Tag : condo

1488 ผลลัพธ์
[PR News] PROUD จัดพิธีลงเสาเอก โครงการรมย์คอนแวนต์

[PR News] PROUD จัดพิธีลงเสาเอก โครงการรมย์คอนแวนต์

โครงการรมย์คอนแวนต์ PROUD ได้ฤกษ์มงคล จัดพิธีลงเสาเอก โครงการรมย์คอนแวนต์ คอนโดระดับลักชัวรีใจกลางเมือง มูลค่า 4,150 ล้าน เดินหน้าเปิดไซต์ก่อสร้าง มั่นใจแล้วเสร็จไตรมาส 4/2569 เร่งการขายชูจุดเด่นทำเลศักยภาพใจกลางสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมพื้นที่ส่วนกลางกว่า 1,200 ตร.ม. จัดเต็มบริการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษ MIDYEAR RETREAT เฉพาะกรกฎาคมนี้ รับฟรีที่พัก InterContinental Phuket Resort 3 วัน 2 คืน มูลค่ากว่า 58,000 บาท   บริษัท พราว เรียล เอสเตท หรือ PROUD ได้ฤกษ์มงคล จัดพิธีลงเสาเอก โครงการ รมย์ คอนแวนต์ (ROMM Convent) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ใจกลางเมือง บนทำเลศักยภาพที่หาได้ยากที่สุดแห่งหนึ่งบนถนนคอนแวนต์ -สาทร   ทั้งนี้ หลังเปิดตัวปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2566 มีกระแสตอบรับที่ดี กวาดยอดพรีเซลไปกว่า 40% ถือเป็นความสำเร็จอย่างสูง ขณะนี้ บริษัทได้เดินหน้าเปิดไซต์ก่อสร้างตามแผนงาน มั่นใจก่อสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2569 เตรียมจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ร่วมสัมผัสประสบการณ์การอยู่อาศัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและยืนยาวในทุกมิติ LIVE. WELL. LIFE. เดือนสิงหาคมนี้   โครงการรมย์คอนแวนต์ คอนโดระดับลักชัวรี มูลค่าโครงการรวม 4,150 ล้านบาท  ด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซปต์  CBD Retreat Residences ลักชัวรี่คอนโดที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้อยู่อาศัยที่ต้องการพื้นที่ห้องขนาดใหญ่พิเศษ เพดานสูง โปร่งให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านใจกลางเมือง โครงการมีความตั้งใจขยายไซส์ให้ห้องของทุก Type กว้างกว่าปกติ เพื่อให้อยู่ได้จริงและยาวนานสำหรับอนาคต รูปแบบห้องเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ห้องนอนจนถึง Junior Penthouse และ Penthouse โดยห้องแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 85 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 19 ล้านบาท การออกแบบ Unit Lay out ยังเน้นฟังก์ชั่นการใช้งานได้หลากหลาย และให้ผู้อยู่อาศัยสัมผัสความงดงามของชีวิตผ่านความเชื่อมโยงของพื้นที่ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมรอบโครงการ ให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านใจกลางเมือง แต่ยังคงความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนเพียง 180 ยูนิต และจำนวนห้องต่อชั้นไม่เกิน 8 ห้อง พร้อม The Sky Retreat ส่วนกลางลอยฟ้าวิวสวนลุมพินี 4 ชั้น และ Facilities ครบครันที่ทำให้คุณได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่เหนือคำบรรยาย   โครงการรมย์ คอนแวนต์ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพที่มีการเติบโตมากที่สุดอีกแห่งของกรุงเทพฯ ที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดดในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางครบทุกรูปแบบได้อย่างสะดวกสบาย รายล้อมด้วยสถานที่ต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สำหรับทุกวัยได้ในระยะเดินถึง ทั้งสถานศึกษา ออฟฟิศขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสวนสาธารณะ รวมถึง ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์ โปรเจกต์ยักษ์ใหญ่แลนด์มาร์คระดับโลกอาทิ One Bangkok, Dusit Central Park, Silom Park นอกจากนี้ ยังมีบริการพิเศษ โดยลูกบ้านจะได้รับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม Holistic Wellness Solution ที่ดำเนินการโดยพันธมิตรผู้ให้บริการด้านสุขภาพแนวหน้าของไทย “แอปพลิเคชัน BeDee by BDMS และ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช” ซึ่งลูกบ้านสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ตลอด 24 ชม. ทั้งแบบออนไลน์ ,จุดให้บริการบริเวณพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการ, โรงพยาบาลบีเอ็นเอช และโรงพยาบาลในเครือ ถือเป็นแนวคิดใหม่ของการอยู่อาศัยที่ช่วยในการดูแลสุขภาพทั้งของตัวเองและทุกคนในครอบครัว โดยมีจุดเชื่อมสำคัญในการบริการที่เป็นมากกว่า เจ้าหน้าที่ทั่วไป คือ Proud Health Butler และ Proud Application คอยช่วยเหลือลูกบ้านเรื่องสุขภาพ พร้อมสิทธิพิเศษในการเป็นสมาชิกระดับ VVIP ของ BNH Loyal Heritage Member รับการดูแลเป็นพิเศษจากทีมแพทย์ระดับ A-List พร้อมส่วนลดสูงสุด 20% พร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมายจากทางโรงพยาบาล     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดเหตุผล พราว เรียลเอสเตท บุกตลาดกทม. กับวิธีทางสร้างรายได้ 15,000 ล้าน -พราว เรียลเอสเตท ปั้นโปรเจ็กต์ “เวหา” 2,290 ล้าน ชู 6 ไฮไลท์คอนโดลักชัวรี่สูงสุดในหัวหิน -รีวิว The Lofts สีลม คอนโดพร้อมอยู่บนถนนสีลม ใกล้ BTS พร้อมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
[PR News] RML เปิดตัว 4 ห้องตกแต่งครบพร้อมอยู่ใหม่ ภายใต้ธีม ‘Your Season, Your Style’

[PR News] RML เปิดตัว 4 ห้องตกแต่งครบพร้อมอยู่ใหม่ ภายใต้ธีม ‘Your Season, Your Style’

RML (บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด มหาชน)  เปิดห้องตัวอย่างใหม่ตกแต่งสุดหรู ขนาด 1-2 ห้องนอน ล็อตสุดท้ายของโครงการ คอนโดมิเนียมระดับอัลตร้าลักชัวรี่พร้อมเข้าอยู่ เลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly) ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ (The Estelle Phrom Phong) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก 4 ฤดูกาล  4 สไตล์ ราคาเริ่มต้น 18 ล้านบาท โดยมีเซเลบริตี้ชื่อดัง ได้แก่ แพม-อณิชา อรรถสกุลชัย, ภัทร-ณภัทร ณรงค์เดชและพิม-พิมพ์พิศา ณรงค์เดช, ยุ้ย-อรวรรณ อิงคสิทธิ์ รวมถึงเจย์ สเปนเซอร์  มาร่วมถ่ายทอดไอเดียการตกแต่งคอนโดฯ และการใช้ชีวิตแบบคนเมือง RML RML นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RML กล่าวว่า “เราใส่ใจในทุกรายละเอียด ให้ทุกโครงการมีอัตลักษณ์เฉพาะ สะท้อนถึงตัวตนและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยในแบบที่แตกต่างกันไป ซึ่งล่าสุดโครงการคอนโดฯ อัลตร้าลักชัวรี่ พร้อมเข้าอยู่ใจกลางสุขุมวิท ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ บนทำเลศักยภาพ เพียง 2 นาที ถึง BTS พร้อมพงษ์ และ ดิ เอ็มดิสทริค (The Em District) จัด ‘Your Season, Your Style’ รังสรรค์ 4 ห้องตัวอย่างใหม่สุดหรู ตกแต่งครบ (Fully-furnished) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากฤดูกาลทั้งสี่ โดยแต่ละห้องจะมีการใช้โทนสีที่แตกต่างกัน เพื่อสื่อถึงหลากหลายอารมณ์ความรู้สึก ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาดั่งเช่นฤดูกาลต่างๆ โดยการตกแต่งห้องตัวอย่างใหม่นี้ก็เพื่อสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ และเป็นไอเดียให้กับทุกคนที่กำลังจะตกแต่งห้องที่เป็นสไตล์ในแบบของตัวเองที่ไม่ซ้ำใคร” ‘Your Season, Your Style’ ประกอบด้วยห้องทั้งหมด 4 ห้อง 4 สไตล์ ได้แก่ Spring, Summer, Autumn และ Winter ขนาด 1-2 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 18 ล้านบาท โดยแต่ละห้องได้ถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองของเซเลบริตี้ ชื่อดังที่มีไลฟ์สไตล์คนเมือง   RML เริ่มต้นที่ แพม-อณิชา อรรถสกุลชัย เซเลบริตี้สาวสวยมากความสามารถ กล่าวถึงการเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจในการตกแต่งห้องตัวอย่าง ‘Spring’ ว่า “ห้องตัวอย่างนี้ตกแต่งด้วยโทนสีขาวและสีเขียวใบไม้ สร้างบรรยากาศภายในห้องให้มีความเป็นธรรมชาติผสมลงไปอย่างลงตัว มอบความรู้สึกสบายตาจากสีเขียว แล้วยังทำให้ห้องดูสว่างและกว้างมากขึ้นจากสีขาว  ทำให้ภาพรวมการออกแบบตกแต่งดูสงบ มองไปทางไหนก็สดชื่น ผ่อนคลาย เหมาะกับคนไลฟ์สไตล์แบบแพมที่ถึงแม้จะใช้ชีวิตในเมืองเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ชอบความผ่อนคลาย เรียบง่าย เป็นส่วนตัวค่ะ”     ภัทร-ณภัทร ณรงค์เดช และพิม-พิมพ์พิศา ณรงค์เดช เซเลบริตี้รุ่นใหม่ไฟแรง กล่าวถึงห้อง ‘Summer’ ว่า “ห้องนี้ตกแต่งโทนสีอบอุ่น เน้นสีอ่อน ให้ความรู้สึกสบายตา โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ผนังหินอ่อนพาลิสซานโดร ทิกราโต้ (Palissandro Tigrato) โทนสีน้ำตาล  เสริมให้ห้องดูสง่างามเหนือกาลเวลา และมีการเลือกใช้วัสดุเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไม้ และรูปร่างของเฟอร์นิเจอร์ที่มีความโค้งมน ทำให้ภาพรวมของห้องดูนุ่มสบาย รวมทั้งการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ก็เน้นการเปิดพื้นที่ เพื่อให้ห้องดูกว้าง โปร่ง จัดแบ่งพื้นที่ใช้สอยอย่างเป็นสัดส่วนอีกด้วย”   ยุ้ย-อรวรรณ อิงคสิทธิ์ ผู้บริหารและเจ้าของร้านจิวเวลรี่ชื่อดัง กล่าวถึงห้อง ‘Autumn’ ว่า “ห้องนี้ตกแต่งเน้นความเท่ห์  มีชีวิตชีวา มีอิสระ และไร้ขีดจำกัด ด้วยรูปแบบเส้นสายจากงานอาร์ตประดับผนังเฟอร์นิเจอร์ พร้อมดีเทลของพร็อพที่ประดับตกแต่งในสไตล์เมทัลลิคสีเงิน (Metallic Silver) ช่วยสร้างความโฉบเฉี่ยว ดูหรูหราทันสมัย เหมาะกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง” และ เจย์ สเปนเซอร์ คุณพ่อสุดอบอุ่น นักธุรกิจหนุ่มผู้หลงใหลในศิลปะ  กล่าวถึงห้อง ‘Winter’ ว่า “ดีไซน์คอนเซปต์ในการออกแบบห้องนี้ เน้นการใช้โทนสีเข้มตัดโทนสีที่ชัดเจนด้วยสีขาว-เทา-ดำ และแทรกด้วยโทนสีทองเหลืองรมดำ เพิ่มสเน่ห์ทำให้ห้องดูหรูหรา และยังคงความหนักแน่น อีกทั้งฟังก์ชั่นใช้สอยก็เป็นสัดเป็นส่วน แบ่งพื้นที่ครัวและพื้นที่ทานข้าวได้อย่างลงตัว” ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ ซอยสุขุมวิท 26 พร้อมเปิดให้ทุกท่านได้สัมผัสความหรูหราอย่างมีระดับได้ทุกวัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ โทร. 02-029-1888, Line Official @raimonland หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.raimonland.com   บทความน่าสนใจ 10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML
[PR News] ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC

[PR News] ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC

สินเชื่อสีเขียว ธนาคารไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน และสินเชื่อสีเขียว จำนวน 20,000 ล้าน ให้ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป เพื่อพัฒนาโครงการเมกะโปรเจกต์ สานต่อเจตนารมณ์ด้านความยั่งยืนของทั้งสององค์กร   นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้สนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) และสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จำนวน 20,000 ล้านบาท ให้แก่ AWC เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ และการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ AWC อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมของธนาคาร และธุรกิจภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ โดยมีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จากการดำเนินงานภายในปี 2030 และจากการให้สินเชื่อและการลงทุนภายในปี 2050 ธนาคารมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของ AWC และเชื่อมั่นว่าการสนับสนุนทางการเงินจำนวน 20,000 ล้านในครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพทางธุรกิจผ่านการพัฒนาโครงการคุณภาพมากมาย ที่จะสร้างความน่าตื่นเต้นให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ และเพื่อสนับสนุนประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่ยั่งยืนระดับโลก ด้านนางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า AWC มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 เสาหลัก 9 มิติ หรือ 3 BETTERs ประกอบไปด้วย 1.การสร้างคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม (BETTER PLANET) เพื่อโลกที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น 2.การสร้างคุณค่าด้านสังคม (BETTER PEOPLE) เพื่อผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และ 3.การสร้างคุณค่าด้านเศรษฐกิจ (BETTER PROSPERITY) เพื่อเศรษฐกิจของประเทศที่ดีขึ้น   โดยที่ผ่านมา AWC ได้ดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง อาทิ โรงแรม เชอราตัน สมุย ดำเนินโครงการธนาคารปู เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และโรงแรมบันยันทรี กระบี่ ที่ได้ร่วมมือกับมูลนิธิอันดามัน เพื่อนำร่องโครงการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน รวมถึงการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านแนวคิดธุรกิจ reConcept ที่ส่งเสริมการนำเฟอร์นิเจอร์และวัสดุเก่า รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งของโรงแรมที่ไม่ได้ใช้งาน กลับมารีไซเคิลและใช้ซ้ำ เพื่อลดปริมาณขยะฝังกลบ ตลอดจนการลงทุนพัฒนาบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ที่ส่งเสริมการสร้างงานและสร้างรายได้สู่ชุมชนรอบโครงการ และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยท้องถิ่นเพื่อสร้างโอกาสรายได้ที่ยั่งยืนผ่านโครงการ เดอะ GALLERY เป็นต้น   AWC ยังคงดำเนินงานตามแผนแม่บทอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan: EEP) สอดคล้องกับกรอบสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและสินเชื่อสีเขียว เพื่อมุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านโครงการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาหรือชั้นดาดฟ้าของอาคาร การเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพระบบทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศ ครอบคลุมโรงแรมในเครือที่มีการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2019   นอกจากนี้ AWC จะพัฒนาโครงการในเครือตามกรอบเพื่อขอรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวสากล อาทิ มาตรฐาน EDGE LEED หรือ WELL เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและคํานึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด   โดย AWC มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์ให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก (Mega sustainable destination) อาทิ โครงการเอเชียทีค ที่จะสร้างเป็นแลนด์มาร์คความยั่งยืนริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้กับกรุงเทพฯ โครงการอควอทีค กลางเมืองพัทยา และโครงการเวิ้ง นาครเกษม ศูนย์กลางคุณค่าประวัติศาสตร์วัฒนธรรมกลางไชน่า ทาวน์ รวมถึงโครงการลานนาทีค ที่มีคุณค่าของเสน่ห์ศิลปวัฒนธรรมล้านนากลางเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่ง AWC เชื่อมั่นว่าการพัฒนาโครงการต่างๆ ให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านความยั่งยืนระดับโลกนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสานต่อนโยบายและกลยุทธ์หลักของประเทศสู่การเป็นผู้นำการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก   AWC ยังมุ่งพัฒนาอาคารตามมาตรฐานอาคารสีเขียวในระดับสากล อาทิ โรงแรมอินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน EDGE (Excellence in Design for Greater Efficiencies) และโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ได้รับการรับรอง LEED & WELL PRECERTIFIED รวมถึงอีกหลากหลายโครงการ โดยใช้สินเชื่อยั่งยืนแรกที่ได้รับการสนับสนุนจาก SCB เมื่อปีที่แล้ว   โดยปัจจุบัน AWC ได้ร่วมมือกับพันธมิตรสถาบันการเงินชั้นนำจัดวงเงินสินเชื่อระยะยาวที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนกว่า 75% และตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อระยะยาวเชื่อมโยงความยั่งยืนเป็นร้อยละ 100% เพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ การลงนามสัญญาในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ร่วมกันในการดำเนินธุรกิจ โดย AWC จะยังคงดำเนินการตามกลยุทธ์ความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการริเริ่มต่างๆ เพื่อร่วมสร้างคุณค่าในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ภายใต้พันธกิจ สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า  พร้อมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก AWC ดำเนินงานภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมาตรฐานสากลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ การได้รับการประเมินจาก MSCI ESG Rating ในระดับ "AA" ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่รายชื่อหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment (THSI) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ติดอันดับรายงานความยั่งยืน S&P CSA Yearbook 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P Global ESG Score 2022” ได้รับรางวัล “Industry Mover” ในฐานะบริษัทที่มีความยั่งยืนของกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ ได้รับการจัดอันดับรายงานการกำกับดูแลกิจการ ในระดับ “ดีเลิศ” (Excellence CG Scoring) ได้รับการรับรองให้เป็นแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) และได้รับการจัดอันดับในฐานะองค์กรที่มีการกำกับกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในอาเซียนของปี 2564 (ASEAN CG Scorecard)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ -AWC ประกาศ Q1/2566  กำไร 1,422 ล้าน ผลการใช้กลยุทธ์ GROWTH-LED
“ออริจิ้น” เปิดกลยุทธ์บุก ทำเลรถไฟฟ้า 6 สายส่งคอนโด 19,580 ล้าน ทั่วกทม.-ปริมณฑล

“ออริจิ้น” เปิดกลยุทธ์บุก ทำเลรถไฟฟ้า 6 สายส่งคอนโด 19,580 ล้าน ทั่วกทม.-ปริมณฑล

เปิดกลยุทธ์ “ออริจิ้น” บุก ทำเลรถไฟฟ้า 6 สาย ส่งคอนโด 19,580 ล้าน ทั่วกทม.-ปริมณฑล จากแผนเปิดคอนโดทั่วประเทศ 22 โปรเจ็กต์ กว่า 30,000 ล้าน   สานต่อความเป็น “เจ้าตลาดคอนโด” อย่างต่อเนื่อง สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ที่ปีนี้ประกาศแผน “Origin Infinity” เดินหน้าสร้างการเติบโตแบบไม่สิ้นสุด พร้อมแผนเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ทั่วประเทศ  22 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 30,370 ล้านบาท สูงที่สุดของการเปิดคอนโดในตลาดปี 2566 โดยมี นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด เป็นหนึ่งในผู้นำทัพฝั่งคอนโดมิเนียม   แม้กลยุทธ์หลักจะเน้นการยกทัพธุรกิจในเครือให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ (Nationwide Serve) ทำให้ปีนี้จะได้เห็นโครงการคอนโดในเครือออริจิ้น ออกสู่พื้นที่ต่างจังหวัดนอกเหนือเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นครั้งแรก ขณะเดียวกัน ออริจิ้นก็ยังไม่ทิ้งทำเลยุทธ์ศาสตร์ “ใกล้รถไฟฟ้า” ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล อีกหนึ่ง Key Success ที่ทำให้คอนโดของออริจิ้น สามารถครองใจคนเมืองทุกเพศทุกวัย จนมียอดขายคอนโดในไตรมาสแรกของปี 2566 ถึง 9,459 ล้านบาท   “ปีนี้เรามีโครงการคอนโดทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในไปป์ไลน์ทั้งหมด 12 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 19,580 ล้านบาท คิดเป็น 64% ของพอร์ตคอนโดทั้งหมดในเครือ ซึ่งปีนี้เรายังคงบุกทำเลใกล้รถไฟฟ้า 6 สายต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ให้ครอบคลุมหลายสถานีมากยิ่งขึ้น" ปักหลักสายสีเขียว เจาะครบทุกเซ็กเมนต์ บริษัทยังคงยึดฐานที่มั่นตามแนวรถไฟฟ้า “สายสีเขียวอ่อน” โดยส่งแบรนด์คอนโดครอบคลุมแทบทุกเซ็กเมนต์และไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่ระดับ Entry ไปจนถึงระดับ Luxury เริ่มจากย่าน CBD ใกล้สถานีทองหล่อ ซึ่งเป็นย่านที่มีนักธุรกิจและชาวต่างชาติอยู่อาศัยเยอะ จึงส่งแบรนด์ใหม่โครงการแกรนด์ แฮมป์ตัน ทองหล่อ (Grand Hampton Thonglor) แบรนด์คอนโดมิเนียมสุดหรูสไตล์ Hotel Serviced Residence จากเมกะโปรเจกต์ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์ (ORIGIN THONGLOR WORLD) มารองรับดีมานด์กลุ่มนี้ พร้อม IP Program สร้างผลตอบแทนสำหรับนักลงทุน   ขณะที่ย่านคลาสสิกอย่างพระโขนง เป็นอีกทำเลที่มีชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นมาอาศัยอยู่มากขึ้น ทำให้ย่านนี้คึกคัก รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและแหล่งไลฟ์สไตล์มากมาย จึงได้เห็นการกลับมาอีกครั้งของแบรนด์โซโห แบงค็อก (SOHO Bangkok) คอนโดมิเนียมระดับ Luxury ในเครือพาร์ค ลักชัวรี่ ที่มีจุดเด่นตรงทำเลดี ใกล้สถานีพระโขนง จำนวนยูนิตน้อย มอบความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัย พร้อมเซอร์วิสระดับโรงแรม มาเป็นตัวบุกตลาด   ส่วนทำเลถนัดของออริจิ้น อย่าง บางนา-สมุทรปราการ บริษัทเตรียมส่งแบรนด์โซ ออริจิ้น (So Origin) คอนโดระดับ High End ห้อง Duo Space เพดานสูง 4.2 ม. พร้อม Excellent Services ใกล้สถานีแบริ่ง ขณะที่อีกฝั่งของส่วนต่อขยาย เลือกส่ง แบรนด์ออริจิ้น เพลส (Origin Place) คอนโดเจาะตลาด Upper Class ที่ดีไซน์ห้องพัก และส่วนกลางเจาะกลุ่มคนรักสัตว์โดยเฉพาะ บนทำเลดีใกล้สถานีพหลโยธิน 59 บุกสายสีน้ำเงิน-สีแดงต่อเนื่อง หลังประกาศบุกฝั่งธนบุรีในปีที่แล้ว ปีนี้ออริจิ้นยังเดินหน้าพัฒนาโครงการคอนโด  เจาะทำเลตามแนวรถไฟฟ้า “สายสีน้ำเงิน”  ถึง 4 โครงการรวด ไม่ว่าจะเป็นย่านศิริราช อีกหนึ่ง Medical Hub ที่ขึ้นชื่อของกรุงเทพฯ ทั้งยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยเก่าแก่ บริษัทจึงเตรียมส่งแบรนด์โซ ออริจิ้น คอนโดมิเนียมใกล้สถานีไฟฉาย พร้อมบริการเหนือระดับ อำนวยความสะดวกให้กับผู้อยู่อาศัย เจาะกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมทั้งส่งแบรนด์ดิ ออริจิ้น เจาะโซนบางแค และ ออริจิ้น เพลส เจาะสถานีภาษีเจริญตรงข้ามซีคอน บางแค เอาใจผู้บริโภคทั้ง Gen Y Gen Z ที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมย่านฝั่งธนบุรี   ขณะเดียวกัน ออริจิ้นยังเตรียมมาเปิด ดิ ออริจิ้น อีกหนึ่งโครงการที่รถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีบางบำหรุ คาดว่าจะได้เห็นปลายปีนี้ เจาะ Blue Ocean สายสีเหลือง-ชมพู-ส้ม ส่วนทำเล Blue Ocean ตามแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ ที่เตรียมเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ ไม่ว่าจะเป็น “สายสีเหลือง” ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยและมีคอมมูนิตี้มอลล์ แหล่งไลฟ์สไตล์ครบครัน ทำเล “สายสีชมพู” สถานีศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ อีกหนึ่งแหล่งงานขนาดใหญ่ ที่มีข้าราชการและบุคลากรถึง 25,000 คน และรถไฟฟ้า “สายสีส้ม” สถานีน้อมเกล้า ที่สามารถเชื่อมได้ทั้งรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู บริษัทจะใช้ 2 แบรนด์หลัก อย่างออริจิ้น เพลส และออริจิ้น เพลย์ เป็นแบรนด์เรือธงในการบุกตลาด โดยมีทั้ง Duo Space ห้อง 2 ชั้น เพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กับผู้อยู่อาศัย และคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ เจาะกลุ่ม Pet Lover และคนรุ่นใหม่   “แม้จะเป็นเส้นรถไฟฟ้าสายสีเดียวกัน แต่แค่ต่างสถานี ความต้องการของผู้อยู่อาศัยก็ไม่เหมือนกัน ทีมงานออริจิ้นจึงทำการบ้านกันอย่างหนัก นอกจากมองศักยภาพของทำเลแล้ว เราพยายามศึกษาลงลึกเพื่อเข้าถึง Insight และเห็นภาพทุก Journey ของผู้บริโภคในทุกๆ ทำเลว่าคนย่านนี้ทำงานอะไรมีไลฟ์สไตล์แบบไหนต้องการอะไรบ้างในแต่ละวัน เพื่อให้เราออกแบบฟังก์ชันทั้งในห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางได้ตรงใจผู้อยู่อาศัยให้มากที่สุด นี่จึงเป็น Key Success ที่ทำให้คอนโดมิเนียมของออริจิ้น ยังสามารถครองใจผู้บริโภคได้ทุกทำเล”     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ร่วมพันธมิตรออก โทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ ลงทุนแค่ 182 บาท -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ วาง 3 แผนงานสร้างการโตไม่สิ้นสุด จับเมกะเทรนด์ลุยธุรกิจทั่วไทย
[PR News] อัปเดต ยอดขาย ดุสิต เรสซิเดนเซส ทำได้แล้วกว่า 60%

