Tag : News

2376 ผลลัพธ์
แสนสิริเผยแผนธรุกิจปี 2560 ตั้งเป้ายอดขาย 36,000 ล้านบาท วางเป้ายอดขายต่างชาติโตเกือบ 40%

แสนสิริเผยแผนธรุกิจปี 2560 ตั้งเป้ายอดขาย 36,000 ล้านบาท วางเป้ายอดขายต่างชาติโตเกือบ 40%

แสนสิริเผยแผนธุรกิจปี 2560 เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ 19 โครงการ มูลค่ารวม กว่า 41,200 ล้านบาท บุกต่อตลาดต่างประเทศ โดยตั้งเป้ายอดขายตลาดต่างชาติ 7,500 ล้านบาท เติบโตเกือบ 40% เตรียมเปิดตัวโครงการ “98 Wireless” (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส) แฟลกชิปคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดทั้งในประเทศไทยและในเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ บนท าเลที่พักอาศัยระดับเอ็กซ์คลูซีฟบนถนนวิทยุ มูลค่าโครงการรวมกว่า 8,700 ล้านบาทอย่างเป็นทางการ มี.ค.นี้ กางแผนรุกเปิดตัวที่อยู่อาศัยระดับบน เตรียมน าแบรนด์บ้านเดี่ยว “บ้านแสนสิริ” กลับมาพัฒนาอีกครั้ง พร้อมปฏิวัติวงการ อสังหาฯ สู่ “Digital Transformation” ตั้งเป้ายอดขายปี 60 ประมาณ 36,000 ล้านบาท และวางเป้ารายได้ประมาณ 34,000 ล้านบาท ขณะที่สรุปผลการดำเนินงาน ปี 2559 บริษัทมียอดขายกว่า 31,100 ล้านบาท โดยสร้างยอดขายต่างชาติทะลุเกิน เป้าที่วางไว้ได้ถึง 5,400 ล้านบาท คาดการณ์รายได้พุ่ง 34,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น รายได้จากการขายรวมจากการที่บริษัทเริ่มบุ๊ครายได้จากการบริหารโครงการภายใต้บริษัท ร่วมทุนกับบีทีเอสรวมกับรายได้อื่นๆ นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยถึงผล การดำเนินธุรกิจปี 2559 บริษัทมียอดขาย (พรีเซล) ประมาณ 31,100 ล้านบาท เติบโตประมาณ 9% จากปี ก่อน ที่มียอดขาย 28,512 ล้านบาท ความสำเร็จจากการได้รับการตอบรับในที่อยู่อาศัยของแสนสิริทั้งใน กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมทั้งการตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงความร่วมมือกับ บีทีเอส กรุ๊ปฯ (BTS) ตามแผนความร่วมมือในช่วงระยะยาว 5 ปีที่มีแผนร่วมมือกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชน ภายใต้บริษัทร่วมทุน ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นระหว่าง กลุ่มบริษัทบีทีเอส และบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) 50 : 50 จ านวนทั้งสิ้นประมาณ 25 โครงการ มูลค่า โครงการรวมประมาณ 1 แสนล้านบาท ล่าสุดด้วยความแข็งแกร่งในด้านเงินทุนของกลุ่มบริษัทบีทีเอสที่ เตรียมพร้อมไว้เพื่อรองรับการลงทุนในการขยายธุรกิจรถไฟฟ้า และความพร้อมด้านบุคลากร รวมถึงการมี ที่ดินที่พร้อมพัฒนาในมือของกลุ่มบริษัท ผสานกับความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ของแสนสิริ ส่งผลให้ทั้งสองบริษัทพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมกันไปแล้วจ านวนรวมทั้งสิ้น 8 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขาย 70% รวมมูลค่า 21,000 ล้านบาท จากจ านวน รวมทั้งสิ้น 4,382 ยูนิต ซึ่งเกือบทุกโครงการล้วนประสบความสำเร็จในการเปิดการขาย โดย 4 ใน 8 โครงการสามารถปิดการขาย (Sold Out) ลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่วันเปิดพรีเซลล์ ในขณะที่อีก 4 โครงการที่ เปิดตัวในปีนี้ก็มีการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเช่นกันด้วยยอดขายรวมกันแล้วกว่า 7,500 ล้านบาท แสดงให้เห็น ถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์แสนสิริและบีทีเอส รวมทั้งดีมานด์ความต้องการคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าที่ ยังคงมีอย่างต่อเนื่องทั้งจากลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ นอกจากนี้บริษัทยังประสบความสำเร็จจากตลาดต่างชาติโดยบริษัทสามารถปิดยอดขายตลาดต่างชาติใน ปี 59 ไปได้ถึง 5,400 ล้านบาท เกินจากเป้ายอดขายที่วางไว้ 5,000 ล้านบาท และเติบโตขึ้นถึง 55% จากปี 2558 ที่มียอดขายตลาดต่างชาติ 3,500 ล้านบาท ส าหรับโครงการที่ขายดีส าหรับต่างชาติ คือ เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากการไปโรดโชว์ที่ประเทศ ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวันและจีน โกย ยอดขายได้ประมาณ 1,300 ล้านบาท นับว่าเป็นมูลค่าสูงที่สุดที่แสนสิริเคยทำได้จากการสร้างยอดขาย ตลาดต่างชาติในขณะนี้ สำหรับปัจจัยที่ทำให้กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติซื้อโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ คือ ความเชื่อมั่นและ ไว้วางใจในแบรนด์แสนสิริ ซึ่งเป็นที่ยอมรับมายาวนานกว่า 33 ปี ในฐานะผู้น าด้านการพัฒนาโครงการ อสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้มอบแค่ที่อยู่อาศัยคุณภาพแต่ยังมอบไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต รวมถึงความสำเร็จจาก การวางกลยุทธ์การตลาดในปีที่ผ่านมาโดยการทำ Collaboration กับแบรนด์ระดับโลก เพื่อยกระดับ    แบรนด์แสนสิริให้เข้าสู่ระดับ International มากยิ่งขึ้น อาทิ การจับมือ YOO Design Studio บริษัท ดีไซน์ระดับโลก และ Philippe Starck พัฒนาโครงการ KHUN by YOO inspired by Starck (คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค) ซึ่งเป็นโครงการ Branded Condominium แห่งแรกของประเทศไทย มูลค่า 4,000 ล้านบาทบนสุดยอดทำเลใจกลางทองหล่อ เป็นต้น ขณะที่ในตลาดต่างจังหวัดและทำเลที่อยู่อาศัยรอบนอกกรุงเทพฯ บริษัทได้รับการตอบรับที่ดีในที่อยู่อาศัย Affordable Condominium หรือคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ราคา 1 – 3 ล้านบาท อาทิ ดีคอนโดรังสิต ซึ่งปิดการขาย 100%, ดีคอนโด อ่อนนุช – พระราม 9 ซึ่งมียอดขายแล้วถึง 85% และดีคอนโด นิม เชียงใหม่ ซึ่งมียอดขายแล้วถึง 70% นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทยังประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับที่ดีในที่อยู่ อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวระดับบน หรือระดับราคาประมาณ 8 – 20 ล้านบาท อาทิ โครงการ เศรษฐสิริ จรัญฯ – ปิ่นเกล้า ซึ่งมียอดขายแล้วถึง 70% “สำหรับแผนธุรกิจในปี 2560 บริษัทได้วางแผนการดำเนินธุรกิจ ด้วยการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อตอบรับความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยวางแผนเปิดตัว โครงการใหม่ในปีนี้ 19 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 41,200 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทได้แบ่งประเภท การพัฒนาโครงการเป็นที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม 8 โครงการ โครงการบ้านเดี่ยว 9 โครงการและ โครงการทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ หากดูตามเซกเมนต์หรือระดับราคาจากแผนเปิดตัวโครงการในปีนี้จะอยู่ใน ระดับ medium–end และ hi–end เป็นส่วนใหญ่ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายรวมส าหรับปี 2560 ไว้ ประมาณ 36,000 ล้านบาท รวมทั้งประมาณการณ์รายรวมได้ไว้ที่ 34,000 ล้านบาท” นายเศรษฐา กล่าว แนวทางการพัฒนาโครงการในปี 2560 บริษัทจะต่อยอดความสำเร็จจากปีที่ผ่านมา ได้แก่ 1.การสานต่อ ความสำเร็จของโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่องอีกจำนวน 4 โครงการ มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “เดอะ โมนูเมนต์” และ “เดอะ เบส” เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทยังทยอยโอน เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71 โครงการคอนโดมิเนียมที่แล้วเสร็จ 100% เป็นโครงการแรกภายใต้ความร่วมมือของสองบริษัทที่จะเริ่มรับรู้กำไร รวมทั้งจ่อคิวโอนโครงการ เดอะ ไลน์ จตุจักร – หมอชิต ซึ่งจะแล้วเสร็จเป็นโครงการต่อไปในช่วงปลายปี 2560 2.บริษัทจะมีการเปิดตัวโครงการระดับไฮเอนด์ในสัดส่วนที่มากขึ้น โดยไฮไลท์ที่สำคัญสำหรับปีนี้ คือ การเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวระดับบน เซกเมนต์ราคาสูงที่สุดของแสนสิริ ภายใต้แบรนด์ “บ้านแสนสิริ” ที่จะน า กลับมาพัฒนาอีกครั้ง หลังประสบความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการ “บ้านแสนสิริ สุขุมวิท 67” ในปี 2549 รวมถึงการพัฒนาคอนโดมิเนียมเพื่อรองรับความต้องการคอนโดมิเนียมในระดับพรีเมี่ยมของกลุ่ม ลูกค้าระดับบน ซึ่งมีความต้องการซื้อทั้งเพื่ออยู่อาศัยเอง ลงทุนหรือเก็บเป็นสินทรัพย์ โดยในปีนี้ แสนสิริ ยังได้เตรียมเปิดตัวโครงการ “98 Wireless” (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส) แฟลกชิปคอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดทั้งใน ประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนทำเลที่พักอาศัยระดับเอ็กซ์คลูซีฟบนถนนวิทยุ มูลค่า โครงการรวมกว่า 8,700 ล้านบาทอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 3. การรุกทำการตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายตลาด ต่างชาติในปีนี้ไว้ถึง 7,500 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาที่บริษัทสามารถสร้างยอดขายตลาดต่างชาติได้  5,400 ล้านบาท ถึงเกือบ 40% ซึ่งการตั้งเป้าหมายยอดขายตลาดต่างชาติสูงถึง 7,500 ล้านบาทในปีนี้ยังส่งผลให้แสนสิรินับเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดของตลาดต่างชาติสูงสุด จากการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยบริษัทเดียวที่เปิดการขายโครงการในต่างประเทศพร้อมกันในหลาย ประเทศ (Global Launch) และจัดกิจกรรมหลังการขายกับลูกค้าต่างชาติอย่างต่อเนื่อง 4. เตรียมปฏิวัติวงการอสังหาฯ สู่ “Digital Transformation” ไฮไลท์ส าคัญของแสนสิริในปีนี้ ในการก้าว ทันยุคดิจิตอล ที่จะยกระดับสู่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นน าด้านเทคโนโลยีที่คลอบคลุมอสังหาริมทรัพย์และ การอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ โดยขั้นตอนแรกที่จะได้เห็นในปีนี้ คือการจัดตั้งส่วนงานใหม่ที่เรียกว่า Data Analytics and Business Intelligence ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อทำหน้าที่ในการวางโรดแมพของ enterprise data ใหม่ทั้งหมดและเป็นทีมหลักในการผลักดันให้แสนสิริปรับเปลี่ยนเป็นองค์กรที่ให้ ความส าคัญกับ data analytics capabilities ซึ่งในส่วนของการจัดตั้งส่วนงานขึ้นมาใหม่นี้ นับเป็นการ ลงทุนทางทรัพยากรบุคคลเพื่อเฟ้นหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้านมาทำงานร่วมกับหน่วยงาน ภายในเดิมที่มีความรู้ลึกเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาฯ และกระบวนการต่างๆ เป็นอย่างดีเพื่อสร้างทีมที่มีความเหมาะสม โดยการใช้ข้อมูลในการวางแผนทางธุรกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดความมีประสิทธิภาพในการทำงานและ สามารถลดค่าใช้จา่ยในการดำเนินธรุกิจได้นับเป็นการ ต่อยอดจากนโยบาย EFG หรือ Engineering for Growth ที่แสนสิริทำต่อเนื่องตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา 5. นอกจากนี้ จะมีการสร้าง Innovation and digital ecosystem โดยการจัดตั้งบริษัทลูกในลักษณะ ของ Venture Capital ขึ้นเพื่อมองหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจประเภท “Property Tech” ที่มีความ เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทแสนสิริ และจะมีส่วนช่วยผลักดันธุรกิจหลักของแสนสิริ ให้มีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น รวมถึงมองหาโอกาสและ Innovation ทางธุรกิจและ กระบวนการธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง โดยคาดว่าธุรกิจใหม่นี้จะเป็นช่องทางรายได้ใหม่ของ แสนสิริได้ในอนาคต โดยมีแผนจะเปิดตัวบริษัทร่วมทุนและให้ข้อมูลโดยละเอียดอีกครั้งในการแถลงข่าว วันที่ 25 มกราคมนี้ “บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมในปี 2559 ประมาณ 34,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายรวมกับ การที่บริษัทเริ่มมีรายได้จากการบริหารโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ความสำเร็จจากรายได้รวม เติบโตจากการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมที่ทยอยโอนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ The XXXIX’ (เดอะ เทอร์ทีไนน์), ดีคอนโด รังสิต, ดีคอนโด แคมปัส รีสอร์ท บางแสน, บ้านปลายหาด วงศ์อมาตย์ พัทยา, ดีคอนโด นิม เชียงใหม่ รวมถึงล่าสุดบริษัทยังได้เริ่มโอนโครงการคอนโดมิเนียมเอดจ์ สุขุมวิท 23 (EDGE Sukhumvit 23) ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ปัจจุบันแสนสิริและบริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Presale backlog) ที่รองรับการรับรู้รายได้ในอีก 4 ปีข้างหน้าแล้ว ประมาณ 39,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายรอรับรู้รายได้ของแสนสิริ 18,600 ล้านบาท และยอดขายรอ รับรู้รายได้ของบริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสอีก 20,400 ล้านบาท” นายเศรษฐา กล่าว
‘เอพี ไทยแลนด์’ ชูกลยุทธ์สร้างความแตกต่าง เสริมแกร่งแบรนด์อสังหาฯ ที่ครองใจผู้บริโภค เดินหน้าเปิดตัว 20 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 35,000 ล้าน

‘เอพี ไทยแลนด์’ ชูกลยุทธ์สร้างความแตกต่าง เสริมแกร่งแบรนด์อสังหาฯ ที่ครองใจผู้บริโภค เดินหน้าเปิดตัว 20 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 35,000 ล้าน

กรุงเทพฯ (17 ม.ค. 60) – วันนี้ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมืองที่มุ่งสร้างความต่างด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมดีไซน์เพื่อพื้นที่ใช้สอยที่ไม่จำกัด โดย คุณอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยแผนการดำเนินงานในปี 2560 เดินเกมด้วยกลยุทธ์ "คิดและสร้างความแตกต่าง" (AP THINK DIFFERENT) เน้นย้ำจุดแข็งของเอพีในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ โดดเด่นด้วยดีไซน์และการจัดสรรพื้นที่ใช้สอย รวมถึงวิสัยทัศน์ในการแบ่งปันองค์ความรู้เพื่อพัฒนาบุคลากรคุณภาพสู่วงการอสังหาฯ ไทย โดยในปี 2560 นี้ บริษัทฯ มีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 20 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท โดยเป็นแนวราบ 17 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสินค้ากลุ่มบ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท และสินค้ากลุ่มทาวน์โฮม 9 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท และสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้ในไตรมาส 1 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 1) พลีโน่ บางใหญ่ ทาวน์โฮม 2 ชั้นฟังก์ชั่นใหม่ จำนวน 350 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 980 ล้านบาท หน้ากว้าง 5.5 เมตร พื้นที่ใช้สอยขนาด 18-20.6 ตารางวา ราคาเริ่ม 2 ล้านต้นๆ  และ  2) พลีโน่ สุขสวัสดิ์ จำนวน 497 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,496 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการประกอบด้วยทาวน์โฮม 2 ชั้นฟังก์ชั่นใหม่ พื้นที่ใช้สอยขนาด 16.4-18 ตารางวา ราคาเริ่มต้น 2 ล้านต้นๆ และบ้านแฝด 2 ชั้นฟังก์ชั่นใหม่ ขนาดเริ่มต้น 36 ตารางวา หน้ากว้าง 6.5 เมตร พื้นที่ใช้สอย 125.35 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 4.29 ล้านบาท และอีก 1 โครงการจะเป็นการพัฒนาเฟสต่อเนื่องจากปีที่แล้วคือ บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ เอกมัย-รามอินทรา เฟส 2 เป็น SUPER LUXURY VILLA Series ใหม่ หลังจากเฟสแรกที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2559 ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ราคาเริ่มต้น 25 ล้าน คุณอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) คาดการณ์แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2560 ว่า พื้นฐานของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในวันนี้ไม่ได้แย่มาก ถึงแม้ภาพรวมการเปิดตัวในช่วงปีที่ผ่านๆ มาจะติดลบก็ตาม  วันนี้หลายๆ อย่างเริ่มมีความชัดเจนขึ้น กิจกรรมทางการตลาดและบรรยากาศในการซื้อสินค้าของผู้บริโภคเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติบ้างแล้ว ปีนี้เราจะเห็นภาพการแข่งขันในสินค้ากลุ่มแนวราบมากขึ้น ซึ่งความท้าทายที่สำคัญของการทำธุรกิจจากนี้ไปคือ การสรรหาที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการในแพคเกจราคาขายที่สอดรับกับความสามารถของผู้บริโภค การขยายตัวของรถไฟฟ้าถือเป็นทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยเสี่ยงของภาคธุรกิจ ด้วยราคาต้นทุนที่ดินที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินกว่าผู้บริโภคจะตามทัน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการเปิดตัวใหม่ของคอนโดมิเนียมในอนาคต อีกทั้งผู้บริโภคมองหาสิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา สำหรับเอพีเรายังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทุกรูปแบบ โดยเน้นกระบวนการคิดที่มุ่งสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าควบคู่ไปกับการพัฒนาและควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน ในด้านทิศทางการทำงานปี 2560 นี้ เอพียังคงปลุกพลังความคิดต่าง (AP Think Different) ให้กับพนักงานทุกคน เพื่อสร้างความแตกต่างและยกระดับสินค้าและบริการของเอพีในด้านสำคัญ ได้แก่ 1. คุณภาพ (Quality) ที่เอพีมีเครื่องมือสำคัญอย่าง Check List ที่มีการพัฒนาเน้นไปที่ Process และ Template ที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น รวมถึงสอดรับกับเทคโนโลยีการอยู่อาศัยแบบ Intelligent Living ที่เอพีเริ่มนำร่องไปแล้วในหลายโครงการ 2. การออกแบบสเปซ (Space Utilization) ทีเอพีให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ใช้สอยในทุกตารางนิ้ว โดยคำนึงถึงดีไซน์ที่สวยควบคู่ไปกับความสะดวกสบาย ประโยชน์ใช้สอย และความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย และ 3. การพัฒนาองค์ความรู้ (Human Development) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิสัยทัศน์ที่โดดเด่นของเอพีในการทำงานเพื่อพัฒนาบุคลากรคุณภาพสู่วงการอสังหาฯ รวมถึงถ่ายทอดประสบการณ์และองค์ความรู้สู่สังคมไทย โดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาระดับอุดมศึกษาผ่านเอพี อะคาเดมี่ สถาบันเพื่อการเรียนรู้ครบวงจรด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แห่งแรกในเมืองไทย โดยในปีนี้เอพีได้พัฒนาหลักสูตรและเครื่องมือการเรียนรู้ให้หลากหลายและเจาะลึกมากยิ่งขึ้น "อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เอพีสร้างความแตกต่างได้อย่างต่อเนื่อง ก็เพราะเรามีพันธมิตรธุรกิจผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันเช่น 'มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป' (MEC) จากจุดเริ่มต้นของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมร่วมกันเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา จวบจนปัจจุบันเราได้ร่วมมือกันพัฒนารวม 8 โครงการ ในปีนี้เอพีและ MEC ยังคงมองไปในทิศทางเดียวกันและวางแผนที่จะพัฒนาโครงการร่วมกันอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เรามองว่าเป็นความสำเร็จสูงสุดของความร่วมมือมิใช่แค่การร่วมทุน แต่ทุกวันนี้เอพีกับพันธมิตรญี่ปุ่นมีความร่วมมือในด้านการแบ่งปันและถ่ายทอดความรู้สู่กันในหลายๆ ด้าน และในทุกระดับ โดยเอพีได้สนับสนุนบุคลากรไปศึกษาดูงานที่ญี่ปุ่น รวมถึงนิสิตนักศึกษาฝึกงานที่เข้าร่วมหลักสูตรฝึกงานเอพี โอเพ่นเฮาส์ของ เอพี อะคาเดมี่ ในขณะที่ MEC ก็ส่งบุคคลากรมาเรียนรู้ดูงานกับทางเอพีเช่นกัน" คุณอนุพงษ์กล่าว “ด้วยความพร้อมด้านทีมงานคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ และพันธมิตรคุณภาพ ผมเชื่อว่าเอพี ไทยแลนด์จะสามารถสร้างความแตกต่างและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และยังคงเป็น 1 ใน 3 ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย" คุณอนุพงษ์กล่าวสรุป “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย”
ศุภาลัย รุกแผนเปิดตัวคอนโดฯ ระดับ Super Luxury บนสุดยอดทำเลศักยภาพ กลางมหานคร ศูนย์รวมของ Lifestyle คนเมือง

