Tag : News

2400 ผลลัพธ์
ALLY REIT ขยายพอร์ตศูนย์การค้า ลงทุน 670 ล้าน “เดอะคริสตัล ชัยพฤกษ์-กาดฝรั่ง วิลเลจ”

ALLY REIT ขยายพอร์ตศูนย์การค้า ลงทุน 670 ล้าน “เดอะคริสตัล ชัยพฤกษ์-กาดฝรั่ง วิลเลจ”

ผู้ถือหน่วยกองทรัสต์ ALLY โหวตอนุมัติให้เข้าลงทุนเพิ่มในโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ "เดอะคริสตัล ชัยพฤกษ์" และรับทราบการเข้าลงทุนใน "กาดฝรั่ง วิลเลจ" มูลค่ารวมไม่เกิน 670 ล้าน  พร้อมเดินหน้าหาแหล่งรายได้เพิ่ม ทั้งโครงการออฟฟิศ ตลาด โกดัง และพื้นที่พาณิชย์อื่น ๆ นายกวินทร์  เอี่ยมสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.อี.รีท แมเนจเมนท์ จำกัด (ในเครือ เคอี กรุ๊ป) ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์อัลไล (ALLY) เปิดเผยผลการประชุมสามัญผู้ถือหน่วยทรัสต์ ประจำปี 2564 ว่าที่ประชุมมีมติอนุมัติการเข้าลงทุนทรัพย์สินเพิ่มเติมในโครงการเดอะคริสตัล ชัยพฤกษ์ มูลค่าการลงทุนไม่เกิน 280 ล้านบาท และรับทราบการเข้าลงทุนในโครงการกาดฝรั่ง วิลเลจ มูลค่าลงทุนไม่เกิน 390 ล้านบาท ซึ่งเข้าลงทุนแล้วเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยหลังจากเข้าลงทุนเพิ่มเติม 2 โครงการนี้แล้ว ALLY จะกลายเป็นเจ้าของพอร์ตศูนย์การค้าประเภทคอมมูนิตี้มอลล์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ วัดจากมูลค่าทรัพย์สินรวมที่ประมาณ 13,000 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งหมด 12 โครงการ และพื้นที่ขายกว่า 156,000 ตารางเมตร เรายังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตและหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติมในโครงการต่างๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหน่วยทรัสต์  โครงการเดอะคริสตัล ชัยพฤกษ์ และโครงการกาดฝรั่ง วิลเลจ ทำให้เราได้ขยายไปยังทำเลใหม่ที่มีศักยภาพ ย่านชัยพฤกษ์ในจังหวัดนนทบุรี และอำเภอหางดงในจังหวัดเชียงใหม่ สำหรับทั้ง 2 โครงการถือว่ามีอัตราการเช่าพื้นที่เติบโตด้านอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีอัตราเช่าพื้นที่ 85% และ 88% แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีโรคระบาดโควิด -19  ก็ตาม และยังสามารถเพิ่มร้านค้าใหม่ ๆ เข้ามาได้อีกด้วย โดยที่ปรึกษาการเงินอิสระได้ประเมินว่า กองทรัสต์ ALLY จะมี EBITDA เพิ่มขึ้น 2.9% ในปีแรก หลังจากการเข้าลงทุนใน 2 โครงการนี้   นอกเหนือจากนี้ กองทรัสต์ ALLY ยังมีแผนที่จะขยายพอร์ตอย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำกัดการลงทุนเพียงทรัพย์สินประเภทศูนย์การค้าและคอมมูนิตี้มอลล์เท่านั้น แต่เล็งหาโครงการออฟฟิศ ตลาด โกดัง และพื้นที่พาณิชย์อื่น ๆ ที่มีศักยภาพ และสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ โดยตอนนี้ได้รับความสนใจจากเจ้าของทรัพย์สินที่อยากนำโครงการของตนเองเข้ามาระดมทุนผ่านกองทรัสต์นี้ นายกวินทร์ กล่าวอีกว่า จุดแข็งของ ALLY เมื่อเทียบกับกองทรัสต์อื่น คือการมีทีมผู้บริหารโครงการในเครือ (Property Manager) ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีแพลตฟอร์มระดับสากล ซึ่งนำมาใช้ในการบริหารงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน โดยที่ผ่านมา 4 โครงการ ก็สามารถเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายหลังจากที่ ALLY ได้เข้าไปลงทุนแล้ว   สำหรับผลดำเนินงานปี 2563 กองทรัสต์ ALLY มีรายได้ทั้งหมด 1,132.52 ล้านบาท กำไรจากการลงทุนสุทธิอยู่ที่ 434.43 ล้านบาท และมีอัตราการจ่ายประโยชน์ตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 0.4350 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ประมาณ 7.3% (อ้างอิงราคาตลาด ณ สิ้นปี 2563) ซึ่งสูงกว่ากองทรัสต์อื่น ๆ ที่ลงทุนในทรัพย์สินประเภทศูนย์การค้ากองทรัสต์ ALLY บริหารอยู่ภายใต้เครือของ เคอี กรุ๊ป    
ยูนิเวนเจอร์ โดนโควิด-19 ยอดขายอสังหาฯ ลด  แต่ยังทำกำไร 6 เดือนแรกโต 50%

ยูนิเวนเจอร์ โดนโควิด-19 ยอดขายอสังหาฯ ลด แต่ยังทำกำไร 6 เดือนแรกโต 50%

ยูนิเวนเจอร์  เผยผลประกอบการ 6 เดือนแรกปี​ 2564 ผลกำไรโตกว่า 50% แต่รายได้หลักลดลง  16% เหตุเจอสถานการณ์โควิด-19 รายได้จากการขายอสังหาฯ ชะลอตัว ลูกค้าไม่มั่นใจ การปฏิเสธสินเชื่อจากแบงก์   นายกำพล ปุญโสณี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 (1 ตุลาคม 2563 – 31 มีนาคม 2564) สามารถทำรายได้รวม 1,913.8 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 913.3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 48% ของรายได้รวม รายได้จากธุรกิจสังกะสีออกไซด์ 681.3 ล้านบาท คิดเป็น 36% ของรายได้รวม รายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ ​และรายได้อื่นประมาณ 319.2 ล้านบาท คิดเป็น 16% ของรายได้รวม และ​มีกำไรเติบโตกว่า 50%   โดยในปีนี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นในการจัดหา การลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพ ทั้งการลงทุนโดยบริษัท เอง และการร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในดำเนินธุรกิจ ซึ่งการลงทุนจะดำเนินภายใต้กลยุทธ์องค์กรทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1.การจัดหาการลงทุนเพื่อสร้างความสมดุลของ Investment Portfolio ของบริษัท (ENABLE) 2.การพัฒนาความเชี่ยวชาญและเพิ่มมูลค่าของธุรกิจที่ลงทุนเพื่อก่อให้เกิดรายได้และผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง (COMMIT) และ 3.การสร้างความยั่งยืนของการดำเนินธุรกิจในระยะยาว (ACCOMPLISH)   ทั้งนี้ บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแรง และพร้อมที่จะปรับสมดุลในการลงทุนของบริษัทเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกลยุทธ์องค์กรดังกล่าวได้ภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2564-2565 ประมาณ 3,000 ล้านบาท   สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ (ม.ค.-มี.ค.2564) บริษัทีรายได้รวม 1,001.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีรายได้รวม 996.7 ล้านบาท โดยรายได้ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แบ่งเป็นรายได้จากการขาย บริการ และให้เช่า จำนวน 932.9 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจอสังหาฯ 501.5 ล้านบาท จากธุรกิจการขายและบริการ 425.8 ล้านบาท จากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อเช่า 4 ล้านบาท และจากค่าการจัดการ 1.6 ล้านบาท ​   ส่วนรายได้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 1,913.8 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีรายได้รวม 2,130.1 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 มีจำนวน 1,716.2 ล้านบาท มาจากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขาย 913.3 ล้านบาท ​​จากธุรกิจการขายและการให้บริการ​ 788.1 ล้านบาท ​จากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อเช่า​ 8.0 ล้านบาท และจากค่าการจัดการ 6.8 ล้านบาท โดยรายได้หลักสำหรับงวด 6 เดือนปี 2564 ลดลง​ 16% เปรียบเทียบกับ​งวด 6 เดือนของปีก่อน รายได้หลักที่ลดลงส่วนใหญ่มาจาก รายได้ที่ลดลงจากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขายเนื่องจากลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อ  และชะลอการโอนกรรมสิทธิ์โครงการอสังหาฯ ​​จากการระบาดของโควิด -19  ผลกระทบจากการ ปฏิเสธสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มลูกค้าที่ประกอบอาชีพหรือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการระบาดโควิด-19 และรายได้จากการให้เช่าและบริการที่ลดลงไป หลังการใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน TFRS16 ​  
Zara Home เปิดตัวช้อปปิ้งออนไลน์ครั้งแรกในไทย  เอาใจคนชอบการแต่งบ้านช่วง WORK FROM HOME

Zara Home เปิดตัวช้อปปิ้งออนไลน์ครั้งแรกในไทย เอาใจคนชอบการแต่งบ้านช่วง WORK FROM HOME

ถ้าใครที่ชื่นชอบแฟชั่น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มฟาสต์แฟชั่น  ต้องรู้จักแบนด์ซาร่า (Zara) จากประเทศสเปน ที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งแบรนด์ซาร่า ถือเป็นในสินค้าแฟชั่นของ Inditex Group ที่ยังมีแบรนด์สินค้าแฟชั่นอื่น ๆ อีกหลายแบรนด์ อาทิ PULL&BEAR, Massimo Dutti และ Bershka เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด เป็นสินค้าแฟชั่นประเภทเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย แต่ภายใต้ Inditex Group ไม่ได้มีเฉพาะแบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายเท่านั้น ยังมีสินค้าประเภทของแต่งบ้านต่าง ๆ​ อุปกรณ์บนโต๊ะ สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ขนาดเล็กและขนาดกลาง และอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่ใช้ในบ้านหรือสำนักงาน ภายใต้แบรนด์ ซาร่า โฮม (Zara Home) ซึ่งเริ่มก่อตั้งแบรนด์ในปี 2003 ปัจจุบัน Zara Home ดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั้ง 4 ทวีป ใน 71 ประเทศ มีร้านค้ามากกว่า 533 สาขาทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งได้เข้ามาเปิดสาขาแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2556   ด้วยการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีและดิจิทัล ซึ่งมีผลการใช้ชีวิตของผู้คนยุคปัจจุบัน และยิ่งปัจจุบันโลกมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้น จึงทำให้การซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหนึ่งในวิถีชีวิตของคนยุคปัจจุบันไปแล้ว แบรนด์ซาร่า โฮม จึงวางแผนเปิดตัวร้านค้าออนไลน์ zarahome.com/th อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ตั้งแต่ 11 พฤษภาคมนี้ เป็นต้นไป ซึ่งในต่างประเทศแบรนด์ซาร่า โฮมได้เริ่มให้บริการแบบออนไลน์ บนเว็บไซต์มาแล้วตั้งแต่ปี  2562 โดย zarahome.com/th จะให้บริการสินค้าหลากหลายที่ครอบคลุมทุกความต้องการภายในบ้าน ทั้งสิ่งทอสำหรับใช้ในห้องนอน ห้องน้ำ เฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ชุดอุปกรณ์ช้อนส้อมมีด และแอคเซสซอรีสำหรับตกแต่งบ้านอื่น ๆ รวมถึงชุดอยู่บ้านและชุดนอน และไอเทมส์สำหรับมอบเป็นของขวัญให้คนพิเศษ  เพื่อให้ผู้ชื่นชอบการตกแต่งบ้านได้สนุกไปกับการช้อปปิ้งอย่างปลอดภัยไร้กังวลในช่วง Work From Home และเพื่อรักษาระยะห่างทางสังคม  นอกจากการช้อปปิ้งผ่านเว็บไซต์แล้ว แบรนด์ซาร่า โฮม ยังสามารถช้อปผ่านแอปพลิเคชันได้ ทั้งบนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android อีกด้วย   ​  
สิงห์ เอสเตท ซื้อ“เวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ฯ” ทุ่ม 2,421 ล้าน ลุยธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม

สิงห์ เอสเตท ซื้อ“เวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ฯ” ทุ่ม 2,421 ล้าน ลุยธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม

สิงห์ เอสเตท ซื้อ“เวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ฯ” 1,790 ไร่ จากบุญรอดบริวเวอรี่ พร้อมทุ่มงบรวม 2,421  ล้าน ลุยธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม หวังต่อยอดเป้าหมายสร้างรายได้ปีละ 20,000 ล้านในระยะเวลา​3 ปี​​​   รายงานข่าวจากบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (S) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ได้​ลงนามในข้อตกลงเข้าซื้อหุ้น 100%  ของบริษัท ปาร์ค อินดัสตรี จำกัด จากบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด โดยบริษัท ปาร์ค อินดัสตรี จำกัด เป็นเจ้าของนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ ซึ่งมีเนื้อที่ 1,790 ไร่ ตั้งอยู่ใน จ.อ่างทอง   สำหรับการโอนหุ้นระหว่างกันคาดว่าจะแล้วเสร็จ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 นี้ ซึ่งธุรกรรมดังกล่าวมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2,421 ล้านบาท โดย 510 ล้านบาทเป็นเงินที่จ่ายเพื่อซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท ปาร์ค อินดัสตรีในราคาพาร์ ส่วนอีก 1,726 ล้านบาท เป็นเงินที่จะใช้ในการลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และอีกส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บริษัท  สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า การซื้อนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับโรงไฟฟ้า​ 3 แห่งที่บริษัทเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วนที่มากพอสมควร ถือเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่ง ในการเดินหน้าสู่เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ ที่จะสร้างจุดแข็งที่ให้กับธุรกิจ จากการส่งเสริมระหว่างกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่หลากหลายของสิงห์ เอสเตท เพื่อทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งในการแข่งขัน และทำให้ธุรกิจมีความเป็น Resilient Business   ด้านนางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า  การผสานธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมเข้ากับธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า จะสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจของบริษัท ทั้งในด้านการเงินและการดำเนินงาน เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว นิคมอุตสาหกรรมคือหนึ่งในผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุด ทั้งนี้ การดำเนินกิจการในนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ ทำให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งของบริษัท   และการที่นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ เน้นสินค้าอาหารโดยเฉพาะ ทำให้มีความต้องการใช้ไอน้ำจากผู้ประกอบการแปรรูปอาหารต่าง ๆ ในนิคมฯ ซึ่งโรงไฟฟ้าของบริษัท ก็เป็นผู้ผลิตไอน้ำที่ใช้ได้ในอุตสาหกรรมอาหารด้วย   นอกจากนั้น กิจการโรงไฟฟ้ายังช่วยให้บริษัทมีรายได้อย่างต่อเนื่อง และมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ ลดความเสี่ยงในเรื่องความไม่แน่นอนของกระแสเงินสดจากการขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม ​ ขณะเดียวกัน บริษัทยังมองเห็นอนาคตที่สดใสของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ที่ตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศไทยด้วย โดยอัตราการเข้าใช้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของทั้งประเทศนั้น เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 80% ณ ช่วงสิ้นปีของปีที่แล้ว ในขณะที่ ภาคกลางของประเทศไทย มีอัตราการเข้าใช้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในระดับสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 89%   นางฐิติมา กล่าวเพิ่มเติมว่า นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ยังมีความสำคัญตามนโยบายการขับเคลื่อนประเทศที่มุ่งยกระดับประเทศไทยให้เป็นครัวของโลก และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารชั้นนำของโลก โดยทำเลที่ตั้งของนิคมฯ แห่งนี้ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความเหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางห่วงโซ่อุปทานอาหารและวัตถุดิบของประเทศ ทั้งแหล่งสำคัญในการผลิตข้าว ผลิตภัณฑ์จากนม และสัตว์ปีก นอกจากนี้ ยังมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากอยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยา   นอกจากนี้ รัฐบาลไทยได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ซึ่งกำหนดเป็นนโยบายระยะยาว โดยข้อมูลของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน พบว่า อุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร เป็นหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมที่มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนเข้ามาในอัตราที่เติบโตรวดเร็วที่สุด โดยภาคกลางของประเทศไทยมีสัดส่วนของการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนประมาณครึ่งหนึ่งของการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งหมดในปี 2563 มีการคาดการณ์ว่า ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้น เมื่อมีการผ่อนปรนมาตรการความเข้มงวดในการเดินทางหลังการคลี่คลายของวิกฤตโควิด-19 ทั้งนี้ บมจ. สิงห์ เอสเตท ได้จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 23 เมษายน ซึ่งในการประชุมดังกล่าว   ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติแผนการซื้อหุ้น 30% ในโรงไฟฟ้า 3 แห่งที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ โดยคิดเป็นมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 1,392 ล้านบาท  โดยโรงไฟฟ้าแห่งแรกเป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ดำเนินการผลิตอยู่แล้วขนาด 123 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าแห่งที่ 2 และแห่งที่ 3 เป็นโรงไฟฟ้าใหม่ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง  โดยมีกำหนดจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2566 มีกำลังการผลิตแห่งละ 140 เมกะวัตต์   อย่างไรก็ตาม ช่วงเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท ได้ประกาศเป้าหมายดันรายได้ต่อปี ให้เพิ่มขึ้น 3 เท่า กลายเป็นประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี และมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 80,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา3 ปี โดยหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะสร้างการเติบโตตามเป้าหมายดังกล่าว คือ การขยายการลงทุนใหม่ และธุรกิจใหม่    
REIC เปิด 5 ทำเลราคาที่ดินยังพุ่งสูง​​ ท่ามกลางโควิด-19 ระรอกใหม่

REIC เปิด 5 ทำเลราคาที่ดินยังพุ่งสูง​​ ท่ามกลางโควิด-19 ระรอกใหม่

รอบปีที่ผ่านมา ดีเวลลอปเปอร์อสังหาริมทรัพย์ มีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ลดจำนวนลงเป็นอย่างมาก เพราะความไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภค ที่ได้รับจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การซื้อที่ดินใหม่เพื่อนำมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยลดลงตามไปด้วย รวมถึงชะลอแผนการสะสมที่ดินเพื่อเตรียมไว้พัฒนาโครงการในอนาคต  โดยหันมาพัฒนาโครงการบนที่ดินเดิมที่ซื้อไว้ก่อนแล้ว ​   เมื่อความต้องการซื้อที่ดินชะลอตัวลง ทำให้ประเมินกันว่าในช่วงปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินอาจจะมีการปรับลดราคาลง ตามหลักดีมานด์และซัพพลาย ซึ่งพบว่าในช่วงปีที่ผ่านมา ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในช่วงไตรมาส 3 หลังเกิดการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของไวรัสโควิด-19 จนนำมาสู่การล็อกดาวน์ประเทศในช่วงไตรมาส 2 นั้น พบว่าดัชนีราคาที่ดินเปล่ามีการขยายตัวเพียง 0.7% จากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวถึง 5.2% และขยายตัวในอัตรา 21.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน   อย่างไรก็ตาม ค่าดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในไตรมาส 4 มีทิศทางที่ดีขึ้น เพราะสถาการณ์แพร่ระบาดเริ่มปรับตัวดีขึ้น แม้ว่าจะยังต่ำกว่าช่วงที่ผ่านมาในอดีตก็ตาม โดยมีค่าดัชนีเพิ่มขึ้นเป็น 7.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 แต่มีค่าดัชนีลดลงเท่ากับ 17.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคาที่ดินลดต่ำลงครั้งแรกในรอบ 5 ปี​ สำหรับปี 2564 ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลับมาระบาดรุนแรงอีกครั้ง ได้ส่งผลกระทบทำให้ค่าดัชนีราคาที่ดินได้รับผลกระทบ และมีอัตราการขยายตัวต่ำสุด นับตั้งแต่มีการจัดเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ปี 2559 โดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานว่า ค่าดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 326.2 จุด หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ยังเพิ่มขึ้นเพียง 11.2% แต่เริ่มเห็นสัญญาณราคาที่ดินเริ่มลดลง ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง (ปี 2559 – 2563) ที่มีค่าดัชนี 17.7% ต่อไตรมาส   นอกจากนี้  เมื่อเปรียบเทียบกับค่าดัชนีราคาที่ดินในไตรมาสก่อนหน้า  พบว่า ในไตรมาสแรกของปี 2564 มีค่าดัชนีลดลงติดลบ 2.2% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรก ตั้งแต่เริ่มมีการจัดทำดัชนีราคาที่ดินเปล่าของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2555 ด้วย   ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ​ ศูนย์ข้อมูลฯ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 ได้เห็นภาวการณ์ชะลอตัว และการปรับลดลงของราคาที่ดิน เป็นไตรมาสแรกเมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ซึ่งเป็นผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังมีการแพร่ระบาดต่อเนื่องในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งนี้ ภาวการณ์ลดลงของดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ยังถูกสะท้อนถึงความต้องการซื้อขายที่ดินเปล่าในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ที่มีจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงถึง 13.3% เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นได้ว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้มีการปรับตัว โดยอาจมีการซื้อที่ดินสะสมไว้น้อยลง และมีการซื้อที่ดินใหม่เมื่อต้องใช้ในการพัฒนา ​มากกว่าที่จะซื้อมาเก็บไว้รอการพัฒนาในอนาคต 5 ทำเลราคาดินปรับตัวสูง แต่อย่างไรก็ตาม  ยังพบว่า มีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากในไตรมาส 1 ปี 2564 ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงเป็นที่ดินในทำเลตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า โดยพบ 5 ทำเลแนวรถไฟฟ้าที่ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ 1.แนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ทำเลที่มีการปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดของดัชนีราคาที่ดินก่อนการพัฒนา คือ ที่ดินในทำเลแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางแค-พุทธมณฑล สาย 4) ที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น  38.3% เป็นที่ดินโซนตะวันตกของกรุงเทพฯ  ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค) ที่เปิดให้บริการแล้ว 2.แนวรถไฟฟ้าสายสีทอง-น้ำเงิน-ส้ม  ที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีทอง (ธนบุรี-ประชาธิปก) ที่เพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อเดือนธันวาคม 2563 และสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค) และ สายสีส้ม (ตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม) ที่เป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต  โดยทั้ง 3 โครงการมีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น  35.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) 3.แนวรถไฟฟ้าสีส้ม ที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) ซึ่งเป็นโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างที่มีความคืบหน้าการก่อสร้างโดยรวมอยู่ที่ 79.44% (ณ มีนาคม 2564) มีอัตราขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 35.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ดัชนีราคานี้ทำให้เห็นว่าราคาที่ดินโซนตะวันตก และโซนตะวันออกของกรุงเทพฯ มีราคาเพิ่มขึ้นมากในไตรมาสนี้ 4.แนว MRT ที่ดินตามแนว MRT ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว และ สายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-หัวลำโพง) ซึ่งเป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต โดยทั้ง 2 โครงการ มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) 5.แนว BTS สายสุขุมวิท  ทำเลที่ดิน BTS สายสุขุมวิท ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 34.0% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)    
เปิดขายบ้าน-คอนโดใน “เดอะ ฟอเรสเทียส์”  MQDC เคาะราคาสูงสุด 250 ล้าน

