Tag : condo

1512 ผลลัพธ์
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  จับมือ”โนมูระ” ปั้นโซโห แบงค็อก รัชดา  เติมพอร์ตโปรเจ็กต์ร่วมทุน​ 34,000 ล้าน

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จับมือ”โนมูระ” ปั้นโซโห แบงค็อก รัชดา เติมพอร์ตโปรเจ็กต์ร่วมทุน​ 34,000 ล้าน

“ออริจิ้น” เดินหน้าร่วมทุน “โนมูระ เรียลเอสเตท” ปิดดีลลงทุนเพิ่มอีก 1 โปรเจ็กต์ “โซโห แบงค็อก รัชดา”​คอนโดไฮเอนด์แบรนด์ใหม่ มูลค่า​ 1,700 ล้าน ดัน​มูลค่าโครงการคอนโดร่วมทุนสะสม 2 บริษัททะลุ 34,000 ล้าน   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมทุนกับ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากญี่ปุ่น พัฒนาคอนโดมิเนียมเพิ่มเติมอีก 1 โครงการ คือโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์แบรนด์ใหม่ โซโห แบงค็อก รัชดา (SOHO Bangkok Ratchada) มูลค่าโครงการประมาณ 1,700 ล้านบาท ถือเป็นการเดินหน้าร่วมทุนกันอย่างต่อเนื่อง จากช่วงต้นปีที่เพิ่งร่วมทุนกันเพิ่มเติมไป 2 โครงการ แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโควิด -19 ระลอกที่ 3 แต่โนมูระยังคงมองเห็นสัญญาณที่ดีในระยะยาวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ซึ่งยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจระดับท็อปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   ขณะเดียวกัน ผลงานโครงการร่วมทุนในโครงการต่าง ๆ ที่ผ่านมา ตลอดจนผลงานไตรมาสล่าสุดของบริษัทที่ทำกำไรได้เป็นระดับ Top 3 ของกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์  เป็นเครื่องการันตีที่ทำให้โนมูระมั่นใจ และตัดสินใจเดินหน้าร่วมทุนโครงการคอนโดกับบริษัทอย่างต่อเนื่อง   จากการร่วมทุนเพิ่มเติมดังกล่าว ส่งผลให้ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และโนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ มีการร่วมทุนกันในกลุ่มธุรกิจคอนโดสะสมจากเดิม 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 32,314 ล้านบาท เพิ่มเป็น 10โครงการ มูลค่าสะสม 34,014 ล้านบาท และส่งผลให้การร่วมทุนสะสมระหว่างกันครอบคลุมในคอนโดทุกเซ็กเมนท์ ตั้งแต่แบรนด์คอนโดระดับไฮเอนด์ อย่างไนท์บริดจ์ (KnightsBridge) แบรนด์คอนโดระดับลักชัวรี่อย่างพาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) แบรนด์คอนโดสำหรับคน Gen Z อย่างดิ ออริจิ้น (The Origin)  และแบรนด์ใหม่อย่างโซโห แบงค็อก (SOHO Bangkok) นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการโซโห แบงค็อก รัชดา เป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรส์​สูง 24 ชั้น มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท เปิดขายเมื่อช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 เป็นโครงการภายใต้แบรนด์ใหม่โซโห แบงค็อก โครงการแรก ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดแกร่งทั้งด้านทำเลระดับย่านใจกลางธุรกิจ (CBD) และสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ปัจจุบัน มียอดขายสะสมแล้วกว่า 80%   ทั้งนี้ บริษัทยังคงพิจารณาการร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งรายเดิม และรายใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้อย่างแข็งแกร่งและก้าวกระโดดตามแผน ORIGIN NEXT LEVEL โดยเฉพาะในด้านการขยายธุรกิจ (Next Level of Business Expansion) โดยอาจพิจารณาร่วมทุนได้ทั้งในกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย โครงการที่สร้างรายได้ประจำ เช่น โรงแรม รวมถึงธุรกิจประเภทอื่นๆ ที่จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต   โครงการโซโห แบงค็อก รัชดา คอนโดมิเนียม High Rise สูง 24 ชั้น ตั้งอยู่บนเนื้อที่ขนาด 1-2-28 ไร่ จำนวนห้องพักอาศัย 341 ยูนิต และร้านค้า 1 ยูนิต มีห้องให้เลือก 4 รูปแบบ คือ 1 Bedroom 24.7-25.9 ตร.ม. และ 1 Bedroom Plus 34.8-34.9 ตร.ม. ทั้งแบบ Simplex เพดานสูง 2.6 เมตร และแบบ Duo Space คอนโด 2 ชั้น ฝ้าเพดานสูงพิเศษ 4.2 เมตร ตอบโจทย์ทุกการใช้งานของคนรุ่นใหม่ โดยไฮไลต์ของโครงการ ได้แก่ 1.Business Connection พื้นที่ส่วนกลางที่ออกแบบให้รองรับการทำธุรกิจโดยเฉพาะพร้อมหลากสิ่งอำนวยความสะดวกภายใน 2.Samitivej Club โปรแกรมดูแลสุขภาพสุด Exclusive โดยผู้เชี่ยวชาญผ่าน Virtual Hospital หรือบริการอื่นๆ เช่น Health Check Up Room และ One Touch Emergency จากโรงพยาบาลสมิติเวช 3.Park Concierge บริการผู้ช่วยส่วนตัวระดับมืออาชีพที่ช่วยจัดการชีวิตส่วนตัวให้ง่ายขึ้น อาทิ จองร้านอาหาร จองรถลีมูซีนเพื่อเดินทางไปยังสนามบิน จัดหาออแกไนซ์งานปาร์ตี้ส่วนตัว เทรนเนอร์ออกกำลังกาย สปาส่วนตัว บริการซักรีด  
3 ทำเลศักยภาพและโอกาสในการลงทุนที่อยู่อาศัย “จรัญฯ-แจ้งวัฒนะ-ลาดพร้าว 101”

3 ทำเลศักยภาพและโอกาสในการลงทุนที่อยู่อาศัย “จรัญฯ-แจ้งวัฒนะ-ลาดพร้าว 101”

เปิดศักยภาพและโอกาสการลงทุนอสังหาฯ ใน 3 ทำเลเติบโตสูง ​“จรัญฯ-แจ้งวัฒนะ-ลาดพร้าว 101” ได้อานิสงค์รถไฟฟ้า ช่วยผลักดันราคาและความต้องการอสังหาฯ  ย่านจรัญสนิทวงศ์ ได้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เปิดโอกาสการลงทุนเติบโต 8% ขณะที่แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด ราคาที่ดินพุ่งกว่า 12.5% ส่วนทำเลลาดพร้าว 101 มีรถไฟฟ้าพัฒนาโดยรอบ และการเปลี่ยนสีผังเมืองผลักดันความเจริญ   ​นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทด้านวิจัยและพัฒนาในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยถึงผลการสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยใน 3 ทำเลประกอบด้วย “จรัญสนิทวงศ์-แจ้งวัฒนะ-ลาดพร้าว 101” ว่า เป็น 3 ทำเลที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทั้งรถไฟฟ้าและทางด่วน ส่งผลให้ระดับราคาที่ดินใน 3 ทำเลมีการปรับตัวขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 10% ต่อปี ในขณะที่ระดับราคาที่อยู่อาศัยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามระดับราคาที่ดินที่ขยับสูงขึ้นทั้งที่อยู่อาศัยเก่าและใหม่  จรัญสนิทวงศ์  "สายสีน้ำเงิน" ดันราคาคอนโด จากผลการสำรวจพบว่า   ทำเล “จรัญสนิทวงศ์” เป็นพื้นที่มีแนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมเป็นหลัก โดยเฉพาะโซนติดรถไฟฟ้า โดยในปี 2563 คอนโดในย่านจรัญฯ มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (capital gain) จากการซื้อมาและขายออกไปเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ต่อปี โดยระดับราคาคอนโดในทำเลนี้มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 80,000-120,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งเป็นราคาที่ปรับขึ้น 20% จากปี 2560 และราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการขยายของเมืองตามแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน โดยปัจจุบันมีจำนวนอาคารชุดเหลือขายในทำเลจรัญฯ 965 ยูนิต​ มีอัตราการขายเฉลี่ย 5% ต่อเดือน โดยมีระดับราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 89,700 บาทต่อตารางเมตร หรือประมาณ 2.8 ล้านบาทต่อยูนิต ในขณะเดียวกัน ความต้องการเช่าที่พักอาศัยในย่านนี้ก็มีความต้องการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่อดีตก่อนรถไฟฟ้าสีน้ำเงินจะแล้วเสร็จ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งงานทางการแพทย์อย่างโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลธนบุรี และโรงพยาบาลยันฮี ทำให้มีกลุ่มผู้เช่าที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องการที่พักอาศัยใกล้ที่ทำงานเป็นจำนวนมาก ราคาเช่าเฉลี่ยในย่านจรัญสนิทวงศ์อยู่ที่ 350 บาท/ตร.ม./เดือน โดยราคาเช่าห้องขนาด 30-35 ตร.ม.เฉลี่ยอยู่ที่ 10,000 บาท/เดือน ห้อง Studio type เฉลี่ยที่ 6,000-8,500 บาท/เดือน และมี Rental Yield ที่ 5% ต่อปี แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด ที่ดินพุ่ง 12.5% ส่วนทำเล “แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด” เป็นทำเลที่มีอัตราการเติบโตของโครงการใหม่โดยเฉลี่ย 100% - 250% ต่อปี  จากผลการสำรวจของทีมวิจัย พบว่า ณ สิ้นปี  2563 ทำเลแจ้งวัฒนะมีซัพพลายสะสมอยู่ที่ 10,325  ยูนิต​ โดยคิดเป็นบ้านพักอาศัย 15% และ คอนโด 85%  มีอัตราการขายของบ้านพักอาศัยอยู่ที่ 3.1%ต่อเดือน และอัตราการขายคอนโด​ในทำเลอยู่ที่ 5% ต่อเดือน สูงกว่าอัตราการขายของบ้านพักอาศัยเฉลี่ยในนนทบุรีซึ่งอยู่ที่ 2.8% ต่อเดือน  และอัตราการขายคอนโด​ในทำเลอยู่ที่ 4%ต่อเดือน   การเติบโตของการพัฒนาที่อยู่อาศัยในทำเลนี้ ทำให้ระดับราคาที่ดินในย่าน “แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด” มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาประเมินที่ดินสูงขึ้นเฉลี่ย 12.5% ต่อปี  ทำให้ระดับราคาที่อยู่อาศัยในทำเลนี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15-20% ต่อปี โดยเฉพาะราคาบ้านพักอาศัยย่านแจ้งวัฒนะ-เมืองทองธานี ที่เพิ่มขึ้นถึง 20%  ต่อปี โดยในด้านของตลาดมือสองมีอัตราผลตอบแทนของการลงทุน (capital gain) อยู่ที่ 7-8% ต่อปี  และมีราคาให้เช่าอยู่ที่ 28,000-35,000 บาท คาดว่าเมื่อรถไฟฟ้าสายสีแดง และสายสีชมพูเปิดใช้งาน จะยิ่งส่งเสริมให้ทำเลแจ้งวัฒนะเป็นทำเลที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้นและราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบ้านพักอาศัยเปิดตัวใหม่ในทำเลแจ้งวัฒนะมีหลายระดับราคา ตั้งแต่บ้านทาวโฮมในราคาเริ่มต้น 2 ล้านบาท จนถึง บ้านเดี่ยวราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป จึงถือว่าเป็นทำเลที่มีบ้านพักอาศัยให้เลือกอย่างหลากหลาย ทำให้บ้านพักอาศัยในทำเล แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ดเหมาะสำหรับ ผู้ที่มองหาบ้านพักอาศัยในทำเลศักยภาพที่เดินทางสะดวกใกล้แหล่งงานและสถานศึกษา มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ และมีศักยภาพในการลงทุน ลาดพร้าวได้รถไฟ 4 สีดันการพัฒนา ในขณะที่การพัฒนารถไฟฟ้าทั้งหมด 4 สาย ที่ล้อมรอบพื้นที่ “ลาดพร้าว 101-โพธิ์แก้ว” ทั้งสายสีเหลือง, สีส้ม, สีเทา และสีน้ำตาล ปัจจุบัน สายสีเหลือง และสายสีส้มกำลังดำเนินการก่อสร้างและมีกำหนดเปิดใช้งานได้ภายในปี 2565 และปี 2567 ตามลำดับ ซึ่งจะช่วยให้การเดินทางเชื่อมต่อไปได้ทั่วทั้งกรุงเทพฯ สะดวกและง่ายยิ่งขึ้น ทำให้ทำเล   “ลาดพร้าว 101 – โพธิ์แก้ว” เป็นหนึ่งในทำเลศักยภาพทางโซนเหนือของกรุงเทพฯ โดยปัจจุบันในทำเลนี้มี บ้านพักอาศัยเปิดขายใหม่อยู่ทั้งหมด 14 โครงการ แบ่งเป็นรูปแบบบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 7 โครงการ ราคาขายต่อยูนิตมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป มียูนิต​เหลือขายคิดเป็นสัดส่วน 16% ของยูนิตที่เปิดขายอยู่ทั้งหมด โดยมีอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 2% ต่อเดือน   อีกรูปแบบคือ ทาวน์โฮม อีกจำนวน 7 โครงการ มียูนิตเหลือขายคิดเป็นสัดส่วน 22% ของยูนิตที่เปิดขายอยู่ทั้งหมด โดยราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตแบ่งออกเป็น 3 ช่วงราคา ได้แก่ 3-5 ล้านบาท, 5-10 ล้านบาท และมากกว่า 10 ล้านบาท โดยมีอัตราการขายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 7% 3% และ 4% ตามลำดับ ในขณะที่จำนวนเหลือขายในทำเลนี้มีประมาณ 420 ยูนิต ทำให้คาดว่าจะสามารถระบายยูนิตเหลือขายได้ภายใน 3 ปี   ในขณะที่ตลาดบ้านพักอาศัยมือสองในย่านมีราคาขายเริ่มต้นที่ 8 ล้านบาท สำหรับบ้านเดี่ยว อัตราค่าเช่าเริ่มต้น 35,000-120,000 บาทต่อเดือน ส่วนทาวน์โฮม 2 ชั้น ราคาขายเริ่มต้นที่ 2 ล้านบาท ทาวน์โฮม 3 ชั้น เริ่มต้นต่ำสุดที่ 3.70 ล้านบาท และสูงสุดถึง 6.50 ล้านบาท อัตราค่าเช่าเริ่มต้น 18,000-45,000 บาทต่อเดือน โดยขึ้นอยู่กับสภาพหรืออายุการใช้งานของบ้าน พื้นที่ใช้สอย และที่ตั้งห่างจากถนนหลักมากน้อยแค่ไหน ซึ่งอัตราค่าเช่านั้นใกล้เคียงกับอัตราการผ่อนชำระในกรณีซื้อเอง ทำให้โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เป็นที่น่าสนใจและคุ้มค่าสำหรับผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยมากกว่า ร่างผังเมืองใหม่ดันราคาพุ่ง ในขณะเดียวกัน ร่างผังเมืองใหม่ที่จะประกาศใช้ในเร็วนี้ ได้มีการปรับการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ “ลาดพร้าว 101-โพธิ์แก้ว” จากพื้นที่สีเหลือง เป็นพื้นที่สีส้ม คือ ประเภทพื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง ทำให้สามารถพัฒนาที่ดินได้เพิ่มมากขึ้นจาก FAR 3:1 – OSR 10% เป็น FAR 3.5:1 – OSR 8.5% และสามารถพัฒนาโครงการคอนโดขนาดน้อยกว่า 10,000 ตารางเมตร หรือพื้นที่มากกว่า 10,000 ตารางเมตรได้ โดยที่เหล่าผู้พัฒนารายใหญ่ยังมีที่ดินผืนใหญ่รอพัฒนาในบริเวณรอบ ๆ ย่านนี้อีกจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้ราคาที่ดินในย่านมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นอีก จากปัจจุบันราคาซื้อขายที่ดินในย่านนี้ต่ำสุดอยู่ที่ราคา 50,000 บาท/ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินบริเวณกลางซอยลาดพร้าว 101 และราคาสูงสุดอยู่ที่ 130,000 บาท/ตารางวา ในตำแหน่งที่ดินที่ใกล้ถนนประเสริฐมนูญกิจหรือถนนลาดพร้าว   “การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ทำให้เมืองขยายจากพื้นที่เศรษฐกิจเดิมอย่างย่านสุขุมวิท เพลินจิต สาทร ไปสู่ย่านเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งทั้ง 3 ทำเล  ถือเป็นย่านธุรกิจใหม่ที่กระจายออกมาจากศูนย์กลางเศรษฐกิจเดิม จึงเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนของผู้ประกอบการ และผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่จับต้องได้และเดินทางได้สะดวก”  
ชาญอิสสระ  แตกไลน์ 2 ธุรกิจ “เวลเนส-คริปโตฯ”  พร้อมขนบ้าน-คอนโดหั่นราคา 50%

