Tag : Home

816 ผลลัพธ์
6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่าให้ดูใหม่  ได้ฟังก์ชั่น​ แบบไม่หลุดเทรนด์

6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่าให้ดูใหม่ ได้ฟังก์ชั่น​ แบบไม่หลุดเทรนด์

ปรับบ้านเก่า เคยไหม? อยู่บ้านหลังเดิมไปนาน ๆ แล้วรู้สึกหมดแพชชั่น แต่ก็ไม่อยากซื้อบ้านใหม่หรือไม่อยากย้ายทำเลไปที่อื่น เลยอยากปรับบ้านเก่า แต่งลุคบ้านใหม่ให้ดูต่างออกไปจากเดิม และเพิ่มฟังก์ชันที่หลากหลายในตัวบ้านมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องรื้อบ้านทั้งหลัง หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าวิธีการดังกล่าวเป็นไปได้ยาก รู้หรือไม่ว่าการเปลี่ยนรูปแบบบ้านใหม่แบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ทำได้จริง!     วันนี้มีไอเดียการแปลงโฉมบ้านที่เคยอยู่อาศัยแบบเดิม ๆ มาปรับลุคใหม่โดยที่ไม่ต้องรีโนเวททั้งหลัง แค่ลองปรับเปลี่ยนดีไซน์และฟังก์ชันต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกบ้านใหม่ก็ใช้ได้แล้ว ซึ่งการปรับลุคบ้านใหม่ทำได้หลายวิธี ทั้งการปรับเปลี่ยนหลังคา สีทาบ้าน ผนังบ้าน รั้ว พื้น และสวนนอกบ้าน เพียงแค่เลือกดีไซน์และวัสดุที่ตอบโจทย์กับการใช้งานและความชอบ ลองมาดูกันว่าบ้านหลังเก่าของเราปรับลุคแบบไหนได้บ้าง 6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่า ให้ดูใหม่แถมได้ฟังก์ชั่น​ 1.เปลี่ยนฟาซาด สร้างโฉมบ้านหลังเดิม   บ้านสไตล์คลาสสิกธรรมดาทั่วไป อายุอาจจะมาไกลตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่า ถ้าอยากเปลี่ยนลุคบ้านใหม่ให้ดูโมเดิร์น แนะนำฟาซาด (Façade) ที่สามารถปรับอารมณ์บ้านให้เปลี่ยนไปได้ในทันที โดยฟาซาดจะเป็นการตกแต่งเปลือกอาคารหรือพื้นผิวภายนอกสุดของบ้าน ที่สามารถแสดงคาแรกเตอร์ของบ้านได้อย่างชัดเจนที่สุด ซึ่งนอกจากจะช่วยให้บ้านสวยเหมือนใหม่แล้ว ฟาซาดยังมีคุณสมบัติระบายความร้อน บดบังแสงแดด และสร้างความเป็นส่วนตัวภายในบ้านได้อีกด้วย ฟาซาด มีวัสดให้เลือกหลากหลาย 2.เพิ่มความ natural ด้วยผนังลายไม้ ผนังบ้านขาว ๆ ที่เราเคยชิน ลองสร้างลูกเล่นใหม่ให้น่าสนใจขึ้นได้ไม่ยาก เชื่อว่าหลายคนคงคิดว่าการเปลี่ยนผนังบ้าน คงต้องยุ่งยากและใช้เวลานาน ซึ่งปัจจุบันมีผนังตกแต่งให้เลือกใช้หลากหลาย ตามสไตล์ที่ต้องการ ซึ่งมาพร้อมคุณสมบัติแข็งแรง ทนทาน และลวดลายหลากหลาย สำหรับผู้ที่ต้องการดีไซน์บ้านให้มีลุคความเป็นธรรมชาติ การเลือกใช้ผนังตกแต่งที่ให้ลายไม้เหมือนธรรมชาติ อย่าง ผนังตกแต่ง เอสซีจี รุ่น วูด-ดี ก็นับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ   เนื่องจากให้ทั้งลวดลายที่ใกล้เคียงไม้จริง จากเทคโนโลยีการผลิตแบบ Digital Printing และวัสดุผลิตจากไฟเบอร์ซีเมนต์ ใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก ปลวกไม่กิน ทนทานต่อสภาพอากาศ ไม่บิดหรือแตกเปราะง่าย และยังให้สีสวยแน่นทนทาน จากเทคนิคการเคลือบสีเฉพาะของเอสซีจี รวมถึงได้ผนังเรียบร้อยสวยงาม จากระบบติดตั้งแบบคลิปล็อค ไม่เห็นรอยสกรู โดยสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งงานผนังและงานฝ้า 3.ทำรั้วบ้านสร้างเอกลักษณ์​ ก่อนจะเห็นตัวบ้าน เราต้องมองรั้วบ้านกันก่อนอย่างแน่นอน ถ้ารั้วบ้านสวยมีสไตล์ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของบ้าน ทำให้คนจดจำบ้านหลังนี้ได้ไม่ลืม เพราะฉะนั้นการทำรั้วบ้านให้โดดเด่นเป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ทำได้ 4.คืนพื้นที่รอบบ้าน สร้างพื้นใหม่สวยสะดุดตา บ้านที่มีพื้นที่ภายนอก บางคนปล่อยให้รกร้าง มีของที่ไม่ได้ใช้เกะกะอยู่เต็มพื้นหน้าบ้าน เราสามารถปลุกพื้นที่ตรงนั้นขึ้นมาใหม่ โดยเคลียร์ของที่ไม่ใช้ทิ้งไป แล้วปรับพื้นใหม่ให้แมตช์กับสวนสวยดูเป็นธรรมชาติได้ อาจจะลองเลือกใช้วัสดุกระเบื้องซีเมนต์ตกแต่งพื้น ซึ่งมีรุ่นและลายให้เลือกหลากหลายชนิด 5.เปลี่ยนลุคหลังคาให้บ้านดูโมเดิร์น หลังคาบ้านสวยช่วยทำให้บ้านดูใหม่และดูดีกว่าเดิมได้ ลองสังเกตดูว่าถ้าบ้านไหนปล่อยให้หลังคาชำรุดตัวบ้านก็จะดูทรุดโทรมตามไปด้วย ซึ่งหากสามารถทำการเปลี่ยนหลังคาใหม่ได้ ก็จะช่วยทำให้บ้านดูมีชีวิตชีวา และการใช้งานที่ดี ไม่ต้องห่วงเรื่องฝนตก น้ำรั่วช่วงหน้าฝนได้อีกด้วย ​ 6.ปรับภูมิทัศน์สวนให้สวยน่านั่งเล่น อย่าปล่อยพื้นที่สวนหน้าบ้านให้รกร้างโดยเปล่าประโยชน์ การจัดสวนให้น่าอยู่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเปลี่ยนลุคใหม่ให้บ้าน และยังเติมเต็มอารมณ์ให้ผู้อยู่อาศัยผ่อนคลายขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหากว่าใครยังไม่มีไอเดียการจัดสวน และกลัวว่าจะเหนื่อยถ้าต้องมานั่งจัดสวนเอง เอสซีจีก็มีบริการจัดสวนรอบบ้าน โดยมีรูปแบบสวนกึ่งสำเร็จรูปที่ออกแบบไว้หลากหลายแนวให้เลือกตามใจชอบ ปรับใช้ให้เข้ากับพื้นที่บ้าน รับรองว่ามีสวนสวยรวดเร็วไม่เกินเอื้อมแน่นอน   อย่างไรก็ตาม ใครที่อยากปรับลุคบ้านให้สวยด้วยหลาย ๆ ดีไซน์และฟังก์ชัน อาจจะลองเข้าไปดูตามห้างโมเดิร์นเทรดชั้นนำ หรือผู้ให้บริการด้านการปรับปรุงบ้าน ซึ่งมีหลากหลายมากมาย รวมถึงผู้ให้บริการอย่าง SCG ซึ่งมีบริการหลากหลาย และจำหน่ายสินค้าหลายช่องทาง   ที่มา-SCG Home   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -4 วิธีอย่างง่าย ปรับบ้านให้มีสุขภาวะที่ดีรับ WFH  -“ปรับบ้านรับทรัพย์ ตามหลักฮวงจุ้ย” รับปีใหม่ 2564 กับหมอช้าง
ธนาสิริ  จับมือ อนาบูกิ โคซัน บุกโซนกรุงเทพฯ​ ตะวันออก ปั้น “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน

ธนาสิริ จับมือ อนาบูกิ โคซัน บุกโซนกรุงเทพฯ​ ตะวันออก ปั้น “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน

ธนาสิริ จับมือ อนาบูกิ โคซัน บุกโซนบางนา-บางบ่อ  ปั้นโปรเจ็กต์  ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน ครั้งแรกที่ขยายทำเลพัฒนาออกนอกจ.นนทบุรี เตรียมเปิดขาย   17 มิถุนายนนี้ ในราคาเริ่ม 2 - 4 ล้าน   นายจรัญ เกษร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ (COO) บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (THANA) เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมเปิดขายโครงการ “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ในวันที่ 17 มิถุนายน นี้  ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นโครงการ่วมทุนกับ อนาบูกิ โคซัง พันธมิตรที่ร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์กันมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาพัฒนาโครงการประสบความสำเร็จแล้ว 2 โครงการในทำเลย่านราชพฤกษ์ และสะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ ซึ่ง​โครงการตั้งอยู่บนทำเลบางนา-บางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีเนื้อที่กว่า 36 ไร่ โดยพัฒนาเป็นบ้านแฝด และทาวน์โฮมสไตล์ New Design Japandi จำนวน 348 หลัง   โดยครั้งนี้ ได้ร่วมกันพัฒนาโครงการ ในพื้นที่ทำเลใหม่ ย่าน “บางนา-บางบ่อ”  ซึ่งเป็นทำเลที่มีความโดดเด่น และยังเป็นรอยต่อ EBD (Extension Business District) โซนตะวันออก ที่เชื่อมทุกพื้นที่กรุงเทพฯ รายล้อมด้วยแหล่งงานขนาดใหญ่ ทั้งนิคมอุตสาหกรรม​  สนามบินสุวรรณภูมิ สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาหลายแห่ง รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก และแหล่งชอปปิ้งที่มีหลากหลาย ทั้งยังมีเมกะโปรเจ็กต์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกหลายโครงการภายในปีนี้ โครงการจับกลุ่มเป้าหมายหลัก เป็น​คนรุ่นใหม่ วัยทำงานระดับกลาง-ล่าง ที่ต้องการอยู่อาศัยจริง และกำลังมองหาบ้านหลังแรกสำหรับครอบครัว ในราคาเริ่มต้นที่ 2 - 4 ล้านบาท โครงการธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ เป็นการร่วมทุนกับ อนาบูกิ โคซัน  ซึ่งเป็นการขยายมาสู่ทำเลอื่นครั้งแรก จากเดิมเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในย่านนนทบุรี   สำหรับทำเลย่าน “บางนา-บางบ่อ”  เป็นทำเลทองของที่อยู่อาศัยในอนาคต ที่มีราคาที่ดินขยับเพิ่มขึ้นทุกปี เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 10% แม้ในมุมผู้ประกอบการมองว่า ทำเลดังกล่าวทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่เนื่องจากเป็นทำเลที่มีศักยภาพและคุ้มค่า เมื่อเทียบกับการเพิ่มมูลค่าในอนาคต ทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างรากฐานความมั่นคงด้านทรัพย์สิน และสังคมที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัยในโครงการธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ บริษัทมีความมั่นใจว่าโครงการธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ จะเป็นหนึ่งในโครงการร่วมทุนที่ประสบความสำเร็จเหมือนทุกโครงการ ด้วยศักยภาพทำเลที่เหมาะกับการอยู่อาศัยและลงทุนเพื่ออนาคต ทั้งยังมีความต้องการอยู่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก นับว่าเป็นทำเลที่โดดเด่น ทั้งบริเวณรอบโครงการ และที่ตั้งโครงการ โดยด้านหน้าติดถนนที่เชื่อมกับถนนหลัก ด้านหลังติดแม่น้ำคลองด่านที่สะท้อนแนวคิดการออกแบบโครงการ “ที่สุดของการใช้ชีวิต …ชิดธรรมชาติและสายน้ำ”   สำหรับทุกโครงการของธนาสิริ เราพร้อมขับเคลื่อนการพัฒนาด้วยกลยุทธ์ THANA GREEN ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ Hardware - Software - People โดยให้ความสำคัญในทุกมิติของคุณภาพชีวิตที่ดีตลอดระยะเวลาการอยู่อาศัย ภายใต้พันธกิจ “Lifetime Total Living Solution” เพื่อสร้างจุดเริ่มต้นการอยู่อาศัยดี สิ่งแวดล้อมดี และสังคมน่าอยู่ ให้กับประชาคมธนาสิริในการอยู่อาศัยร่วมกัน ธนาสิริ ... เราดูแล” ปั้นโปรเจ็กต์ 1,000 ล้าน โครงการ “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” ตั้งอยู่บนทำเลบางนา-บางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีเนื้อที่กว่า 36 ไร่ โดยพัฒนาเป็นบ้านแฝด และทาวน์โฮมสไตล์ New Design Japandi มีจำนวน 348 หลัง ออกแบบภายใต้แนวคิด “ที่สุดของการใช้ชีวิต …ชิดธรรมชาติและสายน้ำ” เพื่อลดความตึงเครียดจากการใช้ชีวิตในเมืองปัจจุบันจากการทำงาน มลภาวะภายนอก การใช้ชีวิตที่เร่งรีบ สิ่งเดียวที่ช่วยเติมพลังคุณให้สดชื่นมีชีวิตชีวา กลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง คือ “บ้าน และ ครอบครัวที่อบอุ่น” โดยแต่ละหลังมีขนาดที่ดิน 17.88 - 58.27 ตารางวา ซึ่งการออกแบบโครงการยังให้ความสำคัญในรายละเอียดอื่นๆ อาทิ จัดแบ่งโซนอยู่อาศัยเป็นหลายโซนเพื่อความเป็นส่วนตัวและรองรับการอยู่อาศัยที่แตกต่างกันของแต่ละครอบครัว ถนนโครงการกว้าง 16 เมตร ถนนเมนกว้าง 16 เมตร ถนนซอยกว้าง 9 เมตร สามารถขับรถสวนกันได้อย่างสบาย แนวคิดโครงการเน้นธรรมชาติในการอยู่อาศัย มีต้นไม้ขนาดใหญ่ และสวนสาธารณะที่ร่มรื่น ให้เลือกพักผ่อนส่วนตัวได้ ระบบรักษาความปลอดภัย ประตูอัตโนมัติ Easy Pass แบ่งช่องทางเข้า-ออกโครงการเป็น 2 ช่อง แยกเป็นของเจ้าของบ้าน และผู้มาเยี่ยมเยือนอย่างชัดเจน เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกของผู้อยู่อาศัย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการครบครัน อาทิ Club House, Co-Working Space, Swimming Pool, Jacuzzi, Fitness, สวนส่วนกลาง, ลานบาสเก็ตบอล, ลานหินนวดเท้า, กล้อง CCTV, บัตรเข้าออก Easy Pass อัตโนมัติ, EV Charger พื้นที่ส่วนกลาง 1 จุดภายในโครงการ และระบบ SOLAR CELL ช่วยเรื่องประหยัดพลังงาน ภายในอาคารสโมสร และไฟส่องสว่างในพื้นที่สวนส่วนกลาง เป็นต้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ธนาสิริ เดินแผนปี 66 เปิดขายบ้าน 2-20 ล้าน พร้อมรับร่วมทุนปั้นที่ดิน100ไร่ในภูเก็ต -ธนาสิริ วางเป้า 3 ปี สร้างรายได้ 5,000 ล้าน พร้อมเปิด 3 โปรเจ็กต์ใหม่
[PR News] พฤกษา ลุย เปิด “เดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2”   

[PR News] พฤกษา ลุย เปิด “เดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2”   

เดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน ยังเป็นสุดยอดทำเลที่น่าลงทุน พฤกษา ลุยเปิดโครงการ เดอะ แพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 เฟส 2 อาคารพาณิชย์หน้ากว้าง ตอบรับกำลังซื้อที่ร้อนแรง หลังจากยอดขายเฟสแรกถล่มทะลายหมดภายในวันเดียว มั่นใจทำเลดีและพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า จะทำให้เฟส 2 ขายหมดภายในวันพรีเซล   นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ได้เปิดโครงการเดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 เนื่องจากกระแสตอบรับที่ดีของเฟส 1 โดยโครงการในเฟส 2 มีจำนวน 31 ยูนิต เป็นโครงการอาคารพาณิชย์ 3.5 ชั้น เริ่มต้น 25 ตารางวา มีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 256 – 272 ตร.ม. รองรับเทรนด์การอยู่อาศัยด้วย Solar Rooftop และรองรับการติดตั้ง EV Charger ทุกหลัง เปิดตัวในราคาพิเศษเพียง 7.39 ล้านบาท เดอะแพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 เป็นเฟสสุดท้ายแล้ว จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ที่กำลังมองหาอาคารพาณิชย์ทำเลเยี่ยม พื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง เหมาะสำหรับการลงทุน ทำออฟฟิศ หรือทำร้านค้า เรามั่นใจว่าเฟส 2 นี้จะสามารถปิดการขายได้ภายในวันพรีเซลวันที่ 24 มิถุนายน 2566     เดอะ แพลนท์ ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 ตั้งอยู่บนทำเลที่น่าลงทุน การเดินทางสะดวกสบาย ห่างจากถนนพหลโยธินเพียง 100 ม. ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกและย่านธุรกิจมากมาย รวมถึงพลัมคอนโด พหลโยธิน 89 คอนโดของพฤกษาซึ่งมีลูกค้าอาศัยอยู่กว่า 5,000 ยูนิต ถือเป็นชุมชนขนาดใหญ่ นอกจากนี้ โครงการยังมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าอาคารพาณิชย์ทั่วไป โดยมีหน้ากว้างถึง 5.9 เมตร รองรับการทำธุรกิจที่หลากหลาย ด้วยจุดเด่นเหล่านี้ ทำให้การเปิดตัวโครงการเฟส 1 ได้รับการตอบรับที่ดีมาก สามารถปิดการขายได้ภายในวันเดียว   สำหรับ เดอะแพลนท์ซิตี้ ดอนเมือง-พหลโยธิน 2 ทำเลเชื่อมต่อดอนเมือง โทลล์เวย์ ถนนวิภาวดี-รังสิต ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง  แมคโครรังสิต ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดรังสิต ไทวัสดุ  เซียร์รังสิต ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต โรงพยาบาลแพทย์รังสิต มหาวิทยาลัยรังสิต   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] พฤกษา โฮลดิ้งโชว์ปี 65 กำไรโต 18% เตรียมผุดศูนย์สุขภาพ -พฤกษา โชว์ Q3/65 ทำกำไรโต 87% เดินหน้าลุยธุรกิจเฮลท์เทค-โซเชียล คอมเมิร์ส 
3 จุดสำคัญของบ้าน ที่ต้องตรวจเช็ค ป้องกันบ้านป่วยช่วงหน้าฝน

