Tag : Home

816 ผลลัพธ์
NCH ลุยตลาดบ้านแนวราบ เปิด 5 โปรเจ็กต์สร้างยอด 2,700 ล้าน

NCH ลุยตลาดบ้านแนวราบ เปิด 5 โปรเจ็กต์สร้างยอด 2,700 ล้าน

เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง เปิดแผนธุรกิจปี 63 เดินหน้าพัฒนา 5 โปรเจ็กต์แนวราบมูลค่า 3,600 ล้าน  พร้อมใช้ 3 กลยุทธ์  ผลักดันเป้าหมายยอดขาย 2,700 ล้าน   นายสมนึก ตันฑทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2563 เตรียมพัฒนาโครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 5 โครงการ มูลค่า 3,600 ล้านบาท บนที่ดินซึ่งเป็นแลนด์แบงก์ของบริษัท ประมาณ 200 ไร่ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ​ ตอนเหนือ จังหวัดนครปฐม และพัทยา   โดยได้วางเป้าหมายในปีนี้ จะทำยอดขาย 2,700 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา และรับรู้รายได้ 1,600 ล้านบาท ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและการขายรวม 9 โครงการ มูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาท และมียอดขายรอรับรู้รายได้หรือแบ็กล็อก ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2562 มูลค่า 300 ล้านบาท 3 กลยุทธ์สร้างยอดขาย 2,700 ล้าน สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ ได้เตรียม 3 กลยุทธ์ สำคัญ ได้แก่ 1.กลยุทธ์โปรดักส์ มุ่งพัฒนาสินค้าที่ตรงความต้องการของผู้บริโภค ในระดับราคา 2-5 ล้านบาท เป็นสินค้าที่มีความคุ้มค่า และใช้ประโยชน์สูงสุด รองรับกับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการอยู่อาศัยได้ทุกช่วงวัย หรือ “alllgen” 2.กลยุทธ์ Customer Centric   ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก  เพิ่มการบริการที่ยกระดับการอยู่อาศัยในสังคมชุมชนสอดคล้องกับแนวคิด “รู้จักบ้าน รู้ใจคุณ” ซึ่งปีนี้จะร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ในการเพิ่มบริการที่หลากหลายมากขึ้น 3.กลยุทธ์ Home Innovation เอ็น.ซี.นำนวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อที่อยู่อาศัยมาพัฒนาโครงการ โดยผนึกพันธมิตร เพื่อการอยู่อาศัยที่ดีขึ้น มีความทันสมัย สะดวก สบาย  เอื้อต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีความสุข โดยในปีนี้ยังเตรียมเปิดให้บริการธุรกิจเฮลท์แคร์ ที่ร่วมกับพันธมิตร เพื่อให้บริการลูกบ้านของบริษัทด้วย ส่วนแนวทางการทำตลาดในช่วงไตรมาสแรกของปี บริษัทเตรียมแคมเปญ  NC 5G แรง ด้วยการมอบโปรโมชั่น (ตามเงื่อนไข) ได้แก่  G1 : GOLD  ซื้อบ้านได้ทอง  สูงสุด 20  บาท  G2 : GIFT  ซื้อบ้านรับของแถม Apple Series ครบคุ้ม อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า  G3 : GIFT VOUCHER  ตกแต่งบ้าน มูลค่าสูง ถึง 100,000 บาท G4 : GIVE AWAY  เอ็น.ซี ร่วมสมทบเงินมอบส่วนหนึ่ง เพื่อโครงการรักษ์โลก ทุกยอดโอน  ล้านละ 1,000 บาท ร่วมบริจาคสนับสนุน ด้านการคัดแยกขยะลดปัญหาสิ่งแวดล้อม G5 : GET MORE  รับส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธ์ทุกรายการ ซึ่งบริษัทคาดว่าจะทำยอดขายได้ประมาณ​ 400-500 ล้านบาท      
“แลนดี้ โฮม” ชู 4  กลยุทธ์บุกตลาดรับสร้างบ้าน สู่เป้าหมายยอดขาย 2,000 ล้าน

“แลนดี้ โฮม” ชู 4 กลยุทธ์บุกตลาดรับสร้างบ้าน สู่เป้าหมายยอดขาย 2,000 ล้าน

แลนดี้ โฮม บริษัทรับสร้างบ้านที่อยู่ในตลาดมากว่า 30 ปี ในปีนี้ได้เตรียมวางแผนเพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หลังจากปีที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายได้ 1,800 ล้านบาท เติบโตจากปี 2561 ที่ทำยอดขายได้ 1,550 ล้านบาท   ส่วนในปีนี้วางเป้าหมายการเติบโต 15% หรือมียอดขาย 2,000 ล้านบาท ถือเป็นการทำธุรกิจท่ามกลางการแข่งขัน และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รวมถึงสภาพตลาดรับสร้างบ้าน ซึ่งมีมูลค่า 12,000 ล้านบาท  ที่ปีนี้คาดว่าจะอยู่ในภาวะทรงตัวด้วยเช่นกัน โดยมีทีมผู้บริหารที่จะเข้ามาขับเคลื่อนองค์กร เป็น 3 พี่น้องตระกูล "มณีรัตนะพร" บุตรของนายพิเชษฐ์ มณีรัตนะพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด ได้แก่ นางสาวพรรัตน์ มณีรัตนะพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการฝ่ายขาย นางสาวภัทรา มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์​ และนายพานิช มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายก่อสร้างและบริหารสำนักงาน สำหรับแนวทางสร้างการเติบโตของ “แลนดี้ โฮม” ในปี 2563 เพื่อสร้างยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ มีกลยุทธ์ที่สำคัญ คือ 1.ขยายตลาดกลุ่มบ้านระดับราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาทและราคา 15-40 ล้านบาท ปัจจุบัน “แลนดี้ โฮม” มีการทำตลาดบ้าน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท สัดส่วน 40% ของยอดขาย กลุ่มราคา 5-15 ล้านบาท สัดส่วน 20% และกลุ่มระดับราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป สัดส่วน 40% ซึ่งปีนี้บริษัทจะเน้นการทำตลาดใน 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท เนื่องจากมีอัตราการเติบโตที่ดี มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 40% จากปี 2561 ที่มีสัดส่วน 30% และกลุ่มระดับราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มบ้านลักชัวรี่ ที่พบว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สามารถทำยอดขายในปีที่ผ่านมา 200 ล้านบาท ในปีนี้วางเป้าหมายเพิ่มยอดขายเป็น 400 ล้านบาท 2.เพิ่มบ้านไซส์เล็ก พร้อมปรับราคากลุ่ม Trendy Home  โดยในปีนี้ได้เพิ่มแบบบ้านในกลุ่ม Trendy Home ระดับราคา 2 ล้านบาทต้นๆ พื้นที่ 100 ตารางเมตรมากขึ้น จากเดิมเป็นบ้านระดับราคา 2 ล้านปลายๆ ในขนาดพื้นที่ 150 ตารางเมตร เพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด 3.เสริมเทคโนโลยีช่วยงานขาย-การก่อนสร้าง ที่ผ่านมาบริษัทใช้แอปพลิเคชั่น เข้ามาช่วยในด้านการขายสินค้า ทำให้ลูกค้าเห็นแบบบ้านที่มีกว่า 300 แบบ ในปีนี้ได้เตรียมเพิ่มระบบ VR (Virtual Reality) เพื่อใช้ในสาขาทั้ง 8 แห่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ให้ลูกค้าได้เห็นภาพจำลองของบ้านเสมือนจริง และยังสามารถปรับแต่งบ้านในแบบที่ตนเองต้องการได้ด้วย ขณะที่งานด้านการก่อสร้าง ได้พัฒนาระบบ Workflow โปรแกรมการติดตามงานแบบอัจฉริยะ เพื่อใช้สำหรับให้ลูกค้าติดตามงานก่อสร้าง และบริษัทสามารถบริหารจัดการด้านงานก่อสร้างได้ตลอดเวลา และทุกไซส์งานก่อสร้าง ซึ่งจะทำให้ลดปัญหาด้านความล่าช้า และสามารถแก้ไขปัญหาความผิดพลาดได้เร็วขึ้น 4.สร้างแบรนด์และเพิ่มการทำตลาดมากขึ้น ในปีนี้บริษัทเพิ่มงบการตลาดเป็น 50 ล้านบาท ซึ่งจะทำการตลาดและการสื่อสารการตลาดครบวงจร ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งสื่อออนไลน์  และสื่อออฟไลน์ เป็นการสร้างการรับรู้ในแบรนด์แลนดี้โฮม เพื่อให้ผู้บริโภครู้จักในฐานะบริษัทรับสร้างบ้านที่ทันสมัย จากก่อนหน้านี้บริษัทพบว่า แบรนด์แลนดี้โฮม ผู้บริโภครู้จักว่าเป็นบริษัทรับสร้างบ้านมากถึง 80%  ในปีนี้จึงวางแผนสร้างแบรนด์ เพื่อเป้าหมาย Top of mind เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มทีมงาน งานมากขึ้น เพื่อรองรับกับการบริการลูกค้า นางสาวพรรัตน์ มณีรัตนะพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าเดินหน้ารุกตลาดรับสร้างบ้านให้ครบทุกเซ็กเมนต์ ผ่านการทำ Digital Transformation คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 10% จากปีที่ผ่านมา
1 ใน ลูกค้าบ้านเอสซีจี ไฮม์กว่าพันครอบครัว กับความประทับใจใน 4 ฟังก์ชั่นตอบโจทย์การอยู่อาศัย

1 ใน ลูกค้าบ้านเอสซีจี ไฮม์กว่าพันครอบครัว กับความประทับใจใน 4 ฟังก์ชั่นตอบโจทย์การอยู่อาศัย

เหตุผลสำคัญของคนที่เลือกจะปลูกบ้านเอง ไม่ซื้อบ้านในโครงการจัดสรรทั่วไป คือ ความต้องการบ้านในรูปแบบเฉพาะที่ตนเองใฝ่ฝัน แต่ปัญหาใหญ่ที่มักจะพบ คือ ปัญหาผู้รับเหมา ซึ่งนอกจากจะหาได้ยากแล้ว ยังมีปัญหาใหญ่อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณภาพงาน ประสบการณ์การทำงาน การทำตามเงื่อนไขสัญญา และอีกสารพัดที่เกิดขึ้นตามมา เจ้าของบ้านหลายรายจึงมักเลือกการสร้างบ้าน จากบริษัทชั้นนำที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ เพื่อความมั่นใจและคุณภาพของงานก่อสร้างที่ดีกว่า   ถ้าพูดถึงบริษัท “เอสซีจี” ไม่มีใครไม่มั่นใจในคุณภาพของสินค้าและบริการ ในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เพราะ “เอสซีจี” อยู่คู่คนไทยมานับ 100 ปีแล้ว และ “เอสซีจี” ก็เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการรับสร้างบ้าน โดยเป็นรูปแบบการสร้างบ้านระบบโมดูล่าร์ ที่มีพันธมิตรร่วมธุรกิจอย่าง “เซกิซุย เคมิคอล” ผู้ชำนาญด้านเทคโนโลยีการสร้างบ้านจากประเทศญี่ปุ่น จัดตั้งบริษัท เอสซีจี-เซกิซุยเซลส์ จำกัด ให้บริการสร้างบ้าน SCG HEIM (เอสซีจี ไฮม์) บ้านเอสซีจี ไฮม์ คือ การสร้างบ้านด้วยระบบการผลิตชิ้นส่วนจากโรงงานผลิต โดยใช้หุ่นยนต์ควบคุม ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนต่างๆ ของบ้าน ทั้งประตู หน้าต่าง ผนัง และโครงสร้าง มีการตรวจสอบคุณภาพทุกชิ้น แล้วนำมาประกอบติดตั้งบนพื้นที่จริงของลูกค้า ด้วยระบบโมดูล่าร์ทุกชิ้นส่วนของบ้านจึงมีคุณภาพสูง มีระบบโครงสร้างที่แข็งแรง ทนทาน อายุการใช้งานยาวนาน สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้เป็นอย่างดี ตามมาตรฐานการผลิตของประเทศญี่ปุ่น   ไม่เพียงแต่ระบบโครงสร้างที่แข็งแรง แต่ภายในบ้านยังมีเทคโนโลยีจากเอสซีจี ไม่ว่าจะเป็นระบบระบายอากาศที่ดี เย็นสบาย ปราศจากฝุ่นและเชื้อโรค เพราะใช้ระบบการ Air Factory  นอกจากนี้ การดูแลบ้านยังทำได้ง่าย แม้ว่าความเป็นจริงแล้วบ้านเอสซีจี ไฮม์ จะมีความมั่นคงแข็งแรง ซึ่งแทบจะไม่ต้องดูแลรักษาอะไรมาก และเจ้าของบ้านสามารถทำได้เอง และบ้านเอสซีจี ไฮม์ ยังมีบริการตรวจเช็คสภาพบ้านฟรี ตามเงื่อนไขที่กำหนด ตลอดระยะเวลา 20 ปีอีกด้วย “บ้านเอสซีจี ไฮม์” โดดเด่นด้วย 4 ฟังก์ชั่น หากจะบอกถึงจุดโดดเด่นของบ้านเอสซีจี ไฮม์ ซึ่งได้รับการยอมรับจากกลุ่มลูกค้ามาอย่างยาวนาน คงมีบทสรุปกับ 4 ฟังก์ชั่น ที่ตรงใจลูกค้า ดังนี้  1.การก่อสร้างรวดเร็ว ระยะเวลาการก่อสร้างบ้านเอสซีจี ไฮม์ ถือว่าใช้ระยะเวลาที่รวดเร็วและมีกำหนดชัดเจน เพราะโครงสร้างและชิ้นส่วนต่างๆ ของบ้านกว่า 80% ถูกสร้างสำเร็จมาจากโรงงาน แล้วนำมาประกอบด้วยระบบโมดูล่าร์ ที่หน้างาน บนที่ดินของลูกค้า หมดปัญหาเรื่องการก่อสร้างล่าช้า บานปลาย และงานไม่เสร็จตามกำหนดเวลา  2.สร้างอากาศบริสุทธิ์ด้วย ระบบ Air Factory การใช้ระบบ Air Factory ที่เป็นระบบควบคุมอากาศภายในบ้านเอสซีจี ไฮม์ นับเป็นจุดเด่นและที่ชื่นชอบของลูกค้า เพราะบ้านทั้งหลังเป็นแบบระบบปิด สามารถป้องกันลมร้อนจากภายนอกเข้าบ้าน ทั้งประตูและหน้าต่าง ถูกซีลสนิทด้วยระบบ Air Tightness System แถมด้วยการกรองอากาศด้วยเครื่องกรองของระบบ Air Factory ทำให้อากาศทั้งสะอาด และเย็นสบายเพราะปรับอุณหภูมิภายในบ้านให้เหมาะสม ประมาณ 25-29 องศาเซลเซียส  3.อายุบ้านยาวนาน เพราะโครงสร้างที่แข็งแรง ด้วยเทคโนโลยีการผลิตโครงสร้างและชิ้นส่วน จากโรงงาน ด้วยการใช้หุ่นยนต์ควบคุมการผลิต และมีการตรวจสอบคุณภาพทุกขั้นตอนและชิ้นส่วน ประกอบกับการใช้ระบบโมดูล่าร์ทำการติดตั้งหน้างาน ภายใต้มาตรฐานของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ต้องเผชิญกับปัญหาแผ่นดินไหวอยู่เสมอ บ้านเอสซีจี ไฮม์ จึงมั่นคงแข็งแรง และอายุการใช้งานยาวนาน ไม่จำเป็นต้องซ่อมบำรุง หมดปัญหาการแตกร้าว หรือปัญหาโครงสร้างต่างๆ 4. “อุ่นใจ ด้วยบริหารหลังการขายนาน 20 ปี แม้ว่าบ้านเอสซีจี ไฮม์ จะมีมาตรฐานการผลิต ที่ทำให้เจ้าของบ้านมั่นใจได้ถึงคุณภาพการใช้งาน แต่เพื่อสร้างความมั่นใจ เพื่อทำให้ลูกบ้าน “อุ่นใจ” เมื่อใช้บริการจากบ้านเอสซีจี ไฮม์ จึงได้มีบริการตรวจเช็คสภาพบ้านฟรี ตามเงื่อนไขที่กำหนด ตลอดระยะเวลา 20 ปี แถมด้วยการรับประกันโครงสร้างและฐานรากยาวนานถึง 20 ปีเลยทีเดียว  3 ฟังก์ชั่นสุดประทับใจ จากผู้อยู่อาศัยจริง ถ้าจะวัดความสำเร็จของบ้านเอสซีจี ไฮม์ ว่ากลุ่มลูกค้าให้การตอบรับมากน้อยแค่ไหน สิ่งที่วัดได้อย่างชัดเจน คงเป็นการใช้บริการบ้านเอสซีจี ไฮม์ กว่าพันหลัง ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี  ซึ่งลูกค้าทุกรายต่างพึงพอใจและชื่นชอบบ้านเอสซีจี ไฮม์ จากคุณสมบัติและฟังก์ชั่นการใช้งาน ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเขาได้อย่างตรงใจ และนี่คือหนึ่งเสียงสำคัญของลูกค้า ซึ่งมาตอกย้ำให้เห็นถึง ความพึงพอใจต่อการอยู่อาศัยในบ้านเอสซีจี ไฮม์ คุณประพจน์และคุณจันทร์พิมพ์ คล้ายสุบรรณ ลูกค้า SCG HEIM  ซึ่งได้ใช้บริการสร้างบ้านเอสซีจี ไฮม์ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2554 ปัจจุบันถือว่าอยู่อาศัยมาครบ 10 ปี จากจุดเริ่มต้นที่รู้จักบ้านเอสซีจี ไฮม์ เพราะเพื่อนในวงการก่อสร้างเป็นผู้แนะนำให้ไปชมบ้านตัวอย่าง ที่บางซื่อ  ซึ่งเมื่อเห็นบ้านครั้งแรกก็ประทับใจ เพราะเคยมีประสบการณ์การพักอาศัยบ้านในประเทศญี่ปุ่นอยู่หลายเดือน จากการเดินทางไปอบรมที่ประเทศญี่ปุ่น “เคยพักบ้านที่ญี่ปุ่น พบว่าแข็งแรงมีคุณภาพ ถูกใจ เลยชวนภรรยาไปชม ทันทีที่เห็นก็ชอบทันที เพราะมีความเงียบ เก็บเสียงดีมาก และมีความเย็น ดูผนังภายนอกด้วย มันเป็นโครงสร้างถาวร ไม่ต้องมีการทาสีตลอด และกระจกค่อนข้างจะหนา เดินชมจนรอบบ้านเลย คิดว่าบ้านหลังนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องการดูแลรักษาในระยะยาว ก็เลยตัดสินใจทันที”คุณประพจน์ เล่าประสบการณ์ที่ตัดสินใจใช้บริการบ้านเอสซีจี ไฮม์ สำหรับความชื่นชอบและประทับใจจากการอยู่อาศัยภายในบ้านเอสซีจี ไฮม์ ของครอบครัว “คล้ายสุบรรณ”  คงมี 3 ฟังก์ชันสำคัญ ได้แก่ 1.โครงสร้างบ้านที่แข็งแรง พิสูจน์ได้จากระยะเวลาการอยู่อาศัยนานนับ 10 ปี ซึ่งที่ผ่านมาไม่พบปัญหาการแตกร้าวของคอนกรีต ระบบผนังบ้านภายนอกที่มีความแข็งแรง และสวยงามทำให้ไม่ต้องทาสี หมดปัญหาการซีดจาง ต้องซ่อมบำรุงหรือต้องทาสีซ้ำเหมือนกับ  ทำให้ตลอดระยะเวลาการอยู่อาศัยกว่า 10 ปี เจ้าของบ้านไม่ต้องเสียเงินค่าซ่อมบำรุง เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่จ่ายไปในครั้งแรก 2.ระบบการสร้างบ้านที่ทำให้บ้านเงียบ ด้วยการก่อสร้างประตู และหน้าต่าง ซึ่งใช้ระบบโมดูล่าร์ ที่ให้ทั้งความเงียบและความแข็งแรง ทำให้สามารถกันเสียงจากภายนอกเข้าสู่ตัวบ้าน และยังมีความคงทนแข็งแรง สามารถกันการทุบ กันเสียง และความร้อน จากการใช้กระจกหนาถึง 3 ชั้น “ตอนแรกคิดว่า หน้าต่างจะแข็งแรงพอไหม พออยู่มา 10 ปีก็เห็นแล้วว่ามีความแข็งแรงจริง อย่างกระจกมีความหนา นอกจากกันขโมย กันการทุบ ยังสามารถกันเสียง กันความร้อน ครบในหนึ่งเดียว ตอนแรกคิดว่าจะเสริมด้วยการติดเหล็กดัด แต่พออยู่จริงแล้ว คิดว่าไม่มีความจำเป็น” คุณจันทร์พิมพ์ เล่าถึงประสบการณ์การอยู่อาศัยบ้านเอสซีจี ไฮม์ 3.ระบบอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้าน จาการใช้ระบบ Air Factory ด้วยระบบ Air Factory มีชั้นฟิวเตอร์กรองอากาศ ทำให้อากาศภายในบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถกรองอากาศได้ถึงระดับ PM 2.5   คุณจันทร์พิมพ์ เล่าว่า  ด้วยความที่ตนเองเป็นหมอ ทำให้คำนึงถึงเรื่องความสะอาดของบ้าน นอกจากระบบ Air Factory จะกรองฝุ่นหยาบ กรองกลิ่นได้ ยังสามารถกรองฝุ่นในระดับ PM 2.5 ทำให้ในช่วงที่มีปัญหาวิกฤตฝุ่น PM 2.5 จึงมั่นใจว่าจะไม่เจอวิกฤตแน่นอนเมื่ออยู่ภายในบ้าน เพราะมีระบบการกรองอากาศก่อนจะเข้าสู่ตัวบ้าน   อีกเสียงหนึ่งที่สะท้อนออกมาอย่างชัดเจน คือ ลูกสาวที่เป็นโรคภูมิแพ้ ในอดีตที่พักอาศัยอยู่บ้านหลักเดิม ทุกเช้าจะตื่นมาพร้อมกับอาการของโรคภูมิแพ้ มีอาการจามบ่อยมาก แต่เมื่ออยู่ในบ้านเอสซีจี ไฮม์ อาการเหล่านั้นลดน้อยลงไปมาก   ระบบ Air Factory ไม่เพียงแต่ช่วยทำให้อากาศบริสุทธิ์แล้ว ประโยชน์สำคัญยังช่วยในเรื่องอุณหภูมิภายในบ้าน ที่เย็นสบายไม่ร้อน แม้ว่าบ้านหลังนี้จะมีแอร์ถึง 4 เครื่อง แต่เปิดเพียงเครื่องเดียว ก็ทำให้บ้านในทุกตารางเมตรเย็นสบาย ซึ่งส่งผลดีในเรื่องของการประหยัดพลังงานไฟฟ้าอีกด้วย คุณประพจน์ เล่าประสบการณ์ในเรื่องประหยัดค่าไฟว่า บ้านเอสซีจี ไฮม์ เมื่อเทียบกับบ้านประเภทอื่นในขนาดใกล้เคียงกัน จากการสอบถามเพื่อนๆ พบว่าค่าไฟของบ้านเอสซีจี ไฮม์ถูกกว่า โดยหากบ้านหลังอื่นเสียค่าไฟเดือนละ 4,000 บาท บ้านเอสซีจี ไฮม์หลังนี้เสียค่าไฟสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทเท่านั้น “ช่วงก่อนเข้าอยู่บ้านเอสซีจี ไฮม์ ก็กังวลใจเหมือนกัน ว่าเรื่องการเซอร์วิสเป็นเทคนิคเฉพาะ พออยู่ไปนานๆ เรื่องที่เราเซอร์วิสเองได้ อย่างเรื่องแอร์ เราก็ไปถอดมาแล้วเป่า และเปลี่ยนไส้กรองทุก 5 ปีตามอายุการใช้งาน ส่วนผนังและสีเราไม่ต้องไปแตะต้องเลย  ก็ไม่มีอะไรดูแลเป็นพิเศษ” คุณประพจน์ เล่าถึงความประทับใจนอกจากนี้ ยังเล่าต่ออีกว่า ถ้าจะแนะนำคนปลูกบ้านหลังใหม่ ประเด็นที่หนึ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ ผู้รับเหมาก่อสร้างมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน จากประสบการณ์ที่พบ เพื่อนที่ปลูกบ้านหลังแรก 80% จะพบปัญหาผู้รับเหมาตลอด ไม่ว่าเรื่องทิ้งงาน คุณภาพไม่ได้ตามที่ตกลงกัน ฟ้องร้องกันเยอะแยะเลย ถึงขนาดลงทุนไป 7-8 ล้านบาท ยังไม่สามารถเข้าไปอยู่บ้านได้เลยก็มี “บ้านเอสซีจี ไฮม์ สามารถสร้างเสร็จได้ภายใน 60 วัน เราเห็นบ้านขึ้นมาเป็นหลังแล้ว บ้านของเพื่อน 6 ปีแล้ว เดียวทุบเดี๋ยวรื้อ ปัญหามีไม่จบ งบบานปลาย ถ้าหากอยากได้รับความเชื่อมั่น ใช้บริการบริษัทใหญ่ๆ ดีกว่าค่ะ” คุณจันทร์พิมพ์ ยืนยันในตอนท้าย https://www.youtube.com/watch?v=PAvoFCvVhJQ&feature=youtu.be เกี่ยวกับ "เอสซีจี ไฮม์" เพิ่มเติม เอสซีจี ไฮม์ บทความอื่นๆ เกี่ยวกับ SCG 10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน เอสซีจี แนะนำ 4 เรื่อง ระบบท่อที่เจ้าของบ้านควรรู้ก่อนลงมือสร้างบ้าน COTTO LIFE โลกของกระเบื้องที่ไม่ใช่แค่เรื่องพื้นๆ
ตลาดอสังหาฯ จะไปต่ออย่างไร หลังปลดล็อค LTV หนุนตลาดโตเพิ่มแค่ 0.8%