ชาญอิสสระ แตกไลน์ 2 ธุรกิจ “เวลเนส-คริปโตฯ” พร้อมขนบ้าน-คอนโดหั่นราคา 50%

ชาญอิสสระ วาง 3 แนวทางรับมือโควิด-19 ทั้งการรัดเข็มขัด จัดทีมให้มีประสิทธิภาพ และพัฒนาโครงการคุณภาพ รับเรียลดีมานด์คนต้องการซื้อบ้าน พร้อมแตกไลน์สู่ธุรกิจใหม่ “เวลเนส” ขน 40-50 ยูนิตโปรเจ็กต์บลูไดมอนด์นำร่อง เล็งศึกษาธุรกิจ “คริปโตเคอเรสซี” เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ลุยตลาดอสังหาฯ ต่อ ขนบ้าน-คอนโด ลดราคา 50%   นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายใต้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทต้องใช้บริหารจัดการธุรกิจด้วยนโยบายสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ 2.การสร้างทีมในการบริหารธุรกิจแต่ละฝ่ายให้มีประสิทธิภาพและไม่มีขนาดที่ใหญ่เกินไป รวมถึงการนำระบบหรือเครื่องมือที่สามารถช่วยการบริหารและดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมาใช้ และ 3.การพัฒนาโครงการให้มีคุณภาพ ในระดับราคาที่เหมาะสม การทำบ้านดีมีคุณภาพที่ดี อย่างไรก็ขายได้ ที่ผ่านมาบริษัทพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพ ซึ่งลูกค้ามีความต้องการบ้านที่มีคุณภาพในราคาที่ยุติธรรม ขยายธุรกิจเวลเนส-คริปโตเคอเรนซี สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ นอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจหลัก ในด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งรูปแบบคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และโรงแรมแล้ว ในปีนี้บริษัทยังมองหาโอกาสในการดำเนินธุรกิจใหม่ ซึ่งสามารถเสริมกับธุรกิจหลักได้ด้วย  โดยจะเริ่มทดลองทำการตลาดธุรกิจเวลเนส (Wellness) ด้วยรูปแบบ Wellness Serviced Condo ซึ่งเป็นบริการเสริมให้กับลูกค้าที่ซื้อห้องของโครงการบลูไดมอนด์ ที่อยู่ภายในโครงการทิวทะเลเวิลด์ ชะอำ-หัวหิน ซึ่งลูกค้าจะได้รับบริการพิเศษด้านสุขภาพ (Wellness Service Package) จากโรงแรมศรีพันวา อาทิ การตรวจสุขภาพประจำปีฟรี 2 ปี การประสานงานกับโรงพยาบาล การให้บริการห้องพยาบาลส่วนกลาง  บริการรองรับและช่วยเหลือเบื้องต้น เป็นต้น เบื้องต้นจะนำคอนโดมาทดลอง 40-50 ยูนิต หากประสบความสำเร็จ อาจจะขยายการให้บริการด้านสุขภาพไปในโครงการอื่น ๆ บริษัท รวมถึงการเพิ่มรูปแบบและการให้บริการด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้นด้วย ​   นอกจากนี้ ยังมองโอกาสในการขยายธุรกิจคริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency) ​หรือ สินทรัพย์ดิจิทัล โดยจะนำเอาโครงการของบริษัท 1-2 โครงการ เข้ามาดำเนินการซื้อขาย หรือมาผสมผสานการดำเนินธุรกิจระหว่างกัน ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ และโอกาสในการเข้าไปดำเนินการ คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ในอีก 4-5 เดือนข้างหน้านี้   สำหรับปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่จะทำการตลาดและขายโครงการที่เปิดดำเนินการมาก่อนหน้า อาทิ โครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี่  โครงการอิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 (Issara Residence Rama 9) ,โครงการบ้านอิสสระ บางนา (Baan Issara Bangna) ปัจจุบันโครการอิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 มียอดขายไปแล้วกว่า 70% จากจำนวนบ้านสร้างเสร็จทั้งโครงการ 20 ยูนิต  และโครงการบ้านอิสสระ บางนา มียอดขายกว่า 60% ของเฟสที่เปิดขาย จำนวน 25 ยูนิต ดึงดีมานด์ต่างชาติกระตุ้นตลาด นายสงกรานต์ กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา ว่าถือเป็นจุดเปลี่ยนของวงการทั้งในแง่การขาย การตลาด จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเฉพาะตลาดอสังหาฯ แนวราบอย่างบ้านเดี่ยว ผู้อยู่อาศัยที่มีกำลังซื้อจะมองหาบ้านเดี่ยวที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต มากกว่าการเลือกซื้อคอนโด​ ซึ่งถือเป็นโอกาสให้ดีเวลอปเปอร์ที่มีสินค้าพร้อมขายอยู่ในมือได้รับอานิสงค์เพิ่มขึ้น   ทั้งนี้ จะเห็นว่าแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะเข้ามากระทบต่อตลาดอสังหาฯ โดยจะ กระทบหนักในส่วนของตลาดระดับกลางลงไป เพราะกำลังซื้อถดถอยอย่างมาก แต่หากภาครัฐมีการ  แก้มาตรการทางกฎหมายในการเปิดทางให้ชาวต่างชาติ  สามารถซื้ออสังหาฯ บ้านแนวราบระดับราคา 10 – 15 ล้านบาทขึ้นไป พร้อมขยายสัดส่วนการซื้อคอนโดเป็น  70 – 80 % ของโครงการ รวมถึงขยายสิทธิการเช่าจาก 30 ปี เป็น 40-50 ปี ก็ถือเป็นอีกโอกาสสำคัญที่จะช่วยดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศมาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ และกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้กลับมาฟื้นตัวได้เร็วต่อไป   นายสงกรานต์ กล่าวอีกว่า ​ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบนี้นับว่าเป็นรอบที่รุนแรงมาก ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อทุก ๆ ภาคธุรกิจ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์จะจบลงเมื่อไหร่ จากรอบแรกที่ประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีเยี่ยมเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แต่ก็ยังต้องกลับมาเผชิญอีกครั้ง ดังนั้นภาคธุรกิจต้องมีการปรับตัว และควรดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้ต่างชาติสามารถเข้ามาซื้ออสังหาฯ ไทยได้มากขึ้น เพราะกำลังซื้อของคนไทยลดลง จึงต้องอาศัยกำลังซื้อจากต่างชาติ เพื่อกระตุ้นตลาด​ มองว่าประเทศไทยต้องเร่งนำวัคซีนเข้ามาเพื่อฉีดให้ประชาชนให้มากที่สุด แม้วัคซีนอาจจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาได้ 100% แต่ก็สามารถช่วยสร้างความมั่นใจพลิกฟื้นความเชื่อมั่น หนุนการบริโภค การลงทุน ภาคท่องเที่ยวและบริการกลับมาเป็นบวก จะช่วยพลิกเศรษฐกิจประเทศฟื้นคืนกลับมาได้ ขนบ้าน-คอนโด หั่นราคา 50% ในช่วงกลางปีนี้ ชาญอิสระ เตรียมกลยุทธ์กระตุ้นยอดขายในช่วงกลางปี ด้วยการจัด​แคมเปญใหญ่ “Mid Year Sale ทุกโครงการลด 50%” ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม โรงแรม เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าได้มีโอกาสเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพ ในราคาและเงื่อนไขที่จับต้องได้ อีกทั้งยังเป็นการแบ่งเบาภาระให้กับลูกค้าในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ซึ่งแต่ละโครงการได้นำเสนอโปรโมชั่น ​ อาทิ โครงการดิ อิสสระ เชียงใหม่ จัดโปรฯ มอบส่วนลด 50% 1 ห้องนอน 35 ตร.ม. โครงการ บลูไดมอนด์ ชะอำ-หัวหิน ลดทันที 50% หรือจะเป็นคอนโดฯ ใจกลางเมือง โครงการ ดิ อิสสระ สาทร จัดโปรฯ ลดเงินดาวน์ 50%โครงการ อิสสระ เรสซิเดนส์ พระราม 9 ​เมื่อซื้อบ้านหลังแรก หลังที่สองลดราคา 50%” ซึ่งแคมเปญจะเริ่มในวันที่ 1 มิถุนายน 2564 นี้   โดยภาพรวมผลประกอบการในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะเติบโตด้วยดีทั้งด้านยอดขายและรายได้ เนื่องจากโครงการต่าง ๆ ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า มียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะทำผลประกอบการได้มากกว่าปีที่ผ่านมาเป็นเท่าตัว แม้ว่าธุรกิจโรงแรมจะได้รับผลกระทบบ้างจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่จากการฉีดวัคซีนที่มีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดภูเก็ตซึ่งมีโครงการแซนบ็อกซ์ ที่มีเป้าหมายจะฉีดวัคซีนให้ได้ 80% ของจำนวนประชากรในจังหวัด เพื่อเปิดให้มีการท่องเที่ยวได้ จังคาดว่าจะส่งผลทำให้โรงแรมของบริษัทมีอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นได้ถึง 50-60% และตลาดท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ด้วย   ในส่วนของภาคธุรกิจโรงแรมนั้น ยอมรับว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมารอบแรก จนถึง ปัจจุบัน ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมได้รับผลกระทบหนักสุด ที่ผ่านมาโรงแรมหลายแห่งได้ประกาศหยุด  ดำเนินการไปบ้างแล้ว  โดยในส่วนของโรงแรมในเครือของบริษัทฯ ทั้งโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต โรงแรม บาบาบีช    คลับ นาใต้ และโรงแรมบาบาบีช คลับ หัวหิน ต่างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกัน ที่ผ่านมาได้มีการปรับตัวในการดำเนินธุรกิจ และปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางภาครัฐอย่างเคร่งครัด โดยในส่วนของภูเก็ตเองขณะนี้พนักงานได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเชื่อว่าหากเร่งการ วัคซีนให้ดำเนินการอย่างทั่วถึง และภูเก็ตมีการออกมาตรการคัดกรองการเดินทางข้ามจังหวัดอย่างเคร่งครัด  เน้นสร้างความเป็นเมืองสะอาดและปลอดภัย ก็จะเริ่มเห็นภาคการท่องเที่ยวในส่วนของภูเก็ตกลับมาฟื้นตัวได้  ภายในปลายปีนี้ทั้งในส่วนของนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติ      
มั่นคง เคหะการ  เจอพิษโควิดทำขาดทุนกว่า 102 ล้าน เตรียมเปิด 3 โปรเจ็กต์-ขยายคลังสินค้าสร้างรายได้

มั่นคง เคหะการ เจอพิษโควิดทำขาดทุนกว่า 102 ล้าน เตรียมเปิด 3 โปรเจ็กต์-ขยายคลังสินค้าสร้างรายได้

มั่นคงฯ เจอพิษโควิด-19 ไตรมาสแรกยังขาดทุน รอความหวังการฉีดวัคซีนคนไทยให้ได้กว่า 50% ช่วยหนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว ยันเดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ใหม่แนวราบอีก 3 โครงการ รวม 2,347 ล้าน พร้อมขยายธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าอีก 120,000 ตารางเมตร   บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 594.63 ล้านบาท ลดลง 10.75% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 666.27 ล้านบาท มีรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 448.0 ล้านบาท ลดลง 9.85% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้ 496.92 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจให้เช่าและบริการ มีรายได้ 74.44 ล้านบาท ลดลง 29.81% จากช่วงเดียวกันที่มีรายได้ 106.05 ล้านบาท มีรายได้จากธุรกิจสนามกอล์ฟและบริหารอสังหาริมทรัพย์ 44.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.03% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 37.79 ล้านบาท   ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีนี้ ขาดทุนจำนวน 102.41 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขาดทุน 71.42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 59.74 ล้านบาท ซึ่งเป็นกระทบมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19   นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2564ว่า ธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27.25% มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงสิ้นปี 2563 ที่มี 24.4% ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีในการดำเนินธุรกิจ ส่วนธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการที่ลดลง เป็นผลจากในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ได้ขายทรัพย์สินประมาณ 45% ของโครงการทั้งหมดเข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล (กองทรัสต์)   ในส่วนธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการ (Recurring Income) มีรายได้จำนวน 74.44 ล้านบาท เป็นรายได้จากโครงการ “บางกอกฟรีเทรดโซน” (Bangkok Free Trade Zone : BFTZ) 57.44 ล้านบาท โดยมีอัตราการเช่า (Occupancy rate) สูงถึง 93% ขณะที่ธุรกิจสนามกอล์ฟ และธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ มีรายได้จำนวน 44.61 ล้านบาท ซึ่งถือว่าธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการแทบไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด   แต่หากเปรียบเทียบรายได้ภายหลังการขายทรัพย์สินบางส่วน บริษัทย่อยได้กลับมามีรายได้เพิ่มขึ้น 13% จากจำนวน 51 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 4 ของปีก่อน จากการพัฒนาพื้นที่ในโครงการที่เหลืออยู่และสามารถเริ่มเปิดให้เช่าพื้นที่เพิ่มเติมโดยมีอัตราการเช่า (Occupancy rate) ณ สิ้นไตรมาสสูงถึง 93% ทำให้รายได้จากการให้เช่าและบริการมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องตามแผนธุรกิจที่วางไว้ ซึ่ง​บริษัท พรอสเพค​ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี ที่จะกลับมามีมูลค่าทรัพย์สินเท่าเดิมก่อนขายเข้าให้กองทรัสต์ฯ   ส่วนธุรกิจสนามกอล์ฟ และธุรกิจบริการอสังหาริมทรัพย์ ยังคงสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ ที่มียอดรับรู้รายได้ จำนวน 16.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.69% โดยรายได้ ที่เพิ่มขึ้นมาจากการบริหารทรัพย์สินในกองทรัสต์ของ “บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด” และรายได้จากการจัดการกองทุนทรัสต์ของ “บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัด” ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นของธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น 6.27 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 179.93% ด้านธุรกิจเพื่อสุขภาพโครงการรักษ (RAKxa) ที่ได้เปิดให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 นั้น แต่เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ค่อนข้างส่งผลกระทบต่อตัวโครงการ เพราะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาใช้บริการในประเทศได้ ดังนั้นบริษัทฯ จึงได้มีการปรับกลยุทธ์เชิงรุก สร้างการรับรู้เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าภายในประเทศมากยิ่งขึ้น และเน้นขาย Membership โดยปัจจุบันมีค่าสมาชิกมากกว่า 50 ล้านบาท   ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในแต่ละธุรกิจหลักนั้น มีผลการดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ เนื่องจากแผนธุรกิจ 5 ปี ที่มุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนกำไร ในกลุ่มธุรกิจเพื่อเช่าและเพื่อการบริการ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถช่วยลดผลกระทบ  จากปัจจัยลบของสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประกอบกับกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ ยังมีการจัดการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ภาพรวมธุรกิจตั้งแต่ต้นปี ที่ค่อนข้างได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็วจากโควิด-19 ระลอกใหม่  ถ้าสามารถดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนได้ 50% ของจำนวนประชากรทั้งหมด คาดจะเป็นตัวแปรสำคัญ  ที่ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมค่อยๆ กลับคืนมาอีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 สำหรับ การเตรียมความพร้อมของบริษัทฯ ​ได้มีการเตรียมความพร้อมทุกช่องทาง และยังคงเดินหน้าดำเนินงานตามแผนที่ได้วางเอาไว้ คือ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน  3 โครงการ มูลค่ารวม 2,347 ล้านบาท และขยายธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า “โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน”  เพิ่มอีก 2 แห่ง จำนวน 120,000 ตารางเมตร  
5 ทริคปรับคอนโดไซส์เล็กให้ดูกว้าง รับวิถี W​FH

5 ทริคปรับคอนโดไซส์เล็กให้ดูกว้าง รับวิถี W​FH

จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ที่เข้ามาเชื่อมต่อคนในยุคปัจจุบัน ให้สามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา แถมภายใต้ภาวะเกิดโรคระบาดโควิด-19 ส่งผลให้หลายองค์กรต้องปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินงานของคนในองค์กร  ด้วยรูปแบบการทำงานจากที่บ้าน หรือ  Work From Home มากขึ้น นิยามของ Workplace จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในออฟฟิศเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  บ้านหรือที่อยู่อาศัย จึงถูกใช้ประโยชน์มากกว่าการเป็นที่พักหรืออยู่อาศัย  แต่เป็นพื้นที่สำหรับการทำงานและการใช้ทำธุรกิจได้ด้วย   แต่ด้วยการเติบโตของตลาดคอนโดมิเนียม ซึ่งตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนเมือง เนื่องจากอยู่ในทำเลใกล้สถานที่ทำงาน หรือการคมนาคมคนส่ง รวมถึงระดับราคาที่คนส่วนใหญ่หาซื้อได้  จึงทำให้คนทำงานในเมืองส่วนใหญ่ เลือกที่จะพักอาศัยในคอนโด แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องของระดับราคาคอนโด ที่คนส่วนใหญ่จะเลือกซื้อได้ ห้องพักที่ตรงโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมือง จึงมักจะเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่มาก โดยเฉลี่ยก็ระดับพื้นที่ 30 ตารางเมตรบวกลบไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่อาศัยกันเพียง 1-2 คนเท่านั้น   ด้วยดีไซน์ให้คอนโดมีขนาดห้องที่พอเหมาะกับการอยู่อาศัย แต่อาจจะไม่เหมาะสมกับการทำกิจกรรมอื่น ๆ มากนัก จึงทำให้พื้นที่ห้อง หากจะต้องถูกนำมาใช้เพื่อการทำงาน อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยน ปรับรูปแบบหรือเติมฟังก์ชั่นอื่น ๆเข้าไปเสริมด้วย ซึ่งวันนี้ บริษัท เอ็มดีพีซี จำกัด MDPC Expertise Meets Excellence ได้นำเสนอเทคนิคการตกแต่งที่อยู่อาศัยให้เหมาะกับวิถีชีวิต Work From Home ในปัจจุบัน โดยเฉพาะห้องพักในโครงการคอนโดที่ส่วนใหญ่จะมีพื้นที่ใช้สอยกะทัดรัดประมาณ 29 ตร.ม. ให้รองรับทั้งชีวิตการทำงานและพักผ่อนได้อย่างลงตัวด้วย 5 เทคนิคสำคัญ ดังนี้ 1.ตกแต่งผนังห้องด้วยสีเอิร์ทโทน การแต่งห้องด้วยการใช้สีเอิร์ทโทน หรือ Earth Tone นอกจากช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายและรู้สึกสบายตาแล้ว การเลือกใช้วอลเปเปอร์สีโทนธรรมชาติ ลักษณะเอิร์ทโทน โดยเฉพาะสีเบจ (Beige) และสีเบจอมเทา (Greige) จะช่วยให้ห้องแลดูมีพื้นที่กว้างขวาง และสว่างมีชีวิตชีวาโดยไม่สะท้อนแสงไฟจนรบกวนสายตาเกินไป เหมาะกับช่วงเวลาที่ต้องใช้สมาธิและความสร้างสรรค์  ขณะเดียวกัน สีโทนนี้ยังเข้ากันได้กับอีกหลายโทนจึงง่ายต่อการตกแต่ง ช่วยขับให้เฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นภายในห้องพักดูโดดเด่น และยังสะดวกต่อการหามุมสำหรับ Video Conference 2.วางเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ชิดผนัง การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ให้ชิดผนังหรือเข้ามุม แล้วเปิดพื้นที่กลางห้องให้โล่ง มีทางเดิน จะช่วยให้ห้องดูโปร่ง เช่น วางโต๊ะทำงานชิดผนังห้อง เพื่อให้มีพื้นที่โล่งด้านหลัง ช่วยลดความรู้สึกอึดอัดขณะนั่งทำงาน และสะดวกต่อการถอยเก้าอี้  ทั้งนี้ ควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ที่มีดีไซน์เรียบง่าย มีทรงเหลี่ยมจะจัดวางได้ง่ายกว่าทรงอื่น รวมถึงการใช้เฟอร์นิเจอร์แนวสูงอย่างชั้นเก็บของแบบเข้ามุม จะช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บของได้มากขึ้น 3.เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แบบ Dual-purpose โครงการคอนโด ส่วนใหญ่มักติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ Built-in ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับขนาดห้องพัก อย่างตู้เสื้อผ้า เคาน์เตอร์ครัว หรือชั้นวางแบบติดผนัง แต่เฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ เช่น เตียง โต๊ะรับประทานอาหาร โต๊ะกลางหน้าโซฟา และโซฟา จะเป็นเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวซึ่งใช้พื้นที่ใช้สอยมากกว่า จึงควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แบบ Dual-purpose หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานได้มากกว่า 1 ฟังก์ชัน และเฟอร์นิเจอร์พับเก็บได้ อย่างเตียงที่มีลิ้นชักเก็บของ โซฟาเบด และเก้าอี้ที่สามารถเก็บของได้จะช่วยลดจำนวนเฟอร์นิเจอร์ในห้องและประหยัดพื้นที่ใช้สอย 4.กั้นห้องด้วยฉากโปร่งใส แม้พื้นที่ในห้องพักจะไม่เหมาะกับการแบ่งห้อง แต่หากต้องการจัดพื้นที่พักผ่อนในห้องนอนกับพื้นที่ทำงานแยกออกจากกัน ควรใช้ฉากกั้นแบบโปร่งใส ประตูกระจกบานเลื่อน ติดตั้งม่านที่สามารถเลื่อนเก็บได้ หรืออาจจะใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีลักษณะโปร่ง เช่น ชั้นวางของที่ไม่มีผนังทึบ ซึ่งยังสามารถมองเห็นบริเวณอื่นของห้องได้ ช่วยไม่ให้ห้องดูคับแคบจนเกินไป มอบความรู้สึกโล่งสบายขณะพักอาศัย 5.ติดกระจกเงาบานใหญ่ การนำกระจกเงาบานใหญ่ติดตั้งบนผนังห้องในมุมทำงานหรือมุมนั่งเล่น และเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์อย่างตู้เสื้อผ้าที่มีกระจกเงาตรงประตู และตู้เก็บอุปกรณ์ในห้องน้ำที่เป็นบานกระจก นอกจากจะใช้งานได้แบบ Dual-purpose แล้ว ยังช่วยสะท้อนภาพให้ห้องพักดูกว้างขึ้น   ถือเป็น 5 เทคนิคที่เชื่อว่าหากนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละห้อง ก็น่าจะช่วยทำให้ห้องที่เล็กมีพื้นที่จำกัด ดูกว้างขวางมากขึ้น และทำให้การทำงานจากที่บ้านเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ได้ทั้งงานได้ทั้งความสุขกันทุกคน
แสนสิริ  โชว์ผลงาน Q1 รายได้-กำไรโต  เดินหน้าต่อสู่เป้ายอดขาย-โอน 31,000 ล้าน

แสนสิริ โชว์ผลงาน Q1 รายได้-กำไรโต เดินหน้าต่อสู่เป้ายอดขาย-โอน 31,000 ล้าน

กลยุทธ์ Speed to Market  ดันผลงาน “แสนสิริ” ไตรมาสแรก ทำรายได้รวมโต 5% และทำกำไรได้กว่า 384 ล้าน ไตรมาส 2 เดินหน้าสร้างรายได้ต่อเนื่อง สู่เป้าหมายยอดขายและยอดโอนใหม่ทั้งปีหลังปรับเป็น 31,000 ล้าน   แสนสิริ รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ผ่านมาว่า มีรายได้รวมทั้งสิ้น 6,827 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 6,527 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีจำนวน 6,044 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12%  จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมามีจำนวน 5,383 ล้านบาท โดยกลุ่มสินค้าที่ส่งผลให้รายได้จากการขายอสังหาฯ เติบโต  คือ รายได้จากการขายโครงการมิกซ์โปรดักส์ จำนวน 621 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 274% และโครงการบ้านเดี่ยวจำนวน 3,272 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36%   แต่ขณะเดียวกันรายได้จากการขายโครงการทาวน์โฮม ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ มีจำนวน 493 ล้านบาท ลดลง18% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 1,659 ล้านบาท ลดลง 25% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา  ส่วนช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ​แสนสิริและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 384 ล้านบาท เติบโต 521% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 62 ล้านบาท นางสาววรางคณา อัครสถาพร ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า ด้วยกลยุทธ์ Speed to Market ส่งผลให้แสนสิริมีผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ดี  ภายใต้สถานการณ์โควิด-19  ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจในไตรมาสที่ 2 เตรียมโอนโครงการ XT ห้วยขวาง มูลค่า 7,000 ล้านบาท ที่มียอดขายแล้วกว่า 60% โดยกลุ่มลูกค้าต่างชาติมีการโอนล่วงหน้าแล้วถึง 60% โดยจะเริ่มเปิดการโอนในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ ซึ่งจะส่งผลให้แสนสิริมีรายได้จากการโอนในมือเพิ่มและสร้างยอดโอนได้ตามเป้าหมาย 31,000 ล้านบาท   ขณะที่ยอดโอนในช่วง​ 4 เดือนแรกของปีมีจำนวน​ 9,400 ล้านบาท และมียอดขาย 12,500 ล้านบาท ทำให้ต้องมีการปรับเพิ่มเป้ายอดขายและยอดโอนทั้งปีเป็น 31,000 ล้านบาท   นอกจากนี้ แสนสิริยังได้ประกาศการลงทุนใน บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XSpring Capital Public Company Limited (XPG) กลุ่มธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ผู้ให้บริการทางการเงินครบวงจรที่เชื่อมโลกการเงินปัจจุบันและโลกบริการทางการเงินดิจิทัลหรือ Digital Financial Service ไว้ด้วยกัน โดยแสนสิริเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งในสัดส่วน 15% ด้วยเงินลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่ง​ XSpring มีใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจ Digital Financial Service ในด้าน “บริการซื้อขายโทเคนดิจิทัลเต็มรูปแบบ” ผ่านบริษัท SE Digital (เอสอี ดิจิทัล) ในฐานะ ICO Portal ที่เสนอขายโทเคนดิจิทัลให้แก่นักลงทุน ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว
‘สิงห์ เอสเตท’  รายได้รวมลด 40% หลังขาย NVD  แต่ใช้เงินยังทำกำไร 70 ล้าน