ศุภาลัย รุกแผนเปิดตัวคอนโดฯ ระดับ Super Luxury บนสุดยอดทำเลศักยภาพ กลางมหานคร ศูนย์รวมของ Lifestyle คนเมือง

บมจ.ศุภาลัย รุกแผนพัฒนาโครงการใหม่ “ศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39” มูลค่า 10,000 ล้านบาท ชูจุดเด่นคอนโดฯหรู สุดยอดทำเลศักยภาพใจกลางสุขุมวิท ที่ตอบโจทย์ทุกการเดินทางของการใช้ชีวิต กลางเมืองที่เหนือระดับ และสะดวกสบายทุกการอยู่อาศัย เตรียมเปิดจองวันที่ 18 - 23 ม.ค. นี้ ที่ดิเอ็มโพเรียม นายไตรเตชะ  ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการพัฒนาโครงการคอนโดฯใหม่ ปี 2560 ว่า บริษัทฯ จะขยายตลาดที่อยู่อาศัยให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยมองหาตลาดที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยทั้งทำเลใจกลางเมือง รอบกรุงเทพฯ ชั้นใน และกรุงเทพฯ ชั้นนอก ที่มีการคมนาคมสะดวกสบาย และครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก โดยล่าสุดบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการแรกของปี 2560 เป็นคอนโดฯ ในกลุ่มระดับ Super Luxury ของบริษัท ภายใต้แบรนด์ “ศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39” บนพื้นที่โครงการ กว่า 10 ไร่ ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นทั้ง 3 ด้าน ทั้งทำเล การออกแบบ และไลฟ์สไตล์ ที่ควรค่าแก่การเป็นเจ้าของ เพื่อการอยู่อาศัยและลงทุน ศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39  คอนโดฯหรู ที่มอบความภาคภูมิแห่งการอยู่อาศัยกับชีวิตที่เหนือระดับ   บนทำเลใจกลางสุขุมวิท สามารถเข้าออกได้ทั้งถนนสุขุมวิท และถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เชื่อมต่อสู่ถนนธุรกิจสายสำคัญ อาทิ ทองหล่อ อโศก สะดวกยิ่งขึ้นด้วยโครงข่ายคมนาคมที่รวดเร็ว อาทิ รถไฟฟ้า BTS สถานีพร้อมพงษ์ รถไฟฟ้า     สายสีแดงอ่อน สถานีมักกะสัน MRT เพชรบุรี เชื่อมต่อ Airport Rail Link ท่าเรือด่วนอิตัลไทย และทางด่วนด่านเพชรบุรี แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน อาทิ ดิเอ็มควอเทียร์ ดิเอ็มโพเรียม Fuji UFM Supermarket รพ.สมิติเวช สุขุมวิท รพ.กรุงเทพ และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เป็นต้น โดดเด่นทั้งด้านการออกแบบด้วยอาคารชุดพักอาศัย 4 อาคาร  สูง 25 ชั้น 2 อาคาร  สูง 35 ชั้น 2 อาคาร และอาคารจอดรถ สูง 9 ชั้น โดยมีห้องพัก 1,046 ยูนิต ร้านค้า 8 ยูนิต หลากหลายแบบห้องตั้งแต่ขนาด 1 - 3 ห้องนอน และ Penthouse 4 ห้องนอน ขนาด 39 - 355 ตร.ม. และความแตกต่างของการดีไซน์ ด้วยการนำศาสตร์และศิลป์ของธรรมชาติผสมผสานการออกแบบ Luxurious Modern Oriental อย่างลงตัว ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัยสไตล์ตะวันออกร่วมสมัย โดยยังคงเอกลักษณ์อาคารประหยัดพลังงาน อีกทั้งใกล้ชิดธรรมชาติ ด้วยพื้นที่สีเขียวรวมมากกว่า 3 ไร่ ชีวิตเหนือระดับและสะดวกสบายด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน หลากหลายกิจกรรมสำหรับสมาชิก    ทุกคนในครอบครัว ปลอดภัย มั่นใจด้วยระบบรักษาความปลอดภัยภายในโครงการตลอด 24 ชั่วโมง จอดรถแบบสบายๆ พร้อมจำนวนที่จอดรถ 100% ของจำนวนยูนิต ศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39 เปิดจอง VIP Sale วันที่ 18 - 23 ม.ค.นี้ ที่ดิเอ็มโพเรียม ในราคา 4.5 - 53 ล้านบาท พร้อมรับเครื่องปรับอากาศ วอลเปเปอร์ ชุดเฟอร์นิเจอร์ครัว เครื่องทำน้ำร้อน ฉากกั้นอาบน้ำแบบกระจกนิรภัย และประตู Digital Door Lock พิเศษ! รับส่วนลดพิเศษ 10% สำหรับช่วงเปิดตัวโครงการ สอบถามข้อมูลโทร. 1720 กด 96 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.supalai.com
ศุภาลัย มั่นใจปี 60 ตลาดอสังหาฯ สดใส เดินหน้าปักหมุดทั่วประเทศรวม 29 โครงการ ตั้งเป้ายอดขาย 27,000 ล้านบาท

ศุภาลัย มั่นใจปี 60 ตลาดอสังหาฯ สดใส เดินหน้าปักหมุดทั่วประเทศรวม 29 โครงการ ตั้งเป้ายอดขาย 27,000 ล้านบาท

ศุภาลัย เผยแผนธุรกิจปี 2560 กับภารกิจ “การพัฒนาตนเอง ด้านความสามารถ และคุณภาพชีวิตเพื่อความก้าวหน้าและความสุข” เป็นแนวสร้างสรรค์ “บ้านที่ดี” ที่มาจากผลิตภัณฑ์แห่งความสุข+นวัตกรรม วางเป้ายอดขาย 27,000 ล้านบาท ลุยพัฒนาโครงการใหม่ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมรวม 29 โครงการ ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร  บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2559  ยังคงอยู่ในสภาวะทรงตัว เนื่องจากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังอยู่ในสภาวะรีรอ ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ยังคงชะลอการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนนั้นจะชะลอตัวใน  ระยะสั้นเท่านั้น สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2560 คาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น รัฐบาลมีแผนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องอีกหลายมาตรการ เชื่อมั่นว่าจะเป็นปีแห่งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง ผู้ประกอบการ ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ที่ชะลอการเปิดโครงการใหม่ไว้ในปีที่แล้ว มาปีนี้คาดว่าตลาดอสังหาฯ จะมีการแข่งขันที่ดุเดือดเช่นกัน ในปีที่ผ่านมา ภาคธุรกิจอสังหาฯ ได้ปรับตัวเตรียมความพร้อมสู่การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อรับมือกับเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคที่เริ่มเปลี่ยนไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Friendly Design และบริษัทฯ พร้อมที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน โดยยังคงมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ทำให้ตลอดปี 2559 บริษัทฯ ได้รับรางวัลเกียรติยศจากองค์กรชั้นนำต่างๆ จำนวนมาก อาทิ รางวัลหุ้นยั่งยืน ประจำปี 2559จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, รางวัลด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CGR) จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย, รางวัล EIT-CSR Awards 2016 จากสภาวิศวกรรม-สถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, รางวัล “สถานประกอบการดีเด่น” จากสำนักงานประกันสังคม และรางวัล “Investors’ Choice Award” จากสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ฯลฯ นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลงานปี 2559 ที่ผ่านมา บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) สามารถทำยอดขายได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ 24,500 ล้านบาท โดยมีการเปิดตัวโครงการทั้งหมด 21 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 16 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่ารวม 24,120 ล้านบาท สำหรับแผนธุรกิจปี 2560 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขาย 27,000 ล้านบาท  และเป้าหมายรายได้ 24,500ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการใหม่ 29 โครงการ แยกเป็นโครงการแนวราบ 24 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ  คิดเป็นมูลค่ารวม 37,000 ล้านบาท และกำหนดงบประมาณการจัดซื้อที่ดินประมาณ 8,000 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งการเปิดตัวโครงการที่เลื่อนจากปีก่อน ทำให้ในปีนี้เป็นปีแห่งการปรับสมดุลของตลาด โดยตลาดคอนโดมิเนียมรวมทั้งตลาดแนวราบทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่มีความชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางรถไฟฟ้าสายต่างๆ  การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การขยายสนามบิน และพัฒนาเป็นสนามบินนานาชาติในหัวเมืองต่างๆ เพิ่มขึ้น และนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านธุรกิจอสังหาฯ ทั้งการลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนอง อีกทั้งแผนการประกาศใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีการเลื่อนออกไป ล้วนส่งผลให้ทิศทางของตลาดอสังหาฯ ปี 60 สดใสมากขึ้น บริษัทฯ ยังคงพัฒนาโครงการใหม่ๆ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม และโครงการแนวราบ ที่ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายไปยังหัวเมืองต่างๆ ในภูมิภาคที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันจังหวัดที่บริษัทฯ  มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง  ได้แก่ เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี สงขลา ภูเก็ต นครศรีธรรมราช อุดรธานี ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง  อุบลราชธานี  นครราชสีมา อีกทั้งมีแผนขยายการลงทุนพัฒนาโครงการเพิ่มเติมในจังหวัดเชียงราย นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นพัฒนาโครงการคุณภาพและบริการที่ดี ภายใต้ระบบคุณภาพมาตรฐานสากล ISO 9001 : 2008 รวมทั้งกิจกรรม CSR ในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างสรรค์สังคมไทยอย่างต่อเนื่อง
MQDC เปิดตัว ยู เขาใหญ่ จับมือกลุ่ม ยู โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ทเข้าสู่ธุรกิจโรงแรม

MQDC เปิดตัว ยู เขาใหญ่ จับมือกลุ่ม ยู โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ทเข้าสู่ธุรกิจโรงแรม

กรุงเทพฯ - 11 มกราคม 2560  –  MQDC แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น เข้าสู่ภาคธุรกิจโรงแรมด้วยการเปิดตัว“ยู เขาใหญ่”บูติคโฮเทลหรูมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท โดยแต่งตั้งให้กลุ่มยู โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท เป็นผู้บริหารโครงการ “ยู เขาใหญ่” ถูกพัฒนาขึ้นเป็นรีสอร์ทหรูเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการวันพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ และเป็นส่วนขยายของโครงการบ้าน “แมกโนเลียส์ เฟรนช์ คันทรี เขาใหญ่” ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ “ยู เขาใหญ่” เป็นรีสอร์ทสไตล์ชาโตซ์ของฝรั่งเศสท่ามกลางวิวทิวเขาอันสวยงาม และอากาศที่สดชื่นตลอดทั้งปีของเขาใหญ่ โรงแรมประกอบด้วยห้องพัก 63 ห้อง ห้องอาหาร ห้องจัดเลี้ยงสไตล์เฟรนช์คันทรี่ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ และสปาหรู เพื่อให้ผู้มาใช้บริการได้พบกับสุนทรีย์แห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง MQDC เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เชี่ยวชาญการสร้างคุณค่าพิเศษให้กับโครงการในลักษณะ มิกซ์ยูส  โดยการสร้าง “ยู เขาใหญ่” ที่เปิดใหม่ และโครงการบ้าน “แมกโนเลียส์ เฟรนช์ คันทรี เขาใหญ่” จะช่วยส่งเสริมกันและกัน ทั้งบรรยากาศไลฟ์ไตล์อันหรูหราแบบเมืองตากอากาศของฝรั่งเศสที่เชื่อมต่อกันของสองโครงการ ไปจนถึงบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่มีเพิ่มเติมจากเดิมอย่างครบครัน นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MQDC กล่าวว่า “การจับมือกับพันธมิตรมืออาชีพอย่างกลุ่มยู โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท ซึ่งบริหารแบรนด์นี้ขึ้นมาจนเป็นหนึ่งในบูติคโฮเทล ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเอเชีย ตะวันออกกลาง อินเดียและยุโรปมาแล้ว นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญของเราในการก้าวเข้าสู่ภาคธุรกิจโรงแรม   MQDC ต้องการให้ “ยู เขาใหญ่” เป็นรีสอร์ทเพื่อวันพักผ่อน ที่เติมความรื่นรมย์และสร้างเสริมสุขภาพกายและใจที่ดีให้กับลูกค้าของเรา  รีสอร์ทแห่งนี้ถูกออกแบบให้ผสมผสานไลฟ์สไตล์ยุโรป เข้ากับกลิ่นอายความเป็นเขาใหญ่ได้อย่างกลมกลืน โดยมีธรรมชาติอันตระการตาเป็นฉากหลัง” ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา MQDC ได้ลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาท ในโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งประกอบด้วย โครงการ ไอคอนสยาม  โครงการวิสซ์ดอม 101  โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด  และโครงการแมกโนเลียส์ เฟรนช์ คันทรี เขาใหญ่ “โรงแรมถือเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสร้างคุณค่าพิเศษให้กับโครงการมิกซ์ยูส และ MQDC จะยังคงเดินหน้าในการสร้างคุณค่าพิเศษให้กับโครงการต่าง ๆ ของเราต่อไปในอนาคต” นายวิสิษฐ์ กล่าวในที่สุด นาย โจนาธาน วิกลีย์ ซีอีโอ ของ ยู โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท กล่าวว่า “ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา เราได้สร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา โดยมีโรงแรมที่ใช้แบรนด์นี้จำนวนมากในหลายประเทศ ทางทีมงานรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาบริหาร ยู เขาใหญ่ของทาง MQDC และร่วมเป็นเพื่อนบ้านของโครงการบ้านพักตากอากาศหรู อย่างแมกโนเลียส์ เฟรนช์ คันทรี เขาใหญ่”
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ชูกลยุทธ์ตอกย้ำความเชื่อมั่นตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2560 เดินหน้าขยายอาณาจักรเปิดตัว 8-10 โครงการในทำเลเด่น – ตั้งเป้ารายได้ทั้งปีโต 15 %

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ชูกลยุทธ์ตอกย้ำความเชื่อมั่นตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2560 เดินหน้าขยายอาณาจักรเปิดตัว 8-10 โครงการในทำเลเด่น – ตั้งเป้ารายได้ทั้งปีโต 15 %