3 จุดสำคัญของบ้าน ที่ต้องตรวจเช็ค ป้องกันบ้านป่วยช่วงหน้าฝน

จุดสำคัญของบ้าน   ในช่วงเวลาที่หน้าฝนกำลังเข้ามาแทนที่หน้าร้อน ทำให้อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว นอกจากการดูแลสุขภาพร่างกายไม่ให้เจ็บป่วยแล้ว สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอีกอย่างก็คือ "สุขภาพของบ้าน" ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะช่วงหน้าฝนที่กินระยะเวลากว่า 5 เดือน ทำให้หลายๆ บ้านได้เห็นปัญหาที่ไม่คาดคิดมาก่อนทั้งจากบริเวณภายในและภายนอก เช่น น้ำรั่วซึม การระบายน้ำ ผนังแตกร้าว พื้นดินโดยรอบเกิดการทรุดตัว ฯลฯ   เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับตัวบ้านในช่วงหน้าฝน ​ วันนี้ จึงอยากจะชวนให้เจ้าของบ้าน ได้ดูแลพื้นที่เสี่ยงของตัวบ้าน ที่อาจจะได้รับอันตราย หรือกเกิดความเสียหายได้ กับ 3 จุดสำคัญที่ต้องตรวจเช็คภายในบ้านเพื่อรับมือช่วงหน้าฝน พร้อมแนะเคล็ดลับการดูแลบ้านให้สุขภาพดีไปทั้งปี 3 จุดสำคัญของบ้าน ที่ต้องตรวจเช็ค   1.หลังคาบ้าน เข้าหน้าฝนทีไรปัญหาใหญ่ที่เจ้าของบ้านส่วนใหญ่ต้องเจอ คงหนีไม่พ้นปัญหาน้ำรั่วน้ำซึมจากบนเพดานและฝ้า ที่นอกจากจะสร้างความรำคาญใจแล้วยังอาจทำให้น้ำที่หยดลงมาจนพื้นบ้านบวมและไหลลามไปยังห้องอื่น ๆ ดังนั้นเจ้าของบ้านจะต้องหมั่นตรวจเช็คและสำรวจหลังคาบ้านทุกจุด ว่ามีหลังคาบ้านรั่วและมีรอยร้าว รอยแตก ตรงไหนบ้าง ก็ให้รีบทำการซ่อมทันที 2.ผนังและหน้าต่าง จุดสำคัญที่หลายคนอาจมองข้าม แต่ถ้าเมื่อไรที่เข้าหน้าฝนแล้ว แน่นอนว่าเป็นปัญหาไม่แพ้หลังคารั่วแน่ ๆ หากไม่ตรวจเช็คให้ดี เพราะรอยร้าวของผนังและช่องว่างระหว่างวงกบหน้าต่าง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้น้ำซึมผนังบ้าน ซึ่งส่งผลให้เกิดคราบน้ำที่สร้างความไม่น่ามอง บ้านดูเก่าโทรมแล้ว ยังอาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ที่ใหญ่ขึ้น เช่น เกิดเป็นเชื้อราหรือตะไคร่ วัสดุกรุผนังโป่งพอง จนไปถึงปัญหาโครงสร้างภายในบ้านจากการที่เหล็กขึ้นสนิม 3.รางน้ำรับน้ำฝน การติดตั้งรางน้ำฝนให้บ้านถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยไม่ให้บ้านโทรมจากสิ่งสกปรกที่มากับฝนไหลลงมาเปื้อนผนังบ้าน ดังนั้นเจ้าของบ้านจะต้องหมั่นตรวจเช็คว่ามีเศษใบไม้หรือกิ่งไม้อุดตันรางน้ำฝนหรือไม่ เพื่อไม่ให้เป็นตัวขวางการระบายน้ำฝนในช่วงที่ตกหนัก   สำหรับบ้านไหนที่สำรวจตามเช็คลิสต์นี้แล้วพบจุดที่ต้องซ่อมแซม ก็ไม่ต้องกังวลใจ สามารถแก้ไขได้ด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ อาทิ สีทาหลังคา ซีเมนต์ซ่อมแซมโครงสร้าง น้ำยากำจัดแมลง น้ำยากำจัดคราบเชื้อรา รางน้ำฝน อุปกรณ์ช่าง และอื่นๆ อีกมากมาย หรืออาจจะขอรับบริการจากช่างที่มีให้บริการมากมาย ทั้งช่างอิสระ ช่างรับเหมาทั่วไป หรือช่างจากร้านขายสินค้า อย่างเช่น ไทวัสดุยังมีบริการช่างมือโปรจากวีฟิกซ์ (vFix) ครบวงจรที่เดียวจบทุกเรื่องบ้าน ตั้งแต่ติดตั้ง ออกแบบ ปรับปรุง ต่อเติมและทำความสะอาดฆ่าเชื้อ มีบริการสำรวจหน้างานผ่านระบบออนไลน์ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคนี้ รับประกันผลงานสูงสุด 180 วัน ซึ่งตอนนี้ ทางไทวัสดุยังมี  โปรพิเศษค่าบริการตั้งแต่วันนี้ – 29 มิ.ย. 2566  และสินค้าต่าง ๆ ที่ส่วนลดสูงสุดกว่า 60% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 2566 ด้วย     ที่มา - ไทวัสดุ ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ภายใต้ บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -10 จุดเสี่ยงของบ้าน ต้องเช็กด่วน!! ก่อนสร้างปัญหาในหน้าฝน -10 วิธีป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้าน ช่วงหน้าฝน
เอ็นริช  ลุยตลาดบ้านเดี่ยวซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่  เปิด ARCH Sukhumvit 39 ใจกลางสุขุมวิท

เอ็นริช ลุยตลาดบ้านเดี่ยวซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ เปิด ARCH Sukhumvit 39 ใจกลางสุขุมวิท

เอ็นริช เดินหน้าพัฒนาโครงการบ้านระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ “ARCH Sukhumvit 39” มูลค่า 835 ล้านบาท บนทำเลหรู สุขุมวิท 39 ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยแบบลักชัวรี่ ภายใต้แนวคิด Guiding You to Practical Living  เพียง 12 หลัง   นางสาวสุพิชา ณัฐสุวรรณพล ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธุรกิจ กลุ่มบริษัทเอ็นริช เปิดเผยว่า หลังจากกลุ่มบริษัทเอ็นริช ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งในกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก อาทิ โครงการ THE MARQ Exquisite ราชพฤกษ์-จรัญสนิทวงศ์ บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ซึ่งเป็นการร่วมมือกันพัฒนาโครงการระหว่างกลุ่มบริษัทเอ็นริช กับบริษัท ไซบุแก๊ส โฮลดิ้ง จำกัด (Saibu Gas Holdings Co.,Ltd.) ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก่อตั้งมานานกว่า 90 ปี ที่เลือกลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับคุณภาพทั่วโลก   โดยโครงการมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยในบ้านผสานแนวคิดการจัดบ้านแบบ "คอนมาริ" ในสไตล์ มาริเอะ คอนโดะ ร่วมกับตัวแทนที่ปรึกษาระดับมาสเตอร์ ควบคู่กับการการออกแบบทางสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ตอบรับกับการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว ส่งผลให้โครงการประสบความสำเร็จ และสามารถปิดโครงการได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และด้วยความสำเร็จจากโครงการ  THE MARQ Exquisite ราชพฤกษ์-จรัญสนิทวงศ์ ทางบริษัท ไซบุแก๊ส ก็ยังคงเชื่อมั่น และร่วมพัฒนาโปรเจกต์กับเอ็นริชในโครงการ ARCH Sukhumvit 39   นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทเอ็นริช ยังพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรูปแบบต่างๆ อาทิ บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมคอนโดมิเนียม ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อย่างเช่น ดุสิตดีทู เรสซิเดนเซส หัวหิน อีกทั้งยังกวาดรางวัลระดับนานาชาติมามากมาย อาทิ Asia Pacific Property Awards และ Thailand Property Award เป็นเครื่องยืนยันได้ถึงความมุ่งมั่นที่จะเป็นเลิศในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่ตอบสนองทั้งรูปแบบสถาปัตยกรรม และฟังก์ชันการใช้งาน โดยการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มบริษัทเอ็นริช มุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างของการอยู่อาศัย ภายใต้แนวคิดหลัก คือ  Guiding You to Practical Living ที่เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจรูปแบบการใช้ชีวิต รับฟังความต้องการจากผู้อยู่อาศัยจริง รวมทั้งนำไลฟ์สไตส์มาผสานกับนวัตกรรม ที่เอื้ออำนวยต่อวิถีชีวิตยุคใหม่ มาพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า รวมถึงการพัฒนาที่ให้ความสำคัญในเรื่องของความงามทางสถาปัตยกรรม และสุนทรียะในการใช้ชีวิต จึงทำให้โครงการมีความโดดเด่น และสอดรับกับเทรนด์การอยู่อาศัยในปัจจุบันสำหรับทุกคนในครอบครัว นางสาวสุพิชา กล่าวอีกว่า จากความสำเร็จของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักซ์ชัวรี่ต่าง ๆ ที่ผ่านมา รวมถึงแนวคิดการพัฒนาโครงการ ที่มุ่งเน้นการเติมเต็มทุกประสบการณ์การอยู่อาศัยให้เหมาะสม และลงตัวที่สุด บริษัทจึงเดินหน้าพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยประกาศความพร้อมกับโครงการระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ บนทำเลที่ดีที่สุดของถนนสุขุมวิทภายใต้ชื่อ “ARCH Sukhumvit 39”   สำหรับโครงการ ARCH Sukhumvit 39 พัฒนาเป็นโครงการบ้านระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ด้วยดีไซน์แบบ Modern Classic เน้นการออกแบบรูปทรง ARCH ทำให้โครงการโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว บนที่ดิน 2 ไร่ จำนวน 12 หลัง พื้นที่ใช้สอย 535-839 ตร.ม. ขนาด 4-5 ห้องนอน และที่จอดรถ 4-6 คัน* พร้อมลิฟต์ส่วนตัว ในราคาเริ่มต้น 65 ล้านบาท* โดยมีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการเดือนกรกฎาคม 2566 นี้ เราใส่ใจเรื่องทำเลของโครงการที่เราจะพัฒนาเป็นอันดับต้นๆ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการเดินทาง และแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งโครงการ ARCH Sukhumvit 39 อยู่ในทำเลที่เป็น CBD  ของกรุงเทพฯ ที่นับวันยิ่งหายากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับพื้นที่โดยรอบโครงการ ได้รับการพัฒนาจนพรั่งพร้อมด้วยแหล่งอำนวยความสะดวก ที่ทำให้การใช้ชีวิตสะดวกและง่ายดาย อาทิ  บีทีเอสพร้อมพงษ์ ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ระดับโลก รวมถึงโครงการเอ็มสเฟียร์ที่กำลังจะเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 2566 ซึ่งโครงการต่าง ๆ ดังกล่าวมีระยะห่างจากโครงการระยะเดินทางเพียง 10 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้โครงการ ARCH Sukhumvit 39 ยังมีเส้นทางลัดเชื่อมต่อไปย่านทองหล่อ-เอกมัย ย่านไลฟสไตล์คนเมือง หรือย่านอโศก ย่านธุรกิจสำคัญได้อย่างง่ายดาย และยังตั้งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลชั้นนำ อย่าง โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ใกล้โรงเรียนที่มีชื่อเสียงระดับประเทศและโรงเรียนนานาชาติอีกด้วย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอ็นริช ทุ่ม 1,500 ล้านบาท ผุดโครงการคอนโดมิเนียม-โรงแรม ใจกลางเมืองหัวหิน ภายใต้แบรนด์ “ดุสิตดีทู”
เอสซี แอสเสท ลุยเปิดคอนโด 10,000 ล้าน ส่งแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล

เอสซี แอสเสท ลุยเปิดคอนโด 10,000 ล้าน ส่งแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล

เอสซี แอสเสท  ลุยเปิดคอนโด 3 โครงการ 10,000 ล้าน  พร้อมส่งแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล และอีก 1 โครงการระดับ Ultra Luxury ที่บริหารโดย SCOPE พร้อม​สร้างแบรนด์ด้วยคุณค่า EVERYBODY’S HIGH-RISE ชูปรัชญาการสร้างคอนโดใส่ใจส่วนตัว-ส่วนกลาง เตรียมขึ้นแท่นแบรนด์คอนโด Top of Mind ในใจผู้บริโภค   นางกนกอร หลิมกำเนิด Chief Operating Officer - Property Development - High Rise บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ในปีนี้ SC เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมรวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแบรนด์ใหม่ COBE ใน 2 ทำเล ซึ่งนอกจากดีไซน์การออกแบบที่ทันสมัย และฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคแล้ว ยังมีจุดเด่นเรื่องบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยมและใส่ใจในทุกรายละเอียด การันตีรางวัลความสำเร็จและเสียงชื่นชมจากลูกค้า ภายใต้แนวคิด “คุณภาพต้องมาก่อนปริมาณ หรือ Quality over Quantity” และ อีก 1 โครงการระดับ Ultra Luxury ที่บริหารโดย SCOPE รวมมูลค่า 3 โครงการ 10,000 ล้านบาท” ปัจจุบันตลาดคอนโดส่งสัญญาณฟื้นตัวและมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดประเทศของหลายประเทศที่ช่วยให้เศรษฐกิจกลับมาคึกคักอีกครั้ง ผู้บริโภคมีกำลังซื้อและมองหาพื้นที่ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตให้ตรงความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในเมือง คอนโดเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ครบทุกปัจจัยของความน่าอยู่อาศัยและทำเลที่ตั้งที่ผู้บริโภคมองหา SC จึงเตรียมรุกตลาดคอนโดอย่างเต็มตัว ภายใต้ปรัชญาแบรนด์คอนโด SC EVERYBODY’S HIGH-RISE ที่สะท้อนความเข้าใจ Insights ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง   นอกเหนือจากนี้ SC Asset ยังวางเป้าหมายก้าวสู่การเป็น Top of Mind แบรนด์คอนโดในใจผู้บริโภคภายในปี 2568 ที่พร้อมส่งต่อคุณค่าสำคัญในการใช้ชีวิตและเติมเต็มไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเพื่อใช้ชีวิตในแบบตัวเองที่ดีที่สุด EVERYBODY’S HIGH-RISE คือ ปรัชญา และหลักการที่ SC คอนโด ยึดมั่นในการส่งมอบคุณค่าให้ผู้บริโภค เริ่มต้นมาจากการที่ SC Asset เข้าใจถึงความแตกต่างของลูกค้าที่อยู่บ้านเดี่ยวกับคอนโด โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มองหาพื้นที่ที่พวกเขาสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างหลากหลายได้ในแบบตัวเอง และเติมเต็มความต้องการของพวกเขาที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายความฝันอันสูงส่งหรือดียิ่งขึ้นกว่าที่เคย   นางสาวโฉมชฎา กุลดิลก หัวหน้าสายงาน กลยุทธ์แบรนด์ และสื่อสารองค์กร พูดถึงปรัชญาในการส่งมอบคุณค่าการอยู่อาศัยในคอนโด ในครั้งนี้ว่า นับจากนี้ คอนโดของ SC จะต้องมาเป็น Top of Mind ของผู้บริโภค เราพัฒนาคอนโดบนคุณค่าเดียวกับแบรนด์ SC Asset คือ ความจริงใจ (Sincere) ความใส่ใจ (Care) และความใหม่สดเสมอ (Fresh) ซึ่งหมายถึง ความจริงใจในการดูแลลูกค้าอย่างดีที่สุดด้วยหัวใจ ความใส่ใจในคุณภาพและดีไซน์เพื่อให้ลูกค้าได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ และความใหม่สดเสมอในการออกแบบที่รู้ใจลูกค้าบนแนวคิด Human-Centric มุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าและบริการทันตามเทรนด์ผู้บริโภคตลอดเวลา ผู้บริโภคจะเห็นการสื่อสารของแบรนด์คอนโด SC อย่างต่อเนื่องมากขึ้น ที่ SC เรามีการทำ Research อยู่เป็นประจำ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่รู้ใจลูกค้ามากที่สุด ในการทำแบรนด์คอนโด SC ทำให้เราได้ Insights จากกลุ่มลูกค้าที่อาศัยในคอนโด จนตกผลึกมาเป็นปรัชญาการสร้างคอนโดของ SC ที่เรายึดเป็นหลักการ ภายใต้คุณค่า EVERYBODY’S HIGH-RISE เมื่อพูดถึง High-Rise ก็เป็นคำตรงตัวคือที่อยู่อาศัยแนวสูง คอนโดในบ้านเรานี่เอง นอกจากนี้ SC เห็นว่าชีวิตของคนในคอนโดแทบจะไม่เหมือนกันเลย สมมติว่าใน 1 ชั้นมี 10 ห้อง 10 คนนี้แทบจะมีตารางชีวิตไม่เหมือนกันเลย ตื่นคนละเวลา ทำงานไม่เหมือนกัน กินหรือนอนกันคนละเวลาหมด ซึ่งคนที่เลือกมาอยู่คอนโด คือคนที่อยากได้ความเป็นส่วนตัวในการอยู่กับตัวเอง แต่ก็ต้องการมีพื้นที่ส่วนกลางเพื่อรู้สึกเป็นส่วนของ Community และส่วนหนึ่งของการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง ดังนั้น การออกแบบ ส่วนตัว กับส่วนกลาง จึงเป็นสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญ ส่วนคำว่า Everybody ในที่นี้คือความ Inclusive หมายถึงทุกคนจริง ๆ ไม่ใช่เฉพาะลูกค้าที่อาศัยอยู่ในคอนโด SC แต่หมายถึงทุกคนในสังคมที่อยู่ใน Community ร่วมกัน มีจุดหมายต่างกัน แต่สามารถอยู่ร่วมกัน แบ่งปันกัน เพื่อเข้าถึงเป้าหมายของแต่ละคนได้   โดย SC Asset พร้อมจะเป็นพื้นที่เริ่มต้นชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัยทุกคน เพราะเชื่อว่าชีวิตที่ดีมาจากจุดเริ่มต้นที่ดี พร้อมต่อยอดประสบการณ์การใช้ชีวิตที่มีคุณภาพด้วยเทคโนโลยีรู้ใจ Living Solutions ที่ SC พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยแบบรู้ใจ และบริการหลังการขาย ที่เป็นจุดแข็งของแบรนด์   คอนโด SC สานต่อภารกิจในการสร้างเช้าที่ดีให้กับทุกคน หรือที่เรียกว่า “For Good Mornings” ตอกย้ำความเป็นผู้ให้บริการหลังการขายคุณภาพสูงอันดับ 1 ในใจผู้บริโภค SC Asset ได้สร้างสรรค์พัฒนาโครงการคอนโดที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในด้านคุณภาพ ดีไซน์ และบริการมาอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมหลายเซกเมนต์และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น 28 Chidlom โครงการ Limited Luxury Condominium Collection บนทำเลแห่ง World Class Destination อย่างย่านชิดลม สร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์สุดเอ็กซ์คลูซีฟท่ามกลางพื้นที่สีเขียว กับแนวคิด “An Urban Oasis” The Crest Park Residence ที่สุดแห่งที่พักอาศัยระดับ Luxury หนึ่งเดียวใจกลางห้าแยกลาดพร้าว มาพร้อมพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์เพื่อการใช้ชีวิตพรีเมี่ยมในระดับ 5 ดาว Reference สาทร-วงเวียนใหญ่ คอนโดที่ตอบโจทย์ Lifestyle คน Gen Y พร้อมสร้าง Inspiration ในการใช้ชีวิต-เติมพลังใจเพื่อชีวิตที่ออกแบบได้เอง COBE คอนโดในอุดมคติของผู้บริโภค กับคอนเซ็ปต์ “CO-BEING COMMUNITY” เพื่อสร้างพื้นที่ Community ผู้บริโภคอย่างสร้างสรรค์ เป็นตัวของตัวเองในทุก ๆ ด้าน พร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่ให้คุณได้ Collab ไอเดียใหม่ ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกไปด้วยกัน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซี แอสเสท ส่งบ้านหรูแบรนด์ใหม่ 95E1 ราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้าน -เอสซี แอสเสท เปิดแผนรายได้รวม 150,000 ล้าน การเติบโตด้วย 2 ENGINE ใน 5 ปี
[PR News] PF เปิดตัวคอนโดโครงการใหม่ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ”

[PR News] PF เปิดตัวคอนโดโครงการใหม่ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ”