‘สิงห์ เอสเตท’ รายได้รวมลด 40% หลังขาย NVD แต่ใช้เงินยังทำกำไร 70 ล้าน

สิงห์ เอสเตท ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2564 มีรายได้รวม 1,306 ล้าน ลดลง 40%  สาเหตุตัด “เนอวานา” ออกจากงบการเงินรวม และธุรกิจโรงแรมยังคงได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19  แต่ยังมีกำไรสุทธิ 70 ล้าน จากการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ได้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจร่วมทุน   บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 มีรายได้รวม 1,306 ล้านบาท ลดลง  40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้รายได้รวมดังกล่าวแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจที่พักอาศัย (Residential development)  486 ล้านบาท, ธุรกิจอาคารสำนักงาน (Commercial) 249 ล้านบาท, ธุรกิจโรงแรม (Hospitality) 544 ล้านบาท, และธุรกิจอื่น ๆ 27 ล้านบาท   อนึ่ง การลดลงของรายได้รวม 40% มีสาเหตุหลักจากธุรกิจโรงแรมที่ยังได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด และการตัดบริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) (“NVD”) ออกจากงบการเงินรวมของสิงห์ เอสเตท หลังจากธุรกรรมการขายเงินลงทุนใน NVD แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564 อย่างไรก็ดี ปัจจัยหน่วงทั้งสองรายการถูกชดเชยบางส่วนด้วยรายได้จากโครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส มูลค่าราว 360 ล้านบาท และรายได้เดือนมีนาคม 2564 ของ FS JV Co., Ltd. (“FS JV”) ซึ่งประกอบธุรกิจโรงแรมในสหราชอาณาจักรจำนวน 26 แห่ง ห้องพักรวม 2,886 ห้อง ภายใต้แฟรนไชส์แบรนด์ Mercure นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.​สิงห์ เอสเตท​ เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ผลประกอบการธุรกิจที่พักอาศัยยังคงเป็นไปด้วยดี การรับรู้รายได้และยอดโอนกรรมสิทธิ์เป็นไปตามคาดการณ์ โดยรายได้กว่า 74% มาจากโครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส สำหรับโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ยังคงมีการส่งมอบห้องชุดต่อเนื่องจากปลายปีที่แล้ว ทั้งนี้เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างสิงห์ เอสเตท กับฮ่องกง แลนด์ จึงทำให้รับรู้ผลประกอบการของโครงการภายใต้ส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าจำนวน 99 ล้านบาท ในส่วนของธุรกิจอาคารสำนักงาน สิงห์ เอสเตท สามารถปล่อยเช่าพื้นที่และต่อสัญญากับผู้เช่าเดิมที่สัญญาเช่าหมดอายุได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราปล่อยเช่าเฉลี่ยโดยรวมขยับขึ้นสู่ระดับ 90% ในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 อย่างไรก็ดี การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 ยังคงกดดันผลประกอบการของธุรกิจโรงแรม แต่สิงห์ เอสเตท ตระหนักถึงโอกาสในการลงทุน เพื่อต่อยอดธุรกิจและลดผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ในเวลาเดียวกัน โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 กลุ่มสิงห์ เอสเตท ได้เพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายเดียวใน FS JV ซึ่งประกอบธุรกิจโรงแรมในสหราชอาณาจักรจำนวน 26 แห่ง ห้องพักรวม 2,886 ห้อง ภายใต้แฟรนไชส์แบรนด์ Mercure ที่ผ่านมา FS JV สามารถสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ และช่วยจัดพอร์ตโรงแรมให้สมดุลขึ้นโดยการลดผลกระทบด้านฤดูกาล เนื่องจากมีฤดูกาลท่องเที่ยวที่แตกต่างจากโรงแรมส่วนใหญ่ของกลุ่มสิงห์ เอสเตท นอกจากนี้ การที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรเปิดให้เดินทางภายในประเทศได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดทั้งหมดในเดือนมิถุนายน ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญให้ FS JV ซึ่งมีฐานลูกค้าหลักเป็นนักท่องเที่ยวในประเทศ ฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่นตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป “ด้วยศักยภาพโรงแรมส่วนใหญ่ในพอร์ตของ FS JV ผนวกกับมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของรัฐบาลท้องถิ่นที่จะบังคับใช้ในระยะเวลาอันสั้น ทำให้การเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมใน FS JV ที่มูลค่ารายการ 13.75 ล้านปอนด์ในครั้งนี้ มีความเหมาะสมทั้งในด้านทรัพย์สิน เงื่อนเวลา และราคาที่เข้าลงทุน นอกจากนี้สิงห์ เอสเตท เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า FS JV จะเป็นทรัพย์สินชิ้นสำคัญที่ไม่ได้เป็นแค่แหล่งรายได้ใหม่เพื่อชดเชยรายได้จาก NVD ที่หายไปเท่านั้น แต่จะสามารถสร้างการเติบโตในระยะยาวได้อย่างมั่นคง”     อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้า 99 ล้านบาท จากการส่งมอบห้องชุดโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ตลอดจนรายการทางบัญชีอื่นๆ ที่ถูกบันทึกตามมาตรฐานการบัญชี สามารถชดเชยผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้ สิงห์ เอสเตท พลิกรายงานกำไรสุทธิ 70 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ซึ่งเป็นการรายงานกำไรครั้งแรกหลังจากรายงานผลขาดทุนสุทธิ 3 ไตรมาสต่อเนื่อง
ให้ต่างชาติซื้อบ้านอย่างไร ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ไทย

ให้ต่างชาติซื้อบ้านอย่างไร ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ไทย

นับตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้ว ที่รัฐบาลมีนโยบายการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็น “บ้านหลังที่สอง” ของชาวต่างชาติ  ด้วยการส่งเสริมให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ของไทย (Freehold) และ/หรือเช่าระยะยาว (Leasehold) ให้เพิ่มมากขึ้น ทั้งกลุ่มที่ต้องการเข้ามาซื้อเพื่อเป็นทรัพย์สิน กลุ่มนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศ หรือแม้แต่กลุ่มผู้เกษียณอายุแล้ว ให้เข้ามาพำนักระยะยาวในประเทศไทย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังในการใช้จ่ายเงินสูงจากเงินบำนาญ มีเงินเก็บออม และมีประกันสุขภาพจากรัฐสวัสดิการ   โดยรัฐบาลจะมีการแก้กฎหมาย กฎเกณฑ์ และระเบียบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คนต่างชาติมาซื้อ และ/หรือเช่าระยะยาวอสังหาฯ  ได้สะดวกขึ้น ผ่านแนวทางเชิงนโยบาย 3 เรื่องหลัก ๆ คือ 1.ขยายเพดานสัดส่วนกรรมสิทธิ์ซื้อห้องชุด เป็น 70-80% จากปัจจุบัน 49% 2.ปลดล็อกต่างชาติซื้อบ้านพร้อมที่ดิน ระดับราคา 10-15 ล้านบาทขึ้นไป   3.กำหนดให้นักลงทุนต่างชาติทำสัญญาเช่าได้สูงสุด 30 ปี จะมีการขยายเพิ่มเป็น 50 ปี และต่อได้อีก 40 ปี ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นยูนิตงานกลางข้อมูลด้านอสังหาฯของประเทศไทย ที่มีฐานข้อมูลที่อยู่อาศัยมากที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดในปัจจุบัน ได้นำข้อมูลเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่สะท้อนภาวะของการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ของคนต่างชาติ (Freehold) และข้อมูลการเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวของคนต่างชาติ (Leasehold) มาสรุปภาวะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เห็นเงื่อนไขสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ต่างชาติซื้อคอนโดสัดส่วน 80% จำเป็นในบางพื้นที่ ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ​จากข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) ทั่วประเทศ พบว่า ในช่วงปี 2561 – 2563 มีชาวต่างชาติ​โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด 3 ปีสะสมรวมประมาณ 34,651 ยูนิต  มูลค่า 145,577 ล้านบาท​ หรือเฉลี่ยมียอดโอนกรรมสิทธิ์ปีละ 11,550 ยูนิต  มูลค่า 48,526 ล้านบาท ​​   โดยยังพบว่า ทำเลที่ชาวต่างชาติมียูนิตโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด อยู่ใน 5 จังหวัด ดังนี้ คือ จังหวัดชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ซึ่งทั้ง 5 จังหวัด มีสัดส่วนคอนโดที่โอนกรรมสิทธิ์รวมกันถึง 96.2% ยูนิตโอนกรรมสิทธิ์คอนโด​ของคนต่างชาติทั้งประเทศ  จังหวัดชลบุรีที่มีสัดส่วนโอนกรรมสิทธิ์คอนโดสูงสุด 30.3% รองลงมาคือ เชียงใหม่ 18.5%,  ภูเก็ต 17.0%, กรุงเทพฯ 7.8% และสมุทรปราการ 6.3% สำหรับจังหวัดอื่นที่ไม่ได้ยกขึ้นมาแสดง มีสัดส่วนในยูนิตกรรมสิทธิ์ห้องชุดน้อยมากอย่างไม่มีนัยสำคัญ แต่ในภาพรวมสัดส่วนในยูนิตกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติทั้งประเทศ ในช่วงปี 2561 – 2563 มีเพียง 9.0% หรือมีสัดส่วนมูลค่าเท่ากับ 14.7%​ เท่านั้น ขณะเดียวกันหากมองในด้านราคาคอนโดที่ต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์  จะพบว่า  ราคาคอนโดที่คนต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด จะมีระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยมีสัดส่วน 77.6%  แต่สัดส่วนในการเป็นเจ้าของคอนโดมีเพียง 7.7% เท่านั้น  แต่ขณะที่คอนโดในราคาเกินกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งมียูนิตที่ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์รวมกันเพียง 22.4% กลับมีสัดส่วนการเป็นเจ้าของในยูนิตคอนโดนสูงกว่า โดยมีประมาณ 20.0% ข้อมูลข้างต้นได้สะท้อนประเด็นสำคัญ 3 ประเด็นสำคัญ คือ   1.ในช่วงที่ผ่านมาชาวต่างชาติมีความสนใจที่จะซื้อห้องชุดในบางพื้นที่เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเมืองศูนย์กลางทางภูมิภาค เมืองขนาดใหญ่ และเมืองท่องเที่ยว   2.ในภาพรวมอัตราส่วนยูนิตที่เป็นเจ้าของคอนโด​ ของคนต่างชาติน่าจะยังต่ำกว่า 49% ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่อาจมีคอนโดในบางพื้นที่ อาจเป็นที่ต้องการของคนต่างชาติมาก จึงทำให้มีความต้องการเป็นเจ้าของคอนโดมากกว่า 49% ตามที่กฎหมายกำหนด ​   3.คอนโดที่คนต่างชาติซื้อส่วนใหญ่ซื้อในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นระดับที่สอดคล้องกับกำลังซื้อของคนไทยส่วนใหญ่ แต่ด้วยคอนโดประเภทนี้ มีจำนวนมากในตลาด จึงทำให้สัดส่วนยูนิตที่ต่างชาติเป็นเจ้าของมีไม่ถึง 10% ขณะที่ระดับราคาเกินกว่า 5 ล้านบาท มีสัดส่วนประมาณ 20% ส่งผลให้ในโดยภาพรวมทุกระดับราคาของคอนโด  ชาวต่างชาติยังเป็นเจ้าของคอนโดในสัดส่วนยังต่ำกว่า 49% ตามที่กฎหมายกำหนด จากประเด็นที่กล่าวมาข้างต้นทำให้เห็นข้อสังเกตได้ว่า การขยายสัดส่วนในยูนิตกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้กับคนต่างชาติ ให้สามารถมีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ได้มากกว่า 49% นั้น อาจจะมีความจำเป็นเพียงในบางพื้นที่เท่านั้น และระดับราคาที่ควรส่งเสริมให้เพิ่มสัดส่วนให้สูงขึ้นควรเป็นห้องชุดระดับราคามากกว่า 5 ล้านบาท เพื่อป้องกันไม่ให้ห้องชุดระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทถูกซื้อไปโดยคนต่างชาติมากเกินควร นอกจากนี้ หากมีการเพิ่มสัดส่วนในกรรมสิทธิ์คอนโดสำหรับคนต่างชาติให้มากกว่า 49% แล้ว ควรคำนึงถึงการใช้ชีวิตของคนไทยในคอนโด​ ให้สอดคล้องตามบรรทัดฐานทางสังคมและวัฒนธรรมของไทย โดยผ่านการกำหนดสิทธิในการโหวต (Voting Right) ในนิติบุคคลคอนโดของเจ้าของร่วม ที่ควรให้ชาวต่างชาติมีสิทธิในการโหวตน้อยกว่าเจ้าของร่วมที่เป็นคนไทย แนะให้สิทธิ์ต่างชาติซื้อบ้าน-ที่ดินเกิน 15 ล้าน สำหรับแนวทางเชิงนโยบายในเรื่องการเปิดให้คนต่างชาติ สามารถซื้อและมีกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินนั้น ในปัจจุบันยังไม่ปรากฏข้อมูลที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากกฎหมายยังคงจำกัดสิทธิของคนต่างชาติในการถือครองกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินอย่างมาก แต่ยังมีข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการว่า คนต่างชาติบางรายมีการใช้ตัวแทน (Nominee) ในการถือครองกรรมสิทธิ์แทน หรือ อาจถือในนามนิติบุคคลที่มีชาวต่างชาติถือหุ้นอยู่   ดังนั้น หากประเทศไทยเปิดโอกาสให้คนต่างชาติเข้ามามีกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินแล้ว ก็คาดว่าน่าจะมีคนต่างชาติที่ต้องการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินพอสมควร เนื่องจากราคาบ้านและที่ดินในประเทศไทยยังคงมีราคาต่ำกว่าในหลายประเทศมาก และบางประเทศกรรมสิทธิ์ในที่ดินยังเป็นของรัฐ   ทั้งนี้ อาจต้องพิจารณากำหนดให้คนต่างชาติเข้ามาซื้อและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินในบ้านที่มีราคาสูงกว่า 15 ล้านบาทขึ้นไป เนื่องจากในปัจจุบันผู้ซื้อชาวไทยส่วนใหญ่ประมาณ 90% เป็นบ้านจัดสรรในระดับราคาไม่เกิน 15 ล้านบาท ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบในเรื่องของราคาบ้านปรับตัวขึ้นเร็วเกินไป ขยายระยะเวลาเช่า 90 ปีดึงชาวต่างชาติ นอกจากนี้ ควรการกำหนดสิทธิในการโหวต ของคนต่างชาติในนิติบุคคลบ้านจัดสรร ให้มีได้ไม่เกิน 49% เพื่อให้เจ้าของร่วมที่เป็นคนไทย สามารถมีสิทธิในการกำหนดกฎระเบียบ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในชุมชนให้สอดคล้องกับบรรทัดฐานทางสังคมและวัฒนธรรมตามบริบทของสังคมไทย   อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาคนต่างชาติ ยังมีรูปแบบการครอบครองที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโด​ บ้านและที่ดินในประเทศไทย ด้วยการมีสิทธิ์ในการครอบครองที่อยู่อาศัย แบบการทำสัญญาเช่าระยะยาว หรือ  Leasehold ซึ่งตามกฎหมายที่ดินปัจจุบันกำหนดให้สามารถเช่าได้ไม่เกิน 30 ปี และสามารถต่ออายุได้รอบละ 30 ปี แต่ในทางปฏิบัติมักมีการทำสัญญาต่ออายุไว้เลยอีก 2 รอบ รวมเป็น 90 ปี ซึ่งที่ผ่านมามีคนต่างชาติที่ให้ความสนใจในรูปแบบนี้มีจำนวนไม่มากนัก ดังจะเห็นได้ว่าชาวต่างชาติที่มีการทำสัญญาเช่าระยะยาวในระหว่างปี 2561 – 2563 สะสมรวมทั้งหมด 1,483 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 5,390 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 494 ยูนิต มูลค่า 1,797 ล้านบาท   โดยแบ่งเป็นคอนโดจำนวน 1,280 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 4,503 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 427 ยูนิต มูลค่า 1,501 ล้านบาท บ้านและที่ดิน 203 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 888 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 68 ยูนิต มูลค่า 296 ล้านบาท ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ตลาดการเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวในช่วงที่ผ่านมาจึงมีขนาดเล็กมาก ซึ่งส่วนใหญ่ประมาณ 93.4% อยู่ในเมืองท่องเที่ยว คือ ภูเก็ต 78.8% ชลบุรี 10.3% และเชียงใหม่ 6.3%   ขณะที่สัญชาติของคนต่างชาติที่เข้ามาเช่าระยะยาว ที่โดดเด่นมี 2 สัญชาติ คือ รัสเซีย ที่มีสัดส่วนการเช่าถึง 43.2% ของการเช่าทั้งหมด และ จีน มีสัดส่วนการเช่าถึง 23.5% ของการเช่าของคนต่างชาติทั้งหมด ซึ่งนิยมเช่าคอนโดมากกว่าประเภทแนวราบ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ตลาดการเช่าระยะยาวปัจจุบันยังมีขนาดเล็กมาก ซึ่งอาจเป็นผลจากระยะเวลาในการให้เช่ามีเพียง 30 ปี และสามารถต่อคราวละ 30 ปี อาจยังไม่จูงใจให้คนต่างชาติเข้ามาเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวในประเทศไทย ดังนั้น หากขยายเวลาเช่าระยะยาวออกเป็น 50 ปี และต่อได้อีก 40 ปี ก็น่าจะสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจของต่างชาติมากขึ้น และถือเป็น Lifetime Tenant หรือ สิทธิ์ในการอยู่อาศัยต้นในชั่วชีวิตของคนเช่า เพราะชาวต่างชาติอาจกังวลว่าการต่อสัญญาอาจมีความไม่แน่นอนในการปรับราคาขึ้นของที่ดิน หรือ การเปลี่ยนแปลเงื่อนไขการเช่า หรือ เจ้าของต้องการใช้ที่ดินในลักษณะอื่น เป็นต้น ฉะนั้น ถ้าชาวต่างชาติสามารถเช่าได้ถึง 90 ปี ด้วยการการทำสัญญา 2 ครั้ง แทนที่จะเป็น 3 ครั้ง เท่ากับสามารถลดความเสี่ยงไปได้ 1 ใน 3 เร่งแก้โควิด-19 กระตุ้นตลาดต่างชาติ จากข้อมูลต่าง ๆ ข้างต้น ถ้านโยบายเหล่านี้สามารถทำได้จริง ก็จะเป็นผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างมาก เพราะเป็นนโยบายที่สามารถสร้างความต้องการ (Demand) ใหม่ ๆ จากต่างประเทศ แต่เนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยต่างชาติในปัจจุบัน ยังมีสัดส่วนค่อนข้างน้อยเพียงประมาณ 10% ของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยทั้งหมด และยังมีอุปสรรคในการขยายฐานจำนวนลูกค้ากลุ่มนี้ เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ชาวต่างชาติอาจขาดแรงจูงใจในการซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ซึ่งคาดว่านโยบายนี้จะช่วยสร้างแรงซื้อที่อยู่อาศัยของคนต่างชาติ ซึ่งเป็นเหมือนนโยบายเสริมในการช่วยฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยนโยบายเหล่านี้อาจไม่ได้ส่งผลบวกอย่างเป็นรูปธรรมทันที แต่น่าจะส่งผลในเชิง Sentiment และการวางแผนทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการในอนาคตได้อย่างดี   การดำเนินนโยบายเหล่านี้จะต้องชัดเจนในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่จะแก้ไขด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ รวมถึงการกำหนดไทม์ไลน์สำหรับดำเนินการให้ชัดเจน โดยปัจจัยที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในความสำเร็จของนโยบายนี้คือ การควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และสามารถเร่งเปิดประเทศเพื่อรับชาวต่างชาติเข้าประเทศให้เร็วที่สุด เพื่อให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจการค้า การประชุมสัมมนา การจัดนิทรรศการ และการท่องเที่ยว เพื่อให้อสังหาริมทรัพย์ของไทยได้รับสนใจคนต่างชาติดังเช่นที่ผ่านมา เนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของสิ่งเหล่านี้ในภูมิภาคอาเซียนนี้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคนไทยยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอยู่มาก การขยายสิทธิ์ในการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยให้แก่คนต่างชาติ ทั้งการเพิ่มอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดให้กับคนต่างชาติ หรือ การอนุญาตให้คนต่างชาติสามารถมีกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดิน หรือ การขยายเวลาเช่าระยะยาวออกเป็น 50 ปี และต่อ 40 ปี นั้น จึงควรจะต้องพิจารณาในจุดที่มีความเหมาะสม โดยอาจพิจารณากำหนดให้มีการขยายสิทธิ์ในการครอบครองที่อยู่อาศัยให้แก่คนต่างชาติในบางพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ศูนย์กลางธุรกิจและพาณิชยกรรม เช่น กรุงเทพฯ EEC เชียงใหม่ และภูเก็ต เป็นต้น และ ที่อยู่อาศัยในระดับราคา เกินกว่า 15 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่มีกระทบน้อยมากต่อผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย          
เอสซี แอสเสท  ลุย Q2 เปิดบ้านแนวราบ 1,145 ล้าน  เดินหน้ารักษาแชมป์บ้านเดี่ยว