ตลาดอสังหาฯ จะไปต่ออย่างไร หลังปลดล็อค LTV หนุนตลาดโตเพิ่มแค่ 0.8%

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงการณ์ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับ ดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ที่แม้จะครอบคลุมถึง การกู้ซื้อ ที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคา แต่ ธปท. ได้มุ่งผ่อนปรนให้กับการกู้ซื้อที่เป็นสัญญาที่ 1 และ 2 เป็นหลัก   สำหรับการกู้ที่อยู่อาศัยมูลค่าไม่ เกิน 10 ล้านบาท ผู้กู้ซื้อบ้านในสัญญาที่ 1 สามารถกู้เงินเพิ่ม 10% เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายที่จาเป็นต่อการอยู่ อาศัย เช่น ค่าตกแต่งที่อยู่อาศัยได้ ขณะที่ผู้กู้ในสัญญาที่ 2 ที่ผ่อนหลังแรกเกิน 2 ปี (จากเดิมกาหนด ไว้ที่ 3 ปี) สามารถใช้เงินดาวน์เพียง 10% ส่วนการกู้ที่อยู่อาศัยมูลค่าตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปในสัญญาที่ 1 ธปท. ผ่อนปรนใช้สัดส่วนเงินดาวน์ลดลงจาก 20% เหลือ 10% ทั้งนี้ การปรับปรุงหลักเกณฑ์ LTV ดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2663 เป็นต้นไป ธปท.ผ่อนปรน LTV เพราะตลาดอสังหาฯ หดตัว 4.5% Krungthai COMPASS มองว่าการหดตัวของตลาดที่อยู่อาศัย และผลประกอบการ ของผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่แย่ลง คือแรงกดดันสำคัญให้ ธปท. ต้องผ่อนปรนเกณฑ์ LTV หลังจากที่ ธปท. ได้บังคับใช้เกณฑ์ LTV ใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2562 ที่ระบุให้ผู้กู้ ตั้งแต่สัญญาที่ 2 ขึ้นไปต้องเตรียมเงินดาวน์มากขึ้น ได้ส่งผลกระทบให้ตลาดที่อยู่ อาศัยปรับตัวลงอย่างเห็นได้ชัด   โดยมูลค่าตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล หลังจาก LTV มีผลบังคับใช้ (เมษายน - ตุลาคม 2562) หดตัว 4.5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 แบ่งเป็นบ้านจัดสรรที่ยังเติบโตได้ 2% ขณะที่ คอนโดมิเนียมติดลบมากถึง 12% ทั้งนี้ หากพิจารณาข้อมูลบัญชีสินเช่ือที่อยู่อาศัย ปล่อยใหม่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี2562 จาก ธปท. จะพบว่าการหดตัวของตลาด คอนโดมิเนียมเป็นผลมาจากการกู้ยืมในสัญญาที่ 2 และ 3 ที่ติดลบสูงถึง 26% และ 41% ตามลาดับ ดีเวลลอปเปอร์กำไรวูบ 36% สภาพตลาดที่หดตัวลงก็เป็นภาพใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นถึงผลประกอบการของ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัวลงเช่นกันโดยหากนับผลประกอบการในช่วงไตรมาส ที่ 2-3 ของผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ พบว่าผู้ประกอบการมี รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์และกำไรสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของปี 2562 เท่ากับ 65,017 ล้านบาท และ 10,560 ล้านบาท หดตัว 24% และ 36% จากปีก่อน โดยเป็นการหดตัวที่ครอบคลุมทั้ง 8 ราย ด้วยผลประกอบการที่ออกมา จึงไม่น่าแปลกที่ตัวแทนของสมาคมผู้ประกอบการอสังหาฯ ในกลุ่มต่างๆ ได้เข้าไปหารือกับ กระทรวงการคลัง และส่งสัญญาณให้ธปท. ผ่อนปรนเกณฑ์ LTV อยู่บ่อยครั้ง 3 ผลกระทบจากมาตรการ LTV  Krungthai COMPASS ประเมินเป็นการเบื้องต้น (Initial Assessment) ว่าการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ของธปท. มีโอกาสที่จะส่งผลให้เกิดผลกระทบใน 3 ประเด็น ด้วยกัน คือ ประเด็นที่ 1 Sentiment ของตลาดที่อยู่อาศัยจะปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะหากนับตั้งแต่ปลายปี 2562 ถึง ต้นปี 2563 ตลาดที่อยู่อาศัยของไทยล้วน เผชิญหน้ากับปัจจัยบวกใหญ่ๆ ถึง 3 ข่าว ตั้งแต่ 1.การออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ของรัฐบาล เช่น มาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนอง และ มาตรการบ้านดีมีดาวน์ ในช่วงเดือน พฤศจิกายน -ธันวาคม 2562 ต่อด้วย 2.ปลายเดือน ธันวาคม​ 2562 รัฐบาลให้ความชัดเจนเกี่ยวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยระบุให้ที่อยู่อาศัย นั้นเสียภาษีในอัตรา 0.02% 3.การผ่อนเกณฑ์ LTV ของธปท. ในกลางเดือน มกราคม 2563 แสดงให้เห็นว่าภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับรู้ถึงปัญหาที่เกิด ขึ้นกับตลาดที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมา ประเด็นที่ 2 การผ่อนเกณฑ์ให้ผู้กู้สินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยมูลค่าต่ำกว่า 10 ล้านบาท เป็นสัญญาที่ 2 ที่ผ่อนชำระสัญญา 1 มาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ปี สามารถใช้เงิน ดาวน์ 10% ได้ อาจทำให้ความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในปี 2563 กลับมาราว 4,500 ล้านบาท จากตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2562 ที่มีโอกาสติดลบ -11% (คิดเป็น มูลค่า 31,480 ล้านบาท) แบ่งเป็นการหดตัวของผู้กู้ในสัญญา 1 ที่ -1% (1,805 ล้าน บาท) สัญญา 2 ที่ -26% (13,466 ล้านบาท) และสัญญา 3 ขึ้นไปที่ -41% (15,700 ล้านบาท) Krungthai COMPASS ประเมินว่าเหตุผลที่ทำให้การกู้ในสัญญาที่ 2 ติด ลบมาจากข้อกำหนดของเกณฑ์LTVเดิมที่ระบุให้ผู้กู้ต้องผ่อนชำระสัญญาที่1มาก่อน เป็นระยะเวลา 3 ปี ถึงจะสามารถใช้เงินดาวน์ 10% ในการกู้ซื้อสัญญาที่ 2 ได้ เกณฑ์ ดังกล่าวส่งผลผู้กู้สัญญาที่ 1 ในช่วงปี 2559-2561 มีความต้องการกู้สัญญาที่ 2 ในปี 2562 ลดลง จากข้อสรุปดังกล่าว Krungthai COMPASS ประเมินว่าการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV จาก 3 ปี ลงมาเหลือ 2 ปี นั้นอาจช่วยให้ความต้องการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยในสัญญา ที่ 2 กลับมาได้ประมาณ 1 ใน 3 จากขนาดของการหดตัวทั้งหมดในปี 2562 คิดเป็น มูลค่าเกือบ 4,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถเป็น Upside ให้กับตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2563 ได้ราว 0.8% ประเด็นที่ 3 เงื่อนไขที่ผ่อนปรนขึ้น อาจทำให้การลงทุนระยะยาวในคอนโดมิเนียมมีความน่าสนใจมากขึ้นและอาจช่วยทดแทน Demand จากต่างประเทศ ที่ลดลงจากการแข็งค่าของเงินบาท ในปี 2562 ที่ผ่านมา Krungthai COMPASS พบว่าสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของผู้ซื้อชาวจีนซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่ง ชาวต่างชาติทั้งหมดที่ซื้อคอนโดมิเนียมในไทยหดตัวลงอย่างเห็นได้ชัดจาก11%ของ มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของไทยใน มกราคม 2562 เหลือ 8% ในธันวาคม 2562 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการแข็งค่าเงินบาทเมื่อเปรียบเทียบกับเงินหยวนในช่วงเวลา เดียวกัน    ได้ส่งผลต่อเนื่องให้ราคาที่อยู่อาศัยในไทยปรับตัวสูงขึ้นจากวันทำ สัญญาจองโดยเฉลี่ยถึง 9% บทสรุปผลกระทบมาตรการ LTV อย่างไรก็ดี Krungthai COMPASS มองว่าการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ในครั้งนี้ อาจช่วยให้กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการลงทุนคอนโดมิเนียมระยะยาวกลับมาให้ความสนใจ มากขึ้นเนื่องจากการลงทุนคอนโดมิเนียมในไทยที่ให้ผลตอบแทนราว 2.7-6.6%  ก็ ยังเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของการลงทุนในยุคดอกเบี้ยต่ำของคนไทย ประเด็นนี้อาจ ช่วยทดแทน demand จากต่างประเทศโดย จีนที่ลดลง Krungthai COMPASS มองว่าตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2563 จะได้รับประโยชน์จากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะ มาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนอง ซึ่งทำให้มีโอกาสที่ตลาดจะกลับมาฟื้นตัวได้ 5.5% จากปีก่อนหน้า โดยมีการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ของธปท. เป็น Upside สำคัญที่อาจทำให้อัตราการเติบโตของตลาดเร่งขึ้นไปได้อีก 0.8%        
สิงห์ เอสเตท ลงทุนกว่า 73,000 ล้าน เดินหน้า 4 ธุรกิจหลัก สร้างรายได้ 30,000 ล้านในปี 2567

สิงห์ เอสเตท ลงทุนกว่า 73,000 ล้าน เดินหน้า 4 ธุรกิจหลัก สร้างรายได้ 30,000 ล้านในปี 2567

"สิงห์ เอสเตท" ดำเนินธุรกิจมาถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 5 ปีแล้ว นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อมาจาก บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ในช่วงปี 2557     โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานในธุรกิจที่อยู่อาศัย อาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยพลาดจากเป้าหมายไปประมาณ 30% คาดว่าจะทำรายได้ประมาณ 7,500 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมในปี 2562 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมน่าจะทำได้ 16,000 ล้านบาท   สิงห์เอสเตท ตั้งเป้าทำรายได้ 20,000 ล้าน อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 สิงห์ เอสเตท คาดว่าจะกลับสร้างการเติบโต พร้อมกับเป้าหมายการทำรายได้ 20,000 ล้านบาท ซึ่งมีแผนการดำเนินธุรกิจในกลุ่ม คือ   1.แผนการเปิดโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการคอนโดมิเนียมจะมีแบรนด์ใหม่ 2 โครงการ และโครงการแนวราบจะมีแบรนด์ใหม่ 3 โครงการ และมีเป้าหมายยอดขาย 8,000 ล้านบาท พร้อมกับรับรู้รายได้จากการโอนโครงการเอส 36 จากแบ็กล็อกที่มีมูลค่า 6,000 ล้านบาท   2.ธุรกิจคอมเมอร์เชียล หรืออาคารสำนักงาน จะเน้นการพัฒนาโครงการในทำเลที่เหมาะสม โดยไม่เน้นทำเลใจกลางเมืองเป็นหลัก ส่วนธุรกิจโรงแรมยังคงขยายอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนใช้เงินลงทุนปีนี้ 5,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาและซื้อกิจการในส่วนอาคารสำนักงานและโรงแรม   3.การรับรู้รายได้จากโครงการในมัลดีฟส์มูลค่า 2,000 ล้านบาท เนื่องจากโรงแรมในโครงการคอรสโร้ดส์ เฟสแรก ได้เปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ   4.การขยายธุรกิจใหม่ ที่สร้างความยั่งยืนและช่วยเหลือสังคม ได้แก่ ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Business)   นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้จะเป็นปีที่สำคัญในการบรรลุเป้าหมายรายได้ 20,000 ล้านบาท หลังจากทำตามเป้าหมาย การพัฒนาบริษัทเป็นโกลบอลคอมปานี ได้สำเร็จมา 3 ปีแล้ว ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้นมากมีมูลค่าสินทรัพย์ถึง 67,000 ล้านบาท และตามแผนในระยะ 5 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2567 สินทรัพย์น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ล้านบาท   ส่วนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ มีปัจจัยที่ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่จะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ มี 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.ปัญหาไข้หวัดโคโรน่า ซึ่งผลกระทบจะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการแพร่ระบาด แต่คาดว่าจะมีระยะเวลาการแพร่ระบาดไม่นาน และ 2.ปัญหาการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี จะดำเนินการได้ตามแผนหรือไม่ ส่วนปัจจัยบวกสถานการณ์ปัจจุบันอยู่ในภาวะ ค่าเงินบาทหากอ่อนค่ากกว่านี้ ในระดับ 35 บาทต่อดอลล่าห์  จะส่งผลบวกต่อตลาดนักท่องเที่ยว ซึ่งจะเข้ามาเพิ่มมากขึ้น แผน 5 ปี “สิงห์เอสเตท” ลงทุนกว่า 73,000 ล้าน 5 ปีข้างหน้า จะมุ่งขยายใน 3 แกนหลัก ได้แก่ ธุรกิจที่อยู่อาศัย ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจคอมเมอร์เชียล ด้วยงบลงทุนรวม 68,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันจะขยายธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจอสังหาฯ ด้วย โดยเป็นธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณการลงทุนประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท รวมงบประมาณการลงทุนทั้ง 4 กลุ่มประมาณ 73,000-74,000 ล้านบาท แบ่งเป็น   1.ธุรกิจที่อยู่อาศัย เตรียมลงทุน 37,500 ล้าบาท เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 30 โครงการ   2.ธุรกิจคอมเมอร์เชียล ซึ่งเป็นพื้นที่สำนักงานให้เช่า เตรียมลงทุน 8,500 ล้านบาท เพื่อพัฒนา 4 โครงการ ซึ่งอาจจะซื้อหรือพัฒนาขึ้นใหม่ แต่บริษัทต้องการซื้อโครงการมาพัฒนาต่ำ เนื่องจากได้รับกระแสเงินสดเข้ามาทันที แต่หากพัฒนาขึ้นใหม่ จะมีผลดีในด้านผลตอบแทนที่สูง จากปัจจุบันมีอาคารสำนักงานให้เช่า 3 อาคาร รวม 140,000 ตารางเมตร คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 ตารางเมตรในอีก 5 ปีข้างหน้า   3.ธุรกิจโรงแรม เตรียมงบประมาณการลงทุน 22,000 ล้านบาท  เพื่อพัฒนาและซื้อโรงแรมมาพัฒนาต่อ 41 แห่ง ในพื้นที่ด้านการท่องเที่ยว  ตามเป้าหมายจะมีโรงแรมรวม 80 แห่ง มีจำนวนห้อง 8,000 ห้อง ภายในปี 2568 จากปัจจุบันมีโรงแรม 39 แห่ง จำนวน 4,647 ห้อง   4.ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เตรียมงบประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท โดยจะร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงาน โดยร่วมกันพัฒนาธุรกิจและสร้างการเติบโต เช่น ธุรกิจพลังงานจากการกำจัดขยะ  ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนา “สิงห์ เอสเตท” วางเป้าหมายรายได้ 30,000 ล้าน ตามแผนในระยะ 5 ปี บริษัทวางเป้าหมายรายได้ 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจที่อยู่อาศัย 15,000 ล้านบาท ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดฯ  ส่วนธุรกิจคอมเมอร์เชียลและโรงแรม วางเป้าหมายรายได้ 15,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจพลังงานหมุนเวียน อาจจะมีรายได้ไม่มากนัก เพราะบริษัทมุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ และช่วยเหลือสังคม โดยจะร่วมกับพันธมิตรในการพัฒนา และสร้างการเติบโต
5 แนวคิดเสนาฯ​ กลยุทธ์ฝ่าวิกฤตอสังหาฯ  สู้เป้าหมายยอดขาย 11,500 ล้าน

5 แนวคิดเสนาฯ​ กลยุทธ์ฝ่าวิกฤตอสังหาฯ สู้เป้าหมายยอดขาย 11,500 ล้าน

“SENA” วางแผนธุรกิจปี 2020  ด้วยกลยุทธ์ “HOW TO THINK” 5 แนวคิดพิชิตตลาดอสังหาฯ  เตรียมเปิดเบื้องต้น 10 โครงการ มูลค่ารวม 7,500 ล้านบาท  พร้อมโครงการร่วมทุน กับ “ฮันคิว ฮันชิน” ต่อเนื่อง สู่พอร์ตโครงการแนบราบ​ บุกตลาดครั้งแรก ตั้งเป้ายอดขาย 11,500 ล้านบาท และยอดโอน 10,600 ล้านบาท   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนธุรกิจปี 2020 ว่า ได้เตรียมเปิดโครงการใหม่ ทั้งหมด 10 โครงการ รวมมูลค่า 7,500 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวสูง 6 โครงการและแนวราบ 4 โครงการ ตั้งเป้ายอดขาย 11,500 ล้านบาทและเป้ารายได้ 10,600 ล้านบาท โดยวาง 5 แนวคิดหลักในการรุกธุรกิจอสังหาฯปี 2020 เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายและการเติบโตของบริษัท ภายใต้วิสัยทัศน์  “HOW TO THINK”  ได้แก่ 1.Think of Real Demand เจาะตลาดกลุ่มเรียลดีมานด์ บริษัทจะเน้นกลุ่มเป้าหมายหลัก เป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ (Real Demand) คนซื้ออยู่จริง โดยใช้ฐานข้อมูลหลายส่วนมาค้นหาทำเลที่เหมาะสม ทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นมากมาย แต่ต้องเลือกสถานีที่เหมาะสม โดยต้องเป็นเขตที่มีแหล่งงาน มีคนอพยพเข้ามาอยู่อาศัย ผังเมืองเหมาะสมและซัพพลายยังไม่มากเกินไป โดยเฉพาะตลาดแนวราบ กลุ่มระดับราคา 3-5 ล้านบาท และแนวสูง ระดับราคา 1- 3 ล้านบาท ยังเป็นระดับราคาที่มีความนิยมและมีกำลังซื้อที่ดี 2.Re Think SENA CORE COMPETENCY IN THE PAST ONTO THE PRESENT การนำเอาพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์เซลล์ เข้ามาช่วยสร้างบ้านประหยัดพลังงาน การพัฒนาโครงการของเสนา ไม่ได้ตอบสนองกลุ่มลูกค้าในแบบเดิม แต่เพื่อให้เป็นไปตาทเทรนด์ของโลกในยุคปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นการประหยัดพลังงาน การหาพลังงานทดแทน บริษัทจึงได้ได้พัฒนา “หมู่บ้านเสนาโซลาร์” เพราะต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้า มากกว่าแค่การเป็นแค่บ้านประหยัดพลังงานเท่านั้น 3.Think of SENA INNOVATION  “นวัตกรรมและเทคโนโลยี เสนาฯ ได้นำเอานวัตกรรมและเทคโนโลยี เข้ามาผสมผสานกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในหลากหลายรูปแบบ  โดยเฉพาะเรื่องของธุรกิจโซลาร์  จึงทำการติดโซลาร์ให้กับทุกโครงการของเสนา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตควบคู่กับการเปลี่ยนโลกให้น่าอยู่ ปัจจุบันมีการติดตั้งให้กับบ้านทุกหลังรวม 400 หลัง ประมาณ 1,000 กิโลวัตต์ 4.Think of SENA Experience “การสร้างประสบการณ์ที่ชัดเจนและแตกต่าง ในภาวการณ์แข่งขันปัจจุบัน จะต้องแข่งขันกันด้วนความแตกต่าง เพราะต้องยอมรับว่าท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน การแข่งขันเรื่องราคาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้  ตัวแปรที่จะช่วยขับเคลื่อนภาพลักษณ์ของเสนาให้มีความชัดเจน และมีจุดต่างมากยิ่งขึ้น เสนามี “MADE FROM HER” แนวคิดหลักที่นำความคิดละเอียดหลายชั้นของผู้หญิงมาพัฒนาสินค้าและบริการ ในปีนี้สิ่งที่จะทำเพิ่มเติมคือ การแข่งขันด้านราคาหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะตลาดบ้านเรียลดีมานด์ แต่การแข่งขันด้านราคา ไม่มีความแตกต่างก็ตาย ความต่าง คือประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับจากสินค้าเรา โดยราคายังแข่งขันได้   -ให้ความสำคัญกับ Customer Journey ที่มีความแตกต่างของแต่ละเซกเม้นท์ -ปรับแบรนด์พอร์ตโฟลิโอ (Brand Portfolio) สร้างแบรนด์คอนโดใหม่ “SLASH” “SENA KITH” และแบรนด์บ้านใหม่ “SENA VILLE” “SENA VILLAGE” “SENA VELA” “SENA VIVA” เพื่อให้สอดรับกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละเซ็กเมนต์ เน้นกลุ่มลูกค้า GEN Y – First Jobber -ดีไซน์เว็บไซต์และแอพพลิเคชั่น 360 องศาให้ทันสมัยและง่ายต่อเข้าถึงข้อมูล 5.Think of Business Model “โมเดลธุรกิจและพันธมิตรที่แข็งแกร่ง” ปัจจัยสนับสนุนหลักทุกสเต็ปต์ของการเติบโตของเสนาฯ นั้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่มีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ คอร์ป ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ในช่วงเวลา 3 ปี ทั้งหมด 9 โครงการ และปีนี้ เสนา ฮันคิว ฮันชิน เตรียมรุกตลาด “ทาวน์โฮม” ร่วมกันเป็นครั้งแรก รวมถึงคอนโดฯ ต่ำกว่าล้านบาท และคอนโดฯ ราคา 1- 1.5 ล้านบาท พร้อมนำแนวคิด Geo fit+ จากญี่ปุ่นมาปรับใช้กับสินค้าและการบริการ นอกจากนี้มีการ จัดตั้งบริษัท ทีเค นวกิจ จำกัด บริษัทรับเหมาก่อสร้างพัฒนาคอนโดฯ โลว์ไรส์ของบริษัท เพื่อควบคุมต้นทุน และระยะเวลาก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ   เสนาฯ ร่วมกับฮันคิวฯ ทำโครงการร่วมกันมา 13 โครงการ มูลค่า 37,000 ล้านลาท วันนี้โครงการจะไม่อยู่แค่คอนโดฯ แล้ว ต้องไปสู่เรียลดีมาน์ในประเภทอื่นด้วย   อย่างไรก็ตาม ทางเสนาฯ เตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เป็นทั้งโอกาสและวิกฤตต้องปรับตัวให้ทัน Digital Disruption ซึ่งแม้ภาพรวมตลาดอสังหาฯจะเต็มไปด้วย Perfect Storm (พายุที่สมบูรณ์แบบมากลูกหนึ่ง) แต่ด้วยกลยุทธ์ของบริษัทที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดทุกเรื่อง ศึกษาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆตลอดเวลาเพื่อนำมาพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับพันธมิตรชั้นนำที่เข้ามามีส่วนช่วยผลักดันให้บริษัทเติบโต จึงทำให้มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอนในปี 2020  
วิเคราะห์ LTV หลักเกณฑ์ใหม่ ดีต่อตลาดอสังหาฯ แค่ไหน-ใครได้ประโยชน์