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดตัวโครงการใหม่ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ” ทำเลติดถนนพัฒนาการ  ติดโรงพยาบาลสินแพทย์แห่งใหม่ ภายใต้แนวคิด "Active" สะท้อนความไม่หยุดนิ่ง ชูจุดเด่นเน้นตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ เอาใจสายแอคทีฟด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรูปแบบใหม่ๆ ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยมากขึ้น   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ไอคอนโด ได้แก่ ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ จับตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยเริ่มต้นทำงาน รวมถึงกลุ่มนักศึกษา ด้วยการเลือกทำเลที่ตั้งบนถนนพัฒนาการที่เชื่อมต่อย่านธุรกิจเอกมัย ทองหล่อ และยังใกล้มหาวิทยาลัย โดยเปิดตัวด้วยภาพลักษณ์ใหม่ที่ทันสมัยมากขึ้น ภายใต้แนวคิด "Active" สะท้อนถึงความไม่หยุดนิ่ง เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่  และตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบันได้อย่างตรงจุด ไอคอนโด แอททีฟ พัฒนาการ ตั้งอยู่บนทำเลถนนพัฒนาการ 37 โดยอยู่ติดกับโรงพยาบาลสินแพทย์แห่งใหม่ สามารถเดินถึงทั้งมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตและสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่นในไม่กี่นาที  เดินทางสะดวกสบายใกล้รถไฟฟ้า 2 สาย ทั้งแอร์พอร์ตลิงค์และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และใกล้ทางด่วน 2 เส้นหลัก ได้แก่ ทางพิเศษศรีรัชและทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ทั้ง โลตัสพัฒนาการ เเม็กซ์แวลูพัฒนาการ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ โรงเรียนปาณยาพัฒนาการ แม็คโครสำนักงานใหญ่ เป็นทำเลเมืองที่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยที่สุดแห่งหนึ่งในวันนี้   โครงการมีพื้นที่ 5 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมในสไตล์โมเดิร์น 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 445 ยูนิต แบ่งเป็นอาคาร A จำนวน 231 ยูนิต และ อาคาร B จำนวน 214 ยูนิต  ออกแบบให้ตัวอาคารโอบล้อมสระว่ายน้ำและสวนพักผ่อน เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ความเป็นส่วนตัว และสามารถออกมาใช้งานพื้นที่ส่วนกลางได้อย่างสะดวก รูปแบบห้องประกอบด้วย ห้อง 1 Bedroom ขนาด 24 –30 ตร.ม. และ ห้อง 2 Bedroom ขนาด 45.7 ตร.ม. ทุกห้องตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบชุดแบบ Fully Furnished นอกเหนือจากความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันแล้ว  โครงการยังมีจุดเด่นที่เน้นตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ให้กับผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบให้มีพื้นที่รองรับทั้งจุดรับส่งอาหารและห้องจัดเก็บพัสดุ ฟิตเนสที่มีอุปกรณ์รูปแบบใหม่ๆ อาทิเช่น จักรยานออกกำลัง แบบ Virtual Cycling  กระจกออกกำลังกายอัจฉริยะ Fitness Mirror ที่เหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ระบบรักษาความปลอดภัยแบบ Face Recognition ระบบสแกนทะเบียนรถเข้าออก ตลอดจนมีการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้ง ระบบไอออนกำจัดเชื้อโรคในอากาศ SCG Bi-ion ให้คุณภาพอากาศที่ดีทั้งในล็อบบี้ ฟิตเนส และ Co-working Space ทุกห้องพักติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 และ ประตูห้องระบบ Digital Door Lock ที่สามารถควบคุมด้วยแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ทั้งปลอดภัยและสะดวกสบาย    “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ” จะเปิดให้ชมห้องตัวอย่าง และเปิดจองในช่วงพรีเซล วันที่ 10-11 มิถุนายนนี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 2.2 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน -[PR News] เพอร์เฟค เดินหน้าเปิด 4 โครงการใหม่ในไตรมาส 2
[PR News] “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง”  เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่รองรับลูกบ้าน

[PR News] “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่รองรับลูกบ้าน

เสนา ฮันคิว ฮันชิน เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่ในโครงการ “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” พร้อมเปิดให้บริการลูกบ้านครั้งแรก พบกันในงาน Open House Party 24 มิ.ย.นี้ ชมห้องจริง บรรยากาศจริง ลุ้นรับทอง 1 บาท* ระบุเดินหน้าเปิดเฟส 2 ต่อ จ่อรับดีมานด์ย่านบางบัวทอง ผ่อนเบาๆแค่ 4,100 บาท/เดือน* ด้วยราคาเริ่มเพียง 956,000 บาท ไม่ถึงล้านก็เป็นเจ้าของได้    ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาคอนโดฯ Affordable Segment แบรนด์ เสนาคิทท์ ราคาเริ่มไม่ถึงล้านได้รับการตอบรับดี สามารถปิดการขายและมียอดจองสิทธิ์ได้ตามเป้าหมายทุกโครงการ โดยเฉพาะย่านบางบัวทอง คอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง”  มีลูกค้าให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก หลังจากสร้างเสร็จและมีลูกค้าโอนเข้าอยู่แล้วเฟส 1 แล้ว ปัจจุบันทางบริษัทเดินหน้าเปิด“เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” เฟส 2  ต่อทันที สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” เพราะเสนาเราเข้าใจความต้องการของลูกค้า ทุกโครงการของเสนา โดยเฉพาะ เสนาคิทท์ ทางบริษัทเข้าใจลูกค้าที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง แต่มีงบน้อย กลัวผ่อนไม่ไหวด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่หลายคนมีความกังวลในการซื้อสินทรัพย์ชิ้นใหญ่และใช้เวลาในการผ่อนระยะยาว คอนโดเสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง เข้าร่วมแคมเปญธอส. บ้านล้านหลัง เงินเดือน 15,000 บาทสามารถยื่นกู้ได้  ดอกเบี้ยต่ำ 3% นาน 5 ปี ผ่อนถูกกว่าเช่าแถมได้เป็นเจ้าของ เพียง 4,100 บาท*/เดือน   สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” เพราะที่นี่ เสนาคิทท์ คิดให้ครบ คอนโดเสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง (เฟส 2) คอนโด Low Rise สูง 5 ชั้น 6 อาคาร  รวม 474 ยูนิต  แบ่งเป็น 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 25 ตร.ม. และ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 38 ตร.ม. แปลนห้องลงตัวเป็นสัดส่วน โซนแรกเป็นห้องนั่งเล่นรวมพื้นที่กับโต๊ะทานอาหาร โซนติดหน้าต่างห้องเป็นห้องนอนที่กั้นจากห้องนั่งเล่นด้วยประตูบานเลื่อน อีกฝั่งจะเป็นห้องน้ำ ส่วนเตรียมอาหารอยู่ติดกับระเบียงห้อง ที่สำคัญซื้อโครงการที่นี่ ไม่ต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์ เพราะคอนโดถูกออกแบบให้ตกแต่งพร้อม หิ้วกระเป๋าใบเดียวลากเข้าอยู่ได้เลย    สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” พื้นที่ส่วนกลางครบ คลับเฮ้าส์พร้อมให้บริการ คอนโดมิเนียมที่ได้มากกว่าที่คิดในระดับราคาไม่ถึงล้าน ถือว่าคุ้มค่ากับคุณภาพชีวิตที่ดี โดยภายในโครงการมีสาธารณูปโภครองรับลูกบ้าน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ พื้นที่พักผ่อนในโซนคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส พื้นที่ทำงาน Co-Working Space และมีลิฟท์อำนวยความสะดวกทุกอาคาร   สตาร์ทชีวิตทำไมต้อง “คิทท์” เดินทางสะดวก ใกล้แหล่งงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกมาครบ ที่ผ่านมา ต้องยอมรับย่านบางบัวทองเป็นเส้นทางหนึ่งที่การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น ผู้คนสัญจรเข้า – ออกเมืองง่าย ทั้งถนนสายหลักและสายรองหลายเส้นทาง  รวมถึงการพัฒนาด้านคมนาคม ระบบขนส่งสาธารณะ ครบลูป และรถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-คลองบางไผ่) ขณะเดียวกันพื้นที่โดยรอบแวดล้อมด้วยแหล่งงาน ร้านค้าต่าง ๆ สถานที่เที่ยวตอบรับไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบ แหล่งช้อปปิ้ง สถานศึกษา โรงพยาบาล ที่เป็นสีสันทำให้ผู้คนที่อยู่อาศัยละแวกนี้มีครบพร้อมรองรับการขยายตัวของเมืองและตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งทยอยเปิดตัวเพิ่มขึ้นทั้งบ้านเดี่ยว – บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ – ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม ค่อนข้างมีให้เลือกหลากหลายตามงบประมาณและรายได้   สัมผัสการใช้ชีวิตพร้อมเติมเต็มทุกความสมบูรณ์แบบ พบกันในงาน Open House Party 24 มิ.ย. นี้ ชมห้องจริง บรรยากาศจริง คลับเฮ้าส์ใหม่เอี่ยม พร้อมกับโปรโมชั่นสุดพิเศษวันงาน ลุ้นรับทอง มูลค่า 1 บาท* มาร่วมสตาร์ทชีวิตที่ดี “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” คอนโดที่เหมาะสำหรับคนที่มองหาที่อยู่อาศัยหรือคนที่กำลังมองหาการลงทุนเพื่อปล่อยเช่าในอนาคต คอนโดที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกคน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sena.co.th/project/sena-kith-westgate-bangbuathong หรือสอบถามได้ call Center: 1775 กด 25 ส่วนท่านใดสนใจโครงการอื่น ๆ แบรนด์ เสนาคิทท์ หรือโครงการอื่นๆของเสนาและในเครือคลิ๊กเข้าไปดูได้ที่ https://www.sena.co.th/   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2 หนุนเป้ายอดขายกว่า 1.8 หมื่นล.
5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล  ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19

5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19

LWS แนะ 5 ธุรกิจบริการ ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมดิจิทัลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตเพื่อคนทุกวัยที่พัฒนาขึ้นมาที่เติบโตพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล. ดับเบิลยู. เอส. วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) แนะนำ 5 ธุรกิจบริการที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตเพื่อคนทุกวัยในยุคหลังการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ได้แก่ ธุรกิจบริการเพื่อผู้สูงอายุ, สุขภาพ, สิ่งแวดล้อม, ที่อยู่อาศัย และความบันเทิง   หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน เทคโนโลยี่ดิจิทัล เข้ามามีบทบาทในการพัฒนางานบริการอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อสร้างการเข้าถึงข้อมูลและเชื่อมต่อระหว่างผู้คน ไปพร้อมๆ กับการสร้างโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ๆ ทั้งภาคการผลิตและการบริการ โดยเฉพาะงานบริการ เทคโนโลยี่เข้ามามีบทบาทในการเชื่อมต่องานบริการต่างๆ ที่ตอบสนองกับความต้องการของผู้คนในสังคมมากขึ้น และเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่จะพัฒนาต่อยอดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้น 5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยและพัฒนางานบริการของ LWS พบว่า ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี ของการแพร่ระบาดของ COVID-19 งานบริการที่มีการพัฒนาและได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนตั้งแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 และยังคงได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบันที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย แล้ว ประกอบด้วย 5 ธุรกิจที่น่าสนใจและมีศัยกภาพในการเติบโตและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ, สุขภาพ, สิ่งแวดล้อม, ที่อยู่อาศัย, และงานบริการที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงของคนรุ่นใหม่ บริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบเต็มรูปแบบ หนึ่งในธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง คือ ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เนิร์สซิ่งโฮมที่ได้มาตรฐาน และขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพิ่มขึ้นจาก 200 กว่าแห่งในปี 2563 เป็น 450 ยังไม่รวม เนิร์สซิ่งโฮมที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกนับ 1,000 – 2,000 แห่งทั่วประเทศ   นอกจากงานดูแลด้านสุขภาพของผู้สูงอายุที่เนิร์สซิ่งโฮมแล้ว ยังมีพัฒนางานบริการพาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล ท่องเที่ยว ทำบุญ และกิจกรรมต่างๆ โดยมีแพลตฟอร์มที่น่าสนใจอย่าง Joy Ride กับบริการพาผู้สูงอายุไปหาหมอ เป็นงานบริการที่ให้บริการในประเทศไทย และคิดค้นโดยคนไทย ที่มีรูปแบบการให้บริการผู้ดูแลพาผู้สูงวัยและผู้ป่วยไปโรงพยาบาล จากบ้านไปโรงพยาบาล และอยู่เป็นเพื่อนตลอดระยะเวลาของการพบแพทย์ และพากลับมาส่งกลับถึงบ้าน โดยมีการให้บริการในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น บริการพาไปรับวัคซีนป้องกันโควิด, บริการ Welcome Home พาเธอกลับบ้าน ,Joy Go Round พาเที่ยว ทำบุญ ทำธุระ ฯ ล ฯ มีค่าบริการเริ่มต้นเพียง 280 บาทเท่านั้น ซึ่งกลุ่มผู้ใช้บริการไม่มีเพียงแต่ผู้สูงอายุเท่านั้น ยังมีกลุ่มของสตรีมีครรภ์ ที่ไม่สะดวกในการขับรถเองใช้บริการอีกด้วย   นอกจากนี้ ยังมี Senior Move ธุรกิจบริการรถลีมูซีนสำหรับผู้ใหญ่โดยเฉพาะ ให้บริการเป็นรายชั่วโมง โดยผู้ใช้บริการสามารถกำหนดเส้นทาง หรือปรับเปลี่ยนเส้นทางได้ตลอดเวลา ทั้งยังสามารถแวะทำธุระระหว่างทางได้ตามสะดวก เสมือนมีรถและพนักงานขับรถส่วนตัว สามารถจองคิวการใช้บริการผ่าน Line ได้ โดยมีอัตราค่าบริการเริ่มต้นที่ 500 บาทต่อชั่วโมง ได้ถือเป็นธุรกิจงานบริการที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและเป็นโอกาสสำหรับการสร้างธุรกิจใหม่ๆ หลังยุค COVID-19 บริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ จากรายงานของกรมพัฒนาธุรกิจพบว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพถึง 353 ราย เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปี 2564 ที่มีจำนวน 167 รายถึง 90% สะทัอนให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจบริการในหมวดนี้ที่สูงขึ้นตามความต้องการของประชาชนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้นหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19   โดยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพนอกเหนือจากการดูแลสุขภาพแล้ว งานบริการที่เกี่ยวกับสินค้าในหมวดหมู่ที่เกี่ยวกับสุขภาพมีทั้งเรื่องของอาหาร การออกกำลังกาย รวมไปถึงการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เป็นต้น โดยเฉพาะอาหาร ปัจจุบันประชาชนให้ความสนใจกับการเลือกบริโภคอาหารที่ปลอดสารพิษ ทำให้มีการพัฒนางานบริการจัดส่งผัก-ผลไม้ออร์แกนิค จากสวนส่งตรงถึงบ้าน โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมต่อความต้องการของผู้ซื้อไปยังผู้ผลิต และบริการจัดหา อย่าง  Happy Grocers บริการจัดส่งผัก และผลไม้ออร์แกนิค ถึงบ้าน   เป็นธุรกิจที่เกิดจากการพัฒนาของนักศึกษาจากวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากในช่วงของการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ที่ทำให้สินค้าทางการเกษตรไม่สามารถเข้าสู่ตลาดกลางได้ ทำให้นักศึกษากลุ่มนี้เกิดความคิดที่จะเป็นตัวกลางให้ผู้บริโภคและเกษตรกรได้พบกันโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางอีกหลายทอด ช่วยแก้ปัญหาให้เกษตรกรรายย่อยได้มีตลาดระบายสินค้าในราคาที่สมเหตุสมผล และผู้บริโภคได้รับสินค้าคุณภาพจากเกษตรกรโดยตรง มีการนำรถ Grocers Truck นำฟาร์มขนาดย่อมมาให้ลูกค้าถึงหน้าคอนโดมิเนียม โดยมีความพิเศษคือ ลูกค้าเป็นคนส่งคำขอกับทางนิติคอนโดฯให้ทาง Happy Grocers ไปลงพื้นที่เองอีกด้วย โครงการนี้ประสบความสำเร็จและคว้ารางวัลจากเวที Startup Thailand League 2020   อีกหนึ่งในบริการที่มีการเติบโตค่อนข้างสูง และยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องหลังจากการระบาดของโควิด-19 คือ บริการหาหมอออนไลน์ โดยรายงานปี 2563 จากบริษัทวิจัย แกรนด์ วิว รีเสิร์ช มีระบุว่า ตลาดเทเลเมดิซีนมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง โดยปี 2563 มีมูลค่าราว 55,900 ดอลล่าสหรัฐ และคาดว่าในช่วงปี 2564-2571 จะมีการขยายตัวต่อปีที่ 22.4% ซึ่งทำให้คาดว่าทำให้ตลาดเทเลเมดิซีนจะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง บริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เป็นกลุ่มงานบริการที่ได้รับความนิยมมากขึ้นจากแนวคิดเกี่ยวกับ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือ  ESG (Environment, Social, Governance) ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ภาวะโลกร้อน ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึง การพบไมโครพลาสติกในสัตว์ทะเล และปัญหาน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มที่ใช้บริโภคในชีวิตประจำวัน ปัญหาต่างๆด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการผลิตวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การนำขยะมาใช้ในการผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ และของใช้ต่างๆ   รวมไปถึงการให้บริการเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์อย่างบริษัท รีไซเคิล เดย์ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจบริการที่เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดในการเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์ โดยการให้ความรู้ในการแยกขยะไปจนถึงการบริหารจัดการ ผ่านแอพพลิเคชั่น โดยแอพพลิเคชั่น จะบันทึกการจัดเก็บและแยกขยะของแต่ละบ้าน เพื่อให้สามารถแลกเป็นคะแนนไว้ใช้สำหรับแลกของรางวัลหรือเงินคืนได้จำนวนเท่าไหร่ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในการบริหารจัดการขยะ และ   อีกหนึ่งในบริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ และมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆคือ บริการที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งอุปกรณ์พลังงานทดแทน เช่น Pavegen slab ซึ่งเป็นแผ่นพื้นที่สามารถเปลี่ยนแรงกดให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้ โดยบริการนี้เริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ มีการติดตั้งตามเมืองสำคัญหลายจุด เช่น ถนนอ๊อคฟอร์ด กับถนนบาเรท ซึ่งในประเทศไทยเองก็มีการติดตั้งที่ True Digital park และ 101 The Third place อีกด้วย บริการที่เกี่ยวข้องกับบ้าน ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับบ้าน เป็นอีกหนึ่งในงานบริการที่ถูกพัฒนารูปแบบบริการต่างๆให้ครอบคลุมกับความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะการให้บริการดูแลบ้าน ทั้งงานทำความสะอาดไปจนถึงงานช่างและงานซ่อมแซมต่างๆ โดยปัจจุบันมีหลายบริษัทที่พัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้และเรียกใช้บริการได้ตามความต้องการ เช่น Q-Chang คิวช่าง แพลตฟอร์มรวมช่างคุณภาพเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ให้บริการเกี่ยวกับบ้าน เช่น บริการดูแลรักษาบ้าน ,บริการติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ภายในบ้าน ,บริการปรับปรุงและซ่อมแซมบ้าน ฯลฯ   โดย Q-Chang เป็นธุรกิจบริการ ที่มีอัตราการเติบโตจากช่วง 3 ปีได้อย่างชัดเจน ในปี 2565 ที่ผ่านมา มีผู้เข้าใช้บริการผ่านช่องทางเว็ปไซต์เพิ่มขึ้นถึง 6.5 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2564 และมียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว มีมูลค่าการจองใช้บริการสูงสุดถึง 610,000 บาท/คน/ปี ซึ่งท้อนได้ถึงความต้องการในการใช้บริการงานที่เกี่ยวข้องกับบ้านได้อย่างชัดเจน ซึ่งทาง Q-Chang เองก็ได้ขยายบริการจากเว็ปไซต์ เพิ่มขึ้นเป็น Line Official : @q-chang รวมถึงมีการให้บริการรวมกับพาร์ทเนอร์ เช่น SCG, Shopee, Lazada NocNoc เป็นต้น   โดยบริการยอดนิยมจะอยู่ในกลุ่มงานบริการล้างแอร์ ซ่อมแซมหลังคารั่ว บริการล้างเครื่องซักผ้า ฯ ล ฯ นอกจากนี้ผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง SCG ก็ยังมีบริการที่เกี่ยวข้องกับบ้านด้วยเช่นกัน เช่น บริการจาก SCG Heim ซึ่งให้บริการงานต่อเติม ตรวจสอบและซ่อมแซมสภาพบ้าน ตกแต่งภายใน บิ้วอิน เป็นต้น บริการที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ ปัจจุบันผู้คนเริ่มมีความคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยมากขึ้น ทั้งการทำงานและกิจกรรมเพื่อความบันเทิง โดยเฉพาะการเล่นเกมส์ ที่ปัจจุบันกลายเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ถูกบรรจุเป็นกีฬาในระดับภูมิภาค และระดับโลก ในประเทศไทยก็เริ่มมีการเรียนการสอนในโรงเรียนวิชา E-Sport ตั้งแต่ระดับมัธยมในประเทศไทย เช่น โรงเรียนสิรินธร จ.สุรินทร์ ,โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม ที่ได้มีการสร้างห้อง E-Sport Room เพื่อรองรับการส่งเสริมนักเรียนในทุกด้าน และในระดับมหาวิทยาลัยนั้น ภาคเอกชนก็เริ่มนำคอร์สการเรียนที่เกี่ยวข้องกับ E-Sport มาเป็นทางเลือกให้ผู้ที่สนใจในด้านนี้โดยเฉพาะด้วยเช่นกัน   การเติบโตของ E-Sport ทำให้การพัฒนาห้อง E-Sport ภายในที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในอาคารชุดพักอาศัยเริ่มกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นนอกเหนือจาก Co-Working และ Co-Kitchen space โดยปัจจุบันมีโครงการอาคารชุดพักอาศัย อย่าง โครงการ เพลส 168 ปิ่นเกล้า ที่พัฒนาโดยบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) และโครงการอัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร ที่พัฒนาโครงการโดย อัลติจูด ดีเวลลอปเมนท์ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของคนรุ่นใหม่ ที่ใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยมากขึ้น   นอกจากนี้ยังพบว่าธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศก็มีการนำห้อง E-Sport Room เข้ามาใช้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เช่นโรงแรม iHotel — Taoyuan City ประเทศไต้หวัน , โรงแรม The Arcade Hotel ในประเทศเนเธอแลนด์ และ โรงแรม eZONe Cyber Space Hotel ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น โดยการให้บริการจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับเล่นเกมส์ในห้องพักโดยเฉพาะ มีที่นอนภายในห้อง โดยที่พักจะมีเริ่มต้นตั้งแต่ 2 คน ไปจนถึงห้องใหญ่ที่รองรับผู้เข้าพักได้ถึง 5 คน มีค่าบริการเริ่มต้นตั้งแต่ 1,500 เป็นต้นไป   “วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้คนจากวิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) มาสู่วิถีชีวิตปกติถัดไป (Next Normal) ภายหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 งานบริการไม่ใช่งานที่ผู้คนต้องออกจากบ้านเพื่อไปรับบริการแล้ว แต่งานบริการกลายเป็นงานที่ผู้คนสามารถใช้บริการได้จากที่บ้านของพวกเขาเอง ผ่านการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เชื่อมต่อทุกงานบริการเข้าด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้คน จึงเป็นมิติใหม่ของการสร้างโอกาสในการสร้างธุรกิจบริการเพื่อที่จะเข้าถึงผู้คนและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เทคโนโลยี่ดิจิทัล เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโอกาสทั้งทางธุรกิจและเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน”    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -โควิดทุบ SMEs ธุรกิจบริการ-ท่องเที่ยว รายได้หาย 27,000 ล้าน
เอสซี แอสเสท ส่งบ้านหรูแบรนด์ใหม่ 95E1  ราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้าน

