กว่า  แนวโน้มซัพพลาย จากรายงานผลวิจัยของไนท์แฟรงค์ประเทศไทย พบว่า ภายในสิ้นปี 2559 คอนโดฯในกรุงเทพฯมีจำนวนรวมทั้งหมด 435,805 หน่วย โดยจำนวนประมาณ 52,195 หน่วยถูกเปิดตัวไปในปี 2559 แสดงการเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 13.6 จากปีก่อน ซัพพลายใหม่ส่วนใหญ่เป็นของบริษัทมหาชน (Listed Developers) ปริมาณซัพพลายที่มีมากไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของความต้องการคอนโดฯแต่อย่างใด โครงการที่เปิดตัวใหม่ๆส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในพื้นที่เขตชานเมืองกรุงเทพฯ โดยสามารถคิดเป็นร้อยละ 76 ของซัพพลายใหม่ปี 2559 ตามมาด้วยพื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจ โดยอยู่ที่ร้อยละ 14 นอกจากนี้ ข้อมูลดังกล่าวยังแสดงปริมาณซัพพลายใหม่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจปี 2559 โดยคิดเป็นร้อยละ 10 ดังที่แสดงในกราฟ 2 โดยส่วนใหญ่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 มีการเปิดตัวโครงการใหม่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ 9 แห่ง, โครงการในพื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจ 12 แห่ง และโครงการในพื้นที่เขตชานเมือง 50 แห่ง โดยโครงการใหม่ที่เปิดตัวในพื้นที่เขตชานเมืองส่วนใหญ่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 ถูกพัฒนาตามแนวเส้นทางรถไฟใต้ดิน MRT สายสีน้ำเงินสายที่ 2 (หัวลำโพง - ท่าพระ - หลักสี่) และสายที่ 3 (หลักสี่ - พุทธมณฑลสาย 4) และตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า BTS สายใต้ (แบริ่ง - สำโรง - สมุทรปราการ) ที่มีการก่อสร้างแล้วเสร็จมากกว่าร้อยละ 80 ในขณะนี้ กราฟ 1: อุปทานและอุปทานใหม่ของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปี 2551-2559 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กราฟ 2: อุปทานใหม่ แบ่งตามพื้นที่ ปี 2559 แนวโน้มดีมานด์ มีจำนวนหน่วยคอนโดฯประมาณ 315,393 หน่วยที่ถูกขายออกไปจากทั้งหมด 435,805 หน่วย คิดเป็นอัตราขายที่ร้อยละ 72.4 ซึ่งลดลงไปจากปีก่อนจากร้อยละ 75.3 หน่วยของคอนโดฯที่ถูกขายออกในปี 2559 โดยมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 26,595 หน่วย ลดลงไปร้อยละ 59 เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีประมาณ 64,170 หน่วยที่ขายออกไปในปี 2558 ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากกำลังซื้อที่ลดลงของผู้ซื้อและมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นของธนาคาร ดังนั้นนักพัฒนาจำต้องสร้างแคมเปญส่งเสริมการขายพิเศษต่างๆเพื่อกระตุ้นยอดขาย เช่น การลดราคา, ข้อเสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษ และอื่นๆ กราฟ 3: อุปทาน, อุปสงค์ และอัตราการครอบครอง ระหว่างปี 2551-2559 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด  แนวโน้มด้านราคา ราคาของโครงการคอนโดฯที่เปิดตัวใหม่ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วกรุงเทพฯในราคาที่แตกต่างกันโดยขึ้นอยู่กับทำเลพื้นที่ ราคาขายเฉลี่ยของหน่วยคอนโดฯในย่านศูนย์กลางธุรกิจตั้งราคาอยู่ที่ 229,180 บาท/ตร.ม. เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 ตามมาด้วยราคาขายเฉลี่ยของหน่วยคอนโดฯในพื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 หรือคิดเป็น 134,842 บาท/ตร.ม. และราคาขายเฉลี่ยของหน่วยคอนโดฯพื้นที่เขตชานเมืองที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 คิดเป็น 76,002 บาท/ตร.ม. กราฟ 4: ราคาขายเฉลี่ยของหน่วยคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ระหว่างปี 2551 - ไตรมาสที่ 1 ปี 2559 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด CR Cover Photo : Patrick Foto
DITP จับมือ ภาคเอกชน ประกาศความพร้อมจัด “BIG + BIH April 2017” ปั้นไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าไลฟ์สไตล์ ดันมูลค่าส่งออกเพิ่ม 5%

DITP จับมือ ภาคเอกชน ประกาศความพร้อมจัด “BIG + BIH April 2017” ปั้นไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าไลฟ์สไตล์ ดันมูลค่าส่งออกเพิ่ม 5%

DITP จับมือ ภาคเอกชน ประกาศความพร้อมจัด “BIG + BIH April 2017” ปั้นไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าไลฟ์สไตล์ ดันมูลค่าส่งออกเพิ่ม 5% กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ร่วมกับสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย และสมาคมผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แนวดีไซน์ ประกาศความพร้อมจัดงาน BIG + BIH April 2017 นับเป็นการจัดงานครั้งที่ 43 เพื่อเป็นเวทีเจรจาการค้าสินค้าของขวัญและของใช้ในบ้านระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ซื้อจากทั่วโลก ส่งเสริมไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกสินค้าของขวัญของตกแต่งบ้านและของใช้ในบ้าน ในอาเซียน ตั้งเป้าเงินสะพัดในงาน กว่า 700 ล้านบาท นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในปีนี้มีปัจจัยบวกหลายประการที่จะช่วยผลักดันการส่งออกของไทยให้ขยายตัวขึ้น โดยเฉพาะการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มดีขึ้น อาทิ จีนที่สามารถรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจไว้ได้ ขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกาก็คาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะดีขึ้น ที่สำคัญ กลุ่มอาเซียนซึ่งมีสัดส่วน 25% ของมูลค่าการส่งออกไทยยังขยายตัวได้ดีอยู่ ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จึงได้ตั้งเป้าการขยายตัวของการส่งออกในปีนี้ไว้ที่ 5% ซึ่งสินค้าไลฟ์สไตล์ก็นับเป็นสินค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความสำคัญต่อภาคการส่งออก โดยในปีที่ผ่านมา สามารถส่งออกได้ถึง 2,718 ล้านเหรียญสหรัฐ และปีนี้ก็ได้ตั้งเป้าที่จะขยายการส่งออกเพิ่มขึ้น ซึ่งในเดือนเมษายนนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จะนำผู้ซื้อจากต่างประเทศมาพบผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทย ที่จะก่อให้เกิดการขยายตัวของการส่งออกเพิ่มขึ้นใน งานแสดงสินค้าของขวัญและงานแสดงสินค้าของใช้ในบ้าน เดือนเมษายน 2560 (Bangkok International Gift Fair 2017 and Bangkok International Houseware Fair 2017) หรือ BIG + BIH April 2017 นางมาลี กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงาน BIG + BIH April 2017 ในครั้งนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมทั้งผู้ซื้อรายใหญ่และผู้ซื้อรายเล็ก จากเดิมที่เน้นกลุ่มผู้ซื้อรายใหญ่ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเปิดโอกาสทางการค้าให้กับผู้ซื้อรายเล็กที่กำลังมองหาพันธมิตรและโอกาสทางธุรกิจใหม่แล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทยอีกด้วย โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศที่อยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เชิญชวนผู้ซื้อกลุ่มใหม่ให้มาร่วมชมงาน ไม่ว่าจะเป็นคอนเซ็ปต์สโตร์ มัลติแบรนด์ กิ๊ฟช็อป ร้านค้าปลีก โรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และนักออกแบบภายใน โดยในงานนี้จะมีสินค้าไลฟ์สไตล์ดีไซน์ทันสมัย หลากหลาย คุณภาพดีในราคาสมเหตุสมผล มาจัดแสดงอย่างครบครัน อาทิ ของแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ ของขวัญ ของที่ระลึก ของใช้ในบ้าน ของเล่นเด็ก เครื่องเขียน และสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง งาน BIG + BIH April 2017 จะมีผู้ประกอบการกว่า 400 บริษัท รวมกว่า 1,200 คูหา มาร่วมกันโชว์ศักยภาพ นำผลงานที่มีความโดดเด่นทางด้านดีไซน์ มีความคิดสร้างสรรค์ และมีคุณภาพมาจัดแสดงให้กับผู้ซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศที่จะเดินทางมาเจรจาการค้า อาทิ อเมริกา ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ เยอรมนี นอกจากนี้ ในงานยังจัดให้มีนิทรรศการและผลงานต้นแบบด้านความคิดสร้างสรรค์ที่จะสร้างแรงบันดาลใจและนำไปต่อยอดหรือขยายผลในเชิงธุรกิจ อาทิ DEmark จัดแสดงผลงานการออกแบบยอดเยี่ยมที่ได้รับรางวัลสินค้าไทยที่มีการออกแบบดีปี 2559, TOP of OTOP Lifestyle Pavilion จัดแสดงสินค้าโอทอปในกลุ่มไลฟ์สไตล์ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการจำหน่ายสินค้ากลุ่มนี้, I+D Style Café ร้านคาเฟ่ต์ต้นแบบที่มีการตกแต่งด้วยสินค้าที่มีนวัตกรรมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งจัดแสดงสินค้าที่ได้รับตราสัญลักษณ์คุณภาพ Thailand Trust Mark (T Mark), Pet Parade        จัดแสดงสินค้านวัตกรรมและไอเดียใหม่ที่ตอบโจทย์คนรักสัตว์เลี้ยง และ Thai Herbs นำเสนอสมุนไพรไทยและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสมุนไพรไทยที่ใช้ภูมิปัญญาในการสร้างสรรค์นอกจากนี้ ยังมีบริการด้านโลจิสติกส์ครบวงจรในโซน DITP Logistics Pavilion ด้วย “งาน BIG + BIH April 2017 นับเป็นจุดหมายปลายทางของผู้ที่กำลังมองหาสินค้าของขวัญและของใช้ในบ้าน จากผู้ซื้อทั่วโลก ซึ่งนานาประเทศให้การยอมรับว่าสินค้าของไทยมีดีไซน์ที่สวยงาม มีความหลากหลาย ประณีตคุณภาพดี ราคาสมเหตุสมผล โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้ตั้งเป้าจำนวนผู้ชมงานไว้ที่ 45,000 ราย แบ่งเป็นวันเจรจาธุรกิจ 5,000 ราย วันจำหน่ายปลีก 40,000 ราย และคาดว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายภายในงานกว่า 800 ล้านบาท” นางมาลี กล่าว งาน BIG + BIH April 2017 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-23 เมษายน 2560 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยแบ่งการจัดงานออกเป็น วันเจรจาธุรกิจ : 19-21 เมษายน เวลา 10.00-18.00 น. และ วันจำหน่ายปลีก : 22-23 เมษายน เวลา 10.00-21.00 น. ผู้สนใจดูรายละเอียดและลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าได้ที่ www.bigandbih.comและ www.ditp.go.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169
พฤกษา เรียลเอสเตท แรงไม่หยุด เปิดตัว “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น เฟสใหม่” ตอบรับชีวิตสุดชิค กับรถไฟฟ้า 3 สาย 1 เม.ย. นี้

พฤกษา เรียลเอสเตท แรงไม่หยุด เปิดตัว “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น เฟสใหม่” ตอบรับชีวิตสุดชิค กับรถไฟฟ้า 3 สาย 1 เม.ย. นี้

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ พฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากการพัฒนาคอนโดมิเนียม “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น” ด้วยทำเลศักยภาพในย่านนี้ที่แวดล้อมไปด้วยแหล่งงานสำคัญ ทั้งศูนย์ราชการ สนามบินดอนเมือง สถาบันการศึกษา และห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง โดยมีจุดเด่นคืออยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า  3 สาย คือ สายสีชมพู (ศูนย์ราชการ-มีนบุรี), สายสีแดง(บางซื่อ-รังสิต) และสายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ซึ่งเมื่อเปิดใช้บริการในอนาคตจะเป็นจุดเชื่อมต่อ (Interchange) ที่สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพ ฯ ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยในย่านนี้มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีลูกค้าให้การตอบรับอย่างล้นหลาม โดยเปิดขายไปแล้ว 2 เฟส มียอดขายแล้วเกือบ 100% บริษัทฯ จึงเตรียมเปิด “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น เฟสใหม่ ติดถนนใหญ่” ริมถนนแจ้งวัฒนะ ในวันที่ 1 เม.ย. นี้ “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น” มาพร้อมกับการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “รวมความสุข สนุกกับไลฟ์สไตล์” ภายในโครงการมีความร่มรื่นด้วยต้นไม้นานาพรรณ เป็นอาคารสูง 8 ชั้น 5 อาคาร รวม 1,172 ยูนิต แบ่งเป็น ห้องชุดพักอาศัย 1,154 ยูนิต ประกอบด้วยห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 22.50 - 26.00 ตร.ม. แบบ 2 ห้องชุดรวมกัน (Combine) พื้นที่ใช้สอย 34.95 – 45.00 ตร.ม. และร้านช้อปปิ้งที่มากถึง 18 ร้าน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและให้ความคุ้มค่ามากกว่า อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องดูหนัง Reading Lounge Kids Room ห้องเกมส์ ห้องสันทนาการ สนามเด็กเล่น ลู่จ๊อกกิ้ง และสวนลอยฟ้า เข้า-ออกด้วยระบบ Access Card และลิฟท์ล็อคชั้น พร้อมกล้อง CCTV และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม. ในราคาเริ่มต้น 1.19 ล้านบาท “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น เฟสใหม่ ติดถนนใหญ่” ตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการ ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู เพียง 200 เมตร เปิดให้ลูกค้าเข้าชมห้องตัวอย่างพร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย ภายใต้แคมเปญ “จองห้องชุด ลุ้นทองเป็นล้าน*” โดยลงทะเบียนชมโครงการรับส่วนลดสูงสุด 20,000 บาท และมีสิทธิ์ลุ้นรับทองคำทุกสัปดาห์ นอกจากนี้หากชวนเพื่อนชมโครงการ และร่วมเล่นเกมส์ จะได้รับส่วนลดเพิ่มเติมอีกด้วย และสำหรับลูกค้าที่จองห้องในวันพรีเซลจะได้รับสิทธิ์ลุ้นรับทองคำรวมมูลค่า 1,000,000 บาท* สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร.1739 หรือ plum.pruksa.com
H-CAPE SERENE ชูจุดเด่นบ้านไซส์ใหญ่พิเศษ 6 แบบ 6 ขนาด บนทำเลศักยภาพ

