Life+Style

 

Life+Style ล่าสุด

1 2 3 ... 16
AWC เปิดตัว “EA” (เอ-ญ่า) แลนด์มาร์กใหม่ให้ประเทศไทย-ไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ ณ “เอ็มไพร์”

AWC เปิดตัว “EA” (เอ-ญ่า) แลนด์มาร์กใหม่ให้ประเทศไทย-ไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ ณ “เอ็มไพร์”

AWC เปิดตัว “EA” (เอ-ญ่า) เป็นแลนด์มาร์กใหม่ให้ประเทศไทยแล้ว สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกบนไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ ณ “เอ็มไพร์” ต้อนรับทุกคนร่วมสัมผัสไลฟ์สไตล์เดสติเนชั่นสุดพิเศษ   บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร สร้างปรากฎการณ์ระดับโลกเปิดตัว “EA” Rooftop at The Empire (เอ-ญ่า รูฟทอป แอท ดิ เอ็มไพร์) อย่างยิ่งใหญ่แล้ววันนี้ กับแลนด์มาร์กด้านการท่องเที่ยวแห่งใหม่ของประเทศไทย (Landmark Destination of Thailand) ที่รวม Top Cuisine ชั้นนำระดับเวิล์ดคลาสมาสู่รูฟทอปที่วิวสวยที่สุดในกรุงเทพฯ ทั้ง “Nobu Bangkok” (โนบุ แบงค๊อก) กับเชฟระดับตำนาน เชฟโนบุ มัตสึฮิสะ เปิดห้องอาหาร Nobu สูงที่สุดในโลก รวมถึง “EA CHEF'S TABLE” (เอ-ญ่า เชฟ เทเบิล) สัมผัสประสบการณ์เชฟเทเบิลจาก 3 เชฟระดับมิชลินสตาร์ กับห้องอาหารไทยบนรูฟทอปแห่งแรกของโลกโดยเชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร ห้องอาหารในต่างประเทศแห่งแรกของเชฟวิคกี้ เชง และห้องอาหารอิตาเลียนคลาสสิกร่วมสมัยโดยเชฟเปาโล อายราวโด และ “EA Gallery” (เอ-ญ่า แกลลอรี) แหล่งรวมไลฟ์สไตล์ร้านอาหารและคาเฟ่ชั้นนำ พร้อมเชิญชวนคนไทย นักท่องเที่ยว นักชิม ร่วมสัมผัสประสบการณ์ระดับโลกกับจุดหมายปลายทางแห่งไลฟ์สไตล์เหนือระดับ และอีกหนึ่งจุดเช็คอินห้ามพลาดบนไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพของเส้นขอบฟ้าและคุ้งน้ำเจ้าพระยาอันงดงามทั้งกลางวันและกลางคืนแบบ 360 องศา ณ “เอ็มไพร์” อาคารสำนักงานแบบไลฟ์สไตล์ระดับแฟลกชิปของ AWC บนพื้นที่ยุทธศาสตร์ใจกลางพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญย่านสาทร ภายใต้แนวคิด “Celebrating The World’s Newest Horizon” ร่วมสร้างมิติใหม่ให้กับวงการอาหารและการท่องเที่ยวของไทย พร้อมสนับสนุนกรุงเทพฯ ในฐานะศูนย์กลางด้านอาหารและการท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก     นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “AWC มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัว ‘EA’ Rooftop at The Empire ไลฟ์สไตล์เดสติเนชั่นบนรูฟทอปของ ‘เอ็มไพร์’ โครงการระดับแฟลกชิปของ AWC อย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ครอบคลุมพื้นที่รวมกว่า 10,000 ตร.ม. เพื่อเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของประเทศไทย นำประสบการณ์ด้านอาหารและไลฟ์สไตล์ระดับโลกแห่งใหม่มาสู่นครหลวงด้านการท่องเที่ยวอย่างกรุงเทพฯ โดยได้ร่วมมือกับคาเฟ่ ห้องอาหาร เชฟระดับตำนาน และเชฟระดับมิชลินสตาร์ มาร่วมสร้างสรรค์ประสบการณ์ของการรับประทานอาหารเหนือระดับผ่านสุนทรียรส การตกแต่งอันหรูหรา และวิวพาโนรามาของกรุงเทพฯ จากมุมสูงที่ไม่มีใครเหมือน AWC มั่นใจว่า ‘EA’ จะสร้างปรากฎการณ์ใหม่ด้านอาหารและเครื่องดื่มบนรูฟทอป (F&B Rooftop Destination) ที่โดดเด่นและควรค่าแก่การมาเยือนให้กับกรุงเทพฯที่ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ไม่ควรพลาด เพื่อร่วมสนับสนุนการท่องเที่ยวของประเทศในภาพรวม รวมถึงสร้างมิติใหม่ให้กับแวดวงอาหารและเครื่องดื่มของไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก สอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทฯ ที่ต้องการสร้างมาตรฐานและสร้างโอกาสใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยอย่างยั่งยืน รวมถึงขอขอบคุณโรงแรม แบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค พันธมิตรหลักที่มาร่วมสร้างสรรค์โครงการนี้ รวมถึงดูแลระบบการจัดการและการให้บริการของห้องอาหารต่างๆ ภายในโครงการ ‘EA’ อีกด้วย” สัมผัสประสบการณ์เหนือระดับที่ “Nobu Bangkok” ห้องอาหาร Nobu ที่สูงที่สุดในโลก “Nobu Bangkok” ห้องอาหาร Nobu ที่สูงที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 3 ชั้น รวมถึงชั้นดาดฟ้าของ “เอ็มไพร์” นำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ผสานศิลปะการทำอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมเข้ากับอิทธิพลด้านอาหารจากเปรู โดยเชฟระดับตำนานอย่างเชฟโนบุ มัตสึฮิสะ พร้อมด้วยวิวพาโนรามาอันงดงามของกรุงเทพฯ ทั้งกลางวันและกลางคืน ที่จะมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารอันน่าประทับใจเหนือระดับให้กับผู้มาเยือน ด้วยการบริการชั้นเลิศและเมนูอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ ที่เชฟโนบุได้รังสรรค์เมนูอันโดดเด่นผ่านทักษะความเป็นเลิศด้านการทำอาหาร พร้อมได้รับการออกแบบอย่างงดงามโดยบริษัทออกแบบระดับโลก Rockwell Group ด้วยแรงบันดาลใจจากสุนทรียะศิลปะแบบไทยและญี่ปุ่นที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เพื่อช่วยสร้างสรรค์ช่วงเวลาอันน่าจดจำให้กับมื้อสำคัญ หรือค่ำคืนอันน่าประทับใจ กับประสบการณ์สุดพิเศษที่จะยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้มาเยือนไปอีกยาวนาน   “EA CHEF’S TABLE” รวมห้องอาหารโดยเชฟมิชลินสตาร์ “EA CHEF’S TABLE” ตั้งอยู่บนชั้น 56 ของ “เอ็มไพร์” รวม 3 ห้องอาหาร 3 สัญชาติ จาก 3 เชฟระดับมิชลินสตาร์ นับเป็นเชฟเทเบิลที่สูงที่สุดในประเทศไทย นำเสนอไลฟ์สไตล์การกินดื่มเหนือระดับอย่างมีเอกลักษณ์ ท่ามกลางวิวพาโนรามาของกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ประกอบด้วย   “Le Du Kaan” การเดินทางผ่านหลากหลายฤดูกาลของวัฒนธรรมและอาหารไทย  ห้องอาหาร “Le Du Kaan” (ฤดูกาล) โดยเชฟระดับมิชลินสตาร์ เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร ถือเป็นห้องอาหารไทยโดยเชฟมิชลินสตาร์บนรูฟทอปแห่งแรกของโลก นำเสนอเมนูอาหารที่ผสมผสานอาหารไทยร่วมสมัยเข้ากับศิลปะการเล่าเรื่องอย่างมีเอกลักษณ์ เพื่อทำให้ทุกๆ จานเป็นเสมือนการเฉลิมฉลองวัฒนธรรมอันรุ่มรวย และวัตถุดิบคุณภาพในท้องถิ่นอันโดดเด่นที่คัดสรรมาจากชาวนาและชาวประมงไทยโดยตรง พร้อมการตกแต่งอย่างหรูหราราวกับงานศิลปะบนจานอาหาร ภายในร้านประกอบไปด้วยโซนรับประทานอาหารหลากหลายสไตล์รวมถึง บาร์เลานจ์ในร่มสุดชิค บาร์กลางแจ้งสีสันสดใส และพื้นที่ระเบียงกลางแจ้งขนาดใหญ่ เพื่อเป็นพื้นที่อันสมบูรณ์แบบในการชมพระอาทิตย์ตกดินเหนือกรุงเทพมหานคร  เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร กล่าวว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘EA’ ในฐานะห้องอาหารไทยบนรูฟทอปแห่งแรกของโลก การร่วมงานในครั้งนี้ถือเป็นการเดินทางสู่ฤดูกาลใหม่ในจุดหมายปลายทางแห่งใหม่อันเป็นเอกลักษณ์ ร่วมกับเชฟระดับมิชลินสตาร์ที่มีชื่อเสียงจากหลากหลายสัญชาติที่ได้มาร่วมกันอย่างยิ่งใหญ่ ณ EA CHEF’S TABLE ซึ่งจะช่วยสร้างสรรค์ประสบการณ์การรับประทานอาหารที่สุดพิเศษให้กับผู้ที่มาเยือน โดยเฉพาะเมนู ‘กะเพราเนื้อหม้อไฟ’ ที่ได้รับการรังสรรค์มาโดยเฉพาะสำหรับห้องอาหาร ‘Le Du Kaan’ เพื่อมอบความประทับใจและประสบการณ์สุดพิเศษที่ไม่เหมือนใคร”         “K by Vicky Cheng” ผลงานชิ้นเอกของอาหารจีนร่วมสมัย และห้องอาหารจีนสาขาแรกในต่างแดนของเชฟวิคกี้ ลิ้มรสอาหารจีนร่วมสมัยจากเชฟระดับมิชลินสตาร์ เชฟวิคกี้ เชง ได้ง่ายยิ่งขึ้นที่ ห้องอาหาร “K by Vicky Cheng” (เคย์ บาย วิคกี้ เชง) ห้องอาหารในต่างประเทศแห่งแรกของเชฟวิคกี้ ที่จะมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารจีนร่วมสมัยที่ไม่มีใครเหมือนผ่านการผสมผสานรสชาติแบบดั้งเดิม ผนวกกับแนวคิดด้านอาหารที่มีเอกลักษณ์จากแรงบันดาลใจของภูมิปัญญาโบราณของ 24 ภาวะตามปฏิทินจีนเข้ากับการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล เพื่อดึงความโดดเด่นของวัตถุดิบที่ดีที่สุดในแต่ฤดู ภายในห้องอาหารได้รับการออกแบบอย่างโดดเด่นด้วยโทนสีแดงเบอร์กันดีเข้มและศิลปะแบบจีน สะท้อนถึงความเคารพต่อมรดกแห่งอดีตและการโอบรับความทันสมัยของปัจจุบัน รวมถึงลวดลายกิเลนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอายุที่ยืนยาวและความมั่งคั่ง เชฟวิคกี้ เชง กล่าวว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่งที่วันนี้ได้เปิดห้องอาหารในต่างประเทศแห่งแรกของผมที่ ‘EA’ ด้วยความเชื่อมั่นในวิถีแห่งการรับประทานอาหารของคนไทยที่มีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมอาหารจีนในชีวิตประจำวัน ผมหวังว่าเมนูอาหารที่ผมได้สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่นี้ จะมอบความสุขและความเพลิดเพลินให้กับทุกคน และช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างอาหารจีนและวัตถุดิบชั้นเยี่ยมของไทยผ่านมุมองใหม่ ผมมั่นใจว่า ‘K by Vicky Cheng’ จะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เติมเต็มประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่เหมือนใครให้กับทุกท่าน”       “Sartoria by Paulo Airaudo” อิตาเลียนไฟน์ไดนิ่งอันน่าหลงใหล ห้องอาหาร “Sartoria by Paulo Airaudo” (ซาโตเรียอาร์ บาย เปาโล อายราวโด) นำเสนอนิยามใหม่ของเมนูอาหารอิตาเลียนคลาสสิกร่วมสมัยที่ได้รับการรังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถันโดยเชฟระดับมิชลินสตาร์ เชฟเปาโล อายราวโด (Paulo Airaudo) กลั่นกรองจากประสบการณ์การทำอาหารมายาวนาน จากหลายประเทศ หลากวัฒนธรรม เพื่อนำเสนอความหรูหราเหนือระดับด้วยอาหารอิตาเลียนไฟน์ไดนิ่งชั้นสูงจากวัตถุดิบที่ดีที่สุดตามฤดูกาลในแต่ละช่วง คัดสรรจากผู้ผลิตท้องถิ่นที่ดีที่สุดในประเทศไทย พร้อมเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้ชมศิลปะการทำอาหารอย่างใกล้ชิดผ่านครัวแบบเปิด โดยมีทัศนียภาพอันงดงามยามค่ำของกรุงเทพมหานครเป็นฉากหลัง เติมเต็มความสมบูรณ์แบบแห่งช่วงเวลาสุดพิเศษของการรับประทานอาหาร โดยจะพร้อมเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 เชฟเปาโล อายราวโด กล่าวว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสนำเสนออาหารอิตาเลียนแบบไฟน์ไดนิ่งที่ห้องอาหารของผมในกรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นการเปิดห้องอาหารแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของผม ด้วยความตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์สุดพิเศษอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความประทับใจให้กับทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ด้วยเมนูรสเลิศที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นจากมรดกทางวัฒนธรรมของอาหารยุโรป เพื่อมาร่วมเติมเต็มสีสันให้กับจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มแห่งใหม่ที่โครงการระดับโลกอย่าง ‘EA’ ในประเทศไทย”   “EA Gallery” จุดหมายปลายทางด้านไลฟ์สไตล์พร้อมด้วยวิวสุดพิเศษ “EA Gallery” ตั้งอยู่บนชั้น 55 ของ “เอ็มไพร์” ที่ได้เปิดให้บริการตั้งแต่ต้นปี 2567 ที่ผ่านมาและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากมาย นำเสนอความหลากหลายของอาหาร เครื่องดื่ม และความบันเทิงจากร้านอาหาร คาเฟ่ และบาร์ที่มีวิวมุมสูงของกรุงเทพฯ  ประกอบไปด้วย ร้าน % Arabica สาขาที่สูงที่สุดในโลก เพลิดเพลินกับกาแฟหอมกรุ่นพลางดื่มด่ำกับวิวของมหานครเเบบพาโนร่ามาได้ในเวลาเดียวกัน 手qraft (คราฟท์) บริการอาหารเช้าปราณีตสไตล์ตะวันออกร่วมสมัยในคอนเซ็ปต์ ‘oriental brunch’ โดย Peace 和 Oriental Teahouse และ Onggi ร้านอาหารเกาหลีที่คุณสามารถเพลิดเพลินกับ Hanjeongsik ประสบการณ์การทานอาหารแบบเซทต้นตำรับของเกาหลีจากวัตถุดิบไทยกับการหมักแบบเกาหลีดั้งเดิมรวมถึง Invitation Only บาร์ลับบนรูฟทอปที่ให้คุณได้ตื่นตาไปกับวิวกรุงเทพมหานครและเพลิดเพลินไปกับดนตรีสากลย้อนยุค 80s 90s และ 2000 โดยทีมงานจาก The Cassette Music Bar ร่วมชื่นชมแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของประเทศไทย และสัมผัสประสบการณ์การรับประทานอาหารที่สุดพิเศษท่ามกลางทัศนียภาพอันงดงามของกรุงเทพฯ และสายน้ำเจ้าพระยา ณ “EA” ที่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ติดตามข้อมูลของ “EA” ได้ที่ www.empirebuilding.co/th/ea สนใจสำรองที่นั่งห้องอาหาร “Nobu Bangkok” ล่วงหน้าได้ที่ www.noburestaurants.com/bangkok รวมถึง “EA CHEF'S TABLE” สำรองที่นั่งล่วงหน้าสำหรับห้องอาหาร “Le Du Kaan” ได้ที่ www.ledukaan.com และห้องอาหาร “K by Vicky Cheng” ได้ที่ www.kbyvickycheng.com   ข่าวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มีอะไรใหม่ใน เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ หลังทุ่มพันล้านสู่ Co-Living Space เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลาง  
5 สิ่งที่คนติดตั้งโซลาร์เซลล์บ้านห้ามพลาด! ติดตั้งอย่างไรให้คุ้ม ง่าย และตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย

5 สิ่งที่คนติดตั้งโซลาร์เซลล์บ้านห้ามพลาด! ติดตั้งอย่างไรให้คุ้ม ง่าย และตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย

5 สิ่งที่คนติดตั้งโซลาร์เซลล์บ้านห้ามพลาด! ติดตั้งอย่างไรให้คุ้ม ง่าย และตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย ตอนนี้ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกระแสให้หลายประเทศรวมถึงประเทศไทย และหลายหน่วยงานใหญ่ต่างก็ตั้งเป้าหมายกับเรื่อง Sustainability เป็นนโยบายหลักขององค์กร ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่น ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดปัญหาด้านพลังงานและหันมาให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานทดแทน หรือพลังงานสะอาดมากขึ้น   หนึ่งในพลังงานทดแทนที่เป็นพลังงานสะอาดและได้รับความนิยมในประเทศไทย คือ “พลังงานแสงอาทิตย์” เนื่องจากเราเป็นประเทศที่มีแสงแดดจัดตลอดทั้งปี การใช้โซลาร์เซลล์ในไทยก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทั้งการมองหาพลังงานสะอาดทดแทนขององค์กรต่างๆ รวมถึงการติดตั้งเพื่อลดค่าไฟฟ้าของครัวเรือน ทำให้เห็นว่าตลาดโซลาร์เซลล์ในไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงมีหลากหลายแบรนด์ให้เลือกในท้องตลาด     วันนี้ Reviewyourliving จึงลิสสิ่งที่ห้ามพลาด! สำหรับผู้อยู่อาศัยที่กำลังตั้งเป้าหมายในการติดตั้งระบบโซลาร์ที่บ้าน ไม่ว่าจะทั้งเพื่อลดบิลค่าไฟของบ้าน หรือ มีส่วนในการช่วยลดภาวะโลกร้อนและหันไปใช้พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่า สิ่งที่คนจะติดตั้งโซลาร์เซลล์คำนึงถึง มีมากมายหลายปัจจัย ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และความต้องการของแต่ละครอบครัว แต่วันนี้เราจะหยิบยกตัวอย่างสำคัญๆ ที่ห้ามพลาด ลองมาดูกันว่า จะมีอะไรกันบ้าง     1. บิลค่าไฟ สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึง และขาดไม่ได้เลยก็คือ บิลค่าไฟ ซึ่งแต่ละบ้านมีค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าไม่เท่ากัน โดยหากย้อนกลับไปดูเรทค่าไฟฟ้าจะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2564 ถึงปีที่ผ่านมา เรทค่าไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นถึง 30% ค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าของแต่ละครัวเรือนจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับบิลค่าไฟที่เริ่มมีความเหมาะสมในการติดตั้งระบบโซลาร์นั้น ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละครอบครัว บางครอบครัวอาจคุ้มสำหรับการติดตั้งเมื่อบิลค่าไฟเพียง 4,000 บาท แต่บางบ้านที่มีไลฟ์สไตล์ต่างกัน อาจคุ้มค่าเมื่อบิลค่าไฟสูงกว่านี้ก็ได้   2. พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของครอบครัว การติดตั้งระบบโซลาร์ของบ้านนั้น โดยทั่วไปประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ แผงโซลาร์เซลล์ อินเวอร์เตอร์ และแบตเตอรี่ โดยในบางครอบครัวที่ใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในตอนกลางวัน อาจติดตั้งเพียงแผงโซลาร์เซลล์ และ อินเวอร์เตอร์ ก็เพียงพอสำหรับการช่วยลดค่าไฟแล้ว แต่หากบ้านที่ไม่อยู่บ้าน ออกไปทำงานในตอนกลางวัน ใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ตอนกลางคืน หรือมีรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องชาร์จไฟฟ้าในตอนกลางคืน การติดระบบโซลาร์แบบไม่มีแบตเตอรี่ ก็จะเสียพลังงานโซลาร์ที่ผลิตได้ตอนกลางวันไปแบบสูญเปล่า การติดระบบโซลาร์พร้อมแบตเตอรี่จึงเหมาะสมมากกว่า   3. การรับประกัน และบริการหลังการขาย ระบบโซลาร์มีหลากหลายอุปกรณ์จากหลากหลายแบรนด์ นำมาประกอบกันในระบบเดียว ซึ่งการใช้งานของระบบโซลาร์ เป็นการใช้งานในระยะยาว ดังนั้น คุณภาพและประสิทธิภาพของอุปกรณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ การรับประกันประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ครอบคลุมในระยะยาวจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ นอกจากนี้ เมื่อระบบที่เกิดจากการประกอบกันจากหลากหลายแบรนด์ หากแต่ละอุปกรณ์มีปัญหา การติดต่อเพื่อขอรับประกันและบริการหลังการขาย อาจเป็นสิ่งที่ยุ่งยากของใครหลายๆ คน และอาจมีคนพบเจอถึงปัญหาที่แต่ละแบรนด์เกิดการตั้งคำถามกันเองว่า ปัญหาของระบบเกิดจากแผง เกิดจากอินเวอร์เตอร์ หรือเกิดจากแบตเตอรี่ แบรนด์ไหนกันแน่ที่ควรรับผิดชอบเรื่องการเคลมประกันในครั้งนี้ ดังนั้น การเลือกผู้ที่ติดตั้งแบรนด์เดียวครบทั้งระบบที่มีทั้งแผงโซลาร์เซลล์ อินเวอร์เตอร์ และแบตเตอรี่ รวมถึงแบรนด์ที่ให้บริการติดตั้ง รับประกัน และบริการหลังการขาย ก็จะได้รับทั้งในแง่ของความสะดวกสบาย และในแง่ของความมั่นใจในการทำงานร่วมกันว่าระบบจะสามารถมอบประสิทธิภาพการทำงานที่ปลอดภัยและมีคุณภาพสูงให้ได้   4. ดีไซน์ของระบบ ผู้ที่ติดตั้งระบบโซลาร์ แน่นอนว่า จะต้องพบเจอกับปัญหาของสายไฟมากมายที่ต้องเชื่อมกับทั้งอินเวอร์เตอร์ แผงโซลาร์เซลล์ ตู้โหลดไฟฟ้าภายในบ้าน และหากครอบครัวใดติดตั้งแบตเตอรี่ด้วยแล้วล่ะก็ ก็จะยิ่งมีสายไฟระโยงระยาง ระหว่างอินเวอเตอร์และแบตเตอรี่ในตัวบ้าน เกิดความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย รกรุงรัง ดูไม่สวยงาม เรียกได้ว่า หลายคนที่เพิ่งซื้อบ้านใหม่ บ้านสวยโมเดิร์น การเลือกดีไซน์ติดตั้งของระบบจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้   5. ดีไซน์และประสิทธิภาพของอุปกรณ์และตัวแผง เวลาตกแต่งบ้าน โดยทั่วไปเราจะเลือกสิ่งที่สวยและเข้ากับตัวบ้านได้มากที่สุด ระบบโซลาร์ก็เช่นกัน เพราะในเมื่อจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านแล้ว ดีไซน์ที่เข้ากับตัวบ้านที่เป็นสิ่งที่ดูไม่สำคัญแต่จริงๆ แล้วสำคัญอย่างมาก ยิ่งใครที่มองไว้ว่าจะติดตั้งที่โรงรถหรือหน้าบ้าน เรียกได้ว่า ต้องเจออุปกรณ์นี้ในทุกๆ วัน นอกจากนี้ ดีไซน์ของแผงโซลาร์เซลล์ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากเรื่องความสวยงามที่เข้ากับหลังคาบ้านแล้ว หากตัวแผงสะท้อนแสงมากเกินไป ก็อาจจะรบกวนเพื่อนบ้าน ก่อเกิดปัญหาได้อีกด้วย อีกทั้งยังควรคำนึงถึงประสิทธิภาพของการผลิตไฟฟ้าของตัวแผงและอินเวอร์เตอร์ และความจุของแบตเตอรี่ที่เหมาะสมอีกด้วย   ทั้งหมดก็เป็นตัวอย่างของสิ่งที่ควรคำนึงถึงเมื่อจะติดตั้งระบบโซลาร์ที่บ้าน หลายคนที่อ่านถึงตรงนี้ อาจรู้สึกถึงความยุ่งยาก ซับซ้อน แล้วถ้ามีแบรนด์ที่มีระบบโซลาร์โซลูชันแบบครบวงจรสำหรับที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะล่ะจะดีแค่ไหน? วันนี้เลยพามารู้จัก “EnergyLIB” แบรนด์แรกในประเทศไทย ที่นำเสนอระบบโซลาร์โซลูชันแบบครบวงจรสำหรับที่อยู่อาศัยกัน โดย EnergyLIB ชูจุดแข็งในด้าน one-stop solution ที่มีทั้งบริการติดตั้งพื้นฐาน[1] รับประกัน และบริการหลังการขาย ครบจบในแบรนด์เดียว เพื่อให้ระบบโซลาร์เป็นเรื่อง “ง่าย” และใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น     นอกจากนี้ ยังมาพร้อมผลิตภัณฑ์ “EnergyLIB P1 All-In-One” ช่วย “ลดค่าไฟสูงสุด 70%[2] ใช้ไฟได้ทั้งกลางวัน-กลางคืน” ที่เรียกได้ว่าครบทั้งระบบ เพราะมีทั้ง Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) และเครื่อง All-In-One ที่รวมอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ไว้ในเครื่องเดียว โดย Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) ถูกออกแบบใหม่ในดีไซน์ Pure Black ไร้ช่องตาราง เมื่อติดตั้งบนหลังคาแล้วจะให้ความเรียบหรูสวยงาม พร้อมให้ประสิทธิภาพดูดซับแสงและความร้อนที่มากกว่า สูญเสียพลังงานแสงน้อยกว่าด้วยการลดแสงสะท้อน และยังมีระยะเวลาประกันนานถึง 25 ปี[3]     ในส่วนของเครื่อง All-In-One มาแก้ปัญหารูปแบบตู้ควบคุมและที่จัดเก็บแบตเตอรี่สำรองไฟเดิมๆ ที่มักจะไม่สวยงาม และมีสายเกะกะไม่สบายตา พอติดตั้งแล้วก็ทำให้บ้านไม่สวย ไม่เข้ากับตัวบ้าน ด้วยดีไซน์แบบโค้งมน พรีเมียม สบายตา ที่สำคัญตัวเครื่องได้รวมอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ในที่เดียว ไร้สายไฟระโยงระยางให้เกะกะสายตา ไม่ว่าจะนำไปวางที่ตำแหน่งใดของบ้านก็กลมกลืนไปกับการตกแต่งบ้านหลากสไตล์ และยังมีระยะเวลาประกันนานถึง 10 ปี[3]   ระบบโซลาร์โซลูชันแบบครบวงจรสำหรับที่พักอาศัยทาง EnergyLIB มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลายรูปแบบตามความต้องการใช้กำลังไฟในแต่ละบ้าน ได้แก่     EnergyLIB P1 All-In-One ขนาด 8kW ใช้สำหรับระบบไฟ 1 เฟส ประกอบด้วย Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) และเครื่อง All-In-One ที่มาพร้อมอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ ราคา 359,000 บาท (รวมติดตั้งพื้นฐาน[1]) EnergyLIB P1 All-In-One ขนาด 15kW ใช้สำหรับระบบไฟ 3 เฟส ประกอบด้วย Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) และเครื่อง All-In-One ที่มาพร้อมอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ ราคา 549,000 บาท (รวมติดตั้งพื้นฐาน[1])     EnergyLIB P1 Lite ขนาด 6kW ใช้สำหรับระบบไฟ 1 เฟส ประกอบด้วย Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) และอินเวอร์เตอร์ ราคา 199,000 บาท (รวมติดตั้งพื้นฐาน[1]) EnergyLIB P1 Lite ขนาด 15kW ใช้สำหรับระบบไฟ 3 เฟส ประกอบด้วย Black Magic (แผงโซลาร์เซลล์) และอินเวอร์เตอร์ ราคา 399,000 บาท (รวมติดตั้งพื้นฐาน[1])   พรีออเดอร์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ – 22 กันยายน 2567 ที่ BaNANA ทุกสาขาทั่วประเทศและตัวแทนจำหน่าย พร้อมรับ EnergyLIB Voucher มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท สัมผัสผลิตภัณฑ์จริงได้ที่ร้าน BaNANA เฉพาะสาขาที่ร่วมรายการ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Official Page ของ EnergyLIB หรือ Call Center 02-070-7888   #EnergyLIB #EnergyLIBP1AllInOne #OneStopSolution #ลดค่าไฟสูงสุด70เปอร์เซ็นต์ #ใช้ไฟได้ทั้งกลางวันกลางคืน #โซลาร์เซลล์ ## หมายเหตุ [1] อาจมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลง ภายหลังจากการสำรวจพื้นที่หน้างานจริง โดยขึ้นอยู่กับโครงสร้างและสภาพแวดล้อมของบ้าน [2] ปริมาณพลังงานไฟฟ้าคำนวณจากการใช้งาน EnergyLIB P1 All-In-One ระบบไฟ 3 เฟส ที่ติดตั้งแบตเตอรี่ 20 kWh และแผงโซลาร์เซลล์ 26 แผง โดยประสิทธิภาพและผลลัพธ์อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับการใช้งานจริงและปัจจัยภายนอกอื่น ๆ อาทิ ปริมาณแสงแดดและความร้อน ความสะอาดของแผงโซลาร์เซลล์ อายุการใช้งานผลิตภัณฑ์ พฤติกรรมการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ [3] โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ใบรับประกัน        
‘BenQ W5800’ สุดยอดประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในบ้านระดับ 4K ที่สมบูรณ์แบบ

