Tag : Home

816 ผลลัพธ์
พลัสฯ แนะ 5 วิธี ดีเวลอปเปอร์หน้าใหม่ รับมือวิกฤตอสังหาฯ  

พลัสฯ แนะ 5 วิธี ดีเวลอปเปอร์หน้าใหม่ รับมือวิกฤตอสังหาฯ  

แม้ว่ารัฐบาลจะดีเดย์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการออกมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนจากเดิม 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนจดจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งมีผลใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพราะช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า เกิดวิกฤตอสังหาฯ​ ไม่น้อยเลยจากปัจจัยลบต่างๆ   แต่ด้วยระยะเวลาที่ธุรกิจอสังหาฯ ต้องเผชิญกับความยากลำบาก  เป็นวิกฤตอสังหาฯ จากผลกระทบของมาตรการ LTV เศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ที่ต่อเนื่องยาวนานกว่า ขณะที่ผลบวกจากมาตรการที่จะใช้ในปีนี้เหลือระยะเวลาแค่ 2 เดือนเท่านั้น ขณะที่ วิกฤตอสังหาฯ ดูเหมือนว่าปัจจัยลบยังต่อเนื่องยาวนานไปจนถึงปีหน้าด้วย เพราะภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเป็นปกติ   5 วิธีรับมือ วิกฤตอสังหาฯ   บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในฐานะที่ดำเนินธุรกิจบริหารงานขายมานานกว่า 20 ปี พลัสฯ ได้ให้คำแนะนำกับผู้ประกอบการหน้าใหม่  เพื่อรับมือกับปัญหาและปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น  กับคำแนะนำ 5 วิธี ปรับตัว รับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น ได้แก่   1.คอยติดตามสถานการณ์ตลาดและข่าวสารอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจครั้งนี้เป็นการชะลอตัวในหลายประเทศ จึงอาจกระทบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคทั่วโลก หากผู้ประกอบการรายใดมีเป้าหมายเน้นกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ก็จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ประเทศที่เป็นกลุ่มลูกค้าอย่างใกล้ชิดว่ากำลังซื้อยังดีหรือไม่ 2.หา Demand เฉพาะในแต่ละพื้นที่ และลงทุนให้เหมาะกับขนาดตลาดหรือความต้องการที่มี เมื่อสถานการณ์ของตลาดนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (Investor) ได้รับผลกระทบจากการควบคุมการปล่อยสินเชื่อของภาครัฐฯ   การศึกษากลุ่มที่เป็นผู้อยู่อาศัยจริง (Real Demand) ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ควรสำรวจตลาดโดยเฉพาะเรื่องยอดขายของโครงการในบริเวณนั้นๆ และจำนวนยูนิตเหลือขาย  ตลาดที่อยู่อาศัยยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง หากพัฒนาสินค้าให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายในทำเลนั้นๆ จึงต้องศึกษาและวิจัยตลาดอย่างละเอียดและตั้งราคาที่สมเหตุสมผล   3.ความรู้เกี่ยวกับตลาดและทำเลต้องแน่น ทำเลที่ตั้งของโครงการเป็นสิ่งที่ลูกค้าพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ การเลือกทำเลจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องเข้าใจตลาดในทำเลนั้นและสามารถวิเคราะห์ศักยภาพทำเลได้อย่างแม่นยำ เพื่อการพัฒนาโครงการที่เหมาะสมและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าด้วย และวางแผนเปิดตัวโครงการให้สอดคล้องกับภาวะตลาดที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น พิจารณาเรื่องเวลาและจังหวะการเปิดตัวที่เหมาะสม และมีแผนรองรับที่มีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ตลาด   4.Customer-Centric ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยต้องเข้าใจ Insight ของลูกค้าว่ากลุ่มเป้าหมายมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตและความต้องการด้านที่อยู่อาศัยอย่างไร เพื่อออกแบบโครงการที่ตอบโจทย์และวางกลยุทธ์การขายและการตลาดที่ตรงใจลูกค้า  นอกจากนี้ การปรับสเปคโครงการเพื่อให้ตั้งราคาได้เหมาะสม กับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ก็เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่น่าสนใจ และเน้นโฟกัสโครงการเดิมที่มีอยู่เพื่อระบายสต็อก   5.ทำการตลาดที่แข็งแกร่ง สามารถสื่อสารภาพลักษณ์ที่สะท้อนจุดเด่นของโครงการ และเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย การออกแบบห้องพักและพื้นที่ส่วนกลาง ต้องสะท้อนภาพลักษณ์ของกลุ่มเป้าหมาย ต้องมีความประณีตในการพัฒนาและเลือกสรรสิ่งต่างๆ เพื่อสะท้อนความใส่ใจในทุกรายละเอียด การตลาดที่ดีจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของผู้พัฒนาโครงการและตัวโครงการ     รวมถึงสามารถสื่อสารจุดเด่นของตัวโครงการ ให้เชื่อมโยงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อทำตลาด ให้ความสำคัญกับการสร้าง Brand Story ที่สามารถสะท้อน Personality ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ ทั้งในแง่ Functional และ Emotional   “พลัส” เดินหน้าลงทุน-หาลูกค้าใหม่ สู้ วิกฤตอสังหาฯ        นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ  รองกรรมการผู้จัดการสายงานบริหารธุรกิจใหม่และสนับสนุนงานขาย บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ภาวะเศรษฐกิจยังชะลอตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายราย ออกมาปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น   สำหรับพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในส่วนของงานบริหารงานขาย ยังเดินตามแผนโรดแมพระยะยาวที่วางไว้ ด้วยการเดินหน้าขยายฐานลูกค้าไปกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการรุ่นใหม่ กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการต่างชาติ และกลุ่มลูกค้าบริษัทขนาดใหญ่ ในการเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับลูกค้า เป็นมากกว่าตัวแทนขาย เข้าไปมีส่วนร่วมให้คำปรึกษาตั้งแต่ก่อน-ระหว่าง-หลัง การพัฒนาโครงการ   เพื่อให้แต่ละโครงการมีรูปแบบที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และออกแบบกลยุทธ์การบริหารงานขายและการตลาดที่ตอบโจทย์ Customer-Centric และที่สำคัญคือเคียงข้างและให้คำปรึกษาลูกค้าผู้ประกอบการในทุกสถานการณ์ ไม่ทอดทิ้งลูกค้า ซึ่งในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจชะลอตัวนั้นลูกค้าหลายรายโดยเฉพาะรายใหญ่ล้วนมีการปรับตัวที่ดี   “นอกจากนี้พลัสฯ ยังได้ทำการสำรวจเทรนด์ความต้องการผู้บริโภคในปัจจุบันพบว่า คอนโดมิเนียมในทำเลที่เดินทางสะดวก มีการเชื่อมต่อด้านคมนาคมที่หลากหลาย ยังคงตอบโจทย์ลูกค้าในทุกยุคสมัย ในปีนี้ทำเลสุขุมวิทตอนกลางถือว่ามีความโดดเด่น ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกในทุกด้านของการใช้ชีวิต”   อย่างไรก็ตาม หากดูจากเทรนด์ของโครงการใหม่ที่เปิดในปีนี้จะพบว่า ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย และมีการออกแบบ Facility ตลอดจนการบริการต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่มมากขึ้น และมีเทคโนโลยี IoT ใช้อำนวยความสะดวกในโครงการ จะได้รับความสนใจจากลูกค้ามากยิ่งขึ้น   ทั้งนี้ ธุรกิจ Sole Agent หรืองานบริหารงานขายของพลัสฯ ปัจจุบัน (เดือนพฤศจิกายน 2562) มีลูกค้ารวม 13 โครงการ มูลค่าโครงการโดยประมาณอยู่ที่ 14,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ 50%  กลุ่มบริษัทมหาชน 30% และกลุ่มทุนต่างชาติ 20%  
พร็อพเพอร์ตี้ กูรู เปิด 7 เทรนด์อสังหาฯ ปี 63

พร็อพเพอร์ตี้ กูรู เปิด 7 เทรนด์อสังหาฯ ปี 63

พร็อพเพอร์ตี้กูรู เตรียมจัดงาน Asia Real Estate Summit 2019 ระดมกูรูด้านอสังหาฯ และวิทยากรชั้นนำทั่วโลก ชี้เทรนด์อสังหาฯ ในปีหน้า ชูไฮไลท์เรื่องเทคโนโลยี กำลังจะเข้ามาผลิกโฉมวงการที่อยู่อาศัย พร้อมเปิด 7 เทรนด์อสังหาฯ​ ไทยในปี 63      นายเจสัน เกรกอรี กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ กูรู อินเตอร์ชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมจัดงานสัมมนาให้ความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์  "Asia Real Estate Summit 2019" ระหว่างวันที่ 21-22 พฤศจิกายน 2562  โรงแรม The Athenee Hotel, a Luxury Collection Hotel, Bangkok โดยภายในงานวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาฯ  และที่เกี่ยวข้องระดับโลก มาร่วมบรรยายสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน พร้อมอัพเดทเทรนด์การเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ต่อวงการอสังหาฯ ในอนาคต   สำหรับหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ การออกแบบให้เหมาะกับมนุษย์ : โซลูชั่นที่ชาญฉลาดและการบูรณาการแบบครบวงจรที่มนุษย์ต้องการ บรรยายโดย Tim Kobe ผู้ก่อตั้ง Eight,lnc และผู้สร้างต้นแบบของ Apple Store หรือ Charles Reed Anderson ผู้ก่อตั้ง CRA & Associates บรรยายในหัวข้อ “การสร้างอาคารที่ปลอดภัยและระบบนิเวศที่ชาญฉลาด สำหรับบ้านของคนเอเชีย” ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ วิธีการพัฒนาเทคโนโลยี ที่สามารถตระหนักถึงการสร้างเมืองอัจฉริยะที่แท้จริง เป็นระยะต่อไปของ Internet of Things (IoT) ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอสังหาฯ ในเอเชีย ทั้งปัจจุบันและอนาคตอย่างไร   นายเจสัน กล่าวอีกว่า ภายในงานยังมีการอภิปรายเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G ในหัวข้อ "5G การปลดปล่อยคลื่นลูกใหม่แห่งการเชื่อมต่อ" เป็นการนำเสนอประเด็น ความก้าวหน้าของ Internet of Things (IoT) ในอาคารและบ้านอัจฉริยะของคนเอเชีย การแนะนำและการปรับใช้เทคโนโลยี 5G สามารถพัฒนาเมืองอัจฉริยะได้อย่างไร ความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์ที่รองรับ Bluetooth 5.1 และ Wi-Fi 6 และคุณสมบัติการเชื่อมต่อในภูมิภาค ซึ่งจะมีผู้ร่วมอภิปราย ได้แก่ นายอัศนีย์ วิภาตเวทย์ หัวหน้าส่วนงานผลิตภัณฑ์ลูกค้าองค์กร และบริการระหว่างรประเทศ AIS ดร.เจษฎา ศิวรักษ์ หัวหน้าฝ่ายรัฐกิจและธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด และ Look Fan หัวหน้ากลุ่มทุน TechNode “ไฮไลท์ของงานครั้งนี้ จะเป็นเรื่องเทคโนโลยี และเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเทรนด์ที่เกิดขึ้นในการพัฒนาอสังหาฯ ปัจจุบัน คือ การพัฒนาโครงกางการไปตามแนวเส้นทางการเดินทางของคน เช่น ระบบรถไฟฟ้า จากเมื่อก่อนอสังหาฯ จะถูกพัฒนาในเขตซีบีดี ในใจกลางเมืองธุรกิจ แต่วันนี้ไม่ใช่ซีบีดีอาจจะอยู่พื้นที่รอบนอก แต่เดินทางเข้ามาในเมืองได้”สำหรับเทรนด์ตลาดอสังหาฯ ประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นในปี 2563 กูรูพร็อพเพอร์ตี้ มองว่าจะมี 7 เรื่องดังนี้   1.ผู้บริโภคยุคมิลเลนเนียล เลือกซื้ออสังหาฯ โดยมองเรื่องการลงทุนเป็นหลัก ต่างจากผู้บริโภคในอดีตที่ต้องการซื้ออสังหาฯ เพื่อการอยู่อาศัยร่วมกับคนในครอบครัว   2.ตลาดอสังหาฯ​ในเมืองไทย มีความหลากหลายมากที่สุด ด้านราคามีตั้งแต่ราคาต่ำสุดไปจนถึงแพงสุด โดยตลาดที่เป็นกลุ่มใหญ่ คือ ตลาดระดับราคาที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ ในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทลงมา   3.ทำเลการพัฒนาอสังหาฯ ยังมุ่งเน้นตามแนวรถไฟฟ้า แต่มีการพัฒนาพื้นที่ใหม่สำหรับตลาดอสังหาฯ อย่างเช่น พื้นที่อีอีซี ทำให้มีการขยายพื้นที่การพัฒนาออกไปรองรับ เช่น โซนบางนา     4.ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูสเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างจุดขาย และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันมากขึ้น   5.ทิศทางการพัฒนาอสังหาฯ ในปี 2563 ผู้ประกอบการยังลงทุนต่อเนื่อง แม้ว่าภาพรวมตลาดจะยังไม่เติบโต แต่ไม่ถึงกับติดลบ ซึ่งรูปแบบการพัฒนาจะมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น มีการพัฒนารูปแบบใหม่ เช่น การพัฒนาที่อยู่อาศัยรวมกับโรงแรม ซึ่งผู้ประกอบการแต่ละรายจะพัฒนารูปแบบโครงการ ตามความถนัดของตนเอง ในแต่ละเซ็กเมนต์   6.ดีเวลลอปเปอร์จะพัฒนาโครงการ โดยขยายตลาดไปสู่กลุ่มเป้าหมายชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่โฟกัสตลาดคนไทยเป็นหลัก โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ พัทยา และจังหวัดภูเก็ต   7.การนำเอาเทคโนโลยี เข้ามาช่วยในด้านการขายอสังหาฯ เช่น การใช้เทคโนโลยี 3D เพื่อดูห้องตัวอย่างและโครงการ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศแล้ว รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ มีโอกาสที่ถูกนำเข้ามาใช้ประเทศไทย เช่น ฟินเทค ระบบการประเมินคุณสมบัติผู้กู้ซื้ออสังหาฯ ผ่านช่องทางออนไลน์ หรือ Home Loan Pre Approval Online เป็นต้น   “ปีหน้าตลาดอสังหาฯ ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ แต่จะมีความไดนามิกซ์มาก ยังมีการเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ แม้จะน้อยลง ผู้ประกอบการแต่ละราย จะปรับตัวไปตามความถนัดของตัวเอง”        
“พฤกษา” ยังท็อปฟอร์ม โชว์ผลงาน Q3 ครองแชมป์เบอร์ 1 ตลาดอสังหา

“พฤกษา” ยังท็อปฟอร์ม โชว์ผลงาน Q3 ครองแชมป์เบอร์ 1 ตลาดอสังหา

พฤกษา โชว์ฟอร์มไตรมาส 3 ยังรักษาแชมป์ผู้นำเบอร์ 1 ตลาดอสังหาฯ ทำยอดขายได้ 14,113 ล้านบาท เติบโต 15%  และมีกำไร 916 ล้านบาท เตรียม 3 กลยุทธ์โค้งท้ายปีกระตุ้นเป้าหมาย พร้อมขน 9 โครงการเปิดตัว มูลค่า 8,800 ล้านบาท   นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาว่า บริษัทยังคงสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และรักษาความเป็นผู้นำตลาด โดยมียอดขาย 14,113 ล้านบาท เติบโต 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 4.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้ 8,517 ล้านบาท เติบโต  9.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ลดลง 23.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมีกำไรอยู่ที่ 916 ล้านบาท ลดลง 1.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 42.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา   ด้านผลประกอบการในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัททำยอดขายได้ 37,480 ล้านบาท ลดลง 3.7% มีรายได้ 28,179 ล้านบาท ลดลง 6.8% และมีกำไร 3,534 ล้านบาท ลดลง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  ซึ่งไตรมาส 3 ที่ผ่านมาบริษัทเปิดโครงการใหม่ ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากบางทำเลยและบางโครงการ  ยังไม่ผ่านเกณฑ์ในการพิจารณาเปิดโครงการของบริษัท และในบางทำเลยังมีปริมาณลูกค้าไม่มากพอ ทำให้บริษัทเปิดโครงการทั้ง 14 โครงการ มูลค่า 15,396 ล้านบาท เลื่อนเปิด 4 โครงการไปในไตรมาสสุดท้ายและปีหน้า  จากแผนเดิมเปิด 18 โครงการ มูลค่า 18,683 ล้านบาท   “แม้ว่าสภาวะตลาดในไตรมาส 3 จะชะลอตัว การเปิดโครงการใหม่ของพฤกษา ยังมีอัตราการสูงขึ้นถึง 30% ดีกว่าตลาดที่มีอัตราการขายเฉลี่ย 27% สะท้อนความสำเร็จของกลยุทธ์ การเลือกเปิดตัวโครงการ Right Location Right Time และ Right Target” ยังรักษาแชมป์ผู้นำเบอร์ 1 ตลาดอสังหาฯ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดรวมที่มีกำลังซื้อชะลอตัวลง แต่บริษัทยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดเบอร์ 1 ด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงสุดอยู่ที่ 12% จากมูลค่าตลาดรวม 299,789 ล้านบาท และยังคงรักษาความเป็นผู้นำใน 3 ตลาดหลัก ได้แก่  ผู้นำตลาดเบอร์ 1 ในตลาดทาวน์เฮ้าส์ ด้วยสัดส่วน 22%  จากมูลค่าตลาดรวม 60,625 ล้านบาท ผู้นำตลาดเบอร์ 1 ตลาดคอนโดฯ สัดส่วน 9% จากมูลค่าตลาดรวม 160,293 ล้านบาท  ส่วนตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด  พฤกษามีส่วนแบ่ง 8% อยู่ในอันดับ 5 จากมูลค่าตลาดรวม 73,832 ล้านบาท   โดยยอดขายในไตรมาส 3 มูลค่า 14,113 ล้านบาท  แบ่งเป็น กลุ่มคอนโดฯ  มูลค่า 6,734 ล้านบาท เติบโต 51.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเติบโต 17.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา กลุ่มคอนโดฯ-แวลู  มียอดขาย 3,749 ล้านบาท เติบโต  151.3% จากไตรมาสก่อนหน้า และเติบโต 8.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา กลุ่มคอนโดฯ พรีเมียม มียอดขาย 2,985 ล้านบาท  เติบโต 1.3% จากไตรมาสก่อนหน้า และเติบโต 31.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ 5,480 ล้าบาท  ลดลง 1.1% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 19.3% จากปีที่ผ่านมา ส่วนกลุ่มบ้านเดี่ยว มียอดขาย 1,899 ล้านบาท ลดลง 17.4% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 14.7% จากปีที่ผ่านมา   ส่วนรายได้ในไตรมาส มูลค่า 8,517 ล้านบาท แบ่งเป็น  กลุ่มคอนโดฯ มูลค่า 2,809 ล้านบาท  เติบโต 6.9% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 27.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  กลุ่มคอนโดฯ-แวลู มีรายได้ 1,454 ล้านบาท ลดลง 31.5% จากไตรมาสก่อนหน้า  และลดลง 62.6% จากช่วงเดียวของปีก่อน กลุ่มคอนโดฯ พรีเมียม มีรายได้ 1,355 ล้านบาท เติบโต 168.4% จากไตรมาสก่อนหน้า กลุ่มทาวน์เฮ้าส์ มีรายได้ 3,923 ล้านบาท  เติบโต 6.5% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 25.4% จากปีที่ผ่านมา และกลุ่มบ้านเดี่ยว มีรายได้  1,776 ล้านบาท  ลดลง​ 21.5% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 9.5% จากปีที่ผ่านมา   เดินหน้าเปิด 9 โปรเจ็กต์ใหม่ไตรมาสท้าย สำหรับแผนเปิดโครงการใหม่ในไตรมาสสุดท้าย บริษัทเตรียมเปิดตัวอีก 9 โครงการ มูลค่า 8,800 ล้านบาท โดยเลือกเปิดตัวโครงการที่มีศักยภาพ โดยบริษัทเตรียม 3 กลยุทธ์สำคัญในไตรมาสสุดท้าย เพื่อผลักดันยอดขายและรายได้ ได้แก่ 1.การขยายตลาดไปสู่เซ็กเม้นต์ที่มีศัยกภาพ  เป็นการขยายตลาดไปยังกลุ่มบนมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ภัสสร ในระดับราคา 7-10 ล้านบาท และแบรนด์เดอะปาล์ม ในระดับราคา 10-15 ล้านบาท   กลยุทธ์ที่ 2 การเปิดโครงการใหม่จะมุ่งเน้น กลยุทธ์ Right Location, Right Timing และ Right Target  และ 3.การใช้ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง เพื่อสร้างยอดขายและการตลาด โดยบริษัทยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่สามารถรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้อยู่ที่ 16,092 ล้านบาท นอกจากนี้  บริษัทได้เตรียมร่วมกับธนาคารพันธมิตร ในการช่วยเตรียมความพร้อมให้ลูกค้ากู้ผ่านได้ง่ายยิ่งขึ้น หลังจากที่ผ่านมาธนาคาเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้อัตราการปฎิเสธสินค้ามีถึง 8%   โดยทั้งนี้บริษัทได้มีแผนช่วยเหลือลูกค้า ที่มีปัญหาการกู้เงินไม่ผ่าน  ให้กลับบ้านซื้อบ้านได้อีกครั้งผ่านโปรแกรม Win back ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทได้ถึง 4,878 ล้านบาท คิดเป็น 13% ของยอดขายรวม   “กลยุทธ์ตลาดคอนโดฯ ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาโปรดักส์ ทำเลที่มีศักยภาพ ใกล้รถไฟฟ้า ต่อไปจะพัฒนาโลว์ไรซ์มากขึ้น เพื่อป้องกันควาเสี่ยง และได้รายได้กลับมาเร็ว”   ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในไตรมาส 3 มีมูลค่าตลาดฯ ติดลบถึง 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยลบจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา รวมไปถึงมาตรการ LTV และการปล่อยสินเชื่อของธนาคารที่เข้มงวดขึ้น โดยทั้งนี้บริษัทฯ ได้มีแผนช่วยเหลือลูกค้าที่มีปัญหาการกู้เงินไม่ผ่านให้กลับบ้านซื้อบ้านได้อีกครั้งผ่านโปรแกรม Win back ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทฯ ได้ถึง 4,878 ล้านบาท คิดเป็น 13% ของยอดขายรวม   “ในไตรมาสสุดท้ายสิ่งที่กังวลมากที่สุด คือ บรรยากาศ ที่มีข่าวไม่ดีเยอะ ซึ่งตลาดยังมีความต้องการ คนยังต้องการมีบ้านอีกมาก ปีนี้บริษัทน่าจะรายได้ 45,000 ล้านบาท อาจจะไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนพรีเซลล์น่าจะทำได้ 50,000 ล้านบาทและทำได้ใกล้เคียงเป้าหมายมากที่สุด”  
“เรียลแอสเสท” เจอพิษ LTV เดินหน้าปรับกลยุทธ์บุกตลาดแนวราบ