H-CAPE SERENE ชูจุดเด่นบ้านไซส์ใหญ่พิเศษ 6 แบบ 6 ขนาด บนทำเลศักยภาพ

แฮปปี้แลนด์ กรุ๊ป ปลื้มโครงการรัฐหนุนยอดขายบ้านโซนตะวันออกโต ชูจุดขายบ้านไซส์ใหญ่ยักษ์ 6XL ลุยพื้นที่สุขาภิบาล 2 (บางนา-อ่อนนุช)  มั่นใจปิดโครงการภายในปี’62 นายภัควัฒน์ สุขเกษม กรรมการบริหารสายงานบริหารโครงการบริษัท แฮปปี้แลนด์ กรุ๊ป จำกัด ภายใต้ แบรนด์ เอชเคป (H-CAPE) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดทำโครงการบ้านเดี่ยว H-CAPE SERENE บ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ บนถนนสุขาภิบาล 2 (บางนา-อ่อนนุช) ว่า บริษัทได้จัดทำโครงการบ้านเดี่ยว H-CAPE SERENE เพื่อรองรับการเติบโตของครอบครัวในปัจจุบัน ภายใต้แนวคิด “เปิดประสบการณ์ความสุขไซต์ใหญ่ ไปไหนก็ใกล้บ้าน” ที่จะมอบประสบการณ์แห่งความสุขให้กับทุกคนในครอบครัว ด้วยการออกแบบบ้านให้มีขนาดใหญ่พิเศษ 6 แบบ เริ่มตั้งแต่ขนาด 1XL-6XL บนเนื้อที่เริ่มต้นที่ 50-93 ตารางวา แต่มีพื้นที่ใช้สอยให้กับทุกคนในครอบครัวได้มากถึง 169-288 ตารางเมตร บนทำเลที่มีศักยภาพสามารถเดินเข้าออกเมืองได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของโครงการ H-CAPE SERENE “แฮปปี้แลนด์กรุ๊ป ถือเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯรายแรกๆที่เข้ามาจับจองพื้นที่ในโซนกรุงเทพฯฝั่งตะวันออก เพื่อหาทำเลที่มีความเหมาะสม โดยนโยบายของบริษัทจะเน้นเรื่องเส้นทางคมนาคมเป็นสำคัญ ซึ่งจะเห็นได้จากที่ตั้งโครงการ H-CAPE SERENE นับเป็นทำเลที่ดีที่สุดอีกหนึ่งโครงการที่เราคัดเลือกและคัดสรรพื้นที่ในการตั้งโครงการ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความสะดวกสบายจากการเดินทางที่สามารถเข้าออกเมืองได้หลายเส้นทาง ด้วยถนนหลักหลายสาย ทั้งถนนวงแหวนตะวันออก ถนนบางนาตราด ทางด่วนมอเตอร์เวย์ รวมถึงสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ที่ใช้ระยะเวลาเพียง 10 นาที เป็นต้น และอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่จะทำให้ทำเลนี้คึกคักมากขึ้นคือ การขยายสนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 ที่สามารถรับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นได้ถึงปีละ 60 ล้านคน โครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อ 2 สนามบิน คือสนามสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง รวมถึงรถไฟฟ้าสายอนาคต อย่างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และรถไฟฟ้า LRT บางนา-สุวรรณภูมิ ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะทำให้ทำเลแถบนี้มีศักยภาพยิ่งขึ้น ส่งผลให้ราคาที่ดินและราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างแน่นอน ยิ่งทำให้อสังหาฯย่านนี้ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นโดย” นายภัควัฒน์ กล่าว นายภัควัฒน์ กล่าวถึงจุดเด่นโครงการ H-CAPE SERENE  ว่า มั่นใจว่าการออกแบบบ้านทั้ง 250 ยูนิต ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ รวมถึงการใช้หลักการทางธรรมชาติ ที่มีการคำนวณ ทิศทางลม และแสงแดดให้กลมกลืนกับการวางตำแหน่งบ้าน พร้อมมอบความรู้สึกอิสระและความเป็นส่วนตัว ด้วยทำเลติดถนนใหญ่แต่ที่อยู่อาศัยอยู่ด้านในเพื่อปกป้องมลภาวะทางเสียง รวมถึงการมอบความเป็นส่วนตัวให้กับลูกบ้าน และลดความแออัดหากมีการเข้าอยู่อาศัย 100% ด้วยการจำกัดจำนวนบ้านในแต่ละซอยเพียง 6 ยูนิต และมอบความรู้สึกที่ปลอดโปร่ง ด้วยถนนส่วนกลางที่กว้างถึง 19 เมตร พร้อมระบบรักษาควาปลอดภัยที่ดูแลลูกบ้านตั้งแต่เข้าโครงการ ด้วยระบบ Double gate พร้อมการติดตั้ง CCTV รอบโครงการ รวมถึงการรักษาความปลอดภัยของลูกบ้านตลอด 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามจากทำเลและศักยภาพของโครงการ ทำให้ได้รับความสนใจจากผู้อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ล่าสุดสามารถปิดยอดขายได้แล้วกว่า 40% และคาดว่าจะสามารถปิดยอดขายได้ภายในปี 2562
LPN ส่ง “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว” ใกล้แม่น้ำ รถไฟฟ้าสายสีม่วง พร้อมโปรฯ สุดช็อค

LPN ส่ง “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว” ใกล้แม่น้ำ รถไฟฟ้าสายสีม่วง พร้อมโปรฯ สุดช็อค

LPN ส่ง “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว” ใกล้แม่น้ำ รถไฟฟ้าสายสีม่วง ศูนย์ราชการ และเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต เอาใจคนเช่าบ้านอยู่ ด้วยโปรโมชั่นวันเปิดตัวสุดช็อค 25 มี.ค. นี้ ลดทันที 20% และแสนง่ายดายเพียงผ่อนเบาๆ 2 พันต่อเดือน เพื่อสะสมเป็นค่าใช้จ่ายวันโอน ลุมพินี ทาวเวอร์ : นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่าในวันเสาร์ที่ 25 มีนาคมนี้ บริษัทเตรียมเปิดขายคอนโดใหม่ “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว” มูลค่า 1,000 ล้านบาท บนทำเลรัตนาธิเบศร์-สะพานพระนั่งเกล้า ที่สามารถเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง “แผนงานขายโครงการ   “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว”    บริษัทได้ใช้กลยุทธ์การขายด้วยการเปิดลงทะเบียนในทุกช่องทาง ได้แก่ ผ่านเว็บไซต์ www.lpn.co.th , ผ่านสำนักงานขาย และผ่าน LPN Call Center เพื่อรับสิทธิพิเศษต่างๆ โดยห้องชุดทั่วไปราคาเฉลี่ยเริ่มที่ 50,000 บาทต่อตารางเมตร ชำระเงินจอง และผ่อนดาวน์ล่วงหน้าทั้งหมด 8 งวด เริ่มงวดละ 2,000 บาทต่อเดือน พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษสำหรับห้องชุดขนาด 22.5 ตารางเมตร ลดสูงสุด 20% ในวันโอนกรรมสิทธิ์ ย่านพระนั่งเกล้าเป็นทำเลคุณภาพ เหมาะสำหรับกลุ่มผู้เช่าที่ต้องการอยู่อาศัยเองรวมถึงนักลงทุน โดยปัจจัยหลักที่ส่งเสริมให้การตลาดคอนโดมิเนียมในย่านนี้ขยายตัวมากขึ้น คือการเชื่อม 3 โหมดการเดินทางทั้งรถยนต์-รถไฟฟ้า-เรือโดยสาร  เข้าด้วยกัน ซึ่งถือเป็นการเชื่อมต่อการเดินทางด้านบริการขนส่งมวลชนที่ครบถ้วน ทำให้ทำเลดังกล่าวเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยชั้นดี โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่เชื่อมต่อทุกเส้นทางจากนนทบุรี-กรุงเทพฯ นั้นอยู่ใกล้กับโครงการถึง 2 สถานี ได้แก่ สถานีไทรม้า และสถานีสะพานพระนั่งเกล้า สามารถช่วยลดระยะเวลาการเดินทางของคนทำงานในเมือง อีกทั้งเส้นทางของรถไฟฟ้านี้ยังผ่านพื้นที่ที่เป็นแหล่งงานสำคัญๆ เช่น ศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี และหน่วยงานระดับประเทศ อย่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ อย่างเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต เป็นต้น” “ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว” คอนโดโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 4 อาคาร บนเนื้อที่โครงการประมาณ 9 ไร่เศษ ตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนประมาณ  900   ยูนิต   โดยมีรูปแบบห้องชุดขนาด 22.50-35.00 ตร.ม. พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ได้แก่ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย ห้องเรียนรู้ ห้องคุณหนู ห้องเปี่ยมสุข ห้องเฮ้าส์เวิร์ค สนามเด็กเล่น และสวนรวมใจ ที่จอดรถประมาณ 300 คัน เริ่มก่อสร้างเดือนมีนาคม พร้อมเข้าพักอาศัยได้ปลายปี 2560 สะดวกสบายด้วยบริการรถตู้รับ-ส่งจากโครงการไปยังรถไฟฟ้าสถานีไทรม้าและสถานีสะพานพระนั่งเกล้า “และสำหรับแผนการดำเนินงานหลังจากนี้ บริษัทเตรียมขยายโครงการต่อทันทีในย่านดินแดง-ราชปรารภ และเกษตร-งามวงศ์วาน ประมาณไตรมาส 2/2560 นี้ คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี เพราะทำเลดังกล่าวมีระดับความต้องการที่อยู่อาศัยของลูกค้าเป็นจำนวนมากในราคาที่เหมาะสม (Affordable Price) และตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนเมืองได้” กรรมการผู้จัดการ LPN กล่าวในที่สุด
APX เปิดแผนปี”60 เป็น “Tourism Real Estate” ลุยพัฒนาอสังหาฯ เกาะติดแหล่งท่องเที่ยว ดึงเชนระดับโลกบริหาร – สร้างผลตอบแทนที่มั่นคง

APX เปิดแผนปี”60 เป็น “Tourism Real Estate” ลุยพัฒนาอสังหาฯ เกาะติดแหล่งท่องเที่ยว ดึงเชนระดับโลกบริหาร – สร้างผลตอบแทนที่มั่นคง

