Tag : News

2376 ผลลัพธ์
“ยูนิเวนเจอร์” ยิ้มรับผลประกอบการปี’59 กำไรพุ่ง 70 % มั่นใจปี’60 โตต่อเนื่อง

“ยูนิเวนเจอร์” ยิ้มรับผลประกอบการปี’59 กำไรพุ่ง 70 % มั่นใจปี’60 โตต่อเนื่อง

บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV เผยภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2559 ประสบความสำเร็จตามเป้าที่วางไว้ โดยมียอดรายได้รวม 17,315.6 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 29% จากปี 2558 มีผลกำไรสุทธิส่วนของบริษัทอยู่ที่ 1,075.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 444.7 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 70% ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมในปี 2560 เติบโตประมาณ 10 - 15% จากปีก่อน และมีแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้กว่า 25 โครงการ นายวรวรรต ศรีสอ้าน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2559 ถือว่าประสบความสำเร็จเกินกว่าเป้าที่วางไว้ โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 17,315.6 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้ 15,300 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 14,236.6 ล้านบาท คิดเป็น 82% ของรายได้รวม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า 1,395.3 ล้านบาท คิดเป็น 8% ของรายได้รวม กลุ่มธุรกิจสังกะสีออกไซด์ 1,292.2 ล้านบาท คิดเป็น 7% ของรายได้รวม และจากรายได้อื่น ๆ 391.4 ล้านบาท คิดเป็น 3% ของรายได้รวม ส่งผลให้มีกำไรสุทธิส่วนของบริษัท 1,075.7 ล้านบาท ซึ่งเติบโตกว่า 70% จากปี 2558 “ในปี 2559 รายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายทั้งในแนวราบและแนวสูง แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 9,825.0 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 4,411.6 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) รวมทั้งสิ้น 3,276.0 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 1,706.8 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 1,569.2 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ในปี 2560 ทั้งหมด อนึ่งโครงการแนวราบมีรายได้รวม 9,825.0 ล้านบาท มาจากโครงการของกลุ่มแผ่นดินทอง จำนวน 38 โครงการ และในปี 2560 บริษัทฯ วางแผนเปิดโครงการแนวราบใหม่จำนวน 21 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 21,000 ล้านบาท ในส่วนโครงการแนวสูงมีรายได้รวม 4,411.6 ล้านบาท จาก 8 โครงการ ของ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY และในปี 2560 บริษัทฯ วางแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการไม่น้อยกว่า 5,800 ล้านบาท หลังมีการปรับโฉมภาพลักษณ์ของแบรนด์ GRAND UNITY ที่นอกจากจะมุ่งพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่โดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้ง แต่ยังเพิ่มความโดดเด่นในด้านงานออกแบบ และนวัตกรรมเพื่อทุกรายละเอียดของการใช้ชีวิตที่มั่นคงและยั่งยืน ทั้งยังมองเห็นคำว่า “คุณค่า” ที่ไม่ได้เป็นเพียงราคา แต่เป็นความคิด ความเข้าใจ และความทุ่มเท ที่สะท้อนผ่านผลงานการออกแบบที่อยู่อาศัย ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมาย” นายวรวรรตกล่าว สำหรับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่ามีรายได้ 1,395.3 ล้านบาท คิดเป็น 8% ของรายได้รวม ลดลงจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 12% ของรายได้รวม เนื่องจากบริษัทย่อย 2 บริษัทได้นำอาคารสำนักงานปาร์คเวนเจอร์ อีโคเพล็กซ์ (ไม่รวมพื้นที่ส่วนโรงแรม ดิโอกุระฯ) และอาคารสำนักงาน สาทร สแควร์ เข้าทำสัญญาเช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน สิ่งปลูกสร้าง รวมถึงสัญญาแบ่งเช่าช่วงที่ดิน อาคารพร้อมทั้งส่วนควบและงานระบบ กับทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์ (“GVREIT”) รายได้หลักมาจากการทยอยรับรู้จากรายได้รอตัดบัญชี ทั้งนี้ รายได้ดังกล่าวมาจากอาคารสำนักงานเกรดเอ  “ปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์จำนวน  219.6 ล้านบาท และอาคารสาทร สแควร์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์ โรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ ของกลุ่มแผ่นดินทอง จำนวน 1,175.7 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีกลุ่มธุรกิจผลิตสังกะสีออกไซด์ 1,292.2 ล้านบาท คิดเป็น 7% ของรายได้รวม โดยมียอดขาย 18,103 เมตริกตัน “สำหรับทิศทางและแผนการดำเนินธุรกิจภาพรวมในปี 2560 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมให้บริษัทเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% จากปี 2559 โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 75-80% ของรายได้รวม ทั้งนี้มาจากโครงการแนวราบประมาณ 55-60% และมาจากโครงการแนวสูงประมาณ 20-25% รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าประมาณ 5-10% ธุรกิจสังกะสีออกไซด์ประมาณ    6-10% ของรายได้ และธุรกิจอื่นๆ ประมาณ 1-5% ของรายได้” นายวรวรรต กล่าวในตอนท้าย
“สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน”ส่งสัญญาณตลาดฟื้นตัว ลุยจัดงาน“รับสร้างบ้าน Home Builder Focus 2017”

“สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน”ส่งสัญญาณตลาดฟื้นตัว ลุยจัดงาน“รับสร้างบ้าน Home Builder Focus 2017”

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน  เผยผู้บริโภคที่ชะลอการตัดสินใจจากปีก่อนเริ่มตัดสินใจทำสัญญาที่จะปลูกบ้านกับสมาชิกของสมาคมฯ พบช่วง2เดือนแรกของปี2560 เติบโต10-15% พร้อมเดินหน้าจัดงาน “รับสร้างบ้าน Home Builder Focus 2017” ระหว่างวันที่ 9-15มีนาคม 2560 ณ ชั้น1 เซ็นทรัล ลาดพร้าว   นายพิชิต อรุณพัลลภ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA :Home Builder Association)  เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในช่วง2เดือนแรก(ม.ค.-ก.พ.)ปี2560มีแนวโน้มที่ดีขึ้นคิดเป็นอัตราการเติบโตประมาณ 10-15% เมื่อทียบกับช่วงไตรมาส 4/2559และพบว่ามีผู้บริโภคบางส่วนที่ชะลอการตัดสินใจที่จะปลูกสร้างบ้านในช่วงครึ่งหลังของปี 2559ได้ตัดสินใจที่จะปลูกบ้าน และจะส่งผลให้ภาพรวมของธุรกิจตลาดรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งแรกของปี2560มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อมูลที่สมาคมฯได้จัดเก็บล่าสุดจากการจัดงาน “มหกรรมรับสร้างบ้าน Home Builder Expo 2016 GET MORE : ที่เดียวจบครบเรื่องสร้างบ้าน” เมื่อวันที่ 18–21 สิงหาคม 2559 พบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคได้วางแผนจะออกแบบและก่อสร้างบ้านภายใน6เดือนมีสัดส่วน 11%และตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วน  53.38 % จากเดิมอยู่ที่สัดส่วน 50% อีกทั้งยังพบว่า ผู้ที่มาเยี่ยมชมงาน ของสมาคมฯ มาเพื่อศึกษาหาข้อมูล 41.96 % ,เพื่อว่าจ้างบริษัทรับสร้างบ้านคิดเป็นสัดส่วน 21.89 % ,ศึกษาข้อมูลและเทคโนโลยีหรือวัสดุก่อสร้างบ้าน 19.98 % ,มาเพื่อต้องการหาผู้ออกแบบบ้าน 8.86 %,และส่วนอื่นๆที่เหลือคิดเป็น 7.31 % เป็นต้น ส่วนระดับราคาบ้านที่ลูกค้าต้องการจะอยู่ในกลุ่มบ้านราคา 2.5-5 ล้าน เป็นส่วนใหญ่มากถึง 30 % เป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันในทุกๆปี จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใช้เวลาในการวางแผนการสร้างบ้านดังกล่าว สมาคมฯเชื่อมั่นว่าการจัดงาน“รับสร้างบ้าน Home Builder Focus 2017” ระหว่างวันที่ 9-15มีนาคม 2560 ณ ชั้น1 เซ็นทรัล ลาดพร้าว จะเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการตลาดให้กับสมาชิกของสมาคมฯขณะที่ผู้บริโภคก็จะได้ประโยชน์ทั้งจากโปรโมชั่นส่งเสริมการขายของบริษัทรับสร้างบ้านในแต่ละรายที่ปีนี้มีสมาชิกที่ร่วมออกบูธกว่า20ราย “เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังเผชิญความเสี่ยงจากหลายๆด้านทำให้สมาคมฯได้ปรับรูปแบบการจัดงานมาจัดที่เซ็นทรัล ลาดพร้าวแทนจากปีก่อนจัดที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์”นายพิชิตกล่าว ด้านนางศิริพร สิงหรัญ อุปนายกฝ่ายกิจกรรมพิเศษ สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านกล่าวเสริมถึงการจัดงาน“รับสร้างบ้าน Home Builder Focus 2017”ว่าในปีนี้สมาคมฯได้จัดงานภายใต้คอนเซ็ปต์“งานเดียวที่รวมบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำมากที่สุด” และกว่า 20 บริษัทรับสร้างบ้านที่ร่วมออกบูธก็ได้มีการนำแบบบ้านที่ออกแบบใหม่ล่าสุดมาเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคในทุกระดับราคามาไว้ที่เดียวแล้ว อีกทั้งยังพบกับสินเชื่อพิเศษจากสถาบันการเงินชั้นนำ พิเศษ!! จองปลูกสร้างบ้านภายในงานลุ้นรับ:Smart TV Samsung 40 นิ้ว จำนวน7 รางวัล สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วมงานผ่านออนไลน์ นอกจากจะซื้อหนังสือรวมแบบบ้านสวยของบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำในราคาพิเศษเล่มละ150 บาท(จากราคาปกติ330บาท) จองปลูกสร้างบ้านภายในงานยังได้รับส่วนลดสูงสุด10,000 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร. 0-2570-0153,0-2940-2744หรือที่ www.hba-th.org ส่วนภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในปี2560นั้นนายพิชิตกล่าวว่า “ปีนี้ภาพรวมน่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนหรือหากจะเติบโตก็ก็น่าจะอยู่ที่ 5-10% จากปี2559ที่มูลค่าตลาดรวมธุรกิจรับสร้างบ้านในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลประมาณ 10,200 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน23%เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดรวมบ้านสร้างเองในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลในปี2559 ที่มี 44,000 ล้านบาทใกล้เคียงปี2558 มีมูลค่าทั้งสิ้น 44,080 ล้านบาท”
“ชิค รีพับบลิค” เปิดแผนธุรกิจปี 60 เน้น VALUE FOR MONEY ความคุ้มค่ายิ่งกว่าราคาจ่าย  สร้างแรงบันดาลใจและประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า Inspiration & Experience ปั้นแบรนด์ “RINA HEY” จับดีมานด์คนรุ่นใหม่

“ชิค รีพับบลิค” เปิดแผนธุรกิจปี 60 เน้น VALUE FOR MONEY ความคุ้มค่ายิ่งกว่าราคาจ่าย สร้างแรงบันดาลใจและประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า Inspiration & Experience ปั้นแบรนด์ “RINA HEY” จับดีมานด์คนรุ่นใหม่

เปิดแผนธุรกิจ บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด ปี 2560 ตั้งเป้ายอดขายเติบโตอยู่ที่ 5-10% รับผลบวกตลาดอสังหาริมทรัพย์ปรับกลยุทธ์สู่ตลาดระดับกลางบน เตรียมเก็บรายได้สาขาใหม่บนถนนราชพฤกษ์เต็มปี พร้อมเดินหน้าปั้นแบรนด์ใหม่ “RINA HEY” (ริน่า เฮย์) ตอบโจทย์คนอยู่อาศัยคนรุ่นใหม่ วัยเริ่มทำงานและสร้างครอบครัว เสริมทัพเพื่อยกระดับแบรนด์ CHIC REPUBLIC ชูกลยุทธ์ “ความคุ้มค่ายิ่งกว่าราคาจ่าย” ให้กับลูกค้า มุ่งสู่เจ้าตลาดสินค้าตกแต่งบ้านระดับกลางบนครอบคลุมทุกกลุ่มวัย เร่งปรับพื้นที่ขายสินค้า ริน่า เฮย์ ครบทุกสาขาของชิค รีพับบบลิค และวางแผนขยายอีก 1 สาขา นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด โฮมแฟชั่นสโตร์แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่รวบรวมเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านมาตรฐานยุโรปและอเมริกา ภายใต้แนวคิด “Home Fashion Store” เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจของชิค รีพับบลิค ในปี 2560 ว่า บริษัทมีความมั่นใจในการเติบโตของตลาดเฟอร์นิเจอร์ไทยและโฮมแฟชั่นสโตร์ระดับกลางบน แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังคงซบเซา แต่ด้วยกลุ่มลูกค้าที่มีความชัดเจนของแบรนด์ชิค รีพับบลิค เป็นกลุ่มที่ยังคงมีกำลังซื้อพร้อมจับจ่ายใช้สอย และยังมองเห็นโอกาสจากแผนงานและนโยบายทางธุรกิจของผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยรายใหญ่ที่เริ่มปรับกลยุทธ์การพัฒนาโครงการสู่ตลาดระดับกลางบนมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงด้านกำลังซื้อ และปัญหาการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ซึ่งการปรับตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์นี้ถือเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยตรงของบริษัท ทั้งนี้ในปี 2560 บริษัทมีแผนธุรกิจที่ต้องการมุ่งเน้นกลยุทธ์การมอบความคุ้มค่ายิ่งกว่าราคาจ่าย หรือ Value for Money ให้กับลูกค้า และเน้นการสร้างแรงบันดาลใจและมอบประสบการณ์ใหม่ ส่งมอบผ่านเรื่องราวของสินค้าแต่ละประเภทให้ลูกค้าได้รับรู้ จึงนับว่าตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายหลักของบริษัทในทุกสภาวการณ์เศรษฐกิจ จึงทำให้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราการเติบโตของยอดขายตลอดระยะเวลา 3-5 ปี เฉลี่ย 15-20 % ขณะที่ในปีนี้ ตั้งเป้าหมายการเติบโตเพิ่มขึ้น 5-10 % เมื่อเทียบกับยอดขาย 860 ล้านบาทในปี 2559 ที่ผ่านมา นายกิจจา กล่าวว่า ปีนี้ บริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากสาขาใหม่ที่ตั้งอยู่บนราชพฤกษ์อย่างเต็มปี โดยโฮมแฟชั่นสโตร์ชิค รีพับบลิค สาขาราชพฤกษ์ นับว่าตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ที่มีแนวโน้มการเติบโตและกำลังซื้อที่สูง สะท้อนจากผู้ประกอบการอสังหาฯ ยักษ์ใหญ่ ทยอยเปิดโครงการใหม่ระดับกลางบนจำนวนมากในพื้นที่ดังกล่าว ขณะที่พื้นที่จัดวางสินค้าของสาขาราชพฤกษ์ถือว่ามากที่สุดกว่า 15,000 ตารางเมตร อยู่บนที่ดินกว่า 12 ไร่ โดยมีความโดดเด่นของการออกแบบอาคารในสไตล์ “European Village” มาพร้อมกลิ่นอาย โพรวองซ์ (Provence) และมีความสะดวกสบายของพื้นที่จอดรถได้มากกว่า 250 คัน รวมทั้งมีร้านอาหารชื่อดังมากมาย รองรับทุกความต้องการทุกไลฟสไตล์ของลูกค้า ทำให้สามารถดึงลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นในสาขาราชพฤกษ์ บริษัทได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ ริน่า เฮย์ (RINA HEY) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านในสไตล์ “อินดัสเตรียล ลอฟท์” (Industrial Loft) ซึ่งเริ่มรับรู้รายได้เต็มปีในปีนี้เช่นเดียวกัน โดยตลาดของ ริน่า เฮย์ จะรองรับตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยเริ่มทำงาน และกลุ่มคนที่เริ่มสร้างครอบครัว ที่มีความเป็นตัวเอง บ่งบอกเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ชัดเจนอย่างยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ที่มีพื้นที่จำกัด อาทิ บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ขนาดเล็ก หรือคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่เล็กลง หรือที่อยู่อาศัยแนวโมเดิร์นสมัยใหม่ ซึ่งขนาดสินค้ากระทัดรัด เน้นเอกลักษณ์การดีไซน์ในสไตล์ที่แตกต่าง และคงรักษาคุณภาพสินค้าตามแนวคอนเซปต์ความคุ้มค่ายิ่งกว่าราคาจ่าย (Value for Money) ยึดหลักการสร้างแรงบันดาลใจ และประสบการณ์ใหม่ (Inspiration & Experience) ให้กับลูกค้าเช่นเดียวกัน นายกิจจา กล่าวว่า บริษัทมีความตั้งใจผลักดันแบรนด์ ริน่า เฮย์ ให้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งแผนการตลาดและแผนการลงทุนที่แยกจากแบรนด์ ชิค รีพับบลิค เพื่อมุ่งสร้างแบรนด์ให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว โดยไม่เกินไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ บริษัทจะปรับเพิ่มพื้นที่ขายสินค้าแบรนด์ ริน่า เฮย์ ให้ครบทุกสาขาที่มีอยู่อีก 3 แห่ง ได้แก่ สาขาประดิษฐ์มนูธรรม (เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา), สาขาบางนา (บางนา-ตราด กม. 4) และสาขาพัทยา (เยื้องบิ๊กซีพัทยาใต้) และในอนาคตเตรียมแผนพัฒนาเพื่อเปิด Stand Alone Store เฉพาะแบรนด์ ริน่า เฮย์ เพิ่มขึ้นอีกในอีกหลายทำเล โดยมุ่งสู่พื้นที่หัวเมืองใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูงเป็นหลัก สำหรับการทำตลาดแบรนด์ ริน่า เฮย์ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เกาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีเอกลักษณ์และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบเฉพาะตัว จึงมุ่งเน้นแผนการตลาดแบบดิจิตอล (Digital Marketing) และการทำการตลาดแบบออนไลน์ (Online Marketing) โดยปัจจุบันได้เริ่มพัฒนาสื่อ Social Media อาทิ Facebook Instagram และ Line@ เป็นต้น และในเดือนกรกฎาคมนี้ มีแผนจะพัฒนาเว็บไซต์ และอีคอมเมิร์ซ เพื่อเป็นช่องทางให้คนรู้จักแบรนด์ ริน่า เฮย์ มากยิ่งขึ้น โดยบริษัทจะบุกตลาดออนไลน์แบบเต็มตัวภายในปี 2560 นี้ ขณะที่แบรนด์ ชิค รีพับบลิค จะเดินหน้าบุกแผนการตลาดแบบ Digital Online ปัจจุบันได้เพิ่มช่องทางติดต่อกับกลุ่มลูกค้าทางสื่อ Facebook และ Social Media อื่นๆ เพื่อกระชับการสื่อสารระหว่างลูกค้ากับบริษัทมากขึ้น และเดินหน้าพัฒนาสู่การทำสู่อีคอมเมิร์ซในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งในระยะแรกยังไม่ได้คาดหวังยอดขายจากการทำอีคอมเมิร์ซ แต่มุ่งหวังให้เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงรายละเอียดสินค้า แหล่งที่มาและเรื่องราวของสินค้าแต่ละประเภทของ ชิค รีพับบลิคมากขึ้น ทั้งนี้บริษัทเตรียมจะขยายสาขาเพิ่มในพื้นที่ทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ อีก 1 สาขา และตั้งเป้าจะขยายสาขาในต่างประเทศให้ได้ตามแผนที่เคยกำหนดไว้ โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนต่อสาขาประมาณ 300 – 400 ล้านบาท นายกิจจา กล่าวปิดท้ายว่า บริษัทยังมีแผนขยายฐานลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนท์เพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ในส่วนนี้อยู่ระดับประมาณ 25-30 % และลูกค้าส่วนค้าปลีกอยู่ที่ระดับประมาณ 75% โดยบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สนใจเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีแฟชั่นไลฟ์สไตล์ที่มีเอกลักษณ์ เพื่อตกแต่งห้องให้กับลูกค้า โดยปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าโครงการแบรนด์ใหญ่มากมาย อาทิ โครงการทอสคาน่า เขาใหญ่, แสนสิริ, แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, แกรนด์ ยูนิตี้ ดีเวลลอปเมนท์, เอพี, เอสซี แอสเสท และ โกลเด้น แลนด์ เป็นต้น
อนันดาฯ เปิดเกมส์รุกแนวราบ ผุดบ้านเดี่ยวไฮเอนท์ แบรนด์ใหม่ “ อาร์เทล ” ชูความต่างด้านคอนเซ็ปต์และดีไซน์เหนือระดับ ลุยปักหมุด !! ทำเลศักยภาพกลางเมือง “พัฒนาการ – ทองหล่อ” มูลค่าโครงการกว่า 1,600 ล้านบาท

