Tag : PR

192 ผลลัพธ์
[PR News] เครือสหพัฒน์ จับมือ กลุ่มเจริญสิน แอสเสท  ลงทุน 1,000 ล้าน สร้างอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าที่จ.ลำพูน

[PR News] เครือสหพัฒน์ จับมือ กลุ่มเจริญสิน แอสเสท ลงทุน 1,000 ล้าน สร้างอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าที่จ.ลำพูน

เครือสหพัฒน์ จับมือ กลุ่มเจริญสิน แอสเสท ลงทุน 1,000 ล้านเดินหน้าพัฒนาโครงการอพาร์ทเม้นท์ให้เช่า ปักหมุดในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ลำพูน  รองรับการขยายการลงทุนในจังหวัดลำพูน  และการเติบโตของชุมชนพื้นที่โดยรอบ     นายสนทยา ทับขันต์ กรรมการบริหาร และ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาสวนอุตสาหกรรม บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ บริษัท เจริญสิน แอสเสท จำกัด ผู้ให้บริการอพาร์ทเม้นท์ให้เช่ารายใหญ่ของประเทศไทย เพื่อร่วมพัฒนาโครงการที่อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า ด้วยมูลค่าการลงทุน 1,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ลำพูน จ.ลำพูน  ซึ่ง คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการในช่วง ไตรมาส 1 ปี 2566 การร่วมทุนก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าดังกล่าว เพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวของชุมชนที่เพิ่มสูงขึ้น จากโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่ม โดยเครือสหพัฒน์และกลุ่มเจริญสิน แอสเสท พร้อมเดินหน้าพัฒนาชุมชนรอบพื้นที่สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ลำพูน ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่อยู่อาศัยคุณภาพพัฒนาชุมชนน่าอยู่ สร้างเมืองปลอดภัย และสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อช่วยดึงดูดใจให้ทั้งแรงงานและผู้ประกอบการเข้ามาร่วมพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมในจังหวัดลำพูนให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน   ด้านนายวิวัฒน์ วงษ์เจริญสิน ประธานกรรมการ บริษัท เจริญสิน แอสเสท จำกัด ผู้ให้บริการ  อพาร์ทเม้นท์ให้เช่ารายใหญ่ในประเทศไทย กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นการเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจซึ่งกันและกัน โดยกลุ่มเจริญสิน แอสเสทมีทีมงานที่ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ลงลึกถึงความต้องการในใจผู้อยู่อาศัย เอาใจใส่ในการบริการ และยึดมั่นในความซื่อตรง พร้อมนำความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาและบริหารชุมชนที่อยู่อาศัย   ปัจจุบันบริษัทมีอพาร์ทเม้นท์ภายใต้การบริหารงานมากกว่า  40,000  ห้อง โดยจะนำความเชี่ยวชาญทั้งหมดเข้ามาช่วยเติมเต็มสังคมที่อยู่อาศัยคุณภาพให้กับชุมชนและแรงงานในบริเวณใกล้เคียงสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ จังหวัดลำพูน เป็นการสร้างชุมชนที่อบอุ่น น่าอยู่ ช่วยดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนทั้งรายเดิมและรายใหม่ให้สนใจเข้ามาขยายการลงทุนมากขึ้น พนักงานและชาวบ้านอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข  
[PR News]CHIC ชูกลยุทธ์สร้าง New S Curves ใหม่  ลุยเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

[PR News]CHIC ชูกลยุทธ์สร้าง New S Curves ใหม่ ลุยเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

CHIC ชูกลยุทธ์สร้าง New S Curves ลุยเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) CHIC เผยทิศทางธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง 65 โต หลังจากเปิดประเทศกิจกรรมทางเศรษฐกิจภาคเอกชน-อสังหาฟื้น มีความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์เพิ่ม เปิดแผนเดินหน้ากลยุทธ์สร้างการเติบโตด้วยNew S Curve ใหม่ แลขยายบริการ “Chic Design Studio” บริการออกแบบตกแต่งภายในและรับเหมาก่อสร้างครบวงจร   เพิ่มช่องทางการให้บริการเช่าและรับจัดตกแต่งเฟอร์นิเจอร์-ของตกแต่งบ้านโดย Stylist “Chic Rent In Style” ปั้มรายได้ต่อยอดธุรกิจหลัก เล็งทำเลคุณภาพขยายสาขาใหม่ ปรับปรุงพื้นที่ร้านค้าเช่า สร้าง Recurring Income เสริมศักยภาพการแข่งขัน พร้อมลุยนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) CHIC ชูกลยุทธ์สร้าง New S Curves ลุยเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน) หรือ “CHIC” ผู้จัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน ของใช้ในบ้าน ที่นอนและเครื่องนอนครบวงจร ในรูปแบบร้านค้าเดี่ยวขนาดใหญ่ ภายใต้แบรนด์หลัก “ชิค รีพับบลิค” (CHIC) และ “ริน่า เฮย์” (RINA HEY) และสินค้านำเข้าจากต่างประเทศภายใต้  แบรนด์ “แอชลีย์” (Ashley) เปิดเผยว่า ภาพรวมทิศทางธุรกิจของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 คาดว่าจะมีการเติบโตที่ดี ปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศ ส่งผลให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของภาคเอกชน ทั้งภาคการให้บริการ ภาคการท่องเที่ยว รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลดีต่อความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์เพิ่มขึ้น   แผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 บริษัทมุ่งเน้นกลยุทธ์สร้างการเติบโตด้วย New S Curve ใหม่ โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้แบ่งเป็น ธุรกิจจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่ง 52% ธุรกิจงานโครงการ 44% ธุรกิจออกแบบและตกแต่งภายใน 1% และธุรกิจให้บริการ 3%   จากการขยายบริการ ให้บริการออกแบบและตกแต่งภายในแบบครบวงจร รวมถึงจัดหาเฟอร์นิเจอร์พร้อมติดตั้งแบบติดผนัง (Built in) แบบลอยตัว (Loose Furniture) สำหรับงานโครงการ คอนโดมิเนียม บ้าน ร้านอาหาร คาเฟ่ โรงแรม ภายใต้ชื่อ “Chic Design Studio”   อีกทั้ง เพิ่มช่องทางการให้บริการ “Chic Rent In Style” ธุรกิจให้เช่าและรับจัดตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้านโดย Stylist / Interior Designer แบบครบวงจร เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า บริษัทอสังหาริมทรัพย์ บริษัทรับออกแบบและตกแต่ง นักออกแบบอิสระ เจ้าของบ้าน และบริษัทรับจัดงานต่าง ๆ ที่ต้องการเช่าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านเพื่อใช้จัดห้องตัวอย่าง งานโฆษณา-ประชาสัมพันธ์ งานอีเวนท์ระยะสั้น เป็นต้น   สำหรับธุรกิจจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งบ้าน เตรียมขยายสาขาใหม่ในพื้นที่หรือจังหวัดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง รวมถึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างเทรนด์ให้ทันสมัย เพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ควบคู่กับกลยุทธ์ O2O (Offline to Online และ Online to Offline) เพิ่มศักยภาพช่องทางจำหน่ายสินค้าผ่านออนไลน์ เพื่อรองรับความต้องการที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต ปัจจุบัน บริษัทมีช่องทางจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ www.chicrepublicthai.com, www.rinahey.com, https://store.ashleyfurniturehomestore.co.th Facebook: Chic Republic Line@Chic Republic และแพลตฟอร์ม Shopee, Lazada, NocNoc, Central Online และ JD Central   นอกจากนี้ ธุรกิจจำหน่ายสินค้าเฟอร์นิเจอร์พร้อมติดตั้งสำหรับงานโครงการภายในประเทศ มีกระแสตอบรับที่ดีจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ เตรียมเจาะกลุ่มลูกค้าโครงการแนวราบเพิ่ม เช่น บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โรงแรม และโรงพยาบาล สร้างยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นให้มากขึ้น   ในส่วนของธุรกิจการให้บริการพื้นที่เช่า บริษัทปรับกลยุทธ์ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาเยี่ยมชมสินค้าหน้าร้านเตรียมปรับปรุงพื้นที่จัดวางสินค้าภายในสาขาบางสาขา เพิ่มพื้นที่เช่าสำหรับร้านค้า ร้านอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและส่งเสริมธุรกิจของบริษัทฯให้มากขึ้น สร้างรายได้จากการให้เช่าพื้นที่และค่าบริการ “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้การดำเนินงานบริษัทได้รับผลกระทบ ทำให้บริษัทเร่งปรับตัว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันพร้อมรับมือกับวิกฤติต่าง ๆ ในปัจจุบันได้ การปรับกลยุทธ์สร้างการเติบโตด้วย New S Curves ใหม่ เริ่มเห็นสัดส่วนรายได้ในแต่ละกลุ่มธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/65  และคาดว่าจะมีทิศทางเติบโตที่ดีต่อเนื่อง บริษัทจึงมีความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อรองรับแผนการลงทุนที่จะสร้างการเติบโตในอนาคต” นายกิจจากล่าว   ทั้งนี้ บริษัทจะทำการเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 360 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 26.47 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังเสนอขาย IPO โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และจะทำการโรดโชว์ให้แก่ผู้ที่สนใจ นักลงทุนกลุ่มต่างๆ และประชาชนทั่วไป ผ่านรูปแบบออนไลน์ (Facebook Live) สามารถติดตามรับฟังการนำเสนอข้อมูลได้ในช่องทาง FB : Chic Republic   บทความน่าสนใจ แต่งคอนโดให้สวยจบ งบไม่บานปลาย แต่งคอนโดฯ อย่างไร…ให้คอมพลีท! ห้องแต่งตัวในฝันทำได้จริง อยากแต่งแบบไหนก็ได้แบบนั้น
[PR News] ‘เอพี ไทยแลนด์’ เผยความสำเร็จโครงการ ‘เพราะฉันคือ…ฉัน #IamPower’

[PR News] ‘เอพี ไทยแลนด์’ เผยความสำเร็จโครงการ ‘เพราะฉันคือ…ฉัน #IamPower’

'เอพี ไทยแลนด์' เผยความสำเร็จโครงการ ‘เพราะฉันคือ…ฉัน #IamPower’                เมื่อบริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพ ‘คน’ อย่างแท้จริง ได้ก้าวเข้ามาเอ็มพาวเวอร์บัณฑิตและเยาวชนผู้พิการเพื่อให้สามารถมีชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ โดยร่วมกับ 4 พันธมิตรหลัก ในโครงการ ‘เพราะฉันคือ…ฉัน #IamPower’ โดยมีเจตจำนงสำคัญในการมอบโอกาสผู้พิการในการเข้าถึงทักษะใหม่ๆ ที่ใช้งานได้จริง เตรียมความพร้อมเข้าสู่ชีวิตการทำงาน รวมถึงการเข้าถึงตลาดงานคุณภาพเทียบเท่ากับบุคคลทั่วไป 'เอพี ไทยแลนด์' เผยความสำเร็จโครงการ ‘เพราะฉันคือ…ฉัน #IamPower’                นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดทางสังคม ที่สะท้อนคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของประชาชนในประเทศ ซึ่ง เอพี ไทยแลนด์ ได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพคนทุกคนมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านองค์ความรู้ มุมมอง และทักษะใหม่ๆ ที่นำมาซึ่งนวัตกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งในปีนี้เราได้ต่อยอดการพัฒนาศักยภาพคนไปสู่เยาวชนและบัณฑิตผู้พิการ   ภายใต้โครงการ ‘เพราะฉันคือ...ฉัน #IamPower’ เพื่อเอ็มพาวเวอร์บัณฑิตและเยาวชนผู้พิการ ให้สามารถมีชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ ประกอบด้วย 2 กิจกรรมใหญ่ ได้แก่ IW-Inclusive Workplace ปีที่ 2  เพื่อเตรียมพร้อมเพื่อก้าวสู่โลกการทำงาน โดยมีบัณฑิตและเยาวชนผู้พิการกว่า 100 คน จาก 21 มหาวิทยาลัย ทั่วประเทศเข้าร่วม ด้วยหลักสูตรพิเศษเสริมสร้างทักษะความรู้ก่อนเข้าสู่ตลาดงานจริง  และล่าสุดกับงานสัมมนาครั้งใหญ่ของประเทศอย่าง AP-SEAC presents Creative Talk Conference 2022 (CTC 2022) ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 25-26 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ที่ได้มอบโอกาสแก่เยาวชนผู้พิการ ได้เข้าร่วมกว่า 240 ท่าน จากสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศทั้งในรูปแบบ On Ground และ Online”   “การจัดงานครั้งนี้มีการดีไซน์พื้นที่เป็นพิเศษในรูปแบบ Universal Access เป็นครั้งแรกของประเทศเพื่อรองรับผู้พิการได้อย่างครอบคลุมที่สุด ทั้งผู้พิการทางสายตา ทางการเคลื่อนไหว และการได้ยิน ให้สามารถร่วมงานรับองค์ความรู้ได้อย่างสะดวก อาทิ การพิมพ์อักษรเบรลล์ในบัตรเข้าร่วมงาน มีช่องลงทะเบียนที่มีความกว้างเป็นพิเศษรองรับผู้พิการที่นั่งวีลแชร์ ตลอดจนมีล่ามภาษามือบนเวที เพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่วิทยากรบรรยาย เข้าถึงองค์ความรู้และทักษะแห่งอนาคตที่นำไปใช้ได้จริง เช่นเดียวกันกับผู้ร่วมงานท่านอื่น ให้พร้อมกับโอกาสดีๆ ที่กำลังจะเข้ามา บริษัทฯ หวังว่างาน AP-SEAC presents Creative Talk Conference 2022 ในปีนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเปิดกว้างทางความรู้ให้กับน้องๆ เยาวชนและบัณฑิตผู้พิการ รวมถึงยังเป็นการเซ็ตมาตรฐานใหม่ให้กับการจัดงานสัมมนาต่อไปของประเทศ เพื่อมอบโอกาสที่ให้กับทุกคนในสังคมในการเข้าถึงองค์ความรู้ใหม่ๆ” นายวิทการ กล่าว   นายวิทการ กล่าวเพิ่มเติมว่า “จากการพูดคุยกับน้องๆ ผู้พิการ หลายคนเดินทางมาจากต่างจังหวัด อาทิ เชียงใหม่ ด้วยความตั้งใจอย่างเปี่ยมล้นที่จะเก็บเกี่ยวความรู้ต่างๆ ซึ่งเขาไม่เคยได้เข้าร่วมมาก่อน นอกจากนี้ ยังมีหลายๆ คนที่มีตั้งใจมาฟังประสบการณ์และไอเดียจากวิทยากร เพื่อเข้าถึงเทรนด์ต่างๆ และสานฝันอาชีพในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น YouTuber, Content Creator, Interior Design และนักสังคมสงเคราะห์ ซึ่งเอพี ไทยแลนด์ มีความภูมิใจ และยินดี ที่ได้ร่วมส่งต่อพลังบวกไปถึงทุกคน ให้ทุกคนมีกำลังใจทำตามความฝัน โดยเฉพาะกับบัณฑิตและเยาวชนผู้พิการ เราอยากให้ทุกคนมองไปข้างหน้า ไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาและเชื่อในศักยภาพตัวเอง ซึ่งเอพี ไทยแลนด์และพันธมิตรพร้อมสนับสนุนให้ทุกคนเดินตามความฝันอย่างเต็มที่ ด้วยการมอบโอกาสในการเข้าถึงทักษะแห่งอนาคตที่ใช้งานได้จริง ด้วยความรู้ที่ทันยุคสมัย เพื่อทะลายทุกข้อจำกัดชีวิต ให้ทุกคนสามารถสร้างเส้นทางเพื่อเดินสู่เป้าหมายให้สำเร็จ ด้วยพลังในตัวของทุกคน”   ความสำเร็จครั้งนี้มาจากพาร์ตเนอร์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านทั้ง 4 องค์กร ได้แก่ SEAC (ซีแอค) ผู้นำด้านการพัฒนาผู้บริหาร บุคลากรและองค์กร ที่มุ่งเสริมสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิต, VULCAN COALITION (วัลแคน โคอะลิชั่น) องค์กรที่ดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม โดยมีภารกิจหลักในการสร้างงานและรายได้ให้กับ ผู้พิการ, CREATIVE TALK (บริษัท ครีเอทีฟทอล์ค จำกัด) ผู้ริเริ่มจัดงาน Creative Talk Conference ขึ้นในไทย และมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นองค์กรสำคัญที่สนับสนุนให้คนพิการมีอาชีพและลดช่องว่างของการจ้างงาน รวมถึงอาสาสมัครกว่า 200 คน ที่ทำงานอย่างสุดพลัง ส่งผลให้การจัดงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี   บมจ. เอพี ไทยแลนด์ ได้ร่วมสนับสนุนการจัดงาน Creative Talk มาอย่างต่อเนื่อง มีผู้เข้าร่วมงานจากหลักสิบมาเป็นหลักหมื่นในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อช่วยเอ็มพาวเวอร์ความคิดสร้างสรรค์และจุดประกายไอเดียให้กับผู้ประกอบการ รวมถึงผู้เข้าร่วมงาน และมีส่วนสรรค์สร้าง Creative Economy ให้กับเมืองไทย และในฐานะบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศ สิ่งหนึ่งที่เอพียึดถือปฏิบัติมาเป็นเวลายาวนานในมิติด้านสังคม คือ ความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสร้างสรรค์และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในสังคมให้ดียิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักในการเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพคนด้วยการสร้างทักษะแห่งอนาคต เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนมีชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้   ด้านนางสาวเมธาวี ทัศนาเสถียรกิจ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง บริษัท วัลแคน โคอะลิชั่น จำกัด หนึ่งในพันธมิตรของโครงการ ‘เพราะฉันคือ…ฉัน #IamPower’ กล่าวว่า “ปกติการเข้าร่วมอีเวนต์ต่างๆ ของน้องผู้พิการไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าไม่ได้ออกแบบให้ผู้พิการเข้าถึงได้ ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มน้องหูหนวก ถ้าไม่มีล่ามภาษามือแปล เขาจะไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่วิทยากรพูดเลย หรือจะเป็นกลุ่มผู้พิการทางสายตา ถ้าไม่มีอาสาสมัครที่มีความเข้าใจในการพาเดิน อธิบายสิ่งต่างๆ รวมถึงผู้พิการทางการเคลื่อนไหวที่ใช้วีลแชร์หากทางเดินแคบ ก็จะค่อนข้างลำบากในการไปยังจุดต่างๆ ซึ่งงาน CTC 2022 นี้ มีการออกแบบรองรับการเข้าร่วมงานของ ผู้พิการทุกประเภท รวมถึงได้ร่วมกิจกรรมในบูธต่าง ๆ อย่างของเอพี ไทยแลนด์ ที่ผู้พิการสามารถร่วมกิจกรรมผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อทำเทสต์ว่าตัวเขามีจุดแข็งในด้านใด ซึ่งแอปพลิเคชันของเอพี รองรับระบบ accessible ของโทรศัพท์มือถือ สามารถเปิดประสบการณ์ที่ดีให้กับน้องๆ ได้มีส่วนร่วมได้อย่างเท่าเทียม”   หนึ่งในผู้พิการทางการมองเห็น นางสาวธนัญชกร สันติพรธดา เล่าถึงความรู้สึกทีได้เข้าร่วมงาน CTC 2022 นี้ว่า “ประทับใจมากเนื่องจากมี Inclusive Design เข้ามา ทำให้ตนเองและเพื่อนๆ สามารถเข้าร่วมงานได้เต็มที่ เป็นการเปิดโลกทรรศน์ให้เรารับรู้เทรนด์ต่อจากนี้ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ทำให้มีไอเดียไปต่อยอดให้กับตัวเอง สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าเราจะเก็บเกี่ยวความรู้จากงานนี้ไปมากแค่ไหน ถ้าไม่ลงมือทำ  ก็จะไม่สามารถทำให้ตัวเราพัฒนาได้ งานนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพื่อให้เราก้าวทันโลกในปัจจุบันรวมถึงอนาคต ขอขอบคุณเอพี ไทยแลนด์ ซึ่งสัมผัสได้ถึงความตั้งใจจริงที่มีการเตรียมความพร้อม เพื่อให้เรามีส่วนร่วมได้จริง สนุกไปกับงานนี้ เป็นส่วนหนึ่งของงานได้จริง”   นายธาม บันลือธัญลักษณ์ ผู้พิการทางออทิสติก กล่าวว่า “เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้เข้าร่วมงาน Conference ระดับประเทศ ทำให้เราได้เรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่เคยได้เรียนรู้ คือ ทักษะชีวิต และเปิดประสบการณ์ที่ไม่มีในโรงเรียน ต้องขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีทุกท่าน ทั้งเอพี และบริษัทต่างๆ ที่ทำให้ผมและเพื่อนๆ ผู้พิการ ได้มาเรียนรู้เกี่ยวกับแนวคิด และวิธีการต่างๆ ที่ทำให้เพิ่มทักษะให้กับตัวเองได้” นางสาวกมลวรรณ กระถินทอง ผู้พิการทางการเคลื่อนไหว เปิดเผยว่า “ผู้พิการแต่ละคนมีต้นทุนทางชีวิตไม่เท่ากัน แต่มีโอกาสในการเรียนรู้ได้เหมือนกัน อย่างเช่นงาน CTC 2022 ครั้งนี้ ได้จุดประกายและกระตุ้นพลังบวกในตัวเอง ให้ไม่หยุดที่จะเรียนรู้ และพร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปอย่างมีความสุข ที่ผ่านมาตนเองเมื่อจบการศึกษาได้สมัครงานไปหลายแห่ง พอถึงขั้นตอนการไปสัมภาษณ์ พบว่าเรานั่งวีลแชร์ บางแห่งก็ปฏิเสธทันทีโดยไม่ได้เปิดโอกาสในการพูดคุยใดๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันองค์กรใหญ่ๆ หลายแห่งเปิดกว้าง และรับผู้พิการเข้าทำงาน ให้ได้สานฝันทำงานที่เรารัก สำหรับตนเองมองว่าในอนาคตนอกเหนือจากการทำงานที่ตรงกับวิชาชีพแล้ว ยังอยากที่จะทำงานด้านสังคมเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับเพื่อนๆ ผู้พิการด้วยเช่นกัน”             บทความน่าสนใจ [PR News] เอพี ไทยแลนด์ ร่วมปลุกพลังในตัวเอง จับมือพันธมิตร เปิดตัวโครงการ “เพราะฉันคือ…ฉัน #IamPower”  มอบโอกาสทางการศึกษาเพื่อไปได้ไกลกว่า   เอพี ไทยแลนด์ ชู 3 กลยุทธ์ลุย ตลาดทาวน์โฮม พร้อมเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ดันเป้า 38,000 ล้าน [PR News]“เอพี ไทยแลนด์” จับมือ “GDH” สร้างภาพยนตร์ไทยเรื่องล่าสุด FAST & FEEL LOVE
[PR News] “แอสเซทไวส์” ร่วมสนับสนุนนางงามไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