“เรียลแอสเสท” เจอพิษ LTV เดินหน้าปรับกลยุทธ์บุกตลาดแนวราบ

เรียลแอสเสท โดนผลกระทบ LTV เร่งปรับกลยุทธ์ธุรกิจครึ่งปีหลัง ต่อเนื่องจนถึงปีหน้า บุกตลาดแนวราบในพื้นที่โซนตะวันออก ชี้ยังมีศักยภาพสูงจากระบบคมนาคมรอบด้าน ขณะที่แผนปี 63 เตรียมเปิด 3 โปรเจ็กต์ 3,600 ล้าน นายบดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ (LTV)  ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่เริ่มใช้วันที่ 1 เมษายน 62 ที่ผ่านมา ประกอบกับตัวลูกค้าประสบปัญหาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง  ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดต่อการยื่นขอสินเชื่อ   นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น ปัญหาส่งครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ปัญหาการประท้วงในประเทศฮ่องกง และแนวโน้มกำลังซื้อจากต่างชาติลดลง โดยเฉพาะจากประเทศจีน  ซึ่งเป็นปัจจัยกระทบต่อภาพรวมอสังหาฯ ในปีนี้ แต่หากพิจารณาจากตลาดอสังหาฯ​ ในโซนภาคตะวันออก  ยังถือว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพ  เนื่องจากมีสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งเรื่องการเดิน มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง(สำโรง-ลาดพร้าว) มีแหล่งที่อยู่อาศัย และหากในอนาคตเกิดโครงการรถไฟรางเบา (LRT) ที่จะวิ่งจากบางนา-สุวรรณภูมิ จะสร้างความคึกคักและเพิ่มศักยภาพของการอยู่อาศัยมากขึ้น ล่าสุดโครงการรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีดเทรน) เชื่อม 3 สนามบินได้รับการลงนามเป็นที่เรียบร้อย   ในปีนี้บริษัทจึงได้ปรับกลยุทธ์ในครึ่งปีหลัง  และต่อเนื่องถึงปี 2563 โดยชูในเรื่อง Active Wellness มาใช้ในการพัฒนาโครงการ ซึ่งเริ่มนำร่องกับโครงการ เซนส์ บางนา-สุวรรณภูมิ ที่ออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวรวมมากถึง 29,600 ตร.ม.มีพื้นที่ปั่นจักรยาน 2,600 ตารางเมตร และลู่วิ่ง ความยาวถึง 7,400 ตารางเมตร ซึ่งถือเป็นเทรนด์และความต้องการของผู้อยู่อาศัยในปัจจุบัน   “แม้ว่าบริษัทยังคงเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งประเภทคอนโดมิเนียม และแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ โฮมออฟฟิศ แต่บริษัทต้องปรับกลยุทธ์เพื่อตอบสนองความต้องการทุกรูปแบบของลูกค้า”   นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นในเรื่องคุณภาพการก่อสร้าง และการใส่ใจในการบริการที่มีต่อลูกค้า ผ่านวิสัยทัศน์ We  build real matters for living  เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสถึงความคุ้มค้าที่ได้รับจากโครงการผ่านทางคุณภาพบ้าน  รวมถึงการใส่ใจในเรื่องสุขภาพ   ด้านนายวีระชัย หาญจริยากูล ผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์ ธุรกิจบ้านจัดสรรและอาคารพาณิชย์ กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3 หลังจากตลาดชะลอตัวช่วงประกาศใช้มาตรการ LTV   โดยช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา บริษัททำยอดขายโครงการแนวราบได้  600 ล้านบาท มาจากโครงการโฮมออฟฟิศ คาสเคด บางนา , บ้านเดี่ยว  โครงการ วีรัณยา วงแหวน-อ่อนนุช , ทาวน์โฮม เพล็กซ์ เกษตร-นวมินทร์ และบ้านแนวคิดใหม่ โครงการเซนส์ สายไหม 56   “ตลาดโครงการแนวราบ การแข่งขันสูง เนื่องจากผู้ประกอบการหลายค่าย หันมาเล่นตลาดแนวราบมากขึ้น ซึ่งในส่วนของบริษัท ก็มีจุดแข็งหลายด้าน มีเครือข่ายทางธุรกิจที่พร้อมสนับสนุน” ปัจจุบัน บริษัทมีที่ดินผืนใหญ่อยู่บนทำเลบางนา-สุวรรณภูมิ ประมาณ 180 ไร่ มีแผนจะทยอยนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในกลุ่มแนวราบต่อเนื่องได้ถึง 8 ปี หรือมีมูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท   ล่าสุด บริษัทฯได้นำที่ดิน 23 ไร่ มาพัฒนาโครงการ เซนส์ บางนา-สุวรรณภูมิ รูปแบบทาวน์โฮมและบ้านแฝด จำนวน 160 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 810 ล้านบาท แบ่งพัฒนาเป็น 4 เฟสๆละ 40 ยูนิต ราคาตั้งแต่ 4.99-6ล้านบาท ซึ่งในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2562 จะเปิดรอบวีไอพีก่อน   ส่วนแผนพัฒนาโครงการในปี 2563 จะพัฒนาโครงการอย่างน้อย 3 โครงการ รวมมูลค่า 2,600 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการทาวน์โฮม แบรนด์ สตอรี่ส์ จำนวน 200 ยูนิต โครงการบ้านเดี่ยว แบรนด์ วีรัณยา จำนวน 150 ยูนิต รวมทั้ง 2 โครงการมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท และโครงการบริเวณสุขาภิบาล 2 ภายใต้แบรนด์ เพล็กซ์ ที่จะเปิดกลางปีหน้าจำนวจน 227 ยูนิต มูลค่ากว่า 1,100 ล้านบาท.        
สรุปข่าวอสังหาริมทรัพย์รอบสัปดาห์ วันที่ 4-10 พฤศจิกายน 2562

สรุปข่าวอสังหาริมทรัพย์รอบสัปดาห์ วันที่ 4-10 พฤศจิกายน 2562

นับตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา วงการอสังหาริมทรัพย์ก็มีข่าวดี หลังจากรอคอยมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ ด้วยการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนจากเดิม 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนจดจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ให้มีผลบังคับใช้เสียที หลังจากเดิมที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาก่อนหน้า  แต่ยังไม่ได้ระบุว่าจะให้มีผลเมื่อไร โดยมาตรการดังกล่าวได้ประกาศกระทรวงมหาดไทยในราชกิจจานุเบกษา ให้มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563 ถือว่าเป็นข่าวดีที่รอคอย ซึ่งทำให้เกิดบรรยากาศความคึกคักมากขึ้น  และเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาพรวมของตลาดอสังหาฯ เพราะดีเวลลอปเปอร์หลายราย เริ่มทำแคมเปญออกมารองรับ เพื่อสร้างยอดขายในช่วงเวลาสุดท้ายของปีนี้  แม้ระยะเวลาจะสร้างผลงานเหลือน้อยเต็มทีก็ตาม   ส่วนรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวอะไรเกิดขึ้นบ้าง ในแวดวงอสังหาฯ​ ตลาดบ้านและคอนโดฯ  ไปอัพเดทกันเลย เปิดทรู ไอคอน ฮอลล์ 2,000 ล้าน หลังการเดินทางของ “ไอคอนสยาม” ศูนย์การค้าบิ๊กโปรเจ็กต์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ครบรอบ 1 ปี  สิ่งต่างๆ ที่ได้ประกาศว่าจะดำเนินการออกมา ก็เป็นไปตามแผน ล่าสุด ได้เปิด “ทรู ไอคอน ฮอลล์” อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นศูนย์การประชุมและการจัดแสดงงาน และความบันเทิงต่างๆ แห่งใหม่ของประเทศไทย บนพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร ครอบคลุมพื้นที่ชั้น 7 และชั้น 8 ของโครงการไอคอนสยาม โดยถือเป็นศูนย์การประชุมที่ทันสมัยขนาดใหญ่แห่งแรกในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา   นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด เปิดเผยว่า ทรู ไอคอน ฮอลล์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของไอคอนสยาม คืออีกหนึ่งสถานที่ที่เป็นความภาคภูมิใจของชาติ และเป็นศูนย์การประชุม การจัดแสดงงานและความบันเทิงที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา ซึ่งจะดึงดูดงานประชุมและการแสดงที่สำคัญและเหนือระดับอย่างไม่เคยมีมาก่อน เข้าสู่ประเทศไทย โดยความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ ทรู ไอคอน ฮอลล์ อยู่ที่ทัศนียภาพที่สวยงามอลังการแบบพาโนรามาของแม่น้ำเจ้าพระยา”   “การเปิดทรู ไอคอน ฮอลล์ จะเป็นตัวขับเคลื่อนที่ทรงพลังตัวใหม่ ที่มาช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมไมซ์ (Meetings, Incentives, Conventions & Exhibitions: MICE) ของไทยให้เติบโต รวมทั้งช่วยกระตุ้นการพัฒนาพื้นที่ฝั่งธนบุรีด้วย นอกจากนั้น ยังช่วยให้โรงแรมระดับ 4-5 ดาวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามีอัตราการเข้าพักสูงขึ้น ตอกย้ำความเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกแห่งใหม่ของแม่น้ำเจ้าพระยาได้เป็นอย่างดี”   กลุ่มทุนไต้หวันเดินหน้าลุยอสังหาฯ การเปิดตัวโครงการใหม่ ยังมีออกมาอย่างต่อเนื่อง และไม่ใช่เฉพาะผู้ประกอบการคนไทยเท่านั้น โครงการจากกลุ่มทุนต่างชาติก็มีออกมาต่อเนื่องเช่นกัน  เพราะยังคงมั่นใจในตลาดอสังหาฯ  เมืองไทย ล่าสุด กลุ่มทุนจากไต้หวัน ‘พีทีเอฟ เรียลตี้’ เปิดโครงการ  “MAYFAIR PLACE VICTORY MONUMENT ” มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ด้วยการชูจุดขายในเรื่องการันตีผลตอบแทน Yield 5% นาน 2 ปี นายถงหยุ่ย โทนี่ ยิ่ง กรรมการผู้บริหาร บริษัท พีทีเอฟ เรียลตี้ (2018) จํากัด ในเครือ พีทีเอฟ เรียลตี้ เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยว่า แม้ในปีนี้ตลาดจะอยู่ในภาวะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ก็ยังเชื่อมั่นว่าในอนาคตจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในอีก 1-2 ปี ข้างหน้า ในขณะเดียวกันตลาดผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย และประเทศไทยมีแนวโน้มการลงทุนที่ดี เมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน   สำหรับในส่วนของกลุ่มบริษัทพีทีเอฟ เรียลตี้นั้น ได้มีการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯมาอย่างต่อเนื่องตลอดกว่า 10 ปีที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย แต่การลงทุนพัฒนาอสังหาฯของบริษัทฯนั้นจะเป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวาซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมาแล้ว 4 โครงการรวมมูลค่ากว่า 5,400 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการคอนโด เดอะ ราชดำริ, โครงการเมแฟร์ เพลส สุขุมวิท 64 ,โครงการเมแฟร์ เพลส สุขุมวิท 50 โดยทั้ง 3 โครงการดังกล่าวปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนโครงการที่ 4 คือโครงการDEFINE by Mayfair สุขุมวิท 50 ปัจจุบันมียอดขายกว่า 60% จากมูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง ปี 2562 คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2563 (อ่านข่าวเพิ่มเติม) เปิดตัว “สมาคมไทยบิม” รับมือดิจิทัล เป็นเพราะเทคโนโลยี และดิจิทัลได้เข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตของคนปัจจุบันในทุกเรื่อง ส่งผลให้ทุกวงการต้องปรับตัวรับมือให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว รวมถึงวงการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ไทยด้วย  โดยเฉพาะในเรื่องการออกแบบและการก่อสร้าง เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ  อย่างเช่นการออกแบบ 3 มิติ ที่ใช้คอมพิวเตอร์อย่าง “BIM” (Building Information Modeling) แต่เพื่อเป็นมาตรฐานและการยอมรับในระดับสากล จำเป็นต้องมีคนมาคอยตรวจสอบและกำกับดูแล ทำให้เกิดมีการจัดตั้งเป็นสมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (TBIM) ขึ้นมา   ศ.ดร.อมร พิมานมาศ ศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะนายกสมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (TBIM) เปิดเผยว่า ในอนาคตเทคโนโลยีจะเข้ามา Disrupt ธุรกิจก่อสร้างมากยิ่งขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างและงานออกแบบของไทยต้องเร่งพัฒนาศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพด้านงานออกแบบรองรับเศรษฐกิจยุคไทยแลนด์ 4.0 เป็นการปฏิรูปหรือปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยโฉมใหม่ทั้งระบบ เพื่อสามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ทุกรูปแบบและองค์กรเติบโตก้าวทันกระแสการพัฒนาของโลก   เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติในปัจจุบันนี้กำลังเปลี่ยนโฉมงานออกแบบใหม่ไปสู่ระบบ 3 มิติ ด้วยการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า “BIM” (Building Information Modeling)  ซึ่งในขณะนี้กระบวนการ BIM ในประเทศไทย ยังไม่มีมาตรฐานการทำงานที่ชัดเจน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีองค์กรกลาง คือ สมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (Thai Building Information Modeling Association; TBIM) เพื่อช่วยสร้างกรอบการทำงาน และมาตรฐานให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน   โดยระบบ BIM จะสร้างแบบจำลองเสมือนจริงใน Computer ทำให้ผู้ทำงานเกี่ยวข้องสามารถเห็นส่วนประกอบทุกส่วนตรงกัน โดย BIM จะสร้างเป็นโมเดล 3 มิติขึ้นมาพร้อมกับ Intelligent Information อาทิ รายละเอียดวัสดุ เพื่อคำนวนปริมาณวัสดุก่อสร้าง ปรับปรุงกระบวนการออกแบบก่อสร้างและคำนวนพลังงานที่จะใช้ในอาคาร สร้างแบบจำลอง หรือ Digital Prototype Model ที่เสมือนจริง และเปลี่ยนจากการสร้างแบบบนกระดาษมาสู่เทคโนโลยีดิจิทัลและประสานข้อมูลบน Cloud สะดวกในการทำงานนอกสถานที่โดยสามารถใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่าง Tablet ได้อีกด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การส่งมอบอาคารที่มีคุณภาพสูงขึ้นจากมาตรฐานของตลาดในปัจจุบัน (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   เมืองไทยประกันชีวิต ลุยธุรกิจอสังหาฯ ดูเหมือนธุรกิจอสังหาฯ จะเป็นตลาดที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ ทำให้หลายคนอยากเข้ามาเป็นผู้ประกอกบการด้านอสังหาฯ ไม่เว้นแม้กระทั้งเมืองไทยประกันชีวิต ที่ได้กระโดดเข้ามาพัฒนาโครงการสำนักงานให้เช่า เพราะมองเห็นโอกาสจากความต้องการที่มีอยู่มากมาย ประกอบกับเคยมีประสบการณ์บริหารอาคารเมืองไทยภัทรมาก่อน ล่าสุด จึงเปิดตัวโครงการอาคารสำนักงาน 66 Tower (ซิคตี้ซิกส์ ทาวเวอร์)    นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า ได้ขยายธุรกิจมาสู่อสังหาริมทรัพย์  ด้วยการลงทุนพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานเกรด A ภายใต้ชื่อ 66 Tower (ซิคตี้ซิกส์ ทาวเวอร์) มูลค่า 3,800 ล้านบาท บนเนื้อที่ 4 ไร่ อยู่บริเวณถนนสุขุมวิท 66 ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส อุดมสุข 150 เมตร ปัจจุบันได้ก่อสร้างแล้ว 15% มีกำหนดแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2564 (อ่านข่าวเพิ่มเติม) “ASA” จัดงาน ASA Real Estate Forum 2019 ปิดท้ายกับการจัดงานอาษา เรียลเอสเตท ฟอรัม 2019 ( ASA Real Estate Forum 2019 ) โดยสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ASA) ภายใต้คอนเซ็ปต์งาน  “เมืองอัจฉริยะ เมืองนวัตกรรม เมืองเพื่อทุกคน” ชวนทุกภาคส่วนร่วมวางรากฐานสร้างเมืองอัจฉริยะเมืองนวัตกรรม ชูการสร้างเอกลักษณ์เมือง (City Identity) เน้นความต่างเป็นจุดขายเพื่อพัฒนาเมืองแห่งอนาคตที่ยั่งยืน   นายอัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ในการสร้างเมืองอัจฉริยะและเมืองนวัตกรรมมีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับคุณภาพของประชาชนอย่างตรงจุด โดยการนำเทคโนโลยีเข้าไปปรับใช้ พร้อมกับการออกแบบโครงสร้างอาคาร ที่อยู่อาศัยให้เกิดประโยชน์การใช้สอยอย่างเต็มประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากในแต่ละพื้นที่ มีอาชีพและวิถีชีวิตที่ต่างกัน ในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะและเมืองนวัตกรรม จึงต้องสร้างเมืองที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว (City Identity) กำหนดทิศทางที่ชัดเจนและสอดรับกับความต้องการในพื้นที่   โดยที่ผ่านมาภาครัฐได้มีการวางองค์ประกอบของเมืองอัจฉริยะใน 7 ด้าน ที่ช่วยให้แต่ละพื้นที่ มีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ประกอบด้วย 1. Smart Environment สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ 2. Smart Government การปกครองอัจฉริยะ 3. Smart Mobility การสัญจรอัจฉริยะ 4. Smart Energy พลังงานอัจฉริยะ 5. Smart Economy เศรษฐกิจอัจฉริยะ 6. Smart Living การใช้ชีวิตอัจฉริยะ และ 7. Smart People ประชาชนอัจฉริยะ   ภายในงานมีการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ผ่านงานสัมมนา อาทิ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมการผังเมืองไทย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) อีกทั้งในการจัดงานครั้งนี้ยังได้รับเกียรติจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี บรรยายในหัวข้อ อนาคตประเทศไทย อนาคตเมืองนวัตกรรมสำหรับทุกคน และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี บรรยายในหัวข้อ Thailand : Country of Opportunities & Equality    
รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนพฤศจิกายน 2562

รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนพฤศจิกายน 2562

โปรโมชั่นบ้าน-คอนโด ช่วง 2 เดือนสุดท้ายที่มีมาตรการรัฐลดค่าธรรมเนียมการโอน-จดจำนองมาช่วยกระตุ้นภาคอสังหาฯ โดยการโอนจากเดิม 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนจดจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย ต้องมาดูกันแล้วค่ะว่าจะมีโปรโมชั่นไหนที่ตอบรับมาตรการนี้ได้ดีบ้าง   อนันดา จัดงาน “IDEO Experience 2019” เปิดประสบการณ์ที่อยู่อาศัยใหม่จากแบรนด์ “ไอดีโอ”คอนโดใกล้รถไฟฟ้า พบ 2 โครงการใหม่ล่าสุด และ 2 โครงการพร้อมอยู่   ได้แก่ สามย่าน / พระโขนง / วงเวียนใหญ่ / ท่าพระ ราคาเริ่มต้น 2.69 – 3.69 ล้านบาท ที่ให้คุณออกแบบเวลาชีวิตได้อย่างลงตัว พร้อมจำลองบรรยากาศพื้นที่ส่วนกลางให้ได้สัมผัสก่อนใคร  วันที่ 3-11 พฤศจิกายน 2562 ที่ สามย่าน มิตรทาวน์ ชั้น G   LIFE LADPRAO VALLEY 11 วัน ราคาเดียว Life Ladprao Valley คอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า สถานีห้าแยกลาดพร้าว จัดโปรโมชั่น 11 วัน 11 ยูนิตหลุดดาวน์ 1 ห้องนอน 35 ตร.ม. ราคาเดียว 5.19 ล้าน* วันที่ 1-11 พ.ย. 62    CMC BIG THANKS ช่วยผ่อนนานสูงสุด 10 ปี หรือฟรีทองคำมูลค่า 9 บาท  บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ CMC จัดงานใหญ่ส่งท้ายปี ในงาน“CMC BIG THANKS” ขนทัพโครงการคุณภาพ ทำเลเด่น ตามแนวรถไฟฟ้า พร้อมจัดโปรโมชั่นเด็ดสุดคุ้มที่รอให้คุณเข้าไปจับจอง ไม่ว่าจะเป็น ซื้อตอนนี้ CMC ช่วยผ่อนนานสูงสุดถึง 10 ปี, แจกฟรีI PHONE11 PRO, ทองคำมูลค่า 9 บาท  และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย   แล้วพบกันในงาน ‘’CMC BIG THANKS” ตั้งแต่วันที่ 15-17 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.30–19.00 น. ณ CMC Privilege Lounge ชั้น 7 โรงภาพยนตร์ ไอคอน ซีเนคอนิค ศูนย์การค้าไอคอนสยาม   “ออริจิ้น” ฉลอง 10 ปี ลดแรง! คอนโดพร้อมอยู่ลดสูงสุด 2 ล้านบาท ออริจิ้น ฉลองครบรอบ 10 ปี ส่งโปรแรงแซงมาตรการรัฐ ภายใต้แคมเปญ10 ปี Origin ลดกระหน่ำสะท้านวงการ สูงสุด 2 ล้านบาท ร่วมกับ 12 คอนโดพร้อมอยู่ ทำเลรถไฟฟ้า ราคาเริ่มต้น 1.39 ลบ.* สามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 15 ธ.ค 62   นอกจากนี้ แคมเปญ 10 ปี Origin ยังมอบโปรพิเศษสุดในรอบปีอีกมากมาย อาทิ *ฟรี! ค่าส่วนกลาง 5 ปี ค่าจดจำนอง ค่าโอน 1% ค่ากองทุนอาคารชุด ค่าประกันมิเตอร์น้ำ, มิเตอร์ไฟ และพิเศษสุด! รับดอกเบี้ย 2.50% 3 ปีแรก* สำหรับผู้ขอสินเชื่อกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส) ผ่อนต่ำ วงเงิน 1 ล้านบาท ผ่อนเริ่มต้นเพียง 3,300 บาท/เดือน นาน 40 ปี*   โครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ 10 ปี Origin ได้แก่ 12 โครงการพร้อมอยู่ ดังนี้ KnightsBridge Phaholyothin Interchange      ราคาเริ่มต้น 2.69 ลบ. Kensington Sukhumvit Thepharak                  ราคาเริ่มต้น 1.39 ลบ. Notting Hill Sukhumvit Praksa                        ราคาเริ่มต้น 1.59 ลบ. Notting Hill Sukhumvit 105                              ราคาเริ่มต้น 1.89 ลบ. B-Loft Sukhumvit 107                                        ราคาเริ่มต้น 1.59 ลบ. B-Loft Lite Sukhumvit 115                                 ราคาเริ่มต้น 1.99 ลบ. KnightsBridge The Ocean Sriracha                 ราคาเริ่มต้น 3.59 ลบ. Notting Hill Lamchabang                                  ราคาเริ่มต้น 2.39 ลบ. Kensington Kaset Campus                                 ราคาเริ่มต้น 3.89 ลบ. Notting Hill Jatujak Interchange                     ราคาเริ่มต้น 3.79 ลบ. KnightsBridge Sky River Ocean                       ราคาเริ่มต้น 4.99 ลบ. KnightsBridge Tiwanon                                     ราคาเริ่มต้น 2.79 ลบ.   LPN จัดโปรโมชั่นให้ลูกค้าซื้อง่าย ราคาต่ำสุด ไม่ต้องรอปีหน้า โค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี LPN ขานรับมาตรการรัฐกระตุ้นอสังหาฯ ได้นำสินค้าทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมที่อยู่ในระดับราคาไม่เกิน  3  ลบ. จำนวน 9 โครงการ  โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์จาก 2% เหลือ 0.01 % ของราคาประเมิน และลดค่าจดจำนองจาก 1 % เหลือ 0.01% ของราคาประเมิน สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยจะต้องโอนฯ และจดจำนองในคราวเดียวกัน ตั้งแต่ 1 พ.ย. 2562 – 24 ธ.ค.2563   คอนโดมิเนียม ลุมพินี ซีเล็คเต็ด สุทธิสาร-สะพานควาย โปรโมชั่น “Member Get Member” เพื่อนแนะนำเพื่อน รับค่าแนะนำสูงสุด 1 แสนบาท ลุมพินี เพลส รัชดา-สาธุ โปรโมชั่นพิเศษ “Member Get Member” เพื่อนแนะนำเพื่อน รับค่าแนะนำสูงสุด 1 แสนบาท ลุมพินี พาร์ค วิภาวดี-จตุจักร ส่งมอบวันที่ 2 – 3 พ.ย.นี้ ลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 3 ลุมพินี เพลส พระราม 3  – ริเวอร์ไรน์ บ้านพักอาศัย บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต คลอง ๒ บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ลาดปลาดุก – บางไผ่สเตชั่น บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน – วัชรพล บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์ – ปิ่นเกล้า   แมเนอร์ สนามบินน้ำ แมเนอร์ สนามบินน้ำ คอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา วิว 180 องศา จัดโปรโมชั่น Final Call 20 ยูนิตสุดท้าย ลดราคา 2 ล้านบาท ทุกยูนิต ตั้งแต่ 1 ต.ค.-25 ธ.ค. 62   Nue Noble Srinakarin–Lasalle เปิดจองรอบพิเศษ โครงการใหม่ล่าสุดจาก Noble คอนโดห้องหน้ากว้าง ติดรถไฟฟ้าศรีลาซาล เปิดจองรอบพิเศษ 17 พ.ย. 62 เริ่ม 1.59 ล้าน* ผ่อนเพียง 4,900 บาท/เดือน*   SC Asset x Lazada   จองเริ่ม 11 บาท รับส่วนลดสูงสุด 1 ล้าน SC Asset x Lazada   จองเริ่ม 11 บาท รับส่วนลดสูงสุด 1 ล้าน กับ คอนโด บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม 9 โครงการทำเลคุณภาพภายใต้แคมเปญ “ช้อปวันเดียวได้ทุกดีล 11 พ.ย.นี้”   โดย 9 โครงการทำเลคุณภาพสร้างเสร็จพร้อมอยู่ของ SC  ทั้งคอนโด บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม เริ่ม 3-9 ล้านบาท  จองง่าย จ่ายน้อยกว่า  เริ่มเพียง 11 บาท* ลดเพิ่มสูงสุด 1 ล้าน* เฉพาะวันที่ 11 พ.ย.นี้ และโอนภายใน 25 ธ.ค. 62 รับเพิ่ม Cash back 10,000 บาท พร้อม iPhone 11*   ได้แก่   คอนโดแต่งครบโครงการเซ็นทริค รัชโยธิน  ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีรัชโยธิน เพียง 150 เมตร คอนโดอารมณ์บ้านโครงการแชมเบอร์ส เฌอ รัชดา-รามอินทรา บ้านเดี่ยว3 โครงการ ได้แก่ โครงการเพฟ ประชาอุทิศ , รังสิต , ปิ่นเกล้า-ศาลายา บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดโครงการวี คอมพาวด์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า ทาวน์โฮม3 โครงการ ได้แก่ โครงการเวิร์ฟ พระราม9 , ติวานนท์-รังสิต , เพชรเกษม 81   เจ เอส พี จัดโปรแรง “Sale เร็วกว่ามาตรการรัฐ” เจ เอส พี จัดโปรแรงที่สุดแห่งปี "Sale เร็วกว่ามาตรการรัฐ" เพื่อลูกค้าที่สนใจ บ้าน ทาวน์โฮม คอนโด อาคารพาณิชย์ บนทำเลศักยภาพ รังสิต แพรกษา เพชรเกษม กัลปพฤกษ์ บางปู รัตนาธิเบศร์ บางประกง และศรีราชา ไม่ต้องรอสิ้นถึงปี พิเศษ! เพียง 799,999 บาท พร้อมส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท วันนี้ถึง 10 พ.ย. นี้ เท่านั้น      
PS x Shopee จัดแคมเปญ 11.11 ขน 111 ยูนิตจับตลาดมิลเลนเนียน

