Tag : News

2376 ผลลัพธ์
“แอสเซทไวส์” บุกใจกลางเมือง ลุยทำเลฮ็อต “ลาดพร้าว–โชคชัย 4” ส่ง “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” คอนโดที่ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ ในแนวคิด “Eco Design…เพื่อไลฟ์สไตล์คนเมือง”

“แอสเซทไวส์” บุกใจกลางเมือง ลุยทำเลฮ็อต “ลาดพร้าว–โชคชัย 4” ส่ง “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” คอนโดที่ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ ในแนวคิด “Eco Design…เพื่อไลฟ์สไตล์คนเมือง”

บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ ที่ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ ส่งคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุดลุยตลาดกับ “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” (Wynn Condo Ladprao-Chokchai 4) ต่อยอดความสำเร็จแบรนด์ “วินน์ คอนโด” กับคอนโดแต่งครบชูคอนเซ็ปต์ “Eco Design…เพื่อไลฟ์สไตล์คนเมือง”  ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ บนทำเลฮ็อต ลาดพร้าว – โชคชัย 4  เป็นครั้งแรก ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบทุกฟังก์ชั่น ในราคาเริ่มต้น 1.6 ล้านบาท นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด เผยว่า “วินน์” (Wynn) เป็นหนึ่งในแบรนด์คอนโดมิเนียมของบริษัทฯ ที่ประสบความสำเร็จ ได้รับการตอบรับที่ดี ด้วยทำเลที่ตั้งที่โดดเด่น สะดวกในการเดินทาง ดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์  ในปีนี้บริษัทฯ จึงได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ Wynn เพิ่มอีกหนึ่งโครงการ โดยเป็นทำเลใหม่ที่รุกใจกลางเมืองยิ่งขึ้น ได้แก่โครงการ  “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” ตั้งอยู่บนถนนโชคชัย 4 ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพที่แวดล้อมไปด้วยความสะดวกสบายรอบด้าน แหล่งรวมร้านอาหารชั้นนำ การคมนาคมที่สะดวกสบาย สามารถเดินทางสู่ย่านธุรกิจใจกลางเมืองได้อย่างคล่องตัว ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ (ลาดพร้าว) และอยู่ใกล้รถไฟฟ้าถึง 2 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้า MRT สถานีลาดพร้าว และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีโชคชัย 4 ซึ่งจะเปิดให้บริการในอีกไม่ช้าทั้งยังรองรับด้วยการคมนาคมหลากหลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น ถนนลาดพร้าว ถนนพหลโยธิน ถนนรัชดาภิเษก ถนนประดิษฐ์มนูธรรม และถนนเกษตร-นวมินทร์ พร้อมทั้งอยู่ใกล้สถานที่สำคัญ ทั้งสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสถานที่อำนวยความสะดวกต่าง ๆ อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ ตลาดโชคชัย 4 โรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล  (โชคชัย 4) ห้างสรรพสินค้าเมเจอร์ รัชโยธิน และ The Jass วังหิน เป็นต้น “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว-โชคชัย 4” โดดเด่นด้วยการออกแบบและสร้างสรรค์ ภายใต้แนวคิด “Eco Design…เพื่อไลฟ์สไตล์คนเมือง” ใส่ใจรายละเอียดทั้งภายนอกและภายใน ด้วยแรงบันดาลใจจากการใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติในสังคมเมืองได้อย่างลงตัว เริ่มต้นจากการออกแบบอาคารให้อากาศถ่ายเทได้ทั่วถึง เลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดพลังงาน อาทิ ใช้แผงพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ที่บริเวณสวนดาดฟ้า ใช้หลอดไฟ LED ที่สามารถประหยัดพลังงานได้ถึง 20% รวมถึงแปลงปลูกผักสวนครัวที่ลูกบ้านรับประทานได้  ทั้งยังจัดสรรพื้นที่จอดจักรยาน ตอบสนองการใช้ชีวิตแบบ Ecology มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินที่มีเอกลักษณ์ เลือกใช้วัสดุคุณภาพ คำนึงถึงฟังก์ชั่นการใช้งานและประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่า พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่าง Bluetooth Sound System ระบบหน้าจอสัมผัสรุ่นล่าสุด ที่ไม่ว่าจะอยู่บริเวณไหนของห้องก็สามารถเพลิดเพลินกับการฟังเพลงได้ทุกที่ “นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและตอบสนองทุกด้านของการใช้ชีวิต ด้วยอาคารส่วนกลางที่ถูกออกแบบให้เป็นสถานที่ชิลเอ้าท์สำหรับผู้อยู่อาศัย แยกออกมาจำนวน 1 อาคารเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว ขยายพื้นที่พักผ่อนที่ให้ความรู้สึกโปร่งสบายกับดูเพล็กซ์ ล็อบบี้ เลานจ์ (Duplex Lobby Lounge) พร้อม ห้องสมุด (Library / Social Club) มุมเงียบสงบเป็นส่วนตัวสำหรับทำงาน อ่านหนังสือ ฟิตแอนด์เฟิร์มด้วยห้องออกกำลังกายที่สามารถมองเห็นวิวได้อย่างชัดเจน (Panoramic Fitness) สระว่ายน้ำที่มาพร้อมอ่างน้ำวน (Scenic Swimming Pool & Jacuzzi) และเติมความพิเศษยิ่งขึ้นด้วยพื้นที่พักผ่อนสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ บนชั้น Roof Top ของอาคาร ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สำหรับจัดปาร์ตี้บาร์บีคิว (Barbecue Terrace) พื้นที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง (Outdoor Gym) สวนหมากรุกที่ไม่เหมือนใคร (Chess Garden) และพื้นที่ส่วนกลางสำหรับนั่งทำงาน (Co-Working Space) พร้อมยังเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยด้วยประตูระบบ Digital Door Lock กล้องวงจรปิด ควบคุมการเข้าออกโครงการด้วยระบบคีย์การ์ด ปลอดภัยอีกขั้นด้วยระบบลิฟท์ล็อคชั้น และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง” นายกรมเชษฐ์ กล่าว “วินน์ คอนโด ลาดพร้าว - โชคชัย 4” เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร รวม 325 ยูนิต และอาคารส่วนกลาง สูง 3 ชั้น จำนวน 1 อาคาร มูลค่าโครงการประมาณ 650 ล้านบาท รวมพื้นที่โครงการทั้งสิ้น  2-1-54 ไร่ ประกอบด้วยห้องชุดขนาดต่าง ๆ ได้แก่ ห้อง 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ 23.18 – 23.60  ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Extra ขนาดพื้นที่ประมาณ 25.33 – 25.70 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Exclusive ขนาดพื้นที่ประมาณ 25.67 – 34.86 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ประมาณ 34.79 – 39.97 ตร.ม. และห้อง 2 Bedroom ขนาดพื้นที่ 42.91 – 48.24 ตร.ม. โดยจะเริ่มก่อสร้างในปี 2560 และคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2561 ผู้สนใจ สามารถเยี่ยมชมห้องตัวอย่าง ณ สำนักงานขาย วินน์ คอนโด ถนนโชคชัย 4 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 081 614 1144 หรือ www.wynn-condo.com
“โพลี เพลสฯ พหลโยธิน 23” เปิดขายตึกใหม่แล้ว หลังยอดจองกระฉูดกว่า 80%

“โพลี เพลสฯ พหลโยธิน 23” เปิดขายตึกใหม่แล้ว หลังยอดจองกระฉูดกว่า 80%

แตกไลน์มาเป็นดิวิลอปเปอร์ กลุ่มเซนต์จอห์นฯ เจ้าของที่ผืนงามหลายแปลง ปลื้มฟี๊ดแบ๊คคอนโดฯ ใหม่ โพลี เพลส คอนโด แอท พหลโยธิน 23 (Poly Place Condo @ Phahon Yothin 23) ยอดขายดีเกินคาด  หลังเปิดขายไม่ถึงสามเดือน ยอดจองสองอาคารเกิน 80% ล่าสุดเปิดขายตึกใหม่ เป็นอาคารสุดท้าย พรีเซลส์ วันที่ 13-14 พ.ค. นี้ พร้อมเปิดตัวห้องตัวอย่าง แต่งเสร็จสมบูรณ์เป็นครั้งแรก ติดใจ อัดโปรโมชั่นจองในงาน รับส่วนลดทันที 100,000 บาท พร้อมวอชเชอร์เครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่า 50,000 บาท คาดปิดการขายได้ภายใน 3 เดือน คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายในพฤศจิกายน 2561 ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการขอ EIA  คุณชัยณรงค์ มนเทียรวิเชียรฉาย ประธานกรรมการ บริษัท ซาแลน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เผยว่า “จากการก่อสร้างของรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีความคืบหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ  ทำให้ย่านดังกล่าว โดยเฉพาะหัวถนนไล่ไปจนถึงเมเจอร์รัชโยธิน มีความตื่นตัวและเติบโตสูง เห็นได้ชัดจาก เริ่มมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่จากที่อยู่อาศัยเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์มากขึ้น  ในส่วนของบริษัทฯ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว และมีที่ดินสะสมจึงตัดสินใจขึ้นโครงการ  โพลี เพลส คอนโด แอท พหลโยธิน 23 (Poly Place Condo @ Phahon Yothin 23) สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร จำนวนยูนิตโดยรวม 553 ยูนิต มีห้องชุดขนาดเริ่มต้น 29 – 58 ตร.ม. ที่จัดเต็มด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น สระว่ายน้ำระบบเกลือแบบ Infinity Edge ห้องออกกำลังกาย ลู่วิ่ง ท่ามกลางสวนสีเขียวสไตล์ Urban Tropical Garden กว่า 1 ไร่ ด้วยงบลงทุนกว่า 800 ล้านบาท  จุดเด่นของโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยมากที่สุด คือ สวนสวยขนาดใหญ่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้มากกว่าที่อื่น เมื่อเทียบกับโครงการ Low-Rise ด้วยกันในย่านนี้ อีกทั้งในเรื่องของLocation ของโครงการเอง ที่เข้า-ออกได้ 2 เส้นทาง ทั้ง ฝั่งวิภาวดี 32 และฝั่งพหลโยธิน 23 (ใกล้สถานีพหลโยธิน 24 : BTS สายสีเขียว โครงการส่วนต่อขยายมาจากจตุจักร) เมื่อเทียบระหว่างProduct, Location และราคาขาย จึงถือว่าเป็นโครงการที่มีความคุ้มค่า  โดยเริ่มเปิดขายครั้งแรกปลายเดือน ก.พ. จำนวน 2 อาคาร ตึก A และ B ด้วยยอดขายกว่า 80% พร้อมเตรียมเปิดอาคารC  เร็วๆ นี้ พรีเซลส์ 13-14 พ.ค. เปิดให้ชมห้องตัวอย่างแต่งเสร็จสมบูรณ์ครั้งแรก จองในงาน รับส่วนลด 100,000 บาท พร้อมวอชเชอร์เครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่า 50,000 บาท ทั้งนี้โครงการฯ มีการขยับราคาขายต่อตรม. ขึ้นมาเล็กน้อยตามปัจจัยตลาด
“ออริจิ้น” ชูแบรนดิ้ง My Life. My Origin บุกตลาด ดึง “ณเดชน์” ซุปเปอร์สตาร์อันดับ 1 ของไทย ขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมเปิดตัวคอนโดใหม่อีก 4 โครงการรวมมูลค่า 8,400 ล้านบาท

“ออริจิ้น” ชูแบรนดิ้ง My Life. My Origin บุกตลาด ดึง “ณเดชน์” ซุปเปอร์สตาร์อันดับ 1 ของไทย ขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมเปิดตัวคอนโดใหม่อีก 4 โครงการรวมมูลค่า 8,400 ล้านบาท

ออริจิ้น เปิดตัวแบรนดิ้งแคมเปญ “My Life. My Origin” เสริมแกร่งภาพลักษณ์ หลังโตพรวดต่อเนื่องตลอด 8 ปี เชื่อหมดยุคคนแห่อยู่ในเมือง ถึงยุคใช้ชีวิตแบบเป็นตัวเองในถิ่นทำเลที่คุ้นเคย พร้อมดึง “ณเดชน์” เป็นพรีเซ็นเตอร์ สะท้อนภาพลักษณ์บริษัทและคอนโดทั้ง 3 แบรนด์ ถือโอกาสดี ประกาศเปิดตัวคอนโดใหม่พร้อมกันอีก 4 โครงการ 3 แบรนด์ มูลค่ารวม 8,400 ล้านบาท   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), และเคนซิงตัน (Kensington) กล่าวว่า ตลอด 8 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2552 บริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง และมีก้าวสำคัญใหม่ๆ ทุกปี อาทิ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การมียอดขายทะลุ 1 หมื่นล้านบาท ดังนั้น วันนี้ ในช่วงที่บริษัทกำลังจะครบรอบ 8 ปีและก้าวเข้าสู่ปีที่ 9 จึงได้ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาทในการจัดทำแบรนดิ้งแคมเปญภายใต้แนวคิด “My Life. My Origin” หรือ “ชีวิตในฝันแบบที่เป็นคุณ” เพื่อให้บริษัทมีภาพลักษณ์ที่ชัดเจน สะท้อนตัวตนของแบรนด์โดดเด่นยิ่งขึ้น “เราค้นพบว่า สาเหตุที่ยอดขายตลอด 8 ปีที่ผ่านมาของเราเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเราสามารถเข้าถึงตลาดผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในแต่ละทำเล ยอดขายหลายๆ โครงการของเราเป็นผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในทำเลนั้นกว่า 70% สะท้อนว่าความสุขของลูกค้าของเรา คือการได้มีที่อยู่อาศัยในทำเลที่เขาคุ้นเคย ติดรถไฟฟ้า และนี่จึงเป็นที่มาของแบรนดิ้งแคมเปญ My Life. My Origin เราอยากให้ทุกคนใช้ชีวิตในฝันแบบที่เป็นคุณ” นายพีระพงศ์ กล่าว ที่ผ่านมา คอนโดมิเนียมมักถูกกล่าวถึงในฐานะบ้านหลังที่ 2 ผู้คนมักคิดว่าบ้านหลังที่ 2 ต้องอยู่ในเมือง เพื่อให้ใกล้ที่ทำงานที่สุด แต่นับจากนี้ไปจะไม่ใช่ยุคคนแห่ไปอยู่ในเมือง เพราะโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมอย่างรถไฟฟ้าสามารถกระจายเข้าถึงผู้คนในทุกพื้นที่ ตลาดคอนโดมิเนียมจะกลายเป็นบ้านหลังแรกของคนรุ่นใหม่ที่เกิดจากครอบครัวขยายหรือต้องการอยู่ในแนวรถไฟฟ้าใกล้แหล่งงาน กล่าวคือเดิมเคยอาศัยอยู่บ้านแนวราบในทำเลไหน พอมีครอบครัวเพิ่มเติม ก็ขยายไปอยู่ในคอนโดมิเนียมทำเลใกล้เคียงเดิม เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอยู่ในย่านที่คุ้นเคย ไปหาญาติพี่น้องได้สะดวก ประเทศไทยจะเหมือนประเทศญี่ปุ่นที่ผู้คนไม่ได้คาดหวังว่าต้องดิ้นรนเข้าไปอยู่ในเมือง อาศัยรถไฟฟ้าไปทำงานในแต่ละวัน การเป็นแบรนด์ที่ตอบสนองการใช้ชีวิตในฝันในแบบที่เป็นตัวเอง ไม่ต้องตามใคร จึงน่าจะเป็นแบรนด์ที่เข้าใจผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคตมากที่สุด “ค่าครองชีพในเมืองจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ราคาคอนโดมิเนียมในเมืองที่ราคา 3-5 ล้านจะไม่ใช่ราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ แถมอีกหน่อยคอนโดมิเนียมในเมืองอาจจะกลายเป็นคอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์ ที่ผู้ซื้อไม่ได้มีสิทธิ์ขาดตลอดไป ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความฝันของคนทั่วไป เพราะคนทั่วไปยังต้องการมีคอนโดมิเนียมที่ตัวเองมีสิทธิ์ขาด ราคาเข้าถึงได้ มีการตกแต่ง มีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เป็นรากดั้งเดิมของเขา ออริจิ้น ซึ่งมีความหมายถึงรากหรือต้นกำเนิด ไม่ซ้ำใคร ไม่ตามใคร จึงต้องการแสดงจุดยืนในฐานะผู้เข้าใจผู้บริโภคที่สุดผ่านแคมเปญ My Life. My Origin นี้” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงมุ่งหน้าพัฒนาคอนโดมิเนียมเจาะตลาดพรีเมียมแมส อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทต้องการเป็นแชมป์การพัฒนาคอนโดมิเนียมเจาะผู้ต้องการห้องระดับราคา 1.5 -3 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า เพื่อให้ภาพลักษณ์ของบริษัทและคอนโดมิเนียมแต่ละแบรนด์ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงได้ให้นายณเดชน์ คูกิมิยะ พระเอกระดับแถวหน้าของเมืองไทย ซึ่งมีบุคลิกที่สอดคล้องกับแบรนด์คอนโดมิเนียมทั้ง 3 แบรนด์ของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในแคมเปญ My Life. My Origin ด้วย “ณเดชน์ คือคนธรรมดาที่มีสไตล์ คือตัวแทนของคนทั่วไปที่มีทั้งมุมเนี้ยบดูดี มุมเท่ๆ และมุมสบายๆ ไม่ต้องแต่งตัวหรูหรา สะท้อนภาพได้ตั้งแต่คอนโดมิเนียมแบรนด์เท่แบบเรียบหรูอย่างไนท์บริดจ์ แบรนด์ที่มีความทันสมัยหรือโมเดิร์นอย่างนอต-ติ้ง ฮิลล์ และแบรนด์เท่แบบลุยๆ อย่างเคนซิงตัน นอกจากนี้ยังเป็นคนตั้งใจทำงานเพื่อให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด และอ่อนน้อมถ่อมตนซึ่งตรงกันกับวิธีการทำงานแบบออริจิ้น” นายพีระพงศ์ กล่าว พร้อมกันนี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการอีก 4 โครงการใหญ่ ได้แก่ 1. ไนท์บริดจ์ พหลโยธิน-อินเตอร์เชนจ์ (Knightsbridge Phaholyothin-Interchange) มูลค่า 2,100 ล้านบาท 2.นอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ @ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ (Notting Hill Skyscraper@Central Rattanathibet) มูลค่า 2,500 ล้านบาท 3.นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105 (Notting Hill Sukhumvit 105) เฟส 2 มูลค่า 1,300 ล้านบาท และ 4.เคนซิงตัน สุขุมวิท- เทพารักษ์ (Kensington Sukhumvit-Theparak) มูลค่า 2,500 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการกว่า 8,400 ล้านบาท เปิดวีไอพี พรีเซลพร้อมกัน 17 มิ.ย. นี้ ปัจจุบัน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 35 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 30,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
“Life ลาดพร้าว 2017” คอนโดสไตล์ใหม่รับเทรนด์ Digital Life พร้อมกับชีวิตแบบ PLATFORM OF SUCCESS เพราะที่นี่ทุก Space คือความสำเร็จ

“Life ลาดพร้าว 2017” คอนโดสไตล์ใหม่รับเทรนด์ Digital Life พร้อมกับชีวิตแบบ PLATFORM OF SUCCESS เพราะที่นี่ทุก Space คือความสำเร็จ