[PR News] “แอสเซทไวส์” ร่วมสนับสนุนนางงามไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

Assetwise สนับสนุนนางงามไทย 2022   แอสเซทไวส์ สานต่อความสำเร็จนางงามมาร์เก็ตติ้ง บนเวที มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022 ต่อเนื่องปีที่ 3 หลังผลตอบรับและสร้างการรับรู้ในกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มแฟนนางงามที่มีความหลากหลาย ปีนี้ร่วมค้นหาสาวงามผู้ทรงพลัง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “NEW BEGINNINGS” เตรียมมอบห้องชุดใหม่เอี่ยมจากโครงการไอเวอรี่ รัชดา – ลาดพร้าว (IVORY Ratchada - Ladprao) คอนโดมิเนียมหนึ่งเดียวกับการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ บนถนนรัชดาภิเษก ให้แก่ผู้คว้าสุดยอดมงกุฎบนเวที MUT และรองทั้ง 4 อันดับ รวมมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท             นางสาววาสนา เลิศพงศ์โสภณ กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจ 3 บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน)  ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” กล่าวว่า หลังจากที่แอสเซทไวส์เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ภายใต้กลยุทธ์ที่เราเรียกกันว่า “นางงามมาร์เก็ตติ้ง” ซึ่งตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เราได้รับผลการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้แอสเซทไวส์กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มแฟนนางงามที่มีความหลากหลาย บางส่วนเป็นลูกค้าเก่าก็รู้สึกมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของเรา รวมถึงบางส่วนก็กลายมาเป็นลูกค้าใหม่ และทำให้เมื่อนึกถึงการสนับสนุนเวทีการประกวดระดับประเทศ จะมีแอสเซทไวส์อยู่ในภาพจำของการรับรู้ของกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวด้วย   "แอสเซทไวส์" ร่วมสนับสนุนนางงามไทย “ในครั้งนี้ถือเป็นปีที่ 3 ที่แอสเซทไวส์ยังคงร่วมสนับสนุนการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022 เพื่อร่วมผลักดันศักยภาพและความสามารถของผู้หญิงไทยให้ก้าวขึ้นสู่เวทีความงามระดับสากลอย่างภาคภูมิใจ โดยเราได้เตรียมมอบรางวัลกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมตกแต่งพร้อมเข้าอยู่จาก โครงการไอเวอรี่ รัชดา – ลาดพร้าว (IVORY Ratchada - Ladprao) คอนโดมิเนียมหนึ่งเดียวกับการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ บนถนนรัชดาภิเษก ที่มาพร้อมกับความสงบและความเรียบหรู   เพื่อให้ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ให้แก่สาวงามผู้ครองมงกุฎ Miss Universe Thailand 2022 และนอกจากสาวงามผู้ครองมงกุฎแล้ว ยังมอบสิทธิ์พักอาศัยให้แก่สาวงามที่ได้รับตำแหน่งรองชนะเลิศ ทั้ง 4 อันดับ ทั้งในโครงการดังกล่าว และโครงการแม็กซี่ ไพร์ม รัชดา – สุทธิสาร (MAXXI Prime Ratchada - Sutthisan) เป็นระยะเวลา 1 ปี อีกด้วย และไม่เพียงแค่ของรางวัลที่มีความพิเศษ เพราะแอสเซทไวส์ได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เพื่อให้นางงามทั้ง 30 คน ได้ร่วมสนุกและสัมผัสความเป็นแอสเซทไวส์อย่างใกล้ชิด รวมถึงยังได้สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด GrowGreen เพื่อร่วมกันทำให้สังคมของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น” นางสาววาสนา กล่าว   "แอสเซทไวส์" ร่วมสนับสนุนนางงามไทย           โครงการไอเวอรี่ รัชดา – ลาดพร้าว (IVORY Ratchada - Ladprao) เป็นคอนโดเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 204 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 610 ล้านบาท หนึ่งเดียวกับการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่บนถนนรัชดาภิเษก สะดวกสบายทุกการเดินทางที่สามารถเชื่อมต่อสู่ย่าน NEW CBD และใกล้จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้า 3 สาย มาพร้อมความพิเศษด้วย Adaptive Function ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้สอยภายในห้องได้ตามแบบฉบับของคุณ เพื่อยกระดับความสุขในทุกจังหวะการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่                 บทความน่าสนใจ Atmoz Sriracha “Twist Happiness” ทำให้วันธรรมดา ไม่ธรรมดา Atmoz แจ้งวัฒนะ คอนโดสไตล์รีสอร์ท ใกล้รถไฟฟ้าสีชมพู  Atmoz Ratchada-Huaikwang-แอทโมซ รัชดา-ห้วยขวาง
MQDC เผยความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” บ้านอัลตร้าลักชัวรี่ ทำยอดขายแล้ว 4,700 ล้าน

MQDC เผยความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” บ้านอัลตร้าลักชัวรี่ ทำยอดขายแล้ว 4,700 ล้าน

MQDC เผยความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” บ้านอัลตร้าลักชัวรี่ ทำยอดขายแล้ว 4,700 ล้าน MQDC เผยสูตรความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” โครงการแบรนด์ระดับโลก ที่โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ สามารถทำยอดขายได้แล้ว 4,700 ล้าน คิดเป็นสัดส่วน 78% เหตุปั้นโปรเจ็กต์คุณภาพ ผนึกแบรนด์ระดับโลก ด้วยสุดยอดคอนเซ็ปต์โครงการที่ให้ความสำคัญการอยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติ ตอบโจทย์ลูกค้าต้องการบ้านระดับอัลตร้าลักชัวรี่   นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์  บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ​ MQDC เปิดเผยว่า “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” โครงการที่อยู่อาศัยแบรนด์ซิกส์เซนส์ โครงการแรกในประเทศไทย ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์  ถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 7 สามารถทำยอดขายบ้าน ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2565 ได้แล้วจำนวน 21 หลัง คิดเป็นมูลค่า 4,700 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนการขาย​ 78% จากทั้งหมด 27 หลัง โดยคาดว่าบ้านหลังแรกๆ จะเริ่มโอนได้ในไตรมาส 2 ปี 2567     “การที่ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อบ้านอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าตลาดยังมีความต้องการอยู่ในระดับที่สูงมาก สำหรับบ้านในระดับอัลตร้าลักชัวรี่ในกรุงเทพฯ ที่ให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติ รวมทั้งมีแนวทางการออกแบบและก่อสร้างที่เป็นคุณภาพระดับสูงสุด โดยในช่วง 30 วันแรกของการเปิดขาย สามารถขายบ้านได้ถึง 16 หลัง และจนถึงวันนี้ขายเพิ่มได้อีก 5 หลัง”   โดยปัจจัยความสำเร็จของยอดขายบ้านซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ เดอะ ฟอเรสเทียส์ นายกิตติพันธุ์ กล่าวว่า เกิดจากการผสมผสานสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดที่มากับแบรนด์ระดับโลก อย่างเดอะ ซิกส์เซนส์ เข้ากับคอนเซ็ปต์โครงการ ที่ให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยใกล้ชิดกับธรรมชาติ รวมทั้งมีการออกแบบและก่อสร้างคุณภาพระดับสูงสุด และการมีทำเลที่ตั้งอยู่ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ทำให้​ตลาดมีความต้องการสูงมาก สำหรับบ้านระดับอัลตร้าลักชัวรี่ดังกล่าว​   สำหรับบ้านในโครงการซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ เดอะ ฟอเรสเทียส์ เป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 27 หลัง ที่มาพร้อมพื้นที่สวนของตัวเอง และมีทะเลสาบล้อมรอบ โดยตัวบ้านมีให้เลือก 3 ขนาด ตั้งแต่ 3-5 ห้องนอน พื้นที่ตั้งแต่ประมาณ 790 ตารางเมตร ไปจนถึงเกือบ 1,500 ตารางเมตร และมีราคาตั้งแต่ประมาณ 180 ล้านบาท ไปถึงมากกว่า 360 ล้านบาท     นายกิตติพันธุ์  กล่าวอีกว่า  บ้านในโครงการซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ทั้งหมด ทุกหลังรับประกันคุณภาพ 30 ปีโดย MQDC  มีการคัดเลือกวัสดุที่ดีที่สุด มีสเปกที่ดี ถือเป็นหนึ่งในที่อยู่อาศัยที่เรียกได้ว่าดีที่สุด  ซึ่งทุกหลังมาพร้อมกับบริการและสิทธิพิเศษตามแบบฉบับของบ้านแบรนด์ซิกส์เซนส์ รวมถึงบริการอำนวยความสะดวกที่ใส่ใจผู้อยู่อาศัย  ภายในโครงการยังมีคลับเฮ้าส์ และการบริหารจัดการดูแลในระดับพิเศษ เพื่อรักษาและคงความเป็นสังคมที่มุ่งเน้นในเรื่องคุณภาพของการใช้ชีวิต และความยั่งยืน   โดยบริษัท Foster + Partners และ DT designs รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางด้านสถาปัตยกรรมการออกแบบ  และ Six Senses Hotels Resorts Spas เป็นที่ปรึกษาด้านงานตกแต่งภายใน และภาพรวมโครงการ ซึ่งออกแบบให้บ้านทุกหลังในโครงการ ตั้งอยู่ท่ามกลางความธรรมชาติที่ร่มรื่นเขียวขจี มีบ่อออนเซนและสระว่ายน้ำ พร้อมวิวทะเลสาบ ช่วยทำให้การ​​ใช้ชีวิตทั้งภายในและภายนอกตัวบ้านได้อย่างกลมกลืน​   ภายในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมแห่งใหม่ในเครือซิกส์เซนส์ที่มีห้องพักประมาณ 85 ห้อง ซึ่งมีกำหนดจะเปิดให้บริการในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 โดย​​เจ้าของบ้านโครงการซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ จะได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าใช้สถานที่ต่าง ๆ ของโรงแรมแห่งใหม่ในเครือซิกส์เซนส์ที่มีห้องพักประมาณ 85 ห้อง มีกำหนดเปิดให้บริการในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 อาทิ ห้องพัก อาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้ง สปา รวมไปถึงบริการที่หลากหลาย ตั้งแต่การดูแลบ้าน บริการ baby-sitting ไปจนถึงบริการบัตเลอร์     นอกจากบ้านซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์  ในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ แล้ว ยังมีที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่อื่น ๆ อยู่ภายในโครงการที่ขายดีด้วย ​ อาทิ บ้านแบรนด์ มัลเบอร์รี โกรฟ​ ที่สามารถทำยอดขายได้แล้ว 3,720 ล้านบาท ณ เดือนพฤษภาคม 2565 ซึ่งบ้านแบรนด์มัลเบอร์รี่ โกรฟ เป็น​บ้านสไตล์คลัสเตอร์โฮม “มัลเบอร์รี โกรฟ วิลล่า” ที่มุ่งตอบโจทย์ครอบครัวใหญ่ การอยู่ด้วยกันหลายเจนเนเรชั่น ในบ้านเดี่ยวหลาย ๆ หลัง บนพื้นที่บริเวณเดียวกัน  ซึ่งโครงการ มัลเบอร์รี โกรฟ วิลล่า มีบ้านทั้งหมด 37 หลัง มีให้เลือก 3 ขนาด ตั้งแต่ 4-6 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ประมาณ 1,000-1,700 ตารางเมตร   โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 398 ไร่ บนถนนบางนา-ตราด เส้นทางสู่พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่กำลังเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยพื้นที่ของโครงการ ประกอบไปด้วยพื้นที่สวนสาธารณะ ธรรมชาติ โครงการที่พักอาศัยหลากหลายแบรนด์ที่ตอบโจทย์หลากหลายไลฟ์สไตล์และช่วงวัย รวมไปถึงพื้นที่เพื่อกิจกรรมชุมชนต่างๆ และพื้นที่เชิงธุรกิจที่มุ่งเน้นส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี ท่ามกลางธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่มีคุณภาพ   บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ The Forestias – เมืองต้นแบบกลางป่าใหญ่ในกรุงเทพฯ THE FORESTIAS by MQDC ชูจุดเด่น ‘Imagine Happiness’ เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี  
[PR News] เอพี ไทยแลนด์ ร่วมปลุกพลังในตัวเอง  จับมือพันธมิตร เปิดตัวโครงการ “เพราะฉันคือ…ฉัน #IamPower”   มอบโอกาสทางการศึกษาเพื่อไปได้ไกลกว่า   

[PR News] เอพี ไทยแลนด์ ร่วมปลุกพลังในตัวเอง จับมือพันธมิตร เปิดตัวโครงการ “เพราะฉันคือ…ฉัน #IamPower”  มอบโอกาสทางการศึกษาเพื่อไปได้ไกลกว่า  

