Tag : PR

192 ผลลัพธ์
[PR News] อีซี่วิซ  เปิดตัว กล้องวงจรปิด ซีรีย์ใหม่​ “H8 Pro” ความคมชัดระดับ

[PR News] อีซี่วิซ เปิดตัว กล้องวงจรปิด ซีรีย์ใหม่​ “H8 Pro” ความคมชัดระดับ

EZVIZ (อีซี่วิซ) เตรียมอวดโฉม กล้องวงจรปิด สำหรับการติดตั้งภายนอกอาคารซีรีย์ใหม่ “H8 Pro” กล้องสมาร์ท Wi-Fi แบบแพนและเอียง หมุนได้ 360 องศา     EZVIZ H8 Pro Series นวัตกรรมกล้องวงจรปิดอัจฉริยะสำหรับการติดตั้งภายนอกอาคาร เชื่อมต่อสัญญาณผ่านระบบ Wi-Fi ที่มีนวัตกรรมโดดเด่น 4 ด้าน ได้แก่   นวัตกรรมที่ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติที่โดดเด่นน่าจับตา ทั้งการตรวจจับด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะขั้นสูง แยกแยะการเคลื่อนไหวของมนุษย์หรือรถยนต์ได้อย่างชาญฉลาด พร้อมล็อกและติดตามเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และยังเพิ่มวิสัยทัศน์การมองเห็นที่ครอบคลุมทุกมิติมากขึ้น แสดงภาพสีคมชัดทั้งกลางวันและกลางคืน พร้อมสลับโหมดการแสดงภาพอัตโนมัติกับฟีเจอร์ Smart Night Vision (มีไฟ IR 2 ดวง) ช่วยให้คุณตรวจจับทุกเหตุการณ์ที่เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและไกลถึง 30 เมตร (98 ฟุต) มาพร้อมระบบเตือนภัยเชิงรุก แจ้งเตือนผู้บุกรุกด้วยไฟกระพริบและไซเรนดังอัตโนมัติ พร้อมส่งข้อความแจ้งเตือนให้คุณรับรู้ในทันที ให้คุณไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวและป้องกันภัยได้อย่างทันท่วงที   เสริมวิสัยทัศน์การมองเห็นครอบคลุมทุกมิติด้วยเลนส์ประสิทธิภาพสูงแบบเรียลไทม์ ช่วยทลายทุกกรอบการมองเห็นเพื่อการปกป้องที่กว้างมากขึ้น ด้วยการออกแบบให้กล้องปรับหมุนได้ทั้งแนวตั้ง 340° และแนวนอน 80° (Pan and tilt camera) ครอบคลุมมุมมองพาโนรามา 360° ผ่านเลนส์อัจฉริยะที่ให้ภาพคมชัดสูงสุด กับ 2 โมเดลที่แตกต่างให้เลือก คือ วิดีโอความละเอียดระดับ 2K (3 ล้านพิกเซล) และระดับ 3K (5 ล้านพิกเซล) ที่คมชัดทุกรายละเอียด ผสานการทำงานกับเซ็นเซอร์ DWDR (Digital Wide Dynamic Range) ที่ช่วยปรับสมดุลความสว่างในภาพย้อนแสงอัตโนมัติ ช่วยให้การบันทึกภาพมีความคมชัดสมจริงแม้อยู่ในที่แสงน้อยที่สุด   นวัตกรรมที่สนับสนุนการควบคุมและสั่งงานจากระยะไกล ผ่าน EZVIZ App ซึ่ง อีซี่วิซ ไม่เคยหยุดยั้งการพัฒนาระบบให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถเฝ้าติดตามดูแลและควบคุมการสั่งงานได้จากทุกที่ทุกเวลาผ่านสมาร์ทโฟนได้ง่ายและรวดเร็ว มีฟังก์ชั่น “การสื่อสารสองทาง” พร้อมเสริมประสิทธิภาพเสียงให้คมชัดมากยิ่งขึ้นด้วยไมโครโฟนแบบตัดเสียงรบกวนและลำโพงในตัว  สามารถเชื่อมต่อการสื่อสารกับคนในครอบครัวได้จากทุกที่ทุกเวลา และยังมาพร้อมฟีเจอร์เด็ดที่ผู้บริโภคกำลังมองหามากที่สุด กำหนดตำแหน่งเริ่มต้น (Home) ให้กล้องปรับหมุนไปยังจุดที่บันทึกไว้ล่วงหน้าได้มากถึง 12 ตำแหน่งแบบอัตโนมัติ ช่วยลดความยุ่งยากกับการใช้งาน ไม่ต้องคอยกดหมุนกล้องทุกครั้งที่ต้องการเฝ้าดูเหตุการณ์ต่างๆ ในบริเวณโดยรอบ และฟีเจอร์พิเศษที่มีเฉพาะในกล้องรุ่น H8 Pro 3K ให้คุณสามารถสร้างคำสั่งให้กล้องจดจำท่าทาง “การโบกมือ” เพื่อให้คุณ VDO Call หากันได้ง่ายๆ อีกด้วย   ระบบการปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ในระดับสูงสุด ด้วยการเข้ารหัสลับแบบ AES 128 บิต และการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน บน EZVIZ Cloud ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกสำหรับการจัดเก็บวิดีโอที่ปลอดภัย เพื่อให้ทุกข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานได้รับการรักษาความปลอดภัยสูงสุด และอีกหนึ่งความพิเศษ กล้อง H8 Pro ได้เพิ่มความจุเมมโมรี่ได้สูงถึง 512 GB เสริมด้วยเทคโนโลยีการบีบอัดวิดีโอรูปแบบใหม่ H.265 ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสามารถในการบีบอัดข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้พื้นที่ความจุน้อยลง เพื่อให้การบันทึกมีความต่อเนื่อง พร้อมทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเฝ้าดูแลบ้านคุณให้ปลอดภัยตลอด 24 ชม.   EZVIZ H8 Pro มาอวดโฉมด้วยดีไซน์ที่ดูทันสมัยและมีความมินิมัลมากขึ้น ตัวเครื่องออกแบบให้มีสีขาวสะท้อนความเรียบง่ายที่เข้าได้กับการตกแต่งทุกสไตล์ ผลิตภัณฑ์จากวัสดุที่ได้มาตรฐาน กันน้ำ กันฝุ่น ทนต่อทุกสภาพอากาศในเมืองไทย โดยสามารถหาซื้อ EZVIZ “H8 Pro” กล้องสมาร์ท Wi-Fi Outdoor Camera ได้แล้ววันนี้ ที่ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
[PR News] TOTO จับมือ ASA จัดงานใหญ่เพื่อสังคม สร้างแรงบันดาลใจให้วงการออกแบบไทย

[PR News] TOTO จับมือ ASA จัดงานใหญ่เพื่อสังคม สร้างแรงบันดาลใจให้วงการออกแบบไทย

TOTO จับมือ ASA จัดงาน TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE BREAKING THE NORM โตโต้ ร่วมกับสมาคมสถาปนิกสยามฯ ตอบสนองพันธกิจในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม ผ่านการจัดกิจกรรมบรรยาย “TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM” โดย คุณ โทโมฮิโกะ ยามานาชิ สถาปนิกชื่อดังชาวญี่ปุ่น ผู้ได้รับรางวัลในแวดวงสถาปนิกมากมาย หวังจุดประกายแรงบันดาลใจให้วงการออกแบบของประเทศไทย TOTO จับมือ ASA จัดงาน TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM บริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมมือกับ สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดกิจกรรมบรรยาย “TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM” โดยได้รับเกียรติจาก คุณ โทโมฮิโกะ ยามานาชิ (Mr. Tomohiko Yamanashi) สถาปนิกชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น ผู้ได้รับรางวัลในแวดวงสถาปนิกมากมาย มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ แง่มุม และแนวความคิดในการออกแบบโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาคาร NBF OSAKI BUILDING (2011) ที่ได้รับรางวัล AIJ prizes (2014) สำหรับการนำเทคโนโลยี “BIOSKIN” ระบบช่วยระบายความร้อนของอาคารมาใช้ในการออกแบบ อากาศโดยรอบอาคารจะเย็นลงโดยใช้ความร้อนจากการระเหยกลายเป็นไอของน้ำฝน ที่หมุนเวียนสะสมอยู่ในท่อเซรามิก ช่วยลดภาระเครื่องปรับอากาศในการทำความเย็นภายในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับว่าเป็นการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงไว้ซึ่งความสวยงามที่มองเห็นได้จากภายนอกโดยคำนึงถึงผู้คนในสังคมเป็นสำคัญ   TOTO จับมือ ASA จัดงาน TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE BREAKING THE NORM “ส่วนตัวแล้ว ในด้านการออกแบบผมจะให้ความสำคัญกับ 3 สิ่งด้วยกัน” คุณ โทโมฮิโกะ ยามานาชิ กล่าว “อันดับแรกคือ การคำนึงถึงลูกค้า เนื่องจากว่าสถาปนิกเป็นผู้ได้รับการขอร้องจากลูกค้า อันดับที่ 2 คือคิดถึงบริษัท Nikken Sekkei แต่อย่างไรก็ตามผลงานที่เราสร้างนั้นจะดำรงอยู่ในสังคม ดังนั้นสถาปนิกจำเป็นต้องคำนึงถึงสังคมด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่ได้สร้างความหมายใหม่ พร้อมกับการแก้ปัญหาให้กับสังคม” นอกจากโครงการดังกล่าวแล้ว คุณ โทโมฮิโกะ ยามานาชิ ยังพูดถึงโครงการที่โดดเด่นและได้รับรางวัลด้านการออกแบบหลายรางวัลด้วยเช่นกัน อย่าง โครงการ HOKI MUSEUM (2010) ที่ได้รับรางวัล JIA Grand Prix (2011) ผลงานดังกล่าวเป็นเอกลักษณ์ และสร้างความรู้สึกน่าสนใจให้กับผู้ที่พบเห็น     “ในตอนที่พิพิธภัณฑ์ HOKI เปิดใช้งานแล้ว ผมรู้สึกถึงความสำเร็จมากกว่าตอนที่เพิ่งสร้างเสร็จ ราวกับว่าผมเป็นผู้ที่ถ่ายทอดผลงานภาพเสมือนจริงที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์เหล่านั้นด้วย ผมมีโอกาสได้อ่านบทความในหนังสือพิมพ์ที่กล่าวว่า มูลค่าของภาพวาดเสมือนจริงเหล่านั้น เพิ่มขึ้นตั้งแต่ที่พิพิธภัณฑ์ HOKI สร้างเสร็จ อย่างที่ได้กล่าวไป ผมมีความสุขกับสถาปัตยกรรมที่เราได้สร้างความหมายใหม่ให้สังคม สำหรับผลงานด้านสถาปัตยกรรมแล้ว แม้คนที่ไม่อยากมองก็ยังต้องเห็นอยู่ดี แม้คนที่ไม่อยากดูก็ยังต้องใช้งานอยู่ดี ดังนั้นผมเชื่อว่าการออกแบบที่ดีจะเป็นสิ่งที่สามารถให้ความหมายและคุณค่าใหม่ๆ แก่สังคมได้”   นอกจากนี้ ภายในงานบรรยายยังมีการกล่าวถึงผลงานของคุณ โทโมฮิโกะ ยามานาชิ อีกหลายโครงการ อาทิ JIMBOCHO THEATER (2007), MOKUZAI KAIKAN (2009), TOHO GAKUEN SCHOOL OF MUSIC (2014), ON THE WATER (2015) ฯลฯ ซึ่งได้รับกระแสตอบรับจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างดี     นาย ทาคายะสุ ชิมาดะ ประธานบริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในหัวเรือใหญ่ของการจัดงานในครั้งนี้ เปิดเผยว่า บริษัท โตโต้ เชื่อมั่นว่าการออกแบบสถาปัตยกรรมนั้น เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมให้ดียิ่งขึ้นตามปรัชญาของบริษัทฯ และเป็นหนึ่งสิ่งที่สะท้อนถึงวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในแต่ละประเทศได้ การที่บริษัท โตโต้ มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมวัฒนธรรมในประเทศที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ ทำให้ TOTO เข้าใจและเรียนรู้วิถีชีวิตของคนในประเทศนั้นๆ ได้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นเดียวกัน   TOTO จับมือ ASA จัดงาน TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM “นอกจากนี้บริษัท โตโต้ เชื่อว่าคุณค่าและความหลากหลายของผลงานที่ได้จากสถาปัตยกรรมจะมีบทบาทที่สำคัญมากยิ่งขึ้นในอนาคต บริษัทฯ จึงมุ่งหวังที่จะเป็นสะพานเชื่อมเพื่อถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ตลอดจนแนวคิดของสถาปนิกและนักออกแบบ ระหว่างสถาปนิกในประเทศไทย และสถาปนิกชาวญี่ปุ่น รวมถึงบทบาทของสถาปนิกที่มีต่อผู้คนในสังคม” นาย ทาคายะสุ ชิมาดะ เปิดเผยกับสื่อมวลชน   ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าวในการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสถาปนิกชาวญี่ปุ่น และวงการออกแบบในประเทศไทย บริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้ร่วมมือกับทางสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อวงการออกแบบภายในประเทศอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานด้านความบันเทิงอย่างการสนับสนุนกิจกรรม งานวิ่ง ASA Run ซึ่งทางบริษัท โตโต้ เองก็สนับสนุนและให้ความร่วมมือในการจัดงานทั้งในปี 2018 และ 2019   ตลอดจนกิจกรรมที่เต็มไปด้วยองค์ความรู้ที่มีประโยชน์ เช่น การพาชมโรงงานผลิตภัณฑ์ของทาง TOTO การจัดงานประกวดออกแบบห้องน้ำ “TRANSIT CENTER DEVELOPMENT 2019”  และ “THE BANGKOK TOILET DESIGN 2022” ที่เปิดโอกาสให้สถาปนิกและนักศึกษาซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ได้มีโอกาสแสดงฝีมือในด้านการออกแบบห้องน้ำสาธารณะ งานสัมมนาวิชาการเกี่ยวกับ Universal Design หรือการออกแบบเพื่อทุกคน รวมถึงก่อนหน้านี้ยังเคยร่วมกันจัดงาน Shigeru Ban Lecture 2019 ซึ่งได้รับความสนใจและได้รับผลตอบรับจากผู้คนในแวดวงสถาปัตยกรรมและการออกแบบเป็นอย่างดี จนทำให้เกิดการจัด Architect Talk ขึ้นอีกครั้งในปีนี้ นั่นคือกิจกรรมงานบรรยาย “TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM” ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา   “กิจกรรมดังกล่าวถือว่าเป็นคุณประโยชน์ต่อวงการวิชาชีพเป็นอย่างมาก ผมอยากขอขอบคุณทาง TOTO มา ณ ที่นี้ เนื่องจากว่าโอกาสดังกล่าวไม่ได้มีขึ้นบ่อยๆ” นาย ชนะ สัมพลัง นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าว “การเชิญสถาปนิกชื่อดังจากต่างประเทศมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ สร้างโอกาสให้สถาปนิกไทยได้พบปะกับสถาปนิกระดับโลกที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถมากมาย น่าจะเป็นประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่เข้าฟังได้เป็นอย่างดี และไม่ใช่เพียงแค่มีประโยชน์ต่อวงการออกแบบเท่านั้น แต่ยังมีคุณูประการที่สำคัญต่อผู้คนในสังคม ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ และผลักดันให้เกิดสิ่งใหม่ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของทุกคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็คือพันธกิจของทางสมาคมสถาปนิกสยามฯ และทางบริษัท โตโต้ ยึดถือในการดำเนินงานมาโดยตลอด”   นอกเหนือจากการจัดกิจกรรมอย่างงานบรรยายของสถาปนิกชื่อดังแล้วนั้น นาย ทาคายะสุ ชิมาดะ ประธานบริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด และ นาย ชนะ สัมพลัง ในนามของสมาคมสถาปนิกสยามฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างองค์ความรู้เป็นวงกว้าง พร้อมมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนกิจกรรมที่สร้างคุณประโยชน์ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนต่อไปในอนาคต โดยงาน“TOMOHIKO YAMANASHI LECTURE: BREAKING THE NORM”  จัดขึ้นในวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน ชั้น 7   บทความที่น่าสนใจ [PR News] เลอ เมอริเดียน จับมือ โตโต้ พลิกโฉมโรงแรมใหม่ “โตโต้” เดินเครื่องโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ในไทย โชว์เทคโนโลยีตอกย้ำผู้นำสุขภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ เมื่อสุขภัณฑ์เป็นมากกว่าส้วม        
[PR News] ดิ อิสสระ สาทร ส่งโปรฯ แรง “Omakase Deal”

[PR News] ดิ อิสสระ สาทร ส่งโปรฯ แรง “Omakase Deal”

ดิ อิสสระ สาทร ส่งโปรฯ แรง “Omakase Deal” โครงการ ดิ อิสสระ สาทร (The Issara Sathorn) ลักชัวรี่คอนโดมิเนียม หนึ่งในโครงการคุณภาพในเครือชาญอิสสระ เตรียมจัดโปรโมชั่นแรงส่งท้ายปี โดยผู้บริหารหนุ่ม ปลาทู-ดิฐวัฒน์ อิสสระ เตรียมคัดห้องสวย ร่วมโปรโมชั่น “Omakase Deal” ยูนิตสวยพร้อมเสิร์ฟ ให้ลูกค้าได้เลือกเป็นเจ้าของก่อนใคร . ดิ อิสสระ สาทร ส่งโปรฯ แรง “Omakase Deal” พร้อมคัดสรรข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองโครงการฯ ทั้ง ตั๋วเครื่องบิน Business Class สายการบินไทย ,Pocket Money สูงสุด 2 ล้านเยน!!*, Voucher Omakase จากร้าน Sushi Masato หรือโรงแรม The Okura Prestige Bangkok มูลค่าสูงสุด 50,000 บาท* ส่วนลดเพิ่มเติม 100,000 บาท* ดิ อิสสระ สาทร ส่งโปรฯ แรง “Omakase Deal” สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนออนไลน์ ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2565 และพิเศษสำหรับลูกค้าที่เข้าร่วมอีเวนต์ในระหว่างวันที่ 19 – 20 พ.ย. 65 และจองห้องชุดภายในวันงานรับ Cash Voucher เฟอร์นิเจอร์จาก SB Design Square มูลค่าสูงสุด 500,000 บาท ดิ อิสสระ สาทร ส่งโปรฯ แรง “Omakase Deal” (ตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด*) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02-3082222  Line: @theissarasathorn  Website: www.charnissara.com/theissarasathorn     บทความน่าสนใจ รีวิวคอนโดย่านสาทร วิวคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยา THE ISSARA SATHORN ชาญอิสสระ เปิดตัว Issara Easy Connect  ดูโครงการ-ซื้อขายผ่านออนไลน์ ชาญอิสสระ แตกไลน์ 2 ธุรกิจ “เวลเนส-คริปโตฯ” พร้อมขนบ้าน-คอนโดหั่นราคา 50%
[PR News] ฮาบิแทท ร่วมสนับสนุนงาน PATTAYA INTERNATIONAL BIKINI BEACH RACE 2022

[PR News] ฮาบิแทท ร่วมสนับสนุนงาน PATTAYA INTERNATIONAL BIKINI BEACH RACE 2022

ฮาบิแทท ร่วมสนับสนุนงาน PATTAYA INTERNATIONAL BIKINI BEACH RACE 2022 บริษัท ฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้ จำกัด กลุ่มบริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ร่วมสนับสนุนของรางวัล และของที่ระลึกสำหรับผู้ร่วมงาน “PATTAYA INTERNATIONAL BIKINI BEACH RACE 2022” ให้กับผู้ร่วมงาน และผู้แข่งขันการประกวดรางวัลหุ่นดีหญิง, รางวัลผิวสวยชาย และรางวัลผิวสวยหญิง อาทิ  บัตรกำนัลห้องพัก 2 วัน 1 คืน พร้อมอาหารเช้า โรงแรมเบสเวสเทิร์นพรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา และโรงแรมครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์   ฮาบิแทท ร่วมสนับสนุนงาน PATTAYA INTERNATIONAL BIKINI BEACH RACE 2022 โดยมี คุณชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เป็นผู้มอบรางวัลครั้งนี้ ร่วมกับคณะบริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัล พัทยา พร้อมด้วย คุณศศิวิมล สุทธิบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ร่วมงาน อีกทั้งยังมีกิจกรรมแจกของที่ระลึก และมอบสิทธิพิเศษแก่ผู้ร่วมงาน ได้แก่ กระเป๋าผ้ารักษ์โลก, น้ำดื่ม, คูปองส่วนลดห้องพัก 15%, คูปองรับประทานอาหาร มูลค่า 300บาท สำหรับใช้บริการโรงแรม ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์, โรงแรม ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ และโรงแรมเบสเวสเทิร์นพรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา บริเวณหน้าศูนย์การค้า เซ็นทรัล พัทยา เมื่อวันเสาร์ที่ 29 ต.ค. 65 ที่ผ่านมา     บทความน่าสนใจ “ฮาบิแทท กรุ๊ป” ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน พร้อมบุกตลาดลูกค้าต่างชาติ รีวิวคอนโด ทองหล่อ Walden Thonglor 13 คอนโดดีไซน์สไตล์ Japanese tropical เรียบง่าย หรูหรา ‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ เปิดเกมขยายตลาดต่างประเทศ ลุยโรดโชว์จีน-ฮ่องกง เชื่อศักยภาพตลาดยังแกร่ง
[PR News]   เคหะสุขประชา เข้าเยี่ยมชมบริษัท “วินโดว์ เอเชีย”