เอสซี แอสเสท ลุย Q2 เปิดบ้านแนวราบ 1,145 ล้าน เดินหน้ารักษาแชมป์บ้านเดี่ยว

เอสซี แอสเสท  ทำผลงานไตรมาสแรก เติบโตทั้งรายได้และกำไร พร้อมรักษาแชมป์ตลาดบ้านเดี่ยว ครองส่วนแบ่ง 15% ลุยต่อไตรมาส 2 เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ 1,145 ล้าน   นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำรายได้​รวม 3,955.66 ล้านบาท  เติบโต 20.16% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมาจากรายได้จากการดำเนินงานแบ่งเป็นรายได้จากการขาย 95%  และรายได้จากการเช่าและบริการ 5% พร้อมกำไรสุทธิ  416.81 ล้านบาท เติบโต 39% จากปีที่ผ่านมามีกำไร 300.61 ล้านบาท   โดยรายได้จากการขายทั้งหมดมีจำนวน 3.738.84 ล้านบาท ​แบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ จำนวน 3,237.03 ล้านบาท เติบโต 77% และโครงการคอนโดมิเนียม 501.81 ล้านบาท ลดลง 59.62% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีรายได้ค่าเช่าและบริการ คิดเป็นจำนวน 198.96 ล้านบาท ลดลง 1.33% และรายได้จากค่าที่ปรึกษาและการจัดการ จำนวน 17.86 ล้านบาท ลดลง 5.45% ขณะที่ไตรมาสแรกมียอดขายรวม 5,700 ล้านบาท เติบโต 188% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งประกอบด้วย ยอดขายแนวราบ 4,606 ล้านบาท เติบโต 123% และยอดขายคอนโดฯ 1,094 ล้านบาท เติบโต 1381% โดยในส่วนการเติบโตของยอดขายคอนโดมาจาก ​โครงการระดับ Luxury segment ราคามากกว่า 300,000 บาทต่อตร.ม. ของบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 26% และเป็นอันดับ 1 ของตลาด  พร้อมกับโครงการคอนโดเปิดใหม่ สโคป พร้อมศรี บนทำเลสุขุมวิท 49 มียอดจองแล้ว 45 %   ส่วนตลาดบ้านเดี่ยว ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาด ด้วยส่วนแบ่งตลาด 15% จากข้อมูลตลาดบ้านเดี่ยวในกรุงเทพ-ปริมณฑลของ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด หรือ AREA ​โดยเป็นผลจากบ้านการเติบโตของยอดขายบ้านเดี่ยวใน 3 กลุ่มหลัก คือ   1.บ้านราคามากกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของบริษัท ที่มีอัตราเติบโตประมาณ 4 เท่า หรือเติบโต268% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.บ้านระดับราคา 5-20 ล้านบาท​ มีการเติบโตประมาณ 2 เท่า หรือเติบโต 113% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.บ้านระดับราคาน้อยกว่า 5 ล้านบาท เติบโต 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน บ้านเดี่ยวของเราเติบโตทุกราคาและทำให้บริษัทเติบโตทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรสุทธิ   ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของการประกาศแผนธุรกิจและการรุกสู่แบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 จากช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์และหนี้สินรวม 44,846 ล้านบาท และ 25,744 ล้านบาทตามลำดับ โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน 1.35 และมีสภาพคล่องแข็งแกร่งปัจจุบันมีเงินสดพร้อมวงเงินพร้อมเบิกมากกว่า 10,000 ล้านบาท เตรียมจ่ายปันผล 0.18 บาท/หุ้น ในวันที่ 20 พ.ค. นี้   สำหรับความคืบหน้าของแผนเปิดแนวราบ  จำนวน  8 โครงการ มูลค่าโครงการ  9,000 ล้านบาท ไตรมาส 2 นี้พร้อมเปิดจอง 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม  1,145 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด  ซิกเนเจอร์  เพชรเกษม-ปิ่นเกล้า บ้านหรูบนที่ดินขนาดใหญ่ 100 ตร.ว.ขึ้นไป ราคา​ 20-30 ล้านบาท  ทำเลอยู่ใกล้เดอะมอลล์บางแค 2.โครงการเวิร์คเพลส สายไหม-พหลโยธิน ราคา 7-20 ล้านบาท ทำเลใกล้ทางด่วนจตุโชติ และทางด่วนฉลองรัช   โดยในไตรมาส 2 บริษัทมีโครงการที่เปิดขายทั้งหมด จำนวน 57 โครงการ มูลค่าคงเหลือเพื่อขายรวมกว่า40,560 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 47 โครงการ และคอนโด 10 โครงการ              
“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์”  เตรียมปลดล็อกคนอยากมีบ้าน  เดินหน้าธุรกิจใหม่ Healthscape เพิ่มรายได้

“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” เตรียมปลดล็อกคนอยากมีบ้าน เดินหน้าธุรกิจใหม่ Healthscape เพิ่มรายได้

“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” โชว์ผลงานไตรมาสแรกกวาดรายได้กว่า 1,254 ล้านบาท แต่ทนพิษโควิด-19 ไม่ไหวส่งผลให้การดำเนินงานขาดทุน 27.88 ล้าน  เดินหน้าลุยธุรกิจไตรมาส 2 เตรียมมาตรการด้านการเงิน ปลดล็อกช่วยคนอยากมีบ้าน หวังสร้างรายได้ต่อเนื่อง พร้อมขยายธุรกิจใหม่​ Healthscape รับรู้รายได้ปลายปี   นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมทุกประเภทธุรกิจอยู่ที่ 1,254 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ในโครงการที่อยู่อาศัยกว่า 92%  ซึ่งเป็นโครงการที่ทยอยโอนอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา อาทิ โครงการเมทริส พระราม 9-รามคำแหง, เมทริส ลาดพร้าว, มารุ เอกมัย 2 และมารุ ลาดพร้าว 15 ช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทายของทุกบริษัทอีกครั้ง กับการเผชิญกับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ระลอก 2 โดยเฉพาะในช่วงต้นไตรมาส เราถือเป็นบริษัทแรกๆ ที่ปรับตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงโครงการที่อยู่อาศัยได้สะดวก ผ่านช่องทางออนไลน์ ประกอบกับการรักษากระแสเงินสดของบริษัทให้พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ 5 ปัจจัยทุบเมเจอร์ฯ ขาดทุน สำหรับรายได้รวมในไตรมาสแรกของปีนี้ หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ถือว่ามีรายได้ลดลง 36.90% ซึ่งช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 1,987.74  ล้านบาท ขณะที่ช่วงไตรมาสแรกปีนี้บริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 27.88 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 198.43 ล้านบาท ซึ่งผลประกอบการ ในไตรมาส 1/2564 ขาดทุนมาจากปัจจัยหลักดังนี้ ​ 1.รายได้การขายลดลง 36.46% รายได้จากการขายในไตรมาส 1/2564 จำนวน 1,159.37 ล้านบาท ลดลง 665.37 ล้านบาท หรือลดลง 36.46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 1,824.74 ล้านบาท ลดลง ​การโอนกรรมสิทธิ์ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาส 1/2564 ไม่มีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในขณะที่ไตรมาส1/2563 มีการเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการเมทริส พระรามเก้า - รามคาแหง ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 2.รายได้กิจการโรงแรมลดลง 74.54% รายได้จากกิจการโรงแรมในไตรมาส1/2564 จำนวน​ 16.15 ล้านบาท ลดลง 47.29 ล้านบาท หรือลดลง 74.54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 63.44 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 3.รายได้ค่าเช่าลด 9.23% รายได้ค่าเช่าในไตรมาส 1/2564 จำนวน 22.22 ล้านบาท ลดลง 2.26 ล้านบนาท หรือลดลง 9.23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ค่าเช่า จานวน 24.48 ล้านบาท เนื่องจากจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 4.ขาดทุนจากโครงการร่วมทุน ในไตรมาส 1/2564 มีส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้า จำนวน 10.24 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีส่วนแบ่งกาไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้า จำนวน 30.57 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้การโอนกรรมสิทธิ์​ในโครงการร่วมทุน ลดลง โดยในไตรมาส 1/2564 มีการโอนกรรมสิทธิ์จานวน 118 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาส 1/2563 มีการโอนกรรมสิทธิ์ 282 ล้าน บาท 5.ต้นทุนการเงินเพิ่ม ต้นทุนทางการเงินในไตรมาส1/2564 เพิ่มสูงขึ้นเป็นเงิน 171.67 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีต้นทุนทางการเงิน 121.14 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 50.53 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น ​41.71% จากการรับรู้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ในโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะมีการบริหารจัดการในด้านอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น แต่ไม่เพียงพอต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้รายได้ลดลงได้ ไม่ว่าจะเป็น   -รายได้จากค่าบริหารจัดการ จากการรับบริหารงานนิติบุคคล แก่​บุคคลภายนอก ที่ในไตรมาส 1/2564 เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 25.59 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีรายได้ค่าบริหารจัดการ จำนวน 20.98 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอัตรา​ 21.97%   -การบริหารต้นทุนขายในไตรมาส 1/2564 ให้มีสัดส่วนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยปีนี้มีต้นทุนขายจำนวน 711.97 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 61.41% ของรายได้จากการขาย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีต้นทุน 1,108.50 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 60.75% ของรายได้จากการขาย จาก โปรโมชั่น การลดราคา และการส่งเสริมการขายในโครงการพร้อมอยู่   - ต้นทุนจากกิจการโรงแรมในไตรมาส 1/2564 จำนวน 29.12 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีต้นทุน 48.93 ล้านบาท ลดลง 19.81 ล้านบาท หรือลดลง 40.49% ตามยอดรายได้ที่ลดลง   - ค่าใช้จ่ายในการขายในไตรมาส 1/2564 จำนวน 182.99 ล้านบาท เปรียบเทียบไตรมาส 1/2563 ที่มีค่าใช้จ่ายในการขาย 281.28 ล้านบาท ลดลง 98.29 ล้านบาท หรือลดลง 34.94% จากการลดลงของการโอนกรรมสิทธิ์   - ค่าใช้จ่ายในการบริหารในไตรมาส 1/2564 จำนวน 131.74 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีค่าใช้จ่ายใน การบริหาร จานวน 192.91 ล้านบาท ลดลง 61.17 ล้านบาท หรือลดลง 31.71% ส่วนใหญ่ลดลงจากค่าใช้จ่ายพนักงาน เตรียมมาตรการปลดล็อกคนอยากมีบ้าน สำหรับสถานการณ์ในไตรมาส 2 ปี 2564 ตลาดยังคงเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ระลอกที่ 3 และอาจเกิดภาวะผิดปกติครั้งใหม่ หรือ New Abnormal คล้ายคลึงกับสถานการณ์ช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 ที่เกิดสงครามราคามากกว่าระดับปกติ (Abnormal Price War) และเป็นช่วงเวลาที่ผู้บริโภคใช้เวลาพิจารณาตัดสินใจซื้อมากกว่าปกติ ผู้พัฒนาโครงการจำเป็นต้องออกมาตรการช่วยเหลือผู้บริโภคที่ไม่ใช่ราคาที่ถูกที่สุด แต่เป็นราคาและมาตรการช่วยเหลือที่เข้าใจผู้บริโภคที่สุด เพื่อให้กระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้อย่างตรงจุด สร้างยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้เจรจาร่วมกับพันธมิตรทางการเงินในการออกมาตรการปลดล็อค เพื่อคนอยากมีบ้าน ประกอบด้วย การให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงินสำหรับการกู้ซื้อบ้าน, ช่วยลดภาระการผ่อนชำระนานสูงสุด 2 ปี, โปรแกรมเช่าพร้อมเข้าอยู่ก่อนโอนในโครงการเมเจอร์ฯ เป็นระยะเวลา 2 ปี, พร้อมรับฟรีความคุ้มครองที่ครอบคลุมจากทิพยประกันภัย เมื่อซื้อโครงการจากเมเจอร์ฯ และรับสิทธิ์ผ่อน 0% สำหรับเงินจองและเงินทำสัญญา นาน 6 เดือน เป็นต้น คาดว่าจะเริ่มใช้มาตรการดังกล่าวได้ในช่วงกลางเดือน พ.ค.นี้   ทั้งนี้ บริษัทมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่จะทยอยรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 2 นี้ เป็นต้นไป มูลค่า 5,463 บาท พร้อมทั้งยังมีโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ ในเดือนพฤษภาคมนี้ คือ โครงการเมทริส พัฒนาการ-เอกมัย สูง 29 ชั้น จำนวน 341 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท   นอกจากการทำกลยุทธ์ด้านการตลาดแล้ว เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ยังคงเดินหน้าสู่การเป็นผู้พัฒนารูปแบบการใช้ชีวิต (Lifescape Developer) และขยายพอร์ตสู่กลุ่มธุรกิจใหม่ (Business Diversification) คือกลุ่ม Healthscape  อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ และก้าวเข้าสู่ธุรกิจที่จะสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในระยะยาว โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่ในช่วงปลายปี 2564 พร้อมกับการเปิดตัวโครงการใหม่ตามแผนทั้ง 5 โครงการ มูลค่ารวม 11,300 ล้านบาท นำร่องด้วยโครงการบ้านเดี่ยว Malton Gates กรุงเทพกรีฑา มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท
อนันดาฯ เผยผลงาน Q1/64  ทำยอดขายกว่า 3,979 ล้านบาท  แต่กำไรธุรกิจหลักเหลือ 38.8 ล้าน

อนันดาฯ เผยผลงาน Q1/64 ทำยอดขายกว่า 3,979 ล้านบาท แต่กำไรธุรกิจหลักเหลือ 38.8 ล้าน

อนันดา เผยยอดขายไตรมาสแรก ปี 2564 สูงกว่าเป้าหมาย 17% อยู่ที่ 3,979 ล้าน ขณะที่ทำกำไรจากธุรกิจหลักได้ 38.8 ล้าน ​ส่วนรายได้รวมทำได้กว่า 1,046 ล้าน ลดลงกว่า 31% แต่ยังคงมั่นใจทำยอดโอนทั้งปีได้ตามเป้ากว่า 16,000 ล้าน   นายเสริมศักดิ์ ขวัญพ่วง ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรก ปี 2564 มียอดโอนทั้งหมด 3,059 ล้านบาท และมีสัดส่วนยอดโอนจากลูกค้าชาวต่างประเทศใกล้เคียงจากปีก่อนที่ระดับ 21% ขณะที่มียอดขายรวม 3,979 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเป้าหมาย 17% ที่ระดับ 3,393 ล้านบาท จากโครงการพร้อมอยู่ที่ความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์มีอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่มีสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ตาม แม้ว่าช่วงเดือนมกราคม และมีนาคมที่ผ่านมา มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยทั้งประเทศในวงกว้าง แต่บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานในส่วนยอดขาย และยอดโอนเป็นที่น่าพึงพอใจ พร้อมปิดการขาย 100% ในโครงการไอดีโอ โมบิ อโศก มูลค่าโครงการกว่า 3,200 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นดำเนินธุรกิจหลัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน พร้อมทั้งลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 381 ล้านบาท ลดลงถึง 17% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ในไตรมาสแรกนี้ บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคา หรือ EBITDA จากการดำเนินงานของธุรกิจหลัก กว่า 225 ล้านบาท กำไรธุรกิจหลักทำได้แค่ 38.8 ล้าน อย่างไรก็ตาม จากการชี้แจงผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสแรก ปี 2564 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสำหรับปีจากการดำเนินงานในธุรกิจหลัก เป็นจำนวน 38.8 ล้านบาท ลดลงเป็นจำนวน 336.2 ล้านบาท หรือ 89.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากไตรมาสแรกของปี 2563 มีการบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท พีระ เซอร์กิต วัน จำกัด และบริษัท พรีระ คาร์ท จำกัด จำนวน 356.5 ล้านบาท สอดคล้องกับเป้าหมายในการลดสัดส่วนธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก และเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจหลักของบริษัท ซึ่งในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรที่เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นจำนวน 5.5 ล้านบาท   ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้า มีจำวน 155.3 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันนของปีก่อนหน้าเป็นจำนวน 4.2 ล้านบาท หรือ 2.6%  โดยปีที่ผ่านมาได้เริ่มมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ 7 โครงการ ได้แก่ โครงการเอลลิโอ เดล เนสท์, ไอดีโอ คิว วิคตอรี่,​แอชตัน อโศก-พระราม 9, ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36, ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์, ไอดีโอ รัชดา-สุทธิสาร และเอลลิโอ สาทร-วุฒากาศ รายได้รวม Q1 ลดลง เหลือกว่า 1,046.5 ล้าน นอกจากนี้ ในส่วนของรายได้รวมไตรมาสแรก บริษัทมีจำนวน 1,046.5 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นจำนวน 475.2 ล้านบาท หรือลดลง 31.2% โดยมีสาเหตุหลักมาจากในไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา มีการบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท พีระ เซอร์กิจ วัน จำกัด และบริษัท พีระ คาร์ท จำกัด จำนวน 356.5 ล้านบาท และในปัจจุบันบริษัทมีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ ผ่านการร่วมทุนในกิจการร่วมค้า ซึ่งมีการรับรู้เป็นส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้า   นายเสริมศักดิ์  กล่าวอีกว่า ในปี 2564 นี้ถือเป็นอีกปีที่ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อรองรับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงรับมือกับความเสี่ยง และความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยที่วัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 จะเป็นความหวังของชาวไทย และต่างประเทศ ทำให้การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวและกำลังซื้อจากลูกค้าชาวต่างชาติโดยเฉพาะลูกค้าชาวจีนที่มีความต้องการซื้อสูง จะเป็นตัวช่วยให้แนวโน้มและความมั่นใจกลับมาดีขึ้น และเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงทุกอย่างก็จะกลับสู่ภาวะปกติ ยืนเป้าโอนทั้งปีกว่า 1.6 หมื่นล้าน สำหรับแผนธุรกิจในปี 2564 บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าหมายยอดโอน 16,008 ล้านบาท และยอดขาย 18,570 ล้านบาท พร้อมเตรียมเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 24,422 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพ ใกล้รถไฟฟ้า ได้แก่ ทำเลทองหล่อ สุรวงศ์ สะพานควาย สุขุมวิท 38 และลำสาลี พร้อมแนวคิดใหม่ ดีไซน์การออกแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์วิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่ และในเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทฯประกาศความร่วมมือกับ Bitkub  เพื่อการนำคริปโทเคอร์เรนซี่ มาใช้สำหรับการซื้อบ้านและคอนโดจากอนันดา ซึ่งอนันดาเป็นบริษัทในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกในประเทศไทย ที่อำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการซื้อเพิ่มมากขึ้นในการนำคริปโทเคอร์เรนซี่มาใช้ด้านการชำระเงิน   ณ สิ้นไตรมาส 1 บริษัทฯ ยังคงรักษาเงินสดรวมโครงการร่วมทุนเกินกว่า 10,000 ล้านบาท ทั้งยังได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายสามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ และมีเป้าหมายในการรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนไว้ภายใต้เป้าหมายระยะยาวที่ 1:1 สำหรับในเดือนพฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท เพื่อชำระคืนตามสิทธิหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ครั้งที่ 1/2559
เอพี ไทยแลนด์  เดินหน้าทำรายได้-กำไร Q1/64 โต  ได้แรงส่งบ้านพร้อมขาย-การจัดการเงิน​สด           

เอพี ไทยแลนด์ เดินหน้าทำรายได้-กำไร Q1/64 โต ได้แรงส่งบ้านพร้อมขาย-การจัดการเงิน​สด           