ในอีกหลายปีข้างหน้า 20XX-XXXX รูปแบบการชีวิตเราจะถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความหมายของ Digital Life ในชีวิตประจำวัน คงจะไม่ได้เป็นแค่ช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้น แต่สำหรับอนาคต Digital Life จะมาเป็นจุดเริ่มต้นของพื้นฐานความสำเร็จ ที่ไม่ใช่เพียงช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นอีกต่อไป แต่จะมาเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในชีวิตที่พาคุณไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้นการมองหาที่อยู่อาศัยสักที่หนึ่งที่ตอบสนอง Lifestyle และเข้าใจเทรนด์ของผู้อยู่อาศัย ก็คงเป็นสิ่งที่ควรมีไว้ครอบครองไม่แพ้โทรศัพท์มือถือ iPhone รุ่นใหม่เหมือนกัน!! “Life ลาดพร้าว” Live a Connected World คอนโดสูงระฟ้าที่สุดบนย่านห้าแยกลาดพร้าว เชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัดด้วยระบบ Digital Life ตั้งแต่ก้าวแรกที่คุณสัมผัสโครงการ “One Step Connect” ใช้ชีวิตติดเทรนด์ ที่แทบจะไม่จำเป็นต้อง Move ไปไหนชีวิตก็ครบได้ ซึ่ง Project นี้เป็นการจอยเวนเจอร์ของ 2 บริษัทระดับแนวหน้าอย่าง APTHAI และ Mitsubishi Estate Group รังสรรค์ Project Life 2017 พร้อมยกระดับแบรนด์ Life ของที่นี่ขึ้นไปอีกขั้น ด้วยภาพลักษณ์ที่เรียบหรู ลวดลายไม่เหมือนใคร และการมารวมตัวของนวัตกรรมเทคโนโลยี Living-Digital-Co Working สุดล้ำ เรียกได้ว่าชีวิตคุณจะ Move Successfully ทั้งเรื่องงาน และเรื่องชีวิตในแบบ Never Ending อย่างแน่นอน อย่างแรกลองดูรายละเอียดของโครงการคร่าวๆ กันก่อน Project details ชื่อโครงการ  Life ลาดพร้าว (ไลฟ์ ลาดพร้าว) มูลค่าโครงการ  7,600 ล้านบาท จำนวนยูนิต & ที่จอดรถ  1,615 ยูนิต และร้านค้า 1 ร้าน จอดรถ 716 คัน (ไม่รวมซ้อนคัน) ราคาเริ่มต้น   2.9 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร ประมาณ 140,000 บาท / ตารางเมตร ผู้พัฒนาโครงการ  คอนโดมิเนียมร่วมทุนโครงการที่ 9 ระหว่างบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) และ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป จากประเทศญี่ปุ่น (MITSUBISHI ESTATE GROUP หรือ MEC) ที่ตั้งโครงการ  ถนนพหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจัตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 ขนาดพื้นที่โครงการ 7 ไร่ 0 งาน 71.4 ตารางวา (2,871.40 ตารางวา) การเดินทางด้วยรถไฟฟ้า  หนึ่งก้าวถึงสถานี BTS ห้าแยกลาดพร้าว ใกล้สถานี MRT พหลโยธินเพียง 450 ม. ลักษณะโครงการ คอนโดมิเนียม High Rise จำนวน 2 อาคาร (อาคาร A สูง 45 ชั้น และอาคาร B สูง 46 ชั้น) ชั้น 1 เป็นโถงต้อนรับ, สำนักงานและห้องประชุมของนิติบุคคล, ร้านค้า, ห้องจดหมาย, ที่จอดรถ, ห้อง Generator และห้อง MDB ชั้น 2-10 ที่จอดรถ ชั้น 11 เป็นชั้นที่พักอาศัย, พื้นที่สวนสาธารณะ ชั้น 12-44 สำหรับอาคาร A และ 12-45 สำหรับอาคาร B เป็นชั้นที่พักอาศัย ชั้น 45 และ 46 เป็นพื้นที่จัดสวน, สระว่ายน้ำ, ห้องออกกำลังกาย, ห้อง Steam ห้อง Sauna ชั้นหลังคา เป็นพื้นที่จัดสวน, ห้องเครื่องลิฟต์และถังเก็บน้ำ ลักษณะห้องชุด Studio Type  ขนาดพื้นที่ใช้สอยประมาณ 26 - 29 ตารางเมตร (509 ยูนิต) ห้องชุด 1 ห้องนอน  ขนาดพื้นที่ใช้สอยประมาณ 35 ตารางเมตร (832 ยูนิต) Highlight ห้องชุด 2 ห้องนอน  ขนาดพื้นที่ใช้สอยประมาณ 48.5 - 75 ตารางเมตร (273 ยูนิต) ห้องชุดแบบ Duplex room  พื้นที่ประมาณ 355 ตารางเมตร (1 ยูนิต) สิ่งอำนวยความสะดวก ห้องประชุม Portable Working Station ติดตั้งระบบ Digital เต็มรูปแบบเทคโนโลยี (Sound Dome) จอทัชสกรีน (Touchscreen) ตามจุดพื้นที่ส่วนกลาง, Wireless Phone Charger ที่ชาตแบบไร้สาย, Mirror Board และ Outdoor Facility ที่ครอบคลุมด้วยระบบ Wi-Fi ทั้งในและนอกโครงการ, Rooftop Iconic Infinity Lap Pool, Panoramic fitness, Room Sauna, Room Stream, Yoga Fly Facilities, Sky Working Space & Cocoon Space ออฟฟิศชิดขอบฟ้า และ สวนลอยฟ้า, อาคาร A ลิฟต์โดยสาร 4 ตัว ลิฟต์บริการ 1 ตัว และอาคาร B ลิฟต์โดยสาร 5 ตัว ลิฟต์บริการ 1 ตัว สำนักงานนิติบุคคลอาคารชุด, Room Mail, Shop และระบบรักษาความปลอดภัย กล้อง CCTV ตลอด 24 ชั่วโมงรอบโครงการ ก่อสร้างแล้วเสร็จ คาดการณ์ประมาณปี 2563 Map and Directions ก่อนที่จะพาไปดูหน้าตาโครงการ พามาสำรวจรอบๆ ของโครงการ Life ลาดพร้าว กันก่อนว่ามีอะไรอยู่แถวนี้บ้าง รูปภาพจาก SkyscraperCity ตัวโครงการ Life ลาดพร้าว ตั้งอยู่ติดกับถนนพหลโยธิน ตรงข้าม เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว และโรงเรียนหอวัง ซึ่งในอนาคตจะมีรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว สถานีห้าแยกลาดพร้าว ตัดผ่านหน้าโครงการระหว่างขาขึ้นกับขาลงพอดี ส่วนด้านข้างโครงการติดกับ Lotus ลาดพร้าว ใกล้ 7-Eleven 200 เมตร ถัดไปอีก 150 เมตร เป็น Union mall หาของกินง่ายมาก ถ้าเดินถัดไปอีก 100 เมตร ก็จะถึงรถไฟฟ้า MRT สถานี พหลโยธิน ยิ่งสะดวกเข้าไปอีก ซึ่งถ้าสถานีรถไฟฟ้า BTS ห้าแยกลาดพร้าว สร้างเสร็จปี63 พอดีกับคอนโดเลย ซึ่งจะเป็นตัวเชื่อมกับสถานี BTS หมอชิต ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางนั่งยิงยาวไปกลางเมืองได้สบายๆ โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนขบวน แถมยังสามารถเดินข้ามไป เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว และโรงเรียน หอวัง ได้แบบไม่ถึง 100 เมตร รูปภาพจาก ไทยรัฐ การเดินทางยังโครงการ Life ลาดพร้าว แนะนำให้ใช้การเดินทางรถไฟฟ้า MRT ลงที่สถานีพหลโยธิน ออกประตูทางออก 4 จะขึ้นมาโผล่มาตรงหัวมุมห้าแยกลาดพร้าพอดี จากนั้นเดินขึ้นมาทาง Union Mall ประมาณ 450 เมตร โดยระหว่างทางเดินก็มีของกิน และร้านถ่ายรูปเยอะแยะ เดินชิวๆ มาไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงโครงการแล้ว โดยระหว่าง MRT พหลโยธินกับโครงการ ตามทางก็มี ร้านอาหารน่ากินแบบนี้ด้วย “ร้าน ฝากท้อง จิ้มจุ่มหม้อเบ้อเร่อ” หม้อโคตรใหญ่ ให้โคตรเยอะ เปิดตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน หิวเมื่อไรก็แวะมารับรองอิ่มแน่นอน สำหรับคนที่เดินการเดินทางด้วยรถยนต์ ถ้ามาจากทางสี่แยกรัชโยธินจะค่อนข้างสะดวก เพราะโครงการอยู่ฝั่งขาเข้าเมือง ขับเลย Lotus ลาดพร้าว มาก็เตรียมตัวเลี้ยวซ้ายเข้าโครงการได้เลย ส่วนคนที่ขับมาทางจตุจักร หรือถนนลาดพร้าว จะต้องขับเลยโครงการไปกลับรถที่สี่แยกรัชโยธินเพื่อไปฝั่งตรงข้าม เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว นั้นเอง Sale Gallery ของโครงการ สังเกตง่ายมาก ป้ายชื่อโครงการสีดำสุดเท่ และตึกสีขาวที่ตั้งอยู่กลางน้ำ หน้าตาดูมินิมอลมาก แอบถ่ายย้อนแสงมานิดๆ กำลังสวย Location of Community (EAT-DRINK- WORK-TRAVEL) รูปภาพจาก Wikimedia เมืองที่ไร้กาลเวลา ทำเลห้าแยกลาดพร้าวถือว่า HUB ของคนย่านลาดพร้าว และพหลโยธิน ครบทุกอย่างตั้งแต่ เรื่องศูนย์กลางการเดินทางของ BTS, MRT, สนามบินดอนเมือง เป็นช่วงที่วิ่งเข้าเมือง-ไปต่างจังหวัดได้ค่อนข้างสะดวก แถมละแวกนั้นของกินก็เยอะและอร่อยมาก รวมไปถึงเป็นที่ตั้งของสำนักงานขนาดใหญ่ และสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงด้วย อย่างเช่น แหล่งรวบรวมสำนักงานระดับแนวหน้าของไทย: ปตท, ปูนซีเมนต์ไทย (SCG), บางกอกแอร์เวย์, การบินไทย, ธนาคาร TMB สำนักงานใหญ่, ธนาคาร ไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่, Sun tower เป็นต้น สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตบางเขน และโรงเรียนหอวัง เป็นต้น ยังไม่หมด นอกจากนั้นยังเป็นทำเลที่ตอบโจทย์ Lifestyle คนรุ่นใหม่ด้วย เพราะอยู่ใกล้แหล่ง Community Mall ฮิปๆ ของคนกรุงเทพ คิดดูว่าถ้าได้ใช้ชีวิตบน HUB ห้าแยกลาดพร้าวแบบนี้ ก็คงจะมี lifestyle กิน ดื่ม เที่ยว ได้ตลอดทั้งวัน และก็มีอะไรให้ทำตลอด 24 ชม โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปไหนไกลก็ชิคได้ All Day Lifestyle สร้างมิติของชีวิตในแบบไม่ซ้ำเช้าจรดเย็น รูปภาพจาก Postjung เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว (CentralPlaza Lardprao) ห้างสรรพสินค้าและศูนย์จัดแสดงสินค้าแบบครบวงจร เพราะอยู่ใกล้กับ Union Mall ศูนย์รวมแฟชั่นสำหรับเหล่านักช้อป สินค้าหลากหลายสไตล์ มาอัพเดทเทรนด์ใหม่ พร้อมเชื่อมต่อโลกแห่งสีสันมีชีวิตชีวาบนพื้นที่ 78,700 ตารางเมตร 5 ชั้น รวบรวมร้านเสื้อผ้าแฟชั่น ร้านอาหารและร้านค้ากว่า 100 ร้าน ภายใต้แนวคิด One-Stop-Shopping พร้อมจอดรถถึง 3,600 คัน แบ่งนอกจากห้างใหญ่โตแล้วยังสร้างเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว อีกด้วย รูปภาพจาก Centara Grand Hotels & Resorts เซ็นทารา แกรนด์ ลาดพร้าว (Centara Grand Ladprao) ตั้งอยู่ด้านหลังติดกับห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ฝั่งด้านเหนือของกรุงเทพ โรงแรมระดับ 5 ดาวแห่งแรกๆ ของประเทศไทยที่รวมศูนย์ช้อปปิ้งเข้าไว้ด้วยกัน มีห้องประชุมที่มีชื่อเสียงรับงานมาแล้วทั่วโลกอย่าง บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ฮอลล์ รับจัดงานอีเวนต์ระดับชาติและระดับภูมิภาค โดยมีชื่อเสียงในการบริการที่เอาใจใส่ กับสไตล์ที่อบอุ่น เป็นกันเอง ที่สำคัญเป็นที่ตั้งของร้านอาหารอร่อย วิวสวย รสเลิศ ที่ชื่อว่า Blue Sky ด้วย รูปภาพจาก Bkk menu รูปภาพจาก Bkk menu บลู สกาย (Blue Sky) ห้องอาหารวิวระฟ้าสุดโรแมนติกใจกลางกรุงเทพฯ แห่งนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารรสเลิศและเครื่องดื่มชั้นดี พร้อมดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอันสวยงามของกรุงเทพฯ ยามราตรีในมุมมอง 360 องศา บนชั้นสูงสุดของโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ อิ่มแล้ว มาออกแบบโลกแฟชั่นของคุณไปกับ Craft Fig รูปภาพจาก soimilk รูปภาพจาก Craft Fig โรงเรียนกราฟิกดีไซน์ เล็กๆ ที่รวบรวมผู้คนในวงการ ศิลปะ กราฟิก และ อินเตอร์เฟส แถวหน้า มาถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพทางด้านกราฟิกและศิลปะของคุณ แล้วโลกการออกแบบของคุณจะเปลี่ยนไปตลอดกาล ที่ 12/13 ถ. ลาดพร้าว MRT พหลโยธิน นั่งไปเพียง 1 สถานี ไปต่อกันด้วยร้าน คาเฟ่ Wantong Cafe ที่ตลาดนัดสวนจัตุจักร รูปภาพจาก Bkkmanu รูปภาพจาก Bkkmanu Wantong Cafe เป็นคาเฟ่ที่ผสมผสานวัฒนธรรมของตะวันตกเข้ากับความเป็นไทยได้อย่างลงตัว เปรียบเสมือนกับนางวันทองที่ไม่อาจตัดสินใจได้ว่าจะเลือกใครระหว่างขุนช้างกับขุนแผน เริ่มจากบรรยากาศร้านที่ได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงามเขียวชอุ่มและดูสูงโปร่งสบายตา ที่ตั้งใจจะออกแบบมาให้ตรงกับคอนเซ็ปต์ "นางวันทองสองใจ" ถ้าชอบทั้งสองอย่าง ไม่ต้องเลือกก็อยู่ร่วมกันได้ เดินย่อย ถ่ายรูป ปั่นจักรยาน กันต่อที่สวนรถไฟ รูปภาพจาก Travel MThai รูปภาพจาก baanmaha สวนรถไฟ (กรุงเทพฯ) หรือ ‘สวนวชิรเบญจทัศ’ สวนรถไฟอยู่เขตจตุจักร ติดกับสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ใกล้ ๆ สวนจตุจักรนี่เอง สวนสาธารณะขนาดใหญ่ 375 ไร่ เหมาะสำหรับปั่นจักรยานทั้งมือใหม่-มือโปร แวะมาสูดออกซิเจนกันให้ชุ่มปอด ปั่นออกกำลังกายหรือปั่นชมธรรมชาติก็ดีทั้งนั้น ส่วนใครอยากมาถ่ายภาพสวยๆ ก็ไม่ควรพลาด รูปภาพจาก Bkkmenu ตกกลางคืน ก็มามันกันต่อกับร้านแฮงค์เอาท์สุดมัน The Third Pig The Third Pig เปลี่ยนพื้นที่ของธนาคารและร้านอาหารเก่าในย่านห้าแยกลาดพร้าวมาเป็นร้านนั่งกินดื่มสุดเท่ ด้วยคอนเซ็ปต์ไอเดียที่ชัดเจน ที่ทางร้านนำเอา Gimmick จากนิทานวัยเยาว์เรื่อง ลูกหมูสามตัว มาครีเอทพื้นที่แห่งนี้ให้เหมือนกับบ้านของลูกหมูตัวที่สามที่แข็งแรงที่สุด โดยได้อินทีเรียดีไซเนอร์จาก Studio Krubka มาร่วมเป็นหนึ่งในทีมของร้าน ออกแบบเตาผิงและผนังด้วยการก่ออิฐสีส้ม แล้วกะเทาะออกบางส่วนให้เห็นผนังปูนเปลือยเพื่อเพิ่มความดิบ ใช้กิ่งไม้และถังสังกะสีสำหรับโคมไฟ แล้วตกแต่งร้านด้วยของใช้อย่างเครื่องครัววัสดุไม้ ช่อดอกไม้แห้งและหนังสือนิทานเก่าเพิ่มกลิ่นอายของความเป็นบ้านได้อย่างอบอุ่นและลงตัว เน้นเสิร์ฟอาหารไทยสไตล์ฟิวชั่น ใครที่แวะมาทานมื้อเย็นที่นี่ ลองสั่งจานหนักหน่อย อย่าง ลาซานญ่ามัสมั่นเนื้อ (250 บาท) ท็อปด้วยชีสเยิ้ม ๆ เข้ากันกับรสชาติเครื่องแกงมัสมั่นที่ตัดเลี่ยนได้อย่างดี ที่ ปากซอย พหลโยธิน 20 Project of Life ลาดพร้าว 2017 ต้องเกรินบอกก่อนว่า Life Condo เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ จาก เอพีไทยแลนด์ ที่ประสบความสำเร็จ และสร้างชื่อเสียงให้กับเอพี เป็นอย่างมากด้วยจุดขาย และความแตกต่างของโครงการที่นำเสนอรูปแบบการใช้ชีวิตในมิติใหม่มาโดยตลอด บนทำเลที่ตั้งยึดติดแนวรถไฟฟ้า เพื่อตอบ Lifestyle ของเทรนด์คนรุ่นใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และตอนนี้ แบรนด์ Life ได้กลับมาอีกครั้งบนย่านลาดพร้าว “Life ลาดพร้าว” คอนโด High Rise ตึกคู่ 2 อาคาร (อาคาร A สูง 45 ชั้น และอาคาร B สูง 46 ชั้น) LIFE 2017 ภายใต้แนวคิดที่ว่า "PLATFORM OF SUCCESS" คอนโดที่พร้อมสนับสนุนการใช้ชีวิตของคนเมืองยุคใหม่สู่ความสำเร็จ ผ่าน 3 วิธีคิดสำคัญที่เข้าใจถึง Insight ของคนเมืองในยุคปัจจุบัน คือ In-Control ทุกองค์ประกอบในการพัฒนา Life Condo ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ผู้อยู่อาศัยสามารถเลือกและควบคุมได้ด้วยตนเอง Connected World การจัดเตรียมระบบโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมเชื่อมต่อโลกดิจิตอลได้ทุกที่ทุกเวลาตลอดการอยู่อาศัยใน Life Condo จุดต่างสำคัญ Intelligent Facility ผสานเทคโนโลยีในการดีไซน์พื้นที่ส่วนกลาง Intelligent Control ทุกอย่างควบคุมได้เพียงปลายนิ้ว Intelligent Space ดีไซน์พื้นที่ใช้สอยให้ปรับเปลี่ยนได้ตามสไตล์การใช้งาน AP Corridor Window Innovation และครั้งแรกในเมืองไทยกับนวัตกรรม AP Corridor Window Innovation ยกระดับการพักอาศัยในคอนโดมิเนียม ช่วยระบายอากาศให้โถงทางเดินเพื่อที่สุดของคุณภาพชีวิตคนเมือง ทั้งตัวอาคารและงานดีไซน์ทุกชิ้น ถูกออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก อย่าง Louis Vuitton มาสร้าง Pattern ให้ดูมีมิติน่าหลงใหลและมีเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ Outdoor Facility เพิ่ม Space กิจกรรมตาม Lifestyle ได้อย่างไม่จำกัด บนพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่ โดยทางโครงการได้ออกแบบที่นั่งและทางเดินในมุมที่ร่มรื่นที่เต็มไปด้วยต้นไม้และสายน้ำ เพื่อความสวยงามเสมือนนั่งทำงานท่ามกลางธรรมชาติ และยังสามารถใช้ Wi-fi ได้เสมือนอยู่ภายในอาคาร Lobby ของโครงการจะเน้นความโปร่งโล่ง ดีไซน์ เรียบ หรู ภายในตกแต่งด้วยลายกะเบื้องหินอ่อน และกระจกเพื่อให้โถงดูกว้างมีมิติเล่นกันแสงและเงา สร้างความประทับใจได้ทุกครั้งที่เปิดเข้ามา พื้นที่ส่วนกลางภายใน Lobby ถูกออกแบบมาให้ค่อนข้าง Private คุณจะสามารถทำงานไปพร้อมรับวิวสวนแบบเป็น Box เรียกว่า Portable Working Station พร้อมการติดตั้งอุปกรณ์ที่พร้อมรองรับการใช้งานจริงอย่าง เทคโนโลยีซาวน์โดม (Sound Dome) ผนังของห้องที่คัดสรรวัสดุให้สามารถใช้เป็น Mirror Board หรือ Wireless Phone Charger เป็นต้น ถูกจัดเตรียมไว้ให้ในจุดต่างๆ ของพื้นที่ส่วนกลางโครงการ Private meeting room ห้องประชุมสุดล้ำที่คำนึงถึงการทำงานเป็นกลุ่มในดีไซน์ที่ล้ำนำสมัยสู่การสร้างสรรค์ต่อยอด ไอเดียการทำงานได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด มาพร้อมระบบ Digital เต็มรูปแบบ อย่าง อุปกรณ์ไร้สายเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์และจอTouchscreen เพื่อความสะดวกในการนำเสนองานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น Rooftop Sky Bar ที่คุณจะไม่พลาดทุกช่วงเวลาของเฉลิมฉลองความสำเร็จ Sky Bar & Social Club Sky Working Space ออฟฟิศชิดติดขอบฟ้าบนชั้น 45 เพิ่มสีสันและความ Creative ให้การทำงานในมุมมองที่ไม่ซ้ำซากจำเจ พร้อมติดตั้ง Cocoon Space ให้เป็น Private Space แม้จะนั่งอยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง ก็สามารถทำงานได้โดยไม่ถูกรบกวน Iconic Infinity Lap Pool สระว่ายน้ำแบบ Exclusive ที่ให้คุณสามารถแหวกว่าย และดื่มด่ำไปกับวิวเมืองระยิบระยับยามค่ำคืน และที่นั่ง Sky Cabana ที่หรูหราและผ่อนคลาย และ Panoramic Fitness ห้องฟิตเนสแบบ 360 องศา ใช้ชีวิตในแบบ Active พร้อมความเป็นส่วนตัวไปกับ Private Treadmill, Yoga Fly facilities ได้ตลอดทั้งวัน เป็นต้น นอกการ facilities ที่มาแบบจัดเต็มแล้ว ยังสามารถควบคุมทุกอย่างได้ด้วยปลายนิ้วอีก ภายใต้วิสัยทัศน์ AP Digital Community อย่างเต็มรูปแบบ ที่จะเข้ามาส่งเสริมให้การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ บน Smart Phone ผ่านระบบ Community Application เติมเต็มมากกว่าแค่ความสะดวกสบาย แต่ได้ทั้งมีความปลอดภัยและง่ายดาย โดยเปรียบเสมือนคีย์การ์ดของคอนโด ที่สามารถสั่งเปิดและปิดประตูได้ตั้งแต่ประตูทางเข้าคอนโด ประตูห้องพัก นอกจากนี้ ผู้อยู่อาศัยยังสามารถใช้ระบบ Application นี้ในการจองสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ห้องประชุม หรือติดต่อประสานงานกับผู้ดูแลคอนโด E-payment การติดตามการแจ้งซ่อม รวมทั้งให้คำแนะนำ และรับทราบข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของคอนโดได้อีกด้วย ROOM TYPE ครั้งแรกของวงการคอนโดไทย ฉีกทุกข้อจำกัดของ Space สู่การออกแบบ Highlight ของที่นี่ ต้องยกให้กับ TYPE 35 ตารางเมตร ที่คุณสามารถออกแบบและปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นของห้องให้ตรงตาม Lifestyle ของคุณได้ พร้อมด้วยระบบ AP Master Switch โดยจะเป็นสวิตช์ไฟที่ติดตั้งอยู่ที่หน้าประตูห้อง สามารถปิดสวิตช์นี้เพียงครั้งเดียว Shutdown ทั่งห้อง โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องไฟเลยเวลาออกไปไหน ช่วยให้ประหยัดทั้งเงินและเวลา เหมาะกับ Lifestyle คนรุ่นใหม่ในยุคที่เร่งรีบและต้องการความสะดวกของคนเมือง ห้องขนาด 35 ตารางเมตร 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นของห้องให้ตรงตามความต้องการ และ Lifestyle ของผู้อยู่อาศัยได้ถึง 5 สไตล์ เช่น ปรับเปลี่ยนห้องรับแขกป็นห้องนอนอีก 1 ห้อง หรือเป็นห้องทำงาน หรือ ห้องแต่งตัวก็ได้ เพราะมีระบบปลั๊กไฟรองรับหลากหลายตำแหน่ง จะปรับมุมไหนยังไงก็ลงตัว ซึ่งขนาดห้อง35 ตารางเมตร แต่สามารถทำถึง 2 ห้องนอน ถือว่าคุ้มมาก ลองดูภาพห้องตัวอย่างจริงดูว่าจะออกมาสวยขนาดไหน พาชมภาพจริงของห้องตัวอย่าง 35 ตารางเมตร จาก Sale Gallery เริ่มจาก 35 ตารางเมตร เปิดเข้ามาความรู้สึกแรกเลย คือ กว้างมาก ไม่เชื่อเลยว่านี้คือตัวอย่างห้องขนาด 35 ตารางเมตร ออกมากได้ สวยปังมาก โดยยังเหลือ Space ว่างๆ อีกเยอะ สำหรับไว้ทำกิจกรรม หรือเพิ่มครัว เพิ่มโต๊ะรับประทานอาหาร หรือกั้นเป็นห้องครัวก็ยังทำได้ เป็นการจัดห้อง Plus ให้เป็น Living Room ขนาดใหญ่ ด้านซ้ายมือ ถูกออกแบบให้เป็นโต๊ะรับประทานอาหาร 2 ที่นั่ง ที่จัดวางไว้ใน Box ได้อย่างลงตัว ซึ่งถ้าอยากจะดูโทรทัศน์ไปด้วยกินข้าวไปด้วย ไม่ต้องย้ายข้าวไปไหน เพราะตรงนี้ ก็ดูได้ เพราะที่นี่มีการ Built in ที่วางโทรทัศน์ติดผนังไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น กินข้าวไปพร้อมดูหนัง เพลินๆ ได้แน่นอน ส่วน AP Master Switch จะอยู่ตรงบริเวณเสา กดปุ่มก็เดินออกจากห้องได้เลย สำหรับคอนโดที่นี่ จะใช้ห้องน้ำสำเร็จรูป ซึ่งก็จะได้มาแบบมาตรฐานครบทุกฟังก์ชั่น กั้นโซนเปียกโซนแห้งไว้ให้เรียบร้อย มาถึงห้อง Plus ของที่นี่ สามารถออกแบบและปรับเปลี่ยนได้ตาม Lifestyle เพราะค่อนข้างใหญ่ จะทำเป็นอีกหนึ่งห้องนอนก็ทำได้ หรือห้องแต่งตัว ห้องทำงานแบบส่วนตัว ซึ่งห้องตัวอย่างออกแบบให้ดู คือ สามารถวางโซฟายาวขนาด 3- 4 ที่นั่งได้ โดยที่ด้านหน้าและด้านข้างยังสามารถวางโต๊ะเพิ่มได้อีก เบื่อๆ ก็ออกไปรับลมที่ระเบียงได้เลย ภาพอีกมุมที่ด้านซ้ายเป็นห้อง Living Room สังเกตได้เลยว่าใช้ Space แบบครึ่งหนึ่งของห้องไปเลย ส่วนด้านขาวเป็นครัว ซึ่งออกแบบมาแบบนี้ จะช่วยกั้นให้ห้องเป็นสัดส่วนแบ่งโซนออกอย่างชัดเจน Mater Bedroom วางเตียง King Size ได้ไม่รู้สึกอึดอัดเลย เพื่อนๆ สามารถ Built in โทรทัศน์ติดผนัง ก็ได้ เรียกได้ว่ามีลงตัว ตั้งแต่เตียง โต๊ะทำงาน โคมไฟหัวเตียง ตู้เสื้อผ้า เลยที่เดียว  ห้องตัวอย่าง 55 ตารางเมตร ROOM TYPE: 55 ตารางเมตร 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ที่ให้ความรู้สึกกว้างขว้างเหมือนอยู่บ้าน เป็นการจัดวางสัดส่วนการใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม เปิดประตูเข้ามาจะเจอโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 4 ที่นั่งด้านหน้า ส่วนซ้ายมือเป็นครัวแบบ Open ที่จัดวางพื้นที่เครื่องครัวได้อย่างน่าใช้งานสุดๆ ถัดมาเป็นโซน Living Room สำหรับคนที่ไม่อยาก Built in ก็สามารถออกแบบและจัดวางโซฟา 2-3 ที่นั่ง กับโต๊ะวางโทรทัศน์ แบบนี้ก็ได้โดยที่ไม่ห้องยังดูกว้าง ส่วนระเบียงจะอยู่ด้านในของ Living Room ข้อดีของระเบียงที่อยู่ตรง Living Room คือไม่จำเป็นต้องเปิดไฟจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน แยกเป็นสัดส่วนการดีไซน์ ผนังแบบนี้ก็ดูสวยเก๋ ล้ำ ไปอีก ช่วยนำสายตาแถมทำให้ห้องดูมีมิติ ดูมีระดับ โดยฝั่งซ้ายด้านในจะเป็น ห้องน้ำกับห้องนอนแบบ Mater Bedroom ส่วนอีก 1 ห้อง Bedroom จะอยู่ด้านขวา ห้องน้ำสำเร็จรูป เหมือนกับ 35 ตารางเมตร เลยครับ ชอบที่โทนสีสว่างมองแล้วดูสะอาดตาดี สำหรับ Mater Bedroom ห้องนี้จะพิเศษกว่าอีกห้อง เพราะออกแบบให้เหมือนห้องน้ำในตัว เพราะประตูทางเข้าห้องน้ำสามารถเข้าได้ 2 ทางจากในห้องนอนและนอกห้องนอน ภายในตกแต่งโทนออกน้ำตาลที่ทำให้รู้สึกถึงกลิ่นอายของป่าไม้ อีกหนึ่งห้อง Bedroom ที่แต่งออกมาดูดีไม่แพ้ ห้อง Mater Bedroom อยู่ฝั่งเดียวกับ Living Room ที่แบบไม่ต้อง Built in โทรทัศน์ติดผนังก็แต่งออกมาสวยได้ ตัวโครงการคาดว่าจะสร้างเสร็จประมาณปี 2563 เสร็จพร้อม กับ รถไฟฟ้าพอดี โดย “Life ลาดพร้าว” จะเปิด Pre-Sale ในวันที่ 21-22 พ.ค.เดือนหน้านี้แล้ว ณ Sale Gallery ของโครงการ เชื่อว่าจะต้องขายหมดภายในเวลาไม่กี่วัน และสร้างเป็นข่าว Talk of The Town ครั้งใหญ่อย่างแน่นอน เพื่อให้คุณไม่พลาดโอกาสดีดีแบบนี้ สามารถลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ VIP ก่อนใคร ลงทะเบียนพร้อมรับส่วนลดสูงสุด 100,000 บาท* ได้ที่ https://goo.gl/XF3xJj หรือใครอยากสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่เบอร์ 1623 ได้เลย   Cr. Bkkmanu, Wikimedia
นิชดาธานี กรุ๊ป ผุดโครงการใหม่ Greenville 2 ยกระดับคุณภาพชีวิตแถบปริมณฑล