[PR News] อัปเดต ยอดขาย ดุสิต เรสซิเดนเซส ทำได้แล้วกว่า 60%

ดุสิต เรสซิเดนเซส อัปเดต ยอดขาย ดุสิต เรสซิเดนเซส ทำได้กว่า 60% คาดสิ้นปีทะลุ 70-75% หวังต่างชาติซื้อ 35% รับเทรนด์การอยู่อาศัยคำนึงถึงสุขภาวะและสภาพแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน   นางสาวละเอียด โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการว่า ปัจจุบันมียอดขายเกินกว่า 60% และคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2566 จะมียอดขายราว 70-75% จากลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยยอดขายล่าสุด แบ่งเป็นสัดส่วนลูกค้าชาวไทย 85% ต่างชาติ 15% ซึ่งคาดว่าสัดส่วนลูกค้าต่างชาติจะขยับเพิ่มขึ้นตามคาดการณ์เดิมที่ 35% เมื่อทุกประเทศเปิดให้ท่องเที่ยวได้อย่างเต็มรูปแบบ   ทั้งนี้ กลุ่มดุสิตธานี ได้จับมือกับพาร์ทเนอร์และเอเจนท์ในหลายประเทศ รวมถึงได้มีการทำโรดโชว์สำหรับกลุ่มลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธในหลายประเทศ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ซื้อเป็นอย่างมาก โดยดุสิตฯ ยังวางแผนที่จะไปเจาะตลาดสิงคโปร์ ฮ่องกง จีน ไต้หวัน รวมถึงสหรัฐอเมริกาและยุโรป ภายในปีนี้อีกด้วย   สำหรับโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส ประกอบด้วยสองลิฟวิ่งคอนเซ็ปต์ (living concept) ได้แก่ ดุสิต เรสซิเดนเซส และ ดุสิต พาร์คไซด์ ซึ่งแนวคิดการริเริ่มโครงการนี้ เริ่มต้นมาจากการที่บริษัทให้คุณค่ากับชุมชน ต้องการสร้างที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อไลฟ์สไตล์ในทุกรูปแบบ เพื่อบาลานซ์การใช้ชีวิตของคนเมืองที่มีทุกอย่างใกล้มือ ตัวใกล้ชิดธรรมชาติ รวมถึงมีที่อยู่อาศัยที่พร้อมด้วยการบริการแบบครบวงจร  ซึ่งเป็นโครงการแบรนด์เด็ดเรสซิเดนส์ (branded residence)   นางสาวละเอียด กล่าวถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยว่า ยังเป็นที่ดึงดูดทั้งคนในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งดูจากสถิติแล้วแนวโน้มพฤติกรรมของต่างชาติเปลี่ยนไป จากแค่การลงทุนทำธุรกิจ มาเป็นการอยู่อาศัยระยะยาว ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมหลายด้าน อาทิ ด้านการศึกษาที่มีโรงเรียนนานาชาติหลากหลาย มีเทคโนโลยีการแพทย์ที่ก้าวหน้า บุคลากรทางการแพทย์ที่มีฝีมือ และสาธารณสุขอยู่ในลำดับแนวหน้าของเอเชีย อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพถูกกว่าหลายเท่าหากเทียบกับประเทศอื่น ๆ ทั้งหมดนี้จึงเป็นปัจจัยหลักที่สามารถโน้มน้าวให้ต่างชาติสนใจและเข้ามาอยู่อาศัย หลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยค่อนข้างให้ความสำคัญถึงการอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดีต่อกายและใจ จนเกิดเป็นเทรนด์การพัฒนาที่อยู่อาศัยโดยคำนึงถึงสุขภาวะและสภาพแวดล้อมที่ดีในการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน  สำหรับโครงการมีโซน รูฟพาร์ค (Roof Park) ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่สีเขียวกว่า 7 ไร่ ที่สามารถตอบรับไลฟ์สไตล์ของการอยู่ในเมืองที่ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติได้พร้อม ๆ กัน ยิ่งไปกว่านั้นในส่วนของที่พักอาศัยออกแบบที่อยู่อาศัยด้วยการคำนึงถึงสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ตั้งแต่ช่วงการออกแบบก่อนการก่อสร้าง ที่ประกอบด้วยวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น การใช้คอนกรีตรีไซเคิล การใช้ปูนฉาบที่เป็นปูนขาว ที่จะช่วยเรื่องการดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในห้อง รวมถึงการทำระบบรีไซเคิลน้ำที่ใช้แล้วมารดน้ำต้นไม้และส่งต่อถึงสวนลุม เป็นต้น   ในส่วนโรงแรมดุสิตธานีโฉมใหม่ ระดับ 6 ดาว จะพร้อมเปิดให้บริการเป็นเฟสแรกในเดือนมิถุนายน ปี 2567 บนตึกความสูง 39 ชั้น ด้วยจำนวน 257 ห้องพัก ที่ออกแบบให้ทันสมัยและใหญ่ขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายของความเป็น “ดุสิตธานี” แบบดั้งเดิม อย่างไรก็ดีการทำโรงแรมอย่างเดียวนั้นอาจไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายและผันเปลี่ยนของคนเมืองในปัจจุบัน จึงเป็นที่มาของการจับมือกับกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาร่วมพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสแห่งนี้ให้ครบครันยิ่งขึ้น โดยส่วนของออฟฟิศและศูนย์การค้าที่อาศัยความเชี่ยวชาญจากเซ็นทรัลพัฒนา จะเปิดให้บริการเป็นเฟสที่สองในช่วงปลายปี 2567 และโครงการที่พักอาศัยจะทยอยเริ่มโอนในช่วงปลายปี 2568 โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมทุนระหว่างบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และบริมจษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) มูลค่าโครงการรวม 46,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการบนพื้นที่ 23 ไร่ บริเวณหัวมุมถนนสีลม ตรงข้ามสวนลุมพินี สุดยอดทำเลดีที่สุด ใจกลางย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพมหานคร  ในโครงการประกอบด้วย โรงแรม อาคารที่พักอาศัย อาคารสำนักงานและศูนย์การค้า โดยมีรูฟพาร์ค – สวนสาธารณะบนชั้นดาดฟ้าเป็นพื้นที่สีเขียวพิเศษขนาดใหญ่ 7 ไร่ใช้เป็นพื้นที่สาธารณะ ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการประมาณปี 2568   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -4 ประโยชน์อยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ ลดโรค-ลดเครียด-เสริมพัฒนาการ-เพิ่มมูลค่า
[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ รุกพัฒนาองค์กร พร้อมรับเทรนด์ ESG & Sustainable Living

[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ รุกพัฒนาองค์กร พร้อมรับเทรนด์ ESG & Sustainable Living

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มุ่งสร้าง Mindset รักษ์โลกจากภายในองค์กรสู่ภายนอก ผ่านการพัฒนาโครงการและงานออกแบบที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนรากฐานของหลัก ESG และ Sustainable architecture   นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN  เปิดเผยว่า ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางการบริหารงานเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG (Environment-สิ่งแวดล้อม, Social-สังคม และ Governance-ธรรมาภิบาล) ควบคู่ไปกับการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาโครงการบ้านภายใต้แนวคิด Sustainable architecture หรือสถาปัตยกรรมยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างคุณภาพชีวิตและสังคมที่ดีแก่ลูกบ้าน รวมถึงให้ความสำคัญต่อสังคม พนักงาน คู่ค้า และผู้ถือหุ้น ต่อยอดสู่เป้าหมายสูงสุดคือการเป็น National Property Company การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ สู่ตลาด คือสิ่งที่ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยบริษัทฯได้ส่งเสริม Lalin Innovations Idea Award กับเหล่าพนักงานในองค์กร เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมในการคิดค้นและสร้างสรรค์ไอเดียที่จะสามารถช่วยต่อยอดในการทำงาน พร้อมยกระดับให้งานนั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น นอกจากการให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรมแล้ว ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ยังให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางสีเขียว หรือ Green Space ที่ช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีภายในโครงการด้วยเช่นกัน “พื้นที่สีเขียวภายในโครงการที่เปรียบเสมือนปอดของชุมชนจะถูกตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้ที่มีสีสันสดใสมองแล้วสบายตา ทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังได้เพิ่มจุดสันทนาการท่ามกลางสวนสวยเพื่อเพิ่มความสุขในวันหยุดพักผ่อน และเพิ่มความประทับใจในการอยู่อาศัยภายในโครงการ โดยสวนมีการออกแบบให้มีความงดงามในสไตล์โพรวองซ์ (Provence) ซึ่งจำลองมาจากประเทศฝรั่งเศส และประยุกต์ใช้ต้นไม้ที่มีในประเทศไทย    เน้นไม้ยืนต้นที่จะช่วยฟอกอากาศในบริเวณโดยรอบ   บริษัทฯ ยังกำหนดเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมการอยู่ร่วมกันแบบ "ยั่งยืนและมีความสุข" ภายใต้แนวคิด 3Rs ประกอบด้วย Reduce (ลดการใช้)  ลดการใช้น้ำด้วยการใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ 2 ระบบ ช่วยลดการใช้น้ำที่เกินความจำเป็น ลดการใช้ไฟโดยใช้หลอดไฟ LED และนำระบบ Solar Cell มาใช้ในพื้นที่ส่วนกลางเพื่อลดการใช้ไฟฟ้า อีกทั้งยังใช้หลังคาที่มีฉนวนกันความร้อน เพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในคลับเฮาส์ ทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง และประหยัดไฟมากขึ้น ทั้งนี้ยังมีการใช้กระจกเขียวตัดแสงและสีสะท้อนความร้อน ซึ่งจะช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร และช่วยลดค่าไฟฟ้าเกินความจำเป็น Reuse (การใช้ซ้ำ)   ภายในโครงการได้มีการติดตั้งระบบหมุนเวียนน้ำ โดยนำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาใช้ดูแลสวนส่วนกลาง พร้อมมีการตั้งเวลาเปิด-ปิด ในการรดน้ำต้นไม้ เพื่อควบคุมการใช้น้ำให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด และ Recycle (การนำกลับมาใช้ใหม่) มีการใช้วัสดุทดแทนวัสดุธรรมชาติ อาทิ การใช้กระเบื้องลายหินอ่อนที่เป็นหินสังเคราะห์ เพื่อให้ความรู้สึกที่ทดแทนวัสดุที่เป็นหินอ่อนแท้จากธรรมชาติ นายชูรัชฏ์ กล่าวเสริมว่า  ปัจจุบันปัจจัยด้านพลังงานถือเป็นประเด็นหลักที่ทุกคนในสังคมเริ่มให้ความใส่ใจอย่างเต็มที่ ซึ่งบริษัทฯ ได้ตระหนักถึงปัจจัยในด้านดังกล่าวเป็นอย่างดี และได้มีการเลือกสรรวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การปรับมาใช้หลอดไฟแบบ LED  การใช้แผ่นฝ้าสะท้อนความร้อน  ใช้หลังคาที่มีฉนวนกันความร้อนเพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้าน การเลือกสรรสุขภัณฑ์แบบประหยัดน้ำ ที่สำคัญจะพิจารณาเลือกผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวเป็นหลัก เพราะใช้กระบวนการผลิตมีส่วนช่วยลดโลกร้อน และลดการใช้พลังงานต่างๆ   ด้านโครงสร้างมีการออกแบบให้บ้านมีหลังคาที่สูงโปร่ง มีการเพิ่มจุดติดตั้งระบบพัดลมระบายอากาศเพื่อช่วยระบายความร้อนภายในตัวบ้าน   นอกจากนี้ยังออกแบบให้มีช่องแสงที่บริเวณโถงบันได เพื่อให้แสงธรรมชาติสามารถลอดผ่านและกระจายแสงได้อย่างทั่วถึง ช่วยทำให้ลดการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้เป็นอย่างดี  ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้สูงถึง 20-30% นับป็นข้อดีที่ได้ประโยชน์ชัดเจนจากการออกแบบภายใต้แนวคิด Sustainable architecture หรือสถาปัตยกรรมยั่งยืน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางเป้าขาย 8,600 ล้าน โต 10% เน้นธุรกิจทำกำไร-รักษาสภาพคล่อง
ส่องกำลังซื้อ ต่างชาติใน 5 เมืองท่องเที่ยว  ช่วงครึ่งแรกปี 66 ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวแค่ไหน?

ส่องกำลังซื้อ ต่างชาติใน 5 เมืองท่องเที่ยว ช่วงครึ่งแรกปี 66 ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวแค่ไหน?

ต่างชาติ ส่องตลาดที่อยู่อาศัยใน 5 เมืองท่องเที่ยวหลัก ทั้งกทม. เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี​ และโคราช เติบโตแค่ไหน หลังททท.รายงานตัวเลขต่างชาติเข้าไทยแล้วกว่า 6 ล้านคน พบ จีนนำมาอันดับ 1 ตัวเลขกว่า 5 ล้านคน พร้อมลุ้นรัฐบาลใหม่ออกนโยบยกระตุ้นอสังหาฯ สำหรับต่างชาติ   แม้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับปัจจัยบวกทั้งจากกำลังซื้อต่างชาติที่เริ่มกลับมา เห็นได้ชัดหลังจากจีนประกาศเปิดประเทศเมื่อต้นปี ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจต่าง ๆ มีแนวโน้มฟื้นตัวและกลับมาเติบโตอีกครั้ง และภาวะเงินเฟ้อที่ไม่ร้อนแรงเหมือนในปีที่ผ่านมา แต่กำลังซื้อผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่ยังไม่กลับมา มีทั้งปัจจัยท้าทายหลัก ๆ จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และความชัดเจนทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ทำให้กำลังซื้อต่างชาติกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้ 3 เดือนจีนเข้าไทยกว่า 5 ล้านคน ข้อมูลล่าสุดจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 (1 มกราคม – 31 มีนาคม) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยมากกว่า 6 ล้านคน สร้างรายได้ในประเทศมากกว่า 250,000 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนมากเป็นอันดับ 1 ไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน และมีแนวโน้มจะสูงถึง 7-8 ล้านคน   ล่าสุด กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ยังได้ออกกฎกระทรวงซึ่งเอื้อต่อการนำที่อยู่อาศัยมาให้บริการในรูปแบบของโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อหารายได้ โดยได้รับการผ่อนผัน ยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับที่ว่างของอาคาร, ช่องทางเดินในอาคาร, ความกว้างของบันได และระยะถอยร่นแนวอาคาร ฯลฯ แต่ทั้งนี้ อาคารที่จะเปลี่ยนการใช้ดังกล่าวต้องมีความมั่นคงแข็งแรง และมีระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยว   ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัว 3.6% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นและภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 น่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 29.5 ล้านคน และจะมีรายได้จากกลุ่มนี้ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ รวมไปถึงการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์   ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศในไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่า หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศขยายตัว 79.2% ส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 67.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นทิศทางการฟื้นตัวที่ดีในตลาดอสังหาฯ หลังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศ ทำให้ชาวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาทำธุรกรรมและโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในไทยได้ดังเดิม คาด ต่างชาติ ซื้อคอนโดในกรุงเทพฯ 15% อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส คาดว่าในปี 2566 สัดส่วนชาวต่างชาติที่ซื้อห้องชุดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอาจจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 15% ของมูลค่าทั้งหมด หลังจากที่ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2562 มีมูลค่าประมาณ 14.6% ดังนั้น กำลังซื้อชาวต่างชาติจึงอาจไม่ได้มีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ไทยอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้   นอกจากนี้ ผู้พัฒนาอสังหาฯ ยังคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะออกมาตรการกระตุ้นตลาดที่เอื้อให้ชาวต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยในไทยอย่างถูกกฎหมายให้มีมากขึ้น โดยไม่ผ่านตัวแทนหรือนอมินี (Nominee) ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและต้องติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด   ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ www.DDproperty.com และแอปพลิเคชัน DDproperty ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 (เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม - พฤษภาคม 2566) อัปเดตเทรนด์ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในหัวเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, ชลบุรี และนครราชสีมา สะท้อนให้เห็นทิศทางการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ไทย หลังกำลังซื้อต่างชาติกลับมาอีกครั้งหลังจากเปิดประเทศเต็มรูปแบบ กทม.ความต้องการซื้อคอนโดเพิ่ม 6% ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นถึง 13% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) ขณะที่ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 ยังมีทิศทางเติบโตเป็นบวก โดยเพิ่มขึ้น 3% จากเดือนมกราคม   ทั้งนี้ เมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า คอนโดมีทิศทางการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 6% จากเดือนมกราคม ขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ยังทรงตัว   เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัย พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความต้องการซื้อคอนโด และทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 1-3 ล้านบาทมากที่สุด (เพิ่มขึ้น 10% และ 4% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ) ซึ่งสอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มองหาที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ ขณะที่บ้านเดี่ยวระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาทจะได้รับความนิยมมากที่สุด (ลดลง 3% จากเดือนมกราคม)   ในส่วนทำเลยอดนิยมที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในกรุงเทพฯ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 หากเป็นคอนโด จะอยู่ในแขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง ส่วนทำเลยอดนิยมที่ผู้ซื้อบ้านเดี่ยวให้ความสนใจจะอยู่ในแขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง ขณะที่แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวงถือเป็นทำเลที่มีความต้องการซื้อทาวน์เฮ้าส์สูงที่สุด ปัญหาฝุ่น คนซื้อที่อยู่ลดลง 28% เชียงใหม่ เป็นอีกหนึ่งจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นถึง 14% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ​แต่ลดลงถึง 28% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม เนื่องจากปัจจัยลบที่มีอย่างต่อเนื่องของปัญหาฝุ่นควัน รวมถึงตลาดท่องเที่ยวที่เริ่มชะลอตัวลง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระยะสั้นไม่เติบโตเท่าที่ควร และปรับลดลงในทุกประเภทที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวและคอนโด ปรับลดลงมากที่สุดในสัดส่วนเท่ากันที่ 35% จากเดือนมกราคม ตามมาด้วยทาวน์เฮ้าส์ (ลดลง 25% จากเดือนมกราคม)   เมื่อพิจารณาตามระดับราคา พบว่า ระดับราคาที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในทุกประเภทที่อยู่อาศัยคือ 1-3 ล้านบาท โดยแต่ละประเภทมีอัตราการเปลี่ยนแปลง คือ คอนโด เพิ่มขึ้น 6%, ทาวน์เฮ้าส์ ลดลง 28% และบ้านเดี่ยว ลดลง 45% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม   สำหรับทำเลยอดนิยมที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในเชียงใหม่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในตัวเมือง โดยทำเลที่ผู้บริโภคสนใจซื้อคอนโด มากที่สุด คือตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ส่วนทำเลฝั่งทาวน์เฮ้าส์ที่ได้รับความนิยมจะอยู่ในตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมืองเชียงใหม่ ขณะที่ทำเลยอดนิยมของบ้านเดี่ยวจะอยู่ในตำบลสันผักหวาน อำเภอหางดง คนซื้อที่อยู่อาศัยในภูเก็ตลดลง 13% ตลาดที่อยู่อาศัยของภูเก็ตในเดือนพฤษภาคมยังคงทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า เมื่อพิจารณาภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 พบว่า ลดลง 13% จากเดือนมกราคม   โดยคอนโด เป็นที่อยู่อาศัยประเภทเดียวที่มีการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา มีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 10% สวนทางกับที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวที่ลดลงถึง 26% ส่วนทาวน์เฮ้าส์ลดลง 15% จากเดือนมกราคม   เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ได้รับความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่า อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ในทุกประเภทที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโด ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว (เพิ่มขึ้น 7%, ลดลง 4% และลดลงถึง 62% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ)   ขณะที่ทำเลที่มีความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่าความนิยมกระจายไปในพื้นที่อำเภอเมืองภูเก็ตเป็นหลัก โดยทำเลที่ได้รับความนิยมในการซื้อคอนโด อยู่ที่ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต ด้านบ้านเดี่ยวจะได้รับความนิยมในเขตตำบลฉลอง อำเภอเมืองภูเก็ต ส่วนทาวน์เฮ้าส์มีคนสนใจซื้อในตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ตมากที่สุด ชลบุรี ทาวน์เฮ้าส์โต 21% ตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดชลบุรีมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ประกอบกับมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการพัฒนาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมไปถึงการพัฒนาระบบคมนาคมและนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ จึงทำให้ชลบุรีโดดเด่นทั้งด้านท่องเที่ยวและด้านอุตสาหกรรม ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมเติบโต 9% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า   นอกจากนี้ ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังเพิ่มขึ้น 3% จากเดือนมกราคม โดยทาวน์เฮ้าส์ได้รับความสนใจ มีการความต้องการซื้อเพิ่มถึง 21% ตามมาด้วยคอนโด เพิ่มขึ้น 9% โดยมีเพียงบ้านเดี่ยวเท่านั้นที่ความต้องการซื้อลดลง 4%   เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัยที่มีความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่า อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ในทุกประเภทที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโด มีความต้องการซื้อ เพิ่มขึ้น 11%, ทาวน์เฮ้าส์ มีความต้องการซื้อ เพิ่มขึ้น 20% และบ้านเดี่ยว มีความต้องการซื้อ ลดลง 6% จากเดือนมกราคม   สำหรับทำเลยอดนิยมในชลบุรีนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่อำเภอศรีราชา และอำเภอบางละมุง ที่เป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของ EEC จึงทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยบ้านเดี่ยวจะได้รับความต้องการซื้อมากที่สุดในตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา ทาวน์เฮ้าส์จะเป็นที่นิยมในตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา ขณะที่ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุงจะเป็นทำเลยอดนิยมในการซื้อคอนโด ที่อยู่อาศัย จ.นครราชสีมา ลดลง 27% นครราชสีมามีศักยภาพในการเป็นเมืองศูนย์กลาง ของระบบการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ที่สำคัญในอนาคต  โดยมีโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา หรือมอเตอร์เวย์ (M6) รวมทั้งแผนพัฒนารถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และท่าเรือบกในอนาคต   แม้ว่าจะมีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองยังต้องพึ่งพาความชัดเจนจากความคืบหน้าของโครงการคมนาคมต่าง ๆ ด้วย ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมายังทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า   ขณะที่ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 นั้นลดลง 27% จากเดือนมกราคม และปรับตัวลดลงในทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยทาวน์เฮ้าส์ลดลงมากที่สุดถึง 55% จากเดือนมกราคม ตามมาด้วยบ้านเดี่ยว ลดลง 28% และคอนโด ลดลง 11% จากเดือนมกราคม   โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ได้รับความสนใจมากที่สุด พบว่า คอนโด อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ลดลง 19% จากเดือนมกราคม  และทาวน์เฮ้าส์ ลดลง 46% จากเดือนมกราคม สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อผู้บริโภคที่ส่วนใหญ่ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ มากกว่าเน้นความหรูหราแบบบ้านพักตากอากาศ ส่วนบ้านเดี่ยวอยู่ในระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท ลดลง 45% จากเดือนมกราคม   ด้านทำเลที่อยู่อาศัยยอดนิยมนั้น อำเภอปากช่องยังคงเป็นทำเลยอดนิยมที่ผู้คนให้ความสนใจค้นหาที่อยู่อาศัยมากที่สุด โดยทำเลที่มีความต้องการซื้อคอนโด และบ้านเดี่ยวมากที่สุดอยู่ในตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง ซึ่งเป็นเส้นทางขึ้นไปยังอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์จะได้รับความนิยมซื้อในพื้นที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา   ทั้งหมดก็เป็นภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยในเมืองท่องเที่ยวช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ในกลุ่มชาวต่างชาติ ที่เป็นความหวังและเป็นกำลังซื้อสำคัญว่าจะเข้ามาช่วยทำให้ตลาดอสังหาฯ เติบโต แต่จะสามารถสร้างการเติบโตได้มากน้อยแค่ไหน คงต้องมีปัจจัยสนับสนุนจากภาครัฐด้วย ซึ่งต้องรอดูทิศทางรัฐบาลใหม่อีกครั้งต่อไป     *อ้างอิงจากข้อมูลของ SimilarWeb ช่วงระหว่าง ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566 1 อ้างอิงจากข้อมูลจาก SimilarWeb ช่วงระหว่าง ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566 2 อ้างอิงจากข้อมูลจาก Google Analytics ช่วงระหว่าง ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566 3 ข้อมูลระหว่าง ม.ค. - มี.ค. 2566 4 ข้อมูลระหว่าง ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566  
[PR News] เพอร์เฟค เปิดตัว “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์”