เปิดขายบ้าน-คอนโดใน “เดอะ ฟอเรสเทียส์” MQDC เคาะราคาสูงสุด 250 ล้าน

MQDC พร้อมเปิดขาย 3 โครงการที่อยู่อาศัย ในเมกะโปรเจ็กต์ “เดอะฟอเรสเทียส์” วันที่ 8  พ.ค. นี้ ราคาตั้งแต่ 5.14-250 ล้าน  พร้อมจัดให้ชม  11 ห้องตัวอย่างจาก 3 แบรนด์ที่อยู่อาศัย ​   ในที่สุดโครงการเมกะโปรเจกต์เมกะโปรเจกต์ มูลค่า 125,000 ล้านบาท ของบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) อย่างโครงการเดอะฟอเรสเทียส์ (THE FORESTIAS)​ ได้ฤกษ์เปิดการขายโครงการที่พักอาศัยต่าง ๆ ใ​นเดอะฟอเรสเทียส์ อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ด้วยราคาที่พักอาศัยตั้งแต่ห้องละ 5.14 ล้านบาท ไปจนถึง 250 ล้านบาท   โดยจะมีการจัดแสดงห้องตัวอย่าง 11 ห้อง จาก 3 โครงการที่พักอาศัยในเมกะโปรเจ็กต์ดังกล่าว ในอาคาร “ฟอเรสต์ พาวิลเลียน” อาคารศูนย์การเรียนรู้ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ ขนาด 398 ไร่ นอกจากห้องตัวอย่างทั้ง 11 ห้อง ยังมีการจัดแสดงวิสัยทัศน์ตลอดจนแนวคิดสำคัญในการพัฒนาโครงการผ่าน Immersive Experience ล้ำสมัย ที่ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ experience ระดับโลก   นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC เปิดเผยว่า  MQDC ได้พัฒนา “เดอะ ฟอเรสเทียส์” ให้เป็นโครงการต้นแบบแห่งใหม่ของโลก ในการพัฒนาเมืองที่ทุกมิติได้รับการออกแบบอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อวัตถุประสงค์สำคัญคือการส่งเสริมให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดียิ่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้น ด้วยแนวคิดการสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมในเรื่องสุขภาพและความสุข ทั้งเรื่องของความปลอดภัย การได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ การผสานธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวัน การออกแบบจัดการคุณภาพอากาศ แสง และการเลือกใช้วัสดุต่าง ๆ ทั้งภายในที่พักอาศัยและสภาพแวดล้อมในโครงการ รวมไปถึงการจัดวางผังองค์ประกอบต่าง ๆ ในโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้รับการตอบรับอย่างดี และได้รับความสนใจและมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ผู้คนเข้าใจและให้ความสำคัญกับการเลือกที่พักอาศัยและสภาพแวดล้อมที่จะส่งเสริมการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดีอย่างแท้จริง สำหรับเดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด กม. 7 ซึ่งเป็นประตูสู่ความเจริญภาคตะวันออก ประกอบด้วยโครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบ พื้นที่เชิงธุรกิจสำหรับสำนักงาน สปอร์ตคอมเพล็กซ์ กิจกรรมไลฟ์สไตล์  ร้านค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม พื้นที่ Family Center สำหรับกิจกรรมสร้างสรรค์ของครอบครัว และพื้นที่ Town Center สำหรับกิจกรรมชุมชนและกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่าง ๆ โรงละคร อีเว้นต์ฮอลล์ ตลาด   โครงการที่พักอาศัยใน เดอะ ฟอเรสเทียส์  ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมแบรนด์วิสซ์ดอม  แบบ high-rise จำนวน 3 อาคารที่มุ่งตอบโจทย์คนวัยเริ่มต้นทำงาน วัยสร้างครอบครัว ครอบครัวใหม่ และคนรักสัตว์เลี้ยง โดยมีห้อง 7 แบบ ขนาดตั้งแต่ประมาณ 35 ไปจนถึง 205 ตารางเมตร คอนโดแบรนด์มัลเบอร์รี โกรฟ คอนโดมิเนียมแบบ low-rise ที่มุ่งตอบโจทย์ที่ไลฟ์สไตล์ใกล้ชิดกับธรรมชาติ จำนวน 6 อาคาร โดยมีห้อง 16 แบบ ขนาดตั้งแต่ 63 ตารางเมตร ไปจนถึง 1,027 ตารางเมตร และที่อยู่อาศัยแบรนด์มัลเบอร์รี โกรฟ บ้านสไลต์คลัสเตอร์โฮม ที่มุ่งตอบโจทย์ครอบครัวใหญ่หลากหลายเจนเนเรชั่น จำนวน 37 หลัง 3 ขนาด ตั้งแต่ 4-6 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นประมาณ 1,000 ตารางเมตร ถึง 1,600 ตารางเมตร   ที่อยู่อาศัยแบรนด์ดิ แอสเพน ทรี โครงการที่พักอาศัยพร้อมมอบบริการดูแลตลอดชีวิต สำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนการใช้ชีวิตในระยะยาว ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป มีทั้งแบบ Active Living Condominiums และ Sky Villa Residences เพรียบพร้อมทั้งที่พักอาศัย สิ่งอำนวยความสะดวก การบริการอย่างครบครัน และการดูแลด้านสุขภาพจากผู้เชี่ยวชาญอย่างครบวงจร ใน เดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังมีป่าขนาดใหญ่พื้นที่ 30 ไร่ ที่เริ่มปลูกมาตั้งแต่เป็นเมล็ดและต้นกล้า ครอบคลุมพื้นที่ใจกลางของโครงการ นอกจากนั้น ยังมีทางเดินยกระดับความยาวกว่า 1.6 กิโลเมตร ซึ่งรวมทางเดินที่เชื่อมโยงไปยังพื้นที่ต่าง ๆ และทางเดินที่ทอดตัวอยู่เหนือผืนป่าซึ่งอยู่บริเวณใจกลางโครงการ มอบเป็นเส้นทางเดินเท้าท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยความเชื่อที่ว่า การได้อยู่ใกล้ชิดกับความมหัศจรรย์อันหลากหลายของธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ส่งมอบความสุขให้กับผู้คน   ทั้งนี้ MQDC กำหนดเปิดขายโครงการที่พักอาศัยต่างๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป โดยผู้สนใจเข้าชมโครงการ สามารถนัดหมายล่วงหน้าเพื่อเข้าชมแบบส่วนตัว โดยลงทะเบียนได้แล้ววันนี้ ที่ Call Center 1265 หรือ www.MQDC.com ทั้งนี้ เป็นไปตามประกาศของทางราชการในเรื่องการดำเนินการในสถานการณ์โควิด-19  
ธุรกิจค้าปลีกมีความเชื่อมั่นแค่ไหน ? ในภาวะวิกฤตโควิด-19 ระรอก ใหม่

ธุรกิจค้าปลีกมีความเชื่อมั่นแค่ไหน ? ในภาวะวิกฤตโควิด-19 ระรอก ใหม่

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกเดือนเมษายน  ลดลงกว่า 43% ยอดขายหดตัว 15-40 %  วอนรัฐเร่งช่วยเหลือ เยียวยา เสนอ 4  มาตรการกระตุ้นการจับจ่ายอย่างต่อเนื่องโดยเร็ว   สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ล่าสุด นับว่ารุนแรงสุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เพราะจำนวนผู้ติดเชื้อแต่ละวันพุ่งสูงหลักพันคน แถมอัตราการเสียชีวิตก็มีมากกว่าทุกครั้ง หลายฝ่ายต่างมีความกังวลและเป็นห่วงว่าเหตุการณ์จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น หากแผนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเป็นไปอย่างล่าช้า และวัคซีนมีไม่เพียงพอ รวมถึงอาจจะมีประสิทธิภาพไม่มากพอ   หนึ่งในธุรกิจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างหนัก คือ ธุรกิจค้าปลีก​  เพราะต้องปรับเวลาเปิด-ปิดให้บริการเหลือจำนวนชั่วโมงน้อยลง ขณะที่ร้านอาหารต่าง ๆ ก็ต้องงดการให้บริการรูปแบบนั่งรับประทานในร้าน และให้ซื้อกลับไปบริโภคที่บ้านแทน เพื่อลดอัตราเสี่ยงของการแพร่เชื้อโรค ซึ่งแน่นอนย่อมส่งผลต่อยอดขายและรายได้ของผู้ประกอบการ ไม่เพียงแต่ผลการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีกที่ลดลง แต่เรื่องของความเชื่อมั่นต่อภาพรวมเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจของธุรกิจค้าปลีกก็ลดลงด้วยเช่นกัน เห็นได้จากผลการสำรวจความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกไทย ในทุกภาคส่วนของ ทั้งค้าปลีกสินค้าและค้าปลีกบริการ ของสมาคมผู้ค้าปลีกไทยร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ได้ทำการสำรวจความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกไทย ซึ่งได้ดำเนินเป็นประจำทุกเดือน ความเชื่อมั่นธุรกิจค้าปลีกลดหนัก โดยในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้ดำเนินการสำรวจทางออนไลน์ระหว่างวันที่ 16-24 เมษายน 2564 มีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามประกอบด้วย ร้านค้าปลีกสินค้าทั่วประเทศ ซึ่งมีช่องทางจำหน่ายรวมกันกว่า 23,000 แห่ง และร้านค้าปลีกบริการภัตตาคารร้านอาหาร ที่มีช่องทางบริการกว่า 6,000 แห่ง โดยมี 8 ข้อสรุปสำคัญ  ดังนี้ 1.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก ลดลงกว่า 43% ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก  (Retail Sentiment Index) เดือนเมษายน ปรับลดลงกว่า 43% เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคมโดยดัชนีปรับลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 อย่างชัดเจน ใกล้เคียงกับดัชนีความเชื่อมั่นเดือนเมษายน 2563 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลดลง หลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3ในเดือนเมษายน กระจายเป็นวงกว้างกว่าที่ผ่านมา ประกอบกับกำลังซื้อที่ฟื้นตัวช้าเป็นปัจจัยที่เพิ่มความกังวลให้แก่ผู้ประกอบการ 2.อีก 3 เดือนข้างหน้าความเชื่อมั่น ยังลดต่ำ ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า เปรียบเทียบระหว่างดัชนีในเดือนมกราคม 2564 และดัชนีในเดือนเมษายน 2564 จะพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า ในเดือนเมษายน 2564 ลดต่ำกว่า ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า ในเดือนมกราคม 2564 สะท้อนถึงความไม่มั่นใจถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้วยข้อกังวลถึงความรุนแรงของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่นี้ค่อนข้างสูง และความวิตกกังวลถึงความไม่ชัดเจนของแนวทางการฉีดวัคซีนที่ภาครัฐนำเสนอ 3.ยอดขายสาขาเดิมลด 40% ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อการเติบโตยอดขายสาขาเดิมเดือนเมษายน same store sale growth (SSSG) เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม (Month on Month) มีทิศทางที่ลดลงกว่า 40% เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม สะท้อนให้เห็นว่ายอดขายสาขาเดิมเดือนเมษายนลดลงจากเดือนมีนาคมเกือบครึ่ง ซึ่งเป็นการลดลงทั้งยอดซื้อต่อบิล (Spending per Bill or Basket Size)) และความถี่ในการจับจ่าย (Frequency of Shopping) 4.ยอดขายในภูมิภาคยังต่ำ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อยอดขายเดิมรายภูมิภาคปรับลดลงจากเดือนเมษายนในทุกภาค สะท้อนถึงสภาวะความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่กระจายทุกภูมิภาค โดยเฉพาะดัชนีที่ลดลงชัดเจน กรุงเทพปริมณฑล และภาคใต้ ที่เป็น Super Spread หลัก 5.ร้านค้าปลีกความเชื่อมั่นลดต่ำ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ เมื่อจำแนกตามประเภทความร้านค้าปลีก เปรียบเทียบระหว่างเดือนเมษายนและเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พบว่า ลดลงอย่างชัดเจนและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 ในทุกประเภทร้านค้าปลีก ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนทรงตัวเท่าเดิม สะท้อนถึงผู้ประกอบการร้านค้าปลีกไม่มีความหวังและความมั่นใจในมาตรการภาครัฐที่จะฟื้นกำลังซื้อกลับมาได้เร็ว 6.คนไทยยังช้อปปิ้งวัสดุก่อสร้าง ยกเว้นร้านค้าปลีกประเภทวัสดุก่อสร้าง ตกแต่งและซ่อมบำรุง ที่ปรับลดต่ำกว่าเดือนมีนาคมเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่เหนือค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 ทั้งนี้จากราคาเหล็กที่เป็นปัจจัยพื้นที่ในการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นและช่วยให้ราคาวัสดุก่อสร้างอื่นปรับตัวขึ้นตาม ประกอบกับ ร้านค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง ซ่อมบำรุง ยังคงได้รับแรงหนุนจากวิถี New Normal ทำงานที่บ้าน WFH ทำให้มีความนิยมในการปรับภูมิทัศน์ภายในที่อยู่อาศัย 7.ยอดขายเม.ย.หาย15-40% จากประเด็นคำถามพิเศษประจำเดือน ให้ผู้ประกอบการประเมินผลกระทบ ต่อยอดขายและกำลังซื้อ และผลกระทบต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ผลการสำรวจผู้ประกอบการที่บริหารร้านค้าปลีกกว่า 29,000 แห่ง พบว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคมีสัญญาณปรับตัวแย่กว่าเดือนมีนาคมมากกว่า 25% ผลจากผลการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่เดือนเมษายน และประเมินว่ายอดขายจะได้ผลกระทบมากกว่า 15-40% เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม 8.วอนรัฐเร่งมาตรการเยียวยาช่วยจ่ายค่าแรง 50% ผู้ประกอบการยังมีความกังวล ถึงการจ้างงานที่จะลดลง จากยอดขายที่หดหายไป  ผู้ประกอบมีข้อเสนอให้ภาครัฐ ควรมีมาตรการเยียวยาช่วยจ่ายค่าแรงพนักงาน 50% รวมถึงควรหาแหล่ง Soft Loan ที่เข้าถึงง่ายให้กับผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการ   นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า โควิดระลอกใหม่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างหนัก โดยเฉพาะผลกระทบต่อภาคการค้าปลีก ค้าส่ง ศูนย์การค้า ร้านอาหาร และการท่องเที่ยว โควิดระลอกใหม่ เพียงแค่เขตการควบคุมพิเศษและเข้มงวดสีแดงเข้ม 6 จังหวัด จะกระทบถึง 22% ต่อ GPP รวมของประเทศ ซึ่งมีการจ้างงานภาคการค้าปลีก ค้าส่ง ศูนย์การค้า ร้านอาหาร และการท่องเที่ยว กว่า 3.12 ล้านคน สมาคมฯ วิตกถึงผลกระทบของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่จะทำให้เกิดความเสียหายใกล้เคียงกับการ Lockdown เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา ร้านค้าแม้ไม่ถูกปิดแต่ก็ไม่มีลูกค้า ภัตตาคาร ร้านอาหารไม่อนุญาตให้นั่งรับประทานอาหารในร้าน ธุรกิจที่ผ่านมาก็ได้ปิดกิจการเป็นจำนวนมาก การเลิกจ้าง การว่างงานมีมาอย่างต่อเนื่อง สต็อกสินค้าล้นเนื่องจากไม่มีการขาย ธุรกิจขาดสภาพคล่องอย่างหนัก ยื่น 4 ข้อเสนอให้รัฐช่วยผู้ประกอบการ สมาคมฯใคร่ขอตอกย้ำและกระตุ้นภาครัฐ ให้ช่วยเหลือผู้ประกอบการค้าปลีก ศูนย์การค้า และร้านอาหาร ดังนี้ 1.สนับสนุนค่าจ้างพนักงาน ลดภาระค่าใช้จ่ายด้วยมาตรการภาษี เพื่อไม่ให้มีการลดพนักงานหรือเลิกจ้าง 2.สนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) แก่ผู้ประกอบการอย่างจริงจังและรวดเร็ว เพราะด้วยสภาพคล่องที่เหลืออยู่ของผู้ประกอบการค้าปลีกจะสามารถดำเนินธุรกิจได้เพียง 3-6 เดือน 3.ประกาศการจ้างงานแบบรายชั่วโมง เพื่อให้สอดคล้องกับการบริการต่อผู้บริโภคที่มาเป็นช่วงเวลา โดยให้ใช้กับธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหารเป็นการเฉพาะก่อน 4.เร่งรัดการฉีดวัคซีนให้รวดเร็ว ครอบคลุม และทั่วถึง  
4 เทรนด์ที่อยู่อาศัยมาแรง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้สูงวัย

4 เทรนด์ที่อยู่อาศัยมาแรง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้สูงวัย