นิชดาธานี กรุ๊ป ผุดโครงการใหม่ Greenville 2 ยกระดับคุณภาพชีวิตแถบปริมณฑล

บริษัท นิชดาธานี กรุ๊ป จำกัด เปิดตัวโครงการ Greenville 2 โครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น พร้อมสระว่ายน้ำในตัว พื้นที่ใช้สอยมากกว่า 600 ตารางเมตร ภายใต้คอนเซ็ปต์ Lifestyle Modern เน้นความโปร่งสบายตา และสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการนิชดาธานี  โครงการที่ใหญ่ที่สุดในละแวกแจ้งวัฒนะ คุณณฐกร แจ้งเร็ว กรรมการบริหารบริษัท นิชดาธานี กรุ๊ป จำกัด  เปิดเผยว่า สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เข้าถึงจุด Overpopulation ทำให้พื้นที่มีราคาสูงเกินกว่ากำลังซื้อของตลาด ในขณะที่บริเวณปริมณฑลก็เริ่มมีการขยับขยายเข้ามาสู่ตัวเมืองมากขึ้น เช่น ศูนย์ราชการที่แจ้งวัฒนะและรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่กำลังก่อสร้าง เพื่อตอบสนองความต้องการของประชากรที่เพิ่มมากขึ้นในส่วนนนทบุรี นิชดาธานีจึงตอบโจทย์ความต้องการของตลาดด้วยโครงการบ้านพักอาศัยขนาดกว้างขวาง พรั่งพร้อมด้วยสิ่งแวดล้อมที่สวยงาม ไม่แออัด เส้นทางคมนาคมที่สะดวก อยู่ติดทางด่วนและมีบริการรถรับส่งสำหรับผู้พักอาศัยไปยังสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู นอกจากโครงการภายในนิชดาธานีที่มีมากกว่า 50 โครงการ ทางบริษัทฯได้เล็งเห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมที่มีคุณภาพ จึงเปิดตัวโครงการ Greenville 2 ซึ่งมีจำนวนบ้านเดี่ยวภายในโครงการทั้งหมด 12 หลัง อยู่บนพื้นที่โครงการ 6 ไร่ 2 งาน 32.2 ตารางวา เหมาะสำหรับผู้อยู่อาศัยเป็นครอบครัว อีกทั้งมีแหล่งคอมมูนิตี้เพื่อความสะดวกสบายอย่างครบครัน อาทิ โรงเรียนนานาชาติ International School Bangkok ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนนานาชาติอันดับต้นของเอเชีย , โรงเรียนโรสแมรี่ อะคาเดมี่ , ฟิตเนสเซ็นเตอร์ , ร้านอาหาร Vapor , คลินิกบำรุงราษฏร์ , ร้านกาแฟสตาบัคส์ , โรงเรียนสอนมวยไทย , สปา , ร้าน Pet Grooming, คลินิกทันตกรรม , Villa Supermarket , ร้านซักแห้ง , ร้านเสริมสวย , ร้านขายยา , โรงเรียนสอนดำน้ำ , สนามเทนนิส , สนามสควอช เป็นต้น และเนื่องจากภายในโครงการมีขนาดใหญ่จึงมีบริการรถรับส่งไปยังสถานที่ภายนอก อาทิ รถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และ เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ เป็นต้น ภายในโครงการนิชดาธานี มีบ้านและคอนโดรวมทั้งหมดประมาณ 1,000 ยูนิต โดยมีอัตราการเช่ารวมทั้งสิ้น 80% ขายอีก 20% แบ่งเป็นจำนวนยูนิต ได้แก่ ผู้ซื้อเพื่อพักอาศัย 200 ยูนิต ซื้อเพื่อลงทุน 400 ยูนิต โครงการถือครองเพื่อปล่อยเช่า 400 ยูนิต แบ่งเป็นบ้าน 210 หลัง และ คอนโด 190 ยูนิต คุณณฐกร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การทำงานของกลุ่มบริษัทนิชดาธานีมีความพิเศษคือลักษณะงานที่มีหลายด้าน เพราะเราทำทุกอย่างเพื่อการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์ของผู้พักอาศัย งานส่วนใหญ่ที่ทำจึงเป็นลักษณะ In-House ซึ่งทำให้สามารถควบคุมคุณภาพและฝึกอบรมบุคลากรในองค์กรได้ดียิ่งขึ้น ตั้งแต่งานโรงงานผลิตอิฐซึ่งเป็นอิฐที่ทางบริษัทฯ ออกแบบเองให้มีคุณสมบัติทั้งในแง่ของความสวยงามและความแข็งแรงทนทาน เพื่อนำไปก่อสร้างในโครงการ ไปจนถึงงานด้านการบริการหลังการขาย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความปลอดภัย งานทำความสะอาด งาน Landscape งานลูกค้าสัมพันธ์ งานซ่อมบำรุง ตลอดจนการให้บริการด้านกิจกรรมกับลูกค้า เช่น ร้านอาหาร Vapor  ฟิตเนส สระว่ายน้ำ คลินิก ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งบริการรถบัสรับส่งผู้พักอาศัยไปยังสถานีรถไฟฟ้าสานสีชมพู ฯลฯ ครบถ้วนเพื่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้พักอาศัยอย่างแท้จริง แนวคิดหลักในการทำงานของผู้บริหารอย่างผมจึงเป็นการคำนึงถึงการใช้ชีวิตภายในโครงการนิชดาธานี เพราะผมเชื่อในผลิตภัณฑ์ของผม ผมจึงเลือกที่จะพักอาศัยภายในหมู่บ้านและใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในโครงการเช่นเดียวกับลูกค้าทุกคน ที่สำคัญตัวผมเองก็เติบโตมาในโครงการนิชดาธานี เข้าเรียนที่โรงเรียนนานาชาติ ISB จนจบมัธยมปลาย ทำให้ได้คลุกคลีกับเพื่อนหลากหลายชนชาติและพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษด้วยการใช้สื่อสารสนทนากับเพื่อนทุกวัน ซึ่งพวกเขาส่วนใหญ่ก็พักอาศัยอยู่ในโครงการเช่นเดียวกัน ผมจึงมองว่าลักษณะการใช้ชีวิตเช่นนี้ได้ช่วยให้ผมพัฒนาด้านภาษาได้เร็วกว่าการเรียนแต่ในห้องเรียนเท่านั้น นอกจากนี้ยังทำให้ผมเข้าใจถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของโครงการอย่างถ่องแท้เพื่อนำไปปรับและพัฒนาต่อไป นอกจากการอาศัยอยู่ในโครงการและใช้สิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการแล้ว ผมยังมองว่าการเดินทางไปยังนอกประเทศและในประเทศยังเป็นประเด็นสำคัญในการพัฒนาโครงการของเรา มันคือการเปิดหูเปิดตาให้กับตัวผม แม้การรู้จักโครงการอย่างดีจะเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหาร แต่การมีไอเดียใหม่ๆ จากการพบเจอและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การได้พบเห็นผู้คนที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกันก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเราทำธุรกิจอยู่กับการขายไลฟ์สไตล์ เราก็จำเป็นจะต้องรู้จักไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายและมีการพัฒนาขึ้นทุกวัน โครงการ Greenville 2 ตั้งอยู่ภายในโครงการนิชดาธานี ซึ่งเป็นโครงการขนาดยักษ์ใหญ่ในบริเวณแจ้งวัฒนะ เปี่ยมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ความปลอดภัย และการคมนาคมที่คล่องตัว ตอบโจทย์ความต้องการคุณภาพชีวิตในทุกด้าน โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 30 ล้านบาท  โดยในปี 2560 นิชดาธานี กรุ๊ป ได้เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวทั้งสิ้น 4 โครงการ ได้แก่ โครงการ Greenville 2 จำนวน 12 หลัง มูลค่าการลงทุน 506,540,000 บาท ราคาต่อหลัง 40.6 ล้านบาท โครงการ Premier 3 จำนวน 40 หลัง มูลค่าการลงทุน 970,070,000 บาท ราคาต่อหลัง 22 ล้านบาท โครงการ Green Park 1 จำนวน 2 หลัง มูลค่าการลงทุน 78,000,000 บาท ราคาต่อหลัง 67 ล้านบาท โครงการ Green Park 2 จำนวน 3 หลัง มูลค่าการลงทุน 204,000,000 บาท ราคาต่อหลัง 38 ล้านบาท
“คอตโต้” จับมือดีไซเนอร์ระดับโลก “นาโอโตะ ฟูกาซาว่า” สร้างพื้นที่โชว์ไอเดียดีไซเนอร์รุ่นใหม่จากโครงการ “COTTO Another Perspective 5” ในงาน Milan Design Week 2017

“คอตโต้” จับมือดีไซเนอร์ระดับโลก “นาโอโตะ ฟูกาซาว่า” สร้างพื้นที่โชว์ไอเดียดีไซเนอร์รุ่นใหม่จากโครงการ “COTTO Another Perspective 5” ในงาน Milan Design Week 2017

ปีนี้นับเป็นปี 5 ของโครงการ COTTO Another Perspective ซึ่ง คอตโต้ แบรนด์ผู้นำกระเบื้อง สุขภัณฑ์ และก๊อกน้ำของไทยที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกได้จัดขึ้นเพื่อมอบโอกาสให้ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบกับดีไซเนอร์ระดับโลก และมีโอกาสได้แสดงผลงานของตนเองบนเวทีโลกอย่าง Milan Design Week ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งโครงการครั้งล่าสุดจัดขึ้นเมื่อวันที่ 4-9 เมษายนที่ผ่านมา ใช้ชื่อโครงการว่า COTTO Another Perspective 5 Curated by Naoto Fukasawa โดยได้ นาโอโตะ ฟูกาซาว่า ดีไซเนอร์สไตล์มินิมัลชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงระดับโลกและเคยมีผลงานร่วมกับแบรนด์ชั้นนำในหลายประเทศ มาเป็นโค้ชให้คำปรึกษาแก่ผู้เข้าร่วมโครงการจาก 5 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส อิสราเอล โปรตุเกส ญี่ปุ่น และไทย นาโอโตะ ฟูกาซาว่า ไม่เพียงเป็นโค้ชแต่ยังเป็นผู้กำหนดคอนเซ็ปต์ Good Morning ในการออกแบบให้กับโครงการครั้งนี้ด้วย โดยเขาได้แรงบันดาลใจมาจากห้องน้ำที่แม้จะเป็นพื้นที่เล็กๆ ในบ้านแต่มีความพิเศษที่สามารถปลุกความสดชื่น สร้างความผ่อนคลาย และเติมพลังความคิด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มต้นในวันใหม่ ซึ่งประเทศที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันก็สามารถสร้างเสน่ห์และตีความคำว่า Good Morning ได้หลากหลายมุมมอง นาโอโตะ ฟูกาซาว่า ได้ปลุกพลังความคิดให้ดีไซเนอร์ที่เข้าร่วมโครงการสร้างสรรค์ผลงานที่ตอบโจทย์คอนเซ็ปต์แต่ยังคงความเป็นตัวตนที่มีเอกลักษณ์ตามแนวทางของตนเอง โดยดีไซเนอร์แต่ละกลุ่มได้นำผลิตภัณฑ์คอตโต้มาเป็นส่วนหนึ่งของผลงาน ซึ่งทำให้ชิ้นงานมีความลงตัวเข้ากันได้ทั้งสไตล์และฟังก์ชั่นการใช้งาน ผลงานการออกแบบห้องน้ำในคอนเซ็ปต์ Good Morning จากฝีมือดีไซเนอร์รุ่นใหม่ 7 กลุ่ม 5 ประเทศ EVERYDAY CEREMONY by Ferréol Babin, France “Everyday Ceremony” เป็นคอลเลกชั่นงานไม้ที่ออกแบบให้ลงตัวกับอ่างล้างมือ COTTO รุ่น Simply Modish สร้างมิติให้กับพื้นที่ในห้องน้ำ ซึ่งใช้ประกอบกิจกรรมที่เปรียบเสมือนเป็นพิธีกรรมประจำวัน คอลเลกชั่นงานไม้นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา (เช่น แท่นบูชา) วัฒนธรรมประเพณี (เช่น การดื่มชา) และอุปกรณ์ต่างๆ (เช่น หีบใส่สิ่งของ) จนเกิดเป็นสถานที่ประจำวันที่สร้างความสดชื่นจากกลิ่นหอมและความอบอุ่นของไม้ ความสวยงามของผิวไม้แกะสลัก และสัมผัสที่ได้จากการผิวไม้ที่แผ่นรองเท้า และกระจกไม้ ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน ก๊อกผสมอ่างล้างหน้าชนิดก้านโยกรุ่นซีรอคโคเซ้นส์ (Scirocco Sense) อ่างล้างหน้าชนิดวางบนเคาน์เตอร์ รุ่นซิมพลี โมดิช (Simply Modish) HINOKI by Nitsan Debbi, Israel การดื่ม การชำระล้าง และการฟอกถู ถือเป็นกิจกรรมพื้นฐานในห้องน้ำเพื่อปลุกความสดชื่น และสร้างพลังใหม่ให้กับร่างกายและจิตใจ ผลงาน “HINOKI” ได้รับแรงบันดาลใจจากถังไม้โบราณของประเทศญี่ปุ่น ที่เรียกว่า Oke ซึ่งคนญี่ปุ่นใช้เป็นพื้นที่อาบน้ำเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว ผลงานชิ้นนี้ทำจากต้นไซปรัสหรือเรียกว่า Hinoki ในภาษาญี่ปุ่น ถือเป็นถังไม้ Oke ในดีไซน์ใหม่ที่ผสานกลิ่นอายของประเพณีดั้งเดิมกับบ้านยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้องอิตาเลียคอลเลกชั่น รุ่น Bianchezza ก๊อกอ่างล้างหน้า ชนิดฝังผนัง SMALL STEPS by Rui Pereira + Ryosuke Fukusada, Portugal + Japan ช่วงเวลายามตื่นนอนมักไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เริ่มจากการถูกปลุกด้วยเสียงดังของนาฬิกา กระโดดลงจากเตียง และรีบตรงเข้าห้องน้ำอย่างทุลักทุเล ผลงาน “Small Steps” ออกแบบห้องน้ำให้เป็นชั้นวางซ้อนกันในมุมมองที่แปลกใหม่ สร้างบรรยากาศสงบ ผ่อนคลาย ให้การเริ่มต้นวันใหม่เป็นไปอย่างน่ารื่นรมย์ ด้วยลวดลายหินอ่อนจากกระเบื้อง Italia Collection รุ่น Bianchezza ช่วยผ่อนคลายความวุ่นวายในยามเช้า และสร้างบรรยากาศที่สดชื่นเพื่อปรับร่างกายและจิตใจให้พร้อมกับการเริ่มต้นใหม่ในแต่ละวัน ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้องอิตาเลียคอลเลกชั่น รุ่น Bianchezza ก๊อกผสมอ่างล้างหน้าชนิดก้านโยก รุ่นซีรอคโคเซ้นส์ (Scirocco Sense) CIRCULAR MOTION MIRROR by STUDIO248, Thailand ผลงาน “CIRCULAR MOTION MIRROR” เป็นกระจกที่สามารถสร้างความรู้สึกสดชื่นแก่ผู้ใช้งาน เป็นความสดชื่นที่สัมผัสได้แม้ว่าผู้ใช้จะไม่ได้ยืนบริเวณหน้ากระจกตรงๆ โดยออกแบบรูปลักษณ์ให้ดูแปลกตาและให้ความรู้สึกเหมือนงานศิลปะ แต่ขณะเดียวกันก็สร้างฟังก์ชั่นการใช้งานในห้องน้ำ ให้ทุกยามเช้ามีความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้อง รุ่น Calacatta Classico RITUAL by studio NOCC, France ห้องน้ำเป็นสถานที่ที่เราใช้งานเป็นกิจวัตร ซึ่งเปรียบเหมือนพิธีกรรมที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน พฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นในห้องน้ำในทุกเช้าแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนง่ายๆ คือ การชำระล้าง การทำความสะอาด และการเช็ดให้แห้ง ผลงาน “RITUAL” ได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์กิจวัตรทั้ง 3 ส่วน ได้แก่ ก๊อกน้ำสำหรับชำระล้าง แท่นสำหรับวางอุปกรณ์ทำความสะอาด และราวแขวนผ้าขนหนู โดยได้รับแรงบันดาลใจจากก๊อกน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บริเวณหน้าโบสถ์หรือวัด ประดับด้วยกระเบื้องโมเสก รุ่น Marble Massa Herringbone จาก COTTO ให้ Look ความเป็นหินอ่อนที่ดูแปลกตา และก๊อกน้ำที่ออกแบบใหม่โดยผู้ออกแบบเอง ให้สามารถใช้งานในพื้นที่อ่างที่จำกัดโดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้องโมเสก รุ่น Marble Massa Herringbone GROWTH by THINKK Studio, Thailand ยามเช้าเป็นช่วงเวลาของความหวังใหม่และการเริ่มต้นใหม่ ผลงาน “Growth” ได้รับการออกแบบเพื่อปลุกความสดชื่นในห้องน้ำยามเช้าด้วยชุดกระถางต้นไม้แนวตั้ง ซึ่งสามารถแขวนและจัดเรียงบนผนังอย่างอิสระ เข้ากันกับกระจกส่องหน้า ถาด และชั้นวางของ ผลงานชิ้นนี้สร้างความสดชื่นจากการได้เห็นความเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของต้นไม้ ซึ่งแต่ละกระถางติดตั้งด้วยกระเบื้อง Italia Collection ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้องอิตาเลียคอลเลกชั่น รุ่น Pietra, Neo Basalt และ Balza ก๊อกผสมอ่างล้างหน้าชนิดก้านโยก รุ่นซีรอคโคเซ้นส์ (Scirocco Sense) อ่างล้างหน้าชนิดวางบนเคาน์เตอร์ รุ่นซิมพลี โมดิช (Simply Modish) AMES BOND ISLAND by COTTO Creative Design Office, Thailand ประเทศไทยมีธรรมชาติที่สวยงามมากมาย ผลงานออกแบบชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเขาตะปู จังหวัดพังงา หรือ “James Bond Island” เป็นวิถีใหม่แห่งการปลุกความสดชื่น ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นต่างๆ ของห้องน้ำ ไม่ว่าจะเป็นก๊อกน้ำ อ่างล้างหน้า ฝักบัวอาบน้ำ ชั้นวาง และผนังที่ถูกตกแต่งด้วยกระเบื้องลายหินธรรมชาติ รุ่น M-Stone ที่ดึงเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของ James Bond Island นับเป็นประสบการณ์สร้างความสดชื่น ผ่อนคลายของห้องน้ำแนวใหม่ ให้บรรยากาศธรรมชาติและฟังก์ชั่นการใช้งานที่ลงตัว ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้อง รุ่น M-Stone ก๊อกผสมยืนอาบน้ำชนิดฝังผนัง ชุดฝักบัวอาบน้ำก้านแข็ง
ศักยภาพทำเล “อนุสาวรีย์ฯ ดินแดง ราชปรารภ”

ศักยภาพทำเล “อนุสาวรีย์ฯ ดินแดง ราชปรารภ”

สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียม ทำเล “อนุสาวรีย์ฯ ดินแดง ราชปรารภ” เป็นทำเลที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการหลายเข้ามาพัฒนาโครงการเป็นจำนวนมากประมาณ 3,000 ยูนิต ในขณะเดียวกันก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า มี Demand ดูดซับไปหมดแล้ว100% ภาพรวมทำเลมีขายราคาเฉลี่ย 120,000 บาทต่อตารางเมตร ยิ่งใกล้สถานีมากเท่าไหร่ราคาก็จะยิ่งสูงมากขึ้นโดยโครงการที่ห่างจากสถานี100 เมตร ราคาเฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 180,000 บาทต่อตารางเมตร และในอนาคตมีโครงการใหม่ที่รอเข้าสู่ตลาดอีกคาดว่าราคาจะใกล้ 200,000บาทต่อตารางเมตรเข้าไปทุกที ศักยภาพทำเล : ศูนย์กลางคมนาคม ศูนย์รวมด้านการแพทย์ และย่าน Lifestyle Mall ของคนรุ่นใหม่ ศูนย์กลางการคมนาคมขนาดใหญ่ของกรุงเทพมหานคร มีการจราจรหนาแน่นตลอดทั้งวัน เนื่องจากถนนสายหลักอย่างถนนพหลโยธิน และถนนวิภาวดี-รังสิต ที่มีถนนราชวิถี และถนนดินแดงเป็นเส้นทางเชื่อมต่อของถนนสายหลักทั้ง 2 สายจึงทำให้สามารถเดินทางเข้า-ออกเมืองได้สะดวก ประกอบกับมีจุดขึ้น-ลงทางด่วน หรือทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษเฉลิมมหานครให้ใช้บริการ ส่งผลให้ย่านนี้มีศักยภาพในการเดินทางมากยิ่งขึ้น รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอนุสาวรีย์ฯ เป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดให้เกิดการลงทุน และการพัฒนาต่างๆในย่านนี้ และในอนาคตจะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ช่วงตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม) ซึ่งวิ่งผ่านถนนราชปรารภ ถนนดินแดง เพื่อไปยังจุดเชื่อมต่อสถานีศูนย์วัฒนธรรม (MRT) บนถนนรัชดาภิเษก นอกจากนี้ย่านอนุสาวรีย์ฯ ยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เพื่อรองรับประชากรจำนวนมากที่สัญจรไปมาในแต่ละวัน จากข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินตามผังเมืองกทม. บริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ฯ ระยะประมาณ 3 กิโลเมตร ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่พาณิชยกรรม สถาบันราชการ และที่อยู่อาศัย ซึ่งประกอบไปด้วยสถานที่สำคัญ เช่น ห้างสรพสินค้า อาคารสำนักงาน โรงพยาบาลและ สถาบันการศึกษาดังนี้ ห้างสรรพสินค้า/Lifestyle Mall เช่น Century, Victory mall, Center one, Fashion mall และ King Power Complex เป็นต้น โรงพยาบาลชั้นนำของประเทศไทย เช่น โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และโรงพยาบาลสงฆ์ เป็นต้น อาคารสำนักงาน เช่น สำนักงานป้องการและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรมแพทย์ทหารบก อาคาร CP Tower 3อาคารวรรณสรณ์ และอาคารสิริภิญโญ  และสถาบันการศึกษาชื่อดัง เช่น โรงเรียนศรีอยุธยาฯ วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก วิทยาลัยแพทย์พระมงกฏเกล้า และมหาวิทยาลัยมหิดล บางคณะโดยเฉพาะด้านการแพทย์เช่น คณะเภสัชศาสตร์ คณะสาธารณะสุข และคณะทันตแพทย์ เป็นต้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทำเล “อนุสาวรีย์ฯ ดินแดง ราชปรารภ” เป็นทำเลที่ครบถ้วน และตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน จึงเป็นที่สนใจของนักลงทุนเป็นอย่างมากโดยเฉพาะผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับการเจริญเติบโตในย่านนี้  
เผยโฉมเฟสแรก เมกะโปรเจกต์ที่ มัลดีฟส์ สิงห์ เอสเตท ลุยจับมือพันธมิตรระดับโลกเนรมิต World Destination

เผยโฉมเฟสแรก เมกะโปรเจกต์ที่ มัลดีฟส์ สิงห์ เอสเตท ลุยจับมือพันธมิตรระดับโลกเนรมิต World Destination