บริษัท  ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มองตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 60 อยู่ในสภาวะปรับตัวจากภาวะเศรษฐกิจผันผวนและภาวะอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว ความเชื่อมั่นผู้บริโภค-ภาคสินเชื่อที่ฟื้นตัว และภาครัฐอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ เตรียมก้าวสู่ปีที่ 30 แห่งความเชื่อมั่นอย่างยิ่งใหญ่ ตอกย้ำกลยุทธ์ “Quality – Service Mind – CRM” ปรับโฉมองค์กร ตอกย้ำศักยภาพความเป็นมืออาชีพ และเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงเทรนด์อสังหาฯ ด้วยการนำ “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) เปิดในทำเลเด่น พร้อมเปิดโครงการใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดอสังหาฯ ทั้งกรุงเทพฯ – ปริมณฑล และต่างจังหวัด ตั้งเป้ายอดขายสิ้นปี 3,600 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้ที่ 3,100 ล้านบาท เติบโตกว่า 15 %   นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยถึงแนวโน้มภาคอสังหาริมทรัพย์ปี 2560 ว่า “เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงชะลอตัว เนื่องจากการส่งออกเติบโตน้อยและภาวะการบริโภคของภาคประชาชนชะลอตัว เนื่องจากภาวะหนี้ครัวเรือนสูง ในปี 2560 จะได้รับแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนของภาครัฐบาลในโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคการส่งออกฟื้นตัวเล็กน้อยจากการที่เงินบาทอ่อนค่า และต้องประเมินนโยบายจากโดนัลด์ ทรัมป์และยุโรปอีกระยะหนึ่ง ภาคการท่องเที่ยวยังเป็นรายได้หลัก และจากการเร่งรัดโครงการต่างๆ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการเริ่มลงทุนโครงการจากบี.โอ.ไอ ตลอดจนภาคเอกชนเริ่มเห็นสัญญาณลงทุนชัดเจนจากรัฐบาลก็จะมีแรงส่งการลงทุนจากภาคเอกชนเพิ่มขึ้น โดยจะค่อยๆ เห็นชัดเจนในไตรมาสที่ 3-4 เป็นต้นไป ในภาคอสังหาริมทรัพย์ปี 2560 การขยายตัวในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งเป็นตลาด Real Demand ก็ยังคงขยายตัวได้ระดับหนึ่ง สำหรับตลาดอาคารชุดน่าจะทรงตัว เพราะยังมี Supply คงเหลือในหลายทำเลที่ยังคงค่อยๆ ดูดซับ Supply โดยเฉพาะตลาดกลาง – ล่าง ตลาดบนที่ทำเลเด่น และ Design โดดเด่นก็ยังพอมีช่องว่างบ้าง โดยภาพรวมของตลาดน่าจะขยายตัวได้ 3-5% “บริษัทฯ ได้ประเมินจากสถานการณ์แล้ว และได้มีแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับสถานการณ์ โดยได้กำหนดแผนประจำปีให้มีความยืดหยุ่นให้เข้ากับภาวะแวดล้อมเศรษฐกิจ ทั้งนี้ยังควบคุมความเสี่ยงมี D/E ต่ำ แผนควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับมีแผนกลยุทธ์อื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริษัทฯ มีแผนขยายโครงการใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขาย 3,600 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 3,100 ล้านบาท เติบโต 15% ” นายไชยยันต์ กล่าว นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) กล่าวเสริมว่า ในปี 2560 นี้ “ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในเชิงรุกเพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคที่ไว้วางใบริษัทฯ มาโดยตลอดและในปีที่ผ่านมา ได้เปิดตัวอาณาจักร “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town)” ไปแล้วหลายแห่ง ได้แก่ ลลิล ทาวน์-พัทยา, ลลิล ทาวน์ เศรษฐกิจ-พุทธสาคร ซึ่งในโครงการประกอบด้วย บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ซีรี่ส์ใหม่ บนพื้นที่ใช้สอย 140-175 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านกว่าบาท – 5 ล้านบาท และทาวน์โฮม ขนาดพื้นที่ใช้สอย 85-105 ตารางเมตร ในราคาสุดคุ้มเพียง 1 ล้านกว่าๆ – 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูสบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ และทาวน์โฮมหน้ากว้าง พร้อมเปิดประสบการณ์ครั้งแรกที่ฟังก์ชั่นปรับได้ตามใจ โดดเด่นด้วยสไตล์การออกแบบ Modern Stripe Contemporary โดย KTGY บริษัทออกแบบชั้นนำระดับโลก และรองรับไลฟ์ลไตล์การใช้ชีวิตสบายๆ ในสไตล์ที่แตกต่าง สะท้อนความเป็นตัวตนเฉพาะของลูกค้า ทั้งนี้ บริษัทฯ มองเห็นความต้องการที่อยู่อาศัยตลาดเรียลดีมานด์ของผู้บริโภคที่ยังขยายตัวสูงขึ้นในทุกๆ ปี บวกกับพฤติกรรมผู้อยู่อาศัยในทำเลดังกล่าวมีความต้องการที่หลากหลายไลฟ์สไตล์ นับว่าตอบโจทย์ด้วยพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ลงตัว สามารถปรับแต่งให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของครอบครัว และสามารถรองรับกิจกรรมของครอบครัวได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ 3 สิ่งสำคัญที่บริษัทฯ ยังคำนึงถึงเสมอ คือ คุณภาพ (Quality) ที่ยังคงมุ่งมั่นรักษาระดับมาตรฐานงานออกแบบและการก่อสร้าง เพื่อส่งมอบโครงการคุณภาพให้ถึงมือผู้บริโภค การบริการ (Service Mind) ที่สร้างความประทับใจ และการดูแลลูกค้า (CRM) ให้ความใส่ใจสร้างสังคมแห่งคุณภาพภายใต้โครงการของบริษัท ดังนั้น ปีนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญและสร้างความไว้วางใจและความพึงพอใจให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในสินค้าและบริการของบริษัทได้ สำหรับแผนการเปิดโครงการใหม่ในปี 2560 บริษัทตั้งเป้าหมายทั้งปีนี้ไว้ประมาณ 8-10 โครงการ มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัดในส่วนของหัวเมืองหลัก และหัวเมืองชั้นรอง แบ่งสัดส่วนทำเลออกเป็น โซนกรุงเทพฯ และปริมณฑล 70% และในทำเลต่างจังหวัด 30% ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะโครงการแนบราบที่บริษัทมีความชำนาญ โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านแนวคิด การวางคอนเซ็ปต์ ตลอดจนการให้ความคุ้มค่าในการอยู่อาศัย การเลือกทำเลศักยภาพสะดวกทุกการเดินทาง และการใช้ประโยชน์ได้จริงของผู้อยู่อาศัย ให้พื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า มีพื้นที่สวนและที่จอดรถ ในราคาที่สมเหตุสมผล “บริษัทฯ มีแผนงานกลยุทธ์ด้านการก่อสร้าง ที่ตั้งเป้าหมายให้บ้านของบริษัทฯ ต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน มีสภาพแวดล้อมน่าอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มแข็ง โดยมีผลลัพธ์คือความสุขของลูกบ้านในโครงการ ทั้งนี้บริษัทฯ ได้มีการนำนวัตกรรมมาใช้ในการก่อสร้างซึ่งผสมผสานกับมาตรฐานของบริษัทฯ ซึ่งทำให้สามารถลดระยะเวลาในการก่อสร้างได้อย่างดียิ่ง” นายชูรัชฏ์ กล่าว นายกร ธนพิพัฒนศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) กล่าวเสริมทัพถึง แผนงานกลยุทธ์ทางการเงินของบริษัทฯ ปี 2560 ที่จะนำพาบริษัทฯ เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืนจากการตั้งเป้าหมายผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถขยายตัวได้ดีเพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ไว้ที่ 3,600 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้ที่ 3,100 ล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ประมาณ 15% บริษัทฯ ตั้งงบซื้อที่ดินประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากกระแสเงินสดที่มีในมือที่ได้จากการโอนโครงการที่มีอยู่ อย่างไรก็ดีบริษัทฯ มีแผนออกหุ้นกู้หากมีความจำเป็นเพื่อรองรับในระยะยาวให้เติบโตอย่างต่อเนื่องยั่งยืน และเตรียมพร้อมสำหรับการก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ทศวรรษในปี 2560 นี้อย่างแน่นอน
ทาวน์โฮม ทางเลือกที่น่าสนใจของคนอยากมีบ้าน

ทาวน์โฮม ทางเลือกที่น่าสนใจของคนอยากมีบ้าน

หลายบทความของเราที่ผ่านมาจะเน้นพูดถึงเรื่องคอนโดมิเนียม เพราะถือเป็นเจ้าตลาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับวงการอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา และด้วยเป็นที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองกรุงในแง่ของการเดินทางที่แข่งกันติดสถานีรถไฟฟ้าให้ได้มากที่สุด แต่อย่างที่ทราบกันดีว่ายิ่งติดรถไฟฟ้ามากเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัวมากเท่านั้น ขณะเดียวกันหากมองกลับมาที่ทาวน์โฮมบ้าง เราจะพบว่ามีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านบาทเท่านั้น เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ ทาวน์โฮมหรือทาวน์เฮาส์ คือที่อยู่อาศัยที่มีส่วนของกำแพง, หลังคาติดกันเป็นแถวหลายหลังติดกัน มีพื้นที่ใช้สอยเฉลี่ย ตั้งแต่ 70 ตร.ม. สูงไม่เกิน 3 ชั้น ซึ่งพื้นที่ใช้สอยรวมแล้วมากกว่าคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่ใช้สอยเฉลี่ยเพียง 30 ตร.ม. แต่ยังเล็กกว่าบ้านเดี่ยว ที่สำคัญคือราคาถูกกว่าที่อยู่อาศัยแบบอื่นๆ โดยราคาเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ล้านต้นๆ เท่านั้น ทาวน์โฮมจึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการมีพื้นที่อยู่อาศัยที่กว้างขวางมากกกว่าคอนโดมิเนียม เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยกับครอบครัวขนาดเล็ก เพียงแต่ทำเลในปัจจุบันอาจจะยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีรถยนต์ส่วนตัวมากกว่า แต่ในอนาคตหากรถไฟฟ้าในหลายๆ สายเปิดให้บริการเมื่อไหร่ ทาวน์โฮมที่  อยู่ห่างจากรถไฟฟ้าไม่เกิน 2-3 กิโลเมตร ก็เป็นอีกตลาดที่น่าจับตามองอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา หลังจากราคาคอนโดมิเนียมเริ่มพุ่งสูงจนน่าตกใจ ส่วนบ้านเดี่ยวก็อยู่ในทำเลที่ห่างไกลรถไฟฟ้าอยู่มาก รวมถึงโครงการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นโครงการในกลุ่มระดับลักชัวรี่ ตลาดทาวน์โฮมก็เริ่มกลับมาขยับกันอีกครั้ง เพราะราคาที่ถูกกว่ากันมาก และยังไม่มีการขยับขึ้นเท่าไรนัก ทำเลยังอยู่ในระยะที่เดินทางสะดวกสำหรับผู้มีรถยนต์ส่วนตัว อยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต โรงพยาบาล และทางด่วนที่สามารถเชื่อมต่อเข้าเมืองเป็นหลัก ในอนาคตก็อยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้ามากนัก ทำให้หลายคนหันมามองที่อยู่อาศัยประเภททาวน์โฮมกันมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวใหม่ ซึ่งแนวโน้มสำหรับตลาดทาวน์โฮมในปีนี้จะเติบโตขึ้น 10-15% มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ประมาณ 25% เพิ่มมากขึ้นจากปีที่แล้วที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 15-20% น้อยที่สุดในบรรดาตลาดที่อยู่อาศัย ทำเลยอดฮิตของทาวน์โฮมในปัจจุบันส่วนมากจะอยู่แถบชานเมืองกับปริมณฑลที่มีพื้นที่รวมหลายไร่ ราคาที่ดินยังไม่สูงมากนัก ส่งผลให้ราคาขายต่อหลังยังมีราคาที่หลายคนสามารถเอื้อมถึงประมาณตั้งแต่ 1-4 ล้านบาท โดยทำเลที่มีโครงการเกิดขึ้นสูงสุดที่ผ่านมา ได้แก่ กระทุ่มแบน-สามพราน สามารถเชื่อมต่อกับถนนพระราม 2 ถนนเพชรเกษม ที่เป็นอีกหนึ่งเส้นทางหลักระหว่างปริมณฑลฝั่งตะวันตกและเข้าตัวเมืองกรุงเทพฯ ทุ่งครุ-พระประแดง ย่านที่ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ผ่าน และมีจุด Interchange กับรถไฟฟ้าสายสีอื่นๆ คือ สายสีแดงเข้มกับสายสีเขียว สถานีวงเวียนใหญ่, สายสีน้ำเงิน สถานีวังบูรพากับสถานีเตาปูน, สายสีส้ม สถานีผ่านฟ้า, สายสีแดงอ่อน สถานีสามเสนกับบางซ่อน และสายสีน้ำตาล สายสีชมพู สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี ธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ ย่านที่ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีม่วงเช่นกัน ลาดหลุมแก้ว ใกล้กับทางด่วนอุดรรัถยาที่ไปเชื่อมต่อเข้าสู่ตัวเมืองกับทางพิเศษศรีรัช รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีแดงชานเมือง บางซื่อ-รังสิต ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในขณะนี้ ดอนเมือง-สายไหม ย่านดอนเมืองใกล้กับทางยกระดับอุตราภิมุข และรถไฟฟ้าสายสีแดงชานเมือง บางซื่อ-รังสิต ส่วนย่านสายไหมจะอยู่ใกล้กับทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ และถนนกาญจนาภิเษก วงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก อ่อนนุช-บางนา ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายสำโรง-สมุทรปราการ ที่กำลังจะเปิดให้ใช้บริการปลายปีนี้ รวมถึงใกล้กับทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษเฉลิมมหานคร สุวรรณภูมิ-บางเสาธง ใกล้กับแอร์พอร์ตลิงค์ในปัจจุบัน ถนนกาญจนาภิเษก วงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก มอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-ชลบุรี และทางพิเศษบูรพาวิถี เชื่อว่าทาวน์โฮมจะเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับใครหลายคน ด้วยความพอเหมาะพอดีที่มีอยู่ในตัว ทั้งราคา พื้นที่ใช้สอย ทำเล เป็นที่อยู่อาศัยที่ลงตัวสำหรับผู้มองหาเพื่ออยู่อาศัยเอง  
ชิค รีพับบลิค สาขาราชพฤกษ์ มากกว่าศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของครอบครัวที่มุ่งสร้างประสบการณ์และแรงบันดาลใจการตกแต่ง

ชิค รีพับบลิค สาขาราชพฤกษ์ มากกว่าศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของครอบครัวที่มุ่งสร้างประสบการณ์และแรงบันดาลใจการตกแต่ง

บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด ชวนเลือกช้อปของตกแต่งบ้านที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและสัมผัสความงดงามของสาขาใหม่ โดดเด่นที่สุดบนถนนราชพฤกษ์ ในคอนเซ็ปต์ “Inspiration and Experience” ให้ทุกพื้นที่เป็นมากกว่าศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของครอบครัวที่มุ่งสร้างประสบการณ์และแรงบันดาลใจการตกแต่ง ด้วยพื้นที่จัดวางสินค้ากว่า 15,000 ตารางเมตร และแบรนด์ใหม่ “Rina Hey (ริน่า เฮย์)” มอบเอกลักษณ์ใหม่ สุดเท่ห์ เก๋ไก๋ ไม่ซ้ำใคร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imperfect Create Perfect Place” พิเศษส่งท้ายปีกับแคมเปญใหญ่ “SALE UP TO 50%” รับส่วนลดทันทีสำหรับทุกสินค้า สูงสุด 50% เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ณ โฮมแฟชั่นสโตร์ ชิค รีพับบลิค สาขาราชพฤกษ์
SC ASSET ผู้พัฒนาอสังหาระดับพรีเมี่ยม โชว์ผลงานคราฟท์ทั้งงานสร้างบ้านและคราฟท์ทั้งงานโฆษณา กวาดรางวัลจากการประกวด  Adman Awards & Symposium 2016 กับ B.A.D Awards 2016

SC ASSET ผู้พัฒนาอสังหาระดับพรีเมี่ยม โชว์ผลงานคราฟท์ทั้งงานสร้างบ้านและคราฟท์ทั้งงานโฆษณา กวาดรางวัลจากการประกวด Adman Awards & Symposium 2016 กับ B.A.D Awards 2016

คุณณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด และ คุณโฉมชฎา กุลดิลก ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ภูมิใจที่ผลงานจากภาพยนตร์โฆษณาคฤหาสน์หรู ภายใต้แบรนด์ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด เรื่อง “It’s Worth Everything” (The Curator) กวาด 3 รางวัลรวดจากเวที B.A.D Awards 2016 ในหมวด “Best of Craft” ได้แก่ 1. Best of Craft Award in Cinematography 2. Certificate of Excellence in Production design และ 3. Certificate of Excellence in Music and Jingle และรางวัลประเภท Bronze ในหมวด Film จากการเข้าร่วมประกวดในงาน Adman Awards & Symposium 2016 ซึ่งจัดโดยสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย โดยมีแนวคิดสำคัญมาจากการเป็นผู้นำตลาดบ้านหรูที่ “รู้จักและเข้าใจ” กลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง เข้าใจถึงทัศนคติของคนที่เลือกซื้อคฤหาสน์หรู เพื่อให้เป็น “บ้าน” ที่ดีที่สุดสำหรับตนเองและคนสำคัญ เช่นเดียวกับ คฤหาสน์หรู  แกรนด์ บางกอก   บูเลอวาร์ด คนที่มองเห็นว่าอะไร คือคุณค่าที่แท้จริงสำหรับครอบครัว แม้ต้องจ่ายในราคาสูงเท่าไหร่ แต่เพื่อ ‘สิ่งที่มีค่าที่สุด’ ทุกสิ่งที่ทำมันคุ้มค่าเสมอ ผลงานสร้างสรรค์โดย Spa-Hakuhodo เอเจนซีโฆษณาชั้นนำของไทย และผู้กำกับมากฝีมือ คุณวุฒิศักดิ์ อนรรฆพร จากบริษัท Factory01
ราคาที่พักอาศัยระดับหรูในกรุงเทพฯ ปี 59 ทุบสถิติใหม่

ราคาที่พักอาศัยระดับหรูในกรุงเทพฯ ปี 59 ทุบสถิติใหม่

ไทย, 21 ธันวาคม 2559 – แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี เผยว่า แม้ในปี 2559 ภาพรวมของตลาดที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่ในกรุงเทพมหานครอาจจะคึกคักน้อยกว่าปีที่แล้ว แต่ก็เป็นปีที่มีการเปิดตัวโครงการใหญ่หลายโครงการและมีราคาขายก่อนที่การก่อสร้างเริ่มต้นในระดับที่ทุบสถิติใหม่ และถือว่าเป็นตลาดที่เติบโตได้ดีกว่าตลาดที่พักอาศัยโดยรวม ซึ่งได้รับผลกระทบจากยอดขายที่ชะลอตัวและอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งจะเลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในวันที่ 13 ตุลาคม  2559  แต่ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมใหม่ระดับไฮเอนด์ขึ้นไปในย่านใจกลางเมืองยังสูงขึ้นจนแตะที่ระดับ 2.19 แสนบาทต่อตารางเมตร หรือคิดเป็นสูงขึ้น  4.7% ต่อปี ด้านความต้องการที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่ในกรุงเทพฯ ที่มีราคาเฉลี่ยสูงกว่า 2 แสนบาทต่อตารางเมตรและมีราคาต่อยูนิต10 ล้านบาทขึ้นไปนั้น ส่วนใหญ่ยังคงมาจากผู้ซื้อชาวไทย หรือคิดเป็นราว 85% ของยูนิตที่ขายได้    นอกจากนี้ แผนกวิจัย ซีบีอาร์อียังเห็นถึงความต้องการซื้อโครงการที่ตั้งอยู่ในย่านที่พักอาศัยชั้นนำของกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงนั้นมุ่งให้ความสนใจย่านสุขุมวิท สาทร และลุมพินี คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ (2 แสน – 2.99 แสนบาทต่อตารางเมตรและมีราคาต่อยูนิต 10 ล้านบาทขึ้นไป) และซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ (3 แสนบาทต่อตารางเมตรขึ้นไปและมีราคาต่อยูนิต 20 ล้านบาทขึ้นไป) ที่มีการเปิดตัวในกรุงเทพฯ ในปี 2559 มีจำนวนลดลงราวครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับปี 2558 โดยมีการเปิดตัวทั้งสิ้น 725 ยูนิต หรือคิดเป็น 11% ของจำนวนยูนิตทั้งหมดของโครงการที่เปิดตัวในปีนี้ และลดลง 4% ต่อปี ซึ่งไม่ต่างกับตลาดที่พักอาศัยแนวราบที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านระดับลักซ์ชัวรี่ในย่านใจกลางเมืองแห่งใหม่เพียง 45 หลังในปี 2559  จาก 136 หลังในปีก่อน  โดยมีราคาเฉลี่ยต่อหลังเพิ่มขึ้น 5.1% มาอยู่ที่ราว 55 ล้านบาท ในปี 2559 มีถึง 13 โครงการที่สามารถปิดการขายได้ในราคาสูงกว่า 3 แสนบาทต่อตารางเมตร  โดยโครงการ 185 ราชดำริ และเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก สามารถปิดการขายบางยูนิตได้ในราคาสูงกว่า 4 แสนบาทต่อตารางเมตร   ด้านโครงการมาร์ค สุขุมวิท นับเป็นโครงการแรกในย่านสุขุมวิทที่สามารถปิดการขายได้ในราคาสูงกว่า 4 แสนบาทต่อตารางเมตร  ณ ไตรมาสที่ 4      แม้ธุรกรรมการซื้อขายเหล่านี้จะไม่ได้สะท้อนราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรของโครงการที่กล่าวถึงในข้างต้น แต่ก็แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มด้านราคา ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่าตลอดปี 2560 ทั้งตลาดคอนโดมิเนียมและตลาดที่พักอาศัยแนวราบในระดับลักซ์ชัวรี่ของกรุงเทพฯ จะเติบโตได้ดีกว่าตลาดระดับกลางและระดับล่าง เนื่องจากผู้ซื้อได้รับผลกระทบที่น้อยกว่าจากความเข้มงวดในการขอสินเชื่อซึ่งส่งผลให้ตลาดที่พักอาศัยโดยรวมชะลอตัว ตลาดที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่จะยังคงไม่ประสบกับปัญหาอันเกิดขึ้นจากการมีซัพพลายจำนวนมากของโครงการในระดับกลางและระดับล่าง แม้จะประเมินว่าราคาขายคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ในกรุงเทพฯ จะเพิ่มสูงขึ้นตลอดปีหน้าจากการที่ราคาที่ดินที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แผนกวิจัย ซีบีอาร์อีกลับมองว่าอัตราการเติบโตของตลาดจะลดลง เนื่องจากราคาขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้ลูกค้าซื้อได้ยากขึ้น และทำให้จำนวนผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าลดลงตามไปด้วย   ราคาขายที่สูงขึ้นอย่างมากของโครงการใหม่มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้คอนโดมิเนียมมือสองในโครงการที่แล้วเสร็จได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากผู้ซื้อมองเห็นถึงช่องว่างด้านราคาระหว่างโครงการใหม่และโครงการที่แล้วเสร็จที่กว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบางกรณีมีราคาแตกต่างกันถึง 4 เท่า ทั้งที่ตั้งอยู่ในย่านที่ใกล้เคียงกัน   แต่ทั้งนี้ผู้ซื้อจะให้ความสนใจเฉพาะโครงการที่แล้วเสร็จที่ได้รับการบริหารจัดการโดยมืออาชีพและได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีเท่านั้น ติดตามข่าวสารจากซีบีอาร์อีเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: CBRE.Thailand Twitter: @CBREThailand LinkedIn: CBRE Thailand Instagram: CBRE Residential Thailand
ทรัสต์ SRIPANWA รับการท่องเที่ยวภูเก็ตบูม หนุนศักยภาพธุรกิจโรงแรม ดันอัตราการเข้าพักเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น ช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดี

ทรัสต์ SRIPANWA รับการท่องเที่ยวภูเก็ตบูม หนุนศักยภาพธุรกิจโรงแรม ดันอัตราการเข้าพักเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น ช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดี

ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา (SRIPANWA) เข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 23 ธันวาคมนี้  หลังได้รับการตอบรับที่ดีจากการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา นักลงทุนทั่วไปที่เป็นผู้มีอุปการคุณของเจ้าของทรัพย์สินและบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน ผู้มีอุปการคุณของผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์และนักลงทุนสถาบัน ที่ราคาหน่วยละ 10.80 บาท มั่นใจกองทรัสต์จะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่น่าพอใจจากศักยภาพทรัพย์สินที่โดดเด่น ทั้งทำเลที่ตั้ง ชื่อเสียงการบริการและความเชี่ยวชาญในการบริหารโรงแรม แถมได้รับแรงหนุนจากภาพรวมธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตที่เติบโตได้ดีและโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในจังหวัด     นางสาววรดา ตั้งสืบกุล รองผู้จัดการใหญ่ Investment Banking Coverage ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กองทรัสต์ ‘SRIPANWA’ หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา เปิดเผยว่า หน่วยลงทุนของทรัสต์  SRIPANWA ได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ ซึ่งด้วยศักยภาพของทรัพย์สินที่เข้าลงทุนจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี หลังจากก่อนหน้านี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากการเสนอขายหน่วยลงทุนของทรัสต์ ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา (กองทุนรวม SPWPF) นักลงทุนทั่วไปที่เป็นผู้มีอุปการคุณของเจ้าของทรัพย์สินและบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน ผู้มีอุปการคุณของผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์และนักลงทุนสถาบัน ในราคาหน่วยละ 10.80 บาท  รวมทั้งการแลกเปลี่ยนทรัพย์สินและภาระของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา หรือ SPWPF กับหน่วยทรัสต์ SRIPANWA จากการแปลงสภาพกองทุนรวม SPWPF เป็นกองทรัสต์ SRIPANWA โดยมูลค่ากองทรัสต์ SRIPANWA ณ มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) ที่  11.3121 บาทต่อหน่วย เท่ากับ 3,157 ล้านบาท ทั้งนี้ SRIPANWA ถือเป็นทรัสต์กองแรกที่แปลงสภาพจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มาเป็นทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยได้แปลงสภาพมาจากกองทุนรวม SPWPF เพื่อรองรับการลงทุนเพิ่มเติมในสินทรัพย์หรือขยายขนาดสินทรัพย์ เพิ่มผลตอบแทนและเพิ่มสภาพคล่องของกองทรัสต์ โดยได้เข้าซื้อและรับโอนทรัพย์สินที่ลงทุนครั้งแรกในกองทุนรวม SPWPF ได้แก่ โครงการโรงแรมส่วนที่ 1 จำนวน 45 ยูนิต ที่ประกอบด้วยบ้านพักแบบวิลล่าหรูและห้องพักโรงแรมหรูพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว พร้อมทั้งเข้าลงทุนในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ได้แก่ โครงการโรงแรมส่วนที่ 2 ซึ่งเป็นห้องพักโรงแรมหรู 2 อาคาร จำนวน 30 ห้องพัก ในอาคารเดอะฮาบิตะ และบ้านพักตากอากาศ X29 ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น บนที่ดินรวม 6 ไร่ 50.6 ตารางวา ในจังหวัดภูเก็ต “เชื่อว่าทรัสต์ SRIPANWA จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน หลังได้เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ  เนื่องจากทรัพย์สินของโครงการโรงแรมศรีพันวาที่ทรัสต์ได้เข้าไปลงทุนนั้น จัดอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 15 กิโลเมตร จึงมีโอกาสที่มูลค่าทรัพย์สินจะปรับเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต โดย ณ ราคาเสนอขายที่หน่วยละ 10.80 บาท มีประมาณการอัตราผลตอบแทนในปีแรกเท่ากับร้อยละ 6.75” นางสาววรดา กล่าว นายวรสิทธิ อิสสระ ประธานกรรมการ บริษัท ชาญอิสสระ รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ในฐานะผู้ก่อตั้ง ทรัสต์ ผู้จัดการกองทรัสต์และผู้เสนอขายหน่วยทรัสต์ กล่าวว่า  บริษัทฯ มั่นใจในศักยภาพและความโดดเด่นของทรัพย์สินที่ทรัสต์ SRIPANWA เข้าลงทุน ซึ่งบริหารงานโดยทีมงานที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจโรงแรม โดยทรัพย์สินที่เข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ได้แก่ ห้องพักโรงแรมแบบพูลสวีทและเพนท์เฮาส์ จำนวน 30 ห้องพัก มีจุดเด่นที่มองเห็นวิวทะเลอันดามันได้ทุกห้อง  ส่วนบ้านพักตากอากาศ X29 ขนาด 5 ห้องนอน เน้นความหรูหราและเป็นส่วนตัว จึงสามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อระดับบน นอกจากนี้ ยังประเมินว่าทรัพย์สินที่ทรัสต์เข้าลงทุนนั้น มีศักยภาพเติบโตจากปัจจัยเกื้อหนุนจากภาพรวมธุรกิจโรงแรมและการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในจังหวัดภูเก็ตในอนาคต โดยพบว่าในปีที่ผ่านมาอัตราเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมระดับ 5 ดาวในภูเก็ต เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 71 (ปี 2557 อยู่ที่ร้อยละ 69) ส่วนปี 2559 นั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 75 ขณะที่ภาครัฐมีโครงการและแผนลงทุน อาทิ การลงทุนขยายสนามบินนานาชาติภูเก็ตระยะที่ 2 เพื่อรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 12.5 ล้านคนต่อปี จากเดิม 6.5 ล้านคนต่อปี ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโรงแรมและการท่องเที่ยวบนเกาะภูเก็ต
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านเชื่อมั่นธุรกิจปี’60ฟื้น

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านเชื่อมั่นธุรกิจปี’60ฟื้น

คุณพิชิติ อรุณพัลลภ (ที่4จากขวามือ) นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน และคุณธีร์ บุญวาสนา (ที่4จากซ้ายมือ) อุปนายกฝ่ายวิชาการสมาคมฯพร้อมด้วยกรรมการของสมาคมฯ ร่วมแถลงข่าวถึงผลการดำเนินงานของสมาคมฯในรอบปี2559พร้อมกับแสดงวิสัยทัศน์ถึงความเชื่อมั่นภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านในปี 2560 เติบโตกว่า10% หลังได้แรงหนุนการลงทุนของภาครัฐ เดินหน้าจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อสนับสนุนการขายของสมาชิกในปี 2560 พร้อมยังได้เพิ่มพูนความรู้ยกระดับการดำเนินธุรกิจให้กับสมาชิกของสมาคมฯในด้านต่างๆเติบโตอย่างยั่งยืน
โครงการ เดอะ เครสตัน ฮิลส์ เขาใหญ่ สร้างประวัติศาสตร์ให้วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ยืนหยัดต่อสู้หลุดข้อกล่าวหาที่ดินรุกล้ำพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

โครงการ เดอะ เครสตัน ฮิลส์ เขาใหญ่ สร้างประวัติศาสตร์ให้วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ยืนหยัดต่อสู้หลุดข้อกล่าวหาที่ดินรุกล้ำพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

22 ธันวาคม 2559 - บริษัท ภูพบฟ้า จำกัด เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยระดับหรู The Creston Hills (เดอะ เครสตัน ฮิลส์) เขาใหญ่  แถลงข่าวถึงความชอบธรรมของการครอบครองที่ดิน และได้ข้อยุติกรณีพิพาทระหว่างบริษัทฯ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เรื่องการสร้างแนวรั้วโครงการฯ รุกล้ำเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และเขตป่าไม้ถาวรที่ยืดเยื้อมาเกือบ 2  ปี นายนิพนธ์ ปิ่นศรีศิริรัตน์ กรรมการ บริษัท ภูพบฟ้า จำกัด แถลงวันนี้ว่า “เกือบ 2 ปีแห่งการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของบริษัทฯ ที่ผ่านมาเป็นเวลาที่ยาวนานแต่ก็คุ้มค่า เพราะในที่สุดเราก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าพื้นที่ของบริษัทฯ จำนวน 1.98 ไร่ ที่เป็นแนวรั้วโครงการเดอะ เครสตัน ฮิลส์ (The Creston Hills) ไม่ได้รุกล้ำพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และเขตป่าไม้ถาวรตามที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด ซึ่งกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในครั้งนี้นอกจากทำให้เราสูญเสียโอกาสจากรายได้ถึงกว่า 1,000 ล้านบาทแล้วยังส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของโครงการ เดอะ เครสตัน ฮิลส์ เป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ดี    การเรียกร้องความยุติธรรมครั้งนี้ บริษัทฯ หวังว่าจะเป็นตัวอย่างให้แก่เจ้าของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นที่ควรยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิและความถูกต้องหากต้องประสบกรณีข้อกล่าวหาเช่นเดียวกับทางบริษัทฯ  นับจากนี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าโครงการ เดอะ เครสตัน ฮิลส์ จะได้รับความไว้วางใจและความมั่นใจจากผู้ที่สนใจในโครงการฯ มากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน” สำหรับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ปี ที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการต่อสู้เรียกร้องถึงความชอบธรรมและถูกต้องของเอกสารต่างๆ  มาโดยตลอด จนพิสูจน์ได้ถึงความโปร่งใส  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นหลักๆ ดังนี้ เรื่องการสร้างรั้วรุกเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เนื้อที่ 1.98 ไร่ ซึ่งทางโครงการฯ มิได้สร้างรั้วรุกล้ำแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ตามที่กล่าวอ้าง และรั้วของโครงการฯ ทั้งหมดได้สร้างอยู่ในแนวโฉนดที่ดินของโครงการ ซึ่งมีรายละเอียดปรากฏตามเอกสารยืนยันจากหนังสือสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 7 ลงวันที่ 27 เมษายน 2552 และหนังสือจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2552 เรื่องการได้มาของโฉนดที่ดิน การได้มาซึ่งที่ดินทั้งหมดของโครงการฯ เป็นการได้มาจากการซื้อขาย ที่บริษัทฯ ได้มีการตรวจสอบที่ดินทุกแปลงแล้วปรากฏว่าเอกสารสิทธิของที่ดินทุกแปลงได้มาจาก สค.1 นับแต่ปี 2498 และ 3. เรื่องแนวเขตป่าไม้ถาวร ซึ่งที่ดินของโครงการทั้ง 20 แปลง มิได้อยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ซึ่งได้มีการร่วมตรวจสอบที่ดินในโครงการทั้งหมด โดยกรมพัฒนาที่ดิน โครงการ เดอะ เครสตัน ฮิลส์ เป็นโครงการที่พักอาศัยหรูสไตล์ร่วมสมัยแบบอเมริกันบนพื้นที่ 200 ไร่ โอบล้อมด้วยภูเขารอบด้าน โดยพื้นที่แบ่งเป็นโครงการบ้านทั้งหมด 57 หลัง มีแบบบ้านให้เลือก 4 แบบ ในราคาเริ่มต้นที่ 65,000 บาท – 75,000 บาทต่อตารางวา  นอกจากนี้ การพัฒนาโครงการฯ เน้นการผสมผสานระหว่างการใช้ประโยชน์พื้นที่ในรูปแบบต่างๆ อาทิ  ที่อยู่อาศัย  พาณิชยกรรม และพื้นที่สันทนาการเข้าด้วยกัน
เดอะคิวบ์ พลัส แจ้งวัฒนะ ทำกราฟรายได้ปี 59 พุ่ง ปลื้มยอดโอนกว่า 95%

เดอะคิวบ์ พลัส แจ้งวัฒนะ ทำกราฟรายได้ปี 59 พุ่ง ปลื้มยอดโอนกว่า 95%

นายวิชิต อำนวยรักษ์สกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท คิวบ์ เรียล พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้บริหารโครงการ The Cube Condominium  ยอมรับว่าปลื้มโครงการเดอะคิวบ์ พลัส แจ้งวัฒนะ (The Cube Plus Chaengwattana) ตั้งแต่เปิดโครงการฯ พร้อมกันทั้ง 5 อาคาร กระแสตอบรับดีมาโดยตลอดซึ่งในขณะนี้โครงการฯ สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่อาศัยได้แล้ว มียอดการโอนกรรมสิทธิ์แล้วกว่า 95% จากทั้งหมด 482 ยูนิต ส่งผลให้กราฟรายได้ของบริษัทในปี 2559 พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า และยังคงโตต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปี 2560 และมั่นใจว่าอีก 5% ที่เหลือจะปิดยอดการขายและโอนกรรมสิทธิ์ได้ไม่เกินไตรมาสแรกของปี 2560 อย่างแน่นอน เพราะความต้องการที่พักแนวสูงอย่างคอนโดมิเนียมบนถนนแจ้งวัฒนะมีเข้ามาซื้ออย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทฯ ได้วางแผนรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์และขยายธุรกิจเต็มกำลังโดยจะเปิดโครงการใหม่ในปี 2560 เพิ่มอีกอย่างน้อย 5 โครงการ ทั้งแนวสูงและแนวราบบนทำเลศักยภาพ เน้นสะดวกทุกการเดินทางทั้งติดแนวรถไฟฟ้า ใกล้แหล่งงาน และย่านธุรกิจ ในกรุงเทพและปริมณฑล เพื่อสนองตอบความต้องการของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตที่ต้องการอยู่อาศัยเองและเพื่อลงทุน ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการฯ ที่เปิดขายอยู่และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นอย่างดีคือ เดอะคิวบ์ พลัส แจ้งวัฒนะ และเดอะคิวบ์ ประชาอุทิศ สร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์และเข้าอยู่ได้แล้ว ส่วนเดอะคิวบ์ นวมินทร์ และเดอะคิวบ์ พลัส มีนบุรี  เปิดพรีเซลและอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2560 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1246 (ทุกวันไม่เว้นวันหยุด) และติดตามความเคลื่อนไหวทางเฟซบุ๊ค : www.facebook.com/The Cube-Condo และ www.thecube-condo.com
“เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป” เร่งเครื่องปั๊มรายได้ปีหน้าเติบโต 100% เตรียมลุยคอนโดแห่งแรกแนวรถไฟฟ้า ย่านจรัญสนิทวงศ์

“เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป” เร่งเครื่องปั๊มรายได้ปีหน้าเติบโต 100% เตรียมลุยคอนโดแห่งแรกแนวรถไฟฟ้า ย่านจรัญสนิทวงศ์

เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป (BAG) มั่นใจรายได้ปีนี้ปิดตามเป้า 400 ล้านบาท ชูโครงการใหม่ผลตอบรับดีทุกโครงการ เชื่อมั่นปีหน้าตลาดเรียลมานด์ขยายตัวอีก 5-10%  คาดธนาคารพาณิชย์ผ่อนคลายนโยบายด้านสินเชื่อ ตั้งเป้ารายได้เติบโต 800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100% จากปี 2559 เตรียมขยายโครงการทาวน์โฮม 2-3 ชั้น บนทำเลใหม่ 2 โครงการ พร้อมลุยคอนโด โลว์ไรส์ แห่งแรกของบริษัทฯ บนทำเลทองย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ แนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ตอบโจทย์ตลาดคนรุ่นใหม่ เผยจุดแข็งมีทีมวิจัยศึกษาความต้องการของตลาดก่อนเข้าลงทุนพัฒนาได้ในทุกทำเล นายทรงพล ศรีวงศ์ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด (BAG) ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยาวนานมากกว่า 10 ปี ภายใต้แบรนด์ เบล็ส วิลล์ (BLESS VILLE)  และเบล็ส ทาวน์ (BLESS TOWN) เปิดเผยว่า มั่นใจอย่างยิ่งว่าปี 2559 บริษัทฯ จะสามารถทำรายได้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 400 ล้านบาท แม้ว่าในปีนี้จะมีผลกระทบจากหลายปัจจัย แต่ด้วยกลยุทธ์การตลาดและความยืดหยุ่นในการพัฒนาโครงการใหม่ออกมาตอบโจทย์ผู้บริโภคมากที่สุด ทำให้ทุกโครงการของบริษัทฯ ที่เปิดขายในปีนี้มีผลตอบรับที่ดีตลอดทั้งปี 2559 สำหรับมุมมองต่อภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2560 น่าจะเป็นอีกหนึ่งปีที่มีความท้าทายอย่างมาก แต่ด้วยบริษัทฯ ซึ่งเป็นรายเล็กของตลาดมีข้อได้เปรียบในการปรับกลยุทธ์ได้ง่ายกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ ดังนั้นมีความเชื่อมั่นว่าตลาดยังคงเติบโตได้ในอัตราประมาณ 5-10% โดยเฉพาะกลุ่มตลาดเรียลดีมานด์ ซึ่งมีความต้องการที่อยู่อาศัยที่พร้อมเข้าอยู่ทัน คาดว่าจะมาเร่งตัดสินใจซื้อในปี 2560 จำนวนมาก ขณะที่กลุ่มที่จะต้องระวังอย่างมาก คือตลาดการลงทุน กลุ่มผู้ซื้อเก็งกำไร “ทิศทางปีหน้า น่าสนใจมากเพราะผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดมองว่าน่าจะทรงๆ ตัว แต่ในมุมมองของบริษัทฯ เชื่อว่าเราจะได้เห็นความต้องการตลาดเรียลดีมานด์อัดอั้นจากปีนี้ไหลสู่ปี 2560 จำนวนมาก หลังจากที่ปี 2559 ธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออย่างชัดเจน จนทำให้อัตราผู้กู้สินเชื่อบ้านไม่ผ่านมีสัดส่วนที่สูง เพราะแบงก์มีกังวลกับหลายๆ ปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย แต่อย่างไรก็ดีก็ส่งผลลบต่อผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งที่ปีนี้ถือว่าพลาดเป้ามาก ดังนั้นบริษัทฯ เชื่อว่าปี 2560 ธนาคารพาณิชย์น่าจะมีนโยบายผ่อนคลายกฎเกณฑ์ด้านสินเชื่อออกมา เพื่อกระตุ้นตลาด และทำให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ฟื้นตัวจากปีนี้” นายทรงพล กล่าวว่า ในปี 2560 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้จะแตะที่ 800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 100% จากรายได้ 400 ล้านบาทในปี 2559 ด้วยบริษัทฯ มีนโยบายสร้างบ้านเสร็จก่อนเปิดขายบางส่วน ออกมารองรับความต้องการของกลุ่มตลาดเรียลดีมานด์ที่ต้องการเข้าอยู่ทันทีและมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นในปี 2560 ประกอบกับบริษัทฯ มีแผนจะขยายการลงทุนประเภททาวน์โฮม ขนาด 2-3 ชั้น เจาะกลุ่มสตาร์ท-อัพ ภายใต้แบรนด์ เบล็ส วิลล์ (BLESS VILLE)  และเบล็ส ทาวน์ (BLESS TOWN) บนทำเลใหม่เพิ่มอีก 2-3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 800-1,200 ล้านบาท นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมีแผนงานด้านกลยุทธ์ในการพัฒนาสินค้าประเภทใหม่ๆ ออกมาตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทฯ ที่เน้นจับตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยในปี 2560 บริษัทฯ มีแผนจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ประเภทโลว์ไรส์ (Low Rise) ในทำเลรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงต้นปี ปัจจุบันได้เริ่มงานก่อสร้างไปแล้ว และคาดว่าจะเริ่มโอนได้ประมาณไตรมาส 4 ปี 2560 ในราคาที่รับรองว่าคุ้มค่าที่สุดตามนโยบายของบริษัทฯ ซึ่งในการทำสินค้าแต่ละราคาแต่ละทำเล มาจากการทำงานของทีมวิจัยที่มีการศึกษาตลาดและพัฒนาสินค้าที่ตอบสนองผู้บริโภคมากที่สุดในทุกทำเลที่เข้าไปลงทุน สำหรับผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมโครงการภายใต้การพัฒนาของบริษัทฯ พร้อมรับข้อเสนอพิเศษ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร Call Center 086-677-3333 หรือเข้าดูรายละเอียดได้ที่ www.bagroup.co.th
เน็กซัสชี้แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยปี 60 เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ทำเล กลางเมืองยังคงเนื้อหอมสำหรับกลุ่มผู้พัฒนาซูเปอร์ลักชัวรี่