‘BenQ W5800’ สุดยอดประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในบ้านระดับ 4K ที่สมบูรณ์แบบ

BenQ เปิดตัวโปรเจคเตอร์ Home Cinema ระดับเรือธง ‘BenQ W5800’ สุดยอดประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในบ้านระดับ 4K ที่สมบูรณ์แบบ - สัมผัสประสบการณ์ภาพขนาด 200 นิ้วที่คมชัดระดับเลเซอร์ - ปรับตั้งค่าสีแม่นยำ ความครอบคลุมของสี DCI-P3 100% รวมถึงความแม่นยำของสีถึง Delta E <2 พร้อมความสว่างสูงสุด 2600 ANSI Lumens BenQ เปิดตัวโปรเจคเตอร์รุ่นใหม่ ‘BenQ W5800 Home Cinema Projector’ โปรเจคเตอร์แบบ 4K Laser DLP ที่มุ่งเป้าตอบโจทย์ผู้ชื่นชอบดูภาพยนตร์ที่บ้านโดยเฉพาะ โดยปรับปรุงและพัฒนาเพื่อเปลี่ยนประสบการณ์ Audio Visual ในบ้านให้กลายเป็นโรงภาพยนตร์ขนาดย่อม มอบความคมชัดระดับ True 4K UHD และความเที่ยงตรงของสีไม่ต่างจากการดูภาพยนตร์ในโรง BenQ W5800 Home Cinema Projector เป็นโปรเจคเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุดของ BenQ ที่รวมเอาเทคโนโลยี CinematicColour และ HDR-Pro เอกสิทธิ์เฉพาะของ BenQ ไว้ด้วยกัน ปรับโทนภาพอันชาญฉลาดด้วยการจับคู่โทนสีที่ได้รับการปรับแต่งสีถึงสองขั้นตอน สร้างสมดุลรายละเอียดระหว่างฉากสว่างและมืด ช่วยให้โปรเจคเตอร์ฉายภาพได้เสมือนจริง เก็บรายละเอียดของภาพได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่สุดตั้งแต่เคยมีมา สามารถใช้ได้ตั้งแต่ห้องโฮมเธียเตอร์ที่มืดสนิทไปจนถึงห้องนั่งเล่นในเวลากลางวันที่มีแสงส่องเข้ามา “BenQ W5800 เป็นโปรเจคเตอร์โฮมซีเนม่าที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่เราเคยมีมา ทีมวิศกรของเราใช้เวลาพัฒนาและออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้า และมอบประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์แบบโฮมเธียเตอร์ที่ไม่มีใครเทียบ เราเชื่อว่าโปรเจคเตอร์รุ่นนี้จะกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญ และสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่อุตสาหกรรม ช่วยตอบสนองนักดูหนังในบ้าน นำพาความมหัศจรรย์ของโรงภาพยนตร์มาสู่บ้านของคุณโดยตรง” นายโรเจอร์ เฉิน ผู้อำนวยการ บริษัท เบ็นคิว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว BenQ ได้พัฒนา HDR-PRO เทคโนโลยีเหนือระดับซึ่งเป็นเอกสิทธิ์แท้ของตนเอง เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์ภาพยนตร์ได้อย่างถูกต้องและคุณภาพที่ดีที่สุด โดย HDR-PRO ช่วยเพิ่มไดนามิกเรนจ์โดยรวมของโปรเจคเตอร์ด้วย Local Contrast Enhancement และ HDR Tone Mapping ที่เหมาะสม ได้รายละเอียดสมบูรณ์แบบแม้ในเงามืด Local Contrast Enhancer (LCE) ยังเป็นอัลกอริธึมชั้นนำของอุตสาหกรรม ทำหน้าที่แบ่งภาพออกเป็น 1,000+ โซน และปรับแกมม่าของแต่ละโซนให้เหมาะสมอย่างอิสระ โดย Local Contrast Enhancer จะเก็บรายละเอียดปลีกย่อยทั้งในบริเวณที่สว่างและพื้นที่มืดสนิทของหน้าจอ   Local Contrast Enhancer (LCE) อัลกอริธึมชั้นนำ ทำหน้าที่แบ่งภาพออกเป็น 1,000+ โซน และปรับแกมม่าของแต่ละโซนให้เหมาะสมอย่างอิสระ  เลนส์กระจกทั้งหมด 14 ชิ้น 7 กลุ่ม เคลือบด้วยวัสดุการกระจายตัวต่ำ ภาพคมชัดที่ไม่มีใครเทียบ โปรเจคเตอร์รุ่น W5800 มีแหล่งกำเนิดแสงแบบ Laser Array ที่ล้ำสมัย มาพร้อมความสว่าง 2600 ANSI Lumens และเลนส์กระจกทั้งหมดที่มีองค์ประกอบ 14 ชิ้น 7 กลุ่ม เคลือบด้วยวัสดุการกระจายตัวต่ำ ให้ภาพสีสดใสและโดดเด่น ถือเป็นโปรเจคเตอร์เลเซอร์เครื่องแรกของโลกที่มีตัวเลขความสว่างดังกล่าว นอกจากนี้ยังสามารถฉายภาพได้สูงถึง 200 นิ้ว ด้วยฟังก์ชันซูม 1.6 เท่า ซึ่งช่วยให้สามารถฉายภาพขนาด 150 นิ้วที่สมจริงจากระยะเพียง 16.6 ฟุต และยังมีคุณสมบัติการเลื่อนเลนส์ 2D (±50% แนวตั้งและ ±21% แนวนอน) ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถจัดศูนย์กลางของภาพได้ แม้ว่าพื้นที่การวางตำแหน่งจะถูกจำกัดก็ตาม แน่นอนว่า โปรเจคเตอร์โฮมเธียเตอร์ BenQ แต่ละรุ่นยังมาพร้อมระบบ Android TV ที่ผ่านการรับรองจาก Google และ Netflix ที่สามารถโหลดไว้ล่วงหน้าเพื่อการสตรีมมิ่งและการรับชมภาพยนตร์ได้อย่างเพลิดเพลินได้ไม่รู้จบ เสริมด้วยพอร์ตเชื่อมต่อ AV ที่ครบครันและคุณสมบัติด้านการเชื่อมต่อไร้สาย รองรับระบบเสียง 7.1-channel และระบบเสียง Dolby Atmos เติมเต็มทุกความต้องการด้านโฮมเธียเตอร์ให้สมบูรณ์ นอกเหนืออื่นใด W5800 ยังได้รับการออกแบบมาให้มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าหลอดโปรเจคเตอร์ทั่วไป โดยให้คุณภาพของภาพ ความสว่าง และประสิทธิภาพที่เหนือกว่า ซึ่งใช้งานได้ยาวนานถึง 25,000 ชั่วโมง BenQ W5800 Home Cinema Projector เปิดตัวที่ราคา 179,000 บาท ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรเจคเตอร์ BenQ W5800 คลิกไปเลยที่ https://bit.ly/3VRqK9i  หรือ Line Official: @BenQCare
SECOM Smart Security ระบบรักษาความปลอดภัยครบวงจรอันดับหนึ่งจากญี่ปุ่น

SECOM Smart Security ระบบรักษาความปลอดภัยครบวงจรอันดับหนึ่งจากญี่ปุ่น

SECOM Smart Security ระบบรักษาความปลอดภัยครบวงจรอันดับหนึ่งจากญี่ปุ่น ที่มากกว่ากล้องวงจรปิดทั่วไป เพื่อการดูแลทุกคนในบ้านให้ปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง   SECOM Smart Security คือบริการอะไร? Smart Security Care บริการใหม่เพื่อดูแลผู้สูงวัยในบ้าน อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ควรติดตั้งในบ้าน บริการของ Smart Security care …………………………………………………………………     เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยที่มีแค่กล้องวงจรปิด (CCTV) ไม่สามารถทำให้คุณอุ่นใจ ได้อย่างแท้จริง เพราะหลายเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เราไม่สามารถจัดการเหตุได้อย่างทันท่วงที ยิ่งสังคมในปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตที่ต้องออกไปทำงาน ทำกิจกรรมนอกบ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ การมองหาอุปกรณ์และระบบเพื่อรักษาความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินภายในบ้าน จึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่หลายคนมองหามาติดในบ้าน   ครั้งนี้เราจะมาพูดถึงระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร ภายใต้แบรนด์ “SECOM” ผู้ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยอันดับหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น มีเครือข่ายทั่วโลกครอบคลุม 17 ประเทศ และดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมานานถึง 37 ปี และปัจจุบันมีการขยายศูนย์บริการมากกว่า 50 สาขาแล้ว ซึ่งเป็นเครื่องการันตีความเป็นผู้เชี่ยวชาญและเป็นผู้นำในตลาดระบบรักษาความปลอดภัยได้เป็นอย่างดี     ด้วย “SECOM Smart Security” เป็นโซลูชันที่ครอบคลุมการดูแลความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มให้คำปรึกษา, บริการออกแบบระบบ, บริการติดตั้งโดยทีมงานมืออาชีพ พร้อมบริการเฝ้าระวังสัญญาณผิดปกติตลอด 24 ชั่วโมง, บริการซ่อมบำรุง, รวมถึงระบบวิเคราะห์ภาพอัจฉริยะ (Video Analytics) และเซ็นเซอร์ตรวจจับความผิดปกติ แจ้งเตือนผ่านสมาร์ทโฟน และโทรแจ้งเจ้าบ้าน รวมทั้งบริการส่งทีมเข้าพื้นที่กรณีฉุกเฉินตามความจำเป็น ซึ่งนับเป็นระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรอย่างแท้จริง   ความปลอดภัยที่เหนือกว่า ด้วยจุดเด่นของ SECOM SECOM มีประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพด้านความปลอดภัย และเป็นระบบรักษาความปลอดภัยเดียว ที่ป้องกันความเสี่ยงอย่างครบวงจร ตั้งแต่มาตรการป้องกันก่อนเกิดเหตุไปจนถึงหลังเกิดเหตุ เพื่อควบคุมและลดความเสียหายจากเหตุฉุกเฉิน ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่มีจุดเด่น 3 ด้าน ได้แก่ One Intelligent Platform : บริการสุดทันสมัย ให้คุณจัดการควบคุมทั้งเซ็นเซอร์ กล้อง และระบบอัตโนมัติได้อย่างสะดวกสบายใน Application เดียว Monitoring 24/7 : ศูนย์ควบคุมคอยเฝ้าระวังสัญญาณจากเซ็นเซอร์ตลอด 24 ชม. อุ่นใจได้หากตรวจพบเหตุการณ์ผิดปกติ ทางศูนย์จะติดต่อลูกค้า พร้อมมีบริการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานดับเพลิงได้ตามความต้องการ Interactive Solution : แจ้งเตือนจาก Application เมื่อมีผู้มาเยี่ยมบ้าน หรือตรวจพบผู้บุกรุก พร้อมบันทึกภาพจากกล้องบน Cloud และตรวจจับคนและสัตว์ได้อัตโนมัติ   จากระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะครบวงจรที่กล่าวถึงมาข้างต้นนี้แล้ว ล่าสุด SECOM ได้เปิดตัวบริการ “Smart Security Care” ซึ่งถือเป็นการต่อยอดบริการอีกขั้นของระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับผู้สูงวัยภายในบ้าน     เตรียมป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่า “Smart Security Care” เป็นบริการที่จะมาตอบโจทย์การดูแลผู้สูงวัยที่อาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพัง ภายใต้คอนเซ็ปต์ Caring By Your Side เนื่องจากสังคมประเทศไทยในปัจจุบันก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ที่เริ่มมีจำนวนผู้สูงวัยต้องใช้ชีวิตในบ้านเองเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่สมาชิกของครอบครัวต้องออกไปทำงานนอกบ้าน มีความจำเป็นต้องอยู่อาศัยคนละที่ หรือแม้กระทั่งผู้สูงวัยที่อยู่คนเดียวและอยากดูแลตัวเอง ดังนั้นโซลูชันอัจฉริยะที่ทาง SECOM ออกแบบไว้จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเพื่อลดความกังวลทั้งในด้านความปลอดภัย และด้านสุขภาพ ให้กับสมาชิกในครอบครัว ซึ่งหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจะได้เข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที ซึ่งบริการและอุปกรณ์ที่เพิ่มเติมขึ้นมาจะมีอะไรบ้าง เราไปทำความรู้จักกันได้เลย     3 จุดเด่นของ SECOM SMART security care ด้านความปลอดภัย ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงโดยทีมงานมืออาชีพ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ SECOM จะติดต่อผ่านเบอร์ของลูกค้าที่ลงทะเบียนไว้ และประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้านสุขภาพ โซลูชันติดตามกิจกรรมและพฤติกรรมของผู้สูงวัยผ่านแอปพลิเคชันได้ตลอดเวลา ด้านการช่วยเหลือฉุกเฉิน บริการแจ้งเตือนสมาชิกในครอบครัวทันทีที่เกิดเหตุ และหากมีเหตุฉุกเฉิน SECOM จะช่วยเรียกรถพยาบาลให้ตามความจำเป็น   จุดเด่นของบริการทั้งหมดนี้จะทำงานร่วมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งไว้ในบ้าน เพื่อเฝ้าติดตามกิจกรรมและพฤติกรรมโดยรวมของผู้สูงวัย ทำให้สามารถแจ้งเตือนความผิดปกติผ่านโทรศัพท์มือถือได้ทันที พร้อมรายงานสรุปข้อมูลช่วยให้วิเคราะห์สุขภาพของผู้สูงวัยได้อีกด้วย     สำหรับอุปกรณ์แต่ละตัวที่จะใช้ทำงานร่วมกันก็ยกตัวอย่างเช่น กล้อง Wi-Fi สำหรับใช้ภายในบ้าน (Indoor Wi-Fi Camera) กล้องวงจรปิดที่สามารถพูดคุย โต้ตอบ กับคนในบ้านได้อย่างเรียลไทม์ ผ่านแอปพลิเคชันในมือถือ ถือแม้จะอยู่กันคนละที่ แต่เราก็สามารถทักทาย พูดคุยกับคนที่บ้านได้ตลอดเวลาที่ต้องการ   ปุ่มฉุกเฉินทางการแพทย์ (Medical Button) อุปกรณ์สำหรับขอความช่วยเหลือ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นปุ่มสีแดงที่ติดตั้งในจุดเสี่ยงสำคัญ เช่น ห้องน้ำ ห้องนอน เพื่อส่งสัญญาณแจ้งเตือนให้สมาชิกในบ้านรับรู้ และส่งไปที่ศูนย์ควบคุมของ SECOM เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์และให้ความช่วยเหลือได้ทันที     เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว (Motion Sensor) หรือเซ็นเซอร์เฝ้าระวังการเปิด-ปิดประตู (Door Contact) อุปกรณ์ตัวนี้จะช่วยติดตามการเคลื่อนไหวตามการใช้ชีวิตประจำวัน อย่างเวลาตื่นนอน หรือเวลาที่ใช้ทำกิจกรรมตามจุดต่าง ๆ ในบ้าน ซึ่งข้อมูลนี้จะนำไปวิเคราะห์ว่ามีความผิดปกติในชีวิตประจำวัน หรือใช้วิเคราะห์ปัญหาสุขภาพได้เช่นกัน   ตัวอย่างเหตุการณ์ : หากไม่มีการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาที่ผู้สูงวัยต้องตื่นนอนตามเวลา อาจจะสันนิษฐานได้ว่ามีความผิดปกติอื่น ๆ เกิดขึ้น เช่น เจ็บป่วย ไม่สบายหรือไม่ หรือเกิดอุบัติเหตุที่ส่วนใดของบ้าน ซึ่งเราก็จะสามารถตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชันในมือถือได้ทันที ด้วยการเปิดดูกล้องวงจรปิดในจุดต่าง ๆ ของบ้าน นอกจากนี้ยังสามารถนำเซ็นเซอร์ไปติดตั้งไว้ในกล่องยา เพื่อแจ้งเตือนให้ทานยาให้ตรงเวลาได้ด้วย   เซ็นเซอร์ตรวจจับควัน (Smoke Detector) และเซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำรั่ว (Water Leakage Sensor) เนื่องจากผู้สูงวัยอาจจะมีการหลงลืม เปิดแก๊สทำอาหาร หรือเปิดน้ำทิ้งไว้ การตรวจจับเหล่านี้ ก็จะช่วยแจ้งเตือน และป้องกันความเสียหายจากเหตุไม่คาดคิดได้ทันนั่นเอง   SECOM Smart Security Care ถือเป็นตัวช่วยที่ถูกออกแบบมาเพื่อชีวิตคนยุคใหม่อย่างแท้จริง เพราะด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ลูกหลานอาจจะไม่สามารถอยู่บ้านดูแลผู้สูงวัยได้ตลอดเวลา ด้วยบริการที่มีให้เลือกหลายหลายรูปแบบตามความต้องการ จึงช่วยลดความกังวลใจในเรื่องต่าง ๆ ในบ้านไปได้มากเลยทีเดียว ขณะเดียวกันผู้สูงวัยก็อุ่นใจ ไม่รู้สึกเป็นภาระให้กับลูกหลาน เมื่อลูกหลานต้องออกไปทำงานข้างนอก     ซึ่งเราได้มีโอกาสได้ฟังประสบการณ์การใช้งานจริงจาก Real User คุณบอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ และคุณแม่ เล่าถึงเวลาต้องออกไปทำงาน หรือเดินทางไปต่างประเทศนาน ๆ แล้วคุณแม่ต้องอยู่ที่บ้านคนเดียว Smart Security Care สามารถช่วยเตือนให้คุณแม่ทานยาได้ตามเวลา รวมถึงคุณบอยสามารถเปิดกล้อง พูดคุยกับคุณแม่ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเดินทางอยู่ส่วนไหนของโลกก็ตาม ทำให้รู้สึกใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น รวมถึงเรื่องเล่าจากเหตุการณ์สัญญาณของปุ่มฉุกเฉินทางการแพทย์แจ้งเตือนไปยังศูนย์ควบคุม แล้วเจ้าหน้าที่ต่อสายตรงถึงคุณบอยอย่างรวดเร็ว เพื่อขออนุญาตเข้าดูภาพในระบบว่าเกิดเหตุอะไรภายในบ้าน ก่อนที่จะทราบเรื่องภายหลังว่า คุณแม่พลาดกดถูกปุ่มฉุกเฉินโดยไม่รู้ตัว ซึ่งทำให้ได้รู้เพิ่มเติมว่า “ความเป็นส่วนตัว” เป็นอีกเรื่องที่ทาง SECOM ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน ถึงแม้ศูนย์ควบคุมจะสามารถเข้าดูภาพและข้อมูลได้ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด แต่ก็ต้องผ่านการได้รับความยินยอมจากเจ้าของบ้านก่อนทุกครั้ง ด้วยระบบป้องกันความเป็นส่วนตัวที่แน่นหนา ทำให้ SECOM และคนนอกไม่สามารถเข้าดูภาพและข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างแน่นอน   ดูวิดีโอตัวอย่างการใช้งาน Smart Security Care ได้ที่ bit.ly/3UrtxVN     หลังจากได้รับฟังข้อมูลของ SECOM Smart Security Care พร้อมประสบการณ์ใช้งานจริงแล้ว เราเชื่อว่าการลงทุนติดตั้งบริการเพื่อความปลอดภัยของคนที่เรารักนั้นเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามาก ด้วยค่าบริการรายเดือนเริ่มต้นเพียง 1,099 บาท เพื่อแลกกับความอุ่นใจ และทุกคนในครอบครัวสามารถออกไปทำงาน ไปใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ถือว่าไม่แพงเลย     ใครที่สนใจ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line : @secomthailand โทร. 02-026-6593 หรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://bit.ly/3VTzdt0   บทความอื่นที่น่าสนใจ 5 จุดเหมาะติดกล้องวงจรปิด ไขความลับ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้านยังไง ตอบโจทย์ชีวิตเกษียณ 7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง    
10 ปี AP Thailand - Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน

10 ปี AP Thailand - Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน

10 ปี AP Thailand - Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน 10 ปี AP Thailand - Mitsubishi Estate นับว่าเป็นการร่วมมือกันทางธุรกิจที่ยาวนานและแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยเลยก็ว่าได้ ด้วยผลงานร่วมทุน ร่วมพัฒนาคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า 24 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 116,300 ล้านบาท เพื่อตอบโจทย์ที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดของคนเมือง พร้อมประกาศเดินหน้าความร่วมมือภายใต้โรดแมป “From Strength to Strength”     ที่ผ่านมาเราคงเคยได้ยินการออกแบบเพื่อมวลชน หรือ Universal Design (UD) มาบ้าง ซึ่งแนวคิดการออกแบบสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน ที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเจาะจงไปที่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสที่มีข้อจำกัดในการใช้เท่านั้น แต่ปัจจุบัน Universal Design (UD) ก็เริ่มมีบทบาทและถูกนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ล่าสุด เราได้รู้จักกับคำว่า “Inclusive Living” (การออกแบบพื้นที่เพื่อทุกคน) จาก AP Thailand ยิ่งประกอบกับการได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นในวาระฉลองครบรอบ 10 ปี แห่งการร่วมมือกันทางธุรกิจระหว่าง AP Thailand – Mitsubishi Estate จึงทำให้เข้าในแนวคิดของคำว่า Inclusive Living มากยิ่งขึ้นไปอีก     หนึ่งในความท้าทายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมาในช่วงหลายปีนี้ คือการออกแบบและพัฒนา “พื้นที่ที่เข้าถึงความต้องการของทุกคน” โดยเฉพาะการออกแบบคอนโดมิเนียมสำหรับคนเมืองที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์อย่างรอบด้าน ทั้งการเดินทางที่สะดวก ติดแนวรถไฟฟ้า มีพื้นที่ส่วนกลาง และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมการไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงสเปซของคนแต่ละช่วงวัย รวมถึงการปรับเปลี่ยนสเปซเพื่อการอาศัยอยู่ร่วมกันของผู้คนได้อย่างสะดวกสบาย ดังนั้นแนวคิด “การออกแบบพื้นที่เพื่อทุกคน” หรือ Inclusive Living ในคอนโดมิเนียมแต่ละโครงการ จึงมีความซับซ้อนในการออกแบบมากกว่าการพัฒนาโครงการทั่วๆ ไป เนื่องจาก “ทุกคนล้วนมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน” ทั้งช่วงวัย ไลฟ์สไตล์ ความพิเศษทางกายภาพ หรือแม้แต่วัฒนธรรมที่หลากหลาย จึงเป็นโจทย์ที่สำคัญในการออกแบบเพื่อทุกคนที่อาศัยอยู่ร่วมกันได้รับความสะดวกสบายครบครันมากที่สุด   และเมื่อการร่วมมือกันพัฒนาที่อยู่อาศัยของ AP Thailand กับ Mitsubishi Estate จากประเทศญี่ปุ่นไม่ได้จำกัดอยู่แค่การร่วมทุน แต่หมายรวมไปถึงการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี นวัตกรรมร่วมกันชนิดที่มีทีมงานจากญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมานั่งทำงานประจำร่วมกับ AP ที่สำนักงานใหญ่ เราจึงมีโอกาสได้เห็นการออกแบบพื้นที่ในโครงการต่างๆ ที่ JV (Joint Venture) ร่วมกันต่างไปอย่างมีนัยสำคัญ   แล้ว Inclusive Living ต่างกับ Universal Design อย่างไร? ต้องยอมรับว่าญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการใส่ใจในรายละเอียดมากๆ ยิ่งในเรื่องการออกแบบที่อยู่อาศัยด้วยแล้ว ยิ่งมีรายละเอียดที่เกินความคาดหมายไปมาก เราได้เห็นการออกแบบด้วยแนวคิด Inclusive Living ผ่านโครงการ The Parkhouse Nishi Shinjuku Tower 60 คอนโดมิเนียมพร้อมเข้าอยู่ใจกลางโตเกียว ภายใต้การพัฒนาโดย Mitsubishi Estate ตัวโครงการโดดเด่นด้วยการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง (Facilities) เพื่อให้ทุกคนได้มีสภาพแวดล้อม การใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย สามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้โดยไม่เกิดอุปสรรคในการใช้ชีวิต ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใด หรือมาจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกันก็ตาม   เริ่มตั้งแต่การเลือกวัสดุปูพื้นชนิดพิเศษซึ่งกันลื่นได้อย่างดีแม้กรณีพื้นเปียก, ทางเดินแบบไร้สเตปตั้งแต่บริเวณ Drop Off พร้อมติดตั้ง Braille Block ตลอดทาง, ราวจับแบบ 2 ระดับ เพื่ออำนวยความสะดวกทั้งเด็กและคนชรา พร้อมอักษรเบรลล์บริเวณมือจับเพื่อการสื่อสารให้ผู้พิการทางสายตาทราบได้ว่าเดินอยู่ในตำแหน่งไหนและกำลังนำทางไปสู่ที่ใด ซึ่งสิ่งที่กล่าวมานี้ คุณอาจจะคุ้นชินหรือเคยเห็นมาบ้างแล้วในแนวคิด Universal Design ในขณะที่แนวคิดแบบ Inclusive Living มีรายละเอียดที่ลงลึกมากไปอีก อย่างเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะถูกมองข้ามหรือคิดไม่ถึง เช่น ระดับความสูงของปุ่มกดลิฟต์, ความหน่วงของการเปิดปิดประตูลิฟต์ สำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้งานแบบปกติ, การติดตั้งกระจกด้านในลิฟต์เพิ่ม เพื่อให้ผู้ที่ใช้รถเข็นมองเห็นพื้นที่ด้านหลังก่อนออกจากลิฟต์, รูปแบบของสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เป็นสากล สามารถเข้าใจได้ง่ายแม้จะต่างชาติ ต่างภาษากัน รวมถึงตำแหน่งการติดตั้งสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อให้เห็นได้ชัดเจน     และรายละเอียดที่เหนือกว่าของแนวคิด Inclusive Living คือ การคิดออกแบบไปถึง “Bio Living” การคำนึงการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ภายในโครงการ ไม่ว่าจะเป็นพืชในสวน ความหลากหลายของพันธุ์พืชเพื่อเกื้อกูลกันในระบบนิเวศน์ รวมไปถึงการคิดคำนึงถึงคนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่รอบๆ โครงการที่จะได้รับประโยชน์จากการอาศัยอยู่ร่วมกันในชุมชนไปพร้อมๆ กันอีกด้วย     อีกหนึ่งในฟังก์ชันที่น่าสนใจภายในโครงการคือ การนำแนวคิด ENGAWA – Multi Generation Facility มาออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อมุ่งเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันของลูกบ้านที่อาศัยอยู่ภายในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้พื้นที่ส่วนนี้ในการทำกิจกรรมร่วมกัน สามารถรองรับได้ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงคุณพ่อคุณแม่ และคนสูงวัย ได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันได้อย่างราบรื่น AP Thailand ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ ตลอดระยะเวลา 10 ปีแห่งความร่วมมือทางธุรกิจในการพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทย ผ่าน 24 โครงการที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ด้วยการนำหลากหลายแนวคิดจากพันธมิตรอย่าง Mitsubishi Estate มาพัฒนาโดยมุ่งเน้นถึง “การออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้งานของคนทุกกลุ่ม” โดยเฉพาะการดีไซน์พื้นที่สาธารณะ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงได้ง่ายอย่างเข้มข้นและจริงจัง เพื่อตอบโจทย์คุณภาพชีวิตในทุกมิติของการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง     ซึ่งเร็วๆ นี้ AP Thailand – Mitsubishi Estate พร้อมส่ง 2 โครงการ Masterpiece ร่วมทุนที่เป็นความภาคภูมิใจแห่งปี บนที่ดินแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพฯ โดยมีไฮไลต์แรก “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โครงการระดับเพรสทีจ-ลักซ์ บนทำเลใจกลางมหานคร จาก BTS ราชเทวี เพียง 150 เมตร พร้อมเผยโฉมห้องชุด  1 ห้องนอน 35 ตารางเมตร PANORAMIC CITY VIEW ราคาเริ่มต้น 8.29 ล้านบาท และเตรียมเปิดโอนในวันที่ 26 - 27 สิงหาคมนี้   และอีกหนึ่งไฮไลต์คือ การเปิดแฟล็กชิปโครงการร่วมทุนใหม่ล่าสุด “RHYTHM เจริญนคร” บนที่ดินขนาด 4 ไร่ ตรงข้ามไอคอนสยาม เพียง 100 เมตรจากรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีเจริญนคร ตอบโจทย์ลูกค้าไฮเอนด์ และเป็นต้นแบบ Super Condominium ที่รวมความเป็นที่สุดไว้ในหนึ่งเดียว โดยมีแผนเตรียมเปิดขายในเดือนพฤศจิกายนนี้   #APxMEC10YearOfPartnership #APFromStrengthToStrength #APThai #ชีวิตดีๆที่เลือกเองได้ #RHYTHMCharoennakhonIconic #TheAddressSiamRatchathewi #APThaiUpdate2023 บทความที่เกี่ยวข้อง เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี”  
How to วางแผนการเงิน อย่างไร ให้กู้ซื้อบ้านหลังแรก ได้ตามความต้องการ​

