Tag : Home

816 ผลลัพธ์
เอพี ไทยแลนด์  จบครึ่งปีแรกทำยอดกว่า 39,500 ล้าน  เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ครึ่งหลังอีก 40 โครงการ

เอพี ไทยแลนด์ จบครึ่งปีแรกทำยอดกว่า 39,500 ล้าน เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ครึ่งหลังอีก 40 โครงการ

เอพี ไทยแลนด์ เอพี สุดแฮปปี้ยอดขายครึ่งปีแรกกว่า 39,500 ล้านบาท ครึ่งปีหลังเดินหน้าเปิดโครงการต่อเนื่องอีก ​40 โครงการ มูลค่า 55,940 ล้านบาท   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกที่ผ่านมาว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 39,501 ล้านบาท มาจากสินค้าแนวราบมูลค่า 29,307 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมที่เริ่มกลับมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญมูลค่า 10,194 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 55,940 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการทาวน์โฮม 19 โครงการ มูลค่า 19,550 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 14 โครงการ มูลค่า 24,750 ล้านบาท และคอนโด 3 โครงการ มูลค่า 8,300 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัดอีก 4 โครงการ มูลค่า 3,340 ล้านบาท   ทั้งนี้ ในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ DIVE DEEPER IN PROPERTY BUSINESS ด้วยการทำงานแบบเจาะลึก เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาคอนโด กลุ่มธุรกิจพัฒนาบ้านเดี่ยว และกลุ่มธุรกิจพัฒนาทาวน์โฮม ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งปีที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาด จำนวน 58 โครงการ มูลค่ากว่า 77,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ตลอดครึ่งปีหลังเอพีจะมีโครงการพร้อมขายทั้ง กทม. และต่างจังหวัดมากกว่า 178 โครงการ มูลค่ากว่า 143,367 ล้านบาท ส่วนแผนธุรกิจปี 2566 บริษัทพร้อมเดิมหน้าตามแผน AP INCLUSIVE GROWTH ที่สุดของปีกับการเติบโตร่วมกัน โดยใช้ความชำนาญที่มีมาสร้างโอกาส และข้อได้เปรียบให้เกิดขึ้นในหลากหลายมิติ ภายใต้ปรัชญาที่ต้องการส่งมอบชีวิตดี ๆ ที่ทุกคนเลือกเองได้ ผ่านการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 58 โครงการ มูลค่าประมาณ 77,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 22 โครงการ มูลค่า 34,800 ล้านบาท ทาวน์โฮม 27 โครงการ มูลค่า 26,400 ล้านบาท คอนโด 4 โครงการ มูลค่า 11,800 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 57,500 ล้านบาท   โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโด (100% JV) และธุรกิจอื่น ๆ ได้สูงถึง 11,805 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวม 1,154 ล้านบาท และมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.66 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการสัดส่วนหนี้สินสุทธิในระดับที่ไม่เกิน 1 เท่า   ทั้งนี้ สินค้าทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยว ยังเป็นคีย์ไดรฟ์สำคัญสร้างการสร้างเติบโตด้านรายได้และกำไร ​โดยรายได้ที่เกิดขึ้นมาจากสินค้าแนวราบมีมูลค่า 8,657 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73% ของรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งมีบ้านเดี่ยวแบรนด์ THE CITY เป็นกำลังหลักหนุนสร้างรายได้รวมในกลุ่มแนวราบ   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ เผยผลงานปี 65 ทำรายได้ 49,388 ล้าน พร้อมกวาดกำไรเติบโตกว่า 23%   -เอพี ไทยแลนด์ ขนบ้าน-คอนโด ขายกว่า 1.65 แสนล้าน ลุยตลาดด้วยแผน INCLUSIVE GROWTH
[PR News] PROUD จัดพิธีลงเสาเอก โครงการรมย์คอนแวนต์

[PR News] PROUD จัดพิธีลงเสาเอก โครงการรมย์คอนแวนต์

โครงการรมย์คอนแวนต์ PROUD ได้ฤกษ์มงคล จัดพิธีลงเสาเอก โครงการรมย์คอนแวนต์ คอนโดระดับลักชัวรีใจกลางเมือง มูลค่า 4,150 ล้าน เดินหน้าเปิดไซต์ก่อสร้าง มั่นใจแล้วเสร็จไตรมาส 4/2569 เร่งการขายชูจุดเด่นทำเลศักยภาพใจกลางสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมพื้นที่ส่วนกลางกว่า 1,200 ตร.ม. จัดเต็มบริการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษ MIDYEAR RETREAT เฉพาะกรกฎาคมนี้ รับฟรีที่พัก InterContinental Phuket Resort 3 วัน 2 คืน มูลค่ากว่า 58,000 บาท   บริษัท พราว เรียล เอสเตท หรือ PROUD ได้ฤกษ์มงคล จัดพิธีลงเสาเอก โครงการ รมย์ คอนแวนต์ (ROMM Convent) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ใจกลางเมือง บนทำเลศักยภาพที่หาได้ยากที่สุดแห่งหนึ่งบนถนนคอนแวนต์ -สาทร   ทั้งนี้ หลังเปิดตัวปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2566 มีกระแสตอบรับที่ดี กวาดยอดพรีเซลไปกว่า 40% ถือเป็นความสำเร็จอย่างสูง ขณะนี้ บริษัทได้เดินหน้าเปิดไซต์ก่อสร้างตามแผนงาน มั่นใจก่อสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2569 เตรียมจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ร่วมสัมผัสประสบการณ์การอยู่อาศัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและยืนยาวในทุกมิติ LIVE. WELL. LIFE. เดือนสิงหาคมนี้   โครงการรมย์คอนแวนต์ คอนโดระดับลักชัวรี มูลค่าโครงการรวม 4,150 ล้านบาท  ด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซปต์  CBD Retreat Residences ลักชัวรี่คอนโดที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้อยู่อาศัยที่ต้องการพื้นที่ห้องขนาดใหญ่พิเศษ เพดานสูง โปร่งให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านใจกลางเมือง โครงการมีความตั้งใจขยายไซส์ให้ห้องของทุก Type กว้างกว่าปกติ เพื่อให้อยู่ได้จริงและยาวนานสำหรับอนาคต รูปแบบห้องเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ห้องนอนจนถึง Junior Penthouse และ Penthouse โดยห้องแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 85 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 19 ล้านบาท การออกแบบ Unit Lay out ยังเน้นฟังก์ชั่นการใช้งานได้หลากหลาย และให้ผู้อยู่อาศัยสัมผัสความงดงามของชีวิตผ่านความเชื่อมโยงของพื้นที่ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมรอบโครงการ ให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านใจกลางเมือง แต่ยังคงความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนเพียง 180 ยูนิต และจำนวนห้องต่อชั้นไม่เกิน 8 ห้อง พร้อม The Sky Retreat ส่วนกลางลอยฟ้าวิวสวนลุมพินี 4 ชั้น และ Facilities ครบครันที่ทำให้คุณได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่เหนือคำบรรยาย   โครงการรมย์ คอนแวนต์ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพที่มีการเติบโตมากที่สุดอีกแห่งของกรุงเทพฯ ที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดดในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางครบทุกรูปแบบได้อย่างสะดวกสบาย รายล้อมด้วยสถานที่ต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สำหรับทุกวัยได้ในระยะเดินถึง ทั้งสถานศึกษา ออฟฟิศขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสวนสาธารณะ รวมถึง ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์ โปรเจกต์ยักษ์ใหญ่แลนด์มาร์คระดับโลกอาทิ One Bangkok, Dusit Central Park, Silom Park นอกจากนี้ ยังมีบริการพิเศษ โดยลูกบ้านจะได้รับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม Holistic Wellness Solution ที่ดำเนินการโดยพันธมิตรผู้ให้บริการด้านสุขภาพแนวหน้าของไทย “แอปพลิเคชัน BeDee by BDMS และ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช” ซึ่งลูกบ้านสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ตลอด 24 ชม. ทั้งแบบออนไลน์ ,จุดให้บริการบริเวณพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการ, โรงพยาบาลบีเอ็นเอช และโรงพยาบาลในเครือ ถือเป็นแนวคิดใหม่ของการอยู่อาศัยที่ช่วยในการดูแลสุขภาพทั้งของตัวเองและทุกคนในครอบครัว โดยมีจุดเชื่อมสำคัญในการบริการที่เป็นมากกว่า เจ้าหน้าที่ทั่วไป คือ Proud Health Butler และ Proud Application คอยช่วยเหลือลูกบ้านเรื่องสุขภาพ พร้อมสิทธิพิเศษในการเป็นสมาชิกระดับ VVIP ของ BNH Loyal Heritage Member รับการดูแลเป็นพิเศษจากทีมแพทย์ระดับ A-List พร้อมส่วนลดสูงสุด 20% พร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมายจากทางโรงพยาบาล     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดเหตุผล พราว เรียลเอสเตท บุกตลาดกทม. กับวิธีทางสร้างรายได้ 15,000 ล้าน -พราว เรียลเอสเตท ปั้นโปรเจ็กต์ “เวหา” 2,290 ล้าน ชู 6 ไฮไลท์คอนโดลักชัวรี่สูงสุดในหัวหิน -รีวิว The Lofts สีลม คอนโดพร้อมอยู่บนถนนสีลม ใกล้ BTS พร้อมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
ดี–แลนด์ โชว์ทราฟฟิก 3 ศูนย์รีเทล พุ่ง 1 ล้านคัน  เดินกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง บุกทัวร์สายมู  

ดี–แลนด์ โชว์ทราฟฟิก 3 ศูนย์รีเทล พุ่ง 1 ล้านคัน เดินกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง บุกทัวร์สายมู  

ดี-แลนด์ ดี–แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ เผยทราฟฟิกรถเข้า 3 ศูนย์ค้าปลีก  Porto Chino และ Porto Go 2 สาขา 5 เดือนแรกรวมกว่า 1 ล้านคัน เฉพาะ Porto Go 2 สาขาผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 80% รับอนิสงค์นักท่องเที่ยวไทยเทศเดินทางเพิ่มขึ้น ครึ่งปีหลังลุยกลยุทธ์เพิ่มความหลากหลายให้ทั้ง 3 ศูนย์ ตอบโจทย์ New Norm หลังโควิด รับเทรนด์ท่องเที่ยวขาขึ้น คาดภายในปี 66 ยอดทราฟฟิกโตเพิ่ม 100%     นายสุเทพ ปัญญาสาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี-แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คอมมูนิตี้มอลล์ และจุดพักรถ (Rest Area) เปิดเผยว่า หลังนักท่องเที่ยวไทยเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ​ และกลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดโควิด-19 รวมไปถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทยอยกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนทราฟฟิกของรถที่เข้ามาใช้บริการทั้ง 3 ศูนย์การค้าของบริษัท ได้แก่  Porto Chino, Porto Go สาขา ทบางปะอินและท่าจีน ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 มีจำนวนกว่า 1 ล้านคัน แบ่งเป็น Porto Chino 372,163 คัน Porto Go บางปะอิน 540,355 คัน และ Porto Go ท่าจีน 243,088 คัน โดยเฉพาะที่ Porto Go ทั้ง 2 สาขา มีนักท่องเที่ยวและนักเดินทางทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นกว่า 80% จากช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ทั้งนี้ คาดว่าจำนวนรถและผู้ใช้บริการจะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากทั้ง 3 ศูนย์ตั้งอยู่บนทำเลคุณภาพ ย่านชุมชน และเส้นทางสัญจรหลัก โดย Porto Chino เป็นไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรกและแห่งเดียวบนถนนพระราม 2 ตั้งอยู่บนทำเลที่สำคัญในเชิงการท่องเที่ยว เพราะเป็นเส้นทางไปสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ เช่น หัวหิน ชะอำ เพชรบุรี ฯลฯ และแหล่งรวมด้านไลฟ์สไตล์ของคนในพื้นที่ ถนนพระราม 2 และมหาชัย ในส่วน Porto Go 2 สาขา ก็ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ 2 เส้นทาง แนวถนนไฮเวย์ บางปะอิน ถนนสายเอเชียก่อนถึงตัวเมืองอยุธยา และท่าจีน ถนนพระราม 2 เส้นทางสัญจรหลักในประเทศที่เชื่อมต่อแหล่งท่องเที่ยว มีปริมาณรถและนักท่องเที่ยวสัญจรผ่านจำนวนมาก   จากสัญญาณจำนวนรถและผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวและคนเดินทางกลับเข้าสู่ภาวะปกติและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก ดี–แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ ยังคงเดินหน้าพัฒนาศูนย์ Porto Chino และ Porto Go 2 สาขา อย่างต่อเนื่องเต็มกำลัง โดยในครึ่งปีหลังเตรียมลุยกลยุทธ์เพิ่มความหลากหลายให้ทั้ง 3 ศูนย์ เพื่อตอบโจทย์ New Norm หลังโควิด พร้อม Re-positioning ทั้ง 3 ศูนย์ ได้แก่ Porto Chino มอลล์ที่เป็นเพื่อนที่รู้ใจ ผ่านบริการสะท้อนความห่วงใย เข้าใจความต้องการและเข้าถึงเพื่อนที่มาใช้บริการ อาทิ ร้านค้าที่หลากหลายเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกเพศทุกวัย ความสะดวกในการจอดรถ บริการรถเข็นคนพิการ/สัตว์เลี้ยง ฟรี Wifi และ EV Charger พร้อมทั้งพื้นที่ส่วนกลางสำหรับการพบปะ และกิจกรรมพิเศษ เป็นต้น   ส่วนของ Porto Go 2 สาขา มาในกลยุทธ์ “เพื่อนรู้ใจนักเดินทาง” รับเทรนด์ท่องเที่ยวขาขึ้น ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบจบสำหรับนักเดินทาง อาทิ ห้องน้ำติดแอร์แบบไร้สัมผัส ที่จอดรถกว้างขวาง มีการจัดสรรพื้นที่เฉพาะสำหรับคนพิการ และครอบครัว ตลอดจนมุมถ่ายภาพจุดเช็กอินเอาใจสายโซเชียล พร้อมด้วยบริการที่ปลอดภัย กับพื้นที่ใช้งานปลอดภัย ไฟส่องสว่าง รปภ. ตลอด 24 ชั่วโมง มีกล้องวงจรปิดทั่วถึง เป็นต้น บนกลยุทธ์ธุรกิจที่มุ่งตอบไลฟ์สไตล์นักเดินทางวิถีใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับความสะอาด รวมไปถึงนักเดินทางที่ยังคงรักษาระยะห่างในการใช้บริการสาธารณะ โดยเป็นจุดพักรถที่มีร้านบริการไดร์ฟ-ทรูมากที่สุดในประเทศไทยใน Porto Go 2 สาขา บางปะอิน และท่าจีน ขณะเดียวกัน พบว่านักท่องเที่ยวส่วนมากกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ทางศูนย์จึงมีหน้าร้านที่สามารถนั่งทานได้กว่า 30 ร้านในแต่ละสาขา นอกจากนี้ Porto Go 2 สาขาบางปะอิน และท่าจีน ยังมุ่งขยายกลุ่มเป้าหมาย จากอินไซท์พบว่ามีนักเดินทางจำนวนไม่น้อยที่นิยมเดินทางมาเพื่อไหว้สักการะและขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อส่วนบุคคล จึงเล็งเห็นเป็นโอกาสในการสร้างมาร์เก็ตเซ็กเมนต์ใหม่ จับตลาดทัวร์สายมู เส้นทางบางปะอิน-อยุธยา ที่มีมากกว่า 100 วัดดัง โดยมีทั้งวัดที่สายมูนิยมมากราบไหว้ และวัดที่มีความสวยงามของโบราณสถานและวัตถุโบราณต่าง ๆ อาทิ วัดใหญ่ชัยมงคล วัดพนัญเชิงวรวิหาร วัดหน้าพระเมรุราชิการาม วัดท่าการ้อง เป็นต้น   ด้าน Porto Go สายท่าจีน มุ่งจับตลาดทัวร์สายมูที่นิยมไปกราบไหว้ขอพรวัดดังย่านสมุทรสาคร ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของการมาเที่ยวสมุทรสาคร โดยมีวัดดังที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ อาทิ วัดใหญ่จอมปราสาท วัดเกตุม วัดกาหลง เกจิชื่อดังของตี๋ใหญ่ และแวะไหว้วัดค่ายบางกุ้ง ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปเพื่อขอเลขเด็ด เป็นต้น คาดภายในปี 66 ยอดทราฟฟิกโตเพิ่ม 100% ทั้งจากกลุ่มทัวร์สายมูทั้ง 2 เส้นทาง นักท่องเที่ยวทั่วไป ตลอดจนผู้สัญจรทั่วไป   อย่างไรก็ดี Porto Go สาขาบางปะอิน และ Porto Go สาขาท่าจีน ยังคงเปิดรับผู้เช่าและร้านค้าที่ตอบโจทย์นักเดินทาง เพื่อให้มีร้านค้าเพียงพอต่อการเติบโตของจำนวนนักเดินทางที่เริ่มกลับมามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นการเตรียมพร้อมรับทราฟฟิกช่วงไฮซีซันในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ทั้งนี้ Porto Go มีเป้าหมายที่จะยืนหนึ่งในการเป็นจุดพักรถที่ดีที่สุด และตอบโจทย์นักเดินทางยุคนิวนอร์มอล สู่การนำพาพันธมิตรให้เติบโตไปพร้อม ๆ กัน นายสุเทพกล่าวทิ้งท้าย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ดี-แลนด์ เตรียมเปิดตัว “พอร์โต้ โก ท่าจีน” จุดแวะพักสำหรับนักเดินทางบนถ.พระราม 2
[PR News] ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC

[PR News] ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC

สินเชื่อสีเขียว ธนาคารไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน และสินเชื่อสีเขียว จำนวน 20,000 ล้าน ให้ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป เพื่อพัฒนาโครงการเมกะโปรเจกต์ สานต่อเจตนารมณ์ด้านความยั่งยืนของทั้งสององค์กร   นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้สนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) และสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จำนวน 20,000 ล้านบาท ให้แก่ AWC เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ และการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ AWC อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมของธนาคาร และธุรกิจภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ โดยมีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จากการดำเนินงานภายในปี 2030 และจากการให้สินเชื่อและการลงทุนภายในปี 2050 ธนาคารมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของ AWC และเชื่อมั่นว่าการสนับสนุนทางการเงินจำนวน 20,000 ล้านในครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพทางธุรกิจผ่านการพัฒนาโครงการคุณภาพมากมาย ที่จะสร้างความน่าตื่นเต้นให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ และเพื่อสนับสนุนประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่ยั่งยืนระดับโลก ด้านนางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า AWC มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 เสาหลัก 9 มิติ หรือ 3 BETTERs ประกอบไปด้วย 1.การสร้างคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม (BETTER PLANET) เพื่อโลกที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น 2.การสร้างคุณค่าด้านสังคม (BETTER PEOPLE) เพื่อผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และ 3.การสร้างคุณค่าด้านเศรษฐกิจ (BETTER PROSPERITY) เพื่อเศรษฐกิจของประเทศที่ดีขึ้น   โดยที่ผ่านมา AWC ได้ดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง อาทิ โรงแรม เชอราตัน สมุย ดำเนินโครงการธนาคารปู เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และโรงแรมบันยันทรี กระบี่ ที่ได้ร่วมมือกับมูลนิธิอันดามัน เพื่อนำร่องโครงการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน รวมถึงการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านแนวคิดธุรกิจ reConcept ที่ส่งเสริมการนำเฟอร์นิเจอร์และวัสดุเก่า รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งของโรงแรมที่ไม่ได้ใช้งาน กลับมารีไซเคิลและใช้ซ้ำ เพื่อลดปริมาณขยะฝังกลบ ตลอดจนการลงทุนพัฒนาบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ที่ส่งเสริมการสร้างงานและสร้างรายได้สู่ชุมชนรอบโครงการ และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยท้องถิ่นเพื่อสร้างโอกาสรายได้ที่ยั่งยืนผ่านโครงการ เดอะ GALLERY เป็นต้น   AWC ยังคงดำเนินงานตามแผนแม่บทอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan: EEP) สอดคล้องกับกรอบสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและสินเชื่อสีเขียว เพื่อมุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านโครงการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาหรือชั้นดาดฟ้าของอาคาร การเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพระบบทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศ ครอบคลุมโรงแรมในเครือที่มีการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2019   นอกจากนี้ AWC จะพัฒนาโครงการในเครือตามกรอบเพื่อขอรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวสากล อาทิ มาตรฐาน EDGE LEED หรือ WELL เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและคํานึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด   โดย AWC มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์ให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก (Mega sustainable destination) อาทิ โครงการเอเชียทีค ที่จะสร้างเป็นแลนด์มาร์คความยั่งยืนริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้กับกรุงเทพฯ โครงการอควอทีค กลางเมืองพัทยา และโครงการเวิ้ง นาครเกษม ศูนย์กลางคุณค่าประวัติศาสตร์วัฒนธรรมกลางไชน่า ทาวน์ รวมถึงโครงการลานนาทีค ที่มีคุณค่าของเสน่ห์ศิลปวัฒนธรรมล้านนากลางเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่ง AWC เชื่อมั่นว่าการพัฒนาโครงการต่างๆ ให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านความยั่งยืนระดับโลกนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสานต่อนโยบายและกลยุทธ์หลักของประเทศสู่การเป็นผู้นำการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก   AWC ยังมุ่งพัฒนาอาคารตามมาตรฐานอาคารสีเขียวในระดับสากล อาทิ โรงแรมอินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน EDGE (Excellence in Design for Greater Efficiencies) และโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ได้รับการรับรอง LEED & WELL PRECERTIFIED รวมถึงอีกหลากหลายโครงการ โดยใช้สินเชื่อยั่งยืนแรกที่ได้รับการสนับสนุนจาก SCB เมื่อปีที่แล้ว   โดยปัจจุบัน AWC ได้ร่วมมือกับพันธมิตรสถาบันการเงินชั้นนำจัดวงเงินสินเชื่อระยะยาวที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนกว่า 75% และตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อระยะยาวเชื่อมโยงความยั่งยืนเป็นร้อยละ 100% เพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ การลงนามสัญญาในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ร่วมกันในการดำเนินธุรกิจ โดย AWC จะยังคงดำเนินการตามกลยุทธ์ความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการริเริ่มต่างๆ เพื่อร่วมสร้างคุณค่าในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ภายใต้พันธกิจ สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า  พร้อมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก AWC ดำเนินงานภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมาตรฐานสากลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ การได้รับการประเมินจาก MSCI ESG Rating ในระดับ "AA" ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่รายชื่อหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment (THSI) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ติดอันดับรายงานความยั่งยืน S&P CSA Yearbook 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P Global ESG Score 2022” ได้รับรางวัล “Industry Mover” ในฐานะบริษัทที่มีความยั่งยืนของกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ ได้รับการจัดอันดับรายงานการกำกับดูแลกิจการ ในระดับ “ดีเลิศ” (Excellence CG Scoring) ได้รับการรับรองให้เป็นแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) และได้รับการจัดอันดับในฐานะองค์กรที่มีการกำกับกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในอาเซียนของปี 2564 (ASEAN CG Scorecard)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ -AWC ประกาศ Q1/2566  กำไร 1,422 ล้าน ผลการใช้กลยุทธ์ GROWTH-LED
[PR News] “บันยัน หัวหิน” เปิด Villa Suasana ที่อยู่สไตล์ทันสมัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