วิเคราะห์ LTV หลักเกณฑ์ใหม่ ดีต่อตลาดอสังหาฯ แค่ไหน-ใครได้ประโยชน์

นับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2563 เป็นต้นไป การปรับหลักเกณฑ์ LTV ใหม่ ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีผลบังคับใช้  การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ในครั้งนี้ ธปท. ต้องการสนับสนุนให้ประชาชาชน สามารถกู้ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริงได้ง่ายขึ้น   เพราะดูเหมือนว่าหลังจากการบังคับมาตรการ LTV อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 เป็นต้นมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ชะลอตัวลง  แม้ภาครัฐจะออกมาตรการมาช่วยกระตุ้น  แต่ก็ไม่ได้ส่งผลให้ภาพรวมตลาดดีขึ้น   สำหรับหลักเกณฑ์ใหม่ ของมาตรการ LTV ที่ธปท. ปรับและบังคับใช้นั้น ทางนางสาวนพมาศ ฮวบเจริญ นักวิเคราะห์อาวุโส Evonomiv Intelligenct Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำบทวิเคราะห์เรื่อง การผ่อนปรน LTV ช่วยกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยอย่างจำกัด โดยแนวราบจะได้ประโยชน์มากกว่าคอนโดมิเนียม รายละเอียดหลักเกณฑ์ LTV ใหม่    1.กลุ่มผู้กู้ซื้อบ้านสัญญาแรกราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท สามารถกู้เพิ่มได้อีก 10% ของมูลค่าหลักประกัน เพื่อใช้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน หรือสิ่งจำเป็นในการเข้าอยู่อาศัย โดยที่เพดาน LTV ยังคงไว้ที่ 100% ซึ่งผ่อนปรนขึ้นจากเกณฑ์ LTV เดิมที่เริ่มใช้ในเดือนเมษายน 2562  ที่วงเงินกู้สินเชื่อบ้านรวมสินเชื่อ Top-up (สินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ สินเชื่อ Top-up  หมายถึง สินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งมีที่อยู่อาศัยนั้นเป็นหลักประกัน เช่น เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น) ต้องไม่เกิน 100% ของมูลค่าหลักประกัน   นอกจากนี้ ธปท. ยังได้มีการผ่อนปรนเกณฑ์การคำนวณความเสี่ยงเพื่อคำนวณเงินกองทุนให้กับสินเชื่อบ้านสัญญาแรกด้วย ในกรณีให้สินเชื่อที่วงเงิน 100% ของมูลค่าบ้าน สถาบันการเงินจะคำนวณน้ำหนักสินทรัพย์เสี่ยงด้านเครดิตที่ 35% สำหรับวงเงินสินเชื่อบ้านสัญญาแรกที่ 100% ของมูลค่าบ้าน และหากมีการให้วงเงิน 10% เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ก็จะใช้น้ำหนักที่ 75% เฉพาะส่วนวงเงิน 10%  แต่หากเป็นเกณฑ์เดิม สถาบันการเงินต้องมีการคำนวณน้ำหนักสินทรัพย์เสี่ยงฯ ในวงเงินสินเชื่อทั้งหมดที่ 75%  หากสถาบันการเงิน ให้สินเชื่อในวงเงินมากกว่า 95% ของมูลค่าบ้านแนวราบ หรือ 90% ของมูลค่าคอนโดมิเนียม   รูปเกณฑ์ LTV สำหรับการกู้ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริง ถูกผ่อนปรนให้ใกล้เคียงกับเกณฑ์ LTV เดิม ในช่วงก่อนหน้าเดือนเมษายน 2562 2.กลุ่มผู้กู้ซื้อบ้านสัญญาแรกราคาเกิน 10 ล้านบาท สามารถกู้ได้ที่วงเงินสินเชื่อสูงสุดที่ 90% ของมูลค่าที่อยู่อาศัย หรือวางเงินดาวน์ขั้นต่ำเพียง 10% จากเกณฑ์เดิมที่ต้องวางเงินดาวน์ 20%   3.กลุ่มผู้กู้ซื้อบ้านสัญญาสองราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ยังคงวงเงินสินเชื่อสูงสุดที่ 80-90% เหมือนเดิม แต่ปรับลดเกณฑ์การเข้าข่ายที่ได้รับ LTV ที่ 90% สำหรับการกู้ซื้อบ้านสัญญาที่ 2 จากเดิมต้องผ่อนชำระสัญญาแรกมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี เป็น 2 ปี รูป ธปท.ผ่อนปรนเกณฑ์การคำนวณความเสี่ยง เพื่อคำนวณเงินกองทุนให้กับสินเชื่อบ้านสัญญาแรกราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท  บ้านแนวราบสัญญาแรก ได้ประโยชน์มากสุด บทวิเคราะห์ได้รายงานว่า ที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ ได้รับประโยชน์จากมาตรการ  มากกว่าที่อยู่อาศัยแบบคอนโดฯ เพราะจากจำนวนบัญชีสินเชื่อปล่อยใหม่ ของธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) พบว่า ผู้ที่ซื้อบ้านซึ่งเป็นสัญญาแรก หรือบ้านหลังแรกนั้น เป็นประเภทโครงการแนวราบสัดส่วน 70% เป็นคอนโดฯ สัดส่วน 30% หากถ้าพิจารณากลุ่มที่ซื้อโครงการแนวราบ ก็ยังพบว่าเป็นสัญญาแรกเกือบ 90% คนซื้อบ้านแนวราบสัญญา 2 หรือบ้านหลังที่ 2 เพียง 10%  แต่ถ้าพิจารณากลุ่มคนที่ซื้อโครงการคอนโดฯ จะพบว่าเป็นกลุ่มซื้อบ้านสัญญาแรกสัดส่วนน้อยกว่า คือ ประมาณ 75% ที่เหลืออีก 25% เป็นคนซื้อสัญญาที่สอง หรือซื้อเป็นบ้านหลังที่สองนั้นเอง อีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากการปรับหลักเกณฑ์ LTV ใหม่ คือ กลุ่มที่อยู่อาศัยในตลาดราคากลาง-ล่าง เนื่องจากเพดานของวงเงินสินเชื่อของกลุ่มซื้อบ้านราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ถูกผ่อนปรน ให้มีระดับใกล้เคียง ก่อนที่มาตรการ LTV จะบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2562 ทำให้การซื้อบ้าน ผู้กู้ไม่ต้องเตรียมเงินมากนัก เพราะกลุ่มคนกลุ่มระดับล่าง รวมถึงกลาง-ล่าง มักจะมีเงินออมในระดับต่ำ 2 เหตุผลคนซื้อบ้านสัญญาแรกได้ประโยชน์ 1.เพดานวงเงินสินเชื่อที่มากขึ้น ของการกู้ซื้อบ้านสัญญาแรก เปิดโอกาสให้ผู้กู้ในสัญญาแรก มีโอกาสได้รับเงินสินเชื่อที่มากขึ้น ซึ่งครอบคลุมไปถึงสินเชื่อที่ใช้ซื้อเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน 2.ธปท. ไม่ใช่แค่ผ่อนปรนเกณฑ์ LTV เท่านั้น แต่ยังผ่อนปรนเกณฑ์การคำนวณความเสี่ยง เพื่อคำนวณเงินกองทุนให้กับสินเชื่อบ้านสัญญาแรก ของธนาคาพาณิชย์ จึงช่วยลดต้นทุนการสำรองเงินกองทุน  ของธนาคารพาณิชย์ลงได้บ้าง ซึ่งต้นทุนที่ลดลง มีโอกาสส่งผ่านไปสู่ผู้กู้ซื้อบ้านในสัญญาแรกได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้กู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่กลุ่มผู้ซื้อมีความเสี่ยงสูง อาจจะไม่ได้รับประโยชน์นี้มากนัก ปรับเกณฑ์ LTV ใหม่ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ น้อย หากพิจารณาภาพรวมของตลาดอสังหาฯ หลังจากการปรับเกณฑ์ LTV ใหม่นั้น บทวิเคราะห์ ระบุว่า มีโอกาสค่อนข้างน้อย ที่ความต้องการที่อยู่อาศัย จะกลับไปเติบโตเหมือนก่อนที่มาตรการ LTV จะบังคับใช้เมื่อต้นเดือนเมษายน 2562 นั่นหมายความว่า การปรับเกณฑ์ LTV ใหม่ช่วงกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งสาเหตุมาจาก 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.การปรับเพดาน LTV ครั้งนี้ไม่ได้มีผลต่อกลุ่มที่อยู่อาศัยสัญญากู้ที่สองขึ้นไป ช่วงก่อนที่เกณฑ์ LTV จะมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2562 ในช่วงปี 2560-2561 ตลาดที่อยู่อาศัยขยายตัวดี  ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขยายตัวสูงของที่อยู่อาศัยสัญญากู้ที่สองขึ้นไป ซึ่งธปท. มองว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่กู้ซื้อเพื่อการเก็งกำไรหรือการลงทุนมากกว่าเพื่ออยู่จริง เนื่องจากข้อมูลของ ธปท. พบว่ามากกว่าครึ่งของผู้กู้ซื้ออาคารชุดสองสัญญาพร้อมกันมีระยะห่างระหว่างสัญญาแรกและสองไม่ถึง 1 ปี ทำให้ ธปท. ยังคงเพดาน LTV สำหรับการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยสัญญาสองเช่นเดิม (โดยผ่อนปรนเฉพาะเกณฑ์การเข้าข่ายได้ LTV 90% สำหรับการกู้ซื้อบ้านสัญญาสอง ซึ่งระยะห่างระหว่างสัญญาแรกและสองลดลงเป็น 2 ปี จาก 3 ปี) 2.กำลังซื้อจากกลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุนและเก็งกำไรลดลง จากที่ผ่านมา กลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุนเป็นกลุ่มหลัก ที่ผลักดันการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัย แต่หลังจาก LTV บังคับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 เป็นต้นมา แนวโน้มราคาของที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะคอนโดฯ  ที่ปรับตัวลดลง  ทำให้ความน่าสนใจของตลาดที่อยู่อาศัยในด้านการลงทุนมีน้อยลง ซึ่งอีไอซีประเมินว่าการผ่อนปรนในครั้งนี้ น่าจะไม่มากพอผลักดันให้ราคาของคอนโดฯ ขยับขึ้นได้ ส่วนหนึ่งมาจากผู้ที่ได้ประโยชน์ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มแนวราบมากกว่าคอนโดฯ 3.กำลังซื้อของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยทั้งคนไทยและต่างชาติที่อ่อนแอ จากภาวะเศรษฐกิจทั้งไทยและเทศที่ชะลอตัวลง  ความเชื่อมั่นที่ยังอยู่ในระดับต่ำ (โดยในเดือนธันวาคม 2562  ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เกี่ยวกับการซื้อบ้านหลังใหม่ ที่ปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่จัดเก็บข้อมูลในปี 2546) และภาระหนี้ของครัวเรือนที่ยังสูง รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่า 4.สถาบันการเงินยังมีแนวโน้มระมัดระวังการให้สินเชื่อของผู้กู้รายย่อย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว จะส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียของภาคครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยง ที่มีผลต่อรายได้และการจ้างงาน ซึ่งสะท้อนได้จากข้อมูลของ ธปท. เกี่ยวกับผลทดสอบภาวะวิกฤต  (Stress Test) ของภาคครัวเรือนไทย  ซึ่งพบว่าในปี 2560  สัดส่วนของครัวเรือนมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ (จากเดิมที่ไม่มีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากในอดีต หากรายได้ของครัวเรือนปรับลดลง 20% โดยสัดส่วนของครัวเรือนที่มีความเสี่ยงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มรายได้   นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ยังต้องมุ่งเน้นการให้สินเชื่อสำหรับครัวเรือนอย่างมีความรับผิดชอบตามแนวทางปฏิบัติที่ ธปท.ได้ให้คำแนะนำ โดยเฉพาะการพิจารณารายได้คงเหลือของผู้กู้หลังจ่ายค่าผ่อนชำระหนี้ทุกประเภทกับสถาบันการเงินของตนเอง และผู้ให้บริการอื่น (Residual Income) ซึ่งอาจมีผลต่อการพิจารณาการให้สินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ   รูปสินเชื่อบ้านของสถาบันการเงินเฉพาะกิจขยายตัวสูงในปีที่ผ่านมา ขณะที่ธพ.ระมัดระวัง   อย่างไรก็ตาม ตลาดที่อยู่อาศัยจะยังได้รับแรงสนับสนุนจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) ที่จะเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เนื่องจากแนวนโยบายของภาครัฐที่ต้องการให้ SFI เข้ามาช่วยผลักดันตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว เช่น มาตรการสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -มาตรการ LTV ผลกระทบตกที่ใคร? -อสังหาฯ ปีหน้ายังเหนื่อย เพราะ LTV มาผิดเวลา?   -เปิดข้อมูลอินไซต์ ตลาดคอนโดฯ หลังใช้มาตรการ LTV
กางแผน LH  เปิด 16 โปรเจ็กต์แนวราบสร้างยอดขาย 28,000 ล้าน

กางแผน LH เปิด 16 โปรเจ็กต์แนวราบสร้างยอดขาย 28,000 ล้าน

“แลนด์แอนด์เฮ้าส์”  กางแผนปี 63 เปิด 16 โปรเจ็กต์ใหม่แนวราบ มูลค่ากว่า 30,535 ล้านบาท  พร้อมตั้งเป้ายอดขาย 28,000 ล้านบาท  ยอมรับสภาพเศรษฐกิจปีที่ผ่านมา ทุบความมั่นใจผู้บริโภค ส่งผลให้ผลประกอบการปี 62 ต่ำกว่าเป้าหมาย คาดอีก 2 ปีตลาดฟื้นตัว   นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH  เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2563 ว่า ได้วางแผนพัฒนาโครงการใหม่รวม 16 โครงการ มูลค่ากว่า 30,535 ล้านบาท  แบ่งเป็น โครงการบ้านเดี่ยว 10 โครงการ บ้านแฝด 3 โครงการ และทาวน์เฮ้าส์ 3 โครงการ  เป็นโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 13 โครงการ และต่างจังหวัด 3 โครงการ ในพื้นที่จังหวัดอยุธยา, ภูเก็ต และเชียงใหม่   โดยบริษัทได้เตรียมงบประมาณการลงทุนไว้ 11,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการต่างๆ  แบ่งเป็น การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมูลค่า 7,000 ล้านบาท และ การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้เช่ามูลค่า  4,000 ล้านบาท จำนวน 4-5 โครงการ   นอกจากนี้  บริษัทมีแผนขายอพาร์ทเม้นท์ 1 แห่งในสหรัฐอเมริกา จากปัจจุบันมีอยู่ 4 แห่ง มูลค่ารวม 450 ล้านเหรียญ  ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ขายไปแล้ว 2 โครงการ ซึ่งทำกำไรได้มากกว่า 10%  ทุกโครงการ  และบริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ ในการนำสินทรัพย์ขายเข้ากองทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม  และเตรียมออกหุ้นกู้ 14,000 ล้านบาท เพื่อรีไฟแนนซ์หุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดด้วย   “บริษัทได้ขายโรงแรม Grande Centre Point สุขุมวิท 55 ให้กับกองทุนทรัสต์ เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ LHHOTEl มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท โดยมีกำไรก่อนภาษีเป็นจำนวนกว่า 2,000 ล้านบาท”   ในปี 2563  บริษัทตั้งเป้าหมายมียอดขาย 28,000 ล้านบาท และยอดโอน  28,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 8,000-9,000 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2562 ที่ผ่านมา บริษัททำผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยทำยอดขายได้ประมาณ 25,000-26,000 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 22%  จากที่คาดว่าจะทำได้ 33,000 ล้านบาท ซึ่งยอดรับรู้รายคาดว่าจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายเช่นกัน โดยปีที่ผ่านมาตั้งเป้าหมายยอดรับรู้รายได้ 32,000 ล้านบาท   สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย มาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค แม้ว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจก็ตาม  แต่กลุ่มลูกค้าไม่มีอารมณ์ในการใช้จ่ายเงิน  เพราะขาดความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม ที่มีกลุ่มผู้ซื้อบางส่วนเป็นนักลงทุนหรือนักเกร็งกำไร   นายนพร  กล่าวอีกว่า แนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในปี 2563 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะในตลาดคอนโดฯ ซึ่งอาจจะใช้ระยะเวลานานกว่าโครงการแแนวราบ เนื่องจากเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด มีจำนวนห้องชุดในตลาดจำนวนมาก  คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี สภาพตลาดจึงจะฟื้นตัวีขึ้น   “ในปีนี้ สิ่งที่น่ากังวลคงไม่มีอะไรไปมากกว่าสภาพเศรษฐกิจ  การตัดสินใจซื้อลดลง  จำนวนยูนิตเหลือขายยังคงมีมากในหลายโลเคชั่น  โดยเฉพาะตลาดคอนโดฯ ที่ซบเซามาตลอดปีที่ผ่านมา แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เห็นว่าปีนี้ถึงเวลาที่จะกลับมามองตัวเอง พัฒนาตัวเอง กลับมาดูหลังบ้าน พัฒนาเทคโนโลยี”  
กคช.เปิดแคมเปญ “เช่าทั่วไทย” เริ่มต้นเดือนละ 999 บาท

กคช.เปิดแคมเปญ “เช่าทั่วไทย” เริ่มต้นเดือนละ 999 บาท

การเคหะแห่งชาติ จับมือก.พัฒนาสังคมฯ จัดแคมเปญ “เช่าทั่วไทย” ให้คนไทยเช่าบ้านการเคหะ ในราคาเริ่มต้น 999 บาท จำนวน 10,000 ยูนิตทั่วไทย เป็นของขวัญปี พร้อมเปิดจองสิทธิเช่าผ่านระบบออนไลน์แล้ว  ระยะเวลถึง 30 มิถุนายน 2563  นี้   ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยว่า การเคหะแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มอบของขวัญปีใหม่ พม. สำหรับประชาชน ปี 2563 โดยจัดโปรโมชั่น “เช่าทั่วไทย” บ้านเช่าราคาพิเศษให้กับประชาชน เริ่มต้นเพียง 999 บาท โดยเปิดจองผ่านระบบออนไลน์ http://999.nha.co.th กำหนดเปิดจองตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563 มีโครงการเข้าร่วม 10,000 ยูนิต  แบ่งออกเป็นบ้านเช่าในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 6,500 ยูนิต และบ้านเช่าในพื้นที่ภูมิภาค จำนวน 3,500 ยูนิต เช่น เชียงใหม่ ลำปาง ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา พระนครศรีอยุธยา  สระบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ หนองคาย ภูเก็ต และสงขลา เป็นต้น สำหรับโครงการ “เช่าทั่วไทย” ได้กำหนดกรอบระยะเวลาการทำสัญญาเช่ากับการเคหะแห่งชาติเป็นระยะเวลา 1 ปี และต่อสัญญาเช่าทุกปี โดยผู้ลงทะเบียนจองสิทธิในโครงการฯ จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 1.เป็นผู้มีสัญชาติไทย และบรรลุนิติภาวะแล้ว 2.มีรายได้ครัวเรือนไม่เกิน 40,000 บาท ต่อเดือน 3.ไม่เป็นคู่สัญญาเช่ากับการเคหะแห่งชาติ และไม่มีหนี้ค้างชำระ หากผู้เช่ามีความประสงค์จะซื้อในภายหลังก็สามารถเปลี่ยนมาเป็นซื้อได้ตามเงื่อนไขที่การเคหะแห่งชาติกำหนด นอกจากนี้สำหรับผู้ที่ต้องการจะซื้อโครงการดังกล่าว การเคหะแห่งชาติมีโปรโมชั่นพิเศษวางเงินจองเพียง 1,000 บาท กู้ได้สูงสุด 100% หรือผ่อนบ้านกับการเคหะแห่งชาติในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0% ปีแรก ฟรีค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์ และฟรีมุ้งลวด – เหล็กดัด สำหรับอาคารชุดชั้น 4 - 5 อีกด้วย   ผู้สนใจจองสิทธิ “เช่าทั่วไทย” สามารถลงทะเบียนได้ที่ http://999.nha.co.th ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2563 เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป และหมดเขตการจองสิทธิเช่าในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1615
เจาะตลาดคอนโดฯ ทำเลรัชโยธิน เหมาะซื้ออยู่จริงหรือเพื่อลงทุน?