[PR News] เพอร์เฟค เปิดตัว “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์”

เพอร์เฟค พาร์ค พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิด “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์ โครงการใหม่ ดีไซน์ใหม่ในสไตล์ยุโรป Modern Classic สเปซใหญ่ ฟังก์ชั่นใหม่ รองรับชีวิตเมืองบนทำเลถนนหอการค้าไทยเดินทางสะดวก 5 นาทีถึงถนนแจ้งวัฒนะ ราคาเริ่ม 5.29 ล้านบาท   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดโครงการใหม่ เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ ภายใต้แนวคิด “Urban Life & Dream Ville” ชีวิตในเมืองที่เมืองในฝัน เน้นตอบโจทย์การเป็นบ้านหลังแรกของกลุ่มวัยเริ่มทำงานและครอบครัวรุ่นใหม่ในโซนแจ้งวัฒนะและราชพฤกษ์ พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิตเมืองให้สะดวกสบายครบทุกความต้องการ   โครงการเพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ มีมูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท พื้นที่โครงการ 37 ไร่ จำนวน 204 ยูนิต โดยปรับเปลี่ยนสไตล์ใหม่หมดทั้งภายนอกและภายในให้เป็นแบบบ้านใหม่สไตล์ Modern Classic เน้นความหรูหราแบบยุโรปผสานกับความโมเดิร์นที่มีเอกลักษณ์สะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี และยังเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กว้างมากขึ้น เริ่มต้นที่ 134-173 ตร.ม. รวมทั้งออกแบบฟังก์ชั่นใหม่ให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน Lifestyle Connecting Area เชื่อมต่อพื้นที่ภายในบ้านรวมถึงพื้นที่สีเขียว Lifestyle Flexi Function เพิ่มห้องนอนที่ 4 ชั้นล่างรองรับการเป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุได้ Lifestyle Kitchen Studio ครัวขนาดใหญ่ Lifestyle Innovation Smart Airflow นวัตกรรมระบบระบายอากาศกรองฝุ่น PM2.5 ช่วยลดอุณหภูมิและความอับชื้นเพิ่มคุณภาพอากาศที่ดีให้แก่ผู้อยู่อาศัย ภายในโครงการพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งคลับเฮ้าส์ ฟิตเนส ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำสไตล์บีช Co-Working space สำหรับทำงานหรืออ่านหนังสือ Dream Park สวนสวยที่มี The Pavilion of Dreams เพื่อการพักผ่อน Dream Playground สนามเด็กเล่นเพื่อช่วงเวลาของครอบครัว และ Jogging Track ลู่วิ่งออกกำลังกลางแจ้งรอบสวน   สำหรับโครงการดังกล่าว​ตั้งอยู่บนถนนหอการค้าไทย ทำเลแห่งการอยู่อาศัย ซึ่งบริษัทยังมีการพัฒนาโครงการบนทำเลดังกล่าวแล้วถึง 6  โครงการ ตอกย้ำถึงความนิยมในทำเลแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ยังใกล้ รร.นานาชาติ SISB นนทบุรี ใช้เวลาเดินทางเพียง 5 นาทีถึงถนนแจ้งวัฒนะ สะดวกด้วยสะพานพระราม 4 สู่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ท่าอากาศยานดอนเมือง และเมืองทองธานี ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนขั้นที่ 2 แจ้งวัฒนะ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพูที่มีกำหนดจะเปิดให้บริการเดือน มิ.ย.67 และที่สำคัญยังเชื่อมต่อกับถนนราชพฤกษ์ที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ โรบินสัน ราชพฤกษ์, โลตัส นอร์ธ ราชพฤกษ์, อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ทำให้โครงการอยู่ในทำเลศักยภาพมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โครงการเพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ เปิดให้จอง Pre-Sale ในวันที่ 1-2 ก.ค. นี้ พร้อมให้เลือกบ้านแปลงสวยและรับสิทธิพิเศษเฉพาะวันงานเท่านั้น ในราคาเริ่มต้น 5.29 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน
COBE รัชดา-พระราม 9 โครงการใหม่ของคนรุ่นใหม่เพื่อให้คุณเป็นตัวของคุณเอง

COBE รัชดา-พระราม 9 โครงการใหม่ของคนรุ่นใหม่เพื่อให้คุณเป็นตัวของคุณเอง

COBE รัชดา-พระราม 9 โครงการใหม่ แบรนด์ใหม่ ของ SC ASSET   “COBE” (โค้บบ์) มีที่มากจาก CO-BEING ที่สร้างสรรค์จากความเข้าใจถึงไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่มีความหลากหลาย มีอิสระ เป็นตัวของตัวเอง และเต็มไปด้วยแพสชั่น ทำให้ให้โครงการนี้ เป็นของคนรุ่นใหม่ที่จะให้ทุกคนในโครงการนี้ เป็นตัวของตัวเอง ในพื้นที่ Community ของคุนที่มีแนวคิดแบบเดียวกัน   COBE โครงการยังให้ความสำคัญกับการดีไซน์และตกแต่งภายในโครงการรวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากปรัชญาการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายจากสองซีกโลกทั้ง โลกตะวันตก และ โลกตะวันออก นำเสนอผ่านคอนเซปต์การออกแบบชื่อว่า “แวลลีย์ แอนด์ ฮิลล์” (Valleys & Hills) ที่ผสมผสานความโดดเด่น ของสองปรัชญา ได้แก่ “แวลลีย์” (Valleys) ที่สะท้อนปรัชญาการใช้ชีวิตของ โลกฝั่งตะวันตก  อย่าง ‘ฮุกกะ’ (Hygge)  แนวคิดวิถีการใช้ชีวิตและวัฒนธรรมจากประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเป็นประเทศที่มีความสุขติดอันดับต้นๆ ของโลก   COBE โดย ‘ฮุกกะ’ คือความสุขสบายที่เกิดจากความสงบผ่อนคลาย สามารถเกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่ดี และแนวคิดจากฝั่งตะวันออกอย่าง “ฮิลล์” (Hills) ด้วยปรัชญาการใช้ชีวิตของชาวญี่ปุ่น หรือ ‘วะบิ-ซะบิ’ (Wabi-Sabi) เป็นปรัชญาที่ให้คุณค่ากับความสวยงามตามธรรมชาติ สุนทรียภาพอันเรียบง่ายไม่ยึดติดในความสมบูรณ์แบบ   COBE ต้องการสร้าง Community เพื่อให้คนที่อยู่อาศัยได้มีปฏิสัมพันธ์กัน ทั้งแบบเจอกันจริงๆและแบบ Virtual บน Application Ruejai ที่ไม่ว่าลูกบ้านจะอยู่ที่นี่สามารถใช้งานผ่านการจองพื้นที่ส่วนกลาง จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ และสามารถเลือกเข้าร่วม Club ตามความสนใจได้ ผ่าน Application นี้ และสามารถแลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ ไอเดียดีๆ รวมถึงการมี Market Place ที่คนในโครงการสามารถซื้อขายสินค้าระหว่างกันได้   COBE เชื่อว่า Sustainability คือมาตรฐานใหม่ของการพัฒนาที่อยู่อาศัย ทางโครงการเล็งเห็นถึงความสำคัญจึงได้เตรียมพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ได้แก่ พื้นที่ “แยกขยะ” ที่สอดรับแนวความคิด Zero Waste การติดตั้ง Solar Cell ไว้บนอาคาร เพื่อลดการใช้พลังงานสำหรับพื้นที่ส่วนกลาง และ บริการ EV Shuttle Service จาก Muvmi   และนอกจาก Place People Planet ที่เป็น 3 หัวใจสำคัญแล้วนั้น โครงการฯก็ยังสร้างปรากฎการณ์ Collaboration กับ Partnership เติมความต้องการเพื่อเป็น Community ที่สมบูรณ์แบบ ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ผู้ช่วยวางแผนทางการเงิน โดย KBANK, ที่ปรึกษาสุขภาพใจ โดย Relationflip นอกจากนี้ยังสร้างความมั่นใจให้ผู้อยู่อาศัยด้วยการรับประกันเฟอร์นิเจอร์ห้องชุดอีกด้วย   จากการผสมผสานปรัชญาการใช้ชีวิตทั้งสองซีกโลกเข้าด้วยกันนี้ ได้ถูกถ่ายทอดผ่านผลงานอันโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งภายใน และเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์หลากหลายรูปทรงทั้งโค้งมน รวมถึง สไตล์การตกแต่งในสีโทนธรรมชาติ (Neutral Tone) เพื่อเพิ่มบรรยากาศแบบสไตล์โคซี่ (Cozy Style) ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย เหมาะกับการเป็นพื้นที่พักอาศัยได้อย่างลงตัว   COBE รัชดา-พระราม 9  เป็นทำเลใจกลาง New CBD พระราม 9 – รัชดาภิเษก อยู่บน ถ.เทียมร่วมมิตร ใกล้ศูนย์วัฒนธรรมแหล่งประเทศไทย แหล่งรวมอาคารสำนักงานชั้นนำ โรงเรียนนานาชาติ และศูนย์การค้ามากมาย  การเดินทางสะดวก ใกล้ MRT สถานีศูนย์วัฒนธรรม และรถส่วนตัวมีถนนหลายสาย ถนนพระราม 9, ถนนรัชดาภิเษก, ถนนประชาอุทิศ, ถนนวัฒนธรรม และจุดขึ้นลงทางด่วนศรีรัช ด่านพระราม 9 มุ่งหน้าไปทางด่วนฉลองรัชและมอเตอร์เวย์ฯ สุวรรณภูมิ และในอนาคตจะมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มที่มีแผนจะเปิดให้ใช้บริการในปี 2568 อีกด้วย     COBE รัชดาพระราม 9  ส่วนกลางของคนรุ่นใหม่ที่จะได้ใช้ชีวิตแบบฉบับของตัวเอง ด้านหน้าโครงการจะมี โซน Commercial  อนาคตจะเป็นFOOD land  เปิด 24 ชั่วโมง เราจะมีร้านถูกและดี ดูแลความหิวของเราตลอด 24 ชั่วโมงกันเลย  สำหรับพื้นที่ส่วนกลางตัวอาคารจะตั้งอยู่รายล้อมส่วนกลาง แบบ Community พื้นที่แห่งการสร้างสรรค์เพื่อคนรุ่นใหม่ โดยจะมีสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ สระว่ายน้ำ, Fitness, Co-Working Space, Yoga Studio, Workshop Space, Live Studio เป็นต้น  สำหรับที่จอดรถ  อาคารจอดรถ สูง 7 ชั้น + ชั้นใต้ดิน 1 ชั้น จำนวน 1 อาคาร อาคารจอดรถ สูง 2 ชั้น + ชั้นใต้ดิน 1 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวม 740 คัน   COBE รัชดา-พระราม 9  เป็นโครงการ  High-Rise  มีทั้งหมด 9 อาคาร  โครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 12 ไร่ มีทั้งหมด 9 อาคาร  1,612 ยูนิต   มีห้องรูปแบบที่หลากหลายตั้งแต่ Studio ขนาด 23 ตารางเมตร จนถึง3 ห้องนอน ขนาด 106 ตารางเมตร  ขายแบบ Fully Furnished ตกแต่งพร้อมเฟอร์นิเจอร์ในราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท Studio 23-28 ตร.ม. 1 Bedroom 30-34 ตร.ม. 1 Bedroom Plus 35-40 ตร.ม. 2 Bedrooms 50-72 ตร.ม. 3 Bedrooms 106 ตร.ม. อีกจุดเด่นที่ได้รับคำตอบรับดีมาก COBE รัชดา-พระราม 9  อาคารที่เป็น Pet Friendly  โครงการจะมีการจัดสรรพื้นที่ให้เป็น Pet Park สำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ น่าสนใจไม่น้อย  โครงการเปิดราคาขายไว้ 100,000-150,000 บ./ตร.ม.* หรือเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท* เปิดชมครั้งแรก 24-25 มิ.ย.นี้ - เอาใจการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่     บทความที่น่าสนใจ “เดอะ เครสท์ พาร์ค เรสซิเดนเซส” อยู่อย่าง 5ดาว ที่ 5 แยกลาดพร้าว Life พหลฯ ลาดพร้าว ตอบโจทย์ชีวิตไร้ขีดจำกัด PARC Ekkamai-Pattanakarn    คอนโดแนวคิดใหม่ ที่ให้คุณได้ “พัก” ในแบบของคุณเอง
พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น ต่อยอด Super Living Service เข้าถือหุ้น โปรเจคส์เอเชีย

พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น ต่อยอด Super Living Service เข้าถือหุ้น โปรเจคส์เอเชีย

พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น เร่งขยายอาณาจักร Super Living Service ส่งบริษัทย่อย “ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์” เข้าถือหุ้น “โปรเจคส์เอเชีย” บิ๊กที่ปรึกษาทางวิศวกรรม และจัดการงานพัฒนาอสังหาฯครบวงจร หวังเสริมแกร่งธุรกิจบริหารงานก่อสร้าง เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ขยายฐานลูกค้าสู่การคุมงานโรงแรม ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ อาคารสำนักงานเกรด A พร้อมรับรู้รายได้ทันทีจากธุรกิจในมือ ดันธุรกิจโตแบบก้าวกระโดดและยั่งยืน   นางสาวจตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด “Super Living Service” ทั้งกลุ่มต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ได้ดำเนินการให้ บริษัท ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์ จำกัด หรือ UPM บริษัทในเครือ ซึ่งให้บริการบริหารงานก่อสร้างโครงการ เข้าซื้อกิจการ บริษัท โปรเจคส์เอเชีย จำกัด ธุรกิจที่ปรึกษาทางวิศวกรรม รวมถึงงานบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเคยมีผลงานดูแลงานขนาดใหญ่ระดับประเทศทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า อาทิ 185 ราชดำริ, โรงแรมดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ, โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัล ลาดพร้าว, อาคารปาร์ค เวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์, อาคาร FYI Center, ไอคอนสยาม   การที่โปรเจคส์เอเชีย จะเข้ามาช่วยเติมฐานธุรกิจในกลุ่มต้นน้ำของเครือ PRI ใน 2 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการขยายฐานลูกค้า ช่วยให้ UPM เข้าถึงฐานลูกค้ารายใหญ่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น โรงแรม อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้าได้มากขึ้น จากเดิมที่บริษัทมีฐานอยู่ในฝั่งที่อยู่อาศัยเป็นหลัก และ 2.ด้านองค์ความรู้และบุคลากร ช่วยให้บริษัทได้รับองค์ความรู้ ตลอดจนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เข้ามาร่วมงานเพิ่มเติมทันที ด้านผศ.ดร.อรุณ ศิริจานุสรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ UPM ผู้ให้บริการบริหารงานก่อสร้างโครงการ ในเครือ PRI กล่าวว่า บริษัทฯ ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจต้นน้ำ - บริการก่อนเข้าอยู่อาศัย (Pre-Living Services) ที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในปี 2565 เมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจอื่นของ PRI โดยมีอัตราการเติบโตถึง 3 เท่าจากปี 2564 ทำให้บริษัทมองหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อให้สามารถเสริมแกร่งการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง   สำหรับการเข้าถือหุ้นครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขยายธุรกิจด้านที่ปรึกษาทางวิศวกรรม รวมถึงบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ รองรับลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ด้วยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของโปรเจคส์เอเชีย จะทำให้เราสามารถรับรู้รายได้จากการให้บริการได้ทันที ช่วยผลักดันให้บริษัทก้าวสู่การเป็น Super Living Service ที่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ขณะที่นายไบรอัน จอห์น ซิมมอนด์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริษัท โปรเจคส์เอเชีย จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีความยินดีและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งกับการได้ร่วมธุรกิจกันในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยที่นำความแข็งแกร่งด้านงานที่ปรึกษาทางวิศวกรรม รวมถึงงานบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการของบริษัท มาผนวกรวมกับความโดดเด่นด้านงานบริการออกแบบสถาปัตยกรรม ของ UPM เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต เพราะธุรกิจกลุ่มต้นน้ำเป็นกลุ่มธุรกิจที่ต้องการผู้ที่มีประสบการณ์และความชำนาญอย่างแท้จริง จากประสบการณ์อันยาวนานกว่า 33 ปีของโปรเจคส์เอเชีย ในธุรกิจที่ปรึกษา รวมถึงบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ระดับประเทศมากมาย จึงเชื่อมั่นได้ว่าบริษัทจะสามารถเป็นอีกหนึ่งพลังขับเคลื่อนให้ UPM และ PRI เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน สำหรับ PRI เป็นผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรชั้นนำของประเทศ มีประสบการณ์กว่า 11 ปี ปัจจุบัน ดำเนินธุรกิจภายใต้ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ – บริการก่อนเข้าอยู่อาศัย (Pre-Living Services) อาทิ บริการที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง บริการออกแบบด้านสถาปัตยกรรม งานโครงสร้าง งานโยธา และงานระบบ บริการจัดฝึกอบรมและพัฒนาทักษะบุคลากร 2.กลุ่มกลางน้ำ – บริการการจัดการเพื่อการอยู่อาศัย (Living Services) อาทิ บริการบริหารนิติบุคคลอาคารชุด บ้านจัดสรร ห้างสรรพสินค้า อาคาร และสำนักงาน บริการอพาร์ตเมนท์แบบพรีเมียม บริการซื้อ-ขาย-ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร และ 3.กลุ่มปลายน้ำ - บริการหลังการขายที่อยู่อาศัย (Living & Earning Services) อาทิ บริการแม่บ้านและช่าง บริการออกแบบและตกแต่งภายใน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พรีโม ขาย IPO หุ้นละ 15 บาท 80 ล้านหุ้น วางเป้า Top 3 บริการด้านอสังหาฯ ​ -พรีโม เตรียม IPO ในปลายปีนี้ วางเป้าขึ้น Top3 ด้านบริการอสังหาฯ ​ครบวงจร
How to วางแผนการเงิน อย่างไร ให้กู้ซื้อบ้านหลังแรก ได้ตามความต้องการ​