บมจ.เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ (APEX) เปิดแผนและยุทธศาสตร์ปี”60 เดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาฯ แนวคิดใหม่ที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น ด้านผู้บริหารมือเก๋าในวงการอสังหาฯ “พงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์” เผยเน้นเกาะติดความเจริญ-แหล่งท่องเที่ยว ชูจุดแข็งดึงเชนระดับโลกบริหารโรงแรม-เรสซิเด้นซ์ มั่นใจสร้างผลตอบแทนที่ดีและมั่นคงให้กับผู้ลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว วางเป้าปีนี้กวาดรายได้จากโครงการ  Mövenpick Resort &Residences นายพงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (APX)  ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กว่า 30 ปี เปิดเผยถึงแผนการงานในปี 2560 ว่า การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯจะดำเนินการต่อเนื่องจากปี 2559 ที่ผ่านมา ตามนโยบาย คือ มุ่งเน้นพัฒนาอสังหาฯที่เกาะติดกับความเจริญรุ่งเรืองของธุรกิจการท่องเที่ยว ให้ผลตอบแทนที่ดีให้กับริษัทฯ และให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอใหกับผู้ซื้อโครงการทั้งระยะสั้นและระยะยาว สำหรับโครงการพัฒนาตามแผนดำเนินงานในปี 2560 ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ APX  ต่อเนื่องจากปี 2559 มีดังนี้ 1.โครงการ Mövenpick Resort &Residences  ตั้งอยู่ริมหาดนาจอมเทียน พัทยา ประกอบด้วยอาคารชุดประเภท โรงแรมสูง 34 ชั้น  264 ห้องพัก อาคารชุดพักอาศัย สูง 37 ชั้น 196 ห้องชุด และ Pool Villas 34 หลัง ซึ่งได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปี 2559 ปัจจุบัน บริษัทฯได้ขายอาคาร โรงแรม ให้แก่ผู้ลงทุนโรงแรม และคงเหลือห้องชุดในอาคาร Mövenpick Residenes และ Pool Villas บางส่วนคิด เพื่อการขาย และโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2560 นี้ โดยโครงการนี้ถือเป็นโครงการที่ได้รับรางวัล Best Luxury Condo in Eastern Seaboard จากรางวัล Thailand Property Award 2015 เป็นบทพิสูจน์หนึ่งของคุณภาพโครงการของเรา 2.โครงการ Sheraton Phuket Grand Bay Resort  ตั้งอยู่บนเนินเขา ติดชายทะเล 650 เมตร ที่อ่าวปอ ภูเก็ต ที่ดินโครงการประมาณ 70 ไร่ ประกอบด้วย โรงแรม Sheraton Phuket จำนวน 183 ห้องพัก มูลค่าโครงการประมาณ 2.19 พันล้านบาทและ Grand Bay Residences เป็น Pool Villas 80 หลัง จำนวน 150 ห้องพัก มูลค่าโครงการประมาณ 2.0 พันล้านบาท กำหนดงานก่อสร้าง และตกแต่งในส่วนของ Residences แล้วเสร็จให้โอน และรับรู้รายได้ประมาณปลายปี 2562 และโรงแรม Sheraton Phuket กำหนดงานก่อสร้าง ตกแต่งแล้วเสร็จ เปิดให้บริการประมาณกลางปี 2563 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 4.2 พันล้านบาท โครงการนี้ใน Phase แรกเราเปิดขายไปได้มากแล้ว หากสนใจซื้อหรือดูห้องตัวอย่างติดต่อฝ่ายขายได้ที่เบอร์ 3.โครงการ Four Points by Sheraton and Vantage Point Residences ตั้งอยู่ริมชายหาดจอมเทียน พัทยา ที่ดินโครงการประมาณ 10.5 ไร่ ซึ่งบริษัทไปซื้อโรงแรมเก่าชื่อ Sigma Resort สูง 15 ชั้น บริษัทเริ่มแผนพัฒนาโดยการปรับปรุง และตกแต่งอาคารโรงแรม และจะดำเนินการเปลี่ยนชื่อ และการบริหารโรงแรมโดยเชน Four Points by Sheraton  ซึ่งเหมาะสมกับนักท่องเที่ยวที่นิยมเข้าพักในบริเวณดังกล่าว มีจำนวนห้องพัก 307 ห้องพัก มูลค่าโครงการเมื่อตกแต่งแล้วเสร็จ ประมาณ 1.98 พันล้านบาท กำหนดการตกแต่งแล้วเสร็จและเปิดให้บริการ ประมาณปลายปี 2561 มีส่วนที่ว่างคงเหลืออีก 4 ไร่ บริษัทฯจะพัฒนาเป็นอาคารชุดพักอาศัยชื่อ Vantage Point  มีจำนวนห้องชุด 338 ห้องชุด เพื่อการขาย มูลค่าโครงการประมาณ 1.85 พันล้านบาท กำหนดงานก่อสร้างตกแต่งแล้วเสร็จ ประมาณปลายปี 2563 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 3.83 พันล้านบาท โปรเจ็คนี้โชคดีที่ซื้อมาจากกระบวนการฟื้นฟูในราคาไม่แพง และ 4.โครงการ Hyatt Centric Phuket Resort & Residences ตั้งอยู่ริมหาดไม้ขาว ภูเก็ต บนเนื้อที่ดิน 14 ไร่ เป็นที่ดินแปลงใหม่ล่าสุดที่บริษัทเพิ่งจะประมูลซื้อได้มาจากกรมบังคับคดี มีหน้ากว้าง 195 เมตรติดชายทะเลสวยงามมาก บริษัทฯจะพัฒนาเป็นโรงแรม Hyatt Centric มีจำนวนห้องพัก 170 ห้องพัก มูลค่าโครงการประมาณ 1.44 พันล้านบาท และส่วน Hyatt Residences มีจำนวนห้องชุด 106 ห้องชุดเพื่อการขาย มูลค่าโครงการประมาณ 1.4 พันล้านบาท กำหนดงานก่อสร้าง และตกแต่งแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2563 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 2.85 พันล้านบาท “จากประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กว่า 30 ปี ผมเชื่อมั่นว่าธุรกิจของเอเพ็กซ์ฯ จะสามารถสร้างผลกำไรที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างแน่นอน โดยดำเนินโครงการลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวควบคู่กันไป นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการค้นหาโครงการอสังหาริมทรัพย์อื่นที่น่าสนใจและเจราจากับพันธมิตรทางธุรกิจหลายฝ่าย เพื่อเปิดโอกาสให้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง” นายพงษ์พันธ์กล่าว พร้อมกันนี้ด้วยจุดแข็งของบริษัท ที่สามารถเลือกซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่มีศักยภาพ ในราคาเหมาะสมทั้งจากกระบวนการบังคับคดี และ ทั่วๆไป เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงเป็นโรงแรม และเรสซิเด้นซ์ พร้อมกับดึงเชนโรงแรมชื่อดัง เข้ามาบริหารจัดการ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ สร้างรายได้ที่ดีให้ลูกค้าที่เข้าลงทุน ทำให้ได้รับผลตอบแทนทั้งในระยะสั้น และระยะยาวที่มั่นคง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (APX) กล่าวอีกว่า จากแผนการดำเนินงานที่มีความชัดเจนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ฯในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของบริษัทฯในอนาคตเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน ตอกย้ำถึงความเป็นมืออาชีพของผู้บริหารที่มีความเป็นมืออาชีพที่พร้อมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้อยู่ในระดับแนวหน้าของเมืองไทย ภายใต้จุดขายที่ไม่เหมือนใคร
บริษัทลดขนาดที่นั่งพนักงานให้เล็กลง กระทบความต้องการออฟฟิศให้เช่า

บริษัทลดขนาดที่นั่งพนักงานให้เล็กลง กระทบความต้องการออฟฟิศให้เช่า

กรุงเทพฯ 23 มีนาคม 2560 - บริษัทขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ หลายบริษัท ยังคงมีการขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการขยายสถานที่ทำการเพื่อรองรับจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี พบว่า บริษัทต่างๆ เหล่านี้ ใช้พื้นที่สำนักงานเฉลี่ยต่อจำนวนพนักงานหนึ่งคนลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานไม่ขยายตัวรวดเร็วมากนัก แม้ธุรกิจของบริษัทผู้เช่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นก็ตาม ตามรายงานจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการดานอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล นางสาวยุพา เสถียรภาพอยุทธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการธุรกิจอาคารสำนักงาน เจแอลแอล กล่าวว่า “ในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ บริษัทต่างๆ ต้องการใช้พื้นที่สำนักงานเฉลี่ย 10 ตารางเมตรต่อจำนวนพนักงาน 1 คน แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ บริษัทส่วนใหญ่ใช้พื้นที่สำนักงานเพียง 5-7 ตารางเมตรต่อพนักงาน 1 คน และมีแนวโน้มที่จะใช้พื้นที่ต่อจำนวนพนักงานน้อยลงเรื่อยๆ” สอดคล้องกับรายงานการวิจัยของเจแอลแอลที่ระบุว่า ในปีที่ผ่านมา ตลาดอาคารสำนักงานทั่วกรุงเทพฯ มียอดการเช่าพื้นที่สุทธิรวมทั้งสิ้นเพิ่มขึ้น 139,000 ตารางเมตร ซึ่งลดลงราว 30% เมื่อเทียบกับยอดเฉลี่ยห้าปีระหว่างปี 2555-2559 ซึ่งมีการเช่าพื้นที่เพิ่มสุทธิ 200,000 ตารางเมตรต่อปี ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทผู้เช่าพยายามหากลยุทธ์ที่จะสามารถช่วยให้ใช้พื้นที่สำนักงานต่อจำนวนพนักงานหนึ่งคนได้น้อยลง คือราคาค่าเช่าที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับการที่อาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ มีพื้นที่เหลือเช่าไม่มาก รายงานจากเจแอลแอลระบุว่า ในขณะนี้ ตลาดอาคารสำนักงานของกรุงเทพฯ นับได้ว่าอยู่ในภาวะที่มีปริมาณไม่เพียงพอรองรับความต้องการ โดยทั่วกรุงเทพฯ ขณะนี้ มีพื้นที่สำนักงานว่างเหลือเช่าเฉลี่ยเพียง 8.6% ส่วนอาคารสำนักงานเกรดเอมีพื้นที่ว่างเหลือเช่าเฉลี่ยเพียง 6.6% ในขณะที่ค่าเช่ามีการปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกันตลอดหกปีที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อไปอีก “บริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องการขยายออฟฟิศในอาคารเดิม สามารถทำได้ยากขึ้นเพราะหลายๆ อาคารมีผู้เช่าเต็มหรือเกือบเต็ม  นอกจากจะย้ายออฟฟิศไปยังอาคารอื่นบางอาคารที่อาจยังมีพื้นที่ขนาดใหญ่เหลือว่างพอรองรับได้ แต่การย้ายสำนักงานเป็นปฏิบัติการที่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น บริษัทต่างๆ จึงพยายามใช้พื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สามารถรองรับจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้นได้ในพื้นที่ที่จำกัด ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่บริษัทที่ต้องการขยายกิจการเท่านั้นที่พยายามใช้พื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทเปิดใหม่หรือบริษัทที่ย้ายออฟฟิศไปยังอาคารใหม่ ต่างก็ใช้กลยุทธ์นี้ด้วยเช่นกันเพื่อควบคุมต้นทุน” นางสาวยุพากล่าว นวัตกรรมออกแบบการใช้พื้นที่ออฟฟิศและเทคโนโลยีสื่อสารที่ก้าวหน้าขึ้น ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถใช้พื้นที่สำนักงานต่อพนักงานหนึ่งคนน้อยลงได้ ด้วยกลวิธีที่หลากหลาย อาทิ การลดจำนวนห้องทำงานส่วนบุคคล การจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางให้พนักงานสามารถใช้ร่วมกันได้มากขึ้นเพื่อลดพื้นที่ส่วนบุคคลลง การเช่าพื้นที่เก็บเอกสารหรือสิ่งของแทนการมีห้องเก็บของในออฟฟิศ หรือการจัดสรรที่นั่งแบบ hot-desk ที่พนักงานสามารถหมุนเวียนกันใช้ได้โดยไม่มีที่นั่งประจำส่วนตัว เป็นต้น นวัตกรรมออกแบบการใช้พื้นที่ออฟฟิศที่ชาญฉลาดขึ้น ไม่เพียงช่วยให้บริษัทใช้พื้นที่ได้เต็มประสิทธิภาพและควบคุมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเช่าสำนักงานได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้สภาพแวดล้อมในที่ทำงานดีขึ้นได้ด้วย ซึ่งรวมถึงการเอื้อให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น สร้างความพอใจให้กับพนักงานและมีส่วนช่วยในการรักษาพนักงานไว้กับบริษัท นางสาวยุพากล่าวว่า “จากการที่กรุงเทพฯ จะมีอาคารสำนักงานสร้างเสร็จใหม่จำนวนน้อยในช่วง 4 ปีข้างหน้า ในขณะที่บริษัทต่างๆ ยังคงมีแนวโน้มขยายการเติบโต ดังนั้น คาดว่า ตลาดอาคารสำนักงานของกรุงเทพฯ จะยังคงอยู่ในภาวะที่ซัพพลายมีไม่เพียงพอรองรับการขายตัวของดีมานด์ และค่าเช่าจะยังคงขยับตัวสูงขึ้นต่อไปอีก ดังนั้น บริษัทผู้เช่าจึงมีแนวโน้มหาวิธีใช้พื้นที่สำนักงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก ทั้งนี้ ในระยะเวลา 10 ข้างหน้า คาดว่าบริษัทต่างๆ จะสามารถใช้พื้นที่สำนักงานต่อพนักงานหนึ่งคนลดลงไปอีกราว 20% จากปัจจุบัน”
กระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลียเสนอขายที่ดินสถานทูตบนถนนสาทร พร้อมแต่งตั้ง JLL เป็นตัวแทนขาย

กระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลียเสนอขายที่ดินสถานทูตบนถนนสาทร พร้อมแต่งตั้ง JLL เป็นตัวแทนขาย

กรุงเทพฯ 23 มีนาคม 2560 - จากการที่สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำกรุงเทพฯ เตรียมย้ายไปยังที่ทำการใหม่ที่ใกล้สร้างเสร็จในย่านสวนลุมพินี กระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลียจึงประกาศขายที่ดินบนถนนสาทร ซึ่งเป็นที่ตั้งสถานที่ทำการของสถานทูตในปัจจุบัน โดยแต่งตั้งให้บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เป็นตัวแทนในการขาย ที่ดินดังกล่าวเสนอขายกรรมสิทธิ์ขาด มีเนื้อที่รวมทั้งสิ้น 7 ไร่ 382 ตารางวา ตั้งอยู่ริมถนนสาทรใต้ หนึ่งในย่านธุรกิจและที่พักอาศัยชั้นดีในศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ การเป็นแหล่งรวมของอาคารสำนักงานเกรดเอ โรงแรมชั้นนำ เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ และคอนโดมิเนียมหรู ทำให้สาทรเป็นทำเลยอดนิยมที่บริษัทชั้นนำทั้งข้ามชาติและบริษัทไทยชั้นนำเลือกเป็นที่ตั้งสำนักงาน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทประกันภัย ธนาคาร และสถาบันการเงินอื่นๆ และเป็นหนึ่งในทำเลที่พักยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกด้วย นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล กล่าวว่า “ตลาดอาคารสำนักงานเกรดเอและตลาดคอนโดมิเนียมระดับหรูในย่านศูนย์กลางธุรกิจกรุงเทพฯ มีผลประกอบการที่ดีติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปี ดังนั้น จึงยังคงมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์-นักลงทุนที่ต้องการพัฒนาโครงการใหม่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แต่อุปสรรคสำคัญคือที่ดินที่เหมาะสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ในย่านนี้หาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ” “การเสนอขายที่ดินของสถานทูตออสเตรเลียบนถนนสาทรครั้งนี้ เป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับบริษัทที่ต้องการซื้อกรรมสิทธิ์ขาดในที่ดินแปลงใหญ่เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์บนถนนสายนี้” นางสุพินท์กล่าว นอกจากการมีทำเลชั้นเยี่ยมในใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ที่ดินแปลงนี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษคือการที่สาทรอยู่ในโซนสีแดงตามผังเมืองของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ประเภทพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก และอนุญาตให้สร้างอาคารสูงในอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (Floor Area Ratio: FAR) สูงถึง 10 ต่อ 1 “จากการที่แปลงที่ดินของสถานทูต มีหน้าที่ดินติดถนนสาทรค่อนข้างกว้างมาก ทำให้โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใดๆ ที่จะสร้างบนที่ดินแปลงนี้ จะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากการสามารถสร้างอาคารได้เต็มเพดาน FAR ที่ 10 ต่อ 1 และสามารถเลือกสร้างอาคารสูงได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมระดับหรู อาคารสำนักงานเกรดเอให้เช่าหรือขาย อาคารที่ทำการของบริษัทขนาดใหญ่ หรืออาคารที่ใช้ประโยชน์ผสมผสาน (mixed-use)” นางสุพินท์กล่าว รูปแบบการเสนอขายที่ดินสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำกรุงเทพฯ เป็นการเปิดให้ผู้สนใจยื่นซองเสนอราคา โดยจะเปิดรับไปจนถึงต้นเดือนมิถุนายนศกนี้ “เพียงไม่นานหลังเริ่มเปิดการขาย มีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำรายใหญ่แสดงความสนใจแล้วหลายราย” นางสุพินท์กล่าว “เพื่อเพิ่มโอกาสการขายให้มากที่สุด เจแอลแอลจะมีการกระจายข้อมูลการเสนอขายที่ดินของแปลงนี้ไปตามเครือข่ายสำนักงานของเราในทั่วโลก เชื่อว่า การเสนอราคาครั้งนี้ จะมีการแข่งขันสูง”
บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือ ทีซีซี กรุ๊ป เผยโฉมโรงแรมใหม่ “เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก” ตั้งเป้าเป็นเดสติเนชั่นใหม่ของนักท่องเที่ยวไทยและทั่วโลก