เจาะตลาดคอนโดฯ ทำเลรัชโยธิน เหมาะซื้ออยู่จริงหรือเพื่อลงทุน?

นับตั้งแต่การเปิดให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ส่วนต่อขยาย ตั้งแต่สถานีห้าแยกลาดพร้าวจนไปถึงม.เกษตรศาสตร์ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญ ที่เข้ามาช่วยให้บริเวณห้าแยกลาดพร้าว รัชโยธิน และม.เกษตรศาสตร์  เป็นทำเลสำคัญและน่าสนใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น   จากอดีตในทำเลเหล่านี้ ก็เป็นที่สนใจของบรรดาดีเวลลอปเปอร์ทั้งหลายอยู่แล้ว เพราะได้เข้ามาปักหมุดพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หลายประเภทรองรับ เรียกได้ว่ามีความคึกคัก นับตั้งแต่มีข่าวว่าจะพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนหรือรถไฟฟ้าบีทีเอสนี้ เพราะราคาที่ดินขยับปรับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว รวมถึงมีโครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นมากมาย  กลายเป็นแหล่งที่พักอาศัยหนาแน่นแห่งหนึ่ง ศักยภาพของทำเลรัชโยธิน นอกเหนือจากการมีเส้นทางรถไฟฟ้าวิ่งผ่าน  ทั้งรถไฟฟ้าบีทีเอสและรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT แล้ว ยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระบบคมนาคมทางบก ที่ล้อมรอบด้วยถนน 5 เส้นหลัก มีสถานศึกษาขนาดใหญ่ ศูนย์การค้าปลีก อาคารสำนักงาน และโรงพยาบาล  ส่งผลให้ทำเลนี้กลายเป็นแหล่งพักอาศัย การทำงาน และการใช้ชีวิต ของคนกรุงเทพฯ ที่หนาแน่นแห่งหนึ่ง   แต่มีคำถามว่า ทำเลรัชโยธิน ซึ่งมีคอนโดฯ​ เกิดขึ้นมากมายนั้น เหมาะสำหรับการซื้อเพื่อพักอาศัย หรือเหมาะสำหรับการซื้อเพื่อลงทุนสร้างผลตอบแทนให้เจ้าของ  ซึ่งบทวิเคราะห์ล่าสุดจาก Krungthai COMPASS หรือศูนย์วิจัยกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย โดยดร.พชรพจน์ นันทรามาศ​ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส และนายกณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ ระบุว่า ทำเลรัชโยธิน ยังไม่ตอบโจทย์หากจะซื้อคอนโดฯ เพื่อลงทุนซื้อ เนื่องจากให้อัตราผลตอบแทนที่ต่ำกว่าทำเลอื่นๆ รัชโยธินไม่เหมาะลงทุน ผลตอบแทนแค่ 3.2% ทำเลรัชโยธินให้ผลตอนแทนโดยรวมเฉลี่ยปีละ 3.2% เท่านั้น เท่ากับการลงทุนในทำเลรัชดา-พระราม 9 แต่ต่ำกว่าทำเลเพลินจิต-ชิดลม ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในทุกทำเล ในอัตรา 6.6% รองลงมาเป็นทำเลสีลม-สาทร ที่ให้ผลตอบแทน 5.4% ทำเลสุขุมวิท (ตอนต้น-กลาง) ให้ผลตอบแทน 4.8%  ซึ่งเงินในจำนวนเดียวกันการไปเลือกซื้อคอนโดฯ เพื่อลงทุนสามารถเลือกทำเลอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าได้   สำหรับทำเลรัชโยธิน จึงถือว่าเป็นทำเลซึ่งเหมาะสำหรับการพักอาศัยมากกว่า  จากการสำรวจโครงการคอนโดฯ ในทำเลรัชโยธิน นับตั้งแต่ห้าแยกลาดพร้าวไปจนถึงแยกเกษตร  พบว่ามีโครงการคอนโดฯ จำนวน 35  โครงการ มีจำนวน 11,561 ยูนิต แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างเสร็จก่อนปี จำนวน 18 โครงการ จำนวน 2,155 ยูนิต และโครงการที่ก่อสร้างเสร็จตั้งแต่ปี 2562  เป็นต้นไปอีก 17 โครงการ จำนวน 9,406 ยูนิต   นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่เตรียมเปิดการขายอีก 2 โครงการรวมกว่า 1,000 ยูนิต ได้แก่ โครงการเดอะเครสท์ ของบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  และโครงการไลฟ์ ของบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด   ส่วนผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า ในทำเลรัชโยธินนั้นเป็นอย่างไร ทาง Krungthai COMPASS ได้รวบรวมค่าเช่าและราคาซื้อขายห้องชุดของคอนโดฯ 13 โครงการในทำเลรัชโยธิน เพื่อหาผลตอบแทนจากการเช่าขั้นต้น หรือ  Gross Rental Yield พบว่า จะได้ผลตอบแทนในอัตรา 4.4-5.5% ต่อปี มีค่ากลางเท่ากกับ 5.0% ต่อปี หรือมีอัตราค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท ต่อห้องชุดราคา 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่ไม่ได้แตกต่างจากการปล่อยคอนโดฯ ให้เช่าในทำเลอื่นๆ เท่าไรนัก  ขณะที่แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคา  Re-sale ของคอนโดฯ​ ทำเลรัชโยธินปรับเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 6.0% ตอบคำถามให้ชัด ก่อนซื้อคอนโดฯ แม้ว่าทำเลรัชโยธิน จะเป็นทำเลศักยภาพที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก สาธารณูปโภค ใกล้สถานที่สำคัญ ระบบคมนาคมที่เดินทางเชื่อมโยงได้มากมาย  แต่การซื้อคอนโดฯ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน ถือว่ามีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน ซึ่ง Krungthai COMPASS ได้นำเสนอว่า จะต้องพิจารณาอีก 2 ประเด็นคำถาม ได้แก่ 1.ราคาคอนโดฯ ปัจจุบันแพงไปหรือไม่? และ 2.พื้นที่ดังกล่าวเสี่ยงต่อภาวะ Oversupply หรือไม่ การตัดสินใจนอกจากคำตอบในเรื่องของผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งพบว่าต่ำกว่าทำเลอื่น   สำหรับราคาขายคอนโดฯ เก่าในทำเลรัชโยธิน จะอยู่ในระดับ 93,600 บาทต่อตารางเมตร และโครงการใหม่จะมีราคาขายตั้งแต่ 100,000-150,000 บาทต่อตารางเมตร หรือระดับราคาขายเฉลี่ย 138,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งถือว่าถูกกว่าราคาคอนโดฯ​ ในเมือง อย่างย่านเพลินจิต ชิดลม สาทร และสีลม ส่วนความเสี่ยงว่าคอนโดฯ  ทำเลรัชโยธินจะอยู่ในภาวะ Oversupply หรือไม่นั้น ทาง Krungthai COMPASS ได้นำสถานการณ์ของยูนิตเหลือขายของคอนโดฯ ในทำเลรัชโยธิน ในวันที่รถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยายเปิดใช้งาน เปรียบเทียบกับสถานการณ์ของคอนโดฯ แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ในช่วงเวลาที่รถไฟฟ้าเปิดใช้งานในปี 2559 ซึ่งเป็นหนึ่งทำเลที่เกิดภาวะ Oversupply ของคอนโดฯ​ ชัดเจนที่สุด   โดยพบว่าคอนโดฯ ทำเลรัชโยธิน ใช้ระยะเวลาขายหมด นานขึ้น และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล คล้ายกับสถานการณ์ของคอนโดฯ ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง  แต่แม้ว่าระยะเวลาการขายหมดจะนาน แต่ยูนิตเหลือขายสะสมของทำเลรัชโยธิน กลับมีจำนวนน้อยลง เมื่อเทียบกับจำนวนของคอนโดฯ เหลือขายในทำเลรถไฟฟ้าสายสีม่วง จึงทำให้เห็นภาพได้ว่า ทำเลรัชโยธินไม่ได้อยู่ในภาวะ Oversupply บทสรุปทำเลรัชโยธิน เหมาะซื้อเพื่ออยู่จริง โดยสรุปแล้ว Krungthai COMPASS ประเมินว่า ทำเลรัชโยธิน เป็นหนึ่งในทำเลที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภค ที่กำลังมองหาคอนโดฯ เพื่ออยู่อาศัยจริง โดยมีจุดที่น่าสนใจคือ การมีตัวเลือกที่มาก ระดับราคาสมเหตุสมผล และยูนิตเหลือขายยังไม่อยู่ในภาวะ Oversupply   อย่างไรก็ตาม คอนโดฯ ทำเลรัชโยธิน อาจยังไม่ตอบโจทย์กับการซื้อเพื่อการลงทุนมากนัก หากเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ในตัวเมือง เช่น เพลินจิต ชิดลม สีลม สาทร และสุขุมวิทช่วงต้น-กลาง ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่าทำเลรัชโยธินถึง 1.5-2  เท่า  
REIC เผยราคาบ้าน-คอนโดฯ ปรับเพิ่มทุกพื้นที่

REIC เผยราคาบ้าน-คอนโดฯ ปรับเพิ่มทุกพื้นที่

ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 ที่ผ่านมา อยู่ในภาวะชะลอตัว จากหลายปัจจัยลบที่มากระทบ โดยเฉพาะมาตรการ LTV  ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับแผน ลดปริมาณการเปิดตัวโครงการใหม่  โดยเฉพาะในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียม บ้างก็หันไปพัฒนาโครงการแนวราบ หรือไม่ก็เป็นอสังหาฯ ที่สร้างรายได้ประจำ   นอกจากปริมาณการเปิดตัวโครงการใหม่ซึ่งลดลงแล้ว  ด้านราคาที่อยู่อาศัยก็อยู่ในสภาพไม่แตกต่าง บางโครงการผู้ประกอบการต้องปรับลดราคา หรือไม่ก็ต้องจัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม สารพัด เพื่อกระตุ้นยอดขายในภาวะที่กำลังซื้อชะลอตัว  ส่วนราคาของอสังหาฯ ช่วงที่ผ่านมา อยู่ในระดับเท่าไร ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ REIC ได้จัดทำรายงานดัชนีราคาที่อยู่อาศัย ประจำไตรมาส 4/2562 ฉบับล่าสุดออกมา เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมของตลาดอสังหาฯ   สำหรับดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562 พบว่า มีค่าดัชนีเท่ากับ 153.8 จุด เพิ่มขึ้น 4.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงติดต่อกัน 3 ไตรมาสตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2562 ขณะที่ ดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562  มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีค่าดัชนีเท่ากับ 127.6 จุด เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)   คอนโดฯ ปรับราคา 4.3%   ดัชนีราคาห้องชุดใหม่หรือราคาคอนโดฯ ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562 มีค่าดัชนีเท่ากับ 153.8 จุด เพิ่มขึ้น 4.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงติดต่อกัน 3 ไตรมาสตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2562 โดยการชะลอตัวของราคาคาดว่าเป็นผลจากการที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่มีการปรับราคาขึ้นและยังคงใช้มาตรการส่งเสริมการขายในแนวทางเดิม ที่มุ่งเน้นการให้ของแถม ส่วนลดเงินสดและการออกค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่องจากช่วงไตรมาสก่อนหน้า ทำให้ดัชนีราคาใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้าด้วยเช่นกัน (ดูตารางที่ 1 และแผนภูมิที่ 1 – 2)   -คอนโดฯ พื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 155.4 จุด เพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) -ขคอนโดฯ พื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 145.9 จุด เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของ ปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)   ดีเวลลอปเปอร์ใช้ของแถมกระตุ้นยอดขาย รายการส่งเสริมการขายในไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่ 58.2% จะเร่งรัดการตัดสินใจของผู้ซื้อด้วย ของแถม เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ รองลงมา 23.9% เป็นส่วนลดเงินสด และ 17.9% จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ที่มีต้นทุนในการโอนลดลงจากมาตรการของรัฐ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับรายการส่งเสริมการขายในไตรมาสก่อน   บ้านจัดสรร ราคาขยับ 2.7% ส่วนดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ ทั้งประเภทบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562  มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีค่าดัชนีเท่ากับ 127.6 จุด เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เมื่อจำแนกตามพื้นที่แล้ว พบว่า -บ้านจัดสรรในพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.6 จุด เพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) -บ้านจัดสรรในพื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.3 จุด เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน(YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) (ดูตารางที่ 1 และ แผนภูมิที่ 1 - 2)   ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า ในไตรมาสนี้ผู้ประกอบการที่ส่งเสริมการขายโดยการช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าใช้จ่ายในวัน โอนฯ และให้ส่วนลดเงินสดมีสัดส่วนมากกว่าในไตรมาส 3 ปี 2562 ราคาบ้านเดี่ยวบวกเพิ่ม 2.9% ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562 มีค่าดัชนีเท่ากับ 125.8 จุด เพิ่มขึ้น  2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น  0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) -บ้านเดี่ยวในพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 125.2 จุด เพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น  0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) -บ้านเดี่ยวในพื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.0 จุด เพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น  0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) (ดูตารางที่ 2 และแผนภูมิที่ 1 - 2)   ราคาทาวน์เฮ้าส์ปรับขึ้น 2.5%   ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 129.5 จุด เพิ่มขึ้น  2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) -ทาวน์เฮ้าในพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 127.8 จุด เพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) -ทาวน์เฮ้าส์ในพื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 131.2 จุด เพิ่มขึ้น  2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน(YoY) และเพิ่มขึ้น  0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) (ดูตารางที่ 3 และ แผนภูมิที่ 1 - 2)    ดีเวลลอปเปอร์อัดโปรฯ เน้นลดค่าใช้จ่ายวันโอน รายการส่งเสริมการขายโครงการบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่  41.0% จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง รองลงมา  39.1% เสนอของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ำ แท้งก์น้ำ ฯลฯ และ 19.9% จะให้เป็นส่วนลดเงินสด ในขณะที่ไตรมาส 3 ปี 2562 รายการส่งเสริมการขาย ส่วนใหญ่ 45.4% จะจูงใจผู้ซื้อโดยการเสนอด้วยของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ำ แท้งก์น้ำ ฯลฯ รองลงมา 37.1% จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง และ  17.5% จะให้เป็นส่วนลดเงินสด      
โปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนมกราคม 2563

โปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนมกราคม 2563

กลับมาพบกันในปี 2020 กับการรวบรวมโปรโมชั่นเด็ดๆ เป็นประจำทุกสัปดาห์เช่นเคยค่ะ เริ่มต้นด้วยโปรโมชั่นบ้านและคอนโด ที่เริ่มต้นจัดเต็มกันตั้งแต่ต้นปีเลยทีเดียวค่ะ     นันทวัน-มัณฑนา มอบอั่งเปาสุดพิเศษตลอดเดือน ม.ค. มอบอั่งเปาสุดพิเศษจาก LAND&HOUSES ตลอดเดือนมกราคม ทั้ง 9 โครงการ นันทวัน รามอินทรา-พหลโยธิน 50 เปิดบ้าน Precise ล็อตเพิเศษ ราคา 5 ล้าน นันทวัน บางนา กม.7 พบบ้านแปลงมุม 4 แปลงพิเศษ ราคา 9 ล้าน มัณฑนา Lake Watcharapol บ้านเฟสอุโมงค์ต้นไม้ หน้าโครงการ ราคา 12-18 ล้าน มัณฑนา ศรีนครินทร์-ร่มเกล้า เปิดเฟสใกล้สวน สโมสร ราคา 7-22 ล้าน มัณฑนา อ่อนนุช-วงแหวน 5 พบบ้านแปลง Premium เพียง 5 แปลง ราคา 7-25 ล้าน มัณฑนา 2 บางนา กม.7 เปิดจองครั้งใหม่กับโครงการขายดี ใกล้เมกาบางนา ราคา 11-25 ล้าน มัณฑนา วงแหวน-บางบอน บ้านพร้อมเรือนรับรอง 100 ตร.วา ขึ้นไป เฟสถนนเมน ราคา 9-15 ล้าน มัณฑนา Westgate โครงการใหม่ใกล้รถไฟฟ้า เพียง 300 เมตร ราคา 10-20 ล้าน มัณฑนา พุทธมณฑลสาย 2-บางแวก บ้านพร้อมเรือนรับรอง 110 ตร.วา เฟสสโมสร ราคา 13-18 ล้าน อยู่ดี ฟรีดาวน์ “รีบคว้าก่อนใคร” ASPIRE สุขุมวิท–อ่อนนุช ASPIRE สุขุมวิท–อ่อนนุช Stylish Condo พร้อมอยู่เร็วๆ นี้ เปิดประสบการณ์การพักอาศัยและการพักผ่อน ใช้ชีวิตชิดธรรมชาติ พร้อมส่วนกลางสุดหรู จัดโปรโมชั่น "อยู่ดี ฟรีดาวน์" สนองมาตราการรัฐ รีบคว้าก่อนใคร ในราคาเริ่ม 2.45 ล้าน* Aspire ใจดี ให้เพิ่มอีก 100,000 บ.* ฟรี! แพ็กเกจวันโอน* ฟรี! ทองทุกยูนิต* แสนสิริ จ่ายจริง ทุกยูนิต ทุกราคา แสนสิริ ช่วยเปย์ทุกด้าน ช่วยหมดทุกราคา จ่ายจริง ค่าจดจำนอง, ค่าโอนกรรมสิทธิ์ และค่าส่วนกลางสูงสุด 10 ปี* ทุกยูนิต ทุกราคา ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโด ทั้งหมด 53 โครงการ เริ่มต้น 1.09-30 ล้าน* พร้อมโปรโมชั่นเสริมอีกมากมาย อาทิ รับเงินคืนสูงสุด 3 แสน* ทองคำ หนักสูงสุด 30 บาท* เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์ฯ สูงสุด 1 ล้าน* ดอกเบี้ยพิเศษ ผ่อนต่ำ* โปรโมชั่นสวัสดีปีชวด จาก LPN บ้านลุมพินี บ้านน่าอยู่ จัดโปรโมชั่นสวัสดีปีชวด จาก LPN ฟรี! 4 รายการ ฟรี! ค่าใช้จ่ายวันโอนฯ ฟรี! ค่าจดจำนอง ฟรี! ค่าตรวจบ้าน ฟรี! ค่าส่วนกลาง 1 ปี   จากโครงการบ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ลาดปลาดุก-บางไผ่สเตชั่น, บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต-คลอง 2 เฟส 1, บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต-คลอง 2 เฟส 2, บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน-วัชรพล, บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า เฟส 2.1, บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า เฟส 2.2, บ้านลุมพินี ทาวน์พาร์ค ท่าข้าม-พระราม 2 และบ้านลุมพินี ทาวน์เพลส พระราม 2–ท่าข้าม Supalai Wonder 9 ศุภาลัย ขนโครงการจากทั่วประเทศจัดโปรโมชั่น Supalai Wonder 9 จอง 999  ฟรี! หลายรายการ อาทิ ค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์, ค่าจดจำนอง, ค่าส่วนกลาง 1 ปีแรก, ค่ามิเตอร์น้ำ**, ค่ามิเตอร์ ไฟ, Central Gift Card สูงสุด 100,000 บาท, UHD TV 50”, ไมโครเวฟ 23 ลิตร, เครื่องดูดฝุ่น 1,800 วัตต์ และที่สำคัญหากกู้ไม่ผ่านยินดีคืนเงิน สำหรับการจองตั้งแต่ วันที่ 2 มกราคม 2563 ถึง วันที่ 31 มีนาคม 2563 Final Call โอกาสสุดท้าย สู่ชีวิตเหนือระดับ “ออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ รามอินทรา” คอนโดแนวใหม่! ตอบรับไลฟ์สไตล์ของ Gen Z โดยเฉพาะ ด้วยดีไซน์ที่เรียบเท่ทันสมัยและเทคโนโลยีล้ำๆ พร้อมทำเลติดรถไฟฟ้าสีชมพูสถานีสินแพทย์ 3 นาทึ ทางด่วนรามอินทราฯ 5 นาที แฟชั่นไอส์แลนด์ ผ่อน 5,900 บาท/เดือน ตั้งแต่วันนี้-31 ม.ค. 63 โปรน็อค ช็อค One Price เดอะ สเตจ เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ คอนโดพร้อมอยู่ ใกล้รถไฟฟ้าทั้งสีม่วงและสีน้ำเงิน สถานีเตาปูน เพียง 350 เมตร ผ่อนล้านละ 1,500 บาท*  อยู่ฟรี 2 ปี* ราคา 2.99 ล้านบาท* ตั้งแต่วันนี้-29 ก.พ. 63 ต้อนรับปีหนูกับโปรโมชั่นพิเศษจาก All Inspire โครงการ The Excel 2 Locations (Sukhumvit 50 & 71) คอนโดพร้อมอยู่ เฟอร์ครบ ใกล้ BTS อ่อนนุช แค่ลากกระเป๋าก็เข้าอยู่ได้เลย กับห้อง 1 Bedroom ขนาด 30 ตร.ม. ราคา 1.99 ล้านบาท*   รายละเอียดเพิ่มเติม LAND&HOUSES AP (THAILAND) SANSIRI LPN SUPALAI  ORIGIN All Inspire   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ASPIRE สุขุมวิท–อ่อนนุช The Excel Hideaway Sukhumvit 71 เดอะ สเตจ เตาปูน–อินเตอร์เชนจ์ The Origin Ramintra 83 Station  
“อนันต์” แนะ 3 ทางรอดทำธุรกิจอสังหาฯ ท่ามกลางปัจจัยลบ