เอพี ไทยแลนด์  เผยตัวเลขไตรมาสแรกปี 64 ทำรายได้รวมกว่า 10,770 ล้านบาท มีกำไรสุทธิกว่า 1,400 ล้านบาท ด้วยแรงส่งจากสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมพร้อมขายในทุกทำเล ขณะที่มีแบ็คล็อกเตรียสร้างรายได้รวม 33,700 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 1,650 ล้านเดือนมิถุนายนนี้​   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท  เอพี ไทยแลนด์ จำกัด​ (มหาชน) หรือ AP เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้รวมสูงถึง 10,770 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า   ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 6,820 ล้านบาท  และมีกำไรสุทธิกว่า 1,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 127% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 618 ล้านบาท ทั้งนี้ วิกฤตการแพร่ระบาดยังคงสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจอย่างไม่สิ้นสุด หลายคนมองว่าปีที่ผ่านมาดำเนินธุรกิจด้วยความยากลำบากแล้ว แต่จากสถานการณ์ระบาดรอบใหม่นี้สะท้อนได้อย่างชัดเจนถึงความยากลำบากและความท้าทายที่รออยู่อีกมาก   สำหรับทางรอดของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  นอกจากการบริหารจัดการความพร้อมภายในองค์กรรวมถึงงบกระแสเงินสดแล้ว การมีสินค้าพร้อมขายกระจายไปในหลายทำเล คืออีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ผลักดันให้เอพีประสบความสำเร็จด้วยการขยายโอกาสที่มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มแนวราบที่ยังคงเป็นซูเปอร์สตาร์ โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบที่เติบโตสูงขึ้นในทุกไตรมาส สะท้อนถึงความแข็งแกร่งที่เกิดขึ้นจากภายใน ในการพร้อมรับมือกับกฎกติกาโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยในปี 2564 นี้บริษัทฯ ตั้งเป้าจะพัฒนาโครงการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ  โดยมีโครงการพร้อมขายกว่า 144 โครงการ มูลค่ากว่า 115,480 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา​ บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) 33,700 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถสร้างรายได้รวม (รวม 100% JV) ได้ตามเป้าหมาย 43,100 ล้านบาท โดย่ในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ บริษัทฯ เตรียมเปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 1,760 ล้านบาท ได้แก่ บ้านเดี่ยว 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,650 ล้านบาท ประกอบไปด้วย CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก 3 CENTRO พหลฯ-วิภาวดี 2 และโฮมออฟฟิศ District รามอินทรา-จตุโชติ มูลค่า 110 ล้านบาท  ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังเตรียมรับรู้รายได้ จากการโอนกรรมสิทธิ์ 2 คอนโดใหม่ LIFE ลาดพร้าว แวลลีย์ และ LIFE อโศก ไฮป์  มูลค่ารวม 12,300 ล้านบาท   บริษัทฯ ยังคงดำเนินแผนธุรกิจด้วยความรัดกุม ควบคู่ไปกับความพร้อมที่จะปรับตัวอย่างรวดเร็ว ด้วย การบริหารจัดการกระแสเงินสด ภายใต้พันธกิจใหญ่ขององค์กร “EMPOWER LIVING” ที่พร้อมส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ ด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีคุณค่าและมีความหมาย  
อัลติจูด จับมือแลนด์ลอร์ด​ปั้นโปรเจ็กต์​ ชูกลยุทธ์ “เทิร์นคีย์” สู้พิษเศรษฐกิจ-โควิด

อัลติจูด จับมือแลนด์ลอร์ด​ปั้นโปรเจ็กต์​ ชูกลยุทธ์ “เทิร์นคีย์” สู้พิษเศรษฐกิจ-โควิด

อัลติจูด ชูกลยุทธ์ “เทิร์นคีย์” ดึงเจ้าของที่ดิน ปั้นโครงการสร้างรายได้ หลังธุรกิจอสังหาฯ เจอมรสุมเศรษฐกิจ พิษโควิด-19 หวังเติมรายได้และยอดขายกว่า 2,400 ล้าน   นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ ALTITUDE (อัลติจูด)​ เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้บริษัทต้องทำการทบทวนแผนธุรกิจทุก ๆ 3 เดือน เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลง ซึ่งที่ผ่านมาได้เลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ จากเดิมจะเปิดตัวในไตรมาส 2 ไปเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3 แทน โดยทั้ง 2 โครงการ เป็นการพัฒนาโครงการในเซกเมนต์ใหม่ ได้แก่ โครงการอัลติจูด ฟอเรสต์ รัชดา พรีเมียมทาวน์โฮม จำนวน 39 ยูนิต มูลค่าเริ่มต้น 15 ล้านบาท และ อัลติจูด ฟอเรสต์ อารีย์-โมนูเมนต์ บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ เพียง 10 ยูนิต มูลค่าเริ่มต้น 28 ล้านบาท บนทำเลอารีย์ และเป็นโครงการใหม่บนทำเลศักยภาพใจกลางเมือง รวมมูลค่าทั้ง 2 โครงการ 998 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังได้ใช้กลยุทธ์เทิร์นคีย์ (Turnkey Asset Management) หรือการร่วมทุนกับพันธมิตร ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินทำเลศักยภาพและต้องการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งบริษัทมีโมเดลการร่วมทุน 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.เจ้าของที่ดินลงทุนเฉพาะที่ดิน เป็นรูปแบบการลงทุนที่เจ้าของลงทุนเฉพาะที่ดินเท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่าย  ค่าดำเนินการ และการพัฒนาโครงการทางบริษัทเป็นผู้รับผิดชอบ 2.เจ้าของที่ดิน ลงทุนตามสัดส่วนการลงทุน เป็นรูปแบบการร่วมลงทุนพัฒนาโครงการ โดยพิจารณาตามสัดส่วนที่เจ้าของที่ดินต้องการร่วมลงทุน ซึ่งจะมีการประเมินราคาที่ดินเป็นมูลค่าออกมาเพื่อใช้ในการร่วมทุน 3.บริษัทรับจ้างพัฒนาโครงการ เป็นรูปแบบการลงทุน ที่เจ้าของที่ดินต้องการพัฒนาโครงการ แต่ไม่ต้องการร่วมหุ้นกับบริษัท โดยให้บริษัทเป็นผู้พัฒนาและบริหารจัดการทั้งหมด ซึ่งรูปแบบนี้บริษัทจะรายได้ จากค่าบริหารจัดการโครงการ (Management Free) สำหรับโครงการที่พัฒนาภายใต้กลยุทธ์เทิร์นคีย์ จะต้องมีมูลค่าเริ่มต้นประมาณ 300 ล้านบาท หรือมีมูลค่าที่ดินประมาณ 60 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่เหมาะสม หากขนาดที่ดินหรือมูลค่าน้อยกว่า 300 ล้านบาท ถือว่ามีขนาดโครงการที่เล็กเกินไป ปัจจุบันมีเจ้าของที่ดินจำนวนมากที่เข้ามาติดต่อเพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้   ส่วนรูปแบบโครงการที่เจ้าของที่ดินนำมาร่วมลงทุน ภายใต้กลยุทธ์เทิร์นคีย์  มีรูปแบบการพัฒนาโครงการเพื่อจับกลุ่มตลาดได้เช่นเดียวกับบริษัท ซึ่งมี 6 เซ็กเมนต์ ได้แก่ 1.คอนโดมิเนียม ตลาดระดับกลาง แบรนด์อัลติจูด ยูนิคอร์น (ALLTITUDE UNICORN)  2.คอนโดระดับลักชัวรี่ แบรนด์อัลติจูด ซิมโฟนี่ (ALLTITUDE SYMPHONY) 3.โฮมออฟฟิศ ระดับราคา 15-90 ล้าน 4. บ้านหรูทำเลใจกลางเมือง ระดับราคา 30 ล้านบาท 5.บ้านพรีเมียมใจกลางเมืองระดับ 20 ล้านบาท  และ 6.บ้านทาวน์โฮม ราคา 3 ล้านบาท     มีคนส่งที่ดินเข้ามาให้ศึกษาจำนวนมาก และเป็นทำเลที่น่าสนใจ นี่จะเป็นหนึ่งกลยุทธ์สร้างการเติบโตของอัลติจูด ถ้าเราสามารถร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน​และเป็นที่ดินมีศักยภาพ ก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนหนึ่งให้เราเติบโตไปข้างหน้า สำหรับที่ดินที่นำเสนอเข้ามามีจำนวนมาก แต่บริษัทจะพิจารณาทำเลที่เหมาะสม และจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการพัฒนาโครงการ รวมถึงจะต้องพัฒนาโครงการให้สอดคล้องกับแบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัท โดยทั้งสองฝ่ายต้องสามารถตกลงร่วมกันได้ ภายใต้มาตรฐานที่บริษัทกำหนดไว้   ด้านนายขวัญชัย เจริญยิ่งถาวรชัย กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า การที่บริษัทได้นำกลยุทธ์เทิร์นคีย์มาใช้ เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจต่างๆ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งธุรกิจอสังหาฯ ได้รับผลกระทบอย่างมากรองจากธุรกิจการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังพบว่า สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ เพื่อนำเงินมาพัฒนาโครงการ โดยเฉพาะดีเวลลอปเปอร์รายใหม่หรือรายเล็ก  และยังมีการแข่งขันจากผู้ประกอบการรายใหญ่ด้วย จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายในการทำธุรกิจอย่างมาก ​ซึ่งการที่เจ้าของที่ดินเลือกเข้ามาร่วมทุนกับบริษัท จะช่วยทำให้มีโอกาสในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น นอกจากนี้ เพื่อรับมือกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา อัลติจูดได้ปรับกลยุทธ์การขายวิถีใหม่ ‘REAL LIVE 720 DEGREE’ หรือ นวัตกรรมเรียลไลฟ์ 720 องศา ภายใต้แนวคิด ANYONE CAN BUY ANYWHERE & ANYTIME ซึ่งเป็นนวัตกรรมเยี่ยมชมโครงการที่สามารถสัมผัสประสบการณ์เสมือนจริง 720 องศา ทั้งการชมบ้านตัวอย่าง ชมส่วนกลางเสมือนจริงได้รอบทิศทาง และสามารถทำ POP UP SPACE ออกแบบบ้านตามไลฟ์สไตล์ที่ชอบด้วยตัวเอง นับเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของรูปแบบการขายให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ที่เหนือกว่าของการซื้อที่อยู่อาศัย   โดยนำร่องนวัตกรรมชมบ้านแบบเรียลไลฟ์ 720 องศา กับแบรนด์น้องใหม่ ‘อัลติจูด คราฟ บางนา (PREMUIM AFFORDABLE TOWNHOME)  ซึ่งเปิดตัวเมื่อช่วงปลายปี 2563 ถือว่าประสบความสำเร็จในการขายก่อนเปิดโครงการจริง (EARLY BIRD) ด้วยยอดขายต่อเนื่องถึงปัจจุบันกว่า 540 ล้านบาท พร้อม SOLD OUT จำนวน 125 ยูนิต ซึ่งเป็นการขายคละแบบบ้าน 3 แบบ จากทั้งหมด 402  ยูนิต ในโครงการ โดยมีมูลค่าโครงการรวม 1,469 ล้านบาท และเตรียมนำนวัตกรรมนี้ไปใช้กับทุกโครงการที่จะเปิดใหม่   นายขวัญชัย กล่าวอีกว่า ทิศทางธุรกิจอสังหาฯ ในปี 2564 คาดว่าจะเติบโตในอัตราเลขตัวเดียว หรือไม่เกิน 10% โดยมีปัจจัยบวกจาก การส่งเสริมให้กลุ่มชาวต่างชาติสามารถซื้ออสังหาฯ ในไทย ส่วนบริษัทปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้ 2,400 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามียอดขาย 1,900 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสแรกมียอดขาย 200 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ประมาณ 2,900-3,000 ล้านบาท
ยูนิเวนเจอร์ โดนโควิด-19 ยอดขายอสังหาฯ ลด  แต่ยังทำกำไร 6 เดือนแรกโต 50%

ยูนิเวนเจอร์ โดนโควิด-19 ยอดขายอสังหาฯ ลด แต่ยังทำกำไร 6 เดือนแรกโต 50%

ยูนิเวนเจอร์  เผยผลประกอบการ 6 เดือนแรกปี​ 2564 ผลกำไรโตกว่า 50% แต่รายได้หลักลดลง  16% เหตุเจอสถานการณ์โควิด-19 รายได้จากการขายอสังหาฯ ชะลอตัว ลูกค้าไม่มั่นใจ การปฏิเสธสินเชื่อจากแบงก์   นายกำพล ปุญโสณี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 (1 ตุลาคม 2563 – 31 มีนาคม 2564) สามารถทำรายได้รวม 1,913.8 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 913.3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 48% ของรายได้รวม รายได้จากธุรกิจสังกะสีออกไซด์ 681.3 ล้านบาท คิดเป็น 36% ของรายได้รวม รายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ ​และรายได้อื่นประมาณ 319.2 ล้านบาท คิดเป็น 16% ของรายได้รวม และ​มีกำไรเติบโตกว่า 50%   โดยในปีนี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นในการจัดหา การลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพ ทั้งการลงทุนโดยบริษัท เอง และการร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในดำเนินธุรกิจ ซึ่งการลงทุนจะดำเนินภายใต้กลยุทธ์องค์กรทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1.การจัดหาการลงทุนเพื่อสร้างความสมดุลของ Investment Portfolio ของบริษัท (ENABLE) 2.การพัฒนาความเชี่ยวชาญและเพิ่มมูลค่าของธุรกิจที่ลงทุนเพื่อก่อให้เกิดรายได้และผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง (COMMIT) และ 3.การสร้างความยั่งยืนของการดำเนินธุรกิจในระยะยาว (ACCOMPLISH)   ทั้งนี้ บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแรง และพร้อมที่จะปรับสมดุลในการลงทุนของบริษัทเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกลยุทธ์องค์กรดังกล่าวได้ภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2564-2565 ประมาณ 3,000 ล้านบาท   สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ (ม.ค.-มี.ค.2564) บริษัทีรายได้รวม 1,001.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีรายได้รวม 996.7 ล้านบาท โดยรายได้ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แบ่งเป็นรายได้จากการขาย บริการ และให้เช่า จำนวน 932.9 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจอสังหาฯ 501.5 ล้านบาท จากธุรกิจการขายและบริการ 425.8 ล้านบาท จากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อเช่า 4 ล้านบาท และจากค่าการจัดการ 1.6 ล้านบาท ​   ส่วนรายได้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 1,913.8 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีรายได้รวม 2,130.1 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 มีจำนวน 1,716.2 ล้านบาท มาจากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขาย 913.3 ล้านบาท ​​จากธุรกิจการขายและการให้บริการ​ 788.1 ล้านบาท ​จากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อเช่า​ 8.0 ล้านบาท และจากค่าการจัดการ 6.8 ล้านบาท โดยรายได้หลักสำหรับงวด 6 เดือนปี 2564 ลดลง​ 16% เปรียบเทียบกับ​งวด 6 เดือนของปีก่อน รายได้หลักที่ลดลงส่วนใหญ่มาจาก รายได้ที่ลดลงจากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขายเนื่องจากลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อ  และชะลอการโอนกรรมสิทธิ์โครงการอสังหาฯ ​​จากการระบาดของโควิด -19  ผลกระทบจากการ ปฏิเสธสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มลูกค้าที่ประกอบอาชีพหรือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการระบาดโควิด-19 และรายได้จากการให้เช่าและบริการที่ลดลงไป หลังการใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน TFRS16 ​  
เปิดขายบ้าน-คอนโดใน “เดอะ ฟอเรสเทียส์”  MQDC เคาะราคาสูงสุด 250 ล้าน

เปิดขายบ้าน-คอนโดใน “เดอะ ฟอเรสเทียส์” MQDC เคาะราคาสูงสุด 250 ล้าน

MQDC พร้อมเปิดขาย 3 โครงการที่อยู่อาศัย ในเมกะโปรเจ็กต์ “เดอะฟอเรสเทียส์” วันที่ 8  พ.ค. นี้ ราคาตั้งแต่ 5.14-250 ล้าน  พร้อมจัดให้ชม  11 ห้องตัวอย่างจาก 3 แบรนด์ที่อยู่อาศัย ​   ในที่สุดโครงการเมกะโปรเจกต์เมกะโปรเจกต์ มูลค่า 125,000 ล้านบาท ของบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) อย่างโครงการเดอะฟอเรสเทียส์ (THE FORESTIAS)​ ได้ฤกษ์เปิดการขายโครงการที่พักอาศัยต่าง ๆ ใ​นเดอะฟอเรสเทียส์ อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ด้วยราคาที่พักอาศัยตั้งแต่ห้องละ 5.14 ล้านบาท ไปจนถึง 250 ล้านบาท   โดยจะมีการจัดแสดงห้องตัวอย่าง 11 ห้อง จาก 3 โครงการที่พักอาศัยในเมกะโปรเจ็กต์ดังกล่าว ในอาคาร “ฟอเรสต์ พาวิลเลียน” อาคารศูนย์การเรียนรู้ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ ขนาด 398 ไร่ นอกจากห้องตัวอย่างทั้ง 11 ห้อง ยังมีการจัดแสดงวิสัยทัศน์ตลอดจนแนวคิดสำคัญในการพัฒนาโครงการผ่าน Immersive Experience ล้ำสมัย ที่ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ experience ระดับโลก   นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC เปิดเผยว่า  MQDC ได้พัฒนา “เดอะ ฟอเรสเทียส์” ให้เป็นโครงการต้นแบบแห่งใหม่ของโลก ในการพัฒนาเมืองที่ทุกมิติได้รับการออกแบบอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อวัตถุประสงค์สำคัญคือการส่งเสริมให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดียิ่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้น ด้วยแนวคิดการสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมในเรื่องสุขภาพและความสุข ทั้งเรื่องของความปลอดภัย การได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ การผสานธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวัน การออกแบบจัดการคุณภาพอากาศ แสง และการเลือกใช้วัสดุต่าง ๆ ทั้งภายในที่พักอาศัยและสภาพแวดล้อมในโครงการ รวมไปถึงการจัดวางผังองค์ประกอบต่าง ๆ ในโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้รับการตอบรับอย่างดี และได้รับความสนใจและมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ผู้คนเข้าใจและให้ความสำคัญกับการเลือกที่พักอาศัยและสภาพแวดล้อมที่จะส่งเสริมการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดีอย่างแท้จริง สำหรับเดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด กม. 7 ซึ่งเป็นประตูสู่ความเจริญภาคตะวันออก ประกอบด้วยโครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบ พื้นที่เชิงธุรกิจสำหรับสำนักงาน สปอร์ตคอมเพล็กซ์ กิจกรรมไลฟ์สไตล์  ร้านค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม พื้นที่ Family Center สำหรับกิจกรรมสร้างสรรค์ของครอบครัว และพื้นที่ Town Center สำหรับกิจกรรมชุมชนและกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่าง ๆ โรงละคร อีเว้นต์ฮอลล์ ตลาด   โครงการที่พักอาศัยใน เดอะ ฟอเรสเทียส์  ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมแบรนด์วิสซ์ดอม  แบบ high-rise จำนวน 3 อาคารที่มุ่งตอบโจทย์คนวัยเริ่มต้นทำงาน วัยสร้างครอบครัว ครอบครัวใหม่ และคนรักสัตว์เลี้ยง โดยมีห้อง 7 แบบ ขนาดตั้งแต่ประมาณ 35 ไปจนถึง 205 ตารางเมตร คอนโดแบรนด์มัลเบอร์รี โกรฟ คอนโดมิเนียมแบบ low-rise ที่มุ่งตอบโจทย์ที่ไลฟ์สไตล์ใกล้ชิดกับธรรมชาติ จำนวน 6 อาคาร โดยมีห้อง 16 แบบ ขนาดตั้งแต่ 63 ตารางเมตร ไปจนถึง 1,027 ตารางเมตร และที่อยู่อาศัยแบรนด์มัลเบอร์รี โกรฟ บ้านสไลต์คลัสเตอร์โฮม ที่มุ่งตอบโจทย์ครอบครัวใหญ่หลากหลายเจนเนเรชั่น จำนวน 37 หลัง 3 ขนาด ตั้งแต่ 4-6 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นประมาณ 1,000 ตารางเมตร ถึง 1,600 ตารางเมตร   ที่อยู่อาศัยแบรนด์ดิ แอสเพน ทรี โครงการที่พักอาศัยพร้อมมอบบริการดูแลตลอดชีวิต สำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนการใช้ชีวิตในระยะยาว ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป มีทั้งแบบ Active Living Condominiums และ Sky Villa Residences เพรียบพร้อมทั้งที่พักอาศัย สิ่งอำนวยความสะดวก การบริการอย่างครบครัน และการดูแลด้านสุขภาพจากผู้เชี่ยวชาญอย่างครบวงจร ใน เดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังมีป่าขนาดใหญ่พื้นที่ 30 ไร่ ที่เริ่มปลูกมาตั้งแต่เป็นเมล็ดและต้นกล้า ครอบคลุมพื้นที่ใจกลางของโครงการ นอกจากนั้น ยังมีทางเดินยกระดับความยาวกว่า 1.6 กิโลเมตร ซึ่งรวมทางเดินที่เชื่อมโยงไปยังพื้นที่ต่าง ๆ และทางเดินที่ทอดตัวอยู่เหนือผืนป่าซึ่งอยู่บริเวณใจกลางโครงการ มอบเป็นเส้นทางเดินเท้าท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยความเชื่อที่ว่า การได้อยู่ใกล้ชิดกับความมหัศจรรย์อันหลากหลายของธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ส่งมอบความสุขให้กับผู้คน   ทั้งนี้ MQDC กำหนดเปิดขายโครงการที่พักอาศัยต่างๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป โดยผู้สนใจเข้าชมโครงการ สามารถนัดหมายล่วงหน้าเพื่อเข้าชมแบบส่วนตัว โดยลงทะเบียนได้แล้ววันนี้ ที่ Call Center 1265 หรือ www.MQDC.com ทั้งนี้ เป็นไปตามประกาศของทางราชการในเรื่องการดำเนินการในสถานการณ์โควิด-19  
4 เทรนด์ที่อยู่อาศัยมาแรง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้สูงวัย