[PR News] เคหะสุขประชา เข้าเยี่ยมชมบริษัท “วินโดว์ เอเชีย”

เคหะสุขประชา เข้าเยี่ยมชมบริษัท “วินโดว์ เอเชีย” ผู้ถือหุ้นและพาร์ทเนอร์ผู้ดูแลประตูหน้าต่าง “บ้านเคหะสุขประชา” เคหะสุขประชา เข้าเยี่ยมชมบริษัท “วินโดว์ เอเชีย” นายพิษณุพร อุทกภาชน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคหะสุขประชา จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายธนัญชัย โชติศรีลือชา รองผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เข้าเยี่ยมโรงงาน บริษัท วินโดว์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) ผู้นำเรื่องประตูหน้าต่างสำเร็จรูปครบวงจร หนึ่งในผู้ถือหุ้น และผู้ดูแลด้านประตูหน้าต่างของโครงการ “บ้านเคหะสุขประชา” ที่ผลิตขึ้นภายใต้มาตรฐาน ISO 9001 : 2015 และ ISO 14001 ด้วยความเชี่ยวชาญงานประตูหน้าต่างสำเร็จรูปจากวัสดุอลูมิเนียม และยูพีวีซี ที่มีจุดเด่นแตกต่างกัน มีความแข็งแรงทนทาน ไม่เป็นสนิม น้ำหนักเบา เป็นฉนวนไฟฟ้า มีราคาย่อมเยา ให้กับบ้านคุณภาพ “เคหะสุขประชา” โดยมี นาย  ธนินทร์ รัตนศิริวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. วินโดว์ เอเชีย ให้การต้อนรับ ณ โรงงาน วินโดว์ เอเชีย จ.กาญจนบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้   บทความน่าสนใจ การเคหะฯเปิดตัวบ้านเคหะสุขประชาได้ทั้งบ้านแถมมีอาชีพ การเคหะฯ ออก 3 มาตรการช่วยลูกค้าเก่า-ใหม่ จัดโปรฯ ลดดอกเบี้ย-ค่างวด ปรับโครงสร้างหนี้ การเคหะฯ มอบบ้านให้ 86 รายแรก ในโครงการอาคารเช่าผู้มีรายได้น้อย    
[PR News] SB Design Square ร่วมกับ ELLE DECOR

[PR News] SB Design Square ร่วมกับ ELLE DECOR

SB Design Square ร่วมกับ ELLE DECOR เผยโฉมไลฟ์สไตล์เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชันล่าสุด ‘A Parisian State of Mind’ นำสัมผัสแห่งแรงบันดาลใจในสไตล์ปารีเซียง มาถ่ายทอดสู่งานดีไซน์ให้เหมือนได้ใช้ชีวิตอยู่ใจกลางมหานครปารีสในทุกวัน SB Design Square ร่วมกับ ELLE DECOR  นายพิเดช ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ กล่าวถึงแนวทางการสร้างสรรค์โปรเจคพิเศษด้านความร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยโซลูชันที่ล้ำหน้าและไม่ซ้ำใครว่า ในฐานะผู้นำด้านเฟอร์นิเจอร์และการแต่งบ้าน ภายใต้แนวคิด Home Design Solutions การสร้างสรรค์และพัฒนาผลงานดีไซน์ใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้งเพื่อเติมเต็มความต้องการของไลฟ์สไตล์เทรนด์ในทุกช่วงเวลาจึงเป็นความท้าทายให้ SB Design Square ต้องเฟ้นหาความใหม่ที่พิเศษสุดมานำเสนอในแต่ละปี โดยอาศัยความร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำที่พร้อมจะดึงจุดเด่นของแบรนด์นั้นๆ มาผสานกับความเชี่ยวชาญที่เรามี เพื่อส่งมอบโซลูชันในการอยู่อาศัยโดยมีดีไซน์เข้ามาเติมเต็มเพื่อความสุขในทุกโมเมนต์ของการใช้ชีวิต โดยล่าสุดในปีนี้ SB Design Square ได้ผสานความร่วมมือกับ ELLE DECOR แบรนด์ไลฟ์สไตล์แฟชั่นระดับโลกจากฝรั่งเศส สร้างสรรค์ผลงานไลฟ์สไตล์เฟอร์นิเจอร์ที่มีกลิ่นอายแบบฉบับของปารีเซียงสไตล์ ที่มุ่งเน้นถ่ายทอดความงดงามทางแฟชั่นกับศิลปะในการออกแบบและผลิตเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงการเลือกใช้วัสดุที่นำเข้าจากทั่วโลกผ่านเทคโนโลยีการผลิตสุดทันสมัยได้อย่างไม่จำกัด ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ถูกหล่อหลอมผ่านมุมมองสร้างสรรค์ให้กลายเป็นคอลเลคชันพิเศษ ที่มีดีไซน์ทันสมัยและรายละเอียดการผลิตสุดประณีตให้สัมผัสถึงความเป็นเฟมินีน มีเสน่ห์โดดเด่นกว่าใครภายใต้ความเรียบอย่างมีสไตล์ในคอลเลคชัน ‘A Parisian State of Mind’ “SB Design Square ต้องการที่จะผสมผสานเรื่องของการแต่งบ้านเข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยให้มากขึ้น ต้องการสร้างความคิดที่ว่า ‘การแต่งบ้านเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกวัน’ ให้เหมือนกับการเลือกซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ไม่จำเป็นที่ต้องเป็นของชิ้นใหญ่ ซึ่งคอลเลคชัน ‘A Parisian State of Mind’ จะสะท้อนแนวคิดไลฟ์สไตล์เฟอร์นิเจอร์ได้เป็นอย่างดี” นายพิเดช ชวาลดิฐ  กล่าวถึงแนวคิดในการสร้างสรรค์สไตล์เฟอร์นิเจอร์ ‘A Parisian State of Mind’ “ความร่วมมือในครั้งนี้เสมือนเป็นการย้ำให้เห็นถึง ความมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงคิดค้นเทคโนโลยีการผลิตต่างๆ ที่ทันสมัย เพื่อยกระดับความเป็น     Home Design Solutions    ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าทั้งเรื่องสินค้าและบริการช่วยออกแบบตกแต่งที่ครบ   วงจร ด้วยความที่เราเป็นผู้นำจึงสามารถสร้างสรรค์เฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์ที่โดดเด่น เพียบพร้อมไปด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ นำเสนอในราคาที่สามารถจับต้องได้  โดยเราได้นำลวดลายของ ELLE DECOR มาผสมผสานลงไปในชิ้นงานเฟอร์นิเจอร์ในคอลเลคชัน A Parisian State of Mind ที่นำสัมผัสแห่งแรงบันดาลใจในสไตล์ปารีเซียงมาถ่ายทอดสู่งานดีไซน์ที่เหมือนให้เราใช้ชีวิตอยู่ใจกลางมหานครปารีสในทุกวัน”   ด้านมุมมองต่อทิศทางการพัฒนางานด้านดีไซน์โซลูชันของ SB Design Square จากปัจจุบันสู่อนาคตนั้น นายพิเดช กล่าวเสริมว่า จากพฤติกรรม work from home ที่เกิดขึ้นในกว่า 2 ปีที่ผ่านมาที่ทำให้  "บ้าน" ไม่ได้เป็นแค่เพียง "ที่อยู่อาศัย" แต่ยังกลายเป็นออฟฟิศ ห้องประชุม ฟิตเนส ร้านกาแฟ หรือแม้กระทั่งโรงภาพยนตร์ ประกอบกับการเริ่มเปิดประเทศ ส่งผลให้ภาพรวมสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะสินค้าในลักษณะไลฟ์สไตล์เฟอร์นิเจอร์ ที่ผสานประสบการณ์ใหม่เข้ากับฟังก์ชันที่ลูกค้าต้องการ SB Design Square จึงได้ร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เดินหน้าแนวคิดในการพัฒนาเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์เทรนด์ในส่วนนี้มาอย่างต่อเนื่อง และจากกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้เราได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในทุกปี โดย SB Design Square จะไม่หยุดที่จะเข้าถึงรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของผู้คน ด้วยเหตุนี้เราจึงนำ Big Data ที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการในรูปแบบ Personalization ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น รวมถึงการสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ ร่วมกับพาร์ทเนอร์แบรนด์ที่หลากหลายเพื่อเป้าหมายในการขยายกลุ่มลูกค้าในทุกเซกเมนต์ในอนาคต นางสาวปรียรัติ สุทธาพัฒน์ธานนท์ ผู้จัดการทั่วไป ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ลาร์กาแดร์ แอคทีฟ เอ็น เตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดูแลลิขสิทธิ์ของแบรนด์ ELLE DECOR ในประเทศไทยกล่าวถึงความพิเศษของคอลเลคชันใหม่ภายใต้โปรเจคพิเศษ SBDS X ELLE DECOR ว่า คอลเลคชัน A Parisian State of Mind ประกอบไปด้วยเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านกว่า 50 ชิ้น ซึ่งเราได้ผสมผสานลายพริ้นท์ ELLE Signature และ Parisian Touch ซึ่งสะท้อน DNA ของแบรนด์ในความเป็นผู้นำด้านแฟชั่นมาลงอยู่ในคอลเลคชันนี้ และสะท้อนให้เห็นว่า ELLE เป็นมากกว่าสินค้าแฟชั่น แต่หากคือทุกๆช่วงชีวิตของผู้หญิง ELLE ที่ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็มีสไตล์ไปหมด ความโดดเด่นของคอลเลคชันนี้คือ  ELLE Signature ที่เน้นลาย Signature Monogram สุดคลาสสิค รวมไปถึง The Parisian Journey ที่นำ ELLE Eiffel มาทำให้ห้องของคุณมีชีวิตชีวาดั่งมหานครปารีส และที่ขาดไม่ได้คือลายพริ้นท์camo ที่เป็นลายที่เป็น MUST HAVE ของ Fall Winter 2022 นี้เลยทีเดียว ซึ่งความร่วมมือกับ SB Design Square ในครั้งนี้จะช่วยให้ลูกค้าสามารถ makeover ห้องของคุณจากห้องธรรมดาให้มีความหรูหรา มีสไตล์ น่าค้นหา และเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ สร้างบรรยากาศในบ้านของคุณให้เป็น #ParisianAnywhere ได้อย่างไม่มีที่ติ ทั้งนี้ ไลฟ์สไตล์เฟอร์นิเจอร์ในคอลเลคชัน A Parisian State of Mind พร้อมเปิดให้ได้สัมผัสเพื่อสร้างแรงบัลดาลใจใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ในทุกวัน ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sbdesignsquare.com หรือเข้าชมสินค้าจริงได้ที่ SB Design Square สาขาคริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ และ SB Design Square สาขาราชพฤกษ์     บทความน่าสนใจ SB สาขา CDC ปรับลุคเป็น Flagship Store ส่ง Zelection Built-in ปฏิวัติวงการบิลท์อิน
อีซี่วิซ รับเทรนด์ชีวิตยุคดิจิทัล ลุยตลาดสินค้าโซลูชั่น สมาร์ทโฮม

อีซี่วิซ รับเทรนด์ชีวิตยุคดิจิทัล ลุยตลาดสินค้าโซลูชั่น สมาร์ทโฮม

อีซี่วิซ อีซี่วิซ เปิดตัวสินค้าโซลูชั่น “บ้านอัจฉริยะ” รับไลฟ์สไตล์ชีวิตยุคดิจิทัล ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ กลุ่มอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยและเซ็นเซอร์ภายในบ้าน และกลุ่มสินค้าสมาร์ทโฮมอัจฉริยะ   นายวิคเตอร์ จาง ผู้อำนวยการฝ่ายขาย EZVIZ (อีซี่วิซ)  แบรนด์นวัตกรรมเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมโซลูชั่น เปิดเผยว่า ปัจจุบันแนวคิดบ้านแบบ Smart Home ไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากวิถีชีวิตของคนยุคปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนไป ดังนั้นบ้านจึงต้องปรับตามวิถีชีวิตของคนที่เปลี่ยนไปด้วย  โดยอีซี่วิซผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นด้านความปลอดภัยภายในบ้าน  ได้จับกระแสสมาร์ทโฮมที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่อยู่บ้านมากขึ้น   โดยได้มีการเปิดตัวสินค้าเพื่อพร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ของการใช้ชีวิตยุคดิจิทัล เปลี่ยนบ้านธรรมดา ให้เป็น “บ้านอัจฉริยะ” ผ่านอุปกรณ์นวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นที่ครบครัน มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย สามารถปรับแต่งการตั้งค่าได้ตามไลฟ์สไตล์ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย ยกระดับความปลอดภัย ดูแลความเรียบร้อยในบ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง   สำหรับสินค้าภายใต้แบรนด์อีซีวิซ มีไลน์อัพผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย​ ที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มและยกระดับบ้านให้กลายเป็นบ้านอัจฉริยะ ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยในบ้านในด้านต่าง ๆ ดังนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ ที่ใช้เทคโนโลยี AI  อาทิ กล้องสมาร์ท Wi-Fi “C8W Pro” สำหรับการดูแลความปลอดภัยภายนอกบ้าน ด้วยภาพคมชัดระดับ 3K ความละเอียดกว่า 5 ล้านพิกเซล พร้อมฟีเจอร์การตรวจจับบุคคลและรถยนต์  กล้องสมาร์ทโฮมในบ้าน รุ่น “C6” กล้องที่สามารถตรวจจับเสียง จดจำ และแยกแยะการตรวจจับความเคลื่อนไหวของมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยง  กล้องเบบี้แคร์อัจฉริยะ “Baby Monitor 1” (BM1)  สำหรับเฝ้าดูแลลูกน้อยผ่านจอภาพได้ตลอดเวลา มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ขับเคลื่อนด้วย AI อัจฉริยะ ตัวกล้องมีแบตเตอรี่ในตัว ที่สามารถชาร์จจากแผงโซลาร์เซลล์ได้ และยังมีให้เลือกอีกหลากหลายรุ่นตามการใช้งาน ในราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพและการใช้งานที่คุ้มค่า กลุ่มอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยและเซ็นเซอร์ภายในบ้าน  อุปกรณ์ประตูล็อกอัจฉริยะ (Smart Door Lock) ที่รองรับการปลดล็อกได้ทั้งลายนิ้วมือ รหัส คีย์การ์ด กุญแจ และแอปพลิเคชัน กริ่งประตูที่มาพร้อมกล้องวิดีโออัจฉริยะ ที่พร้อมจะแจ้งเตือนให้คุณรับรู้ได้ทันทีเมื่อมีคนยืนอยู่หน้าประตู ชุดอุปกรณ์สมาร์ทโฮมเซ็นเซอร์อัจฉริยะ (Home Sensor Kit) เกตเวย์เชื่อมต่อไร้สายในบ้าน เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว เซ็นเซอร์ตรวจจับการเปิด-ปิดประตูหรือหน้าต่าง และเซ็นเซอร์อัจฉริยะสำหรับดูแลผู้สูงอายุ ที่พร้อมทำหน้าที่เป็นปุ่มกดฉุกเฉินอัจฉริยะ ขอความช่วยเหลือได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน กลุ่มสินค้าสมาร์ทโฮมอัจฉริยะ อุปกรณ์ที่สามารถเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าให้ฉลาดขึ้นด้วยปลั๊กอัจฉริยะ (Smart Plug) ที่ควบคุมการปิด-เปิด หรือตั้งเวลาการใช้งาน ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมแบบ 2in1 เป็นทั้งกล้องวงจรปิดและไฟติดผนังในตัว และผลิตภัณฑ์เครื่องฟองอากาศ เพื่อให้คุณและครอบครัวได้สูดอากาศบริสุทธิ์ภายใน สำหรับอุปกรณ์ของอีซีวิซ มีการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติและเรียลไทม์ ช่วยให้การปกป้องดูแลบ้านให้ปลอดภัย  มีการพัฒนาระบบเพื่อเชื่อมโยงการสั่งงานผ่าน EZVIZ App ที่แอปเดียวสามารถควบคุมทุกอุปกรณ์ในบ้านได้จากทุกที่ทุกเวลาเพียงปลายนิ้วสัมผัสบนสมาร์ทโฟน   นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการปกป้องความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้งาน รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ด้วยระบบการรักษาความปลอดภัยแบบ 4 ชั้น ผ่านระบบการเข้ารหัสลับแบบ AES 128 บิต และการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของอีซี่วิซ บน EZVIZ CloudPlay สำหรับการบันทึกวิดีโออัตโนมัติและจัดเก็บอย่างปลอดภัย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] “EZVIZ” รุ่น C6W คว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นอัจฉริยะภายในบ้านแห่งปี จาก “IoT Innovator Award 2021”
[PR News] IWG จับมือ BDO รับเทรนด์การทำงานแบบไฮบริด เช่าพื้นที่ 500 ตร.ม.

[PR News] IWG จับมือ BDO รับเทรนด์การทำงานแบบไฮบริด เช่าพื้นที่ 500 ตร.ม.

ไอดับบลิวจี  (IWG) ผู้ให้บริการพื้นที่ทุกรูปแบบ ตามความต้องการของผู้ใช้  ในแบบเฟล็กซ์และไฮบริด ประกาศความร่วมมือกับ BDO เครือข่ายธุรกิจบัญชีขนาดใหญ่อันดับ 5 ของโลกที่ให้บริการครอบคลุมด้านประกัน ภาษี และที่ปรึกษาทางการเงินแก่ลูกค้าจากทุกมุมโลก   โดย BDO ไว้วางใจเลือกใช้พื้นที่ 500 ตร.ม. ที่ Regus Exchange Tower ใจกลางกรุงเทพฯ เป็นสำนักงานแบบไฮบริดที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ พนักงานของบริษัทจะสามารถเข้าถึงเครือข่ายของไอดับบลิวจี ทั่วโลกได้ โดยปัจจุบันมีพื้นที่ให้บริการในจุดสำคัญของประเทศไทยถึง 26 แห่ง ปัจจุบัน BDO ให้บริการลูกค้าบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ และกิจการระหว่างประเทศ  มีเครือข่ายทั่วโลก สำหรับไอดับบลิวจี นั้น มีพื้นที่สำนักงานในเมืองสำคัญทั่วโลกกว่า 120 ประเทศ กว่า 3,500 แห่งทั่วโลก  และมีความร่วมมือกับ BDO แล้วในสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น อิสราเอล และกายอานา จึงได้ขยายความร่วมมือในประเทศไทย ​   นายกาเร็ท เฮเวอร์ ซีอีโอ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ IWG เปิดเผยว่า ปัจจุบันหลาย ๆ บริษัทเปลี่ยนมาเป็นไฮบริดโมเดลมากขึ้น เพราะตอบโจทย์ความต้องการของทีมงานให้มีความยืดหยุ่นและสมดุลในชีวิต ทำงาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมเข้าไปมีส่วนร่วมและช่วยสนับสนุนลูกค้าได้เต็มที่ IWG จึงพยายามผลักดันเทรนด์พื้นที่การทำงานแบบไฮบริด ที่เป็นหนึ่งในโซลูชันบริการของเราที่ช่วยตอบโจทย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในรูปแบบใด   ปัจจุบัน IWG มีแบรนด์ในเครือหลากหลาย ได้แก่ Regus, Spaces, No18, Basepoint, Open Office และ Signature โดยในปี 2022  ได้มุ่งสร้างการเติบโตเชิงรุก จึงเตรียมเปิดจุดให้บริการอีก 8 แห่งเร็ว ๆ นี้  ในเขตปริมณฑล เนื่องจากมองเห็นโอกาสและศักยภาพของกรุงเทพฯ ที่จะพัฒนาเป็นการทำงานแบบไฮบริด ซึ่งจะส่งให้เครือข่ายของบริษัทเติบโต ขยายตัว และส่งเสริมการทำงานในพื้นที่ไฮบริด     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -IWG x รัตนากร ขยายสำนักงานให้เช่า วางเป้า 10 ปี 40 แห่งทั่วไทย -IWG จับมือ รัตนากร แอสเซท บริหารออฟฟิศให้เช่า 40 แห่งทั่วไทย
 [PR News] “Whizdom COEX” คอนโดแบรนด์ใหม่ ออกแบบพื้นที่เพื่อคนเจนใหม่