เอสซี แอสเสท ส่งบ้านหรูแบรนด์ใหม่ 95E1 ราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้าน

เอสซี แอสเสท เอสซี เปิดขายบ้าน หลังละ 100 ล้าน แบรนด์ใหม่ “95E1”  รับดีมานด์กลุ่มลูกค้าระดับลักชัวรี่ มั่นใจกำลังซื้อกลุ่มบ้านแนวราบยังสูงต่อเนื่อง หลังที่ผ่านมาปิดโปรเจ็กต์แล้ว 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,900 ล้าน   นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท  คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ในเดือนมิถุนายนนี้ บริษัทวางแผนเปิด 5 โครงการใหม่ เป็นบ้านหรู New Series และ คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ รวมมูลค่าโครงการ 12,290 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวม 6,290 ล้านบาท และ แนวสูง 1 โครงการ มูลค่า 6,000 ล้านบาท   โดยในโครงการทั้งหมด มีโครงการที่ขายบ้านระดับราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ “95E1” (ไนน์-ตี้-ไฟว์-อีสต์-วัน) แบนด์ใหม่บ้านเดี่ยวสุดหรูในเซกเมนต์ Ultimate Luxury ด้วยแนวคิด “Exquisite Craftsmanship” มีจำนวน 10 ยูนิต ตั้งบนพื้นที่ 4-2-50 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 842-846 ตารางเมตร รวมมูลค่าโครงการ 1,010 ล้านบาท โครงการตั้งอยู่บริเวณเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา นอกจากนี้ ยังมีโครงการแนวราบอีก 3 โครงการ ได้แก่ โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม 9 - กรุงเทพกรีฑา บ้านหรู 3 ชั้น ได้แนวคิดจากสถาปัตยกรรม อาสนวิหาร ในประเทศอิตาลี ตั้งบนพื้นที่ 23-1-28.1 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 593-776 ตารางเมตร จำนวน 35 ยูนิต ราคาเริ่ม 45-80 ล้านบาท  มูลค่าโครงการ 2,070 ล้านบาท โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สเตท บางนา บ้านหรู แรงบันดาลใจจาก American timeless ตั้งบนพื้นที่ 15-2-21.7 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 439-591 ตารางเมตร จำนวน 34 ยูนิต ราคาเริ่ม 30-60 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โครงการเวนิว ไอดี รามอินทรา มีนบุรี บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ซีรี่ส์ใหม่สไตล์ Modern Simplicity ตั้งบนพื้นที่ 44-2-54 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 167-229 ตารางเมตร จำนวน 212 ยูนิต ราคาเริ่ม 7.59-16 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,910 ล้านบาท ส่วนโครงการคอนโด เตรียมเปิดแบรนด์ใหม่ “COBE” บนทำเลใจกลางรัชดา - พระราม 9 ใกล้ MRT ศูนย์วัฒนธรรม มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท ราคาเริ่มเพียง 2.39 ล้านบาท นอกจาก SC เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้แล้ว เรายังพร้อมเปิดรับการร่วมลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง นายอรรถพล กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดแนวราบยังมีดีมานด์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 บริษัทสามารถปิดโครงการได้ถึง 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,900 ล้านบาท ซึ่งไตรมาสแรก SC สามารถกวาดรายได้รวม 4,930 ล้านบาท กำไร 535 ล้านบาท เติบโต 38% ทำให้มั่นใจว่า SC จะสามารถทำยอดทะลุตามเป้าหมายยอดขายและรายได้ตามที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซี แอสเสท เปิดแผนรายได้รวม 150,000 ล้าน การเติบโตด้วย 2 ENGINE ใน 5 ปี -[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​
เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ที่อยู่อาศัยหรูใกล้ชิดธรรมชาติ

เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ที่อยู่อาศัยหรูใกล้ชิดธรรมชาติ

เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ล่าสุด ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ที่อยู่อาศัยหรู เจาะกลุ่มผู้ซื้อบ้านที่ต้องการคอนโดพื้นที่ขนาดใหญ่ในเมือง ที่อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ   ขอเชิญชวนผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ในรูปแบบ Virtual Reality ได้ในงาน The Forestias Story and Beyond ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน วันที่ 10-11 มิถุนายนนี้ พร้อมมอบสิทธิพิเศษ 30 ยูนิตแรก ในราคาพิเศษแบบ VVIP สำหรับลูกค้าที่จองภายใน 30 มิถุนายน 2566 พร้อมกับจะได้รับสิทธิพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติมในการใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่โฮเต็ล อินดิโก้ เดอะ ฟอเรสเทียส์ มูลค่าสูงสุดถึง 500,000 บาท – โทรสอบถามข้อมูลได้ที่ Call Center 1265    “ที่อยู่อาศัย เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่กว่าทั่วๆ ไป กระทั่งแบบมีสระส่วนตัว แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ และง่ายที่จะเข้าถึงบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับการใช้ชีวิตแบบใจกลางเมือง ที่เดอะ ฟอเรสเทียส์มอบให้ ทุกห้องพักอาศัย เปิดรับวิวป่า 30 ไร่แบบพาโนรามา และทิวทัศน์ความมหัศจรรย์ของงานเฟสติวัลต่างๆ ที่จะจัดขึ้นเป็นประจำ ทั้งในผืนป่าและเหนือผืนป่า การออกแบบตกแต่งภายในถูกรังสรรค์ภายใต้ธีมที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ พร้อมทั้งมอบความเป็นส่วนตัวอย่างหรูหราเหนือระดับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ซื้อบ้านกลุ่มนี้ปรารถนา”  นายยุทธนา ตันติยานนท์ ประธานผู้อำนวยการ กลุ่มงานการจัดการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์MQDC     กรุงเทพฯ (31 พฤษภาคม 2566) – MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ประกาศวันนี้ว่า บริษัทฯ กำลังก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยแห่งใหม่ ความสูง 44 ชั้น ในชื่อ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 398 ไร่ของโครงการ ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ บนถนนบางนา-ตราด ก.ม.7   ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ คือหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของวิลล่าสุดหรู ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ ในประเทศไทยอีกด้วย โดยที่พักอาศัย เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ติดกับป่าขนาด 30 ไร่ใจกลางเดอะ ฟอเรสเทียส์ และเชื่อมโดยตรงกับทางเดินยกระดับที่ทอดยาวเหนือผืนป่า ความยาว 1.6 กิโลเมตร   นายยุทธนา ตันติยานนท์ ประธานผู้อำนวยการ กลุ่มงานการจัดการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ MQDC เปิดเผยว่า “ที่พักอาศัยโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่กว่าทั่วๆ ไป กระทั่งแบบมีสระส่วนตัว แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ และง่ายที่จะเข้าถึงบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับการใช้ชีวิตแบบใจกลางเมือง ที่โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์มอบให้ โดยอาคารโครงการ ความสูง 44 ชั้น มีเพียง 122 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งเป็นยูนิตแบบมีพื้นที่กว้างขวาง และทุกยูนิตเปิดรับวิวป่าแบบพาโนรามา และทิวทัศน์ความมหัศจรรย์ของงานเฟสติวัลต่างๆ ที่จะจัดขึ้นเป็นประจำ ทั้งในผืนป่าและเหนือผืนป่า”     ห้องพักอาศัยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 140 ตารางเมตรไปจนถึง 350 ตารางเมตร โดยมีห้องแบบเพนท์เฮาส์ขนาดพื้นที่ใช้สอย 917 ตารางเมตร บนชั้น 43 ส่วนจำนวนห้องนอนก็มีเลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 2 ห้องนอนไปจนถึง 5 ห้องนอน โดยที่พักอาศัยแบบฟรีโฮลด์แห่งนี้ มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 37 ล้านบาทสำหรับยูนิตขนาด 2 ห้องนอน และราคาเริ่มต้น 49 ล้านบาทสำหรับยูนิตขนาด 3 ห้องนอน   ตัวอาคารของ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ได้รับการออกแบบโดย Foster + Partners โดยแนวคิดของโครงการให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการมอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดให้แก่ผู้อยู่อาศัย เราจึงพิถีพิถัน ใส่ใจในการออกแบบทุกรายละเอียด บนพื้นฐานของการทำความเข้าใจผู้อยู่อาศัยมากที่สุดในเรื่องของความเป็นส่วนตัว โดยได้สร้างโถงทางเดินและบันไดสำหรับงานบำรุงรักษาไว้ในจุดต่างๆ “การออกแบบนี้จะช่วยให้ช่างสามารถเข้าบริการหรือดูแลรักษางานระบบอาคาร โดยเฉพาะงานท่อหลักได้โดยไม่ต้องเข้าไปในห้องพักอาศัย อีกทั้งยังสามารถบำรุงรักษาอาคารให้ได้มาตรฐานระดับพรีเมียมอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่รบกวนพื้นที่ส่วนรวมที่ลูกบ้านใช้ประจำ” นายยุทธนากล่าว   นอกจากนั้น การออกแบบพื้นที่ภายในยังมีความเป็นสัดส่วน โดยแยกพื้นที่ที่ผู้ช่วยดูแลบ้านต้องใช้ เช่น พื้นที่ห้องครัวไทย และห้องพักของผู้ช่วยดูแลบ้าน ไม่รบกวนความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย พร้อมกันนี้ ทุกยูนิตยังมีล็อบบี้ลิฟต์ส่วนตัวอีกด้วย หนึ่งในลักษณะพิเศษที่เป็นจุดเด่นของโครงการ คือมีที่นั่งพักผ่อนภายนอกอาคารมากมาย รวมไปถึงสวนส่วนตัว สนามหญ้าอเนกประสงค์ ระเบียงชายป่า และบ้านต้นไม้ นอกจากนั้น ยังได้นำเอาวัสดุพิเศษมาใช้ ในการก่อสร้างฟาซาด เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยในอาคารรู้สึกเย็นสบายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้ออกแบบโถงล็อบบี้ส่วนตัวสำหรับผู้อยู่อาศัย ซึ่งแยกเป็นสัดเป็นส่วนกับล็อบบี้หลักของอาคาร เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จ ภายในสิ้นปี 2568 โดยงานเสาเข็มได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างชั้นใต้ดิน และเตรียมเปิดให้เข้าชมห้องตัวอย่าง อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป     นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ประธานผู้อำนวยการ โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC กล่าวว่า “ที่พักอาศัยอื่นๆ อีก 4 แบรนด์ของเราในเดอะ ฟอเรสเทียส์ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ถึงตอนนี้ ทำยอดขายรวมกันมากกว่า 22,000 ล้านบาทไปแล้ว” “ผมเชื่อว่า เหตุผลที่โครงการได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากทุกวันนี้ผู้คนจำนวนมากขึ้นอยากใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าทั่วๆ ไป ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวเยอะๆ และอยากอยู่ในโครงการที่ได้รับการออกแบบโดยบริษัทที่ได้รับการยอมรับนับถือในระดับโลก ที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพดียิ่งขึ้น และผมคิดว่าที่คนเชื่อมั่นว่าโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ของเรามีศักยภาพสูงในด้านของการลงทุน เป็นเพราะการที่โครงการตั้งอยู่ในทำเลเชื่อมต่อพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการขับเคลื่อนและส่งเสริมให้โครงการมีความน่าดึงดูดใจ” นายกิตติพันธุ์กล่าว   ที่พักอาศัยโครงการ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ใกล้กับโฮเต็ล อินดิโก้ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ในสไตล์ที่จะมาเติมเต็มพื้นที่ และสะท้อนธีมใกล้ชิดธรรมชาติของซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ได้เป็นอย่างดี พร้อมกับมีทางเดินเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างอาคารที่พักอาศัยและอาคารโรงแรม “การตั้งอยู่ใกล้เคียงแบบเชื่อมถึงกันได้อย่างสะดวกสบายกับโรงแรมและพื้นที่จำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม รวมทั้งบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เป็นสิทธิประโยชน์พิเศษเพิ่มเติมที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับลูกค้าเจ้าของที่พักอาศัยโครงการซิกเนเจอร์ ซีรีส์” นายกิตติพันธุ์กล่าว   สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยอื่นๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ มีการก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วค่อนข้างมาก ในจำนวนนี้ รวมถึงโครงการซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ เดอะ ฟอเรสเทียส์, มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า, มัลเบอร์รี่ โกรฟ คอนโดมิเนียม, คอนโดมิเนียมแบรนด์ วิสซ์ดอม, คอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ แอสเพน ทรี และสกายวิลล่า ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่การมอบบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการดูแลผู้พักอาศัยอย่างครบวงจรตลอดชีวิต โครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ มีมูลค่าประมาณ 5,900 ล้านบาท   บทความที่เกี่ยวข้อง Mulberry Grove The Forestias Villas บ้านคลัสเตอร์ แนวคิดใหม่ MQDC เปิดขาย “Whizdom The Forestias : Mytopia” MQDC เผยความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” บ้านอัลตร้าลักชัวรี่ The Forestias – เมืองต้นแบบกลางป่าใหญ่ในกรุงเทพฯ  
เทรนด์สุขภาพมาแรง คนไทยใช้ที่นอนหลังละ 50,000 บาท

เทรนด์สุขภาพมาแรง คนไทยใช้ที่นอนหลังละ 50,000 บาท

เทรนด์สุขภาพมาแรง คนไทยใช้ที่นอนหลังละ 50,000 บาท จากอดีต 10 ปีก่อนหน้า ใช้แพงแค่หลังละหมื่นบาท ชิค รีพับบลิค ชี้ตลาดที่นอนสุขภาพเติบโตต่อเนื่อง 20% ยอดขายปีละกว่า 100 ล้าน พร้อมจับมือแบรนด์เซอร์ต้า จากอเมริกาลุยขายที่นอนพรีเมียม   มนุษย์ใช้เวลาเฉลี่ย 1 ใน 3 ของวัน หรือประมาณ 8 ชั่วโมง หมดไปกับการนอนเพื่อการพักผ่อน เติมพลังในการออกมาใช้ชีวิตในแต่ละวันสำหรับการทำงาน ดังนั้น อุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการนอน จึงเป็นสินค้าจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะที่นอนและเครื่องนอน ซึ่งปัจจุบันสินค้ากลุ่มนี้ก็ได้พัฒนาคุณภาพ และคุณสมบัติเพื่อทำให้การนอนหลับของคนได้นานขึ้นและสบายมากขึ้น   ตลาดที่นอนและเครื่องนอน คาดว่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี เพราะผู้ผลิตสินค้ามีการพัฒนาสินค้าออกมาให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และบริโภคเองก็ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ และคุณสมบัติที่ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะที่นอนที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพของผู้ใช้งาน เมื่อตื่นนอนแล้วไม่มีปัญหาปวดหลัง หรือเมื่อใช้ไปนาน ๆ ไม่เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค แบคทีเรีย หรือไรฝุ่น ที่จะส่งผลให้เกิดโรคทางเดินหายใจหรือภูมิแพ้ตามมาภายหลัง นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน) หรือ CHIC ผู้จัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน ของใช้ในบ้าน ที่นอนและเครื่องนอนครบวงจร เปิดเผยว่า ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของชิค รีพับบลิค มีค่าใช้จ่ายในการซื้อที่นอนเฉลี่ย 50,000 บาทต่อบิล ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วง 10 ปีก่อนหน้านี้ ที่ซื้อที่นอนเฉลี่ยเพียง 10,000 บาทต่อบิลเท่านั้น   สาเหตุสำคัญเป็นเพราะผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพการนอน ที่เน้นที่นอนคุณภาพ เพื่อให้หลับสบาย ประกอบกับผู้ผลิตสินค้าที่นอน ได้พัฒนาคุณภาพของที่นอนที่ดีขึ้น จากอดีตที่ผู้ผลิตจะใช้วัสดุประเภท ใยมะพร้าว นุ่น หรือฟองน้ำ ทำให้สินค้ากลุ่มราคาถูกเริ่มหายไปจากตลาด และพฤติกรรมการเลือกซื้อที่นอนคุณภาพ ในระดับพรีเมียมมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย โดยเห็นได้จากยอดขายของชิค รีพับบลิค ที่เติบโตต่อเนื่องปีละ 20% ปัจจุบันมีสัดส่วนยอดขายสินค้ากลุ่มที่นอนประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี จากการจำหน่ายสินค้า 4-5 แบรนด์ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปมาก 10 ปีก่อน ลูกค้าซื้อที่นอนหลังละหมื่นบาทก็เป็นเรื่องน่าตกใจแล้ว แต่ปัจจุบันลูกค้ายอมจ่ายซื้อที่นอน 40,000-50,000 บาท ถือเป็นเรื่องปกติ ล่าสุด บริษัทได้ร่วมกับบริษัท เซอร์ต้า (ไทยแลนด์) จำกัด ในการจัดจำหน่ายที่นอนและอุปกรณ์แบรนด์เซอร์ต้า (Serta) จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งวางจำหน่ายทั้ง 5 สาขาของชิค รีพับบลิค ในราคาเริ่มต้น 30,000 บาท จนถึงกว่า 200,000 บาท โดยชิค รีพับบลิค คาดว่ายอดขายของที่นอนแบรนด์เซอร์ต้า จะช่วยผลักดันให้ผลประกอบการของบริษัทโดยรวมเติบโต 15% ตามเป้าหมายที่วางไว้   ด้านMr. Indra Setiawan กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซอร์ต้า (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้า จำหน่าย และขายปลีก ที่นอนและอุปกรณ์เครื่องนอน Serta®  กล่าวว่า แผนดำเนินธุรกิจของ เซอร์ต้า (ไทยแลนด์) ในปีนี้ จะเน้นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย ผ่านการสื่อสารและการตลาดในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการทำตลาด การส่งเสริมการขาย และโปรโมชั่นร่วมกับ  ชิค รีพับบลิค ซึ่งเป็นช่องทาการจำหน่ายแห่งแรกในประเทศไทยที่   โดยปัจจุบันที่นอนแบรนด์เซอร์ต้า มีจำหน่ายอยู่กว่า 150  ประเทศทั่วโลก ในอาเซียน มีจำหน่ายที่ประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม และประเทศไทย ซึ่งการเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยนั้น มองว่าเป็นเพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพและโอกาสการเติบโตสูง จากภาคการท่องเที่ยว และฮอสพิทาลิตี้ ซึ่งโรงแรมระดับ 5 ดาวหลายเชนได้ใช้ที่นอนแบรนด์เซอร์ต้าในห้องพัก ทำให้เห็นว่าตลาดการท่องเที่ยวของไทยที่กำลังขยายตัวสูง เป็นโอกาสที่จะเข้ามาทำตลาดและสร้างยอดขายให้เติบโต ​   ทั้งนี้ ที่นอนแบรนด์ Serta®  เริ่มนำเข้ามาวางจำหน่ายครบทั้ง 5 คอลเลคชั่น ซึ่งเป็นคอลเลคชั่นที่มีกระแสตอบรับดีจากลูกค้ากลุ่มประเทศอาเซียน อาทิ “Celestial” “Pedic Series” “Perfect Sleeper” “Perfect Spine” และ “Sleep True” โดยทุกรุ่น ทุกคอลเลคชั่น ผ่านการผลิตด้วยเทคโนโลยี Pocket Spring ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Serta® สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังเพิ่มเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์เมืองร้อนด้วย เช่น ADAPTIVE DYNAMIC COOLING SYSTEM (ADCS) ซึ่งสามารถปรับอุณหภูมิในขณะนอน หรือ Cool Fiber และ Cool Max อีกทั้งโดดเด่นด้วยดีไซน์สุดหรู มีเอกลักษณ์ลงตัวในแบบที่ใจต้องการด้วย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -3 เหตุผล ชิค รีพับบลิค ระดมทุนในตลาด เอ็ม เอ ไอ ขาย 360 ล้านหุ้น
[PR News] สมาร์ท อัปเกรด Smart World แอปเพื่อการอยู่อาศัย หวังยอดทะลุ 2 แสนราย