เน็กซัสชี้แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยปี 60 เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ทำเล กลางเมืองยังคงเนื้อหอมสำหรับกลุ่มผู้พัฒนาซูเปอร์ลักชัวรี่

นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เผยผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครในปี 2559 ว่า “ตลาดที่อยู่อาศัยยังคงเติบโตในอัตราที่คงที่ ราคาคอนโดมิเนียมโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นถึง 14% โดยตลาดคอนโดหรูในเมืองมีอัตราการขึ้นของราคาที่มากกว่าเมื่อเทียบกับ ตลาดรอบนอก อุปทานใหม่ในตลาดชะลอตัวเล็กน้อยซึ่งเป็นผลดี ทำให้ภาพรวมตลาดมีการดูดซับห้องชุดที่เปิดก่อนหน้านี้ไปได้มากพอสมควร” ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานคร อุปทาน แม้ว่าสถานการณ์ของตลาดโดยรวมจะค่อนข้างคงที่ และในช่วงไตรมาสที่ 4 ผู้พัฒนาโครงการตัดสินใจชะลอการเปิดตัวโครงการไปบางส่วน แต่ในปี 2559 อุปทานของคอนโดมิเนียมใหม่ที่เปิดในตลาดมีถึง 40,000 หน่วย จาก 94 โครงการ ซึ่งทำให้มีคอนโดมิเนียมในตลาดรวมทั้งสิ้นถึง 487,000 หน่วย โดยยอดห้องชุดเปิดตัวใหม่ ต่ำกว่าปี 2558 ประมาณ 25% เท่านั้น (จำนวนห้องชุดเปิดใหม่ในปี 2558 มีทั้งสิ้น 53,000 หน่วย) สำหรับทำเลที่มีซัพพลายเพิ่มขึ้นมากที่สุด 3 อันดับแรกในปีที่ผ่านมาคือ  1. พระโขนง สวนหลวง  (10,700 หน่วย) 2. พญาไท รัชดาภิเษก (9,200 หน่วย) และ 3. งามวงศ์วาน ติวานนท์  (6.900 หน่วย) โดยคิดเป็นจำนวนหน่วยมากกว่า 67% ของคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่ทั้งหมด สำหรับประเด็นที่น่าจับตามอง คือ ถึงแม้ว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี การเปิดตัวคอนโดมิเนียมจะมีการชะลอตัวบ้าง แต่ 70% ของคอนโดมิเนียมใหม่ที่เปิดใหม่ในปีนี้ ยังคงเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังดังนั้นแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการยังคงเชื่อมั่นในการเติบโตของตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานคร อุปสงค์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยอดขายใหม่ของคอนโดมิเนียมในตลาดเฉลี่ยที่ 51,200 หน่วยต่อปี สำหรับปี 2559 คอนโดมิเนียมที่เปิดขายอยู่ในตลาดมียอดขายใหม่ 46,100 หน่วย ซึ่งต่ำกว่ายอดขายเฉลี่ย 5 ปี ประมาณ 10% อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลดลงของห้องชุดเปิดใหม่ในช่วงปีที่ผ่านมาที่จำนวน 40,000 หน่วย เป็นผลทำให้มี ดีมานด์ใหม่ มากกว่า อุปทานใหม่ และอัตราการขายรวมของคอนโดมิเนียมตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 90% (ยอดขายรวมของคอนโดมิเนียมสะสมอยู่ที่ 438,000 หน่วย) ในปี 2559 คอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่ในตลาดมียอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 64%  ทั้งนี้ทำเลที่มียอดขายสูงสุด 3 ทำเลคือ 1. พระโขนง สวนหลวง  2.พญาไท รัชดาภิเษก  3. งามวงศ์วาน ติวานนท์  ที่มา: Nexus Research, December 2016 ราคา ในปี 2559 ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปรับตัวสูงขึ้นถึง 14% จาก 106,000 บาทต่อตารางเมตร ปรับขึ้นเป็น 121,000 บาทต่อตารางเมตร ในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งอัตราการเพิ่มขึ้นนี้ สูงกว่าอัตราเฉลี่ยราคาคอนโดมิเนียมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่เพิ่มขึ้น 8% ต่อปีค่อนข้างมาก   โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดคอนโดมิเนียมกลางเมืองราคาปรับตัวสูงขึ้นถึง 15% โดยโครงการใหม่ที่เปิดในใจกลางเมืองปีนี้ราคาสูงกว่า 150,000 บาทต่อตารางเมตรทุกโครงการ ปัจจัยหลักก็ยังคงเนื่องมาจาก ราคาต้นทุนที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกๆ ทำเล และต้นทุนการพัฒนาโครงการอื่นๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ราคาโครงการที่เปิดใหม่ที่ในทำเลกรุงเทพชั้นในที่ต่อขยายมาจากใจกลางเมือง ก็ปรับสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน  โดยทำเลที่มีการปรับราคาขึ้นอย่างมาก คือ ดินแดง พหลโยธิน พระโขนง และ ประชาชื่น สำหรับโครงการในส่วนกรุงเทพชั้นนอกราคาปรับขึ้นไม่มากนักอยู่ที่ประมาณ 8% ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับราคาคอนโดมิเนียม และตลาดคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุน อีกอย่างหนึ่ง คือ การการันตีผลประโยชน์จากการลงทุนให้กับนักลงทุน ซึ่งหลายโครงการนำมาใช้เพื่อกระตุ้นยอดขายห้องชุดบางส่วน ซึ่งถือว่าสามารถช่วยผู้ซื้อที่ต้องการลงทุนได้ โดยการให้ผลตอบแทนนั้น จะต้องเป็นโครงการ ที่มีศักยภาพในการปล่อยเช่าจริงเท่านั้น ที่มา: Nexus Research, December 2016 ที่มา: Nexus Research, December 2016 แนวโน้มตลาดคอนโดปี 2560 สำหรับแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2560 อุปทานคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% โดยส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดมิเนียมในบริเวณรอบๆ กรุงเทพชั้นใน และกรุงเทพชั้นนอก ความต้องการห้องชุดจะเติบโตขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกันกับอุปทาน โดยตลาดกรุงเทพชั้นนอก น่าจะมีโอกาสเติบโตได้ดี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต้นทุนในการพัฒนาโครงการซึ่งจะส่งผลต่อการตั้งราคาขายและความสามารถในการซื้อที่มีอยู่จำกัดของลูกค้ากลุ่มนี้ด้วย สำหรับระดับราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียม ทางทีมงานประมาณการอย่างค่อนข้าง conservative คือ   ราคาตลาดน่าจะปรับตัวขึ้นอีกอย่างน้อย 6-7% โดยตลาดคอนโดมิเนียมกลางเมือง น่าจะปรับตัวได้สูงกว่าราคาเฉลี่ยของตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 9-10% เมื่อพิจาณาความเคลื่อนไหวของตลาดคอนโดมิเนียมโดยแบ่งตาม segment ราคาแล้ว จะแบ่งเป็น 5 segment คือ 1) ตลาดซูเปอร์ ลักชัวรี่  คือ คอนโดมิเนียมที่มีราคาเฉลี่ยระหว่าง 250,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป) 2) ตลาดลักชัวรี่ คือ คอนโดมิเนียมที่มีราคาเฉลี่ยระหว่าง 180,000 - 250,000 บาท/ตารางเมตร 3) ตลาดไฮเอนด์ คือ คอนโดมิเนียมที่มีราคาเฉลี่ยระหว่าง 100,000 - 170,000 บาท/ตารางเมตร 4) ตลาดคอนโดระดับกลาง คือ คอนโดมิเนียมที่มีราคาเฉลี่ยระหว่าง 70,000-100,000 บาท/ตารางเมตร และ 5) ตลาดซิตี้คอนโด คือ คอนโดมิเนียมที่มีราคาเฉลี่ยต่ำกว่า 70,000 บาท/ตารางเมตร จะพบว่า ตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ และ ลักชัวรี่ ยังคงมีคอนโดมิเนียมใหม่จากกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจาก 98 Wireless ที่ทำราคาสูงกว่า 700,000 บาทต่อตารางเมตรแล้ว ปี 2560 คอนโดมิเนียมใหม่ ในตลาดซูเปอร์ ลักชัวรี่ บางแห่ง น่าจะเปิดราคามากกว่า  450,000 บาทต่อตารางเมตร  ซึ่งสำหรับตลาดในกลุ่มนี้ สามารถกล่าวได้ว่า ราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อกลุ่มสินค้าซูเปอร์ ลักชัวรี่ แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญ คือ เรื่องของศักยภาพในทำเลและความพรีเมียมของสินค้าเอง ซึ่งแตกต่างจากสินค้าในกลุ่มลักชัวรี่ หรือ ไฮเอนด์ ที่ปัจจัยเรื่องราคาและความคุ้มค่าของสินค้า ยังคงมีความสำคัญนอกเหนือไปจากทำเล กลุ่มผู้ซื้อคอนโดระดับไฮเอนด์ เป็นกลุ่มที่เคยมีที่บ้านหลังแรกมาแล้วทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การซื้อบ้านหลังที่สองเพื่อเก็บไว้ลงทุน และเป็นที่อยู่อาศัยนั้น จะเลือกทำเลที่คุ้นเคย และห้องชุดที่ใช้ประโยชน์ได้จริงเท่านั้น ปี 2559 ตลาดคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ ที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ยังคงไปได้ค่อนข้างดี ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากการที่ผู้ประกอบการมีกลุ่มลูกค้านักลงทุนต่อเนื่อง และมีช่องทางที่ช่วยขายสินค้ารีเซลให้นักลงทุนได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ตลาดกลุ่มนี้น่าจะยังเป็นที่ต้องจับตาในปี 2560 ว่ายังคงมีความต้องการต่อเนื่องหรือไม่ สำหรับตลาด ซิตี้ คอนโดมิเนียม ในแต่ละทำเลมีราคาและความต้องการแตกต่างกันไป แต่ราคาต่อหน่วยและความคุ้มค่าก็ยงคงเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อคอนโดในระดับนี้ ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่มากนัก ทั้งนี้ เมื่อต้นทุนสูงขึ้น ขนาดห้องจึงกลับมาเป็นปัจจัยสำคัญ ในการพัฒนาสินค้าให้มีความพอเหมาะกับระดับราคาที่กลุ่มนี้รับได้ ทำเลคอนโดมิเนียมที่น่าสนใจ สำหรับในกลุ่มซูเปอร์ ลักชัวรี่ มีสองทำเลหลักที่น่าจะออกมาแข่งขันกันหลายโครงการ คือ บริเวณ เพลินจิต/ชิดลม/หลังสวน และ ทองหล่อ/สุขุมวิท 39-49 นอกจากนี้ ในกลุ่ม ลักชัวรี่ ปีหน้าน่าจะเห็นโครงการในทำเลพหลโยธินตอนต้น ทำเลริมแม่น้ำ และทำเลย่านพญาไท และสำหรับตลาดซิตี้คอนโด เราน่าจะได้เห็นโครงการใหม่ๆ บนทำเลรถไฟฟ้า สายสีส้ม สีเหลืองและ สีชมพู มากพอสมควร ขณะที่ในเขตแจ้งวัฒนะก็เป็นทำเลแนะนำที่น่าสนใจ เนื่องจากในปีที่ผ่านมา มีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นใหม่น้อยมาก เมื่อเทียบกับโซนอื่นของกรุงเทพ ในส่วนของผู้ประกอบการ บางส่วนได้มีการชะลอการเปิดโครงการใหม่จากช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 มาเป็นต้นปี 2560 ซึ่งส่งผลให้ความคึกคักของตลาด และโครงการใหม่ๆ จะได้เห็นตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 อย่างแน่นอน สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ การพัฒนาโครงการจะยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายการเติบโตของบริษัท   ในขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลางบางเจ้า เริ่มปรับตัวลดการพัฒนาโครงการใหม่ลงบ้าง แต่หันมาเน้นการพัฒนาคุณภาพสินค้า และการก่อสร้างให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ เราจะได้เห็นบริษัทขนาดกลางมีการ รวมทุนกับต่างชาติ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งทางด้านการเงินและการลงทุน และนำเอาเทคโนโลยีมาพัฒนาโครงการให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ในช่วงปีที่ผ่านมาโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ก็เป็นรูปธรรมมากขึ้น และจะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยส่งเสริมตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้มีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ในปี 2560 แนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพปี 2560 ที่มา: Nexus Research, December 2016 ตลาดบ้านแนวราบในกรุงเทพมหานคร สำหรับตลาดบ้านแนวราบในกรุงเทพมหานครนั้น ตลาดบ้านราคาสูงใจกลางเมืองในทำเลที่ดี จะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ศักยภาพของทำเลและความพรีเมี่ยมของสินค้าเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้โครงการประสบความสำเร็จ และเช่นเดียวกับคอนโดมิเนียมในระดับซูเปอร์ ลักชัวรี่ ที่ราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจมากเท่ากับฟังชั่นการใช้งานและความหรูหราที่ตอบโจทย์ ไลฟ์สไตล์ของคนกลุ่มนี้ได้ ปี 2560 ตลาดบ้านเดี่ยวในระดับราคา 5-10 ล้านบาทในทำเลที่สามารถเข้าเมืองได้สะดวก จะยังเติบโตต่อเนื่อง ในขณะที่ทาวน์เฮ้าส์บริเวณรอบใจกลางเมืองในระดับราคาเดียวกันก็ยังน่าจับตามอง เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มครอบครัวที่มีรายได้ค่อนข้างมั่นคง และมองหาที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าสำหรับครอบครัว  สำหรับทาวน์เฮ้าส์ระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งมีฐานลูกค้าค่อนข้างกว้าง โอกาสในการเติบโตยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง  อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับตลาด ซิตี้คอนโด ราคาสินค้าที่จับต้องได้ และคุ้มค่า โดยหนี้สินครัวเรือนและความสามารถในการกู้เงิน เป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้สินค้าประเภทนี้ประสบความสำเร็จในตลาดปีหน้า
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ตอบโจทย์เรียลดีมานด์เมืองท่องเที่ยวพัทยา สร้างอาณาจักร “LALIN Town” ใจกลางเมือง  พร้อมเปิดขาย “แลนซิโอ นอฟ พัทยา” มิกซ์ยูส บ้านซีรีย์ใหม่ บรรยากาศรีสอร์ท

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ตอบโจทย์เรียลดีมานด์เมืองท่องเที่ยวพัทยา สร้างอาณาจักร “LALIN Town” ใจกลางเมือง พร้อมเปิดขาย “แลนซิโอ นอฟ พัทยา” มิกซ์ยูส บ้านซีรีย์ใหม่ บรรยากาศรีสอร์ท

บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ตอกย้ำความมั่นใจส่งท้ายปี เปิดตัวอาณาจักรลลิลแห่งใหม่ใจกลางเมืองท่องเที่ยวพัทยา “ลลิล ทาวน์ [LALIN Town] แลนซีโอ นอฟ พัทยา” พร้อมเปิดจองโครงการมิกซ์ยูสบ้านซีรีย์ใหม่ ในบรรยากาศรีสอร์ท ที่ผสมผสานความลงตัว ตอบทุกโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัย ทั้งบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ 4 นอน 2 ที่จอดรถ ในราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านกว่า - 5 ล้านบาท และทาวน์โฮมสองชั้น กว้างสุดสุด เริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท ทำเลใหม่บนถนนสุขุมวิท ใจกลางเมืองพัทยา กับการเปิดประสบการณ์ครั้งแรกที่ฟังก์ชั่นปรับได้ตามใจคุณ โดดเด่นด้วยสไตล์การออกแบบ Modern Stripe Contemporary โดย KTGY บริษัทออกแบบชั้นนำระดับโลก พร้อมรองรับการใช้ชีวิตสบายๆ ในสไตล์ที่แตกต่าง เปิดจองแล้ววันนี้ เป็นต้นไป นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนธันวาคมศกนี้ บริษัทฯ เปิดตัวอาณาจักร “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) แลนซีโอ นอฟ พัทยา” แห่งใหม่ ใจกลางเมืองท่องเที่ยวพัทยา พร้อมเปิดขาย (Pre-Sale) “แลนซิโอ นอฟ (Lanceo Nov) พัทยา” โครงการมิกซ์ยูสบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ และทาวน์โฮมหน้ากว้าง ในบรรยากาศรีสอร์ท ใจกลางพัทยา กับการเปิดประสบการณ์ครั้งแรกที่ฟังก์ชั่นปรับได้ตามใจคุณ โดดเด่นด้วยสไตล์การออกแบบ Modern Stripe Contemporary โดย KTGY บริษัทออกแบบชั้นนำระดับโลก พร้อมรองรับไลฟ์ลไตล์การใช้ชีวิตสบายๆ ในสไตล์ที่แตกต่าง เพื่อตอบสนองทั้งผู้ที่ต้องการบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ 4 นอน 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านกว่า – 5 ล้านบาท และทาวน์โฮมสองชั้น ขนาดกว้างสุดสุด พื้นที่ใช้สอย 110 - 130 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท “บริษัทฯ มองเห็นความต้องการที่อยู่อาศัยตลาดเรียลดีมานด์ในเมืองพัทยาที่ขยายตัวสูงขึ้นในทุกๆ ปี บวกกับพฤติกรรมผู้อยู่อาศัยในทำเลดังกล่าวมีความต้องการที่หลากหลายไลฟ์สไตล์ โดย “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) แลนซีโอ นอฟ พัทยา” นับว่าตอบโจทย์ด้วยพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ลงตัว สามารถปรับแต่งให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของครอบครัว และสามารถรองรับกิจกรรมของครอบครัวได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น โครงการยังมอบพื้นที่สวนสีเขียวขนาดใหญ่ในบรรยากาศรีสอร์ท นับว่าคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดในย่านทำเลนี้” ทั้งนี้ ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) แลนซิโอ นอฟ (Lanceo Nov) พัทยา ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 35-2-57 ไร่ บนทำเลใจกลางเมืองท่องเที่ยวพัทยา ติดถนนใหญ่ สะดวกทุกการเดินทาง ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ใกล้ถนนสุขุมวิท ถนนชลบุรีพัทยา พร้อมแหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ แมคโคร สาขาพัทยาใต้, บิ๊กซี พัทยาใต้, ฮาร์เบอร์ มอลล์ พัทยา, เซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยา บีช, โรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา เป็นต้น นอกจากนี้ โครงการยังรายล้อมด้วยสวนสาธารณะขนาดใหญ่ 2,600 ตารางเมตร ให้คุณได้สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอดได้ทุกวัน ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง กล้องวงจรปิด CCTV สำหรับแบบบ้านแบ่งออกเป็น บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ มีให้เลือก 3 แบบ ประกอบด้วย Cane, Cape และ Craft บ้านเดี่ยวแนวคิดใหม่ Crisp และทาวน์โฮมหน้ากว้าง ซึ่งมีแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ ประกอบด้วย Clover และ Cooper แบบบ้านหลากสไตล์พร้อมแล้วให้เลือกชม นอกจากนั้น โครงการ “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) แลนซีโอ นอฟ พัทยา” ยังได้ออกแบบซุ้มทางเข้าโครงการดีไซน์ใหม่ หรูหรา และโด่นเด่นที่สุดอันเป็นเอกลักษณ์ของ  “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town)” เปิดให้ลูกค้าเยี่ยมชมบ้านตัวอย่าง และเลือกบ้านแปลงสวย พร้อมรับสิทธิพิเศษก่อนใคร ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.lalinproperty.com หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร 063-204-0668, 038-197-050-1
จัดสรรย่านรามอินทราคึก ดันคอมมูนิตี้มอลล์ขยายตัว