“อนันต์” แนะ 3 ทางรอดทำธุรกิจอสังหาฯ ท่ามกลางปัจจัยลบ

“อนันต์ อัศวโภคิน” อดีตผู้บริหารจากค่ายแลนด์แอนด์เฮ้าส์  แนะ 3 วิธีทำธุรกิจอสังหาฯ ในปีที่มีแต่ปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน เน้นการบริหารจัดการภายในองค์กร พร้อมลดค่าใช่จ่าย เจรจาแบงก์หากมีปัญหา คาดอีก 2 ปีตลาดฟื้นตัว   นายอนันต์ อัศวโภคิน อดีตประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH และในฐานะผู้ก่อตั้งหลักสูตร The NEXT Real  (เดอะเน็กซ์ เรียล) เปิดเผยว่า สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ ถือว่าอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดที่จับกลุ่มเป้าหมายระดับบน ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียม ส่วนตลาดระดับกลางและล่างยังพอเติบโตไปได้ เนื่องจากความต้องการบ้านยังมีอยู่ตลอดเวลา แต่ผู้บริโภคอาจจะมีปัญหาด้านกำลังซื้ออยู่บ้าง และตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบยังพอเติบโตได้ แต่ตลาดคอนโดฯ ถือว่าอยู่ในภาวะชะลอตัว   “หนี้ครัวเรือนของเรายังสูงมาก แต่ตลาดที่อยู่อาศัยยังเป็นตลาดที่มีความต้องการอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราเข้าตลาดที่ถูกเรายังขายได้” อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธุรกิจอสังหาฯ จะอยู่ในภาวะตลาดชะลอตัว แต่ถือว่ายังมีตัวช่วยที่เข้ามาในการดำเนินธุรกิจ ที่ถือว่าเป็นปัจจัยบวกด้วยกันถึง 4 ปัจจัย ได้แก่ 1.อัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งส่งผลดีสำหรับผู้ที่มีกำลังซื้อ และมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากสถาบันการเงินให้ดอกเบี้ยต่ำมาก อัตรา 3% ใน 3 ปีแรก 2.รัฐบาลออกมาตรการมาช่วยกระตุ้นธุรกิจ 3.ราคาที่ดินเริ่มปรับลดในบางทำเล และในภาพรวมราคาไม่ปรับเพิ่ม ซึ่งจะต่อเนื่องไปถึงปี 2564 ส่งผลดีต่อต้นทุนการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการ 4.ราคาค่าก่อสร้างไม่ปรับเพิ่ม    นายอนันต์  ยังได้แนะแนวทางในการดำเนินธุรกิจอสังหาฯ ของผู้ประกอบการ ในภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อชะลอตัว ด้วย 3 วิธี คือ 1.ลดค่าใช้จ่ายภายในองค์กร เพื่อรักษาอัตรากำไร และเน้นการบริหารจัดการภายในให้มีประสิทธิภาพ 2.ปรับราคาขายสินค้าให้เหมาะสมกับตลาด และ 3.การเจรจากับสถาบันการเงิน หากมีปัญหาด้านการเงิน เนื่องจากปัจจุบันสถาบันการเงินมีสภาพคล่องสูง   “ปีนี้ให้เน้นปรับปรุงประสิทธิภาพภายในไปก่อน ช่วงตลาดไม่ดี เราอย่าพยายามฝืนตลาด และดูแลค่าใช้จ่ายภายในบริษัท ซึ่งไม่ควรมีค่าใช้จ่ายต่างๆ เกิน 15%” อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย และมีความสามารถในการซื้อ เพราะดีเวลลอปเปอร์มีการจัดแคมเปญ การลดราคามากขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของวงจรธุรกิจ คิดว่าในระยะ 2 ปีนับจากนี้อาจจะมีโครงการใหม่เปิดตัวออกมาไม่มากนัก ต้องรอหลังจาก 2 ปีนี้ไปแล้ว คาดว่าตลาดน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้เป็นปกติ     สำหรับหลักสูตร The NEXT Real ถือเป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นการแบ่งปันประสบการณ์จริง จากการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งที่สำเร็จและล้มเหลว เป็นเหมือนทางลัดทำให้เกิดการเรียนรู้ที่รวดเร็วกว่าวิธีเรียนแบบปกติ ที่สำคัญยังทำให้เกิด Real Estate Ecosystem ที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ช่วยให้ผู้เรียนสามารถวางแผนในการพัฒนาธุรกิจได้อย่างแม่นยำมีประสิทธิภาพ และสามารถรับมือกับความท้าทายใหม่ๆของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต โลกยุคใหม่หมุนเร็วขึ้น   โดยที่ผ่านมาได้เปิดอบรมให้กับผู้ประกอบการและผู้สนใจในธุรกิจอสังหาฯ ไปแล้ว 8 รุ่น ในปีนี้เป็นการเปิดเปิดรับสมัครพร้อมกัน 2 รุ่นคือ รุ่นที่ 9 เรียนทุกวันศุกร์ ตั้งแต่เดือนมีนาคม – มิถุนายน 2563 และรุ่นที่ 10 ซึ่งจะทำให้ผู้เข้าอบรมได้เรียนรู้จากคนที่มีประสบการณ์มาแล้วทั้งเรื่องที่ควรทำและไม่ควรทำจะช่วยให้เรียนรู้ได้เร็ว ก้าวพ้นความผิดพลาด  และปรับตัวได้ทัน  
[PR News] ศุภาลัย บุกตลาดอสังหาฯ แนวราบ ประเดิมโครงการแรกย่านพระราม 2  

[PR News] ศุภาลัย บุกตลาดอสังหาฯ แนวราบ ประเดิมโครงการแรกย่านพระราม 2  

“ศุภาลัย” เจาะตลาดแนวราบต่อเนื่อง เตรียมเปิดตัวโครงการแรก “ศุภาลัย เบลล่า พระราม 2 - พันท้ายนรสิงห์” บนทำเลศักยภาพถนนพระราม 2 ที่ตอบโจทย์ครบจบทุกความต้องการในที่เดียว ในราคาพิเศษ 2.09 ล้านบาท   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า   ปี 2563 นี้ บริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวราบ  เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยมีแผนบุกตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ทำเลกรุงเทพฯ โซนตอนใต้ ในย่านพระราม 2 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทำเลที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยในเรื่อยงความเจริญทางเศรษฐกิจที่มีแหล่งงานขนาดใหญ่ และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย     นอกจากนี้ ในพื้นที่โซนดังกล่าว ยังเป็นเส้นทางหลักในการเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯ กับจังหวัดใกล้เคียง และยังมีแผนการขยายระบบโครงข่ายคมนาคมรอบทิศของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นถนน ทางด่วน และรถไฟฟ้า ช่วยเพิ่มทางเลือกในการเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ส่งผลให้ทำเลดังกล่าวมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น   ล่าสุดบริษัท เตรียมเปิดตัวโครงการ “ศุภาลัย เบลล่า พระราม 2 - พันท้ายนรสิงห์” มูลค่า 522 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการ 23 ไร่ ชูแนวคิด “ไม่มีสะดุดทุกการเดินทาง ให้คุณใช้ชีวิตง่ายขึ้น...ไปอีกขั้น” ในราคาเริ่มต้น 2.09 ล้านบาท ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการแนวราบที่ตอบโจทย์ครบจบทุกความต้องการในที่เดียว    มีหลายแบบบ้านให้คุณเลือกทั้งทาวน์โฮม 2 ชั้น สไตล์โมเดิร์น ขนาดพื้นที่ใช้สอย 113 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 2 ที่จอดรถ บ้านรุ่นใหม่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 128 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 2 ที่จอดรถ และบ้านเดี่ยว ขนาดพื้นที่ใช้สอย 150 - 197 ตารางเมตร​ 3 - 4  ห้องนอน 2 ที่จอดรถ พร้อมให้ความเป็นส่วนตัวกับจำนวนบ้านเพียง 179 หลัง  
“ลลิล” ลุยตลาดอสังหาฯ 63 วางเป้าโต 13%

“ลลิล” ลุยตลาดอสังหาฯ 63 วางเป้าโต 13%

“ลลิล” กางแผนธุรกิจปี 63 เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ 9-11 โครงการ พร้อมใช้กลยุทธ์ Digital Marketing เจาะตลาดลูกค้า 2-6 ล้าน สร้างการเติบโต 13% จากปีที่ผ่านมา สวนสภาพตลาดอสังหาฯ ชะลอตัว คาดแนวราบโตได้แค่ 2-4%   นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ 13% จากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะทำยอดขายได้ 6,200 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 5,250 ล้านบาท ส่วนปี 2562 บริษัทน่าจะทำยอดขายได้ประมาณ ​5,000 ล้านบาท และยอดรับรู้ประมาณ ​4,640 ล้านบาท เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ 5,500 ล้าน   สำหรับแผนธุรกิจในปี 2563 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ 9-11 โครงการ มูลค่ารวม 5,000-5,500 ล้านบาท โดยใช้งบซื้อที่ดิน 1,100-1,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาใช้งบซื้อที่ดิน 1,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีที่ดินพร้อมสำหรับการพัฒนาตามแผนแล้ว 50-60% ซึ่งบริษัทจะพัฒนาในพื้นที่กรุงเทพฯ​ และปริมณฑลเป็นหลัก ในสัดส่วน 80-90% ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา   “การขยายโครงการต่างจังหวัด บริษัทรอดูแผนการลงทุนของรัฐบาล ว่าจะไปทิศทางไหน แต่แผนการพัฒนาคงไปใน 10 จังหวัดยุทธศาสตร์ที่บริษัทศึกษาไว้”   โดยฐานลูกค้าหลักของบริษัทจะเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาว เพิ่งเริ่มต้นทำงานได้ประมาณ​ 3-8 ปี มีรายได้ต่อคนประมาณ 30,000 บาทขึ้นไป ซึ่งเลือกซื้อบ้านเป็นหลักแรก สัดส่วนลูกค้าหลักประมาณ ​60-70% จะซื้อบ้านในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ชูกลยุทธ์ Digital Marketing เจาะใจลูกค้า นายชูรัชฎ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า แผนการตลาดในปีนี้ ยังคงใช้กลยุทธ์ Digital Marketing ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าซึ่งใช้สื่อออนไลน์ ซึ่งวางแผนใช้งบประมาณด้านการตลาดไว้ 3-4% ของยอดขาย ผ่านแนวทางการทำตลาด 3 รูปแบบ ได้แก่   1.ใช้ Big Data มาวิเคราะห์ฐานข้อมูลผู้บริโภค หา Consumer Insight ใช้ทำตลาดและพัฒนาสินค้าให้ตรงตามความต้องการ ปัจจุบันใช้ฐานข้อมูลทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งปัจจุบันมีฐานลูกค้าบริษัทกว่า 20,000 ครอบครัว แต่หากรวมฐานข้อมูลลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมโครงการมีจำนวนรวมกว่า 100,000 ราย   2.การใช้เครื่องมือออนไลน์ต่างๆ ทั้ง Facebook IG Line Youtube เข้าถึงกลุ่มลูกค้า   3.การทำกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ หรือ CRM โดยการจัดกิจกรรมให้ลูกบ้านอย่างต่อเนื่อง เช่น กิจกรรมการดูภาพยนตร์ การอบรมการจัดสวน เป็นต้น   คาดอสังหาฯ แนวราบโต 2-4% สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 คาดว่าจะลดระดับความร้อนแรงลง โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม ซึ่งข้อมูลจาก CBRE ระบุว่าในปีนี้ผู้ประกอบการจะเปิดตัวโครงการใหม่ลดลง 20% จากปีที่ผ่านมา ส่วนแนวโน้มตลาดอสังหาฯ แนวราบ คาดว่าจะเติบโตในอัตรา 2-4% ซึ่งเป็นผลจากนโยบายของรัฐบาลที่ออกมากระตุ้นตลาด “อสังหาฯ ไม่ได้โตด้วยตนเอง แต่โตด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งแบงก์ชาติคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจจะเติบโต 2.8%”   โดยคาดว่าในปีนี้ภาคาการท่องเที่ยวและการลงทุนภาครัฐ  จะเป็น 2 ตัวจักรสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต และจะส่งผลดีต่อการลงทุนของภาคเอกชน
EIC วิเคราะห์ ใครคือผู้ได้รับผลกระทบจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

EIC วิเคราะห์ ใครคือผู้ได้รับผลกระทบจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