อนันดาฯ เปิดเกมส์รุกแนวราบ ผุดบ้านเดี่ยวไฮเอนท์ แบรนด์ใหม่ “ อาร์เทล ” ชูความต่างด้านคอนเซ็ปต์และดีไซน์เหนือระดับ ลุยปักหมุด !! ทำเลศักยภาพกลางเมือง “พัฒนาการ – ทองหล่อ” มูลค่าโครงการกว่า 1,600 ล้านบาท

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN รุกโครงการแนวราบ ขยายตลาดครอบคลุมเซกเมนต์มากยิ่งขึ้น  เตรียมเปิดตัวบ้านเดี่ยวระดับลักส์ชัวร์รี่ภายใต้แบรนด์ใหม่ “ARTALE” ในสไตล์ Modern Elegant ประเดิมโครงการแรกทำเลศักยภาพใจกลางกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกย่าน “พัฒนาการ - ทองหล่อ” ภายใต้ชื่อโครงการ อาร์เทล พัฒนาการ – ทองหล่อ  (Artale Phatthanakan – Thonglor) ชูจุดเด่นห่างจากทองหล่อเพียง 3.5 กม. เจาะเซกเมนต์ระดับไฮเอนท์ โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ที่ผสมผสานกันระหว่างศิลปะและฟังก์ชั่นที่ลงตัว ตอบโจทย์ Urban Living Solutions อย่างแท้จริง ในราคาเริ่มต้น 28 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 1,600 ล้านบาท เตรียมเปิด Presale 18-19 มี.ค. นี้ พร้อมแต่งตั้ง CBRE เป็นตัวแทนขาย มั่นใจแนวโน้มตลาดบ้านเดี่ยวระดับบนยังได้รับการตอบรับดี เผยเตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ 5 โครงการในปีนี้ มูลค่ากว่า 5,431 ล้านบาท ตั้งเป้าโตเกือบ 400% ใน 3 ปีข้างหน้าสู่พอร์ตหมื่นล้าน นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์โดยรุกตลาดแนวราบมากขึ้นเพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มของตลาด และความต้องการของผู้บริโภค รวมไปถึงต้องการขยายตลาดให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์มากยิ่งขึ้น โดยการอยู่อาศัยในแนวราบยังคงตอบโจทย์กลุ่มคนที่เริ่มต้นชีวิตครอบครัวหรือวางแผนการใช้ชีวิตเพื่อรองรับครอบครัวที่ขยายมากขึ้น ทำให้ตลาดบ้านเดี่ยวยังคงเป็นที่ต้องการ และยังคงมีดีมานด์ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องสำหรับกลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัยจริง ส่วนแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ คาดว่ายังคงสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จากอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านที่ยังทรงตัวในระดับต่ำ และมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐโดยภาพรวมและความเชื่อมั่นของผู้ที่ต้องการซื้อบ้านกลับมาคึกคักยิ่งขึ้นโดยเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยว ซึ่งมองว่ายังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับบนที่มีระดับราคาอยู่ที่ 20 - 30  ล้านบาทที่มีเรียลดีมานด์จริงจากผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัย และไม่ได้รับ ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ โดยในปีนี้อนันดาฯ เองมีแผนเตรียมเปิดโครงการแนวราบใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 5,431 ล้านบาท ตั้งเป้าการเติบโตของโครงการแนวราบไว้ที่ 10,000 ล้านบาท หรือ เกือบ 400% ภายใน 3 ปีต่อจากนี้” ดังนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย จึงได้เตรียมรุกตลาดแนวราบโดยได้มีการพัฒนาเป็นโครงการบ้านเดี่ยวสไตล์ Modern Luxury  ภายใต้แบรนด์ “ARTALE “ คือ โครงการ อาร์เทล พัฒนาการ-ทองหล่อ ( Artale Patthanakan-Thonglor) ซึ่งถือว่าเป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักส์ชัวรี่ใหม่ล่าสุด บนทำเลศักยภาพย่านพัฒนาการ ตั้งอยู่ในซอยพัฒนาการ 20   ห่างจากทองหล่อเพียง 3.5 กิโลเมตรเท่านั้น และเป็นสังคมคุณภาพที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง ด้วยจำนวนเพียง 49 ยูนิตเท่านั้น ในราคาเริ่มต้น 28 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 1,600  ล้านบาท  ภายใต้แนวคิด ART (Imagination) + TALE ( Life Stage) คือการออกแบบพื้นที่ที่ผสานกันระหว่างศิลปะและฟังก์ชั่นที่ลงตัว สัมผัสพื้นที่แห่งการผ่อนคลายด้วยสวนสวยกลางบ้าน (Private Courtyard) ให้คุณได้ใช้ร่มเงาจากแมกไม้แบบเป็นส่วนตัวรองรับความต้องการของแต่ละช่วงวัย เพื่อไลฟ์สไตล์คนเมืองโดยเฉพาะ  พร้อมยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัย ตอบโจทย์ Urban Living Solutions  ของคนเมืองได้อย่างแท้จริง โดยมีแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ คือ GRANDE พื้นที่ใช้สอยถึง 450 ตร.ม. ขนาด 67 ตร.ว. จำนวน 20 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น  39 - 48 ล้านบาท และ MEDIO พื้นที่ใช้สอยขนาด 395 ตร.ม. ขนาด 56 ตร.ว. จำนวน 29 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 28 - 36 ล้านบาท โดยอาร์เทลจัดว่าเป็นโครงการบ้านเดี่ยวที่ใกล้ใจกลางเมืองที่สุด ตั้งอยู่ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน สามารถเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิได้สะดวกรวดเร็ว รวมถึงใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆมากมาย พร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่ใหญ่ที่สุดถึง 1 ไร่ อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนส่วนกลาง เป็นต้น และเตรียมเปิด Pre-sales ในวันที่ 18-19 มี.ค. นี้ ณ สำนักงานขายโครงการอาร์เทล พัฒนาการ – ทองหล่อ  “สำหรับกลยุทธ์โครงการแนวราบของอนันดาฯ เรามุ่งเน้นใน 4 เรื่องหลักที่สำคัญ ได้แก่  ด้านแนวคิดและการออกแบบ (Concept & Design) ที่ต้องมีความแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ รวมถึงนวัตกรรมด้านการออกแบบเพื่อเป็น Solution สำหรับการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง ซึ่งถือว่าเป็น DNA ของอนันดาในการพัฒนาโครงการ ทั้งยังให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลาง (Facilities) และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน มีรูปแบบที่สอดคล้องกับแนวคิดโครงการ  ในส่วนของทำเลเพื่อการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง (Location for Living) เราใส่ใจในความสะดวกของทุกไลฟ์สไตล์ และการเชื่อมต่อกับสังคมเมือง และเรื่องสุดท้ายที่สำคัญคือการยึดความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญในการพัฒนาโครงการ (Customer Centric) เพื่อตอบสนองทุกความต้องการอย่างแท้จริง รวมถึงการออกแบบสินค้าให้สามารถตอบความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายช่วงชีวิต (Life Stage) โดยล่าสุดเราได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้ง บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด (CBRE) เป็นตัวแทนขายสำหรับโครงการ อาร์เทล พัฒนาการ – ทองหล่อ ซึ่งเรายังคงมั่นใจในดีมานด์ของโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกที่ดูคึกคักมากขึ้นหลังจากได้รับอานิสงส์จากโครงการคมนาคมที่จะพัฒนาขึ้นอีกหลายเส้นทางในอนาคต จึงส่งผลให้ตลาดบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เริ่มปรับตัวตามสถานการณ์ตลาดที่มีความต้องการบ้านเดี่ยวมากขึ้น ทั้งในส่วนของโครงการขนาดเล็กในใจกลางกรุง และเริ่มกระจายไปสู่พื้นที่รอบนอกมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องต่อความต้องการ และแผนการขยายเส้นทางคมนาคม รวมถึงความเจริญที่จะขยายเติบโตขึ้นไปยังพื้นที่รอบนอกในอนาคต” นายชานนท์ กล่าวทิ้งท้าย
“ORI” กำไรโตพุ่ง 66% ทะลุ 640 ล้าน ใจป้ำจ่ายปันผลเป็นหุ้น 2.50 ต่อ 1

“ORI” กำไรโตพุ่ง 66% ทะลุ 640 ล้าน ใจป้ำจ่ายปันผลเป็นหุ้น 2.50 ต่อ 1

“ออริจิ้น” เผยผลประกอบการปี 2559 โกยรายได้โดดเด่นเกือบ 3,200 ล้าน โตพรวด 56% พร้อมกำไรทะลุ 640 ล้าน เพิ่มขึ้น 66% หลังทยอยรับรู้รายได้จาก 6 โครงการคอนโดมิเนียม ใจดีแจกปันผลเป็นหุ้น 2.50 ต่อ 1 นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ไนท์บริดจ์, นอตติ้ง ฮิลล์, และเคนซิงตัน เปิดเผยผลการดำเนินงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลการดำเนินงานปี 2559 ที่ผ่านมา บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 3,199 ล้านบาท เติบโตขึ้น 1,144 ล้านบาท หรือราว 55.7% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2558 ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 2,055.1 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิงวดปี 2559 อยู่ที่ 639.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 253.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นราว 65.5% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2558 ที่มีกำไร 386.5 ล้านบาท สาเหตุที่รายได้เติบโตขึ้นจำนวน 1,144 ล้านบาท มาจากการทยอยรับรู้รายได้โครงการใหม่ที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2559 เพิ่มขึ้นจำนวน 6 โครงการ ได้แก่ โครงการทรอปิคานา โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ ติวานนท์-แคราย โครงการพอส สุขุมวิท 115 โครงการไนท์บริดจ์ สกาย ริเวอร์ โอเชียน โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ พหลโยธิน-เกษตร และโครงการเดอะ คาบานา ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการรับบริหารนิติบุคคลอาคารชุด รายได้จากธุรกิจบริการรับทำความสะอาด ที่เติบโตขึ้นพร้อมกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นด้วย ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2559 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 6,758.4  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558  ที่่มีสินทรัพย์รวม 3,347.5  ล้านบาท จำนวน 3,410.9 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 101.9%  เนื่องจากบริษัทและบริษัทย่อย มีโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น  โดยปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด จำนวน  30 โครงการ ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทจากเดิม 552,187,154.50 บาท เป็น 780,791,991.50 บาทด้วย โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 455,809,674.50 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.50 บาท โดยจะมีการขออนุมัติเรื่องดังกล่าวในวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 ในวันที่ 4 เม.ย.นี้ ขณะเดียวกัน ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทครั้งที่ 2/2560 เมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้มีมติให้จ่ายปันผลสำหรับงวดการดำเนินงาน 3 เดือนสุดท้ายของปี 2559 ในอัตรา 0.24 บาท/หุ้น คิดเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้นไม่เกิน 264,304,537.24 บาท และปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 2.50 : 1 โดยบริษัทจะจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนบางส่วนและเงินสดบางส่วน โดยจะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 19 เม.ย.นี้  และจะจ่ายเงินปันผลภายในวันที่ 3 พ.ค. ปัจจุบัน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
SIRI โชว์ผลประกอบการปี 59 โดดเด่น กำไรไตรมาสสุดท้ายโตทะลุ 167% รายได้รวมเติบโตพุ่ง 72%

SIRI โชว์ผลประกอบการปี 59 โดดเด่น กำไรไตรมาสสุดท้ายโตทะลุ 167% รายได้รวมเติบโตพุ่ง 72%

SIRI โชว์ผลประกอบการปี 59 โดดเด่น กำไรไตรมาสสุดท้ายโตทะลุ 167% รายได้รวมเติบโตพุ่ง 72% ขณะที่ผลประกอบการรวมปี 59 บริษัทมียอดขายกว่า 31,139 ล้านบาท โตจากปีก่อนประมาณ 10% รายได้รวม 34,395 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 3,380 ล้านบาท แสนสิริสรุปผลการดำเนินงานปี 2559 โชว์ผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายเติบโตโดดเด่น กำไรรวม 1,600 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนถึง 167% รายได้รวมไตรมาส 4/59 11,700 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนถึง 72% ขณะที่ผลประกอบการรวมในปี 2559 บริษัทมียอดขายกว่า 31,139 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนประมาณ 10% มีรายได้รวม 34,395 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 3,380 ล้านบาท เผยอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อรายได้ดีขึ้นเป็น 9.8% และปลายปี 2560 จะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสเป็นครั้งแรก เผยแผนเดือนมีนาคม เตรียมเปิดตัว “98 Wireless” (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส) แฟลกชิปคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มูลค่าโครงการรวมกว่า 8,700 ล้านบาท บนทำเลที่พักอาศัยระดับเอ็กซ์คลูซีฟบนถนนวิทยุอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 มี.ค.นี้ นายเศรษฐา  ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI  เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริในปี 2559 ที่ผ่านมานับว่าบริษัทประสบความสำเร็จมีผลประกอบการที่โดดเด่น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 ซึ่งบริษัทสามารถทำกำไรได้ถึง 1,600 ล้านบาทเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งมีกำไร 600 ล้านบาท สูงถึง 167% นอกจากนี้บริษัทยังมีรายได้รวม 11,700 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 72% จากช่วงไตรมาสก่อนที่มีรายได้ 6,784 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการรวมปี 2559 บริษัทมียอดขายกว่า 31,139 ล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 10% จากปีก่อนที่มียอดขายรวมประมาณ 28,512 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีรายได้รวม 34,395 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ โครงการ เดอะ เบส เซ็นทรัล – พัทยา ซึ่งมียอดโอนไปแล้วถึง 95%, โครงการคอนโดมิเนียม The XXXIX (เดอะ เทอร์ทีไนน์) ซึ่งสามารถปิดการโอนได้เต็ม 100% อย่างรวดเร็ว โครงการคอนโดมิเนียม เอดจ์ สุขุมวิท 23 (EDGE Sukhumvit 23) ซึ่งทยอยโอนในช่วงปลายปีที่ผ่านมา “บริษัทมีกำไรสุทธิ 3,380 ล้านบาทจากผลการดำเนินงานที่สะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้แผนงาน “Engineer For Growth” หรือ EFG โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทยังสามารถลดสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารต่อยอดขายลงเหลือ 16.9% ของรายได้ รวมถึงสามารถเพิ่มยอดโอนและเน้นการสร้างกำไรเพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมาย ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อรายได้ในปี 59 ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมาเป็น 9.8% จากปีก่อนที่มีอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อรายได้ประมาณ 9.1% ทั้งนี้ ในช่วงปลายปี 2560 บริษัทจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสเป็นครั้งแรก จากที่เริ่มทยอยโอน เดอะ ไลน์ สุขุมวิท71 ไปแล้วถึง 80% นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมโอนโครงการ เดอะ ไลน์ จตุจักร – หมอชิต ซึ่งนับเป็นเดอะ ไลน์ โครงการแรกภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสที่เปิดการขาย มูลค่าประมาณ 5,700 ล้านบาทในเดือนกันยายน 2560 นี้อีกด้วย” นายเศรษฐา กล่าว สำหรับการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาสแรกหลังจากนี้ บริษัทได้เตรียม Grand Opening อีกหนึ่งโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส คือ โครงการ เดอะ ไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์ แบบ Global launch เต็มรูปแบบใน 4 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และจีน ในวันที่ 11 – 12 มีนาคม รวมทั้งเตรียมเปิดตัว โครงการ“98 Wireless” (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส) แฟลกชิปคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มูลค่าโครงการรวมกว่า 8,700 ล้านบาท บนทำเลที่พักอาศัยระดับเอ็กซ์คลูซีฟบนถนนวิทยุอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 มีนาคมนี้
บ.ซาแลนฯ ลุยอสังหาต่อเนื่อง เจียดที่ดินแปลงงาม เปิดตัว “โพลี เพลส คอนโด แอท พหลโยธิน 23” เริ่มต้นเพียง 1.8 ล้านบาท

