Tag : News

2376 ผลลัพธ์
ดีเวลลอปเปอร์งัดแคมเปญ “ช่วยผ่อน” กระตุ้นยอดขายอสังหาฯ สู้พิษโควิด-19

ดีเวลลอปเปอร์งัดแคมเปญ “ช่วยผ่อน” กระตุ้นยอดขายอสังหาฯ สู้พิษโควิด-19

ดีเวลลอปเปอร์งัดแคมเปญ "ช่วยผ่อน" กระตุ้นยอดขายอสังหาฯ สู้พิษโควิด-19  LPN จัดหนักอัดโปรช่วยผ่อน 60 เดือน ขน 11 โครงการสร้างยอด 1,000 ล้าน หวังกระตุ้นยอดขายไตรมาส 3 หลังโควิดระรอก 3 ยังระบาดหนัก   ​เชื่ออีก 5 ปีสถานการณ์คลี่คลาย​   สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ ถือว่ารุนแรงที่สุด นับตั้งแต่ประเทศไทยต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดครั้งแรกในช่วงต้นปี 2563 ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน  ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 2,000 คนต่อวันต่อเนื่องกันหลายวัน และมีผู้เสียชีวิตสะสมมากกว่า 100 คนด้วย แม้ว่าจะตัวเลขดังกล่าวเมื่อเทียบกับหลายประเทศในโลก เมืองไทยเรายังถือว่าดีกว่ามาก แต่หากเปรียบเทียบกับผลงานการบริหารจัดการที่ผ่านมา ในครั้งนี้ถือว่ารุนแรงที่สุดแล้ว   แน่นอน สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้เพิ่มระดับความรุนแรงของผลกระทบ ต่อวิถีชีวิตและการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ภายในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ความมั่นใจในการดำเนินชีวิตและธุรกิจลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่การฉีดวัคซีนยังไม่ทั่วถึงและเป็นไปอย่างช้า ไม่ทันกับสถานการณ์และความรุนแรงที่เกิดขึ้น  อย่างไรก็ตาม ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป และธุรกิจก็ต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้า ภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ และการปรับตัวให้อยู่รอดให้ได้ภายใต้ภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น แคมเปญ “อยู่ฟรี” กระตุ้นยอดขาย  สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับผลกระทบไม่ต่างจากหลายธุรกิจ ก็ต้องใช้ความพยายามและปรับตัวให้สอดรับกับผลกระทบที่เกิดขึ้น ในระยะแรกของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่ดีเวลลอปเปอร์ปรับตัวและทำเป็นสิ่งแรก คือ การหยุดเปิดตัวโครงการใหม่ หันมาระบายสต็อกสินค้าในมือ เพื่อสร้างกระแสเงินสด โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม เพราะเป็นโครงการที่ต้องใช้ระยะเวลานานนับปีกว่าจะสามารถคืนทุน ต่างจากโครงการแนวราบ ที่คืนทุนได้เร็วกว่า และสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนยุคโควิด-19 ที่ต้องการพักอาศัยและใช้พื้นที่ของบ้านมากขึ้น ดีเวลลอปเปอร์จึงหันมาเน้นการขายโครงการแนวราบแทน   นอกจากนี้ ยังกระตุ้นดีมานด์และแรงจูงใจในการให้ผู้คนที่ต้องการซื้อบ้าน ออกมาจับจ่ายใช้สอย ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ด้วยแรงโปรโมชั่นสารพัด โดยเฉพาะการให้ลูกค้าอยู่ฟรี หรือการช่วยผ่อนค่างวดกับสถาบันการเงินแทนลูกค้า ซึ่งหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลุ่มแสนสิริ ถือเป็นดีเวลลอปเปอร์รายแรก ๆ ที่นำกลยุทธ์นี้มาใช้กระตุ้นยอดขาย นอกเหนือจากการลด แลก แจก แถม ที่ให้เป็นปกติแล้ว แม้ว่าการให้อยู่ฟรี หรือ การช่วยผ่อนค่างวดกับสถาบันการเงินจะไม่ใช่กลยุทธ์ใหม่ เพราะดีเวลลอปเปอร์หลายรายได้ใช้แคมเปญนี้มาก่อนหน้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มออริจิ้น กลุ่มเมเจอร์ดีเวลลอปเม้นท์ แต่ถือว่าภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังซื้อชะลอตัวและความเชื่อมั่นลดลง ก็นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จและได้รับความสนใจจากลูกค้าจำนวนมาก  เห็นได้จากการปล่อยแคมเปญ แสนสิริผ่อนให้​ 24 เดือน ของค่ายแสนสิริที่ทำออกมาหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก “ริชชี่” จัดให้อยู่ฟรี 60 เดือน หลังจากนั้น บรรดาดีเวลลอปเปอร์รายอื่น ๆ ก็เดินตามทางเดียวกันกับกลุ่มแสนสิริ ด้วยการออกแคมเปญการอยู่ฟรี หรือผ่อนชำระค่างวดกับสถาบันการเงินให้ลูกค้า เป็นระยะเวลาตั้งแต่ 1-3 ปี เพราะประเมินว่ากว่า เศรษฐกิจจะกลับมาเติบโตดีเหมือนก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด-19 น่าจะใช้ระยะเวลา 2-3 ปี  ซึ่งจะทำให้ลูกค้ากลับมามีกำลังซื้อและเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจเหมือนเดิม การจัดแคมเปญที่ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้โดยยังไม่ต้องจ่ายเงินในวันนี้ หรือจ่ายน้อยที่สุด ถือเป็นวิธีที่ถูกใจผู้บริโภค และตรงกับความต้องการของพวกเขามากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความต้องการจะซื้อที่อยู่อาศัย หรือวางแผนไว้แล้ว แต่ยังคงลังเลใจกับภาวะความไม่แน่นอนของสถาการณ์ที่เกิดขึ้น   ระยะเวลาที่ดีเวลลอปเปอร์ช่วยผ่อนชำระค่าบ้าน กับสถาบันการเงินให้ลูกค้าก่อน  ช่วงที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาประมาณ 12-36 เดือน แต่มีเพียงรายเดียวที่จัดแคมเปญให้ลูกค้าอยู่ฟรีมากที่สุดถึง 60 เดือน หรือ 5 ปี คือ บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY โดยจัดแคมเปญชื่อว่า  RICHY Double Choice ด้วยการนำ 10 โครงการมาจัดแคมเปญ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง และ ทาวน์โฮม อาทิ The Rich เอกมัย, The Rich เพลินจิต-นานา, The Rich สาทร-ตากสิน, Rich Park @ทริปเปิ้ลสเตชั่น ศรีนครินทร์, Rich Point @BTS วุฒากาศ และ The Rich BizHome สุขุมวิท 101 เป็นต้น ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี จนสามารถปิดการขายได้หลายโครงการ LPN ขน 11 โครงการช่วยผ่อน 60 เดือน สำหรับการแพร่ระบาดโควิด-19 ระรอก 3 นี้ กลยุทธ์ที่ดีเวลลอปเปอร์ยังคงนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด ยังคงเป็นการช่วยลูกค้าผ่อนชำระค่างวดกับสถาบันการเงิน หรือการอยู่ฟรี ซึ่งยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ค่ายแอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ได้เปิดตัวแคมเปญ “ช่วยผ่อนนานสูงสุด...5 ปี” พร้อมฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน เพื่อแบ่งเบาภาระการผ่อนบ้าน โดยบริษัทช่วยผ่อนค่างวดบ้านในช่วง 5 ปีแรกให้กับลูกค้า สูงสุดเดือนละ 13,000 บาท เมื่อซื้อห้องชุดกับคอนโดมิเนียมทั้ง 11 โครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ อาทิ 1.โครงการลุมพินี ซีวิว ชะอำ แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 26 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.38 ล้านบาท  2. ลุมพินี พาร์ค เพชรเกษม 98 แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 26 ตร.ม.ราคาเริ่มต้น 1.44 ล้านบาท  และ3. ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า - ริเวอร์วิว แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 26 ตร.ม.ราคาเริ่มต้น 1.58 ล้านบาท   นางปนัดดา ขจรศิลป์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)(LPN) เปิดเผยว่า  สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19​ ระลอกใหม่​ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นใจของผู้ซื้อบ้านต่อรายได้ในอนาคต ในขณะที่ยังมีความต้องการซื้อบ้านเพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งบริษัทช่วยแบ่งเบาภาระการผ่อนบ้าน ในช่วง 5 ปีแรก  เพราะเชื่อว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 น่าจะคลี่คลายแล้ว และเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นยอดขายของบริษัทในไตรมาสสองของปี 2564 โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท จากแคมเปญนี้   โดยลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะให้ LPN ช่วยผ่อน ตั้งแต่ระยะเวลา 30 เดือน ช่วยผ่อนสูงสุดเดือนละ 13,000 บาท ระยะเวลา 40 เดือน ช่วยผ่อนสูงสุดเดือนละ 9,750 บาท ระยะเวลา 50 เดือน ช่วยผ่อนสูงสุดเดือนละ 7,800 บาท หรือระยะเวลา 60 เดือน  ช่วยผ่อนสูงสุดเดือนละ 6,500 บาท เริ่มตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 พ.ค.2564 ในขณะเดียวกันแคมเปญดังกล่าวยังมอบส่วนลดสูงสุดถึง 35% ราคาพิเศษเริ่มต้นที่ 1.38 ล้านบาท และฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนสูงสุด 120,000 บาทด้วย เชื่อว่ายังจะมีดีเวลลอปเปอร์อีกหลายราย ที่เตรียมจัดแคมเปญการตลาดออกมา เพื่อเรียกยอดขายและกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้นกว่านี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงระบาดเพิ่มมากขึ้น มีจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสียชีวิตที่มีจำนวนสะสมมากกว่านี้ กำลังซื้อและความเชื่อมั่นของประชาชนส่วนใหญ่ ยังคงไม่กลับมาได้อย่างรวดเร็ว   แต่หากมีการฉีดวัคซีนจำนวนมาก และดำเนินการอย่างรวดเร็ว รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนใช้ได้ผลดี และรัฐบาลจัดการปัญหาการแพร่ระบาดต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อมั่นว่าโปรโมชั่นทางการตลาดอาจจะไม่ได้รุนแรงไปกว่านี้แล้ว แต่ทั้งนี้ก็คงขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมด้วย ว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้รวดเร็วแค่ไหน ซึ่งคงต้องรอดูฝีมือการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้กันต่อไป ​       ​​​
เช็คให้ชัวร์ !! ซื้อบ้านใหม่ vs สร้างบ้านเอง แบบไหนเหมาะกับคุณ?

เช็คให้ชัวร์ !! ซื้อบ้านใหม่ vs สร้างบ้านเอง แบบไหนเหมาะกับคุณ?

การมีบ้านเป็นของตัวเองถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายและความภาคภูมิใจในชีวิตของผู้บริโภคส่วนใหญ่ นอกจากจะมีคุณค่าทางจิตใจ เมื่อสร้างครอบครัวแล้ว การได้พักผ่อนในบ้านที่เพียบพร้อมโดนใจยังเปรียบเสมือนเป็นรางวัลตอบแทนจากการทำงาน นอกจากนี้อสังหาริมทรัพย์ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสามารถต่อยอดในอนาคตได้นอกเหนือจากการอยู่อาศัยอีกด้วย    แม้สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันจะส่งผลให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ ยังคงชะลอการใช้จ่ายเพื่อรอดูสถานการณ์ในอนาคต แต่ถือว่ายังพอมีสัญญาณบวกให้เห็น จากข้อมูลเรื่องดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมในเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมาของกระทรวงพาณิชย์ ที่พบว่า  มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาอยู่ที่ระดับ 47.5 จากระดับ 45.5 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันและในอนาคต (ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 40.2 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตอยู่ที่ระดับ 52.3) แสดงให้เห็นแนวโน้มกำลังซื้อของผู้บริโภคที่คาดว่าจะกลับมาในไม่ช้าเมื่อเศรษฐกิจปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น ขนาดและทำเล ปัจจัยเลือกซื้อบ้านคนยุคปัจจุบัน ข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัย โดยพิจารณาจากเรื่องเหล่านี้ -ขนาดที่อยู่อาศัยให้ความสำคัญ 48% -สิ่งอำนวยความสะดวก 44% -ความคุ้มค่าในการใช้จ่าย โดยพิจารณาจากราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอย 38%   ในขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ -ทำเลที่ตั้งให้ความสำคัญ 54% -ความสะดวกสบายจากการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ 50% -ความปลอดภัยในโครงการ 45% จะเห็นได้ว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ ยังคงให้ความสนใจไปที่การตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่ครบครันเป็นหลัก มากกว่าความสวยงาม โดยเฉพาะเรื่องทำเลที่ตั้ง และระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นสองอันดับแรกที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญสูงสุด ซื้อบ้านใหม่ vs  สร้างบ้านเอง​ อย่างไหนเหมาะกับคุณ อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญในการอยู่อาศัยไม่แพ้กัน คือ ความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย แม้เหตุผลที่หลายคนตัดสินใจเลือกซื้อบ้านใหม่จากโครงการบ้านจัดสรรเพราะต้องการความครบครันพร้อมอยู่อาศัยอย่างเบ็ดเสร็จ และประหยัดเวลาในการใช้ชีวิตหลาย ๆ ด้าน แต่ต้องไม่ลืมว่า “การเลือกซื้อบ้านใหม่” นั้น ผู้อยู่อาศัยจริงไม่ได้มีบทบาทในการวางระบบความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าบ้านใหม่ที่ซื้อมาตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้เพียงพอ ในขณะที่การจะตัดสินใจ “สร้างบ้านเอง” ก็มีความกังวลในเรื่องการควบคุมคุณภาพการก่อสร้างและการประสานงานกับผู้รับเหมา แล้วการมีบ้านหลังใหม่ในรูปแบบไหนที่เหมาะกับคุณมากกว่า   ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์  ได้นำเสนอข้อควรพิจารณาระหว่างการ “ซื้อบ้านใหม่” และ “สร้างบ้านเอง” เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้บริโภคที่ต้องการมีบ้านสามารถตัดสินใจเลือกบ้านที่ตรงใจและครอบคลุมทุกความต้องการของคนในครอบครัวได้มากที่สุด ข้อดี การซื้อบ้านใหม่  -ได้บ้านใหม่พร้อมเข้าอยู่ ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายกว่า การเลือกซื้อบ้านในโครงการใหม่จะมีราคาที่แน่นอน ซึ่งเป็นราคาที่ทางโครงการได้คำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นค่าที่ดิน ค่าก่อสร้าง ค่าบริหารจัดการต่าง ๆ รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านการขายและการตลาด ดังนั้นบ้านจัดสรรจึงค่อนข้างมีราคาที่ชัดเจนพอสมควร ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถวางแผนงบประมาณเพิ่มเติมในส่วนการตกแต่งภายในหรือค่าเฟอร์นิเจอร์ได้ง่ายขึ้น ต่างจากการสร้างบ้านเองที่ต้องมีการวางแผนค่าใช้จ่ายตั้งแต่ขั้นตอนการจ้างสถาปนิกเขียนแบบ จนกระทั่งการเลือกผู้รับเหมา นอกจากนี้ข้อดีของการซื้อบ้านจากผู้พัฒนาอสังหาฯ คือ เจ้าของบ้านไม่ต้องเหนื่อยมาลงแรงเองในขั้นตอนการก่อสร้างหรือคุมงาน ปล่อยให้เป็นความรับผิดชอบของผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้โดยตรง -ยื่นขอสินเชื่อได้ง่ายกว่า มาพร้อมโปรฯ ดึงดูดใจ การยื่นขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านในโครงการใหม่มักมีข้อเสนอที่ดึงดูดความสนใจมากกว่า เนื่องจากผู้พัฒนาอสังหาฯ มักจะมีการจับมือกับพันธมิตรที่เป็นธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ในการจัดทำโปรโมชั่น/แคมเปญการตลาดมานำเสนออย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นยอดขายและดึงดูดกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับมา เมื่อผนวกกับมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญไปที่การซื้อบ้านใหม่จากผู้พัฒนาอสังหาฯ เท่านั้น จึงทำให้การซื้อบ้านใหม่ในโครงการต่าง ๆ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจยิ่งขึ้นในช่วงนี้ มีความสะดวกสบายในขั้นตอนการดำเนินธุรกรรมและยื่นเอกสารขอสินเชื่อต่าง ๆ ซึ่งมีโอกาสกู้ได้วงเงินที่สูงกว่าด้วย -พื้นที่ส่วนกลางตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ อุ่นใจด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้านจัดสรรส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบให้รองรับการทำกิจกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยทุก Generation ทั้งในด้านการพบปะสังสรรค์หรือเป็นพื้นที่สร้างสรรค์สุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นโซนพักผ่อนหย่อนใจในสวนสาธารณะเน้นใกล้ชิดธรรมชาติที่นอกจากจะได้ความร่มรื่นจากต้นไม้แล้วยังช่วยกรองมลพิษอีกด้วย หรือการมีห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำ และพื้นที่ออกกำลังกายกลางแจ้งเพื่อสร้างสุขภาพที่ยั่งยืน นอกจากนี้ โครงการหมู่บ้านจัดสรรยังมีระบบดูแลรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ที่คอยตรวจตราความสงบเรียบร้อย คัดกรองและบันทึกข้อมูลการเข้า-ออกของบุคคลภายนอก และมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดทั่วบริเวณโครงการ ซึ่งช่วยให้ลูกบ้านมีความมั่นใจเมื่ออยู่อาศัยหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในหมู่บ้านมากขึ้น ข้อเสีย การซื้อบ้านใหม่  -ขยับขยายพื้นที่ลำบาก บ้านจัดสรรในโครงการต่าง ๆ มักจะมีการออกแบบแปลนบ้านมาตรฐานไว้อยู่แล้ว และในโครงการหนึ่งมักจะมีเพียงไม่กี่รูปแบบให้เลือก แน่นอนว่าย่อมไม่สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของทุกครอบครัวได้อย่างครบถ้วน เพราะไม่ได้ออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้งานจริงของครอบครัวนั้น ๆ โดยเฉพาะ นอกจากนี้เมื่อมีแผนขยายครอบครัวในอนาคตหากคิดจะขยับขยายหรือต่อเติมพื้นที่ใช้สอยเพิ่มก็เป็นเรื่องที่ลำบากและต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะที่ดินมีพื้นที่จำกัดและการต่อเติมต้องคำนึงถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อไม่ให้ละเมิดสิทธิของเพื่อนบ้าน รวมทั้งต้องตรวจสอบข้อตกลง/ข้อกำหนดของโครงการบ้านจัดสรรที่ได้บัญญัติไว้อีกด้วย เช่น ห้ามตกแต่ง ต่อเติม ขยายรั้วนอกที่ดิน หรือทาสีฉูดฉาดภายในระยะเวลาที่กำหนด -วัดดวงกับนิติบุคคล และเพื่อนบ้านในอนาคต โครงการบ้านจัดสรรจะมีนิติบุคคลเป็นตัวแทนหมู่บ้านคอยจัดประชุมตามวาระต่าง ๆ รักษาความสงบเรียบร้อยในการใช้งานทรัพย์สินส่วนกลาง และควบคุมการบังคับใช้กฎระเบียบของสมาชิกในหมู่บ้านเพื่อสร้างสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข จึงถือว่ามีบทบาทสำคัญและส่งผลต่อการอยู่อาศัยไม่น้อย หากเป็นโครงการอสังหาฯ จากผู้ประกอบการรายกลางหรือรายเล็กอาจมีการคัดเลือกทีมนิติบุคคลจากผู้อยู่อาศัยขึ้นมาเป็นตัวแทนในการดูแลบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ แทนลูกบ้าน ซึ่งอาจจะไม่มีประสบการณ์บริการจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบได้เทียบเท่าบริษัทรับบริหารนิติบุคคลมืออาชีพแน่นอน   นอกจากนี้ การเลือกซื้อบ้านใหม่ในโครงการบ้านจัดสรรจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเพื่อนบ้านที่ย้ายเข้ามาใหม่จะมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างไร หากต้องเผชิญปัญหากระทบกระทั่งระหว่างเพื่อนบ้านที่ไม่สามารถตกลงกันได้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวไม่น้อย ถ้านิติบุคคลไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการปัญหาให้จบด้วยดีได้ ก็เป็นอีกความท้าทายที่หลายคนไม่อยากเผชิญแน่นอน ข้อดี การสร้างบ้านเอง -ได้บ้านตรงตามอุดมคติ ออกแบบได้ในสไตล์ที่ถูกใจ การสร้างบ้านเองช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีความผูกพันกับบ้านและเพิ่มความภูมิใจเมื่อเป็นเจ้าของมากขึ้น เนื่องจากได้มีส่วนร่วมด้วยตนเองตั้งแต่การออกแบบบ้านในฝันออกมาเป็นรูปเป็นร่างเพื่อให้สถาปนิกเขียนแบบแปลน การเลือกออกแบบในสไตล์ที่ชอบ การคัดสรรวัสดุที่ใช้ รวมไปถึงเลือกผู้รับเหมาด้วยตัวเอง สามารถวางแผนตกแต่งในสไตล์ที่ชอบได้ตั้งแต่แรก ซึ่งจะลดปัญหาค่าใช้จ่ายในการรีโนเวทที่ตามมาในภายหลังได้ นอกจากผู้บริโภคที่สนใจสร้างบ้านเองจะได้บ้านใหม่ตรงตามที่วาดฝันและแน่นอนว่าบ้านนี้จะตอบโจทย์การอยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของสมาชิกในครอบครัวได้ครบถ้วนที่สุด -ได้บ้านในทำเลที่โดนใจ ท่ามกลางเพื่อนบ้านที่รู้ใจ ทำเลที่ตั้งของที่อยู่อาศัยมีผลต่อการตัดสินใจซื้อไม่น้อย แม้หลายโครงการบ้านจัดสรรจะมีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันแต่หากอยู่ในทำเลที่ไม่ดี เดินทางไม่สะดวกก็ถือว่าไม่ตอบโจทย์มากพอ เมื่อเมืองหลวงและหัวเมืองใหญ่มีการพัฒนาความเจริญในหลายด้านย่อมทำให้ทำเลทองบางแห่งมีราคาสูงตามไปด้วย หรือทำเลที่ดีบางแห่งอาจมีขนาดพื้นที่ไม่เพียงพอที่จะพัฒนาเป็นโครงการอสังหาฯ ขนาดใหญ่ ดังนั้นการที่ผู้บริโภคเลือกที่จะซื้อที่ดินในทำเลที่ดีและเป็นมงคลตามความเชื่อมาเก็บไว้ก่อนที่จะดำเนินการปลูกสร้างที่อยู่อาศัยในอนาคตจึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากที่ดินจะมีมูลค่าเพิ่มเรื่อย ๆ แม้จะเก็บไว้เป็นเวลานาน นอกจากนี้การสร้างบ้านในที่ดินตนเองทำให้รู้ว่าเพื่อนบ้านของเราเป็นใครบ้าง มีอุปนิสัยหรือประกอบอาชีพอะไร เพื่อประเมินสถานการณ์เบื้องต้นที่อาจเกิดขึ้นเมื่อย้ายเข้ามาอยู่อาศัย หรือหากใครมีที่ดินเปล่าในบริเวณใกล้เคียงกับบ้านญาติพี่น้องก็ถือเป็นข้อดี เพราะเมื่อก่อสร้างบ้านในที่ดินนั้นก็จะยิ่งเพิ่มความสบายใจและอุ่นใจ เมื่อได้อาศัยท่ามกลางเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกัน -ควบคุมคุณภาพบ้าน อัพเกรดความปลอดภัยได้ตามใจสั่ง การเลือกสร้างบ้านเองนั้นผู้บริโภคจะสามารถเลือกวัสดุที่ใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้บ้านได้ด้วยตนเองได้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่งานโครงสร้างจนถึงงานสถาปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วัสดุที่มีค่าการต้านทานความร้อนสูง มีคุณสมบัติทนไฟ หรือเสริมระบบป้องกันปลวก เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาหรือเหตุไม่คาดฝันในอนาคต แม้แต่บ้านที่อยู่ในทำเลที่มีความเสี่ยงในการเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ก็สามารถเลือกใช้การก่อสร้างแบบใหม่ที่ช่วยให้บ้านแข็งแรงยิ่งขึ้นและทนต่อการเกิดแผ่นดินไหวได้อีกด้วย นอกจากนี้ผู้อยู่อาศัยยังเลือกใช้เทคโนโลยีมาช่วยวางระบบความปลอดภัยในบ้านผ่านการติดตั้งกล้องวงจรปิด ระบบดักจับควัน ระบบดักจับการเคลื่อนไหวในบ้านเพิ่มเติมได้ แม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามระดับความปลอดภัยที่ได้รับเพิ่ม แต่จะช่วยให้เจ้าของบ้านอุ่นใจว่าได้เสริมเกราะป้องกันให้บ้านปลอดภัยและสามารถรับมือกับภัยธรรมชาติและการโจรกรรมที่ไม่คาดคิดได้ดีขึ้นอีกระดับ ข้อเสีย การสร้างบ้านเอง -เสี่ยงดวงกับผู้รับเหมา ต้องมีความรู้เรื่องก่อสร้าง การจ้างผู้รับเหมาถือเป็นความท้าทายอันดับต้น ๆ ของคนสร้างบ้าน เพราะไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่างานที่ได้จะออกมามีคุณภาพตามที่คิดหรือไม่ เนื่องจากการอ่านรีวิวสร้างบ้านตามสื่อต่าง ๆ อาจไม่สามารถนำมาวัดผลหน้างานจริงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือเมื่อเกิดปัญหาจุกจิกระหว่างการก่อสร้าง เจ้าของบ้านจะเรียกร้องให้ช่างแก้ไขได้มากน้อยเพียงใด หากเจ้าของบ้านไม่มีความรู้เลยก็อาจเสียเปรียบหรือโดนหลอกโกงสเปกวัสดุได้ง่าย ๆ งานที่ได้อาจไม่มีคุณภาพมากเพียงพอเท่าราคาที่เสียไป ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรหมั่นศึกษาหาความรู้พื้นฐานเรื่องการก่อสร้างอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นแนวทางในตรวจเช็กเอกสาร สเปกวัสดุ ตรวจสอบค่าใช้จ่ายในเอกสารแสดงรายการวัสดุและค่าใช้จ่าย (Bill of Quantities หรือ BOQ) เพื่อป้องกันการเสียรู้ให้ผู้รับเหมาในเบื้องต้น และต้องตกลงรายละเอียดงานและสัญญาว่าจ้างให้ชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดในภายหลัง -เสี่ยงงบบานปลาย ต้องวางแผนการเงินอย่างดี การเลือกสร้างบ้านเองนั้นแม้จะได้บ้านที่ถูกใจมากกว่า แต่แน่นอนว่าย่อมแลกกับการที่ต้องมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นทั้งในส่วนค่าที่ดิน ค่าออกแบบแปลน ค่าสถาปนิก ค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าแรงผู้รับเหมา รวมถึงค่าตกแต่งเพื่อความสวยงาม หากผู้บริโภคไม่มีประสบการณ์ในการรับมือปัญหาเหล่านี้ หรือไม่มีการวางแผนทางการเงินที่รัดกุมเพียงพออาจนำไปสู่ปัญหางบบานปลาย คุมค่าใช้จ่ายไม่อยู่ เนื่องจากค่าวัสดุอุปกรณ์มีการปรับเปลี่ยนตามเกรดและอาจมีการเบิกค่าใช้จ่ายที่ผู้รับเหมาไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หากไม่กำหนดเพดานค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนหรือสำรองเงินไว้เพียงพอ อาจเกิดปัญหาในภายหลังได้ ดังนั้น การเลือกทำบัญชีรายรับ–รายจ่ายเพื่อบันทึกค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่วางแผนมีบ้านจนเริ่มก่อสร้าง และอัพเดตงบประมาณที่ตั้งไว้ตลอดเพื่อประมาณการค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างได้ดีขึ้น   อย่างไรก็ตาม การมีบ้านเป็นของตัวเองนั้นไม่ว่าจะเลือกซื้อบ้านใหม่หรือสร้างบ้านเอง ผู้บริโภคต้องคำนึงเสมอว่าความต้องการของผู้อยู่อาศัยคือสิ่งสำคัญที่สุด แต่ต้องไม่ลืมว่าการพิจารณางบประมาณที่มีให้เหมาะสมกับการซื้อหรือสร้างบ้านก็เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน     ภาพประกอบ
โควิด-19 & ขยายเวลามาตรการภาษี  ทำราคาบ้านจัดสรรใหม่ Q2 ลดลง

