Tag : News

2376 ผลลัพธ์
“บ้านลุมพินี” ปักหมุดราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า ผุดทาวน์โฮม 2 ชั้น จอง 29 เม.ย. นี้

“บ้านลุมพินี” ปักหมุดราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า ผุดทาวน์โฮม 2 ชั้น จอง 29 เม.ย. นี้

“บ้านลุมพินี” ปักหมุดราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า ผุดทาวน์โฮม 2 ชั้น จอง 29 เม.ย. นี้ “บ้านลุมพินี” เดินหน้าพัฒนาทาวน์โฮม 2 ชั้น ย่านราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน หลังประสบความสำเร็จจากทำเลราชพฤกษ์-นครอินทร์ เจาะตลาดคนในพื้นที่และเชื่อมต่อลูกค้า 3 โซน ปิ่นเกล้า-วงเวียนพระราม 5-กาญจนาภิเษก ตอกย้ำความคุ้มค่าของ “บ้านลุมพินี บ้านน่าอยู่” ใส่ใจคุณภาพชีวิตในการอยู่อาศัย โดยทีมงานลุมพินี เปิดบ้านให้จองเสาร์ที่ 29 เม.ย.นี้ เฉพาะบ้านล็อตพิเศษ 2.49 ล้าน วันเดียวเท่านั้น นายจรัญ เกษร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรสันติ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบ “บ้านลุมพินี” เปิดเผยว่าในวันเสาร์ที่ 29 เมษายนนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ “บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า” มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท พร้อมจัดหนักวันเดียวเท่านั้น เฉพาะบ้านล็อตพิเศษ 2.49 ล้านบาท เป็นการพัฒนาโครงการต่อเนื่องจากโครงการบ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-นครอินทร์ ซึ่งถือเป็นทำเลที่มาก ด้วยศักยภาพ มีการคมนาคมที่สะดวก เข้า-ออกได้ 7 ช่องทาง 4 เส้นทางหลัก ได้แก่ ราชพฤกษ์ นครอินทร์ จรัญสนิทวงศ์ และทางพิเศษสายศรีรัช–วงแหวนรอบนอก นอกจากนี้ยังมีความต้องการของอยู่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก โดยเจาะกลุ่มคนในพื้นที่ที่มีความคุ้นเคย ทั้งเชื่อมต่อยังกลุ่มลูกค้าใน 3 โซน ได้แก่ ปิ่นเกล้า วงเวียนพระราม 5 และกาญจนาภิเษก ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการบ้านของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนี้ ด้วยการพัฒนาบ้านที่สมบูรณ์พร้อมในราคาที่เหมาะสม ทั้งยังนำคุณค่าด้านการบริการที่ดี โดยทีมบริหารงานมืออาชีพจากบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด มาร่วมกันดูแลและบริหารจัดการภายใต้แนวคิด “บ้านลุมพินี บ้านน่าอยู่” ในแนวทาง “บ้านดี สิ่งแวดล้อมดี ดูแลดี ผู้คนดี”ที่มุ่งเน้นให้ผู้คนสร้างบรรยากาศที่ดีในการอยู่อาศัยร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือกันไม่จอดรถหน้าบ้าน ไม่ส่งเสียงดังยามวิกาล ร่วมกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ เป็นต้น” “บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า” เป็นทาวน์โฮม ขนาด 2 ชั้น ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 36 ไร่เศษ จำนวน 394 หลัง พื้นที่ใช้สอยประมาณ 115 ตารางเมตร ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ห้องรับแขก ห้องอาหาร ห้องครัวไทย พร้อมที่จอดรถ 2 คัน ภายในโครงการล้อมรอบไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ซึ่งกว่า 50% ของสวนใช้ต้นไม้เดิมในพื้นที่ที่ดูแลรักษามาตั้งแต่เริ่มเข้ามาพัฒนา เพื่อเติมความสดชื่นให้กับผู้อยู่อาศัย รวมถึงสระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย และลานออกกำลังกายกลางแจ้งเพื่อสุขภาพที่ดี บริเวณโครงการโดยรอบยังมีกล้อง CCTV ระบบประตู 2 ชั้น หรือ Double gate security พร้อมด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LPN Call Center 02-689-6888 , www.lpn.co.th และ Facebook : Baan Lumpini
“สถาปนิก’60” เผยยอดจองบูธเกิน 90% มั่นใจงานคึกคักรับอานิสงค์โครงการก่อสร้างภาครัฐ-เอกชนฟื้น

“สถาปนิก’60” เผยยอดจองบูธเกิน 90% มั่นใจงานคึกคักรับอานิสงค์โครงการก่อสร้างภาครัฐ-เอกชนฟื้น

“สถาปนิก’60” เผยยอดจองบูธเกิน 90% มั่นใจงานคึกคักรับอานิสงค์โครงการก่อสร้างภาครัฐ-เอกชนฟื้น “ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล” ผู้จัดงานงานสถาปนิก’60 “บ้าน บ้าน: BAAN BAAN “Reconsidering Dwelling” เผยปิดยอดจองบูธแล้วเกิน 90% บนเนื้อที่ 75,000 ตารางเมตรมีผู้ร่วมแสดงสินค้าชั้นนำกว่า 850 บริษัท จากทุกภูมิภาคทั่วโลก อาทิ จีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย ออสเตรเลีย กัมพูชา เยอรมนี ฮ่องกง เวียดนาม และสาธารณรัฐเชค มั่นใจยอดผู้เข้าชมงานปีนี้ แตะ 400,000 คน เติบโต 15% จากปีก่อน พร้อมพบกับ “งานสถาปนิก’60” งานแสดงเทคโนโลยี สถาปัตยกรรมและวัสดุก่อสร้าง ใหญ่ทีสุดในอาเซียน ครั้งที่ 31 ในวันที่ 2-7 พฤษภาคม 2560 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี นายศุภแมน มรรคา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะผู้จัดงานสถาปนิก’60 ครั้งที่ 31 ภายใต้แนวคิด “บ้าน บ้าน: BAAN BAAN “Reconsidering Dwelling ระหว่างวันที่ 2 – 7 พฤษภาคม 2560 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี เปิดเผยว่า ความเชื่อมั่นของผู้แสดงสินค้า ผู้ประกอบการด้านสถาปนิกทั้งในและต่างประเทศ เริ่มกลับมาคึกคักอย่างมาก สะท้อนจากการผลสำเร็จของการจัดงานสถาปนิก’60 ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากผู้จัดแสดงสินค้าทั้งรายเก่าและรายใหม่ ตอบรับเข้าร่วมออกบูธแสดงสินค้าเกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ยอดผู้เข้าชมงานคาดว่าจะได้ผลตอบรับที่ดีในทิศทางเดียวกัน โดยคาดว่าจะแตะ 400,000 คน เพิ่มขึ้นกว่า 15% จากปีก่อน เนื่องจากได้รับอานิสงค์จากทิศทางอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างในปี 2560 ที่ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นสูงขึ้นจากแผนการลงทุนของภาครัฐและการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่เดินหน้า รวมถึงการขยายตัวของภาคเอกชน ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ตลอดจนถึงการซื้อขายที่อยู่อาศัยน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ จึงทำให้ผู้จัดแสดงชั้นนำจากหลายประเทศมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจ และตอบรับเข้าร่วมงานกันอย่างคึกคัก สถาปนิก’60 นับเป็นงานจัดแสดงเทคโนโลยีด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมและวัสดุก่อสร้าง ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และครบวงจรที่สุด ซึ่งผู้เข้าชมงานจะได้พบกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่น่าตื่นตาตื่นใจหลากหลายนับ 100,000 รายการ จากผู้แสดงสินค้าชั้นนำทั่วโลก อาทิ K-Decor ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสีป้องกันไฟไหม้แบรนด์อันดับสองของเกาหลี, SCG ผู้นำด้านธุรกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าและวัสดุก่อสร้างครบวงจร และ GREENLAM นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ประตูดีไซน์แปลกใหม่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งผู้แสดงสินค้าแต่ละรายก็ได้มีการจัดเตรียมโปรโมชั่น ราคาและส่วนลดพิเศษ, ของสมนาคุณและบริการฟรีต่างๆ อีกทั้งสิทธิประโยชน์มากมายที่จะได้รับในงานนี้โดยเฉพาะ นอกจากนั้น ในงานสถาปนิก’60 ยังมีการจัดกิจกรรมหลากหลายที่น่าสนใจ อาทิ Green Building Materials การจัดแสดงผลิตภัณฑ์ก่อสร้างสีเขียว เพื่อกระตุ้นให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคให้ความสนใจและคำนึงถึงการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, การจัดประกวดบูธแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อสนับสนุนให้ผู้แสดงสินค้าได้สร้างสรรค์พื้นที่แสดงสินค้าและนำเสนอนวัตกรรมที่มีความโดดเด่นน่าสนใจ รวมถึงการเป็นสื่อกลางในการสมัครและจ้างงานระหว่างผู้แสดงสินค้าและผู้ชมงานในพื้นที่โซน Builder Jobs อีกด้วย งานสถาปนิก’60 เปิดให้ลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ (Online Pre-Registration) ได้ที่เว็บไซต์ www.ArchitectExpo.com รับฟรี Show Directory มูลค่า 500 บาท พบกันที่ “งานสถาปนิก’60” งานแสดงเทคโนโลยี สถาปัตยกรรมและวัสดุก่อสร้าง ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ครั้งที่ 31 ในวันที่ 2-7 พฤษภาคม 2560 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ติดตามทุกความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊คแฟนเพจ www.facebook.com/ArchitectExpo และไอดีไลน์ @BuilderNews
‘เอพี ไทยแลนด์’ ส่งแบรนด์ “LIFE” มิติใหม่ รุกตลาดคอนโดแนวรถไฟฟ้าปี 60 พิชิตใจด้วยจุดขายต่าง “เชื่อมต่อทุกมิติชีวิตยุคดิจิตอลคนเมืองอย่างไร้รอยต่อ” “ผสานนวัตกรรมดีไซน์ทุกพื้นที่ใช้สอยตอบรับทุกความต้องการได้อย่างลงตัว”

‘เอพี ไทยแลนด์’ ส่งแบรนด์ “LIFE” มิติใหม่ รุกตลาดคอนโดแนวรถไฟฟ้าปี 60 พิชิตใจด้วยจุดขายต่าง “เชื่อมต่อทุกมิติชีวิตยุคดิจิตอลคนเมืองอย่างไร้รอยต่อ” “ผสานนวัตกรรมดีไซน์ทุกพื้นที่ใช้สอยตอบรับทุกความต้องการได้อย่างลงตัว”

กรุงเทพฯ (20 เม.ย. 60) – วันนี้ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง เสริมแกร่งความเป็นเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้า “เผยมิติใหม่คอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE เป็น Fighting Brand ของกลยุทธ์บุกตลาดเสริมสร้างการเติบโตครั้งสำคัญปี 2560” ภายใต้วิสัยทัศน์ใหญ่ที่โพสิชั่นแบรนด์ LIFE ให้เป็น "Platform of Success สำหรับผู้เป็นเจ้าของ" พร้อมสนับสนุนความสำเร็จให้กับชีวิตยุคดิจิตอลคนยุคใหม่ ทั้งหน้าที่การงาน และชีวิตส่วนตัว ผ่าน 2 วิธีคิดสำคัญ คือ In-Control ผู้อยู่อาศัยสามารถเลือกและควบคุมได้ด้วยตนเอง และ Connected World การจัดเตรียมระบบโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมเชื่อมต่อโลกดิจิตอลได้ทุกที่ทุกเวลาตลอดการอยู่อาศัย เดินหน้าเปิดตัวคอนโดมิเนียมมิติใหม่ 3 โครงการในปีนี้ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท ประเดิมโครงการแรกด้วยการผนึกกำลัง “มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป” (MEC) พันธมิตรญี่ปุ่น ร่วมพัฒนาสุดยอดคอนโดมิเนียม ‘LIFE ลาดพร้าว’ แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางเมือง เพียงหนึ่งก้าวจากรถไฟฟ้า พร้อมแนะนำ 2 นวัตกรรมใหม่เจ้าแรกในเมืองไทย “AP Intelligent Space” ดีไซน์พื้นที่ใช้สอยให้ปรับเปลี่ยนได้ตามสไตล์การใช้งาน และ “AP Corridor Window Innovation” เพื่อช่วยให้ระบายอากาศบริเวณโถงทางเดิน ไม่อับชื้น ลดการสะสมแบคทีเรีย เพื่อที่สุดของคุณภาพชีวิตคนเมือง คอนโด LIFE ลาดพร้าว โดดเด่นกว่าใครในตลาดคอนโดด้วยจุดต่างสำคัญ: (1) AP Intelligent FACILITY ผสานเทคโนโลยีในการดีไซน์พื้นที่ส่วนกลาง (2) AP Intelligent CONTROL   ทุกอย่างควบคุมได้ด้วยปลายนิ้ว (3) AP Intelligent SPACE ดีไซน์พื้นที่ใช้สอยให้ปรับเปลี่ยนได้ตามสไตล์  การใช้งาน นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยว่า “LIFE คือ หนึ่งในคอนโดมิเนียมแบรนด์ที่ปลุกกระแสการพักอาศัยในคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าของคนเมืองในตลาดคอนโดของเมืองไทย โดยได้รับการตอบรับที่ดี และถือเป็นความภาคภูมิใจของเอพีเสมอมา คอนโด LIFE ประสบความสำเร็จเป็นที่ต้องการเพราะทำเลที่ตั้งที่โดดเด่น สะดวกในการเดินทาง และมอบความสบายในการอยู่อาศัย สำหรับปี 2560 นี้ เอพี (ไทยแลนด์) มีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างการเติบโตของธุรกิจคอนโดมิเนียมและรักษาความเป็นเจ้าตลาดของคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า เราจึงพร้อมเปิดตัว ‘มิติใหม่ของคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE ภายใต้แนวคิด Platform of Success’ นั่นคือ นอกจากในเรื่องของทำเลที่จะต้องตั้งอยู่บนพื้นที่ที่ดีที่สุดของย่านนั้นๆ แล้ว LIFE ยังต้องตอบโจทย์ความต้องการของชีวิตยุคดิจิตอลของคนรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างดีที่สุด ทั้งเรื่องการทำงาน และด้านชีวิตส่วนตัว เราจึงนำเสนอมิติใหม่ของ LIFE ที่จะเป็นคอนโดมิเนียมแห่งแรกและแห่งเดียวที่มอบ ความสะดวกสบายในการพักอาศัย และการเชื่อมต่อกับผู้คนได้อย่างไร้ขีดจำกัด ตลอดเวลาที่ต้องการ (stay connected to the world 24/7) เป็นจริงได้ภายใต้วิสัยทัศน์ AP Digital Community ที่มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านการวางระบบ infrastructure ระบบโครงสร้างภายในที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็วในพริบตาได้อย่างไร้ขีดจำกัด รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยมอบความสะดวกสบาย และความปลอดภัยให้กับทุกชีวิตในคอนโด LIFE” “สำหรับคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE โครงการแรกที่จะเปิดตัวในปี 2560 นั้น คือ ‘LIFE ลาดพร้าว’ ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดบริเวณห้าแยกลาดพร้าว ตรงข้ามโรงเรียนหอวัง และเซ็นทรัลลาดพร้าว เพียงหนึ่งก้าวจากรถไฟฟ้า มูลค่าโครงการ 7,600 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท  บนพื้นที่ทั้งหมดกว่า 7 ไร่ ประกอบด้วยอาคารที่พักจำนวน 2 อาคาร สูง 45 ชั้นและ 46 ชั้น จำนวน 1,615 ยูนิตขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 1) สตูดิโอ ขนาดพื้นที่ใช้สอย  26 – 29 ตารางเมตร 2) ห้องชุด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 35 ตารางเมตร และ 3) ห้องชุด 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 48.5 - 75 ตารางเมตร ใจกลางของห้างสรรพสินค้าและแหล่งชอปปิ้ง โรงเรียน อาคารสำนักงาน และยังใกล้กับสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ไม่ว่าสวนจตุจักรหรือสวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) เหมาะกับการพักผ่อนและการออกกำลังกาย ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการคมนาคม สะดวกทั้งการใช้รถยนต์ส่วนตัว และระบบขนส่งสาธารณะ ตั้งอยู่บนทำเลเชื่อมต่อที่สำคัญและดีที่สุดบริเวณห้าแยกลาดพร้าว เพียงหนึ่งก้าวจากรถไฟฟ้าสถานีห้าแยกลาดพร้าว  หรือเพียง 5 นาทีถึง MRT สถานีพหลโยธิน และ BTS สถานีหมอชิต และจุดขึ้น-ลงทางด่วน นอกจากนี้ การออกแบบดีไซน์ของตัวโครงการ LIFE ลาดพร้าว ยังมีความโดดเด่น โดยได้แรงบันดาลใจมาจากลวดลาย Silhouette ของผ้าฉลุ ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะดังกล่าวที่ทำให้เป็นที่จดจำของผู้ที่สัญจรไปมา ประหนึ่งเป็นดังแลนด์มาร์คใหม่ของย่านเลยทีเดียว ผู้ที่ซื้อคอนโด LIFE ลาดพร้าว จะสัมผัสได้ถึงประสบการณ์การสามารถเชื่อมต่อทุกมิติของการดำเนินชีวิตในเมืองยุคดิจิตอลอย่างไม่มีสะดุด ทำให้ชีวิตประจำวันกับการทำงานผสานกันได้อย่างลงตัวอย่างแท้จริง” นายวิทการกล่าว จุดโดดเด่นแตกต่าง หรือ Wow Factors หลัก 3 ประการของคอนโดมิเนียม LIFE ลาดพร้าว มีดังนี้ 1. AP Intelligent Facility ผสานเทคโนโลยีในการดีไซน์พื้นที่ส่วนกลาง ครั้งแรกในการใช้ชีวิต Digital Community อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการติดตั้ง Infrastructure ที่พร้อมรองรับสิ่งอำนวยความสะดวก และสัญญาณ Wi-fi ทุกจุด - Portable Working Station นอกเหนือจากพื้นที่ส่วนกลางที่รองรับการพักผ่อนและการต้อนรับแขก โครงการ LIFE ลาดพร้าว ยังเพิ่มการออกแบบพื้นที่แบบ Portable Working Station ที่จะทำให้การเชื่อมต่อเป็นเรื่องง่าย พร้อมการติดตั้งอุปกรณ์ที่พร้อมรองรับการใช้งานจริง อาทิ เทคโนโลยีซาวน์โดม (Sound Dome) จอทัชสกรีน (Touchscreen) ผนังของห้องที่คัดสรรวัสดุให้สามารถใช้เป็น Mirror Board หรือ  Wireless Phone Charger เป็นต้น ที่จัดเตรียมให้ในทุกพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ - Private Meeting Room คำนึงถึงการจัดเตรียมพื้นที่สำหรับการทำงานเป็นกลุ่มในดีไซน์ที่ล้ำสมัย  สู่การสร้างสรรค์ต่อยอดไอเดียการทำงานได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมระบบ Digital เต็มรูปแบบ อาทิ อุปกรณ์ไร้สายเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์และจอทัชสกรีน เพื่อความสะดวกในการนำเสนองาน เป็นต้น - Sky Working Space & Cocoon Space ออฟฟิศชิดขอบฟ้าบนชั้น 45 เพิ่มสีสันและความครีเอทีฟให้การทำงานไม่ซ้ำซากจำเจ พร้อมติดตั้ง Cocoon Space ให้เป็น Private Space แม้จะอยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง ก็สามารถนั่งทำงานได้โดยไม่ถูกรบกวนและสามารถใช้ Wi-fi ที่จัดเตรียมไว้ให้ได้เช่นกัน นอกจากนี้ทางโครงการยังเตรียม Outdoor Facility เพิ่มพื้นที่ชีวิตให้ออกแบบกิจกรรมตามไลฟ์สไตล์ได้อย่างไม่จำกัด บนพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่ ทางโครงการได้ออกแบบแลนด์สเคปโดยจัดวางที่นั่งและทางเดินในมุมที่ร่มรื่นพร้อมต้นไม้และสายน้ำ เพื่อความสวยงามเสมือนนั่งทำงานท่ามกลางธรรมชาติ และยังสามารถใช้ Wi-fi ได้เสมือนอยู่ภายในอาคารอีกด้วย พร้อม Iconic Infinity Lap Pool สระว่ายน้ำแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่ให้คุณได้แหวกว่ายและดื่มด่ำไปกับวิวเมืองระยิบระยับ  และที่นั่ง Sky Cabana ที่หรูหราและผ่อนคลาย และ Panoramic Fitness ห้องฟิตเนสมุมกว้าง เพื่อใช้ชีวิตแบบ    แอคทีฟพร้อมความเป็นส่วนตัวไปกับ Private Treadmill และพิเศษด้วย Yoga Fly Facilities 2. AP Intelligent Control ทุกอย่างควบคุมได้เพียงปลายนิ้ว ภายใต้วิสัยทัศน์ AP Digital Community อย่างเต็มรูปแบบ ที่จะเข้ามาส่งเสริมให้การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ในโครงการ เอพีให้สะดวกสบายและปลอดภัยในรูปแบบใหม่ที่สะดวกกว่าเดิม โดยบริษัทได้วางแผนพัฒนา AP Community Application ที่จะช่วยเติมเต็มมากกว่าแค่ความสะดวกสบาย ทว่ามีความปลอดภัยและง่ายดาย โดยเปรียบเสมือนคีย์การ์ดของคอนโดมิเนียม ที่สามารถสั่งเปิดและปิดประตูได้ตั้งแต่ประตูทางเข้าคอนโดมิเนียม ประตูห้องพัก นอกจากนี้ ผู้อยู่อาศัยยังสามารถใช้ระบบแอพพลิเคชั่นนี้ในการจองสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ห้องประชุม หรือติดต่อประสานงานกับผู้ดูแลคอนโดมิเนียม e-Payment การติดตามการแจ้งซ่อม รวมทั้งให้คำแนะนำ และรับทราบข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของคอนโดมิเนียมได้อีกด้วย 3. AP Intelligent Space ดีไซน์พื้นที่ใช้สอยให้ปรับเปลี่ยนได้ตามสไตล์การใช้งาน ครั้งแรกของวงการคอนโดมิเนียมไทยที่เปลี่ยนข้อจำกัดของพื้นที่สู่การออกแบบ ห้องพักขนาด 35 ตร.ม. ให้สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นของห้องให้ตรงตามความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยได้ เช่น ปรับเปลี่ยนห้องรับแขกเป็นห้องนอนอีก 1 ห้อง เป็นห้องทำงาน หรือ ห้องแต่งตัว เป็นต้น ซึ่งในขนาดห้องประมาณ 35 ตร.ม. แต่สามารถทำเป็น 2 ห้องนอนที่อาศัยอยู่ได้จริง ถือว่าคุ้มค่าและยังไม่มีคู่แข่งรายใดสามารถทำได้ พร้อมด้วยระบบ AP Master Switch โดยจะเป็นสวิตช์ไฟที่ติดตั้งอยู่ที่หน้าประตูห้อง ผู้อยู่อาศัยสามารถปิดสวิตช์นี้เพียงครั้งเดียว แทนที่จะตามปิดไฟทุกสวิตช์ในคอนโด ช่วยให้ประหยัดเวลา เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบและรักความสะดวกของคนเมือง และครั้งแรกในประเทศไทยกับนวัตกรรม AP Corridor Window Innovation ที่เอพีคิดค้นและพัฒนาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อมุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าเอพี ด้วยการผสานวิธีในเชิงวิศวกรรมเข้ากับงานสถาปัตยกรรม จนเกิดเป็นนวัตกรรมดีไซน์ใหม่ ที่ช่วยลดทอนปัญหาความร้อนและความอับชื้นภายในโถงทางเดินของคอนโดมิเนียมแต่ละชั้น ด้วยการออกแบบบานหน้าต่างรูปแบบพิเศษลิขสิทธิ์เฉพาะของเอพี ที่ช่วยให้อากาศในแต่ละชั้นมีการถ่ายเทหมุนเวียนตามธรรมชาติตลอด 24 ชั่วโมง สร้างความโปร่ง โล่ง สบายมากยิ่งขึ้น ทั้งยังลดการสะสมของแบคทีเรีย รวมถึงความร้อนภายในตัวอาคาร อีกทั้งนวัตกรรมนี้ยังออกแบบโดยคำนึงถึงสภาวะฝนตก ด้วยโครงตาข่าย(grille) 3 ชั้นที่ซ่อนอยู่ภายในโครงหน้าต่าง ซึ่งจะช่วยหักเหทิศทางของลม ไม่ให้สายฝนผ่านเข้ามายังโถงทางเดิน ขณะที่อากาศก็ยังสามารถหมุนเวียนได้ตามปกติตลอดวัน จากแผนธุรกิจในการพัฒนาสินค้าคอนโดมิเนียมปี 2560 ที่เตรียมเปิดตัว 3 โครงการใหญ่แห่งปี มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขายในส่วนคอนโดมิเนียมไว้ที่ 12,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 24% จากยอดขายปีก่อนหน้า ประเดิมเปิดโครงการแรก LIFE ลาดพร้าว จำนวน 1,615 ยูนิต มูลค่าโครงการ 7,600 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท โดยจะเปิดขายอย่างเป็นทางการ 20–21 พฤษภาคมนี้ ณ สำนักงานขายโครงการ LIFE ลาดพร้าว “สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าในวันนี้ เชื่อว่าตลาดคอนโดระดับกลางถึงไฮเอนด์ไม่น่ากังวล ดีมานด์ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อพิจารณาเจาะลึกที่ตลาดคอนโดติดรถไฟฟ้าย่านสะพานควาย-พหลโยธิน พบว่าจำนวนซัพพลายในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับดีมานด์ความต้องการที่ยังคงเติบโต จากการสำรวจของเราด้วยจำนวนซัพพลายคงเหลือขายย้อนหลัง 5 ปี พบว่าปัจจุบันย่านรถไฟฟ้าสะพายควาย-พหลโยธิน มีคอนโดคงเหลือขายเพียงประมาณ 2,000 ยูนิต (ประมาณ 900 ยูนิตนั้นล้วนเป็นสินค้าของผู้ประกอบการรายใหญ่) และหากย้อนดูแนวโน้มการเปิดตัวในแต่ละปี โดยเฉพาะของผู้ประกอบการรายใหญ่ จะเห็นได้ว่ามีการเปิดตัวในสัดส่วนที่น้อยลง อาจจะด้วยที่ดินส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนาในเชิงพาณิชย์อื่นๆ ทำให้การหาซื้อที่ดินขนาดที่เหมาะสมกับการพัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าเป็นไปได้ยาก ซึ่งปัจจัยนี้ถือเป็นตัวช่วยกรองโครงการใหม่ๆ หรือผู้ประกอบการที่จะลงมาแข่งขันพัฒนาคอนโดที่อยู่อาศัยในย่านนี้ให้เหลือน้อยลง ซึ่งสวนทางกับดีมานด์ที่มีอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากเปอร์เซ็นต์ยอดขาย เฉลี่ยอยู่ที่ 85% โดยเฉพาะสินค้าคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าระดับกลางถึงไฮเอนด์ระดับราคาขาย 3–7 ล้านบาท ล้วนเป็นโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ขายได้ดี กล่าวโดยสรุปได้ว่าตลาดคอนโดติดรถไฟฟ้าย่านสะพานควาย-พหลโยธินยังไม่โอเวอร์ซัพพลาย เพราะยังมีดีมานด์ที่รอสินค้าที่พร้อมตอบโจทย์ความต้องการในทุกด้าน ดังนั้นสินค้าที่จะลงไปแข่งขันในตลาดนี้ต้องสร้างความแตกต่าง เพื่อที่จะชนะใจคนเมืองที่กำลังมองหาคอนโดในทำเลนี้ ที่นับวันจะมีแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น” นายวิทการกล่าว ปัจจุบันเอพีมีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Ongoing Projects) จำนวน 15 โครงการ มูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 13,400 ล้านบาท และยังมีโครงการที่ร่วมทุนระหว่างเอพีและ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MEC) อีก 8 โครงการ มูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 3,000  ล้านบาท ในส่วนของยอดขายกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ถึงแม้บริษัทจะไม่ได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่สามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 550 ล้านบาท จากโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา โดยมั่นใจว่าจากการเปิดตัว LIFE ลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 7,600 ล้านบาท จำนวน 1,615 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดพรีเซลล์อย่างเป็นทางการในช่วงวันที่ 20–21 พฤษภาคมนี้ จะสร้าง Talk of the Town และโกยยอดขายคอนโดมิเนียมล็อตใหญ่ได้อย่างแน่นอน “เอพี (ไทยแลนด์) โดยคุณอนุพงษ์ อัศวโภคิน CEO และพันธมิตรสำคัญ คือ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MEC) ที่ได้ร่วมมือกันมากว่า 3 ปี ได้วางวิสัยทัศน์ไว้อย่างกว้างไกลและได้ให้แนวทางการทำงานใน 3 แกนหลัก ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยและลูกบ้านเอพี การพัฒนากระบวนการการทำงานด้วยการแบ่งปันองค์ความรู้ระหว่างทั้งสองบริษัท และที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนานวัตกรรมสเปซและเทคโนโลยี โดยเอพี (ไทยแลนด์) มุ่งมั่นที่จะสร้างนวัตกรรมที่แตกต่างและยั่งยืน โดยผสานแนวคิด AP Digital Community เข้ากับการพัฒนาสเปซหรือพื้นที่ใช้สอย ให้ชีวิตประจำวันของลูกบ้านมีความสะดวกสบายและปลอดภัย” นายวิทการกล่าวสรุป “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง”
วีรันดา ทุ่ม 2.5 พันล้าน เปิดตัว “วีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน” คอนโดฯพรีเมี่ยมบนทำเลทอง บีชฟร้อนท์ (Beach Front) ผืนงามที่ควรค่ากับการลงทุน