บ.ซาแลนฯ ลุยอสังหาต่อเนื่อง เจียดที่ดินแปลงงาม เปิดตัว “โพลี เพลส คอนโด แอท พหลโยธิน 23” เริ่มต้นเพียง 1.8 ล้านบาท

กลุ่มเซนต์จอห์น เจ้าของ  บริษัท ซาแลน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (Salan Development Co., Ltd.) ลุยต่อเนื่อง งัดที่ดินผืนงามย่านกรุงเทพฝั่งเหนือ ขนาดเกือบ 6 ไร่  ขึ้นโครงการ โพลี เพลส คอนโด แอท พหลโยธิน 23  (Poly Place Condo @ Phahon Yothin 23) คอนเซปต์พร้อมสัมผัส “ความกลมกลืนของชีวิตเมือง” เพราะพิกัด ตั้งอยู่บนทำเลทองผืนสุดท้ายย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ฝั่งเหนือ บริเวณถนนพหลโยธิน 23 ติด SCB Park เดินทางสะดวก ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว, รถไฟฟ้าสายสีแดง และ ทางยกระดับอุตราภิมุข เตรียมเปิดขายวันที่ 4-5 มี.ค. นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ โพลี เพลส คอนโด แย้มราคา Pre-Sale เริ่มเพียง 1.8 ล้านบาท*  มั่นใจเรื่องฟี๊ดแบ๊ค มีแรงหนุนด้านโปรดักส์ และ ทำเลที่ตั้ง ที่เหนือกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง (วันที่ 27 กุมภาพันธ์  ณ ร.ร. เซ็นทารา ลาดพร้าว)  คุณชัยณรงค์ มนเทียรวิเชียรฉาย ประธานกรรมการ บริษัท ซาแลน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เผยว่า “ปัจจุบันราคาที่ดินบริเวณถนนพหลโยธิน นับตั้งแต่ห้าแยกลาดพร้าวซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมของกรุงเทพฯ ฝั่งเหนือ ทะยานสูงขึ้น และจากการก่อสร้างของรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีความคืบหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ  ทำให้ย่านดังกล่าว โดยเฉพาะหัวถนนไล่ไปจนถึงเมเจอร์รัชโยธิน มีความตื่นตัวและเติบโตค่อนข้างสูง  เห็นได้ชัดจากเริ่มมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่จากที่อยู่อาศัยเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์มากขึ้น  ในส่วนของบริษัทฯ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ และมีที่ดินสะสมได้รับอานิสงส์จากการเติบโตและขยายตัว ทำให้ทรัพย์สินของบริษัทฯ นับวันยิ่งเป็นโลเคชั่นที่ดี  ล่าสุดจึงได้ตัดสินใจขึ้นโครงการ  โพลี เพลส คอนโด แอท พหลโยธิน 23  (Poly Place Condo @ Phahon Yothin 23) คอนเซ็ปท์ในการออกแบบโครงการ คือต้องการให้ โพลี เพลส คอนโด เป็นมากกว่าการอยู่อาศัย ให้ความรู้สึกเหมือนทุกวันคือการพักผ่อน โดยมุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางที่มีสวนสีเขียวกว่า 1 ไร่ ที่ออกแบบสไตล์ Urban Tropical Garden และมี Club House พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ โดยกลุ่มเป้าหมายจะเป็นกลุ่มคนวัยทำงาน ในย่านรัชโยธิน พหลโยธิน วิภาวดี ลาดพร้าว ที่ต้องการมีที่พักอาศัยเป็นของตนเอง เป็นบ้านหลังแรก หรือคนที่มองหาคอนโดเพื่อการลงทุน ตามคอนเซปต์โครงการ The Urban Harmony ที่ให้คุณได้สัมผัสความกลมกลืนของชีวิตเมืองท่ามกลางธรรมชาติ โครงการ Poly Place Condo @ พหลโยธิน 23 เป็นอาคารพักอาศัยสูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร จำนวนยูนิตโดยรวม 553 ยูนิต มีห้องชุดขนาดเริ่มต้น 29 – 58 ตร.ม. ที่จัดเต็มด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น สระว่ายน้ำระบบเกลือแบบ Infinity Edge ห้องออกกำลังกาย ลู่วิ่ง ท่ามกลางสวนสีเขียวสไตล์ Urban Tropical Garden กว่า 1 ไร่ ด้วยงบลงทุนกว่า 800 ล้านบาท  จุดเด่นของโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยมากที่สุด คือ สวนสวยขนาดใหญ่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้มากกว่าที่อื่น เมื่อเทียบกับโครงการ Low-Rise ด้วยกันในย่านนี้ อีกทั้งในเรื่องของ Location ของโครงการเอง ที่เข้า-ออกได้ 2 เส้นทาง ทั้ง ฝั่งวิภาวดี 32 และฝั่งพหลโยธิน 23 (ใกล้สถานีพหลโยธิน 24 : BTS สายสีเขียว โครงการส่วนต่อขยายมาจากจตุจักร) เมื่อเทียบระหว่าง Product, Location และราคาขายที่เริ่มเพียง 1.8 ล้านบาท ถือว่าเป็นโครงการที่มีความคุ้มค่า นอกจากนี้ ผู้บริหารยังเผย ว่า “ตามที่ทราบกันในอนาคต ทำเลในย่านนี้ กำลังจะมีทั้ง สถานีกลาง บางซื่อคอมเพล็กซ์ ที่กำลังจะเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนาดใหญ่ ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็น New CBD ในอนาคต แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของทำเลที่มีสูงมาก ซึ่งทางโครงการได้มอบหมายให้ Knight Frank Charter (Thailand) เป็นตัวแทนในการบริหารงานขายและการตลาด โดยในช่วงแรกเราเปิดขายรอบ Internal สำหรับลูกค้าที่สนใจราคาก่อน Presale โดยทำแผนประชาสัมพันธ์โครงการเพียงแค่ออก Booth ตามสถานที่ต่างๆ เท่านั้น และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยยอดขายกว่า 40% และเราจะเปิดตัวโครงการ PRE-SALE  ในวันที่ 4-5 มี.ค. ที่ สำนักงานขายโครงการ โพลี เพลส คอนโด คาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างมาก คุณพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เผยว่า สภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณลาดพร้าว จตุจักร เกษตร พหลโยธิน มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี อุปทานมีเหลือขายน้อย และซัพพลายในตลาดมีไม่มากเนื่องจากโครงการเปิดตัวในปีที่แล้วน้อย โดยในปี 2016 มีอุปทานใหม่เพียงประมาณ 570 ยูนิตในขณะที่ยูนิตเหลือขายมีอยู่ประมาณ 2,000 หน่วยและจำนวนยูนิตที่มีการขายต่อปีอยู่ประมาณ 2,000-3,000 หน่วย ณ สิ้นปี 2016 มีอุปทานรวมในบริเวณประมาณ 24,900 หน่วย มียอดขายแล้วอยู่ที่ประมาณ 22,800 หน่วย คิดเป็นยอดขายสะสมที่ร้อยละ 91.5 ซึ่งถือว่าเป็นยอดขายสะสมที่สูง ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากความชัดเจนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนรถฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายหมอชิต-คูคต ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้ทดลองใช้บริการได้ช่วงต้นปี 2020 รูปภาพที่ 1: อุปทาน และอุปทานใหม่ ตลาดคอนโดมิเนียมบริเวณ ลาดพร้าว จตุจักร เกษตร พหลโยธิน วิภาวดี ปี 2009-2016 ที่มา: ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย รูปภาพที่ 2: อุปทาน-อุปสงค์สะสม และอัตราการขายคอนโดมิเนียมบริเวณลาดพร้าว จตุจักร เกษตร พหลโยธิน วิภาวดี ที่มา: ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ระดับราคาขายของคอนโดมิเนียมในพื้นที่ ปัจจุบันพบว่าราคาขายเฉลี่ยโครงการเปิดตัวใหม่ในบริเวณนี้อยู่ที่ตารางเมตรละ 118,146 บาท หากดูราคาโครงการที่เปิดตัวภายในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมในบริเวณมีการปรับตัวสูงขึ้นทุกปี เนื่องจากมีโครงการพัฒนาคอนโดมิเนียมเกรด เอ เพิ่มขึ้นในบริเวณใกล้กับสวนจตุจักร รูปภาพที่ 3 ระดับราคาขายโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวใหม่ในบริเวณลาดพร้าว จตุจักร เกษตร พหลโยธิน วิภาวดี (บาทต่อตารางเมตร) ที่มา: ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย คุณพนม กล่าวเสริมว่า ศักยภาพของทำเลที่มีแนวโน้มการพัฒนาที่ดินและการขยายตัวในเชิงพาณิชย์ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่กำลังก่อสร้าง นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาที่ดินของการรถไฟบริเวณนิคมรถไฟ กม. 11 ซึ่งเป็นการพัฒนาแบบผสมผสาน ประกอบไปด้วยอาคารสำนักงานและศูนย์ประชุมและจัดแสดงสินค้านานาชาติขนาดใหญ่ที่สุดแห่งใหม่ของประเทศไทย โครงการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์บริเวณสภานีรถไฟฟ้าหมอชิตของกรมธนารักษ์ซึ่งอยู่ในระหว่างการเจรจาต่อสัญญากับผู้รับสัมปทานโครงการ และกลับมาพัฒนาโครงการต่อได้อีก การพัฒนาพื้นที่ 30 ไร่บริเวณตรงข้ามแดนเนรมิตของบริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน)และบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ทั้งหมดนี้ส่งผลให้บริเวณนี้มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการเพื่ออยู่อาศัยสูงขึ้นอย่างมาก ประกอบกับตลาดที่มีซัพพลายเหลือขายน้อย และอุปทานที่ดินที่มีในตลาดที่จะนำมาพัฒนาได้มีน้อย จึงเป็นโอกาสในการลงทุนสำหรับผู้ซื้อห้องชุดในพื้นที่นั้นในรูปแบบของการลงทุนและอยู่อาศัยเอง เนื่องจากแนวโน้มราคาจะยังคงปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
สเตชั่น วัน ศูนย์การค้าแห่งใหม่ใจกลางไชน่าทาวน์ โอกาสทองของธุรกิจการค้า พร้อมเปิดจองพื้นที่เชิงพาณิชย์แล้ววันนี้

สเตชั่น วัน ศูนย์การค้าแห่งใหม่ใจกลางไชน่าทาวน์ โอกาสทองของธุรกิจการค้า พร้อมเปิดจองพื้นที่เชิงพาณิชย์แล้ววันนี้

โครงการสเตชั่น วัน (STATION ONE)  ศูนย์การค้าและที่พักอาศัยแห่งใหม่ใจกลางเยาวราช  บริหารโดยบริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน)  พร้อมเปิดให้จองพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์  บนทำเลทองแห่งสุดท้ายใจกลางเยาวราชไชน่าทาวน์กรุงเทพฯ  เดินทางสะดวกสบาย  ใกล้รถไฟฟ้า MRT สถานีวัดมังกรเพียง 100 เมตร นายเศรษฐวัจน์ ตั้งวัชรพงศ์  กรรมการผู้จัดการสายงานอสังหาริมทรัพย์  บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  เยาวราชเป็นย่านธุรกิจการค้าที่สำคัญ  ประกอบด้วยร้านค้า ภัตตาคาร ร้านอาหาร  ร้านทอง  ธนาคาร  ฯลฯ  รวมทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ  โดยได้รับการขนานนามว่าเป็น "ไชน่าทาวน์แห่งกรุงเทพมหานคร"  จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ  พื้นที่บริเวณนี้มีอัตราการเติบโตสูง  แต่ด้วยขนาดของพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่มีอยู่จำกัดและหาได้ยากในปัจจุบัน  ทำให้ทำเลนี้เป็นที่สนใจของนักลงทุนจำนวนมาก  อีกทั้งยังได้รับอานิสงส์จากส่วนต่อขยายของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่ตัดผ่าน  โดยมีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินปักหมุดอยู่บนถนนเจริญกรุงใจกลางเยาวราช คือ MRT สถานีวัดมังกร  ทำให้ความต้องการในการลงทุนและพัฒนาพื้นที่พุ่งสูงเพิ่มขึ้นอีกกว่าเท่าตัว จากศักยภาพของทำเลที่โดดเด่น  และเป็นศูนย์กลางย่านธุรกิจการค้าที่สำคัญ  ทำให้บริษัทฯ มองเห็นโอกาสในการพัฒนาโครงการเพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนและผู้ประกอบการ  โครงการ “สเตชั่น วัน” (STATION ONE)  จึงถือกำเนิดขึ้นโดยพัฒนาในรูปแบบของศูนย์การค้าและที่พักอาศัย  ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุงติดกับวัดมังกร ใกล้ MRT สถานีวัดมังกรเพียง 100 เมตร  นับเป็นทำเลทองแห่งสุดท้ายที่สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนเยาวราชและหัวลำโพงได้อย่างสะดวก อีกทั้งยังตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่สำคัญต่างๆ  อาทิ  วัดมังกรกมลาวาส  คลองถมเซ็นเตอร์  วงเวียนโอเดียน วัดไตรมิตร และสถานี  หัวลำโพง นายเศรษฐวัจน์  กล่าวถึงรายละเอียดของโครงการ “สเตชั่น วัน” ว่าโครงการสเตชั่น วัน ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยมีรูปแบบโครงการเป็นอาคารชุดเพื่อการพาณิชย์และพักอาศัย  บนเนื้อที่โครงการรวม 0-1-63 ไร่  จำนวน 1 อาคาร  ความสูง 7 ชั้น โดยแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน  คือ  ชั้นที่ 1-3 เป็นพื้นที่โซน   ช้อปปิ้งพลาซ่า  ศูนย์รวมร้านค้าหลากหลาย  รวมพื้นที่เช่ากว่า 1,074 ตารางเมตร  และชั้นที่ 4-7 เป็นพื้นที่พักอาศัย  รวมพื้นที่กว่า 1,910 ตารางเมตร  พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ โถงต้อนรับและพักคอย  และลิฟท์โดยสาร โครงการสเตชั่น วัน ได้รับการออกแบบสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล  มีความสง่างามและกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นที่โดยรอบ  ตกแต่งภายนอกด้วยซุ้มโค้ง เสาลวดลายปูนปั้น พร้อมโครงเหล็กประดับซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตก ทำให้ดูคลาสสิกและร่วมสมัย นายเศรษฐวัจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า  โครงการสเตชั่น วัน  ถือเป็นทำเลทองของธุรกิจการค้าขายและการพักอาศัย  ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ  และดึงเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี โดยพร้อมต้อนรับลูกค้าและนักท่องเที่ยวด้วยร้านค้าที่เปิดให้บริการแล้ววันนี้  และเร็วๆนี้ที่ชั้น 1 อาทิ ร้านกาแฟสตาร์บัคส์คอฟฟี่  ร้านสะดวกซื้อแฟมิลี่มาร์ท  ร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์  และจุดรับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศซุปเปอร์ริช 1965  พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับพื้นที่โปรโมชั่น  ชั้น 1 ติดทางเข้า – ออก  ราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 5,500 บาท / เดือน  ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนจองสิทธิ์รับโปรโมชั่นได้ทาง  www.station1chinatown.com  หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทร. 02-627-5353
‘เอพี ไทยแลนด์’ รุกหนักตลาดแนวราบ – เปิดตัว 15 โครงการใหม่ “บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมเอพี คือ ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวคนเมือง”