 [PR News] “Whizdom COEX” คอนโดแบรนด์ใหม่ ออกแบบพื้นที่เพื่อคนเจนใหม่

MQDC เปิดโครงการแนวใหม่ "Whizdom COEX" MQDC บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประกาศเปิดตัวแบรนด์ Whizdom COEX (วิสซ์ดอม โคเอ็กซ์) อย่างเป็นทางการ ชูแนวคิดพื้นที่เจนใหม่ที่ตอบสนองทุกด้านของชีวิตให้อยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่ไม่หยุดนิ่ง และเอนจอยไปกับการใช้ชีวิตในแบบของตัวเองได้ในพื้นที่แห่งนี้   MQDC เปิดโครงการแนวใหม่ "Whizdom COEX" นายอัษฎา แก้วเขียว ประธานผู้อำนวยการ-วิสซ์ดอม โดย MQDC กล่าวว่า “Whizdom COEX คือแบรนด์ที่การศึกษาวิถีชีวิตและเทรนด์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยเจนใหม่ ทำให้พบว่าสิ่งที่พวกเขามองหานั้นไม่เพียงแต่เป็นที่พักอาศัยที่สะดวกสบายเท่านั้น แต่คือพื้นที่ที่ส่งเสริมการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้านให้มีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งยังต้องสามารถสะท้อนไลฟ์สไตล์ที่เป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ทั้งการทำงาน การเรียน ไปจนถึงกิจกรรมความบันเทิงและไลฟ์สไตล์อื่นๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของคนเจนใหม่ได้ครบจบในที่เดียว” . Whizdom COEX สะท้อนการออกแบบพื้นที่เจนใหม่ (Smart New Generation Space) โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากแนวคิด ‘Enjoyable Coexistence’ หรือการออกแบบพื้นที่ให้ผู้อยู่อาศัยสามารถสนุกไปกับการใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง (Co-live) เต็มที่กับงานที่ทำ (Co-work) ไม่หยุดเรียนรู้ (Co-learn) และเอนจอยไปกับทุกๆ กิจกรรมร่วมกันได้อย่างไร้ขีดจำกัด (Co-play) ผ่านนวัตกรรมการดีไซน์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนเจนใหม่ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่พักอาศัยหรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ล้วนถูกออกแบบให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งคอนเซ็ปต์ดังกล่าวนี้จะถูกนำไปต่อยอดและประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในทำเลต่างๆ ภายใต้แบรนด์ Whizdom COEX ต่อไปในอนาคต โดยสะท้อนผ่านแนวคิดการออกแบบ 4 ด้าน ได้แก่ การผสานเทคโนโลยีดิจิทัล (Digitalization) การสร้างพื้นที่สีเขียว (Naturalization) การเชื่อมต่อประสบการณ์ทุกด้าน (Experience) และการออกแบบที่พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง (Adaptability) . Digitalization – ผสานเทคโนโลยีดิจิทัล ภายในโครงการของ Whizdom COEX นั้นได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการดีไซน์เข้ามาผสมผสานเพื่อมอบประสบการณ์ที่สะดวกสบายและตอบรับไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน นำโดย Smart Living ที่ประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ เช่น Smart Locker รักษาความปลอดภัยให้ของชิ้นสำคัญ หรือ Smart Storage พื้นที่สำหรับเก็บของเพิ่มเติมสำหรับสิ่งของที่ไม่ค่อยได้ใช้ เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในห้อง ไปจนถึงระบบ Home Automation ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ อาคารของโครงการ Whizdom COEX ยังออกแบบให้เป็น Smart Building ที่ติดตั้ง Central Utilities Plant (CUP) หรือนวัตกรรมระบบปรับอากาศที่ทำความเย็นผ่านท่อน้ำเย็น ช่วยลดอุณหภูมิและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงระบบจอดรถอัตโนมัติ (Automatic Parking) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้อยู่อาศัยในโครงการ . Naturalization – สร้างพื้นที่สีเขียว นอกจากนี้ Whizdom COEX ยังให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่อไลฟ์สไตล์เข้ากับพื้นที่สีเขียว ให้ผู้อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีจากธรรมชาติบำบัด การสร้างพื้นที่สีเขียวภายในโครงการนั้นยังรวมถึง Pocket Garden ที่กระจายตัวอยู่ทุกที่ ทั้งบริเวณที่พักอาศัย พื้นที่ส่วนกลาง และภายนอกอาคาร อีกทั้ง Whizdom COEX ยังตอกย้ำ ‘มาตรฐานวิสซ์ดอม’ ด้วยการออกแบบที่ใส่ใจต่อสุขภาพของผู้พักอาศัยตั้งแต่เดินเข้าโครงการ ไม่ว่าจะเป็น Sound Absorption ลดมลภาวะทางเสียง และ Air Filtration เพื่อลดมลภาวะทางอากาศโดยรอบโครงการ และยังรวมไปถึงการใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานเพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและลดปริมาณการใช้น้ำของทั้งโครงการ . Experience – เชื่อมต่อประสบการณ์ทุกด้าน อีกหนึ่งจุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของ Whizdom COEX คือ ‘COEX Space’ หรือพื้นที่ส่วนกลางที่เปิดโอกาสให้ทั้งสมาชิกวิสซ์ดอมและผู้คนในชุมชนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งไม่ว่าจะมีไลฟ์สไตล์แบบไหน พื้นที่แห่งนี้ก็สามารถตอบโจทย์ Seamless Life Experience ที่คนเจนใหม่มองหาได้อย่างครบวงจร โดยใน COEX Space ประกอบไปด้วยโซนต่างๆ ได้แก่ CO-Café คาเฟ่และร้านอาหารที่เติมพลังด้วยอาหารเช้าพร้อมเสิร์ฟและเมนูที่หลากหลายไว้คอยต้อนรับสำหรับการนั่งทำงานตลอดทั้งวัน CO-Play & Creation Space หรือ Smart Co-working Space ที่สามารถปรับเปลี่ยนตามรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายได้ ทั้งกิจกรรมเวิร์คช็อป การประชุม หรือการทำงานที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ไปจนถึงการจัดอีเวนต์ รวมถึง CO-Kitchen & Dining ซึ่งเป็นโซนที่รวบรวมร้านอาหารต่างๆ สามารถใช้พบปะสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนในบรรยากาศที่เป็นกันเองและผ่อนคลายได้ นอกจากนี้ ภายใน COEX Space ยังมี CO-Active & Digital Lifestyle หรือพื้นที่สำหรับการออกกำลังกายพร้อมกิจกรรมและอุปกรณ์แบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่ไม่ว่าจะเล่นคนเดียวหรือสนุกกับกลุ่มเพื่อนก็สามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง  . Adaptability – พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง ทุกรายละเอียดภายในโครงการของแบรนด์ Whizdom COEX ได้ถูกคิดค้นและออกแบบให้ตอบสนองวิถีชีวิตยุคใหม่และตอบรับความต้องการที่แตกต่าง ในขณะเดียวกัน ยังคำนึงถึงการดีไซน์ที่พร้อมรองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต อาทิ การออกแบบโครงสร้างอาคารที่มาพร้อมโซลูชันป้องกันน้ำท่วม (Flood Prevention) การติดตั้งระบบฆ่าเชื้อโรคก่อนเข้าอาคารและจุดบริการแบบไร้สัมผัสเพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับผู้อยู่อาศัย หรือการออกแบบระบบท่อน้ำที่คำนึงถึงขั้นตอนการบำรุงรักษาที่สะดวก ไม่รบกวนผู้ที่พักอาศัยห้องอื่น ไปจนถึงการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางแบบ Universal Design ที่เอื้อต่อการใช้งานของคนทุกกลุ่ม ทุกวัย เป็นต้น MQDC เปิดโครงการแนวใหม่ "Whizdom COEX" “ด้วยจุดเด่นในด้านการจัดสรรพื้นที่และฟังก์ชันสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทำให้ Whizdom COEX เป็นคอนเซ็ปต์โครงการที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบรับเทรนด์และความต้องการของผู้คนยุคใหม่ได้ในทุกมิติ และนอกจากการผสานนวัตกรรมการอยู่อาศัยสำหรับไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งแล้ว เรายังตั้งใจออกแบบให้ Whizdom COEX เป็นพื้นที่แห่งการสร้างแรงบันดาลใจและสนับสนุนให้ผู้อยู่อาศัยได้ปลดล็อครูปแบบการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน เต็มที่ไปกับทุกกิจกรรมได้อย่างมีความสุข ซึ่งนั่นจะนำไปสู่การค้นพบศักยภาพของตนเองและต่อยอดไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน เกิดเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนโดยคนเจนใหม่เพื่ออนาคตที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งเราหวังว่าโครงการจาก Whizdom COEX จะเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์และเติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้อย่างเเท้จริง” นายอัษฎา กล่าวสรุป โดย MQDC เตรียมเปิดตัวโครงการ ‘Whizdom COEX Pinklao’ (วิสซ์ดอม โคเอ็กซ์ ปิ่นเกล้า) โครงการที่อยู่อาศัยแห่งแรกภายใต้แบรนด์ Whizdom COEX ในรูปแบบคอนโดมิเนียมมิกซ์ยูส บนพื้นที่รวมกว่า 4 ไร่ บนถนนจรัญสนิทวงศ์ โดยโครงการประกอบไปด้วย 2 ทาวเวอร์ ตั้งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีบางยี่ขัน ซึ่งมี ‘COEX Space’ พื้นที่ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้ภายในโครงการ ตอบสนองไลฟ์สไตล์ทุกด้านของชีวิต ให้ทั้งการอยู่อาศัย การทำงาน การเรียน และทุกกิจกรรม ล้วนสามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้บนพื้นที่แห่งอนาคตนี้   บทความสำคัญ MQDC เปิดขาย “Whizdom The Forestias : Mytopia” อย่างเป็นทางการ MQDC เผยความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” บ้านอัลตร้าลักชัวรี่ ทำยอดขายแล้ว 4,700 ล้าน MQDC คว้ารางวัล Thailand’s Best Managed Companies 2022 จาก “ดีลอยท์ ประเทศไทย”
MQDC คว้ารางวัล Thailand’s Best Managed Companies 2022 จาก “ดีลอยท์ ประเทศไทย”

MQDC คว้ารางวัล Thailand’s Best Managed Companies 2022 จาก “ดีลอยท์ ประเทศไทย”

MQDC คว้ารางวัล Thailand’s Best Managed Companies 2022   MQDC คว้ารางวัล “บริษัทที่มีการบริหารจัดการดีที่สุดของประเทศไทยปี 2565” หรือ Thailand’s Best Managed Companies 2022  จากการคัดเลือกโดยดีลอยท์ ประเทศไทย ตอกย้ำพันธกิจหลักขององค์กร ที่มุ่งมั่นในการริเริ่ม คิดค้น และพัฒนานวัตกรรม เพื่อมอบความสุขและสร้างสุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับทุกสิ่งบนโลก    นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ เปิดเผยว่า MQDC ได้รับรางวัล “บริษัทที่มีการบริหารจัดการดีที่สุดของประเทศไทยปี 2565” หรือ Thailand’s Best Managed Companies 2022  จากดีลอยท์ ประเทศไทย  ซึ่งเป็นองค์กรที่ปรึกษาทางธุรกิจระดับโลก โดยรางวัลดังกล่าวสะท้อนถึงวิสัยทัศน์และพันธกิจของ MQDC ที่มีความมุ่งมั่นในการนำองค์กรสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน ด้วยการบริหารจัดการ กำหนดนโยบายการทำงานอย่างมีจริยธรรม และมีการกำกับดูแลกิจการและบริหารทางการเงินที่ดี   “MQDC รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัล “Best Managed Companies ซึ่งรางวัลดังกล่าวสะท้อนถึงวิสัยทัศน์และพันธกิจของ MQDC และตอกย้ำพันธกิจหลักขององค์กร ที่มุ่งมั่นในการริเริ่ม คิดค้น และพัฒนานวัตกรรม เพื่อมอบความสุขและสร้างสุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืน ให้กับทุกสิ่งบนโลก หรือ ‘Pioneering in Sustainnovation for All Well-Being’”   สำหรับ “รางวัล Thailand’s Best Managed Companies 2022  ถือได้ว่าเป็นรางวัลอีกอีกก้าวที่สำคัญของทีมงานทุกคนในองค์กร และยังสะท้อนถึงความตั้งใจของพนักงาน MQDC ทุกคน ที่ร่วมมือร่วมแรงในการขับเคลื่อนบริษัทให้เป็นองค์กรแห่ง “นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน” โดย MQDC มีการตั้งมาตรฐานในการดำเนินงานหรือ MQDC Standard ที่ครอบคลุมทั้งด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ และระบบนิเวศของที่อยู่อาศัยโดยรอบ เพื่อตอบโจทย์การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนอย่างแท้จริง   นอกจากนี้ MQDC ยังให้การสนับสนุกงานด้านการวิจัยและนวัตกรรม  ด้วยการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา สำหรับคิดค้นและสร้างนวัตกรรม  ที่นำไปสู่ความยั่งยืนของการอยู่อาศัย รวมถึงมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมให้กับสังคม พัฒนาการใช้ชีวิตในด้านต่าง ๆ   และสร้างสรรค์กิจกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของชุมชน ในทุกโครงการของ MQDC   ทั้งนี้ รางวัล Thailand’s Best Managed Companies 2022 จัดโดยบริษัท ดีลอยท์ ประเทศไทย ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำในระดับนานาชาติ  ที่มีกระบวนการคัดเลือกพิจารณาองค์กรที่เข้ารอบ และมีขั้นตอนการตัดสินอย่างเข้มงวด โดยมีคณะกรรมการอิสระ ซึ่งประกอบไปด้วยตัวแทนจากภาคธุรกิจ และสถาบันการศึกษาเป็นผู้ทำหน้าที่ตัดสินตามแนวทางปฏิบัติสากล ของการคัดเลือกผู้ได้รับรางวัล Best Managed Companies ของดีลอยท์   สำหรับบริษัทที่เข้าร่วมการคัดเลือก จะต้องผ่านการประเมินทักษะและแนวทางการบริหาร  ซึ่งประกอบไปด้วยการวิเคราะห์กลยุทธ์ วิเคราะห์การดำเนินงานทางธุรกิจ ความสามารถและนวัตกรรม วัฒนธรรมองค์กรและพันธสัญญา ตลอดจนการกำกับดูแลภายในองค์กร และการเงินขององค์กร รวมถึงมีการประเมินเปรียบเทียบ กับกรอบการประเมิน ที่ได้มีการใช้กับบริษัทเอกชน ซึ่งมีการจัดการที่ดีที่สุดทั่วโลกกว่า 1,200 แห่ง   โดย Best Managed Companies เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม Deloitte Private โดยการพิจารณารางวัลใช้มาตรฐานและกระบวนการตัดสินเดียวกันทั่วโลก รางวัล Best Managed Companies จัดทำขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลา 29 ปีตั้งแต่ พ.ศ. 2536 เริ่มจากประเทศแคนาดา และปัจจุบันรางวัลนี้ได้กลายเป็นรางวัลด้านธุรกิจที่สำคัญรางวัลหนึ่งของโลก   ด้านนายสุภศักดิ์ กฤษณามระ กรรมการผู้จัดการ ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า การมอบรางวัล Best Managed Companies สะท้อนความสำเร็จของบริษัทเอกชน ที่ได้ดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่น ในการดำเนินธุรกิจด้วย  มาตรฐานการบริหารจัดการระดับสูง ด้วยนวัตกรรมและประสิทธิภาพระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม  และได้รับการยอมรับในระดับประเทศและระดับนานาชาติ     “บริษัทผู้ชนะ Best Managed Companies ประจำปี 2565 ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในทุกด้านที่กล่าวมา ขอแสดงความยินดีกับบริษัทผู้ชนะทุกบริษัท นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมยินดีกับและสนับสนุนพันธกิจที่พวกเขาที่มีต่อบุคลากร ลูกค้า และชุมชนอย่างต่อเนื่อง” ข่าวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง DTGO คว้ารางวัลองค์กรมีจริยธรรมมากที่สุดในโลก ปี 2022 MQDC เผยความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์”
[PR News]เปิดตัว “โอ๊ควู้ด สตูดิโอส์ สุขุมวิท แบงค็อก”

[PR News]เปิดตัว “โอ๊ควู้ด สตูดิโอส์ สุขุมวิท แบงค็อก”

โอ๊ควู้ด สตูดิโอส์ สุขุมวิท แบงค็อก “บูทิค คอร์ปอเรชั่น” จับมือเชนโรงแรมชั้นนำระดับโลก “Oakwood” ขานรับเปิดประเทศเต็มรูปแบบ บูมท่องเที่ยวไทย ปักหมุดทำเลซีบีดี ผุด “โอ๊ควู้ด สตูดิโอส์ สุขุมวิท แบงค็อก” มูลค่าโครงการกว่า 1,250 ล้านบาท โดดเด่นด้วยห้องพักสุดชิคสไตล์ Studio Type แห่งที่ 2 ของเอเชีย ในเครือ Oakwood บนทำเลทองสุขุมวิท ศูนย์กลางย่านธุรกิจและไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม การเดินทางสะดวกสบายใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีทองหล่อ พร้อมมาตรฐานบริการระดับโลก นายปรับ ทักราล (Mr. Prab Thakral) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BC กลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้พัฒนา “โอ๊ควู้ด สตูดิโอส์ สุขุมวิท แบงค็อก” (Oakwood Studios Sukhumvit  Bangkok) โรงแรมระดับ 4 ดาว สูง 8 ชั้น จำนวน 177 ห้อง ตั้งอยู่บนพื้นที่เกือบ 1 ไร่ ในซอยสุขุมวิท 36 ใกล้ทองหล่อ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,250 ล้านบาท ได้รับ การออกแบบภายใต้แนวคิด Stylish Modern Hotel ในสไตล์ที่ทันสมัย โอ๊ควู้ด สตูดิโอส์ สุขุมวิท แบงค็อก หลังจากการกลับมาเปิดประเทศ เราเห็นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวขาเข้ามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เริ่มออกเดินทางท่องเที่ยว และกลับมายังประเทศไทย นอกจากนี้เรายังเห็นการขยายตัวและเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวจากอินเดียที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่หายไปของนักท่องเที่ยวจีน โดยคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะสามารถฟื้นตัวเต็มที่ได้ภายในปี 2568 ทั้งนี้โดยการพัฒนาและเปิดตัวโรงแรมโอ๊ควู้ด สตูดิโอส์ สุขุมวิท แบงค็อก สอดรับกับกลยุทธ์การเติบโตที่มั่นคงของบริษัทฯ ที่เน้นการสร้างผลตอบแทนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากตั้งอยู่ในทำเลย่านทองหล่อที่คึกคักและทันสมัย โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นคนรุ่นใหม่ นายปรับ กล่าว . นายปรับ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการสร้าง ดำเนินการ และการขาย  รวมถึงการเปิดตัวธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจด้านสุขภาพเพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ และสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ทั้งจากการขยายธุรกิจเดิมและสร้างธุรกิจใหม่ เพื่อสร้าง การเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน . . นางสาวลีน่า อับดุลลาห์ (Ms. Lina Abdullah)  ผู้อำนวยการฝ่ายปฎิบัติการประจำประเทศไทย, Oakwood Thailand  กล่าวว่า “บริษัทฯ รู้สึกตื่นเต้นในการขยายธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยด้วยการเปิดตัวของ “โอ๊ควู้ด สตูดิโอส์ สุขุมวิท แบงค็อก” การได้นำโรงแรมในสไตล์ Studio Type มาเปิดในประเทศไทย เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง ดิฉันภูมิใจในทีมคุณภาพของเราที่สามารถนำแบรนด์ Oakwood Studios เข้าสู่ยุคใหม่ และทำให้โรงแรมของเราเป็นที่น่าจับตาด้วยการนำประสบการณ์ใหม่ๆ มามอบให้กับแขกผู้เข้าพักโรงแรมในย่านสุขุมวิท ซึ่งเป็นหนึ่งในทำเลที่มีความสำคัญที่สุดของกรุงเทพฯ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ แหล่งท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง ร้านอาหาร และสถานบันเทิงระดับฟรีเมียม . . สำหรับ โรงแรมโอ๊ควู้ด สตูดิโอส์ สุขุมวิท แบงค็อก เป็นโครงการอับดับที่ 4  ซึ่ง โอ๊ควู้ด ได้เข้ามาบริหารให้กับ BC โดยได้ เริ่มเปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2565 ตั้งอยู่บนทำเลใจกลางกรุงเทพฯ โดยเป็นโรงแรมในสไตล์ Studio Type แห่งที่ 2 ของเอเชีย ที่อยู่ในเครือ Oakwood ให้บริการด้วยมาตรฐานระดับโลกซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ Oakwood  โดยมีห้องพักจำนวน 177 ห้อง ไว้ให้บริการหลายรูปแบบ ได้แก่ Superior King, Superior Twin, Studio Deluxe, Studio Executive และ Studio Premier ภายในห้องพักเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย สระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนส ห้องพักพร้อมครัว สำหรับรองรับลูกค้า Long Stay ช่องเคเบิลที่หลากหลาย การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อความเพลิดเพลินระหว่างการพักผ่อน  การเดินทางสะดวกด้วยระบบคมนาคมที่เชื่อมโยงทั้งถนนสายหลัก สายรอง รถไฟฟ้า และระบบขนส่งมวลชน พร้อมการเดินทางที่สามารถเข้า-ออกได้ 2 ทาง ทั้งถนนสุขุมวิท และถนนพระราม 4 . . นอกจากนี้ ภายในโรงแรมโอ๊ควู้ด สตูดิโอส์ สุขุมวิท แบงค็อกยังมีห้องประชุมขนาด 10 คน และ Co-Working Space, Business Center พร้อมทั้งห้องอาหาร Vibrante Restaurant & Bar สำหรับรองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ พร้อมด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนส รถชัตเตอร์บัสเพื่อรับ-ส่งไปยัง BTS ทองหล่อ รวมทั้งยังเป็นโรงแรมที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยงด้วยโซนห้องพักที่สามารถนำสัตว์เลี้ยงเข้าพักได้  เพื่อให้ผู้เข้าพักทุกคนได้สัมผัสกับประสบการณ์การพักผ่อนสุดประทับใจ   บทความน่าสนใจ แอสคอทท์ ทองหล่อ เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ มาตรฐานโรงแรม 5 ดาว [PR News] เลอ เมอริเดียน จับมือ โตโต้ พลิกโฉมโรงแรมใหม่ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ขายทิ้ง “Kiroro Resort Holding”                
[PR News] MQDC เปิดขาย “Whizdom The Forestias : Mytopia”  อย่างเป็นทางการ