วีรันดา ทุ่ม 2.5 พันล้าน เปิดตัว “วีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน” คอนโดฯพรีเมี่ยมบนทำเลทอง บีชฟร้อนท์ (Beach Front) ผืนงามที่ควรค่ากับการลงทุน

วีรันดา (Veranda) ผู้นำดีไซน์แบรนด์ของกลุ่มอสังหาฯ ทุ่ม 2.5 พันล้าน เปิดตัว “วีรันดา เรสซิเดนซ์  หัวหิน” (Veranda Residence Hua-Hin) คอนโดฯสุดพรีเมี่ยมบนทำเลทองริมหาดหัวหิน ผืนงามที่ควรค่ากับการลงทุน ชูจุดเด่นดีไซน์คอนโด ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูแบรนด์ควอตโตร ดีไซน์ พร้อมเซอร์วิสแบบบูทีคโฮเทล พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและใกล้แหล่งท่องเที่ยวสุดชิค ตอบทุกโจทย์ของการพักผ่อนเมืองตากอากาศสุดฮิป แง้มเปิดกลางเดือนเมษายนนี้ นายวีรวัฒน์ องค์วาสิฏฐ์  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วีรันดา รีสอร์ท แอนด์ สปา จำกัดผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ดีไซน์แบรนด์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับโครงการวีรันดา รีสอร์ท หัวหิน, วีรันดา เชียงใหม่ เดอะ ไฮ รีสอร์ท, วีรันดา รีสอร์ท พัทยา และ วีรันดา เรสซิเดนซ์ พัทยา คอนโดมิเนียมหรู ริมหาดนาจอมเทียน ที่ที่ได้รับประแสตอบรับเป็นอย่างดีสามารถปิดยอดขายได้กว่า 80% ล่าสุดเตรียมทุ่มเม็ดเงินกว่า 2.5 พันล้านบาท เนรมิตพื้นที่หน้าหาดหัวหิน ที่ดินผืนงามที่มีพื้นที่รวมกว่า 14 ไร่ ซึ่งควรค่าแก่การลงทุน  เพื่อเปิดตัว “วีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน” ตอกย้ำความเป็นมืออาชีพในการสร้างมุมมองการท่องเที่ยวสไตล์ ชิค & ฮิป ที่เน้นดีไซน์ของการออกแบบที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนทุกรุ่นอย่างเหนือระดับ พร้อมบริการ Hotel Service รองรับนักท่องเที่ยวที่มาเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง “ในแวดวงรีสอร์ท วีรันดา เรียกได้ว่าเป็นรุ่นแรกๆ ของ Design Hotel ซึ่งตอนนี้วีรันดา รีสอร์ท หัวหินได้มีการปรับโฉมและรีโนเวทให้ร่วมสมัยมากยิ่งขึ้นไป จนได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ นับเป็นจุดเด่นของทีมดีไซน์ ที่สามารถสร้าง First Impression ได้ตั้งแต่แรกที่มาเยือน โดยเฉพาะล่าสุด วีรันดา เรสซิเดนซ์ พัทยา (Veranda Residence Pattaya) ที่สร้างปรากฏการณ์ในโลกโซเชียล ซึ่งมีกระแสชื่นชมอย่างมาก ทำให้ภาพรวมของการท่องเที่ยวพัทยาคึกคักขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และครั้งนี้ เรามองว่าที่ผ่านมาไม่มีการสร้างที่พักใหม่ๆ โดยเฉพาะ Beachfront Residence ใน อ.หัวหินมานานแล้ว อีกทั้งพื้นที่ติดทะเลริมหาดผืนใหญ่ หาได้ยากขึ้น ถึงแม้ว่าอาจจะยังมีที่ดินเปล่าอยู่บริเวณ เขาเต่า ปึกเตียนและปราณบุรีอยู่บ้าง แต่พื้นที่เหล่านั้นยังไกลจากศูนย์กลางเมืองและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึงหาดทรายก็ยังไม่สวยเท่าหัวหิน จึงยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก ดังนั้นโครงการวีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน จึงสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนที่มาพักผ่อน ท่องเที่ยวและเพื่อการลงทุนได้อย่างแน่นอน” วีรันดา เรสซิเดนซ์  หัวหิน (Veranda Residence Hua-Hin) นับเป็นโครงการที่พักอาศัยตากอากาศสุดพรีเมี่ยม ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ และตั้งอยู่ริมชายหาดหัวหิน ใกล้กับเขาตะเกียบ อีกทั้งยังสะดวกสบายสำหรับการเดินทาง ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอาทิ  เพียง 3 นาทีสู่ท่าเรือเฟอร์รี่หัวหิน - พัทยา  เพียง 3 นาทีไปตลาดไนท์มาร์เก็ต ซิคาด้า  5 นาทีจากโรงพยาบาลกรุงเทพ หัวหิน และศูนย์การค้า บลูพอร์ต หัวหิน หรือใช้เวลาเดินทางไปยังสวนน้ำวานา นาวาด้วยเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังจัดเป็น First Hotel Serviced Beachfront Design Residence หรือเป็นที่พักอาศัยริมชายหาดแห่งแรกที่มาพร้อมกับการบริการแบบโรงแรม เพราะภายในโครงการจะมีส่วนของบูทีคโฮเทลภายใต้แบรนด์น้องใหม่ “อะ วีรันดา คอลเลคชั่น” (A Veranda Collection) เพื่อสร้างมาตรฐานการบริการและมอบประสบการณ์วันพักผ่อนที่ลูกค้าไม่เคยได้รับจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่น วีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน จึงเหมาะกับการเป็นบ้านหลังที่สอง ทั้งเพื่อการพักผ่อนและลงทุนในคอนโดมิเนียมอารมณ์รีสอร์ทนั่นเอง “เนื่องจากเราเป็น Design Brand คือ มีความถนัดในเรื่องการออกแบบ การพัฒนา และการบริหารรีสอร์ท หรือที่พักอาศัยให้ตอบโจทย์ของผู้อยู่อาศัยในคราวเดียวกัน คือลูกค้าที่ต้องการการพักผ่อนและความสะดวกเหมือนอยู่บ้าน แต่ก็ยังไม่ทิ้งสไตล์ตัวเอง  วีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน จึงพัฒนาการออกแบบในเป็นเป็นแนวโมเดิร์น คอมเท็มโพรารี (Modern Contemporary) ในสไตล์แบบฉบับของวีรันดา ด้วยการนำลักษณะและศิลปะของพื้นที่ มาผสมผสานให้เข้ากับความทันสมัยที่เหมาะแก่การพักผ่อนที่เน้นการออกแบบการตกแต่งภายใน รวมถึงการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์ที่มีดีไซน์ฌฉพาะตัว ออกแบบโดยคอวตโตร ดีไซน์ (Quattro Design) และเสริมความโดดเด่นที่ทำให้วีรันดาแตกต่างจากโครงการคอนโดมิเนียมทั่วไปคือ การเน้นพื้นที่ของแลนด์สเคป (Landscape) ให้มาก ออกแบบให้มีสระว่ายน้ำเป็นองค์ประกอบหลักของพื้นที่ เรียกว่าเป็นที่พักริมทะเลที่มีพื้นที่สระว่ายน้ำมากที่สุดของหัวหินเลยทีเดียว” นายวีรวัฒน์กล่าวเสริม วีรันดา เรสซิเดนซ์  หัวหิน (Veranda Residence Hua-Hin) ประกอบด้วย 5 อาคาร รวมทั้งหมด 263 ยูนิต โดยราคาขายเริ่มต้นที่  3.9 ล้านบาทและมีห้องพิเศษ Sky Pool Duplex สนนราคาอยู่ที่ 49 ล้านบาท  นำเสนอความพิเศษด้วยห้องพักสองชั้นพร้อมสระว่ายน้ำลอยฟ้าซึ่งมาพร้อมกับชุดเครื่องครัวและชุดสุขภัณฑ์นำเข้า ที่รับรองถึงความพรีเมี่ยม นอกจากนี้โครงการยังได้ผ่านการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA : Environmental Impact Assessment) เรียบร้อยแล้ว โดยเริ่มให้เปิดจองกลางเดือนเมษายนนี้ และจะเริ่มต้นก่อสร้างต้นปี 2561 คาดว่าใช้เวลาแล้วเสร็จประมาณ 2 ปี ทางด้าน น.ส.อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด (CBRE) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเป็นที่ปรึกษาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า “ในช่วงที่ผ่านมาแนวโน้มการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเมืองชายทะเลอย่างหัวหินดีขึ้นตามลำดับและคาดว่าตลาดคอนโดฯ ในเมืองตากอากาศจะสามารถขยายตัวสูงขึ้นได้อีก   ด้วยปัจจัยบวกจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐที่กระจายลงไปในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาคอนโดฯ หรูมีราคาขยับสูงขึ้น โดยเฉพาะโครงการวีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน  มีจุดแข็งสำคัญที่เป็นโครงการที่ติดชายหาด และมีรูปแบบโครงการที่นำเสนอบริการในแบบบูทีคโฮเทล ที่สามารถอำนวยความสะดวกยิ่งขึ้นสำหรับการพักผ่อน ด้วยมาตรฐานการบริการในระดับพรีเมี่ยม และราคาที่สมเหตุผล เชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนให้ยอดการจองคอนโดมิเนียมฯ ครั้งนี้เป็นไปได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ยังเชื่อว่า วีรันดา เรสซิเดนซ์  หัวหิน (Veranda Residence Hua-Hin) จะสามารถสร้างกระแสตอบรับที่ดีทั้งจากชาวไทยและต่างประเทศ เนื่องจากราคาและคุณภาพ ตลอดจนระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และมาตรฐานการบริการที่แปลกใหม่ ในราคาสมเหตุสมผล จะทำให้ วีรันดา เรสซิเดนซ์  หัวหิน (Veranda Residence Hua-Hin) เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า จากทั้งผู้บริโภค และนักลงทุน ประกอบกับตัวเลขนักท่องเที่ยวและภาพรวมของเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดีขึ้น เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดีหลังจากเปิดตัวโครงการช่วง Pre-sale ในเดือนเมษายน ปี 2560 แน่นอน สำหรับตลาดหัวหิน ยังคงเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยและกลุ่มผู้ที่ต้องการบ้านพักตากอากาศชายทะเล ในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมาโครงการเปิดตัวใหม่ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่อำเภอชะอำและเขาเต่า โดยไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่บริเวณชายหาดหัวหิน ในขณะที่ความต้องการของผู้ซื้อคอนโดติดชายหาดหัวหินมีจำนวนมาก แต่ที่ดินที่เหลือบนหาดหัวหินมีน้อยลงทุกที การเปิดตัวของ วีรันดา เรสซิเดนซ์  หัวหิน น่าจะตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดีทั้งในแง่ทำเล ราคา และการที่มี Hotel Service ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.verandaresidence.com หรือ โทร. 088-895-2121
เขย่าวงการอสังหา  คิงพาวเวอร์ บุกซื้อ”โรงแรม- จุดชมวิว” ตึกมหานคร