‘เอพี ไทยแลนด์’ รุกหนักตลาดแนวราบ – เปิดตัว 15 โครงการใหม่ “บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมเอพี คือ ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวคนเมือง”

‘เอพี ไทยแลนด์’ รุกหนักตลาดแนวราบ - เปิดตัว 15 โครงการใหม่ มูลค่า 15,000 ล้าน ปักธง “บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมเอพี คือ ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวคนเมือง” วันนี้ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง ที่มุ่งสร้างความต่างด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมดีไซน์เพื่อพื้นที่ใช้สอยที่ไม่จำกัด โดย คุณภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม เปิดเผยแผนธุรกิจในการพัฒนาสินค้าแนวราบปี 2560 ภายใต้วิสัยทัศน์ใหญ่ที่มุ่งเดินเกมด้วยกลยุทธ์ "เอพีคิดและสร้างความแตกต่าง" (AP THINK DIFFERENT) พร้อมเดินหน้าเปิดตัวบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมใหม่ 15 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท ตั้งเป้าให้บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมเครือเอพีต้องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวคนเมือง (THE ULTIMATE CHOICE FOR URBAN LIVING) ด้วย 5 กลยุทธ์สำคัญ: การเป็นหนึ่งเดียวเรื่องทำเลที่ตั้ง – แตกต่างด้วยการออกแบบสินค้าที่ตอบความต้องการลูกค้าเฉพาะกลุ่มภายใต้มาตรฐานคุณภาพ – เสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่แบรนด์ ‘บ้านกลางเมือง’ ผู้นำด้าน Hi-End Urban Living ทาวน์โฮม – สร้างความเติบโตให้กับ PREMIUM AFFORDABLE ทาวน์โฮม – ขยายตลาดบ้านเดี่ยวสำหรับกลุ่มครอบครัวคนรุ่นใหม่ นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ว่า “พื้นฐานการแข่งขันในวันนี้เกิดขึ้นจากผู้ประกอบการรายใหญ่ ยอดขายที่เกิดขึ้นกว่า 75% ล้วนเป็นยอดขายที่เกิดขึ้นจากผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งสิ้น ในส่วนผลการดำเนินงานของเอพีในปีที่ผ่านมา กลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมสามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 12,331 ล้านบาท จากยอดขายรวมของเอพีปี 2559 ที่ 22,364 ล้านบาท ส่วนยอดรับรู้รายได้รวมในปี 2559 เท่ากับ 20,253 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม มูลค่า 12,947 ล้านบาท” 5 กลยุทธ์เสริมสร้างการเติบโตสำคัญ (5 KEY DRIVES) ในการนำบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมเครือเอพีสู่การเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวคนเมือง มีดังนี้ STRATEGIC LOCATION – เน้นย้ำจุดแข็งในการเป็นหนึ่งเดียวเรื่องทำเลที่ตั้ง: ในทุกๆ ปีเราจะกระจายการพัฒนาโครงการแนวราบให้ครอบคลุมทุกพื้นที่มากขึ้น ภายใต้วิธีคิดในการเลือกสรรที่ดิน Location in Location ซึ่งหมายถึงนอกจากทำเลที่เอพีเลือกพัฒนาจะอยู่ในย่านที่ดีของกรุงเทพมหานครแล้ว ที่ตั้งของที่ดินผืนนั้นๆ ยังต้องอยู่ในจุดที่ดีที่สุดของทำเลนั้นด้วย ต้องสามารถเชื่อมต่อการเดินทางที่หลากหลายรูปแบบ (Multiple Connection) ไม่ใช่เพียงแต่ติดถนนใหญ่ แต่ต้องเชื่อมต่อทางลัด ทางด่วน หรือระบบขนส่งขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว โครงการเอพีเราให้สิ่งที่ใครก็ให้ไม่ได้นั่นคือเรื่องของเวลา ปัจจุบัน เอพีมีโครงการแนวราบพร้อมขาย ราคาตั้งแต่ 2 ล้านจนถึง 50 ล้านบาท ครอบคลุม  ทั่วกรุงเทพมหานคร ทั้งพื้นที่ชั้นใน และรอบนอก รวมกันมากถึง 56 โครงการ และในปีนี้ เอพีพร้อมเปิดตัวบ้านเดี่ยวใหม่อีก 8 โครงการ และทาวน์โฮม 7 โครงการ MASS CUSTOMIZED DESIGN – การรุกสร้างความต่างด้วยการออกแบบสินค้าที่ตอบความ-ต้องการลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ภายใต้มาตรฐานคุณภาพ: ดีมานด์ของลูกค้าในวันนี้แบ่งแยกเป็น กลุ่มย่อยที่ซับซ้อน ก่อนเปิดโครงการทุกครั้งสิ่งที่เราทำเป็นอย่างแรกคือ การลงพื้นที่ทำ research อย่างเข้มข้นเพื่อศึกษาถึงความต้องการแฝง และหนึ่งในกระบวนการคือ การเปิดให้ลูกค้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบ ภายใต้ทางเลือกที่เรากำหนดขึ้น ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยน ขยาย ลดพื้นที่การใช้งานใน แต่ละส่วนได้ตามต้องการ จากนั้นดีไซเนอร์จะนำความต้องการที่ได้มาพัฒนาต่อจนออกมาเป็นโปรดักส์ที่มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่รับกับความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ จากการทำงานภายใต้แนวคิด MASS CUSTOMIZED DESIGN ส่งผลให้ปัจจุบันโครงการแนวราบของเอพีมีแบบบ้านที่สอดรับกับความต้องการที่ต่างกันของลูกค้ามากกว่า 70 ดีไซน์ โดยจะกระจายอยู่ใน 56 โครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมทั่วกรุงเทพ ในปี 2560 นี้เอพี ก็ไม่หยุดนิ่งที่จะสร้างความแตกต่างด้านดีไซน์ ทั้งในเรื่องของการดีไซน์สเปซภายใน พื้นที่ภายนอก ตลอดจนงานสถาปัตยกรรมของตัวอาคาร ผ่าน 8 แบรนด์บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมเครือเอพี STRENGTHEN NO.1 HI-END TOWNHOME – เสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่แบรนด์ ‘บ้านกลางเมือง’ ในการเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮมไฮเอนด์ 3 ชั้นในเมือง: บ้านกลางเมืองของเอพีถือครองสัดส่วนผู้นำตลาดทาวน์โฮมเป็นอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 40% ของตลาดทาวน์โฮม 3 ชั้นในเมือง โดยปีนี้เอพีมุ่งสานต่อเป้าหมายในการรักษาความเป็นผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยการพัฒนานวัตกรรมดีไซน์ใหม่ๆ สำหรับบ้านกลางเมือง 3 โครงการใหม่ที่พร้อมจะเปิดตัวในปีนี้ ได้แก่ (1) บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า-จรัญ (2) บ้านกลางเมือง บางนา กม. 7 และ (3) บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว – เสรีไทย มูลค่า 3,250 ล้านบาท ซึ่งบ้านกลางเมืองทั้ง 3 โครงการจะเป็นบ้านดีไซน์ใหม่ทั้งหมด โดย พร้อมเปิดตัวรอบพิเศษที่งาน ‘บ้านกลางเมือง Living Specialist’ วันที่ 2-8 มีนาคมนี้ ณ ชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว GROW PREMIUM AFFORDABLE TOWNHOME SEGMENT – สร้างความเติบโตให้กับ PREMIUM AFFORDABLE ทาวน์โฮมราคา 2-4 ล้านบาท: อีกหนึ่งไฮไลต์ของแผนธุรกิจแนวราบใน ปีนี้คือ การรุกตลาด Premium Affordable Townhome หรือ พรีเมียม ทาวน์โฮมพร้อมอยู่ ระดับราคา 2-4 ล้านบาท ด้วยแบรนด์ ‘PLENO’ (พลีโน่) พรีเมียม ทาวน์โฮม 2 ชั้น ที่ได้นำความชำนาญใน การพัฒนาสินค้า แบรนด์บ้านกลางเมืองมาต่อยอดในการออกแบบเป็นตัวบุกตลาด ในปี 2560 นี้ เอพีมีแผนเปิดตัวแบบบ้านใหม่สำหรับแบรนด์ “พลีโน่” จำนวน 3 โมเดล ได้แก่ (1) แบบบ้านขนาด 16 วา พื้นที่ใช้สอย 94 ตารางเมตร หน้ากว้าง 5.00 เมตร 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ (2) แบบบ้านขนาด 18 วา พื้นที่ใช้สอย 100 ตารางเมตร หน้ากว้าง 5.50 เมตร 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ (3) แบบบ้านขนาด 20 วา พื้นที่ใช้สอย 130 ตารางเมตร หน้ากว้าง 5.50 เมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ โดยในปี 2560 นี้มีแผนเปิดตัวพลีโน่ใหม่ จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3,750 ล้านบาท โดยในเดือนมีนาคมนี้พร้อมเปิดพลีโน่ใน 2 ทำเล ได้แก่ (1) พลีโน่ บางใหญ่ ทาวน์โฮม 2 ชั้น แบบบ้านขนาด 18 วา และ 20 วา จำนวน 350 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 980 ล้านบาท หน้ากว้าง 5.5 เมตร พื้นที่ใช้สอยขนาด 100-130 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 2 ล้านต้นๆ และ (2) พลีโน่ สุขสวัสดิ์ จำนวน 497 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,460 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการประกอบด้วยทาวน์โฮม 2 ชั้นฟังก์ชั่นใหม่ แบบบ้าน 16 และ 18 วา ราคาเริ่มต้น 2 ล้านต้นๆ FOCUS ON MODERN SINGLE HOUSE FOR URBAN FAMILY SEGMENT – เอพีจะโฟกัสการพัฒนาบ้านเดี่ยว สำหรับกลุ่มครอบครัวคนรุ่นใหม่มากขึ้น: โดยจะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวสำหรับลูกค้ากลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ ที่นิยมบ้านในรูปแบบโมเดิร์น ภายใต้การออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในที่เน้นการใช้งานจริงมากกว่าแค่เรื่องของความโอ่อ่าความหรูหราเพียงอย่างเดียว โดยมี Fighting Brand อย่าง “THE CITY” บ้านเดี่ยวสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ ขนาด 50-154 วา พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 170-340 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 99 ล้านบาท และ “CENTRO” บ้านเดี่ยวสำหรับครอบครัวใหม่ ขนาด 35-80 วาขึ้นไป พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 153-225 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมาทั้งแบรนด์ THE CITY และ CENTRO ประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งบ้านเดี่ยวที่เอพีเตรียมเปิดตัวในปีนี้จะเป็นบ้านดีไซน์ใหม่ เพื่อตอบรับกับความต้องการของครอบครัวรุ่นใหม่ ดีไซน์ใหม่ของ THE CITY ประจำปีนี้ พร้อมเปิดตัวเป็นที่แรกในโครงการ THE CITY พัฒนาการ โดยจะเป็นบ้านหน้ากว้างแวดล้อมด้วยสวนโดยรอบ ขนาดพื้นที่ 55-92 วา พื้นที่ใช้สอย 190-335 ตารางเมตร 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ และ 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ มีแบบบ้านให้เลือกมากถึง 6 ดีไซน์ จำนวน 136 ยูนิต มูลค่า 950 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 7.99 ล้านบาท เปิดขายประมาณเดือนมิถุนายนนี้ ณ ปัจจุบันเอพีมีโครงการแนวราบพร้อมขาย (existing projects) รวมทั้งสิ้น 56 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 23,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับแผนธุรกิจการพัฒนาสินค้าแนวราบปี 2560 (สินค้าใหม่ บ้านเดี่ยว จำนวน 8 โครงการ ทาวน์โฮม 7 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท) คาดว่า เอพีจะมีโครงการในมือพร้อมขายอย่างต่อเนื่องมากกว่า 70 ทำเล มูลค่ารวมประมาณ 38,000  ล้านบาท โดยปี 2560 ตั้งเป้ายอดขายในส่วนโครงการแนวราบไว้ที่ 13,600 ล้านบาท พิเศษสุด ในวันพฤหัสบดีที่ 2 – วันพุธที่ 8 มีนาคมนี้ เอพีเตรียมจัดอีเวนต์ใหญ่ครั้งเดียวในรอบปี กับงาน ‘บ้านกลางเมือง Living Specialist’ ณ ชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว พบบ้านกลางเมืองพร้อมอยู่กว่า 22 ทำเล ราคา 3.99–8.99 ล้านบาท พร้อมเปิดตัว 3 โครงการใหม่ ได้แก่ (1) บ้านกลางเมือง ปิ่นเกล้า-จรัญ ราคาเริ่มต้น 3.79 ล้านบาท (2) บ้านกลางเมือง บางนา กม. 7 และ (3) บ้านกลางเมือง ลาดพร้าว-เสรีไทย เมื่อจองและทำสัญญาในงานรับข้อเสนอที่ดีที่สุดแห่งปี ผ่อนเพียง 9,999 บาท นาน 3 ปี สำหรับบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่กว่า 23 โครงการ เอพีได้จัดแคมเปญพร้อมข้อเสนอที่ดีที่สุด ณ สำนักงานขายเอพีทุกแห่ง ภายใต้ชื่อ “SAVE MORE - ชีวิตที่คุณเลือกได้ อิสระทางการเงินที่คุณเลือกเอง” ได้ ผ่อน 0% นาน 1 ปี หรือ อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 3.33% นาน 3 ปี รับทราบรายละเอียดเพิ่มเติม และลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษได้ที่ www.apthai.com  
“ออริจิ้น” Top up โครงการไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา

“ออริจิ้น” Top up โครงการไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา

นายจิรฐา วรปรางกุล (ที่ 5 จากซ้าย) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาดและขาย บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และนายสันติ เหมศิริวัฒนา (ที่ 6 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรพระนคร จำกัด ผู้รับเหมางานโครงสร้างและสถาปัตยกรรม ร่วมตรวจสอบความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา (Knightsbridge The Ocean Sriracha) บริเวณดาดฟ้าโครงการ ชั้น 35 พร้อมควบคุมการก่อสร้างให้ได้มาตรฐานระดับพรีเมียม ปัจจุบัน การก่อสร้างโครงการดังกล่าวคืบหน้าไปแล้ว 60% และคาดว่าจะสามารถเข้าอยู่ได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการไตรมาสสามเติบโตสูงต่อเนื่อง ยอดรายได้ 9 เดือน ทะลุ 2,587 ล้านบาท กำไรสุทธิ 489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการไตรมาสสามเติบโตสูงต่อเนื่อง ยอดรายได้ 9 เดือน ทะลุ 2,587 ล้านบาท กำไรสุทธิ 489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เติบโตสวนทางเศรษฐกิจปิดงบปี 59 สูงกว่าเป้า รับรู้รายได้ 2,707.1 ล้านบาท กำไรสุทธิ 500.3 ล้านบาท ขยายตัว 41% บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เติบโตอย่างแข็งแกร่งเหนือตลาด ปิดงบปี 2559 มียอดรับรู้รายได้ที่ 2,707.1 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 30% และยังคงความสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดี โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 39.5% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายปรับลดลง ส่งผลให้มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 500.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 41%  นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2559 ที่ผ่านมา ตลาดโดยรวมจะแทบไม่มีการขยายตัว แต่ด้วยการวางแผนกลยุทธ์และดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับสถานการณ์ของบริษัท ทำให้ในปี 2559 ที่ผ่านมาถือเป็นอีกปีที่บริษัททำผลงานได้เป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถมีส่วนแบ่งกำไรตลาด (Gain Market Share) เพิ่มมากขึ้น ขณะที่มียอดรับรู้รายได้ที่ 2,707.1 ล้านบาท เติบโตกว่า 30% จากปี 2558 ซึ่งมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ตอนต้นปีที่ 2,400 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 500.3 ล้านบาท เติบโตกว่า 40% จากปี 2558 ในแง่ของโครงสร้างเงินทุน บริษัทยังคงมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน โดย ณ สิ้นปี 2559 บริษัทมีระดับหนี้ที่สามารถบริหารจัดการได้ โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่เพียง 0.85 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.4 เท่า นอกจากนี้บริษัทมีการบริหารด้านการเงินอย่างรัดกุม โดยใช้แหล่งเงินกู้ที่หลากหลาย และส่วนใหญ่เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ เพื่อควบคุมต้นทุนทางการเงินรวมทั้งมีการสำรองวงเงินสนับสนุนจากธนาคารพาณิชย์อย่างเพียงพอที่จะชำระหนี้ครบกำหนดชำระในช่วง 1 - 2 ปีข้างหน้า ทั้งนี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทได้ออกหุ้นกู้ จำนวน 500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี ที่ 3.4% ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนทั้งบุคคลและสถาบันเข้าจองซื้อเต็มทั้งจำนวน นายไชยยันต์ กล่าวปิดท้ายว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติเห็นชอบจัดสรรกำไรสำหรับปี 2559 ให้กับผู้ถือหุ้น โดยจ่ายเป็นหุ้นปันผลในอัตราส่วน 8.25 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นปันผล รวมทั้งให้จ่ายปันผลในรูปของเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.1385 บาท ทั้งนี้บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วที่ 0.125 บาท ดังนั้นจะเหลือจ่ายเพิ่มสำหรับงวดครึ่งปีหลังปี 2559 อีก 0.0135 บาทต่อหุ้น โดยมีมติให้กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 17 มีนาคม 2560 (หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 14 มีนาคม 2560) และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 12 พฤษภาคม 2560 ทั้งนี้การจ่ายปันผลดังกล่าวต้องนำเสนอขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 ในเดือนเมษายนนี้
แสนสิริ ชวนสัมผัสประสบการณ์ใหม่ในงาน “KHUN’s DNA Exploratorium by Bompas & Parr”