จัดสรรย่านรามอินทราคึก ดันคอมมูนิตี้มอลล์ขยายตัว

ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา รามอินทราเป็นหนึ่งในย่านที่มีโครงการที่อยู่อาศัยขยายตัวจำนวนมาก โดยปัจจุบันมีครัวเรือนที่พักอาศัยที่จดทะเบียนในระบบฐานข้อมูลของกรุงเทพมหานคร  กว่า 25,246 หลังคาเรือน โดยนอกจากจะเป็นโครงการบ้านจัดสรรระดับกลางบนแล้ว ปัจจุบันยังเริ่มเห็นการเกิดของคอนโดมิเนียมด้วย เนื่องจากราคาที่ดินย่านนี้ปรับขึ้นต่อเนื่องจากการขยายตัวของพื้นที่นี้เอง ด้วยเพราะเป็นย่านที่สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนหลายสาย และกระแสข่าวการเกิดของรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) จำนวน 30 สถานี ระยะทาง 36 กิโลเมตร ที่มีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2564 ก็เป็นปัจจัยบวกสำคัญให้กับย่านรามอินทรา จากการขยายตัวของโครงการที่อยู่อาศัยในย่านรามอินทราสูง มีรถสัญจรไปมาตลอดวันกว่า 250.000 คัน ทำให้ความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานในย่านนี้เพิ่มขึ้น อีกทั้ง ไลฟ์สไตล์ของคนปัจจุบันที่เปลี่ยนไป ต้องการความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอยใกล้บ้าน ซึ่งจากการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคของคนย่านรามอินทรา ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ใกล้บ้าน เน้นสะดวกสบายเป็นหลัก เนื่องการจราจรในย่านนี้รถติดมาก การหาร้านอาหาร หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต เพื่อซื้อของกินของใช้ก็จะเน้นที่ใกล้เคียงที่เดินทางไม่ไกลมากนัก การเดินทางเข้าออกตัวโครงการสะดวก การไปใช้บริการประมาณ 3-4 ครั้ง/สัปดาห์ ด้วยปัจจัยดังกล่าวทำให้แม้ว่าจะมีคอมมูนินิตี้มอลล์ ร้านอาหารกินดื่มเกิดใหม่ในย่านนี้ต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่ล้วนได้รับการตอบรับที่ดี เพราะเป็นย่านที่มีผู้อยู่อาศัยจำนวนมาก มีความต้องการสูง และมีกำลังซื้อสูงเช่นกัน โดยในการสำรวจยังพบว่า ปัจจุบันย่านรามอินทรามีคอมมูนิตี้มอลล์ล้อมกรอบเส้นรามอินทราอยู่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Amorini Boutique Lifestyle Mall, The Promenade หรือออกไปเส้นนวมินทร์เราจะพบกับ The Walk เป็นต้น  แต่ยังไม่มีคอมมูนิตี้มอลล์ไหนที่ตั้งอยู่ใจกลางถนนรามอินทราอย่าง easepark ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่เมื่อเร็วๆ นี้ ย่านนี้จึงถือเป็นย่านที่ยังมีโอกาสในการเกิดของคอมมูนิตี้มอลล์ แต่ต้องอยู่ในทำเลที่ตั้งที่เข้าถึงสะดวก ในการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคในย่านนี้เกี่ยวกับโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ล้วนระบุว่า ทำเลที่ตั้งและการเข้าออกเป็นหัวใจสำคัญให้ต้องการเข้ามาใช้บริการ เพราะคนที่อยู่อาศัยย่านนี้ล้วนเดินทางด้วยรถยนต์ด้วยบุคคลเป็นหลัก ซึ่งปัจจัยนี้ทำให้เชื่อมั่นว่าโครงการ “ease park” ที่ตั้งอยู่บนถนนรามอินทรา กม. 4.5 จะเป็นหนึ่งทางเลือกที่ดีให้กับคนที่อยู่อาศัยในย่านรามอินทรา เพราะจุดแข็งอันดับแรกของโครงการนี้ ก็คือ Location ซึ่งอยู่ติดถนนใหญ่และหน้ากว้าง  มองเห็นได้ชัดสำหรับคนที่สัญจรผ่านและเป็นจุดแวะพักของรถที่ผ่านไปมา  อยู่ในแหล่งชุมชนพักอาศัยหนาแน่นปานกลาง นายธัชชัย ศีลพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคเอเอ็น พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า สำหรับโครงการ ease park รามอินทรา กม. 4.5 เป็นโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ สูง 3 ชั้น บนพื้นที่โครงการรวมประมาณ 3.5 ไร่ ติดถนนรามอินทรา หน้ากว้าง 60 เมตร พื้นที่ก่อสร้างประมาณ 7,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการประมาณ 200 ล้านบาท ประกอบด้วยร้านค้าประมาณ 13 ร้าน และ kios ประมาณ 4 ร้าน (รวม 17 ร้าน) ชั้น 1, เป็น Supermarket ซึ่งเป็น Villa market และร้านกาแฟแบรนด์ดังอย่าง Starbucks ที่เป็นแบบ Drive thru ส่วนชั้น 2 เป็นโซนของ ร้านอาหาร ซึ่งมีอาหารหลากหลายชนิดมากกว่า 10 ร้านดัง และส่วนพื้นที่ ชั้น 3 เป็นส่วนของ Health, Bueaty and Lifestyle ซึ่งประกอบไปด้วย Fitness, คลินิคเสริมความงาม, ร้านทำผม และ  Nail spa และยังจัดให้เป็นโซนร้านนั่งชิลล์เพื่อให้ทุกคนได้พักผ่อนอีกด้วย โครงการ ease park นับเป็นโอเอซิสแหล่งใหม่ของถนนรามอินทราเส้นหลัก ซึ่งในอนาคตที่รถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีมัยลาภเปิดให้บริการแล้ว ease park จะเป็นจุดแวะคอยสำหรับครอบครัว โดยความคืบหน้าของโครงการ ease park ปัจจุบันมียอดจองพื้นที่มาแล้วกว่า 80%  ร้านค้ามีทั้งที่เคยเปิดมาแล้ว และเป็นร้านใหม่ที่เปิดที่นี่เป็นที่แรก ร้านที่คนรู้จักกันอยู่แล้วก็มี วิลล่า มาร์เก็ต, คิงคอง, สตาร์บัค ไดร์ฟทรู, นีโอ สุกี้ เป็นต้น โดยขณะนี้เริ่มเปิดให้บริการแล้วบางส่วน เช่น สตาร์บัคส์ไดร์ฟทรู นีโอสุกี้, นาตาชาคลินิก, ตำยั่วครกยักษ์ และจะเปิด Soft Opening ประมาณต้นเดือนมกราคมนี้ ปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ย่านรามอินทราค่อนข้างสูง โดยทำเลเข้าถึงง่ายนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คอมมูนิตี้มอลล์ย่านนี้ประสบความสำเร็จ แต่การสร้างจุดเด่นที่แตกต่างและการคัดเลือกร้านค้าใหม่ๆ มานำเสนอให้กับผู้บริโภคก็เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการคอมมูนิตี้มอลล์ย่านรามอินทราก็เป็นอีกหนึ่งหัวใจแห่งความสำเร็จเช่นกัน นายธัชชัย ศีลพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคเอเอ็น พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด
อีเอ็มซี เร่งผุด “แลนด์มาร์ค มหาชัย” คอมมูนิตี้มอลล์ศูนย์รวมไอทีแห่งใหม่ รองรับการเติบโต “มหาชัย” เมืองศักยภาพแห่งใหม่ในการลงทุน

อีเอ็มซี เร่งผุด “แลนด์มาร์ค มหาชัย” คอมมูนิตี้มอลล์ศูนย์รวมไอทีแห่งใหม่ รองรับการเติบโต “มหาชัย” เมืองศักยภาพแห่งใหม่ในการลงทุน

“เมืองมหาชัย”  ตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร เป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมการประมง การค้า และการเกษตร โดยมีเส้นทางการคมนาคมที่มีถนนสายหลัก คือ ถนนพระราม 2 เชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ของกรุงเทพมหานครลงสู่ภาคใต้  ที่สำคัญจังหวัดสมุทรสาครยังมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอัตราที่สูงเป็นอันดับต้นๆจังหวัดหนึ่งของประเทศ โดยคาดว่าปลายปี 2559 จะมีการขยายตัวมากถึงร้อยละ 5.1  เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 3.8  ซึ่งภาคธุรกิจการค้าและการลงทุนของจังหวัดมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์  ซึ่งมีการกระจุกตัวโดยมากอยู่ที่บริเวณถนนสายหลัก คือ ถนนพระราม 2  และมหาชัยเนื่องจากเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของจังหวัด โดยแนวโน้มของการเติบโตสามารถเห็นได้จากภาพรวมของราคาที่ดินเมืองมหาชัยที่มีการประกาศขายในราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  อาทิ  ที่ดินติดถนนท่าปรง  เนื้อที่ 16 ไร่  ราคา 20 ล้านบาทต่อไร่ หรือตารางวาละ 50,000 บาท, ที่ดิน ซอย 8 หลังวัดเจษฎาราม  ถนนเจษฎาวิถี  เนื้อที่ 1 ไร่  3 งาน 83 ตารางวา  ราคา 12,258,000 บาท  หรือตารางวาละ 16,000 บาท และที่ดินติดถนนเอกชัย เนื้อที่ 2 ไร่  ราคา 26 ล้านบาทต่อไร่  หรือตารางวาละ 65,000 บาท  นอกจากนั้น  ราคาที่ดินตามแนวทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี-ปากท่อ) โดยบริเวณช่วงต้นถนนกาญจนาภิเษกอยู่ที่ 40,000 - 50,000 บาทต่อตารางวา  ขณะที่บริเวณต้นถนนพระราม 2  ซึ่งเป็นพื้นที่สีเหลืองตามผังเมืองในบางแปลงนั้น  ราคาที่ดินพุ่งสูงถึง 60,000 - 70,000 บาทต่อตารางวา แต่ถ้าเป็นที่ดินแนวถนนกาญจนาภิเษกฝั่งโซนพื้นที่สีเขียว ตารางวาละ 30,000 - 40,000 บาท  และสำหรับบริเวณมหาชัยซึ่งเป็นแยกเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดสมุทรสาคร  ราคาที่ดินอยู่ที่ 70,000 – 80,000 บาทต่อตารางวา สอดคล้องกับการที่ภาครัฐได้มีนโยบายในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน  อาทิ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)  ได้มีโครงการก่อสร้างทางด่วนพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกฯ ระยะทาง 19 กม. งบประมาณ 32,000 ล้านบาท  โดยผลการศึกษาการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม  เหลือแต่การออกแบบรายละเอียดโครงการ  ซึ่งคืบหน้ากว่า 80% แล้ว  โดยภายในสิ้นปีนี้คาดว่าจะสามารถเปิดประมูลหาผู้รับเหมาก่อสร้างได้  และจะสามารถลงนามสัญญาได้ในระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคมปี 2560  ซึ่งแนวเส้นทางของโครงการเริ่มต้นที่ กม.10+700 ถนนพระราม 2  เป็นทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร  สร้างซ้อนทับบนทางด่วนขั้นที่ 1 จนถึงถนนพระราม 3 ใกล้แยกต่างระดับบางโคล่  และบรรจบกับทางด่วนขั้นที่ 1 และ 2  ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดโครงการ  ส่วนสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาจะมีการสร้างสะพานใหม่ขนานกับสะพานพระราม 9  ขนาด 8 ช่องจราจร  ใช้เวลาก่อสร้างรวม 39 เดือน  วางแผนเริ่มก่อสร้างเดือนพฤษภาคม 2560 - กรกฎาคม 2563  แน่นอนว่าทางด่วนสายใหม่นี้จะทำให้การเดินทางระหว่างพื้นที่รอบนอกกับกรุงเทพมหานครมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น  และจะช่วยเสริมศักยภาพของพื้นที่โดยรอบให้เพิ่มขึ้นไปอีกในอนาคต นอกจากนี้  ล่าสุดกรมทางหลวง ยังได้ปรับแผนโครงการก่อสร้างถนนยกระดับบนทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี-ปากท่อ) ระยะทางประมาณ 75 กิโลเมตร  วงเงินลงทุนกว่า 89,000  ล้านบาท  ให้เป็นมอเตอร์เวย์ขนาด 6 ช่องจราจร  แนวเส้นทางเชื่อมจากบริเวณสิ้นสุดทางด่วนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)  บริเวณบางขุนเทียน - พระราม 2  ให้สามารถเชื่อมต่อกับเส้นทางนครปฐม - ชะอำ ที่บริเวณใกล้กับแยกวังมะนาว  ซึ่งจะพาดผ่านพื้นที่จุดขึ้น-ลงที่พื้นที่บางขุนเทียน พันท้ายนรสิงห์ สมุทรสาคร แยกบ้านแพ้ว พื้นที่สมุทรสงคราม และพื้นที่ใกล้แยกปากท่อ  มีศูนย์ควบคุมทางหลวงพิเศษในช่วงบางขุนเทียน ศูนย์บริหารทางหลวงที่สมุทรสาคร และสถานีบริการทางหลวงใกล้กับสมุทรสงคราม ส่วนแผนการดำเนินงานจะแบ่งออกเป็น 3 ตอน  ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียดเพื่อนำเสนอกระทรวงคมนาคม  โดยรัฐบาลเร่งให้ดำเนินการเพื่อเป็นเส้นทาง    โลจิสติกส์  เชื่อมโยงพื้นที่กรุงเทพมหานครโซนบางขุนเทียน-พระราม 2 สู่พื้นที่ภาคใต้  ที่สำคัญกรมทางหลวงยังมีแผนก่อสร้างมอเตอร์เวย์เส้นทางพระราม 2 ไปตามถนนวงแหวน   รอบนอกกรุงเทพมหานคร(ด้านตะวันตก)  หรือถนนกาญจนาภิเษกไปสิ้นสุดที่บางปะอิน  ซึ่งแนวเส้นทางมอเตอร์เวย์สายนี้ จะสามารถเชื่อมโยงกับมอเตอร์เวย์เส้นทางบางใหญ่ - กาญจนบุรี  และบางปะอิน - นครราชสีมาได้อีกด้วย ขณะเดียวกันกระทรวงคมนาคมยังมีแผนแม่บทในการพัฒนารถไฟฟ้าระยะที่ 2  ซึ่งมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ที่อยู่ระหว่างดำเนินการจ้างที่ปรึกษามาดำเนินการ ซึ่งจะแล้วเสร็จปี 2560 – 2561  เพื่อเป็นแผนงานสำหรับส่งต่อให้รัฐบาลชุดต่อไป  โดยกำหนดแผนการพัฒนาไว้ในระยะ 10 - 20 ปีนับจากปี 2562  ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเส้นทางเป็นวงแหวนเพื่อเชื่อมในส่วนที่ยังขาดการเชื่อมต่อให้เดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น  และเพื่อต่อขยายจากเส้นทางเดิมให้เป็นขาใยแมงมุม  โดยเน้นการเชื่อมต่อกรุงเทพฯกับเมืองบริวาร ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา ที่เป็นแหล่งอยู่อาศัยและอุตสาหกรรม  พร้อมเชื่อมต่อกับรถไฟชานเมืองและรถไฟวิ่งระหว่างเมือง เช่น รถไฟทางคู่  ทำให้คนที่อยู่ชานเมืองใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 1 ชั่วโมงเพื่อเข้ามาทำงานในเมืองได้  และยังเป็นการกระจายความเจริญในการอยู่อาศัยและแหล่งงานออกไปนอกเมืองได้มากขึ้น จากแนวโน้มการเติบโตของเมืองมหาชัยที่ทางบริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) หรือ EMC  ผู้นำด้านงานวิศวกรรมโครงสร้างพื้นฐาน งานก่อสร้าง งานระบบ และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  ได้ทำการวิเคราะห์มาแล้วนั้น ทำให้ทางอีเอ็มซีมองเห็นโอกาสในการลงทุนดำเนินธุรกิจ  จึงได้ตัดสินใจทำโครงการ “แลนด์มาร์ค มหาชัย” คอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่ ในย่านใจกลางเมืองมหาชัย โดยเป็นโครงการประเภทมิกซ์ยูสประกอบด้วยคอมมูนิตี้มอลล์ 4 ชั้น (รวมชั้นจอดรถใต้ดิน) จำนวน 2 อาคาร  และอาคารพาณิชย์  4  ชั้น จำนวน 101 ยูนิต  มูลค่าโครงการรวม 1,250 ล้านบาท  ตั้งอยู่บนถนนนิคมรถไฟ  ตำบลมหาชัย  อำเภอเมือง  จังหวัดสมุทรสาคร  เนื้อที่โครงการรวม 16  ไร่  โดยเป็นการเช่าที่ดินจากการรถไฟฯ  และถือครองกรรมสิทธิ์เป็นระยะเวลา 30 ปี นายเศรษฐวัจน์ ตั้งวัชรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ สายงานอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  “จากทำเลที่ตั้งของโครงการ  ซึ่งนับเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง การเดินทางสะดวกสบาย ไม่ต้องขับรถเข้าเมืองหรือเข้าสู่ถนนใหญ่ เช่น ถนนพระราม 2 อีกทั้งยังมีทางเข้า - ออกสำหรับรถยนต์ 2 ทาง คือ ถนนนิคมรถไฟและถนนเอกชัย  และทางออกอีก 1 ทาง คือ ถนนกิจมณี นอกจากนี้ ยังมีจุดพักจอดรถไฟที่เชื่อมต่อเข้ามาในโครงการอีกด้วย  ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในย่านมหาชัย ที่มีความต้องการศูนย์รวมที่ครบวงจร สามารถช้อปปิ้งและทำกิจกรรมอื่นๆพร้อมกันได้เหมือนกับห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ โดยไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่มากนัก แต่มีร้านค้าและสินค้าที่จับต้องได้ คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่าย นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้กับสถานที่สำคัญและแหล่งชุมชน อาทิ เทศบาลสมุทรสาคร โรงเรียนอนุบาลสมุทรสาคร โรงเรียนสมุทรสาครบูรณะ โรงเรียนเทศบาลบ้านมหาชัย  โรงพยาบาลสมุทรสาครโรงพยาบาลเอกชัย และแหล่งชุมชนหนาแน่นสูง มหาชัยจึงเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของจังหวัดที่มีเส้นทางการคมนาคมและขนส่งสะดวกสบายทั้งทางรถยนต์ รถไฟ และการคมนาคมทางน้ำ และที่สำคัญโครงการตั้งอยู่ในเขตพื้นที่สีแดงของ ผังเมืองสมุทรสาคร  ซึ่งเป็นพื้นที่โซนสีที่สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการพาณิชยกรรมขนาดใหญ่เกิน 10,000  ตารางเมตรได้เพียงโซนเดียวเท่านั้น ด้านการออกแบบโครงการ “แลนด์มาร์ค มหาชัย”  เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ที่ทันสมัยภายใต้คอนเซ็ปต์สถาปัตยกรรมที่เน้นการผสมผสานระหว่างโครงสร้างและองค์ประกอบของสถานีรถไฟอันเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมให้เข้ากับความนำสมัย  ทำให้เกิดรูปแบบของมอลล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว  โดดเด่นเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางเมืองมหาชัย  ซึ่งพื้นที่ภายในมอลล์ประกอบด้วยโซนมอลล์ชั้น 1,2,3  มากกว่า 6,000  ตารางเมตร  ที่ครบครันทั้งสินค้าและบริการหลากหลาย อาทิ ซุปเปอร์มาร์เก็ต โซนร้านอาหารทั้งแบรนด์ดังและท้องถิ่น  โซนร้านค้าแฟชั่น  โซนตลาดนัด  ศูนย์อาหาร  พร้อมโซนสินค้าไอทีและโซนเซอร์วิซที่ ครบครันทั้งสินค้าโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ไอทีต่างๆ  และเคาน์เตอร์บริการจากค่ายผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือชั้นนำ อาทิ True Move H และ AIS  ทำให้แลนด์มาร์ค มหาชัยเป็นศูนย์รวมไอทีแห่งใหม่ใจกลางเมืองมหาชัย ซึ่งรวบรวมเพื่อทุกไลฟ์สไตล์ของการพักผ่อน  ทั้งช้อปปิ้ง กิน เที่ยว เอาไว้ในที่เดียวที่สามารถใช้ชีวิตในหนึ่งวันได้อย่างเต็มที่ ปัจจุบัน โครงการโดยภาพรวมก่อสร้างแล้วเสร็จกว่า 70% โดยพร้อมเปิดให้บริการต้นปี 2560 นี้  และด้วยความเจริญที่กำลังเข้ามาในระดับนี้  คาดว่าการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ในด้านที่อยู่อาศัย  หรือในด้านธุรกิจการลงทุนต่างๆ  ซึ่งทำให้เราคาดหวังเป็นอย่างดีว่า แลนด์มาร์ค มหาชัย จะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่สามารถตอบโจทย์การเติบโตของเมืองนี้ได้อย่างแน่นอน” นายเศรษฐวัจน์กล่าว ผู้ประกอบการร้านอาหารที่สนใจเช่าพื้นที่ในศูนย์อาหาร  จองสิทธิ์ภายในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ รับโปรโมชั่นพิเศษฟรีค่าเช่า 1 เดือน  พร้อมส่วนลด 50% อีก 3 เดือน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานขายโครงการแลนด์มาร์ค มหาชัย โทร. 034-427-400 หรือลงทะเบียนจองสิทธิ์ได้ที่  www.landmarkmahachai.com/foodcourt/
“ชิค รีพับบลิค” ทุ่มงบ 500 ล้านบาท ผุดสาขาใหม่ราชพฤกษ์ ปั้นแบรนด์ “ริน่า เฮย์” ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