ในปี 2564 นี้ ถือว่าประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) แล้ว เพราะข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ  ระบุว่า​ ประเทศไทยมีจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ถึง 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ขององค์การสหประชาชาติ ​(United Nations:UN) ที่ได้แบ่งระดับ​การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เป็น 3 ระดับ ได้แก่   1.ระดับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging society) หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า  10% ของประชากรทั้งประเทศหรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปีมากกว่า 7% ของประชากรทั้งประเทศ   2.ระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society) หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศหรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปี มากกว่า 14% ของประชากรทั้งประเทศ แสดงว่าประเทศนั้นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์   3.ระดับสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ (Super-aged society) หมายถึงสังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า  20% ของประชากรทั้งประเทศ แสดงว่าประเทศนั้นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่  โดยประเทศไทยคาดว่าจะเข้าสูงสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ ในปี ​2574   ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคมผู้สูงอายุ ในไทยมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ คงเป็นเพราะปัจจุบันรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในยุคนี้อยู่ภายใต้บริบทและปัจจัยทางสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้คนไทยครองตัวเป็นโสดมากขึ้น หรือมีบุตรลดลง เปลี่ยนรูปแบบจากครอบครัวขยายในอดีตเป็นครอบครัวเดี่ยวอย่างชัดเจน   การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของสังคมผู้สูงอายุได้ทำให้เกิดโอกาสทางการตลาด  สำหรับการเจาะกลุ่มผู้บริโภคสูงวัย (Silver Age) เหล่านี้  ด้วยกำลังซื้อที่มีสูง  เพราะเป็นผลมาจากการบริหารจัดการรายได้ ตลอดชีวิตการทำงานผ่านการออมทรัพย์และลงทุนต่าง ๆ ประกอบกับแนวคิดการใช้ชีวิตที่มีความทันสมัย และรู้จักใช้เทคโนโลยีเป็นประจำ ไม่ลังเลที่จะใช้เงินเก็บมาซื้อความสุขและดูแลสุขภาพตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ก็มีการปรับเปลี่ยนไปตามเทรนด์ต่าง ๆ ไม่แพ้วัยรุ่นเช่นกัน จนทำให้หลายธุรกิจหันมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์เพื่อดึงดูดกำลังซื้อของคนสูงวัยมากขึ้น เทรนด์ที่อยู่อาศัยมาแรง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้สูงวัย ไม่เพียงแต่สินค้าและบริการ ที่เป็นของใช้ในการดำรงชีวิต หรือสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปเท่านั้น สินค้าที่มีขนาดใหญ่และมีมูลค่าสูง ซึ่งตลอดทั้งชีวิตอาจจะซื้อได้เพียง 1 ครั้ง หรืออย่างมากแค่ 2 ครั้งเท่านั้น สำหรับคนส่วนใหญ่ของประเทศ อย่างที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือแม้แต่ห้องชุดคอนโดมิเนียม ต่างก็มองว่า กลุ่มผู้สูงอายุเหล่านี้ คือ กลุ่มเป้าหมายทางการตลาดสำคัญที่คือโอกาสทางการตลาด สร้างรายได้และเม็ดเงินมหาศาล จึงหันมาจับตลาดกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ ด้วยการพัฒนารูปแบบของบ้าน หรือห้อง รวมถึงโครงการ ที่ให้การใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยภายในบ้านของผู้สูงอายุ พักอาศัยได้อย่างมีความสุข สุขภาพดี และปลอดภัย โดยข้อมูลจากดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์ ได้รายงานถึงเทรนด์ที่อยู่อาศัยที่น่าสนใจ และเป็นที่น่าจับตามองสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการคนวัยนี้ ที่ไม่ได้มองหาบ้านเพื่ออยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว แต่ต้องรองรับการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างครบครัน ว่ามี 4 เทรนด์สำคัญ 1.เทรนด์สุขภาพมาแรง สุขภาพกายที่ดีต้องมาพร้อมความสบายใจ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เห็นคุณค่าของการมีสุขภาพดีมาเป็นอันดับต้น ๆ แน่นอนว่านอกจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการออกกำลังกายจะเป็นปัจจัยสำคัญแล้ว ที่อยู่อาศัยก็ถือเป็นอีกปัจจัยที่มีบทบาทในการสร้างสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีให้ผู้สูงอายุเช่นกัน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ผู้สูงอายุได้ใช้เวลาอยู่ด้วยในแต่ละวันมากที่สุด   ดังนั้นการเลือกโครงการฯ ที่มีการออกแบบภายใต้แนวคิด สร้างสรรค์สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีให้ผู้อยู่อาศัย (Health & wellness residence) คำนึงถึงการใช้งานจริง ทั้งการออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในให้รองรับผู้สูงอายุที่ต้องการเดินออกกำลังกายภายในบริเวณบ้านของตน มีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับออกกำลังกายและพื้นที่สีเขียวที่มอบความร่มรื่นพร้อมรองรับการทำกิจกรรมด้านสุขภาพอื่น ๆ ในชุมชน   นอกจากนี้ปัจจุบันผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้หันมาร่วมมือกับโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสุขภาพเพื่อเพิ่มบริการดูแลสุขภาพหรือบริการทางการแพทย์ไว้ในโครงการฯ ด้วย เรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์การสร้างสรรค์สุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีได้อย่างน่าสนใจ และเป็นตัวเลือกที่ควรพิจารณาสำหรับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ 2.Home Solutions เพื่อการอยู่อาศัยที่สะดวก-ปลอดภัย แนวโน้มจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการฯ หันมาให้ความสนใจและพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับผู้บริโภคกลุ่มนี้มากขึ้น มีโครงการฯ ที่ออกแบบให้เป็นบ้านสำหรับผู้สูงอายุด้วยความเข้าใจที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบห้องนอนผู้สูงอายุให้มีความเป็นส่วนตัวและอากาศถ่ายเทสะดวก หรือนำนวัตกรรม Home Solutions ต่าง ๆ มาช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตในบ้านได้ราบรื่น และช่วยป้องกันอันตรายจากการเกิดอุบัติเหตุภายในบ้าน เช่น ปูพื้นด้วยวัสดุลดแรงกระแทก (Shock Absorption Floor) เพื่อช่วยลดความรุนแรงของอาการบาดเจ็บหากเกิดอุบัติเหตุหกล้ม   การออกแบบราวจับในห้องน้ำ ราวบันไดทั้งสองข้าง หรือพื้นต่างระดับในบ้านเพื่อทรงตัวและเดินได้มั่นคงขึ้น ทำทางลาดสำหรับรถเข็นในการเข้าสู่ตัวบ้าน หรือออกแบบให้ประตูห้องน้ำเปิดออกมาด้านนอก ในกรณีที่มีคนล้มขวางประตูด้านใน ซึ่งรายละเอียดในการออกแบบที่มีพื้นฐานเพื่อตอบโจทย์ผู้อาศัยอย่างแท้จริงนี้ นอกจากจะช่วยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตในบ้านได้อย่างมั่นใจและสบายใจมากขึ้นแล้ว แน่นอนว่าสมาชิกทุกคนในครอบครัวก็จะสามารถใช้ชีวิตในบ้านนี้อย่างปลอดภัยเช่นกัน 3.ระบบบ้านอัจฉริยะ ปลอดภัยด้วยเทคโนโลยี นอกจากเทคโนโลยีจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตของคนยุคนี้ในหลากหลายด้านแล้ว ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยอีกด้วย เห็นได้จากการเติบโตของเทรนด์บ้านอัจฉริยะ (Smart Home) ที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุนให้ผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุมการทำงานระบบต่าง ๆ ของบ้านผ่านการสั่งงานด้วยเสียงหรือจากแอปพลิเคชั่น ซึ่งยกระดับความปลอดภัยให้ที่อยู่อาศัย เช่น กลอนประตูดิจิทัล (Digital Door Lock) หรือการติดตั้งกล้องวงจรปิดที่รองรับการรับชมภาพออนไลน์และดูย้อนหลังได้ผ่านสมาร์ทโฟน ช่วยให้ผู้สูงอายุที่ห่วงใยในทรัพย์สินและติดบ้านคลายความกังวลเมื่อต้องห่างจากบ้านได้   นอกจากนี้ระบบบ้านอัจฉริยะยังช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มักมีอาการหลงลืมก็สามารถเลือกควบคุมการเปิด-ปิดไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน/คอนโดฯ ผ่านสมาร์ทโฟนได้ตลอดเวลา แม้ทำธุระอยู่ข้างนอกก็สามารถกดเช็กดูระบบไฟเพื่อความชัวร์ได้ทันที 4.เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย ต่อยอดการลงทุนได้ในอนาคต ความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุไม่ได้เน้นไปที่การอยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว เนื่องจากไม่ใช่การมีบ้านหลังแรก แต่มีการวางแผนระยะยาวด้วยการมองหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของครอบครัว พร้อมทั้งมีศักยภาพที่ต่อยอดไปสู่การลงทุนได้ในอนาคต เนื่องจากที่อยู่อาศัยถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีความต้องการในตลาดไม่น้อย ข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study เผยว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผู้สูงอายุในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยจากบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นจะสนใจที่ชื่อเสียงของบริษัทมาเป็นอันดับแรก 58% ตามมาด้วยผลงานของผู้พัฒนาฯ ในโครงการที่ผ่านมา 56% และคุณภาพของงานตกแต่งภายในที่ผู้พัฒนาฯ มอบให้ 55% ซึ่งชื่อเสียงที่ดีของผู้พัฒนาฯ ย่อมส่งผลด้านบวกที่ช่วยให้การประกาศขาย/เช่าในอนาคตง่ายขึ้น ต่างจากกรณีของผู้บริโภคที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเป็นหลักจึงพิจารณาจากคุณภาพของงานตกแต่งภายในที่ได้จากผู้พัฒนาฯ มาเป็นอันดับแรก (68%) อย่างไรก็ดี แม้ไม่ใช่เพื่อการขาย ผู้สูงอายุก็ยังมีทางเลือกในการปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ เพื่อสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องแทน   ปัจจุบันเทรนด์การพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุแพร่หลายมากขึ้น ทั้งการเปิดตัวโครงการอสังหาฯ ที่เจาะกลุ่มนี้โดยเฉพาะ หรือการพัฒนาโซลูชั่นใหม่ให้เลือกนำไปปรับใช้กับบ้านเดิมที่มีอยู่แล้ว นอกจากนี้ธนาคารได้มีการนำเสนอ “Reverse mortgage หรือสินเชื่อบ้านสำหรับผู้สูงอายุ” เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีบ้านเป็นของตนเองแต่ไม่ต้องการขายบ้านทันที เพราะยังต้องใช้อยู่อาศัยและต้องการมีรายได้รายเดือนเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน   หลักการทำงานจะมีรูปแบบเหมือนการทยอยขายบ้านให้กับธนาคาร ซึ่งธนาคารจะตีมูลค่าบ้านพร้อมกับประเมินอายุเฉลี่ยของผู้กู้แล้วจะทยอยจ่ายเงินค่าบ้านให้เป็นรายเดือน โดยผู้กู้ก็ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านหลังนั้นและยังสามารถอาศัยอยู่ในบ้านได้จนกระทั่งผู้กู้นั้นเสียชีวิตหรือตัดสินใจขายบ้านไปก่อน ซึ่งหลังครบกำหนดตามสัญญา บ้านก็จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ตอบโจทย์ความต้องการมีบ้านของผู้สูงอายุพร้อมทั้งช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี 5 เหตุผลผู้สูงอายุ ซื้อบ้านใหม่ ผู้สูงอายุที่มีกำลังซื้อจำนวนมาก ต้องการมีชีวิตในช่วงเวลาที่เหลืออย่างมีคุณภาพ จึงเลือกที่หาสิ่งที่ดีและทำให้ชีวิตตนเองมีความสุข ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่มีภาระจากบุตรหลาน หรือเพื่อต้องการให้รางวัลกับชีวิตของตนเอง หลังจากใช้เวลาทำงานและสะสมรายได้จนมีกำลังจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับความเจริญของเมืองที่มีมากขึ้น ระบบการคมนาคมขนส่ง ซึ่งถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การเกิดขึ้นของระบบรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ ล้วนเป็นปัจจัยทำให้การใช้ชีวิตของผู้สูงอายุง่ายมากขึ้น และสะดวกสบายมากกว่าในอดีต การเลือกซื้อบ้านหลังที่ 2 หรือการเปลี่ยนบ้านหลังใหม่ในช่วงวัยผู้สูงอายุ จึงอาจจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ยิ่งปัจจุบันสถาบันการเงินบางแห่งมีแคมเปญการปล่อยกู้สำหรับผู้สูงอายุ ยิ่งทำให้การซื้อบ้านในวัยหลังเกษียณเป็นเรื่องง่าย   อย่างไรก็ตาม การเลือกซื้อบ้านหลังใหม่ ของผู้บริโภคชาวไทยอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป คงเกิดจากหลายเหตุผลและหลายปัจจัย  ซึ่งข้อมูลจากผลสำรวจพบว่ามี 5 เหตุผลที่ผู้สูงอายุให้ความสำคัญและใช้เป็นเกณฑ์ในการติดสินใจเลือกซื้อที่อยู่ใหม่ ได้แก่   1.ความต้องการพื้นที่ส่วนตัว สัดส่วนมากถึง 44% 2.ความต้องการไปอยู่อาศัยในทำเล หรือบรรยากาศใหม่ 31% 3.ต้องการความสะดวกที่มากขึ้น เช่น อยู่ใกล้โรงพยาบาล ที่ทำงาน โรงเรียน ฯลฯ  26% 4.ซื้อเพื่อลงทุน 26% เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีประสบการณ์และวางแผนการเงินและการใช้จ่ายอย่างเป็นระบบ จึงให้ความสำคัญในเรื่องการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนระยะยาวมากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ 5.เป็นการซื้อบ้านเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กับสมาชิกในครอบครัว 15% นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในการใช้พิจารณาตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย คือ การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ และความปลอดภัยของทำเล โดยมีสัดส่วนที่เท่ากันอยู่ที่ 53% ตามมาด้วยทำเลที่ตั้ง 49% และโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกรอบทำเลที่ 49% เท่ากัน   เห็นได้ชัดว่าผู้บริโภคกลุ่มนี้จะเน้นมองหาที่อยู่อาศัยที่เพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น โดยไม่ละเลยความปลอดภัย เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจำวันตามไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างและการอยู่อาศัยได้อย่างสบายใจด้วยตนเอง ไม่เป็นภาระผู้อื่น   หลายคนอาจมีภาพจำว่าคนสูงวัยไม่คุ้นเคยกับการท่องโลกออนไลน์เท่าวัยอื่นในยุคดิจิทัล แต่ที่จริงแล้วผู้สูงอายุเรียนรู้ในการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี เห็นได้ชัดเจนจากพฤติกรรมการค้นหาข้อมูลก่อนตัดสินใจเรื่องซื้อที่อยู่อาศัย โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางยอดนิยมในการค้นหาข้อมูลในประชากรกลุุ่มนี้ถึง 62% ตามมาด้วยเว็บไซต์ของโครงการ 56% และเว็บพอร์ทัลด้านอสังหาฯ 47% เนื่องจากเป็นช่องทางที่สะดวก ช่วยให้ค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้รวดเร็วและหลากหลายมากพอที่จะนำมาใช้ประกอบการพิจารณาภายใต้การใช้วิจารณญาณและกรอบประสบการณ์ที่มี โดยมีเพียง 16% เท่านั้นที่จะเลือกปรึกษาและหาข้อมูลเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน เพื่อนฝูง และครอบครัว
แกรนด์ แอสเสท  อ้อนรัฐเร่งรัดฉีดวัคซีน ห่วงเศรษฐกิจพังลายแสนล้าน​

แกรนด์ แอสเสท อ้อนรัฐเร่งรัดฉีดวัคซีน ห่วงเศรษฐกิจพังลายแสนล้าน​

“แกรนด์ แอสเสท” วอนให้รัฐบาลเร่งรัดจัดหาวัคซีนประสิทธิภาพสูง ราคาไม่แพงให้เพียงพอ พร้อมจัดการฉีดวัคซีนให้ประชาชนโดยเร่งด่วน ห่วงความเชื่อมั่นการลงทุนจากต่างชาติ และเศรษฐกิจเสียหายหลายแสนล้านบาท   นายวิทวัส วิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อยากให้รัฐาลเร่งจัดหาวัคซีนประสิทธิภาพสูง ราคาไม่แพงมาให้บริการอย่างเพียงพอ และบริหารจัดการฉีดวัคซีนโดยเร่งด่วน เพราะการฉีดวัคซีนที่เพียงพอและรวดเร็วเท่านั้นที่จะลดจำนวนและควบคุมการแพร่ระบาดได้ นอกจากนี้ ยังมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วย  เพราะล่าสุด มีความกังวลมากขึ้น จากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นทะลุหลักพันรายต่อวัน  เป็นระยะเวลาต่อเนื่องเกินครึ่งเดือนแล้ว สถานการณ์ของภาคธุรกิจในขณะนี้ คงต้องฝากความหวังไว้กับความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งธุรกิจโรงแรมของบริษัท ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยังคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลังสำหรับบริษัทมีการร่วมทุนกับนักธุรกิจต่างประเทศ ทั้งญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ซึ่งต้องการขยายการลงทุนเพิ่มเติมในประเทศไทย แต่ยังคงมองถึงความพร้อมในการฉีดวัคซีนของประเทศไทย ให้ได้ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นสำคัญ แต่ปัจจุบันยังมีความล่าช้าและมีจำนวนไม่เพียงพอ โดยขณะนี้ประเทศไทยมีการจัดหาวัคซีนครอบคลุมเพียง 45% ของจำนวนประชากรเท่านั้น  ​หากภาครัฐมีการฉีดวัคซีนล่าช้า จะส่งผลอย่างมากต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายหลายแสนล้านบาท รัฐบาลจึงควรมีการบริหารจัดการให้ดีขึ้น เร่งรัดการจัดซื้อและอนุญาตนำเข้าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงราคาไม่แพงให้เพียงพอ รวมทั้งเร่งรัดระยะเวลาในการฉีดวัคซีนให้เร็วขึ้นด้วย นายวิทวัส กล่าวอีกว่า ​ภาคการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่องกับการจ้างงานสูงถึงกว่า 4  ล้านคน โดยการว่างงานจะเป็นปัญหาระยะยาวต่อเศรษฐกิจของประเทศ การฉีดวัคซีนได้มากและเร็ว จะช่วยให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น มีตัวอย่าง เช่น ประเทศอิสราเอล ที่ควบคุมการแพร่ระบาดดีขึ้นอย่างรวดเร็ว สามารถฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้เกือบ 100% ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน  ทำให้ผู้ป่วยใหม่ลดลงรวดเร็ว และสามารถยกเลิกสวมหน้ากากอนามัยได้   ขณะที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมโรค สามารถเดินทางระหว่างกันแบบไม่ต้องกักตัวในรูปแบบ ทราเวล บับเบิลได้แล้ว และพบว่ามีการจองเที่ยวบินเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก รวมถึงฮ่องกงและสิงคโปร์  ที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างกันในเดือนพฤษภาคมนี้  ซึ่งประเทศไทยควรเร่งดำเนินการในเรื่องวัคซีนเพื่อสร้างความมั่นใจ และทำให้สามารถเปิดเดินทางระหว่างประเทศได้เช่นกัน   ส่วนความคืบหน้าของธุรกิจผลิตและส่งออกถุงมือยาง ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานผลิตแรก ซึ่งคืบหน้าไปอย่างมาก และมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคมนี้ตามแผนที่วางไว้  โดยบริษัทยังมีออเดอร์จากต่างประเทศเข้ามาจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง​​ จึงถือว่าเป็นการปรับตัวทางธุรกิจ เพื่อรับกับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสมที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้บริษัทมากขึ้น
แสนสิริ ปรับเป้าเพิ่มยอดขาย-โอน 31,000 ล้าน พร้อมเปิดขายคอนโดใหม่ “เดอะมูฟ”

แสนสิริ ปรับเป้าเพิ่มยอดขาย-โอน 31,000 ล้าน พร้อมเปิดขายคอนโดใหม่ “เดอะมูฟ”

แสนสิริ ประกาศปรับเป้ายอดโอน-ยอดขาย เพิ่มเป็น 31,000 ล้าน หลัง 4 เดือนแรก ทำยอดขาย​-ยอดโอนได้เป็นที่น่พอใจ เตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดแบรนด์เดอะมูฟ ใน 4 ทำเล จับตลาดคนรุ่นใหม่นักศึกษา- First Jobber   นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ได้ปรับเป้าหมารับเป้ายอดขายและยอดโอนปี 64 จากเป้ายอดขายเดิม 26,000 ล้านบาท เป็น 31,000 ล้านบาท และเป้ายอดโอนจาก 27,000 ล้านบาท เป็น 31,000 ล้านบาท หลังจากการดำเนินธุรกิจในช่วง 4 เดือนแรกที่ผ่านมา เห็นสัญญาณ​ถึงดีมานต์ที่อยู่อาศัยที่ตลาดต้องการและทิศทางตลาดอสังหาฯ ในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยในราคาเข้าถึงได้ ทั้งในช่วงโควิดและหลังตลาดฟื้นตัว   โดยล่าสุด แสนสิริมียอดขาย​ 12,500 ล้านบาท และมียอดโอนอยู่ที่ 8,100 ล้านบาท ถือว่าทำผลงานในระดับที่ดี ใน 4 เดือนแรกของปี ภายใต้การดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง ในสภาวะตลาดที่ยังผันผวนสูง ในสถานการณ์ที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด จากการมองตลาดเร็วและพร้อมปรับตัวเร็วรองรับทุกสถานการณ์  แสนสิริจึงพร้อม Speed to Market ด้วยการปรับเป้าหมายยอดขายและยอดโอนรองรับการกลับมาของตลาด ก่อนเปิดประเทศและเศรษฐกิจฟื้น สำหรับในไตรมาส 2 แสนสิริ มีแผนการเปิดตัว 7 โครงการใหม่ รวมมูลค่า  4,300 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเล็งปรับแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมในปีนี้ หลังมองเห็นตลาดที่มีศักยภาพ ในกลุ่มคอนโดพร้อมอยู่ ตอบโจทย์ New Normal ในราคาที่ต้องเข้าถึงได้ในทำเลที่ดี จึงวางแผนเปิดการขายโครงการคอนโด แบรนด์ The Muve (เดอะ มูฟ)  ใน 4 ทำเลย่าน “เกษตร-รัชดา-ราม-บางนา” ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม และมิถุนายนของปีนี้ ซึ่งเป็นคอนโดราคาเริ่มต้นที่ 1.29 ล้านบาท เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ทั้งกลุ่มนักศึกษาและ First Jobber ที่มีการวางแผนชีวิตเพื่อพุ่งไปสู่เป้าหมายและไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่ง   สำหรับกลยุทธ์การตลาดในช่วงโควิด ทุกโครงการของแสนสิริ ยังพร้อมเปิดให้ลูกค้าเข้าเยี่ยมชมโครงการในรูปแบบ Private Tour ซึ่งมีความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวสูง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยสูงสุดในช่วงโควิด เพียงลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ก่อนเข้าเยี่ยมชมโครงการแบบ Appointment Only เพื่อความมั่นใจของลูกค้าที่จะเข้าเยี่ยมชมโครงการ และเป็นเจ้าของบ้านแสนสิริได้ง่าย  ด้วยการซื้อขายครบทุกช่องทาง ตั้งแต่เลือกซื้อไปจนถึงจอง ด้วย Sansiri Multi-Channel เลือกซื้อและเยี่ยมชมโครงการด้วย Sansiri Virtual Sales Gallery เยี่ยมชมโครงการเสมือนจริงบน www.sansiri.com, แสนสิริ ไลน์ ออฟฟิเชียล นอกจากนี้ แสนสิริใช้กลยุทธ์ ​ Cash flow Strategy จากการบริหารจัดการสต็อคที่อยู่อาศัยที่ดี ทำให้บริษัทมีสต็อกบ้านเดี่ยวเพียงพออีกประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งหากสถานการณ์กลับมาฟื้นตัว แสนสิริจะมีที่อยู่อาศัยพร้อมรองรับความต้องการจากลูกค้าได้มากที่สุด แสนสิริยังมียอดขายรอโอน (รวมโครงการร่วมทุน) รองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 3 ปี อีกถึง 31,380 ล้านบาท พร้อมสภาพคล่องในมือีกกว่า 15,000 ล้านบาท  สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางการเงิน แสนสิริมองแง่บวกถึงทิศทางข้างหน้า และต้องปรับตัวให้เร็ว รองรับความต้องการลูกค้าและการกลับมาของตลาด ก่อนเปิดประเทศและเศรษฐกิจเริ่มฟื้น เพื่อพร้อมวิ่งก่อนใคร  
การเคหะฯ ออก 3 มาตรการช่วยลูกค้าเก่า-ใหม่  จัดโปรฯ ลดดอกเบี้ย-ค่างวด ปรับโครงสร้างหนี้

การเคหะฯ ออก 3 มาตรการช่วยลูกค้าเก่า-ใหม่ จัดโปรฯ ลดดอกเบี้ย-ค่างวด ปรับโครงสร้างหนี้

การเคหะแห่งชาติ ออก 3 มาตรการช่วยเหลือลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบันและลูกค้าใหม่ เพื่อบรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19 พร้อมจัดโปรฯ กระตุ้นยอดขาย ทั้งยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยให้กับประชาชน   นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid - 19) ในปัจจุบัน ส่งผลให้หลายครอบครัวได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและประสบปัญหารายรับไม่พอกับรายจ่าย โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีความห่วงใยประชาชนท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว จึงมอบหมายให้การเคหะแห่งชาติหาแนวทางลดภาระค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบันและลูกค้าใหม่ของการเคหะแห่งชาติ ด้วยการจัด 3 มาตรการช่วยเหลือลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบัน 3 มาตรการช่วยลูกค้า สำหรับมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบัน มี 3 มาตรการ ได้แก่ มาตรการที่ 1​ ลดอัตราดอกเบี้ย การเคหะฯ​ ลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้าเช่าซื้อและขยายระยะเวลาผ่อนชำระ มีหลักเกณฑ์เงื่อนไข ดังนี้ 1.ลูกค้าสัญญาเช่าซื้อที่ไม่มีหนี้ค้างชำระ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อคงเหลือ 6.50% ทุกประเภทสัญญา (สัญญาเช่าซื้อ ประนอมหนี้ ที่ดินส่วนเกินฯ) กรณีสัญญาแนบที่มีอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 6.50% ใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม 2.ขยายระยะเวลาสัญญาเช่าซื้อรวมที่ผ่อนมาแล้วเป็นไม่เกิน 30 ปี เมื่อรวมกับอายุผู้เช่าซื้อไม่เกิน 70 ปี กรณีอายุเกิน 70 ปี ให้ใช้ระยะเวลาตามสัญญาเดิม ลูกค้าสามารถเลือกระยะเวลาการผ่อนชำระสั้นกว่าเกณฑ์ที่กำหนดได้ มาตรการที่ 2 ปรับโครงสร้างหนี้ การเคหะฯ ได้มีการปรับโครงสร้างหนี้ลูกค้าเช่าซื้อ ที่มีหนี้ค้างชำระทุกอัตราดอกเบี้ย มีหลักเกณฑ์เงื่อนไข ดังนี้ 1.ลูกค้าที่มีหนี้ค้างชำระที่การเคหะแห่งชาติได้บอกเลิกสัญญาแล้วหรือยังไม่บอกเลิกสัญญา 2.ปรับโครงสร้างหนี้ พร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อคงเหลือ  6.50% ทุกประเภทสัญญา (สัญญาเช่าซื้อ ประนอมหนี้ ที่ดินส่วนเกินฯ) กรณีสัญญามีอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 6.50% ใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม 3.ขยายระยะเวลาสัญญารวมที่ผ่อนมาแล้วเป็นไม่เกิน 30 ปี เมื่อรวมกับอายุผู้เช่าซื้อไม่เกิน 70 ปี กรณีอายุเกิน 70 ปี ให้ใช้ระยะเวลาตามสัญญาเดิม ลูกค้าสามารถเลือกระยะเวลาการผ่อนชำระสั้นกว่าเกณฑ์ที่กำหนดได้ มาตรการที่ 3  ให้ส่วนลดค่างวดเช่าซื้อ การเคหะฯ ได้ให้ส่วนลดค่างวดเช่าซื้อ จำนวน 1,000 บาท โดยมีหลักเกณฑ์เงื่อนไข ได้แก่ ให้ส่วนลดลูกค้าเช่าซื้อที่มีอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 6.50% และเป็นลูกค้าเช่าซื้อที่ทำสัญญาเช่าซื้อก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 และต้องชำระค่าเช่าซื้อให้เป็นปัจจุบันโดยไม่มีหนี้ค้างชำระ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 โดยจะได้รับส่วนลดค่าเช่าซื้อจำนวน 1,000 บาท เพียงครั้งเดียว ทั้งนี้ การเคหะฯ​​ จะให้ส่วนลดโดยอัตโนมัติในเดือนกรกฎาคม 2564 กรณีค่างวดเช่าซื้อต่ำกว่า 1,000 บาท ให้ส่วนลดเท่ากับค่างวดเดือนกรกฎาคม 2564 สำหรับวิธีการขอรับสิทธิตามมาตรการช่วยเหลือสำหรับลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบัน  เพื่อเป็นการปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ตามมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามนโยบายของรัฐบาลและศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) การเคหะฯ ​จึงจัดให้มีการลงทะเบียนนัดหมาย วันทำสัญญาเช่าซื้อผ่าน Website ของการเคหะฯ ​ www.nha.co.th หรือลงทะเบียนผ่าน Application บน Smart Phone   ทั้งนี้ลูกค้าที่ไม่มี Smart Phone สามารถติดต่อ Call Center 1615 หรือสำนักงานเคหะนครหลวง หรือสำนักงานเคหะจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ทำการลงทะเบียนนัดหมายแทน สำหรับระยะเวลาลงทะเบียนเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน - 30 พฤศจิกายน 2564  โดยการเคหะฯ จะส่งข้อความ (SMS) แจ้งผลให้ลูกค้าทราบผลการลงทะเบียนนัดหมาย และจะเรียกมาทำสัญญาเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม - 30 ธันวาคม 2564 วันจันทร์ - วันเสาร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยจะนัดหมายทำสัญญา รอบเช้าตั้งแต่เวลา 09.00 - 12.00 น. จำนวน 10 ราย และรอบบ่าย เวลา 13.00 - 16.00 น. จำนวน 10 ราย ต่อสำนักงานเคหะนครหลวง สำนักงานเคหะจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ จัด 3 โปรโมชั่น ลูกค้าใหม่ ส่วนมาตรการให้ความช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าใหม่ การเคหะฯ ​ได้กําหนดโปรโมชัน 3 รูปแบบ โดยมีระยะเวลาตั้งแต่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564 ได้แก่ 1.โปรโมชันดอกเบี้ยเช่าซื้อ 0 % ในปีที่ 1สําหรับลูกค้าที่สถาบันการเงินปฏิเสธสินเชื่อ วางเงินจองเริ่มต้น 99 บาท เฉพาะโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จหรือใกล้แล้วเสร็จ พร้อมส่งมอบภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 2.โปรโมชัน  ลดราคา (Shock Price) เฉพาะโครงการบ้านเอื้ออาทร 56 โครงการ ให้ส่วนลดพิเศษประมาณ  5 - 20% ของราคาขายเงินสดเดิม ราคาเริ่มต้น 250,000 - 520,000 บาท จองเพียง 99 บาท 3.โปรโมชันบ้านเช่าราคาพิเศษ สำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทรและเคหะชุมชน จำนวน 84 โครงการ โดยมีอัตราค่าเช่าในปีแรก ดังนี้ -บ้านพร้อมที่ดินอัตราค่าเช่า 1,200 บาท/เดือน -ห้องชุดขนาด 30 - 40 ตารางเมตร ชั้น 1-2 อัตราค่าเช่า 1,200 บาท/เดือน ส่วน ชั้น 3 - 5 อัตราค่าเช่า 999 บาท/เดือน -ห้องชุดขนาด 24 ตารางเมตร อัตราค่าเช่า 599 บาท/เดือน   โดยการเคหะฯ ​เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมิเตอร์ น้ำ - ไฟ และค่าส่วนกลางในปีแรก ทั้งลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบันและลูกค้าใหม่สามารถสอบถามรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวได้ที่ Call Center 1615 หรือสำนักงานเคหะนครหลวง สำนักงานเคหะจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ
ASW เทรดวันแรกเปิดราคาพุ่งเหนือจอง 20.16%  วางเป้ามาร์เก็ตแคปติดท็อป 10 กลุ่มอสังหาฯ

ASW เทรดวันแรกเปิดราคาพุ่งเหนือจอง 20.16% วางเป้ามาร์เก็ตแคปติดท็อป 10 กลุ่มอสังหาฯ

หุ้น ASW ของ​แอสเซทไวส์ เทรดวันแรก เปิดราคา 11.80 บาท บวกเพิ่มขึ้น 20.16% เทียบราคาไอพีโอ 9.82 บาท/หุ้น บิ๊กบอส "กรมเชษฐ์” พร้อมเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามแผนปีละ 5-7 โครงการ ปั้นผลงานเติบโตต่อเนื่องปีละกว่า 20% หนุนผลงานสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง หวังติดท็อป 10 มาร์เก็ตแคปติดของกลุ่มอสังหาฯ   นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์  จำกัด (มหาชน) (ASW) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (วันที่ 28 เมษายน 2564 ) หุ้น ASW ของบริษัทได้ทำการเปิดการซื้อขาย​ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก ปรากฏว่าสามารถเปิดตลาดยืนเหนือราคาจองซื้อที่ราคา 11.80 บาท เพิ่มขึ้น หรือ 20.16 % เทียบราคาไอพีโอ 9.82 บาท/หุ้น  ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างแข็งแกร่ง มีอัตราการทำกำไรขั้นต้น (ย้อนหลัง 3 ปี ) อยู่ในระดับสูง 30.7- 44.2%  จากควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารงานของทีมงานที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 16 ปี ทำให้มีความเข้าใจในตลาดและออกโปรดักส์ได้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในทุกเซกเมนต์   โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทเตรียมนำไปใช้สำหรับพัฒนาโครงการระหว่างปี 2564-2567 รวมไปถึงคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ บริษัทมีโครงการในอนาคตพร้อมพัฒนาและขายใน 4-5 ปีข้างหน้าจำนวน 11 โครงการมูลค่า 21,202 ล้านบาท โดยในปีนี้มีแผนเปิดตัว 6 โครงการมูลค่า 10,850 ล้านบาท ซึ่งแต่ละปีวางแผนจะเปิดโครงการใหม่ประมาณ 5-7 โครงการ ในทำเลกรุงเทพฯ เป็นหลัก สำหรับแนวโน้มการเติบโต บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา บริษัทสามารถดำเนินงานเติบโตไม่ต่ำกว่าปีละ 20% จึงวางเป้าหมายการเติบโตในอนาคตไม่ต่ำกว่าผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ด้วยกลยุทธ์การดำเนินงานเน้นใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การบริหารงานที่มีความยืดหยุ่น (Dynamic) 2.การมีแบรนด์สินค้าหลากหลาย จับกลุ่มเป้หมายหลายกลุ่ม และหลายระดับราคา และ 3.การกระจายทำเลไปยังหลายพื้นที่เพิ่มมากขึ้น เช่น จังหวัดชลบุรี รวมถึงการพัฒนาสินค้าหลายรูปแบบ ทั้งโครงการคอนโดไฮไลส์ คอนโดโรว์ไรส์  และโครงการแนวราบ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงอย่างหนึ่ง   โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 5,302 ล้านบาท และปีนี้จะมีโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จอีกกว่า 6,000 ล้านบาท ปัจจุบันยังมีโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างและเปิดการขายรวม 8 โครงการ มูลค่า 11,377 ล้านบาท และโครงการในอนาคตอีก 11 โครงการ มูลค่า 21,202 ล้านบาท   อย่างไรก็ตาม จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน บริษัทได้หันมาทำการตลาดและการขาย  ด้วยการเน้นช่องทางออนไลน์ ซึ่งได้ปรับตัวมาตั้งแต่การแพร่ระบาดในรอบแรก ซึ่งแนวทางการทำตลาดและการขายในปีนี้ บริษัทเน้นการจัดทำโปรโมชั่น และรายการส่งเสริมการขาย ทั้งในส่วนของแพ็กเกจห้องพักตกแต่งพร้อมเข้าอยู่ การได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ รวมถึงการพัฒนาโครงการในระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่ยังมีความต้องการ นอกจากนี้ ยังเน้นการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคโควิด-19 ด้วย ​ นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันคาดหวังให้รัฐบาล มีมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ใน 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การขยายฐานกลุ่มราคาที่อยู่อาศัยในระดับราคา 5-10 ล้านบาท จากปัจจุบันที่อยู่อาศัยที่จะได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการของภาครัฐ คือ ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และ 2.อยากให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนเงินสนับสนุนการพัฒนาโครงการ สำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก โดยผ่านสถาบันการเงิน เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายเล็ก มีความสามารถทางด้านการแข่งขัน และพัฒนาโครงการให้สอดคล้องกับกลไกลตลาดอสังหาฯ ได้เพิ่มมากขึ้น   ในอนาคต ASW มีเป้าหมายสู่การเป็นบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคป ติดอันดับ 1 ใน 10 ของหุ้นกลุ่มอสังหาฯที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้านนางศิริพร เหล่ารัตนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ  บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินกล่าวว่า การเข้าเทรดในวันแรกได้รับการตอบรับอย่างคึกคัก ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยพื้นฐานที่มีความแข็งแกร่งของบริษัทฯ และการกำหนดราคาขายหุ้นไอพีโอที่มีความเหมาะสม ซึ่งในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน มีความภูมิใจอย่างยิ่ง และถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของบริษัทฯ ที่จะสามารถนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนในครั้งนี้ไปต่อยอดธุรกิจ สร้างความแข็งแกร่งพร้อมทั้งผลักดันการเติบโตให้เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ รวมทั้งเชื่อว่า ASW จะเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจ และจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้ในอนาคต
“เซ็นทรัลพัฒนา” เสนอตัว ใช้ 23 ศูนย์การค้าเป็นพื้นที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 

“เซ็นทรัลพัฒนา” เสนอตัว ใช้ 23 ศูนย์การค้าเป็นพื้นที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 

เซ็นทรัลพรัฒา เสนอตัวใช้ 23 ศูนย์การค้าทั่วประเทศ เป็นพื้นที่จัดฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19  หลังใช้​ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ระยอง เป็นต้นแบบการฉีดวัคซีนก่อนหน้า  พร้อม 3 แนวทางโรดแมปกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อ​   นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) เปิดเผยว่า ได้เสนอให้ใช้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเป็นพื้นที่สำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เนื่องจากซึ่งมีพื้นที่ใหญ่ บริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีมาตรการสะอาดปลอดภัย ไม่แออัด สะดวก และกระจายอยู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยเห็นว่า​การเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้กลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนในการหาแนวทางเพื่อจัดหาวัคซีนให้กับพนักงานของบริษัทและร้านค้า ที่ต้องให้บริการใกล้ชิดกับลูกค้าอย่างเร่งด่วน และสนับสนุนโครงการจัดหาวัคซีนของภาคเอกชน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของภาครัฐ และเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ประเทศไทยไปสู่จุดที่เกิด ‘ภูมิคุ้มกันหมู่’ (Herd Immunity) สร้างสุขอนามัยและความแข็งแรงให้กับประชาชนทั่วประเทศต่อไปโดยเร็วที่สุด”   นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  กล่าวว่า บริษัทฯ จึงได้วางแผนโรดแมปในการช่วยลดภาระภาครัฐในด้านสุขภาพของคนไทย พร้อมช่วยเหลือธุรกิจต่าง ๆ และฟื้นฟูความเชื่อมั่น เดินหน้าเศรษฐกิจของประเทศต่อไปเพื่อผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ใน 3 แนวทาง ได้แก่ 1.แนวทางเร่งด่วนเพื่อรอดพ้นในระยะยาว สนับสนุนพื้นที่ศูนย์การค้าเพื่อเร่งฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญให้คนไทยกลับมาใช้ชีวิตปกติ และฟื้นเศรษฐกิจในระยะยาวได้ 1.1ใช้เซ็นทรัล 23 สาขา เป็นพื้นที่ฉีดวัคซีน ศูนย์การค้าเซ็นทรัลได้มีการศึกษาและมีความพร้อมเต็มที่ในการเสนอให้ใช้พื้นที่ศูนย์การค้าของเรารวม 23 สาขา (จาก 33 สาขาทั่วประเทศ) ที่มีศักยภาพในการให้บริการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้ เพื่ออำนวยความสะดวกและเร่งการฉีดวัคซีนให้ประชาชนทุกภูมิภาคอย่างรวดเร็วที่สุด โดยเรามีต้นแบบการใช้ศูนย์การค้าเป็นพื้นที่ฉีดวัคซีนเป็นแห่งแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2564 ที่ เซ็นทรัล ระยอง โดยร่วมกับโรงพยาบาลระยอง ได้รับผลตอบรับที่ดีและมีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ 1.2มีแผนในการสนับสนุนการฉีดวัคซีน ให้กับพนักงานบริษัทและร้านค้าในศูนย์การค้าอย่างเร่งด่วน โดยเราได้นำร่องฉีดวัคซีนให้พนักงานที่ให้บริการลูกค้าของเซ็นทรัล ภูเก็ต ไปแล้ว ซึ่ง 85% ของพนักงานจะได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ภายในกลางเดือน พ.ค. 64 นี้ นับเป็นอัตราการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่มากกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่กำหนดไว้ที่ 70% เพื่อเตรียมเป็นศูนย์การค้าแรกของไทยที่พนักงานให้บริการลูกค้าได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 พร้อมทั้งร่วมมือกับจังหวัดภูเก็ต เป็น Role Model ในการเร่งฟื้นภาคค้าปลีกและการท่องเที่ยวต่อไปหลังสถานการณ์คลี่คลาย 2.แนวทางประคับประคองคนไทย ช่วยเหลือธุรกิจต่าง ๆ ในระหว่างที่สถานการณ์ยังวิกฤต 2.1กลุ่มคู่ค้าร้านค้าของศูนย์การค้าที่มีกว่า 15,000 รายทั่วประเทศ ช่วยเหลือดูแลค่าเช่าตามความเหมาะสมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 และเปิดโอกาสให้เข้าถึงช่องทางการขายแบบ Omnichannel เช่น Chat & Shop, Drive-Thru และ Take Away Delivery และแคมเปญกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง 2.2กลุ่มผู้ประกอบการ เปิดพื้นที่การขายแก่ผู้ได้รับผลกระทบฟรีกว่า 40,000 ตร.ม.เพื่อช่วยเหลือ SMEs, เกษตรกร, และอาชีพต่างๆ ด้วยการจัดงาน ตลาดผลไม้รวมใจ, Revival Market อย่างต่อเนื่อง 3.แนวทางฟื้นฟูความเชื่อมั่น สร้างพลังบวก และกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังคลี่คลาย 3.1กระตุ้นเงินสะพัดภายในประเทศ ด้วยการลดค่าครองชีพผู้บริโภค ผลักดันแคมเปญใหญ่ทั่วประเทศ "ไทยช่วยไทย รวมใจช้อป" ส่งเสริมการจับจ่ายในประเทศ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล 33 สาขาทั่วประเทศ พร้อมผนึกพันธมิตรทุกฝ่าย ทั้งธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล ร้านค้า และพาร์ทเนอร์ชั้นนำระดับประเทศ อีกทั้งวางแผนการตลาดแบบ omnichannel ต่อเนื่องอีกกว่า 100 แคมเปญครอบคลุมตลอด 3 ไตรมาส ถึงสิ้นปี 2564 3.2จับมือธุรกิจแบบ Cross-Value Chain เร่งฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว โรงแรมและการบริการทั้งระบบ โดยมี Success story จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2564 ในการวางกลยุทธ์สนับสนุน ไทยเที่ยวไทย ในจังหวัดต่างๆ เช่น เชียงใหม่, ภูเก็ต, พัทยา, สมุย ซึ่งช่วยสร้างเงินสะพัด และกระตุ้นเศรษฐกิจระดับมหภาคต่อเนื่องในธุรกิจต่างๆ ที่เกื้อหนุนกัน ในเวลาวิกฤตการณ์สำคัญเช่นนี้ เราคำนึงถึงความปลอดภัยและสุขอนามัยของทุกคนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  ในขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องสร้างความสมดุลให้ความช่วยเหลือดูแลประคับประคอง และสร้างเศรษฐกิจให้เข้มแข็งเติบโตต่อเนื่อง  
ดีเวลลอปเปอร์งัดแคมเปญ “ช่วยผ่อน” กระตุ้นยอดขายอสังหาฯ สู้พิษโควิด-19

ดีเวลลอปเปอร์งัดแคมเปญ “ช่วยผ่อน” กระตุ้นยอดขายอสังหาฯ สู้พิษโควิด-19

ดีเวลลอปเปอร์งัดแคมเปญ "ช่วยผ่อน" กระตุ้นยอดขายอสังหาฯ สู้พิษโควิด-19  LPN จัดหนักอัดโปรช่วยผ่อน 60 เดือน ขน 11 โครงการสร้างยอด 1,000 ล้าน หวังกระตุ้นยอดขายไตรมาส 3 หลังโควิดระรอก 3 ยังระบาดหนัก   ​เชื่ออีก 5 ปีสถานการณ์คลี่คลาย​   สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ ถือว่ารุนแรงที่สุด นับตั้งแต่ประเทศไทยต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดครั้งแรกในช่วงต้นปี 2563 ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน  ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 2,000 คนต่อวันต่อเนื่องกันหลายวัน และมีผู้เสียชีวิตสะสมมากกว่า 100 คนด้วย แม้ว่าจะตัวเลขดังกล่าวเมื่อเทียบกับหลายประเทศในโลก เมืองไทยเรายังถือว่าดีกว่ามาก แต่หากเปรียบเทียบกับผลงานการบริหารจัดการที่ผ่านมา ในครั้งนี้ถือว่ารุนแรงที่สุดแล้ว   แน่นอน สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้เพิ่มระดับความรุนแรงของผลกระทบ ต่อวิถีชีวิตและการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ภายในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ความมั่นใจในการดำเนินชีวิตและธุรกิจลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่การฉีดวัคซีนยังไม่ทั่วถึงและเป็นไปอย่างช้า ไม่ทันกับสถานการณ์และความรุนแรงที่เกิดขึ้น  อย่างไรก็ตาม ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป และธุรกิจก็ต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้า ภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ และการปรับตัวให้อยู่รอดให้ได้ภายใต้ภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น แคมเปญ “อยู่ฟรี” กระตุ้นยอดขาย  สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับผลกระทบไม่ต่างจากหลายธุรกิจ ก็ต้องใช้ความพยายามและปรับตัวให้สอดรับกับผลกระทบที่เกิดขึ้น ในระยะแรกของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่ดีเวลลอปเปอร์ปรับตัวและทำเป็นสิ่งแรก คือ การหยุดเปิดตัวโครงการใหม่ หันมาระบายสต็อกสินค้าในมือ เพื่อสร้างกระแสเงินสด โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม เพราะเป็นโครงการที่ต้องใช้ระยะเวลานานนับปีกว่าจะสามารถคืนทุน ต่างจากโครงการแนวราบ ที่คืนทุนได้เร็วกว่า และสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนยุคโควิด-19 ที่ต้องการพักอาศัยและใช้พื้นที่ของบ้านมากขึ้น ดีเวลลอปเปอร์จึงหันมาเน้นการขายโครงการแนวราบแทน   นอกจากนี้ ยังกระตุ้นดีมานด์และแรงจูงใจในการให้ผู้คนที่ต้องการซื้อบ้าน ออกมาจับจ่ายใช้สอย ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ด้วยแรงโปรโมชั่นสารพัด โดยเฉพาะการให้ลูกค้าอยู่ฟรี หรือการช่วยผ่อนค่างวดกับสถาบันการเงินแทนลูกค้า ซึ่งหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลุ่มแสนสิริ ถือเป็นดีเวลลอปเปอร์รายแรก ๆ ที่นำกลยุทธ์นี้มาใช้กระตุ้นยอดขาย นอกเหนือจากการลด แลก แจก แถม ที่ให้เป็นปกติแล้ว แม้ว่าการให้อยู่ฟรี หรือ การช่วยผ่อนค่างวดกับสถาบันการเงินจะไม่ใช่กลยุทธ์ใหม่ เพราะดีเวลลอปเปอร์หลายรายได้ใช้แคมเปญนี้มาก่อนหน้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มออริจิ้น กลุ่มเมเจอร์ดีเวลลอปเม้นท์ แต่ถือว่าภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังซื้อชะลอตัวและความเชื่อมั่นลดลง ก็นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จและได้รับความสนใจจากลูกค้าจำนวนมาก  เห็นได้จากการปล่อยแคมเปญ แสนสิริผ่อนให้​ 24 เดือน ของค่ายแสนสิริที่ทำออกมาหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก “ริชชี่” จัดให้อยู่ฟรี 60 เดือน หลังจากนั้น บรรดาดีเวลลอปเปอร์รายอื่น ๆ ก็เดินตามทางเดียวกันกับกลุ่มแสนสิริ ด้วยการออกแคมเปญการอยู่ฟรี หรือผ่อนชำระค่างวดกับสถาบันการเงินให้ลูกค้า เป็นระยะเวลาตั้งแต่ 1-3 ปี เพราะประเมินว่ากว่า เศรษฐกิจจะกลับมาเติบโตดีเหมือนก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด-19 น่าจะใช้ระยะเวลา 2-3 ปี  ซึ่งจะทำให้ลูกค้ากลับมามีกำลังซื้อและเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจเหมือนเดิม การจัดแคมเปญที่ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้โดยยังไม่ต้องจ่ายเงินในวันนี้ หรือจ่ายน้อยที่สุด ถือเป็นวิธีที่ถูกใจผู้บริโภค และตรงกับความต้องการของพวกเขามากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความต้องการจะซื้อที่อยู่อาศัย หรือวางแผนไว้แล้ว แต่ยังคงลังเลใจกับภาวะความไม่แน่นอนของสถาการณ์ที่เกิดขึ้น   ระยะเวลาที่ดีเวลลอปเปอร์ช่วยผ่อนชำระค่าบ้าน กับสถาบันการเงินให้ลูกค้าก่อน  ช่วงที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาประมาณ 12-36 เดือน แต่มีเพียงรายเดียวที่จัดแคมเปญให้ลูกค้าอยู่ฟรีมากที่สุดถึง 60 เดือน หรือ 5 ปี คือ บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY โดยจัดแคมเปญชื่อว่า  RICHY Double Choice ด้วยการนำ 10 โครงการมาจัดแคมเปญ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง และ ทาวน์โฮม อาทิ The Rich เอกมัย, The Rich เพลินจิต-นานา, The Rich สาทร-ตากสิน, Rich Park @ทริปเปิ้ลสเตชั่น ศรีนครินทร์, Rich Point @BTS วุฒากาศ และ The Rich BizHome สุขุมวิท 101 เป็นต้น ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี จนสามารถปิดการขายได้หลายโครงการ LPN ขน 11 โครงการช่วยผ่อน 60 เดือน สำหรับการแพร่ระบาดโควิด-19 ระรอก 3 นี้ กลยุทธ์ที่ดีเวลลอปเปอร์ยังคงนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด ยังคงเป็นการช่วยลูกค้าผ่อนชำระค่างวดกับสถาบันการเงิน หรือการอยู่ฟรี ซึ่งยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ค่ายแอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ได้เปิดตัวแคมเปญ “ช่วยผ่อนนานสูงสุด...5 ปี” พร้อมฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน เพื่อแบ่งเบาภาระการผ่อนบ้าน โดยบริษัทช่วยผ่อนค่างวดบ้านในช่วง 5 ปีแรกให้กับลูกค้า สูงสุดเดือนละ 13,000 บาท เมื่อซื้อห้องชุดกับคอนโดมิเนียมทั้ง 11 โครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ อาทิ 1.โครงการลุมพินี ซีวิว ชะอำ แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 26 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.38 ล้านบาท  2. ลุมพินี พาร์ค เพชรเกษม 98 แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 26 ตร.ม.ราคาเริ่มต้น 1.44 ล้านบาท  และ3. ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า - ริเวอร์วิว แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 26 ตร.ม.ราคาเริ่มต้น 1.58 ล้านบาท   นางปนัดดา ขจรศิลป์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)(LPN) เปิดเผยว่า  สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19​ ระลอกใหม่​ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นใจของผู้ซื้อบ้านต่อรายได้ในอนาคต ในขณะที่ยังมีความต้องการซื้อบ้านเพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งบริษัทช่วยแบ่งเบาภาระการผ่อนบ้าน ในช่วง 5 ปีแรก  เพราะเชื่อว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 น่าจะคลี่คลายแล้ว และเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นยอดขายของบริษัทในไตรมาสสองของปี 2564 โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท จากแคมเปญนี้   โดยลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะให้ LPN ช่วยผ่อน ตั้งแต่ระยะเวลา 30 เดือน ช่วยผ่อนสูงสุดเดือนละ 13,000 บาท ระยะเวลา 40 เดือน ช่วยผ่อนสูงสุดเดือนละ 9,750 บาท ระยะเวลา 50 เดือน ช่วยผ่อนสูงสุดเดือนละ 7,800 บาท หรือระยะเวลา 60 เดือน  ช่วยผ่อนสูงสุดเดือนละ 6,500 บาท เริ่มตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 พ.ค.2564 ในขณะเดียวกันแคมเปญดังกล่าวยังมอบส่วนลดสูงสุดถึง 35% ราคาพิเศษเริ่มต้นที่ 1.38 ล้านบาท และฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนสูงสุด 120,000 บาทด้วย เชื่อว่ายังจะมีดีเวลลอปเปอร์อีกหลายราย ที่เตรียมจัดแคมเปญการตลาดออกมา เพื่อเรียกยอดขายและกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้นกว่านี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงระบาดเพิ่มมากขึ้น มีจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสียชีวิตที่มีจำนวนสะสมมากกว่านี้ กำลังซื้อและความเชื่อมั่นของประชาชนส่วนใหญ่ ยังคงไม่กลับมาได้อย่างรวดเร็ว   แต่หากมีการฉีดวัคซีนจำนวนมาก และดำเนินการอย่างรวดเร็ว รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนใช้ได้ผลดี และรัฐบาลจัดการปัญหาการแพร่ระบาดต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อมั่นว่าโปรโมชั่นทางการตลาดอาจจะไม่ได้รุนแรงไปกว่านี้แล้ว แต่ทั้งนี้ก็คงขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมด้วย ว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้รวดเร็วแค่ไหน ซึ่งคงต้องรอดูฝีมือการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้กันต่อไป ​       ​​​
เช็คให้ชัวร์ !! ซื้อบ้านใหม่ vs สร้างบ้านเอง แบบไหนเหมาะกับคุณ?

เช็คให้ชัวร์ !! ซื้อบ้านใหม่ vs สร้างบ้านเอง แบบไหนเหมาะกับคุณ?

การมีบ้านเป็นของตัวเองถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายและความภาคภูมิใจในชีวิตของผู้บริโภคส่วนใหญ่ นอกจากจะมีคุณค่าทางจิตใจ เมื่อสร้างครอบครัวแล้ว การได้พักผ่อนในบ้านที่เพียบพร้อมโดนใจยังเปรียบเสมือนเป็นรางวัลตอบแทนจากการทำงาน นอกจากนี้อสังหาริมทรัพย์ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสามารถต่อยอดในอนาคตได้นอกเหนือจากการอยู่อาศัยอีกด้วย    แม้สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันจะส่งผลให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ ยังคงชะลอการใช้จ่ายเพื่อรอดูสถานการณ์ในอนาคต แต่ถือว่ายังพอมีสัญญาณบวกให้เห็น จากข้อมูลเรื่องดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมในเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมาของกระทรวงพาณิชย์ ที่พบว่า  มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาอยู่ที่ระดับ 47.5 จากระดับ 45.5 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันและในอนาคต (ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 40.2 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตอยู่ที่ระดับ 52.3) แสดงให้เห็นแนวโน้มกำลังซื้อของผู้บริโภคที่คาดว่าจะกลับมาในไม่ช้าเมื่อเศรษฐกิจปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น ขนาดและทำเล ปัจจัยเลือกซื้อบ้านคนยุคปัจจุบัน ข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัย โดยพิจารณาจากเรื่องเหล่านี้ -ขนาดที่อยู่อาศัยให้ความสำคัญ 48% -สิ่งอำนวยความสะดวก 44% -ความคุ้มค่าในการใช้จ่าย โดยพิจารณาจากราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอย 38%   ในขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ -ทำเลที่ตั้งให้ความสำคัญ 54% -ความสะดวกสบายจากการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ 50% -ความปลอดภัยในโครงการ 45% จะเห็นได้ว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ ยังคงให้ความสนใจไปที่การตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่ครบครันเป็นหลัก มากกว่าความสวยงาม โดยเฉพาะเรื่องทำเลที่ตั้ง และระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นสองอันดับแรกที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญสูงสุด ซื้อบ้านใหม่ vs  สร้างบ้านเอง​ อย่างไหนเหมาะกับคุณ อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญในการอยู่อาศัยไม่แพ้กัน คือ ความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย แม้เหตุผลที่หลายคนตัดสินใจเลือกซื้อบ้านใหม่จากโครงการบ้านจัดสรรเพราะต้องการความครบครันพร้อมอยู่อาศัยอย่างเบ็ดเสร็จ และประหยัดเวลาในการใช้ชีวิตหลาย ๆ ด้าน แต่ต้องไม่ลืมว่า “การเลือกซื้อบ้านใหม่” นั้น ผู้อยู่อาศัยจริงไม่ได้มีบทบาทในการวางระบบความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าบ้านใหม่ที่ซื้อมาตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้เพียงพอ ในขณะที่การจะตัดสินใจ “สร้างบ้านเอง” ก็มีความกังวลในเรื่องการควบคุมคุณภาพการก่อสร้างและการประสานงานกับผู้รับเหมา แล้วการมีบ้านหลังใหม่ในรูปแบบไหนที่เหมาะกับคุณมากกว่า   ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์  ได้นำเสนอข้อควรพิจารณาระหว่างการ “ซื้อบ้านใหม่” และ “สร้างบ้านเอง” เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้บริโภคที่ต้องการมีบ้านสามารถตัดสินใจเลือกบ้านที่ตรงใจและครอบคลุมทุกความต้องการของคนในครอบครัวได้มากที่สุด ข้อดี การซื้อบ้านใหม่  -ได้บ้านใหม่พร้อมเข้าอยู่ ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายกว่า การเลือกซื้อบ้านในโครงการใหม่จะมีราคาที่แน่นอน ซึ่งเป็นราคาที่ทางโครงการได้คำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นค่าที่ดิน ค่าก่อสร้าง ค่าบริหารจัดการต่าง ๆ รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านการขายและการตลาด ดังนั้นบ้านจัดสรรจึงค่อนข้างมีราคาที่ชัดเจนพอสมควร ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถวางแผนงบประมาณเพิ่มเติมในส่วนการตกแต่งภายในหรือค่าเฟอร์นิเจอร์ได้ง่ายขึ้น ต่างจากการสร้างบ้านเองที่ต้องมีการวางแผนค่าใช้จ่ายตั้งแต่ขั้นตอนการจ้างสถาปนิกเขียนแบบ จนกระทั่งการเลือกผู้รับเหมา นอกจากนี้ข้อดีของการซื้อบ้านจากผู้พัฒนาอสังหาฯ คือ เจ้าของบ้านไม่ต้องเหนื่อยมาลงแรงเองในขั้นตอนการก่อสร้างหรือคุมงาน ปล่อยให้เป็นความรับผิดชอบของผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้โดยตรง -ยื่นขอสินเชื่อได้ง่ายกว่า มาพร้อมโปรฯ ดึงดูดใจ การยื่นขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านในโครงการใหม่มักมีข้อเสนอที่ดึงดูดความสนใจมากกว่า เนื่องจากผู้พัฒนาอสังหาฯ มักจะมีการจับมือกับพันธมิตรที่เป็นธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ในการจัดทำโปรโมชั่น/แคมเปญการตลาดมานำเสนออย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นยอดขายและดึงดูดกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับมา เมื่อผนวกกับมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญไปที่การซื้อบ้านใหม่จากผู้พัฒนาอสังหาฯ เท่านั้น จึงทำให้การซื้อบ้านใหม่ในโครงการต่าง ๆ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจยิ่งขึ้นในช่วงนี้ มีความสะดวกสบายในขั้นตอนการดำเนินธุรกรรมและยื่นเอกสารขอสินเชื่อต่าง ๆ ซึ่งมีโอกาสกู้ได้วงเงินที่สูงกว่าด้วย -พื้นที่ส่วนกลางตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ อุ่นใจด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้านจัดสรรส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบให้รองรับการทำกิจกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยทุก Generation ทั้งในด้านการพบปะสังสรรค์หรือเป็นพื้นที่สร้างสรรค์สุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นโซนพักผ่อนหย่อนใจในสวนสาธารณะเน้นใกล้ชิดธรรมชาติที่นอกจากจะได้ความร่มรื่นจากต้นไม้แล้วยังช่วยกรองมลพิษอีกด้วย หรือการมีห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำ และพื้นที่ออกกำลังกายกลางแจ้งเพื่อสร้างสุขภาพที่ยั่งยืน นอกจากนี้ โครงการหมู่บ้านจัดสรรยังมีระบบดูแลรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ที่คอยตรวจตราความสงบเรียบร้อย คัดกรองและบันทึกข้อมูลการเข้า-ออกของบุคคลภายนอก และมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดทั่วบริเวณโครงการ ซึ่งช่วยให้ลูกบ้านมีความมั่นใจเมื่ออยู่อาศัยหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในหมู่บ้านมากขึ้น ข้อเสีย การซื้อบ้านใหม่  -ขยับขยายพื้นที่ลำบาก บ้านจัดสรรในโครงการต่าง ๆ มักจะมีการออกแบบแปลนบ้านมาตรฐานไว้อยู่แล้ว และในโครงการหนึ่งมักจะมีเพียงไม่กี่รูปแบบให้เลือก แน่นอนว่าย่อมไม่สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของทุกครอบครัวได้อย่างครบถ้วน เพราะไม่ได้ออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้งานจริงของครอบครัวนั้น ๆ โดยเฉพาะ นอกจากนี้เมื่อมีแผนขยายครอบครัวในอนาคตหากคิดจะขยับขยายหรือต่อเติมพื้นที่ใช้สอยเพิ่มก็เป็นเรื่องที่ลำบากและต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะที่ดินมีพื้นที่จำกัดและการต่อเติมต้องคำนึงถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อไม่ให้ละเมิดสิทธิของเพื่อนบ้าน รวมทั้งต้องตรวจสอบข้อตกลง/ข้อกำหนดของโครงการบ้านจัดสรรที่ได้บัญญัติไว้อีกด้วย เช่น ห้ามตกแต่ง ต่อเติม ขยายรั้วนอกที่ดิน หรือทาสีฉูดฉาดภายในระยะเวลาที่กำหนด -วัดดวงกับนิติบุคคล และเพื่อนบ้านในอนาคต โครงการบ้านจัดสรรจะมีนิติบุคคลเป็นตัวแทนหมู่บ้านคอยจัดประชุมตามวาระต่าง ๆ รักษาความสงบเรียบร้อยในการใช้งานทรัพย์สินส่วนกลาง และควบคุมการบังคับใช้กฎระเบียบของสมาชิกในหมู่บ้านเพื่อสร้างสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข จึงถือว่ามีบทบาทสำคัญและส่งผลต่อการอยู่อาศัยไม่น้อย หากเป็นโครงการอสังหาฯ จากผู้ประกอบการรายกลางหรือรายเล็กอาจมีการคัดเลือกทีมนิติบุคคลจากผู้อยู่อาศัยขึ้นมาเป็นตัวแทนในการดูแลบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ แทนลูกบ้าน ซึ่งอาจจะไม่มีประสบการณ์บริการจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบได้เทียบเท่าบริษัทรับบริหารนิติบุคคลมืออาชีพแน่นอน   นอกจากนี้ การเลือกซื้อบ้านใหม่ในโครงการบ้านจัดสรรจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเพื่อนบ้านที่ย้ายเข้ามาใหม่จะมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างไร หากต้องเผชิญปัญหากระทบกระทั่งระหว่างเพื่อนบ้านที่ไม่สามารถตกลงกันได้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวไม่น้อย ถ้านิติบุคคลไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการปัญหาให้จบด้วยดีได้ ก็เป็นอีกความท้าทายที่หลายคนไม่อยากเผชิญแน่นอน ข้อดี การสร้างบ้านเอง -ได้บ้านตรงตามอุดมคติ ออกแบบได้ในสไตล์ที่ถูกใจ การสร้างบ้านเองช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีความผูกพันกับบ้านและเพิ่มความภูมิใจเมื่อเป็นเจ้าของมากขึ้น เนื่องจากได้มีส่วนร่วมด้วยตนเองตั้งแต่การออกแบบบ้านในฝันออกมาเป็นรูปเป็นร่างเพื่อให้สถาปนิกเขียนแบบแปลน การเลือกออกแบบในสไตล์ที่ชอบ การคัดสรรวัสดุที่ใช้ รวมไปถึงเลือกผู้รับเหมาด้วยตัวเอง สามารถวางแผนตกแต่งในสไตล์ที่ชอบได้ตั้งแต่แรก ซึ่งจะลดปัญหาค่าใช้จ่ายในการรีโนเวทที่ตามมาในภายหลังได้ นอกจากผู้บริโภคที่สนใจสร้างบ้านเองจะได้บ้านใหม่ตรงตามที่วาดฝันและแน่นอนว่าบ้านนี้จะตอบโจทย์การอยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของสมาชิกในครอบครัวได้ครบถ้วนที่สุด -ได้บ้านในทำเลที่โดนใจ ท่ามกลางเพื่อนบ้านที่รู้ใจ ทำเลที่ตั้งของที่อยู่อาศัยมีผลต่อการตัดสินใจซื้อไม่น้อย แม้หลายโครงการบ้านจัดสรรจะมีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันแต่หากอยู่ในทำเลที่ไม่ดี เดินทางไม่สะดวกก็ถือว่าไม่ตอบโจทย์มากพอ เมื่อเมืองหลวงและหัวเมืองใหญ่มีการพัฒนาความเจริญในหลายด้านย่อมทำให้ทำเลทองบางแห่งมีราคาสูงตามไปด้วย หรือทำเลที่ดีบางแห่งอาจมีขนาดพื้นที่ไม่เพียงพอที่จะพัฒนาเป็นโครงการอสังหาฯ ขนาดใหญ่ ดังนั้นการที่ผู้บริโภคเลือกที่จะซื้อที่ดินในทำเลที่ดีและเป็นมงคลตามความเชื่อมาเก็บไว้ก่อนที่จะดำเนินการปลูกสร้างที่อยู่อาศัยในอนาคตจึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากที่ดินจะมีมูลค่าเพิ่มเรื่อย ๆ แม้จะเก็บไว้เป็นเวลานาน นอกจากนี้การสร้างบ้านในที่ดินตนเองทำให้รู้ว่าเพื่อนบ้านของเราเป็นใครบ้าง มีอุปนิสัยหรือประกอบอาชีพอะไร เพื่อประเมินสถานการณ์เบื้องต้นที่อาจเกิดขึ้นเมื่อย้ายเข้ามาอยู่อาศัย หรือหากใครมีที่ดินเปล่าในบริเวณใกล้เคียงกับบ้านญาติพี่น้องก็ถือเป็นข้อดี เพราะเมื่อก่อสร้างบ้านในที่ดินนั้นก็จะยิ่งเพิ่มความสบายใจและอุ่นใจ เมื่อได้อาศัยท่ามกลางเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกัน -ควบคุมคุณภาพบ้าน อัพเกรดความปลอดภัยได้ตามใจสั่ง การเลือกสร้างบ้านเองนั้นผู้บริโภคจะสามารถเลือกวัสดุที่ใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้บ้านได้ด้วยตนเองได้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่งานโครงสร้างจนถึงงานสถาปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วัสดุที่มีค่าการต้านทานความร้อนสูง มีคุณสมบัติทนไฟ หรือเสริมระบบป้องกันปลวก เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาหรือเหตุไม่คาดฝันในอนาคต แม้แต่บ้านที่อยู่ในทำเลที่มีความเสี่ยงในการเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ก็สามารถเลือกใช้การก่อสร้างแบบใหม่ที่ช่วยให้บ้านแข็งแรงยิ่งขึ้นและทนต่อการเกิดแผ่นดินไหวได้อีกด้วย นอกจากนี้ผู้อยู่อาศัยยังเลือกใช้เทคโนโลยีมาช่วยวางระบบความปลอดภัยในบ้านผ่านการติดตั้งกล้องวงจรปิด ระบบดักจับควัน ระบบดักจับการเคลื่อนไหวในบ้านเพิ่มเติมได้ แม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามระดับความปลอดภัยที่ได้รับเพิ่ม แต่จะช่วยให้เจ้าของบ้านอุ่นใจว่าได้เสริมเกราะป้องกันให้บ้านปลอดภัยและสามารถรับมือกับภัยธรรมชาติและการโจรกรรมที่ไม่คาดคิดได้ดีขึ้นอีกระดับ ข้อเสีย การสร้างบ้านเอง -เสี่ยงดวงกับผู้รับเหมา ต้องมีความรู้เรื่องก่อสร้าง การจ้างผู้รับเหมาถือเป็นความท้าทายอันดับต้น ๆ ของคนสร้างบ้าน เพราะไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่างานที่ได้จะออกมามีคุณภาพตามที่คิดหรือไม่ เนื่องจากการอ่านรีวิวสร้างบ้านตามสื่อต่าง ๆ อาจไม่สามารถนำมาวัดผลหน้างานจริงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือเมื่อเกิดปัญหาจุกจิกระหว่างการก่อสร้าง เจ้าของบ้านจะเรียกร้องให้ช่างแก้ไขได้มากน้อยเพียงใด หากเจ้าของบ้านไม่มีความรู้เลยก็อาจเสียเปรียบหรือโดนหลอกโกงสเปกวัสดุได้ง่าย ๆ งานที่ได้อาจไม่มีคุณภาพมากเพียงพอเท่าราคาที่เสียไป ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรหมั่นศึกษาหาความรู้พื้นฐานเรื่องการก่อสร้างอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นแนวทางในตรวจเช็กเอกสาร สเปกวัสดุ ตรวจสอบค่าใช้จ่ายในเอกสารแสดงรายการวัสดุและค่าใช้จ่าย (Bill of Quantities หรือ BOQ) เพื่อป้องกันการเสียรู้ให้ผู้รับเหมาในเบื้องต้น และต้องตกลงรายละเอียดงานและสัญญาว่าจ้างให้ชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดในภายหลัง -เสี่ยงงบบานปลาย ต้องวางแผนการเงินอย่างดี การเลือกสร้างบ้านเองนั้นแม้จะได้บ้านที่ถูกใจมากกว่า แต่แน่นอนว่าย่อมแลกกับการที่ต้องมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นทั้งในส่วนค่าที่ดิน ค่าออกแบบแปลน ค่าสถาปนิก ค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าแรงผู้รับเหมา รวมถึงค่าตกแต่งเพื่อความสวยงาม หากผู้บริโภคไม่มีประสบการณ์ในการรับมือปัญหาเหล่านี้ หรือไม่มีการวางแผนทางการเงินที่รัดกุมเพียงพออาจนำไปสู่ปัญหางบบานปลาย คุมค่าใช้จ่ายไม่อยู่ เนื่องจากค่าวัสดุอุปกรณ์มีการปรับเปลี่ยนตามเกรดและอาจมีการเบิกค่าใช้จ่ายที่ผู้รับเหมาไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หากไม่กำหนดเพดานค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนหรือสำรองเงินไว้เพียงพอ อาจเกิดปัญหาในภายหลังได้ ดังนั้น การเลือกทำบัญชีรายรับ–รายจ่ายเพื่อบันทึกค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่วางแผนมีบ้านจนเริ่มก่อสร้าง และอัพเดตงบประมาณที่ตั้งไว้ตลอดเพื่อประมาณการค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างได้ดีขึ้น   อย่างไรก็ตาม การมีบ้านเป็นของตัวเองนั้นไม่ว่าจะเลือกซื้อบ้านใหม่หรือสร้างบ้านเอง ผู้บริโภคต้องคำนึงเสมอว่าความต้องการของผู้อยู่อาศัยคือสิ่งสำคัญที่สุด แต่ต้องไม่ลืมว่าการพิจารณางบประมาณที่มีให้เหมาะสมกับการซื้อหรือสร้างบ้านก็เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน     ภาพประกอบ
โควิด-19 & ขยายเวลามาตรการภาษี  ทำราคาบ้านจัดสรรใหม่ Q2 ลดลง