[PR News] MQDC เปิดขาย “Whizdom The Forestias : Mytopia” อย่างเป็นทางการ

MQDC เปิดขาย “Whizdom The Forestias : Mytopia” MQDC หรือ แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น ประกาศเปิดขายที่พักอาศัยโครงการ Whizdom The Forestias : Mytopia ซึ่งตั้งอยู่ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ โครงการเมืองแห่งแรกที่ออกแบบทุกมิติเพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี และมีความสุข บนถนนบางนา-ตราด ก.ม.7 โดยเริ่มมีผู้สนใจนัดหมายเข้าเยี่ยมชมโครงการอย่างต่อเนื่อง MQDC เปิดขาย “Whizdom The Forestias : Mytopia” นายอัษฎา แก้วเขียว ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ MQDC กล่าวว่า “Mytopia เป็นหนึ่งในอาคารโครงการที่พักอาศัย Whizdom The Forestias ซึ่งได้รับความสนใจและการตอบรับจากตลาดอย่างดี โดยอาคารที่เปิดขายไปก่อนหน้านี้ ทำยอดขายทะลุมากกว่า 70% ซึ่งปัจจัยความสำเร็จของ Whizdom The Forestias อยู่ที่การนำเสนอมาตรฐานใหม่ของบ้านแบบ Vertical Living ที่ดึงเอาจุดดีและจุดเด่นของบ้านและคอนโดมิเนียมมาหลอมรวมกัน ทำให้การอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ประกอบกับการผสานนวัตกรรมการดีไซน์ตอบสนองทุกฟังก์ชั่นของการใช้ชีวิต ผ่านกระบวนการคิดออกแบบจากรากฐานแห่งการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Live it all ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์หลากหลายรูปแบบได้ครบจบในที่เดียว พร้อมมอบการใช้ชีวิตที่กลมกลืนใกล้ชิดกับธรรมชาติ และการมีทำเลที่ตั้งอยู่ในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ โครงการเมืองที่มุ่งเน้นเรื่องสุขภาพและความสุข ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการยอมรับและได้รับรางวัลมากมายจากองค์กรและสถาบันชั้นนำทั้งภายในประเทศและระดับโลก” MQDC เปิดขาย “Whizdom The Forestias : Mytopia” Whizdom The Forestias เป็นตัวอย่างที่ตอกย้ำความโดดเด่นของแบรนด์ Whizdom ที่มุ่งเน้นเป็นผู้สร้างสรรค์และพัฒนาอีโคซิสเต็ม (Ecosystem) สำหรับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ (Next Generation Living) ผ่านการผสานนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ที่หลากหลายไลฟ์สไตล์และเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ ที่ผลการสำรวจพบว่าส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับความสุขและคุณภาพชีวิต การมีเซฟโซน โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบของครอบครัว ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการใช้เงิน โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบของการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินต่างๆ และสิ่งที่มีค่าที่สุดที่ให้ความสำคัญคือเวลา ทั้งหมดนี้ถอดรหัสออกมาเป็นสิ่งต่างๆ ที่ใส่เข้าไปในโครงการของ Whizdom อาทิ การออกแบบที่พักอาศัยและพื้นที่ส่วนกลางที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยใช้เวลาได้อย่างมีคุณภาพอย่างแท้จริง การผสานธรรมชาติ การจัดอาหารเช้าที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และรวมถึงโลเคชั่นที่ตั้งที่สะดวกสบายและครบครัน เป็นต้น ทั้งนี้ ความพิเศษอย่างหนึ่งของ Whizdom The Forestias : Mytopia คือเป็นคอนโดมิเนียมสูง 42 ชั้น ตัวอาคารตั้งอยู่ใกล้ชิดกับผืนป่าขนาดใหญ่ 30 ไร่ ซึ่งเป็นหัวใจของโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ โดยตัวอาคารหันหน้าเข้าหาผืนป่า ทำให้เปิดรับทิวทัศน์และอากาศบริสุทธ์จากผืนป่าอย่างเต็มที่ เมื่อมองจากชั้นสูงจะได้วิวยอดไม้ที่ลดหลั่นอุดมสมบูรณ์ หรือหากอยู่ที่ชั้นไม่สูงมากนัก จะได้ความรู้สึกกลมกลืนราวกับเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Whizdom The Forestias Whizdom The Forestias : Mytopia ประกอบไปด้วยที่พักอาศัย จำนวน 360 ยูนิต มีตั้งแต่แบบ 1 ห้องนอน 2 ห้องนอน 3 ห้องนอน ห้องแบบดูเพล็กซ์ แบบเพ้นเฮ้าส์ และแบบฟอเรสต์ ดูเพล็กซ์ เพ้นเฮ้าส์ ขนาดเริ่มต้นตั้งแต่ 34 ตารางเมตรไปจนถึง 190 ตารางเมตร ราคา 5.7 - 32.7 ล้านบาท โดยที่พักอาศัยที่เป็นไฮไลท์ของโครงการ คือห้อง Loft ที่ออกแบบมาให้ผู้อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ด้วยห้องสูงสามารถสัมผัสวิวป่าได้อย่างเต็มที่ และเพดานห้องที่สูงถึง 5.4 เมตร ยังช่วยทำให้การตกแต่งสไตล์ลอฟต์มีความโดดเด่นออกมาอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังออกแบบเพิ่มพื้นที่ให้กับบริเวณชั้นลอย โดยยังคงความรู้สึกสบายและเป็นส่วนตัวด้วยการแยกพื้นที่ระหว่างห้องนอนที่อยู่ชั้นลอยด้านบน กับห้องนั่งเล่นที่อยู่ชั้นล่าง และจัดสรรพื้นที่ครัวแบบปิด พร้อมกับออกแบบพื้นที่และจัดวางเฟอร์นิเจอร์ให้สะท้อนไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่   MQDC เปิดขาย Whizdom The Forestias : Mytopia ภายในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ อย่างเป็นทางการไปเมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมโครงการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อนัดหมายเข้าชมโครงการ พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ Call Center 1265, LINE: @MQDC หรือ https://mqdc.com/discover-project/whizdom/theforestias   Whizdom The Forestias เป็นโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวยุคใหม่ที่มีลูกเล็ก คู่รักที่แต่งงานแต่ยังไม่มีลูก คนโสด หรือคนที่รักสัตว์เลี้ยง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Live it all” โดยอีกจุดโดดเด่นของโครงการ Whizdom The Forestias คือความสูงจากพื้นดินของตัวอาคารที่เอื้อให้มองเห็นพื้นที่ทั้งหมดของผืนป่า สร้างประสบการณ์พื้นที่สีเขียวตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าสู่โครงการในแบบที่ไม่เคยสัมผัสจากที่ใดมาก่อน และด้วยโครงสร้างของอาคารที่ถูกยกให้อยู่เหนือฐานของโพเดียม ทำให้มองดูเหมือนลอยอยู่บนยอดไม้ โดยผู้อยู่อาศัยยังสามารถทำกิจกรรมต่างๆ อย่างมีความสุขกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่มากมายและครบครัน รองรับกิจกรรมสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ โดยชั้นบนของโพเดียมจะเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่พาดระหว่าง 2 อาคาร มีพื้นที่สระว่ายน้ำและเครื่องเล่นสำหรับเด็ก พื้นที่พักผ่อนใกล้กับสระว่ายน้ำ สวนกลางแจ้ง ยิมในร่ม Pool Lounge และพื้นที่ในอาคารสาหรับเด็กๆ นอกจากนี้ façade ของอาคารยังเลือกใช้โครงเหล็กแบบเมกาเฟรมที่สูงกว่า 3 เท่า ซึ่งนอกจากจะให้ความรู้สึกไฮเอนด์แล้ว ยังช่วยป้องกันรังสีจากแสงแดดภายนอกเข้าสู่ภายใน และในส่วนทางเดินบริเวณล็อบบี้ลิฟต์ ยังออกแบบให้มีการระบายอากาศตามธรรมชาติอีกด้วย     . Whizdom The Forestias ประกอบไปด้วย 3 อาคารได้แก่ Destinia, Mytopia, และ Petopia อาคาร Whizdom The Forestias : Destinia มุ่งเน้นตอบโจทย์ครอบครัวยุคใหม่ที่มีลูกเล็ก  อาคาร Whizdom The Forestias : Mytopia มุ่งเน้นตอบโจทย์คนโสด หรือคู่รักที่แต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีลูก อาคาร Whizdom The Forestias : Petopia มุ่งเน้นตอบโจทย์คนรักสัตว์เลี้ยง โดยเป็นคอนโดมิเนียมที่ทำการศึกษาวิจัยอย่างรอบด้าน ออกแบบทุกรายละเอียดและทุกมิติ ในโครงการ สภาพแวดล้อม และการใช้ชีวิตในทุกวัน เพื่อคนที่รักและชื่นชอบสัตว์เลี้ยง ให้สามารถอยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย . โครงการ ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 398 ไร่ บนถนนบางนา-ตราด ซึ่งเป็นเส้นทางสู่พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่กำลังเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยพื้นที่อันกว้างใหญ่ของ ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ ประกอบไปด้วยพื้นที่สวนสาธารณะ ธรรมชาติ โครงการที่พักอาศัยหลากหลายแบรนด์ที่ตอบโจทย์หลากหลายไลฟ์สไตล์และช่วงวัย รวมไปถึงพื้นที่เพื่อกิจกรรมชุมชนต่างๆ และพื้นที่เชิงธุรกิจที่มุ่งเน้นส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี ท่ามกลางธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่มีคุณภาพ   บทความที่น่าสนใจ MQDC เผยความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” บ้านอัลตร้าลักชัวรี่ ทำยอดขายแล้ว 4,700 ล้าน เปิดขายบ้าน-คอนโดใน “เดอะ ฟอเรสเทียส์” MQDC เคาะราคาสูงสุด 250 ล้าน MQDC เตรียมเปิด “เดอะ ฟอเรสเทียร์” เมกะโปรเจกต์ 2.5 แสนล้าน ต้นปี 2564
[PR News] คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปลื้ม! “AROM JOMTIEN” ยอดขายทะลุ 15

[PR News] คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปลื้ม! “AROM JOMTIEN” ยอดขายทะลุ 15

“AROM JOMTIEN” ยอดขายทะลุ 15  คอนโดฯใหม่หนึ่งเดียวริมหาดจอมเทียน ภายใต้แนวคิด SENSE THE SOULFULLNESS   “คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” ชี้ตลาดคอนโดมิเนียมลักชัวรี่ริมหาดในทำเลพัทยา ยังมีดีมานด์ สะท้อนผ่านกระแสตอบรับของลูกค้าโครงการคอนโดมิเนียม AROM JOMTIEN หลังเพิ่งเปิดตัว 2 เดือนยอดขายทะลุ 15%   “AROM JOMTIEN” ชูจุดเด่นทำเลริมหาดจอมเทียน ความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของแบรนด์ AROM  ผ่านแนวคิด SENSE THE SOULFULLNESS โครงการ BEACH FRONT CONDOMINIUM แบบ พร้อม Direct sea view ทุกยูนิต ภายใต้ AROM COLLECTION มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท . นายเฉลิมพล โขนแจ่ม กรรมการผู้จัดการ บริษัท คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด บริษัทผู้ประกอบการอสังหาฯ เปิดเผยว่า ตลาดคอนโดฯในพัทยา จังหวัดชลบุรี โดยรวมของตลาดยังอยู่ในภาวะที่ “ทรงตัว” แต่ในบางทำเลและโปรดักส์ชัดเจน เช่น ทำเลที่ติดหาด และเป็นโครงการลักชัวรี่ ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ขณะที่ทำเลในตัวเมืองพัทยาคงใช้เวลาอีกระยะ  ถึงจะฟื้นตัว และมีการพัฒนาโครงการที่ค่อนข้างแออัดจะแตกต่างจากพื้นที่ริมหาดเช่นหาดจอมเทียนยังมีพื้นที่ที่พร้อมจะพัฒนาอีกมาก     สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อคอนโดฯเท่าที่เห็นจากโครงการแบรนด์ “อารมณ์” (AROM )จะเป็นเจ้าของกิจการ ผู้บริหารระดับสูงที่เป็นคนไทยทำงานในกรุงเทพฯ และมีลูกค้าต่างชาติที่ทยอยเข้ามาซื้อบ้างแล้วจะมาจาก ฮ่องกง ยุโรป ส่วนลูกค้าจากจีนยังไม่ขยับมีเพียงการเริ่มติดต่อเข้ามารอเพียงแต่เปิดให้เดินทางออกนอกประเทศได้เท่านั้น โดยบริษัทฯเตรียมความพร้อมรองรับลูกค้าเต็มที่ โดยเอเจ้นท์ที่ฮ่องกงเริ่มนำโครงการของบริษัทฯไปจัดอีเว้นต์แล้วเช่นกัน  . ส่งต่อความสำเร็จยอดขายคอนโดฯแบรนด์ “อารมณ์” 2 ทำเลริมหาดพัทยา เมืองที่เป็นบ้านหลังที่สองตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า . ปัจจุบันบริษัทฯมีคอนโดมิเนียมแบรนด์ “อารมณ์” (AROM) อยู่ 2 โครงการ 2 ทำเล คือที่หาดวงศ์อมาตย์ และโครงการล่าสุดที่หาดจอมเทียน ที่เพิ่งเปิดสำนักงานขายไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 นั้นลูกค้าให้การตอบรับค่อนข้างดีสามารถทำยอดขายได้ 15% โดยส่วนใหญ่จะเป็นยอดขายที่เกิดจากฐานลูกค้าเก่าที่ซื้อเป็นบ้านหลังที่ 2 ไว้พักผ่อน โดยมี 2 เหตุผลหลักๆ ที่ตัดสินใจซื้อ คือ . ชื่นชอบในทำเลที่ตั้งของโครงการที่ตั้งอยู่ริมหาดจอมเทียน ซึ่งก็ถือว่าเป็นUnseen อีกแห่งของเมืองพัทยา ที่สามารถนั่งชม พระอาทิตย์ตกดิน วิวพาโนรามา ที่ใกล้กรุงเทพมาก เดินทางเพียงไม่กี่นาทีก็ถึง อีกทั้งพื้นที่ริมหาดจอมเทียน ถือเป็นอีกทำเลที่พร้อมรับทุกการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าอยู่เสมอ ที่ตัดสินใจซื้อก็คือ ความโดดเด่นของรายละเอียดต่างๆในโครงการอารมณ์ จอมเทียน ที่ตอบโจทย์ความต้องการและ Lifestyle  ของผู้พักอาศัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ   “AROM JOMTIEN” โดยในด้านของทำเลที่ตั้ง โครงการ อารมณ์ จอมเทียน นั้นนายเฉลิมพล ได้ขยายความว่า จากการลงทุนของภาครัฐทั้งจากภาครัฐบาลและระดับท้องถิ่น ตามนโยบายการพัฒนาเมืองพัทยายกระดับสู่การเป็น Pattaya smart City ภายใต้โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ  ภาคตะวันออก (EEC: Eastern Economic Corridor ) ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่หลากหลายบนพื้นที่เศรษฐกิจใหม่อย่างครบวงจร ทำให้เกิดการพลิกโฉมในวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยเช่นกัน อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา)โครงการท่าเทียบเรือ ฯลฯ รวมถึงโครงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะเมืองพัทยา . “ที่หาดจอมเทียนในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตเห็นได้ชัดเจนและในอนาคตที่นี่จะพลิกโฉมอีกมากจากการลงทุนของภาคเอกชนรายใหญ่ที่ได้กว้านซื้อที่ดินริมหาดไว้ทำให้ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้น 25% ในปัจจุบัน” นายเฉลิมพลกล่าวให้ความเห็น หากเปรียบเทียบ การพัฒนาระหว่างพื้นที่ริมหาดจอมเทียนกับในเมืองพัทยา ซึ่งปัจจุบันเมืองพัทยามีการพัฒนาที่ค่อนข้างแน่นและแออัดจะแตกต่างจากพื้นที่ริมหาด เช่น หาดจอมเทียนยังมีพื้นที่ที่พร้อมจะพัฒนาอีกมาก   พร้อมกันนี้ นายเฉลิมพล ยังเล่าว่า จากแผนใหญ่ในการพัฒนาเมืองชายทะเลที่ส่งผลในปัจจัยด้านบวกของหาดจอมเทียน ประเด็นแรกงานปรับภูมิทัศน์เมืองเนรมิตหาดทรายขาวสวยงามราว “ไมอามี่เมืองไทย” เป็นการถมหาดจอมเทียนทอดยาวระยะทาง 100 เมตร ที่ได้เริ่มดำเนินการแล้วเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ระยะสัญญาเริ่มตั้งแต่ พ.ค.2563 กำหนดสิ้นสุด พ.ย.2565 ซึ่งนอกจากส่งเสริมในภาคการท่องเที่ยวของเมืองแล้วยังส่งผลดีต่อการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย รวมทั้งการจัดระเบียบสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าที่จะถูกนำลงใต้ดิน ซึ่งจะเกิดขึ้นอีกเร็วๆนี้ . ชูจุดเด่น  Product Highlight โครงการอารมณ์ จอมเทียน ตอบโจทย์ความต้องการและ Lifestyle ของผู้พักอาศัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้านความโดดเด่นของโครงการอารมณ์ จอมเทียนนั้น ผู้บริหารของบริษัท คัลเลอร์ ฯ กล่าวว่า  สำหรับ AROM COLLECTION จะเป็น ที่อยู่อาศัยที่โดดเด่นในเรื่องการออกแบบและตอบโจทย์ชีวิตในวันพักผ่อน เมื่อบ้านหลังแรกเราจะตัดสินใจด้วยเหตุผล แต่บ้านหลังที่ 2 ต้องเป็นเรื่องของ “AROM” อารมณ์ที่จะสร้างบรรยากาศสุดพิเศษในวันพักผ่อน อีกทั้งเราเชื่อว่าที่อยู่อาศัยที่เหนือกว่าความสวยงาม คือที่อยู่อาศัยที่โดดเด่นด้วยคุณสมบัติการตอบโจทย์ความต้องการของผู้พักอาศัย” . โครงการดังกล่าวออกแบบภายใต้แนวคิด SENSE THE SOULFULLNESS จุดเริ่มต้นของปรัชญาการใช้ชีวิตในแบบของ AROM เพื่อให้คุณได้ดื่มด่ำในทุกอารมณ์ความรู้สึก ทุกช่วงขณะของชีวิต เพราะจังหวะชีวิตที่เปลี่ยนไปจะนำไปสู่จังหวะหัวใจที่เปลี่ยนตาม การได้อยู่ท่ามกลางเสียงคลื่น สายลม ความงามของท้องทะเล และหาดทรายขาวที่ทอดยาวเบื้องหน้า องค์ประกอบทุกอย่างจากธรรมชาติจะสร้างบรรยากาศและความรู้สึกผ่อนคลายที่เปลี่ยนไปจากที่เคยสัมผัส Product Highlight ของโครงการ อารมณ์ จอมเทียน ที่ถูกรังสรรออกมาคือ  . ความโดดเด่น Poll villa + Condominium ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ สำหรับยูนิต Pool villa ที่มีเพียง 15 ยูนิตเท่านั้น ดีไซน์มาเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าครอบครัว หรือ กลุ่มที่มีความต้องการความเป็นส่วนตัวสูงแต่ยังได้รับ Beyond facilities อย่างจัดเต็มภายในโครงการด้วยนอกจากนี้จุดเด่นของยูนิตคือการล้อมรอบไปด้วยพื้นที่สีเขียว (Garden step + Water fall) และที่สำคัญที่สุด เหมือนการอยู่อาศัยบนที่มีสวนหน้าบ้านส่วนตัวขนาดใหญ่ . Best of PENTHOUSE ที่มีเพียง 2 ยูนิต ที่ชั้น 44 ขนาด 165 และ 185 ตารางเมตร เปิดรับวิว 270 องศา ด้วยบรรยากาศ  Sea view อีกที่ยังออกแบบให้มี Pocket balcony ที่สามาถวาง Jacuzzi bath tub ได้อีกด้วย และจากการมองภาพการเจริญเติบโตของพื้นที่ไว้ตั้งแต่การออกแบบพัฒนา Low building จึงมีทำให้มีพื้นที่พาณิชย์ด้านหน้า โครงการ ที่น่าสนใจอีก 3 ยูนิต สำหรับลูกค้าที่อยากลงทุนเพื่อการสร้างรายได้ และยังสะดวกสบายต่อผู้อยู่อาศัยในโครงการด้วย . ด้วยรูปแบบโครงการยังความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ AROM คือที่อยู่อาศัยที่โดดเด่นด้วยคุณสมบัติการตอบโจทย์ความต้องการของผู้พักอาศัย ภายใต้ AROM COLLECTION รูปแบบการพักอาศัยบนพื้นที่ริมทะเลภาคตะวันออกพร้อมสร้างประสบการณ์ที่เปลี่ยนไป ภายใต้แนวคิดการออกแบบ SENSE THE SOULFULLNESS สุดพิเศษด้วย Private living เพียง 314 ยูนิต พร้อม Direct sea view ทุกยูนิต การันตีคุณภาพด้วยรางวัลความสำเร็จ จาก DOT PROPERTY รางวัล Best Luxury Condominium Eastern Seaboard ซึ่งรางวัลนี้ได้ช่วยตอกย้ำความสำเร็จของแนวความคิด Living Beyond Possibility ของทางบริษัทฯได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญ Highlight unit พูลวิลล่าพร้อม Jacuzzi ส่วนตัวเพิ่มความสมบูรณ์แบบที่จะช่วยให้ทุกชีวิตที่นี่ได้พักผ่อนหย่อนใจ และเติมเต็มช่วงเวลาพิเศษกับทะเล สายลม แสงแดด และ ทุกกิจกรรมสุดพิเศษริมชายหาดภายใต้บรรยากาศรื่นรมย์ริมหาดจอมเทียนที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกใฝ่ฝัน . . โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ริมหาดจอมเทียนบนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ พัฒนาเป็นอาคาร High Rise 1 อาคาร ออกแบบเป็นที่พักอาศัยสูง 45 ชั้นจำนวน 314 ยูนิตและ Commercial Building อาคารพาณิชย์ 2 ชั้น จำนวน 3 ยูนิต โดยห้องพักอาศัยจะมีรูปแบบห้องตั้งแต่ 1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 33 ตารางเมตร(ตร.ม.) ราคาขายเฉลี่ย 150,000 บาทต่อตร.ม. หรือราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท    มูลค่าโครงการรวม 2,000 กว่าล้านบาท ขณะนี้ได้เตรียมก่อสร้าง คาดสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ประมาณ ไตรมาส 2 ปี 2569 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่: www.coloursdevelopment.com/aromjomtien . พร้อมกันนี้ นายเฉลิมพล ยังกล่าวในตอนท้ายถึงแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ว่า ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า ยังคงพัฒนาคอนโดมิเนียมติดหาด (Beach front condominium) ในโซนภาคตะวันออกเพิ่มเติมอีก 3 โครงการ เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน (PREMIUM SEGMENT )มูลค่าโครงการรวม 15,000-18,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินรองรับการพัฒนาแล้ว   บทความน่าสนใจ สำรวจตลาดคอนโดพัทยาปี 64 เหลือสะสมกว่า 1.18 แสนยูนิต พัทยา โอกาสทางตลาด “บ้านหลังที่ 2” แหล่งหลบภัยสังคมไฮเอนด์ “พัทยา” ทางเลือกเพื่อการลงทุนอสังหาฯ  กับโปรเจ็กต์ Lifestyle Mix Use  แห่งใหม่ “ONCE PATTAYA” คุ้มค่าทั้งการอยู่อาศัยและปล่อยเช่า : รีวิวคอนโด พัทยา
[PR News] ไอซีเอส มิกซ์ยูส ไลฟ์สไตล์ ทาวน์ แห่งใหม่ในฟังธน