[PR News] “บันยัน หัวหิน” เปิด Villa Suasana ที่อยู่สไตล์ทันสมัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

บันยัน หัวหิน ชุมชนใหม่สำหรับคนแอคทีฟสุขภาพดีใกล้ชายหาดหัวหิน แหล่งพักผ่อนยอดนิยมของไทย เชิญคนมีสไตล์ร่วมสัมผัสโครงการที่อยู่อาศัยในคอนเซ็ปต์ใหม่ “Villa Suasana” ในการเปิดตัววิลล่าตัวอย่างที่จะสะท้อนให้เห็นการใช้ชีวิตที่ใกล้ชิดธรรมชาติและความยั่งยืนแบบมีสไตล์   Villa Suasana ออกแบบมาเพื่อคนรุ่นใหม่ คู่รัก และครอบครัวที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ชื่อของโครงการมาจากภาษาบาหลีที่แปลว่า “บรรยากาศ” ตัวโครงการเป็นพูลวิลล่า มีทั้งแบบ 2 ห้องนอน และ 3 ห้องนอน มีพื้นที่ใช้สอยระหว่าง 137-227 ตารางเมตร โปร่ง สว่าง ด้วยแสงธรรมชาติ บริเวณบ้านมีพื้นที่กว้างขวางระหว่าง 435-816 ตารางเมตร   บันยัน หัวหิน ชีวิตทันสมัย ใส่ใจความยั่งยืน วิลล่าแต่ละหลังมีดีไซน์ทันสมัย สื่ออารมณ์สนุกสนาน มีความสมดุลอย่างลงตัวระหว่างความเป็นส่วนตัวและความอบอุ่นผ่อนคลาย ห้องนอนแต่ละห้องอยู่แยกจากกันและมีความเป็นส่วนตัวสูง แต่ทุกห้องเชื่อมต่อกับพื้นที่ส่วนกลางได้อย่างสะดวกสบาย มีเทอเรซกว้างขวางใกล้สระว่ายน้ำส่วนตัว ครัวบนพื้นเล่นระดับ การตกแต่งภายในที่กว้างขวางและสว่าง เพดานสูงช่วยให้รู้สึกโล่งสบาย คอนเซ็ปต์การออกแบบของโครงการ ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเป็นอย่างมาก มีการใช้งานที่เน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม วิลล่าแต่ละหลังของ Villa Suasana ติดตั้งแผงวงจรพลังงานแสงอาทิตย์ ผนังกันความร้อน สระว่ายน้ำที่เป็นน้ำเกลือ น้ำประปากรอง และระบบออโตเมชั่นอัจฉริยะภายในบ้านสำหรับควบคุมระบบไฟส่องสว่าง นอกจากจะเป็นการออกแบบที่เน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ขณะเดียวกันก็เพิ่มมูลค่าสำหรับผู้ที่ต้องการปล่อยเช่า หรือ ขายต่ออีกด้วย วัสดุคุณภาพพรีเมียม Villa Suasana ให้ความสบายใจแก่ผู้เป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ ทั้งตัวบ้านที่สร้างด้วยวัสดุก่อสร้างที่คัดสรรมาอย่างดี ตัวบ้านที่แข็งแรงทนทาน และบริการดูแลรักษาหลังการขาย นอกจากนี้ ในการก่อสร้างยังได้ผู้อำนวยการโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ จากประเทศเนเธอแลนด์ที่มากด้วยประสบการณ์เป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด บันยัน เรสซิเดนซ์ ได้รับรางวัล “โครงการบ้านที่อยู่อาศัยยอดเยี่ยมในหัวหิน” จาก PropertyGuru Thailand Property Awards 2022 ซึ่งตอกย้ำคุณภาพอันโดดเด่นของโครงการฯ คณะกรรมการผู้ตัดสินรางวัลเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยพิจารณาจากการออกแบบที่ทันสมัยของตัววิลล่า ความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อมที่ดี ชุมชนคนแอคทีฟสุขภาพดี Villa Suasana เป็นส่วนหนึ่งของโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ ที่กว้างขวาง และปลอดภัยด้วยรั้วรอบขอบชิด และมีการดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง วิลล่าแต่ละหลังแฝงตัวอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เน้นความเป็นธรรมชาติ มองเห็นทิวเขาสวยงามทั้งสองด้าน สามารถขับรถไปถึงชายหาดสวยงามได้ในไม่กี่นาที และอยู่ไม่ไกลจากบันยัน กอล์ฟ คลับ สนามกอล์ฟระดับโลก ศูนย์กีฬาทรู อารีนา สปอร์ต เซ็นเตอร์ และใจกลางเมืองหัวหิน รวมทั้งยังอยู่ใกล้ศูนย์สุขภาพนานาชาติสำหรับครอบครัวในโครงการบันยัน หัวหินด้วย เทียส ควั๊น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มบันยัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดกว่า 15 ปีที่ผ่านมา บันยันได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ทำให้ทุกคนได้มีบ้านในฝัน บ้านพักตากอากาศ หรือ การลงทุนเพื่ออนาคต เพราะสำหรับเราแล้ว เจ้าของบ้านทุกท่านจะต้องมี “ชีวิตที่ดี” ในชุมชนที่มีคุณภาพ โครงการ Villa Suasana เป็นที่อยู่อาศัยในคอนเซ็ปต์ที่เน้นธรรมชาติ และการใช้ชีวิตแบบยั่งยืน แนวคิดนี้จะผลักดันให้หัวหินเป็นสถานที่สำหรับคนเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนผู้บริหารและนักธุรกิจนักลงทุน” เจ้าของบ้านในโครงการยังจะได้รับสิทธิพิเศษในการออกรอบที่บันยัน กอล์ฟ คลับ และเป็นสมาชิก บันยัน พริวิเลจ คลับ ในราคาพิเศษ รวมทั้งส่วนลดที่ร้านอาหารชั้นนำกว่า 60 แห่ง บีชคลับ ศูนย์กีฬา ศูนย์สุขภาพ และอื่น ๆ อีกมากมายทั่วหัวหิน เทรนด์ใหม่ของการใช้ชีวิต โครงการ Villa Suasana เป็นอีกก้าวหนึ่งที่นำบันยันเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้สร้างเทรนด์ให้กับครอบครัวคนกรุงเทพที่ต้องการใช้เวลาว่างใกล้ชิดธรรมชาติ และผ่อนคลายที่ชายหาดมากขึ้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนในปัจจุบันให้เปลี่ยนไปใช้ชีวิตที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำงานที่บ้านกันให้เป็นเรื่องปกติ และผู้บริหารต่างก็เลือกที่จะเลี่ยงการจราจรวุ่นวาย ซึ่งทำให้เสียเวลามากไปกับการเดินทางในแต่ละวัน โครงการ Villa Suasana อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ขับรถเพียงแค่ 2.5 ชั่วโมง หัวหินเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมของคนกรุงเทพฯ และได้รับความนิยมสูงจากชาวต่างชาติที่ย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่ รวมทั้งยังเป็นเมืองที่น่ารัก มีเสน่ห์แบบไทย ทำให้เป็นที่นิยมมากสำหรับคนไทย โดยเฉพาะหลังจากการระบาดของโควิด เนื่องจากเป็นเมืองที่น่าอยู่ มีคนที่มีไลฟ์สไตล์แบบแอคทีฟและมีสุขภาพดี มีการพัฒนาสาธารณูปโภคต่าง ๆ มากมาย เช่น ทางยกระดับใหม่ รถไฟรางคู่ และสนามบินหัวหิน   โปรโมชั่นฉลองเปิดตัว เพื่อฉลองการเปิดตัวห้องโชว์ของ Villa Suasana บันยันได้เตรียมข้อเสนอพิเศษเฉพาะช่วงเปิดตัวจนถึงวันที่ 31 สิงหาคมนี้ เท่านั้น โดยลูกค้าใหม่จะได้รับสกูตเตอร์ไฟฟ้า Segway Ninebot จำนวน 2 คัน เพื่อการเดินทางรอบโครงการได้อย่างสะดวก โดยใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเตาบาร์บีคิว Ziegler & Brown จากออสเตรเลีย ลูกค้าสามารถเลือกที่จะตกแต่งบ้านได้ตามความต้องการ วิลล่าแบบสแตนดาร์ด มีให้เลือกทั้งแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 137 ตารางเมตร แบบ 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 189 ตารางเมตร โดยทั้งสองแบบมีเทอเรซนอกอาคาร และสระว่ายน้ำส่วนตัว วิลล่าแบบดีลักซ์ ซึ่งมีแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 150 ตารางเมตร และแบบ 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 227 ตารางเมตร โดยทั้งสองแบบมีพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกอาคารกว้างขวาง และมีสระว่ายน้ำส่วนตัว Villa Suasana เปิดตัวในราคาเริ่มต้น 9.9 ล้านบาท – 16.9 ล้านบาท ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  www.banyanthailand.com/residences/villa-suasana หรือ โทร. 032 538 888   บทความน่าสนใจ Viranya บางนา-สุวรรณภูมิ บ้านหรูเพื่อการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ
“ออริจิ้น” เปิดกลยุทธ์บุก ทำเลรถไฟฟ้า 6 สายส่งคอนโด 19,580 ล้าน ทั่วกทม.-ปริมณฑล

“ออริจิ้น” เปิดกลยุทธ์บุก ทำเลรถไฟฟ้า 6 สายส่งคอนโด 19,580 ล้าน ทั่วกทม.-ปริมณฑล

เปิดกลยุทธ์ “ออริจิ้น” บุก ทำเลรถไฟฟ้า 6 สาย ส่งคอนโด 19,580 ล้าน ทั่วกทม.-ปริมณฑล จากแผนเปิดคอนโดทั่วประเทศ 22 โปรเจ็กต์ กว่า 30,000 ล้าน   สานต่อความเป็น “เจ้าตลาดคอนโด” อย่างต่อเนื่อง สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ที่ปีนี้ประกาศแผน “Origin Infinity” เดินหน้าสร้างการเติบโตแบบไม่สิ้นสุด พร้อมแผนเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ทั่วประเทศ  22 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 30,370 ล้านบาท สูงที่สุดของการเปิดคอนโดในตลาดปี 2566 โดยมี นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด เป็นหนึ่งในผู้นำทัพฝั่งคอนโดมิเนียม   แม้กลยุทธ์หลักจะเน้นการยกทัพธุรกิจในเครือให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ (Nationwide Serve) ทำให้ปีนี้จะได้เห็นโครงการคอนโดในเครือออริจิ้น ออกสู่พื้นที่ต่างจังหวัดนอกเหนือเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นครั้งแรก ขณะเดียวกัน ออริจิ้นก็ยังไม่ทิ้งทำเลยุทธ์ศาสตร์ “ใกล้รถไฟฟ้า” ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล อีกหนึ่ง Key Success ที่ทำให้คอนโดของออริจิ้น สามารถครองใจคนเมืองทุกเพศทุกวัย จนมียอดขายคอนโดในไตรมาสแรกของปี 2566 ถึง 9,459 ล้านบาท   “ปีนี้เรามีโครงการคอนโดทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในไปป์ไลน์ทั้งหมด 12 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 19,580 ล้านบาท คิดเป็น 64% ของพอร์ตคอนโดทั้งหมดในเครือ ซึ่งปีนี้เรายังคงบุกทำเลใกล้รถไฟฟ้า 6 สายต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ให้ครอบคลุมหลายสถานีมากยิ่งขึ้น" ปักหลักสายสีเขียว เจาะครบทุกเซ็กเมนต์ บริษัทยังคงยึดฐานที่มั่นตามแนวรถไฟฟ้า “สายสีเขียวอ่อน” โดยส่งแบรนด์คอนโดครอบคลุมแทบทุกเซ็กเมนต์และไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่ระดับ Entry ไปจนถึงระดับ Luxury เริ่มจากย่าน CBD ใกล้สถานีทองหล่อ ซึ่งเป็นย่านที่มีนักธุรกิจและชาวต่างชาติอยู่อาศัยเยอะ จึงส่งแบรนด์ใหม่โครงการแกรนด์ แฮมป์ตัน ทองหล่อ (Grand Hampton Thonglor) แบรนด์คอนโดมิเนียมสุดหรูสไตล์ Hotel Serviced Residence จากเมกะโปรเจกต์ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์ (ORIGIN THONGLOR WORLD) มารองรับดีมานด์กลุ่มนี้ พร้อม IP Program สร้างผลตอบแทนสำหรับนักลงทุน   ขณะที่ย่านคลาสสิกอย่างพระโขนง เป็นอีกทำเลที่มีชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นมาอาศัยอยู่มากขึ้น ทำให้ย่านนี้คึกคัก รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและแหล่งไลฟ์สไตล์มากมาย จึงได้เห็นการกลับมาอีกครั้งของแบรนด์โซโห แบงค็อก (SOHO Bangkok) คอนโดมิเนียมระดับ Luxury ในเครือพาร์ค ลักชัวรี่ ที่มีจุดเด่นตรงทำเลดี ใกล้สถานีพระโขนง จำนวนยูนิตน้อย มอบความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัย พร้อมเซอร์วิสระดับโรงแรม มาเป็นตัวบุกตลาด   ส่วนทำเลถนัดของออริจิ้น อย่าง บางนา-สมุทรปราการ บริษัทเตรียมส่งแบรนด์โซ ออริจิ้น (So Origin) คอนโดระดับ High End ห้อง Duo Space เพดานสูง 4.2 ม. พร้อม Excellent Services ใกล้สถานีแบริ่ง ขณะที่อีกฝั่งของส่วนต่อขยาย เลือกส่ง แบรนด์ออริจิ้น เพลส (Origin Place) คอนโดเจาะตลาด Upper Class ที่ดีไซน์ห้องพัก และส่วนกลางเจาะกลุ่มคนรักสัตว์โดยเฉพาะ บนทำเลดีใกล้สถานีพหลโยธิน 59 บุกสายสีน้ำเงิน-สีแดงต่อเนื่อง หลังประกาศบุกฝั่งธนบุรีในปีที่แล้ว ปีนี้ออริจิ้นยังเดินหน้าพัฒนาโครงการคอนโด  เจาะทำเลตามแนวรถไฟฟ้า “สายสีน้ำเงิน”  ถึง 4 โครงการรวด ไม่ว่าจะเป็นย่านศิริราช อีกหนึ่ง Medical Hub ที่ขึ้นชื่อของกรุงเทพฯ ทั้งยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยเก่าแก่ บริษัทจึงเตรียมส่งแบรนด์โซ ออริจิ้น คอนโดมิเนียมใกล้สถานีไฟฉาย พร้อมบริการเหนือระดับ อำนวยความสะดวกให้กับผู้อยู่อาศัย เจาะกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมทั้งส่งแบรนด์ดิ ออริจิ้น เจาะโซนบางแค และ ออริจิ้น เพลส เจาะสถานีภาษีเจริญตรงข้ามซีคอน บางแค เอาใจผู้บริโภคทั้ง Gen Y Gen Z ที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมย่านฝั่งธนบุรี   ขณะเดียวกัน ออริจิ้นยังเตรียมมาเปิด ดิ ออริจิ้น อีกหนึ่งโครงการที่รถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีบางบำหรุ คาดว่าจะได้เห็นปลายปีนี้ เจาะ Blue Ocean สายสีเหลือง-ชมพู-ส้ม ส่วนทำเล Blue Ocean ตามแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ ที่เตรียมเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ ไม่ว่าจะเป็น “สายสีเหลือง” ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยและมีคอมมูนิตี้มอลล์ แหล่งไลฟ์สไตล์ครบครัน ทำเล “สายสีชมพู” สถานีศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ อีกหนึ่งแหล่งงานขนาดใหญ่ ที่มีข้าราชการและบุคลากรถึง 25,000 คน และรถไฟฟ้า “สายสีส้ม” สถานีน้อมเกล้า ที่สามารถเชื่อมได้ทั้งรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู บริษัทจะใช้ 2 แบรนด์หลัก อย่างออริจิ้น เพลส และออริจิ้น เพลย์ เป็นแบรนด์เรือธงในการบุกตลาด โดยมีทั้ง Duo Space ห้อง 2 ชั้น เพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กับผู้อยู่อาศัย และคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ เจาะกลุ่ม Pet Lover และคนรุ่นใหม่   “แม้จะเป็นเส้นรถไฟฟ้าสายสีเดียวกัน แต่แค่ต่างสถานี ความต้องการของผู้อยู่อาศัยก็ไม่เหมือนกัน ทีมงานออริจิ้นจึงทำการบ้านกันอย่างหนัก นอกจากมองศักยภาพของทำเลแล้ว เราพยายามศึกษาลงลึกเพื่อเข้าถึง Insight และเห็นภาพทุก Journey ของผู้บริโภคในทุกๆ ทำเลว่าคนย่านนี้ทำงานอะไรมีไลฟ์สไตล์แบบไหนต้องการอะไรบ้างในแต่ละวัน เพื่อให้เราออกแบบฟังก์ชันทั้งในห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางได้ตรงใจผู้อยู่อาศัยให้มากที่สุด นี่จึงเป็น Key Success ที่ทำให้คอนโดมิเนียมของออริจิ้น ยังสามารถครองใจผู้บริโภคได้ทุกทำเล”     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ร่วมพันธมิตรออก โทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ ลงทุนแค่ 182 บาท -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ วาง 3 แผนงานสร้างการโตไม่สิ้นสุด จับเมกะเทรนด์ลุยธุรกิจทั่วไทย
[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ รุกพัฒนาองค์กร พร้อมรับเทรนด์ ESG & Sustainable Living

[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ รุกพัฒนาองค์กร พร้อมรับเทรนด์ ESG & Sustainable Living

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มุ่งสร้าง Mindset รักษ์โลกจากภายในองค์กรสู่ภายนอก ผ่านการพัฒนาโครงการและงานออกแบบที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนรากฐานของหลัก ESG และ Sustainable architecture   นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN  เปิดเผยว่า ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางการบริหารงานเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG (Environment-สิ่งแวดล้อม, Social-สังคม และ Governance-ธรรมาภิบาล) ควบคู่ไปกับการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาโครงการบ้านภายใต้แนวคิด Sustainable architecture หรือสถาปัตยกรรมยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างคุณภาพชีวิตและสังคมที่ดีแก่ลูกบ้าน รวมถึงให้ความสำคัญต่อสังคม พนักงาน คู่ค้า และผู้ถือหุ้น ต่อยอดสู่เป้าหมายสูงสุดคือการเป็น National Property Company การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ สู่ตลาด คือสิ่งที่ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยบริษัทฯได้ส่งเสริม Lalin Innovations Idea Award กับเหล่าพนักงานในองค์กร เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมในการคิดค้นและสร้างสรรค์ไอเดียที่จะสามารถช่วยต่อยอดในการทำงาน พร้อมยกระดับให้งานนั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น นอกจากการให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรมแล้ว ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ยังให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางสีเขียว หรือ Green Space ที่ช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีภายในโครงการด้วยเช่นกัน “พื้นที่สีเขียวภายในโครงการที่เปรียบเสมือนปอดของชุมชนจะถูกตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้ที่มีสีสันสดใสมองแล้วสบายตา ทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังได้เพิ่มจุดสันทนาการท่ามกลางสวนสวยเพื่อเพิ่มความสุขในวันหยุดพักผ่อน และเพิ่มความประทับใจในการอยู่อาศัยภายในโครงการ โดยสวนมีการออกแบบให้มีความงดงามในสไตล์โพรวองซ์ (Provence) ซึ่งจำลองมาจากประเทศฝรั่งเศส และประยุกต์ใช้ต้นไม้ที่มีในประเทศไทย    เน้นไม้ยืนต้นที่จะช่วยฟอกอากาศในบริเวณโดยรอบ   บริษัทฯ ยังกำหนดเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมการอยู่ร่วมกันแบบ "ยั่งยืนและมีความสุข" ภายใต้แนวคิด 3Rs ประกอบด้วย Reduce (ลดการใช้)  ลดการใช้น้ำด้วยการใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ 2 ระบบ ช่วยลดการใช้น้ำที่เกินความจำเป็น ลดการใช้ไฟโดยใช้หลอดไฟ LED และนำระบบ Solar Cell มาใช้ในพื้นที่ส่วนกลางเพื่อลดการใช้ไฟฟ้า อีกทั้งยังใช้หลังคาที่มีฉนวนกันความร้อน เพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในคลับเฮาส์ ทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง และประหยัดไฟมากขึ้น ทั้งนี้ยังมีการใช้กระจกเขียวตัดแสงและสีสะท้อนความร้อน ซึ่งจะช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร และช่วยลดค่าไฟฟ้าเกินความจำเป็น Reuse (การใช้ซ้ำ)   ภายในโครงการได้มีการติดตั้งระบบหมุนเวียนน้ำ โดยนำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาใช้ดูแลสวนส่วนกลาง พร้อมมีการตั้งเวลาเปิด-ปิด ในการรดน้ำต้นไม้ เพื่อควบคุมการใช้น้ำให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด และ Recycle (การนำกลับมาใช้ใหม่) มีการใช้วัสดุทดแทนวัสดุธรรมชาติ อาทิ การใช้กระเบื้องลายหินอ่อนที่เป็นหินสังเคราะห์ เพื่อให้ความรู้สึกที่ทดแทนวัสดุที่เป็นหินอ่อนแท้จากธรรมชาติ นายชูรัชฏ์ กล่าวเสริมว่า  ปัจจุบันปัจจัยด้านพลังงานถือเป็นประเด็นหลักที่ทุกคนในสังคมเริ่มให้ความใส่ใจอย่างเต็มที่ ซึ่งบริษัทฯ ได้ตระหนักถึงปัจจัยในด้านดังกล่าวเป็นอย่างดี และได้มีการเลือกสรรวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การปรับมาใช้หลอดไฟแบบ LED  การใช้แผ่นฝ้าสะท้อนความร้อน  ใช้หลังคาที่มีฉนวนกันความร้อนเพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้าน การเลือกสรรสุขภัณฑ์แบบประหยัดน้ำ ที่สำคัญจะพิจารณาเลือกผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวเป็นหลัก เพราะใช้กระบวนการผลิตมีส่วนช่วยลดโลกร้อน และลดการใช้พลังงานต่างๆ   ด้านโครงสร้างมีการออกแบบให้บ้านมีหลังคาที่สูงโปร่ง มีการเพิ่มจุดติดตั้งระบบพัดลมระบายอากาศเพื่อช่วยระบายความร้อนภายในตัวบ้าน   นอกจากนี้ยังออกแบบให้มีช่องแสงที่บริเวณโถงบันได เพื่อให้แสงธรรมชาติสามารถลอดผ่านและกระจายแสงได้อย่างทั่วถึง ช่วยทำให้ลดการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้เป็นอย่างดี  ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้สูงถึง 20-30% นับป็นข้อดีที่ได้ประโยชน์ชัดเจนจากการออกแบบภายใต้แนวคิด Sustainable architecture หรือสถาปัตยกรรมยั่งยืน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางเป้าขาย 8,600 ล้าน โต 10% เน้นธุรกิจทำกำไร-รักษาสภาพคล่อง
ส่องกำลังซื้อ ต่างชาติใน 5 เมืองท่องเที่ยว  ช่วงครึ่งแรกปี 66 ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวแค่ไหน?