PS x Shopee จัดแคมเปญ 11.11 ขน 111 ยูนิตจับตลาดมิลเลนเนียน

พฤกษา จับมือ ช้อปปี้  จัดแคมเปญออนไลน์ จับตลาดคนรุ่นใหม่ “มิลเลนเนียล” ขนทาวน์โฮม 4 แบรนด์จำนวน 111 ยูนิต ขายคูปอง 11 บาท แลกรับส่วนลด 200,000 แสน หวังสร้างการรับรู้และขยายฐานลูกค้าใหม่   นางสาวอังคณา ลิขิตจรรยากุล รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดองค์กรกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับช้อปปี้ (Shopee) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ จัดทำแคมเปญ “11.11 ลดอลัง ปังทุกยูนิต” ด้วยการจัดโปรโมชั่นจำหน่ายคูปองผ่านช้อปปี้ราคา 11 บาท สามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดมูลค่าสูงถึง 200,000 บาท ในการซื้อโครงการทาวน์โฮมพร้อมอยู่  4 แบรนด์ ได้แก่ บ้านพฤกษา พฤกษาวิลล์ เดอะคอนเนค และพาทิโอ โดยบริษัทนำเอาทาวน์โฮมพร้อมอยู่มาจัดแคมเปญจำนวน 111 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวม 400 ล้านบาท ซึ่งสามารถซื้อคูปองได้ตั้งแต่วันที่ 6-30 พฤศจิกายน 2562 สำหรับ 11 ยูนิตที่โอนบ้านภายในวันที่ 27 ธันวาคมนี้  จะได้รับเพิ่ม 11,111 Coins จากช้อปปี้ด้วย  นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ ให้ส่วนลด 1.5% ในทุกโครงการกับร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าในช้อปปี้ (Shopee Seller) ที่มีอยู่กว่า 600,000 ราย หากซื้อโครงการของพฤกษา ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม “แคมเปญคนี้เป็นการต่อยอดจากความสำเร็จ แคมเปญ 6.6 Mid-Year Sale ที่จองโครงการพฤกษา 6 บาท ได้รับส่วนลด 20,000 บาท ที่ทำยอดขายได้ถึง 60 ล้าน” เป้าหมายสำคัญของการจัดแคมเปญในครั้งนี้  พฤกษาต้องการสร้างการรับรู้ในแบรนด์พฤกษา  (Brand Awareness) ในกลุ่มมิลเลนเนียล ที่ถือว่าเป็นกลุ่มมีกำลังซื้อ ปัจจุบันมีจำนวนมากถึง 20 ล้านคน จากประชากรทั้งประเทศ ส่วนการเลือกแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของช้อปปี้  เนื่องจากเป็นผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซ และเป็นช่องทางอีคอมเมิร์ซที่กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วม (Engagement) มากที่สุด นางสาวอังคณา กล่าวอีกว่า การจัดแคมเปญดังกล่าว บริษัทยังคงใช้งบประมาณเดท่าเดิม ในสัดส่วน 1% ของยอดขาย แต่การทำตลาดออนไลน์ ถือว่ามีต้นทุนด้านการตลาดและการขายลดลง ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นการทดสอบตลาดว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ โดยหากประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้  บริษัทจะจัดแคมเปญในลักษณะดังกล่าวต่อไป และจะนำเอาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวและคอนโดฯ มาจัดแคมเปญในอนาคตด้วย
“วิลล่า คุณาลัย” กวาดรายได้และกำไร 9 เดือนเติบโตก่อนเข้าตลาด

“วิลล่า คุณาลัย” กวาดรายได้และกำไร 9 เดือนเติบโตก่อนเข้าตลาด

วิลล่า คุณาลัย  สร้างรายได้และกำไร 9 เดือน โตต่อเนื่อง ก่อนเทรดในตลาดหุ้น ขณะที่มาตรการภาครัฐช่วยกระตุ้นตลาดโค้งท้ายปี และส่งผลดี 2 โครงการทาวน์โฮมของบริษัท  นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN  เปิดเผยว่า ภายหลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ล่าสุด บริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนการเตรียมความพร้อมในการเสนอขายหลักทรัพย์ เพื่อเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น และมูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 25%  ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท   สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม 461.09 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 43.15 ล้านบาท ซึ่งเติบโตอย่างอย่างโดดเด่น เมื่อเทียบจากปี 2561 ทั้งปีที่มีรายได้ 447.09 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 11.56 ล้านบาท  ผลประกอบการเติบโตดังกล่าว  เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากการขายโครงการคุณาลัย จอย ที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ได้ในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2562 เป็นต้นมา   นอกจากนี้ ยังมีการโอนโครงการคุณาลัย ซิมโฟนี ที่มีการปรับปรุงแบบบ้านใหม่ รวมถึงสินค้าบ้านเดี่ยวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบตามผลิตภัณฑ์ที่ขายดีของกลุ่มบริษัทฯ จึงทำให้ได้รับความสนใจจากลูกค้ามากขึ้น  ส่งผลให้บริษัทสามารถขายและโอนบ้านได้ในปริมาณที่สูงขึ้นตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2561 จนถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 และมีรายได้จากการขายที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2561 นางประวีรัตน์ กล่าวอีกว่า บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ​เพิ่มขึ้นเป็น 9.36% ของรายได้รวม โดยเป็นผลจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้นตามยอดโอนกรรมสิทธิ์ ต้นทุนขายเมื่อเทียบสัดส่วนต่อรายได้จากการขายที่ลดลงจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านที่มีต้นทุนการก่อสร้างที่ต่ำกว่าปีก่อน ๆ และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเทียบสัดส่วนต่อรายได้จากการขายที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ๆ ส่งผลให้ภาพรวมกำไรสุทธิของงวด 9 เดือน ปี 2562 เพิ่มขึ้นอย่างมาก   สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้  คาดว่าจะมีการปรับตัวคึกคักมากขึ้น ภายหลังภาครัฐได้มีมาตรกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์  ซึ่งโครงการของ “วิลล่า คุณาลัย”  ได้รับอานิสงส์จากมาตรการนี้ด้วย โดยโครงการ ที่สอดรับนโยบายดังกล่าว ได้แก่ โครงการ คุณาลัย บีกินส์ โครงการทาวน์โฮม และโครงการ คุณาลัย บีกินส์ 2 โครงการทาวน์โฮม เนื่องจากโครงการดังกล่าวอยู่ในระดับราคา เฉลี่ยไม่เกิน 3 ล้านบาท
“พีทีเอฟ เรียลตี้” ทุนไต้หวัน  ยังมั่นใจอสังหาฯ ไทย เดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง

“พีทีเอฟ เรียลตี้” ทุนไต้หวัน ยังมั่นใจอสังหาฯ ไทย เดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง

เปิดแผนกลุ่มทุนไต้หวัน ลุยตลาดอสังหาฯ เมืองไทย มั่นใจยังเติบโตและมีดีมานด์ พร้อมเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง และเตรียมปรับพอร์ตธุรกิจจากคอนโดฯ สู่แนวราบ หนี้การแข่งขันและยอดขายคอนโดฯ ชะลอตัว   นายถงหยุ่ย โทนี่ ยิ่ง กรรมการผู้บริหาร บริษัท พีทีเอฟ เรียลตี้ (2018) จํากัด ในเครือ พีทีเอฟ เรียลตี้ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย  ยังมีศักยภาพการเติบโต จากภาวะเศรษฐกิจของไทย ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีจากภาคการท่องเที่ยว และการเข้ามาลงทุนของกลุ่มทุนต่างชาติ รวมถึงยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยของคนไทย ซึ่งตลาดอสังหาฯ ของไทยดีกว่าหลายประเทศในเซาท์อีสเอเชีย  แม้ว่าในปีนี้ตลาดอสังหาฯ จะอยู่ในภาวะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ยังเชื่อว่าจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในอีก 1-2 ปี ข้างหน้า   “ตลาดผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย และประเทศไทยมีแนวโน้มการลงทุนที่ดี เมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน” สำหรับแผนลงทุนของบริษัทยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่อง  โดยมุ่งพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม  ในทำเลเส้นทางรถไฟฟ้า ซึ่งจะพัฒนาครั้งละ 1 โครงการ หากโครงการที่พัฒนาอยู่ มีอัตราการขาย 60-70% บริษัทจะหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่  เนื่องจากต้องการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง  ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้พัฒนาโครงการคอนโดฯ มาแล้ว 4 โครงการรวมมูลค่ากว่า 5,400 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการคอนโด เดอะ ราชดำริ, โครงการเมแฟร์ เพลส สุขุมวิท 64 ,โครงการเมแฟร์ เพลส สุขุมวิท 50 โดยทั้ง 3 โครงการดังกล่าวปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนโครงการที่ 4 คือโครงการ DEFINE by Mayfair สุขุมวิท 50 ปัจจุบันมียอดขายกว่า 60% จากมูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง ปี 2562 คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2563 ล่าสุด ได้เปิดตัวโครงการใหม่ ภายใต้ชื่อ  MAYFAIR PLACE VICTORY MONUMENT (เมย์แฟร์ เพลส วิคทอรี่ โมนูเมนต์) มูลค่าโครงการรวม 1,200 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการยื่นขอ EIA คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในกลางปี 2563 การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 สำหรับโครงการเมย์แฟร์ เพลส วิคทอรี่ โมนูเมนต์ เน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซื้อเพื่ออยู่อาศัย  และซื้อเพื่อการลงทุนปล่อยเช่าระยะยาว ซึ่งบริษัทการันตีผลตอบแทนในอัตรา 5% นาน 2 ปี  โดยจากประสบการณ์บริหารและนำห้องของลูกค้าที่ซื้อไปแล้ว  มาปล่อยเช่ารวมทุกโครงการกว่า 250 ห้องชุด โดยผลตอบแทนที่ลูกค้ากลุ่มนักลงทุนได้รับ อยู่ในอัตราประมาณ 4-5% ต่อปี  โดยทุกโครงการที่เปิดขายมีสัดส่วนการซื้อ เพื่อลงทุนอยู่ที่ประมาณ 30 %   นายถงหยุ่ย กล่าวอีกว่า นอกจากแผนพัฒนาโครงการคอนโดฯ แล้ว บริษัทยังวางแผนพัฒนาโครงการแนวราบ ประเภทบ้านเดี่ยวหรือทาวน์โฮมในอนาคต ซึ่งมองทำเลลาดพร้าวและสุขุมวิท เนื่องจากปัจจุบันตลาดคอนโดฯ มีการแข่งขันสูง อัตราการขายได้ช้าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่โครงการแนวราบยังมีความต้องการ และระดับราคาใกล้เคียงกับห้องชุดคอนโดฯ  แต่ได้พื้นที่มากกว่า ซึ่งปัจจุบันกลุ่มลูกค้าเริ่มมองหาซื้อโครงการแนวราบมากขึ้น
5  เหตุผลสำคัญ  ทำให้ทำเลย่านแจ้งวัฒนะเป็นทำเลธุรกิจใหม่ในอนาคต

5 เหตุผลสำคัญ ทำให้ทำเลย่านแจ้งวัฒนะเป็นทำเลธุรกิจใหม่ในอนาคต

ถนนแจ้งวัฒนะ ปัจจุบันเริ่มมีความหนาแน่น ของการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม จากผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ จากก่อนหน้าทำเลในโซนนี้ มีการพัฒนาโครงการประเภทแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม เพราะต้องยอมรับว่าบริเวณแถวแจ้งวัฒนะ ปากเกร็ด และนนทบุรี เป็นพื้นที่ชานเมืองราคาที่ดินยังไม่สูงมากนัก สามารถนำมาพัฒนาเป็นโครงการแนวราบได้    ปัจจุบันย่านแจ้งวัฒนะเริ่มมีความโดดเด่น และกำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งย่านสำคัญ ด้านเศรษฐกิจและการค้า จากการพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู ถือเป็นตัวกระตุ้นสำคัญ ซึ่งเมื่อระบบคมนาคมขนส่งสะดวกมากขึ้น การพัฒนารูปแบบต่างๆ ก็จะมีเข้ามามากขึ้นด้วยเช่นกัน    นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริเวณแจ้งวัฒนะเป็นทำเลศักยภาพที่มีความโดดเด่น เป็นย่านเศรษฐกิจและย่านธุรกิจการค้า มีโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสานหลากหลายรูปแบบ ที่อยู่ระหว่างการวางแผนพัฒนาจากผู้ประกอบการรายใหญ่หลายราย ซึ่งได้เริ่มเข้ามาจับจองที่ดินบริเวณนี้ สิ่งที่ตอกย้ำให้ย่านแจ้งวัฒนะกำลังกลายเป็นย่านเศรษฐกิจและการค้าที่สำคัญในอนาคต คงมาจาก 5 เหตุผลนี้ 1.การพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้า ปัจจุบันแจ้งวัฒนะอยู่การพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี  ปัจจุบันกำลังดำเนินการก่อสร้าง และกำหนดเปิดให้บริการประมาณปี 2564  อีกทั้งยังมีส่วนต่อขยายจากสถานีศรีรัช–เมืองทองธานี ที่ออกแบบเป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Straddle Monorail)    โดยจุดเชื่อมต่อจะอยู่บริเวณสถานีศรีรัช  ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี สายหลัก ไปทางทิศตะวันตก และเลี้ยวขวาเข้าสู่เมืองทองธานีไปตามซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 39 แนวทางเดียวกันกับทางพิเศษอุดรรัถยา ต่อเนื่องไปยังจุดสิ้นสุดโครงการบริเวณทะเลสาบเมืองทองธานี ประกอบด้วยสถานีรับส่งผู้โดยสาร 2 สถานี ได้แก่ สถานี MT-01 ตั้งอยู่บริเวณอิมแพ็คชาเลนเจอร์ (Impact Challenger) และสถานี MT-02 ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของทะเลสาบเมืองทองธานี รวมระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร   หากโครงการแล้วเสร็จจะเป็นการเพิ่มศักยภาพการเดินทางของประชาชน จากบริเวณถนนแจ้งวัฒนะเข้าสู่พื้นที่เมืองทองธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัยหนาแน่น และเป็นที่ตั้งของยูนิตงานต่างๆ ด้วย เช่น ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เอสซีจี สเตเดี้ยม ธันเดอร์โดม และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นต้น โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูยังสามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายอื่น 3 สาย คือ   1.รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ (ปัจจุบันเปิดให้ใช้บริการอยู่) โดยเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี   2.รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-รังสิต  ปัจจุบันกำลังดำเนินการก่อสร้าง  และเปิดให้บริการประมาณต้นปี 2564 โดยเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่สถานีหลักสี่   3.รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต โดยเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ  เป็นโครงการในอนาคต 2.ทำเลใกล้สนามบินดอนเมือง บริเวณแจ้งวัฒนะตั้งอยู่ใกล้สนามบินดอนเมือง  ซึ่งในปัจจุบันสนามบินดอนเมืองมี 2 อาคารคือ Terminal 1 และ Terminal 2 โดยสามารถรองรับผู้โดยสารได้ประมาณปีละ 30 ล้านคน และในอนาคต บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้เตรียมแผนในการพัฒนาระยะที่ 3 (Terminal 3) และคาดว่าในอนาคตจะมีการเพิ่มเที่ยวบินและคาดว่าจำนวนผู้โดยสารที่เข้ามาใช้บริการจะเพิ่มขึ้นถึงปีละ 40 ล้านคน และสูงถึง 50-60 ล้านคน  ในช่วงปี 2568-2573  ในส่วนการเดินทางทางน้ำบริเวณนี้ยังมีท่าเรือปากเกร็ด ซึ่งคอยรองรับการเดินไปยังส่วนต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร และยังมีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เข้าถึงโดยการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนของรัฐบาลอีกด้วย 3.จุดศูนย์รวมยูนิตงานขนาดใหญ่ ทั้งรัฐและเอกชน ในย่านแจ้งวัฒนะถือว่ามียูนิตงานขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นจากภาครัฐหรือเอกชน โดยเฉพาะการมีศูนย์ราชการ สถานที่ซึ่งเป็นศูนย์รวมของยูนิตงานราชการสำคัญเอาไว้ ทำให้แต่ละวันมีคนจำนวนมากเดินทางเข้ามาในย่านนี้  เพื่อติดต่อราชการในยูนิตงานต่างๆ ไม่นับรวมกับจำนวนข้าราชการที่ทำงานในยูนิตงานต่างๆ อีกมหาศาล ยิ่งทำให้บริเวณดังกล่าวกลายเป็นแหล่งธุรกิจที่สำคัญมากยิ่งขึ้น 4.บิ๊กโปรเจ็กต์ ด้านศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมขนาดใหญ่ การพัฒนาโครงการเมืองทองธานี ตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งมีการพัฒนาศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเชีย โดยมีพื้นที่รวมกว่า 140,000 ตารางเมตร โดยเฉพาะ อิมแพ็ค มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนผู้ใช้บริการจัดงานแสดงสินค้า นิทรรศการ ประชุม-สัมมนา งานเลี้ยงสังสรรค์ งานแต่งงาน คอนเสิร์ต กิจกรรมพิเศษอื่นๆ หมุนเวียนจัดงานรวมกว่า 1,000 งานต่อปี และมีจำนวนผู้เดินทางมาเยือนกว่า 10 ล้านคน    ภายในโครงการเมืองทองธานี ยังมีการพัฒนาโครงการอีกหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย ศูนย์การค้า พื้นที่รีเทล โรงแรม คอมมูนิตี้มอลล์ต่างๆ อีกสารพัด ทำเมืองทองธานีมีความหนาแน่น ทั้งจำนวนประชากรผู้เข้ามาอยู่อาศัย และการติตต่อธุรกิจต่างๆ  ย่านแจ้งวัฒนะ ยังถูกเติมเต็มไปด้วยศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ บิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์ แม็คโคร คอมมูนิตี้มอลล์ และโครงการอื่นๆ อีกหลายโครงการ 5.บิ๊กดีเวลลอปเปอร์แห่เข้าพัฒนาโครงการ ทำเลที่มีแนวโน้มเติบโต และกลายเป็นย่านสำคัญในอนาคต  ปัจจัยชี้วัดอีกประการ คือดูได้จากการเข้าไปพัฒนาโครงการของบิ๊กดีเวลลอปเปอร์ต่างๆ เพราะหากทำเลนั้นไม่มีศักยภาพเพียงพอ ดีเวลลอปเปอร์จะไม่เข้าไปจับจองพื้นที่เพื่อพัฒนาโครงการอย่างแน่นอน ปัจจุบันในย่านแจ้งวัฒนามีบิ๊กดีเวลลอปเปอร์หลายรายเข้าไปพัฒนาโครงการแล้ว อาทิ   กลุ่มบางกอกแลนด์ พัฒนาโครงการศูนย์การค้า คอสโม บาซาร์ พื้นที่รวม 80,000 ตารางเมตร มีทั้งโรงภาพยนตร์เครือเอสเอฟ ซีนีม่า ซิตี้ 5 โรง ซูเปอราร์เก็ต ฟิตเนสเซ็นเตอร์ ร้านค้า และร้านอาหาร กลุ่มบีแลนด์ยังวางแผนนำที่ดิน 600 ไร่ บริเวณทะเลสาบเมืองทองธานี  พัมนาโครงการเลเชอร์ แอนด์ เอ็นเตอร์เท็นเมนท์ คอมเพล็กซ์ มูลค่า 5,000-6,000 ล้านบาทอีกด้วย   ความเคลื่อนไหวของบิ๊กดีเวลลอปเปอร์อื่นๆ ที่เริ่มเตรียมตัวเข้ามาพัฒนาโครงการในย่านแจ้งวัฒนะก็มีอีกหลายราย อาทิ  กลุ่มแอล.พี.เอ็น. ซื้อสนามฟุตบอลสยามสปอร์ต ขนาดที่ดิน 26 ไร่ กลุ่มเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ซื้อตึกร้างในเมืองทอง เพื่อเตรียมพัฒนาเป็นโครงการคอนโดฯ กลุ่มพฤกษา เรียลเอสเตท ซื้อที่ดิน 170 ไร่ เพื่อเตรียมพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย และกลุ่มแสนสิริ ซื้อที่ดินบริเวณตลาดสวนมะลิ ขนาด 30 ไร่ เพื่อเตรียมพัฒนาโครงการคอนโดฯ  เปิดข้อมูลตลาดคอนโดฯ ย่านแจ้งวัฒนะ นอกเหนือจาก 5 เหตุผลสำคัญดังกล่าวแล้ว ทางไนท์แฟรงค์ ยังได้จัดทำผลวิจัยสนับสนุน ให้เห็นว่าย่านแจ้งวัฒนะมีอีกหนึ่งย่านสำคัญในด้านธุรกิจและตลาดที่อยู่อาศัย โดยรายงานว่า ตลาดคอนโดฯ บริเวณแจ้งวัฒนะในช่วงกลางปี 2562 ที่ผ่านมา  มีจำนวนทั้งสิ้น 18,942 ยูนิต โดยคอนโดฯ ในบริเวณนี้มีจำนวนห้องชุดใหม่เกิดขึ้นมากตั้งแต่ปี 2554 เนื่องจากมียูนิตงานราชการเริ่มย้ายสถานที่ทำการเข้ามาอยู่ในบริเวณศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ส่งผลให้ผู้ประกอบการหันมาซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดฯ เพื่อรองรับ   แต่หลังจากเริ่มเปิดขายมากขึ้นในปี 2554  ในปีต่อมาพบว่า จำนวนห้องชุดใหม่เริ่มชะลอตัวลงและเพิ่มขึ้นสลับกันไปจนถึงปี 2561 และในปีนั้นเองได้เริ่มมีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงมีนบุรี-แคราย จึงทำให้มีห้องชุดใหม่เปิดขายเพิ่มขึ้นมาเป็น 2,013 ยูนิต และครึ่งปีแรกของปี 2562 มีห้องชุดใหม่เปิดขายเพิ่มขึ้นมาจำนวน 1,838 ยูนิต และคาดว่าทั้งปี 2562 จะมีคอนโดฯ เปิดขายใหม่ในบริเวณนี้ประมาณ 3,000 ยูนิต กราฟแสดงอุปทานคอนโดมิเนียมบริเวณแจ้งวัฒนะ ปี 2554 ถึงกลางปี 2562 ช่วงกลางปี  2562 คอนโดฯ บริเวณแจ้งวัฒนะ มีจำนวนที่ขายไปแล้วประมาณ 12,271 ยูนิต จากจำนวนคอนโดฯ ที่เปิดขายทั้งสิ้น 18,942 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขา 64.8% มีจำนวนคอนโดฯ เหลือขายประมาณ 6,671 ยูนิต จำนวนห้องชุดที่ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมามีประมาณปีละ 1,350 ยูนิต เนื่องจากบริเวณนี้เป็นบริเวณที่มีศักยภาพเป็นบริเวณธุรกิจใหม่ แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่   โดยกลุ่มผู้ซื้อคอนโดฯ ในบริเวณนี้ คือ บุคลากรของหน่วยงานต่างๆ ในย่านนี้ และผู้ปกครองนักเรียนและนักศึกษาที่ศึกษาในสถาบันการศึกษาที่ตั้งอยู่ในบริเวณนี้ ที่สำคัญ ราคาคอนโดฯ ยังจับต้องได้ หากรถไฟฟ้าสายสีชมพูแล้วเสร็จการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ก็จะสะดวกมากยิ่งขึ้น  ราคาขายจึงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย   นอกจากนี้ กลุ่มผู้ซื้อคอนโดฯ  ในบริเวณนี้  มักซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และมีบางส่วนซื้อเพื่อปล่อยเช่า บางส่วนซื้อเก็บไว้เป็นทรัพย์สินโดยคาดว่าคอนโดฯ ในบริเวณแจ้งวัฒนะ มีระดับราคาที่สามารถปรับตัวขึ้นได้ในอนาคต ยิ่งเมื่อระบบรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างแล้วเสร็จ ย่อมทำให้ราคาขายคอนโดฯ ในบริเวณนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น กราฟแสดงอุปทาน อุปสงค์ และ อัตราการขายคอนโดมิเนียมบริเวณแจ้งวัฒนะ 2554 ถึงกลางปี  2562   การพัฒนาคอนโดฯ บริเวณแจ้งวัฒนะ ส่วนใหญ่เป็นระดับเกรดซี โดยระดับราคาขายเฉลี่ยของคอนโดฯ เกรดซี ช่วงกลางปี 2562 มีระดับราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 72,438 บาทต่อตารางเมตรเมตร ปรับตัวขึ้นจากปี 2554 ซึ่งมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 53,680 บาทต่อตารางเมตร ค่าเฉลี่ยการปรับตัวขึ้นของคอนโดฯ ในบริเวณนี้จากปี 2554 ถึง กลางปี 2562 มีค่าเฉลี่ยสะสมในการปรับตัวในระยะเวลา 7 ปี (Compound Annual Growth Rate:CAGR) อยู่ในอัตรา 5% ในปี 2562 เริ่มมีการพัฒนาคอนโดฯ เกรดบี บริเวณแจ้งวัฒนะ และราคาขายเฉลี่ยของคอนโดฯ เกรดบี บริเวณแจ้งวัฒนะอยู่ที่ 80,150 บาทต่อตารางเมตร ณ กลางปี 2562 กราฟแสดงราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมบริเวณแจ้งวัฒนะ 2554 ถึงกลางปี  2562
SC ลุยเปิด 5 โปรเจ็กต์ใหม่ กระตุ้นตลาดโค้งท้ายปี ’62