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือ ทีซีซี กรุ๊ป เผยโฉมโรงแรมใหม่ “เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก” ตั้งเป้าเป็นเดสติเนชั่นใหม่ของนักท่องเที่ยวไทยและทั่วโลก

หลังประกาศรุกธุรกิจโรงแรมครั้งใหญ่ ตอบรับกระแสการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวและประชุมสัมมนา (MICE) ในประเทศไทย ล่าสุด บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ภายใต้เครือ ทีซีซี กรุ๊ป ได้ฤกษ์เผยโฉมโรงแรมแห่งใหม่ “เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก” โรงแรมแห่งแรกใน เดอะ เวลล์เนส คอลเล็คชั่น (The Wellness Collection) จุดเด่นตั้งอยู่ในย่านประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ  เป็นเรือนเก่าสร้างในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เดิมถือเป็นเรือนพักอาศัยของพระนมของรัชกาลที่ 6 ส่วนหนึ่งของอาณาบริเวณวังเทเวศร์ ตั้งเป้าเป็นเดสทิเนชั่นใหม่ล่าสุดของกรุงเทพฯ เจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยว ชื่นชอบวัฒนธรรม รักสุขภาพ และธรรมชาติ ด้านผู้บริหารเผยภาพรวม ตั้งเป้าเปิดครบ 5 คอลเล็คชั่น;  The Imperial Collection, The Art Collection, The Wellness Collection, The Floral Collection, และ The AT Collection ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกระดับ ภายใน 3 ปีนี้ มร.นิชันท์ โกรเว่อร์  ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “หลังจากแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น ในเครือทีซีซีกรุ๊ป ซึ่งถือเป็นกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านบริการที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ประกาศรุกธุรกิจโรงแรมครั้งใหญ่ เพื่อตอบรับกระแสการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวและประชุมสัมมนา (MICE) ในประเทศไทย หลายปีที่ผ่านมาเรามีทั้งโรงแรมที่บริหารเองและร่วมมือกับกลุ่มบริหารโรงแรมระดับโลกชั้นนำ ซึ่งในปี 2259 ได้ทยอยเปิดตัวโรงแรมและรีสอร์ทแห่งใหม่ทั้งสิ้น 4 แห่ง บริหารโดยพันธมิตรคือ Marriott International จำนวน 3 แห่ง และเปิดตัวโรงแรมซึ่งบริหารเอง 1 แห่ง  เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก ถือเป็นโรงแรมแรมของปี 2560 ที่เราบริหารเองทั้งหมด  หนึ่งในแผนพัฒนาที่ แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น ตั้งเป้าหมายเปิดโรงแรมใหม่อีกกว่า 50 แห่งทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศให้ครอบคลุมในทุกๆ เซ็กเม้นท์ โรงแรม เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก ตั้งอยู่ที่ 164-172 ถนนกรุงเกษม แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กทม. จุดเด่นถือเป็นเรือนเก่าที่สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เดิมเป็นเรือนพักอาศัยของพระนมของพระองค์ท่าน เรือนพักอาศัยนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาบริเวณวังเทเวศร์ ประกอบด้วยห้องพัก 38 ห้อง ออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพิ่มความงดงามขึ้นด้วยงานฝีมือจิตรกรรมบนผนังและงานเขียนกาพย์กลอนที่มีชื่อเสียงของอดีตจนถึงรัชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของไทยและเชิดชูพระอัจฉริยภาพด้านบทกวีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมแห่งสยามอันประเมินค่าไม่ได้ บนพื้นที่กว่า 900 ตารางเมตร ร่มรื่นด้วยหลายหลายพันธุ์ไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นไทรอายุกว่า 120 ปี  นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นเรื่อง ‘เวลล์เนส’ (Wellness) หนึ่งในแนวคิดสำคัญของโรงแรม เพื่อให้แขกผู้พักอาศัยสัมผัสประสบการณ์ของการผ่อนคลาย และดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร โรงแรมจึงให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวเป็นพิเศษ รวมถึงสวนออร์แกนิค ซึ่งผู้มาเยือนสามารถเลือกวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารได้ด้วยตัวเอง สระว่ายน้ำกลางสวนและบาร์ริมสระเสิร์ฟเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ แขกจึงสามารถพักผ่อนใต้ร่มไม้ในระหว่างวัน หรือสูดอากาศบริสุทธิ์ท่านกลางสวนเขียวขจีใจกลางเมืองที่ หลบเร้นจากความวุ่นวายภายนอก” มร.นิชันท์ ได้กล่าวถึงทิศทางในการก้าวเข้าสู่กลุ่มผู้นำด้านธุรกิจโรงแรมว่า “เรามุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์และส่งมอบคุณภาพการบริการที่ดีกว่าแก่ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติให้ทุกโรงแรมในกลุ่มแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น เป็นจุดหมายปลายทาง หรือ เดสติเนชั่นใหม่ทั้งในประเทศและนานาชาติ  โดยเฉพาะโรงแรม เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก ซึ่งเน้นเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพักผ่อนและท่องเที่ยวเอง ซึ่งต้องการดื่มด่ำกับวิถีชีวิตแบบไทยๆ และความสงบที่หาได้ยากใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินทางมาพักผ่อนเองในลักษณะแบบนี้มากขึ้น” สำหรับโรงแรม เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก ประกอบด้วยห้องพัก 38  ห้อง ออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพื่อสะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมแห่งสยาม ผสมผสานการออกแบบระหว่างบรรยากาศแบบวิถีไทยดั้งเดิมในสมัยรัชกาลที่ 6  และความสะดวกสบาย ผ่อนคลายแบบร่วมสมัย ตกแต่งด้วยองค์ประกอบทางศิลปะอันละเอียดอ่อน เพื่อให้แขกสัมผัสได้ถึงบรรยากาศการพักผ่อนอันสงบอันอบอุ่นและซึมซับศิลปวัฒนธรรม จากโคลงกลอนที่เขียนอย่างประณีตด้วยฝีมือช่างไทยให้แต่ละห้องมีความพิเศษเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง  โรงแรมแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอาคารหลัก กลุ่มอาคารด้านหน้าทั้ง  20 ห้องตั้งอยู่ใน ซิตี้ วิง (City Wing)  ในขณะที่อีก  18  ห้องตั้งอยู่ในบริเวณกลุ่มอาคารในสวนที่เรียกว่า การ์เด้น วิง (Garden Wing)  ซึ่งกลุ่มอาคารนี้เคยเป็นเรือนพักอาศัยหลักของพระนมของรัชกาลที่ 6 ห้องพักตั้งอยู่ในชั้น 1 และ 2 สำหรับผู้พักที่ต้องการความสงบท่ามกลางสวนอันร่มรื่น ‘เวลล์เนส’ (Wellness) คือหนึ่งในแนวคิดสำคัญของโรงแรม เพื่อให้แขกของโรงแรมสัมผัสประสบการณ์ของการผ่อนคลาย และดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร จึงให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวเป็นพิเศษ รวมถึง สวนออร์แกนิคซึ่งสามารถเลือกวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารโดยเชฟได้ด้วยตัวเองในขณะที่ อิมพีเรียล สปา (Imperial Spa) ช่วยให้แขกของโรงแรมผ่อนคลายกับวิถีการนวดแผนโบราณแบบไทยแท้ โดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการถ่ายทอดจากสถาบันสุขภาพโพธาลัย ซึ่งสั่งสมองค์ความรู้จากวัดโพธิ์จากรุ่นสู่รุ่น โรงแรมยังให้ความสำคัญกับด้านอาหาร (Cuisine) เพื่อให้ย่านประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ เป็นจุดหมายใหม่ของนักเดินทางที่ต้องการเติมเต็มประสบการณ์ใหม่ของรสชาติอาหาร ทั้งไทยดั้งเดิมและอาหารยุโรป ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวิถีการรับประทานอาหารในสมัยรัชกาลที่ 6 ห้องอาหาร เดอะ ระวีกัลยา ไดนิ่ง (The Raweekanlaya Dining) ได้รับการสร้างสรรค์เมนูอาหารอย่างพิถีพิถัน โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้รับประทานและความยั่งยืน วัตถุดิบในการปรุงอาหารจึงได้รับการคัดสรรเพื่อให้แน่ใจว่ามีคุณประโยชน์และเป็นวัตุดิบจากธรรมชาติอย่างแท้จริง เช่น ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ เกลือสมุทร และวัตถุดิบออร์แกนิคตามฤดูกาล ซึ่งล้วนผลิตจากกลุ่มเกษตรท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมกำลังการผลิตในชุมชน ผลิตภัณฑ์คุณภาพต่างๆ ยังมีที่มาจากผู้ผลิตชั้นนำทั้งในและต่างประเทศซึ่งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก
“ณุศาศิริ” งัดกลยุทธ์เด็ดรุกตลาดอสังหาฯ เสริมแกร่งไตรมาส 2 ขึ้นแท่นผู้นำอสังหาฯเทรนด์สุขภาพ เปิดงาน THE SPECTACULAR DAYS ดันยอดขายพุ่ง

“ณุศาศิริ” งัดกลยุทธ์เด็ดรุกตลาดอสังหาฯ เสริมแกร่งไตรมาส 2 ขึ้นแท่นผู้นำอสังหาฯเทรนด์สุขภาพ เปิดงาน THE SPECTACULAR DAYS ดันยอดขายพุ่ง

“ณุศาศิริ”กางแผนธุรกิจบุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาส 2 ปี 2560 เดินเกมรุกหนักตลาดบ้านและคอนโด ด้วยการจัดงานใหญ่ครั้งแรกของปีกับงาน NUSASIRI THE SPECTACULAR DAYS พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด “คอลมาร์ เขาใหญ่ บาย มาย โอโซน” คอนโดมีเนียมหรูสไตล์ฝรั่งเศส ตอกย้ำผู้นำเทรนด์บ้านเพื่อสุขภาพและการลงทุน พร้อมข้อเสนอการันตีผลตอบแทนสูงสุด 9.5% ต่อปี นานสูงสุด 6 ปี* ตั้งเป้ากวาดยอดขาย มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท (17 มีนาคม 60) นายวิษณุ เทพเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSASIRI เปิดเผยถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (เมดิคอล ฮับ) ภายใน 10 ปีข้างหน้าเริ่มตั้งแต่ปี 2559–2569 ว่านโยบายของรัฐบาลมีความสอดคล้องกับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของ “ณุศาศิริ” ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญและโอกาสการเติบโตของตลาดบ้านเพื่อสุขภาพ เนื่องจากประชาชนหันมาให้ความสนใจ   ในเรื่องของสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ประกอบกับสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังนั้นบ้านสุขภาพแบบองค์รวม จึงเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือการลงทุน นายวิษณุ กล่าวต่อว่า ในปี 2560 ทางบริษัทฯ มีแผนรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 2 โดยเน้นกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รับเทรนด์สุขภาพและการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเก็งกำไร การต่อยอดรายได้และใช้เวลาทั้งหมดไปกับเรื่องการลงทุนเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ให้ความสนใจการดูแลสุขภาพของตัวเอง ประกอบกับเทรนด์และกระแสการดูแลสุขภาพในปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงได้จัดงาน NUSASIRI THE SPECTACULAR DAYS และเปิดตัวรูปแบบการลงทุนแนวใหม่ “Live Long Rich Life” ใช้ชีวิตที่ยั่งยืนบนความมั่งคั่งและสุขภาพที่ดี ภายใต้แนวความคิดหลัก คือ The Greatest Wealth is Health เพราะสุขภาพดีคือความมั่งคั่งที่แท้จริง และถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์นักลงทุนในช่วงภาวะเศรษฐกิจซบเซา เพราะคุ้มค่าต่อการลงทุนมากที่สุด ทั้งนี้ การจัดงาน NUSASIRI THE SPECTACULAR DAYS ได้นำ 6 โครงการคุณภาพ ของณุศาศิริมาร่วมจัดงานในครั้งนี้ ได้แก่ โครงการ เมอเวนพิค เรสซิเดนซ์ เอกมัย กรุงเทพ,โครงการ ณุศา ชีวานี พัทยา,โครงการ ณุศาศิริ ซิตี้ พระราม 2,โครงการ ณุศา ศรีราชา,โครงการ ณุศา สเตท    ทาวเวอร์ สีลม และสุดท้ายกับการเปิดตัวครั้งแรกของโครงการใหม่ล่าสุด“คอลมาร์ เขาใหญ่ บาย มายโอโซน” คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 320 ยูนิตบนทำเลที่ดีที่สุดของเขาใหญ่กับแหล่งโอโซนอันดับ 7 ของโลก ด้วยการออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร โดยหยิบดีไซน์หนึ่งในเมืองที่สวยที่สุด “COLMAR” ในประเทศฝรั่งเศสมาไว้ที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยโครงการอยู่บริเวณด้านหน้าของโครงการ “ณุศา มาย โอโซน” ทำให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโรงแรม 5 ดาว ทั้งศูนย์สุขภาพ ร้านอาหาร สระว่ายน้ำ สวนผักออร์กานิก รวมทั้งสนามกอล์ฟ 18 หลุม ให้ลูกค้าได้พักผ่อนในพื้นที่สีเขียวของโครงการกว่า1,200ไร่เพื่อชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างมีสุขภาพที่ดีราคาเริ่มต้นเพียง 2.62 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าการจัดงานดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้นและเป็นไปตามเป้าหมายในการจัดงานที่ตั้งไว้ 400 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรหลักอย่าง “พานาซี เมดิคอล เซ็นเตอร์” ศูนย์การแพทย์แบบองค์รวมระดับ Hi-end จากเยอรมนี นำวิทยาการทางการแพทย์และเครื่องมือที่ทันสมัยพร้อมคณะแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาให้บริการตรวจร่างกายเชิงรุกแบบ Real Time 4 Stations ฟรีภายในงานอีกด้วย ด้านนางศิริญา เทพเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการจัดงานครั้งนี้ที่ “ณุศาศิริ” กล้าท้าดูแลชีวิตคุณ ด้วยข้อเสนอที่ดีที่สุดที่มีแต่ได้กับได้ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและให้ประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้าโดยเฉพาะคือ1.การันตีผลตอบแทนสูงสุด 9.5% ต่อปีต่อเนื่องนานสูงสุดถึง 6 ปีติดต่อกัน โดยมีโครงการที่เข้าร่วม ณ เวลานี้ 3 โครงการ ซึ่งผลตอบแทนจะแตกต่างกันไป ได้แก่ โครงการ ณุศา ศรีราชา รับผลตอบแทนสูงสุด 9.5% นาน 6 ปี,โครงการ เมอเวนพิค เรสซิเดนซ์ เอกมัย กรุงเทพ รับผลตอบแทนสูงสุด 8%นาน 6 ปี และโครงการ คอลมาร์ เขาใหญ่ บาย มายโอโซน รับผลตอบแทนสูงสุด 8% นาน 3 ปี 2. แพ็คเกจดูแลสุขภาพที่จะช่วยป้องกันกลุ่มโรคร้ายจาก ศูนย์การแพทย์แบบองค์รวมระดับ Hi-end จากเยอรมนี “พานาซี เมดิคอล เซ็นเตอร์” ที่จะช่วยดูแลสุขภาพลึกถึงระดับเซลล์ รับประกันการลดอัตราความเสี่ยง  ในการป่วยเป็นโรคร้ายแรง 3.ประกันชีวิตเท่ากับวงเงินการลงทุน* เพื่อดูแลคุณภาพชีวิตอย่างดีที่สุดและสร้างความเชื่อมั่น  โดยครอบคลุมประกันชีวิตตามวงเงินที่ลงทุนตั้งแต่ 30 ล้านบาทขึ้นไป นับเป็นการการันตีคุณภาพชีวิตและสุขภาพให้กับนักลงทุนที่ไม่เคยมีที่ใดให้มาก่อน 4.ถือครองกรรมสิทธิ์กับโครงการที่ดีที่สุดของณุศาศิริ นอกจากผลตอบแทนที่สร้างความมั่งคั่งและสุขภาพดีแล้วยังได้ถือครองกรรมสิทธิ์ในสิ่งที่ลงทุนเพื่อเป็นหลักประกันในความมั่นคงที่ยั่งยืนอีกด้วย งาน NUSASIRI THE SPECTACULAR DAYS จัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ - 21 มีนาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 10:00-20:00 น. ที่เอ็มโพเรียมแกลเลอรี่ ชั้น M ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 1608 และ www.nusasiri.com งานเดียวที่การลงทุนได้ทั้งผลตอบแทนและสุขภาพดีในเวลาเดียวกัน
วาเลอรี ออฟฟิศ เซ็นเตอร์ อาคารสำนักงานไฮเอนด์ – 1 เดียวบนเทพารักษ์แจกเบนซ์ !! SMPP รุกหนักปี 60 เล็งเปิดโครงการต่อเนื่องทั้งกทม.และนครพนม มูลค่ารวม 1,245 ล้านบาท