ส่องกำลังซื้อ ต่างชาติใน 5 เมืองท่องเที่ยว ช่วงครึ่งแรกปี 66 ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวแค่ไหน?

ต่างชาติ ส่องตลาดที่อยู่อาศัยใน 5 เมืองท่องเที่ยวหลัก ทั้งกทม. เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี​ และโคราช เติบโตแค่ไหน หลังททท.รายงานตัวเลขต่างชาติเข้าไทยแล้วกว่า 6 ล้านคน พบ จีนนำมาอันดับ 1 ตัวเลขกว่า 5 ล้านคน พร้อมลุ้นรัฐบาลใหม่ออกนโยบยกระตุ้นอสังหาฯ สำหรับต่างชาติ   แม้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับปัจจัยบวกทั้งจากกำลังซื้อต่างชาติที่เริ่มกลับมา เห็นได้ชัดหลังจากจีนประกาศเปิดประเทศเมื่อต้นปี ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจต่าง ๆ มีแนวโน้มฟื้นตัวและกลับมาเติบโตอีกครั้ง และภาวะเงินเฟ้อที่ไม่ร้อนแรงเหมือนในปีที่ผ่านมา แต่กำลังซื้อผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่ยังไม่กลับมา มีทั้งปัจจัยท้าทายหลัก ๆ จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และความชัดเจนทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ทำให้กำลังซื้อต่างชาติกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้ 3 เดือนจีนเข้าไทยกว่า 5 ล้านคน ข้อมูลล่าสุดจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 (1 มกราคม – 31 มีนาคม) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยมากกว่า 6 ล้านคน สร้างรายได้ในประเทศมากกว่า 250,000 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนมากเป็นอันดับ 1 ไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน และมีแนวโน้มจะสูงถึง 7-8 ล้านคน   ล่าสุด กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ยังได้ออกกฎกระทรวงซึ่งเอื้อต่อการนำที่อยู่อาศัยมาให้บริการในรูปแบบของโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อหารายได้ โดยได้รับการผ่อนผัน ยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับที่ว่างของอาคาร, ช่องทางเดินในอาคาร, ความกว้างของบันได และระยะถอยร่นแนวอาคาร ฯลฯ แต่ทั้งนี้ อาคารที่จะเปลี่ยนการใช้ดังกล่าวต้องมีความมั่นคงแข็งแรง และมีระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยว   ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัว 3.6% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นและภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 น่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 29.5 ล้านคน และจะมีรายได้จากกลุ่มนี้ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ รวมไปถึงการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์   ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศในไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่า หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศขยายตัว 79.2% ส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 67.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นทิศทางการฟื้นตัวที่ดีในตลาดอสังหาฯ หลังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศ ทำให้ชาวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาทำธุรกรรมและโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในไทยได้ดังเดิม คาด ต่างชาติ ซื้อคอนโดในกรุงเทพฯ 15% อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส คาดว่าในปี 2566 สัดส่วนชาวต่างชาติที่ซื้อห้องชุดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอาจจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 15% ของมูลค่าทั้งหมด หลังจากที่ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2562 มีมูลค่าประมาณ 14.6% ดังนั้น กำลังซื้อชาวต่างชาติจึงอาจไม่ได้มีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ไทยอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้   นอกจากนี้ ผู้พัฒนาอสังหาฯ ยังคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะออกมาตรการกระตุ้นตลาดที่เอื้อให้ชาวต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยในไทยอย่างถูกกฎหมายให้มีมากขึ้น โดยไม่ผ่านตัวแทนหรือนอมินี (Nominee) ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและต้องติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด   ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ www.DDproperty.com และแอปพลิเคชัน DDproperty ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 (เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม - พฤษภาคม 2566) อัปเดตเทรนด์ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในหัวเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, ชลบุรี และนครราชสีมา สะท้อนให้เห็นทิศทางการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ไทย หลังกำลังซื้อต่างชาติกลับมาอีกครั้งหลังจากเปิดประเทศเต็มรูปแบบ กทม.ความต้องการซื้อคอนโดเพิ่ม 6% ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นถึง 13% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) ขณะที่ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 ยังมีทิศทางเติบโตเป็นบวก โดยเพิ่มขึ้น 3% จากเดือนมกราคม   ทั้งนี้ เมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า คอนโดมีทิศทางการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 6% จากเดือนมกราคม ขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ยังทรงตัว   เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัย พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความต้องการซื้อคอนโด และทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 1-3 ล้านบาทมากที่สุด (เพิ่มขึ้น 10% และ 4% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ) ซึ่งสอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มองหาที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ ขณะที่บ้านเดี่ยวระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาทจะได้รับความนิยมมากที่สุด (ลดลง 3% จากเดือนมกราคม)   ในส่วนทำเลยอดนิยมที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในกรุงเทพฯ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 หากเป็นคอนโด จะอยู่ในแขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง ส่วนทำเลยอดนิยมที่ผู้ซื้อบ้านเดี่ยวให้ความสนใจจะอยู่ในแขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง ขณะที่แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวงถือเป็นทำเลที่มีความต้องการซื้อทาวน์เฮ้าส์สูงที่สุด ปัญหาฝุ่น คนซื้อที่อยู่ลดลง 28% เชียงใหม่ เป็นอีกหนึ่งจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นถึง 14% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ​แต่ลดลงถึง 28% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม เนื่องจากปัจจัยลบที่มีอย่างต่อเนื่องของปัญหาฝุ่นควัน รวมถึงตลาดท่องเที่ยวที่เริ่มชะลอตัวลง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระยะสั้นไม่เติบโตเท่าที่ควร และปรับลดลงในทุกประเภทที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวและคอนโด ปรับลดลงมากที่สุดในสัดส่วนเท่ากันที่ 35% จากเดือนมกราคม ตามมาด้วยทาวน์เฮ้าส์ (ลดลง 25% จากเดือนมกราคม)   เมื่อพิจารณาตามระดับราคา พบว่า ระดับราคาที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในทุกประเภทที่อยู่อาศัยคือ 1-3 ล้านบาท โดยแต่ละประเภทมีอัตราการเปลี่ยนแปลง คือ คอนโด เพิ่มขึ้น 6%, ทาวน์เฮ้าส์ ลดลง 28% และบ้านเดี่ยว ลดลง 45% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม   สำหรับทำเลยอดนิยมที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในเชียงใหม่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในตัวเมือง โดยทำเลที่ผู้บริโภคสนใจซื้อคอนโด มากที่สุด คือตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ส่วนทำเลฝั่งทาวน์เฮ้าส์ที่ได้รับความนิยมจะอยู่ในตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมืองเชียงใหม่ ขณะที่ทำเลยอดนิยมของบ้านเดี่ยวจะอยู่ในตำบลสันผักหวาน อำเภอหางดง คนซื้อที่อยู่อาศัยในภูเก็ตลดลง 13% ตลาดที่อยู่อาศัยของภูเก็ตในเดือนพฤษภาคมยังคงทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า เมื่อพิจารณาภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 พบว่า ลดลง 13% จากเดือนมกราคม   โดยคอนโด เป็นที่อยู่อาศัยประเภทเดียวที่มีการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา มีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 10% สวนทางกับที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวที่ลดลงถึง 26% ส่วนทาวน์เฮ้าส์ลดลง 15% จากเดือนมกราคม   เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ได้รับความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่า อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ในทุกประเภทที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโด ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว (เพิ่มขึ้น 7%, ลดลง 4% และลดลงถึง 62% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ)   ขณะที่ทำเลที่มีความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่าความนิยมกระจายไปในพื้นที่อำเภอเมืองภูเก็ตเป็นหลัก โดยทำเลที่ได้รับความนิยมในการซื้อคอนโด อยู่ที่ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต ด้านบ้านเดี่ยวจะได้รับความนิยมในเขตตำบลฉลอง อำเภอเมืองภูเก็ต ส่วนทาวน์เฮ้าส์มีคนสนใจซื้อในตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ตมากที่สุด ชลบุรี ทาวน์เฮ้าส์โต 21% ตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดชลบุรีมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ประกอบกับมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการพัฒนาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมไปถึงการพัฒนาระบบคมนาคมและนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ จึงทำให้ชลบุรีโดดเด่นทั้งด้านท่องเที่ยวและด้านอุตสาหกรรม ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมเติบโต 9% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า   นอกจากนี้ ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังเพิ่มขึ้น 3% จากเดือนมกราคม โดยทาวน์เฮ้าส์ได้รับความสนใจ มีการความต้องการซื้อเพิ่มถึง 21% ตามมาด้วยคอนโด เพิ่มขึ้น 9% โดยมีเพียงบ้านเดี่ยวเท่านั้นที่ความต้องการซื้อลดลง 4%   เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัยที่มีความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่า อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ในทุกประเภทที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโด มีความต้องการซื้อ เพิ่มขึ้น 11%, ทาวน์เฮ้าส์ มีความต้องการซื้อ เพิ่มขึ้น 20% และบ้านเดี่ยว มีความต้องการซื้อ ลดลง 6% จากเดือนมกราคม   สำหรับทำเลยอดนิยมในชลบุรีนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่อำเภอศรีราชา และอำเภอบางละมุง ที่เป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของ EEC จึงทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยบ้านเดี่ยวจะได้รับความต้องการซื้อมากที่สุดในตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา ทาวน์เฮ้าส์จะเป็นที่นิยมในตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา ขณะที่ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุงจะเป็นทำเลยอดนิยมในการซื้อคอนโด ที่อยู่อาศัย จ.นครราชสีมา ลดลง 27% นครราชสีมามีศักยภาพในการเป็นเมืองศูนย์กลาง ของระบบการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ที่สำคัญในอนาคต  โดยมีโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา หรือมอเตอร์เวย์ (M6) รวมทั้งแผนพัฒนารถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และท่าเรือบกในอนาคต   แม้ว่าจะมีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองยังต้องพึ่งพาความชัดเจนจากความคืบหน้าของโครงการคมนาคมต่าง ๆ ด้วย ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมายังทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า   ขณะที่ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 นั้นลดลง 27% จากเดือนมกราคม และปรับตัวลดลงในทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยทาวน์เฮ้าส์ลดลงมากที่สุดถึง 55% จากเดือนมกราคม ตามมาด้วยบ้านเดี่ยว ลดลง 28% และคอนโด ลดลง 11% จากเดือนมกราคม   โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ได้รับความสนใจมากที่สุด พบว่า คอนโด อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ลดลง 19% จากเดือนมกราคม  และทาวน์เฮ้าส์ ลดลง 46% จากเดือนมกราคม สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อผู้บริโภคที่ส่วนใหญ่ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ มากกว่าเน้นความหรูหราแบบบ้านพักตากอากาศ ส่วนบ้านเดี่ยวอยู่ในระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท ลดลง 45% จากเดือนมกราคม   ด้านทำเลที่อยู่อาศัยยอดนิยมนั้น อำเภอปากช่องยังคงเป็นทำเลยอดนิยมที่ผู้คนให้ความสนใจค้นหาที่อยู่อาศัยมากที่สุด โดยทำเลที่มีความต้องการซื้อคอนโด และบ้านเดี่ยวมากที่สุดอยู่ในตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง ซึ่งเป็นเส้นทางขึ้นไปยังอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์จะได้รับความนิยมซื้อในพื้นที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา   ทั้งหมดก็เป็นภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยในเมืองท่องเที่ยวช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ในกลุ่มชาวต่างชาติ ที่เป็นความหวังและเป็นกำลังซื้อสำคัญว่าจะเข้ามาช่วยทำให้ตลาดอสังหาฯ เติบโต แต่จะสามารถสร้างการเติบโตได้มากน้อยแค่ไหน คงต้องมีปัจจัยสนับสนุนจากภาครัฐด้วย ซึ่งต้องรอดูทิศทางรัฐบาลใหม่อีกครั้งต่อไป     *อ้างอิงจากข้อมูลของ SimilarWeb ช่วงระหว่าง ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566 1 อ้างอิงจากข้อมูลจาก SimilarWeb ช่วงระหว่าง ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566 2 อ้างอิงจากข้อมูลจาก Google Analytics ช่วงระหว่าง ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566 3 ข้อมูลระหว่าง ม.ค. - มี.ค. 2566 4 ข้อมูลระหว่าง ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566  
[PR News] เพอร์เฟค เปิดตัว “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์”

[PR News] เพอร์เฟค เปิดตัว “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์”

เพอร์เฟค พาร์ค พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิด “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์ โครงการใหม่ ดีไซน์ใหม่ในสไตล์ยุโรป Modern Classic สเปซใหญ่ ฟังก์ชั่นใหม่ รองรับชีวิตเมืองบนทำเลถนนหอการค้าไทยเดินทางสะดวก 5 นาทีถึงถนนแจ้งวัฒนะ ราคาเริ่ม 5.29 ล้านบาท   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดโครงการใหม่ เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ ภายใต้แนวคิด “Urban Life & Dream Ville” ชีวิตในเมืองที่เมืองในฝัน เน้นตอบโจทย์การเป็นบ้านหลังแรกของกลุ่มวัยเริ่มทำงานและครอบครัวรุ่นใหม่ในโซนแจ้งวัฒนะและราชพฤกษ์ พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิตเมืองให้สะดวกสบายครบทุกความต้องการ   โครงการเพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ มีมูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท พื้นที่โครงการ 37 ไร่ จำนวน 204 ยูนิต โดยปรับเปลี่ยนสไตล์ใหม่หมดทั้งภายนอกและภายในให้เป็นแบบบ้านใหม่สไตล์ Modern Classic เน้นความหรูหราแบบยุโรปผสานกับความโมเดิร์นที่มีเอกลักษณ์สะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี และยังเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กว้างมากขึ้น เริ่มต้นที่ 134-173 ตร.ม. รวมทั้งออกแบบฟังก์ชั่นใหม่ให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน Lifestyle Connecting Area เชื่อมต่อพื้นที่ภายในบ้านรวมถึงพื้นที่สีเขียว Lifestyle Flexi Function เพิ่มห้องนอนที่ 4 ชั้นล่างรองรับการเป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุได้ Lifestyle Kitchen Studio ครัวขนาดใหญ่ Lifestyle Innovation Smart Airflow นวัตกรรมระบบระบายอากาศกรองฝุ่น PM2.5 ช่วยลดอุณหภูมิและความอับชื้นเพิ่มคุณภาพอากาศที่ดีให้แก่ผู้อยู่อาศัย ภายในโครงการพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งคลับเฮ้าส์ ฟิตเนส ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำสไตล์บีช Co-Working space สำหรับทำงานหรืออ่านหนังสือ Dream Park สวนสวยที่มี The Pavilion of Dreams เพื่อการพักผ่อน Dream Playground สนามเด็กเล่นเพื่อช่วงเวลาของครอบครัว และ Jogging Track ลู่วิ่งออกกำลังกลางแจ้งรอบสวน   สำหรับโครงการดังกล่าว​ตั้งอยู่บนถนนหอการค้าไทย ทำเลแห่งการอยู่อาศัย ซึ่งบริษัทยังมีการพัฒนาโครงการบนทำเลดังกล่าวแล้วถึง 6  โครงการ ตอกย้ำถึงความนิยมในทำเลแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ยังใกล้ รร.นานาชาติ SISB นนทบุรี ใช้เวลาเดินทางเพียง 5 นาทีถึงถนนแจ้งวัฒนะ สะดวกด้วยสะพานพระราม 4 สู่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ท่าอากาศยานดอนเมือง และเมืองทองธานี ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนขั้นที่ 2 แจ้งวัฒนะ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพูที่มีกำหนดจะเปิดให้บริการเดือน มิ.ย.67 และที่สำคัญยังเชื่อมต่อกับถนนราชพฤกษ์ที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ โรบินสัน ราชพฤกษ์, โลตัส นอร์ธ ราชพฤกษ์, อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ทำให้โครงการอยู่ในทำเลศักยภาพมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โครงการเพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ เปิดให้จอง Pre-Sale ในวันที่ 1-2 ก.ค. นี้ พร้อมให้เลือกบ้านแปลงสวยและรับสิทธิพิเศษเฉพาะวันงานเท่านั้น ในราคาเริ่มต้น 5.29 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน
LWS วิสดอม  ชี้ “ราชพฤกษ์” แหล่งบ้านขายดีราคา 5.5-6 ล้าน  ได้ระบบคมนาคมหนุน ทั้งถนน-รถไฟฟ้า-ทางด่วน

LWS วิสดอม ชี้ “ราชพฤกษ์” แหล่งบ้านขายดีราคา 5.5-6 ล้าน ได้ระบบคมนาคมหนุน ทั้งถนน-รถไฟฟ้า-ทางด่วน