[PR News] สมาร์ท อัปเกรด Smart World แอปเพื่อการอยู่อาศัย หวังยอดทะลุ 2 แสนราย

สมาร์ท  อัปเกรด SMART WORLD โมบาย แอปพลิเคชัน ที่ครบ จบ ในแอปเดียว ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ Ultimate Digital Living เพิ่มลูกเล่นและฟังก์ชันการให้บริการที่มากขึ้น   นายสุวัฒน์ กุลไพจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SMART) เปิดเผยว่า บริษัทได้อัปเกรดแอปพลิเคชันสมาร์ท เวิล์ด "SMART WORLD" เวอร์ชันใหม่ ให้เป็นสุดยอดแอปเพื่อการอยู่อาศัย ในคอนเซปต์ SMART WORLD Ultimate Digital Living  เรียกได้ว่าดูแลกันตั้งแต่เริ่มต้นวันแรกของการซื้อบ้าน จนถึงวันโอน และดูแลต่อเนื่องไปตลอดของการพักอาศัย โดยสมาร์ทดำเนินธุรกิจการบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 26ปี ดูแลมากกว่า 390 โครงการ   สำหรับแอปพลิเคชันดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวก ตั้งแต่เรื่องการให้ข้อมูลสินเชื่อธนาคาร รวมถึงสามารถเข้าดูรายละเอียดความคืบหน้าของโครงการได้ด้วยตนเอง ผ่านหน้าแอปฯ และยังทำธุรกรรมการผ่อนดาวน์ , Refund , ยื่นขอเอกสารออนไลน์, ฝากขาย-เช่า ได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว หลังจากการโอนบ้านแล้ว แอปฯ นี้ยังคงดูแลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้ชีวิตในบ้านหลังใหม่เป็นไปอย่างสะดวก ง่ายดาย เป็นตัวเชื่อมติดต่อกับนิติบุคคลของ SMART หรือเพื่อนบ้านในโครงการได้สะดวกผ่านแชท และมีข่าวสารที่คอยอัปเดตเพื่อไม่พลาดทุกการเคลื่อนไหวในโครงการ แจ้งเตือนรับพัสดุ , จ่ายบิล , ประทับตรารถเข้า-ออกโครงการผ่านแอปฯ รวมทั้งสามารถดูกล้องวงจรปิดในพื้นที่ส่วนกลางของโครงการได้ในกรณีที่เราไม่อยู่บ้าน   นอกจากนี้ ยังช่วยจัดการเรื่องบ้านให้สมาร์ทมากขึ้นด้วยฟีเจอร์ Home Service หรือบริการเรื่องบ้าน ทั้งตกแต่งต่อเติมก่อนเข้าอยู่ รีโนเวต รวมถึงบริการต่าง ๆ ที่ช่วยให้บ้านดูสวย ใหม่ และ ดูแลรักษาตลอดเวลา เช่น บริการเรื่องบ้าน ทั้งล้างแอร์ ล้างบ่อดักไขมัน ล้างแทงค์น้ำ ติดตั้งโครงหลังคาจอดรถ ติดตั้งรางน้ำฝน และอื่น ๆ อีกมากมายจากพาร์ทเนอร์มืออาชีพ และยังมีสิทธิพิเศษ ส่วนลดต่างๆ ที่ SMART รวบรวมมาครบทุกแกน ทั้ง ร้านอาหาร กีฬา อุปกรณ์เครื่องใช้ สัตว์เลี้ยง และความงาม เพื่อลูกบ้านโดยเฉพาะ เรียกได้ว่าแค่มีแอปพลิเคชันอยู่ในมือ ก็ตอบโจทย์ตั้งแต่ต้น จนเข้าพักอาศัยแบบครบ จบในแอปเดียว เพียงปลายนิ้วสัมผัส บริษัทคาดว่า แอปพลิเคชั่น สมาร์ท เวิล์ดจะมียอดดาวน์โหลด 200,000 user หรือเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวภายในสิ้นปี      อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เทอร์ร่า เผยเทรนด์การอยู่อาศัยในปี 65 ต้องตอบโจทย์ Well-Being & ความปลอดภัย -[PR News]แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  เปิดให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “iDesign” โฉมใหม่แล้ววันนี้
บอร์ด โนเบิล  ขาย 2 เงินลงทุนใน 2 โครงการ 867.57 ล้าน ให้ พราว เรียล เอสเตท

บอร์ด โนเบิล ขาย 2 เงินลงทุนใน 2 โครงการ 867.57 ล้าน ให้ พราว เรียล เอสเตท

โนเบิล บอร์ด โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ ไฟเขียวขายเงินลงทุนใน 2 โครงการร่วมทุน ได้แก่ โครงการ นิว ดิสทริค อาร์ 9 และโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน ให้ พราว เรียว เอสเตท  คิดเป็นมูลค่า 867.57 ล้าน  ตามสัดส่วนที่โนเบิลถือหุ้น 50%    นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ​ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ จำหน่ายหุ้นสามัญทั้งหมดที่บริษัทฯ ถืออยู่ในบริษัทร่วมทุน 2 แห่ง ได้แก่  บริษัท พระราม 9 อัลไลแอนซ์ จำกัด (“PA9”) เป็นผู้พัฒนาโครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 (Nue District R9) บริษัท คูคต สเตชัน อัลไลแอนซ์ จำกัด (“KK”) เป็นผู้พัฒนาโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน (Nue Cross Khu Khot Station ) พร้อมโอนสิทธิเรียกร้องของบริษัทฯ ในหนี้เงินกู้ยืมบางส่วนที่บริษัทร่วมทุนมีอยู่ต่อบริษัทฯ ให้แก่บริษัท พราว เรียล เอสเตล จำกัด (มหาชน) (“PROUD”) โดยคิดเป็นมูลค่า 867.57 ล้านบาทตามสัดส่วนที่ NOBLE ถือหุ้น 50% สาเหตุที่บริษัทฯ ทำรายการขายในโครงการดังกล่าว เป็นไปตามกลยุทธ์ในการดำเนินการ ที่มีความต้องการสร้างอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นและผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงที่สุด จากการลดระยะเวลาการถือครองและรับรู้กำไรที่สมเหตุสมผล โครงการร่วมทุนทั้ง 2 โครงการเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จในการขายอย่างสูง โดยโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน ซึ่งปัจจุบันได้ sold out ไปที่เรียบร้อย ส่วนโครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 83% อีกทั้งมูลค่าการขายของทั้ง 2 โครงการยังถือเป็นการขายในมูลค่าที่สร้างผลตอบแทนที่ดีทั้งในแง่ของกำไรที่รับรู้ได้และกระแสเงินสดที่ได้กลับมา   รวมถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่จะได้รับในฐานะเป็นผู้บริหารโครงการร่วมทุน ดังนั้น บริษัทฯ จึงมองว่าการขายทั้ง 2 โครงการในช่วงจังหวะนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม และสามารถนำเงินสดมาหมุนเวียนเพื่อนำไปลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ที่ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น รวมถึงยังเป็นการปรับปรุงโครงสร้างเงินทุนของบริษัทฯ อีกด้วย นอกจากนี้ การขายโครงการดังกล่าวยังเป็นการปรับ Portfolio ของโครงการร่วมทุนเพื่อที่จะเพิ่มโครงการร่วมทุนใหม่ ๆในอนาคต ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการร่วมทุนกับบริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จำกัด (“TNLA”)  ที่เปิดโครงการทั้งหมดแล้ว 9 โครงการ มูลค่ารวม 28,400 ล้านบาท   บริษัทฯ ยังทำหน้าที่เป็นผู้บริหารโครงการในบทบาทเดิม ซึ่งโครงการจะถูกบริหารภายใต้ บริษัทฯ เช่นเดิมทุกประการ รวมถึงชื่อโครงการ การก่อสร้างตามข้อผูกพันเดิมกับลูกค้าตามรายละเอียดที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายรวมไปถึงการบริหารโครงการหลังการขายและการรับประกันผลงานการก่อสร้าง เพื่อให้ไม่มีผลกระทบใดๆ กับลูกค้า   สำหรับกระบวนการขายเงินลงทุนและโอนหุ้นใน PA9 และ KK รวมถึงเงินกู้ยืมผู้ถือหุ้นบางส่วนจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วนแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2566  ส่งผลให้บริษัทฯ จะสามารถบันทึกกำไรพิเศษในไตรมาส 3 ปี 2566   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ โชว์รายได้-กำไรไตรมาสแรกโต รับเศรษฐกิจ-ยอดต่างชาติฟื้น  -[PR News]โนเบิลเปิดตัว Noble Curate “ตัวคุณกำหนดทุกสิ่ง” ร่วมกับ 6 ไอคอนสถาปนิกไทย -เปิดเหตุผล พราว เรียลเอสเตท บุกตลาดกทม. กับวิธีทางสร้างรายได้ 15,000 ล้าน -พราว เรียลเอสเตท ปั้นโปรเจ็กต์ “เวหา” 2,290 ล้าน ชู 6 ไฮไลท์คอนโดลักชัวรี่สูงสุดในหัวหิน
อมรินทร์กรุ๊ป ทรานส์ฟอร์มจากธุรกิจสิ่งพิมพ์  สู่ Omni Media – Omni Chanel

อมรินทร์กรุ๊ป ทรานส์ฟอร์มจากธุรกิจสิ่งพิมพ์ สู่ Omni Media – Omni Chanel

อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ อย่างเป็นทางการ ตอกย้ำการเป็นธุรกิจที่เป็นมากกว่า พริ้นติ้ง หรือ พับลิชชิ่ง สู่ภาพลักษณ์ใหม่ Omni Media - Omni Chanel เป็นธุรกิจที่มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจด้านออนไลน์ ธุรกิจด้านอีเวนต์  ธุรกิจด้านดิจิทัล ตั้งเป้าพร้อมขยายโอกาสสู่กิจการด้านอื่นในอนาคต     นางระริน  อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทอมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด(มหาชน)  กล่าวว่า อมรินทร์กรุ๊ป เป็นองค์กรอันดับ 1 ด้านการสื่อสารแบบครบวงจร ผ่านโมเดลธุรกิจที่เป็นกลยุทธ์หลัก Omni Media - Omni Channel  ครอบคลุมสื่อมากที่สุดในประเทศ ผนึกรวมทุกภาคส่วนในเครือ ทั้ง On Print, Online, On Ground, On Air และ On Shop เราผสานรวมกันเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยความครอบคลุมนี้ถือเป็นจุดแข็งและกลยุทธ์สำคัญในการเดินหน้าทำธุรกิจของอมรินทร์กรุ๊ป ซึ่งแบ่งธุรกิจออกเป็น 5 กลุ่มธุรกิจหลัก และ 2 ธุรกิจที่ร่วมทุน ประกอบด้วย 5 กลุ่มธุรกิจอมรินทร์ 1.ธุรกิจมีเดียแอนด์อีเวนต์   ธุรกิจที่ประสานกับสื่อ นิตยสาร สื่อออนไลน์ ไปจนถึงธุรกิจจัดงานแฟร์และอีเวนต์  ที่จะช่วยให้ลูกค้าของอมรินทร์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.ธุรกิจสำนักพิมพ์  เป้าหมายเพิ่มจำนวนการผลิตหนังสือเล่มประมาณ 500 ปก และหนังสือดิจิทัลประมาณ  770 เรื่องต่อปี อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าโดยสามารถเลือกรูปแบบการอ่านได้มากมายทั้งการอ่านหนังสืออ่านแบบดิจิทัล หรือจะออดิโอ Multi-platformในรูปแบบที่ให้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด และมุ่งขยายความหลากหลายของคอนเทนต์เพื่อเข้าถึงคนทุกเพศทุกวัย สร้างสังคมแห่งการอ่านให้ประเทศไทย 3.ธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์   ธุรกิจการพิมพ์ที่ให้บริการได้ตั้งแต่การพิมพ์หนังสือเล่มเดียวไปจนถึงหลักล้านเล่ม นอกจากนี้ยังมุ่งพัฒนาไปที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายใต้สัญลักษณ์ AM GREEN 4.ธุรกิจจัดจำหน่ายสื่อสิ่งพิมพ์ และ Digital Content  โดยบริษัทอมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ที่มีเครือข่ายร้านพันธมิตรมากกว่า 700 แห่งทั่วประเทศ และธุรกิจค้าปลีกอย่างร้านนายอินทร์ และแพลตฟอร์มดิจิทัล ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 26 ล้านรายต่อปี และมีแพลตฟอร์มใหม่อย่าง Mareads ที่สามารถอ่านนิยายเป็นตอนๆ มาให้บริการ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ช่วยในการขยายฐานการอ่านและรองรับกลุ่มลูกค้าทั้งในไทยและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5.ธุรกิจทีวีดิจิทัล  โดยบริษัทอมรินทร์เทเลวิชั่น จำกัด ช่อง AMARIN TV 34HD  เป็นสื่อทีวีดิจิทัลที่ยังรักษาความนิยมของผู้ชมทั่วประเทศอยู่ใน TOP 7 ที่มีครบทุกแพลตฟอร์ม มีรายการที่มีคุณภาพครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายและเข้าถึงผู้ชมทั่วประเทศ ด้วยการเชื่อมต่อประสบการณ์อันหลากหลายผ่านทั้งช่องทาง On Air และ Online ในทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงผ่าน 34HD App ที่จะสามารถรับชมรายการผ่านอุปกรณ์ หรือ Device ต่างๆ ได้เข้าถึงง่ายยิ่งขึ้น ทำให้ปัจจุบัน Amarin TV 34HD สามารถเข้าถึงผู้ชมทั่วประเทศเฉลี่ย 10 ล้านคนต่อวัน และมีผู้ติดตามในสื่ออนไลน์ทุกแพลตฟอร์มมากกว่า 42 ล้านคน   ส่วนใน 2 บริษัทที่อมรินทร์ถือหุ้นร่วม คือ บริษัทคาโดคาวะ อมรินทร์ จำกัด เป็นผู้นำในเรื่องของ Light NOVEL และ MANGA และบริษัทเด็กดี อินเตอร์ แอคทีฟ จำกัด ผู้นำตลาดนิยายและ Education Platform ปี 65 ผลประกอบการนิวไฮด์ สำหรับผลประกอบการในปี 2565 ของบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 4,274.45 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนเป็นจำนวนเงิน 1,313.84 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นถึง 44.4 % ซึ่งมีเหตุผลหลักมาจาก รายได้จากธุรกิจผลิตงานพิมพ์และจำหน่ายหนังสือมีการเติบโตถึงร้อยละ 91.5 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2564 โดยมาจากการขยายตัวของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และการเติบโตของธุรกิจการจัดจำหน่ายหนังสือเล่มผ่านหน้าร้านหนังสือต่าง ๆ และโดยเฉพาะผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งมีการอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 83.4 รายได้จากธุรกิจมีเดียและอีเวนต์ รวมการให้บริการโฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อออนไลน์ และการจัดงานแสดงสินค้าและอีเวนต์ต่าง ๆ ซึ่งในปี 2565 มีอัตราการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 72.9 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2564 โดยเฉพาะรายได้จากการจัดงานแสดงสินค้าที่เติบโตถึงร้อยละ 147.6 โดยบริษัทสามารถดำเนินการจัดงานแสดงสินค้าได้ใกล้เคียงกับแผนงานที่วางไว้ทั้งงานบ้านและสวนแฟร์ที่มีการจัดงานถึง 3 ครั้ง งานอมรินทร์ เบบี้แอนด์ คิดส์ แฟร์ ที่มีการจัดงานในระหว่างปีถึง 4 ครั้ง รวมทั้งงานอื่น ๆ รายได้จากธุรกิจสื่อทีวีดิจิทัล ที่ยังคงรักษาระดับรายได้ไว้ได้ แม้ว่ายอดในการซื้อสื่อทีวีดิจิทัลในอุตสาหกรรมจะมีมูลค่ารวมที่ลดลง แต่บริษัทยังมีรายได้ 1,287.33 ล้านบาท ใกล้เคียงกับรายได้ในปี 2564 ที่มีรายได้ 1,282.36 ล้านบาท 3 ปีเตรียมลงทุนกว่า 2,100 ล้าน         ปี 2566-2568 ตั้งงบลงทุนกว่า 2,100 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 800 ล้านบาท โอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ และจากการร่วมมือกับคู่ค้า 600 ล้านบาท คอนเทนต์หนังสือ, ดิจิทัล, โทรทัศน์ ทั้งรูปแบบการซื้อลิขสิทธิ์ต่างประเทศ และสร้าง Local Content เพื่อพัฒนา Soft Power ให้กับประเทศไทย 250 ล้านบาท Infrastructure เช่น การสร้างสตูดิโอใหม่, การพัฒนาพื้นที่ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ 250 ล้านบาท Technology เช่น AI, ML เพื่อต่อยอดธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ 250 ล้านบาท Packaging เครื่องจักรและเทคโนโลยีการพิมพ์รองรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์   นอกจากการดำเนินกิจการต่าง ๆ แล้ว  สิ่งที่เราทำควบคู่มาตลอดเกือบครึ่งศตวรรษ ภายใต้พันธกิจหลัก “เราทำงานเพื่อความสุข และความรุ่งโรจน์ของสังคม” ภายในงาน AMARIN EXPO 2023 จะมีการเปิดตัวโครงการ “อมรินทร์ อาสา” 2 โครงการสำคัญในปีนี้ คือ โครงการ “หนึ่งหัวใจ สู่ชีวิตใหม่” ซึ่งเป็นความร่วมมือกับมูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี, บริษัท ซีเจเวิร์ค จำกัด (CJ WORK) และค่ายเพลง   WHAT THE DUCK ในโครงการ “หนึ่งหัวใจ สู่ชีวิตใหม่” ระดมทุน 50 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ป่วยด้วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดขั้นวิกฤต ผ่านรูปแบบมิวสิคแคมเปญ และโครงการ “อ่านพลิกชีวิต” ร่วมบริจาคหนังสือจำนวน 150,000 เล่ม  ให้ห้องสมุดโรงเรียนกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ   ด้านนายศิริ  บุญพิทักษ์เกศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทอมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด ยังเสริมว่า  Amarin TV 34HD เป็นสื่อที่จะช่วยเชื่อมโยงในทุกภาคส่วนเพื่อสร้างสังคม (Community) แห่งการแบ่งปัน และมอบสิ่งดีๆ กลับคืนสู่สังคม เหมือนที่เราได้ทำมาตลอดโดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ด้วยการเป็นสื่อกลางช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด - 19  การระดมทุนจากผู้ชมของเราที่มีจิตศรัทธาเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย การนำเสนอคอนเทนต์ที่มีส่วนช่วยคนในสังคมและชุมชน เพื่อที่เราจะเติบโตไปด้วยกัน บนเส้นทางหรือสังคมที่ยั่งยืน ภายใต้สโลแกนและทิศทางการทำงานของเรา “Sustainable Route” เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนไปกับรายการต่างๆ ของช่องในแบบ “Real Life Entertainment สนุก เข้มข้น บนความจริง” ซึ่งเป็นแนวคิดและจุดยืนหลักของช่อง (Concept & Positioning)  และเป็นเอกลักษณ์ของ Amarin TV 34HD นั่นเอง   ขณะที่นายเจรมัย  พิทักษ์วงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจ Media & Event  ยังเสริมว่า ธุรกิจ Media&Event ของเรามีทีมงานที่ทำสื่อหลากหลายในมือ และมีความชำนาญด้านการจัดงานแฟร์และอีเว้นต์  จนได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการให้จัดแคมเปญ วางแผนการตลาด และจัดงานอีเว้นต์อย่างมากมาย และสำหรับงาน AMARIN EXPO 2023 ที่เรากำลังจัดอยู่ เป็นงานแฟร์ล่าสุดที่ตั้งใจรวบรวมเนื้อหา กิจกรรม และสินค้าหลากหลายแบรนด์จากทั้งเครืออมรินทร์ รวมความสุขให้แก่ทุกครอบครัว สร้างประสบการณ์ใหม่กับ 5 โซน ช็อปสนุกกว่า 1,100 บูธ ได้แก่ บ้านและสวน, Amarin Baby&Kids, กินดีอยู่ดี, Explorers และร้านนายอินทร์   พร้อมกิจกรรมสุดพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น  Mini Concert จากศิลปินชื่อดัง, Meet & Greet ศิลปินดารา, พิธีกร และผู้ประกาศข่าวจาก Amarin TV รวมถึงกิจกรรมเสวนาที่น่าสนใจ พร้อม Workshop อีกมากมาย  โดยเราจะใช้ข้อมูลเชิงพฤติกรรมของผู้อ่านจากสื่อออนไลน์ และผู้ชมงาน อีเวนต์ที่จัดในแต่ละปี มาวิเคราะห์อย่างมืออาชีพ และถูกต้องตามหลักการเป็นฐานข้อมูลอ้างอิง เพื่อพัฒนาธุรกิจ  Media & Event ให้เป็นผู้จัดงานที่เข้าถึงผู้บริโภคมากที่สุด และเป็นสื่อออนไลน์ที่ทำได้มากกว่าการเข้าถึง Reach  แต่สามารถให้คำตอบ และทางเลือกที่ดี รวมถึงสร้างความมั่นใจ และสร้างโอกาสให้ธุรกิจต่าง ๆ ให้ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ   นอกจากงานแฟร์ที่เราจัดเป็นประจำอยู่แล้ว ในปีถัดไป  เราได้เตรียมขยายงานแฟร์ใหม่ๆ เช่น งาน AMARIN EXPO ที่จะไปจัดตามส่วนภูมิภาค เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่, งานบ้านและสวน Pets Fair, งาน   บ้านและสวน Garden & Farm Festival, งานกินดี อยู่ดี   และจากการร่วมทุนกับ Dek-D ก็จะมีการขยายงาน  T-CAS ของ Dek-D ร่วมกับ National Geographic Thailand เพื่อให้รองรับผู้มาร่วมงานมากยิ่งขึ้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -Review Your Living พาเดินงาน บ้านและสวนแฟร์ 2018
Viranya บางนา-สุวรรณภูมิ บ้านหรูเพื่อการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ

Viranya บางนา-สุวรรณภูมิ บ้านหรูเพื่อการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ

Viranya บางนา-สุวรรณภูมิ  โครงการใหม่จาก Real Asset บ้านหรูสไตล์ Luxury Cape Dutch  ที่ตั้งอยู่ ถนนกิ่งแก้ว  จ.สมุทรปราการ  การเดินทางสะดวกไม่ไกลจากสนามบินสุวรรณภูมิ   และถนนสายหลักอย่างบางนา-ตราด เดินทางจากโครงการไม่ถึง 10 นาทีก็ถึง Airport Link สถานีลาดกระบัง แต่ความที่ถนนกิ่งแก้วจะเป็นถนนที่คึกคักไปด้วยรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่จะทำให้การเดินทางรถเล็กจะดูจะลำบากไปหน่อย ถ้าเทียบกับถนนสายอื่น แต่ทำเลที่จะใกล้แหล่งงาน สนามบิน จัดว่าหายาก และที่สำคัญคือการขยายตัวของเมืองที่เริ่มจะมาทางกรุงเทพตะวันออกมากขึ้น  ถือได้ว่าตลอดปีมานี้ กิ่งแก้วก็เป็นทำเลยอดนิยมของ ที่อยู่อาศัยแบบ Luxury มีหลายโครงการมาปักหมุดทำโครงการในย่านนี้     Viranya บางนา-สุวรรณภูมิ  การจราจรอันคับคั่งของถนนกิ่งแก้ว และปัญหามลภาวะที่ริมถนน Viranya บางนา-สุวรรณภูมิ มีจุดเด่น ทำให้บ้านเป็น Safe Zone ได้ทุกเวลา ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยี Air purifier เครื่องฟอกอากาศชนิดปล่อยประจุชนิดติดตั้งบนฝ้าเพดานภายในบ้าน  เพื่อสร้างอากาศดีเพื่อสุขภาพที่ดี ห่างไกลจากมลภาวะ  ช่วยในเรื่องของการยับยั้ง การเจริญเติบโตของไวรัสและแบคทีเรีย และสารอันตราย ที่อยู่ในฝุ่น PM2.5   ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคที่มลภาวะอยู่รอบตัว แต่บ้านปลอดภัย สุขภาพดีทุกช่วงวัย     Viranya บางนา-สุวรรณภูมิ บ้านหรูสไตล์ Luxury Cape Dutch พื้นที่โครงการขนาด 42-1-75.1 ไร่ จำนวนบ้าน 207 หลัง  มีให้เลือกทั้งหมด 2 แบบบ้าน บ้านแฝด 2 ชั้น และบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 41.6-55 ตร.ว.ขึ้นไป พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 165-210 ตร.ม. ฟังก์ชันบ้าน 3-4 ห้องนอน, 3 ห้องน้ำ, 1 ห้องอเนกประสงค์ , 1 ห้องรับประทานอาหาร, 1 ครัวไทย, 1 Family Corner  พร้อมที่จอดรถ 2 คันทุกหลัง     แบบบ้าน2 แบบ Spencer บ้านเดี่ยวหลังใหญ่  2  ชั้นบนที่ดินเริ่มที่ 55  ตารางวา  แบบบ้านเพื่อครอบครัวขนาดใหญ่ อยู่รวมกันหลายรุ่น พื้นที่ใช้สอย 210 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก ที่จอดรถ 2 คัน ราคาเริ่มต้น8.49 ล้านบาท Carlton บ้านแฝด 2ชั้นบนที่ดิน 41 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย165 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พร้อมที่จอดรถ 2 คัน ราคาเริ่ม 6.09 ล้านบาท     Viranya บางนา-สุวรรณภูมิ มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการมากมาย อาทิ คลับเฮาส์, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนสที่ใช้อุปกรณ์ทันสมัยชั้นนำระดับโลกใช้ในรูปแบบเช่า ซึ้งจะมีการอัฟเดรต ดูแล เปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ตลอด Co-Working Space, Yoga Studio, Salt Sauna, Family Courtyard ส่วนโดยรอบ มีสวนสาธารณะ, สนามเด็กเล่น, Jogging Track, , ลานนวดหิน, แปลงสวนผักกินได้, ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม., เข้า-ออกโครงการผ่านระบบ Access Card Control แบบ Easy Pass, กล้องวงจรปิด     Viranya บางนา-สุวรรณภูมิ บ้านหรูเพื่อการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ บ้านที่พร้อมทุกสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี ทำให้บ้านเป็นที่พักผ่อนได้จริงๆ  วันพร้อมให้ชมบ้านตัวอย่างแล้ว   บทความน่าสนใจ Baan Issara Bangna เปิดแบบบ้านใหม่ พร้อมโปรซื้อบ้านแถมรถ Bentley “มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา” ออกแบบดี-สังคมดี-พักผ่อนดี-บริการดี-สัมผัสดี-สุขภาพดี คฤหาสน์ 100 ล้าน  Lake Legend บางนา – สุวรรณภูมิ
เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2 หนุนเป้ายอดขายกว่า 1.8 หมื่นล.

เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2 หนุนเป้ายอดขายกว่า 1.8 หมื่นล.

เสนาดีเวลลอปเม้นท์ โชว์ผลงาน Q 1/2566 โกยรายได้รวม 1,959 ล้าน รับทิศทางตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัว พร้อมเดินหน้าเปิดใหม่ 7 โครงการใหม่ในไตรมาส 2  รวมมูลค่า 6,400 ล้าน  มั่นใจผลงานตลดทั้งปีทำตามเป้าทั้งยอดขายและรายได้ หลังแบ็คล็อกหนุนรายได้อีกกว่า  7,356 ล้าน   นางสาวอธิกา บุญรอดชู  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทั้งแนวราบและแนวสูงและในฐานะดีเวลลอปเปอร์รายแรกพัฒนาหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่า หลังจากทิศทางอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มฟื้นตัว ตามทิศทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตจากภาคการท่องเที่ยว และการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้การดำเนินงานไตรมาส 1/2566 ของแต่ละดีเวลลอปเปอร์เริ่มสดใสขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป   โดยไตรมาสแรกที่ผ่านมา ทางเสนาสามารถสร้างรายได้รวมจากธุรกิจอสังหาฯ อยู่ที่ 1,959 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 90.87 ล้านบาท และมียอดขายรวมอยู่ที่ 2,694 ล้านบาท ส่วนธุรกิจเช่าบริการมีรายได้ 289.88  ล้านบาท และธุรกิจโซลาร์มีรายได้ ​118.23 ล้านบาท สำหรับธุรกิจอสังหาฯ มีการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการต่าง ๆ  ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม เสนาคิทท์ บางแค เอ็มอาร์ที เฟส2 โครงการเฟล็กซี่ รัตนาธิเบศร์ ,เสนาคิทท์ เอ็มอาร์ที บางแค เฟส 1 ,เดอะคิทท์ ลำลูกกา คลองสอง  ,นิชโมโน สุขุมวิท-ปู่เจ้า ,เสนาคิทท์ เพชรเกษม-พุทธมณฑลสาย 7 ,นิช ไพร์ด เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ ,นิช โมโน สุขุมวิทแบริ่ง  ,นิชโมโน รามคำแหง  ,เสนาคิทท์ เวสเกตต์ บางบัวทอง และโครงการเฟล็กซี่ สาทร – เจริญนคร รวมถึงยังรับรู้รายได้ จากการโอนกรรมสิทธิ์ โครงการกลุ่ม SENAJ  ประกอบด้วยโครงการ เจคอนโด  สาทร- กัลพฤกษ์  และโครงการไมอามี่ บางปู   ส่วนโครงการแนวราบ รับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์จากโครงการหลักประกอบด้วย เสนา อเวนิว 1 และ 2 รังสิตคลอง 1 , เสนาวิลเลจ ติวานนท์ – บางกระดี , เสนา เวล่า  รังสิต คลอง 1 ,  เสนา วิลเลจ วงแหวน- บางบัวทอง และเสนา วิลเลจ  สุขุมวิท -แพรกษา เสนา เวล่า เทพารักษ์ บางบ่อ 2 และโครงการเสนา วีว่า ลาดกระบัง  เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 คิดคิดเป็นมูลค่า 7,356 ล้านบาท   สำหรับช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่  3 โครงการ  รวมมูลค่า 2,041 ล้านบาท ประกอบด้วย  1. เสนา วิลล์ รามอินทรา เฟส 3 มูลค่า 59 ล้านบาท 2.เสนาคิทท์ รัตนาธิเบศร์ – บางบัวทอง มูลค่า 1,021 ล้านบาท และ 3. เสนาวิลล์ วงแหวน -บางบัวทอง มูลค่า 961 ล้านบาท  ซึ่งมั่นใจว่าจะส่งผลให้การดำเนินงานในปี 2566 เป็นไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้  โดยมียอดขาย 18,243 ล้านบาท และยอดโอนรวมมูลค่า 16,539 ล้านบาท ส่วนแผนงานในช่วงไตรมาส 2/2566 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่เพิ่มทั้งหมด 7 โครงการ รวมมูลค่า 6,477 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ เฟล็กซี่ สาทร - เจริญนคร เฟส 2 โครงการ เสนาคิทท์ สาทร-กัลปพฤกษ์ เฟส1 โครงการ เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู  โครงการ เสนาพาร์ค วิลล์ รามอินทรา วงแหวน เฟส 2 โครงการ เสนา วีว่า เทพารักษ์ – บางบ่อโครงการ เฟล็กซี่ บางนา 2  และโครงการ เสนา เวล่า รัตนาธิเบศร์ – บางบัวทอง   อย่างไรก็ตาม เสนายังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการและบริหารธุรกิจเพื่อต่อยอดให้เกิดความหลากหลาย สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก พร้อมการพัฒนานวัตกรรมด้านสินค้าและการบริการ สานต่อจุดยืนขององค์กรที่เป็นมากกว่าคนพัฒนาอสังหาฯ ด้วยการเป็น “THE ESSENTIAL LIFELONG TRUSTED PARTNER” เพื่อสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงชีวิต เพื่อธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ไม่ขายบ้าน-คอนโดอย่างเดียวแล้ว เปิด 10 ธุรกิจใหม่ 3กลุ่ม โฮลดิ้ง
AWC ประกาศ Q1/2566  กำไร 1,422 ล้าน ผลการใช้กลยุทธ์ GROWTH-LED

AWC ประกาศ Q1/2566  กำไร 1,422 ล้าน ผลการใช้กลยุทธ์ GROWTH-LED

AWC ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2566 เติบโตแข็งแกร่ง กำไรสุทธิ 1,422 ล้านบาท เพิ่มมากกว่าเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตนำปี 2562 เทียบก่อนสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่ทำ​รายได้ไตรมาสแรกรวม 4,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) สะท้อนการดำเนินงานตามกลยุทธ์ GROWTH-LED เพื่อสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2566 ตามงบการเงินรวมมูลค่ายุติธรรม มีรายได้รวมกว่า 4,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด 65.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ในไตรมาส 1/2566 กว่า 2,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  67.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการในทุกเซ็กเมนต์ ซึ่งสามารถสร้างรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ที่ 4,152 บาท สูงกว่าปี 2562 ก่อนสถานการณ์โควิด-19 อัตรา 17%   โดยเฉพาะโรงแรมนอกกรุงเทพฯ และรีสอร์ท ระดับลักซ์ซูรี ที่มีอัตราการเข้าพักสูงโดดเด่น สอดรับการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงมีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัทเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลการท่องเที่ยวอย่างเทศกาลปีใหม่ ส่งผลให้บริษัทฯ มีศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมสร้างผลกำไรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และยังสูงกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 อีกด้วย AWC ยังคงมุ่งพัฒนาทรัพย์สินคุณภาพให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) อย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/2566 บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงานรวมกว่า 119,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36,548 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2562 คิดเป็น 43.9% นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนพัฒนาโครงการต่าง ๆ เพื่อสร้างกระแสเงินสดในระยะกลางอย่างแข็งแกร่ง พร้อมเข้าลงทุนทรัพย์สินในสัญญาให้สิทธิ (ROFR) จากกลุ่มทีซีซี และโอกาสการลงทุนทรัพย์สินคุณภาพอื่น ๆ ในระยะยาว และด้วยขนาดของทรัพย์สินคุณภาพที่เติบโตต่อเนื่อง บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างก้าวกระโดดและมั่นคง   จากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ AWC ในไตรมาส 1/2566 ซึ่งเติบโตสูงขึ้นกว่าไตรมาส 4/2565 และก่อนช่วงสถานการณ์โควิด-19 ปี 2562 ถือเป็นสัญญาณบวกของการเริ่มต้นปี โดยผลประกอบการที่เติบโตก้าวกระโดดนี้ มาจากการการดำเนินงานตามกลยุทธ์ GROWTH-LED ผ่านการพัฒนาโครงการทรัพย์สินคุณภาพให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงาน โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 36,548 ล้านบาท เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ทั้งสร้างกระแสเงินสดเติบโต พร้อมเร่งสร้างการเติบโตของอัตราผลตอบแทนด้วยการพัฒนาทรัพย์สินเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย อาทิ ผลดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ ที่มีค่า Revenue Generation Index (RGI) ในภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ โรงแรม แบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ มีค่า RGI เท่ากับ 201 และโรงแรม คอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ มีค่า RGI เท่ากับ 195 เป็นต้น และอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักในภาพรวม (RevPAR) สูงถึง 4,152 บาท รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนกำไรจากการดำเนินงานต่อรายได้ ซึ่งไม่รวมมูลค่ายุติธรรม (EBITDA MARGIN) ในไตรมาส 1/2566 ของทั้งกลุ่มบริษัทสูงถึง 45% แข็งแกร่งกว่าไตรมาส 1/2565 อัตรา 14% ธุรกิจโรงแรมและการบริการโต 17% บริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องในทุกเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มรีสอร์ท ระดับลักซ์ซูรี และโรงแรมอื่น ๆ นอกกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพ (High-to-Luxury) สอดรับกับมาตรการการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้มีดีมานด์การท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่สูงขึ้นอย่างเด่นชัด ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) อยู่ที่ 4,152 บาท ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 ที่เท่ากับ 3,549 บาท โตขึ้น 17%  โดยในไตรมาส 1/2566 กลุ่มธุรกิจโรงแรมมีรายได้ 2,743 ล้านบาท คิดเป็นกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) 1,091 ล้านบาท ซึ่งเติบโตก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) หรือเพิ่มขึ้น 28.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) AWC มุ่งพัฒนาทรัพย์สินคุณภาพให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนห้องพักในปัจจุบันรวม 5,588 ห้อง เพิ่มขึ้น 63% เทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งภายในปีนี้ ยังมีแผนเดินหน้าเพิ่มพอร์ตคุณภาพในกลุ่มโรงแรมและการรีแบรนด์โรงแรม ได้แก่ โรงแรม อินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท และโรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง รวมทั้งการรีแบรนด์โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่ เป็น โรงแรม แมริออท เชียงใหม่   โดยบริษัทตั้งเป้าเพิ่มจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการจาก 20 โรงแรมในปี 2565 เป็น 22 โรงแรม ในปี 2566 รวม 6,036 ห้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพบริษัทให้สามารถตอบสนองความต้องการนักท่องเที่ยวและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกเสริมความแข็งแกร่งของทรัพย์สินคุณภาพในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Assets Enhancement) อาทิ การร่วมมือกับ Accor ในการรีแบรนด์จากโรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว แบงค็อก วินด์เซอร์ เป็นโรงแรม แฟร์มอนท์ แบงคอก สุขุมวิท แห่งแรกในประเทศไทย อสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์โต 114% กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการค้า (Retail and Wholesale) มีการเติบโตต่อเนื่องของผู้เช่า ซึ่งได้แรงสนับสนุนจากผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มศูนย์การค้าเพื่อการท่องเที่ยว ส่งผลให้รายได้เติบโตมากกว่า 114% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา   นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งพัฒนาโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย อาทิ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ผ่านประสบการณ์ “ALL DAY EVERYDAY HAPPINESS” พร้อมการร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกเปิด “Disney100 Village at Asiatique” การเปิดตัวห้องอาหาร “เดอะ คริสตัลล์ กริลล์ เฮาส์” และ “เดอะ สยาม ที รูมท์” เพื่อยกระดับโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ สู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก ส่งผลให้โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น มีอัตราการเช่าพื้นที่และอัตราค่าเช่าที่สูงขึ้นสอดรับกับจำนวนลูกค้าที่เข้าใช้บริการที่เพิ่มขึ้นมากกว่า  250% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน   บริษัทยังได้มีการเปิดตัว THE PANTIP LIFESTYLE HUB ที่เชียงใหม่ ภายใต้แนวคิด “EVERY HAPPINESS FOR EVERYONE” มุ่งสร้างแลนด์มาร์คไลฟ์สไตล์สำหรับครอบครัวใจกลางเมืองเชียงใหม่ และในเดือนเมษายนที่ผ่านมา AWC ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ขับเคลื่อนประเทศไทย เป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” โดยได้เปิดโมเดลค้าส่งอาหารรูปแบบใหม่ของโครงการ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM ที่จะตอบโจทย์การค้าส่งอาหารครบวงจร พร้อมเชื่อมผู้ค้าส่งอาหารทั่วโลกกับผู้ซื้อในเขตเศรษฐกิจอาเซียน สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงาน (Commercial) ยังคงสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง มาจากความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานเกรด A ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบรับเทรนด์อนาคตที่ผสมผสานการทำงานและไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกัน อีกทั้งเป็นสำนักงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียว (Green Building) โดยในไตรมาสที่ผ่านมา AWC ได้เปิดตัว “Co-Living Collective: Empower Future” ที่อาคาร “เอ็มไพร์” เป็นครั้งแรก นำ Co-Living Space กว่า 1,500 ตร.ม. ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมาสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับผู้เช่าอาคาร ตอบโจทย์ทั้งด้านการทำงานและไลฟ์สไตล์ในที่เดียว AWC ยังคงมุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไร และควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการดำเนินการพัฒนาโครงการคุณภาพอย่างต่อเนื่อง”  AWC มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้รับรางวัลที่สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และความโดดเด่นของแบรนด์องค์กร ได้แก่  รางวัล “Thailand’s Top Corporate Brands 2022” ในฐานะองค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดของประเทศไทย ประจำปี 2565 ในหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่จัดขึ้นโดยหลักสูตรปริญญาโท สาขาการจัดการแบรนด์และการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ “Asia's Greatest Brand 2023” รางวัลระดับภูมิภาคเอเชีย ในกลุ่มธุรกิจบริการจากงาน Edition of Asian Business & Social Forum - Asia’s Greatest Brands and Leaders 2023 ที่จัดโดย Asia One Magazine นิตยสารธุรกิจชั้นนำของประเทศอินเดีย เพื่อยกย่องผู้นำทางธุรกิจและแบรนด์ที่มีความโดดเด่นในปี 2566   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -หมดยุคห้างสินค้าไอที พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ AWC ปรับสู่ศูนย์กลางค้าส่งด้านอาหาร ใหญ่สุดในไทย -AWC เดินแผนขยายธุรกิจแสนล้าน เตรียมเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 9 แห่ง
[PR News] เสนา ตั้ง “สุพินท์ มีชูชีพ” ขึ้นแท่นซีอีโอบริษัท SEN X คนใหม่