โควิด-19 & ขยายเวลามาตรการภาษี  ทำราคาบ้านจัดสรรใหม่ Q2 ลดลง

REIC เผยราคาบ้านจัดสรรไตรมาสแรก ปรับตัวเพิ่มจากปลายปี 63 หลังลดต่ำมาต่อเนื่อง 3 ไตรมาส  แต่ยังต่ำกว่าก่อนเกิดโควิด-19 ขณะที่แนวโน้มราคาบ้านในไตรมาส 2 ได้อานิสงค์มาตรการรัฐ ทำต้นทุนผู้ประกอบการถูกลง และแรงกดดันจากไวรัสโควิด-19 ยังระบาด ส่งผลให้ราคาบ้านคาดปรับตัวลดลงต่ออีกเล็กน้อย   ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564  ที่ผ่านมา ว่ามีค่าดัชนีเท่ากับ 128.2 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2563   (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เริ่มเห็นการปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า 0.3% หลังจากที่ลดต่ำลงต่อเนื่องติดต่อกันมา 3 ไตรมาสในช่วงไตรมาส 2 ถึง 4 ปี 2563 ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ที่ยังมีการแพร่ระบาดต่อเนื่องไปในบางพื้นที่ อานิสงค์มาตรการรัฐ ทำราคาบ้านถูกลง​ ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า จากภาพรวมดัชนีได้สะท้อนว่า ในช่วงไตรมาส 2 ถึง 4 ปี 2563 เป็นช่วงที่ราคาบ้านจัดสรรใหม่ปรับลดต่อเนื่องจากโปรโมชั่นต่าง ๆ ของสต๊อกที่มีอยู่เดิมเป็นสำคัญ แต่สังเกตได้ว่าพอเข้าสู่ไตรมาส 1 ปี 2564 ก็กลับมีการปรับขึ้นสูงกว่าไตรมาส 4 ปี 2563 ประมาณ  0.3% ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรใหม่ ๆ ในช่วงที่ผ่านมาที่มีต้นทุนราคาที่ดินสูงขึ้น และเป็นสินค้าที่มีความต้องการในตลาดสูง แต่ราคาบ้านจัดสรรใน ไตรมาส 1 ปี 2564 ค่อนข้างชัดเจนว่าบ้านจัดสรรยังคงถูกกว่าต้นปี 2563 เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ยังคงรุนแรง ก็อาจทำให้ดัชนีราคาบ้านจัดสรรกลับมาปรับตัวลดลงเล็กน้อย หรือ ทรงตัวในไตรมาส 2 ปี 2564 ได้   สำหรับการที่รัฐบาลมีมาตรการในการขยายระยะเวลามาตรการการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และการจดจำนองสำหรับบ้านใหม่ ไปจนถึงสิ้นปี 2564 น่าจะมีผลต่อการกระตุ้นตลาดบ้านประเภททาวน์เฮ้าส์ เนื่องจากยังคงมีหน่วยขายระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลพอสมควร แต่สำหรับบ้านเดี่ยวน่าจะได้รับประโยชน์น้อย   นอกจากนี้ การเลื่อนประกาศอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปเป็นปี 2565 และลดการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเหลืออัตรา  10% ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการที่สำคัญในการช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการที่จะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเสนอขายบ้านจัดสรรในราคาต่ำลงได้ ดัชนีราคาบ้านจัดสรรปรับเพิ่ม 0.3% ดัชนีราคาบ้านจัดสรรในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.2 เลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3%   ทั้งนี้ เมื่อจำแนกดัชนีราคาบ้านจัดสรรตามพื้นที่ พบว่า พื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 127.1 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3% ขณะที่พื้นที่​ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 129.0 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.2% (ดูตารางที่ 3 และแผนภูมิที่ 1 - 3)   ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวปรับเพิ่ม 0.3% ส่วนดัชนีราคาบ้านเดี่ยว ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.4 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3%   โดยพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 125.7 ลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3% ขณะที่พื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.5 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน(YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ลดลง  0.2% (ดูตารางที่ 2 และแผนภูมิที่ 1 - 3) ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ปรับเพิ่มขึ้น 0.3% สำหรับดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 130.1 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3%  โดยพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.2 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)  เพิ่มขึ้น  0.2% ส่วนพื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 132.1 ลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.2% (ดูตารางที่ 3 และแผนภูมิที่ 1 - 3)   สำหรับรายการส่งเสริมการขายบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ พบว่า ส่วนใหญ่ 46.6% เป็นส่วนลดค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง รองลงมา  32.8%  เป็นของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ำ แท้งก์น้ำ ฯลฯ และ  20.5% เป็นส่วน ลดเงินสด  
แสนสิริ เผยโฉม สิริ เพลส ซีรีย์ใหม่ ทาวน์โฮม 2 สไตล์นิวยอร์กและเกียวโต

แสนสิริ เผยโฉม สิริ เพลส ซีรีย์ใหม่ ทาวน์โฮม 2 สไตล์นิวยอร์กและเกียวโต

แสนสิริ  เปิดตัว “สิริ เพลส” ซีรีย์ใหม่ “Dream Destination” ดีไซน์ ที่มากกว่าฟังก์ชัน เผยโฉม 2 โครงการล่าสุด ที่ได้แรงบันดาลใจจากเมืองท่องเที่ยว  2 สไตล์ นิวยอร์กและเกียวโต ที่สิริ เพลส บางนา-เทพารักษ์ และสิริ เพลส  วงแหวน-ลำลูกกา  พร้อมเตรียมเผยโฉมสิริ เพลส 6 โครงการใหม่ในปีนี้ครอบคลุมทุกทำเล  และวางเป้ายอดขายทาวน์โฮมในปีนี้ 3,600 ล้านบาท โตจากปีก่อน 24%   นายอาณัติ  กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI)  เปิดเผยว่า ในปีนี้แสนสิริมีแผนรุกพัฒนาโครงการแนวราบทั้งหมด 16 โครงการมูลค่ารวม 15,500 ล้านบาท แบ่งเป็นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่ารวม 5,500 ล้านบาท มิกซ์โปรเจกต์ 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,600 ล้านบาท และทาวน์โฮม 7 โครงการ มูลค่ารวม 7,400 ล้านบาท โดยทาวน์โฮมแบรนด์ “สิริ เพลส”  ยังคงเป็นหัวหอกหลักในการรุกตลาดทาวน์โฮมของแสนสิริในปีนี้ “นอกจากการรุกพัฒนาโครงการแนวราบ ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ในปีนี้ ไฮไลท์ที่สำคัญ ยังมาจากการพลิกโฉมครั้งสำคัญใน “ดีไซน์” ที่อยู่อาศัยโครงการแนวราบในทุกแบรนด์ ทั้งทาวน์โฮมแบรนด์สิริ เพลส บ้านและทาวน์โฮมแบรนด์อณาสิริ บ้านเดี่ยวแบรนด์ฮาบิเทีย สราญสิริ บุราสิริ และเศรษฐสิริ การเปิดตัว “BuGaan” เอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนซ์ เจาะกลุ่ม Young Successor รวมถึงการเปิดตัว New segment ทาวน์โฮมระดับบนในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจอย่างมากในปีนี้”   สำหรับแบนด์​สิริ เพลส ในปีนี้บริษัทวางแผนเปิดตัว 6 โครงการใหม่ครอบคลุมทุกทำเล มูลค่ารวม 5,900 ล้านบาท และวางเป้าหมายยอดขายทาวน์โฮมในปีนี้ไว้ 3,600 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 24% ซึ่งเชื่อมั่นว่า สิริ เพลส ซีรีย์ใหม่ Dream Destination ในทุกโครงการจะได้รับการตอบรับที่ดี จากการเป็นทาวน์โฮมที่พัฒนาจากความเข้าใจใน Customer Insight อย่างแท้จริง  ซึ่งนอกจากแรงบันดาลใจจากเมืองท่องเที่ยว นิวยอร์กและเกียวโต ใน 2 โครงการใหม่ สิริ เพลส บางนา-เทพารักษ์ และสิริ เพลส วงแหวน-ลำลูกกาแล้ว ยังมีแรงบันดาลใจด้านดีไซน์ จากเมืองท่องเที่ยวซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางในสไตล์อื่น ๆ ที่เตรียมเปิดตัวตามมาในปีนี้อีกด้วย      
ยอดโอนคอนโดต่างชาติปี 63 ต่ำสุดรอบ 3 ปี  ปิดตัวเลขแค่ 8,285 ยูนิต

ยอดโอนคอนโดต่างชาติปี 63 ต่ำสุดรอบ 3 ปี ปิดตัวเลขแค่ 8,285 ยูนิต

นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ได้รับผลกระทบมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เคยมีส่วนสำคัญ ต่อการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ ในกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียมไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่กรุงเทพฯ หรือตามหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทย ที่บางโครงการมียอดซื้อขายจนเต็มโควตาสัดส่วน 49% ของโครงการ แต่ปัจจุบันตัวเลขหดหายจนเป็นศูนย์ในบางโครงการ เพราะไม่สามารถเดินทางเข้ามาซื้อขายได้ ส่วนโครงการที่ซื้อไปก่อนหน้าก็ยังคงชะลอการโอนกรรมสิทธิ์ออกไปก่อน   โควิด-19 ทำยอดโอนลดลงกว่า 61% ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์คอนโด (คอนโดมิเนียม) ของคนต่างชาติ ทั่วประเทศปี 2563 ที่ผ่านมา​ พบว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2563 ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดคอนโด​ที่ขายให้กับคนต่างชาติ  เนื่องจากได้มีการล็อกดาวน์การเดินทางเข้า-ออกประเทศ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติ ทำให้ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 เป็นช่วงที่มีการเคลื่อนไหวในส่วนของการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดเพียง 1,162 ยูนิต โดยลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562  อัตรา 61.1% และมีมูลค่าลดลงเหลือ 5,073 ล้านบาท หรือลดลง 54.3%   ต่อมา ในไตรมาสที่ 3-4 สถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยเป็นผลมาจากความพยายามแก้ปัญหาของผู้ประกอบการ เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อชาวต่างชาติสามารถทำการรับโอนกรรมสิทธิ์คอนโดที่สร้างเสร็จพร้อมโอนได้ โดยเพิ่มเป็น 1,885 ยูนิต มูลค่ารวม 9,381 ล้านบาทในไตรมาส 3 และจำนวน 2,592 ยูนิต มูลค่ารวม 12,730 ล้านบาท ในไตรมาสสุดท้าย ส่งผลให้ทั้งปี 2563 มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 8,285 ยูนิต มูลค่า 37,716 ล้านบาท  โดยจำนวนยูนิตต่ำกว่าปี 2562  35.3% และมูลค่าลดลง 25.5%   แผนภูมิแสดงจำนวนยูนิตและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติทั่วประเทศ รายไตรมาส   ที่มา :     กรมที่ดิน รวบรวมประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์   แผนภูมิแสดงจำนวนยูนิตและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติทั่วประเทศ รายปี ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สัดส่วนต่างชาติต่ำสุดในรอบ 3 ปีเหลือ 6.8% ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า หากเปรียบเทียบจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติ เทียบกับคนไทย พบว่า ในปี 2561 คนต่างชาติเคยมีสัดส่วนการโอนกรมมสิทธิ์คิดเป็น 10.1% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด และมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วน 16.3% ของมูลค่าทั้งหมด ต่อมาในปี 2562 มีสัดส่วนลดลงเหลือ 9.9% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด และ 15.5% ของมูลค่าทั้งหมด และมีสัดส่วนต่ำสุด เหลือเพียง 6.8% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด และ 12.1% ของมูลค่าทั้งหมดในปี 2563   ระดับราคาคอนโดที่คนต่างชาติมีการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2561 – 2563) ส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท และราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท โดยทั้งสองระดับราคาจะมีสัดส่วนจำนวนยูนิตใกล้เคียงกันคือ 23.2% และ 23.0% ตามลำดับ แต่เมื่อพิจารณาด้านมูลค่าการโอน พบว่า คอนโดระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท จะมีสัดส่วนมูลค่าสูงสุดถึง 28.5%   สัดส่วนจำนวนยูนิตและมูลค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2561 – 2563) แยกตามระดับราคาคอนโด ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กทม.เมืองหลักต่างชาติซื้อคอนโด จังหวัดที่มีจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติมากที่สุดในปี 2563 ใน 10 ลำดับแรก ซึ่งมีสัดส่วนจำนวนยูนิตรวมกันมากถึง  99.7% และมีสัดส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์รวมกันมากถึง  99.8% ส่วนที่เหลืออีก 20 จังหวัดมีสัดส่วนจำนวนยูนิตเพียง 0.3% และสัดส่วนมูลค่ารวมกัน 0.2% 3 จังหวัดแรกที่มีการโอนกรรมสิทธ์ของคนต่างชาติมากที่สุด ได้แก่ 1.กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีสัดส่วนจำนวนยูนิตมากถึง 57.1% และมีสัดส่วนมูลค่าการโอนมากถึง 73.5% เกินกว่าครึ่งหนึ่งของการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติทั่วประเทศ 2.จังหวัดชลบุรี มีสัดส่วนจำนวนยูนิต  24.9% แต่มีสัดส่วนมูลค่า 14.2 3.จังหวัดภูเก็ต มีสัดส่วนจำนวนยูนิตเพียง  4.7% แต่มีสัดส่วนมูลค่า  4.6%   จังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมากที่สุด 10 ลำดับแรก (เรียงตามจำนวนยูนิตปี 2563) ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ชาวจีนครองแชมป์สัดส่วนโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด สัญชาติของคนต่างชาติที่ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมากที่สุด 10 อันดับแรก ในปี 2563 เปรียบเทียบกับปี 2562 ซึ่งสัญชาติของคนต่างชาติของทั้งสองปีมีรายชื่อ 10 ประเทศที่เหมือนกัน โดยอันดับแรก เป็นชาวจีน ซึ่งเป็นคนต่างชาติที่มีการรับโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมากที่สุด โดยในปี 2562 มีสัดส่วนการโอน 59.6% ของจำนวนยูนิต และเพิ่มสัดส่วนเป็น 63.4% ในปี 2563 อันดับสอง เป็นชาวรัสเซีย มีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2563 4.7% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด แต่ลดลงจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วน 6.2% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด อันดับสาม เป็นชาวฝรั่งเศส สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2563  3.4% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วน  3.1% อันดับสี่ เป็นชาวสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2563  3.1% ของจำนวนยูนิต สัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วน 3.0% อันดับห้า เป็นชาวเยอรมัน สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2563  2.5% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วน  2.2% ตารางแสดงสัญชาติคนต่างชาติที่มีการรับโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมากที่สุดในปี 2562 - 2563 ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์    
มาตรการรัฐกระตุ้นตลาดคอนโดกทม.โอนกรรมสิทธิ์เพิ่ม1.1% 

มาตรการรัฐกระตุ้นตลาดคอนโดกทม.โอนกรรมสิทธิ์เพิ่ม1.1% 

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานดัชนีราคาห้องชุด (คอนโดมิเนียม) ใหม่ ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 152.2 จุด ลดลง 0.8% ลดลงเป็นไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยเป็นการลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2563   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่าการที่รัฐบาลได้ขยายระยะเวลามาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และการจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ไปจนถึงสิ้นปี 2564 สามารถกระตุ้นการซื้อขายคอนโดได้ โดยดูจากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดใหม่ที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในปี 2563 ทั่วประเทศลดลงเพียง 1.5% จากปี 2562 แต่ภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ทุกระดับราคาทั่วประเทศลดลงถึง 8.5% สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ– ปริมณฑล มีสัดส่วนเฉลี่ยการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดถึง  80% ของทั้งประเทศ​ ซึ่งกรุงเทพฯ– ปริมณฑลถือว่าเป็นตลาดหลักสำหรับอาคารชุดในประเทศไทย โดยในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมามีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดใหม่ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับปี 2562 ได้สะท้อนให้เห็นว่า มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และการจดจำนองที่ผ่านมาในปี 2563 สามารถช่วยระบายจำนวนคอนโดในตลาดให้ผู้ประกอบการได้ดีพอสมควร และภาวะที่จำนวนคอนโดในตลาดลดลง ได้ส่งผลเริ่มเห็นทิศทางราคาคอนโดใหม่เริ่มปรับตัวขึ้น   โดยค่าดัชนีราคาคอนโดใหม่ไตรมาส 1 ของปี 2564 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)  ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นไตรมาสแรกหลังจากลดลงต่อเนื่องติดต่อกันมาถึง 4 ไตรมาส แต่หากเทียบกับราคาคอนโดใหม่ไตรมาส 1 ของปี 2563 พบว่า ค่าดัชนีราคาคอนโดใหม่ยังคงต่ำกว่าปีก่อน 0.8% ซึ่งหมายความได้ว่า ราคาขายคอนโดที่เสนอขายอยู่ในตลาด ยังคงอยู่ในระดับราคาที่มุ่งเน้นกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อในตลาดต่อเนื่องจากปี 2564   สำหรับดัชนีราคาคอนโดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในไตรมาส 1 ปี 2564 นี้ เมื่อพิจารณาแยกตามพื้นที่ พบว่า กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 153.6 จุด ลดลง 0.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เพิ่มขึ้น  0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 145.3 จุด ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) (ดูตารางที่ 1 และดูแผนภูมิที่ 1 - 2)    สำหรับรายการส่งเสริมการขายคอนโดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ พบว่า ส่วนใหญ่  46.1% เป็นของแถม เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ รองลงมา 35.1% เป็นส่วนลดเงินสด และ 18.9% เป็นส่วนลดค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์   ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์    
เอพี ไทยแลนด์ มั่นใจดีมานด์บ้านเดี่ยว เดินหน้าเปิด 2 โครงการใหม่ 1,650 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ มั่นใจดีมานด์บ้านเดี่ยว เดินหน้าเปิด 2 โครงการใหม่ 1,650 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ กวาดยอดขายบ้านเดี่ยวไตรมาสแรกกว่า  4,300 ล้าน โตทะลุ 100% แม้ยังไม่เปิดโครงการใหม่ ​ไตรมาส 2 เปิดตัว 2 โครงการบ้านเดี่ยวมูลค่ารวม 1,650 ล้าน สานต่อผู้นำตลาด​   นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บริษัท​ เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัททำยอดขายกลุ่มบ้านเดี่ยวได้สูงถึง 4,290 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 100% แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกจะไม่มีการเปิดโครงการใหม่ก็ตาม   เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในไตรมาส 2  กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวเอพี จึงเตรียมเปิดตัว 2 โครงการใหม่รวม​มูลค่ารวม 1,650 ล้านบาท เนื่องจากมองว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 2 ปีนี้ สินค้าแนวราบยังเป็นซูเปอร์สตาร์ต่อเนื่อง โดยจะเปิดตัวขยายตลาดบ้านเดี่ยวในทำเลขายดี ที่เอพีเป็นเจ้าตลาดประสบความสำเร็จได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้า จนใกล้ปิดการขายโครงการปัจจุบัน แต่ยังเป็นทำเลที่มีดีมานด์ความต้องการของลูกค้าครอบครัวอีกมาก สำหรับ 2 โครงการที่จะเปิดตัว ประกอบด้วย ​1.โครงการ CENTRO พหลฯ-วิภาวดี 2 มูลค่า 1,250 ล้านบาท บนเนื้อที่ 58 ไร่ จำนวน 249 หลัง บ้านเดี่ยวสำหรับครอบครัวรุ่นใหม่  ติดถนนพหลโยธิน (ขาเข้า) ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง  ราคา 5 – 8 ล้านบาท และ 2.โครงการ CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก 3 มูลค่า 400 ล้านบาท บนเนื้อที่ 10 ไร่ จำนวน 43 หลัง บ้านเดี่ยวสำหรับครอบครัวเมือง โดดเด่นด้วยดีไซน์โมเดริน์พร้อมสเปซฟังก์ชั่นที่คุ้มค่าทุกตารางนิ้ว ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ราคา 8.99 – 12 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการใหม่มีกำหนดเปิดขายพร้อมกันวันที่ 12 – 13 มิ.ย. นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ   นอกจากนี้  เอพียังได้เตรียมแผนการรองรับดีมานด์ลูกค้าบ้านพร้อมอยู่ที่มีแนวโน้วปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ด้วยการ​จัดแคมเปญพิเศษ “ชอบใจจ่าย 0 บาท ฟรียกหลัง” คัดสรรสุดยอดบ้านเดี่ยวแปลงสวยจาก 38 โครงการคุณภาพทั่วกรุงเทพฯ ครอบคลุมแบรนด์ THE PALAZZO, THE CITY และ CENTRO ด้วยข้อเสนอ ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน  ฟรีเครื่องปรับอากาศ ม่าน ฯลฯ แบบยกหลัง ราคาเริ่ม 4.99 – 60 ล้านบาท เฉพาะลูกค้าที่จองและโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 มิ.ย. 64 เท่านั้น แม้สถานการณ์โดยรวมธุรกิจอสังหาฯ ยังต้องเผชิญกับสภาวะ Ripple Effect หรือปรากฎการณ์ระลอกคลื่น ความเสียหายที่เกิดจาก COVID-19 นั้นมีความท้าทายที่อยู่นอกเหนือการควบคุม แต่เอพีมีความมั่นใจว่าดีมานด์ครอบครัวเมืองที่มองหาบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ และบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ๆ ยังมีอยู่ต่อเนื่อง
นิปปอนเพนต์  ออกสีใหม่ “เวเธอร์บอนด์”  สู้ตลาด 2 หมื่นล้านหดตัว 15%