LWS วิสดอม เผยผลสำรวจ ​ทำเล “ราชพฤกษ์” แหล่งรวมบ้านขายดีระดับราคา 5.5-6 ล้าน ได้แรงหนุนจากโครงข่ายคมนาคม ทั้งถนน รถไฟฟ้า ทางด่วน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบ   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ LWS บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการสำรวจของของฝ่ายวิจัยอสังหาริมทรัพย์ LWS พบทำเล “ราชพฤกษ์” เป็นทำเลน่าสนใจสำหรับการหาที่อยู่อาศัยแนวราบ เนื่องจากมีการพัฒนาโครงข่ายการคมนาคม เส้นถนนหลักได้แก่ถนนราชพฤกษ์-กาญจนาภิเษก ความยาว 42 กิโลเมตร ถนนชัยพฤกษ์ ทางหลวง 345 และทางหลวง 346 ที่ตัดผ่าน 3 พื้นที่ ได้แก่ ราชพฤกษ์ตอนปลาย เชื่อมต่อจังหวัดปทุมธานี ราชพฤกษ์ตอนกลาง ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และเชื่อมต่อไปยังราชพฤกษ์ตอนต้น เข้าสู่เขตติดต่อกรุงเทพฯและใจกลางเมือง สาธร-สีลม ได้อย่างสะดวกสบาย หรือการเลือกใช้ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก เพื่อเลี่ยงการจราจรติดขัดได้   ในขณะที่เส้นทางรถไฟฟ้าที่มีรองรับในย่านราชพฤกษ์ 4 เส้นทาง ได้แก่เส้นทางสายสีเขียว ช่วงต้นทางของเส้นราชพฤกษ์ ช่วงสถานีบางหว้า เส้นทางสายสีน้ำเงินที่เชื่อมต่อกับสถานีบางหว้า ต่อขยายกับสถานีช่วงหัวลำโพง-บางแค และตัดกับเส้นถนนราชพฤกษ์ มีสายรถไฟฟ้าสำคัญได้แก่ MRT สายสีม่วง ช่วงระหว่างบางซื่อ-ท่าพระ สิ้นสุดสถานีที่คลองบางไผ่ เป็นรถไฟฟ้าสายที่อำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ที่อยู่อาศัยในย่านนี้ และยังเป็นเส้นที่ผ่านสถานที่สำคัญหลายที่ อาทิ ศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี กระทรวงสาธารณะสุข หรือต่อไปยังสายสีน้ำเงินเพื่อเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมกับ สายสีแดงอ่อน ที่เป็นรถไฟฟ้าชานเมืองที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม จากสถานีบางซื่อมายังสถานีบางซ่อน และมีส่วนต่อขยายไปยังพื้นที่ศาลายาได้   เมื่อดูจากเส้นทางการเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสายสีม่วงแล้ว ทำเลโซน “ราชพฤกษ์” เป็นทำเลยุทธศาสตร์ของเขตปริมณฑลฝั่งตะวันตก เพราะเป็นทำเลที่มีถนนที่เชื่อมต่อกับถนนสายหลักและสาย และสะดวกการเชื่อมต่อเมืองด้วยรถไฟฟ้าสายม่วงตลอดสาย เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกความต้องการ ทำให้การเดินทางที่สะดวกอยู่แล้วยิ่งสะดวกมากกว่าเดิม   นอกจากการเดินทางที่สะดวกสบายแล้ว ย่านราชพฤกษ์ ยังเป็นย่านที่ประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และรวมทั้งสถานบันเทิงที่ตอบโจทย์กับทุกรูปแบบการใช้ชีวิตในเมือง(Lifestyle)  ประกอบด้วย ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เซ็นทรัล เวสต์เกต, อิเกีย บางใหญ่,เดอะ เซอร์เคิล ,เดอะ คริสตัล เอสบี ,เดอะ วอร์ค และ เทสโก โลตัส เป็นต้น รวมถึงในแง่ lifestyle อย่างร้านอาหารและคาเฟ่จำนวนมากอย่าง Chic Republic  บนถนนราชพฤกษ์ตลอดเส้นทาง และแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่น่าสนใจ เช่น เกาะเกร็ด และวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ (วัดเล่งเน่ยยี่ 2)   ในขณะเดียวกันทำเลราชพฤกษ์ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการศึกษา และการสาธารณสุข ใกล้ โรงเรียนนานาชาติ, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศน์, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ International ,และ โรงพยาบาลพญาไท 3 ราชพฤกษ์ บ้านขายดีราคา 5.5-6 ล้าน จากการสำรวจพบว่า มี โครงการบ้านพักอาศัย ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทที่น่าสนใจในทำเลรอบพื้นที่ศึกษาบริเวณราชพฤกษ์ตอนกลาง มีจำนวนทั้งหมด 7 โครงการ จำนวน 616 หน่วย ราคาขายเริ่มต้นที่ 5.5 ล้านบาท ขายไปแล้วทั้งสิ้น 166 หน่วยคิดเป็นสัดส่วน 27% ของจำนวนที่เปิดขายทั้งหมด โดยมีอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 2 หน่วยต่อเดือนต่อโครงการ จากจำนวนหน่วยที่เหลือคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการขายไม่เกิน 2.5 ปี   ในส่วนของราคาที่ขายดีมีราคาอยู่ที่ 5.5 ล้านบาทและ ไม่เกิน 6 ล้านบาท รูปแบบของบ้านที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 คือ บ้านแฝด ขนาดของที่ดินอยู่ที่ 37 ตร.ว. อันดับ 2 คือ บ้านเดี่ยว ขนาดที่ดินอยู่ที่ 60 ตร.ว. รูปแบบบ้านที่ขายดีคือ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และมีห้องอเนกประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้อยู่อาศัยผู้ให้ความสนใจโครงการที่อยู่อาศัยอยู่ในกลุ่มคนทำงานที่ต้องการบ้านพักอาศัยติดรถไฟฟ้าที่สามารถเชื่อมต่อไปยังใจกลางเมืองได้ และกลุ่มผู้ทำงานอาชีพอิสระที่ต้องการบ้านที่สามารถทำงานที่บ้านได้   ในขณะที่การสำรวจตลาดบ้านมือสองในทำเล พบว่า มีราคาต่ำลงจากช่วงตอนเปิดตัวโครงการ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนติดลบเฉลี่ยที่ 0.63% เนื่องจากมีโครงการที่อยู่อาศัยพัฒนาใหม่จำนวนมากและมีระดับราคาไม่แตกต่างกัน ทำให้ผู้ซื้อมีแนวโน้มเลือกซื้อโครงการเปิดตัวใหม่ โดยบ้านมือสองที่ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นประเภทบ้านเดี่ยว ขนาดที่ดินเริ่มต้น 51 ตร.ว. รูปแบบมาตรฐาน 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ อัตราเช่าเฉลี่ยในทำเลที่ 10% โดยทำเลราชพฤกษ์ เป็นทำเลที่มีประชากรในพื้นที่เกือบ 600,000 คน เป็นประชากรในพื้นที่ประมาณ 415,000 คน และมีประชากรแฝงประมาณ 150,000 คน และเป็นกลุ่มประชากรที่มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 50,000-200,000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีกำลังซื้อสูง โดยเป็นกลุ่มคนที่ทำงานในบริษัทและเจ้าของกิจการ  จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านพักอาศัยทั้งทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว ที่ระดับราคาไม่เกิน 5-10 ล้านบาท   สำหรับทำเลราชพฤกษ์ เป็นทำเลที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว  ทั้งการคมนาคม ศูนย์การค้า และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างครบครัน จึงเป็นทำเลที่ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อโดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นคนทำงานที่ต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบที่สามารถเชื่อมต่อไปยังกลางเมืองได้ ในขณะที่ระดับราคาบ้านพักอาศัยที่น่าสนใจในทำเลนี้ยังตอบรับกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จะเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โดยเน้นการพัฒนาที่ตอบรับการอยู่อาศัยในแบบ Next Normal ทั้งการทำงานที่บ้านได้ และนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้ในการอยู่อาศัยในอนาคต        อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19
พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น ต่อยอด Super Living Service เข้าถือหุ้น โปรเจคส์เอเชีย

พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น ต่อยอด Super Living Service เข้าถือหุ้น โปรเจคส์เอเชีย

พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น เร่งขยายอาณาจักร Super Living Service ส่งบริษัทย่อย “ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์” เข้าถือหุ้น “โปรเจคส์เอเชีย” บิ๊กที่ปรึกษาทางวิศวกรรม และจัดการงานพัฒนาอสังหาฯครบวงจร หวังเสริมแกร่งธุรกิจบริหารงานก่อสร้าง เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ขยายฐานลูกค้าสู่การคุมงานโรงแรม ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ อาคารสำนักงานเกรด A พร้อมรับรู้รายได้ทันทีจากธุรกิจในมือ ดันธุรกิจโตแบบก้าวกระโดดและยั่งยืน   นางสาวจตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด “Super Living Service” ทั้งกลุ่มต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ได้ดำเนินการให้ บริษัท ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์ จำกัด หรือ UPM บริษัทในเครือ ซึ่งให้บริการบริหารงานก่อสร้างโครงการ เข้าซื้อกิจการ บริษัท โปรเจคส์เอเชีย จำกัด ธุรกิจที่ปรึกษาทางวิศวกรรม รวมถึงงานบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเคยมีผลงานดูแลงานขนาดใหญ่ระดับประเทศทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า อาทิ 185 ราชดำริ, โรงแรมดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ, โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัล ลาดพร้าว, อาคารปาร์ค เวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์, อาคาร FYI Center, ไอคอนสยาม   การที่โปรเจคส์เอเชีย จะเข้ามาช่วยเติมฐานธุรกิจในกลุ่มต้นน้ำของเครือ PRI ใน 2 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการขยายฐานลูกค้า ช่วยให้ UPM เข้าถึงฐานลูกค้ารายใหญ่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น โรงแรม อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้าได้มากขึ้น จากเดิมที่บริษัทมีฐานอยู่ในฝั่งที่อยู่อาศัยเป็นหลัก และ 2.ด้านองค์ความรู้และบุคลากร ช่วยให้บริษัทได้รับองค์ความรู้ ตลอดจนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เข้ามาร่วมงานเพิ่มเติมทันที ด้านผศ.ดร.อรุณ ศิริจานุสรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ UPM ผู้ให้บริการบริหารงานก่อสร้างโครงการ ในเครือ PRI กล่าวว่า บริษัทฯ ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจต้นน้ำ - บริการก่อนเข้าอยู่อาศัย (Pre-Living Services) ที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในปี 2565 เมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจอื่นของ PRI โดยมีอัตราการเติบโตถึง 3 เท่าจากปี 2564 ทำให้บริษัทมองหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อให้สามารถเสริมแกร่งการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง   สำหรับการเข้าถือหุ้นครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขยายธุรกิจด้านที่ปรึกษาทางวิศวกรรม รวมถึงบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ รองรับลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ด้วยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของโปรเจคส์เอเชีย จะทำให้เราสามารถรับรู้รายได้จากการให้บริการได้ทันที ช่วยผลักดันให้บริษัทก้าวสู่การเป็น Super Living Service ที่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ขณะที่นายไบรอัน จอห์น ซิมมอนด์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริษัท โปรเจคส์เอเชีย จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีความยินดีและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งกับการได้ร่วมธุรกิจกันในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยที่นำความแข็งแกร่งด้านงานที่ปรึกษาทางวิศวกรรม รวมถึงงานบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการของบริษัท มาผนวกรวมกับความโดดเด่นด้านงานบริการออกแบบสถาปัตยกรรม ของ UPM เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต เพราะธุรกิจกลุ่มต้นน้ำเป็นกลุ่มธุรกิจที่ต้องการผู้ที่มีประสบการณ์และความชำนาญอย่างแท้จริง จากประสบการณ์อันยาวนานกว่า 33 ปีของโปรเจคส์เอเชีย ในธุรกิจที่ปรึกษา รวมถึงบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ระดับประเทศมากมาย จึงเชื่อมั่นได้ว่าบริษัทจะสามารถเป็นอีกหนึ่งพลังขับเคลื่อนให้ UPM และ PRI เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน สำหรับ PRI เป็นผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรชั้นนำของประเทศ มีประสบการณ์กว่า 11 ปี ปัจจุบัน ดำเนินธุรกิจภายใต้ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ – บริการก่อนเข้าอยู่อาศัย (Pre-Living Services) อาทิ บริการที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง บริการออกแบบด้านสถาปัตยกรรม งานโครงสร้าง งานโยธา และงานระบบ บริการจัดฝึกอบรมและพัฒนาทักษะบุคลากร 2.กลุ่มกลางน้ำ – บริการการจัดการเพื่อการอยู่อาศัย (Living Services) อาทิ บริการบริหารนิติบุคคลอาคารชุด บ้านจัดสรร ห้างสรรพสินค้า อาคาร และสำนักงาน บริการอพาร์ตเมนท์แบบพรีเมียม บริการซื้อ-ขาย-ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร และ 3.กลุ่มปลายน้ำ - บริการหลังการขายที่อยู่อาศัย (Living & Earning Services) อาทิ บริการแม่บ้านและช่าง บริการออกแบบและตกแต่งภายใน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พรีโม ขาย IPO หุ้นละ 15 บาท 80 ล้านหุ้น วางเป้า Top 3 บริการด้านอสังหาฯ ​ -พรีโม เตรียม IPO ในปลายปีนี้ วางเป้าขึ้น Top3 ด้านบริการอสังหาฯ ​ครบวงจร
How to วางแผนการเงิน อย่างไร ให้กู้ซื้อบ้านหลังแรก ได้ตามความต้องการ​

How to วางแผนการเงิน อย่างไร ให้กู้ซื้อบ้านหลังแรก ได้ตามความต้องการ​

วางแผนการเงิน การวางแผนการเงิน เพื่อซื้อบ้านสักหลัง หรือคอนโดมิเนียมสักห้อง สำคัญพอ ๆ กับการหาข้อมูลบ้านและตัดสินใจว่าจะซื้อที่ไหน เพราะการจะได้ที่อยู่อาศัยตามที่เราต้องการ เราก็ต้องมีกำลังทรัพย์เพียงพอด้วย ซึ่งหากเราไม่ได้มีเงินก้อนสะสมที่เตรียมไว้ซื้อบ้านด้วยเงินสด เราคงต้องกู้เงินจากธนาคารและผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ไป แต่การจะกู้เงินได้เราคงต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารด้วย   วันนี้ Reviewyourliving มีเคล็ดลับ การวางแผนการเงิน สำหรับคนที่กำลังตั้งเป้าหมายว่าต้องการจะซื้อบ้านสักหลัง เพื่อใช้อยู่กับครอบครัวหรือคนที่เรารัก ลองมาดูกันว่า วิธีการเตรียมความพร้อมด้านการเงินมีเรื่องอะไรบ้าง 5 วิธี วางแผนการเงิน กู้ซื้อบ้าน 1.เช็คเครดิตบูโร เริ่มต้นเราคงต้องมาตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองก่อน โดยการเช็คเครดิตบูโร เพื่อดูว่าเรามีหนี้อยู่เท่าไร การผ่อนชำระที่ผ่านมาเป็นอย่างไร จ่ายตรงหรือจ่ายล่าช้าหรือไม่ เพราะพฤติกรรมการชำระหนี้ในอดีต จะเป็นตัวชี้วัดว่าเรามีคุณสมบัติเป็นลูกหนี้ที่ดีแค่ไหน ซึ่งบางทีเราก็อาจจะจำไม่ได้ว่าเรามีพฤติกรรมการจ่ายหนี้เป็นอย่างไร การเช็คเครดิตบูโร จึงควรทำก่อนเพื่อประเมินคุณสมบัติตัวเอง หรือบางคนอาจจะเคยติดเครดิตบูโรมาก่อน ก็จะได้รู้ว่าปัจจุบันเราหลุดจากการติดแบล็คลิสต์แล้วหรือยัง จะได้แก้ไขปัญหาเรื่องนี้ก่อนจะไปกู้ซื้อบ้าน ส่วนสถานที่เช็คเครดิตบูโร เราทำบทความเอาไว้ให้แล้ว ลองตามไปอ่านดูกันได้ กับ รวมแหล่งตรวจเครดิตบูโร เช็คความพร้อมก่อนสร้างหนี้ ​ 2.ประเมินความสามารถในการผ่อน-กู้ หากเราเป็นลูกหนี้ชั้นดี ไม่ได้ติดแบล็คลิสต์ ขั้นตอนต่อมาคงต้องประเมินความสามารถของตัวเอง ว่าปัจจุบันรายได้ที่มีอยู่ เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งหนี้สินและค่าใช้จ่ายประจำเดือนไปแล้ว เราเหลือเงินมากน้อยแค่ไหน จะสามารถกู้เงินได้เป็นจำนวนเท่าไร ซึ่งสูตรในการคิดคร่าว ๆ ก็มีประมาณนี้ คือ   เงินผ่อนต่อเดือน คิดจาก รายได้ หักค่าใช้จ่าย หัก 40% ของรายได้ต่อเดือนรวม เช่น มีรายได้ 20,000 บาท มีค่าใช้จ่าย 5,000 บาท จะสามารถผ่อนได้ = (20,000-5,000)-40%= 9,000 บาท ส่วนวงเงินกู้ที่คาดว่าจะกู้ได้สูงสุด จะเอาเงินผ่อนต่อเดือน คูณ 150 เช่น 9,000 x 150 = 1.35 ล้านบาท  จะเป็นวงเงินที่ธนาคารน่าจะปล่อยให้กับเราในการกู้ซื้อบ้าน หรือคอนโดได้ 3.เคลียร์หนี้ถ้ามีหนี้อยู่ กรณีที่คำนวณคร่าว ๆ แล้ว วงเงินกู้ที่ได้ ยังไม่เพียงพอต่อราคาบ้านหรือคอนโด ที่เราจะซื้อ สิ่งที่ต้องทำ ก็คือ การลดหนี้ที่มีอยู่ หรือทำได้ต้องเครียหนี้ให้เหลือน้อยที่สุด บัตรเครดิตไหนปิดบัญชีได้ต้องปิดบัญชี หรือมีหนี้สินที่เป็นชื่อของเราในระบบการเงินไว้ ต้องปิดบัญชีให้หมดเท่าที่จะทำได้ 4.สร้างเครดิตการเงิน​ด้วย เช่น สเตทเมนท์ธนาคาร, จ่ายหนี้ตรงเวลา ถ้าเรายังไม่สามารถปิดหนี้ที่มีอยู่ตามข้อ 3 ได้ เราจำเป็นต้องสร้างเครดิตของตัวเองไปสักระยะหนึ่ง เพื่อให้ธนาคารเห็นวินัยทางการเงินของเราว่าเราจ่ายหนี้ตรงเวลา ซึ่งความจริงแล้วการสร้างเครดิตทางการเงินนี้ ควรจะทำเป็นนิสัยตั้งแต่ก่อนหน้ามาแล้ว หรือหากใครที่ทำอาชีพอิสระ หรือเป็นพ่อค้าแม่ค้า สิ่งที่ต้องทำเพื่อสร้างเครดิตทางการเงิน คือ การเดินบัญชีธนาคารอย่างสม่ำเสมอ ทำสเตทเมนท์ธนาคารให้ดูมีเครดิต ว่าเรามีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นสภาพคล่อง รายได้ และความสามารถในการบริหารเงินของเรา ควรมีสเตทเมนท์ธนาคารไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ยิ่งนานยิ่งสร้างเครดิตได้ดี 5.วางแผนเก็บเงินออม​ ​ นอกจากสร้างเครดิตต่าง ๆ ทางด้านการเงินไปแล้ว การวางแผนเก็บออมก็จะทำให้ฝันของคนมีบ้านเป็นจริงมากขึ้น เพราะการซื้อบ้านไม่ใช่แค่เงินดาวน์บ้านก้อนแรกเท่านั้น ยังมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย เราได้ทำบทความ ....​สามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมได้   ดังนั้น หากคิดจะซื้อบ้านหรือคอนโด จึงต้องเริ่มต้นเก็บเงินออมสักก่อนหนึ่งไว้ อย่างน้อยที่สุด คือ ไม่ต่ำกว่า 20% ของราคาบ้านที่จะซื้อ ส่วนวิธีการเก็บเงินออม แล้วแต่เทคนิคและวิธีการของแต่ละคนที่สะดวก แต่หัวใจสำคัญของการออม คือ เมื่อมีรายได้ให้แบ่งเงินออมออกมาก่อนเป็นก้อนแรก ไม่ใช่รอให้เงินเหลือก่อนค่อยออมเงิน​   ทั้งหมด ก็เป็นแนวทางการวางแผนการเงิน กู้ซื้อบ้านหลังแรก สำหรับคนที่มีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลัง หรือคอนโดสักห้อง เชื่อว่าหากทำตามแนวทางนี้ ไม่นานความฝันที่ต้องการเป็นจริงแน่นอน   ที่มา-ธอส.,ดีดีพร็อพเพอร์ตี้, moneybuffalo   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -3 วิธีซื้อคอนโด หลังแรก และ เทคนิคเก็บเงิน สำหรับเด็กจบใหม่ -7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล
4 ประโยชน์อยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ ลดโรค-ลดเครียด-เสริมพัฒนาการ-เพิ่มมูลค่า

4 ประโยชน์อยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ ลดโรค-ลดเครียด-เสริมพัฒนาการ-เพิ่มมูลค่า

บ้านใกล้ธรรมชาติ การอยู่ บ้านใกล้ธรรมชาติ ให้ประโยชน์มากกว่าที่คิด อย่างน้อย 4 เรื่อง ทั้งลดเสี่ยงโรคร้าย เพิ่มความสุข ลดความเครียด ส่งเสริมพัฒนาการทุกเพศวัย และเพิ่มมูลค่าการลงทุน   การอยู่อาศัยในเมืองหลวง อย่างกรุงเทพฯ ทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ต้องเจอปัญหาสารพัด ทั้งรถติด ค่าครองชีพพุ่งสูง หรือแม้แต่ปัญหามลพิษสารพัดรูปแบบ แต่ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนส่วนใหญ่ และคนก็กังวลใจมาก ก็คือ ปัญหามลพิษจากฝุ่น PM2.5  เพราะนับวันก็รุ่นแรงเพิ่มมากขึ้น   แนวทางที่พอช่วยบรรเทาปัญหามลพิษจากฝุ่นได้ นอกจากการลดสาเหตุของการเกิดฝุ่นควันต่าง ๆ แล้ว การปลูกต้นไม้ให้มากขึ้น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ก็ช่วยบรราเทามลพิษทางอากาศได้ดี ทำให้คนส่วนใหญ่นิยมปลูกต้นไม้ไว้ในบ้าน หรือรอบ ๆ บ้าน เพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างอากาศบริสุทธิ์  พื้นที่สีเขียว จึงถือเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่คนเลือกอยู่อาศัยคำนึงถึง หากโครงการไหนมีพื้นที่สีเขียวมาก ๆ หรือมีจุดขายที่มีวิวหรืออยู่ติดกับโครงการสวนสาธารณะ ก็จะได้รับความสนใจอย่างมากด้วย   การอยู่ในพื้นที่ใกล้ชิดธรรมชาติ หรือพื้นที่สีเขียว ไม่ได้ให้แค่วิวที่สบายตา หรืออากาศที่สดชื่นเท่านั้น แต่ยังพบว่าการอยู่บ้านที่ใกล้ธรรมชาติ ยังมีประโยชน์หลายอย่างด้วยกัน  โดยในต่างประเทศมีการศึกษาและวิจัยยืนยันข้อดีของการอยู่บ้านใกล้ธรรมชาติหลายอย่างด้วย ซึ่งพบว่าการอยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ มีประโยชน์ด้วยกันอย่างน้อย 4  เรื่องด้วยกัน 4 ประโยชน์อยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ 1.ลดเสี่ยงโรคร้าย การอาศัยอยู่ใกล้พื้นที่สีเขียว นอกจากจะมอบความรู้สึกร่มรื่นมีชีวิตชีวาแล้ว ยังเหมือนได้อยู่ใกล้เครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษทางอากาศ และฝุ่น PM 2.5 อย่างกรุงเทพฯ การมีบ้านหรือคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวจึงเท่ากับเป็นการอนุญาตให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่   ผลการศึกษา[1] ของกลุ่มนักวิจัยจาก Nurses’ Health Study (NHS) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพทุก ๆ สองปีจากพยาบาลวิชาชีพหญิงมากกว่า 100,000 คนในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1976 ระบุว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในสถานที่ใกล้ชิดธรรมชาติ มีอัตราการเสียชีวิตโดยรวม ต่ำกว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ห่างไกลพื้นที่สีเขียว ถึง 12 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสำรวจสาเหตุการเสียชีวิตของผู้คนซึ่งไม่ได้อาศัยใกล้พื้นที่ธรรมชาติ ยังพบว่า มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดมาจากโรคระบบทางเดินหายใจ โรคมะเร็ง และโรคไต 2.เพิ่มความสุข ลดความเครียด การเข้าถึงธรรมชาติช่วยลดความเครียดและบรรเทาภาวะซึมเศร้าได้ เคยไหม ที่คุณตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมเราจดจำอะไรได้น้อยลง และขาดสมาธิจนทำงานพลาด หรือหลงลืมนัดประชุมกับลูกค้าไปสนิท เรื่องนี้มีความเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมโดยตรง อ้างอิงจากการศึกษาวิจัยมากมายทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือ งานวิจัย[2] ล่าสุดจาก Lise Meitner Group for Environmental Neuroscience ในประเทศเยอรมนี ซึ่งได้ทำการศึกษาการทำงานของสมองในกลุ่มตัวอย่างชาย-หญิงสุขภาพแข็งแรง 63 คนจากการสแกนลื่นสมองด้วยเครื่อง fMRI   โดยนักวิจัยค้นพบว่า การเดินเล่นในพื้นที่ชนบทซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้เป็นเวลา 60 นาที สามารถลดการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลความเครียดลงได้ ตรงกันข้ามกับกลุ่มตัวอย่างที่เดินเล่นในเมืองซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนและมลภาวะ ที่ตรวจพบว่าสมองบริเวณดังกล่าวยังคงทำงานปกติหลังจากเดินเล่น 60 นาทีเท่ากัน ดังนั้น ต้นไม้และธรรมชาติเขียวขจีสามารถช่วยเบี่ยงเบนความคิดด้านลบจากกิจวัตรในชีวิตประจำวัน และช่วยฟื้นฟูจิตใจได้ 3.ส่งเสริมพัฒนาการสำหรับทุกวัย สำหรับเด็ก การปล่อยให้พวกเขาได้เล่นอย่างอิสระในธรรมชาติกับเพื่อน ๆ ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและทักษะทางสังคมที่ดี มีความมั่นใจขึ้น สามารถจัดการอารมณ์ และเรียนรู้วิธีการโต้ตอบกับผู้อื่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาบุคลิกภาพของพวกเขา นอกจากนี้ การปล่อยให้เด็กเรียนรู้และสังเกตธรรมชาติรอบตัวอย่างอิสระยังกระตุ้นจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และสอนให้คิดอย่างมีเหตุผล ในทำนองเดียวกัน การให้ผู้สูงอายุได้ออกกำลังกายและพบปะทำกิจกรรมสันทนากับเพื่อนๆ หรือลูกหลานภายในสวนก็สามารถช่วยพัฒนาศักยภาพทางร่างกาย จิตใจ ทัศนคติ และคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้สูงอายุได้อย่างยอดเยี่ยม และมีผลให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีความสุข 4.เพิ่มมูลค่าในการลงทุน ตั้งแต่เกิดโรคระบาด ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ประชากรในเมืองใหญ่ทั่วโลกต่างแสวงหาที่อยู่อาศัยที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น อาทิ ใกล้สวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น สิ่งอำนวยความสะดวกด้านกีฬา และพื้นที่ทางศาสนา ผู้คนโหยหาต้นไม้ใบหญ้าและให้คุณค่ากับการมีสุขภาพแข็งแรงมากกว่าที่เคย   รายงาน[4] จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ของสหราชอาณาจักร ได้เปิดเผยตัวเลขราคาบ้านที่อยู่ใกล้กับสวนสาธารณะ สวนหย่อม สนามเด็กเล่น และพื้นที่สีเขียวสาธารณะอื่นๆ ในเขตเมืองของอังกฤษและเวลส์ ซึ่งมีราคาแพงกว่าบ้านที่อยู่ไกลออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว โดยเฉพาะบ้านที่สามารถเห็นวิวสวนสาธารณะ ป่า และแหล่งน้ำ จะยิ่งมีราคาแพงขึ้นไปอีก ดุสิต เรสซิเดนเซส ชูสวนรูฟฟาร์ค 7 ไร่ สำหรับโครงการ ดุสิต เรสซิเดนเซส  (Dusit Residences) อาคารที่พักอาศัย ซึ่งตั้งอยู่ใน ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (Dusit Central Park) โครงการมิกซ์ยูสบนพื้นที่กว่า 23 ไร่ ตรงหัวมุมถนนสีลม-พระราม 4 ด้วยทำเลตรงข้ามสวนลุมพินีเพียงระยะข้ามถนนก็ถึง พร้อมพื้นที่สีเขียวใจกลางโครงการฯ อย่างสวนรูฟพาร์คขนาด 7 ไร่ ทำให้การอยู่อาศัยที่ ดุสิต เรสซิเดนเซส สามารถให้คุณได้มากกว่าแค่บ้านใจกลางเมืองที่มาพร้อมความสะดวกสบายครบครัน แต่ยังได้คุณประโยชน์จากการได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ   โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมทุนระหว่างบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) มูลค่าโครงการรวม 46,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการบนพื้นที่ 23 ไร่ บริเวณหัวมุมถนนสีลม ตรงข้ามสวนลุมพินี ในโครงการประกอบด้วย โรงแรม อาคารที่พักอาศัย  อาคารสำนักงานและศูนย์การค้า  โดยมีรูฟพาร์ค – สวนสาธารณะบนชั้นดาดฟ้าเป็นพื้นที่สีเขียวพิเศษขนาดใหญ่ 7 ไร่ใช้เป็นพื้นที่สาธารณะ ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการประมาณปี 2568   นอกจากรูฟพาร์ค 7 ไร่ กลางโครงการที่เปรียบเหมือนปอดขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีต้นไม้ยืนต้นราว 400 ต้น สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 480 ตัน และปล่อยก๊าซออกซิเจนสู่ชั้นบรรยากาศได้ถึง 54,612 ตัน รองรับความต้องการของคนในการใช้ออกซิเจนได้จำนวน 73,800 คน ตลอดระยะเวลา 60 ปี ที่ดุสิต เรสซิเดนเซส ยังมีการติดตั้งระบบกรองอากาศระดับ HEPA ที่ได้รับการการันตีจากมาตรฐานระดับโลกว่าสามารถคัดกรองมลภาวะ ไวรัส แบคทีเรีย และฝุ่น PM 2.5 จากภายนอกก่อนที่อากาศจะเข้ามาสู่พื้นที่ภายใน คุณจึงสามารถสูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอดตลอด 24 ชั่วโมง   นอกจากการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและเพิ่มมูลค่าให้กับที่อยู่อาศัยแล้ว ความตั้งใจที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ยังสอดคล้องกับนโยบายของผู้ว่าฯ กทม. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายปลูกต้นไม้ล้านต้น กับสวน 15 นาที โดยสำนักสิ่งแวดล้อม อุทยานสวนจตุจักร[3] ระบุว่า ปัจจุบัน กรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียว 6.99 ตารางเมตรต่อประชากร 1 คน ซึ่งตามเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลกนั้น กำหนดให้แต่ละเมืองควรมีพื้นที่สีเขียวในอัตรา 9 ตารางเมตรต่อคน ซึ่งสื่อให้เห็นถึงความจำเป็นและความสำคัญของการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพฯ อย่างแท้จริง   หมายเหตุ [1] Karen Feldscher. (2017), Greenery Plays Key Role in Keeping Women Healthy, Happy,” Harvard Gazette, https://news.harvard.edu/gazette/story/2016/04/greenery-plays-key-role-in-keeping-women-healthy-happy/. [2] Beth JoJack. (2022), 1-hour walk through nature lowers stress, new research shows, Medical News Today, MediLexicon International, https://www.medicalnewstoday.com/articles/1-hour-walk-through-nature-lowers-stress-research-shows. [3] กทม.ตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้คนกรุงฯ 10 ตารางเมตรต่อคน ภายใต้โครงการ Green Bangkok 2030 (2020) อุทยานสวนจตุจักร. Available at: https://webportal.bangkok.go.th/chatuchakmetropark/page/main/ [4] Natural Capital team. (2019), Urban Green Spaces raise nearby house prices by an average of £2,500, Urban green spaces raise nearby house prices by an average of £2,500 - Office for National Statistics. Available at: https://www.ons.gov.uk/economy/environmentalaccounts/articles/urbangreenspacesraisenearbyhousepricesbyanaverageof2500/2019-10-14 (Accessed: 16 May 2023).   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -30 สวนสาธารณะ ลอยกระทง 62 -5 โซลูชั่น “S-E-N-S-E” การออกแบบการพัฒนาเมือง กับวิถีชีวิต The Next Normal
เผย 7 สไตล์การแต่งบ้านยอดฮิต  คนไทยชื่นชอบแบบ Japandi มากที่สุด

เผย 7 สไตล์การแต่งบ้านยอดฮิต คนไทยชื่นชอบแบบ Japandi มากที่สุด

NocNoc เผย 7 สไตล์การแต่งบ้าน ที่คนไทยชื่นชอบมากที่สุด Japandi  ครองอันดับ 1 ตามด้วยสไตล์ Scandinavian พร้อมเผยสินค้าที่คนซื้อมากที่สุด คือ กลุ่ม Home and Living ด้านแบงก์กรุงศรี มองเทรนด์ตลาดอี-คอมเมิร์ซไทย อีก 2 ปีโต​ 19%   นายอนุพงศ์ ทะสดวก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้าและพาณิชย์ บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลผู้ใช้บริการซื้อสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม NovNoc ได้เห็นเทรนด์ความนิยมในการแต่งบ้านของผู้บริโภคคนไทย ที่พบว่า ชื่นชอบสไตล์การแต่งบ้าน และนิยมมากที่สุด คือ 1.สไตล์ Japandi ในสัดส่วน 25% 2.สไตล์ Scandinavian สัดส่วน 23% 3. สไตล์ Industrial  20% 4. สไตล์ Glam 15% 5.Transitional 10% 6.สไตล์ Shabby Chic 5% และ 7.สไตล์ Mid-Century Modern 2%   หนึ่งในพฤติกรรมของลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ คือเรื่องของ Personalize จะเห็นได้ว่าไลฟ์สไตล์การตกแต่งบ้านของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน โดย NocNoc ให้ลูกค้าเริ่มต้นการใช้งาน Application ด้วยการค้นหาสไตล์ที่ใช่แบบ Personalize ด้วยระบบ AI เพื่อให้แอปนำเสนอสินค้าแต่งบ้านได้ตรงตามสไตล์ของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญการคัดสรรสินค้าที่หลากหลาย เพื่อให้เหมาะกับลูกค้าที่ชื่นชอบการตกแต่งบ้านในสไตล์ที่แตกต่างกัน โดยปัจจุบัน NocNoc แบ่งสินค้าออกเป็น 4 กลุ่มหลัก คือ 1. Home and Living กลุ่มสินค้าตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ 2. Home Appliances กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า 3. Home Improvement กลุ่มสินค้าปรับปรุงบ้าน และ 4. Home Service กลุ่มบริการงานช่างทุกเรื่องบ้าน ซึ่งในแต่ละกลุ่มยังแยกย่อยออกเป็นอีกหลายหมวดสินค้า ทำให้ NocNoc มีสินค้ารวมแล้วกว่า 500,000 ชิ้น จาก 3,000 ร้านค้า นับว่าตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุมสำหรับคนรักบ้าน   นายอนุพงศ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังพบข้อมูลจากพฤติกรรมการซื้อสินค้า ที่ผู้บริโภคซื้อซ้ำมากที่สุดใน  5 หมวดสินค้า ดังนี้ 1.โฮม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ 2.โซฟาและเก้าอี้ 3.ชุดเครื่องนอน 4.ตู้และชั้นวางของ และ 5.เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก โดยพฤติกรรมการกลับมาซื้อซ้ำนั้น จะเป็นสินค้าในหมวดเดียวกัน เช่น กลุ่มเครื่องนอน ลูกค้าซื้อที่นอนขนาด 6 ฟุต  และกลับมาซื้อผ้าปูที่นอน หมอน เพิ่มเติม หรือในกลุ่มโซฟาและเก้าอี้ ซื้อเก้าอี้ทำงานไปในครั้งแรกและกลับมาซื้อโต๊ะทำงานหรือโซฟาเพิ่มเติม แม้ว่าใน 5 หมวดสินค้าดังกล่าวจะเป็นกลุ่มสินค้าที่อาจจะต้องสัมผัสสินค้า หรือเห็นสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อเกือบทั้งสิ้น แต่กลับเป็นกลุ่มสินค้าที่ลูกค้า NocNoc กลับมาซื้อซ้ำอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนให้เห็นว่าการจะซื้อสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ไม่จำเป็นต้องสัมผัสสินค้าจริงก่อนซื้อเสมอไป หรือ อาจจะมีประสบการณ์ทดลองสินค้าจากที่อื่นแล้ว   ให้ความสำคัญกับ DATA นายอนุพงศ์ ยังกล่าวอีกว่า Data-Driven Marketing นับว่ามีความสำคัญ แต่ต้องดูว่าจะนำมาใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์มากที่สุด  NocNoc ให้ความสำคัญกับ Data ของลูกค้า เพราะข้อมูลเหล่านี้สามารถบ่งบอกตัวตนของลูกค้าให้แบรนด์ได้เข้าใจความต้องการ และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของลูกค้าแต่ละคนได้ โดยการนำเอาเทคโนโลยีทางการตลาด MarTech และ AdTech มาใช้ในการวางแผน ดำเนินการ และวัดผลแคมเปญเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าแบบมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด   ประกอบกับการทำ Story-Driven Communication ที่เข้าถึงทุก Journey ของลูกค้าตั้งแต่ Discovery , Inspired , Compare , Selection ไปจนถึง Complete Journey ซึ่งลูกค้าจะเห็นการสื่อสารผ่านเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอช่วยให้พวกเขาได้รู้จัก NocNoc ว่าเรามีดีอะไร สินค้าที่กำลังมองหาตอบโจทย์พวกเขาอย่างไร ช่วยให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อเรื่องบ้านมากขึ้น  และไม่ลืมสร้างประสบการณ์การช้อปในโลกออนไลน์สู่ออฟไลน์ เพื่อ ให้ลูกค้าได้เข้าถึง ใกล้ชิด ได้เห็น Visibility ของแบรนด์มากยิ่งขึ้น   อย่างไรก็ดี มองว่าการพัฒนา Feature บน Application  ให้ตอบโจทย์ Pain Point ของลูกค้า ทำให้ประสบการณ์ในการเข้ามาใช้งาน NocNoc ดีขึ้น และช่วยให้การตัดสินใจซื้อสินค้าแต่งบ้านเป็นเรื่องง่าย เช่น  Image Search หรือการค้นหาด้วยภาพ หากลูกค้าถูกใจโซฟาในคาเฟ่ แต่ไม่รู้รุ่นหรือยี่ห้อของโซฟา ก็สามารถถ่ายรูปและนำไปค้นหาใน NocNoc Application ได้เลย แม้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันจะมีทางเลือกที่หลากหลาย บางครั้งมักจะไปเดินดูของจากร้านค้าอื่นเพื่อนำมาเปรียบเทียบสินค้า ราคา รวมถึงหาไอเดียในการแต่งบ้าน ทั้งสินค้าที่หลากหลายไม่จำกัดที่ร้านใดร้านหนึ่ง แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง NocNoc ให้บริการทางเลือกที่มากกว่า ทำให้ ผู้คนเข้ามาหาไอเดียและแรงบันดาลใจใน Community ทั้งยังสะดวกสบายอยู่ที่ไหนก็ช้อปได้ พร้อมบริการจัดส่งทั่วไทย นับว่าเป็นการแก้โจทย์ ไม่ได้สัมผัสสินค้า ก็ไม่ใช่ปัญหาในการซื้อสินค้าเกี่ยวกับบ้านออนไลน์คาด E-Commerce ไทยโต​ 19% สำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์ ถือว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ​ โดยเฉพาะในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน เห็นได้จากตัวเลขงานวิจัยของกรุงศรี คาดการณ์ว่าในปี 2025 ตลาด E-Commerce ไทยจะเติบโตขึ้นอีก 19% โดยผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ มีแนวโน้มที่จะขยายธุรกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาช่องทางการขายออนไลน์   นายอนุพงศ์ กล่าวอีกว่า แม้ว่าการเติบโตของการช้อปปิ้งออนไลน์จะเติบโตมากเพียงใด แต่ก็ต้องยอมรับว่า Pain point ของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในกลุ่มสินค้าและของตกแต่งบ้าน คือ ลูกค้าไม่สามารถเห็นและสัมผัสได้จริง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากในการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ อาทิ โซฟา ตู้ โต๊ะ เตียง เป็นต้น โดยพฤติกรรมของลูกค้าคือจะมีความกังวลว่าอาจจะได้สินค้าจะไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ทำให้มีผู้บริโภคมีการพิจารณาประเด็นดังกล่าวกันอย่างละเอียด   สำหรับในช่วงที่ผ่านมา NocNoc ก้าวขึ้นมาเป็น Home and Living Platform หรือศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ ที่รวบรวม เฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน วัสดุปูพื้น-ผนัง เครื่องใช้ไฟฟ้า และบริการทุกเรื่องบ้านที่ครบที่สุดรายแรกในไทย และได้ผลักดันให้ข้อจำกัดเหล่านี้หมดไป คลายความกังวล ลดความลังเลในการซื้อสินค้าแต่งบ้านให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สะท้อนจากตัวเลขของลูกค้า 60% ที่มาช้อปสินค้าแต่งบ้านออนไลน์บนแพลตฟอร์ม NocNoc สร้าง ตกแต่ง ต่อเติมบ้านได้ทั้งหลัง เป็นการซื้อสินค้าและบริการครอบคลุมในหลากหลายกลุ่มสินค้าและบริการ เรียกได้ว่าสามารถ Complete Journey ครบ จบ ใน NocNoc ที่เดียว จากข้อมูลเชิงลึกของ NocNoc จะเห็นได้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของ NocNoc เป็นกลุ่มสร้างบ้านและต่อเติมบ้าน (Home Building and Renovator) ประมาณ 60% นับว่าเป็นกลุ่มที่มองหาการซื้อสินค้าและบริการแบบ Complete journey ในการสร้าง ต่อเติม และตกแต่งบ้านทั้งหลัง ทั้งยังมีพฤติกรรมในการซื้อสินค้าหลากหลายหมวดบนแพลตฟอร์มของ NocNoc และกลับมาซื้อซ้ำกว่า 74% เพราะทยอยซื้อของตกแต่งบ้านให้ครบตามความต้องการ   ขณะที่ของตกแต่งบ้านและผู้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป (Home Decoration and Furnishing Shoppers) คิดเป็นอีกประมาณ 40% จะเน้นการตกแต่งเป็นหลัก และมีพฤติกรรมการซื้อซ้ำบนแพลตฟอร์ม NocNoc มากถึง 26% เพราะลูกค้าจะมีไอเดียใน การตกแต่งบ้านอย่างต่อเนื่อง  จากการหาแรงบันดาลใจในการแต่งบ้านจากที่ต่าง ๆ รวมถึงใน NocNoc ที่มีไอเดียในการตกแต่งบ้านมากมาย   ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าจากการทำตลาดเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าในแบบ Complete journey รวมถึงการสร้างประสบการณ์ ช้อปปิ้งที่ดีแก่ผู้บริโภค และนำเสนอประสบการณ์มากกว่าที่ลูกค้าได้คาดหวังไว้ ทำให้ภาพรวมจำนวนผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม NocNoc ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันระหว่างเดือนมกราคม – เมษายน 2566 เพิ่มสูงขึ้น  64% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2565 โดยจากแนวโน้มดังกล่าว คาดว่าในปี 2566 นี้ ยอดขายจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้กว่า 170% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอีกด้วย   นอกจากนี้ หนึ่งในพฤติกรรมของลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ คือเรื่องของ Personalize จะเห็นได้ว่าไลฟ์สไตล์การตกแต่งบ้านของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน โดย NocNoc ให้ลูกค้าเริ่มต้นการใช้งาน Application ด้วยการค้นหาสไตล์ที่ใช่แบบ Personalize ด้วยระบบ AI เพื่อให้แอปนำเสนอสินค้าแต่งบ้านได้ตรงตามสไตล์ของแต่ละบุคคล      
6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่าให้ดูใหม่  ได้ฟังก์ชั่น​ แบบไม่หลุดเทรนด์

6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่าให้ดูใหม่ ได้ฟังก์ชั่น​ แบบไม่หลุดเทรนด์