SC ลุยเปิด 5 โปรเจ็กต์ใหม่ กระตุ้นตลาดโค้งท้ายปี ’62

SC ลุยตลาดโค้งท้าย 2 เดือนสุดท้าย เปิดโครงการใหม่ 4โครงการ มูลค่ารวม 5,560  ล้าน พร้อมขน  34 โครงการ จัดแคมเปญใหญ่แห่งปี    นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ได้เตรียมเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ รวมมูลค่า 5,560  ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบ 1 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์อีก 1 โครงการ หลังจากช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายกลุ่มบ้านเดี่ยวเติบโต 50% โดยเฉพาะบ้านระดับราคา  8-20 ล้านบาท   สำหรับโครงการแนวราบ ที่จะเปิดตัวประกอบด้วยบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม  มูลค่ารวม 3,860 ล้านบาท  ได้แก่ 1.โครงการเวนิวโฟลว์ พระราม 5 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีแยกติวานนท์ และใกล้ทางด่วนศรีรัช – วงแหวนรอบนอก บนพื้นที่กว่า 18 ไร่ จำนวน 70 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น 6.79 ล้านบาท   2.โครงการบางกอกบูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย 2  บนทำเลติดถนนใหญ่ เข้าออกได้ 2 ทาง คือ ถนนเสรีไทย และ เลียบวงแหวน-กาญจนา บนพื้นที่กว่า 24 ไร่ จำนวน 77 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 12 ล้านบาท   3.โครงการบางกอกบูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์ ลาดพร้าว-เสรีไทย  บนถนนเสรีไทยใกล้กับนิด้า บนพื้นที่กว่า 30  ไร่ จำนวน 77 ยูนิต ราคาเริ่มต้น  ล้านบาท   4.โครงการเวิร์ฟเพชรเกษม ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้างเริ่ม 5.45 เมตร พร้อมกับรุ่นใหม่ดีไซน์หน้ากว้าง 7.9 เมตร ขนาด 4 ห้องนอน 3 ที่จอดรถ ทำเลเชื่อมต่อถนนสายหลักหลายสาย  ได้แก่ ถนน เพชรเกษม,ถนนเอกชัย ,พุทธมณฑล บนพื้นที่กว่า 16 ไร่ จำนวน 176 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.99  ล้านบาท   ส่วนโครงการคอนโดฯ ได้เตรียมเปิดโครงการแชมเบอร์ส อ่อนนุช สเตชั่น (Chambers On Nut Station)  มูลค่า 1,700 ล้านบาท ที่ตั้งโครงการอยู่ห่างจาก BTS สถานีอ่อนนุช  เพียง 230 เมตร มีกำหนด เปิด Presale ให้ชมห้องและบรรยากาศพื้นที่ส่วนกลาง วันที่ 9-10 พฤศจิกายนนี้   นายอรรถพล  กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายช่วงโค้งท้ายปีนี้  บริษัทยังได้จัดแคมเปญใหญ่แห่งปี  ภายใต้แคมเปญ “SC DAY OMG ZERO DEAL” ระหว่าง วันที่ 9-10 พฤศจิกายนนี้ กับโปรโมชั่นในโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และคอนโดฯ รวม 34 โครงการ มีราคาเริ่มต้น 2-50 ล้านบาท  
เปิดบทวิเคราะห์ EIC มาตรการอสังหาฯ ไม่ทำให้ตลาดฟื้นตัว

เปิดบทวิเคราะห์ EIC มาตรการอสังหาฯ ไม่ทำให้ตลาดฟื้นตัว

สัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 22 ตุลาคม 2562) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์  ด้วยการออกมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนโอน และจดจำนองให้กับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทออกมามีผลบังคับใช้ ซึ่งระยะเวลาไปสิ้นสุดในวันที่ 24 ธันวาคม 2563   นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติเห็นชอบ  มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 2.5% ในช่วง 3 ปีแรกสำหรับผู้กู้ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ด้วยวงเงินสินเชื่อรวม 50,000 ล้านบาทด้วย   ถือได้ว่าเป็นมาตรการที่ออกมาช่วยกระตุ้นให้ภาคอสังหาฯ ฟื้นตัวดีขึ้น  จากแรงกดดันของมาตรการกำหนดสินเชื่อต่อวงเงินหลักประกัน หรือ LTV ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาบังคับใช้ก่อนหน้านี้ ซึ่งส่งผลทำให้ตลาดอสังหาฯ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดเจน นี่ยังไม่นับรวมปัจจัยเรื่องของภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อ ปัญหาค่าเงิน และสงครามการค้าโลก ที่แม้ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรง แต่ก็ทำให้ตลาดลูกค้าต่างชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาเติมตลาดให้เติบโต ได้ชะลอตัวลดลงตามไปด้วย   จะว่าไปแล้วมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าจดจำนองในครั้งนี้ ก็เป็นมาตรการต่อเนื่อง จากก่อนหน้าที่รัฐบาลได้ออกมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง กับการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับการซื้อบ้านพร้อมที่ดิน หรือคอนโดฯ มูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท ตามจำนวนที่จ่ายภาษีจริง แต่จ่ายภาษีไม่เกิน 200,000 บาท กำหนดระยะเวลาของมาตรการสำหรับผู้ซื้ออสังหาฯ  ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน ถึง 31 ธันวาคม 2562  นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองเหลือ 0.01% จากปกติต้องชำระในอัตรา 2% สำหรับบ้านและคอนโดฯ ที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาทด้วย   แต่ดูเหมือนว่ามาตรการที่กำหนดกรอบราคาบ้านเพียงแค่ 1 ล้านบาท จะไม่ได้ตอบโจทย์สภาพตลาดและความเป็นจริงในปัจจุบัน เพราะที่อยู่อาศัยที่ขายเป็นส่วนใหญ่ จะมีระดับราคาเฉลี่ยในราคา 2-3 ล้านบาท หากจะหาซื้อที่อยู่อาศัยในราคา 1 ล้านบาทได้นั้น  คงต้องออกไปชานเมืองที่ไกล หรือไม่ก็เป็นตลาดต่างจังหวัด มาตรการที่ออกมาก่อนหน้าจึงแทบจะเรียกได้ว่า ไม่ได้ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ สักเท่าไร EIC ประเมินคอนโดฯ+ทาวน์เฮ้าส์ ได้ประโยชน์ ล่าสุด นางสาวนพมาศ ฮวบเจริญ นักวิเคราะห์อาวุโส  Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำบทวิเคราะห์  มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอน และจดจำนองว่ามีผลต่อตลาดอสังหาฯ อย่างไรบ้าง   โดยทาง EIC มองว่า กลุ่มที่อยู่อาศัยใหม่สร้างเสร็จพร้อมโอนระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท  จะได้รับประโยชน์จากมาตราการ ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของตลาด  และเป็นประเภทคอนโดฯ และทาวน์เฮาส์ โดยเฉพาะในพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด   จากข้อมูลยูนิตที่อยู่อาศัยเหลือขาย (ทั้งที่สร้างเสร็จและกำลังก่อสร้าง) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ณ กลางปี 2019 ที่จัดเก็บโดย AREA พบว่า มียูนิตเหลือขายราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทอยู่ทั้งสิ้น 107,646 ยูนิต คิดเป็น 53% ของจำนวนเหลือขายทั้งหมด ซึ่งจำนวนเหลือขายราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคอนโดฯ ถึง 52% ของจำนวนเหลือขายราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาททั้งหมด รองลงมาคือทาวน์เฮาส์มีสัดส่วน 43%  หากพิจารณาเป็นรายพื้นที่จะพบว่า  ที่อยู่อาศัยกลุ่มที่ได้ประโยชน์จะกระจุกตัวในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ เช่น รังสิตคลอง 1-16 บางบัวทอง บางนา กม.10-30 วงแหวนรอบนอก-เพชรเกษม และรัตนาธิเบศร์   มาตรการในครั้งนี้ มีเงื่อนไขครอบคลุมเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยใหม่ที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท แตกต่างจากมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองในปี 2558 ที่ครอบคลุมที่อยู่อาศัยทุกระดับราคา แม้ว่ามาตรการในครั้งนี้จะครอบคลุมกลุ่มที่อยู่อาศัยกลุ่มใหญ่  และเป็นมาตรการที่ออกมาต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ แต่เงื่อนไขที่จำกัดเฉพาะที่อยู่อาศัยบางระดับราคาทำให้ผลบวกที่มีต่อตลาดโดยรวมจะมีไม่มากดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี 2551 และ 2558 ที่มีการใช้มาตรการแบบเดียวกัน ต่างกันที่ครอบคลุมที่อยู่อาศัยทุกระดับราคา โดยเฉพาะในปี 2558 ที่ครอบคลุมทั้งบ้านจัดสรรและไม่จัดสรร รวมถึงที่ดินจัดสรรด้วย   นอกจากนี้  มาตรการยังไม่ได้ระบุชัดเจนถึงวันที่มีผลบังคับใช้ ทำให้ธุรกรรมการโอนและจดจำนองของที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทอาจหยุดชะงักในระยะสั้นจนกว่ามาตรการจะมีผลบังคับใช้ จากการที่ภาครัฐอนุมัติมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองโดยที่ยังไม่ได้ระบุวันที่มีผลบังคับใช้ ทำให้ผู้ซื้อบ้านที่เข้าข่ายได้ประโยชน์จากมาตรการชะลอ/เลื่อนการโอนและจดจำนองออกไปก่อน เพื่อให้ตนเองสามารถได้รับประโยชน์จากมาตรการ   หากภาครัฐประกาศวันที่มีผลบังคับใช้ล่าช้า ก็อาจส่งผลระยะสั้นให้ธุรกรรมการซื้อขายบ้านบางส่วนหยุดชะงักลง  และอาจกระทบต่อยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในไตรมาส 4 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับมาตรการนี้ในเบื้องต้น หน่วยดังกล่าวแจ้งว่าอาจใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการเตรียมรายละเอียดของประกาศกระทรวงมหาดไทย โดยมีโอกาสที่มาตรการอาจเริ่มบังคับใช้ปลายเดือนพฤศจิกายน หรือ ต้นเดือนธันวาคม 2562 EIC ชี้มาตรการยังเป็นยาเบา ไม่กระตุ้นตลาดฟื้นตัว EIC ประเมินว่า มาตรการลดค่าโอนและจดจำนองในครั้งนี้ จะแค่บรรเทาผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และเกณฑ์ LTV ในระยะสั้น แต่ยังไม่สามารถผลักดันให้ตลาดที่อยู่อาศัยกลับมาขยายตัวได้สูงดังที่เคยเกิดขึ้นจากการใช้มาตรการในครั้งก่อน ๆ เนื่องจาก 1.มาตรการในปีนี้ส่งผลกระทบในวงแคบกว่าเมื่อเทียบกับปี 2551 และ 2558 ที่ได้ประโยชน์กับที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคาตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น 2.เศรษฐกิจโลกและไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง  กดดันกำลังซื้อของชาวต่างชาติและชาวไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลางที่มีความเปราะบางต่อเศรษฐกิจที่ผันผวน 3.หนี้สินของภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ดังพิจารณาได้จากข้อมูลหนี้ครัวเรือนต่อ Disposable income ที่รายงานโดยธปท. ซึ่งอยู่ในระดับเกือบ 150% เทียบกับปี 2551 ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 100% ขณะที่อัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ของผู้กู้ซื้อบ้านยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะลดลงมาบ้างหลังจากเกณฑ์ LTV มีผลบังคับใช้ ทำให้ความสามารถในการก่อหนี้ของครัวเรือนยังมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก 4.สถาบันการเงินเข้มงวดในการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น สะท้อนจากอัตราการอนุมัติสินเชื่อบ้านที่ลดลงและมาตรฐานการให้สินเชื่อบ้านที่เข้มงวดขึ้นผ่านการสำรวจของ ธปท. ที่มีประจำทุกไตรมาส 5.เกณฑ์ LTV ที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคลดลง ทั้งการที่ไม่สามารถกู้ยืมเพื่อซื้อบ้านในวงเงินที่สูงดังเช่นในอดีตและการหาผู้กู้ร่วมที่ยากมากขึ้นกว่าในอดีตก่อนมีมาตรการ LTV ใหม่ (แม้ว่า ธปท. จะผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ในกรณีกู้ร่วม แต่การผ่อนปรนเฉพาะกรณีกู้ร่วมไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ซึ่งอาจมีสัดส่วนไม่มาก) ขณะที่มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษของ ธอส. อาจไม่มากพอที่จะช่วยผลักดันให้ตลาดบ้านกลับมาขยายตัวได้ เนื่องจากวงเงินในมาตรการที่ค่อนข้างน้อย คิดเป็นประมาณ 5-7% ของยอดสินเชื่อใหม่เพื่อซื้อบ้านในแต่ละปีเท่านั้น เร่งการโอน ลดค่าใช้จ่าย 90,000 บาท แม้ว่าผลต่อการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมอาจมีไม่มาก แต่กลุ่มผู้ซื้อบ้าน Low-end และผู้ประกอบการที่เน้นบ้านกลุ่ม Low-end จะเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการครั้งนี้ โดยผู้ซื้อบ้านใหม่ในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท  จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการโอนและจดจำนองสูงสุดเกือบ 90,000 บาท ซึ่งอาจทำให้ผู้ซื้อบางส่วนเร่งเข้ามาโอนที่อยู่อาศัยเร็วขึ้นเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากมาตรการ   ขณะที่ผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยหรือมี Backlog ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทในสัดส่วนสูง  จะได้รับประโยชน์ เนื่องจากผู้ประกอบการสามารถประหยัดต้นทุนการออกโปรโมชัน  ลดค่าโอนและจดจำนอง  ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรโมชันที่ผู้ประกอบการนิยมทำ โดยผู้ประกอบการอาจจะใช้โอกาสนี้ในการออกโปรโมชันอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นยอดขายและเร่งระบายที่อยู่อาศัยเหลือขายได้มากขึ้น   ตลาดที่อยู่อาศัยยังต้องใช้เวลาปรับตัวกับเกณฑ์ LTV ใหม่ประมาณ 1-2 ปี ซึ่งต้องอาศัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างชัดเจนร่วมด้วย นอกเหนือจากการสนับสนุนจากมาตรการทางภาษี แม้รัฐบาลทยอยออกมาตรการทางภาษีหลายอย่างเพื่อช่วยพยุงตลาดที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง แต่การปรับตัวของผู้บริโภคต่อเกณฑ์การให้สินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือเกณฑ์ LTV ยังต้องใช้ระยะเวลา โดยอาศัยแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างชัดเจน เพื่อผลักดันกำลังซื้อให้มีได้มากขึ้นเพื่อทดแทนความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยที่ลดลงจากเกณฑ์ LTV   อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวอาจยังไม่สามารถส่งผลให้  ตลาดที่อยู่อาศัยกลับมาฟื้นตัวได้สูงเหมือนดังที่เคยเกิดขึ้น จากมาตรการแบบเดียวกันในอดีต เนื่องจากข้อจำกัด 3 ประการ ได้แก่ 1.ข้อจำกัดของมาตรการที่ครอบคุลมที่อยู่อาศัยเฉพาะกลุ่ม ซึ่งแตกต่างจากมาตรการในอดีตที่ครอบคุลมทุกระดับราคา 2.ข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวไม่เอื้อต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค 3.ข้อจำกัดด้านการกู้ยืมของผู้ซื้อบ้าน จากภาระหนี้สินของภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ท่ามกลางความเข้มงวดของสถาบันการเงินและเกณฑ์ LTV ที่เข้มงวดมากในอดีต   ในบทสรุปสุดท้าย คงต้องติดตามกันต่อไปว่า มาตรการที่อออกมา จะส่งผลทำให้เกิดการซื้อขาย และโอนกรรมสิทธิ์กันได้มากน้อยแค่ไหน แต่สำหรับปีนี้จากระยะเวลาที่เหลืออยู่เพียง 2 เดือน  ภาพรวมของตลาดอสังหาฯ  คงเป็นไปตามที่หลายฝ่ายประเมิน ว่าตลาดคงไม่เติบโตเท่ากับปีที่ผ่านมา และคงต้องลุ้นกันใหม่ในปีหน้า ว่าสถานการณ์จะฟื้นตัวได้ดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน  
สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 21-27 ตุลาคม 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 21-27 ตุลาคม 2562