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่เอพียึดถือปฏิบัติมาเป็นเวลายาวนานและเสมอมาคือ การดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG โดยมีเป้าหมายหลักในการเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพ ‘คน’ ด้วยการสร้างทักษะแห่งอนาคต เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนมีชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ ผ่านโครงการต่างๆ ที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง “เพราะฉันคือ…ฉัน #IamPower”   ทั้งนี้ บริษัทฯ ต้องการต่อยอดโอกาสในการเข้าถึงทักษะใหม่ๆ ให้แก่ “บุคคลผู้ด้อยโอกาส” เพื่อการเข้าถึงตลาดงานที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับบุคคลทั่วไป บริษัทฯ จึงร่วมกับ 4 พันธมิตรจัดทำโครงการ  เอ็มพาวเวอร์สังคมที่ชื่อว่า “เพราะฉันคือ…ฉัน #IamPower” เพื่อร่วมสนับสนุนให้บัณฑิตและเยาวชนผู้พิการ สามารถมีชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ ด้วยการมอบโอกาสทางการศึกษาให้กับบัณฑิตและเยาวชนผู้พิการให้ได้เข้าถึงทักษะแห่งอนาคตใหม่ๆ มุ่งส่งเสริมศักยภาพ สร้างพลังบวกให้บัณฑิตและเยาวชนผู้พิการมั่นใจและเชื่อมั่นในศักยภาพตนเอง พร้อมทลายทุกข้อจำกัดชีวิต บ่มเพราะทักษะใหม่ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้จริง เพื่อโอกาสที่มากกว่าในการเข้าถึงตลาดงานที่มีคุณภาพ   “เพราะฉันคือ…ฉัน #IamPower” เกิดขึ้นด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ได้แก่ 1. SEAC (ซีแอค) ผู้นำด้านการพัฒนาผู้บริหาร บุคลากรและองค์กร ที่มุ่งเสริมสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2. Vulcan Coalition (วัลแคน โคอะลิชั่น) ดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม โดยมีภารกิจหลักในการสร้างงานและรายได้ที่แท้จริงให้กับคนพิการ 3. Creative Talk (บริษัท ครีเอทีฟทอล์ค จำกัด) ผู้ริเริ่มจัดงาน CREATIVE TALK Conference ขึ้นในไทย   มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม การสนับสนุนให้คนพิการมีอาชีพและมุ่งลดช่องว่างของการจ้างงาน ซึ่งภายใต้โครงการ “เพราะฉันคือ…ฉัน #IamPower” จะประกอบด้วย 2 กิจกรรมหลักที่มุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพ ‘บัณฑิตและเยาวชนผู้พิการ’ ซึ่งจะทำอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย Creative Talk Conference 2022 (CTC2022) งาน Conference แห่งปีที่รวบรวมความรู้และเทรนด์ที่น่าสนใจจากวิทยากรกว่า 100 ท่านที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี และกิจกรรม IW-Inclusive Workplace-เตรียมพร้อมเพื่อก้าวสู่โลกการทำงาน โปรแกรมเสริมสร้างทักษะและวิธีคิดที่จำเป็นกับความต้องการของโลกทำงานปัจจุบันและ ในอนาคต โดยงาน Creative Talk Conference 2022 ปีนี้จะถือเป็นครั้งแรกที่เราได้เตรียมพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อส่งต่อองค์ความรู้ในมิติใหม่ๆ ให้กับน้องๆ บัณฑิตและเยาวชนผู้พิการทั้งล่ามภาษามือ ที่นั่ง เบรลล์บล็อก ตลอดทีมงานอาสาสมัคร หรือการรับชมผ่านระบบออนไลน์โดยบริษัทฯ ได้เตรียมโควตาบัตรพิเศษที่เรียกว่า Angel Ticket เพื่อมอบให้แก่น้องๆ บัณฑิตและเยาวชนผู้พิการ โดยมีพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้คำปรึกษาและวางแผนในครั้งนี้ ซึ่งงานจะจัดขึ้นในวันที่ 25-26 มิถุนายนนี้ ณ ไบเทค บางนา   ซึ่งบัณฑิตและเยาวชนผู้พิการที่สนใจเข้าร่วมรับฟังผ่านระบบออนไลน์ สามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ได้ที่ https://bit.ly/CTCforPWDs ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 มิถุนายนนี้                     บทความน่าสนใจ 14 คำถามกับ AP เดินกลยุทธ์เติบโตอย่างไร ให้ได้รายได้  40,550 ล้าน AP WORLD  เปิดโลกแห่งอนาคตเพื่อคุณภาพชีวิต พร้อมเปิดตัว 6 โครงการใหม่ ‘เอพี ไทยแลนด์’ สานต่อวิสัยทัศน์ ‘AP WORLD’ เปิดตัวแนวคิด ‘PROJECT GROW’
[PR News] พฤกษา ปล่อยกิจกรรม PRUKSA Tomorrow Verse ตอกย้ำจุดยืน “ลีฟวิ่ง โซลูชั่น”

[PR News] พฤกษา ปล่อยกิจกรรม PRUKSA Tomorrow Verse ตอกย้ำจุดยืน “ลีฟวิ่ง โซลูชั่น”

ลีฟวิ่ง โซลูชั่น “พฤกษา” ตอกย้ำ “ลีฟวิ่ง โซลูชั่น” พร้อมปล่อยกิจกรรม PRUKSA Tomorrow Verse ในแบบ Virtual Gamification สะสมไอเทมแลกรางวัล สร้างประสบการณ์ใหม่ในการเยี่ยมชมโครงการ   นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า แผนการสื่อสารของบริษัทในปีนี้  ผ่านคอร์ปอเรทแคมเปญชุดใหญ่ “ PRUKSA Living Solution” ด้วยการใช้กลยุทธ์การตลาดดิจิทัล ​เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นในแบรนด์ว่า พฤกษาให้ความใส่ใจลูกค้าทั้งในระดับกว้างและลึก จากแนวคิดของการดีไซน์บ้านแนวใหม่ของพฤกษา ที่ตอบรับ 3 เทรนด์สำคัญ คือ 1. เทรนด์ไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Disruption)  2. เทรนด์สุขภาพ (Health & Wellness)  และ 3. เทรนด์เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Development)   สำหรับ “พฤกษา ลีฟวิ่ง โซลูชั่น” เป็นการออกแบบบ้านเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในครอบครัว บ้านที่ตอบโจทย์ความต้องการการใช้ชีวิตในวันนี้ที่แต่ละคนก็มีความต้องการที่แตกต่างกัน พร้อมกับรองรับการใช้ชีวิตและความต้องการในอนาคตที่อาจเปลี่ยนแปลงไป และสุดท้ายคือ การเลือกบ้านที่ช่วยให้ลดค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงาน และการดูแลรักษาต่าง ๆ ซึ่งมาจากการใส่ใจเรื่องการประหยัดพลังงาน ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ใส่ใจในคุณภาพ การมีบ้านสักหลังคือความตั้งใจที่จะอยู่อาศัยไปตลอดชีวิต เรามองเห็นบริบทสังคมและไลฟ์สไตล์ในอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ลีฟวิ่งโซลูชั่น สามารถปรับเปลี่ยนบ้านให้รองรับการอยู่อาศัยในทุกมิติทุกช่วงเวลาของชีวิตที่เปลี่ยนไปได้ตลอด การดีไซน์บ้านแนวใหม่ของพฤกษาจะตอบรับ 3 เทรนด์สำคัญ คือ 1.เทรนด์ไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Disruption) เพราะผู้คนเปลี่ยนมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านมากขึ้น การออกแบบพื้นที่ใช้สอยต้องยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระ ผนวกด้วยเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมเพื่อความสะดวกสบายและปลอดภัย พื้นที่ส่วนกลางยังออกแบบให้มีความหลากหลายตอบรับการใช้งานทุกไลฟ์สไตล์ 2.เทรนด์สุขภาพ (Health & Wellness) ตอบโจทย์สุขภาพดีเริ่มต้นได้ที่บ้าน โดยร่วมกับทีมโรงพยาบาลวิมุตทำให้ดีไซน์บ้านมีส่วนช่วยส่งเสริมสุขภาพให้ทุกช่วงวัย ด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด เช่น การใช้ประตูหน้าต่างป้องกันฝุ่นมลพิษด้วยระบบ Air Tightness System ใช้สีทาภายในปลอดสารพิษ พื้นภายในบ้านเป็นทางเรียบ ใช้วัสดุพื้นลดแรงกระแทก เป็นต้น พร้อมบริการ Health to Home ด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยอุ่นใจเสมือนมีโรงพยาบาลอยู่ใกล้แค่เอื้อม ทั้งนี้ยังมีแผนการจัด Virtual Run เป็นกิจกรรมพิเศษช่วยส่งเสริมสุขภาพสำหรับลูกค้า ผู้ที่สนใจ รวมถึงพนักงานพฤกษาทุกคน 3.เทรนด์เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Development) พฤกษาใช้นวัตกรรมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดตอบโจทย์การอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน อาทิ หลอดไฟประหยัดพลังงาน นวัตกรรมพื้นแบบ SPC (Stone Plastic Composite Flooring) การติดตั้งเครื่องกำจัดย่อยสลายเศษอาหารเหลือทิ้ง การใช้โซล่าเซลล์ในพื้นที่ส่วนกลางและคลับเฮ้าส์ รวมไปถึงการติดตั้ง EV Charger ในพื้นที่คอนโดและดีไซน์พื้นที่เพื่อรองรับการติดตั้ง EV Charger ภายในบ้าน เป็นต้น นางสาวอังคณา ลิขิตจรรยากุล  รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดองค์กรกลุ่ม  ให้ข้อมูลแคมเปญการตลาด พฤกษา ลิฟวิ่ง โซลูชั่น (PRUKSA Living Solution) บ้านที่ใส่ใจทุกรายละเอียดการใช้ชีวิต” ว่า เป็นการต่อยอด Brand Purpose พฤกษา..ใส่ใจเพื่อทั้งชีวิต ภายใต้แนวความคิด Tomorrow. Reimagined.   ที่คิดมาจากความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า (Customer Centric) เพื่อประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดี ไม่เฉพาะแต่ในวันนี้ แต่ยังคิดเผื่อไปถึงความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตด้วย   โดยใช้กลยุทธ์สื่อสารแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ 100% มุ่งเน้นสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่พฤกษามุ่งมั่นทำมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ซึ่งในการออกแบบ  Campaign Journey ได้นำข้อมูลผู้บริโภคเชิงลึกมาวิเคราะห์ ทำให้เราเห็นภาพ เข้าใจถึงความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย  มาใช้ในการออกแบบการสื่อสารการตลาด ( Customer Data Driven Marketing)  ทำให้แคมเปญนี้มีทั้งการสื่อสารในภาพรวม และมีการสื่อสารที่เจาะเน้นความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน (Adaptive Insight) โดยสื่อถึงสิ่งที่พฤกษาออกแบบมารองรับการใช้ชีวิตที่แตกต่างมากขึ้น  เช่น  การออกแบบบ้านที่คำนึงถึงการใช้งานของผู้สูงอายุ  สนามเด็กเล่นที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาการของเด็ก การออกแบบบ้านรวมถึงบริการต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์สุขภาพของแต่ละคนในครอบครัว   นอกจากนี้  พฤกษายังใช้การตลาดแบบ  Holistic Marketing Campaign ตั้งแต่สร้างการรับรู้ไปจนถึงเปิดให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ Virtual Experience ที่จำลองบรรยากาศการใช้ชีวิตในโครงการของพฤกษา 3 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม พร้อมกับ Pruksa Living Solution ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตทั้งวันนี้และอนาคต ผ่าน Virtual 360 ในกิจกรรม “PRUKSA Tomorrow Verse” โดยนำเสนอผ่านทาง Virtual gamification และมีการจำลอง Avatar ของผู้เล่นแต่ละคน เป็นตัวตนเสมือนจริง ซึ่งนอกจากจะได้ในเรื่องของความสนุกในเกมส์ ยังช่วยให้ผู้สนใจเลือกซื้อบ้านได้ลองสัมผัสและเยี่ยมชมโครงการผ่านประสบการณ์ในโลกเสมือนจริง สนุกไปกับการเล่นเกมทำภารกิจที่จัดเตรียมไว้ในแต่ละโครงการให้สำเร็จลุล่วง   งานนี้มีรางวัลให้ผู้ชนะสะสมไอเทมเพื่อนำมาแลกรับของรางวัลได้จริง อาทิ วอยเชอร์ส่วนลดเงินสดสำหรับซื้อบ้านมูลค่า 1 ล้านบาท โครงการตามเงื่อนไขของบริษัทฯ และของรางวัลพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย  ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่  www.pruksa.com/tomorrowverse  ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (ของรางวัลมีจำนวนจำกัด)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พฤกษา เตรียมงบลงทุน 10,000 ล้านปี 65 พร้อมขยายธุรกิจ “พร็อพเทค-เฮลท์เทค” ​ -9 บทสรุป ผลประกอบการพฤกษา Q1/65 และทิศทางไปต่อ
อนันดา #LiveLifeUnique บ้านแนวราบที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ยูนีคของคนยุคใหม่ พร้อมข้อเสนอที่ดีที่สุดในรอบปี อยู่ฟรีสูงสุด 3 ปี*

อนันดา #LiveLifeUnique บ้านแนวราบที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ยูนีคของคนยุคใหม่ พร้อมข้อเสนอที่ดีที่สุดในรอบปี อยู่ฟรีสูงสุด 3 ปี*

อนันดา #LiveLifeUnique บ้านแนวราบที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ยูนีคของคนยุคใหม่ พร้อมข้อเสนอที่ดีที่สุดในรอบปี อยู่ฟรีสูงสุด 3 ปี* จากเดิมที่บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ประสบความสำเร็จจากการทำตลาดบ้านแนวราบระดับลักชัวรี่ จากแบรนด์ “อาร์เทล พัฒนาการ” และ “อาร์เทลล์ เอกมัย-รามอินทรา” ที่เน้นดีไซน์ที่แตกต่างบนทำเลใจกลางเมือง โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์การทำงานที่เปลี่ยนไป มีความอิสระมากขึ้น มีความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่มากขึ้นเพื่อจะสร้างแรงบันดาลใจได้อย่างไม่มีขีดจำกัด     ในปี 2565 นี้ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) วางแผนปรับกลยุทธใหม่ มุ่งเน้นการทำตลาดบ้านอย่างจริงจังอีกครั้ง ด้วยจุดขายบ้านสำหรับคนเมืองบนทำเลคุณภาพ และโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์ชัดเจน จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “บ้านอนันดา Live. Life. Unique ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นคุณ” เพื่อตอกย้ำจุดขายของบ้านอนันดาที่ชัดเจน ซึ่งมี 3 หัวใจ ดังนี้   ทำเล (Location) บ้านอนันดาปักหมุดบนทำเลที่ดีที่สุดในย่าน เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง ใกล้ตนไฟฟ้า ใกล้ทางด่วน ทำเลติดถนนใหญ่ และแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งห้างสรรพสินค้า ตลาด และโรงเรียน เพื่อให้คนยุคใหม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่คุ้นเคย การออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Design) เพราะอนันดาเชื่อว่าบ้านสามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้อยู่อาศัย จึงให้ความสำคัญกับการออกแบบทั้งพื้นที่ภายนอก และภายในตัวบ้าน ให้ผู้อยู่อาศัยมีความภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของบ้าน แน่นอนว่าฟังก์ชันบ้าน (Function) ก็ต้องรองรับและตอบโจทย์ได้ทุกไลฟ์สไตล์ รวมถึงพื้นที่ภายในบ้านก็ต้องใช้งานได้อย่างคุ้มค่า เช่น บ้าน Airi ที่เปิดตัวแบบบ้าน New series โดยมีฟังก์ชันที่จะมาตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้มากขึ้น หรือ โครงการ Atoll ที่มี Double Living room และ โครงการ Unio Town ทาวน์โฮมที่ออกแบบให้มีหน้ากว้างถึง 5.7 เมตร ทำให้จัดวางฟังก์ชั่นได้อย่างลงตัว คุณภาพ (Quality of life) ผู้อยู่อาศัยทุกคนสามารถมั่นใจในคุณภาพและบริการหลังการขายของบ้านอนันดาได้ทุกมิติภายใต้ Ananda sure ซึ่งจะมาสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อความอุ่นใจของทุกครอบครัว   สำหรับแคมเปญ “บ้านอนันดา Live. Life. Unique ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นคุณ” พร้อมโปรจัดเต็มไม่เหมือนใคร “ดีลที่ใช้ อยู่ฟรี สูงสุด 3 ปี” โดยมีโครงการบ้านและทาวน์โฮมคุณภาพจากอนันดาเข้าร่วม ดังนี้   เอโทล บาหลีบีช มอเตอร์เวย์ – ลาดกระบัง   เอโทล วงแหวน – ลำลูกกา   แอริ พระราม2   แอริ แจ้งวัฒนะ   ยูนิโอทาวน์ ลำลูกกา คลอง 4   ยูนิโอทาวน์ เพชรเกษม 110   ยูนิโอทาวน์ ศรีนครินทร์ – บางนา   ยูนิโอทาวน์ สวนหลวง – พัฒนาการ   ยูนิโอทาวน์ สุขสวัสดิ์ 30   ยูนิโอทาวน์ ประชาอุทิศ 76   อาร์เทล เอกมัย รามอินทรา   รายละเอียดโปรโมชั่น บ้านอนันดา Live. Life. Unique ทำไมต้องใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น ใช่แล้ว จองเลย! 👉 https://anan.ly/3sofPEG ✅ อยู่ฟรี สูงสุด 3 ปี* ✅ รับเงินคืนสูงสุด 3 แสนบาท* ✅ แพ็คพร้อมอยู่สูงสุด 1 ล้าน* บ้านและทาวน์โฮมคุณภาพจากอนันดา เริ่ม 2.39 - 25 ล้าน* *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ระยะเวลาโปรโมชั่น วันที่ 11 พฤษภาคม 2565 – 30 มิถุนายน 2565   #Anandadevelopment #UrbanlivingSolutions #livelifeunique #บ้านทำเลเมือง #บ้านอนันดา
[PR News] แสนสิริจับมือ​ขายหัวเราะ ส่ง​แคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า”  กวาดยอดขาย 8,200 ล้าน

[PR News] แสนสิริจับมือ​ขายหัวเราะ ส่ง​แคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” กวาดยอดขาย 8,200 ล้าน