วาเลอรี ออฟฟิศ เซ็นเตอร์ อาคารสำนักงานไฮเอนด์ – 1 เดียวบนเทพารักษ์แจกเบนซ์ !! SMPP รุกหนักปี 60 เล็งเปิดโครงการต่อเนื่องทั้งกทม.และนครพนม มูลค่ารวม 1,245 ล้านบาท

เอสเอ็ม พรอพเพอร์ พลัส เล่นแรง !! จัดหนักส่งแคมเปญหรู จองโครงการวาเลอรี ออฟฟิศ เซ็นเตอร์ อาคารสำนักงานไฮเอนด์-แห่งแรกแห่งเดียวบนเทพารักษ์ รับ BENZ รุ่น E220D EXECUTIVE ไปขับฟรี หรือเปลี่ยนเป็นส่วนลดเงินสดมูลค่าสูงถึง 3,000,000 บาท สิ้นสุดแคมเปญภายใน 31 มีนาคมนี้ เดินหน้าเต็มสูบ เปิดโครงการเฟสต่อเนื่อง พร้อมรุกสู่ภูมิภาคเปิดบ้านเดี่ยว และคอนโดที่นครพนม-จังหวัดส่งเสริมการค้าเศรษฐกิจชายแดน นายเอกรัฐ จำปา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเอ็ม พรอพเพอร์ พลัส จำกัด (SMPP) กล่าวว่า ภายหลังจากการเปิดตัวโครงการปลายปีที่ผ่านมา ขณะนี้ โครงการวาเลอรี ออฟฟิศเซ็นเตอร์ เทพารักษ์ (Valerie Office Center Thepharak)  อาคารสำนักงานไฮเอนด์แห่งแรกแห่งเดียวบนถนนเทพารักษ์ ได้จัดแคมเปญส่งเสริมการขาย คือ รับฟรีรถ BENZ รุ่น E220D EXECUTIVE 1 คัน เมื่อลูกค้าจองอาคารสำนักงาน 1 หลัง ซึ่งผู้ซื้อสามารถเปลี่ยนเป็นส่วนลดเงินสดมูลค่าสูงถึง 3,000,000 บาท โดยจะสิ้นสุดการใช้แคมเปญในวันที่ 31 มีนาคมนี้ คาดว่าจะเป็นที่สนใจของกลุ่มเป้าหมาย นักลงทุน เจ้าของกิจการธุรกิจที่ต้องการย้ายสำนักงานแห่งใหม่ เพื่อขยายธุรกิจพอสมควร “ลูกค้าเป้าหมายของโครงการ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนักธุรกิจที่ต้องการอาคารสำหรับเป็นออฟฟิศสำนักงาน และ กลุ่มนักลงทุนด้านอสังหาฯ ที่ต้องการซื้อเพื่อขายหรือปล่อยเช่าต่อ ซึ่งขณะนี้มีผู้สนใจติดต่อสอบถามและขอเข้าเยี่ยมชมโครงการฯ เป็นจำนวนมาก คาดว่าจะสามารถปิดการขายโครงการทั้งหมดได้ประมาณเดือน สิงหาคม ปี 2560 และแม้ในความจริงกลุ่มเป้าหมายของเรามีกำลังซื้อพอที่จะซื้อรถเบนซ์เองได้ แต่ลูกค้าสามารถเปลี่ยนเป็นส่วนลดเงินสดที่สูงถึง 3 ล้านบาท ซึ่งการส่งเสริมการขายเป็นเพียงสิ่งที่ช่วยกระตุ้นเร่งการตัดสินใจเร็วขึ้น แต่เนื้อแท้ของโครงการนั้นมีการออกแบบอย่างเป็นเอกลักษณ์ และฟังก์ชันการใช้พื้นที่เป็นสัดส่วนที่มีความทันสมัยมาก มีการนำนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้ในทุกขั้นตอน เพื่อให้คุ้มค่าการลงทุนของลูกค้ามากที่สุด อาทิ เป็นโครงการที่เป็นระบบสายไฟฟ้าใต้ดิน มีการแบ่งมิเตอร์น้ำ-ไฟเป็นสัดส่วนแต่ละชั้น เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของบริษัท ที่ต้องการให้คนจดจำ  ‘เอสเอ็มพีพี’ ว่าเป็นอีกหนึ่งผู้พัฒนาโครงการคุณภาพในตลาดพัฒนาอสังหาฯไทย” นายเอกรัฐ กล่าว นายเอกรัฐกล่าวถึงแผนงานในปีนี้ จะเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง มูลค่ารวม 1,245 ล้านบาท ที่จังหวัดนครพนม โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว  เนื่องจากเป็นเมืองที่มีทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจได้รับการสนับสนุนเป็นเขตการค้าการลงทุนชายแดน มีสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) นอกจากนั้นยังมีโครงข่ายอนาคตของรถไฟระบบรางที่เชื่อมต่อ จีน-เวียดนาม-ลาว จึงนับว่าเป็นเมืองที่มีอนาคตที่น่าสนใจทางการลงทุนอย่างมาก ด้านนายพงษ์ศักดิ์ เปลี่ยนผดุง ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอสเอ็ม พรอพเพอร์ พลัส จำกัด กล่าวถึงความน่าสนใจของโครงการ วาเลอรี ออฟฟิศเซ็นเตอร์ ว่า เป็นอาคารสำนักงานไฮเอนด์แห่งแรก บนถนนเทพารักษ์ บริเวณ กม. 7.5 ซึ่งปัจจุบันมีการเติบโตเป็นทำเลธุรกิจแห่งอนาคต อยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ แวดล้อมไปด้วยนิคมอุตสาหกรรม ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลชั้นนำมาเปิดให้บริการ ในส่วนของภาครัฐมีการวางระบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการมารองรับ ทั้ง โครงข่ายแมส ทรานซิส คือ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ศรีด่าน และระบบทางด่วนกาญจนาภิเษก (วงแหวนตะวันออก) โครงการ วาเลอรี ออฟฟิศเซ็นเตอร์  บริหารงานโดย เอสเอ็มพีพี ก่อตั้งด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้นที่ 200 ล้านบาท โครงการเฟสแรก มีขนาดพื้นที่ 7 ไร่ 17 งาน 11 ตารางวา ประกอบด้วย อาคารออฟฟิศ 17 อาคาร สูง 5 ชั้น การออกแบบภายนอกเป็น เรเนซองส์ (Renaissance ) แบบอังกฤษ ผสมโมเดิร์น คลาสสิค สไตล์ (Modern Classic Style) มีความทันสมัยและความหรูหราสไตล์ยุโรป ภายในมีการตกแต่ง 2 ลักษณะ คือ โมเดิร์น คลาสสิค สไตล์ (Modern Classic Style) และ ลักชัวรี (Luxury) มีการจัดภูมิทัศน์ที่สวยงามพร้อมระบบไฟฟ้าใต้ดินแบบ Under Ground ทำให้มีทัศนียภาพที่สวยงาม ระบบรักษาความปลอดภัยกล้อง CCTV รอบโครงการ รปภ. อำนวยความสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในอาคาร ประกอบด้วยระบบปรับอากาศแบบ VRV ลิฟต์ระบบ Touch Screen ไฟฟ้าภายในอาคารแบบ LED รองรับอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับสำนักงาน และ ระบบความปลอดภัยโดยรอบโครงการอย่างเต็มรูปแบบด้วยกล้อง CCTV 10 ตัว โดยเป็นอาคารขนาดตั้งแต่ 107 - 145.5 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 52,000,000 - 67,500,000 ล้านบาท สำหรับผู้สนใจขอรับรายละเอียดและข้อมูลโครงการฯ เพิ่มเติมได้ที่ โครงการวาเลอรี ออฟฟิศเซ็นเตอร์ เทพารักษ์ โทร 02-040-8900 – 2 เว็บไซต์ Valerie.smproperplus.com
เอพี เผยทำเลปิ่นเกล้า – จรัญฯ บูมรับอานิสงส์โครงข่ายคมนาคม ดันพลีเซล บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ กวาด 200 ล้านบาท ภายใน 2 วัน

เอพี เผยทำเลปิ่นเกล้า – จรัญฯ บูมรับอานิสงส์โครงข่ายคมนาคม ดันพลีเซล บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ กวาด 200 ล้านบาท ภายใน 2 วัน

นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)  เผยทำเลปิ่นเกล้า – จรัญฯ มีดีมานด์ที่อยู่อาศัยแนวราบที่คึกคักมาก ส่งผลให้ไฮเอนด์ทาวน์โฮมแบรนด์ บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ กวาดยอดขายทะลุ 200 ล้านบาท พร้อมประกาศปิดการขาย (sold out) เฟสแรกได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วเพียง 2 วันเท่านั้น ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นผลจากทำเลที่ตั้งภายใต้กลยุทธ์หลัก Location within Location ทำเลศูนย์กลางการเชื่อมต่อสู่ใจกลางเมือง ทั้งทางด่วนส่วนต่อขยายโครงข่ายทางด่วนพิเศษศรีรัช – วงแหวนรอบนอก และใกล้โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน – บางซื่อ) พาดผ่าน ตอกย้ำเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้เพื่อให้ทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวทุกโครงการในเครือเอพีเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวคนเมือง พร้อมประกาศเดินหน้าเปิดขาย บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ เฟส 2 อย่างต่อเนื่อง มั่นใจศักยภาพทำเลเป็นปัจจัยหนุนให้ ปิ่นเกล้า – จรัญฯ ยังเติบโตได้อีกยาว นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ล่าสุด (18 – 19 มี.ค. ที่ผ่านมา) เอพี (ไทยแลนด์) ได้ปลุกกระแสตลาดไฮเอนด์ทาวน์โฮมอีกครั้ง ในงานเปิดขายอย่างเป็นทางการโครงการ บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ ไฮเอนท์ทาวน์โฮมใหม่ล่าสุดแห่งแรกและแห่งเดียวบนทำเลปิ่นเกล้า – จรัญฯ จับกลุ่มลูกค้าครอบครัวคนรุ่นใหม่ โดยลูกค้าให้ความนิยมจองซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองเป็นจำนวนมาก จนสามารถประสบความสำเร็จในการปิดการขายเฟสแรกได้ภายใน 2 วัน มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท  ซึ่งปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อ บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ ‘ทำเล’ ‘แพ็คเกจราคา’ และ ‘นวัตกรรมสเปซ’ เป็นคำตอบสำคัญอันดับแรกที่ลูกค้ามองหา อีกทั้ง บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ ถือเป็นไฮเอนด์ทาวน์โฮมโครงการเดียวในย่านนี้ ที่มีความครบครันของสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มครอบครัวเมืองระดับไฮเอนท์ได้อย่างครบถ้วน ซึ่งสะท้อนความเป็นผู้นำของ เอพี (ไทยแลนด์) ในฐานะเจ้าตลาดไฮเอนด์ทาวน์โฮมที่มีความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี รายละเอียดโครงการ บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ บนพื้นที่โครงการกว่า 25 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท จำนวน 253 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.79 ล้านบาท พร้อมตอบการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบของครอบครัวเมืองรุ่นใหม่ ด้วยทาวน์โฮมระดับไฮเอนด์สูง 3 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 145 ตารางเมตร จำนวน 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และที่จอดรถ 2 คัน นับได้ว่าเป็นไฮเอนด์ทาวน์โฮมเพียงโครงการเดียวในทำเลนี้ที่พร้อมตอบสนองความสมบูรณ์แบบของการใช้ชีวิตของครัวครัวได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าที่สนใจ บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า – จรัญฯ เฟส 2 ได้เปิดจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่วมลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษอีกมากมายที่ www.apthai.com
เจแอลแอลเปิดตัวโครงการคอนโดหรูจากลอนดอน คาดจะได้รับความสนใจสูงจากผู้ซื้อชาวไทย