เขย่าวงการอสังหา คิงพาวเวอร์ บุกซื้อ”โรงแรม- จุดชมวิว” ตึกมหานคร

เรียกว่าเป็นทอล์กอ๊อฟเดอะทาวน์ กันในช่วงสัปดาห์ก่อนสงกรานต์กับการประกาศซื้อโรงแรม, จุดชมวิว Observation Deck และอาคารรีเทลมหานครคิวป์ในตึก "มหานคร" ของเจ้าพ่อดิวตี้ฟรีอย่างคิงเพาวเวอร์ ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า14,000 ล้านบาทเพื่อต่อยอดธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยวหวังดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนอย่างต่อเนื่อง ทำให้เจ้าของอย่างบริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ได้รับเงินจากการขายในครั้งนี้เพื่อต่อชีวิตอีก 4 โครงการที่อยู่ในมือ ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท ได้แก่ The Ritz-Carlton Residence Bangkok มี Backlog 3,280 ล้านบาท และห้องชุดที่รอขาย 4,281 ล้านบาท โครงการมหาสมุทร วิลล่า มี Backlog 816 ล้านบาท และรอขาย 3,088 ล้านบาท โครงการนิมิต หลังสวน มียอดขายแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็น Backlog 6,709 ล้านบาท และห้องชุดรอขาย 1,291 ล้านบาท และWindshell นราธิวาส มี Backlog 792 ล้านบาท และห้องชุดรอขาย 2,208 ล้านบาท ทั้งนี้คาดว่าจะรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2561-2562 ก่อนหน้านี้ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) หนึ่งในบิ๊กอสังหาเคยเสนอราคาเพื่อซื้อโครงการนิมิตหลังสวนทั้งโครงการ และห้องชุดที่พักอาศัยในโครงการ The Ritz-Carlton Residence Bangkok จำนวน 53 ห้องชุด ในโครงการมหานคร แต่ก็มีเหตุล้มดีลไปโดยที่แสนสิริจะได้รับเงินมัดจำ 322,823,805 บาทคืนเต็มจำนวน นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทจะนำเงินรวมกับกระแสเงินสดจากการขายหุ้น เพิ่มทุนในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 มูลค่า 3,894 ล้านบาท มาเพื่อลดหนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทแข็งแรงขึ้นและมั่นคงในระยะยาวต่อไป สำหรับโครงการมหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน บริษัทฯ มีแผนที่จะหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อร่วมลงทุนและปรับรูปแบบ พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ให้กับโครงการ ด้วยการเพิ่มจำนวนห้องพักเพื่อทำเป็นโรงแรมเพื่อสุขภาพแบบครบวงจรระดับไฮเอนด์ในคลับเฮ้าส์ (Health & Wellness) ซึ่งปัจจุบัน มีสมาชิกกว่า 200 สมาชิก ปรากฎการณ์ได้ครั้งนี้ ทำให้วงการอสังหาประเทศไทยแปลกใจไม่น้อยว่าเจ้าพ่อดิวตี้ฟรีจะชิมลางธุรกิจอสังหาหรือไม่ และทางด้านเพซ ดีเวลลอปเมนท์ จะเริ่มเดินหน้าโครงการมหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน ที่หลายคนรอคอยออกมาให้เห็นหรือไม่ คงต้องจับตาดูกันต่อไป
ส่อง! เทรนด์ตลาดรับสร้างบ้านยุค 4.0 ต้องเติมเต็ม “นวัตกรรม”

ส่อง! เทรนด์ตลาดรับสร้างบ้านยุค 4.0 ต้องเติมเต็ม “นวัตกรรม”

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ชี้เทรนด์ตลาดรับสร้างบ้านยุค 4.0 ต้องเติมเต็ม นวัตกรรม “พิชิต อรุณพัลลภ” ระบุธุรกิจเข้าสู่ยุคทำงานร่วมกับผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุฯ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่และสอดคล้องกับการอยู่อาศัยในอนาคตสังคมเข้าสู่ผู้สูงอายุ นายพิชิต อรุณพัลลภ นายกสมาคมธุรกิจรัลบสร้างบ้านเปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดรับสร้างบ้านมีการแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรง มาจาก 2 เหตุผลหลักคือ  ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านต้องการสร้างยอดขายและหาลูกค้าใหม่เข้ามาชดเชยลูกค้าเก่าที่ครบกำหนดส่งมอบบ้าน อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีผู้ประกอบการรายใหม่ที่เดิมเป็นตัวแทนจำหน่ายวัสดุก่อสร้างได้ขยายการบริการสู่ธุรกิจรับสร้างบ้าน แต่อย่างไรก็ตาม การแข่งขันกันด้วยกลยุทธ์ “ราคา” หรือ ลด แลก แจก แถม นั่นอาจสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการงานเข้ามา แต่ไม่ตอบโจทย์ในระยะยาว ดังนั้นเพื่อรองรับการแข่งขันในอนาคตและเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจหรือ “ตลาดบ้าน” หรือ “ตลาดที่อยู่อาศัย” ยุค4.0 ที่ต้องให้ความสำคัญเรื่อง “นวัตกรรม” มาใส่ในแบบบ้านยุคใหม่ อาทิ แบบบ้านเพื่อประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากจะให้ความสำคัญในเรื่องนวัตกรรมแล้ว ผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้านก็ต้องวางแผนรับมือการตลาดยุคโซเชียลมีเดียด้วยเช่นกัน รับสร้างบ้านยุคใหม่แข่ง “นวัตกรรม-ดีไซน์-บริการ” “ปัจจุบันผมว่าวงการที่อยู่อาศัยได้มีการพัฒนาในทุกแง่มุมเพื่อรองรับการอยู่อาศัยทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุก่อสร้างที่มีนวัตกรรม รวมทั้งโครงสร้างบ้านที่แข็งแรง รายละเอียดต่างๆ เหล่านี้ผู้ประกอบธุรกิจรับสร้างบ้านต้องให้ความสำคัญ” นายพิชิต กล่าว พร้อมกับให้ความเห็นว่า จากนี้ไปในการออกแบบบ้านซีรี่ย์ใหม่ๆของผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้านอาจต้องหาข้อมูลหรือทำงานร่วมกับบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ หรือเทรนด์การอยู่อาศัยในอนาคตเพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ เช่น นวัตกรรมการจัดพื้นที่เพื่อรองรับกับผู้สูงอายุแบบครบวงจรไม่ว่าจะเป็น ห้องน้ำ ห้องนอน ทางขึ้นลง รวมถึงพื้นที่นั่งเล่น เป็นต้น แม้การทำงานของธุรกิจรับสร้างบ้านในหลายๆ ส่วนเทคโนโลยียังไม่สามารถที่จะทดแทนได้ ยังต้องอาศัยมนุษย์เป็นคนทำ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยอมรับว่ากระแสยุคดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทต่อธุรกิจรับสร้างบ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเทคโนโลยีในการออกแบบอาคารเป็นรูป3มิติ ที่จะช่วยให้คำณวน ปริมาณวัสดุที่ต้องใช้ เทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเรียนรู้และต้องก้าวตามให้ทัน เพราะนอกจากจะช่วยให้ง่ายต่อการทำงานแล้ว ยังสามารถที่จะคำนวณต้นทุนต่างๆ ได้ด้วย ด้วยรูปแบบของธุรกิจรับสร้างบ้านเป็นงานบริการที่รับปลูกสร้างบ้านบนที่ดินของลูกค้า ดังนั้น ความต้องการของลูกค้าแต่ละรายย่อมมีความแตกต่างกัน เมื่อลูกค้ามีความชอบที่เป็นแบบยูนีค การให้ความสำคัญด้านการดีไซน์ และการบริการทั้งก่อนและหลังการขายอย่างต่อเนื่อง จึงน่าจะเป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการในธุรกิจรับสร้างให้ความสำคัญ โดยเห็นได้เด่นชัดคือ “คนเจเนอเรชั่น วาย หรือ เจนวายที่เติบโตมากับยุคดิจิทัลและมีกำลังซื้อสูง ลูกค้ากลุ่มนี้ย่อมมีความต้องการที่แตกต่าง ต้องการความพิเศษ”นายพิชิต กล่าวทิ้งท้าย
เอสซี แอสเสทฯ จับมือบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำร่วมสร้างชุมชนเมืองใหม่ พร้อมแบ่งปันเพื่อชุมชนและสังคม

เอสซี แอสเสทฯ จับมือบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำร่วมสร้างชุมชนเมืองใหม่ พร้อมแบ่งปันเพื่อชุมชนและสังคม

นายเกรียงศักดิ์ เหี้ยมโท้ รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาโครงการแนวราบ 1 เป็นผู้แทนบริษัทฯ ร่วมสนับสนุนกิจกรรม ปั่นจักรยานเพื่อน้อง เปิดเส้นทาง “ถนนหอการค้าไทย” เชื่อมถนนชัยพฤกษ์-สาย 345 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่ 4 บริษัทชั้นนำ ได้แก่ "เพอร์เฟค-เอสซี แอสเสท-พฤกษา-แสนสิริ" จับมือลงทุนสร้างชุมชนเมืองใหม่ ด้วยแผนการพัฒนาแหล่งที่อยู่อาศัยให้เป็นทำเลทองแห่งใหม่บนย่านชัยพฤกษ์ อีกทั้งยังได้มอบเงินบริจาคแก่ตัวแทนของสถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านปากเกร็ด  เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งปันคืนสู่สังคมและชุมชน   สำหรับโครงการใหม่ของเอสซีฯ  ที่พัฒนาบนที่ดินแห่งนี้ ได้แก่ โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ  บ้านเดี่ยวหรูระดับพรีเมี่ยม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดโครงการภายในไตรมาสที่ 3 ปีนี้
ดีไอ โชว์กึ๋น เปิดรีเทลวัสดุตกแต่งแนวไลฟไตล์แห่งแรกในเอเชีย อัดงบกิจกรรม 50 ล้านบาทพร้อมเผยโฉมเชิงรุก เปิดตลาดไอเดีย ดีไซน์แบบ 360 องศา

ดีไอ โชว์กึ๋น เปิดรีเทลวัสดุตกแต่งแนวไลฟไตล์แห่งแรกในเอเชีย อัดงบกิจกรรม 50 ล้านบาทพร้อมเผยโฉมเชิงรุก เปิดตลาดไอเดีย ดีไซน์แบบ 360 องศา

ดีไอ (DI) คอนเซ็ปต์ สโตร์ รีเทลวัสดุตกแต่งแนวไลฟไตล์แห่งแรกในเอเชีย  ที่รวบรวมสินค้าที่มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในหลากหลายรูปแบบ ไม่เหมือนใคร  รวมถึงสินค้าตกแต่งที่โชว์ถึงนวัตกรรมการผลิตที่ทันสมัย และบางชิ้นนำมาผสมผสานกับศิลปะกรรมต้นแบบในหลากหลายประเทศ  เพื่อให้เกิดความสะดวก ในการใช้งานได้เหมาะสม มีทั้งที่ผลิตจากภายในและภายนอกประเทศ  พร้อมเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบในปีนี้ ล่าสุด เตรียมนำ TVC ชุดแรก ที่สะท้อนตัวตนของดีไอ ภายใต้แนวคิดแบบ second skin ผ่านความงามของผิวสัมผัส บนพื้นผิวสตรี ออกเผยแพร่ในสื่อออนไลน์เป็นครั้งแรก พร้อมเตรียมนำสินค้าไฮไลท์ ที่ก่อนหน้านี้ได้กวาดรางวัลทั้งในและต่างประเทศมาแล้ว อาทิ DI Smart Wireless Switch จากเวที Thailand Green Design Award เข้าร่วมโชว์ในงานสถาปนิก 60 โดยคาดว่างบประมาณที่จะใช้ในกิจกรรม ต่าง ๆ รวมถึงแผนโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้ช่วงเปิดตัวระยะแรกไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าสร้างการรับรู้ผ่านสื่อออนไลน์และสื่อโซเชี่ยลมีเดียทุกช่องทาง วางเป้าหมายในปีแรก คาดยอดขาย 100 ล้านบาท นางศศิวิมล สินธวณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีไอ คอนเซ็ปต์ สโตร์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านรีเทลด้านวัสดุตกแต่งภายในแห่งแรกของเอเชีย กล่าวว่า “ภายหลังจากการสำรวจตลาดสินค้าวัสดุตกแต่งภายในประเทศไทยแล้ว พบว่าสินค้าที่มีนวัตกรรมตกแต่งนั้นค่อนข้างมีน้อย โดยเฉพาะสินค้าเฉพาะกลุ่มที่หายากไม่ค่อยมีในตลาด บางครั้งมีโชว์ แต่ไม่มีจำหน่าย หรือบางรายหาชื้อยากถึงไม่มี เพราะขายยาก เลยไม่ผลิตอีก เรามองว่าวัสดุปิดผิว (interior surface) ยังไม่มีคนทำตลาดอย่างชัดเจน จึงเป็นโอกาสที่ดี ที่จะเปิดตลาดใหม่ ในการนำสินค้าวัสดุตกแต่งภายในที่มีคุณภาพเกรดพรีเมี่ยมจากทั่วทุกมุมโลกมาทำตลาด อีกทั้งประเทศไทยก็มีวัตถุดิบที่หลากหลาย แต่ก็ยังขาดการส่งเสริมด้านงานครีเอท และการพัฒนาขบวนการผลิตให้ทันสมัย ที่สามารถนำสินค้าแปลกใหม่ออกมานำเสนอได้อีกช่องทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ตลาดวัสดุตกแต่งในไทย มีมูลค่ารวมประมาณ 5 หมื่นล้านบาท โดยหลักๆ 80% เป็นวัสดุปิดผิว (interior surfaces) ทั้ง hard finishing และ soft finishing อีก 20% เป็นวัสดุมีดีไซน์หรือสินค้าไฮเอนด์ เป็นที่ต้องการของตลาดโรงแรม ร้านอาหาร โรงพยาบาล และบ้าน (residential) โดยมีผู้จำหน่ายในกลุ่มนี้ไม่มากและมีความหลากหลายของแบรนด์แต่ละแบรนด์ ดีไอ จึงเป็นแบรนด์ในการนำความหลากหลากในกลุ่มนี้มาจัดวางตำแหน่งใหม่ ให้คำว่า interior surface มีความชัดเจนมากขึ้น เหมือนในต่างประเทศ คือ fabric / wall coverings / flooring เราตั้งเป้าเป็น 1 ในผู้นำตลาดในทุกกลุ่มภายใน 5 ปี ด้วยอัตลักษณ์ของแบรนด์ที่มีนวัตกรรม ความมีดีไซน์ ประสบการณ์ในตลาดอสังหา และราคาที่แข่งขันได้ เรามองยอดขายที่ปีละประมาณ 100 ล้านในปีแรก และจะสามารถเติบโตตามเศรษฐกิจ เพราะเรากำลังเริ่มต้น นอกจากนี้ ด้วยแนวคิดที่ผสมผสานความต้องการของเจ้าของพื้นที่ และ ดีไซเนอร์ ดีไอจึงนับเป็นทางเลือกใหม่ ที่จะเข้ามาช่วยย่นระยะเวลาการทำงานของดีไซนเนอร์ ในการเลือกหาวัสดุตกแต่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ทำงานได้เร็วและง่ายขึ้น รวมถึงการเป็นเสมือนศูนย์กลางในการแนะนำ เผยแพร่ข่าวสารติดต่อ แลกเปลี่ยน กับเครือข่ายนักออกแบบทั้งในและทั่วโลก พร้อมอัพเดทข่าวสารการผลิตวิจัยพัฒนาเทรนด์อย่างรวดเร็ว ทันสมัย และต่อเนื่อง ดีไอ จึงนับเป็นร้านรีเทลด้านวัสดุตกแต่งภายในแห่งแรกของเอเชีย ที่เป็นศูนย์รวมแห่งใหม่ของนักออกแบบ สถาปนิก และคนที่มีมุมมองสร้างสรรค์ในการเติมแต่งไอเดียตกแต่งภายใน” นางศศิวิมล กล่าว และเพิ่มเติมว่า “ โดยในช่วงแรก เราจะเน้นไปที่การแนะนำให้กลุ่มเป้าหมาย ได้รู้จัก และทดลองเข้ามาใช้บริการของดีไอ ในทุกช่องทางการสื่อสาร โดยเน้นไปที่ช่องทางหน้าร้าน ออนไลน์และโซเชี่ยลมีเดีย เฟสบุ๊ค และไลน์ อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการออกบูธแนะนำในงานแฟร์ต่างๆ โดยปีนี้จะเข้าร่วมงานสถาปนิก 60 งานบ้านและสวน และ งานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ (TIFF) ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณในการจัดกิจกรรมทั้งหมดในส่วนนี้ ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท สำหรับในด้านการตลาด ดีไอ จะให้ความสำคัญกับทำตลาดทั้งแบบ e commerce and s commerce ที่เน้นการให้บริการที่รวดเร็ว ให้กลุ่มเป้าหมายได้รับความสะดวกสูงสุด ล่าสุด ดีไอ ได้เปิดตัว TVC แนะนำตัวชุดแรกออกเผยแพร่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ second skin มั่นใจว่าวัสดุปิดผิว (interior surface) สวยเหมือนผิวสตรี ทั้งแง่ความงามและการใช้สอยเสมือนผิวของร่างกาย เช่น วอลเปเปอร์ที่ทนความชื้นทนน้ำ ใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก ผ้าม่านที่ใช้วัสดุ eco- รักษ์ธรรมชาติ 100% หรือผ้าที่ผลิตจากสารปราศจากเคมีภัณฑ์ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมจึงเป็นที่มาของการนำเอาโจทย์จากวัสดุมาเรียบเรียงเป็น ความสวยที่ทุกคนอยากสัมผัส และสัมผัสได้ด้วยวัสดุตกแต่งที่ทันสมัยของร้านดีไอ เสมือนกับการเป็นผิวสัมผัสที่สองที่ผู้หญิงไว้วางใจ สบายกายสบายใจเหมือนผิวตัวเอง ทั้งนี้คาดว่า จะเป็นคลิปโฆษณา ที่สร้างความสนใจ และเห็นความต่างจากร้านจำหน่ายวัสดุตกแต่งภายในอื่น ๆ ได้ชัดเจนขึ้น ปัจจุบัน ดีไอ คอนเซ็ปต์ สโตร์ เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแห่งแรก ณ อาคาร FUNBOX ถนน RCA (Block D) เปิดให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 10.00 – 18.00 น. โดยผู้ที่สนใจสามารถดติดต่อได้ที่ โทร. 0-2203-0907, 061-841-5111 หรือ www.diconcept.bz/ , www.facebook.com/DiConceptStore/
สิงห์ เอสเตท จับมือ ฮาร์ด ร็อค ผุดธีม โฮเทล ในโปรเจกต์ยักษ์ที่มัลดีฟส์

สิงห์ เอสเตท จับมือ ฮาร์ด ร็อค ผุดธีม โฮเทล ในโปรเจกต์ยักษ์ที่มัลดีฟส์

สิงห์ เอสเตท จับมือ ฮาร์ด ร็อค เปิดตลาดใหม่มัลดีฟส์ เพิ่มทางเลือกสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ใหม่ และตลาดครอบครัว ได้มากกว่าการฮันนีมูน หรือความโรแมนติก ผุดธีม โฮเทล ที่จะนำสีสัน และความสนุกตื่นเต้นมาเสิร์ฟถึงกลางทะเล โดยนำร่องเป็นโรงแรมแห่งแรก ภายในโปรเจกต์ยักษ์ที่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 9 เกาะ โดยเชื่อมั่นว่า เมกะโปรเจกต์นี้จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลระดับเวิลด์คลาสสำหรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มทั่วโลก นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สิงห์ เอสเตท ในฐานะผู้บริหารจัดการ โครงการเมกะโปรเจกต์ที่มัลดีฟส์ ซึ่งล่าสุดได้รับความร่วมมือจากเครือ ฮาร์ด ร็อค โฮเทล เปิดเผยว่า สำหรับโครงการเมกะโปรเจกต์ลงทุนสร้างสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ที่ประกอบด้วยเกาะ 9 เกาะในประเทศมัลดีฟส์นั้น เรามุ่งมั่นในการสร้างทางเลือกใหม่ของการท่องเที่ยวมัลดีฟส์ ที่อาจมิได้มีเพียงแค่ทะเลและท้องฟ้าแบบเดิม หรือเป็นสถานที่สำหรับคู่รักเท่านั้น แต่จะเป็นสถานที่แห่งใหม่ที่คุณจะได้รับประสบการณ์หลากหลายระดับเวิลด์คลาส ที่เต็มไปด้วยความสนุก สีสัน ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม รวมไปถึงตลาดครอบครัว ตัวโครงการประกอบด้วย ยอร์ช มารีน่า, แหล่งช้อปปิ้ง, ร้านอาหารชื่อดัง, บีช คลับ, ที่พัก ฯลฯ ซึ่งในส่วนของที่พัก ล่าสุดได้เซ็นสัญญาความร่วมมือกับเครือฮาร์ด ร็อค ที่จะเข้ามาพร้อมประสบการณ์ สีสัน และความตื่นเต้นใหม่ๆ โดยจะเป็นโรงแรมแห่งแรกของเฟสที่หนึ่ง “เรามีความรู้สึกยินดี และภูมิใจอย่างยิ่งที่ โรงแรมในเครือฮาร์ด ร็อค ซึ่งเป็นบริษัทระดับโลก ให้ความไว้วางใจในการเข้ามาเป็น Strategic partner ที่จะมาร่วมพัฒนาโรงแรมแรกในโครงการเมกะโปรเจกต์นี้กับเรา ซึ่งเราเชื่อว่า ด้วยประสบการณ์ มาตรฐานการทำงาน และมุมมองธุรกิจในระดับโลกของ ฮาร์ด ร็อค จะช่วยเพิ่มสีสีน และประสบการณ์ใหม่ๆ ของโครงการ และทำให้เป็นที่สนใจของคนทั่วโลก เพื่อก้าวไปสู่การเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับเวิล์ดคลาสที่นักท่องเที่ยวทุกๆ กลุ่ม ใฝ่ฝันที่จะมาเยือน”  นายนริศ กล่าวเสริม ด้านนายเหลียง วี จุน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจโรงแรม ภูมิภาคเอเซีย และอินเดีย โรงแรมในเครือฮาร์ด ร็อค กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นความร่วมมือก้าวสำคัญของเรา และบมจ.สิงห์ เอสเตท ซึ่งเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้ร่วมเป็นส่วนสำคัญของเมกะโปรเจกต์ กลางมหาสมุทรในประเทศมัลดีฟส์ โดยความร่วมมือนี้คือการพัฒนาโรงแรมในแบบของ ฮาร์ด ร็อค ที่แสดงถึงเอกลัษณ์เฉพาะตัว มีสีสัน ความรื่นเริง เปรียบได้กับเกาะแห่งสนุกความสดใส โดยเรามั่นใจว่า โครงการเมกะโปรเจกท์ที่กำลังจะเปิดเฟสแรกขึ้นในปี 2018 นี้ จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของโลก และทำให้เราจะก้าวไปประสบความสำเร็จร่วมกัน”
กำเนิดโครงการอสังหาฯ ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย – ‘One Bangkok’ พลิกโฉมพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ และก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทาง ที่เป็นแลนด์มาร์คระดับโลก