เข้าสู่ช่วงท้ายปลายเดือนตุลาคมแล้ว นับช่วงเวลาของปี 2562 ก็คงเหลือเพียง 2 เดือนเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลานับถอยหลังของปีนี้แล้ว วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  กลับไม่ได้ฟื้นตัวเร็วอย่างที่คาดคิดไว้เลย แต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเรียกได้ว่า มีข่าวดีกับวงการธุรกิจอสังหาฯ  พอให้เป็นกำลังใจที่จะมาช่วยกระตุ้นตลาดให้ฟื้นตัวดีขึ้น ครม.ลดค่าโอน-จดจำนองเหลือ 0.01% ช่วงวันที่ 22 ตุลาคม 2562 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติออกมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ด้วยมาตรการลดภาระภาษีเพื่อที่อยู่อาศัย ให้กับประชาชนทั่วไปที่มีความต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท สำหรับซื้อที่อยู่อาศัยตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงหาดไทยมีผลบังคับใช้  ยาวไปจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563   โดยมีการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนจากเดิม 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองจากเดิม 1% เหลือ 0.01% เฉพาะการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และการจดทะเบียนการโอน และการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย ต้องดำเนินการในคราวเดียวกัน "คิวบ์”เตรียมตัวเข้าตลาด การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือเป็นการหาแหล่งเงินทุนได้ในต้นทุนที่ต่ำ หากเปรียบเทียบกับการระดมทุนในหลายแหล่งเงิน แถมยังทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทดูดีมากขึ้น หลายบริษัทจึงอยากเข้าไปจดทะเบียนแปลงสภาพกลายเป็นบริษัทมหาชน  บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  ถือเป็นหนึ่งในหลายบริษัทที่มีเป้าหมายเดินหน้าไปสู่ความเป็น “มหาชน” นังตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจมาตั้งแต่ช่วงปี 2533   นายวิชิต  อำนวยรักษ์สกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  เปิดเผยว่า ได้วางแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำเงินมาต่อยอดธุรกิจและพัฒนาโครงการ โดยจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 300 ล้านบาท  จากปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 165 ล้านบาท   ซึ่งได้วางแนวทางการพัฒนาโครงการในแต่ละปีนั้น บริษัทกำหนดกรอบการพัฒนาไว้ 4-6 โครงการมูลค่าประมาณ​2,000-2,500 ล้านบาท แต่ละโครงการจะมีจำนวนยูนิตเฉลี่ย 300 ยูนิต มีมูลค่าโครงการประมาณ 600-700 ล้านบาท บริษัทไม่เน้นการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่หลัก 1,000-2,000 ล้านบาท เนื่องจากเน้นกระจายความเสี่ยง และไม่ให้ธุรกิจมีความเสี่ยงมากเกินไป  โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดฯ เป็นหลักด้วยสัดส่วน 80-85% (อ่านข่าวเพิ่มเติม) “สิงห์ เอสเตท” ส่ง SHR เข้าตลาด  แต่สำหรับบริษัท สิงห์ เอสเตท  จำกัด (มหาชน) ได้ส่งบริษัทในเครืออย่าง “เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่จะนำเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก  (IPO) จำนวนไม่เกิน 1,473.456 ล้านหุ้น  กำหนดราคาขาย 5.10-5.50 บาทต่อหุ้น  โดยจะขายให้แก้ผู้ถือหุ้นของบริษัทเฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้น ระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคม  และประชาชนทั่วไปในวันที่ 1-5 พฤศจิกายนนี้     นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้นำบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ซึ่งดำเนินธุรกิจกลุ่มโรงแรมเตรียมขายหุ้น IPO ซึ่งนำเงินมาต่อยอดธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อกิจการ การพัฒนาโครงการเอง หรือการรับบริหาร เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูง  แต่บริษัทมีงบลงทุนค่อนข้างจำกัด   ปัจจุบัน SHR มีโรงแรมทั้งหมด 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ ภายใต้ 7 แบรนด์ รวมจำนวนห้องพัก 4,647 ห้อง เป้าหมายภายในระยะ 5 ปี หรือปี 2568 จะเพิ่มจำนวนห้องเติบโตปีละ 15% หรืออย่างน้อย 2 เท่า นั่นหมายว่าจะมีจำนวนโรงแรมรวมอย่างน้อย 80 แห่ง หรือคิดเป็นจำนวนกว่า 9,000 ห้องเลย (อ่านข่าวเพิ่มเติม) BAM ได้ฤกษ์นับหนึ่ง IPO           บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เป็นอีกหนึ่งบริษัทหลังจากที่บริษัทได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชน (IPO) ปัจจุบันสำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่งแล้วเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา     นายสมพร มูลศรีแก้ว กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยว่า เชื่อมั่นว่า BAM มีศักยภาพ และจุดแข็งของบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ  มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี มีแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรสุทธิต่อเนื่องปีละกว่า 4,500 ล้านบาท มีสินทรัพย์เติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี มีเครือข่ายทั่วประเทศมากที่สุดรวม 26 แห่ง บริษัทจึงน่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง (อ่านข่าวเพิ่มเติม) ศูนย์ข้อมูลฯ รายงานตลาดอสังหาฯ​ภาคเหนือ-ตะวันออก ปิดท้ายกับการจัดงานสัมมนาของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานตลาดที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งแรกปี 2562 ในพื้นที่ภาคเหนือ ได้แก่จังหวัดเชียงใหม่  เชียงรายตาก และพิษณุโลก โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย พบว่า มีจำนวนโครงการที่ยังอยู่ระหว่างขาย 360 โครงการ มีจำนวนเหลือขาย 14,019 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 49,997 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 4.3%  11.1% และ 10.1% ตามลำดับ (ครึ่งแรกปี 2561 มี 345 โครงการ มีจำนวนยูนิตเหลือขาย12,616 ยูนิต มีมูลค่าเหลือขาย 45,402 ล้านบาท)   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ส่วนรายงานสรุปผลการสำรวจตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่ภาคตะวันออก ได้แก่จังหวัดชลบุรี  ระยองตาก และฉะเชิงเทรา มีจำนวนโครงการที่ยังอยู่ระหว่างขาย 1,062 โครงการ มีจำนวนเหลือขาย 62,060 ยูนิต  คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 200,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 11.6% 12.2% และ 13.6% ตามลำดับ (ครึ่งแรกปี 2561 มี 952 โครงการ มีจำนวนหน่วยเหลือขาย 55,327 ยูนิต มีมูลค่าเหลือขาย 176,108 ล้านบาท)    
รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2562

รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2562

"รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2562"  ยิ่งปลายปีอย่างนี้ก็ยิ่งมีโปรโมชั่นออกมาให้ผู้บริโภคเลือกกันมากมาย โดยเฉพาะโครงการที่พร้อมอยู่แล้ว เราก็สามารถไปชมถึงสถานที่จริงกันได้เลย ใครที่ยังลังเลอยู่ อย่ารอช้าค่ะ     Origin Freedom Deal เอาใจผู้บริโภค ผ่อนคุ้มล้านละ 3,000 บาท นาน 2 ปี ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จัดแคมเปญ “Origin Freedom Deal” ให้ลูกค้าผ่อนคุ้มกว่าเช่า เพียงล้านละ 3,000 บาทต่อเดือน ต่อวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติจำนวน 1 ล้านบาท นาน 2 ปี* โดยมีคอนโดแนวรถไฟฟ้าเข้าร่วมแคมเปญถึง 6 โครงการ ได้แก่ ไนท์บริดจ์ พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์, เคนซิงตัน สุขุมวิท–เทพารักษ์, นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท-แพรกษา, นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105, บีลอฟท์ สุขุมวิท 107, บี ลอฟท์ ไลท์ สุขุมวิท 115 พร้อมรับสิทธิ์ฟรีทุกค่าใช้จ่าย* อาทิ ค่าส่วนกลางฟรี 1 ปี ฟรีค่าโอนกรรมสิทธิ์ หากยื่นขอสินเชื่อผ่านและโอนกรรมสิทธิ์ในระยะเวลาที่กำหนด พร้อมค่าตกแต่งอีก 100,000บาท มาแต่ตัว เข้าอยู่ได้เลย! พิเศษ!!! รับ ส่วนลดสูงสุดถึง 300,000 บาท ตั้งแต่วันนี้จนถึง 15 พฤศจิกายน 2562 นี้   บ้านเดี่ยวเอพี จัดแคมเปญพิเศษ ‘ไฮบริด บ้านนวัตกรรมที่คุณเลือกได้’ ครั้งแรกกับแพ็คเกจนวัตกรรมล้ำสมัย มูลค่าสูงสุด 5 ล้านบาท  เอพี (ไทยแลนด์) จัดแคมเปญ ‘Hybrid Living–ไฮบริด บ้านนวัตกรรมที่คุณเลือกได้’ นับเป็นแคมเปญพิเศษ ที่เอพีได้จัดขึ้นสำหรับลูกค้าครอบครัวคนเมืองรุ่นใหม่ ที่กำลังมองหาบ้านเดี่ยวทั้งโครงการใหม่ และบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ โดยเราได้รวบรวมโครงการบ้านเดี่ยวในเครือเอพี ภายใต้แบรนด์ CENTRO, THE CITY, MIND และ THE PALAZZO รวมทั้งสิ้น 8 โครงการใหม่ และบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่กว่า 25 โครงการในสุดยอดทำเลศักยภาพ โดยนอกจากไฮไลท์พิเศษ แพ็คเกจนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีที่สุด รวมมูลค่าสูงสุดกว่า 5 ล้านบาท เรายังเตรียมมอบที่สุดแห่งข้อเสนอ อาทิ คัดสรรบ้านแปลงพิเศษที่ดีที่สุด แพ็คเกจราคาพิเศษที่สุด ราคาเริ่มต้น 4.99–60 ล้านบาท และ ส่วนลดเพิ่มเติมอื่นๆ อีกมากมาย สำหรับลูกค้าที่ทำการจองซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 27 ธันวาคม 2562 เท่านั้น   แสนสิริ เร่งเครื่องอสังหาฯไตรมาส 4 เปิดตัวแคมเปญ “รับมโหฬาร 20 เท่า” ซื้อตอนนี้รับคืน 20 เท่าของมูลค่าเงินจอง สูงสุด 5 ล้านบาท ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และดีคอนโดพร้อมอยู่รวม 43 โครงการทั่วประเทศ ในราคาเริ่มต้น 1.79–30 ล้านบาท พบโปรโมชั่นสุดคุ้มที่คัดมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มด้วยโปรโมชั่นเงินสดเพื่อการย้ายเข้าอยู่บ้านหลังใหม่ พร้อมโปรโมชั่น ฟรี! ค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์  ฟรี! เครื่องใช้ไฟฟ้า ฟรี! เฟอร์นิเจอร์ และฟรี! แอร์ทั้งหลัง ตอบรับเรียลดีมานด์ ผนึกสถาบันการเงินมอบอัตราดอกเบี้ย อาทิ ผ่อนต่ำล้านละ 1,000 บาท อัตราดอกเบี้ยเพียง 0.75% นาน 1 ปี หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 2,800 บาท อัตราดอกเบี้ยเพียง  1.88% คงที่นาน 2 ปี พิเศษเฉพาะลูกบ้านแสนสิริที่โอนกรรมสิทธิ์ภายในปี 2562 นี้เท่านั้น   จอง 5,000 ฟรี 5 อย่าง* ยกขบวน 7 คอนโดฯ จัดเต็ม! สูงสุดเกือบ 500,000 บาท 7 คอนโดฯคุณภาพพร้อมอยู่ใน 7 ทำเลเด่นกรุงเทพฯและหัวหิน เริ่มต้น 2.19 ลบ. รับเต็มๆเครื่องใช้ไฟฟ้า 5 อย่าง ฟรี! ค่าส่วนกลางสูงสุด 5 ปี ฟรี! ค่าโอนและทำสัญญา ฟรี! Moving Package พร้อมข้อเสนอมากมาย รวมมูลค่าสูงสุดเกือบ 500,000 บาท พร้อมรับเพิ่มอีกต่อกับโปรโมชั่นจากแต่ละโครงการสูงสุด 600,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ -15 ธ.ค.2562 ได้แก่ เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง, เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101, เดอะ ไลน์ พหลฯ-ประดิพัทธิ์, เดอะ เบส สุขุมวิท 50, เดอะ เบส เพชรเกษม, ทากะ เฮาส์ และ ลา กาซิต้า คอนโดตากอากาศสไตล์สแปนิชใจกลางหัวหิน   ANANDA BigDeal โปรโมชั่นผ่อนล้านละ 1,000 บาท/เดือน เฉพาะลูกค้าที่ขอสินเชื่อบ้านกับธนาคารกรุงไทย ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน (โปรโมชั่นอื่นๆ แตกต่างกันไปแล้วแต่โครงการ) ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม–20 ธันวาคม 2562   ไอดีโอ โมบิ อโศก ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 66 ไอดีโอ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ ไอดีโอ พหลโยธิน-จตุจักร ไอดีโอ สุขุมวิท 93 ไอดีโอ โมบิ วงศ์สว่าง-อินเตอร์เชนจ์ ไอดีโอ โมบิ บางซื่อ แกรนด์ อินเตอร์เชนจ์ ไอดีโอ โอทู ไอดีโอ พระรามเก้าตัดใหม่ เอลลิโอ เดล มอสส์  พหลโยธิน 34   Assetwise ลดจริงไม่มีหลอก ลดสูงสุด 1,000,000 บาท Assetwise จัดโปรลดจริงถึง 11 โครงการ ลดสูงสุด 1,000,000 บาท ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท ตั้งวันที่ 1-31 ตุลาคม 2562 นี้เท่านั้น   H2 Condo รามอินทรา 21 Modiz Condo Sation พหลโยธิน Brown Condo พหลโยธิน 67 Wynn Condo พหลโยธิน 52 Episode Condo พหลฯ-สะพานใหม่ Modiz Condo รัชดา 32 Wynn Condo ลาดพร้าว-โชคชัย 4 Brown Condo รัชดา 32 Brown รัชดา-ห้วยขวาง Kave Town Condo ม.กรุงเทพ รังสิต     ถูกที่ ถูกเวลา ในราคาที่ถูกกว่า LPN จัดโปรโมชั่นคอนโดลุมพินี 10 โครงการ และ บ้านลุมพินี 7 โครงการ ในราคาเริ่มต้นเพียง 999,000 บาท*   ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว ราคาเริ่ม 999,000 บาท* ลุมพินี วิลล์ ราษฎร์บูรณะ-ริเวอร์วิว 2 ราคาเริ่ม 1.23 ล้าน* ลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 76-แบริ่ง สเตชั่น ราคาเริ่ม 1.36 ล้าน* ลุมพินี วิลล์ ราชพฤกษ์-บางแวก ราคาเริ่ม 1.24 ล้าน* ลุมพินี พาร์ค เพชรเกษม 98 (2) ราคาเริ่ม 1.29 ล้าน* ลุมพินี วิลล์ นาเกลือ-วงศ์อมาตย์ ราคาเริ่ม 1.90 ล้าน* ลุมพินี ซีวิว ชะอำ (B) ราคาเริ่ม 1.02 ล้าน* ลุมพินี พาร์คบีช จอมทียน ราคาเริ่ม 2.83 ล้าน* ลุมพินี สวีท เพชรบุรี-มักกะสัน ราคาเริ่ม 2.99 ล้าน* ลุมพินี สวีท ดินแดง-ราชปรารภ ราคาเริ่ม 2.99 ล้าน*   บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ลาดปลาดุก–บางไผ่สเตชั่น ราคาเริ่ม 1.74 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต-คลอง 2 เฟส 1 ราคาเริ่ม 1.79 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต-คลอง 2 เฟส 2 ราคาเริ่ม 1.20 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน–วัชรพล ราคาเริ่ม 2.75 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า เฟส 2.1 ราคาเริ่ม 2.69 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า เฟส 2.2 ราคาเริ่ม 4.79 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์เพลส พระราม 2–ท่าข้าม ราคาเริ่ม 5.89 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์พาร์ค ท่าข้าม-พระราม 2 ราคาเริ่ม 3.70 ล้าน* บ้านลุมพินี สวนหลวง ร.๙ ราคาเริ่ม 10.70 ล้าน*   จองคอนโด Go JAPAN ยกขบวน 13 คอนโดฯ ทำเลใกล้รถไฟฟ้า มาจักแคมเปญ จองคอนโด Go JAPAN บินฟรี พักฟรี ไม่ต้องลุ้น รับแพคเกจทัวร์กรุงเทพฯ-ฮอกไกโด พร้อมที่พัก 5 วัน 3 คืน ฟรี 2 ท่าน   จอง 999 บาท ทุกห้อง ทุกขนาด กู้เต็ม 100%* ผ่อนต่ำล้านละ 3,000 บาท นาน 3 ปี* ฟรีค่าใช้จ่าย 6 รายการ* และลดสูงสุด 1 ล้านบาท*  ในราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท วันนี้-20 พ.ย. 62        
ทำความรู้จัก Hybrid Living นวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต

ทำความรู้จัก Hybrid Living นวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต

  แน่นอนว่า “บ้าน” คือ 1 ในปัจจัย 4 ที่จำเป็นในการใช้ชีวิต หน้าที่หลักของบ้าน คือ สถานที่พักอาศัย เป็นสถานที่ “กิน-อยู่-หลับนอน” แต่บ้านที่ดีไม่ได้มีคุณค่าแค่ทำให้การพักอาศัยมีความสะดวกสบาย และความปลอดภัยเท่านั้น แต่บ้านที่ดีต้องสามารถสร้างคุณค่าของความเป็นอยู่โดยรวม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสุข ความอบอุ่น ความสบายใจ และเป็นสถานที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับชีวิต ไปจนถึงการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของการอยู่อาศัยด้วย   แนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน จึงไม่ได้มุ่งตอบโจทย์แค่เรื่อง “ฟังก์ชั่น” การใช้งาน เพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น แต่มุ่งตอบสนองความต้องการใช้ชีวิต ที่มีคุณภาพของผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ภายในบ้าน หรือภายในชุมชนรอบข้าง ด้วยการยึดเอาไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีไลฟ์สไตล์หลากหลาย ไม่ได้มีบทบาทและหน้าที่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่มีบทบาทและหน้าที่หลากหลายในคนๆ เดียว บ้านที่ดีจึงต้องตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัย     การพัฒนาที่อยู่อาศัย ผู้ประกอบการจึงต้องตอบสนองความต้องการเหล่านั้นให้ครบ และยังต้องมีคุณภาพที่ดีด้วย โดยเฉพาะกับการอยู่อาศัยในโครงการบ้านเดี่ยว เพราะเป็นการอยู่อาศัยกับคนหลายเจเนอเรชั่น คนแต่ละช่วงอายุ มีความต้องการหลากหลาย และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง แต่ทุกคนต้องอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดี   AP หรือ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ได้เห็นถึงความต้องการของคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งมุ่งหวังการใช้ชีวิตภายในบ้าน ที่สามารถเติมเต็มคุณภาพชีวิตได้ในทุกไลฟ์สไตล์ของทุกคน จึงได้พัฒนาบ้านเดี่ยวภายใต้แนวคิด Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต จากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งพบว่า มีความต้องการที่หลากหลาย ต้องการความสะดวกสบาย โดยเฉพาะความสะดวกสบายจากเทคโนโลยี   Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต คือ การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ กับโครงการบ้านเดี่ยวของ AP ทั้งภายในตัวบ้านและภายนอกบ้าน ทำให้ทุกฟังก์ชั่นของบ้าน สร้างสรรค์ประโยชน์สูงสุดให้กับผู้อยู่อาศัย มีการผสมผสานฟังก์ชั่นบ้าน ให้เข้ากับเทคโนโลยีพลังงานทดแทน และระบบสมาร์ทโฮม ถือเป็นนวัตกรรมของการใช้ชีวิตในรูปแบบ Hybrid Living อย่างแท้จริง     Hybrid Living ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างไร?   หากมองไปในท้องตลาดตอนนี้ใครๆ ก็พูดถึงระบบสมาร์ทโฮม หรือ โฮมออโตเมชั่น ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาทำให้การอยู่อาศัยสะดวกสบาย กับเทคโนโลยีสารพัด เป็นจุดขายของโครงการอสังหาริมทรัพย์ แต่สำหรับ AP แนวคิด Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต พัฒนาโครงการบนแนวคิดที่เชื่อว่า ตัวตนคุณไม่ได้มีแค่หนึ่งคำจำกัดความ ความต้องการของการอยู่อาศัยจึงไม่ได้มีเพียงด้านเดียว บางคนอยากทำงาน แต่ก็อยากเที่ยว บางคนอยากหลีกหนีความวุ่นวาย แต่ก็อยากเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ บางคนอยากอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่ก็ชอบความสะดวกสบายของเมือง และบางคนอยากพักผ่อนที่บ้าน แต่ก็อยากสังสรรค์กับเพื่อนๆ เป็นต้น     เมื่อโจทย์ความต้องการของคนยุคปัจจุบันมีความหลากหลายเช่นนี้ แนวคิดของ Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต จึงถูกพัฒนาบน 4 องค์ประกอบหลักสำคัญ เพื่อให้ทุกความต้องการได้รับการตอบสนอง   1. Cost-saving-ค่าใช้จ่ายส่วนกลางถูกลงด้วยเทคโนโลยี ในยุคที่คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่าย ทำให้คนยุคปัจจุบันมุ่งเน้นเรื่องของ “ความคุ้มค่า” โดยเฉพาะการใช้จ่าย ผู้บริโภคยุคปัจจุบันมีทางเลือกมากมาย ในการซื้อสินค้าหรือบริการ ทำให้ทุกการใช้จ่ายยืนอยู่บนเหตุผลมากกว่าอารมณ์ ซึ่ง AP เข้าใจในเรื่องความคุ้มค่านี้ดี จึงเลือกพัฒนาสาธารณูปโภคภายในโครงการบ้านเดี่ยว ด้วยนวัตกรรมที่ช่วยให้ลูกบ้านประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากที่สุด อาทิ นวัตกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power system) และระบบกำจัดน้ำเสีย (Greywater Recycle system) ซึ่งนำน้ำมาบำบัดเพื่อใช้รดต้นไม่ในโครงการ เป็นต้น ทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางลดลง เมื่อเทียบกับโครงการที่ไม่ได้ติดตั้งระบบนี้   2. Security-ความปลอดภัยในทุกไลฟ์สไตล์ บ้านแค่อยู่อาศัยแล้วสบายคงไม่เพียงพอ แต่ต้องมีความปลอดภัย ทั้งทรัพย์สินและชีวิตของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน นอกจากระบบรักษาความของโครงการ ไม่ว่าจะเป็น รปภ. กล้องวงจรปิด ระบบคีย์การ์ด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีเป็นเรื่องพื้นฐานจำเป็นอยู่แล้ว แต่แนวคิดของ Hybrid Living ของ AP ต้องตอบโจทย์การดูแลความปลอดภัยได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็น   ระบบเซ็นเซอร์ประตู หน้าต่าง และเซ็นเซอร์ตรวจจับ ความเคลื่อนไหว ให้เจ้าของบ้านได้มั่นใจ แม้ว่าจะออกไปทำงานหรือเดินทางท่องเที่ยว เพราะจะมีระบบจะแจ้งเตือนผ่าน Application พร้อมส่งเสียงเตือนเมื่ออยู่ในโหมด “Alarm” ช่วยแจ้งเตือนเมื่อตรวจพบการเปิด-ปิดของประตูหรือหน้าต่าง หรือตรวจเจอการเคลื่อนไหวในบ้าน หรือจะดูความเป็นไปของคนภายในบ้าน สามารถทำได้ด้วยการดูผ่านกล้อง IP Camera จาก Application ได้แบบ Live Stream     แม้แต่ปัญหาประจำที่ทุกคนจะต้องเจอ เช่น การลืมกุญแจบ้าน ก็ไม่ใช่ปัญหาต้องจ้างช่างมาไขประตูเข้าบ้านอีกต่อไป เพราะระบบ Digital Door Lock ช่วยแก้ปัญหาได้ สามารถสั่งงานผ่าน Application ได้ หรือจะสั่งเปิดประตูให้กับแม่บ้านเพื่อเข้ามาทำความสะอาด ระบบก็มี Pin Code ชั่วคราวที่ใช้ได้ครั้งเดียวให้ เจ้าของบ้านอยู่ที่ไหนก็ใช้งานได้สะดวก เหมาะกับการวิถีชีวิตคนยุค 4.0   ที่สำคัญการพักอาศัยอยู่กับคนหลายเจเนอเรชั่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุ บางครั้งลูกหลานออกไปทำงาน หรือเดินทางท่องเที่ยว ต้องให้ผู้สูงอายุอยู่โดยลำพัง ก็หมดห่วงกับสิ่งที่ AP คิดมาให้ เพื่อดูแลผู้สูงอายุ กับปุ่มเรียกฉุกเฉินในยามคับขัน พร้อมทั้งมีเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวที่เตียงนอน เพื่อเปิดไฟทางเดินสู่ห้องน้ำแบบอัตโนมัติในตอนกลางคืน หรือการดูแลที่ดีขึ้นไปอีก กับการส่งสัญญาณเตือนและภาพ Live Stream จาก IP Camera ไปยัง Application ในโทรศัพท์มือถือ หากไม่พบการเคลื่อนไหวของผู้อยู่อาศัยในห้อง เพื่อขอความช่วยเหลือในกรณีที่ผู้สูงอายุเกิดล้ม ถือเป็นแนวทางการพัฒนาที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนได้ทุกเจเนอเรชั่นจริงๆ   3. Comfort-ความสบายแค่ปลายนิ้วสั่งงาน เรื่องความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย แม้จะเป็นเรื่องพื้นฐานที่บ้านต้องตอบโจทย์ แต่เพราะปัจจุบันเป็นยุคที่มีเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้ความสะดวกสบายต้องเป็นเรื่องที่พัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานการดูแลบ้าน และให้ผู้อยู่อาศัยสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟนได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน ที่ AP นำระบบควบคุมอุปกรณ์ ไฟฟ้าอัจฉริยะในบ้าน Smart Home Gateway and Security Module มาดูแลความสบายของคุณและครอบครัว   การใช้ระบบควบคุมไฟแสงสว่าง Lighting Control ที่สามารถเปิด-ปิด ผ่านสวิตช์ และ Application ทำงานคู่กับระบบ Motion Sensor ช่วยตรวจจับความเคลื่อนไหว และความสว่างในบ้าน และระบบพัดลม Air Flow ระบบควบคุมเครื่องกรองอากาศอัจฉริยะ แม้แต่ชีวิตนอกบ้าน เทคโนโลยีก็ยังเข้ามาทำให้มีความสะดวกสบาย อาทิ ระบบตั้งเวลา Sprinkle รดน้ำต้นไม้ ผ่านสวิตช์ และ Application ระบบ Gate Controller ควบคุมเปิด-ปิด มอเตอร์ประตูรั้วบ้าน ผ่าน Application ระบบ Digital Door Lock เป็นต้น   4. Community-ดูแลชุมชนปลอดภัย 24 ชั่วโมง การอยู่อาศัยภายในบ้าน แม้ว่าจะได้รับความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีซึ่งเติมเต็มให้กับการอยู่อาศัย สิ่งที่ละเลยไม่ได้กับการอยู่อาศัยภายในโครงการบ้านเดี่ยว AP คือ การสร้างสรรค์ให้เกิดสังคมแห่งความสงบสุข จากการอยู่ร่วมกันของผู้อยู่อาศัยในโครงการ เพราะ AP เชื่อว่า “เพื่อนบ้านที่ดี” คือ ปัจจัยสำคัญของการอยู่ร่วมกันในชุมชน จึงได้สร้างสรรค์ Katsan Application เพื่อสื่อสารกับพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าโครงการ เมื่อมีแขกมาเยือน ระบบจะส่งการแจ้งเตือนไปยังมือถือของคุณ   นอกจากนี้ ยังช่วยคัดแยกรถต้องสงสัย และแจ้งเตือนพนักงานรักษาความปลอดภัย เมื่อมีรถสาธารณะอยู่เกินเวลา ในกรณีฉุกเฉินยังสามารถใช้กดเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัย ตำรวจ หรือรถพยาบาลได้แค่ปลายสัมผัส ทำให้การอยู่ร่วมกันของคนในชุมชนได้รับความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง เป็นชุมชนที่น่าอยู่อาศัย และสามารถสร้างคุณภาพชีวิตให้กับทุกคนในโครงการบ้านเดี่ยวของ AP     องค์ประกอบทั้งหมดที่ AP นำมาใช้พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ภายใต้แนวคิด Hybrid Living นวัตกรรมบ้านเดี่ยวที่เข้าใจชีวิต จึงเป็นคำตอบของการอยู่อาศัยในยุคดิจิทัล 4.0 ที่ไม่ได้ต้องการแค่ความสะดวกสบายเมื่ออยู่ในบ้านเท่านั้น แต่หมายถึงการเติมเต็มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้อยู่อาศัยในทุกเจเนอเรชั่นด้วย   อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.apthai.com/HybridLiving/  
6 วิธีเลี่ยงปัญหาฝุ่น อันตรายที่แฝงตัวอยู่ภายในบ้าน