สิงห์ เอสเตท ล่าสุดเนื้อหอมได้รับการทาบทามจาก Café Del Mar ผู้บริหารบีชคลับแนวหน้าของโลกจากเกาะ IBIZA อันโด่งดัง เติมเต็มเมกะโปรเจกต์ที่มัลดีฟส์ เพื่อให้ครบทุกมิติของการท่องเที่ยว ภายหลังได้พันธมิตรโรงแรมดังอย่าง ฮาร์ด ร็อค มาแล้วก่อนหน้านี้ โดยเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปีหน้า ตั้งเป้าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในฝันอันดับหนึ่งแห่งมหาสมุทรอินเดียที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างนึกถึง  สิงห์ เอสเตท เผยความคืบหน้าโครงการเมกะ โปรเจกต์ ที่มัลดีฟส์ ในเฟสแรกที่จะประกอบด้วย ยอร์ช มารีน่า, ร้านค้ารีเทล, โรงแรม และชายหาดสีขาว ซึ่งมีพันธมิตรระดับโลกให้ความเชื่อมั่นในการร่วมทำธุรกิจมาแล้ว โดยส่วนโรงแรมห้องพักได้ Hard Rock Hotel Group มาร่วมรังสรรค์  ธีมโฮเทลแนวใหม่ซึ่งไม่เคยมีที่ใดมาก่อน ล่าสุดทางบริษัทได้เซ็นสัญญาบริหารโครงการกับCafé Del Mar เพื่อเติมเต็มความเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกที่จะสามารถรองรับทุกความต้องการของนักท่องเที่ยวอย่างครบครัน โดยนายฐิติ ทองเบญจมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการเซ็นสัญญาเพื่อเปิดบีชคลับแห่งใหม่ ภายใต้แบรนด์ Café Del Mar ยิ่งเป็นอีกหนึ่งความคืบหน้า ที่สำคัญของเมกะโปรเจกต์ที่มัลดีฟส์ และจะเป็นอีกหนึ่งสีสันของ  มัลดีฟส์ที่นักท่องเที่ยวทุกคนจะไม่ยอมพลาด “สำหรับ Café Del Mar นั้นเป็นบีช คลับที่ได้รับความนิยม และมีชื่อเสียง ตั้งอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำในหลายๆ ประเทศ  อาทิ ออสเตรเลีย สเปน ฮาวาย และอีกหลายแห่งทั่วโลก โดยเรียกได้ว่าเป็นต้นตำรับของบีช คลับ ส่วนในประเทศมัลดีฟส์ Café Del Mar ถือเป็นบีชคลับสาขา  Flagship แห่งแรกในมหาสมุทรอินเดียที่มีขนาดใหญ่ถึง 5,000 กว่าตารางเมตร ประวัติโดยสังเขป Café’ Del Mar เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1980 ในเมือง Ibiza ประเทศสเปน และมีสไตล์ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง รวบรวมสีสัน และความสนุกสนานริมทะเลไว้อย่างพร้อมเพรียง ที่สำคัญยังมีจุดเด่นที่นักท่องเที่ยวทุกคนต่างก็หลงใหล คือเป็นบีช คลับ ที่มีการทำเพลงเป็นของตัวเอง มีการสร้างสรรค์ดนตรี แต่งเพลงขึ้นเพื่อรองรับกิจกรรมต่างๆ ที่ถูกจัดขึ้น  บทเพลงในแต่อัลบั้มคงได้ผ่านหูพวกเรามาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย โดย DJ ระดับพระกาฬอาทิเช่น Roger Sanchez, DJ Dimitri, Boy George, Paul Oakenfold , และศิลปินระดับโลกอีกมากมาย จึงนับว่าเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่น่าตื่นเต้น เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้แฟนเพลงชาวไทยได้กระทบไหล่กับศิลปินเหล่านี้ในอนาคตอีกด้วย” ด้านนายโดมินิค แซปเปีย ผู้อำนวยการกลุ่ม คาเฟ่ เดล มาร์ กล่าวว่า บีชคลับ ภายใต้แบรนด์ Café del Mar แห่งนี้ เป็นความร่วมมือที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่บมจ.สิงห์ เอสเตท บริษัทชั้นนำ ของประเทศไทยได้ตอบรับเทียบเชิญของเรา ซึ่งจะเป็นความท้าทายของการสร้างบีช คลับ อีกครั้งหนึ่งของเรา โดยได้มีการวางคอนเซ็ปต์ให้บีชคลับบนเกาะแห่งนี้ เป็นแรงบันดาลใจอันใหม่ของพวกเขาอีกด้วย “มัลดีฟส์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจ มีความสวยงามของมหาสมุทรอินเดียที่คนทั่วโลกยอมรับ เป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบ ที่เรามองหา เพื่อที่จะขยายประสบการณ์ Café del Mar ไปสู่ตลาดใหม่ ๆ โดยเราพร้อมที่จะบริการนักท่องเที่ยวทุกท่านด้วยบริการที่ประทับใจ เราจะนำเสนอความสนุกสนานในทุกแง่มุมของวันหยุดอย่างมีรสนิยมตั้งแต่การจัดปาร์ตี้ร่วมกับดีเจชั้นนำ พร้อมด้วย เครื่องดื่ม และอาหารรสเลิศที่ทำในห้องครัวผสมผสานในสไตล์ Wood Fired Cooking พร้อมกับผลิตภัณฑ์อาหารในเครือของสิงห์อยู่ด้วย” ผู้บริหาร Café Del Mar กล่าวด้วยว่า บีช คลับ ที่มัลดีฟส์แห่งนี้ เป็นส่วนเชื่อมต่อจากยอร์ช มารีน่า รองรับนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก โดยจะประกอบด้วย สระว่ายน้ำริมชายหาดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ออกแบบโดยดีไซเนอร์ระดับโลก มีกิจกรรมเอ็นเตอร์เทนเมนท์ต่างๆ  โดยเฉพาะทางด้านดนตรี ดีเจ ปาร์ตี้ โดยเราเชื่อว่า เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ บีช คลับแห่งนี้จะต้องเป็นอีกหนึ่งจุดสนใจของโครงการเมกะโปรเจกต์นี้ และเป็นสถานที่ๆ ผู้คลั่งไคล้ในเสียงเพลงจะมาใช้เวลาเพื่อซึมซับความสนุกแบบไม่มีวันลืม โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้พร้อมกับการเปิดตัวโครงการในเฟสแรกในปี 2561 ทั้งนี้ ผู้บริหาร สิงห์ เอสเตท นายฐิติ กล่าวทิ้งท้ายว่า โครงการเมกะโปรเจกต์นี้อยู่ระหว่างดำเนินการในขั้นต้นของเฟสแรก แต่เราได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรระดับโลก โดยโครงการนี้จะเป็นโครงการที่รองรับการท่องเที่ยวในทุกๆ ความต้องการ ทั้งในส่วนของที่พัก  แหล่งช้อปปิ้ง การพักผ่อน สีสัน และบันเทิง ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในหมู่เกาะมัลดีฟส์ และเชื่อว่าจากความร่วมมือกับผู้มีประสบการณ์อย่าง Hard Rock Hotel Group  และ Café Del Mar จะทำให้ทุกคนให้ความสนใจโปรเจกต์นี้ และตั้งตารอวันที่จะได้มาเยือน โดยมีกำหนดการเผยโฉมและรูปแบบให้ทุกคนได้เห็นในเร็วๆ นี้
“สถาปนิก’60” เผยยอดจองบูธเกิน 90% มั่นใจงานคึกคักรับอานิสงค์โครงการก่อสร้างภาครัฐ-เอกชนฟื้น

“สถาปนิก’60” เผยยอดจองบูธเกิน 90% มั่นใจงานคึกคักรับอานิสงค์โครงการก่อสร้างภาครัฐ-เอกชนฟื้น

“สถาปนิก’60” เผยยอดจองบูธเกิน 90% มั่นใจงานคึกคักรับอานิสงค์โครงการก่อสร้างภาครัฐ-เอกชนฟื้น “ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล” ผู้จัดงานงานสถาปนิก’60 “บ้าน บ้าน: BAAN BAAN “Reconsidering Dwelling” เผยปิดยอดจองบูธแล้วเกิน 90% บนเนื้อที่ 75,000 ตารางเมตรมีผู้ร่วมแสดงสินค้าชั้นนำกว่า 850 บริษัท จากทุกภูมิภาคทั่วโลก อาทิ จีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย ออสเตรเลีย กัมพูชา เยอรมนี ฮ่องกง เวียดนาม และสาธารณรัฐเชค มั่นใจยอดผู้เข้าชมงานปีนี้ แตะ 400,000 คน เติบโต 15% จากปีก่อน พร้อมพบกับ “งานสถาปนิก’60” งานแสดงเทคโนโลยี สถาปัตยกรรมและวัสดุก่อสร้าง ใหญ่ทีสุดในอาเซียน ครั้งที่ 31 ในวันที่ 2-7 พฤษภาคม 2560 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี นายศุภแมน มรรคา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะผู้จัดงานสถาปนิก’60 ครั้งที่ 31 ภายใต้แนวคิด “บ้าน บ้าน: BAAN BAAN “Reconsidering Dwelling ระหว่างวันที่ 2 – 7 พฤษภาคม 2560 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี เปิดเผยว่า ความเชื่อมั่นของผู้แสดงสินค้า ผู้ประกอบการด้านสถาปนิกทั้งในและต่างประเทศ เริ่มกลับมาคึกคักอย่างมาก สะท้อนจากการผลสำเร็จของการจัดงานสถาปนิก’60 ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากผู้จัดแสดงสินค้าทั้งรายเก่าและรายใหม่ ตอบรับเข้าร่วมออกบูธแสดงสินค้าเกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ยอดผู้เข้าชมงานคาดว่าจะได้ผลตอบรับที่ดีในทิศทางเดียวกัน โดยคาดว่าจะแตะ 400,000 คน เพิ่มขึ้นกว่า 15% จากปีก่อน เนื่องจากได้รับอานิสงค์จากทิศทางอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างในปี 2560 ที่ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นสูงขึ้นจากแผนการลงทุนของภาครัฐและการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่เดินหน้า รวมถึงการขยายตัวของภาคเอกชน ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ตลอดจนถึงการซื้อขายที่อยู่อาศัยน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ จึงทำให้ผู้จัดแสดงชั้นนำจากหลายประเทศมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจ และตอบรับเข้าร่วมงานกันอย่างคึกคัก สถาปนิก’60 นับเป็นงานจัดแสดงเทคโนโลยีด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมและวัสดุก่อสร้าง ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และครบวงจรที่สุด ซึ่งผู้เข้าชมงานจะได้พบกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่น่าตื่นตาตื่นใจหลากหลายนับ 100,000 รายการ จากผู้แสดงสินค้าชั้นนำทั่วโลก อาทิ K-Decor ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสีป้องกันไฟไหม้แบรนด์อันดับสองของเกาหลี, SCG ผู้นำด้านธุรกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าและวัสดุก่อสร้างครบวงจร และ GREENLAM นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ประตูดีไซน์แปลกใหม่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งผู้แสดงสินค้าแต่ละรายก็ได้มีการจัดเตรียมโปรโมชั่น ราคาและส่วนลดพิเศษ, ของสมนาคุณและบริการฟรีต่างๆ อีกทั้งสิทธิประโยชน์มากมายที่จะได้รับในงานนี้โดยเฉพาะ นอกจากนั้น ในงานสถาปนิก’60 ยังมีการจัดกิจกรรมหลากหลายที่น่าสนใจ อาทิ Green Building Materials การจัดแสดงผลิตภัณฑ์ก่อสร้างสีเขียว เพื่อกระตุ้นให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคให้ความสนใจและคำนึงถึงการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, การจัดประกวดบูธแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อสนับสนุนให้ผู้แสดงสินค้าได้สร้างสรรค์พื้นที่แสดงสินค้าและนำเสนอนวัตกรรมที่มีความโดดเด่นน่าสนใจ รวมถึงการเป็นสื่อกลางในการสมัครและจ้างงานระหว่างผู้แสดงสินค้าและผู้ชมงานในพื้นที่โซน Builder Jobs อีกด้วย งานสถาปนิก’60 เปิดให้ลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ (Online Pre-Registration) ได้ที่เว็บไซต์ www.ArchitectExpo.com รับฟรี Show Directory มูลค่า 500 บาท พบกันที่ “งานสถาปนิก’60” งานแสดงเทคโนโลยี สถาปัตยกรรมและวัสดุก่อสร้าง ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ครั้งที่ 31 ในวันที่ 2-7 พฤษภาคม 2560 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ติดตามทุกความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊คแฟนเพจ www.facebook.com/ArchitectExpo และไอดีไลน์ @BuilderNews
DITP สรุปการเจรจาการค้า “BIG +BIH April 2017” วันแรก เงินสะพัดกว่า 200 ล้านบาท ผู้ร่วมงาน 1,926 คน

DITP สรุปการเจรจาการค้า “BIG +BIH April 2017” วันแรก เงินสะพัดกว่า 200 ล้านบาท ผู้ร่วมงาน 1,926 คน

DITP สรุปการเจรจาการค้า “BIG +BIH April 2017” วันแรก เงินสะพัดกว่า 200 ล้านบาท ผู้ร่วมงาน 1,926 คน นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การจัดงานแสดงสินค้าของขวัญและงานแสดงสินค้าของใช้ในบ้าน เดือนเมษายน 2560 หรือ BIG + BIH April 2017 ในวันแรก (19 เมษายน 2560) ได้รับผลตอบรับที่ดีเป็นที่น่าพอใจ โดยมีมูลค่าการซื้อขายภายในงานกว่า 200 ล้านบาท มีผู้ร่วมงานถึง 1,926 คน แบ่งเป็นผู้เข้าชมจากในประเทศ 1,258 คน และจากต่างประเทศ 668 คน ประเทศที่เข้าชมงานมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน และเวียดนาม “การจัดงานวันแรกนับว่าประสบความสำเร็จ เพราะนอกจากจะมีมูลค่าการซื้อขายและจำนวนผู้ชมงานตามเป้าหมายแล้ว คูหาต่างๆ และกิจกรรมภายในงานก็ได้รับความสนใจจากผู้ชมงานด้วย โดยเฉพาะคูหา TOP of OTOP Lifestyle Pavilion ซึ่งมีการจัดแสดงสินค้าโอทอปในกลุ่มไลฟ์สไตล์และเป็นครั้งแรกที่มีการจำหน่ายสินค้ากลุ่มนี้ และการแสดงแฟชั่นโชว์สินค้าสัตว์เลี้ยงซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมของคูหา Pet Parade ที่มีเป้าหมายเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีวัตกรรมและไอเดียใหม่ รวมทั้งผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสปาและสมุนไพรไทย ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความสวยงามทันสมัย” นางมาลี กล่าว งาน BIG + BIH April 2017 เป็นงานแสดงสินค้าของขวัญและงานแสดงสินค้าของใช้ในบ้านระดับนานาชาติ ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย และสมาคมผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แนวดีไซน์ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 43 เพื่อเป็นช่องทางการตลาดให้ผู้ซื้อจากประเทศต่างๆ ได้มาพบกับผู้ประกอบการสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทย เพื่อขยายการส่งออกสินค้าของขวัญ ของใช้และของตกแต่งบ้านของไทย โดยรวบรวมผู้ประกอบการ 456 บริษัท 1,161 คูหา มาโชว์ศักยภาพ เปิดให้มีการจัดเจรจาธุรกิจในวันที่ 19-21 เมษายน 2560 เวลา 10.00-18.00 น. จำหน่ายปลีกวันที่ 22-23 เมษายน 2560 เวลา 10.00-21.00 น. ณ ไบเทค บางนา  
“บ้านลุมพินี” ปักหมุดราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า ผุดทาวน์โฮม 2 ชั้น จอง 29 เม.ย. นี้

“บ้านลุมพินี” ปักหมุดราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า ผุดทาวน์โฮม 2 ชั้น จอง 29 เม.ย. นี้

“บ้านลุมพินี” ปักหมุดราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า ผุดทาวน์โฮม 2 ชั้น จอง 29 เม.ย. นี้ “บ้านลุมพินี” เดินหน้าพัฒนาทาวน์โฮม 2 ชั้น ย่านราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน หลังประสบความสำเร็จจากทำเลราชพฤกษ์-นครอินทร์ เจาะตลาดคนในพื้นที่และเชื่อมต่อลูกค้า 3 โซน ปิ่นเกล้า-วงเวียนพระราม 5-กาญจนาภิเษก ตอกย้ำความคุ้มค่าของ “บ้านลุมพินี บ้านน่าอยู่” ใส่ใจคุณภาพชีวิตในการอยู่อาศัย โดยทีมงานลุมพินี เปิดบ้านให้จองเสาร์ที่ 29 เม.ย.นี้ เฉพาะบ้านล็อตพิเศษ 2.49 ล้าน วันเดียวเท่านั้น นายจรัญ เกษร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรสันติ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบ “บ้านลุมพินี” เปิดเผยว่าในวันเสาร์ที่ 29 เมษายนนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ “บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า” มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท พร้อมจัดหนักวันเดียวเท่านั้น เฉพาะบ้านล็อตพิเศษ 2.49 ล้านบาท เป็นการพัฒนาโครงการต่อเนื่องจากโครงการบ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-นครอินทร์ ซึ่งถือเป็นทำเลที่มาก ด้วยศักยภาพ มีการคมนาคมที่สะดวก เข้า-ออกได้ 7 ช่องทาง 4 เส้นทางหลัก ได้แก่ ราชพฤกษ์ นครอินทร์ จรัญสนิทวงศ์ และทางพิเศษสายศรีรัช–วงแหวนรอบนอก นอกจากนี้ยังมีความต้องการของอยู่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก โดยเจาะกลุ่มคนในพื้นที่ที่มีความคุ้นเคย ทั้งเชื่อมต่อยังกลุ่มลูกค้าใน 3 โซน ได้แก่ ปิ่นเกล้า วงเวียนพระราม 5 และกาญจนาภิเษก ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการบ้านของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนี้ ด้วยการพัฒนาบ้านที่สมบูรณ์พร้อมในราคาที่เหมาะสม ทั้งยังนำคุณค่าด้านการบริการที่ดี โดยทีมบริหารงานมืออาชีพจากบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด มาร่วมกันดูแลและบริหารจัดการภายใต้แนวคิด “บ้านลุมพินี บ้านน่าอยู่” ในแนวทาง “บ้านดี สิ่งแวดล้อมดี ดูแลดี ผู้คนดี”ที่มุ่งเน้นให้ผู้คนสร้างบรรยากาศที่ดีในการอยู่อาศัยร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือกันไม่จอดรถหน้าบ้าน ไม่ส่งเสียงดังยามวิกาล ร่วมกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ เป็นต้น” “บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า” เป็นทาวน์โฮม ขนาด 2 ชั้น ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 36 ไร่เศษ จำนวน 394 หลัง พื้นที่ใช้สอยประมาณ 115 ตารางเมตร ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ห้องรับแขก ห้องอาหาร ห้องครัวไทย พร้อมที่จอดรถ 2 คัน ภายในโครงการล้อมรอบไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ซึ่งกว่า 50% ของสวนใช้ต้นไม้เดิมในพื้นที่ที่ดูแลรักษามาตั้งแต่เริ่มเข้ามาพัฒนา เพื่อเติมความสดชื่นให้กับผู้อยู่อาศัย รวมถึงสระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย และลานออกกำลังกายกลางแจ้งเพื่อสุขภาพที่ดี บริเวณโครงการโดยรอบยังมีกล้อง CCTV ระบบประตู 2 ชั้น หรือ Double gate security พร้อมด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LPN Call Center 02-689-6888 , www.lpn.co.th และ Facebook : Baan Lumpini
‘เอพี ไทยแลนด์’ ส่งแบรนด์ “LIFE” มิติใหม่ รุกตลาดคอนโดแนวรถไฟฟ้าปี 60 พิชิตใจด้วยจุดขายต่าง “เชื่อมต่อทุกมิติชีวิตยุคดิจิตอลคนเมืองอย่างไร้รอยต่อ” “ผสานนวัตกรรมดีไซน์ทุกพื้นที่ใช้สอยตอบรับทุกความต้องการได้อย่างลงตัว”

‘เอพี ไทยแลนด์’ ส่งแบรนด์ “LIFE” มิติใหม่ รุกตลาดคอนโดแนวรถไฟฟ้าปี 60 พิชิตใจด้วยจุดขายต่าง “เชื่อมต่อทุกมิติชีวิตยุคดิจิตอลคนเมืองอย่างไร้รอยต่อ” “ผสานนวัตกรรมดีไซน์ทุกพื้นที่ใช้สอยตอบรับทุกความต้องการได้อย่างลงตัว”