กำเนิดโครงการอสังหาฯ ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย – ‘One Bangkok’ พลิกโฉมพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ และก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทาง ที่เป็นแลนด์มาร์คระดับโลก

กรุงเทพฯ (3 เมษายน 2560) – วันนี้ บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พอยท์ ลิมิเต็ด (FCL) ได้ผนึกกำลังร่วมกันพลิกโฉมพื้นที่ขนาด 104 ไร่ ใจกลางของกรุงเทพฯ ให้กลายเป็นเมืองที่จะเป็นจุดหมายปลายทางที่ผู้คนจะต้องมาเยี่ยมเยือนให้ได้แห่งหนึ่งของโลก โดยโครงการดังกล่าวนี้จะถูกเนรมิตให้เป็นเมืองแห่งความครบครันเพื่อการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบแห่งแรกของประเทศไทยที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญในเรื่องคนเป็นศูนย์กลาง เรื่องความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และการใช้ชีวิตเมืองอย่างชาญฉลาด โครงการแห่งนี้ใช้ชื่อว่า ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 120,000 ล้านบาท จะเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยภาคเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย และ  จะกลายเป็นแลนด์มาร์คระดับโลกแห่งใหม่ เมื่อส่วนแรกของโครงการเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2564 นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท ทีซีซี และ FCL กล่าวว่า “จุดมุ่งหมายในการวางแผนและออกแบบโครงการ ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) คือการยกระดับภาพลักษณ์ของกรุงเทพฯ ในฐานะเมืองที่เป็นประตูเชื่อมโลกกับเอเชีย” ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) คือเมืองแห่งความครบครันที่เป็นเมืองในเมืองกรุงเทพฯ ประกอบไปด้วยอาคารสำนักงานที่ล้ำยุค โรงแรมหรูที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ร้านค้าและพื้นที่ทำกิจกรรม ที่หลากหลายครบครันซึ่งจัดสรรไว้ในบริเวณต่างๆ ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างแต่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ที่พักอาศัยระดับอัลตราลักชัวรี่ พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจมากมายหลายรูปแบบเพื่อการใช้ชีวิตของผู้คน พื้นที่ศิลปะและวัฒนธรรม รวมไปถึงพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่งขนาดรวมกัน 50 ไร่จากพื้นที่ทั้งหมดของโครงการ 104 ไร่ โดยโครงการตั้งอยู่บนที่ดินเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในทำเลทองบริเวณหัวมุมถนนวิทยุตัดกับถนนพระราม 4 ติดกับสวนลุมพินี เชื่อมต่อโดยตรงกับระบบขนส่งมวลชน นายเจริญ กล่าวว่า “ทางกลุ่มรู้สึกเป็นเกียรติที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระหากษัตริย์ได้ให้ความไว้วางใจในการพลิกโฉมพื้นที่ผืนสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ ผืนนี้ให้กลายเป็นเมืองที่ครบครัน ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบ ที่ผมมีความมุ่งมั่นและผมขอยืนยันที่จะสร้างสรรค์โครงการนี้ให้สำเร็จและโดดเด่นเป็นสง่าน่าภาคภูมิใจ พร้อมที่จะพลิกโฉมประเทศไทยให้ชาวโลกชื่นชม” นายเจริญกล่าวว่า “สิ่งที่คาดหวังในการเนรมิตโครงการ ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) คือการเสริมสร้างความเชื่อมั่นที่ทั่วโลกมีต่อประเทศไทยในฐานะเมืองที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียนและเป็นเมืองที่เป็นประตู  สู่โลกและเป็นเมืองแห่งไลฟ์สไตล์ที่สำคัญของเอเชีย รวมทั้งคาดหวังที่จะนำความรุ่งเรืองที่ยิ่งใหญ่มาสู่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้เช่า เจ้าของ หรือพันธมิตรทางธุรกิจ” “เพื่อที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จที่คาดหวังในการทำโครงการ ผมได้มอบความไว้วางใจให้กับ 2 บริษัทในกลุ่มทีซีซี คือ ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) และ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งทั้งสองบริษัทจะเติมเต็มซึ่งกันและกันได้อย่างสมบูรณ์แบบในการร่วมกันเนรมิตโครงการคุณภาพที่ยิ่งใหญ่ที่จะกลายเป็นที่ชื่นชมไปทั่วโลก” นายเจริญ กล่าว ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) เป็นโครงการที่พัฒนาโดยกิจการร่วมทุนระหว่างบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 80.1% กับและบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด (เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้) ถือหุ้น 19.9% เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คือ แบรนด์โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติของ FCL ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ และมีความมั่นคงอย่างเต็มเปี่ยม มีสินทรัพย์มูลค่ามากกว่า 17,600 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 605,000 ล้านบาท มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับด้วยผลงานความสำเร็จในการการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโครงการที่สร้างประโยชน์ให้กับเมืองที่โครงการนั้นๆ ตั้งอยู่ นายเจริญ กล่าวว่า “การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ครั้งนี้ทำให้เราสามารถผสานจุดแข็งทางการเงินและความรู้ความเข้าใจตลาดภายในประเทศของทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) เข้ากับความเชี่ยวชาญที่เป็นเลิศในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งมีเกียรติประวัติที่ยอดเยี่ยมยืนยันด้วยผลงานโครงการที่ได้รับรางวัลมากมาย” นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FCL กล่าวว่า “การผนึกกำลังในครั้งนี้จะเป็นหลักประกันว่าเราจะมีความสร้างสรรค์ที่ล้ำสมัย ขีดความสามารถที่ไม่มีข้อจำกัด และเงินลงทุนที่พร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการเนรมิตโครงการที่ยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้นที่สุดโครงการหนึ่งของเรา” นายปณต กล่าวว่า “ไม่มีโครงการไหนในประเทศไทย ที่เป็นโครงการเดียวที่มีขนาดใหญ่และหลากหลายเท่ากับโครงการนี้ โดย ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) จะเป็นจุดหมายปลายทางแห่งไลฟ์สไตล์ที่มีสีสันและชีวิตชีวาที่จะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เป็นสุดยอดปรารถนาที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ที่ผู้คนอยากมาอยู่อาศัย มาทำธุรกิจ และมาเยี่ยมเยือน ตลอดจนดึงดูดบริษัททั้งในประเทศและบริษัทข้ามชาติชั้นนำจากต่างประเทศให้เข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเออีซีในโครงการ ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) ในฐานะเป็นที่ตั้งบริษัทที่สมศักดิ์ศรีและน่าภาคภูมิใจในกรุงเทพฯ ที่ซึ่งพนักงานของบริษัทนั้นๆ และแขกที่มาเยี่ยมเยือนจะได้รับประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกและประสบการณ์ด้านไลฟ์สไตล์ที่ครบวงจรและหาไม่ได้จากที่ไหน” นายปณต กล่าวว่า “‘One Bangkok‘ (วัน แบงค็อก) แตกต่างอย่างโดดเด่น เพราะเป็นเมืองแห่งความ   ครบครันเพื่อการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งพัฒนาและออกแบบโดยยึดคนเป็นศูนย์กลาง (people-centric) แห่งแรกของกรุงเทพฯ มุ่งเน้นให้ผู้คนสามารถอยู่อาศัย ทำงาน และเที่ยวพักผ่อนสนุกสนานได้อย่างกลมกลืน  ไร้รอยต่อภายในที่แห่งเดียว พร้อมกับมอบความรู้สึกสบายและความสะดวกในทุกมิติของการใช้ชีวิตประจำวันที่ตอบโจทย์ตามหลักสรีรศาสตร์ของมนุษย์ และเอื้อต่อการเชื่อมโยงผู้คนเข้าถึงกัน” “จากแนวทางการออกแบบและวางผังการพัฒนาเมืองแห่งนี้ ผสานกับการนำเสนอส่วนผสมต่างๆ ภายในโครงการอย่างลงตัว ทำให้ผู้คนสามารถมาค้นพบคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวันได้ที่นี่สนุกสนานกับการใช้ชีวิตกลางแจ้ง และเพลิดเพลินกับกิจกรรมคุณภาพที่หลากหลายมากมายให้เลือกได้ตามที่ต้องการ โดยทั้งหมดนี้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะอาด ร่มรื่น และปลอดภัย นอกจากนั้น ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) ยังได้จัดสรรพื้นที่ขนาด 50 ไร่จากพื้นที่ทั้งหมดของโครงการ 104 ไร่ ให้เป็นพื้นที่ สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่ง” นายปณต กล่าว นายปณต กล่าวว่า “เราออกแบบ ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) โดยคำนึงถึงสิ่งที่เหมาะสมที่สุดในการวางผังเมืองเป็นอันดับแรก มีปรัชญาในการพัฒนาโครงการคือมุ่งเน้นเรื่องความหลากหลายของการใช้ประโยชน์และสถาปัตยกรรม ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงการตามหลักการของความยั่งยืน คำนึงถึงบริบทในเรื่องสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น ผสานมรดกทางประวัติศาสตร์และมิติต่างๆ ของความเป็นประเทศไทยที่พบได้เฉพาะในกรุงเทพฯ เพื่อให้พื้นที่ทั้งหมดของโครงการกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับกรุงเทพฯ และเป็นสถานที่สำหรับทุกคน” นายปณต กล่าวว่า “ทีมพัฒนาโครงการ ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) นำโดยนางสาวซู หลิน ซูน นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพผู้ที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์สูง ร่วมกับทีมงานมืออาชีพระดับโลก  อีกมากกว่า 100 คน จากบริษัทชั้นนำของไทยและระดับสากล ผนึกกำลังร่วมกันพัฒนาโครงการนี้” นางสาวซู หลิน ซูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) จำกัด กล่าวว่า “เรามองว่า การสร้างโครงการที่เป็นเสมือนเมืองระดับโลกใจกลางกรุงเทพฯ ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) จะต้องสะท้อนความเป็นไทย และสิ่งที่ขาดไม่ได้ที่จะต้องมีอยู่ในแผนแม่บทของโครงการ คือมาตรฐานคุณภาพที่เหนือกว่าที่เคยมีมา แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดตามแบบสากล และความหลากหลายในเรื่องของรูปแบบการใช้ประโยชน์และสถาปัตยกรรม ซึ่งแผนแม่บทของโครงการทั้งหมดดูแลโดย Skidmore, Owings & Merrill LLP หรือ SOM* และผนึกกำลังทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญแถวหน้าของประเทศไทย ได้แก่  Plan Associates และ A49 ซึ่งเป็นการผสมผสานประสบการณ์จากทั้งในและต่างประเทศ จากบริษัทวางผังเมืองและบริษัทสถาปัตยกรรมที่ทรงอิทธิพลสูงที่สุดในวงการ โดยเราจะเนรมิตสังคมที่เต็มไปด้วยพลังและความมีชีวิตชีวา สะท้อนรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในศตวรรษที่ 21” นางสาวซู หลิน ซูน กล่าวว่า “เมื่อองค์ประกอบทั้งหมดของโครงการ ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) เสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2568 จะมีพื้นอาคารรวม (Gross Floor Area) ทั้งหมด 1.83 ล้านตารางเมตร ซึ่งประกอบไปด้วยอาคารสำนักงานเกรดเอที่สร้างตามมาตรฐาน LEED** และ WELL*** โรงแรมหรูที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ 5 โรงแรม ที่พักอาศัยระดับอัลตราลักชัวรี่ 3 อาคาร พร้อมด้วยร้านค้าปลีกและพื้นที่ทำกิจกรรมที่หลากหลายครบครันซึ่งจัดสรรไว้ในบริเวณต่างๆ อย่างแตกต่างแต่ลงตัว โดยแต่ละองค์ประกอบ ของโครงการและแต่ละอาคารจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น ทำให้โครงการมีความหลากหลายในเชิงของสถาปัตยกรรมอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ก็ไม่ทิ้งความรู้สึกว่าเป็นสังคมเดียวกันและไม่ทิ้งความเชื่อมโยงกลมกลืนของพื้นที่ทั้งโครงการ โดยคาดว่าจะมีผู้คนมากกว่า 60,000 คนเข้ามาทำงานและพักอาศัยอยู่ในพื้นที่โครงการ ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก)” นางสาวซู หลิน ซูน กล่าวว่า “สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ ในการวางผังเมืองแห่งนี้ คือความสะดวกสบายในการเดินทางเข้าออก ความเชื่อมโยง และความยั่งยืน เราจึงได้ออกแบบให้เมืองแห่งนี้เชื่อมต่อโดยตรงกับระบบขนส่งมวลชนและสามารถเชื่อมต่อระบบทางด่วนได้โดยง่าย นอกจากนั้นภายในพื้นที่โครงการได้ออกแบบวางผังให้รองรับคนเดินเท้าได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย เพื่ออำนวยความสะดวกและมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนที่มาทำงาน พักอาศัยและเที่ยวพักผ่อนทำกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่โครงการ” นางสาวซู หลิน ซูน กล่าวว่า “‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) เป็นเมืองที่ครบครันแห่งแรกในประเทศไทย   ที่สร้างขึ้นโดยยึดหลักในเรื่องของความยั่งยืนเป็นตัวตั้ง โดยเป็นไปตามมาตรฐานการพัฒนาชุมชนแวดล้อมระดับลีดส์แพลตตินั่ม (LEED for Neighbourhood Development Platinum) และเราได้จัดสรรพื้นที่ภายนอกอาคารขนาดใหญ่ 50 ไร่จากพื้นที่ทั้งหมดของโครงการ 104 ไร่ ให้เป็นพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่ง ซึ่งรวมถึงทางเดินขนาดกว้างมากกว่า 40 เมตรที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ซึ่งถูกออกแบบภูมิทัศน์อย่างสวยงาม เลาะรอบโครงการทางฝั่งถนนวิทยุและถนนพระราม 4 โดยให้ความรู้สึกเชื่อมโยงความร่มรื่นเสมือนเป็นส่วนขยายของสวนลุมพินีซึ่งเป็นสวนสาธารณะอันเป็นที่รักของคนกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังได้จัดสรรพื้นที่ขนาด 10,000 ตารางเมตร ใจกลาง ‘One Bangkok’  (วัน แบงค็อก) ให้เป็นพื้นที่กิจกรรมที่   ทุกคนสามารถมาสนุกสนานและเพลิดเพลินไปกับการทำกิจกรรมทางศิลปะและวัฒนธรรมได้ ตลอดจนสามารถใช้เป็นพื้นที่จัดงานนานาชาติ หรือเทศกาลของไทยได้อย่างเหมาะสมลงตัวด้วย” “การวางแผนโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะร่วมของทั้งโครงการ และคุณลักษณะพิเศษของโครงการ อาทิ ระบบปรับอากาศภายในโครงการเมืองแห่งนี้ ระบบรักษาความปลอดภัยส่วนกลาง และระบบจัดการพลังงาน ถูกออกแบบตามมาตรฐานสากลเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว การเติบโตในอนาคตรวมทั้งประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นของเมืองแห่งนี้ได้ถูกออกแบบและวางแผนเป็นอย่างดี เอื้อต่อการบุกเบิกให้เกิดเป็นเมืองอัจฉริยะและตอบโจทย์การทำธุรกิจ ซึ่งจะยกระดับประสบการณ์ของผู้คนที่จะเข้ามาใช้พื้นที่ต่างๆ ภายในโครงการ” นางสาวซู หลิน ซูน กล่าว
เกษร วิลเลจ เปิดอาณาจักรเกษร ทาวเวอร์ ดันยอดเช่าพื้นที่กว่า 60% โชว์กลยุทธ์ “Workplace Strategy” เปิดตัว “Gaysorn Tower – Office Show Suite”  ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Activity Based Workplace” มั่นใจเสร็จสิ้นพร้อมย้ายเข้าภายในมิถุนายนนี้ และรับรู้รายได้กว่า 400 ล้านบาทเมื่อปิดโครงการ

เกษร วิลเลจ เปิดอาณาจักรเกษร ทาวเวอร์ ดันยอดเช่าพื้นที่กว่า 60% โชว์กลยุทธ์ “Workplace Strategy” เปิดตัว “Gaysorn Tower – Office Show Suite” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Activity Based Workplace” มั่นใจเสร็จสิ้นพร้อมย้ายเข้าภายในมิถุนายนนี้ และรับรู้รายได้กว่า 400 ล้านบาทเมื่อปิดโครงการ