เจแอลแอลเปิดตัวโครงการคอนโดหรูจากลอนดอน คาดจะได้รับความสนใจสูงจากผู้ซื้อชาวไทย

กรุงเทพฯ 17 มีนาคม 2560 - เบอร์คเลย์ โฮมส์ หนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของอังกฤษ ร่วมกับเจแอลแอล จัดแสดงโครงการเวสต์ เอ็นด์ เกท สำหรับชาวไทยที่สนใจซื้อคอนโดมิเนียมระดับหรูในทำเลชั้นดีของกรุงลอนดอน ด้วยราคาเริ่มต้น 905,000 ปอนด์ หรือประมาณ 39 ล้านบาทสำหรับห้องชุดขนาดหนึ่งห้องนอน นายมาร์ติน พรินส์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจตัวแทนซื้อขายที่พักอาศัยระหว่างประเทศ เจแอลแอล กล่าวว่า “นับตั้งแต่อังกฤษลงประชามติให้ถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปเมื่อกลางปีที่แล้ว ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลงไปเกือบ 20% เมื่อเทียบกับเงินบาท เปิดโอกาสให้คนไทยสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่อังกฤษได้ในราคาที่ถูกลง ดังนั้น จึงมีคนไทยจำนวนมากขึ้นที่สนใจลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษในช่วงนี้ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในกรุงลอนดอน ดังนั้น เราจึงเชื่อว่า โครงการเวสต์ เอ็นด์ เกท จะได้รับความสนใจสูงจากชาวไทยที่ต้องการลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมในกรุงลอนดอน ซึ่งนับเป็นหนึ่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงด้านการลงทุนต่ำที่สุดของโลก” เวสต์ เอ็นด์ เกท เป็นโครงการพัฒนาคอมเพล็กซ์คอนโดมิเนียมพักอาศัย โดยคอนโดมิเนียมที่นำมาเปิดตัวเสนอขายให้กับชาวไทยที่สนใจซื้อครั้งนี้ ประกอบด้วยห้องชุดขนาด 1-3 ห้องนอน และห้องสูท ตั้งอยู่ในอาคารเวสท์มาร์คความสูง 30 ชั้น ซึ่งเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโครงการ สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของกรุงลอนดอนได้อย่างกว้างไกล นายมาร์ตินกล่าวว่า “สำหรับผู้ที่ซื้อคอนโดในโครงการเวสต์ เอ็นด์ เกท เพื่อปล่อยเช่า จะได้รับผลตอบแทนการลงทุนระหว่าง 3%-4% อย่างไรก็ดี ผู้ซื้อส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับมูลค่าที่มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นในระยะยาวมากกว่า เนื่องจากราคาที่พักอาศัยในลอนดอนยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อไปอีก จากการที่ซัพพลายมีไม่เพียงพอรองรับความต้องการในตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่สถานการณ์จะดำเนินต่อไปอย่างน้อยอีก 5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในย่านแพ็ดดิงตัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการเวสต์ เอ็นด์ เกท” โครงการเวสต์ เอ็นด์ เกท ตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟใต้ดินเอ็ดจ์แวร์โรดในระยะการเดินด้วยเวลาเพียงหนึ่งนาที นอกจากนี้ ยังสามารถเดินทางไปยังจุดต่างๆ ทั่วลอนดอนได้โดยสะดวกด้วยรถไฟใต้ดินหลากหลายสาย รวมถึงการเดินทางออกนอกกรุงลอนดอนผ่านสถานีแพ็ดดิงตัน ซึ่งอยู่ใกล้โครงการ รวมถึงสถานีที่จะเปิดใหม่ในปี 2561 ที่จะทำให้การเดินทางจากสนามบินฮีโธรใช้เวลาเพียง 24 นาที นายไซมอน โฮวาร์ด ผู้อำนวยการฝ่ายขายของเบอร์คเลย์ โฮมส์กล่าวว่า “เวสท์ เอ็นด์ เกท เป็นการประสมประสานที่ลงตัวระหว่างความเก่าและความใหม่ทั้งในแง่ของการออกแบบและทำเลที่ตั้ง เป็นโครงการที่พักอาศัยที่ให้ความพร้อมมูลทั้งหมดที่หาได้ในลอนดอน ไม่ว่าจะเป็นสถานพักผ่อนหย่อนใจในยามค่ำคืน  ร้านอาหาร/เครื่องดื่มริมน้ำแห่งลิตเติล เวนิซ และย่านวัฒนธรรมของเมย์แฟร์ จึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อที่พักอาศัย ไม่ว่าจะเพื่ออยู่เองหรือเพื่อเป็นการลงทุน” เบอร์คเลย์ โฮมส์ และเจแอลแอล จัดแสดงโครงการเวสต์ เอ็นด์ เกทที่โรงแรมเซ็นต์ รีจิส กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 17 และ 18 มีนาคม ซึ่งหลังจากนั้น จะดำเนินการขายอย่างต่อเนื่องต่อไป
‘อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์’ จับทางตลาดอสังหาฯ ไทยแลนด์ 4.0 การแข่งขันด้านเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยสูง – ลุย 3 โครงการใหม่ มูลค่า 700 ล้านบาท

‘อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์’ จับทางตลาดอสังหาฯ ไทยแลนด์ 4.0 การแข่งขันด้านเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยสูง – ลุย 3 โครงการใหม่ มูลค่า 700 ล้านบาท

‘อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์’ จับตลาดผู้ประกอบการยุคไทยแลนด์ 4.0 ตอบโจทย์การใช้ชีวิต การลงทุน Successor ยุคที่ธุรกิจและเรื่องเงินๆ ทองๆ มีพลวัตรเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เตรียมขยายแบรนด์ ‘อัลติจูด’ คอนโดมิเนียมไฮเอนท์ ใจกลางสามย่าน-สีลม สู่โครงการแนวราบ ภายใต้แบรนด์ ‘อัลติจูด มาสเตอรี่’ ลุยบ้านเดี่ยวหลังใหญ่หรูหรา เน้นความลักซ์ชัวรี่ และ ‘อัลติจูด พรูฟ’ โฮมออฟฟิศ บ่งบอกความเป็นผู้นำ บนทำเล อนาคต เปิดตัวพร้อมกัน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 700 ล้านบาท บ้านเดี่ยวหรูบนทำเลแห่งใหม่ใจกลางย่านถนนรัชโยธิน และโฮมออฟฟิศบนถนนเกษตร-นวมินทร์ และถนนพระราม 9 ใช้เทคโนโลยีล้ำ มีฟังก์ชันที่ออกแบบมาเพื่อผู้ประสบความสำเร็จ นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์  ‘ALTITUDE’ เปิดเผยว่า หลังจากนี้จะได้เห็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการแข่งขันของผู้ประกอบการ มีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นสู่การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ปรับเข้ากับการอยู่อาศัย เพื่อเอื้ออำนวยต่อผู้อยู่อาศัยให้มีความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น โดยจะเน้นการนำเสนอดีไซน์และฟังก์ชันการใช้งานที่สร้างมูลค่าให้กับอสังหาฯ มากกว่า เพื่อจะสอดรับกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิตอลมากกว่า การแข่งขันด้านราคาและการจัดแคมเปญการตลาดแบบเดิมที่เริ่มมีความน่าสนใจลดลง และจากทิศทางที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าว แบรนด์ ‘ALTITUDE’ จึงปรับกลยุทธ์โดยนำเทคโนโลยีใหม่และนวัตกรรมใหม่นำมาใช้ในโครงการใหม่ที่เตรียมจะพัฒนาในอนาคตเช่นกัน สำหรับแผนงานของแบรนด์ ‘ALTITUDE’ ในปี 2560 นี้ จะได้เห็นการเติบโตที่ชัดเจนอย่างมาก เพราะหลังจากโครงการ ‘ALTITUDE สามย่าน-สีลม’ คอนโดมิเนียมไฮเอนท์ แบบ Low rise สูง 8 ชั้น มูลค่าโครงการกว่า 510 ล้านบาท บนทำเลใจกลางเมืองสามย่าน-สีลม ซึ่งเป็นโครงการแรกที่บริษัทเปิดตัวเมื่อกลางปี 2559 และโครงการที่สอง ‘ALTITUDE DEFINE’ มูลค่ากว่า 350 ล้านบาท ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว บริษัทจึงมีแผนขยายธุรกิจจากโครงการแนวสูงสู่การพัฒนาโครงการแนบราบเพิ่มขึ้น โดยยังคงมุ่งจับตลาดระดับไฮเอนท์ ที่มีกำลังซื้อสูง และเน้นทำเลอนาคตอยู่ใจกลางพื้นที่ที่มีศักยภาพของกรุงเทพ พร้อมกับเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในชื่อ ‘ALTITUDE Mastery’ (อัลติจูด มาสเตอรี่) เพื่อพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ และแบรนด์ ‘ALTITUDE Prove’ (อัลติจูด พรูฟ) เพื่อพัฒนาโครงการโฮมออฟฟิศ เน้นตอบโจทย์คนทำงานคนรุ่นใหม่ ที่มีเอกลักษณ์ผู้นำชัดเจนและมีความต้องการความเป็นส่วนตัวด้วยยูนิตน้อย บนทำเลอนาคตในหลายทำเล อาทิ ถนนพระราม 9 ถนนเกษตร-นวมินทร์ และย่านรัชโยธิน เป็นต้น ทั้งนี้บริษัทฯ เปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 700 ล้านบาท ประกอบด้วย อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 บ้านเดี่ยวโมเดิร์นลักซ์ชัวรี่ บนทำเลใจกลางรัชโยธิน มูลค่าโครงการ 240 ล้านบาท และ อัลติจูด พรูฟ อีก 2 โครงการ ได้แก่ อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ มูลค่าโครงการ 180 ล้านบาท และ อัลติจูด พรูฟ พระราม 9 มูลค่าโครงการ 280 ล้านบาท โฮมออฟฟิศ ให้ชีวิตการทำงานเหนือระดับยิ่งกว่าบน 2 ทำเลศักยภาพในย่านถนนพระราม 9 และถนนเกษตร-นวมินทร์ โดยการเปิดตัว บ้านเดี่ยวหรู และโฮมออฟฟิศจะใช้เทคโนโลยีล้ำ มีฟังก์ชันที่ออกแบบมาเพื่อผู้ประสบความสำเร็จ ส่วนรายละเอียดและความน่าสนใจของทั้ง 3 โครงการนั้น จะมีความโดดเด่นเหนือกว่าแตกต่างกัน โดย ‘อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24’ เป็นบ้านเดี่ยวระดับซุปเปอร์ ลักซ์ชัวรี่ (Super Luxury) ในทำเลใจกลางย่านรัชโยธิน เน้นความสะดวกสบาย และให้การอยู่อาศัยทุกพื้นที่เติมเต็มความสมบูรณ์แบบของชีวิต บนพื้นที่ใช้สอยเกือบ 400 ตารางเมตร และให้ความเป็นส่วนตัวที่สุดด้วยยูนิตน้อยเพียง 8 ยูนิต ขณะที่แบบบ้านมีความหรูหรามีเสน่ห์ในสไตล์โมเดิร์น ลักซ์ชัวรี่ (Modern Luxury) ในกลิ่นอาย ‘New England Glamorous’ ที่ปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ทันสมัยของคนเมือง พร้อมระบบความปลอดภัยครบครันส่วนตัว ระบบเปิดปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านมือถือ ระบบกันขโมยและกล้องวงจรปิดบิ้วอิน รวมถึงการออกแบบระดับถนนรองรับ Super Car และระบบ Intelligence Home System ให้ชีวิตลักซ์ชัวรี่ยิ่งขึ้นกับสระว่ายน้ำส่วนตัว (Private Pool) ทุกหลัง ในราคาเริ่มต้น 28.7 ล้านบาท โครงการเริ่มก่อสร้างในเดือนพฤษภาคมปีนี้ และคาดว่าแล้วเสร็จทั้งโครงการในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2561 ทั้งนี้บ้านทุกหลัง มีความสูง 3 ชั้น จำนวน 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น และ 1 ห้องแม่บ้าน พร้อมห้องครัว 2 สไตล์ ‘Western Kitchen’ และ ‘Asian Kitchen’ ให้ที่จอดรถ 3 คัน และพื้นที่สวนบนชั้น 3 (Roof garden) โดยโครงการยังตั้งอยู่ในซอยพหลโยธิน 24 อยู่ห่างจากรถไฟฟ้าเพียง 550 เมตร ซึ่งทำเลดังกล่าว นับว่าเป็นทำเลอนาคตที่มีศักยภาพเป็นศูนย์กลางย่านธุรกิจแห่งใหม่ (CBD) บนถนนรัชโยธิน เพราะปัจจุบันรายล้อมด้วย Office Building และศูนย์การค้าใหญ่หลายแห่ง ใกล้สวนจตุจักร และสวนวชิรเบญจทัศ เพียง 1.5 กิโลเมตร อีกทั้งยังอยู่ใกล้บางซื่อ ซึ่งเป็นศูนย์กลาง (Hub) จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดินและรถไฟความเร็วสูง อีกด้วย สำหรับ ‘อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์’ โฮมออฟฟิศ ขนาด 4 ชั้น มีเพียง 8 ยูนิต พร้อมลิฟต์โดยสาร และระบบอัจฉริยะ ‘Intelligent Home’ ที่ประกอบด้วยกล้องวงจรปิดกันขโมยบิ้วอิน และการปิด-เปิดไฟ สามารถควบคุมผ่านมือถือ ตั้งอยู่บนทำเลอนาคตย่านถนนลาดปลาเค้า เกษตร-นวมินทร์ ห่างเพียง 700 เมตร จากถนนรามอินทรา โดยมีให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ ขนาด 44.67 – 77.90 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 375.80 – 424.80 ตารางเมตร ที่จอดรถ 6 คัน และขนาด 48.96 – 49.05 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 339.40 – 375.80 ตารางเมตร ที่จอดรถได้ 6 คัน ราคาเริ่มต้นประมาณ 18.7 ล้านบาท ขณะที่ ‘อัลติจูด พรูฟ พระราม 9’ โฮมออฟฟิศ ขนาด 3 ชั้นครึ่ง และขนาด 4 ชั้นครึ่ง มีเพียง 16 ยูนิต โดยภายในอาคารติดตั้งระบบอัจฉริยะ ‘Intelligent Home’ เช่นเดียวกัน และโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยทำเลที่ให้ชีวิตคนทำงานสะดวกสบายยิ่งขึ้น บนสุดยอดทำเลถนนพระราม 9 ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน และแอร์พอร์ตลิงค์ (Airport Link) สถานีหัวหมาก ห่างเพียง 700 เมตร มีให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ ขนาดที่ดิน 34.70 - 50.30 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 180 - 215 ตารางเมตร และขนาดที่ดิน 24.36 - 67.60 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 270 ตารางเมตร ที่จอดรถ 4-10 คัน ในราคาเริ่มต้น 14.7 ล้านบาท
Parco คอนโดพร้อมเข้าอยู่ เน้นคุณภาพการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตใจกลางเมืองมาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ

Parco คอนโดพร้อมเข้าอยู่ เน้นคุณภาพการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตใจกลางเมืองมาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ

Parco พาร์โก้ คอน์โดไฮไรส์ 28 ชั้นสไตล์ Urban living ที่ผสมผสานระหว่างไลฟ์สไตล์คนเมืองกับความเขียวและธรรมชาติ  จำนวน 148  ยูนิต ตั้งอยู่บนถนนนางลิ้นจี่ รอบล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายไม่ว่าจะเป็น Community mall, ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารต่างๆ ทั้งนี้สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวกไม่ว่าจะเข้าเมือง เช่นสาทร นราธิวาสฯ พระราม 3 หรือไปพระราม 4 หรือจะเดินทางไปนอกเมืองก็ทำได้สบาย เพียงไม่กี่นาที ด้วยทางด่วนขั้นที่ 1 และ 2 คุณภาพการอยู่อาศัยเป็นสิ่งที่ทางบริษัท สุพรีม ทีม จำกัดให้ความสำคัญเสมอ จึงทำให้ Parco ได้รับการออกแบบด้วยคอนเซปต์ Space + Comfort + Practicality ให้พื้นที่ห้องมีความกว้างขวาง อยู่สบาย ให้ความรู้สึกโล่ง เพดานสูงถึง 2.7 เมตร ลมและแสงสว่างเข้าถึงได้หลายทิศทาง ประตูทางเข้าแบบ 2 ชั้นสามารถเปิดระบายอากาศได้ รวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูง โดยยูนิตแบบ 2  ห้องนอนเริ่มต้นที่ 95 ตารางเมตร ไปจนถึง 116 ตารางเมตร นอกเหนือไปจากนี้ ทางโครงการยังเตรียมพื้นที่สีเขียวเพื่อเพิ่มความร่มรื่นและความสบายตา ห้องออกกำลังกาย ห้อง Sauna แยกชายหญิง และสระว่ายน้ำ ยาว 25 เมตร พร้อมจากุซซี่และสระเด็ก ที่จอดรถมากกว่า 160% ของจำนวนยูนิต ซึ่งทุกยูนิตจะมีที่จอดรถประจำ 1 คัน พาร์โก้เป็นคอนโดพร้อมเข้าอยู่ ราคาเริ่มต้นที่  13.5 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้ทางโครงการมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับ  6 ยูนิตเท่านั้น รับส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท* จนถึง 30 เมษายนนี้ ผู้สนใจสามารถติดต่อเพื่อนัดเยี่ยมชมโครงการที่ 02-679-8128 หรือ sales@supremethailand.com
PROP2MORROW ขยายเพิ่ม 2 ธุรกิจดันรายได้โต 2เท่าใน3ปี

PROP2MORROW ขยายเพิ่ม 2 ธุรกิจดันรายได้โต 2เท่าใน3ปี

PROP2MORROW โตต่อเนื่อง ลุยเปิดสองธุรกิจใหม่บริษัท Agent ในแบรนด์ PropVestors และ Property Tech ในแบรนด์ Propa Chill หวังดันรายได้โตสองเท่าตัวภายใน3ปี นายสุธาทร สุทธิสนธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร๊อพทูมอร์โรว์ จำกัด เจ้าของเว็บไซต์ www.prop2morrow.com เว็บสื่ออสังหาฯรูปแบบใหม่ ที่ให้บริการด้านการเป็นที่ปรึกษาด้านอสังหาฯแบบครบวงจรในรูปแบบที่หลากหลาย เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทฯปี2559บริษัทฯมีผลประกอบการเติบ โตขึ้นกว่า 100% เมื่อเทียบกับปี2558 ซึ่งเป็นปีแรกที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และตั้งเป้าเติบโตเป็นอีก2เท่าตัวภายใน3ปี ด้วยการขยายอีก 2 ธุรกิจ คือ บริษัทนายหน้าอสังหาฯ (Agent) ช่วยระบาย stock ของ บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ให้บริการ ซื้อ ขาย เช่า ทั้งตลาดชาวไทย กับต่างชาติ การเป็นตัวแทนขายทั้งในประเทศ กับ ต่างประเทศ รวมไปถึง การร่วมลงทุนกับนักลงทุน ในโครงการที่มีศักยภาพ “แนวทางในการดำเนินงานของทีมงาน เราพร้อมให้บริการด้านการเป็นที่ปรึกษาด้านอสังหาฯแบบครบวงจร”นายสุธาทร กล่าวย้ำ พร้อมกับระบุว่า เพื่อความชัดเจนในการดำเนินงานบริษัทฯจึงแยกการบริหาร มี บริษัทเพื่อรับผิดชอบโดยตรง พร้อมแต่งตั้ง นายเนติ นฤมิตร เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ใช้แบรนด์ PropVestors (พร็อพเวสเตอร์) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจาก บริษัทพัฒนาโครงการเป็นจำนวนมาก อีกทั้งตั้งเป้าพานักลงทุนไทย ลุยอสังหาฯ ที่ประเทศอังกฤษ สองเมืองหลัก อย่าง ลอนดอน และ แมนเชสเตอร์ รายละเอียดอยู่ในระหว่างการเจรจากับพาร์ทเนอร์ ส่วนอีกหนึ่งบริษัท ที่จะมาดันยอดธุรกิจให้กับ prop2morrow ภายในปีนี้และอนาคต คือ Property Tech ที่เริ่มศึกษาและเริ่มให้บริการมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (ปี2559)ใช้แบรนด์ Propa Chill (พร็อพพ้า ชิล) โดยมอบหมายให้ นายกรณ์กวินท์ พีระเดชไพศาล เป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งบริษัทนี้ได้ผู้ถือหุ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอสังหาฯ และเครือข่ายความเชี่ยวชาญระดับประเทศ ปัจจุบันอยู่ในขั้นต้นแบบในการทำธุรกรรมทางการเงินกับการลงทุนอสังหาฯ
แอสเซทไวส์ เปิดแผนครึ่งปีแรก 2560 ลุย 4 โครงการ 4 ทำเลฮอต มูลค่าโครงการรวมกว่า 2,600 ล้านบาท เปิดตัว KAVE (เคฟ) คอนโด ตรงข้าม ม.กรุงเทพ ลุยโลเคชั่นรังสิต

แอสเซทไวส์ เปิดแผนครึ่งปีแรก 2560 ลุย 4 โครงการ 4 ทำเลฮอต มูลค่าโครงการรวมกว่า 2,600 ล้านบาท เปิดตัว KAVE (เคฟ) คอนโด ตรงข้าม ม.กรุงเทพ ลุยโลเคชั่นรังสิต

เน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริงในแต่ละทำเล ปักธงลุยครึ่งปี’60 ด้วย 4 โครงการแนวสูง มูลค่าโครงการรวมกว่า 2,600 ล้านบาท ส่ง “เคฟ คอนโด” ตรงข้าม ม.กรุงเทพ รังสิต รุกไตรมาสแรก ชูจุดขายคอนโดมิเนียม Low Rise ที่ให้ Facility จัดเต็ม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้เต็มที่ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.29 ล้านบาท มั่นใจยอดขายครึ่งปีแรกทะลุ 2,000 ล้านบาท นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยคุณภาพสูง เผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัท ในปี 2559 มียอดขายรวม 2,000 ล้านบาท เทียบกับปี 2558 เพิ่มขึ้น 33% และมียอดรับรู้รายได้ 2,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2558 ถึง 150% ซึ่งผลการดำเนินงานที่ดีนี้เป็นผลมาจากลูกค้าให้การตอบรับการโอนคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมโอนจำนวน 6 โครงการ ได้แก่ โครงการ บี แคมปัส ประชาชื่น, เอสต้า พหลฯ-สะพานใหม่, เอสต้า บลิซ รามอินทรา, เอช ทู รามอินทรา 21, โมดิซ ลาดพร้าว 18  และโครงการแนวราบ  ดิ ออเนอร์ เอกมัย - รามอินทรา สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทปี 2560 ในครึ่งปีแรก เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณกว่า 2,600 ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวสูงทั้งหมด ได้แก่ เคฟ คอนโด ถนนพหลโยธิน ตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท วินน์ ลาดพร้าว-โชคชัย 4 มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท โมดิซ อินเตอร์เชนจ์ พหลโยธิน-รามอินทรา มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท และ บราวน์ พหลโยธิน 67 มูลค่าโครงการ 440 ล้านบาท “แนวทางการพัฒนาโครงการของแอสเซทไวส์ ยังคงมุ่งมั่นในการศึกษาและพัฒนาการออกแบบที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพสูง โดยคำนึงถึงเทรนด์ของการอยู่อาศัย ทั้งทำเลที่ดี ความต้องการของกลุ่มลูกค้าว่าต้องการสิ่งใด   และให้มากกว่าสิ่งที่ลูกค้าต้องการเพิ่มเป็นทวีคูณ เพื่อให้ได้มาซึ่งที่อยู่อาศัยที่มีคุณค่าและคุ้มค่ามากที่สุดทั้งนี้ สำหรับโครงการล่าสุดที่จะเปิดตัว ได้แก่โครงการ “เคฟ คอนโด” (Kave Condo) ถนนพหลโยธิน ตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต ซึ่งเป็นทำเลที่ยังคงมีดีมานด์อยู่ค่อนข้างสูง ทั้งจากนักศึกษาที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่และบุคลากรของสถานศึกษา บุคคลทั่วไปที่ทำงานในละแวกนั้น รวมถึงกลุ่มนักลงทุน    เพื่อปล่อยเช่า เพราะไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ต้องการความสะดวกสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้คอนโดฯ ใกล้สถานศึกษายังมีความต้องอย่างต่อเนื่อง โครงการเคฟ คอนโด โดดเด่นด้วยการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูง ติดถนนพหลโยธิน-รังสิต ตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เพียงข้ามสะพานลอย เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมือง และออกนอกเมืองได้สะดวกสบาย ใกล้ทางด่วนอุดรรัถยา ดอนเมืองโทลล์เวย์ และถนนวงแหวนตะวันออก อีกทั้งยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต) ที่จะเปิดใช้ในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ยังรายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญ ทั้งศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ สถานศึกษา สถานที่อำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต, เมเจอร์ซีเนเพล็กซ์, เทสโก้โลตัส,บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์, โฮมโปร,ตลาดไท, ตลาดสี่มุมเมือง, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต , มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต, โรงพยาบาลภัทร-ธนบุรี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์  เป็นต้น เคฟ คอนโด ออกแบบในแนวคิด “Live The Fullest ” ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ มากกว่าที่เคย ตัวอาคารได้รับการออกแบบทางสถาปัตยกรรมให้มีความโดดเด่นทันสมัย ตกแต่งภายนอกให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างมาพร้อมเฟอร์นิเจอร์บิลท์อินที่ใส่ใจทุกรายละเอียดด้วยการเลือกใช้วัสดุคุณภาพ ออกแบบห้องพักที่คำนึงถึงฟังก์ชั่นการใช้งานและประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่า มาพร้อมความโดดเด่นของเทคโนโลยีรองรับไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยอย่าง Bluetooth Sound System ระบบหน้าจอสัมผัสรุ่นล่าสุดที่สามารถฟังเพลงได้ทุกพื้นที่ของห้อง ครีเอทพื้นที่ความสุข ด้วยคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ (Kave Club) สามารถใช้เป็นที่พบปะสังสรรค์ โดยไม่รบกวนความเป็นส่วนตัวในอาคารพักอาศัย พร้อมสรรพทั้งพื้นที่เรียนรู้ พักผ่อน ประชุม ทำงาน (Co-Learning Space & Hip Cafe) ที่เปิดให้ใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมเอาใจหนุ่มสาวรักสุขภาพให้ฟิตแอนด์เฟิร์มด้วยพื้นที่สุขภาพที่ไม่เป็นเพียงห้องออกกำลังกาย แต่เป็นยิมขนาดใหญ่   มาพร้อมอุปกรณ์ครบครัน (The Gym) ขยายความสุขแบบไม่รู้จบ ด้วยการยกพื้นที่ส่วนกลางขึ้นมาอยู่ชั้นบนสุดของทุกอาคารและทำสะพานเชื่อมถึงกันทั้ง 3 อาคาร กับสวนสวยชั้นดาดฟ้ารับวิวพานอรามา และสวนพักผ่อนสุดร่มรื่น (Panoramic Garden & Moonlight Pavilion) จัดเต็มด้วย สระว่ายน้ำมาตรฐานโอลิมปิค ยาว 50 เมตร (Skyline Swimming Pool) ออกกำลังกายบนลู่วิ่งชั้นดาดฟ้า ที่รายล้อมด้วยธรรมชาติ  (Sky Jogging Track) เพลิดเพลินกับการชมภาพยนตร์ในโรงหนังส่วนตัวขนาดใหญ่ (Kave Theatre) จำนวน 20 ที่นั่ง ห้องออกกำลังกายอเนกประสงค์พร้อมอุปกรณ์ ครบครัน (Fully Functioned Exercise Room) เพิ่มความสนุกให้กับชีวิตด้วยห้องเกมส์ (Game Room) ทำงาน อ่านหนังสือในบรรยากาศสุดฮิป (Reading Lounge) พร้อมอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ส่วนกลางเพื่อเชื่อมต่อกับโลกกว้างได้อย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ยังมีบริการอำนวยความสะดวกที่ล็อบบี้ตลอด 24 ชั่วโมง (24-Hour Concierge) และบริการดูแลทำความสะอาดห้องพัก เดือนละ 2 ครั้ง (Housekeeping) ทั้งยังมั่นใจในความปลอดภัยด้วยประตูระบบ Digital Door Lock กล้องวงจรปิด ควบคุมการเข้าออกโครงการด้วยระบบคีย์การ์ด ปลอดภัยอีกขั้นด้วยระบบลิฟท์ล็อคชั้น และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง โครงการ เคฟ คอนโด ถนนพหลโยธิน ตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต เป็นคอนโดมิเนียมในรูปแบบโลว์ไรส์ จำนวน 8 ชั้น 3 อาคาร รวม 589 ยูนิต ประกอบด้วยห้องชุดขนาดต่างๆ ได้แก่ ห้อง 1 Bedroom Extra ขนาด 24.27- 25.85 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Exclusive ขนาด 24.10 - 25.14 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 34.19 – 37.24 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงโครงการ วินน์ (Wynn) ลาดพร้าว – โชคชัย 4 อีกหนึ่งโครงการของ  ครึ่งปีนี้ที่เปิดจองรอบ VIP Booking เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเป็นอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าทำเลบริเวณนี้ยังมีความต้องการของผู้บริโภคสูง “บริษัทได้เปิดรอบ VIP Booking โครงการ วินน์ คอนโด โชคชัย 4 ( Wynn) มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท โดยมีจำนวน 325 ยูนิต  บนพื้นที่โครงการ 2-1-54 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนโชคชัย 4  ที่ใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบ ทั้งศูนย์การค้า สถานศึกษา โรงพยาบาล ตลาด ทั้งยังอยู่ใกล้รถไฟฟ้า MRT สถานีลาดพร้าว และรถไฟฟ้า สายสีเหลือง สถานีโชคชัย 4 โดดเด่นด้วยการออกแบบทุกรายละเอียดที่แวดล้อมไปด้วยความสงบร่มรื่นของพื้นที่  สีเขียว เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลายฟังก์ชั่นระดับห้าดาว ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท ซึ่งหลังจากที่จัดงาน VIP Booking ไปไม่นาน ปัจจุบันมียอดจองแล้วกว่า 60% ในส่วนอีก 2 โครงการ ที่เตรียมจะเปิดตัว ก็เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน ด้วยคุณภาพของโครงการ ความคุ้มค่าที่โครงการมอบให้ลูกค้า บวกกับการยอมรับและการบอกต่อในแบรนด์ จะทำให้ลูกค้ามั่นใจและเกิดการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกจะสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 2,000 ล้านบาท” นายกรมเชษฐ์ กล่าวในตอนท้าย ทั้งนี้ สำหรับโครงการ เคฟ คอนโด จะเปิดให้จองรอบ VIP Booking ในวันที่ 18 – 19 มีนาคมศกนี้ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดสูงสุดถึง 100,000 ได้ที่ www.kavecondo.com พร้อมเยี่ยมชมห้องตัวอย่างได้ ณ สำนักงานขาย เคฟ คอนโด ถนนพหลโยธิน ตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 083 553 7999
ชาญอิสสระ ส่ง ISSARA COLLECTION รุกทำเลย่านสาทร ชูสุดยอดแหล่งธุรกิจ รองรับดีมานด์ตอบโจทย์คนกรุง