นิปปอนเพนต์ ออกสีใหม่ “เวเธอร์บอนด์” สู้ตลาด 2 หมื่นล้านหดตัว 15%

นิปปอนเพนต์ แก้โจทย์ตลาดสีหดตัว 15% หลังโดนผลกระทบจากโควิด-19 เดินหน้าตอบสนองความต้องการของลูกค้า ออกสีตัวใหม่ “เวเธอร์บอนด์” รับตลาดไตรมาสแรกยังติดลบต่อเนื่อง 5-7% พร้อมเดินหน้าใช้งบ 5% ทำตลาดสร้างแบรนด์   นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีนิปปอนเพนต์  เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาธุรกิจสีทาบ้านและสีทาอาคารติดลบไป 15% จากปกติแต่ละปีจะมีมูลค่าตลาดรวมต่อปีประมาณ 22,000 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ซึ่งมีการปิดประเทศ การล็อกดาวน์ที่มีการปิดห้างสรรพสินค้าและร้านค้าต่าง ๆ  ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง  ความต้องการใช้สีจึงลดลงตามไปด้วย   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปี 2564 จะเริ่มมีการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มกลับมารุนแรงเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง ทำให้ในไตรมาสแรกของปีนี้ จึงคาดว่าตลาดสียังปรับตัวลดลง แต่ไม่รุนแรงเท่ากับช่วงปีที่ผ่านมา คาดว่าภาพรวมธุรกิจสีทาบ้านและสีทาอาคารจะลดลงประมาณ ​ 5-7% เพราะยังมีปัจจัยบวกที่เข้ามาช่วย อาทิ รวมทั้งแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เชื่อว่าจะช่วยให้การท่องเที่ยวกลับมาคึกคักและทำรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมมีการขับเคลื่อนมากขึ้น เชื่อมั่นว่าในครึ่งปีหลังภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวขึ้น หลังการฉีดวัคซีนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปัจจุบันตลาด​สีน้ำทาบ้านและอาคาร แบ่งออกเป็นตลาดสีทาบ้านระดับบน (Premium) 3,000-4,000 ล้านบาท  ระดับปานกลาง (Medium) 4,000-5,000 ล้านบาท และระดับประหยัด (Economy) 2,000-3,000 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าในภาพรวมตลาดสีจะไม่เติบโต แต่ตลาดสีทาบ้านระดับบนมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่เลือกใช้สีที่มีคุณภาพและมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น  จึงถือเป็นตลาดสีที่ยังมีโอกาสในการขยายตลาดได้อีกมาก   นายวัชระ กล่าวอีกว่า  ล่าสุด บริษัทฯ จึงเปิดตัว “นิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์” (Nippon Paint Weatherbond) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่ม โดยเฉพาะตลาดกลุ่มบนที่ลูกค้ามีความต้องการใช้สีซึ่งมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย  ซึ่งสีดังกล่าวเป็นสีทาภายนอก เกรดอัลตร้าพรีเมียม ที่พัฒนาและปรับสูตรใหม่ขึ้นด้วย NIPPON CROSS-LINK TECHNOLOGY เทคโนโลยีสีครบ จบ ทน เพื่อตอบโจทย์เรื่องความครบของฟีเจอร์ที่จำเป็นต่อการใช้งาน  โดยอาศัยจุดแข็งของนิปปอนเพนต์ที่เป็น Global Business Network มีเครือข่ายทั่วโลก มีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของนิปปอนเพนต์ สีนิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ ทาครั้งเดียวทนทาน  15 ปี ทำให้มีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสีทั่วไป ที่อาจต้องทาใหม่ทุก ๆ 2-3 ปี ด้านนายณรงค์ฤทธิ์ มาลัยนวล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด  กล่าวเพิ่มเติมว่า  ได้ใช้งบการตลาดราว 5% ของยอดขาย ในการสร้างแบรนด์และการรับรู้ของแคมเปญโฆษณาสีนิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ ผ่านช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ภายใต้แนวคิด “ครบที่รุ่นนี้ สีเวเธอร์บอนด์”  โดยแคมเปญสีนิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ เน้นที่สื่อออนไลน์เป็นหลัก และขยายการรับรู้ให้เข้าถึงผู้บริโภค ผ่านสื่อ Out of Home ไม่ว่าจะเป็น Digital Billboard ตามจุดสำคัญต่าง ๆ รอบกรุงเทพฯ แหล่งชุมชน  เป็นต้น รวมถึงการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายต่าง ๆ    
เอพี ไทยแลนด์ยอดขาย Q1 เกือบ 8,000 ล้าน เดินหน้าเปิด 5 โปรเจ็กต์ไตรมาส 2  

เอพี ไทยแลนด์ยอดขาย Q1 เกือบ 8,000 ล้าน เดินหน้าเปิด 5 โปรเจ็กต์ไตรมาส 2  

เอพี ไทยแลนด์ ฟอร์มดีตั้งแต่ต้นปี ไตรมาสแรกกวาดยอดขาย 7,966 ล้าน จากการปักหมุด 113 โครงการในกรุงเทพฯ และ 5 จังหวัดตลาดศักยภาพ เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ต่อเนื่องอีก 5 โครงการ ในไตรมาส 3 ชูโครงการแนวราบ เป็นซูเปอร์สตาร์สร้างยอดขายและรายได้  มั่นใจปีนี้กวาดรายได้​ 43,100 ล้าน และยอดขาย 35,500 ล้าน ตามเป้าหมาย   นายวิทการ จันทวิมล  รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 7,966 ล้านบาท จากอสังหาริมทรัพย์เครือเอพีที่กระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 113 โครงการ (Exiting Projects) เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับยอดขายไตรมาส 1 ของปี 2563 ที่ผ่านมามีจำนวน 6,045 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกที่ผ่านมา มียอดขายที่มาจากสินค้าแนวราบมากถึง 7,293  ล้านบาท  สะท้อนภาพความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อสินค้าบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมเครือเอพี  ที่กระจายครอบคลุมในพื้นที่กรุงเทพฯ และตลาดใหม่ใน 5 จังหวัดที่บริษัทได้ขยายเข้าไปทำตลาด ได้แก่  จังหวัดขอนแก่น ระยอง นครศรีธรรมราช อยุธยา และเชียงราย จนสามารถสร้างการเติบโตด้านยอดขายได้อย่างโดดเด่นที่สุดท่ามกลางสภาวะตลาดผันผวนในปัจจุบัน   ส่วนภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ​​ ในไตรมาสที่ 2 เชื่อว่ายังคงอยู่ในสภาวะที่รอการฟื้นตัว ทั้งด้านความต้องการ (Demand) ​ที่ยังคงเป็นไปตามภาพรวมเศรษฐกิจ  และด้านการเปิดตัวสินค้าใหม่ (Supply) ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่รายที่ยังคงเปิดตัวโครงการใหม่ช่วงที่ผ่านมา โดยคาดว่าความมั่นใจในกลุ่มสินค้า​คอนโดมิเนียมจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่คงต้องใช้เวลาอีกนาน  กว่าจะฟื้นตัวกลับไปเหมือนก่อนเกิดเหตุการณ์โควิด-19 ขณะที่สินค้าแนวราบยังคงเป็นซูเปอร์สตาร์ต่อเนื่องไปอีกปี ทั้งนี้ โอกาสรอดของธุรกิจอสังหาฯ ​ ท่ามกลางการเผชิญกับสภาวะ Ripple Effect หรือปรากฎการณ์ระลอกคลื่น จากความเสียหายที่เกิดจากโควิด-19 นั้น นอกจากแผนการบริหารจัดการภายในองค์กร เพื่อสร้างความแข็งแกร่งแล้ว อีกหนึ่งในการสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากขึ้น คือ การบริหารจัดการพอร์ตสินค้าให้มีสินค้าพร้อมขาย และกระจายไปในหลายทำเล  จะมีส่วนช่วยทที่นำมาซึ่งความสำเร็จในวันนี้ ควบคู่ไปกับการมี EMPOWER LIVING เป็นเป้าหมายสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่ลูกค้าสามารถเลือกได้   สำหรับแผนการเปิดตัวโครงการในช่วงไตรมาส 2 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวสินค้าแนวราบจำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,660 ล้านบาท โดยทั้งหมดมีแผนจะเปิดขายในช่วงเดือนมิถุนายน  แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,650 ล้านบาท ได้แก่ 1.CENTRO พหล-วิภาวดี 2 จำนวน 249 ยูนิต มูลค่า 1,250 ล้านบาท 2.CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก 3 จำนวน 43 ยูนิต มูลค่า 400 ล้านบาท   ทาวน์โฮม 3 โครงการ มูลค่ารวม 1,010 ล้านบาท ได้แก่ 1.Pleno บางนา-อ่อนนุช 2 จำนวน 233 ยูนิต มูลค่า 570 ล้านบาท 2.Pleno ปิ่นเกล้า-จรัญ 2 จำนวน 86 ยูนิต มูลค่า 330 ล้านบาท และโฮมออฟฟิศ 3.District รามอินทรา-จตุโชติ จำนวน 20 ยูนิต มูลค่า 110 ล้านบาท   ทั้งนี้ ในปี 2564 นี้ เอพี ไทยแลนด์ ตั้งเป้าจะมีโครงการอสังหาฯ ที่พัฒนาอยู่ทั่วประเทศ  145 โครงการ มูลค่าพร้อมขายกว่า 118,128 ล้านบาท โดยเป็นโครงการใหม่ที่เปิดตัวในปี 2564 (New Launch Projects) จำนวน 34 โครงการ มูลค่าประมาณ 43,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นโครงการแนวราบจำนวน 30 โครงการ มูลค่าประมาณ 28,800 ล้านบาท และคอนโด ที่คาดว่าจะพร้อมเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังจำนวน 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 14,200 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (Existing Projects) ที่กระจายไปในทุกทำเลทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมากถึง 113 โครงการ มูลค่าสินค้าพร้อมขายประมาณ 77,428 ล้านบาท (รวมโครงการเปิดใหม่ของปี 2564 ที่ได้เปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการ) โดยไตรมาส 1 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการไปแล้วจำนวน 2 โครงการ คือ อภิทาวน์ เชียงราย และอภิทาวน์ อยุธยา มูลค่าโครงการรวม 2,300 ล้านบาท เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดย ณ 31 มีนาคม 2564 สามารถขายได้แล้วกว่า 300 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของลูกค้าในตลาดหัวเมืองใหญ่ ที่มีต่อแบรนด์และอสังหาฯ ภายใต้การพัฒนาของเอพี  และในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารับรู้รายได้ (รวม 100% JV) 43,100 ล้านบาท และเป้ายอดขายที่ 35,500 ล้านบาท (อ่านข่าวเพิ่มเติม.....เอพี วางเป้าขึ้นเบอร์ 1 อสังหาฯ ไทย ขน 147 โครงการสร้างรายได้กว่า 4 หมื่นล้าน)
เสนาผนึกกลุ่มฮันคิวฮันชิน  ปั้นทาวน์โฮมร่วมทุนโครงการแรกของวงการ

เสนาผนึกกลุ่มฮันคิวฮันชิน ปั้นทาวน์โฮมร่วมทุนโครงการแรกของวงการ

เสนา เดินหน้า จับมือกลุ่มฮันคิว ฮันชิน พันธมิตรจากญี่ปุ่น ปั้นโครงการต่อเนื่อง ประเดิมครั้งแรกบุกตลาดแนวราบ พัฒนาโครงการทาวน์โฮม กลุ่มตลาดราคา Affordable โครงการแรกของวงการอสังหาฯ เจาะทำเลเพทพารักษ์-บางบ่อ   บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นจับมือกับกลุ่มฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป พันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ด้วยแนวความคิดที่ต้องการ​นำเอาความแข็งแกร่ง และประสบการณ์ด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยในประเทศญี่ปุ่น มาปรับใช้กับตลาดภายในประเทศไทย โดยโครงการแรกเป็นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม “นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่ง”   การพัฒนาโครงการภายใต้ความร่วมมือของ 2 ดีเวลลอปเปอร์ ตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน มีจำนวนรวม 14 โครงการ รวมมูลค่า 40,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นคอนโดแนวสูงเป็นหลัก แต่สำหรับปีนี้เป็นการก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ของการร่วมกับกลุ่มฮันคิว ฮันชิน ซึ่งความร่วมมือที่ดีระหว่างกัน ได้ขยายตลาดมาสู่การพัฒนาโครงการแนวราบ ด้วยการพัฒนาโครงการทาวน์โฮมโปรเจกต์แรก ภายใต้แบรนด์ เสนา เวล่า เทพารักษ์ – บางบ่อ มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการร่วมมือกันครั้งแรกของของดีเวลลอปเปอร์ไทยและต่างชาติในการพัฒนาโครงการทาวน์โฮม และเป็นกลุ่มตลาดราคาจับต้องได้ (Affordable) ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นโยบายในการดำเนินธุรกิจในปี 2564 คือ SENA Strong ซึ่งประกอบด้วย 7 Strong ได้แก่ 1.Strong Step ​2.Strong Affordable Condo  3.Strong Partner  4.Strong Solar 5.Strong Digitalized Service App 6.Strong Agent และ ​7.Strong Management Team ซึ่งการพัฒนาโครงการร่วมทุนในรูปแบบทาวน์โฮม ได้นำเอา 3 Strong มาพัฒนาร่วมกัน ได้แก่ 1.Strong Affordable Condo  ​2.Strong Partner และ 3.Strong Solar   ระหว่างเสนา และ ฮันคิว ฮัน ชิน วันนี้เราเป็นมากกว่าพันธมิตรร่วมทุนทางธุรกิจ ซึ่งในปี 2564 เสนา วางแผนธุรกิจตามนโยบาย SENA Strong และยังคงแนวทางการทำงานกับทาง ฮันคิว ฮันชิน เหมือนเดิมคือการคิดถึงลูกค้าเป็นหลัก และสร้างที่อยู่อาศัยที่ดีให้กับผู้บริโภค   โดยจุดเด่นของการพัฒนาโครงการทาวน์โฮม ระหว่างเสนาและกลุ่มฮันคิว ฮันชิน คือ การนำแนวคิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยของญี่ปุ่นที่เรียกว่า  “Geo fit+”   มาปรับใช้ให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทย เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยประกอบด้วย 4 เรื่อง คือ 1.Geo fit+ Day เน้นว่าจะพัฒนาโปรดักท์อย่างไรให้เข้ากับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน 2.Geo fit+ Eco การแสวงหาแนวทางประหยัดพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น พลังงานไฟฟ้า เชื้อเพลิง หรือน้ำ 3.Geo fit+ Stage การออกแบบบนแนวคิดเพื่อรองรับผู้อยู่อาศัยทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย 4.Geo fit+ Sonae ใส่ใจทุกดีเทลในการใช้ชีวิตที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความปลอดภัย ผศ.ดร.เกษรา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเบื้องต้นปีนี้เสนาและกลุ่มฮันคิว ฮันชิน จะพัฒนาโครงการทาวน์โฮมร่วมกันอย่างน้อย 3 โครงการ ซึ่งอาจจะพัฒนามากกว่านี้ โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจ จากปีนี้ที่บริษัทวางแผนเปิดโครงการทั้งหมด 17 โครงการ โดยแผนการเปิดโครงการอีก 15 โครงการยังเป็นไปตามแผนที่ได้วางไว้ การมีพาร์ทเนอร์ที่ดี เป็นการทำให้เราเป็น strang company และอยากเป็น sustain company ที่ sustain ไปเรื่อย ๆสามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งไม่มีคำว่าจุดจบ เพราะเราไม่คิดว่ามีคำว่าดีที่สุด มีแต่ดีขึ้นเรื่อยๆ มีแต่คำว่าพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านนายประสิทธิ์ วัฒนานุกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสนับสนุนงานก่อสร้าง บริษัท เสนาดีเวล ลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงรายละเอียดโครงการ เสนา เวล่า เทพารักษ์ – บางบ่อ ว่าพัฒนาโครงการบนคอนเซ็ปต์แบรนด์ “ชีวิตที่ลงตัวกับความสุขที่เรียบง่าย” เป็นทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ สูง 2 ชั้น บนเนื้อที่โครงการ 39 ไร่เศษ จำนวน 298 หลัง มีแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ คือ แบบบ้าน THEE และแบบบ้าน THEE Plus ขนาดที่ดินเริ่ม 20 – 41 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านเริ่ม 127 – 140 ตารางเมตร ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ พร้อมที่จอดรถ 2 คัน ราคาเริ่ม 2.99 ล้านบาท*  โดยกำหนดก่อสร้างตั้งแต่เดือนธันวาคม  2563 และ คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการภายในปี 2567   เสนา เวล่า เทพารักษ์ – บางบ่อ ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพติดถนนใหญ่ ใกล้แหล่งงาน นิคมอุตสาหกรรมบางพลี นิคมบางปู และนิคมเวลโกร์ว แวดล้อมด้วยสถานที่สำคัญทั้งโรงพยาบาล สถานศึกษา แหล่งช้อปปิ้ง ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เมกาบางนา ,มาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ เทสโก้ โลตัส ซิตี้พาร์ค และ บิ๊กซี บางพลี เป็นต้น ในอนาคตมีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายจากเคหะ สมุทรปราการ วิ่งไปถึงบางปู เพิ่มอีก 4 สถานี ประกอบด้วย สถานีบางปู สถานีศรีจันทร์ประดิษฐ์ สถานีเมืองโบราณ และสถานีสวางคนิวาส รวมระยะทาง 7 กิโลเมตร            
ตรวจชีพจร ธุรกิจก่อสร้าง และ  โอกาสทางธุรกิจใน New Normal