แสนสิริจับมือ​ขายหัวเราะ แสนสิริจับมือ​ขายหัวเราะ ขนทัพแก๊งการ์ตูนทั้ง “หนูหิ่น ปังปอนด์ บ.ก.วิติ๊ด” จัดแคมเปญ  “โปรอารมณ์ดี” โกยยอดขายกว่า 8,200 ล้าน​ ดันยอดขายรวมปีนี้ 35,000 ​ล้าน   นางสาวชลีรัตน์ ต่อจรัส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริ สานต่อกลยุทธ์ Partnership Game หลังจากประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมากับการจับมือกับบาร์บีคิว พลาซ่า  ที่สร้างกระแส talk of the town กวาดยอดขายทะลุเป้ากว่า 7,000 ล้านบาท   ในปีนี้ แสนสิริจับมือขายหัวเราะ ​ แบรนด์คาแรคเตอร์การ์ตูนดังของไทย ส่งแคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” เพื่อรุกตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ในกลุ่มเซ็กเมนท์ affordable ซึ่งสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์การเปิดตัวโครงการใหม่ของแสนสิริในปีนี้ ที่มีสัดส่วนมากกว่า 50% อาทิ สิริ เพลส, คอนโดมี เดอะ มูฟ เป็นต้น ผ่านคาแรกเตอร์การ์ตูนขายหัวเราะที่ทำให้คนเข้าถึงแบรนด์และเข้าใจจุดเด่นของแสนสิริได้ง่ายขึ้น เป็นครั้งแรกที่มีการครีเอทภาพคาแรคเตอร์การ์ตูนของคุณเศรษฐา  ทวีสิน ซีอีโอ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสื่อสารผ่านแคมเปญนี้ด้วย  สำหรับทิศทางกลยุทธ์การรุกตลาดอสังหาฯในไตรมาส 2 นี้ แคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” จะสร้างประสบการณ์ความสุขและเสียงหัวเราะให้กับคนไทยอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผ่านแก๊งคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนของ ขายหัวเราะที่คนไทยรู้จักกันดีอย่าง หนูหิ่น, ปังปอนด์, บ.ก.วิติ๊ด มาเล่าความต้องการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ ในฐานะ End-User ตัวแทนของคนอยากมีบ้านอย่างเข้าถึงอินไซต์ของลูกค้า ตั้งแต่ดีไซน์-ฟังก์ชัน-บริการ ที่เป็นจุดเด่นเหนือคู่แข่งของแสนสิริ ตลอดจนกิจกรรม CSR ที่แสนสิริช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับโปรโมชั่น “โปรอารมณ์ดี” กับข้อเสนอพิเศษ โดยตั้งเป้าสร้างยอดขายจากแคมเปญนี้กว่า 8,200 ล้านบาท นางสาวชลีรัตน์  กล่าวอีกว่า แสนสิริ เชื่อมั่นว่าความร่วมมือกับขายหัวเราะ จะช่วยผลักดันให้ยอดขายรวมแสนสิริเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 35,000 ล้านบาทในปีนี้ ตลอดจนสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทุกกลุ่มทุกเจเนอเรชั่นมากขึ้น ผ่านกลุ่มลูกค้าของขายหัวเราะ   ด้านนางสาวพิมพ์พิชา อุตสาหจิต กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทเครือบันลือกรุ๊ป กล่าวว่า แสนสิริ เป็นแบรนด์อสังหาฯ ที่กล้าทำการตลาดรูปแบบใหม่ ๆ สามารถสร้างกระแสความสนใจจากคนไทยได้อยู่เสมอ  ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกขายหัวเราะที่ได้มาร่วมมือกับแบรนด์อสังหาฯ   แสนสิริจับมือขายหัวเราะ ครั้งนี้จะเป็นการร่วมกันสร้างความสุข ผ่านคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนในเครือขายหัวเราะ ในฐานะ End-User มากกว่าจะเป็นแค่พรีเซ็นเตอร์ อย่างหนูหิ่น บ.ก.วิติ๊ด ปังปอนด์ รวมไปถึงคาแรคเตอร์การ์ตูนอื่น ๆ ที่คนไทยคุ้นเคยตั้งแต่นางยักษ์, เทพารักษ์, โจรมุมตึก ฯลฯ ไปจนถึงแก๊กความขำอื่น ๆ  มาเล่าเรื่องราวของแบรนด์แสนสิริ โดยสร้างสรรค์คอนเทนต์ออกมาหลากรูปแบบและหลายแพลตฟอร์ม เผยแพร่ไปยังช่องทางแสนสิริและขายหัวเราะ”   สำหรับแคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” สร้างสรรค์ในรูปแบบสื่อที่มีความหลากหลายและในหลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้งคลิปวิดีโอสั้น, นสพ.แทบลอยด์ การจัดกิจกรรมร่วมกับลูกบ้าน รวมถึงการนำการ์ตูนและแก๊กมุกตลกต่าง ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของขายหัวเราะ มาผสมผสานกับภาพโครงการแสนสิริ เพื่อบอกเล่าความเป็นแบรนด์แสนสิริ   นอกจากนี้ ยังมีการสร้างกระแสไวรัลโซเชียล ผ่าน Story telling กับตัวการ์ตูนต่าง ๆ ให้ออกมาโลดแล่นบน โลกจริง อาทิ Troop แก๊งการ์ตูนบุกเมืองแจกแท็บลอยด์กลางสี่แยก, Installation Arts ตามโครงการต่างๆ  ของแสนสิริทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และทาวน์โฮม, กิจกรรม DIY ทำเสื้อใหม่กับขายหัวเราะ ให้ลูกบ้านรณรงค์รักษ์โลกลดโลกร้อน โดยนำเสื้อเก่ามาสร้างสีสันใหม่ด้วยสติ๊กเกอร์แก๊งค์ขายหัวเราะ เป็นต้น     อ่านข่าวเพิ่มเติม -แสนสิริ เปิด 18 คอนโด มูลค่า 11,000 ล้าน จับตลาดเรียลดีมานด์กลุ่ม Affordable
[PR News] LPN เปิดตัวโครงการใหม่ 1,200 ล้าน   “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด สเตชั่น”

[PR News] LPN เปิดตัวโครงการใหม่ 1,200 ล้าน “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด สเตชั่น”

ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ LPN เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ มูลค่า 1,200 ล้านบาท “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด สเตชั่น” คอนโดมิเนียม High-Rise แห่งใหม่ บนถนนแจ้งวัฒนะ           นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า LPN ได้เริ่มเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่บนถนนแจ้งวัฒนะ ในชื่อ “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด สเตชั่น”  มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท เป็นโครงการแบบ High-Rise สูง 26 ชั้น จำนวนรวม  536 ยูนิต ตั้งอยู่บนทำเลใกล้ห้างเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ และสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28 เพียง 300 เมตร โดยห้องชุดออกแบบสไตล์ Modern Luxury ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยห้องพักอาศัย 3 แบบ แบบสตูดิโอ ขนาด 23.50-24 ตร.ม. แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 28-28.50 ตร.ม. และแบบ 1 ห้องนอน พลัส ขนาด 34-35 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างในเดือน มิถุนายนนี้ และคาดว่าแล้วเสร็จในเดือน กุมภาพันธ์​ 2567 จากข้อมูลของ LPN พบว่า คอนโดบนทำเลแจ้งวัฒนะที่เปิดขายมาตั้งแต่ปี 2560-2565 เหลืออยู่ประมาณ 2,375 ยูนิตเท่านั้น     ทั้งนี้ LPN ได้วางกระบวนการพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” (LIVABLE) โดยตั้งเป้าการพัฒนาให้แบรนด์ “เพลส” คือ คอนโด ที่น่าอยู่ ผ่านการคิด ออกแบบและพัฒนาโครงการ ให้น่าอยู่ในทุกมิติ สามารถปรับพื้นที่การอยู่อาศัย การทำงาน และการใช้ชีวิตส่วนตัวให้น่าอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของการใช้ชีวิตยุคใหม่ เพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมายรุ่นใหม่ ภายใต้จุดยืน 3 องค์ประกอบดังนี้ LIVABLE DESIGN การออกแบบที่น่าอยู่ ในการนำเสนอการออกแบบห้องที่เน้นฟังก์ชันที่ปรับเปลี่ยนได้ เพิ่มความเป็นสัดส่วนแต่คงความเป็นส่วนตัว ตอบรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าได้มากขึ้น   LIVABLE PLACE การออกแบบส่วนกลางที่ตอบทุกมิติการใช้ชีวิต ทั้งไลฟ์สไตล์และการทำงาน ที่ลงตัวกับการพักผ่อนและมุมแอคทีฟไปพร้อมๆ กัน   LIVABLE LIFE พร้อมส่งมอบชีวิตน่าอยู่ บนทำเลที่น่าอยู่ พร้อมบริการครบครัน เพื่อที่คุณลูกค้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกด้าน
[PR News]โนเบิลเปิดตัว Noble Curate “ตัวคุณกำหนดทุกสิ่ง” ร่วมกับ 6 ไอคอนสถาปนิกไทย

[PR News]โนเบิลเปิดตัว Noble Curate “ตัวคุณกำหนดทุกสิ่ง” ร่วมกับ 6 ไอคอนสถาปนิกไทย

Noble Curate บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE สร้างบรรทัดฐานใหม่ของความเหนือระดับกับโครงการบ้านระดับลักซ์ชัวรี่ Noble Curate (โนเบิล คิวเรท) บนที่สุดแห่งทำเล ติดคริสตัล พาร์ค เอกมัย-รามอินทรา ภายใต้คอนเซ็ปต์ Curate Your Creation ครั้งแรกในประเทศไทยกับโครงการบ้านสรรสร้างนิยามใหม่ของการออกแบบที่ให้ “ตัวคุณกำหนดทุกสิ่ง” แบบ Ultimate Personalization ให้บ้านเป็นสถาปัตยกรรมที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตน ตอบสนองทุกรายละเอียดความต้องการของผู้ครอบครอง  โดย 6 สถาปนิกระดับไอคอนของประเทศไทย บนที่ดินติดถนนประดิษฐ์มนูญธรรมเพียง 15 ผืน เริ่ม 80 ล้านบาท*   นายศิระ อุดล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พัฒนาโครงการ Noble Curate ที่ถือเป็นนิยามใหม่ของคำว่าลักซ์ชัวรี่ที่แตกต่างไปจากรูปแบบที่มีมาทั้งหมดในเมืองไทย นอกจากตัวโครงการที่อยู่บนทำเลที่มีศักยภาพสูงสุดแล้ว อีกสิ่งที่สำคัญ คือ การที่ผู้ครอบครองทุกหลังได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบบ้านร่วมกับสถาปนิกระดับแนวหน้าของประเทศไทย เจ้าของบ้านได้มีส่วนในการสร้างสรรค์บ้านอย่างเต็มที่ทั้งด้านดีไซน์และฟังก์ชันการใช้งาน พร้อมบริการ Noble Bespoke Service ที่จะคอยเป็นที่ปรึกษา ดูแลและประสานงานตั้งแต่แบบร่างจนบ้านเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งเป็นครั้งแรกของโนเบิลที่มีบริการพิเศษนี้มอบให้กับลูกค้า   Noble Curate คือ โครงการที่อยู่อาศัยโครงการแรกที่ให้ผู้ครอบครองที่ดินมีส่วนร่วมในทุกรายละเอียดของการสร้างสรรค์บ้านกับ 1 ใน 6 ไอคอนระสถาปนิกไทยดับแนว โดยมีบริการ Noble Bespoke Service หรือบริการให้คำปรึกษาและดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมผู้เชี่ยวชาญของโนเบิลในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกแปลงที่ดินที่ใช่ การออกแบบ ประสานงานกับสถาปนิก วิศวกร และนักออกแบบ การขออนุญาตจากหน่วยราชการ การคัดเลือกทีมงานผู้รับเหมา การควบคุมงานก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนภายใต้งบประมาณที่กำหนด จนกระทั่งบ้านเสร็จสมบูรณ์พร้อมย้ายเข้าอยู่   ตัวโครงการตั้งอยู่บนที่ดินรวมกว่า 9.3 ไร่ ติดถนนประดิษมนูญธรรม ห่างจากคริสตัล พาร์ค เอกมัย-รามอินทรา เพียง 300 เมตร โดยจะมีเพียง 15 ครอบครัวที่ได้ครอบครองที่ดินแปลงสวย 15 แปลงที่มีขนาดให้เลือกสรรตั้งแต่ 161-247 ตารางวา เหมาะสำหรับการสร้างบ้านขนาด 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป ในระดับราคาที่ดินเริ่มต้น 80 ล้านบาท*   เพียบพร้อมด้วยสาธารณูปโภคส่วนกลางระดับลักซ์ชัวรี่อย่าง The Curator Club คลับเฮ้าส์ ที่เชื่อมต่อพื้นที่ภายในสู่ธรรมชาติภายนอกได้อย่างลื่นไหล ภายในประกอบด้วย Clubhouse Garden พื้นที่สวนสวยพร้อม Pavilion ใกล้ชิดธรรมชาติอันแสนสงบและเป็นส่วนตัว Curator Pool สระว่ายน้ำท่ามกลางสวนสวยให้ลูกบ้านได้ผ่อนคลายได้ตลอดทั้งวัน ห้องฟิตเนส Curator Gym  ที่รวบรวมอุปกรณ์ระดับพรีเมียม Bespoke Lounge ห้องประชุมส่วนตัวที่ออกแบบอย่างเรียบหรูมีสไตล์ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน Curator Exclusive Club เลานจ์ดีไซน์เรียบหรู ที่ลูกบ้านสามารถใช้พักผ่อนหย่อนใจ หรือพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงในบรรยากาศสบายๆ และเป็นส่วนตัว รวมถึง Curator Kids Club พื้นที่สร้างสรรค์ให้เด็กๆ สามารถเติมแต่ง จินตนาการ พร้อมการเรียนรู้ได้อย่างสนุกสนาน   ทำเลถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ถือเป็นทำเลที่พักอาศัยแนวราบ ด้วยการวางผังเมืองถนนที่ถือว่าเป็นต้นแบบของถนนยุคใหม่ในรูปแบบของ Avenue  ในต่างประเทศ สภาพแวดล้อมที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้เรียงรายตลอดเส้นทาง และเพียบพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตอย่างครบวงจร ทั้งแหล่งช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอล ร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่มากมาย เดินทางสะดวก เชื่อมโยงสู่ย่านศูนย์กลางธุรกิจและไลฟ์สไตล์ชั้นนำ อย่างเอกมัยและทองหล่อในระยะทางไม่เกิน 10 กม. ใกล้ทางด่วนฉลองรัชที่สามารถเดินทางสู่พื้นที่ต่าง ๆ ของกรุงเทพและปริมณฑลอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังอยู่บนเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเทา (วัชรพล-ทองหล่อ) โดยมีสถานีโยธินพัฒนาอยู่ห่างจากโครงการเพียง 200 เมตร ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการทำ EIA ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2565 นี้   โดยสถาปนิกทั้ง 6 ท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบในโครงการนี้ ล้วนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางด้วยสไตล์การออกแบบที่มีภาษาและลายเซ็นเฉพาะตัวที่โดดเด่น แตกต่าง เข้าใจความต้องการและความชื่นชอบที่หลากหลายแบบ Ultimate Personalization ของลูกค้ากลุ่มผู้มีความมั่งคั่งระดับสูง (HNWI) ได้เป็นอย่างดี จึงมีความเชี่ยวชาญในการทำความเข้าใจและช่วยเหลือลูกค้าถึงความต้องการของตนเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตลอดจนนำเสนอแนวคิดที่เหนือกว่าความต้องการหรือความคาดหมาย เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับเจ้าของบ้าน” นายศิระกล่าว A49HD: ชนะ สัมพลัง รองกรรมการผู้จัดการบริษัทสถาปนิก 49 เฮาส์ดีไซน์ จำกัด บริษัทออกแบบสถาปัตยกรรมอันดับต้น ๆ ของไทย โดดเด่นด้วยผลงานดีไซน์ที่เข้าใจทั้งธรรมชาติแวดล้อม ชีวิต และการใช้สอย นำผสมผสานสร้างพื้นที่ชีวิตที่ลงตัว DBALP: ดวงฤทธิ์ บุนนาค ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางด้วยแนวคิดในการออกแบบที่แตกต่าง กับงานสไตล์โมเดิร์น ที่แฝงความเรียบง่ายไว้อย่างน่าสนใจ ภายใต้หลักเหตุและผล BOON DESIGN: บุญเลิศ เหมวิจิตรพันธ์ เจ้าของผลงานที่ได้รับรางวัลมาแล้วมากมายทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ ด้วยการออกแบบที่เรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง และการผสมผสานหลักธรรมชาติเข้ากับงานดีไซน์อย่างแยบยล VIN VARAVARN ARCHITECTS: หม่อมหลวงวรุตม์ วรวรรณ เจ้าของผลงานดีไซน์ที่โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ ด้วยแนวคิดที่ให้คุณค่างานออกแบบเน้นฟังก์ชันและการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างบนความเป็นไปได้ ภายใต้บริบทที่กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม AAd (Ayutt and Associates Design): อยุทธ์ มหาโสม สถาปนิกรุ่นใหม่ที่เป็นที่จับตามองด้วยประสบการณ์การทำงานอย่างยาวนานในต่างประเทศและเอกลักษณ์การดีไซน์ที่คำนึงถึงบริบทด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้งานอาคาร WARchitect: ธาวิน หาญบุญเศรษฐ สร้างชื่อเสียงด้วยผลงานดีไซน์ที่ฉีกกฏเกณฑ์เดิม ๆ แต่แฝงไว้ด้วยฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้จริง และกลิ่นอายความลักซ์ชัวรี่ผ่านการใช้สเปซที่แตกต่าง “หากลองจินตนาการเมื่อโครงการนี้แล้วเสร็จ จะเป็นโครงการบ้านพักอาศัยเพียงแห่งเดียวในไทย ที่เปรียบเหมือนเป็นพิพิธภัณฑ์งานศิลปะและสถาปัตยกรรม ที่ซึ่งรวมผลงานของ 6 สถาปนิกระดับประเทศไว้ด้วยกัน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหนอีกแล้ว ซึ่งนับเป็นคุณค่าที่เหนือระดับอย่างแท้จริงของ Noble Curate ที่ไม่มีโครงการอื่นใดเสมอเหมือน” นายศิระกล่าว www.noblehome.com   บทความน่าสนใจ เปิด 5 กลยุทธ์ “ธงชัย” หลังกลับมาบริหาร “Noble” หวังติดอันดับ Top10 รีวิวคอนโดย่านลาซาล ติดถนนใหญ่ Nue Noble ศรีนครินทร์-ลาซาล NOBLE PLOENCHIT-โนเบิล เพลินจิต : รีวิวคอนโด
[PR News]“เอพี ไทยแลนด์” จับมือ “GDH” สร้างภาพยนตร์ไทยเรื่องล่าสุด FAST & FEEL LOVE

[PR News]“เอพี ไทยแลนด์” จับมือ “GDH” สร้างภาพยนตร์ไทยเรื่องล่าสุด FAST & FEEL LOVE