แสนสิริ ชวนสัมผัสประสบการณ์ใหม่ในงาน “KHUN’s DNA Exploratorium by Bompas & Parr”

ในงาน 'KHUN's DNA Exploratorium by Bompas & Parr' ชวนคนรุ่นใหม่สัมผัสประสบการณ์ไลฟ์สไตล์แนวใหม่ เหล่าเทรนด์เซ็ตเตอร์ ตบเท้าร่วมงานคับคั่ง แสนสิริ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เขี่ยวชาญด้านไลฟ์สไตล์ ดีไซน์และเทรนด์ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนยุคใหม่ และ บีทีเอส กรุ๊ปฯ จัดงาน "KHUN's DNA Exploratorium by Bompas & Parr" (คุณ ดีเอ็นเอ เอ็กซ์พลอราทอเรียม บาย บอมพาส์ แอนด์ พาร์) สุดยอดครีเอทีฟอีเวนท์แนวใหม่แห่งปีที่มอบประสบการณ์สนุกสุดันส์สะท้อนตัวตนลึกถึงดีเอ็นเอ สร้างปรากฏการณ์หน้าใหม่ในวงการอสังหาฯไทย โดยคว้า "บอมพาส์ แอนด์ พาร์" (Bompas & Parr) นักจัดงานปาร์ตี้หรืออีเว้นท์ครีเอเตอร์มือทองจากลอนดอนมาเนรมิตงานสุดล้ำเหนือจินตนาการครั้งแรกในประเทศไทย! โดยมีเหล่าเทรนด์เซ็ตเตอร์และเซเลบริตี้ ตบเท้าร่วมงานคับคั่ง อาทิ ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก, วุฒิธร มิลินทจินดา, คล้ายเดือน-พิมพ์ดาว-มทินา สุขะหุต, กรกนก ยงสกุล, ม.ล.อรรถดิศ ดิศกุล, ปาวา นาคาศัย, ขนิษฐา ดรุณเนตร และ กลุพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ ที่ควอเทียร์ แกลอรี่ ชั้น M ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ งาน 'KHUN's DNA Exploratorium by Bumpas & Parr' เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมงานได้ตั้งแต่วันที่ 25-26 กุมภาพันธ์ 2560 โดยในงานประกอบด้วย 4 โซน กับการดีไซน์พื้นที่ในลักษณะทรงกล่องสีคอปเปอร์ทองแดง สัมผัสประสบการณ์กับไลฟ์สไตล์ในแบบ KHUN กับคอนโดมิเนียมระดับเวิล์ดคลาสใจกลางทองหล่อ KHUN by YOO inspired by Starck ผ่านประสบการณ์ที่ตื่นเต้นเปิดประสาทสัมผัสของคุณให้พร้อม ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในงาน สำหรับผู้ที่สนใจร่วมงาน สัมผัสประสบการณ์สุดยอดครีเอทีฟปาร์ตี้แห่งปี ต้อนรับปี 2017 ที่คุณไม่ควรพลาด!  วันเสาร์ที่ 25 - วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ ควอเทียร์ แกลอรี่ ชั้น M ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ ตั้งแต่เวลา 10:00-21:30 น. ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.facebook.com/sansirifamily
เอส พาร์ค ทู บริษัทน้องใหม่เตรียมเจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน พร้อมเปิดตัวส่งดาวดวงใหม่ “เดอะเคปเลอร์” บ้านหรูระดับลักชัวรี่ลงตลาด

เอส พาร์ค ทู บริษัทน้องใหม่เตรียมเจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน พร้อมเปิดตัวส่งดาวดวงใหม่ “เดอะเคปเลอร์” บ้านหรูระดับลักชัวรี่ลงตลาด

นางสาวเสาวภาคย์ ถนอมศักดิ์กุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอส พาร์ค ทู จำกัด (ที่ 3 จากขวา) พร้อมด้วย,นางธัญณัชฐ์ อิ่มสุขสมวงษ์ กรรมการอำนวยการ (ที่ 2 จากขวา) ,นายเกษม นิลเจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ (ที่ 1 จากขวา) นายธีร์พิสุทธิ์ เตชะไกรศรี  ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ (ที่ 1 จากซ้าย) และนางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (ที่ 2 จากซ้าย) จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว บริษัท เอส พาร์ค ทู จำกัด พร้อมส่งโครงการ “เดอะเคปเลอร์” บ้านหรูระดับลักชัวรี่ลงตลาด โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องปทุมมา โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพ เมื่อเร็วๆนี้
เอสซีฯ เติบโตทั้งรายได้และกำไร ปี 59 สรุปรายได้รวม 14,504 ลบ. กำไรสุทธิ 1,968 ลบ. เตรียมเสนอปันผล 0.19 บาทต่อหุ้น ปี 60 พร้อมรุกเปิด 17 โครงการใหม่ มูลค่า 27,000 ลบ.

เอสซีฯ เติบโตทั้งรายได้และกำไร ปี 59 สรุปรายได้รวม 14,504 ลบ. กำไรสุทธิ 1,968 ลบ. เตรียมเสนอปันผล 0.19 บาทต่อหุ้น ปี 60 พร้อมรุกเปิด 17 โครงการใหม่ มูลค่า 27,000 ลบ.

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ ปี 2559 ที่ผ่านมา SC  มีการเติบโตทั้งรายได้และกำไร   ทั้งนี้มาจากการวางกลยุทธ์สำหรับสร้างรายได้ และบริหารค่าใช้จ่าย โดยสามารถรักษาฐานผู้นำส่วนแบ่งตลาดบ้านเดี่ยวระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป, มีการเติบโตทางรายได้จากบ้านเดี่ยวระดับราคา 5-10 ล้านบาท สูงถึง 21 %, และมีการโอนคอนโดได้เกินเป้าหมาย โดยได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐที่ในช่วง 4 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา เมื่อประกอบกับการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพและเน้นการใช้สื่อ Digital Marketing มากขึ้น ทำให้มูลค่ากำไรสุทธิของบริษัทสูงที่สุดในรอบ 14 ปี ” สรุปผลการดำเนินงานปี 2559 SC มีรายได้รวม 14,504 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการดำเนินงาน 14,434 ล้านบาทเติบโต 3% จากปี 2558  ซึ่งรายได้หลักมาจากธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 13,678 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 95% ของรายได้จากการดำเนินงาน  ส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าและบริการ 756 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 5%  บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,968 ล้านบาทหรือคิดเป็น 13.6% ของรายได้รวม เติบโต 4% และ มีกำไรต่อหุ้น เท่ากับ 0.47 บาท บริษัทฯ มียอดขายรวม 11,612 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมและหนี้สินรวมเท่ากับ 33,487 ล้านบาท และ 19,046 ล้านบาทตามลำดับ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน 1.32 เท่า พร้อมกันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้พิจารณาผลประกอบการปี 2559 และ มีมติเห็นชอบให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นขออนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของปี 2559 ในอัตราหุ้นละ 0.19 บาทโดยกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 19 พฤษภาคม 2560 ตามแผนปี 2560   SC จะมีโครงการเพื่อขายรวมทั้งสิ้น 49 โครงการ มูลค่า 54,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่า 27,000 ล้านบาท และโครงการต่อเนื่อง 32 โครงการ มูลค่า 27,000 ล้านบาท  โดยในไตรมาสแรกนี้  ได้เปิด 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 2 โครงการ มูลค่า 2,200 ล้านบาท ได้แก่ 1. โครงการเฮดควอเทอร์ส เอกมัย – ลาดพร้าว (HEADQUARTERS EKAMAI – LADPRAO) 2. โครงการเดอะ เจนทริ สุขุมวิท (THE GENTRY SUKHUMVIT) และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 8,800 ล้านบาท ได้แก่ 1. โครงการทเวนตี้เอท ชิดลม (28 Chidlom) 2. โครงการแชมเบอร์ส เฌอ รัชดา-รามอินทรา (CHAMBERS CHER Ratchada-Ramintra) นายณัฐพงศ์กล่าวสรุปว่า “สำหรับปี 2560 SC  ได้เดินหน้าตามกลยุทธ์เชิงรุกสำหรับ SC ในยุค 4.0 ที่เติบโตทั้งรายได้ควบคู่ไปกับนวัตกรรมและคุณภาพ ด้วยวิธีคิดอย่าง human-centric approach ใช้นวัตกรรมมาแก้ปัญหาที่เป็น seen และ unseen pain points ของผู้อยู่อาศัยโดย SC จะทั้งร่วมงานและร่วมลงทุนกับบริษัท startup หลายแห่ง เพื่อนำนวัตกรรมมาพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้อยู่อาศัย และเรามั่นใจว่า SC จะทำรายได้ทะลุ 20,000 ล้านบาทในปี 2562”
อนันดาฯ โชว์ผลงานแกร่งยอดโอนปี 59 เพิ่มสูงขึ้น 65% สู่ระดับ 15,866 ล้านบาท พร้อมรุกเดินหน้าลุยเปิด 17 โครงการใหม่ มูลค่า 41,800 ล้านบาทปี 60

อนันดาฯ โชว์ผลงานแกร่งยอดโอนปี 59 เพิ่มสูงขึ้น 65% สู่ระดับ 15,866 ล้านบาท พร้อมรุกเดินหน้าลุยเปิด 17 โครงการใหม่ มูลค่า 41,800 ล้านบาทปี 60

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมืองครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าโดยมี คุณชานนท์ เรืองกฤตยา (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วยทีมผู้บริหาร คุณมัณทนา เอื้อกิจขจร (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงินและ กรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม  คุณเสริมศักดิ์ ขวัญพ่วง (ที่ 3 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่สายงานกลยุทธ์และการลงทุน จัดงานแถลงข่าว "ผลประกอบการปี2559 และแผนการดำเนินงานประจำปี 2560 พร้อมแผนธุรกิจ 5 ปี" ประกาศความสำเร็จ โชว์ผลงานทุบสถิติใหม่ ยอดโอนปี59 เพิ่มสูงขึ้น 65%  พร้อมรุกหนักลุยเปิด 17 โครงการใหม่ เพิ่มขึ้น 102% มูลค่ากว่า 41,800 ล้านบาท คาดเติบโต 300% ใน 3 ปี  ณ โรงแรมโซฟิเทล สุขุมวิท
มือเก๋าวงการอสังหาฯ เปิดตัวบริษัทใหม่เอสพาร์ค ทู เจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน พร้อมส่ง “เดอะเคปเลอร์” บ้านหรูระดับลักชัวรี่ลงตลาด

มือเก๋าวงการอสังหาฯ เปิดตัวบริษัทใหม่เอสพาร์ค ทู เจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน พร้อมส่ง “เดอะเคปเลอร์” บ้านหรูระดับลักชัวรี่ลงตลาด

บริษัท เอสพาร์ค ทู จำกัด สบช่องว่างกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน พัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบ Customization พร้อมเปิดตัวส่งดาวดวงใหม่ “เดอะเคปเลอร์” (THE KEPLER) บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สูง 4 ชั้น ราคาเริ่มต้นที่ 50 ล้านบาท จำกัดเพียง 5 ครอบครัว ในสังคมมีระดับ บนทำเลศักยภาพที่มีลักษณะเป็นไฮบริด ระหว่างความเจริญเติบโตของโซนศรีนครินทร์ และความร่มรื่นของธรรมชาติอย่าง สวนหลวง ร.9 และสวนวนธรรม ลงตลาดเจาะกลุ่มผู้บริหารและเจ้าของกิจการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จและมีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว สานต่อความฝันด้วยมาตรฐาน Intelligent Living ระดับท็อปในบ้านทุกหลัง เสมือนเป็นโลกใบใหม่ในการใช้ชีวิต นางสาวเสาวภาคย์ ถนอมศักดิ์กุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสพาร์ค ทู จำกัด  เปิดเผยว่า เอสพาร์ค ทู เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจส่วนตัว และประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยกว่า 20 ปี ซึ่งตนอยู่ในวงการนี้มานาน พบว่ามีลูกค้ากลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริหารหรือผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ มีความต้องการในที่อยู่อาศัยที่มีเอกลักษณ์และฟังก์ชั่นการใช้งานตามไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว ซึ่งโครงการที่อยู่อาศัยในตลาดส่วนใหญ่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ จึงเกิดแนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบของ Customization เพื่อมารองรับลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูงและมีความเป็นตัวตนชัดเจนนี้โดยเฉพาะ การพัฒนาโครงการของ เอสพาร์ค ทู เน้นการเจาะกลุ่มลูกค้าแบบเจาะจง คือเลือกกลุ่มลูกค้าที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ และต้องการสร้างความมั่นคงและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคนในครอบครัว อย่างยั่งยืน โดยมีปัจจัยสำคัญหลักอยู่ 3 ส่วนด้วยกัน เริ่มจาก การเลือกสรรทำเลที่มีศักยภาพพร้อมทั้งมีสิ่งแวดล้อมที่ดี ต่อมาคือรูปแบบสถาปัตยกรรมของบ้าน ตลอดจนการดีไซน์ฟังก์ชันในบ้านที่จะต้องเติมเต็มการใช้ชีวิตของลูกค้าอย่างโดนใจ และสุดท้ายคือโปรแกรมของ Intelligent Living ที่บ้านทุกหลังต้องคำนึงถึงทั้งด้านความปลอดภัย การประหยัดพลังงาน ความสะดวกสบาย แบบเรียลไทม์  เพราะฉะนั้นรูปแบบโครงการของ เอสพาร์ค ทู ในแต่ละโครงการจะไม่ใหญ่มาก หากเป็นที่ดินแปลงใหญ่จะแบ่งการพัฒนาออกเป็นเฟส เพื่อการลงรายละเอียดในแต่ละโครงการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ในเบื้องต้นได้วางเป้าหมายการพัฒนาโครงการปีละ 1 โครงการ โดยบ้านแต่ละหลังจะมีระดับราคาเริ่มต้นที่ 50 ล้านบาท นางสาวเสาวภาคย์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับโครงการแรกที่บริษัทฯ ได้เปิดตัวใช้ชื่อว่า “เดอะเคปเลอร์” (THE KEPLER) โดยมีที่มาจากการค้นพบขององค์การนาซาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาว่า ดาวเคราะห์ดวงใหม่ คือ เคปเลอร์ เป็นดาวที่มีสภาพแวดล้อมเหมือนกับโลกมากที่สุด เป็นเสมือนฝาแฝดของโลก จนมีคำกล่าวที่ว่า ที่นี่จะเป็นที่อยู่ใหม่สำหรับโลกในอนาคต จึงเป็นแนวคิดในการตั้งชื่อโครงการ “เดอะเคปเลอร์” เพื่อเป็นแนวทางใน   การสร้างสรรค์พัฒนาบ้านให้สอดรับกับกระแสโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และให้เห็นว่า บ้านทุกหลังเกิดจากความใส่ใจในทุกๆ รายละเอียด เสมือนเป็นโลกใบใหม่ของการใช้ชีวิตที่ดีที่เหมาะกับกลุ่มคนที่มีรูปแบบเฉพาะตัวจริงๆ โครงการ “เดอะเคปเลอร์” (THE KEPLER) บนพื้นที่โครงการประมาณ 1-1-17 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 250 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวระดับหรูที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สูง 4 ชั้น ประกอบด้วย 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 2 ห้องแม่บ้าน บนขนาดที่ดินตั้งแต่ 99.3 – 108.2 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 637.9 – 646.6 ตารางเมตร  รูปแบบฟังก์ชั่นภายในบ้านสามารถปรับเปลี่ยนให้ตรงตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ในราคาเริ่มต้นที่ 50 ล้านบาท มีเพียง 5 ยูนิต นางสาวเสาวภาคย์ กล่าวเสริมถึงแนวคิดในการพัฒนาโครงการเดอะเคปเลอร์ว่า เราเปรียบเสมือนเป็นที่ปรึกษาของลูกค้าที่ต้องการมีบ้านที่ให้ทั้งความสุขของทุกคนในครอบครัว และยังเป็นการสร้างความมั่นคงด้วยการเพิ่มขึ้นของมูลค่าบ้านและที่ดิน   เริ่มตั้งแต่การเลือกโลเคชั่นของโครงการเดอะเคปเลอร์ บนโซนศรีนครินทร์  ที่ตั้งของ เดอะเคปเลอร์ ถือเป็นโลเคชั่นที่เป็นไฮบริดจ์  เพราะเป็นโซนที่มีศักยภาพ มีการเจริญเติบโตทั้งด้านเศรษฐกิจ เช่นใกล้ห้างสรรพสินค้าพาราไดซ์  ด้านการเดินทางที่สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนหลักหลายสาย และในเร็วๆ นี้ จะมีรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว – สำโรง ตัดผ่าน โดยมีจุดจอดของสถานี สวนหลวง ร.9 ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับโครงการ และอีกจุดเด่นของทำเลที่ตั้ง เดอะเคปเลอร์ คือการอยู่ติดกับสวนหลวง ร.9 และ สวนวนธรรม ซึ่งมีธรรมชาติอยู่แวดล้อม เหมาะกับการใช้ชีวิตในรูปแบบ Slow life เดินออกกำลังกาย ปั่นจักรยานในสวนนั่งเล่น “เราเลือกโลเคชั่นนี้ เพราะที่ดินตรงนี้สามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยแบบ Luxury เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายของลูกค้าที่ไม่ต้องการอยู่ในโครงการจัดสรรใหญ่ๆ แต่ต้องการทำเลที่มีศักยภาพ การเดินทางสะดวกสบาย ใกล้แหล่งความเจริญ และที่สำคัญอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติที่เป็นปอดขนาดใหญ่ อย่างสวนหลวง ร.9 ที่เหมาะกับการอยู่อาศัย อย่างแท้จริง” นางสาวเสาวภาคย์กล่าว นอกจากทำเลที่ดีในการพัฒนาโครงการแล้ว เดอะเคปเลอร์ ยังคงให้ความสำคัญในเรื่องการออกแบบบ้าน เราจึงเลือกบริษัทสถาปนิก A 49 มาเป็นผู้ออกแบบบ้านให้กับโครงการเดอะเคปเลอร์ แนวคิดตั้งต้นคือการทำบ้านให้ทุกคนในครอบครัวสามารถมีพื้นที่ที่เป็นส่วนตัว และมีพื้นที่ทีทุกคนในครอบครัวมีกิจกรรมร่วมกันอย่างอบอุ่น จึงออกแบบวางพื้นที่เพื่อสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยการวางพื้นที่สวนและสระว่ายน้ำเป็นศูนย์กลางของบ้านที่สามารถมองเห็นได้จากทุกห้อง และยังมีพื้นที่ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวด้วยการจัดวางให้ทุกห้องนอนเป็น Private Quarter แยกจากกันคนละฝั่ง และที่สำคัญแนวความคิดในการออกแบบรูปแบบบ้านเลือกใช้รูปแบบที่โค้งบริเวณมุมบ้าน โดยใช้กระจกโค้งเพื่อสร้างความกลมกลืน ไม่มีกรอบที่ชัดเจน เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติภายนอกและความรู้สึกภายในที่ให้ความรู้สึกพิเศษกว่า ดูเรียบหรู มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ยิ่งกว่านั้น เดอะเคปเลอร์ ได้ใส่โปรแกรม Intelligent Living ซึ่งประกอบไปด้วย Solar Roof ที่ช่วยดึงพลังงานจากแสงอาทิตย์มาใช้ ซึ่งโดยปกติบ้านขนาดใหญ่ต้องการใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก ค่าใช้จ่ายสูง แต่เมื่อติดตั้ง Solar roof สามารถช่วยให้ประหยัดพลังงาน และยังช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม  พร้อมระบบ Home Automation ระดับท็อปคลาสที่รองรับความต้องการในยุคเทคโนโลยี รวมทั้งวัสดุที่เลือกใช้เป็นแบรนด์ระดับโลกซึ่งความพิเศษเหล่านี้คือมาตรฐานที่ลูกค้า“เดอะเคปเลอร์” จะได้รับ จากการตั้งใจสร้างสรรค์อย่างพิถีพิถัน เพื่อรองรับ 5 ครอบครัวที่มีระดับที่จะมาครอบครอง
‘เอพี ไทยแลนด์’ เปิดบ้านต้อนรับนิสิตนักศึกษา “เอพี โอเพ่น เฮ้าส์ 2017” เตรียมเข้าฝึกงานแบบเจาะลึก 2 เดือนเต็ม กับ สถาบันเอพี อะคาเดมี่

