มีทุนแค่ 2 ล้าน ก็ลงทุนอสังหาฯ​ในอังกฤษได้

การซื้อโครงการคอนโดมิเนียม นอกจากอยู่อาศัยเองแล้ว ส่วนหนึ่งก็ยังเป็นการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ซื้อได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจซื้อเพื่อลงทุนโดยตรง หรือผลประโยชน์ทางอ้อมจากการปรับขึ้นของราคาคอนโดฯ ก็ตาม ที่ทำให้ผู้ซื้อได้มูลค่าเพิ่มมากขึ้น​ การเข้ามาลงทุนในตลาดคอนโดฯ​ หลายปีที่ผ่านมาจึงคึกคักพอสมควร เพราะถือเป็นช่วงเวลาที่มีการเติบโตสูง จึงเห็นมีกลุ่มนักลงทุนเข้ามาในตลาดจำนวนมาก ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนจากการปล่อยเช่า หรือการลงทุนจากการขายต่อแล้วได้ส่วนต่างของราคา

 

แต่โอกาสการลงทุนในคอนโดฯ ไม่ใช่มีเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์  ในเมืองไทยเท่านั้น ตลาดต่างประเทศหลายแห่งก็เป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับการเข้าไปลงทุน ที่เริ่มเป็นที่นิยมของกลุ่มคนไทยเพิ่มมากขึ้น  คงเป็นตลาดอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ เห็นได้จากเริ่มมีตัวแทนหรือเอเยนซี่ เอาโครงการหลากหลายประเภทเข้ามานำเสนอให้คนไทยได้เข้าไปจับจองเป็นเจ้าของและลงทุน

 

นางสาวดาว ไวรักษ์สัตว์ ผู้อำนวยการภูมิภาคสหราชอาณาจักร บริษัท พี เอ็น เอ็น แค็ปปิตอล จำกัด (PNN) เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ เป็นตลาดที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เพราะเป็นตลาดที่อยู่ตัวแล้ว มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และมีผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก นอกจากนี้ กฎหมายของประเทศอังกฤษเปิดโอกาสให้ต่างชาติถือครองอสังหาฯ ได้อย่างถูกต้อง 100%  มีการจัดการที่โปร่งใส ที่สำคัญผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง

“ปลายปีแล้วบริษัทได้เริ่มนำโครงการ ELIZABETH มาแนะนำในตลาดไทย ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีมีคนไทยซื้อ 6 ยูนิต คนเอเชียซื้อ 4 ยูนิต รวมมูลค่าประมาณ​100 ล้านบาท และมีลูกค้าติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง”

 

ลงทุน 2 ล้านได้ผลตอบแทนสูงสุด 10%

 

ในปีนี้บริษัทจึงได้นำโครงการอสังหาฯ​ ในประเทศอังกฤษเข้ามาแนะนำให้คนไทยได้มีโอกาสเข้าไปลงทุนเพิ่ม โดยมีอสังหาฯ ประเภทอื่นนอกจากโครงการคอนโดฯ ด้วย ทั้งหุ้นกู้ อพาร์ตเม้นท์  ที่พักนักศึกษา  และโรงแรม มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2 ล้านบาท ไปจนถึง 100 ล้านบาท  เป็นโครงการที่อยู่ในเมืองที่กำลังเติบโตและมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ  มีผลตอบแทนการลงทุนอยู่ในระดับ 6.5%-10% ต่อปี  ได้แก่

The Bangkok Thonglor

1.โครงการ Elizabeth Tower คอนโดหรู 52 ชั้น ตั้งอยู่ในเมืองแมนเชสเตอร์ มีระดับราคาเริ่มต้นยูนิตละ 2 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณปีละ ​7% หรือ มูลค่าอสังหาฯ ที่เพิ่มขึ้น 20-25%

 

2.โครงการ Vita Cardiff ที่พักนักศึกษาที่ถือได้ว่ามีอัตราการจองล่วงหน้าเป็นอันดับต้นๆของอังกฤษ ซึ่งผู้ประกอบการพัฒนาโครงการที่พักนักศึกษามาแล้วกว่า 20 แห่ง และจะเลือกพัฒนาในพื้นที่มีนักศึกษาอยู่หนาแน่นไม่ต่ำกว่า 30,000 คน โครงการสามารถขายต่อได้ง่ายและได้กำไรในอัตรา 10% และโครงการยังการันตรีผลตอบแทนในอัตรา 6.5% ในระยะ 3 ปี สำหรับกลุ่มนักลงทุน และหากซื้อยกชั้นผลตอบแทนจะได้รับผลตอบแทนการลงทุน 7% ซึ่งราคาขายยูนิตละ 5-6 ล้านบาท ส่วนค่าเช่าสำหรับนักศึกษาจะอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน

 

3.โครงการ Moseley Garden คอนโดหรูกลางใจเมืองเบอร์มิงแฮม ที่กำลังได้รับการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางทางการเงิน

 

4.โครงการ No7. by La Tour โรงแรมติดชายหาด ในเมือง Black Pool เมืองตากอากาศตอนกลางถึงตอนเหนือของอังกฤษ โครงการนี้สามารถลงทุนโดยได้รับโฉนดห้อง มีผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ​10% ต่อปี ผู้ซื้อสามารถขายคืนให้กับดีเวลลอปเปอร์ได้เมื่อถืออายุครบ 5 ปี

 

5.โครงการ Bolton Studio, Kensington Chelsea, London อพาร์ทเม้นท์ตกแต่งเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ใน Residential Zone เป็นสถานที่น่าอยู่ในลำดับต้น ๆ ของลอนดอน เหมาะสำหรับการซื้อเพื่อให้บุตรหลานเข้าเรียนต่อที่อิมพีเรียล คอลเลจ หรือการปล่อยเช่า

The Bangkok Thonglor

หุ้นกู้อีกทางเลือกลงทุนระยะสั้นเพียง 1 ปี

 

นอกจากการลงทุนในอสังหาฯ ประเภทต่างๆ แล้ว ในประเทศอังกฤษ นักลงทุนยังสามารถลงทุนในรูปแบบหุ้นกู้กับดีเวลลอปเปอร์ได้ด้วย โดยจะได้รับผลตอบแทน 12-15% อายุสัญญา 1 ปี การที่ดีเวลลอปเปอร์มีการออกหุ้นกู้นั้น เป็นกระบวนการกู้เงินกับสถาบันการเงิน และการขอใบอนุญาตพัฒนาโครงการมีขั้นตอนล่าช้า และต้องเสียค่าธรรมเนียมหลายอย่าง  ทำให้เกิดความไม่คล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ  จึงหันมาออกหุ้นกู้โดยตรง ซึ่งบริษัทมีหุ้นกู้จากดีเวลลอปเปอร์ที่พัฒนาโครงการ 3 รูปแบบ ได้แก่ พัฒนาโรงแรม สนามบิน และระดมเงินเพื่อซื้อที่ดิน

 

โดยบริษัทเตรียมจัดสัมมนา “The UK Property” Investment Seminar 2019 หัวข้อ “ลงทุนต่างประเทศให้ผลตอบแทนไม่ต่างจากการลงทุนในไทย…จริงหรือ?” และ “ลงทุนเมืองอะไร และควรลงทุนแบบไหน ถึงได้ผลตอบแทนคุ้มค่า…มากที่สุด” พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับเอเจนซี่และนักลงทุน ในวันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน 2562  โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท ซึ่งปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถทำยอดขายได้ 300-500 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการอสังหาฯ​ ที่นำเข้ามาขาย 1,500 ล้านบาท

 

 

บทความ ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด