Tag : Home

816 ผลลัพธ์
เมเจอร์ รุกเปิดแบรนด์ใหม่ “10 & Only”  ครั้งแรกของบ้านหรู 100 ล้าน กับที่จอดรถหรูกลางบ้าน

เมเจอร์ รุกเปิดแบรนด์ใหม่ “10 & Only” ครั้งแรกของบ้านหรู 100 ล้าน กับที่จอดรถหรูกลางบ้าน

ขอบเขตของเมเจอร์ดีเวลลอปเม้นท์จำกัด (เผื่อไว้)   เปิดใหม่ '10 & Only' บ้านเดี่ยวหรูระดับอัลตร้าลักชูรีรหัสผ่านโครงการ 1,100 สำหรับเพียง 10 ยูนิตเท่านั้นในบาร์เซโลนา พาวิลเลี่ยนที่ยินดีต้อนรับโชว์ไลฟ์สไตล์แบบหรูหราพิเศษมากกับ Duplex Supercar Lounge รถคันหรูจำนวนมากที่เข้าฟังก์ชันทั้งหมดของแบรนด์นี้ 10 และเท่านั้น คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจุบันพฤติกรรมการเลือกซื้อบ้านของคนไทยเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับลักชูรีที่ให้เน้นเรื่อง Craft and Quality ของวัสดุและการก่อสร้าง และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือฟังก์ชั่นบ้านต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ โดย เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ มุ่งให้ความสำคัญในเรื่องที่นับเป็นพื้นฐานของทุกโครงการ ทำให้ลูกค้ามั่นใจในเรื่องของคุณภาพ มาตรฐานการก่อสร้างและวัสดุที่คัดสรร (Best-in-class) และการดีไซน์ที่คงคุณค่าความงามไปตลอดไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน Timeless Design Major’s Subtle Luxury Collection พร้อมเปิดแบรนด์ใหม่ ‘10 & Only (เทน แอนด์ โอนลี่)’   แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับอัลตร้า ลักชูรี (Ultra Luxury) โดยเริ่มพัฒนาโครงการแรก คือ 10 & Only พัฒนาการ 20 มูลค่าโครงการรวม 1,100 ล้านบาท บนที่ดินผืนแรกบริเวณซอยพัฒนาการ 20”   “โครงการ 10 & Only พัฒนาการ 20 เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับอัลตร้า ลักชูรี บนทำเล พัฒนาการ 20 มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท ราคา 80-130 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 4-0-63 ไร่ โดยพัฒนาเพียง   10 ยูนิตเท่านั้น นำแนวความคิดในการออกแบบจากความต้องการของผู้อาศัยจริง ที่มีความต้องการ ความเรียบง่าย และทันสมัย จุดเด่นคือนำเอาที่จอดรถ Garage มาเชื่อต่อส่วนต่างๆ ของบ้าน มีลิฟท์ยกรถขึ้นไปโชว์ที่ชั้น 2 เชื่อมโยงฟังก์ชั่นภายใน โดยในพื้นที่ชั้น 1 จะเป็น Garage Living Room   เอาใมจคนรัก สำหรับพื้นที่ชั้น 2        Personal Showroom ยิ่งจะทำให้รู้สึกเหมือนนั่งอย฿่ในโชว์รูมรถหรู และประกอบไปด้วยฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ครบถ้วน โครงการ 10 & Only พัฒนาการ 20  ใน 10 ยูนิต  แบ่งเป็น 3 สไตล์ ได้แก่ บ้าน Marrone ขนาดขนาดพื้นที่ใช้สอย 638 ตารางเมตร บ้าน Carbone ขนาดพื้นที่ใช้สอย 956 ตารางเมตร บ้าน Blu Notte พื้นที่ใช้สอย 962 ตารางเมตร ภายใต้การดีไซน์สไตล์ Barcelona Pavilion โดดเด่นด้วย Timeless Design  เรียบหรูที่สงบนิ่ง เน้นเส้นสายที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ผสานรายละเอียดการออกแบบ ควบคู่กับการดีไซน์พื้นที่สีเขียวของสวนสไตล์ Modern Tropica รายล้อมด้วยพืชฟอกอากาศและปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง สำหรับงานตกแต่งภายในแบบ Ultra-Modern Design เน้นการสร้างฟังก์ชั่นที่สามารถปรับแต่งรูปแบบการใช้งานตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย พร้อมนวัตกรรมต่างๆ อาทิ ระบบบ้านเย็น บ้านปลอดฝุ่น ระบบ Home automation, รองรับ EV Charger, Auto Parking และสระว่ายน้ำส่วนตัว พร้อมระบบ Fresh water ทุกยูนิต “โครงการ10 & Only พัฒนาการ 20 โปรดด้วยคำถามเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เหนือกว่าระดับบราซิลของบราซิล ด้วยความใส่ใจบนมาตรฐาน MAJOR Craft & Quality ทำให้มั่นใจอุ่นใจและภูมิใจที่บ้านและขอและคุณของบราซิลได้ดีที่สุดโดยโครงการ 10 & Only พัฒนาการ 20 จะเริ่มโครงการในช่วงวันที่ 4 ของวันนี้และก่อนหน้านี้คุณสามารถที่จะได้รับเอกสิทธิ์พิเศษได้ในกรณีที่หาคม 2566 นี้มีคำถามเพิ่มเติมผ่าน LINE @majordevelpment หรือ https://bit.ly/ 3JWdU2W ” คุณเพชรลดากล่าว สรุป     บทความ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ต้องมี 2 พันธมิตร ปั้น มอลตัน เกทส์ บ้านหรู Well-Being  “เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์” เปิดโอกาสให้คนอยากมีบ้าน รวมถึงธุรกิจใหม่ Healthscape เพิ่มรายได้  
ศุภาลัย กวาดยอดขายครึ่งปี 17,285 ล้าน ลุยเปิด 27 โครงการใหม่

ศุภาลัย กวาดยอดขายครึ่งปี 17,285 ล้าน ลุยเปิด 27 โครงการใหม่

ศุภาลัย โชว์ผลงานครึ่งปีแรกกวาด ยอดขาย รวม 17,285 ล้านบาท พร้อมเปิดแผนรุกตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลัง ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม รวม 27 โครงการ ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค ขับเคลื่อนสู่เป้าหมายยอดขาย 36,000 ล้านบาท   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรก 2566 บริษัทยังคงรักษาการเติบโตที่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง ดีมานด์ตอบรับดีทั้งสินค้าแนวราบและคอนโดมิเนียม สามารถสร้าง ยอดขาย รวม 17,285 ล้านบาท คิดเป็น 48% จากเป้าหมายยอดขาย 36,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายโครงการแนวราบ 11,304 ล้านบาท และโครงการคอนโดที่เปิดใหม่และสร้างเสร็จพร้อมอยู่ 5,981 ล้านบาท โดยมาจากการตอบรับที่ดีของลูกค้าในทุกทำเลโครงการที่มีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ รวมถึงโครงการที่เปิดตัวใหม่ ทั้งนี้ ยอดขาย ที่เพิ่มขึ้นมาจากโครงการภูมิภาคของบริษัท ยังคงได้รับความสนใจและเติบโตโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งยอดขายคอนโด 570 ล้านบาท เติบโต 72% โครงการแนวราบ 7,214 ล้านบาท เติบโต 6% เมื่อเทียบกับยอดขายครึ่งปี 2565 สำหรับโครงการใหม่ที่สามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง อาทิ ศุภาลัยปาร์ค เอกมัย - พัฒนาการ , ศุภาลัยบลูเวล หัวหิน , ศุภาลัยเอเลแกนซ์ พหลโยธิน 50 และ ศุภาลัย เลค วิลล์ ภูเก็ต   นอกจากนี้ บริษัทยังมีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ในมือ ทั้งโครงการแนวราบและคอนโด มูลค่ามากกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเข้ามารองรับการเติบโตของยอดขายในครึ่งปีหลัง โดยล่าสุด ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โครงการศุภาลัยลอฟท์ สาทร - ราชพฤกษ์” ได้เปิดให้ลูกค้าเข้าตรวจรับห้องชุดและได้รับการตอบรับจากลูกค้าทยอยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดไปแล้ว ประมาณ 75%   สำหรับครึ่งปีหลัง 2566 บริษัทเดินเครื่องพัฒนาโครงการใหม่รวม 27 โครงการ มูลค่ารวม 28,610 ล้านบาท เปิดตัวโครงการแนวราบ 26 โครงการ และคอนโด 1 โครงการ โดยมีการออกแบบผลิตภัณฑ์และเปิดตัวแบรนด์ใหม่ การพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมลุยเปิดตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดใหม่ ๆ ในทำเลศักยภาพ โดยโครงการแนวราบวางแผนเปิดเพิ่ม 4 จังหวัดใหม่ คือ นครปฐม ลำปาง ราชบุรี และจันทบุรี และคอนโดแบรนด์ใหม่อีกด้วย เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายให้เติบโตได้ตามเป้าหมาย อีกทั้งไตรมาส 3 ยังเตรียมพร้อมโอนฯ ห้องชุดให้ลูกค้ากับโครงการศุภาลัยพรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากการโอนฯ ของลูกค้าเช่นกัน และคาดว่าจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ได้ครบภายในปี 2566 ช่วยผลักดันรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้   ด้วยความมั่นใจในกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 36,000 ล้านบาท ด้วยการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแล้วครอบคลุม 28 จังหวัด และมีสินค้าพร้อมอยู่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ความพร้อมทางต้นทุนทางการเงิน สร้างสรรค์สินค้าและนวัตกรรมต่างๆ การตลาดและการขาย การบริการอย่างครบวงจร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศุภาลัย เปิดแผนขายบ้าน-คอนโดปี 66 ลุยขยายต่างจังหวัดเพิ่ม 5 แห่ง ​​20 โครงการ -ศุภาลัย บุกตลาดต่างจังหวัดแห่งที่ 23 ปั้นคอนโด “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน”
เพอร์เฟค  ลุยพัฒนา 6 โครงการบ้านหรู  จับตลาดใกล้โรงเรียนนานาชาติ

เพอร์เฟค ลุยพัฒนา 6 โครงการบ้านหรู จับตลาดใกล้โรงเรียนนานาชาติ

ไลฟ์สไตล์ลูกค้าตลาดบ้านหรูเปลี่ยน เน้นเลือกบ้านทำเลใกล้ โรงเรียนนานาชาติ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ลุยพัฒนาสินค้าใน 6 โครงการลักซ์ชัวรี่ใกล้โรงเรียนนานาชาติ ครึ่งปีหลังเปิดแบบบ้านใหม่ โครงการใหม่ เพิ่มความหลากหลาย พร้อมรุกขยายฐานลูกค้าร่วมกับโรงเรียน เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ปกครองนักเรียนนานาชาติโดยตรง   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจของไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าโครงการบ้านระดับบน โดยลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มผู้บริหารระดับสูง เจ้าของกิจการ และกลุ่ม Expat เพิ่มเติมคือนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยที่ผ่านมาลูกค้ากลุ่มนี้จะนิยมโครงการทำเลเมืองหรือทำเลที่ใกล้สถานที่ทำงาน แต่ปัจจุบันมีแนวคิดในการเลือกที่อยู่อาศัยในทำเลใกล้โรงเรียนนานาชาติชื่อดังเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ โดยคำนึงถึงความสะดวกและปลอดภัยในการส่งบุตรหลานไปยังสถานศึกษา ประหยัดเวลาในการเดินทาง เพื่อให้มีเวลากับการเรียนและทำกิจกรรมมากขึ้น บริษัทมีโครงการบ้านหรูบนทำเลใกล้โรงเรียนนานาชาติถึง 6 โครงการ และมีลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ปกครองนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ร.ร.นานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพ หรือ SISB ซึ่งซื้อที่ดินบนถนนหอการค้าไทย จากบริษัท ได้เปิด ร.ร.นานาชาติเอสไอเอสบี นนทบุรี การเปิดตัวของโรงเรียนแห่งใหม่สร้างความคึกคักเพิ่มขึ้นให้กับโครงการบ้านเดี่ยวระดับบน ทั้ง เลค เลเจ้นด์ แจ้งวัฒนะ และ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ แจ้งวัฒนะ ซึ่งอยู่หน้าร.ร.นานาชาติ   บริษัทยังมีโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ที่สามารถรองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการอยู่อาศัยในทำเลใกล้โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ ได้แก่ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา ทำเลที่เป็นแหล่งรวมโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง เช่น เวลลิงตันคอลเลจ ไบรท์ตันคอลเลจ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ รามคำแหง ซึ่งอยู่ติดกับโรงเรียนร่วมฤดีวิเทศศึกษา หรือ RIS โรงเรียนนานาชาติเก่าแก่ที่เปิดมาแล้ว 66 ปี เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ สุขุมวิท 77 อยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติชาร์เตอร์ และโรงเรียนนานาชาติคอนคอร์เดียน รวมถึง เลค เลเจ้นด์ บางนา-สุวรรณภูมิ อีกหนึ่งทำเลที่มีโรงเรียนนานาชาติตั้งอยู่จำนวนมาก โดยโครงการยังอยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ  โรงเรียนนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังมีแผนพัฒนาสินค้าในโครงการกลุ่มลักซ์ชัวรี่ที่อยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติ เพื่อเพิ่มความหลากหลายมากขึ้น  ทั้ง การเปิดตัวแบบบ้านใหม่ในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดพื้นที่ครึ่งไร่ ราคา 80 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอย 850 ตร.ม. ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในทำเลกรุงเทพกรีฑา เพื่อรองรับครอบครัวขนาดใหญ่ มีการเพิ่มคฤหาสน์หรูที่ดินขนาดใหญ่กว่าครึ่งไร่ในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ รามคำแหง  มีการเปิดคิดส์คลับสโมสรสำหรับเด็กในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ สุขุมวิท 77   นอกจากนี้ บริษัทจะมีการเปิดโครงการใหม่ “วาวิล่า สุขุมวิท 77”  เพื่อรองรับกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ เป็นบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ ใช้ประโยชน์ได้เต็มพื้นที่ ประกอบด้วย บ้านขนาด 400 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท และ บ้านขนาด 557 ตร.ม. พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว ราคาเริ่มต้น 33 ล้านบาท  บริษัทยังมีแผนรุกทำการตลาดร่วมกับโรงเรียนนานาชาติชั้นนำ ทั้ง เอสไอเอสบี ร่วมฤดีวิเทศศึกษา บรอมส์โกรฟ เวลลิงตันคอลเลจ  และ ไบรท์ตันคอลเลจ  เพื่อสื่อสารโดยตรงไปยังกลุ่มผู้ปกครองนักเรียน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] เพอร์เฟค เปิดตัว “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์” -[PR News] เพอร์เฟค เดินหน้าเปิด 4 โครงการใหม่ในไตรมาส 2
REIC รายงานตลาดที่อยู่อาศัย Q1/66 กทม.คอนโดเหลือกว่า 4.7 หมื่นยูนิต 2 ปีกว่าจะขายหมด

REIC รายงานตลาดที่อยู่อาศัย Q1/66 กทม.คอนโดเหลือกว่า 4.7 หมื่นยูนิต 2 ปีกว่าจะขายหมด

REIC รายงานตลาดที่อยู่ Q1/66 ขายได้ 21,291 ยูนิต ขายลดลง​ 29.1% มีมูลค่า 105,768 ล้านบาท ลดลง​ 22.0% หลังบ้านแนวราบเสนอขายกว่า 124,723 ยูนิต เพิ่มขึ้น 6.9% ด้วยมูลค่า 679,672 ล้าน เพิ่ม 13.0% แต่คอนโด​มีขายลดลง ลดลง 4.3% ด้วยจำนวน 79,503 ยูนิต มูลค่า 309,579 ล้าน​ ลดลง 9.5% ระบุ 5 ทำเลบ้านเหลือขายเยอะน่าเป็นห่วง ทำบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย เหลือขายมากสุดถึง 16,803 ยูนิต มูลค่า 80,150 ล้าน ส่วนคอนโด ทำเลธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด เหลือขายเยอะสุด 8,544 ยูนิต มูลค่า 27,045 ล้าน Q1 ที่อยู่อาศัยยอดขายลดเหลือกว่า 1 แสนล้าน ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เปิดเผยถึงภาวะภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย ทั้งโครงการแนวราบและอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) ที่มียูนิตเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 ยูนิต ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในไตรมาส 1 ปี 2566 ว่า มีการเสนอขายที่อยู่อาศัยรวม (บ้านจัดสรรและคอนโด) จำนวน 204,226 ยูนิต ขยายตัว 2.3% และมีมูลค่า 989,251 ล้านบาท ขยายตัว 4.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นยูนิตเกิดจากโครงการเปิดตัวใหม่เพียง 21,680 ยูนิต หรือเพียง 10.62% ของยูนิตที่เสนอขายทั้งหมด มีมูลค่า 82,246 ล้านบาท หรือเพียง 8.31% ของมูลค่าที่เสนอขายทั้งหมด ซึ่งยูนิตที่เปิดตัวใหม่มีจำนวนลดลง 26.0% และมูลค่าที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน​ 22.5%  ​   เมื่อดูถึงยอดขายใหม่ที่เกิดในไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีจำนวน 21,291 ยูนิต พบว่าลดลง​ 29.1% และมูลค่า 105,768 ล้านบาท ลดลง​ 22.0% และมีอัตราการดูดซับที่ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจาก 3.5% ต่อเดือน หรือระยะเวลาขายหมดประมาณ 26 เดือน (ลดลงจากปีก่อน 5.0% และระยะเวลาขายหมด 17 เดือน) แสดงให้เห็นว่า ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยปรับตัวลงค่อนข้างแรงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการปรับตัวลงของยอดขายคอนโด ประกอบกับส่วนต่างของยูนิตเปิดตัวใหม่ มากกว่ายูนิตที่ขายได้ใหม่ในไตรมาสนี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 389 ยูนิต ส่งผลให้ยูนิตที่เหลือขายภาพรวมที่อยู่อาศัย (แนวราบและคอนโด) ในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 182,935 ยูนิต ขยายตัว 7.8% และมูลค่า 883,484 ล้านบาท ขยายตัว 9.4% ​จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ผ่านมา บ้านแนวราบเสนอขายกว่า 1.24 แสนยูนิต เมื่อแยกวิเคราะห์เฉพาะตลาดบ้านแนวราบ ในไตรมาส 1 ปี 2566 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่า ยูนิตที่มีการเสนอขายที่อยู่อาศัยแนวราบ 124,723 ยูนิต ขยายตัว 6.9% มูลค่า 679,672 ล้านบาท ขยายตัว 13.0% ​เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งพบว่า ประเภทบ้านที่มีการขยายตัวของยูนิตเสนอขายมากได้แก่ บ้านเดี่ยว ขยายตัวจากปีก่อนถึง 13.0% และทาวน์เฮ้าส์ ที่มีจำนวนยูนิต ขยายตัวจากปีก่อน 2.8% โดยบ้านเดี่ยวมูลค่าขยายตัว 21.5% และทาวน์เฮ้าส์ขยายตัว 2.0% ​ในจำนวนนี้เป็นยูนิตเกิดจากโครงการแนวราบเปิดตัวใหม่เพียง 8,699 ยูนิต หรือเพียง 6.97% ของยูนิตที่เสนอขายทั้งหมด และมูลค่า 51,473 ล้านบาท หรือเพียง 7.57% ของมูลค่าที่เสนอขายทั้งหมด ซึ่งยูนิตที่เปิดตัวใหม่มีจำนวนลดลง 16.8% และมูลค่าที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.8%  โดยประเภทที่มีการลดลงมากคือ ทาวน์เฮ้าส์ ที่ลดลงทั้งยูนิต 23.4% และมูลค่าลดลง 35.3%   เมื่อดูถึงยอดขายใหม่ของที่อยู่อาศัยแนวราบที่เกิดในไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 11,581 ยูนิต ขยายตัว 5.1% และ มูลค่า 69,599 ล้านบาท ลดลง 0.02% และมีอัตราการดูดซับทรงตัวอยู่ในระดับ 3.1% ต่อเดือน หรือจะขายหมดในเวลาประมาณ 29 เดือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบค่อนข้างคงตัวเช่นเดียวกับไตรมาส 1 ปี 2565 ทั้งนี้ บ้านแฝด เป็นประเภทที่มียอดยูนิต ขยายตัว 6% และมูลค่าการขายได้ใหม่ขยายตัวมากสุด 11.5% แม้ว่าจะยังมีขนาดของตลาดยังไม่ใหญ่ และยังมีอัตราการดูดซับที่ต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่น บ้านเดี่ยวมียอดขายใหม่ในไตรมาสนี้ที่ขยายตัวทั้งยูนิต 8% และมูลค่า​ขยายตัว 3.2% โดยมีอัตราการดูดซับที่ 3.3% ซึ่งสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่น หรือระยะเวลาขายหมดประมาณ 27 เดือน (ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน 3.5% และระยะเวลาขายหมด 26 เดือน) ทาวน์เฮ้าส์ พบว่า ยอดขายใหม่ แม้จะมีขนาดตลาดที่ใหญ่ และยังมีการขยายตัวของยูนิตขายใหม่ 8% แต่มีมูลค่าการขายได้ใหม่ ลดลง 7.4% แสดงให้เห็นว่า ตลาดบ้านเดี่ยว และ ทาวเฮ้าส์ ยังคงมีการขยายตัวอย่างอย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ บ้านแฝด เป็นประเภทที่มีการตอบรับที่ดีจากตลาดมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับความสามารถในการซื้อของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน เนื่องจากราคาที่ดิน ค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง   จากการที่ยอดขายใหม่ที่เพิ่มขึ้น และมียูนิตเปิดตัวใหม่น้อยกว่ายูนิตที่ขายได้ใหม่ในไตรมาสนี้ถึง -2,882 ยูนิต ส่งผลให้ยูนิตที่เหลือขายของที่อยู่อาศัยแนวราบ ในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 113,142 ยูนิต มูลค่า 610,073 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% และ 14.7% ตามลำดับ จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ผ่านมา   ทั้งนี้ บ้านเดี่ยว มีการขยายตัวของยูนิตเหลือขายอย่างมากถึง 13.4% และ บ้านแฝดขยายตัว 15.1%  ขณะที่บ้านเดี่ยวมูลค่าก็มีการขยายตัวสูงถึง 24.2%  และบ้านแฝดมูลค่าขยายตัว 19.5%  สำหรับ ทาวน์เฮ้าส์ มียูนิตเหลือขายขยายตัวเล็กน้อยที่ 2.9% และมูลค่าขยายตัว 3.1% การที่อัตราขยายตัวของมูลค่าที่เพิ่มมากกว่าของจำนวนยูนิตได้สะท้อนเห็นว่าที่อยู่อาศัยแนวราบมีการปรับราคาขึ้นจากปีก่อนอีกด้วย คอนโด Q1 เสนอขายลดทั้งจำนวน-มูลค่า ตลาดคอนโด ในไตรมาส 1 ปี 2566 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่า ยูนิตที่มีการเสนอขายคอนโด 79,503 ยูนิต ลดลง 4.3%  และมูลค่า 309,579 ล้านบาท ลดลง 9.5% ​เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นยูนิตเกิดจากโครงการคอนโดเปิดตัวใหม่สูงถึง 12,981 ยูนิต หรือ 16.33% ของยูนิตที่เสนอขายทั้งหมด และมูลค่า 30,773 ล้านบาท หรือ 9.94% ของมูลค่าที่เสนอขายทั้งหมด ซึ่งยูนิตที่เปิดตัวใหม่มีจำนวนลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31.1% และมูลค่าที่ลดลง 34.7% ตามลำดับ และเมื่อดูยอดขายใหม่ของคอนโดที่เกิดในไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 9,710 ยูนิต ลดลง 48.9%​ มูลค่า 36,169 ล้านบาท ลดลง 45.2% และมีอัตราการดูดซับทรงตัวอยู่ในระดับ 4.1% ต่อเดือน หรือจะขายหมดในเวลาประมาณ 21 เดือน   ทั้งนี้ สาเหตุที่ยูนิตเปิดใหม่และยูนิตขายได้ใหม่ของคอนโดปรับตัวลดลงอย่างมากในไตรมาส 1 ปี 2566 เมื่อเทียบกับปีก่อนนั้น มาจากการที่การเปิดตัวใหม่เป็นจำนวนมากและสามารถสร้างยอดขายใหม่จากโครงการคอนโดที่เป็นโครงการบ้านล้านหลัง หรือ โครงการ BOI ที่เปิดขึ้นจำนวนมากในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ปี 2565 โดยเป็นที่น่าสังเกตว่าการเปิดตัวโครงการใหม่เริ่มกลับมามากขึ้นและเริ่มขยับเข้ามามีจำนวนใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิด COVID-19 แต่ยอดขายยังคงต่ำกว่าในช่วงก่อนเกิด COVID-19   โดยในไตรมาสแรกยูนิตเปิดตัวใหม่ของลดลงมาก รวมถึงยอดขายใหม่ด้วย ​ซึ่งพบว่า ยูนิตเปิดตัวใหม่มีจำนวนมากกว่ายูนิตที่ขายได้ใหม่ถึง 3,271 ยูนิต ส่งผลให้ยูนิตที่เหลือขายของคอนโดในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 69,793 ยูนิต ขยายตัว 9.0% และมีมูลค่า 273,411 ล้านบาท ลดลง 0.9% ตามลำดับ จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ผ่านมา   จากผลการสำรวจภาคสนาม  ได้แสดงให้เห็นทำเลศักยภาพของตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ซึ่งพบว่า ทำเลที่มียอดขายสูงสุดและมีอัตราการดูดซับสูงกว่าค่ากลางของที่อยู่อาศัยแนวราบที่ 3.1% ต่อเดือน ประกอบด้วยโซน บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ยอดขาย 2,674 ยูนิต มูลค่า 16,579 ล้านบาท และ อัตราดูดซับ 5.0%ต่อเดือน เมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ ยอดขาย 1,477 ยูนิต มูลค่า 5,394 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 4.7% ต่อเดือน บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย ยอดขาย 942 ยูนิต มูลค่า 5,521 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 1.8% ต่อเดือน คลองสามวา-มีนบุรี-ลาดกระบัง ยอดขาย 918 ยูนิต มูลค่า 5,990 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 5.6% ต่อเดือน เมืองสมุทรสาคร ยอดขาย 821 ยูนิต มูลค่า 3,091 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 4.2% ต่อเดือน 5 ทำเลบ้านเหลือขายมากสุด อย่างไรก็ตาม ทำเลสำหรับบ้านแนวราบที่ต้องระมัดระวังเนื่องจากยังคงมียูนิตเหลือขายที่มากติดอันดับต้น ๆ แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่ ทำเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย เหลือขาย 16,803 ยูนิต มูลค่า 80,150 ล้านบาท ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง เหลือขาย 15,221 ยูนิต มูลค่า 84,580 ล้านบาท ทำเลลำลูกกา-ธัญบุรี เหลือขาย 13,726 ยูนิต มูลค่า 54,287 ล้านบาท ทำเลคลองหลวง-หนองเสือ เหลือขาย 12,146 ยูนิต มูลค่า 43,574 ล้านบาท ทำเลเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก เหลือขาย 10,021 ยูนิต มูลค่า 40,796 ล้านบาท 5 ทำเลศักยภาพตลาดคอนโด สำหรับทำเลศักยภาพของตลาดคอนโด ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ที่มียอดขายสูงสุดและมีอัตราการดูดซับสูงกว่าค่ากลางของที่อยู่อาศัยคอนโดที่ 4.1% ต่อเดือน ประกอบด้วยโซน ทำเลคลองหลวง-หนองเสือ ยอดขาย 1,628 ยูนิต มูลค่า 3,550 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 14.4% ต่อเดือน ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ ยอดขาย 799 ยูนิต มูลค่า 2,539 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 3.8% ต่อเดือน ทำเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ ยอดขาย 775 ยูนิต มูลค่า 2,010 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 4.7% ต่อเดือน ทำเลเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด ยอดขาย 758 ยูนิต มูลค่า 1,468 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 3.5% ต่อเดือน ทำเลห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง ที่มียอดขายจำนวน 689 ยูนิต มูลค่า 2,674 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 2.7% ต่อเดือน เป็นทำเลที่ยังได้รับความสนใจในการหาซื้อคอนโดอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีระบบสาธารณูปโภคที่ดี และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แต่มีจุดอ่อนคือมีอุปทานในตลาดมาก 5 ทำเลคอนโดเหลือขายเยอะ ทั้งนี้ ทำเลที่มียูนิตเหลือขายของคอนโดมาก ที่ควรจะต้องระมัดระวังเนื่องจากยังคงมียูนิตเหลือขายที่มากติดอันดับต้น ๆ แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่ ทำเลธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด เหลือขาย 8,544 ยูนิต มูลค่า 27,045 ล้านบาท ทำเลห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง เหลือขาย 7,951 ยูนิต มูลค่า 31,786 ล้านบาท ทำเลเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด เหลือขาย 6,432 ยูนิต มูลค่า 14,774 ล้านบาท ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ เหลือขาย 6,204 ยูนิต มูลค่า 18,007 ล้านบาท ทำเลสุขุมวิท เหลือขาย 5,348 ยูนิต มูลค่า 47,222 ล้านบาท กทม.แบกซัพพลายคอนโดเหลือกว่า 4.7 หมื่นยูนิต​ ผลสำรวจข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ภาพรวมไตรมาส 1 ปี 2566 ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลยังขับเคลื่อนตัวด้วยโครงการบ้านแนวราบเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนในเชิงมูลค่ายอดขายของตลาดถึง 69,599 ล้านบาท หรือเท่ากับ 65.8% แต่คอนโดมีมูลค่าตลาดรวม 36,169 ล้านบาท หรือเท่ากับ 34.2%  ของมูลค่าตลาดโดยรวม   แต่สิ่งที่มีน่าจะเป็นข้อสังเกตที่สำคัญ คือ จังหวัดที่มียอดขายใหม่ของบ้านจัดสรรมากที่สุดคือ จังหวัดสมุทรปราการที่มีจำนวนถึง 4,151 ยูนิต มูลค่า 21,974 ล้านบาท รองลงมาที่กรุงเทพมหานคร มีจำนวน 2,734 ยูนิต มูลค่า 27,105 ล้านบาท แต่ยูนิตเหลือขาย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2566 อยู่ที่จังหวัดปทุมธานีมากสุดถึง 35,893 ยูนิต มูลค่า 138,658 ล้านบาท ทั้งที่จังหวัดปทุมธานีที่มียอดขายเป็นอันดับ 3 เท่านั้น ทำให้ปทุมธานีมีอัตราการดูดซับเพียง 1.3% ต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งคำนวณได้ว่าต้องใช้เวลาถึง 74 เดือนจึงจะขายได้หมด ทั้งที่ภาพรวมของกรุงเทพฯและปริมณฑลอยู่ที่ 3.1% ต่อเดือน ซึ่งสะท้อนภาวะตลาดบ้านแนวราบในจังหวัดปทุมธานีเริ่มมีภาวะ Oversupply แล้ว ผู้ประกอบการต้องให้ความสนใจในการลงทุนเป็นพิเศษ   ขณะที่ตลาดคอนโดยังคงอยู่ในพื้นที่เป็นหลัก โดยจังหวัดที่มียอดขายสูงสุดอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีจำนวนถึง 5,221 ยูนิต มูลค่า 24,686 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายกว่า 60% ของการขายห้องชุดในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รองลงมาที่จังหวัดปทุมธานี มีจำนวน 2,205 ยูนิต มูลค่า 4,664 ล้านบาท แต่ยูนิตเหลือขาย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2566 และ จังหวัดสมุทรปราการ มีจำนวน 1,227 ยูนิต มูลค่า 4,732 ล้านบาท   แต่อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานครก็ยังมียูนิตเหลือขายสูงสุดถึง 47,225 ยูนิต มูลค่า 225,596 ล้านบาท ทำให้มีอัตราการดูดซับเพียง 3.3% ต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งคำนวณได้ว่าต้องใช้เวลาถึง 27 เดือนจึงจะขายได้หมด ทั้งที่ภาพรวมของกรุงเทพฯ และปริมณฑลอยู่ที่ 4.1%/เดือน ขณะที่จังหวัดปทุมธานี มีอัตราการดูดซับถึง 7.3% และสมุทรปราการ มีอัตราดูดซับ 5.3% ต่อเดือน ซึ่งสะท้อนว่า ตลาดคอนโดของกรุงเทพมหานครยังคงมีการแบกอุปทานที่หนักอยู่ หากต้องการลงทุนอาจต้องพิจารณาถึงอุปทานในแต่ละ Segment ของราคาและรูปแบบของแต่ละทำเลอย่างละเอียดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการฯ คงต้องติดตามดูทิศทางทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากปัจจัยลบของภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างใกล้ชิดอีกด้วย     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -REIC เผย ยอดโอนคอนโดต่างชาติ Q1/65 ลดทั้งจำนวน-มูลค่า เหตุลูกค้าจีนยังปิดประเทศ   -REIC เปิด ค่าก่อสร้างบ้าน Q2/66 เพิ่ม 2.1% กระเบื้อง-ค่าแรง  ขึ้นราคา ​หวั่นกระทบต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้น
[PR News] CPANEL มองธุรกิจครึ่งปีหลัง 66 โตต่อเนื่องลุ้น Backlog ปีนี้แตะ 1,800 ล้าน

[PR News] CPANEL มองธุรกิจครึ่งปีหลัง 66 โตต่อเนื่องลุ้น Backlog ปีนี้แตะ 1,800 ล้าน

CPANEL เผยทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง 2566 เติบโตต่อเนื่อง ดีมานด์ลูกค้าเดิม-ลูกค้าใหม่พุ่ง พร้อมแตกไลน์รับงานโรงแรม ปั้นพอร์ตคอนโด ความผันผวนทางเศรษฐกิจกระทบต้นทุนก่อสร้าง หนุน Precast Concrete ขาขึ้นลุ้น Backlog แตะ 1,800 ล้านบาท มั่นใจเป้าหมายรายได้ปีนี้โตตามแผน 10-15% ด้านโรงงานแห่งที่ 2 ก่อสร้างตัวอาคารแล้วเสร็จ คาดเริ่มติดตั้งเครื่องจักรภายในปีนี้   นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลังปี 2566 ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแนวโน้มลูกค้าใหม่ที่มากขึ้น และลูกค้าเดิมมีคำสั่งซื้อซ้ำ รวมถึงแผนขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ เพิ่มเติม ซึ่งช่วงที่ผ่านมาบริษัทรับงานก่อสร้างโรงแรมแห่งแรก มูลค่าประมาณ 13 ล้านบาท รวมถึงงานก่อสร้างคอนโดมิเนียมจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ มูลค่าประมาณ 46 ล้านบาท ซึ่งงานประเภทดังกล่าวถือเป็นโอกาสของบริษัทในการรับงานที่หลากหลายมากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ยังมีโครงการแนวราบอีก 5 ราย มูลค่าประมาณ 240 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog)  ประมาณ 1,400 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้าเพิ่มเติมอีกหลายราย  จะส่งผลให้บริษัททำรายได้ตามเป้าหมายเติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 433.97 ล้านบาท และคาดว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวสูงขึ้น จากการบริหารจัดการควบคุมต้นทุนการผลิตและการขาย ทำให้เกิด  Economy of Scale   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัว จากภาวะความผันผวนทางเศรษฐกิจ แต่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายยังมีแผนลงทุนในโครงการใหม่ๆ จึงมีความจำเป็นต้องควบคุมต้นทุนที่มีความผันแปร เช่น การขาดแคลนแรงงาน ค่าแรง ค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าพลังงาน และดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ Precast Concrete มีความต้องการที่สูงขึ้น เนื่องจากสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ดี ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายเดิมและรายใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันที่คาดว่าภายในปีนี้จะมี Backlog 1,800 ล้านบาท นายชาคริต กล่าวอีกว่า ส่วน​ความคืบหน้าโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ปัจจุบันก่อสร้างตัวอาคารเสร็จเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเริ่มติดตั้งเครื่องจักรได้ในภายในปีนี้ หลังจากติดตั้งแล้วเสร็จจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 1 เท่าตัว จากปัจจุบันกำลังการผลิต 7.92 แสนตารางเมตร สามารถรองรับความต้องการใช้ Precast Concrete จากแนวโน้มคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“ซีแพนแนล” รับผลบวกมาตรการ LTVหลังดีเวลลอปเปอร์ หันมาขยายตลาดบ้านแนวราบ -5 เทรนด์อุตสาหกรรมก่อสร้างโลกที่แรงไม่หยุด
เซ้าเทิร์นกรุ๊ป ลุยผลิตทรายหิน M-Sand สร้างมูลค่าเพิ่ม-รักษาสิ่งแวดล้อม

เซ้าเทิร์นกรุ๊ป ลุยผลิตทรายหิน M-Sand สร้างมูลค่าเพิ่ม-รักษาสิ่งแวดล้อม

เซ้าเทิร์นกรุ๊ป ชูนโยบายดำเนินธุรกิจรับผิดชอบต่อสังคม-สิ่งแวดล้อม ให้บริษัทลูก “ครีเอทีฟ มิเนอรัล” ติดตั้งเครื่องจักแบรนด์ Propel ผลิตทรายหิน M-Sand สร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรเหลือใช้ ช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม​ กระตุ้นวงการก่อสร้างลดการใช้ทรายธรรมชาติ   นายธีรโชค มุขดี กรรมการผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ กลุ่มบริษัทเซ้าเทิร์นกรุ๊ป เปิดเผยว่า โลกปัจจุบันให้ความสำคัญต่อการประกอบธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม  ร่วมรักษาสภาพแวดล้อม และประหยัดพลังงาน บริษัทที่อยู่ในกลุ่มบริษัทเซ้าเทิร์นกรุ๊ป  อย่างเช่นบริษัท ครีเอทีฟ มิเนอรัล จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตหินก่อสร้าง หินโดโลไมต์และทรายก่อสร้าง ดำเนินการอยู่ในพื้นที่อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ จึงได้ลงทุนติดตั้งเครื่องจักรแบรนด์ Propel เพื่อผลิตทรายหิน M-Sand ป้อนสู่วงการก่อสร้างในพื้นที่จังหวัดกระบี่ พังงา และภูเก็ต ซึ่งจะมีส่วนช่วยทดแทนการใช้ทรายธรรมชาติทั้งทรายบกและทรายแม่น้ำ โดยเครื่องจักรแบรนด์ Propel นำเข้าจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่ามีความชำนาญในการผลิตทรายจากหิน  เพราะอินเดียมีกฎหมายห้ามใช้ทรายจากแม่น้ำมานานแล้ว ขณะที่ประเทศไทยเริ่มมีความเข้มงวดในการควบคุมการดูดทรายจากแม่น้ำ หรือเหล่าประเทศลุ่มแม่น้ำโขงต่างตระหนักถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศน์จากการดูดทรายจากแม่น้ำโขง   นายธีรโชค กล่าวว่า ทางบริษัทมีหินคลุก หินฝุ่น และหิน3/8 ซึ่งมีขนาดที่แตกต่างกันอยู่ เมื่อได้เครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีทันสมัยเอาทรัพยากรที่มีอยู่เข้ากระบวนการบดและคัดแยกขนาดให้เป็นทรายที่ได้มาตรฐานสากล สามารถป้อนสู่โรงงานปูนซีเมนต์นครหลวง โรงงานซีแพคเครือปูนซิเมนต์ไทย และผู้รับเหมาทั่วไป จึงเป็นการใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าพร้อมกับเพิ่มมูลค่าผลผลิต โดยการผลิต M-Sand ของบริษัทครีเอทีฟ มิเนอรัล  ขณะนี้กำลังศึกษาต่อยอดไปทำการผลิตที่เหมืองศิลาชัย และเหมือง 39ศิลาทองในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป้าหมายหลักของเราคือ ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด  เพราะแม้แต่น้ำที่ใช้ในกระบวนผลิตเรายังรีไซเคิลได้ถึง 85%  ขณะเดียวกันยังช่วยลดการใช้ทรายธรรมชาติซึ่งมีผลต่อระบบนิเวศน์  มีผลต่อรูปทรงของแม่น้ำ  ตลิ่ง  ขณะที่ทรายบกก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่มีข้อจำกัด    ด้านดร.สมหวัง  วิทยาปัญญานนท์  กรรมการและเลขาธิการสมาคมสินแร่และวัสดุก่อสร้าง ให้ความเห็นว่า  การลงทุนของกลุ่มบริษัทเซ้าเทิร์นกรุ๊ปในการผลิตทรายหิน M-Sand ที่มีคุณภาพมาตรฐานนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของผู้ประกอบการเหมืองแร่ในปัจจุบันที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม  มีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อม และร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน  ซึ่งทางสมาคมยังคาดหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะให้ความสำคัญต่อธุรกิจสินแร่ และวัสดุก่อสร้างที่มีปัญหาค้างคาด้านกฎหมายและรอการขับเคลื่อนจากรัฐบาลมานานปี     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66 -REIC เปิด ค่าก่อสร้างบ้าน Q2/66 เพิ่ม 2.1% กระเบื้อง-ค่าแรง  ขึ้นราคา ​หวั่นกระทบต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้น -5 เทรนด์อุตสาหกรรมก่อสร้างโลกที่แรงไม่หยุด  
[PR News] ผลิตภัณฑ์ตราเพชร เดินหน้าต่อยอด DIAMOND CAFE สู่บ้านผู้สูงอายุและโฮมออฟฟิศ

[PR News] ผลิตภัณฑ์ตราเพชร เดินหน้าต่อยอด DIAMOND CAFE สู่บ้านผู้สูงอายุและโฮมออฟฟิศ

ผลิตภัณฑ์ตราเพชร ผลิตภัณฑ์ตราเพชร มองตลาดวัสดุก่อสร้างครึ่งปีหลังขยายตัวต่อเนื่อง เดินเกมขยายฐานลูกค้ากลุ่ม SME ต่อเนื่อง มุ่งต่อยอดผลิตภัณฑ์ DIAMOND CAFE สู่ LIVING SPACE อาคารสำเร็จรูปสำหรับพักอาศัยและประกอบธุรกิจ เจาะโฮมออฟฟิศขนาดเล็กและกลุ่มบ้านผู้สูงอายุ          ดร.พิชญานันท์ ล้อวรลักษณ์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการขายและการตลาด บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT  เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดวัสดุก่อสร้างในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ยังมีสัญญาณการเติบโตต่อเนื่อง แม้ในไตรมาส 3/2566 จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของตลาด เนื่องจากก้าวเข้าสู่ฤดูฝนทำให้งานก่อสร้างชะลอตัวลงไป อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่และกลุ่มลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ยังเดินหน้าลงทุนขยายสาขาและพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทฯ จะมุ่งตอกย้ำด้านความหลากหลายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ตราเพชร เพื่อต่อยอดขยายฐานลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการ SME ผ่านผลิตภัณฑ์ DIAMOND CAFE ช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการก่อสร้าง รองรับความต้องการกลุ่มผู้ประกอบการที่ลงทุนเริ่มต้นทำธุรกิจร้านกาแฟ รวมถึงต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่ กลุ่มอาคารสำเร็จรูปสำหรับพักอาศัย และประกอบธุรกิจ (LIVING SPACE) โดยมีการออกแบบอาคารสำนักงานขนาดเล็ก หรือโฮมออฟฟิศและบ้านสำเร็จรูปสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ   โดยสินค้ากลุ่ม LIVING SPACE ได้มีการนำไปจัดแสดงโชว์ภายในงาน Thailand Coffee Fest 2023: Good Coffee For Everyone ที่อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 5-8 เมืองทองธานี ในวันที่ 13-16 กรกฎาคมนี้ เพื่อนำเสนอแพ็กเกจงานก่อสร้าง และรูปแบบร้าน DIAMOND CAFE  & LIVING SPACE ดีไซน์ใหม่ในราคาพิเศษ โดยอาคารสำเร็จรูปสำหรับร้านกาแฟเพียง 529,990 บาท จากปกติ 570,300 บาท และอาคารสำเร็จรูปสำหรับพักอาศัย และประกอบธุรกิจ เริ่มต้นที่ 429,990 บาท จากปกติ 450,300 บาท   สำหรับผู้สนใจหากวางเงินจองสิทธิในการก่อสร้างภายในงาน รับส่วนลดพิเศษเพิ่มอีก 1 เท่าจากยอดเงินจอง หรือรับส่วนลดสูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท หรือหากซื้อ DIAMOND CAFE ตัวโชว์ภายในงาน รับส่วนลดทันที 50% ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าการออกบูทในงานครั้งนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และเป็นโอกาสของ ตราเพชร ตอกย้ำความแข็งแกร่งด้านผลิตภัณฑ์เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นอีกด้วย   สำหรับบริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชรฯ ผู้ผลิตและจำหน่ายระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ และบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์ บอร์ดตกแต่งผนัง อิฐมวลเบา คานทับหลัง เคาน์เตอร์มวลเบาสำเร็จรูป ร้านกาแฟสำเร็จรูป (DIAMOND Cafe) และบริการติดตั้งโครงหลังคา และกระเบื้องหลังคา ภายใต้เครื่องหมายการค้า “ตราเพชร” มีประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจกว่า 38 ปี มีเทคโนโลยีการผลิตทันสมัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และได้รับการรับรองระบบมาตรฐาน ISO9001:2015, ISO14001:2015 และ ISO45001:2018 จากสถาบัน Lloyd's Register Quality Assurance Limited (LRQA) รวมถึงได้รับเครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งยืนยันถึงคุณภาพสินค้า ตลอดจนมีการบริหารจัดการภายในโรงงานที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นทางเลือกที่ดีกว่าด้านวัสดุก่อสร้างและบริการ”   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ตราเพชรเปิดตัวบ้านน็อกดาวน์ 1.2 ล้าน ตอบโจทย์มีสินค้าครบทั้งหลัง
ศุภาลัย เอสเซ้นส์  โครงการพรีเมี่ยมแห่งแรกในอ่างศิลา   

ศุภาลัย เอสเซ้นส์  โครงการพรีเมี่ยมแห่งแรกในอ่างศิลา   

ศุภาลัย เอสเซ้นส์ อ่างศิลา ศุภาลัย เอสเซ้นส์ อยู่ในพื้นที่ชลบุรีมาถึงวันนี้ 10 ปีพอดี เลยฉลองปั้นโครงการใหม่ นำแบรน์สุดพรีเมียมอย่าง เอสเซ็นส์ลงชลบุรีเป็นโครงการแรกโดยเริ่มที่ทำเล อ่างศิลาเป็นที่หมายแรก ในราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านจนไปถึง 18 ล้านบาท จัดว่าเป็น บ้านหรู 3 ชั้น แห่งแรกใน ชลบุรี ศุภาลัย เอสเซ้นส์ อ่างศิลา โครงการที่รวมความเป็นที่อยู่อาศัยให้เลือกหลายรูปแบบ บ้านเดี่ยว ศุภศรันย์ และศุภศิริ ที่ให้พื้นที่ใช้สอย321-380ตรม.ให้ ความโปร่งด้วย Double Volume  ในห้องนั่งเล่นชั้น1  พร้อมฟังก์ชั่นบ้าน 5ห้องนอน 5-7ห้องน้ำ และ4ที่จอดรถ บ้านแฝด ศุภศิลป์ พื้นที่ใช้สอย 234 ตรม. 4ห้องนอน 4ห้องน้ำ 3ที่จอดรถ   ที่มีลูกเล่นระเบียงชั้น2ที่ใหญ่ใช้แระโยชน์ได้จริง ทาวน์โฮม ศุภนรา พื้นที่ใช้สอย 160 ตรม. 3ห้องนอน 3ห้องน้ำ 2ที่จอดรถพร้อม พื้นที่อเนกประสงค์ 2จุด บ้านทุกหลัง พร้อมติดตั้ง ระบบ Home Automation และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ในบ้านติดตั้ง COTTO Smart Toilet สุขภัณฑ์อัตโนมัติ  ด้วยเทคโนโลยีด้าน Smart & Hygiene เพื่อตอบโจทย์สุขภาพและอนามัยเป็นหลัก และGreen concept รองรับ EV charger และหลังคา Solar ที่จะรองรับการใช้ไฟฟ้าในตอนกลางวันได้อย่างสบาย เปิดแอร์เย็นสบายด้วยแสงแดดบนหลังคาบ้านเราเอง ประหยัดไฟฟ้าได้มากเลย ส่วนความปลอดภัยในโครงการก็หายห่วง มีระบบอ่านป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ทางเข้าออก กล้องวงจรปิดรอบโครงการ และ พนักงานรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง   ศุภาลัย เอสเซ้นต์ อ่างศิลา โครงการตั้งอยู่ตำบลอ่างศิลา อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี บนทำเลศักยภาพ เพียง 2 กม. ถึงถนนสุขุมวิท เชื่อมต่อสะดวกทุกการเดินทาง ใจกลางเมืองชลบุรี และยิ่งอนาคตจะมีรถไฟความเร็วสูงสามสนามบิน ยิ่งจะทำให้การเดินสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น พิเศษมากๆ ศุภาลัย เอสเซ้นต์ อ่างศิลา พร้อมเปิดบ้านPressle 15-16 ก.ค.นี้ จองในงานสำหรับบ้านเดี่ยว บ้านแฝด  รับรถยนต์ไฟฟ้า Tesla model3 หรือส่วนลดสูงสุด2ล้าน ส่วนทาวน์โฮม ก็ได้รับรถไฟฟ้าหรือส่วนลดเช่นกัน โดยสามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษ มูลค่าสูงสุด 100,000 บาท     บทความน่าสนใจ PARC Ekkamai-Pattanakarn คอนโดแนวคิดใหม่ ที่ให้คุณได้ “พัก” ในแบบของคุณเอง City Home ดีไซน์ใหม่ ราคาสบายกระเป๋า เริ่ม 1.09 ล้านบาท
REIC เปิด ค่าก่อสร้างบ้าน Q2/66 เพิ่ม 2.1% กระเบื้อง-ค่าแรง  ขึ้นราคา ​หวั่นกระทบต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้น

REIC เปิด ค่าก่อสร้างบ้าน Q2/66 เพิ่ม 2.1% กระเบื้อง-ค่าแรง  ขึ้นราคา ​หวั่นกระทบต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้น

ศูนย์ข้อมูลอสังฯ รายงานดัชนีราคา ค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน Q2 ปรับตัวขึ้นจากปีก่อน 2.1% แต่ลดลง 0.3% จากไตรมาสก่อนหน้า  งานออกแบบและระบบ พบการปรับเพิ่มขึ้นเฉพาะในงานสถาปัตยกรรม 5.4% แต่งานอื่นมีการปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่กระเบื้องปรับขึ้นราคาถึง 12.5%  ส่วนค่าแรงงานมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 5.8% หวั่นกระทบค่าก่อสร้างบ้านของประชาชน และต้นทุนการพัฒนาโครงการ    ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน ไตรมาส 2 ปี 2566 มีค่าดัชนีเท่ากับ 134.0  จุด ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 2.1% แต่เป็นการเพิ่มที่มีทิศทางการชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน 0.3% ดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐานในไตรมาส 2 ปี 2566 แสดงให้เห็นว่าในหมวดงานออกแบบและงานระบบ มีค่าดำเนินการในงานสถาปัตยกรรมมีการเพิ่มขึ้นสูงที่สุด 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เป็นการเพิ่มแบบชะลอตัวลง 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) ซึ่งงานสถาปัตยกรรมมีสัดส่วน 65.8% ของหมวดงานออกแบบและงานระบบ สำหรับงานอื่นๆ มีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ งานวิศวกรรมโครงสร้าง มีอัตราค่าตอบแทนลดลง 4.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลง 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 27.9% ของหมวดงานออกแบบและงานระบบ งานระบบไฟฟ้าและระบบสื่อสาร อัตราค่าตอบแทนลดลง 0.01% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 3.6% ของหมวดงานออกแบบและงานระบบ งานระบบสุขาภิบาล มีอัตราค่าตอบแทนลดลง 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลง 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 2.7% ของหมวดงานออกแบบและงานระบบ สำหรับหมวดราคาวัสดุก่อสร้าง พบว่า วัสดุก่อสร้างที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนใน 2 ประเภท ได้แก่ วัสดุประเภทกระเบื้อง และ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 12.5% และ 4.6% แต่วัสดุประเภทเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก อุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา ผลิตภัณฑ์คอนกรีต และวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ มีการปรับตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กที่ลดลงมากที่สุดถึงประมาณ 17.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี (YoY) โดยเป็นผลมาจากปริมาณอุปทานเหล็กในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับราคาวัตถุดิบมีการปรับลดตามราคาพลังงาน รวมถึงอาจชะลอเกิดจากการซื้อและความต้องการลงทุนของเอกชนในภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ดัชนีราคาลดลง แต่หมวดแรงงานมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามสภาวะตลาดที่มีการเพิ่มของค่าแรงขั้นต่ำ และการขาดแคลนช่างฝีมือแรงงานคุณภาพ สำหรับราคาหมวดวัสดุก่อสร้าง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 60.4% ของค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน มีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ราคาเพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 27.5% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ราคาลดลง 17.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลง 2.9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 9.3% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์คอนกรีต ราคาลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 7.1% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา ราคาลดลง 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลง 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 6.1% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง กระเบื้อง ราคาเพิ่มขึ้น 12.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่ลดลง 1.4% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 5.6% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง สุขภัณฑ์ ราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และ เทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 3.3% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง วัสดุก่อสร้างอื่นๆ ราคาลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 41.2% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง สำหรับภาพรวมการเปลี่ยนแปลงตามดัชนีราคา ค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐานในไตรมาส 2 ปี 2566 ที่ ได้สะท้อนต้นทุนการสร้างที่อยู่อาศัย เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าปีก่อนเล็กน้อยและแนวโน้มการทรงตัวในทิศทางที่ชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ยังมีตัวแปรสำคัญที่ต้องคำนึงถึงทั้งในปัจจุบันและอนาคต คือ ค่าจ้างแรงงาน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 39.6% ของ ค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน ในไตรมาส 2 ปี 2566 ค่าแรงงานมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งหากมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้สูงกว่าปัจจุบันมาก ก็จะกระทบค่าก่อสร้างบ้านของประชาชน และยังอาจส่งผลไปถึงต้นทุนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ด้วย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ประเมินที่อยู่อาศัยปี 66 เจอ 3 ปัจจัยลบกดดันติดลบทุกด้าน​ -REIC เผย ยอดโอนคอนโดต่างชาติ Q1/65 ลดทั้งจำนวน-มูลค่า เหตุลูกค้าจีนยังปิดประเทศ  
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทำยอดขายบ้าน-คอนโด Q2/66 นิวไฮ

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทำยอดขายบ้าน-คอนโด Q2/66 นิวไฮ

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ สร้างยอดขายนิวไฮ ไตรมาส 2/66 กว่า 12,461 ล้าน หนุนกวาดยอดขายบ้าน-คอนโดครึ่งปีแรกทะลุ 24,465 ล้าน เติบโตจากช่วงเดียวกัน 38% หลังเดินหน้าแผน Origin Infinity ขยายอาณาจักรเปิดตัวโครงการบ้านและคอนโดใหม่ทั่วประเทศ   โซนฝั่งธนฯ อาทิ ศิริราช-เพชรเกษม และต่างจังหวัดมาแรง ปิดการขาย (Sold Out) “ออริจิ้น เพลส เพชรเกษม” และ “ออริจิ้น เพลส พหล 59 สเตชั่น” พร้อมกวาด Take-up rate ฉลุยทั้ง “โซ ออริจิ้น ศิริราช” “ดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต” และ “ดิ ออริจิ้น แคมปัส ขอนแก่น” ทำเล ดีไซน์และเลย์เอาท์ห้องพักโดนใจ ตอบโจทย์ตลาดในพื้นที่ ครึ่งปีหลังโหมตลาดที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง เปิดตัวเพิ่มอีก 24 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,760 ล้าน คาดยอดขายทั้งปีทะลุ 45,000 ล้านตามเป้า   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2/2566 บริษัทสร้างยอดขายได้กว่า 12,461 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาประมาณ 29% แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียมประมาณ 77% และยอดขายจากบ้านจัดสรรภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ซึ่งเป็นบริษัทในเครือราว 23%   หากเทียบตามสถานะโครงการ เป็นยอดขายจากกลุ่มโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ราว 43% และยอดขายจากกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขาย (New Launch) และอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Ongoing) ประมาณ 57% ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 บริษัทมียอดขายจากโครงการบ้านจัดสรรและโครงการคอนโดมิเนียมสะสม ประมาณ 24,465 ล้านบาท เติบโตจากช่วงครึ่งปีแรกของปีก่อนหน้า 38% และคิดเป็น 54% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี   "แม้สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ จะค่อนข้างทรงตัว เนื่องจากภาครัฐยกเลิกมาตรการผ่อนปรนอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน หรือ LTV ไปตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2565 แต่ภาพรวมยอดขายของเครือออริจิ้นยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเราเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผน Origin Infinity ขยายอาณาจักรโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมในเครือไปทั่วประเทศ ทำให้เราสามารถกระจายโอกาสสู่ทำเลศักยภาพใหม่ๆ และเจาะตลาดกำลังซื้อใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง" ทั้งนี้ การเดินหน้าเจาะตลาดทำเลใหม่ๆ ช่วยสร้างยอดขายกลับมาสู่บริษัทได้อย่างต่อเนื่อง เช่น ในโซนฝั่งธนบุรีและส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว บริษัทสามารถปิดการขาย (Sold out) โครงการออริจิ้น เพลส เพชรเกษม (Origin Place Phetkasem) บริเวณ MRT ภาษีเจริญ และ โครงการออริจิ้น เพลส พหล 59 สเตชั่น (Orign Place Phahol 59 Station) ได้ภายในครึ่งปีแรก   ขณะเดียวกัน โครงการโซ ออริจิ้น ศิริราช (So Origin Siriraj) และโครงการคอนโดมิเนียมในต่างจังหวัด อาทิ ดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต (The Origin Centre Phuket) และดิ ออริจิ้น แคมปัส ขอนแก่น (The Origin Campus Khonkaen) ก็ได้รับการตอบรับอย่างยอดเยี่ยม โดยมีอัตรายอดขายสะสม (Take-up rate) เฉลี่ยมากกว่า 70% นอกจากนี้ โครงการบริทาเนีย มะลิวัลย์ (Britania Maliwan) ในขอนแก่น ก็สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 90% ของจำนวนยูนิตที่สร้างเสร็จแล้ว นายพีระพงศ์​ กล่าวอีกว่า กระแสตอบรับที่ยอดเยี่ยมในหลากหลายพื้นที่ เกิดจากความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคทุกเจเนอเรชั่น ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบที่ตอบสนองการใช้งานจริง ทำให้สามารถพัฒนาโครงการที่มีเลย์เอาท์ห้องโดดเด่น มีฟังก์ชันการใช้งานที่ยืดหยุ่น และแปลกใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในหลายทำเล เช่น การนำเสนอห้อง Duo Space เพดานสูง 4.2 เมตร และ Pet Condo   สำหรับภาพรวมครึ่งปีหลังของปีนี้ ภาคการท่องเที่ยว จะยังคงเป็นเซ็กเตอร์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หากมีรัฐบาลใหม่เข้ามาภายในเดือนสิงหาคม นี้ ตามกำหนดน่าจะมีส่วนสำคัญช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลังให้เดินหน้าต่อไปได้ ประกอบกับกระแสตอบรับการพัฒนาโครงการในทำเลศักยภาพใหม่ๆ ทั่วประเทศ บริษัทจึงจะเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังอีก 24 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,760 ล้านบาท กระจายตัวไปยังทำเลศักยภาพต่างๆ ทั่วประเทศ   โดยเริ่มจากโครงการคอนโด​ ครอบคลุมตั้งแต่ใจกลางเมือง อาทิ ​แกรนด์ แฮมป์ตัน ทองหล่อ (Grand Hampton Thonglor) โซโห แบงค็อก สุขุมวิท (Soho Bangkok Sukhumvit) ไปจนถึงการบุกหัวเมืองสำคัญ อย่างโซ ออริจิ้น เขาใหญ่ (So Origin Khao Yai) โซ ออริจิ้น บางเทา ภูเก็ต (So Origin Bangtao Phuket) ออริจิ้น เพลส ภูเก็ต (Origin Place Phuket) และออริจิ้น เพลส หัวหิน (Origin Place Huahin)   ขณะที่ฝั่งบ้านจัดสรร จะเน้นการเปิดโครงการใหม่ในฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ อาทิ ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ ทวีวัฒนา เวสต์เกต และแถบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อย่างชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา จากแผนการดำเนินงานดังกล่าว เชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญในการสร้างยอดขายใหม่ในทำเลสำคัญ และส่งผลให้ภาพรวมยอดขายของบริษัทในปีนี้ทะลุ 45,000 ล้านบาทตามเป้าหมาย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ร่วมพันธมิตรออก โทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ ลงทุนแค่ 182 บาท -“ออริจิ้น” เปิดกลยุทธ์บุก ทำเลรถไฟฟ้า 6 สายส่งคอนโด 19,580 ล้าน ทั่วกทม.-ปริมณฑล
เอพี ไทยแลนด์  จบครึ่งปีแรกทำยอดกว่า 39,500 ล้าน  เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ครึ่งหลังอีก 40 โครงการ

เอพี ไทยแลนด์ จบครึ่งปีแรกทำยอดกว่า 39,500 ล้าน เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ครึ่งหลังอีก 40 โครงการ

เอพี ไทยแลนด์ เอพี สุดแฮปปี้ยอดขายครึ่งปีแรกกว่า 39,500 ล้านบาท ครึ่งปีหลังเดินหน้าเปิดโครงการต่อเนื่องอีก ​40 โครงการ มูลค่า 55,940 ล้านบาท   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกที่ผ่านมาว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 39,501 ล้านบาท มาจากสินค้าแนวราบมูลค่า 29,307 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมที่เริ่มกลับมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญมูลค่า 10,194 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 55,940 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการทาวน์โฮม 19 โครงการ มูลค่า 19,550 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 14 โครงการ มูลค่า 24,750 ล้านบาท และคอนโด 3 โครงการ มูลค่า 8,300 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัดอีก 4 โครงการ มูลค่า 3,340 ล้านบาท   ทั้งนี้ ในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ DIVE DEEPER IN PROPERTY BUSINESS ด้วยการทำงานแบบเจาะลึก เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาคอนโด กลุ่มธุรกิจพัฒนาบ้านเดี่ยว และกลุ่มธุรกิจพัฒนาทาวน์โฮม ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งปีที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาด จำนวน 58 โครงการ มูลค่ากว่า 77,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ตลอดครึ่งปีหลังเอพีจะมีโครงการพร้อมขายทั้ง กทม. และต่างจังหวัดมากกว่า 178 โครงการ มูลค่ากว่า 143,367 ล้านบาท ส่วนแผนธุรกิจปี 2566 บริษัทพร้อมเดิมหน้าตามแผน AP INCLUSIVE GROWTH ที่สุดของปีกับการเติบโตร่วมกัน โดยใช้ความชำนาญที่มีมาสร้างโอกาส และข้อได้เปรียบให้เกิดขึ้นในหลากหลายมิติ ภายใต้ปรัชญาที่ต้องการส่งมอบชีวิตดี ๆ ที่ทุกคนเลือกเองได้ ผ่านการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 58 โครงการ มูลค่าประมาณ 77,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 22 โครงการ มูลค่า 34,800 ล้านบาท ทาวน์โฮม 27 โครงการ มูลค่า 26,400 ล้านบาท คอนโด 4 โครงการ มูลค่า 11,800 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 57,500 ล้านบาท   โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโด (100% JV) และธุรกิจอื่น ๆ ได้สูงถึง 11,805 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวม 1,154 ล้านบาท และมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.66 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการสัดส่วนหนี้สินสุทธิในระดับที่ไม่เกิน 1 เท่า   ทั้งนี้ สินค้าทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยว ยังเป็นคีย์ไดรฟ์สำคัญสร้างการสร้างเติบโตด้านรายได้และกำไร ​โดยรายได้ที่เกิดขึ้นมาจากสินค้าแนวราบมีมูลค่า 8,657 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73% ของรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งมีบ้านเดี่ยวแบรนด์ THE CITY เป็นกำลังหลักหนุนสร้างรายได้รวมในกลุ่มแนวราบ   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ เผยผลงานปี 65 ทำรายได้ 49,388 ล้าน พร้อมกวาดกำไรเติบโตกว่า 23%   -เอพี ไทยแลนด์ ขนบ้าน-คอนโด ขายกว่า 1.65 แสนล้าน ลุยตลาดด้วยแผน INCLUSIVE GROWTH
[PR News] PROUD จัดพิธีลงเสาเอก โครงการรมย์คอนแวนต์

[PR News] PROUD จัดพิธีลงเสาเอก โครงการรมย์คอนแวนต์

โครงการรมย์คอนแวนต์ PROUD ได้ฤกษ์มงคล จัดพิธีลงเสาเอก โครงการรมย์คอนแวนต์ คอนโดระดับลักชัวรีใจกลางเมือง มูลค่า 4,150 ล้าน เดินหน้าเปิดไซต์ก่อสร้าง มั่นใจแล้วเสร็จไตรมาส 4/2569 เร่งการขายชูจุดเด่นทำเลศักยภาพใจกลางสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมพื้นที่ส่วนกลางกว่า 1,200 ตร.ม. จัดเต็มบริการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษ MIDYEAR RETREAT เฉพาะกรกฎาคมนี้ รับฟรีที่พัก InterContinental Phuket Resort 3 วัน 2 คืน มูลค่ากว่า 58,000 บาท   บริษัท พราว เรียล เอสเตท หรือ PROUD ได้ฤกษ์มงคล จัดพิธีลงเสาเอก โครงการ รมย์ คอนแวนต์ (ROMM Convent) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ใจกลางเมือง บนทำเลศักยภาพที่หาได้ยากที่สุดแห่งหนึ่งบนถนนคอนแวนต์ -สาทร   ทั้งนี้ หลังเปิดตัวปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2566 มีกระแสตอบรับที่ดี กวาดยอดพรีเซลไปกว่า 40% ถือเป็นความสำเร็จอย่างสูง ขณะนี้ บริษัทได้เดินหน้าเปิดไซต์ก่อสร้างตามแผนงาน มั่นใจก่อสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2569 เตรียมจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ร่วมสัมผัสประสบการณ์การอยู่อาศัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและยืนยาวในทุกมิติ LIVE. WELL. LIFE. เดือนสิงหาคมนี้   โครงการรมย์คอนแวนต์ คอนโดระดับลักชัวรี มูลค่าโครงการรวม 4,150 ล้านบาท  ด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซปต์  CBD Retreat Residences ลักชัวรี่คอนโดที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้อยู่อาศัยที่ต้องการพื้นที่ห้องขนาดใหญ่พิเศษ เพดานสูง โปร่งให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านใจกลางเมือง โครงการมีความตั้งใจขยายไซส์ให้ห้องของทุก Type กว้างกว่าปกติ เพื่อให้อยู่ได้จริงและยาวนานสำหรับอนาคต รูปแบบห้องเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ห้องนอนจนถึง Junior Penthouse และ Penthouse โดยห้องแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 85 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 19 ล้านบาท การออกแบบ Unit Lay out ยังเน้นฟังก์ชั่นการใช้งานได้หลากหลาย และให้ผู้อยู่อาศัยสัมผัสความงดงามของชีวิตผ่านความเชื่อมโยงของพื้นที่ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมรอบโครงการ ให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านใจกลางเมือง แต่ยังคงความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนเพียง 180 ยูนิต และจำนวนห้องต่อชั้นไม่เกิน 8 ห้อง พร้อม The Sky Retreat ส่วนกลางลอยฟ้าวิวสวนลุมพินี 4 ชั้น และ Facilities ครบครันที่ทำให้คุณได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่เหนือคำบรรยาย   โครงการรมย์ คอนแวนต์ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพที่มีการเติบโตมากที่สุดอีกแห่งของกรุงเทพฯ ที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดดในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางครบทุกรูปแบบได้อย่างสะดวกสบาย รายล้อมด้วยสถานที่ต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สำหรับทุกวัยได้ในระยะเดินถึง ทั้งสถานศึกษา ออฟฟิศขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสวนสาธารณะ รวมถึง ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์ โปรเจกต์ยักษ์ใหญ่แลนด์มาร์คระดับโลกอาทิ One Bangkok, Dusit Central Park, Silom Park นอกจากนี้ ยังมีบริการพิเศษ โดยลูกบ้านจะได้รับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม Holistic Wellness Solution ที่ดำเนินการโดยพันธมิตรผู้ให้บริการด้านสุขภาพแนวหน้าของไทย “แอปพลิเคชัน BeDee by BDMS และ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช” ซึ่งลูกบ้านสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ตลอด 24 ชม. ทั้งแบบออนไลน์ ,จุดให้บริการบริเวณพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการ, โรงพยาบาลบีเอ็นเอช และโรงพยาบาลในเครือ ถือเป็นแนวคิดใหม่ของการอยู่อาศัยที่ช่วยในการดูแลสุขภาพทั้งของตัวเองและทุกคนในครอบครัว โดยมีจุดเชื่อมสำคัญในการบริการที่เป็นมากกว่า เจ้าหน้าที่ทั่วไป คือ Proud Health Butler และ Proud Application คอยช่วยเหลือลูกบ้านเรื่องสุขภาพ พร้อมสิทธิพิเศษในการเป็นสมาชิกระดับ VVIP ของ BNH Loyal Heritage Member รับการดูแลเป็นพิเศษจากทีมแพทย์ระดับ A-List พร้อมส่วนลดสูงสุด 20% พร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมายจากทางโรงพยาบาล     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดเหตุผล พราว เรียลเอสเตท บุกตลาดกทม. กับวิธีทางสร้างรายได้ 15,000 ล้าน -พราว เรียลเอสเตท ปั้นโปรเจ็กต์ “เวหา” 2,290 ล้าน ชู 6 ไฮไลท์คอนโดลักชัวรี่สูงสุดในหัวหิน -รีวิว The Lofts สีลม คอนโดพร้อมอยู่บนถนนสีลม ใกล้ BTS พร้อมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
ดี–แลนด์ โชว์ทราฟฟิก 3 ศูนย์รีเทล พุ่ง 1 ล้านคัน  เดินกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง บุกทัวร์สายมู  

ดี–แลนด์ โชว์ทราฟฟิก 3 ศูนย์รีเทล พุ่ง 1 ล้านคัน เดินกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง บุกทัวร์สายมู  

ดี-แลนด์ ดี–แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ เผยทราฟฟิกรถเข้า 3 ศูนย์ค้าปลีก  Porto Chino และ Porto Go 2 สาขา 5 เดือนแรกรวมกว่า 1 ล้านคัน เฉพาะ Porto Go 2 สาขาผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 80% รับอนิสงค์นักท่องเที่ยวไทยเทศเดินทางเพิ่มขึ้น ครึ่งปีหลังลุยกลยุทธ์เพิ่มความหลากหลายให้ทั้ง 3 ศูนย์ ตอบโจทย์ New Norm หลังโควิด รับเทรนด์ท่องเที่ยวขาขึ้น คาดภายในปี 66 ยอดทราฟฟิกโตเพิ่ม 100%     นายสุเทพ ปัญญาสาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี-แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คอมมูนิตี้มอลล์ และจุดพักรถ (Rest Area) เปิดเผยว่า หลังนักท่องเที่ยวไทยเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ​ และกลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดโควิด-19 รวมไปถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทยอยกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนทราฟฟิกของรถที่เข้ามาใช้บริการทั้ง 3 ศูนย์การค้าของบริษัท ได้แก่  Porto Chino, Porto Go สาขา ทบางปะอินและท่าจีน ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 มีจำนวนกว่า 1 ล้านคัน แบ่งเป็น Porto Chino 372,163 คัน Porto Go บางปะอิน 540,355 คัน และ Porto Go ท่าจีน 243,088 คัน โดยเฉพาะที่ Porto Go ทั้ง 2 สาขา มีนักท่องเที่ยวและนักเดินทางทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นกว่า 80% จากช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ทั้งนี้ คาดว่าจำนวนรถและผู้ใช้บริการจะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากทั้ง 3 ศูนย์ตั้งอยู่บนทำเลคุณภาพ ย่านชุมชน และเส้นทางสัญจรหลัก โดย Porto Chino เป็นไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรกและแห่งเดียวบนถนนพระราม 2 ตั้งอยู่บนทำเลที่สำคัญในเชิงการท่องเที่ยว เพราะเป็นเส้นทางไปสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ เช่น หัวหิน ชะอำ เพชรบุรี ฯลฯ และแหล่งรวมด้านไลฟ์สไตล์ของคนในพื้นที่ ถนนพระราม 2 และมหาชัย ในส่วน Porto Go 2 สาขา ก็ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ 2 เส้นทาง แนวถนนไฮเวย์ บางปะอิน ถนนสายเอเชียก่อนถึงตัวเมืองอยุธยา และท่าจีน ถนนพระราม 2 เส้นทางสัญจรหลักในประเทศที่เชื่อมต่อแหล่งท่องเที่ยว มีปริมาณรถและนักท่องเที่ยวสัญจรผ่านจำนวนมาก   จากสัญญาณจำนวนรถและผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวและคนเดินทางกลับเข้าสู่ภาวะปกติและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก ดี–แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ ยังคงเดินหน้าพัฒนาศูนย์ Porto Chino และ Porto Go 2 สาขา อย่างต่อเนื่องเต็มกำลัง โดยในครึ่งปีหลังเตรียมลุยกลยุทธ์เพิ่มความหลากหลายให้ทั้ง 3 ศูนย์ เพื่อตอบโจทย์ New Norm หลังโควิด พร้อม Re-positioning ทั้ง 3 ศูนย์ ได้แก่ Porto Chino มอลล์ที่เป็นเพื่อนที่รู้ใจ ผ่านบริการสะท้อนความห่วงใย เข้าใจความต้องการและเข้าถึงเพื่อนที่มาใช้บริการ อาทิ ร้านค้าที่หลากหลายเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกเพศทุกวัย ความสะดวกในการจอดรถ บริการรถเข็นคนพิการ/สัตว์เลี้ยง ฟรี Wifi และ EV Charger พร้อมทั้งพื้นที่ส่วนกลางสำหรับการพบปะ และกิจกรรมพิเศษ เป็นต้น   ส่วนของ Porto Go 2 สาขา มาในกลยุทธ์ “เพื่อนรู้ใจนักเดินทาง” รับเทรนด์ท่องเที่ยวขาขึ้น ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบจบสำหรับนักเดินทาง อาทิ ห้องน้ำติดแอร์แบบไร้สัมผัส ที่จอดรถกว้างขวาง มีการจัดสรรพื้นที่เฉพาะสำหรับคนพิการ และครอบครัว ตลอดจนมุมถ่ายภาพจุดเช็กอินเอาใจสายโซเชียล พร้อมด้วยบริการที่ปลอดภัย กับพื้นที่ใช้งานปลอดภัย ไฟส่องสว่าง รปภ. ตลอด 24 ชั่วโมง มีกล้องวงจรปิดทั่วถึง เป็นต้น บนกลยุทธ์ธุรกิจที่มุ่งตอบไลฟ์สไตล์นักเดินทางวิถีใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับความสะอาด รวมไปถึงนักเดินทางที่ยังคงรักษาระยะห่างในการใช้บริการสาธารณะ โดยเป็นจุดพักรถที่มีร้านบริการไดร์ฟ-ทรูมากที่สุดในประเทศไทยใน Porto Go 2 สาขา บางปะอิน และท่าจีน ขณะเดียวกัน พบว่านักท่องเที่ยวส่วนมากกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ทางศูนย์จึงมีหน้าร้านที่สามารถนั่งทานได้กว่า 30 ร้านในแต่ละสาขา นอกจากนี้ Porto Go 2 สาขาบางปะอิน และท่าจีน ยังมุ่งขยายกลุ่มเป้าหมาย จากอินไซท์พบว่ามีนักเดินทางจำนวนไม่น้อยที่นิยมเดินทางมาเพื่อไหว้สักการะและขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อส่วนบุคคล จึงเล็งเห็นเป็นโอกาสในการสร้างมาร์เก็ตเซ็กเมนต์ใหม่ จับตลาดทัวร์สายมู เส้นทางบางปะอิน-อยุธยา ที่มีมากกว่า 100 วัดดัง โดยมีทั้งวัดที่สายมูนิยมมากราบไหว้ และวัดที่มีความสวยงามของโบราณสถานและวัตถุโบราณต่าง ๆ อาทิ วัดใหญ่ชัยมงคล วัดพนัญเชิงวรวิหาร วัดหน้าพระเมรุราชิการาม วัดท่าการ้อง เป็นต้น   ด้าน Porto Go สายท่าจีน มุ่งจับตลาดทัวร์สายมูที่นิยมไปกราบไหว้ขอพรวัดดังย่านสมุทรสาคร ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของการมาเที่ยวสมุทรสาคร โดยมีวัดดังที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ อาทิ วัดใหญ่จอมปราสาท วัดเกตุม วัดกาหลง เกจิชื่อดังของตี๋ใหญ่ และแวะไหว้วัดค่ายบางกุ้ง ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปเพื่อขอเลขเด็ด เป็นต้น คาดภายในปี 66 ยอดทราฟฟิกโตเพิ่ม 100% ทั้งจากกลุ่มทัวร์สายมูทั้ง 2 เส้นทาง นักท่องเที่ยวทั่วไป ตลอดจนผู้สัญจรทั่วไป   อย่างไรก็ดี Porto Go สาขาบางปะอิน และ Porto Go สาขาท่าจีน ยังคงเปิดรับผู้เช่าและร้านค้าที่ตอบโจทย์นักเดินทาง เพื่อให้มีร้านค้าเพียงพอต่อการเติบโตของจำนวนนักเดินทางที่เริ่มกลับมามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นการเตรียมพร้อมรับทราฟฟิกช่วงไฮซีซันในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ทั้งนี้ Porto Go มีเป้าหมายที่จะยืนหนึ่งในการเป็นจุดพักรถที่ดีที่สุด และตอบโจทย์นักเดินทางยุคนิวนอร์มอล สู่การนำพาพันธมิตรให้เติบโตไปพร้อม ๆ กัน นายสุเทพกล่าวทิ้งท้าย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ดี-แลนด์ เตรียมเปิดตัว “พอร์โต้ โก ท่าจีน” จุดแวะพักสำหรับนักเดินทางบนถ.พระราม 2
[PR News] ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC

[PR News] ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC

สินเชื่อสีเขียว ธนาคารไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน และสินเชื่อสีเขียว จำนวน 20,000 ล้าน ให้ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป เพื่อพัฒนาโครงการเมกะโปรเจกต์ สานต่อเจตนารมณ์ด้านความยั่งยืนของทั้งสององค์กร   นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้สนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) และสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จำนวน 20,000 ล้านบาท ให้แก่ AWC เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ และการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ AWC อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมของธนาคาร และธุรกิจภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ โดยมีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จากการดำเนินงานภายในปี 2030 และจากการให้สินเชื่อและการลงทุนภายในปี 2050 ธนาคารมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของ AWC และเชื่อมั่นว่าการสนับสนุนทางการเงินจำนวน 20,000 ล้านในครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพทางธุรกิจผ่านการพัฒนาโครงการคุณภาพมากมาย ที่จะสร้างความน่าตื่นเต้นให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ และเพื่อสนับสนุนประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่ยั่งยืนระดับโลก ด้านนางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า AWC มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 เสาหลัก 9 มิติ หรือ 3 BETTERs ประกอบไปด้วย 1.การสร้างคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม (BETTER PLANET) เพื่อโลกที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น 2.การสร้างคุณค่าด้านสังคม (BETTER PEOPLE) เพื่อผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และ 3.การสร้างคุณค่าด้านเศรษฐกิจ (BETTER PROSPERITY) เพื่อเศรษฐกิจของประเทศที่ดีขึ้น   โดยที่ผ่านมา AWC ได้ดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง อาทิ โรงแรม เชอราตัน สมุย ดำเนินโครงการธนาคารปู เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และโรงแรมบันยันทรี กระบี่ ที่ได้ร่วมมือกับมูลนิธิอันดามัน เพื่อนำร่องโครงการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน รวมถึงการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านแนวคิดธุรกิจ reConcept ที่ส่งเสริมการนำเฟอร์นิเจอร์และวัสดุเก่า รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งของโรงแรมที่ไม่ได้ใช้งาน กลับมารีไซเคิลและใช้ซ้ำ เพื่อลดปริมาณขยะฝังกลบ ตลอดจนการลงทุนพัฒนาบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ที่ส่งเสริมการสร้างงานและสร้างรายได้สู่ชุมชนรอบโครงการ และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยท้องถิ่นเพื่อสร้างโอกาสรายได้ที่ยั่งยืนผ่านโครงการ เดอะ GALLERY เป็นต้น   AWC ยังคงดำเนินงานตามแผนแม่บทอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan: EEP) สอดคล้องกับกรอบสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและสินเชื่อสีเขียว เพื่อมุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านโครงการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาหรือชั้นดาดฟ้าของอาคาร การเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพระบบทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศ ครอบคลุมโรงแรมในเครือที่มีการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2019   นอกจากนี้ AWC จะพัฒนาโครงการในเครือตามกรอบเพื่อขอรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวสากล อาทิ มาตรฐาน EDGE LEED หรือ WELL เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและคํานึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด   โดย AWC มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์ให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก (Mega sustainable destination) อาทิ โครงการเอเชียทีค ที่จะสร้างเป็นแลนด์มาร์คความยั่งยืนริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้กับกรุงเทพฯ โครงการอควอทีค กลางเมืองพัทยา และโครงการเวิ้ง นาครเกษม ศูนย์กลางคุณค่าประวัติศาสตร์วัฒนธรรมกลางไชน่า ทาวน์ รวมถึงโครงการลานนาทีค ที่มีคุณค่าของเสน่ห์ศิลปวัฒนธรรมล้านนากลางเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่ง AWC เชื่อมั่นว่าการพัฒนาโครงการต่างๆ ให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านความยั่งยืนระดับโลกนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสานต่อนโยบายและกลยุทธ์หลักของประเทศสู่การเป็นผู้นำการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก   AWC ยังมุ่งพัฒนาอาคารตามมาตรฐานอาคารสีเขียวในระดับสากล อาทิ โรงแรมอินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน EDGE (Excellence in Design for Greater Efficiencies) และโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ได้รับการรับรอง LEED & WELL PRECERTIFIED รวมถึงอีกหลากหลายโครงการ โดยใช้สินเชื่อยั่งยืนแรกที่ได้รับการสนับสนุนจาก SCB เมื่อปีที่แล้ว   โดยปัจจุบัน AWC ได้ร่วมมือกับพันธมิตรสถาบันการเงินชั้นนำจัดวงเงินสินเชื่อระยะยาวที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนกว่า 75% และตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อระยะยาวเชื่อมโยงความยั่งยืนเป็นร้อยละ 100% เพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ การลงนามสัญญาในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ร่วมกันในการดำเนินธุรกิจ โดย AWC จะยังคงดำเนินการตามกลยุทธ์ความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการริเริ่มต่างๆ เพื่อร่วมสร้างคุณค่าในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ภายใต้พันธกิจ สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า  พร้อมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก AWC ดำเนินงานภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมาตรฐานสากลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ การได้รับการประเมินจาก MSCI ESG Rating ในระดับ "AA" ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่รายชื่อหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment (THSI) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ติดอันดับรายงานความยั่งยืน S&P CSA Yearbook 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P Global ESG Score 2022” ได้รับรางวัล “Industry Mover” ในฐานะบริษัทที่มีความยั่งยืนของกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ ได้รับการจัดอันดับรายงานการกำกับดูแลกิจการ ในระดับ “ดีเลิศ” (Excellence CG Scoring) ได้รับการรับรองให้เป็นแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) และได้รับการจัดอันดับในฐานะองค์กรที่มีการกำกับกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในอาเซียนของปี 2564 (ASEAN CG Scorecard)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ -AWC ประกาศ Q1/2566  กำไร 1,422 ล้าน ผลการใช้กลยุทธ์ GROWTH-LED
[PR News] “บันยัน หัวหิน” เปิด Villa Suasana ที่อยู่สไตล์ทันสมัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

[PR News] “บันยัน หัวหิน” เปิด Villa Suasana ที่อยู่สไตล์ทันสมัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

บันยัน หัวหิน ชุมชนใหม่สำหรับคนแอคทีฟสุขภาพดีใกล้ชายหาดหัวหิน แหล่งพักผ่อนยอดนิยมของไทย เชิญคนมีสไตล์ร่วมสัมผัสโครงการที่อยู่อาศัยในคอนเซ็ปต์ใหม่ “Villa Suasana” ในการเปิดตัววิลล่าตัวอย่างที่จะสะท้อนให้เห็นการใช้ชีวิตที่ใกล้ชิดธรรมชาติและความยั่งยืนแบบมีสไตล์   Villa Suasana ออกแบบมาเพื่อคนรุ่นใหม่ คู่รัก และครอบครัวที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ชื่อของโครงการมาจากภาษาบาหลีที่แปลว่า “บรรยากาศ” ตัวโครงการเป็นพูลวิลล่า มีทั้งแบบ 2 ห้องนอน และ 3 ห้องนอน มีพื้นที่ใช้สอยระหว่าง 137-227 ตารางเมตร โปร่ง สว่าง ด้วยแสงธรรมชาติ บริเวณบ้านมีพื้นที่กว้างขวางระหว่าง 435-816 ตารางเมตร   บันยัน หัวหิน ชีวิตทันสมัย ใส่ใจความยั่งยืน วิลล่าแต่ละหลังมีดีไซน์ทันสมัย สื่ออารมณ์สนุกสนาน มีความสมดุลอย่างลงตัวระหว่างความเป็นส่วนตัวและความอบอุ่นผ่อนคลาย ห้องนอนแต่ละห้องอยู่แยกจากกันและมีความเป็นส่วนตัวสูง แต่ทุกห้องเชื่อมต่อกับพื้นที่ส่วนกลางได้อย่างสะดวกสบาย มีเทอเรซกว้างขวางใกล้สระว่ายน้ำส่วนตัว ครัวบนพื้นเล่นระดับ การตกแต่งภายในที่กว้างขวางและสว่าง เพดานสูงช่วยให้รู้สึกโล่งสบาย คอนเซ็ปต์การออกแบบของโครงการ ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเป็นอย่างมาก มีการใช้งานที่เน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม วิลล่าแต่ละหลังของ Villa Suasana ติดตั้งแผงวงจรพลังงานแสงอาทิตย์ ผนังกันความร้อน สระว่ายน้ำที่เป็นน้ำเกลือ น้ำประปากรอง และระบบออโตเมชั่นอัจฉริยะภายในบ้านสำหรับควบคุมระบบไฟส่องสว่าง นอกจากจะเป็นการออกแบบที่เน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ขณะเดียวกันก็เพิ่มมูลค่าสำหรับผู้ที่ต้องการปล่อยเช่า หรือ ขายต่ออีกด้วย วัสดุคุณภาพพรีเมียม Villa Suasana ให้ความสบายใจแก่ผู้เป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ ทั้งตัวบ้านที่สร้างด้วยวัสดุก่อสร้างที่คัดสรรมาอย่างดี ตัวบ้านที่แข็งแรงทนทาน และบริการดูแลรักษาหลังการขาย นอกจากนี้ ในการก่อสร้างยังได้ผู้อำนวยการโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ จากประเทศเนเธอแลนด์ที่มากด้วยประสบการณ์เป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด บันยัน เรสซิเดนซ์ ได้รับรางวัล “โครงการบ้านที่อยู่อาศัยยอดเยี่ยมในหัวหิน” จาก PropertyGuru Thailand Property Awards 2022 ซึ่งตอกย้ำคุณภาพอันโดดเด่นของโครงการฯ คณะกรรมการผู้ตัดสินรางวัลเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยพิจารณาจากการออกแบบที่ทันสมัยของตัววิลล่า ความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อมที่ดี ชุมชนคนแอคทีฟสุขภาพดี Villa Suasana เป็นส่วนหนึ่งของโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ ที่กว้างขวาง และปลอดภัยด้วยรั้วรอบขอบชิด และมีการดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง วิลล่าแต่ละหลังแฝงตัวอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เน้นความเป็นธรรมชาติ มองเห็นทิวเขาสวยงามทั้งสองด้าน สามารถขับรถไปถึงชายหาดสวยงามได้ในไม่กี่นาที และอยู่ไม่ไกลจากบันยัน กอล์ฟ คลับ สนามกอล์ฟระดับโลก ศูนย์กีฬาทรู อารีนา สปอร์ต เซ็นเตอร์ และใจกลางเมืองหัวหิน รวมทั้งยังอยู่ใกล้ศูนย์สุขภาพนานาชาติสำหรับครอบครัวในโครงการบันยัน หัวหินด้วย เทียส ควั๊น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มบันยัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดกว่า 15 ปีที่ผ่านมา บันยันได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ทำให้ทุกคนได้มีบ้านในฝัน บ้านพักตากอากาศ หรือ การลงทุนเพื่ออนาคต เพราะสำหรับเราแล้ว เจ้าของบ้านทุกท่านจะต้องมี “ชีวิตที่ดี” ในชุมชนที่มีคุณภาพ โครงการ Villa Suasana เป็นที่อยู่อาศัยในคอนเซ็ปต์ที่เน้นธรรมชาติ และการใช้ชีวิตแบบยั่งยืน แนวคิดนี้จะผลักดันให้หัวหินเป็นสถานที่สำหรับคนเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนผู้บริหารและนักธุรกิจนักลงทุน” เจ้าของบ้านในโครงการยังจะได้รับสิทธิพิเศษในการออกรอบที่บันยัน กอล์ฟ คลับ และเป็นสมาชิก บันยัน พริวิเลจ คลับ ในราคาพิเศษ รวมทั้งส่วนลดที่ร้านอาหารชั้นนำกว่า 60 แห่ง บีชคลับ ศูนย์กีฬา ศูนย์สุขภาพ และอื่น ๆ อีกมากมายทั่วหัวหิน เทรนด์ใหม่ของการใช้ชีวิต โครงการ Villa Suasana เป็นอีกก้าวหนึ่งที่นำบันยันเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้สร้างเทรนด์ให้กับครอบครัวคนกรุงเทพที่ต้องการใช้เวลาว่างใกล้ชิดธรรมชาติ และผ่อนคลายที่ชายหาดมากขึ้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนในปัจจุบันให้เปลี่ยนไปใช้ชีวิตที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำงานที่บ้านกันให้เป็นเรื่องปกติ และผู้บริหารต่างก็เลือกที่จะเลี่ยงการจราจรวุ่นวาย ซึ่งทำให้เสียเวลามากไปกับการเดินทางในแต่ละวัน โครงการ Villa Suasana อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ขับรถเพียงแค่ 2.5 ชั่วโมง หัวหินเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมของคนกรุงเทพฯ และได้รับความนิยมสูงจากชาวต่างชาติที่ย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่ รวมทั้งยังเป็นเมืองที่น่ารัก มีเสน่ห์แบบไทย ทำให้เป็นที่นิยมมากสำหรับคนไทย โดยเฉพาะหลังจากการระบาดของโควิด เนื่องจากเป็นเมืองที่น่าอยู่ มีคนที่มีไลฟ์สไตล์แบบแอคทีฟและมีสุขภาพดี มีการพัฒนาสาธารณูปโภคต่าง ๆ มากมาย เช่น ทางยกระดับใหม่ รถไฟรางคู่ และสนามบินหัวหิน   โปรโมชั่นฉลองเปิดตัว เพื่อฉลองการเปิดตัวห้องโชว์ของ Villa Suasana บันยันได้เตรียมข้อเสนอพิเศษเฉพาะช่วงเปิดตัวจนถึงวันที่ 31 สิงหาคมนี้ เท่านั้น โดยลูกค้าใหม่จะได้รับสกูตเตอร์ไฟฟ้า Segway Ninebot จำนวน 2 คัน เพื่อการเดินทางรอบโครงการได้อย่างสะดวก โดยใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเตาบาร์บีคิว Ziegler & Brown จากออสเตรเลีย ลูกค้าสามารถเลือกที่จะตกแต่งบ้านได้ตามความต้องการ วิลล่าแบบสแตนดาร์ด มีให้เลือกทั้งแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 137 ตารางเมตร แบบ 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 189 ตารางเมตร โดยทั้งสองแบบมีเทอเรซนอกอาคาร และสระว่ายน้ำส่วนตัว วิลล่าแบบดีลักซ์ ซึ่งมีแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 150 ตารางเมตร และแบบ 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 227 ตารางเมตร โดยทั้งสองแบบมีพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกอาคารกว้างขวาง และมีสระว่ายน้ำส่วนตัว Villa Suasana เปิดตัวในราคาเริ่มต้น 9.9 ล้านบาท – 16.9 ล้านบาท ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  www.banyanthailand.com/residences/villa-suasana หรือ โทร. 032 538 888   บทความน่าสนใจ Viranya บางนา-สุวรรณภูมิ บ้านหรูเพื่อการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ
“ออริจิ้น” เปิดกลยุทธ์บุก ทำเลรถไฟฟ้า 6 สายส่งคอนโด 19,580 ล้าน ทั่วกทม.-ปริมณฑล

“ออริจิ้น” เปิดกลยุทธ์บุก ทำเลรถไฟฟ้า 6 สายส่งคอนโด 19,580 ล้าน ทั่วกทม.-ปริมณฑล

เปิดกลยุทธ์ “ออริจิ้น” บุก ทำเลรถไฟฟ้า 6 สาย ส่งคอนโด 19,580 ล้าน ทั่วกทม.-ปริมณฑล จากแผนเปิดคอนโดทั่วประเทศ 22 โปรเจ็กต์ กว่า 30,000 ล้าน   สานต่อความเป็น “เจ้าตลาดคอนโด” อย่างต่อเนื่อง สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ที่ปีนี้ประกาศแผน “Origin Infinity” เดินหน้าสร้างการเติบโตแบบไม่สิ้นสุด พร้อมแผนเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ทั่วประเทศ  22 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 30,370 ล้านบาท สูงที่สุดของการเปิดคอนโดในตลาดปี 2566 โดยมี นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด เป็นหนึ่งในผู้นำทัพฝั่งคอนโดมิเนียม   แม้กลยุทธ์หลักจะเน้นการยกทัพธุรกิจในเครือให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ (Nationwide Serve) ทำให้ปีนี้จะได้เห็นโครงการคอนโดในเครือออริจิ้น ออกสู่พื้นที่ต่างจังหวัดนอกเหนือเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นครั้งแรก ขณะเดียวกัน ออริจิ้นก็ยังไม่ทิ้งทำเลยุทธ์ศาสตร์ “ใกล้รถไฟฟ้า” ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล อีกหนึ่ง Key Success ที่ทำให้คอนโดของออริจิ้น สามารถครองใจคนเมืองทุกเพศทุกวัย จนมียอดขายคอนโดในไตรมาสแรกของปี 2566 ถึง 9,459 ล้านบาท   “ปีนี้เรามีโครงการคอนโดทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในไปป์ไลน์ทั้งหมด 12 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 19,580 ล้านบาท คิดเป็น 64% ของพอร์ตคอนโดทั้งหมดในเครือ ซึ่งปีนี้เรายังคงบุกทำเลใกล้รถไฟฟ้า 6 สายต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ให้ครอบคลุมหลายสถานีมากยิ่งขึ้น" ปักหลักสายสีเขียว เจาะครบทุกเซ็กเมนต์ บริษัทยังคงยึดฐานที่มั่นตามแนวรถไฟฟ้า “สายสีเขียวอ่อน” โดยส่งแบรนด์คอนโดครอบคลุมแทบทุกเซ็กเมนต์และไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่ระดับ Entry ไปจนถึงระดับ Luxury เริ่มจากย่าน CBD ใกล้สถานีทองหล่อ ซึ่งเป็นย่านที่มีนักธุรกิจและชาวต่างชาติอยู่อาศัยเยอะ จึงส่งแบรนด์ใหม่โครงการแกรนด์ แฮมป์ตัน ทองหล่อ (Grand Hampton Thonglor) แบรนด์คอนโดมิเนียมสุดหรูสไตล์ Hotel Serviced Residence จากเมกะโปรเจกต์ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์ (ORIGIN THONGLOR WORLD) มารองรับดีมานด์กลุ่มนี้ พร้อม IP Program สร้างผลตอบแทนสำหรับนักลงทุน   ขณะที่ย่านคลาสสิกอย่างพระโขนง เป็นอีกทำเลที่มีชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นมาอาศัยอยู่มากขึ้น ทำให้ย่านนี้คึกคัก รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและแหล่งไลฟ์สไตล์มากมาย จึงได้เห็นการกลับมาอีกครั้งของแบรนด์โซโห แบงค็อก (SOHO Bangkok) คอนโดมิเนียมระดับ Luxury ในเครือพาร์ค ลักชัวรี่ ที่มีจุดเด่นตรงทำเลดี ใกล้สถานีพระโขนง จำนวนยูนิตน้อย มอบความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัย พร้อมเซอร์วิสระดับโรงแรม มาเป็นตัวบุกตลาด   ส่วนทำเลถนัดของออริจิ้น อย่าง บางนา-สมุทรปราการ บริษัทเตรียมส่งแบรนด์โซ ออริจิ้น (So Origin) คอนโดระดับ High End ห้อง Duo Space เพดานสูง 4.2 ม. พร้อม Excellent Services ใกล้สถานีแบริ่ง ขณะที่อีกฝั่งของส่วนต่อขยาย เลือกส่ง แบรนด์ออริจิ้น เพลส (Origin Place) คอนโดเจาะตลาด Upper Class ที่ดีไซน์ห้องพัก และส่วนกลางเจาะกลุ่มคนรักสัตว์โดยเฉพาะ บนทำเลดีใกล้สถานีพหลโยธิน 59 บุกสายสีน้ำเงิน-สีแดงต่อเนื่อง หลังประกาศบุกฝั่งธนบุรีในปีที่แล้ว ปีนี้ออริจิ้นยังเดินหน้าพัฒนาโครงการคอนโด  เจาะทำเลตามแนวรถไฟฟ้า “สายสีน้ำเงิน”  ถึง 4 โครงการรวด ไม่ว่าจะเป็นย่านศิริราช อีกหนึ่ง Medical Hub ที่ขึ้นชื่อของกรุงเทพฯ ทั้งยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยเก่าแก่ บริษัทจึงเตรียมส่งแบรนด์โซ ออริจิ้น คอนโดมิเนียมใกล้สถานีไฟฉาย พร้อมบริการเหนือระดับ อำนวยความสะดวกให้กับผู้อยู่อาศัย เจาะกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมทั้งส่งแบรนด์ดิ ออริจิ้น เจาะโซนบางแค และ ออริจิ้น เพลส เจาะสถานีภาษีเจริญตรงข้ามซีคอน บางแค เอาใจผู้บริโภคทั้ง Gen Y Gen Z ที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมย่านฝั่งธนบุรี   ขณะเดียวกัน ออริจิ้นยังเตรียมมาเปิด ดิ ออริจิ้น อีกหนึ่งโครงการที่รถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีบางบำหรุ คาดว่าจะได้เห็นปลายปีนี้ เจาะ Blue Ocean สายสีเหลือง-ชมพู-ส้ม ส่วนทำเล Blue Ocean ตามแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ ที่เตรียมเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ ไม่ว่าจะเป็น “สายสีเหลือง” ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยและมีคอมมูนิตี้มอลล์ แหล่งไลฟ์สไตล์ครบครัน ทำเล “สายสีชมพู” สถานีศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ อีกหนึ่งแหล่งงานขนาดใหญ่ ที่มีข้าราชการและบุคลากรถึง 25,000 คน และรถไฟฟ้า “สายสีส้ม” สถานีน้อมเกล้า ที่สามารถเชื่อมได้ทั้งรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู บริษัทจะใช้ 2 แบรนด์หลัก อย่างออริจิ้น เพลส และออริจิ้น เพลย์ เป็นแบรนด์เรือธงในการบุกตลาด โดยมีทั้ง Duo Space ห้อง 2 ชั้น เพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กับผู้อยู่อาศัย และคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ เจาะกลุ่ม Pet Lover และคนรุ่นใหม่   “แม้จะเป็นเส้นรถไฟฟ้าสายสีเดียวกัน แต่แค่ต่างสถานี ความต้องการของผู้อยู่อาศัยก็ไม่เหมือนกัน ทีมงานออริจิ้นจึงทำการบ้านกันอย่างหนัก นอกจากมองศักยภาพของทำเลแล้ว เราพยายามศึกษาลงลึกเพื่อเข้าถึง Insight และเห็นภาพทุก Journey ของผู้บริโภคในทุกๆ ทำเลว่าคนย่านนี้ทำงานอะไรมีไลฟ์สไตล์แบบไหนต้องการอะไรบ้างในแต่ละวัน เพื่อให้เราออกแบบฟังก์ชันทั้งในห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางได้ตรงใจผู้อยู่อาศัยให้มากที่สุด นี่จึงเป็น Key Success ที่ทำให้คอนโดมิเนียมของออริจิ้น ยังสามารถครองใจผู้บริโภคได้ทุกทำเล”     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ร่วมพันธมิตรออก โทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ ลงทุนแค่ 182 บาท -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ วาง 3 แผนงานสร้างการโตไม่สิ้นสุด จับเมกะเทรนด์ลุยธุรกิจทั่วไทย
[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ รุกพัฒนาองค์กร พร้อมรับเทรนด์ ESG & Sustainable Living

[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ รุกพัฒนาองค์กร พร้อมรับเทรนด์ ESG & Sustainable Living

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มุ่งสร้าง Mindset รักษ์โลกจากภายในองค์กรสู่ภายนอก ผ่านการพัฒนาโครงการและงานออกแบบที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนรากฐานของหลัก ESG และ Sustainable architecture   นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN  เปิดเผยว่า ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางการบริหารงานเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG (Environment-สิ่งแวดล้อม, Social-สังคม และ Governance-ธรรมาภิบาล) ควบคู่ไปกับการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาโครงการบ้านภายใต้แนวคิด Sustainable architecture หรือสถาปัตยกรรมยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างคุณภาพชีวิตและสังคมที่ดีแก่ลูกบ้าน รวมถึงให้ความสำคัญต่อสังคม พนักงาน คู่ค้า และผู้ถือหุ้น ต่อยอดสู่เป้าหมายสูงสุดคือการเป็น National Property Company การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ สู่ตลาด คือสิ่งที่ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยบริษัทฯได้ส่งเสริม Lalin Innovations Idea Award กับเหล่าพนักงานในองค์กร เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมในการคิดค้นและสร้างสรรค์ไอเดียที่จะสามารถช่วยต่อยอดในการทำงาน พร้อมยกระดับให้งานนั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น นอกจากการให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรมแล้ว ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ยังให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางสีเขียว หรือ Green Space ที่ช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีภายในโครงการด้วยเช่นกัน “พื้นที่สีเขียวภายในโครงการที่เปรียบเสมือนปอดของชุมชนจะถูกตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้ที่มีสีสันสดใสมองแล้วสบายตา ทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังได้เพิ่มจุดสันทนาการท่ามกลางสวนสวยเพื่อเพิ่มความสุขในวันหยุดพักผ่อน และเพิ่มความประทับใจในการอยู่อาศัยภายในโครงการ โดยสวนมีการออกแบบให้มีความงดงามในสไตล์โพรวองซ์ (Provence) ซึ่งจำลองมาจากประเทศฝรั่งเศส และประยุกต์ใช้ต้นไม้ที่มีในประเทศไทย    เน้นไม้ยืนต้นที่จะช่วยฟอกอากาศในบริเวณโดยรอบ   บริษัทฯ ยังกำหนดเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมการอยู่ร่วมกันแบบ "ยั่งยืนและมีความสุข" ภายใต้แนวคิด 3Rs ประกอบด้วย Reduce (ลดการใช้)  ลดการใช้น้ำด้วยการใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ 2 ระบบ ช่วยลดการใช้น้ำที่เกินความจำเป็น ลดการใช้ไฟโดยใช้หลอดไฟ LED และนำระบบ Solar Cell มาใช้ในพื้นที่ส่วนกลางเพื่อลดการใช้ไฟฟ้า อีกทั้งยังใช้หลังคาที่มีฉนวนกันความร้อน เพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในคลับเฮาส์ ทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง และประหยัดไฟมากขึ้น ทั้งนี้ยังมีการใช้กระจกเขียวตัดแสงและสีสะท้อนความร้อน ซึ่งจะช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร และช่วยลดค่าไฟฟ้าเกินความจำเป็น Reuse (การใช้ซ้ำ)   ภายในโครงการได้มีการติดตั้งระบบหมุนเวียนน้ำ โดยนำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาใช้ดูแลสวนส่วนกลาง พร้อมมีการตั้งเวลาเปิด-ปิด ในการรดน้ำต้นไม้ เพื่อควบคุมการใช้น้ำให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด และ Recycle (การนำกลับมาใช้ใหม่) มีการใช้วัสดุทดแทนวัสดุธรรมชาติ อาทิ การใช้กระเบื้องลายหินอ่อนที่เป็นหินสังเคราะห์ เพื่อให้ความรู้สึกที่ทดแทนวัสดุที่เป็นหินอ่อนแท้จากธรรมชาติ นายชูรัชฏ์ กล่าวเสริมว่า  ปัจจุบันปัจจัยด้านพลังงานถือเป็นประเด็นหลักที่ทุกคนในสังคมเริ่มให้ความใส่ใจอย่างเต็มที่ ซึ่งบริษัทฯ ได้ตระหนักถึงปัจจัยในด้านดังกล่าวเป็นอย่างดี และได้มีการเลือกสรรวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การปรับมาใช้หลอดไฟแบบ LED  การใช้แผ่นฝ้าสะท้อนความร้อน  ใช้หลังคาที่มีฉนวนกันความร้อนเพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้าน การเลือกสรรสุขภัณฑ์แบบประหยัดน้ำ ที่สำคัญจะพิจารณาเลือกผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวเป็นหลัก เพราะใช้กระบวนการผลิตมีส่วนช่วยลดโลกร้อน และลดการใช้พลังงานต่างๆ   ด้านโครงสร้างมีการออกแบบให้บ้านมีหลังคาที่สูงโปร่ง มีการเพิ่มจุดติดตั้งระบบพัดลมระบายอากาศเพื่อช่วยระบายความร้อนภายในตัวบ้าน   นอกจากนี้ยังออกแบบให้มีช่องแสงที่บริเวณโถงบันได เพื่อให้แสงธรรมชาติสามารถลอดผ่านและกระจายแสงได้อย่างทั่วถึง ช่วยทำให้ลดการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้เป็นอย่างดี  ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้สูงถึง 20-30% นับป็นข้อดีที่ได้ประโยชน์ชัดเจนจากการออกแบบภายใต้แนวคิด Sustainable architecture หรือสถาปัตยกรรมยั่งยืน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางเป้าขาย 8,600 ล้าน โต 10% เน้นธุรกิจทำกำไร-รักษาสภาพคล่อง
ส่องกำลังซื้อ ต่างชาติใน 5 เมืองท่องเที่ยว  ช่วงครึ่งแรกปี 66 ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวแค่ไหน?

ส่องกำลังซื้อ ต่างชาติใน 5 เมืองท่องเที่ยว ช่วงครึ่งแรกปี 66 ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวแค่ไหน?

ต่างชาติ ส่องตลาดที่อยู่อาศัยใน 5 เมืองท่องเที่ยวหลัก ทั้งกทม. เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี​ และโคราช เติบโตแค่ไหน หลังททท.รายงานตัวเลขต่างชาติเข้าไทยแล้วกว่า 6 ล้านคน พบ จีนนำมาอันดับ 1 ตัวเลขกว่า 5 ล้านคน พร้อมลุ้นรัฐบาลใหม่ออกนโยบยกระตุ้นอสังหาฯ สำหรับต่างชาติ   แม้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับปัจจัยบวกทั้งจากกำลังซื้อต่างชาติที่เริ่มกลับมา เห็นได้ชัดหลังจากจีนประกาศเปิดประเทศเมื่อต้นปี ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจต่าง ๆ มีแนวโน้มฟื้นตัวและกลับมาเติบโตอีกครั้ง และภาวะเงินเฟ้อที่ไม่ร้อนแรงเหมือนในปีที่ผ่านมา แต่กำลังซื้อผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่ยังไม่กลับมา มีทั้งปัจจัยท้าทายหลัก ๆ จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และความชัดเจนทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ทำให้กำลังซื้อต่างชาติกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้ 3 เดือนจีนเข้าไทยกว่า 5 ล้านคน ข้อมูลล่าสุดจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 (1 มกราคม – 31 มีนาคม) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยมากกว่า 6 ล้านคน สร้างรายได้ในประเทศมากกว่า 250,000 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนมากเป็นอันดับ 1 ไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน และมีแนวโน้มจะสูงถึง 7-8 ล้านคน   ล่าสุด กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ยังได้ออกกฎกระทรวงซึ่งเอื้อต่อการนำที่อยู่อาศัยมาให้บริการในรูปแบบของโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อหารายได้ โดยได้รับการผ่อนผัน ยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับที่ว่างของอาคาร, ช่องทางเดินในอาคาร, ความกว้างของบันได และระยะถอยร่นแนวอาคาร ฯลฯ แต่ทั้งนี้ อาคารที่จะเปลี่ยนการใช้ดังกล่าวต้องมีความมั่นคงแข็งแรง และมีระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยว   ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัว 3.6% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นและภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 น่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 29.5 ล้านคน และจะมีรายได้จากกลุ่มนี้ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ รวมไปถึงการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์   ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศในไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่า หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศขยายตัว 79.2% ส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 67.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นทิศทางการฟื้นตัวที่ดีในตลาดอสังหาฯ หลังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศ ทำให้ชาวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาทำธุรกรรมและโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในไทยได้ดังเดิม คาด ต่างชาติ ซื้อคอนโดในกรุงเทพฯ 15% อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส คาดว่าในปี 2566 สัดส่วนชาวต่างชาติที่ซื้อห้องชุดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอาจจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 15% ของมูลค่าทั้งหมด หลังจากที่ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2562 มีมูลค่าประมาณ 14.6% ดังนั้น กำลังซื้อชาวต่างชาติจึงอาจไม่ได้มีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ไทยอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้   นอกจากนี้ ผู้พัฒนาอสังหาฯ ยังคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะออกมาตรการกระตุ้นตลาดที่เอื้อให้ชาวต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยในไทยอย่างถูกกฎหมายให้มีมากขึ้น โดยไม่ผ่านตัวแทนหรือนอมินี (Nominee) ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและต้องติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด   ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ www.DDproperty.com และแอปพลิเคชัน DDproperty ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 (เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม - พฤษภาคม 2566) อัปเดตเทรนด์ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในหัวเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, ชลบุรี และนครราชสีมา สะท้อนให้เห็นทิศทางการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ไทย หลังกำลังซื้อต่างชาติกลับมาอีกครั้งหลังจากเปิดประเทศเต็มรูปแบบ กทม.ความต้องการซื้อคอนโดเพิ่ม 6% ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นถึง 13% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) ขณะที่ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 ยังมีทิศทางเติบโตเป็นบวก โดยเพิ่มขึ้น 3% จากเดือนมกราคม   ทั้งนี้ เมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า คอนโดมีทิศทางการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 6% จากเดือนมกราคม ขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ยังทรงตัว   เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัย พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความต้องการซื้อคอนโด และทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 1-3 ล้านบาทมากที่สุด (เพิ่มขึ้น 10% และ 4% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ) ซึ่งสอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มองหาที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ ขณะที่บ้านเดี่ยวระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาทจะได้รับความนิยมมากที่สุด (ลดลง 3% จากเดือนมกราคม)   ในส่วนทำเลยอดนิยมที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในกรุงเทพฯ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 หากเป็นคอนโด จะอยู่ในแขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง ส่วนทำเลยอดนิยมที่ผู้ซื้อบ้านเดี่ยวให้ความสนใจจะอยู่ในแขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง ขณะที่แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวงถือเป็นทำเลที่มีความต้องการซื้อทาวน์เฮ้าส์สูงที่สุด ปัญหาฝุ่น คนซื้อที่อยู่ลดลง 28% เชียงใหม่ เป็นอีกหนึ่งจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นถึง 14% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ​แต่ลดลงถึง 28% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม เนื่องจากปัจจัยลบที่มีอย่างต่อเนื่องของปัญหาฝุ่นควัน รวมถึงตลาดท่องเที่ยวที่เริ่มชะลอตัวลง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระยะสั้นไม่เติบโตเท่าที่ควร และปรับลดลงในทุกประเภทที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวและคอนโด ปรับลดลงมากที่สุดในสัดส่วนเท่ากันที่ 35% จากเดือนมกราคม ตามมาด้วยทาวน์เฮ้าส์ (ลดลง 25% จากเดือนมกราคม)   เมื่อพิจารณาตามระดับราคา พบว่า ระดับราคาที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในทุกประเภทที่อยู่อาศัยคือ 1-3 ล้านบาท โดยแต่ละประเภทมีอัตราการเปลี่ยนแปลง คือ คอนโด เพิ่มขึ้น 6%, ทาวน์เฮ้าส์ ลดลง 28% และบ้านเดี่ยว ลดลง 45% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม   สำหรับทำเลยอดนิยมที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในเชียงใหม่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในตัวเมือง โดยทำเลที่ผู้บริโภคสนใจซื้อคอนโด มากที่สุด คือตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ส่วนทำเลฝั่งทาวน์เฮ้าส์ที่ได้รับความนิยมจะอยู่ในตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมืองเชียงใหม่ ขณะที่ทำเลยอดนิยมของบ้านเดี่ยวจะอยู่ในตำบลสันผักหวาน อำเภอหางดง คนซื้อที่อยู่อาศัยในภูเก็ตลดลง 13% ตลาดที่อยู่อาศัยของภูเก็ตในเดือนพฤษภาคมยังคงทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า เมื่อพิจารณาภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 พบว่า ลดลง 13% จากเดือนมกราคม   โดยคอนโด เป็นที่อยู่อาศัยประเภทเดียวที่มีการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา มีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 10% สวนทางกับที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวที่ลดลงถึง 26% ส่วนทาวน์เฮ้าส์ลดลง 15% จากเดือนมกราคม   เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ได้รับความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่า อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ในทุกประเภทที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโด ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว (เพิ่มขึ้น 7%, ลดลง 4% และลดลงถึง 62% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ)   ขณะที่ทำเลที่มีความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่าความนิยมกระจายไปในพื้นที่อำเภอเมืองภูเก็ตเป็นหลัก โดยทำเลที่ได้รับความนิยมในการซื้อคอนโด อยู่ที่ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต ด้านบ้านเดี่ยวจะได้รับความนิยมในเขตตำบลฉลอง อำเภอเมืองภูเก็ต ส่วนทาวน์เฮ้าส์มีคนสนใจซื้อในตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ตมากที่สุด ชลบุรี ทาวน์เฮ้าส์โต 21% ตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดชลบุรีมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ประกอบกับมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการพัฒนาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมไปถึงการพัฒนาระบบคมนาคมและนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ จึงทำให้ชลบุรีโดดเด่นทั้งด้านท่องเที่ยวและด้านอุตสาหกรรม ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมเติบโต 9% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า   นอกจากนี้ ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังเพิ่มขึ้น 3% จากเดือนมกราคม โดยทาวน์เฮ้าส์ได้รับความสนใจ มีการความต้องการซื้อเพิ่มถึง 21% ตามมาด้วยคอนโด เพิ่มขึ้น 9% โดยมีเพียงบ้านเดี่ยวเท่านั้นที่ความต้องการซื้อลดลง 4%   เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัยที่มีความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่า อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ในทุกประเภทที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโด มีความต้องการซื้อ เพิ่มขึ้น 11%, ทาวน์เฮ้าส์ มีความต้องการซื้อ เพิ่มขึ้น 20% และบ้านเดี่ยว มีความต้องการซื้อ ลดลง 6% จากเดือนมกราคม   สำหรับทำเลยอดนิยมในชลบุรีนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่อำเภอศรีราชา และอำเภอบางละมุง ที่เป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของ EEC จึงทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยบ้านเดี่ยวจะได้รับความต้องการซื้อมากที่สุดในตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา ทาวน์เฮ้าส์จะเป็นที่นิยมในตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา ขณะที่ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุงจะเป็นทำเลยอดนิยมในการซื้อคอนโด ที่อยู่อาศัย จ.นครราชสีมา ลดลง 27% นครราชสีมามีศักยภาพในการเป็นเมืองศูนย์กลาง ของระบบการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ที่สำคัญในอนาคต  โดยมีโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา หรือมอเตอร์เวย์ (M6) รวมทั้งแผนพัฒนารถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และท่าเรือบกในอนาคต   แม้ว่าจะมีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองยังต้องพึ่งพาความชัดเจนจากความคืบหน้าของโครงการคมนาคมต่าง ๆ ด้วย ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมายังทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า   ขณะที่ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 นั้นลดลง 27% จากเดือนมกราคม และปรับตัวลดลงในทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยทาวน์เฮ้าส์ลดลงมากที่สุดถึง 55% จากเดือนมกราคม ตามมาด้วยบ้านเดี่ยว ลดลง 28% และคอนโด ลดลง 11% จากเดือนมกราคม   โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ได้รับความสนใจมากที่สุด พบว่า คอนโด อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ลดลง 19% จากเดือนมกราคม  และทาวน์เฮ้าส์ ลดลง 46% จากเดือนมกราคม สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อผู้บริโภคที่ส่วนใหญ่ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ มากกว่าเน้นความหรูหราแบบบ้านพักตากอากาศ ส่วนบ้านเดี่ยวอยู่ในระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท ลดลง 45% จากเดือนมกราคม   ด้านทำเลที่อยู่อาศัยยอดนิยมนั้น อำเภอปากช่องยังคงเป็นทำเลยอดนิยมที่ผู้คนให้ความสนใจค้นหาที่อยู่อาศัยมากที่สุด โดยทำเลที่มีความต้องการซื้อคอนโด และบ้านเดี่ยวมากที่สุดอยู่ในตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง ซึ่งเป็นเส้นทางขึ้นไปยังอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์จะได้รับความนิยมซื้อในพื้นที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา   ทั้งหมดก็เป็นภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยในเมืองท่องเที่ยวช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ในกลุ่มชาวต่างชาติ ที่เป็นความหวังและเป็นกำลังซื้อสำคัญว่าจะเข้ามาช่วยทำให้ตลาดอสังหาฯ เติบโต แต่จะสามารถสร้างการเติบโตได้มากน้อยแค่ไหน คงต้องมีปัจจัยสนับสนุนจากภาครัฐด้วย ซึ่งต้องรอดูทิศทางรัฐบาลใหม่อีกครั้งต่อไป     *อ้างอิงจากข้อมูลของ SimilarWeb ช่วงระหว่าง ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566 1 อ้างอิงจากข้อมูลจาก SimilarWeb ช่วงระหว่าง ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566 2 อ้างอิงจากข้อมูลจาก Google Analytics ช่วงระหว่าง ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566 3 ข้อมูลระหว่าง ม.ค. - มี.ค. 2566 4 ข้อมูลระหว่าง ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566  
[PR News] เพอร์เฟค เปิดตัว “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์”

[PR News] เพอร์เฟค เปิดตัว “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์”

เพอร์เฟค พาร์ค พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิด “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์ โครงการใหม่ ดีไซน์ใหม่ในสไตล์ยุโรป Modern Classic สเปซใหญ่ ฟังก์ชั่นใหม่ รองรับชีวิตเมืองบนทำเลถนนหอการค้าไทยเดินทางสะดวก 5 นาทีถึงถนนแจ้งวัฒนะ ราคาเริ่ม 5.29 ล้านบาท   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดโครงการใหม่ เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ ภายใต้แนวคิด “Urban Life & Dream Ville” ชีวิตในเมืองที่เมืองในฝัน เน้นตอบโจทย์การเป็นบ้านหลังแรกของกลุ่มวัยเริ่มทำงานและครอบครัวรุ่นใหม่ในโซนแจ้งวัฒนะและราชพฤกษ์ พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิตเมืองให้สะดวกสบายครบทุกความต้องการ   โครงการเพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ มีมูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท พื้นที่โครงการ 37 ไร่ จำนวน 204 ยูนิต โดยปรับเปลี่ยนสไตล์ใหม่หมดทั้งภายนอกและภายในให้เป็นแบบบ้านใหม่สไตล์ Modern Classic เน้นความหรูหราแบบยุโรปผสานกับความโมเดิร์นที่มีเอกลักษณ์สะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี และยังเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กว้างมากขึ้น เริ่มต้นที่ 134-173 ตร.ม. รวมทั้งออกแบบฟังก์ชั่นใหม่ให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน Lifestyle Connecting Area เชื่อมต่อพื้นที่ภายในบ้านรวมถึงพื้นที่สีเขียว Lifestyle Flexi Function เพิ่มห้องนอนที่ 4 ชั้นล่างรองรับการเป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุได้ Lifestyle Kitchen Studio ครัวขนาดใหญ่ Lifestyle Innovation Smart Airflow นวัตกรรมระบบระบายอากาศกรองฝุ่น PM2.5 ช่วยลดอุณหภูมิและความอับชื้นเพิ่มคุณภาพอากาศที่ดีให้แก่ผู้อยู่อาศัย ภายในโครงการพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งคลับเฮ้าส์ ฟิตเนส ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำสไตล์บีช Co-Working space สำหรับทำงานหรืออ่านหนังสือ Dream Park สวนสวยที่มี The Pavilion of Dreams เพื่อการพักผ่อน Dream Playground สนามเด็กเล่นเพื่อช่วงเวลาของครอบครัว และ Jogging Track ลู่วิ่งออกกำลังกลางแจ้งรอบสวน   สำหรับโครงการดังกล่าว​ตั้งอยู่บนถนนหอการค้าไทย ทำเลแห่งการอยู่อาศัย ซึ่งบริษัทยังมีการพัฒนาโครงการบนทำเลดังกล่าวแล้วถึง 6  โครงการ ตอกย้ำถึงความนิยมในทำเลแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ยังใกล้ รร.นานาชาติ SISB นนทบุรี ใช้เวลาเดินทางเพียง 5 นาทีถึงถนนแจ้งวัฒนะ สะดวกด้วยสะพานพระราม 4 สู่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ท่าอากาศยานดอนเมือง และเมืองทองธานี ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนขั้นที่ 2 แจ้งวัฒนะ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพูที่มีกำหนดจะเปิดให้บริการเดือน มิ.ย.67 และที่สำคัญยังเชื่อมต่อกับถนนราชพฤกษ์ที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ โรบินสัน ราชพฤกษ์, โลตัส นอร์ธ ราชพฤกษ์, อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ทำให้โครงการอยู่ในทำเลศักยภาพมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โครงการเพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ เปิดให้จอง Pre-Sale ในวันที่ 1-2 ก.ค. นี้ พร้อมให้เลือกบ้านแปลงสวยและรับสิทธิพิเศษเฉพาะวันงานเท่านั้น ในราคาเริ่มต้น 5.29 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน
LWS วิสดอม  ชี้ “ราชพฤกษ์” แหล่งบ้านขายดีราคา 5.5-6 ล้าน  ได้ระบบคมนาคมหนุน ทั้งถนน-รถไฟฟ้า-ทางด่วน

LWS วิสดอม ชี้ “ราชพฤกษ์” แหล่งบ้านขายดีราคา 5.5-6 ล้าน ได้ระบบคมนาคมหนุน ทั้งถนน-รถไฟฟ้า-ทางด่วน

LWS วิสดอม เผยผลสำรวจ ​ทำเล “ราชพฤกษ์” แหล่งรวมบ้านขายดีระดับราคา 5.5-6 ล้าน ได้แรงหนุนจากโครงข่ายคมนาคม ทั้งถนน รถไฟฟ้า ทางด่วน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบ   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ LWS บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการสำรวจของของฝ่ายวิจัยอสังหาริมทรัพย์ LWS พบทำเล “ราชพฤกษ์” เป็นทำเลน่าสนใจสำหรับการหาที่อยู่อาศัยแนวราบ เนื่องจากมีการพัฒนาโครงข่ายการคมนาคม เส้นถนนหลักได้แก่ถนนราชพฤกษ์-กาญจนาภิเษก ความยาว 42 กิโลเมตร ถนนชัยพฤกษ์ ทางหลวง 345 และทางหลวง 346 ที่ตัดผ่าน 3 พื้นที่ ได้แก่ ราชพฤกษ์ตอนปลาย เชื่อมต่อจังหวัดปทุมธานี ราชพฤกษ์ตอนกลาง ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และเชื่อมต่อไปยังราชพฤกษ์ตอนต้น เข้าสู่เขตติดต่อกรุงเทพฯและใจกลางเมือง สาธร-สีลม ได้อย่างสะดวกสบาย หรือการเลือกใช้ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก เพื่อเลี่ยงการจราจรติดขัดได้   ในขณะที่เส้นทางรถไฟฟ้าที่มีรองรับในย่านราชพฤกษ์ 4 เส้นทาง ได้แก่เส้นทางสายสีเขียว ช่วงต้นทางของเส้นราชพฤกษ์ ช่วงสถานีบางหว้า เส้นทางสายสีน้ำเงินที่เชื่อมต่อกับสถานีบางหว้า ต่อขยายกับสถานีช่วงหัวลำโพง-บางแค และตัดกับเส้นถนนราชพฤกษ์ มีสายรถไฟฟ้าสำคัญได้แก่ MRT สายสีม่วง ช่วงระหว่างบางซื่อ-ท่าพระ สิ้นสุดสถานีที่คลองบางไผ่ เป็นรถไฟฟ้าสายที่อำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ที่อยู่อาศัยในย่านนี้ และยังเป็นเส้นที่ผ่านสถานที่สำคัญหลายที่ อาทิ ศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี กระทรวงสาธารณะสุข หรือต่อไปยังสายสีน้ำเงินเพื่อเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมกับ สายสีแดงอ่อน ที่เป็นรถไฟฟ้าชานเมืองที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม จากสถานีบางซื่อมายังสถานีบางซ่อน และมีส่วนต่อขยายไปยังพื้นที่ศาลายาได้   เมื่อดูจากเส้นทางการเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสายสีม่วงแล้ว ทำเลโซน “ราชพฤกษ์” เป็นทำเลยุทธศาสตร์ของเขตปริมณฑลฝั่งตะวันตก เพราะเป็นทำเลที่มีถนนที่เชื่อมต่อกับถนนสายหลักและสาย และสะดวกการเชื่อมต่อเมืองด้วยรถไฟฟ้าสายม่วงตลอดสาย เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกความต้องการ ทำให้การเดินทางที่สะดวกอยู่แล้วยิ่งสะดวกมากกว่าเดิม   นอกจากการเดินทางที่สะดวกสบายแล้ว ย่านราชพฤกษ์ ยังเป็นย่านที่ประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และรวมทั้งสถานบันเทิงที่ตอบโจทย์กับทุกรูปแบบการใช้ชีวิตในเมือง(Lifestyle)  ประกอบด้วย ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เซ็นทรัล เวสต์เกต, อิเกีย บางใหญ่,เดอะ เซอร์เคิล ,เดอะ คริสตัล เอสบี ,เดอะ วอร์ค และ เทสโก โลตัส เป็นต้น รวมถึงในแง่ lifestyle อย่างร้านอาหารและคาเฟ่จำนวนมากอย่าง Chic Republic  บนถนนราชพฤกษ์ตลอดเส้นทาง และแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่น่าสนใจ เช่น เกาะเกร็ด และวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ (วัดเล่งเน่ยยี่ 2)   ในขณะเดียวกันทำเลราชพฤกษ์ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการศึกษา และการสาธารณสุข ใกล้ โรงเรียนนานาชาติ, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศน์, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ International ,และ โรงพยาบาลพญาไท 3 ราชพฤกษ์ บ้านขายดีราคา 5.5-6 ล้าน จากการสำรวจพบว่า มี โครงการบ้านพักอาศัย ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทที่น่าสนใจในทำเลรอบพื้นที่ศึกษาบริเวณราชพฤกษ์ตอนกลาง มีจำนวนทั้งหมด 7 โครงการ จำนวน 616 หน่วย ราคาขายเริ่มต้นที่ 5.5 ล้านบาท ขายไปแล้วทั้งสิ้น 166 หน่วยคิดเป็นสัดส่วน 27% ของจำนวนที่เปิดขายทั้งหมด โดยมีอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 2 หน่วยต่อเดือนต่อโครงการ จากจำนวนหน่วยที่เหลือคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการขายไม่เกิน 2.5 ปี   ในส่วนของราคาที่ขายดีมีราคาอยู่ที่ 5.5 ล้านบาทและ ไม่เกิน 6 ล้านบาท รูปแบบของบ้านที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 คือ บ้านแฝด ขนาดของที่ดินอยู่ที่ 37 ตร.ว. อันดับ 2 คือ บ้านเดี่ยว ขนาดที่ดินอยู่ที่ 60 ตร.ว. รูปแบบบ้านที่ขายดีคือ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และมีห้องอเนกประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้อยู่อาศัยผู้ให้ความสนใจโครงการที่อยู่อาศัยอยู่ในกลุ่มคนทำงานที่ต้องการบ้านพักอาศัยติดรถไฟฟ้าที่สามารถเชื่อมต่อไปยังใจกลางเมืองได้ และกลุ่มผู้ทำงานอาชีพอิสระที่ต้องการบ้านที่สามารถทำงานที่บ้านได้   ในขณะที่การสำรวจตลาดบ้านมือสองในทำเล พบว่า มีราคาต่ำลงจากช่วงตอนเปิดตัวโครงการ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนติดลบเฉลี่ยที่ 0.63% เนื่องจากมีโครงการที่อยู่อาศัยพัฒนาใหม่จำนวนมากและมีระดับราคาไม่แตกต่างกัน ทำให้ผู้ซื้อมีแนวโน้มเลือกซื้อโครงการเปิดตัวใหม่ โดยบ้านมือสองที่ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นประเภทบ้านเดี่ยว ขนาดที่ดินเริ่มต้น 51 ตร.ว. รูปแบบมาตรฐาน 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ อัตราเช่าเฉลี่ยในทำเลที่ 10% โดยทำเลราชพฤกษ์ เป็นทำเลที่มีประชากรในพื้นที่เกือบ 600,000 คน เป็นประชากรในพื้นที่ประมาณ 415,000 คน และมีประชากรแฝงประมาณ 150,000 คน และเป็นกลุ่มประชากรที่มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 50,000-200,000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีกำลังซื้อสูง โดยเป็นกลุ่มคนที่ทำงานในบริษัทและเจ้าของกิจการ  จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านพักอาศัยทั้งทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว ที่ระดับราคาไม่เกิน 5-10 ล้านบาท   สำหรับทำเลราชพฤกษ์ เป็นทำเลที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว  ทั้งการคมนาคม ศูนย์การค้า และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างครบครัน จึงเป็นทำเลที่ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อโดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นคนทำงานที่ต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบที่สามารถเชื่อมต่อไปยังกลางเมืองได้ ในขณะที่ระดับราคาบ้านพักอาศัยที่น่าสนใจในทำเลนี้ยังตอบรับกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จะเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โดยเน้นการพัฒนาที่ตอบรับการอยู่อาศัยในแบบ Next Normal ทั้งการทำงานที่บ้านได้ และนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้ในการอยู่อาศัยในอนาคต        อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19
พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น ต่อยอด Super Living Service เข้าถือหุ้น โปรเจคส์เอเชีย

พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น ต่อยอด Super Living Service เข้าถือหุ้น โปรเจคส์เอเชีย

พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น เร่งขยายอาณาจักร Super Living Service ส่งบริษัทย่อย “ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์” เข้าถือหุ้น “โปรเจคส์เอเชีย” บิ๊กที่ปรึกษาทางวิศวกรรม และจัดการงานพัฒนาอสังหาฯครบวงจร หวังเสริมแกร่งธุรกิจบริหารงานก่อสร้าง เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ขยายฐานลูกค้าสู่การคุมงานโรงแรม ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ อาคารสำนักงานเกรด A พร้อมรับรู้รายได้ทันทีจากธุรกิจในมือ ดันธุรกิจโตแบบก้าวกระโดดและยั่งยืน   นางสาวจตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด “Super Living Service” ทั้งกลุ่มต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ได้ดำเนินการให้ บริษัท ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์ จำกัด หรือ UPM บริษัทในเครือ ซึ่งให้บริการบริหารงานก่อสร้างโครงการ เข้าซื้อกิจการ บริษัท โปรเจคส์เอเชีย จำกัด ธุรกิจที่ปรึกษาทางวิศวกรรม รวมถึงงานบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเคยมีผลงานดูแลงานขนาดใหญ่ระดับประเทศทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า อาทิ 185 ราชดำริ, โรงแรมดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ, โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัล ลาดพร้าว, อาคารปาร์ค เวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์, อาคาร FYI Center, ไอคอนสยาม   การที่โปรเจคส์เอเชีย จะเข้ามาช่วยเติมฐานธุรกิจในกลุ่มต้นน้ำของเครือ PRI ใน 2 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการขยายฐานลูกค้า ช่วยให้ UPM เข้าถึงฐานลูกค้ารายใหญ่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น โรงแรม อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้าได้มากขึ้น จากเดิมที่บริษัทมีฐานอยู่ในฝั่งที่อยู่อาศัยเป็นหลัก และ 2.ด้านองค์ความรู้และบุคลากร ช่วยให้บริษัทได้รับองค์ความรู้ ตลอดจนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เข้ามาร่วมงานเพิ่มเติมทันที ด้านผศ.ดร.อรุณ ศิริจานุสรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ UPM ผู้ให้บริการบริหารงานก่อสร้างโครงการ ในเครือ PRI กล่าวว่า บริษัทฯ ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจต้นน้ำ - บริการก่อนเข้าอยู่อาศัย (Pre-Living Services) ที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในปี 2565 เมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจอื่นของ PRI โดยมีอัตราการเติบโตถึง 3 เท่าจากปี 2564 ทำให้บริษัทมองหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อให้สามารถเสริมแกร่งการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง   สำหรับการเข้าถือหุ้นครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขยายธุรกิจด้านที่ปรึกษาทางวิศวกรรม รวมถึงบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ รองรับลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ด้วยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของโปรเจคส์เอเชีย จะทำให้เราสามารถรับรู้รายได้จากการให้บริการได้ทันที ช่วยผลักดันให้บริษัทก้าวสู่การเป็น Super Living Service ที่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ขณะที่นายไบรอัน จอห์น ซิมมอนด์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริษัท โปรเจคส์เอเชีย จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีความยินดีและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งกับการได้ร่วมธุรกิจกันในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยที่นำความแข็งแกร่งด้านงานที่ปรึกษาทางวิศวกรรม รวมถึงงานบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการของบริษัท มาผนวกรวมกับความโดดเด่นด้านงานบริการออกแบบสถาปัตยกรรม ของ UPM เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต เพราะธุรกิจกลุ่มต้นน้ำเป็นกลุ่มธุรกิจที่ต้องการผู้ที่มีประสบการณ์และความชำนาญอย่างแท้จริง จากประสบการณ์อันยาวนานกว่า 33 ปีของโปรเจคส์เอเชีย ในธุรกิจที่ปรึกษา รวมถึงบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ระดับประเทศมากมาย จึงเชื่อมั่นได้ว่าบริษัทจะสามารถเป็นอีกหนึ่งพลังขับเคลื่อนให้ UPM และ PRI เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน สำหรับ PRI เป็นผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรชั้นนำของประเทศ มีประสบการณ์กว่า 11 ปี ปัจจุบัน ดำเนินธุรกิจภายใต้ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ – บริการก่อนเข้าอยู่อาศัย (Pre-Living Services) อาทิ บริการที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง บริการออกแบบด้านสถาปัตยกรรม งานโครงสร้าง งานโยธา และงานระบบ บริการจัดฝึกอบรมและพัฒนาทักษะบุคลากร 2.กลุ่มกลางน้ำ – บริการการจัดการเพื่อการอยู่อาศัย (Living Services) อาทิ บริการบริหารนิติบุคคลอาคารชุด บ้านจัดสรร ห้างสรรพสินค้า อาคาร และสำนักงาน บริการอพาร์ตเมนท์แบบพรีเมียม บริการซื้อ-ขาย-ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร และ 3.กลุ่มปลายน้ำ - บริการหลังการขายที่อยู่อาศัย (Living & Earning Services) อาทิ บริการแม่บ้านและช่าง บริการออกแบบและตกแต่งภายใน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พรีโม ขาย IPO หุ้นละ 15 บาท 80 ล้านหุ้น วางเป้า Top 3 บริการด้านอสังหาฯ ​ -พรีโม เตรียม IPO ในปลายปีนี้ วางเป้าขึ้น Top3 ด้านบริการอสังหาฯ ​ครบวงจร
How to วางแผนการเงิน อย่างไร ให้กู้ซื้อบ้านหลังแรก ได้ตามความต้องการ​

How to วางแผนการเงิน อย่างไร ให้กู้ซื้อบ้านหลังแรก ได้ตามความต้องการ​

วางแผนการเงิน การวางแผนการเงิน เพื่อซื้อบ้านสักหลัง หรือคอนโดมิเนียมสักห้อง สำคัญพอ ๆ กับการหาข้อมูลบ้านและตัดสินใจว่าจะซื้อที่ไหน เพราะการจะได้ที่อยู่อาศัยตามที่เราต้องการ เราก็ต้องมีกำลังทรัพย์เพียงพอด้วย ซึ่งหากเราไม่ได้มีเงินก้อนสะสมที่เตรียมไว้ซื้อบ้านด้วยเงินสด เราคงต้องกู้เงินจากธนาคารและผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ไป แต่การจะกู้เงินได้เราคงต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารด้วย   วันนี้ Reviewyourliving มีเคล็ดลับ การวางแผนการเงิน สำหรับคนที่กำลังตั้งเป้าหมายว่าต้องการจะซื้อบ้านสักหลัง เพื่อใช้อยู่กับครอบครัวหรือคนที่เรารัก ลองมาดูกันว่า วิธีการเตรียมความพร้อมด้านการเงินมีเรื่องอะไรบ้าง 5 วิธี วางแผนการเงิน กู้ซื้อบ้าน 1.เช็คเครดิตบูโร เริ่มต้นเราคงต้องมาตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองก่อน โดยการเช็คเครดิตบูโร เพื่อดูว่าเรามีหนี้อยู่เท่าไร การผ่อนชำระที่ผ่านมาเป็นอย่างไร จ่ายตรงหรือจ่ายล่าช้าหรือไม่ เพราะพฤติกรรมการชำระหนี้ในอดีต จะเป็นตัวชี้วัดว่าเรามีคุณสมบัติเป็นลูกหนี้ที่ดีแค่ไหน ซึ่งบางทีเราก็อาจจะจำไม่ได้ว่าเรามีพฤติกรรมการจ่ายหนี้เป็นอย่างไร การเช็คเครดิตบูโร จึงควรทำก่อนเพื่อประเมินคุณสมบัติตัวเอง หรือบางคนอาจจะเคยติดเครดิตบูโรมาก่อน ก็จะได้รู้ว่าปัจจุบันเราหลุดจากการติดแบล็คลิสต์แล้วหรือยัง จะได้แก้ไขปัญหาเรื่องนี้ก่อนจะไปกู้ซื้อบ้าน ส่วนสถานที่เช็คเครดิตบูโร เราทำบทความเอาไว้ให้แล้ว ลองตามไปอ่านดูกันได้ กับ รวมแหล่งตรวจเครดิตบูโร เช็คความพร้อมก่อนสร้างหนี้ ​ 2.ประเมินความสามารถในการผ่อน-กู้ หากเราเป็นลูกหนี้ชั้นดี ไม่ได้ติดแบล็คลิสต์ ขั้นตอนต่อมาคงต้องประเมินความสามารถของตัวเอง ว่าปัจจุบันรายได้ที่มีอยู่ เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งหนี้สินและค่าใช้จ่ายประจำเดือนไปแล้ว เราเหลือเงินมากน้อยแค่ไหน จะสามารถกู้เงินได้เป็นจำนวนเท่าไร ซึ่งสูตรในการคิดคร่าว ๆ ก็มีประมาณนี้ คือ   เงินผ่อนต่อเดือน คิดจาก รายได้ หักค่าใช้จ่าย หัก 40% ของรายได้ต่อเดือนรวม เช่น มีรายได้ 20,000 บาท มีค่าใช้จ่าย 5,000 บาท จะสามารถผ่อนได้ = (20,000-5,000)-40%= 9,000 บาท ส่วนวงเงินกู้ที่คาดว่าจะกู้ได้สูงสุด จะเอาเงินผ่อนต่อเดือน คูณ 150 เช่น 9,000 x 150 = 1.35 ล้านบาท  จะเป็นวงเงินที่ธนาคารน่าจะปล่อยให้กับเราในการกู้ซื้อบ้าน หรือคอนโดได้ 3.เคลียร์หนี้ถ้ามีหนี้อยู่ กรณีที่คำนวณคร่าว ๆ แล้ว วงเงินกู้ที่ได้ ยังไม่เพียงพอต่อราคาบ้านหรือคอนโด ที่เราจะซื้อ สิ่งที่ต้องทำ ก็คือ การลดหนี้ที่มีอยู่ หรือทำได้ต้องเครียหนี้ให้เหลือน้อยที่สุด บัตรเครดิตไหนปิดบัญชีได้ต้องปิดบัญชี หรือมีหนี้สินที่เป็นชื่อของเราในระบบการเงินไว้ ต้องปิดบัญชีให้หมดเท่าที่จะทำได้ 4.สร้างเครดิตการเงิน​ด้วย เช่น สเตทเมนท์ธนาคาร, จ่ายหนี้ตรงเวลา ถ้าเรายังไม่สามารถปิดหนี้ที่มีอยู่ตามข้อ 3 ได้ เราจำเป็นต้องสร้างเครดิตของตัวเองไปสักระยะหนึ่ง เพื่อให้ธนาคารเห็นวินัยทางการเงินของเราว่าเราจ่ายหนี้ตรงเวลา ซึ่งความจริงแล้วการสร้างเครดิตทางการเงินนี้ ควรจะทำเป็นนิสัยตั้งแต่ก่อนหน้ามาแล้ว หรือหากใครที่ทำอาชีพอิสระ หรือเป็นพ่อค้าแม่ค้า สิ่งที่ต้องทำเพื่อสร้างเครดิตทางการเงิน คือ การเดินบัญชีธนาคารอย่างสม่ำเสมอ ทำสเตทเมนท์ธนาคารให้ดูมีเครดิต ว่าเรามีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นสภาพคล่อง รายได้ และความสามารถในการบริหารเงินของเรา ควรมีสเตทเมนท์ธนาคารไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ยิ่งนานยิ่งสร้างเครดิตได้ดี 5.วางแผนเก็บเงินออม​ ​ นอกจากสร้างเครดิตต่าง ๆ ทางด้านการเงินไปแล้ว การวางแผนเก็บออมก็จะทำให้ฝันของคนมีบ้านเป็นจริงมากขึ้น เพราะการซื้อบ้านไม่ใช่แค่เงินดาวน์บ้านก้อนแรกเท่านั้น ยังมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย เราได้ทำบทความ ....​สามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมได้   ดังนั้น หากคิดจะซื้อบ้านหรือคอนโด จึงต้องเริ่มต้นเก็บเงินออมสักก่อนหนึ่งไว้ อย่างน้อยที่สุด คือ ไม่ต่ำกว่า 20% ของราคาบ้านที่จะซื้อ ส่วนวิธีการเก็บเงินออม แล้วแต่เทคนิคและวิธีการของแต่ละคนที่สะดวก แต่หัวใจสำคัญของการออม คือ เมื่อมีรายได้ให้แบ่งเงินออมออกมาก่อนเป็นก้อนแรก ไม่ใช่รอให้เงินเหลือก่อนค่อยออมเงิน​   ทั้งหมด ก็เป็นแนวทางการวางแผนการเงิน กู้ซื้อบ้านหลังแรก สำหรับคนที่มีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลัง หรือคอนโดสักห้อง เชื่อว่าหากทำตามแนวทางนี้ ไม่นานความฝันที่ต้องการเป็นจริงแน่นอน   ที่มา-ธอส.,ดีดีพร็อพเพอร์ตี้, moneybuffalo   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -3 วิธีซื้อคอนโด หลังแรก และ เทคนิคเก็บเงิน สำหรับเด็กจบใหม่ -7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล
4 ประโยชน์อยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ ลดโรค-ลดเครียด-เสริมพัฒนาการ-เพิ่มมูลค่า

4 ประโยชน์อยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ ลดโรค-ลดเครียด-เสริมพัฒนาการ-เพิ่มมูลค่า

บ้านใกล้ธรรมชาติ การอยู่ บ้านใกล้ธรรมชาติ ให้ประโยชน์มากกว่าที่คิด อย่างน้อย 4 เรื่อง ทั้งลดเสี่ยงโรคร้าย เพิ่มความสุข ลดความเครียด ส่งเสริมพัฒนาการทุกเพศวัย และเพิ่มมูลค่าการลงทุน   การอยู่อาศัยในเมืองหลวง อย่างกรุงเทพฯ ทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ต้องเจอปัญหาสารพัด ทั้งรถติด ค่าครองชีพพุ่งสูง หรือแม้แต่ปัญหามลพิษสารพัดรูปแบบ แต่ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนส่วนใหญ่ และคนก็กังวลใจมาก ก็คือ ปัญหามลพิษจากฝุ่น PM2.5  เพราะนับวันก็รุ่นแรงเพิ่มมากขึ้น   แนวทางที่พอช่วยบรรเทาปัญหามลพิษจากฝุ่นได้ นอกจากการลดสาเหตุของการเกิดฝุ่นควันต่าง ๆ แล้ว การปลูกต้นไม้ให้มากขึ้น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ก็ช่วยบรราเทามลพิษทางอากาศได้ดี ทำให้คนส่วนใหญ่นิยมปลูกต้นไม้ไว้ในบ้าน หรือรอบ ๆ บ้าน เพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างอากาศบริสุทธิ์  พื้นที่สีเขียว จึงถือเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่คนเลือกอยู่อาศัยคำนึงถึง หากโครงการไหนมีพื้นที่สีเขียวมาก ๆ หรือมีจุดขายที่มีวิวหรืออยู่ติดกับโครงการสวนสาธารณะ ก็จะได้รับความสนใจอย่างมากด้วย   การอยู่ในพื้นที่ใกล้ชิดธรรมชาติ หรือพื้นที่สีเขียว ไม่ได้ให้แค่วิวที่สบายตา หรืออากาศที่สดชื่นเท่านั้น แต่ยังพบว่าการอยู่บ้านที่ใกล้ธรรมชาติ ยังมีประโยชน์หลายอย่างด้วยกัน  โดยในต่างประเทศมีการศึกษาและวิจัยยืนยันข้อดีของการอยู่บ้านใกล้ธรรมชาติหลายอย่างด้วย ซึ่งพบว่าการอยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ มีประโยชน์ด้วยกันอย่างน้อย 4  เรื่องด้วยกัน 4 ประโยชน์อยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ 1.ลดเสี่ยงโรคร้าย การอาศัยอยู่ใกล้พื้นที่สีเขียว นอกจากจะมอบความรู้สึกร่มรื่นมีชีวิตชีวาแล้ว ยังเหมือนได้อยู่ใกล้เครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษทางอากาศ และฝุ่น PM 2.5 อย่างกรุงเทพฯ การมีบ้านหรือคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวจึงเท่ากับเป็นการอนุญาตให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่   ผลการศึกษา[1] ของกลุ่มนักวิจัยจาก Nurses’ Health Study (NHS) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพทุก ๆ สองปีจากพยาบาลวิชาชีพหญิงมากกว่า 100,000 คนในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1976 ระบุว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในสถานที่ใกล้ชิดธรรมชาติ มีอัตราการเสียชีวิตโดยรวม ต่ำกว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ห่างไกลพื้นที่สีเขียว ถึง 12 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสำรวจสาเหตุการเสียชีวิตของผู้คนซึ่งไม่ได้อาศัยใกล้พื้นที่ธรรมชาติ ยังพบว่า มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดมาจากโรคระบบทางเดินหายใจ โรคมะเร็ง และโรคไต 2.เพิ่มความสุข ลดความเครียด การเข้าถึงธรรมชาติช่วยลดความเครียดและบรรเทาภาวะซึมเศร้าได้ เคยไหม ที่คุณตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมเราจดจำอะไรได้น้อยลง และขาดสมาธิจนทำงานพลาด หรือหลงลืมนัดประชุมกับลูกค้าไปสนิท เรื่องนี้มีความเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมโดยตรง อ้างอิงจากการศึกษาวิจัยมากมายทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือ งานวิจัย[2] ล่าสุดจาก Lise Meitner Group for Environmental Neuroscience ในประเทศเยอรมนี ซึ่งได้ทำการศึกษาการทำงานของสมองในกลุ่มตัวอย่างชาย-หญิงสุขภาพแข็งแรง 63 คนจากการสแกนลื่นสมองด้วยเครื่อง fMRI   โดยนักวิจัยค้นพบว่า การเดินเล่นในพื้นที่ชนบทซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้เป็นเวลา 60 นาที สามารถลดการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลความเครียดลงได้ ตรงกันข้ามกับกลุ่มตัวอย่างที่เดินเล่นในเมืองซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนและมลภาวะ ที่ตรวจพบว่าสมองบริเวณดังกล่าวยังคงทำงานปกติหลังจากเดินเล่น 60 นาทีเท่ากัน ดังนั้น ต้นไม้และธรรมชาติเขียวขจีสามารถช่วยเบี่ยงเบนความคิดด้านลบจากกิจวัตรในชีวิตประจำวัน และช่วยฟื้นฟูจิตใจได้ 3.ส่งเสริมพัฒนาการสำหรับทุกวัย สำหรับเด็ก การปล่อยให้พวกเขาได้เล่นอย่างอิสระในธรรมชาติกับเพื่อน ๆ ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและทักษะทางสังคมที่ดี มีความมั่นใจขึ้น สามารถจัดการอารมณ์ และเรียนรู้วิธีการโต้ตอบกับผู้อื่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาบุคลิกภาพของพวกเขา นอกจากนี้ การปล่อยให้เด็กเรียนรู้และสังเกตธรรมชาติรอบตัวอย่างอิสระยังกระตุ้นจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และสอนให้คิดอย่างมีเหตุผล ในทำนองเดียวกัน การให้ผู้สูงอายุได้ออกกำลังกายและพบปะทำกิจกรรมสันทนากับเพื่อนๆ หรือลูกหลานภายในสวนก็สามารถช่วยพัฒนาศักยภาพทางร่างกาย จิตใจ ทัศนคติ และคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้สูงอายุได้อย่างยอดเยี่ยม และมีผลให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีความสุข 4.เพิ่มมูลค่าในการลงทุน ตั้งแต่เกิดโรคระบาด ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ประชากรในเมืองใหญ่ทั่วโลกต่างแสวงหาที่อยู่อาศัยที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น อาทิ ใกล้สวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น สิ่งอำนวยความสะดวกด้านกีฬา และพื้นที่ทางศาสนา ผู้คนโหยหาต้นไม้ใบหญ้าและให้คุณค่ากับการมีสุขภาพแข็งแรงมากกว่าที่เคย   รายงาน[4] จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ของสหราชอาณาจักร ได้เปิดเผยตัวเลขราคาบ้านที่อยู่ใกล้กับสวนสาธารณะ สวนหย่อม สนามเด็กเล่น และพื้นที่สีเขียวสาธารณะอื่นๆ ในเขตเมืองของอังกฤษและเวลส์ ซึ่งมีราคาแพงกว่าบ้านที่อยู่ไกลออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว โดยเฉพาะบ้านที่สามารถเห็นวิวสวนสาธารณะ ป่า และแหล่งน้ำ จะยิ่งมีราคาแพงขึ้นไปอีก ดุสิต เรสซิเดนเซส ชูสวนรูฟฟาร์ค 7 ไร่ สำหรับโครงการ ดุสิต เรสซิเดนเซส  (Dusit Residences) อาคารที่พักอาศัย ซึ่งตั้งอยู่ใน ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (Dusit Central Park) โครงการมิกซ์ยูสบนพื้นที่กว่า 23 ไร่ ตรงหัวมุมถนนสีลม-พระราม 4 ด้วยทำเลตรงข้ามสวนลุมพินีเพียงระยะข้ามถนนก็ถึง พร้อมพื้นที่สีเขียวใจกลางโครงการฯ อย่างสวนรูฟพาร์คขนาด 7 ไร่ ทำให้การอยู่อาศัยที่ ดุสิต เรสซิเดนเซส สามารถให้คุณได้มากกว่าแค่บ้านใจกลางเมืองที่มาพร้อมความสะดวกสบายครบครัน แต่ยังได้คุณประโยชน์จากการได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ   โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมทุนระหว่างบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) มูลค่าโครงการรวม 46,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการบนพื้นที่ 23 ไร่ บริเวณหัวมุมถนนสีลม ตรงข้ามสวนลุมพินี ในโครงการประกอบด้วย โรงแรม อาคารที่พักอาศัย  อาคารสำนักงานและศูนย์การค้า  โดยมีรูฟพาร์ค – สวนสาธารณะบนชั้นดาดฟ้าเป็นพื้นที่สีเขียวพิเศษขนาดใหญ่ 7 ไร่ใช้เป็นพื้นที่สาธารณะ ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการประมาณปี 2568   นอกจากรูฟพาร์ค 7 ไร่ กลางโครงการที่เปรียบเหมือนปอดขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีต้นไม้ยืนต้นราว 400 ต้น สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 480 ตัน และปล่อยก๊าซออกซิเจนสู่ชั้นบรรยากาศได้ถึง 54,612 ตัน รองรับความต้องการของคนในการใช้ออกซิเจนได้จำนวน 73,800 คน ตลอดระยะเวลา 60 ปี ที่ดุสิต เรสซิเดนเซส ยังมีการติดตั้งระบบกรองอากาศระดับ HEPA ที่ได้รับการการันตีจากมาตรฐานระดับโลกว่าสามารถคัดกรองมลภาวะ ไวรัส แบคทีเรีย และฝุ่น PM 2.5 จากภายนอกก่อนที่อากาศจะเข้ามาสู่พื้นที่ภายใน คุณจึงสามารถสูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอดตลอด 24 ชั่วโมง   นอกจากการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและเพิ่มมูลค่าให้กับที่อยู่อาศัยแล้ว ความตั้งใจที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ยังสอดคล้องกับนโยบายของผู้ว่าฯ กทม. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายปลูกต้นไม้ล้านต้น กับสวน 15 นาที โดยสำนักสิ่งแวดล้อม อุทยานสวนจตุจักร[3] ระบุว่า ปัจจุบัน กรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียว 6.99 ตารางเมตรต่อประชากร 1 คน ซึ่งตามเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลกนั้น กำหนดให้แต่ละเมืองควรมีพื้นที่สีเขียวในอัตรา 9 ตารางเมตรต่อคน ซึ่งสื่อให้เห็นถึงความจำเป็นและความสำคัญของการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพฯ อย่างแท้จริง   หมายเหตุ [1] Karen Feldscher. (2017), Greenery Plays Key Role in Keeping Women Healthy, Happy,” Harvard Gazette, https://news.harvard.edu/gazette/story/2016/04/greenery-plays-key-role-in-keeping-women-healthy-happy/. [2] Beth JoJack. (2022), 1-hour walk through nature lowers stress, new research shows, Medical News Today, MediLexicon International, https://www.medicalnewstoday.com/articles/1-hour-walk-through-nature-lowers-stress-research-shows. [3] กทม.ตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้คนกรุงฯ 10 ตารางเมตรต่อคน ภายใต้โครงการ Green Bangkok 2030 (2020) อุทยานสวนจตุจักร. Available at: https://webportal.bangkok.go.th/chatuchakmetropark/page/main/ [4] Natural Capital team. (2019), Urban Green Spaces raise nearby house prices by an average of £2,500, Urban green spaces raise nearby house prices by an average of £2,500 - Office for National Statistics. Available at: https://www.ons.gov.uk/economy/environmentalaccounts/articles/urbangreenspacesraisenearbyhousepricesbyanaverageof2500/2019-10-14 (Accessed: 16 May 2023).   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -30 สวนสาธารณะ ลอยกระทง 62 -5 โซลูชั่น “S-E-N-S-E” การออกแบบการพัฒนาเมือง กับวิถีชีวิต The Next Normal
เผย 7 สไตล์การแต่งบ้านยอดฮิต  คนไทยชื่นชอบแบบ Japandi มากที่สุด

เผย 7 สไตล์การแต่งบ้านยอดฮิต คนไทยชื่นชอบแบบ Japandi มากที่สุด

NocNoc เผย 7 สไตล์การแต่งบ้าน ที่คนไทยชื่นชอบมากที่สุด Japandi  ครองอันดับ 1 ตามด้วยสไตล์ Scandinavian พร้อมเผยสินค้าที่คนซื้อมากที่สุด คือ กลุ่ม Home and Living ด้านแบงก์กรุงศรี มองเทรนด์ตลาดอี-คอมเมิร์ซไทย อีก 2 ปีโต​ 19%   นายอนุพงศ์ ทะสดวก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้าและพาณิชย์ บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลผู้ใช้บริการซื้อสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม NovNoc ได้เห็นเทรนด์ความนิยมในการแต่งบ้านของผู้บริโภคคนไทย ที่พบว่า ชื่นชอบสไตล์การแต่งบ้าน และนิยมมากที่สุด คือ 1.สไตล์ Japandi ในสัดส่วน 25% 2.สไตล์ Scandinavian สัดส่วน 23% 3. สไตล์ Industrial  20% 4. สไตล์ Glam 15% 5.Transitional 10% 6.สไตล์ Shabby Chic 5% และ 7.สไตล์ Mid-Century Modern 2%   หนึ่งในพฤติกรรมของลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ คือเรื่องของ Personalize จะเห็นได้ว่าไลฟ์สไตล์การตกแต่งบ้านของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน โดย NocNoc ให้ลูกค้าเริ่มต้นการใช้งาน Application ด้วยการค้นหาสไตล์ที่ใช่แบบ Personalize ด้วยระบบ AI เพื่อให้แอปนำเสนอสินค้าแต่งบ้านได้ตรงตามสไตล์ของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญการคัดสรรสินค้าที่หลากหลาย เพื่อให้เหมาะกับลูกค้าที่ชื่นชอบการตกแต่งบ้านในสไตล์ที่แตกต่างกัน โดยปัจจุบัน NocNoc แบ่งสินค้าออกเป็น 4 กลุ่มหลัก คือ 1. Home and Living กลุ่มสินค้าตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ 2. Home Appliances กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า 3. Home Improvement กลุ่มสินค้าปรับปรุงบ้าน และ 4. Home Service กลุ่มบริการงานช่างทุกเรื่องบ้าน ซึ่งในแต่ละกลุ่มยังแยกย่อยออกเป็นอีกหลายหมวดสินค้า ทำให้ NocNoc มีสินค้ารวมแล้วกว่า 500,000 ชิ้น จาก 3,000 ร้านค้า นับว่าตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุมสำหรับคนรักบ้าน   นายอนุพงศ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังพบข้อมูลจากพฤติกรรมการซื้อสินค้า ที่ผู้บริโภคซื้อซ้ำมากที่สุดใน  5 หมวดสินค้า ดังนี้ 1.โฮม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ 2.โซฟาและเก้าอี้ 3.ชุดเครื่องนอน 4.ตู้และชั้นวางของ และ 5.เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก โดยพฤติกรรมการกลับมาซื้อซ้ำนั้น จะเป็นสินค้าในหมวดเดียวกัน เช่น กลุ่มเครื่องนอน ลูกค้าซื้อที่นอนขนาด 6 ฟุต  และกลับมาซื้อผ้าปูที่นอน หมอน เพิ่มเติม หรือในกลุ่มโซฟาและเก้าอี้ ซื้อเก้าอี้ทำงานไปในครั้งแรกและกลับมาซื้อโต๊ะทำงานหรือโซฟาเพิ่มเติม แม้ว่าใน 5 หมวดสินค้าดังกล่าวจะเป็นกลุ่มสินค้าที่อาจจะต้องสัมผัสสินค้า หรือเห็นสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อเกือบทั้งสิ้น แต่กลับเป็นกลุ่มสินค้าที่ลูกค้า NocNoc กลับมาซื้อซ้ำอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนให้เห็นว่าการจะซื้อสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ไม่จำเป็นต้องสัมผัสสินค้าจริงก่อนซื้อเสมอไป หรือ อาจจะมีประสบการณ์ทดลองสินค้าจากที่อื่นแล้ว   ให้ความสำคัญกับ DATA นายอนุพงศ์ ยังกล่าวอีกว่า Data-Driven Marketing นับว่ามีความสำคัญ แต่ต้องดูว่าจะนำมาใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์มากที่สุด  NocNoc ให้ความสำคัญกับ Data ของลูกค้า เพราะข้อมูลเหล่านี้สามารถบ่งบอกตัวตนของลูกค้าให้แบรนด์ได้เข้าใจความต้องการ และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของลูกค้าแต่ละคนได้ โดยการนำเอาเทคโนโลยีทางการตลาด MarTech และ AdTech มาใช้ในการวางแผน ดำเนินการ และวัดผลแคมเปญเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าแบบมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด   ประกอบกับการทำ Story-Driven Communication ที่เข้าถึงทุก Journey ของลูกค้าตั้งแต่ Discovery , Inspired , Compare , Selection ไปจนถึง Complete Journey ซึ่งลูกค้าจะเห็นการสื่อสารผ่านเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอช่วยให้พวกเขาได้รู้จัก NocNoc ว่าเรามีดีอะไร สินค้าที่กำลังมองหาตอบโจทย์พวกเขาอย่างไร ช่วยให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อเรื่องบ้านมากขึ้น  และไม่ลืมสร้างประสบการณ์การช้อปในโลกออนไลน์สู่ออฟไลน์ เพื่อ ให้ลูกค้าได้เข้าถึง ใกล้ชิด ได้เห็น Visibility ของแบรนด์มากยิ่งขึ้น   อย่างไรก็ดี มองว่าการพัฒนา Feature บน Application  ให้ตอบโจทย์ Pain Point ของลูกค้า ทำให้ประสบการณ์ในการเข้ามาใช้งาน NocNoc ดีขึ้น และช่วยให้การตัดสินใจซื้อสินค้าแต่งบ้านเป็นเรื่องง่าย เช่น  Image Search หรือการค้นหาด้วยภาพ หากลูกค้าถูกใจโซฟาในคาเฟ่ แต่ไม่รู้รุ่นหรือยี่ห้อของโซฟา ก็สามารถถ่ายรูปและนำไปค้นหาใน NocNoc Application ได้เลย แม้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันจะมีทางเลือกที่หลากหลาย บางครั้งมักจะไปเดินดูของจากร้านค้าอื่นเพื่อนำมาเปรียบเทียบสินค้า ราคา รวมถึงหาไอเดียในการแต่งบ้าน ทั้งสินค้าที่หลากหลายไม่จำกัดที่ร้านใดร้านหนึ่ง แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง NocNoc ให้บริการทางเลือกที่มากกว่า ทำให้ ผู้คนเข้ามาหาไอเดียและแรงบันดาลใจใน Community ทั้งยังสะดวกสบายอยู่ที่ไหนก็ช้อปได้ พร้อมบริการจัดส่งทั่วไทย นับว่าเป็นการแก้โจทย์ ไม่ได้สัมผัสสินค้า ก็ไม่ใช่ปัญหาในการซื้อสินค้าเกี่ยวกับบ้านออนไลน์คาด E-Commerce ไทยโต​ 19% สำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์ ถือว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ​ โดยเฉพาะในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน เห็นได้จากตัวเลขงานวิจัยของกรุงศรี คาดการณ์ว่าในปี 2025 ตลาด E-Commerce ไทยจะเติบโตขึ้นอีก 19% โดยผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ มีแนวโน้มที่จะขยายธุรกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาช่องทางการขายออนไลน์   นายอนุพงศ์ กล่าวอีกว่า แม้ว่าการเติบโตของการช้อปปิ้งออนไลน์จะเติบโตมากเพียงใด แต่ก็ต้องยอมรับว่า Pain point ของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในกลุ่มสินค้าและของตกแต่งบ้าน คือ ลูกค้าไม่สามารถเห็นและสัมผัสได้จริง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากในการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ อาทิ โซฟา ตู้ โต๊ะ เตียง เป็นต้น โดยพฤติกรรมของลูกค้าคือจะมีความกังวลว่าอาจจะได้สินค้าจะไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ทำให้มีผู้บริโภคมีการพิจารณาประเด็นดังกล่าวกันอย่างละเอียด   สำหรับในช่วงที่ผ่านมา NocNoc ก้าวขึ้นมาเป็น Home and Living Platform หรือศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ ที่รวบรวม เฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน วัสดุปูพื้น-ผนัง เครื่องใช้ไฟฟ้า และบริการทุกเรื่องบ้านที่ครบที่สุดรายแรกในไทย และได้ผลักดันให้ข้อจำกัดเหล่านี้หมดไป คลายความกังวล ลดความลังเลในการซื้อสินค้าแต่งบ้านให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สะท้อนจากตัวเลขของลูกค้า 60% ที่มาช้อปสินค้าแต่งบ้านออนไลน์บนแพลตฟอร์ม NocNoc สร้าง ตกแต่ง ต่อเติมบ้านได้ทั้งหลัง เป็นการซื้อสินค้าและบริการครอบคลุมในหลากหลายกลุ่มสินค้าและบริการ เรียกได้ว่าสามารถ Complete Journey ครบ จบ ใน NocNoc ที่เดียว จากข้อมูลเชิงลึกของ NocNoc จะเห็นได้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของ NocNoc เป็นกลุ่มสร้างบ้านและต่อเติมบ้าน (Home Building and Renovator) ประมาณ 60% นับว่าเป็นกลุ่มที่มองหาการซื้อสินค้าและบริการแบบ Complete journey ในการสร้าง ต่อเติม และตกแต่งบ้านทั้งหลัง ทั้งยังมีพฤติกรรมในการซื้อสินค้าหลากหลายหมวดบนแพลตฟอร์มของ NocNoc และกลับมาซื้อซ้ำกว่า 74% เพราะทยอยซื้อของตกแต่งบ้านให้ครบตามความต้องการ   ขณะที่ของตกแต่งบ้านและผู้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป (Home Decoration and Furnishing Shoppers) คิดเป็นอีกประมาณ 40% จะเน้นการตกแต่งเป็นหลัก และมีพฤติกรรมการซื้อซ้ำบนแพลตฟอร์ม NocNoc มากถึง 26% เพราะลูกค้าจะมีไอเดียใน การตกแต่งบ้านอย่างต่อเนื่อง  จากการหาแรงบันดาลใจในการแต่งบ้านจากที่ต่าง ๆ รวมถึงใน NocNoc ที่มีไอเดียในการตกแต่งบ้านมากมาย   ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าจากการทำตลาดเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าในแบบ Complete journey รวมถึงการสร้างประสบการณ์ ช้อปปิ้งที่ดีแก่ผู้บริโภค และนำเสนอประสบการณ์มากกว่าที่ลูกค้าได้คาดหวังไว้ ทำให้ภาพรวมจำนวนผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม NocNoc ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันระหว่างเดือนมกราคม – เมษายน 2566 เพิ่มสูงขึ้น  64% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2565 โดยจากแนวโน้มดังกล่าว คาดว่าในปี 2566 นี้ ยอดขายจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้กว่า 170% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอีกด้วย   นอกจากนี้ หนึ่งในพฤติกรรมของลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ คือเรื่องของ Personalize จะเห็นได้ว่าไลฟ์สไตล์การตกแต่งบ้านของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน โดย NocNoc ให้ลูกค้าเริ่มต้นการใช้งาน Application ด้วยการค้นหาสไตล์ที่ใช่แบบ Personalize ด้วยระบบ AI เพื่อให้แอปนำเสนอสินค้าแต่งบ้านได้ตรงตามสไตล์ของแต่ละบุคคล