[PR News] เสนา ตั้ง “สุพินท์ มีชูชีพ” ขึ้นแท่นซีอีโอบริษัท SEN X คนใหม่

บอร์ด SEN X ไฟเขียวแต่งตั้ง “สุพินท์ มีชูชีพ” CEO คนใหม่ ขึ้นแท่นขับเคลื่อนขยายทุกโอกาส ทางธุรกิจใหม่เจาะไลฟ์สไตล์ชีวิตที่เปลี่ยนตามเมกะเทรนด์โลก นำทัพเสริมความแข็งแกร่งสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต พร้อมชูจุดยืนบริษัท Real Estate Integrated Service Solution  มุ่งมั่นสร้างสรรค์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบริการมาตรฐานระดับโลก พร้อมสานต่อเจตนารมย์องค์กรใหญ่ “THE ESSENTIAL LIFELONG TRUSTED PARTNER” เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงชีวิตของลูกค้า   หลังจากบอร์ด บริษัท เสนา เจ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ SENAJ ได้มีมติจากคณะกรรมการบริษัทฯ ประกาศแต่งตั้ง คุณสุพินท์ มีชูชีพ ขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ และเมื่อวันที่ 17 พ.ค.2566 ที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการบริษัท เสนา เจ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SEN X อย่างเป็นทางการ ขณะที่ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ยังดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทและประธานคณะกรรมการบริหาร   โดยคุณสุพินท์ มีชูชีพ เข้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SEN X  ซึ่งมีผลตั้งแต่ วันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมาพร้อมเดินหน้าสานต่อวิสัยทัศน์องค์กรใหญ่เสนาดีเวลลอปเม้นท์ “THE ESSENTIAL LIFELONG TRUSTED PARTNER” เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงชีวิตของลูกค้า รวมถึงมุ่งสู่การดำเนินธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน   ขณะเดียวกัน ภายใต้การบริหารงานโครงสร้างองค์กรใหม่โดย คุณสุพินท์ มีชูชีพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SEN X ได้วางวิชั่นองค์กรบนกรอบแนวคิด Real Estate Integrated Service Solution มุ่งมั่นสร้างสรรค์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบริการมาตรฐานระดับโลก เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักของ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ รวมถึงต่อยอดการสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจเน้นสร้างDecarbonization Lifestyle เพื่อช่วยกันลดการปล่อยคาร์บอนให้กับโลก ธุรกิจที่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ใหม่ในการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบัน และการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มความสะดวกสบายให้กับทุกคนตามเมกะเทรนด์ (Mega Trends) ของโลก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่งคงและยั่งยืนต่อไป สำหรับคุณสุพินท์ มีชูชีพ คร่ำหวอดในอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปี เคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ JLL บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ระหว่างประเทศชั้นนำของโลกและรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีหน้าที่ดูแลการขับเคลื่อนกลยุทธ์หลักทางธุรกิจ นับตั้งแต่ตัวแทนซื้อขาย -ให้เช่า เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนอย่างครบวงจร   ด้วยผลงานอันโดดเด่นบวกกับประสบการณ์ที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารและการขยายธุรกิจ คุณสุพินท์ยังเป็นที่ปรึกษาให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับนวัตกรรมเพื่ออาคารประหยัดพลังงานตามหลักมาตรฐานอาคารเขียว (LEED & Green building) และนวัตกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์และเทคโนโลยีต่าง ๆ มาปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในธุรกิจต่างๆ รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน และธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาทิ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย (RESIDENTIAL PROPERTY) ธุรกิจเชิงพาณิชย์อื่น ๆ ทั้งอาคารสานักงานให้เช่า (Office Building),โรงแรม (Hotel),เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์,คลังสินค้า (Warehouse),อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ รวมถึงศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อซัพพอร์ตลูกค้า เป็นต้น ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนให้การดำเนินธุรกิจใหม่ของ บริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SEN X ให้เติบโตและแข็งแกร่งได้อย่างแน่นอน   นอกจากนี้ คุณสุพินท์ได้รับเชิญเป็นผู้บรรยายในงานสัมมนาและเสวนาเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บ่อยครั้งจากองค์กรชั้นนาต่างๆและสถาบันการศึกษา เคยได้รับหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาตัดสินรางวัล PropertyGuru Thailand Property Awards ในปี 2559 จนถึงปี 2565  และได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับรางวัลบุคคลคุณภาพแห่งปี 2561 สาขาภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จัดโดยมูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย   ด้านวิชาการคุณสุพินท์ เคยได้รับหน้าที่เป็นกรรมการฝ่ายวิชาการให้กับสมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทยในการจัดทำมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพสาขาบริหารทรัพย์สินนับตั้งแต่ปี 2558 รวมถึงเป็นกรรมการที่ปรึกษาสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย (TREBA) ในการประเมินสมรรถนะบุคคลในสาขาอาชีพนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 เป็นต้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ไม่ขายบ้าน-คอนโดอย่างเดียวแล้ว เปิด 10 ธุรกิจใหม่ 3กลุ่ม โฮลดิ้ง -[PR News] เสนาเจ จับมือ NEC พลิกโฉม “Smart Living Community”
[PR News] แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป โชว์งบไตรมาส 1/66 ทำกำไรเฉียด 87 ล้าน

[PR News] แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป โชว์งบไตรมาส 1/66 ทำกำไรเฉียด 87 ล้าน

แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป โชว์งบไตรมาส 1/66 ทำกำไร New High เฉียด 87 ลบ. โตกว่า 66% หลังโอนบ้านเฟสแรกโครงการ CINQ ROYAL Krungthep Kreetha นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 เปิดเผยว่า บริษัทฯประสบความสำเร็จในการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2566 จากภาพรวมของดัชนีความเชื่อผู้บริโภคที่ฟื้นตัวกลับมา หลังจากสถานการณ์ของโรคระบาดคลี่คลาย โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 86.79 ล้านบาท เติบโต 66.75% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 52.05 ล้านบาท  มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์จำนวน 337.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.41% จากไตรมาสที่ 1 ปี 2565 โดยมีรายได้มาจากการขายและโอนกรรมสิทธิ์โครงการพร้อมอยู่ทั้งหมด 4 โครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเฟสแรกของโครงการแซงค์ รอยัล กรุงเทพกรีฑา ที่เพิ่งเปิดตัวไปในช่วงต้นปี 2566 ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี อีกทั้ง ไตรมาสที่ 2 ปีนี้บริษัท เตรียมรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Tonson One Residence (ต้นสน วัน เรสซิเดนซ์) คอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ สูง 29 ชั้น ห้องพักอาศัยเพียง 80 ยูนิต บนทำเลที่ดีที่สุดใจกลางกรุงเทพมหานคร ในซอยต้นสน ย่านเพลินจิต และชิดลม ซึ่งปัจจุบันมียอดจองซื้อแล้วกว่า 87% ล่าสุดเตรียมพร้อมเปิดให้เข้าชมตึกจริง และโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้ในเร็วๆ นี้ โครงการ Tonson One Residence  เป็นคอนโด High Rise สูง 29 ชั้น ห้องพักอาศัยเพียง 80 ยูนิต พร้อมลิฟต์ส่วนตัวทุกห้อง บนที่ดินในซอยต้นสน ขนาดประมาณ 1 ไร่ เป็นที่ดินแบบ Freehold มีห้องพักอาศัย 4 รูปแบบ ตั้งแต่แบบ 1 ห้องนอน 2 ห้องนอน  3 ห้องนอน แบบ Penthouse และ Duplex Penthouse จัดเต็ม Facilities อาทิ ห้องรับรองและห้องประชุม, ห้องจัดเลี้ยงและครัวอเนกประสงค์, สระว่ายน้ำระบบน้ำอุ่น, Jacuzzi, ฟิตเนส, ที่จอดรถอัตโนมัติ ทั้งยังโดดเด่นด้านทำเลใกล้ศูนย์การค้าชั้นนำ โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล สวนสาธารณะ เป็นต้น นายศุภโชค กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจ ในปี 2566 บริษัทฯวางกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) โดยมีแผนเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ ภายในปี 2567 มูลค่าโครงการรวม 8,400 ล้านบาท  ซึ่งล่าสุดบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนสินเชื่อโครงการจาก ธนาคารเกียรตินาคินภัทร วงเงิน 923 ล้านบาท สำหรับใช้ในการก่อสร้างบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ย่านราชพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท คาดเตรียมเปิดตัวปลายปี 2566 นี้   โครงการดังกล่าวจะถูกพัฒนาภายใต้แบรนด์ "วนา" ต่อยอดความสำเร็จของการพัฒนาโครงการ วนา เรสซิเดนซ์ พระราม9 - ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยว 3 ชั้นระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ที่ปิดโครงการไปในปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันที่ดินดังกล่าวอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การที่บริษัทฯได้รับอนุมัติสินเชื่อโครงการครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทฯ จากสถาบันการเงินดังกล่าว ซึ่งบริษัทฯจะนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ต่อไป ต่อเนื่องในปี 2567 เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการ 6,700 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการแบรนด์ "วนา" เป็นโครงการที่ 3 มูลค่าโครงการ 3,400 ล้านบาท โครงการแบรนด์ "แซงค์ รอยัล" โครงการที่ 2 มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท และโครงการ "รธานี" ซึ่งเป็นการสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมา ตั้งอยู่อำเภอบ้านช้าง จังหวัดอุดรธานี มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ทำให้ในปี 2566-2567 บริษัทฯ จะมีโครงการใหม่รวมมูลค่ากว่า 8,400 ล้านบาท โดยทั้ง 3 โครงการมีที่ดินเตรียมพร้อมพัฒนาแล้วทั้งหมด   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แอสเซท ไฟว์ เปิดบ้านตัวอย่าง โครงการ วนา เรสซิเดนซ์ บ้านเดี่ยวสุดลักซ์ชัวรี่ ตอกย้ำกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน โกยยอดขายรวมกว่า 500 ล้านบาท
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ประเมินที่อยู่อาศัยปี 66 เจอ 3 ปัจจัยลบกดดันติดลบทุกด้าน​

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ประเมินที่อยู่อาศัยปี 66 เจอ 3 ปัจจัยลบกดดันติดลบทุกด้าน​

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ สรุปอสังหาฯ ไทย ไตรมาสแรก ​ มูลค่าโครงการเปิดใหม่ชะลอตัว ลบไป 38.7%  แนวโน้มทั้งปีน่าจะลดลงในทุกด้าน เหตุปัจจัยลบกดดันทั้งจำนวนและความต้องการ  ประเมิน​ยูนิตโอนฯ ลบ 2% มูลค่าโอนฯ ลบ 4.5% และสินเชื่อปล่อยใหม่ ลบ 6.8%   ดร.วิชัย  วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูล อสังหาริมทรัพย์ (REIC) ได้ติดตามสถานการณ์ปี 2566 อย่างใกล้ชิด พร้อมประเมินว่า ในปีนี้เป็นปีที่มีปัจจัยลบหลายด้าน ซึ่งปัจจัยหลักมีด้วยกัน 3 เรื่อง คือ การยกเลิกการผ่อนคลายมาตรการ LTV ของ ธปท. ที่กระทบต่อคนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นบ้านสัญญาที่ 2 และ 3 ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงมีอัตราส่วนที่ยังสูงถึงเกือบ 90% ของ GDP ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นได้ถึง 1.0% ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น และความสามารถในการผ่อนชำระลดลง ซึ่งจะกระทบต่อยอดขาย ยอดโอนกรรมสิทธิ์ และยอดการปล่อยสินเชื่อของปี 2566 ได้ สรุปสถานการณ์อสังหาฯ Q1 REIC ประเมินสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ผ่านข้อมูลจำนวน (อุปทาน) และความต้องการ (อุปสงค์) ประจำไตรมาส 1 ปี 2566 โดยในส่วนของจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศมีจำนวน 15,267 ยูนิต (หน่วย) ลดลง 13.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 โดยพบว่า ทาวน์เฮ้าส์ ยังคงเป็นประเภทที่มีจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุดจำนวน 6,290 ยูนิต (41.2%) รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 4,992 ยูนิต (7%) และบ้านแฝดจำนวน 3,233 ยูนิต (21.2%) มีเพียงบ้านแฝดที่ขยายตัว 2.9% แต่บ้านเดี่ยวลดลง 8% และทาวน์เฮ้าส์ลดลง 10.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นการปรับตัวของผู้ประกอบการที่เสนอขายบ้านแฝดในตลาดมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อที่เพิ่มไม่ทันกับการเพิ่มของต้นทุนในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ภาพรวมยูนิตที่อยู่อาศัยแนวราบที่เปิดตัวใหม่ ในไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่า บ้านเดี่ยว ลดลง 38.4% แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าบ้านเดี่ยวในระดับราคาตั้งแต่ 15 ล้านบาทขึ้นไป มียูนิตเปิดตัวใหม่เพิ่มขึ้น 180.9% และในระดับราคา 2.51 – 3.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.5% บ้านแฝด ลดลง 47.2% โดยลดลงในทุกระดับราคา ทาวน์เฮ้าส์ ลดลงสูงสุดถึง 62.9% แต่กลับพบว่า ทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 5.01 – 20.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.8% และระดับราคา 1.25 – 1.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% อาคารพาณิชย์ ลดลง 86.5% โดยเป็นที่สังเกตว่า ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ไม่มียูนิตเปิดตัวใหม่ในไตรมาสนี้ แต่พบยูนิตเปิดตัวใหม่ในระดับราคา 15.01 – 20.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.0% และระดับราคา 10.01 – 15.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% สำหรับยูนิตเปิดตัวใหม่ของโครงการอาคารชุด ช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่ามีจำนวน 7,260 ยูนิต ลดลงถึง 61.5% หากแยกตามประเภท พบว่า ประเภทห้องสตูดิโอ ลดลง 68.3% แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าระดับราคา 1.51 – 1.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 233.3% ระดับราคา 1.751 – 2.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.6% ระดับราคา 1.251 – 1.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.1% ประเภท 1 ห้องนอน ลดลง -54.4% แต่กลุ่มระดับราคา 1.01 – 1.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 160.9% ประเภท 2 ห้องนอน ภาพรวมลดลง 83.0% โดยลดลงในทุกระดับราคา Q1 อสังหาฯ โอนคอนโดเพิ่ม 18.7%  สำหรับด้านความต้องการ ​ไตรมาส 1 ปี 2566 REIC พบว่า มียูนิตโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจำนวน  84,619 ยูนิต ลดลง ​0.8% และมีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์มีจำนวน 241,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% ประกอบด้วย การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 60,950  ยูนิต ลดลง ​6.8% และมีมูลค่า 170,686  ล้านบาท ลดลง ​0.3% ในขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) มีจำนวน  23,669 ยูนิต เพิ่มขึ้น 18.7% และมีมูลค่า 70,481  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.7% ทั้งนี้ พบว่า ระดับราคา 01 – 5.00 ล้านบาท (สัดส่วน 15.0%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 12.1% ระดับราคา 01 – 7.50 ล้านบาท (สัดส่วน 5.9%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 17.5% ระดับราคา 51 – 10.00 ล้านบาท (สัดส่วน 2.1%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 34.1% ระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป (สัดส่วน 0%) เพิ่มขึ้น 22.6% ส่วนระดับราคาที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นสูงสุด ได้แก่ ระดับราคา 01 – 3.00 ล้านบาท (สัดส่วน 21.1%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 0.4% ระดับราคา 01 – 5.00 ล้านบาท (สัดส่วน 20.4%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 12.2% ระดับราคา 01 – 7.50 ล้านบาท (สัดส่วน 12.5%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 17.6% ระดับราคา 51 – 10.00 ล้านบาท (สัดส่วน 6.5%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 34.8% ระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป (สัดส่วน 0%) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 15.9% นอกจากนี้ยังพบว่าในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 ยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติมีจำนวน  3,775 ยูนิต มีมูลค่า  17,128  ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนยูนิตและมูลค่า เพิ่มขึ้น 79.2% และ 67.6% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 2565 ซึ่งมีจำนวน  2,107 มีมูลค่า 10,217 ล้านบาท  โดยประเทศจีนยังคงเป็นประเทศที่มีการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด จำนวน 1,747 ยูนิต คิดเป็น 46% มูลค่า 8,191 ล้านบาท คิดเป็น 48% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คนต่างชาติทั้งหมด   ในด้านข้อมูลสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปปล่อยใหม่ทั่วประเทศพบว่าไตรมาส 1 ปี 2566 มีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศจำนวน 152,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 ที่มีจำนวน  143,571 ล้านบาท ขณะที่มีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลคงค้างทั่วประเทศจำนวน  4,775,515  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่มีจำนวน  4,539,391  ล้านบาท ส่องทิศทางดีมานด์-ซัพพลายที่อยู่อาศัย ปี​ 66 ทั้งนี้จากปัจจัยบวก และปัจจัยลบที่กล่าวมา REIC คาดการณ์ว่าจะมีจำนวน ​และความต้องการที่อยู่อาศัยในปี 2566 ประกอบด้วย จำนวนที่อยู่อาศัย ปี 2566 การออกใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศ จะมีจำนวนประมาณ 78,269 ยูนิต ลดลง 9.3% หรืออยู่ในช่วง -18.4% ถึง -0.2% เมื่อเทียบกับปี  2565 ที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศจำนวน  86,275 ยูนิต  และอุปทานที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่พื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล คาดการณ์ว่าจะมีจำนวน 98,132 ยูนิต ลดลง 10.5% หรืออยู่ในช่วง -19.4% ถึง -1.5% มีมูลค่าประมาณ 505,235 ล้านบาท ลดลง 8.2% หรืออยู่ในช่วง -22.0% ถึง 0.9% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งมีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่จำนวน 109,591 ยูนิต มูลค่าประมาณ 550,552 ล้านบาท จำนวนที่อยู่อาศัย ปี 2566 REIC คาดการณ์อุปสงค์ที่อยู่อาศัยว่าในปี 2566 จะมียูนิตโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศ จำนวน 352,761 ยูนิต ลดลง 10.2% มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 1,016,838 ล้านบาท ลดลง 4.5% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งมียูนิตโอนกรรมสิทธิ์จำนวน  392,858  ยูนิต มูลค่า 1,065,008  ล้านบาท แบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน  264,571  ยูนิต ลดลง 7.4%  มูลค่า 753,628 ล้านบาท ลดลง 2.9% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งมีจำนวน 285,731  ยูนิต มูลค่า 776,523  ล้านบาท และที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดคาดการณ์ว่าจะมียูนิตการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน  88,190  ยูนิต ลดลง 17.7% จากปี 2565 ซึ่งมีจำนวน 107,127 ยูนิต มูลค่า 288,485 ล้านบาท   ด้านภาพรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศ คาดการณ์ว่าปี 2566 จะมีมูลค่าจำนวน 650,764 ล้านบาท ลดลง 6.8% หรืออยู่ในช่วง -16.1% ถึง 2.5% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งมีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศจำนวน 698,072 ล้านบาท โดยคาดว่า ปี 2566 จะมีสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลคงค้างทั่วประเทศจำนวน 4,955,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5% หรืออยู่ในช่วง -5.9% ถึง 9.8% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งมีสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลคงค้างทั่วประเทศจำนวน  4,741,215 ล้านบาท 3 ปัจจัยเสี่ยงปี 66 สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในปี 2566 ที่ทาง REIC ประเมินไว้นั้น จะมีด้วยกัน 3 เรื่องหลัก คือ 1ภาวะหนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับที่สูงถึงเกือบ 90% ของ GDP ทำให้สถาบันการเงินยังคงพิจารณาให้สินเชื่อตามเกณฑ์ที่เข้มงวด และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลางยังเข้าถึงได้ยาก  ขณะที่ตลาดระดับบนมีจำนวนความต้องการน้อยกว่ามาก   2.ทิศทางดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้น ปี 2566 อาจจะสูงขึ้น 0.75-1.0% ซึ่งต้องติดตามดูการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED (ล่าสุด CPI ขึ้นมากกว่าคาด) และ ธปท. ประกอบกับ ราคาที่อยู่อาศัยที่มีการปรับตัวขึ้น และไม่มีผ่อนปรน LTV แต่รายได้ของประชาชนยังปรับตัวดีขึ้นไม่แข็งแรงนัก จะทำให้ความสามารถการซื้อและ การกู้ลดลงและจะกระทบต่อยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์   3.เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และยังไม่แข็งแรง ซึ่งต้องพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก ถ้าปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ขยายตัว อาจทำให้การเกิดเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาคการส่งออกและท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย อาจเกิดการชะลอตัวเศรษฐกิจได้   ทิศทางอสังหาฯ นับจากนี้ จะเป็นอย่างไร คงต้องเฝ้าจับตาดู เพราะยังมีปัจจัยเรื่องการเมือง ที่ปัจจุบันยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งหากทุกอย่างเรียบร้อยดี ภาวะอสังหาฯ ก็น่าจะได้ผลบวกจากเรื่องนี้ด้วย    อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -REIC เผย ยอดโอนคอนโดต่างชาติ Q1/65 ลดทั้งจำนวน-มูลค่า เหตุลูกค้าจีนยังปิดประเทศ   -ศูนย์ข้อมูลฯ เปิดอินไซด์ตลาดอสังหาฯ EEC พร้อมส่องทำเลบ้าน-คอนโด ขายดี
ดูโฮม เดินแผนธุรกิจ 3 ปี  ขยายสาขาครบ 36 แห่ง พร้อมกลยุทธ์ “ครบ ถูก ดี”