[PR News] ไอซีเอส มิกซ์ยูส ไลฟ์สไตล์ ทาวน์ แห่งใหม่ในฟังธน

 ไอซีเอส  มิกซ์ยูส โครงการไอซีเอส  มิกซ์ยูส ไลฟสไตล์ ทาวน์ แห่งใหม่ฝั่งธนบุรี  การลงทุนร่วมของกลุ่มธุรกิจรีเทลและอสังหาฯ “สยามพิวรรธน์-แมกโนเลีย-ซีพี” สร้างปรากฎการณ์ครั้งสำคัญของฝั่งธนบุรี ภายใต้แนวคิด  Always A Good Day “ความสุขของทุกวันที่ไอซีเอส” ผนึกพันธมิตรแบรนด์ดัง โลตัส   ชูคอนเซ็ปต์ใหม่ “SMART Premium Supermarket” และ ฮิลตัน การ์เด้น อินน์ โรงแรมชั้นนำที่รองรับนักเดินทางจากธุรกิจ MICE, การท่องเที่ยวและสันทนาการ พร้อม อินโนเวทีฟ เฮลท์ แอนด์ ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ จากโรงพยาบาลชั้นนำ ที่ขยายบริการนอกพื้นที่โรงพยาบาลแห่งแรกในศูนย์การค้า    ไอซีเอส  มิกซ์ยูส รวมถึงพันธมิตรร้านค้าอีกกว่า 200 แบรนด์ มั่นใจศักยภาพทำเลทองอันดับหนึ่งของฝั่งธนบุรี รองรับการขยายตัวของเมือง สะดวกครบทุกโครงข่ายการคมนาคมทั้ง รถยนต์ รถไฟฟ้า และเรือโดยสาร  พร้อมเปิดให้บริการปลายไตรมาส 4 ปี 2565 นี้ เชื่อมั่นหลังไอซีเอส เปิดบริการ ช่วยเติมเต็มไอคอนสยามสู่ความเป็นเมืองที่สมบูรณ์แบบครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายครบทุกเซกเมนต์   นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอซีเอส จำกัด เปิดเผยว่า จากการวาง Market Positioning ให้ ไอซีเอส เป็นมิกซ์ยูส ไลฟ์สไตล์ ทาวน์  ที่ตอบสนองความต้องการสินค้าและบริการของลูกค้าได้ครบครัน โดยเน้นให้ผู้บริโภคทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ มีทำเลที่ตั้งเชื่อมเส้นทาง Customer Journey ต่อตรงมาจากไอคอนสยาม โดยมีรถไฟฟ้าสายสีทองสถานีเจริญนครเป็นจุดเชื่อมต่อ  โครงการไอซีเอส มีจุดเด่นสำคัญที่ต้องตอกย้ำ คือทำเลที่ตั้งโครงการมีความพิเศษต่างจากย่านธุรกิจอื่น เพราะเป็นทำเลที่มีระบบการคมนาคมขนส่งสมบูรณ์ครบทั้งรถ ราง เรือ (รถยนต์ รถไฟฟ้า และเรือโดยสาร) โดยด้านหน้าโครงการติดถนนเจริญนคร เดินทางสะดวกได้ทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถโดยสารสาธารณะ หรือจะเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีเจริญนคร ซึ่งเชื่อมต่อไปยังสถานีรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้น ไอซีเอสยังเชื่อมต่อตรงกับโครงการไอคอนสยามที่ด้านหลังติดโค้งน้ำเจ้าพระยาซึ่งรองรับการหมุนเวียนของทราฟฟิกจากท่าเรือสาธารณะถึง 99 ท่าเรือ     “ทำเลทองที่ตั้งโครงการนี้อยู่บนพื้นที่ที่มีการขยายตัวของโครงการที่พักอาศัยมากที่สุดย่านหนึ่ง โดยภายใน 2-3 ปีจากนี้ คาดว่าจะมีที่พักอาศัยคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 50 โครงการหรือราว 25,000 ยูนิต นอกจากนั้น ยังรายล้อมไปด้วยโรงแรม 5 ดาว อย่าง มิลเลนเนียมฮิลตัน  เพนนินซูลา  โอเรียนเต็ล   แชงกรีลา ซึ่งในอนาคตยังจะมีกลุ่มธุรกิจโรงแรมชั้นนำที่เตรียมขยายบริการมายังทำเลย่านนี้อีก 2-3 โครงการ  รวมถึงมีแผนงานการย้ายศูนย์ราชการขนาดใหญ่มายังย่านคลองสาน แสดงให้เห็นว่าเป็นพื้นที่ธุรกิจที่มีการขยายตัวสูงมาก  จากศักยภาพทำเลดังกล่าวจึงเป็นจุดดึงดูดกลุ่มลูกค้าหลัก พนักงานออฟฟิศ เจ้าของธุรกิจ และประชาชนทั่วไป โดยคาดว่าจะมีการหมุนเวียนของผู้เข้ามาใช้บริการที่ไอซีเอส วันละกว่า 40,000 คน” นายสุพจน์กล่าว   นายสุพจน์ กล่าวต่อไปว่า  ไอซีเอสเป็นอาคารสูง 29 ชั้น บนพื้นที่ 5-1-94 ไร่ ริมถนนเจริญนคร มีพื้นที่บริการรวม 70,000 ตารางเมตร รูปแบบการพัฒนาโครงการเน้นมิกซ์ยูสแนวคิดใหม่ ที่มีทั้งธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจบริการโรงแรม และอาคารสำนักงาน ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการดำเนินธุรกิจทั้งของผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อย สำหรับลูกค้าเรามีทั้งสินค้าและบริการที่หลากหลาย เน้นตอบโจทย์ชีวิตประจำวัน และการช้อปปิ้งที่สะดวก ง่าย เร็ว ทำให้สามารถขยายไปยังฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่สินค้าและบริการในไอคอนสยามอาจยังไม่ตอบโจทย์ความต้องการในบางวัน ดังนั้น มั่นใจมากว่า หลังไอซีเอสเปิดให้บริการ จะช่วยเติมเต็มไอคอนสยามสู่ความเป็นเมืองที่สมบูรณ์แบบครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้ครบทุกเซกเมนต์ ไอซีเอส มิกซ์ยูส นางสาวแคโรไลน์ เมอร์ฟีย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการขายและธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เปิดเผยว่า ด้วยศักยภาพทำเลที่ตั้งของโครงการไอซีเอส ส่งผลให้แบรนด์ยักษ์ใหญ่ในวงการค้าปลีกอย่างโลตัส  กลุ่มธุรกิจโรงแรมชั้นนำอย่างฮิลตัน การ์เด้น อินน์ และธุรกิจเฮลท์แคร์ ที่ให้บริการ อินโนเวทีฟ เฮลท์ แอนด์ ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ จากโรงพยาบาลชื่อดังระดับประเทศ มองเห็นโอกาสและตัดสินใจเข้าร่วมสร้างสรรค์โครงการกับไอซีเอส การเปิดให้บริการของพันธมิตรทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจจะมีความโดดเด่น และแตกต่างไปจากรูปแบบการให้บริการเดิม เพื่อสร้างความแปลกใหม่ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้มากขึ้น เรียกได้ว่าเป็น บิสเนสแฟลกชิพที่มีความพิเศษ แตกต่าง ทันสมัย เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้เข้ามาใช้บริการ อีกทั้งยังเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ย่านฝั่งธนฯ ได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ไอซีเอส เป็นศูนย์รวมธุรกิจการค้าและบริการที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ ประกอบด้วยธุรกิจ 3 ส่วนหลัก ได้แก่ พื้นที่สำหรับดำเนินธุรกิจค้าปลีก พื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่า และธุรกิจบริการโรงแรม     1.ธุรกิจค้าปลีก รูปแบบเป็นอาคารโลว์ไรส์ รวม 8 ชั้น ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่รีบเร่ง ไอซีเอส จึงเป็นแบรนด์ที่จะส่งมอบประสบการณ์และความสุขให้แก่ลูกค้าทุกวัน ภายใต้แนวคิด Always A Good Day “ความสุขของทุกวันที่ ICS”  โดยจับมือกับ โลตัส, อินโนเวทีฟ เฮลท์ แอนด์ ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ จากโรงพยาบาลชั้นนำ และพันธมิตรคู่ค้าชั้นนำอีกกว่า 200 แบรนด์  อาทิ สินค้าไลฟ์สไตล์เพื่อบ้านและการอยู่อาศัย สินค้าไอที บริการด้านการเงิน แบรนด์แฟชั่น ธุรกิจบริการด้านความงามและเครื่องสำอางระดับแถวหน้า รวมไปถึงร้านค้าที่ให้บริการด้านต่างๆ ที่รองรับการใช้ชีวิตประจำวัน   และร้านอาหารแบรนด์ดังกว่า 80 แบรนด์ รวมถึงร้านอาหารชั้นนำจากต่างประเทศ ที่เลือกมาเปิดให้บริการที่ไอซีเอสเป็นสาขาแรก 2.ไอซีเอส ออฟฟิศทาวเวอร์ พื้นที่สำนักงานให้เช่า ตั้งอยู่ระหว่างชั้น 6-8  พัฒนาภายใต้แนวคิดที่ต้องการส่งเสริมการทำธุรกิจของผู้ประกอบการทั้งในกลุ่มที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งกิจการและกลุ่มที่ต้องการขยายกิจการ ซึ่งจะทำให้มีผู้มาใช้บริการระหว่างสัปดาห์เป็นจำนวนมาก 3.โรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ กรุงเทพ ไอซีเอส เจริญนคร ( Hilton Garden Inn Bangkok ICS Charoen Nakhon)  ภายใต้การบริหารงานโดยโรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ เชนโรงแรมชั้นนำชื่อดังจากต่างประเทศ ที่รองรับนักเดินทางทั้งจากธุรกิจ MICE, การท่องเที่ยวและสันทนาการ   นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย หนึ่งในแม่เหล็กสำคัญที่จะมาเติมเต็มความต้องการของนักช้อปย่านฝั่งธนฯ เผยถึงความพิเศษของ โลตัส สาขา ICS ว่า พร้อมเปิดตัวโลตัสคอนเซ็ปต์ใหม่ล่าสุด  “SMART Premium Supermarket” บนพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร ที่พัฒนาขึ้นภายใต้ความมุ่งมั่นของโลตัสในการทำให้ลูกค้าของเรา “รู้สึกดีดีทุกวัน ที่โลตัส” ปัจจุบัน โลตัส ถือเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีก New SMART Retail ที่ให้บริการแบบไร้รอยต่อผ่านทั้งสาขาหลากหลายรูปแบบและช่องทางออนไลน์ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมายและทุกพื้นที่  การร่วมมือกับไอซีเอส เปิด Lotus’s SMART Premium Supermarket ครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับการให้บริการนักช้อป พร้อมรองรับ Modern Urban Lifestyle ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทันสมัยในระดับพรีเมียม ด้วยสินค้าพรีเมียมจากทั้งในไทยและต่างประเทศ สินค้าท้องถิ่นที่เราคัดสรรจากแหล่งที่ดีที่สุด และสินค้านำเข้าในราคาที่เอื้อมถึง   “โลตัส สาขาไอซีเอส ภายใต้คอนเซ็ปต์ Smart Premium Supermarket จะเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ยกระดับความสะดวกสบายให้ลูกค้าสามารถจับจ่ายสินค้าทั้งอาหารสด วัตถุดิบเกรดพรีเมียมที่นำเข้าส่งตรงจากต่างประเทศ สินค้าไทยที่เราคัดสรรมาจากแหล่งที่ดีที่สุด สินค้าอุปโภคบริโภคจากหลายแบรนด์ดังทั้งไทยและต่างประเทศ ที่สำคัญคือ ยังคงมาตรฐานของโลตัส ในด้านสินค้าที่มีคุณภาพสูงในราคาที่คุ้มค่า  ขณะเดียวกัน เรายังพร้อมบริการด้วยแนวคิด SMART Life Solutions โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มความสะดวกสบายสอดรับชีวิตทันสมัย ทำให้การซื้อและชำระเงินง่ายขึ้น ด้วยบริการไร้เงินสด (Cashless) ผ่านวอลเล็ตและแอปพลิเคชั่น รวมไปถึงการชำระสินค้าได้ด้วยตัวเองผ่านตู้คีออสรับชำระสินค้าแบบสมาร์ทอีกด้วย” นายสมพงษ์กล่าวสรุป   อีกความพิเศษของโครงการไอซีเอส คือ การได้พันธมิตรโรงแรมแบรนด์ดังระดับโลกในเครือฮิลตัน เข้ามารองรับความต้องการของนักเดินทาง นักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ ที่มีแนวโน้มเดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยนายจิรฐา วรปรางกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอน โฮเทล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า การที่เศรษฐกิจมีสัญญานค่อยๆ ฟื้นตัว การท่องเที่ยวเริ่มกลับมาคึกคัก ทำให้บริการด้านโรงแรมสำหรับกลุ่ม MICE (Meetings, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions) มีแนวโน้มขยายตัวอย่างชัดเจน ดังนั้น ห้องพักและบริการจากทางโรงแรมจะเป็นส่วนสำคัญที่มารองรับการขยายตัวของธุรกิจนี้ โดยเห็นได้ชัดเจนจากจำนวนการจองพื้นที่เพื่อจัดอีเว้นท์และการประชุมของ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ภายในไอคอนสยาม ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในครึ่งปีหลัง   “แบรนด์โรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ ตัดสินใจเปิดดำเนินการกับไอซีเอส เพราะเห็นศักยภาพของโครงการ มีความมั่นใจในทีมบริหารโครงการ และที่สำคัญคืออยู่ในทำเลทองที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการเลือกเปิดให้บริการโรงแรม”   โรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ กรุงเทพ ไอซีเอส เจริญนคร เป็นอาคารสูง 19 ชั้น ให้บริการห้องพัก  241 ห้อง ได้รับแรงบันดาลใจจากการผสมผสานความหลากหลายทางศิลปะวัฒนธรรมของชุมชนในอดีตย่านฝั่งธนบุรี ทั้งไทย จีน และโปรตุเกส ถ่ายทอดออกมาสู่การออกแบบตกแต่งภายในที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว  ด้วยการนำงานสถาปัตยกรรม ลวดลายปูนปั้นไทย  งานแกะสลักไม้แบบศิลปะจีน งานกระเบื้องและลวดลายเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมโปรตุเกส มาผสมผสานกันอย่างลงตัว  โรงแรมให้ความสำคัญในการบริการลูกค้าให้ได้รับความสะดวกสบาย มีบริการห้องอาหาร All Day Dining ที่รองรับการจัดงานอีเว้นต์ได้ตลอดวัน รังสรรค์เมนูอร่อยจาก 4 วัฒนธรรมของชุมชนในอดีต ที่สำคัญคือไพรม์โลเคชั่นของตัวโรงแรมที่เป็นอาคารสูงเพียงหลังเดียวในพื้นที่โดยรอบ ทำให้สามารถรับชมวิวของกรุงเทพมหานครได้แบบ 360 องศา ทั้งวิวฝั่งพระนคร และฝั่งธนบุรี   ไอซีเอส มิกซ์ยูส  ปัจจุบัน โครงการ ICS  มีความคืบหน้าการก่อสร้างแล้วร้อยละ 90  และพร้อมเปิดให้บริการปลายไตรมาส 4 ปี 2565 นี้   บทความน่าสนใจ 1 ปี การเดินทาง “ไอคอนสยาม” กับความสำเร็จใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ ทดลองนั่งรถไฟฟ้าสายสีทอง ที่ไม่มีคนขับ !! ไป ไอคอนสยาม ไอคอนสยาม’ จัดงาน “แบงค็อก อิลลูมิเนชั่น แอท ไอคอนสยาม อลังการขบวนต้นคริสต์มาสเอกลักษณ์ไทย ตระการตากับฟลอร์แมปปิ้งสุดล้ำ ครั้งแรกในประเทศไทยยิ่งใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
[PR News] เอสซี เตรียมขน 17 โปรเจ็กต์ใหม่ เปิดตัวครึ่งปีหลังดันเป้ารายได้ 22,000 ล้าน

[PR News] เอสซี เตรียมขน 17 โปรเจ็กต์ใหม่ เปิดตัวครึ่งปีหลังดันเป้ารายได้ 22,000 ล้าน