แม้ว่าจะมีการเลื่อนการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ไปในเดือนสิงหาคม 2563 แต่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ก็ออกมายืนยันว่า กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป     สาเหตุที่ต้องเลื่อนออกไป แทนที่จะต้องจัดเก็บภาษีท้องที่ ภาษีโรงเรือน และที่ดิน ในเดือนเมษายนของทุกปี เป็นเพราะทางองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น(อปท.) ยังดำเนินการเพื่อจัดเก็บภาษีไม่ทัน  เป็นผลให้กระทรวงมหาดไทยต้องออกประกาศเลื่อนเก็บภาษีออกไป 4 เดือน   ไม่ว่าจะจัดเก็บเมื่อไร อย่างไรก็ตามเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลาย ก็ต้องเสียภาษีตามกฎหมายใหม่อยู่ดี  ประเด็นสำคัญ คือ กฎหมายภาษีและสิ่งปลูกสร้าง ที่ออกมาส่งผลต่อใครมากสุด ใครจะต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินมากขึ้น และอสังหาฯ แต่ละประเภทจะต้องเสียภาษีมากน้อยแค่ไหน นี่แหละประเด็นสำคัญสุด ที่หลายคนต่างกังวลและถกเถียงกันมาโดยตลอด   ล่าสุด ทางอีไอซี หรือ Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โดยนางสาวนพมาศ ฮวบเจริญ นักวิเคราะห์อาวุโส ได้ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับผลกระทบ ต่อภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ว่า ใครคือผู้ได้รับผลกระทบจากภาษีที่ดินที่ออกมาบังคับใช้ ฉายภาพให้เห็นกันชัดๆ เพื่อสร้างความเข้าใจ และเตรียมตัวควักกระเป๋าเงิน จ่ายภาษีตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับบรรดาเจ้าของอสังหาฯ ทั้งหลาย   ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ภาครัฐเตรียมจัดเก็บตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป มุ่งเน้นจัดเก็บภาษีตามมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยอัตราภาษีแตกต่างกันไปตามประเภทการใช้ประโยชน์ โดยตั้งแต่ปี 2563 ผู้เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยทางการจะจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ตามมูลค่าที่ดินฯ ด้วยอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์การใช้ที่ดิน (รายละเอียดตามรูปที่ 1)   ทั้งนี้ ภาษีที่ดินฯ จะถูกนำมาใช้ทดแทนภาษีโรงเรือนและที่ดินที่มีมาตั้งแต่ปี 2475 ซึ่งจัดเก็บภาษีในอัตรา 12.5% ของรายได้ค่าเช่าที่ได้จากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และภาษีบำรุงท้องที่ที่มีมาตั้งแต่ปี  2508 ซึ่งจัดเก็บภาษีตามจำนวนไร่และราคาปานกลางของที่ดิน โดยราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้ในปัจจุบันเป็นราคาปานกลางฯ ที่ใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ตั้งแต่ปี 2521-2524[1]   ทั้งนี้ ภาครัฐมีการบรรเทาภาระภาษีในส่วนที่เพิ่มขึ้นในช่วงปี 2563-2565 โดยผู้เสียภาษีจะชำระภาษีในปี 2563 เท่ากับภาระภาษีเดิม บวกด้วย 25% ของภาระภาษีส่วนเพิ่ม ในปี 2564 จะชำระภาษีเท่ากับภาระภาษีเดิม บวกด้วย 50% ของภาระภาษีส่วนเพิ่ม ในปี 2565 จะชำระภาษีเท่ากับภาระภาษีเดิม บวกด้วย 75% ของภาระภาษีส่วนเพิ่มเสีย และในปี 2566 ผู้เสียภาษีจะเสียภาระภาษีตาม พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ เต็มจำนวน   รูปที่ 1 : อัตราการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยสรุป   ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของราชกิจจานุเบกษา สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และศูนย์ข้อมูลกรุงเทพฯ   อย่างไรก็ตาม ทางการได้ลดหย่อนภาษีที่ดินฯ สำหรับที่ดินบางประเภทเพื่อความเหมาะสมกับเศรษฐกิจและการดำเนินกิจการของภาคธุรกิจ ซึ่งช่วยให้ผู้เสียภาษีสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น ภายหลังจากที่ พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ ถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2562 ทางการได้ทยอยประกาศกฎหมายลำดับรองออกมาหลายฉบับ โดยเฉพาะฉบับล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2562 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ก.) ลดภาษีที่ดินฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อลดหย่อนภาษีที่ดินฯ สำหรับที่ดินฯ บางประเภทให้เหมาะสมกับสภาพความจำเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม เหตุการณ์ กิจการ หรือสภาพแห่งท้องที่ โดยการลดหย่อนครั้งนี้ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัยจะได้รับการลดค่าภาษี 90% โดยจ่ายค่าภาษีเพียง 10% ของมูลค่าภาษีเต็มจำนวน ซึ่งมีเงื่อนไขดังนี้   1.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่นำมาพัฒนาเป็นอาคารชุดหรือคอนโดมิเนียมตามกฎหมายอาคารชุดไม่เกิน 3 ปีจากวันที่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง 2.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่นำมาพัฒนาเป็นโครงการจัดสรรตามกฎหมายจัดสรรที่ดินเพื่ออยู่อาศัยไม่เกิน 3 ปีจากวันที่ได้รับอนุญาตจัดสรร 3.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายจัดสรรและอาคารชุด ก่อนวันที่ 13 มีนาคม  2562 และยังไม่ได้ขาย (สต็อก) จะได้รับการลดค่าภาษีเป็นเวลา 2 ปี คือปี 2563-2564 นอกจากนี้ ที่ดินฯ ที่เป็นอสังหาฯ รอการขาย (NPA) ของสถาบันการเงินก็ได้รับการลดหย่อนค่าภาษีที่ดินฯ ด้วยเช่นกัน โดยลดค่าภาษี 90% ไม่เกิน 5 ปีจากวันที่ได้กรรมสิทธิ์ นักเก็งกำไร-สถาบัน โดนหนักสุด ผู้เก็งกำไรที่ดินและสถาบันการเงินมีโอกาสได้รับผลกระทบทางตรงจากภาระภาษีที่ดินฯ มากที่สุด ขณะที่เจ้าของบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริงและลงทุน รวมถึงเจ้าของอาคารที่อยู่อาศัย/พาณิชย์ให้เช่าได้รับผลกระทบทางตรงจากภาระภาษีที่ดินค่อนข้างต่ำ ทั้งนี้ผลกระทบทางตรงจากภาระภาษีที่ดินฯ จะมีความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ของที่ดินฯ และระยะเวลาของการถือครองที่ดินฯ รวมถึงภาระภาษีเกี่ยวกับที่ดินตามกฎหมายเดิม   หากพิจารณาเฉพาะผลกระทบที่มีต่อผู้ที่ถือครองที่อยู่อาศัย รวมถึงผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย เจ้าของอาคารพาณิชย์ให้เช่า และสถาบันการเงินจะสามารถจำแนกผลกระทบเบื้องต้นออกเป็น 3 กลุ่ม (ผลกระทบอาจมีการเปลี่ยนแปลงหากกฎหมายลูกเกี่ยวกับกระบวนการจัดเก็บและการจำแนกประเภทที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้รับการอนุมัติของกระทรวงที่เกี่ยวข้องและประกาศในราชกิจจานุเบกษาอย่างเป็นทางการ) ได้แก่   รูปที่ 2 : ระดับของผลกระทบจากภาระภาษีที่ดินฯ ต่อผู้ซื้อที่อยู่อาศัย ผู้พัฒนาโครงการ เจ้าของอาคารพาณิชย์ให้เช่า และสถาบันการเงิน หมายเหตุ : ผลกระทบอาจมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่กฎหมายลูกทั้งหมดถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษาอย่างเป็นทางการ ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง, CBRE, กรมที่ดิน และศูนย์ข้อมูลกรุงเทพฯ 1.กลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูงจากภาษีที่ดิน ผู้ที่ซื้อที่ดินเพื่อเก็งกำไร/สะสมความมั่งคั่ง สำหรับภาษีที่ดินฯ ในกรณีที่ดินว่างเปล่า แม้ว่าจะมีอัตราภาษีเช่นเดียวกันกับที่ดินเชิงพาณิชย์อยู่ในช่วง 0.3-0.7% แต่อัตราภาษีจะมีการเพิ่มขึ้น 0.3% ในทุก 3 ปี และอัตราภาษีรวมสูงสุดไม่เกิน 3% ซึ่งจะเป็นต้นทุนภาษีที่สูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินในแต่ละที่ว่าเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด   ทั้งนี้ หากเทียบกับราคาที่ดินในกรุงเทพฯ และปริมณฑลตามฐานข้อมูลของ ธปท. ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่ดินเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละ 1.9% ขณะที่ต้นทุนภาษีที่ดินฯ คิดเป็น 16% ของผลได้ที่ได้จากส่วนต่างราคา หากเสียภาษีที่ดินในอัตรา 0.3% ของมูลค่าที่ดิน ซึ่งถือว่ามีผลกระทบค่อนข้างมาก   ดังนั้น กลุ่มผู้ลงทุนควรต้องพิจารณาคัดเลือกที่ดินที่มีศักยภาพในการเติบโตของราคาในอนาคตให้สูงกว่าต้นทุนภาษีที่ดิน (โดยปกติที่ดินที่มีศักยภาพมีการเติบโตของราคาในอัตราสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่จัดเก็บโดย ธปท. เช่น ที่ดินแถบถนนพหลโยธินและรามอินทราที่ราคาประเมินขยายตัวเฉลี่ยปีละ 6-8% เป็นต้น) นอกจากนี้ ระหว่างที่ถือครองไม่ควรปล่อยให้เป็นที่ดินรกร้างเพื่อลดค่าใช้จ่ายภาษีระหว่างที่ถือครองที่ดิน   สถาบันการเงิน โดยเฉพาะสถาบันการเงินที่มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ประเภทอสังหาฯ อยู่จำนวนมาก ทั้งนี้ผลกระทบของภาระภาษีที่ดินฯ จะแตกต่างกันไปตามพอร์ต NPA ของแต่ละสถาบันการเงิน โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมาก คือ สถาบันการเงินที่มี NPA ที่เป็นอสังหาฯ และถือครองมากกว่า 5 ปี ในสัดส่วนสูง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ เช่น โรงงาน ที่ดินเปล่า เป็นต้น นอกจากนี้ หากทรัพย์ที่ถือครองมากกว่า 5 ปีส่วนใหญ่เป็นอสังหาฯ เชิงพาณิชย์หรือที่ดินรกร้าง ภาระภาษีก็จะอยู่ในอัตราที่สูงที่ 0.3-0.7% ของมูลค่าประเมิน เทียบกับกลุ่มที่อยู่อาศัยและเกษตรกรรมที่มีอัตราภาษีเพียง 0.02-0.1% และ 0.01-0.1% ตามลำดับ (จากการสอบถามข้อมูลเบื้องต้นจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง)   ทั้งนี้ สถาบันการเงินมีแนวโน้มที่จะขาย NPA ให้ได้ภายใน 5 ปีแรกของการถือครอง เนื่องจากสถาบันการเงินได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีที่ดินฯ โดยเสียภาษีเพียง 10% ของภาระภาษีที่ต้องจ่ายในช่วง 5 ปีแรกที่ถือครอง แต่หลังจากถือครองมากกว่า 5 ปีไปแล้ว หากสถาบันการเงินยังไม่สามารถขาย NPA ได้ ค่าใช้จ่ายทางภาษีก็จะเพิ่มขึ้น เช่น NPA ที่เป็นบ้านพร้อมที่ดินมูลค่า 10 ล้านบาท มีภาระภาษีในช่วง 5 ปีแรกอยู่ที่ปีละ 200 บาท และภาระภาษีจะเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 2,000 บาทในปีที่ 6 เป็นต้นไป   ขณะที่ NPA ที่เป็นโรงงานมูลค่า 10 ล้านบาท มีภาระภาษีในช่วง 5 ปีแรกอยู่ที่ปีละ 3,000 บาท และภาระภาษีจะเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 30,000 บาทในปีที่ 6 เป็นต้นไป เป็นต้น ในระยะต่อไป สถาบันการเงินอาจระมัดระวังการให้สินเชื่อมากขึ้นจากปัจจุบันที่ระมัดระวังอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีอสังหาฯ ค้ำประกันอยู่ก็ตาม เนื่องจากค่าใช้จ่ายภาษีที่เพิ่มขึ้นจากการกลายเป็นหนี้เสียของสินเชื่อเหล่านั้น 2.กลุ่มที่ได้รับผลกระทบปานกลางจากภาษีที่ดิน   ผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โดยรวมจะได้รับผลกระทบไม่มาก หากโครงการของผู้ประกอบการสามารถพัฒนาและขายได้หมดภายใน 3 ปีแรกที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรรสำหรับโครงการบ้านแนวราบและใบอนุญาตก่อสร้างสำหรับโครงการคอนโดมิเนียม เนื่องจาก 1.ทางการให้สิทธิลดหย่อนภาระภาษีที่ดินฯ ในช่วง 3 ปีแรก โดยจ่ายภาษีเพียง 10% ของเม็ดเงินภาษีที่ต้องจ่ายจริง ซึ่งคิดเป็นภาระภาษีรวมกัน 3 ปีไม่ถึง 0.2% ของมูลค่าขายของโครงการ 2.ผู้ประกอบการโดยทั่วไปถือที่ดินก่อนพัฒนาโครงการ (Land bank) ประมาณ 1-2 ปี ขณะที่ที่ดินคิดเป็นต้นทุนประมาณ 20-30% ของมูลค่าขายโครงการ ทำให้ค่าใช้จ่ายภาษีที่ดินฯ จากการถือครอง Land bank มีไม่ถึง 0.5% ของมูลค่าขายของโครงการ   อย่างไรก็ตาม ภาระภาษีที่ดินฯ อาจเพิ่มสูงขึ้น หากผู้ประกอบการไม่สามารถบริหารสต็อกเหลือขายภายใน 3 ปีนับตั้งแต่ขออนุญาตจัดสรร/ก่อสร้าง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่ไม่สามารถแบ่งการก่อสร้างเป็น phaseได้แบบที่อยู่อาศัยแนวราบ นอกจากนี้ ผลกระทบจากภาษีจะมีความรุนแรงมากขึ้น หากผู้ประกอบการมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับรายได้จนส่งผลให้อัตรากำไรต่ำและทำให้ Buffer ต่อภาระภาษีที่ดินมีน้อยลง   นอกจากนี้ ในช่วงปี 2563-2564 ซึ่งเป็นช่วง 2 ปีแรกที่เริ่มการจ่ายภาษีที่ดินฯ มีแนวโน้มที่ผู้พัฒนาโครงการจะเร่งระบายสต็อกที่ค้างอยู่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีสัดส่วนที่อยู่อาศัยเหลือขายจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเพื่อได้รับประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีที่ดินฯ สำหรับที่อยู่อาศัยเหลือขายที่มีการขอใบอนุญาตก่อสร้าง/จัดสรรก่อนวันที่ 13 มีนาคม  2562 มิเช่นนั้นผู้ประกอบการจะต้องมีค่าใช้จ่ายภาษีที่ดินฯ สูงขึ้น   ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจและการปรับตัวต่อมาตรการ LTV ของผู้ซื้อบ้าน เมื่อผู้ประกอบการต้องมาเผชิญกับภาระภาษีที่ดินฯ แม้ว่าจะคิดเป็นต้นทุนที่ไม่สูงมากนัก แต่ก็อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยเสริมที่ทำให้ผู้ประกอบการระมัดระวังการเปิดตัวใหม่มากขึ้น โดยมุ่งเน้นเปิดตัวโครงการที่มีศักยภาพมากขึ้น รวมถึงการเร่งระบายหน่วยเหลือขายเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเมื่อภาษีที่ดินฯ เริ่มจัดเก็บ   เจ้าของอาคารที่อยู่อาศัย/พาณิชย์ให้เช่า เช่น หอพัก อะพาร์ตเมนต์ สำนักงานให้เช่า และพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า เป็นต้น แม้ว่าภาษีที่ดินฯ กรณีใช้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อการพาณิชย์จะมีอัตราภาษีสูงกว่าเพื่อการเกษตรหรือเพื่ออยู่อาศัย แต่หากเปรียบเทียบกับภาระภาษีที่ดินใหม่ กับภาษีโรงเรือนฯ ในปัจจุบันที่อัตรา 12.5% ของรายได้ค่าเช่า จะพบว่าต้นทุนทางภาษีของผู้ประกอบการจะเพิ่มขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผลตอบแทนจากการให้เช่า โดยอาคารให้เช่าแห่งไหนอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าอยู่ในระดับสูง ต้นทุนภาษีอาจปรับลดลงด้วยซ้ำ แต่หากอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าอยู่ในระดับต่ำ มีโอกาสที่ภาระภาษีอาจเพิ่มขึ้น กดดันผลตอบแทนสุทธิของผู้ประกอบการให้ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะอาคารในพื้นที่ที่ราคาที่ดินอยู่ในระดับสูงและมีการแข่งขันสูงระหว่างผู้ประกอบการ   เช่น กรณีอาคารสำนักงานให้เช่าในพื้นที่ย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ของกรุงเทพฯ ที่มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเบื้องต้น (Gross yield) โดยเฉลี่ยประมาณ 5-9% (จากข้อมูล CBRE และมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย) โดยคิดเป็นรายได้จากค่าบริการ 50% และรายได้จากการเช่า 50% โดยรายได้ส่วนหลัง ผู้ประกอบการต้องเสียภาษีโรงเรือนฯ คิดเป็น 0.3-0.6% ของมูลค่าอาคาร ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราภาษีที่ดินฯ ที่ 0.3-0.7%   รูปที่ 3 : ตัวอย่างการเปรียบเทียบภาระภาษีตามกฎหมายที่ดินเดิมกับกฎหมายที่ดินใหม่ กรณีอาคารสำนักงานให้เช่า หมายเหตุ : ผลตอบแทนเบื้องต้นจากการลงทุนเป็นอัตราเฉลี่ยในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ จากการสำรวจของ CBRE และ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ CBRE, มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 3.กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ/ได้รับผลกระทบต่ำจากภาษีที่ดิน เจ้าของที่อยู่อาศัยเพื่อใช้อยู่จริง จำแนกเป็น เจ้าของบ้านหลังหลัก ซึ่งทางการได้ยกเว้นการจัดเก็บภาษี โดยมีเงื่อนไขว่าเจ้าของกรรมสิทธิ์ต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน และมูลค่าบ้านพร้อมที่ดินไม่เกิน 50 ล้านบาท หรือบ้าน ไม่นับรวมที่ดินไม่เกิน 10 ล้านบาท ขณะที่บ้านพร้อมที่ดินมูลค่าเกินกว่า 50 ล้านบาทก็มีภาระภาษีอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับฐานะหรือรายได้ของผู้ถือครอง เช่น บ้านพร้อมที่ดินมูลค่า 100 ล้านบาท เสียภาษีเพียง 20,000 บาท/ปี หรือ 1,667 บาท/เดือน   เจ้าของที่อยู่อาศัยหลังที่สองขึ้นไปเพื่อใช้อยู่อาศัย (ไม่ใช่บ้านหลังหลัก) แม้ว่าภาระภาษีที่ต้องจ่ายตามภาษีที่ดินฯ จะเพิ่มขึ้นจากภาษีบำรุงท้องที่ (ซึ่งเป็นกฎหมายภาษีที่ดินเดิม) แต่เม็ดเงินภาษีที่ดินฯ ที่ต้องจ่ายยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับรายได้ของผู้ที่สามารถซื้อบ้านในมูลค่าเหล่านั้น นอกจากนี้ ภาครัฐยังมีการบรรเทาภาระภาษีในส่วนที่เพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีแรกที่มีการเก็บภาษีที่ดินฯ   เช่น กรณีบ้านพร้อมที่ดินราคา 10 ล้านบาทที่ไม่ใช่บ้านหลังหลัก ปัจจุบันเสียภาษีบำรุงท้องที่ปีละ 834 บาท ขณะที่ตาม พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ เจ้าของบ้านต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 2,000 บาท (อัตราภาษีที่ดินฯ 0.02% ของมูลค่าบ้าน 10 ล้านบาท) ซึ่งคิดเป็นค่าใช้จ่ายไม่ถึง 0.2% ของรายได้ของผู้ที่สามารถกู้ซื้อบ้านในราคา 10 ล้านบาท (รายได้ของผู้กู้ซื้อต้องไม่น้อยกว่า 1 แสนบาทต่อเดือน)   ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อปล่อยเช่าเพื่อการอยู่อาศัย/เก็งกำไร จากข้อมูลเบื้องต้นของกระทรวงการคลัง ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อปล่อยเช่าเพื่อการอยู่อาศัย/เก็งกำไร ภาระภาษีที่ต้องจ่ายตามภาษีที่ดินฯ จะเหมือนกับเจ้าของที่อยู่อาศัยหลังที่สองขึ้นไป โดยมีอัตราภาษีที่ดินฯ อยู่ที่ 0.02% ของมูลค่าที่อยู่อาศัย (กรณีราคาไม่เกิน 50 ล้านบาท) คิดเป็นต้นทุนภาษีจากการถือครองที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับรายได้ค่าเช่าและการเพิ่มขึ้นของราคาที่อยู่อาศัย ดังนั้นภาษีที่ดินฯ ไม่ได้มีผลมากนักต่อความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุน (ยกเว้นในช่วงแรกที่มีการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ที่ผู้ลงทุนซื้อที่อยู่อาศัยยังไม่มั่นใจในภาระภาษีว่าจะมีมากน้อยเพียงใด)   กรณีซื้อมาเพื่อเก็งกำไร เช่น ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตามฐานข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1.7% สำหรับคอนโดมิเนียม 2.0% สำหรับทาวน์เฮาส์ และ 2.6% สำหรับบ้านเดี่ยว โดยค่าใช้จ่ายจากภาษีที่ดินฯ จะคิดเป็นประมาณ 1% ของผลตอบแทนที่ได้จากส่วนต่างราคาซื้อขาย (Capital gain yield) เฉลี่ยที่ 1.7-2.6% ต่อปี ทั้งนี้ผลกระทบจากต้นทุนภาษีที่กล่าวมามีโอกาสที่จะน้อยกว่าที่กล่าวมาข้างต้น หากผู้ลงทุนเลือกเก็งกำไรในกลุ่มที่อยู่อาศัยที่มีศักยภาพ ซึ่งราคามีแนวโน้มขยายตัวมากกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด   กรณีซื้อมาเพื่อปล่อยเช่า เช่น กรณีคอนโดมิเนียมมูลค่า 5 ล้านบาท ที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่า/เก็งกำไร ต้องเสียภาษีที่ดินฯ ในอัตรา 0.02% ของมูลค่าคอนโดฯ หรือ 1,000 บาท/ปี (เทียบกับในปัจจุบันที่ภาระภาษีเกี่ยวกับที่ดินต่ำมาก เนื่องจากข้อบกพร่องในการจัดเก็บภาษีโรงเรือน ขณะที่ภาษีบำรุงท้องที่ก็อยู่ในอัตราต่ำมาก) คิดเป็นภาระค่าใช้จ่ายประมาณ 0.4-0.7% ของอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่า (Gross rental yield) ที่เฉลี่ยประมาณ 3-5%   แต่หากผู้ให้เช่าที่อยู่อาศัยในกรณีตัวอย่างข้างต้น เคยต้องเสียภาษีโรงเรือนฯ จากรายได้ค่าเช่าที่ 12.5% ของรายได้ทั้งปี หรือคิดเป็น 0.4-0.6% ของมูลค่าที่อยู่อาศัย การปรับเปลี่ยนการจัดเก็บภาษีเป็นภาษีที่ดินฯ ที่อัตราขั้นต่ำที่ 0.02% ของมูลค่าที่อยู่อาศัยจะส่งผลด้านบวกต่อผู้ให้เช่าที่จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายภาษีลงไปได้ประมาณปีละ 17,000-30,000 บาท   รูปที่ 4 : ตัวอย่างการเปรียบเทียบภาระภาษีตามกฎหมายที่ดินเดิมกับกฎหมายที่ดินใหม่ กรณีที่อยู่อาศัยให้เช่า หมายเหตุ : ผลตอบแทนเบื้องต้นจากการลงทุนเป็นอัตราเฉลี่ยในพื้นที่กรุงเทพฯ จากการสำรวจของ Numbeo และ Global Property Guide ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ ของ Numbeo, Global Property Guide และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 2 ผลกระทบทางอ้อม นอกจากผลกระทบโดยตรง จากการต้องเสียภาษีในอัตราที่กฎหมายกำหนดแล้ว ผลกระทบจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในทางอ้อมที่อาจเห็น ก็มีด้วยเช่นกัน คือ 1.ปริมาณที่ดินที่เข้าสู่ตลาดเพื่อขายอาจมีมากขึ้น 2.ส่วนต่างของราคาที่ดินที่มีศักยภาพสูงกับศักยภาพต่ำอาจมีมากขึ้น ผลจากต้นทุนภาษีที่ดินฯ ที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้ผู้ถือครองที่ดินว่างเปล่าไม่ได้ใช้ประโยชน์บางส่วนอาจทยอยขายที่ดินออกมาในตลาด โดยเฉพาะที่ดินมรดกที่ถือครองมายาวนาน ซึ่งในอดีตมีต้นทุนในการถือครองที่ดินไม่มากนัก แต่ภาษีที่ดินฯ ที่กำลังจะเริ่มจัดเก็บอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยสนับสนุนให้ผู้ถือครองที่ดินบางส่วนปล่อยที่ดินเข้าสู่ตลาดเพื่อซื้อขายมากขึ้น   ส่งผลให้การขยายตัวของราคาที่ดินโดยเฉลี่ยอาจมีแนวโน้มขยายตัวช้าลงไปบ้าง โดยเฉพาะที่ดินที่มีศักยภาพต่ำ (มีการเพิ่มขึ้นของราคาค่อนข้างช้า) ขณะที่ที่ดินที่มีศักยภาพ (มีการเพิ่มขึ้นของราคาค่อนข้างเร็ว) ต้นทุนภาษีที่ดินฯ แทบไม่ส่งผลกระทบ เนื่องจากราคาของที่ดินที่เร่งตัวไปเร็วกว่าต้นทุนภาษี ทำให้ความต้องการถือครองที่ดินดังกล่าวยังมีต่อเนื่อง ผลักดันให้ราคาที่ดินของที่ดินศักยภาพยังมีแนวโน้มขยายตัวสูงต่อเนื่องได้   บทสรุป ผลกระทบจากภาษีที่ดิน ภาษีที่ดินที่กำลังจัดเก็บในปีนี้ ผลต่อทั้งผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่จริงและเพื่อการลงทุนจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ซึ่งจะส่งผลกระทบไม่มากนักต่ออุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัย (ปัจจัยจากเศรษฐกิจและความระมัดระวังในการให้สินเชื่อบ้านจะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบมากกว่าภาษีที่ดินฯ)   ขณะที่ผู้พัฒนาโครงการอาจต้องมีการปรับตัวอันเกิดจากภาระภาษี โดยต้องมุ่งเน้นบริหารการขายโครงการให้เหลือหน่วยเหลือขายน้อยที่สุดภายในช่วง 3 ปีแรกที่ได้รับใบอนุญาตก่อสร้าง/จัดสรร เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ได้รับการลดหย่อนภาษีที่ดินฯ รวมถึงในช่วงปี 2563-2021 จะต้องเร่งระบายสต็อกซึ่งคงค้างมาก่อนหน้าที่ภาษีที่ดินฯ จะมีผลบังคับใช้ เช่นเดียวกันกับสถาบันการเงินต้องระมัดระวังการให้สินเชื่อมากขึ้นเพื่อไม่ให้ภาระ NPA มีมาก   ดังนั้นมีโอกาสที่ในระยะยาวการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ อาจช่วยลดความเสี่ยงจากการเร่งพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการลงได้บ้าง (โดยมุ่งเน้นแต่โครงการที่มีศักยภาพอย่างแท้จริง) รวมถึงการระมัดระวังมากขึ้นของผู้ให้สินเชื่อ ท้ายที่สุดก็อาจเป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงภาวะอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) ลงได้บ้าง ซึ่งจะสนับสนุนให้การใช้ที่ดิน รวมถึงตลาดที่อยู่อาศัยเติบโตได้อย่างระมัดระวังและยั่งยืนมากขึ้น   หมายเหตุ [1] ราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้ในปัจจุบันจะเป็นราคาที่มีการประเมินมาตั้งแต่ปี 2521-2524  ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติกำหนดราคาปานกลางของที่ดินสำหรับการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ปี 2529 โดยราคาดังกล่าวจะแตกต่างจากราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จัดทำโดยกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ซึ่งมีการปรับปรุงทุก 4 ปี
5 ทำเลฮอต คนสนใจค้นหามากที่สุดประจำปี 2019