โควิด-19 & ขยายเวลามาตรการภาษี  ทำราคาบ้านจัดสรรใหม่ Q2 ลดลง

REIC เผยราคาบ้านจัดสรรไตรมาสแรก ปรับตัวเพิ่มจากปลายปี 63 หลังลดต่ำมาต่อเนื่อง 3 ไตรมาส  แต่ยังต่ำกว่าก่อนเกิดโควิด-19 ขณะที่แนวโน้มราคาบ้านในไตรมาส 2 ได้อานิสงค์มาตรการรัฐ ทำต้นทุนผู้ประกอบการถูกลง และแรงกดดันจากไวรัสโควิด-19 ยังระบาด ส่งผลให้ราคาบ้านคาดปรับตัวลดลงต่ออีกเล็กน้อย   ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564  ที่ผ่านมา ว่ามีค่าดัชนีเท่ากับ 128.2 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2563   (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เริ่มเห็นการปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า 0.3% หลังจากที่ลดต่ำลงต่อเนื่องติดต่อกันมา 3 ไตรมาสในช่วงไตรมาส 2 ถึง 4 ปี 2563 ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ที่ยังมีการแพร่ระบาดต่อเนื่องไปในบางพื้นที่ อานิสงค์มาตรการรัฐ ทำราคาบ้านถูกลง​ ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า จากภาพรวมดัชนีได้สะท้อนว่า ในช่วงไตรมาส 2 ถึง 4 ปี 2563 เป็นช่วงที่ราคาบ้านจัดสรรใหม่ปรับลดต่อเนื่องจากโปรโมชั่นต่าง ๆ ของสต๊อกที่มีอยู่เดิมเป็นสำคัญ แต่สังเกตได้ว่าพอเข้าสู่ไตรมาส 1 ปี 2564 ก็กลับมีการปรับขึ้นสูงกว่าไตรมาส 4 ปี 2563 ประมาณ  0.3% ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรใหม่ ๆ ในช่วงที่ผ่านมาที่มีต้นทุนราคาที่ดินสูงขึ้น และเป็นสินค้าที่มีความต้องการในตลาดสูง แต่ราคาบ้านจัดสรรใน ไตรมาส 1 ปี 2564 ค่อนข้างชัดเจนว่าบ้านจัดสรรยังคงถูกกว่าต้นปี 2563 เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ยังคงรุนแรง ก็อาจทำให้ดัชนีราคาบ้านจัดสรรกลับมาปรับตัวลดลงเล็กน้อย หรือ ทรงตัวในไตรมาส 2 ปี 2564 ได้   สำหรับการที่รัฐบาลมีมาตรการในการขยายระยะเวลามาตรการการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และการจดจำนองสำหรับบ้านใหม่ ไปจนถึงสิ้นปี 2564 น่าจะมีผลต่อการกระตุ้นตลาดบ้านประเภททาวน์เฮ้าส์ เนื่องจากยังคงมีหน่วยขายระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลพอสมควร แต่สำหรับบ้านเดี่ยวน่าจะได้รับประโยชน์น้อย   นอกจากนี้ การเลื่อนประกาศอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปเป็นปี 2565 และลดการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเหลืออัตรา  10% ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการที่สำคัญในการช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการที่จะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเสนอขายบ้านจัดสรรในราคาต่ำลงได้ ดัชนีราคาบ้านจัดสรรปรับเพิ่ม 0.3% ดัชนีราคาบ้านจัดสรรในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.2 เลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3%   ทั้งนี้ เมื่อจำแนกดัชนีราคาบ้านจัดสรรตามพื้นที่ พบว่า พื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 127.1 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3% ขณะที่พื้นที่​ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 129.0 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.2% (ดูตารางที่ 3 และแผนภูมิที่ 1 - 3)   ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวปรับเพิ่ม 0.3% ส่วนดัชนีราคาบ้านเดี่ยว ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.4 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3%   โดยพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 125.7 ลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3% ขณะที่พื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.5 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน(YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ลดลง  0.2% (ดูตารางที่ 2 และแผนภูมิที่ 1 - 3) ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ปรับเพิ่มขึ้น 0.3% สำหรับดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 130.1 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3%  โดยพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.2 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)  เพิ่มขึ้น  0.2% ส่วนพื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 132.1 ลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.2% (ดูตารางที่ 3 และแผนภูมิที่ 1 - 3)   สำหรับรายการส่งเสริมการขายบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ พบว่า ส่วนใหญ่ 46.6% เป็นส่วนลดค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง รองลงมา  32.8%  เป็นของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ำ แท้งก์น้ำ ฯลฯ และ  20.5% เป็นส่วน ลดเงินสด  
แสนสิริ เผยโฉม สิริ เพลส ซีรีย์ใหม่ ทาวน์โฮม 2 สไตล์นิวยอร์กและเกียวโต

แสนสิริ เผยโฉม สิริ เพลส ซีรีย์ใหม่ ทาวน์โฮม 2 สไตล์นิวยอร์กและเกียวโต

แสนสิริ  เปิดตัว “สิริ เพลส” ซีรีย์ใหม่ “Dream Destination” ดีไซน์ ที่มากกว่าฟังก์ชัน เผยโฉม 2 โครงการล่าสุด ที่ได้แรงบันดาลใจจากเมืองท่องเที่ยว  2 สไตล์ นิวยอร์กและเกียวโต ที่สิริ เพลส บางนา-เทพารักษ์ และสิริ เพลส  วงแหวน-ลำลูกกา  พร้อมเตรียมเผยโฉมสิริ เพลส 6 โครงการใหม่ในปีนี้ครอบคลุมทุกทำเล  และวางเป้ายอดขายทาวน์โฮมในปีนี้ 3,600 ล้านบาท โตจากปีก่อน 24%   นายอาณัติ  กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI)  เปิดเผยว่า ในปีนี้แสนสิริมีแผนรุกพัฒนาโครงการแนวราบทั้งหมด 16 โครงการมูลค่ารวม 15,500 ล้านบาท แบ่งเป็นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่ารวม 5,500 ล้านบาท มิกซ์โปรเจกต์ 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,600 ล้านบาท และทาวน์โฮม 7 โครงการ มูลค่ารวม 7,400 ล้านบาท โดยทาวน์โฮมแบรนด์ “สิริ เพลส”  ยังคงเป็นหัวหอกหลักในการรุกตลาดทาวน์โฮมของแสนสิริในปีนี้ “นอกจากการรุกพัฒนาโครงการแนวราบ ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ในปีนี้ ไฮไลท์ที่สำคัญ ยังมาจากการพลิกโฉมครั้งสำคัญใน “ดีไซน์” ที่อยู่อาศัยโครงการแนวราบในทุกแบรนด์ ทั้งทาวน์โฮมแบรนด์สิริ เพลส บ้านและทาวน์โฮมแบรนด์อณาสิริ บ้านเดี่ยวแบรนด์ฮาบิเทีย สราญสิริ บุราสิริ และเศรษฐสิริ การเปิดตัว “BuGaan” เอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนซ์ เจาะกลุ่ม Young Successor รวมถึงการเปิดตัว New segment ทาวน์โฮมระดับบนในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจอย่างมากในปีนี้”   สำหรับแบนด์​สิริ เพลส ในปีนี้บริษัทวางแผนเปิดตัว 6 โครงการใหม่ครอบคลุมทุกทำเล มูลค่ารวม 5,900 ล้านบาท และวางเป้าหมายยอดขายทาวน์โฮมในปีนี้ไว้ 3,600 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 24% ซึ่งเชื่อมั่นว่า สิริ เพลส ซีรีย์ใหม่ Dream Destination ในทุกโครงการจะได้รับการตอบรับที่ดี จากการเป็นทาวน์โฮมที่พัฒนาจากความเข้าใจใน Customer Insight อย่างแท้จริง  ซึ่งนอกจากแรงบันดาลใจจากเมืองท่องเที่ยว นิวยอร์กและเกียวโต ใน 2 โครงการใหม่ สิริ เพลส บางนา-เทพารักษ์ และสิริ เพลส วงแหวน-ลำลูกกาแล้ว ยังมีแรงบันดาลใจด้านดีไซน์ จากเมืองท่องเที่ยวซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางในสไตล์อื่น ๆ ที่เตรียมเปิดตัวตามมาในปีนี้อีกด้วย      
ยอดโอนคอนโดต่างชาติปี 63 ต่ำสุดรอบ 3 ปี  ปิดตัวเลขแค่ 8,285 ยูนิต

ยอดโอนคอนโดต่างชาติปี 63 ต่ำสุดรอบ 3 ปี ปิดตัวเลขแค่ 8,285 ยูนิต

นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ได้รับผลกระทบมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เคยมีส่วนสำคัญ ต่อการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ ในกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียมไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่กรุงเทพฯ หรือตามหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทย ที่บางโครงการมียอดซื้อขายจนเต็มโควตาสัดส่วน 49% ของโครงการ แต่ปัจจุบันตัวเลขหดหายจนเป็นศูนย์ในบางโครงการ เพราะไม่สามารถเดินทางเข้ามาซื้อขายได้ ส่วนโครงการที่ซื้อไปก่อนหน้าก็ยังคงชะลอการโอนกรรมสิทธิ์ออกไปก่อน   โควิด-19 ทำยอดโอนลดลงกว่า 61% ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์คอนโด (คอนโดมิเนียม) ของคนต่างชาติ ทั่วประเทศปี 2563 ที่ผ่านมา​ พบว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2563 ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดคอนโด​ที่ขายให้กับคนต่างชาติ  เนื่องจากได้มีการล็อกดาวน์การเดินทางเข้า-ออกประเทศ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติ ทำให้ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 เป็นช่วงที่มีการเคลื่อนไหวในส่วนของการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดเพียง 1,162 ยูนิต โดยลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562  อัตรา 61.1% และมีมูลค่าลดลงเหลือ 5,073 ล้านบาท หรือลดลง 54.3%   ต่อมา ในไตรมาสที่ 3-4 สถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยเป็นผลมาจากความพยายามแก้ปัญหาของผู้ประกอบการ เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อชาวต่างชาติสามารถทำการรับโอนกรรมสิทธิ์คอนโดที่สร้างเสร็จพร้อมโอนได้ โดยเพิ่มเป็น 1,885 ยูนิต มูลค่ารวม 9,381 ล้านบาทในไตรมาส 3 และจำนวน 2,592 ยูนิต มูลค่ารวม 12,730 ล้านบาท ในไตรมาสสุดท้าย ส่งผลให้ทั้งปี 2563 มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 8,285 ยูนิต มูลค่า 37,716 ล้านบาท  โดยจำนวนยูนิตต่ำกว่าปี 2562  35.3% และมูลค่าลดลง 25.5%   แผนภูมิแสดงจำนวนยูนิตและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติทั่วประเทศ รายไตรมาส   ที่มา :     กรมที่ดิน รวบรวมประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์   แผนภูมิแสดงจำนวนยูนิตและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติทั่วประเทศ รายปี ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สัดส่วนต่างชาติต่ำสุดในรอบ 3 ปีเหลือ 6.8% ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า หากเปรียบเทียบจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติ เทียบกับคนไทย พบว่า ในปี 2561 คนต่างชาติเคยมีสัดส่วนการโอนกรมมสิทธิ์คิดเป็น 10.1% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด และมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วน 16.3% ของมูลค่าทั้งหมด ต่อมาในปี 2562 มีสัดส่วนลดลงเหลือ 9.9% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด และ 15.5% ของมูลค่าทั้งหมด และมีสัดส่วนต่ำสุด เหลือเพียง 6.8% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด และ 12.1% ของมูลค่าทั้งหมดในปี 2563   ระดับราคาคอนโดที่คนต่างชาติมีการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2561 – 2563) ส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท และราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท โดยทั้งสองระดับราคาจะมีสัดส่วนจำนวนยูนิตใกล้เคียงกันคือ 23.2% และ 23.0% ตามลำดับ แต่เมื่อพิจารณาด้านมูลค่าการโอน พบว่า คอนโดระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท จะมีสัดส่วนมูลค่าสูงสุดถึง 28.5%   สัดส่วนจำนวนยูนิตและมูลค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2561 – 2563) แยกตามระดับราคาคอนโด ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กทม.เมืองหลักต่างชาติซื้อคอนโด จังหวัดที่มีจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติมากที่สุดในปี 2563 ใน 10 ลำดับแรก ซึ่งมีสัดส่วนจำนวนยูนิตรวมกันมากถึง  99.7% และมีสัดส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์รวมกันมากถึง  99.8% ส่วนที่เหลืออีก 20 จังหวัดมีสัดส่วนจำนวนยูนิตเพียง 0.3% และสัดส่วนมูลค่ารวมกัน 0.2% 3 จังหวัดแรกที่มีการโอนกรรมสิทธ์ของคนต่างชาติมากที่สุด ได้แก่ 1.กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีสัดส่วนจำนวนยูนิตมากถึง 57.1% และมีสัดส่วนมูลค่าการโอนมากถึง 73.5% เกินกว่าครึ่งหนึ่งของการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติทั่วประเทศ 2.จังหวัดชลบุรี มีสัดส่วนจำนวนยูนิต  24.9% แต่มีสัดส่วนมูลค่า 14.2 3.จังหวัดภูเก็ต มีสัดส่วนจำนวนยูนิตเพียง  4.7% แต่มีสัดส่วนมูลค่า  4.6%   จังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมากที่สุด 10 ลำดับแรก (เรียงตามจำนวนยูนิตปี 2563) ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ชาวจีนครองแชมป์สัดส่วนโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด สัญชาติของคนต่างชาติที่ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมากที่สุด 10 อันดับแรก ในปี 2563 เปรียบเทียบกับปี 2562 ซึ่งสัญชาติของคนต่างชาติของทั้งสองปีมีรายชื่อ 10 ประเทศที่เหมือนกัน โดยอันดับแรก เป็นชาวจีน ซึ่งเป็นคนต่างชาติที่มีการรับโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมากที่สุด โดยในปี 2562 มีสัดส่วนการโอน 59.6% ของจำนวนยูนิต และเพิ่มสัดส่วนเป็น 63.4% ในปี 2563 อันดับสอง เป็นชาวรัสเซีย มีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2563 4.7% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด แต่ลดลงจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วน 6.2% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด อันดับสาม เป็นชาวฝรั่งเศส สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2563  3.4% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วน  3.1% อันดับสี่ เป็นชาวสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2563  3.1% ของจำนวนยูนิต สัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วน 3.0% อันดับห้า เป็นชาวเยอรมัน สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2563  2.5% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วน  2.2% ตารางแสดงสัญชาติคนต่างชาติที่มีการรับโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมากที่สุดในปี 2562 - 2563 ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์    
มาตรการรัฐกระตุ้นตลาดคอนโดกทม.โอนกรรมสิทธิ์เพิ่ม1.1% 