กรุงเทพฯ – บริษัท เกษร พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด โชว์การดำเนินการก่อสร้างโครงการเกษร ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานหลักของอาณาจักรเกษร วิลเลจ ปัจจุบันดำเนินการตกแต่งไปแล้วกว่า 90% โกยยอดเช่าพื้นที่มากกว่า 60% หรือประมาณ 15,000 ตารางเมตร ล่าสุดเปิดตัว “เกษร ทาวเวอร์ ออฟฟิศ โชว์ สวีท” (Gaysorn Tower - Office Show Suite) พื้นที่สร้างสรรค์สำนักงานตัวอย่าง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “แอคทิวิตี้ เบส เวิร์กเพลส” (Activity Based Workplace) ให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตการทำงานของออฟฟิศสมัยใหม่บนพื้นที่จริง โชว์กลยุทธ์การใช้พื้นที่ “Workplace Strategy” ลดค่าใช้จ่ายถึง 30% เพิ่มศักยภาพ การทำงาน และการใช้ชีวิต พร้อมเล็งกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในอนาคตอาทิ กลุ่มธุรกิจ E-commerce, กลุ่มธุรกิจ Online business, กลุ่มธุรกิจ Tech Firms , กลุ่มธุรกิจ Logistics, กลุ่มธุรกิจ Financial และกลุ่มธุรกิจ MNC (บริษัทข้ามชาติ) ร่วมเช่าพื้นที่ มั่นใจอาคารก่อสร้างเสร็จสิ้นพร้อมย้ายเข้าได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้ โดยจะรับรู้รายได้กว่า 400 ล้านบาทเมื่อปิดพื้นที่เช่าทั้งหมดของโครงการอย่างแน่นอน  คุณฟ้าฟื้น เต็มบุญเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกษร พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า “ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2560 โดยเฉพาะตลาดอาคารสำนักงาน คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการพื้นที่สำนักงานยังคงมีเพิ่มขึ้น ในขณะที่อาคารสำนักงานเกิดใหม่มีจำนวนจำกัด ข้อมูลจาก CBRE พบว่า ปัจจุบันมีพื้นที่สำนักงานในตลาดทั้งสิ้น 8.5 ล้านตารางเมตร  และในปี 2560 นี้ เกษร ทาวเวอร์  อาคารสำนักงานระดับเกรดเอในย่านใจกลางย่านธุรกิจหรือ CBD เป็นอาคารสำนักงานเพียงแห่งเดียวที่จะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนปีนี้ซึ่งคาดว่าอัตราค่าเช่าพื้นที่สำนักงานระดับเกรดเอในย่าน CBD จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี” ด้วยเทรนด์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในปัจจุบันที่เปลี่ยนไป การนำ “มิกซ์ยูส คอนเซ็ปต์” (Mixed-use concept) มาใช้ในการพัฒนาอาคาร จึงทำให้อาคารเป็นมากกว่าพื้นที่ค้าปลีก (Retail) หรือพื้นที่สำนักงานให้เช่า (Office) แต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาใช้พื้นที่ได้มากกว่า โดยหลังจากบริษัทฯ ได้เปิดโครงการ “เกษร วิลเลจ” แลนด์มาร์กสำคัญทางธุรกิจและไลฟ์สไตล์ใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่ง “เกษร ทาวเวอร์” เป็นหนึ่งในโครงการที่มีบทบาท และส่วนสำคัญที่สร้างความเคลื่อนไหวให้กับแลนด์มาร์กแห่งนี้ ภายใต้คอนเซ็ปต์  “Work – Live – Play – Grow” ที่สร้างไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ให้กับการใช้ชีวิตการทำงานควบคู่กับไลฟ์สไตล์ในทุกวัน โดยปัจจุบัน ได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จสิ้น และอยู่ระหว่างการตกแต่งภายในแล้ว 90% พร้อมมียอดการเช่าพื้นที่กว่า 60% หรือ 15,000 ตารางเมตร โดยมีบริษัทชั้นนำเข้าร่วมเช่าพื้นที่ อาทิ แมคฟิว่า (McFiva) ดิจิตอลเอเจนซี่ด้านโมบายมาร์เก็ตติ้ง, หยวนต้า (Yuanta) ผู้นำตลาดในด้านการให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ ด้านวาณิชธนกิจและการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย, กุดั่น (Kudun) ที่ปรึกษาและการบริการด้านกฎหมาย, อัลฟา เอ็นเนอร์จี (Alpha Energy) บริษัทผลิตและการส่งไฟฟ้ารวมไปถึงบริษัทผู้นำด้านแพลตฟอร์มบนมือถือยอดนิยมระดับโลก เข้าร่วมเช่าพื้นที่  สำหรับพื้นที่ของ “เกษร เออร์เบิน รีทรีต” (Gaysorn Urban Retreat) ที่นับเป็นศูนย์บริการด้านความงามและสุขภาพ (Health & Wellness Centre) เตรียมเปิด ปัญญ์ปุริ เวลเนส รีทรีต แอนด์ ออนเซน (PAÑPURI WELLNESS RETREAT & ONSEN) ออร์แกนิค ออนเซน สปา สุดลักซ์ชัวรี่แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย, อนิสสา คลินิก (Anissa Clinic) คลินิกเวชกรรมความงามครบครัน, ลา วี (La vie) ศูนย์บริการด้านสุขภาพและความงาม รวมถึง บิวตี้เมดิคอล ชื่อดังจากประเทศเกาหลี เป็นต้น คุณฟ้าฟื้น กล่าวต่อไปว่า “บริษัทฯ ได้นำเสนอ “เกษร ทาวเวอร์ ออฟฟิศ โชว์ สวีท” (Gaysorn Tower - Office Show Suite) พื้นที่สำนักงานตัวอย่างที่สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้กลยุทธ์ “Workplace Strategy” ที่จัดสรรพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ  โดยทำงานร่วมกับ TADAH Collaboration บริษัทออกแบบและตกแต่งภายใน  และ CBRE ที่ปรึกษาด้านการปล่อยเช่าพื้นที่และด้านแนวโน้มของผู้เช่า  ในการออกแบบพื้นที่สำนักงานตัวอย่างเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตการทำงานของออฟฟิศสมัยใหม่บนพื้นที่จริงภายใต้คอนเซ็ปต์ “แอคทิวิตี้ เบส เวิร์กเพลส” (Activity Based Workplace)  ซึ่งเป็นการจัดสรรพื้นที่และสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับกิจกรรมในการทำงานประเภทต่างๆ และสามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายรูปแบบตามความเหมาะสมในการใช้งาน พร้อมเพิ่มพื้นที่การทำงานแบบมีส่วนร่วม สามารถใช้งานพื้นที่ได้อย่างคุ้มค่ายิ่งขึ้นด้วยอัตราส่วนพนักงาน 1 คน ต่อพื้นที่ 6-7 ตร.ม. จากอัตราส่วนของออฟฟิศทั่วไปในปัจจุบันซึ่งอยู่ที่พนักงาน 1 คน ต่อพื้นที่10 ตร.ม. นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายของสำนักงานได้สูงสุดถึง 30% ซึ่งการจัดพื้นที่การทำงานรูปแบบนี้ยังช่วยดึงดูดกลุ่มคนที่มีความสามารถให้เข้ามาร่วมงานกับองค์กรอีกด้วย โดยรูปแบบการจัดสรรพื้นที่การทำงานแบบ “แอคทิวิตี้ เบส เวิร์กเพลส” ในพื้นที่สำนักงานตัวอย่างของ เกษร ทาวเวอร์ ออฟฟิศ โชว์ สูท สามารถแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ อาทิ Collaborative Workspace การจัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสมกับการทำงานแบบทีมมีส่วนร่วม (Collaboration) ถือเป็นการจัดรูปแบบพื้นที่การทำงานในบรรยากาศที่สบายๆ Hot Desk ไม่มีการกำหนดที่นั่งประจำอย่างชัดเจน เหมาะสำหรับบุคลากรที่ต้องออกไปพบปะลูกค้าในเวลาทำงาน หรือใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องประชุมมากกว่าการนั่งโต๊ะประจำ เช่น งานฝ่ายขาย งานการตลาด หรือการทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ด้วยการหมุนเวียนการใช้ที่นั่งของพนักงาน ทำให้สามารถลดพื้นที่สำนักงาน ได้ส่วนหนึ่ง Focus Space/ Meeting Room/ Telephone Booth พื้นที่ที่ตอบโจทย์บุคลากรที่ต้องทำงานโดยใช้สมาธิและความเป็นส่วนตัวสูง อาทิ งานระดับบริหาร หรือ งานธุรการ เป็นต้น Social Space/ Training Area เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ มีลักษณะคล้ายโถงประชุม เหมาะสำหรับการจัดฝึกอบรม หรือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของพนักงานในองค์กร หรือใช้ในการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างเสริมวัฒนธรรมองค์กร เป็นต้น นอกจากนี้การจัดสรรพื้นที่การทำงานแบบ “แอคทิวิตี้ เบส เวิร์กเพลส”  ของเกษร ทาวเวอร์ ยังมีจุดเด่นที่ให้ความสำคัญ  ทั้งในเรื่องไลฟ์สไตล์การทำงานและการใช้ชีวิตให้สมดุล ด้วยการจัดสรรพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมทั้งภายในและภายนอกอาคาร อาทิ Wellness ให้ความสำคัญในเรื่องของสุขภาพทั้งในเรื่องของบรรยากาศในการทำงานที่ช่วยรักษาสุขภาพและสมดุลของผู้ทำงาน จึงจัดให้มี เกษร เออร์เบิน รีทรีต (Gaysorn Urban Retreat) ศูนย์บริการด้านสุขภาพและความงาม เพื่อให้บริการภายในอาคารอีกด้วย Place making ได้ออกแบบสถาปัตยกรรมทั้งภายนอกและภายในอาคารที่มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอาทิ เกษร โคคูน (Gaysorn Cocoon) รวมถึงการจัดแสดงผลงานศิลปะที่มีอยู่รอบบริเวณอาคารเพื่อช่วยสร้างบรรยากาศที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ และความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน ก่อให้เกิดชุมชนของผู้ประสบความสำเร็จ Connectivity เกษร ทาวเวอร์ สามารถเดินทางได้ทั้งทางรถยนต์ และสู่ระบบขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้าบีทีเอส นอกจากนี้ ยังมีจุดเด่นอย่าง Ratchaprasong Walk ทางเดินเชื่อมต่อสู่ 18 อาคารชั้นนำภายในย่านราชประสงค์   ซึ่งสามารถเข้าถึงไลฟ์สไตล์ อาหาร ช็อปปิ้ง ห้องจัดเลี้ยงสัมมนา กิจกรรมบันเทิงหลังเลิกงานได้ภายใน 3-5 นาที โดยการเดิน พร้อมเชื่อมโยงไลฟ์สไตล์ทุกระดับเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์การปล่อยเช่าพื้นที่ในส่วนที่เหลือ 40% เป็นการเพิ่มมูลค่าและเปิดโอกาสให้กับบริษัทขนาดเล็ก              ที่ต้องการใช้พื้นที่ ระหว่าง 150 - 300 ตารางเมตร และ 300 - 700 ตารางเมตร โดยเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในอนาคต อาทิธุรกิจ E-commerce ธุรกิจซื้อขายหรือให้บริการผ่านทางสื่ออิเล็คทรอนิกส์ Online business ธุรกิจให้บริการบนโลกออนไลน์ Tech Firms ธุรกิจผู้พัฒนา ผลิต และให้บริการทางเทคโนโลยี Logistics ธุรกิจให้บริการขนส่ง Financial ธุรกิจทางการเงิน และ MNC (Multinational Company) บริษัทข้ามชาติที่กำลังขยายสาขา โดยเกษร ทาวเวอร์ ยังได้นำเสนอ “เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท” – (Gaysorn Urban Resort) ที่สมบูรณ์แบบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ หรือ “Business Amenities”  อาทิ ห้องประชุม ห้องสัมมนาจัดเลี้ยง ห้องอาหาร และห้องสันทนาการ รวมทั้งเป็นพื้นที่ที่ผู้เช่าและคนทำงานสามารถพบปะกับพันธมิตรทางธุรกิจ ระดับเวิลด์คลาสได้ทั้งตลอดวันรวมถึงหลังเวลาเลิกงาน นอกจากนี้ยังมี เกษร คริสตัล บ็อกซ์ (Gaysorn Crystal Box) พื้นที่อเนกประสงค์ลอยฟ้าบริเวณชั้น 19 ที่ออกแบบอย่างเหนือชั้นด้วยโครงสร้างที่ยื่นล้ำออกมาจากตัวอาคาร โดยใช้กระจกเป็นวัสดุผนังโดยรอบทั้งหมด ทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพมหานครได้กว้างไกลถึง 270 องศา พร้อมรองรับการจัดประชุม สัมมนา งานแถลงข่าว และงานเลี้ยงรูปแบบต่างๆ ที่ต้องการมุมมองพิเศษ ได้ถึง 200 ที่นั่ง พร้อมเชื่อมต่อกับพื้นที่บริเวณ “Outdoor Greenery Sky Garden” รองรับงานที่ต้องการความหลากหลายของบรรยากาศทั้ง Indoor  และ Outdoor แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ “ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าโครงการ เกษร ทาวเวอร์ จะสามารถเสร็จสมบูรณ์พร้อมให้ผู้เช่าสามารถเข้ามาตกแต่งสถานที่ได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ พร้อมทั้งปิดพื้นที่การเช่า 100% ด้วยยอดรับรู้รายได้กว่า 400 ล้านบาท เมื่อปิดโครงการอย่างแน่นอนอย่างแน่นอน” คุณฟ้าฟื้น กล่าวสรุป
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เจ้าตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับมหาชน มั่นใจตลาดเรียลดีมานด์ แข็งแกร่ง งัดกลยุทธ์เด็ดเปิดโครงการพัทยา และพื้นที่ต่างจังหวัดเพิ่ม

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เจ้าตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับมหาชน มั่นใจตลาดเรียลดีมานด์ แข็งแกร่ง งัดกลยุทธ์เด็ดเปิดโครงการพัทยา และพื้นที่ต่างจังหวัดเพิ่ม

บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) เจ้าตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองพัทยา มั่นใจตลาดเรียลดีมานด์แข็งแกร่ง งัดกลยุทธ์เด็ดปั้นโครงการแนวราบ ‘ลลิล ทาวน์’ โครงการที่อยู่อาศัยมิกซ์ยูส แบบบ้านดีไซน์ใหม่ล่าสุด บุกตลาดทำเลพัทยา ชูคุณภาพโครงการ-งานก่อสร้างระดับบริษัทมหาชน ยกโมเดลโครงการกรุงเทพฯ ครองใจผู้บริโภค ล่าสุดเปิด “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) แลนซีโอ นอฟ (Lanceo Nov) พัทยา” โครงการมิกซ์ยูสบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ที่สุด และทาวน์โฮมหน้ากว้างที่สุดในพัทยา ในบรรยากาศรีสอร์ท ใจกลางเมืองท่องเที่ยวพัทยา บ้านเดี่ยว ราคาเริ่มต้น 2 ล้านกว่า – 5 ล้านบาท ทาวน์โฮม เริ่มต้น 1.79 ล้านบาท โดยพัทยาเป็นพื้นที่มีศักยภาพสอดรับแผนระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของภาครัฐ  ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง “ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-พัทยา-อู่ตะเภา-ระยอง” และโครงการทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออกฉะเชิงเทรา – ศรีราชา – แหลมฉบัง รวมถึงท่าอากาศยานสากล หรือ “สนามบินนานาชาติระยอง-อู่ตะเภา” และโครงการมอเตอร์เวย์ใหม่สาย “พัทยา-มาบตาพุด” ที่พาดผ่าน 2 จังหวัดชลบุรีและระยอง พร้อมตอบโจทย์ตลาดเรียลดีมานด์และไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป คุณชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์จะสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงทางโครงการเร่งออกแคมเปญใหม่ “โปรร้อนต้องเบิ้ล” รับส่วนลด เบิ้ลของแถมรวมกว่าแสน เพื่อกระตุ้นยอดขายและความเชื่อมั่นของผู้ที่ต้องการซื้อบ้านให้กลับมาคึกคักยิ่งขึ้น ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์เรียลดีมานด์ต่างจังหวัด ยังเป็นที่น่าจับตามองและมีโอกาสขยายตัวได้สูงเช่นเดียวกับทำเลพัทยา ซึ่งเป็นเมืองหลักของการท่องเที่ยว และเป็นจุดเชื่อมต่อแหล่งงานอุตสาหกรรมต่างๆ ของจังหวัดชลบุรี ที่มีการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายๆ พื้นที่ อาทิ เมืองชลบุรี ศรีราชา ทำให้ตลาดอสังหาฯ จังหวัดชลบุรี อยู่ในอันดับที่ 2 รองจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้บริษัทฯ มองเห็นโอกาสและให้ความสำคัญในการเข้าลงทุน มาตั้งแต่ปี 2555 และในปัจจุบัน ถือว่าการบุกตลาดของบริษัทฯ มีอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมทุกเซกเมนต์ จึงสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ใน 3 อันดับแรก โดยที่ผ่านมาเปิดขายโครงการพัทยาเฟสแรกและสามารถปิดการขายได้ตามเป้าและจะเปิดเฟสสอง ในไตรมาส 2 นี้ ซึ่งทั้งหมดของโครงการจำนวนยูนิตรวม 243 ยูนิต มูลค่ารวม 660 ล้านบาท ทั้งนี้รัฐบาลมีแผนลงทุนระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งประกอบด้วย โครงการรถไฟความเร็วสูง “ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-พัทยา-อู่ตะเภา-ระยอง” โครงการทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออกฉะเชิงเทรา – ศรีราชา – แหลมฉบัง รวมถึงท่าอากาศยานนานาชาติ หรือ “สนามบินนานาชาติ อู่ตะเภา” โครงการพื้นที่ต่อขยายท่าเรือแหลมฉบังและโครงการมอเตอร์เวย์ใหม่สาย “พัทยา-มาบตาพุด” ที่พาดผ่าน 2 จังหวัดชลบุรีและระยอง จะส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการขยายตัว ซึ่งทางลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มั่นใจโครงการตอบโจทย์ตลาดเรียลดีมานด์และไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ สำหรับกลยุทธ์ที่ส่งผลให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการบุกตลาดต่างจังหวัดนั้น บริษัทเน้นเรื่องของ Quality, CRM และ Service Mind ซึ่งบริษัทฯ มีความตั้งใจจริงในการส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพมาตรฐานบริษัทมหาชนให้กับลูกค้า โดยนำรูปแบบโมเดลการพัฒนาโครงการที่เหมือนกับโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงมีความพิถีพิถันในการเลือกใช้วัสดุในการก่อสร้างที่มีมาตรฐาน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นอกจากนั้นในปี 2560 เป็นปีครบรอบปีที่ 30 ของบริษัท จึงมองกลยุทธ์การทำตลาดแบบใหม่ที่เน้นการสร้างแบรนด์ “LALIN” ให้เป็นที่จดจำเพื่อการเติบโตยั่งยืนยิ่งขึ้น รวมถึงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้รู้จักโครงการของบริษัทในฐานะบริษัทมหาชน โดยบริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ ภายใต้ชื่อ “ลลิล ทาวน์” (LALIN Town) และมีการปรับรูปแบบบ้านดีไซน์ใหม่ล่าสุด ให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส ที่มีความยืดหยุ่นสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าในแต่ละทำเลที่เข้าลงทุนมากยิ่งขึ้น คุณไชยยันต์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) แลนซิโอ นอฟ (Lanceo Nov) พัทยา ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 35-2-57 ไร่ จำนวน 243 ยูนิต มีให้เลือกทั้งแบบบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บ้านเดี่ยวแนวคิดใหม่ และทาวน์โฮมหน้ากว้าง บนพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 110 – 185 ตารางเมตร บนทำเลใจกลางเมืองท่องเที่ยวพัทยา ติดถนนใหญ่ สะดวกทุกการเดินทาง ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ใกล้ถนนสุขุมวิท -พัทยากลาง พร้อมแหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ แมคโคร สาขาพัทยาใต้, บิ๊กซี พัทยาใต้, ฮาร์เบอร์ มอลล์ พัทยา, เซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยา บีช, โรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา เป็นต้น ให้คุณได้สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอดได้ทุกวัน ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง กล้องวงจรปิด CCTV สำหรับแบบบ้าน แบ่งออกเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ มีให้เลือก 3 แบบ ประกอบด้วย1. แบบบ้าน Cane พื้นที่ใช้สอย 180 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน 2. แบบบ้าน Cape พื้นที่ใช้สอย 175 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ จอดรถ 2 คัน และ 3. แบบบ้าน Craft พื้นที่ใช้สอย 155 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ จอดรถ 2 คัน และบ้านแนวคิดใหม่ แบบบ้าน Crisp พื้นที่ใช้สอย 141 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องครัวจอดรถ 1 คัน และทาวน์โฮมหน้ากว้าง 5.7 เมตร ซึ่งมีแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ ประกอบด้วย 1. แบบบ้าน Clover พื้นที่ใช้สอย 110 ตารางเมตร ครบทุกฟังก์ชั่น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ และ 2.แบบบ้าน Cooper พื้นที่ใช้สอย 130 ตารางเมตร ครบทุกฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ แบบบ้านหลากสไตล์พร้อมแล้วให้เลือกชมนับว่าคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดในย่านทำเลนี้ ผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยโครงการคุณภาพ มาตรฐานระดับบริษัทมหาชน สามารถค้นหาข้อมูล โครงการ “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) ทุกทำเล ได้ที่ www.lalinproperty.com หรือโทร Call Center 1778   
MQDC แตกไลน์ธุรกิจรีเทล เผยโฉม WHIZDOM 101 ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ สังคมดิจิทัลแห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ตั้งเป้าปีแรกกวาด 1,000 ล้าน

MQDC แตกไลน์ธุรกิจรีเทล เผยโฉม WHIZDOM 101 ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ สังคมดิจิทัลแห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ตั้งเป้าปีแรกกวาด 1,000 ล้าน