How to วางแผนการเงิน อย่างไร ให้กู้ซื้อบ้านหลังแรก ได้ตามความต้องการ​

วางแผนการเงิน การวางแผนการเงิน เพื่อซื้อบ้านสักหลัง หรือคอนโดมิเนียมสักห้อง สำคัญพอ ๆ กับการหาข้อมูลบ้านและตัดสินใจว่าจะซื้อที่ไหน เพราะการจะได้ที่อยู่อาศัยตามที่เราต้องการ เราก็ต้องมีกำลังทรัพย์เพียงพอด้วย ซึ่งหากเราไม่ได้มีเงินก้อนสะสมที่เตรียมไว้ซื้อบ้านด้วยเงินสด เราคงต้องกู้เงินจากธนาคารและผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ไป แต่การจะกู้เงินได้เราคงต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารด้วย   วันนี้ Reviewyourliving มีเคล็ดลับ การวางแผนการเงิน สำหรับคนที่กำลังตั้งเป้าหมายว่าต้องการจะซื้อบ้านสักหลัง เพื่อใช้อยู่กับครอบครัวหรือคนที่เรารัก ลองมาดูกันว่า วิธีการเตรียมความพร้อมด้านการเงินมีเรื่องอะไรบ้าง 5 วิธี วางแผนการเงิน กู้ซื้อบ้าน 1.เช็คเครดิตบูโร เริ่มต้นเราคงต้องมาตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองก่อน โดยการเช็คเครดิตบูโร เพื่อดูว่าเรามีหนี้อยู่เท่าไร การผ่อนชำระที่ผ่านมาเป็นอย่างไร จ่ายตรงหรือจ่ายล่าช้าหรือไม่ เพราะพฤติกรรมการชำระหนี้ในอดีต จะเป็นตัวชี้วัดว่าเรามีคุณสมบัติเป็นลูกหนี้ที่ดีแค่ไหน ซึ่งบางทีเราก็อาจจะจำไม่ได้ว่าเรามีพฤติกรรมการจ่ายหนี้เป็นอย่างไร การเช็คเครดิตบูโร จึงควรทำก่อนเพื่อประเมินคุณสมบัติตัวเอง หรือบางคนอาจจะเคยติดเครดิตบูโรมาก่อน ก็จะได้รู้ว่าปัจจุบันเราหลุดจากการติดแบล็คลิสต์แล้วหรือยัง จะได้แก้ไขปัญหาเรื่องนี้ก่อนจะไปกู้ซื้อบ้าน ส่วนสถานที่เช็คเครดิตบูโร เราทำบทความเอาไว้ให้แล้ว ลองตามไปอ่านดูกันได้ กับ รวมแหล่งตรวจเครดิตบูโร เช็คความพร้อมก่อนสร้างหนี้ ​ 2.ประเมินความสามารถในการผ่อน-กู้ หากเราเป็นลูกหนี้ชั้นดี ไม่ได้ติดแบล็คลิสต์ ขั้นตอนต่อมาคงต้องประเมินความสามารถของตัวเอง ว่าปัจจุบันรายได้ที่มีอยู่ เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งหนี้สินและค่าใช้จ่ายประจำเดือนไปแล้ว เราเหลือเงินมากน้อยแค่ไหน จะสามารถกู้เงินได้เป็นจำนวนเท่าไร ซึ่งสูตรในการคิดคร่าว ๆ ก็มีประมาณนี้ คือ   เงินผ่อนต่อเดือน คิดจาก รายได้ หักค่าใช้จ่าย หัก 40% ของรายได้ต่อเดือนรวม เช่น มีรายได้ 20,000 บาท มีค่าใช้จ่าย 5,000 บาท จะสามารถผ่อนได้ = (20,000-5,000)-40%= 9,000 บาท ส่วนวงเงินกู้ที่คาดว่าจะกู้ได้สูงสุด จะเอาเงินผ่อนต่อเดือน คูณ 150 เช่น 9,000 x 150 = 1.35 ล้านบาท  จะเป็นวงเงินที่ธนาคารน่าจะปล่อยให้กับเราในการกู้ซื้อบ้าน หรือคอนโดได้ 3.เคลียร์หนี้ถ้ามีหนี้อยู่ กรณีที่คำนวณคร่าว ๆ แล้ว วงเงินกู้ที่ได้ ยังไม่เพียงพอต่อราคาบ้านหรือคอนโด ที่เราจะซื้อ สิ่งที่ต้องทำ ก็คือ การลดหนี้ที่มีอยู่ หรือทำได้ต้องเครียหนี้ให้เหลือน้อยที่สุด บัตรเครดิตไหนปิดบัญชีได้ต้องปิดบัญชี หรือมีหนี้สินที่เป็นชื่อของเราในระบบการเงินไว้ ต้องปิดบัญชีให้หมดเท่าที่จะทำได้ 4.สร้างเครดิตการเงิน​ด้วย เช่น สเตทเมนท์ธนาคาร, จ่ายหนี้ตรงเวลา ถ้าเรายังไม่สามารถปิดหนี้ที่มีอยู่ตามข้อ 3 ได้ เราจำเป็นต้องสร้างเครดิตของตัวเองไปสักระยะหนึ่ง เพื่อให้ธนาคารเห็นวินัยทางการเงินของเราว่าเราจ่ายหนี้ตรงเวลา ซึ่งความจริงแล้วการสร้างเครดิตทางการเงินนี้ ควรจะทำเป็นนิสัยตั้งแต่ก่อนหน้ามาแล้ว หรือหากใครที่ทำอาชีพอิสระ หรือเป็นพ่อค้าแม่ค้า สิ่งที่ต้องทำเพื่อสร้างเครดิตทางการเงิน คือ การเดินบัญชีธนาคารอย่างสม่ำเสมอ ทำสเตทเมนท์ธนาคารให้ดูมีเครดิต ว่าเรามีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นสภาพคล่อง รายได้ และความสามารถในการบริหารเงินของเรา ควรมีสเตทเมนท์ธนาคารไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ยิ่งนานยิ่งสร้างเครดิตได้ดี 5.วางแผนเก็บเงินออม​ ​ นอกจากสร้างเครดิตต่าง ๆ ทางด้านการเงินไปแล้ว การวางแผนเก็บออมก็จะทำให้ฝันของคนมีบ้านเป็นจริงมากขึ้น เพราะการซื้อบ้านไม่ใช่แค่เงินดาวน์บ้านก้อนแรกเท่านั้น ยังมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย เราได้ทำบทความ ....​สามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมได้   ดังนั้น หากคิดจะซื้อบ้านหรือคอนโด จึงต้องเริ่มต้นเก็บเงินออมสักก่อนหนึ่งไว้ อย่างน้อยที่สุด คือ ไม่ต่ำกว่า 20% ของราคาบ้านที่จะซื้อ ส่วนวิธีการเก็บเงินออม แล้วแต่เทคนิคและวิธีการของแต่ละคนที่สะดวก แต่หัวใจสำคัญของการออม คือ เมื่อมีรายได้ให้แบ่งเงินออมออกมาก่อนเป็นก้อนแรก ไม่ใช่รอให้เงินเหลือก่อนค่อยออมเงิน​   ทั้งหมด ก็เป็นแนวทางการวางแผนการเงิน กู้ซื้อบ้านหลังแรก สำหรับคนที่มีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลัง หรือคอนโดสักห้อง เชื่อว่าหากทำตามแนวทางนี้ ไม่นานความฝันที่ต้องการเป็นจริงแน่นอน   ที่มา-ธอส.,ดีดีพร็อพเพอร์ตี้, moneybuffalo   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -3 วิธีซื้อคอนโด หลังแรก และ เทคนิคเก็บเงิน สำหรับเด็กจบใหม่ -7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล
4 ประโยชน์อยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ ลดโรค-ลดเครียด-เสริมพัฒนาการ-เพิ่มมูลค่า

4 ประโยชน์อยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ ลดโรค-ลดเครียด-เสริมพัฒนาการ-เพิ่มมูลค่า

บ้านใกล้ธรรมชาติ การอยู่ บ้านใกล้ธรรมชาติ ให้ประโยชน์มากกว่าที่คิด อย่างน้อย 4 เรื่อง ทั้งลดเสี่ยงโรคร้าย เพิ่มความสุข ลดความเครียด ส่งเสริมพัฒนาการทุกเพศวัย และเพิ่มมูลค่าการลงทุน   การอยู่อาศัยในเมืองหลวง อย่างกรุงเทพฯ ทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ต้องเจอปัญหาสารพัด ทั้งรถติด ค่าครองชีพพุ่งสูง หรือแม้แต่ปัญหามลพิษสารพัดรูปแบบ แต่ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนส่วนใหญ่ และคนก็กังวลใจมาก ก็คือ ปัญหามลพิษจากฝุ่น PM2.5  เพราะนับวันก็รุ่นแรงเพิ่มมากขึ้น   แนวทางที่พอช่วยบรรเทาปัญหามลพิษจากฝุ่นได้ นอกจากการลดสาเหตุของการเกิดฝุ่นควันต่าง ๆ แล้ว การปลูกต้นไม้ให้มากขึ้น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ก็ช่วยบรราเทามลพิษทางอากาศได้ดี ทำให้คนส่วนใหญ่นิยมปลูกต้นไม้ไว้ในบ้าน หรือรอบ ๆ บ้าน เพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างอากาศบริสุทธิ์  พื้นที่สีเขียว จึงถือเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่คนเลือกอยู่อาศัยคำนึงถึง หากโครงการไหนมีพื้นที่สีเขียวมาก ๆ หรือมีจุดขายที่มีวิวหรืออยู่ติดกับโครงการสวนสาธารณะ ก็จะได้รับความสนใจอย่างมากด้วย   การอยู่ในพื้นที่ใกล้ชิดธรรมชาติ หรือพื้นที่สีเขียว ไม่ได้ให้แค่วิวที่สบายตา หรืออากาศที่สดชื่นเท่านั้น แต่ยังพบว่าการอยู่บ้านที่ใกล้ธรรมชาติ ยังมีประโยชน์หลายอย่างด้วยกัน  โดยในต่างประเทศมีการศึกษาและวิจัยยืนยันข้อดีของการอยู่บ้านใกล้ธรรมชาติหลายอย่างด้วย ซึ่งพบว่าการอยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ มีประโยชน์ด้วยกันอย่างน้อย 4  เรื่องด้วยกัน 4 ประโยชน์อยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ 1.ลดเสี่ยงโรคร้าย การอาศัยอยู่ใกล้พื้นที่สีเขียว นอกจากจะมอบความรู้สึกร่มรื่นมีชีวิตชีวาแล้ว ยังเหมือนได้อยู่ใกล้เครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษทางอากาศ และฝุ่น PM 2.5 อย่างกรุงเทพฯ การมีบ้านหรือคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวจึงเท่ากับเป็นการอนุญาตให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่   ผลการศึกษา[1] ของกลุ่มนักวิจัยจาก Nurses’ Health Study (NHS) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพทุก ๆ สองปีจากพยาบาลวิชาชีพหญิงมากกว่า 100,000 คนในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1976 ระบุว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในสถานที่ใกล้ชิดธรรมชาติ มีอัตราการเสียชีวิตโดยรวม ต่ำกว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ห่างไกลพื้นที่สีเขียว ถึง 12 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสำรวจสาเหตุการเสียชีวิตของผู้คนซึ่งไม่ได้อาศัยใกล้พื้นที่ธรรมชาติ ยังพบว่า มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดมาจากโรคระบบทางเดินหายใจ โรคมะเร็ง และโรคไต 2.เพิ่มความสุข ลดความเครียด การเข้าถึงธรรมชาติช่วยลดความเครียดและบรรเทาภาวะซึมเศร้าได้ เคยไหม ที่คุณตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมเราจดจำอะไรได้น้อยลง และขาดสมาธิจนทำงานพลาด หรือหลงลืมนัดประชุมกับลูกค้าไปสนิท เรื่องนี้มีความเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมโดยตรง อ้างอิงจากการศึกษาวิจัยมากมายทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือ งานวิจัย[2] ล่าสุดจาก Lise Meitner Group for Environmental Neuroscience ในประเทศเยอรมนี ซึ่งได้ทำการศึกษาการทำงานของสมองในกลุ่มตัวอย่างชาย-หญิงสุขภาพแข็งแรง 63 คนจากการสแกนลื่นสมองด้วยเครื่อง fMRI   โดยนักวิจัยค้นพบว่า การเดินเล่นในพื้นที่ชนบทซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้เป็นเวลา 60 นาที สามารถลดการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลความเครียดลงได้ ตรงกันข้ามกับกลุ่มตัวอย่างที่เดินเล่นในเมืองซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนและมลภาวะ ที่ตรวจพบว่าสมองบริเวณดังกล่าวยังคงทำงานปกติหลังจากเดินเล่น 60 นาทีเท่ากัน ดังนั้น ต้นไม้และธรรมชาติเขียวขจีสามารถช่วยเบี่ยงเบนความคิดด้านลบจากกิจวัตรในชีวิตประจำวัน และช่วยฟื้นฟูจิตใจได้ 3.ส่งเสริมพัฒนาการสำหรับทุกวัย สำหรับเด็ก การปล่อยให้พวกเขาได้เล่นอย่างอิสระในธรรมชาติกับเพื่อน ๆ ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและทักษะทางสังคมที่ดี มีความมั่นใจขึ้น สามารถจัดการอารมณ์ และเรียนรู้วิธีการโต้ตอบกับผู้อื่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาบุคลิกภาพของพวกเขา นอกจากนี้ การปล่อยให้เด็กเรียนรู้และสังเกตธรรมชาติรอบตัวอย่างอิสระยังกระตุ้นจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และสอนให้คิดอย่างมีเหตุผล ในทำนองเดียวกัน การให้ผู้สูงอายุได้ออกกำลังกายและพบปะทำกิจกรรมสันทนากับเพื่อนๆ หรือลูกหลานภายในสวนก็สามารถช่วยพัฒนาศักยภาพทางร่างกาย จิตใจ ทัศนคติ และคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้สูงอายุได้อย่างยอดเยี่ยม และมีผลให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีความสุข 4.เพิ่มมูลค่าในการลงทุน ตั้งแต่เกิดโรคระบาด ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ประชากรในเมืองใหญ่ทั่วโลกต่างแสวงหาที่อยู่อาศัยที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น อาทิ ใกล้สวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น สิ่งอำนวยความสะดวกด้านกีฬา และพื้นที่ทางศาสนา ผู้คนโหยหาต้นไม้ใบหญ้าและให้คุณค่ากับการมีสุขภาพแข็งแรงมากกว่าที่เคย   รายงาน[4] จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ของสหราชอาณาจักร ได้เปิดเผยตัวเลขราคาบ้านที่อยู่ใกล้กับสวนสาธารณะ สวนหย่อม สนามเด็กเล่น และพื้นที่สีเขียวสาธารณะอื่นๆ ในเขตเมืองของอังกฤษและเวลส์ ซึ่งมีราคาแพงกว่าบ้านที่อยู่ไกลออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว โดยเฉพาะบ้านที่สามารถเห็นวิวสวนสาธารณะ ป่า และแหล่งน้ำ จะยิ่งมีราคาแพงขึ้นไปอีก ดุสิต เรสซิเดนเซส ชูสวนรูฟฟาร์ค 7 ไร่ สำหรับโครงการ ดุสิต เรสซิเดนเซส  (Dusit Residences) อาคารที่พักอาศัย ซึ่งตั้งอยู่ใน ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (Dusit Central Park) โครงการมิกซ์ยูสบนพื้นที่กว่า 23 ไร่ ตรงหัวมุมถนนสีลม-พระราม 4 ด้วยทำเลตรงข้ามสวนลุมพินีเพียงระยะข้ามถนนก็ถึง พร้อมพื้นที่สีเขียวใจกลางโครงการฯ อย่างสวนรูฟพาร์คขนาด 7 ไร่ ทำให้การอยู่อาศัยที่ ดุสิต เรสซิเดนเซส สามารถให้คุณได้มากกว่าแค่บ้านใจกลางเมืองที่มาพร้อมความสะดวกสบายครบครัน แต่ยังได้คุณประโยชน์จากการได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ   โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมทุนระหว่างบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) มูลค่าโครงการรวม 46,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการบนพื้นที่ 23 ไร่ บริเวณหัวมุมถนนสีลม ตรงข้ามสวนลุมพินี ในโครงการประกอบด้วย โรงแรม อาคารที่พักอาศัย  อาคารสำนักงานและศูนย์การค้า  โดยมีรูฟพาร์ค – สวนสาธารณะบนชั้นดาดฟ้าเป็นพื้นที่สีเขียวพิเศษขนาดใหญ่ 7 ไร่ใช้เป็นพื้นที่สาธารณะ ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการประมาณปี 2568   นอกจากรูฟพาร์ค 7 ไร่ กลางโครงการที่เปรียบเหมือนปอดขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีต้นไม้ยืนต้นราว 400 ต้น สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 480 ตัน และปล่อยก๊าซออกซิเจนสู่ชั้นบรรยากาศได้ถึง 54,612 ตัน รองรับความต้องการของคนในการใช้ออกซิเจนได้จำนวน 73,800 คน ตลอดระยะเวลา 60 ปี ที่ดุสิต เรสซิเดนเซส ยังมีการติดตั้งระบบกรองอากาศระดับ HEPA ที่ได้รับการการันตีจากมาตรฐานระดับโลกว่าสามารถคัดกรองมลภาวะ ไวรัส แบคทีเรีย และฝุ่น PM 2.5 จากภายนอกก่อนที่อากาศจะเข้ามาสู่พื้นที่ภายใน คุณจึงสามารถสูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอดตลอด 24 ชั่วโมง   นอกจากการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและเพิ่มมูลค่าให้กับที่อยู่อาศัยแล้ว ความตั้งใจที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ยังสอดคล้องกับนโยบายของผู้ว่าฯ กทม. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายปลูกต้นไม้ล้านต้น กับสวน 15 นาที โดยสำนักสิ่งแวดล้อม อุทยานสวนจตุจักร[3] ระบุว่า ปัจจุบัน กรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียว 6.99 ตารางเมตรต่อประชากร 1 คน ซึ่งตามเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลกนั้น กำหนดให้แต่ละเมืองควรมีพื้นที่สีเขียวในอัตรา 9 ตารางเมตรต่อคน ซึ่งสื่อให้เห็นถึงความจำเป็นและความสำคัญของการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพฯ อย่างแท้จริง   หมายเหตุ [1] Karen Feldscher. (2017), Greenery Plays Key Role in Keeping Women Healthy, Happy,” Harvard Gazette, https://news.harvard.edu/gazette/story/2016/04/greenery-plays-key-role-in-keeping-women-healthy-happy/. [2] Beth JoJack. (2022), 1-hour walk through nature lowers stress, new research shows, Medical News Today, MediLexicon International, https://www.medicalnewstoday.com/articles/1-hour-walk-through-nature-lowers-stress-research-shows. [3] กทม.ตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้คนกรุงฯ 10 ตารางเมตรต่อคน ภายใต้โครงการ Green Bangkok 2030 (2020) อุทยานสวนจตุจักร. Available at: https://webportal.bangkok.go.th/chatuchakmetropark/page/main/ [4] Natural Capital team. (2019), Urban Green Spaces raise nearby house prices by an average of £2,500, Urban green spaces raise nearby house prices by an average of £2,500 - Office for National Statistics. Available at: https://www.ons.gov.uk/economy/environmentalaccounts/articles/urbangreenspacesraisenearbyhousepricesbyanaverageof2500/2019-10-14 (Accessed: 16 May 2023).   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -30 สวนสาธารณะ ลอยกระทง 62 -5 โซลูชั่น “S-E-N-S-E” การออกแบบการพัฒนาเมือง กับวิถีชีวิต The Next Normal
เมียนมา-อินเดีย มาแรงโอนคอนโดต่างชาติ  ขนาดห้องใหญ่-ราคาเฉลี่ยสูงสุด