กรุงเทพฯ (20 เม.ย. 60) – วันนี้ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง เสริมแกร่งความเป็นเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้า “เผยมิติใหม่คอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE เป็น Fighting Brand ของกลยุทธ์บุกตลาดเสริมสร้างการเติบโตครั้งสำคัญปี 2560” ภายใต้วิสัยทัศน์ใหญ่ที่โพสิชั่นแบรนด์ LIFE ให้เป็น "Platform of Success สำหรับผู้เป็นเจ้าของ" พร้อมสนับสนุนความสำเร็จให้กับชีวิตยุคดิจิตอลคนยุคใหม่ ทั้งหน้าที่การงาน และชีวิตส่วนตัว ผ่าน 2 วิธีคิดสำคัญ คือ In-Control ผู้อยู่อาศัยสามารถเลือกและควบคุมได้ด้วยตนเอง และ Connected World การจัดเตรียมระบบโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมเชื่อมต่อโลกดิจิตอลได้ทุกที่ทุกเวลาตลอดการอยู่อาศัย เดินหน้าเปิดตัวคอนโดมิเนียมมิติใหม่ 3 โครงการในปีนี้ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท ประเดิมโครงการแรกด้วยการผนึกกำลัง “มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป” (MEC) พันธมิตรญี่ปุ่น ร่วมพัฒนาสุดยอดคอนโดมิเนียม ‘LIFE ลาดพร้าว’ แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางเมือง เพียงหนึ่งก้าวจากรถไฟฟ้า พร้อมแนะนำ 2 นวัตกรรมใหม่เจ้าแรกในเมืองไทย “AP Intelligent Space” ดีไซน์พื้นที่ใช้สอยให้ปรับเปลี่ยนได้ตามสไตล์การใช้งาน และ “AP Corridor Window Innovation” เพื่อช่วยให้ระบายอากาศบริเวณโถงทางเดิน ไม่อับชื้น ลดการสะสมแบคทีเรีย เพื่อที่สุดของคุณภาพชีวิตคนเมือง คอนโด LIFE ลาดพร้าว โดดเด่นกว่าใครในตลาดคอนโดด้วยจุดต่างสำคัญ: (1) AP Intelligent FACILITY ผสานเทคโนโลยีในการดีไซน์พื้นที่ส่วนกลาง (2) AP Intelligent CONTROL   ทุกอย่างควบคุมได้ด้วยปลายนิ้ว (3) AP Intelligent SPACE ดีไซน์พื้นที่ใช้สอยให้ปรับเปลี่ยนได้ตามสไตล์  การใช้งาน นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยว่า “LIFE คือ หนึ่งในคอนโดมิเนียมแบรนด์ที่ปลุกกระแสการพักอาศัยในคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าของคนเมืองในตลาดคอนโดของเมืองไทย โดยได้รับการตอบรับที่ดี และถือเป็นความภาคภูมิใจของเอพีเสมอมา คอนโด LIFE ประสบความสำเร็จเป็นที่ต้องการเพราะทำเลที่ตั้งที่โดดเด่น สะดวกในการเดินทาง และมอบความสบายในการอยู่อาศัย สำหรับปี 2560 นี้ เอพี (ไทยแลนด์) มีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างการเติบโตของธุรกิจคอนโดมิเนียมและรักษาความเป็นเจ้าตลาดของคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า เราจึงพร้อมเปิดตัว ‘มิติใหม่ของคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE ภายใต้แนวคิด Platform of Success’ นั่นคือ นอกจากในเรื่องของทำเลที่จะต้องตั้งอยู่บนพื้นที่ที่ดีที่สุดของย่านนั้นๆ แล้ว LIFE ยังต้องตอบโจทย์ความต้องการของชีวิตยุคดิจิตอลของคนรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างดีที่สุด ทั้งเรื่องการทำงาน และด้านชีวิตส่วนตัว เราจึงนำเสนอมิติใหม่ของ LIFE ที่จะเป็นคอนโดมิเนียมแห่งแรกและแห่งเดียวที่มอบ ความสะดวกสบายในการพักอาศัย และการเชื่อมต่อกับผู้คนได้อย่างไร้ขีดจำกัด ตลอดเวลาที่ต้องการ (stay connected to the world 24/7) เป็นจริงได้ภายใต้วิสัยทัศน์ AP Digital Community ที่มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านการวางระบบ infrastructure ระบบโครงสร้างภายในที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็วในพริบตาได้อย่างไร้ขีดจำกัด รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยมอบความสะดวกสบาย และความปลอดภัยให้กับทุกชีวิตในคอนโด LIFE” “สำหรับคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE โครงการแรกที่จะเปิดตัวในปี 2560 นั้น คือ ‘LIFE ลาดพร้าว’ ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดบริเวณห้าแยกลาดพร้าว ตรงข้ามโรงเรียนหอวัง และเซ็นทรัลลาดพร้าว เพียงหนึ่งก้าวจากรถไฟฟ้า มูลค่าโครงการ 7,600 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท  บนพื้นที่ทั้งหมดกว่า 7 ไร่ ประกอบด้วยอาคารที่พักจำนวน 2 อาคาร สูง 45 ชั้นและ 46 ชั้น จำนวน 1,615 ยูนิตขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 1) สตูดิโอ ขนาดพื้นที่ใช้สอย  26 – 29 ตารางเมตร 2) ห้องชุด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 35 ตารางเมตร และ 3) ห้องชุด 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 48.5 - 75 ตารางเมตร ใจกลางของห้างสรรพสินค้าและแหล่งชอปปิ้ง โรงเรียน อาคารสำนักงาน และยังใกล้กับสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ไม่ว่าสวนจตุจักรหรือสวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) เหมาะกับการพักผ่อนและการออกกำลังกาย ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการคมนาคม สะดวกทั้งการใช้รถยนต์ส่วนตัว และระบบขนส่งสาธารณะ ตั้งอยู่บนทำเลเชื่อมต่อที่สำคัญและดีที่สุดบริเวณห้าแยกลาดพร้าว เพียงหนึ่งก้าวจากรถไฟฟ้าสถานีห้าแยกลาดพร้าว  หรือเพียง 5 นาทีถึง MRT สถานีพหลโยธิน และ BTS สถานีหมอชิต และจุดขึ้น-ลงทางด่วน นอกจากนี้ การออกแบบดีไซน์ของตัวโครงการ LIFE ลาดพร้าว ยังมีความโดดเด่น โดยได้แรงบันดาลใจมาจากลวดลาย Silhouette ของผ้าฉลุ ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะดังกล่าวที่ทำให้เป็นที่จดจำของผู้ที่สัญจรไปมา ประหนึ่งเป็นดังแลนด์มาร์คใหม่ของย่านเลยทีเดียว ผู้ที่ซื้อคอนโด LIFE ลาดพร้าว จะสัมผัสได้ถึงประสบการณ์การสามารถเชื่อมต่อทุกมิติของการดำเนินชีวิตในเมืองยุคดิจิตอลอย่างไม่มีสะดุด ทำให้ชีวิตประจำวันกับการทำงานผสานกันได้อย่างลงตัวอย่างแท้จริง” นายวิทการกล่าว จุดโดดเด่นแตกต่าง หรือ Wow Factors หลัก 3 ประการของคอนโดมิเนียม LIFE ลาดพร้าว มีดังนี้ 1. AP Intelligent Facility ผสานเทคโนโลยีในการดีไซน์พื้นที่ส่วนกลาง ครั้งแรกในการใช้ชีวิต Digital Community อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการติดตั้ง Infrastructure ที่พร้อมรองรับสิ่งอำนวยความสะดวก และสัญญาณ Wi-fi ทุกจุด - Portable Working Station นอกเหนือจากพื้นที่ส่วนกลางที่รองรับการพักผ่อนและการต้อนรับแขก โครงการ LIFE ลาดพร้าว ยังเพิ่มการออกแบบพื้นที่แบบ Portable Working Station ที่จะทำให้การเชื่อมต่อเป็นเรื่องง่าย พร้อมการติดตั้งอุปกรณ์ที่พร้อมรองรับการใช้งานจริง อาทิ เทคโนโลยีซาวน์โดม (Sound Dome) จอทัชสกรีน (Touchscreen) ผนังของห้องที่คัดสรรวัสดุให้สามารถใช้เป็น Mirror Board หรือ  Wireless Phone Charger เป็นต้น ที่จัดเตรียมให้ในทุกพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ - Private Meeting Room คำนึงถึงการจัดเตรียมพื้นที่สำหรับการทำงานเป็นกลุ่มในดีไซน์ที่ล้ำสมัย  สู่การสร้างสรรค์ต่อยอดไอเดียการทำงานได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมระบบ Digital เต็มรูปแบบ อาทิ อุปกรณ์ไร้สายเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์และจอทัชสกรีน เพื่อความสะดวกในการนำเสนองาน เป็นต้น - Sky Working Space & Cocoon Space ออฟฟิศชิดขอบฟ้าบนชั้น 45 เพิ่มสีสันและความครีเอทีฟให้การทำงานไม่ซ้ำซากจำเจ พร้อมติดตั้ง Cocoon Space ให้เป็น Private Space แม้จะอยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง ก็สามารถนั่งทำงานได้โดยไม่ถูกรบกวนและสามารถใช้ Wi-fi ที่จัดเตรียมไว้ให้ได้เช่นกัน นอกจากนี้ทางโครงการยังเตรียม Outdoor Facility เพิ่มพื้นที่ชีวิตให้ออกแบบกิจกรรมตามไลฟ์สไตล์ได้อย่างไม่จำกัด บนพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่ ทางโครงการได้ออกแบบแลนด์สเคปโดยจัดวางที่นั่งและทางเดินในมุมที่ร่มรื่นพร้อมต้นไม้และสายน้ำ เพื่อความสวยงามเสมือนนั่งทำงานท่ามกลางธรรมชาติ และยังสามารถใช้ Wi-fi ได้เสมือนอยู่ภายในอาคารอีกด้วย พร้อม Iconic Infinity Lap Pool สระว่ายน้ำแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่ให้คุณได้แหวกว่ายและดื่มด่ำไปกับวิวเมืองระยิบระยับ  และที่นั่ง Sky Cabana ที่หรูหราและผ่อนคลาย และ Panoramic Fitness ห้องฟิตเนสมุมกว้าง เพื่อใช้ชีวิตแบบ    แอคทีฟพร้อมความเป็นส่วนตัวไปกับ Private Treadmill และพิเศษด้วย Yoga Fly Facilities 2. AP Intelligent Control ทุกอย่างควบคุมได้เพียงปลายนิ้ว ภายใต้วิสัยทัศน์ AP Digital Community อย่างเต็มรูปแบบ ที่จะเข้ามาส่งเสริมให้การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ในโครงการ เอพีให้สะดวกสบายและปลอดภัยในรูปแบบใหม่ที่สะดวกกว่าเดิม โดยบริษัทได้วางแผนพัฒนา AP Community Application ที่จะช่วยเติมเต็มมากกว่าแค่ความสะดวกสบาย ทว่ามีความปลอดภัยและง่ายดาย โดยเปรียบเสมือนคีย์การ์ดของคอนโดมิเนียม ที่สามารถสั่งเปิดและปิดประตูได้ตั้งแต่ประตูทางเข้าคอนโดมิเนียม ประตูห้องพัก นอกจากนี้ ผู้อยู่อาศัยยังสามารถใช้ระบบแอพพลิเคชั่นนี้ในการจองสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ห้องประชุม หรือติดต่อประสานงานกับผู้ดูแลคอนโดมิเนียม e-Payment การติดตามการแจ้งซ่อม รวมทั้งให้คำแนะนำ และรับทราบข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของคอนโดมิเนียมได้อีกด้วย 3. AP Intelligent Space ดีไซน์พื้นที่ใช้สอยให้ปรับเปลี่ยนได้ตามสไตล์การใช้งาน ครั้งแรกของวงการคอนโดมิเนียมไทยที่เปลี่ยนข้อจำกัดของพื้นที่สู่การออกแบบ ห้องพักขนาด 35 ตร.ม. ให้สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นของห้องให้ตรงตามความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยได้ เช่น ปรับเปลี่ยนห้องรับแขกเป็นห้องนอนอีก 1 ห้อง เป็นห้องทำงาน หรือ ห้องแต่งตัว เป็นต้น ซึ่งในขนาดห้องประมาณ 35 ตร.ม. แต่สามารถทำเป็น 2 ห้องนอนที่อาศัยอยู่ได้จริง ถือว่าคุ้มค่าและยังไม่มีคู่แข่งรายใดสามารถทำได้ พร้อมด้วยระบบ AP Master Switch โดยจะเป็นสวิตช์ไฟที่ติดตั้งอยู่ที่หน้าประตูห้อง ผู้อยู่อาศัยสามารถปิดสวิตช์นี้เพียงครั้งเดียว แทนที่จะตามปิดไฟทุกสวิตช์ในคอนโด ช่วยให้ประหยัดเวลา เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบและรักความสะดวกของคนเมือง และครั้งแรกในประเทศไทยกับนวัตกรรม AP Corridor Window Innovation ที่เอพีคิดค้นและพัฒนาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อมุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าเอพี ด้วยการผสานวิธีในเชิงวิศวกรรมเข้ากับงานสถาปัตยกรรม จนเกิดเป็นนวัตกรรมดีไซน์ใหม่ ที่ช่วยลดทอนปัญหาความร้อนและความอับชื้นภายในโถงทางเดินของคอนโดมิเนียมแต่ละชั้น ด้วยการออกแบบบานหน้าต่างรูปแบบพิเศษลิขสิทธิ์เฉพาะของเอพี ที่ช่วยให้อากาศในแต่ละชั้นมีการถ่ายเทหมุนเวียนตามธรรมชาติตลอด 24 ชั่วโมง สร้างความโปร่ง โล่ง สบายมากยิ่งขึ้น ทั้งยังลดการสะสมของแบคทีเรีย รวมถึงความร้อนภายในตัวอาคาร อีกทั้งนวัตกรรมนี้ยังออกแบบโดยคำนึงถึงสภาวะฝนตก ด้วยโครงตาข่าย(grille) 3 ชั้นที่ซ่อนอยู่ภายในโครงหน้าต่าง ซึ่งจะช่วยหักเหทิศทางของลม ไม่ให้สายฝนผ่านเข้ามายังโถงทางเดิน ขณะที่อากาศก็ยังสามารถหมุนเวียนได้ตามปกติตลอดวัน จากแผนธุรกิจในการพัฒนาสินค้าคอนโดมิเนียมปี 2560 ที่เตรียมเปิดตัว 3 โครงการใหญ่แห่งปี มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขายในส่วนคอนโดมิเนียมไว้ที่ 12,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 24% จากยอดขายปีก่อนหน้า ประเดิมเปิดโครงการแรก LIFE ลาดพร้าว จำนวน 1,615 ยูนิต มูลค่าโครงการ 7,600 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท โดยจะเปิดขายอย่างเป็นทางการ 20–21 พฤษภาคมนี้ ณ สำนักงานขายโครงการ LIFE ลาดพร้าว “สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าในวันนี้ เชื่อว่าตลาดคอนโดระดับกลางถึงไฮเอนด์ไม่น่ากังวล ดีมานด์ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อพิจารณาเจาะลึกที่ตลาดคอนโดติดรถไฟฟ้าย่านสะพานควาย-พหลโยธิน พบว่าจำนวนซัพพลายในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับดีมานด์ความต้องการที่ยังคงเติบโต จากการสำรวจของเราด้วยจำนวนซัพพลายคงเหลือขายย้อนหลัง 5 ปี พบว่าปัจจุบันย่านรถไฟฟ้าสะพายควาย-พหลโยธิน มีคอนโดคงเหลือขายเพียงประมาณ 2,000 ยูนิต (ประมาณ 900 ยูนิตนั้นล้วนเป็นสินค้าของผู้ประกอบการรายใหญ่) และหากย้อนดูแนวโน้มการเปิดตัวในแต่ละปี โดยเฉพาะของผู้ประกอบการรายใหญ่ จะเห็นได้ว่ามีการเปิดตัวในสัดส่วนที่น้อยลง อาจจะด้วยที่ดินส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนาในเชิงพาณิชย์อื่นๆ ทำให้การหาซื้อที่ดินขนาดที่เหมาะสมกับการพัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าเป็นไปได้ยาก ซึ่งปัจจัยนี้ถือเป็นตัวช่วยกรองโครงการใหม่ๆ หรือผู้ประกอบการที่จะลงมาแข่งขันพัฒนาคอนโดที่อยู่อาศัยในย่านนี้ให้เหลือน้อยลง ซึ่งสวนทางกับดีมานด์ที่มีอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากเปอร์เซ็นต์ยอดขาย เฉลี่ยอยู่ที่ 85% โดยเฉพาะสินค้าคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าระดับกลางถึงไฮเอนด์ระดับราคาขาย 3–7 ล้านบาท ล้วนเป็นโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ขายได้ดี กล่าวโดยสรุปได้ว่าตลาดคอนโดติดรถไฟฟ้าย่านสะพานควาย-พหลโยธินยังไม่โอเวอร์ซัพพลาย เพราะยังมีดีมานด์ที่รอสินค้าที่พร้อมตอบโจทย์ความต้องการในทุกด้าน ดังนั้นสินค้าที่จะลงไปแข่งขันในตลาดนี้ต้องสร้างความแตกต่าง เพื่อที่จะชนะใจคนเมืองที่กำลังมองหาคอนโดในทำเลนี้ ที่นับวันจะมีแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น” นายวิทการกล่าว ปัจจุบันเอพีมีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Ongoing Projects) จำนวน 15 โครงการ มูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 13,400 ล้านบาท และยังมีโครงการที่ร่วมทุนระหว่างเอพีและ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MEC) อีก 8 โครงการ มูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 3,000  ล้านบาท ในส่วนของยอดขายกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ถึงแม้บริษัทจะไม่ได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่สามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 550 ล้านบาท จากโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา โดยมั่นใจว่าจากการเปิดตัว LIFE ลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 7,600 ล้านบาท จำนวน 1,615 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดพรีเซลล์อย่างเป็นทางการในช่วงวันที่ 20–21 พฤษภาคมนี้ จะสร้าง Talk of the Town และโกยยอดขายคอนโดมิเนียมล็อตใหญ่ได้อย่างแน่นอน “เอพี (ไทยแลนด์) โดยคุณอนุพงษ์ อัศวโภคิน CEO และพันธมิตรสำคัญ คือ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MEC) ที่ได้ร่วมมือกันมากว่า 3 ปี ได้วางวิสัยทัศน์ไว้อย่างกว้างไกลและได้ให้แนวทางการทำงานใน 3 แกนหลัก ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยและลูกบ้านเอพี การพัฒนากระบวนการการทำงานด้วยการแบ่งปันองค์ความรู้ระหว่างทั้งสองบริษัท และที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนานวัตกรรมสเปซและเทคโนโลยี โดยเอพี (ไทยแลนด์) มุ่งมั่นที่จะสร้างนวัตกรรมที่แตกต่างและยั่งยืน โดยผสานแนวคิด AP Digital Community เข้ากับการพัฒนาสเปซหรือพื้นที่ใช้สอย ให้ชีวิตประจำวันของลูกบ้านมีความสะดวกสบายและปลอดภัย” นายวิทการกล่าวสรุป “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง”
วีรันดา ทุ่ม 2.5 พันล้าน เปิดตัว “วีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน” คอนโดฯพรีเมี่ยมบนทำเลทอง บีชฟร้อนท์ (Beach Front) ผืนงามที่ควรค่ากับการลงทุน

วีรันดา ทุ่ม 2.5 พันล้าน เปิดตัว “วีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน” คอนโดฯพรีเมี่ยมบนทำเลทอง บีชฟร้อนท์ (Beach Front) ผืนงามที่ควรค่ากับการลงทุน

วีรันดา (Veranda) ผู้นำดีไซน์แบรนด์ของกลุ่มอสังหาฯ ทุ่ม 2.5 พันล้าน เปิดตัว “วีรันดา เรสซิเดนซ์  หัวหิน” (Veranda Residence Hua-Hin) คอนโดฯสุดพรีเมี่ยมบนทำเลทองริมหาดหัวหิน ผืนงามที่ควรค่ากับการลงทุน ชูจุดเด่นดีไซน์คอนโด ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูแบรนด์ควอตโตร ดีไซน์ พร้อมเซอร์วิสแบบบูทีคโฮเทล พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและใกล้แหล่งท่องเที่ยวสุดชิค ตอบทุกโจทย์ของการพักผ่อนเมืองตากอากาศสุดฮิป แง้มเปิดกลางเดือนเมษายนนี้ นายวีรวัฒน์ องค์วาสิฏฐ์  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วีรันดา รีสอร์ท แอนด์ สปา จำกัดผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ดีไซน์แบรนด์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับโครงการวีรันดา รีสอร์ท หัวหิน, วีรันดา เชียงใหม่ เดอะ ไฮ รีสอร์ท, วีรันดา รีสอร์ท พัทยา และ วีรันดา เรสซิเดนซ์ พัทยา คอนโดมิเนียมหรู ริมหาดนาจอมเทียน ที่ที่ได้รับประแสตอบรับเป็นอย่างดีสามารถปิดยอดขายได้กว่า 80% ล่าสุดเตรียมทุ่มเม็ดเงินกว่า 2.5 พันล้านบาท เนรมิตพื้นที่หน้าหาดหัวหิน ที่ดินผืนงามที่มีพื้นที่รวมกว่า 14 ไร่ ซึ่งควรค่าแก่การลงทุน  เพื่อเปิดตัว “วีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน” ตอกย้ำความเป็นมืออาชีพในการสร้างมุมมองการท่องเที่ยวสไตล์ ชิค & ฮิป ที่เน้นดีไซน์ของการออกแบบที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนทุกรุ่นอย่างเหนือระดับ พร้อมบริการ Hotel Service รองรับนักท่องเที่ยวที่มาเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง “ในแวดวงรีสอร์ท วีรันดา เรียกได้ว่าเป็นรุ่นแรกๆ ของ Design Hotel ซึ่งตอนนี้วีรันดา รีสอร์ท หัวหินได้มีการปรับโฉมและรีโนเวทให้ร่วมสมัยมากยิ่งขึ้นไป จนได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ นับเป็นจุดเด่นของทีมดีไซน์ ที่สามารถสร้าง First Impression ได้ตั้งแต่แรกที่มาเยือน โดยเฉพาะล่าสุด วีรันดา เรสซิเดนซ์ พัทยา (Veranda Residence Pattaya) ที่สร้างปรากฏการณ์ในโลกโซเชียล ซึ่งมีกระแสชื่นชมอย่างมาก ทำให้ภาพรวมของการท่องเที่ยวพัทยาคึกคักขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และครั้งนี้ เรามองว่าที่ผ่านมาไม่มีการสร้างที่พักใหม่ๆ โดยเฉพาะ Beachfront Residence ใน อ.หัวหินมานานแล้ว อีกทั้งพื้นที่ติดทะเลริมหาดผืนใหญ่ หาได้ยากขึ้น ถึงแม้ว่าอาจจะยังมีที่ดินเปล่าอยู่บริเวณ เขาเต่า ปึกเตียนและปราณบุรีอยู่บ้าง แต่พื้นที่เหล่านั้นยังไกลจากศูนย์กลางเมืองและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึงหาดทรายก็ยังไม่สวยเท่าหัวหิน จึงยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก ดังนั้นโครงการวีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน จึงสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนที่มาพักผ่อน ท่องเที่ยวและเพื่อการลงทุนได้อย่างแน่นอน” วีรันดา เรสซิเดนซ์  หัวหิน (Veranda Residence Hua-Hin) นับเป็นโครงการที่พักอาศัยตากอากาศสุดพรีเมี่ยม ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ และตั้งอยู่ริมชายหาดหัวหิน ใกล้กับเขาตะเกียบ อีกทั้งยังสะดวกสบายสำหรับการเดินทาง ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอาทิ  เพียง 3 นาทีสู่ท่าเรือเฟอร์รี่หัวหิน - พัทยา  เพียง 3 นาทีไปตลาดไนท์มาร์เก็ต ซิคาด้า  5 นาทีจากโรงพยาบาลกรุงเทพ หัวหิน และศูนย์การค้า บลูพอร์ต หัวหิน หรือใช้เวลาเดินทางไปยังสวนน้ำวานา นาวาด้วยเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังจัดเป็น First Hotel Serviced Beachfront Design Residence หรือเป็นที่พักอาศัยริมชายหาดแห่งแรกที่มาพร้อมกับการบริการแบบโรงแรม เพราะภายในโครงการจะมีส่วนของบูทีคโฮเทลภายใต้แบรนด์น้องใหม่ “อะ วีรันดา คอลเลคชั่น” (A Veranda Collection) เพื่อสร้างมาตรฐานการบริการและมอบประสบการณ์วันพักผ่อนที่ลูกค้าไม่เคยได้รับจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่น วีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน จึงเหมาะกับการเป็นบ้านหลังที่สอง ทั้งเพื่อการพักผ่อนและลงทุนในคอนโดมิเนียมอารมณ์รีสอร์ทนั่นเอง “เนื่องจากเราเป็น Design Brand คือ มีความถนัดในเรื่องการออกแบบ การพัฒนา และการบริหารรีสอร์ท หรือที่พักอาศัยให้ตอบโจทย์ของผู้อยู่อาศัยในคราวเดียวกัน คือลูกค้าที่ต้องการการพักผ่อนและความสะดวกเหมือนอยู่บ้าน แต่ก็ยังไม่ทิ้งสไตล์ตัวเอง  วีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน จึงพัฒนาการออกแบบในเป็นเป็นแนวโมเดิร์น คอมเท็มโพรารี (Modern Contemporary) ในสไตล์แบบฉบับของวีรันดา ด้วยการนำลักษณะและศิลปะของพื้นที่ มาผสมผสานให้เข้ากับความทันสมัยที่เหมาะแก่การพักผ่อนที่เน้นการออกแบบการตกแต่งภายใน รวมถึงการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์ที่มีดีไซน์ฌฉพาะตัว ออกแบบโดยคอวตโตร ดีไซน์ (Quattro Design) และเสริมความโดดเด่นที่ทำให้วีรันดาแตกต่างจากโครงการคอนโดมิเนียมทั่วไปคือ การเน้นพื้นที่ของแลนด์สเคป (Landscape) ให้มาก ออกแบบให้มีสระว่ายน้ำเป็นองค์ประกอบหลักของพื้นที่ เรียกว่าเป็นที่พักริมทะเลที่มีพื้นที่สระว่ายน้ำมากที่สุดของหัวหินเลยทีเดียว” นายวีรวัฒน์กล่าวเสริม วีรันดา เรสซิเดนซ์  หัวหิน (Veranda Residence Hua-Hin) ประกอบด้วย 5 อาคาร รวมทั้งหมด 263 ยูนิต โดยราคาขายเริ่มต้นที่  3.9 ล้านบาทและมีห้องพิเศษ Sky Pool Duplex สนนราคาอยู่ที่ 49 ล้านบาท  นำเสนอความพิเศษด้วยห้องพักสองชั้นพร้อมสระว่ายน้ำลอยฟ้าซึ่งมาพร้อมกับชุดเครื่องครัวและชุดสุขภัณฑ์นำเข้า ที่รับรองถึงความพรีเมี่ยม นอกจากนี้โครงการยังได้ผ่านการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA : Environmental Impact Assessment) เรียบร้อยแล้ว โดยเริ่มให้เปิดจองกลางเดือนเมษายนนี้ และจะเริ่มต้นก่อสร้างต้นปี 2561 คาดว่าใช้เวลาแล้วเสร็จประมาณ 2 ปี ทางด้าน น.ส.อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด (CBRE) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเป็นที่ปรึกษาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า “ในช่วงที่ผ่านมาแนวโน้มการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเมืองชายทะเลอย่างหัวหินดีขึ้นตามลำดับและคาดว่าตลาดคอนโดฯ ในเมืองตากอากาศจะสามารถขยายตัวสูงขึ้นได้อีก   ด้วยปัจจัยบวกจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐที่กระจายลงไปในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาคอนโดฯ หรูมีราคาขยับสูงขึ้น โดยเฉพาะโครงการวีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน  มีจุดแข็งสำคัญที่เป็นโครงการที่ติดชายหาด และมีรูปแบบโครงการที่นำเสนอบริการในแบบบูทีคโฮเทล ที่สามารถอำนวยความสะดวกยิ่งขึ้นสำหรับการพักผ่อน ด้วยมาตรฐานการบริการในระดับพรีเมี่ยม และราคาที่สมเหตุผล เชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนให้ยอดการจองคอนโดมิเนียมฯ ครั้งนี้เป็นไปได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ยังเชื่อว่า วีรันดา เรสซิเดนซ์  หัวหิน (Veranda Residence Hua-Hin) จะสามารถสร้างกระแสตอบรับที่ดีทั้งจากชาวไทยและต่างประเทศ เนื่องจากราคาและคุณภาพ ตลอดจนระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และมาตรฐานการบริการที่แปลกใหม่ ในราคาสมเหตุสมผล จะทำให้ วีรันดา เรสซิเดนซ์  หัวหิน (Veranda Residence Hua-Hin) เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า จากทั้งผู้บริโภค และนักลงทุน ประกอบกับตัวเลขนักท่องเที่ยวและภาพรวมของเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดีขึ้น เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดีหลังจากเปิดตัวโครงการช่วง Pre-sale ในเดือนเมษายน ปี 2560 แน่นอน สำหรับตลาดหัวหิน ยังคงเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยและกลุ่มผู้ที่ต้องการบ้านพักตากอากาศชายทะเล ในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมาโครงการเปิดตัวใหม่ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่อำเภอชะอำและเขาเต่า โดยไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่บริเวณชายหาดหัวหิน ในขณะที่ความต้องการของผู้ซื้อคอนโดติดชายหาดหัวหินมีจำนวนมาก แต่ที่ดินที่เหลือบนหาดหัวหินมีน้อยลงทุกที การเปิดตัวของ วีรันดา เรสซิเดนซ์  หัวหิน น่าจะตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดีทั้งในแง่ทำเล ราคา และการที่มี Hotel Service ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.verandaresidence.com หรือ โทร. 088-895-2121
เขย่าวงการอสังหา  คิงพาวเวอร์ บุกซื้อ”โรงแรม- จุดชมวิว” ตึกมหานคร

เขย่าวงการอสังหา คิงพาวเวอร์ บุกซื้อ”โรงแรม- จุดชมวิว” ตึกมหานคร

เรียกว่าเป็นทอล์กอ๊อฟเดอะทาวน์ กันในช่วงสัปดาห์ก่อนสงกรานต์กับการประกาศซื้อโรงแรม, จุดชมวิว Observation Deck และอาคารรีเทลมหานครคิวป์ในตึก "มหานคร" ของเจ้าพ่อดิวตี้ฟรีอย่างคิงเพาวเวอร์ ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า14,000 ล้านบาทเพื่อต่อยอดธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยวหวังดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนอย่างต่อเนื่อง ทำให้เจ้าของอย่างบริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ได้รับเงินจากการขายในครั้งนี้เพื่อต่อชีวิตอีก 4 โครงการที่อยู่ในมือ ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท ได้แก่ The Ritz-Carlton Residence Bangkok มี Backlog 3,280 ล้านบาท และห้องชุดที่รอขาย 4,281 ล้านบาท โครงการมหาสมุทร วิลล่า มี Backlog 816 ล้านบาท และรอขาย 3,088 ล้านบาท โครงการนิมิต หลังสวน มียอดขายแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็น Backlog 6,709 ล้านบาท และห้องชุดรอขาย 1,291 ล้านบาท และWindshell นราธิวาส มี Backlog 792 ล้านบาท และห้องชุดรอขาย 2,208 ล้านบาท ทั้งนี้คาดว่าจะรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2561-2562 ก่อนหน้านี้ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) หนึ่งในบิ๊กอสังหาเคยเสนอราคาเพื่อซื้อโครงการนิมิตหลังสวนทั้งโครงการ และห้องชุดที่พักอาศัยในโครงการ The Ritz-Carlton Residence Bangkok จำนวน 53 ห้องชุด ในโครงการมหานคร แต่ก็มีเหตุล้มดีลไปโดยที่แสนสิริจะได้รับเงินมัดจำ 322,823,805 บาทคืนเต็มจำนวน นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทจะนำเงินรวมกับกระแสเงินสดจากการขายหุ้น เพิ่มทุนในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 มูลค่า 3,894 ล้านบาท มาเพื่อลดหนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทแข็งแรงขึ้นและมั่นคงในระยะยาวต่อไป สำหรับโครงการมหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน บริษัทฯ มีแผนที่จะหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อร่วมลงทุนและปรับรูปแบบ พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ให้กับโครงการ ด้วยการเพิ่มจำนวนห้องพักเพื่อทำเป็นโรงแรมเพื่อสุขภาพแบบครบวงจรระดับไฮเอนด์ในคลับเฮ้าส์ (Health & Wellness) ซึ่งปัจจุบัน มีสมาชิกกว่า 200 สมาชิก ปรากฎการณ์ได้ครั้งนี้ ทำให้วงการอสังหาประเทศไทยแปลกใจไม่น้อยว่าเจ้าพ่อดิวตี้ฟรีจะชิมลางธุรกิจอสังหาหรือไม่ และทางด้านเพซ ดีเวลลอปเมนท์ จะเริ่มเดินหน้าโครงการมหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน ที่หลายคนรอคอยออกมาให้เห็นหรือไม่ คงต้องจับตาดูกันต่อไป
ส่อง! เทรนด์ตลาดรับสร้างบ้านยุค 4.0 ต้องเติมเต็ม “นวัตกรรม”