กรุงเทพฯ 30 มีนาคม 2560 – บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพแบรนด์ WHIZDOM เปิดตัว WHIZDOM 101 (วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน) ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ สังคมดิจิทัลแห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย พรั่งพร้อมไปด้วยร้านค้าและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันที่สุด พร้อมทั้งผสมผสานเทคโนโลยีและธรรมชาติไว้อย่างลงตัว เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์แปลกใหม่ ตอบสนองการใช้ชีวิตประจำวัน และทุกแง่มุมของชีวิตคนเมืองที่รักความสนุกสนาน สะดวกรวดเร็ว สุขภาพและสิ่งแวดล้อม หลังจากที่ได้เปิดตัวโครงการ WHIZDOM 101 แลนด์มาร์กแห่งใหม่บนถนนสุขุมวิท ด้วยเนื้อที่ก่อสร้าง 43 ไร่ และพื้นที่ใช้สอย 350,000 ตารางเมตรไปก่อนหน้านี้ คุณวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MQDC กล่าวถึงวิสัยทัศน์ในการเปิดตัวไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ พื้นที่ส่วนสุดท้ายของโครงการว่า “คนกลุ่มเจนวาย (Gen Y) ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญทางเศรษฐกิจ มีไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตส่วนตัว ทำงาน และพักผ่อน โดยไม่ได้แยกขาดจากกันอย่างชัดเจน ดังนั้น MQDC ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคจึงต้องปรับแผนและโครงสร้างธุรกิจเพื่อขานรับกับ ไลฟ์สไตล์ของคนกลุ่มนี้ โดยพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบมิกซ์ยูส ที่ผสมผสานระหว่างที่พักอาศัย สำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก เข้าไว้ด้วยกัน เสมือนวัน สต๊อป เซอร์วิส ของการใช้ชีวิต” “นอกจากนี้ ทาง MQDC ได้เล็งเห็นว่าการขยายตัวของเมือง (Urbanization) ทำให้เกิดชุมชนใหม่ ที่ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าและบริการที่แตกต่างและตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างครบวงจร เรามองว่าธุรกิจรีเทลนี้เป็นกลยุทธ์ ช่วยเสริมทัพให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ MQDC แข็งแกร่งขึ้น โดยเพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้จากการเช่าพื้นที่ สามารถกระจายความเสี่ยงในการบริหาร และยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการที่อยู่อาศัยได้อีกด้วย สำหรับทำเลโดยรอบสุขุมวิท 101 ถือเป็นย่านที่มีอัตราการเติบโตสูง เพราะแวดล้อมด้วยที่อยู่อาศัย โรงเรียนนานาชาติ สำนักงาน และภายในรัศมี 10 กิโลเมตรมีประชากรมากถึง 1.3 ล้านคน MQDC จึงทุ่มงบลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาทในการพัฒนาโครงการนี้ให้เป็นพื้นที่สำหรับกิจกรรมทางสังคมที่สมบูรณ์แบบและทันสมัยที่สุด โดยคาดว่าจะมีผู้เข้ามาใช้บริการประมาณ 40,000 คนต่อวัน คาดการณ์รายได้หลังเปิดตัวในปีแรกกว่า 1,000 ล้านบาท” คุณวิสิษฐ์กล่าว คุณสุทธา เรืองชัยไพบูลย์ ผู้อำนวยการบริหาร MQDC กล่าวว่า “คนเมืองในปัจจุบันใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ คุ้นชินกับการเดินทางไปมาระหว่างบ้าน ที่ทำงานและห้างสรรพสินค้า จนเรามักหลงลืมมิติอื่นๆของชีวิตไป ภายใต้แนวคิด ‘The Great Good Place’ ของโครงการ WHIZDOM 101 เราจึงมุ่งพัฒนาให้พื้นที่ส่วนไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์เป็นมากกว่า  คอมมูนิตี้มอลล์ คือเป็นสถานที่ที่คืนมาตรฐานความสุขในการใช้ชีวิตให้กับคนเมือง ให้ทุกคนได้แลกเปลี่ยนความคิดและสร้างสัมพันธ์ที่ดีผ่านกิจกรรมต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารกับครอบครัว ช้อปปิ้ง ออกกำลังกาย ชมการแสดง พักผ่อน พบปะสังสรรค์ หรือหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ” “ด้วยจุดมุ่งหมายในการพัฒนาสถานที่ให้สมบูรณ์แบบ เหมาะกับการใช้ชีวิตเสมือนเป็น “Third Place” หรือ "สถานที่สุดโปรด" (รองจากที่อยู่อาศัยและสถานที่ทำงาน) ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์สุดทันสมัยแห่งนี้จึงสร้างสรรค์พื้นที่กว่า 40,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับการใช้ชีวิตประจำวัน และทุกกิจกรรมยามว่างของชีวิตคนเมืองรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบการพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางร่มไม้ หรือผู้ที่รักสุขภาพและการออกกำลังกาย WHIZDOM 101 ก็มีพื้นที่สำหรับไลฟ์สไตล์เหล่านี้สอดแทรกอยู่ทั่วทั้งโครงการ” เพื่อสร้างความแตกต่างในธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ และกระตุ้นให้ผู้เช่าพื้นที่และผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ WHIZDOM 101 ทาง MQDC จึงสร้างสรรค์โซนต่างๆ ให้สอดคล้องกับทุกไลฟ์สไตล์ของคนเมืองรุ่นใหม่ด้วยคอนเซ็ปต์ “Third Place: ฟิต – ชิล – กิน –ช้อป” ชอบฟิต เตรียมพบกับ WHIZDOM Track เลนจักรยานและลู่วิ่งลอยฟ้าแบบมัลติเลเวลที่แรกในประเทศไทย กับระยะทางรวม 1.3 กิโลเมตร ที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสปุณณวิถี เพื่ออำนวยความสะดวกให้เหล่านักวิ่งและนักปั่นได้ออกกำลังเรียกเหงื่อเพื่อสุขภาพที่ไร้รอยต่ออย่างแท้จริง รวมทั้งสโมสรกีฬาและสุขภาพที่ครบครันด้วยอุปกรณ์ สถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับออกกำลังกาย ห้องโซเชียลเลานจ์ (Social Lounge) พื้นที่สำหรับครอบครัว และสระว่ายน้ำลอยฟ้าแบบชายทะเลสไตล์รีสอร์ทแห่งแรกในกรุงเทพฯ ชอบชิล พักผ่อนใน WHIZDOM Park กับพื้นที่สีเขียวที่มีแลนด์สเคปเป็นพื้นที่แนวนอนกว่า 3 ไร่รวมทั้งโครงการ เทียบได้กับปอดแห่งใหม่ในย่านสุขุมวิทตอนปลาย โดยประกอบไปด้วยสวนบนดาดฟ้า สวนที่ออกแบบให้สอดคล้องกับธรรมชาติ และสนามหญ้าขนาดใหญ่ที่สามารถดัดแปลงเป็นลานกิจกรรมสำหรับอีเว้นท์หลากหลายขนาดได้ อีกทั้งยังมีพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงด้วยเช่นกัน ชอบกิน ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ที่ WHIZDOM 101 ยังพรั่งพร้อมไปด้วยร้านอาหาร ร้านกาแฟและร้านขนมกว่า 150 ร้าน ที่มีทั้งร้านสำหรับวันสบายๆ และโอกาสพิเศษ โดยมีไฮไลต์อยู่ที่ โซน Hillside Town ที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ในการชิม – ช้อปท่ามกลางบรรยากาศเมืองที่โอบล้อมไปด้วยเนินเขา และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตแบบ ไร้ขีดจำกัด ก็สามารถแวะพักทานอาหารได้ตลอดวันกับโซน 24-Hour Street ถนนที่ไม่มีวันหลับไหลซึ่งรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร ชอบช้อป ขาช้อปห้ามพลาดกับร้านสินค้าแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ และไอเท็มสุดคูลโดยร้านค้าต่างๆ จะเรียงตัวกันอยู่ในพื้นที่ที่ผสมผสานพื้นที่ภายในและภายนอกอาคารเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้นักช้อปได้สนุกสนานกับการเลือกซื้อสินค้าใหม่ๆ ในบรรยากาศที่เปิดโล่งและผ่อนคลาย ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนยุคดิจิทัลซึ่งต้องการเข้าถึงข้อมูลและจับจ่ายใช้สอยได้เพียงปลายนิ้ว ผู้ที่เข้ามาใช้บริการในไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์จะสามารถจองที่นั่งและสั่งซื้อสินค้าได้แม้จะไม่ได้อยู่ที่ร้าน พร้อมทั้งรับข้อมูลข่าวสารและร่วมกิจกรรมที่น่าสนใจได้โดยผ่าน WHIZDOM App ด้วยอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่ครอบคลุมทุกตารางนิ้ว โดยจะเปิดเป็นเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสาธารณะ เพื่อให้ทุกคนสามารถเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ได้อย่างไร้รอยต่อ “ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ที่ WHIZDOM 101 จะก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการในเดือนตุลาคม 2561 ซึ่งทาง MQDC มั่นใจว่าคอมเพล็กซ์แห่งนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการ WHIZDOM 101 กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่สุขุมวิทตอนปลาย และเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่จะครองใจคนเมืองรุ่นใหม่อย่างแน่นอน” คุณสุทธากล่าว
วีธารา 36 ปลื้มโกยยอดขายกว่า 100 ลบ. จาก Exclusive Seminar “ลงทุนอสังหากี่ครั้งก็กำไร” โดย 2GURU 2Gen

วีธารา 36 ปลื้มโกยยอดขายกว่า 100 ลบ. จาก Exclusive Seminar “ลงทุนอสังหากี่ครั้งก็กำไร” โดย 2GURU 2Gen

นายพรชัย เลิศอนันต์โชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (ซ้ายสุด) และนางสาวพิมพ์วลัญช์ จุลมาณพ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ขวาสุด) จัดกิจกรรม Exclusive Seminar “ลงทุนอสังหาฯกี่ครั้งก็กำไร” เชิญกูรูอสังหาฯ 2 ท่าน 2 Generations มาร่วมให้ข้อมูล ดร.โสภณ พรโชคชัย (ที่ 2 จากซ้าย) นักวิเคราะห์อาวุโสมากประสบการณ์เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ และ หมอแม็ก Prop 2 Doc หรือ นพ.วิรัช ตวงจารุวินัย (ที่ 2 จากขวา) นักลงทุนคลื่นลูกใหม่ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ มาชี้แนะเทคนิคการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูง โดยเป็นกิจกรรมที่เปิดให้ลูกค้าโครงการและผู้ที่สนใจภายนอกเข้าร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ณ Sales Gallery โครงการวีธารา 36  เมื่อเร็วๆนี้ ได้รับความสนใจจากจากลูกค้าและผู้สนใจภายนอกเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง สามารถโกยยอดขายไปได้กว่า 100 ล้านบาทภายในวันเดียว และคาดว่าจะสามารถปิดการขายทั้งโครงการได้ภายในไตรมาสสอง โครงการวีธารา 36 คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น 5 อาคาร จำนวน 466 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 2,500 ล้านบาท บนที่ดินกว่า 4 ไร่ บนถนนสุขุมวิท 36 ด้วยคอนเซ็ปต์ ”OASIS แห่งใหม่ใจกลางเมือง” มีห้องให้เลือก ทั้งแบบ 1 ห้องนอน และ 2 ห้องนอน อยู่ใกล้บีทีเอสสถานีทองหล่อ ตกแต่งแบบ Fully Furnished  ราคาประมาณ 145,000 บาท/ตร.ม.
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย เผยผลวิเคราะห์ตลาดคอนโดมิเนียมในหัวหินไตรมาสแรกของปี

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย เผยผลวิเคราะห์ตลาดคอนโดมิเนียมในหัวหินไตรมาสแรกของปี

จากรายงานผลวิจัยของไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย พบว่า อุปทานทั้งหมดในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 มีจำนวนรวมอยู่ที่ 23,584 หน่วย และไม่มีโครงการใหม่เปิดตัวเลยในปี 2560 สำหรับโครงการที่เปิดตัวล่าสุด คือ โครงการลุมพินี พาร์คบีช 2 (Lumpini Park Beach 2) โดยเปิดตัวไปในช่วงปลายปี 2559 ในจำนวน 124 หน่วย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีประมาณ 1,000 - 3,000 หน่วยที่เปิดตัวใหม่ และเราคาดการณ์ว่าอุปทานในอนาคตจะเติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากตลาดเกิดการหยุดนิ่งชั่วคราวจากหน่วยที่ยังไม่ขายของหลายๆโครงการที่มีจำนวนมากกว่า 1,000 หน่วยและปัญหาปริมาณความต้องการที่ลดลง อุปทานคอนโดฯใหม่ๆในหัวหินส่วนใหญ่เป็นโครงการเกรด C ที่มีราคาขายต่อหน่วยต่ำกว่า 3 ล้านบาท ในขณะที่โครงการเกรด A กลายเป็นหน่วยหายาก เนื่องจากพื้นที่พัฒนาริมทะเลเริ่มขาดแคลน กราฟ 1 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กราฟ 2 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อเร็วๆนี้ เขาเต่าได้กลายเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณความต้องการไม่มากและยอดขายเริ่มชะลอตัวลง ดังนั้นจึงมีนักพัฒนาจำนวนไม่มากที่สนใจทำการพัฒนาพื้นที่เขตนี้ สำหรับในช่วงสองปีที่ผ่านมามีเพียงโครงการเดียวที่เปิดตัวไป คือ โครงการเบลล่า คอสต้า (Bella Costa) (323 หน่วย) กราฟ 3 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เขาตะเกียบเป็นพื้นที่ที่มียอดขายสูงสุดในตลาด เนื่องจากเป็นพื้นที่ใกล้กับหัวหิน โดยมีตลาดและร้านอาหารทะเลตั้งอยู่มากมาย ด้วยราคาขายที่ถูกกว่าพื้นที่ชะอำได้ทำให้เขาตะเกียบเป็นทำเลที่มีความต้องการมากอีกแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเขาตะเกียบถูกพัฒนาเกือบเต็มพื้นที่ (คล้ายๆกับหัวหิน) พื้นที่ดินส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนาและฟื้นฟู ในขณะเดียวกัน เขาเต่าเป็นทำเลที่มีความต้องการต่ำและมียอดขายน้อยที่สุด เนื่องจากเป็นทำเลห่างไกลกรุงเทพฯและเมืองหัวหินมากที่สุด พื้นที่นี้ค่อนข้างชนบทหากเทียบกับพื้นที่อื่นๆในหัวหิน กราฟ 4 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยรวมแล้ว ตลาดคอนโดฯในหัวหินมีอัตราขายสะสมอยู่ที่ร้อยละ 77.9 ในช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2560 โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 77 ในช่วงสิ้นปี 2559 โดยมีประมาณ 221 หน่วยที่ขายออกไปตั้งแต่ช่วงต้นปี 2560 กราฟ 5 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด อัตราการครอบครองพื้นที่ต่อปีค่อนข้างทรงตัวดีในช่วงปี 2556 - 2558 โดยในปี 2559 มียอดขายลดลง จากจำนวนเฉลี่ยต่อปี 2,400 - 2,800 หน่วย สามารถขายออกไปเพียง 1,800 หน่วย ซึ่งเป็นผลพวงจากปัญหาหลากหลาย เช่น นโยบายการจำนองที่เข้มงวดขึ้นจากธนาคารรายย่อย อย่างไรก็ตาม มร.แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า "ในขณะนี้นักพัฒนาบางรายกำลังทำโครงการขายเพื่อการลงทุนที่น่าสนใจบนพื้นที่ชายหาด ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับตลาดและผู้ซื้อที่ต้องการลงทุนไปพร้อมกับการได้รับสิทธิการพักผ่อนอีกด้วย"
“ขายแน่! สถานทูตอังกฤษ คาดราคากว่า 2 ล้านบาท/ตารางวา!!!”

“ขายแน่! สถานทูตอังกฤษ คาดราคากว่า 2 ล้านบาท/ตารางวา!!!”

"รัฐบาลอังกฤษตัดสินใจขายสถานทูตอังกฤษที่ตั้งอยู่บนถนนวิทยุ เขตปทุมวันแน่นอนแล้ว คว้าราคาไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาทต่อตารางวา" "นายไบรอัน เดวิดสัน เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เปิดเผยกับ "คมชัดลึก" ว่าการขายพื้นที่ 23 ไร่ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานทูตอังกฤษเกิดจากนโยบายของรัฐบาลอังกฤษที่ต้องใช้ประโยชน์สูงสุดจากทรัพย์สินที่มีอยู่ทั่วโลก นายเดวิดสันกล่าวว่าถึงแม้จะมีข่าวลือมากมาย แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการทำสัญญาซื้อขายแต่อย่างใด แต่ยืนยันว่ารัฐบาลอังกฤษได้มีมติที่จะขายพื้นที่แห่งนี้แน่นอนแล้ว สถานทูตอังกฤษเป็นสถานทูตที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย และตั้งอยู่ในทำเลทองที่มีมูลค่าที่ดินสูงที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร บริษัทนายหน้าที่ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนขายที่ผืนนี้ประเมินราคาอยู่ที่ 2 ล้านบาทต่อตารางวา ทำให้มูลค่าการซื้อขายจะสูงถึง 18,000 ล้านบาท ก่อนหน้านี้เนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ของสถานทูตถูกเฉือนขายให้กับ "เซ็นทรัล กรุ๊ป" ในราคาเกือบ 1 ล้านบาทต่อตารางวา และพื้นที่ดังกล่าวได้กลายเป็นที่ตั้งของห้าง "เซ็นทรัล เอ็มบาสซี่" ในปัจจุบัน เชื่อกันว่า "เซ็นทรัล กรุ๊ป" เป็นกลุ่มที่จะซื้อที่ดินที่เหลือของสถานทูต แหล่งข่าวในสถานทูตอังกฤษเปิดเผยกับ "คมชัดลึก" ว่าน่าจะมีการประกาศเรื่องการขายสถานทูตในอีกประมาณเดือนกว่าๆ ข้างหน้า ด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าตาขึงขังชาว "กูรข่า" สถานทูตอังกฤษได้กลายเป็นภาพคุ้นตาคนไทยเป็นอย่างดี และเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างสองประเทศกว่า 160 ปีนับตั้งแต่การลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง คำถามใหญ่ที่ตามมาก็คือ สถานทูตอังกฤษจะไปอยู่ที่ไหน ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่ายังจะอยู่ในพื้นที่เดิมต่อไปเพื่อรักษาประวัติศาสตร์ของสถานที่แห่งนี้ไว้ แต่ทูตเดวิสันยืนยันว่าสถานทูตอังกฤษจะย้ายไปอยู่ที่ใหม่ "เราจะไปอยู่ที่แห่งใหม่แน่นอน เพราะเราคงไม่พยายามติดยึดกับอดีต" ทูตเดวิดสันกล่าว แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยการตัดสินใจครั้งนี้ โดยเฉพาะชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยที่เชื่อว่าสถานทูตอังกฤษเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่ควรรักษาไว้ ชาวอังกฤษเหล่านี้ได้ช่วยกันรณรงค์ผ่านเว็บไวต์ change.or ภายใต้สโลแกน Save the British Embassy Bangkok คัดค้านการขายสถานทูต และมีผู้เข้าไปร่วมลงชื่อแล้วว่า 370 คน "การขยายสถานทูตเป็นการดูถูกคนไทย ที่ดินผืนนี้ถูกมอบให้คนอังกฤษ การปิดสถานทูตเพียงเพื่อหาเงินเป็นเรื่องน่ารังเกียจ มันทำให้ผมอายที่เป็นคนอังกฤษ"เป็นข้อความที่โพสต์โดยชาวอังกฤษคนหนึ่งที่บอกว่าเขาเดินทางเข้าออกประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า 20 ปี"   ที่มา : www.nationtv.tv
“บราวน์ คอนโด พหลฯ-สะพานใหม่” คอนโดมิเนียมโมเดิร์นวินเทจ ติดรถไฟฟ้าสายสีเขียว เปลี่ยนชีวิตให้สะดวกสบาย ที่มีสไตล์เป็นตัวเอง เริ่มต้นเพียง 1.89  ล้านบาท

“บราวน์ คอนโด พหลฯ-สะพานใหม่” คอนโดมิเนียมโมเดิร์นวินเทจ ติดรถไฟฟ้าสายสีเขียว เปลี่ยนชีวิตให้สะดวกสบาย ที่มีสไตล์เป็นตัวเอง เริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท

บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยคุณภาพสูงส่งคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุด “บราวน์ คอนโด พหลฯ-สะพานใหม่” (Brown Condo) คอนโดมิเนียมโลวไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวม 174  ยูนิต มูลค่าโครงการ 440 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการ 1-0-73 ไร่ ติดถนนพหลโยธิน อีกหนึ่งผลงานดีไซน์สร้างสรรค์ เพื่อการอยู่อาศัยที่ไม่ธรรมดา ออกแบบในสไตล์ “Modern Vintage” บนทำเลที่สุดของความสะดวกสบายใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีสายหยุด เพียง 100 เมตร ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท “บราวน์ คอนโด พหลฯ-สะพานใหม่” ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ติดถนนพหลโยธิน อยู่ระหว่างซอยพหลโยธิน 67 กับ ซอยพหลโยธิน 67/1 ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีสายหยุด ที่จะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ เพียง 100 เมตร โดยเป็นรถไฟฟ้าสายที่ขยายต่อจาก BTS มุ่งตรงเข้าสู่สถานีหมอชิต สยาม และอโศก ทำให้สามารถเดินทางสู่ย่านธุรกิจใจกลางเมืองได้อย่างสะดวก พร้อมกันนั้นยังสามารถเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้อีกด้วย อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อการเดินทางได้หลากหลายเส้นทาง ทั้งถนนรามอินทรา ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนลาดพร้าว และถนนวิภาวดี – รังสิต ที่สามารถไปขึ้นลงทางด่วนโทลล์เวย์ได้ และยังใกล้จุดขึ้น – ลง ทางด่วนฉลองรัช เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมืองได้อย่างคล่องตัว รายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญ ทั้งศูนย์การค้า สถานศึกษา แหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น เทสโก้โลตัส หลักสี่ บิ๊กซี สะพานใหม่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา รามอินทราตลาดยิ่งเจริญ มหาวิทยาลัยศรีปทุม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร โรงพยาบาลเซ็นทรัลเยนเนอรัล สนามบินดอนเมือง เป็นต้น โครงการถูกออกแบบในแนวคิด “Modern Vintage”  ด้วยดีไซน์ที่สวยหรู อบอุ่น มีสไตล์ สู่ความสบายที่สัมผัสได้ มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์บิลท์อินที่สวยและมีเอกลักษณ์ ใส่ใจทุกรายละเอียดด้วยการเลือกใช้วัสดุคุณภาพ  ออกแบบห้องพักที่คำนึงถึงฟังก์ชั่นการใช้งานและประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่า ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์แบบครบเซ็ต พร้อมเทคโนโลยีเพื่อรับกับไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยอย่าง Bluetooth Sound System ระบบหน้าจอสัมผัสรุ่นล่าสุดที่สามารถฟังเพลงได้ไม่ว่าจะอยู่บริเวณไหนของห้อง เพิ่มความสุขสุดความพิเศษ ด้วยพื้นที่ส่วนกลางจัดเต็มที่ชั้น 2 ของอาคาร รองรับทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ พร้อมด้วยจากุซซี่  (Panoramic Swimming Pool & Jacuzzi)  พื้นที่ระเบียงริมสระว่ายน้ำ (Poolside Terrace) และสวนสีเขียวริมสระว่ายน้ำ (Poolside Garden) ฟิตแอนด์เฟิร์มด้วยพื้นที่สุขภาพที่ไม่ใช่เพียงห้องออกกำลังกายแต่เป็นยิมขนาดใหญ่ มาพร้อมอุปกรณ์ครบครัน (The Gym) ค้นหาแรงบันดาลใจ ทำงาน อ่านหนังสือ ในห้องสมุดที่ให้บรรยากาศโปร่งโล่งสบาย (Library Lounge) เติมเต็มความพิเศษให้กับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างด้วยพื้นที่ส่วนกลางบนชั้นดาดฟ้า ไม่ว่าจะเป็นมุมพักผ่อนบนดาดฟ้า (Chill out area) มุมนั่งเล่น อ่านหนังสือ คุยงานกลางสวน (Co – Working Space) พื้นที่สำหรับจัดปาร์ตี้บาร์บีคิว (Barbecue Party & Wine Bar)  พื้นที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง (Outdoor Exercise Zone) พร้อมยังเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยด้วยประตูระบบ Digital Door Lock กล้องวงจรปิด ควบคุมการเข้าออกโครงการด้วยระบบคีย์การ์ด ปลอดภัยอีกขั้นด้วยระบบลิฟท์ล็อคชั้น และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง โครงการ บราวน์ คอนโด พหลฯ-สะพานใหม่ ประกอบด้วยห้องชุดขนาดต่าง ๆ ได้แก่ ห้อง 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ประมาณ 22.30 – 24.55 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Extra ขนาดพื้นที่ประมาณ 24.70 – 25.90 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Exclusive ขนาดพื้นที่ประมาณ 27.05 – 30.65 ตร.ม. ละห้อง 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ประมาณ 31.70 – 34.95 ตร.ม. โดยจะเริ่มการก่อสร้างปี 2560 และคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ โครงการ บราวน์ คอนโด พหลฯ-สะพานใหม่ จะเปิดให้จองรอบ VIP Booking  ในวันที่  1 - 2 เมษายน ศกนี้ ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดสูงสุดถึง 100,000 บาท ได้ที่ www.browncondo.com/phahol67 พร้อมเยี่ยมชมห้องตัวอย่างได้ ณ สำนักงานขาย บราวน์ คอนโด ถนนเทพรักษ์ (พหลโยธิน - รัตนโกสินทร์สมโภช) ข้างห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สะพานใหม่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 08 1617 6677
ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ตอบโจทย์ คอนโดตลาด Luxury เปิดตัว 3 สัปดาห์ ยอดจองทะลุเป้าแตะ 70% ตอกย้ำทำเลศักยภาพสูงและเทรนด์การอยู่อาศัยใน มิกซ์ ยูส กำลังได้รับความสนใจ

ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ตอบโจทย์ คอนโดตลาด Luxury เปิดตัว 3 สัปดาห์ ยอดจองทะลุเป้าแตะ 70% ตอกย้ำทำเลศักยภาพสูงและเทรนด์การอยู่อาศัยใน มิกซ์ ยูส กำลังได้รับความสนใจ

นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่โครงการดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (THE ESSE at SINGHA COMPLEX) คอนโดมิเนียมลักชัวรี่ โครงการที่ 2 ของสิงห์ เอสเตท ได้เปิดพรีเซลล์ไปเมื่อ 4-5 มีนาคม ที่ผ่านมา โครงการฯได้รับผลตอบรับอย่างดีเกินคาด โดยขณะนี้มียอดจองไปแล้วกว่า 70% จากเปิดขายเพียง 3 สัปดาห์ “ด้วยทำเลที่ตั้งของโครงการบริเวณหัวมุมถนนอโศก-เพชรบุรี ซึ่งปัจจุบันเป็นศูนย์กลางธุรกิจและไลฟ์สไตล์ รวมถึงเป็นศูนย์กลางของการคมนาคม ที่มีศักยภาพสูงออยู่แล้ว และยังมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นได้อีกในอนาคต บวกกับความเชื่อมั่นในโครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นแฟล็กชิป มิกซ์ ยูส ของสิงห์ เอสเตท รวมถึงรูปแบบของโครงการดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ที่ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มลูกค้าที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างเหนือระดับ และกลุ่มลูกค้าที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพ  จึงทำให้วันนี้เรามียอดจองคอนโดมิเนียม ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ เข้ามาเกินเป้าที่ตั้งไว้เบื้องต้น โดยภายในเวลา 3 สัปดาห์หลังเปิดจองอย่างเป็นทางการ โครงการฯมียอดจองไปแล้วกว่า 70%  รวมมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท โดยหากดูจากสัดส่วนลูกค้าระหว่างชาวไทย และชาวต่างชาติแล้ว พบว่าสัดส่วนลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติสูงถึง 35% ของยอดจองทั้งหมด เนื่องจากทำเลอโศกเป็นทำเลที่ชาวต่างชาติให้ความนิยมอยู่แล้ว และเทรนด์การอยู่อาศัยในโครงการมิกซ์ ยูส เป็นเทรนด์ที่ลูกค้ากำลังให้ความสนใจ นอกจากนั้นห้อง Penthouse ราคา 62 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 4 ยูนิต ได้ถูกจองไปหมดแล้ว จากข้อมูลนี้จึงยืนยันได้ว่า ตลาดคอนโดมิเนียมระดับ Luxury นั้นยังได้รับความสนใจอยู่มาก และมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาพรวมของโครงการนี้ในปี 2560 เราตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 85% และคาดว่าจะเป็นไปตามเป้า ในส่วนของการก่อสร้างนั้น ปัจจุบันโครงการผ่านการอนุมัติการจัดทำรายการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสามารถก่อสร้างได้ตามกำหนด คือ ภายในไตรมาส 1 ปี 2560”  นายณัฐวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านปลื้มผลจัดงาน “รับสร้างบ้าน Home Builder Focus 2017”

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านปลื้มผลจัดงาน “รับสร้างบ้าน Home Builder Focus 2017”

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ปลื้มผลการจัดงาน “รับสร้างบ้าน Home Builder Focus 2017” พร้อมระบุ 3 อันดับระดับราคาแบบบ้านที่ผู้บริโภคเลือก อันดับแรกระดับราคา 2.5-5 ล้านบาทผู้บริโภคนิยมมากสุดยอดขายนำโด่งเกือบ 40% รองลงมาคือแบบบ้านระดับราคา 5-10 ล้านบาทมีสัดส่วนเกือบ 37% และอันดับสามเป็นแบบบ้านระดับราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาทมีสัดส่วน 10.5% เดินหน้าเตรียมจัดงาน “รับสร้างบ้าน Home Builder Expo 2017” ในเดือนสิงหาคม ต่อทันชูจุดเด่นงานเดียวที่รวบรวม บริษัทรับสร้างบ้านมืออาชีพ ชูแบบบ้านสวยสุดสร้างสรรทุกฟังก์ชั่นการใช้สอยครบทุกงบประมาณที่ต้องการ นายพิชิต อรุณพัลลภ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association :HBA) เปิดเผยถึงผลการจัดงาน  “รับสร้างบ้าน Home Builder Focus 2017” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-15มีนาคม 2560 ณ ชั้น 1 เซ็นทรัล ลาดพร้าว ว่า โดยรวมยอดขายของบริษัทรับสร้างบ้านที่ออกงานนั้นเป็นที่น่าพอใจ โดยมียอดขายรวมตลอดการจัดงานทั้ง 7 วันประมาณ 900 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 100 ล้านบาท (เป้าจัดงานตั้งไว้ที่ 1,000 ล้านบาท) โดยคาดหวังว่าจะมียอดหลังงานที่ตามมาอีกประมาณ 1,500 ล้านบาท ทั้งนี้ถึงแม้ยอดขายภายในงานจะต่ำกว่าเป้า แต่โดยภาพรวมผลที่ได้จากการจัดงานนั้นก็ตรงกับวัตถุประสงค์ของสมาคมฯที่ต้องการให้การจัดกิจกรรมดังกล่าวได้ส่งเสริมการตลาดให้กับสมาชิกของสมาคมฯขณะที่ผู้บริโภคก็จะได้ประโยชน์ทั้งจากโปรโมชั่นส่งเสริมการขายของบริษัทรับสร้างบ้านในแต่ละรายที่ร่วมออกบูธกว่า 20 ราย ทั้งนี้ในการเลือกแบบบ้านเพื่อนำไปปลุกสร้างบนที่ดินนั้นส่วนใหญ่ราคาไม่เกิน10 ล้านบาท ดังนี้ อันดับ 1 ระดับราคาบ้านอยู่ที่ 2.51-5 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 39.47% อันดับ 2 ระดับราคา 5.01-10 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 36.84% อันดับ 3 เป็นแบบบ้านที่ระดับราคาไม่เกิน 2.5 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10.53% ขณะที่แบบบ้านระดับราคา 10.01-20 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 6.58% ซึ่งเท่ากันกับแบบบ้านระดับราคา 20.01 ล้านบาทขึ้นไปก็มีสัดส่วนอยู่ที่ 6.58 % เช่นกัน อย่างไรก็ดี เพื่อกระตุ้นการขายของบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯอย่างต่อเนื่องและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ รวมถึงส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ทางสมาคมฯได้เตรียมแผนที่จะจัดงาน “รับสร้างบ้าน Home Builder Expo 2017” ในเดือนสิงหาคม 2560 โดยบริษัทรับสร้างบ้านที่ร่วมออกบูธก็ได้มีการนำแบบบ้านที่ออกแบบใหม่ล่าสุดมาเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคในทุกระดับราคามาไว้ที่เดียวแล้ว อีกทั้งยังพบกับสินเชื่อพิเศษจากสถาบันการเงินชั้นนำด้วย
“เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก” รีสอร์ทแห่งใหม่ย่านพระนคร สะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมแห่งสยาม

“เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก” รีสอร์ทแห่งใหม่ย่านพระนคร สะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมแห่งสยาม

จะดีแค่ไหน ถ้าได้สัมผัสมรดกทางวัฒนธรรมแห่งสยาม ผ่านบรรยากาศรีสอร์ทย่านพระนคร เป็นความลงตัวที่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ โฮเทล จำกัด – ภายใต้เครือ ทีซีซี กรุ๊ป เปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก รีสอร์ทแห่งแรกใน เดอะแวลเนส คอลเล็คชั่น (The Wellness Collection) ตั้งอยู่ในย่านประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ เป็นเรือนเก่าสร้างในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ระหว่างช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ 2400 เดิมถือเป็นเรือนพักอาศัยของพระนมของพระองค์ท่าน ส่วนหนึ่งของอาณาบริเวณวังเทเวศร์ มร.นิชันท์ โกรเว่อร์  ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แอสเสท เวิรด์ โฮเทล จำกัด กล่าวว่า “ตัวอาคารแห่งนี้ได้ถูกบูรณะอีกครั้งในช่วงระหว่างปีพุทธศักราช 2400 และได้ขยายต่อเติมหมู่เรือนมาถึงบริเวณด้านหน้าถนนกรุงเกษม ปัจจุบันอาคารได้รับการตกแต่งใหม่ในรูปแบบรีสอร์ท เพิ่มความงดงามขึ้นด้วยงานฝีมือจิตรกรรมบนผนังและงานเขียนกาพย์กลอนที่มีชื่อเสียงของรัตนโกสินทร์ เพื่อสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของไทยและเชิดชูพระอัจฉริยภาพด้านบทกวีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 อาณาบริเวณของโรงแรมมาในรูปแบบ รีสอร์ท ‘Resort’ กว่า 900 ตารางเมตร ร่มรื่นด้วยหลากหลายพันธุ์ไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นไทรอายุกว่า 120 ปี โรงแรมยังประกอบด้วยสระว่ายน้ำกลางสวนและบาร์ริมสระน้ำเสิร์ฟเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ผ่อนคลายท่ามกลางบรรยากาศของสวนธรรมชาติอันร่มรื่น รื่นรมย์ และความร่วมสมัยของสถาปัตยกรรมที่โอบล้อมอีกด้วย” เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก ประกอบด้วยห้องพัก 38  ห้อง ออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพื่อสะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมแห่งสยาม ผสมผสานการออกแบบระหว่างบรรยากาศแบบวิถีไทยดั้งเดิมในสมัยรัชกาลที่ 6 และความสะดวกสบาย ผ่อนคลายแบบร่วมสมัย ตกแต่งด้วยองค์ประกอบทางศิลปะอันละเอียดอ่อน เพื่อให้แขกสัมผัสได้ถึงบรรยากาศการพักผ่อนอันสงบอันอบอุ่นและซึมซับศิลปวัฒนธรรม จากโคลงกลอนที่เขียนอย่างประณีตด้วยฝีมือช่างไทยให้แต่ละห้องมีความพิเศษเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง โรงแรมแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอาคารหลัก กลุ่มอาคารด้านหน้าทั้ง 19 ห้องตั้งอยู่ใน ซิตี้ วิง (City Wing)  ในขณะที่อีก  19  ห้องตั้งอยู่ในบริเวณกลุ่มอาคารในสวนที่เรียกว่า การ์เด้น วิง (Garden Wing)  ซึ่งกลุ่มอาคารนี้เคยเป็นเรือนพักอาศัยหลักของพระนมของรัชกาลที่ 6 ห้องพักตั้งอยู่ในชั้น 1 และ 2 สำหรับผู้พักที่ต้องการความสงบท่ามกลางสวนอันร่มรื่น    ‘เวลเนส’ (Wellness) คือหนึ่งในแนวคิดสำคัญของโรงแรม เพื่อให้แขกของโรงแรมสัมผัสประสบการณ์ของการผ่อนคลาย และดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร จึงให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวเป็นพิเศษ รวมถึงสวนออร์แกนิคซึ่งสามารถเลือกวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารโดยเชฟได้ด้วยตัวเองในขณะที่  อิมพีเรียล สปา (Imperial Spa) ช่วยให้แขกของโรงแรมผ่อนคลายกับวิถีการนวดแผนโบราณแบบไทยแท้ โดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการถ่ายทอดจากสถาบันสุขภาพโพธาลัย ซึ่งสั่งสมองค์ความรู้จากวัดโพธิ์จากรุ่นสู่รุ่น โรงแรมยังให้ความสำคัญกับด้านอาหาร (Cuisine) เพื่อให้ย่านประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ เป็นจุดหมายใหม่ของนักเดินทางที่ต้องการเติมเต็มประสบการณ์ใหม่ของรสชาติอาหาร ทั้งไทยดั้งเดิมและอาหารยุโรป ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวิถีการรับประทานอาหารในสมัยรัชกาลที่ 6 ห้องอาหาร เดอะ ระวีกัลยา ไดนิ่ง (The Raweekanlaya Dining) ได้รับการสร้างสรรค์เมนูอาหารอย่างพิถีพิถัน โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้รับประทานและความยั่งยืน วัตถุดิบในการปรุงอาหารจึงได้รับการคัดสรรเพื่อให้แน่ใจว่ามีคุณประโยชน์และเป็นวัตุดิบจากธรรมชาติอย่างแท้จริง เช่น ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ เกลือสมุทร และวัตถุดิบออร์แกนิคตามฤดูกาล ซึ่งล้วนผลิตจากกลุ่มเกษตรท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมกำลังการผลิตในชุมชน ผลิตภัณฑ์คุณภาพต่างๆ ยังมีที่มาจากผู้ผลิตชั้นนำทั้งในและต่างประเทศซึ่งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก “เราหวังว่า เดอะ ระวีกัลยา แบงค็อก จะเป็นเดสติเนชั่นแห่งใหม่สำหรับคนไทยและนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะสัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนที่ผสมผสานกลิ่นไอสมัยรัชกาลที่ 6 และการผ่อนคลายแบบร่วมสมัยได้อย่างแน่นอน” มร.นิชันท์กล่าว
พฤกษา เรียลเอสเตท ปลุกกระแสคอนโดไฮเอนด์ มาสเตอร์พีซโครงการแรก “เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ” เปิดตัวร้อนแรง กวาดเงินเข้าพอร์ทกว่า 1,600 ลบ.

พฤกษา เรียลเอสเตท ปลุกกระแสคอนโดไฮเอนด์ มาสเตอร์พีซโครงการแรก “เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ” เปิดตัวร้อนแรง กวาดเงินเข้าพอร์ทกว่า 1,600 ลบ.