เอสซี เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ครึ่งปีหลัง เตรียมอีก 17 โปรเจ็กต์ลุยตลาด ดันเป้ารายได้ 22,000 ล้าน ล่าสุด เปิดตัวแบรนด์เวนิว ไอดี ทำเล พหลโยธิน-รังสิต บ้านระดับราคา 5-10 ล้าน จับตลาดคนรุ่น Gen Y   นายณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีหลังว่า ได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 17 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 16 โครงการ และคอนโดมิเนียมอีก 1 โครงการ หลังจากช่วงครึ่งปีแรกเปิดตัวโครงการแนวราบไปแล้ว 9 โครงการและคอนโด 1 โครงการ   โดยแผนธุรกิจในปี 2565 บริษัทมีแผนเปิดโครงการรวม 27 โครงการ มูลค่ารวม 41,000 ล้านบาท แบ่งเป็นประเภทคอนโด 2 โครงการ และโครงการแนวราบ 25 โครงการ มูลค่า 35,000 ล้านบาทเพื่อผลักดันยอดขายและรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ที่มูลค่า 22,000 ล้านบาท ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกสามารถทำยอดขายได้ 12,020 ล้นบาท เป็นยอดขายสูงสุดเท่าที่เคยดำเนินธุรกิจมา ล่าสุด ได้เปิดตัวโครงการใหม่  เวนิว ไอดี พหลโยธิน-รังสิต มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท ที่ได้แรงบันดาลใจการดีไซน์มาจากมหานครลาสเวกัส (Las Vegas)  ซึ่งมีแบบบ้านให้เลือก 4 สไตล์ ได้แก่ แบบบ้าน Jolly พื้นที่ใช้สอย 193 ตร.ม. บนที่ดินเริ่มต้น 53.9 ตร.ว. ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 Family Area และ 2 ที่จอดรถ แบบบ้าน Jovial พื้นที่ใช้สอย 212 ตร.ม. บนที่ดินเริ่มต้น 56.1 ตร.ว. ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 Family Area และ 2 ที่จอดรถ แบบบ้าน Joyous พื้นที่ใช้สอย 276 ตร.ม. บนที่ดินเริ่มต้น 64 ตร.ว. ประกอบด้วย 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 1 Family Area และ 3 ที่จอดรถ แบบบ้าน Jubilant พื้นที่ใช้สอย 313 ตร.ม. บนที่ดินเริ่มต้น 74.1 ตร.ว. ประกอบด้วย 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 1 Family Area และ 3 ที่จอดรถ โดยแบรนด์ เวนิว ไอดี ในปีนี้จะเปิดตัวทั้งหมด​  4 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท ซึ่งโครงการที่เปิดไปก่อนหน้านี้แล้ว คือ โครงการเวนิว ไอดี ปิ่นเกล้า – ศาลายา มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท  และจะเปิดต่ออีก 2 โครงการ ได้แก่  โครงการ เวนิว ไอดี มอเตอร์เวย์ - พระราม 9 มูลค่าโครงการ 1,850 ล้านบาท  และโครงการ เวนิว ไอดี วิภาวดี - พหลโยธิน มูลค่าโครงการ 1,450 ล้านบาท สำหรับแบรนด์เวนิว ไอดี เป็นโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ที่มีระดับราคา 5-10 ล้านบาท  ยมีกลุ่มหมายเป็นคน Gen Y อายุ 20-35 ปี ที่ทำงานในบริษัทเอกชนหรือประกอบธุรกิจส่วนตัว เช่น ขายสินค้าออนไลน์ ที่ต้องการพื้นที่การอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น โดยปีนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถทำยอดขายแบรนด์เวนิว ทั้ง 4 โครงการได้ 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมียอดขายแล้ว 500 ล้านบาท  อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซี แอสเสท ตุนยอดขาย 6 เดือนกว่า 11,500 ล้าน เตรียมเปิด 15 โปรเจ็กต์ใหม่ดันเป้ารายได้  
[PR News] CIVIL โชว์แผนครึ่งปีหลัง 65 เร่งเพิ่มงานเอกชน มั่นใจรายได้โตตามเป้า 6500 ล้านบาท

[PR News] CIVIL โชว์แผนครึ่งปีหลัง 65 เร่งเพิ่มงานเอกชน มั่นใจรายได้โตตามเป้า 6500 ล้านบาท

CIVIL  เผยทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง 65 ชูจุดเด่นกลยุทธ์บริหารงานก่อสร้าง  และการจัดการต้นทุนที่ดี พร้อมส่งมอบงานตามแผน พร้อมเจรจาพันธมิตรสร้าง New S-Curve ธุรกิจเหมืองหินเดินหน้าเต็มกำลัง เร่งประมูลงานภาครัฐและเอกชน ดัน Backlog 15,000 – 20,000 ล้านบาท มั่นใจรายได้รวมทั้งปีเติบโตตามเป้าหมาย 6,000-6,500 ล้านบาท   CIVIL  นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ CIVIL เปิดเผยว่า ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์วิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งในด้านการแพร่ระบาดของโควิด-19 แรงงานก่อสร้างขาดแคลน สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาเหล็กสุงขึ้นราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้างสูง และปัญหาเงินเฟ้อ และค่าเงินบาทผันผวน . CIVIL โชว์แผนครึ่งปีหลัง 65 ส่งผลให้หลายบริษัทในอุตสาหกรรมเริ่มประสบปัญหา อย่างไรก็ตามบริษัทมีการปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโครงการก่อสร้าง และการจัดการต้นทุนก่อสร้างให้สอดรับกับสถานการณ์ แม้ผลการดำเนินงานอาจมีแนวโน้มชะลอตัวเล็กน้อยเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงที่กระทบอุตสาหกรรม แต่บริษัทยังคงสามารถดำเนินการก่อสร้างและส่งมอบงานได้ตามแผน อีกทั้งยังสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง   CIVIL สำหรับทิศทางธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง 2565 บริษัทยังคงมุ่งเน้นบริหารงานพร้อมทั้งรับรู้รายได้จากงานในมืออย่างต่อเนื่อง พร้อมพัฒนาการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ควบคู่กับการจัดการต้นทุนทั้งด้านวัสดุและแรงงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพดำเนินงานก่อสร้างให้ได้เกินกว่าแผนงานและส่งมอบงานได้ตามกรอบระยะเวลา อีกทั้งสามารถรักษาอัตรากำไรของบริษัทให้อยู่ในระดับดี รวมถึงวางแผนลงทุนในเครื่องจักรที่ทันสมัยเพื่อเสริมศักยภาพการก่อสร้าง รองรับงานที่คาดว่าจะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรหลายรายที่จะช่วยสร้าง New S-Curve ต่อยอดการเติบโตธุรกิจในอนาคต     ขณะที่ธุรกิจเหมืองหินจังหวัดสระบุรี ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ซีวิล คอนสตรัคชั่น เซอร์วิส แอนด์ โปรดักส์ จำกัด (บริษัทย่อย) ได้เปิดให้บริการเต็มกำลังการผลิตเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ต้นทุนวัสดุก่อสร้างของบริษัทลดลงจากการนำหินมาใช้ในโครงการก่อสร้างของ CIVIL อีกทั้งแหล่งวัตถุดิบตั้งอยู่ใกล้โครงการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ซึ่งทำให้ประหยัดต้นทุนการขนส่ง และลดความผันผวนของ Supply หิน นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการจำหน่ายหินให้กับบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตของกำไรให้กับบริษัท   CIVILโชว์แผนครึ่งปีหลัง 65 ทั้งนี้ บริษัทมีแผนการเข้าประมูลโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่กำลังจะเปิดการประมูลในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 อาทิ งานก่อสร้างทางหลวงและทางพิเศษ, งานเขื่อนและระบบน้ำ, งานก่อสร้างและปรับปรุงสนามบิน, งานก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูง มูลค่ารวมกว่า 17,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนเตรียมเข้าประมูลงานภาคเอกชน เพื่อเพิ่มโอกาสการรับงานที่หลากหลาย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้มูลค่างานในมือ (Backlog) ของบริษัทเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ระดับ 15,000 – 20,000 ล้านบาท   “สิ่งที่ทำให้ CIVIL มีความแตกต่างคือการจัดการต้นทุนที่ดี และการบริหารโครงการก่อสร้างที่มีคุณภาพ คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก และดำเนินงานด้วยความรวดเร็วกว่าแผน อีกทั้งมุ่งมั่นเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่แม้สถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่แน่นอน แต่โครงการภาครัฐยังคงเดินหน้าและมีแผนการเปิดประมูลที่ชัดเจน ซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสการขยายศักยภาพของบริษัทที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และจากแผนการดำเนินงานทั้งหมด คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 20-30% หรือที่ 6,000-6,500 ล้านบาท” นายปิยะดิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติม . ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนงานก่อสร้างแบ่งเป็น งานก่อสร้างทางรถไฟและทางรถไฟความเร็วสูง 46%, งานทาง 41%, งานก่อสร้างสนามบิน 2%, งานเขื่อนและระบบน้ำ 1% และงานประเภทอื่นๆ 10%                        บทความน่าสนใจ ก่อผนัง.. ต้องใช้วัสดุเท่าไหร่? คำนวนได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง SCG เรียนรู้อะไร? กับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปหลัง COVID-19 เปิดแผน CCP ปี 62 ลุยตลาดพรีคาสท์-งานภาครัฐ สร้างรายได้ 2,500 ล้าน  
[PR News] เลอ เมอริเดียน จับมือ โตโต้ พลิกโฉมโรงแรมใหม่

[PR News] เลอ เมอริเดียน จับมือ โตโต้ พลิกโฉมโรงแรมใหม่

โรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ รีโนเวทโรงแรม เตรียมรับนักท่องเที่ยวในยุค New Normal ด้วยเงินลงทุนกว่า 232 ล้านบาท พร้อมติดตั้งโถสุขภัณฑ์และฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET จากแบรนด์ TOTO ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขอนามัยและความสะดวกสบาย มุ่งสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว สอดคล้องกับคอนเซปต์ “ศิลปะแห่งการใช้ชีวิตในสไตล์ยุโรป”    เลอ เมอริเดียน จับมือ โตโต้ พลิกโฉมโรงแรมใหม่ จากแผนการปรับปรุงโรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปีพ.ศ. 2563 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สอดคล้องกับคุณค่าของแบรนด์ “เลอ เมอริเดียน 2022” ด้วยคอนเซปต์ “ศิลปะแห่งการใช้ชีวิตในสไตล์ยุโรป” ใจกลางกรุงเทพฯ ทั้งนี้การปรับปรุงโรงแรมทั้งหมดแบ่งออกเป็น 2 ช่วงด้วยกัน โดยการปรับปรุงในช่วงแรกแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2564 ในขณะที่ช่วงที่ 2 นั้น เสร็จสมบูรณ์ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 2 ปี 4 เดือน ด้วยเงินลงทุนกว่า 232 ล้านบาท . การรีโนเวทในครั้งนี้นับเป็นการพลิกโฉมทุกพื้นที่ทั้งส่วนกลางภายในโรงแรม ตลอดจนห้องพัก ไม่ว่าจะเป็นบริเวณล็อบบี้ของโรงแรม ภายในห้องพักพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเต็มรูปแบบ ดื่มด่ำกับความสงบ สุนทรีย์ภายใต้เพดานสีครีมอันงดงาม ด้วยการตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นผสมผสานกับวัฒนธรรมไทยได้อย่างลงตัว ยกระดับความสะอาดและความสะดวกสบายขึ้นอีกขั้นด้วยฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET จากแบรนด์ TOTO แบรนด์สุขภัณฑ์อันดับ 1 ของประเทศญี่ปุ่น สอดคล้องกับแนวทางของแบรนด์แมริออท ที่มุ่งเน้นในด้านความสะอาด    เลอ เมอริเดียน จับมือ โตโต้ พลิกโฉมโรงแรมใหม่ คุณ ดีเธอร์ รุคเค้นเบาออร์ (Mr. Dieter Ruckenbauer) ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเลอเมอริเดียน กรุงเทพ เปิดเผยว่า “ด้วยมาตรการของโรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ ภายใต้การบริหารงานของแบรนด์แมริออทที่มุ่งเน้นในด้านความสะอาดและความปลอดภัยของแขกผู้เข้าพักเป็นหลัก การคัดเลือกผลิตภัณฑ์ทั้งหมดภายในโรงแรมจึงมีความเข้มงวดเป็นอย่างมาก เราเลือกสรรผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงที่มีอยู่ในตลาดเท่านั้น สำหรับฝารองนั่งอัตโนมัติ TOTO WASHLET ตรงกับเกณฑ์ของเรา ทั้งในด้านของฟังก์ชันการใช้งานและการออกแบบ เนื่องมาจากความมีชื่อเสียงในด้านคุณภาพสูง ระบบชำระล้างที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งในแง่ของการรับรู้แบรนด์ของ TOTO นั้นเป็นแบรนด์ไฮเอนด์ ซึ่งเป็นภาพตัวแทนของประเทศญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี และสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายหลักของเราซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นอยู่แล้ว ห้องพักของเราทั้ง 282 ห้อง ติดตั้งโถสุขภัณฑ์พร้อมฝารองนั่งอัตโนมัติ TOTO WASHLET ทั้งหมด เพื่อเตรียมรองรับนักท่องเที่ยวในยุค New Normal ซึ่งกระแสตอบรับจากลูกค้านั้นน่าประทับใจมาก”               คุณ ทาคายะสุ ชิมาดะ (Mr. Takayasu Shimada) ประธานบริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ทางบริษัท โตโต้ ดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งบริษัท ที่จะสร้างสรรค์การใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบและสะดวกสบายให้กับทุกคน ผ่านผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีภายในห้องน้ำ เพราะเราเชื่อมั่นว่าการมีห้องน้ำที่ดีนั้นจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจสำหรับผู้ใช้งานได้   “โรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ นั้น โดดเด่นและมีชื่อเสียงในฐานะเป็นโรงแรมชั้นนำของแบรนด์ เลอ เมอริเดียน ในเอเชียแปซิฟิก ทั้งนี้การติดตั้งฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET ของ TOTO ไม่เพียงแต่จะช่วยมอบความสะดวกสบายจากฟังก์ชันและเทคโนโลยีต่างๆ เท่านั้น แต่ยังช่วยมอบสุขอนามัยที่ดีจากการใช้งานก้านฉีดชำระที่สามารถเลือกรูปแบบการทำความสะอาดได้หลากหลาย ทั้งยังมีระบบกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ช่วยให้แขกผู้เข้าพักสามารถสุนทรีย์และมีความสุขกับช่วงเวลาภายในห้องพักได้ นอกเหนือไปจากความผ่อนคลายที่จะได้รับจากห้องพักที่ตกแต่งอย่างงดงาม” นายทาคายะสุ ชิมาดะ กล่าว   . สำหรับฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET ของ TOTO ที่ติดตั้งภายในห้องพักของโรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ นั้น มาพร้อมก้านฉีดชำระที่สามารถเลือกรูปแบบการทำความสะอาดได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบทำความสะอาดด้านหลัง สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ระบบทำความสะอาดด้านหลังแบบนุ่มนวล เพื่อสัมผัสอ่อนโยน ระบบทำความสะอาดด้านหน้า สำหรับคุณสุภาพสตรี นอกจากนี้ยังมีระบบทำความสะอาดแบบเป็นจังหวะ ช่วยสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ และระบบทำความสะอาดแบบเคลื่อนที่ไปมา เพื่อการทำความสะอาดที่ทั่วถึง ทั้งนี้ก้านฉีดชำระสามารถปรับตำแหน่งของก้านฉีด ปรับอุณหภูมิของน้ำ และปรับแรงดันของน้ำที่ใช้ในการทำความสะอาดได้ นอกจากนี้ยังมีฝารองนั่งที่ปรับอุณหภูมิได้ มอบความอุ่นสบายอย่างสม่ำเสมอ ระบบกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ทำงานอัตโนมัติในระหว่างการใช้งาน หมดห่วงเรื่องกลิ่นกวนใจ เมื่อใช้งานเสร็จสิ้น ผู้ใช้งานสามารถเลือกฟังก์ชันลมเป่าแห้งได้ ซึ่งช่วยลดการใช้กระดาษชำระ โดยฟังก์ชันการทำงานทั้งหมดสามารถควบคุมได้อย่างง่ายดายด้วยรีโมทคอนโทรล เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทุกคนอย่างแท้จริง        ทางด้านโถสุขภัณฑ์ของ TOTO ที่ติดตั้งภายในห้องพักคือโถสุขภัณฑ์สองชิ้น รุ่น CST769U ด้านในของโถสุขภัณฑ์เคลือบด้วยสาร CEFIONTECT ทำให้พื้นผิวของเซรามิกมีความเรียบลื่น ทำความสะอาดง่าย สิ่งสกปรกเกาะติดยาก ดูสวยเงางามอยู่เสมอ ระบบชำระล้างแบบ TORNADO FLUSH ทำความสะอาดหมุนวนภายในโถสุขภัณฑ์ 360 องศา สะอาดหมดจด ทั่วถึงรอบทิศทางภายในดีไซน์โถสุขภัณฑ์แบบไร้ขอบ RIMLESS ช่วยลดมุมอับที่สิ่งสกปรกมักสะสมอยู่ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการประหยัดน้ำ เพราะใช้น้ำเพียงแค่ 4.5 ลิตรสำหรับการชำระล้างแบบหนัก และเพียงแค่ 3 ลิตรสำหรับการชำระล้างแบบเบา นับว่าเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตามนโยบายและวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมที่บริษัท โตโต้ ยึดถือในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด     หลังจากปรับปรุงโรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ เสร็จสิ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 แล้วนั้น ทางโรงแรมเปิดเผยในเรื่องของแผนดำเนินการทางธุรกิจตลอดทั้งปีพ.ศ. 2565 จนถึงในปีหน้าว่า “ในฐานะที่โรงแรม เลอ เมอริเดียน กรุงเทพฯ เป็นโรงแรมเรือธง ของแบรนด์ เลอ เมอริเดียน ในเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก เรามุ่งเน้นที่จะมอบประสบการณ์ที่น่าดึงดูดใจให้กับทางนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอกโรงแรม แขกผู้เข้าพักจะได้เพลิดเพลินกับศิลปะแห่งการใช้ชีวิตในสไตล์ยุโรปใจกลางกรุงเทพฯ โดยเราปรับปรุงโรงแรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ให้ความสนใจกับการสร้างประสบการณ์ในสถานที่ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง ซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าตลาดชาวญี่ปุ่น ที่เป็นแบรนด์รอยัลตี้ของเราอยู่แล้ว” คุณ ดีเธอร์ รุคเค้นเบาออร์ กล่าวทิ้งท้าย . ทั้งนี้ โรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ นอกจากจะมีจุดเด่นในด้านร้านอาหารชั้นเลิศ ห้องพักที่เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างครบครันแล้ว ยังตั้งอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจใจกลางกรุงเทพมหานคร ทำให้ใกล้กับสถานที่สำคัญมากมาย เดินทางได้โดยสะดวก อยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสามย่านและสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสศาลาแดงเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น                   บทความน่าสนใจ เมื่อสุขภัณฑ์เป็นมากกว่าส้วม เดอะมอลล์ x โตโต้ ปรับโฉมห้องน้ำสาขาท่าพระ รับวิถีชีวิตยุคโควิด-19 AWC ปี 64 ทำกำไรกว่า 861 ล้าน หลังคลายล็อกดาวน์-เปิดการท่องเที่ยว
[PR News] “ออริจิ้น อีอีซี” เปิดตัว Investment Lounge @ Staybridge Suites Thonglor

[PR News] “ออริจิ้น อีอีซี” เปิดตัว Investment Lounge @ Staybridge Suites Thonglor