FAST & FEEL LOVE บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ GDH (จีดีเอช) เปิดตัวภาพยนต์ไทย “FAST & FEEL LOVE เร็ว โหด..เหมือนโกรธเธอ” ภาพยนตร์ไทยฝีมือผู้กำกับ เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ที่จะมาเอ็มพาวเวอร์ให้ทุกคนค้นหาความสุขในแบบที่ต้องการ พร้อมความตั้งใจที่จะส่งมอบประสบการณ์ร่วมให้กับผู้ชมทั่วประเทศได้สัมผัสถึงคุณค่าและความหมายของชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ รับชมภาพยนตร์ FAST & FEEL LOVE ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ FAST & FEEL LOVE นายสรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายงานกลยุทธ์แบรนด์องค์กร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “การร่วมมือระหว่างเอพีกับ GDH ครั้งนี้ นับเป็นปรากฏการณ์สำคัญของวงการอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ กับการร่วมสนับสนุนภาพยนตร์ไทยคุณภาพ เรื่อง FAST & FEEL LOVE เพื่อเอ็มพาวเวอร์ให้ผู้ชมทั่วประเทศได้สัมผัสถึงนิยามของความสุขที่ไม่จำเป็นต้องมีแบบแผน ความสุขที่ทุกคนสามารถเลือกที่จะสร้างให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง โดยทางเอพี รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่โครงการบ้านและสเปซภายในบ้านของเอพี ได้มีโอกาสเป็นส่วนสำคัญในการบอกเล่าเรื่องราว ผ่านการดำเนินชีวิตของ 2 นักแสดงนำ ซึ่งทางคุณเต๋อได้นำเสนอ พื้นที่ชีวิตในบ้าน ออกมาไว้ได้อย่างลงตัว และมีเสน่ห์ในทุกอารมณ์  ซึ่งทางเอพีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าภาพยนตร์ Fast & Feel Love จะชวนทุกคนมองชีวิตในมิติใหม่ที่ต่างไปจากเดิม และเอ็มพาวเวอร์ให้ทุกคนได้เลือกที่จะมีชีวิตดีๆ ได้ด้วยตัวเอง” ญาญ่า- อุรัสยา เสปอร์บันด์ นักแสดงนำหญิงในภาพยนตร์ FAST & FEEL LOVE เล่าถึงมุมมองความ FEEL LOVE ที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้คือ การถ่ายทอดเรื่องราวการใช้ชีวิตประจำวันที่สมจริงมาก คนที่ดูจะเชื่อมโยงได้เลยว่ามันมีหลายอย่างในชีวิตที่เข้ามาขัดขวางการใช้ชีวิตประจำวันของเราค่ะ ซึ่งในเรื่องรับบทเป็นเจ แฟนของเกา (ที่รับบทโดยนัท) เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง เป็นคนที่มี ‘พลัง’ สูงมาก คอยดูแลเอ็มพาวเวอร์เกาทุกอย่าง ทำให้ตัวเกาเคลื่อนไปข้างหน้าได้  แต่แน่นอน เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่วันหนึ่งเจเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า แล้วความสุขจริงๆ ที่เค้าต้องการคืออะไร จึงเป็น turning point ที่สำคัญโดยมีเรื่องราวของชีวิตและความรักเป็นเดิมพัน นัท-ณัฏฐ์ กิจจริต นักแสดงนำชายในภาพยนตร์ FAST & FEEL LOVE เล่าถึงมุมมองความ FAST ที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า บทบาทของเกาคือการเป็นแชมป์โลก Sport Stacking ชีวิตโฟกัสอยู่ที่ความเร็วเพียงเรื่องเดียว ในขณะเดียวกันชีวิตรักกับเจ (รับบทโดยญาญ่า) ที่ทั้งสองเริ่มมีเป้าหมายต่างกัน จนนำไปสู่ห้วงอารมณ์ที่นำเสนอมุมมองการใช้ชีวิตคู่ที่บางครั้งต่อให้ชีวิตต้องพบเจอเรื่องแอ็กชันแค่ไหน ขอแค่ตื่นมาเจอกับคนที่อยู่ข้างกันใกล้ๆ อยู่เป็น “บ้านของหัวใจ” ก็เพียงพอแล้ว กับประโยคหนึ่งในภาพยนตร์ที่เชื่อว่าต้องโดนใจใครหลายคนกับตอนที่เจพูดออกมาว่า “ชีวิตอะ..บางอย่างมันก็ทำคนเดียวไม่ได้หรอก” ทำให้เกาต้องหันกลับมาคิดว่าแท้จริงแล้ว ชีวิตเค้าต้องการจะอยู่กับความเร็ว หรือคนที่รักเค้า   บทความน่าสนใจ เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนธุรกิจปี 65 ที่สุดตลาด เปิดตัว 65 โครงการ มูลค่า 78,000 ล้าน ถอดกลยุทธ์ เอพี ไทยแลนด์ สู้พิษโควิด-19 เดินหน้าสู่ยอดโอน 40,000 ล้าน เอพี ไทยแลนด์ ลุย 2 เดือนสุดท้าย เปิด 12 โครงการแนวราบ หลัง​ 9 เดือนแรกทำกำไร 3,549 ล้าน   
[PR News]“ออริจิ้น อีอีซี” พัฒนาสมาร์ทซิตี้ในชลบุรี-ระยอง  เตรียม 5 คอนโดใหม่ มูลค่ากว่า 5,000 ล้าน

[PR News]“ออริจิ้น อีอีซี” พัฒนาสมาร์ทซิตี้ในชลบุรี-ระยอง เตรียม 5 คอนโดใหม่ มูลค่ากว่า 5,000 ล้าน

ออริจิ้น อีอีซี  “ออริจิ้น อีอีซี” เปิดตัวซีอีโอใหม่ “ปิติ จารุกำจร” ภายใต้วัน ออริจิ้น ตามแผน Origin Multiverse พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและสมาร์ทซิตี้ในหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ เป้าหมายให้วัน ออริจิ้น เติบโตพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มั่นใจศักยภาพการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในแถบ EEC ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง กางแผนเปิด 5 มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท ต่อยอดความสำเร็จ เจาะทั้งตลาดคนทำงาน EEC, ตลาดนักศึกษาแคมปัส และกลุ่มผู้เริ่มต้นลงทุน   นายปิติ จารุกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากแผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล หรือ Origin Multiverse ของเครือออริจิ้น ที่มุ่งผลักดันให้บริษัทย่อยมีเส้นทางการเติบโตเป็นของตัวเอง และทยอยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทางเครือได้มีการปรับโครงสร้างให้บริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด ย้ายจากการเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) โดยตรงสู่การเป็นบริษัทย่อยของบริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด เพื่อเสริมแกร่งให้ วัน ออริจิ้น มีรายได้จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจร จากทั้งธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) อย่างโรงแรม อาคารสำนักงาน คอมมูนิตี้มอลล์ ที่วัน ออริจิ้น ดำเนินการอยู่แล้ว และมีรายได้จากธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ภายใต้การพัฒนาของ ออริจิ้น อีอีซี   “การผสานพลังกันระหว่างวัน ออริจิ้น และออริจิ้น อีอีซี จะช่วยให้การสร้างเมืองอัจฉริยะ หรือสมาร์ท ซิตี้ ตามหัวเมืองต่างๆ เป็นไปได้ง่ายขึ้น ครบวงจรยิ่งขึ้น โดยออริจิ้น อีอีซี จะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยตามหัวเมืองใหญ่ต่างๆ ซึ่งอาจไม่จำกัดอยู่แค่ในอีอีซีเหมือนในอดีต และกลายเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่ช่วยผลักดันให้วัน ออริจิ้น สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ตามเป้าหมาย” นายปิติ กล่าว   ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทในปี 2565 นี้ จะยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในแถบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor หรือ EEC) ตอกย้ำความแข็งแกร่งของบริษัทในฐานะผู้นำที่อยู่อาศัยครบวงจรในภาคตะวันออก อีกทั้งปัจจุบัน โครงการขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจกต์ในพื้นที่ EEC ยังคงมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฟสที่ 2 ของการพัฒนา EEC ระหว่างปี 2565-2569 คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ดอีอีซี) ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โครงการขนส่งทางราง และคาดการณ์ว่าจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่พื้นที่ได้มากกว่า 2.2 ล้านล้านบาท บริษัทจึงเชื่อมั่นว่า การเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนในธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ จะผลักดันความต้องการที่อยู่อาศัยภายในพื้นที่ให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วย นายปิติ กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของออริจิ้น อีอีซี ในปี 2565 นี้ ตั้งเป้าจะเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 5,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.บริกซ์ตัน แคมปัส บางแสน (Brixton Campus Bangsaen) มูลค่าโครงการ 460 ล้านบาท 2.บริกซ์ตัน ระยอง (Brixton Rayong) มูลค่าโครงการ 810 ล้านบาท 3.ไนท์บริดจ์ สเปซ ระยอง (KnightsBridge Space Rayong) มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท 4.บรอมพ์ตัน ระยอง (Brompton Rayong) แบรนด์ใหม่ของเครือ มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท และ 5.แฮมป์ตัน เอ็กเซ็กคูทีฟ ศรีราชา (Hampton Executive Sriracha) มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท โดยทั้ง 5 โครงการมีการกระจายตัวเจาะหลากหลายกลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย กลุ่มคนทำงานในพื้นที่ EEC ไปจนถึงกลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มต้นวางแผนลงทุน และถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทจะนำห้องดูโอ สเปซ รูปแบบใหม่มาเปิดขายที่ระยอง “ปีนี้เราเริ่มต้นเปิดตัวโครงการแรกด้วยบริกซ์ตัน แคมปัส บางแสน คอนโดมิเนียมใกล้มหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี และสร้างปรากฏการณ์ Sold out ไปได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเรานำคนรุ่นใหม่ และคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ EEC จริงๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการ ตั้งแต่การออกแบบ ไปจนถึงการขาย ทำให้เข้าใจ Customer Insight และความต้องการของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง” นายปิติ กล่าว   สำหรับโครงการถัดไปที่จะเปิดตัว คือโครงการบริกซ์ตัน ระยอง ซึ่งจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ด้วยคอนเซ็ปต์ คอนโดพลัสเซอร์วิส ผสมผสานห้องแบบคอนโดเข้ากับบริการระดับโรงแรม บริหารจัดการโดยบริษัท แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์แมเนจเม้นท์ จำกัด (HHR) โดยมีหลากหลายบริการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย อาทิ 24hrs Concierge Service บริการทำความสะอาดห้องพัก บริการ Shuttle Bus รวมถึงมีบริการอาหารเช้าฟรี ในราคาที่เข้าถึงได้ เริ่มต้นเพียง 1.39 ล้านบาท ล่าสุด บริษัทได้ปล่อยแคมเปญ “Good Morning Rayong” นำอาหารเช้าไปเสิร์ฟให้กับชาวระยองตามสี่แยกต่างๆ ได้รับกระแสตอบรับจากคนในพื้นที่ระยองอย่างล้นหลาม ทั้งนี้ โครงการคอนโดมิเนียมบริกซ์ตัน ระยอง จะเปิดให้ชมห้องตัวอย่างในวันที่ 2 เม.ย.นี้ พร้อมหลากโปรโมชั่นสุดพิเศษ อาทิ ส่วนลดสูงสุด 100,000 บาท ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.origin.co.th/condo/brixton-rayong/   บทความน่าสนใจ เปิดโรดแมพธุรกิจ “ออริจิ้น” ใน 3 ปี ปูทางสู่มาร์เก็ตแคปกลุ่มธุรกิจ 1 แสนล้าน ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ชู 2 คีย์ซัคเซส กวดยอดขาย 64  สร้าง New High กว่า 3 หมื่นล้าน “ออริจิ้น” จับมือ มือ “บุญภา 2020” ลุยอสังหาฯ ประเดิมโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,000 ล้า    
[PR News]“แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น” เปิดตัว “มีเลีย เชียงใหม่” เดินหน้าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

[PR News]“แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น” เปิดตัว “มีเลีย เชียงใหม่” เดินหน้าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

 Meliá Chiang Mai การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พร้อม บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย พลิกฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวขานรับนโยบายภาครัฐ ดันกลุ่มโรงแรมในเครือกว่า 19 แห่ง รองรับนักท่องเที่ยว ชาวไทย-ต่างชาติช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ “โรงแรม มีเลีย เชียงใหม่” (Meliá Chiang Mai) อีกหนึ่งโรงแรมเครือ AWC เสริมการท่องเที่ยวภาคเหนือ นางสาวสมฤดี จิตรจง รองผู้ว่าการด้านบริหาร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. เปิดเผยว่า หลังจากที่ประเทศไทยได้มีการผ่อนคลายมาตรการเรื่องการเดินทางเข้าประเทศ โดยยกเว้นการตรวจแบบ RT-PCR จากประเทศต้นทางก่อนเดินทางเข้าไทย เหลือเพียงการตรวจแบบ Test & Go ในวันแรกเมื่อเดินทางมาถึงและตรวจ self-ATK อีกครั้งในวันที่ 5 ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา ส่งผลให้บรรยากาศการท่องเที่ยวในภาพรวมของไทยกลับมาคึกคักทันทีตั้งแต่วันแรกของมาตรการ สะท้อนผ่าน จำนวนเที่ยวบินรวมถึงจำนวนตัวเลขของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึงหลักหมื่นคนต่อวัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยในปี 2565 นี้ทาง ททท.ได้ตั้งเป้ายอดนักเดินทางชาวต่างชาติเอาไว้ที่ 7 ล้านคน ซึ่งคาดว่าจะสามารถช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าประเทศได้ถึง 1.07 ล้านล้านบาท และกลับมาเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกครั้ง ทางภาครัฐยังเตรียมนโยบายผลักดันเพื่อปลดล็อกเงื่อนไขการเข้าประเทศทั้งหมดให้เหมือนกับก่อนวิกฤตโควิด-19 (ก่อนปี 2563) ด้วยการนำเสนอ ศบค. เพื่อยกเลิกการลงทะเบียนในระบบ Thailand Pass รวมถึงการเข้าประเทศในรูปแบบต่างๆ ทั้ง Test & Go และ Sandbox ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้ภาพรวมของการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยจะทยอยชัดเจนขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับนโยบายการกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวในปี 2565 ททท.จะมุ่งขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด   “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ นิว แชปเตอร์” (Amazing Thailand New Chapter) หรือการนำเสนอภาพใหม่ของการท่องเที่ยวไทยที่พร้อมตอบสนองทุกความต้องการของนักท่องเที่ยวด้วยเรื่องราวภาพการท่องเที่ยวแบบใหม่ที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ผ่านการให้ทุกภาคส่วนร่วมกันพลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวสู่วิถีใหม่ ในทุกมิติ โดยเดินหน้าบูรณาการความร่วมมือระหว่าง ททท.กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ซึ่งรวมถึงโรงแรมคุณภาพจากเครือ AWC ทั้ง 19 แห่งทั่วประเทศ ฯลฯ ในการพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพนำนวัตกรรม ดึงเทคโนโลยีใหม่มาปรับใช้ในการให้บริการ ควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานต่างๆ   โดยเฉพาะด้านสุขภาพและความปลอดภัย เพื่อตอบสนองความต้องการ และสร้างความพึงพอใจให้กับนักท่องเที่ยวยุควิถีปกติใหม่ (นิวนอร์มอล) เพื่อส่งเสริมให้เกิดมูลค่าเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว “นอกจากนี้ ททท. ยังเดินหน้าโครงการ Workation Paradise Throughout Thailand ที่พัฒนาต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ภายใต้แนวคิด Working & Outing from Somewhere เปลี่ยนทุกที่เป็นสถานที่ทำงานคู่ท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเทรนด์การทำงานที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน คาดว่าจะสามารถช่วยรองรับการเติบโตของตลาดท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงเพิ่มกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ หรือ MICE เข้าสู่ประเทศไทยได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเชื่อว่าการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะสร้างเม็ดเงินให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยได้อีกมาก รวมถึงเป็นการกระจายเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวออกไปสู่หัวเมืองใหญ่ในภูมิภาคต่างๆ เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศต่อไป” นางสาวสมฤดี กล่าว นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 บริษัทเห็นสัญญาณบวกของการเริ่มฟื้นตัวกลับมาของเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งสอดรับกับมาตรการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้สถานการณ์ในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น โดยต่อเนื่องมาสู่ไตรมาสที่ 2 ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวที่ผู้คนเดินทางกลับบ้านใช้ชีวิตกับครอบครัว ออกท่องเที่ยวและรับประทานอาหารนอกบ้าน ซึ่งทำให้การจับจ่ายใช้สอยกลับมาคึกคัก สร้างเม็ดเงินสะพัดหมุนเวียนในประเทศมากยิ่งขึ้น “ขณะนี้บริษัทมีความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทย จึงมั่นใจอย่างมากว่าหากสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายในปี 2565 ทุกกลุ่มธุรกิจของ AWC จะกลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด สอดคล้องกับเทรนด์การเดินทางที่เกิดขึ้นทั่วโลกจากกระแสการเดินทางท่องเที่ยวในรูปแบบ Long Stay และ Workation ซึ่งทำให้เกิดการเดินทางในวันธรรมดามากขึ้น  เปิดโอกาสให้บุคลากรในหน่วยงาน หรือองค์กรต่างๆ และกลุ่มคนวัยทำงาน สามารถเปลี่ยนสถานที่ทุกที่ให้เป็นที่ทำงาน ท่ามกลางบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิม” นางวัลลภา กล่าว ทั้งนี้ พบว่าภาพรวมยอดจองโรงแรมของ AWC ในช่วงต้นปี 2565 เป็นไปอย่างคึกคัก โดยมียอดเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งบริษัทได้มีการลงทุนพัฒนาโครงการคุณภาพใหม่ๆ และร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลกมาโดยตลอด เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการกลับมาของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย รวมถึงเป็นการมอบประสบการณ์ใหม่ให้แก่ผู้บริโภค และสร้างจุดหมายปลายทางแห่งการทำงานและพักผ่อนในระดับสากล นอกจากนี้ AWC เดินหน้าเสริมพอร์ตโฟลิโอธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้เปิดตัว โรงแรม มีเลีย เชียงใหม่ อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2565 ซึ่งถือเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ขนาด 260 ห้องพัก เตรียมความพร้อมเสริมทัพรับการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด โดยโรงแรมฯ ตั้งอยู่บนพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญระดับไพร์ม โลเกชั่น ใกล้แม่น้ำปิงและไนท์บาซาร์ย่านค้าขายที่มีชื่อเสียงของจังหวัด เพื่อตอบโจทย์ความสะดวกสบาย รวมถึงเป็นอีกตัวเลือกใหม่ให้กับนักท่องเที่ยว พร้อมห้องประชุมขนาดใหญ่รองรับธุรกิจ MICE ที่ภายในโรงแรมได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “CHIANGMAI CHARM” โดยผสมผสานอัตลักษณ์ ศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีมนต์เสน่ห์ ผ่านการตกแต่งภายในด้วยศิลปหัตกรรมท้องถิ่นร่วมสมัย จนไปถึงการนำเสนออาหารและผลิตภัณฑ์คุณภาพจากชุมชนที่แสดงถึงเอกลักษณ์และคุณค่าของจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ปรับเปลี่ยนจากสถานการณ์โควิด เน้นใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมผ่านแนวคิด “360 Cuisine” ที่ทางโรงแรมได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับเกษตรกรในท้องถิ่น ส่งเสริมการผลิตแบบรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อชุมชนและห่วงโซ่อาหารอย่างยั่งยืน โดยเน้นวัตถุดิบท้องถิ่นที่ได้คัดสรรมาจากฟาร์มออร์แกนิคไม่ว่าจะจากโครงการหลวง หรือ Ori9in Farm ที่สามารถสัมผัสประสบการณ์ได้ผ่านห้องอาหารของโรงแรม และที่พลาดไม่ได้กับไฮไลท์จุดชมวิวทิวทัศน์อันงดงามจาก “ไหม เดอะ สกาย บาร์” ซึ่งถือเป็นรูฟท็อปบาร์บนยอดอาคารที่สูงที่สุดในเมืองเชียงใหม่ พร้อมต้อนรับผู้มาเยือนให้ได้ร่วมภาคภูมิใจ โดยถือเป็นโรงแรมแห่งแรกของจังหวัดเชียงใหม่และของภาคเหนือภายใต้แบรนด์มีเลีย ผู้บริหารรีสอร์ทชั้นนำที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรปจากประเทศสเปน ทางบริษัทยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของจังหวัดเชียงใหม่ในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของภาคเหนือ พร้อมเดินหน้าสนับสนุนการท่องเที่ยว เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการขนาดใหญ่ที่ได้รับการพัฒนาบนทำเลศักยภาพกลางเมือง ตั้งเป้าเสริมพอร์ตคุณภาพของ AWC ในภาคเหนือให้ครบ 3 แห่งภายในปี 2565 โดยจับมือกับพันธมิตรระดับโลกทั้งจากเครือแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล (เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่) เครือมีเลีย (มีเลีย เชียงใหม่) และเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป หรือ IHG กับโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปลายปีนี้ เพื่อผลักดันเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวระดับลักชัวรี่ของภูมิภาคและของประเทศต่อไป ปัจจุบัน AWC มีกลุ่มโรงแรมในเครือทั้งหมด 19 แห่งที่ตั้งอยู่ทั่วประเทศใน 6 เมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่าง กรุงเทพฯ กระบี่ หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่ และเกาะสมุย โดยมีจำนวนห้องพักรวมกันกว่า 5,201 ห้อง     ข่าวที่เกี่ยวข้อง AWC ปี 64 ทำกำไรกว่า 861 ล้าน หลังคลายล็อกดาวน์-เปิดการท่องเที่ยว AWC ทุ่มงบ 435 ล้าน ซื้อ “ดุสิต ดีทู เชียงใหม่” ผนึกกำลัง “กลุ่มดุสิตธานี” เดินหน้ากระตุ้นการท่องเที่ยวภาคเหนือ AWC หวังเปิดประเทศอัตราเข้าพักพุ่ง40% หลังยอดจองบุ๊กกิ้งเดียวได้ 2,000 รูมไนท์  
[PR News] แอสเซทไวส์ กวาดยอดขาย Q1 กว่า 3,250 ล้าน เดินหน้าไตรมาส 2 เปิดอีก 3 โปรเจ็กต์ใหม่