ชาญอิสสระ ส่ง ISSARA COLLECTION รุกทำเลย่านสาทร ชูสุดยอดแหล่งธุรกิจ รองรับดีมานด์ตอบโจทย์คนกรุง

บริษัท ชาญอิสสระ วิภาพล จำกัด บริษัทในเครือของ บมจ. ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ รุกพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ย่านสาทร พร้อมส่ง ISSARA COLLECTION SATHORN คอนโดหรูแบบ Low-Rise จับกลุ่มคนกรุง ชูทำเลทองใจกลางแหล่งธุรกิจของกรุงเทพฯ สะดวกสบายด้านการเดินทาง-การใช้ชีวิตที่ลงตัว สร้างพื้นที่ความเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ มั่นใจด้วยศักยภาพของทำเล แนวคิด การออกแบบ สร้างความคุ้มค่าให้กับการอยู่อาศัย และการลงทุนได้ในระยะยาว นายดิฐวัฒน์  อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดถึงความคืบหน้าของการก่อสร้างโครงการ ISSARA COLLECTION SATHORN (อิสสระ คอลเลคชัน สาทร) คอนโดมิเนียมใจกลางเมืองระดับลักชัวรี่ไฮเอนด์ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนนางลิ้นจี่ ซอย 4 ย่านสาทร บนพื้นที่ 1-0-1 ไร่ จำนวน 33 ยูนิต มูลค่าโครงการ 807 ล้านบาท ได้รับออกแบบโดยบริษัท A49 ว่าขณะนี้โครงการดำเนินการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างบนอาคารจริง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยมั่นใจว่าหลังเปิดให้ลูกค้าเข้าชมห้องตัวอย่างจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากทำเลการก่อตั้งของโครงการ ISSARA COLLECTION SATHORN  ถือเป็นโซนที่มีถนนรายล้อม (Grid Road System) ประกอบด้วยทางด่วน รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าใต้ดิน รถด่วนพิเศษ ร่วมถึงการเดินทางทางเรือ ที่เป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางที่มีความสะดวกสบาย นอกจากนี้ ยังสร้างความสะดวกสบายให้กับการใช้ชีวิตทั้งการพักผ่อน การจับจ่ายซื้อของ สถานศึกษา สถานพยาบาล รวมถึงความสะดวกสบายด้านการเดินทางไปทำงานในย่านสีลม-สาทร อีกด้วย “โลเคชั่นของโครงการถือเป็นโลเคชั่นที่ตอบโจทย์คนเมืองได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวที่ทำงานย่านถนนสีลม-สาทร เนื่องจากมีความสะดวกสบายในเรื่องของการเดินทางที่สามารถเชื่อมต่อไปถนนสาทร, นราธิวาสราชนครินทร์, พระราม 3, พระราม 4, สวนพลู และสีลม รวมถึงมีสถานศึกษา สถานพยาบาล แหล่งชอปปิ้งที่รายล้อม ประกอบกับมีความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัย เนื่องจากพื้นที่ย่านสาทรเป็นพื้นที่ที่หายากขึ้นเรื่อยๆ คอนโดอยู่อาศัยจึงมีไม่มากนัก ขณะที่ความต้องการคอนโดในย่านนี้ยังมีอย่างต่อเนื่อง ย่านนี้จึงถือเป็นโลเคชั่นที่หายาก และอนาคตมูลค่าของราคาที่ดินในย่านนี้ก็ยังมีทิศทางการปรับตัวที่สูงขึ้น” นายดิฐวัฒน์ กล่าว สำหรับ โครงการ ISSARA COLLECTION SATHORN ถือเป็นโครงการที่พัฒนาออกมาเพื่อตอบโจทย์คนกรุงได้อย่างแท้จริง เน้นการออกแบบภายใต้แนวคิด Thai Pattern, Modern Thai-Style Luxury garden “ลายไทย” ที่สะท้อนความเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของความเป็นไทยที่ถูกนำมาประยุกต์เพื่อใช้เป็นแนวความคิดหลักของโครงการ โดยการที่นำลวดลายไทยนั้นมาลดทอนรายละเอียดลงจึงทำให้สามารถใช้เป็น”เส้นสายหลัก”ของโครงการนี้ที่ช่วยทำให้ดูทันสมัยเข้ากับสังคมในปัจจุบัน ราคาเริ่มต้นที่ 16.75 ล้านบาท มีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 108.5-244.4 ตร.ม. ประกอบด้วย ห้องแบบ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 108.5-126.1 ตร.ม. ห้องแบบ 3 ห้องนอน Duplex ขนาดพื้นที่ 170.5-201 ตร.ม. และ แบบ 3 ห้องนอน + Study room ขนาดพื้นที่ 244.2-244.4 ตร.ม. ซึ่งมาพร้อมลิฟท์ส่วนตัว ทุกห้องเน้นการตกแต่งให้มีความโปร่งโล่งสบาย ด้วยหน้าต่างแบบ Floor-to-Ceiling ขณะที่ในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการประกอบด้วยล็อบบี้ ห้องฟิตเนส ห้องสตรีม สระว่ายน้ำบนชั้นดาดฟ้า ที่จอดรถมากกว่า 180% และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง พร้อมชูจุดเด่นความแตกต่างด้านการออกแบบจากสถาปนิกชั้นนำระดับประเทศ ที่มาร่วมออกแบบห้องตัวอย่างในสไตล์ที่แตกต่างจากคอนโดมิเนียมทั่วไป แต่ยังคงคอนเซปต์ให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ที่อบอุ่นแบบครอบครัวไทย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใช้สอยส่วนกลางที่ออกแบบให้สมาชิกในครอบครัวมีกิจกรรมร่วมกัน ความกว้างขวางและโปร่งสบายของแต่ละยูนิต รวมทั้งบรรยากาศเงียบสงบและความสุขสบายที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของบ้านพักอาศัยที่สมบูรณ์แบบ อาทิ Quattro Design ออกแบบตกแต่งและเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ในกลิ่นอายของ Art deco ผสานกันอย่างลงตัวกับการเลือกใช้สีสันและลวดลายเลขาคณิต เพื่อสร้างความรู้สึกให้กับผู้อยู่อาศัยรู้สึกพิเศษและแตกต่างด้วยมนต์เสน่ห์ อีกทั้งการตกแต่งของศิลปะแขนงนี้ยังสะท้อนได้ถึงความงดงามที่ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปนานเท่าไหร่ ความงดงามนี้ก็ยังคงเป็นอมตะตลอดกาล PIA INTERIOR ออกแบบตกแต่งในคอนเซปต์ Modern Vintage ที่เน้นรายละเอียดแบบเรียบง่าย สมัยใหม่ ผสมผสานกับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งโดยมิกซ์แอนด์แมทช์ระหว่างของเก่าและใหม่ รวมถึงเน้นใช้วัสดุโทนสีเข้มเพื่อให้ดูคลาสสิคแต่ยังคงร่วมสมัย นอกจากนี้ PIA INTERIOR ยังออกแบบตกแต่งในคอนเซปต์ Oriental Twist ที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ใช้สอยส่วนกลางเพื่อตอบสนองวิถีชีวิตครอบครัวไทยสมัยใหม่ รวมถึงสอดแทรกรายละเอียดในการตกแต่งด้วยการใช้วัสดุงานฝีมือ (Craftsmanship) มาลดทอนรายละเอียดให้ดูร่วมสมัย โดยผสมผสานวัสดุโทนสีเข้ม เพื่อสะท้อนความอบอุ่นแบบตะวันออก Zoulliving ออกแบบตกแต่งในคอนเซปต์ Metropolitan Luxury ที่เน้นความพิถีพิถันในการใช้ชีวิตแบบคนเมือง หรูและเรียบง่าย แต่ยังรู้สึกได้ถึงความมีชีวิตชีวาอยู่ในตัว (Vibrant) มีสีสันที่น่าสนใจ สะท้อนให้เห็นถึงรายละเอียดของการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ในแต่ละยูนิตของโครงการจะเน้นขนาดห้องให้มีพื้นที่การใช้สอยมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเน้นกลุ่มครอบครัว กลุ่มคนทำงานในย่านธุรกิจสีลม-สาทร ขณะเดียวกันที่ผ่านมาโครงการคอนโดมิเนียมในย่านนี้ยังมีการออกแบบขนาดห้องที่ค่อนข้างเล็ก รวมถึงโครงการพัฒนาคอนโดมิเนียมให้มีขนาดห้องที่ใหญ่ขึ้นก็มีน้อยลง ซึ่งสวนทางกับความต้องการของกลุ่มผู้ที่ต้องการมองหาคอนโดมิเนียมในทำเลแห่งนี้ที่มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น จึงมั่นใจว่าโครงการ ISSARA COLLECTION SATHORN จะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการมองหาที่อยู่อาศัยที่มีความสะดวกสบาย โดยมั่นใจว่าหลังจากโครงการแล้วเสร็จในต้นปี 2560 จะสามารถปิดยอดขายได้ตามเป้าได้อย่างแน่นอน โครงการ ISSARA COLLECTION SATHORN พร้อมเปิดให้จองและชมห้องตัวอย่างบนอาคารจริงแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 081 234 3752 หรือ www.charnissara.com/Issaracollection