เมียนมา-อินเดีย มาแรงโอนคอนโดต่างชาติ ขนาดห้องใหญ่-ราคาเฉลี่ยสูงสุด

โอนคอนโด ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานสถานการณ์การโอนคอนโด (คอนโดมิเนียม) ของคนต่างชาติในไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวนหน่วยโอนฯ ขยายตัว 79.2% มูลค่าการโอนฯ ขยายตัว 67.6%  เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2565   จับตาพื้นที่ชลบุรี ขยับสัดส่วนการโอนฯ คอนโดของคนต่างชาติขึ้นเป็นอันดับ 1 ครั้งแรก โดยมีสัดส่วน 42.4% ขณะที่กรุงเทพมหานครขยับลงมาเป็นอันดับ 2 ที่สัดส่วน 37.7% หลังจากครองแชมป์ยาวตั้งแต่ปี 2561-2565 การโอนฯคอนโดของคนต่างชาติเพิ่มสัดส่วนเป็น 15.9% ของจำนวนหน่วย และ  24.3% ของมูลค่า และยังคงเกาะกลุ่มที่ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท พบ “เมียนมา” ซื้อราคาเฉลี่ยต่อหน่วยสูงสุดที่ 6.5 ล้านบาท ขณะที่ “อินเดีย” ซื้อขนาดห้องเฉลี่ยใหญ่สุดที่ 77.7 ตร.ม. โอนคอนโดต่างชาติขยับเป็น15.9%    ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC เปิดเผยถึงภาพรวมสถาณการณ์การโอนที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติไตรมาส 1 ปี 2566 ว่า จากการประมวลภาพของการโอนคอนโดให้คนต่างชาติทั้งหมด เห็นได้ว่าปริมาณทั้งในมิติของจำนวนหน่วย มูลค่า และพื้นที่ มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน แต่ยังคงต่ำกว่าช่วงที่ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยมีข้อสังเกตต่อว่า ตัวเลขการโอนที่สูงขึ้นในไตรมาสนี้ เกิดจากประเทศต่าง ๆ มีการเปิดให้ประชาชนของตนมีการเดินทางระหว่างกันได้ โดยเฉพาะประเทศจีน การเปิดประเทศและเริ่มดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ ระหว่างประเทศทั่วโลกเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญที่ช่วยทำให้จำนวนหน่วย มูลค่า และพื้นที่ ที่มีการขายและโอนคอนโดให้คนต่างชาติมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่ม เช่น กลุ่มชาวยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย รัสเซีย และ กลุ่มชาวเอเชีย แต่กลุ่มหลักยังคงเป็นชาวจีน ขณะเดียวกัน ยังส่งผลให้ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยชาวต่างชาติที่มีการทำสัญญาซื้อขายก่อนหน้าสามารถกลับมารับโอนได้เพิ่มขึ้น และยังมีชาวต่างชาติอีกส่วนหนึ่ง ที่ซื้อคอนโดที่สร้างเสร็จเหลือขาย และคอนโดมือสองเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนหน่วยโอนคอนโดต่างชาติปรับเพิ่มขึ้นเป็น 15.9% จากเพียง 10.6% ในปี 2565 และสัดส่วนมูลค่าโอนคอนโดต่างชาติก็เพิ่มขึ้นเป็น 24.3% จาก 19.5% ในปี 2565   ทั้งนี้ ภาพรวมสถานการณ์การ โอนคอนโด ของคนต่างชาติทั่วประเทศในไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่าทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยหน่วยโอนคอนโดของคนต่างชาติทั่วประเทศมีจำนวน3,775 หน่วย ขยายตัว 79.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2565   ส่วนมูลค่าการ โอนคอนโด ของคนต่างชาติทั่วประเทศมีจำนวน 17,128 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ปี 2565 ขณะที่พื้นที่โอนคอนโดให้คนต่างชาติทั่วประเทศมีจำนวน 168,664 ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 73.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)   ต่างชาติแห่ซื้อคอนโดมือสอง การโอนคอนโดให้คนต่างชาติ มีสัดส่วนของจำนวนคอนโดใหม่ 59% คอนโดมือสอง 41% ส่วนมูลค่า มีการโอนคอนโดใหม่ สัดส่วน 70% คอนโดมือสอง สัดส่วน 30% และในด้านพื้นที่มีการโอนคอนโดใหม่ สัดส่วน​ 53% และคอนโดมือสองสัดส่วน 47%   โดยภาพรวมการโอนคอนโดมือสองมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนหน่วย มูลค่า และขนาดพื้นที่ โดยมีข้อสังเกตว่า คนต่างชาติอาจมีความต้องการคอนโดมือสองในบางทำเล เช่น ทำเลพื้นที่ชั้นใน หรือ พื้นที่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจของเมือง ซึ่งในปัจจุบันมีอุปทานให้เลือกน้อยลง ประกอบกับราคาคอนโดมือสองในทำเลเหล่านี้มีราคาที่ต่ำกว่าโครงการเปิดใหม่ คนต่างชาติจึงให้ความสนใจในการซื้อคอนโดมือสอง และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการซื้อคอนโดของคนต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อชาวจีน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเยอรมัน ตามลำดับ ต่างชาตินิยมซื้อคอนโดไม่เกิน 3 ล้าน ในด้านของระดับราคาคอนโด พบว่า การโอนของคนต่างชาติในไตรมาส 1 ปี 2566 มีจำนวนหน่วยมากที่สุดในช่วงราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยมีการโอนฯ จำนวน 1,900 หน่วย มีมูลค่า 3,431 ล้านบาท มีสัดส่วนของหน่วยโอนฯสูงสุดถึง 50.3% แต่มีสัดส่วนมูลค่าโอนฯ เพียง 20.0% เท่านั้น ทั้งนี้พบว่า คอนโดราคาไม่เกิน 3  ล้านบาท เป็นระดับราคาที่ชาวต่างชาติส่วนใหญ่นิยมซื้อตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน   สำหรับคอนโดที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติน้อยสุดคือ ช่วงราคา 7.51 – 10​ ล้านบาท มีจำนวนน้อยที่สุดทั้งจำนวนหน่วยเพียง 203 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 5.4% และมีมูลค่า 1,729 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน10.1% แม้ว่า คอนโดที่ราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป จะมีจำนวน 303 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 8.0% แต่มีมูลค่าการโอนฯ สูงสุดถึง 5,475 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 32.0% จีน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา รับโอนคอนโดสูงสุด สำหรับสัญชาติของผู้รับโอนคอนโดมากที่สุด จีน โอนคอนโด จำนวน 1,747 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 46.3% รัสเซีย โอนคอนโด จำนวน 387 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน10.3% สหรัฐอเมริกา โอนคอนโด จำนวน 156 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 4.1% สหราชอาณาจักร โอนคอนโด จำนวน 146 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 3.9% เยอรมัน โอนคอนโด จำนวน 131 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 3.5% ในส่วนของมูลค่าการโอนคอนโดทั่วประเทศให้คนต่างชาติในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม - มีนาคม) จะพบว่า ชาวจีน โอนคอนโดเป็นมูลค่า จำนวน 8,191 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 47.8% รัสเซีย โอนคอนโดเป็นมูลค่า จำนวน 1,364 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.0% สหราชอาณาจักร โอนคอนโดเป็นมูลค่า จำนวน 703 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 4.1% สหรัฐอเมริกา โอนคอนโดเป็นมูลค่า จำนวน 653 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.8% เยอรมนี โอนคอนโดเป็นมูลค่า จำนวน 611 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.6% ทั้งนี้ หากดูยอดจำนวนหน่วยการโอนคอนโดสะสมในระหว่างปี 2561 ถึง ปี 2565 สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และ ฝรั่งเศส แต่ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 อันดับ 5 มีการเปลี่ยนแปลงจากสัญชาติฝรั่งเศส เป็น เยอรมนี เมียนมา โอนต่อหน่วยสูงสุด เฉลี่ย 6.5 ล้าน ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 คอนโดที่ชาวต่างชาติโอนมีพื้นที่เฉลี่ย 44.7 ตารางเมตร/หน่วย มูลค่าเฉลี่ย 4.5 ล้านบาท/หน่วย หรือประมาณตารางเมตรละ 101,553 บาท สัญชาติที่มีจำนวนหน่วยโอนสูงสุด 10 ลำดับแรก พบว่า เมียนมาเป็นสัญชาติที่มีมูลค่าการโอนต่อหน่วยสูงสุด เฉลี่ย 6.5 ล้านบาทต่อหน่วย และอินเดีย เป็นสัญชาติที่โอนคอนโดขนาดใหญ่ที่สุดเฉลี่ย 77.7 ตารางเมตร โดยชาวจีนซึ่งเป็นสัญชาติที่มีสัดส่วนการโอนคอนโดมากที่สุด จะมีมูลค่าการโอนเฉลี่ย 4.7 ล้านบาท/หน่วย และพื้นที่คอนโดเฉลี่ย 38.8 ตารางเมตร/หน่วย   จังหวัดที่มีจำนวนหน่วยโอนคอนโดคนต่างชาติมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ชลบุรี กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ ชลบุรี มีจำนวน 1,601 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 42.4% และกรุงเทพฯ จำนวน 1,423 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 37.7%  ตามลำดับ โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนจำนวนหน่วยรวมกันสูงถึง 80.1% ของทั่วประเทศ แต่เมื่อพิจารณาย้อนหลังไปถึงปี 2561 พบว่า ชลบุรีมีจำนวนหน่วยโอนคอนโดของคนต่างชาติมากกว่ากรุงเทพฯกรุงเทพฯเป็นครั้งแรกในไตรมาส 1 ปี 2566   ด้านจังหวัดที่มีจำนวนมูลค่าโอนคอนโดคนต่างชาติมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ มีมูลค่า 9,976 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 58.2% และชลบุรี มีมูลค่า 4,557 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 26.6%  ตามลำดับ โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนมูลค่ารวมกันสูงถึง 84.8% ทั่วประเทศ เมื่อพิจารณาย้อนหลังไปถึงปี 2561 พบว่า กรุงเทพฯ และชลบุรี ยังคงเป็นจังหวัดที่มีจำนวนมูลค่าโอนคอนโดให้คนต่างชาติในสัดส่วนที่มากที่สุดเช่นเดียวกัน ส่วนอันดับรองลงมาเป็นจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ ภูเก็ตและเชียงใหม่ เป็นต้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ส่องสถานการณ์โอนคอนโดต่างชาติ Q3 พร้อมลุ้นตลาดฟื้นตัวหลังจีนเปิดประเทศ 8 ม.ค.นี้ -Q2/65 ชาติไหนโอนคอนโดเยอะสุด  
เผย 7 สไตล์การแต่งบ้านยอดฮิต  คนไทยชื่นชอบแบบ Japandi มากที่สุด

เผย 7 สไตล์การแต่งบ้านยอดฮิต คนไทยชื่นชอบแบบ Japandi มากที่สุด

NocNoc เผย 7 สไตล์การแต่งบ้าน ที่คนไทยชื่นชอบมากที่สุด Japandi  ครองอันดับ 1 ตามด้วยสไตล์ Scandinavian พร้อมเผยสินค้าที่คนซื้อมากที่สุด คือ กลุ่ม Home and Living ด้านแบงก์กรุงศรี มองเทรนด์ตลาดอี-คอมเมิร์ซไทย อีก 2 ปีโต​ 19%   นายอนุพงศ์ ทะสดวก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้าและพาณิชย์ บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลผู้ใช้บริการซื้อสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม NovNoc ได้เห็นเทรนด์ความนิยมในการแต่งบ้านของผู้บริโภคคนไทย ที่พบว่า ชื่นชอบสไตล์การแต่งบ้าน และนิยมมากที่สุด คือ 1.สไตล์ Japandi ในสัดส่วน 25% 2.สไตล์ Scandinavian สัดส่วน 23% 3. สไตล์ Industrial  20% 4. สไตล์ Glam 15% 5.Transitional 10% 6.สไตล์ Shabby Chic 5% และ 7.สไตล์ Mid-Century Modern 2%   หนึ่งในพฤติกรรมของลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ คือเรื่องของ Personalize จะเห็นได้ว่าไลฟ์สไตล์การตกแต่งบ้านของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน โดย NocNoc ให้ลูกค้าเริ่มต้นการใช้งาน Application ด้วยการค้นหาสไตล์ที่ใช่แบบ Personalize ด้วยระบบ AI เพื่อให้แอปนำเสนอสินค้าแต่งบ้านได้ตรงตามสไตล์ของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญการคัดสรรสินค้าที่หลากหลาย เพื่อให้เหมาะกับลูกค้าที่ชื่นชอบการตกแต่งบ้านในสไตล์ที่แตกต่างกัน โดยปัจจุบัน NocNoc แบ่งสินค้าออกเป็น 4 กลุ่มหลัก คือ 1. Home and Living กลุ่มสินค้าตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ 2. Home Appliances กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า 3. Home Improvement กลุ่มสินค้าปรับปรุงบ้าน และ 4. Home Service กลุ่มบริการงานช่างทุกเรื่องบ้าน ซึ่งในแต่ละกลุ่มยังแยกย่อยออกเป็นอีกหลายหมวดสินค้า ทำให้ NocNoc มีสินค้ารวมแล้วกว่า 500,000 ชิ้น จาก 3,000 ร้านค้า นับว่าตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุมสำหรับคนรักบ้าน   นายอนุพงศ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังพบข้อมูลจากพฤติกรรมการซื้อสินค้า ที่ผู้บริโภคซื้อซ้ำมากที่สุดใน  5 หมวดสินค้า ดังนี้ 1.โฮม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ 2.โซฟาและเก้าอี้ 3.ชุดเครื่องนอน 4.ตู้และชั้นวางของ และ 5.เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก โดยพฤติกรรมการกลับมาซื้อซ้ำนั้น จะเป็นสินค้าในหมวดเดียวกัน เช่น กลุ่มเครื่องนอน ลูกค้าซื้อที่นอนขนาด 6 ฟุต  และกลับมาซื้อผ้าปูที่นอน หมอน เพิ่มเติม หรือในกลุ่มโซฟาและเก้าอี้ ซื้อเก้าอี้ทำงานไปในครั้งแรกและกลับมาซื้อโต๊ะทำงานหรือโซฟาเพิ่มเติม แม้ว่าใน 5 หมวดสินค้าดังกล่าวจะเป็นกลุ่มสินค้าที่อาจจะต้องสัมผัสสินค้า หรือเห็นสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อเกือบทั้งสิ้น แต่กลับเป็นกลุ่มสินค้าที่ลูกค้า NocNoc กลับมาซื้อซ้ำอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนให้เห็นว่าการจะซื้อสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ไม่จำเป็นต้องสัมผัสสินค้าจริงก่อนซื้อเสมอไป หรือ อาจจะมีประสบการณ์ทดลองสินค้าจากที่อื่นแล้ว   ให้ความสำคัญกับ DATA นายอนุพงศ์ ยังกล่าวอีกว่า Data-Driven Marketing นับว่ามีความสำคัญ แต่ต้องดูว่าจะนำมาใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์มากที่สุด  NocNoc ให้ความสำคัญกับ Data ของลูกค้า เพราะข้อมูลเหล่านี้สามารถบ่งบอกตัวตนของลูกค้าให้แบรนด์ได้เข้าใจความต้องการ และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของลูกค้าแต่ละคนได้ โดยการนำเอาเทคโนโลยีทางการตลาด MarTech และ AdTech มาใช้ในการวางแผน ดำเนินการ และวัดผลแคมเปญเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าแบบมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด   ประกอบกับการทำ Story-Driven Communication ที่เข้าถึงทุก Journey ของลูกค้าตั้งแต่ Discovery , Inspired , Compare , Selection ไปจนถึง Complete Journey ซึ่งลูกค้าจะเห็นการสื่อสารผ่านเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอช่วยให้พวกเขาได้รู้จัก NocNoc ว่าเรามีดีอะไร สินค้าที่กำลังมองหาตอบโจทย์พวกเขาอย่างไร ช่วยให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อเรื่องบ้านมากขึ้น  และไม่ลืมสร้างประสบการณ์การช้อปในโลกออนไลน์สู่ออฟไลน์ เพื่อ ให้ลูกค้าได้เข้าถึง ใกล้ชิด ได้เห็น Visibility ของแบรนด์มากยิ่งขึ้น   อย่างไรก็ดี มองว่าการพัฒนา Feature บน Application  ให้ตอบโจทย์ Pain Point ของลูกค้า ทำให้ประสบการณ์ในการเข้ามาใช้งาน NocNoc ดีขึ้น และช่วยให้การตัดสินใจซื้อสินค้าแต่งบ้านเป็นเรื่องง่าย เช่น  Image Search หรือการค้นหาด้วยภาพ หากลูกค้าถูกใจโซฟาในคาเฟ่ แต่ไม่รู้รุ่นหรือยี่ห้อของโซฟา ก็สามารถถ่ายรูปและนำไปค้นหาใน NocNoc Application ได้เลย แม้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันจะมีทางเลือกที่หลากหลาย บางครั้งมักจะไปเดินดูของจากร้านค้าอื่นเพื่อนำมาเปรียบเทียบสินค้า ราคา รวมถึงหาไอเดียในการแต่งบ้าน ทั้งสินค้าที่หลากหลายไม่จำกัดที่ร้านใดร้านหนึ่ง แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง NocNoc ให้บริการทางเลือกที่มากกว่า ทำให้ ผู้คนเข้ามาหาไอเดียและแรงบันดาลใจใน Community ทั้งยังสะดวกสบายอยู่ที่ไหนก็ช้อปได้ พร้อมบริการจัดส่งทั่วไทย นับว่าเป็นการแก้โจทย์ ไม่ได้สัมผัสสินค้า ก็ไม่ใช่ปัญหาในการซื้อสินค้าเกี่ยวกับบ้านออนไลน์คาด E-Commerce ไทยโต​ 19% สำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์ ถือว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ​ โดยเฉพาะในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน เห็นได้จากตัวเลขงานวิจัยของกรุงศรี คาดการณ์ว่าในปี 2025 ตลาด E-Commerce ไทยจะเติบโตขึ้นอีก 19% โดยผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ มีแนวโน้มที่จะขยายธุรกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาช่องทางการขายออนไลน์   นายอนุพงศ์ กล่าวอีกว่า แม้ว่าการเติบโตของการช้อปปิ้งออนไลน์จะเติบโตมากเพียงใด แต่ก็ต้องยอมรับว่า Pain point ของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในกลุ่มสินค้าและของตกแต่งบ้าน คือ ลูกค้าไม่สามารถเห็นและสัมผัสได้จริง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากในการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ อาทิ โซฟา ตู้ โต๊ะ เตียง เป็นต้น โดยพฤติกรรมของลูกค้าคือจะมีความกังวลว่าอาจจะได้สินค้าจะไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ทำให้มีผู้บริโภคมีการพิจารณาประเด็นดังกล่าวกันอย่างละเอียด   สำหรับในช่วงที่ผ่านมา NocNoc ก้าวขึ้นมาเป็น Home and Living Platform หรือศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ ที่รวบรวม เฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน วัสดุปูพื้น-ผนัง เครื่องใช้ไฟฟ้า และบริการทุกเรื่องบ้านที่ครบที่สุดรายแรกในไทย และได้ผลักดันให้ข้อจำกัดเหล่านี้หมดไป คลายความกังวล ลดความลังเลในการซื้อสินค้าแต่งบ้านให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สะท้อนจากตัวเลขของลูกค้า 60% ที่มาช้อปสินค้าแต่งบ้านออนไลน์บนแพลตฟอร์ม NocNoc สร้าง ตกแต่ง ต่อเติมบ้านได้ทั้งหลัง เป็นการซื้อสินค้าและบริการครอบคลุมในหลากหลายกลุ่มสินค้าและบริการ เรียกได้ว่าสามารถ Complete Journey ครบ จบ ใน NocNoc ที่เดียว จากข้อมูลเชิงลึกของ NocNoc จะเห็นได้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของ NocNoc เป็นกลุ่มสร้างบ้านและต่อเติมบ้าน (Home Building and Renovator) ประมาณ 60% นับว่าเป็นกลุ่มที่มองหาการซื้อสินค้าและบริการแบบ Complete journey ในการสร้าง ต่อเติม และตกแต่งบ้านทั้งหลัง ทั้งยังมีพฤติกรรมในการซื้อสินค้าหลากหลายหมวดบนแพลตฟอร์มของ NocNoc และกลับมาซื้อซ้ำกว่า 74% เพราะทยอยซื้อของตกแต่งบ้านให้ครบตามความต้องการ   ขณะที่ของตกแต่งบ้านและผู้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป (Home Decoration and Furnishing Shoppers) คิดเป็นอีกประมาณ 40% จะเน้นการตกแต่งเป็นหลัก และมีพฤติกรรมการซื้อซ้ำบนแพลตฟอร์ม NocNoc มากถึง 26% เพราะลูกค้าจะมีไอเดียใน การตกแต่งบ้านอย่างต่อเนื่อง  จากการหาแรงบันดาลใจในการแต่งบ้านจากที่ต่าง ๆ รวมถึงใน NocNoc ที่มีไอเดียในการตกแต่งบ้านมากมาย   ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าจากการทำตลาดเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าในแบบ Complete journey รวมถึงการสร้างประสบการณ์ ช้อปปิ้งที่ดีแก่ผู้บริโภค และนำเสนอประสบการณ์มากกว่าที่ลูกค้าได้คาดหวังไว้ ทำให้ภาพรวมจำนวนผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม NocNoc ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันระหว่างเดือนมกราคม – เมษายน 2566 เพิ่มสูงขึ้น  64% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2565 โดยจากแนวโน้มดังกล่าว คาดว่าในปี 2566 นี้ ยอดขายจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้กว่า 170% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอีกด้วย   นอกจากนี้ หนึ่งในพฤติกรรมของลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ คือเรื่องของ Personalize จะเห็นได้ว่าไลฟ์สไตล์การตกแต่งบ้านของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน โดย NocNoc ให้ลูกค้าเริ่มต้นการใช้งาน Application ด้วยการค้นหาสไตล์ที่ใช่แบบ Personalize ด้วยระบบ AI เพื่อให้แอปนำเสนอสินค้าแต่งบ้านได้ตรงตามสไตล์ของแต่ละบุคคล      
Life พหลฯ ลาดพร้าว ตอบโจทย์ชีวิตไร้ขีดจำกัด

Life พหลฯ ลาดพร้าว ตอบโจทย์ชีวิตไร้ขีดจำกัด

Life พหลฯ ลาดพร้าว  คอนโดใหม่เอี่ยมจาก เอพีไทยแลนด์ หนึ่งใน 22 โครงการที่ร่วมมือกับ มิตซูบิชิ เอสเตท เรสซิแนส์ โครงการที่ใกล้เพียง 200 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้าห้าแยกล้าดพร้าว   Life พหลฯ ลาดพร้าว  เป็นโครงการที่สร้างความแปลกใหม่ พร้อมส่งมอบให้กับคนรุ่นใหม่ที่ไร้ขีดจำกัด รองรับความหลากหลายของไลฟ์สไตล์แบบ Multi-Cultural มีพื้นที่ส่วนกลางรวม 6 ชั้น บนพื้นที่รวมกว่า 2 ไร่พื้นที่สีเขียว พื้นที่สำหรับการพักผ่อนและสันทนาการ ล็อปบี้ที่วางพื้นที่เชื่อมต่อกัน 3 จุด ที่แตกต่างกันตามการใช้งาน มีทั้งโถงขนาดใหญ่ที่ออกแบบสวยงามหรูหรา ถัดมาก็จะเป็นล็อบบี้ขนาดเล็ก แบบ Semi-Outdoor ที่เชื่อมต่อกับพื้นที่สีเขียวที่ได้พักผ่อนและเป็นส่วนตัวพร้อมได้เห็นวิวสวนขนาดใหญ่   อีกส่วนกลางบนชั้น 8  จัดเป็นโซนออกกำลังกาย the ardio club มีลู่วิ่งรองรับการใช้งานแบบส่วนตัวในบรรยากาศในสวน     ในส่วนของไฮไลท์เด่นๆ ของส่วนกลางด้านบนที่เชื่อมต่อกันถึง 4  ชั้น ตั้งแต่ ชั้น38 จนไปถึงชั้นRooftop EXCLUSIVE SKY CLUB ที่ชั้น 38 ที่จะได้พักผ่อนที่เหนือระดับกับ Park View และ City Sky View ในแบบพาโนราม่า ให้ความรู้สึกแบบ Luxury Sky Lounge ของโรงแรมระดับ 5 ดาว ที่จะมองเห็นวิวเมืองและ สวน 700ไร่ THE CLOUD SOCIAL CLUB ที่ชั้น 39 พื้นที่แบบ Space in Space ในรูปแบบกึ่ง Co–working Space และ Relaxing Space สำหรับการทำงาน ที่หลากหลายทั้งแบบ Private และแบบ Social ACTIVE ATRIUM – PRIVATE STUDIO ชั้น 40  จัดเต็มกับ ฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ครบครัน ออกกำลังไปพร้อมกับชมวิวเมืองแถมยังเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ไฮไลต์อีกหนึ่ง คือ SKY POOL PAVILION & JACUZZI สระว่ายน้ำตัว L  5 ฟังก์ชัน ยาวกว่า 30 เมตร มีทั้งแบบ Indoor และ Outdoor  เช่นกันว้ายไปชมวิวเมืองไป อีกหนึ่งของความพิเศษของโครงการของ เอพี คือการคัดสรรวัสดุคุณภาพที่หรูหรา หินอ่อนขนาดใหญ่นำเข้าจากประเทศ อิตาลี ที่มีลวดลายธรรมชาติสีสันพิเศษ เอพีเลือกเส้นสายลายของหินจากแรงบันดาลใจของเส้นสายถนน พหลโยธิน-ลาดพร้าว หินอ่อนสุดหรูหราเหล่านี้จะแทรกตัวตกแต่งในพื้นที่ต่างๆ ภายในโครงการ     ห้องพัก 598 ยูนิต มีห้องพักให้เลือก 19 แบบ             GRAND SIMPLEX ห้องชุดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 28.5 – 65 ตารางเมตร ที่จัดสรรพื้นที่ห้องครัวแบบปิด เพิ่มขนาดพื้นที่ห้องนั่งเล่นที่กว้างขึ้น ห้องนอนให้เป็นสัดส่วน และพื้นที่ Walk–In Closet  โดยห้องพักอาศัยแบบ  GRAND SIMPLEX เริ่มตั้งแต่ชั้น 8 – 34 NEW VERTIPLEX ห้องชุดเพดานสูง 4.4 เมตร เพิ่มพื้นที่มากขึ้นเป็น 2 เท่า พร้อม Walk–In Closet ขนาดใหญ่ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 28.5 – 65 ตารางเมตร   อยู่ที่ชั้น 35 – 39 Life พหลฯ ลาดพร้าว  โครงการตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 2 ไร่กว่า สูง 40 ชั้น 1 อาคาร ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท สำหรับห้อง NEW VERTIPLEX  ราคาเริ่ม 6.29 ล้านบาท หรือ ราวๆ 145,000 บาทต่อตารางเมตร     Life พหลฯ ลาดพร้าว โครงการที่ผ่านการคิด และ ถามจากลูกบ้านเอพี ใส่ความหรูหรา และสิ่งความสะดวกสบายภายในโครงกาน  ยิ่งบวกกับการเดินทางที่สะดวก สิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการ ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน โรงพยาบาล ตลาด   ทั้งหมดนี้มีราคาเริ่มต้นที่ 149,000 บาท/ตร.ม.     โครงการน่าสนใจ  “เดอะ เครสท์ พาร์ค เรสซิเดนเซส” อยู่อย่าง 5ดาว ที่ 5 แยกลาดพร้าว Aspire รัชโยธิน  คอนโดย่านนี้ หาราคานี้ไม่ได้แล้ว RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน คอนโดใหม่ใจกลางเมืองวิวคุ้งน้ำเจ้าพระยา
PARC Ekkamai-Pattanakarn    คอนโดแนวคิดใหม่ ที่ให้คุณได้ “พัก” ในแบบของคุณเอง