4 เทรนด์ที่อยู่อาศัยมาแรง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้สูงวัย

ในปี 2564 นี้ ถือว่าประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) แล้ว เพราะข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ  ระบุว่า​ ประเทศไทยมีจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ถึง 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ขององค์การสหประชาชาติ ​(United Nations:UN) ที่ได้แบ่งระดับ​การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เป็น 3 ระดับ ได้แก่   1.ระดับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging society) หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า  10% ของประชากรทั้งประเทศหรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปีมากกว่า 7% ของประชากรทั้งประเทศ   2.ระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society) หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศหรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปี มากกว่า 14% ของประชากรทั้งประเทศ แสดงว่าประเทศนั้นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์   3.ระดับสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ (Super-aged society) หมายถึงสังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า  20% ของประชากรทั้งประเทศ แสดงว่าประเทศนั้นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่  โดยประเทศไทยคาดว่าจะเข้าสูงสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ ในปี ​2574   ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคมผู้สูงอายุ ในไทยมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ คงเป็นเพราะปัจจุบันรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในยุคนี้อยู่ภายใต้บริบทและปัจจัยทางสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้คนไทยครองตัวเป็นโสดมากขึ้น หรือมีบุตรลดลง เปลี่ยนรูปแบบจากครอบครัวขยายในอดีตเป็นครอบครัวเดี่ยวอย่างชัดเจน   การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของสังคมผู้สูงอายุได้ทำให้เกิดโอกาสทางการตลาด  สำหรับการเจาะกลุ่มผู้บริโภคสูงวัย (Silver Age) เหล่านี้  ด้วยกำลังซื้อที่มีสูง  เพราะเป็นผลมาจากการบริหารจัดการรายได้ ตลอดชีวิตการทำงานผ่านการออมทรัพย์และลงทุนต่าง ๆ ประกอบกับแนวคิดการใช้ชีวิตที่มีความทันสมัย และรู้จักใช้เทคโนโลยีเป็นประจำ ไม่ลังเลที่จะใช้เงินเก็บมาซื้อความสุขและดูแลสุขภาพตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ก็มีการปรับเปลี่ยนไปตามเทรนด์ต่าง ๆ ไม่แพ้วัยรุ่นเช่นกัน จนทำให้หลายธุรกิจหันมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์เพื่อดึงดูดกำลังซื้อของคนสูงวัยมากขึ้น เทรนด์ที่อยู่อาศัยมาแรง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้สูงวัย ไม่เพียงแต่สินค้าและบริการ ที่เป็นของใช้ในการดำรงชีวิต หรือสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปเท่านั้น สินค้าที่มีขนาดใหญ่และมีมูลค่าสูง ซึ่งตลอดทั้งชีวิตอาจจะซื้อได้เพียง 1 ครั้ง หรืออย่างมากแค่ 2 ครั้งเท่านั้น สำหรับคนส่วนใหญ่ของประเทศ อย่างที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือแม้แต่ห้องชุดคอนโดมิเนียม ต่างก็มองว่า กลุ่มผู้สูงอายุเหล่านี้ คือ กลุ่มเป้าหมายทางการตลาดสำคัญที่คือโอกาสทางการตลาด สร้างรายได้และเม็ดเงินมหาศาล จึงหันมาจับตลาดกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ ด้วยการพัฒนารูปแบบของบ้าน หรือห้อง รวมถึงโครงการ ที่ให้การใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยภายในบ้านของผู้สูงอายุ พักอาศัยได้อย่างมีความสุข สุขภาพดี และปลอดภัย โดยข้อมูลจากดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์ ได้รายงานถึงเทรนด์ที่อยู่อาศัยที่น่าสนใจ และเป็นที่น่าจับตามองสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการคนวัยนี้ ที่ไม่ได้มองหาบ้านเพื่ออยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว แต่ต้องรองรับการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างครบครัน ว่ามี 4 เทรนด์สำคัญ 1.เทรนด์สุขภาพมาแรง สุขภาพกายที่ดีต้องมาพร้อมความสบายใจ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เห็นคุณค่าของการมีสุขภาพดีมาเป็นอันดับต้น ๆ แน่นอนว่านอกจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการออกกำลังกายจะเป็นปัจจัยสำคัญแล้ว ที่อยู่อาศัยก็ถือเป็นอีกปัจจัยที่มีบทบาทในการสร้างสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีให้ผู้สูงอายุเช่นกัน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ผู้สูงอายุได้ใช้เวลาอยู่ด้วยในแต่ละวันมากที่สุด   ดังนั้นการเลือกโครงการฯ ที่มีการออกแบบภายใต้แนวคิด สร้างสรรค์สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีให้ผู้อยู่อาศัย (Health & wellness residence) คำนึงถึงการใช้งานจริง ทั้งการออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในให้รองรับผู้สูงอายุที่ต้องการเดินออกกำลังกายภายในบริเวณบ้านของตน มีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับออกกำลังกายและพื้นที่สีเขียวที่มอบความร่มรื่นพร้อมรองรับการทำกิจกรรมด้านสุขภาพอื่น ๆ ในชุมชน   นอกจากนี้ปัจจุบันผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้หันมาร่วมมือกับโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสุขภาพเพื่อเพิ่มบริการดูแลสุขภาพหรือบริการทางการแพทย์ไว้ในโครงการฯ ด้วย เรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์การสร้างสรรค์สุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีได้อย่างน่าสนใจ และเป็นตัวเลือกที่ควรพิจารณาสำหรับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ 2.Home Solutions เพื่อการอยู่อาศัยที่สะดวก-ปลอดภัย แนวโน้มจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการฯ หันมาให้ความสนใจและพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับผู้บริโภคกลุ่มนี้มากขึ้น มีโครงการฯ ที่ออกแบบให้เป็นบ้านสำหรับผู้สูงอายุด้วยความเข้าใจที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบห้องนอนผู้สูงอายุให้มีความเป็นส่วนตัวและอากาศถ่ายเทสะดวก หรือนำนวัตกรรม Home Solutions ต่าง ๆ มาช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตในบ้านได้ราบรื่น และช่วยป้องกันอันตรายจากการเกิดอุบัติเหตุภายในบ้าน เช่น ปูพื้นด้วยวัสดุลดแรงกระแทก (Shock Absorption Floor) เพื่อช่วยลดความรุนแรงของอาการบาดเจ็บหากเกิดอุบัติเหตุหกล้ม   การออกแบบราวจับในห้องน้ำ ราวบันไดทั้งสองข้าง หรือพื้นต่างระดับในบ้านเพื่อทรงตัวและเดินได้มั่นคงขึ้น ทำทางลาดสำหรับรถเข็นในการเข้าสู่ตัวบ้าน หรือออกแบบให้ประตูห้องน้ำเปิดออกมาด้านนอก ในกรณีที่มีคนล้มขวางประตูด้านใน ซึ่งรายละเอียดในการออกแบบที่มีพื้นฐานเพื่อตอบโจทย์ผู้อาศัยอย่างแท้จริงนี้ นอกจากจะช่วยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตในบ้านได้อย่างมั่นใจและสบายใจมากขึ้นแล้ว แน่นอนว่าสมาชิกทุกคนในครอบครัวก็จะสามารถใช้ชีวิตในบ้านนี้อย่างปลอดภัยเช่นกัน 3.ระบบบ้านอัจฉริยะ ปลอดภัยด้วยเทคโนโลยี นอกจากเทคโนโลยีจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตของคนยุคนี้ในหลากหลายด้านแล้ว ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยอีกด้วย เห็นได้จากการเติบโตของเทรนด์บ้านอัจฉริยะ (Smart Home) ที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุนให้ผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุมการทำงานระบบต่าง ๆ ของบ้านผ่านการสั่งงานด้วยเสียงหรือจากแอปพลิเคชั่น ซึ่งยกระดับความปลอดภัยให้ที่อยู่อาศัย เช่น กลอนประตูดิจิทัล (Digital Door Lock) หรือการติดตั้งกล้องวงจรปิดที่รองรับการรับชมภาพออนไลน์และดูย้อนหลังได้ผ่านสมาร์ทโฟน ช่วยให้ผู้สูงอายุที่ห่วงใยในทรัพย์สินและติดบ้านคลายความกังวลเมื่อต้องห่างจากบ้านได้   นอกจากนี้ระบบบ้านอัจฉริยะยังช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มักมีอาการหลงลืมก็สามารถเลือกควบคุมการเปิด-ปิดไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน/คอนโดฯ ผ่านสมาร์ทโฟนได้ตลอดเวลา แม้ทำธุระอยู่ข้างนอกก็สามารถกดเช็กดูระบบไฟเพื่อความชัวร์ได้ทันที 4.เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย ต่อยอดการลงทุนได้ในอนาคต ความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุไม่ได้เน้นไปที่การอยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว เนื่องจากไม่ใช่การมีบ้านหลังแรก แต่มีการวางแผนระยะยาวด้วยการมองหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของครอบครัว พร้อมทั้งมีศักยภาพที่ต่อยอดไปสู่การลงทุนได้ในอนาคต เนื่องจากที่อยู่อาศัยถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีความต้องการในตลาดไม่น้อย ข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study เผยว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผู้สูงอายุในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยจากบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นจะสนใจที่ชื่อเสียงของบริษัทมาเป็นอันดับแรก 58% ตามมาด้วยผลงานของผู้พัฒนาฯ ในโครงการที่ผ่านมา 56% และคุณภาพของงานตกแต่งภายในที่ผู้พัฒนาฯ มอบให้ 55% ซึ่งชื่อเสียงที่ดีของผู้พัฒนาฯ ย่อมส่งผลด้านบวกที่ช่วยให้การประกาศขาย/เช่าในอนาคตง่ายขึ้น ต่างจากกรณีของผู้บริโภคที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเป็นหลักจึงพิจารณาจากคุณภาพของงานตกแต่งภายในที่ได้จากผู้พัฒนาฯ มาเป็นอันดับแรก (68%) อย่างไรก็ดี แม้ไม่ใช่เพื่อการขาย ผู้สูงอายุก็ยังมีทางเลือกในการปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ เพื่อสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องแทน   ปัจจุบันเทรนด์การพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุแพร่หลายมากขึ้น ทั้งการเปิดตัวโครงการอสังหาฯ ที่เจาะกลุ่มนี้โดยเฉพาะ หรือการพัฒนาโซลูชั่นใหม่ให้เลือกนำไปปรับใช้กับบ้านเดิมที่มีอยู่แล้ว นอกจากนี้ธนาคารได้มีการนำเสนอ “Reverse mortgage หรือสินเชื่อบ้านสำหรับผู้สูงอายุ” เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีบ้านเป็นของตนเองแต่ไม่ต้องการขายบ้านทันที เพราะยังต้องใช้อยู่อาศัยและต้องการมีรายได้รายเดือนเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน   หลักการทำงานจะมีรูปแบบเหมือนการทยอยขายบ้านให้กับธนาคาร ซึ่งธนาคารจะตีมูลค่าบ้านพร้อมกับประเมินอายุเฉลี่ยของผู้กู้แล้วจะทยอยจ่ายเงินค่าบ้านให้เป็นรายเดือน โดยผู้กู้ก็ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านหลังนั้นและยังสามารถอาศัยอยู่ในบ้านได้จนกระทั่งผู้กู้นั้นเสียชีวิตหรือตัดสินใจขายบ้านไปก่อน ซึ่งหลังครบกำหนดตามสัญญา บ้านก็จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ตอบโจทย์ความต้องการมีบ้านของผู้สูงอายุพร้อมทั้งช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี 5 เหตุผลผู้สูงอายุ ซื้อบ้านใหม่ ผู้สูงอายุที่มีกำลังซื้อจำนวนมาก ต้องการมีชีวิตในช่วงเวลาที่เหลืออย่างมีคุณภาพ จึงเลือกที่หาสิ่งที่ดีและทำให้ชีวิตตนเองมีความสุข ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่มีภาระจากบุตรหลาน หรือเพื่อต้องการให้รางวัลกับชีวิตของตนเอง หลังจากใช้เวลาทำงานและสะสมรายได้จนมีกำลังจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับความเจริญของเมืองที่มีมากขึ้น ระบบการคมนาคมขนส่ง ซึ่งถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การเกิดขึ้นของระบบรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ ล้วนเป็นปัจจัยทำให้การใช้ชีวิตของผู้สูงอายุง่ายมากขึ้น และสะดวกสบายมากกว่าในอดีต การเลือกซื้อบ้านหลังที่ 2 หรือการเปลี่ยนบ้านหลังใหม่ในช่วงวัยผู้สูงอายุ จึงอาจจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ยิ่งปัจจุบันสถาบันการเงินบางแห่งมีแคมเปญการปล่อยกู้สำหรับผู้สูงอายุ ยิ่งทำให้การซื้อบ้านในวัยหลังเกษียณเป็นเรื่องง่าย   อย่างไรก็ตาม การเลือกซื้อบ้านหลังใหม่ ของผู้บริโภคชาวไทยอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป คงเกิดจากหลายเหตุผลและหลายปัจจัย  ซึ่งข้อมูลจากผลสำรวจพบว่ามี 5 เหตุผลที่ผู้สูงอายุให้ความสำคัญและใช้เป็นเกณฑ์ในการติดสินใจเลือกซื้อที่อยู่ใหม่ ได้แก่   1.ความต้องการพื้นที่ส่วนตัว สัดส่วนมากถึง 44% 2.ความต้องการไปอยู่อาศัยในทำเล หรือบรรยากาศใหม่ 31% 3.ต้องการความสะดวกที่มากขึ้น เช่น อยู่ใกล้โรงพยาบาล ที่ทำงาน โรงเรียน ฯลฯ  26% 4.ซื้อเพื่อลงทุน 26% เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีประสบการณ์และวางแผนการเงินและการใช้จ่ายอย่างเป็นระบบ จึงให้ความสำคัญในเรื่องการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนระยะยาวมากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ 5.เป็นการซื้อบ้านเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กับสมาชิกในครอบครัว 15% นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในการใช้พิจารณาตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย คือ การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ และความปลอดภัยของทำเล โดยมีสัดส่วนที่เท่ากันอยู่ที่ 53% ตามมาด้วยทำเลที่ตั้ง 49% และโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกรอบทำเลที่ 49% เท่ากัน   เห็นได้ชัดว่าผู้บริโภคกลุ่มนี้จะเน้นมองหาที่อยู่อาศัยที่เพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น โดยไม่ละเลยความปลอดภัย เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจำวันตามไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างและการอยู่อาศัยได้อย่างสบายใจด้วยตนเอง ไม่เป็นภาระผู้อื่น   หลายคนอาจมีภาพจำว่าคนสูงวัยไม่คุ้นเคยกับการท่องโลกออนไลน์เท่าวัยอื่นในยุคดิจิทัล แต่ที่จริงแล้วผู้สูงอายุเรียนรู้ในการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี เห็นได้ชัดเจนจากพฤติกรรมการค้นหาข้อมูลก่อนตัดสินใจเรื่องซื้อที่อยู่อาศัย โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางยอดนิยมในการค้นหาข้อมูลในประชากรกลุุ่มนี้ถึง 62% ตามมาด้วยเว็บไซต์ของโครงการ 56% และเว็บพอร์ทัลด้านอสังหาฯ 47% เนื่องจากเป็นช่องทางที่สะดวก ช่วยให้ค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้รวดเร็วและหลากหลายมากพอที่จะนำมาใช้ประกอบการพิจารณาภายใต้การใช้วิจารณญาณและกรอบประสบการณ์ที่มี โดยมีเพียง 16% เท่านั้นที่จะเลือกปรึกษาและหาข้อมูลเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน เพื่อนฝูง และครอบครัว
แสนสิริ ปรับเป้าเพิ่มยอดขาย-โอน 31,000 ล้าน พร้อมเปิดขายคอนโดใหม่ “เดอะมูฟ”

แสนสิริ ปรับเป้าเพิ่มยอดขาย-โอน 31,000 ล้าน พร้อมเปิดขายคอนโดใหม่ “เดอะมูฟ”

แสนสิริ ประกาศปรับเป้ายอดโอน-ยอดขาย เพิ่มเป็น 31,000 ล้าน หลัง 4 เดือนแรก ทำยอดขาย​-ยอดโอนได้เป็นที่น่พอใจ เตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดแบรนด์เดอะมูฟ ใน 4 ทำเล จับตลาดคนรุ่นใหม่นักศึกษา- First Jobber   นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ได้ปรับเป้าหมารับเป้ายอดขายและยอดโอนปี 64 จากเป้ายอดขายเดิม 26,000 ล้านบาท เป็น 31,000 ล้านบาท และเป้ายอดโอนจาก 27,000 ล้านบาท เป็น 31,000 ล้านบาท หลังจากการดำเนินธุรกิจในช่วง 4 เดือนแรกที่ผ่านมา เห็นสัญญาณ​ถึงดีมานต์ที่อยู่อาศัยที่ตลาดต้องการและทิศทางตลาดอสังหาฯ ในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยในราคาเข้าถึงได้ ทั้งในช่วงโควิดและหลังตลาดฟื้นตัว   โดยล่าสุด แสนสิริมียอดขาย​ 12,500 ล้านบาท และมียอดโอนอยู่ที่ 8,100 ล้านบาท ถือว่าทำผลงานในระดับที่ดี ใน 4 เดือนแรกของปี ภายใต้การดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง ในสภาวะตลาดที่ยังผันผวนสูง ในสถานการณ์ที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด จากการมองตลาดเร็วและพร้อมปรับตัวเร็วรองรับทุกสถานการณ์  แสนสิริจึงพร้อม Speed to Market ด้วยการปรับเป้าหมายยอดขายและยอดโอนรองรับการกลับมาของตลาด ก่อนเปิดประเทศและเศรษฐกิจฟื้น สำหรับในไตรมาส 2 แสนสิริ มีแผนการเปิดตัว 7 โครงการใหม่ รวมมูลค่า  4,300 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเล็งปรับแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมในปีนี้ หลังมองเห็นตลาดที่มีศักยภาพ ในกลุ่มคอนโดพร้อมอยู่ ตอบโจทย์ New Normal ในราคาที่ต้องเข้าถึงได้ในทำเลที่ดี จึงวางแผนเปิดการขายโครงการคอนโด แบรนด์ The Muve (เดอะ มูฟ)  ใน 4 ทำเลย่าน “เกษตร-รัชดา-ราม-บางนา” ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม และมิถุนายนของปีนี้ ซึ่งเป็นคอนโดราคาเริ่มต้นที่ 1.29 ล้านบาท เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ทั้งกลุ่มนักศึกษาและ First Jobber ที่มีการวางแผนชีวิตเพื่อพุ่งไปสู่เป้าหมายและไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่ง   สำหรับกลยุทธ์การตลาดในช่วงโควิด ทุกโครงการของแสนสิริ ยังพร้อมเปิดให้ลูกค้าเข้าเยี่ยมชมโครงการในรูปแบบ Private Tour ซึ่งมีความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวสูง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยสูงสุดในช่วงโควิด เพียงลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ก่อนเข้าเยี่ยมชมโครงการแบบ Appointment Only เพื่อความมั่นใจของลูกค้าที่จะเข้าเยี่ยมชมโครงการ และเป็นเจ้าของบ้านแสนสิริได้ง่าย  ด้วยการซื้อขายครบทุกช่องทาง ตั้งแต่เลือกซื้อไปจนถึงจอง ด้วย Sansiri Multi-Channel เลือกซื้อและเยี่ยมชมโครงการด้วย Sansiri Virtual Sales Gallery เยี่ยมชมโครงการเสมือนจริงบน www.sansiri.com, แสนสิริ ไลน์ ออฟฟิเชียล นอกจากนี้ แสนสิริใช้กลยุทธ์ ​ Cash flow Strategy จากการบริหารจัดการสต็อคที่อยู่อาศัยที่ดี ทำให้บริษัทมีสต็อกบ้านเดี่ยวเพียงพออีกประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งหากสถานการณ์กลับมาฟื้นตัว แสนสิริจะมีที่อยู่อาศัยพร้อมรองรับความต้องการจากลูกค้าได้มากที่สุด แสนสิริยังมียอดขายรอโอน (รวมโครงการร่วมทุน) รองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 3 ปี อีกถึง 31,380 ล้านบาท พร้อมสภาพคล่องในมือีกกว่า 15,000 ล้านบาท  สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางการเงิน แสนสิริมองแง่บวกถึงทิศทางข้างหน้า และต้องปรับตัวให้เร็ว รองรับความต้องการลูกค้าและการกลับมาของตลาด ก่อนเปิดประเทศและเศรษฐกิจเริ่มฟื้น เพื่อพร้อมวิ่งก่อนใคร  
การเคหะฯ ออก 3 มาตรการช่วยลูกค้าเก่า-ใหม่  จัดโปรฯ ลดดอกเบี้ย-ค่างวด ปรับโครงสร้างหนี้