5 ทำเลฮอต คนสนใจค้นหามากที่สุดประจำปี 2019

ปี 2019 นับเป็นปีแห่งความลุ้นระทึกของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่พักอาศัย จากรายงาน DDproperty Property Market Outlook ฉบับล่าสุด พบว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงทรงตัว ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและทั่วโลกที่ชะลอตัว มาตรการ LTV ควบคุมสินเชื่อบ้านจากธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แต่ด้วยความที่ที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสี่ที่สำคัญ จึงเชื่อว่ายังมีความต้องการอย่างต่อเนื่องในตลาด รอเพียงการกระตุ้นจากภาครัฐ หรือโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น   สังเกตได้จากการค้นหาที่อยู่อาศัยในเว็บไซต์ DDproperty.com ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลสำคัญ ๆ ของกรุงเทพฯ  แล้วทำเลไหนที่คนยังคงมองหา และค้นหามากที่สุดกัน ลองมาดูว่าตลอดทั้งปี 2019 มีทำเลไหนที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ค้นหาที่อยู่อาศัยมากที่สุด 5 อันดับแรก 5 ทำเลฮอตคนหามากสุดในรอบปี 1.อ่อนนุช อ่อนนุช ถือเป็นทำเลยอดฮิต ติดอันดับต้น ๆ ของยอดค้นหามากที่สุด มาตลอดแทบจะทุกครั้ง โดยเฉพาะบริเวณรถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากราคาอสังหาริมทรัพย์ยังไม่แพงเกินไป ถือเป็นช่วงราคาที่คนทำงาน หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) ยังสามารถซื้อเป็นเจ้าของเองได้ นอกจากนี้ยังเดินทางสะดวกสบาย ใกล้รถไฟฟ้า BTS เชื่อมต่อใจกลางเมืองและศูนย์กลางธุรกิจทั้งทองหล่อ อโศก สยาม หรือสีลม สาทร ได้ไม่ยาก และใช้เวลาไม่นาน รายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ตลาด และแหล่งแฮงก์เอ้าท์มากมาย มีสีสันในการใช้ชีวิตที่ครบจบในที่เดียว ทำไมอ่อนนุชถึงน่าอยู่ ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ตลาดอ่อนนุช, เทสโก้ โลตัส สุขุมวิท 50, บิ๊กซี อ่อนนุช, ฮาบิโตะมอลล์, พิคอะเดลี่ เดินทางง่ายใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช และเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีนุช (อนาคต) จุดเด่นสำคัญ ตลาดเช่าใหญ่ของกลุ่มชาวต่างประเทศที่มาทำงานในเมืองไทย (Expat) โดยมีชาวต่างชาติเช่าห้องชุดเพื่ออยู่อาศัยในย่านนี้สูงถึงประมาณ 70% ราคาค่าเช่าคอนโดมิเนียมสูงขึ้นถึง 10% ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา 2.อารีย์ อีกหนึ่งทำเลที่ได้รับความนิยมในการค้นหาสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ในปี 2019 คือ อารีย์ หากถามว่าทำเลนี้มีอะไรดี คงต้องบอกว่าทำเลนี้แต่เดิมเป็นทำเลขุนนางเก่า ที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด หลังจากมีรถไฟฟ้า BTS เปิดให้บริการ ทำให้ทำเลนี้กลายเป็นทำเลที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ โดยเฉพาะรูปแบบคอนโดมิเนียมที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน รวมถึงยังเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้งตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง เดินทางเชื่อมต่อสะดวก ไม่ไกลจากใจกลางเมือง และสถานีกลางบางซื่อ ทำไมอารีย์ถึงน่าอยู่ ใกล้สถานีกลางบางซื่อ เชื่อมต่อใจกลางเมือง-ปริมณฑลได้สะดวก ด้วยรถไฟฟ้า BTS โดยไม่ต้องเปลี่ยนสาย จุดเด่นสำคัญ ศูนย์กลางอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ทั้งภาครัฐและเอกชน มีคนทำงานมากกว่า 6,000 คนต่อวัน 3.พระราม 9 ทำเลที่มียอดการค้นหามากเป็นอันดับที่ 3 คงหนีไม่พ้น พระราม 9 เพราะที่ผ่านมามีการพัฒนาในทำเลนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณรถไฟฟ้า MRT สถานีพระราม 9 ซึ่งมีทั้งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ขนาบข้างทั้ง 2 ฟากฝั่งถนน ได้แก่ ฟอร์จูน และเซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 ไม่ไกลกันนักก็มีทั้งเอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ รัชดาภิเษก และเดอะ สตรีท รัชดา แม้ว่าซุปเปอร์ทาวเวอร์จะพับโครงการไปแล้ว แต่ยังมีอาคารสำนักงาน และแหล่งงานขนาดใหญ่จำนวนมากในย่านนี้ และมีโครงการใหม่ ๆ รอจ่อคิวพัฒนาเป็นจำนวนมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่พระราม 9 ได้ชื่อว่าเป็นทำเลศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ หรือ New CBD โดยโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในทำเลนี้มียอดขายเฉลี่ยสูงถึงเกือบ 90% ทำไมพระราม 9 ถึงน่าอยู่ ทำเลใกล้ห้าง ใกล้แหล่งงาน ใกล้รถไฟฟ้า MRT สถานีพระราม 9 เชื่อมต่อรถไฟฟ้า BTS ได้สะดวก อนาคตจะเชื่อมต่อเป็นวงแหวนกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน-ท่าพระ และช่วงหัวลำโพง-หลักสอง จุดเด่นสำคัญ เป็นทำเลที่กลุ่มชาวจีนเข้ามาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก เพราะใกล้สถานทูตจีน ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นปีละประมาณ 10-20% ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปี 4.บางนา มาถึงอันดับที่ 4 ทำเลบางนา ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันมีการพัฒนาต่อเนื่องทั้งด้านการเดินทางที่มีรถไฟฟ้า BTS พาดผ่านช่วงบริเวณแยกบางนา และยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย จากแต่เดิมที่การพัฒนากระจุกตัวอยู่บริเวณแยกบางนา อาทิ ห้างสรรพสินค้าอย่างเซ็นทรัลพลาซา บางนา และศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา แต่ปัจจุบันการพัฒนาเริ่มกระจายตัวออกไปจากบริเวณอื่นมากขึ้น ซึ่งปัจจัยหลักมาจากห้างสรรพสินค้าใหม่อย่างอิเกีย บางนา และเมกาบางนา ส่วนรูปแบบที่อยู่อาศัยก็มีหลากหลายทั้งคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี บริเวณแนวถนนกาญจนาภิเษก ทำไมบางนาถึงน่าอยู่ มีตัวเลือกการเดินทางที่หลากหลายทั้งถนนบางนา-ตราด และสุขุมวิท ใกล้ทางด่วนอย่างทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษบูรพาวิถี และถนนกาญจนาภิเษก และใกล้รถไฟฟ้า BTS จุดเด่นสำคัญ อนาคตบริเวณแยกบางนาจะมีโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ของเดอะมอลล์กรุ๊ปอย่างแบงค็อกมอลล์ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ทำเลนี้เติบโตเพิ่มขึ้นไปอีก บางนา เป็นเพียงไม่กี่ทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีราคาอสังหาฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดปี 2019 5.สะพานควาย มาถึงทำเลสุดท้าย ไม่ไกล้ ไม่ไกล ยังอยู่ในแนวรถไฟฟ้า BTS คือทำเลสะพานควาย ทำเลนี้เป็นทำเลก่อนหน้าจตุจักรเพียง 1 สถานี จึงเชื่อมต่อสถานีกลางบางซื่อได้ไม่ยาก เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS สถานีสะพานควาย โดยปัจจุบันเป็นแหล่งงานสำคัญอีกแห่งหนึ่ง เชื่อมต่อกับถนนวิภาวดีรังสิต และรัชดาภิเษกได้สะดวก และใช้ถนนพหลโยธินเดินทางได้สะดวกเช่นกัน มีตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร Co-working space และแหล่งแฮงก์เอ้าท์มากมาย ทำไมสะพานควายถึงน่าอยู่ ใกล้รถไฟฟ้า ใกล้สถานีกลางบางซื่อ มีแหล่งแฮงก์เอ้าท์ ร้านค้า ร้านอาหาร จำนวนมาก และใกล้สวนจตุจักร จุดเด่นสำคัญ ใกล้สวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่างอุทยานจตุจักร มีเนื้อที่ประมาณ 727 ไร่ อนาคตจะมีโครงการมิกซ์ยูสเกิดขึ้น ซึ่งมีทั้งอาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และโรงแรม รถไฟฟ้า ผลักดันทำเลฮอต จะเห็นได้ว่าทำเลที่มียอดค้นหามากที่สุดทั้ง 5 อันดับ ล้วนแล้วแต่เป็นทำเลในแนวรถไฟฟ้าทั้งสิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความต้องการของผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่ไม่ว่าซื้อหรือเช่านั้น มองเรื่องทำเลเป็นสำคัญสอดคล้องกับผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ (DDproperty Consumer Sentiment Survey) รอบล่าสุด ที่ระบุว่าทำเลยังเป็นปัจจัยหลักที่ผู้เลือกซื้อที่อยู่อาศัยให้ความสำคัญ เชื่อว่าในอนาคตเมื่อกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีเส้นทางรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกหลายสาย จะยิ่งทำให้เห็นภาพการเลือกที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคกระจายตัวออกไปสู่เส้นทางสายต่าง ๆ มากขึ้น   โดยพบว่า 1 ใน 3 ของผู้ที่ตอบแบบสอบถาม หรือ 32% มองว่าระยะทาง 400-500 เมตร จากที่พักอาศัยถึงระบบขนส่งสาธารณะ เป็นระยะห่างที่ยอมรับได้   นอกจากนี้ยังพบว่า ระยะทางจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ ได้แก่ 60% ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ 51% ใกล้สถานที่ทำงาน 34% ใกล้จากแหล่งช้อปปิ้ง 33% ใกล้สถานพยาบาล   ขณะเดียวกันยังพบว่า 35% ของผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสนใจกับการซื้ออสังหาฯ ในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ เนื่องจากราคาที่ดินและอสังหาฯ ในบริเวณดังกล่าวยังมีราคาไม่สูงมากนัก รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้าหลายสายที่ใกล้เปิดใช้บริการและอยู่ในระหว่างการก่อสร้างหลายเส้นทางทำให้การเดินทางเชื่อมต่อจากเขตกรุงเทพฯ รอบนอก เข้าสู่ใจกลางเมืองได้สะดวกเช่นกัน   รองลงมาจำนวน 16% ให้ความสนใจในทำเลรัชดา ลาดพร้าว พระราม 9 และอีก 15% ยังเทใจให้กับพื้นที่สุขุมวิทชั้นใน ขณะที่ทำเลสุขุมวิทรอบนอก อย่าง บางนา แบริ่ง และย่านอารีย์กับพหลโยธิน ได้รับความสนใจในจำนวน 11% เท่ากัน อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง เปิดทำเลฮอต !! คอนโดฯ ที่จะออกสู่ตลาดกว่า 20,000 ยูนิตในไตรมาส 3 ที่ดิน 4 ทำเลฮอตราคาพุ่ง 20-30%
รีวิวบ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน พร้อมนวัตกรรม บ้านอัจฉริยะ “เดอะรูท จตุจักร–รัชดา”

รีวิวบ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน พร้อมนวัตกรรม บ้านอัจฉริยะ “เดอะรูท จตุจักร–รัชดา”

รีวิวบ้านเดี่ยว สุดหรู 4 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ ดีไซน์ใหม่ Modern Luxury Style ที่มีให้ครบทุกฟังก์ชั่น ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมบ้านอัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็นระบบความปลอดภัย 4 ระดับ และ Application บนสมาร์ทโฟน ที่จะมาควบคุมระบบภายในบ้าน อาทิ ระบบไฟ สั่งการเปิด/ปิด อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า วัดปริมาณการใช้ไฟ ตรวจสอบ และรายงานความปลอดภัยทุกความเคลื่อนไหวภายในบ้านตลอด 24 ชั่วโมง และระบบรดน้ำต้นไม้อัจฉริยะ รวมถึงดูแลหลังการขาย 24 ชม. ชื่อโครงการ The Root Chatuchak-Ratchada (เดอะรูท จตุจักร–รัชดา) เจ้าของโครงการ บริษัท จี แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่ตั้งโครงการ 230/145 ลาดพร้าว แยก 31 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 พื้นที่โครงการ 0-1-2.355 ไร่ ลักษณะโครงการ บ้านเดี่ยว 4 ชั้น  จำนวนหลัง 2 ยูนิต  ขนาดที่ดิน 50.9 ตร.วา  พื้นที่ใช้สอย 450 ตร.ม. แบบบ้าน 4 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 1 ห้องแม่บ้าน 5 ที่จอดรถ ห้องรับรองแขก ครัวไทย ห้องนั่งเล่น ห้องทานข้าว Pantry และ บันไดหนีไฟ สิ่งอำนวยความสะดวก มีลิฟท์ สระว่ายน้ำส่วนตัว มีระบบความปลอดภัยถึง 4 ระดับ Outdoor Camera กล้องวงจรปิดรอบตัวบ้าน 5 ตัว Motion Sensor ตรวจจับความเคลื่อนไหวรอบทิศทาง Door / Windows Sensor เมื่อมีผู้บุกรุกพยายามเข้ามาในตัวบ้าน Siren จะดังแจ้งเตือนทันที Indoor Camera Motion Snapshot ทุกชั้นภายในบ้านถ่ายรูปทันทีเมื่อมีความเคลื่อนไหว ราคาเริ่มต้น 25.9 ล้านบาท จุดเด่นโครงการ บ้านเดี่ยวทำเลใจกลางเมือง ในดีไซน์ใหม่ Modern Luxury Style ที่มีให้ครบทุกฟังก์ชั่น พร้อมนวัตกรรมบ้านอัจฉริยะ สามารถเข้า-ออกได้หลากหลายเส้นทาง ทั้งจากถ.รัชดาภิเษก ถ.พหลโยธิน และถ.ลาดพร้าว ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีลาดพร้าว รถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีพหลโยธิน 24 และรถไฟฟ้าสายสีเหลืองส่วนต่อขยาย จุดขึ้น-ลงทางด่วน ทางยกระดับอุตราภิมุข (โทลล์เวย์) ทางด่วนศรีรัช สถานที่ใกล้เคียง Big C, Tesco Lotus, เซ็นทรัลลาดพร้าว, ยูเนี่ยน มอลล์, เมเจอร์รัชโยธิน, ตลาด อตก., สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ, สวนจตุจักร, สวนรถไฟ รีวิวบ้านเดี่ยว "เดอะรูท จตุจักร–รัชดา" 4 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ ภาพรีวิวบ้านเดี่ยว โครงการ "เดอะรูท จตุจักร–รัชดา" สระว่ายน้ำส่วนตัว ภายในบ้าน อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ The Root Chatuchak-Ratchada อ่านรีวิวบ้านเดี่ยว โครงการอื่นๆ Atelier Residence รีวิวบ้านเดี่ยว ทาวน์อินทาวน์  IDEN Sukhumvit 101 บ้านแฝด สุขุมวิท Private Nirvana THROUGH Ekamai-Raminthra รีวิวบ้าน เลียบด่วนรามอินทรา The Glamor Ekkamai-Pradit Manutham รีวิวบ้านเดี่ยว ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม  
โปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนธันวาคม(2) 2562

โปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนธันวาคม(2) 2562

โปรโมชั่นบ้าน-คอนโด แบบโค้งสุดท้าย และท้ายสุดจริงๆ ค่ะ สำหรับปีนี้ ลองไปเลือกชมกันเลยค่ะ Pruksa 5 Government เรื่องบ้านเรื่องง่าย กับ 5 มาตรการพิเศษ ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษจากพฤกษาง่ายๆ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ คอนโด ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด รวม 101 โครงการ - ลดค่าธรรมเนียมการโอน-จดจำนอง เหลือ 0.01% สำหรับโครงการพร้อมอยู่ ราคาไม่เกิน 3 ล้าน เริ่มวันที่ 1 พ.ย. 62-24 ธ.ค. 63 - โครงการบ้านดีมีดาวน์ รัฐช่วยผ่อนดาวน์ 50,000 บาท สำหรับบ้านใหม่ เริ่มวันที่ 23 พ.ย. 62-31 มี.ค. 63 - มาตรการลดหย่อยภาษี สูงสุด 200,000 บาท สำหรับบ้านหลังแรกไม่เกิน 5 ล้านบาท เริ่มวันที่ 30 เม.ย. 62-31 ธ.ค. 62 - โครงการบ้านในฝันรับปีใหม่ กู้สินเชื่อที่ธอส. ดอกเบี้ยคงที่ 2.5% 3 ปี ฟรีค่าโอน ค่าจดจำนอง เฉพาะบ้านใหม่ ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เริ่มวันที่ 11 พ.ย. 62-31 ธ.ค. 62 -  สินเชื่อบ้านกับธนาคารออมสิน ผ่อนต่ำล้านละ 10 บาทในปีแรก ผ่อนนานสูงสุด 40 ปี เริ่มวันที่ 1 ธ.ค. 62-15 พ.ค. 63 รวมบ้านแลนด์ไม่เกิน 3 ล้านบาท บ้านแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ราคาไม่เกิน 3 ล้าน 8 โครงการคุณภาพ รับสิทธิ์คุ้มกว่ามาตรการรัฐ เมื่อจองและโอนก่อน 30 ธ.ค. นี้ Villaggio บางนา, indy 2 ศรีนครินทร์, indy ประชาอุทิศ 90 (3), indy บางใหญ่ (2), indy รังสิต-คลอง 2, Villaggio ศรีนครินทร์-บางนา, Villaggio เพชรเกษม-สาย 4, indy อยุธยา รัฐฯ ให้มา เพอร์เฟคให้เพิ่ม ซื้อบ้าน ทาวน์โฮม คอนโด เพิ่มเติมจากมาตรการรัฐ รับเงินคืนสูงสุด 150,000 บาท ตั้งแต่วันนี้-27 ธ.ค. 62 เท่านั้น   ORIGIN Big Bonus Deal เคนซิงตัน ระยอง 30 ยูนิต สุดท้าย ลด 200,000 บาท และนอตติ้ง ฮิลล์ ระยอง ราคาเริ่ม 1.79 ลบ.* บนอาณาจักร Origin Smart City Rayong บนพื้นที่ EEC Zone แยกเนินสำลี จ.ระยอง จองภายใน 25 ธ.ค. 62 JSP โปรดี ฟรีจัดเต็ม บ้านจาก JSP ทุกโครงการ หลากหลายทำเล อาทิ รังสิต, แพรกษา, เพชรเกษม, กัลปพฤกษ์, บางปู, รัตนาธิเบศร์, บางปะกง, ศรีราชา ลดราคาพิเศษสูงสุด 1 ล้านบาท เริ่มต้นเพียง 790,000 บาท Assetwise Final Deal  โครงการ โมดิซ คอลเลคชั่น บางโพ คอนโดมิเนียม 26 ชั้น วิวแม่น้ำเจ้าพระยาที่เปิดกว้างแบบ Panoramic View ใกล้รถไฟฟ้า สถานีบางโพ ราคาเริ่มต้น 3.29 ล้านบาท จัดโปรแรงส่งท้ายปี ฟรี! แพคเกจเที่ยวฝรั่งเศส Year End Shock Price ลดต่ำกว่าทุนส่งท้ายปี คอนโดฯ ราคาพิเศษ ลดต่ำกว่าทุนส่งท้ายปี ราคาเริ่มต้นที่ 2.79 ล้านบาท ตั้งแต่วันนี้-31 ธ.ค. 62 ทั้งหมด 10 โครงการ - Life Asoke Rama9 - Life Asoke Hype - Life Sukhumvit 62 - Knightbridge Prime Sathorn - Life One Wireless - Noble BE 19 - Ideo Q Victory - The Address Siam-Ratchathewi - LAVIQ Sukhumvit 57 - 28 Chidlom รายละเอียดเพิ่มเติม Pruksa  Property Perfect LH Origin Kensington Rayong Origin Notting Hill Rayong JSP Assetwise bkk citismart         
บทสรุปตลาดบ้าน+คอนโดฯ หลังมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ดีสุดตลาดไม่ติดลบ

บทสรุปตลาดบ้าน+คอนโดฯ หลังมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ดีสุดตลาดไม่ติดลบ

REIC ชี้ตลาดอสังหาฯ​ หลังมาตรการรัฐ กระตุ้นธุรกิจ ช่วยพยุงตลาดติดลบน้อยลง มองบวกหากฟื้นตัวทำดีได้เท่าปีที่ผ่านมา ขณะที่แนวโน้มปี 2563 คาดการณ์โตได้ไม่เกิน 5%   ดร.วิชัย  วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยปีในปี 2562 คาดว่าจะจะทำให้จำนวนยูนิตเปิดใหม่ลดลง 0.6% และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศน่าจะลดลง 2.2% เทียบกับปี 2561 จากเดิมที่ประเมินสถานการณ์ไว้ก่อนหน้าว่าจะติดลบถึง 7.7% และ 2.7% ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่บวกภาพรวมในปีนี้อาจจะไม่ติดลบเลยก็ได้   การประเมินสถานการณ์ดังกล่าว ทางศูนย์ข้อมูลฯ ได้นำตัวแปรสำคัญที่ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในไตรมาส 4 ปี 2562 คือ   มาตรการที่รัฐบาลออกมา สนับสนุนการซื้อที่อยู่อาศัยให้ครอบคลุมกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางมากขึ้น โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าธรรมเนียมการจดจำนองเหลือ 0.01% ครอบคลุมถึงบ้านในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่ออกมาวันที่ 22 ตุลาคม  2562 และโครงการ “บ้านดีมีดาวน์” ซึ่งให้การสนับสนุนเงินดาวน์ 50,000 บาท แก่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัย   โดยตั้งแต่ออกมาตรการมากระตุ้นตลาดอสังหาฯ พบว่าได้ช่วยให้เกิดการดูดซับบ้านและคอนโดมิเนียมในตลาดได้อย่างดี  คาดว่าในครึ่งหลังของปี 2562 จะมีขายบ้านใหม่ได้ประมาณ 71,000 ยูนิต และในปี 2563 จะมีการขายบ้านใหม่ได้ถึงประมาณ 166,000 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงประมาณ 20% ในแต่ละครึ่งปี และส่งผลให้จำนวนที่อยู่อาศัยในตลาดปีหน้าลดลงถึง 10% ในแต่ละครึ่งปี เมื่อเทียบกับการที่ไม่มีมาตรการ   ปี’63 ตลาดขยายตัวไม่เกิน 5%   สำหรับทิศทางตลาด ปี 2563 หลังมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ คาดว่า ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสำคัญ คือ อัตราดอกเบี้ยขาลง และ มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล  ที่ต่อเนื่องจากปลายปีนี้  แต่อาจจะมีการขยายตัวไม่เกิน 5% และโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ จะมีการเปิดตัวต่อเนื่อง  ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนใกล้เคียงกับยอดการเปิดตัวในปี 2562   “ผู้ประกอบการยังต้องให้ความสำคัญ กับการบริหารสินค้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จรอการขาย เพื่อไม่ให้มีสินค้าค้างอยู่มากเกินไป และยังต้องระมัดระวังการเปิดตัวโครงการใหม่ ที่มากจนตลาดไม่สามารถดูดซับไม่ทัน เพราะแม้ว่ากำลังซื้อจะมี แต่มีอยู่ไม่มากเมื่อเทียบกับ 2 ปีก่อน”     อสังหาฯ กทม.-ปริมณฑล สต็อกลด 6.7%   สำหรับสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ​ และปริมณฑล  ข้อมูลถึงสิ้นปี 2561 พบว่า มีที่อยู่อาศัยเหลือขายสะสมจำนวน 153,895 ยูนิต มูลค่า 651,293 ล้านบาท แบ่งออกเป็น โครงการบ้านจัดสรร 87,263 ยูนิต มูลค่า 393,996 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม  66,632 ยูนิต มูลค่า 257,297 ล้านบาท  จำนวนยูนิตเหลือขายคอนโดฯ ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ มากถึง 67.8% ส่วนจังหวัดปริมณฑล 5 จังหวัดมีสัดส่วนรวมกันเพียง 32.2% ของยูนิตเหลือขายทั้งหมด   ศูนย์ข้อมูลฯ ประเมินว่า จำนวนยูนิตเหลือขายในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล  ถึงสิ้นปี 2562 มีประมาณ 149,000 ยูนิต และคาดว่าถึงสิ้นปี 2563 จะมีประมาณ 139,000 ยูนิต ลดลงจากปี 2562 ในอัตรา 6.7% การคาดการณ์ดังกล่าวเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ซึ่งคาดว่าจะทำให้มีการเร่งโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยที่สร้างใหม่ และจะช่วยให้จำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายสะสมในตลาดถูกดูดซับออกไป   จนสามารถปรับสมดุลให้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 138,720 ยูนิตได้   ต่างจังหวัดเร่งโอนบ้าน+คอนโดฯ สต็อกลด 20%   สำหรับตลาดอสังหาฯ ในภูมิภาคพื้นที่ 20 จังหวัดหลัก ศูนย์ข้อมูลฯ ได้ทำการสำรวจเป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกปี ปีละ 2 รอบ ได้แก่ ประกอบด้วย ภาคตะวันออก มี 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ภาคใต้ มี 4 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต สงขลา นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี ภาคเหนือ มี 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ตาก และพิษณุโลก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี 5 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี อุดรธานี และมหาสารคาม  ภาคกลาง มี 2 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา และสระบุรี  ภาคตะวันตก มี 2 จังหวัด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี โดยประเมินสถานการณ์ว่าถึงสิ้นปี 2562  หลังมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ จะมีจำนวนยูนิตเหลือขายประมาณ 109,000 ยูนิต และถึงสิ้นปี 2563 คาดว่าจะมีประมาณ 87,000 ยูนิต ลดลง 20.1% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2562 ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ของรัฐบาลเช่นกัน  ซึ่งจะมีการดูดซับที่อยู่อาศัยเหลือขายในตลาดออกไป จนสามารถปรับสมดุลให้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่มีจำนวนเหลือขายเฉลี่ย 106,790 ยูนิตได้            
โปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เลือกอย่างไรให้คุ้ม

โปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เลือกอย่างไรให้คุ้ม

ปลายปีอย่างนี้ ถือเป็นช่วงนาทีทองของแทบทุกสินค้าไม่เว้นแม้แต่บ้านและคอนโดกระหน่ำอัดโปรโมชั่น โดยเฉพาะโครงการพร้อมอยู่ทั้งหลายที่ยังคงค้างสต็อก ซึ่งแต่ละโปรโมชั่นที่ออกมาก็ชวนให้เราเคลิ้มตาม แต่แคมเปญแบบไหนที่จะตรงตามความต้องการของเรามากที่สุด ที่สำคัญต้องคุ้มค่ากับเงินก้อนโตนี้ มาดูกันครับว่าในตลาดปัจจุบันมีโปรโมชั่นไหนออกมาบ้าง มีข้อสังเกตอะไรที่ต้องดูกันดีๆ Pre Sale ราคาพิเศษ โปรโมชั่นลดราคาพิเศษ เข้าใจง่ายๆ ตรงตัวเลยครับ ส่วนใหญ่การลดราคาพิเศษลักษณะนี้จะมาในวัน Pre Sale นั่นคือวันเปิดให้จองเป็นครั้งแรก ซึ่งภายในงานก็จะมียูนิตราคาพิเศษ อาจจะมีของแถมเป็นสมาร์ทโฟนตัวท็อปรุ่นล่าสุด เมื่อทำตามเงื่อนไข เช่น จอง+ทำสัญญา ภายในวันนั้น แต่สำหรับบางโครงการแล้ว ยูนิตราคาพิเศษที่โฆษณาเอาไว้อาจจะมีเพียงไม่กี่ยูนิต และเป็นยูนิตในตำแหน่งที่ไม่ได้ดีนัก ส่วนใหญ่จะใช้การจับฉลากห้องราคาพิเศษ ก็ต้องไปลุ้นเอาหน้างานอีกทีครับ ผ่อน 0% โปรโมชั่นผ่อน 0% ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไปเกือบทุกสินค้าก็ว่าได้ โดยการผ่อน 0% นั้นคือการผ่อนแบบไม่มีดอกเบี้ยนั่นเอง แต่ละงวดเราก็จะจ่ายแค่เงินต้นเท่านั้น แต่สำหรับโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด ต้องดูเงื่อนไขว่าการผ่อนแบบนี้มีกำหนดระยะเวลานานเท่าไร เช่น ผ่อน 0% 6 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งดอกเบี้ยส่วนนี้โครงการจะเป็นคนจ่ายแทนเรา ฉะนั้นลองคำนวณดูว่าดอกเบี้ยที่ทางโครงการจ่ายแทนเราเป็นเงินเท่าไร ก็จะเท่ากับประหยัดค่าใช้จ่ายได้เท่านั้น ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน เมื่อเราวางเงินจอง ทำสัญญาไปแล้วเรียบร้อย ก็รอให้ถึงวันโอนกรรมสิทธิ์ที่เราจะได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยนั้นจริงๆ ซึ่งวันโอนนั้นไม่ใช่แค่เซ็นเอกสารเท่านั้น แต่จะมีค่าใช้จ่ายยิบย่อยมากมาย เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน, ค่าอากรแสตมป์, ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย, ค่าประกันมิเตอร์น้ำ-มิเตอร์ไฟฟ้า, ค่าจดจำนอง, ค่าส่วนกลางล่วงหน้า, ค่ากองทุน เป็นต้น ซึ่งรวมแล้วก็หลายหมื่นบาทไปจนถึงหลักแสนบาท แต่สำหรับโปรโมชั่นฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนก็หมายความว่า ค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ก้อนนี้เราก็ไม่ต้องจ่ายเลยครับ อยู่ฟรี ถ้าเห็นโปรโมชั่นนี้ผ่านๆ ก็น่าสนใจทีเดียวใช่ไหมล่ะครับ เข้าอยู่แบบฟรีๆ โดยที่ไม่ต้องผ่อน กี่ปีก็แล้วแต่โปรโมชั่น แต่ในความเป็นจริงคือ เราก็กู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยกับทางธนาคารปกติ จ่ายค่าจอง, ทำสัญญา, วันโอนกรรมสิทธิ์ตามปกติ แต่เมื่อถึงเวลาต้องผ่อน เราสามารถเลือกที่จะไม่ผ่อนตามระยะเวลาโปรโมชั่น 1-3 ปี ได้ ซึ่งช่วงเวลานี้จะมีดอกเบี้ย 0% แต่พอหลังหมดโปรโมชั่นเมื่อไร ดอกเบี้ยในปีที่ต้องเริ่มผ่อนก็จะพุ่งขึ้นมากกว่าปกติ ฉะนั้นแนะนำว่าให้ผ่อนตามปกติตั้งแต่งวดแรกเลยจะดีกว่าครับ เพราะดอกเบี้ย 0% ถือเป็นช่วงกอบโกยได้ดีทีเดียว การันตีผลตอบแทน เป็นโปรโมชั่นคอนโด ที่เหมาะสำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะครับ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยเช่าการรันตี Rental Yield หรือ Capital Gain ในอนาคต นักลงทุนมือใหม่ควรจะพิจารณาโปรโมชั่นนี้ให้ดีครับว่าทางโครงการการันตีในอัตราเท่าไร กี่ปี มีการจ่ายอย่างไร อย่าลืมนึกถึงปล่อยเช่าเองหลังหมดการันตีแล้ว ด้วยการมองอนาคตต่อไปสัก 5 ปี ทั้งในแง่ของทำเลที่ตั้ง สเปคห้อง ดีมานท์บริเวณนั้น เปรียบเทียบกับคู่แข่งโครงการอื่นในย่านเดียวกัน   โปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เหล่านี้เราสามารถเห็นได้บ่อยจากหลาย Developer แถมออกมากันทุกปี ยิ่งช่วงปลายปีและช่วงเศรษฐกิจซบเซาเช่นนี้ก็ยิ่งเร่งอัดโปรโมชั่นให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกเยอะขึ้น ก็ลองพิจารณากันดูดีๆ นะครับ ว่าอะไรที่เหมาะกับเรา จะได้ประหยัดเงินในกระเป๋าเราได้จริงๆ โปรโมชั่นบ้านและคอนโดในช่วงเดือนธันวาคม 2562 พฤกษา SC Asset Sansiri AP Ananda Origin  
รีวิวบ้านเดี่ยว ลำลูกกา “เสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6” ฟรี โซล่าเซลล์  พลังงานแสงอาทิตย์

รีวิวบ้านเดี่ยว ลำลูกกา “เสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6” ฟรี โซล่าเซลล์ พลังงานแสงอาทิตย์

บ้านเดี่ยว ลำลูกกา จาก Sena ตามแนวคิด "ความสุขครบทุกองศา ด้วยบ้านพลังงานโซลาร์" ใช้วัสดุคุณภาพเทียบเท่าบ้านระดับราคาหลักสิบล้านบาท อาทิ ใช้พื้นไม้ปาร์เก้ทั้งหลัง บ้านก่อด้วยอิฐแดงทั้งหลัง ติดตั้งโซลาร์ให้ทุกหลัง เพื่อประหยัดพลังงานและประหยัดค่าไฟได้ในระยะยาว ส่วนกลางออกแบบมารองรับได้ทั้ง 3 Generation ทั้งสวนสีเขียว Club House สระว่ายน้ำ และฟิตเนส และยังติดตั้งโซลาร์สำหรับส่วนกลาง ทำให้ค่าส่วนกลางลดลงกว่าปกติ อุ่นใจด้วยระบบรักษาความปลอดภัย 4 ชั้น พร้อมปุ่มฉุกเฉิน SOS ตลอด 24 ชม. ชื่อโครงการ Sena Ville Lamlukka Klong 6 (เสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6) เจ้าของโครงการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งโครงการ ซ.บึงคำพรอย ต.บึงคำพรอย อ.ลำลูกกา ปทุมธานี พื้นที่โครงการ 32-0-85 ไร่ ลักษณะโครงการ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น  จำนวนหลัง 202 ยูนิต ขนาดที่ดิน 36 ตร.วา  พื้นที่ใช้สอย 138 - 190 ตร.ม. แบบบ้าน  Type A บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 168 ตร.ม. Type B บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 190 ตร.ม. Type C บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 140 ตร.ม.   OZONE บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 142 ตร.ม.   ORIGIN บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 167 ตร.ม.   ORIANA บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 151 ตร.ม.   สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง Club House, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, สวน, โซลาร์, เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชม., CCTV ปีที่สร้างเสร็จ 2563 ราคาเริ่มต้น 4-6 ล้านบาท จุดเด่นโครงการ บ้านก่อด้วยอิฐแดงทั้งหลัง พื้นไม้ปาร์เก้ จุดขึ้น-ลงทางด่วน ถ.กาญจนาภิเษก, ทางด่วนฉลองรัช  สถานที่ใกล้เคียง บิ๊กซี ลำลูกกา-คลอง 5, โฮมโปร ลำลูกกา-คลอง 5, โลตัส, โรงพยาบาลสินแพทย์ ลำลูกกา, โรงเรียนไตรพัฒน์ ภาพบ้านเดี่ยว ลำลูกกา โครงการ "เสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6" Type A Type B Type C OZONE ORIGIN ORIANA ข้อมูลเพิ่มเติม บ้านเดี่ยว ลำลูกกา "เสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6" เสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6 โครงการอื่นๆ จาก SENA เสนา แกรนด์โฮม รังสิต-ติวานนท์ เสนาพาร์คแกรนด์ รามอินทรา เสนา อีโคทาวน์ รามอินทรา-วงแหวน
หนาวแล้วได้เวลาตรวจเช็คบ้าน 5 จุดสำคัญ

หนาวแล้วได้เวลาตรวจเช็คบ้าน 5 จุดสำคัญ

ตอนนี้ คนไทยได้สัมผัสอากาศหนาวกันทั่วหน้า ไม่เว้นแต่กรุงเทพฯ โดยเฉพาะในช่วงเช้าๆ ได้สัมผัสกับบรรยากาศของฤดูหนาว แต่ก็ไม่รู้ว่าบรรยากาศแบบนี้จะอยู่คู่คนกรุงเทพฯ ได้นานกี่วัน ได้แต่ลุ้นให้อากาศหนาวไปนานๆ เพื่อให้สมกับได้ขึ้นชื่อว่าเป็นฤดูหนาวกับเขาบ้าง   จะว่าไปข้อดีของฤดูหนาวนอกจากทำให้เราได้สัมผัสกับอากาศเย็นสบายๆ แล้ว ในช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะกับการตรวจสอบ และปรับปรุงซ่อมแซมบ้านที่ชำรุด หรือจะต่อเติมบ้านมากที่สุด โดยเฉพาะการทาสีบ้านใหม่เพราะความชื้นในอากาศน้อยกว่าช่วงอื่นๆ ทำให้สีแห้งเร็ว   ไม่เพียงแต่เรื่องของการซ่อมแซม หรือต่อเติมบ้านแล้ว สิ่งสำคัญที่เจ้าของบ้านควรทำ คือ การตรวจสอบรายละเอียดเล็กๆ แต่สำคัญ เช่น การตรวจสอบมิเตอร์ไฟ ว่ามีกระแสไฟรั่วหรือไม่ ตรวจสอบท่อประปาว่ามีท่อรั่วต้องรีบซ่อมแซมหรือไม่ ยิ่งเป็นช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ก็เป็นจังหวะที่เหมาะเพื่อเอาฤกษ์งามยามดี กับการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ แต่ถ้าหากจัดการเองไม่ได้ ควรหาช่างหรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเร่งดำเนินการให้การอยู่อาศัยเป็นได้อย่างราบรื่น เป็นการต้อนรับกับศักราชใหม่ที่กำลังจะมาถึง   วันนี้ ทางยิปซัมตราช้าง มาแนะนำวิธีการตรวจเช็คบ้าน ในช่วงฤดูหนาว ว่าควรจะตรวจสอบอะไรตรงไหนบ้าง ซึ่งจุดสำคัญที่เจ้าของบ้านควรตรวจสอบเบื้องต้นนั้น ก็มีอยู่ด้วยกัน 5 จุดสำคัญ  ดังนี้ 1.เช็คหลังคา แก้ปัญหารั่วซึม บ้านใครที่มีปัญหาเรื่องน้ำรั่ว น้ำซึม ในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา หน้าหนาวนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ในการซ่อมแซมหรือแก้ไขปัญหาน้ำรั่ว น้ำซึมต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา เพราะสามารถทำการซ่อมแซมได้ตลอดเวลา ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดปัญหาฝนตกขณะซ่อมแซม 2.สภาพสีภายในบ้าน ฤดูฝนที่ผ่าน นอกจากปัญหาน้ำรั่ว น้ำซึม บริเวณหลังคาแล้ว อีกปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นมากับบ้านได้ คือ ความเสียหายของผนังบ้าน จากสีลอก สีไม่สม่ำเสมอ โป่งพอง ลอกล่อนในจุดต่างๆ  ฤดูหนาวนี้ก็ถือเป็นช่วงที่เหมาะมากในการซ่อมแซมและทาสีใหม่ทั้งสีผนัง และสีฝ้าเพดานภายในบ้าน เพราะความชื่นในอากาศต่ำ สีแห้งเร็ว ไม่ต้องกังวลใจต่อสภาพอากาศชื้นเหมือนหน้าฝนที่ผ่านมา 3.ต้นไม้ หรือสนามหญ้า แม้ว่าฤดูหนาวอากาศจะเย็น แต่ความชื้นต่ำ แถมช่วงเวลากลางวัน แสงแดดจากดวงอาทิตย์ก็แรง และอากาศแล้งชื้น มีโอกาสทำให้ต้นไม้เหี่ยวเฉาได้ง่าย แถมต้นไม้ ใบไม้ที่แห้ง สามารถเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี อาจก่อให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ได้เช่นกัน เจ้าของบ้าน จึงควรหมั่นดูแลรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย และตัดกิ่งไม้ที่แห้งทิ้ง เพราะหากถูกลมพัดหักโค่นอาจทำให้เกิดความเสียหายกับหลังคา ตัวบ้าน สิ่งของ หรือเป็นอันตรายกับคนที่อยู่ภายในบ้านได้ 4.สภาพเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และถังดับเพลิง อย่างที่รู้ว่าฤดูหนาว อากาศจะแห้ง เพราะความชื้นต่ำ ทำให้เป็นฤดูที่มีโอกาสเกิดอัคคีภัยได้ง่าย ไม่ต่างจากฤดูร้อน เจ้าของบ้านจึงควรทำการตรวจสอบ ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อุปกรณ์ต่างๆ และถังดับเพลง ยังอยู่ในสภาพปรกติและพร้อมใช้งานหรือไม่ 5.การจัดระเบียบภายในบ้าน เพราะฤดูหนาวนี้เป็นช่วงที่เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยมากที่สุด ดังนั้น อะไรที่จะเป็นบ่อเกิด หรือฉนวนให้เกิดอัคคีภัย เราคงต้องให้ความสำคัญและตรวจตราอย่างละเอียด ไม่ให้เป็นจุดเกิดเพลิงไหม้ได้ รวมถึงการจัดวางสิ่งของเพื่อไม่ให้ขวางทางเดิน และกำจัดวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิง เช่น เสื้อผ้าเก่า หนังสือพิมพ์  ไม้ขีดไฟ  ซึ่งล้วนแต่เป็นแหล่งเชื้อเพลิงอย่างดีที่ทำให้ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว ต้องรีบป้องกันไว้ก่อนที่จะสายเกินแก้ ส่วนการต่อเติมบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือพื้นที่ส่วนต่างๆ ก็ถือได้ว่าเป็นจังหวะโอกาสที่ดี เพราะหมดห่วงเรื่องปัญหาฝนตก ซึ่งมักเป็นอุปสรรคสำคัญของการทำงานก่อสร้าง ยิ่งใช้วัสดุก่อสร้างสำเร็จรูป อย่างการเลือกใช้ระบบผนังยิปซัมตราช้าง มากั้นห้อง ก็ทำให้ระยะเวลาการทำงานเร็วขึ้นด้วย สำหรับผู้สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ผลิตภัณฑ์ของยิปซัมตราช้าง  ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง ยิปซัมตราช้าง
สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 1-8 ธันวาคม 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 1-8 ธันวาคม 2562

หลังจากคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการ “บ้านดีมีดาวน์”  ในวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา  ด้วยการสนับสนุนเงินแคชแบ็ค (Cash Back) เพื่อลดภาระผ่อนดาวน์ จำนวน 50,000 บาท ให้แก่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการได้     โดยลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.บ้านดีมีดาวน์.com  ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 เวลา 8.00 น. จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563  และจะต้องได้รับการอนุมัติสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินและจดจำนองตั้งแต่วันที่27 พฤศจิกายน 2562 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563   โอกาสดีๆ แบบนี้ บรรดาดีเวลลอปเปอร์ ทั้งค่ายเล็กค่ายน้อย ย่อมไม่พลาดโอกาส ใช้เป็นจังหวะที่ดีในการจัดแคมเปญการตลาด กระตุ้นยอดขาย โดยขนบ้านและคอนโดมิเนียมในสต็อกออกมาร่วมแคมเปญกันแทบทุกราย อาทิ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ขน 9 โครงการ 370 ยูนิต มูลค่า 830 ล้านบาท ทั้งบ้านและคอนโดฯ มาจัดแคมเปญร่วมกับโครงการบ้านดีมีดาวน์ และแอล.พี.เอ็น.ฯ ยังเติมเงินให้อีก 50,000 บาท (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   บริษัท มั่นคง เคหะการ จำกัด (มหาชน) ก็ขานรับนโยบาย คัดโครงการทั้งทาวน์โฮม บ้านแฝด บ้านเดี่ยว 10 โครงการ กว่า 300 ยูนิต เข้าร่วม แถมด้วยสิทธิพิเศษต่างๆ อาทิ  ฟรีค่ามิเตอร์น้ำ – มิเตอร์ไฟ, ฟรีค่าส่วนกลาง 3 ปี, เฟอร์นิเจอร์ห้องนอนใหญ่ 1 ชุด, เครื่องปรับอากาศห้องนอนใหญ่ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอีก  5 รายการ เป็นต้น (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   นอกเหนือจากความเคลื่อนไหว การจัดแคมเปญของดีเวลลอปเปอร์ กับโครงการภาครัฐแล้ว ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาวงการอสังหาริมทรัพย์ มีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง มาอัพเดทกันได้เลย   “ซิซซา” ลุยอสังหาฯ เพื่อการลงทุน การันตีผลตอบแทน 6% วินแดม โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จับมือพันธมิตร ซิซซา กรุ๊ป  รุกตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ภายใต้แบรนด์ “วินแดม แกรนด์” (Wyndham Grand) เน้นเจาะตลาดพรีเมียม ด้วยสินค้าระดับลักซูรี่ ตามหัวเมืองท่องเที่ยว พร้อมยกระดับโครงการ “วินแดม แกรนด์ ในหาน บีช ภูเก็ต”     นายอรรถนพ พันธุกำเหนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิซซา กรุ๊ป จำกัด  เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัวลง แต่อสังหาริมทรัพย์ในหัวเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ตกลับยังมีความต้องการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ รวมถึงคนไทยที่เข้ามาซื้อในลักษณะเพื่อการลงทุน จนทำให้ตลาดอสังหาฯในรูปแบบการการันตีผลตอบแทน หรือ Investment Property มีความต้องการสูงเห็นได้จากจำนวนโครงการแบบ Investment Property ที่เพิ่มมากขึ้นในจังหวัดภูเก็ต   ในระยะหลายปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการในภูเก็ตจึงหันมาพัฒนาสินค้าในลักษณะ Investment Property จำนวนมาก จนทำให้การแข่งขันสูง และซิซซา กรุ๊ป ได้เล็งเห็นทิศทางของตลาด จึงได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ WYNDHAM Hotels and Resorts ซึ่งเป็นกลุ่มโรงแรมรีสอร์ทที่มีจำนวนสาขาในเครือมากที่สุดของโลก ที่จะพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในตลาดระดับบน และโครงการล่าสุดของบริษัทก็ได้รับการยกระดับขึ้นเป็น วินแดม แกรนด์ ในหาน บีช ภูเก็ต (WYNDHAM Grand Nai Harn Beach Phuket)  (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   “ฮาบิแทท กรุ๊ป” ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน   “ฮาบิแทท กรุ๊ป” เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มุ่งเน้นทำตลาด อสังหาฯ เพื่อการลงทุน โดยมองแนวโน้มตลาดในปีหน้าว่ายัง เติบโตแต่ไม่หวือหวา ซึ่งแผนธุรกิจของบริษัทในปีหน้า ยังคงชูกลยุทธ์  "ไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์” พร้อมกับเตรียมเปิดโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน  นอกจากนั้นยังมุ่งหน้าทำตลาดในต่างประเทศ  ด้วยการผนึกพันธมิตร ลีสต์ กรุ๊ป ญี่ปุ่น รุกขยายตลาดใหม่จับลูกค้าต่างชาติเพิ่ม ทั้ง ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตะวันออกกลางและยุโรป ทดแทนตลาดจีน และฮ่องกง     นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2563 คาดว่าจะไม่เติบโตจากปีนี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562  ซึ่งไม่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจ และค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทำให้กำลังซื้อได้รับผลกระทบ ขณะที่ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธนาคารยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากกว่าระดับปกติ และยังมีปัจจัยเรื่องนโยบายการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV)   แม้จะมีปัจจัยบวกอยู่บ้างจากการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นตลาด ประกาศลดค่าธรรมเนียมการโอน และการจดจำนองให้เหลือเพียง 0.01% ของราคาประเมินไปจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563 และยังมีโครงการบ้านดีมีดาวน์ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ แต่ภาพรวมตลาดอสังหาฯ น่าจะอยู่ในภาวะทรงตัว หรือใกล้เคียงกับปี 2562 (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   เสนาฯ​ เลื่อน9โปรเจ็กต์หมื่นล้านเปิดตัวปี63 ปีนี้สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ไม่เอื้ออำนวยให้ดีเวลลอปเปอร์รุกตลาดมากนัก จากช่วงต้นปีที่ได้ประกาศธุรกิจ พอเอาเข้าจริงกลับไม่เป็นไปตามแผน หลายๆ บริษัทปรับแผนธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดในปัจจุบัน อย่างเสนาฯ เลื่อน 9 โปรเจ็กต์ มูลค่านับหมื่นล้านไปเปิดตัวใหม่ในปีหน้า   แม้ว่า 3 ไตรมาสแรกของปี ยังโกยรายได้และกำไรเติบโต  ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่วนในไตรมาสสุดท้ายได้เปิดตัว 3 โครงการแนวราบ–แนวสูง เพื่อผลักดันยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้     นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้อำนวยการ สายงานจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA  เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4 บริษัทมีแผนการเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการทั้งโครงการบ้านและคอนโดมิเนียม  รวมมูลค่าโครงการราว 2,977 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ เสนา แกรนด์ โฮม รามอินทรา กม. 8 ม, โครงการเสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6 และล่าสุด เปิดโครงการเสนา- อาศุ พระราม 9  คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ ซึ่งทั้งหมดได้เปิดขายแล้ว   สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ บริษัทวางแผนเปิดโครงการทั้งหมด 20 โครงการ รวมมูลค่า 18,779 ล้านบาท แต่จากสถานการณ์อสังหาฯ ที่ชะลอตัว และปัจจัยลบต่างๆ ทำให้บริษัทต้องบริษัทได้เลื่อนการเปิดโครงการใหม่ไปในปีหน้า ซึ่งช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ได้เปิดตัวโครงการใหม่แล้ว 8 โครงการมูลค่า 5,411 ล้านบาท และเลื่อนเปิดตัวโครงการใหม่ 9  โครงการในปี 2563 มูลค่า 10,391 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีที่ดินเตรียมพร้อมการพัฒนาไว้ทั้งหมดแล้ว (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   แมกโนเลียฯ จับมือ ททท.-RSTA จัดงานแสดงแสงสีเสียง   เข้าสู่ช่วงโค้งท้ายของปีแล้ว ตอนนี้สถานที่หลายแห่งเริ่มเตรียมพื้นที่เฉลิมฉลอง รับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันแล้ว อย่างแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น หรือ MQDC ได้จับมือกับ ททท. และสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ จัดงาน “Beautiful Bangkok 2020” งานแสดงแสงสีเสียงบริเวณอาคาร โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ซึ่งเตรียมเปิดแสดงรอบปฐมฤกษ์วันที่ 16 ธันวาคมนี้     นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA)  เตรียมประกาศความพร้อมการจัดงาน “Beautiful Bangkok 2020” การแสดงแสงสีเสียง ด้วยการเนรมิตอาคารโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ให้สวยงาม   โดยในปีนี้ใช้ชื่อการแสดงว่า “Beautiful Bangkok 2020: A Blossom of Happiness” ซึ่งมาพร้อมกับกิจกรรมอีกมากมาย บริเวณลานหน้าโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี  โดยจะเปิดการแสดงรอบปฐมฤกษ์วันที่ 16 ธันวาคม 2562 นี้ และจัดต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 (อ่านข่าวเพิ่มเติม)