ปรับบ้านเก่า เคยไหม? อยู่บ้านหลังเดิมไปนาน ๆ แล้วรู้สึกหมดแพชชั่น แต่ก็ไม่อยากซื้อบ้านใหม่หรือไม่อยากย้ายทำเลไปที่อื่น เลยอยากปรับบ้านเก่า แต่งลุคบ้านใหม่ให้ดูต่างออกไปจากเดิม และเพิ่มฟังก์ชันที่หลากหลายในตัวบ้านมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องรื้อบ้านทั้งหลัง หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าวิธีการดังกล่าวเป็นไปได้ยาก รู้หรือไม่ว่าการเปลี่ยนรูปแบบบ้านใหม่แบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ทำได้จริง!     วันนี้มีไอเดียการแปลงโฉมบ้านที่เคยอยู่อาศัยแบบเดิม ๆ มาปรับลุคใหม่โดยที่ไม่ต้องรีโนเวททั้งหลัง แค่ลองปรับเปลี่ยนดีไซน์และฟังก์ชันต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกบ้านใหม่ก็ใช้ได้แล้ว ซึ่งการปรับลุคบ้านใหม่ทำได้หลายวิธี ทั้งการปรับเปลี่ยนหลังคา สีทาบ้าน ผนังบ้าน รั้ว พื้น และสวนนอกบ้าน เพียงแค่เลือกดีไซน์และวัสดุที่ตอบโจทย์กับการใช้งานและความชอบ ลองมาดูกันว่าบ้านหลังเก่าของเราปรับลุคแบบไหนได้บ้าง 6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่า ให้ดูใหม่แถมได้ฟังก์ชั่น​ 1.เปลี่ยนฟาซาด สร้างโฉมบ้านหลังเดิม   บ้านสไตล์คลาสสิกธรรมดาทั่วไป อายุอาจจะมาไกลตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่า ถ้าอยากเปลี่ยนลุคบ้านใหม่ให้ดูโมเดิร์น แนะนำฟาซาด (Façade) ที่สามารถปรับอารมณ์บ้านให้เปลี่ยนไปได้ในทันที โดยฟาซาดจะเป็นการตกแต่งเปลือกอาคารหรือพื้นผิวภายนอกสุดของบ้าน ที่สามารถแสดงคาแรกเตอร์ของบ้านได้อย่างชัดเจนที่สุด ซึ่งนอกจากจะช่วยให้บ้านสวยเหมือนใหม่แล้ว ฟาซาดยังมีคุณสมบัติระบายความร้อน บดบังแสงแดด และสร้างความเป็นส่วนตัวภายในบ้านได้อีกด้วย ฟาซาด มีวัสดให้เลือกหลากหลาย 2.เพิ่มความ natural ด้วยผนังลายไม้ ผนังบ้านขาว ๆ ที่เราเคยชิน ลองสร้างลูกเล่นใหม่ให้น่าสนใจขึ้นได้ไม่ยาก เชื่อว่าหลายคนคงคิดว่าการเปลี่ยนผนังบ้าน คงต้องยุ่งยากและใช้เวลานาน ซึ่งปัจจุบันมีผนังตกแต่งให้เลือกใช้หลากหลาย ตามสไตล์ที่ต้องการ ซึ่งมาพร้อมคุณสมบัติแข็งแรง ทนทาน และลวดลายหลากหลาย สำหรับผู้ที่ต้องการดีไซน์บ้านให้มีลุคความเป็นธรรมชาติ การเลือกใช้ผนังตกแต่งที่ให้ลายไม้เหมือนธรรมชาติ อย่าง ผนังตกแต่ง เอสซีจี รุ่น วูด-ดี ก็นับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ   เนื่องจากให้ทั้งลวดลายที่ใกล้เคียงไม้จริง จากเทคโนโลยีการผลิตแบบ Digital Printing และวัสดุผลิตจากไฟเบอร์ซีเมนต์ ใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก ปลวกไม่กิน ทนทานต่อสภาพอากาศ ไม่บิดหรือแตกเปราะง่าย และยังให้สีสวยแน่นทนทาน จากเทคนิคการเคลือบสีเฉพาะของเอสซีจี รวมถึงได้ผนังเรียบร้อยสวยงาม จากระบบติดตั้งแบบคลิปล็อค ไม่เห็นรอยสกรู โดยสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งงานผนังและงานฝ้า 3.ทำรั้วบ้านสร้างเอกลักษณ์​ ก่อนจะเห็นตัวบ้าน เราต้องมองรั้วบ้านกันก่อนอย่างแน่นอน ถ้ารั้วบ้านสวยมีสไตล์ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของบ้าน ทำให้คนจดจำบ้านหลังนี้ได้ไม่ลืม เพราะฉะนั้นการทำรั้วบ้านให้โดดเด่นเป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ทำได้ 4.คืนพื้นที่รอบบ้าน สร้างพื้นใหม่สวยสะดุดตา บ้านที่มีพื้นที่ภายนอก บางคนปล่อยให้รกร้าง มีของที่ไม่ได้ใช้เกะกะอยู่เต็มพื้นหน้าบ้าน เราสามารถปลุกพื้นที่ตรงนั้นขึ้นมาใหม่ โดยเคลียร์ของที่ไม่ใช้ทิ้งไป แล้วปรับพื้นใหม่ให้แมตช์กับสวนสวยดูเป็นธรรมชาติได้ อาจจะลองเลือกใช้วัสดุกระเบื้องซีเมนต์ตกแต่งพื้น ซึ่งมีรุ่นและลายให้เลือกหลากหลายชนิด 5.เปลี่ยนลุคหลังคาให้บ้านดูโมเดิร์น หลังคาบ้านสวยช่วยทำให้บ้านดูใหม่และดูดีกว่าเดิมได้ ลองสังเกตดูว่าถ้าบ้านไหนปล่อยให้หลังคาชำรุดตัวบ้านก็จะดูทรุดโทรมตามไปด้วย ซึ่งหากสามารถทำการเปลี่ยนหลังคาใหม่ได้ ก็จะช่วยทำให้บ้านดูมีชีวิตชีวา และการใช้งานที่ดี ไม่ต้องห่วงเรื่องฝนตก น้ำรั่วช่วงหน้าฝนได้อีกด้วย ​ 6.ปรับภูมิทัศน์สวนให้สวยน่านั่งเล่น อย่าปล่อยพื้นที่สวนหน้าบ้านให้รกร้างโดยเปล่าประโยชน์ การจัดสวนให้น่าอยู่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเปลี่ยนลุคใหม่ให้บ้าน และยังเติมเต็มอารมณ์ให้ผู้อยู่อาศัยผ่อนคลายขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหากว่าใครยังไม่มีไอเดียการจัดสวน และกลัวว่าจะเหนื่อยถ้าต้องมานั่งจัดสวนเอง เอสซีจีก็มีบริการจัดสวนรอบบ้าน โดยมีรูปแบบสวนกึ่งสำเร็จรูปที่ออกแบบไว้หลากหลายแนวให้เลือกตามใจชอบ ปรับใช้ให้เข้ากับพื้นที่บ้าน รับรองว่ามีสวนสวยรวดเร็วไม่เกินเอื้อมแน่นอน   อย่างไรก็ตาม ใครที่อยากปรับลุคบ้านให้สวยด้วยหลาย ๆ ดีไซน์และฟังก์ชัน อาจจะลองเข้าไปดูตามห้างโมเดิร์นเทรดชั้นนำ หรือผู้ให้บริการด้านการปรับปรุงบ้าน ซึ่งมีหลากหลายมากมาย รวมถึงผู้ให้บริการอย่าง SCG ซึ่งมีบริการหลากหลาย และจำหน่ายสินค้าหลายช่องทาง   ที่มา-SCG Home   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -4 วิธีอย่างง่าย ปรับบ้านให้มีสุขภาวะที่ดีรับ WFH  -“ปรับบ้านรับทรัพย์ ตามหลักฮวงจุ้ย” รับปีใหม่ 2564 กับหมอช้าง
ธนาสิริ  จับมือ อนาบูกิ โคซัน บุกโซนกรุงเทพฯ​ ตะวันออก ปั้น “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน

ธนาสิริ จับมือ อนาบูกิ โคซัน บุกโซนกรุงเทพฯ​ ตะวันออก ปั้น “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน

ธนาสิริ จับมือ อนาบูกิ โคซัน บุกโซนบางนา-บางบ่อ  ปั้นโปรเจ็กต์  ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน ครั้งแรกที่ขยายทำเลพัฒนาออกนอกจ.นนทบุรี เตรียมเปิดขาย   17 มิถุนายนนี้ ในราคาเริ่ม 2 - 4 ล้าน   นายจรัญ เกษร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ (COO) บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (THANA) เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมเปิดขายโครงการ “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ในวันที่ 17 มิถุนายน นี้  ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นโครงการ่วมทุนกับ อนาบูกิ โคซัง พันธมิตรที่ร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์กันมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาพัฒนาโครงการประสบความสำเร็จแล้ว 2 โครงการในทำเลย่านราชพฤกษ์ และสะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ ซึ่ง​โครงการตั้งอยู่บนทำเลบางนา-บางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีเนื้อที่กว่า 36 ไร่ โดยพัฒนาเป็นบ้านแฝด และทาวน์โฮมสไตล์ New Design Japandi จำนวน 348 หลัง   โดยครั้งนี้ ได้ร่วมกันพัฒนาโครงการ ในพื้นที่ทำเลใหม่ ย่าน “บางนา-บางบ่อ”  ซึ่งเป็นทำเลที่มีความโดดเด่น และยังเป็นรอยต่อ EBD (Extension Business District) โซนตะวันออก ที่เชื่อมทุกพื้นที่กรุงเทพฯ รายล้อมด้วยแหล่งงานขนาดใหญ่ ทั้งนิคมอุตสาหกรรม​  สนามบินสุวรรณภูมิ สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาหลายแห่ง รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก และแหล่งชอปปิ้งที่มีหลากหลาย ทั้งยังมีเมกะโปรเจ็กต์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกหลายโครงการภายในปีนี้ โครงการจับกลุ่มเป้าหมายหลัก เป็น​คนรุ่นใหม่ วัยทำงานระดับกลาง-ล่าง ที่ต้องการอยู่อาศัยจริง และกำลังมองหาบ้านหลังแรกสำหรับครอบครัว ในราคาเริ่มต้นที่ 2 - 4 ล้านบาท โครงการธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ เป็นการร่วมทุนกับ อนาบูกิ โคซัน  ซึ่งเป็นการขยายมาสู่ทำเลอื่นครั้งแรก จากเดิมเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในย่านนนทบุรี   สำหรับทำเลย่าน “บางนา-บางบ่อ”  เป็นทำเลทองของที่อยู่อาศัยในอนาคต ที่มีราคาที่ดินขยับเพิ่มขึ้นทุกปี เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 10% แม้ในมุมผู้ประกอบการมองว่า ทำเลดังกล่าวทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่เนื่องจากเป็นทำเลที่มีศักยภาพและคุ้มค่า เมื่อเทียบกับการเพิ่มมูลค่าในอนาคต ทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างรากฐานความมั่นคงด้านทรัพย์สิน และสังคมที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัยในโครงการธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ บริษัทมีความมั่นใจว่าโครงการธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ จะเป็นหนึ่งในโครงการร่วมทุนที่ประสบความสำเร็จเหมือนทุกโครงการ ด้วยศักยภาพทำเลที่เหมาะกับการอยู่อาศัยและลงทุนเพื่ออนาคต ทั้งยังมีความต้องการอยู่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก นับว่าเป็นทำเลที่โดดเด่น ทั้งบริเวณรอบโครงการ และที่ตั้งโครงการ โดยด้านหน้าติดถนนที่เชื่อมกับถนนหลัก ด้านหลังติดแม่น้ำคลองด่านที่สะท้อนแนวคิดการออกแบบโครงการ “ที่สุดของการใช้ชีวิต …ชิดธรรมชาติและสายน้ำ”   สำหรับทุกโครงการของธนาสิริ เราพร้อมขับเคลื่อนการพัฒนาด้วยกลยุทธ์ THANA GREEN ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ Hardware - Software - People โดยให้ความสำคัญในทุกมิติของคุณภาพชีวิตที่ดีตลอดระยะเวลาการอยู่อาศัย ภายใต้พันธกิจ “Lifetime Total Living Solution” เพื่อสร้างจุดเริ่มต้นการอยู่อาศัยดี สิ่งแวดล้อมดี และสังคมน่าอยู่ ให้กับประชาคมธนาสิริในการอยู่อาศัยร่วมกัน ธนาสิริ ... เราดูแล” ปั้นโปรเจ็กต์ 1,000 ล้าน โครงการ “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” ตั้งอยู่บนทำเลบางนา-บางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีเนื้อที่กว่า 36 ไร่ โดยพัฒนาเป็นบ้านแฝด และทาวน์โฮมสไตล์ New Design Japandi มีจำนวน 348 หลัง ออกแบบภายใต้แนวคิด “ที่สุดของการใช้ชีวิต …ชิดธรรมชาติและสายน้ำ” เพื่อลดความตึงเครียดจากการใช้ชีวิตในเมืองปัจจุบันจากการทำงาน มลภาวะภายนอก การใช้ชีวิตที่เร่งรีบ สิ่งเดียวที่ช่วยเติมพลังคุณให้สดชื่นมีชีวิตชีวา กลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง คือ “บ้าน และ ครอบครัวที่อบอุ่น” โดยแต่ละหลังมีขนาดที่ดิน 17.88 - 58.27 ตารางวา ซึ่งการออกแบบโครงการยังให้ความสำคัญในรายละเอียดอื่นๆ อาทิ จัดแบ่งโซนอยู่อาศัยเป็นหลายโซนเพื่อความเป็นส่วนตัวและรองรับการอยู่อาศัยที่แตกต่างกันของแต่ละครอบครัว ถนนโครงการกว้าง 16 เมตร ถนนเมนกว้าง 16 เมตร ถนนซอยกว้าง 9 เมตร สามารถขับรถสวนกันได้อย่างสบาย แนวคิดโครงการเน้นธรรมชาติในการอยู่อาศัย มีต้นไม้ขนาดใหญ่ และสวนสาธารณะที่ร่มรื่น ให้เลือกพักผ่อนส่วนตัวได้ ระบบรักษาความปลอดภัย ประตูอัตโนมัติ Easy Pass แบ่งช่องทางเข้า-ออกโครงการเป็น 2 ช่อง แยกเป็นของเจ้าของบ้าน และผู้มาเยี่ยมเยือนอย่างชัดเจน เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกของผู้อยู่อาศัย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการครบครัน อาทิ Club House, Co-Working Space, Swimming Pool, Jacuzzi, Fitness, สวนส่วนกลาง, ลานบาสเก็ตบอล, ลานหินนวดเท้า, กล้อง CCTV, บัตรเข้าออก Easy Pass อัตโนมัติ, EV Charger พื้นที่ส่วนกลาง 1 จุดภายในโครงการ และระบบ SOLAR CELL ช่วยเรื่องประหยัดพลังงาน ภายในอาคารสโมสร และไฟส่องสว่างในพื้นที่สวนส่วนกลาง เป็นต้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ธนาสิริ เดินแผนปี 66 เปิดขายบ้าน 2-20 ล้าน พร้อมรับร่วมทุนปั้นที่ดิน100ไร่ในภูเก็ต -ธนาสิริ วางเป้า 3 ปี สร้างรายได้ 5,000 ล้าน พร้อมเปิด 3 โปรเจ็กต์ใหม่
[PR News] พฤกษา ลุย เปิด “เดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2”   

[PR News] พฤกษา ลุย เปิด “เดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2”   

เดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน ยังเป็นสุดยอดทำเลที่น่าลงทุน พฤกษา ลุยเปิดโครงการ เดอะ แพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 เฟส 2 อาคารพาณิชย์หน้ากว้าง ตอบรับกำลังซื้อที่ร้อนแรง หลังจากยอดขายเฟสแรกถล่มทะลายหมดภายในวันเดียว มั่นใจทำเลดีและพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า จะทำให้เฟส 2 ขายหมดภายในวันพรีเซล   นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ได้เปิดโครงการเดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 เนื่องจากกระแสตอบรับที่ดีของเฟส 1 โดยโครงการในเฟส 2 มีจำนวน 31 ยูนิต เป็นโครงการอาคารพาณิชย์ 3.5 ชั้น เริ่มต้น 25 ตารางวา มีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 256 – 272 ตร.ม. รองรับเทรนด์การอยู่อาศัยด้วย Solar Rooftop และรองรับการติดตั้ง EV Charger ทุกหลัง เปิดตัวในราคาพิเศษเพียง 7.39 ล้านบาท เดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 เป็นเฟสสุดท้ายแล้ว จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ที่กำลังมองหาอาคารพาณิชย์ทำเลเยี่ยม พื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง เหมาะสำหรับการลงทุน ทำออฟฟิศ หรือทำร้านค้า เรามั่นใจว่าเฟส 2 นี้จะสามารถปิดการขายได้ภายในวันพรีเซลวันที่ 24 มิถุนายน 2566     เดอะ แพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 ตั้งอยู่บนทำเลที่น่าลงทุน การเดินทางสะดวกสบาย ห่างจากถนนพหลโยธินเพียง 100 ม. ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกและย่านธุรกิจมากมาย รวมถึงพลัมคอนโด พหลโยธิน 89 คอนโดของพฤกษาซึ่งมีลูกค้าอาศัยอยู่กว่า 5,000 ยูนิต ถือเป็นชุมชนขนาดใหญ่ นอกจากนี้ โครงการยังมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าอาคารพาณิชย์ทั่วไป โดยมีหน้ากว้างถึง 5.9 เมตร รองรับการทำธุรกิจที่หลากหลาย ด้วยจุดเด่นเหล่านี้ ทำให้การเปิดตัวโครงการเฟส 1 ได้รับการตอบรับที่ดีมาก สามารถปิดการขายได้ภายในวันเดียว   สำหรับ เดอะแพลนท์ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 ทำเลเชื่อมต่อดอนเมือง โทลล์เวย์ ถนนวิภาวดี-รังสิต ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง  แมคโครรังสิต ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดรังสิต ไทวัสดุ  เซียร์รังสิต ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต โรงพยาบาลแพทย์รังสิต มหาวิทยาลัยรังสิต   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] พฤกษา โฮลดิ้งโชว์ปี 65 กำไรโต 18% เตรียมผุดศูนย์สุขภาพ -พฤกษา โชว์ Q3/65 ทำกำไรโต 87% เดินหน้าลุยธุรกิจเฮลท์เทค-โซเชียล คอมเมิร์ส 
3 จุดสำคัญของบ้าน ที่ต้องตรวจเช็ค ป้องกันบ้านป่วยช่วงหน้าฝน

3 จุดสำคัญของบ้าน ที่ต้องตรวจเช็ค ป้องกันบ้านป่วยช่วงหน้าฝน

จุดสำคัญของบ้าน   ในช่วงเวลาที่หน้าฝนกำลังเข้ามาแทนที่หน้าร้อน ทำให้อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว นอกจากการดูแลสุขภาพร่างกายไม่ให้เจ็บป่วยแล้ว สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอีกอย่างก็คือ "สุขภาพของบ้าน" ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะช่วงหน้าฝนที่กินระยะเวลากว่า 5 เดือน ทำให้หลายๆ บ้านได้เห็นปัญหาที่ไม่คาดคิดมาก่อนทั้งจากบริเวณภายในและภายนอก เช่น น้ำรั่วซึม การระบายน้ำ ผนังแตกร้าว พื้นดินโดยรอบเกิดการทรุดตัว ฯลฯ   เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับตัวบ้านในช่วงหน้าฝน ​ วันนี้ จึงอยากจะชวนให้เจ้าของบ้าน ได้ดูแลพื้นที่เสี่ยงของตัวบ้าน ที่อาจจะได้รับอันตราย หรือกเกิดความเสียหายได้ กับ 3 จุดสำคัญที่ต้องตรวจเช็คภายในบ้านเพื่อรับมือช่วงหน้าฝน พร้อมแนะเคล็ดลับการดูแลบ้านให้สุขภาพดีไปทั้งปี 3 จุดสำคัญของบ้าน ที่ต้องตรวจเช็ค   1.หลังคาบ้าน เข้าหน้าฝนทีไรปัญหาใหญ่ที่เจ้าของบ้านส่วนใหญ่ต้องเจอ คงหนีไม่พ้นปัญหาน้ำรั่วน้ำซึมจากบนเพดานและฝ้า ที่นอกจากจะสร้างความรำคาญใจแล้วยังอาจทำให้น้ำที่หยดลงมาจนพื้นบ้านบวมและไหลลามไปยังห้องอื่น ๆ ดังนั้นเจ้าของบ้านจะต้องหมั่นตรวจเช็คและสำรวจหลังคาบ้านทุกจุด ว่ามีหลังคาบ้านรั่วและมีรอยร้าว รอยแตก ตรงไหนบ้าง ก็ให้รีบทำการซ่อมทันที 2.ผนังและหน้าต่าง จุดสำคัญที่หลายคนอาจมองข้าม แต่ถ้าเมื่อไรที่เข้าหน้าฝนแล้ว แน่นอนว่าเป็นปัญหาไม่แพ้หลังคารั่วแน่ ๆ หากไม่ตรวจเช็คให้ดี เพราะรอยร้าวของผนังและช่องว่างระหว่างวงกบหน้าต่าง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้น้ำซึมผนังบ้าน ซึ่งส่งผลให้เกิดคราบน้ำที่สร้างความไม่น่ามอง บ้านดูเก่าโทรมแล้ว ยังอาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ที่ใหญ่ขึ้น เช่น เกิดเป็นเชื้อราหรือตะไคร่ วัสดุกรุผนังโป่งพอง จนไปถึงปัญหาโครงสร้างภายในบ้านจากการที่เหล็กขึ้นสนิม 3.รางน้ำรับน้ำฝน การติดตั้งรางน้ำฝนให้บ้านถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยไม่ให้บ้านโทรมจากสิ่งสกปรกที่มากับฝนไหลลงมาเปื้อนผนังบ้าน ดังนั้นเจ้าของบ้านจะต้องหมั่นตรวจเช็คว่ามีเศษใบไม้หรือกิ่งไม้อุดตันรางน้ำฝนหรือไม่ เพื่อไม่ให้เป็นตัวขวางการระบายน้ำฝนในช่วงที่ตกหนัก   สำหรับบ้านไหนที่สำรวจตามเช็คลิสต์นี้แล้วพบจุดที่ต้องซ่อมแซม ก็ไม่ต้องกังวลใจ สามารถแก้ไขได้ด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ อาทิ สีทาหลังคา ซีเมนต์ซ่อมแซมโครงสร้าง น้ำยากำจัดแมลง น้ำยากำจัดคราบเชื้อรา รางน้ำฝน อุปกรณ์ช่าง และอื่นๆ อีกมากมาย หรืออาจจะขอรับบริการจากช่างที่มีให้บริการมากมาย ทั้งช่างอิสระ ช่างรับเหมาทั่วไป หรือช่างจากร้านขายสินค้า อย่างเช่น ไทวัสดุยังมีบริการช่างมือโปรจากวีฟิกซ์ (vFix) ครบวงจรที่เดียวจบทุกเรื่องบ้าน ตั้งแต่ติดตั้ง ออกแบบ ปรับปรุง ต่อเติมและทำความสะอาดฆ่าเชื้อ มีบริการสำรวจหน้างานผ่านระบบออนไลน์ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคนี้ รับประกันผลงานสูงสุด 180 วัน ซึ่งตอนนี้ ทางไทวัสดุยังมี  โปรพิเศษค่าบริการตั้งแต่วันนี้ – 29 มิ.ย. 2566  และสินค้าต่าง ๆ ที่ส่วนลดสูงสุดกว่า 60% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 2566 ด้วย     ที่มา - ไทวัสดุ ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ภายใต้ บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -10 จุดเสี่ยงของบ้าน ต้องเช็กด่วน!! ก่อนสร้างปัญหาในหน้าฝน -10 วิธีป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้าน ช่วงหน้าฝน
เอ็นริช  ลุยตลาดบ้านเดี่ยวซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่  เปิด ARCH Sukhumvit 39 ใจกลางสุขุมวิท

เอ็นริช ลุยตลาดบ้านเดี่ยวซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ เปิด ARCH Sukhumvit 39 ใจกลางสุขุมวิท

เอ็นริช เดินหน้าพัฒนาโครงการบ้านระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ “ARCH Sukhumvit 39” มูลค่า 835 ล้านบาท บนทำเลหรู สุขุมวิท 39 ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยแบบลักชัวรี่ ภายใต้แนวคิด Guiding You to Practical Living  เพียง 12 หลัง   นางสาวสุพิชา ณัฐสุวรรณพล ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธุรกิจ กลุ่มบริษัทเอ็นริช เปิดเผยว่า หลังจากกลุ่มบริษัทเอ็นริช ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งในกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก อาทิ โครงการ THE MARQ Exquisite ราชพฤกษ์-จรัญสนิทวงศ์ บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ซึ่งเป็นการร่วมมือกันพัฒนาโครงการระหว่างกลุ่มบริษัทเอ็นริช กับบริษัท ไซบุแก๊ส โฮลดิ้ง จำกัด (Saibu Gas Holdings Co.,Ltd.) ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก่อตั้งมานานกว่า 90 ปี ที่เลือกลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับคุณภาพทั่วโลก   โดยโครงการมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยในบ้านผสานแนวคิดการจัดบ้านแบบ "คอนมาริ" ในสไตล์ มาริเอะ คอนโดะ ร่วมกับตัวแทนที่ปรึกษาระดับมาสเตอร์ ควบคู่กับการการออกแบบทางสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ตอบรับกับการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว ส่งผลให้โครงการประสบความสำเร็จ และสามารถปิดโครงการได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และด้วยความสำเร็จจากโครงการ  THE MARQ Exquisite ราชพฤกษ์-จรัญสนิทวงศ์ ทางบริษัท ไซบุแก๊ส ก็ยังคงเชื่อมั่น และร่วมพัฒนาโปรเจกต์กับเอ็นริชในโครงการ ARCH Sukhumvit 39   นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทเอ็นริช ยังพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรูปแบบต่างๆ อาทิ บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมคอนโดมิเนียม ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อย่างเช่น ดุสิตดีทู เรสซิเดนเซส หัวหิน อีกทั้งยังกวาดรางวัลระดับนานาชาติมามากมาย อาทิ Asia Pacific Property Awards และ Thailand Property Award เป็นเครื่องยืนยันได้ถึงความมุ่งมั่นที่จะเป็นเลิศในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่ตอบสนองทั้งรูปแบบสถาปัตยกรรม และฟังก์ชันการใช้งาน โดยการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มบริษัทเอ็นริช มุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างของการอยู่อาศัย ภายใต้แนวคิดหลัก คือ  Guiding You to Practical Living ที่เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจรูปแบบการใช้ชีวิต รับฟังความต้องการจากผู้อยู่อาศัยจริง รวมทั้งนำไลฟ์สไตส์มาผสานกับนวัตกรรม ที่เอื้ออำนวยต่อวิถีชีวิตยุคใหม่ มาพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า รวมถึงการพัฒนาที่ให้ความสำคัญในเรื่องของความงามทางสถาปัตยกรรม และสุนทรียะในการใช้ชีวิต จึงทำให้โครงการมีความโดดเด่น และสอดรับกับเทรนด์การอยู่อาศัยในปัจจุบันสำหรับทุกคนในครอบครัว นางสาวสุพิชา กล่าวอีกว่า จากความสำเร็จของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักซ์ชัวรี่ต่าง ๆ ที่ผ่านมา รวมถึงแนวคิดการพัฒนาโครงการ ที่มุ่งเน้นการเติมเต็มทุกประสบการณ์การอยู่อาศัยให้เหมาะสม และลงตัวที่สุด บริษัทจึงเดินหน้าพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยประกาศความพร้อมกับโครงการระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ บนทำเลที่ดีที่สุดของถนนสุขุมวิทภายใต้ชื่อ “ARCH Sukhumvit 39”   สำหรับโครงการ ARCH Sukhumvit 39 พัฒนาเป็นโครงการบ้านระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ด้วยดีไซน์แบบ Modern Classic เน้นการออกแบบรูปทรง ARCH ทำให้โครงการโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว บนที่ดิน 2 ไร่ จำนวน 12 หลัง พื้นที่ใช้สอย 535-839 ตร.ม. ขนาด 4-5 ห้องนอน และที่จอดรถ 4-6 คัน* พร้อมลิฟต์ส่วนตัว ในราคาเริ่มต้น 65 ล้านบาท* โดยมีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการเดือนกรกฎาคม 2566 นี้ เราใส่ใจเรื่องทำเลของโครงการที่เราจะพัฒนาเป็นอันดับต้นๆ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการเดินทาง และแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งโครงการ ARCH Sukhumvit 39 อยู่ในทำเลที่เป็น CBD  ของกรุงเทพฯ ที่นับวันยิ่งหายากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับพื้นที่โดยรอบโครงการ ได้รับการพัฒนาจนพรั่งพร้อมด้วยแหล่งอำนวยความสะดวก ที่ทำให้การใช้ชีวิตสะดวกและง่ายดาย อาทิ  บีทีเอสพร้อมพงษ์ ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ระดับโลก รวมถึงโครงการเอ็มสเฟียร์ที่กำลังจะเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 2566 ซึ่งโครงการต่าง ๆ ดังกล่าวมีระยะห่างจากโครงการระยะเดินทางเพียง 10 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้โครงการ ARCH Sukhumvit 39 ยังมีเส้นทางลัดเชื่อมต่อไปย่านทองหล่อ-เอกมัย ย่านไลฟสไตล์คนเมือง หรือย่านอโศก ย่านธุรกิจสำคัญได้อย่างง่ายดาย และยังตั้งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลชั้นนำ อย่าง โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ใกล้โรงเรียนที่มีชื่อเสียงระดับประเทศและโรงเรียนนานาชาติอีกด้วย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอ็นริช ทุ่ม 1,500 ล้านบาท ผุดโครงการคอนโดมิเนียม-โรงแรม ใจกลางเมืองหัวหิน ภายใต้แบรนด์ “ดุสิตดีทู”
เอสซี แอสเสท ลุยเปิดคอนโด 10,000 ล้าน ส่งแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล

เอสซี แอสเสท ลุยเปิดคอนโด 10,000 ล้าน ส่งแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล

เอสซี แอสเสท  ลุยเปิดคอนโด 3 โครงการ 10,000 ล้าน  พร้อมส่งแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล และอีก 1 โครงการระดับ Ultra Luxury ที่บริหารโดย SCOPE พร้อม​สร้างแบรนด์ด้วยคุณค่า EVERYBODY’S HIGH-RISE ชูปรัชญาการสร้างคอนโดใส่ใจส่วนตัว-ส่วนกลาง เตรียมขึ้นแท่นแบรนด์คอนโด Top of Mind ในใจผู้บริโภค   นางกนกอร หลิมกำเนิด Chief Operating Officer - Property Development - High Rise บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ในปีนี้ SC เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมรวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแบรนด์ใหม่ COBE ใน 2 ทำเล ซึ่งนอกจากดีไซน์การออกแบบที่ทันสมัย และฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคแล้ว ยังมีจุดเด่นเรื่องบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยมและใส่ใจในทุกรายละเอียด การันตีรางวัลความสำเร็จและเสียงชื่นชมจากลูกค้า ภายใต้แนวคิด “คุณภาพต้องมาก่อนปริมาณ หรือ Quality over Quantity” และ อีก 1 โครงการระดับ Ultra Luxury ที่บริหารโดย SCOPE รวมมูลค่า 3 โครงการ 10,000 ล้านบาท” ปัจจุบันตลาดคอนโดส่งสัญญาณฟื้นตัวและมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดประเทศของหลายประเทศที่ช่วยให้เศรษฐกิจกลับมาคึกคักอีกครั้ง ผู้บริโภคมีกำลังซื้อและมองหาพื้นที่ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตให้ตรงความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในเมือง คอนโดเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ครบทุกปัจจัยของความน่าอยู่อาศัยและทำเลที่ตั้งที่ผู้บริโภคมองหา SC จึงเตรียมรุกตลาดคอนโดอย่างเต็มตัว ภายใต้ปรัชญาแบรนด์คอนโด SC EVERYBODY’S HIGH-RISE ที่สะท้อนความเข้าใจ Insights ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง   นอกเหนือจากนี้ SC Asset ยังวางเป้าหมายก้าวสู่การเป็น Top of Mind แบรนด์คอนโดในใจผู้บริโภคภายในปี 2568 ที่พร้อมส่งต่อคุณค่าสำคัญในการใช้ชีวิตและเติมเต็มไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเพื่อใช้ชีวิตในแบบตัวเองที่ดีที่สุด EVERYBODY’S HIGH-RISE คือ ปรัชญา และหลักการที่ SC คอนโด ยึดมั่นในการส่งมอบคุณค่าให้ผู้บริโภค เริ่มต้นมาจากการที่ SC Asset เข้าใจถึงความแตกต่างของลูกค้าที่อยู่บ้านเดี่ยวกับคอนโด โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มองหาพื้นที่ที่พวกเขาสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างหลากหลายได้ในแบบตัวเอง และเติมเต็มความต้องการของพวกเขาที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายความฝันอันสูงส่งหรือดียิ่งขึ้นกว่าที่เคย   นางสาวโฉมชฎา กุลดิลก หัวหน้าสายงาน กลยุทธ์แบรนด์ และสื่อสารองค์กร พูดถึงปรัชญาในการส่งมอบคุณค่าการอยู่อาศัยในคอนโด ในครั้งนี้ว่า นับจากนี้ คอนโดของ SC จะต้องมาเป็น Top of Mind ของผู้บริโภค เราพัฒนาคอนโดบนคุณค่าเดียวกับแบรนด์ SC Asset คือ ความจริงใจ (Sincere) ความใส่ใจ (Care) และความใหม่สดเสมอ (Fresh) ซึ่งหมายถึง ความจริงใจในการดูแลลูกค้าอย่างดีที่สุดด้วยหัวใจ ความใส่ใจในคุณภาพและดีไซน์เพื่อให้ลูกค้าได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ และความใหม่สดเสมอในการออกแบบที่รู้ใจลูกค้าบนแนวคิด Human-Centric มุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าและบริการทันตามเทรนด์ผู้บริโภคตลอดเวลา ผู้บริโภคจะเห็นการสื่อสารของแบรนด์คอนโด SC อย่างต่อเนื่องมากขึ้น ที่ SC เรามีการทำ Research อยู่เป็นประจำ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่รู้ใจลูกค้ามากที่สุด ในการทำแบรนด์คอนโด SC ทำให้เราได้ Insights จากกลุ่มลูกค้าที่อาศัยในคอนโด จนตกผลึกมาเป็นปรัชญาการสร้างคอนโดของ SC ที่เรายึดเป็นหลักการ ภายใต้คุณค่า EVERYBODY’S HIGH-RISE เมื่อพูดถึง High-Rise ก็เป็นคำตรงตัวคือที่อยู่อาศัยแนวสูง คอนโดในบ้านเรานี่เอง นอกจากนี้ SC เห็นว่าชีวิตของคนในคอนโดแทบจะไม่เหมือนกันเลย สมมติว่าใน 1 ชั้นมี 10 ห้อง 10 คนนี้แทบจะมีตารางชีวิตไม่เหมือนกันเลย ตื่นคนละเวลา ทำงานไม่เหมือนกัน กินหรือนอนกันคนละเวลาหมด ซึ่งคนที่เลือกมาอยู่คอนโด คือคนที่อยากได้ความเป็นส่วนตัวในการอยู่กับตัวเอง แต่ก็ต้องการมีพื้นที่ส่วนกลางเพื่อรู้สึกเป็นส่วนของ Community และส่วนหนึ่งของการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง ดังนั้น การออกแบบ ส่วนตัว กับส่วนกลาง จึงเป็นสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญ ส่วนคำว่า Everybody ในที่นี้คือความ Inclusive หมายถึงทุกคนจริง ๆ ไม่ใช่เฉพาะลูกค้าที่อาศัยอยู่ในคอนโด SC แต่หมายถึงทุกคนในสังคมที่อยู่ใน Community ร่วมกัน มีจุดหมายต่างกัน แต่สามารถอยู่ร่วมกัน แบ่งปันกัน เพื่อเข้าถึงเป้าหมายของแต่ละคนได้   โดย SC Asset พร้อมจะเป็นพื้นที่เริ่มต้นชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัยทุกคน เพราะเชื่อว่าชีวิตที่ดีมาจากจุดเริ่มต้นที่ดี พร้อมต่อยอดประสบการณ์การใช้ชีวิตที่มีคุณภาพด้วยเทคโนโลยีรู้ใจ Living Solutions ที่ SC พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยแบบรู้ใจ และบริการหลังการขาย ที่เป็นจุดแข็งของแบรนด์   คอนโด SC สานต่อภารกิจในการสร้างเช้าที่ดีให้กับทุกคน หรือที่เรียกว่า “For Good Mornings” ตอกย้ำความเป็นผู้ให้บริการหลังการขายคุณภาพสูงอันดับ 1 ในใจผู้บริโภค SC Asset ได้สร้างสรรค์พัฒนาโครงการคอนโดที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในด้านคุณภาพ ดีไซน์ และบริการมาอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมหลายเซกเมนต์และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น 28 Chidlom โครงการ Limited Luxury Condominium Collection บนทำเลแห่ง World Class Destination อย่างย่านชิดลม สร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์สุดเอ็กซ์คลูซีฟท่ามกลางพื้นที่สีเขียว กับแนวคิด “An Urban Oasis” The Crest Park Residence ที่สุดแห่งที่พักอาศัยระดับ Luxury หนึ่งเดียวใจกลางห้าแยกลาดพร้าว มาพร้อมพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์เพื่อการใช้ชีวิตพรีเมี่ยมในระดับ 5 ดาว Reference สาทร-วงเวียนใหญ่ คอนโดที่ตอบโจทย์ Lifestyle คน Gen Y พร้อมสร้าง Inspiration ในการใช้ชีวิต-เติมพลังใจเพื่อชีวิตที่ออกแบบได้เอง COBE คอนโดในอุดมคติของผู้บริโภค กับคอนเซ็ปต์ “CO-BEING COMMUNITY” เพื่อสร้างพื้นที่ Community ผู้บริโภคอย่างสร้างสรรค์ เป็นตัวของตัวเองในทุก ๆ ด้าน พร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่ให้คุณได้ Collab ไอเดียใหม่ ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกไปด้วยกัน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซี แอสเสท ส่งบ้านหรูแบรนด์ใหม่ 95E1 ราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้าน -เอสซี แอสเสท เปิดแผนรายได้รวม 150,000 ล้าน การเติบโตด้วย 2 ENGINE ใน 5 ปี
[PR News] PF เปิดตัวคอนโดโครงการใหม่ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ”

[PR News] PF เปิดตัวคอนโดโครงการใหม่ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ”

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดตัวโครงการใหม่ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ” ทำเลติดถนนพัฒนาการ  ติดโรงพยาบาลสินแพทย์แห่งใหม่ ภายใต้แนวคิด "Active" สะท้อนความไม่หยุดนิ่ง ชูจุดเด่นเน้นตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ เอาใจสายแอคทีฟด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรูปแบบใหม่ๆ ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยมากขึ้น   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ไอคอนโด ได้แก่ ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ จับตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยเริ่มต้นทำงาน รวมถึงกลุ่มนักศึกษา ด้วยการเลือกทำเลที่ตั้งบนถนนพัฒนาการที่เชื่อมต่อย่านธุรกิจเอกมัย ทองหล่อ และยังใกล้มหาวิทยาลัย โดยเปิดตัวด้วยภาพลักษณ์ใหม่ที่ทันสมัยมากขึ้น ภายใต้แนวคิด "Active" สะท้อนถึงความไม่หยุดนิ่ง เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่  และตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบันได้อย่างตรงจุด ไอคอนโด แอททีฟ พัฒนาการ ตั้งอยู่บนทำเลถนนพัฒนาการ 37 โดยอยู่ติดกับโรงพยาบาลสินแพทย์แห่งใหม่ สามารถเดินถึงทั้งมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตและสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่นในไม่กี่นาที  เดินทางสะดวกสบายใกล้รถไฟฟ้า 2 สาย ทั้งแอร์พอร์ตลิงค์และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และใกล้ทางด่วน 2 เส้นหลัก ได้แก่ ทางพิเศษศรีรัชและทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ทั้ง โลตัสพัฒนาการ เเม็กซ์แวลูพัฒนาการ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ โรงเรียนปาณยาพัฒนาการ แม็คโครสำนักงานใหญ่ เป็นทำเลเมืองที่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยที่สุดแห่งหนึ่งในวันนี้   โครงการมีพื้นที่ 5 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมในสไตล์โมเดิร์น 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 445 ยูนิต แบ่งเป็นอาคาร A จำนวน 231 ยูนิต และ อาคาร B จำนวน 214 ยูนิต  ออกแบบให้ตัวอาคารโอบล้อมสระว่ายน้ำและสวนพักผ่อน เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ความเป็นส่วนตัว และสามารถออกมาใช้งานพื้นที่ส่วนกลางได้อย่างสะดวก รูปแบบห้องประกอบด้วย ห้อง 1 Bedroom ขนาด 24 –30 ตร.ม. และ ห้อง 2 Bedroom ขนาด 45.7 ตร.ม. ทุกห้องตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบชุดแบบ Fully Furnished นอกเหนือจากความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันแล้ว  โครงการยังมีจุดเด่นที่เน้นตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ให้กับผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบให้มีพื้นที่รองรับทั้งจุดรับส่งอาหารและห้องจัดเก็บพัสดุ ฟิตเนสที่มีอุปกรณ์รูปแบบใหม่ๆ อาทิเช่น จักรยานออกกำลัง แบบ Virtual Cycling  กระจกออกกำลังกายอัจฉริยะ Fitness Mirror ที่เหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ระบบรักษาความปลอดภัยแบบ Face Recognition ระบบสแกนทะเบียนรถเข้าออก ตลอดจนมีการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้ง ระบบไอออนกำจัดเชื้อโรคในอากาศ SCG Bi-ion ให้คุณภาพอากาศที่ดีทั้งในล็อบบี้ ฟิตเนส และ Co-working Space ทุกห้องพักติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 และ ประตูห้องระบบ Digital Door Lock ที่สามารถควบคุมด้วยแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ทั้งปลอดภัยและสะดวกสบาย    “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ” จะเปิดให้ชมห้องตัวอย่าง และเปิดจองในช่วงพรีเซล วันที่ 10-11 มิถุนายนนี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 2.2 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน -[PR News] เพอร์เฟค เดินหน้าเปิด 4 โครงการใหม่ในไตรมาส 2
[PR News] “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง”  เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่รองรับลูกบ้าน