How to วางแผนการเงิน อย่างไร ให้กู้ซื้อบ้านหลังแรก ได้ตามความต้องการ​

วางแผนการเงิน การวางแผนการเงิน เพื่อซื้อบ้านสักหลัง หรือคอนโดมิเนียมสักห้อง สำคัญพอ ๆ กับการหาข้อมูลบ้านและตัดสินใจว่าจะซื้อที่ไหน เพราะการจะได้ที่อยู่อาศัยตามที่เราต้องการ เราก็ต้องมีกำลังทรัพย์เพียงพอด้วย ซึ่งหากเราไม่ได้มีเงินก้อนสะสมที่เตรียมไว้ซื้อบ้านด้วยเงินสด เราคงต้องกู้เงินจากธนาคารและผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ไป แต่การจะกู้เงินได้เราคงต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารด้วย   วันนี้ Reviewyourliving มีเคล็ดลับ การวางแผนการเงิน สำหรับคนที่กำลังตั้งเป้าหมายว่าต้องการจะซื้อบ้านสักหลัง เพื่อใช้อยู่กับครอบครัวหรือคนที่เรารัก ลองมาดูกันว่า วิธีการเตรียมความพร้อมด้านการเงินมีเรื่องอะไรบ้าง 5 วิธี วางแผนการเงิน กู้ซื้อบ้าน 1.เช็คเครดิตบูโร เริ่มต้นเราคงต้องมาตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองก่อน โดยการเช็คเครดิตบูโร เพื่อดูว่าเรามีหนี้อยู่เท่าไร การผ่อนชำระที่ผ่านมาเป็นอย่างไร จ่ายตรงหรือจ่ายล่าช้าหรือไม่ เพราะพฤติกรรมการชำระหนี้ในอดีต จะเป็นตัวชี้วัดว่าเรามีคุณสมบัติเป็นลูกหนี้ที่ดีแค่ไหน ซึ่งบางทีเราก็อาจจะจำไม่ได้ว่าเรามีพฤติกรรมการจ่ายหนี้เป็นอย่างไร การเช็คเครดิตบูโร จึงควรทำก่อนเพื่อประเมินคุณสมบัติตัวเอง หรือบางคนอาจจะเคยติดเครดิตบูโรมาก่อน ก็จะได้รู้ว่าปัจจุบันเราหลุดจากการติดแบล็คลิสต์แล้วหรือยัง จะได้แก้ไขปัญหาเรื่องนี้ก่อนจะไปกู้ซื้อบ้าน ส่วนสถานที่เช็คเครดิตบูโร เราทำบทความเอาไว้ให้แล้ว ลองตามไปอ่านดูกันได้ กับ รวมแหล่งตรวจเครดิตบูโร เช็คความพร้อมก่อนสร้างหนี้ ​ 2.ประเมินความสามารถในการผ่อน-กู้ หากเราเป็นลูกหนี้ชั้นดี ไม่ได้ติดแบล็คลิสต์ ขั้นตอนต่อมาคงต้องประเมินความสามารถของตัวเอง ว่าปัจจุบันรายได้ที่มีอยู่ เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งหนี้สินและค่าใช้จ่ายประจำเดือนไปแล้ว เราเหลือเงินมากน้อยแค่ไหน จะสามารถกู้เงินได้เป็นจำนวนเท่าไร ซึ่งสูตรในการคิดคร่าว ๆ ก็มีประมาณนี้ คือ   เงินผ่อนต่อเดือน คิดจาก รายได้ หักค่าใช้จ่าย หัก 40% ของรายได้ต่อเดือนรวม เช่น มีรายได้ 20,000 บาท มีค่าใช้จ่าย 5,000 บาท จะสามารถผ่อนได้ = (20,000-5,000)-40%= 9,000 บาท ส่วนวงเงินกู้ที่คาดว่าจะกู้ได้สูงสุด จะเอาเงินผ่อนต่อเดือน คูณ 150 เช่น 9,000 x 150 = 1.35 ล้านบาท  จะเป็นวงเงินที่ธนาคารน่าจะปล่อยให้กับเราในการกู้ซื้อบ้าน หรือคอนโดได้ 3.เคลียร์หนี้ถ้ามีหนี้อยู่ กรณีที่คำนวณคร่าว ๆ แล้ว วงเงินกู้ที่ได้ ยังไม่เพียงพอต่อราคาบ้านหรือคอนโด ที่เราจะซื้อ สิ่งที่ต้องทำ ก็คือ การลดหนี้ที่มีอยู่ หรือทำได้ต้องเครียหนี้ให้เหลือน้อยที่สุด บัตรเครดิตไหนปิดบัญชีได้ต้องปิดบัญชี หรือมีหนี้สินที่เป็นชื่อของเราในระบบการเงินไว้ ต้องปิดบัญชีให้หมดเท่าที่จะทำได้ 4.สร้างเครดิตการเงิน​ด้วย เช่น สเตทเมนท์ธนาคาร, จ่ายหนี้ตรงเวลา ถ้าเรายังไม่สามารถปิดหนี้ที่มีอยู่ตามข้อ 3 ได้ เราจำเป็นต้องสร้างเครดิตของตัวเองไปสักระยะหนึ่ง เพื่อให้ธนาคารเห็นวินัยทางการเงินของเราว่าเราจ่ายหนี้ตรงเวลา ซึ่งความจริงแล้วการสร้างเครดิตทางการเงินนี้ ควรจะทำเป็นนิสัยตั้งแต่ก่อนหน้ามาแล้ว หรือหากใครที่ทำอาชีพอิสระ หรือเป็นพ่อค้าแม่ค้า สิ่งที่ต้องทำเพื่อสร้างเครดิตทางการเงิน คือ การเดินบัญชีธนาคารอย่างสม่ำเสมอ ทำสเตทเมนท์ธนาคารให้ดูมีเครดิต ว่าเรามีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นสภาพคล่อง รายได้ และความสามารถในการบริหารเงินของเรา ควรมีสเตทเมนท์ธนาคารไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ยิ่งนานยิ่งสร้างเครดิตได้ดี 5.วางแผนเก็บเงินออม​ ​ นอกจากสร้างเครดิตต่าง ๆ ทางด้านการเงินไปแล้ว การวางแผนเก็บออมก็จะทำให้ฝันของคนมีบ้านเป็นจริงมากขึ้น เพราะการซื้อบ้านไม่ใช่แค่เงินดาวน์บ้านก้อนแรกเท่านั้น ยังมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย เราได้ทำบทความ ....​สามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมได้   ดังนั้น หากคิดจะซื้อบ้านหรือคอนโด จึงต้องเริ่มต้นเก็บเงินออมสักก่อนหนึ่งไว้ อย่างน้อยที่สุด คือ ไม่ต่ำกว่า 20% ของราคาบ้านที่จะซื้อ ส่วนวิธีการเก็บเงินออม แล้วแต่เทคนิคและวิธีการของแต่ละคนที่สะดวก แต่หัวใจสำคัญของการออม คือ เมื่อมีรายได้ให้แบ่งเงินออมออกมาก่อนเป็นก้อนแรก ไม่ใช่รอให้เงินเหลือก่อนค่อยออมเงิน​   ทั้งหมด ก็เป็นแนวทางการวางแผนการเงิน กู้ซื้อบ้านหลังแรก สำหรับคนที่มีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลัง หรือคอนโดสักห้อง เชื่อว่าหากทำตามแนวทางนี้ ไม่นานความฝันที่ต้องการเป็นจริงแน่นอน   ที่มา-ธอส.,ดีดีพร็อพเพอร์ตี้, moneybuffalo   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -3 วิธีซื้อคอนโด หลังแรก และ เทคนิคเก็บเงิน สำหรับเด็กจบใหม่ -7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล
เผย 7 สไตล์การแต่งบ้านยอดฮิต  คนไทยชื่นชอบแบบ Japandi มากที่สุด

เผย 7 สไตล์การแต่งบ้านยอดฮิต คนไทยชื่นชอบแบบ Japandi มากที่สุด

NocNoc เผย 7 สไตล์การแต่งบ้าน ที่คนไทยชื่นชอบมากที่สุด Japandi  ครองอันดับ 1 ตามด้วยสไตล์ Scandinavian พร้อมเผยสินค้าที่คนซื้อมากที่สุด คือ กลุ่ม Home and Living ด้านแบงก์กรุงศรี มองเทรนด์ตลาดอี-คอมเมิร์ซไทย อีก 2 ปีโต​ 19%   นายอนุพงศ์ ทะสดวก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้าและพาณิชย์ บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลผู้ใช้บริการซื้อสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม NovNoc ได้เห็นเทรนด์ความนิยมในการแต่งบ้านของผู้บริโภคคนไทย ที่พบว่า ชื่นชอบสไตล์การแต่งบ้าน และนิยมมากที่สุด คือ 1.สไตล์ Japandi ในสัดส่วน 25% 2.สไตล์ Scandinavian สัดส่วน 23% 3. สไตล์ Industrial  20% 4. สไตล์ Glam 15% 5.Transitional 10% 6.สไตล์ Shabby Chic 5% และ 7.สไตล์ Mid-Century Modern 2%   หนึ่งในพฤติกรรมของลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ คือเรื่องของ Personalize จะเห็นได้ว่าไลฟ์สไตล์การตกแต่งบ้านของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน โดย NocNoc ให้ลูกค้าเริ่มต้นการใช้งาน Application ด้วยการค้นหาสไตล์ที่ใช่แบบ Personalize ด้วยระบบ AI เพื่อให้แอปนำเสนอสินค้าแต่งบ้านได้ตรงตามสไตล์ของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญการคัดสรรสินค้าที่หลากหลาย เพื่อให้เหมาะกับลูกค้าที่ชื่นชอบการตกแต่งบ้านในสไตล์ที่แตกต่างกัน โดยปัจจุบัน NocNoc แบ่งสินค้าออกเป็น 4 กลุ่มหลัก คือ 1. Home and Living กลุ่มสินค้าตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ 2. Home Appliances กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า 3. Home Improvement กลุ่มสินค้าปรับปรุงบ้าน และ 4. Home Service กลุ่มบริการงานช่างทุกเรื่องบ้าน ซึ่งในแต่ละกลุ่มยังแยกย่อยออกเป็นอีกหลายหมวดสินค้า ทำให้ NocNoc มีสินค้ารวมแล้วกว่า 500,000 ชิ้น จาก 3,000 ร้านค้า นับว่าตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุมสำหรับคนรักบ้าน   นายอนุพงศ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังพบข้อมูลจากพฤติกรรมการซื้อสินค้า ที่ผู้บริโภคซื้อซ้ำมากที่สุดใน  5 หมวดสินค้า ดังนี้ 1.โฮม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ 2.โซฟาและเก้าอี้ 3.ชุดเครื่องนอน 4.ตู้และชั้นวางของ และ 5.เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก โดยพฤติกรรมการกลับมาซื้อซ้ำนั้น จะเป็นสินค้าในหมวดเดียวกัน เช่น กลุ่มเครื่องนอน ลูกค้าซื้อที่นอนขนาด 6 ฟุต  และกลับมาซื้อผ้าปูที่นอน หมอน เพิ่มเติม หรือในกลุ่มโซฟาและเก้าอี้ ซื้อเก้าอี้ทำงานไปในครั้งแรกและกลับมาซื้อโต๊ะทำงานหรือโซฟาเพิ่มเติม แม้ว่าใน 5 หมวดสินค้าดังกล่าวจะเป็นกลุ่มสินค้าที่อาจจะต้องสัมผัสสินค้า หรือเห็นสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อเกือบทั้งสิ้น แต่กลับเป็นกลุ่มสินค้าที่ลูกค้า NocNoc กลับมาซื้อซ้ำอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนให้เห็นว่าการจะซื้อสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ไม่จำเป็นต้องสัมผัสสินค้าจริงก่อนซื้อเสมอไป หรือ อาจจะมีประสบการณ์ทดลองสินค้าจากที่อื่นแล้ว   ให้ความสำคัญกับ DATA นายอนุพงศ์ ยังกล่าวอีกว่า Data-Driven Marketing นับว่ามีความสำคัญ แต่ต้องดูว่าจะนำมาใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์มากที่สุด  NocNoc ให้ความสำคัญกับ Data ของลูกค้า เพราะข้อมูลเหล่านี้สามารถบ่งบอกตัวตนของลูกค้าให้แบรนด์ได้เข้าใจความต้องการ และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของลูกค้าแต่ละคนได้ โดยการนำเอาเทคโนโลยีทางการตลาด MarTech และ AdTech มาใช้ในการวางแผน ดำเนินการ และวัดผลแคมเปญเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าแบบมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด   ประกอบกับการทำ Story-Driven Communication ที่เข้าถึงทุก Journey ของลูกค้าตั้งแต่ Discovery , Inspired , Compare , Selection ไปจนถึง Complete Journey ซึ่งลูกค้าจะเห็นการสื่อสารผ่านเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอช่วยให้พวกเขาได้รู้จัก NocNoc ว่าเรามีดีอะไร สินค้าที่กำลังมองหาตอบโจทย์พวกเขาอย่างไร ช่วยให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อเรื่องบ้านมากขึ้น  และไม่ลืมสร้างประสบการณ์การช้อปในโลกออนไลน์สู่ออฟไลน์ เพื่อ ให้ลูกค้าได้เข้าถึง ใกล้ชิด ได้เห็น Visibility ของแบรนด์มากยิ่งขึ้น   อย่างไรก็ดี มองว่าการพัฒนา Feature บน Application  ให้ตอบโจทย์ Pain Point ของลูกค้า ทำให้ประสบการณ์ในการเข้ามาใช้งาน NocNoc ดีขึ้น และช่วยให้การตัดสินใจซื้อสินค้าแต่งบ้านเป็นเรื่องง่าย เช่น  Image Search หรือการค้นหาด้วยภาพ หากลูกค้าถูกใจโซฟาในคาเฟ่ แต่ไม่รู้รุ่นหรือยี่ห้อของโซฟา ก็สามารถถ่ายรูปและนำไปค้นหาใน NocNoc Application ได้เลย แม้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันจะมีทางเลือกที่หลากหลาย บางครั้งมักจะไปเดินดูของจากร้านค้าอื่นเพื่อนำมาเปรียบเทียบสินค้า ราคา รวมถึงหาไอเดียในการแต่งบ้าน ทั้งสินค้าที่หลากหลายไม่จำกัดที่ร้านใดร้านหนึ่ง แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง NocNoc ให้บริการทางเลือกที่มากกว่า ทำให้ ผู้คนเข้ามาหาไอเดียและแรงบันดาลใจใน Community ทั้งยังสะดวกสบายอยู่ที่ไหนก็ช้อปได้ พร้อมบริการจัดส่งทั่วไทย นับว่าเป็นการแก้โจทย์ ไม่ได้สัมผัสสินค้า ก็ไม่ใช่ปัญหาในการซื้อสินค้าเกี่ยวกับบ้านออนไลน์คาด E-Commerce ไทยโต​ 19% สำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์ ถือว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ​ โดยเฉพาะในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน เห็นได้จากตัวเลขงานวิจัยของกรุงศรี คาดการณ์ว่าในปี 2025 ตลาด E-Commerce ไทยจะเติบโตขึ้นอีก 19% โดยผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ มีแนวโน้มที่จะขยายธุรกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาช่องทางการขายออนไลน์   นายอนุพงศ์ กล่าวอีกว่า แม้ว่าการเติบโตของการช้อปปิ้งออนไลน์จะเติบโตมากเพียงใด แต่ก็ต้องยอมรับว่า Pain point ของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในกลุ่มสินค้าและของตกแต่งบ้าน คือ ลูกค้าไม่สามารถเห็นและสัมผัสได้จริง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากในการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ อาทิ โซฟา ตู้ โต๊ะ เตียง เป็นต้น โดยพฤติกรรมของลูกค้าคือจะมีความกังวลว่าอาจจะได้สินค้าจะไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ทำให้มีผู้บริโภคมีการพิจารณาประเด็นดังกล่าวกันอย่างละเอียด   สำหรับในช่วงที่ผ่านมา NocNoc ก้าวขึ้นมาเป็น Home and Living Platform หรือศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ ที่รวบรวม เฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน วัสดุปูพื้น-ผนัง เครื่องใช้ไฟฟ้า และบริการทุกเรื่องบ้านที่ครบที่สุดรายแรกในไทย และได้ผลักดันให้ข้อจำกัดเหล่านี้หมดไป คลายความกังวล ลดความลังเลในการซื้อสินค้าแต่งบ้านให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สะท้อนจากตัวเลขของลูกค้า 60% ที่มาช้อปสินค้าแต่งบ้านออนไลน์บนแพลตฟอร์ม NocNoc สร้าง ตกแต่ง ต่อเติมบ้านได้ทั้งหลัง เป็นการซื้อสินค้าและบริการครอบคลุมในหลากหลายกลุ่มสินค้าและบริการ เรียกได้ว่าสามารถ Complete Journey ครบ จบ ใน NocNoc ที่เดียว จากข้อมูลเชิงลึกของ NocNoc จะเห็นได้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของ NocNoc เป็นกลุ่มสร้างบ้านและต่อเติมบ้าน (Home Building and Renovator) ประมาณ 60% นับว่าเป็นกลุ่มที่มองหาการซื้อสินค้าและบริการแบบ Complete journey ในการสร้าง ต่อเติม และตกแต่งบ้านทั้งหลัง ทั้งยังมีพฤติกรรมในการซื้อสินค้าหลากหลายหมวดบนแพลตฟอร์มของ NocNoc และกลับมาซื้อซ้ำกว่า 74% เพราะทยอยซื้อของตกแต่งบ้านให้ครบตามความต้องการ   ขณะที่ของตกแต่งบ้านและผู้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป (Home Decoration and Furnishing Shoppers) คิดเป็นอีกประมาณ 40% จะเน้นการตกแต่งเป็นหลัก และมีพฤติกรรมการซื้อซ้ำบนแพลตฟอร์ม NocNoc มากถึง 26% เพราะลูกค้าจะมีไอเดียใน การตกแต่งบ้านอย่างต่อเนื่อง  จากการหาแรงบันดาลใจในการแต่งบ้านจากที่ต่าง ๆ รวมถึงใน NocNoc ที่มีไอเดียในการตกแต่งบ้านมากมาย   ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าจากการทำตลาดเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าในแบบ Complete journey รวมถึงการสร้างประสบการณ์ ช้อปปิ้งที่ดีแก่ผู้บริโภค และนำเสนอประสบการณ์มากกว่าที่ลูกค้าได้คาดหวังไว้ ทำให้ภาพรวมจำนวนผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม NocNoc ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันระหว่างเดือนมกราคม – เมษายน 2566 เพิ่มสูงขึ้น  64% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2565 โดยจากแนวโน้มดังกล่าว คาดว่าในปี 2566 นี้ ยอดขายจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้กว่า 170% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอีกด้วย   นอกจากนี้ หนึ่งในพฤติกรรมของลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ คือเรื่องของ Personalize จะเห็นได้ว่าไลฟ์สไตล์การตกแต่งบ้านของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน โดย NocNoc ให้ลูกค้าเริ่มต้นการใช้งาน Application ด้วยการค้นหาสไตล์ที่ใช่แบบ Personalize ด้วยระบบ AI เพื่อให้แอปนำเสนอสินค้าแต่งบ้านได้ตรงตามสไตล์ของแต่ละบุคคล      
6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่าให้ดูใหม่  ได้ฟังก์ชั่น​ แบบไม่หลุดเทรนด์

6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่าให้ดูใหม่ ได้ฟังก์ชั่น​ แบบไม่หลุดเทรนด์