“ออริจิ้น อีอีซี” เปิดตัว Investment Lounge @ Staybridge Suites Thonglor ชวนลงทุน 4 โครงการ EEC ทำเลฮอต ผลตอบแทน 5-9% ต่อปี นาน 20 ปี* เริ่ม 1.59 ล้าน*   “ออริจิ้น อีอีซี” เปิดตัว Investment Lounge @ Staybridge Suites Thonglor พื้นที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการลงทุนทุกแง่มุมโซน EEC ตอกย้ำความแข็งแกร่งและน่าลงทุนของทำเลศักยภาพ 3 จังหวัดภาคตะวันออก สู่ดินแดนเมกะโปรเจกต์ของทั้งไทยและต่างชาติ อวดโฉม 4 โครงการเด่นน่าลงทุนภายใต้ Origin EEC Investment Property Program เริ่มต้น 1.59 ล้าน* ได้สิทธิ์พักผ่อนโรงแรมเครือวัน ออริจิ้น พร้อมผลตอบแทน มั่นคงสู้เงินเฟ้อ 5-9% ต่อปี นาน 20 ปี* โดยไม่ต้องหาผู้เช่าเอง จับมือร้านชาเขียวชื่อดังแบรนด์พรีเมียมจากญี่ปุ่น Tsujiri ให้บริการภายใน Lounge พร้อมมอบส่วนลดพิเศษกับเมนูต่างๆ 15%   “ออริจิ้น อีอีซี” เปิดตัว Investment Lounge @ Staybridge Suites Thonglor นายปิติ จารุกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดให้บริการ Investment Lounge@Staybridge Suites Thonglor บริเวณด้านหน้าของโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีทส์ แบงค็อก ทองหล่อ เพื่อเป็นพื้นที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการลงทุนมิติใหม่ในโซนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เจาะตลาดชาวกรุงเทพฯและปริมณฑลที่กำลังมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงในทำเลศักยภาพ “ทุกคนรู้ว่า EEC คือทำเลศักยภาพที่จะมีการลงทุนเมกะโปรเจกต์จากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนรวมกว่า 1.7 ล้านล้านบาท เป็นทำเลใหม่ที่จะมีผู้ประกอบการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจากหลากหลายเซ็กเตอร์หลั่งไหลกันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ยังเป็น Pain Point ของนักลงทุนในกรุงเทพฯและปริมณฑลต่อ EEC คือ 1.ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ใน EEC และ 2.ขาดความพร้อมในการเดินทางไปบริหารจัดการสินทรัพย์ใน EEC ด้วยตัวเอง เราจึงได้ตั้ง Investment Lounge แห่งนี้ขึ้นมาในทำเลใจกลางเมือง เพื่อให้นักลงทุนในกรุงเทพฯและปริมณฑล สามารถเข้าถึงองค์ความรู้และเข้าถึงโอกาสใหม่ๆ ในการลงทุนใน EEC ได้ง่ายขึ้น” นายปิติ กล่าว   ปัจจุบัน บริษัทได้พัฒนาโปรแกรมเพื่อการลงทุนใน EEC ภายใต้ชื่อ Origin EEC Investment Property Program เป็นโปรแกรมการลงทุนรูปแบบใหม่ ชูจุดเด่นให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงไลฟ์สไตล์ที่ฝัน ได้ทั้งผลตอบแทนที่มั่นคง ควบคู่ไปกับการพักผ่อน ซื้อห้องไว้ ไม่ต้องจัดการ ไม่ต้องหาผู้เช่าเอง แต่มีทีมจากบริษัท แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (HHR) บริษัทในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ผู้ให้บริการระดับ 5 ดาวที่มีเครือข่ายเอเจนท์ คอยช่วยบริหารจัดการและจัดหาผู้เช่าให้ ด้วยการลงทุนในราคาที่ต่ำกว่าการลงทุนในพื้นที่เขตเมืองกรุงเทพฯ เริ่มต้นเพียง 1.59 ล้านบาท* แต่ให้ผลตอบแทนในอัตราเท่ากันและมั่นคงที่ 5-9% ต่อปี นาน 20 ปี* พร้อมรับสิทธิประโยชน์ในการเข้าพักโรงแรมในเครือบริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ทั่วประเทศ   ล่าสุด Origin EEC Investment Property Program มีโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้โปรแกรมจำนวนมาก โดยมีโครงการที่ถือเป็นไฮไลต์อยู่ถึง 4 แห่ง ประกอบด้วย 1.เดอะ แฮมป์ตัน สวีท ระยอง โครงการใหม่ใจกลาง New CBD ของระยอง แยกเนินสำลี ใกล้นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ราคาเริ่มต้น 2.99 ล้านบาท 2.นอตติ้ง ฮิลล์ ระยอง โครงการพร้อมอยู่ ด้วยความสูงโครงการสูงที่สุดในระยอง ติดถนนสุขุมวิท ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท 3.บริกซ์ตัน ระยอง โครงการตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่ใจกลางเมือง ใกล้โรงพยาบาลกรุงเทพระยอง 4.บริกซ์ตัน เกษตร-ศรีราชา แคมปัส โครงการติดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท และภายในช่วงไตรมาส 3 นี้ คาดว่าจะมีโครงการใหม่เพิ่มเติมอีก 1 โครงการ   นายปิติ กล่าวอีกว่า เพื่อสร้างบรรยากาศและไลฟ์สไตล์ที่ผ่อนคลายตอบโจทย์นักลงทุน บริษัทได้จับมือกับ Tsujiri ร้านชาเขียวชื่อดังแบรนด์พรีเมียมจากประเทศญี่ปุ่น เข้ามาเปิดให้บริการภายในพื้นที่ Origin EEC Investment Lounge โดยมี Exclusive Menu อย่าง Charcoal Matcha Croissant ที่มีให้บริการเฉพาะที่ Investment Lounge เท่านั้น พร้อมส่วนลดพิเศษ 15% สำหรับลูกค้า Origin Family และลูกค้าที่เพิ่มเพื่อนใน LINE Official Account ของ Origin EEC Investment Property Program   ทั้งนี้ บริษัทเชื่อมั่นว่า ด้วยความแข็งแกร่งของทำเล EEC การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วง Post-COVID-19 การได้รับจัดอันดับเป็นหัวเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญในสายตาชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้พื้นที่ Investment Lounge ได้รับความสนใจ และกลายเป็นคอมมูนิตี้ที่สร้างโอกาสอันดีให้แก่นักลงทุน ผู้สนใจสามารถเข้าชมห้องตัวอย่าง รับข้อมูลเพิ่มเติมและสิทธิพิเศษได้ที่ Investment Lounge @ Staybridge Suites Thonglor ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3zaDLiK   สำหรับบริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด เป็นผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในแถบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก มีหลากหลายโครงการที่ถือเป็นระดับเมกะโปรเจกต์และได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค อาทิ การพัฒนาโครงการ ออริจิ้น ดิสทริค แหลมฉบัง-ศรีราชา (Origin District Laemchabang-Sriracha) บริเวณตรงข้ามมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา จ.ชลบุรี โครงการออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง (Origin Smart City Rayong) เมืองอัจฉริยะบนพื้นที่กว่า 24 ไร่ บริเวณแยกเนินสำลี จ.ระยอง   ขณะที่บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย   1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 101 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 1/2565) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN), ดิ ออริจิ้น (The Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 154,100 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร     บทความน่าสนใจ “ออริจิ้น อีอีซี” พัฒนาสมาร์ทซิตี้ในชลบุรี-ระยอง เตรียม 5 คอนโดใหม่ มูลค่ากว่า 5,000 ล้าน “ออริจิ้น” ตุนยอดขายครึ่งปีแรก 51% ของเป้าทั้งปี เตรียมเปิดโครงการเพิ่มอีก 26,500 ล้าน ออริจิ้น​ เปิดคอนโดฯ 19 โปรเจ็กต์ 28,600 ล้าน ชู 2 กลยุทธ์ เจาะพื้นที่รถไฟฟ้า 8 สาย-EEC
[PR News] แลนดี้ โฮม ทุ่มงบกว่า 30 ล้าน เปิด “Landy Home Flagship Lifestyle Center”

[PR News] แลนดี้ โฮม ทุ่มงบกว่า 30 ล้าน เปิด “Landy Home Flagship Lifestyle Center”

แลนดี้ โฮม ทุ่มงบกว่า 30 ล้าน  พลิกโฉมสาขาลาดพร้าว สู่  “Landy Home Flagship Lifestyle Center” ศูนย์รับสร้างบ้านครบวงจรแห่งอนาคต วางเป้าขึ้นแท่นแบรนด์พรีเมี่ยม เตรียมกลยุทธ์ 4E สร้างประสบการณ์ พร้อมเร่งขยายฐานลูกค้าครึ่งปีหลัง   นางสาวพรรัตน์ มณีรัตนะพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ได้ทุ่มงบกว่า 30 ล้านบาท พลิกโฉมสาขาลาดพร้าวซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ ให้เป็น Landy Home Flagship Lifestyle Center ศูนย์รับสร้างบ้านครบวงจรแห่งอนาคต  เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค  ทุกไลฟ์สไตล์ของทุกเจนเนอเรชั่นในครอบครัวที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน  ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น วัยทำงาน ครอบครัว คู่แต่งงานใหม่  รวมไปถึงวัยเกษียณ เพราะทุกวันนี้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยไม่ได้คาดหวังแค่สินค้าและบริการเท่านั้น แต่ยังคาดหวังว่าจะต้องได้รับประสบการณ์ที่ดีจากแบรนด์นั้น ๆ ด้วย จากนโยบายการดำเนินธุรกิจที่บริษัทยึดถือว่า “ให้แลนดี้โฮม คิดแทนคุณ”  จึงมีการพัฒนารูปแบบบ้านที่หลากหลาย​ และทุกระดับราคา ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ 2 ล้านบาทไปจนถึงบ้านหรูที่มีราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อให้ครอบคลุมและตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าแบบ 360 องศา โดยยังคงยึดถือในเรื่องของการใช้วัสดุดีมีคุณภาพ ไม่ลดสเปค และไม่ลดปริมาณ แม้ว่าในช่วงนี้ที่ราคาของวัสดุต่าง ๆ จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม ​ลูกค้าจึงมั่นใจได้เมื่อสร้างบ้านกับแลนดี้ โฮม ว่าจะได้บ้านที่มีคุณภาพปลอดภัย และคุ้มค่าที่สุด   นางสาวพรรัตน์ กล่าวว่า สำหรับเหตุผลที่นำร่องปรับโฉมสาขาสำนักงานใหญ่เป็นแห่งแรก ​ เนื่องจากเป็นสาขาที่ทำยอดขายได้สูงสุดถึงปีละ 450 ล้านบาท ซึ่งคาดว่ายอดขายสาขานี้จะเติบโตเพิ่มขึ้น  ภายหลังจากการปรับโฉมครั้งนี้อย่างแน่นอน  ส่วนในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขายรวม 1,350 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากเทรนดี้ โฮม 22% จากแลนดี้ โฮม 44% และจากแลนดี้ แกรนด์ 34% ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทคาดว่าจะสร้างยอดขายได้ถึง 2,750 ล้านบาทตามเป้าหมายที่ตั้งไว้   สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดบริษัทใช้แนวคิดการทำตลาดแบบ 4E ได้แก่  1.Experience นำเสนอภาพลักษณ์ และความรู้สึกดี ๆ เกี่ยวกับ แลนดี้ โฮม เพื่อมุ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าให้ลูกค้า ทั้งสะดวกสบายกว่า และสร้างความสุขความพึงพอใจได้มากกว่า 2.Exchange การให้ความสำคัญกับการสร้างความพึงพอใจระหว่างลูกค้าและแลนดี้ โฮม  เพราะปัจจุบันลูกค้าไม่เน้นซื้อของที่ราคาถูกเป็นหลัก แต่มองถึง “ความคุ้มค่า” 3.Everywhere  แลนดี้ โฮมต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด จึงสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงแลนดี้ โฮมได้ทุกที่ทุกเวลา ในขณะเดียวกันก็ยังให้ความสำคัญกับการสร้างแฟล็กชิพสโตร์เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นและได้สัมผัสด้วยตนเอง เพื่อสร้างประสบการณ์ร่วมที่ดีที่สุดให้เกิดขึ้นกับลูกค้า 4.Evangelism สร้างประสบการณ์ที่ดีของ แลนดี้ โฮม ให้เกิดขึ้นซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้าง Brand royalty ให้เกิดขึ้นในใจลูกค้า เพื่อสร้างการซื้อซ้ำและบอกต่อคนใกล้ชิด สำหรับ Landy Home Flagship Lifestyle Center  พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด MODERN LUXURY DESIGN ในโทนสีดำ เทา ขาว ที่เปิดกว้างต้อนรับทุกคนให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์การสร้างบ้านในแบบ แลนดี้ โฮม ที่รวมแบบบ้านมากที่สุดกว่า 300 แบบ บนพื้นที่​ 520 ตารางเมตร แบ่งเป็น 5 โซนหลัก ได้แก่ 1.โซนบ้านเทรนดี้โฮม มีแบบบ้านราคา 2-8 ล้านบาท 2.โซนบ้านแลนดี้โฮม มีแบบบ้านราคา 8-20 ล้านบาท 3.โซนบ้านแลนดี้แกรนด์ มีแบบบ้าน ราคา 20 -60 ล้านบาท 4.โซน CAP+ นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย CAP+ หรือนวัตกรรมการเติมอากาศบริสุทธิ์เข้าในบ้าน 5.โซนวัสดุ ที่จะมีวัสดุหลากหลาย รวมทั้งวัสดุนำเข้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แลนดี้โฮม เจาะตลาดลูกค้าไฮเอนด์ ดันยอดขาย 8 เดือนทะลุ 1,600 ล้าน
[PR News] JRY เผยความคืบหน้า 90% Sapphire Luxurious Condominium สาทร-พระราม 3

[PR News] JRY เผยความคืบหน้า 90% Sapphire Luxurious Condominium สาทร-พระราม 3

Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3  เจ อาร์ วาย พร็อพเพอร์ตี้ (JRY Property)  เผยความคืบหน้าโครงการ Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3 คอนโดมิเนียมลักชัวรี่วิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อสร้างแล้วเสร็จกว่า 90% ก่อนลุยงานตกแต่งภายใน มั่นใจส่งมอบโครงการตามพันธสัญญาที่ให้กับลูกค้าสร้างประสบการณ์อยู่อาศัยเหนือระดับตอบโจทย์ ความหรูหราในราคาดีที่สุดบนทำเลสาทร-พระราม3 พร้อมลุยตลาดอสังหาเซกเมนต์พรีเมี่ยมต่อเนื่องสานต่อปรัชญาของแบรนด์ สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนเมือง   Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3  นายซิงหยู ว่าน ประธานบริษัท เจ อาร์ วาย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3 (แซฟไฟร์ ลักซูเรียส คอนโดมิเนียม สาทร-พระราม 3) เปิดเผยความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการ คอนโดมิเนียม  Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3 ถือว่ามีความคืบหน้างานก่อสร้างโครงสร้างแล้วเสร็จไปกว่า 90% ตามเป้าหมายที่กำหนด แม้ว่าที่ผ่านมาทางโครงการจะเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีการชะลอการก่อสร้างแต่ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับความเป็นเครือบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง จึงทำให้ Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama3 สามารถเร่งงานก่อสร้างได้ทันตามกำหนด โดยขั้นตอนต่อไปจะเข้าสู่การตกแต่งภายใน ซึ่งเชื่อมั่นว่าพร้อมส่ง มอบโครงการให้กับลูกค้าและลูกบ้านภายในสิ้นปี 2566   “ช่วงสถานการณ์โควิด-19 โครงการไม่ได้อัดกลยุทธ์ทางการตลาดมากนักมีเพียงช่องทางออนไลน์เท่านั้นแต่ก็ได้รับความสนใจจากลูกค้าชาวไทย และ ชาวต่างชาติ ที่เชื่อมั่นในคุณภาพของโครงการแต่จากนี้เราพร้อมเดินหน้ารุกตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่า อสังหาไทย มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทั้งศักยภาพประเทศไทยที่ค่อยๆ ฟื้นตัวรวมถึงมาตรการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ประกอบกับสัญญาณที่ดี จากกำลังซื้อของจีนที่คาดว่าจะกลับมาภายในต้นปีหน้า”   Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3 (สาทร-พระราม 3) จาก JRY Property เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ริมโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา สูง 44 ชั้น จำนวน 697 ยูนิต บนถนนพระราม 3 ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานภูมิพล (วงแหวนอุตสาหกรรม) มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้ 270 องศา เป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตต่อชั้นไม่มาก เพียง 18 ยูนิตต่อชั้น ตัวอาคารสะดุดตาโดดเด่น การตกแต่งใช่โทนสีฟ้า ยอดอาคารเสริมความสง่างามด้วยดีไซน์อัญมณีสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโครงการ สร้างเอกลักษณ์ ความแตกต่าง ไม่เหมือนใคร   “ความโดดเด่นโครงการของเรา คือ ทำเลและความพรีเมี่ยมที่จับต้องได้ การวางเลย์เอาต์ของอาคารทำให้กว่า 80% ของโครงการมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา อีกทั้งเปิดด้วยราคาเริ่มต้นดีที่สุดบนทำเลนี้ เพียง 1 แสนกว่าบาทต่อตร.ม. เท่านั้น ด้วยคุณภาพและความหรูหราระดับนี้ในราคานี้ถือว่าหายากมากในย่านนี้ นั่นทำให้โครงการได้รับความสนใจจากผู้อยู่อาศัย”   นอกจากศักยภาพทำเลเหมาะแก่การอยู่อาศัย ติดถนนใหญ่สายหลัก การคมนาคมที่หลากหลายทั้งรถประจำทาง รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT และติดรถไฟฟ้าสายสีเทาในอนาคตแล้ว ลูกบ้าน Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3 (สาทร-พระราม 3) ยังสามารถสัมผัสความร่มรื่นของพื้นที่สีเขียวจากสวนศิลาฤกษ์ สวนสาธารณะวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ที่กำลังอยู่ระหว่างการปรับภูมิทัศน์ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามโครงการ อีกทั้งยังแวดล้อมด้วยแหล่งงาน เพราะเดินทางสะดวกเพียง 15 นาทีจากสีลม-สาทรจากโครงการ และใกล้ Kingbridge Tower ไอคอนนิกส์บิวดิ้ง อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของเครือสหพัฒน์ บนถนนพระราม 3   ที่สำคัญ Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3 (สาทร-พระราม 3) ยังตั้งอยู่บริเวณโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาโอบล้อมสองด้าน ทำให้เป็นหนึ่งในทำเลวิวแม่น้ำเจ้าพระยาดีที่สุดจุดหนึ่ง อีกทั้งเป็นแลนด์มาร์คมงคลคล้ายกับย่านเศรษฐกิจระดับโลกอย่างทำเลหอไข่มุกตะวันออก (The Oriental Pearl Tower) สัญลักษณ์แห่งนครเซี่ยงไฮ้ Sapphire Luxurious Condominium Sathorn-Rama 3 (แซฟไฟร์ ลักซูเรียส คอนโดมิเนียม สาทร-พระราม 3) ตั้งอยู่บนที่ดินราว 3 ไร่กว่า มีที่จอดรถประมาณ 344 คัน คิดเป็น 50% (Automatic Parking เทคโนโลยีประเทศเยอรมนี) ตัวห้องมีทั้งแบบ Simplex ฝ้าเพดานสูง 2.7 เมตรและห้อง Duplex ฝ้าเพดานสูงถึง 5.9 ม. แบ่งเป็น   1 Bedroom 33.8 – 42.3 ตร.ม. 2 Bedrooms 43.4 – 61.5 ตร.ม. Duplex 34.2 – 76.1 ตร.ม. Penthouse 70.1 – 121.9 ตร.ม.   ครบครันด้วยส่วนกลางสุดหรูหราและหลากหลาย ตอบโจทย์ชีวิตเหนือระดับมากกว่า 15 รายการ อาทิ Lobby, Mailbox, Putting Green, Golf Simulator, Green Area, Swimming Pool ระบบเกลือ, Kid’s Pool, Sauna Fitness, Kid Room, Sky Lounge, Library, Co-working Space, Yoga Room และ Boxing Area ทั้งหมดนี้พร้อมให้เป็นเจ้าของในราคาเริ่มต้นที่ 3.5 ล้านบาท   สำหรับ บริษัท เจ อาร์ วาย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (JRY Property) เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพ ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาคอนโดโลว์ไรส์ JRY Condominium Rama 9 (เจอาร์วาย คอนโดมิเนียม พระราม 9) โดย JRY Property เป็นหนึ่งในเครือ JRY Group ที่มีประสบการณ์ด้านการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมากกว่า 12 ปี   ประกอบด้วยกลุ่มบริษัทมากมาย อาทิ บริษัท เจ อาร์ วาย เรียล เอสเตท (ไทยแลนด์) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมในสไตล์ Luxury Modern Tropical ระดับพรีเมี่ยม, บริษัท แกรนด์ ฟาซาด เดคคอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด ผู้เชี่ยวชาญการผลิตและติดตั้ง Curtain Wall และ Roofing system, บริษัท SUNSHINE CONSTRUCTION ENGINEERING ผู้นำและติดตั้งสินค้าประหยัดพลังงานรักษ์สิ่งแวดล้อมภายใต้ “Sunshine” แบรนด์หลอดไฟ LED     ทั้งนี้ JRY Group ไม่เพียงพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงเฟิร์สคลาส ยังพัฒนาอาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ คอมเพล็กซ์ รวมพื้นที่กว่า 200,000 ตารางเมตร มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท อาทิ มีส่วนร่วมในการก่อสร้างอาคารสำนักงาน Fortune Young, DEEP & HARMONICARE IVF CENTER โรงพยาบาลมาตรฐานการแพทย์ JCI ระดับสากล โดยหลังจากนี้ JRY Group พร้อมเดินหน้ารุกตลาดพรีเมี่ยมอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ซึ่งเป็นปรัชญาของแบรนด์ ล่าสุดเปิดตัว Billion Club Villa โครงการบ้านเดี่ยวสุดไพรเวต ระดับเฟิร์สคลาส ภายใต้ JRY Group บนทำเล RCA และปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว        “แม้ว่า JRY Group จะมีผู้ถือหุ้นเป็นชาวต่างชาติ แต่เรายังคงเป็นบริษัทสัญชาติไทย ที่เน้นประโยชน์และตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนไทยเป็นหลัก นั่นทำให้ปรัชญาเครือ JRY Group มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ดีขึ้น โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์โซนเมือง ที่ผ่านมาเครือ JRY Group เน้นการสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพในระดับพรี่เมี่ยมมาโดยตลอด และอนาคตต่อจากนี้ JRY Group รวมถึง JRY Property จะยังคงรุกโครงการแนวราบและแนวตั้งระดับพรีเมี่ยมอย่างต่อเนื่อง โดยเน้น   คุณภาพในราคาที่จับต้องได้ (Affordable) “เพราะเราเชื่อมั่นในศักยภาพตลาดอสังหาฯ ไทย เมื่อเทียบกับประเทศอาเซียน ตลาดอสังหาฯ ไทยเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติลงทุนได้ อีกทั้งไทยยังเป็นเดสติเนชั่นที่มีกลุ่มชาวต่างชาตินิยมมาอาศัยค่อนข้างมาก ประกอบกับนโยบายศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย จะเอื้อให้ชาวต่างชาติกลุ่มดูแลสุขภาพที่มีกำลังซื้อสูงเข้ามาในประเทศมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อไทยและกลุ่มธุรกิจในไทย”     บทความน่าสนใจ Grande Pleno Suksawat-Rama 3-แกรนด์ พลีโน่ สุขสวัสดิ์-พระราม 3  Baan 365 Rama 3 – บ้าน 365 พระราม 3 COTE MAISON RAMA 3 – โคเต้ เมซอง พระราม 3  
[PR News] “สุรเชษฐ” ลุยธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาฯ เปิด  พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ

[PR News] “สุรเชษฐ” ลุยธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาฯ เปิด พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ

“สุรเชษฐ กองชีพ” หอบประสบการณ์การทำงานวิจัยตลาดอสังหาฯ กว่า 20 ปี เปิด “พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ” ธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาฯ แบบ ครบวงจร เพียง 4 เดือนคว้าลูกค้าเข้าพอร์ตแล้ว 3 ราย และจ่อลงนามในสัญญา 2 ราย   นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด หรือ Property DNA เปิดเผยว่า ได้จัดตั้งบริษัทตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อให้บริการด้านที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร  โดยช่วง 4 เดือนที่เปิดให้บริการ สามารถ​ได้รับความไว้วางใจ จากบริษัทผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาฯ  ให้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์  การให้คำปรึกษาในการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงการเป็นตัวแทนในการซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์แล้ว 2 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการในรายละเอียด 1 ราย และจะทำการลงนามในสัญญาในเร็วๆ นี้เพิ่มอีก 2 ราย   โดยกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสนใจเข้ามาใช้บริการกับทางบริษัท แบ่งได้ 3 กลุ่มคือ 1.บริษัทอสังหาฯที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2. บริษัทอสังหาฯ ขนาดกลาง และ 3.กลุ่มผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่ยังไม่ประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ หรือต้องการที่ปรึกษาที่มีความเข้าใจในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และเข้าใจในข้อจำกัดของพวกเขา เราเป็นบริษัทที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในวงการก็จริง แต่ด้วยประสบการณ์การทำงานด้านวิจัยตลาดอสังหาฯมากว่า 20 ปี และยังมีทีมงานที่มีประสบการณ์ หลากหลายความเชี่ยวชาญจึงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเข้ามาใช้บริการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ  จึงเป็นบริษัทที่ให้บริการทั้งการทำรายงานวิจัยตลาดอสังหาฯ ทุกประเภท การศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาฯ การให้คำปรึกษาในการลงทุนโครงการอสังหาฯ ​ รวมไปถึงการเป็นตัวแทนในการซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ทั้งนี้ เจ้าของที่ดิน หรือผู้ประกอบการรายใดมีความประสงค์ที่คิดหาวิธีสร้างรายได้จากที่ดินที่มีอยู่ในมือ แต่ติดขัดที่ขาดความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ หรือขาดที่ปรึกษาในการขายสามารถติดต่อมาได้ที่ บริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังมีการทำรายงานวิจัย และการให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับตลาดอสังหาฯ  รวมไปถึงเผยแพร่บทวิจัยและบทวิเคราะห์ต่าง ๆ ออกสู่สาธารณะอย่างต่อเนื่องด้วย   โดยที่ผ่านมาบริษัทมีงานบริการที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้า เช่น การทำรายงานวิจัยตลาดอสังหาฯ เป็นรายพื้นที่สำหรับโครงการที่อยู่อาศัย หรือโครงการพาณิชยกรรมรูปแบบอื่นๆ ตลอดจนโครงการมิกซ์- ยูสขนาดใหญ่บนที่ดินแปลงใหญ่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เป็นต้น โดยทีมงานที่ประสบการณ์และหลากหลายความเชี่ยวชาญ รวมไปถึงการเป็นตัวกลางในการหาผู้ซื้อ-ผู้ขายโครงการอสังหาฯ ขนาดใหญ่ เช่น โรงแรม รีสอร์ตทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีการหาผู้ร่วมทุนในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ​ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ โดยเครือข่ายพันธมิตรและสายสัมพันธ์ที่มีอยู่ในหลายประเทศ   นายสุรเชษฐ์ ยังกล่าวให้ความเห็นถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯ ​ในปัจจุบันว่า ยังอยู่ในช่วงปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งโดยรวมแล้วน่าจะดีขึ้นกว่าช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่าธุรกิจอสังหาฯ ยังได้รับแรงกดดันทั้งจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และราคาประเมินราชการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมไปถึงราคาที่ดินที่สูงขึ้นตามความขาดแคลนของที่ดินในหลายๆ ทำเล ทำให้เจ้าของที่ดิน หรือผู้ประกอบการหลายรายเริ่มคิดหาวิธีสร้างรายได้จากที่ดินที่ถืออยู่ในมือ   สำหรับกำลังซื้อของผู้บริโภค จะมีผู้บริโภคบางกลุ่มได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบที่มากระทบกับรายได้ ทำให้ชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยออกไป แต่ขณะเดียวกันก็จะมีผู้บริโภคบางกลุ่มหรือบางเซกเม้นต์ที่มีกำลังซื้อสูงอยู่ ส่วนกำลังซื้อของชาวต่างชาติจะยังคงไม่กลับมาในระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิด-19 ในปีนี้หรือปีหน้า ต้องรอให้การเดินทางระหว่างประเทศสะดวกมากขึ้น เพราะการซื้อหรือการโอนกรรมสิทธิ์นั้นสอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยว หรือจำนวนของชาวต่างชาติที่พักอาศัยหรือทำงานในประเทศไทย การที่มีชาวต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมในประเทศไทยช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่เกิดขึ้น เพราะมีการซื้อขายไปก่อนหน้านี้แล้ว   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ คาดตลาดอสังหาฯ ปี 65 มีแววฟื้น ลุ้นมาตรการรัฐ-การคุมโควิดหนุน -ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ แนะตลาดบ้าน-คอนโด ต้องต้องเฝ้าระวัง  5 เรื่องนี้
[PR News] “CHIC” เคาะราคาขาย IPO 0.90 บาท จำนวน 360 ล้านหุ้น  เปิดจองซื้อ 18-21 ก.ค.นี้

[PR News] “CHIC” เคาะราคาขาย IPO 0.90 บาท จำนวน 360 ล้านหุ้น เปิดจองซื้อ 18-21 ก.ค.นี้

“CHIC” เคาะราคาขายหุ้นไอพีโอ ราคาหุ้นละ 0.90 บาท จำนวน 360 ล้านหุ้น เปิดจองซื้อ 18-21 ก.ค. เตรียมเข้าเทรด mai ก.ค. นี้ แต่งตั้ง เมย์แบงก์ (MST) พร้อมด้วย ASP และ LHS ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เผยธุรกิจมีโอกาสเติบโตสูง ผนึก KSS และ KTBST เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย   นายธีร์ จารุศร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน) หรือ “CHIC” เปิดเผยว่า หลังจาก บมจ. ชิค รีพับบลิค ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 360 ล้านหุ้น คิดเป็น 26.47% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท  ปัจจุบัน สำนักงาน ก.ล.ต.ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบ   ไฟลิ่งมีผลใช้บังคับแล้ว   ล่าสุด บมจ.ชิค รีพับบลิค ลงนามสัญญาแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) พร้อมผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายอีก 2 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) (KTBST)   โดยกำหนดราคา IPO ที่หุ้นละ 0.90 บาท เปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 18-20 กรกฏาคม 2565 ระหว่างเวลา 9.00-16.00 น. และวันที่ 21 กรกฏาคม 2565 ระหว่างเวลา 9.00-12.00 น.  คาดว่าหุ้น CHIC จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ (Service) หมวดธุรกิจพาณิชย์ (Commerce) ภายในเดือน ก.ค. 2565 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “CHIC” สำหรับการกำหนดราคา IPO ดังกล่าว ถือเป็นระดับราคาเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน และสอดคล้องกับสภาวะตลาดปัจจุบัน  คาดว่า CHIC จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ทั้งโอกาสการเติบโตของธุรกิจ และมีความพร้อมในการขยายธุรกิจรองรับการเติบโตในอนาคต นางยอดฤดี สันตติกุล กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า CHIC เป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ผู้บริหารและทีมงานมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์มายาวนาน เข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หลากหลาย โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อ อีกทั้งได้รับการยอมรับจากผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศ การระดมทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพและขยายธุรกิจ รองรับความต้องการของตลาดที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จะช่วยเสริมการเติบโตได้ในอนาคต   ด้านนายกานต์ อรรถธรรมสุนทร  กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า บริษัทมีศักยภาพเติบโต ตามความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์ของภาคอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้ง จุดแข็งของบริษัทที่มีนโยบายบริหารจัดการต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการผลิต กำหนดราคาสินค้าที่เหมาะสม สามารถสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน อีกทั้งความสามารถด้านการเงิน ของบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ซึ่งหลังจากการระดมทุนครั้งนี้  จะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรมากขึ้น เนื่องจากสัดส่วนหนี้สินต่อทุนลดลง   ขณะที่นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ  CHIC​ เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ไปใช้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ พัฒนาเว็บไซต์ของบริษัทเพิ่มเติม สำหรับการขายแบบ E-Commerce ในประเทศและกัมพูชา เพื่อรองรับฐานลูกค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปรับปรุงพื้นที่บางสาขาในประเทศและขยายพื้นที่ให้เช่า สร้างแหล่งที่มาของรายได้ประจำ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการและชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันทางการเงิน เพิ่มสภาพคล่องด้านการเงินของบริษัท   "เชื่อมั่นว่าการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จะช่วยเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่งในการขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีสาขาที่เปิดดำเนินการแล้วรวม 6 สาขา โดยแบ่งเป็น 5 สาขาในประเทศ ได้แก่ สาขาประดิษฐ์มนูธรรม พัทยา บางนา ราชพฤกษ์ และรามอินทรา และ 1 สาขาในต่างประเทศ ได้แก่ สาขากัมพูชา โดยมีแผนเตรียมขยายสาขาในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง รวมถึงเป็นฐานการจำหน่ายและการกระจายสินค้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศลาว เป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าของบริษัทในอนาคต"   นอกจากนี้ บริษัทเล็งเห็นถึงโอกาสในการเพิ่มรายได้ จากการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ธุรกิจงานโครงการมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีกระแสตอบรับที่ดีจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทั้งแนวราบ-แนวสูง เตรียมขยายฐานลูกค้าโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โรงแรม โรงพยาบาล เพิ่มยอดขายและเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น รวมถึงขยายบริการ “Chic Design Studio” ให้บริการออกแบบและตกแต่งภายในแบบครบวงจร ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ รวมถึงธุรกิจให้เช่าและรับจัดตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน ภายใต้ชื่อ “Chic Rent In Style” รองรับความต้องการลูกค้ากลุ่มบริษัทรับออกแบบ-ตกแต่ง บริษัทรับจัดงาน Event ต่าง และเจ้าของบ้าน ควบคู่กับการพัฒนาช่องทางจำหน่ายออนไลน์ ตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง สนับสนุนธุรกิจหลักของบริษัท และนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -3 เหตุผล ชิค รีพับบลิค ระดมทุนในตลาด เอ็ม เอ ไอ ขาย 360 ล้านหุ้น  
[PR News] บีแลนด์ ทุ่มทุน 1.8 พันล้าน เปิดตัวโครงการ “โมริ คอนโดมิเนียม”

[PR News] บีแลนด์ ทุ่มทุน 1.8 พันล้าน เปิดตัวโครงการ “โมริ คอนโดมิเนียม”

บีแลนด์  ทุ่มทุน 1.8 พันล้าน เปิดตัวโครงการ “โมริ คอนโดมิเนียม” รวม 1,040 ยูนิต ตกแต่งสไตล์มินิมอลแบบญี่ปุ่น ราคาเริ่มต้นเพียง 849,000 บาท โมริ คอนโดมิเนียม  บีแลนด์  เดินหน้าลุยตลาดอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการเปิดตัว “โมริ คอนโดมิเนียม” (Mori) โครงการที่พักอาศัยมูลค่าการลงทุนกว่า 1,800 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ใจกลางเมืองทองธานี ด้วยคอนเซ็ปต์ “พักผ่อนภายใต้ธรรมชาติอันร่มรื่น..สัมผัสได้ถึงความสุขที่เรียบง่าย”   ตกแต่งสไตล์มินิมอลกลิ่นอายญี่ปุ่น โดยมีห้องชุดให้เลือกถึง 7 รูปแบบ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ขนาด  28.06 - 61.08  ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นเพียง 849,000 บาท หรือประมาณ 30,000 บาท / ตร.ม.  แถมฟรีเฟอร์นิเจอร์ และบริการสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางแบบครบครัน พร้อมเปิดจองแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยการก่อสร้างโครงการจะแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ได้ภายในปี 2566     นายปีเตอร์ กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีแลนด์ กล่าวว่า “สถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศและความเป็นอยู่ของคนไทยเป็นอย่างมาก ทำให้บริษัทฯ ตระหนักและมุ่งมั่นในการคืนความสุขและมอบคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับคนไทย จึงได้พัฒนาโครงการที่พักอาศัย “โมริ คอนโดมิเนียม”  ขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการของผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยใหม่ในราคาที่ไม่ถึงล้านบาท แต่สามารถใช้ชีวิตภายใต้บรรยากาศที่ผ่อนคลายและอบอุ่นได้ทุกวัน   พร้อมบริการส่วนกลางที่ครบครันโดยเฉพาะสวนธรรมชาติที่ร่มรื่นเขียวขจีสอดคล้องกับความหมายของ “โมริ” ที่แปลว่า “ป่าไม้”  นอกจากนี้ โมริ ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุน เพราะโครงการนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางสถานที่สำคัญๆ ทั้งใกล้ศูนย์ฯ อิมแพ็ค ห้างสรรพสินค้า แหล่งช้อปปิ้ง  ร้านค้า ร้านอาหารชั้นนำ โรงแรม ธนาคาร สถานที่ราชการ โรงพยาบาล และสถานศึกษา ที่ใช้เวลาในการเดินทางไปแต่ละสถานที่เพียงไม่กี่นาที รวมทั้งการเดินทางเข้า-ออกได้หลายทิศทางรอบโครงการ ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนเมืองทองธานี และที่สำคัญใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพูที่กำลังจะเปิดทดลองให้ใช้บริการในช่วงต้นปีหน้านี้  อีกทั้ง บริษัทฯ ยังได้ลงทุนเพิ่มให้มีบริการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีชมพูเข้ามาในเมืองทองธานีอีก 2 สถานี เพื่ออำนวยความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และคาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 2 ปีข้างหน้า”     โครงการ “โมริ คอนโดมิเนียม” เป็นอาคารชุดสำหรับพักอาศัยสูง 16 ชั้น จำนวนรวม 1,040 ยูนิต มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ขนาด 28.06 - 61.08 ตร.ม. ห้องพักออกแบบภายในสไตล์มินิมอลที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเรียบหรูในสไตล์ญี่ปุ่น พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน โมริ คอนโดมิเนียม ประกอบไปด้วย ร้านค้าในโครงการจำนวน 20 ยูนิต ห้องโถง สวนป่าธรรมชาติ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย พื้นที่จอดรถทั้งในตัวอาคารและบริเวณรอบโครงการประมาณ 35% ระบบรักษาความปลอดภัยด้วยกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมคีย์การ์ดเข้า-ออก     การเดินทางที่สะดวกสบายติดทางด่วนขึ้น - ลงด่านเมืองทองธานี รถไฟฟ้าสายสีชมพู และรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีชมพูเข้ามาในเมืองทองธานีจำนวน 2 สถานี ได้แก่ สถานีอิมแพ็ค เมืองทองธานี (ชาแลนเจอร์) และสถานีริมทะเลสาบ เมืองทองธานี ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง อาทิ คอสโม บาซาร์, บีไฮฟ ไลฟ์สไตล์ มอลล์, เดอะ พอร์ทอล และ เอาท์เล็ท สแควร์ เป็นต้น ที่ห่างไปเพียงไม่กี่นาที เหมาะสำหรับผู้พักอาศัย และผู้ที่ต้องการลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพ   ผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือเข้าเยี่ยมชมโครงการโทร. 064 180 2244 / 064 182 2245 หรือติดตามข่าวสารได้ที่หรือ Facebook: www.facebook.com/bangkokland.mori    บทความที่เกี่ยวข้อง Atmoz แจ้งวัฒนะ คอนโดสไตล์รีสอร์ท ใกล้รถไฟฟ้าสีชมพู IMPACT Speed Park สนุกจนอะดรีนาลีนพุ่งพล่าน แอล.พี.เอ็น.ฯ เปิด 2 โปรเจ็กต์ใหม่เจาะย่าน “จรัญฯ-เมืองทองธานี” ผลักดันเป้ายอดขายปีนี้ 10,000 ล้าน    
[PR News] เวนเจอร์ โกลบอล บุก EEC ขายบ้าน-คอนโด  วาง 5 ปี ปั้นรายได้ 1,000 ล้านพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ 

[PR News] เวนเจอร์ โกลบอล บุก EEC ขายบ้าน-คอนโด วาง 5 ปี ปั้นรายได้ 1,000 ล้านพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ 

เวนเจอร์ โกลบอล เวนเจอร์โกลบอล โฮลดิ้ง วางแผน 5 ปี สร้างรายได้ 1,000 ล้าน พร้อมเข้าจะทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เดินหน้าสะสมแลนด์แบงก์ ปั้นโปรเจ็กต์ทุกปี ยึดพื้นที่โซน EEC หลังครึ่งปีแรกกวาดยอดขาย "เดอะเซนโทร คอนโด" 500 ล้าน เร็วกว่าแผนที่กำหนด   นายพีระพล รังสิมานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวนเจอร์ โกลบอล โฮลดิ้ง จำกัด (VGH) เปิดถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจขของบริษัทว่า  ได้วางแผนขยายโครงการทั้งแนวราบและแนวสูง ปีละ 1-3 โครงการ เพื่อเป้าหมายนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 5 ปี  ด้านนายจักรพันธ์ บำเพ็ญเกียรติกุล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ  กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถปิดการขายโครงการดอะเซนโทร คอนโด ที่สร้างเสร็จพร้อมโอน มี 2 อาคาร จำนวน 304 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท  ได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เอาไว้ ซึ่งเป็นผลจากความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่โซนตะวันออก โดยเฉพาะบางแสน ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง บริษัทยังวางแผนหาซื้อที่ดินสะสมในพื้นที่อีอีซี​ เพื่อพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง​  จากการเห็นสัญญาณการการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ​โดยการพัฒนาโครงการใหม่  จะมีทั้งแนวราบและคอนโด เพื่อสร้างความต่อเนื่องของรายได้อย่างยั่งยืน  สำหรับแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในระยะ 5 ปีข้างหน้า บริษัทจึงได้วางเป้าหมายการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง คือ ปี 2565 วางเป้ารายได้จำนวน 350 ล้านบาท ปี 2566 จำนวน 450 ล้านบาท ปี 2567 จำนวน 500 ล้านบาท และ  ปี 2568  วางเป้ารายได้จำนวน 1,000 ล้านบาท   นายจักรพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากความสำเร็จจากโครงการ เดอะเซนโทร คอนโด บริษัทจึงต่อยอดไปสู่การพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ที่เตรียมตัวเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นโครงการแนวราบประเภทบ้านแฝด บ้านเดี่ยว ในโซนอมตะนคร ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาแบบ คาดว่าจะเปิดขายในช่วงต้นปี 2566 รวมทั้งการวางแผนพัฒนาโครงการใหม่อีก 2-3 โครงการ ในพื้นที่อีอีซีเพิ่มเติมในอนาคตด้วย​ ​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -สำรวจตลาดอสังหาฯ ชลบุรี ปี 63 “คอนโด-ทาวน์เฮ้าส์” แนวโน้มชะลอตัว