[PR News] แอสเซทไวส์ กวาดยอดขาย Q1 กว่า 3,250 ล้าน เดินหน้าไตรมาส 2 เปิดอีก 3 โปรเจ็กต์ใหม่

แอสเซทไวส์ แอสเซทไวส์ ประเดิมยอดขายพรีเซลไตรมาสแรก 3,250 ล้านบาท  คิดเป็น 33% จากเป้าหมายทั้งปีที่ 10,000 ล้าน พร้อมดินหน้าไตรมาส 2 เปิด 3 โครงการใหม่ ทั้งแนวราบและคอนโด  หวังสร้างสถิติใหม่ยอดขายทะลุหมื่นล้าน​   นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW)  เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำยอดขายได้ 3,250 ล้านบาท เติบโต 79% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และคิดเป็นสัดส่วน 33% ของเป้าหมายยอดขายในปีนี้ ที่คาดว่าจะทำได้ 10,000 ล้านบาท   สำหรับยอดขายไตรมาสแรกมูลค่า 3,250 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มคอนโดมิเนียมสัดส่วน 96% และกลุ่มบ้านจัดสรร 4%  โดยคิดเป็นสัดส่วนยอดขายจากโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) 46% และกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (On Construction) 54% โดยในปีนี้ แอสเซทไวส์ วางแผนเปิดโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 12,400 ล้านบาท โดยในไตรมาส 2 แอสเซสไวส์ วางแผนเปิดตัวใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการแนวราบ Esta Rangsit Khlong 2 จำนวน 153 ยูนิต มูลค่า 680 ล้านบาท   2.โครงการคอนโดมิเนียม Atmoz Flow Minburi จำนวน 739 ยูนิต มูลค่า 1,350 ล้านบาท และ 3.โครงการคอนโดมิเนียม Atmoz Portrait Srisaman จำนวน 678 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท   ปัจจุบันแอสเซทไวส์ได้พัฒนาโครงการคอนโดและบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 39 โครงการ ภายใต้แบรนด์ เคฟ (KAVE), แบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ), แบรนด์ โมดิซ (MODIZ), แบรนด์ เอสต้า (ESTA) และ แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR) รวมมูลค่าโครงการกว่า 38,500 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ จำนวน 31 โครงการ   ส่วนโครงการที่แอสเซสไวส์กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา มีจำนวน 8 โครงการ โดยปัจจุบันมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 7,338 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง แอสเซทไวส์   เพิ่มทางเลือกแลกเงินดิจิทัล จับมือ​ “Bitkub” ขยายฐานลูกค้า  New Gen  
[PR News]ดีเจดับบลิว คว้าทำเลทองแปลงล่าสุดบนถนนศรีนครินทร์  ผุดไลฟ์สไตล์มอลล์ และโฮมออฟฟิส สัญญาเช่า 20 ปี การันตีผลตอบแทน 34%

[PR News]ดีเจดับบลิว คว้าทำเลทองแปลงล่าสุดบนถนนศรีนครินทร์ ผุดไลฟ์สไตล์มอลล์ และโฮมออฟฟิส สัญญาเช่า 20 ปี การันตีผลตอบแทน 34%

ดีเจดับบลิว คว้าทำเลทองแปลงล่าสุด โซนศักยภาพศรีนครินทร์  ตั้งเป้าขยายแผนลงทุนโครงการมิกซ์ ยูส แนวคิด  Feel the Flow เนรมิตไลฟ์สไตล์มอลล์ จุดแวะพักใหม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตวีถีใหม่ สัญญาเช่า 20 ปี การันตีผลตอบแทน 34% เชื่อธุรกิจฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด หวังดันโครงการขึ้นแท่นโครงการทำกำไรสูง5 ดีเจดับบลิว คว้าทำเลทองแปลงล่าสุดบนถนนศรีนครินทร์ ผุดไลฟ์สไตล์มอลล์ และโฮมออฟฟิส สัญญาเช่า 20 ปี การันตีผลตอบแทน 34% The Hare Rast  (ดิ แฮ เรสต์) โครงการ Mixed Use ที่ฟังก์ชั่นครบ ตอบโจทย์ทุกธุรกิจ เป็นจุดแวะพักใหม่ของคนเมือง ประกอบด้วย ไลฟ์สไตล์มอลล์  โฮมออฟฟิส และสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ บนพื้นที่รวม 10-1-25.3 ไร่ ที่จอดรถสะดวกสบายมากถึง 150 คัน พร้อมศักยภาพการลงทุนสูง มีจุดเด่นอยู่ที่การนำเอาทำเลที่พร้อมสรรพด้วยคุณสมบัติรอบด้านมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า พร้อมโชว์ศักยภาพการบริหารจัดการพื้นที่ให้ทั้งนักลงทุนและผู้บริโภคได้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงในช่วงหลังวิกฤติโควิด 19 ดร. จักรพันธ์ งามสุขเลิศกุล กรรมการบริหารสายงานการเงินและพัฒนาธุรกิจ  บริษัท ดีเจดับบลิว ดีเวลลอป จำกัด กล่าวว่า “ศรีนครินทร์ คือสุดยอดทำเลศักยภาพ มีผังเมืองที่ดี มีพื้นที่ที่มีการเติบโตได้อย่างมากในอนาคต เนื่องจากปัจจุบันมีโครงการบ้าน ที่อยู่อาศัยจำนวนหลายโครงการ อีกทั้งยังมีศักยภาพมาก เป็นทำเลที่สามารถพัฒนาได้อีกในหลายด้าน ทั้งด้านการเดินทางเชื่อมต่อกับทำเลอื่น การเดินทางที่สะดวกทั้ง ถนนพัฒนาการ ถนนตัดใหม่ จุดเชื่อมต่อทางด่วน รถไฟฟ้าสายสีเหลือง พื้นที่ในเขตศรีนครินทร์ เป็นพื้นที่ที่ยังสามารถรองรับการเจริญเติบโตของเมืองได้อีกมากเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีประชากรแฝงอยู่เป็นจำนวนมาก ประกอบกับการขยายตัวจากโซนเมืองชั้นในสู่โซนพัฒนาการ ศรีนครินทร์ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและประกอบกับการที่มีทางขึ้นทางด่วนมอเตอร์เวย์บนถนนศรีนครินทร์ ทำให้เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯกับโครงการ EEC ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และต้องยอมรับว่าปัจจุบันการขยายตัวของเขตเมืองเกิดรวดเร็วมาก รวมถึงแนวส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าได้ผ่านที่ถนนศรีนครินทร์ ทำให้พื้นที่บนถนนศรีนครินทร์เป็นทำเลที่มีศักยภาพที่พร้อมรองรับการพัฒนาด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เป็นอย่างดี” ในแง่ของนักลงทุน ทำเลที่ตั้งของเราเป็นทำเลที่ติดถนนใหญ่และใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าถึง 2 สถานี ซึ่งเชื่อมต่อทั้งในเมืองและเขตการลงทุนพิเศษ EEC รวมถึงจุดที่เราอยู่ก็เป็นย่านของชุมชนที่มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่นประกอบกับหน้ากว้างของโครงการมีพื้นกว้างมากเกือบ 300 เมตร ทำให้เป็นจุดเด่นที่ผู้คนที่สัญจรผ่านสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับธุรกิจหลากหลายประเภท อาทิ ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจบริการและสุขภาพ (Wellness) เป็นต้น สถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ สถานีจำหน่ายน้ำมันและสถานีชาร์จ สำหรับรถ EV เป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ที่มีความร่วมมือระหว่างสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ และ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งในสถานีบริการนี้มีความทันสมัยและมีความสะดวกสบายที่ครบครัน ประกอบด้วย ท็อปส์ เดลี่ ขนาด 300 ตารางเมตร และร้านค้าชั้นนำในสถานทีบริการมากมาย เช่น ร้านเอสแอนด์พี พิซซ่าฮัท ร้านเขียง และ ร้านค้าชั้นนำอื่นๆอีกมากมาย The Hare Rast  (ดิ แฮ เรสต์) ได้รับการรังสรรขึ้นโดยจุดมุ่งหมายที่จะให้สถานที่แห่งนี้เป็นเสมือนจุดพักเหนื่อย พักร่างกายและจิตใจจากช่วงเวลาหนักๆ ดังนั้นช่วงเวลาที่อยู่ที่ ดิ แฮ เรสต์ จะสามารถเติมพลังกาย พลังใจ ให้ออกไปใช้ชีวิตที่เร่งรีบอีกครั้ง การออกแบบตกแต่ง และจัดสรรพื้นที่ให้มีธรรมชาติรายล้อม โปร่ง โล่ง มีลมพัดผ่าน เสมือนจุดแวะพักระหว่างวัน มีร้านอาหาร บริการชื่อดัง และเป็นที่ได้รับความนิยมกว่า 50 ร้านค้า มารวบรวมไว้สู่ความเป็นไลฟ์สไตล์ มอลล์ที่ตอบโจทย์ความต้องการใช้ชีวิตแบบ Work-life Balance   ทางด้าน Passion House เป็นอาคาร Home Office จำนวน 20 ยูนิต แบ่งออกเป็น 2 ขนาด คือ แบบ A ทั้งหมด 12 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 239.5 ตร.ม. สูง 4 ชั้น มีพื้นที่สำหรับจอดรถกว้างขวาง รองรับการใช้งาน ขนาดกว้าง 5 เมตร ลึก 12 เมตร จอดรถหน้าอาคารได้ 2 คัน โดดเด่นด้วยการออกแบบเป็นโถงสูง ดูหรูหรา โอ่อ่า กระจกด้านหน้าแสดงให้เห็นความกว้าง โปร่งของตัวอาคาร มีบันไดแยกนอกตัวอาคารทำให้สามารถแบ่งใช้สอย หรือให้เช่า และสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับ แบบ B เพียง 8 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 252 ตร.ม. พร้อมที่จอดรถหน้าอาคารถึง 4 คัน มีห้องน้ำแยกทุกชั้น สะดวกต่อการแยกใช้สอย และคุ้มค่าการลงทุนด้วยราคาเริ่มต้นเพียง  7 ล้านบาท   “ชูจุดเด่น Smart Investment นำเสนอการลงทุนที่คุ้มค่าและเหนือกว่าทุกการลงทุนในทำเลนี้ ด้วยการการันตีผลตอบแทนการลงทุนสูงถึง 34% มอบผลตอบแทนในปีแรกสูง 14 % และมีผลตอบแทนในปีที่ 2-4 ที่ 7 % สำหรับผู้ที่ตัดสินใจลงทุน เนื่องจากทำเล และรูปแบบการลงทุนบนพื้นที่พัฒนาการ-ศรีนครินทร์ ที่มีเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนมาโดยตลอด แม้จะมีพื้นที่อื่นที่มีอัตราการเติบโตที่ลดลง หรืออิ่มตัวจากความหนาแน่นของจำนวนอสังหาริมทรัพย์ แต่ไม่ใช่กับพื้นที่ศรีนครินทร์ ที่ยังคงมีการเติบโตต่อเนื่อง สร้างผลตอบแทนที่สูงในระยะยาว   อีกทั้งเรายังมีที่ปรึกษาที่มีชื่อเสียง และมีประสบการอย่างยาวนานในแวดวงอสังหาริมทรัพย์เป็นที่ปรึกษา และควบคุมเรื่องศักยภาพการทำงานสู่ความสำเร็จ อาทิ บริษัท Edmund Tie & Company ผู้เชี่ยวชาญในงานการลงทุนพื้นที่อสังหาริมทรัพย์เชิงพานิชย์ และเพื่อที่อยู่อาศัย บริษัท Centuri 21 ตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงและมีสาขาในกว่าหลายประเทศทั่วโลก และปิดท้ายด้วย DLAND ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่ไลฟ์สไตล์มอลล์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากกับการพัฒนาคอมมูนิตี้ มอลล์ที่ได้รับความนิยมอาทิ “พอร์โต้ ชิโน่” และ “พอร์โต้ โก” ทำให้เรามั่นใจว่า โครงการ The Hare Rest จะสามารถก้าวไปสู่ประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน” ดร. จักรพันธ์กล่าวเสริม     “สำหรับโครงการ ไลฟ์สไตล์มอลล์ ที่หลายคนมองว่ามีมากเกินไป แต่หากมองอย่างเข้าใจตลาด พื้นที่ไลฟ์สไตล์มอลล์ มีจุดเด่นที่การเน้นฐานลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ เป็นแหล่งรวมบริการ แหล่งพักผ่อน อีกทั้งเราเชื่อว่าพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มีความต้องการสถานที่ใหม่ๆ เนื่องจากเหตุปัจจัยต่างๆ อาทิ สถานการณ์โรคระบาดที่เปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างมาก ไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งนี้ก็เช่นกัน เรามองว่า ไลฟ์สไตล์มอลล์ เป็นพื้นที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิตของผู้บริโภคในบริเวณนั้นๆ ไม่ต่างจากปัจจัย 4 หากแต่การเลือกแวะพัก หรือเข้าใช้บริการจะได้รับการตัดสินใจจากเหตุปัจจัยอื่นที่แตกต่างกัน อาทิ การเดินทาง ที่จอดรถ บรรยากาศ การตกแต่ง ร้านค้า ร้านอาหารภายในศูนย์ แผนผังพื้นที่ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคเราพัฒนาภายใต้การประยุกต์ วิเคราะห์จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ส่งผลต่อการพัฒนาโครงการที่เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น และพร้อมที่จะเป็นแลนด์มาร์กใหม่ใจกลางศรีนครินทร์” ดร. จักรพันธ์กล่าวทิ้งท้าย   บทความน่าสนใจ 6 วิธีช้อปปิ้งในห้าง-ซุปเปอร์มาร์เก็ต ให้ปลอดภัยจากโควิด-19 รีวิวคอนโดย่านลาซาล ติดถนนใหญ่ Nue Noble ศรีนครินทร์-ลาซาล รีวิวคอนโด ใกล้รถไฟฟ้า สายสีเหลือง “The Cube Loft ศรีนครินทร์-เทพารักษ์”    
SC Asset สนับสนุน ‘ERC Sandbox’  เดินหน้าแนวคิดพลังงานเพื่อที่อยู่อาศัย 

SC Asset สนับสนุน ‘ERC Sandbox’ เดินหน้าแนวคิดพลังงานเพื่อที่อยู่อาศัย 

นายดิเรก ตยาคี หัวหน้าสายงานเทคโนโลยีโซลูชั่น บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยถึงการตระหนักถึงการเติบโตควบคู่กับความใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนขององค์กร   ภายใต้โรดแมปสี่ปี ‘SC Thriving for Good’ การเติบโตอย่างยั่งยืน บนวิถีโลกใหม่  โดยหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญ คือ ‘Sustaining’  ยั่งยืน สร้างคุณค่า สู่ผู้คนและสิ่งแวดล้อม  ตามเป้าหมายสำคัญคือ การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ลง 20% ภายในปี 2025 ว่า SC Asset สนับสนุน ‘ERC Sandbox’ เดินหน้าแนวคิดพลังงานเพื่อที่อยู่อาศัย  “ จากความมุ่งมั่นดังกล่าวนี้   SC Asset จึงได้นำร่องโครงการ โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)  ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)  พัฒนาและนำเทคโนโลยีด้านพลังงานที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาบริการด้านพลังงานสำหรับที่อยู่อาศัยที่    ณ บริเวณบ้านตัวอย่างโครงการเวนิวโฟลว์ (Venue Flow) แจ้งวัฒนะ โดยโครงการตั้งอยู่บนทำเลใกล้ทางด่วนและเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ  ซึ่งเชื่อมต่อถนนหลัก 3 สาย ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ   ราชพฤกษ์ และ 345 โครงการ ERC Sandbox : ENGY Energy is Yours มุ่งบริหารจัดการพลังงานในบ้านแต่ละหลังให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บูรณาการระหว่างการจ่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งไว้บนหลังคา (Solar Rooftop) การจ่ายไฟฟ้าจากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเข้าสู่ที่พักอาศัย (Vehicle to Grid : V2G) และการจ่ายไฟฟ้าจากแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage) เพื่อส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้เมื่อโครงการ ERC Sandbox  ประสบความสำเร็จตามแผนงาน    บริษัทจะขยายการดำเนินการไปยังโครงการใหม่ของ SC Asset ต่อไปในอนาคต  เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกลง 20% ภายในปี 2025 อันนำไปสู่การสร้างคุณค่า สู่ผู้คนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน   บทความน่าสนใจ ไขข้อสงสัย? บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ และ 7 เรื่องควรรู้ หลังคาโซลาร์ SCG จับมือ Enphase ร่วมนำเทคโนโลยีไมโครอินเวอร์เตอร์
[PR News]หลังคาโซลาร์ SCG จับมือ Enphase ร่วมนำเทคโนโลยีไมโครอินเวอร์เตอร์ เพิ่มประสิทธิภาพ ยกระดับความปลอดภัยอีกขั้น

[PR News]หลังคาโซลาร์ SCG จับมือ Enphase ร่วมนำเทคโนโลยีไมโครอินเวอร์เตอร์ เพิ่มประสิทธิภาพ ยกระดับความปลอดภัยอีกขั้น