ตรวจชีพจร ธุรกิจก่อสร้าง และ โอกาสทางธุรกิจใน New Normal

ภาคการก่อสร้างมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจ และครัวเรือน​โดยใน ปี 2563 การลงทุนภาคก่อสร้างมีมูลค่า 1.32 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนใน GDP สูงถึง 8.4% การเปลี่ยนแปลงในเซ็กเมนต์ต่าง ๆ ทั้งงานโยธา งานอาคาร และงานเฉพาะด้าน กระทบกับห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจ ตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ทั้งธุรกิจเหมืองแร่ งานออกแบบ การจัดหาแรงงาน/การจ้างงาน การผลิต/จำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจเฟอรน์นิเจอร์ รวมถึงสถาบันการเงิน เป็นต้น   ขณะเดียวกัน ยังเป็นเครื่องมือ สำคัญของภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2561-2563) ธุรกิจก่อสร้างมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 2.4% ต่อปี แม้ในปี 2563 ธุรกิจได้รับผลกระทบจากภาวะซบเซาของภาคอสังหาริมทรัพย์ และการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ภาพรวมขยายตัวได้ในระดับที่น่าพอใจ ท่ามกลางภาวะะถดถอยทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการก่อสร้างภาครัฐยังคงเพิ่มขึ้น ต่อเนื่อง แต่ในส่วนของการก่อสร้างภาคเอกชนกลับหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแตปี 2558 ภาพรวมธุกิจปี 2563 การลงทุนก่อสร้างเพิ่มขึ้น 2.2% โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการก่อสร้างภาครัฐที่ยังสามารถเติบโตได้ที่ระดับ 5.7% ขณะที่การก่อสร้างภาคเอกชน หดตัว 2.2% ซึ่งต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2558 โดยเฉพาะงานก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัย (Dwellings) ที่มีสัดส่วน 52% ของมูลค่างานก่อสร้างภาคเอกชน หดตัวมากถึง 6.7% ภาวะซบเซาของภาคอสังหาฯ ส่งผลให้งานก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยภาคเอกชนหดตัว ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ในปี 2564 การลงทุนก่อสร้างมีแนวโน้มขยายตัวประมาณ 4.1% เร่งตัวขึ้นจาก 2.2% ในปี 2563 ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจในประเทศ โดยเพิ่มขึ้นจากการ ก่อสร้างภาครัฐซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่อเนื่องในพื้นที่ EEC รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมในภูมิภาค และงานก่อสร้าง ภาคเอกชนบางส่วนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวเช่นการก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบเนื่องจาก Developer ส่วนใหญ่หันไปพัฒนาบ้านจัดสรรกันมากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มี ข้อจำกัดด้านพื้นที่และราคาที่ดินไม่มากเท่ากรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งโครงการ คอนโดมิเนียมบริเวณแนวสถานีรถไฟฟ้าบางส่วนที่ Developer เลื่อนการก่อสร้าง มาจากปี 2563   -งานก่อสร้างภาครัฐยังเป็นเป้าหมายหลักของผู้รับเหมา เนื่องจากยังมีแนวโน้มเติบโตตามการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายลงทุนของงบประมาณประจำปี 2564 ซึ่งคาดว่าจะสนับสนุนให้การลงทุนก่อสร้างภาครัฐเพิ่มขึ้น 4.9% อย่างไร ก็ดี เซ็กเมนต์นี้ อาจจะต้องมองหาล่ทูางเพื่ออกระจายความเสี่ยงในการพึ่งพา งานก่อสร้างภาครัฐเพียงด้านเดียว เพราะงานภาครัฐก็มีความเสี่ยงจากความ ล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับกระแสเงินสด   -งานก่อสร้างภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างเปราะบาง  ประมาณ 3.0%ในปี 2564 แต่ยังมีมูลค่าต่ำเมื่อเทียบกับปี 2561-2562 เพราะธุรกิจที่อยู่อาศัย ภาคเอกชนซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อน (driver) หลักต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัว รวมถึงการ ก่อสร้างในกล่มุธุรกิจโรงแรมใหม่ ๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งจำเป็นต้องรอแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐที่จะช่วยฟื้นฟูภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่หดตัวรุนแรง ต่อเนื่องทุกไตรมาส ทั้งอาคารที่อยู่อาศัย และไม่ใช่ที่อยู่อาศัย ดังนั้น  เซ็กเมนต์​นี้ อาจต้องใช้ระยะเวลานานกว่า ปี 2565 ที่จะกลับไปอยู่ในระดับที่ ใกล้เคียงกับช่วงก่อนวิกฤติโควิด-19 ผลประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง นอกจากภาวะซบเซาของภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ที่กดดันผลประกอบการ ผู้รบัเหมาก่อสร้างงานอาคารภาคเอกชนแล้วผู้รบัเหมางานก่อสร้างภาครัฐยังได้รับผลกระทบจากความล่าช้าของการอนุมัติวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจาปี 2563-2564 จนมีการเลื่อนประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ รวมถึงปัญหาความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณในการก่อสร้าง ส่งผลต่อการดำเนินงานของผู้รับเหมาก่อสร้าง ทั้งระบบ   -หากพิจารณาผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 35 ราย (แบ่งเป็น จดทะเบียนใน SET 26 ราย และ mai 9 ราย) พบว่าในปี 2563 มีรายได้รวม 206,236 ล้านบาท ลดลง 6.6%(YoY) ผู้ประกอบการ 74% ประสบปัญหาใน การดำเนินธุรกิจ สะท้อนจากรายได้ที่ลดง ผลกำไร/อัตรากำไรสุทธิที่ลดลง หรือผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิโดยเฉพาะผู้ประกอบการที่จดทะเบียนใน mai ทุกราย ประสบปัญหาด้านผลการดำเนินงาน โดยรวมแล้ว ผู้ประกอบการ ที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนมีสัดส่วนสูงถึง 37% เพิ่มขึ้นจาก 35% ในปี 2562 และความสามารถในการทำกำไร (วัดจากอัตรากำไรสุทธิ) ส่วนใหญ่แนวโน้มลดลง ทั้งนี้ ด้วยเหตุที่ผลกระทบของ โควิด-19 เกิดขึ้นในวงกว้าง จึงคาดว่าผลการดำเนินงานของกล่มุผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็กที่ไม่ได้จดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็คงประสบปัญหาไม่แตกต่างกัน   -แต่สิ่งที่น่ากังวลมากไปกว่าน้ัน คือ ผลการดำเนินงานและความสามารถในการ ทำกำไรของผู้ประกอบการที่ลดลง ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ และทาให้คุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ในธุรกิจก่อสร้าง ด้อยลงตามไปด้วย ผลประกอบการจำแนกตามขนาดรายได้ เมื่อจำแนกผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามขนาดรายได้ จะพบว่า ในปี 2563 ทุกกลุ่มประสบปัญหาด้านรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ < 1,000 ล้านบาท ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ทั้งด้านรายได้ ความสามารถในการทำกำไร และ ความสามารถในการชำระหนี้ ขณะที่ผู้ประกอบการกลุ่ม > 1,000 ล้านบาท แม้รายได้ ลดลง แต่เนื่องจากส่วนใหญ่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน ทั้งด้านความชำนาญ ด้านชื่อเสียง และด้านต้นทุน เนื่องจากมีอายุกิจการยาวนานกว่า ทำให้มีความสามารถ ในการทำกำไรสูงกว่าภาพรวม และในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา กลุ่ม 1,000-5,000 ล้านบาท ยังคงมีความโดดเด่นด้านความสามารถในการทำกำไร และความสามารถในการชำระหนี้ อย่างต่อเนื่อง สถานการณ์สินเชื่อและคุณภาพหนี้ธุรกิจก่อสร้าง ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คุณภาพสินเชื่อธุรกิจก่อสร้าง​โดยรวมเริ่มด้อยลง โดยเฉพาะ ในกลุ่มงานโยธาซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานก่อสร้างภาครัฐ มีสัดส่วน Non-Performing Ratio เร่งตัวขึ้นมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับกลุ่มงานก่อสร้างเฉพาะด้าน ขณะที่คุณภาพสินเชื่อผู้รับเหมางานอาคารทรงตัวอยู่ในระดับสูง และสูงกว่าค่าเฉลี่ย NonPerforming Ratio ของสินเชื่อธุรกิจในระบบธนาคารพาณิชย์   คุณภาพสินเชื่อธุรกิจก่อสร้าง: ณ สิ้นไตรมาส 4/2563 ยอดคงค้างเงินให้สินเชื่อแก่ธุรกิจก่อสร้างในระบบธนาคารพาณิชย์มีมูลค่ารวม 280,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% (YoY) โดยเพิ่มขึ้นในกลุ่มงานโยธา (Civil engineering) และกลุ่มงานก่อสร้างเฉพาะด้าน (Specialized construction) ขณะที่กลุ่มงานก่อสร้างงาน อาคาร (Construction of buildings) หดตัวลงตามภาวะซบเซาของธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเมื่อพิจารณาด้านคุณภาพสินเชื่อ พบว่า ธุรกิจก่อร้างมีสัดส่วน Non-Performing Ratio ณ สิ้นไตรมาส 4/2563 อยู่ที่ระดับ 7.7% สูงกว่าค่าเฉลี่ย Non-Performing Ratio ของสินเชื่อธุรกิจโดยรวม (ไม่รวมสินเชื่ออุปโภคบริโภค ส่วนบุคคล & กิจกรรมทางการเงิน และการประกันภัย) ในช่วง 7 ปี (ปี 2557-2563) ที่ระดับ 4.0% คุณภาพหนี้สินเชื่อธุรกิจก่อสร้างโดยด้อยกว่าคุณภาพหนี้สินเชื่อธุรกิจโดยรวม และมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วน Non-Performing Ratio เร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 6.9% และ 7.7% ในไตรมาส 4/2562 และ ไตรมาส 4/2563 ตามลำดับ ส่วนใหญ่เกิดจากสินเชื่อผู้รับเหมางานอาคารและงานเฉพาะด้านที่เร่งตัวขึ้นโดยเฉพาะ กลุ่มผู้รับเหมางานอาคารที่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้สูงที่สุดในกลุ่ม จากภาวะตลาดที่หดตัวต่อเนื่องในช่วง 2 ปี ที่ ผ่านมา ขณะเดียวกัน ในปี 2563 NonPerforming Ratio สินเชื่องานโยธาก็เร่งตัวขึ้นสูง (เฉลี่ย 7.1%) ใกล้เคียงงานเฉพาะด้าน เทียบกับช่วงก่อนหน้า (ปี 2557-2561) ที่มีค่าฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำกว่า 2% และต่ำที่สุดในกลุ่มก่อสร้าง New Normal ของธุรกิจก่อสร้าง ในช่วงก่อนหน้านี้ เราเห็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่หลายรายหันไปสร้างโอกาส ในธุรกิจอื่น เช่นเดียวกับผู้ประกอบการต่าง ๆ ที่อยู่ในธุรกิจพลังงาน ธุรกิจ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอาหาร อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจการเงิน ตัวอย่างของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ได้แก่ บมจ.ช.การช่าง (CK) ลงทุนผ่าน บริษัทลูกในธุรกิจทางด่วนและรถไฟฟ้า ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ธุรกิจผลิต จำหน่ายน้าประปา และบริหารจัดการน้าเสีย บมจ.พรีบิลท์ (PREB) ลุงทุนครบวงจร จากงานรับเหมาก่อสร้างสู่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผลิตภัณฑ์สิ่งก่อสร้าง และวัตถุดิบขั้นต้น เป็นต้น จากนี้ไป แรงกดดันจากภาวะซบเซาของภาคอสังหาริมทรัพย์ วิกฤตโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย และแนวโน้มข้อจำกัด/ความล่าช้าด้านงบประมาณภาครัฐ จะกระตุ้นให้ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายกลางปรบั ตัวและหันไปหาโอกาสใน ธุรกิจอื่นกันมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง อย่างไรก็ดี ในส่วนของธุรกิจเดิม จะเกิดการเปลี่ยนแปลงจน เกิดโอกาสใหม่ที่เป็น New Normal ของธุรกิจ ก่อสร้าง ใน Segment ที่สามารถตอบสนอง Green Economy, Health/Aging Society และ วิถีWFH กระแส Green Economy เศรษฐกิจสีเขียว หรือ Green Economy เป็นเป้าหมายของทั่วโลกรวมถึง ประเทศไทย ที่บรรจุอยู่ในโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Bio-CircularGreen Economy: BCG) ดังนั้นงานก่อสร้างภาครัฐและเอกชน ที่สามารถ สนับสนุนเศรษฐกิจสีเขียว จะเป็นที่ต้องการในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้าง ด้านพลังงานที่ไม่ใช้ฟอสซิล เช่น งานออกแบบ/ติดตั้งระบบพลังงานไฟฟ้าจาก แสงอาทิตย์ของภาคครัวเรือน (Solar Rooftop) และงานก่อสร้างภาครัฐที่ เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2)/การสนับสนุนให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ งานออกแบบ/ติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสีย/ขยะ และรวมไปถึงการผลิต/ใช้วัสดุก่อสร้างที่ประหยัดพลังงาน หรือเป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม Health/Aging Society จากข้อมูลของกรมการปกครองพบว่า ณ สิ้นธันวาคม 2563 ประเทศไทยมี สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็น 18% ของจำนวนประชากร โดยรวม นอกจากนั้น หลายองค์กรประเมินว่าสัดส่วนดังกล่าวจะเกิน 20% ในปี 2564 นี้ ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ขณะเดียวกันสภาพัฒน์ ประเมินว่า สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุของไทยในอีก 20 ปี ข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นเป็น 31% นั่นหมายถึงโอกาสทางธุรกิจเพื่อรองรับความต้อง สินค้า/บริการของประชากรกลุ่มนี้ ดังนั้น การก่อสร้างหรือวัสดุอุปกรณ์ที่ เกี่ยวข้องกับ Health/Aging Society จะเป็นที่สนใจของ Developer และ ครัวเรือนมากขึ้น เช่น การสร้าง/ปรับปรุงอาคารที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ วัสดุ/อุปกรณ์ก่อสร้าง และระบบ Automation ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดูแล สุขภาพ/การป้องกันเชื้อโรค และรวมไปถึงงานออกแบบ ที่สามารถตอบโจทย์การ เพิ่มขึ้นของคนกลุ่มนี้ เป็นต้น วิถี WFH บทเรียนจากวิกฤตโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา องค์กรที่ยังอยู่รอดส่วนใหญ่ พบว่า Work from Home (WFH) นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายสำนักงานได้ระดับหนึ่งแล้ว บางองค์กรยังสามารถเพิ่ม Productivity ได้ด้วย และหลาย หน่วยงานได้ปรับปรุงสถานที่ลดความสำคัญของการทำงานที่ Office ลง ดังนั้น นอกจากงานปรับปรุงอาคารสำนักงานแล้ว งานปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้เป็น Home Office เพื่อรองรับวิถี WFM ก็จะตามมามากขึ้น ซึ่งอาจเป็นโอกาสของ ผู้รับเหมารายย่อยที่ค่อนข้างเสียเปรียบในการเข้าไปรับงานในโครงการขนาด ใหญ่ รวมทั้งงานก่อสร้าง/ตกแต่งอาคารประเภท ประเภท Co-Working Space ที่สามารถตอบโจทย์ในยุคปัจจุบัน   งานก่อสร้างในภูมิภาค/ต่างประเทศ ที่ผ่านมาการแข่งขันในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่มีความ รุนแรง ผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ใช้ความได้เปรียบด้านความชำนาญ ด้านชื่อเสียง และด้านต้นทุน เข้าไปรับงานในภูมิภาค ซึ่งแนวโน้มงานที่อยู่อาศัยใน ต่างจังหวัดโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีโอกาสขยายตัว เนื่องจากยังมี ปัจจัยหนุนด้านราคาที่ดิน และแนวโน้มมการขยายตัวของความเป็นเมือง (Urbanization) ที่ได้แรงหนุนจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค ตลอดจนการออกไปรับงานในประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศที่ไม่มีประเด็นด้าน การเมือง เนื่องจากผู้รับเหมาของไทยส่วนใหญ่ดำเนินกิจการมาแล้วมากกว่า 10 ปี มีความชำนาญด้านการก่อสร้างเป็นที่ยอมรับ โดยเฉพาะงานด้านก่อสร้างระบบ สาธารณูปโภคและด้านพลังงาน Our View: ชีพจรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบทั้งภาวะซบเซาของภาคอสังหาริมทรัพย์วิกฤต โควิด -19 และแนวโน้มข้อจำกัดด้านการคลังแล้ว ผู้รับเหมายังต้องแข่งขัน กันเองเพื่อให้ได้งานขนาดใหญ่ภายในประเทศ ได้ปรากฎผ่านเครื่องตรวจวัดด้าน ผลการดำเนินงาน และคุณภาพหนี้ ทำให้พบว่าการพึ่งพาธุรกิจเพียงด้านเดียว อาจไม่สามารถสร้างผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีประสบการณ์ที่ยาวนาน โดยเฉพาะการพึ่งพาเฉพาะโครงการภาครัฐ หรือ Focus เฉพาะพื้นที่ หรือการรับงาน/ ใช้เทคโนโลยีแบบเดิม ๆ โดยไม่ปรับตัวให้สอดรับกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงหรือ ความต้องการในอนาคต   -ด้านการตลาด จากนี้ไปผู้รับเหมาต้องเพิ่มศักยภาพเพื่อไปรับงานต่างพื้นที่ หรือต่างประเทศมากขึ้น รวมถึงการใช้วัสดุก่อสร้าง ให้สอดรับกับความต้องการใหม่ ๆ ทั้งนี้ งานก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล อาจต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัว หรือรอมาตรการภาครัฐที่จะช่วยฟื้นฟู ภาค อสังหาริมทรัพย์ แต่จะมีงานใหม่ ๆ ที่สามารถตอบสนอง Green Economy, Health/Aging Society และ Work from Home เพิ่มเข้ามามากขึ้น ซึ่งเป็นความท้าทายของผู้รับเหมาก่อสร้างในยุค New Normal   -ในส่วนขององค์กร เนื่องจากธุรกิจก่อสร้างเป็นธุรกิจที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมมาก ทั้งในส่วนของการใช้พลังงาน การปล่อยก๊าซ CO2 ในชั้นบรรยากาศ เสียง ฝุ่น ขยะ/สิ่งของที่เกิดการการก่อสร้าง ดังนั้น เพื่อตอบสนองความ ต้องการของลูกค้า นอกเหนือจากสามารถส่งมอบงานตรงเวลา ตรงตาม spec และเป็นไปตามระเบียบของทางการแล้ว ยังต้องครอบคลุมไปถึงความรับผิดชอบ ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม(Environment) ด้าน สุขภาพ(Health) ความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน (work-site safety) รวมไปถึงบรรษัทภิบาล เพื่อให้องค์กรเป็นที่ยอมรับของสังคม   บทความโดย  : นายไตรวุฒิ นพรัตน์ นักวิเคราะห์ KrungthaiCompass  
การเคหะฯเปิดตัวบ้านเคหะสุขประชาได้ทั้งบ้านแถมมีอาชีพ

การเคหะฯเปิดตัวบ้านเคหะสุขประชาได้ทั้งบ้านแถมมีอาชีพ

การเคหะแห่งชาติ เปิดโครงการบ้านเคหะสุขประชา (ฉลองกรุง/ร่มเกล้า)  บ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย หลังได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  นำร่อง 2 โครงการ จำนวน 572 ยูนิต ปล่อยเช่าเริ่มต้น 1,500–3,000 บาท/เดือน   นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผย จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศถดถอย ทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งความมั่นคงในด้านที่อยู่อาศัย ด้วยความห่วงใยและต้องการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานจัดทำโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในทุกมิติ โดยนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดจัดทำโครงการเยียวยาและฟื้นฟูผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวรวมไปถึงกลุ่มผู้เปราะบางให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ภายใต้โครงการ “พม.เราไม่ทิ้งกัน” พร้อมมอบนโยบายให้การเคหะแห่งชาติจัดสร้างที่อยู่อาศัยประเภทเช่าเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและสร้างโอกาสให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้อย่างทั่วถึง   ทั้งนี้ การเคหะแห่งชาติแห่งชาติได้เสนอ “โครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย” ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563 โดยมีเป้าหมายจัดสร้าง 100,000 ยูนิต ภายในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ.2564 - 2568) กำหนดส่งมอบปีละประมาณ 20,000 ยูนิต   โดยการเคหะแห่งชาติดำเนินโครงการดังกล่าวภายใต้ชื่อ “โครงการบ้านเคหะสุขประชา” เพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มเปราะบาง ข้าราชการชั้นผู้น้อย ข้าราชการเกษียณ รวมถึงผู้บุกรุกในพื้นที่สาธารณะ ทั้งยังเป็นการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19   อีกทั้งเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 - 2579) ที่ต้องการให้คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่ว (Housing for all) สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ประกอบด้วย ผู้ที่เรียนจบไม่มีงานทำ ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนอาชีพ ลูกกตัญญู คนตกงาน/ไม่มีที่ดินทำกิน  คนพิการและผู้สูงอายุที่ยังทำงานได้ และแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องการอาชีพ   ปัจจุบันโครงการบ้านเคหะสุขประชา อยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการนำร่อง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 2 โครงการ จำนวน 572 ยูนิต ได้แก่ โครงการบ้านเคหะสุขประชาร่มเกล้า จำนวน 270 ยูนิต และโครงการบ้านเคหะสุขประชาฉลองกรุง จำนวน 302 ยูนิต อัตราค่าเช่าเริ่มต้น 1,500–3,000 บาท/เดือน นอกเหนือ จากการเช่าอยู่อาศัยในโครงการบ้านเคหะสุขประชาแล้ว การเคหะแห่งชาติยังได้สร้างเศรษฐกิจชุมชนคู่ขนานกันไปในมิติ มีบ้าน - มีอาชีพ มีรายได้ - มีสุข ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้สามารถประกอบอาชีพตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง   ภายในโครงการยังจัดให้มีพื้นที่สีเขียว พื้นที่สันทนาการ พื้นที่จอดรถ และพื้นที่ “เศรษฐกิจ  สุขประชา” ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการพัฒนาโครงการของแต่ละพื้นที่ มี 6 รูปแบบ ได้แก่ เกษตรอินทรีย์ ปศุสัตว์ อาชีพบริการชุมชนและชุมชนข้างเคียง ตลาด อุตสาหกรรมขนาดเล็ก และศูนย์การค้าปลีก - ส่ง โดยมุ่งส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยประกอบอาชีพอิสระในชุมชน รวมถึงสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนตามภูมิสังคมของพื้นที่นั้นๆ เริ่มตั้งแต่การผลิตไปจนถึงช่องทางการจัดจำหน่าย   ทั้งนี้ การเคหะแห่งชาติได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนจองสิทธิเช่าโครงการบ้านเคหะสุขประชาร่มเกล้าและฉลองกรุง ระหว่างวันที่ 23 - 30 มีนาคม 2564 ปรากฏว่ามีประชาชนให้ความสนใจจองสิทธิจำนวน 6,660 รายและการเคหะแห่งชาติได้พิจารณาคัดกรองคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนในเบื้องต้น ซึ่งมีประชาชนที่ผ่านการพิจารณาจำนวน 6,627 ราย โดยโครงการบ้านเคหะสุขประชาร่มเกล้า มีผู้ลงทะเบียนที่ผ่านคุณสมบัติ จำนวน 4,285 ราย และโครงการบ้านเคหะสุขประชาฉลองกรุง มีผู้ลงทะเบียนที่ผ่านคุณสมบัติ จำนวน 2,342 ราย โดยการเคหะแห่งชาติได้ทำการจับสลากผู้ได้สิทธิไปแล้วเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา รวมทั้งมอบสิทธิบ้านเช่าในโครงการบ้านเคหะสุขประชาฉลองกรุงให้กับกลุ่มเปราะบางที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จำนวน 14 ยูนิ   การเคหะแห่งชาติได้เชิญคณะทำงานพิจารณาคัดเลือกผู้เช่า เพื่อการอยู่อาศัยและดำเนินกิจการเศรษฐกิจชุมชนภายใต้โครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย (บ้านเคหะสุขประชา) ของการเคหะแห่งชาติ ผู้บริหาร ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พี่น้องประชาชนผู้จองสิทธิที่รับรู้ข่าวสารการจับสลากฯผ่านช่องทาง Facebook การเคหะแห่งชาติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิโครงการบ้านเคหะสุขประชา (ร่มเกล้า/ฉลองกรุง) ได้ทาง www.nha.co.th และ LINE OA : @NHA.THAILAND นอกจากนี้ การเคหะแห่งชาติจะส่ง SMS แจ้งผลให้กับผู้ได้สิทธิรับทราบอีกทางหนึ่งด้วย   นายทวีพงษ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า การเคหะแห่งชาติมีความเชื่อมั่นว่า โครงการบ้านเคหะสุขประชาสามารถตอบสนองประชาชน  ผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะได้มีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคงในราคาที่สามารถรับภาระได้แล้ว ภายในโครงการยังได้จัดเตรียมพื้นที่ “เศรษฐกิจสุขประชา” ซึ่งภายในโครงการบ้านเคหะสุขประชาฉลองกรุงจะถูกพัฒนาให้เป็นตลาด และโครงการบ้านเคหะสุขประชาร่มเกล้าจะพัฒนาในรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ เพื่อรองรับงานและสร้างอาชีพให้กับผู้อยู่อาศัยในชุมชน รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในชุมชนให้เกิดความยั่งยืนต่อไป  
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ​และคอนโด ประจำเดือนเมษายน 2564

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ​และคอนโด ประจำเดือนเมษายน 2564