‘เอพี ไทยแลนด์’ เปิดบ้านต้อนรับนิสิตนักศึกษา “เอพี โอเพ่น เฮ้าส์ 2017” เตรียมเข้าฝึกงานแบบเจาะลึก 2 เดือนเต็ม กับ สถาบันเอพี อะคาเดมี่

กรุงเทพฯ (22 ก.พ. 60) – เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย เปิดบ้านต้อนรับนิสิตนักศึกษาจำนวน 50 คน (จากยอดผู้สมัคร 1,400 คนจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ) เพี่อเตรียมเข้าฝึกงานในโครงการ “เอพี โอเพ่นเฮ้าส์ 2017 – ชีวิตจริงยิ่งกว่าทฤษฎี” (ปีที่ 2) ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึง สิ้นเดือนกรกฎาคม 2560 รวมเวลา 2 เดือน เพื่อเรียนรู้กระบวนการทำงานอย่างแท้จริง ได้ปฏิบัติงานจริง ภายใต้การดูแลของ “เอพี อะคาเดมี่” (AP Academy) สถาบันเพื่อการเรียนรู้ครบวงจรด้านอสังหาริมทรัพย์แห่งแรกในประเทศโดย บมจ. เอพี (ไทยแลนด์)   โดยหลักสูตรฝึกงานเอพี โอเพ่นเฮ้าส์  2017 เน้นสองโปรแกรมฝึกงานสำคัญ ได้แก่ โปรแกรมวิศวกรรมโยธา  ที่ครอบคลุมทุกกระบวนการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งความพิเศษในปีนี้ คือ เน้นความรู้ด้านกระบวนการก่อสร้างบ้านแนวราบ และ โปรแกรมด้านการตลาดและการขาย ที่จะได้เรียนรู้กระบวนการทำงานในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเน้นให้นิสิตนักศึกษาเข้าใจและทำงานอย่างเป็นระบบ เมื่อสิ้นสุดโครงการนิสิตนักศึกษาจะได้รับใบประกาศนียบัตรจากเอพี อะคาเดมี่ สำหรับนิสิตนักศึกษาจำนวน 4 คนที่มีผลการฝึกงานที่โดดเด่นยังจะได้รับโอกาสจาก บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) ไปศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นกับบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (Mitsubishi Estate Group หรือ MEC) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศญี่ปุ่น พันธมิตรทางธุรกิจของเอพี เพื่อเป็นกำลังสำคัญในอนาคตที่จะร่วมพัฒนาวงการอสังหาฯ ไทยให้ก้าวไกลได้มาตรฐานสากล   นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานทรัพยากรบุคคล บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) และผู้อำนวยการสถาบันเอพี อะคาเดมี่ กล่าวว่า “สำหรับที่เอพี เรามุ่งมั่นในเรื่องของการสร้าง ‘คน’ โครงการ ‘เอพี โอเพ่นเฮ้าส์’ ภายใต้สถาบัน ‘เอพี อะคาเดมี่’ จึงมีเป้าหมายในการถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และเปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาได้ฝึกฝนความคิดและทักษะผ่านการลงมือปฏิบัติจริงอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและให้น้องได้เห็นภาพอย่างเป็นรูปธรรมในการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ชีวิต   การทำงานจริง  เอพี โอเพ่นเฮ้าส์ มุ่งหวังช่วยยกระดับการศึกษาให้เยาวชนรุ่นใหม่ที่จะเป็นอนาคตของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทั้งยังหวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศให้แข่งขันได้ในระดับนานาชาติ”   คุณภูมิพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เอพี โอเพ่นเฮ้าส์ วางโครงสร้างหลักสูตรให้นิสิตนักศึกษาได้เจาะลึกในทุกกระบวนการทำงานจริงในการพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร เริ่มจาก เรียนรู้จริงทุกกระบวนการ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ทั้งการวางแผนงานการตลาดและการขาย ได้ลงมือทำจริง เข้าอบรมและลงพื้นที่ปฏิบัติงานจริงตลอดระยะเวลา 2 เดือน และมีโค้ชส่วนตัว ประกอบด้วย วิศวกรผู้เชี่ยวชาญ (Senior Engineer) นักการขาย (Senior Sales Executive) และนักการตลาด (Senior Marketing Executive) ผู้มีประสบการณ์ ทำหน้าที่ลงหน้างานจริงเพื่อดูแลและให้ความรู้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดตลอดการฝึกงาน”   โครงการฝึกงานเอพี โอเพ่นเฮ้าส์ 2017 ประกอบด้วยนิสิตนักศึกษา 50 คน แบ่งเป็นด้านวิศวกรรมโยธา 30 คน และด้านการตลาดและการขาย 20 คน ซึ่งผ่านการคัดเลือกจากผู้สมัคร 1,400 คน จาก 38 สถาบัน การศึกษาทั่วประเทศ ที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านการทำแบบทดสอบออนไลน์ และเข้าร่วมกิจกรรมคัดเลือก ณ สำนักงานใหญ่ของเอพี จนได้รับการคัดเลือกเพื่อเข้าฝึกงานกับบมจ. เอพี (ไทยแลนด์)   นายเจตวิสุทธิ์ เลี้ยงชีพ นิสิตชั้นปีที่ 3 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในผู้ผ่านการคัดเลือกโปรแกรมฝึกงานด้านวิศวกรรมโยธา กล่าวว่า “ไม่คิดเลยครับว่าจะได้รับคัดเลือก เพราะปีนี้มีผู้ลงสมัครจำนวนมาก ทุกคนมีศักยภาพสูง แต่ผมก็ทำสุดความสามารถครับ เพราะผมอยากเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ ผมอยากเห็นการทำงานในสถานการณ์จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิศวกรรมโยธา เพราะเป็นสาขาที่ผมเรียนมาโดยตรง นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เรียนรู้การสร้างบ้านอย่างเจาะลึกกับเอพี (ไทยแลนด์) ตั้งแต่การพัฒนาที่ดินเปล่าไปจนถึงการส่งมอบบ้านครับ”   ขณะที่ นายสิรภพ อรุณทิพย์ไพฑูรย์ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้เข้าร่วมโปรแกรมฝึกงานด้านการตลาดและการขาย กล่าวเสริมว่า “ดีใจมากเลยครับที่ได้รับคัดเลือก เนื่องจากจะได้ลงมือทำงานในสถานการณ์จริง โดยมีโค้ชซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ โดยส่วนตัวมองว่า การได้ลงมือทำจริงและได้เห็นของจริง ย่อมดีกว่าการเรียนรู้จากในชั้นเรียนเพียงอย่างเดียวครับ และยังมีการคัดเลือกผู้ที่มีผลงานโดดเด่นไปศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นถึง 4 คนอีกด้วยครับ”   เอพี (ไทยแลนด์) จัดตั้ง ‘เอพี อะคาเดมี่’ สถาบันเพื่อการเรียนรู้ครบวงจรด้านอสังหาริมทรัพย์แห่งแรกในประเทศไทย เมื่อเดือนตุลาคม 2558 ด้วยงบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท ประกอบไปด้วย โครงสร้างหลัก 3 ส่วน ดังนี้ 1. เอพี พร็อพเพอร์ตี้ สคูล เพื่อบุคลากรเอพี สร้างความพร้อม พัฒนาบุคลากร และยกระดับมาตรฐานการทำงานอย่างมีระบบ 2. เอพี ซิมโพเซียม คือ เวทีเสวนางานดีไซน์ที่ เอพีจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียน นิสิตนักศึกษา ดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และ 3. เอพี โอเพ่นเฮ้าส์ คือ การเปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาได้มาฝึกอบรม เรียนรู้กระบวนการทำงานจริง โดยมุ่งหวังให้สามารถนำความรู้และทฤษฎีมาประยุกต์ใช้กับการทำงานในพื้นที่จริง และเรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ดีๆ ที่สำคัญคือมิตรภาพความเป็นพี่น้องของทีมงานเอพี และมิตรภาพระหว่างเพื่อนๆ ว่าที่วิศวกร นักการตลาดและนักการขายของประเทศไทย     มร.โนริคาสุ ฮายาชิ จากบริษัท พรีเมียม เรสซิเดนซ์ จำกัด (บริษัทร่วมทุนระหว่างเอพี และมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป)
ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่ชิดลม เพลินจิต วิทยุและรอบสวนลุมพินี

ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่ชิดลม เพลินจิต วิทยุและรอบสวนลุมพินี

พื้นที่ในทำเลรอบๆ สวนลุมพินี ถนนวิทยุ ชิดลม เพลินจิต และในซอยร่วมฤดีเป็นทำเลที่เรียกได้ว่ามีราคาที่ดินแพงที่สุดในประเทศไทยที่มีการซื้อขายกันจริง เพราะที่มีการซื้อขายกันไปล่าสุดในปีพ.ศ.2558 อยู่ที่ตารางวาละ 1.9 ล้านบาทและเป็นทำเลที่มีราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา เพราะในทำเลใกล้เคียงกันแถวๆ หัวมุมถนนเพลินจิตและวิทยุมีการซื้อขายกันในราคาตารางวาละ 900,000 บาทต่อตารางวาในปีพ.ศ.2549 เรียกว่าขึ้นกันเป็นล้านบาทในเวลา 10 ปีเลยทีเดียว ดังนั้นคอนโดมิเนียมในทำเลแถวนี้จึงมีราคาค่อนข้างสูงโดยเฉพาะโครงการที่เปิดขายในช่วงปีพ.ศ.2558 เป็นต้นมา คอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จในแต่ละปีในพื้นที่ชิดลม เพลินจิต วิทยุและรอบสวนลุมพินี ที่มา: ฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ที่มา: ฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย คอนโดมิเนียมที่เปิดขายในพื้นที่ ณ สิ้นปีพ.ศ.2559 มีทั้งหมดประมาณ 8,486 ยูนิตและขายไปได้มากกว่า 90% มีคอนโดมิเนียมเหลือขายอยู่ม่มากแล้ว ณ ปัจจุบันและเป็นโครงการที่สร้างเสร็จเกือบทุกโครงการทำให้ราคาขายในพื้นที่นี้ค่อนข้างสูง มีหลายโครงการที่มีราคาขายมากกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตร และขึ้นไปถึงมากกว่า 550,000 บาทต่อตารางเมตร โครงการที่เปิดขายในปีพ.ศ.2559 – 2560 เปิดขายกันที่มากกว่า 350,000 บาทต่อตารางเมตร ทั้งที่ก่อนหน้านี้สัก 5 ปีราคาขายอยู่ที่ประมาณ 140,000 – 180,000 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น สาเหตุสำคัญที่มีผลต่อราคาขายคอนโดมิเนียมคือราคาที่ดินที่สูงขึ้นเพราะมีที่ดินเหลือไม่มากและพื้นที่นี้เป็นทำเลที่มีศักยภาพมีความพร้อมในหลายๆ ด้าน ทั้งอาคารสำนักงาน โรงพยาบาล ไม่ไกลจากศูนย์การค้าและสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ในอนาคตยังจะมีศูนย์สุขภาพขนาดใหญ่ของกลุ่ม BDMS ที่บริเวณโรงแรมปาร์คนายเลิศในปัจจุบัน เส้นทางรถไฟฟ้า และรถไฟใต้ดินเรียกว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกครบทำให้ทำเลนี้มีทั้งชาวไทย และต่างชาติเลือกเป็นที่พักอาศัยทั้งในรูปแบบของการเช่าอพาร์ทเม้นต์ เซอร์วิสอพาร์ทเม้นต์ คอนโดมิเนียม และโรงแรม ไปจนถึงการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อเป็นที่พักอาศัยในระยะยาว โครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายในทำเลนี้จึงได้รับความสนใจและมีอัตราการขายที่ค่อนข้างสูงแม้ว่าราคาขายคอนโดมิเนียมจะสูงมากเช่นกัน แต่อาจจะมีโครงการเปิดขายไม่มากเมื่อเทียบกับพื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิทเพราะราคาที่ดินที่สูงมากจึงทำให้มีผู้ประกอบการไม่กี่รายเข้ามาซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการในทำเลนี้
บมจ.ไดอิ กรุ๊ป ประกาศแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2560 เน้นการสร้างนวัตกรรมใหม่ ชูจุดเด่นด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง

บมจ.ไดอิ กรุ๊ป ประกาศแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2560 เน้นการสร้างนวัตกรรมใหม่ ชูจุดเด่นด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง

นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไดอิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ที่ 3 จากขวา) พร้อมคณะผู้บริหาร จัดงานแถลงข่าวประกาศแผนธุรกิจของ บมจ.ไดอิ กรุ๊ป ครั้งแรก หลังจากควบรวมกับเนอวานาแล้ว พร้อม ชู Living Solution  นำจุดเด่นของทั้ง 2 บริษัท คือ เทคโนโลยี + ดีไซน์ มาผนวกเข้าด้วยกัน  โดยการรวมกันในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในวงการอสังหาฯ ไทย ที่หนึ่งบริษัทจะมีทั้งธุรกิจพัฒนาโครงการ ธุรกิจรับสร้างบ้าน ธุรกิจบ้านสำเร็จรูป และธุรกิจขายวัสดุเกี่ยวกับบ้าน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการจะมีบ้านอย่างตรงจุด โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้อง Ballroom Maneeya A ชั้น 2 โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆนี้
อนันดาฯ โชว์ผลงานแกร่งยอดโอนปี 59 เพิ่มสูงขึ้น 65% สู่ระดับ 15,866 ล้านบาท พร้อมรุกเดินหน้าลุยเปิด 17 โครงการใหม่ มูลค่า 41,800 ล้านบาทปี 60

อนันดาฯ โชว์ผลงานแกร่งยอดโอนปี 59 เพิ่มสูงขึ้น 65% สู่ระดับ 15,866 ล้านบาท พร้อมรุกเดินหน้าลุยเปิด 17 โครงการใหม่ มูลค่า 41,800 ล้านบาทปี 60