PARC Ekkamai-Pattanakarn    คอนโดแนวคิดใหม่ ที่ให้คุณได้ “พัก” ในแบบของคุณเอง

Supalai Parc เอกมัย-พัฒนาการ   เป็นโครงการที่นำเอาคำว่า PARC ซึ่งแปลว่า สวน ในภาษาฝรั่งเศส มาตีความให้เข้าถึงได้ในแบบศุภาลัย  โดยโครงการที่ได้เอาสถาปัตยกรรม Iconic ในฝรั่งเศสมาไว้ในโครงการ เช่น การจำลองฐานของ หอไอเฟล มาไว้ใน Eiffel Pavilion พร้อม Fountain Plaza ที่บริเวณสวน Green Buffer หน้าโครงการ  สีของอาคารถูกวาดให้เป็นส่วนโค้งโดดเด่นในแบบ ฝรั่งเศส     Supalai Parc เอกมัย-พัฒนาการ    โครงการมีพื้นที่ถึง 13-0-97 ไร่   ใช้พื้นที่สีเขียว 4 ไร่อยู่ระหว่าง 2 อาคาร โครงการนี้ให้พื้นที่ส่วนกลางเยอะมาก กับค่าส่วนกลาง เพียง 39 บาทต่อตารางเมตรคุ้มค่ามากกก  มาดูกันว่า 39 บาทต่อตารางเมตรได้อะไรบ้าง Franch Parc สวนสไตล์ฝรั่งเศษขนาดใหญ่ จะมีน้ำพุใหญ่กลางสระบัวJogging ที่ยาวถึง 1 กม. สระว่ายน้ำ  Olympic Pool และหายากไม่ค่อยมีโครงการไหนทำ  Street Basketball ใครชอบก็มีให้เล่น ห้องฟิตเนส Game Room ห้องทำงาน ห้องWork Shop Sky Lounge นั่งชิวดูวิวกรุงเทพ     ส่งมอบนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ทั้งด้านเทคโนโลยีและด้านสุขภาพ จุดรับกล่องพัสดุและ Food Delivery ให้มีระเบียบมากขึ้นด้วยจุด Food Drop และ  Drop Store และแก้ปัญหาแบบที่ไม่เคยมีใครคิดทำมาก่อน เมื่อสัมภาระล้นห้องด้วย Parc Storage  เอาพื้นที่ส่วนหนึ่งในแต่ละ Floor ทำเป็นห้อง Storage เก็บของสำหรับลูกบ้านโดยเฉพาะ ชั้นนึงมีเพียง 2-3 ยูนิต “พื้นที่นี้ขายแต่ราคาจะถูกกว่าห้องปกติ30,000 บาท” มีโฉนด มีจอดรถ สำหรับลุกบ้านสายสะสมของ หรือ ลูกบ้านจะมีธุรกิจทำเป็นห้องเก็บสต๊อกของได้เลย     Supalai Parc เอกมัย-พัฒนาการ  คอนโดมิเนียม 2 อาคาร อาคาร A สูง 30 ชั้น จำนวน 1 อาคาร  อาคาร B สูง 27 ชั้น จำนวน 1 อาคาร  มีแบบห้องทั้งหมด 6 แบบด้วยกัน คือ Studio : ขนาดพื้นที่ใช้สอย 30.0 ตร.ม. One Bedroom : ขนาดพื้นที่ใช้สอย 34.0 - 35.5 ตร.ม. One Bedroom Plus : ขนาดพื้นที่ใช้สอย 40.0 - 46.0 ตร.ม. Two Bedroom (1 Bathroom) : ขนาดพื้นที่ใช้สอย 46.0 - 56.0 ตร.ม. Two Bedroom (2 Bathroom) : ขนาดพื้นที่ใช้สอย 60.5 - 78.0 ตร.ม. Three Bedroom : ขนาดพื้นที่ใช้สอย 80.5 - 100.0 ตร.ม.     Supalai Parc เอกมัย-พัฒนาการ  เดินทางสะดวกทั้งรถส่วนตัวและรถสาธารณะ จะไปทองหล่อ เอกมัยและถนนสุขุมวิทก็ไม่ไกล ใกล้ทางด่วน ใกล้แอร์พอร์ตลิงก์ รถไฟฟ้าสายสีเขียว ทำให้การเดินทางเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพได้ไม่ยาก รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายในราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท  หรือเฉลี่ยทั้งโครงการเพียง 70,000 บาท/ตร.ม. เท่านั้น                 โครงการน่าสนใจ คอนโดฯวิวทะเล ใจกลางหัวหิน “ศุภาลัย บลูเวล” City Home ดีไซน์ใหม่ ราคาสบายกระเป๋า เริ่ม 1.09 ล้านบาท “รัชดา-วงศ์สว่าง” น่าอยู่อย่างไร?
วัน ออริจิ้น เตรียมขายหุ้น IPO ระดมทุนกว่า 702 ล้านหุ้น ลุยธุรกิจโรงแรม-บริการ

วัน ออริจิ้น เตรียมขายหุ้น IPO ระดมทุนกว่า 702 ล้านหุ้น ลุยธุรกิจโรงแรม-บริการ

วัน ออริจิ้น หรือ ONEO ยื่นไฟลิ่ง ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เตรียมเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 702,800,000 หุ้น ชูโมเดลธุรกิจสร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่อง และกระจายตัวจาก 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ธุรกิจโรงแรมและบริการ​ ธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกและอาคารสำนักงาน กลุ่มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง    นายปิติ จารุกำจร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) (“ONEO”) เปิดเผยว่า ONEO บริษัทในกลุ่มบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร โดย ONEO มีธุรกิจครอบคลุม 4 กลุ่มหลัก ซึ่ง ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ซึ่งรวมถึงโรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ (Serviced Apartment) ซึ่งได้เปิดดำเนินการแล้ว 7 โครงการ มีห้องพักรวมจำนวน 1,579 ห้อง และอยู่ระหว่างการพัฒนารอเปิดดำเนินการ 12 โครงการ มีห้องพักรวมประมาณ 4,343 ห้อง กลุ่มธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกและอาคารสำนักงาน (Retail and Office Building) หรือกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ มีพื้นที่ค้าปลีก (Community Mall) เปิดดำเนินการแล้ว 1 โครงการ พื้นที่เช่าสุทธิรวม 2,053 ตารางเมตร และอยู่ระหว่างการพัฒนารอเปิดดำเนินการ 4 โครงการ พื้นที่เช่าสุทธิรวมประมาณ 16,720 ตารางเมตร นอกจากนี้ยังมีอาคารสำนักงานรอเปิดดำเนินการ 2 แห่ง พื้นที่เช่าสุทธิรวมประมาณ 59,869 ตารางเมตร กลุ่มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม 5 ร้าน อยู่ระหว่างรอเปิดดำเนินการอีก 4 ร้าน และ ธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงการให้บริการด้านการบริหารโครงการในกลุ่มธุรกิจของ ONEO จำนวน 12 บริษัท และการบริหารจัดการโปรแกรมการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (Investment Property) หรือโปรแกรมแฮมป์ตัน จำนวน 7 โครงการ โดยในส่วนของโปรแกรมแฮมป์ตันอยู่ระหว่างรอดำเนินการอีก 6 โครงการ ทั้งนี้ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร ทำให้ ONEO มีรายได้กระจายตัวจาก 4 กลุ่มธุรกิจหลักดังกล่าว และมีฐานลูกค้าที่หลากหลายพื้นที่ทั้งแหล่งท่องเที่ยวหลักในประเทศไทย อาทิ กรุงเทพฯ ภูเก็ต กระบี่ หัวหิน และในพื้นที่ใกล้นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (“EEC”) ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร กล่าวอีกว่า บริษัทมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นผู้นำกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการบริการ ด้วยความมุ่งมั่นและสร้างสรรค์ เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า ตลอดจนการสร้างผลตอบแทนที่เติบโตอย่างยั่งยืน ต่อผู้ลงทุน ควบคู่กับการดูแลพนักงาน พันธมิตร และรับผิดชอบต่อสังคม ล่าสุด ONEO ได้แต่งตั้งธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และได้ยื่นแบบคำขออนุญาตออกและเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) จำนวน 702,800,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 26.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของ ONEO   ภายหลังเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 675,668,000 หุ้น หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายแก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของ ORI และบริษัทย่อยของ ORI จำนวนไม่เกิน 22,701,000 หุ้น รวมทั้งหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 4,431,000 หุ้น ที่เสนอขายแก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือ พนักงานของ ONEO และบริษัทย่อยของ ONEO ตามโครงการ ESOP (Employee Stock Option Program) ที่ราคาเดียวกับการเสนอขายประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ ONEO มีการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 4,600,000 หุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (ESOP Warrant) ที่ออกและเสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือ พนักงานของ ONEO และบริษัทย่อยของ ONEO ตามโครงการ ESOP Warrant ทั้งนี้ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน ภายใต้สมมติฐานว่ามีการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนและการใช้ตามใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งจำนวน จะส่งผลให้ ONEO มีทุนชำระแล้วเพิ่มเป็น 1,353,700,000 บาท คิดเป็นจำนวน 2,707,400,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท จากทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้ว 1,000,000,000 บาท   โดยวัตถุประสงค์ของการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการ และ/หรือการขยายธุรกิจ  และเพื่อชำระเงินกู้ยืม รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงานของ ONEO   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง  
เอสซี แอสเสท ลุยเปิดคอนโด 10,000 ล้าน ส่งแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล

เอสซี แอสเสท ลุยเปิดคอนโด 10,000 ล้าน ส่งแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล

เอสซี แอสเสท  ลุยเปิดคอนโด 3 โครงการ 10,000 ล้าน  พร้อมส่งแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล และอีก 1 โครงการระดับ Ultra Luxury ที่บริหารโดย SCOPE พร้อม​สร้างแบรนด์ด้วยคุณค่า EVERYBODY’S HIGH-RISE ชูปรัชญาการสร้างคอนโดใส่ใจส่วนตัว-ส่วนกลาง เตรียมขึ้นแท่นแบรนด์คอนโด Top of Mind ในใจผู้บริโภค   นางกนกอร หลิมกำเนิด Chief Operating Officer - Property Development - High Rise บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ในปีนี้ SC เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมรวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแบรนด์ใหม่ COBE ใน 2 ทำเล ซึ่งนอกจากดีไซน์การออกแบบที่ทันสมัย และฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคแล้ว ยังมีจุดเด่นเรื่องบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยมและใส่ใจในทุกรายละเอียด การันตีรางวัลความสำเร็จและเสียงชื่นชมจากลูกค้า ภายใต้แนวคิด “คุณภาพต้องมาก่อนปริมาณ หรือ Quality over Quantity” และ อีก 1 โครงการระดับ Ultra Luxury ที่บริหารโดย SCOPE รวมมูลค่า 3 โครงการ 10,000 ล้านบาท” ปัจจุบันตลาดคอนโดส่งสัญญาณฟื้นตัวและมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดประเทศของหลายประเทศที่ช่วยให้เศรษฐกิจกลับมาคึกคักอีกครั้ง ผู้บริโภคมีกำลังซื้อและมองหาพื้นที่ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตให้ตรงความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในเมือง คอนโดเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ครบทุกปัจจัยของความน่าอยู่อาศัยและทำเลที่ตั้งที่ผู้บริโภคมองหา SC จึงเตรียมรุกตลาดคอนโดอย่างเต็มตัว ภายใต้ปรัชญาแบรนด์คอนโด SC EVERYBODY’S HIGH-RISE ที่สะท้อนความเข้าใจ Insights ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง   นอกเหนือจากนี้ SC Asset ยังวางเป้าหมายก้าวสู่การเป็น Top of Mind แบรนด์คอนโดในใจผู้บริโภคภายในปี 2568 ที่พร้อมส่งต่อคุณค่าสำคัญในการใช้ชีวิตและเติมเต็มไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเพื่อใช้ชีวิตในแบบตัวเองที่ดีที่สุด EVERYBODY’S HIGH-RISE คือ ปรัชญา และหลักการที่ SC คอนโด ยึดมั่นในการส่งมอบคุณค่าให้ผู้บริโภค เริ่มต้นมาจากการที่ SC Asset เข้าใจถึงความแตกต่างของลูกค้าที่อยู่บ้านเดี่ยวกับคอนโด โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มองหาพื้นที่ที่พวกเขาสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างหลากหลายได้ในแบบตัวเอง และเติมเต็มความต้องการของพวกเขาที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายความฝันอันสูงส่งหรือดียิ่งขึ้นกว่าที่เคย   นางสาวโฉมชฎา กุลดิลก หัวหน้าสายงาน กลยุทธ์แบรนด์ และสื่อสารองค์กร พูดถึงปรัชญาในการส่งมอบคุณค่าการอยู่อาศัยในคอนโด ในครั้งนี้ว่า นับจากนี้ คอนโดของ SC จะต้องมาเป็น Top of Mind ของผู้บริโภค เราพัฒนาคอนโดบนคุณค่าเดียวกับแบรนด์ SC Asset คือ ความจริงใจ (Sincere) ความใส่ใจ (Care) และความใหม่สดเสมอ (Fresh) ซึ่งหมายถึง ความจริงใจในการดูแลลูกค้าอย่างดีที่สุดด้วยหัวใจ ความใส่ใจในคุณภาพและดีไซน์เพื่อให้ลูกค้าได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ และความใหม่สดเสมอในการออกแบบที่รู้ใจลูกค้าบนแนวคิด Human-Centric มุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าและบริการทันตามเทรนด์ผู้บริโภคตลอดเวลา ผู้บริโภคจะเห็นการสื่อสารของแบรนด์คอนโด SC อย่างต่อเนื่องมากขึ้น ที่ SC เรามีการทำ Research อยู่เป็นประจำ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่รู้ใจลูกค้ามากที่สุด ในการทำแบรนด์คอนโด SC ทำให้เราได้ Insights จากกลุ่มลูกค้าที่อาศัยในคอนโด จนตกผลึกมาเป็นปรัชญาการสร้างคอนโดของ SC ที่เรายึดเป็นหลักการ ภายใต้คุณค่า EVERYBODY’S HIGH-RISE เมื่อพูดถึง High-Rise ก็เป็นคำตรงตัวคือที่อยู่อาศัยแนวสูง คอนโดในบ้านเรานี่เอง นอกจากนี้ SC เห็นว่าชีวิตของคนในคอนโดแทบจะไม่เหมือนกันเลย สมมติว่าใน 1 ชั้นมี 10 ห้อง 10 คนนี้แทบจะมีตารางชีวิตไม่เหมือนกันเลย ตื่นคนละเวลา ทำงานไม่เหมือนกัน กินหรือนอนกันคนละเวลาหมด ซึ่งคนที่เลือกมาอยู่คอนโด คือคนที่อยากได้ความเป็นส่วนตัวในการอยู่กับตัวเอง แต่ก็ต้องการมีพื้นที่ส่วนกลางเพื่อรู้สึกเป็นส่วนของ Community และส่วนหนึ่งของการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง ดังนั้น การออกแบบ ส่วนตัว กับส่วนกลาง จึงเป็นสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญ ส่วนคำว่า Everybody ในที่นี้คือความ Inclusive หมายถึงทุกคนจริง ๆ ไม่ใช่เฉพาะลูกค้าที่อาศัยอยู่ในคอนโด SC แต่หมายถึงทุกคนในสังคมที่อยู่ใน Community ร่วมกัน มีจุดหมายต่างกัน แต่สามารถอยู่ร่วมกัน แบ่งปันกัน เพื่อเข้าถึงเป้าหมายของแต่ละคนได้   โดย SC Asset พร้อมจะเป็นพื้นที่เริ่มต้นชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัยทุกคน เพราะเชื่อว่าชีวิตที่ดีมาจากจุดเริ่มต้นที่ดี พร้อมต่อยอดประสบการณ์การใช้ชีวิตที่มีคุณภาพด้วยเทคโนโลยีรู้ใจ Living Solutions ที่ SC พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยแบบรู้ใจ และบริการหลังการขาย ที่เป็นจุดแข็งของแบรนด์   คอนโด SC สานต่อภารกิจในการสร้างเช้าที่ดีให้กับทุกคน หรือที่เรียกว่า “For Good Mornings” ตอกย้ำความเป็นผู้ให้บริการหลังการขายคุณภาพสูงอันดับ 1 ในใจผู้บริโภค SC Asset ได้สร้างสรรค์พัฒนาโครงการคอนโดที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในด้านคุณภาพ ดีไซน์ และบริการมาอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมหลายเซกเมนต์และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น 28 Chidlom โครงการ Limited Luxury Condominium Collection บนทำเลแห่ง World Class Destination อย่างย่านชิดลม สร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์สุดเอ็กซ์คลูซีฟท่ามกลางพื้นที่สีเขียว กับแนวคิด “An Urban Oasis” The Crest Park Residence ที่สุดแห่งที่พักอาศัยระดับ Luxury หนึ่งเดียวใจกลางห้าแยกลาดพร้าว มาพร้อมพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์เพื่อการใช้ชีวิตพรีเมี่ยมในระดับ 5 ดาว Reference สาทร-วงเวียนใหญ่ คอนโดที่ตอบโจทย์ Lifestyle คน Gen Y พร้อมสร้าง Inspiration ในการใช้ชีวิต-เติมพลังใจเพื่อชีวิตที่ออกแบบได้เอง COBE คอนโดในอุดมคติของผู้บริโภค กับคอนเซ็ปต์ “CO-BEING COMMUNITY” เพื่อสร้างพื้นที่ Community ผู้บริโภคอย่างสร้างสรรค์ เป็นตัวของตัวเองในทุก ๆ ด้าน พร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่ให้คุณได้ Collab ไอเดียใหม่ ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกไปด้วยกัน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซี แอสเสท ส่งบ้านหรูแบรนด์ใหม่ 95E1 ราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้าน -เอสซี แอสเสท เปิดแผนรายได้รวม 150,000 ล้าน การเติบโตด้วย 2 ENGINE ใน 5 ปี
[PR News] PF เปิดตัวคอนโดโครงการใหม่ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ”

[PR News] PF เปิดตัวคอนโดโครงการใหม่ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ”

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดตัวโครงการใหม่ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ” ทำเลติดถนนพัฒนาการ  ติดโรงพยาบาลสินแพทย์แห่งใหม่ ภายใต้แนวคิด "Active" สะท้อนความไม่หยุดนิ่ง ชูจุดเด่นเน้นตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ เอาใจสายแอคทีฟด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรูปแบบใหม่ๆ ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยมากขึ้น   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ไอคอนโด ได้แก่ ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ จับตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยเริ่มต้นทำงาน รวมถึงกลุ่มนักศึกษา ด้วยการเลือกทำเลที่ตั้งบนถนนพัฒนาการที่เชื่อมต่อย่านธุรกิจเอกมัย ทองหล่อ และยังใกล้มหาวิทยาลัย โดยเปิดตัวด้วยภาพลักษณ์ใหม่ที่ทันสมัยมากขึ้น ภายใต้แนวคิด "Active" สะท้อนถึงความไม่หยุดนิ่ง เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่  และตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบันได้อย่างตรงจุด ไอคอนโด แอททีฟ พัฒนาการ ตั้งอยู่บนทำเลถนนพัฒนาการ 37 โดยอยู่ติดกับโรงพยาบาลสินแพทย์แห่งใหม่ สามารถเดินถึงทั้งมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตและสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่นในไม่กี่นาที  เดินทางสะดวกสบายใกล้รถไฟฟ้า 2 สาย ทั้งแอร์พอร์ตลิงค์และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และใกล้ทางด่วน 2 เส้นหลัก ได้แก่ ทางพิเศษศรีรัชและทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ทั้ง โลตัสพัฒนาการ เเม็กซ์แวลูพัฒนาการ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ โรงเรียนปาณยาพัฒนาการ แม็คโครสำนักงานใหญ่ เป็นทำเลเมืองที่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยที่สุดแห่งหนึ่งในวันนี้   โครงการมีพื้นที่ 5 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมในสไตล์โมเดิร์น 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 445 ยูนิต แบ่งเป็นอาคาร A จำนวน 231 ยูนิต และ อาคาร B จำนวน 214 ยูนิต  ออกแบบให้ตัวอาคารโอบล้อมสระว่ายน้ำและสวนพักผ่อน เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ความเป็นส่วนตัว และสามารถออกมาใช้งานพื้นที่ส่วนกลางได้อย่างสะดวก รูปแบบห้องประกอบด้วย ห้อง 1 Bedroom ขนาด 24 –30 ตร.ม. และ ห้อง 2 Bedroom ขนาด 45.7 ตร.ม. ทุกห้องตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบชุดแบบ Fully Furnished นอกเหนือจากความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันแล้ว  โครงการยังมีจุดเด่นที่เน้นตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ให้กับผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบให้มีพื้นที่รองรับทั้งจุดรับส่งอาหารและห้องจัดเก็บพัสดุ ฟิตเนสที่มีอุปกรณ์รูปแบบใหม่ๆ อาทิเช่น จักรยานออกกำลัง แบบ Virtual Cycling  กระจกออกกำลังกายอัจฉริยะ Fitness Mirror ที่เหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ระบบรักษาความปลอดภัยแบบ Face Recognition ระบบสแกนทะเบียนรถเข้าออก ตลอดจนมีการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้ง ระบบไอออนกำจัดเชื้อโรคในอากาศ SCG Bi-ion ให้คุณภาพอากาศที่ดีทั้งในล็อบบี้ ฟิตเนส และ Co-working Space ทุกห้องพักติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 และ ประตูห้องระบบ Digital Door Lock ที่สามารถควบคุมด้วยแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ทั้งปลอดภัยและสะดวกสบาย    “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ” จะเปิดให้ชมห้องตัวอย่าง และเปิดจองในช่วงพรีเซล วันที่ 10-11 มิถุนายนนี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 2.2 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน -[PR News] เพอร์เฟค เดินหน้าเปิด 4 โครงการใหม่ในไตรมาส 2
[PR News] “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง”  เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่รองรับลูกบ้าน