[PR News] “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่รองรับลูกบ้าน

เสนา ฮันคิว ฮันชิน เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่ในโครงการ “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” พร้อมเปิดให้บริการลูกบ้านครั้งแรก พบกันในงาน Open House Party 24 มิ.ย.นี้ ชมห้องจริง บรรยากาศจริง ลุ้นรับทอง 1 บาท* ระบุเดินหน้าเปิดเฟส 2 ต่อ จ่อรับดีมานด์ย่านบางบัวทอง ผ่อนเบาๆแค่ 4,100 บาท/เดือน* ด้วยราคาเริ่มเพียง 956,000 บาท ไม่ถึงล้านก็เป็นเจ้าของได้    ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาคอนโดฯ Affordable Segment แบรนด์ เสนาคิทท์ ราคาเริ่มไม่ถึงล้านได้รับการตอบรับดี สามารถปิดการขายและมียอดจองสิทธิ์ได้ตามเป้าหมายทุกโครงการ โดยเฉพาะย่านบางบัวทอง คอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง”  มีลูกค้าให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก หลังจากสร้างเสร็จและมีลูกค้าโอนเข้าอยู่แล้วเฟส 1 แล้ว ปัจจุบันทางบริษัทเดินหน้าเปิด“เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” เฟส 2  ต่อทันที สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” เพราะเสนาเราเข้าใจความต้องการของลูกค้า ทุกโครงการของเสนา โดยเฉพาะ เสนาคิทท์ ทางบริษัทเข้าใจลูกค้าที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง แต่มีงบน้อย กลัวผ่อนไม่ไหวด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่หลายคนมีความกังวลในการซื้อสินทรัพย์ชิ้นใหญ่และใช้เวลาในการผ่อนระยะยาว คอนโดเสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง เข้าร่วมแคมเปญธอส. บ้านล้านหลัง เงินเดือน 15,000 บาทสามารถยื่นกู้ได้  ดอกเบี้ยต่ำ 3% นาน 5 ปี ผ่อนถูกกว่าเช่าแถมได้เป็นเจ้าของ เพียง 4,100 บาท*/เดือน   สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” เพราะที่นี่ เสนาคิทท์ คิดให้ครบ คอนโดเสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง (เฟส 2) คอนโด Low Rise สูง 5 ชั้น 6 อาคาร  รวม 474 ยูนิต  แบ่งเป็น 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 25 ตร.ม. และ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 38 ตร.ม. แปลนห้องลงตัวเป็นสัดส่วน โซนแรกเป็นห้องนั่งเล่นรวมพื้นที่กับโต๊ะทานอาหาร โซนติดหน้าต่างห้องเป็นห้องนอนที่กั้นจากห้องนั่งเล่นด้วยประตูบานเลื่อน อีกฝั่งจะเป็นห้องน้ำ ส่วนเตรียมอาหารอยู่ติดกับระเบียงห้อง ที่สำคัญซื้อโครงการที่นี่ ไม่ต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์ เพราะคอนโดถูกออกแบบให้ตกแต่งพร้อม หิ้วกระเป๋าใบเดียวลากเข้าอยู่ได้เลย    สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” พื้นที่ส่วนกลางครบ คลับเฮ้าส์พร้อมให้บริการ คอนโดมิเนียมที่ได้มากกว่าที่คิดในระดับราคาไม่ถึงล้าน ถือว่าคุ้มค่ากับคุณภาพชีวิตที่ดี โดยภายในโครงการมีสาธารณูปโภครองรับลูกบ้าน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ พื้นที่พักผ่อนในโซนคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส พื้นที่ทำงาน Co-Working Space และมีลิฟท์อำนวยความสะดวกทุกอาคาร   สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” เดินทางสะดวก ใกล้แหล่งงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกมาครบ ที่ผ่านมา ต้องยอมรับย่านบางบัวทองเป็นเส้นทางหนึ่งที่การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น ผู้คนสัญจรเข้า – ออกเมืองง่าย ทั้งถนนสายหลักและสายรองหลายเส้นทาง  รวมถึงการพัฒนาด้านคมนาคม ระบบขนส่งสาธารณะ ครบลูป และรถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-คลองบางไผ่) ขณะเดียวกันพื้นที่โดยรอบแวดล้อมด้วยแหล่งงาน ร้านค้าต่าง ๆ สถานที่เที่ยวตอบรับไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบ แหล่งช้อปปิ้ง สถานศึกษา โรงพยาบาล ที่เป็นสีสันทำให้ผู้คนที่อยู่อาศัยละแวกนี้มีครบพร้อมรองรับการขยายตัวของเมืองและตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งทยอยเปิดตัวเพิ่มขึ้นทั้งบ้านเดี่ยว – บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ – ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม ค่อนข้างมีให้เลือกหลากหลายตามงบประมาณและรายได้   สัมผัสการใช้ชีวิตพร้อมเติมเต็มทุกความสมบูรณ์แบบ พบกันในงาน Open House Party 24 มิ.ย. นี้ ชมห้องจริง บรรยากาศจริง คลับเฮ้าส์ใหม่เอี่ยม พร้อมกับโปรโมชั่นสุดพิเศษวันงาน ลุ้นรับทอง มูลค่า 1 บาท* มาร่วมสตาร์ทชีวิตที่ดี “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” คอนโดที่เหมาะสำหรับคนที่มองหาที่อยู่อาศัยหรือคนที่กำลังมองหาการลงทุนเพื่อปล่อยเช่าในอนาคต คอนโดที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกคน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sena.co.th/project/sena-kith-westgate-bangbuathong หรือสอบถามได้ call Center: 1775 กด 25 ส่วนท่านใดสนใจโครงการอื่น ๆ แบรนด์ เสนาคิทท์ หรือโครงการอื่นๆของเสนาและในเครือคลิ๊กเข้าไปดูได้ที่ https://www.sena.co.th/   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2 หนุนเป้ายอดขายกว่า 1.8 หมื่นล.
5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล  ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19

5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19

LWS แนะ 5 ธุรกิจบริการ ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมดิจิทัลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตเพื่อคนทุกวัยที่พัฒนาขึ้นมาที่เติบโตพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล. ดับเบิลยู. เอส. วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) แนะนำ 5 ธุรกิจบริการที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตเพื่อคนทุกวัยในยุคหลังการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ได้แก่ ธุรกิจบริการเพื่อผู้สูงอายุ, สุขภาพ, สิ่งแวดล้อม, ที่อยู่อาศัย และความบันเทิง   หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน เทคโนโลยี่ดิจิทัล เข้ามามีบทบาทในการพัฒนางานบริการอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อสร้างการเข้าถึงข้อมูลและเชื่อมต่อระหว่างผู้คน ไปพร้อมๆ กับการสร้างโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ๆ ทั้งภาคการผลิตและการบริการ โดยเฉพาะงานบริการ เทคโนโลยี่เข้ามามีบทบาทในการเชื่อมต่องานบริการต่างๆ ที่ตอบสนองกับความต้องการของผู้คนในสังคมมากขึ้น และเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่จะพัฒนาต่อยอดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้น 5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยและพัฒนางานบริการของ LWS พบว่า ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี ของการแพร่ระบาดของ COVID-19 งานบริการที่มีการพัฒนาและได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนตั้งแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 และยังคงได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบันที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย แล้ว ประกอบด้วย 5 ธุรกิจที่น่าสนใจและมีศัยกภาพในการเติบโตและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ, สุขภาพ, สิ่งแวดล้อม, ที่อยู่อาศัย, และงานบริการที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงของคนรุ่นใหม่ บริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบเต็มรูปแบบ หนึ่งในธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง คือ ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เนิร์สซิ่งโฮมที่ได้มาตรฐาน และขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพิ่มขึ้นจาก 200 กว่าแห่งในปี 2563 เป็น 450 ยังไม่รวม เนิร์สซิ่งโฮมที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกนับ 1,000 – 2,000 แห่งทั่วประเทศ   นอกจากงานดูแลด้านสุขภาพของผู้สูงอายุที่เนิร์สซิ่งโฮมแล้ว ยังมีพัฒนางานบริการพาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล ท่องเที่ยว ทำบุญ และกิจกรรมต่างๆ โดยมีแพลตฟอร์มที่น่าสนใจอย่าง Joy Ride กับบริการพาผู้สูงอายุไปหาหมอ เป็นงานบริการที่ให้บริการในประเทศไทย และคิดค้นโดยคนไทย ที่มีรูปแบบการให้บริการผู้ดูแลพาผู้สูงวัยและผู้ป่วยไปโรงพยาบาล จากบ้านไปโรงพยาบาล และอยู่เป็นเพื่อนตลอดระยะเวลาของการพบแพทย์ และพากลับมาส่งกลับถึงบ้าน โดยมีการให้บริการในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น บริการพาไปรับวัคซีนป้องกันโควิด, บริการ Welcome Home พาเธอกลับบ้าน ,Joy Go Round พาเที่ยว ทำบุญ ทำธุระ ฯ ล ฯ มีค่าบริการเริ่มต้นเพียง 280 บาทเท่านั้น ซึ่งกลุ่มผู้ใช้บริการไม่มีเพียงแต่ผู้สูงอายุเท่านั้น ยังมีกลุ่มของสตรีมีครรภ์ ที่ไม่สะดวกในการขับรถเองใช้บริการอีกด้วย   นอกจากนี้ ยังมี Senior Move ธุรกิจบริการรถลีมูซีนสำหรับผู้ใหญ่โดยเฉพาะ ให้บริการเป็นรายชั่วโมง โดยผู้ใช้บริการสามารถกำหนดเส้นทาง หรือปรับเปลี่ยนเส้นทางได้ตลอดเวลา ทั้งยังสามารถแวะทำธุระระหว่างทางได้ตามสะดวก เสมือนมีรถและพนักงานขับรถส่วนตัว สามารถจองคิวการใช้บริการผ่าน Line ได้ โดยมีอัตราค่าบริการเริ่มต้นที่ 500 บาทต่อชั่วโมง ได้ถือเป็นธุรกิจงานบริการที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและเป็นโอกาสสำหรับการสร้างธุรกิจใหม่ๆ หลังยุค COVID-19 บริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ จากรายงานของกรมพัฒนาธุรกิจพบว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพถึง 353 ราย เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปี 2564 ที่มีจำนวน 167 รายถึง 90% สะทัอนให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจบริการในหมวดนี้ที่สูงขึ้นตามความต้องการของประชาชนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้นหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19   โดยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพนอกเหนือจากการดูแลสุขภาพแล้ว งานบริการที่เกี่ยวกับสินค้าในหมวดหมู่ที่เกี่ยวกับสุขภาพมีทั้งเรื่องของอาหาร การออกกำลังกาย รวมไปถึงการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เป็นต้น โดยเฉพาะอาหาร ปัจจุบันประชาชนให้ความสนใจกับการเลือกบริโภคอาหารที่ปลอดสารพิษ ทำให้มีการพัฒนางานบริการจัดส่งผัก-ผลไม้ออร์แกนิค จากสวนส่งตรงถึงบ้าน โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมต่อความต้องการของผู้ซื้อไปยังผู้ผลิต และบริการจัดหา อย่าง  Happy Grocers บริการจัดส่งผัก และผลไม้ออร์แกนิค ถึงบ้าน   เป็นธุรกิจที่เกิดจากการพัฒนาของนักศึกษาจากวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากในช่วงของการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ที่ทำให้สินค้าทางการเกษตรไม่สามารถเข้าสู่ตลาดกลางได้ ทำให้นักศึกษากลุ่มนี้เกิดความคิดที่จะเป็นตัวกลางให้ผู้บริโภคและเกษตรกรได้พบกันโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางอีกหลายทอด ช่วยแก้ปัญหาให้เกษตรกรรายย่อยได้มีตลาดระบายสินค้าในราคาที่สมเหตุสมผล และผู้บริโภคได้รับสินค้าคุณภาพจากเกษตรกรโดยตรง มีการนำรถ Grocers Truck นำฟาร์มขนาดย่อมมาให้ลูกค้าถึงหน้าคอนโดมิเนียม โดยมีความพิเศษคือ ลูกค้าเป็นคนส่งคำขอกับทางนิติคอนโดฯให้ทาง Happy Grocers ไปลงพื้นที่เองอีกด้วย โครงการนี้ประสบความสำเร็จและคว้ารางวัลจากเวที Startup Thailand League 2020   อีกหนึ่งในบริการที่มีการเติบโตค่อนข้างสูง และยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องหลังจากการระบาดของโควิด-19 คือ บริการหาหมอออนไลน์ โดยรายงานปี 2563 จากบริษัทวิจัย แกรนด์ วิว รีเสิร์ช มีระบุว่า ตลาดเทเลเมดิซีนมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง โดยปี 2563 มีมูลค่าราว 55,900 ดอลล่าสหรัฐ และคาดว่าในช่วงปี 2564-2571 จะมีการขยายตัวต่อปีที่ 22.4% ซึ่งทำให้คาดว่าทำให้ตลาดเทเลเมดิซีนจะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง บริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เป็นกลุ่มงานบริการที่ได้รับความนิยมมากขึ้นจากแนวคิดเกี่ยวกับ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือ  ESG (Environment, Social, Governance) ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ภาวะโลกร้อน ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึง การพบไมโครพลาสติกในสัตว์ทะเล และปัญหาน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มที่ใช้บริโภคในชีวิตประจำวัน ปัญหาต่างๆด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการผลิตวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การนำขยะมาใช้ในการผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ และของใช้ต่างๆ   รวมไปถึงการให้บริการเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์อย่างบริษัท รีไซเคิล เดย์ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจบริการที่เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดในการเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์ โดยการให้ความรู้ในการแยกขยะไปจนถึงการบริหารจัดการ ผ่านแอพพลิเคชั่น โดยแอพพลิเคชั่น จะบันทึกการจัดเก็บและแยกขยะของแต่ละบ้าน เพื่อให้สามารถแลกเป็นคะแนนไว้ใช้สำหรับแลกของรางวัลหรือเงินคืนได้จำนวนเท่าไหร่ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในการบริหารจัดการขยะ และ   อีกหนึ่งในบริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ และมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆคือ บริการที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งอุปกรณ์พลังงานทดแทน เช่น Pavegen slab ซึ่งเป็นแผ่นพื้นที่สามารถเปลี่ยนแรงกดให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้ โดยบริการนี้เริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ มีการติดตั้งตามเมืองสำคัญหลายจุด เช่น ถนนอ๊อคฟอร์ด กับถนนบาเรท ซึ่งในประเทศไทยเองก็มีการติดตั้งที่ True Digital park และ 101 The Third place อีกด้วย บริการที่เกี่ยวข้องกับบ้าน ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับบ้าน เป็นอีกหนึ่งในงานบริการที่ถูกพัฒนารูปแบบบริการต่างๆให้ครอบคลุมกับความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะการให้บริการดูแลบ้าน ทั้งงานทำความสะอาดไปจนถึงงานช่างและงานซ่อมแซมต่างๆ โดยปัจจุบันมีหลายบริษัทที่พัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้และเรียกใช้บริการได้ตามความต้องการ เช่น Q-Chang คิวช่าง แพลตฟอร์มรวมช่างคุณภาพเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ให้บริการเกี่ยวกับบ้าน เช่น บริการดูแลรักษาบ้าน ,บริการติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ภายในบ้าน ,บริการปรับปรุงและซ่อมแซมบ้าน ฯลฯ   โดย Q-Chang เป็นธุรกิจบริการ ที่มีอัตราการเติบโตจากช่วง 3 ปีได้อย่างชัดเจน ในปี 2565 ที่ผ่านมา มีผู้เข้าใช้บริการผ่านช่องทางเว็ปไซต์เพิ่มขึ้นถึง 6.5 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2564 และมียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว มีมูลค่าการจองใช้บริการสูงสุดถึง 610,000 บาท/คน/ปี ซึ่งท้อนได้ถึงความต้องการในการใช้บริการงานที่เกี่ยวข้องกับบ้านได้อย่างชัดเจน ซึ่งทาง Q-Chang เองก็ได้ขยายบริการจากเว็ปไซต์ เพิ่มขึ้นเป็น Line Official : @q-chang รวมถึงมีการให้บริการรวมกับพาร์ทเนอร์ เช่น SCG, Shopee, Lazada NocNoc เป็นต้น   โดยบริการยอดนิยมจะอยู่ในกลุ่มงานบริการล้างแอร์ ซ่อมแซมหลังคารั่ว บริการล้างเครื่องซักผ้า ฯ ล ฯ นอกจากนี้ผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง SCG ก็ยังมีบริการที่เกี่ยวข้องกับบ้านด้วยเช่นกัน เช่น บริการจาก SCG Heim ซึ่งให้บริการงานต่อเติม ตรวจสอบและซ่อมแซมสภาพบ้าน ตกแต่งภายใน บิ้วอิน เป็นต้น บริการที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ ปัจจุบันผู้คนเริ่มมีความคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยมากขึ้น ทั้งการทำงานและกิจกรรมเพื่อความบันเทิง โดยเฉพาะการเล่นเกมส์ ที่ปัจจุบันกลายเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ถูกบรรจุเป็นกีฬาในระดับภูมิภาค และระดับโลก ในประเทศไทยก็เริ่มมีการเรียนการสอนในโรงเรียนวิชา E-Sport ตั้งแต่ระดับมัธยมในประเทศไทย เช่น โรงเรียนสิรินธร จ.สุรินทร์ ,โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม ที่ได้มีการสร้างห้อง E-Sport Room เพื่อรองรับการส่งเสริมนักเรียนในทุกด้าน และในระดับมหาวิทยาลัยนั้น ภาคเอกชนก็เริ่มนำคอร์สการเรียนที่เกี่ยวข้องกับ E-Sport มาเป็นทางเลือกให้ผู้ที่สนใจในด้านนี้โดยเฉพาะด้วยเช่นกัน   การเติบโตของ E-Sport ทำให้การพัฒนาห้อง E-Sport ภายในที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในอาคารชุดพักอาศัยเริ่มกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นนอกเหนือจาก Co-Working และ Co-Kitchen space โดยปัจจุบันมีโครงการอาคารชุดพักอาศัย อย่าง โครงการ เพลส 168 ปิ่นเกล้า ที่พัฒนาโดยบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) และโครงการอัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร ที่พัฒนาโครงการโดย อัลติจูด ดีเวลลอปเมนท์ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของคนรุ่นใหม่ ที่ใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยมากขึ้น   นอกจากนี้ยังพบว่าธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศก็มีการนำห้อง E-Sport Room เข้ามาใช้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เช่นโรงแรม iHotel — Taoyuan City ประเทศไต้หวัน , โรงแรม The Arcade Hotel ในประเทศเนเธอแลนด์ และ โรงแรม eZONe Cyber Space Hotel ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น โดยการให้บริการจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับเล่นเกมส์ในห้องพักโดยเฉพาะ มีที่นอนภายในห้อง โดยที่พักจะมีเริ่มต้นตั้งแต่ 2 คน ไปจนถึงห้องใหญ่ที่รองรับผู้เข้าพักได้ถึง 5 คน มีค่าบริการเริ่มต้นตั้งแต่ 1,500 เป็นต้นไป   “วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้คนจากวิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) มาสู่วิถีชีวิตปกติถัดไป (Next Normal) ภายหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 งานบริการไม่ใช่งานที่ผู้คนต้องออกจากบ้านเพื่อไปรับบริการแล้ว แต่งานบริการกลายเป็นงานที่ผู้คนสามารถใช้บริการได้จากที่บ้านของพวกเขาเอง ผ่านการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เชื่อมต่อทุกงานบริการเข้าด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้คน จึงเป็นมิติใหม่ของการสร้างโอกาสในการสร้างธุรกิจบริการเพื่อที่จะเข้าถึงผู้คนและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เทคโนโลยี่ดิจิทัล เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโอกาสทั้งทางธุรกิจและเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน”    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -โควิดทุบ SMEs ธุรกิจบริการ-ท่องเที่ยว รายได้หาย 27,000 ล้าน
เอสซี แอสเสท ส่งบ้านหรูแบรนด์ใหม่ 95E1  ราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้าน

เอสซี แอสเสท ส่งบ้านหรูแบรนด์ใหม่ 95E1 ราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้าน

เอสซี แอสเสท เอสซี เปิดขายบ้าน หลังละ 100 ล้าน แบรนด์ใหม่ “95E1”  รับดีมานด์กลุ่มลูกค้าระดับลักชัวรี่ มั่นใจกำลังซื้อกลุ่มบ้านแนวราบยังสูงต่อเนื่อง หลังที่ผ่านมาปิดโปรเจ็กต์แล้ว 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,900 ล้าน   นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท  คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ในเดือนมิถุนายนนี้ บริษัทวางแผนเปิด 5 โครงการใหม่ เป็นบ้านหรู New Series และ คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ รวมมูลค่าโครงการ 12,290 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวม 6,290 ล้านบาท และ แนวสูง 1 โครงการ มูลค่า 6,000 ล้านบาท   โดยในโครงการทั้งหมด มีโครงการที่ขายบ้านระดับราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ “95E1” (ไนน์-ตี้-ไฟว์-อีสต์-วัน) แบนด์ใหม่บ้านเดี่ยวสุดหรูในเซกเมนต์ Ultimate Luxury ด้วยแนวคิด “Exquisite Craftsmanship” มีจำนวน 10 ยูนิต ตั้งบนพื้นที่ 4-2-50 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 842-846 ตารางเมตร รวมมูลค่าโครงการ 1,010 ล้านบาท โครงการตั้งอยู่บริเวณเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา นอกจากนี้ ยังมีโครงการแนวราบอีก 3 โครงการ ได้แก่ โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม 9 - กรุงเทพกรีฑา บ้านหรู 3 ชั้น ได้แนวคิดจากสถาปัตยกรรม อาสนวิหาร ในประเทศอิตาลี ตั้งบนพื้นที่ 23-1-28.1 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 593-776 ตารางเมตร จำนวน 35 ยูนิต ราคาเริ่ม 45-80 ล้านบาท  มูลค่าโครงการ 2,070 ล้านบาท โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สเตท บางนา บ้านหรู แรงบันดาลใจจาก American timeless ตั้งบนพื้นที่ 15-2-21.7 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 439-591 ตารางเมตร จำนวน 34 ยูนิต ราคาเริ่ม 30-60 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โครงการเวนิว ไอดี รามอินทรา มีนบุรี บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ซีรี่ส์ใหม่สไตล์ Modern Simplicity ตั้งบนพื้นที่ 44-2-54 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 167-229 ตารางเมตร จำนวน 212 ยูนิต ราคาเริ่ม 7.59-16 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,910 ล้านบาท ส่วนโครงการคอนโด เตรียมเปิดแบรนด์ใหม่ “COBE” บนทำเลใจกลางรัชดา - พระราม 9 ใกล้ MRT ศูนย์วัฒนธรรม มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท ราคาเริ่มเพียง 2.39 ล้านบาท นอกจาก SC เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้แล้ว เรายังพร้อมเปิดรับการร่วมลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง นายอรรถพล กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดแนวราบยังมีดีมานด์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 บริษัทสามารถปิดโครงการได้ถึง 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,900 ล้านบาท ซึ่งไตรมาสแรก SC สามารถกวาดรายได้รวม 4,930 ล้านบาท กำไร 535 ล้านบาท เติบโต 38% ทำให้มั่นใจว่า SC จะสามารถทำยอดทะลุตามเป้าหมายยอดขายและรายได้ตามที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซี แอสเสท เปิดแผนรายได้รวม 150,000 ล้าน การเติบโตด้วย 2 ENGINE ใน 5 ปี -[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​