การเคหะฯ ออก 3 มาตรการช่วยลูกค้าเก่า-ใหม่ จัดโปรฯ ลดดอกเบี้ย-ค่างวด ปรับโครงสร้างหนี้

การเคหะแห่งชาติ ออก 3 มาตรการช่วยเหลือลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบันและลูกค้าใหม่ เพื่อบรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19 พร้อมจัดโปรฯ กระตุ้นยอดขาย ทั้งยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยให้กับประชาชน   นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid - 19) ในปัจจุบัน ส่งผลให้หลายครอบครัวได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและประสบปัญหารายรับไม่พอกับรายจ่าย โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีความห่วงใยประชาชนท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว จึงมอบหมายให้การเคหะแห่งชาติหาแนวทางลดภาระค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบันและลูกค้าใหม่ของการเคหะแห่งชาติ ด้วยการจัด 3 มาตรการช่วยเหลือลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบัน 3 มาตรการช่วยลูกค้า สำหรับมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบัน มี 3 มาตรการ ได้แก่ มาตรการที่ 1​ ลดอัตราดอกเบี้ย การเคหะฯ​ ลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้าเช่าซื้อและขยายระยะเวลาผ่อนชำระ มีหลักเกณฑ์เงื่อนไข ดังนี้ 1.ลูกค้าสัญญาเช่าซื้อที่ไม่มีหนี้ค้างชำระ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อคงเหลือ 6.50% ทุกประเภทสัญญา (สัญญาเช่าซื้อ ประนอมหนี้ ที่ดินส่วนเกินฯ) กรณีสัญญาแนบที่มีอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 6.50% ใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม 2.ขยายระยะเวลาสัญญาเช่าซื้อรวมที่ผ่อนมาแล้วเป็นไม่เกิน 30 ปี เมื่อรวมกับอายุผู้เช่าซื้อไม่เกิน 70 ปี กรณีอายุเกิน 70 ปี ให้ใช้ระยะเวลาตามสัญญาเดิม ลูกค้าสามารถเลือกระยะเวลาการผ่อนชำระสั้นกว่าเกณฑ์ที่กำหนดได้ มาตรการที่ 2 ปรับโครงสร้างหนี้ การเคหะฯ ได้มีการปรับโครงสร้างหนี้ลูกค้าเช่าซื้อ ที่มีหนี้ค้างชำระทุกอัตราดอกเบี้ย มีหลักเกณฑ์เงื่อนไข ดังนี้ 1.ลูกค้าที่มีหนี้ค้างชำระที่การเคหะแห่งชาติได้บอกเลิกสัญญาแล้วหรือยังไม่บอกเลิกสัญญา 2.ปรับโครงสร้างหนี้ พร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อคงเหลือ  6.50% ทุกประเภทสัญญา (สัญญาเช่าซื้อ ประนอมหนี้ ที่ดินส่วนเกินฯ) กรณีสัญญามีอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 6.50% ใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม 3.ขยายระยะเวลาสัญญารวมที่ผ่อนมาแล้วเป็นไม่เกิน 30 ปี เมื่อรวมกับอายุผู้เช่าซื้อไม่เกิน 70 ปี กรณีอายุเกิน 70 ปี ให้ใช้ระยะเวลาตามสัญญาเดิม ลูกค้าสามารถเลือกระยะเวลาการผ่อนชำระสั้นกว่าเกณฑ์ที่กำหนดได้ มาตรการที่ 3  ให้ส่วนลดค่างวดเช่าซื้อ การเคหะฯ ได้ให้ส่วนลดค่างวดเช่าซื้อ จำนวน 1,000 บาท โดยมีหลักเกณฑ์เงื่อนไข ได้แก่ ให้ส่วนลดลูกค้าเช่าซื้อที่มีอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 6.50% และเป็นลูกค้าเช่าซื้อที่ทำสัญญาเช่าซื้อก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 และต้องชำระค่าเช่าซื้อให้เป็นปัจจุบันโดยไม่มีหนี้ค้างชำระ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 โดยจะได้รับส่วนลดค่าเช่าซื้อจำนวน 1,000 บาท เพียงครั้งเดียว ทั้งนี้ การเคหะฯ​​ จะให้ส่วนลดโดยอัตโนมัติในเดือนกรกฎาคม 2564 กรณีค่างวดเช่าซื้อต่ำกว่า 1,000 บาท ให้ส่วนลดเท่ากับค่างวดเดือนกรกฎาคม 2564 สำหรับวิธีการขอรับสิทธิตามมาตรการช่วยเหลือสำหรับลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบัน  เพื่อเป็นการปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ตามมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามนโยบายของรัฐบาลและศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) การเคหะฯ ​จึงจัดให้มีการลงทะเบียนนัดหมาย วันทำสัญญาเช่าซื้อผ่าน Website ของการเคหะฯ ​ www.nha.co.th หรือลงทะเบียนผ่าน Application บน Smart Phone   ทั้งนี้ลูกค้าที่ไม่มี Smart Phone สามารถติดต่อ Call Center 1615 หรือสำนักงานเคหะนครหลวง หรือสำนักงานเคหะจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ทำการลงทะเบียนนัดหมายแทน สำหรับระยะเวลาลงทะเบียนเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน - 30 พฤศจิกายน 2564  โดยการเคหะฯ จะส่งข้อความ (SMS) แจ้งผลให้ลูกค้าทราบผลการลงทะเบียนนัดหมาย และจะเรียกมาทำสัญญาเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม - 30 ธันวาคม 2564 วันจันทร์ - วันเสาร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยจะนัดหมายทำสัญญา รอบเช้าตั้งแต่เวลา 09.00 - 12.00 น. จำนวน 10 ราย และรอบบ่าย เวลา 13.00 - 16.00 น. จำนวน 10 ราย ต่อสำนักงานเคหะนครหลวง สำนักงานเคหะจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ จัด 3 โปรโมชั่น ลูกค้าใหม่ ส่วนมาตรการให้ความช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าใหม่ การเคหะฯ ​ได้กําหนดโปรโมชัน 3 รูปแบบ โดยมีระยะเวลาตั้งแต่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564 ได้แก่ 1.โปรโมชันดอกเบี้ยเช่าซื้อ 0 % ในปีที่ 1สําหรับลูกค้าที่สถาบันการเงินปฏิเสธสินเชื่อ วางเงินจองเริ่มต้น 99 บาท เฉพาะโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จหรือใกล้แล้วเสร็จ พร้อมส่งมอบภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 2.โปรโมชัน  ลดราคา (Shock Price) เฉพาะโครงการบ้านเอื้ออาทร 56 โครงการ ให้ส่วนลดพิเศษประมาณ  5 - 20% ของราคาขายเงินสดเดิม ราคาเริ่มต้น 250,000 - 520,000 บาท จองเพียง 99 บาท 3.โปรโมชันบ้านเช่าราคาพิเศษ สำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทรและเคหะชุมชน จำนวน 84 โครงการ โดยมีอัตราค่าเช่าในปีแรก ดังนี้ -บ้านพร้อมที่ดินอัตราค่าเช่า 1,200 บาท/เดือน -ห้องชุดขนาด 30 - 40 ตารางเมตร ชั้น 1-2 อัตราค่าเช่า 1,200 บาท/เดือน ส่วน ชั้น 3 - 5 อัตราค่าเช่า 999 บาท/เดือน -ห้องชุดขนาด 24 ตารางเมตร อัตราค่าเช่า 599 บาท/เดือน   โดยการเคหะฯ ​เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมิเตอร์ น้ำ - ไฟ และค่าส่วนกลางในปีแรก ทั้งลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบันและลูกค้าใหม่สามารถสอบถามรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวได้ที่ Call Center 1615 หรือสำนักงานเคหะนครหลวง สำนักงานเคหะจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ
ASW เทรดวันแรกเปิดราคาพุ่งเหนือจอง 20.16%  วางเป้ามาร์เก็ตแคปติดท็อป 10 กลุ่มอสังหาฯ

ASW เทรดวันแรกเปิดราคาพุ่งเหนือจอง 20.16% วางเป้ามาร์เก็ตแคปติดท็อป 10 กลุ่มอสังหาฯ

หุ้น ASW ของ​แอสเซทไวส์ เทรดวันแรก เปิดราคา 11.80 บาท บวกเพิ่มขึ้น 20.16% เทียบราคาไอพีโอ 9.82 บาท/หุ้น บิ๊กบอส "กรมเชษฐ์” พร้อมเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามแผนปีละ 5-7 โครงการ ปั้นผลงานเติบโตต่อเนื่องปีละกว่า 20% หนุนผลงานสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง หวังติดท็อป 10 มาร์เก็ตแคปติดของกลุ่มอสังหาฯ   นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์  จำกัด (มหาชน) (ASW) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (วันที่ 28 เมษายน 2564 ) หุ้น ASW ของบริษัทได้ทำการเปิดการซื้อขาย​ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก ปรากฏว่าสามารถเปิดตลาดยืนเหนือราคาจองซื้อที่ราคา 11.80 บาท เพิ่มขึ้น หรือ 20.16 % เทียบราคาไอพีโอ 9.82 บาท/หุ้น  ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างแข็งแกร่ง มีอัตราการทำกำไรขั้นต้น (ย้อนหลัง 3 ปี ) อยู่ในระดับสูง 30.7- 44.2%  จากควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารงานของทีมงานที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 16 ปี ทำให้มีความเข้าใจในตลาดและออกโปรดักส์ได้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในทุกเซกเมนต์   โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทเตรียมนำไปใช้สำหรับพัฒนาโครงการระหว่างปี 2564-2567 รวมไปถึงคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ บริษัทมีโครงการในอนาคตพร้อมพัฒนาและขายใน 4-5 ปีข้างหน้าจำนวน 11 โครงการมูลค่า 21,202 ล้านบาท โดยในปีนี้มีแผนเปิดตัว 6 โครงการมูลค่า 10,850 ล้านบาท ซึ่งแต่ละปีวางแผนจะเปิดโครงการใหม่ประมาณ 5-7 โครงการ ในทำเลกรุงเทพฯ เป็นหลัก สำหรับแนวโน้มการเติบโต บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา บริษัทสามารถดำเนินงานเติบโตไม่ต่ำกว่าปีละ 20% จึงวางเป้าหมายการเติบโตในอนาคตไม่ต่ำกว่าผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ด้วยกลยุทธ์การดำเนินงานเน้นใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การบริหารงานที่มีความยืดหยุ่น (Dynamic) 2.การมีแบรนด์สินค้าหลากหลาย จับกลุ่มเป้หมายหลายกลุ่ม และหลายระดับราคา และ 3.การกระจายทำเลไปยังหลายพื้นที่เพิ่มมากขึ้น เช่น จังหวัดชลบุรี รวมถึงการพัฒนาสินค้าหลายรูปแบบ ทั้งโครงการคอนโดไฮไลส์ คอนโดโรว์ไรส์  และโครงการแนวราบ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงอย่างหนึ่ง   โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 5,302 ล้านบาท และปีนี้จะมีโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จอีกกว่า 6,000 ล้านบาท ปัจจุบันยังมีโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างและเปิดการขายรวม 8 โครงการ มูลค่า 11,377 ล้านบาท และโครงการในอนาคตอีก 11 โครงการ มูลค่า 21,202 ล้านบาท   อย่างไรก็ตาม จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน บริษัทได้หันมาทำการตลาดและการขาย  ด้วยการเน้นช่องทางออนไลน์ ซึ่งได้ปรับตัวมาตั้งแต่การแพร่ระบาดในรอบแรก ซึ่งแนวทางการทำตลาดและการขายในปีนี้ บริษัทเน้นการจัดทำโปรโมชั่น และรายการส่งเสริมการขาย ทั้งในส่วนของแพ็กเกจห้องพักตกแต่งพร้อมเข้าอยู่ การได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ รวมถึงการพัฒนาโครงการในระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่ยังมีความต้องการ นอกจากนี้ ยังเน้นการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคโควิด-19 ด้วย ​ นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันคาดหวังให้รัฐบาล มีมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ใน 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การขยายฐานกลุ่มราคาที่อยู่อาศัยในระดับราคา 5-10 ล้านบาท จากปัจจุบันที่อยู่อาศัยที่จะได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการของภาครัฐ คือ ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และ 2.อยากให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนเงินสนับสนุนการพัฒนาโครงการ สำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก โดยผ่านสถาบันการเงิน เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายเล็ก มีความสามารถทางด้านการแข่งขัน และพัฒนาโครงการให้สอดคล้องกับกลไกลตลาดอสังหาฯ ได้เพิ่มมากขึ้น   ในอนาคต ASW มีเป้าหมายสู่การเป็นบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคป ติดอันดับ 1 ใน 10 ของหุ้นกลุ่มอสังหาฯที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้านนางศิริพร เหล่ารัตนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ  บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินกล่าวว่า การเข้าเทรดในวันแรกได้รับการตอบรับอย่างคึกคัก ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยพื้นฐานที่มีความแข็งแกร่งของบริษัทฯ และการกำหนดราคาขายหุ้นไอพีโอที่มีความเหมาะสม ซึ่งในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน มีความภูมิใจอย่างยิ่ง และถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของบริษัทฯ ที่จะสามารถนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนในครั้งนี้ไปต่อยอดธุรกิจ สร้างความแข็งแกร่งพร้อมทั้งผลักดันการเติบโตให้เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ รวมทั้งเชื่อว่า ASW จะเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจ และจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้ในอนาคต
The Forestias – เมืองต้นแบบกลางป่าใหญ่ในกรุงเทพฯ

The Forestias – เมืองต้นแบบกลางป่าใหญ่ในกรุงเทพฯ

The Forestias - เมืองต้นแบบกลางป่าใหญ่ในกรุงเทพฯ เมื่อ trend การเลือกที่อยู่อาศัยของคนปัจจุบันมีความโหยหาธรรมชาติมากขึ้น บางคนเลือกที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในบ้าน ในขณะที่บางคนกลับเลือกที่ย้ายตัวเองเข้าไปอาศัยอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ จะได้สัมผัสวิถีอันเรียบง่ายอย่างใกล้ชิด จะดีแค่ไหน ถ้ามีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน และสร้างระบบนิเวศอย่างเข้าใจ ที่ไม่ใช่แค่การปลูกต้นไม้      “The Forestias” เมืองต้นแบบโครงการแรกของโลก ที่จะนำมนุษย์กลับมาอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน บนผืนป่าขนาด 30 ไร่ โอเอซิสแห่งเดียวในกรุงเทพ ผ่านการศึกษาและออกแบบจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก นับจากการปรับปรุงดิน สร้าง Landscape ไปจนถึงการจัดสรรแหล่งน้ำอย่างเหมาะสม เพื่อให้เมล็ดทุกเมล็ดเติบโต พึ่งพาอาศัยกันได้อย่างแท้จริง ดึงดูดสัตว์น้อยใหญ่ให้กลับเข้ามาอาศัยในป่า จนเกิดระบบนิเวศที่สมบูรณ์ ให้ทุกชีวิตอาศัยร่วมกันอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ “The Forestias” ยังต้องการให้ที่ดินขนาด 398 ไร่แห่งนี้ เป็นโครงการเมืองแห่งแรกของโลก ที่ออกแบบทุกมิติเพื่อการใช้ชีวิต ที่จะมอบความสุขและสุขภาพที่ดีได้อย่างรอบด้าน     โดยการจัดวางที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่างๆ บนพื้นที่ที่เหมาะสมและกลมกลืนไปกับผืนป่า เพื่อสร้างสังคมเมืองที่มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้อาศัยอย่างแท้จริง ผ่านแบบบ้านหลากหลายแบรนด์ อาทิ “Whizdom” คอนโดมิเนียมเพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ในทุก passion ทั้งวันนี้และอนาคต “Mulberry Grove” Low-Rise Condo ที่ออกแบบเพื่อไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับ ใกล้ชิดธรรมชาติ “Mulberry Grove Villa” บ้านเดี่ยวระดับ Super Luxury ที่มุ่งตอบโจทย์ครอบครัวใหญ่หลากหลายgenerations “Six Senses” อีกรูปแบบของที่อยู่อาศัยบริหารโดยซิกส์เซนส์ แบรนด์เซอร์วิสระดับโลก และ “The Aspen Tree”  Wellness Condominium สังคมแห่งการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพสำหรับผู้สูงอายุ ที่ครบวงจรที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพื้นที่ทั้งหมดในโครงการ จะถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันผ่าน “ทางเดินยกระดับความยาวกว่า 1.6 กิโลเมตร” ซึ่งทอดตัวเหนือผืนป่า ท่ามกลางธรรมชาติที่สมบูรณ์   “Forest Pavilion” อาคารศูนย์การเรียนรู้สุดอลังการ มิติใหม่ของการจัดแสดงห้องตัวอย่างของโครงการต่างๆ ใน The Forestias  ที่คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์ในทุกมิติเสมือนการอยู่อาศัยจริง ผ่านการผสมผสานเทคโนโลยีสุดล้ำ ซึ่งคุณจะได้เห็นถึงวิสัยทัศน์ และแนวคิดสำคัญในการพัฒนาโครงการอย่างครบถ้วน  เตรียมเปิดให้เข้าชม และพร้อมเปิดการขายอย่างเป็นทางการ 8 พฤษภาคมนี้  ลงทะเบียนได้ที่ Call Center 1265 หรือ www.MQDC.com   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง MQDC เตรียมเปิด “เดอะ ฟอเรสเทียร์” เมกะโปรเจกต์ 2.5 แสนล้าน ต้นปี 2564 MQDC x THE FORESTIAS ช่วยชีวิตต้นไม้กว่า 500 ต้น สร้างกำแพงธรรมชาติดักฝุ่น PM 2.5 ครั้งแรกของโลกที่ป่าธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมือง THE FORESTIA  
ดีเวลลอปเปอร์งัดแคมเปญ “ช่วยผ่อน” กระตุ้นยอดขายอสังหาฯ สู้พิษโควิด-19