ปรับบ้านเก่า เคยไหม? อยู่บ้านหลังเดิมไปนาน ๆ แล้วรู้สึกหมดแพชชั่น แต่ก็ไม่อยากซื้อบ้านใหม่หรือไม่อยากย้ายทำเลไปที่อื่น เลยอยากปรับบ้านเก่า แต่งลุคบ้านใหม่ให้ดูต่างออกไปจากเดิม และเพิ่มฟังก์ชันที่หลากหลายในตัวบ้านมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องรื้อบ้านทั้งหลัง หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าวิธีการดังกล่าวเป็นไปได้ยาก รู้หรือไม่ว่าการเปลี่ยนรูปแบบบ้านใหม่แบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ทำได้จริง!     วันนี้มีไอเดียการแปลงโฉมบ้านที่เคยอยู่อาศัยแบบเดิม ๆ มาปรับลุคใหม่โดยที่ไม่ต้องรีโนเวททั้งหลัง แค่ลองปรับเปลี่ยนดีไซน์และฟังก์ชันต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกบ้านใหม่ก็ใช้ได้แล้ว ซึ่งการปรับลุคบ้านใหม่ทำได้หลายวิธี ทั้งการปรับเปลี่ยนหลังคา สีทาบ้าน ผนังบ้าน รั้ว พื้น และสวนนอกบ้าน เพียงแค่เลือกดีไซน์และวัสดุที่ตอบโจทย์กับการใช้งานและความชอบ ลองมาดูกันว่าบ้านหลังเก่าของเราปรับลุคแบบไหนได้บ้าง 6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่า ให้ดูใหม่แถมได้ฟังก์ชั่น​ 1.เปลี่ยนฟาซาด สร้างโฉมบ้านหลังเดิม   บ้านสไตล์คลาสสิกธรรมดาทั่วไป อายุอาจจะมาไกลตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่า ถ้าอยากเปลี่ยนลุคบ้านใหม่ให้ดูโมเดิร์น แนะนำฟาซาด (Façade) ที่สามารถปรับอารมณ์บ้านให้เปลี่ยนไปได้ในทันที โดยฟาซาดจะเป็นการตกแต่งเปลือกอาคารหรือพื้นผิวภายนอกสุดของบ้าน ที่สามารถแสดงคาแรกเตอร์ของบ้านได้อย่างชัดเจนที่สุด ซึ่งนอกจากจะช่วยให้บ้านสวยเหมือนใหม่แล้ว ฟาซาดยังมีคุณสมบัติระบายความร้อน บดบังแสงแดด และสร้างความเป็นส่วนตัวภายในบ้านได้อีกด้วย ฟาซาด มีวัสดให้เลือกหลากหลาย 2.เพิ่มความ natural ด้วยผนังลายไม้ ผนังบ้านขาว ๆ ที่เราเคยชิน ลองสร้างลูกเล่นใหม่ให้น่าสนใจขึ้นได้ไม่ยาก เชื่อว่าหลายคนคงคิดว่าการเปลี่ยนผนังบ้าน คงต้องยุ่งยากและใช้เวลานาน ซึ่งปัจจุบันมีผนังตกแต่งให้เลือกใช้หลากหลาย ตามสไตล์ที่ต้องการ ซึ่งมาพร้อมคุณสมบัติแข็งแรง ทนทาน และลวดลายหลากหลาย สำหรับผู้ที่ต้องการดีไซน์บ้านให้มีลุคความเป็นธรรมชาติ การเลือกใช้ผนังตกแต่งที่ให้ลายไม้เหมือนธรรมชาติ อย่าง ผนังตกแต่ง เอสซีจี รุ่น วูด-ดี ก็นับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ   เนื่องจากให้ทั้งลวดลายที่ใกล้เคียงไม้จริง จากเทคโนโลยีการผลิตแบบ Digital Printing และวัสดุผลิตจากไฟเบอร์ซีเมนต์ ใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก ปลวกไม่กิน ทนทานต่อสภาพอากาศ ไม่บิดหรือแตกเปราะง่าย และยังให้สีสวยแน่นทนทาน จากเทคนิคการเคลือบสีเฉพาะของเอสซีจี รวมถึงได้ผนังเรียบร้อยสวยงาม จากระบบติดตั้งแบบคลิปล็อค ไม่เห็นรอยสกรู โดยสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งงานผนังและงานฝ้า 3.ทำรั้วบ้านสร้างเอกลักษณ์​ ก่อนจะเห็นตัวบ้าน เราต้องมองรั้วบ้านกันก่อนอย่างแน่นอน ถ้ารั้วบ้านสวยมีสไตล์ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของบ้าน ทำให้คนจดจำบ้านหลังนี้ได้ไม่ลืม เพราะฉะนั้นการทำรั้วบ้านให้โดดเด่นเป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ทำได้ 4.คืนพื้นที่รอบบ้าน สร้างพื้นใหม่สวยสะดุดตา บ้านที่มีพื้นที่ภายนอก บางคนปล่อยให้รกร้าง มีของที่ไม่ได้ใช้เกะกะอยู่เต็มพื้นหน้าบ้าน เราสามารถปลุกพื้นที่ตรงนั้นขึ้นมาใหม่ โดยเคลียร์ของที่ไม่ใช้ทิ้งไป แล้วปรับพื้นใหม่ให้แมตช์กับสวนสวยดูเป็นธรรมชาติได้ อาจจะลองเลือกใช้วัสดุกระเบื้องซีเมนต์ตกแต่งพื้น ซึ่งมีรุ่นและลายให้เลือกหลากหลายชนิด 5.เปลี่ยนลุคหลังคาให้บ้านดูโมเดิร์น หลังคาบ้านสวยช่วยทำให้บ้านดูใหม่และดูดีกว่าเดิมได้ ลองสังเกตดูว่าถ้าบ้านไหนปล่อยให้หลังคาชำรุดตัวบ้านก็จะดูทรุดโทรมตามไปด้วย ซึ่งหากสามารถทำการเปลี่ยนหลังคาใหม่ได้ ก็จะช่วยทำให้บ้านดูมีชีวิตชีวา และการใช้งานที่ดี ไม่ต้องห่วงเรื่องฝนตก น้ำรั่วช่วงหน้าฝนได้อีกด้วย ​ 6.ปรับภูมิทัศน์สวนให้สวยน่านั่งเล่น อย่าปล่อยพื้นที่สวนหน้าบ้านให้รกร้างโดยเปล่าประโยชน์ การจัดสวนให้น่าอยู่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเปลี่ยนลุคใหม่ให้บ้าน และยังเติมเต็มอารมณ์ให้ผู้อยู่อาศัยผ่อนคลายขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหากว่าใครยังไม่มีไอเดียการจัดสวน และกลัวว่าจะเหนื่อยถ้าต้องมานั่งจัดสวนเอง เอสซีจีก็มีบริการจัดสวนรอบบ้าน โดยมีรูปแบบสวนกึ่งสำเร็จรูปที่ออกแบบไว้หลากหลายแนวให้เลือกตามใจชอบ ปรับใช้ให้เข้ากับพื้นที่บ้าน รับรองว่ามีสวนสวยรวดเร็วไม่เกินเอื้อมแน่นอน   อย่างไรก็ตาม ใครที่อยากปรับลุคบ้านให้สวยด้วยหลาย ๆ ดีไซน์และฟังก์ชัน อาจจะลองเข้าไปดูตามห้างโมเดิร์นเทรดชั้นนำ หรือผู้ให้บริการด้านการปรับปรุงบ้าน ซึ่งมีหลากหลายมากมาย รวมถึงผู้ให้บริการอย่าง SCG ซึ่งมีบริการหลากหลาย และจำหน่ายสินค้าหลายช่องทาง   ที่มา-SCG Home   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -4 วิธีอย่างง่าย ปรับบ้านให้มีสุขภาวะที่ดีรับ WFH  -“ปรับบ้านรับทรัพย์ ตามหลักฮวงจุ้ย” รับปีใหม่ 2564 กับหมอช้าง
3 จุดสำคัญของบ้าน ที่ต้องตรวจเช็ค ป้องกันบ้านป่วยช่วงหน้าฝน

3 จุดสำคัญของบ้าน ที่ต้องตรวจเช็ค ป้องกันบ้านป่วยช่วงหน้าฝน

จุดสำคัญของบ้าน   ในช่วงเวลาที่หน้าฝนกำลังเข้ามาแทนที่หน้าร้อน ทำให้อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว นอกจากการดูแลสุขภาพร่างกายไม่ให้เจ็บป่วยแล้ว สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอีกอย่างก็คือ "สุขภาพของบ้าน" ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะช่วงหน้าฝนที่กินระยะเวลากว่า 5 เดือน ทำให้หลายๆ บ้านได้เห็นปัญหาที่ไม่คาดคิดมาก่อนทั้งจากบริเวณภายในและภายนอก เช่น น้ำรั่วซึม การระบายน้ำ ผนังแตกร้าว พื้นดินโดยรอบเกิดการทรุดตัว ฯลฯ   เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับตัวบ้านในช่วงหน้าฝน ​ วันนี้ จึงอยากจะชวนให้เจ้าของบ้าน ได้ดูแลพื้นที่เสี่ยงของตัวบ้าน ที่อาจจะได้รับอันตราย หรือกเกิดความเสียหายได้ กับ 3 จุดสำคัญที่ต้องตรวจเช็คภายในบ้านเพื่อรับมือช่วงหน้าฝน พร้อมแนะเคล็ดลับการดูแลบ้านให้สุขภาพดีไปทั้งปี 3 จุดสำคัญของบ้าน ที่ต้องตรวจเช็ค   1.หลังคาบ้าน เข้าหน้าฝนทีไรปัญหาใหญ่ที่เจ้าของบ้านส่วนใหญ่ต้องเจอ คงหนีไม่พ้นปัญหาน้ำรั่วน้ำซึมจากบนเพดานและฝ้า ที่นอกจากจะสร้างความรำคาญใจแล้วยังอาจทำให้น้ำที่หยดลงมาจนพื้นบ้านบวมและไหลลามไปยังห้องอื่น ๆ ดังนั้นเจ้าของบ้านจะต้องหมั่นตรวจเช็คและสำรวจหลังคาบ้านทุกจุด ว่ามีหลังคาบ้านรั่วและมีรอยร้าว รอยแตก ตรงไหนบ้าง ก็ให้รีบทำการซ่อมทันที 2.ผนังและหน้าต่าง จุดสำคัญที่หลายคนอาจมองข้าม แต่ถ้าเมื่อไรที่เข้าหน้าฝนแล้ว แน่นอนว่าเป็นปัญหาไม่แพ้หลังคารั่วแน่ ๆ หากไม่ตรวจเช็คให้ดี เพราะรอยร้าวของผนังและช่องว่างระหว่างวงกบหน้าต่าง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้น้ำซึมผนังบ้าน ซึ่งส่งผลให้เกิดคราบน้ำที่สร้างความไม่น่ามอง บ้านดูเก่าโทรมแล้ว ยังอาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ที่ใหญ่ขึ้น เช่น เกิดเป็นเชื้อราหรือตะไคร่ วัสดุกรุผนังโป่งพอง จนไปถึงปัญหาโครงสร้างภายในบ้านจากการที่เหล็กขึ้นสนิม 3.รางน้ำรับน้ำฝน การติดตั้งรางน้ำฝนให้บ้านถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยไม่ให้บ้านโทรมจากสิ่งสกปรกที่มากับฝนไหลลงมาเปื้อนผนังบ้าน ดังนั้นเจ้าของบ้านจะต้องหมั่นตรวจเช็คว่ามีเศษใบไม้หรือกิ่งไม้อุดตันรางน้ำฝนหรือไม่ เพื่อไม่ให้เป็นตัวขวางการระบายน้ำฝนในช่วงที่ตกหนัก   สำหรับบ้านไหนที่สำรวจตามเช็คลิสต์นี้แล้วพบจุดที่ต้องซ่อมแซม ก็ไม่ต้องกังวลใจ สามารถแก้ไขได้ด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ อาทิ สีทาหลังคา ซีเมนต์ซ่อมแซมโครงสร้าง น้ำยากำจัดแมลง น้ำยากำจัดคราบเชื้อรา รางน้ำฝน อุปกรณ์ช่าง และอื่นๆ อีกมากมาย หรืออาจจะขอรับบริการจากช่างที่มีให้บริการมากมาย ทั้งช่างอิสระ ช่างรับเหมาทั่วไป หรือช่างจากร้านขายสินค้า อย่างเช่น ไทวัสดุยังมีบริการช่างมือโปรจากวีฟิกซ์ (vFix) ครบวงจรที่เดียวจบทุกเรื่องบ้าน ตั้งแต่ติดตั้ง ออกแบบ ปรับปรุง ต่อเติมและทำความสะอาดฆ่าเชื้อ มีบริการสำรวจหน้างานผ่านระบบออนไลน์ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคนี้ รับประกันผลงานสูงสุด 180 วัน ซึ่งตอนนี้ ทางไทวัสดุยังมี  โปรพิเศษค่าบริการตั้งแต่วันนี้ – 29 มิ.ย. 2566  และสินค้าต่าง ๆ ที่ส่วนลดสูงสุดกว่า 60% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 2566 ด้วย     ที่มา - ไทวัสดุ ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ภายใต้ บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -10 จุดเสี่ยงของบ้าน ต้องเช็กด่วน!! ก่อนสร้างปัญหาในหน้าฝน -10 วิธีป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้าน ช่วงหน้าฝน
5 วิธีปล่อยเช่าคอนโด สำหรับมือใหม่ ให้ได้ผู้เช่าแน่นอน

5 วิธีปล่อยเช่าคอนโด สำหรับมือใหม่ ให้ได้ผู้เช่าแน่นอน

ปีนี้ดูเหมือนตลาดคอนโดมิเนียม จะเริ่มกลับมาฟื้นตัวแล้ว ใครที่เป็นเจ้าของคอนโด แล้วไม่อยากอยู่อาศัยเอง หรือซื้อไว้เพื่อการลงทุน และต้องการปล่อยเช่าคอนโด แต่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการปล่อยเช่าคอนโดมาก่อน วันนี้ Reviewyourliving มีคำแนะนำสำหรับมือใหม่อยากปล่อยเช่าคอนโดมาแนะนำ กับ​เทคนิคง่าย ๆ แค่ 5 วิธีก็ปล่อยเช่าคอนโดได้แล้ว 5 วิธี ปล่อยเช่าคอนโด สำหรับมือใหม่  1.ทำห้องให้พร้อมเข้าอยู่ อย่างแรกเลย ห้องพักของเราควรจะพร้อมเข้าอยู่ เพราะผู้เช่ามักจะเลือกเช่าคอนโดที่พร้อมจะหิ้วกระเป๋าเข้าไปอยู่ได้เลย เจ้าของห้องจึงต้องทำให้ห้องพร้อมอยู่ ซึ่งอาจจะไม่ต้องมีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบทุกอย่างก็ได้  แต่ควรมีเท่าที่จำเป็นต่อการอยู่อาศัย ที่สำคัญอุปกรณ์ต้องไม่ชำรุดเสียหาย  และควรมีเฟอร์นิเจอร์พื้นฐานที่จำเป็นต่อการอยู่อาศัย เช่น เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน   นอกเหนือจากการมีเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้ว สิ่งที่เราไม่ควรละเลย คือเรื่องของความสะอาด มีการจัดห้องไว้เป็นเรียบร้อย ไม่มีกลิ่นเหม็นอั บหรือฝุ่นเกาะตามเครื่องใช้หรือเฟอร์นิเจอร์ 2.กำหนดราคาเช่าให้เหมาะสม ถ้าคอนโดอยู่ในทำเลที่ดี เดินทางสะดวก โดยเฉพาะใกล้รถไฟฟ้า รวมถึงมีพื้นที่ส่วนกลางที่หลากหลายไว้บริการจะเป็นแต้มต่อในการปล่อยเช่า ​แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เช่ามักใช้เป็นเกณฑ์ ในการพิจารณาเลือกเช่าคอนโด คือ ราคาค่าเช่า ซึ่งเจ้าของคงต้องกำหนดไว้อย่างเหมาะสม ไม่ถูกจนไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน และไม่แพงเว่อร์จนไม่มีคนมาเช่า หลักคิดสำคัญในการปล่อยเช่า มีดังนี้ -ความคุ้มค่าต่อการลงทุน เจ้าของต้องดูอัตราการผ่อนต่อเดือน ราคาที่เราซื้อมา รวมกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เราเสียไป เช่น ค่าส่วนกลาง ค่าเฟอร์นิเจอร์ แล้วนำมาคำนวณเพื่อที่จะคิดค่าเช่า ว่าต้องการกำไรเท่าไร หรือให้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป -ความเหมาะสมกับกลไกตลาด ต้องดูว่าในโครงการเดียวกัน ขนาดห้องเท่ากัน ปล่อยเช่าราคาเท่าไร หรือในโครงการใกล้เคียงปล่อยเช่าราคาเท่าไร เราเอาข้อมูลประกอบการพิจารณาให้เหมาะสม และคงต้องดูดีมานด์ซัพพลายประกอบด้วย -ความพึงพอใจของเรา บางครั้งเราอาจจะไม่สามารถปล่อยเช่าได้ในราคาที่มีกำไร หรือคุ้มค่ากับเงินลงทุน เพราะคู่แข่งในตลาดเยอะ แต่เราจำเป็นต้องมีรายได้เข้ามาซัพพอตกับการผ่อนคอนโด อาจจะต้องปล่อยเช่าถูกลงหน่อย เพื่อให้มีคนมาเช่า จึงต้องกลับมาตอบคำถามตัวเองว่า เราพอใจในราคาค่าเช่าเท่าไรที่จะรับได้​ 3.รวบรวมข้อมูลคอนโด ขั้นตอนสำคัญในการจะปล่อยเช่าอีกประการ คือ การรวบรวมข้อมูลคอนโดของเรา ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลโครงการ ทำเลที่ตั้ง รายละเอียดต่าง ๆ ภายในโครงการ ที่เป็นจุดน่าสนใจหรือจุดขายในการจะทำให้คนสนใจมาเช่า เหมือนกับความน่าสนใจที่เรามาซื้อโครงการนี้   นอกจากข้อมูลพื้นฐานต่าง ๆ แล้ว เราต้องมีการถ่ายรูปห้อง สภาพภายในโครงการ พื้นที่ส่วนกลาง จุดน่าสนใจต่าง ๆ หากจะให้ดีและถ้าเป็นไปได้ ถ่ายสภาพแวดล้อมโดยรอบโครงการด้วย และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต​ ใกล้โครงการเราก็ควรบอกไว้ด้วย เช่น จะมีศูนย์การค้าใหม่ หรือเส้นทางรถไฟฟ้าสีใหม่เข้ามา นอกจากถ่ายเป็นภาพนิ่งแล้ว ถ้าจะทำให้น่าสนใจอาจจะมีการถ่ายเป็นคลิปวิดีโอสั้น ๆ ไว้ประกอบด้วยก็ดี ​ 4.ลงประกาศให้เช่า เมื่อเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ไว้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ก็ถึงเวลาประกาศหาผู้เช่ากันได้แล้ว ซึ่งวิธีการก็ไปตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เปิดให้บริการโพสต์ประกาศได้ฟรี หรือหากจะลงทุนแบบเสียเงินก็ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของเอง นอกจากเว็บไซต์แล้ว ตามโซเชียลมีเดีย ตามเพจ หรือกลุ่มต่าง ๆ ที่มีพื้นที่ให้โพสต์ข้อมูลได้ฟรี ให้ไปโพสต์ไว้ให้หมด หรือแม้แต่บอร์ดของโครงการที่ห้องนิติบุคคล หรือพื้นที่ส่วนกลางของคอนโด   แต่หากใครมองว่าการประกาศในเว็บช้า ไม่ทันใจ หรือมีโอกาสน้อยที่จะได้ผู้เช่า อาจจะต้องใช้บริการนายหน้าอสังหาฯ หรือเอเย่นต์ต่าง ๆ ที่เป็นมืออาชีพ ก็จะช่วยทำให้มีโอกาสได้ผู้เช่าเร็วขึ้น แต่ก็ต้องยอมเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปด้วย ​ 5.ทำสัญญาเช่าให้ถูกต้อง เมื่อมีผู้สนใจจะมาเช่าห้องของเราแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็เป็นการตกลงทำสัญญาระหว่างเรากับผู้เช่า ซึ่งต้องเตรียมหนังสือสัญญาเช่า เพื่อเซ็นต์ร่วมกัน แต่หากใครให้เอเย่นต์หรือตัวแทนนายหน้า ขั้นตอนการเตรียมเอกสารสัญญาก็เป็นหน้าที่ของตัวแทนนายหน้า หรือเอเย่นต์ที่จะดำเนินการให้เรา แต่สำหรับคนที่ปล่อยเช่าได้ด้วยตนเอง ก็ต้องเป็นผู้เตรียมสัญญาเช่า   โดยหนังสือสัญญาเช่า จริง ๆ สามารถหาได้ตามร้านขายเครื่องเขียนทั่วไป หรือไม่ก็ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ต แต่จะร่างขึ้นมาใหม่ก็ได้ ซึ่งรายละเอียดภายในสัญญาจะต้องเห็นชอบกันทั้ง 2 ฝ่าย และที่สำคัญ ต้องมีการแสดงรายละเอียด และเงื่อนไขภายในสัญญานั้นที่มีรายละเอียด ครอบคลุม และเป็นไปตามมาตรฐานสัญญาเช่า ซึ่งสัญญาเช่าต้องระบุรายละเอียดต่าง ๆ ได้แก่ รายละเอียดเงินจอง ค่าเช่าต่อเดือน กำหนดวันจ่ายค่าเช่า ค่าปรับกรณีจ่ายล่าช้า เงินประกัน เงื่อนไขการคืนเงินประกัน และระยะเวลาที่จะเช่า   ทั้งหมดนี้ก็เป็น 5 วิธี ปล่อยเช่าคอนโด สำหรับมือใหม่ ที่นำเอาไปใช้ได้ไม่ยาก และมีโอกาสที่จะได้ผู้เช่า แต่หากไม่ทันใจ หรือไม่ต้องการจะยุ่งยากในการปล่อยเช่า ก็คงต้องให้มืออาชีพมาช่วย พวกเอเย่นต์หรือนายหน้าอสังหาฯ ซึ่งก็ต้องยอมเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปบ้าง       ที่มา- DDproperty, SCB, ธ.กรุงศรี, moneybuffalo, อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -อยากปล่อยเช่าอสังหาฯ ต้องรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง
อยากปล่อยเช่าอสังหาฯ ต้องรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง  จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง

อยากปล่อยเช่าอสังหาฯ ต้องรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง

ปล่อยเช่าอสังหาฯ การปล่อยเช่าอสังหาฯ หรือคอนโดมิเนียม อาจจะดูเหมือนไม่ได้มีอะไรยุ่งยาก ใครเป็นเจ้าของห้องคอนโด บ้าน หรืออาคารพาณิชย์ก็สามารถปล่อยเช่าได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากอะไร แต่สำหรับมือใหม่ที่อาจจะยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็คงต้องหาความรู้ ศึกษาข้อมูล ขั้นตอนและวิธีการเพื่อให้สามารถปล่อยเช่าได้ค่าเช่าตามที่ต้องการ และถูกต้องตามกฎหมายด้วย ​   โดยเรื่องสำคัญ ที่เจ้าของห้องจะต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ในการปล่อยเช่าอสังหาฯ เพื่อผลประโยชน์และความเป็นธรรมของทั้ง 2 ฝ่าย  นั่นก็คือ การทำสัญญาเช่า ที่จะต้องมีรายละเอียดที่ครอบคลุม ชัดเจน และยอมรับด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ตามที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญา เพราะหนังสือสัญญาเช่า จะนำมาใช้เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญานั่นเอง หากไม่ทำก็ไม่สามารถฟ้องร้องกันได้ วันนี้ Reviewyourliving จึงจะมาเล่าให้ฟังว่า หนังสือสัญญาเช่ามีรูปแบบอย่างไรบ้าง ​ การ ปล่อยเช่าอสังหาฯ      การทำสัญญาเช่า จะมีรายละเอียด และข้อปฏิบัติที่แตกต่างกันไป ตามระยะเวลาเช่าที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งมี 2 รูปแบบ ดังนี้ คือ ​​ 1.สัญญาเช่าแบบไม่เกิน 3 ปี การทำสัญญาเช่าที่มีระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี โดยอาจเป็นได้ทั้งสัญญาเช่าคอนโด 1 ปี สัญญาเช่าคอนโด 6 เดือน หรือแบบอื่น ๆ ที่ไม่เกิน 3 ปี กฎหมายระบุว่า กรณีเช่าแบบนี้ต้องมีการลงลายมือชื่อ ทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า และหากไม่มีหนังสือสัญญาเช่า หากเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดสัญญา ก็ไม่สามารถฟ้องร้องกันตามกฎหมายได้ 2.สัญญาเช่าแบบเกิน 3 ปี  กฎหมายไทยให้ทำสัญญาเช่าได้สูงสุดไม่เกิน 30 ปี  ซึ่งกรณีที่มีการทำสัญญาเช่ากินกว่า 3 ปี ขึ้นไป หรือตลอดอายุของผู้เช่า/ผู้ให้เช่า กฎหมายกำหนดไว้ว่า ต้องทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือ และยังต้องไป “จดทะเบียนการเช่า” และต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน ในอัตรา 1% โดยติดตามค่าเช่าตลอดเวลาที่เช่าหรือเงินกินเปล่า หรือทั้งสองอย่างรวมกัน   โดยมีกฎหมายที่มาบังคับใช้ คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538  ที่ระบุไว้ว่า การทำเป็นหนังสือ คือ เอกสารที่มีลายมือชื่อของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก ต่างจากหลักฐานเป็นหนังสือ ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้รับผิดเพียงคนเดียวเท่านั้น และที่สำคัญต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย จึงจะมีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมายตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นต้นไป แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดิน แต่มีสัญญาเช่าก็จะมีผลบังคับทางกฎหมายได้เพียง 3 ปี เท่านั้น ในหนังสือสัญญาจะต้องมีการระบุรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่ผู้เช่าแยกจ่ายเองตามจริง ต้องระบุให้ชัดเจนว่าผู้เช่าต้องจ่ายอะไรบ้าง ข้อกำหนดของคอนโดแห่งนั้น เช่น ห้ามเลี้ยงสัตว์ ห้ามสูบบุหรี่ รายการเฟอร์นิเจอร์ และสิ่งของทั้งหมดที่เรา นำมาไว้ให้ผู้เช่าได้ใช้  หากสูญหาย หรือชำรุด เวลาคืนห้องตอนหมดสัญญาเช่าด้วย จะต้องหาซื้อมาคืน หรือชำระเป็นเงินตามมูลค่า​ เงื่อนไขอื่น ๆ เช่น ห้ามต่อเติม เปลี่ยนแปลงห้องพัก การซ่อมแซมบำรุง​​เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้อง ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ อย่างเช่นการล้างแอร์ประจำทุก 6 เดือน อีกเรื่องที่มีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องกับการปล่อยเช่า คือ เจ้าของห้องไม่สามารถ ปล่อยเช่า​คอนโดแบบรายวันได้ เพราะถือว่าผิดกฎหมาย ที่เป็นกฎข้อบังคับเกี่ยวกับโรงแรม ที่ระบุว่า อาคารหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของอาคารที่ปล่อยเช่าเพื่อพักอาศัยเป็นรายวัน เข้าข่ายโรงแรม ต้องขอจดทะเบียนเป็นโรงแรม ซึ่งกรณีที่เป็นโครงการคอนโดจะจดทะเบียนเป็นโรงแรมไม่ได้  นอกจากนี้ ยังขัดกับกฎหมายเกี่ยวกับอาคารชุดที่ระบุว่า ห้ามนำห้องชุดไปจดทะเบียนเป็นโรงแรม เนื่องจากไม่ใช่เจ้าของคนเดียว และถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น เป็นต้น     หมายเหตุ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเช่า -ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2562 -กฎกระทรวงกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. 2551   ที่มา- ราชกิจจานุเบกษา, thebkkresidence.com​   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -สูตรคำนวณผลตอบแทน ก่อนปล่อยเช่าคอนโด  
เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย?

เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย?

เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย?  มาไขคำตอบกัน เพราะแม้ว่าเดือนเมษายน ซึ่งเป็นเดือนที่ประเทศไทยร้อนที่สุดแห่งปี ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมืองไทยจะมีอากาศเย็น เมืองไทยยังคงร้อนเป็นปกติ ซึ่งนั่นหมายความว่า เรายังคงต้องพึ่งพาการเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือพัดลม เพื่อช่วยทำให้ห้องเย็น ทำให้เรายังต้องเสียเงินค่าไฟฟ้าที่สูงอยู่ดี   แต่ก็ยังนับว่าเรายังโชคดี ที่ช่วงระยะเวลา 4 เดือนนี้ คือ พฤษภาคม-สิงหาคม รัฐบาลออกมาตรการมาช่วยลดภาระค่าไฟ จากราคาค่าไฟที่ปรับขึ้นมาแล้ว ดังนั้น แนวทางสำคัญที่จะช่วยลดภาระให้กับเงินในกระเป๋าเราได้ คือ การใช้ไฟอย่างคุ้มค่า หากสามารถประหยัดไฟได้ก็ต้องทำ โดยเฉพาะการเลือกแอร์ที่ประหยัดไฟได้ตั้งแต่ต้น รวมถึงการเลือกติดแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดของห้องด้วย เปิดแอร์ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไร แล้วรู้หรือไม่ว่า แอร์ที่มี BTU แตกต่างกัน เราต้องเสียค่าไฟชั่วโมงละกี่บาท หากคิดตามราคาค่าไฟที่หน่วยละ 2.3488 บาท (อัตราค่าไฟ 1-15 หน่วยแรก) แอร์ 12000 BTU เสียค่าไฟ ชั่วโมงละ 1.37 บาท แอร์ 18000 BTU เสียค่าไฟ ชั่วโมงละ 1.88 บาท ดังนั้น ถ้าจะหาว่าเดือนหนึ่งเราเสียค่าไฟกี่บาท ก็ให้คูณจำนวนชั่วโมงที่เปิด คูณจำนวนวันที่เปิดใช้ และในบ้านมีแอร์กี่เครื่องก็นับรวมกัน จะเป็นค่าไฟที่ต้องเสียแต่ละเดือน แต่ทั้งนี้ ราคาที่เราคำนวณมาให้เป็นค่าไฟโดยประมาณ อาจจะต้องพิจารณาจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น การดูแลรักษาแอร์ เทคโนโลยีของแอร์ ระบบแอร์รุ่นใหม่หรือเก่า เป็นต้น   (หมายเหตุ -ค่าไฟดังกล่าว คำนวณจากแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์, ราคายังไม่รวมค่าบริการ 8.19 บาท ค่า Ft หน่วยละ 0.9827 บาท และค่า Vat 7%) เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย? ตามคำแนะนำของการไฟฟ้าที่ออกมาระบุว่า หากต้องการประหยัดไฟ ให้เปิดแอร์ที่ระดับ 27 องศา ควบคู่กับการเปิดพัดลม จะช่วยประหยัดไฟได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นความจริง เนื่องจากมีงานวิจัย จากดร.มานพ แจ่มกระจ่าง จากมหาวิทยาลัยบูรพา ทำการศึกษาทางเลือกการตั้งอุณหภูมิเคลื่องปรับอากาศที่เหมาะสมเพื่อการประหยัดพลังงาน ด้วยการเปิดแอร์ในระดับอุณหภูมิ 25-27 องศา กับแอร์ที่มีขนาด BTU 9000-18000 พบว่าถ้าตั้งอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศา จะประหยัดไฟเฉลี่ย 20%   ดังนั้น ถ้าหากใครต้องการประหยัดค่าไฟ จากการเปิดแอร์ให้ลดลง ก็อาจจะต้องเปิดพัดลมช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง แต่ทางที่ดี เราควรเลือกแอร์ที่มีประสิทธิภาพประหยัดไฟได้สูงสุดเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะทำการติดตั้งแอร์ แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่ารุ่นทั่วไปก็ตาม รวมถึง หากติดตั้งแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ ก็พบว่าสามารถประหยัดไฟได้ดีกว่าแอร์ปกติถึง 30-35% ด้วย และเราคงต้องดูแลรักษาแอร์ให้อยู่ในสภาพที่ดี ล้างแอร์เป็นประจำตลอดอายุการใช้งาน   ที่มา- การไฟฟ้านครหลวง, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, ช่างสามัญประจำบ้าน   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -แอร์ส่งกลิ่นเหม็นอับ ทำไงดี  
เปิด พฤติกรรมการกิน ของคนไทย สู่คนอ้วนอันดับ 2 ของอาเซียน ​

เปิด พฤติกรรมการกิน ของคนไทย สู่คนอ้วนอันดับ 2 ของอาเซียน ​

พฤติกรรมการกิน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบ้านเรามีร้านบุฟเฟ่ต์สารพัดชนิด หรือจำนวนมากเกินไปหรือเปล่า จึงทำให้คนไทยติดอันดับ 2 ของคนที่มีภาวะโรคอ้วนมากที่สุดในอาเซียน เป็นพลจาก พฤติกรรมการกิน ของคนไทยที่ทำให้ติดอันดับนี้ ข้อมูลล่าสุดเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา บ้านเรามีคนที่เป็นโรคอ้วนมากถึง 26 ล้านคน หรือสัดส่วน 46.2% ของคนไทยทั้งประเทศ   ถามว่าเมื่อมีคนเป็นโรคอ้วนแล้วมีปัญหาอะไรตามมา อย่างที่เห็นชัดเจน ก็คือ ภาวะโรคแทรกซ้อน และโรคที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อาทิ ความดัน ไขมัน ความหวาน หัวใจ เป็นต้น ซึ่งก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล และระบบสาธารณสุข ยังไม่นับรวมกับการสูญเสียแรงงานที่จะเข้ามาสู่ระบบในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีก ประเมินตัวเลขความสูญเสียทางเศรษฐกิจไทยน่าจะมากกว่า 2 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน​1.27% ของ GDP เลยทีเดียว   โดยล่าสุด นักศึกษาปริญญาโท สาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ​ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างประชาชนและวิเคราะห์ข้อมูลงานวิจัยเรื่อง “What If Marketing การตลาดสามมิติสู่การเปลี่ยนแปลง” เพื่อศึกษาพฤติกรรม ทัศนคติและความเชื่อในการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การดูแลสุขภาพจิต และการบริโภคสินค้าเพื่อความยั่งยืน ในแต่ละกลุ่มช่วงอายุ เพศ สู่การคิดค้นกลยุทธ์การตลาดใหม่ที่ให้ความสำคัญต่อ “สุขภาพ-ชีวิต-อนาคต ที่ดีกว่า”โดยเจาะสำรวจกลุ่มตัวอย่าง รวมจำนวน 1,130 ตัวอย่าง แบ่งเป็น โดยพบปัญหาพฤติกรรมเชิงลบของคนไทยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การดูแลสุขภาพใจ และการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่ง Reviewyuorlivig ได้นำประเด็นการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มาฉายภาพให้เห็นว่า ทำไมคนไทยถึงติดอันดับ 2 ที่มีคนอ้วนมากที่สุดในอาเซียน พฤติกรรมการกิน ของคนไทย หลังโควิด-19 โดย พฤติกรรมการกิน ของคนไทยหลังเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้คนไทยน้ำหนักเพิ่ม จากข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ มีดังนี้ กินน้ำหวานมากขึ้น                       18.7% กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากขึ้น        18.3% กินอาหารกระป๋องมากขึ้น            15.6% กินขนกรุบกรอบมากขึ้น               13.6% กินลไม้ลดลง                                 10.5% กินผักน้อยลง                                 8.3% กินขนมหวานหรือลูกอมมากขึ้น    6.8% ขณะที่นางสาวจันทร์กานต์ เบ็ญจพร นักศึกษาปริญญาโท วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า คนไทยมีความต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารให้ดีต่อสุขภาพ แต่ก็ยังพบปัญหาด้านราคาที่สูงกว่าปกติ การหาซื้อที่ยาก และอาหารสุขภาพก็ไม่อร่อย สู้อาหารอื่นไม่ได้   ส่งผลให้ผลการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 1,000 คน พบว่า ปัจจุบันคนไทยยังมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพเพียง 17.09% ของค่าใช้จ่ายการกินอาหารทั้งหมดเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ยังพบว่าเทรนด์การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ (Better Food for Better Health) ก็มีอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคต้องการเ​รักษาและคงสุขภาพระยะยาว ต้องการเสริมภาพลักษณ์ และ ต้องป้องกันโรค โดยประเภทอาหารที่ดีต่อสุขภาพ พบว่า 5 อันดับแรกที่พูดถึงมากที่สุด คือ อาหารออร์แกนิค (Organic) อาหารโลว์คาร์บ (Low Carb) อาหารโพรไบโอติกส์-พรีไบโอติกส์ (Prebiotic/Probiotic) อาหารแพลนต์เบสด์ (Plant-Based) และ อาหารคีโตวีแกน (Keto Vegan) ขณะที่คุณลักษณะของอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ผลวิจัยพบว่า อาหารที่ปลอดสารพิษและยาฆ่าแมลงมาเป็นอันดับสูงสุด รองลงมาคือ อาหารโซเดียมต่ำ และอาหารไขมันต่ำ กลยุทธ์ LIFE สร้างชีวิตให้ดีขึ้น จากปัญหาที่พบจากงานวิจัยดังกล่าว ทางทีมวิจัยจึงได้คิดค้น กลยุทธ์แห่งชีวิตที่จะสร้างชีวิต สังคม และแบรนด์ให้ดีขึ้น เรียกว่า “LIFE” (ไลฟ์) เพื่อนำเสนอกลยุทธ์ใหม่ต่อนักการตลาด ผู้ประกอบการ ตลอดจนเจ้าของธุรกิจกลุ่มอาหาร และสุขภาพ ในการสร้างแรงจูงใจและการสื่อสาร ที่จะทำให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้นในระยะยาวและสร้างโอกาสต่อธุรกิจอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงเน้นการขายของอย่างเดียวดังนี้ L: Less is more - ลดบางอย่างน้อยลงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น แบรนด์สามารถลดส่วนประกอบบางอย่าง เพื่อให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีขึ้น รวมถึงลดการใช้สิ่งที่ไม่จำเป็นบางอย่างในการผลิต เพื่อทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ในมุมของผู้บริโภคก็ต้องพยายามลดการรับประทานอาหารบางอย่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน I: Image – ภาพลักษณ์แบรนด์เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องสร้างความเชื่อต่อผู้บริโภค แบรนด์ควรสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภคในแง่การผลิตสินค้าหรือบริการที่มีความใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกันผู้บริโภคต้องการใช้สินค้าหรือบริการที่เสริมภาพลักษณ์ตนเองให้ดูดีขึ้นเช่นกัน เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร หรือผลิตภัณฑ์กลุ่มอื่นๆ ที่มีความใส่ใจถึงผลดีต่อโลกอย่างแท้จริง F: Fear – ความกลัวเป็นจุดที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลง ทุกคนย่อมมีความกลัว ฉะนั้นแบรนด์ต้องเล่นกับความกลัว โดยสร้างสินค้าหรือบริการให้ตอบโจทย์การแก้ปัญหาความกลัวและสร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภค สามารถใช้การสื่อสารเน้นย้ำให้เห็นผลเสียชัดเจนได้ หรือสื่อสารด้านคุณประโยชน์ที่จะได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือการเปลี่ยนสินค้าว่า ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อสินค้าและบริการของเรา E: Experience - การทำให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับประสบการณ์ความเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีไม่น่ากลัวอย่างที่คิด โดยแบรนด์สามารถสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าสัมผัสจริงได้ไม่ยาก เช่น การทดลองใช้ หรือทดลองชิม เมื่อผู้บริโภคค่อยๆ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทีละน้อย ก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต และทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทำได้ไม่ยากและผลลัพธ์ที่ได้ดีต่อตนเองมากกว่าก่อนหน้านี้ สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องโรคอ้วน ก็คงต้องหันมาปรับ พฤติกรรมการกิน  หันมาดูแลตัวเองกันให้มากขึ้นแล้ว ส่วนใครที่มองเห็นว่า พฤติกรรมการกินของคนไทยที่แย่ลงแบบนี้ แล้วจะสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ ก็คงต้องรีบผลิตสินค้าและบริการออกมารองรับแล้ว เพื่อให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -6 สูตรลับ ปรับกลยุทธ์ธุรกิจอาหารต้องรอดในยุคโควิด-19  -4 แอปสั่งอาหาร อิ่มแบบจุกๆ ส่งฟรี มีโปรฯ แถมสิทธิ์คนละครึ่ง
เรื่องต้องคิด  เลือกซื้อบ้าน สำหรับมือใหม่

เรื่องต้องคิด เลือกซื้อบ้าน สำหรับมือใหม่

เลือกซื้อบ้าน  เรื่องของ "ที่อยู่อาศัย" นอกจากจะเป็นความจำเป็นของชีวิต ตามปัจจัย 4 แล้ว ที่อยู่อาศัย หรือ บ้าน ยังเป็นความฝันของคนส่วนใหญ่ ที่ในชีวิตหนึ่ง ก็อยากจะเป็นเจ้าของ ใครที่ยังไม่มีบ้าน จึงอยากจะมีบ้านเป็นของตนเองสักหลังหนึ่ง หรืออย่างน้อย คอนโดมิเนียมสักห้อง การซื้อบ้านอาจจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบ้านมีมูลค่าสูงมาก อาจจะเป็นสินค้าชิ้นเดียวในชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่มีมูลค่าสูงที่สุดก็ได้  แถมมีรายละเอียดให้คิดเยอะด้วย   วันนี้ Reviewyourliving จึงมีบทความ เรื่องต้องคิด เลือกซื้อบ้าน สำหรับมือใหม่ มาเป็นคำแนะนำ สำหรับคนที่อยากจะซื้อบ้านหลังแรกมาฝากกัน เรื่องต้องคิด เลือกซื้อบ้าน สำหรับมือใหม่ 1.เลือกซื้อบ้านแบบไหน? สำหรับคนที่อยากซื้อบ้าน ซึ่งไม่ใช่คอนโดมิเนียม อาจจะต้องมาตอบคำถามตัวเองก่อนอันดับแรกว่า อยากซื้อบ้านแบบไหน เพราะรูปแบบบ้านที่มีขายกันในปัจจุบัน จะแบ่งเป็น 4 รูปแบบด้วยกัน คือ บ้านเดี่ยว คือ บ้านที่ไม่มีผนังด้านใดติดกับบ้านอีกหลังหนึ่งเลย มักจะมีพื้นที่บริเวณโดยรอบตัวบ้าน ซึ่งบ้านเดี่ยวมีทั้งแบบชั้นเดียวและสองชั้น แต่ระยะหลังด้วยที่ดินแพงขึ้น ทำให้มีการพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวแบบสามชั้นขึ้นไปมากขึ้น   บ้านเดี่ยวเหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง และต้องการมีพื้นที่รอบ ๆ บ้านเพื่อใช้ประโยชน์ตามที่ต้องการ และสามารถอยู่อาศัยกันหลายเจเนอเรชั่นได้ตามขนาดบ้าน บ้านแฝด คือ บ้านที่มีลักษณะคล้ายบ้านเดี่ยวสองหลังอยู่ติดกัน โดยมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ทำติดกัน เช่น ผนังบ้านด้านข้าง คาน แต่ปัจจุบันมีการออกแบบให้คานใต้ดินติดกัน ทำให้บางครั้งก็ดูเหมือนไม่ใช่บ้านแฝด นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดในเรื่องของขนาดที่ดินด้วย บ้านแฝดต้องมีที่ดินไม่ต่ำกว่า 35 ตารางวา ความหว้างที่ดินไม่ต่ำกว่า 16 เมตรแบ่งเป็นข้างละ 8 เมตร และมีระยะร่นด้านหน้าไม่ต่ำกว่า 3 เมตร กรณีที่บ้านไม่ได้ติดถนนหลัก ต้องเพิ่มระยะร่นด้านหน้าเป็น 6 เมตรด้วย และระยะร่นด้านด้านข้างและด้านหลังเว้นไม่ต่ำกว่า 2 เมตร ปัจจุบันบ้านแฝดเริ่มพัฒนามากกว่า 2 ชั้น เป็นบ้านแฝด 3 ชั้นให้เห็นบ้างแล้ว   บ้านแฝด เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่มีงบประมาณน้อยกว่าการไปซื้อบ้านเดี่ยว เพราะราคาบ้านแฝดมักถูกกว่าบ้านเดี่ยว บ้านแฝดสามารถอยู่อาศัยได้หลายเจเนเรชั่น เหมือนกับบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ หรือทาวน์โฮม สำหรับทาวน์เฮ้าส์กับทาวน์โฮม จริง ๆ มีลักษณะคล้ายกัน คือ เป็นรูปแบบของบ้านที่ปลูกติดกันเป็นแถวเรียงกัน ทำให้ทาวน์เฮ้าส์หรือทาวน์โฮมจะต้องมีผนังติดกับบ้านด้านข้างทั้งสองด้าน ยกเว้นหลังแรกและหลังสุดท้าย ที่มักจะมีพื้นที่บริเวณด้านข้างบ้าน   แม้ทาวน์เฮ้าส์ และทาวน์โฮม จะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันที่ชัดเจนอย่างหนึ่ง คือ ​ทาวน์เฮ้าส์ มักจะก่อสร้างขนาดความสูงไม่เกิน 2 ชั้น มีพื้นที่ขนาดเล็กทั้งที่ดินและตัวบ้าน และสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการมักไม่ค่อยมีอะไรพิเศษ   ส่วนทาวน์โฮมเป็นรูปแบบบ้านที่ต่อยอดมาจากทาวน์เฮ้าส์ (บางโครงการก็เรียกทาวน์เฮ้าส์ เป็นทาวน์โฮม เพื่อยกระดับโครงการให้ดีขึ้น ตามสิ่งอำนวยความสะดวกที่โครงการนั้นมี) ปัจจุบันมักจะก่อสร้างให้มีขนาดความสูงตั้งแต่ 3-5 ชั้น   ทาวน์เฮ้าส์ เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็ก เพราะพื้นที่บ้านค่อนข้างจำกัด และคนที่มีงบประมาณจำกัด แต่ยังต้องการพื้นที่ใช้สอยมากกว่าการอยู่ในคอนโดมิเนียม   ทาวน์โฮม เหมาะสำหรับครอบครัวที่อยู่กันหลายเจเนอเรชั่น เพราะมักจะมีพื้นที่มาก โฮมออฟฟิศ เป็นบ้านอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผู้อยู่อาศัยมีการใช้พื้นที่ของบ้านเพื่อทำธุรกิจ หรือทำเป็นสำนักงาน โดยรูปแบบบ้านเป็นการพัฒนามาจากตึกแถว หรืออาคารพาณิชย์ และผสมผสานกับรูปแบบของทาวน์โฮม ทำให้หน้าตาทันสมัย สวยงาม มีพื้นที่ด้านข้าง ภายในบ้านมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่เหมาะกับการทำเป็นสำนักงาน ราคาค่อนข้างสูง เพราะมักจะเป็นโครงการในทำเลที่ดี   โฮมออฟฟิศ เหมาะสำหรับคนที่ประกอบอาชีพอิสระ ต้องการทำงานและพักอาศัยอยู่ในสถานที่เดียว ราคาโฮมออฟฟิศค่อนข้างสูง เพราะอยู่ในทำเลที่ดีเหมาะสำหรับการค้าขาย หรือทำธุรกิจ มากกว่าการอยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว 2.เลือกทำเลที่ต้องการ เมื่อได้รูปแบบบ้านที่ต้องการแล้ว ก็มาเลือกกันว่าต้องการอยู่ในทำเลไหน ซึ่งแต่ละทำเลก็จะมีการพัฒนาบ้านแตกต่างกันไป ทั้งรูปแบบ และระดับราคา นอกจากนี้ยังมีเรื่องต้องพิจารณาที่สำคัญเกี่ยวกับทำเล อาทิ ความสะดวกในการเดินทาง ดูสิ่งอำนวยความสะดวก มลภาวะทางอากาศและเสียง และเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ พวกน้ำท่วม หรือไม่​ 3.วางงบประมาณที่ต้องการซื้อ วางงบประมาณที่ต้องการซื้อบ้าน ซึ่งงบประมาณก็จะเป็นตัวคัดกรองว่าเราจะหารูปแบบบ้าน ในทำเลที่ต้องการได้หรือไม่ นอกจากราคาบ้านแล้ว เรายังต้องวางงบประมาณที่เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จะตามมาด้วย ซึ่งปกติเราควรมีเงินเก็บหรือเงินออมไว้ก่อนสัก 20% สำหรับผ่อนดาวน์ หรือเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งใครอยากรู้ว่า ถ้าจะซื้อบ้านจะมีค่าใช้จ่ายอะไรอีกบ้างที่ต้องเตรียมเอาไว้ ต้องไปอ่านบทความ อัปเดต ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน และคอนโด 2566 มีอะไรบ้าง?  ที่ได้นำเสนอไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อนำมาทำเช็คลิสต์กันดูก่อน 4.หาข้อมูลบ้าน-สำรวจทำเล-ดูบ้านตัวอย่าง หลังจากตอบคำถามตัวเองตั้งแต่ข้อ 1-3 เรียบร้อยแล้ว เราก็มาหาข้อมูลบ้านที่ต้องการกัน ซึ่งเดี๋ยวนี้ทำได้ง่าย ๆ มีข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตให้รวบรวมก่อนที่บ้าน หลังจากรวบรวมได้ข้อมูล และนำเอาข้อมูลของแต่ละโครงการมาเปรียบเทียบกันแล้ว ก็ถึงเวลาลงพื้นที่สำรวจโครงการ เพื่อดูสภาพแวดล้อม และการเข้าไปชมบ้านตัวอย่างจริง รวมถึงสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ทางโครงการมีเอาไว้ให้ต่อไป   ทั้งหมดนี้ ก็เป็นหลักเกณฑ์เริ่มต้นในการพิจารณา การเลือกซื้อบ้านสำหรับมือใหม่ ซึ่งใช้ได้กับทุกคนที่อยากจะมีบ้านในฝันสักหลัง เพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเอง และคนที่คุณรัก  แต่ยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่ควรพิจารณาประกอบด้วย เพื่อให้เราได้บ้านที่ดี ตรงใจ และไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง   ที่มา – ธอส., แลนด์แอนด์เฮ้าส์   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -4 เทรนด์การเลือกซื้อบ้าน หลังหมดโควิด-19 ยุควิถีชีวิต Nex normal -ไขความลับ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้านยังไง ตอบโจทย์ชีวิตเกษียณ  
ไขความลับ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้านยังไง ตอบโจทย์ชีวิตเกษียณ 

ไขความลับ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้านยังไง ตอบโจทย์ชีวิตเกษียณ 

เลือกซื้อบ้าน 3 ปัจจัยสำคัญของ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้าน จากปัจจัยภายใน ยังคงเน้นความคุ้มค่า  ขนาด และสิ่งอำนวยความสะดวก ขณะที่ปัจจัยภายนอก เน้นทำเลที่ตั้ง การเดินทางด้วยระบบสาธารณะ และความปลอดภัย พร้อมเลือกโครงการตอบโจทย์ชีวิตพร้อมอยู่ และใกล้ชิดธรรมชาติ   แม้ว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society) ที่มีจำนวนผู้สูงอายุถึง 28% ของประชากรในประเทศ ตามข้อมูลของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แต่ปัจจุบันเราไม่ต้องรอถึงตอนนั้น ประเทศไทยก็เข้า​สู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) เรียบร้อยแล้ว ทำให้หลายธุรกิจหันมาให้ความสำคัญ และทำตลาดกับกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้   สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่ขายบ้านหรือที่อยู่อาศัย ก็ให้ความสำคัญกับลูกค้ากลุ่มนี้ เพราะบ้านคือปัจจัย 4 สำคัญที่ต้องมี และแม้ว่าก่อนหน้านี้คนสูงวัยอาจจะมีบ้านอยู่แล้ว แต่ก็อาจจะไม่ได้สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เป็นคนสูงอายุ ในวัยเกษียณ จึงทำให้คนกลุ่มนี้ยังมีความต้องการซื้อบ้าน หรือเปลี่ยนบ้านหลังใหม่ให้เหมาะสมกับช่วงวัยของตนเอง โดยเฉพาะโครงการที่มีบริการเพิ่มทางด้านการแพทย์ร่วมด้วย​ 3 ปัจจัยภายใน เลือกซื้อบ้าน​ ของคนสูงวัย 1.เน้นความคุ้มค่า   ผู้สูงอายุ มากกว่าครึ่ง (51%) ให้ความสำคัญกับการเลือกบ้านที่ให้ความคุ้มค่ามาเป็นอันดับแรก โดย พิจารณาจากราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรเป็นหลัก   2.ขนาดที่อยู่อาศัย   3.สิ่งอำนวยความสะดวกภายใน   ผู้สูงวัยสัดส่วน​ 45% เลือกบ้านที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายใน ซึ่งจะต้องตอบโจทย์การอยู่อาศัยและสอดคล้องกับวิถีชีวิตในช่วงวัยเกษียณด้วย 3 ปัจจัยภายนอกเลือกซื้อโครงการ 1.ที่ตั้งโครงการ   ที่ตั้งโครงการยังเป็นปัจจัยแรก ของผู้สูงอายุ ในการเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัย ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามมากถึง 66% ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องทำเลที่ตั้งโครงการมากที่สุด   2.เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ   การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เป็นเรื่องสำคัญของผู้สูงวัย เพราะยังมีความจำเป็นในการออกไปใช้ชีวิต โดยสัดส่วน 55% ของผู้สูงอายุ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้   3.ความปลอดภัยของทำเล   เนื่องจากผู้สูงอายุคำนึงถึงการใช้ชีวิตในระยะยาว นอกจากต้องการโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก รองรับการใช้ชีวิตประจำวันด้วยตนเองได้อย่างสบายใจแล้ว ยังจะต้องมีความปลอดภัยด้วย อินไซต์การเลือกบ้านอยู่อาศัย ของคนสูงวัย ถ้าพูดถึงตัวบ้านเป็นหลัก การเลือกซื้อของคนสูงวัย ก็มีเกณฑ์ที่ใช้การพิจารณาเลือกโครงการดังนี้ เลือกห้องตกแต่งครบ พร้อมเข้าอยู่ เมื่อต้องเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ผู้สูงอายุเกือบครึ่ง (46%) จะเลือกโครงการที่ตกแต่งให้ครบแบบพร้อมเข้าอยู่ (Fully Furnished) มากที่สุด โดยมีเหตุผลสำคัญมาจาก ช่วยประหยัดเวลาในการตกแต่ง และไม่ยุ่งยาก สามารถย้ายเข้าอยู่ได้ทันที   ขณะเดียวกันก็มีผู้สูงอายุอีกจำนวนหนึ่ง ที่สนใจโครงการที่ตกแต่งห้องให้บางส่วน (Fully Fitted)  และไม่มีการตกแต่งใด ๆ เพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่ถึง 70% ชื่นชอบการตกแต่งห้องในสไตล์ของตัวเองมากกว่า และมีผู้สูงอายุอีกจำนวนหนึ่ง สัดส่วน 37% คิดว่าสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่มีอยู่ได้ดีกว่า บ้านที่ดีต้องใกล้ชิดธรรมชาติ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตที่บ้านเป็นหลัก จึงเห็นความสำคัญของบทบาทที่อยู่อาศัยในการเสริมสร้างสุขภาพกายควบคู่กับสุขภาพจิตที่ดี เมื่อพิจารณาคุณลักษณะภายในและบริเวณรอบบ้านที่จะช่วยให้มีสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ดีขึ้น   โดยผู้สูงอายุกว่า 2 ใน 3 (70%) ต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้สวนสาธารณะและใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด เนื่องจากการมีพื้นที่สีเขียวไว้พักผ่อนหย่อนใจนั้นจะช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดี และมีผลทางจิตวิทยาทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น รวมทั้งต้องการพื้นที่เปิดโล่งมากขึ้นภายในละแวกบ้าน 68% ตามมาด้วยยูนิตที่มีระยะห่างมากขึ้น 64% เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและต้องการความสงบ   นอกจากนี้ ผู้สูงอายุยังเข้าใจและให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมแนวคิดรักษ์โลก เกือบ 2 ใน 3 (65%) คาดหวังว่าโครงการที่พัฒนาใหม่ทั้งหมดควรจะมาพร้อมกับหลังคาโซล่าเซลล์ (Solar Rooftop) เพื่อช่วยประหยัดรายจ่ายและลดการใช้พลังงานไฟฟ้า สะท้อนให้เห็นว่าผู้สูงอายุมีความตระหนักถึงความสำคัญของการใช้พลังงานทางเลือก   ที่มา : ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด     อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง
ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66

ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66

งานสถาปนิก’66 งานสถาปนิก’66 เป็นอีกงานหนึ่ง ที่คนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และการออกแบบทางสถาปัตยกรรม ต่างตั้งตารอคอย เพื่อเช้าชมงาน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่จะมาโชว์ผลงาน และผู้ที่มามองหาแรงบันดาลใจในการออกแบบ และการใช้วัสดุเพื่อการก่อสร้าง ซึ่งผู้เข้าร่วมงาน จะได้พบกับนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างที่ทันสมัย แปลกใหม่  ที่ถูกออกแบบและพัฒนา แล้วนำมาแสดงภายในงาน เพื่อให้คนในแวดวงได้อัปเดต และนำเอาวัสดุต่าง ๆ เหล่านั้น ไปใช้ในงานก่อสร้าง และงานออกแบบต่าง ๆ ของตนเองหรือลูกค้า   งานสถาปนิก’66 งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน ปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-30 เมษายน 2566 ที่อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี  มาด้วยการจัดงานภายใต้แนวคิด "ตำถาด : Time of Togetherness”   ภายในงาน นอกจากจะยกขบวนนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จากผู้ประกอบการระดับแนวหน้า ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ร่วมแสดงสินค้ากว่า 800 ราย ยังมีการเนรมิตพื้นที่ไฮไลท์ อย่าง Thematic Pavilion โชว์ศักยภาพของวัสดุผ่านการใช้งานในรูปแบบใหม่ ๆ ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับการนำเอาไปใช้ ในการต่อยอดของผู้ประกอบการ สถาปนิก และนักออกแบบ 4 พื้นที่ Thematic Pavilion ใน งานสถาปนิก’66 สำหรับพื้นที่โชว์ศักยภาพของวัสดุ ผ่านการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ มีด้วยกัน 4 พื้นที่ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของแบรนด์ซัพพลายเออร์วัสดุก่อสร้างและสถาปนิก ดังนี้ 1.VG & TOA x Hypothesis  ครั้งแรกกับการร่วมกันระหว่าง VG เจ้าของรางน้ำฝนและหลังคาไวนิลคุณภาพสูง และผู้นำด้านนวัตกรรมสีทาบ้านภายใต้แบรนด์ TOA จับมือ สถาปนิกจาก Hypothesis เนรมิตพื้นที่ให้มีความสมมาตร ตรงกลางมีการติดตั้งพีระมิดกระจกรูปแบบน้ำผุด โดยสามารถเดินเข้ามาได้จากทุกทิศทาง สามารถมองความต่างของวัสดุที่แขวนติดตั้งจากแต่ละแบรนด์อย่างชัดเจน และดูกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อมองจากภายนอก ซึ่งถือเป็นการออกแบบที่โดดเด่นและลงตัวเป็นอย่างมาก 2.WOODDEN x PAVA architects  หยิบอัตลักษณ์อย่างไม้ เปลี่ยนมุมมองใหม่ให้เข้าถึงได้ โดยเฉพาะ "ไม้สัก" ซึ่งเป็นวัสดุที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้สัมผัส บอกเล่าเรื่องราวด้วยการสร้างสรรค์ผ่านมุมมองสถาปนิกให้ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ในรูปแบบ enclosed space ที่จะช่วยให้ผู้เข้าชมสัมผัสความสงบจากป่าไม้สักคอนทราสต์กับบรรยากาศภายนอกทันทีที่ก้าวเข้ามา อีกทั้ง ยังสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับวงจรชีวิตของไม้สักตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ บอกได้เลยว่าผู้ที่หลงใหลวัสดุที่ทำจาก “ไม้” ต้องไม่พลาด 3.THAI KOON STEEL & THAI PREMIUM PIPE x Context Studio  ฉีกกฎเดิมๆ ของงานเหล็ก สู่การสร้างสรรค์ให้พลิ้วไหวจาก Context Studio โดยการนำวัสดุอย่างท่อและโซ่มาออกแบบได้อย่างกลมกลืนและน่าสนใจ สร้างรูปลักษณ์ใหม่ในพื้นที่จำกัด ด้วยวิธีการปรับองศาการติดตั้งท่อเหล็ก เปลี่ยนเส้นตรงให้อยู่ในรูปทรงเกลียว (spiral) สอดประสานกันเพื่อให้ความรู้สึกที่พลิ้วไหวแต่ยังได้ฟังก์ชันที่สอดรับกันเพื่อสร้างความแข็งแรง และโครงสร้างทุกชิ้นสามารถนำกลับไปใช้ใหม่ได้  แบบนี้บอกได้เลยว่าเป็นการออกแบบที่คิดถึงการใช้งานและสิ่งแวดล้อมด้วย 4.EMPOWER STEEL x ACa Architects  ผลงานการถอดรหัสเหล็กที่แข็งแรงสู่โมเลกุลในยูนิตที่เล็กลงทรงเรขาคณิต สื่อถึงความเป็นธาตุโลหะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่มีความพลิ้วไหว สร้างจินตนาการใหม่ๆ โดยใช้เหล็กจาก EMPOWER STEEL ที่มีนวัตกรรมทำสีและพิมพ์ลวดลายมาตัดเป็นชิ้นนับหมื่นแผ่น บากร่องเพื่อต่อขึ้นเป็นโครงสร้าง (Modular Structure) โชว์พื้นผิว สี ฉีกกฎเหล็กจากอุตสาหกรรมทั่วไป สู่งานดีไซน์ที่หลากหลายตามจินตนาการ สำหรับผู้สนใจ สามารถเข้ามาสัมผัส และเรียนรู้แนวคิด การออกแบบสถาปัตยกรรม บนพื้นที่ Thematic Pavilion  ได้ภายในงานสถาปนิก’66 นี้ พร้อมพบกับ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และการออกแบบ รวมถึงแรงบันดาลใจอีกมากมาย ภายในงานสถาปนิก’66    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] เริ่มแล้ว! “สถาปนิก’65”  กระตุ้นเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง – หนุนเม็ดเงินสะพัดกว่า 2 หมื่นล้าน
7 เทคนิค ประหยัดค่าไฟ ในหน้าร้อน ช่วยลดค่าใช้จ่ายไม่ให้พุ่งสูง

7 เทคนิค ประหยัดค่าไฟ ในหน้าร้อน ช่วยลดค่าใช้จ่ายไม่ให้พุ่งสูง

ประหยัดค่าไฟ ตอนนี้อากาศเมืองไทย ร้อนสุด ๆ ร้อนจนแทบจะละลาย ทำให้หลายคนเลือกที่จะอยู่แต่ในบ้าน ในอาคาร หรือไม่ก็ไปเดินห้างสรรพสินค้าตากแอร์ให้เย็นฉ่ำ ส่วนใครที่อยู่บ้านส่วนใหญ่ก็ต้องเปิดแอร์ให้เย็น ลดอากาศที่ร้อนระอุ ทำให้เดือนนี้และอีกหลายเดือนนับจากนี้ ค่าไฟพุ่งสูงแน่นอน   วันนี้ Reviewyourliving จึงจะมาชวนให้ทุกคนประหยัดค่าไฟ กับ 7 เทคนิคประหยัดค่าไฟในหน้าร้อน ด้วยวิธีการที่ทำตามกันได้ง่าย ๆ และได้ประโยชน์ ช่วยลดค่าไฟ ไม่ให้เราต้องเสียเงินเพิ่มมากขึ้น 7 เทคนิค ประหยัดค่าไฟ ในหน้าร้อน 1.เช็คอุปกรณ์ไฟฟ้า วิธีแรกที่ทำเพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า ก็คือการตรวจเช็คอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ดูว่าเครื่องไฟฟ้าไหนชำรุดเสียหาย หรือเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าที่กินไฟ เปลืองพลังงานมาก เราก็ควรเปลี่ยนใหม่ด้วยการใช้เครื่องไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 หรือแม้แต่หลอดไฟที่ใช้ในบ้านหรือโคมไฟ ก็ควรเปลี่ยนเป็นหลอดประหยัดไฟ หรือ หลอด LED เพราะนอกจากประหยัดไฟแล้ว ยังไม่ทำให้อุณหภูมิภายในห้องสูงด้วย ที่สำคัญอีกอย่าง คือ ควรจะปิดสวิสถอดปลั๊กไฟหลังจากการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งด้วย 2.เปิดแอร์ให้ถูกวิธี แอร์ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นในช่วงหน้าร้อน และน่าจะมีชั่วโมงการทำงานต่อวันมากเป็นอันดับต้น ๆ ถ้าไม่นับตู้เย็นที่เราต้องเสียบปลั๊กไฟตลอดเวลา จึงถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟสูงมาก แต่หากเราใช้แอร์อย่างถูกวิธี ก็ช่วยประหยัดค่าไฟได้ไม่น้อยเลย   เริ่มต้นจากก่อนที่จะเปิดแอร์ควรเปิดพัดลมก่อน เพื่อลดอุณหภูมิห้อง หรือเปิดหน้าต่างประตูระบายความร้อนออกไปก่อน โดยเฉพาะเมื่อเราเพิ่งกลับเข้าห้องมา แล้วจึงเปิดแอร์ด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม ประมาณ 25-26 องศา แต่หากจะเปิดแอร์อุณหภูมิ 27-28 องศาก็ช่วยประหยัดไฟได้มากขึ้น แต่คงต้องเปิดพัดลมควบคู่เพื่อความเย็นสบาย   นอกจากนี้ สิ่งที่ช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้อีกทางหนึ่ง คือ การปิดแอร์ก่อนที่จะเลิกใช้งาน เช่นปิดแอร์ก่อนสัก 1 ชั่วโมงก่อนออกจากห้องไปทำธุระ หรือการตั้งเวลาปิดแอร์ก่อนที่เราจะตื่นนอนตอนเช้า ก็ช่วยประหยัดแอร์ได้ดี เพราะอากาศตอนเช้าจะเย็นสบาย ไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์  ที่สำคัญอีกอย่าง ควรหมั่นล้างแอร์ให้สะอาดอยู่เสมอ ตามระยะเวลาการใช้งาน เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดไฟฟ้าได้แล้ว ยังช่วยทำให้อายุการใช้งานของแอร์ยาวนานขึ้นด้วย​ 3.เคลียร์ตู้เย็น-ไม่เปิดบ่อย ตู้เย็น เป็นอุปกรณ์ที่ต้องเสียบปลั๊กตลอดเวลา เพื่อรักษาอาหารให้ไม่เน่าเสีย จึงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟไม่น้อย สิ่งที่ช่วยประหยัดค่าไฟได้ในช่วงหน้าร้อน คือ การเคลียร์ตู้เย็นให้เป็นระเบียบ ไม่มีของรกเต็มตู้ ของไหนไม่ใช้ หมดอายุแล้วก็ควรเอาออก ที่สำคัญอย่าเปิดตู้เย็นบ่อยครั้งจนเกินไป หากต้องทำอาหารก็ควรวางแผนให้ดีว่าต้องใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง หยิบออกมาให้ครบตั้งแต่ครั้งแรก หรืออยากจะประหยัดไปมากขึ้นในช่วงหน้าร้อนนี้ ที่หลายคนจะหิวน้ำเย็นหรือเครื่องดื่มเย็น ๆ ให้ใช้วิธีเอากระติกน้ำหรือกระติกแช่ของมาเป็นตัวช่วยในการแช่น้ำเย็น หรือเครื่องดื่มเย็น ก็จะประหยัดมากขึ้น 4.ปลูกต้นไม้ป้องกันแสงแดด สิ่งที่ควรวางแผนตั้งแต่มีบ้าน ก็คือตัวบ้านฝั่งที่มีทิศโดนแดดตลอดทั้งวัน ด้วยการปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา ป้องกันแสงแดดส่องตรงมายังตัวบ้าน หรือใครที่อยู่คอนโด ไม่สามารถปลูกต้นไม้ป้องกันแสงแดดได้ ก็อาจจะเพิ่มความสดชื่นด้วยการหาต้นไม้มาปลูกในห้อง เพื่อเพิ่มความสดชื่น ลดอุณหภูมิภายในห้องแทนก็ได้ ​ 5.เปิดหน้าต่าง-ประตู ระบายอากาศ บางครั้งเราก็ควรเปิดประตู หรือหน้าต่าง เพื่อระบายอากาศร้อนภายในบ้าน ไม่ให้บ้านอมความร้อนไว้ หรือถ้าประตู-หน้าต่าง อยู่ในทิศทางของลมก็ต้องเปิดเพื่อให้ลมพัดผ่านช่วยทำให้บ้านเย็นขึ้นได้ ซึ่งบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์เลยด้วยซ้ำ 6.ใช้อุปกรณ์ป้องกันแสงแดด เช่น ติดม่าน, ทาสีกันความร้อน นอกจากการปลูกต้นไม้บังแดดแล้ว การติดม่าน หรือแผ่นฟิล์มสะท้อนความร้อน รวมถึงทาสีบ้าน ที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน ก็เป็นตัวช่วยทำให้บ้านเย็น และช่วยทำให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนักมากขึ้น แอร์จึงไม่กินไฟมากนัก 7.ติดโซลาร์เซลล์ วิธีสุดท้ายที่ประหยัดค่าไฟได้ดี คือ การติดแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อสร้างไฟฟ้าไว้ใช้งาน แต่อาจจะต้องลงทุนสูงกว่าวิธีอื่น ๆ และกว่าจะคุ้มค่าการลงทุนก็กินระยะเวลายาวนานพอสมควร แต่ถ้าคิดแล้วถ้าสามารถทำได้ ก็ควรทำเพราะมีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว   ทั้งหมดนี้ เป็น 7 เทคนิค ประหยัดค่าไฟ ในหน้าร้อน ที่ช่วยลดภาระค่าไฟ ที่เชื่อแน่ว่าต้องปรับสูงขึ้น เพราะอากาศแบบนี้ต้องใช้ไฟฟ้ากันเยอะ เปิดแอร์กันนานขึ้นแน่นอน ลองนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกันตามสะดวก     ที่มา-springnews,จระเข้, เชฟไทย, ประชาชาติ, กรุงเทพธุรกิจ,กฝภ.   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -รวมวิธีประหยัดไฟ รับมือค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาท กับสารพัดวิธีเซฟเงินในกระเป๋า -4 เทคนิค ทำความสะอาดตู้เย็น ช่วยลดค่าไฟสร้างสุขอนามัยในหน้าร้อน
เปิด 10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ปี 2023  ที่ช่วยทำให้ชีวิตคุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น

เปิด 10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ปี 2023 ที่ช่วยทำให้ชีวิตคุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น

เฮลท์แคร์ ฟิลิปส์เปิด 10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ของปี 2023 หลังเกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านกาาแพทย์ ปริมาณงานที่เพิ่ม และความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจ   ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร ปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้น และความผันผวนทางเศรษฐกิจ ล้วนเป็นปัจจัยที่ ท้าทายผู้ให้บริการทางสาธารณสุขทั่วโลก ในการพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และคิดค้นรูปแบบการดูแลรักษาผู้ป่วยใหม่ ๆ ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารแถวหน้าในวงการเฮลท์แคร์ ยังตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น ได้หันมาให้ความสำคัญกับการยกระดับความเท่าเทียมด้านการเข้าถึงระบบสาธารณสุข ตลอดจนความจำเป็นในการลดก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรม เพื่อการรักษาสุขภาพของโลกเช่นกัน เป็นการตอบสนองต่อความท้าทายข้างต้น ฟิลิปส์ จึงได้รวบรวม 10 เทรนด์เทคโนโลยีเฮลท์แคร์ที่คาดว่าจะมาแรงในปี 2023 นี้ 10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์  1.การแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้วยระบบการทำงานอัตโนมัติ (Workflow Automation) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากรายงาน Philips Future Health Index 2022 report เผยว่าปัญหาด้านบุคลากรเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกๆ ของผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์  และหากไม่จัดการกับปัญหานี้อย่างเร่งด่วน ภาวะหมดไฟและการขาดแคลนบุคลากรจะส่งผลให้ระบบสาธารณสุขอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น ในด้านรังสีวิทยา มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า นักรังสีวิทยาอย่างน้อยครึ่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาประสบกับภาวะเหนื่อยล้าจากการทำงาน และทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง [1] ในขณะที่มีการคาดการณ์ว่า ทั่วโลกจะขาดแคลนเจ้าหน้าที่พยาบาลถึง 13 ล้านคนภายในปีค.ศ. 2030 [2] นอกจากนี้ บุคลากรทางการแพทย์ยังต้องเผชิญกับงานค้างจากการรักษาปกติที่ถูกพักไว้ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดยิ่งทำให้เกิดภาวะตึงเครียดมากกว่าปกติ ซึ่งจากปัญหานี้ จะเห็นว่าผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขได้นำระบบการทำงานอัตโนมัติที่มีเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์   ระบบการทำงานอัตโนมัติ (Automation) เป็นเทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ที่สามารถช่วยลดภาระงานด้านเอกสารให้กับแพทย์ พยาบาล และนักเทคนิคการแพทย์ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์น้อยลงและมีเวลาอยู่กับผู้ป่วยมากขึ้น นั่นหมายถึงการปรับปรุงกระบวนการทำงานขั้นพื้นฐานที่ให้ผลลัพธ์สูง เช่น การเปิดใช้งานระบบส่งต่อข้อมูลตรวจติดตามผู้ป่วยเข้าสู่ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์โดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีและประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ได้ 2.การเพิ่มทักษะด้านดิจิทัลผ่านการฝึกอบรมและการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ระบบการทำงานอัตโนมัติสามารถช่วยลดภาระงานที่มากเกินไปในแต่ละแผนกของโรงพยาบาลได้ แต่บุคลากรทางการแพทย์ยังจำเป็นต้องได้รับความรู้และการฝึกอบรมที่เหมาะสมเพื่อให้ทันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยพบว่า 1 ใน 5 ของบุคลากรทางการแพทย์ลาออกจากสายงานนี้ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 [3] การฝึกอบรมบุคลากรใหม่ๆ อย่างเพียงพอจึงสำคัญอย่างยิ่งต่อความต่อเนื่องในการทำงาน ความปลอดภัยและคุณภาพของการดูแลรักษาผู้ป่วย และในอนาคต เราจะเห็นความต้องการ ‘บริการด้านการศึกษา’ เพิ่มมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง รับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นด้านดิจิทัลในวงการเฮลท์แคร์ 3.การปฏิบัติงานทางไกล (Remote Operations) ผ่านการทำงานร่วมกันออนไลน์ (Virtual Collaboration) นี่เป็นหนึ่งในเทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ที่ถูกนำมาใช้งานมากขึ้นหลังจากมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัจจุบันได้กลายเป็นเทคโนโลยีหลักในวงการเฮลท์แคร์ เนื่องจากขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์หรือมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในพื้นที่ห่างไกลมากขึ้น   การทำงานร่วมกันแบบทางไกลยังมีประโยชน์ด้านการแพทย์อื่นๆ เช่น การดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน อย่างระบบ Tele-ICU (เทเล-ไอซียู) ช่วยส่งเสริมการดูแลผู้ป่วยวิกฤติถึงข้างเตียงผ่านการใช้เทคโนโลยีไม่ว่าสถานพยาบาลนั้นจะตั้งอยู่ที่ไหนก็ตาม โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากส่วนกลางสามารถตรวจติดตามอาการของผู้ป่วยวิกฤติ (ICU) แบบทางไกล ได้สูงสุดถึง 500 เตียงเพื่อสนับสนุนการทำงานของทีมบุคลากรในพื้นที่ โดยผสานเทคโนโลยีแสดงภาพและเสียง (Audio-visual technology), เทคโนโลยีการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive analytics) และการแสดงผลข้อมูล (Data visualization) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีเมื่อจำเป็น 4.โซลูชันด้านสารสนเทศ (Informatics solutions) ที่เป็นกลางและสามารถทำงานร่วมกับหลากหลายเครื่องมือหรือระบบได้ เนื่องจากระบบสาธารณสุขมีการเชื่อมต่อกันมากขึ้น ระบบและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่แตกต่างกันจำเป็นต้องสามารถ 'เชื่อมต่อ' ถึงกันได้เพื่อสร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อสำหรับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ ตามปกติ โรงพยาบาลจะจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือการแพทย์จากหลากหลายแบรนด์ ซึ่งมักส่งผลต่อการกระจัดกระจายของโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ส่งผลต่อประสบการณ์ด้านสาธารณสุขที่ไม่เชื่อมต่อกัน แนวทางในการแก้ปัญหาคือ การนำโซลูชันด้านสารสนเทศที่เป็นกลางและสามารถทำงานร่วมกับหลากหลายเครื่องมือหรือระบบได้มาใช้มากขึ้นใน ปีค.ศ. 2023 และในอนาคต   อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินและในระยะฟื้นฟู แพลตฟอร์มเชื่อมต่อเครื่องมือแพทย์แบบเป็นกลาง สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากเครือข่ายของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันเพื่อประมวลผลข้อมูลเชิงลึกและการแจ้งเตือนที่สนับสนุนการดูแลผู้ป่วยได้ดีขึ้น และแพลตฟอร์มดังกล่าวยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบ เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (EMR) ของโรงพยาบาล รวมถึงเครื่องมือสื่อสารและความร่วมมือทางคลินิกได้อีกด้วย ส่งผลให้บุคลากรในโรงพยาบาลสามารถเห็นภาพรวมเกี่ยวกับอาการและปัจจัยด้านสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละรายได้ เมื่อการส่งต่อข้อมูลระหว่างระบบและอุปกรณ์ง่ายขึ้น บุคลากรทางการแพทย์ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการดึงข้อมูลผู้ป่วยจากไซต์และแผนกต่าง ๆ อีกต่อไป 5.เฮลท์แคร์กำลังย้ายไปอยู่บนคลาวด์ (Cloud) คลาวด์เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่สำคัญในการเชื่อมต่อและบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานไอทีด้านเฮลท์แคร์ เมื่อโครงสร้างพื้นฐานจำเป็นต้องมีความปลอดภัยระดับสูงและสามารถรองรับข้อมูลปริมาณมากๆ ได้ เพื่อช่วยให้ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูล ก่อนหน้านี้การประยุกต์ใช้คลาวด์ในวงการเฮลท์แคร์ถือว่าล้าหลังมาก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การประยุกต์ใช้คลาวด์ในวงการเฮลท์แคร์เติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับการยอมรับมากขึ้น และน่าจะได้เห็นการนำคลาวด์ไปใช้ทั่วทุกมุมโลกในปี 2023 นี้ และน่าจะได้เห็นการเพิ่มขึ้นของโซลูชัน software-as-a-service (SaaS) ที่ส่งผ่านระบบคลาวด์ตามมา 6.การติดตามอาการผู้ป่วยอย่างไร้รอยต่อทั้งในและนอกโรงพยาบาล การใช้งานโซลูชันดิจิทัลบนคลาวด์ในวงการสาธารณสุขจะช่วยสนับสนุนการแชร์ข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นและสร้างรากฐานของระบบสาธารณสุขที่สามารถเชื่อมต่อจากโรงพยาบาลไปสู่บ้านผู้ป่วยและชุมชน จากรายงาน Philips Future Health Index 2022 report เผยว่า ผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์เล็งเห็นว่าการดูแลรักษาผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลเป็นสิ่งที่ต้องหันมาให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ รองจากความพึงพอใจและการรักษาบุคลากรทางการแพทย์ในองค์กร การให้การดูแลรักษาอย่างถูกต้องในสถานที่และเวลาที่เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อให้กับผู้ป่วยได้ 7.มุ่งเน้นที่การส่งมอบบริการทางสาธารณสุขที่ครอบคลุมและเท่าเทียมกันมากขึ้น การแพร่ระบาดของโควิด-19 เร่งให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านเฮลท์แคร์เร็วขึ้น เพื่อเพิ่มการเข้าถึงด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและพื้นที่ชนบท การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางบางกลุ่ม และทำให้ช่องว่างด้านสุขภาพทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น ความไม่เท่าเทียมด้านการเข้าถึงระบบสาธารณสุขทั้งภายในและระหว่างประเทศอาทิ อัตราการเจ็บป่วยที่สูงกว่าในบางเชื้อชาติและบางกลุ่มชาติพันธุ์กำลังเป็นที่สนใจมากขึ้น [4] ทำให้ทั่วโลกพยายามหาทางออกในการแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมในระบบสาธารณสุข [5] จากการรายงาน Future Health Index 2022 report เผยว่าผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ของสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญด้านความเท่าเทียมทางสาธารณสุขเป็นอันดับแรก ต่อจากนี้ สังคมคาดหวังให้องค์กรมีบทบาทสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในการดูแลสุขภาพและเป็นพันธมิตรทางด้านการเงินในการสร้างระบบสาธารณสุขที่เท่าเทียม แพลตฟอร์ม อย่าง Digital Connected Care Coalition สามารถเชื่อมต่อองค์กรภาครัฐและเอกชนเพื่อช่วยผลักดันให้โครงการดิจิทัลเฮลท์ในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลางได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว   สำหรับโซลูชันด้านเฮลท์แคร์เทคโนโลยีในอนาคต ต้องช่วยให้เกิดการส่งมอบด้านสาธารณสุขที่เท่าเทียมกันมากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครหรืออาศัยอยู่ที่ใด เราต้องแน่ใจว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งจำเป็นต้องมีแนวทางที่ครอบคลุมและได้รับความร่วมมือในการให้ผู้คนเป็นศูนย์กลางของกระบวนการทางนวัตกรรม และนั่นหมายถึงการรับฟังและทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ที่ต้องเผชิญกับความไม่เท่าเทียมทางสาธารณสุขที่มีอยู่ 8.การหมุนเวียน คือ กลยุทธ์ในการลดผลกระทบต่อสภาพอากาศของผู้ให้บริการด้านสาธารณสุข การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุและอุบัติการณ์ของโรคเรื้อรัง ทำให้โมเดลด้านสาธารณสุขอย่างยั่งยืนเป็นที่ต้องการอย่างมาก รวมถึงปัญหาด้านพลังงาน ซึ่งอุตสาหกรรมด้านเฮลท์แคร์มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดเป็นร้อยละ 4  ของการปล่อยก๊าซทั้งหมดทั่วโลก [6] ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมการบินหรือการขนส่งอีก และยังทำให้เกิดขยะจำนวนมากอีกด้วย ผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์ที่ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืน จึงมองหาเทคโนโลยีเฮลท์แคร์ที่สามารถช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมนี้ได้   ในเทคโนโลยีเฮลท์แคร์  'การหมุนเวียน' เกี่ยวข้องกับกระบวนการเกี่ยวกับเครื่องมือทางการแพทย์  แต่การประยุกต์ใช้เครื่องมือด้านสมาร์ทดิจิทัลก็ยังสามารถช่วยให้ระบบการดูแลสุขภาพสามารถลดการใช้ทรัพยากรการผลิต ' เพื่อส่งมอบประโยชน์สูงสุดโดยใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด ยกตัวอย่าง เช่น การสนับสนุนให้เปลี่ยนสิ่งอำนวยความสะดวกทางคลินิกที่ใช้ทรัพยากรมากไปสู่การใช้เครือข่ายที่เชื่อมต่อได้จากที่บ้านซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่า และเทรนด์การใช้โซลูชั่นบนคลาวด์ โซลูชั่นบริการ และโซลูชั่นด้านซอฟต์แวร์นั้น จะช่วยประหยัดการใช้ทรัพยากรสำหรับเครื่องมือทางการแพทย์ และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ในขณะที่ยังเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น 9.ลดคาร์บอนในวงการเฮลท์แคร์ให้สอดคล้องกับการตั้งเป้าตามหลัก science-based ผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์ตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลก และพยายามลงมือทำบางอย่างเพื่อรับผิดชอบต่อปัญหาดังกล่าว โดยบริษัทเครื่องมือแพทย์และบริษัทเทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์มีการตั้งเป้ากำหนดการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนตามหลัก science-based   ตัวอย่างเช่น รัฐแคลิฟอร์เนียได้ประกาศให้บริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไปต้องกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซคาร์บอนภายในปีค.ศ. 2025 โดยมี Science Based Targets initiative (SBTi)เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนให้องค์กรต่างๆ กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซอย่างชัดเจนว่าจะสามารถลดผลกระทบได้มากและเร็วเท่าใดเพื่อลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ในปีค.ศ. 2022 องค์กรมากกว่า 2,200 แห่ง ซึ่งมีมูลค่ารวมกันมากกว่า 1 ใน 3 ของมูลค่าเศรษฐกิจโลกได้ทำงานร่วมกับองค์กร SBTi สำหรับองค์กรด้านเฮลท์แคร์ได้มีการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ด้วยการลดการใช้พลังงานทางตรงผ่านการนำเสนอเทคโนโลยีด้านด้านเฮลท์แคร์ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น และทางอ้อม ด้วยการลดการปล่อยมลพิษผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน 10.สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่มีต่อสุขภาพของประชากร จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค Centers for Disease Control and Prevention (CDC) เผยว่าอุณหภูมิและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มสูงขึ้น สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และผลกระทบด้านสภาพอากาศ ส่งผลต่อสุขภาพประชากรในด้านต่างๆ   บริษัทเครื่องมือแพทย์และบริษัทเทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพผ่านการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน มลพิษ การบริโภค และการปล่อยก๊าซพิษ ด้วยการตระหนักถึงความสำคัญของระบบนิเวศที่ดีต่อสุขภาพของประชากรที่เพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะเห็นแนวโน้มการประยุกต์ใช้ในวงการเฮลท์แคร์ ด้านการ ‘ประเมินต้นทุนทางธรรมชาติ’ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรจากข้อมูลของ World Economic Forum พบว่าการป้องกันและฟื้นฟูระบบนิเวศทางธรรมชาติสามารถช่วยลดต้นทุนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงร้อยละ 37 ซึ่งจำเป็นภายในปีค.ศ. 2030 เพื่อรักษาภาวะโลกร้อนให้ลดลง 2 องศาเซลเซียสอีกทั้งยังช่วยรักษาสภาพแวดล้อมให้มีความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อคนรุ่นต่อๆ ไปในอนาคต [7]   ข้อมูลอ้างอิง [1] Le, Rebecca T., et al. Comparative Analysis of Radiology Trainee Burnout Using the Maslach Burnout Inventory and Oldenburg Burnout Inventory. Academic Radiology, September 2022. [2] Almendral, Aurora, The world could be short of 13 million nurses in 2030 - here's why, World Economic Forum, January 2022. [3] Masson, Gabrielle. About 1 in 5 healthcare workers have left medicine since the pandemic began — Here's why. Becker’s Hospital Review, November 2021. [4] Centers for Disease Control and Prevention. What is Health Equity? [5] United Nations. UN Response to COVID-19. [6] Karliner, Josh, et al. Healthcare’s climate footprint: How the health sector contributes to the global climate crisis and opportunities for action. Health Care Without Harm and Arup, September 2019 (p. 22). [7] Quinney, Marie. 5 reasons why biodiversity matters – to human health, the economy and your wellbeing. World Economic Forum, May 2020.   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -10 จุดตรวจเช็คสุขภาพบ้าน เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน
9 คำถามบ่อย ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ใช้ลดหย่อนภาษียังไง​?