6 วิธีเลี่ยงปัญหาฝุ่น อันตรายที่แฝงตัวอยู่ภายในบ้าน

ปัญหาฝุ่น PM2.5 กลับมากวนใจและสร้างปัญหาสุขภาพให้คนไทยอีกครั้งแล้ว จากการรายงานของกรมควบคุมมลพิษล่าสุด  เมื่อเวลา 12.00 น. ของวันที่ 23 ตุลาคม 2562 ดังนี้   ปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ตรวจวัดได้ระหว่าง 27-57 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินเกณฑ์มาตรฐาน 8 สถานี (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) ได้แก่   -บริเวณริมถนนกาญจนาภิเษก -ริมถนนลาดพร้าว -ริมถนนพระราม3-เจริญกรุง -ริมถนนเพชรเกษม -ริมถนนจรัญสนิทวงศ์ -เขตบางซื่อ -เขตหลักสี่ -บริเวณตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ   บริเวณต่างๆ ดังกล่าว มีคุณภาพอากาศอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ  ซึ่งปริมาณฝุ่นละอองในภาพรวมมีแนวโน้มลดลงจากช่วงเวลาก่อนหน้าเกือบทุกพื้นที่ เนื่องจากสภาพอากาศวันนี้ใน พื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีเมฆบางส่วน ประกอบกับมีฝนฟ้าคะนอง 10% ของพื้นที่ ซึ่งเป็นส่วนช่วยให้ฝุ่นละอองเจือจางลง   คำแนะนำสำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หากจำเป็นต้องออกนอกบ้านเป็นเวลานาน ควรสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันฝุ่นละออง   อันตรายของ PM 2.5 นั้น สามารถทำให้เสียชีวิตได้ก่อนวัยอันควร และยังมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือดในสมอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคมะเร็งปอด โรคหัวใจขาดเลือด  และโรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง   แต่แม้ว่าเราจะอยู่ภายในบ้าน ปัญหาฝุ่นอาจจะเข้ามาสร้างปัญหากับสุขภาพเราได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควร ต้องเตรียมตัวตั้งรับ ด้วยการดูแลตัวเราเอง  และทำให้สิ่งแวดล้อมภายในบ้านและรอบๆ ตัวดีขึ้นด้วย แต่ถ้าต้องไปปฏิบัติงานหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรสวมหน้ากากที่สามารถป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “หน้ากาก N95” สำหรับการพักอาศัยอยู่ในบ้าน หรือห้องพัก เรามีคำแนะนำและวิธีสำหรับป้องกันอันตรายจากฝุ่น PM2.5 มาเป็นแนวทางการปฏิบัติ กับ 6 วิธี เลี่ยงปัญหาฝุ่นในบ้าน 1.หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นหรือควัน ประเภทจุดธูปจุดเทียน  หรือจุดอโรมาทั้งหลาย ถ้าไม่จำเป็นควรงดไปก่อน 2.หมั่นทำความสะอาดบ้าน เช็คล้างอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ ไม่ให้ฝุ่นจับตัว ควรทำอย่างสม่ำเสมอ 3.ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท ช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองเข้ามาภายในบ้าน  เลือกเปิดแอร์โดยใช้ระบบอากาศหมุนเวียนอากาศจากภายในบ้านแทนการดึงอากาศมาจากภายนอก  และตรวจทำความสะดวกระบบกรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ 4.เปิดเครื่องฟอกอากาศที่ตอนนี้มีออกมารองรับปัญหานี้มากมาย 5.ปลูกต้นไม้ภายในบ้านก็ช่วยได้ เพราะการรดน้ำต้นไม้เป็นการช่วยลดฝุ่นได้อีกทางหนึ่ง 6.การปรับปรุงต่อเติมบ้าน เจ้าของบ้านควรเลือกใช้วัสดุที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ การเลือกผนังและฝ้าเพดานที่มีคุณภาพจะช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองภายในบ้านได้ นอกจากการป้องกันตัวเองจากปัญหา ฝุ่นที่จะเกิดขึ้นแล้ว  ทุกคนคงต้องร่วมมือกัน ไม่สร้างปัญหาหรือทำให้เกิดปัญหาฝุ่นขึ้นเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าปัญหาการเกิดฝุ่นส่วนใหญ่จะเกิดจากภาคอุตสาหกรรม หรือการคมนาคมขนส่งก็ตาม    
รีวิวบ้านเดี่ยว วงแหวน-รามอินทรา “BRITANIA Wongwaen-Ramintra” สไตล์อังกฤษ พร้อมนวัตกรรม  B Genious Mode

รีวิวบ้านเดี่ยว วงแหวน-รามอินทรา “BRITANIA Wongwaen-Ramintra” สไตล์อังกฤษ พร้อมนวัตกรรม B Genious Mode

โครงการออกแบบสไตล์อังกฤษในยุควิคตอเรียน มีการไล่ระดับแบบคลาสิกของตัวอาคาร เพื่อเพิ่มความโดดเด่นสง่างาม ประกอบกับความโค้งของประตูรูปทรงโค้งมน (Archway) ช่วยสร้างความรู้สึกอ่อนช้อย นุ่มนวลและโอ่โถง  ท่ามกลางบรรยากาศสวนสวยสไตลอังกฤษที่งดงาม ประดับแสงไฟจากอาคารในยุค Victorian Gothic ตามถนนที่ทอดยาวเขาสู่ภายในโครงการ กลายเป็นสไตล์บ้านแบบ The Britain’s most stylish architecture จาก BRITANIA Wongwaen-Ramintra     ภายในบ้านจัดสเปซและฟังก์ชั่นให้ใช้ประโยชน์ได้สำหรับทั้งครอบครัว เช่น ชานบันไดขนาดใหญ่ให้เด็กเล็กและผู้สูงอายุได้ก้าวย่างอย่างมั่นคง พื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องนอนล่าง ให้เป็นห้องสำหรับผู้สูงอายุพร้อมห้องน้ำในตัวเพื่อการใช้งานได้สะดวก หรือปรับเปลี่ยนเป็นห้องส่วนกลางให้ทุกคนในบ้านใช้ชีวิตร่วมกัน รวมถึงห้องนอนพื้นที่ชั้นบนที่กว้างขวางได้ถึง 2 ห้องนอนใหญ่ เชื่อมต่อพื้นที่พิเศษ ห้องอเนกประสงค์ สำหรับทุกไลฟ์สไตล์   B Genious Mode นวัตกรรมเพื่อสร้างความสะดวกสบายและตอบโจทย์ไลฟ์ สไตล์สำหรับผู้พักอาศัย โดยนำระบบ Home Automation มาใช้ในโครงการ ได้แก่ USB Outlet, Fiber Internet Optic, IP Camera และ Windor Magnetic Sensor พร้อม Smart SecuritySystem ที่สามารถควบคุมผา่ น Smartphone ได้ทุกหลัง   Clubhouse ยังคงรูปแบบสวนสไตล์อังกฤษขนาดใหญ่รองรับได้ทุกกิจกรรม ไม่ว่าเป็น Co-Working Space สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ฯลฯ ให้ได้มีพื้นที่พักผ่อนอย่างเต็มที่    ชื่อโครงการ BRITANIA Wongwaen-Ramintra (บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา) เจ้าของโครงการ บริษัท บริทาเนีย จำกัด ที่ตั้งโครงการ แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ 10510 พื้นที่โครงการ 65-2-75.4 ไร่ ลักษณะโครงการ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น  จำนวนหลัง 278 ยูนิต ขนาดที่ดิน 50.51-52.21 ตร.วา  พื้นที่ใช้สอย 155-170 ตร.ม. แบบบ้าน มีให้เลือก 3 แบบ เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น 4-5 ห้องนอนหรือห้องอเนกประสงค์, 3-5 ห้องน้ำ, ส่วนรับแขก, ส่วนพักผ่อน, มุมทำงานส่วนตัว และ 2 ที่จอดรถยนต์ สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง คลับเฮาส์, สระว่ายน้ำระบบเกลือ, ฟิตเนส, ห้องสตรีม, สวนสาธารณะ, กล้องวงจรปิด CCTV และรปภ. 24 ชม.  ราคาเริ่มต้น 6 ล้านบาท จุดเด่นโครงการ  B Genious Mode นวัตกรรมเพื่อสร้างความสะดวกสบายและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สำหรับผู้พักอาศัย ระบบขนส่งสาธารณะใกล้เคียง รถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน และรถไฟฟ้าสายสีชมพูอ่อน จุดขึ้น-ลงทางด่วน ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ (ฉลองรัช), ถ.กาญจนาภิเษก สถานที่ใกล้เคียง The Grove, Fashion Island, The Promenade,CentralFestival East Ville,CrystalPark, Western University,โรงเรียนสารสน์วิเทศสายไหม, โรงเรียนสาธิตพัฒนา, โรงพยาบาลสินแพทย์, โรงพยาบาลสายไหม   รายละเอียดบ้านเดี่ยว วงแหวน-รามอินทรา "BRITANIA Wongwaen-Ramintra" เพิ่มเติม บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา โครงการอื่นๆ จาก ORIGIN BRITANIA วงแหวน หทัยราษฎร์ BRITANIA วงแหวน–หทัยราษฎร์ BRITANIA บางนา กม.12  
สรุปข่าวรอบสัปดาห์ วันที่ 14 -20 ตุลาคม 2562

สรุปข่าวรอบสัปดาห์ วันที่ 14 -20 ตุลาคม 2562

นอกจาก ดีเวลลอปเปอร์จะเร่งสร้างยอดขาย จากแคมเปญการตลาดต่างๆ ในช่วงปลายปีแล้ว  การเปิดโครงการใหม่ก็ยังคงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนว่าจะเพิ่มมากขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมาด้วย  เพราะตอนนี้ต้องเร่งสปีดธุรกิจกันให้มากขึ้นแล้ว เดี๋ยวไม่ได้เป้าหมายตามที่หวังกันไว้   อนันดาเปิด 4 โครงการใหม่   บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ได้เปิดตัว 4 โครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ไอดีโอ ในทำเล พร้อมพงษ์, พระโขนง, จุฬา-สามย่าน และจรัญสนิทวงศ์ มูลค่ารวมกว่า 13,000 ล้านบาท มาคราวนี้มุ่งเน้นการเปิดตัวในคอนโดมิเนียมที่เน้นความคุ้มค่า ทำราคาให้สอดคล้องกับสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน และกลุ่มเป้าหมายลูกค้า Gen Z     นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า   สำหรับทั้ง 4 โครงการ มั่นใจว่าสามารถจะสร้างยอดขายรวมในช่วงเปิดตัวโครงการ ได้กว่า 5,200 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายประมาณ 40% ภายในปีนี้  จากปัจจุบันบริษัทฯ มียอด Backlog ประมาณ 33,200 ล้านบาท โดยในปีนี้จะรับรู้ยอดโอนราว 12,240 ล้านบาท แม้ในเดือนพฤศจิกายนนี้จะมีการลดเป้ายอดขาย  และยอดรับรู้รายได้ใหม่อีกครั้ง ตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งแม้จะมีความผันผวน   ขณะเดียวกันได้ปรับแผนเลื่อนเปิด 4 โครงการไปช่วงต้นปีหน้า ได้แก่ ไอดีโอ คิว พหลฯสะพานควาย มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท ที่ได้ยกเลิกการขายไปเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เนื่องจากราคาขายต่อตารางเมตรสูงกว่าตลาด ส่งผลให้ยอดขายถูกผลกระทบตามไปด้วย จึงจะมีการปรับโครงการใหม่ให้สอดรับกับผู้บริโภคมากขึ้น และยังมีโครงการในทำเล สุขุมวิท 59, ลำสาลี และทองหล่อ มูลค่ารวมทั้ง 4 โครงการนี้ 22,000 ล้านบาท ทั้งนี้ในปี 2562 เมื่อได้มีการปรับยอดขายลงจาก 10 โครงการ มูลค่ารวม 38,000 ล้านบาท เหลือ 6 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท   เดอะเนสท์ เปิดโปรเจ็กต์ "จุฬาฯ-สามย่าน"   สำหรับกลุ่ม พี.เอ็ม. กรุ๊ป ได้เปิดตัวโครงการ  “เดอะเนสท์ จุฬาฯ – สามย่าน” คอนโดมิเนียม 8 ชั้น 2 อาคาร รวม 332 ยูนิต ในซอยจินดาถวิล ถนนพระราม 4 บนที่ดินกว่า 2 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 21.14-49.39 ตารางเมตร มีพื้นที่จอดรถ 40 % ห่างจาก MRT สถานีสามย่าน 600 เมตร มูลค่าโครงการประมาน 1,500 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง ไตรมาส 1 ปี2563 คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปี 2564 โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 50% ในวันพรีเซล 26-27 ตุลาคม 2562     นางสาวอุษณา มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่ม บริษัท พี.เอ็ม. กรุ๊ป เปิดเผยว่าจากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน เชื่อว่าไม่ได้ส่งผลให้ราคาคอนโดมิเนียมลดลง แต่อยู่ในภาวะทรงตัว ซึ่งมองว่าเป็นวัฏจักรปกติของธุกิจ  เพียงแต่ผู้ประกอบการต้องมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการ พัฒนาโครงการออกมาให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ในราคาที่เหมาะสม ในแง่ของผู้บริโภคเองก็ถือเป็นโอกาสที่จะสามารถได้สินค้าราคาดีเอาไว้ (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   ทุนจีน เดินหน้าปั้น 4 โปรเจ็กต์ 22,500 ล้าน     ไม่เพียงแต่ดีเวลลอปเปอร์คนไทยเท่านั้น ที่ยังคงมั่นใจตลาดอสังหาฯ และเปิดตัวโครงการใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับกลุ่มดีเวลลอปเปอร์จากจีน ก็เห็นไปในทิศทางเดียวกัน  ซึ่งเชื่อว่าตลาดเมืองไทย ยังมีดีมานด์อีกจำนวนมาก จากคนย้ายเข้ามาหางานในเมือง เศรษฐกิจมีแนวโน้มขาขึ้น  จึงได้ลงทุนกว่า 22,500 ล้าน พัฒนาโครงการคอนโดฯ ออกมาทำตลาดถึง 4 โปรเจ็กต์  ในอนาคตยังเตรียมที่ดินอีก 100 ไร่ เพื่อพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสออกมาอีกด้วย   นายเฉิน ซู่เฟิง ประธานกรรมการประจำภูมิภาค บริษัท ไฮไชน์ ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า  ได้ร่วมทุนกับนักธุรกิจคนไทยพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เนื่องจากมองเห็นศักยภาพตลาดอสังหาฯ ที่เชื่อว่ายังมีความต้องการอยู่เป็นจำนวนมาก จากการขยายตัวของเมือง ซึ่งทำให้มีแรงงานจากต่างจังหวัดเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ และปริมณฑล  ที่ถือว่าเป็นความต้องการที่แท้จริง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโต (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   CPN ลุยปั้นโปรเจ็กต์ใหม่ พร้อมปรับโฉม-รีโนเวต 14 ศูนย์     การพัฒนาโครงการอสังหาฯ​ ไม่ได้มีแต่โครงการที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่รูปแบบโครงการประเภทศูนย์การค้า  ดีเวลลอปเปอร์ก็เตรียมพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่อง อย่าง CPN หรือ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)  ได้ประกาศแผนธุรกิจออกมาเตรียม พัฒนาโครงการใหม่ออกมาอีก 3 โปรเจ็กต์ พร้อมกับปรับโฉมโปรเจ็กต์เดิมอีก 2  และยังรีโนเวตศูนย์การค้าเดิมอีก 12 แห่ง ซี่งเตรียมเงินลงทุนสำหรับแผนธุรกิจภายในปี 2565 นี้ไว้ถึง 22,000 ล้านบาท (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   คนไทยแห่ซื้ออสังหาฯ อังกฤษ   นอกจาก ตลาดอสังหาฯ ในเมืองไทย ที่ยังคงเป็นที่ต้องการของลูกค้า ทั้งชาวไทยและต่างชาติแล้ว อสังหาฯ ในต่างแดนก็ยังได้รับความสนใจ เกิดการเข้าไปจับจอง ไม่ว่าจะอยู่เองหรือจะลงทุนก็ตาม อย่างประเทศอังกฤษที่ถือว่าเป็นหนึ่งในตลาดที่มีชาวไทยเข้าไปจับจอง  แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีปัญหาเบร็กซิท แต่ดูเหมือนว่าไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อตลาดอสังหาฯ ในอังกฤษซักเท่าไร ปัจจุบันยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยมากถึง 70,000 ยูนิต แต่มีการพัฒนาออกมาเพียง 40,000 ยูนิตเท่านั้น     นายแฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหาร หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า อสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษ  เริ่มกลับมาฟื้นตัวซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะความต้องการที่อยู่อาศัยมีสูง ทั้งจากคนในประเทศและชาวต่างชาติ ที่เข้าไปเรียนและทำงานจำนวนมาก แต่ปัจจุบันจำนวนที่อยู่อาศัยที่พัฒนาออกมาน้อย   โดยในปีนี้บริษัทได้เป็นตัวแทนขายอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ ให้กับกลุ่มคนไทยได้แล้ว 8 ราย มูลค่า 14.6 ล้านปอนด์ หรือประมาณ​569.4 ล้านบาท  ซึ่ง 7 รายเป็นบุคคลทั่วไป ที่ซื้อคอนโดฯ ยูนิตในราคา 900,000 -1.6 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 35-62.4 ล้านบาท และมี 1 รายเป็นบริษัทที่ซื้อเพื่อการลงทุนจำนวน 16 ยูนิต  และบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 10 รายที่จะซื้ออสังหาฯ​ ในอังกฤษด้วย มีระดับราคาตั้งแต่ 600,000-2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 23.4-78 ล้านบาท ซึ่งมีหนึ่งรายต้องการซื้ออสังหาฯ มูลค่ามากถึง 36 ล้านปอนด์ หรือกว่า 1,404 ล้านบาท (อ่านข่าวเพิ่มเติม)
[PR News] “คุณาลัย” ดีเวลลอปเปอร์ย่านบางบัวทอง ยื่นไฟลิ่ง เตรียมระดมทุนใน mai