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ใครที่กำลังวางแผนซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม และจะต้องกู้เงินกับธนาคาร ปีนี้ถือเป็นอีกปีที่อัตราดอกเบี้ยยังถือว่าต่ำ เป็นช่วงเวลาที่ดีหากใครมีความพร้อมด้านการเงิน และมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง  ลองมาสำรวจดูกันว่าในเดือนเมษายน 2564 แต่ละธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้เงินซื้อบ้านเท่าไรกันบ้าง อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% หลังจากนั้น MRR-0.75% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.50% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.75% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.75% หลังจากนั้น MRR-0.75% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.45% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% หลังจากนั้น MRR-0.75% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.33% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.875% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.875% หลังจากนั้น MRR-0.75% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.38% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% หลังจากนั้น MRR-0.50% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.72% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% หลังจากนั้น MRR-0.50% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.70% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.25% หลังจากนั้น MRR-0.75% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.41% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.875% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.875% หลังจากนั้น MRR-0.75% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.38% -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,00 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สําหรับผู้ที่ยื่นคําขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. 64 - 31 มี.ค. 64 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วนั ที่ 21 พ.ค.63 เท่ากับ 5.75% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ แคมเปญ สินเชื่อบ้านกรุงไทย...สุขใจถ้วนหน้า โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้ ดังนี้ การกู้เงินโดยทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.64% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.45% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.45% ปีที่ 4 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.73% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% การกู้เงินแบบไม่ทำประกัน คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.64% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.30% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.30% ปีที่ 4 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.83% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.05% ธนาคารกรุงไทย ยังมีแคมเปญการกู้เงินซื้อบ้าน ที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และยังฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้​ การกู้เงินโดยทำประกันด้วย คิดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.64% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.95% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.95% ปีที่ 4 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.06% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.13% การกู้เงินแบบไม่ทำประกัน คิดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.64% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.80% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.16% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.16% หมายเหตุ -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ หรือ ระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมิน สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.35% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.25% ปีที่ 3 เป็นต้นไป MRR-1.10% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.82% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.30% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.35% ปีที่ 3 เป็นต้นไป MRR-1.10% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.75% ปีที่ 3 เป็นต้นไป MRR-1.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.95% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.75% ปีที่ 3 เป็นต้นไป MRR-1.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23% หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 64 – 31 พ.ค. 64 โดยจดจำานองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 30 มิ.ย. 64 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.22% หลังจากนั้น MRR-1% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.89% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-0.72% หลังจากนั้น MRR-0.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.39% หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 - 30 เมษายน 2564 จดจำนองภายใน วันที่ 28 พฤษภาคม 2564 -สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมอาคารพาณิชย์ยกเว้น Refinance และการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 90% ของราคาซื้อขายและไม่เกิน 90% ของราคาประเมินหลักประกัน -ทำประกันคุ้มครองสินเชื่อบ้าน โดยสมัครทำประกันคุ้มครองสินเชื่อบ้านได้รับอนุมัติและไม่ยกเลิกการทำประกันตามเงื่อนไขดังนี้ >ทุนประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อขั้นต่ำ 70% ขึ้นไปของวงเงินสินเชื่อบ้านและเลือกระยะเวลาคุ้มครอง 100% ของระยะเวลากู้ หรือ >ทุนประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 100% ของวงเงินสินเชื่อบ้านและเลือกระยะเวลาคุ้มครองขั้นต่ำ 70% ของระยะเวลากู้ -การทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้านกสิกรไทยรับประกันโดย บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ลูกค้าต้องทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขในกรมธรรม์ก่อนตัดสินใจทำประกันทุกครั้ง ทั้งนี้ผู้ซื้อมีสิทธิ์เลือกที่จะทำประกันชีวิตหรือไม่ก็ได้ ไม่มีผลต่อการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ -การพิจารณารับประกันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและกฎเกณฑ์การรับประกันของ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รายละเอียดอื่น ๆ -กรณีกู้ซื้อบ้านใหม่หรือบ้านมือสอง วงเงินกู้ได้ไม่เกิน 90% ของราคาซื้อขาย และไม่เกิน 90 % ของราคาประเมินหลักประกัน -กรณีกู้ปลูกสร้างบ้าน กู้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดินของตนเอง >วงเงินให้กู้ไม่เกิน 100% ของราคาค่าก่อสร้างตามสัญญาว่าจ้าง แต่ไม่เกิน 90%ของราคาประเมิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง กู้ซื้อที่ดินพร้อมขอกู้ปลูกสร้างบ้าน >วงเงินให้กู้ไม่เกิน 90% ของราคาซื้อขายที่ดินรวมกับราคาค่าก่อสร้างตามสัญญาว่าจ้าง แต่ไม่เกิน 90% ของราคาประเมินที่ดินและราคาประเมินแบบสิ่งปลูกสร้าง -ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ดังนี้ ค่าสำรวจและประเมินราคาหลักประกันโดยบริษัท โพรเกรส แอพไพรซัล หรือบริษัทประเมินที่ธนาคารรับรอง คิดขั้นต่ำ 3,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่ : กรณีซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกําหนด) โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.450%-2.750% ปีต่อไป MLR-1.75% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย2.650%-2.950% ปีต่อไป MLR-1.75% ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป MLR-1.75% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป MLR-1.75% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​18 สิวหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทําประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชําระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทําประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สําหรับพนักงานเงินเดือนประจํา และไม่เกิน 70 ปี สําหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.10% ระยะเวลาที่เหลือ MRR-2.00% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.80% หลังจากนั้น MRR-2.00% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) 7.ธนาคารทีเอ็มบี ธนาคารทีเอ็มบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย และค่าประเมินหลักทรัพย์ มีการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.63% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย MRR-1.63% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.45% ทางเลือก 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.23% หลังจากนั้น MRR-1.63% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 3 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 4.25% ปีที่ 3 MRR-1.63% หลังจากนั้น MRR-1.63% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.38% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.56% ทางเลือกที่ 4 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-1.88% หลังจากนั้น MRR-1.63% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.40% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% สมัครไม่ครบผลิตภัณฑ์เสริมทั้ง 3 ประเภท ทางเลือกที่ 5 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.38% หลังจากนั้น MRR-1.38% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.90% ทางเลือกที่ 6 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.48% หลังจากนั้น MRR-1.38% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% หมายเหตุ เมื่อคุณกู้ซื้อบ้านกับ TMB พร้อมสมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ทีเอ็มบีคุ้มบ้าน (MRTA) 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีเอ็มบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต TMB (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต TMB แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ข้อเสนอพิเศษเมื่อคุณกู้ซื้อบ้านกับ TMB พร้อมสมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท นอกจากดอกเบี้ยคงที่ต่ำสำหรับ 3 ปีแรกแล้ว ยังได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ดังนี้ -ฟรีประกันอัคคีภัย: TMB จ่ายให้ตามมูลค่าเบี้ยประกันภัย ประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท –ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง: TMB จ่ายให้ 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท สำหรับกรณีซื้อบ้าน จากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง สำหรับกรณีที่กู้ซื้อบ้านกับ TMB โดยไม่สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท จะได้รับอัตราดอกเบี้ยปกติจาก TMB โดยยังได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมอีกดังนี้ -ฟรีประกันอัคคีภัย: TMB จ่ายให้ตามมูลค่าเบี้ยประกันภัย ประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร EIR (Effective Interest Rate : อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา) เป็นเพียงตัวอย่างที่ใช้ในการคำนวณเท่านั้น โดยคำนวณจาก เงินกู้ 3 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี / MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2563 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.950% ปีต่อไป MRR ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.950% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทําประกัน​ Credit Life 70% กําหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกําหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กําหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 - 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด สอบถามเพิ่มเติม SCB Call Center โทร.02-777-7777 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อบ้านลูกค้าทั่วไป  โครงการบ้าน ธอส.เพื่อคุณปี 2564 มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.86% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.86% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.29% หลังจากนั้น MRR-0.75% หมายเหตุ ยกเว้นค่าธรรมยื่นกู้  0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียกกัน อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโคงการหมู่บ้านทั่วไป โดยวงเงินตั้งแต่ 500,000 บาทจนถึง 50 ล้านบาทขึ้นอยู่กับที่ตั้งของหลักประกัน โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.80% หลังจากนั้น MRR-1.60% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.60% หลังจากนั้น MRR-1.60% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.40% หลังจากนั้น MRR-1.60% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.20% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.20% ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.60% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 เมษายน - 30 มิถุนายน 2564 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 30 กรกฎาคม 2564 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาครยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตำมหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 13 เม.ย. 63) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาสภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหนี่เสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 2.00% โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-2.25%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1%  ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ วันนี้ - 30 มิถุนายน 2564 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนสบาย ปีแรก 0.50% ผ่อนสบาย ล้านละ 1,500 บาทต่อเดือน นาน 1 ปี โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.770% (MRR-2.475%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย 4.745% (MRR-1.50%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.680% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 3.975% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.270% (MRR-1.975%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.245% (MRR-1.00%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.180% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.458% เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น 1.สมัครผลิตภัณฑ์/บริการของธนาคาร ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์/ บัตรเครดิต หรือ สินเชื่อบัตรเงินสด / บริการ MyMo/ ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี / ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA) อย่างน้อย 3 ประเภท ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์/ บริการ ตามที่กหนดอยู่แล้วสามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ 2.กรณีไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด 3 ปี ทุกกรณี คิดค่าธรรมเนียม 3% ของยอดเงินต้นคงเหลือ 3.สามารถเลือกชำระแบบผ่อนต่ำ โดยเงินงวดผ่อนชำระต่อจำนวนเงินกู้สินเชื่อเคหะ 1 ล้านบาท ปีที่ 1 เท่ากับ 1,500 บาท /เดือน ปีที่ 2-3 เท่ากับ 6,000 บาท/เดือน ยกเว้น กรณีกู้ปลูกสร้าง/ต่อเติมซ่อมแซม ไม่สามารถเลือกชำระแบบผ่อนต่ำได้ หมายเหตุ 1.ประกัน หมายถึง ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 2.อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) 3.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนมกราคม 2564
อิเกีย บางใหญ่  เปิด  “IKEA PLANNING STUDIO”  แห่งแรกของโลกเพื่องานออกแบบหอ้ง

อิเกีย บางใหญ่ เปิด  “IKEA PLANNING STUDIO” แห่งแรกของโลกเพื่องานออกแบบหอ้ง

อิเกีย เปิด  “IKEA PLANNING STUDIO”  ให้บริการด้านงานออกแบบแห่งแรกของโลก ตอบโจทย์ลูกค้าต้องการใช้เวลาซื้อสินค้าน้อยลง พร้อมทั้งเดินหน้าขยายตลาดลูกค้าองค์กร ลุยกลุ่ม B2B วางเป้าเพิ่มยอดขาย 2 เท่าตัว   ด้วยวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นเรื่อง “การสร้างสรรค์ชีวิตที่ดีกว่าในทุกวัน” ของอิเกีย ศูนย์จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในโลกสัญชาติสวีเดน ซึ่งมีจำนวนสโตร์มากกว่า 443 แห่ง ใน 53 ประเทศทั่วโลก และในประเทศไทย​ ทำให้อิเกีย พยายามที่จะแก้ไขปัญหา และหาแนวทางการพัฒนาธุรกิจ เพื่อสร้างความสะดวกสบาย และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า   ล่าสุด อิเกีย สาขาบางใหญ่ จึงได้เปิด “IKEA Planning Studio” พื้นที่ให้บริการออกแบบของห้องครัว ห้องนั่งเล่น และตู้เสื้อผ้ารวมไว้ในที่เดียว  ซึ่งนอกจากการให้บริการด้านการออกแบบ และงานดีไซน์  ยัง รวมถึงบริการอื่น ๆ เช่น ชำระเงิน บริการจัดส่งและติดตั้ง ไว้ในที่เดียว ช่วยประหยัดเวลา และยังมีผู้เชี่ยวชาญของอิเกียช่วยดูแล  ให้คำแนะนำการแต่งบ้าน ที่ถือว่าเป็นแห่งเดียวของโลก ขณะที่พื้นที่การให้บริการของการออกแบบในลักษณะดังกล่าวจะมีให้บริการในบางประเทศ เช่น สิงค์โปร์  แต่จะอยู่ภายนอกสโตร์ นายทอม ซูเทอร์ ผู้จัดการสโตร์ อิเกีย บางใหญ่ เปิดเผยว่า การเปิดให้บริการ “IKEA Planning Studio” เพื่อเป็นการบริการด้านการออกแบบห้องครัว ห้องนั่งเล่น และห้องนอน ไว้ในพื้นที่เดียวกัน เพราะลูกค้าต้องการคามสะดวกสบาย และลดระยะเวลาการใช้บริการให้น้อยลง และทำให้ลูกค้าสามารถวางแผนการออกแบบห้องได้มากกว่า 1 ห้อง เดิมลูกค้าที่วางแผนออกแบบห้อง ต้องใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่งเพื่ออกแบบห้อง 1 ห้อง แต่ถ้าใช้บริการ IKEA Planning Studio 2 ชั่วโมงจะออกแบบได้มากกว่า 1 ห้อง ปัจจุบันจุดให้บริการด้านการออกแบบ ตามพื้นที่ต่าง ๆ ภายในสโตร์ ยังมีให้บริการด้วยกัน 4 แห่ง แต่การเปิด “IKEA Planning Studio” เพิ่มขึ้นมา จะทำให้สามารถรองรับลูกค้าได้มากขึ้น โดยจากการทดลองเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการ พบว่ามีจำนวนลูกค้ามาใช้บริการมากถึง 160 ครอบครัว หรือเฉลี่ยวันละ 3-4 ครอบครัว   นายทอม กล่าวอีกว่า นอกจาก “IKEA Planning Studio” จะให้บริการกับลูกค้าทั่วไป ยังมีการให้บริการที่ปรึกษาสำหรับธุรกิจขนาดต่าง ๆ (B2B) หรือ IKEA For Business สำหรับลูกค้าองค์กรขนาดเอสเอ็มอี และลูกค้าขนาดใหญ่ หรือกลุ่ม B2B ซึ่งอิเกียได้ให้ความสำคัญและต้องการเพิ่มสัดส่วนลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันฐานลูกค้า B2B ยังถือว่าน้อยเพียง 1% เท่านั้น ทางอิเกียคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าขึ้นอีก 2 เท่าในปีหน้า เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้ามีศักยภาพ และมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี แนวทางการทำตลาดอิเกีย ได้จัดตั้งทีมงานขายและตลาดกลุ่มลูกค้า B2B เพื่อเจาะตลาดโดยเฉพาะ โดยจะทำการนำเสนอสินค้า และฟังก์ชั่นการใช้งานของเฟอร์นิเจอร์อิเกีย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งนอกจากฐานลูกค้ากลุ่ม B2B ที่ดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลเนสเซ็นเตอร์ ร้านจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์กีฬา อิเกียยังได้จับมือกับดีเวลลอปเปอร์อสังหาริมทรัพย์ อย่างบริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ในการนำเอาเฟอร์นิเจอร์ไปใช้ในการตกแต่งห้องชุดคอนโดมิเนียมด้วย และยังมีดีเวลลอปเปอร์ที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีกหลายหลาย   นอกเหนือจากการจัดตั้งทีมงานเพื่อทำตลาดกับกลุ่มลูกค้า B2B แล้ว เทรนด์การทำงานจากที่บ้าน หรือ  Work From Home ที่เพิ่มมากขึ้นจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ทำให้สินค้ากลุ่มอุปกรณ์สำนักงานของอิเกียมียอดขายเพิ่มมากขึ้นถึง 25% ทำให้อิเกียวางแผนจัดดิสเพลย์ห้องทำงานในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าทั่วไป และลูกค้ากลุ่ม B2B ได้เห็นฟังก์ชั่นและการใช้งานของอุปกรณ์สำนักงานด้วย สำหรับการให้บริการ IKEA Planning Studio จะเป็นการให้บริการฟรี สำหรับสมาชิก IKEA Family ซึ่งปัจจุบันอิเกีย มีฐานสมาชิก 1.7 แสนคน โดยสมาชิกสามารถใช้บริการที่ IKEA Planning Studio ตั้งอยู่โซนโชว์รูมห้องนอน ชั้น 3A อิเกีย บางใหญ่ ส่วนลูกค้าที่ไม่ได้เป็นสมาชิก IKEA Family สามารถสมัครได้ฟรี และใช้บริการได้ทันที โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1.เตรียมขนาดพื้นที่ห้องที่ต้องการออกแบบ พร้อมบัตรสมาชิก 2.กดบัตรคิวเลือกบริการที่ต้องการ ได้แก่ บริการออกแบบชุดครัว, บริการออกแบบชุดตู้เสื้อผ้า, บริการออกแบบชุดวางทีวี, บริการติดตั้งชุดครัวและห้องน้ำ และบริการจัดส่งและประกอบเฟอร์นิเจอร์ 3.เมื่อถึงคิว ผู้เชี่ยวชาญของอิเกียจะช่วยให้บริการออกแบบและให้คำแนะนำในการเลือกสินค้าให้เหมาะสมกับพื้นที่  การใช้งาน และฟังก์ชั่นต่าง ๆ บริการออกแบบฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เมื่อเสร็จแล้วจะพิมพ์แบบพร้อมด้วยรายการสินค้า และคู่มือต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้านำไปประกอบการตัดสินใจ (ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจและชำระเงินทันที) ทั้งนี้ อิเกียจะเก็บข้อมูลไว้เพื่อให้ลูกค้าสามารถกลับมาใช้บริการในครั้งต่อไปได้ 4.กรณีที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้า สามารถชำระเงิน (ไม่รับเงินสด) และติดต่อบริการต่าง ๆ ได้จากที่ IKEA Planning Service ครบจบที่เดียว IKEA Planning Studio ที่อิเกีย บางใหญ่ เป็นสตูดิโอออกแบบแห่งแรกในโลกที่ตั้งอยู่ในสโตร์อิเกีย หากได้รับการตอบรับที่ดี ในอนาคตก็จะเปิดให้บริการที่สโตร์อื่น ๆ ด้วย  
“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้”  กวาดยอดขาย Q1 กว่า 7,500 ล้าน  พร้อมเปิด 4 แบรนด์ใหม่

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” กวาดยอดขาย Q1 กว่า 7,500 ล้าน พร้อมเปิด 4 แบรนด์ใหม่

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” กวาดยอดขายไตรมาสแรก 7,500 ล้าน เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 2 อีก 3 โครงการ พร้อมเปิด 4 แบรนด์คอนโดใหม่ เจาะตลาดเซ็กเมนท์ใหม่ต่อเนื่อง มั่นใจหนุนยอดขายทั้งปี All Time High ทะลุ 29,000 ล้านบาทตามเป้า   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยในไตรมาส 1/2564 (ม.ค.-มี.ค.2564) ได้ที่ 7,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น  26% ของเป้าหมายยอดขายปีนี้ 29,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มคอนโดมิเนียมประมาณ 73% และยอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร ประมาณ 27%  ถือเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพึงพอใจ ในสภาวะที่ตลาดช่วงต้นไตรมาสได้รับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจาก การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ช่วงปลายเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา   จากยอดขายดังกล่าว แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ราว 69% และยอดขายจากกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Ongoing) ราว 31% โดยไฟท์ติ้งแบรนด์ที่ช่วยให้ยอดขายในไตรมาส 1/2564 ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม คือแบรนด์ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge) ที่เจาะตลาดระดับไฮเอนด์ และแบรนด์ดิ ออริจิ้น (The Origin) ที่เจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยทั้ง 2 แบรนด์มีจุดแข็งคือการกระจายตัวอยู่ใกล้รถไฟฟ้าหลากหลายทำเล มีฟังก์ชั่นภายในห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์การ Work From Home และการใช้ชีวิตแบบ Next Normal ในอนาคต มีระดับราคาที่ผู้บริโภคยังสามารถเข้าถึงได้ในสภาวะปัจจุบัน ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมเปิดตัวโครการใหม่ เพิ่มเติม​ในไตรมาส 2/2564 อีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,200 ล้านบาท ได้แก่ แกรนด์ บริทาเนีย บางนา กม.12 แกรนด์ บริทาเนีย ราชพฤกษ์-พระราม 5 รวมถึงแบรนด์ใหม่อย่าง “แฮมป์ตัน” (Hampton) แบรนด์อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (Investment Property) โครงการแรกของบริษัท ที่ร่วมทุนกับกลุ่มดุสิตธานี นำร่องในทำเลศรีราชาภายใต้ชื่อ แฮมป์ตัน ศรีราชา เราศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค และให้ความสำคัญกับเรื่อง Customer Insight มาตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19 ทำให้ โครงการที่อยู่อาศัยแบรนด์ต่าง ๆ ของเรา เป็น Smart Products และ Excellent Services ที่สามารถตอบโจทย์ได้ในทุกจังหวะเวลา   โดยตามแผน ORIGIN NEXT LEVEL ในปีนี้ บริษัทมีแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ที่จะใช้บุกตลาดศักยภาพเพิ่มเติมถึง 4 แบรนด์  จากที่ผ่านมาในช่วงกลางปี 2562 ได้เปิดตัวแบรนด์ดิ ออริจิ้น เจาะตลาดกลุ่ม Gen Z ที่ปัจจุบันปิดการขายไปแล้วหลายโครงการ ช่วงปลายปี 2563 เปิดตัวแบรนด์โซโห แบงค็อก โครงการแรก ขยายฐานลูกค้าใหม่ในตลาดไฮเอนด์ ปัจจุบันก็มียอดขายสะสมแล้วกว่า 75%   ที่ผ่านมา ออริจิ้นมี Key Success คือ การปรับตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง มองหาตลาดใหม่ ๆ ที่มีความต้องการและมีโอกาสเติบโตอยู่เสมอ   นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงหลังจากนี้ มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากมีปัจจัยบวกหลายด้านที่ทยอยเกิดขึ้นต่อภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภค อาทิ โอกาสการกลับมาเปิดประเทศจากเรื่องวัคซีนวีซ่า การทยอยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้แก่บุคคลกลุ่มต่าง ๆ การต่ออายุมาตรการลดภาษีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง โดยบริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ และโครงการที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปีนี้ในระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าว คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มคอนโดมิเนียม ประมาณ 8,500 ล้านบาท และกลุ่มบ้านจัดสรรแบรนด์ไบรตัน (Brighton) อีกประมาณ 2,500 ล้านบาท   นายพีระพงศ์ กล่าวตอนท้ายว่า  จากปัจจัยบวกเชิงมหภาค และปัจจัยบวกจากการปรับตัวขององค์กร ประกอบกับยอดขายจาก New S Curve ของเครืออย่างธุรกิจบ้านจัดสรร สถานการณ์เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ดีขึ้นเป็นลำดับ เราเชื่อมั่นว่าปีนี้จะสามารถสร้างยอดขายเป็น All Time High ที่ 29,000 ล้านบาทตามเป้า ​  
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค วาง 3 กลยุทธ์ล้างขาดทุน ​ ตั้งเป้าโตแบบเทิร์นอะราวด์

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค วาง 3 กลยุทธ์ล้างขาดทุน ​ ตั้งเป้าโตแบบเทิร์นอะราวด์

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ตั้งเป้าธุรกิจ ปี 64 เติบโตแบบเทิร์นอะราวด์ ด้วย 3 กลยุทธ์​ สร้างธุรกิจหลักโต ขายที่ดินและลดหนี้สินลง พร้อมเดินหน้าธุรกิจใหม่ “ผลิตและจำหน่ายถุงมือยาง” สร้างรายได้ปีแรกกว่า 3,000 ล้าน   รอบปีที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญกับความยากลำบาก กับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งผลกระทบยังมีต่อเนื่องมาถึงปี 2564 และกระทบหนักมากขึ้น เมื่อเกิดการแพร่ระบาดระรอกใหม่ สำหรับกลุ่มบริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น  แต่อาจจะหนักกว่าผู้ประกอบการบางราย เพราะมีธุรกิจโรงแรมอยู่ในพอร์ต ซึ่งผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ที่มีต่อธุรกิจโรงแรม รุนแรงกว่าธุรกิจที่อยู่อาศัย   ผลประกอบการในรอบปี 2563 ที่ผ่านมาของกลุ่มบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 10,596.3 ล้านบาท ลดลง 35.3% จากปีก่อนหน้าที่มี 16,367.1 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรขั้นต้น 3,026 ล้านบาท ลดลง 46.9% ส่วนธุรกิจโรงแรม มีรายได้ 1,469.8 ล้านบาท ขาดทุนขั้นต้น 191.6 ล้านบาท นายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง ทิศทางการดำเนินงานปี 2564 ว่า วางแผนการดำเนินธุรกิจอย่างเข้มข้น ด้วยการดำเนินการใน 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มบริษัทวางแผนปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อพลิกกลับมาสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และ 2.สร้างความมั่นคงทางการเงิน เพื่อเข้าสู่การโหมดของการเทิร์นอะราวด์   บริษัทจะดำเนินการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและ เพื่อให้เข้าสู่โหมดเทิร์นอะราวด์ ด้วย 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1.ขับเคลื่อนธุรกิจหลักให้มีรายได้เติบโต โดยปีนี้วางแผนเปิดโครงการใหม่เพิ่ม 6 โครงการ มูลค่า 9,930  ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมไม่มีแผนเปิด ซึ่งบริษัทหยุดการเปิดโครงการคอนโดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3  ปีนี้บริษัทยังมีสินค้าใหม่เซกเมนต์ใหม่บ้านเดี่ยว 3 ชั้นและโฮมออฟฟิศ 5 ชั้น ใจกลางเมืองทำเลพหลโยธินเพิ่มเติม   สำหรับแนวคิดการพัฒนาโครงการ นอกจากการพัฒนารูปแบบบ้านให้รองรับการดำเนินชีวิตวิถีใหม่แล้ว ปีนี้ยังเพิ่มบริการด้านต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ใหม่ของผู้บริโภค อาทิ การให้ลูกบ้านสามารถใช้บริการพื้นที่ทำงาน (Work from Hotel) ได้ทุกโรงแรมในเครือแกรนด์ แอสเสทฯ รองรับการติดตั้ง EV Charger ด้วยการเดินระบบไฟ และติดตั้ง VDO Doorbell ในโครงการเปิดใหม่ ร่วมกับ AIS ให้บริการสัญญาณ AIS 5G ที่โรงแรมและโครงการต่างๆ เป็นต้น ด้านนายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ  กล่าวว่า สำหรับโครงการร่วมทุนที่จะเปิดตัวใหม่ในปีนี้ เป็นการร่วมทุนกับ ฮ่องกงแลนด์ ตั้งอยู่บนทำเลบางนา-สุวรรณภูมิ ในคอนเซ็ปท์บ้านริมทะเลสาบขนาด 100 ไร่ มูลค่าโครงการ 5,100 ล้านบาท  ปีนี้บริษัทยังมีสินค้าใหม่เซกเมนต์ใหม่บ้านเดี่ยว 3 ชั้นและโฮมออฟฟิศ 5 ชั้น ทำเลพหลโยธินเพิ่มเติม 2.ขายที่ดินและการลงทุนเพื่อลดหนี้และทำกำไร ปีนี้วางเป้าขาย 17,300 ล้านบาท จากโครงการแนวราบ 12,000 ล้านบาท โครงการร่วมทุน 2,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียมในประเทศ 2,500 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมประเทศญี่ปุ่น 800 ล้านบาท  และมีแผนทั้งการขายที่ดินที่ไม่มีแผนพัฒนาโครงการและสิทธิการเช่า รวมถึงขายการลงทุนในโรงแรมและจัดตั้งกองทรัสต์ รวม 20,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นแนวทางที่จะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้ดีขึ้น ลดต้นทุนทางการเงิน  และลดภาระหนี้ โดยตั้งเป้าหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ระดับ 1.2 จากปัจจุบันมีอัตรา 2.1 แผนการขายที่ดินและสิทธิการเช่า และการลงทุน แบ่งเป็น 1.ขายที่ดินและการลงทุน อาทิ ที่ดินบริเวณแจ้งวัฒนะ รามอินทรา และรามคำแหง รวมมูลค่า 10,200 ล้านบาท 2.การลงทุนในโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน และไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท มูลค่า 8,500 ล้าน 3.ที่ดินถนนรัชดาภิเษก มูลค่า 1,500 ล้านบาท   ในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวมปีนี้จะอยู่ที่ 21,370 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้ของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 13,070 ล้านบาท  แกรนด์ แอสเสทฯ 2,100 ล้านบาท และรายได้จากการขายที่ดินและการลงทุน 6,200 ล้านบาท ขณะที่ยังจะมีรายได้จากโครงการร่วมทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 4,000 ล้านบาท และธุรกิจถุงมือยาง 3,000 ล้านบาท ด้านนายวิทวัส วิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้ แกรนด์ แอสเสทฯ วางเป้าขายจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,100 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 500 ล้านบาท และ วิลล่าในจังหวัดระยอง 600 ล้านบาท ส่วนธุรกิจโรงแรม สถานการณ์โควิด-19 มีผลกระทบอย่างมากกับธุรกิจท่องเที่ยว ส่งผลให้รายได้ของโรงแรมปีที่ผ่านมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก   สำหรับปีนี้ คาดว่าจะฟื้นตัวและเติบโตอย่างรวดเร็วในครึ่งปีหลัง โดยประมาณการรายได้ไว้ที่ 1,500 ล้านบาท อย่างไรก็ดี เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่มาก แผนการดำเนินงานในปี 2564 จึงยังมุ่งเน้นไปที่ตลาดชาวไทยท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก ตั้งเป้าให้มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั้งปีที่ 50% 3.ลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายถุงมือยาง ขณะเดียวกัน ​ในปีนี้ กลุ่มบริษัทยังขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ซึ่งมีดีมานด์สูงและกำไรสูงได้แก่ ธุรกิจผลิตและส่งออกถุงมือยาง ที่จะช่วยเสริมสร้างรายได้ในระยะยาว โดยการร่วมมือกับ​ บริษัท วัฒนชัย รับเบอร์เมท จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกถุงมือยางจัดตั้ง บริษัท แกรนด์ โกลบอล โกลฟส์ จำกัด (GGG) เพื่อผลิตและจำหน่ายถุงมือยางสังเคราะห์ (Nitrile) ภายใต้แบรนด์ GGG สู่ตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีอัตราการใช้ถุงมือยางสูง เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น โดยได้ลงทุน 1,100 ล้านบาท สร้างโรงงานบนเนื้อที่ 21 ไร่  ในนิคมอุตสาหกรรม ทีเอฟดี 2 จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 2 อาคาร ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารหลังแรก ที่มี 8 สายการผลิต มีกำลังการผลิต 21 ล้านกล่องต่อปี หรือ 2,100 ล้านชิ้นต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนเมษายนนี้ และเริ่มดำเนินการผลิตได้ในเดือนพฤษภาคมนี้   ส่วนอาคารหลังที่ 2 มีกำหนดแล้วเสร็จปลายปีนี้  มีจำนวนเครื่องจักร 8 เครื่อง กำลังการผลิตรวม 21 ล้านกล่องต่อปี นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายกำลังการผลิตถุงมือยางธรรมชาติควบคู่ไปกับถุงมือยางไนไตรล์ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดโลก โดยรายได้จากธุรกิจถุงมือยางในปีนี้ประมาณการไว้ที่ 3,000 ล้านบาท
ไทยแลนด์ อีลิท  เปิดรายชื่อ 57 คอนโด  ร่วมโปรแกรม Elite Flexible One