อนันดาฯ รุกหนักปี 60 ลุยเปิด 17 โครงการใหม่ เพิ่มขึ้น 102% มูลค่ากว่า 41,800 ล้านบาท ประกาศโต 300% ใน 3 ปี บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า โชว์ศักยภาพเติบโตแบบก้าวกระโดด พร้อมประกาศมียอดโอนเพิ่มสูงขึ้นถึง 65% ด้วยยอดกว่า 15,866 ล้านบาท โดยปี 2559 เป็นปีที่มียอดโอนสูงสุด ส่งผลให้กำไรสุทธิสูงสุดถึง 1,501 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อน นอกจากนี้บริษัทมียอดขายที่ 25,175 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมาย 21% พร้อมประกาศแผนธุรกิจปี 2560 เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ถึง 17 โครงการ มูลค่ากว่า 41,841 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตขึ้น 102% ต่อปี พร้อมมียอดโอนที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น 58% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "ระยะเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน" โดยบริษัทฯ คาดหวังว่ายอดโอนจะเติบโต จาก 9,598 ล้านบาท ในปี 2558 เป็น 42,351 ล้านบาท ในปี 2561 นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทฯ ประสบความสำเร็จสูงเกินคาดจากแผนการดำเนินงานที่ตั้งไว้ สำหรับแผนดำเนินงานในปี 2560 บริษัทฯ เตรียมรุกตลาดอย่างหนัก โดยมีแผนในการเปิดตัวโครงการใหม่เป็น 41,800 ล้านบาท โตสองเท่าจากปีก่อน ซึ่งในปีนี้การเปิดตัวใหม่ประกอบด้วยคอนโดมิเนียม 12 โครงการ มูลค่า 36,400 ล้านบาท และ โครงการแนวราบ 5 โครงการ มูลค่า 5,400 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 17 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 41,800 ล้านบาท โดยมีเป้ายอดขาย (presales) 30,400 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% สอดคล้องกับโครงการที่เปิดใหม่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้บริษัทฯ และยังคงอยู่ในช่วงที่เรียกว่า "ระยะเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน" ซึ่งจะเห็นได้จากยอดโอนที่เติบโตขึ้นสามเท่าตัว ระหว่างปี 2558 จนถึง 2561 รวมการเติบโต 58% จากปี 2559   สำหรับแผนดำเนินงานในปี 2560 บริษัทฯ เตรียมรุกตลาดอย่างหนัก โดยมีแผนในการเปิดตัวโครงการใหม่เป็น 41,800 ล้านบาท โตสองเท่าจากปีก่อน ซึ่งในปีนี้การเปิดตัวใหม่ประกอบด้วยคอนโดมิเนียม 12 โครงการ มูลค่า 36,400 ล้านบาท และ โครงการแนวราบ 5 โครงการ มูลค่า 5,400 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 17 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 41,800 ล้านบาท โดยมีเป้ายอดขาย (presales) 30,400 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% สอดคล้องกับโครงการที่เปิดใหม่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้บริษัทฯ และยังคงอยู่ในช่วงที่เรียกว่า "ระยะเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน" ซึ่งจะเห็นได้จากยอดโอนที่เติบโตขึ้นสามเท่าตัว ระหว่างปี 2558 จนถึง 2561 รวมการเติบโต 58% จากปี 2559"
ไดอิผนึกเนอวานา ประกาศแผนธุรกิจครั้งแรก ชู Living Solution สร้างนวัตกรรมใหม่ให้ในวงการอสังหาฯ

ไดอิผนึกเนอวานา ประกาศแผนธุรกิจครั้งแรก ชู Living Solution สร้างนวัตกรรมใหม่ให้ในวงการอสังหาฯ

ไดอิผนึกเนอวานา ประกาศแผนธุรกิจครั้งแรก ชู Living Solution สร้างนวัตกรรมใหม่ให้ในวงการอสังหาฯ ที่มีทั้งรับสร้างบ้าน-บ้านสำเร็จรูป-พัฒนาโครงการ-วัสดุเกี่ยวกับบ้าน ด้วยแผนยุทธศาสตร์ “Beyond Synergy” สร้างบริษัทที่แข็งแกร่งพร้อมรุกสู่ธุรกิจใหม่ กรุงเทพ 20 ก.พ.60 - บมจ.ไดอิ กรุ๊ป ประกาศแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2560 เน้น Living Solution หลังผนึกเนอวานา เน้นการสร้างนวัตกรรมในการอยู่อาศัย โดยเป็นครั้งแรกที่นำจุดเด่นด้านเทคโนโลยีการก่อสร้างของไดอิ มาช่วยในการพัฒนาการก่อสร้างของเนอวานา ในขณะเดียวกันนำดีไซน์ที่โดดเด่นของเนอวานามาช่วยพัฒนาสินค้าของไดอิให้น่าสะดุดตามากยิ่งขึ้น พร้อมประกาศเป็นเจ้าแรกเจ้าเดียวในไทยที่มีธุรกิจครบไลน์เรื่องบ้านในวงการอสังหาฯ โดยปัจจุบันผู้บริหารของเนอวานาได้ขึ้นรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไดอิแล้วอย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศเปิดตัวใหม่ 3  โครงการมูลค่ารวม 8,500 ล้าน นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไดอิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวแนะนำ บมจ.ไดอิ กรุ๊ป พร้อมเผยแผนการดำเนินงานเมื่อรวม 2 บริษัทเข้าเป็นหนึ่งเดียวว่า “บมจ.ไดอิ กรุ๊ป คือ บริษัทที่ทำธุรกิจรับสร้างบ้านในแบรนด์ “ดีจิ” (Deeji)  ธุรกิจบ้านสำเร็จรูปในแบรนด์ “กินซ่า” (Ginza) ธุรกิจรั้วบ้าน ในแบรนด์ Fenzer, ธุรกิจกรอบประตู หน้าต่างอลูมิเนียมแบรนด์ ATECH ซึ่งจุดเด่นในการดำเนินธุรกิจของไดอิ คือ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ดี ส่วนธุรกิจของเนอวานานั้น เป็นผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ที่มีดีไซน์โดดเด่น ลงลึกในทุกรายละเอียดของการอยู่อาศัย เมื่อ 2 บริษัทมารวมกันเราจึงนำจุดเด่นของทั้งคู่มาผนวกเข้าด้วยกัน คือ เทคโนโลยี + ดีไซน์ ซึ่งจะเพิ่ม   ความรวดเร็วในการก่อสร้างภายใต้ดีไซน์ที่สวยงาม โดยการรวมกันในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในวงการอสังหาฯ ไทย ที่หนึ่งบริษัทจะมีทั้งธุรกิจพัฒนาโครงการ ธุรกิจรับสร้างบ้าน ธุรกิจบ้านสำเร็จรูป และธุรกิจขายวัสดุเกี่ยวกับบ้าน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการจะมีบ้านอย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นบ้านบนที่ดินตัวเอง หรือการซื้อบ้านในโครงการจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์  โดยเป้าหมายที่เราวางไว้ คือ Living Solution เพียงนึกถึงการมีบ้าน เมื่อเดินทางมาที่ไดอิจะมีทุกอย่างให้เลือก ดังนั้น การรวมกันในครั้งนี้ จึงเป็น Beyond Synergy หรือขั้นกว่าของการผสานธุรกิจ เพราะเราไม่ได้มองแค่การรวมเพื่อเติบโตทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องการรวมเพื่อนำจุดเด่นในทุกด้านของทั้งคู่มาใช้ ทั้งการรวมด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม วิธีคิด ช่องทางการตลาดใหม่ ๆ และการพัฒนาสินค้าเพื่อยังประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภคด้วยนั่นเอง” “ทั้งนี้แผนการดำเนินธุรกิจของ บมจ.ไดอิ กรุ๊ป ณ ปัจจุบันจึงมี 3 ประเภทธุรกิจหลัก ได้แก่  1. ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้แบรนด์เนอวานา, 2. ธุรกิจรับสร้างบ้าน ภายใต้แบรนด์ดีจิ และบ้านสำเร็จรูปแบรนด์กินซ่า, 3. ธุรกิจวัสดุเกี่ยวกับบ้าน คือ รั้ว แบรนด์ Fenzer  และกรอบประตูหน้าต่าง แบรนด์ ATECH โดยหนึ่งในแผนกลยุทธ์ของบริษัท คือ การเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าได้มากขึ้น และง่ายขึ้น ดังนั้น เรามีแผนการดันสินค้าด้านวัสดุก่อสร้างเข้าสู่ Modern Trade , การสร้างพื้นที่สำหรับเป็น Show Unit เพื่อให้ลูกค้าที่สนใจได้สัมผัสบ้านสำเร็จรูป และแบบบ้านใหม่ๆ จากธุรกิจรับสร้างบ้านของเราได้อย่างเต็มที่ในอนาคต นอกจากนี้ ยังเตรียมรุกธุรกิจใหม่เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม ได้แก่ การนำแบบบ้านในสไตล์ของเนอวานามาทำในลักษณะธุรกิจรับสร้างบ้าน เพื่อให้ลูกค้าได้มีบ้านแบบเนอวานาบนที่ดินของตัวเอง, การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายแก่นักลงทุนที่สนใจ (Investment property development) และการร่วมทำธุรกิจกับเจ้าของที่ดิน (Joint venture Model)” สำหรับผลการดำเนินงาน และแผนการดำเนินงานของสินค้าภายใต้แบรนด์เนอวานานั้น นายศรศักดิ์ กล่าวว่า  “ในปีที่ผ่านมายอดขายของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์เนอวานา เติบโตขึ้นจาก 1,364 ลบ. ในปี 2558  เป็น 2,247 ลบ. ในปี 2559 หรือโตขึ้ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์  โดยยอดขายส่วนใหญ่มาจากบ้านราคาสูงกว่า 15 ล้านบาท และสำหรับปี 2560 ได้วางเป้ายอดขายไว้ที่ 3,900 ลบ. เติบโตขึ้นจากปี 59 อีก 43 เปอร์เซ็นต์ โดยปีนี้จะมีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,000 ล้านบาท และโครงการที่พักอาศัยแนวราบ  มูลค่าโครงการประมาณ 2,500 ล้านบาท”
CBRE เผยแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ปี 60 ยังมีโอกาสอีกมาก

CBRE เผยแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ปี 60 ยังมีโอกาสอีกมาก

CBRE เผยแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ปี 60 นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ได้ออกมาเปิดเผยแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ในวันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2560) ไว้ว่า "แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวมในปีนี้ค่อนข้างจะไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา  โดยธนาคารแห่งประเทศไทยคงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2560 ที่ร้อยละ 3.2 เช่นเดียวกับปี 2559 ปัจจัยภายนอกเป็นความท้าทายมากที่สุดสำหรับเศรษฐกิจไทย นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกาต่อจีนที่อาจเกิดขึ้นคือหนึ่งในความเสี่ยงสำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2560  เนื่องจากปริมาณการส่งออกจากจีนสู่สหรัฐฯ ที่ลดลงหมายถึงการส่งออกวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์จากไทยสู่จีนเพื่อการส่งออกต่อ ลดลงตามไปด้วย การลงทุนจากต่างชาติเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในตลาดจะยังคงเป็นรายเดิม  แต่ความสนใจจากต่างชาติที่มีต่ออสังหาริมทรัพย์ของไทย ประกอบกับความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินในประเทศให้แก่ผู้พัฒนาโครงการ  กระตุ้นให้เกิดการร่วมทุนระหว่างบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติมากขึ้น ความต้องการที่ดินในทำเลชั้นนำยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี เชื่อว่าราคาที่ดินในย่านใจกลางธุรกิจ (ซีบีดี) ของกรุงเทพมหานครจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการคอนโดมิเนียมในย่านใจกลางเมืองยังมีอยู่มาก และราคาขายคอนโดมิเนียมก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้นในปี 2560    แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี ยังเชื่อว่าจะมีการทำลายสถิติราคาที่ดินอีกครั้งในแต่ละทำเลของซีบีดี นอกจากนี้ ในปี 2560 นักลงทุนมีแนวโน้มความต้องการในการเข้าซื้อทรัพย์สินในลักษณะของอาคารเก่าและนำมาปรับปรุงใหม่ เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ และอาคารสำนักงาน เป็นต้น ผู้ซื้อที่พักอาศัยพิจารณามากขึ้นในการเลือกซื้อ และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มกิจกรรมทางการตลาดในต่างประเทศ แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี เชื่อว่าความต้องการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ขึ้นไปจะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องแม้ว่าผู้ซื้อจะมีความพิถีพิถันในการเลือกซื้อมากขึ้นก็ตาม   ทั้งนี้ ความต้องการส่วนใหญ่จะยังคงมาจากผู้ซื้อชาวไทยเป็นหลักในสัดส่วน 85% แม้ยอดขายในปีที่ผ่านมาจะชะลอตัวลง แต่ราคาคอนโดมิเนียมที่ผู้ประกอบการเสนอขายก่อนที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จ (Off-plan) ในย่านใจกลางเมืองนั้นสามารถทุบสถิติราคาแตะที่ระดับสูงกว่า 3 แสนบาทต่อตารางเมตรได้มากถึง 17 โครงการด้วยกัน ซีบีอาร์อี คาดการณ์ว่า ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายจะยังคงมองหาโอกาสในการขายตลาดไปยังผู้ซื้อในต่างประเทศ  ซึ่งต่อยอดมาจากความสำเร็จของโครงการที่ทำการตลาดในต่างประเทศเมื่อปีที่แล้ว   โดยคอนโดมิเนียมที่มีราคาขายต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อยูนิตมักได้รับความนิยมจากผู้ซื้อต่างชาติ    ประเทศไทยยังได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากการที่ไม่มีการคิดภาษีอากรแสตมป์กับชาวต่างชาติ ต่างจากประเทศอื่น เช่น สิงคโปร์ และ ฮ่องกง ซึ่งสิ่งนี้เป็นการช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ค่าเช่าพื้นที่สำนักงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี คาดว่า ค่าเช่าพื้นที่สำนักงานในกรุงเทพฯ จะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2560 เพราะปริมาณความต้องการยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 200,000 ตารางเมตร ประกอบกับปริมาณพื้นที่ใหม่ที่มีจำกัด เป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ค่าเช่าเติบโตขึ้น ซีบีอาร์อี พบว่า ผู้เช่าต่างเริ่มให้ความสนใจในการวางกลยุทธ์การใช้พื้นที่ (Workplace Strategy) มากขึ้น   รวมทั้งความต้องการเช่าพื้นที่ล่วงหน้าก็จะยังคงเพิ่มมากขึ้นสำหรับพื้นที่สำนักงานที่มีคุณภาพ     ซีบีอาร์อี เชื่อว่าอัตราการใช้พื้นที่โดยรวมจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและค่าเช่าจะเติบโตระหว่าง 5-10% ในช่วง 12 เดือนต่อจากนี้ เจ้าของโครงการค้าปลีกมุ่งไปที่การจัดการด้าน Placemaking และกรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองที่โดดเด่นเรื่องอาหาร เจ้าของโครงการค้าปลีกจะยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างโครงการให้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการ (Placemaking) ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่การซื้อขายออนไลน์ไม่สามารถให้ได้  การแข่งขันจะมีความรุนแรงมากขึ้นและโครงการที่มีความเข้มแข็งมากที่สุดในแต่ละพื้นที่เท่านั้นที่จะสามารถเติบโตต่อไปได้ การขยายตัวของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มมีส่วนอย่างมากในการสนับสนุนในเรื่องนี้   จากการที่กรุงเทพฯ สร้างชื่อเสียงในฐานะเมืองที่มีความโดดเด่นเรื่องอาหารควบคู่ไปกับการเป็นศูนย์กลางการค้าปลีกระดับลักซ์ชัวรี่ การเติบโตของกลุ่มประเทศ CLMV และอี-คอมเมิร์ซถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับโลจิสติกส์ เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่บริเวณจุดศูนย์กลางของกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี เชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของภูมิภาค ซึ่งเป็นผลจากการที่ภูมิภาคมีอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่เติบโตสูง แม้ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซจะยังเป็นพียงสัดส่วนเล็กน้อยของยอดค้าปลีกโดยรวมในขณะนี้ แต่การที่ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้เกิดความต้องการพื้นที่โลจิสติกส์เพิ่มมากขึ้น  โดยปกติแล้วผู้ค้าปลีกออนไลน์ต้องการพื้นที่มากกว่าร้านค้าปลีกทั่วไปถึง 3 เท่า เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายมากกว่า มีสินค้าคงคลังมากกว่า   รวมถึงความจำเป็นในการอำนวยความสะดวกในการส่งสินค้ากลับในกรณีที่ลูกค้าคืนสินค้า"
เสนา – ฮันคิว จับมือลุยเปิดคอนโด “นิช ไพรด์ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์” ชูไฮไลท์ปรากฏการณ์ครั้งใหม่ของวงการ กับ “ส่วนกลาง 30 ชั้น”

เสนา – ฮันคิว จับมือลุยเปิดคอนโด “นิช ไพรด์ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์” ชูไฮไลท์ปรากฏการณ์ครั้งใหม่ของวงการ กับ “ส่วนกลาง 30 ชั้น”