ดีเวลลอปเปอร์งัดแคมเปญ “ช่วยผ่อน” กระตุ้นยอดขายอสังหาฯ สู้พิษโควิด-19

ดีเวลลอปเปอร์งัดแคมเปญ "ช่วยผ่อน" กระตุ้นยอดขายอสังหาฯ สู้พิษโควิด-19  LPN จัดหนักอัดโปรช่วยผ่อน 60 เดือน ขน 11 โครงการสร้างยอด 1,000 ล้าน หวังกระตุ้นยอดขายไตรมาส 3 หลังโควิดระรอก 3 ยังระบาดหนัก   ​เชื่ออีก 5 ปีสถานการณ์คลี่คลาย​   สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ ถือว่ารุนแรงที่สุด นับตั้งแต่ประเทศไทยต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดครั้งแรกในช่วงต้นปี 2563 ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน  ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 2,000 คนต่อวันต่อเนื่องกันหลายวัน และมีผู้เสียชีวิตสะสมมากกว่า 100 คนด้วย แม้ว่าจะตัวเลขดังกล่าวเมื่อเทียบกับหลายประเทศในโลก เมืองไทยเรายังถือว่าดีกว่ามาก แต่หากเปรียบเทียบกับผลงานการบริหารจัดการที่ผ่านมา ในครั้งนี้ถือว่ารุนแรงที่สุดแล้ว   แน่นอน สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้เพิ่มระดับความรุนแรงของผลกระทบ ต่อวิถีชีวิตและการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ภายในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ความมั่นใจในการดำเนินชีวิตและธุรกิจลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่การฉีดวัคซีนยังไม่ทั่วถึงและเป็นไปอย่างช้า ไม่ทันกับสถานการณ์และความรุนแรงที่เกิดขึ้น  อย่างไรก็ตาม ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป และธุรกิจก็ต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้า ภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ และการปรับตัวให้อยู่รอดให้ได้ภายใต้ภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น แคมเปญ “อยู่ฟรี” กระตุ้นยอดขาย  สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับผลกระทบไม่ต่างจากหลายธุรกิจ ก็ต้องใช้ความพยายามและปรับตัวให้สอดรับกับผลกระทบที่เกิดขึ้น ในระยะแรกของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่ดีเวลลอปเปอร์ปรับตัวและทำเป็นสิ่งแรก คือ การหยุดเปิดตัวโครงการใหม่ หันมาระบายสต็อกสินค้าในมือ เพื่อสร้างกระแสเงินสด โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม เพราะเป็นโครงการที่ต้องใช้ระยะเวลานานนับปีกว่าจะสามารถคืนทุน ต่างจากโครงการแนวราบ ที่คืนทุนได้เร็วกว่า และสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนยุคโควิด-19 ที่ต้องการพักอาศัยและใช้พื้นที่ของบ้านมากขึ้น ดีเวลลอปเปอร์จึงหันมาเน้นการขายโครงการแนวราบแทน   นอกจากนี้ ยังกระตุ้นดีมานด์และแรงจูงใจในการให้ผู้คนที่ต้องการซื้อบ้าน ออกมาจับจ่ายใช้สอย ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ด้วยแรงโปรโมชั่นสารพัด โดยเฉพาะการให้ลูกค้าอยู่ฟรี หรือการช่วยผ่อนค่างวดกับสถาบันการเงินแทนลูกค้า ซึ่งหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลุ่มแสนสิริ ถือเป็นดีเวลลอปเปอร์รายแรก ๆ ที่นำกลยุทธ์นี้มาใช้กระตุ้นยอดขาย นอกเหนือจากการลด แลก แจก แถม ที่ให้เป็นปกติแล้ว แม้ว่าการให้อยู่ฟรี หรือ การช่วยผ่อนค่างวดกับสถาบันการเงินจะไม่ใช่กลยุทธ์ใหม่ เพราะดีเวลลอปเปอร์หลายรายได้ใช้แคมเปญนี้มาก่อนหน้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มออริจิ้น กลุ่มเมเจอร์ดีเวลลอปเม้นท์ แต่ถือว่าภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังซื้อชะลอตัวและความเชื่อมั่นลดลง ก็นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จและได้รับความสนใจจากลูกค้าจำนวนมาก  เห็นได้จากการปล่อยแคมเปญ แสนสิริผ่อนให้​ 24 เดือน ของค่ายแสนสิริที่ทำออกมาหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก “ริชชี่” จัดให้อยู่ฟรี 60 เดือน หลังจากนั้น บรรดาดีเวลลอปเปอร์รายอื่น ๆ ก็เดินตามทางเดียวกันกับกลุ่มแสนสิริ ด้วยการออกแคมเปญการอยู่ฟรี หรือผ่อนชำระค่างวดกับสถาบันการเงินให้ลูกค้า เป็นระยะเวลาตั้งแต่ 1-3 ปี เพราะประเมินว่ากว่า เศรษฐกิจจะกลับมาเติบโตดีเหมือนก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด-19 น่าจะใช้ระยะเวลา 2-3 ปี  ซึ่งจะทำให้ลูกค้ากลับมามีกำลังซื้อและเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจเหมือนเดิม การจัดแคมเปญที่ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้โดยยังไม่ต้องจ่ายเงินในวันนี้ หรือจ่ายน้อยที่สุด ถือเป็นวิธีที่ถูกใจผู้บริโภค และตรงกับความต้องการของพวกเขามากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความต้องการจะซื้อที่อยู่อาศัย หรือวางแผนไว้แล้ว แต่ยังคงลังเลใจกับภาวะความไม่แน่นอนของสถาการณ์ที่เกิดขึ้น   ระยะเวลาที่ดีเวลลอปเปอร์ช่วยผ่อนชำระค่าบ้าน กับสถาบันการเงินให้ลูกค้าก่อน  ช่วงที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาประมาณ 12-36 เดือน แต่มีเพียงรายเดียวที่จัดแคมเปญให้ลูกค้าอยู่ฟรีมากที่สุดถึง 60 เดือน หรือ 5 ปี คือ บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY โดยจัดแคมเปญชื่อว่า  RICHY Double Choice ด้วยการนำ 10 โครงการมาจัดแคมเปญ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง และ ทาวน์โฮม อาทิ The Rich เอกมัย, The Rich เพลินจิต-นานา, The Rich สาทร-ตากสิน, Rich Park @ทริปเปิ้ลสเตชั่น ศรีนครินทร์, Rich Point @BTS วุฒากาศ และ The Rich BizHome สุขุมวิท 101 เป็นต้น ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี จนสามารถปิดการขายได้หลายโครงการ LPN ขน 11 โครงการช่วยผ่อน 60 เดือน สำหรับการแพร่ระบาดโควิด-19 ระรอก 3 นี้ กลยุทธ์ที่ดีเวลลอปเปอร์ยังคงนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด ยังคงเป็นการช่วยลูกค้าผ่อนชำระค่างวดกับสถาบันการเงิน หรือการอยู่ฟรี ซึ่งยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ค่ายแอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ได้เปิดตัวแคมเปญ “ช่วยผ่อนนานสูงสุด...5 ปี” พร้อมฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน เพื่อแบ่งเบาภาระการผ่อนบ้าน โดยบริษัทช่วยผ่อนค่างวดบ้านในช่วง 5 ปีแรกให้กับลูกค้า สูงสุดเดือนละ 13,000 บาท เมื่อซื้อห้องชุดกับคอนโดมิเนียมทั้ง 11 โครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ อาทิ 1.โครงการลุมพินี ซีวิว ชะอำ แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 26 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.38 ล้านบาท  2. ลุมพินี พาร์ค เพชรเกษม 98 แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 26 ตร.ม.ราคาเริ่มต้น 1.44 ล้านบาท  และ3. ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า - ริเวอร์วิว แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 26 ตร.ม.ราคาเริ่มต้น 1.58 ล้านบาท   นางปนัดดา ขจรศิลป์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)(LPN) เปิดเผยว่า  สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19​ ระลอกใหม่​ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นใจของผู้ซื้อบ้านต่อรายได้ในอนาคต ในขณะที่ยังมีความต้องการซื้อบ้านเพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งบริษัทช่วยแบ่งเบาภาระการผ่อนบ้าน ในช่วง 5 ปีแรก  เพราะเชื่อว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 น่าจะคลี่คลายแล้ว และเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นยอดขายของบริษัทในไตรมาสสองของปี 2564 โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท จากแคมเปญนี้   โดยลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะให้ LPN ช่วยผ่อน ตั้งแต่ระยะเวลา 30 เดือน ช่วยผ่อนสูงสุดเดือนละ 13,000 บาท ระยะเวลา 40 เดือน ช่วยผ่อนสูงสุดเดือนละ 9,750 บาท ระยะเวลา 50 เดือน ช่วยผ่อนสูงสุดเดือนละ 7,800 บาท หรือระยะเวลา 60 เดือน  ช่วยผ่อนสูงสุดเดือนละ 6,500 บาท เริ่มตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 พ.ค.2564 ในขณะเดียวกันแคมเปญดังกล่าวยังมอบส่วนลดสูงสุดถึง 35% ราคาพิเศษเริ่มต้นที่ 1.38 ล้านบาท และฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนสูงสุด 120,000 บาทด้วย เชื่อว่ายังจะมีดีเวลลอปเปอร์อีกหลายราย ที่เตรียมจัดแคมเปญการตลาดออกมา เพื่อเรียกยอดขายและกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้นกว่านี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงระบาดเพิ่มมากขึ้น มีจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสียชีวิตที่มีจำนวนสะสมมากกว่านี้ กำลังซื้อและความเชื่อมั่นของประชาชนส่วนใหญ่ ยังคงไม่กลับมาได้อย่างรวดเร็ว   แต่หากมีการฉีดวัคซีนจำนวนมาก และดำเนินการอย่างรวดเร็ว รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนใช้ได้ผลดี และรัฐบาลจัดการปัญหาการแพร่ระบาดต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อมั่นว่าโปรโมชั่นทางการตลาดอาจจะไม่ได้รุนแรงไปกว่านี้แล้ว แต่ทั้งนี้ก็คงขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมด้วย ว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้รวดเร็วแค่ไหน ซึ่งคงต้องรอดูฝีมือการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้กันต่อไป ​       ​​​
โควิด-19 & ขยายเวลามาตรการภาษี  ทำราคาบ้านจัดสรรใหม่ Q2 ลดลง

โควิด-19 & ขยายเวลามาตรการภาษี  ทำราคาบ้านจัดสรรใหม่ Q2 ลดลง

REIC เผยราคาบ้านจัดสรรไตรมาสแรก ปรับตัวเพิ่มจากปลายปี 63 หลังลดต่ำมาต่อเนื่อง 3 ไตรมาส  แต่ยังต่ำกว่าก่อนเกิดโควิด-19 ขณะที่แนวโน้มราคาบ้านในไตรมาส 2 ได้อานิสงค์มาตรการรัฐ ทำต้นทุนผู้ประกอบการถูกลง และแรงกดดันจากไวรัสโควิด-19 ยังระบาด ส่งผลให้ราคาบ้านคาดปรับตัวลดลงต่ออีกเล็กน้อย   ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564  ที่ผ่านมา ว่ามีค่าดัชนีเท่ากับ 128.2 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2563   (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เริ่มเห็นการปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า 0.3% หลังจากที่ลดต่ำลงต่อเนื่องติดต่อกันมา 3 ไตรมาสในช่วงไตรมาส 2 ถึง 4 ปี 2563 ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ที่ยังมีการแพร่ระบาดต่อเนื่องไปในบางพื้นที่ อานิสงค์มาตรการรัฐ ทำราคาบ้านถูกลง​ ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า จากภาพรวมดัชนีได้สะท้อนว่า ในช่วงไตรมาส 2 ถึง 4 ปี 2563 เป็นช่วงที่ราคาบ้านจัดสรรใหม่ปรับลดต่อเนื่องจากโปรโมชั่นต่าง ๆ ของสต๊อกที่มีอยู่เดิมเป็นสำคัญ แต่สังเกตได้ว่าพอเข้าสู่ไตรมาส 1 ปี 2564 ก็กลับมีการปรับขึ้นสูงกว่าไตรมาส 4 ปี 2563 ประมาณ  0.3% ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรใหม่ ๆ ในช่วงที่ผ่านมาที่มีต้นทุนราคาที่ดินสูงขึ้น และเป็นสินค้าที่มีความต้องการในตลาดสูง แต่ราคาบ้านจัดสรรใน ไตรมาส 1 ปี 2564 ค่อนข้างชัดเจนว่าบ้านจัดสรรยังคงถูกกว่าต้นปี 2563 เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ยังคงรุนแรง ก็อาจทำให้ดัชนีราคาบ้านจัดสรรกลับมาปรับตัวลดลงเล็กน้อย หรือ ทรงตัวในไตรมาส 2 ปี 2564 ได้   สำหรับการที่รัฐบาลมีมาตรการในการขยายระยะเวลามาตรการการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และการจดจำนองสำหรับบ้านใหม่ ไปจนถึงสิ้นปี 2564 น่าจะมีผลต่อการกระตุ้นตลาดบ้านประเภททาวน์เฮ้าส์ เนื่องจากยังคงมีหน่วยขายระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลพอสมควร แต่สำหรับบ้านเดี่ยวน่าจะได้รับประโยชน์น้อย   นอกจากนี้ การเลื่อนประกาศอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปเป็นปี 2565 และลดการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเหลืออัตรา  10% ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการที่สำคัญในการช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการที่จะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเสนอขายบ้านจัดสรรในราคาต่ำลงได้ ดัชนีราคาบ้านจัดสรรปรับเพิ่ม 0.3% ดัชนีราคาบ้านจัดสรรในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.2 เลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3%   ทั้งนี้ เมื่อจำแนกดัชนีราคาบ้านจัดสรรตามพื้นที่ พบว่า พื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 127.1 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3% ขณะที่พื้นที่​ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 129.0 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.2% (ดูตารางที่ 3 และแผนภูมิที่ 1 - 3)   ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวปรับเพิ่ม 0.3% ส่วนดัชนีราคาบ้านเดี่ยว ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.4 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3%   โดยพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 125.7 ลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3% ขณะที่พื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.5 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน(YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ลดลง  0.2% (ดูตารางที่ 2 และแผนภูมิที่ 1 - 3) ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ปรับเพิ่มขึ้น 0.3% สำหรับดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 130.1 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3%  โดยพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.2 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)  เพิ่มขึ้น  0.2% ส่วนพื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 132.1 ลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.2% (ดูตารางที่ 3 และแผนภูมิที่ 1 - 3)   สำหรับรายการส่งเสริมการขายบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ พบว่า ส่วนใหญ่ 46.6% เป็นส่วนลดค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง รองลงมา  32.8%  เป็นของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ำ แท้งก์น้ำ ฯลฯ และ  20.5% เป็นส่วน ลดเงินสด  
ยอดโอนคอนโดต่างชาติปี 63 ต่ำสุดรอบ 3 ปี  ปิดตัวเลขแค่ 8,285 ยูนิต

ยอดโอนคอนโดต่างชาติปี 63 ต่ำสุดรอบ 3 ปี ปิดตัวเลขแค่ 8,285 ยูนิต

นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ได้รับผลกระทบมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เคยมีส่วนสำคัญ ต่อการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ ในกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียมไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่กรุงเทพฯ หรือตามหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทย ที่บางโครงการมียอดซื้อขายจนเต็มโควตาสัดส่วน 49% ของโครงการ แต่ปัจจุบันตัวเลขหดหายจนเป็นศูนย์ในบางโครงการ เพราะไม่สามารถเดินทางเข้ามาซื้อขายได้ ส่วนโครงการที่ซื้อไปก่อนหน้าก็ยังคงชะลอการโอนกรรมสิทธิ์ออกไปก่อน   โควิด-19 ทำยอดโอนลดลงกว่า 61% ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์คอนโด (คอนโดมิเนียม) ของคนต่างชาติ ทั่วประเทศปี 2563 ที่ผ่านมา​ พบว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2563 ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดคอนโด​ที่ขายให้กับคนต่างชาติ  เนื่องจากได้มีการล็อกดาวน์การเดินทางเข้า-ออกประเทศ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติ ทำให้ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 เป็นช่วงที่มีการเคลื่อนไหวในส่วนของการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดเพียง 1,162 ยูนิต โดยลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562  อัตรา 61.1% และมีมูลค่าลดลงเหลือ 5,073 ล้านบาท หรือลดลง 54.3%   ต่อมา ในไตรมาสที่ 3-4 สถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยเป็นผลมาจากความพยายามแก้ปัญหาของผู้ประกอบการ เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อชาวต่างชาติสามารถทำการรับโอนกรรมสิทธิ์คอนโดที่สร้างเสร็จพร้อมโอนได้ โดยเพิ่มเป็น 1,885 ยูนิต มูลค่ารวม 9,381 ล้านบาทในไตรมาส 3 และจำนวน 2,592 ยูนิต มูลค่ารวม 12,730 ล้านบาท ในไตรมาสสุดท้าย ส่งผลให้ทั้งปี 2563 มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 8,285 ยูนิต มูลค่า 37,716 ล้านบาท  โดยจำนวนยูนิตต่ำกว่าปี 2562  35.3% และมูลค่าลดลง 25.5%   แผนภูมิแสดงจำนวนยูนิตและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติทั่วประเทศ รายไตรมาส   ที่มา :     กรมที่ดิน รวบรวมประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์   แผนภูมิแสดงจำนวนยูนิตและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติทั่วประเทศ รายปี ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สัดส่วนต่างชาติต่ำสุดในรอบ 3 ปีเหลือ 6.8% ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า หากเปรียบเทียบจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติ เทียบกับคนไทย พบว่า ในปี 2561 คนต่างชาติเคยมีสัดส่วนการโอนกรมมสิทธิ์คิดเป็น 10.1% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด และมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วน 16.3% ของมูลค่าทั้งหมด ต่อมาในปี 2562 มีสัดส่วนลดลงเหลือ 9.9% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด และ 15.5% ของมูลค่าทั้งหมด และมีสัดส่วนต่ำสุด เหลือเพียง 6.8% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด และ 12.1% ของมูลค่าทั้งหมดในปี 2563   ระดับราคาคอนโดที่คนต่างชาติมีการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2561 – 2563) ส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท และราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท โดยทั้งสองระดับราคาจะมีสัดส่วนจำนวนยูนิตใกล้เคียงกันคือ 23.2% และ 23.0% ตามลำดับ แต่เมื่อพิจารณาด้านมูลค่าการโอน พบว่า คอนโดระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท จะมีสัดส่วนมูลค่าสูงสุดถึง 28.5%   สัดส่วนจำนวนยูนิตและมูลค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2561 – 2563) แยกตามระดับราคาคอนโด ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กทม.เมืองหลักต่างชาติซื้อคอนโด จังหวัดที่มีจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติมากที่สุดในปี 2563 ใน 10 ลำดับแรก ซึ่งมีสัดส่วนจำนวนยูนิตรวมกันมากถึง  99.7% และมีสัดส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์รวมกันมากถึง  99.8% ส่วนที่เหลืออีก 20 จังหวัดมีสัดส่วนจำนวนยูนิตเพียง 0.3% และสัดส่วนมูลค่ารวมกัน 0.2% 3 จังหวัดแรกที่มีการโอนกรรมสิทธ์ของคนต่างชาติมากที่สุด ได้แก่ 1.กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีสัดส่วนจำนวนยูนิตมากถึง 57.1% และมีสัดส่วนมูลค่าการโอนมากถึง 73.5% เกินกว่าครึ่งหนึ่งของการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติทั่วประเทศ 2.จังหวัดชลบุรี มีสัดส่วนจำนวนยูนิต  24.9% แต่มีสัดส่วนมูลค่า 14.2 3.จังหวัดภูเก็ต มีสัดส่วนจำนวนยูนิตเพียง  4.7% แต่มีสัดส่วนมูลค่า  4.6%   จังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมากที่สุด 10 ลำดับแรก (เรียงตามจำนวนยูนิตปี 2563) ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ชาวจีนครองแชมป์สัดส่วนโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด สัญชาติของคนต่างชาติที่ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมากที่สุด 10 อันดับแรก ในปี 2563 เปรียบเทียบกับปี 2562 ซึ่งสัญชาติของคนต่างชาติของทั้งสองปีมีรายชื่อ 10 ประเทศที่เหมือนกัน โดยอันดับแรก เป็นชาวจีน ซึ่งเป็นคนต่างชาติที่มีการรับโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมากที่สุด โดยในปี 2562 มีสัดส่วนการโอน 59.6% ของจำนวนยูนิต และเพิ่มสัดส่วนเป็น 63.4% ในปี 2563 อันดับสอง เป็นชาวรัสเซีย มีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2563 4.7% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด แต่ลดลงจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วน 6.2% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด อันดับสาม เป็นชาวฝรั่งเศส สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2563  3.4% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วน  3.1% อันดับสี่ เป็นชาวสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2563  3.1% ของจำนวนยูนิต สัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วน 3.0% อันดับห้า เป็นชาวเยอรมัน สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2563  2.5% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วน  2.2% ตารางแสดงสัญชาติคนต่างชาติที่มีการรับโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมากที่สุดในปี 2562 - 2563 ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์    
มาตรการรัฐกระตุ้นตลาดคอนโดกทม.โอนกรรมสิทธิ์เพิ่ม1.1% 

มาตรการรัฐกระตุ้นตลาดคอนโดกทม.โอนกรรมสิทธิ์เพิ่ม1.1% 

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานดัชนีราคาห้องชุด (คอนโดมิเนียม) ใหม่ ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 152.2 จุด ลดลง 0.8% ลดลงเป็นไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยเป็นการลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2563   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่าการที่รัฐบาลได้ขยายระยะเวลามาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และการจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ไปจนถึงสิ้นปี 2564 สามารถกระตุ้นการซื้อขายคอนโดได้ โดยดูจากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดใหม่ที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในปี 2563 ทั่วประเทศลดลงเพียง 1.5% จากปี 2562 แต่ภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ทุกระดับราคาทั่วประเทศลดลงถึง 8.5% สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ– ปริมณฑล มีสัดส่วนเฉลี่ยการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดถึง  80% ของทั้งประเทศ​ ซึ่งกรุงเทพฯ– ปริมณฑลถือว่าเป็นตลาดหลักสำหรับอาคารชุดในประเทศไทย โดยในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมามีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดใหม่ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับปี 2562 ได้สะท้อนให้เห็นว่า มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และการจดจำนองที่ผ่านมาในปี 2563 สามารถช่วยระบายจำนวนคอนโดในตลาดให้ผู้ประกอบการได้ดีพอสมควร และภาวะที่จำนวนคอนโดในตลาดลดลง ได้ส่งผลเริ่มเห็นทิศทางราคาคอนโดใหม่เริ่มปรับตัวขึ้น   โดยค่าดัชนีราคาคอนโดใหม่ไตรมาส 1 ของปี 2564 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)  ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นไตรมาสแรกหลังจากลดลงต่อเนื่องติดต่อกันมาถึง 4 ไตรมาส แต่หากเทียบกับราคาคอนโดใหม่ไตรมาส 1 ของปี 2563 พบว่า ค่าดัชนีราคาคอนโดใหม่ยังคงต่ำกว่าปีก่อน 0.8% ซึ่งหมายความได้ว่า ราคาขายคอนโดที่เสนอขายอยู่ในตลาด ยังคงอยู่ในระดับราคาที่มุ่งเน้นกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อในตลาดต่อเนื่องจากปี 2564   สำหรับดัชนีราคาคอนโดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในไตรมาส 1 ปี 2564 นี้ เมื่อพิจารณาแยกตามพื้นที่ พบว่า กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 153.6 จุด ลดลง 0.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เพิ่มขึ้น  0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 145.3 จุด ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) (ดูตารางที่ 1 และดูแผนภูมิที่ 1 - 2)    สำหรับรายการส่งเสริมการขายคอนโดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ พบว่า ส่วนใหญ่  46.1% เป็นของแถม เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ รองลงมา 35.1% เป็นส่วนลดเงินสด และ 18.9% เป็นส่วนลดค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์   ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์