ไทยแลนด์ อีลิท เปิดรายชื่อ 57 คอนโด ร่วมโปรแกรม Elite Flexible One

ไทยแลนด์ อีลิท เปิดรายชื่อ 57 คอนโด ดีเวลลอปเปอร์กว่า 20 ราย พร้อมขนโครงการเข้าร่วมโปรแกรม Elite Flexible One กระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงผู้ซื้อและนักลงทุนต่างชาติซื้ออสังหาฯ ไทย  คาดสร้างรายได้ทะลุ 1,000 ล้าน   จากนโยบายในการทำตลาดเพื่อดึงดูดให้ชาวต่างชาติ ได้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยและลงทุนในประเทศ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด จึงได้มี​การจัดทำโปรแกรมพิเศษ “Elite Flexible One” ด้วยการให้ชาวต่างชาติหรือนักลงทุนต่างชาติ ลงทุนซื้ออสัง​หาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมในประเทศไทย ที่สร้างแล้วเสร็จและพร้อมเข้าอยู่อาศัย มูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท   โดยสามารถซื้อได้ทั้งในรูปแบบ 1 ยูนิต ราคา 10 ล้านบาท หรือหลายยูนิตราคารวมกัน 10 ล้านบาท  จากดีเวลลอปเปอร์รายเดียวกัน ​เพื่อได้รับสิทธิการเป็นสมาชิกบัตรไทยแลนด์ อีลิท ตามประเทศบัตรที่บริษัทกำหนด แต่หากจำหน่าย จำนอง หรือโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้อื่นภายในระยะเวลา 5 ปี   สำหรับโปรแกรมพิเศษ “Elite Flexible One” มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 1 มกราคม 2564-31 ธันวาคม 2565 รวมระยะเวลา 2 ปี  ซึ่งทางบริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมไม่ต่ำกว่า 100 ยูนิต และมีมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท นายสมชัย สูงสว่าง ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด  ผู้ดำเนินโครงการบัตรสมาชิก ไทยแลนด์  อีลิท เปิดเผยถึงความคืบหน้าของโปรแกรมพิเศษ Elite Flexible One ว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้เดินหน้าเจรจาร่วมจัดทำบันทึกความเข้าใจในข้อตกลงความร่วมมือพิเศษโปรแกรม Elite Flexible One กับกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยแล้วกว่า 20  ราย โดยทุกรายต่างมีศักยภาพและความแข็งแรง ทั้งภาพลักษณ์ของแบรนด์และของสินค้า รวมถึงนโยบายการดำเนินงานที่สอดคล้องกัน จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถดึงกำลังซื้อของนักลงทุนชาวต่างชาติ และสมาชิกอีลิทคาร์ด มาลงทุนเพิ่มทั้งการซื้อแบบ Freehold และ Leasehold ได้   โดยปัจจุบันมีกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาฯ ส่งโครงการเข้าร่วมโปรแกรม Elite Flexible One  แล้ว  57 โครงการ และอีกหลายโครงการที่อยู่ในช่วงการเตรียมความพร้อม รวมทั้งสิ้นเป็นจำนวนกว่า 80 โครงการ (รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถตรวจสอบได้ที่ www.thailandelite.com) โดยแต่ละกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาฯ ต่างมีกลยุทธ์ในการทำตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการตลาดและการขายแบบเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งแนะนำบัตร Elite Flexible One ให้เป็นที่รู้จักผ่านการโฆษณาในสื่อต่าง ๆที่ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อ การยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ความเป็นเลิศ (Product Excellence) ด้วยการเลือกสรรวัสดุคุณภาพเพื่อให้ตอบทุกเหตุผลของการอยู่อาศัย รวมถึงบริการหลังการขายที่มีคุณภาพ (Service Excellence) เป็นต้น   นายสมชัย  กล่าวอีกว่า จากท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโควิด-19 และสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันนี้ บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าโปรแกรมพิเศษ Elite Flexible One นั้น จะเป็นตัวแปรสำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงให้เศรษฐกิจดีขึ้น ด้ วยการขับเคลื่อนให้กลุ่มนักลงทุนชาวต่างชาติที่มีคุณภาพ  และมีกำลังซื้อสูงเข้ามาลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งเพื่อต้องการผลักดันให้ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาฯ ​ขายโครงการได้เร็วขึ้น เพื่อสร้างกระแสเงินสด ทำให้มีเม็ดเงินชาวต่างชาติเข้ามาลงทุน และใช้จ่ายในประเทศไทย สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ  ทำให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ด้วยดี  ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ต่อภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ผ่านบัตรสมาชิกในรูปแบบของโปรแกรมพิเศษ "Elite Flexible One" เปิดรายชื่อ 57 โครงการคอนโดเข้าร่วมโปรแกรม บริษัท ไรมอนด์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม 3 โครงการ ได้แก่ 1.The Loft Silom 2.The River 3.The Diplomat 39 บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม 8 โครงการ ได้แก่ 1.Life Asoke-Rama 9 2.Life Asoke Hype 3.Life Ladprao 4.Life Ldprao Valley 5.Life One Wireless 6.Aspire Rattathibat 2 7.Aspire Sukhumvit-On Nut 8.Aspire Asoke – Ratchada บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม 6 โครงการ ได้แก่ 1.Khun By Yoo 2.La Habana Hua Hin 3.XT Huaykwang 4.XT Ekkamai 5.Oka Huan Sukhumvit 36 6.The Best Central Phuket บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม 5 โครงการ ได้แก่ 1.Park Origin Condominium 2.Knightsbridge Condominium 3.Kensington Condominium 4.The Origin Condominium 5.B-Loft Condominium บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) 1.Ashton Asoke 2.Ashton Asoke – Rama 9 3.Asthon Residence 41 4.Asthon Silom 5.Ideo Q Victory 6.Q Prasanmit 7.Ideo Q Sukhumvit 36 บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) 1.Wyndham Residence 2.Wyndham Garden Residence 3.Ramada Plaza Residence 4.Ramada Residence 5.Siamese Exclusive 31 6.Siamese Surawong 7.Siamese Kin 8.Blossom Condo @Sathorn-Chroenrat 9.Blossom Condo @Fashion Beyond บริษัท วรลักษณ์ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม 1 โครงการ ได้แก่ Sky Walk Condominium บริษัท 888 ทองหล่อ จำกัด เข้าร่วม 1 โครงการ ได้แก่ Nivati Residence บริษัท ชาญอิสสระ วิภาพล จำกัด อยู่ในเครือ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม 1 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการดิ อิสสระ เชียงใหม่  (The Issara Chiang Mai) บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด อยู่ในเครือ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม 2 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ บลูไดมอนด์ (BLUE Diamond) 2.โครงการบ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ (Baan Thew Talay Blue Sapphire) บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด เข้าร่วม 3 โครงการ ได้แก่ 1.Kraam Sukhumvit 26 2.Quarter 31 3.Quarter 39 บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด เข้าร่วม 5 โครงการ ได้แก่ 1.Mazarine Ratchayothin 2.Condo U Kaset-Nawamin 3.De LAPIS Charan 81 4.KARA ARI-RAMA 6 5.CIELA Charan 13 Station บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด เข้าร่วม 7 โครงการ ได้แก่ 1.The Astra 2.Arise Mahidol 3.The Next Jed Yod 4.The Next 1 5.The Next 2 6.The Next 3 7.The Next Premier บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม 4 โครงการ ได้แก่ 1.Niche Mono Baearing 2.Niche Mono Puchao 3.Niche Mono Charoen Nakhon 4.Niche Pride Taopoon Interchange
เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง  เดินหน้าธุรกิจสุขภาพ  เปิด​ “ศิริอรุณ เวลเนส” สาขา 3  

เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง เดินหน้าธุรกิจสุขภาพ เปิด​ “ศิริอรุณ เวลเนส” สาขา 3  

เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง เดินหน้าลุยธุรกิจสุขภาพ ขยายสาขา “ศิริอรุณ เวลเนส” แห่งที่ 3 รองรับสังคมไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ   นายแพทย์ สมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ จากการมีสัดส่วนของประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปถึง 20% และแนวโน้มจำนวนผู้สูงอายุมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ธุรกิจการดูแลสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุมีโอกาสเติบโตเพิ่มมากขึ้น บริษัทจึงได้ขยายธุรกิจเวลเนส ด้วยการเปิดศูนย์ดูแลสุขภาพครบวงจรภายใต้ชื่อ ศิริอรุณ เวลเนส ภายใต้การบริหารงานของ​บริษัท เอ็น.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จํากัด ซึ่งเป็น บริษัทในเครือ ปัจจุบันได้ขยายสาขาแห่งที่ 3 ตั้งอยู่ในทำเลศูนย์กลาง บนถนนอรุณอัมรินทร์ เป็นอาคารสูง 6 ชั้น ขนาดพื้นที่ 2,000 ตารางเมตร  เปิดบริการห้องได้ถึง 27 ห้อง 39 เตียง เทรนด์ดูแลสุขภาพและสังคมผู้สูงอายุจะมีความกังวลเรื่องสุขภาพเมื่อมีอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีความเปราะบางทางด้านสุขภาพ ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวจำเป็นต้องได้รับการดูแลมากเป็นพิเศษ โดยศิริอรุณ เวลเนส มีการรองรับให้บริการแบ่งเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน 1.ผู้ที่อยู่ในระยะพักฟื้น 2.ผู้ที่รอพบแพทย์ตามนัด 3.ผู้ที่สุขภาพดีแต่อยู่ในช่วงของการตรวจพิเศษ หรือรักษาเฉพาะทาง 4.บริการดูแลผู้สูงอายุ  ที่ต้องการใช้บริการอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ   ศิริอรุณ เวลเนส ให้บริการด้านการทำกายภาพบำบัด และทำกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย ดูแลโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ อาทิ แพทย์, พยาบาล นักกายภาพบำบัดการออกแบบโปรแกรมที่เหมาะสมสำหรับทุกคน  เพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง  การดูแลโภชนาการด้านอาหารเฉพาะกลุ่ม นายแพทย์สมเชาว์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ ต้องรับภาระหนักในการดูแลรักษาผู้ป่วย และปริมาณเตียงดูแลคนไข้มีจำกัด ​​เมื่อผู้สูงอายุที่เข้ามารักษาและมีอาการดีขึ้นจึงจำเป็นต้องให้กลับไปฟื้นฟูต่อที่บ้าน เพื่อสงวนเตียงไว้รองรับผู้ป่วยที่มีอาการหนักกว่า แต่ปัจจุบันครอบครัวส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว ซึ่งอาจจะมีข้อจำกัดในการดูแลผู้สูงอายุ ไม่สามารถดูแลได้เต็มที่ และอาจไม่มีความมั่นใจในการดูแล และฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงอายุด้วย การมีศูนย์ดูแลผู้สูงอายุจึงเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวได้  
2 ดีเวลอปเปอร์​ งัดกลยุทธ์ การันตรียีลด์ 6%ปลุกกำลังซื้อวิลล่า-คอนโด​ ภูเก็ต

2 ดีเวลอปเปอร์​ งัดกลยุทธ์ การันตรียีลด์ 6%ปลุกกำลังซื้อวิลล่า-คอนโด​ ภูเก็ต

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นหนึ่งในหลายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จนทำให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องงัดสารพัดกลยุทธ์การตลาด อัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ออกมากระตุ้นยอดขาย สร้างกระแสเงินสดเข้าบริษัท โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม ที่มีความกังวลใจว่าจะได้รับความนิยมลดน้อยลง  เพราะพฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนยุคโควิด-19 ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม และต้องการพื้นที่ของบ้านมากขึ้น เพื่อใช้ในกิจกรรมทำงานจากที่บ้าน (Work From Home)   นอกจากนี้ ตลาดคอนโดยังได้รับผลกระทบ จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เคยเป็นส่วนสำคัญในการสร้างยอดขาย ได้หายไปจากตลาดจนยอดขายเกือบเป็นศูนย์ เพราะไม่สามารถเดินทางเข้ามาซื้อคอนโดได้ ทำให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องปรับกลยุทธ์การตลาดมากขึ้น และหันมาจับกลุ่มลูกค้าภายในประเทศแทน โดยเฉพาะตลาดคอนโดในเมืองท่องเที่ยว  อย่างจังหวัดภูเก็ต ที่ในอดีตต้องยอมรับว่าตลาดอสังหาฯ พึ่งพากลุ่มลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก ได้เริ่มปรับกลยุทธ์หันมาจับฐานลูกค้าภายในประเทศแทน การันตีผลตอบแทนกระตุ้นยอดขาย จากรายงานล่าสุดของ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด  ซึ่งได้นำเสนอบทวิเคราะห์ตลาดอสังหาฯ ในส่วนของตลาดคอนโดในภูเก็ต ปี 2563 ที่ผ่านมา และแนวโน้มปี 2564 ว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ​ผู้ประกอบการยังคงชะลอการเปิดโครงการ​  และรอดูสถานการณ์การเปิดโครงการในช่วงครึ่งปีหลังอีกครั้ง และแนวโน้มของการลงทุนจะเป็นโครงการขนาดเล็ก และอาจจะเป็นการร่วมทุนกับนักลงทุนท้องถิ่นในภูเก็ต โดยคาดว่าเศรษฐกิจภูเก็ตในปี 2564 ยังคงซบเซายาวไปถึงต้นปี 2565 ซึ่งเศรษฐกิจภูเก็ตอาจจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี และการฟื้นตัวน่าจะกลับมาเพียง 50% ของนักท่องเที่ยวเท่านั้น เพราะชาวต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ทั้งหมด   โดยกลยุทธ์การตลาดของดีเวลลอปเปอร์ในช่วงที่ผ่าน มีหลายหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการลดราคา ​การนำเชนโรงแรมมาบริหารเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ซื้อ โดยให้ผลตอบแทนกับผู้ซื้อในระยะเวลา 3-5 ปี ซึ่งเป็นสิ่งจูงใจให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุนสนใจที่จะซื้อคอนโด  เพราะนอกจากจะมีรายได้จากการปล่อยเช่าแล้วยังสามารถเข้าพักได้ถึง 30-45 วัน ต่อปีอีกด้วย โดยมีอัตราผลตอบแทนตั้งแต่ 5-10% แต่มีบางโครงการที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนต้องหยุดการขายหรือหยุดการพัฒนาโครงการไปก่อน ยังมีให้เห็นหลายโครงการ ​​ วีไอพี เมอร์คิวรี่ จ่ายยีลด์ 6% บริษัท วีไอพี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เจ้าของโครงการ วีไอพี เมอร์คิวรี่ คอนโดมิเนียม เป็นหนึ่งในดีเวลลอปเปอร์ที่ได้นำเอากลยุทธ์การจ่ายผลตอบแทนจากการลงทุน มาเป็นจุดขายสำหรับโครงการในช่วงวิกฤตไวรัสโควิด-19 โดยรับประกันผลตอบแทนแก่ผู้ซื้อในอัตรา  6 % เป็นระยะเวลา 2 ปี หลังจากนั้นมีการบริหารห้องชุดแบบแบ่งกำไร 70 : 30 เป็นระยะเวลา 5 ปี  และยังจัดโปรโมชั่นส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท ภายในสิ้นเดือนเมษายน 2564 นี้   นายอมรชัย แซ่ฮวง ประธานอำนวยการบริหาร บริษัท วีไอพี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า โครงการ วีไอพี เมอร์คิวรี่ คอนโดมิเนียม เป็นหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของภูเก็ต ที่เปิดจองตั้งแต่กลางปี 2560  มีพื้นที่ทั้งหมด 66 ไร่ ใกล้หาดราไวย์  แบ่งออกเป็น 3 เฟส เฟสแรกคือโครงการ วีไอพี เมอร์คิวรี่ คอนโดมิเนียม สร้างบนพื้นที่ 10ไร่ครึ่ง เป็นคอนโดมิเนียมจำนวน 8 อาคาร  รวม 516 ห้อง เฟสที่ 2 เป็น โครงการ พูล วิลล่า จำนวน 114 หลัง  บนพื้นที่ 30 ไร่  ขายไปแล้วกว่า 30% จะเริ่มก่อสร้างภายในปีนี้  ส่วนเฟส 3 บนพื้นที่อีกกว่า 16 ไร่  ทางบริษัทวางแผนจะสร้างเป็นโครงการคอนโดมิเนียม และวิลล่า ปัจจุบันโครงการมียอดขายแล้ว 78 % คงเหลือ 123 ห้อง ในขนาดพื้นที่ 28 – 156 ตารางเมตร ในระดับราคา 2.9 -16 ล้านบาท  การก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วมากกว่า 95% โดยเฉพาะส่วนของโครงสร้างและสถาปัตยกรรมภายนอกอาคาร  คงเหลือเพียงการตกแต่งภายในและสภาพแวดล้อมรอบอาคาร  ผู้ซื้อสามารถโอนและเข้าอยู่อาศัยนับตั้งแต่กลางปีนี้   นายอมรชัย กล่าวว่า กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาว  ต่างชาติที่ต้องการซื้อห้องชุดพักอาศัยไว้สำหรับการลงทุน รวมถึงซื้อไว้เพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 สำหรับการเข้ามาพักผ่อนในจังหวัดภูเก็ต  ช่วงที่โควิด-19 ระบาดตั้งแต่ปีที่แล้วชาวต่างชาติอยากมาอยู่ที่ภูเก็ตมาก  จึงเชื่อว่าหลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลาย และมีการฉีดวัคซีนป้องกันในวงกว้างแล้ว  เมื่อข้อจำกัดในการเดินทางลดน้อยลง  นักท่องเที่ยวและนักธุรกิจจะกลับมาสู่ภูเก็ตทันที ไอพี เกรทฮิลล์ฯ จับตลาดลงทุนปล่อยเช่า โครงการ วีไอพี เกรท ฮิลล์ คอนโดมิเนียม ภายใต้การบริหารงานของบริษัท วีไอพี เจ.ดี.กรุ๊ป จำกัด เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ใช้กลยุทธ์การให้การันตีผลตอบแทน มาสร้างจุดขายให้กับลูกค้าและนักลงทุน โดยทางโครงการรับประกันรายได้จากค่าเช่า 2 ปีแรก หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน  6% ต่อปี โดยรายได้ปีแรกผู้ซื้อจะได้รับทันทีในวันโอนห้องชุด หลังจากนั้นปีที่ 3-7 ปี ทางโครงการจะบริหารจัดการห้องชุด เจ้าของห้องชุดมีรายได้อยู่ที่ 50,000 - 90,000 บาทต่อปี  ขึ้นอยู่กับขนาดและราคาห้องชุด   โดยโครงการ วีไอพี เกรท ฮิลล์ คอนโดมิเนียม มีทั้งสิ้น 215 ยูนิต มีขนาดตั้งแต่ 20.5 - 32.8 ตารางเมตร ระดับราคา 1.2 – 2.2 ล้านบาท  เริ่มเปิดตัวในช่วงต้นปี 2563 ก่อนเกิดโควิด-19 ที่ผ่านมามียอดขายแล้ว 128 ยูนิต คงเหลือเพียง 87 ยูนิต โดยกลุ่มผู้ซื้อเกือบทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่การท่าอากาศยาน ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจภูธร  ปัจจุบันการก่อสร้างมีความคืบหน้ากว่า 65%  คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2564 และพร้อมโอนภายในเดือนกันยายน 2564 นี้   นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช ประธานกรรมการบริหารบริษัท วีไอพี เจ.ดี.กรุ๊ป จำกัด  เปิดเผยว่า พื้นที่ตอนเหนือของภูเก็ตบริเวณใกล้สนามบิน มีผู้ที่ต้องการที่พักอาศัยมากกว่า 20,000 คน แต่พื้นที่ดังกล่าวส่วนใหญ่ถูกพัฒนาขึ้นในรูปแบบบ้านเดี่ยว  ซึ่งมีราคาสูงเกินกำลังซื้อของคนทำงานส่วนใหญ่  จึงทำให้คนส่วนใหญ่ต้องเช่าอพาร์ทเมนท์หรือห้องเช่าแทน  โดยมีอัตราค่าเช่าเฉลี่ย 8,000  - 10,000 บาทต่อเดือน ทางบริษัทจึงเห็นเป็นโอกาสในการพัฒนาคอนโดในราคาที่คนทั่วไปจับต้องได้ออกมารองรับ โครงการนี้ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับการลงทุนในอสังหาฯ ที่สามารถเก็บเป็นสินทรัพย์ สร้างรายได้ให้กับตัวเองและครอบครัว ด้วยการปล่อยเช่าให้ผู้ที่ยังไม่พร้อมที่จะมีบ้านของตัวเอง หรือให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต นายธนูศักดิ์ กล่าวอีกว่า จังหวัดภูเก็ตเคยมีนักท่องเที่ยวมากถึง 14 ล้านคน ซึ่งหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สิ้นสุด  น่าจะมีนักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวภูเก็ตเหมือนเดิม ภายในปี 2565  ขณะที่ทางรัฐบาลมีแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้วในเดือนกรกฎาคม 2564 จนถึงปลายปี 64 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า50% ทำให้การลงทุนอสังหาฯ ในจังหวัดภูเก็ตยังน่าสนใจ    
เจ.ดี.พูลส์  ชู 3 กลยุทธ์สู้โควิด-19  ปั้นรายได้ 1,000 ล้าน