[PR News] “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่รองรับลูกบ้าน

เสนา ฮันคิว ฮันชิน เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่ในโครงการ “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” พร้อมเปิดให้บริการลูกบ้านครั้งแรก พบกันในงาน Open House Party 24 มิ.ย.นี้ ชมห้องจริง บรรยากาศจริง ลุ้นรับทอง 1 บาท* ระบุเดินหน้าเปิดเฟส 2 ต่อ จ่อรับดีมานด์ย่านบางบัวทอง ผ่อนเบาๆแค่ 4,100 บาท/เดือน* ด้วยราคาเริ่มเพียง 956,000 บาท ไม่ถึงล้านก็เป็นเจ้าของได้    ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาคอนโดฯ Affordable Segment แบรนด์ เสนาคิทท์ ราคาเริ่มไม่ถึงล้านได้รับการตอบรับดี สามารถปิดการขายและมียอดจองสิทธิ์ได้ตามเป้าหมายทุกโครงการ โดยเฉพาะย่านบางบัวทอง คอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง”  มีลูกค้าให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก หลังจากสร้างเสร็จและมีลูกค้าโอนเข้าอยู่แล้วเฟส 1 แล้ว ปัจจุบันทางบริษัทเดินหน้าเปิด“เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” เฟส 2  ต่อทันที สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” เพราะเสนาเราเข้าใจความต้องการของลูกค้า ทุกโครงการของเสนา โดยเฉพาะ เสนาคิทท์ ทางบริษัทเข้าใจลูกค้าที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง แต่มีงบน้อย กลัวผ่อนไม่ไหวด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่หลายคนมีความกังวลในการซื้อสินทรัพย์ชิ้นใหญ่และใช้เวลาในการผ่อนระยะยาว คอนโดเสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง เข้าร่วมแคมเปญธอส. บ้านล้านหลัง เงินเดือน 15,000 บาทสามารถยื่นกู้ได้  ดอกเบี้ยต่ำ 3% นาน 5 ปี ผ่อนถูกกว่าเช่าแถมได้เป็นเจ้าของ เพียง 4,100 บาท*/เดือน   สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” เพราะที่นี่ เสนาคิทท์ คิดให้ครบ คอนโดเสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง (เฟส 2) คอนโด Low Rise สูง 5 ชั้น 6 อาคาร  รวม 474 ยูนิต  แบ่งเป็น 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 25 ตร.ม. และ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 38 ตร.ม. แปลนห้องลงตัวเป็นสัดส่วน โซนแรกเป็นห้องนั่งเล่นรวมพื้นที่กับโต๊ะทานอาหาร โซนติดหน้าต่างห้องเป็นห้องนอนที่กั้นจากห้องนั่งเล่นด้วยประตูบานเลื่อน อีกฝั่งจะเป็นห้องน้ำ ส่วนเตรียมอาหารอยู่ติดกับระเบียงห้อง ที่สำคัญซื้อโครงการที่นี่ ไม่ต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์ เพราะคอนโดถูกออกแบบให้ตกแต่งพร้อม หิ้วกระเป๋าใบเดียวลากเข้าอยู่ได้เลย    สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” พื้นที่ส่วนกลางครบ คลับเฮ้าส์พร้อมให้บริการ คอนโดมิเนียมที่ได้มากกว่าที่คิดในระดับราคาไม่ถึงล้าน ถือว่าคุ้มค่ากับคุณภาพชีวิตที่ดี โดยภายในโครงการมีสาธารณูปโภครองรับลูกบ้าน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ พื้นที่พักผ่อนในโซนคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส พื้นที่ทำงาน Co-Working Space และมีลิฟท์อำนวยความสะดวกทุกอาคาร   สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” เดินทางสะดวก ใกล้แหล่งงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกมาครบ ที่ผ่านมา ต้องยอมรับย่านบางบัวทองเป็นเส้นทางหนึ่งที่การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น ผู้คนสัญจรเข้า – ออกเมืองง่าย ทั้งถนนสายหลักและสายรองหลายเส้นทาง  รวมถึงการพัฒนาด้านคมนาคม ระบบขนส่งสาธารณะ ครบลูป และรถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-คลองบางไผ่) ขณะเดียวกันพื้นที่โดยรอบแวดล้อมด้วยแหล่งงาน ร้านค้าต่าง ๆ สถานที่เที่ยวตอบรับไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบ แหล่งช้อปปิ้ง สถานศึกษา โรงพยาบาล ที่เป็นสีสันทำให้ผู้คนที่อยู่อาศัยละแวกนี้มีครบพร้อมรองรับการขยายตัวของเมืองและตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งทยอยเปิดตัวเพิ่มขึ้นทั้งบ้านเดี่ยว – บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ – ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม ค่อนข้างมีให้เลือกหลากหลายตามงบประมาณและรายได้   สัมผัสการใช้ชีวิตพร้อมเติมเต็มทุกความสมบูรณ์แบบ พบกันในงาน Open House Party 24 มิ.ย. นี้ ชมห้องจริง บรรยากาศจริง คลับเฮ้าส์ใหม่เอี่ยม พร้อมกับโปรโมชั่นสุดพิเศษวันงาน ลุ้นรับทอง มูลค่า 1 บาท* มาร่วมสตาร์ทชีวิตที่ดี “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” คอนโดที่เหมาะสำหรับคนที่มองหาที่อยู่อาศัยหรือคนที่กำลังมองหาการลงทุนเพื่อปล่อยเช่าในอนาคต คอนโดที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกคน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sena.co.th/project/sena-kith-westgate-bangbuathong หรือสอบถามได้ call Center: 1775 กด 25 ส่วนท่านใดสนใจโครงการอื่น ๆ แบรนด์ เสนาคิทท์ หรือโครงการอื่นๆของเสนาและในเครือคลิ๊กเข้าไปดูได้ที่ https://www.sena.co.th/   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2 หนุนเป้ายอดขายกว่า 1.8 หมื่นล.
5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล  ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19

5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19

LWS แนะ 5 ธุรกิจบริการ ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมดิจิทัลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตเพื่อคนทุกวัยที่พัฒนาขึ้นมาที่เติบโตพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล. ดับเบิลยู. เอส. วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) แนะนำ 5 ธุรกิจบริการที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตเพื่อคนทุกวัยในยุคหลังการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ได้แก่ ธุรกิจบริการเพื่อผู้สูงอายุ, สุขภาพ, สิ่งแวดล้อม, ที่อยู่อาศัย และความบันเทิง   หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน เทคโนโลยี่ดิจิทัล เข้ามามีบทบาทในการพัฒนางานบริการอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อสร้างการเข้าถึงข้อมูลและเชื่อมต่อระหว่างผู้คน ไปพร้อมๆ กับการสร้างโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ๆ ทั้งภาคการผลิตและการบริการ โดยเฉพาะงานบริการ เทคโนโลยี่เข้ามามีบทบาทในการเชื่อมต่องานบริการต่างๆ ที่ตอบสนองกับความต้องการของผู้คนในสังคมมากขึ้น และเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่จะพัฒนาต่อยอดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้น 5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยและพัฒนางานบริการของ LWS พบว่า ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี ของการแพร่ระบาดของ COVID-19 งานบริการที่มีการพัฒนาและได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนตั้งแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 และยังคงได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบันที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย แล้ว ประกอบด้วย 5 ธุรกิจที่น่าสนใจและมีศัยกภาพในการเติบโตและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ, สุขภาพ, สิ่งแวดล้อม, ที่อยู่อาศัย, และงานบริการที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงของคนรุ่นใหม่ บริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบเต็มรูปแบบ หนึ่งในธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง คือ ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เนิร์สซิ่งโฮมที่ได้มาตรฐาน และขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพิ่มขึ้นจาก 200 กว่าแห่งในปี 2563 เป็น 450 ยังไม่รวม เนิร์สซิ่งโฮมที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกนับ 1,000 – 2,000 แห่งทั่วประเทศ   นอกจากงานดูแลด้านสุขภาพของผู้สูงอายุที่เนิร์สซิ่งโฮมแล้ว ยังมีพัฒนางานบริการพาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล ท่องเที่ยว ทำบุญ และกิจกรรมต่างๆ โดยมีแพลตฟอร์มที่น่าสนใจอย่าง Joy Ride กับบริการพาผู้สูงอายุไปหาหมอ เป็นงานบริการที่ให้บริการในประเทศไทย และคิดค้นโดยคนไทย ที่มีรูปแบบการให้บริการผู้ดูแลพาผู้สูงวัยและผู้ป่วยไปโรงพยาบาล จากบ้านไปโรงพยาบาล และอยู่เป็นเพื่อนตลอดระยะเวลาของการพบแพทย์ และพากลับมาส่งกลับถึงบ้าน โดยมีการให้บริการในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น บริการพาไปรับวัคซีนป้องกันโควิด, บริการ Welcome Home พาเธอกลับบ้าน ,Joy Go Round พาเที่ยว ทำบุญ ทำธุระ ฯ ล ฯ มีค่าบริการเริ่มต้นเพียง 280 บาทเท่านั้น ซึ่งกลุ่มผู้ใช้บริการไม่มีเพียงแต่ผู้สูงอายุเท่านั้น ยังมีกลุ่มของสตรีมีครรภ์ ที่ไม่สะดวกในการขับรถเองใช้บริการอีกด้วย   นอกจากนี้ ยังมี Senior Move ธุรกิจบริการรถลีมูซีนสำหรับผู้ใหญ่โดยเฉพาะ ให้บริการเป็นรายชั่วโมง โดยผู้ใช้บริการสามารถกำหนดเส้นทาง หรือปรับเปลี่ยนเส้นทางได้ตลอดเวลา ทั้งยังสามารถแวะทำธุระระหว่างทางได้ตามสะดวก เสมือนมีรถและพนักงานขับรถส่วนตัว สามารถจองคิวการใช้บริการผ่าน Line ได้ โดยมีอัตราค่าบริการเริ่มต้นที่ 500 บาทต่อชั่วโมง ได้ถือเป็นธุรกิจงานบริการที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและเป็นโอกาสสำหรับการสร้างธุรกิจใหม่ๆ หลังยุค COVID-19 บริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ จากรายงานของกรมพัฒนาธุรกิจพบว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพถึง 353 ราย เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปี 2564 ที่มีจำนวน 167 รายถึง 90% สะทัอนให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจบริการในหมวดนี้ที่สูงขึ้นตามความต้องการของประชาชนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้นหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19   โดยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพนอกเหนือจากการดูแลสุขภาพแล้ว งานบริการที่เกี่ยวกับสินค้าในหมวดหมู่ที่เกี่ยวกับสุขภาพมีทั้งเรื่องของอาหาร การออกกำลังกาย รวมไปถึงการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เป็นต้น โดยเฉพาะอาหาร ปัจจุบันประชาชนให้ความสนใจกับการเลือกบริโภคอาหารที่ปลอดสารพิษ ทำให้มีการพัฒนางานบริการจัดส่งผัก-ผลไม้ออร์แกนิค จากสวนส่งตรงถึงบ้าน โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมต่อความต้องการของผู้ซื้อไปยังผู้ผลิต และบริการจัดหา อย่าง  Happy Grocers บริการจัดส่งผัก และผลไม้ออร์แกนิค ถึงบ้าน   เป็นธุรกิจที่เกิดจากการพัฒนาของนักศึกษาจากวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากในช่วงของการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ที่ทำให้สินค้าทางการเกษตรไม่สามารถเข้าสู่ตลาดกลางได้ ทำให้นักศึกษากลุ่มนี้เกิดความคิดที่จะเป็นตัวกลางให้ผู้บริโภคและเกษตรกรได้พบกันโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางอีกหลายทอด ช่วยแก้ปัญหาให้เกษตรกรรายย่อยได้มีตลาดระบายสินค้าในราคาที่สมเหตุสมผล และผู้บริโภคได้รับสินค้าคุณภาพจากเกษตรกรโดยตรง มีการนำรถ Grocers Truck นำฟาร์มขนาดย่อมมาให้ลูกค้าถึงหน้าคอนโดมิเนียม โดยมีความพิเศษคือ ลูกค้าเป็นคนส่งคำขอกับทางนิติคอนโดฯให้ทาง Happy Grocers ไปลงพื้นที่เองอีกด้วย โครงการนี้ประสบความสำเร็จและคว้ารางวัลจากเวที Startup Thailand League 2020   อีกหนึ่งในบริการที่มีการเติบโตค่อนข้างสูง และยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องหลังจากการระบาดของโควิด-19 คือ บริการหาหมอออนไลน์ โดยรายงานปี 2563 จากบริษัทวิจัย แกรนด์ วิว รีเสิร์ช มีระบุว่า ตลาดเทเลเมดิซีนมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง โดยปี 2563 มีมูลค่าราว 55,900 ดอลล่าสหรัฐ และคาดว่าในช่วงปี 2564-2571 จะมีการขยายตัวต่อปีที่ 22.4% ซึ่งทำให้คาดว่าทำให้ตลาดเทเลเมดิซีนจะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง บริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เป็นกลุ่มงานบริการที่ได้รับความนิยมมากขึ้นจากแนวคิดเกี่ยวกับ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือ  ESG (Environment, Social, Governance) ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ภาวะโลกร้อน ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึง การพบไมโครพลาสติกในสัตว์ทะเล และปัญหาน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มที่ใช้บริโภคในชีวิตประจำวัน ปัญหาต่างๆด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการผลิตวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การนำขยะมาใช้ในการผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ และของใช้ต่างๆ   รวมไปถึงการให้บริการเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์อย่างบริษัท รีไซเคิล เดย์ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจบริการที่เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดในการเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์ โดยการให้ความรู้ในการแยกขยะไปจนถึงการบริหารจัดการ ผ่านแอพพลิเคชั่น โดยแอพพลิเคชั่น จะบันทึกการจัดเก็บและแยกขยะของแต่ละบ้าน เพื่อให้สามารถแลกเป็นคะแนนไว้ใช้สำหรับแลกของรางวัลหรือเงินคืนได้จำนวนเท่าไหร่ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในการบริหารจัดการขยะ และ   อีกหนึ่งในบริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ และมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆคือ บริการที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งอุปกรณ์พลังงานทดแทน เช่น Pavegen slab ซึ่งเป็นแผ่นพื้นที่สามารถเปลี่ยนแรงกดให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้ โดยบริการนี้เริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ มีการติดตั้งตามเมืองสำคัญหลายจุด เช่น ถนนอ๊อคฟอร์ด กับถนนบาเรท ซึ่งในประเทศไทยเองก็มีการติดตั้งที่ True Digital park และ 101 The Third place อีกด้วย บริการที่เกี่ยวข้องกับบ้าน ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับบ้าน เป็นอีกหนึ่งในงานบริการที่ถูกพัฒนารูปแบบบริการต่างๆให้ครอบคลุมกับความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะการให้บริการดูแลบ้าน ทั้งงานทำความสะอาดไปจนถึงงานช่างและงานซ่อมแซมต่างๆ โดยปัจจุบันมีหลายบริษัทที่พัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้และเรียกใช้บริการได้ตามความต้องการ เช่น Q-Chang คิวช่าง แพลตฟอร์มรวมช่างคุณภาพเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ให้บริการเกี่ยวกับบ้าน เช่น บริการดูแลรักษาบ้าน ,บริการติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ภายในบ้าน ,บริการปรับปรุงและซ่อมแซมบ้าน ฯลฯ   โดย Q-Chang เป็นธุรกิจบริการ ที่มีอัตราการเติบโตจากช่วง 3 ปีได้อย่างชัดเจน ในปี 2565 ที่ผ่านมา มีผู้เข้าใช้บริการผ่านช่องทางเว็ปไซต์เพิ่มขึ้นถึง 6.5 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2564 และมียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว มีมูลค่าการจองใช้บริการสูงสุดถึง 610,000 บาท/คน/ปี ซึ่งท้อนได้ถึงความต้องการในการใช้บริการงานที่เกี่ยวข้องกับบ้านได้อย่างชัดเจน ซึ่งทาง Q-Chang เองก็ได้ขยายบริการจากเว็ปไซต์ เพิ่มขึ้นเป็น Line Official : @q-chang รวมถึงมีการให้บริการรวมกับพาร์ทเนอร์ เช่น SCG, Shopee, Lazada NocNoc เป็นต้น   โดยบริการยอดนิยมจะอยู่ในกลุ่มงานบริการล้างแอร์ ซ่อมแซมหลังคารั่ว บริการล้างเครื่องซักผ้า ฯ ล ฯ นอกจากนี้ผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง SCG ก็ยังมีบริการที่เกี่ยวข้องกับบ้านด้วยเช่นกัน เช่น บริการจาก SCG Heim ซึ่งให้บริการงานต่อเติม ตรวจสอบและซ่อมแซมสภาพบ้าน ตกแต่งภายใน บิ้วอิน เป็นต้น บริการที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ ปัจจุบันผู้คนเริ่มมีความคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยมากขึ้น ทั้งการทำงานและกิจกรรมเพื่อความบันเทิง โดยเฉพาะการเล่นเกมส์ ที่ปัจจุบันกลายเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ถูกบรรจุเป็นกีฬาในระดับภูมิภาค และระดับโลก ในประเทศไทยก็เริ่มมีการเรียนการสอนในโรงเรียนวิชา E-Sport ตั้งแต่ระดับมัธยมในประเทศไทย เช่น โรงเรียนสิรินธร จ.สุรินทร์ ,โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม ที่ได้มีการสร้างห้อง E-Sport Room เพื่อรองรับการส่งเสริมนักเรียนในทุกด้าน และในระดับมหาวิทยาลัยนั้น ภาคเอกชนก็เริ่มนำคอร์สการเรียนที่เกี่ยวข้องกับ E-Sport มาเป็นทางเลือกให้ผู้ที่สนใจในด้านนี้โดยเฉพาะด้วยเช่นกัน   การเติบโตของ E-Sport ทำให้การพัฒนาห้อง E-Sport ภายในที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในอาคารชุดพักอาศัยเริ่มกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นนอกเหนือจาก Co-Working และ Co-Kitchen space โดยปัจจุบันมีโครงการอาคารชุดพักอาศัย อย่าง โครงการ เพลส 168 ปิ่นเกล้า ที่พัฒนาโดยบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) และโครงการอัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร ที่พัฒนาโครงการโดย อัลติจูด ดีเวลลอปเมนท์ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของคนรุ่นใหม่ ที่ใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยมากขึ้น   นอกจากนี้ยังพบว่าธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศก็มีการนำห้อง E-Sport Room เข้ามาใช้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เช่นโรงแรม iHotel — Taoyuan City ประเทศไต้หวัน , โรงแรม The Arcade Hotel ในประเทศเนเธอแลนด์ และ โรงแรม eZONe Cyber Space Hotel ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น โดยการให้บริการจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับเล่นเกมส์ในห้องพักโดยเฉพาะ มีที่นอนภายในห้อง โดยที่พักจะมีเริ่มต้นตั้งแต่ 2 คน ไปจนถึงห้องใหญ่ที่รองรับผู้เข้าพักได้ถึง 5 คน มีค่าบริการเริ่มต้นตั้งแต่ 1,500 เป็นต้นไป   “วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้คนจากวิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) มาสู่วิถีชีวิตปกติถัดไป (Next Normal) ภายหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 งานบริการไม่ใช่งานที่ผู้คนต้องออกจากบ้านเพื่อไปรับบริการแล้ว แต่งานบริการกลายเป็นงานที่ผู้คนสามารถใช้บริการได้จากที่บ้านของพวกเขาเอง ผ่านการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เชื่อมต่อทุกงานบริการเข้าด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้คน จึงเป็นมิติใหม่ของการสร้างโอกาสในการสร้างธุรกิจบริการเพื่อที่จะเข้าถึงผู้คนและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เทคโนโลยี่ดิจิทัล เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโอกาสทั้งทางธุรกิจและเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน”    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -โควิดทุบ SMEs ธุรกิจบริการ-ท่องเที่ยว รายได้หาย 27,000 ล้าน
เอสซี แอสเสท ส่งบ้านหรูแบรนด์ใหม่ 95E1  ราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้าน

เอสซี แอสเสท ส่งบ้านหรูแบรนด์ใหม่ 95E1 ราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้าน

เอสซี แอสเสท เอสซี เปิดขายบ้าน หลังละ 100 ล้าน แบรนด์ใหม่ “95E1”  รับดีมานด์กลุ่มลูกค้าระดับลักชัวรี่ มั่นใจกำลังซื้อกลุ่มบ้านแนวราบยังสูงต่อเนื่อง หลังที่ผ่านมาปิดโปรเจ็กต์แล้ว 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,900 ล้าน   นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท  คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ในเดือนมิถุนายนนี้ บริษัทวางแผนเปิด 5 โครงการใหม่ เป็นบ้านหรู New Series และ คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ รวมมูลค่าโครงการ 12,290 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวม 6,290 ล้านบาท และ แนวสูง 1 โครงการ มูลค่า 6,000 ล้านบาท   โดยในโครงการทั้งหมด มีโครงการที่ขายบ้านระดับราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ “95E1” (ไนน์-ตี้-ไฟว์-อีสต์-วัน) แบนด์ใหม่บ้านเดี่ยวสุดหรูในเซกเมนต์ Ultimate Luxury ด้วยแนวคิด “Exquisite Craftsmanship” มีจำนวน 10 ยูนิต ตั้งบนพื้นที่ 4-2-50 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 842-846 ตารางเมตร รวมมูลค่าโครงการ 1,010 ล้านบาท โครงการตั้งอยู่บริเวณเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา นอกจากนี้ ยังมีโครงการแนวราบอีก 3 โครงการ ได้แก่ โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม 9 - กรุงเทพกรีฑา บ้านหรู 3 ชั้น ได้แนวคิดจากสถาปัตยกรรม อาสนวิหาร ในประเทศอิตาลี ตั้งบนพื้นที่ 23-1-28.1 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 593-776 ตารางเมตร จำนวน 35 ยูนิต ราคาเริ่ม 45-80 ล้านบาท  มูลค่าโครงการ 2,070 ล้านบาท โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สเตท บางนา บ้านหรู แรงบันดาลใจจาก American timeless ตั้งบนพื้นที่ 15-2-21.7 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 439-591 ตารางเมตร จำนวน 34 ยูนิต ราคาเริ่ม 30-60 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โครงการเวนิว ไอดี รามอินทรา มีนบุรี บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ซีรี่ส์ใหม่สไตล์ Modern Simplicity ตั้งบนพื้นที่ 44-2-54 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 167-229 ตารางเมตร จำนวน 212 ยูนิต ราคาเริ่ม 7.59-16 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,910 ล้านบาท ส่วนโครงการคอนโด เตรียมเปิดแบรนด์ใหม่ “COBE” บนทำเลใจกลางรัชดา - พระราม 9 ใกล้ MRT ศูนย์วัฒนธรรม มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท ราคาเริ่มเพียง 2.39 ล้านบาท นอกจาก SC เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้แล้ว เรายังพร้อมเปิดรับการร่วมลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง นายอรรถพล กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดแนวราบยังมีดีมานด์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 บริษัทสามารถปิดโครงการได้ถึง 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,900 ล้านบาท ซึ่งไตรมาสแรก SC สามารถกวาดรายได้รวม 4,930 ล้านบาท กำไร 535 ล้านบาท เติบโต 38% ทำให้มั่นใจว่า SC จะสามารถทำยอดทะลุตามเป้าหมายยอดขายและรายได้ตามที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซี แอสเสท เปิดแผนรายได้รวม 150,000 ล้าน การเติบโตด้วย 2 ENGINE ใน 5 ปี -[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​
เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ที่อยู่อาศัยหรูใกล้ชิดธรรมชาติ

เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ที่อยู่อาศัยหรูใกล้ชิดธรรมชาติ

เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ล่าสุด ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ที่อยู่อาศัยหรู เจาะกลุ่มผู้ซื้อบ้านที่ต้องการคอนโดพื้นที่ขนาดใหญ่ในเมือง ที่อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ   ขอเชิญชวนผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ในรูปแบบ Virtual Reality ได้ในงาน The Forestias Story and Beyond ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน วันที่ 10-11 มิถุนายนนี้ พร้อมมอบสิทธิพิเศษ 30 ยูนิตแรก ในราคาพิเศษแบบ VVIP สำหรับลูกค้าที่จองภายใน 30 มิถุนายน 2566 พร้อมกับจะได้รับสิทธิพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติมในการใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่โฮเต็ล อินดิโก้ เดอะ ฟอเรสเทียส์ มูลค่าสูงสุดถึง 500,000 บาท – โทรสอบถามข้อมูลได้ที่ Call Center 1265    “ที่อยู่อาศัย เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่กว่าทั่วๆ ไป กระทั่งแบบมีสระส่วนตัว แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ และง่ายที่จะเข้าถึงบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับการใช้ชีวิตแบบใจกลางเมือง ที่เดอะ ฟอเรสเทียส์มอบให้ ทุกห้องพักอาศัย เปิดรับวิวป่า 30 ไร่แบบพาโนรามา และทิวทัศน์ความมหัศจรรย์ของงานเฟสติวัลต่างๆ ที่จะจัดขึ้นเป็นประจำ ทั้งในผืนป่าและเหนือผืนป่า การออกแบบตกแต่งภายในถูกรังสรรค์ภายใต้ธีมที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ พร้อมทั้งมอบความเป็นส่วนตัวอย่างหรูหราเหนือระดับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ซื้อบ้านกลุ่มนี้ปรารถนา”  นายยุทธนา ตันติยานนท์ ประธานผู้อำนวยการ กลุ่มงานการจัดการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์MQDC     กรุงเทพฯ (31 พฤษภาคม 2566) – MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ประกาศวันนี้ว่า บริษัทฯ กำลังก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยแห่งใหม่ ความสูง 44 ชั้น ในชื่อ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 398 ไร่ของโครงการ ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ บนถนนบางนา-ตราด ก.ม.7   ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ คือหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของวิลล่าสุดหรู ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ ในประเทศไทยอีกด้วย โดยที่พักอาศัย เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ติดกับป่าขนาด 30 ไร่ใจกลางเดอะ ฟอเรสเทียส์ และเชื่อมโดยตรงกับทางเดินยกระดับที่ทอดยาวเหนือผืนป่า ความยาว 1.6 กิโลเมตร   นายยุทธนา ตันติยานนท์ ประธานผู้อำนวยการ กลุ่มงานการจัดการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ MQDC เปิดเผยว่า “ที่พักอาศัยโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่กว่าทั่วๆ ไป กระทั่งแบบมีสระส่วนตัว แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ และง่ายที่จะเข้าถึงบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับการใช้ชีวิตแบบใจกลางเมือง ที่โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์มอบให้ โดยอาคารโครงการ ความสูง 44 ชั้น มีเพียง 122 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งเป็นยูนิตแบบมีพื้นที่กว้างขวาง และทุกยูนิตเปิดรับวิวป่าแบบพาโนรามา และทิวทัศน์ความมหัศจรรย์ของงานเฟสติวัลต่างๆ ที่จะจัดขึ้นเป็นประจำ ทั้งในผืนป่าและเหนือผืนป่า”     ห้องพักอาศัยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 140 ตารางเมตรไปจนถึง 350 ตารางเมตร โดยมีห้องแบบเพนท์เฮาส์ขนาดพื้นที่ใช้สอย 917 ตารางเมตร บนชั้น 43 ส่วนจำนวนห้องนอนก็มีเลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 2 ห้องนอนไปจนถึง 5 ห้องนอน โดยที่พักอาศัยแบบฟรีโฮลด์แห่งนี้ มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 37 ล้านบาทสำหรับยูนิตขนาด 2 ห้องนอน และราคาเริ่มต้น 49 ล้านบาทสำหรับยูนิตขนาด 3 ห้องนอน   ตัวอาคารของ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ได้รับการออกแบบโดย Foster + Partners โดยแนวคิดของโครงการให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการมอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดให้แก่ผู้อยู่อาศัย เราจึงพิถีพิถัน ใส่ใจในการออกแบบทุกรายละเอียด บนพื้นฐานของการทำความเข้าใจผู้อยู่อาศัยมากที่สุดในเรื่องของความเป็นส่วนตัว โดยได้สร้างโถงทางเดินและบันไดสำหรับงานบำรุงรักษาไว้ในจุดต่างๆ “การออกแบบนี้จะช่วยให้ช่างสามารถเข้าบริการหรือดูแลรักษางานระบบอาคาร โดยเฉพาะงานท่อหลักได้โดยไม่ต้องเข้าไปในห้องพักอาศัย อีกทั้งยังสามารถบำรุงรักษาอาคารให้ได้มาตรฐานระดับพรีเมียมอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่รบกวนพื้นที่ส่วนรวมที่ลูกบ้านใช้ประจำ” นายยุทธนากล่าว   นอกจากนั้น การออกแบบพื้นที่ภายในยังมีความเป็นสัดส่วน โดยแยกพื้นที่ที่ผู้ช่วยดูแลบ้านต้องใช้ เช่น พื้นที่ห้องครัวไทย และห้องพักของผู้ช่วยดูแลบ้าน ไม่รบกวนความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย พร้อมกันนี้ ทุกยูนิตยังมีล็อบบี้ลิฟต์ส่วนตัวอีกด้วย หนึ่งในลักษณะพิเศษที่เป็นจุดเด่นของโครงการ คือมีที่นั่งพักผ่อนภายนอกอาคารมากมาย รวมไปถึงสวนส่วนตัว สนามหญ้าอเนกประสงค์ ระเบียงชายป่า และบ้านต้นไม้ นอกจากนั้น ยังได้นำเอาวัสดุพิเศษมาใช้ ในการก่อสร้างฟาซาด เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยในอาคารรู้สึกเย็นสบายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้ออกแบบโถงล็อบบี้ส่วนตัวสำหรับผู้อยู่อาศัย ซึ่งแยกเป็นสัดเป็นส่วนกับล็อบบี้หลักของอาคาร เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จ ภายในสิ้นปี 2568 โดยงานเสาเข็มได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างชั้นใต้ดิน และเตรียมเปิดให้เข้าชมห้องตัวอย่าง อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป     นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ประธานผู้อำนวยการ โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC กล่าวว่า “ที่พักอาศัยอื่นๆ อีก 4 แบรนด์ของเราในเดอะ ฟอเรสเทียส์ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ถึงตอนนี้ ทำยอดขายรวมกันมากกว่า 22,000 ล้านบาทไปแล้ว” “ผมเชื่อว่า เหตุผลที่โครงการได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากทุกวันนี้ผู้คนจำนวนมากขึ้นอยากใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าทั่วๆ ไป ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวเยอะๆ และอยากอยู่ในโครงการที่ได้รับการออกแบบโดยบริษัทที่ได้รับการยอมรับนับถือในระดับโลก ที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพดียิ่งขึ้น และผมคิดว่าที่คนเชื่อมั่นว่าโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ของเรามีศักยภาพสูงในด้านของการลงทุน เป็นเพราะการที่โครงการตั้งอยู่ในทำเลเชื่อมต่อพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการขับเคลื่อนและส่งเสริมให้โครงการมีความน่าดึงดูดใจ” นายกิตติพันธุ์กล่าว   ที่พักอาศัยโครงการ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ใกล้กับโฮเต็ล อินดิโก้ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ในสไตล์ที่จะมาเติมเต็มพื้นที่ และสะท้อนธีมใกล้ชิดธรรมชาติของซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ได้เป็นอย่างดี พร้อมกับมีทางเดินเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างอาคารที่พักอาศัยและอาคารโรงแรม “การตั้งอยู่ใกล้เคียงแบบเชื่อมถึงกันได้อย่างสะดวกสบายกับโรงแรมและพื้นที่จำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม รวมทั้งบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เป็นสิทธิประโยชน์พิเศษเพิ่มเติมที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับลูกค้าเจ้าของที่พักอาศัยโครงการซิกเนเจอร์ ซีรีส์” นายกิตติพันธุ์กล่าว   สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยอื่นๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ มีการก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วค่อนข้างมาก ในจำนวนนี้ รวมถึงโครงการซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ เดอะ ฟอเรสเทียส์, มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า, มัลเบอร์รี่ โกรฟ คอนโดมิเนียม, คอนโดมิเนียมแบรนด์ วิสซ์ดอม, คอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ แอสเพน ทรี และสกายวิลล่า ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่การมอบบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการดูแลผู้พักอาศัยอย่างครบวงจรตลอดชีวิต โครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ มีมูลค่าประมาณ 5,900 ล้านบาท   บทความที่เกี่ยวข้อง Mulberry Grove The Forestias Villas บ้านคลัสเตอร์ แนวคิดใหม่ MQDC เปิดขาย “Whizdom The Forestias : Mytopia” MQDC เผยความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” บ้านอัลตร้าลักชัวรี่ The Forestias – เมืองต้นแบบกลางป่าใหญ่ในกรุงเทพฯ  
10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC  ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML

10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML

10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML ที่เบียดอาคารแมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ แอท ไอคอนสยามตกไปเป็นที่ 2   ถ้าวัดระดับความสูงของอาคารที่สูงที่สุดในไทยตอนนี้ คงต้องยกให้เป็นอาคารแมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ แอท ไอคอนสยาม ของบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดิเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) อาคารประเภทคอนโดมิเนียม ด้วยความสูงอาคาร 317.95 เมตร   แต่อีกไม่นาน จะมีอาคารแห่งใหม่ที่มาทำลายสถิติของแมกโนเลียส์ฯ และก้าวขึ้นเป็นอาคารสูงที่สุดในประเทศไทยแทน นั่นคื อาคาร OCC  (One City Centre) อาคารสำนักงานเกรดเอระดับลักชัวรี่แห่งใหม่ ในทำเลใจกลางเพลินจิต ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ร่วมทุนกับ มิตซูบิชิ เอสเตท หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ และมีชื่อเสียงยาวนานที่สุดของญี่ปุ่น   นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RML เปิดเผยว่า อาคาร OCC เกิดขึ้นจากความมุ่งหวังที่จะสร้างสุดยอดสถาปัตยกรรมแห่งใหม่ขึ้นในกรุงเทพฯ โดยจะเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของเอเชีย ทั้งในฐานะที่ตั้งขององค์กรธุรกิจชั้นนำทั้งไทยและระดับโลก และยังเป็นจุดหมายปลายทางที่ทั้งคนไทยและนักเดินทางจากทั่วโลกอยากแวะเวียนมาเยือน การพัฒนาโครงการนี้ก้าวข้ามทุกขีดจำกัดแห่งจินตนาการ สู่การสร้างสรรค์โลกใบใหม่ภายใต้แนวคิด REIMAGINE YOUR WORLD โดยเป็นการผสานความร่วมมือกัน ระหว่างบริษัทออกแบบชั้นนำระดับโลกและบริษัทสถาปนิกที่มีชื่อเสียงของไทย ตั้งแต่การออกแบบสถาปัตยกรรม ตกแต่งภายใน ตลอดจนภูมิทัศน์ เพื่อให้ที่นี่เป็นหนึ่งในอาคารสำนักงานที่เป็นสุดยอดในประเทศไทย ซึ่งผนวกพื้นที่สำนักงานระดับลักชัวรี่และศูนย์กลางไลฟ์สไตล์เหนือระดับเข้าไว้ด้วยกัน   โดยบริเวณด้านหน้าอาคารเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่เปิดให้ทุกคนมาพักผ่อนกับพื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ ยาวตลอดด้านหน้าอาคาร รวมทั้งเสพงานศิลป์จากผลงานศิลปะหลายชิ้นของคุณโด่ง-พงษธัช อ่วยกลาง ศิลปินเเถวหน้าของเมืองไทย ที่มีรูปปั้นผลงานชิ้นเอกตั้งเรียงรายอยู่ด้านหน้า และด้านในอาคาร ภายในอาคารออกแบบฟังก์ชั่นเสริมสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน โดยมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ล้ำสมัยและครบครัน นอกจากนี้ ยังมีร้านค้าในพื้นที่รีเทล คาเฟ่ บาร์ และร้านอาหารชั้นนำที่   โดยมีที่ปรึกษาในการวางแนวคิดการออกแบบอาคาร คือ สกิดมอร์, โอวิงส์ และเมอร์ริล ไทยแลนด์ (Skidmore, Owings & Merrill (Thailand) หรือ SOM (Thailand) บริษัทดีไซน์ชั้นนำระดับโลก ซึ่งทำงานร่วมกับ ดีไซน์ 103 อินเตอร์เนชั่นแนล (Design 103 International) บริษัทออกแบบสถาปัตยกรรมชั้นนำของไทยที่มีประวัติยาวนาน และมีผลงานอาคารระดับมาซเตอร์พีซมากมาย และแทนเดม อาร์คิเท็ค (2001) (Tandem Architects) บริษัทสถาปนิกแถวหน้าของไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านอาคารสูง โดยมี ฉมา (Shma) บริษัทภูมิสถาปัตย์ชั้นนำที่เชี่ยวชาญด้านภูมิทัศน์ ระบบนิเวศ และสิ่งแวดล้อมเป็นที่ปรึกษาด้านภูมิทัศน์ ดีดับเบิ้ลยูพี (ประเทศไทย) (DWP (Thailand)) บริษัทออกแบบและตกแต่งภายในชั้นนำ  เป็นที่ปรึกษาด้านการตกแต่งภายใน   นอกจากนี้ ยังมีออเรคอน คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) (Aurecon Consulting (Thailand)) ผู้นำด้านบริการงานออกแบบ ให้คำปรึกษาและบริหารงานทางวิศวกร เป็นที่ปรึกษาด้านงานระบบไฟฟ้า และงานระบบเครื่องกล ด้วยจุดมุ่งหมาย ในการสร้างอาคารสำนักงานลักชัวรี่ที่มีดีไซน์สุดล้ำ ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมระดับโลกและศิลปะวัฒนธรรมไทยเข้าด้วยกัน เห็นได้จากแผงแนวเฉียงที่พาดอยู่บนส่วนหน้าของอาคาร (façade) ซึ่งเป็นดีไซน์ที่มีความสอดคล้องลงตัวกับสภาพอากาศเมืองไทย โดยทำหน้าที่ลดความร้อนจากแสงอาทิตย์เข้าสู่อาคาร ด้านนายนพดล ตันพิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีไซน์ 103 อินเตอร์เนชั่นแนล (D103i) บริษัทออกแบบชั้นนำของประเทศไทย กล่าวถึงการต่อยอดแนวคิดการออกแบบ OCC ว่า ได้วางภาพของ OCC ให้เป็นระบบนิเวศแบบสมาร์ทลิฟวิ่ง ที่ผสานเทคโนโลยีอาคารอันล้ำสมัย เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการอาคาร ให้สามารถประหยัดพลังงานได้สูงสุด รวมทั้งส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายในด้านความยั่งยืนด้วย แนวคิด REIMAGINE YOUR WORLD ของ OCC ประกอบด้วย: Reimagined Daily Work Rhythm – พื้นที่สำนักงานที่ OCC ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อหล่อเลี้ยงพลังชีวิตของคนทำงาน สร้างความสุขให้กับช่วงเวลาทำงานโดยมีนวัตกรรมที่ทันสมัย Reimagined Daily Green Intake - ด้วยเป้าหมายที่จะนำต้นไม้และธรรมชาติกลับมาสู่วิถีคนเมืองในกรุงเทพฯ OCC เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตใจกลางเมืองที่เขียวชอุ่มที่สุดในย่านเพลินจิต ด้วยพื้นที่สีเขียวกว่า 5,000 ตร.ม. Reimagined Office Space Possibilities - ด้วยโครงสร้างอาคารที่ไม่มีเสาคั่นกลาง ผู้เช่าจึงสามารถออกแบบ เลย์เอาต์สำนักงานได้อย่างอิสระตามความต้องการ สร้างสรรค์พื้นที่สำนักงานที่ดีที่สุดได้อย่างใจ Reimagined Retail and Food Selection - OCC มาพร้อมกับพื้นที่รีเทล คาเฟ่ บาร์ และร้านอาหารที่คัดสรรมาอย่างมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร รวมถึงบาร์และภัตตาคารหรูบนชั้นดาดฟ้าที่จะกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์และเป็นหนึ่งในรูฟท็อปเดสทิเนชั่นที่ดีที่สุดในเอเชีย Reimagined Journey In and Out – สุดท้ายนี้ การเดินทางเข้าและออกจากอาคาร OCC ง่ายและสะดวกสบายติดสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเพลินจิต โดยใช้เวลาเดินเพียง 2 นาทีจากบีทีเอส และสามารถเดินเชื่อมต่อเข้าไปในอาคารผ่าน Sky Bridge ได้เลย หรือถ้าขับรถมาก็อยู่ห่างจากทางด่วนเพลินจิต เพียง 200 เมตร 10 เรื่อง OCC ตึกสูงสุดในไทย นอกจากนั้น 10 อินไซต์ต่อไปนี้จะช่วยขยายความแนวคิดของ OCC ให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นในการเปิดมิติใหม่สู่โลกของอาคารออฟฟิศและสุดยอดศูนย์กลางไลฟ์สไตล์แห่งอนาคต 1.แลนด์มาร์คใหม่เหนือเส้นขอบฟ้ากรุงเทพฯ OCC คืออาคารสำนักงานที่สูงที่สุดในไทยในปัจจุบัน ด้วยความสูง 275.76 เมตร และจะกลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่อันโดดเด่น รวมทั้งไฮไลต์คือรูฟท็อปเดสทิเนชั่นบนชั้นดาดฟ้า ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดแห่งหนึ่ง พร้อมทัศนียภาพที่สวยเหนือคำบรรยายของกรุงเทพฯ 2.สถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก ตัวอาคารแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักที่มีลักษณะตรงกันข้าม คือส่วนแกนกลางเป็นแท่งทึบรูปทรงที่เพรียวบางหันสู่ทิศตะวันตก และส่วนผนังกระจกใสตลอดความยาวตึกซึ่งเป็นพื้นที่ออฟฟิศหันสู่ทิศตะวันออก รวมทั้งพื้นที่สีเขียวตามจุดต่าง ๆ ทั้งพื้นที่โถงใหญ่กลางอาคาร (Atrium) ระเบียง และสวนหย่อมกระจายอยู่ทั่วอาคาร 3.ความยั่งยืน + สุขภาวะของผู้ใช้อาคาร เริ่มต้นที่จากถนนหน้าอาคาร พื้นที่สีเขียวอันกว้างขวางซึ่งส่งผลให้พื้นที่ส่วนกลางของโครงการมีบรรยากาศที่เย็นสบาย เป็นประโยชน์ทั้งสำหรับผู้ใช้อาคารและตัวเมืองกรุงเทพฯ เมื่อเข้ามาสู่ภายในอาคาร การออกแบบเพดานสูงเปิดรับทั้งแสงธรรมชาติให้ส่องเข้ามาได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งทิวทัศน์กรุงเทพฯ แบบพาโนรามาอันน่าหลงใหล เป็นการลดทั้งการใช้พลังงานและช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่สบายและผ่อนคลาย และงานระบบอาคารต่าง ๆ อันล้ำสมัย ทั้งเครื่องกล ไฟฟ้า และประปา (MEP) ช่วยให้อากาศภายในสะอาดบริสุทธิ์ 4.การออกแบบและก่อสร้างที่อาศัยเทคโนโลยีดาต้า การพัฒนาโครงการ OCC มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำสมัยที่สุด เช่น การสร้างแบบจำลองข้อมูลอาคาร (BIM) โดยใช้ข้อมูลอาคารเพื่อช่วยให้การออกแบบ การก่อสร้าง       และการดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลดีต่อโครงการทั้งด้านการประหยัดต้นทุน ความยั่งยืน รวมทั้งก่อสร้างได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย 5.โซลูชั่นออฟฟิศสุดเหนือระดับ พื้นที่ทำงานภายใน OCC ได้รับการออกแบบให้มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้ในอนาคตเพื่อรองรับความต้องการในการทำงานที่แตกต่างกันและเปลี่ยนแปลงไป โดยมีระเบียงบนชั้น 14 และ 61 เป็นพื้นที่พักผ่อนอีกหนึ่งจุด รวมทั้งพบปะสังสรรค์ในโอกาสต่างๆ ระบบกรองอากาศในอาคารใช้แผ่นกรองประสิทธิภาพสูง MERV14 ช่วยให้อากาศภายสะอาดและสดชื่นตลอดเวลา 6.ประสบการณ์อัจฉริยะเพื่อผู้เช่า OCC ติดตั้งเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับแก่ผู้เช่า เช่น แอปพลิเคชั่นมือถือสำหรับผู้เช่าอาคาร ระบบจดจำใบหน้า และระบบจดจำป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ มอบความสะดวกสบายด้วยระบบไร้สัมผัส ตั้งแต่การเข้า-ออกที่จอดรถ ลิฟต์ และอาคารสำนักงาน รวมทั้งการจองใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางและร้านอาหารผ่านโมบายแอป 7.รางวัลและการรับรองมาตรฐานระดับนานาชาติ OCC ได้รับรางวัลการพัฒนาอาคารสำนักงานแห่งปี (Office Development of the Year) จากเวที Real Estate Asia Awards 2021 และยังเป็นอาคารสำนักงานแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรอง Fitwel ในระดับ 2 ดาวจาก Center for Active Design (CfAD ) ในหมวด Multi-Tenant Building ในฐานะอาคารที่มีคุณภาพการบริหารจัดการอันโดดเด่นและสร้างสุขภาวะที่ดีเยี่ยมให้กับผู้ใช้อาคาร และอยู่ในระหว่างการยื่นขอการรับรองมาตรฐาน LEED Gold สำหรับการออกแบบ การก่อสร้าง และการดำเนินงานของอาคารที่มีความยั่งยืน 8.สุดยอดรูฟท็อปเดสทิเนชั่นใจกลางกรุง บนชั้น 58 และ 61 ของอาคารคือสเปซแห่งการดื่มด่ำกับมื้ออาหารสุดพิเศษ ด้วยบาร์และภัตตาคารสุดหรู ดีไซน์และตกแต่งทุกรายละเอียดอย่างเหนือระดับพร้อมทิวทัศน์กรุงเทพฯ แบบ            พาโนรามา 360 องศา รวมทั้งภาพโค้งน้ำเจ้าพระยาที่สะกดทุกสายตาอย่างไม่มีอะไรมาขวางกั้น ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้มีไลฟ์สไตล์แห่งการกินดื่มอันละเมียดทุกคน ทั้งชาวไทยและนานาชาติ 9.ผสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชน ที่ตั้งโครงการแต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่สีเขียวที่ประวัติความเป็นมายาวนาน ซึ่งได้รับการอนุรักษ์ให้คงเดิมมากที่สุด โดยออกแบบด้วยการเพิ่มพื้นที่เปิดโล่งหันหน้าสู่ถนนด้านหน้าได้เต็มที่ และยกพื้นที่กลางแจ้งทั้งหมดนี้ให้เป็นสวนสาธารณะที่ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ได้ 10.สุดยอดทำเลใจกลางเมือง บนพื้นที่ 6 ไร่ ตรงข้ามศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ใช้เวลาเดินเพียง 2 นาทีจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเพลินจิต และมีทางเชื่อมลอยฟ้าจากอาคารเข้าสู่สถานีโดยตรง รวมทั้งอยู่ห่างจากจุดขึ้น-ลงทางด่วนเพลินจิตเพียง 200 เมตร   ทั้งหมดนี้ คือ 10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML ที่เบียดอาคารแมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ แอท ไอคอนสยามตกไปเป็นที่ 2   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ไรมอนแลนด์ ปั้น แบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์ ขายวิลล่าหลังละ 1,000 ล้าน พร้อมสู่ธุรกิจ New Economy สร้างรายได้ประจำ