9 คำถามบ่อย ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ใช้ลดหย่อนภาษียังไง​?

ลดหย่อนภาษี ตอนนี้ก็ถึงฤดูกาลเสียภาษีประจำปี 2565 กันแล้ว ซึ่งกรมสรรพากรให้ทุกคนที่มีรายได้ สามารถนำเอาค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มาเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งมีหลายประเภทด้วยกัน หนึ่งในนั้น คือ ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน แต่หลายคนก็มักจะมีคำถามที่สงสัยว่าจะเอามาคิดค่าลดหย่อนได้ยังไง และเท่าไรกันบ้าง วันนี้ Reviewyourliving รวบรวมคำถามและคำตอบมาให้แล้ว กับ ​9 คำถามบ่อย ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ใช้ลดหย่อนภาษียังไง​? 1.กู้ซื้อบ้านแบบไหน ลดหย่อนภาษี ได้บ้าง? การกู้ซื้อบ้านกับสถาบันการเงิน หรือกู้เพื่อปลูกสร้างบ้าน เพื่ออยู่อาศัยทุกประเภท นำดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้มาใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษี ได้ตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท การกู้เงินเพื่อปลูกสร้างบ้านเอง บนที่ดินของตนเอง หรือที่ดินของคนอื่น เช่น ของบิดา หรือมารดา ที่มีการให้ความยินยอมในการปลูกสร้าง  นำเอาดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าวมาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด 2.กู้ซื้อบ้านลดหย่อนได้เท่าไร? ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน สามารถนำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง ตลอดปี 2565  แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท 3.ต้องกู้เงินกับแบงก์ ถึงจะลดหย่อนได้ใช่ไหม? ไม่ใช่ เพราะความจริงแล้ว การกู้เงินซื้อที่อยู่อาศัย ไม่จำเป็นต้องกู้กับธนาคารเท่านั้น สามารถกู้กับหน่วยงานหรือผู้ประกอบการอื่น ๆ ที่อยู่ในประเทศไทย และตามที่กรมสรรพากรรับรอง มีดังนี้ บริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน บริษัทประกันชีวิต สหกรณ์ นายจ้างที่จะมีกองทุนจัดสรรไว้สำหรับลูกจ้าง บรรษัทตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 4.กู้ซื้อบ้านมากกว่า 1 หลัง ลดหย่อนได้เท่าไร​ ถ้ากู้ซื้อบ้านมากกว่า 1 หลัง ให้เอาดอกเบี้ยที่จ่ายไปจริงในทุกหลังมาคิดรวมกัน โดยลดหย่อนตามเกณฑ์ คือ ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่รวมแล้วไม่เกิน 100,000 บาท 5.กู้ร่วมหลายคน​ ลดหย่อนได้เท่าไร? ตามที่จ่ายตามจริง โดยหารตามจำนวนผู้กู้ร่วม แต่รวมกันทุกคนได้ไม่เกิน 100,000 บาท  เช่น กู้ร่วมกับพี่น้อง รวมทั้งหมด 4 คน ในปีนี้เสียดอกเบี้ย 120,000 บาท ซึ่งตามหลักการแล้วลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ดังนั้น ต้องเอาดอกเบี้ยมาคิดแค่ 100,000 บาท แล้วหาร 4 คน ทำให้แต่ละคนมีสัดส่วนค่าลดหย่อนคนละ 25,000 บาทเท่านั้น ​ 6.สามีหรือภรรยา คิดค่าลดหย่อนยังไง? กรณีที่จดทะเบียนสมรส ไม่ว่าจะจดมาก่อนหน้าที่จะซื้อ หรือระหว่างปีภาษี มีหลักเกณฑ์ในการคิดค่าลดหย่อนภาษี ดังนี้ กู้ร่วมกัน ยื่นภาษีคนเดียว จ่ายตามจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท กู้ร่วมกัน ยื่นภาษีสองคน จ่ายตาม​จริงคนละครึ่ง แต่รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท 7.จ่ายดอกเบี้ยไม่ครบ 1 ปี ลดหย่อนได้เท่าไร เริ่มตั้งแต่วันที่จ่ายจนถึงสิ้นปี ตามที่จ่ายจริง ​สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท  เช่น เริ่มกู้ซื้อบ้าน และเริ่มผ่อนชำระเดือนสิงหาคม ก็จะนำเอาดอกเบี้ยที่จ่ายไปตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงธันวาคม มาใช้เป็นส่วนลดหย่อน 8.บ้านที่รีไฟแนนซ์ ลดหย่อนได้ไหม? สามารถนำดอกเบี้ยมาใช้เป็นค่าลดหย่อนปกติ แต่ต้องวงเงินหนี้เท่าเดิม ไม่มีการกู้เงินเพิ่ม มีหลักคิดเช่นเดียวกันการกู้เงินซื้อที่อยู่อาศัยทั่วไป คือ ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท 9.ใช้เอกสารอะไรบ้าง? เอกสารที่ต้องเตรียมมี 2 อย่าง คือ สำเนาสัญญากู้ยืมเงิน และหนังสือรับรองหลักฐานการจ่ายดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินหรือหน่วยงานที่กู้ ​   ทั้งหมดนี้ คือ ข้อสงสัย และข้อข้องใจของใครหลายคน เกี่ยวกับการนำเอาดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน มาใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีประจำปี หวังว่าการทุกท่านจะสามารถยื่นภาษีเงินได้ประจำปี 2565 ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และทันกำหนดเวลาที่กรมสรรพากรกำหนดไว้ ที่สำคัญสามารถยื่นได้ง่าย ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ เว็บไซต์ของกรมสรรพากร ใครจะยื่นไปได้เลยที่นี่ https://www.rd.go.th/272.html   ที่มา : กรมสรรพากร, ธนาคารอาคารสงเคราะห์, ธนาคารทีทีบี, REIC   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนมกราคม 2566 -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมกราคม 2566 แบงก์ไหนให้ดอกต่ำสุด
9 เทคนิคจัดบ้านให้มงคล รับตรุษจีน 66

9 เทคนิคจัดบ้านให้มงคล รับตรุษจีน 66

ตรุษจีน 66 หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน ปี 2566 สำหรับปีนี้​ ตรงกับวันที่ 22 มกราคม ส่วนวันที่ 20 มกราคม จะเป็นวันจ่าย สำหรับซื้อสินค้าและของต่าง ๆ มาใช้ในพิธีไหว้าเจ้าไหว้บรรพบุรุษ และวันที่ 21 มกราคม เป็นวันไหว้เจ้าและทำพิธีไหว้ต่าง ๆ ซึ่งตามธรรมเนียมจีนแล้ว เทศกาลตรุษจีนจะมีการทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ซึ่งสิ่งหนึ่งต้องทำคือ การทำความสะอาดบ้าน หรือการจัดบ้าน     โดยการจัดบ้าน นอกจากจะทำให้บ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังช่วยเสริมในเรื่องฮวงจุ้ย เสริมโชคลาภและทำให้การอยู่อาศัยในบ้านมีสุขภาพที่ดี มีความสุข สบายด้วย ไม่จำกัดเฉพาะการจัดบ้านให้เป็นมงคล รับตรุษจีน 66 ก็ตาม เทคนิคที่จะเล่าต่อไปนี้ สามารถใช้ได้ตลอดทั้งปีด้วยนะ 9 เทคนิคจัดบ้านให้มงคลรับ ตรุษจีน 66 มาดูกันว่า 9 เทคนิคจัดบ้านให้มงคล รับตรุษจีน 66 มีอะไรบ้าง ซึ่งมั่นใจได้เลยว่า สามารถทำตามได้ไม่ยาก ใคร ๆ ก็ทำได้ 1.จัดทางเข้าบ้าน-ประตูบ้านไม่ให้รก ทางเข้าบ้าน หรือบริเวณประตูเข้าบ้าน ถือเป็นจุดสำคัญตามหลักฮวงจุ้ย เพราะเป็นบริเวณพลังชี่ ซึ่งเป็นพลังที่ดี สามารถเรียกเงินเรียกทองเข้าบ้าน หากบริเวณดังกล่าวรก หรือไม่เป็นระเบียบ ก็จะขัดขวางโชคลาภ และเงินทองเข้าบ้านด้วย แต่หากพูดถึงตามหลักการทั่วไปแล้ว ทางเข้าบ้านเป็นจุดที่เราต้องเข้าออกบ้านทุกวัน หากมีสิ่งของวางไว้เกะกะ ไม่เป็นระเบียบ มันก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุหรือไม่สะดวกต่อการเข้าออกได้เช่นกัน 2.ทิ้งของแตกหัก-ชำรุดใช้งานไม่ได้ ของแตกหัก หรือชำรุด หากอยู่ในบ้าน ชาวจีนถือว่าไม่ควรทำ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เป็นมงคล อาจทำให้คนอยู่ในบ้านเกิดการทะเลาะแตกแยกกันได้ จึงควรทิ้งหรือเอาออกจากบ้าน 3.จัดบ้านให้สว่าง แสงสว่าง ถือเป็นส่วนสำคัญอีกอย่างสำหรับการเพิ่มความมงคลภายในบ้าน เพราะจะทำให้เกิดความสุข ชีวิตมีแต่ความรุ่งโรจน์ จึงควรทำให้บ้านมีแสงสว่างที่เหมาะสม ตามบริเวณต่าง ๆ ขณะเดียวกัน การมีแสงสว่างยังช่วยทำให้เกิดความปลอดภัยภายในบ้านด้วย เพราะหากมีมุมอับแล้วมีสิ่งของกีดขวางอยู่ เราก็อาจจะได้รับอุบัติเหตุได้ด้วยเหมือนกัน 4.จัดบ้านให้เป็นระเบียบ-ไม่รก ข้อนี้ คงมีความใกล้เคียงกับ การจัดหน้าบ้านไม่ให้รก แต่หากจัดบ้านไม่ให้รกเฉพาะหน้าบ้าน  ขณะที่พื้นที่อื่น ๆ ในบ้านรก ไม่เป็นระเบียบ ก็เป็นการทำให้โชคลาภไม่เข้ามาได้ด้วยเหมือนกัน จุดอื่น ๆ ของบ้านจึงจะต้องมีความเป็นระเบียบ ไม่รก ไม่สกปรกด้วย เพื่อให้คนอยู่ในบ้านมีสุขภาพดี มีโชคลาภเข้ามาด้วย 5.ประดับโคมไฟจีน สำหรับโคมไฟจีนนั้น ชาวจีนถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของงานรื่นเริง งานสำคัญ ทำให้ช่วงเทศกาลสำคัญอย่างตรุษจีน จึงมีการประดับตกแต่งด้วยโคมไฟจีน ทั้งในบ้านและที่ทำงาน แต่ห้ามนำมาแขวนไว้หน้าบ้านเวลากลางคืน เพราะจะหมายถึงว่า บ้านนี้คนเสียชีวิต 6.แตกผนังบ้านด้วยอักษรจีน อักษรจีน ที่มีความหมายเป็นมงคล เป็นที่นิยมนำมาประดับตกแต่งบ้านอยู่แล้วเป็นปกติ เพราะเหมือนการดึงดูดพลังงานที่ดีเข้ามาไว้ในบ้าน ทำให้ในช่วงวันตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ ชาวจีนจึงนิยมนำเอาภาพอักษรจีนมาประดับตกแต่งบ้าน โดยเฉพาะตุ้ยเลี้ยง คือ คำอวยพรปีใหม่ ความหมายดี ๆ เป็นมงคล ด้วยความหมายต่าง ๆ  ที่เป็นอักษรจีน มักจะประกอบด้วยตัวอักษรจีน 7 เขียนเป็นคำกลอน ซึ่งคนจีนนิยมนำมาติดไว้ในบ้าน มักจะติดสองข้างประตูบ้าน และติดตรงกลางทางเข้าออก เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดความร่ำรวย เป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว 7.ปลูกไม้มงคล เช่น ไผ่, กล้วยไม้ สิ่งของที่เป็นมงคล ที่ชาวจีนเชื่อถือ และนิยมนำมาไว้ในบ้านมีหลายอย่าง ต้นไม้มงคล ก็เป็นสิ่งที่ชาวจีนนิยมนำมาปลูกหรือประดับบ้าน โดยต้นไม้มงคลมีอยู่มาหมายหลายชนิด แล้วแต่ความเชื่อของคนจีนว่าอยากได้ความเป็นมงคลในเรื่องอะไร ซึ่งเทศกาลตรุษจีน เพื่อความเป็นมงคล จึงนิยมปลูกต้นไม้มงคลไว้หน้าบ้าน เช่น ต้นไผ่ หมายถึง ความดีงาม ต้นสน ช่วยเกื้อหนุนให้อายุยืนยาว เป็นต้น 8.จัด-ทำความสะอาด หิ้งพระ-ตีจู้เอี๊ยะ ธรรมเนียมปฏิบัติหนึ่งของเทศกาลตรุษจีน คือ การไหว้เจ้า ไหว้เจ้าที่ ทำให้บริเวณหิ้งพระ หรือตีจู้เอี๊ยะ จึงต้องทำความสะอาด และจัดให้เป็นระเบียบ เพื่อทำพิธีไหว้ให้เกิดความเป็นมงคล นอกจากนี้ หากในบ้านมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ก็ต้องทำเช่นเดียวกัน เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นช่วยคุ้มครองให้คนในบ้านประสบแต่โชคดี และมีความมงคลเกิดขึ้นด้วย 9.แต่งบ้านด้วยของมงคล ของมงคลต่าง ๆ ที่ชาวจีนเชื่อ และให้การยอมรับมีจำนวนมาก แล้วแต่จะเน้นเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งชาวจีนมักจะนำเอาของมงคลมาใช้ประดับตกแต่งบ้าน มาตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน หรือเอามาติดตัว เพื่อทำให้ชีวิตมีแต่ความมงคล มีโชคลาภ มีความสุข สุขภาพแข็งแรง ทำให้ช่วงเทศกาลตรุษจีน หรือปีใหม่จีน ชาวจีนจึงมักจะแต่งบ้าน หรือจัดบ้านให้เกิดความเป็นมงคล ด้วยของมงคลต่าง ๆ เช่น ตุ๊กตารูปสัตว์ อาทิ หมู แสดงความมั่งคั่ง  เครื่องปั้นดินเผา เสริมดวงการเงิน เป็นต้น   ทั้งหมดนี้ก็เป็น 9 เทคนิคจัดบ้านให้มงคลรับ ตรุษจีน 66 ที่ทำได้ทุกคน ทุกบ้าน หรือหากจะผ่านพ้นเทศกาลตรุษจีนไปแล้ว เราก็สามารถนำเอาเทคนิคนี้มาจัดบ้านได้ เพื่อให้ชีวิตการอยู่อาศัย มีแต่ความเฮง ๆ โชคดีรับปี 2566 ตลอดไปนั่นเอง   ที่มา-ไทยรัฐ, ดีดีพร็อพเพอร์ตี้, บ้านและสวน   อ่านบทความเพิ่มเติม -สิ่งที่ต้องทำในวันตรุษจีน 66 เพื่อความเป็นมงคลของชีวิต
สิ่งที่ต้องทำในวันตรุษจีน 66 เพื่อความเป็นมงคลของชีวิต

สิ่งที่ต้องทำในวันตรุษจีน 66 เพื่อความเป็นมงคลของชีวิต

ตรุษจีน 66 นอกจากวันที่ 1 มกราคมของทุกปี จะถือเป็นวันขึ้นปีใหม่สากลแล้ว ทุก ๆ ช่วงต้นปี ชาวจีน หรือผู้ที่มีเชื้อสายจีนทั่วโลก ก็มักจะถือเอาวันที่ 1 เดือน 1 ตามปฏิทินจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่จีน หรือวันตรุษจีน ซึ่งจะมีการเฉลิมฉลองและพิธีกรรมต่าง ๆ ตามธรรมเนียมจีนกันด้วย แต่วันที่ 1 เดือน 1 หรือวันตรุษจีน ในแต่ละปีจะไม่ใช่วันเดียวกันในทุก ๆ ปี จะเป็นวันไหนบ้างนั้น ต้องดูปฏิทินจีนเป็นหลัก   โดยปี 2566 นี้ วันตรุษจีน 2566 ตรงกับวันที่ 22 มกราคม ส่วนวันที่ 20 มกราคม จะเป็นวันจ่าย สำหรับซื้อสินค้าและของต่าง ๆ มาใช้ในพิธีไหว้าเจ้าไหว้บรรพบุรุษ และวันที่ 21 มกราคม เป็นวันไหว้เจ้าและทำพิธีไหว้ต่าง ๆ ซึ่งตามธรรมเนียมจีนแล้ว เทศกาลตรุษจีนจะมีการทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว รวมถึงการห้ามทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อผลในทางเดียวกันด้วย   มาดูกันว่าตามธรรมเนียมจีนแล้ว วันตรุษจีน 66 ปีนี้ เราควรทำอะไร ในวันตรุษจีนกันบ้าง เพื่อชีวิตจะได้พบเจอแต่สิ่งดี ๆ มีความสุข เป็นมงคลแก่ชีวิตของเรากันบ้าง สิ่งต้องทำในวันตรุษจีน 1.ไหว้เจ้า, ไหว้เจ้าที่, ไหว้บรรพบุรุษ สิ่งมงคลที่ต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในเทศกาลตรุษจีน ก็คือ การไหว้เจ้า ไหว้เจ้าที่ภายในบ้าน และไหว้บรรพบุรุษ รวมไปถึงไหว้ผีไม่มีญาติ ด้วยของไหว้ อาหารคาว อาหารหวาน และผลไม้ ที่เป็นมงคลตามความเชื่อของชาวจีน ซึ่งในพิธีการไหว้นี้ จะมีการจุดประทัดด้วย ตามความเชื่อในเรื่องจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย 2.ทำพิธีรับ “ไฉ่ ซิ่ง เอี้ย” ชาวจีนนิยมไหว้ “ไฉ่ ซิ่ง เอี้ย” ที่เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและเงินทอง เพราะจะทำให้มั่งคั่งร่ำรวย ให้โชคลาภ รวมถึงสุขภาพดี ครอบครัวรักสามัคคีปรองดอง ​โดยพิธีรับ ไฉ่ ชิ่ง เอี้ย จะดูฤกษ์ยามที่เทพลงมายังโลก ซึ่งมักจะเป็นช่วงวันก่อนวันตรุษจีน   โดยฤกษ์ไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย สำหรับตรุษจีน 2566 ปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 21 มกราคม ช่วงเวลา 23.00-02.59 น. วิธีไหว้ให้ตั้งโต๊ะบูชาของไหว้ ด้วยการหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ​​ 3.นำส้ม 4 ผล ไหว้ขอพรผู้ใหญ่ ธรรมเนียมการไหว้ขอพรผู้ใหญ่ที่เคารพ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในทุกชนชาติ อย่างช่วงเทศกาลสงกรานต์ของไทย เราก็มีรดน้ำดำหัวขอพรผู้ใหญ่ เพราะต้องการความเป็นสิริงคล เทศกาลตรุษจีนของชาวจีน ก็มีธรรมเนียมการขอพรผู้ใหญ่เช่นกัน แต่สิ่งที่จะต้องนำติดตัวไปด้วยก็คือ ส้ม 4 ผล   สาเหตุที่ต้องนำส้ม 4 ผลไปไหว้ผู้ใหญ่นั้น เป็นเพราะชาวจีนมีความเชื่อว่า ส้มเป็นตัวแทนของเครื่องสักการะเทพเจ้าทั้ง 4 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูฝน  ซึ่งจะช่วยให้ โชคดี มั่นคั่ง และร่ำรวย ตลอดปี ส้มยังเป็นตัวแทนการอวยพร และมีความหมายถึง ทองคำ และการให้ส้ม 4 ผล เพราะเป็นตัวเลขจำนวนที่เป็นมงคล ​​ซึ่งอาจจะให้ส้มมากกว่า 4 ลูกก็ได้ แต่ต้องเป็นเลขคู่ เช่น  6 ลูกหรือ 8 ลูก ก็ยิ่งมงคลขึ้นไปอีก  ตามประเพณีจีน เมื่อลูกหลานมอบส้ม 4 ลูก ให้แก่ญาติผู้ใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่จะมอบส้ม 2 ลูก กลับมาเป็นการอวยพรแก่ลูกหลานด้วยเช่นกัน 4.รับ-แจก อั่งเปา อั่งเปา ตามความหมายในภาษาจีน หมายถึง ซองสีแดง ที่มีเงินบรรจุอยู่ภายใน ซึ่งมอบหรือรับ เป็นของขวัญ ในวันสำคัญของครอบครัวจีน เช่น วันตรุษจีน หรือในงานพิธีแต่งงาน โดยในวันตรุษจีนผู้ที่มีอายุสูงกว่าหรือทำงานมีเงินเดือนแล้ว จะเป็นคนให้อั่งเปาแก่เด็กหรือญาติที่ยังไม่ได้ทำงานและเกษียณแล้ว   สาเหตุที่อั่งเปาเป็นซองสีแดง  เพราะสีแดงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความโชคดี และเงินที่บรรจุภายบางครั้งจะเป็นเลขนำโชค เช่น เลข 8 อ่านในภาษาจีนจะมีความหมายถึงความรุ่งเรือง หรือความร่ำรวย 5.ใส่เสื้อผ้าสีแดงหรือสีสดใส ชาวจีน มีความเชื่อว่าการสวมเสื้อสีแดง หรือสีสันสดใส จะนำความสุข ความสดชื่นมาทั้งปี โดยเฉพาะสีแดง ที่เป็นสีมงคลสำหรับชาวจีน 6.กินเจมื้อเช้า การกินเจ เป็นการทำบุญ ที่ชาวจีนนิยมปฏิบัติ ซึ่งช่วยทำให้เกิดกุศล และสร้างบุญบารมีให้เกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัว ดังนั้น ในช่วงเช้าวันแรกของปีใหม่ ชาวจีนจึงนิยมจะกินเจในมื้อเช้า เพื่อสร้างบุญสร้างกุศลในวันแรกของปีใหม่ ที่จะส่งผลให้ตลอดทั้งปีมีแต่ความสุขและเกิดมงคลแก่ตัวเอง รวมถึงครอบครัวด้วย 7.กินเกี๊ยว เหตุผลที่คนจีนนิยมกินเกี๊ยว ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ก็เพราะว่ารูปร่างของเกี๊ยว มีลักษณะเหมือนกับเงินและทองของชาวจีน การกินเกี๊ยวจึงเชื่อกันว่าจะทำให้ร่ำรวยเงินทองมีความมั่งคั่ง และเป็นสิริมงคลแก่ครอบครับ โดยการกินเกี๊ยวจะกินพร้อมหน้าพร้อมตากัน ในวันรวมญาติของทุกคนในครอบครัว 8.ติด “ตุ้ยเลี้ยง” ตุ้ยเลี้ยง คือ คำอวยพรปีใหม่ ความหมายดี ๆ เป็นมงคล ด้วยความหมายต่าง ๆ  ที่เป็นอักษรจีน มักจะประกอบด้วยตัวอักษรจีน 7 เขียนเป็นคำกลอน ซึ่งคนจีนนิยมนำมาติดไว้ในบ้าน มักจะติดสองข้างประตูบ้าน และติดตรงกลางทางเข้าออก เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดความร่ำรวย เป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว 9.นำของมงคลวางบนโต๊ะทำงาน โดยปกติชาวจีนจะไม่นิยมทำงานในวันปีใหม่ หรือวันตรุษจีน แต่ในปัจจุบันหลายคนอาจจะไม่ได้หยุดงาน เพื่อไปเที่ยวหรือพักผ่อนในวันตรุษจีน หรืออาจจะยังเปิดกิจการค้า หรือไปทำงานเป็นปกติ ดังนั้น จึงมีการทำให้วันทำงานในช่วงตรุษจีน ยังคงดำเนินไปด้วยดี และเกิดมงคลแก่ตัวเอง จึงมีการนำเอาของมงคลต่าง ๆ ตามความเชื่อของชาวจีนมาวางไว้บนโต๊ะทำงาน เพื่อจะได้เกิดสิริมงคลและมีความสุขตลอดทั้งปี ​   ที่มา-ธนาคารกรุงศรี, Springnews, Newtv   อ่านบทความที่เกี่ยวข้องฃ -9 ข้อห้ามทำ ขัดโชคลาภวันตรุษจีน
เช็คด่วน !! ค่าอะไร ลดหย่อนภาษีปี 2565 ได้บ้าง

เช็คด่วน !! ค่าอะไร ลดหย่อนภาษีปี 2565 ได้บ้าง

ลดหย่อนภาษี เช็คด่วน !! เสียภาษีประจำปี 2565 มีค่าอะไรบ้าง ที่สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้บ้าง เพื่อลดภาระค่าภาษีประจำปี   แม้ว่าจะผ่านพ้นปี 2565 ไปอีกปี แต่คนไทยยังมีหน้าที่ต้องทำ ที่ไม่อาจจะละเลยได้ โดยเฉพาะคนมีรายได้ทั้งหลาย ไม่ว่ารายได้จะมาจากการทำงาน การค้าขาย หรือการทำธุรกิจต่าง ๆ นั่นก็คือ ภาระหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2565 ตามกฎหมายกำหนดไว้   โดยคนไทยที่มีรายได้ทุกคนต้องยื่นภาษีประจำปี แต่จะเสียภาษีหรือไม่ คงต้องดูฐานรายได้ในปีนั้นด้วย ซึ่งถ้ารายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี ก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่ยังไงก็ต้องยื่นรายได้ประจำปีต่อกรมสรรพากร ซึ่งสามารถยื่นได้ทั้งที่สำนักงานสรรพากรเขตพื้นที่ หรือไม่ก็ยื่นแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ https://efiling.rd.go.th โดยระบบการจัดเก็บภาษีของไทยใช้ระบบฐานภาษีแบบขั้นบันได้ คือ มีรายได้มากเสียภาษีมาก ซึ่งฐานภาษีเริ่มต้นจัดเก็บที่ 5% และสูงสุด 35%   แม้ว่าอัตราภาษีจะจัดเก็บจากรายได้สุทธิประจำปี แต่กรมสรรพากร ก็มีการให้ผู้มีรายได้ สามารถนำเอาค่าใช้จ่าย รวมถึงค่าลดหย่อน หรือค่าใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ ที่จ่ายไปตลอดทั้งปี นำมาเป็นค่าลดหย่อนได้ เพื่อทำให้เป็นรายได้สุทธิเพื่อคำนวณภาษีลดลงนั่นเอง ลดหย่อนภาษีปี 2565 มีค่าอะไรบ้าง สำหรับค่าลดหย่อนภาษีประจำปี 2565 มีหลายรายการ ทั้งค่าใช้จ่ายส่วนตัว และของครอบครัว ซึ่งนำมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนได้ ซึ่งมีหลัก ๆ ดังนี้ 1.กลุ่มค่าลดหย่อนส่วนตัว สำหรับค่าใช้จ่ายลดหย่อนส่วนตัว รวมถึงของครอบครัวที่เราจ่ายไป สามารถนำเอามาคำนวณเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายส่สนตัว คู่สมรส ค่าใช้จ่ายบุตร หรือแม้กระทั่งค่าใช้จ่ายของบิดาหรือมารดา ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ ส่วนตัว ลดหย่อนได้ 60,000 บาท คู่สมรส ลดหย่อนได้ 60,000 บาท บุตร ใช้ลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท สำหรับบุตรคนที่ 2 เป็นต้นไป ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 ใช้ลดหย่อนได้ คนละ 60,000  บาท ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตร ลดหย่อนได้ไม่เกิน 60,000 บาท ค่าดูแลบิดามารดา ใช้ลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท ค่าอุปการะผู้พิการหรือทุพพลภาพ ลดหย่อนได้คนละ​ 60,000 บาท 2.กลุ่มค่าประกันและการลงทุน ส่วนค่าใช้จ่ายที่เราซื้อประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันสังคม รวมถึงเงินที่เราซื้อประกันสุขภาพให้กับบิดาหรือมารดา กรมสรรพากรให้เรานำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ มีดังนี้ เบี้ยประกันชีวิตทั่วไปหรือเงินฝากที่มีประกันชีวิต ลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท ประกันสุขภาพ ลดหย่อนได้ไม่เกิน 25,000 บาท โดยเบี้ยประกันทั้ง 2 ประเภทข้างต้นรวมกันนำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท ประกันสังคม* ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 6,300 บาท ประกันสุขภาพบิดามารดา ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15,000 บาท เบี้ยประกันชีวิตบำนาญ 15% ของเงินได้ ลดหย่อนได้ไม่เกิน 200,000 บาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกบข.หรือกองทุนสงเคาะห์ครูโรงเรียนเอกชน ใช้ลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 200,000 บาท กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ใช้ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 500,000 บาท กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 13,200 บาท กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 200,000 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายตั้งแต่เบี้ยประกันชีวิตบำนาญ จนถึงกองทุนรวมเพื่อการออมนั้น สามารถนำมาใช้คำนวณตามมูลค่าที่กรมสรรพากรกำหนด แต่รวม​กันแล้วนำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาท 3.กลุ่มค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับกลุ่มค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ มักจะเป็นค่าใช้จ่ายตามมาตรการของภาครัฐ ที่มีออกมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละปี อย่างปี 2565 มีมาตรการช้อปดีมีคืน ที่ให้คนไทยซื้อสินค้าแล้วนำมาลดหย่อนภาษีประจำปีได้ โดยค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2565 มีรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ ดอกเบี้ยซื้อที่อยู่อาศัย ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท เงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม) ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท ช้อปดีมีคืน 2565 (1ม.ค.-15 ก.พ.65) ใช้ลดหย่อนได้ ไม่เกิน 30,000 บาท 4.เงินบริจาคต่าง ๆ  ภาครัฐยังส่งเสริมให้คนไทย แบ่งปันและช่วยเหลือสังคม โดยหากมีการบริจาคเงินในแต่ละปี ก็สามารถนำเอาเงินที่บริจาคนั้น มาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้ เงินบริจาคทั่วไป ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน เงินบริจาคเพื่อการศึกษา** การกีฬา การพัฒนาสังคมและโรงพยาบาลรัฐ ใช้ลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง แต่ไม่เกิน​ 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน บริจาคให้พรรคการเมือง ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 10,000 บาท ทั้งหมดนี้ก็เป็นค่าลดหย่อนภาษีประจำปี 2565 ที่เราสามารถนำมาใช้คำนวณ เพื่อเสียภาษีประจำปีได้ ซึ่งปกติเราสามารถยื่นภาษีได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 มีนาคม 2566 แต่หากยื่นภาษีออนไลน์ สามารถยื่นได้ถึงวันที่ 8 เมษายน 2566 ยังไงก็ต้องเตรียมความพร้อมก่อนยื่นภาษี โดยเฉพาะเอกสารต่าง ๆ เพราะหากกรมสรรพากรต้องการให้แสดงหลักฐานจะได้มีไว้ให้ตรวจสอบความถูกต้อง   การยื่นภาษีเลยกำหนดเวลา การเลี่ยงภาษี การแสดงหลักฐานเท็จ หรือการไม่ยื่นภาษี ก็ถือเป็นความผิดทางกฎหมาย ซึ่งอาจจะถูกปรับได้ และอาจจะมีโทษจำคุกด้วยนะ ยังไงก็ทำถูกกฎหมายไว้สบายใจกว่า     *ปี 2565 มีการลดอัตราเงินสมทบ ทำให้ผู้ประกันตน ม.33 ใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 6,300 บาท **กรณีบริจาคเพื่อการศึกษา หากต้องการลดหย่อน 2 เท่า จะต้องเป็นโรงเรียนในกำกับ/มีรายลื่อในกระทรวงศึกษาธิการ สามารถตรวจสอบได้ทางเว็บไซต์ของกรรมสรรพากร www.rd.go.th     ที่มา : Mahidol Channel     บทความที่เกี่ยวข้อง -ลดหย่อนภาษี สำหรับมนุษย์เงินเดือน
ปฏิทินวันหยุดตลาดหุ้นไทย ปี 2566

ปฏิทินวันหยุดตลาดหุ้นไทย ปี 2566

วันหยุดตลาดหุ้น รวม วันหยุดตลาดหุ้นไทย ปี 2566  ที่นักลงทุนต้องรู้ ก่อนซื้อขายหุ้น ในตลาดหลักทรัพย์ของไทย เพื่อบริการการลงทุนให้ถูกวันเวลา   เริ่มต้นศักราชใหม่ปี 2566 กันแล้ว กิจกรรมทางสังคมในปีนี้ คงกลับมาคึกคักเหมือนก่อนหน้าจะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างล่าสุด จีนก็ประกาศเปิดประเทศแล้วในวันที่ 8 มกราคม นี้ หลังปิดประเทศมานานถึง 3 ปี เมืองไทยบ้านเราคงได้เห็นความคึกคัก ของนักท่องเที่ยวจีน ที่น่าจะเข้ามาเที่ยวเมืองไทยเพิ่มมากขึ้นเหมือนก่อนหน้านี้   ในแวดวงการเงินไทย โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยปีนี้ ก็ยังคงต้องลุ้นกันต่อว่าจะคึกคักแค่ไหน เพราะปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางการเงินยังมีอีกหลายเรื่อง ให้นักลงทุนไม่ว่าจะรายเล็ก รายใหญ่ หรือนักลงทุนสถาบัน ต้องพิจารณาและรอบครอบในการลงทุนกันให้ดีด้วย   อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากนักลงทุนมีการพิจารณาข้อมูลอย่างดี และรอบด้าน ก่อนตัดสินใจในการลงทุนทุกครั้ง ก็จะได้รับผลตอบแทนตามที่ต้องการอย่างแน่นอน แต่การจะซื้อขายหรือลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ คงต้องเช็คกันหน่อยว่าวันไหนตลาดเปิด-ปิดบ้าง เพื่อจะได้ลงทุนได้ถูกจังหวะและเวลา ลองดูปฏิทิน วันหยุดตลาดหุ้นไทย ปี 2566 ว่ามีวันไหนกันบ้าง​ วันหยุดตลาดหุ้น ปี 2566 มกราคม วันจันทร์ 2 มกราคม ชดเชยวันสิ้นปีและวันขึ้นปีใหม่ (วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565 และวันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2566) มีนาคม วันจันทร์ 6 มีนาคม วันมาฆบูชา เมษายน วันพฤหัสบดี 6 เมษายน วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ วันพฤหัสบดี 13 เมษายน วันสงกรานต์ วันศุกร์ 14 เมษายน วันสงกรานต์ พฤษภาคม วันจันทร์ 1 พฤษภาคม วันแรงงานแห่งชาติ วันพฤหัสบดี 4 พฤษภาคม วันฉัตรมงคล มิถุนายน วันจันทร์ 5 มิถุนายน ชดเชยวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี และวันวิสาขบูชา (วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน 2566) กรกฎาคม วันศุกร์ 28 กรกฎาคม วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สิงหาคม วันอังคาร 1 สิงหาคม วันอาสาฬหบูชา วันจันทร์ 14 สิงหาคม ชดเชยวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และวันแม่แห่งชาติ (วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม 2566) ตุลาคม วันศุกร์ 13 ตุลาคม วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันจันทร์ 23 ตุลาคม วันปิยมหาราช ธันวาคม วันอังคาร 5 ธันวาคม วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ วันจันทร์ 11 ธันวาคม ชดเชยวันรัฐธรรมนูญ (วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม 2566)   ที่มา : SET   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -รวมวันหยุดซื้อ-ขาย ตลาดหุ้นไทยปี 2565 ที่นักลงทุนต้องรู้
อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนมกราคม 2566

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนมกราคม 2566

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนมกราคม 2566 เช็คก่อนแบงก์ไหนให้อัตราดอกเบี้ยคุ้มสุด หลายแห่งปรับดอกเบี้ยเพิ่ม รับดอกเบี้ยขาขึ้น    เริ่มต้นปีใหม่ 2566 หลายคนคงวางเป้าหมาย การเริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ ให้กับตนเอง และครอบครัว บางคนก็วางแผนในการซื้อที่อยู่อาศัย หรือไม่ก็ปลูกสร้างบ้านใหม่ ขยับขยายพื้นที่สำหรับครอบครัวและคนที่รัก แต่บางคนอาจจะยังอยู่บ้านหลังเดิม เพราะเพิ่งซื้อมาได้ไม่นาน ก็อาจจะปัดกวาด จัดบ้านใหม่ รับปีใหม่ 2566 ให้บ้านน่าอยู่มากขึ้น   นอกเหนือจากการจัดการพื้นที่ภายในบ้านแล้ว บางคนก็วางแผนด้านการเงิน โดยเฉพาะในเรื่องการผ่อนบ้าน ที่อาจจะเข้าเกณฑ์ผ่อนชำระมาแล้ว 3 ปี สามารถจะทำการรีไฟแนนซ์ให้มีอัตราดอกเบี้ยลดลง เป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว เพราะต้องยอมรับว่าตอนนี้ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ปรับเพิ่มสูงขึ้นมาก การลดค่าใช้จ่ายลงได้บ้าง ก็จะช่วยเสริมสภาพคล่องให้ครอบครัวได้ดีทีเดียว   ใครที่กำลังวางแผนจะเอาบ้าน หรือคอนโดมิเนียม ที่ผ่อนชำระอยู่มารีไฟแนนซ์ใหม่ ต้องลองมาเช็คกันดูว่าตอนนี้​ธนาคารไหน มีการคิดอัตราดอกเบี้ยยังไงกันบ้าง  สำหรับเดือนมกราคมนี้ ที่ Reviewyourliving ได้รวบรวมเอาไว้ให้แล้ว ลองเปรียบเทียบดูกันว่าธนาคารไหนให้อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโดถูกที่สุด อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ ในเว็บไซต์ไม่พบข้อมูล เอกสารแสดงรายละเอียดของสินเชื่อ จึงขอใช้ข้อมูลในปี 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป  สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านและคอนโด ดังนี้ ​​ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%) กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคําขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2565 – 30 มิถุนายน 2565 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธันวาคม  2564 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชําระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสํารวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชําระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว คําเตือน -ผู้ขอเอาประกันภัยที่สมัครทำประกัน โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป จะได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ -เบี้ยประกันภัยสามารถนําไปหักลดหย่อน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกําหนด -การทำประกันภัยไม่ใช่การฝากเงิน กรณีเวนคืนก่อนครบกําหนด ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืนเป็นจำนวนน้อยกว่าเบี้ยประกันภัยที่จ่ายไปแล้ว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เวนคืน -ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาและทำความเข้าใจเอกสารเสนอขายก่อน ก่อนตัดสินใจทำประกันภัย เมื่อได้รับกรมธรรม์แล้ว โปรดศึกษารายละเอียด ข้อกำหนดและเงื่อนไขในกรมธรรม์ -ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิตที่เป็นผู้ชีช้องและจัดการบริการให้กับผู้ขอเอาประกันภัย เพื่อให้เกิดการทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น โดยการพิจารณาอนุมัติกรมธรรม์เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -การแถลงสุขภาพเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณารับประกันภัยหรือจ่ายเงินตามสัญญาประกันภัย -การตรวจสุขภาพเป็นไปตามเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -ผู้ขอเอาประกันภัยมีหน้าที่แถลงข้อความจริงในการขอเอาประกันภัย การปกปิดข้อความจริงหรือแถลงข้อความเป็นเท็จใดๆ อาจเป็นเหตุให้บริษัทผู้รับประกันภัยบอกล้างสัญญาประกันภัยและปฏิเสธไม่จ่ายค่าสินไหม ทดแทนตามสัญญาประกันภัย -ข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์ -การสมัครประกันชีวิตคุ้มครองเครดิตโฮมเฟิสต์ พลัส เป็นทางเลือกสำหรับลูกค้า ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน แคมเปญ ดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้น 1% และแคมเปญธนาคารออกค่าธรรเนียมการจดจำนอง 1% ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้ ทางเลือกที่ 1 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.94% (เดือนที่ 1-3 ดอกเบี้ย 0.66% เดือนที่ 4-12 ดอกเบี้ย MRR-3.45%=3.22%) ลดลง 0.66% จากช่วงเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 2.60% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-3.00% = 3.22% เพิ่มขึ้น 0.66% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.60% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.51% เพิ่มขึ้น 0.91% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.60% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.82% เพิ่มขึ้น 0.82% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.00% ทางเลือกที่ 2 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99% ลดลง 0.71% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.70% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-2.9% =3.32% เพิ่มขึ้น 0.62% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.70% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี =3.60% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.70% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.85% เพิ่มขึ้น 0.81% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.04% หมายเหตุ : 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ *ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี (การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ เป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ) 2.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)**คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,600 บาท/เดือน MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 4 ตุลาคม 2565) 3.สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค / ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย /ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4.เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนก่อนหน้า ด้วยแคมเปญ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.00% นาน 1 ปี หรือสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรี ค่าจดจำนอง เมื่อซื้อประกันภัยคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ตามที่ธนาคารกำหนด และกรณีมีวงเงินเหลือ ยังมีแคมเปญที่สามารถกู้เพิ่ม สินเชื่อกรุงศรีโฮมฟอร์แคชได้อีกด้วย นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโปรโมชั่น ฟรี ค่าประเมินหลักประกันมูลค่า 3,210 บาท ส่วนรายละเอียดของสินเชื่อรีไฟแนนซ์ มีดังนี้ วงเงินกู้ตั้งแต่ 1-1.5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = 3.85% เพิ่มขึ้น 1.55% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.30% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.85% เพิ่มขึ้น 0.52% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.33% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.54% เพิ่มขึ้น 0.59% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.95% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.65% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.65%= 5.0% เพิ่มขึ้น 0.6% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.4% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย3.8% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.46 เพิ่มขึ้น 0.36% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.10% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.1% เพิ่มขึ้น​ 1.8% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.30% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.1% ลดลง 0.05% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.15% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.1% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.30% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.1% เพิ่มขึ้น 0.52% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.58% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.68% เพิ่มขึ้น 0.59% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.09% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.38% เพิ่มขึ้น 0.505% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.875% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.38% เพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.88% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.19% เพิ่มขึ้น 0.59% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.60% ทางเลือก 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.70% เพิ่มขึ้น 1.1% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.60% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.70% ลดลง 0.15% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.85% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.47% เพิ่มขึ้น 0.32% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.20% เพิ่มขึ้น 0.49% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.71% ทางเลือก 3 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.95% เพิ่มขึ้น 1.45% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.95% เพิ่มขึ้น 0.45% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย​ 3.50% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.95% ลดลง 0.30% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.95% เพิ่มขึ้น 0.53% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.42% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.95% เพิ่มขึ้น 0.08% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.87% ทางเลือก 4 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.65% เพิ่มขึ้น 0.30% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% เพิ่มขึ้น 0.30% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.34% เพิ่มขึ้น 0.99% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.35% หมายเหตุ -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.65% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ​–30 เมษายน​ 2566 โดยจดจำ​นองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิดภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกสิกรไทย  ข้อมูลของเว็บไซต์ธนาคารไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเ และยังเป็นข้อมูลที่ระบุช่วงเวลาการยื่นกู้ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม – 30 ธันวาคม 2565 มีรายละเอียด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2565 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีแคมเปญสินเชื่อสำหรับให้ลูกค้ารีไฟแนนซ์ คือ KKP Home Loan Refinance ให้วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ สามารถกู้ร่วมกันได้สูงสุด 4 คนโดยเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน ฟรีค่าประเมินหลักประกัน* ซึ่งมีรายละเอียดของเดือนมกราคม 2566 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.84-3.04% ปีต่อไป MLR-1.50% =  5.275% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 3.04-3.24% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.275% เงื่อนไข -วงเงินคงเหลือต้องมากกว่า 500,000 บาท -บ้านต้องผ่อนกับสถาบันการเงินเท่านั้น -มีประวิติผ่อนชำระกับสถาบันการเงินเดิมไม่ต่ำกว่า 12 เดือน หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับกับปัจจัยอ้างอิง เช่น​ อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ​ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​(MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ดังกล่าว​ โดยจะประกาศไว้ ณ ​ สถานที่ทำการที่ให้บริการ และเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -MLR ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2565 อัตรา 7.025% ต่อปี -เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA) ผ่านธนาคารทุน​ประกันภัยเท่ากับวงเงิน กู้โดยมรีะยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปีกรณีที่ระยะเวลาการไถ่ถอนถึง​ 10 ปีให้ระยะเวลาเอา ประกันภัยเท่า​กับระยะเวลาการกู้ -กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปีแรก คิดค่า ​Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง -กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ย แบบฟรีค่าจดจำนอง​ หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อน​ระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุก กรณีลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคาร สำรองจ่ายให้ธนาคาร -ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ร้อยละ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) -ค่าธรรมเนียมตดิ ตามทวงถามหนี้นค้างชำระ​ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ค้างชำระมากกว่า ​1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ -เบี้ยประกันอัคคีภัย เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด​ โดยผู้กู้สามารถเลือกทำ​ประกันกับบริษัท​ประกันที่น่าเชื่อถืออื่นใดก็ได้ ​   6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มี อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ในเดือนมกราคม 2566 สำหรับ​ประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์  กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม  มีอัตราการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำหรือเจ้าของกิจการ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 80% ทางเลือก 1 แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-5.26% = 3.09% เพิ่มขึ้น 0.16% จากเดือนก่อนหน้าคิดอัตราดอกเบี้ย 2.93% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.09% เพิ่มขึ้น 0.16% จากเดือนก่อนหน้าคิดอัตราดอกเบี้ย2.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.45% เพิ่มขึ้น 0.84% จากเดือนก่อนหน้าคิดอัตราดอกเบี้ย4.61% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-5.06% = 3.29% เพิ่มขึ้น 0.06% จากเดือนก่อนหน้าคิดอัตราดอกเบี้ย 3.23% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.29% เพิ่มขึ้น 0.06% จากเดือนก่อนหน้าคิดอัตราดอกเบี้ย 3.23% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.51% เพิ่มขึ้น 0.82% จากเดือนก่อนหน้าคิดอัตราดอกเบี้ย 4.69% ทางเลือก 2 แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.96% = 3.39% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.39% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.45% ทางเลือก 2 แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.76% = 3.59% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.59% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.59% ทางเลือก 3 กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85%  แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.52% = 3.83% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.83% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.66% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.22% = 4.13% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.74% ทางเลือก 4 กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.32% = 4.03% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.13% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.03% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.71% เพิ่มขึ้น 1.04% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.67% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  4.02% เพิ่มขึ้น 0.59% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.43% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.33% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.43% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.80% เพิ่มขึ้น 1.05% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.75% ทางเลือก 5 กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.76% =3.59% เพิ่มขึ้น 1.05% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.69% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.59% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.59% เพิ่มขึ้น 1.04% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.55% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.46% = 3.89%เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.99% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% เพิ่มขึ้น 0.99% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.67% เพิ่มขึ้น 1.04% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.63% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.56% =3.79% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.89% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.79% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.69% เพิ่มขึ้น 1.09% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.60% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.26% = 4.09% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.19% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.09% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.19% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.73% เพิ่มขึ้น 1.05% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.68% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=8.35% ประกาศ ณ วันที่ 1 มกราคม 2566) กรณีขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง 1.ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักทรัพย, ค่าอากรแสตมป์ และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย 3 ปีแรก ทุกทางเลือก 2.ยกเว้น ค่าจดจำนอง เฉพาะทางเลือก 1 และ 2 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์  ประจำเดือนมกราคม 2566 ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% = 3.55% เพิ่มขึ้น 0.8% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 2.75% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% เพิ่มขึ้น 0.8% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.80% เพิ่มขึ้น 0.78% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.18%=3.90% เพิ่มขึ้น 0.80% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.90% เพิ่มขึ้น 0.80% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.93% เพิ่มขึ้น 0.79% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย  4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74%) = 4.34% เพิ่มขึ้น 0.8% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.54% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 4.34% เพิ่มขึ้น 0.8% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.08% เพิ่มขึ้น 0.79% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.29% สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ  -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่ คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ชำระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -ลูกค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 7.08% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2566 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ ข้อมูลในเว็บไซต์ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งข้อมูลแคมเปญของธนาคารมีกำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม ​2565 โดยมีรายละเอียดดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10 ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 กรกฎาคม​ 2565) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด -ระยะเวลาขอสินเชื่อ 1 กรกฎาคม ถึง ​31 ธันวาคม 2565 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ถือว่าเป็นธนาคารสำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและคอนโด รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีสินเชื่อให้เลือกมากมายหลายประเภท สำหรับข้อมูลการรีไฟแนนซ์บ้านจากสถาบันการเงินอื่น ใช้สินเชื่อ All Home อ้างอิง ซึ่ง​อัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.6=3.55% เพิ่มขึ้น 1.3% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.1% =4.05% เพิ่มขึ้น 1.06% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.6% = 4.55% เพิ่มขึ้น 1.03% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 3.52% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี MRR-1.0% = 5.15% เพิ่มขึ้น 2.23% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 2.92% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.76% เพิ่มขึ้น 0.41% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 4.35% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.50%= 3.65% เพิ่มขึ้น 1.30% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 2.35% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.00%=4.15% เพิ่มขึ้น 1.06% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-1.50%= 4.65% เพิ่มขึ้น 1.30% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา MRR-0.50%= 5.65% เพิ่มขึ้น 0.94% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 4.71% หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม​ 63   10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan – รีไฟแนนซ์ ​ ไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนมกราคม 2566 มีรายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.46%= 3.29% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.11% เพิ่มขึ้น 0.11% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 5.00% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.36%= 3.39% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.39% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.15% เพิ่มขึ้น 0.11% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 5.04% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.36% = 2.39% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.36%= 5.39% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.39% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.11% เพิ่มขึ้น 0.12% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย4.99% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.49% (MRR-5.26%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.49% (MRR-2.26%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.49% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.15% เพิ่มขึ้น 0.12% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 5.03% หมายเหตุ -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น (Re-finance) ในช่วง​ระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้จะมีค่าปรับ​ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น​) -การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย​ MRR ปัจจุบัน เท่ากับ 7.75% ต่อปี (ตามประกาศธนาคาร ​​ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2565) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้ และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตรา ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -ธนาคารยูโอบี ในฐานะนายหน้าประกันภัย​ (ใบอนุญาตประกันชวีติเลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศ​ภัย เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอ ผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย​ และอำนายวความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิต ​โดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชวีติ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็มม เอส ไอ จีประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับผิดชอบตาเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก ครั้ง​ 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ดอกเบี้ยต่ำ 1.99% ต่อปี ถึงวันที่ 31 มกราคม 2566  โดยมีรายละเอียดดังนี้ สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป   แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.75% = 2.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35%=2.40% เพิ่มขึ้น 0.40% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.00% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.90% = 3.85% เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.80% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% เพิ่มขึ้น 0.15% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.44% เพิ่มขึ้น 0.88% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.56% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.06% = 2.69% เพิ่มขึ้น 0.09% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย2.60% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.69% เพิ่มขึ้น 0.09% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.44% เพิ่มขึ้น 0.81% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.63% แบบที่ 3 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 99% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-4.39%=3.36% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 90% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 48%   สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25% = 2.10% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25% = 2.50% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.80% = 3.95% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.47% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.95% = 2.79% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.79% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.47% ข้อกำหนดและเงื่อนไข -สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยพิเศษ เริ่ม 1.99% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันนี้ – 31 มกราคม 2566 -วงเงินกู้เริ่มต้น 1 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) -อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ -กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำได้ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.75% (ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2565) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สำหรับธนาคาออมสิน ประจำเดือนมกราคม 2566 ยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ​มีรายละเอียดอื่น ๆ ดังนี้ ​ สินเชื่อรีไฟแนนซ์ จากสถาบันการเงินอื่น สำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินกู้สินเชื่อต่ำกว่า 10 ล้านบาท แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% (MRR-4.255%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.98% (MRR-3.265%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.144% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.24% (MRR-4.005%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.605%  (MRR-2.64%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.328% วงเงินกู้สินเชื่อมากกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป (เดือนที่ผ่านมาไม่ได้แยกวงเงินกู้) กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.755% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2. 5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.089% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.24% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.38% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.00% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.274% ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย MRR-4.255%=1.99% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-2.80%=3.445% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี96% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง256% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย MRR-4.005%=2.24% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-2.175%=4.07% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี46% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง437%   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR = 6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท​ ระยะเวลา 20 ปี แบบผ่อนเท่ากันทุกงวด ​ -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ และกู้เพิ่มเติมเพื่อการอุปโภคบริโภค   ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมจากข้อมูลเว็บไซต์ของแต่ละธนาคาร วันที่ 6 มกราคม 2566   บทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนพฤศจิกายน 2565

1 2 3 ... 16