SCG จับมือ Enphase เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนที่กำลังเป็นเทรนด์ทั้งไทยและทั่วโลกให้ความสนใจและหันมานิยมใช้ “พลังงานสะอาด” หรือพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์กันมากขึ้น เพื่อช่วยประหยัดรายจ่ายค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือน นอกจากนี้ยังช่วยลดการก่อมลพิษในอากาศ จากการลดใช้พลังงานไฟฟ้า ยังช่วยลดระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ รวมไปถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนการนำทรัพยากรธรรมชาติกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดการสมดุลอย่างยั่งยืน คุณธงชัย โสภณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี รูฟฟิ่ง จำกัด ในกลุ่มธุรกิจหลังคา เอสซีจี เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาด Solar Rooftop ในปัจจุบัน มีการเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่มีการผลักดันจากหลายภาคส่วนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการลดต้นทุนที่ดีในการดำเนินธุรกิจ ส่วนในทิศทางของภาคครัวเรือน ได้มีการส่งเสริมนโยบายโครงการโซลาร์ภาคประชาชนอย่างจริงจัง โดยสนับสนุนให้มีการติดตั้งหลังคาโซลาร์ภาคครัวเรือน ผนวกกับเทคโนโลยีโซลาร์ที่มีการพัฒนาทำให้ราคาเข้าถึงง่ายขึ้น และสอดคล้องกับด้านพฤติกรรมผู้บริโภคที่ปรับตัวกับสถานการณ์โควิด-19 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้คนส่วนใหญ่ทำงานที่บ้าน จึงมีการใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวันที่เพิ่มมากขึ้น “เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน”  ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมระบบหลังคาโซลาร์ สำหรับที่พักอาศัยพร้อมโซลูชันครบวงจร ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับความปลอดภัยอีกขั้น โดยร่วมมือกับทาง Enphase Energy ผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานของโลก ซึ่งถือเป็นอันดับ 1 ของตลาดไมโครอินเวอร์เตอร์ในสหรัฐฯ โดยได้เล็งเห็นถึงศักยภาพและร่วมกันนำเอาเทคโนโลยีไมโครอินเวอร์เตอร์ (Microinverter) พร้อมรุกตลาดโซลาร์ขยับสู่การเป็นผู้นำด้าน Residential Solar Market อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยโซลูชันพลังงานสะอาดที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานของระบบหลังคาโซลาร์ในประเทศไทยขึ้นไปอีกขั้น ด้าน Dave Ranhoff, Chief commercial Officer บริษัท Enphase Energy กล่าวถึงการร่วมมือในครั้งนี้ว่า มีความยินดีที่ได้ผนึกกำลังร่วมกับเอสซีจี ซึ่งถือเป็นบริษัทวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่และอยู่มาอย่างยาวนานที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งเป็นยังถือเป็นผู้นำด้านพลังงานแสงอาทิตย์ในภูมิภาค ซึ่งไมโครอินเวอร์เตอร์ Enphase ตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่าของระบบโซลาร์ ในการแปลงกระแสไฟฟ้าโดยไม่ใช้กระแสไฟแรงดันสูง พร้อมกับมาตรฐานระบบการตัดไฟฉุกเฉินเมื่อระบบเกิดปัญหา โดยมุ่งหวังว่าการทำงานร่วมกันจะช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยีโซลาร์ในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี “สำหรับเทคโนโลยีไมโครอินเวอร์เตอร์ของ Enphase ซึ่งถือเป็นระบบที่ให้ความคุ้มค่าสูงสุด ด้วยระบบควบคุมการทำงานโซลาร์แบบรายแผง นอกจากนี้ยังมีระบบ Rapid Shutdown ปิดระบบการทำงานทันทีอย่างรวดเร็วตามมาตรฐานให้ความปลอดภัยสูงสุด ทั้งยังเชื่อมั่นว่าการเดินหน้าร่วมกับเอสซีจีในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับมาตรฐานระบบหลังคาโซลาร์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดประเทศไทย” ทำไม SCG เลือกระบบไมโครอินเวอร์เตอร์ ไมโครอินเวอร์เตอร์แปลงไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ผ่าน Solar Rooftop เปลี่ยนไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current; DC) ให้เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternate Current; AC) จากนั้นจะส่งไปยังตู้ไฟและจ่ายไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ในบ้านหรืออาคารได้ ซึ่งระบบไมโครอินเวอร์เตอร์จะเชื่อมต่อกับแผงโซลาร์ ในอัตรา 1:1 จึงทำให้สามารถดึงกระแสไฟฟ้าจากแผงโซลาร์แต่ละแผงไปใช้ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ด้วยระบบการทำงานที่อิสระต่อกันยังส่งผลให้มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานที่มากกว่าเดิมอีกด้วย High Performance: สามารถผลิตไฟฟ้าได้รายแผง โดยไม่เชื่อมกับประสิทธิภาพการผลิตไฟจากแผงอื่น ซึ่งกรณีที่แผงเกิดมีเงาบัง หรือ เกิดความผิดปกติ จะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟของแผงอื่น Safety: เนื่องจากไมโครอินเวอร์เตอร์แปลงกระแสไฟฟ้าเป็นรายแผง จึงเกิดเป็นกระแสไฟฟ้าแรงดันต่ำ หรือ Low Voltage ทำให้ปลอดภัยมากกว่า อีกทั้งยังมีระบบ Rapid Shutdown ซึ่งจะตัดการทำงานทันทีเมื่อเกิดความผิดปกติกับระบบเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ใช้งาน Real Time Monitoring: สามารถดูการทำงานและการผลิตไฟฟ้ารายแผง ทำให้ผู้ใช้งานติดตามประสิทธิภาพการใช้งานผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือได้แบบ Real Time “เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน ตั้งเป้าขยายการเติบโตสู่ตลาด Solar Rooftop สู่การเป็นผู้นำด้าน Residential Solar Market ในประเทศไทย โดยคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขาย 300% จากปี 2021 รุกด้วยกลยุทธ์ Customer Database จากฐานข้อมูลเครือข่ายของเอสซีจีทั้งหมด ผนวกรวมกับพันธมิตรอย่าง Enphase Energy ผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานไมโครอินเวอร์เตอร์ระดับโลก พร้อมชูจุดแข็งด้านการให้บริการและการดูแลหลังการขายจากผู้เชี่ยวชาญ ตั้งแต่การตรวจสอบความพร้อมของหลังคาก่อนติดตั้งโซลาร์ ออกแบบ ติดตั้ง และขออนุญาตกับภาครัฐให้อย่างครบวงจร เพื่อให้การติดโซลาร์ รูฟ เป็นไปตามมาตรฐานและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งาน พร้อมรับประกัน 25 ปีโดยเอสซีจี โดยเชื่อมั่นว่าการผนึกกำลังในครั้งนี้จะสร้างความแข็งแกร่งและยกระดับขีดความสามารถด้านศักยภาพอย่างแน่นอน”    หากสนใจสามารถดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ที่  https://www.scgbuildingmaterials.com/th/solution/solar-roof  หรือ เว็ปไซต์ SCG Home   บทความน่าสนใจ ไขข้อสงสัย? บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ และ 7 เรื่องควรรู เสนา ขานรับนโยบายพลังงานสะอาด หนุนโซลาร์ทุกโครงการ Le Parc Next ทวีวัฒนา บ้านแห่งอนาคตประหยัดพลังงาน ได้ทุกGeneration
[PR News]เตรียมจัดงาน “PropertyGuru Thailand Property Awards ครั้งที่ 17” ก้าวสำคัญของตลาดอสังหาฯ ไทยมุ่งสู่การฟื้นตัว

[PR News]เตรียมจัดงาน “PropertyGuru Thailand Property Awards ครั้งที่ 17” ก้าวสำคัญของตลาดอสังหาฯ ไทยมุ่งสู่การฟื้นตัว

PropertyGuru Thailand Property Awards เปิดฉากเวทีมอบรางวัลคุณภาพผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไทย  กับงานประกาศรางวัล PropertyGuru Thailand Property Awards ครั้งที่ 17 ภารกิจเฟ้นหาโครงการเด่นแห่งปี 2565 พร้อมประกาศสาขาใหม่ โครงการอสังหาริมทรัพย์แบบ Waterfront โครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และโครงการเป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง หวังสร้างความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและกำลังซื้อกลับมาคึกคักรับสัญญาณบวกของการฟื้นตัวในปีนี้ เปิดรับการเสนอชื่อผู้เข้าชิงรางวัล ตั้งแต่วันนี้-9 ก.ย. 65 และประกาศผล ในวันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2565 นี้  เ ทั้งนี้ การจัดงาน PropertyGuru Thailand Property Awards เป็นหนึ่งในภารกิจค้นหาบริษัทและโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีความโดดเด่นและมีผลงานเป็นที่ยอมรับ พร้อมจัดพิธีมอบรางวัลและงานกาล่าดินเนอร์แบล็คไทอย่างยิ่งใหญ่ ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะลักซ์ซูรี คอลเลคชั่น กรุงเทพฯ ในวันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2565 นี้ สำหรับผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมชิงรางวัลในทุกประเภทจะต้องผ่านขั้นตอนการคัดเลือกอย่างเข้มข้น โดยผู้ดูแลกระบวนการตัดสินรางวัลอย่างเป็นธรรม นำโดย มิสเตอร์พอล แอชเบิร์น ASPAC Leader บริษัท เอช แอล บี เรียลเอสเตท กรุ๊ป สำนักงานบัญชีและที่ปรึกษาชั้นนำระดับนานาชาติ   บทความที่เกี่ยวข้อง Land and Houses คว้ารางวัล บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2562 ‘เอพี ไทยแลนด์’ ท็อปฟอร์มผู้นำแห่งปี 2018! โดดเด่นครบทุกมิติ หนึ่งเดียวที่ครอบครองรางวัลอันทรงเกียรติมากที่สุด Enrich กับความสำเร็จที่เกิดจากความเข้าใจการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง คว้ารางวัล Special Recognition for Design & Construction จากงาน Thailand Property Award 2018
[PR News] แทรนดาร์ผู้นำอะคูสติกดูดซับเสียงคุณภาพสูง เปิดนวัตกรรมใหม่ลดมลพิษทางเสียง -สารก่อภูมิแพ้

[PR News] แทรนดาร์ผู้นำอะคูสติกดูดซับเสียงคุณภาพสูง เปิดนวัตกรรมใหม่ลดมลพิษทางเสียง -สารก่อภูมิแพ้

แทรนดาร์ อะคูสติก ผู้นำนวัตกรรมอะคูสติก เปิดผลวิจัย Sound effect on people มลพิษทางเสียงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ไม่ควรมองข้าม ชี้ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานถดถอย สุขภาพผู้ใช้อาคารแย่ลง ชี้ทั่วโลกให้ความสำคัญกับเทรนด์ที่อยู่อาศัยยั่งยืน มีผลต่อการขับเคลื่อนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งอาคารให้เช่าที่พักอาศัย โรงแรม โรงเรียน แทรนดาร์ผู้นำอะคูสติกดูดซับเสียงคุณภาพสูง เปิดนวัตกรรมใหม่ลดมลพิษทางเสียง -สารก่อภูมิแพ้ นายกฤษดา สาธุกิจชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและที่ปรึกษาด้านอะคูสติก บริษัท แทรนดาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Trandar) วัตกรรมอะคูสติก เพื่องานก่อสร้างและตกแต่งภายใน เปิดเผยว่า ข้อมูลผลวิจัยของ Lessman ระบุว่า เสียงเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อมนุษย์ พบผู้คนมีความพึงพอใจในสภาพแวดล้อมในการทำงานเพียง 33.4% นั่นเท่ากับว่าอีก 66.6% ไม่พึงพอใจกับสภาพแวดล้อมของเสียงในที่ทำงาน และยังพบว่าในกลุ่มงานที่ซับซ้อน หากทำงานในสภาพเสียงไม่ดี มีความดังส่งผลให้สมาธิในการทำงานลดลงถึง 50% นอกจากนี้การวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า เสียงรบกวนต่างๆ ในที่ทำงานส่งผลให้คนทำงานมีสมาธิหรือโฟกัสกับงานได้น้อยลง และยังส่งผลต่อให้เกิดการลาป่วยมากขึ้น ชี้ให้ชัดเจนว่าเสียงรบกวน (Noise) เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึกรำคาญและสาเหตุที่ทำให้สุขภาพแย่ลง ซึ่งคนคนต้องใช้เวลา 60% ในการมีสมาธิจดจ่อ การถูกรบกวนจากเสียงนั้นจะทำให้ต้องใช้เวลาถึง 25นาที จึงจะสามารถกลับมามีสมาธิอีกครั้ง และต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีก 8 นาที จึงจะกลับมามีสมาธิเท่าเดิม และยังส่งผลทางอ้อมให้พนักงานมีความคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนที่ทำงานได้อีกด้วย แทรนดาร์ ได้จับมือกับ บริษัท อีโคโฟน แซงโกแบ็ง  จำกัดจากสวีเดน พัฒนาผลิตภัณฑ์อะคูสติกดูดซับเสียง (Sound absorption) คุณภาพสูง “อีโคโฟน โฟกัส เอฟ” (Ecophon Focus F) แผ่นฝ้าอะคูสติกที่ผลิตจากเส้นใยอะคูเทคคุณภาพสูง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน มีค่าการดูดซับเสียงสูงซึ่งคุณสมบัติข้อนี้สำคัญมากต่อการลดเสียงก้องเสียงสะท้อนภายในห้อง ลดผลกระทบของเสียงที่ก่อให้เกิดความรำคาญกับมนุษย์ (Sound effect on People) ช่วยทำให้อยู่ในสภาพแวดล้อมเสียงที่เหมาะสม ตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลกได้กำหนด นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติการกระจายแสงและสะท้อนแสงได้ดีช่วยประหยัดพลังงานทำให้ทั้งห้องมีความสว่างทั่วถึงกัน รวมไปถึงตัวแผ่นยังได้รับการรับรองจากองค์กร Asthma and Allergy ของประเทศสวีเดนว่าไม่มีสารที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ อีกหนึ่งคุณสมบัติที่โดดเด่นของ อีโคโฟน โฟกัส เอฟ คือ ได้รับการรับรองมาตรฐานไม่ลามไฟ ตามมาตรฐาน EN จากยุโรป เพื่อตอกย้ำการเป็นแผ่นฝ้าอะคูสติกคุณภาพสูง และปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน ซึ่งหลังจากเปิดตัวในหลายประเทศอีโคโฟน โฟกัส เอฟ (Ecophon Focus F) ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการตกแต่งภายในและวงการสถาปัตยกรรมทั้งในไทย และต่างประเทศ ด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น หอประชุมเอนกประสงค์ อาคารสำนักงาน โรงเรียนและมหาวิทยาลัย ห้องซ้อมดนตรีและสตูดิโอ หรือแม้กระทั่งการใช้กับห้องในบ้าน ในปีช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า ยอดขายผลิตภัณฑ์อะคูสติก เติบโตขึ้นเฉลี่ย10%และในปี 2565 คาดว่าจะเติบโตขึ้น 20% แม้ปีนี้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาการระบาดของโควิด19แต่ยอดขายผลิตภัณฑ์อะคูสติกสะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังดำเนินต่อไป การก่อสร้างอาคารสำนักงานยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา ปี 2564 แทรนดาร์ได้รับงานปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางเสียงจากทางโรงเรียนนานาชาติ อาคารสำนักงาน และโรงแรมชั้นหลายแห่ง ที่ต้องการปรับปรุงสถานที่ เตรียมพร้อมบริการอีกครั้งหลังจากสถาณการณ์โควิดคลี่คลาย บทความที่น่าสนใจ “EZVIZ” รุ่น C6W คว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นอัจฉริยะภายในบ้านแห่งปี จาก “IoT Innovator Award 2021” งานออกแบบฟาซาด 3 มิติ สะท้อนเสน่ห์อาคารคอนกรีตยุคก่อน จากนวัตกรรมงานก่อสร้าง “CPAC 3D PRINTING SOLUTION”  
[PR News] LET จับมือ Dahua เสริมแกร่ง “โมเดิร์น ซิเคียวริตี้” รุกตลาดเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัย

[PR News] LET จับมือ Dahua เสริมแกร่ง “โมเดิร์น ซิเคียวริตี้” รุกตลาดเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัย

โมเดิร์น ซิเคียวริตี้ ล็อกซเล่ย์ อีโวลูชั่น เทคโนโลยี หรือ LET เดินหน้าแนวคิด "โมเดิร์น ซิเคียวริตี้" ต่อเนื่อง ล่าสุดจับมือ ด้าหัว เทคโนโลยี ยักษ์ใหญ่ผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยชั้นนำของจีน เสริมศักยภาพเทคโนโลยีดิจิทัลรักษาความปลอดภัยตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างของลูกค้าแบบครบวงจร   นายยุทธพร จิตตเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท​ ล็อกซเล่ย์ อีโวลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด หรือ LET  เปิดเผยว่า​ บริษัทได้ลงนามความร่วมมือกับ ด้าหัว เทคโนโลยี เป็นพันธมิตรเพิ่มขีดความสามารถดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีด้านรักษาความปลอดภัยเหนือระดับ “โมเดิร์น ซิเคียวริตี้” ภายใต้กลยุทธ์ The New Society Market  ซึ่งการจับมือเป็นพันธมิตรกับด้าหัวฯ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งระบบรักษาความปลอดภัยชั้นนำจากประเทศจีน ครั้งนี้เป็นการผนึกความเชี่ยวชาญและเสริมจุดแข็งทางด้านเทคโนโลยีความปลอดภัย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการในแข่งขันทางธุรกิจ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรด้วยการผสานอุปกรณ์ แพลตฟอร์มและโซลูชั่นทั้งของ LET และ Dahua เข้าด้วยกันเพื่อตอบโจทย์ และรองรับความต้องการของลูกค้าด้านงานรักษาความปลอดภัยที่แตกต่างกัน สำหรับกลยุทธ์ The New Society Market จะเป็นการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทีมงานของ LET และ Dahua เพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็ว และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าหลักได้แก่ องค์กรภาครัฐ องค์กรภาคธุรกิจ รัฐวิสาหกิจ อาทิ หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล ธนาคาร บริษัทประกันภัย และหมู่บ้านจัดสรร เป็นต้น อีกทั้งยังเฟ้นหาลูกค้าใหม่ๆ โดยทีมจะมุ่งเน้นแผนการศึกษา พัฒนา ออกแบบระบบ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมผสานเข้ากับ บียอน แพลทฟอร์ม (Beyond Platform) แพลทฟอร์มอัจฉริยะด้านรักษาความปลอดภัย ผ่านบิ๊กดาต้าและการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำงานร่วมกับกล้องโทรทัศน์วงจรปิด และระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับต่างๆ   พร้อมการบริหารจัดการแบบศูนย์รวมผ่านห้องปฏิบัติการ Single Command Control Center เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันทั้งด้านระดับความปลอดภัย และข้อกำหนดในโครงการของลูกค้าให้ตรงใจกับผู้ใช้งานมากที่สุด นอกจากตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายแล้ว บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญเรื่องการจัดฝึกอบรมให้กับลูกค้าโดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่พัฒนาระบบ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อน นายโจว ชิง คันทรี่เมเนเจอร์ บริษัท ด้าหัว เทคโนโลยี เชื่อมั่นว่า การผนึกกำลังกันในครั้งนี้จะช่วยให้ด้าหัวฯ สามารถขยายตลาดในประเทศไทยได้เพิ่มมากขึ้น ด้วยความพร้อมด้านอุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ของด้าหัวฯ ผนวกรวมกับประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ และบียอน แพลทฟอร์ม (Beyond Platform) ที่ทันสมัยของ LET จะทำให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากการพัฒนาและออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น มีประสิทธิภาพสูงสุด และตรงความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
[PR News] ASW จ่ายปันผลปี 64 รวม 0.54706 บาทต่อหุ้น  พร้อมแจกวอร์แรนต์ ASW-W1 กำหนดราคาใช้สิทธิ 12 บาท