มาตรการรัฐกระตุ้นตลาดคอนโดกทม.โอนกรรมสิทธิ์เพิ่ม1.1% 

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานดัชนีราคาห้องชุด (คอนโดมิเนียม) ใหม่ ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 152.2 จุด ลดลง 0.8% ลดลงเป็นไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยเป็นการลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2563   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่าการที่รัฐบาลได้ขยายระยะเวลามาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และการจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ไปจนถึงสิ้นปี 2564 สามารถกระตุ้นการซื้อขายคอนโดได้ โดยดูจากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดใหม่ที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในปี 2563 ทั่วประเทศลดลงเพียง 1.5% จากปี 2562 แต่ภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ทุกระดับราคาทั่วประเทศลดลงถึง 8.5% สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ– ปริมณฑล มีสัดส่วนเฉลี่ยการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดถึง  80% ของทั้งประเทศ​ ซึ่งกรุงเทพฯ– ปริมณฑลถือว่าเป็นตลาดหลักสำหรับอาคารชุดในประเทศไทย โดยในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมามีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดใหม่ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับปี 2562 ได้สะท้อนให้เห็นว่า มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และการจดจำนองที่ผ่านมาในปี 2563 สามารถช่วยระบายจำนวนคอนโดในตลาดให้ผู้ประกอบการได้ดีพอสมควร และภาวะที่จำนวนคอนโดในตลาดลดลง ได้ส่งผลเริ่มเห็นทิศทางราคาคอนโดใหม่เริ่มปรับตัวขึ้น   โดยค่าดัชนีราคาคอนโดใหม่ไตรมาส 1 ของปี 2564 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)  ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นไตรมาสแรกหลังจากลดลงต่อเนื่องติดต่อกันมาถึง 4 ไตรมาส แต่หากเทียบกับราคาคอนโดใหม่ไตรมาส 1 ของปี 2563 พบว่า ค่าดัชนีราคาคอนโดใหม่ยังคงต่ำกว่าปีก่อน 0.8% ซึ่งหมายความได้ว่า ราคาขายคอนโดที่เสนอขายอยู่ในตลาด ยังคงอยู่ในระดับราคาที่มุ่งเน้นกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อในตลาดต่อเนื่องจากปี 2564   สำหรับดัชนีราคาคอนโดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในไตรมาส 1 ปี 2564 นี้ เมื่อพิจารณาแยกตามพื้นที่ พบว่า กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 153.6 จุด ลดลง 0.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เพิ่มขึ้น  0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 145.3 จุด ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) (ดูตารางที่ 1 และดูแผนภูมิที่ 1 - 2)    สำหรับรายการส่งเสริมการขายคอนโดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ พบว่า ส่วนใหญ่  46.1% เป็นของแถม เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ รองลงมา 35.1% เป็นส่วนลดเงินสด และ 18.9% เป็นส่วนลดค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์   ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์    
เอพี ไทยแลนด์ มั่นใจดีมานด์บ้านเดี่ยว เดินหน้าเปิด 2 โครงการใหม่ 1,650 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ มั่นใจดีมานด์บ้านเดี่ยว เดินหน้าเปิด 2 โครงการใหม่ 1,650 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ กวาดยอดขายบ้านเดี่ยวไตรมาสแรกกว่า  4,300 ล้าน โตทะลุ 100% แม้ยังไม่เปิดโครงการใหม่ ​ไตรมาส 2 เปิดตัว 2 โครงการบ้านเดี่ยวมูลค่ารวม 1,650 ล้าน สานต่อผู้นำตลาด​   นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บริษัท​ เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัททำยอดขายกลุ่มบ้านเดี่ยวได้สูงถึง 4,290 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 100% แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกจะไม่มีการเปิดโครงการใหม่ก็ตาม   เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในไตรมาส 2  กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวเอพี จึงเตรียมเปิดตัว 2 โครงการใหม่รวม​มูลค่ารวม 1,650 ล้านบาท เนื่องจากมองว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 2 ปีนี้ สินค้าแนวราบยังเป็นซูเปอร์สตาร์ต่อเนื่อง โดยจะเปิดตัวขยายตลาดบ้านเดี่ยวในทำเลขายดี ที่เอพีเป็นเจ้าตลาดประสบความสำเร็จได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้า จนใกล้ปิดการขายโครงการปัจจุบัน แต่ยังเป็นทำเลที่มีดีมานด์ความต้องการของลูกค้าครอบครัวอีกมาก สำหรับ 2 โครงการที่จะเปิดตัว ประกอบด้วย ​1.โครงการ CENTRO พหลฯ-วิภาวดี 2 มูลค่า 1,250 ล้านบาท บนเนื้อที่ 58 ไร่ จำนวน 249 หลัง บ้านเดี่ยวสำหรับครอบครัวรุ่นใหม่  ติดถนนพหลโยธิน (ขาเข้า) ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง  ราคา 5 – 8 ล้านบาท และ 2.โครงการ CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก 3 มูลค่า 400 ล้านบาท บนเนื้อที่ 10 ไร่ จำนวน 43 หลัง บ้านเดี่ยวสำหรับครอบครัวเมือง โดดเด่นด้วยดีไซน์โมเดริน์พร้อมสเปซฟังก์ชั่นที่คุ้มค่าทุกตารางนิ้ว ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ราคา 8.99 – 12 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการใหม่มีกำหนดเปิดขายพร้อมกันวันที่ 12 – 13 มิ.ย. นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ   นอกจากนี้  เอพียังได้เตรียมแผนการรองรับดีมานด์ลูกค้าบ้านพร้อมอยู่ที่มีแนวโน้วปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ด้วยการ​จัดแคมเปญพิเศษ “ชอบใจจ่าย 0 บาท ฟรียกหลัง” คัดสรรสุดยอดบ้านเดี่ยวแปลงสวยจาก 38 โครงการคุณภาพทั่วกรุงเทพฯ ครอบคลุมแบรนด์ THE PALAZZO, THE CITY และ CENTRO ด้วยข้อเสนอ ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน  ฟรีเครื่องปรับอากาศ ม่าน ฯลฯ แบบยกหลัง ราคาเริ่ม 4.99 – 60 ล้านบาท เฉพาะลูกค้าที่จองและโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 มิ.ย. 64 เท่านั้น แม้สถานการณ์โดยรวมธุรกิจอสังหาฯ ยังต้องเผชิญกับสภาวะ Ripple Effect หรือปรากฎการณ์ระลอกคลื่น ความเสียหายที่เกิดจาก COVID-19 นั้นมีความท้าทายที่อยู่นอกเหนือการควบคุม แต่เอพีมีความมั่นใจว่าดีมานด์ครอบครัวเมืองที่มองหาบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ และบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ๆ ยังมีอยู่ต่อเนื่อง
นิปปอนเพนต์  ออกสีใหม่ “เวเธอร์บอนด์”  สู้ตลาด 2 หมื่นล้านหดตัว 15%

นิปปอนเพนต์ ออกสีใหม่ “เวเธอร์บอนด์” สู้ตลาด 2 หมื่นล้านหดตัว 15%

นิปปอนเพนต์ แก้โจทย์ตลาดสีหดตัว 15% หลังโดนผลกระทบจากโควิด-19 เดินหน้าตอบสนองความต้องการของลูกค้า ออกสีตัวใหม่ “เวเธอร์บอนด์” รับตลาดไตรมาสแรกยังติดลบต่อเนื่อง 5-7% พร้อมเดินหน้าใช้งบ 5% ทำตลาดสร้างแบรนด์   นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีนิปปอนเพนต์  เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาธุรกิจสีทาบ้านและสีทาอาคารติดลบไป 15% จากปกติแต่ละปีจะมีมูลค่าตลาดรวมต่อปีประมาณ 22,000 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ซึ่งมีการปิดประเทศ การล็อกดาวน์ที่มีการปิดห้างสรรพสินค้าและร้านค้าต่าง ๆ  ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง  ความต้องการใช้สีจึงลดลงตามไปด้วย   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปี 2564 จะเริ่มมีการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มกลับมารุนแรงเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง ทำให้ในไตรมาสแรกของปีนี้ จึงคาดว่าตลาดสียังปรับตัวลดลง แต่ไม่รุนแรงเท่ากับช่วงปีที่ผ่านมา คาดว่าภาพรวมธุรกิจสีทาบ้านและสีทาอาคารจะลดลงประมาณ ​ 5-7% เพราะยังมีปัจจัยบวกที่เข้ามาช่วย อาทิ รวมทั้งแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เชื่อว่าจะช่วยให้การท่องเที่ยวกลับมาคึกคักและทำรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมมีการขับเคลื่อนมากขึ้น เชื่อมั่นว่าในครึ่งปีหลังภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวขึ้น หลังการฉีดวัคซีนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปัจจุบันตลาด​สีน้ำทาบ้านและอาคาร แบ่งออกเป็นตลาดสีทาบ้านระดับบน (Premium) 3,000-4,000 ล้านบาท  ระดับปานกลาง (Medium) 4,000-5,000 ล้านบาท และระดับประหยัด (Economy) 2,000-3,000 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าในภาพรวมตลาดสีจะไม่เติบโต แต่ตลาดสีทาบ้านระดับบนมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่เลือกใช้สีที่มีคุณภาพและมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น  จึงถือเป็นตลาดสีที่ยังมีโอกาสในการขยายตลาดได้อีกมาก   นายวัชระ กล่าวอีกว่า  ล่าสุด บริษัทฯ จึงเปิดตัว “นิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์” (Nippon Paint Weatherbond) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่ม โดยเฉพาะตลาดกลุ่มบนที่ลูกค้ามีความต้องการใช้สีซึ่งมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย  ซึ่งสีดังกล่าวเป็นสีทาภายนอก เกรดอัลตร้าพรีเมียม ที่พัฒนาและปรับสูตรใหม่ขึ้นด้วย NIPPON CROSS-LINK TECHNOLOGY เทคโนโลยีสีครบ จบ ทน เพื่อตอบโจทย์เรื่องความครบของฟีเจอร์ที่จำเป็นต่อการใช้งาน  โดยอาศัยจุดแข็งของนิปปอนเพนต์ที่เป็น Global Business Network มีเครือข่ายทั่วโลก มีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของนิปปอนเพนต์ สีนิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ ทาครั้งเดียวทนทาน  15 ปี ทำให้มีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสีทั่วไป ที่อาจต้องทาใหม่ทุก ๆ 2-3 ปี ด้านนายณรงค์ฤทธิ์ มาลัยนวล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด  กล่าวเพิ่มเติมว่า  ได้ใช้งบการตลาดราว 5% ของยอดขาย ในการสร้างแบรนด์และการรับรู้ของแคมเปญโฆษณาสีนิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ ผ่านช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ภายใต้แนวคิด “ครบที่รุ่นนี้ สีเวเธอร์บอนด์”  โดยแคมเปญสีนิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ เน้นที่สื่อออนไลน์เป็นหลัก และขยายการรับรู้ให้เข้าถึงผู้บริโภค ผ่านสื่อ Out of Home ไม่ว่าจะเป็น Digital Billboard ตามจุดสำคัญต่าง ๆ รอบกรุงเทพฯ แหล่งชุมชน  เป็นต้น รวมถึงการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายต่าง ๆ    
เอพี ไทยแลนด์ยอดขาย Q1 เกือบ 8,000 ล้าน เดินหน้าเปิด 5 โปรเจ็กต์ไตรมาส 2  

เอพี ไทยแลนด์ยอดขาย Q1 เกือบ 8,000 ล้าน เดินหน้าเปิด 5 โปรเจ็กต์ไตรมาส 2  

เอพี ไทยแลนด์ ฟอร์มดีตั้งแต่ต้นปี ไตรมาสแรกกวาดยอดขาย 7,966 ล้าน จากการปักหมุด 113 โครงการในกรุงเทพฯ และ 5 จังหวัดตลาดศักยภาพ เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ต่อเนื่องอีก 5 โครงการ ในไตรมาส 3 ชูโครงการแนวราบ เป็นซูเปอร์สตาร์สร้างยอดขายและรายได้  มั่นใจปีนี้กวาดรายได้​ 43,100 ล้าน และยอดขาย 35,500 ล้าน ตามเป้าหมาย   นายวิทการ จันทวิมล  รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 7,966 ล้านบาท จากอสังหาริมทรัพย์เครือเอพีที่กระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 113 โครงการ (Exiting Projects) เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับยอดขายไตรมาส 1 ของปี 2563 ที่ผ่านมามีจำนวน 6,045 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกที่ผ่านมา มียอดขายที่มาจากสินค้าแนวราบมากถึง 7,293  ล้านบาท  สะท้อนภาพความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อสินค้าบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมเครือเอพี  ที่กระจายครอบคลุมในพื้นที่กรุงเทพฯ และตลาดใหม่ใน 5 จังหวัดที่บริษัทได้ขยายเข้าไปทำตลาด ได้แก่  จังหวัดขอนแก่น ระยอง นครศรีธรรมราช อยุธยา และเชียงราย จนสามารถสร้างการเติบโตด้านยอดขายได้อย่างโดดเด่นที่สุดท่ามกลางสภาวะตลาดผันผวนในปัจจุบัน   ส่วนภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ​​ ในไตรมาสที่ 2 เชื่อว่ายังคงอยู่ในสภาวะที่รอการฟื้นตัว ทั้งด้านความต้องการ (Demand) ​ที่ยังคงเป็นไปตามภาพรวมเศรษฐกิจ  และด้านการเปิดตัวสินค้าใหม่ (Supply) ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่รายที่ยังคงเปิดตัวโครงการใหม่ช่วงที่ผ่านมา โดยคาดว่าความมั่นใจในกลุ่มสินค้า​คอนโดมิเนียมจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่คงต้องใช้เวลาอีกนาน  กว่าจะฟื้นตัวกลับไปเหมือนก่อนเกิดเหตุการณ์โควิด-19 ขณะที่สินค้าแนวราบยังคงเป็นซูเปอร์สตาร์ต่อเนื่องไปอีกปี ทั้งนี้ โอกาสรอดของธุรกิจอสังหาฯ ​ ท่ามกลางการเผชิญกับสภาวะ Ripple Effect หรือปรากฎการณ์ระลอกคลื่น จากความเสียหายที่เกิดจากโควิด-19 นั้น นอกจากแผนการบริหารจัดการภายในองค์กร เพื่อสร้างความแข็งแกร่งแล้ว อีกหนึ่งในการสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากขึ้น คือ การบริหารจัดการพอร์ตสินค้าให้มีสินค้าพร้อมขาย และกระจายไปในหลายทำเล  จะมีส่วนช่วยทที่นำมาซึ่งความสำเร็จในวันนี้ ควบคู่ไปกับการมี EMPOWER LIVING เป็นเป้าหมายสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่ลูกค้าสามารถเลือกได้   สำหรับแผนการเปิดตัวโครงการในช่วงไตรมาส 2 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวสินค้าแนวราบจำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,660 ล้านบาท โดยทั้งหมดมีแผนจะเปิดขายในช่วงเดือนมิถุนายน  แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,650 ล้านบาท ได้แก่ 1.CENTRO พหล-วิภาวดี 2 จำนวน 249 ยูนิต มูลค่า 1,250 ล้านบาท 2.CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก 3 จำนวน 43 ยูนิต มูลค่า 400 ล้านบาท   ทาวน์โฮม 3 โครงการ มูลค่ารวม 1,010 ล้านบาท ได้แก่ 1.Pleno บางนา-อ่อนนุช 2 จำนวน 233 ยูนิต มูลค่า 570 ล้านบาท 2.Pleno ปิ่นเกล้า-จรัญ 2 จำนวน 86 ยูนิต มูลค่า 330 ล้านบาท และโฮมออฟฟิศ 3.District รามอินทรา-จตุโชติ จำนวน 20 ยูนิต มูลค่า 110 ล้านบาท   ทั้งนี้ ในปี 2564 นี้ เอพี ไทยแลนด์ ตั้งเป้าจะมีโครงการอสังหาฯ ที่พัฒนาอยู่ทั่วประเทศ  145 โครงการ มูลค่าพร้อมขายกว่า 118,128 ล้านบาท โดยเป็นโครงการใหม่ที่เปิดตัวในปี 2564 (New Launch Projects) จำนวน 34 โครงการ มูลค่าประมาณ 43,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นโครงการแนวราบจำนวน 30 โครงการ มูลค่าประมาณ 28,800 ล้านบาท และคอนโด ที่คาดว่าจะพร้อมเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังจำนวน 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 14,200 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (Existing Projects) ที่กระจายไปในทุกทำเลทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมากถึง 113 โครงการ มูลค่าสินค้าพร้อมขายประมาณ 77,428 ล้านบาท (รวมโครงการเปิดใหม่ของปี 2564 ที่ได้เปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการ) โดยไตรมาส 1 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการไปแล้วจำนวน 2 โครงการ คือ อภิทาวน์ เชียงราย และอภิทาวน์ อยุธยา มูลค่าโครงการรวม 2,300 ล้านบาท เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดย ณ 31 มีนาคม 2564 สามารถขายได้แล้วกว่า 300 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของลูกค้าในตลาดหัวเมืองใหญ่ ที่มีต่อแบรนด์และอสังหาฯ ภายใต้การพัฒนาของเอพี  และในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารับรู้รายได้ (รวม 100% JV) 43,100 ล้านบาท และเป้ายอดขายที่ 35,500 ล้านบาท (อ่านข่าวเพิ่มเติม.....เอพี วางเป้าขึ้นเบอร์ 1 อสังหาฯ ไทย ขน 147 โครงการสร้างรายได้กว่า 4 หมื่นล้าน)
เสนาผนึกกลุ่มฮันคิวฮันชิน  ปั้นทาวน์โฮมร่วมทุนโครงการแรกของวงการ

เสนาผนึกกลุ่มฮันคิวฮันชิน ปั้นทาวน์โฮมร่วมทุนโครงการแรกของวงการ

เสนา เดินหน้า จับมือกลุ่มฮันคิว ฮันชิน พันธมิตรจากญี่ปุ่น ปั้นโครงการต่อเนื่อง ประเดิมครั้งแรกบุกตลาดแนวราบ พัฒนาโครงการทาวน์โฮม กลุ่มตลาดราคา Affordable โครงการแรกของวงการอสังหาฯ เจาะทำเลเพทพารักษ์-บางบ่อ   บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นจับมือกับกลุ่มฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป พันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ด้วยแนวความคิดที่ต้องการ​นำเอาความแข็งแกร่ง และประสบการณ์ด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยในประเทศญี่ปุ่น มาปรับใช้กับตลาดภายในประเทศไทย โดยโครงการแรกเป็นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม “นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่ง”   การพัฒนาโครงการภายใต้ความร่วมมือของ 2 ดีเวลลอปเปอร์ ตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน มีจำนวนรวม 14 โครงการ รวมมูลค่า 40,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นคอนโดแนวสูงเป็นหลัก แต่สำหรับปีนี้เป็นการก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ของการร่วมกับกลุ่มฮันคิว ฮันชิน ซึ่งความร่วมมือที่ดีระหว่างกัน ได้ขยายตลาดมาสู่การพัฒนาโครงการแนวราบ ด้วยการพัฒนาโครงการทาวน์โฮมโปรเจกต์แรก ภายใต้แบรนด์ เสนา เวล่า เทพารักษ์ – บางบ่อ มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการร่วมมือกันครั้งแรกของของดีเวลลอปเปอร์ไทยและต่างชาติในการพัฒนาโครงการทาวน์โฮม และเป็นกลุ่มตลาดราคาจับต้องได้ (Affordable) ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นโยบายในการดำเนินธุรกิจในปี 2564 คือ SENA Strong ซึ่งประกอบด้วย 7 Strong ได้แก่ 1.Strong Step ​2.Strong Affordable Condo  3.Strong Partner  4.Strong Solar 5.Strong Digitalized Service App 6.Strong Agent และ ​7.Strong Management Team ซึ่งการพัฒนาโครงการร่วมทุนในรูปแบบทาวน์โฮม ได้นำเอา 3 Strong มาพัฒนาร่วมกัน ได้แก่ 1.Strong Affordable Condo  ​2.Strong Partner และ 3.Strong Solar   ระหว่างเสนา และ ฮันคิว ฮัน ชิน วันนี้เราเป็นมากกว่าพันธมิตรร่วมทุนทางธุรกิจ ซึ่งในปี 2564 เสนา วางแผนธุรกิจตามนโยบาย SENA Strong และยังคงแนวทางการทำงานกับทาง ฮันคิว ฮันชิน เหมือนเดิมคือการคิดถึงลูกค้าเป็นหลัก และสร้างที่อยู่อาศัยที่ดีให้กับผู้บริโภค   โดยจุดเด่นของการพัฒนาโครงการทาวน์โฮม ระหว่างเสนาและกลุ่มฮันคิว ฮันชิน คือ การนำแนวคิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยของญี่ปุ่นที่เรียกว่า  “Geo fit+”   มาปรับใช้ให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทย เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยประกอบด้วย 4 เรื่อง คือ 1.Geo fit+ Day เน้นว่าจะพัฒนาโปรดักท์อย่างไรให้เข้ากับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน 2.Geo fit+ Eco การแสวงหาแนวทางประหยัดพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น พลังงานไฟฟ้า เชื้อเพลิง หรือน้ำ 3.Geo fit+ Stage การออกแบบบนแนวคิดเพื่อรองรับผู้อยู่อาศัยทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย 4.Geo fit+ Sonae ใส่ใจทุกดีเทลในการใช้ชีวิตที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความปลอดภัย ผศ.ดร.เกษรา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเบื้องต้นปีนี้เสนาและกลุ่มฮันคิว ฮันชิน จะพัฒนาโครงการทาวน์โฮมร่วมกันอย่างน้อย 3 โครงการ ซึ่งอาจจะพัฒนามากกว่านี้ โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจ จากปีนี้ที่บริษัทวางแผนเปิดโครงการทั้งหมด 17 โครงการ โดยแผนการเปิดโครงการอีก 15 โครงการยังเป็นไปตามแผนที่ได้วางไว้ การมีพาร์ทเนอร์ที่ดี เป็นการทำให้เราเป็น strang company และอยากเป็น sustain company ที่ sustain ไปเรื่อย ๆสามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งไม่มีคำว่าจุดจบ เพราะเราไม่คิดว่ามีคำว่าดีที่สุด มีแต่ดีขึ้นเรื่อยๆ มีแต่คำว่าพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านนายประสิทธิ์ วัฒนานุกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสนับสนุนงานก่อสร้าง บริษัท เสนาดีเวล ลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงรายละเอียดโครงการ เสนา เวล่า เทพารักษ์ – บางบ่อ ว่าพัฒนาโครงการบนคอนเซ็ปต์แบรนด์ “ชีวิตที่ลงตัวกับความสุขที่เรียบง่าย” เป็นทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ สูง 2 ชั้น บนเนื้อที่โครงการ 39 ไร่เศษ จำนวน 298 หลัง มีแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ คือ แบบบ้าน THEE และแบบบ้าน THEE Plus ขนาดที่ดินเริ่ม 20 – 41 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านเริ่ม 127 – 140 ตารางเมตร ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ พร้อมที่จอดรถ 2 คัน ราคาเริ่ม 2.99 ล้านบาท*  โดยกำหนดก่อสร้างตั้งแต่เดือนธันวาคม  2563 และ คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการภายในปี 2567   เสนา เวล่า เทพารักษ์ – บางบ่อ ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพติดถนนใหญ่ ใกล้แหล่งงาน นิคมอุตสาหกรรมบางพลี นิคมบางปู และนิคมเวลโกร์ว แวดล้อมด้วยสถานที่สำคัญทั้งโรงพยาบาล สถานศึกษา แหล่งช้อปปิ้ง ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เมกาบางนา ,มาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ เทสโก้ โลตัส ซิตี้พาร์ค และ บิ๊กซี บางพลี เป็นต้น ในอนาคตมีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายจากเคหะ สมุทรปราการ วิ่งไปถึงบางปู เพิ่มอีก 4 สถานี ประกอบด้วย สถานีบางปู สถานีศรีจันทร์ประดิษฐ์ สถานีเมืองโบราณ และสถานีสวางคนิวาส รวมระยะทาง 7 กิโลเมตร            
ตรวจชีพจร ธุรกิจก่อสร้าง และ  โอกาสทางธุรกิจใน New Normal