ส่อง! เทรนด์ตลาดรับสร้างบ้านยุค 4.0 ต้องเติมเต็ม “นวัตกรรม”

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ชี้เทรนด์ตลาดรับสร้างบ้านยุค 4.0 ต้องเติมเต็ม นวัตกรรม “พิชิต อรุณพัลลภ” ระบุธุรกิจเข้าสู่ยุคทำงานร่วมกับผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุฯ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่และสอดคล้องกับการอยู่อาศัยในอนาคตสังคมเข้าสู่ผู้สูงอายุ นายพิชิต อรุณพัลลภ นายกสมาคมธุรกิจรัลบสร้างบ้านเปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดรับสร้างบ้านมีการแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรง มาจาก 2 เหตุผลหลักคือ  ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านต้องการสร้างยอดขายและหาลูกค้าใหม่เข้ามาชดเชยลูกค้าเก่าที่ครบกำหนดส่งมอบบ้าน อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีผู้ประกอบการรายใหม่ที่เดิมเป็นตัวแทนจำหน่ายวัสดุก่อสร้างได้ขยายการบริการสู่ธุรกิจรับสร้างบ้าน แต่อย่างไรก็ตาม การแข่งขันกันด้วยกลยุทธ์ “ราคา” หรือ ลด แลก แจก แถม นั่นอาจสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการงานเข้ามา แต่ไม่ตอบโจทย์ในระยะยาว ดังนั้นเพื่อรองรับการแข่งขันในอนาคตและเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจหรือ “ตลาดบ้าน” หรือ “ตลาดที่อยู่อาศัย” ยุค4.0 ที่ต้องให้ความสำคัญเรื่อง “นวัตกรรม” มาใส่ในแบบบ้านยุคใหม่ อาทิ แบบบ้านเพื่อประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากจะให้ความสำคัญในเรื่องนวัตกรรมแล้ว ผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้านก็ต้องวางแผนรับมือการตลาดยุคโซเชียลมีเดียด้วยเช่นกัน รับสร้างบ้านยุคใหม่แข่ง “นวัตกรรม-ดีไซน์-บริการ” “ปัจจุบันผมว่าวงการที่อยู่อาศัยได้มีการพัฒนาในทุกแง่มุมเพื่อรองรับการอยู่อาศัยทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุก่อสร้างที่มีนวัตกรรม รวมทั้งโครงสร้างบ้านที่แข็งแรง รายละเอียดต่างๆ เหล่านี้ผู้ประกอบธุรกิจรับสร้างบ้านต้องให้ความสำคัญ” นายพิชิต กล่าว พร้อมกับให้ความเห็นว่า จากนี้ไปในการออกแบบบ้านซีรี่ย์ใหม่ๆของผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้านอาจต้องหาข้อมูลหรือทำงานร่วมกับบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ หรือเทรนด์การอยู่อาศัยในอนาคตเพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ เช่น นวัตกรรมการจัดพื้นที่เพื่อรองรับกับผู้สูงอายุแบบครบวงจรไม่ว่าจะเป็น ห้องน้ำ ห้องนอน ทางขึ้นลง รวมถึงพื้นที่นั่งเล่น เป็นต้น แม้การทำงานของธุรกิจรับสร้างบ้านในหลายๆ ส่วนเทคโนโลยียังไม่สามารถที่จะทดแทนได้ ยังต้องอาศัยมนุษย์เป็นคนทำ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยอมรับว่ากระแสยุคดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทต่อธุรกิจรับสร้างบ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเทคโนโลยีในการออกแบบอาคารเป็นรูป3มิติ ที่จะช่วยให้คำณวน ปริมาณวัสดุที่ต้องใช้ เทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเรียนรู้และต้องก้าวตามให้ทัน เพราะนอกจากจะช่วยให้ง่ายต่อการทำงานแล้ว ยังสามารถที่จะคำนวณต้นทุนต่างๆ ได้ด้วย ด้วยรูปแบบของธุรกิจรับสร้างบ้านเป็นงานบริการที่รับปลูกสร้างบ้านบนที่ดินของลูกค้า ดังนั้น ความต้องการของลูกค้าแต่ละรายย่อมมีความแตกต่างกัน เมื่อลูกค้ามีความชอบที่เป็นแบบยูนีค การให้ความสำคัญด้านการดีไซน์ และการบริการทั้งก่อนและหลังการขายอย่างต่อเนื่อง จึงน่าจะเป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการในธุรกิจรับสร้างให้ความสำคัญ โดยเห็นได้เด่นชัดคือ “คนเจเนอเรชั่น วาย หรือ เจนวายที่เติบโตมากับยุคดิจิทัลและมีกำลังซื้อสูง ลูกค้ากลุ่มนี้ย่อมมีความต้องการที่แตกต่าง ต้องการความพิเศษ”นายพิชิต กล่าวทิ้งท้าย
เอสซี แอสเสทฯ จับมือบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำร่วมสร้างชุมชนเมืองใหม่ พร้อมแบ่งปันเพื่อชุมชนและสังคม

เอสซี แอสเสทฯ จับมือบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำร่วมสร้างชุมชนเมืองใหม่ พร้อมแบ่งปันเพื่อชุมชนและสังคม

นายเกรียงศักดิ์ เหี้ยมโท้ รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาโครงการแนวราบ 1 เป็นผู้แทนบริษัทฯ ร่วมสนับสนุนกิจกรรม ปั่นจักรยานเพื่อน้อง เปิดเส้นทาง “ถนนหอการค้าไทย” เชื่อมถนนชัยพฤกษ์-สาย 345 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่ 4 บริษัทชั้นนำ ได้แก่ "เพอร์เฟค-เอสซี แอสเสท-พฤกษา-แสนสิริ" จับมือลงทุนสร้างชุมชนเมืองใหม่ ด้วยแผนการพัฒนาแหล่งที่อยู่อาศัยให้เป็นทำเลทองแห่งใหม่บนย่านชัยพฤกษ์ อีกทั้งยังได้มอบเงินบริจาคแก่ตัวแทนของสถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านปากเกร็ด  เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งปันคืนสู่สังคมและชุมชน   สำหรับโครงการใหม่ของเอสซีฯ  ที่พัฒนาบนที่ดินแห่งนี้ ได้แก่ โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ  บ้านเดี่ยวหรูระดับพรีเมี่ยม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดโครงการภายในไตรมาสที่ 3 ปีนี้
ดีไอ โชว์กึ๋น เปิดรีเทลวัสดุตกแต่งแนวไลฟไตล์แห่งแรกในเอเชีย อัดงบกิจกรรม 50 ล้านบาทพร้อมเผยโฉมเชิงรุก เปิดตลาดไอเดีย ดีไซน์แบบ 360 องศา

ดีไอ โชว์กึ๋น เปิดรีเทลวัสดุตกแต่งแนวไลฟไตล์แห่งแรกในเอเชีย อัดงบกิจกรรม 50 ล้านบาทพร้อมเผยโฉมเชิงรุก เปิดตลาดไอเดีย ดีไซน์แบบ 360 องศา

ดีไอ (DI) คอนเซ็ปต์ สโตร์ รีเทลวัสดุตกแต่งแนวไลฟไตล์แห่งแรกในเอเชีย  ที่รวบรวมสินค้าที่มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในหลากหลายรูปแบบ ไม่เหมือนใคร  รวมถึงสินค้าตกแต่งที่โชว์ถึงนวัตกรรมการผลิตที่ทันสมัย และบางชิ้นนำมาผสมผสานกับศิลปะกรรมต้นแบบในหลากหลายประเทศ  เพื่อให้เกิดความสะดวก ในการใช้งานได้เหมาะสม มีทั้งที่ผลิตจากภายในและภายนอกประเทศ  พร้อมเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบในปีนี้ ล่าสุด เตรียมนำ TVC ชุดแรก ที่สะท้อนตัวตนของดีไอ ภายใต้แนวคิดแบบ second skin ผ่านความงามของผิวสัมผัส บนพื้นผิวสตรี ออกเผยแพร่ในสื่อออนไลน์เป็นครั้งแรก พร้อมเตรียมนำสินค้าไฮไลท์ ที่ก่อนหน้านี้ได้กวาดรางวัลทั้งในและต่างประเทศมาแล้ว อาทิ DI Smart Wireless Switch จากเวที Thailand Green Design Award เข้าร่วมโชว์ในงานสถาปนิก 60 โดยคาดว่างบประมาณที่จะใช้ในกิจกรรม ต่าง ๆ รวมถึงแผนโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้ช่วงเปิดตัวระยะแรกไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าสร้างการรับรู้ผ่านสื่อออนไลน์และสื่อโซเชี่ยลมีเดียทุกช่องทาง วางเป้าหมายในปีแรก คาดยอดขาย 100 ล้านบาท นางศศิวิมล สินธวณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีไอ คอนเซ็ปต์ สโตร์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านรีเทลด้านวัสดุตกแต่งภายในแห่งแรกของเอเชีย กล่าวว่า “ภายหลังจากการสำรวจตลาดสินค้าวัสดุตกแต่งภายในประเทศไทยแล้ว พบว่าสินค้าที่มีนวัตกรรมตกแต่งนั้นค่อนข้างมีน้อย โดยเฉพาะสินค้าเฉพาะกลุ่มที่หายากไม่ค่อยมีในตลาด บางครั้งมีโชว์ แต่ไม่มีจำหน่าย หรือบางรายหาชื้อยากถึงไม่มี เพราะขายยาก เลยไม่ผลิตอีก เรามองว่าวัสดุปิดผิว (interior surface) ยังไม่มีคนทำตลาดอย่างชัดเจน จึงเป็นโอกาสที่ดี ที่จะเปิดตลาดใหม่ ในการนำสินค้าวัสดุตกแต่งภายในที่มีคุณภาพเกรดพรีเมี่ยมจากทั่วทุกมุมโลกมาทำตลาด อีกทั้งประเทศไทยก็มีวัตถุดิบที่หลากหลาย แต่ก็ยังขาดการส่งเสริมด้านงานครีเอท และการพัฒนาขบวนการผลิตให้ทันสมัย ที่สามารถนำสินค้าแปลกใหม่ออกมานำเสนอได้อีกช่องทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ตลาดวัสดุตกแต่งในไทย มีมูลค่ารวมประมาณ 5 หมื่นล้านบาท โดยหลักๆ 80% เป็นวัสดุปิดผิว (interior surfaces) ทั้ง hard finishing และ soft finishing อีก 20% เป็นวัสดุมีดีไซน์หรือสินค้าไฮเอนด์ เป็นที่ต้องการของตลาดโรงแรม ร้านอาหาร โรงพยาบาล และบ้าน (residential) โดยมีผู้จำหน่ายในกลุ่มนี้ไม่มากและมีความหลากหลายของแบรนด์แต่ละแบรนด์ ดีไอ จึงเป็นแบรนด์ในการนำความหลากหลากในกลุ่มนี้มาจัดวางตำแหน่งใหม่ ให้คำว่า interior surface มีความชัดเจนมากขึ้น เหมือนในต่างประเทศ คือ fabric / wall coverings / flooring เราตั้งเป้าเป็น 1 ในผู้นำตลาดในทุกกลุ่มภายใน 5 ปี ด้วยอัตลักษณ์ของแบรนด์ที่มีนวัตกรรม ความมีดีไซน์ ประสบการณ์ในตลาดอสังหา และราคาที่แข่งขันได้ เรามองยอดขายที่ปีละประมาณ 100 ล้านในปีแรก และจะสามารถเติบโตตามเศรษฐกิจ เพราะเรากำลังเริ่มต้น นอกจากนี้ ด้วยแนวคิดที่ผสมผสานความต้องการของเจ้าของพื้นที่ และ ดีไซเนอร์ ดีไอจึงนับเป็นทางเลือกใหม่ ที่จะเข้ามาช่วยย่นระยะเวลาการทำงานของดีไซนเนอร์ ในการเลือกหาวัสดุตกแต่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ทำงานได้เร็วและง่ายขึ้น รวมถึงการเป็นเสมือนศูนย์กลางในการแนะนำ เผยแพร่ข่าวสารติดต่อ แลกเปลี่ยน กับเครือข่ายนักออกแบบทั้งในและทั่วโลก พร้อมอัพเดทข่าวสารการผลิตวิจัยพัฒนาเทรนด์อย่างรวดเร็ว ทันสมัย และต่อเนื่อง ดีไอ จึงนับเป็นร้านรีเทลด้านวัสดุตกแต่งภายในแห่งแรกของเอเชีย ที่เป็นศูนย์รวมแห่งใหม่ของนักออกแบบ สถาปนิก และคนที่มีมุมมองสร้างสรรค์ในการเติมแต่งไอเดียตกแต่งภายใน” นางศศิวิมล กล่าว และเพิ่มเติมว่า “ โดยในช่วงแรก เราจะเน้นไปที่การแนะนำให้กลุ่มเป้าหมาย ได้รู้จัก และทดลองเข้ามาใช้บริการของดีไอ ในทุกช่องทางการสื่อสาร โดยเน้นไปที่ช่องทางหน้าร้าน ออนไลน์และโซเชี่ยลมีเดีย เฟสบุ๊ค และไลน์ อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการออกบูธแนะนำในงานแฟร์ต่างๆ โดยปีนี้จะเข้าร่วมงานสถาปนิก 60 งานบ้านและสวน และ งานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ (TIFF) ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณในการจัดกิจกรรมทั้งหมดในส่วนนี้ ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท สำหรับในด้านการตลาด ดีไอ จะให้ความสำคัญกับทำตลาดทั้งแบบ e commerce and s commerce ที่เน้นการให้บริการที่รวดเร็ว ให้กลุ่มเป้าหมายได้รับความสะดวกสูงสุด ล่าสุด ดีไอ ได้เปิดตัว TVC แนะนำตัวชุดแรกออกเผยแพร่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ second skin มั่นใจว่าวัสดุปิดผิว (interior surface) สวยเหมือนผิวสตรี ทั้งแง่ความงามและการใช้สอยเสมือนผิวของร่างกาย เช่น วอลเปเปอร์ที่ทนความชื้นทนน้ำ ใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก ผ้าม่านที่ใช้วัสดุ eco- รักษ์ธรรมชาติ 100% หรือผ้าที่ผลิตจากสารปราศจากเคมีภัณฑ์ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมจึงเป็นที่มาของการนำเอาโจทย์จากวัสดุมาเรียบเรียงเป็น ความสวยที่ทุกคนอยากสัมผัส และสัมผัสได้ด้วยวัสดุตกแต่งที่ทันสมัยของร้านดีไอ เสมือนกับการเป็นผิวสัมผัสที่สองที่ผู้หญิงไว้วางใจ สบายกายสบายใจเหมือนผิวตัวเอง ทั้งนี้คาดว่า จะเป็นคลิปโฆษณา ที่สร้างความสนใจ และเห็นความต่างจากร้านจำหน่ายวัสดุตกแต่งภายในอื่น ๆ ได้ชัดเจนขึ้น ปัจจุบัน ดีไอ คอนเซ็ปต์ สโตร์ เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแห่งแรก ณ อาคาร FUNBOX ถนน RCA (Block D) เปิดให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 10.00 – 18.00 น. โดยผู้ที่สนใจสามารถดติดต่อได้ที่ โทร. 0-2203-0907, 061-841-5111 หรือ www.diconcept.bz/ , www.facebook.com/DiConceptStore/
สิงห์ เอสเตท จับมือ ฮาร์ด ร็อค ผุดธีม โฮเทล ในโปรเจกต์ยักษ์ที่มัลดีฟส์

สิงห์ เอสเตท จับมือ ฮาร์ด ร็อค ผุดธีม โฮเทล ในโปรเจกต์ยักษ์ที่มัลดีฟส์

สิงห์ เอสเตท จับมือ ฮาร์ด ร็อค เปิดตลาดใหม่มัลดีฟส์ เพิ่มทางเลือกสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ใหม่ และตลาดครอบครัว ได้มากกว่าการฮันนีมูน หรือความโรแมนติก ผุดธีม โฮเทล ที่จะนำสีสัน และความสนุกตื่นเต้นมาเสิร์ฟถึงกลางทะเล โดยนำร่องเป็นโรงแรมแห่งแรก ภายในโปรเจกต์ยักษ์ที่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 9 เกาะ โดยเชื่อมั่นว่า เมกะโปรเจกต์นี้จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลระดับเวิลด์คลาสสำหรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มทั่วโลก นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สิงห์ เอสเตท ในฐานะผู้บริหารจัดการ โครงการเมกะโปรเจกต์ที่มัลดีฟส์ ซึ่งล่าสุดได้รับความร่วมมือจากเครือ ฮาร์ด ร็อค โฮเทล เปิดเผยว่า สำหรับโครงการเมกะโปรเจกต์ลงทุนสร้างสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ที่ประกอบด้วยเกาะ 9 เกาะในประเทศมัลดีฟส์นั้น เรามุ่งมั่นในการสร้างทางเลือกใหม่ของการท่องเที่ยวมัลดีฟส์ ที่อาจมิได้มีเพียงแค่ทะเลและท้องฟ้าแบบเดิม หรือเป็นสถานที่สำหรับคู่รักเท่านั้น แต่จะเป็นสถานที่แห่งใหม่ที่คุณจะได้รับประสบการณ์หลากหลายระดับเวิลด์คลาส ที่เต็มไปด้วยความสนุก สีสัน ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม รวมไปถึงตลาดครอบครัว ตัวโครงการประกอบด้วย ยอร์ช มารีน่า, แหล่งช้อปปิ้ง, ร้านอาหารชื่อดัง, บีช คลับ, ที่พัก ฯลฯ ซึ่งในส่วนของที่พัก ล่าสุดได้เซ็นสัญญาความร่วมมือกับเครือฮาร์ด ร็อค ที่จะเข้ามาพร้อมประสบการณ์ สีสัน และความตื่นเต้นใหม่ๆ โดยจะเป็นโรงแรมแห่งแรกของเฟสที่หนึ่ง “เรามีความรู้สึกยินดี และภูมิใจอย่างยิ่งที่ โรงแรมในเครือฮาร์ด ร็อค ซึ่งเป็นบริษัทระดับโลก ให้ความไว้วางใจในการเข้ามาเป็น Strategic partner ที่จะมาร่วมพัฒนาโรงแรมแรกในโครงการเมกะโปรเจกต์นี้กับเรา ซึ่งเราเชื่อว่า ด้วยประสบการณ์ มาตรฐานการทำงาน และมุมมองธุรกิจในระดับโลกของ ฮาร์ด ร็อค จะช่วยเพิ่มสีสีน และประสบการณ์ใหม่ๆ ของโครงการ และทำให้เป็นที่สนใจของคนทั่วโลก เพื่อก้าวไปสู่การเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับเวิล์ดคลาสที่นักท่องเที่ยวทุกๆ กลุ่ม ใฝ่ฝันที่จะมาเยือน”  นายนริศ กล่าวเสริม ด้านนายเหลียง วี จุน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจโรงแรม ภูมิภาคเอเซีย และอินเดีย โรงแรมในเครือฮาร์ด ร็อค กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นความร่วมมือก้าวสำคัญของเรา และบมจ.สิงห์ เอสเตท ซึ่งเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้ร่วมเป็นส่วนสำคัญของเมกะโปรเจกต์ กลางมหาสมุทรในประเทศมัลดีฟส์ โดยความร่วมมือนี้คือการพัฒนาโรงแรมในแบบของ ฮาร์ด ร็อค ที่แสดงถึงเอกลัษณ์เฉพาะตัว มีสีสัน ความรื่นเริง เปรียบได้กับเกาะแห่งสนุกความสดใส โดยเรามั่นใจว่า โครงการเมกะโปรเจกท์ที่กำลังจะเปิดเฟสแรกขึ้นในปี 2018 นี้ จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของโลก และทำให้เราจะก้าวไปประสบความสำเร็จร่วมกัน”
กำเนิดโครงการอสังหาฯ ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย – ‘One Bangkok’ พลิกโฉมพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ และก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทาง ที่เป็นแลนด์มาร์คระดับโลก

กำเนิดโครงการอสังหาฯ ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย – ‘One Bangkok’ พลิกโฉมพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ และก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทาง ที่เป็นแลนด์มาร์คระดับโลก