[PR News] ASW จ่ายปันผลปี 64 รวม 0.54706 บาทต่อหุ้น พร้อมแจกวอร์แรนต์ ASW-W1 กำหนดราคาใช้สิทธิ 12 บาท

แอสเซทไวส์  ประกาศจ่ายปันผลปี 2564 อัตรารวม 0.54706 บาทต่อหุ้น เตรียมกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมา อัตรา 0.40 บาทต่อหุ้นในวันที่ 11 มี.ค.นี้ พร้อมแจกวอร์แรนต์ ASW-W1 แก่ผู้ถือหุ้นเดิม อัตรา 3 หุ้นเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 1 กำหนดราคาใช้สิทธิ 12 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดตัว 7 โครงการใหม่ วางเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ 6,000 ล้านบาท เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์             นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW  เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีที่ผ่านมา ได้มุ่งขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่กับการเป็นหุ้นปันผลที่สร้างผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ซึ่งความสำเร็จจากผลการดำเนินงานในปี 2564 สามารถเอาชนะความท้าทายจากปัจจัยลบโควิด-19 ทำรายได้รวม 5,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% และมีกำไรสุทธิ 951 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ที่กำหนดจัดในวันที่ 20 เมษายน 2565 อนุมัติการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 ในอัตรารวมหุ้นละ 0.54706 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ไปแล้ว คิดเป็น 0.14706 บาทต่อหุ้นในรูปแบบของหุ้นปันผลและเงินสด คงเหลือจ่ายปันผลจากงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2564 เป็นเงินสดอีกจำนวน 0.40 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 11 มีนาคม 2565 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565   ทั้งนี้ บอร์ดบริษัทฯ ยังมีมติอนุมัติการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิหรือวอแรนท์ ครั้งที่ 1 (ASW-W1) จำนวนไม่เกิน 285,373,707 หน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตรา 3 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยมีอายุ 2 ปีนับจากวันที่ได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ที่กำหนดอัตราใช้สิทธิตามใบแสดงสิทธิ ASW-W1 ในอัตรา 1 หน่วยต่อ 1 หุ้นสามัญ ในราคาใช้สิทธิ 12 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้ จะขออนุมัติผู้ถือหุ้นเพื่อเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทฯ อีกจำนวน 506,985,818.00 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 856,121,119.00 บาท เป็นทุนจดทะเบียน 1,363,106,937.00 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 506,985,818 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท รองรับการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไปให้แก่บุคคลในวงจำกัดจำนวน 85,612,111 หุ้น การออกและเสนอขาย ASW-W1 จำนวน 285,373,707 หุ้น เพื่อนำเงินที่ได้มาใช้ลงทุนในโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันจำนวน 6 โครงการ ได้แก่ โครงการแอทโมซ โอเอซิส อ่อนนุช, แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี และดิ ออเนอร์ โยธินพัฒนา เป็นต้น   รวมถึงพัฒนาโครงการใหม่อีก 7 โครงการทั้งโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านแนวราบ มูลค่าโครงการรวม 12,400 ล้านบาท โดยในปี 2565 วางเป้าหมายยอดขาย (พรีเซล)  10,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ (รายได้รวม) 6,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 19% พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ  
[PR News]แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  เปิดให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “iDesign” โฉมใหม่แล้ววันนี้

[PR News]แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  เปิดให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “iDesign” โฉมใหม่แล้ววันนี้

บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “iDesign” โฉมใหม่แล้ววันนี้ “Design Your Dream Home” ผู้ช่วยในการตกแต่งบ้าน สร้างสรรค์ไอเดียการแต่งบ้านตามสไตล์ของคุณเองเพียงปลายนิ้ว สวยลงตัวไม่เกินงบ มีโปรแกรมเสมือนจริง แถมช่วยคำนวณงบตกแต่ง พร้อมรับส่วนลดพิเศษจากร้านค้าเมื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ แอปพลิเคชัน iDesign ช่วยให้สามารถเลือกตกแต่งกับแปลนบ้านจริง ขนาดพื้นที่จริง จากบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมในโครงการที่สนใจ สามารถสร้างสรรค์ไอเดียการแต่งบ้านได้ไม่จำกัด กับเฟอร์นิเจอร์ที่มีให้เลือกหลายแบบหลากสไตล์ พร้อมตัวอย่างห้องตกแต่งสวยๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การแสดงภาพสมจริงทั้งมุมมองปกติ มุมมอง 360 องศา หรือเชื่อมต่อ VR (Virtual Reality) เสมือนเข้าไปเดินชมห้องด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังช่วยให้หมดห่วงเรื่องงบบานปลาย ช่วยประเมินราคาตกแต่งโดยประมาณจากเฟอร์นิเจอร์ที่เลือก สามารถเก็บภาพสวยๆ และบันทึกข้อมูลเฟอร์นิเจอร์ พร้อมราคาประเมิน เพื่อนำไปยื่นซื้อกับร้านค้าที่ระบุได้ทันที ลูกบ้านแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และผู้ใช้งานทั่วไปจะได้รับส่วนลดพิเศษเมื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์กับร้านค้าที่ระบุแอปพลิเคชัน iDesign โฉมใหม่นี้สวยและใช้งานได้ง่ายขึ้น พร้อมหมวด Get Inspired ที่รวบรวมภาพตกแต่งจากบ้านตัวอย่างของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ไว้ ซึ่งมี 3 สไตล์ให้เลือกเป็นแนวทาง ได้แก่ Dream Luxury, Lively Modern และ Minimal Nordic หรือจะเข้าดูภาพตามประเภทของห้องที่ต้องการตกแต่ง เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ก็ทำได้ พร้อมเฟอร์นิเจอร์ที่หลากหลายจากร้านค้าชื่อดังให้เลือกมากมาย เช่น Chic Republic, Rina Hey และ Starmark เมื่อตกแต่งเสร็จแล้ว ยังสามารถแชร์ให้ผู้อื่นผ่านทาง Line, Facebook, Instagram หรือส่งเป็นลิงค์เพื่อให้เห็นภาพ 360 องศา ได้อีกด้วย ฟรีดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน iDesign ลงบนสมาร์ทโฟนได้ทั้งจาก App Store และ Play Store ได้แล้ววันนี้ ใช้งานได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องเป็นลูกค้าหรือลูกบ้านในโครงการแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 1198   บทความน่าสนใจ 7 บิ๊กอสังหาฯ ระดมทุน ผ่าน “หุ้นกู้” 2 เดือนเฉียด 10,000 ล้าน แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เดินหน้าลงทุน 11,000 ล.พร้อมระดมทุนผ่านหุ้นกู้ 12,000 ล. ​
เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050

เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050

เซ็นทรัลพัฒนา องค์กรยั่งยืนระดับโลก เดินหน้าวิสัยทัศน์ Imagining better futures for all สร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คน ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050 เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)  ผู้พัฒนาธุรกิจศูนย์การค้าเซ็นทรัล, ที่พักอาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ เดินหน้าวิสัยทัศน์ Imagining better futures for all สร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยบทบาทของ ‘Place Maker’ นักพัฒนาพื้นที่แห่งอนาคต ที่บุกเบิกสร้างเมืองและความเจริญทั่วประเทศชูแผนธุรกิจ 5 ปี (2022-2026) ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาท ด้วย 3 กลยุทธ์สู่ความยั่งยืน ด้วยการ Synergy ผนึกกำลังธุรกิจมิกซ์ยูส คู่ค้า ชุมชน ทุกฝ่าย, บุกเบิกสร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่การใช้ชีวิตแห่งอนาคต และมุ่งสู่องค์กรแห่งการสร้างโอกาส พัฒนา ‘คน’ พัฒนาเมืองและประเทศ และยกระดับวงการอสังหาฯ และรีเทลของไทย นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้เผยวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจ พร้อมประกาศ Brand Commitment for Better Futures เพื่อมุ่งมั่นสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตและอนาคตที่ดีให้กับผู้คน สังคม และโลกของเรา ตอกย้ำการเป็นบริษัทยั่งยืนในระดับโลก พร้อมเผย Brand Identity ใหม่ทั้ง Corporate และศูนย์การค้าทั่วประเทศ สะท้อนอัตลักษณ์ความภูมิใจท้องถิ่น และแตกต่างโมเดิร์นได้แนวคิดจากเอเจนซี่ด้านดีไซน์ระดับโลก นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “ตลอดระยะกว่า 40 ปี เซ็นทรัลพัฒนารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คน ได้อยู่เคียงข้างและช่วยพัฒนาประเทศชาติมาโดยตลอด จนกลายเป็นภาพจำของการเป็น ‘Center of Life’ ศูนย์กลางการใช้ชีวิตของทุกคนและทุกชุมชนที่โครงการเราไปตั้งอยู่ ในวันนี้ภายใต้บทบาทของการเป็น ‘Place Maker’ นักพัฒนาที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนทุกแห่ง สร้างพื้นที่ที่จะเป็นอนาคตที่ดีให้กับทุกคน โดยเชื่อมโยง 2 สิ่งที่สำคัญคือ ‘People’ คนและชุมชนที่เป็นพลังขับเคลื่อนสังคมและสร้างความเปลี่ยนแปลง และ ‘Planet’ สิ่งแวดล้อมและโลกใบนี้ เข้ามาอยู่ใน Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนของเรา” โดยภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ เซ็นทรัลพัฒนาเดินหน้าสร้าง Better Futures ด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1: SYNERGY for new solutions ผนึกกำลังทุกฝ่าย สร้างแพลตฟอร์มยกระดับการใช้ชีวิตและธุรกิจอย่างครบวงจร 1.1     Synergy within Retail-Led Mixed-Use Development: ผนึกกำลังทุกองค์ประกอบที่แข็งแกร่งของเซ็นทรัลพัฒนา มอบประสบการณ์ที่ Seamless โดยให้ศูนย์การค้าเป็นธุรกิจหลัก (Retail-Led Mixed-use development) ทั้งศูนย์การค้า, ที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรม โดยในอีก 5 ปี (2022-2026) บริษัทฯ จะมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ อยู่ในมากกว่า 30 จังหวัด ซึ่งจะทำให้จำนวนโครงการทั้งหมด (รวมปัจจุบันและอนาคต) ได้แก่ ศูนย์การค้า 50 แห่ง ทั้งในและต่างประเทศ และคอมมูนิตี้มอลล์ 16 แห่ง (อยู่ระหว่างการศึกษาการขยาย), โครงการที่พักอาศัย 68 แห่ง, อาคารสำนักงาน 13 แห่ง และโรงแรม 37 แห่ง โดยมากกว่า 50% ของโครงการทั้งหมดจะเป็นรูปแบบมิกซ์ยูสที่มีมากกว่า 1 ธุรกิจ และมีศูนย์การค้าเป็นหัวใจสำคัญ โดยเร่งขยายการเติบโตของทุกๆ ธุรกิจพร้อมกันไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดจะเชื่อมโยงยกระดับการใช้ชีวิตทุกรูปแบบทั้ง shop-work-stay-play-live ด้วยโครงการรีเทลที่เติมเต็มทุกฟอร์แมตและเทรนด์ใหม่ๆ, โครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและเชื่อมโยงสิทธิประโยชน์ในเครือเพื่อลูกบ้านเซ็นทรัล พร้อมเชื่อมต่อออฟฟิศให้เป็นสถานที่ที่ทำงานที่ดีที่สุดเพราะใกล้ศูนย์การค้าและโรงแรม รวมถึงปั้นโรงแรมแบรนด์น้องใหม่ เพื่อยกระดับทำให้ทุกเมืองเป็นเมืองท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังได้ตั้งทีม Business & Digital Transformation ลงทุน 450 ล้านบาทในปี 2022 เพื่อทรานฟอร์มสู่การเป็น Omnichannel Platform ซึ่งมากกว่าการเชื่อม offline และ online แต่ยังเชื่อมโยงทุกธุรกิจใน ecosystem เข้าด้วยกัน และเชื่อมโยงธุรกิจที่อยู่กับเราไปยังลูกค้าด้วยเป็น B2B2C สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าในอนาคต 1.2     Synergy with business partners: มุ่งมั่นสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจของคู่ค้า พร้อมจัดตั้งทีม Partner Champions ที่จะเป็น Business Consultant ในการเป็น End-to-End Solutions ให้กับคู่ค้าอย่างครบวงจร ได้แก่ การช่วยเหลือการเติบโตและขยายสาขาด้วยโมเดล Co-investment, Funding, และ Franchise การช่วยเหลือด้าน Business Operation ต่างๆ, การใช้ Big Data จาก The 1 และ The 1 Biz, และ Retail Omnichannel เพื่อส่งเสริมและผลักดันธุรกิจของคู่ค้า, รวมไปถึงการจัดการ Transaction และบริการต่างๆ ที่จะช่วยพันธมิตรทุกราย 1.3     Synergy with communities: ทุกโครงการของเซ็นทรัลพัฒนามีส่วนสะท้อนอัตลักษณ์ Local Essence ของชุมชน ทั้งได้ด้าน Art & Culture รวมไปถึง Local Wealth การสร้างและกระจายรายได้ให้กับชุมชน นอกจากนี้ ยังเป็นแพลตฟอร์มยกระดับ SMEs และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในแบบ Cross-Region ให้ผู้ประกอบการ, เกษตรกร และอาชีพต่างๆ ได้เข้าถึงพื้นที่การขายและลูกค้า โดยรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 40,000 ตร.ม. หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านบาทต่อปี กลยุทธ์ที่ 2: PIONEER for better lives สร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่แห่งการใช้ชีวิตที่ดีในอนาคต ต่อไปนี้ภายในทุกโครงการใหม่ของเซ็นทรัลพัฒนาจะมีการบริหารจัดการที่ใส่ใจหัวใจสำคัญ 2 ด้านเพื่อการใช้ชีวิตของทุกคนอย่างยั่งยืน ได้แก่ Green & Energy ด้วย Green Building Standard มาตรฐานอาคารเขียวระดับสากล, ติดตั้งเซลล์ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในทุกโครงการ, พัฒนาอาคารอัจฉริยะหรือ Building Automation, การเพิ่มจุด EV Charging และ Recycle Station สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นต้น Health & Wellness พื้นที่ที่มีส่วนช่วยยกระดับการใช้ชีวิตของผู้คน ด้วยการตอกย้ำแผนแม่บทและมาตรการด้านความสะอาดและความปลอดภัย, การเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้ง indoor-outdoor, การออกแบบที่ตอบสนองคนทุกกลุ่ม (Inclusive Design) ให้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนมาใช้ได้จริง รวมถึงพื้นที่เพื่อชุมชน เช่น ลานออกกำลังกาย, สนามเด็กเล่น, ศูนย์การเรียนรู้, ศูนย์ฉีดวัคซีน, พื้นที่รับบริจาคโลหิต, พื้นที่เพื่อ well-being สำหรับชุมชน เป็นต้น กลยุทธ์ที่ 3: OPPORTUNITIES with Purpose ขับเคลื่อนสังคมและธุรกิจ เปิดโอกาสให้ทุกคน เป็นองค์กรแห่งการสร้าง ‘โอกาส’ พัฒนาคน พัฒนาเมือง พัฒนาประเทศ และยกระดับวงการอสังหาฯ และรีเทลของไทย เทียบเท่าระดับโลก เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าร่วมกัน ให้คนได้มาเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ จับคู่ทางธุรกิจ และขยายไปทั้งในและต่างประเทศ ผ่านโครงการ Central Pattana Lead และ Retail Academy สร้าง Local Wealth ให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ ขยายความเจริญจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในจังหวัด ให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาร่วมงานกับเซ็นทรัลพัฒนา ผ่านโปรแกรมให้ได้ทดลองไอเดียใหม่ๆ เช่น Retail Hackathon ซึ่งนำไปต่อยอดจริง ให้โอกาสอย่างทั่วถึงกับกลุ่มคนที่หลากหลาย LGBTQ+ ข้อจำกัดทางร่างกาย บุคคลพิเศษ และมีความเป็น Global Citizen ให้ความสำคัญกับ Global Values อาทิ Human Rights, Equality, Diversity เป็นต้น จากกลยุทธ์ทั้งหมดนำไปสู่การสร้าง Big impact ในเชิงเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมของทุกเจเนอร์เรชั่น โดยนางสาววัลยากล่าวต่อไปว่า “ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ เราจึงมุ่งมั่นที่จะทำตาม Brand Commitment สำคัญคือการเดินหน้าสร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน เพื่อผู้คนและโลก ยืนหยัด สร้างพื้นที่ที่มีคุณภาพ ส่งเสริมการใช้ชีวิตในทุกมิติ สร้างสรรค์สิ่งที่ที่ดีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนไทยและประเทศไทย โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน ได้แก่ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชนทั่วประเทศ: โดยปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนามีส่วนช่วยสร้างเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจเทียบเท่าประมาณ 1% ของ GDP ของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง และในอีก 5 ปีข้างหน้า จะยังคงเติบโตเช่นนี้ และทำให้เกิดการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 150,000 ตำแหน่ง ที่อยู่ใน sustainable ecosystem ของเซ็นทรัลพัฒนา ตั้งเป้าเป็นองค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ด้วยแผนระยะยาวตั้งเป็น Net Zero Carbon Emission ให้ได้ผ่านการลดการใช้พลังงานให้ได้ 50% ลดการใช้ CFC และสารที่ทำลายชั้นบรรยากาศ และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดหรือ Clean Energy ให้ได้อีก 50% นอกจากนี้เรายังตั้งเป้าปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งภายในและภายนอกโครงการให้ได้ถึง 1 ล้านต้นโดยเร็วอีกด้วย” บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ขับเคลื่อนสู่อนาคตภายใต้เจตจำนงค์ของแบรนด์ Imagining better futures for all ด้วยการสร้างและพัฒนาพื้นที่ที่มีคุณภาพเพื่อดูแลคนและชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อม ให้เติบโตควบคู่ไปกับการเดินหน้าทางเศรษฐกิจและขับเคลื่อนประเทศไทย ที่ผ่านมา บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นบริษัทอสังหาฯ หนึ่งเดียวในไทยที่เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และ DJSI Emerging Markets ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาใหม่ เพื่อสะท้อน Commitment for better futures โปรดรับชมได้ทาง https://youtu.be/ZrUKWsxGZks   บทความหน้าสนใจ The Forestias – เมืองต้นแบบกลางป่าใหญ่ในกรุงเทพฯ 6 วิธีช้อปปิ้งในห้าง-ซุปเปอร์มาร์เก็ต ให้ปลอดภัยจากโควิด-19