ตรวจชีพจร ธุรกิจก่อสร้าง และ โอกาสทางธุรกิจใน New Normal

ภาคการก่อสร้างมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจ และครัวเรือน​โดยใน ปี 2563 การลงทุนภาคก่อสร้างมีมูลค่า 1.32 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนใน GDP สูงถึง 8.4% การเปลี่ยนแปลงในเซ็กเมนต์ต่าง ๆ ทั้งงานโยธา งานอาคาร และงานเฉพาะด้าน กระทบกับห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจ ตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ทั้งธุรกิจเหมืองแร่ งานออกแบบ การจัดหาแรงงาน/การจ้างงาน การผลิต/จำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจเฟอรน์นิเจอร์ รวมถึงสถาบันการเงิน เป็นต้น   ขณะเดียวกัน ยังเป็นเครื่องมือ สำคัญของภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2561-2563) ธุรกิจก่อสร้างมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 2.4% ต่อปี แม้ในปี 2563 ธุรกิจได้รับผลกระทบจากภาวะซบเซาของภาคอสังหาริมทรัพย์ และการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ภาพรวมขยายตัวได้ในระดับที่น่าพอใจ ท่ามกลางภาวะะถดถอยทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการก่อสร้างภาครัฐยังคงเพิ่มขึ้น ต่อเนื่อง แต่ในส่วนของการก่อสร้างภาคเอกชนกลับหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแตปี 2558 ภาพรวมธุกิจปี 2563 การลงทุนก่อสร้างเพิ่มขึ้น 2.2% โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการก่อสร้างภาครัฐที่ยังสามารถเติบโตได้ที่ระดับ 5.7% ขณะที่การก่อสร้างภาคเอกชน หดตัว 2.2% ซึ่งต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2558 โดยเฉพาะงานก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัย (Dwellings) ที่มีสัดส่วน 52% ของมูลค่างานก่อสร้างภาคเอกชน หดตัวมากถึง 6.7% ภาวะซบเซาของภาคอสังหาฯ ส่งผลให้งานก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยภาคเอกชนหดตัว ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ในปี 2564 การลงทุนก่อสร้างมีแนวโน้มขยายตัวประมาณ 4.1% เร่งตัวขึ้นจาก 2.2% ในปี 2563 ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจในประเทศ โดยเพิ่มขึ้นจากการ ก่อสร้างภาครัฐซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่อเนื่องในพื้นที่ EEC รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมในภูมิภาค และงานก่อสร้าง ภาคเอกชนบางส่วนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวเช่นการก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบเนื่องจาก Developer ส่วนใหญ่หันไปพัฒนาบ้านจัดสรรกันมากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มี ข้อจำกัดด้านพื้นที่และราคาที่ดินไม่มากเท่ากรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งโครงการ คอนโดมิเนียมบริเวณแนวสถานีรถไฟฟ้าบางส่วนที่ Developer เลื่อนการก่อสร้าง มาจากปี 2563   -งานก่อสร้างภาครัฐยังเป็นเป้าหมายหลักของผู้รับเหมา เนื่องจากยังมีแนวโน้มเติบโตตามการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายลงทุนของงบประมาณประจำปี 2564 ซึ่งคาดว่าจะสนับสนุนให้การลงทุนก่อสร้างภาครัฐเพิ่มขึ้น 4.9% อย่างไร ก็ดี เซ็กเมนต์นี้ อาจจะต้องมองหาล่ทูางเพื่ออกระจายความเสี่ยงในการพึ่งพา งานก่อสร้างภาครัฐเพียงด้านเดียว เพราะงานภาครัฐก็มีความเสี่ยงจากความ ล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับกระแสเงินสด   -งานก่อสร้างภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างเปราะบาง  ประมาณ 3.0%ในปี 2564 แต่ยังมีมูลค่าต่ำเมื่อเทียบกับปี 2561-2562 เพราะธุรกิจที่อยู่อาศัย ภาคเอกชนซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อน (driver) หลักต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัว รวมถึงการ ก่อสร้างในกล่มุธุรกิจโรงแรมใหม่ ๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งจำเป็นต้องรอแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐที่จะช่วยฟื้นฟูภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่หดตัวรุนแรง ต่อเนื่องทุกไตรมาส ทั้งอาคารที่อยู่อาศัย และไม่ใช่ที่อยู่อาศัย ดังนั้น  เซ็กเมนต์​นี้ อาจต้องใช้ระยะเวลานานกว่า ปี 2565 ที่จะกลับไปอยู่ในระดับที่ ใกล้เคียงกับช่วงก่อนวิกฤติโควิด-19 ผลประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง นอกจากภาวะซบเซาของภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ที่กดดันผลประกอบการ ผู้รบัเหมาก่อสร้างงานอาคารภาคเอกชนแล้วผู้รบัเหมางานก่อสร้างภาครัฐยังได้รับผลกระทบจากความล่าช้าของการอนุมัติวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจาปี 2563-2564 จนมีการเลื่อนประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ รวมถึงปัญหาความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณในการก่อสร้าง ส่งผลต่อการดำเนินงานของผู้รับเหมาก่อสร้าง ทั้งระบบ   -หากพิจารณาผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 35 ราย (แบ่งเป็น จดทะเบียนใน SET 26 ราย และ mai 9 ราย) พบว่าในปี 2563 มีรายได้รวม 206,236 ล้านบาท ลดลง 6.6%(YoY) ผู้ประกอบการ 74% ประสบปัญหาใน การดำเนินธุรกิจ สะท้อนจากรายได้ที่ลดง ผลกำไร/อัตรากำไรสุทธิที่ลดลง หรือผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิโดยเฉพาะผู้ประกอบการที่จดทะเบียนใน mai ทุกราย ประสบปัญหาด้านผลการดำเนินงาน โดยรวมแล้ว ผู้ประกอบการ ที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนมีสัดส่วนสูงถึง 37% เพิ่มขึ้นจาก 35% ในปี 2562 และความสามารถในการทำกำไร (วัดจากอัตรากำไรสุทธิ) ส่วนใหญ่แนวโน้มลดลง ทั้งนี้ ด้วยเหตุที่ผลกระทบของ โควิด-19 เกิดขึ้นในวงกว้าง จึงคาดว่าผลการดำเนินงานของกล่มุผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็กที่ไม่ได้จดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็คงประสบปัญหาไม่แตกต่างกัน   -แต่สิ่งที่น่ากังวลมากไปกว่าน้ัน คือ ผลการดำเนินงานและความสามารถในการ ทำกำไรของผู้ประกอบการที่ลดลง ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ และทาให้คุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ในธุรกิจก่อสร้าง ด้อยลงตามไปด้วย ผลประกอบการจำแนกตามขนาดรายได้ เมื่อจำแนกผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามขนาดรายได้ จะพบว่า ในปี 2563 ทุกกลุ่มประสบปัญหาด้านรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ < 1,000 ล้านบาท ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ทั้งด้านรายได้ ความสามารถในการทำกำไร และ ความสามารถในการชำระหนี้ ขณะที่ผู้ประกอบการกลุ่ม > 1,000 ล้านบาท แม้รายได้ ลดลง แต่เนื่องจากส่วนใหญ่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน ทั้งด้านความชำนาญ ด้านชื่อเสียง และด้านต้นทุน เนื่องจากมีอายุกิจการยาวนานกว่า ทำให้มีความสามารถ ในการทำกำไรสูงกว่าภาพรวม และในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา กลุ่ม 1,000-5,000 ล้านบาท ยังคงมีความโดดเด่นด้านความสามารถในการทำกำไร และความสามารถในการชำระหนี้ อย่างต่อเนื่อง สถานการณ์สินเชื่อและคุณภาพหนี้ธุรกิจก่อสร้าง ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คุณภาพสินเชื่อธุรกิจก่อสร้าง​โดยรวมเริ่มด้อยลง โดยเฉพาะ ในกลุ่มงานโยธาซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานก่อสร้างภาครัฐ มีสัดส่วน Non-Performing Ratio เร่งตัวขึ้นมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับกลุ่มงานก่อสร้างเฉพาะด้าน ขณะที่คุณภาพสินเชื่อผู้รับเหมางานอาคารทรงตัวอยู่ในระดับสูง และสูงกว่าค่าเฉลี่ย NonPerforming Ratio ของสินเชื่อธุรกิจในระบบธนาคารพาณิชย์   คุณภาพสินเชื่อธุรกิจก่อสร้าง: ณ สิ้นไตรมาส 4/2563 ยอดคงค้างเงินให้สินเชื่อแก่ธุรกิจก่อสร้างในระบบธนาคารพาณิชย์มีมูลค่ารวม 280,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% (YoY) โดยเพิ่มขึ้นในกลุ่มงานโยธา (Civil engineering) และกลุ่มงานก่อสร้างเฉพาะด้าน (Specialized construction) ขณะที่กลุ่มงานก่อสร้างงาน อาคาร (Construction of buildings) หดตัวลงตามภาวะซบเซาของธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเมื่อพิจารณาด้านคุณภาพสินเชื่อ พบว่า ธุรกิจก่อร้างมีสัดส่วน Non-Performing Ratio ณ สิ้นไตรมาส 4/2563 อยู่ที่ระดับ 7.7% สูงกว่าค่าเฉลี่ย Non-Performing Ratio ของสินเชื่อธุรกิจโดยรวม (ไม่รวมสินเชื่ออุปโภคบริโภค ส่วนบุคคล & กิจกรรมทางการเงิน และการประกันภัย) ในช่วง 7 ปี (ปี 2557-2563) ที่ระดับ 4.0% คุณภาพหนี้สินเชื่อธุรกิจก่อสร้างโดยด้อยกว่าคุณภาพหนี้สินเชื่อธุรกิจโดยรวม และมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วน Non-Performing Ratio เร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 6.9% และ 7.7% ในไตรมาส 4/2562 และ ไตรมาส 4/2563 ตามลำดับ ส่วนใหญ่เกิดจากสินเชื่อผู้รับเหมางานอาคารและงานเฉพาะด้านที่เร่งตัวขึ้นโดยเฉพาะ กลุ่มผู้รับเหมางานอาคารที่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้สูงที่สุดในกลุ่ม จากภาวะตลาดที่หดตัวต่อเนื่องในช่วง 2 ปี ที่ ผ่านมา ขณะเดียวกัน ในปี 2563 NonPerforming Ratio สินเชื่องานโยธาก็เร่งตัวขึ้นสูง (เฉลี่ย 7.1%) ใกล้เคียงงานเฉพาะด้าน เทียบกับช่วงก่อนหน้า (ปี 2557-2561) ที่มีค่าฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำกว่า 2% และต่ำที่สุดในกลุ่มก่อสร้าง New Normal ของธุรกิจก่อสร้าง ในช่วงก่อนหน้านี้ เราเห็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่หลายรายหันไปสร้างโอกาส ในธุรกิจอื่น เช่นเดียวกับผู้ประกอบการต่าง ๆ ที่อยู่ในธุรกิจพลังงาน ธุรกิจ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอาหาร อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจการเงิน ตัวอย่างของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ได้แก่ บมจ.ช.การช่าง (CK) ลงทุนผ่าน บริษัทลูกในธุรกิจทางด่วนและรถไฟฟ้า ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ธุรกิจผลิต จำหน่ายน้าประปา และบริหารจัดการน้าเสีย บมจ.พรีบิลท์ (PREB) ลุงทุนครบวงจร จากงานรับเหมาก่อสร้างสู่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผลิตภัณฑ์สิ่งก่อสร้าง และวัตถุดิบขั้นต้น เป็นต้น จากนี้ไป แรงกดดันจากภาวะซบเซาของภาคอสังหาริมทรัพย์ วิกฤตโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย และแนวโน้มข้อจำกัด/ความล่าช้าด้านงบประมาณภาครัฐ จะกระตุ้นให้ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายกลางปรบั ตัวและหันไปหาโอกาสใน ธุรกิจอื่นกันมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง อย่างไรก็ดี ในส่วนของธุรกิจเดิม จะเกิดการเปลี่ยนแปลงจน เกิดโอกาสใหม่ที่เป็น New Normal ของธุรกิจ ก่อสร้าง ใน Segment ที่สามารถตอบสนอง Green Economy, Health/Aging Society และ วิถีWFH กระแส Green Economy เศรษฐกิจสีเขียว หรือ Green Economy เป็นเป้าหมายของทั่วโลกรวมถึง ประเทศไทย ที่บรรจุอยู่ในโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Bio-CircularGreen Economy: BCG) ดังนั้นงานก่อสร้างภาครัฐและเอกชน ที่สามารถ สนับสนุนเศรษฐกิจสีเขียว จะเป็นที่ต้องการในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้าง ด้านพลังงานที่ไม่ใช้ฟอสซิล เช่น งานออกแบบ/ติดตั้งระบบพลังงานไฟฟ้าจาก แสงอาทิตย์ของภาคครัวเรือน (Solar Rooftop) และงานก่อสร้างภาครัฐที่ เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2)/การสนับสนุนให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ งานออกแบบ/ติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสีย/ขยะ และรวมไปถึงการผลิต/ใช้วัสดุก่อสร้างที่ประหยัดพลังงาน หรือเป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม Health/Aging Society จากข้อมูลของกรมการปกครองพบว่า ณ สิ้นธันวาคม 2563 ประเทศไทยมี สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็น 18% ของจำนวนประชากร โดยรวม นอกจากนั้น หลายองค์กรประเมินว่าสัดส่วนดังกล่าวจะเกิน 20% ในปี 2564 นี้ ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ขณะเดียวกันสภาพัฒน์ ประเมินว่า สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุของไทยในอีก 20 ปี ข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นเป็น 31% นั่นหมายถึงโอกาสทางธุรกิจเพื่อรองรับความต้อง สินค้า/บริการของประชากรกลุ่มนี้ ดังนั้น การก่อสร้างหรือวัสดุอุปกรณ์ที่ เกี่ยวข้องกับ Health/Aging Society จะเป็นที่สนใจของ Developer และ ครัวเรือนมากขึ้น เช่น การสร้าง/ปรับปรุงอาคารที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ วัสดุ/อุปกรณ์ก่อสร้าง และระบบ Automation ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดูแล สุขภาพ/การป้องกันเชื้อโรค และรวมไปถึงงานออกแบบ ที่สามารถตอบโจทย์การ เพิ่มขึ้นของคนกลุ่มนี้ เป็นต้น วิถี WFH บทเรียนจากวิกฤตโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา องค์กรที่ยังอยู่รอดส่วนใหญ่ พบว่า Work from Home (WFH) นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายสำนักงานได้ระดับหนึ่งแล้ว บางองค์กรยังสามารถเพิ่ม Productivity ได้ด้วย และหลาย หน่วยงานได้ปรับปรุงสถานที่ลดความสำคัญของการทำงานที่ Office ลง ดังนั้น นอกจากงานปรับปรุงอาคารสำนักงานแล้ว งานปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้เป็น Home Office เพื่อรองรับวิถี WFM ก็จะตามมามากขึ้น ซึ่งอาจเป็นโอกาสของ ผู้รับเหมารายย่อยที่ค่อนข้างเสียเปรียบในการเข้าไปรับงานในโครงการขนาด ใหญ่ รวมทั้งงานก่อสร้าง/ตกแต่งอาคารประเภท ประเภท Co-Working Space ที่สามารถตอบโจทย์ในยุคปัจจุบัน   งานก่อสร้างในภูมิภาค/ต่างประเทศ ที่ผ่านมาการแข่งขันในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่มีความ รุนแรง ผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ใช้ความได้เปรียบด้านความชำนาญ ด้านชื่อเสียง และด้านต้นทุน เข้าไปรับงานในภูมิภาค ซึ่งแนวโน้มงานที่อยู่อาศัยใน ต่างจังหวัดโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีโอกาสขยายตัว เนื่องจากยังมี ปัจจัยหนุนด้านราคาที่ดิน และแนวโน้มมการขยายตัวของความเป็นเมือง (Urbanization) ที่ได้แรงหนุนจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค ตลอดจนการออกไปรับงานในประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศที่ไม่มีประเด็นด้าน การเมือง เนื่องจากผู้รับเหมาของไทยส่วนใหญ่ดำเนินกิจการมาแล้วมากกว่า 10 ปี มีความชำนาญด้านการก่อสร้างเป็นที่ยอมรับ โดยเฉพาะงานด้านก่อสร้างระบบ สาธารณูปโภคและด้านพลังงาน Our View: ชีพจรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบทั้งภาวะซบเซาของภาคอสังหาริมทรัพย์วิกฤต โควิด -19 และแนวโน้มข้อจำกัดด้านการคลังแล้ว ผู้รับเหมายังต้องแข่งขัน กันเองเพื่อให้ได้งานขนาดใหญ่ภายในประเทศ ได้ปรากฎผ่านเครื่องตรวจวัดด้าน ผลการดำเนินงาน และคุณภาพหนี้ ทำให้พบว่าการพึ่งพาธุรกิจเพียงด้านเดียว อาจไม่สามารถสร้างผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีประสบการณ์ที่ยาวนาน โดยเฉพาะการพึ่งพาเฉพาะโครงการภาครัฐ หรือ Focus เฉพาะพื้นที่ หรือการรับงาน/ ใช้เทคโนโลยีแบบเดิม ๆ โดยไม่ปรับตัวให้สอดรับกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงหรือ ความต้องการในอนาคต   -ด้านการตลาด จากนี้ไปผู้รับเหมาต้องเพิ่มศักยภาพเพื่อไปรับงานต่างพื้นที่ หรือต่างประเทศมากขึ้น รวมถึงการใช้วัสดุก่อสร้าง ให้สอดรับกับความต้องการใหม่ ๆ ทั้งนี้ งานก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล อาจต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัว หรือรอมาตรการภาครัฐที่จะช่วยฟื้นฟู ภาค อสังหาริมทรัพย์ แต่จะมีงานใหม่ ๆ ที่สามารถตอบสนอง Green Economy, Health/Aging Society และ Work from Home เพิ่มเข้ามามากขึ้น ซึ่งเป็นความท้าทายของผู้รับเหมาก่อสร้างในยุค New Normal   -ในส่วนขององค์กร เนื่องจากธุรกิจก่อสร้างเป็นธุรกิจที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมมาก ทั้งในส่วนของการใช้พลังงาน การปล่อยก๊าซ CO2 ในชั้นบรรยากาศ เสียง ฝุ่น ขยะ/สิ่งของที่เกิดการการก่อสร้าง ดังนั้น เพื่อตอบสนองความ ต้องการของลูกค้า นอกเหนือจากสามารถส่งมอบงานตรงเวลา ตรงตาม spec และเป็นไปตามระเบียบของทางการแล้ว ยังต้องครอบคลุมไปถึงความรับผิดชอบ ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม(Environment) ด้าน สุขภาพ(Health) ความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน (work-site safety) รวมไปถึงบรรษัทภิบาล เพื่อให้องค์กรเป็นที่ยอมรับของสังคม   บทความโดย  : นายไตรวุฒิ นพรัตน์ นักวิเคราะห์ KrungthaiCompass