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม เปิดเผยว่า “ในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดพรีเมียมเพื่อให้ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยโครงการแรกที่มีการเปิดตัว คือ “เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ” คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ที่มีแนวคิดการออกแบบสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุด พร้อมคัดสรรวัสดุภายในห้องระดับพรีเมียมอย่างดี เพื่อให้โครงการนี้เป็นโครงการที่ดีที่สุดในย่านทองหล่อ และเป็นผลงานคุณภาพระดับมาสเตอร์พีซโครงการแรกของ พฤกษา เรียลเอสเตท โดยเมื่อวันที่ 18 – 19 มี.ค. ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้จัดงาน open house ที่โครงการ ได้รับการตอบรับจากที่ดีเยี่ยมจากลูกค้า จากการเปิดตัวอาทิตย์แรกกวาดยอดขายไปได้กว่า 1,600 ล้านบาท หรือกว่า 90% ของมูลค่าโครงการ และผลตอบรับจากลูกค้าที่สัมผัสประสบการณ์เหนือความคาดหมายกับห้องตัวอย่างและบรรยากาศจริงที่โครงการ ซึ่งขณะนี้โครงการได้รับความสนใจและเป็นที่กล่าวถึงในโลกโซเชียลเป็นอย่างมาก บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าโครงการ “เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ” จะประสบความสำเร็จ และแบรนด์ “เดอะ รีเซิร์ฟ” จะเป็นที่ยอมรับจากกลุ่มลูกค้าระดับบนอย่างแน่นอน และเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ยังมีแผนพัฒนาแบรนด์ “เดอะ รีเซิร์ฟ” ในอีกหลากหลายทำเลศักยภาพ ได้แก่    พญาไท ประดิพัทธ์ และสุขุมวิท 61 เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ของกลุ่มพรีเมียมให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้  “เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ” เป็นคอนโดมิเนียมสูง 26 ชั้น ตั้งอยู่ในซอยทองหล่อ 2 ห่างจากสถานี BTS ทองหล่อเพียง 500 เมตร ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “RESERVE YOUR NATURE” จุดเด่นอยู่ที่ Creek Garden และบรรยากาศแบบ Micro Climate ที่ทำให้โครงการมีความแตกต่าง ร่มรื่นและน่าอยู่ ท่ามกลางสีสันของใจกลางเมือง ลูกค้าจะได้สัมผัสธรรมชาติผสมผสานอยู่ทุกส่วนของโครงการ ตัวอาคารออกแบบให้มีเส้นสายสไตล์โมเดิร์น ใช้สีเทาและวัสดุโลหะทองแดง เพื่อเพิ่มความหรูหรา ทันสมัยมีรสนิยมแบบคนรุ่นใหม่ และยังมอบความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตเพียงชั้นละ 5 ยูนิต และทุกยูนิตเป็นห้องมุม เฟรมอลูมิเนียมพร้อมกระจก insulate และผนังระหว่างห้องหนาถึง 20 ซม. ป้องกันความร้อนและเสียงจากภายนอกได้เป็นอย่างดี อุปกรณ์ชุดครัวนำเข้าสั่งทำพิเศษ โดยใช้ Brand ดังจากยุโรป Gorenje By Philippe Starck เพียบพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ระบบ Home Automation, Video Door Phone พร้อม Emergency Call เพื่อความทันสมัยและความปลอดภัยสูงสุด พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม. และการออกแบบส่วนกลางระดับพรีเมี่ยม Marble pool และ Kid pool สระว่ายน้ำหินอ่อนหรูหรา พร้อมระบบน้ำเกลือ และจากุซชี่ บนชั้น 25 – 26 ห้องฟิตเนสเปิดรับมุมมองวิวพาโนรามา พร้อมอุปกรณ์ครบครันระดับ World Class, Sky Movie Amphitheatre, The Reserve Lounge and Concierge by The reserve เหนือระดับด้วยบริการผู้ช่วยส่วนตัวที่พร้อมอำนวยความสะดวกในการประสานงานบริการต่างๆ เพื่อดูแลและเพิ่มความอุ่นใจให้แก่ลูกบ้านตลอด 24 ชม. เดินทางสะดวกด้วยบริการ Shuttle รับส่ง BTS ทองหล่อ โครงการมีแบบห้องให้เลือก 3 แบบ คือ ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ 43.94 - 58.15 ตร.ม, ขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ 70.86 - 76.77 ตร.ม และ Penthouse พื้นที่ 121.71 ตร.ม ในราคาเริ่มต้น 250,000.-/ตร.ม ราคาขนาด 2 ห้องนอนเริ่มต้น 17 ล้านบาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร.1739 หรือ thereservecondo.com หรือ Line@ : Thereservecondo
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย เผยแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย เผยแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ

มร.แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัดกล่าวว่า ตลาดคอนโดฯในกรุงเทพฯในปี 2559 มีการเติบโตในระดับที่ลดลงกว่าปี 2558 เนื่องจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจไทย ซัพพลายพื้นที่เขตชานเมือง (Peripheral areas) ในกรุงเทพฯมีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด โดยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 76 ของซัพพลายทั้งหมดในปี 2559 ทั้งนี้เป็นผลเนื่องมาจากการขยายเส้นทางขนส่งมวลชนไปสู่ย่านชานเมืองกรุงเทพฯ นักพัฒนาหลายรายจึงเลือกพัฒนาโครงการตามเส้นทางขนส่งมวลชนสายใหม่ในย่านชานเมือง เนื่องจากมีที่ดินเพียงพอต่อการพัฒนาในราคาที่สมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม ปัญหาการพัฒนารถไฟใต้ดิน (MRT) สายสีม่วง (เตาปูน - คลองบางไผ่) จะเป็นกรณีศึกษาแก่นักพัฒนาและผู้ซื้อคอนโดฯในย่านนี้ เนื่องจากปริมาณผู้โดยสารจริงมีจำนวนน้อยกว่าเกือบสามเท่าของจำนวนผู้โดยสารที่ถูกคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้เนื่องจากเส้นทางสายนี้ยังไม่ได้เชื่อมต่อกับเส้นทางขนส่งมวลชนสายอื่นๆ สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ตลาดคอนโดฯตามแนวสายสีม่วงที่เปิดดำเนินการไปเมื่อปีที่แล้ว ยังคงมีหน่วยที่เหลือขายอยู่ในตลาด โดยรวมแล้ว ความต้องการคอนโดฯมีปริมาณลดลงมาก เนื่องจากความต้องการคอนโดฯในพื้นที่เขตชานเมืองกรุงเทพฯที่น้อยลงเพราะผู้ซื้อจำนวนมากไม่สามารถกู้ยืมจากธนาคารได้ ราคาคอนโดฯในพื้นที่เขตชานเมืองกรุงเทพฯจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่คอนโดฯในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) และพื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe areas) จะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากซัพพลายใหม่มีน้อย หน่วยคอนโดฯใหม่ๆในพื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจจะต้องแข่งขันกับหน่วยคอนโดฯเก่าในย่านศูนย์กลางธุรกิจที่มีการบำรุงรักษาอาคารอย่างดี เนื่องจากหน่วยคอนโดฯใหม่ในพื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจมีราคาสูงกว่าหน่วยคอนโดฯเก่าในย่านศูนย์กลางธุรกิจ คุณพจมาน วรกิจโภคาทร ผู้อำนวยการด้านการตลาดและงานขาย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ราคาคอนโดฯในเขตชานเมืองกรุงเทพฯคาดว่าจะยังคงมีเสถียรภาพ อย่างไรก็ตาม นักพัฒนาจำเป็นต้องทำการสำรวจตลาดก่อนเริ่มพัฒนาโครงการคอนโดฯในบางพื้นที่ของเขตชานเมืองกรุงเทพฯ ด้วยราคาขายที่ปรับตัวสูงขึ้นมากของคอนโดฯในย่านศูนย์กลางธุรกิจและพื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจ ตลาดรีเซล (Resales market) ของคอนโดฯในย่านศูนย์กลางธุรกิจจะต้องแข่งขันกับโครงการคอนโดฯใหม่ๆ เนื่องจากมีช่องว่างด้านราคาขายที่ต่างกันมาก สำหรับคอนโดฯเหล่านี้ ผู้อยู่อาศัย (End-users) อาจให้ความสนใจกับหน่วยคอนโดฯรีเซลในอาคารเก่าที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีมากกว่าที่จะซื้อหน่วยคอนโดฯโครงการใหม่ เนื่องจากคอนโดฯเก่ามีราคาที่ถูกกว่าและขนาดหน่วยที่ใหญ่กว่า  แนวโน้มซัพพลาย จากรายงานผลวิจัยของไนท์แฟรงค์ประเทศไทย พบว่า ภายในสิ้นปี 2559 คอนโดฯในกรุงเทพฯมีจำนวนรวมทั้งหมด 435,805 หน่วย โดยจำนวนประมาณ 52,195 หน่วยถูกเปิดตัวไปในปี 2559 แสดงการเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 13.6 จากปีก่อน ซัพพลายใหม่ส่วนใหญ่เป็นของบริษัทมหาชน (Listed Developers) ปริมาณซัพพลายที่มีมากไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของความต้องการคอนโดฯแต่อย่างใด โครงการที่เปิดตัวใหม่ๆส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในพื้นที่เขตชานเมืองกรุงเทพฯ โดยสามารถคิดเป็นร้อยละ 76 ของซัพพลายใหม่ปี 2559 ตามมาด้วยพื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจ โดยอยู่ที่ร้อยละ 14 นอกจากนี้ ข้อมูลดังกล่าวยังแสดงปริมาณซัพพลายใหม่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจปี 2559 โดยคิดเป็นร้อยละ 10 ดังที่แสดงในกราฟ 2 โดยส่วนใหญ่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 มีการเปิดตัวโครงการใหม่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ 9 แห่ง, โครงการในพื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจ 12 แห่ง และโครงการในพื้นที่เขตชานเมือง 50 แห่ง โดยโครงการใหม่ที่เปิดตัวในพื้นที่เขตชานเมืองส่วนใหญ่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 ถูกพัฒนาตามแนวเส้นทางรถไฟใต้ดิน MRT สายสีน้ำเงินสายที่ 2 (หัวลำโพง - ท่าพระ - หลักสี่) และสายที่ 3 (หลักสี่ - พุทธมณฑลสาย 4) และตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า BTS สายใต้ (แบริ่ง - สำโรง - สมุทรปราการ) ที่มีการก่อสร้างแล้วเสร็จมากกว่าร้อยละ 80 ในขณะนี้ กราฟ 1: อุปทานและอุปทานใหม่ของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปี 2551-2559 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กราฟ 2: อุปทานใหม่ แบ่งตามพื้นที่ ปี 2559 แนวโน้มดีมานด์ มีจำนวนหน่วยคอนโดฯประมาณ 315,393 หน่วยที่ถูกขายออกไปจากทั้งหมด 435,805 หน่วย คิดเป็นอัตราขายที่ร้อยละ 72.4 ซึ่งลดลงไปจากปีก่อนจากร้อยละ 75.3 หน่วยของคอนโดฯที่ถูกขายออกในปี 2559 โดยมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 26,595 หน่วย ลดลงไปร้อยละ 59 เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีประมาณ 64,170 หน่วยที่ขายออกไปในปี 2558 ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากกำลังซื้อที่ลดลงของผู้ซื้อและมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นของธนาคาร ดังนั้นนักพัฒนาจำต้องสร้างแคมเปญส่งเสริมการขายพิเศษต่างๆเพื่อกระตุ้นยอดขาย เช่น การลดราคา, ข้อเสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษ และอื่นๆ กราฟ 3: อุปทาน, อุปสงค์ และอัตราการครอบครอง ระหว่างปี 2551-2559 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด  แนวโน้มด้านราคา ราคาของโครงการคอนโดฯที่เปิดตัวใหม่ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วกรุงเทพฯในราคาที่แตกต่างกันโดยขึ้นอยู่กับทำเลพื้นที่ ราคาขายเฉลี่ยของหน่วยคอนโดฯในย่านศูนย์กลางธุรกิจตั้งราคาอยู่ที่ 229,180 บาท/ตร.ม. เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 ตามมาด้วยราคาขายเฉลี่ยของหน่วยคอนโดฯในพื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 หรือคิดเป็น 134,842 บาท/ตร.ม. และราคาขายเฉลี่ยของหน่วยคอนโดฯพื้นที่เขตชานเมืองที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 คิดเป็น 76,002 บาท/ตร.ม. กราฟ 4: ราคาขายเฉลี่ยของหน่วยคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ระหว่างปี 2551 - ไตรมาสที่ 1 ปี 2559 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด CR Cover Photo : Patrick Foto
DITP จับมือ ภาคเอกชน ประกาศความพร้อมจัด “BIG + BIH April 2017” ปั้นไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าไลฟ์สไตล์ ดันมูลค่าส่งออกเพิ่ม 5%

DITP จับมือ ภาคเอกชน ประกาศความพร้อมจัด “BIG + BIH April 2017” ปั้นไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าไลฟ์สไตล์ ดันมูลค่าส่งออกเพิ่ม 5%

DITP จับมือ ภาคเอกชน ประกาศความพร้อมจัด “BIG + BIH April 2017” ปั้นไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าไลฟ์สไตล์ ดันมูลค่าส่งออกเพิ่ม 5% กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ร่วมกับสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย และสมาคมผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แนวดีไซน์ ประกาศความพร้อมจัดงาน BIG + BIH April 2017 นับเป็นการจัดงานครั้งที่ 43 เพื่อเป็นเวทีเจรจาการค้าสินค้าของขวัญและของใช้ในบ้านระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ซื้อจากทั่วโลก ส่งเสริมไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกสินค้าของขวัญของตกแต่งบ้านและของใช้ในบ้าน ในอาเซียน ตั้งเป้าเงินสะพัดในงาน กว่า 700 ล้านบาท นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในปีนี้มีปัจจัยบวกหลายประการที่จะช่วยผลักดันการส่งออกของไทยให้ขยายตัวขึ้น โดยเฉพาะการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มดีขึ้น อาทิ จีนที่สามารถรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจไว้ได้ ขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกาก็คาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะดีขึ้น ที่สำคัญ กลุ่มอาเซียนซึ่งมีสัดส่วน 25% ของมูลค่าการส่งออกไทยยังขยายตัวได้ดีอยู่ ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จึงได้ตั้งเป้าการขยายตัวของการส่งออกในปีนี้ไว้ที่ 5% ซึ่งสินค้าไลฟ์สไตล์ก็นับเป็นสินค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความสำคัญต่อภาคการส่งออก โดยในปีที่ผ่านมา สามารถส่งออกได้ถึง 2,718 ล้านเหรียญสหรัฐ และปีนี้ก็ได้ตั้งเป้าที่จะขยายการส่งออกเพิ่มขึ้น ซึ่งในเดือนเมษายนนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จะนำผู้ซื้อจากต่างประเทศมาพบผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทย ที่จะก่อให้เกิดการขยายตัวของการส่งออกเพิ่มขึ้นใน งานแสดงสินค้าของขวัญและงานแสดงสินค้าของใช้ในบ้าน เดือนเมษายน 2560 (Bangkok International Gift Fair 2017 and Bangkok International Houseware Fair 2017) หรือ BIG + BIH April 2017 นางมาลี กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงาน BIG + BIH April 2017 ในครั้งนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมทั้งผู้ซื้อรายใหญ่และผู้ซื้อรายเล็ก จากเดิมที่เน้นกลุ่มผู้ซื้อรายใหญ่ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเปิดโอกาสทางการค้าให้กับผู้ซื้อรายเล็กที่กำลังมองหาพันธมิตรและโอกาสทางธุรกิจใหม่แล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทยอีกด้วย โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศที่อยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เชิญชวนผู้ซื้อกลุ่มใหม่ให้มาร่วมชมงาน ไม่ว่าจะเป็นคอนเซ็ปต์สโตร์ มัลติแบรนด์ กิ๊ฟช็อป ร้านค้าปลีก โรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และนักออกแบบภายใน โดยในงานนี้จะมีสินค้าไลฟ์สไตล์ดีไซน์ทันสมัย หลากหลาย คุณภาพดีในราคาสมเหตุสมผล มาจัดแสดงอย่างครบครัน อาทิ ของแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ ของขวัญ ของที่ระลึก ของใช้ในบ้าน ของเล่นเด็ก เครื่องเขียน และสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง งาน BIG + BIH April 2017 จะมีผู้ประกอบการกว่า 400 บริษัท รวมกว่า 1,200 คูหา มาร่วมกันโชว์ศักยภาพ นำผลงานที่มีความโดดเด่นทางด้านดีไซน์ มีความคิดสร้างสรรค์ และมีคุณภาพมาจัดแสดงให้กับผู้ซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศที่จะเดินทางมาเจรจาการค้า อาทิ อเมริกา ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ เยอรมนี นอกจากนี้ ในงานยังจัดให้มีนิทรรศการและผลงานต้นแบบด้านความคิดสร้างสรรค์ที่จะสร้างแรงบันดาลใจและนำไปต่อยอดหรือขยายผลในเชิงธุรกิจ อาทิ DEmark จัดแสดงผลงานการออกแบบยอดเยี่ยมที่ได้รับรางวัลสินค้าไทยที่มีการออกแบบดีปี 2559, TOP of OTOP Lifestyle Pavilion จัดแสดงสินค้าโอทอปในกลุ่มไลฟ์สไตล์ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการจำหน่ายสินค้ากลุ่มนี้, I+D Style Café ร้านคาเฟ่ต์ต้นแบบที่มีการตกแต่งด้วยสินค้าที่มีนวัตกรรมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งจัดแสดงสินค้าที่ได้รับตราสัญลักษณ์คุณภาพ Thailand Trust Mark (T Mark), Pet Parade        จัดแสดงสินค้านวัตกรรมและไอเดียใหม่ที่ตอบโจทย์คนรักสัตว์เลี้ยง และ Thai Herbs นำเสนอสมุนไพรไทยและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสมุนไพรไทยที่ใช้ภูมิปัญญาในการสร้างสรรค์นอกจากนี้ ยังมีบริการด้านโลจิสติกส์ครบวงจรในโซน DITP Logistics Pavilion ด้วย “งาน BIG + BIH April 2017 นับเป็นจุดหมายปลายทางของผู้ที่กำลังมองหาสินค้าของขวัญและของใช้ในบ้าน จากผู้ซื้อทั่วโลก ซึ่งนานาประเทศให้การยอมรับว่าสินค้าของไทยมีดีไซน์ที่สวยงาม มีความหลากหลาย ประณีตคุณภาพดี ราคาสมเหตุสมผล โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้ตั้งเป้าจำนวนผู้ชมงานไว้ที่ 45,000 ราย แบ่งเป็นวันเจรจาธุรกิจ 5,000 ราย วันจำหน่ายปลีก 40,000 ราย และคาดว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายภายในงานกว่า 800 ล้านบาท” นางมาลี กล่าว งาน BIG + BIH April 2017 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-23 เมษายน 2560 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยแบ่งการจัดงานออกเป็น วันเจรจาธุรกิจ : 19-21 เมษายน เวลา 10.00-18.00 น. และ วันจำหน่ายปลีก : 22-23 เมษายน เวลา 10.00-21.00 น. ผู้สนใจดูรายละเอียดและลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าได้ที่ www.bigandbih.comและ www.ditp.go.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169
พฤกษา เรียลเอสเตท แรงไม่หยุด เปิดตัว “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น เฟสใหม่” ตอบรับชีวิตสุดชิค กับรถไฟฟ้า 3 สาย 1 เม.ย. นี้

พฤกษา เรียลเอสเตท แรงไม่หยุด เปิดตัว “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น เฟสใหม่” ตอบรับชีวิตสุดชิค กับรถไฟฟ้า 3 สาย 1 เม.ย. นี้

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ พฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากการพัฒนาคอนโดมิเนียม “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น” ด้วยทำเลศักยภาพในย่านนี้ที่แวดล้อมไปด้วยแหล่งงานสำคัญ ทั้งศูนย์ราชการ สนามบินดอนเมือง สถาบันการศึกษา และห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง โดยมีจุดเด่นคืออยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า  3 สาย คือ สายสีชมพู (ศูนย์ราชการ-มีนบุรี), สายสีแดง(บางซื่อ-รังสิต) และสายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ซึ่งเมื่อเปิดใช้บริการในอนาคตจะเป็นจุดเชื่อมต่อ (Interchange) ที่สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพ ฯ ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยในย่านนี้มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีลูกค้าให้การตอบรับอย่างล้นหลาม โดยเปิดขายไปแล้ว 2 เฟส มียอดขายแล้วเกือบ 100% บริษัทฯ จึงเตรียมเปิด “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น เฟสใหม่ ติดถนนใหญ่” ริมถนนแจ้งวัฒนะ ในวันที่ 1 เม.ย. นี้ “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น” มาพร้อมกับการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “รวมความสุข สนุกกับไลฟ์สไตล์” ภายในโครงการมีความร่มรื่นด้วยต้นไม้นานาพรรณ เป็นอาคารสูง 8 ชั้น 5 อาคาร รวม 1,172 ยูนิต แบ่งเป็น ห้องชุดพักอาศัย 1,154 ยูนิต ประกอบด้วยห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 22.50 - 26.00 ตร.ม. แบบ 2 ห้องชุดรวมกัน (Combine) พื้นที่ใช้สอย 34.95 – 45.00 ตร.ม. และร้านช้อปปิ้งที่มากถึง 18 ร้าน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและให้ความคุ้มค่ามากกว่า อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องดูหนัง Reading Lounge Kids Room ห้องเกมส์ ห้องสันทนาการ สนามเด็กเล่น ลู่จ๊อกกิ้ง และสวนลอยฟ้า เข้า-ออกด้วยระบบ Access Card และลิฟท์ล็อคชั้น พร้อมกล้อง CCTV และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม. ในราคาเริ่มต้น 1.19 ล้านบาท “พลัมคอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น เฟสใหม่ ติดถนนใหญ่” ตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการ ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู เพียง 200 เมตร เปิดให้ลูกค้าเข้าชมห้องตัวอย่างพร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย ภายใต้แคมเปญ “จองห้องชุด ลุ้นทองเป็นล้าน*” โดยลงทะเบียนชมโครงการรับส่วนลดสูงสุด 20,000 บาท และมีสิทธิ์ลุ้นรับทองคำทุกสัปดาห์ นอกจากนี้หากชวนเพื่อนชมโครงการ และร่วมเล่นเกมส์ จะได้รับส่วนลดเพิ่มเติมอีกด้วย และสำหรับลูกค้าที่จองห้องในวันพรีเซลจะได้รับสิทธิ์ลุ้นรับทองคำรวมมูลค่า 1,000,000 บาท* สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร.1739 หรือ plum.pruksa.com