เจ.ดี.พูลส์ ชู 3 กลยุทธ์สู้โควิด-19 ปั้นรายได้ 1,000 ล้าน

เจ.ดี.พูลส์ ชู 3 กลยุทธ์สร้างการเติบโตธุรกิจสระว่ายน้ำ ออกสินค้าราคาจับต้องได้ การขยายตลาดงานราชการ และเพิ่มสาขาแฟรนไชส์  หวังสถานการณ์โควิด-19 ฟื้นตัวดีขึ้น สร้างรายได้ทะลุ 1,000 ล้าน   นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.ดี.พูลส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสระว่ายน้ำแบรนด์ เจ.ดี.พูลส์ (J.D.Pools) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ว่า ได้ตั้งเป้าหมายการสร้างรายได้ 1,000 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมามีรายได้ 950 ล้านบาท  แม้ว่าในปีนี้ยังมีสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังกระทบกับภาวการณ์ท่องเที่ยว เพราะธุรกิจสระน้ำมีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่จากแนวทางการทำตลาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้​   สำหรับกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตปีนี้ บริษัทวางแนวทางการทำตลาดไว้ใน 3 เรื่อง คือ 1.การขยายตลาดสระว่ายน้ำในบ้านทั่วไป เป็นสระว่ายน้ำราคาจับต้องได้ 2.การขยายตลาดไปยังกลุ่มงานราชการ และ 3.การขยายสาขาแฟรนไชน์ โดยปีนี้เปิดตัวสินค้าใหม่เพื่อขยายตลาด ซึ่งเป็นสินค้าราคาที่จับต้องได้ ซึ่งเน้นการทำตลาดกับกลุ่มบ้านที่อยู่อาศัยทั่วไป และกลุ่มผู้สนใจรักสุขภาพ ในการใช้สระน้ำเพื่อช่วยออกกำลังกายและการบำบัดโรค โดยได้เปิดตัวสระว่ายน้ำระดับราคาประมาณ 300,000 บาท ขนาดความยาว 5 เมตร ที่สามารถติดตั้งได้ในบ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือทาวน์โฮม บริษัทพยายามทำราคาสระว่ายน้ำให้จับต้องได้ ซึ่งตลาดที่กำลังมาแรง คือ ตลาดสุขภาพ ที่สระว่ายน้ำช่วยด้านการรักษาโรคและช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เช่น การเดินในสระน้ำเพื่อรักษาข้อเข่า เป็นต้น   ส่วนแนวทางการขยายตลาดกลุ่มงานราชการ บริษัทได้นำเสนองานผ่านองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการกีฬา เช่น กรมพลศึกษา เพื่อนำเสนอสินค้าที่ตรงความต้องการของหน่วยงานดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันหน่วยงานราชการมีนโยบายด้านการส่งเสริมให้ประชาชนออกกำลังกายมากขึ้น โดยเฉพาะตามแหล่งชุมชนที่ต้องการให้มีสระวายน้ำเพื่อการออกกำลังกายมากขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากงานราชการเพียง 50 ล้านบาท เนื่องจากเพิ่งเริ่มต้นเข้าทำตลาด แต่คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง นายธนูศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการขยายสาขาแฟรนไชน บริษัทต้องการขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ  แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อม และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งเมื่อมีโอกาสจะขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่เบื้องต้นวางเป้าหมายเพิ่มบริษัทมีแผนเพิ่มศูนย์บริการและจัดจำหน่ายเพิ่มอย่างน้อย 10 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 22 แห่งใน 20 จังหวัด ภายในระยะเวลา 3 ปีนี้ ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นสาขาที่บริษัทลงทุนเอง 8 แห่ง   นอกจาก การทำตลาดในประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนจำหน่ายและพันธมิตรในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา โดยในเมียนมาสามารถทำยอดขายได้มากที่สุดกว่า 20 ล้านบาท จากยอดขายโดยรวมของกลุ่มตลาดต่างประเทศกว่า 100 ล้านบาท แต่ปีที่ผ่านมายอดขายตลาดต่างประเทศได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้มียอดขายลดลงไปประมาณ 20%  
เซ็นทรัลพัฒนา ลงทุน 13,900 ล้าน ปั้นแลนด์มาร์ก 3 บิ๊กมิกซ์ยูส

เซ็นทรัลพัฒนา ลงทุน 13,900 ล้าน ปั้นแลนด์มาร์ก 3 บิ๊กมิกซ์ยูส

เซ็นทรัลพัฒนา เตรียมเปิดให้บริการ 3 โปรเจ็กต์มิกซ์ยูส ขนาดใหญ่ รวมมูลค่ากว่า 13,900 ล้าน ใน 3 เมืองศักยภาพ ทั้งอยุธยา ศรีราชา และจันทรบุรี มั่นใจเศรษฐกิจแข็งแกร่ง และกำลังซื้อเติบโต ชู 3 กลยุทธ์จับตลาดสร้างรายได้ ขณะที่ภาพรวมปี 2563 ยังทำรายได้เติบโตกว่า 32,062 ล้านบาท และกำไร 9,557 ล้านบาท   นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ยังคงเดินหน้าตามแผนธุรกิจในการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส 3 แห่ง รวมมูลค่าโครงการกว่า 13,900 ล้านบาท ได้แก่ โครงการเซ็นทรัล อยุธยา มูลค่า 6,200 ล้านบาท เซ็นทรัล ศรีราชา มูลค่า 4,200 ล้านบาท และเซ็นทรัล จันทบุรี มูลค่า 3,500 ล้านบาท แม้ว่าในปีที่ผ่านมาจะมีความท้าทายจากวิกฤตโควิด-19 และปีนี้ แต่จากการมองบวกและเชื่อมั่นในวิกฤตยังมีโอกาสในการลงทุน จึงยังคงเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ เพื่อเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งเสริมและยกระดับศักยภาพจังหวัด พร้อมดึงความโดดเด่นของอัตลักษณ์ท้องถิ่น และกระจายความเจริญและรายได้ในแต่ละแห่ง ​ 3 กลยุทธ์สร้างความสำเร็จ แนวทางสำหรับสร้างความสำเร็จของการพัฒนาโครงการทั้ง 3 แห่ง ได้วาง 3 กลยุทธ์แห่งความสำเร็จ คือ 1. บุกเบิกเมืองด้วยโมเดล Fully-Integrated Mixed-Use Developments ที่แข็งแกร่ง 2.Customer-Centric Design Thinking and Marketing และ 3.Tenant-Centric Business Partnership กล่าวคือ กลยุทธ์ที่ 1: บุกเบิกเมืองด้วยโมเดล Fully-Integrated Mixed-Use Developments ด้วยจุดแข็งและ Success Formula ของบริษัทฯ ที่มีมายาวนาน โดยทุกโครงการสร้าง Big Impacts ให้กับทุกจังหวัดที่ไปตั้งอยู่ ประกอบกับความเชี่ยวชาญในการพัฒนาทุกองค์ประกอบให้เป็นส่วนประกอบที่ดีที่สุดและที่เชื่อมโยงเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน อีกทั้งคอนโดมิเนียมของเราเน้นจุดแข็งที่อยู่ติดศูนย์การค้าทำให้หลายโครงการสามารถ sold out ได้อย่างรวดเร็ว อาทิ ระยอง อาคารแรก, เชียงใหม่ อาคาร 1-2, โคราช อาคารแรก  โดยปัจจุบันธุรกิจที่พักอาศัยของเซ็นทรัลพัฒนามีกว่า 18 โครงการใน 10 จังหวัด นอกจากนี้ มีโรงแรมแบรนด์ใหม่ที่จะเกื้อหนุนโครงการ ทำให้มี Business & Traffic Ecosystem ที่ดีอย่างแน่นอน กลยุทธ์ที่ 2: Customer-Centric Design Thinking and Marketing แนวคิดการพัฒนาโปรเจ็กต์ที่ รังสรรค์โครงการในทุกองค์ประกอบเพื่อทุกไลฟ์สไตล์แห่งอนาคต และชูวิถีอัตลักษณ์ของเมือง ทุกโครงการมีความพร้อม และเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดของจังหวัด ในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ -การออกแบบก่อสร้างที่ทันสมัย ผนวกวิถีแห่งเมือง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม -การร่วมมือกับพันธมิตรที่พร้อมเดินหน้าลงทุนเติบโตไปด้วยกัน และสร้างสรรค์สินค้าและบริการใหม่ๆ ที่ customize ตามจังหวัดต่างๆ -แผนการตลาดที่เจาะกลุ่มพร้อมรับ Digital Disruption, การสร้าง community, และแผนดันกำลังซื้อสนับสนุนร้านค้าตลอดทั้งปี ย้ำ "กำลังซื้อชัด-ไลฟ์สไตล์ดี-สร้างเสน่ห์ท่องเที่ยว" กลยุทธ์ที่ 3: Tenant-Centric Business Partnership เซ็นทรัลพัฒนามองการลงทุนกับคู่ค้าในระยะยาว ซึ่งการที่ธุรกิจต่าง ๆ จะเข้าไปขยายการลงทุนไปกับเรา จะสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ที่ธุรกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว เราต้องก้าวไปสู่ next success ด้วยกัน โดยทุกศูนย์การค้าของเซ็นทรัลพัฒนา เน้นที่กลยุทธ์ในระยะยาวในการเป็น Center of Life, Center of Community ในทุกที่ที่ไป ด้วยการสร้างศูนย์การค้าที่ตรงใจคนในแต่ละโลเคชั่น เป็น The best in city and the most preferred choice ของ  แต่ละจังหวัด พร้อมช่วยยกระดับจังหวัด ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนในทุกที่ ทำให้ถึงแม้จะมีปัจจัยระยะสั้น ก็ยังคงมีทราฟฟิกกลับมาดีต่อเนื่อง   นอกจากนี้ การนำเอา Digital Tools ต่างๆ มาเป็นเครื่องมือให้พันธมิตรร้านค้าเข้าใจ Customer Insight และทำ Targeted Marketing ได้มากขึ้น จากฐานข้อมูลของธุรกิจต่างๆ ในเครือเซ็นทรัลที่ทำธุรกิจในตลาดต่างจังหวัดทั่วประเทศมาอย่างยาวนาน และมีการพาร์ทเนอร์กับ The 1 พัฒนาโปรเจ็ค The 1 Biz เพื่อช่วยให้ร้านค้าขายได้ดีขึ้น และช่วยให้แต่ละแบรนด์สามารถทำ CRM ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น และในช่วงสถานการณ์นี้ เราคำนึงถึง Tenant Growth, Tenant Sales, Tenant Success เป็นสำคัญ จึงได้ออก Flexible Leasing Programme เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการช่วยเหลือร้านค้าผู้เช่า อาทิ -การช่วยลดภาระ ผ่อนคลายความกังวลเรื่องผลประกอบการในช่วงเปิดร้านใหม่ หรือในช่วงปีแรก -การช่วยเหลือให้เข้าถึง Soft Loans กับพันธมิตรธนาคารต่าง ๆ -ช่วย Business Matching กับ Local Investors -On-going Tenant Support ตลอดทั้งปี เช่น The 1 Biz ซึ่งจะเป็น Effective CRM เพิ่มยอดขายให้กับผู้เช่า -มี Central Pattana Serve Application พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างครบวงจร เหตุผลที่เซ็นทรัลพัฒนา บุกตลาด 3 เมือง โครงการ เซ็นทรัล อยุธยา เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ประกอบไปด้วย ศูนย์การค้า, Tourist Attraction, โรงแรม, ที่พักอาศัย, และคอนเวนชั่นฮอลล์ บนที่ดิน 47 ไร่ โดยมีพื้นที่ GFA 68,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 6,200 ล้านบาท เปิดให้บริการเดือน 27 ต.ค. 64 ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เข้ามาพัฒนาโครงการในอยุธยา เป็นเพราะ 1.มีกลุ่มคนอยุธยารุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง (Young Affluent & Urban Vibes) -จากฐานข้อมูล The 1 ของกลุ่มเซ็นทรัล พบว่า มีคนจำนวนกว่า 180,000 คน เดินทางเข้ามาซื้อสินค้าในกรุงเทพฯ เฉลี่ย 6 ครั้งต่อเดือน   -มีประชากรกลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวนมากเกือบ 2,500,000 คน ทั้งในจังหวัดอยุธยา และจังหวัดรอบข้าง ได้แก่ จังหวัดอ่างทอง, สิงห์บุรี, ชัยนาท และสุพรรณบุรี นอกจากนี้ ยังมีประชากรแฝงจากนิคมอุตสาหกรรมชั้นนำ 5 แห่งกว่า 166,000 คน ซึ่งเป็นบริษัทกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และ Hi-tech โดยมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำกว่า 56 โครงการกว่า 5,700 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 1.5-3 ล้านบาท   2.เมืองท่องเที่ยว ที่สามารถเดินทางได้แบบ Short-Trip Destination โดยอยุธยามีนักท่องเที่ยวเดินทางมากกว่า 8 ล้านคนในปี 2562 โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 6.2 ล้านคน และต่างชาติ 2.1 ล้านคน ขณะเดียวกันยังมีผู้ที่ Commuters ที่เดินทางผ่านหน้าโครงการ ซึ่งอยู่ติดถนนสายหลักถึง 100,000 คันต่อวัน  ซึ่งตลาดการท่องเที่ยวอยุธยาสามารถเติบโตได้อีกมาก โดยเรามีแผนทำ International marketing กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก   3.นักท่องเที่ยวและ Commuter มหาศาล: จับกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน -นอกจากในช่วง Weekday และ Weekend จับกลุ่มคนอยุธยา 85% ที่มีกำลังซื้อแล้ว สำหรับ Weekend ยังเน้นจับกลุ่มสำคัญคือ กลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ อีก 15% โดยอยุธยามีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมเยือนมากกว่า 8 ล้านคนในปี 2019 โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 6.2 ล้านคน และต่างชาติ 2.1 ล้านคน  ซึ่งตลาดการท่องเที่ยวอยุธยาสามารถเติบโตได้อีกมาก โครงการเซ็นทรัล ศรีราชา เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ประกอบไปด้วย ศูนย์การค้า, คอนเวนชั่นฮอลล์, เซอร์วิส อพาร์ทเมนต์, ออฟฟิศ และโรงแรม บนที่ดิน 27 ไร่ โดยมีพื้นที่ GFA 71,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 4,200 ล้านบาท เปิดให้บริการ เดือน 25 ก.ย. 64 ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เข้ามาพัฒนาโครงการในศรีราชา เป็นเพราะ 1.ศรีราชาเป็นเมืองดาวรุ่งอุตสาหกรรม และมี GDP เป็นอันดับ 2 ของประเทศ ศรีราชาจะมีการพัฒนาให้เป็น ​Innovation Hub โดยมีตัวเลขประมาณการจากการที่เป็นเมือง New S-Curve จะมี ตัวเลขเงินลงทุนใน EEC สะพัดกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ในช่วงปี  2560-2565   เพื่อดึงดูด Start-Up และ Digital Nomad เข้ามาในพื้นที่ 2.กลุ่มเป้าหมายหลากหลายและมีกำลังซื้อสูง -ศรีราชา มีประชากรกว่า 580,000 คน โครงการที่อยู่อาศัยเติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี ปัจจุบันมีดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ เข้าไปพัฒนาที่อยู่อาศัยกว่า 61,000 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 1.5-6 ล้านบาท ทำให้มีกำลัง​ซื้อหนาแน่น และยังมีการพัฒนาโครงการโรงแรม โรงเรียน โรงพยาบาลชั้นนำ และนิคมอุตสาหกรรม 11 แห่ง -นอกจากคนไทยที่อาศัยอยู่ในศรีราชาแล้ว  ยังมีชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ปัจจุบันมีชุมชน Japanese Expat ที่เข้มแข็ง โดยมีชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติอื่น ๆ อาศัยอยู่ประมาณ 40,000 คน อีกทั้ง กลุ่มคนญี่ปุ่นในทำงานที่ศรีราชาเป็นระดับ Top management เงินเดือนสูงเฉลี่ยประมาณ 100,000-200,000 บาทต่อเดือน   โครงการเซ็นทรัล จันทบุรี เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ประกอบไปด้วย ศูนย์การค้า, Local market, ที่พักอาศัย, และโรงแรม รวมถึง Social Park บนที่ดิน 46 ไร่ โดยมีพื้นที่ GFA 42,600 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท เปิดให้บริการไตรมาสที่2/2565 ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เข้ามาพัฒนาโครงการในจันทบุรีเป็นเพราะ   1.เชื่อมโยงเศรษฐกิจต่อจากพื้นที่ EEC จันทบุรี ถือเป็น The Hidden Gem of EEC Plus 2 สร้างเศรษฐกิจและวิถีท้องถิ่นแข็งแกร่งระดับประเทศ และเป็นตลาด​ Blue Ocean เพราะยังไม่การพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูส  และจันทรบุรี เป้นเมืองกำลังเติบโต มีสถานศึกษาถึง 45 แห่ง โรงแรม 29 แห่ง และที่พักอาศัย 24 แห่ง   จันทบุรียังเป็นมหานครผลไม้เมืองร้อนระดับโลก มี GPP (Gross Provincial Product) อันดับ 1 ของประเทศด้านเกษตรกรรม   2.กำลังซื้อชัด ไลฟ์สไตล์ดี -มีประชากรกลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวนมากกว่า 1,800,000 คน ทั้งในจังหวัดจันทบุรี รวมถึงจังหวัดใกล้เคียง ทั้งจังหวัดตราด, ปราจีนบุรี และสระแก้ว รวมถึงยังมีกลุ่มผู้มีฐานะจากประเทศเพื่อนบ้าน เดินทางเข้ามาใช้จ่ายในจันทบุรีด้วย   3.การท่องเที่ยวเติบโตด้วย EEC Plus 2 และความมีเสน่ห์ของเมือง -จันทบุรี เป็นแหล่งท่องเที่ยวด้านสวนผลไม้ใหญ่ที่สุดในประเทศ -เป็นศูนย์กลางการค้าพลอยและอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมช่างฝีมือไทยที่ทั่วโลกต้องส่งมาเจียระไนที่นี่ -เมืองท่องเที่ยวที่เป็น Rising star มี Local Tourism ที่แข็งแกร่งและเติบโตต่อเนื่อง โดยมีจุดเด่นทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม ชุมชนเก่า รวมถึงการเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในประวัติศาสตร์ ทำให้มีคาเฟ่ และร้านอาหารสุดชิคมากมายจำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2557-2561) ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติกว่า 2.47 ล้านคนต่อปี (ปี 2563)   ปี 63 ยังทำรายได้กว่า 32,062 ล้าน สำหรับภาพรวมธุรกิจของเซ็นทรัลพัฒนา ของปี 2563 ยังเติบโตมีรายได้รวม 32,062 ล้านบาท และกำไร 9,557 ล้านบาท สะท้อนความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการต้นทุน การปรับแผนการลงทุน รวมถึงการดูแลช่วยเหลือ Stakeholders ทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง  ปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนา บริหารจัดการศูนย์การค้า 34 แห่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 1.8 ล้านตารางเมตร  (อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ, ต่างจังหวัด 18 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ) ศูนย์อาหาร 30 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม 2 แห่ง   นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่พักอาศัยอีก 18 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT  VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL PAHOL 34 และ BELLE GRAND RAMA 9 และโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN พิษณุโลก (ทาวน์โฮม) นินญา กัลปพฤกษ์ (บ้านแฝด) โครงการนิยาม บรมราชชนนี (บ้านเดี่ยวระดับลักชูรี่) และโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว ได้แก่ นีรติ เชียงราย และนีรติ บางนา อีกทั้งยังมีโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่อีกมากมาย อาทิ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ร่วมทุนกับดุสิตธานี และโครงการ GLAND ที่เซ็นทรัลพัฒนาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกด้วย      
สามย่านมิตรทาวน์ เพิ่ม 11 ร้านอาหารเกาหลี-จัดอีเวนต์ทั้งปี  ดึงผู้ใช้บริการทะลุ 80,000คน

สามย่านมิตรทาวน์ เพิ่ม 11 ร้านอาหารเกาหลี-จัดอีเวนต์ทั้งปี ดึงผู้ใช้บริการทะลุ 80,000คน