กรุงเทพฯ (3 เมษายน 2560) – วันนี้ บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พอยท์ ลิมิเต็ด (FCL) ได้ผนึกกำลังร่วมกันพลิกโฉมพื้นที่ขนาด 104 ไร่ ใจกลางของกรุงเทพฯ ให้กลายเป็นเมืองที่จะเป็นจุดหมายปลายทางที่ผู้คนจะต้องมาเยี่ยมเยือนให้ได้แห่งหนึ่งของโลก โดยโครงการดังกล่าวนี้จะถูกเนรมิตให้เป็นเมืองแห่งความครบครันเพื่อการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบแห่งแรกของประเทศไทยที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญในเรื่องคนเป็นศูนย์กลาง เรื่องความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และการใช้ชีวิตเมืองอย่างชาญฉลาด โครงการแห่งนี้ใช้ชื่อว่า ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 120,000 ล้านบาท จะเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยภาคเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย และ  จะกลายเป็นแลนด์มาร์คระดับโลกแห่งใหม่ เมื่อส่วนแรกของโครงการเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2564 นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท ทีซีซี และ FCL กล่าวว่า “จุดมุ่งหมายในการวางแผนและออกแบบโครงการ ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) คือการยกระดับภาพลักษณ์ของกรุงเทพฯ ในฐานะเมืองที่เป็นประตูเชื่อมโลกกับเอเชีย” ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) คือเมืองแห่งความครบครันที่เป็นเมืองในเมืองกรุงเทพฯ ประกอบไปด้วยอาคารสำนักงานที่ล้ำยุค โรงแรมหรูที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ร้านค้าและพื้นที่ทำกิจกรรม ที่หลากหลายครบครันซึ่งจัดสรรไว้ในบริเวณต่างๆ ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างแต่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ที่พักอาศัยระดับอัลตราลักชัวรี่ พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจมากมายหลายรูปแบบเพื่อการใช้ชีวิตของผู้คน พื้นที่ศิลปะและวัฒนธรรม รวมไปถึงพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่งขนาดรวมกัน 50 ไร่จากพื้นที่ทั้งหมดของโครงการ 104 ไร่ โดยโครงการตั้งอยู่บนที่ดินเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในทำเลทองบริเวณหัวมุมถนนวิทยุตัดกับถนนพระราม 4 ติดกับสวนลุมพินี เชื่อมต่อโดยตรงกับระบบขนส่งมวลชน นายเจริญ กล่าวว่า “ทางกลุ่มรู้สึกเป็นเกียรติที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระหากษัตริย์ได้ให้ความไว้วางใจในการพลิกโฉมพื้นที่ผืนสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ ผืนนี้ให้กลายเป็นเมืองที่ครบครัน ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบ ที่ผมมีความมุ่งมั่นและผมขอยืนยันที่จะสร้างสรรค์โครงการนี้ให้สำเร็จและโดดเด่นเป็นสง่าน่าภาคภูมิใจ พร้อมที่จะพลิกโฉมประเทศไทยให้ชาวโลกชื่นชม” นายเจริญกล่าวว่า “สิ่งที่คาดหวังในการเนรมิตโครงการ ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) คือการเสริมสร้างความเชื่อมั่นที่ทั่วโลกมีต่อประเทศไทยในฐานะเมืองที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียนและเป็นเมืองที่เป็นประตู  สู่โลกและเป็นเมืองแห่งไลฟ์สไตล์ที่สำคัญของเอเชีย รวมทั้งคาดหวังที่จะนำความรุ่งเรืองที่ยิ่งใหญ่มาสู่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้เช่า เจ้าของ หรือพันธมิตรทางธุรกิจ” “เพื่อที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จที่คาดหวังในการทำโครงการ ผมได้มอบความไว้วางใจให้กับ 2 บริษัทในกลุ่มทีซีซี คือ ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) และ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งทั้งสองบริษัทจะเติมเต็มซึ่งกันและกันได้อย่างสมบูรณ์แบบในการร่วมกันเนรมิตโครงการคุณภาพที่ยิ่งใหญ่ที่จะกลายเป็นที่ชื่นชมไปทั่วโลก” นายเจริญ กล่าว ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) เป็นโครงการที่พัฒนาโดยกิจการร่วมทุนระหว่างบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 80.1% กับและบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด (เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้) ถือหุ้น 19.9% เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คือ แบรนด์โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติของ FCL ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ และมีความมั่นคงอย่างเต็มเปี่ยม มีสินทรัพย์มูลค่ามากกว่า 17,600 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 605,000 ล้านบาท มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับด้วยผลงานความสำเร็จในการการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโครงการที่สร้างประโยชน์ให้กับเมืองที่โครงการนั้นๆ ตั้งอยู่ นายเจริญ กล่าวว่า “การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ครั้งนี้ทำให้เราสามารถผสานจุดแข็งทางการเงินและความรู้ความเข้าใจตลาดภายในประเทศของทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) เข้ากับความเชี่ยวชาญที่เป็นเลิศในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งมีเกียรติประวัติที่ยอดเยี่ยมยืนยันด้วยผลงานโครงการที่ได้รับรางวัลมากมาย” นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FCL กล่าวว่า “การผนึกกำลังในครั้งนี้จะเป็นหลักประกันว่าเราจะมีความสร้างสรรค์ที่ล้ำสมัย ขีดความสามารถที่ไม่มีข้อจำกัด และเงินลงทุนที่พร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการเนรมิตโครงการที่ยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้นที่สุดโครงการหนึ่งของเรา” นายปณต กล่าวว่า “ไม่มีโครงการไหนในประเทศไทย ที่เป็นโครงการเดียวที่มีขนาดใหญ่และหลากหลายเท่ากับโครงการนี้ โดย ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) จะเป็นจุดหมายปลายทางแห่งไลฟ์สไตล์ที่มีสีสันและชีวิตชีวาที่จะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เป็นสุดยอดปรารถนาที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ที่ผู้คนอยากมาอยู่อาศัย มาทำธุรกิจ และมาเยี่ยมเยือน ตลอดจนดึงดูดบริษัททั้งในประเทศและบริษัทข้ามชาติชั้นนำจากต่างประเทศให้เข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเออีซีในโครงการ ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) ในฐานะเป็นที่ตั้งบริษัทที่สมศักดิ์ศรีและน่าภาคภูมิใจในกรุงเทพฯ ที่ซึ่งพนักงานของบริษัทนั้นๆ และแขกที่มาเยี่ยมเยือนจะได้รับประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกและประสบการณ์ด้านไลฟ์สไตล์ที่ครบวงจรและหาไม่ได้จากที่ไหน” นายปณต กล่าวว่า “‘One Bangkok‘ (วัน แบงค็อก) แตกต่างอย่างโดดเด่น เพราะเป็นเมืองแห่งความ   ครบครันเพื่อการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งพัฒนาและออกแบบโดยยึดคนเป็นศูนย์กลาง (people-centric) แห่งแรกของกรุงเทพฯ มุ่งเน้นให้ผู้คนสามารถอยู่อาศัย ทำงาน และเที่ยวพักผ่อนสนุกสนานได้อย่างกลมกลืน  ไร้รอยต่อภายในที่แห่งเดียว พร้อมกับมอบความรู้สึกสบายและความสะดวกในทุกมิติของการใช้ชีวิตประจำวันที่ตอบโจทย์ตามหลักสรีรศาสตร์ของมนุษย์ และเอื้อต่อการเชื่อมโยงผู้คนเข้าถึงกัน” “จากแนวทางการออกแบบและวางผังการพัฒนาเมืองแห่งนี้ ผสานกับการนำเสนอส่วนผสมต่างๆ ภายในโครงการอย่างลงตัว ทำให้ผู้คนสามารถมาค้นพบคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวันได้ที่นี่สนุกสนานกับการใช้ชีวิตกลางแจ้ง และเพลิดเพลินกับกิจกรรมคุณภาพที่หลากหลายมากมายให้เลือกได้ตามที่ต้องการ โดยทั้งหมดนี้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะอาด ร่มรื่น และปลอดภัย นอกจากนั้น ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) ยังได้จัดสรรพื้นที่ขนาด 50 ไร่จากพื้นที่ทั้งหมดของโครงการ 104 ไร่ ให้เป็นพื้นที่ สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่ง” นายปณต กล่าว นายปณต กล่าวว่า “เราออกแบบ ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) โดยคำนึงถึงสิ่งที่เหมาะสมที่สุดในการวางผังเมืองเป็นอันดับแรก มีปรัชญาในการพัฒนาโครงการคือมุ่งเน้นเรื่องความหลากหลายของการใช้ประโยชน์และสถาปัตยกรรม ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงการตามหลักการของความยั่งยืน คำนึงถึงบริบทในเรื่องสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น ผสานมรดกทางประวัติศาสตร์และมิติต่างๆ ของความเป็นประเทศไทยที่พบได้เฉพาะในกรุงเทพฯ เพื่อให้พื้นที่ทั้งหมดของโครงการกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับกรุงเทพฯ และเป็นสถานที่สำหรับทุกคน” นายปณต กล่าวว่า “ทีมพัฒนาโครงการ ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) นำโดยนางสาวซู หลิน ซูน นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพผู้ที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์สูง ร่วมกับทีมงานมืออาชีพระดับโลก  อีกมากกว่า 100 คน จากบริษัทชั้นนำของไทยและระดับสากล ผนึกกำลังร่วมกันพัฒนาโครงการนี้” นางสาวซู หลิน ซูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) จำกัด กล่าวว่า “เรามองว่า การสร้างโครงการที่เป็นเสมือนเมืองระดับโลกใจกลางกรุงเทพฯ ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) จะต้องสะท้อนความเป็นไทย และสิ่งที่ขาดไม่ได้ที่จะต้องมีอยู่ในแผนแม่บทของโครงการ คือมาตรฐานคุณภาพที่เหนือกว่าที่เคยมีมา แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดตามแบบสากล และความหลากหลายในเรื่องของรูปแบบการใช้ประโยชน์และสถาปัตยกรรม ซึ่งแผนแม่บทของโครงการทั้งหมดดูแลโดย Skidmore, Owings & Merrill LLP หรือ SOM* และผนึกกำลังทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญแถวหน้าของประเทศไทย ได้แก่  Plan Associates และ A49 ซึ่งเป็นการผสมผสานประสบการณ์จากทั้งในและต่างประเทศ จากบริษัทวางผังเมืองและบริษัทสถาปัตยกรรมที่ทรงอิทธิพลสูงที่สุดในวงการ โดยเราจะเนรมิตสังคมที่เต็มไปด้วยพลังและความมีชีวิตชีวา สะท้อนรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในศตวรรษที่ 21” นางสาวซู หลิน ซูน กล่าวว่า “เมื่อองค์ประกอบทั้งหมดของโครงการ ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) เสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2568 จะมีพื้นอาคารรวม (Gross Floor Area) ทั้งหมด 1.83 ล้านตารางเมตร ซึ่งประกอบไปด้วยอาคารสำนักงานเกรดเอที่สร้างตามมาตรฐาน LEED** และ WELL*** โรงแรมหรูที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ 5 โรงแรม ที่พักอาศัยระดับอัลตราลักชัวรี่ 3 อาคาร พร้อมด้วยร้านค้าปลีกและพื้นที่ทำกิจกรรมที่หลากหลายครบครันซึ่งจัดสรรไว้ในบริเวณต่างๆ อย่างแตกต่างแต่ลงตัว โดยแต่ละองค์ประกอบ ของโครงการและแต่ละอาคารจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น ทำให้โครงการมีความหลากหลายในเชิงของสถาปัตยกรรมอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ก็ไม่ทิ้งความรู้สึกว่าเป็นสังคมเดียวกันและไม่ทิ้งความเชื่อมโยงกลมกลืนของพื้นที่ทั้งโครงการ โดยคาดว่าจะมีผู้คนมากกว่า 60,000 คนเข้ามาทำงานและพักอาศัยอยู่ในพื้นที่โครงการ ‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก)” นางสาวซู หลิน ซูน กล่าวว่า “สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ ในการวางผังเมืองแห่งนี้ คือความสะดวกสบายในการเดินทางเข้าออก ความเชื่อมโยง และความยั่งยืน เราจึงได้ออกแบบให้เมืองแห่งนี้เชื่อมต่อโดยตรงกับระบบขนส่งมวลชนและสามารถเชื่อมต่อระบบทางด่วนได้โดยง่าย นอกจากนั้นภายในพื้นที่โครงการได้ออกแบบวางผังให้รองรับคนเดินเท้าได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย เพื่ออำนวยความสะดวกและมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนที่มาทำงาน พักอาศัยและเที่ยวพักผ่อนทำกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่โครงการ” นางสาวซู หลิน ซูน กล่าวว่า “‘One Bangkok’ (วัน แบงค็อก) เป็นเมืองที่ครบครันแห่งแรกในประเทศไทย   ที่สร้างขึ้นโดยยึดหลักในเรื่องของความยั่งยืนเป็นตัวตั้ง โดยเป็นไปตามมาตรฐานการพัฒนาชุมชนแวดล้อมระดับลีดส์แพลตตินั่ม (LEED for Neighbourhood Development Platinum) และเราได้จัดสรรพื้นที่ภายนอกอาคารขนาดใหญ่ 50 ไร่จากพื้นที่ทั้งหมดของโครงการ 104 ไร่ ให้เป็นพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่ง ซึ่งรวมถึงทางเดินขนาดกว้างมากกว่า 40 เมตรที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ซึ่งถูกออกแบบภูมิทัศน์อย่างสวยงาม เลาะรอบโครงการทางฝั่งถนนวิทยุและถนนพระราม 4 โดยให้ความรู้สึกเชื่อมโยงความร่มรื่นเสมือนเป็นส่วนขยายของสวนลุมพินีซึ่งเป็นสวนสาธารณะอันเป็นที่รักของคนกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังได้จัดสรรพื้นที่ขนาด 10,000 ตารางเมตร ใจกลาง ‘One Bangkok’  (วัน แบงค็อก) ให้เป็นพื้นที่กิจกรรมที่   ทุกคนสามารถมาสนุกสนานและเพลิดเพลินไปกับการทำกิจกรรมทางศิลปะและวัฒนธรรมได้ ตลอดจนสามารถใช้เป็นพื้นที่จัดงานนานาชาติ หรือเทศกาลของไทยได้อย่างเหมาะสมลงตัวด้วย” “การวางแผนโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะร่วมของทั้งโครงการ และคุณลักษณะพิเศษของโครงการ อาทิ ระบบปรับอากาศภายในโครงการเมืองแห่งนี้ ระบบรักษาความปลอดภัยส่วนกลาง และระบบจัดการพลังงาน ถูกออกแบบตามมาตรฐานสากลเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว การเติบโตในอนาคตรวมทั้งประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นของเมืองแห่งนี้ได้ถูกออกแบบและวางแผนเป็นอย่างดี เอื้อต่อการบุกเบิกให้เกิดเป็นเมืองอัจฉริยะและตอบโจทย์การทำธุรกิจ ซึ่งจะยกระดับประสบการณ์ของผู้คนที่จะเข้ามาใช้พื้นที่ต่างๆ ภายในโครงการ” นางสาวซู หลิน ซูน กล่าว
เกษร วิลเลจ เปิดอาณาจักรเกษร ทาวเวอร์ ดันยอดเช่าพื้นที่กว่า 60% โชว์กลยุทธ์ “Workplace Strategy” เปิดตัว “Gaysorn Tower – Office Show Suite”  ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Activity Based Workplace” มั่นใจเสร็จสิ้นพร้อมย้ายเข้าภายในมิถุนายนนี้ และรับรู้รายได้กว่า 400 ล้านบาทเมื่อปิดโครงการ

เกษร วิลเลจ เปิดอาณาจักรเกษร ทาวเวอร์ ดันยอดเช่าพื้นที่กว่า 60% โชว์กลยุทธ์ “Workplace Strategy” เปิดตัว “Gaysorn Tower – Office Show Suite” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Activity Based Workplace” มั่นใจเสร็จสิ้นพร้อมย้ายเข้าภายในมิถุนายนนี้ และรับรู้รายได้กว่า 400 ล้านบาทเมื่อปิดโครงการ

กรุงเทพฯ – บริษัท เกษร พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด โชว์การดำเนินการก่อสร้างโครงการเกษร ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานหลักของอาณาจักรเกษร วิลเลจ ปัจจุบันดำเนินการตกแต่งไปแล้วกว่า 90% โกยยอดเช่าพื้นที่มากกว่า 60% หรือประมาณ 15,000 ตารางเมตร ล่าสุดเปิดตัว “เกษร ทาวเวอร์ ออฟฟิศ โชว์ สวีท” (Gaysorn Tower - Office Show Suite) พื้นที่สร้างสรรค์สำนักงานตัวอย่าง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “แอคทิวิตี้ เบส เวิร์กเพลส” (Activity Based Workplace) ให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตการทำงานของออฟฟิศสมัยใหม่บนพื้นที่จริง โชว์กลยุทธ์การใช้พื้นที่ “Workplace Strategy” ลดค่าใช้จ่ายถึง 30% เพิ่มศักยภาพ การทำงาน และการใช้ชีวิต พร้อมเล็งกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในอนาคตอาทิ กลุ่มธุรกิจ E-commerce, กลุ่มธุรกิจ Online business, กลุ่มธุรกิจ Tech Firms , กลุ่มธุรกิจ Logistics, กลุ่มธุรกิจ Financial และกลุ่มธุรกิจ MNC (บริษัทข้ามชาติ) ร่วมเช่าพื้นที่ มั่นใจอาคารก่อสร้างเสร็จสิ้นพร้อมย้ายเข้าได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้ โดยจะรับรู้รายได้กว่า 400 ล้านบาทเมื่อปิดพื้นที่เช่าทั้งหมดของโครงการอย่างแน่นอน  คุณฟ้าฟื้น เต็มบุญเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกษร พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า “ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2560 โดยเฉพาะตลาดอาคารสำนักงาน คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการพื้นที่สำนักงานยังคงมีเพิ่มขึ้น ในขณะที่อาคารสำนักงานเกิดใหม่มีจำนวนจำกัด ข้อมูลจาก CBRE พบว่า ปัจจุบันมีพื้นที่สำนักงานในตลาดทั้งสิ้น 8.5 ล้านตารางเมตร  และในปี 2560 นี้ เกษร ทาวเวอร์  อาคารสำนักงานระดับเกรดเอในย่านใจกลางย่านธุรกิจหรือ CBD เป็นอาคารสำนักงานเพียงแห่งเดียวที่จะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนปีนี้ซึ่งคาดว่าอัตราค่าเช่าพื้นที่สำนักงานระดับเกรดเอในย่าน CBD จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี” ด้วยเทรนด์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในปัจจุบันที่เปลี่ยนไป การนำ “มิกซ์ยูส คอนเซ็ปต์” (Mixed-use concept) มาใช้ในการพัฒนาอาคาร จึงทำให้อาคารเป็นมากกว่าพื้นที่ค้าปลีก (Retail) หรือพื้นที่สำนักงานให้เช่า (Office) แต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาใช้พื้นที่ได้มากกว่า โดยหลังจากบริษัทฯ ได้เปิดโครงการ “เกษร วิลเลจ” แลนด์มาร์กสำคัญทางธุรกิจและไลฟ์สไตล์ใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่ง “เกษร ทาวเวอร์” เป็นหนึ่งในโครงการที่มีบทบาท และส่วนสำคัญที่สร้างความเคลื่อนไหวให้กับแลนด์มาร์กแห่งนี้ ภายใต้คอนเซ็ปต์  “Work – Live – Play – Grow” ที่สร้างไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ให้กับการใช้ชีวิตการทำงานควบคู่กับไลฟ์สไตล์ในทุกวัน โดยปัจจุบัน ได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จสิ้น และอยู่ระหว่างการตกแต่งภายในแล้ว 90% พร้อมมียอดการเช่าพื้นที่กว่า 60% หรือ 15,000 ตารางเมตร โดยมีบริษัทชั้นนำเข้าร่วมเช่าพื้นที่ อาทิ แมคฟิว่า (McFiva) ดิจิตอลเอเจนซี่ด้านโมบายมาร์เก็ตติ้ง, หยวนต้า (Yuanta) ผู้นำตลาดในด้านการให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ ด้านวาณิชธนกิจและการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย, กุดั่น (Kudun) ที่ปรึกษาและการบริการด้านกฎหมาย, อัลฟา เอ็นเนอร์จี (Alpha Energy) บริษัทผลิตและการส่งไฟฟ้ารวมไปถึงบริษัทผู้นำด้านแพลตฟอร์มบนมือถือยอดนิยมระดับโลก เข้าร่วมเช่าพื้นที่  สำหรับพื้นที่ของ “เกษร เออร์เบิน รีทรีต” (Gaysorn Urban Retreat) ที่นับเป็นศูนย์บริการด้านความงามและสุขภาพ (Health & Wellness Centre) เตรียมเปิด ปัญญ์ปุริ เวลเนส รีทรีต แอนด์ ออนเซน (PAÑPURI WELLNESS RETREAT & ONSEN) ออร์แกนิค ออนเซน สปา สุดลักซ์ชัวรี่แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย, อนิสสา คลินิก (Anissa Clinic) คลินิกเวชกรรมความงามครบครัน, ลา วี (La vie) ศูนย์บริการด้านสุขภาพและความงาม รวมถึง บิวตี้เมดิคอล ชื่อดังจากประเทศเกาหลี เป็นต้น คุณฟ้าฟื้น กล่าวต่อไปว่า “บริษัทฯ ได้นำเสนอ “เกษร ทาวเวอร์ ออฟฟิศ โชว์ สวีท” (Gaysorn Tower - Office Show Suite) พื้นที่สำนักงานตัวอย่างที่สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้กลยุทธ์ “Workplace Strategy” ที่จัดสรรพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ  โดยทำงานร่วมกับ TADAH Collaboration บริษัทออกแบบและตกแต่งภายใน  และ CBRE ที่ปรึกษาด้านการปล่อยเช่าพื้นที่และด้านแนวโน้มของผู้เช่า  ในการออกแบบพื้นที่สำนักงานตัวอย่างเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตการทำงานของออฟฟิศสมัยใหม่บนพื้นที่จริงภายใต้คอนเซ็ปต์ “แอคทิวิตี้ เบส เวิร์กเพลส” (Activity Based Workplace)  ซึ่งเป็นการจัดสรรพื้นที่และสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับกิจกรรมในการทำงานประเภทต่างๆ และสามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายรูปแบบตามความเหมาะสมในการใช้งาน พร้อมเพิ่มพื้นที่การทำงานแบบมีส่วนร่วม สามารถใช้งานพื้นที่ได้อย่างคุ้มค่ายิ่งขึ้นด้วยอัตราส่วนพนักงาน 1 คน ต่อพื้นที่ 6-7 ตร.ม. จากอัตราส่วนของออฟฟิศทั่วไปในปัจจุบันซึ่งอยู่ที่พนักงาน 1 คน ต่อพื้นที่10 ตร.ม. นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายของสำนักงานได้สูงสุดถึง 30% ซึ่งการจัดพื้นที่การทำงานรูปแบบนี้ยังช่วยดึงดูดกลุ่มคนที่มีความสามารถให้เข้ามาร่วมงานกับองค์กรอีกด้วย โดยรูปแบบการจัดสรรพื้นที่การทำงานแบบ “แอคทิวิตี้ เบส เวิร์กเพลส” ในพื้นที่สำนักงานตัวอย่างของ เกษร ทาวเวอร์ ออฟฟิศ โชว์ สูท สามารถแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ อาทิ Collaborative Workspace การจัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสมกับการทำงานแบบทีมมีส่วนร่วม (Collaboration) ถือเป็นการจัดรูปแบบพื้นที่การทำงานในบรรยากาศที่สบายๆ Hot Desk ไม่มีการกำหนดที่นั่งประจำอย่างชัดเจน เหมาะสำหรับบุคลากรที่ต้องออกไปพบปะลูกค้าในเวลาทำงาน หรือใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องประชุมมากกว่าการนั่งโต๊ะประจำ เช่น งานฝ่ายขาย งานการตลาด หรือการทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ด้วยการหมุนเวียนการใช้ที่นั่งของพนักงาน ทำให้สามารถลดพื้นที่สำนักงาน ได้ส่วนหนึ่ง Focus Space/ Meeting Room/ Telephone Booth พื้นที่ที่ตอบโจทย์บุคลากรที่ต้องทำงานโดยใช้สมาธิและความเป็นส่วนตัวสูง อาทิ งานระดับบริหาร หรือ งานธุรการ เป็นต้น Social Space/ Training Area เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ มีลักษณะคล้ายโถงประชุม เหมาะสำหรับการจัดฝึกอบรม หรือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของพนักงานในองค์กร หรือใช้ในการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างเสริมวัฒนธรรมองค์กร เป็นต้น นอกจากนี้การจัดสรรพื้นที่การทำงานแบบ “แอคทิวิตี้ เบส เวิร์กเพลส”  ของเกษร ทาวเวอร์ ยังมีจุดเด่นที่ให้ความสำคัญ  ทั้งในเรื่องไลฟ์สไตล์การทำงานและการใช้ชีวิตให้สมดุล ด้วยการจัดสรรพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมทั้งภายในและภายนอกอาคาร อาทิ Wellness ให้ความสำคัญในเรื่องของสุขภาพทั้งในเรื่องของบรรยากาศในการทำงานที่ช่วยรักษาสุขภาพและสมดุลของผู้ทำงาน จึงจัดให้มี เกษร เออร์เบิน รีทรีต (Gaysorn Urban Retreat) ศูนย์บริการด้านสุขภาพและความงาม เพื่อให้บริการภายในอาคารอีกด้วย Place making ได้ออกแบบสถาปัตยกรรมทั้งภายนอกและภายในอาคารที่มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอาทิ เกษร โคคูน (Gaysorn Cocoon) รวมถึงการจัดแสดงผลงานศิลปะที่มีอยู่รอบบริเวณอาคารเพื่อช่วยสร้างบรรยากาศที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ และความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน ก่อให้เกิดชุมชนของผู้ประสบความสำเร็จ Connectivity เกษร ทาวเวอร์ สามารถเดินทางได้ทั้งทางรถยนต์ และสู่ระบบขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้าบีทีเอส นอกจากนี้ ยังมีจุดเด่นอย่าง Ratchaprasong Walk ทางเดินเชื่อมต่อสู่ 18 อาคารชั้นนำภายในย่านราชประสงค์   ซึ่งสามารถเข้าถึงไลฟ์สไตล์ อาหาร ช็อปปิ้ง ห้องจัดเลี้ยงสัมมนา กิจกรรมบันเทิงหลังเลิกงานได้ภายใน 3-5 นาที โดยการเดิน พร้อมเชื่อมโยงไลฟ์สไตล์ทุกระดับเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์การปล่อยเช่าพื้นที่ในส่วนที่เหลือ 40% เป็นการเพิ่มมูลค่าและเปิดโอกาสให้กับบริษัทขนาดเล็ก              ที่ต้องการใช้พื้นที่ ระหว่าง 150 - 300 ตารางเมตร และ 300 - 700 ตารางเมตร โดยเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในอนาคต อาทิธุรกิจ E-commerce ธุรกิจซื้อขายหรือให้บริการผ่านทางสื่ออิเล็คทรอนิกส์ Online business ธุรกิจให้บริการบนโลกออนไลน์ Tech Firms ธุรกิจผู้พัฒนา ผลิต และให้บริการทางเทคโนโลยี Logistics ธุรกิจให้บริการขนส่ง Financial ธุรกิจทางการเงิน และ MNC (Multinational Company) บริษัทข้ามชาติที่กำลังขยายสาขา โดยเกษร ทาวเวอร์ ยังได้นำเสนอ “เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท” – (Gaysorn Urban Resort) ที่สมบูรณ์แบบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ หรือ “Business Amenities”  อาทิ ห้องประชุม ห้องสัมมนาจัดเลี้ยง ห้องอาหาร และห้องสันทนาการ รวมทั้งเป็นพื้นที่ที่ผู้เช่าและคนทำงานสามารถพบปะกับพันธมิตรทางธุรกิจ ระดับเวิลด์คลาสได้ทั้งตลอดวันรวมถึงหลังเวลาเลิกงาน นอกจากนี้ยังมี เกษร คริสตัล บ็อกซ์ (Gaysorn Crystal Box) พื้นที่อเนกประสงค์ลอยฟ้าบริเวณชั้น 19 ที่ออกแบบอย่างเหนือชั้นด้วยโครงสร้างที่ยื่นล้ำออกมาจากตัวอาคาร โดยใช้กระจกเป็นวัสดุผนังโดยรอบทั้งหมด ทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพมหานครได้กว้างไกลถึง 270 องศา พร้อมรองรับการจัดประชุม สัมมนา งานแถลงข่าว และงานเลี้ยงรูปแบบต่างๆ ที่ต้องการมุมมองพิเศษ ได้ถึง 200 ที่นั่ง พร้อมเชื่อมต่อกับพื้นที่บริเวณ “Outdoor Greenery Sky Garden” รองรับงานที่ต้องการความหลากหลายของบรรยากาศทั้ง Indoor  และ Outdoor แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ “ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าโครงการ เกษร ทาวเวอร์ จะสามารถเสร็จสมบูรณ์พร้อมให้ผู้เช่าสามารถเข้ามาตกแต่งสถานที่ได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ พร้อมทั้งปิดพื้นที่การเช่า 100% ด้วยยอดรับรู้รายได้กว่า 400 ล้านบาท เมื่อปิดโครงการอย่างแน่นอนอย่างแน่นอน” คุณฟ้าฟื้น กล่าวสรุป
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เจ้าตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับมหาชน มั่นใจตลาดเรียลดีมานด์ แข็งแกร่ง งัดกลยุทธ์เด็ดเปิดโครงการพัทยา และพื้นที่ต่างจังหวัดเพิ่ม

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เจ้าตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับมหาชน มั่นใจตลาดเรียลดีมานด์ แข็งแกร่ง งัดกลยุทธ์เด็ดเปิดโครงการพัทยา และพื้นที่ต่างจังหวัดเพิ่ม

บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) เจ้าตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองพัทยา มั่นใจตลาดเรียลดีมานด์แข็งแกร่ง งัดกลยุทธ์เด็ดปั้นโครงการแนวราบ ‘ลลิล ทาวน์’ โครงการที่อยู่อาศัยมิกซ์ยูส แบบบ้านดีไซน์ใหม่ล่าสุด บุกตลาดทำเลพัทยา ชูคุณภาพโครงการ-งานก่อสร้างระดับบริษัทมหาชน ยกโมเดลโครงการกรุงเทพฯ ครองใจผู้บริโภค ล่าสุดเปิด “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) แลนซีโอ นอฟ (Lanceo Nov) พัทยา” โครงการมิกซ์ยูสบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ที่สุด และทาวน์โฮมหน้ากว้างที่สุดในพัทยา ในบรรยากาศรีสอร์ท ใจกลางเมืองท่องเที่ยวพัทยา บ้านเดี่ยว ราคาเริ่มต้น 2 ล้านกว่า – 5 ล้านบาท ทาวน์โฮม เริ่มต้น 1.79 ล้านบาท โดยพัทยาเป็นพื้นที่มีศักยภาพสอดรับแผนระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของภาครัฐ  ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง “ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-พัทยา-อู่ตะเภา-ระยอง” และโครงการทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออกฉะเชิงเทรา – ศรีราชา – แหลมฉบัง รวมถึงท่าอากาศยานสากล หรือ “สนามบินนานาชาติระยอง-อู่ตะเภา” และโครงการมอเตอร์เวย์ใหม่สาย “พัทยา-มาบตาพุด” ที่พาดผ่าน 2 จังหวัดชลบุรีและระยอง พร้อมตอบโจทย์ตลาดเรียลดีมานด์และไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป คุณชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์จะสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงทางโครงการเร่งออกแคมเปญใหม่ “โปรร้อนต้องเบิ้ล” รับส่วนลด เบิ้ลของแถมรวมกว่าแสน เพื่อกระตุ้นยอดขายและความเชื่อมั่นของผู้ที่ต้องการซื้อบ้านให้กลับมาคึกคักยิ่งขึ้น ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์เรียลดีมานด์ต่างจังหวัด ยังเป็นที่น่าจับตามองและมีโอกาสขยายตัวได้สูงเช่นเดียวกับทำเลพัทยา ซึ่งเป็นเมืองหลักของการท่องเที่ยว และเป็นจุดเชื่อมต่อแหล่งงานอุตสาหกรรมต่างๆ ของจังหวัดชลบุรี ที่มีการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายๆ พื้นที่ อาทิ เมืองชลบุรี ศรีราชา ทำให้ตลาดอสังหาฯ จังหวัดชลบุรี อยู่ในอันดับที่ 2 รองจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้บริษัทฯ มองเห็นโอกาสและให้ความสำคัญในการเข้าลงทุน มาตั้งแต่ปี 2555 และในปัจจุบัน ถือว่าการบุกตลาดของบริษัทฯ มีอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมทุกเซกเมนต์ จึงสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ใน 3 อันดับแรก โดยที่ผ่านมาเปิดขายโครงการพัทยาเฟสแรกและสามารถปิดการขายได้ตามเป้าและจะเปิดเฟสสอง ในไตรมาส 2 นี้ ซึ่งทั้งหมดของโครงการจำนวนยูนิตรวม 243 ยูนิต มูลค่ารวม 660 ล้านบาท ทั้งนี้รัฐบาลมีแผนลงทุนระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งประกอบด้วย โครงการรถไฟความเร็วสูง “ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-พัทยา-อู่ตะเภา-ระยอง” โครงการทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออกฉะเชิงเทรา – ศรีราชา – แหลมฉบัง รวมถึงท่าอากาศยานนานาชาติ หรือ “สนามบินนานาชาติ อู่ตะเภา” โครงการพื้นที่ต่อขยายท่าเรือแหลมฉบังและโครงการมอเตอร์เวย์ใหม่สาย “พัทยา-มาบตาพุด” ที่พาดผ่าน 2 จังหวัดชลบุรีและระยอง จะส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการขยายตัว ซึ่งทางลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มั่นใจโครงการตอบโจทย์ตลาดเรียลดีมานด์และไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ สำหรับกลยุทธ์ที่ส่งผลให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการบุกตลาดต่างจังหวัดนั้น บริษัทเน้นเรื่องของ Quality, CRM และ Service Mind ซึ่งบริษัทฯ มีความตั้งใจจริงในการส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพมาตรฐานบริษัทมหาชนให้กับลูกค้า โดยนำรูปแบบโมเดลการพัฒนาโครงการที่เหมือนกับโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงมีความพิถีพิถันในการเลือกใช้วัสดุในการก่อสร้างที่มีมาตรฐาน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นอกจากนั้นในปี 2560 เป็นปีครบรอบปีที่ 30 ของบริษัท จึงมองกลยุทธ์การทำตลาดแบบใหม่ที่เน้นการสร้างแบรนด์ “LALIN” ให้เป็นที่จดจำเพื่อการเติบโตยั่งยืนยิ่งขึ้น รวมถึงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้รู้จักโครงการของบริษัทในฐานะบริษัทมหาชน โดยบริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ ภายใต้ชื่อ “ลลิล ทาวน์” (LALIN Town) และมีการปรับรูปแบบบ้านดีไซน์ใหม่ล่าสุด ให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส ที่มีความยืดหยุ่นสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าในแต่ละทำเลที่เข้าลงทุนมากยิ่งขึ้น คุณไชยยันต์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) แลนซิโอ นอฟ (Lanceo Nov) พัทยา ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 35-2-57 ไร่ จำนวน 243 ยูนิต มีให้เลือกทั้งแบบบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บ้านเดี่ยวแนวคิดใหม่ และทาวน์โฮมหน้ากว้าง บนพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 110 – 185 ตารางเมตร บนทำเลใจกลางเมืองท่องเที่ยวพัทยา ติดถนนใหญ่ สะดวกทุกการเดินทาง ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ใกล้ถนนสุขุมวิท -พัทยากลาง พร้อมแหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ แมคโคร สาขาพัทยาใต้, บิ๊กซี พัทยาใต้, ฮาร์เบอร์ มอลล์ พัทยา, เซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยา บีช, โรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา เป็นต้น ให้คุณได้สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอดได้ทุกวัน ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง กล้องวงจรปิด CCTV สำหรับแบบบ้าน แบ่งออกเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ มีให้เลือก 3 แบบ ประกอบด้วย1. แบบบ้าน Cane พื้นที่ใช้สอย 180 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน 2. แบบบ้าน Cape พื้นที่ใช้สอย 175 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ จอดรถ 2 คัน และ 3. แบบบ้าน Craft พื้นที่ใช้สอย 155 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ จอดรถ 2 คัน และบ้านแนวคิดใหม่ แบบบ้าน Crisp พื้นที่ใช้สอย 141 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องครัวจอดรถ 1 คัน และทาวน์โฮมหน้ากว้าง 5.7 เมตร ซึ่งมีแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ ประกอบด้วย 1. แบบบ้าน Clover พื้นที่ใช้สอย 110 ตารางเมตร ครบทุกฟังก์ชั่น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ และ 2.แบบบ้าน Cooper พื้นที่ใช้สอย 130 ตารางเมตร ครบทุกฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ แบบบ้านหลากสไตล์พร้อมแล้วให้เลือกชมนับว่าคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดในย่านทำเลนี้ ผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยโครงการคุณภาพ มาตรฐานระดับบริษัทมหาชน สามารถค้นหาข้อมูล โครงการ “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) ทุกทำเล ได้ที่ www.lalinproperty.com หรือโทร Call Center 1778   
MQDC แตกไลน์ธุรกิจรีเทล เผยโฉม WHIZDOM 101 ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ สังคมดิจิทัลแห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ตั้งเป้าปีแรกกวาด 1,000 ล้าน

MQDC แตกไลน์ธุรกิจรีเทล เผยโฉม WHIZDOM 101 ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ สังคมดิจิทัลแห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ตั้งเป้าปีแรกกวาด 1,000 ล้าน

กรุงเทพฯ 30 มีนาคม 2560 – บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพแบรนด์ WHIZDOM เปิดตัว WHIZDOM 101 (วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน) ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ สังคมดิจิทัลแห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย พรั่งพร้อมไปด้วยร้านค้าและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันที่สุด พร้อมทั้งผสมผสานเทคโนโลยีและธรรมชาติไว้อย่างลงตัว เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์แปลกใหม่ ตอบสนองการใช้ชีวิตประจำวัน และทุกแง่มุมของชีวิตคนเมืองที่รักความสนุกสนาน สะดวกรวดเร็ว สุขภาพและสิ่งแวดล้อม หลังจากที่ได้เปิดตัวโครงการ WHIZDOM 101 แลนด์มาร์กแห่งใหม่บนถนนสุขุมวิท ด้วยเนื้อที่ก่อสร้าง 43 ไร่ และพื้นที่ใช้สอย 350,000 ตารางเมตรไปก่อนหน้านี้ คุณวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MQDC กล่าวถึงวิสัยทัศน์ในการเปิดตัวไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ พื้นที่ส่วนสุดท้ายของโครงการว่า “คนกลุ่มเจนวาย (Gen Y) ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญทางเศรษฐกิจ มีไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตส่วนตัว ทำงาน และพักผ่อน โดยไม่ได้แยกขาดจากกันอย่างชัดเจน ดังนั้น MQDC ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคจึงต้องปรับแผนและโครงสร้างธุรกิจเพื่อขานรับกับ ไลฟ์สไตล์ของคนกลุ่มนี้ โดยพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบมิกซ์ยูส ที่ผสมผสานระหว่างที่พักอาศัย สำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก เข้าไว้ด้วยกัน เสมือนวัน สต๊อป เซอร์วิส ของการใช้ชีวิต” “นอกจากนี้ ทาง MQDC ได้เล็งเห็นว่าการขยายตัวของเมือง (Urbanization) ทำให้เกิดชุมชนใหม่ ที่ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าและบริการที่แตกต่างและตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างครบวงจร เรามองว่าธุรกิจรีเทลนี้เป็นกลยุทธ์ ช่วยเสริมทัพให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ MQDC แข็งแกร่งขึ้น โดยเพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้จากการเช่าพื้นที่ สามารถกระจายความเสี่ยงในการบริหาร และยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการที่อยู่อาศัยได้อีกด้วย สำหรับทำเลโดยรอบสุขุมวิท 101 ถือเป็นย่านที่มีอัตราการเติบโตสูง เพราะแวดล้อมด้วยที่อยู่อาศัย โรงเรียนนานาชาติ สำนักงาน และภายในรัศมี 10 กิโลเมตรมีประชากรมากถึง 1.3 ล้านคน MQDC จึงทุ่มงบลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาทในการพัฒนาโครงการนี้ให้เป็นพื้นที่สำหรับกิจกรรมทางสังคมที่สมบูรณ์แบบและทันสมัยที่สุด โดยคาดว่าจะมีผู้เข้ามาใช้บริการประมาณ 40,000 คนต่อวัน คาดการณ์รายได้หลังเปิดตัวในปีแรกกว่า 1,000 ล้านบาท” คุณวิสิษฐ์กล่าว คุณสุทธา เรืองชัยไพบูลย์ ผู้อำนวยการบริหาร MQDC กล่าวว่า “คนเมืองในปัจจุบันใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ คุ้นชินกับการเดินทางไปมาระหว่างบ้าน ที่ทำงานและห้างสรรพสินค้า จนเรามักหลงลืมมิติอื่นๆของชีวิตไป ภายใต้แนวคิด ‘The Great Good Place’ ของโครงการ WHIZDOM 101 เราจึงมุ่งพัฒนาให้พื้นที่ส่วนไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์เป็นมากกว่า  คอมมูนิตี้มอลล์ คือเป็นสถานที่ที่คืนมาตรฐานความสุขในการใช้ชีวิตให้กับคนเมือง ให้ทุกคนได้แลกเปลี่ยนความคิดและสร้างสัมพันธ์ที่ดีผ่านกิจกรรมต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารกับครอบครัว ช้อปปิ้ง ออกกำลังกาย ชมการแสดง พักผ่อน พบปะสังสรรค์ หรือหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ” “ด้วยจุดมุ่งหมายในการพัฒนาสถานที่ให้สมบูรณ์แบบ เหมาะกับการใช้ชีวิตเสมือนเป็น “Third Place” หรือ "สถานที่สุดโปรด" (รองจากที่อยู่อาศัยและสถานที่ทำงาน) ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์สุดทันสมัยแห่งนี้จึงสร้างสรรค์พื้นที่กว่า 40,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับการใช้ชีวิตประจำวัน และทุกกิจกรรมยามว่างของชีวิตคนเมืองรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบการพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางร่มไม้ หรือผู้ที่รักสุขภาพและการออกกำลังกาย WHIZDOM 101 ก็มีพื้นที่สำหรับไลฟ์สไตล์เหล่านี้สอดแทรกอยู่ทั่วทั้งโครงการ” เพื่อสร้างความแตกต่างในธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ และกระตุ้นให้ผู้เช่าพื้นที่และผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ WHIZDOM 101 ทาง MQDC จึงสร้างสรรค์โซนต่างๆ ให้สอดคล้องกับทุกไลฟ์สไตล์ของคนเมืองรุ่นใหม่ด้วยคอนเซ็ปต์ “Third Place: ฟิต – ชิล – กิน –ช้อป” ชอบฟิต เตรียมพบกับ WHIZDOM Track เลนจักรยานและลู่วิ่งลอยฟ้าแบบมัลติเลเวลที่แรกในประเทศไทย กับระยะทางรวม 1.3 กิโลเมตร ที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสปุณณวิถี เพื่ออำนวยความสะดวกให้เหล่านักวิ่งและนักปั่นได้ออกกำลังเรียกเหงื่อเพื่อสุขภาพที่ไร้รอยต่ออย่างแท้จริง รวมทั้งสโมสรกีฬาและสุขภาพที่ครบครันด้วยอุปกรณ์ สถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับออกกำลังกาย ห้องโซเชียลเลานจ์ (Social Lounge) พื้นที่สำหรับครอบครัว และสระว่ายน้ำลอยฟ้าแบบชายทะเลสไตล์รีสอร์ทแห่งแรกในกรุงเทพฯ ชอบชิล พักผ่อนใน WHIZDOM Park กับพื้นที่สีเขียวที่มีแลนด์สเคปเป็นพื้นที่แนวนอนกว่า 3 ไร่รวมทั้งโครงการ เทียบได้กับปอดแห่งใหม่ในย่านสุขุมวิทตอนปลาย โดยประกอบไปด้วยสวนบนดาดฟ้า สวนที่ออกแบบให้สอดคล้องกับธรรมชาติ และสนามหญ้าขนาดใหญ่ที่สามารถดัดแปลงเป็นลานกิจกรรมสำหรับอีเว้นท์หลากหลายขนาดได้ อีกทั้งยังมีพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงด้วยเช่นกัน ชอบกิน ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ที่ WHIZDOM 101 ยังพรั่งพร้อมไปด้วยร้านอาหาร ร้านกาแฟและร้านขนมกว่า 150 ร้าน ที่มีทั้งร้านสำหรับวันสบายๆ และโอกาสพิเศษ โดยมีไฮไลต์อยู่ที่ โซน Hillside Town ที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ในการชิม – ช้อปท่ามกลางบรรยากาศเมืองที่โอบล้อมไปด้วยเนินเขา และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตแบบ ไร้ขีดจำกัด ก็สามารถแวะพักทานอาหารได้ตลอดวันกับโซน 24-Hour Street ถนนที่ไม่มีวันหลับไหลซึ่งรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร ชอบช้อป ขาช้อปห้ามพลาดกับร้านสินค้าแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ และไอเท็มสุดคูลโดยร้านค้าต่างๆ จะเรียงตัวกันอยู่ในพื้นที่ที่ผสมผสานพื้นที่ภายในและภายนอกอาคารเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้นักช้อปได้สนุกสนานกับการเลือกซื้อสินค้าใหม่ๆ ในบรรยากาศที่เปิดโล่งและผ่อนคลาย ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนยุคดิจิทัลซึ่งต้องการเข้าถึงข้อมูลและจับจ่ายใช้สอยได้เพียงปลายนิ้ว ผู้ที่เข้ามาใช้บริการในไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์จะสามารถจองที่นั่งและสั่งซื้อสินค้าได้แม้จะไม่ได้อยู่ที่ร้าน พร้อมทั้งรับข้อมูลข่าวสารและร่วมกิจกรรมที่น่าสนใจได้โดยผ่าน WHIZDOM App ด้วยอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่ครอบคลุมทุกตารางนิ้ว โดยจะเปิดเป็นเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสาธารณะ เพื่อให้ทุกคนสามารถเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ได้อย่างไร้รอยต่อ “ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ที่ WHIZDOM 101 จะก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการในเดือนตุลาคม 2561 ซึ่งทาง MQDC มั่นใจว่าคอมเพล็กซ์แห่งนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการ WHIZDOM 101 กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่สุขุมวิทตอนปลาย และเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่จะครองใจคนเมืองรุ่นใหม่อย่างแน่นอน” คุณสุทธากล่าว
“บราวน์ คอนโด พหลฯ-สะพานใหม่” คอนโดมิเนียมโมเดิร์นวินเทจ ติดรถไฟฟ้าสายสีเขียว เปลี่ยนชีวิตให้สะดวกสบาย ที่มีสไตล์เป็นตัวเอง เริ่มต้นเพียง 1.89  ล้านบาท

“บราวน์ คอนโด พหลฯ-สะพานใหม่” คอนโดมิเนียมโมเดิร์นวินเทจ ติดรถไฟฟ้าสายสีเขียว เปลี่ยนชีวิตให้สะดวกสบาย ที่มีสไตล์เป็นตัวเอง เริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท

บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยคุณภาพสูงส่งคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุด “บราวน์ คอนโด พหลฯ-สะพานใหม่” (Brown Condo) คอนโดมิเนียมโลวไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวม 174  ยูนิต มูลค่าโครงการ 440 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการ 1-0-73 ไร่ ติดถนนพหลโยธิน อีกหนึ่งผลงานดีไซน์สร้างสรรค์ เพื่อการอยู่อาศัยที่ไม่ธรรมดา ออกแบบในสไตล์ “Modern Vintage” บนทำเลที่สุดของความสะดวกสบายใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีสายหยุด เพียง 100 เมตร ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท “บราวน์ คอนโด พหลฯ-สะพานใหม่” ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ติดถนนพหลโยธิน อยู่ระหว่างซอยพหลโยธิน 67 กับ ซอยพหลโยธิน 67/1 ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีสายหยุด ที่จะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ เพียง 100 เมตร โดยเป็นรถไฟฟ้าสายที่ขยายต่อจาก BTS มุ่งตรงเข้าสู่สถานีหมอชิต สยาม และอโศก ทำให้สามารถเดินทางสู่ย่านธุรกิจใจกลางเมืองได้อย่างสะดวก พร้อมกันนั้นยังสามารถเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้อีกด้วย อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อการเดินทางได้หลากหลายเส้นทาง ทั้งถนนรามอินทรา ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนลาดพร้าว และถนนวิภาวดี – รังสิต ที่สามารถไปขึ้นลงทางด่วนโทลล์เวย์ได้ และยังใกล้จุดขึ้น – ลง ทางด่วนฉลองรัช เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมืองได้อย่างคล่องตัว รายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญ ทั้งศูนย์การค้า สถานศึกษา แหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น เทสโก้โลตัส หลักสี่ บิ๊กซี สะพานใหม่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา รามอินทราตลาดยิ่งเจริญ มหาวิทยาลัยศรีปทุม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร โรงพยาบาลเซ็นทรัลเยนเนอรัล สนามบินดอนเมือง เป็นต้น โครงการถูกออกแบบในแนวคิด “Modern Vintage”  ด้วยดีไซน์ที่สวยหรู อบอุ่น มีสไตล์ สู่ความสบายที่สัมผัสได้ มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์บิลท์อินที่สวยและมีเอกลักษณ์ ใส่ใจทุกรายละเอียดด้วยการเลือกใช้วัสดุคุณภาพ  ออกแบบห้องพักที่คำนึงถึงฟังก์ชั่นการใช้งานและประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่า ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์แบบครบเซ็ต พร้อมเทคโนโลยีเพื่อรับกับไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยอย่าง Bluetooth Sound System ระบบหน้าจอสัมผัสรุ่นล่าสุดที่สามารถฟังเพลงได้ไม่ว่าจะอยู่บริเวณไหนของห้อง เพิ่มความสุขสุดความพิเศษ ด้วยพื้นที่ส่วนกลางจัดเต็มที่ชั้น 2 ของอาคาร รองรับทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ พร้อมด้วยจากุซซี่  (Panoramic Swimming Pool & Jacuzzi)  พื้นที่ระเบียงริมสระว่ายน้ำ (Poolside Terrace) และสวนสีเขียวริมสระว่ายน้ำ (Poolside Garden) ฟิตแอนด์เฟิร์มด้วยพื้นที่สุขภาพที่ไม่ใช่เพียงห้องออกกำลังกายแต่เป็นยิมขนาดใหญ่ มาพร้อมอุปกรณ์ครบครัน (The Gym) ค้นหาแรงบันดาลใจ ทำงาน อ่านหนังสือ ในห้องสมุดที่ให้บรรยากาศโปร่งโล่งสบาย (Library Lounge) เติมเต็มความพิเศษให้กับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างด้วยพื้นที่ส่วนกลางบนชั้นดาดฟ้า ไม่ว่าจะเป็นมุมพักผ่อนบนดาดฟ้า (Chill out area) มุมนั่งเล่น อ่านหนังสือ คุยงานกลางสวน (Co – Working Space) พื้นที่สำหรับจัดปาร์ตี้บาร์บีคิว (Barbecue Party & Wine Bar)  พื้นที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง (Outdoor Exercise Zone) พร้อมยังเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยด้วยประตูระบบ Digital Door Lock กล้องวงจรปิด ควบคุมการเข้าออกโครงการด้วยระบบคีย์การ์ด ปลอดภัยอีกขั้นด้วยระบบลิฟท์ล็อคชั้น และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง โครงการ บราวน์ คอนโด พหลฯ-สะพานใหม่ ประกอบด้วยห้องชุดขนาดต่าง ๆ ได้แก่ ห้อง 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ประมาณ 22.30 – 24.55 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Extra ขนาดพื้นที่ประมาณ 24.70 – 25.90 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Exclusive ขนาดพื้นที่ประมาณ 27.05 – 30.65 ตร.ม. ละห้อง 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ประมาณ 31.70 – 34.95 ตร.ม. โดยจะเริ่มการก่อสร้างปี 2560 และคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ โครงการ บราวน์ คอนโด พหลฯ-สะพานใหม่ จะเปิดให้จองรอบ VIP Booking  ในวันที่  1 - 2 เมษายน ศกนี้ ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดสูงสุดถึง 100,000 บาท ได้ที่ www.browncondo.com/phahol67 พร้อมเยี่ยมชมห้องตัวอย่างได้ ณ สำนักงานขาย บราวน์ คอนโด ถนนเทพรักษ์ (พหลโยธิน - รัตนโกสินทร์สมโภช) ข้างห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สะพานใหม่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 08 1617 6677
วีธารา 36 ปลื้มโกยยอดขายกว่า 100 ลบ. จาก Exclusive Seminar “ลงทุนอสังหากี่ครั้งก็กำไร” โดย 2GURU 2Gen

วีธารา 36 ปลื้มโกยยอดขายกว่า 100 ลบ. จาก Exclusive Seminar “ลงทุนอสังหากี่ครั้งก็กำไร” โดย 2GURU 2Gen

นายพรชัย เลิศอนันต์โชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (ซ้ายสุด) และนางสาวพิมพ์วลัญช์ จุลมาณพ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ขวาสุด) จัดกิจกรรม Exclusive Seminar “ลงทุนอสังหาฯกี่ครั้งก็กำไร” เชิญกูรูอสังหาฯ 2 ท่าน 2 Generations มาร่วมให้ข้อมูล ดร.โสภณ พรโชคชัย (ที่ 2 จากซ้าย) นักวิเคราะห์อาวุโสมากประสบการณ์เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ และ หมอแม็ก Prop 2 Doc หรือ นพ.วิรัช ตวงจารุวินัย (ที่ 2 จากขวา) นักลงทุนคลื่นลูกใหม่ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ มาชี้แนะเทคนิคการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูง โดยเป็นกิจกรรมที่เปิดให้ลูกค้าโครงการและผู้ที่สนใจภายนอกเข้าร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ณ Sales Gallery โครงการวีธารา 36  เมื่อเร็วๆนี้ ได้รับความสนใจจากจากลูกค้าและผู้สนใจภายนอกเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง สามารถโกยยอดขายไปได้กว่า 100 ล้านบาทภายในวันเดียว และคาดว่าจะสามารถปิดการขายทั้งโครงการได้ภายในไตรมาสสอง โครงการวีธารา 36 คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น 5 อาคาร จำนวน 466 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 2,500 ล้านบาท บนที่ดินกว่า 4 ไร่ บนถนนสุขุมวิท 36 ด้วยคอนเซ็ปต์ ”OASIS แห่งใหม่ใจกลางเมือง” มีห้องให้เลือก ทั้งแบบ 1 ห้องนอน และ 2 ห้องนอน อยู่ใกล้บีทีเอสสถานีทองหล่อ ตกแต่งแบบ Fully Furnished  ราคาประมาณ 145,000 บาท/ตร.ม.