เสนา – ฮันคิว จับมือลุยเปิดคอนโดใหม่ “นิช ไพรด์ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์” ตอกย้ำความสำเร็จ ชูไฮไลท์ “ส่วนกลาง 30 ชั้น” เขย่าวงการอสังหาฯครั้งแรกในไทย ล่าสุด เตรียมจัด Pre sale 10 มี.ค.นี้ ด้านไนท์แฟรงค์ฯ เผยย่านเตาปูน-บางซื่อ พื้นที่ศักยภาพแห่งใหม่ที่น่าจับตามอง ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA กล่าวว่าบริษัท เสนา- ฮันคิว 1 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SENA กับบริษัท ฮันคิว เรียลตี้จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในญี่ปุ่น หนึ่งในกลุ่ม บริษัท Hankyu Hanshin Holding Group หลังจากพัฒนาโครงการร่วมกันโปรเจกต์แรก “นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่ง” เมื่อปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าได้รับกระแสการตอบรับดีมากจากตลาดกลุ่มเป้าหมาย ส่วนหนึ่งเกิดจากนวัตกรรมจากญี่ปุ่นที่นำมาใช้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Geo fit+” ลิขสิทธิ์เฉพาะจากประเทศญี่ปุ่นและเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่นำนวัตกรรมดังกล่าวเข้ามาใช้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำความสำเร็จ ล่าสุด เตรียมเปิดโครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ “นิช ไพรด์ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์” ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 3 ไร่เศษ ติดรถไฟฟ้าสถานีเตาปูน ถนนประชาราษฎร์ สาย 2 แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับสูง 38 ชั้น 1 อาคาร ทั้งหมด 742 ยูนิต พร้อมอาคารพาณิชย์ สูง 2 ชั้น 1 อาคาร โดยมีให้เลือก 3 แบบ คือ แบบ 1 Bedroom ขนาด 28 -32 ตารางเมตร ,แบบ 1 bedroom plus ขนาด 34.50 ตารางเมตร และ แบบ 2 Bedroom ขนาด 49 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 3.2 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตกตารางเมตรละ 1.3 แสนบาท รวมมูลค่าโครงการ 3,400 ล้านบาท ด้านการออกแบบที่อยู่อาศัยตามแบบฉบับคนญี่ปุ่น สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ลงตัว ภายใต้แนวคิดการออก “My Select” นวัตกรรมจากญี่ปุ่น ที่เลือกฟังก์ชั่นและปรับเปลี่ยนได้ ไม่ว่าจะเป็น Working Zone สาหรับคนที่ชอบพื้นที่ในการสร้างสรรค์งาน หรือ Relaxing Zone สาหรับคนที่ต้องการพักผ่อนจากความวุ่นวาย และพักอาศัยในห้องชุดเพื่อชาร์จพลัง อีกหนึ่งจุดไฮไลท์ของสาธารณูปโภคในโครงการ และนับเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาฯกับ “พื้นที่ส่วนกลางกว่า 30 ชั้น” ที่พร้อมให้คุณเลือกกิจกรรมกว่า 7 ไลฟ์สไตล์ที่เป็นคุณ ทั้ง Active & Passive ไม่ว่าจะเป็น Sky Fitness ห้องออกกำลังกายลอยฟ้าพร้อม Sky Garden ชมสวนสาธารณะพร้อมวิวเมือง, Sky Infinity Edge Pool สระว่ายน้ำระบบเกลือยาวเกือบ 50 เมตร, Sky Lounge, Mini-Theater, Co-Working Space, Kid Club, Yoga Room, Party Room & Recreation Game Room เป็นต้น ด้านนายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยถึง ทำเลเตาปูน-บางซื่อ จะถูกพลิกโฉมกลายเป็นสถานีศูนย์กลางระบบขนส่งมวลชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จปีใน 2563 และเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อ MRT ระหว่างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสถานีบางซื่อและรถไฟฟ้าสายสีม่วงสถานีเตาปูนในปลายปี 2560 ที่ผ่านมา เป็นตัวช่วยเพิ่มศักยภาพด้านทำเลที่อยู่อาศัยในบริเวณเตาปูน-บางซื่อเป็นอย่างมาก ผนวกกับแนวคิดการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งมวลชน Transit Oriented Development (TOD) ครอบคลุมพื้นที่เชิงพาณิชย์กว่า 300 ไร่ ซึ่งเป็นการพัฒนาที่ดินรอบสถานีรถไฟในรูปแบบ Mixed-use Development โดยจะมีรถไฟฟ้าถึง 4 สายที่เชื่อมต่อกับสถานีกลางบางซื่อในอนาคต ได้แก่ สายสีน้ำเงิน สายสีม่วง สายสีแดงเข้ม และสายสีแดงอ่อน  นอกจากรถไฟฟ้าทั้ง 4 สายแล้ว สถานีกลางบางซื่อยังเป็นสถานีต้นทางของรถไฟฟ้าความเร็วสูง 2 เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ระยะทาง 670 ก.ม. และกรุงเทพฯ – หนองคาย ระยะทาง 615 ก.ม. อีกทั้งยังมีส่วนต่อขยาย Airport Rail Link 5 สถานีจากสถานีพญาไทเชื่อมต่อไปยังสนามบินดอนเมืองกับสนามบินสุวรรณภูมิ นอกจากมีการพัฒนาด้านขนส่งคมนาคมแล้วยังมีโครงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ที่นำมาซึ่งการพัฒนาโครงการพื้นฐานอื่นๆตามมา ไม่ว่าจะเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่ การขยายช่องทางจราจร และการก่อสร้างถนนเพิ่มเติมในอนาคต และยังมีโครงการศูนย์การค้า “เกตเวย์ บางซื่อ” มูลค่าการลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท มีพื้นที่รองรับร้านค้าปลีกกว่า 40,000 ตารางเมตร ห่างจากสถานีเตาปูนเพียง 650 เมตร คาดว่าจะเปิดให้บริการในปีนี้ สถานีกลางบางซื่อ (ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน) ยังจะถูกพัฒนาเป็นเมืองอัจฉริยะต้นแบบ (Smart City) ประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิตัลต่างๆ และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ซึ่งขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้มอบหมายให้กระทรวงและหน่วยงานภาครัฐอื่นๆทีเกี่ยวข้อง ตลอดจนภาคเอกชนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่สนใจเป็นหน่วยงานร่วมสนับสนุน เพื่อขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะต้นแบบ (Smart City) อันจะส่งผลด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในย่านเตาปูน-บางซื่อ นับตั้งแต่ปี 2552 ถึง ณ สิ้นไตรมาสที่ 4 ของปี 2560 มีจำนวนอุปทานสะสมทั้งสิ้นประมาณ 30,200 หน่วย มีอัตราการขายสะสม 90% ของจำนวนอุปทานสะสมรวม
“วัสดุก่อสร้าง เอสซีจี” เผยแผนธุรกิจปี 60 เล็งสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจ วางแคมเปญการตลาดตลอดปี ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายทั่วประเทศ ตั้งเป้าโต 1-3% พร้อมเดินหน้าสานต่อบริการผ่านอี-คอมเมิร์ซ

“วัสดุก่อสร้าง เอสซีจี” เผยแผนธุรกิจปี 60 เล็งสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจ วางแคมเปญการตลาดตลอดปี ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายทั่วประเทศ ตั้งเป้าโต 1-3% พร้อมเดินหน้าสานต่อบริการผ่านอี-คอมเมิร์ซ

กรุงเทพฯ - “เอสซีจี” ผู้นำนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง เปิดแผนธุรกิจปี 60 เผยเล็งเห็นสัญญาณบวกจาก 3 ปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่มีผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง การขยายตัวด้านสาธารณูปโภคตามนโยบายรัฐ กำลังซื้อของผู้บริโภค และราคาพืชผลด้านการเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น เน้นการนำเสนอนวัตกรรมสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added : HVA) ด้วยเทคโนโลยีระบบการก่อสร้างและรูปแบบการอยู่อาศัยที่มี “Performance” เป็นระดับขั้นที่แตกต่างตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย ลงชิงส่วนแบ่งตลาด พร้อมอัดแคมเปญกระตุ้นการซื้ออย่างต่อเนื่องตลอดปีประเดิมแคมเปญตลาดแรก ด้วยรายการ “SCG Family Festival ยิ่งช้อป ยิ่งคุ้ม ลุ้นเที่ยวฟรี” ลุ้นสิทธิ์ชมแสงเหนือ ณ ประเทศไอซ์แลนด์ ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายของเอสซีจีที่ร่วมรายการกว่า 150 แห่งทั่วประเทศ  และตอบโจทย์การซื้อของผู้บริโภคยุคใหม่ด้วยการสานต่อการขายผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซ มั่นใจยอดขายปีนี้เติบโต 1-3%     นายนิธิ ภัทรโชค ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-ตลาดในประเทศ ธุรกิจ เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กล่าวว่า “เอสซีจี” ในฐานะผู้นำนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง คาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้างในปีนี้ค่อนข้างทรงตัว อย่างไรก็ตามยังมองเห็นปัจจัยบวก 3 ปัจจัย ได้แก่ การลงทุนพื้นฐานด้านคมนาคมของภาครัฐส่งผลให้เมืองขยายตัว ทำให้เกิดการก่อสร้างบ้าน และคอนโดมิเนียมตามมา อีกทั้งยังเริ่มเห็นปัจจัยบวกจากการที่ผู้บริโภคบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 50,000 บาท ได้ปลดภาระผ่อนหนี้ในโครงการรถคันแรกไปตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา และปัจจัยบวกจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ยางพารา ปาล์ม อ้อย เป็นต้น ส่งผลให้ในปีนี้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับปัจจัยบวกในตลาดดังที่ได้กล่าวมา ทิศทางการดำเนินธุรกิจของวัสดุก่อสร้างเอสซีจี ปี 2560 จึงเดินหน้าจัดแคมเปญการตลาดเพื่อคืนกำไรและกระตุ้นการซื้อในกลุ่มผู้บริโภคครอบคลุมทุกกลุ่มตลอดทั้งปี ทั้งกลุ่มที่ต้องการสร้างบ้านใหม่ และกลุ่มที่ต้องการรีโนเวทบ้านเก่า ประเดิมด้วยการจัดแคมเปญโปรโมชั่น “SCG Family Festival ยิ่งช้อป ยิ่งคุ้ม ลุ้นเที่ยวฟรี” ที่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเลือกใช้สินค้าอย่างครบชุดเป็นระบบ โดยนำวัสดุก่อสร้างที่ลูกค้านิยมซื้อเป็นคู่ หรือเป็นระบบ มาจัดเป็นชุดสินค้าราคาพิเศษ 5 เซ็ต ได้แก่ เซ็ตคู่สุดคุ้ม คือสินค้าที่แนะนำให้ใช้คู่กัน เช่น กระเบื้องหลังคาและอุปกรณ์หลังคา, เซ็ตระบบหลังคา ตอบทุกสไตล์แบบบ้าน, เซ็ตบ้านเย็น, เซ็ตบ้านเงียบ และเซ็ตบ้านปลอดภัย เพื่อให้ลูกค้าเลือกใช้สินค้าเป็นระบบอย่างถูกต้อง ทั้งยังได้สินค้าราคาพิเศษ พร้อมสิทธิ์ลุ้นทริปพิชิตแสงเหนือ ณ ประเทศไอซ์แลนด์ สำหรับลูกค้าที่มีแผนสร้างบ้านสามารถซื้อสินค้าราคาพิเศษได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 พฤษภาคม 2560 ที่เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์, เอสซีจี โฮมโซลูชั่น และร้านผู้แทนจำหน่ายเอสซีจี ที่ร่วมรายการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เอสซีจี คอนแทค เซ็นเตอร์ 02 586 2222 หรือคลิกเว็บไซต์ www.scgbuildingmaterials.com ทั้งนี้ครึ่งปีหลังจะมีแคมเปญการตลาดสำหรับลูกค้าที่ต้องการรีโนเวทบ้าน และ มีแคมเปญการตลาดอื่นๆ ต่อเนื่องตลอดทั้งปี รวมถึงการร่วมออกบูธจัดแสดงนวัตกรรมสินค้า พร้อมมอบโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้า ในงานสถาปนิก 60 และงานบ้านและสวนแฟร์ 60 อีกด้วย     นอกจากการเดินหน้าจัดแคมเปญเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในกลุ่มผู้บริโภค “เอสซีจี” ยังได้เตรียมเดินหน้าวิจัยและเปิดตัวนวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม รวมถึงรูปแบบการใช้ชีวิต จึงเกิดเป็นเทคโนโลยีการก่อสร้างที่อยู่อาศัย แบบ “Performance Based” คือการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่มีประสิทธิภาพแตกต่างกันเป็นระดับขั้น เพื่อความเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า โดยเน้น Performance การอยู่อาศัย 3 ด้านหลัก ได้แก่ “Living Comfort Performance: การสร้างสภาวะอยู่สบาย” พัฒนาการอยู่อาศัยให้อยู่สบายมากยิ่งขึ้นในทุกด้าน โดยสภาวะอยู่สบายที่ดี ที่เรามุ่งเน้นจะประกอบไปด้วย บ้านที่มีอุณหภูมิภายในบ้านเหมาะสมไม่เกิดการกักเก็บความร้อน มีสภาพการระบายอากาศที่ดีทั้งหลัง เพื่อลดสภาวะความอบอ้าวและลดปัญหาอากาศไม่หมุนเวียน และไม่มีปัญหามลภาวะทางเสียงจากภายนอก โดยเราจะมี Performance ของเทคโนโลยีในแต่ละเรื่อง เพื่อสร้างสภาวะอยู่สบายภายในบ้านได้หลายระดับ เป็นต้น “Care Performance: เพื่อทุกเพศทุกวัยอยู่ร่วมกันได้” การพัฒนาโซลูชั่นที่จะสามารถตอบโจทย์สมาชิกทุกเพศ ทุกวัยภายในบ้าน ให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันโดยมีสุขภาพที่ดี ปลอดภัย และสะดวกสบาย และ “ECO Saving Performance: ลดการใช้พลังงานในที่อยู่อาศัย” การพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้าง ระบบและวัสดุต่างๆ เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในที่อยู่อาศัย ซึ่งจะเริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานสถาปนิก 60 ระหว่างวันที่ 2-7 พ.ค. นี้ ที่อิมแพค เมืองทองธานี พร้อมเดินหน้าแนะนำสินค้าและบริการที่มีนวัตกรรมเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี   ในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า ปัจจุบันมีเอสซีจี โฮมโซลูชั่น จำนวน 41 สาขา สามารถมอบโซลูชั่นและบริการที่มีคุณภาพและครบวงจรที่สุดให้กับลูกค้า เพียงถือแบบก่อสร้างเข้ามารับคำปรึกษา ประมาณราคาวัสดุ  ติดตั้งแบบครบวงจร และรับประกัน นอกจากนี้ยังมี เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมความรู้ให้คำปรึกษาทุกขั้นตอนของการสร้างบ้าน เป็นแหล่งรวมแรงบันดาลใจสำหรับที่อยู่อาศัย ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ลองสัมผัสประสบการณ์การใช้งานจริงก่อนการตัดสินใจ และ SCG Authorized Dealer จำนวนกว่า 356 สาขา  นอกจากนี้ยังเดินหน้ารุกช่องทางจำหน่ายอี-คอมเมิร์ซ ที่สะดวก รวดเร็ว และวางใจได้ โดยพัฒนาระบบการขายผ่านเว็บไซต์www.scgshoppingexperience.com  ปัจจุบันมีการจำหน่ายสินค้าบนเว็บกว่า 2,500 รายการ  ซึ่งสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มสินค้าแลนด์สเคป และกลุ่มสินค้าเอสซีจี เอลเดอร์แคร์ โซลูชั่น   “จากกลยุทธ์การพัฒนานวัตกรรมสินค้า บริการ ช่องทางการจัดจำหน่าย ตลอดจนกิจกรรมการตลาดที่คำนึงลูกค้าเป็นหลัก เรามั่นใจว่าจะช่วยผลักดันให้ผลการดำเนินธุรกิจของเอสซีจีในปีนี้เติบโต 1-3% ไปในทิศทางเดียวกับตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตด้วยปัจจัยบวกต่างๆ ดังที่กล่าวมา   นอกจากภาคธุรกิจแล้ว ในด้านส่งเสริมสังคมทางเอสซีจีไม่ได้นิ่งนอนใจกับเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับพี่น้องภาคใต้ โดยได้ให้ความช่วยเหลือใน 3 รูปแบบ คือการช่วยเหลือเร่งด่วน อาทิ มอบสุขากระดาษ ถุงยังชีพ อุปกรณ์กู้ภัยเบื้องต้น หินคลุก ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตปูนซีเมนต์เพื่อนำไปถมพื้นที่ การช่วยเหลือฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยจัดพิมพ์คู่มือซ่อมบ้านสร้างสุข จำนวน 50,000 เล่ม แจกฟรีผ่านเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้างโซนภาคใต้ นำพนักงานจิตอาสาลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง และออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บ้านนาเปลี่ยน การช่วยเหลือซ่อมแซมด้านความเสียหาย มีการช่วยเหลือเรื่องสินค้าวัสดุก่อสร้างราคาพิเศษ ลดสูงสุดถึง 30% ได้แก่ ปูนซีเมนต์ คอนกรีตผสมเสร็จ กระเบื้องหลังคา ฝา ฝ้า เป็นต้น นอกจากนี้ ในวันที่ 9 ก.พ. นี้ ทางเอสซีจี จะจัดงาน “เอสซีจี รวมพลังคืนสุขชาวใต้” โดยมีศูนย์กลางการจัดงานที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช ภายในงานมีการระดมประชาชนจิตอาสา เครือข่ายผู้แทนจำหน่ายและพนักงานเอสซีจีในภาคใต้ ร่วมลงพื้นที่ฟื้นฟูสถานที่ประสบภัย รวมถึงให้คำปรึกษาเรื่องการซ่อมแซมบ้านด้วยตนเอง แจกแบบบ้านอยู่กับน้ำเพื่อผู้ประสบภัยอีกด้วย” นายนิธิ กล่าวทิ้งท้าย