ดูโฮม เดินแผนธุรกิจ 3 ปี ขยายสาขาครบ 36 แห่ง พร้อมกลยุทธ์ “ครบ ถูก ดี”

ดูโฮม ร้านวัสดุก่อสร้างจากอุบลราชธานี เดินหน้าตามแผนธุรกิจ 3 ปี ขยายสาขาให้ครบ 36 แห่ง เตรียมงบลงทุนกว่า 2,400 ล้าน ขยายเพิ่มอีก 3 สาขาในจ.เชียงราย อยุธยา และปทุมธานี  พร้อมกลยุทธ์ "ถูก ครบ ดี"   นางสาวอริยา ตั้งมิตรประชา รองกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการและจัดซื้อ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจบริษัทตั้งเป้าหมายขยายสาขาให้ครบ 30 แห่งภายใน 3 ปี ซึ่งปัจจุบันมีสาขาขนาดใหญ่แล้ว 21 แห่ง โดยในปีนี้จะเพิ่มสาขาอีก 3 แห่ง ที่จังหวัดเชียงราย อยุธยา และปทุมธานี ขณะเดียวกันยังได้ขยายสาขาขนาดเล็กในชื่อ ToGo อีก 6 แห่งในปีนี้ จากปัจจุบันมีแล้ว 8 แห่ง เพื่อกระจายไปยังชุมชนต่าง ๆ   สำหรับงบประมา​ณการลงทุน คาดว่าจะใช้กว่า 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นสาขาขนาดใหญ่ แห่งละ 800 ล้านบาท ซึ่งใช้เป็นงบลงทุนก่อสร้าง 500 ล้านบาท งบสต็อกสินค้าอีก 300 ล้านบาท ส่วนสาขา ToGo จะใช้งบลงทุนสาขาละประมาณ 10 ล้านบาท   ปัจจุบันดูโฮม ถือเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง ของตกแต่ง และของใช้ในบ้าน ใหญ่เป็นอันดับ 4 เมื่อเทียบกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นหนึ่งใน 10 ผู้ดำเนินธุรกิจดังกล่าวในรูปแบบค้าปลีกสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรด ที่ปัจจุบันน่าจะมีมูลค่าตลาดของธุรกิจกว่า 400,000-500,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการในรูปแบบร้านค้าดั้งเดิมเป็นหลัก   นางสาวอริยา กล่าวว่า หากนับรวมผู้ประกอบการรายใหญ่ในปัจจุบัน 4-5 ราย น่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันไม่เกิน 20% ของมูลค่าตลาดรวม ขณะที่ดูโฮมน่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 3% ขณะที่ผู้นำตลาดอันดับ 1 น่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 10% ทำให้ธุรกิจนี้ยังมีโอกาสทางการตลาด สามารถสร้างการเติบโตได้อีกมากมาย โดยผลประกอบการในปีที่ผ่านมา ดูโฮมสามารถทำรายได้ 31,530 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 774 ล้านบาทส่วนไตรมาสแรกที่ผ่านมา สามารถทำรายได้ 8,515 ล้านบาท กำไรสุทธิ 258 ล้านบาท ดูโฮม เดินกลยุทธ์ ครบ ถูก ดี ด้านนายอดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา ประธานกรรมการบริหาร กล่าวว่า  ตั้งแต่ช่วง ปี 2562 – 2565 รายได้เติบโตกว่า 75% โดยคาดว่ารายได้ของปี 2566 จะยังสามารถเติบโตได้ ด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่เร่งผลักดันการขายในทุกช่องทาง อีกทั้งยังมีบริการโฮมเซอร์วิสที่พัฒนาให้ตอบโจทย์ลูกค้าและครบวงจรมากขึ้น   เพื่อตอกย้ำความ “ ครบ ถูก ดี ” ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พร้อมฉลองครบรอบ 40 ปี Better Together ครบ ถูก ดี ตลอดไป   โดยกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ จะดำเนินการภายใต้แนวคิด Better Together ที่ให้ความสำคัญใน 4 เรื่องหลัก      เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้ง กลุ่มผู้ใช้ทั่วไป กลุ่มผู้รับเหมา/ช่าง และกลุ่มร้านค้าช่วง ดังนี้ ครบรุ่น :  ตอบโจทย์ลูกค้าด้วยสินค้าที่หลากหลายหมวดผลิตภัณฑ์และหลากหลายรุ่นสินค้า เช่น เหล็กมีทุกขนาด เครื่องมือช่างมีทุกไซส์ ทุกแบบ เคยมีลูกค้าบอกว่า “ฮาร์ดแวร์ที่หายากดูโฮมมีขาย” อีกทั้งยังมีตัวช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นด้วย ห้องตัวอย่างภายในสโตร์ที่สามารถช่วยสร้างอินสไปรเรชั่นได้ ครบกลุ่ม :  ตอบโจทย์ลูกค้าครบทุกกลุ่ม เช่น ลูกค้าผู้ใช้ทั่วไป, ลูกค้าช่าง, ลูกค้าผู้รับเหมา, ร้านค้าช่วง เรียกว่ามีให้ครบตั้งแต่ลูกค้ารายใหญ่ไปจนรายย่อย และปัจจุบันมีช่องทางการช้อป  ที่หลากหลาย ทั้งสาขาขนาดใหญ่ สาขาขนาดเล็ก (Dohome ToGo) และอีคอมเมิร์ซอีกด้วย ครบเกรด :  ดูโฮม ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยสินค้าเกรดคุณภาพ ที่พร้อมตอบโจทย์ความลูกค้าหลายกลุ่ม เช่น สินค้าเกรดพรีเมียม สินค้าเกรดมาตรฐาน รวมทั้งเกรดพิเศษที่สามารถสั่งพิเศษได้ ครบบริการ :  ดูโฮม ตอบสนองความต้องการด้วยการส่งมอบการบริการด้านต่างๆ อาทิ การบริการด้านการเงินให้ลูกค้าปลีก  เช่น ผ่อน 0%, ลูกค้าโครงการและรับเหมา เช่น วงเงินเครดิตต่อยอดธุรกิจ รวมไปถึงบริการขนส่งสินค้า บริการออกแบบ 3D และยังมีบริการโฮมเซอร์วิส “นายช่าง” ที่พร้อมจะตอบโจทย์คนทำบ้าน นอกจากนี้บริษัทได้พัฒนาระบบการช้อปปิ้งออนไลน์บนเว็บไซต์ www.dohome.co.th  รวมถึงโซเชียลมีเดียช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Marketplace Facebook, Line OA, Lazada, Shopee เพื่อเพิ่มความสะดวกและตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น อาทิ การเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ บริการจัดส่งถึงบ้าน หรือนัดรับที่สาขา โดยปัจจุบันสินค้าที่จัดจำหน่ายบนเว็บไซต์มีทั้งกลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้าง กลุ่มสินค้าซ่อมแซม และกลุ่มสินค้าตกแต่งบ้าน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66 -ใครท็อปฟอร์มสุด ในธุรกิจ ร้านวัสดุ-เฟอร์นิเจอร์ Q3/65
อยากปล่อยเช่าอสังหาฯ ต้องรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง  จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง

อยากปล่อยเช่าอสังหาฯ ต้องรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง

ปล่อยเช่าอสังหาฯ การปล่อยเช่าอสังหาฯ หรือคอนโดมิเนียม อาจจะดูเหมือนไม่ได้มีอะไรยุ่งยาก ใครเป็นเจ้าของห้องคอนโด บ้าน หรืออาคารพาณิชย์ก็สามารถปล่อยเช่าได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากอะไร แต่สำหรับมือใหม่ที่อาจจะยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็คงต้องหาความรู้ ศึกษาข้อมูล ขั้นตอนและวิธีการเพื่อให้สามารถปล่อยเช่าได้ค่าเช่าตามที่ต้องการ และถูกต้องตามกฎหมายด้วย ​   โดยเรื่องสำคัญ ที่เจ้าของห้องจะต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ในการปล่อยเช่าอสังหาฯ เพื่อผลประโยชน์และความเป็นธรรมของทั้ง 2 ฝ่าย  นั่นก็คือ การทำสัญญาเช่า ที่จะต้องมีรายละเอียดที่ครอบคลุม ชัดเจน และยอมรับด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ตามที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญา เพราะหนังสือสัญญาเช่า จะนำมาใช้เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญานั่นเอง หากไม่ทำก็ไม่สามารถฟ้องร้องกันได้ วันนี้ Reviewyourliving จึงจะมาเล่าให้ฟังว่า หนังสือสัญญาเช่ามีรูปแบบอย่างไรบ้าง ​ การ ปล่อยเช่าอสังหาฯ      การทำสัญญาเช่า จะมีรายละเอียด และข้อปฏิบัติที่แตกต่างกันไป ตามระยะเวลาเช่าที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งมี 2 รูปแบบ ดังนี้ คือ ​​ 1.สัญญาเช่าแบบไม่เกิน 3 ปี การทำสัญญาเช่าที่มีระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี โดยอาจเป็นได้ทั้งสัญญาเช่าคอนโด 1 ปี สัญญาเช่าคอนโด 6 เดือน หรือแบบอื่น ๆ ที่ไม่เกิน 3 ปี กฎหมายระบุว่า กรณีเช่าแบบนี้ต้องมีการลงลายมือชื่อ ทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า และหากไม่มีหนังสือสัญญาเช่า หากเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดสัญญา ก็ไม่สามารถฟ้องร้องกันตามกฎหมายได้ 2.สัญญาเช่าแบบเกิน 3 ปี  กฎหมายไทยให้ทำสัญญาเช่าได้สูงสุดไม่เกิน 30 ปี  ซึ่งกรณีที่มีการทำสัญญาเช่ากินกว่า 3 ปี ขึ้นไป หรือตลอดอายุของผู้เช่า/ผู้ให้เช่า กฎหมายกำหนดไว้ว่า ต้องทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือ และยังต้องไป “จดทะเบียนการเช่า” และต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน ในอัตรา 1% โดยติดตามค่าเช่าตลอดเวลาที่เช่าหรือเงินกินเปล่า หรือทั้งสองอย่างรวมกัน   โดยมีกฎหมายที่มาบังคับใช้ คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538  ที่ระบุไว้ว่า การทำเป็นหนังสือ คือ เอกสารที่มีลายมือชื่อของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก ต่างจากหลักฐานเป็นหนังสือ ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้รับผิดเพียงคนเดียวเท่านั้น และที่สำคัญต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย จึงจะมีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมายตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นต้นไป แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดิน แต่มีสัญญาเช่าก็จะมีผลบังคับทางกฎหมายได้เพียง 3 ปี เท่านั้น ในหนังสือสัญญาจะต้องมีการระบุรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่ผู้เช่าแยกจ่ายเองตามจริง ต้องระบุให้ชัดเจนว่าผู้เช่าต้องจ่ายอะไรบ้าง ข้อกำหนดของคอนโดแห่งนั้น เช่น ห้ามเลี้ยงสัตว์ ห้ามสูบบุหรี่ รายการเฟอร์นิเจอร์ และสิ่งของทั้งหมดที่เรา นำมาไว้ให้ผู้เช่าได้ใช้  หากสูญหาย หรือชำรุด เวลาคืนห้องตอนหมดสัญญาเช่าด้วย จะต้องหาซื้อมาคืน หรือชำระเป็นเงินตามมูลค่า​ เงื่อนไขอื่น ๆ เช่น ห้ามต่อเติม เปลี่ยนแปลงห้องพัก การซ่อมแซมบำรุง​​เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้อง ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ อย่างเช่นการล้างแอร์ประจำทุก 6 เดือน อีกเรื่องที่มีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องกับการปล่อยเช่า คือ เจ้าของห้องไม่สามารถ ปล่อยเช่า​คอนโดแบบรายวันได้ เพราะถือว่าผิดกฎหมาย ที่เป็นกฎข้อบังคับเกี่ยวกับโรงแรม ที่ระบุว่า อาคารหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของอาคารที่ปล่อยเช่าเพื่อพักอาศัยเป็นรายวัน เข้าข่ายโรงแรม ต้องขอจดทะเบียนเป็นโรงแรม ซึ่งกรณีที่เป็นโครงการคอนโดจะจดทะเบียนเป็นโรงแรมไม่ได้  นอกจากนี้ ยังขัดกับกฎหมายเกี่ยวกับอาคารชุดที่ระบุว่า ห้ามนำห้องชุดไปจดทะเบียนเป็นโรงแรม เนื่องจากไม่ใช่เจ้าของคนเดียว และถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น เป็นต้น     หมายเหตุ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเช่า -ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2562 -กฎกระทรวงกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. 2551   ที่มา- ราชกิจจานุเบกษา, thebkkresidence.com​   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -สูตรคำนวณผลตอบแทน ก่อนปล่อยเช่าคอนโด  
จับตา สัญญา พรรคก้าวไกล  บ้านตั้งตัว ช่วยคนไทยผ่อนบ้าน 3.5 แสนหลัง

จับตา สัญญา พรรคก้าวไกล บ้านตั้งตัว ช่วยคนไทยผ่อนบ้าน 3.5 แสนหลัง

บ้านตั้งตัว จับตานโยบาย บ้านตั้งตัว ของพรรคก้าวไกล เล็งช่วยคนไทยที่ซื้อบ้าน 1.5 ล้าน จำนวน 350,000 หลัง ผ่อนเดือนละ 2,500 บาท นาน 30 ปี   ข้อมูลตอนนี้ (วันที่ 15 พฤษภาคม เวลา 12.36 น.) จากเว็บไซต์ของกกต. พรรคก้าวไกล มาเป็นอันดับ 1 คาดว่าจะได้เก้าอี้ส.ส.รวม 151 ที่นั่ง กลายเป็นพรรคใหญ่ที่จัดตั้งรัฐบาล และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คงได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ซึ่งนายพิธา ก็ได้ออกมาประกาศพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี และจะทำตามนโยบายที่ได้ประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้   เมื่อได้ยินคำมั่นสัญญาแบบนี้แล้ว เราเลยอยากจะมีพาย้อนไปดู นโยบายที่เกี่ยวข้องกับ​ด้านที่อยู่อาศัย ที่พรรคก้าวไกลประกาศเอาไว้ มีอะไรบ้างและเราคงต้องจับตาดูกันว่า นโยบายดังกล่าวจะเป็นไปตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนคนไทยหรือไม่ บ้านตั้งตัว นโยบายของพรรคก้าวไกล มีนโยบายด้านที่อยู่อาศัย ดังนี้ -บ้านตั้งตัว 350,000 หลัง โดยรัฐบาลจะช่วยค่าผ่อนบ้าน สำหรับผู้ซื้อบ้าน-ที่พักอาศัยใหม่เป็นหลังแรกราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท จำนวน 100,000 ราย  ในอัตรา 2,500 บาท/เดือน เป็นระยะเวลา 30 ปี และ   -ช่วยค่าเช่าบ้าน-ห้องพัก สำหรับผู้เช่าบ้าน-หอพักจำนวน 250,000 ราย ในอัตรา 1,000 บาท/เดือน สำหรับบ้านเช่า-ห้องเช่าที่มีราคาไม่เกิน 4,000 บาท/เดือน   สำหรับรายละเอียด ที่เกี่ยวกับโครงการบ้านตั้งตัว ยังไม่ได้ระบุออกมาว่าผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ดังกล่าว ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร และมีเงื่อนไขในรายละเอียดอย่างไรบ้าง แต่หากพิจารณาถึงเงื่อนไข การซื้อบ้านในระดับราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ปัจจุบันค่อนข้างมีน้อย ดีเวลลอปเปอร์ไม่สามารถพัฒนาโครงการออกมาทำตลาดได้มากนัก เพราะปัจจุบันต้นทุนการพัฒนาค่อนข้างสูง โดยเฉพาะราคาที่ดินปรับตัวสูง ที่อยู่อาศัยที่ทำออกมาขายก็จะเป็นคอนโดมิเนียม และจะอยู่ตามชานเมือง หรือปริมณฑลเป็นหลัก โดยผู้ประกอบการหลักที่พัฒนาโครงการออกมาทำตลาด ในระดับราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท จะมี 2 บริษัท หลัก ได้แก่ 1.บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ภายใต้แบรนด์เสนา คิทท์ เป็นคอนโด ระดับราคาเริ่มต้น 790,000 บาท หรือแบรนด์ไมอามี คอนโดระดับราคาเริ่มต้น 890,000 บาท และ 2.บริษัท รีเจ้นท์ กรีน เพาเวอร์ จำกัด บริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ที่พัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ รีเจ้นท์ โฮม ที่ทำตลาดคอนโดระดับราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ออกมาจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นอีกบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายบ้านตั้งตัวนี้   แต่นอกจากเสนาฯ ก็ยังพอมีผู้ประกอบการรายอื่น ที่พัฒนาบ้านและคอนโดระดับราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทออกมาบ้าง อาทิ พฤกษา, ออริจิ้น, โนเบิล เป็นต้น แต่อาจจะมีจำนวนไม่มาก และส่วนใหญ่จะแทรกอยู่ในโครงการที่มีระดับราคาสูงกว่า 1.5 ล้านบาท   ส่วนนโยบายช่วยค่าเช่าบ้าน-ห้องพัก สำหรับผู้เช่าบ้าน-หอพักจำนวน 250,000 ราย ในอัตรา 1,000 บาท/เดือน สำหรับบ้านเช่า-ห้องเช่าที่มีราคาไม่เกิน 4,000 บาท/เดือนนั้น โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มบ้านเช่าหรือห้องพัก ที่กระจายอยู่ตามแหล่งงาน หรือชานเมือง เป็นหลัก เพราะหากเป็นห้องเช่าในพื้นที่ในเมืองอาจจะมีระดับราคาสูงกว่านี้ ทำให้กลุ่มที่ได้ประโยชน์จะเป็นกลุ่มคนชั้นกลางลงมา ที่ทำงานตามแหล่งงานสำคัญ ๆ เช่น นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น   อย่างไรก็ตาม เพื่อความชัดเจนคงต้องดูรายละเอียดของนโยบาย ที่จะประกาศออกมาใช้จริงอีกครั้ง     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -บ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้าน มีโครงการเปิดใหม่ที่ไหนบ้าง?