สามย่านมิตรทาวน์ เดินหน้าตอกย้ำ สู่การเป็น “คลังอาหารและการเรียนรู้” ชูกลยุทธ์ “Inspiring Everyday Experiences” ดึงลูกค้าเข้าใช้บริการวันละ 80,000 คน เพิ่มร้านอาหารเกาหลีใหม่ 11 ร้าน เติมพอร์ต​ ขยับสัดส่วนเป็น 50% ของพื้นที่ทั้งโครงการ    นางธีรนันท์ กรศรีทิพา รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอเชียล (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ว่า จะใช้กลยุทธ์ Inspiring Everyday Experiences ด้วยการใช้พื้นที่รีเทล เพื่อสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการได้ทุกวัน และทำให้มีทราฟิคผู้เข้าใช้บริการในปีนี้เฉลี่ย 80,000 คนต่อวัน จากช่วงต้นปีถึงปัจจุบันมีผู้เข้ามาใช้บริการกว่า 53,000 คน หรือเทียบเท่า 84% กับช่วงก่อนไวรัสโควิด-19  ขณะที่ปีที่ผ่านมามีผู้ใช้บริการเฉลี่ย 63,000 คนต่อวัน    โดยเป้าหมายดังกล่าวเป็นการคาดการณ์ภายใต้สถานการณ์ปกติที่ไม่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับมีการจัดกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะซิกเนอเจอร์อีเวนต์ที่เป็นกิจกรรมที่สามย่านมิตรทาวน์จัดขึ้นมาโดยเฉพาะปีละ 4 ครั้ง  ขณะที่ยอดร้านค้าเช่าพื้นที่แล้วกว่า 97%    ตั้งแต่เริ่มเปิดสามย่านมิตรทาวน์  โครงการได้สร้างความสำเร็จผ่านการดำเนินงานที่อาศัยความเข้าใจในกลุ่มลูกค้า ร้านค้า และพนักงาน จนทำให้สามย่านมิตรทาวน์ ผ่านพ้นสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้ง 2 ระลอก สำหรับกลยุทธ์ “Inspiring Everyday Experiences”  จะมีวิธีการดำเนินงาน 3 ประการ ดังนี้ 1.เพิ่มร้านอาหารใหม่ 11 ร้าน ด้วยคอนเซ็ปต์ของสามย่านมิตรทาวน์ ที่วางตำแหน่งการเป็น คลังอาหารและการเรียนรู้ ในปีนี้จึงได้เพิ่มสัดส่วนร้านอาหารขึ้นเป็น 50% จากก่อนหน้าที่มีสัดส่วน 43% ของพื้นที่โครงการ  โดยมีร้านอาหารใหม่ที่เพิ่มเข้ามา 11 ร้าน ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่  -กลุ่มร้านอาหารเกาหลี “K-strEAT” พื้นที่รวมร้านอาหารเกาหลีไว้ทุกเมนูในพื้นที่เดียวกัน  -ร้านดังจากโซเชียล การนำร้านดังทั่วกรุงเทพฯ ที่เกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา มานำเสนอใหม่ในซิกเนเจอร์ของสามย่านมิตรทาวน์ -ร้านอิ่มสบายกระเป๋า ราคาเริ่มต้นเพียง 40 บาท   2.พื้นที่การแห่งเรียนรู้ สามย่านมิตรทาวน์ มีพื้นที่แห่งการเรียนรู้ และสร้างแรงบันดาลใจ ที่ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย อาทิ โซนสามย่านโคออป (Samyan CO-OP) โคเลิร์นนิ่งสเปซที่เปิดให้บริการฟรี  และร้านมีเดียม แอนด์ มอร์ (Medium & More) ศูนย์รวมสินค้าอาร์ต แอนด์ คราฟ คอนเซ็ปต์ใหม่ ที่มีสินค้าครบสำหรับผู้สนใจด้านศิลปะ  และมีการจัดอีเว้นต์ อาทิ การเพิ่มกิจกรรมสอนวิธีการใช้งาน ฝึกปฏิบัติ รวมถึงเวิร์คช็อปเข้ากับอีเว้นต์ต่าง ๆ     3.การจัดกิจกรรมให้เกิดปฏิสัมพันธ์กับชุมชน  โดยให้บริการพื้นที่ ด้วยคอนเซ็ปต์ Placemaking เพื่อเปิดพื้นที่ส่วนกลางให้ลูกค้า และผู้มาใช้บริการได้ใช้ประโยชน์ในการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ โดยให้บริการในรูปแบบพื้นที่สาธารณะ (Public Space) ที่ใครก็สามารถเข้าไปได้ มีบรรยากาศที่ผ่อนคลาย สามารถทำกิจกรรมที่อยากทำ นอกจากการช้อปปิ้ง ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่ต้องการตอบแทนคืนสังคมในรูปแบบหนึ่งที่โครงการตั้งใจ อาทิ การร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำจัดกิจกรรมที่เกิดประโยชน์กับสังคม การยกพื้นที่ให้นิสิตนักศึกษาได้แสดงฝีมือจัดแสดงธีสิส เป็นต้น   ปัจจุบันโครงการสามย่านมิตรทาวน์มีสัดส่วนของร้านค้า ภายใต้คอนเซ็ปต์การเป็น คลังอาหารและการเรียนรู้ ดังนี้ 1.The Eating Library (50%) พื้นที่สร้างประสบการณ์ทั้งศาสตร์ และศิลป์ในการรับประทานอาหาร นอกเหนือจากการรับประทานธรรมดาทั่วไป โดยคัดสรรอาหารที่หลากหลายตามความต้องการ 2.The Learning Library (25%) พื้นที่สำหรับเปิดกว้างสำหรับการเรียนรู้ และการเรียนเสริมทักษะที่จะเติมเต็มจินตนาการสานให้ครบทุกด้านของชีวิต 3.The Living Library (25%) พื้นที่รวบรวมสิ่งจำเป็นต่อไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนเมือง ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์สามย่านมิตรทาวน์ยังคง กิจกรรม Endless Summer “หน้าร้อนสุดฟิน เช็คอินความสุข สนุกทุกองศา” เป็นกิจกรรมแรกของปี ท่ามกลางบรรยากาศการตกแต่งศูนย์ฯ ครั้งแรกที่ดึงซิกเนเจอร์ไฮไลท์ของศูนย์ฯ คือ อุโมงค์เชื่อมมิตรหรืออุโมงค์อวกาศที่หลายคนคุ้นเคย ให้กลายเป็นโลกใต้ท้องทะเลสุดอลังการเติมเต็มมิตรสายทำคอนเทนต์ทั้งถ่ายภาพ และวิดีโอคลิปที่ให้ความรู้สึกเสมือนเดินอยู่ในอควาเรี่ยมขนาดใหญ่       
เอพี ชู 2 กลยุทธ์ ปั้นแบรนด์ “อภิทาวน์” กวาดยอด​ 900 ล้านบาท

เอพี ชู 2 กลยุทธ์ ปั้นแบรนด์ “อภิทาวน์” กวาดยอด​ 900 ล้านบาท

เอพี เผยความสำเร็จ 2 กลยุทธ์ เจาะตลาดต่างจังหวัดหัวเมืองสำคัญ และการสร้างความแตกต่างในสินค้า ปั้นแบรนด์ “อภิทาวน์” โปรเจ็กต์มิกซ์โปรดักส์ สร้างยอดขายได้กว่า 900 ล้าน   เปิด 5 โปรเจ็กต์ มูลค่ากว่า 4,730 ล้าน   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากแผนดำเนินธุรกิจขยายสินค้าแนวราบของเครือเอพี สู่ตลาดจังหวัดหัวเมืองใหญ่ ภายใต้แบรนด์ “อภิทาวน์” ที่เน้นเจาะลูกค้าเรียลดีมานด์ครอบครัวรุ่นใหม่ อายุระหว่าง 30-45 ปี  ซึ่งมองหาบ้านหลังใหม่​ ซึ่งได้พัฒนาโครงการในจังหวัดขอนแก่น ระยอง และนครศรีธรรมราช   ล่าสุด ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้เปิดโครงการต่อเนื่อง ในอีก 2 จังหวัดใหม่ ได้แก่ โครงการอภิทาวน์ อยุธยา ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ (ถนนอโยธยา) เพียง 900 เมตร ถึงเซ็นทรัล อยุธยา ใกล้ศูนย์ราชการและนิคมโรจนะ และโครงการอภิทาวน์ เชียงราย ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ (ถนนเชียงราย-เชียงของ) ติดโฮมโปรแม่กรณ์ เพียง 15 นาทีถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง ซึ่งยอดขายล่าสุดของโครงการอภิทาวน์ สามารถทำยอดขายรวมได้กว่า 900 ล้านบาท สำหรับโครงการอภิทาวน์ อยุธยา  มีจำนวน 441 ยูนิต บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ราคาเริ่ม 1.99 - 4.39 ล้านบาท  ส่วนโครการอภิทาวน์ เชียงราย  มีจำนวน 155 ยูนิต บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ 4 ห้องนอน  4 ห้องน้ำ ราคาเริ่ม 4.49 - 10 ล้านบาท โดยสามารถปิดการขายไปได้กว่า300 ล้านบาท ในช่วงพรีเซล​ ชู 2 กลยุทธ์ “อภิทาวน์” สร้างยอดขายเกินคาด โดยความสำเร็จดังกล่าว เกิดจาก 2 กลยุทธ์สำคัญที่ เอพี นำมาใช้กับโครงการภายใต้แบรนด์อภิทาวน์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1 การเจาะหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพน่าสนใจ โดยเมืองต่างจังหวัดที่มีศักยภาพของ เอพี จะครอบคลุม 4 มิติหลักสำคัญ ได้แก่ 1.ความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเมกะโปรเจคจากภาครัฐ 2.แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบหลายมิติ 3.ความเป็นเมืองที่ส่งเสริมการเติบโตของดีมานด์ตลาดสินค้าที่อยู่อาศัย แ 4.เมืองเซนเตอร์ทางการศึกษาหรือการแพทย์ของภูมิภาค กลยุทธ์ที่​ 2 การพัฒนาสินค้าเพื่อเป็นสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากขึ้น โดยโครงการภายใต้ แบรนด์อภิทาวน์ มีจุดแตกต่างสำคัญจากสินค้าเดิมในตลาด ทั้งการดีไซน์บ้านพร้อมผสานเทคโนโลยีการใช้ชีวิตที่ทันสมัย การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยรูปแบบใหม่ที่มากกว่าใช้งานได้จริง พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกตอบไลฟ์สไตล์เมือง ภายใต้การบริหารจัดการทั้งก่อนและหลังโดยทีมงานคุณภาพมาตรฐานเอพี ตลอดจนการเลือกทำเลที่ตั้งและแพ็คเกจการขายที่สอดรับกับสิ่งที่ลูกค้ามองหาในแต่ละจังหวัด ในรูปแบบโครงการมิกซ์ โปรดักซ์ ทั้งบ้านเดี่ยว 1 ชั้น บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บ้านแฝด 2 ชั้น ทาวน์โฮม 1 ชั้น และทาวน์โฮม 2 ชั้น ที่จะเข้ามาสร้างความแตกต่างส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เหนือกว่าโครงการทั่วไป และที่สำคัญคือการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีตอบเป้าหมายที่ลูกค้ามองหา เชื่อว่าทั้ง 2 กลยุทธ์ที่เราจะนำมาใช้ จะสะท้อนไปยังสินค้าและบริการที่พร้อมเอ็มพาวเวอร์ทุกมิติของชีวิต และทำให้ ‘อภิทาวน์’ พอร์ตสินค้าใหม่เครือเอพี สามารถรักษาการเติบโตและเป็นตัวเลือกแรกที่ดีที่สุดในทุกตลาดหัวเมืองใหญ่ที่เราทำการพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง เปิดรวม 5 โปรเจ็กต์ กว่า 4,730 ล้าน สรุปการเปิดตัวโครงการ “อภิทาวน์” รวมทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,730 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.“อภิทาวน์ ขอนแก่น” มูลค่าโครงการ 980 ล้านบาท ที่ดินขนาด 45 ไร่ จำนวน 279 หลัง เฟสใหม่ติดสวนขนาดใหญ่ – เปิดจองบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดที่ดินตั้งแต่ 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 154 – 225 ตารางเมตร 4 ห้องนอน  4 ห้องน้ำ 2 ส่วนพักผ่อน ครัว และ 2 ที่จอดรถ ใกล้สนามบินนานาชาติขอนแก่นและศูนย์กลางเมือง ราคาเริ่มต้น 4.29 - 8 ล้านบาท 2.“อภิทาวน์ ระยอง” มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท ที่ดินขนาด 45 ไร่ จำนวน 286 หลัง ในรูปแบบมิกซ์ โปรดักส์ (บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บ้านเดี่ยว 1 ชั้น และทาวน์โฮม 1-2 ชั้น) ตั้งอยู่บนถนนสุชาดา 4 เชื่อมต่อถนนสุขุมวิทเพียง 15 นาทีถึงนิคมมาบตาพุด เฟสใหม่เปิดจอง บ้านเดี่ยว 6 สไตล์โมเดิร์นดีไซน์แห่งอนาคต ฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดที่ดินเริ่ม 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 154 – 190 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ส่วนพักผ่อน ครัว และ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 2.99 – 6 ล้านบาท 3.“อภิทาวน์ นครศรีธรรมราช” มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท ที่ดินขนาด 34 ไร่ จำนวน 215 หลัง ในรูปแบบมิกซ์ โปรดักส์ (บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บ้านแฝด 2 ชั้น และ ทาวน์โฮม 2 ชั้น) ติดถนนใหญ่  ถนนอ้อมค่ายวชิราวุธ ใกล้สนามบินฯ โดยในเฟสสองพร้อมเปิดจองบ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่ ขนาดที่ดินเริ่ม 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 225 ตารางเมตร บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 4 ห้องนอนใหญ่ 4 ห้องน้ำ 2 ส่วนพักผ่อน ครัว  และ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่ม 4.2-6 ล้านบาท 4.“อภิทาวน์ อยุธยา” มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ที่ดินขนาด 66 ไร่ จำนวน 441 หลัง ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ (ถนนอโยธยา) เพียง 900 เมตรถึงเซ็นทรัล อยุธยา ใกล้ศูนย์ราชการและนิคมโรจนะ เพียง 10 นาที เฟสสองเปิดจองบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม โซนใกล้สวนขนาด 2 ไร่ ราคาเริ่ม 1.99 – 4.39 ล้านบาท 5.“อภิทาวน์ เชียงราย” มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท ที่ดินขนาด 43 ไร่ จำนวน 155 หลัง ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ (ถนนเชียงราย-เชียงของ) ติดโฮมโปรแม่กรณ์ เพียง 15 นาทีถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง เปิดจองโซนใกล้สวนและคลับเอ้าส์ บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ราคาเริ่ม 4.49 – 10 ล้านบาท  
ORIGIN NEXT LEVEL การเดินหน้าสู่ Top5 ผู้นำในทุกธุรกิจ

ORIGIN NEXT LEVEL การเดินหน้าสู่ Top5 ผู้นำในทุกธุรกิจ

เพียงระยะเวลา 10 กว่าปี บริษัทเล็ก ๆ อย่างบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเริ่มต้นธุรกิจด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 10 ล้านบาท ในปี 2552 ก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ ติดอันดับ Top 10 ด้วยขนาดสินทรัพย์เมื่อสิ้นปี 2563 ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 33,693 ล้านบาท   มีมูลค่าโครงการที่พัฒนาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 125,278 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่มีการเติบโตเร็วมาก เมื่อเทียบกับบรรดารุ่นพี่ในวงการ ซึ่งหลายแห่ง มีอายุการดำเนินธุรกิจที่มากกว่า 10 ปี แต่ยังไม่สามารถสร้างขนาดองค์กร และพัฒนาโครงการได้มากเท่ากับออริจิ้นแห่งนี้   ความสำเร็จของ ออริจิ้น เกิดขึ้นจากฝีมือการบริหารงานของ “พีระพงศ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่สามารถนำกลยุทธ์การบริหารธุรกิจต่าง ๆ มาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจ ให้สามารถก้ามข้ามภาวะการแข่งขัน ปัจจัยลบ และความเสี่ยงทางธุรกิจต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างดี เห็นได้จากตัวเลขของปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่ภาวะตลาดอสังหาฯ ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่หลายคนมองว่าเป็นผลกระทบที่รุนแรงมากที่สุด นับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมาตลอดหลายปี แต่ออริจิ้นยังคงเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัท ที่สามารถสร้างผลงาน ทั้งด้านรายได้และกำไรเติบโต โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา ออริจิ้น สามารถทำรายได้รวม 11,114 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม 7,100 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 6,200 ล้านบาท  มียอดโอนรวม 15,086 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นยอดโอนจากโครงการร่วมทุน 5,216 ล้านบาท ขณะที่ปีที่ผ่านมามียอดขาย 25,774 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 120% โดยผลประกอบการปี 2563 มีกำไรสุทธิ 2,662 ล้านบาท วางเป้าทุกธุรกิจติด Top5 จากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ทำให้ ออริจิ้น ยังคงเดินหน้าลงทุนและพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อการก้าวสู่ความเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯ ที่ไม่ใช่แค่ติดอันดับ Top10 แต่เป้าหมายคือการก้าวสู่ผู้นำ Top5 ในแต่ละกลุ่มธุรกิจของบริษัท ที่ปัจจุบันมีหลากหลายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโด โรงแรม และธุรกิจบริการ ซึ่งปีนี้และในอนาคต ยังได้วางแผนขยายไปยังธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่ต่อยอดและเชื่อมโยงเกื้อหนุนกัน เพื่อสร้างรายได้และทำกำไรกลับคืนมาในอนาคตอีกด้วย   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า บริษัทใช้เวลาประมาณ 10 ปีก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดคอนโด ติดอันดับ Top 3 ขณะที่บ้านเดี่ยวได้ใช้เวลา 3 ปีในการเป็นผู้นำตลาด ซึ่งปีนี้เปิดโครงการมูลค่าประมาณ​ 10,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการก้าวสู่ผู้นำตลาด Top5 ในด้านการเปิดโครงการ และคาดว่าในระยะเวลา 2-3 ปีนับจากนี้ ออริจิ้นน่าจะเป็น Top5 ในด้านยอดขายและยอดโอนในกลุ่มธุรกิจบ้านจัดสรร เราทำ Business Expansion มันเกินกว่าคำว่า Diversify เราจะโฟกัสแต่ละธุรกิจ สร้างให้แต่ละผลิตภัณฑ์ติดอันดับ Top5 หรือ Top10  2 กลยุทธ์ “ORIGIN NEXT LEVEL” หลังจากปีที่ผ่านมา ออริจิ้น สามารถสร้างรายได้และกำไรเติบโตจนเป็นที่น่าพอใจ ในปี 2564 จึงได้วางนโยบายการดำเนินธุรกิจให้มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง  ซึ่งในปีนี้​ ออริจิ้น ได้ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “ORIGIN NEXT LEVEL” ด้วยการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าแบบครบวงจรในทุกช่วงเวลาของชีวิต โดยการนำความรู้ที่ได้รับตลอดปี 2563 มาใช้ภายใต้ 2 แกนหลัก ได้แก่ 1.Next Level of Business Expansion ขยายธุรกิจทั้งเชิงกว้างและเชิงลึกด้วยทำเลใหม่ (New Location) แบรนด์ใหม่ (New Brand) กลุ่มธุรกิจใหม่ (New Business) ความร่วมมือใหม่ (New Collaboration) เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายใหม่ (New Target Segmentation) 2.Next Level of Living Solutions การสร้างสรรค์ทั้งฟังก์ชั่นใหม่ (New Function) และบริการใหม่ (New Services) ในบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนยุค Now Normal ไปจนถึง Next Normal วันนี้เราไม่ได้มองตัวเองเป็นแค่ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย เรามองตัวเองสู่การเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีสินค้าและบริการต่อยอดไปได้อย่างต่อเนื่อง หรือ Beyond Property เพื่อตอบโจทย์คนทุกเจเนอเรชั่นตลอดช่วงชีวิตของเขา เพิ่ม 3 ธุรกิจใหม่จับทุกโอกาสทางการตลาด ปัจจุบัน ออริจิ้น มี 4 ธุรกิจหลักที่บริหารอยู่ ประกอบด้วย ธุรกิจคอนโด บ้านจัดสรร โรงแรม และธุรกิจบริการ ในปีนี้ เพื่อต่อยอดและสร้างระบบนิเวศ เชื่อมโยงกันทั้งหมด และสร้างรายได้เพิ่ม จึงได้ขยายไปยังธุรกิจใหม่อีก 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ (Healthcare) โดยในปีนี้ได้จัดตั้งบริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด ซึ่ง ออริจิ้น ถือหุ้น 76% และพันธมิตรที่เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพถือหุ้น 24% เพื่อดำเนินธุรกิจด้านสุขภาพและความงาม โดยมีแผนเปิดคลินิคเสริมความงาม ภายใต้แบรนด์ “Cheva Plus” สาขาเมอคิวรี่ พื้นที่ 200 ตารางเมตร โดยตั้งเป้าจะขยายครบ 10 สาขาภายในปี 2566 อีกทั้งยังมีแผนเปิดให้บริการศูนย์สุขภาพ 2 แห่ง ในทำเลรามอินทรา ขนาด 240 เตียง มูลค่าการลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งคาดจะเปิดให้บริการได้ในปี 2566 และทำเลบางนา คาดจะเปิดให้บริการปี 2565 รวมถึงยังขยายตลาดไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ กลุ่มธุรกิจเสริมความงาม กลุ่มศูนย์บริการสุขภาพ กลุ่มแพลทฟอร์มให้บริการสุขภาพออนไลน์และเทคโนโลยีด้านสุขภาพ นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมือกับพันธมิตรด้านเฮลท์แคร์ต่าง ๆ เพื่อเสริมบริการ  อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวช ที่เข้ามาเป็นพันธมิตรด้านโรงพยาบาลเสมือนจริง (Virtual Hospital) และมอบบัตร Origin Samitivej Club เข้ามาบริการตรวจสุขภาพ ให้คำปรึกษาด้านโภชนาการบำบัด วิทยาศาสตร์การกีฬา ในโครงการที่อยู่อาศัย หรือเป็น Hospital at Home อำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคไม่ต้องเดินทางไปถึงโรงพยาบาล ขณะเดียวกัน ยังคงจับมือกับโรงพยาบาลใกล้เคียงแต่ละโครงการ (Local Hospital) เช่น โรงพยาบาลสินแพทย์ อำนวยความสะดวกอีกทางหนึ่งให้แก่ผู้บริโภค รวมถึงมี Let’s Relax เข้ามาให้บริการสปาผ่อนคลายสุขภาพ   บริษัทยังได้จับมือกับศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางการออกแบบ สภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน และสวางคนิเวศ เพื่อดำเนินการ Senior Living Lab ศึกษาวิจัยสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุไทยในปัจจุบัน และยกระดับการออกแบบโครงการที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับคนกลุ่มดังกล่าว 2.กลุ่มธุรกิจศูนย์โลจิสติกส์ (Logistic Center) ดำเนินกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโลจิสติกส์ ภายใต้การร่วมทุนกับบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD คาดว่าจะเปิดเผยแผนธุรกิจร่วมกันได้ในวันที่ 21 เมษายน 2564 ซึ่งเบื้องต้นจะเริ่มก่อสร้างคลังสินค้าในอีก 1-2 เดือนจากนี้ บนทำเลบางนา กม. 22 ขนาด 62,000 ตารางเมตร มูลค่าการลงทุน 1,000 ล้านบาท คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงกลางปี 2565 เป็นต้นไป 3.กลุ่มธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company หรือ AMC) นำรากฐานองค์ความรู้และความพร้อมในเครือบริษัท มาต่อยอดสู่การดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์อย่างเข้มแข็งและครบวงจร ร่วมกันบริหารทรัพย์สินรอการขาย (NPA) และสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPL) ที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ โควิด-19 โดยอาศัยความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้บริโภค การคัดกรองทรัพย์ การพัฒนาโครงการ การรีโนเวท การขาย การตลาด มาเพิ่มมิติในการดูแลผู้บริโภคและมิติการเติบโตสู่อีกระดับของเครือ คาดว่าจะเปิดเผยแผนธุรกิจและพันธมิตรได้เร็วๆ นี้ เปิดตัว 4 คอนโดแบรนด์ใหม่ ครบทุกเซ็กเมนต์ ในจำนวนโครงการคอนโดที่ได้วางแผนเปิดตัวในปีนี้ ออริจิ้น มีแผนเปิดโครงการแบรนด์ 4 แบรนด์ เพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ ให้ครอบคลุมทุกเจเนอเรชั่น  ได้แก่ 1.ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play) เจาะตลาดกลุ่ม Gen Y และ Gen Z โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำสตาร์ทอัพของตัวเอง โดยจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะกับคนกลุ่มดังกล่าว 2.บริกซ์ตัน (Brixton) แบรนด์ราคาเข้าถึงง่าย สำหรับตลาดเฉพาะกลุ่ม (Affordable Niche) คอนเซ็ปต์แต่ละโครงการ อาจเจาะลูกค้าแตกต่างกันไป เช่น เจาะกลุ่มนักศึกษา-คนทำงานใกล้มหาวิทยาลัย (Campus) เจาะกลุ่มคนรักสัตว์ (Pet Lover) 3.แฮมป์ตัน (Hampton) แบรนด์คอนโดเจาะตลาดนักลงทุนโดยเฉพาะ โดยมีสิทธิพิเศษและการันตีผลตอบแทนแก่ผู้ซื้อ นำร่องในศรีราชาและระยอง 4.ออริจินอล (Original) คอนโดสำหรับเจาะตลาดผู้สูงอายุ (Silver Age) ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงเดินหน้าในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ โดยในปีนี้จะพัฒนาโครงการวัน ออริจิ้น สนามเป้า (One Origin Sanampao) เป็นโครงการอาคารสำนักงาน ขนาดพื้นที่กว่า 56,100 ตารางเมตร ติด BTS สนามเป้า ซึ่งพร้อมตอบโจทย์ความต้องการอาคารสำนักงานในฝั่งกรุงเทพฯ ตอนเหนือที่ยังคงขยายตัวได้ดี เชื่อมั่นว่าสินค้าและบริการของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จะตอบโจทย์คนทุกเจเนอเรชั่นในทุกช่วงเวลาของการใช้ชีวิต สรุปไฮไลท์ทางการเงิน ออริจิ้น ปี 2564 -เปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ มูลค่า 10,400 ล้านบาท และคอนโด 9,600 ล้านบาท -วางเป้าหมายสร้างยอดโอน 12,800 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 4,000 ล้านบาท และคอนโด 8,800 ล้านบาท -เป้าพรีเซล 29,000 ล้านบาท -เป้าหมายรายได้ 14,000 ล้านบาท เติบโต 26% จากปี 2563 -ยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่า 35,834 ล้านบาท รับรู้ต่อเนื่องถึงปี 2567 รับรู้ในปีนี้ 14,410 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงร่วมทุนมูลค่า 5,000 ล้านบาท และเฉพาะของออริจิ้น 9,410 ล้านบาท ​ -วางงบลงทุนรวม 10,000 ล้านบาท สำหรับการขยายธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขาย 8,000 ล้านบาท และขยายธุรกิจใหม่ ๆ อีก 2,000 ล้านบาท