[PR News] “คุณาลัย” ดีเวลลอปเปอร์ย่านบางบัวทอง ยื่นไฟลิ่ง เตรียมระดมทุนใน mai

ก.ล.ต. อนุมัตินับ 1 ไฟลิ่ง  “วิลล่า คุณาลัย” หรือ KUN  ดีเวลลอปเปอร์เจ้าตลาดนนทบุรี เตรียมระดมทุน 150 ล้านหุ้นในตลาดเอ็ม.เอ.ไอ. หาเงินขยายธุรกิจครอบคลุม 4 ทิศรอบกรุงเทพฯ   นางปิยะภา จงเสถียร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส 14 แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบเพื่อขาย โดยเน้นพื้นที่ในเขตปริมณฑลโดยเฉพาะอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เปิดเผยว่า ภายหลังที่ บมจ.วิลล่า คุณาลัย (KUN) ได้ทำการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น และมูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน ​25% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทฯ   ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ และได้ยื่นคำขอให้รับหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)  ล่าสุดทางสำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่ง บมจ.วิลล่า คุณาลัย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ในเร็วๆนี้   ทั้งนี้ในระหว่างที่มีการยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่ง นั้น ทาง บมจ.วิลล่า คุณาลัย ได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ใหม่เป็น 0.50 บาท จากเดิม 1.00 บาท จึงทำให้จำนวนหุ้นในการเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) เพิ่มเป็น 150 ล้านหุ้น จากเดิม 75 ล้านหุ้น ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 600 ล้านหุ้น  และมีทุนที่เรียกชำระแล้ว 225 ล้านบาท   ภายหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทจะมีทุนชำระแล้วเพิ่มขึ้นเป็น 300 ล้านบาท สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อนำเงินไปใช้เพื่อขยายธุรกิจของบริษัท โดยใช้ในการซื้อที่ดินเพิ่มเติมสำหรับพัฒนาโครงการ  เพื่อใช้เป็นเงินทุนในการพัฒนาโครงการ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ รวมทั้งใช้เพื่อการชำระหนี้ในบางส่วน   ด้านนางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN  กล่าวว่า  บริษัทดำเนินธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบเพื่อขาย ภายใต้แบรนด์ “คุณาลัย”  โดยยึดหลักการในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ 4 ด้าน คือ ทำเลศักยภาพ (COMFORTABLE) บ้านสวยในโครงการที่อบอุ่น (APPEARANCE) ทีมงานมืออาชีพ (RELIABLE) คุณภาพสมราคา (ECONOMY) ด้วยแนวคิด “คุณาลัย สร้างพื้นที่ สร้างความสุข”     โดยโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่กลุ่มบริษัทฯ ดำเนินการพัฒนาจะเน้นอยู่ในพื้นที่อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ในปัจจุบันบริษัทฯ สามารถปิดโครงการได้แล้ว 4 โครงการ และมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา 7 โครงการ และโครงการในอนาคต จำนวน 2 โครงการ   “บริษัทมีนโยบายและวิสัยทัศน์ ในการพัฒนาและขยายโครงการในทำเลอื่นๆให้ครบ 4 ทิศ รอบกรุงเทพฯ ทั้งทางเหนือ ใต้​ ตะวันออก และตะวันตก”   กลุ่มบริษัทฯ ได้เริ่มเปิดขายโครงการใหม่ ได้แก่โครงการ จอย ออน 314 ซึ่งเป็นโครงการประเภทบ้านแฝด-บ้านเดี่ยว มูลค่าโครงการรวม ประมาณ 504 ล้านบาท  ในจังหวัดฉะเชิงเทรา นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการในอนาคต จำนวน 2 โครงการ ในอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี มูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,172 ล้านบาท ได้แก่  โครงการคุณาลัย จอย 2 เป็นโครงการประเภทบ้านแฝด-บ้านเดี่ยว 2 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท  เริ่มก่อสร้างในไตรมาส 3 ปี 2563 และสามารถเปิดขายได้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 และ 2. โครงการวิลล่า วาณิช เป็นโครงการประเภทอาคารพาณิชย์ มูลค่าโครงการประมาณ 672 ล้านบาท  คาดว่าจะเริ่มก่อสร้าง และเปิดขายได้ในปี 2564-2565   สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2559-2561) และงวด 6 เดือนแรกปี 2562 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม เท่ากับ 297.50 ล้านบาท 450.38 ล้านบาท 447.09 ล้านบาท และ 303.84 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 5.94 ล้านบาท 10.80 ล้านบาท 11.56 ล้านบาท และ 27.96 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งรายได้รวมเติบโตขึ้นจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์   โดยในปี 2559 กลุ่มบริษัทฯ มีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดจาก 3 โครงการ ได้แก่ โครงการคุณาลัย พราว โครงการคุณาลัย คอร์ทยาร์ด และโครงการคุณาลัย ซิมโฟนี และในปี 2560 กลุ่มบริษัทฯ มีการทยอยโอนกรรมสิทธิ์บ้านเพิ่มเติมจาก 3 โครงการเดิมในปี 2559 คือ โครงการทาวน์โฮม คุณาลัย บีกินส์ ที่เป็นโครงการทาวน์โฮมโครงการแรกของกลุ่มบริษัทฯ   สำหรับปี 2561 กลุ่มบริษัทฯ ยังคงทยอยรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านในโครงการต่อเนื่องทั้ง 4 โครงการต่อเนื่องจากปี 2560 และโครงการใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว คือ โครงการคุณาลัย พอลเลน สำหรับงวด 6 เดือน 2562 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น มาจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นจากจำนวน 64 ยูนิต ในงวด 6 เดือน ปี 2561 เป็น 88 ยูนิต ในงวด 6 เดือน ปี 2562 จากการที่กลุ่มบริษัทฯ ได้ทำการเปิดขายและโอนบ้านของโครงการคุณาลัย จอย ดังนั้น จากแนวโน้มการเติบโตของบริษัทฯ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งทางธุรกิจ ที่จะนำพาไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต  
อสังหาฯ ไทยยังเนื้อหอม ทุนจีนไม่หวั่นตลาดขาลง-LTV คุมเข้ม

อสังหาฯ ไทยยังเนื้อหอม ทุนจีนไม่หวั่นตลาดขาลง-LTV คุมเข้ม

นักธุรกิจจีนมั่นใจศักยภาพตลาดอสังหาฯ เมืองไทย ยังมีดีมานด์อีกจำนวนมาก จากคนย้ายเข้ามาหางานในเมือง เศรษฐกิจมีแนวโน้มขาขึ้น  พร้อมลงทุนกว่า 22,500 ล้าน ผุดคอนโดฯ 4 โปรเจ็กต์  เตรียมที่ดินอีก 100 ไร่ ปั้นมิกซ์ยูส   นายเฉิน ซู่เฟิง ประธานกรรมการประจำภูมิภาค บริษัท ไฮไชน์ ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า  ได้ร่วมทุนกับนักธุรกิจคนไทยพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เนื่องจากมองเห็นศักยภาพตลาดอสังหาฯ ที่เชื่อว่ายังมีความต้องการอยู่เป็นจำนวนมาก จากการขยายตัวของเมือง ซึ่งทำให้มีแรงงานจากต่างจังหวัดเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ และปริมณฑล  ที่ถือว่าเป็นความต้องการที่แท้จริง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโต   แม้ว่าปัจจุบันตลาดอสังหาฯ จะอยู่ในช่วงขาลง จากปริมาณห้องชุดคอนโดฯ ที่มีออกมาจำนวนมาก จนส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ต้องออกมาตรการ LTV มาควบคุมการปล่อยสินเชื่อ ธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ตลาดอสังหาฯ ยังแข่งขันกันรุนแรงด้วย  แต่เชื่อว่าในระยะเวลาประมาณ 2 ปี ภาวะตลาดจะกลับมาฟื้นตัว ภาวะเศรษฐกิจก็จะเติบโตเพิ่มมากขึ้น จึงเชื่อว่าในอนาคตตลาดอสังหาฯ จะกลับมาเติบโตเป็นปกติ   “แม้ว่าการกู้เงินซื้อคอนโดฯ จะมีมาตรการควบคุมเข้มงวด แต่เชื่อว่าอสังหาฯ ไทยยังเติบโตต่อไปได้ เพราะไทยมีประชากรเยอะกว่า 70 ล้านคน เป็นตลาดที่มีความต้องการสูง ตลาดกรุงเทพฯ เหมือนกับประเทศจีนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ประชากรที่อยู่ในปริมณฑลแล้วย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง”    สำหรับกลุ่มไฮไชน์ได้ศึกษาตลาดในประเทศไทยมาตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา และได้ลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดฯ 4 โครงการ รวมมูลค่า 22,500 ล้านบาท ได้แก่ โครงการรีเกิล สาทร-นราธิวาส ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 40% โครงการรีเกิล บางนา มียอดขายแล้ว 20%   โดยในเดือนพฤศจิกายน บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการรีเกิล ศรีนครินทร์ 40 คอนโดฯ ขนาดความสูง  8 ชั้น มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ตั้งอยู่ในซอยศรีนครินทร์ 40 และใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ห่างจากจากซีคอนสแควร์ 400 เมตร และห้างสรรพสินค้าพาราไดซ์ พาร์ค 700 เมตร   ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวโครงการรีเกิล สุขุมวิท 76 เป็นโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วย อาคารที่พักอาศัย 8 อาคาร จำนวน 4,931 ยูนิตราคาเริ่มต้นที่ 1.79-10  ล้านบาท และพื้นที่ศูนย์การค้า 15,000 ตารางเมตร  มูลค่าโครงการกว่า 16,000 ล้านบาท  ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งอยู่ระหว่างสถานีแบริ่งและสถานีสำโรง   นายเฉิน กล่าวว่า บริษัทวางแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย  โดยนอกจาก 4 โครงการดังกล่าวแล้ว ยังเตรียมพัฒนาที่ดิน 100 ไร่ ใกล้สนาบินสุวรรณภูมิ เป็นโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งประกอบด้วยโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ พื้นที่เชิงพาณิชย์ อาทิ ห้างสรรพสินค้า โดยจะแบ่งการพัฒนาออกเป็นเฟส  ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาและวางแผนโครงการ คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงปลายปีนี้     “กลยุทธ์การแข่งขันในตลาดประเทศไทย บริษัทจะชู 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การออกแบบให้ตรงความต้องการของกลุ่มลูกค้าคนไทย 2.เลือกพัฒนาโครงการในทำเลศักยภาพ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหรือเอ็มอาร์ที และ 3.วางกลยุทธ์ราคาให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายสามารถซื้อได้ โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 3,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็น 4,500 ล้านบาทในปี 2563”   สำหรับ กลุ่มบริษัท ไฮไชน์ กรุ๊ป เป็นกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์จากฮ่องกงและจีน ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนากว่า 138 โครงการ ในหลายประเทศ ทั้งจีน ฮ่องกง เป็นต้น เฉพาะตลาดในประเทศจีนมียอดขายกว่า 100,000 ล้านบาท  ปัจจุบันบริษัทได้เข้าไปลงทุนในหลายประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ทั้งประเทศมาเลเซีย ไทย  และอยู่ระหว่างการศึกษา เพื่อเข้าลงทุนในเวียดนามและเมียนมา ขณะที่ประเทศมาเลเซีย ยังมีแผนพัฒนาต่อเนื่อง เป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาทด้วย
สรุปข่าวอสังหาริมทรัพย์รอบสัปดาห์ วันที่  7 – 13 ตุลาคม 2562

สรุปข่าวอสังหาริมทรัพย์รอบสัปดาห์ วันที่ 7 – 13 ตุลาคม 2562

ถึงตอนนี้ ถือว่าเข้าเราได้เดินทางมาสู่ไตรมาสสุดท้ายอย่างเต็มตัวแล้ว บรรยากาศช่วงไฮซีซั่นกำลังเริ่มต้นขึ้น เห็นได้จากแคมเปญการตลาดออกมากันแบบแรงๆ เพื่อเรียกยอดขาย  เพราะโค้งสุดท้ายแล้ว  หากหมดไตรมาสนี้ คงไม่มีเวลาสร้างผลงาน ให้ได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้นปีแล้ว แม้จะมีผู้ประกอบการหลายราย ได้ปรับเป้าหมายทางธุรกิจไปกันบ้างแล้วก็ตาม   ส่วนในรอบสัปดาห์วันที่ 7-13 ตุลาคมที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์อะไรบ้างในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ลองมาดูกัน   ฮาบิแทท 2 โครงการใหม่ย่านทองหล่อ      การเปิดตัวโครงการใหม่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ฮาบิแทท กรุ๊ป เปิดตัว 2 โครงการใหม่  มูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาท ได้แก่  โครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 (Walden Thonglor 8) และ โครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 13 (Walden Thonglor 13) พร้อมดึง เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ (JRE Development) บริษัท  ลูกของ “แจลุกซ์” (JALUX Inc.) จากประเทศญี่ปุ่น มาช่วยบริหารที่พักอาศัย นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ได้ร่วมทุนกับลิสต์ กรุ๊ป (List Group) ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น พัฒนาคอนโดมิเนียมลักชัวรี่โลว์ไรซ์ 2 โครงการดังกล่าว โดยอาศัยความสามารถในการทำตลาดระดับนานาชาติ เข้ามาเสริมจุดแข็งผ่านเครือข่ายของ ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้  โดยทั้งสองโครงการคาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างในช่วงไตรมาสแรก ปี 2563 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรก ปี 2565  นอกจากนี้ ยังได้เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ (JRE Development) บริษัทลูกของ JALUX มาเป็นผู้บริหารจัดการโครงการทั้ง 2 แห่งด้วย   “แสนสิริ” ผนึก “พลัส ” ทุ่ม 60 ล้านปั้้นระบบความปลอดภัย      เรื่องของความปลอดภัย ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่ผู้ประกอบการ ต้องให้ความสำคัญที่ทุกโครงการต้องทำให้ผู้อยู่อาศัยปลอดภัย เพราะหากบ้านไม่ปลอดภัย คงไม่มีใครอยากอยู่ คนจะซื้อที่อยู่อาศัยสักแห่ง ก็ต้องเลือกโครงการอยู่แล้วปลอดภัยมากที่สุด แสนสิริ ซึ่งมองเห็นว่าเรื่องความปลอดภัย เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ลูกค้าใช้เป็นเกณฑ์การตัดสินใจซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม จึงนำเอาระบบ Smart Command Centre ศูนย์ควบคุมความปลอดภัยจากส่วนกลางแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง มาใช้ในโครงการของแสนสิริ อาทิ โครงการเดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา   ล่าสุด แสนสิริ จับมือ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ลงทุน 60 ล้านบาท ตั้งหน่วยธุรกิจใหม่ LIV-24 บุกเบิกแวดวงอสังหา ฯ กับสุดยอดบริการดูแลความปลอดภัยจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง อย่างเต็มรูปแบบแห่งแรกและหนึ่งเดียวของวงการอสังหาฯ ไทย ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นอัปเกรดสุดล้ำ ต่อยอดจากความสำเร็จของ Smart Command Centre ที่ยกระดับความความปลอดภัยจากส่วนกลางเข้าสู่ที่พักอาศัย ด้วยการเชื่อมต่อสัญญาณ Intrusion Alarm แจ้งเตือนเมื่อมีการบุกรุกเข้าสู่ตัวบ้าน และระบบ Smart Meter โซลูชั่นตรวจสอบและแจ้งเตือน เมื่อมีการใช้น้ำประปาและไฟฟ้าที่ผิดปกติในที่พักอาศัย ปี 2020 จ่อขยายการให้บริการครอบคลุม 47 โครงการของแสนสิริ มุ่งเดินหน้าเสริมความปลอดภัย พร้อมสร้างความพึงพอใจระดับสูงสุดให้กับลูกบ้านแสนสิริ   ดร.ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้จับมือกับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เพื่อทรานส์ฟอร์มสู่ ‘LIV-24’ ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจใหม่ของพลัส พร็อพเพอร์ตี้  เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีความปลอดภัยให้เพิ่มมากขึ้น กับเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากส่วนกลางเข้าสู่ที่พักอาศัย ด้วยการเชื่อมต่อสัญญาณ Intrusion Alarm แจ้งเตือนเมื่อมีการบุกรุกเข้าสู่ตัวบ้าน และระบบ Smart Meter โซลูชั่นตรวจสอบและแจ้งเตือน เมื่อมีการใช้น้ำประปาและไฟฟ้าที่ผิดปกติในที่พักอาศัย  ซึ่งวางเป้าหมายติดตั้งกับโครงการของแสนสิริให้ครอบคลุม 47 โครงการ ภายในปีหน้า   “ORI” กวาดยอดขายสะสม 9 เดือน ทะยานสู่ 23,148 ล้าน     ช่วงนี้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เริ่มทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมากันบ้างแล้ว ล่าสุด บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  แจ้งว่า สามารถสร้างยอดขายในช่วงไตรมาส 3/2562 ได้ถึงกว่า 10,188 ล้านบาท  ส่งผลให้บริษัทมียอดขายสะสม 9 เดือนแรกของปี 2562 อยู่ที่ 23,148 ล้านบาท หรือคิดเป็น 83% ของเป้าหมายยอดขายของทั้งปี 2562   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออริจิ้น  เปิดเผยว่า  ผลประกอบการในไตรมาส 3 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง  เป็นเพราะการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ ออริจิ้น (The Origin) จำนวน 4 โครงการ ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 2 ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมเหนือความคาดหมาย โดยมีถึง 3 โครงการที่สามารถปิดการขายได้แล้ว 100% (Sold Out) ได้แก่ 1. ดิ ออริจิ้น รามคำแหง 209 อินเตอร์เชนจ์ 2. ดิ ออริจิ้น รัชดา-ลาดพร้าว 3. ดิ ออริจิ้น ลาดพร้าว 15   ขณะเดียวกัน ดิ ออริจิ้น สุขุมวิท 105 ที่เพิ่งเปิดพรีเซลเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับที่ดี ส่งผลให้ภาพรวมอัตรายอดขาย  ของแบรนด์ดิ ออริจิ้นที่เปิดตัวไป 4 โครงการ สูงถึงกว่า 85%  นอกจากนี้ โครงการคอนโดฯ แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) 2 โครงการที่ทยอยเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2-3 มูลค่าโครงการรวมกว่า 7,500 ล้านบาท ก็สร้างยอดขายกลับมายังบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง โดยโครงการพาร์ค ออริจิ้น จุฬา-สามย่าน และโครงการพาร์ค ออริจิ้น ราชเทวี ต่างมียอดขายแล้วกว่า 80% ขณะเดียวกัน โครงการเคนซิงตัน ระยอง คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ภายใต้โครงการออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง ก็ได้รับการตอบรับที่น่าพึงพอใจ ล่าสุดคิดเป็นยอดขาย 90% ของจำนวนยูนิตที่เปิดขาย (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   BC โรดโชว์พบนักลงทุนกรุงเทพฯ     ความเคลื่อนไหวของบริษัทอสังหาฯ ในแวดวงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากเรื่องประกาศผลประกอบการแล้ว บริษัทที่เตรียมเข้าเทรดหุ้นตอนนี้ อย่าง “บูทิค คอร์ปอเรชั่น” หรือ BC ได้เดินสายจัดงานโรดโชว์พบนักลงทุน เพื่อสรุปข้อมูลการเสนอขายหุ้นไอพีโอ 167 ล้านหุ้น และโชว์ความแข็งแกร่งในธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ รูปแบบสร้าง - ดำเนินงาน - ขาย หรือ BOS Model  เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในปลายปีนี้   นายปรับชะรันซิงห์ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BC)  เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดงานสรุปข้อมูลการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่นักลงทุนและประชาชนทั่วไป (โรดโชว์)​ ที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร เพื่อแนะนำธุรกิจ และสร้างความเชื่อมั่น ก่อนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (ไอพีโอ) จำนวนไม่เกิน 167 ล้านหุ้น ตามแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในปลายปี 2562   โดยโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบ BOS Model วางเป้าหมายอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 15%  ซึ่งความสำเร็จของโครงการที่กลุ่มบริษัทฯ ก่อสร้าง ดำเนินงาน และจำหน่ายออกไปแล้ว (BOS Model) มีจำนวน 6 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 3,525 ล้านบาท และได้กำไรจากการขายโครงการรวมมูลค่าประมาณ 1,626 ล้านบาท พร้อมทั้ง เดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ ชั้นใน ย่านสุขุมวิทตอนต้น และเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่  สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 รายได้รวมอยู่ที่ 675.9 ล้านบาท เติบโต 56.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 431.3 ล้านบาท (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   AWC เทรดวันแรกปิดบวก 0.05 บาท   ส่วนบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ในตระกูล “สิริวัฒนะภักดี” ของเสี่ยเจริญ เจ้าพ่ออาณาจักรเบียร์ช้าง ที่ได้เริ่มทำการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เป็นวันแรกในวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ​ ซึ่งหุ้นของ AWC  ทำราคาปิดวันแรกบวกเพิ่ม 0.05 บาท หรือ +0.83%  จากราคาขาย IPO 6.00 บาท มีมูลค่าการซื้อขาย 8,130.18 ล้านบาท สำมารถทำราคาขึ้นไปได้สูงสุด 6.10 บาท และราคาลงต่ำสุด 6.00 บาท (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   ไทยเตรียมจัดงานประชุมสภาประเมินราคาแห่งอาเซียน     ปิดท้ายกับข่าวของสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย เตรียมจัดงานประชุมสภานักประเมินราคาแห่งอาเซียน ครั้งที่ 22  ในประเทศไทยเนื่องจากเป็นประเทศเจ้าภาพ  ระหว่างวันที่ 20-22 ตุลาคม 2562 ที่โรงแรมดุสิตธานี พัทยา ซึ่งมีนายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมผู้ประเมินราคาแห่งอาเซียนระหว่างปี 2562-2563 โดยสมาคมผู้ประเมินราคาแห่งอาเซียน The ASEAN Valuers Association (AVA) ก่อตั้งในปี 2524 ปัจจุบันมีประเทศสมาชิก 8 ประเทศในอาเซียน ลาว และเมียนมา   สำหรับการประชุมในครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญต่อการผลักดันให้ไทยได้ยกระดับวิชาชีพการประเมินราคาทรัพย์สิน เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุมวิชาชีพการประเมินราคาทรัพย์สินและไม่มีหน่วยงานตามกฎหมายที่จะกำกับดูแลมาตราฐานการประเมินราคา ประเทศไทยจึงได้เกิดปัญหาจากการประเมินราคาอยู่บ่อยครั้งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยทางสมาคมได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับมาร่วมประชุม เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญในการมีกฎหมายควบคุมมาตรฐาน และพัฒนาการด้านต่างๆ ของการประเมินราคาทรัพย์สินในแต่ละประเทศสมาชิก AVA    
เปิดราคาบ้าน-คอนโดฯ ไตรมาส 3 ปรับเพิ่มทั่วหน้า บิ๊กอสังหาฯ อัดของแถมเรียกยอดขาย

เปิดราคาบ้าน-คอนโดฯ ไตรมาส 3 ปรับเพิ่มทั่วหน้า บิ๊กอสังหาฯ อัดของแถมเรียกยอดขาย

แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ จะลดระดับความร้อนแรง จากมาตรการ LTV ความกังวลใจต่อภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อชะลอตัว  ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับแผนเปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งชะลอ ทั้งเลื่อนกำหนดการเปิด จากเดิมที่ตั้งใจเอาไว้  เป็นปรากฎการณ์ที่เห็นได้ชัด ว่าผู้ประกอบการทั้งหลายไม่มั่นใจตลาด หากปล่อยของออกมามากๆ แล้วจะขายได้หมด   แต่แม้โครงการใหม่ที่ออกมาทำตลาด ไม่ได้เป็นไปตามที่บอกไว้เมื่อต้นปี แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง คือ การเพิ่มขึ้นของราคาที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียม ขยับขึ้นทุกๆ โครงการ เหตุผลสำคัญ คงเป็นเพราะราคาที่ดินไม่ได้ถูกลง แถมจะปรับเพิ่มขึ้นมากเสียด้วย เพราะที่ดินมีจำกัดยิ่งในทำเลดีๆ เจ้าของมีสิทธิ์กำหนดราคาขายได้ตามความพอใจ โดยเฉพาะเจ้าของที่ดินที่ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องการเงิน ที่ดินแพงก็เลยสะท้อนกลับมาที่ราคาของบ้านหรือคอนโดฯ   แม้ตลาดอสังหาฯ ปีนี้ไม่ค่อยดี แต่ต้นทุนผู้ประกอบการขยับขึ้น ราคาขายจำเป็นต้องปรับสูง ซึ่งอาจจะส่งผลต่อยอดขายที่จะชะลอตัว  สิ่งที่เป็นทางออกของผู้ประกอบการเลือกจะทำ คือ การใช้กลยุทธ์โปรโมชั่น ไม่ว่าจะเป็นของแถม ส่วนลด สิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อมาทำให้ลูกค้าเห็นว่า ได้ความคุ้มค่าคุ้มราคา โดยเฉพาะโปรโมชั่นในส่วนของราคา ตอนนี้อาจจะเห็นกันเยอะหน่อย บางโครงการหั่นราคาขายต่ำกว่าช่วงพรีเซลล์ด้วยซ้ำ แต่บางโครงการก็ยังไม่ปรับขึ้นราคาขาย รอให้สภาวะตลาดฟื้นตัวดีกว่านี้ก่อน   คอนโดฯ ใหม่ราคาปรับเพิ่ม 7%   ​​​​​​​​​​​ ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดย ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร กล่าวในฐานะรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงานว่า ราคาห้องชุดคอนโดฯ ใหม่ ที่อยู่ระหว่างการขาย ในพื้นที่กรุงเทพฯ - จังหวัดนนทบุรี และสมุทรปราการ ปรับเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  และปรับเพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบกับราคาในไตรมาสก่อนหน้า แม้ว่าราคาที่เพิ่มขึ้นจะเป็นอัตราที่ชะลอตัวลงมาต่อเนื่อง 2 ไตรมาสแล้วก็ตาม     การชะลอตัวของราคาอาจเป็นผลจากการชะลอตัวของภาวะตลาด ซึ่งสอดคล้องกับการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในไตรมาส 2 ซึ่งลดลง  9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน  และลดลง 27.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการปรับขึ้นราคาขาย และใช้วิธีการส่งเสริมการขายในการแข่งขันกันมากขึ้น   ถ้าดูเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ  จะพบว่าราคาคอนโดฯ ใหม่มีการปรับเพิ่มขึ้น 7.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนพื้นที่ปริมณฑลทั้ง 2 จังหวัด มีราคาเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า ราคาบ้านจัดสรรปรับเพิ่ม 3.2%    มาดูราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายกันบ้าง ในช่วงไตรมาสที่ 3 มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นแค่ไหน จากข้อมูล พบว่ามีการปรับราคาเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า  เมื่อดูตามพื้นที่แล้ว พบว่า ในเขตกรุงเทพฯ มีราคาปรับเพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  และเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า   ส่วนในพื้นที่ปริมณฑล 3 จังหวัดที่ทำการสำรวจ ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ มีราคาเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน(YoY) และเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า      โดยหากแยกเป็นบ้านจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยว พบว่า ราคาบ้านเดี่ยว ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 3 ปี 2562 เพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับ ไตรมาสก่อนหน้า เฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ มีราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น  1.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนในพื้นที่ปริมณฑล  ราคาเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  และเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า     ส่วนราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ปรับเพิ่มขึ้น  3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ ราคาเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่พื้นที่ปริมณฑล  ราคาเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  และเพิ่มขึ้น  0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า อัดโปรฯ ของแถมกระตุ้นยอดขาย   วิธีการพื้นฐานตามหลักการตลาด 4P กลยุทธ์ P-Promotion มักจะถูกนำมาใช้เพื่อกระตุ้นยอดขาย ให้กับสินค้าและบริการเสมอ ในช่วงที่ตลาดชะลอตัว สำหรับตลาดอสังหาฯ  ก็ไม่หนีหนทางนี้  สำหรับตลาดคอนโดฯ รายการส่งเสริมการขายในไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่ 57.4% จะเร่งรัดการตัดสินใจของผู้ซื้อด้วยของแถม เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รองลงมา 31.2% เป็นส่วนลดเงินสด และ 11.4% จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ สอดคล้องกับรายการส่งเสริมการขายในไตรมาสก่อน ขณะที่ตลาดบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย  รายการส่งเสริมการขาย ส่วนใหญ่ 45.4% จะจูงใจผู้ซื้อโดยการเสนอด้วยของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ำ แท้งก์น้ำ  รองลงมา 37.1%จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง และ 17.5% จะให้เป็นส่วนลดเงินสด ในขณะที่ไตรมาส 2 ปี 2562 รายการส่งเสริมการขาย ส่วนใหญ่ 59.7% เป็นของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ำ แท้งก์น้ำ ฯลฯ รองลงมา 27.0% จะให้เป็นส่วนลดเงินสดและ 13.3% จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง        
7 ฟังก์ชั่น “จระเข้ เทอร์โบ พลัส” ประโยชน์มากกว่า ในราคาสุดคุ้ม