“ชิค รีพับบลิค” ทุ่มงบ 500 ล้านบาท ผุดสาขาใหม่ราชพฤกษ์ ปั้นแบรนด์ “ริน่า เฮย์” ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด ผุดอาณาจักรโฮมแฟชั่นสโตร์ ชิค รีพับบลิค แห่งใหม่ บนถนนราชพฤกษ์ เพิ่มพื้นที่จัดวางสินค้ากว่า 15,000 ตารางเมตร มูลค่าลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ชูแนวคิด “Inspiration and Experience” สร้างประสบการณ์และแรงบันดาลใจการตกแต่ง ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ปั้นแบรนด์น้องใหม่ “ริน่า เฮย์” ให้ลูกค้าได้ช้อปสินค้าในเอกลักษณ์ใหม่ สุดเท่ห์ เก๋ไก๋ ชิค คูล ไม่ซ้ำใคร ภายใต้คอนเซ็ปต์  “Imperfect Create Perfect Place” เปิดบริการอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ เป็นต้น นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด โฮมแฟชั่นสโตร์แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่รวบรวมเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านมาตรฐานยุโรปและอเมริกา ภายใต้แนวคิด “Home Fashion Store” เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดบริการสาขาโฮมแฟชั่นสโตร์แห่งใหม่ บนถนนราชพฤกษ์ มูลค่าการลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ภายใต้แนวคิดที่เน้นการสร้าง “Inspiration and Experience” ให้กับลูกค้า มีพื้นที่จัดวางสินค้ากว่า 15,000 ตารางเมตร ครอบคลุมสินค้าออกแบบและตกแต่งบ้าน หรูหรา ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ความต้องการของลูกค้าย่านถนนราชพฤกษ์มากที่สุด โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นสร้างโฮมแฟชั่นสโตร์แห่งใหม่ บนถนนราชพฤกษ์ แห่งนี้ ให้เป็นมากกว่าศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของครอบครัว ให้สัมผัสกับสินค้าตกแต่งบ้านที่คงเอกลักษณ์ตามสไตล์ชิค รีพับบลิค แต่บริษัทฯ ยังได้ทุ่มเทออกแบบอาคารด้วยดีไซน์ทันสมัย ในสไตล์ “European Village” ด้วยกลิ่นอาย โพรวองซ์ (Provence) และตกแต่งพื้นที่สวนมากกว่า 10 ไร่ อีกทั้งยังรวบรวมร้านอาหารชื่อดัง ที่มีสไตล์การตกแต่งร้านอย่างเป็นเอกลักษณ์ เพื่อมุ่งหวังสร้างประสบการณ์ใหม่ และสร้างแรงบันดาลใจการตกแต่งให้กับลูกค้า นับตั้งแต่ก้าวแรกที่ได้สัมผัส ชิค รีพับบลิค ราชพฤกษ์ แห่งนี้ ให้ลูกค้าสามารถ “ช้อป กิน พักผ่อน” ครบทุกความต้องการในคราวเดียว โดยตั้งเป้าให้ โฮมแฟชั่นสโตร์ สาขาราชพฤกษ์ เป็นแลนด์มาร์คของคนรุ่นใหม่ บนถนนราชพฤกษ์ นายกิจจา กล่าวว่า ที่สาขาราชพฤกษ์บริษัทฯ ยังได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “Rina Hey (ริน่า เฮย์)” มาในเอกลักษณ์ใหม่ สุดเท่ห์ เก๋ไก๋ ชิคและคูล ไม่ซ้ำใคร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imperfect Create Perfect Place” เพื่อให้โฮมแฟชั่นสโตร์ แห่งใหม่ บนถนนราชพฤกษ์ สามารถตอบสนองและรองรับกลุ่มลูกค้าได้ทุกระดับ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการสินค้ามีเอกลักษณ์เฉพาะบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้ใช้ยิ่งขึ้น สำหรับสินค้าของริน่า เฮย์ จะเน้นเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านสไตล์ “Industrial Loft” และมีลักษณะเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยการตกแต่งแบบ “White Loft” โดยสินค้าของริน่า เฮย์ นับว่ามีตัวตน (Character) เฉพาะตัวทุกชิ้น ครอบคลุมเฟอร์นิเจอร์ ชุดห้องนอน ชุดห้องรับแขก ชุดโต๊ะอาหาร โคมไฟตกแต่ง ของแต่งบ้าน และอื่นๆ ฯลฯ “ริน่า เฮย์ จะให้เอกลักษณ์สินค้าเข้าถึงง่าย ดูแล้วสบายตัว ราคาจับต้องได้ ซื้อง่ายในราคาสบายๆ ที่ไม่ต้องใช้เวลาตัดสินใจนาน ริน่า เฮย์ มุ่งเจาะและตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยเริ่มทำงาน ไปจนถึงเริ่มสร้างครอบครัว ให้สามารถสรรค์สร้างไลฟ์สไตล์ และเทรนด์แต่งบ้านที่ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้ผู้ที่รักบ้านและการตกแต่ง และได้สนุกมากยิ่งขึ้น” นายกิจจา กล่าว สำหรับสไตล์การตกแต่งของ ริน่า เฮย์ แบ่งออกเป็น 4 สไตล์หลัก ประกอบด้วย “Minimal Style” การจัดแต่งแบบเรียบง่าย ลดทอนรายละเอียดต่างๆ ที่ไม่จำเป็น แต่งโทนสีแบบโมโนโทน (Mono Tone) ไม่ฉูดฉาดแต่ยังคงมีสไตล์ เหมาะสำหรับกลุ่มคนเรียบง่ายแต่มีสไตล์มีเอกลักษณ์ “Inspired by Nature” การจัดแต่งแบบมีแรงบันดาลใจเกี่ยวกับธรรมชาติ นำเข้ามาผสมผสานเป็นองค์ประกอบ เช่น การนำพรรณไม้นานาพันธุ์ ข้ามาประดับตกแต่ง เหมาะสำหรับกลุ่มรักธรรมชาติ “Art Lover” การจัดแต่งเน้นความฉูดฉาดแต่แฝงไปด้วยความเท่ห์ เป็นการตกต่างด้วยสีสันจัดจ้าน ลาดลายกราฟฟิค ภาพพิมพ์ รูปภาพ หรืองานศิลปะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหมาะสำหรับกลุ่ม Designer, Artist และกลุ่มสุดท้าย “Culture” การจัดแต่งที่นำวัฒนธรรมเข้ามาผสมผสานกับการตกแต่งลดลายไทย ลาดลายจีน เพิ่มเสน่ห์ (Gimmick) การตกแต่งที่สะท้อนวัฒนธรรม เหมาะสำหรับกลุ่มคนชอบท่องเที่ยว นายกิจจา กล่าวปิดท้ายว่า ในปีนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่บริษัทฯ สามารถเดินหน้าธุรกิจได้ตามแผนงานทั้งการเปิดตัวสาขาใหม่ บนถนนราชพฤกษ์ และผลประกอบการที่เติบโตได้ดีแข็งแกร่งเหนือภาวะเศรษฐกิจและบรรยากาศโดยภาพรวมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการจับจ่ายใช้สอย ทั้งนี้บริษัทฯ มั่นใจว่ายอดขายในปี 2559 จะปิดที่ 1,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ขณะที่ปี 2560 บริษัทฯ มองเห็นโอกาสเติบโตได้ดีเช่นเดียวกันจากแผนซึ่งบริษัท กำหนดเป้าหมายการเติบโตในเบื้องต้นจะเติบโตแตะระดับ 1,200 ล้านบาทในสิ้นปี 2560
ชินวะ กรุ๊ป-ยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นปักธงในไทย ผุด“รูเนะสุ ทองหล่อ 5” คอนโดนวัตกรรมปรับเสา-คานเพิ่มพื้นที่ใช้สอย แห่งแรกใน Southeast Asia

ชินวะ กรุ๊ป-ยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นปักธงในไทย ผุด“รูเนะสุ ทองหล่อ 5” คอนโดนวัตกรรมปรับเสา-คานเพิ่มพื้นที่ใช้สอย แห่งแรกใน Southeast Asia

ชินวะ กรุ๊ป ค่ายยักษ์ใหญ่อสังหาฯญี่ปุ่นปักธงในไทย  จับมือวรลักษณ์ พร๊อพเพอร์ตี้ ตั้ง ดับเบิ้ลยู-ชินวะ  ผุด“รูเนะสุ ทองหล่อ 5” มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท ออกแบบโดย IAO TAKEDA แชมป์บริษัทออกแบบจากญี่ปุ่น 5 ปีซ้อน ชูนวัตกรรม Sigma BEAM ลิขสิทธิ์เฉพาะตัวของโครงสร้าง RUNESU หนึ่งเดียวในโลกและแห่งแรกใน Southeast Asia เล็งใช้ไทยเป็นฐานรุกตลาดสู่ประเทศอื่นในภูมิภาค รวมถึงอเมริกา และยุโรป นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล และ มร.โทโมยาสุ ยามาเบะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (co-CEO) บริษัท ดับเบิ้ลยู-ชินวะ จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมลงทุน ระหว่าง บริษัท วรลักษณ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ชินวะ เรียล เอสเตท จำกัด ผู้ดำเนินงานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า โครงการภายใต้ความร่วมมือครั้งแรก คือ รูเนะสุ ทองหล่อ 5 (RUNESU THONGLOR 5) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น ที่มีความครบสมบูรณ์แบบของบรรยากาศและอารมณ์  การอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ด้วยการออกแบบที่ลงตัวจาก บริษัท IAO TAKEDA ซึ่งคว้ารางวัลที่ 1 ของบริษัทออกแบบในประเทศญี่ปุ่นถึง 5 ปีซ้อน ผสานกับเทคโนโลยีการก่อสร้างที่เป็นนวัตกรรมส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่น ด้วย Sigma BEAM ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์พิเศษและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโครงสร้าง RUNESU ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก โดยการปรับคานเป็นพื้นและปรับพื้นให้เป็นคาน ทำให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้น 25-40% สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น นอกจากเป็นโครงการแรกในประเทศไทยแล้ว   ยังเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกฉียงใต้อีกด้วย “นโยบายหลักของดับเบิ้ลยู-ชินวะ คือ พัฒนาโครงการคุณภาพมาตรฐานญี่ปุ่น ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องของมาตรฐานการใส่ใจในรายละเอียด แม้บ้านเรามีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นมากมาย แต่เชื่อว่ายังไม่มีโครงการไหนให้ความรู้สึกแบบญี่ปุ่นแท้ๆ อย่าง “รูเนะสุ ทองหล่อ 5” จะเห็นว่าเราใส่ใจตั้งแต่การมอบหมายให้บริษัทออกแบบเบอร์หนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีการออกแบบอย่างสร้างสรรค์โดยอ้างอิงหลักวิชาการ เมื่อผนึกกับโนว์ฮาวที่มีลิขสิทธิ์เฉพาะของชินวะ บริษัทพัฒนาอสังหาฯแถวหน้าจากญี่ปุ่นด้วยแล้ว จึงเป็นโครงการที่มีความลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบ โดยแผนพัฒนา 3 ปีแรกของ ดับเบิ้ลยู-ชินวะ มุ่งพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์, ดำเนินงาน Property Management, บริหารการปล่อยเช่า และด้านการก่อสร้าง โดยจะเน้นที่การพัฒนาโครงการก่อนในช่วงแรก” นายวิชัยกล่าว ด้านมร.โทโมยาสุ ยามาเบะ co-CEO บริษัท ดับเบิ้ลยู-ชินวะ จำกัด กล่าวว่า ชินวะ กรุ๊ป ก่อตั้งขึ้นมาประมาณ 60 ปีแล้ว สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองโอซาก้า เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีบริษัทในเครือมากมาย โดยเฉพาะในส่วนของการพัฒนาอสังหาฯ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในระดับแถวหน้าของวงการ นโยบายของบริษัทแม่ต้องการขยายการลงทุนออกสู่ต่างประเทศ และการเลือกเปิดตลาดที่ไทยเนื่องจากเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง ภาคอสังหาริมทรัพย์มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเข้ามาปักธงในไทยจะเป็นฐานที่มั่นที่แข็งแรงที่จะสามารถต่อยอดไปสู่ประเทศอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้การรุกตลาดต่างประเทศยังรวมไปถึงอเมริกา และยุโรปอีกด้วย “ก่อนที่จะเกิดการร่วมทุนเป็น ดับเบิ้ลยู-ชินวะ ได้มีการคุยกับหลายๆ ราย สำหรับเหตุผลที่เลือกจับมือกับบริษัท วรลักษณ์ฯ เนื่องจากมีนโยบายและแนวทางการทำงาน รวมถึงวิสัยทัศน์ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยครั้งนี้ถือเป็นการร่วมทุนครั้งแรกของชินวะกรุ๊ป อีกด้วย ซึ่งเราเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจ และมีความมั่นใจอย่างมาก แม้ตลาดคอนโดในไทยมีการเปิดตัวอย่างมาก แต่ถ้าเรามีความชัดเจนในการออกแบบ-ก่อสร้าง รวมถึงทำเลและจังหวะที่ดีก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ทั้งนี้ในญี่ปุ่นการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ชินวะกรุ๊ป เป็นที่ยอมรับว่าเป็นโครงการคุณภาพมากกว่าใช้ราคาเป็นตัวทำตลาด เชื่อว่าชื่อเสียงและผลงานที่ผ่านมา จะส่งผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนญี่ปุ่นในไทย รวมถึงคนไทยและชาวต่างชาติอื่นๆ ที่ชื่นชอบการอยู่อาศัยแบบญี่ป่นแท้ๆ ที่รับรองว่าเป็นครั้งแรกในไทย      ยังไม่เคยมีปรากฏจากโครงการใดมาก่อนอย่างแน่นอน นอกจากนั้นยังมั่นใจได้ว่าจะมีความคุ้มค่าสำหรับผู้ที่ซื้อเพื่อการลงทุนหรือเพื่อปล่อยเช่าอีกด้วย ” มร.ยามาเบะกล่าว โครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 ตั้งอยู่บนที่ดินประมาณ 1 ไร่ ดำเนินงานโดย บริษัท ดับเบิ้ลยู-ชินวะ จำกัด เป็นคอนโดมิเนียมโลวไรส์ 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 156 ยูนิต มี 2 type คือ 1-2 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 29-65 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท มีการออกแบบโครงการและฟังก์ชั่นการใช้งาน เพื่อให้มีบรรยากาศกลิ่นอายการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นแท้ๆ เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่หาได้จากที่นี่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ทั้งการใช้วัสดุก่อสร้าง-ตกแต่งบางส่วนนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น อาทิ ห้องน้ำระบบใหม่ที่พื้นสามารถแห้งได้อย่างรวดเร็วภายใน 1 นาที, การใช้กระเบื้องนาโน ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการดูดซับกลิ่น ความชื้นป้องกันไรฝุ่น เป็นต้น สำหรับพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกครบสมบูรณ์   สวนญี่ปุ่น สระว่ายน้ำ ออนเซนต้นตำรับแท้จากญี่ปุ่น สนามไดรฟ์กอล์ฟ Auto Parking ระบบรักษาความปลอดภัย ฯลฯ กำหนดเปิดขายอย่างเป็นทางการเดือนมีนาคม ปี 2560 คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างราวไตรมาสที่สอง ปี 2560 ก่อสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่สี่ปี 2561 มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งผู้สนใจสามารถสัมผัสได้ด้วยตาตัวเอง ณ ที่ตั้งโครงการในเร็วๆ นี้
เนอวานา บียอนด์ บ้านเดี่ยว 3 ชั้น ชูจุดขาย “The Best Location” จัดโปรฯ พิเศษส่งท้ายปีกับ 4 โครงการ ใน 4 ทำเลศักยภาพ พร้อมรับส่วนลดพิเศษสูงสุด 5 ล้านบาท

เนอวานา บียอนด์ บ้านเดี่ยว 3 ชั้น ชูจุดขาย “The Best Location” จัดโปรฯ พิเศษส่งท้ายปีกับ 4 โครงการ ใน 4 ทำเลศักยภาพ พร้อมรับส่วนลดพิเศษสูงสุด 5 ล้านบาท

บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยแนวราบ บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศ จัดโปรโมชั่นพิเศษส่งท้ายปี 2559คัดสรรโครงการบ้านเดี่ยว 3 ชั้น ภายใต้แบรนด์ บียอนด์ ใน 4 ทำเลศักยภาพ ในเคมเปญ  “The Best Location” กับ เนอวานา บียอนด์  ไลท์ พระราม 9, เนอวานา บียอนด์ เกษตร-นวมินทร์, เนอวานา บียอนด์ พระราม 2 และเนอวานา บียอนด์ ศรีนครินทร์ มอบส่วนลดพิเศษสูงสุด 5 ล้านบาท นายรณชัย  ไตรยสุนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์ธุรกิจ บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในหลากหลายรูปแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศ โดยเราให้ความสำคัญในเรื่องของประโยชน์ของการใช้สอย และทำเลเป็นสำคัญ ซึ่งจะเห็นได้ว่าโครงการของเนอวานานั้น ตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกสบายในการอยู่อาศัย และสะดวกในการเดินทางอย่างสูงสุด โดยเฉพาะ โครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ บียอนด์ (Beyond) ทั้งนี้เราเลือกเฟ้นที่ดินบนทำเลดีติดถนนใหญ่ มาพัฒนา เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าของเรา โดยปัจจุบันมีทั้งสิ้น  4 ทำเล ได้แก่  โครงการเนอวานา บียอนด์ ไลท์ พระราม 9 (Beyond Lite Rama9) โครงการเนอวานา บียอนด์ เกษตร-นวมินทร์ (Beyond Kaset-Nawamin) โครงการเนอวานา บียอนด์ พระราม 2 (Beyond Rama2) และโครงการเนอวานา บียอนด์ ศรีนครินทร์ (Beyond Srinakarin) ทั้งหมดพัฒนาเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 3 ชั้นรูปแบบทันสมัย โดยมีระดับราคาเริ่มต้นที่ 15-45 ล้านบาท ชูจุดขาย “The Best Location” บ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ภายใต้แบรนด์ บียอนด์ มีจุดเด่นในเรื่องของทำเลที่แตกต่างกัน เช่น โครงการ เนอวานา บียอนด์ ไลท์ พระราม 9 ตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้า Airport Link สถานีบ้านทับช้าง เพียง 200 เมตร บนทำเลศักยภาพ เชื่อมต่อเข้าเมืองสะดวกด้วยทางด่วนพระราม 9 อีกทั้งยังมีถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า ถนนตัดใหม่ที่จะรองรับการเดินทางให้สะดวกยิ่งขึ้นในอนาคต  ส่วน โครงการเนอวานา บียอนด์ ศรีนครินทร์ ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่เฉลิมพระเกียรติ ตรงข้าม สวนหลวง ร.9 สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ด้วยทำเลเชื่อมต่อสะดวก จากอุดมสุข (สุขุมวิท 103) เพื่อเชื่อมไปยัง BTS อุดมสุข รองรับทุกการเดินทาง ศรีนครินทร์ / บางนา / พระราม 9 โครงการเนอวานา บียอนด์ เกษตร-นวมินทร์ ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่เกษตร-นวมินทร์ เข้า-ออกได้ 2 ทาง ทั้งเกษตร-นวมินทร์ และเอกมัย-รามอินทรา  ใกล้ทางด่วน เชื่อมต่อสะดวกทั้งขาเข้าและออกเมือง ไม่ว่าจะไป ลาดพร้าว / เอกมัย / หลักสี่ / รามอินทรา / พหลโยธิน / วิภาวดี และโครงการเนอวานา บียอนด์ พระราม 2 ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่พระราม 2 ก่อนเส้นวงแหวนกาญจนาภิเษก ด้วยทำเลศักยภาพเชื่อมต่อเข้าเมืองสะดวก ไม่ว่าจะเป็น พระราม 3 / สาทร นาย รณชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากทำเลที่ตั้งที่ถือว่าเป็น “The Best Location” แล้วบริเวณโดยรอบของทั้ง 4 โครงการยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันรองรับการอยู่อาศัย ทั้งห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา สถานพยาบาล และยังใกล้กับจุดขึ้นลงทางด่วนที่จะเชื่อมต่อไปยังทุกที่ได้สะดวกมากขึ้น โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทได้นำบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ภายใต้แบรนด์ บียอนด์ ทั้ง 4 โครงการ ใน 4 ทำเลศักยภาพ มาจัดโปรโมชั่นพิเศษ พร้อมส่วนลดสูงสุด 5 ล้านบาท ก่อนที่จะมีการปรับราคาในปีหน้า สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1787
นายณ์ เอสเตท เผยภาพรวมธุรกิจปี 59 เติบโตน่าพอใจ พร้อมเปิดบ้านตัวอย่าง “ธาม ฮิลล์ วิลเลจ” อาณาจักรบ้านพักอาศัยระดับหรู บนทำเลผืนสวยที่สุดของเขาใหญ่

นายณ์ เอสเตท เผยภาพรวมธุรกิจปี 59 เติบโตน่าพอใจ พร้อมเปิดบ้านตัวอย่าง “ธาม ฮิลล์ วิลเลจ” อาณาจักรบ้านพักอาศัยระดับหรู บนทำเลผืนสวยที่สุดของเขาใหญ่

นายณ์ เอสเตท เผยภาพรวมธุรกิจปี 59 เติบโตน่าพอใจจาก 3 โครงการใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้ พร้อมเผยโฉมบ้านตัวอย่าง "ธาม ฮิลล์ วิลเลจ" (Thyme Hill Village) โครงการนอกกรุงเทพฯ โครงการแรก ถายใต้แนวคิด "บ้านเล็กในป่าใหญ่" มูลค่า 2,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 40 ไร่ ในอาณาจักรแห่งการพักอาศัยระดับไฮเอนด์ที่สมบูรณ์แบบบนทำเลที่ตั้งที่สวยงานที่สุดในเขาใหญ่ รายล้อมด้วยหุบเขาและผืนป่าธรรมชาติ เพื่อประสบการณ์แบบลักชัวรี่ไลฟ์สไตล์ครบวงจร เชื่อมโยงสู่กรุงเทพฯ ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นด้วยโครงการมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-โคราช และรถไฟความเร็วสูงในอนาคตอันใกล้ นายสุธี ลิมปนชัยพรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด กล่าวว่า "ในปีนี้เราเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 3 โครงการ ได้แก่ KRAAM Sukhumvit 26 (คราม สุขุมวิท 26) , เฌอคูน สาทร-ราชพฤกษ์ และธาม ฮิลล์ วิลเลจ เขาใหญ่ ในภาพรวมถือว่าการดำเนินการและประสบความสำเร็จตามแผนที่วางไว้ โดยโครงการคราม สุขุมวิท 26 ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ขณะนี้มียอดขายถึงกว่า 70% แล้ว ส่วนเฌอคูน ก็มียอดขายที่น่าพอใจ และจำนวนยูนิตเหลือไม่มากแล้ว และล่าสุดโครงการธาม ฮิลล์ วิลเลจ เขาใหญ่ ซึ่งเป็นโครงการนอกกรุงเทพฯ โครงการแรกของเรา โดยตั้งแต่เปิด Exclusive Preview ไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาก็ได้รับความสนใจอย่างมาก มีลูกค้าเข้าเยี่ยมชมโครงการสม่ำเสมอ ทั้งแบบติดต่อเยี่ยมชมเอง และแบบ Direct Invitation โดยส่วนใหญ่ต่างชื่นชอบและประทับใจทั้งในด้านทำเลที่ตั้ง และการออกแบบที่โดดเด่น ไม่เหมือนโครงการอื่นๆ ในเขาใหญ่" โครงการธาม ฮิลล์ วิลเลจ ตั้งอยู่บนทำเลที่นับว่าดีที่สุดในเขาใหญ่ ซึ่งหาได้ยากในปัจจุบัน รายล้อมด้วยหุบเขา เปิดรับทัศนียภาพขุนเขาที่สวยงามที่สุดในแบบ 360 องศา และยังคงความเงียบสงบเป็นส่วนตัว ไม่พลุกพล่าน บนถนนผ่านศึก-กุดคล้า ซึ่งเชื่อต่อกับถนนมิตรภาพและถนนธนะรัชต์ เปรียบเสมือนเป็นทางลัดสู่เขาใหญ่ และสู่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ของเขาใหญ่ พร้อมทั้งเดินทางได้สะดวกอยู่ใกล้กรุงเทพฯ และเพิ่มศักยภาพให้กับทำเลในอนาคตอันใกล้ ด้วยโครงการมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-โคราช ที่คาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 2563 ซึ่งจะช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางสู่เขาใหญ่ได้อย่างมาก รวมทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ - นครราชสีมา ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นการเสริมศักยภาพทางเศรษฐกิจของพื้นที่นี้ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ธาม ฮิลล์ วิลเลจ มีมูลค่า 2,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 40 ไร่ พัฒนาขึ้นภายใต่แนวคิด "บ้านเล็กในป่าใหญ่" ด้วยความพิถีพิถันในการออกแบบสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ ดีไซน์ที่ทันสมัยและกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ควบคู่กับการใช้นวัตกรรมในการก่อสร้าง การจัดสรรค์พื้นที่ใช้สอย และการวางตำแหน่งให้ถูกยูนิตสามารถรับชมวิวทิวเขาได้เต็มตา 360 องศา ประกอบด้วยรีสอร์ทวิลล่า มีดีไซน์ให้เลือกถึง 4 แบบ ได้แก่ ปราณ, ครี, ธรา และดารา ขนาดที่ดินตั้งแต่ 139 - 298 ตารางวา รวม 36 หลัง ราคาโดยประมาณ 25 - 30 ล้านบาท ในรูปแบบ Fully Fitted ซึ่งแต่ละแบบต่างผสานความเป็นธรรมชาติของเขาใหญ่และตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัยได้อย่างดีเยี่ยม และรีสอร์ท เรสซิเด้นท์ คอนโดมิเนียม โลว์ไรซ์ แนวคิดใหม่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน สูงเพียง 4-6 ชั้น จำนวน 6 อาคาร รวม 160 ยูนิต พื้นที่ตั้งแต่ 58.8 - 100.5 ตารางเมตร ราคาโดยประมาณ 5 - 10 ล้านลาท ในรูปแบบ Fully Furnished นอกจากนี้ สำหรับการออกแบบรีสอร์ท วิลล่าทุกหลังในโครงการได้รับการออกแบบและก่อสร้างตามความเหมาะสมตามลักษณะพื้นดินเนินเขาบริเวณนั้นๆ พร้อมสร้างคันหินเพื่อป้องกันการทรุดตัวของดิน ทำให้บ้านแต่ละหลังมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ทั้งยังพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทั้ง สวนสาธารณะ คลับเฮาส์ ห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำ และห้องสมุด “ธาม ฮิลล์ วิลเลจ คือที่พักอาศัยระดับลักชัวรีสำหรับผู้ที่ต้องการบ้านพักอาศัยและบ้านพักตากอากาศที่มีบรรยากาศเงียบสงบ เป็นส่วนตัว ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามและผืนป่าที่ยังคงความสมบูรณ์เป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง รูปแบบของบ้านที่ออกแบบให้ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลาย ทั้งรีสอร์ทวิลล่าซึ่งเหมาะสำหรับผู้บริหารระดับสูงและกลุ่มครอบครัวใหญ่ และคอนโดมิเนียมที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน สำหรับครอบครัวรุ่นใหม่ ซึ่งเรามั่นใจว่าไม่มีโครงการใดในเขาใหญ่ที่มอบสัมผัสของธรรมชาติได้อย่างลงตัวสมบูรณ์แบบเหมือนที่นี่ โดยทางโครงการจะไม่ขยายสิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติมบนพื้นที่ป่าสีเขียวภายในโครงการเพื่อสงวนความเป็นธรรมชาติให้สมบูรณ์มากที่สุดแก่ลูกบ้านในระยะยาว โครงการนี้จึงเป็นทั้งที่พักอาศัยในช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนหย่อนใจที่มีคุณภาพสูง และการลงทุนซึ่งมีศักยภาพดีเยี่ยมในระยะยาว ด้วยทำเลที่ตั้งบนถนนผ่านศึก-กุดคล้า ถนนสายสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างถนนมิตรภาพและถนนธนะรัชต์ ซึ่งเป็นถนนสายหลักมุ่งหน้าสู่ ทางเข้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นอกจากนี้ตัวโครงการยังตั้งอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ  ของเขาใหญ่และยังเป็นจุดที่สามารถเดินทางเชื่อมโยงกับกรุงเทพฯ ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้” นายสุธีกล่าว ผู้สนใจสามารถติดต่อเยี่ยมชมโครงการได้ที่ Sales Gallery ของโครงการธาม ฮิลล์ วิลเลจ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 - 17.00 น. พร้อมชมบ้านตัวอย่างของรีสอร์ทวิลล่า และห้องตัวอย่างของรีสอร์ท เรสซิเด้นท์ รายละเอียดเพิ่มเติม www.nyeEstate.com
โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ ทุ่มงบ 2,600 ล้านบาท เตรียมบุกหัวเมือง เน้นตลาดโครงการแนวราบ เชื่อมั่นดันยอดโตกว่า 109%

โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ ทุ่มงบ 2,600 ล้านบาท เตรียมบุกหัวเมือง เน้นตลาดโครงการแนวราบ เชื่อมั่นดันยอดโตกว่า 109%

โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตลาดไฮเอนด์กว่า 23 ปี หนึ่งในกลุ่มบริษัทไทยสมุทรประกันชีวิต ปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่รับปี 2560 เตรียมบุกตลาดหัวเมือง ด้วยบ้านแนวราบ 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,600 ล้านบาท ยกจุดขายมัดใจลูกค้าตลาดกลาง – ล่าง ด้วยการออกแบบที่ชูจุดเด่นนวัตกรรมที่อยู่อาศัย เพื่อมุ่งเน้นประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า ดร. ธีระชัย พิพิธศุภผล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า “โอเชี่ยนฯ มีแนวทางการบริหารที่มุ่งเน้นการเอาใจใส่ผู้อยู่อาศัย แม้บริษัทมีโครงการไม่มากนัก แต่ทุกโครงการเรามุ่งไปที่บริการหลังการขาย และบริหารจัดการเองทั้งหมด เพื่อให้ลูกบ้านพึงพอใจกับทุกโครงการของโอเชี่ยน ตอนนี้เราเชื่อว่าโครงการของเราเป็นที่ต้องการของทั้งลูกค้าเก่า และลูกค้าอนาคต จากนี้บริษัทมีนโยบายที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2560 อีกประมาณ 4 โครงการ รวม 788 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 2,600 ล้านบาท และในช่วงปี 2561 มีกำหนดเปิดตัวอีก 3 - 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท โดยเรามุ่งเน้นที่ลูกค้ากลุ่มไฮด์เอนด์เป็นหลัก เนื่องจากเราเชื่อมั่นในเรื่องของกำลังซื้อ และศักยภาพของคนกลุ่มนี้ นอกจากการตอบสนองเรื่องความเป็นเอกลักษณ์ด้านการออกแบบแล้ว เรายังมุ่งออกแบบผลิตภัณฑ์ด้านนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัยอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น หลังคาสกายไลท์ ที่เพิ่มความสว่างของบ้านจากพลังงานแสงอาทิตย์ เพิ่มความมั่นใจด้วยการรับประกันตัวบ้านนานถึง 20 ปี ทั้งนี้เราเชื่อว่าลูกค้าจะเน้นการเลือกบ้านที่ตอบสนองรอบด้าน ไม่ใช่เพียงเรื่องราคา และทำเลที่ตั้ง เหตุนี้เราจึงมุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการ และนวัตกรรมเพื่อบ้านในอนาคตอย่างดีที่สุด” ปัจจุบันโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ เน้นการดำเนินธุรกิจในพื้นที่ศักยภาพตามพื้นที่หัวเมืองใหญ่ ซึ่งอยู่ในระหว่างการพัฒนา และก่อสร้าง โดยมีโครงการที่พร้อมเปิดขายช่วงต้นปี 2560 ได้แก่ โครงการโอเชี่ยน เกท (Ocean Gate) เป็นโครงการแนวราบในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีมูลค่ากว่า 800 ล้านบาท รูปแบบโครงการเป็นอาคารพาณิชย์ผสมกับทาวน์โฮม 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 145 – 195 ตารางเมตร ทำเลติดถนนใหญ่ในย่านการค้า สะดวกสบายในการเดินทาง เชื่อมต่อกับสาธารณูปโภค มีความปลอดภัย และเป็นส่วนตัว เน้นการใช้วัสดุคุณภาพสูง ฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีพื้นที่โซนภาคอีสาน เรามองภาพรวมอนาคตของจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นจังหวัดหัวเมืองที่มีศักยภาพสูง ปัจจุบันมีแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรถไฟรางเบา บริษัทจึงเตรียมเปิดโครงการโอเชี่ยน เรสซิเด้นท์ ขอนแก่น (Ocean Residence) โครงการคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้ากลุ่มครอบครัวเล็กที่ต้องการความสะดวกสบาย ทำเลตัวเมืองขอนแก่นห่างจากสนามบินเพียง 15 นาที ห่างจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น 7 นาที เน้นฐานลูกค้าที่ต้องการซื้ออยู่จริง ให้ความ สนใจเรื่องสภาพแวดล้อมโครงสร้างมากว่าราคาขาย มีความต้องการพื้นที่ส่วนกลาง และบริการต่างๆ หลังการขาย พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่ 23 – 50 ตารางเมตร ถึง 34.50 ตารางเมตร “ส่วนจังหวัดภูเก็ตนั้นเป็นโลเคชันที่เรามีที่ดินรอการพัฒนาอีกจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันบริษัทเตรียมพัฒนาอีก 2 โครงการ ในปี 2560 ได้แก่ โครงการโอเชี่ยน ทาวน์ (Ocean Town) และโอเชี่ยน วิลเลจ (Ocean Village) โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่สามารถตอบสนองความต้องการทั้งลูกค้าในพื้นที่ และนักท่องเที่ยว โดยมูลค่ารวม 2 โครงการราว 1,500 ล้านบาท” ดร. ธีระชัย กล่าวเสริม “ทางด้านความสามารถในการทำกำไร บริษัทตั้งเป้าเพิ่มอัตราการเติบโตทุกปีมากกว่า 109 เปอร์เซ็นต์  สำหรับปี 2559 มีเป้าหมายยอดขายรวม 500 ล้านบาท ปัจจุบันดำเนินการตามเป้าหมายได้แล้วกว่า 80 เปอร์เซ็นต์    และคาดว่าการปรับรูปแบบการขายใหม่ของโครงการโอเชี่ยน พอร์โตฟีโน่ คอนโดมิเนียม หาดจอมเทียน พัทยา    จะช่วยสร้างฐานลูกค้าใหม่ โดยคาดว่าจะปิดการขายโครงการนี้เสร็จสิ้นภายในปี 2560 ทั้งนี้เราเตรียมเพิ่มเป้ายอดขายในปีต่อไปอีกราว 170 เปอร์เซ็นต์ โอเชี่ยนฯ เป็นบริษัทขนาดกลางที่มีจุดเด่นเรื่องการมีทำเลในหัวเมืองใหญ่จำนวนมาก จึงไม่จำเป็นต้องแข่งขันในเรื่องของการลงทุนเรื่องที่ดิน อีกทั้งเน้นแนวทางการทำธุรกิจในอนาคตไว้ที่การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ลูกค้าด้านนวัตกรรมการอยู่อาศัย สะดวกสบายต่อวิถีชีวิตที่เหมาะสมของแต่ละช่วงวัย ทั้งนี้เรามีแผนจะปรับตัวเพื่อสู้กับคู่แข่งขันที่เป็นอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่   โดยเน้นการชูจุดแข็งด้านการบริการ รวมถึงมองหารูปแบบการออกแบบที่ตอบโจทย์ลูกค้า และปรับปรุงความยืดหยุ่นด้านการบริหารให้มากขึ้น และเนื่องจากเรามีความคล่องตัวที่มากกว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ จึงสามารถปรับกลยุทธ์ และเสริมสร้างแนวทางทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว” ดร. ธีระชัย กล่าวปิดท้าย สำหรับ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด เป็นผู้ดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 23 ปี และยังมีความมั่นคงจากการเป็นกลุ่มบริษัทในเครือไทยสมุทรประกันชีวิต โดยที่ผ่านมามีโครงการอสังหาริมทรัพย์สำคัญต่างๆ ที่มีมูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท การตอบสนองลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ประกอบด้วยกลุ่มคอนโดที่อยู่อาศัย (Residential) อาทิ Ocean Portofino, San Marino Jomtien, O2Condo กลุ่มอาคารสำนักงานเช่า (Office Buildings) อาทิ Ocean Tower I, Ocean Tower II กลุ่มโรงแรม และรีสอร์ท (Hotels & Resorts) อาทิ Asara Villa & Suite, Ocean Marina Yacht Club