7 ฟังก์ชั่น “จระเข้ เทอร์โบ พลัส” ประโยชน์มากกว่า ในราคาสุดคุ้ม

  การสร้างหรือการซ่อมแซมบ้าน ปัจจัยหนึ่งที่มักทำให้งบประมาณบานปลาย  คือ ขาดการวางแผนและเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ไม่มีคุณภาพ  คำนึงแต่เรื่องราคาถูกเป็นหลัก ทำให้เวลาเอามาใช้งานจริง ไม่ได้ตามมาตรฐานของงาน ผลงานจึงออกมาไม่มีคุณภาพ หรือเมื่อใช้ไปได้สักระยะก็ต้องมาเจอปัญหาเดิม  ต้องมานั่งรื้อนั่งซ่อมกันใหม่  ทำให้ต้องเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา และอารมณ์  หงุดหงิดกับปัญหาซ้ำซากที่ต้องเจอบ่อยๆ   การเลือกใช้วัสดุจึงควรจะเน้นเรื่องคุณภาพมาเป็นอันดับแรก และพิจารณาเรื่องของความคุ้มค่าคุ้มราคา อายุการใช้งานยาวนาน ไม่ต้องมาเสียอารมณ์ เสียเวลาแก้ไขปัญหาที่ตามมาภายหลัง แม้ว่าอาจจะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย  แต่ถ้าคำนวณแล้วคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป  ก็น่าจะดีกว่าเลือกซื้อแต่ของถูกเท่านั้น   อย่างห้องน้ำหรือห้องครัวที่มีการปูกระเบื้อง ปัญหาสำคัญที่มักพบเสมอ เมื่อใช้งานไปได้สักระยะหนึ่ง คือ ยาแนวของกระเบื้องหลุดล่อน เกิดเปราะแตก น้ำรั่วซึม เกิดปัญหาราดำ ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากการใช้ยาแนวที่ไม่มีคุณภาพที่ดีมากพอ ไม่เหมาะกับประเภทกระเบื้อง ทำให้มีปัญหาภายหลังมากวนใจ กวนเงินในกระเป๋าเจ้าของบ้าน ให้ต้องตามแก้ตามซ่อมกันเสมอๆ   5 เทคนิคเลือกใช้ยาแนวเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหาเรื่องยาแนวกระเบื้องในภายหลัง  ลองใช้ 5 เทคนิคนี้เป็นแนวทาง ในการเลือกใช้ยาแนวให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด   1.เลือกใช้ยาแนวให้เหมาะกับประเภทของกระเบื้อง เริ่มต้นของการเลือกยาแนวที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คือต้องเลือกให้เหมาะสมกับประเภทกระเบื้อง เช่น กระเบื้องแกรนิตโต้นิยมปูชิดเพื่อความสวยเนียน มีขนาดร่องเพียง 0.2-2 มม. ส่วนกระเบื้องเซรามิคทั่วไปมีร่องขนาด 3 มม. การเลือกยาแนวจึงต้องมีคุณสมบัติไหลลึกเหมาะกับร่องของกระเบื้องร่องเล็กปูชิด     2.เลือกใช้ยาแนวให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานของกระเบื้อง กระเบื้องที่ปูในห้องต่างๆ ไม่ว่าจะห้องน้ำ ห้องครัว หรือห้องทั่วไป ลักษณะการใช้งานก็แตกต่างกันไป เพราะสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน ห้องน้ำและห้องครัวอาจจะต้องเจอกับน้ำและความชื้นมากเป็นพิเศษ ทำให้อาจจะเกิดเชื้อรา หรือราดำตามร่องยาแนวได้ การเลือกใช้ยาแนวจึงต้องเลือกที่มีคุณสมบัติป้องกันราดำ และทนต่อกรดหรือสารเคมีในน้ำยาทำความสะอาดได้ดีกว่า เป็นต้น แต่ถ้าเป็นห้องทั่วไปภายในอาคาร ก็ควรเลือกกาวยาแนวที่มีสารระเหยที่เป็นพิษต่ำ (Low VOC) ทำให้เกิดสภาพอากาศที่ดีทั้งระหว่างการก่อสร้างและการอยู่อาศัย   3.เลือกสินค้าจากแบรนด์หรือผู้ผลิตที่มีมาตรฐานการผลิต เป็นที่ยอมรับ สินค้ายาแนวที่จำหน่ายในท้องตลาดมีอยู่มากมาย หลากหลายยี่ห้อ  และผู้ผลิต เหตุผลง่ายๆ ที่เราจะต้องเลือกสินค้าจากแบรนด์และผู้ผลิตที่มีมาตรฐานการผลิต เป็นที่ยอมรับ เพราะสินค้าจะมีคุณภาพและมาตรฐานตามที่เราต้องการใช้งานจริงๆ หากไปใช้สินค้าที่แบรนด์ไม่เป็นที่รู้จัก แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสินค้ามีคุณภาพตรงตามที่ได้โฆษณาไว้     4.เลือกสินค้าที่มีคุณสมบัติพิเศษเพิ่ม เดี๋ยวนี้การผลิตสินค้ามีเทคโนโลยี และการพัฒนาที่ล้ำหน้าไปไกล ผู้ผลิตจึงมักเสริมคุณสมบัติพิเศษของสินค้า  เพื่อให้สินค้ามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้านำไปใช้งาน ดังนั้นเราจึงควรเลือกสินค้าที่มีคุณสมบัติพิเศษ ที่เหนือกว่าสินค้าที่มีแค่คุณสมบัติพื้นฐาน หากราคาไม่แตกต่างกันมากนัก   5.ไม่เลือกสินค้าโดยพิจารณาแต่ราคาเป็นหลัก เรื่องราคาอาจจะเป็นปัจจัยหลักของหลายคนในการเลือกสินค้า แต่หากคิดให้รอบครอบ การเลือกสินค้าโดยคิดแต่เอาเรื่องราคาถูกเข้าไว้ก่อน นานไปก็ต้องมีปัญหาตามมาให้แก้ไข เพราะสินค้าราคาถูกก็ย่อมจะมากับคุณภาพพอประมาณ ถ้าคิดเฉพาะราคาสินค้าถูกก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดี แต่อย่าลืมถ้ามีปัญหาต้องเสียเวลา และหาช่างมาซ่อมแซมเพิ่มเติม นี่คือต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เผลอๆ คิดแล้วอาจจะแพงกว่าการเลือกซื้อสินค้าคุณภาพดี ที่อาจมีราคาสูงกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ และการเลือกจากขนาดถุงใหญ่กว่าก็อาจไม่ใช่คำตอบ ขนาดบรรจุควรเป็นขนาดที่เหมาะสมต่อการใช้งาน ไม่เหลือเศษทิ้งจนต้องจ่ายเกินจำเป็น     ถ้าพูดถึงเทรนด์การใช้กระเบื้อง สำหรับใช้ปูห้องต่างๆ ต้องยอมรับว่าเดี๋ยวนี้กระเบื้องประเภทแกรนิตโต้ ได้รับความนิยมถูกนำมาใช้ในบ้านและคอนโดมิเนียมมากมาย เพราะมีทั้งความสวยงามและมีรูปแบบให้เลือกหลากหลายประเภทในการใช้งาน แต่การเลือกใช้กระเบื้องแกรนิตโต้ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งความสวยงามและอายุการใช้งานยาวนาน คงต้องมีกาวยาแนวที่มีประสิทธิภาพควบคู่กันด้วย   บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในฐานะผู้นำด้านการผลิตภัณฑ์กาวยาแนว  จึงได้ทำตลาดผลิตภัณฑ์ กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัสเพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้า ที่หันมาปูกระเบื้องแกรนิตโต้และกระเบื้องตัดขอบปูชิดกันเพิ่มมากขึ้นด้วย และยังเป็นการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์กาวยาแนวไม่มีคุณภาพ หรือไม่เหมาะกับกระเบื้องแกรนิตโต้  ทำให้ห้องที่ปูกระเบื้องแกรนิตโต้ ประสบปัญหาภายหลังมากมาย อาทิ ปัญหาราดำ  น้ำซึม และเปราะแตก เป็นต้น  ซึ่งสาเหตุสำคัญคือยาแนวไม่ลงลึกไปในร่องของกระเบื้องได้เต็มประสิทธิภาพ  ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้ต้องมาตามแก้ไขปัญหาภายหลัง จึงต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพจริงๆ   ลองมาดูกันว่าผลิตภัณฑ์กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส มีอะไรดีบ้าง  เพราะแม้ว่าจะมีขนาดถุงเล็กๆ แต่เต็มด้วยประสิทธิภาพ เรียกได้ว่า แก้ได้หมดจบทุกปัญหา   7 ฟังก์ชั่น “จระเข้ เทอร์โบ พลัส” ที่ให้ประโยชน์มากกว่าในราคาสุดคุ้ม 1. กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส มี Deep Active Molecule ทำให้เนื้อกาวไหลตัวได้ลึก ยึดเกาะเต็มร่องเล็ก สำหรับร่องยาแนว ขนาด 0.2-5 มม. โดยเฉพาะกระเบื้องแกรนิตโตที่นิยมปูชิด แต่เต็มประสิทธิภาพที่เรียกได้ว่า “เล็กแต่แรง” จริงๆ หมดปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลัง เพราะสามารถไหลลึกกว่า 8 มม. หรือเต็มความหนาของกระเบื้องแกรนิตโต้ จึงไม่เกิดโพรงช่องว่างหมดปัญหาน้ำซึมผ่านได้ หากเป็นยาแนวธรรมดาทั่วไป จะยึดเกาะร่องเล็กสุดตั้งแต่ 1-5 มิลลิเมตรเท่านั้น จึงมีโอกาสเปราะแตกง่ายกว่าสร้างปัญหาตามมาอีกมากมาย      2. กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส มีเทคโนโลยีไมโครแบน ทำให้มีคุณสมบัติยับยั้งราดำและตะไคร่น้ำ ที่ถือเป็นปัญหาสกปรกกวนใจ แถมยังเป็นแหล่งเชื้อโรคอีกด้วย ซึ่งสาเหตุของการเกิดราดำ เป็นเพราะเราละเลยและเลือกกาวยาแนวไม่ถูกประเภท ซึ่งส่งผลให้ยาแนวเปราะแตก มีน้ำซึม เกิดราดำในที่สุด     และเมื่อยาแนวหลุดล่อน น้ำจะซึมผ่านใต้แผ่นกระเบื้อง หากเป็นห้องน้ำชั้น 2 จะทำให้ฝ้ารั่ว ฝ้าพังเกิดความเสียหาย น้ำหยดลงเฟอร์นิเจอร์ และหยดลงพื้น จากปัญหาเล็กๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่ในที่สุด  ทำให้ทุกอย่างพังหมด ต้องหาช่างมาซ่อมแซม เสียค่าใช้จ่ายบานปลาย เสียทั้งเงิน ทั้งเวลา เพียงเพราะมองข้ามเรื่องเล็กๆ เหล่านี้     3. กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส ยังมีคุณสมบัติในเรื่องการแห้งตัวเร็ว สามารถเปิดใช้พื้นที่ได้ภายใน 6 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งปกติยาแนวทั่วไปนั้นกว่าจะแห้งสนิท หรือเปิดพื้นที่ใช้งานได้ ต้องใช้ระยะเวลา 12-24 ชั่วโมง เหมาะมากกับบ้านหรือคอนโดที่มีห้องน้ำเดียวและต้องใช้ทุกวัน     4. คุณสมบัติด้านการทนกรด และสารเคมีมากกว่ากาวยาแนวทั่วไป ทำให้หมดปัญหาและข้อกังวลใจหากใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ที่มีสารเคมีหรือกรดซึ่งไม่ต้องกังวลใจว่ายาแนวจะซึกกร่อนได้ เพราะหากเป็นยาแนวปกติทั่วไปนั้น มีคุณสมบัติพื้นฐานเพียงแค่ปิดร่องกระเบื้อง แต่ไม่ได้พัฒนาให้กาวยาแนวมีคุณสมบัติทนกรด ทำให้เมื่อใช้ไปได้ไม่นานก็เกิดปัญหาหลุดล่อน เพราะถูกกรดหรือสารเคมีจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทำลายยาแนว   5. นอกจากกาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส จะมีเทคโนโลยีไมโครแบน ลดปัญหาราดำแล้ว ยังมีสารไฮโดรโฟบิก ที่ช่วยลดคราบสกปรกฝังแน่น และลดการซึมน้ำ ซึ่งเป็นต้นเหตุการณ์ทำให้กระเบื้องหลุดล่อนอีกด้วย หากเป็นยาแนวธรรมดา ที่ไม่ได้มีสารไฮโดรโฟบิก สิ่งที่เรามักพบเสมอคือ คราบสกปรกฝังแน่น เป็นคราบดำ เนื่องจากยาแนวนั้นเน้นแต่เพียงการปิดร่องกระเบื้อง เป็นคุณสมบัติพื้นฐานหลักเท่านั้น     6. กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส ยังมี WCAC Technology ซึ่งช่วยในเรื่องของลดการเกิดคราบขาวได้ในหนึ่งเดียว เป็นคุณสมบัติพิเศษ   7. ผลิตภัณฑ์กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส ใช้เทคโนโลยีและมาตรฐานการผลิตสินค้าเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยได้รับการทดสอบควบคุมตามมาตรฐาน ANSI A 118.6 (Unsanded), A 118.7 (Unsanded) มาตรฐานยุโรป EN 13888 CG2 และผ่านเกณฑ์การทดสอบตามมาตรฐานการประเมินอาคารเขียว หรืออาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม LEED v4 ในหัวข้อ Indoor Environmental Quality – IEQ (คุณภาพสภาพแวดล้อมในอาคาร) ด้วยวัสดุที่มีสารระเหยที่เป็นพิษต่ำ   จะเห็นว่าผลิตภัณฑ์กาวยาแนวมีความสำคัญมากต่อการปูกระเบื้อง และไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ยาแนวอุดร่องกระเบื้องเท่านั้น แต่มีความสำคัญมากต่อการป้องกันปัญหาจุดเล็กๆ ที่อาจจะบานปลายเป็นปัญหาใหญ่ ต้องใส่ใจเลือกผลิตภัณฑ์กาวยาแนวจระเข้ เทอร์โบ พลัส ไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะมากวนใจภายหลัง แม้ว่าอาจจะมีราคาสูงกว่าสินค้าในท้องตลาด และมีขนาดบรรจุต่อถุงเพียง 0.5 กิโลกรัม แต่ก็ครอบคลุมพื้นที่ได้มาก ประสิทธิภาพสูง บรรจุขนาดเหมาะกับพื้นที่ใช้งาน  เรียกว่าจ่ายครั้งเดียวคุ้มค่าในระยะยาวถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ “เล็กแต่แรง” เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ และคุ้มค่าคุ้มราคามากเลยทีเดียว   หมายเหตุ : LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) มีต้นกำเนิดจากสหรัฐอเมริกาเป็นที่ยอมรับใช้ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกในการก่อสร้างปรับปรุงอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม   ข้อมูลสินค้าเพิ่มเติม : http://bit.ly/2B0ANyw  
LPN ขนอสังหาฯ พร้อมโอน หั่นราคาต่ำกว่าพรีเซลล์ รับสงครามราคา Q4

LPN ขนอสังหาฯ พร้อมโอน หั่นราคาต่ำกว่าพรีเซลล์ รับสงครามราคา Q4

แอล.พี.เอ็น. ทุ่ม 150  ล้าน เปิดแคมเปญ “ความพอดี ที่ดีกว่า” พร้อมโฆษณาแบรนด์ดิ้งครั้งแรกในรอบ 10 ปี  เตรียมขนที่อยู่อาศัยพร้อมโอน 1,000 ล้าน จัดลดราคาพิเศษต่ำกว่าพรีเซลล์  ขณะที่ไตรมาสสุดท้ายยังเดินหน้าเปิดตัวโปรเจ็กต์ใหม่ 4,000-5,000 ล้าน ดันเป้ายอดขายอสังหาฯ ทั้งปี 10,000 ล้าน     นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)(LPN) เปิดเผยว่า ได้ใช้งบประมาณ 150 ล้านบาท  จัดทำแคมเปญ “ความพอดี ที่ดีกว่า” ผ่านหนังสั้น “Dream Home”  เพื่อสื่อสารการตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบัน  ซึ่งถือว่าเป็นการออกแคมเปญโฆษณาแบรนด์ดิ้งครั้งแรกในรอบ 10 ปี เป็นการถ่ายทอดปรัชญาการสร้างบ้านในแบบของบริษัท ที่ต้องการสร้างบ้านที่พอดีกับการใช้ชีวิตจริง  จากปัจจุบันที่ผู้ประกอบการสร้างบ้านและสร้างแบรนด์ที่อยู่อาศัยจนเกินความพอดี  สะท้อนออกมาทำให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงเกินไป โดยเฉพาะการปรับขึ้นของราคาที่ดิน  ซึ่งบางทำเลสูงขึ้นมากกว่า 5 เท่าตัว   นอกจากการจัดทำแคมเปญดังกล่าว  บริษัทยังวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในรูปแบบบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม รวม 10 โครงการ  มูลค่ารวมประมาณ  15,000-16,000  ล้านบาท ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงต้นปีหน้าด้วย  ซึ่งในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้  จะเปิดตัว 5 โครงการ  รวมมูลค่าประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท  ได้แก่  1. คอนโด High Rise ย่านเตาปูน จำนวน 800 ยูนิต มูลค่า 1,900 ล้านบาท 2. คอนโด Low Rise แจ้งวัฒนะ ซอย 10  จำนวน 476 ยูนิต มูลค่า 600 ล้านบาท 3.โครงการบ้านพักอาศัย ย่านลาดกระบัง ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิ 4 กม. จำนวน 400 แปลง มูลค่า 1,250 ล้านบาท  4.โครงการบ้านแฝด 2 ชั้น และบ้านทาวน์โฮมจำนวน 133 แปลง มูลค่า 750 ล้านบาท ย่านสุขุมวิท 113 และ 5.โครงการย่านพหลโยธิน 54/1 ห่าง BTS สะพานใหม่ (ในอนาคต) ระยะทาง 3 กม. จำนวน 253 แปลง มูลค่า 880 ล้านบาท   ส่วนโครงการที่เปิดตัวในปี 2563 ได้แก่ 1.คอนโด High Rise อาคารด้านหน้าจำนวน 719 ยูนิต  มูลค่า 1,600 ล้านบาท และอาคารด้านหลังจำนวน 788 ยูนิต มูลค่า 1,450 ล้านบาท บริเวณถนนแจ้งวัฒนะ ซอย 17  2. คอนโด Low Rise จำนวน 2,293 ยูนิต มูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาท ย่านเอกชัย แถวเซ็นทรัลพระราม 2  3.โครงการลุมพินี มิกซ์ นราธิวาส-รัชดา คอนโด High Rise มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท 4.โครงการ Baan 365 ย่านเมืองทองธานี จำนวน 182 แปลง มูลค่า 1,890 ล้านบาท  และ 5.โครงการบ้านแฝด 2 ชั้น 108 แปลง มูลค่า 650 ล้านบาท ย่านท่าข้าม-พระราม 2 นายโอภาส กล่าวอีกว่า  ในไตรมาสสุดท้ายบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย 5,000 ล้านบาท  ซึ่งปัจจุบันมีโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมโอนกรรมสิทธิ์รวมมูลค่า 8,000 ล้านบาท และกำลังจะก่อสร้างแล้วเสร็จอีก 6,000 ล้านบาท  โดยมียอดขายรอรับรู้รายได้กว่า 4,000 ล้านบาท  ซึ่งเชื่อว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายโดยรวมทั้งปี 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 10,000 ล้านบาท เป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 7,000-7,500 ล้านบาท และยอดขายจากธุรกิจบริการและเช่ามูลค่า 1,000 ล้านบาท   “ตลาดอสังหาฯ  ในไตรมาสสุดท้าย ยังคงแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา ตอนนี้ทุกคนเอาของที่มีอยู่ออกมาขาย บางโครงการลดราคาต่ำกว่าราคาพรีเซลล์ถึง 15% ก็มี”   โดยในช่วงวันที่ 30 ตุลาคมนี้ บริษัทยังเตรียมจัดแคมเปญการตลาด  โดยใช้กลยุทธ์ราคาพิเศษเพื่อมากระตุ้นยอดขาย ซึ่งจะมีราคาต่ำกว่าราคาพรีเซลล์  โดยเตรียมโครงการที่อยู่อาศัยในทำเลต่างๆ มาจัดแคมเปญ  คิดเป็นมูลค่ายอดขายประมาณ​ 1,000 ล้านบาท  จากโครงการพร้อมโอนกรรมสิทธิ์มูลค่า 8,000 ล้านบาท   แผนธุรกิจในปีนี้ของบริษัท จึงมุ่งเน้นการกระจายฐานรายได้ออกหลายๆ ส่วนเพื่อลดความเสี่ยง โดยยังคงรักษารายได้จากการสร้างและขายอาคารชุดพักอาศัยปีละหมื่นล้านบาท รวมถึงขยายการเติบโตของโครงการบ้านพักอาศัยอย่างน้อย 50% ของอาคารชุดพักอาศัย เมื่อรวมกับรายได้จากธุรกิจบริการอื่นๆ ก็เชื่อว่าจะสร้างรายได้และการเติบโตอย่างต่อเนื่อง